(The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p  (อ่าน 58503 ครั้ง)

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0




The Great General (3)





   วังตะวันออก

   อวิ๋นหนานยืนอยู่หน้าสะพานข้ามภพ แผ่นหลังเหยียดสายตาตรงมองไปข้างหน้า ดวงตาสีทองสว่างของเขาปรากฏแววซับซ้อน สะพานข้ามภพว่างเปล่า เซียนน้อยตนนั้นไม่ได้กลับมายังวังตะวันออก ตงหวางเช่นเขาไม่ควรยึดติดกับเรื่องใด กระนั้น ภาพร่างกายของอลันระเบิดสิ้นใจต่อหน้าเขากลับไม่อาจลบเลือนไปได้โดยง่าย หยดเลือดอุ่นๆ ที่แฝงความปรารถนาดีคล้ายจะดึงความทรงจำบางอย่างออกมา เหมือนจะชัดเจนแต่กลับลางเลือนเกินกว่าจะเข้าใจ ไม่ต่างกับความฝันในยามค่ำคืน ที่มักจะถูกลืมเลือนยามรุ่งสาง

   เวลานั้นเอง ร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นบนสะพานข้ามภพ ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมยาวสีดำทั้งตัว ดวงตาสองสีทอประกายกร้าว หากไม่ใช่เทพยามาแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก อวิ๋นหนานไม่คาดว่าจะอีกฝ่ายจะมาเยือนวังตะวันออก แต่เมื่อได้ยินคำถามของอี้เทียน ดวงตาสีทองก็ขยายกล้าวขึ้นก่อนจะหรี่ลงอย่างใช้ความคิด

   “อยู่ที่นี่หรือไม่”

   เห็นสีหน้าของเจ้าวังตะวันออก อี้เทียนก็พอจะเดาคำตอบได้ ความรู้สึกไม่สบายใจสายหนึ่งแวบผ่านเข้ามา ไม่ได้อยู่ยมโลก ไม่ได้มาวังตะวันออก แล้วไปที่ใด โดยไม่รีรอร่างสูงของเขาหันหลังกลับ เปลี่ยนทิศทางไปยังหอคุณธรรม แต่ก้าวไปได้เพียงก้าวเดียว ก็รู้สึกได้ถึงฝีเท้าอีกคู่ที่ก้าวตามมา







   เมื่อเห็นเทพชั้นสูงทั้งสองปรากฏตัว ณ หอคุณธรรม เปียวขุยมิได้แปลกใจนัก จะกล่าวว่าเขาทำใจมาระยะหนึ่งก็ได้ นับตั้งแต่ส่งดวงจิตของจิวซือไปยังอดีตชาติเมื่อสองวันก่อน ก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องมีคำอธิบายให้กับเทพทั้งสอง ความสัมพันธ์ของทั้งสาม เปียวขุยมิกล้าคาดเดา อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นตงหวางและเทพยามามาเยือนหอคุณธรรมพร้อมกัน เขาก็ทราบว่าเซียนน้อยตนนั้นมีความสำคัญอย่างไม่ธรรมดา ไม่ใช่แต่เพียงกับเทพทั้งสอง ยังรวมถึงพระแม่ และบางทีแม้แต่หอคุณธรรมด้วย

   โดยปกติหลังจากขบด่านทดสอบคุณธรรมแต่ละด่าน หอคุณธรรมจะตัดสินผลการทดสอบ และบอกแก่ผู้คุมอย่างเปียวขุย หากผ่านลูกแก้วคุณธรรม โดยหากผ่านบททดสอบ มันจะเรืองแสงสีเขียว หากไม่ผ่านจะเรืองแสงมีเหลืองหม่น แต่คราวนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ หอคุณธรรมยังคงยินยอมส่งดวงจิตของจิวซือไปยังอดีตชาติตามที่เปียวขุยปรารถนา แต่ไม่ยอมเปิดเผยผลการทดสอบในชาติที่แล้วของจิวซือให้เขาได้รับรู้

   “ส่งเขาไปแล้วหรือ”
   “ขอรับ”
   “นำทาง”
   “ตงหวาง เทพยามา ที่ที่เซียนน้อยไปนั้น มิใช่ด่านทดสอบธรรมดา แต่เป็น...” เปียวขุยไม่คิดปกปิดเรื่องที่เขาส่งดวงจิตของจิวซือไปอดีตชาติของเจ้าตัว ประการแรกเพราะเขาทราบว่าไม่มีทางทั้งคู่ การปิดบังรังแต่จะทำให้เรื่องราวใหญ่โตขึ้น ตงหวางเป็นผู้ใด เจ้าแห่งยมโลกเป็นผู้ใด ไม่มีใครรับรองได้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ก่อเรื่องใหญ่เพราะเซียนน้อยตนเดียว ประการที่สอง เขาเห็นใจเซียนตนนั้น ตลอดทั้งสิบภพชาติที่ผ่านมา ไม่มีด่านทดสอบใดเรียกได้ว่าง่ายดาย ไม่มีชาติใดมีจุดจบที่ดี ไม่ตายอย่างทรมานก็ต้องตายไปพร้อมกับความเสียใจ เด็กคนนั้นผ่านมาได้จนถึงเวลานี้ทำให้เขาที่เคยสอบตกด่านคุณธรรมเกิดความนับถือขึ้นในใจ และอดเอาใจช่วยไม่ได้

   เห็นสีหน้าของตงหวางขรึมลงแทบจะในทันทีที่เขาบอกว่าส่งดวงจิตของจิวซือที่ใด คนทั่วไปอาจไม่เข้าใจความนัย แต่ตงหวางมีหรือจะไม่เข้าใจ หลายครั้งเขานึกสงสัยเจตนาของพระแม่ หากพระนางตั้งใจจะทำลายเซียนตนนี้ เหตุใดไม่ทำลายดวงจิตนั้นเสีย เหตุใดต้องใช้วิธีการอ้อมค้อมเช่นนี้
   “คราวนี้ต่างจากคราวก่อนๆ ดวงจิตของเซียนผสานแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับร่างเดิม ลวงตากลับกลายเป็นแท้จริง หาใช่เพียงบททดสอบไม่ หากแยกก่อนถึงอายุขัย หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่คาดคิด” เปียวขุยถอนหายใจ “น้อยสุดคือชะตาเซียนของเขาถูกทำลาย ไม่อาจเข้าสู่วิถีเซียน ร้ายแรงสุดคือดวงจิต...สลาย”

   อึก!
   ลำคอของเปียวขุยถูกฝ่ามือใหญ่ของอี้เทียนบีบแน่นจนปลายเท้าลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อย แม้ลำคอถูกบีบจนขาดอากาศหายใจ สีหน้าของเปียวขุยก็ไร้แววแตกตื่น เขาเตรียมใจมาแล้วนับตั้งแต่ส่งเซียนน้อยไปที่นั่น ท่าทางกริ้วโกรธาของเทพยามาจึงไม่ได้อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเขา
   “ผู้ใด” ได้ยินเสียงถามกึ่งคำรามของเจ้าผู้ปกครองยมโลก เปียวขุยเพียงแต่หลับตาลง จะฆ่าก็ฆ่า เขามิอาจเปิดเผยได้ กระทั่งศีรษะว่างเปล่าขาวโพลน ค่อยรู้สึกว่าแรงที่ลำคอคลายออก ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกโยนไปกระแทกพื้นไม่ต่างจากว่าวขาดสายป่าน
   เปียวขุยไอโขลก ร่างทั้งร่างเย็นเฉียบสั่นสะท้านเมื่อถูกไอดำแทรกซึมเข้าไปในกระดูก อวิ๋นหนานมองร่างที่ทรุดอยู่บนพื้นด้วยสายตาเรียบเฉย ภายใต้ความไม่ยินดียินร้ายคือพายุอารมณ์ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น กลั่นออกมาเป็นคำพูดประโยคหนึ่ง ประโยคที่ทรยศหน้ากากสุขุมซึ่งสวมไว้ตลอดเวลา
   “ผู้คุมเปียว ข้าต้องการเห็น...ทุกอย่าง”


**********************************





   เฟิงจวน เป็นสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินต้าเสิน นักเรียนทั้งหมดล้วนเป็นลูกหลานตระกูลขุนนาง ทั้งยังต้องสอบผ่านจึงจะสามารถเข้าเรียนได้ ซื่อเสวี่ยนสอบเข้าเฟิงจวนตอนอายุแปดขวบพร้อมอี้เทียน เวลานั้นค่อยรู้ว่า ‘พี่อี้’ อายุเท่ากับเขา ไม่สิ อายุน้อยกว่าเขาสามวัน นับจากวันนั้น ซื่อเสวี่ยนไม่ยอมเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ง่ายๆ อีก ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีหรืออับอายแต่อย่างใด แต่เพราะเขาชื่นชอบที่จะได้เห็นสีหน้าหงุดหงิดของอี้เทียน และกริยาคะยั้นคะยอแกมเอาแต่ใจเวลาต้องการได้ยินเขาเรียกว่าพี่ อาจารย์ทั้งหลายเรียกอี้เทียนว่าปีศาจน้อย ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง

   อี้เทียนแตกต่างจากบรรดาพี่น้องในตระกูลเฉินและคนตระกูลอื่นทั้งหมดที่เขารู้จัก ไม่เพียงยอมอ่อนข้อให้เขา ดูแลเอาใจใส่เขา ยังแสดงสีหน้าและอารมณ์อย่างเปิดเผย แม้ว่าจะบางครั้งจะเป็นอารมณ์โกรธเกรี้ยว หรือไม่พอใจอย่างไร้เหตุผลเพียงใดก็ตาม เพราะนั่นทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและวางใจ ไม่จำเป็นต้องคอยสังเกตสีหน้าและคาดเดาความคิดที่ซ่อนอยู่



   ซื่อเสวี่ยนชอบมาเรียนที่เฟิงจวนอย่างยิ่ง แม้เขาไม่มีสหายคนอื่นนอกจากอี้เทียน แต่ก็ยังได้พบปะคนในรุ่นราวคราวเดียวกัน ได้ศึกษาตำราหลายแขนง และได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์ที่เก่งกาจ กระทั่งวันหนึ่งเรื่องที่เขามิใช่สายเลือดที่แท้จริงของตระกูลเฉินถูกเล่าลือในเฟิงจวน



   “เฉินหนิงบอกว่าเขาถูกรับมาเลี้ยง เพราะครอบครัวถูกประหารทั้งโคตร”

   “จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นทำไมเขารอดมาได้”

   “ได้ยินว่ามีคนเอามาทิ้งไว้หน้าประตูบ้านสกุลเฉิน”

   “เหมือนพวกขอทานน่ะหรือ”

   “เรียนห้องเดียวกับลูกอนุก็ฝืนใจมากแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งแปลกปลอมเพียงนี้”

   “หากมิใช่เพราะเขาตีสนิทกับคุณชายตระกูลอี้ ข้าหรือจะยอมเสวนาด้วย”



   ซื่อเสวี่ยนมิกล้าโผล่หน้าออกไป ได้แต่ยืนหลบหลังเสารับฟังถ้อยคำโหดร้ายเหล่านั้นกระทั่งเสียงนินทาทั้งหลายเงียบลง ในหัวมีแต่ถ้อยคำที่ได้ยินก้องกังวานขณะที่สองขาพาร่างไร้เรี่ยวแรงของตนเองไปหลังน้ำตกจำลอง เรื่องจริงทั้งนั้นแต่แค่คิดว่าจะต้องพบเจอสายตาและสีหน้าแบบไหน ขาก็พาตัวเองออกมาไกลเสียแล้ว

   ซื่อเสวี่ยนนั่งกอดเข่า พิงภูเขาหินจำลอง สายตาว่างเปล่าราวกับปิดกั้นโลกภายนอก และปล่อยให้อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกทุกอย่างเก็บกดอยู่ข้างใน

   วันนี้คงเข้าเรียนสายแล้ว มิสู้ไม่กลับไป



   “อยู่นี่เอง”

   เวลานั้น ซื่อเสวี่ยนเห็นใบหน้าที่ทำให้ดวงตาของเขาพร่ามัว





   #วิถีเซียน3p





………………….

