14
เหมือนมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป
ไม่ผมก็เขาที่มีความรู้สึกดีๆ เพิ่มขึ้นมากมายกว่าเดิม
ฟองฟางนั่งเท้าคางมองภาพในจอคอมพิวเตอร์ในหอสมุดของมหาวิทยาลัย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มประกายวับวาวเมื่อกระทบกับแสงจากจอ มุมปากของฟองฟางยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับกำลังจะแย้มยิ้ม ที่อารมณ์ดีแบบนั้นก็เพราะตอนนี้กำลังดูรอบฉายหนังเรื่องโปรดอยู่น่ะ
ก็ตั้งใจว่าจะจองแล้วไปดูเย็นนี้เลยนั่นแหละ แต่ยังชั่งใจอยู่ ไม่รู้ว่าจะชวนมัทกับแยมไปด้วยดีมั้ยเพราะว่าใจหนึ่งก็อยากมีเพื่อนดูหนังด้วย แต่อีกใจก็ไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวของเพื่อนเท่าไหร่ ไม่ใช่อะไรหรอก เดือนหน้าก็จะสอบแล้ว แถมช่วงนี้มัทกับแยมก็ติดแฟนมากด้วย
แยมมีแฟนแล้ว...คนที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เพราะรายนั้นเปลี่ยนแฟนบ่อย กับคนนี้เห็นว่าเพิ่งคบกันไม่นานนี้เอง
ถ้าเอ่ยปากชวนยังไงสองคนนั้นก็ไปดูด้วยอยู่แล้วแหละ แต่ฟองฟางแค่ไม่อยากบังคับเพื่อนที่ไม่ชอบดูหนังเท่านั้นเอง มัทกับแยมดูหนังน้อยมาก มีแต่ฟองฟางนี่แหละที่ดูแทบทุกเดือน...ดูคนเดียวด้วยนะ
Kram: เหมือนลืมยาแก้ปวดไว้ในกระเป๋าฟอง
เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าทำให้ฟองฟางละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ทันที พอเห็นข้อความจากใครบางคนฟองฟางก็ย่นคิ้ว เตรียมจะกดปิดเครื่องคอมแล้ว แต่ว่า...
“ขอยาหน่อย”
เสียงนั้นทำให้ฟองฟางต้องชะงักและหันหลังกลับไปมองทันที
ฟองฟางยิ้มแฉ่งให้เจ้าของเสียงทุ้มที่กำลังขยับตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ กัน ครามสมุทรคนหล่อคนนี้ใส่เฝือกมาสามอาทิตย์แล้ว พอเหลือมือที่ใช้งานได้แค่ข้างเดียวคนตัวสูงก็เลยไม่ได้สนใจที่จะเซ็ตผม ปล่อยให้มันชี้โด่เด่อยู่อย่างนั้น
มันก็เข้ากับหน้ายุ่งๆ หล่อๆ ของครามสมุทรอยู่ดีนั่นแหละ
“แล้วมาหย่อนใส่กระเป๋าเราทำไมล่ะ”
“คิดว่าจะช่วยเตือนให้กินยา”
“โห โตแล้วนะครับคุณครามสมุทร” ล้อครามสมุทรแล้วอมยิ้มจนแก้มป่อง
ฟองฟางหยิบถุงยาให้คนป่วย ไม่ลืมที่จะแกะยาใส่ฝ่ามือของอีกฝ่าย
ก็กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว...ตลอดสามอาทิตย์มานี้ฟองฟางดูแลครามสมุทรเหมือนเป็นหมอประจำตัวไปเลย แต่ก็ดูแลเท่าที่ทำได้น่ะนะ
ส่วนใหญ่ก็เตือนอีกฝ่ายเรื่องกินยาให้ตรงเวลาและให้ครบตามที่หมอสั่งนั่นแหละ ครามสมุทรเป็นคนที่ชอบคิดไปเองว่าตัวเองแข็งแรงมากๆ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกินยาให้ครบ สามวันแรกที่ใส่เฝือกครามสมุทรไม่ยอมกินยาสักเม็ดจนฟองฟางต้องขอร้องให้คนตัวสูงจำใจกินมันลงไปหน่อย
เห็นเงียบๆ ขรึมๆ แบบนี้...ครามสมุทรโคตรจะดื้อเลยจริงๆ
“อาทิตย์หน้าก็ถอดเฝือกออกแล้วนี่นา”
“อยากถอดตั้งแต่วันแรก”
“แล้วนี่เมื่อไหร่ครามจะบอกคุณแม่” ถ้าท่านรู้ที่หลังคงเสียใจแย่...
