ระบบอุปถัมภ์
By: Dezair
…………………..
ตอนที่ 16
ชีวิตของพิทักษ์กลับไปเป็นอย่างก่อนหน้านี้อย่างที่จิดาภาให้คำนิยามว่าเป็นชีวิตที่สงบสุข ชีวิตประจำวันที่วนเวียนอยู่แค่ไม่กี่ที่ และกับคนไม่กี่คน แต่ถึงอย่างนั้นก็มีใครบางคนแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเขามากกว่าเคย ในขณะที่...บางคนก็หายไปจากชีวิตอย่างสิ้นเชิง
อรพิณคือคนที่เริ่มขยับเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนคนที่หายไปไม่ได้ยินแม้แต่ชื่อ ไม่เห็นแม้แต่เงาคือจิณณะ
“สวัสดีค่ะ คุณลุงคุณป้า ขอโทษที่มารบกวนแต่เช้านะคะ”
เช้านี้ คฤหาสน์ของทศพรและจิดาภามีแขกมาเยี่ยมในช่วงเวลามื้อเช้าพอดี หญิงสาวรุ่นน้องของพิทักษ์ยิ้มแย้มมีมารยาทพร้อมกับโชว์ถุงของฝากจากต่างประเทศ
“พอดีอรเพิ่งกลับมาถึง ก็เลยแวะเอาของฝากมาให้ค่ะ” หล่อนสนิทสนมไปมาหาสู่กับพิทักษ์และเพื่อนๆของเขา แต่ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ไปต่างประเทศแล้วต้องหิ้วของฝากกลับมาให้ แถมยังหิ้วมาฝากทันทีที่เหยียบเมืองไทยอย่างนี้
ที่โต๊ะอาหารประกอบด้วยสี่พ่อแม่ลูก ทศพรและจิดาภา พิทักษ์และทิวากรผู้เป็นน้องชายซึ่งวันนี้กลับมาพักผ่อนที่บ้าน ทิวากรไม่ค่อยได้กลับก็จริง แต่เท่าที่รู้ ไม่เคยมีเพื่อนผู้หญิง หรือรุ่นน้องผู้หญิงคนไหนของพิทักษ์บุกบ้านแต่เช้าแบบนี้
อรพิณคือคนแรก
คนเป็นน้องเหลือบมองใบหน้าของพี่ชายที่เพียงยิ้มเฉย ลุกขึ้นรับของฝากแล้วเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงปกติ พิทักษ์ไม่มีทีท่าอะไรกับการมาเยือนของหญิงสาวมากนัก นอกจากมิตรไมตรีธรรมดา แต่คนที่มี...กลับเป็นจิดาภาแม่เลี้ยงของพวกเขา
“อรเพิ่งมาถึงหรือ ทานอะไรรึยัง มาทานข้าวด้วยกันสิจ๊ะ” ไม่เพียงชวนอย่างเดียว แต่ยังหันไปสั่งคนรับใช้ให้จัดถ้วยและช้อนสำหรับแขกไม่ได้รับเชิญแต่เช้าด้วย หญิงสาวเลยพลอยต้องรับความเอื้ออารีของเจ้าของบ้านด้วยการนั่งลงข้างพิทักษ์
“อรไปเที่ยวไหนมาหรือ” คนชวนคุยก็ยังคงเป็นจิดาภา อันที่จริงพิทักษ์ก็ไม่ได้เมินเฉยต่อหญิงสาวรุ่นน้องมากเกินไปหรอก เพียงแต่นับตั้งแต่เขาออกจากโรงพยาบาล จากคนเงียบก็กลายเป็นเงียบหนักกว่าเก่า วันๆทำแต่งาน ไม่ค่อยพบปะใครเกินความจำเป็น แต่ถึงอย่างนั้นคนรอบตัวก็ดูออกว่าเขารอใครบางคน
รอ...คนที่ไม่เคยมาหาเลยสักครั้งนับตั้งแต่เขาฟื้น
จิณณะหายไปจากชีวิตเขาอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครพูดถึง เจ้าตัวไม่เคยกลับมา ทำราวกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน สิ่งเดียวที่ยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดคือเรื่องจริงคือแผลจากกระสุนนัดนั้นที่ยังหลงเหลือ
“เป็นอะไรไปทิศ ยังเจ็บแผลหรือ” เสียงทักของมารดาเลี้ยงดังขึ้น ทำเอาพิทักษ์ตื่นจากภวังค์ เพิ่งรู้สึกตัวว่าแม้จะมีแขกร่วมโต๊ะอย่างอรพิณ แต่เขาก็ยัง...คิดถึงใครอีกคน จนเผลอยกมือขึ้นแตะที่ไหล่ขวา
“เอ่อ...เปล่าครับ”
อรพิณมองชายหนุ่มข้างกายด้วยความเป็นห่วง แม้จะรู้ว่าเขามีคนอื่นในใจ แต่ใจของหล่อนก็ยังมีเขาอยู่ดี หากว่านี่เป็นโอกาส...ที่จะได้เบียดใครคนนั้นในใจของพิทักษ์ออกไปสักนิด หล่อนก็อยากลอง
“แผลยังไม่หายดีหรือคะ ไปพบหมอไหม ทำไมจู่ๆถึงเจ็บ...”
“ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ ถึงแผลจะหายแล้ว แต่มันมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจอยู่ อาจจะรู้สึกเจ็บบ้าง...เวลาคิดถึง” ทิวากรทะลุกลางปล้อง ไม่ได้พูดในฐานะหมอ แต่พูดในฐานะของน้องชายที่เห็นพี่อย่างพิทักษ์กลับมาเป็นเหมือนเดิมแค่ภายนอก แต่ภายในใจเล่า...เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ภาพเงาของคนที่เคยเข้ามาในชีวิต แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นาน ทว่ามีความหมายและสำคัญต่อความรู้สึกนึกคิด สิ่งเดียวที่เชื่อมโยงใครคนนั้นกับพิทักษ์ในเวลานี้ก็คงเป็นบาดแผลที่ไหล่ขวา
“เห็นว่าตำรวจจับมือปืนได้แล้ว ซัดทอดคนจ้างวานด้วยไม่ใช่หรือครับ” ทิวากรพูดต่อ ทำเหมือนไม่รับรู้ความเงียบของโต๊ะอาหาร
ข่าวเรื่องพิทักษ์ถูกยิงอาการสาหัสกลายเป็นข่าวระดับประเทศ หนึ่งเพราะคนถูกยิงเป็นหลานชายผู้มีอิทธิพลในจังหวัด สองคือเรื่องเกิดในจังหวัดเดิมกับที่เคยเกิดเหตุยิงถล่มบ้านจนชาวบ้านตายคาที่จนเป็นข่าวโด่งดัง และสามคือมีข่าวลือจากปากต่อปากว่ามีทายาทนักธุรกิจหญิงแกร่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย เรื่องที่สามนี้เป็นเรื่องลือเล่ากันสนุกปากเพราะไปคล้องกับข่าวลือก่อนหน้าที่ว่าหลานชายผู้มีอิทธิพลอดีตนักการเมืองระดับประเทศกำลังคบหาดูใจกับหลานชายเศรษฐินีใหญ่
เมื่อข่าวดัง สื่อมวลชนและประชาชนสนใจ หนำซ้ำคนที่เกี่ยวข้องยังเป็นทายาทเชื้อสายผู้มีอิทธิพลและนักธุรกิจผู้ร่ำรวย กลายเป็นเชื้อเพลิงเร่งกระบวนการทำงานอย่างดี คนลงมือถูกจับได้ในเวลาไม่นาน และต่อมาซัดทอดไปถึงผู้จ้างวาน
เรื่องนี้ควรจะเป็นเรื่องที่คนทั้งบ้านนำมาพูดคุยหารือ แต่ถ้าไม่ใช่ทิวากรพูดขึ้นมา ก็ไม่มีใครเอ่ยปากถึงเรื่องคดีความ ผู้บงการ หรือแม้แต่มูลเหตุเลยสักนิด
เพราะทุกอย่างเกี่ยวกับจิณณะ
จิดาภาโกรธเคืองที่หลานชายปิดบังหลอกลวงมาขอให้พิทักษ์สวมรอยเป็นคนรักไม่ใช่เพื่อตบตาคุณกอบกุลที่ต้องการให้เขาแต่งงานเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อใช้เป็นเกราะกำบังจากปัญหาที่พัวพันอยู่ด้วย อีกทั้งยังโกรธตนเองที่เป็นคนกลางทำให้จิณณะและพิทักษ์รู้จักกัน การที่พิทักษ์ยอมช่วยเหลือหลานชายของหล่อนก็เพราะหล่อนเป็นมารดาเลี้ยงของเขา หากไม่มีหล่อน พิทักษ์ย่อมไม่เจ็บตัว เมื่อความโกรธรวมจากสองส่วน จิดาภาจึงเลือกที่จะตัดต้นเหตุของเหตุทั้งปวง
ต้นเหตุก็คือหล่อน
ในเมื่อคนกลางระหว่างจิณณะและพิทักษ์คือจิดาภา เช่นนั้นก็ถอยออกมาจากสถานะเชื่อมสัมพันธ์นี่เสีย เมื่อไม่ต้องยืนตรงกลาง หล่อนก็เพียงแค่ต้องเลือกว่าจะยืนข้างใคร ฝั่งหนึ่งคือหลานชายและพี่สาว อีกฝั่งคือสามีและลูกเลี้ยง หากต้องเลือกระหว่างญาติและครอบครัวแล้ว หล่อนย่อมต้องเลือกครอบครัว
เพียงเท่านี้พิทักษ์และจิณณะก็หมดสิ้นความเกี่ยวข้องใดๆ ไหนจะคำมั่นสัญญาที่หล่อนขอจากจิณณะอีก นับจากนี้ พิทักษ์ก็ไม่ต้องเอาตนเองเข้าไปวุ่นวายกับกรรมที่เขาไม่ได้ก่ออีกแล้ว
ในขณะที่ทศพร เมื่อเห็นภรรยาไม่อยากพูดถึง เขาก็ไม่อยากกวนน้ำให้ขุ่น อาศัยว่าสามารถสอบถามความคืบหน้าจากคุณเทียมได้โดยตรง ก็พอจะรับรู้ข่าวคราวความเป็นไปทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีความและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิณณะ
ส่วนพิทักษ์...