อดทนผ่านช่วงเวลาบัดซบของน้องด้วยกัน จับมือ







ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ชอบมากที่เรื่องนี้มีหลากหลายแนว
สนุกมากกกกกกกกกกกก
ขอบคุณที่มาอัพสม่ำเสมอนะคะ :heaven :กอด1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
พอได้อ่านช่วงต้นของตอนนี้ อยากจะไปประมือกับพรแม่องค์นั้นเลย ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรกับจิวซือห่ะ โมโหเว้ย

จิวซือ ต้องผ่านบททดสอบนี้ไปให้ได้นะ

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

The Great General (4)






   ซื่อเสวี่ยนไม่อยากกลับไปเฟิงจวน อี้เทียนจึงพาเขาไปเที่ยวเล่นนอกเมืองจนค่ำก่อนจะพาเขากลับมาส่งที่บ้านสกุลเฉิน นี่เป็นครั้งแรกที่ซื่อเสวี่ยนทำตัวเหลวไหล ในใจทั้งปลอดโปร่งทั้งรู้สึกผิด เกรงว่าจะทำให้บิดาผิดหวัง เมื่อกลับมาถึงสกุลเฉิน ซื่อเสวี่ยนก็ไปพบเฉินตงที่ห้องหนังสือเป็นอันดับแรก แต่แทนที่เฉินตงจะดุด่าว่ากล่าวบุตรชาย เขากลับหัวเราะเสียงดัง ดีใจที่ในที่สุดซื่อเสวี่ยนก็ทำตัวเหมือนเด็กทั่วไปเสียที
   “บิดารู้ว่าเจ้ามีเหตุผลของเจ้า”
   ซื่อเสวี่ยนรู้สึกอบอุ่นหัวใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เขาโผกอดเอวเฉินตงแน่น บอกตัวเองว่าจะไม่ทำให้บิดาผิดหวัง
   นับตั้งแต่วันนั้น ซื่อเสวี่ยนตั้งใจศึกษาเล่าเรียนทั้งในเฟิงจวนและด้วยตนเอง เข้มงวดกับตนเองและพยายามมากกว่าเดิมหลายเท่า ทุกเช้าจะฝึกเพลงยุทธ์กับอาจารย์ที่เฉินตงเชิญมา สายตาดูถูกรังเกียจของบรรดาสหายร่วมสถาบันกลายเป็นเพียงสายลมพัดผ่านไป นอกจากอี้เทียนที่เป็นสหายแล้ว เขาไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น กล่าวได้ว่าความรู้สึกทั้งหมดถูกมอบให้กับคนผู้เดียว ซื่อเสวี่ยนเฉลาดเฉลียว แต่ไม่มีท่าทางหยิ่งผยอง ตรงข้ามเขาสุภาพและอ่อนน้อม จึงกลายเป็นศิษย์รักของบรรดาอาจารย์ทั้งหลายในเฟิงจวน ขุนนางหลายคนพอได้ยินชื่อซื่อเสวี่ยนผ่านคำชมเชยของอาจารย์เหล่านั้นมาบ้าง จึงแสดงความยินดีกับเฉินตงที่มีบุตรชายดี

   
   เมื่อซื่อเสวี่ยนอายุได้ 10 ขวบ ลี่เหนียงก็ตั้งครรภ์ เฉินตงตั้งให้นางเป็นฮูหยินรอง รอบข้างมีสาวใช้และผู้ช่วยมากมาย ประกอบกับหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องภายในบ้านและร้านค้าเป็นของนาง ทำให้อำนาจบารมีสูงกว่าเจินฮูหยินเสียอีก แต่เรื่องน่ายินดีก็แปรเปลี่ยนเป็นโศกเศร้า เมื่อลี่เหนียงแท้งลูก นางแท้งมาแล้วครึ่งหนึ่ง จึงตั้งความหวังกับเด็กคนนี้ไว้มาก เมื่อต้องมาเสียลูกไปอีกครั้ง ก็ล้มป่วยทั้งกายใจ
   เฉินตงสืบหาตัวคนร้าย ในที่สุดก็ทราบว่าเป็นเจินฮูหยินอยู่เบื้องหลัง เขาจึงปลดเจินฮูหยินและส่งกลับบ้านเดิม ข้อหาฆ่าทายาทสืบสกุลร้ายแรงอย่างยิ่ง ดังนั้นสกุลเจินจึงไม่มีคำว่ากล่าว นอกเสียจากขออภัยที่อบรมบุตรสาวไม่ดี พร้อมกันนั้นเฉินตงได้ตั้งลี่เหนี่ยงเป็นลี่ฮูหยิน เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา ฐานะของซื่อเสวี่ยนจึงพลอยเปลี่ยนเป็นบุตรชายของภรรยาตามกฎหมายไปด้วย แม้ในใจของคนสกุลเฉินหลายคนอึดอัดคับข้อง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางการที่เฉินตงสนับสนุน เปิดทางให้กับซื่อเสวี่ยน ด้วยความสามารถของซื่อเสวี่ยนโดดเด่นกว่าผู้ใด และอดคิดไม่ได้ว่าหากเขาเป็นบุตรชายแท้ๆ ของเฉินตงจะดีเพียงใด
   สองปีต่อมา เฉินตงได้เลื่อนเป็นขุนนางขั้นห้า หนานจงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ด้วยวัยเพียง 17 ปี เนื่องจากพระราชบิดาสิ้นพระชนม์กะทันหัน หนานจงฮ่องเต้ มีพระนามเดิมว่า หนานจงหลี่เจี๋ย เป็นพระโอรสองค์รอง และแม้จะทรงเป็นรัชทายาทที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนแต่งตั้ง ก็ใช่ว่าจะทรงนั่งบนบัลลังก์อย่างมั่นคง ด้วยฮองเฮาทรงโปรดและสนับสนุนโอรสองค์โต ในปีนั้นจึงทรงเลื่อนการสอบเข้ารับราชการที่จัดขึ้นทุก 2 ออกไป เพื่อสะสางคดีและขั้วอำนาจต่างๆ ในวังหลวง
   ปีต่อมา ซื่อเสวี่ยนในวัย 13 ปี สอบเข้ารับราชการได้ที่ 1 ถือเป็นราชบัณฑิตที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินต้าเสิน เวลานั้นอี้เทียนก็ถูกเขาคะยั้นคะยอจนสอบผ่านเป็นหนึ่งใน 50 ราชบัณฑิตเช่นกัน สกุลอี้เห็นซื่อเสวี่ยนเป็นดังหลานชายนอกสกุล เพราะนอกจากเขาจะเป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกลแล้ว ยังเป็นสาเหตุให้บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างอี้เทียนพลอยประพฤติตัวดีขึ้นไปด้วย ดังนั้นเมื่อทั้งคู่สอบผ่าน สกุลอี้จึงอาสาเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงฉลองให้ทั้งคู่ งานเลี้ยงถูกกำหนดไว้ในอีกเจ็ดวันให้หลัง ก่อนหน้านั้นราชบัณฑิตใหม่ซึ่งสอบได้เป็น 5 อันดับแรกจะได้รับเกียรติให้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ และได้พระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์

   ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ถือเป็นเกียตริยศแห่งสกุลเฉิน ดังนั้นทั้งเฉินตง และลี่ฮูหยินถือเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง พวกเขามีเวลาเพียงสามวันสำหรับการเตรียมตัว เฉินตงสอนข้อปฏิบัติต่างๆ ให้กับซื่อเสวี่ยนอย่างเคร่งครัด แม้ว่าสิ่งเหล่านี้เขาล้วนแต่ได้เรียนรู้ในเฟิงจวนแล้วก็ตาม
   กล่าวถึงเฟิงจวน หลังจากเข้าเฝ้า ซื่อเสวี่ยนคิดจะไปขอบคุณบรรดาอาจารย์ทั้งหลายที่สั่งสอนเขา เฉินตงเห็นดีด้วย และช่วยเตรียมของขวัญไปมอบให้ผู้อาวุโสเหล่านั้น
   



   หนานจงฮ่องเต้เพิ่งขึ้นครองราชย์เมื่อปีก่อน ซื่อเสวี่ยนและบัณฑิตรุ่นนี้จึงถือเป็นราชบัณฑิตรุ่นแรกที่ทรงแต่งตั้ง ซื่อเสวี่ยนและราชบิณฑิตที่สอบได้คะแนนสูงสุดอีกสี่คน เดินก้มหน้าตามหลังขันทีน้อยผู้หนึ่งมารอที่ท้ายแถวของเหล่าขุนนาง ซึ่งตั้งแถวตามตำแหน่งเพื่อเตรียมประชุมเช้า ขุนนางที่มีสิทธิเข้าประชุมหารือราชการเป็นขุนนางขั้น 5 ขึ้นไป ดังนั้นเฉินตงซึ่งยังเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางชั้น 5 เมื่อปีก่อนจึงอยู่ในแถวด้วย
   ซื่อเสวี่ยนเห็นบิดามองมาด้วยสายตาภาคภูมิใจ ก็อมยิ้ม ลอบพยักหน้าคราหนึ่ง เพื่อให้บิดาวางใจว่าเขาจะไม่ทำให้ขายหน้าอย่างแน่นอน

   เวลาล่วงเลยไปจนใกล้เที่ยง ค่อยถึงคราวของราชบัณฑิตใหม่ทั้ง 5 คน ซื่อเสวี่ยนเดินนำหน้า ก่อนจะหมอบทำความเคารพเจ้าชีวิตตามธรรมเนียม หัวใจเขาเต้นแรง มือเท้าเย็นเฉียบ กระนั้นสีหน้าและท่าทางยังคงสุขุมเช่นเดิม ใบบรรดาบัณทิตทั้ง 5 คน ซื่อเสวี่ยนนับว่าอายุน้อยอย่างเห็นได้ชัด ด้านหลังของเขาประกอบด้วยชายหนุ่มอายุราว 17 - 18 ปี หนึ่งคน วัย 20 ต้นๆ หนึ่งคน ขณะที่อีกสองคนน่าจะมีอายุมากกว่าคนที่เหลืออยู่หลายปี ความอ่อนวัยและท่าทางเฉลียวฉลาดของซื่อเสวี่ยนที่ยืนอยู่ด้านหน้าจึงโดดเด่นขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
   หนางจงฮ่องเต้กล่าวชื่นชมราชบัณฑิตใหม่ สุรเสียงทุ้มนุ่มนวลดังสายน้ำและยังแฝงความอ่อนเยาว์อยู่บ้าง ซื่อเสวี่ยนไม่เห็นว่าหนานจงฮ่องเต้มีพระพักตร์อย่างไร เขาก้มหน้ารอ ขณะที่บัณฑิตลำดับที่ 2- 5 เข้ารับพระราชทานยศเป็นขุนนางขั้น 9 ซึ่งเป็นยศต่ำสุดของขุนนางฝ่ายพลเรือน ส่วนอยู่สังกัดไหนใน 6 กระทรวงค่อยเป็นหน้าที่ของกรมขุนนางอีกที