“แม่รู้แล้ว รู้เมื่อคืน”
“ครามบอกแม่เองเหรอ”
“เปล่า วิดีโอคอลกัน แม่เลยเห็น”
ฟองฟางอมยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอ้อมแอ้มตอบ
ฟองฟางเพิ่งรู้ว่าครามสมุทรสัญญากับคุณแม่เอาไว้ว่าจะไม่เจ็บไม่ป่วย ถึงป่วยก็ต้องป่วยให้น้อยมากที่สุด แต่นี่เล่นเจ็บถึงขั้นเข้าเฝือกตั้งหนึ่งเดือน...เลยเป็นเหตุผลที่ครามสมุทรไม่อยากให้คุณแม่รู้
“ฟอง”
“อื้ม”
“เดี๋ยวแม่จะขึ้นมาหา”
“อ่า ดีเลย” ฟองฟางปรายตามองคนตัวสูงแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายจ้องมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว...มองด้วยสายตาที่แปลกไปจากเดิม...อบอุ่น อ่อนโยนจนหัวใจของเขาสั่นรัว
“อยู่เป็นเพื่อนด้วย ตอนแม่มา”
“...ต้องอยู่ด้วยเหรอ”
“อือ”
“...”
“แม่อยากเจอ”
“อยากให้อยู่ด้วยก็พูด เอาแม่มาอ้างตลอดเล้ย...”
ครามสมุทรไหวไหล่เบาๆ พลางกระดกน้ำลงคอ...ในตอนนั้นเองฟองฟางเผลอไปมองลำคอแกร่งของอีกฝ่ายที่ขยับขึ้นลงเมื่อกลืนน้ำ แล้วก็ต้องกลั้นยิ้มสุดฤทธิ์พราะจู่ๆ ก็รู้สึกเขินบ้าบออะไรขึ้นมาก็ไม่รู้
ก็เป็นอย่างนี้ทุกที แพ้ครามสมุทรตลอด
“ชอบดูหนังเรื่องนั้นเหรอ”
แล้วคนที่สูงกว่าก็เอ่ยปากถาม ครามสมุทรจ้องภาพบนจอในขณะที่ฟองฟางเลิ่กลั่กจับเม้าส์จับแป้นพิมพ์ไม่ค่อยจะถูก คนตัวเล็กกว่าได้แต่เกาหัวแกร็กๆ ยิ่งตอนที่ครามสมุทรชะโงกหน้าเข้ามาดูหน้าจอใกล้ๆ แล้วหรี่ตาขมวดคิ้วยุ่งๆ...ฟองฟางยิ่งไม่กล้าหายใจ
ก็โคตรจะใกล้กันขนาดนั้น ใกล้ชนิดที่ว่าฟองฟางได้กลิ่นแชมพูหอมๆ จากกลุ่มผมของครามสมุทรเลยแหละ
ฟองฟางนั่งเกร็ง มือจับเม้าส์แน่น ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มติดกันอย่างประหม่าตอนที่ครามสมุทรขยับตัวเข้าใกล้หน้าจอ และนั่นก็ทำให้แผ่นอกกว้างๆ ของอีกคนสัมผัสกับมือของฟองฟางอยู่อย่างนั้น
“พ่อมดน้อย...” แล้วครามสมุทรก็พึมพำชื่อเรื่องบนหน้าจอ
“ค ครามชอบดูหนังมั้ย”
“ปกติก็ไม่”
ครืด ครืด
โทรศัพท์ของครามสมุทรสั่นครืดหลายครั้งติดกัน คนที่ชะโงกหน้ามองหน้าขยับตัวกลับไปนั่งหลังตรงในที่ของตัวเองเหมือนเดิม ครามสมุทรหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง อีกฝ่ายจ้องมันอยู่พักหนึ่งกว่าจะกดรับ
“คราม...”
“ขอนอนแป๊บเดียว” พอบอกแบบนั้นแล้วก็กดรับสายพร้อมกับเอนศีรษะไว้บนไหล่ของคนที่ตัวเล็กกว่า
คนตัวขาวได้แต่นั่งนิ่งทิ้งตัวเองให้อยู่กับความปั่นป่วนที่อีกฝ่ายมอบให้โดยที่คนคนนั้นไม่รู้ตัวซ้ำ...ว่ากำลังทำให้ฟองฟางเตลิดไปไกล ครามสมุทรทำอย่างกับว่าเขาเป็นอะไรสักอย่างที่มากกว่าเพื่อน...ไม่รู้สิ ปกติเรื่องแบบนี้มันธรรมดาสำหรับฟองฟางเพราะเขาเองก็กอดก็พิงไหล่มัทกับแยมบ่อยๆ ก็เหมือนกัน แต่ที่ทำไปก็เพราะเป็นเพื่อนที่สนิทกันจริงๆ
แต่กับครามสมุทรมันแปลกไป...มันพิเศษมากกว่านั้น
เป็นความพิเศษที่ไม่มีสถานะ เป็นเพื่อนไม่ได้...เป็นอะไรมากกว่านั้นก็คงไม่ได้ และที่สำคัญ...