...รายนี้ไม่พูด ไม่ถามถึง ซึ่งนั่นทำให้ทิวากรชักหงุดหงิด
...ใจคิดถึง ตัวคิดถึง อยากพบหน้า อยากไปหา แต่...พอไปพบครั้งหนึ่งแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่พยายามอีกเลย…
ทางนั้นหนีหน้า เขาก็เข้าใจ แต่ทางหนีที่จิณณะมุ่งหน้าไป ไม่ใช่ว่าพิทักษ์จะไม่รู้เสียหน่อย รู้ทั้งรู้แต่ไม่ทำอะไร แบบนี้สิหน่า...ถึงโสดมาจนสามสิบ! แล้วถ้าจะโสดต่อไปจนแก่ จะไม่แปลกใจเลย!
พอคิดว่าพี่ชายอาจจะโสดไปจนแก่ตาย ก็ดันเหลือบไปเห็นหญิงสาวนั่งเคียงข้าง จากตอนแรกที่ค่อนขอดก็เลยชักจะหวั่น
...สงสัยจะไม่ได้โสดยันแก่ แต่จะได้แต่งงานเพราะผู้หญิงรุกคืบนี่ล่ะ…
ทิวากรไม่มีปัญหาหรืออคติใดๆกับฝ่ายหญิง แต่สภาพจิตใจของพิทักษ์ในเวลานี้ไม่สมควรมีคนใหม่ ทั้งๆที่ความรู้สึกกับจิณณะยังค้างคา และคนใหม่ก็ไม่สมควรอาศัยโอกาสเข้าหา เพราะสุดท้ายแล้วคงได้เจ็บกันไปหมดทุกฝ่าย
“พี่ทิศได้ตามข่าวบ้างไหม เรื่องนี้เกี่ยวกับพี่โดยตรงเลยนี่” ทิวากรถามย้ำหน้าซื่อตาใส ทั้งๆที่รู้แก่ใจว่านอกจากเรื่องนี้จะเกี่ยวกับพิทักษ์โดยตรงแล้ว ยังเกี่ยวกับจิณณะโดยตรงอีกต่างหาก
“แต่ไม่รู้จะจับคนจ้างวานได้รึเปล่า เห็นว่าหายตัวไปเลย ป่านนี้หนีออกนอกประเทศไปแล้วล่ะมั้ง” ทิวากรพูดต่อ แม้ปากจะพูดถึงคนจ้างวาน แต่กลับจุดความคิดถึงไปถึงใครอีกคนในใจของผู้เป็นพี่
พิทักษ์วางช้อน หยิบน้ำมาดื่ม อิ่มตื้อขึ้นมากะทันหัน
“ผมไปทำงานก่อนนะครับ” เขาว่าอย่างนั้น ใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อเก็บความรู้สึกลงก้นบึ้งหัวใจจนลืมที่จะสนใจหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างตัวด้วยซ้ำ ทว่าพอจะลุก ถึงได้เพิ่งหันมาเห็นว่าอรพิณเพิ่งจะตักข้าวต้มทานไปได้ไม่กี่คำเท่านั้น แม้จะเป็นคนนิ่งเฉย และต่อให้ไม่ได้มีความรู้สึกในเชิงหนุ่มสาว แต่ระหว่างพวกเขาก็เป็นมิตรภาพระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง
“เอ่อ...พอดีพี่มีงานด่วน...” อันที่จริงคือไม่มีงานอะไรด่วนทั้งนั้น แต่ต้องออกปากโกหกเป็นมารยาทเพื่อรักษาน้ำใจอีกฝ่าย ทว่าพิทักษ์จะรักษาน้ำใจอรพิณก็เป็นเรื่องของพิทักษ์ สำหรับทิวากรที่ไม่ได้รู้จักหญิงสาวเป็นการส่วนตัว แถมยังไม่ต้องหวั่นเกรงมารยาทอะไรกับหล่อนมากนัก กลับลุกขึ้นยืนทำท่าจะออกจากโต๊ะไปพร้อมพี่ชาย