   “ลำดับหนึ่ง เฉินซื่อเสวี่ยน”
   ได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง ซื่อเสวี่ยนก้าวไปข้างหน้าสามก้าว ก่อนจะทำความเคารพ หลังจากนั้นคือความเงียบที่ไม่คุ้นเคย โถงกว้างปราศจากเสียงพูด แม้แต่เสียงลมหายใจก็แผ่วเบาลง กระทั่งสุรเสียงของเจ้าเหนือหัวตรัสว่า “เงยหน้า” 
   ซื่อเสวี่ยนตระหนกเล็กน้อยที่อยู่ๆ เจ้าชีวิตก็สั่งให้เขาเงยหน้า มิได้พระราชทานรางวัลให้ทันทีเหมือนคนอื่นๆ ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าตามรับสั่ง แต่ทอดสายตามองต่ำ เห็นเพียงแต่ฐานบัลลังก์มังกรสีทองเท่านั้น
   “ยังเด็กนัก” รับสั่งคล้ายทอดถอนใจ  “เจิ้นอ่านบทความของเจ้า น้ำน้อยไม่อาจดับไฟใกล้ แต่จะไม่ท่วมจนเป็นมหาภัย เจิ้นเห็นด้วย”
   “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
   ได้รับคำชมจากผู้เป็นใหญ่ในใต้หล้า ยังให้เกิดความพึงพอใจและภาคภูมิใจในอก ยิ่งทราบว่าหนานจงฮ่องเต้อ่านบทความในข้อสอบของเขา ซื่อเสวี่ยนยิ่งรู้สึกว่าเจ้าชีวิตองค์นี้ให้ความสนใจกับบุคลากรอย่างยิ่ง ซึ่งเหนือความคาดหมายของเขามาก
   “วรยุทธ์เป็นอย่างไร”
   “พอป้องกันตนเองได้พะย่ะค่ะ”
   สิ้นคำตอบของเขา กระบี่เล่มหนึ่งก็ถูกยื่นให้โดยบุรุษที่คาดว่าน่าจะเป็นราชองค์รักษ์ ซื่อเสวี่ยนเงยหน้ามองคล้ายเข้าใจ แต่ไม่แน่ใจ กระทั่งได้ยินรับสั่งต่อมา
   “ลองดู”
   ซื่อเสวี่ยนรับกระบี่ ชั่วขณะนั้นทันได้เห็นฉลองพระองค์สีเหลือง และปลายคางของหนานจงฮ่องเต้ เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะร่ายรำเพลงกระบี่เพลงหนึ่งที่เรียบง่ายแต่ดุดัน ตรงข้ามกับรูปร่างหน้าตาและกริยานุ่มนวลของเขาโดยสิ้นเชิง กระบี่สะท้อนผู้ใช้ บุคลิกเด็ดเดี่ยวและองอาจจึงฉายประกายผ่านเพลงกระบี่ชุดนี้
   เฉินตงมองบุตรชายด้วยตาเป็นประกาย แสดงกระบี่หน้าพระพักตร์ ไม่ทราบมีผู้คนมากมายเท่าใดปรารถนาแต่ไม่มีโอกาส สกุลเฉินอย่างไรก็คงต้องฝากไว้กับบุตรชายผู้นี้แล้ว

   “ไม่เลว”
   “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซื่อเสวี่ยนทำความเคารพหนานจงฮ่องเต้อีกครั้ง หลังจากส่งกระบี่คืนให้กับราชองค์รักษ์ส่วนพระองค์
   “อายุยังเยาว์ เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊” รับสั่งแผ่วเบาคล้ายกำลังใช้ความคิด เวลานั้นทุกคนต่างก้มหน้ามองพื้น ไม่มีผู้ใดเห็นสายตาประเมินที่ตกยังร่างกายที่ยังเติบโตไม่เต็มที่ของซื่อเสวี่ยน หนานจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองบัณฑิตใหม่ของพระองค์ สกุลเฉินเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ มีเฉินตงเป็นขุนนางชั้น 5 เบื้องหลังปราศจากอำนาจและไม่ซับซ้อน เฉินซื่อเสวี่ยนเป็นบุตรชายตระกูลคหบดีที่ถูกใส่ความ สนิทสนทกับสกุลอี้ ซึ่งถือเป็นตระกูลที่พระองค์วางใจ ชาติตระกูลและความสามารถล้วนไม่มีปัญหา
   “เจ้ามีชื่อรองหรือไม่”
   “ยังไม่มีพะย่ะค่ะ”
   เมื่อได้ยินทรงตรัสถามเรื่องชื่อรองของเฉินซื่อเสวี่ยน บรรดาขุนนางลอบสูดลมหายใจลึก ไม่กล้าคิดถึงเจตนาของเจ้าชีวิต กระทั่งได้ยินหนานจงฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงดังขึ้นเล็กน้อยว่า
   “เฉินซื่อเสวี่ยน ประทานชื่อรองว่าซือจง แต่งตั้งเป็นขุนนางขั้น 8 กรมกลาโหม”
   “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
   

   ฮ่องเต้ประทานชื่อรอง เป็นเกียรติยศที่ไขว่หามิได้ ในอดีตผู้ที่ฮ่องเต้ประทานชื่อรองล้วนได้รับการปฏิบัติเยี่ยงศิษย์ของพระองค์ หมายถึงทรงตั้งใจจะสั่งสอนชุบเลี้ยง ‘ซือจง’ แปลว่าความสุขและความภักดี ทั้งยังมีเสียงพ้องกับพระนาม เจตนาเจ้าชีวิตชัดเจนจนทำให้บรรดาขุนนางทั้งหลายรู้สึกหนาวเหน็บ ปีก่อนหนานจงฮ่องเต้ปลดขุนนางมากมาย เวลานี้กลับทรงสนับสนุนเด็กน้อยสกุลเฉิน เจตนาโอรสสวรรค์แท้จริงแล้วเป็นเช่นใด





...........................
หนานจงฮ่องเต้ ชื่อก็ใบ้เสียชัดเจน จะเป็นใครไปได้อีกคะคุณณณณณ
มาฉากเดียว แต่เรือใส่เครืองเทอร์โบจ้าพี่จ๋า

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
เจ้าวังตะวันออกมาแล้ว แล้วเทพมายาล่ะจะกลับมาเป็นอี้เทียนคนเดิม หรือเป็นคนใหม่กันนะ

แต่อวิ๋นหนานไม่ค่อยจะให้ความเอ็นดูจิวซือเลยนะ  เห็นหน้าครั้งแรกก็คิดจะให้อยู่ข้างตัวเลย 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
นี้แค่เริ่มต้น

ออฟไลน์ pepperpro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ไรท์อยากต่อแล้วอะครับ มาต่อหน่อยสิฮะ

 :z10: :z10: :z10: :z10: :z10: :z10:

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

The Great General (5)



   ภายในเวลาเพียง 5 ปี ขั้วอำนาจในเมืองหลวงเปลี่ยนแปลงไปมาก ตระกูลใหญ่หลายตระกูลที่เกี่ยวดองกับไทเฮา บ้างถูกกำจัด บ้างถูกลดอำนาจ ขณะที่ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลเฉินกลับกลายเป็นขั้วอำนาจใหม่ที่มิอาจดูแคลน
   เฉินตงเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วจากขุนนางขั้น 5 เป็นขุนนางขั้น 3 รั้งตำแหน่งรองเสนาบดีกรมคลัง และคาดว่าตำแหน่งเสนาบดีก็คงไม่พ้นจากเขา หากยังคงรักษาความไว้เนื้อเชื่อใจของพระหมื่นปี*ไว้ได้ แต่ที่โดดเด่นกว่าเห็นจะเป็นบุตรชายของเขา เฉินซื่อเสวี่ยน ที่ได้รับการเลื่อนขั้นจากขุนนางขั้น 8 เป็นขุนนางขั้น 5 กรมกลาโหม สามารถเข้าร่วมการประชุมราชการช่วงเช้าด้วยอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น กล่าวว่าซื่อเสวี่ยนกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาบุรุษรุ่นเยาว์ก็เป็นได้
   แน่นอนว่าผู้ที่คัดค้านและไม่พอใจพ่อลูกตระกูลเฉินมีอยู่ไม่น้อย แต่เพราะหนานจงฮ่องเต้ทรงมีเจตนาอุ้มชูอย่างชัดเจน แม้แต่ยามที่มีคนพยายามใส่ความเฉินตงก็ทรงออกหน้าปกป้อง ดังนั้นตระกูลเฉินจึงมีแต่ก้าวหน้าไม่ถอยหลัง ยิ่งกับเฉินซื่อเสวี่ยนซึ่งทรงประทานชื่อรองให้นั้น ความโปรดปรานของพระองค์ที่มีต่อเขาเหนือกว่าผู้ใดในวังหลวง หลายครั้งทรงถามความเห็นของเขาต่อหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ตรัสชื่นชมหรือตำหนิเขาอย่างตรงไปตรงมา พระราชทานรางวัลให้เขาและเผื่อแผ่ถึงตระกูลเฉิน แม้แต่หอสมุดหลวงก็ทรงอนุญาตให้ซื่อเสวี่ยนเข้าออกได้อย่างอิสระ ราวกับตั้งพระทัยจะปฏิบัติต่อเขาดังลูกศิษย์ที่แท้จริง
   พระกรุณายิ่งใหญ่นี้ หากเป็นคนทั่วไปเกรงว่ายากจะรับไว้ ซื่อเสวี่ยนและตระกูลเฉินก็ไม่ต่างกัน พวกเขาไม่ใช่ตระกูลเก่าแก่ที่มีอิทธิพลหรือรากฐานอำนาจมั่นคง เครือข่ายเส้นสายล้วนแต่เปราะบาง มิตรหรือศัตรูแปรเปลี่ยนเพียงเสี้ยวนาที เฉินตงออกคำสั่งให้ทุกคนในตระกูลประพฤติตนอย่างรัดกุม ห้ามมิให้วางอำนาจบาตรใหญ่อย่างเด็ดขาด ด้วยทราบว่ามีผู้คนมากมายพร้อมจะฉวยโอกาสสร้างความลำบากให้พวกเขา ตระกูลเฉินอ่อนแอเกินไป พระมหากรุณาธิคุณนี้แทบรับไม่ไหว แต่เพราะขี่หลังเสือแล้วมิอาจกระโดดลงเองได้ จึงต้องเดินหน้าต่อไป
   เฉินตงมองบุตรชายที่เติบโตเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงสง่า เห็นเขาฝึกเพลงยุทธ์ด้วยกระบี่พระราชทานด้วยสายตาซับซ้อน ซื่อเสวี่ยนสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาก็ลดกระบี่ลง เมื่อสายตาของบุรุษสองวัยสบเข้าด้วยกัน ต่างก็เข้าใจความคิดโดยมิต้องกล่าววาจา เฉินตงกังวลเรื่องใด มีหรือซื่อเสวี่ยนจะไม่ทราบ
   หนานจงฮ่องเต้ต้องการใช้สกุลเฉินเป็นโล่ ต้องการให้เขาเป็นดาบ ทั้งสนับสนุน อวยยศ มอบอำนาจ ให้ความไว้วางพระทัย เพราะสกุลเฉินเป็นหมากดีที่พระองค์จะใช้สอยหรือสละทิ้งเมือใดก็ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ ผู้อื่นอาจอิจฉาริษยาในวาสนาที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวนี้ แต่สำหรับสกุลเฉิน ทุกเวลาดังเหยียบย่างอยู่บนยอดคลื่น มิรู้ว่าจะเพลี่ยงพล้ำถูกซัดลงสู่ก้นทะเลเมื่อใด
   ซื่อเสวี่ยนยิ้มให้บิดา เอ่ยว่า “ไปเยี่ยมหนิงเอ้อร์กันเถอะขอรับ” เฉินตงถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย หนิงเอ้อร์หรือเฉินหนิงอัน เป็นบุตรสาวของลี่ฮูหยิน ปีนี้เพิ่งอายุได้ขวบเดียว ทารกน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เป็นแก้วตาดวงใจของลี่ฮูหยินรวมถึงซื่อเสวี่ยนด้วย
   นึกถึงน้องสาวตัวน้อย สีหน้าของซื่อเสวี่ยนก็อ่อนโยนลง ฮ่องเต้ต้องการให้เขาเป็นดาบ เขาก็จะเป็นดาบที่คู่พระทัยที่พระองค์ไม่อาจสละทิ้งได้โดยง่าย