ไม่มีเพื่อนที่ไหนทำแบบนี้
ไม่มีเพื่อนที่ไหนเขาจูบกันหรอก
*****
ฟองฟางยืนตาเป็นประกายอยู่หน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์ที่ขายน้ำกับป๊อปคอร์น ในมือเล็กๆ ถือตั๋วภาพยนตร์พ่อมดน้อยภาคแปดเอาไว้ มุ่งมั่นตั้งใจกับการมาดูหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษเพราะมันคือภาคสุดท้ายแล้ว
“ป๊อปคอร์นชีสผสมรสหวานกับโค้กได้แล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
แล้วมันก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ฟองฟางมาดูหนัง เขาไม่สามารถเข้าไปนั่งดูเฉยๆ ได้โดยไม่มีป๊อปคอร์นกับน้ำติดมือ ฟองฟางรับน้ำกับป๊อปคอร์นมาถือไว้อย่างทุลักทุเลค่อยๆ สาวเท้าเดินไปให้พนักงานฉีกตั๋ว ยิ้มแย้มให้พนักงานคนนั้นที่ส่งยิ้มมาก่อน ก็มาบ่อยจนจำหน้าได้แล้วแหละ ดูหนังทีไรเจอพนักงานคนนี้ทุกครั้งเลย
เดินฉับๆ เข้าโรงหนังที่จะฉายพ่อมดน้อยภาคแปด ฟองฟางเข้ามาก่อนเวลาเลยยังพอมีไฟสว่างๆ ให้ดูทาง คนตัวเล็กวางแก้วน้ำลงก่อนจะหย่อนสะโพกลงบนเก้าอี้สีม่วง แขนซ้ายกอดกล่องป๊อปคอร์นไว้อย่างนั้นแล้วรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปิดเสียงเพราะตอนนี้เสียงแจ้งเตือนดังถี่มากๆ
Mutt: พรุ่งนี้ใครจะติวก็มาที่ห้องกู
Yammy: ห้องมึงอ่ะไกล ติวที่หอสมุดได้ป่ะ
Mutt: กิ๊กก็ติวด้วย มึงคิดว่าคนนอกจะเข้าหอสมุดมอเราได้เหรอแยม
Yammy: งั้นบ้านไอ้ฟอง
Mutt: บ้านมึงได้เปล่าล่ะแยม
Yammy: บ้านกูไม่รับแขกจ้า
Mutt: กูคนไทยไม่ใช่แขกอ่ะดิ
Yammy: โห มุกเหี้ยมาก
Mutt: แล้วนี่ไอ้ฟองไปไหนวะ
Yammy: ดูหนังชัวร์ เมื่อกี้กูเห็นมันเช็กอินในไอจีสตอรี่
Mutt: งั้นรอมันมาตอบ
.ff: เออ เดี๋ยวสองทุ่มจะมาอ่านแชตอีกรอบ!
แล้วก็รีบกดปิดเครื่องเพราะจู่ๆ ไฟในโรงหนังก็ดับพรึ่บพร้อมกับตัวอย่างหนังเรื่องอะไรสักเรื่องที่ฟองฟางไม่รู้จักปรากฏบนหน้าจอ คนที่ซื้อที่นั่งวีไอพีแถวบนสุดหยิบป๊อปคอร์นเข้าปาก หันซ้ายหันขวาเพื่อมองว่าตอนนี้มีคนอื่นมานั่งในแถวที่เขานั่งอยู่บ้างหรือเปล่า แต่ก็ไม่มี
นัยน์ตาประกายวาววับกะพริบเบาๆ ฟองฟางจดจ่ออยู่กับป๊อปคอร์นและภาพตรงหน้าเป็นอย่างนั้นอยู่หลายนาทีจนกระทั่งรู้สึกว่ามีคนเดินเข้าโรงหนังมาใหม่ ใบหน้าหวานเลยค่อยๆ หันไปมองยังทางที่รู้สึกว่ามีคนเดินอยู่ตรงนั้น แต่กลับต้องชะงักพร้อมกับหัวใจหล่นวูบลงพื้น
ถึงมันจะมืด ถึงจะไม่มีแสงสว่างอะไรนอกจากแสงที่จอ แต่ฟองฟางก็จำได้ดีว่าคนตัวสูงที่เดินถือถังป๊อปคอร์นด้วยมือข้างขวาคือใคร
คนที่ใส่เฝือกแบบนั้น
คนที่ตัวสูงเด่น
คนที่มีใบหน้าเย็นชาแบบนั้น...