“ทิวก็อิ่มแล้วหรือ” มารดาเลี้ยงหันมาถามลูกชายคนเล็ก ทิวากรยิ้มซื่อ
“ผมว่าจะติดรถพี่ทิศไปเยี่ยมลุงเทียมน่ะครับ” ทั้งโต๊ะนิ่งงันอีกครั้ง คุณหมอหนุ่มรู้ดีว่าแม้กระทั่งชื่อคุณเทียมก็เหมือนจะเกี่ยวข้องกับจิณณะไปแล้ว
แต่...ถ้าหากจิดาภายังใจแข็งอยู่แบบนี้ พิทักษ์ยังกักขังตัวเองเอาไว้แบบนี้ ต่อให้แผลหายสนิท สุดท้ายก็ยังหลงเหลือผลกระทบในจิตใจอยู่ดี
“ก็ดี เห็นลุงเทียมบ่นปวดแขนปวดขาอยู่” ทว่าจู่ๆ ทศพรก็เอ่ยปากขึ้นมา แม้จะไม่อยากให้ภรรยาขุ่นใจ แต่เขาก็ไม่อยากเห็นลูกชายคนโตกลายสภาพเป็นซากศพไร้วิญญาณ อยู่ได้แค่อากาศหายใจแบบนี้
ผู้เป็นพ่อทำเป็นไม่มีอะไรแอบแฝง สนับสนุนลูกชายคนเล็กที่นานๆจะกลับมากรุงเทพฯสักทีให้ไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ทิวากรพลอยยิ้มซื่อ ก่อนจะหันไปมองพี่ชายเป็นเชิงกระตุ้น
“ไปพี่ทิศ” พิทักษ์ไม่รู้ว่าน้องชายคิดอะไร แต่เมื่อถูกเร่ง เขาก็ทำได้เพียงหันไปลาบิดามารดาเลี้ยงและอรพิณ ก่อนจะเดินออกจากห้องรับประทานอาหาร โดยมีน้องชายเดินผิวปากตามหลัง
เสียงผิวปากของทิวากรเบาลงเรื่อยๆ ในที่สุดภายในห้องรับประทานอาหารก็เหลือเพียงชายหญิงเจ้าของบ้าน และหญิงสาวรุ่นน้องของพิทักษ์
อรพิณอยากขอตามพิทักษ์ไปด้วย แต่ติดที่ว่าจะขอตัวลุกจากไปทั้งๆที่เจ้าของบ้านยังทานไม่เสร็จก็เห็นจะผิดมารยาท จิดาภาเองก็รู้สึกว่าหล่อนพลาดที่ชวนหญิงสาวร่วมโต๊ะด้วย ครั้นจะออกปากให้อรพิณตามลูกเลี้ยงสองคนไป ก็จะดูเหมือนไล่แขก ต้องโทษว่าเป็นเพราะความช่างพูดไม่ดูสถานการณ์ของทิวากรแท้ๆ!
ชวนคุยเรื่องอะไรไม่ชวน ดันชวนคุยเรื่องคดี!
แล้วแทนที่จะช่วยยื้อพิทักษ์ให้นั่งเป็นเพื่อนแขก กลับกลายเป็นตัวเร่งให้เขารีบออก ถ้าทิวากรอายุสักสิบขวบ หล่อนจะเรียกเข้าห้องเย็นแล้วอบรมสักสองชั่วโมง!
จิดาภาลอบพ่นลมหายใจอย่างขุ่นเคืองลูกชายคนเล็ก แต่สุดท้ายก็ต้องตัดใจแล้วหันไปชวนอรพิณคุยเรื่องทั่วๆไปเพื่อไม่ให้หญิงสาวรู้สึกอึดอัดมากนัก ทศพรเห็นว่าภรรยากำลังให้ความสนใจกับแขกร่วมโต๊ะ จึงขยับตัวทำทีเป็นลุกออกไปโทรศัพท์เรื่องงาน ทว่าปลายสายที่เขาโทร.หาไม่ใช่เพื่อธุรกิจที่ทำ แต่เป็นการติดต่อหาพี่ชายคนโต
“พี่เทียม...ทิวกำลังพาทิศไปหา” ทศพรเปรยเสียงเบา
เขาคิดว่าคุณเทียมรู้...ว่า ‘คนเป็นพ่อ’ ต้องการอะไร
………………………