   
   “คุณชายอี้มาขอรับ”
   ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าจากตำราเมื่อได้ยินข้ารับใช้บอกการมาถึงของอี้เทียน รอยยิ้มน้อยผุดขึ้นบนใบหน้าโดยอัตโนมัติ ร่างสูงโปร่งยังมิทันลุกจากที่นั่ง ประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับสหายที่ก้าวเข้ามาอย่างคุ้นเคย อี้เทียนในวัย 18 ปี ตัวสูงกว่าเขาราวครึ่งศีรษะ และอาจเป็นเพราะเจ้าตัวฝึกยุทธ์กับบิดาตั้งแต่เล็ก จึงมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปอยู่มาก กล่าวได้ว่าเป็นชายชาตินักรบเช่นเดียวกับบิดาของเขาก็ไม่ผิดนัก
   “เป็นถึงตูจวิน* แล้วก็ยังไม่รักษามารยาทอยู่เช่นเดิม”
   ไม่ใช่มีแต่สกุลเฉินที่ได้รับความไว้วางพระทัย ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลอี้ก็อยู่ฝ่ายที่สนับสนุนพระองค์มาตั้งแต่แรก ดังนั้นอำนาจทางการทหารส่วนใหญ่จึงยังคงอยู่ในมือตระกูลอี้ เช่นเดียวกันอี้เทียนก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นตูจวินตั้งแต่อายุยังน้อย
   “รักษามารยาทกับเจ้าน่ะหรือ เด็กน้อย” อี้เทียนยิ้มมุมปาก ดวงตาพราวอย่างที่นึกสนุกที่ได้ล้อเลียนสหาย ซึ่งรูปร่างเล็กกว่าตนเอง ประกอบกับใบหน้านวลเนียนที่ไม่ค่อยได้ออกแดด จึงทำให้ยังดูคล้ายคุณชายน้อยแห่งเฟิงจวนอยู่เหมือนเดิม แต่เมื่อเห็นซื่อเสวี่ยนทำท่าจะโต้เถียงว่าผู้ใดกันแน่ที่เด็กกว่า ก็รีบยกของในมือขึ้น ชิงกล่าวว่า “ข้าเอาของมาฝากหนิงเอ้อร์”
   ซื่อเสวี่ยนส่ายหัวยิ้มๆ รับถุงผ้าสีน้ำตาลจากมืออี้เทียน เปิดดูก็พบว่าเป็นมีดพับขนาดกระทัดรัด สามารถพับและเปิดได้อย่างสะดวก ที่จับทำจากโลหะอ่อนประดับด้วยลวดลายแกะสลักสวยงาม
   “เจ้าจะให้น้องสาวข้าเล่นมีดพับนี่นะหรือ”
   “ถ้างั้น เจ้าก็เล่นแทนนาง”
   ซื่อเสวี่ยนเลิกคิ้วมองอีกคน เห็นอี้เทียนยังทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ คราวก่อนที่ขี่ม้าออกไปนอกเมืองด้วยกัน เขาตั้งใจจะหาซื้อมีดพับสักเล่ม แต่ปรากฎว่ายังหาที่ถูกใจไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสั่งทำของชิ้นนี้มาให้ ทั้งขนาด คุณภาพ และลวดลายล้วนแต่น่าพอใจ
   “ยังจะยิ้มอีก” อี้เทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจนใจ ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้เส้นผมนุ่มกลางศีรษะของซื่อเสวี่ยน โดยที่ริมฝีปากตนเองก็อดยกขึ้นตามเล็กน้อยไม่ได้
   ถึงจะไม่ยอมเรียกเขาว่าพี่อี้เหมือนตอนเด็กๆ แต่เขาก็ยังอยากเอาใจ และตามใจคนตรงหน้าอยู่ดี




   
   ชั้นสามของภัตตาคารหลีต้าฟง ในห้องรับรองพิเศษ เห็นซื่อเสวี่ยน อี้เทียน และบุรุษหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันอีกสามคน นั่งรับประทานอาหารดื่มสุรา และสนทนากันอย่างออกรส พวกเขาล้วนแต่เป็นสหายที่ศึกษาในเฟิงจวนด้วยกัน ต่างไม่ค่อยได้พบปะกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอี้เทียนที่ติดตามบิดาไปยังชายแดนอยู่บ่อยครั้ง นอกจากซื่อเสวี่ยนและอี้เทียนแล้ว บุรุษหนุ่มอีกสามคนล้วนแต่เป็นคุณชายตระกูลใหญ่ แม้ไม่ใช่คนรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุด แต่ก็นับว่ามีอนาคตไกลไม่เลว กระนั้นทุกคนต่างพร้อมใจกันยกให้อี้เทียนเป็นพี่ใหญ่
   “พี่ใหญ่อี้ ไปชายแดนไม่กี่ปีก็ได้เป็นตูจวินแล้ว ผู้น้องคาราะวะหนึ่งจอก” จางเหว่ยกล่าว จางเหว่ยเป็นบุตรชายที่ห้าของสกุลจาง บิดาและพี่ชายล้วนเป็นแม่ทัพนายกอง จึงนับถืออี้เทียนมากเป็นพิเศษ
   “เช่นนั้นเจ้าคงต้องคาราวะซือเสวี่ยนสามจอก” อี้เทียนพูดกลั้วหัวเราะ แต่ก็ยังยกสุราดื่มจนหมดจอก
   “เหอะ ตอนซือจง*ได้เลื่อนขั้น บิดาเขาเลี้ยงสุราหิมะพันปี เจ้าที่อยู่ชายแดนจะไปรู้อะไร” โม่โฉว บุตรชายคนรองของสกุลโม่ ยกยิ้มแกมสะใจที่อี้เทียนพลาดงานเลี้ยงของสหายรัก คนทั่วไปอาจไม่รู้ แต่พวกเขาที่เป็นสหายล้วนทราบดีว่า อี้เทียนตูจวินผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตานั้น ขี้อิจฉาและจิตใจคับแคบกับเรื่องของซื่อเสวี่ยนเพียงใด
   อี้เทียนขมวดคิ้ว โอบไหล่ซื่อเสวี่ยนเข้ามาถามว่า “ซื่อเสวี่ยน ส่วนของข้าล่ะ”
   “ไม่มี”
   “ฮ่าๆ พี่ใหญ่อี้ รอท่านเป็นเจียงจวินเมื่อใด ท่านค่อยให้เขาปิดหลีต้าฟงเลี้ยงพวกเราทั้งหมด”
   คำว่า ‘เจียงจวิน’ ทำให้มือที่ถือถ้วยสุราของซื่อเสวี่ยนบีบแน่นขึ้น ก่อนที่เขาจะยกดื่มรวดเดียวหมด ความฝันของเฉินซานคือเป็นเจียงจวิน ซื่อเสวี่ยนไม่เคยลืม จนใจที่ฝ่าบาทไม่อนุญาตให้เขาออกรบ ได้แย่ถกข้าราชการกับขุนนางอื่นๆ ในวังหลวง
   “ทั้งพี่ใหญ่อี้ ทั้งซื่อเสวี่ยน ล้วนก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ข้าสิ ถูกมารดาบังคับให้แต่งภรรยา ข้าเพิ่ง 18 เท่านั้น ยังจะหาบ่วงมาผูกคอเร็วปานนี้เพื่ออะไร” จางเหว่ยตีหน้าเศร้า ทำให้คนอื่นๆ หัวเราะกับท่าทางเกินพอดีของเขา
   “เร็วอะไร ดูอย่างลู่เสียนสิ แต่งเมื่อต้นปี พอปลายปีภรรยาก็ตั้งครรภ์แล้ว ถือว่าล้ำหน้ากว่าพวกเราทั้งหมด”
   “ใช่ เป็นเรื่องเดียวที่เจ้านำหน้าซื่อเสวี่ยน ฮ่าๆ”
   ลู่เสียนถูกสหายล้อเลียนก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งยังรับยิ้ม แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ไม่เลวระหว่างสามีภรรยา

   อี้เทียนเห็นซื่อเสวี่ยนดื่มเหล้าไม่หยุด ก็คว้าข้อมือเขา บังคับให้วางจอกเหล้า และเปลี่ยนมาเป็นกินกับแกล้มแทน “เดี๋ยวปวดท้อง”
   น้ำเสียงกึ่งดุกึ่งตามใจของอี้เทียนทำให้โม่โฉวอดเหน็บแนมสักคำไม่ได้ “ลู่เสียน เจ้าดูแลภรรยาได้ครึ่งหนึ่งของที่อี้เทียนดูแลซื่อเสวี่ยนหรือไม่”
   ลู่เสียนกลอกตา แสร้งเมินประโยคคำถามของโม่โฉว ขณะที่อี้เทียนสีหน้าไม่เปลี่ยน เขารินน้ำชาร้อนๆ ยื่นให้ซื่อเสวี่ยนดื่มแทนสุรา พลางกล่าวว่า “สหายย่อมสำคัญกว่าสตรี” และคงเพราะรู้สึกยังไม่เพียงพอ จึงกระชับไหล่ของซื่อเสวี่ยน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ้าชู้คล้ายกำลังแทะโลมสตรีดีงาม “ยิ่งหากซือซือยอมเรียกข้าว่าพี่อี้ ข้าจะดีต่อเขามากกว่านี้”
   โม่โฉวกลอกตา สีหน้าเหมือนกลืนยาขม “แม่นางทั้งหลายล้วนใจสลายเพราะพวกเจ้าแล้ว”
   “ฮ่าๆ”

   ท่ามกลางเสียงหัวเราะหลอกล้อของบรรดาสหาย ซื่อเสวี่ยนก้มหน้าจิบน้ำชา บังคับไม่ให้มุมปากของตนเองยกขึ้น เปิดเผยความรู้สึกภายใน ความรู้สึกที่เขาเพียรข่มกลั้นไว้ พยายามอย่างมากที่จะลดทอนมัน แต่...

   บางทีคงไม่ทันแล้ว
   เมล็ดพันธุ์เล็กๆ เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่
   หยั่งรากลึกในใจเขา



   #วิถีเซียน3p



……………………………….
พระหมื่นปี* = ฮ่องเต้
*ซือจง = ชื่อรองของซื่อเสวี่ยนที่ฮ่องเต้พระราชทานให้
*ตูจวิน = สารวัตรทหาร สูงขึ้นไปคือ ตูตู ต้าตูตู เจียงจวิน ต้าเจียงจวิน และจงหลางเจี้ยง

ARC นี้เหมือนเป็นเรื่องหลัก น่าจะยาวกว่า Arc ที่ผ่านมาพอสมควรค่ะ

ปล. เปิด Pre-order นิยายเรื่อง Skinship: The king with Teddy Bear แล้วนะคะ สอบถามได้ในเพจ White Demon นะคะ


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ

แอบบสงสัยว่าตอนนี้ อี้เทียนจะมีความรู้สึกเริ่มชอบซื่อเสวี่ยน เหมือนที่ซื่อเสวี่ยนเริ่มรู้สึกว่าชอบอี้เทียนหรือยัง

ออฟไลน์ เฉื่อย

  • UNCOMMON AS NORMAL.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
สามคนนี้ชะตาเกี่ยวพันกันเสมอเลยสินะ

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0





The Great General (6)




   ซื่อเสวี่ยนคิดว่าระหว่างเขาและอี้เทียนคงเป็นเช่นนี้ไปตลอด กระทั่งคืนหนึ่งที่เขาพาอี้เทียนที่เมาไร้สติไปส่งที่จวนสกุลอี้ และพวกเขาเผลอจูบกัน จะเรียกว่าเผลอก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะเวลานั้นเขามีสติดีทุกอย่าง แต่ก็ยังยินดีที่ฝ่ายนั้นจรดริมฝีปากร้อนเข้ามาบดเบียด ตอบสนองอย่างกระตือรือร้น ต้องการส่งผ่านความรู้สึกที่เก็บกดไว้หลายปี กระทั่งสัมผัสดุดันนั้นหยุดไปพร้อมกับศีรษะของอีกฝ่ายเลื่อนลงซบไหล่ของเขา
   หลังจากวันนั้น คนที่เคยมาเยือนบ้านสกุลเฉินแทบทุกวันก็หายหน้าหายตาไป แม้แต่ยามที่เขาไปหาที่จวนสกุลอี้ ก็ปัดป้องว่าไม่อยู่ กระทั่งฉุกคิดได้ว่าบางทีอีกฝ่ายคงนึกรังเกียจ ความคิดที่ทำให้เท้าแทบไม่มีแรง ได้แต่มองประตูจวนสกุลอี้อยู่นาน หากรู้ว่าหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่เหมือนเดิม หากรู้ว่าอี้เทียนยังมีสติรับรู้แม้เพียงเล็กน้อย ตอนนั้นคงไม่ทำตามใจตนเอง
   หากต้องสูญเสียไป มิสู้ไม่รู้จักความรัก
   