เป็นใครอื่นไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่ครามสมุทร...คนที่ฟองฟางเหมือนจะคุ้นเคยดี
ครามสมุทรก้มหน้ามองหาตัวเลขของเก้าอี้ อีกฝ่ายนั่งแถวหน้าเลยทำให้ฟองฟางเห็นทุกอย่างชัดเจน เขาคงจะเอ่ยปากทักไปแล้วถ้าครามสมุทรมาดูหนังเรื่องนี้คนเดียว แต่มันไม่ใช่แบบนั้น...เพราะมีผู้หญิงสวยๆ เดินตามหลังครามสมุทรมาติดๆ มือของเธอคนนั้นจับชายเสื้อนักศึกษาที่หลุดออกจากกางเกงไว้แน่น
ฟองฟางขมวดคิ้วยกมือทาบหน้าอกตัวเอง...จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับว่าหายใจไม่ค่อยออก ในตอนนี้ป๊อปคอร์นไม่อร่อยสำหรับเขาแล้ว ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะคนข้างหน้าที่กำลังนั่งอยู่กับใครสักคนที่มาด้วยกัน นั่งดูหนังเรื่องที่ฟองฟางชอบที่สุดกับคนอื่น
เขาคงจะกินป๊อปคอร์นและมีสมาธิจดจ่อกับหนังที่ชอบมากกว่านี้ถ้าสองคนนั้นไม่ดูสนิทสนมกันมากเกินไป
มันคงจะดีกว่านี้แน่ๆ ถ้าใครอีกคนที่มากับครามสมุทรไม่เอนศีรษะพิงไหล่กว้างๆ
ในหัวของฟองฟางมีแต่คำถามไปเต็มหมด คำถามหลายอย่างที่ว่ายวนอยู่ในความคิด ฟองฟางหาคำตอบเองไม่ได้เพราะเขาเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย
ไม่รู้ว่าหนังเรื่องโปรดกำลังฉายอยู่ เขาควรจะแหงนหน้ามองจอมากกว่ามองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
ไม่รู้ว่าแอร์ในโรงหนังมันเย็นมากๆ เพราะตอนนี้ข้างในของฟองฟางมันร้อนผ่าวไปหมด
“…ฮึก”
ไม่รู้ว่าน้ำตาของตัวเองไหลออกตอนไหน...
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ต้องยกมือขึ้นปิดปากเพราะกลัวว่าเสียงสะอื้นของตัวเองจะรบกวนสมาธิคนข้างหน้า
มีอย่างเดียวที่เขารู้ คือเสียงของครามสมุทรที่ลอยวนอยู่ในหัว
‘ค ครามชอบดูหนังมั้ย’
‘ปกติก็ไม่’
มันเป็นคำตอบเดียวที่ฟองฟางไม่กล้าชวนครามสมุทรมาดูหนังเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์มันเลยออกมาเป็นแบบนี้
แบบที่ครามสมุทรมาดูหนังกับคนอื่นทั้งๆ ที่ปกติก็ไม่ชอบดู
คนอื่นสำหรับฟองฟาง
แต่คงเป็นคนสำคัญของครามสมุทร
*****
ถึงจะดูหนังไม่รู้เรื่องแต่เขาก็ดูไปอย่างนั้นเพราะเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ครามสมุทรเอนหลังไปกับพนักพิงของเบาะ เหลือบมองคนข้างๆ ที่ถึงแม้ว่าจะมาดูหนังเรื่องโปรดแต่ก็ยังก้มหน้าแอบแชตหาแฟนหนุ่มอยู่ดี
“เบื่อหนังแล้วเหรอครับ”
“ยังๆ แต่กำลังยั่วแฟนอยู่”
“อ่อ”
“เบื่อมั้ยคราม ถ้าเบื่อกลับไปก่อนก็ได้นะ”
“ผมกลับก่อนแล้วเบลจะกลับยังไง”
“แท็กซี่ไง”
“ดึกแล้ว อันตราย”
“งั้นครามก็รอกลับพร้อมกลับพร้อมพี่แหละเนาะ ไหนๆ ก็มานั่งดูเป็นเพื่อนแล้ว”
“ครับ” ครามสมุทรเหลือบมองลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปจ้องบนจอหนังเหมือนเดิม
เบลอายุมากกว่าเขาสองปีเรียนอยู่ปีสามในมหาวิทยาลัยชื่อดังที่กรุงเทพฯ เขากับเบลสนิทกันมากเพราะโตมาด้วยกัน ใช่ พอคุณแม่รู้ครามสมุทรแขนหักเลยฝากให้เบลมาดูแลน้องชายในช่วงที่ท่านยังไม่เดินทางมาหา
ความจริงแล้วครามสมุทรดูแลตัวเองได้ แต่เขาขัดคุณแม่ไม่ได้...เบลเองก็เหมือนกัน
แล้วที่ครามสมุทรต้องมาดูหนังทั้งๆ ที่ไม่ได้ชอบเท่าไหร่ก็เพราะเบลนี่แหละที่คะยั้นคะยออยากมาดูแต่งอนกับแฟนอยู่เลยไม่อยากชวนแฟนมาด้วย กลายเป็นว่าเขาต้องมานั่งถือป๊อปคอร์นให้ลูกพี่ลูกน้องที่ไม่สนใจจะกินมันแม้แต่ชิ้นเดียวเพราะกลัวน้ำหนักขึ้น
อือ พอได้มาดูหนังเรื่องนี้มันทำให้เขานึกถึงใครบางคนที่ชอบภาพยนตร์พ่อมดน้อยเรื่องนี้เอามากๆ
“ฮึก...”