   ซื่อเสวี่ยนเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้เขาเงียบขรึมไปก็ไม่มีผู้ใดคิดว่าผิดปกติ ในฐานะขุนนางขั้น 5 ซึ่งยืนอยู่ท้ายแถว เขาก้มศีรษะมองต่ำ ไม่แสดงความคิดเห็นกับเรื่องที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่กำลังถกเถียงกัน มิคาดว่าเมื่อจบการประชุมช่วงเช้าแล้ว ฮ่องเต้จะมีรับสั่งให้เขารั้งอยู่ก่อน
   โถงว่าราชการกว้างใหญ่เวลานี้เหลือเพียงเจ้าชีวิตบนบัลลังก์สีทอง และซื่อเสวี่ยนที่ยืนก้มศีรษะลงต่ำและประสานมืออย่างนอบน้อม
   “ซือจง เงยหน้า”
   ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าตามรับสั่ง แต่ดวงตายังคงมองเพียงฐานบัลลังก์จึงไม่เห็นว่าพระหม่ืนปีทอดพระเนตรมองเขาอย่างพิจารณา
   “อาหารที่สกุลเฉินไม่ถูกปากเจ้าหรือ”
   คำถามที่ดูปราศจากที่มาที่ไปทำให้ซื่อเสวี่ยนมึนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะนึกได้ว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขากินข้าวได้น้อยลงมาก จึงไม่แปลกที่จะดูซูบผอมไปบ้าง “หามิได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมฝึกวิชา”
   ฝึกวิชาเป็นเรื่องจริงแท้ จะเรียกว่าหลอกลวงเบื้องสูงคงไม่ได้
   หนานจงฮ่องเต้ไม่ตรัสอะไร ทรงมองดูขุนนางของพระองค์อยู่ครู่หนึ่ง ขุนนางที่มีพระประสงค์จะให้เป็นกระบี่ฆ่าฟันศัตรูบัดนี้เติบโตเป็นคนหนุ่มที่ฝีมือและกริยาล้วนไม่มีที่ติ ส่องประกายแม้ยังอยู่ในฝัก เหมาะสมที่จะเป็นกระปี่ของพระองค์
   “ปีนี้อายุเท่าใด”
   “ย่าง 20 แล้วพะย่ะค่ะ”
   “ต้องใจบุตรสาวตระกูลใดบ้างหรือไม่”
   ซื่อเสวี่ยนค้อมศีรษะลงแล้วตอบปฏิเสธ แต่ในใจนึกกลัวอยู่ไม่น้อย ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์ให้เขาแต่งบุตรสาวตระกูลใด ต้องการลากตระกูลไหนมาเป็นโล่อีก หมากบนกระดานของพระองค์ล้วนแต่คาดเดาไม่ได้
   “อยู่กินข้าวกับเรา”
   
   สำหรับซื่อเสวี่ยน หนานจงฮ่องเต้เปรียบได้กับอาจารย์ เพราะนอกจากจะทรงส่งเสริมสนับสนุนเขาแล้ว ยังสั่งสอนทั้งเรื่องการเมืองและการทหาร หากไม่มีหนานจงฮ่องเต้ ตระกูลเฉินย่อมไม่มีทางกลายเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ สายตาที่ผู้อื่นมองเขาว่าเป็นตัวโชคร้ายย่อมไม่แปรเปลี่ยนเป็นชื่นชม แต่ภายใต้ความรู้สึกขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณนี้ยังแฝงไว้ด้วยความเกรงกลัวและระมัดระวังอย่างเลี่ยงไม่ได้




   ซื่อเสวี่ยนได้พบอี้เทียนอีกครั้งก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนต่อมา สหายที่ไม่ได้พบเสียนานดูซูบผอมลงไม่น้อย แม้แต่สีหน้าก็ดูหม่นหมองอยู่บ้าง
   “สบายดีหรือ”
   คำถามที่ฟังดูห่างเหินนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวพวกเขาอึมครึมยิ่งกว่าเดิม ซื่อเสวี่ยนตอบรับในลำคอ ไม่ทราบจะกล่าวอะไร ในใจเต็มไปด้วยคำถาม ตลอดจนข้อความตัดพ้อที่ไม่สามารถเปล่งวาจาได้ ด้วยเขาเป็นบุรุษ และเป็นเพียงสหาย
   “มารดาต้องการให้ข้าแต่งงาน ข้ายังไม่อยากแต่ง จึงจะไปชายแดนกับบิดา”
   แต่งงาน พวกเขาถึงวัยนั้นแล้ว ลู่เสียน โม่โฉว หรือแม้แต่จางเหว่ยที่เด็กกว่าหนึ่งปียังแต่งภรรยาเรียบร้อย บุตรชายของลู่เสียนเริ่มพูดได้แล้วด้วยซ้ำ กาลเวลาผ่านไปเร็ว แต่บางอย่างยังไม่เปลี่ยน เช่นว่าหน้าที่ในการสืบสกุล นอกเสียจากว่าไม่ใส่ใจความเป็นไปของสกุลแล้ว อย่างไรสักวันก็จำต้องแต่งภรรยา มีบุตรธิดาอยู่ดี ทั้งอี้เทียนและตนเอง ซื่อเสวี่ยนยกมุมปากตนเองขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างยากลำบาก
   “รักษาตัวด้วย”
   ซื่อเสวี่ยนพูดได้เพียงประโยคสั้นประโยคนี้เท่านั้น ยามรู้สึกได้ว่าฝ่ามือของอีกคนวางบนไหล่ของเขาแล้วบีบแน่น หากเป็นเช่นทุกที มือคู่นี้คงดึงเขาเข้าไปกอดอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วตบหลังปลอบใจบอกว่าจะซื้อของแปลกๆ จากชายแดนมาให้ แต่ในเวลานี้มือคู่นั้นยังค้างอยู่แค่บนไหล่ พร้อมกับคำอำลาเรียบง่าย
   “ข้าไปก่อน”

   

   ยมโลก
   บุรุษในชุดคลุมยาวสีดำสนิท นั่งอยู่บนตั่งทองของหอนอนที่อยู่สูงที่สุดในเขตแดนแห่งความตายนี้แต่เพียงผู้เดียว ตรงข้ามกับตั่งทองคือกระจกใสรูปวงรีสูงราวหนึ่งช่วงแขน ลอยอยู่กลางอากาศ สะท้อนภาพของซื่อเสวี่ยนที่มองตามหลังอี้เทียนที่ควบม้าจากไป
   รอยยิ้มที่ประดับใบหน้าของซื่อเสวี่ยนจางหายไปแล้ว รอยยิ้มที่เขาไม่ชอบบางทีคงเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น แผ่นหลังที่เคยเหยียดตรงของตนในกระจกดูคล้ายจะลู่ลงเล็กน้อยเหมือนคนหมดแรง มือเรียวขาวดังมือของนักกวีหยิบมีดพับเล่มหนึ่งของจากอกเสื้อ เป็นมีดพับที่อี้เทียนหรือตัวเขาเมื่อยังเป็นมนุษย์มอบให้กับซื่อเสวี่ยน ซื่อเสวี่ยนเปิดมันออก มองใบมีดสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย ก่อนที่จะจรดมันลงบนปลายนิ้ว ทำให้โลหิตสีแดงไหลออกมาจากปากแผลเล็กๆ
   อี้เทียนผุดลุกขึ้นจากตั่งทอง ก้าวไปยังกระจกใสด้วยลมหายใจกระชั้น มือทั้งสองข้างจับขอบกระจกไว้ ใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่าใบมีดนั้นกรีดลงบนหัวใจตนเอง เพิ่งรู้ว่าตอนที่เขาจากไปชายแดนคราวนั้น ซื่อเสวี่ยนทำร้ายตัวเองเช่นนี้
   นอกจากนั่งมองผ่านกระจก เขาผู้เป็นถึงเทพยามา ไม่สมารถทำอะไรได้เลย บางทีนี่คือการชดใช้กรรมของเขา เป็นสวรรค์บอกต่อเขาว่าต่อให้ดิ้นรนฝืนลิขิตเป็นผู้ครองยมโลก มีชีวิตอมตะหมื่นปี ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงลิขิตที่สวรรค์กำหนดไว้ได้ ถ้าอย่างนั้นเขาเป็นเพทยามาไปเพื่ออะไร ต่อให้แทรกแซงดวงวิญญาณดวงอื่นได้ กลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของบุคคลเดียว กระจกส่องภพทำให้เขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เข้าใจความรู้สึกของซื่อเสวี่ยนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แต่ไม่สามารถช่วยเหลือ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตของพวกเขาได้
   หลายครั้งที่เขาทนไม่ไหว อยากไปโลกมนุษย์ แย่งชิงอีกคนกลับมา แต่คำเตือนของอาจารย์ก็มักจะดึงสติของเขาไว้


   “ตัวเจ้ามีผลกระทบกับเขามาก ถ้าเจ้าเข้าไป เกรงว่าไม่กี่เพลา ลิขิตของเขาก็บิดเบี้ยวแล้ว ใครเข้าไปได้ แต่เจ้าไปไม่ได้”
   “หรือต่อให้เจ้าฝืนชะตาได้ ก็ต้องยอมรับผลของการเปลี่ยนแปลงนั้น เขาอาจมีจุดจบที่ดีในโลกมนุษย์ แต่ไม่ได้เป็นเซียนไปตลอดกาล สวรรค์ต้องการการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันเสมอ”
   “นี่คือผลกรรมของข้าหรือขอรับ แม้พบก็มิอาจครอบครอง ต้องการช่วยเหลือยังไม่อาจทำได้ เช่นนั้นข้าจะเป็นเทพยามาไปเพื่ออะไร”
   “ศิษย์ข้า เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้าลองไตร่ตรองดูเถิด”
   “คนรักของเจ้าเป็นคนพิเศษ เจ้าเป็นบ่วงรักของเขา เขาเองก็เป็นบ่วงรักของเจ้าและผู้มีบุญหนักอีกผู้หนึ่ง มนุษย์ตัวเล็กๆ คนเดียวกลับเป็นบ่วงรักของเทพชั้นสูงสององค์ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นจึงมีคนต้องการขัดขวางหรือแม้แต่จำกัดเขา”
   “ท่านอาจารย์ทราบหรือขอรับว่าเป็นผู้ใด”
   “วางใจเถอะ แม้นางจะมีอำนาจมากล้น แต่นางก็ไม่อาจฝืนลิขิตสวรรค์เช่นกัน ดังนั้นขอแค่เขาผ่านด่านคุณธรรมสุดท้ายนี้ไปได้ แสดงให้เห็นว่าสวรรค์ยอมรับตัวตนของเขาได้ นางจะวางมือเอง”
   
   


   อี้เทียนมองภาพเคลื่อนไหวผ่านกระจก ใบหน้าฉายแววครุ่นคิด หากเขาเข้าไปแทรกแซงตอนนี้ เกรงว่าคงจะตกหลุมพรางที่คนผู้นั้นตั้งใจทำลายซื่อเสวี่ยน ที่ส่งดวงจิตของซื่อเสวี่ยนกลับไปยังอดีตชาติ เป้าหมายคงไม่ได้มีแต่ซื่อเสวี่ยนคนเดียว แต่ยังรวมถึงตัวเขาด้วย
   บ่วงรักของเทพชั้นสูงสององค์ เขาไม่ยอมรับ แต่ในใจคาดเดาได้อยู่แล้วว่าเป็นผู้ใด อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะเปลี่ยนบ่วงรักของเขาให้กลายเป็นด้ายแดงเอง แต่บ่วงที่ผูกมัดอดีตของซื่อเสวี่ยนไว้ ไม่ได้มีแค่บ่วงรัก แต่เป็นการที่เขาไม่ยินยอมให้อภัยตนเอง สิ่งนี้จะต้องผ่อนปรนให้ได้ ขอแค่...ไม่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของพวกเขาก็พอ




   #วิถีเซียน3p




……………………….
นี่พยายามจะลดดราม่าด้วยการ Fast forward ที่สุดแล้ว ถถถ


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กลั้นหายใจรอเลย

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
อย่า fast forward เยอะเลยครับ เดี๋ยวมันจะห้วนไปแบบ Game of Throne แล้วอารมณ์สะดุดนี่พังเลยนะครับ นี่เป็นบททดสอบคุณธรรมด่านสุดท้ายแล้ว ค่อยๆละเลียดแล้วให้คนอ่านซึมซับอารมณ์ดีกว่านะฮะ จะเศร้าหรือสุข อย่างน้อยก็ทำให้มันซาบซึ้งตรึงใจในอารมณ์ ผมว่าน่าจะดีต่อโทนเรื่องมากกว่าด้วย

ออฟไลน์ pepperpro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ตอนนี้บีบคั้นอารมณ์มากกว่านะครับ ถึงจะดูกระชับ แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิงใหญ่พอสมควรในเขตของเรื่องราวในอดีตชาติ

อยากรู้เรื่องต่อไปแล้ว มาต่อไวๆนะครับ

และเห็นด้วยกับเม้นบนนะว่าไม่ต้องรีบเพราะชาตินี้อยากจะละเมียดละไมกับที่มาที่ไป รวมถึงปมต่างๆของซือเสวี่ยน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
เราอยากรู้เรื่องของทางฝั่งอี้เทียนบ้างจัง ความรู้สึกของอี้เทียนที่มีต่อซือเสวี่ยนตอนที่ได้ใกล้ชิดกัน และตอนที่ตัดสินใจแยกห่าง อี้เที้ยนรู้สึกอย่างไร
เราอยากให้ภพนี้ดำเนินเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมๆ กับที่อยากรู้ว่าเพราะสาเหตุใดพระแม่ถึงคอยเข้ามาแทรกแซงการเป็นเซียนของซือเสวี่ยน

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0



The Great General (7)

   


   ท่านปู่เคยกล่าวว่าคนเราจะมีดวงดาวประจำตัวอยู่ดวงหนึ่งบนฟากฟ้าที่ห่างไกล ดวงดาวดวงนั้นจะคอยปกป้องเรา มองดูเรา และเป็นผู้นำทางของเรา ตอนที่เขายังเด็กมาก เขาเคยพยายามมองหาดวงดาวที่ว่านั่น แต่เมื่อโตขึ้นมาหน่อย จึงเรียนรู้ว่าไม่มีดวงดาวนำทางหรือปกป้องที่ว่า มีแต่ตนเองเท่านั้น
   บิดาตั้งชื่อเขาว่า ‘เทียน’ แปลว่าฟ้า เจตนาให้เขาเป็นฟ้าของตระกูลอี้ ดังนั้นจึงเข้มงวดกับเขามากกว่าคนอื่นๆ ตั้งแต่เริ่มเดินได้ก็ต้องเริ่มฝึกยุทธ์ ไม่ได้เที่ยวเล่นเหมือนคนอื่น แม้แต่บรรดาพี่น้องในจวน เขายังพูดคุยด้วยนับครั้งได้ ตั้งแต่จำความได้ เพื่อนเล่นของเขาก็มีแต่กระบี่เท่านั้น หากเมื่อใดเขาทำได้ไม่ดี บิดาจะลงโทษเขาเสมอ หลายครั้งนึกสงสัยว่าอะไรที่เรียกว่าดีพอ เขาต้องพยายามอีกแค่ไหนถึงจะดีพอ ท่านปู่บอกว่านั่นคือวิธีแสดงความรักของบิดา แต่แม้ว่าเขาจะพยายามเข้าใจ ก็ยังไม่เคยรู้สึกได้ถึงความรักเลยสักครั้ง
   เขาเป็นความคาดหวังของบิดา แต่จะใช่ความรักหรือเปล่า เขาไม่แน่ใจ ท่านปู่บอกว่าสำหรับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลอี้แล้ว เกียรติยศของตระกูลเป็นเรื่องหลัก ครอบครัวเป็นเรื่องรอง เขาต้องเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป ดังนั้นบิดาจึงอบรมสั่งสอนวิถีของผู้นำให้เขา
   อันที่จริง เขาไม่เคยอยากเป็นผู้นำ เขาเพียงอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น ได้กินอาหารพร้อมหน้ากับท่านปู่ บิดา มารดา และบรรดาพี่น้อง ไม่ทราบเมื่อไรที่เขาตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้ อาจจะเป็นตอนที่อ่านสายตาบรรดาพี่น้องออกเป็นครั้งแรกก็เป็นได้ สายตาที่มองเขาเป็นคนแปลกหน้า หวั่นเกรง โกรธ หรือแม้แต่เกลียดชัง
   ถ้านี่คือวิถีของผู้นำที่ว่า เขาไม่อยากเป็น
   นับตั้งแต่นั้น เขาจึงทำตัวเริ่มทำตัวเกเร ไม่ยอมเป็นคุณชายน้อยที่เชื่อฟังบิดาอีก ไม่เชื่อว่าสิ่งที่บิดาทำคือความรักอีก ในเมื่อต้องการให้เขาเป็นผู้นำ ดังนั้นเขาจะอาศัยอำนาจบารมีของการเป็นคุณชายตระกูลใหญ่กระทำในเรื่องที่เขาอยากทำให้เต็มที่ ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าผู้ใด
   ไม่คิดว่าเพียงตัดสินใจว่าจะสร้างความลำบากให้บิดาให้งานเลี้ยงบ้านสกุลหลิน เขากลับได้พบคนผู้หนึ่ง เด็กคนนั้นดูน่าจะอ่อนวัยกว่าเขา ใบหน้าเล็ก ผิวขาว ปากแดง และมีแก้มน้อยๆ น่ารักเหมือนกับตุ๊กตา น่ารักกว่าบรรดาน้องสาวน้องชายทุกคนที่เขาเคยเห็น โดยเฉพาะดวงตากลมโตกระจ่างใสที่มองเขาโดยปราศจากความกลัว ความโกรธเกลียด มีเพียงคำถามและความอยากรู้อยากเห็น และยังตอบคำถามไร้มารยาทของเขาตามตรงว่าที่นั่งอยู่คนเดียวก็เพราะไม่มีสหาย เขาไม่เคยพบใครที่ตรงไปตรงมา และกล้ายอมรับความจริงเช่นนี้มาก่อน ทั้งที่ตัวเล็กบอบบางจนดูน่ารังแกขนาดนี้แท้ๆ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกอยากปกป้องขึ้นมา ตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกเขาว่าพี่อี้ เขารู้สึกเหมือนบางอย่างขยับขยายอยู่ภายในใจ เวลานั้นเขายังไม่เข้าใจ รู้แต่ว่าดีใจที่มีน้องชาย ดีใจที่มีคนให้เขาปกป้องดูแลแล้ว
   และอาจเพราะมีคนให้ปกป้องดูแล เขาจึงยอมฝึกยุทธ์ต่อไป ยอมเข้าเรียนที่เฟิงจวน แม้จะยังไม่ล้มเลิกการอาศัยบารมีตระกูลกระทำตามใจตนเอง แต่ก็ไม่นับว่าออกนอกลู่นอกทางนัก ด้วยเกรงว่าหากเขาไม่เก่ง จะดูแลซื่อเสวี่ยนได้ไม่ดีพอ ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว ซื่อเสวี่ยนคือดวงดาวนำทางดวงนั้น เป็นแสงสว่างของเขา


   อี้เทียนยืนอยู่บนปราการสูง เงยหน้ามองดวงดาวนับล้านบนท้องฟ้ายามราตรี ชายแดนหนาวเหน็ยยังไม่สู้ใจของเขา รอยยิ้มของซื่อเสวี่ยนปรากฏขึ้นในห้วงความคิด แม้จะยิ้มให้เขาแต่ดวงตากลับเศร้านัก ทั้งที่ตั้งใจจะปกป้องดูแลไปตลอด แต่สุดท้ายยังทำให้เสียใจ แต่ซื่อเสวี่ยน ข้าทำให้เจ้าแปดเปื้อนไม่ได้ เจ้าสมควรได้รับการยกย่อง ชื่นชม ศรัทธา เป็นดวงดาวที่เจิดจรัสอยู่บนฟากฟ้า เป็นดาวที่งดงามที่สุด





   สามปีต่อมา เฉินตงได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสอง รั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง ส่วนซื่อเสวี่ยนบุตรชายได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสี่ กรมกลาโหม ขณะที่อี้เทียนได้เป็นตูตู ขอเพียงนำทัพใหญ่จนประสบความสำเร็จสักครั้ง ก็มีโอกาสได้เป็นเจียงจวินที่อายุน้อยที่สุดประวัติศาสตร์ สามปีที่ผ่านมา ซื่อเสวี่ยนได้เจออี้เทียนเพียงครั้งเดียว พวกเขาทักทายและทานอาหารในหอสุราได้เหมือนสหายทั่วไป แม้แต่โม่โฉวยังดูไม่ออกว่าผิดปกติตรงไหน ด้วยเพราะบัดนี้ต่างเติบโตขึ้น บรรดาสหายล้วนเป็นพ่อคนกันหมดแล้ว จะให้สนิทสนมหยอกล้อเช่นแต่ก่อนคงเป็นไปได้ยาก ระหว่างเขากับอี้เทียนก็เช่นกัน ยังคงดูแลเอาใจใส่และเข้าใจกัน เพียงแต่มีกำแพงบางๆ กั้นไว้ไม่ให้ก้าวข้ามไปเท่านั้น กล่าวได้ว่านอกจากโลกของเขาที่มืดและหนาวกว่าเดิม อย่างอื่นล้วนดำเนินไปอย่างที่ควรเป็น รวมถึงการแต่งภรรยา
   
   เทียนเชิญถูกยื่นมาให้ โชคดีที่เขาทราบข่าวเรื่องการแต่งงานของอี้เทียนกับบุตรสาวตระกูลซุน ซุนเจียวเจี๋ย อยู่ก่อนแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ได้ยากเต็มที
   “ยินดีด้วย”
   “ซื่อเสวี่ยน ข้า...” มือที่เคยวางแค่บนไหล่เมื่อสามปีก่อน เวลานี้กลับดึงเขาเข้าไปกอดแน่นจนแทบปราศจากช่องว่าง เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูเจืออาการสั่นสะท้านอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน “ไม่ว่าอย่างไร ยังคงเป็นพี่อี้ของเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”
   คำสัญญาที่ทำให้หัวใจซื่อเสวี่ยนกระตุกด้วยความเจ็บปวด เพราะรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ พี่อี้ของเขา...ไม่มีแล้ว




   ภพสวรรค์ วังตะวันออก   
   ร่างสูงสง่าของผู้เป็นเจ้าวังยืนอยู่ในศาลาพักรอบริเวณสะพานข้ามภพ ศาลาที่จิวซือเคยทำความสะอาดเมื่อคราวที่ใช้ต้อนรับแขกในงานชุมนุมเทพเซียน ดวงตาสีทองสว่างราบเรียบเสียจนมองไม่ออกว่าภายใต้หน้ากากสุขุมนั้น เจ้าตัวกำลังหงุดหงิดและวุ่นวายใจ เป็นอาการที่เกิดขึ้นน้อยจนนับครั้งได้ อาการเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะเขาดูกระจกส่องภพ เห็นความทุกข์ใจที่เด็กคนนั้นพยายามข่มกลั้นไว้ และทราบว่าต่อไปจะต้องพบเจอกับเรื่องราวอะไรบ้าง ก็นั่งไม่ติด กระทั่งต้องออกมาสูดอากาศข้างนอก
   อวิ๋นหนานถอนหายใจอย่างไม่เข้าใจตนเอง ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรจึงตัดไม่ได้ เพราะเหตุใดจึงไม่อาจตัดสายสัมพันธ์ที่ยังร้อยไว้แค่หลวมๆ เส้นนี้ลง กระทั่งสายตาหันไปเห็นบัวสวรรค์ดอกหนึ่งค่อยๆ แย้มบานออกทีละกลีบ สระน้ำกว้างใหญ่ของวังตะวันออกปลูกแต่บัวสวรรค์ ซึ่งปกติแล้วจะมีแต่ใบและดอกตูมสีเขียว ขณะที่ดอกบัวบานหายากมาก ร้อยปีจะบานสักดอกหนึ่ง แต่เมื่อมันแย้มบานแล้ว ดอกบัวจะเป็นสีขาวบริสุทธิ์ยิ่งกว่าหิมะแรกฤดู ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว กลิ่นหอมเฉพาะตัวของบัวสวรรค์ลอยมาแตะจมูก ทำให้อวิ๋นหนานชะงักค้างอยู่กับที่
   กลิ่นนี้...
   กลิ่นบัวสวรรค์ที่เขารู้สึกได้จากตัวของจิวซือ แม้จะอ่อนบางแต่เป็นกลิ่นนี้ไม่ผิดแน่ เป็นกลิ่นเดียวกับเขา ตัวเขาเกิดจากบัวสวรรค์ มิได้เกิดจากไข่มังกรของมารดา แรกเริ่มลืมตาก็มีร่างกายเต็มวัย สมบูรณ์แบบอย่างเทพชั้นสูงแล้ว กลิ่นบัวสวรรค์จึงเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของเขา เพียงแต่การที่ร่างกายมีกลิ่นหอมลอยไปหลายร้อยลี้มิใคร่สะดวกนัก เขาจึงสะกดมันไว้ตั้งแต่เกิด จนแทบลืมไปว่านี่คือกลิ่นของตัวเอง การที่เซียนน้อยตนหนึ่งซึ่งมาภพสวรรค์ด้วยการบำเพ็ญเพียรมีกลิ่นนี้ติดตัวโดยธรรมชาติแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้...
   ความคิดที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะไปคราหนึ่ง ดวงตาสีทองมีประกายความไม่แน่ใจพาดผ่าน กระนั้นก็เรียกให้คงเหวินมาหา