ครามสมุทรหันหลังไปมองต้นตอของเสียงที่เขาได้ยินมาตั้งแต่หนังเริ่มฉาย แต่พอหันกลับไปยังที่นั่งแถวบนสุดกลับไม่เจอใคร เขาเห็นแค่แก้วน้ำกับกล่องป๊อปคอร์นที่ยังพูนกล่องถูกลืมทิ้งไว้เท่านั้น ครามสมุทรใช้ตาคมๆ กวาดมองตั้งแต่เก้าอี้ตัวที่หนึ่งของแถวนั้นยันเก้าอี้ตัวสุดท้าย ก่อนจะเห็นแผ่นหลังไวๆ ของคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของเสียงเมื่อกี้เดินหายไปยังทางเข้า-ออกที่ครามสมุทรกับเบลเดินเข้ามาด้วยกัน
“มองอะไรคราม”
“เปล่า”
ไหล่ข้างซ้ายถูกตีเบาๆ เพราะครามสมุทรหันหน้าชะเง้อคอมองคนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจนละสายตา ถึงจะเห็นแค่หลังไวๆ แต่กลับเขารู้สึกคุ้นอย่างบอกไม่ถูก ทรงผมแบบนั้นที่ปลายผมคลอเคลียท้ายทอย หัวกลมๆ แบบนั้น หรือแม้กระทั่งแผ่นหลังที่ดูแล้วสะดุดตาทำให้เขานึกถึงฟองฟาง
ครามสมุทรแค่คุ้น แค่รู้สึกว่าเหมือน...
และไม่รู้ว่าจะใช่ฟองฟางหรือเปล่า แต่ถ้าใช่
ก็คงจะเกิดคำถามตามมาในหัวเขาแล้วล่ะ ว่าทำไมฟองฟางถึงได้ร้องไห้
เขารู้ดีกว่าการใช้โทรศัพท์ในขณะกำลังชมภาพยนตร์เป็นเรื่องที่เสียมารยาท แต่เพราะเก้าอี้ชั้นนี้ไม่มีใครนั่งอยู่นอกจากพวกเขา ครามสมุทรเลยกล้าที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาคนคนนั้นที่อยู่ในความคิดเขาตอนนี้
แต่ว่า...
‘ขอโทษค่ะหมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถ...’
ก็ติดต่อไม่ได้
“คราม พี่ดูไม่รู้เรื่องเลยอ่ะ”
“เหมือนกัน”
“กลับเลยดีมั้ย พี่สงสารครามแล้วเนี่ย ต้องมาทนนั่งดูเป็นเพื่อน”
“กลับเลยก็ได้”
ครามสมุทรรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที เขาคว้ามือเบลที่มัวแต่ทำอะไรชักช้าให้เดินออกจากโรงหนังไปด้วยกัน ครามสมุทรใจร้อนสาวเท้าเร็วทุกฝีก้าวจนเบลเกือบตามไม่ทัน
“รีบขนาดนี้ปล่อยมือพี่ก็ได้นะคราม ตามไม่ทันแล้วเนี่ย”
ไม่รู้ว่าจะตามหาคนที่เขารู้สึกคุ้นเจอหรือเปล่า แต่ระหว่างที่เดินออกจากโรงหนังพยายามติดต่อฟองฟางตลอด ใช่ และผลมันก็ออกมาเป็นเหมือนเดิมคือเขาไม่สามารถติดต่อฟองฟางได้เลย
ถ้าตามที่นี่แล้วไม่เจอ ครามสมุทรคงต้องตามถึงบ้าน
อย่างน้อยๆ ถ้าคนคนนั้นคือฟองฟางจริงๆ ครามสมุทรจะคอยอยู่ข้างๆ
คอยดูแลคนที่กำลังร้องไห้อยู่
*****
Kram: ลงมาหาหน่อย
Kram: อยู่หน้าบ้านฟอง
คนที่นอนเอาหน้าซุกหมอนน้ำตาอาบแก้มปรือตาแดงก่ำมองโทรศัพท์ที่สั่นและส่งเสียงแจ้งเตือนอยู่อย่างนั้นหลายต่อหลายครั้ง ไม่ใช่แค่เสียงข้อความ แต่มีทั้งเสียงเรียกเข้า เขาไม่อยากจะชะโงกหน้าไปดูเพราะตอนนี้ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น
อยากอยู่กับตัวเองให้มากๆ อยากทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น
แต่สมองก็โล่ง ไม่มีสมาธิคิดหรือทำอะไรนอกจากนอนคว่ำแล้วร้องไห้อย่างนี้
ยิ่งตอนนี้ฝนตกหนัก อากาศเหงาๆ กับเรื่องราวมากมายที่วนเวียนอยู่ในความคิดทำให้ฟองฟางกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้เลย เขาคิดไว้อยู่แล้วว่ายังไงพรุ่งนี้ก็คงต้องหยุดเรียนทั้งๆ ที่มีเรียนไม่กี่วิชา...ฟองฟางไม่กล้าพาตาบวมๆ ไปเรียนหรอก
ขอร้องไห้วันนี้ให้พอ ขอเจ็บแค่วันนี้วันเดียวจริงๆ
ฟองฟางเพิ่งรู้ว่าการแอบรักใครสักคนมันเหนื่อยขนาดนี้ เขาท้อแท้ทุกครั้งเวลาที่ทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจ แต่ก็นั่นแหละ เรื่องแบบนั้นมันจะเกิดขึ้นถ้าครามสมุทรไม่ได้ทำตัวเหมือนให้ความหวัง...ฉุดเขาขึ้นไปยืนบนที่สูง มีลมเย็นๆ โบกพัดหน้า ทำให้ยิ้มได้และปล่อยให้ฟองฟางตกลงมาจากที่สูงเอง
อือ แต่ก็ตกลงมาเองจริงๆ เพราะครามสมุทรยังไม่ได้ทำอะไร...ฟองฟางก็เสียหลักซะแล้ว
“ฟองฟาง ลงไปดูข้างหน่อยลูก แม่เห็นเหมือนเพื่อนมายืนรอนะ”
“มัทหรือเปล่าครับแม่”
“น่าจะไม่ใช่...มัทแขนหักเหรอลูก แม่เห็นใส่เฝือกด้วย”
“...” มัทไม่ได้ใส่เฝือก
หรือว่าจะเป็นครามสมุทร
ฟองฟางรีบเงยหน้าขึ้นทั้งที่น้ำตายังไม่หยุดไหล เม้มปากแน่นก่อนปาดน้ำตาออกแล้วมองไปที่ประตู เขากับคุณแม่คุยกันผ่านประตูไม้สีขาว ฟองฟางกลั้นหายใจรอคนที่อยู่นอกห้องพูดต่อ
“ลงมาดูด้วยแล้วกัน ฝนตกหนักเดี๋ยวเพื่อนไม่สบาย”
เสียงฝีเท้าเดินออกจากหน้าประตูห้องดังขึ้นและเงียบไปในที่สุด ฟองฟางกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปตรงหน้าต่าง
มือขาวค่อยๆ แง้มผ้าม่านสีเขียวอ่อนให้เป็นช่องเล็กๆ สำหรับแอบส่อง คิ้วสวยของคนตัวเล็กขมวดแน่น...และสิ่งที่เห็นก็ทำให้ฟองฟางยกมือปิดปาก
ครามสมุทรจริงๆ
ตากลมๆ มองคนตัวสูงที่ยืนกางร่มสีเทาด้วยมือขวา ครามสมุทรหันหน้าเข้ามาในบ้านและเหมือนจะแหงนหน้ามองมาตรงหน้าต่างฟองฟางเลยรีบปิดม่านหันหลังให้กับใครอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น หัวใจดวงน้อยๆ ของเขามันเต้นเป็นจังหวะที่เร็วกว่าเดิม
“ฟองฟาง ฝนตกแรงแล้วนะลูก”
มันไม่ได้เต้นเพราะหวั่นไหว
“เปิดประตูให้แม่หน่อยสิ ขอแม่เข้าไปคุยด้วยหน่อย”
แต่มันเต้นเพราะอะไรไม่รู้...