   “ท่านเจ้าวัง”
   น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นโดยที่ยังไม่ละสายตาจากบัวสวรรค์ดอกนั้น “เดือนยี่ เมื่อห้าปีก่อน ข้าอยู่ที่ใด”
   คงเหวินมีสีหน้าแปลกใจ แต่ก็เรียกสมุดบันทึกประจำวันออกมา สมุดบันทึกเล่มหนามีปกสีทองและสันปกสีดำ กว้างประมาณสองคืบ ยาวประมาณหนึ่งศอก ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบกลางอากาศ คงเหวินบอกเวลาตามที่อวิ๋นหนานอยากทราบ สมุดบันทึกก็เปิดออก พร้อมกับหน้ากระดาษที่พลิกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดลง
   คงเหวินอ่านข้อความสั้นๆ ในหน้ากระดาษที่เปิดค้างไว้ แล้วพลันนึกออกว่าตอนที่เขาไปรอรับตงหวางที่กลับมาจากภารกิจ เจ้านายของเขามีสีหน้าซีดเซียวกว่าปกติ และปวดศีรษะเล็กน้อย แต่เพียงไม่กี่อึดใจอาการดังกล่าวก็หายไป จึงคาดเดาว่าเป็นเพราะข้ามภพขณะที่ดวงจิตไม่มั่นคง เดือนยี่ เมื่อห้าปีก่อน ตงหวางอยู่ที่...
   “ภพมนุษย์ขอรับ”
   ได้ยินเสียงสูดหายใจลึก หลังจากนั้นคือความเงียบ ซึ่งคงเหวินทราบว่าเจ้านายกำลังรอให้เขาพูดต่อ

   “ภพมนุษย์ นครต้าเสิน ร่างจำแลงหนานจงฮ่องเต้ เผชิญด่านรัก”
   สิ้นเสียงของผู้ช่วยคนสนิท อวิ๋นหนานสะท้านราวกับถูกฟ้าผ่า เขาหลับตาลง พยายามเรียกความทรงจำของช่วงเวลานั้นออกมา ทว่ากลับพบว่าความทรงจำของเขาขาดๆ หายๆ เขาเพ่งพลังเทพของตนไปยังกลางหน้าผาก ซึ่งเป็นจุดที่บรรจุความทรงจำอันยาวนานของเทพ คราแรกไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่เมื่อเขารวมสมาธิและส่งพลังเทพเข้าไปอีกครั้ง ค่อยเห็นจุดด่างเล็กๆ ที่แทบกลืนเป็นเนื้อเดียวกับแก้วผลึกสีทองของเขา
   หากบัวสวรรค์ดอกนี้ไม่บานต่อหน้า เขาคงไม่สะกิดใจสงสัย
   ใบหน้ารูปสลักขรึมลงทันตา ดวงตาสีทองสาดประกายกร้าวแสดงถึงความครุกรุ่นที่ปะทุอยู่ภายใน ไอเทพเข้มข้นทำให้เกิดรัศมีสีทองรอบตัวเขา และส่งผลให้มวลอากาศโดยรอบหนักอึ้ง กดดันจนผู้อื่นหายใจลำบาก ขณะที่คงเหวินต้านทานไม่ไหว ต้องถอยร่นไปสองก้าว ร่างของอวิ๋นหนานก็เลือนหายไป




#วิถีเซียน3p




..............
ปล. 1 อี้เทียนคือดวงอาทิตย์ของซื่อเสวี่ยน ส่วนซื่อเสวี่ยนคือดาวนำทางของอี้เทียน
ปล. 2 ตงหวาง ยินดีด้วยคุณไม่ได้เริ่มช้ากว่าคู่แข่งเท่าไรนัก คุณแค่ถูกทำให้ลืมไป
ปล. 3 พอกลับไปเก็บๆ ประเด็นที่โยนทิ้งไว้แล้วก็รู้สึกว่าอาจจะต้องมีแก้เล็กๆ น้อยๆ ตามประสาคนไม่วางพล็อต T^T เดี๋ยวเราแก้อะไรบ้างจะบอกอีกทีนะคะ น่าจะนิดหน่อยอ่ะ ไม่กระทบเนื้อเรื่องค่ะ อย่างเช่นฉากตอนที่อี้เทียนตายในภพมนุษย์อะไรงี้ ส่วนเรื่องบัวสรรค์นี้ก็เพิ่งจะนึกได้ เกือบลืมไปแล้ว T^T   



ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
แสดงว่าจะต้องมีเรื่องในอดีตที่เกี่ยวโยงเชื่อมกันสินะ

อี้เที้ยนเองก็มีใจให้ซือเสวี่ยว แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้ความรู้สึกให้แก่กัน


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :a5: ต้องทบทวนแล้วทำความเข้าใจใหม่ละ​ ว่าลืมอะไรไป

ออฟไลน์ Rabbitongrass

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มาเป็นมหากาพย์เลย ยินดีกะผู้เขียนด้วยที่ยังแก้พล็อตทันไม่ออกทะเลไปซะก่อน
ขอเดาตอนต่อไป
สรุปว่าพี่อี้แทนคุณ เอ๊ย อี้เทียน โดน ตงวานสะกัดดาวรุ่งเรื่องการจัดสมรส > เหตุหน้ามืดขี่ม้าประชดชีวิต > ซีนสารภาพรักขณะร่างพรุน > ย้อนกลับมาภพเซียน(หลังจากขยี้มุมมองของทั้งสามคนอย่างละเอียด) > ไปต่อกรแม่นางคนที่สั่งให้ปัดเศษสูตรคำนวญการฝึกเป็นเซียน เอ๊ย เพิ่มความยากลำบาก > ซีนไปฟ้องศาลปกครอง(เทพเซียน)เรื่องขาดคุณสมบัติฯการเป็นเซียนที่ดี

ออฟไลน์ NuTonKaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
รอติดตามจร้า~~~ :ling1:

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
The Great General 8




   จวนสกุลเฉิน

   ซื่อเสวี่ยนอุ้มน้องสาวที่แต่งตัวเหมือนตุ๊กตาตัวน้อยในอ้อมแขน แล้วพานางเดินเล่นภายในจวน สกุลเฉินกว้านซื้อที่ดินโดยรอบ และขยับขยายจนเหมาะสมกับฐานะของเฉินตงผู้รั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง เฉินหนิงเอ๋อร์เติบโตขึ้นเป็นเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ที่ขี้เล่นซุกซน ยิ้มง่ายหัวเราะง่าย แตกต่างจากบรรดาพี่น้อง เรียกได้ว่าเป็นแก้วตาดวงใจที่เฉินตงและซื่อเสวี่ยนประคองไว้บนฝ่ามือ
   “พี่ใหญ่ เอาดอกนั้น” มือเล็กป้อมชี้ดอกบัวสีชมพูอ่อนที่อยู่กลางสระ ดวงตากลมโตมองซื่อเสวี่ยนด้วยแววตาออดอ้อน
   ซื่อเสวี่ยนแสร้งทำท่าคิด แล้วกล่าวว่า “ไกลจัง พี่ใหญ่ไม่มีแรง”
   เด็กน้อยเอียงคออย่างสับสน ปกติพี่ใหญ่โบยบินเหมือนนกตัวใหญ่ เก่งกาจยิ่งกว่าผู้ใด ไฉนบอกว่าไกลเกินไป แต่เมื่อเห็นซื่อเสวี่ยนก้มหน้ามาใกล้ เฉินหนิงเอ๋อร์ก็เข้าใจว่าพี่ใหญ่ของนางต้องการเติมพลัง ดังนั้นปากเล็กจึงหอมแก้มพี่ชายฟอดใหญ่ แล้วหัวเราะคิกคัก ซื่อเสวี่ยนพลอยถูกเสียงหัวเราะชอบใจของน้องสาวทำให้มีรอยยิ้มไปด้วย
   ซื่อเสวี่ยนส่งหนิงเอ๋อร์ให้กับพี่เลี้ยง แต่เพิ่งจะก้าวไปได้เพียงก้าวเดียวก็เห็นร่างเงาของคนผู้หนึ่งทะยานไปยังสระบัว แล้วเด็ดบัวดอกนั้น ก่อนจะร่อนลงข้างกายของเขา บุคคลที่ประพฤติตนในจวนสกุลเฉินเสมือนเป็นหลังบ้านของตนเอง หากไม่ใช่อี้เทียนแล้วยังจะมีผู้ใด ซื่อเสวี่ยนถอนหายใจเมื่อเห็นสหายคุกเข่าตรงหน้าหนิงเอ๋อร์ พร้อมทั้งยื่นดอกบัวสีชมพูให้ เด็กน้อยตาโต แล้วโผไปกอดเขา “พี่รอง!”
   “หนิงเอ๋อร์ พี่รองก็หมดแรง”
   สิ้นคำ จมูกและปากเล็กๆ ของหนิงเอ๋อร์ก็แตะแก้มของอี้เทียน กล่าวเสียงหวานว่า “พี่รองหายเหนื่อย”
   อี้เทียนหัวเราะ อุ้มเด็กน้อยขึ้นมา แล้วหันไปยิ้มให้ซื่อเสวี่ยน เขาชอบเวลาซื่อเสวี่ยนอยู่กับหนิงเอ๋อร์ ฝ่ายนั้นดูอบอุ่นอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้เขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศแบบนั้น หลายครั้งเผลอคิดว่าหากพวกเขามีลูกด้วยกัน ซื่อเสวี่ยนคงจะรักและเลี้ยงดูลูกๆ อย่างอบอุ่นเช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเพียงความคิดเพ้อฝันอันเลื่อนลอย ดังนั้นเขาจึงให้หนิงเอ๋อร์เรียกเขาว่าพี่รอง ยัดเหยียดตนเองเข้าไปในความสัมพันธ์อันบริสุทิ์อ่อนหวานนี้
   ให้หนิงเอ๋อร์เรียกเขาว่าพี่รอง ให้ฮูหยินเรียกเขาว่าท่านพี่ เพราะคำว่า ‘พี่อี้’ สงวนให้คนเพียงคนเดียว ส่วนคำว่าท่านพ่อนั้น บางทีชาตินี้คงไม่มีผู้ใดใช้เรียกขานเขา ด้วยเขาไม่คิดมีบุตรธิดา หัวใจของเขาไม่มีที่ว่างพอสำหรับผู้อื่น แม้แต่บุตรธิดาที่อาจถือกำเนิดมา เกรงว่าไม่สามารถรักพวกเขาได้อย่างสนิทใจ และไม่อาจทำหน้าที่บิดาอย่างสมบูรณ์ หน้าที่สืบสกุลได้แต่มอบให้พี่น้องคนอื่นรับผิดชอบแล้ว
   “พี่รองจะอยู่กินข้าวเย็นกับหนิงเอ๋อร์”
   “อื้ม!” เด็กน้อยยิ้มดีใจ ก่อนจะหันมาหาพี่ชายอีกคน “แล้วพี่ใหญ่?”
   ซื่อเสวี่ยนถูกจ้องด้วยดวงตาสองคู่ คู่หนึ่งไร้เดียงสา คู่หนึ่งลึกล้ำ แต่ที่คล้ายกันก็คือประกายคาดหวังรอคอยให้เขาตอบตกลง ซื่อเสวี่ยนกลั้นยิ้ม เอื้อมมือไปลูบศรีษะของน้องสาว “พี่ใหญ่ก็อยู่”
   “เย้!”