คนตัวเล็กเดินเอื่อยๆ ขยี้ตาไปเปิดประตูให้คุณแม่ ฟองฟางก้มหน้าก้มตาตอนที่หมุนลูกบิดและเปิดเข้ามาตัวเอง ริมฝีปากสีแดงจัดเม้มเข้าหากันเบาๆ เขาไม่กล้าเงยหน้ามองคุณแม่เพราะไม่รู้ว่าจะให้คำตอบเรื่องที่ตัวเองร้องไห้ยังไงดี
ก็ตอนที่มาถึงบ้านฟองฟางน่ะดันวิ่งหนีคุณพ่อกับคุณแม่ ท่านเรียกเท่าไหร่เคาะประตูยังไงก็ไม่ยอมตอบ
เขามันโคตรบ้าเลย
“เป็นอะไรคนเก่ง อย่าบอกนะว่าอินซีรีส์” คุณแม่ถอนหายใจเบาๆ แล้วถามลูกชายคนเดียวด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ เพราะๆ ท่านอมยิ้มเล็กน้อยตอนที่เห็นว่าฟองฟางส่ายหัว
“ผมไม่ดูซีรีส์ครับแม่”
“งั้นเข้าไปนั่งกันดีๆ หน่อยไป”
มือนุ่มๆ กุมไหล่ทั้งสองข้างของลูกชายไว้ จับหมุนตัวแล้วพาเดินไปนั่งบนเตียงที่มีหมอนเปื้อนรอยน้ำตา คุณแม่ก้มหน้ามองฟองฟาง ประคองกรอบหน้าหวานๆ ขึ้นให้เงยหน้าสบตากัน
“ไปทะเลาะกับใครมา”
“ไม่ได้ทะเลาะครับ”
“เพราะเพื่อนที่มารอลูกอยู่หน้าบ้านใช่มั้ย”
“...”
“ตอนนี้ฝนตกหนักนะฟองฟาง ถ้ายังไม่พร้อมคุยจะให้แม่บอกให้เพื่อนลูกกลับไปเลยดีมั้ย”
ฟองฟางส่ายหน้า เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้ควรจะทำยังไงดี ไอ้อาการงี่เง่าของตัวเองเมื่อไหร่จะหายไปก็ไม่รู้...ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เลย
ครามสมุทรไม่ผิด...เขาเองนั่นแหละที่ผิด
“แม่ไม่รู้นะว่าฟองกับเพื่อนมีปัญหาอะไรกัน สมมติถ้าทะเลาะกันแล้วเพื่อนลูกมายืนรออย่างนี้...ควรให้โอกาสตัวเองและเขานะลูก”
“...แล้วถ้าไม่ได้ทะเลาะละครับ”
“...”
“แต่ผม...งี่เง่าไปเอง”
คุณแม่แย้มยิ้มกว้างๆ ให้ลูกชายที่ดูเหมือนว่าน้ำตาจะคลอเบ้าพร้อมไหลอาบแก้มอีกครั้ง ใช้ฝ่ามือนุ่มๆ ลูบผมของฟองฟางเบาๆ จนสุดท้ายคนตัวเล็กก็โผเข้าอ้อมกอดคุณแม่แล้วปล่อยโฮ
“งั้นฟองให้โอกาสเขาหน่อยได้มั้ย เขาอาจจะไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรผิด”
“...”
“ฟองฟางคนเก่ง”
“แม่พาเขาเข้ามาในบ้านได้มั้ยครับ”
“จ้ะ”
“แต่ฟอง...ไม่ลงไปนะ”
“...”
ฟองฟางค่อยๆ ขยับออกจากอ้อมกอดอุ่นๆ คนตัวเล็กก้มหน้าก้มตาเอื้อมหยิบกระเป๋าเป้ที่พิงอยู่ข้างๆ เตียงก่อนจะเปิดกระเป๋าแล้วหยิบถุงยาจากโรงพยาบาลออกมายื่นให้คุณแม่
“ฝากให้เขาด้วยนะครับ...ครามน่าจะยังไม่ได้กินยาของมื้อเย็น”
“ลงไปให้เองดีกว่ามั้ย”
“แม่...” ทำตาละห้อยแล้วทำเสียงง้องแง้ง ตอนนี้ฟองฟางไม่พร้อมเจอจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะแสดงด้านแย่ๆ ให้ครามสมุทรเห็นหรือเปล่า
ก็ครามสมุทรไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย มีแต่เขานั่นแหละที่งี่เง่าไปเอง
“ก็ได้ๆ เดี๋ยวแม่เอายาลงไปให้” ฟองฟางยกมือไหว้คุณแม่ ขอบคุณที่ท่านเข้าใจความรู้สึกของเขา
“แต่ถ้าเพื่อนฟองอยากจะขึ้นมาหา แม่ห้ามไม่ได้นะ”
“คงไม่หรอกครับแม่”
ก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น...ครามสมุทรคงไม่ขึ้นมาหรอก
“อย่าล็อกประตูแล้วกันล่ะ”
*****
ไฟในบ้านเดี่ยวสองชั้นปิดหมดทุกดวงแล้ว มีแต่แสงจากเสาไฟฟ้าที่ทำให้เห็นถนนเส้นเล็กๆ ของหมู่บ้าน คนตัวสูงนอนฟังเสียงฝนอยู่บนโซฟาสีครีม รู้ว่าตอนนี้ตีสองแล้ว แต่เขายังนอนไม่หลับ
‘นอนที่นี่ก่อนนะลูก ดึกแบบนี้กลับบ้านคนเดียวอันตรายจะตาย’
‘เอาชุดนอนพ่อไปใส่ก่อนก็ได้...ฟองฟางโกรธง่ายหายเร็ว เดี๋ยวใจอ่อนก็ลงมาแล้ว’
เขาก็รอให้ฟองฟางหายโกรธทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าโดนโกรธเรื่องอะไร ไม่รู้ใช่เรื่องเดียวกันกับในความคิดเขาหรือเปล่า
ใช่ ตอนนี้ครามสมุทรนอนอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านฟองฟาง เขาสารภาพกับพ่อแม่ของฟองฟางไปแล้วว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเขาบ้าง และบอกไปตามตรงสำหรับเรื่องของวันนี้ เรื่องที่เขาไม่มั่นใจว่าคนคนนั้นใช่ฟองฟางหรือเปล่า...แต่ตอนนี้เหมือนจะมั่นใจได้แล้ว
ครามสมุทรส่งข้อความหาฟองฟางตลอด สาบานว่าเขาไม่เคยทำแบบนี้กับใครทั้งนั้น ครามสมุทรไม่เคยพิมพ์หาใครบ่อยๆ เท่าฟองฟาง ไม่เคยอยากคุยกับใครเท่าฟองฟางอีกแล้ว
Kram: อยู่ชั้นล่าง
Kram: ลงมาหาหน่อยได้มั้ย
เขาส่งไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว
Kram: จะรอนะ
ทุกข้อความขึ้น read เขารอให้ฟองฟางตอบทุกวินาทีจนตอนนี้แต่ก็ไม่
ครามสมุทรสั่งตัวเองให้หลับตาและนอนหลับไป แต่ร่างกายไม่ทำตามที่สมองสั่ง เขาเป็นแบบนี้ตลอดนั่นแหละ ถ้ามีอะไรค้างคามักจะนอนไม่หลับ ในหัวของเขาคิดแค่ว่าจะขึ้นไปหาฟองฟางเลยดีมั้ย แต่คงขึ้นไปรบกวนเปล่าๆ เพราะตอนนี้ก็ดึกแล้ว...ครามสมุทรเลยได้แต่นอนอยู่ตรงนี้ มองเพดานท่ามกลางความมืดไปอย่างนั้น จนกระทั่ง...
ตึ่ง ดึ้ง
ครามสมุทรรีบหยิบโทรศัพท์ที่ถือติดมือไว้ตั้งนานแล้วขึ้นมาดู เขาตื่นเต้นเพราะเสียงแจ้งเตือนนั้นต้องเป็นข้อความของฟองฟางแน่ๆ
เพราะฟองฟางคือคนเดียวที่ครามสมุทรเปิดเสียงแจ้งเตือนทุกอย่างไว้
.ff: ขอโทษนะคราม
.ff: ฝันดีนะ
Kram: ฟองฟาง
Kram: โทรหาได้มั้ย
.ff: ดึกแล้ว
Kram: ครับ
Kram: ขอโทษ
ขอโทษสำหรับทุกๆ อย่างที่ทำให้ฟองฟางรู้สึกไม่ดี
.ff: ฝันดีนะ
ตาคมจ้องหน้าจอโทรศัพท์ค้างไว้อย่างนั้น
เขารู้ว่าฟองฟางคงนอนไม่หลับเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ตอบกลับข้อความดึกดื่นขนาดนี้ หรือไม่...อาจจะแค่สะดุ้งตื่น
แค่นี้ก็พอแล้วแหละ เขาคิดว่าฟองฟางคงยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้ากัน เขาให้เวลาฟองฟางหลบหน้าก็ได้ แต่นับจากนี้ไป...
ฟองฟางจะไม่มีโอกาสได้หลบหน้าเขาอีกเลย
Kram: ฝันดีครับ
และครามสมุทรจะไม่ปล่อยให้ทุกอย่างมันค้างคาเหมือนวันนี้อีกต่อไป
#ฟองฟางครามสมุทร