   ลีฮูหยินผ่านเรื่องราวของหญิงชายและการแย่งชิงความรักมาไม่น้อย มีหรือจะมองไม่ออกว่าระหว่างบุตรชายและคุณชายสกุลอี้ มิใช่ความสัมพันธ์ของสหายธรรมดา เดิมทีอี้เทียนแต่งภรรยา นางโล่งใจด้วยคาดว่าเด็กสองคนคงเว้นระยะห่างที่สมควร นางไม่ห่วงว่าซื่อเสวี่ยนจะออกนอกลู่ทาง แต่เกรงว่าเขาจะเจ็บช้ำเพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น ไม่คิดว่าแม้อี้เทียนจะแต่งภรรยาแล้วก็ยังคงสนิทสนมกับซื่อเสวี่ยนเช่นเดิม แทบจะบุรุกเข้ามาในชีวิตส่วนตัวของบุตรชายนางมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ราวกับว่าเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของซื่อเสวี่ยน
   หากคุณชายอี้บริสุทธิ์ใจ นางหรือจะรังเกียจ ตรงข้ามต้องซาบซึ้งใจที่ตระกูลอี้เอ็นดูและสนับสนุนซื่อเสวี่ยนด้วยซ้ำ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของซื่อเสวี่ยนในกรมกลาโหม นอกจากฮ่องเต้แล้ว ตระกูลแม่ทัพอย่างสกุลอี้ก็มีส่วนสำคัญ สกุลเฉินและสกุลอี้เหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า มีไมตรีที่ดีต่อกันก็เพราะเด็กทั้งสอง เกรงว่าหากซื่อเสวี่ยนเป็นสตรี นายท่านสกุลอี้คงสู่ขอเขาให้กับอี้เทียนตั้งแต่เด็กแล้ว
   ลีฮูหยินขอบคุณสหายของบุตรชายผู้นี้ ในขณะเดียวกันสายตาของเขาที่ทอดมองซื่อเสวี่ยนก็ทำให้นางไม่สบายใจ เพราะเป็นสายตาที่บุรุษใช้มองสตรีที่รัก นางเห็นเด็กทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน มิอาจทำเป็นมองไม่เห็นความรักลึกซึ้งที่ถูกซ่อนไว้ได้
   อี้เทียนแต่งภรรยาได้สองปีแล้ว ยังไม่มีทายาท ยิ่งไปกว่านั้นยังมาเป็นแขกประจำของสกุลเฉิน หากไม่เล่นกับหนิงเอ๋อร์ ก็ฝึกซ้อมเพลงกระบี่ เดินหมาก หรือถกตำรายุทธ์กับซื่อเสวี่ยน กว่าจะออกจากจวนสกุลเฉินพระอาทิตย์ก็ตกดินแล้วแทบทุกครา เวลาทั้งหมดถูกใช้ที่นี่ แล้วภรรยาของอี้เทียนเล่า จะไม่แค้นใจหรือ ต่อให้คนทั่วไปทราบว่าทั้งสองเป็นสหายรัก และแม้เวลานี้ยังไม่เกิดเรื่องไม่สมควร แต่ในอนาคตเล่าจะมีผู้ใดรับรองได้ แผ่นดินต้าเสินไม่อาจยอมรับความรักระหว่างบุรุษ นางไม่รังเกียจที่บุตรชายรักใคร แต่ไม่อยากเห็นผู้ใดนินทาว่าร้ายซื่อเสวี่ยน

   เย็นวันนั้น หลังจากที่อี้เทียนกลับไปแล้ว ลีฮูหยินจึงตั้งใจสนทนากับซื่อเสวี่ยนอย่างจริงจังอย่างที่น้อยครั้งจะทำ
   “เสวี่ยนเอ๋อร์ อายุ 22 แล้ว ยังไม่ถูกใจบุตรสาวตระกูลใดอีกหรือ แล้วเมื่อไรแม่จะได้เห็นซื่อเสวี่ยนน้อยเล่า”
   คำถามของลีเหนียงทำให้ซื่อเสวี่ยนชะงักไปเล็กน้อย เห็นผู้ที่เขารักดังแม่แท้ๆ ยิ้มโดยที่ดวงตาแฝงความห่วงใย จึงได้แต่ถอนหายใจ เรื่องที่เขาพยายามหลีกเลี่ยง สุดท้ายก็เวียนมาถึงอยู่ดี
   “ข้ายังอยากดูแลหนิงเอ๋อร์ให้ดีก่อน”
   ลีฮูหยินรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง จึงกล่าวประโยคที่ทราบว่าจะทำให้บุตรชายปวดใจ แต่ปวดใจกับความจริง ยังดีกว่าให้เขาถล้ำลึกในหลุ่มบ่อที่ปีนออกมาไม่ได้ หรือแม้ปีนออกมาได้ ร่างกายยังคงเปื้อนด้วยโคลนที่ยากจะล้างออกได้หมด “แม้แต่สหายเจ้ายังแต่งงานกันหมดแล้ว อีกไม่นานคงมีคุณชายน้อยสกุลอี้มาวิ่งเล่นบ้านเรา”
   แม้คำครหาไม่คร่าชีวิตผู้ใด แต่อาจทำลายอนาคต ตอนที่ซื่อเสวี่ยนยังเด็ก เขาถูกผู้คนกล่าวหาว่าร้ายมามาก นางในเวลานั้นไม่เข้มแข็งพอจะปกป้องเขา แต่เชื่อเถิดว่าไม่มีแม่คนไหนอยากเห็นลูกของตนเองถูกคนอื่นว่าร้าย
   “แม่ไม่คิดเร่งรัด แต่อยากให้ลูกลองคิดเรื่องนี้ดูบ้าง อย่างไรเสียลูกก็ต้องแต่งงานมีครอบครัว มิสู้มองหาแต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าหญิงสาวดีงามจะถูกผู้อื่นชิงตัดหน้าไป”
   ซื่อเสวี่ยนรู้ว่านางหวังดี และตระหนักดีว่าสิ่งที่นางพูดมาทั้งหมดคือเรื่องจริง สองปีที่ผ่านมาเขายังคงหลอกตัวเอง ยืนอยู่กับที่ แม้หน้าที่การงานก้าวหน้าไปไกล แต่ลึกๆ แล้วยังคงเป็นซื่อเสวี่ยนแห่งเฟิงจวน
   หลังจากอี้เทียนแต่งงาน แทนที่ช่องว่างระหว่างพวกเขาจะกว้างขึ้น มันกลับแคบลง เพียงแต่มีกำแพงใสๆ กั้นไว้ ไม่ให้เข้าใกล้เกินคำว่าสหาย กล่าวว่ากลับมาเป็นเหมือนก่อนที่เขาจะทราบว่าตนเองหลงรักอี้เทียนเข้าให้แล้วก็ว่าได้ แต่เทียบกับตอนที่ฝ่ายนั้นไปชายแดนโดยไม่ติดต่อมาแล้ว เป็นแบบนี้ดีกว่า ให้เขาอยู่ในที่ของเขา และยังมีอี้เทียนอยู่ข้างๆ แม้ไม่อาจเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด แต่ก็ยังใกล้พอให้แสงตะวันดวงนั้นส่องผ่านมาถึง ไม่ให้หนาวเหน็บจนเกินไป
   เขาพอใจแล้ว บางทีในอนาคต ลูกของเขาและลูกของอี้เทียนอาจได้เป็นสหายรัก คอยช่วยเหลือกัน ความคิดที่ทำให้มุมปากของซื่อเสวี่ยนยกยิ้ม ขณะที่ในอกปวดแปลบ
   “เช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านแม่เห็นสมควรเถิด”
   



   เฉินซื่อเสวี่ยน ในวัย 24 ปี ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้น 3 รั้งตำแหน่งรองเสนาบดีกรมกลาโหม เดิมทีการที่ฮ่องเต้ให้เขาเป็นรองเสนาบดีด้วยวัยเพียงเท่านี้ คงเกิดการต่อต้านหรือถวายฎีกายับยั้งบ้าง แต่เมื่อปีก่อนเขาได้เป็นรองแม่ทัพ ออกรบชายแดนใต้ เสนอกลยุทธ์ลึกล้ำจนได้ชัย ประกอบกับได้พิสูจน์แล้วว่ามีฝีมือไม่ด้อยกว่าเจียงจวินและต้าเจียงจวินทั้งหลาย อีกทั้งยังนอนกลางดินกินกลางทราย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทหารทั่วไป และกลายเป็นสหายกับแม่ทัพนายกองหลายคน ฝ่ายกองทัพจึงเลือกที่จะสนับสนุนเขา อย่างน้อยเฉินเซื่อเสวี่ยนก็มีฝีมือจริงและที่สำคัญคือเขาเข้าใจความเป็นความตายของการศึก ย่อมต้องสนับสนุนการจัดหาเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์โดยไม่ละเลย ดีกว่าให้ขุนนางบุ๋นที่ดีแต่อ้างหลักการ อ้างตำรา แต่ไม่เคยเห็นเลือด ขึ้นมาเป็นใหญ่ในกรมกลาโหม
   การที่ซื่อเสวี่ยนได้ออกรบสมใจนั้น เป็นเพราะว่าเฉินตงขอพระราชทานสมรสระหว่างซื่อเสวี่ยนและหลิวเสี้ยนหรง บุตรสาวคนที่สองของเจ้าบ้านสกุลหลิว สหายของเฉินตง เดิมทีการแต่งงานของบุตรชายนั้น เฉินตงเพียงเห็นชอบคนเดียวก็ได้ เพียงแต่ในกรณีของซื่อเสวี่ยนนั้น เขาเปรียบได้กับศิษย์ของฮ่องเต้ เฉินตงจึงต้องขอพระราชทานอนุญาต หนานจงฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาตและตรัสจะพระราชทานสมรสให้ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันกลับมีรับสั่งให้ซื่อเสวี่ยนเป็นรองแม่ทัพออกรบ เฉินตงไม่อาจคาดเดาพระทัยเจ้าเหนือหัว จึงมิกล้ากำหนดวันมงคลสมรสให้บุตรชาย ดังนั้นเวลานี้หลิวเสี้ยนหรงจึงยังเป็นเพียงคู่หมั้นของซื่อเสวี่ยน


   หลังจากสิ้นสุดราชการในช่วงบ่าย หนานจงฮ่องเต้เรียกให้ซื่อเสวี่ยนอยู่ก่อน ทรงให้เขาตรวจดูฎีกาเกี่ยวกับการขอเพิ่มงบประมาณจัดซื้ออาวุธ และเกณฑ์ทหารที่ส่งมาจากชายแดนใต้ ซึ่งเพิ่งผ่านสงคราม ขณะที่ซื่อเสวี่ยนกำลังคำนวนว่าสมควรอนุมัติงบประมาณเท่าใด ก็ได้ยินเจ้าเหนือหัวตรัสถามว่า
   “อยากแต่งหรือไม่”
   คำถามที่ไม่คาดคิดทำให้ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าขึ้น เผลอจ้องพระเนตรของหนานจงฮ่องเต้ด้วยกริยาที่กล่าวได้ว่าไร้มารยาท ซื่อเสวี่ยนรู้สึกว่าสายพระเนตรที่มองเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่ทราบที่ตรงไหน เขามิกล้ามองนาน จึงรีบก้มหน้าลงตอบว่า “กระหม่อมไม่ขัดข้อง” สำหรับเขา แต่งกับผู้ใดก็เหมือนกัน ในเมื่อบิดาเลือกหลิวเสี้ยนหรง เขาก็เชื่อสายตาบิดา
   “ข้าถามว่าอยากไหม”
   “ทรงมี...” เขาเดาว่าหนานจงฮ่องเต้อาจมีบุคคลอื่นที่เห็นว่าเหมาะสมมากกว่า เป็นหมากในกระดานหรือโล่ที่เห็นว่ามีประโยชน์กับพระองค์ แต่ขุนนางไม่คาดเดาพระทัยเจ้าชีวิต เขาจึงตอบว่า “สุดแล้วแต่พระกรุณา”   
   “ซือจง เงยหน้า”
   สรุเสียงกังวานแฝงแววดุ และคล้ายกับมีอารมณ์บางที่ยากจะเข้าใจ
   “ตอบคำถามเรา”
   ซื่อเสวี่ยนไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่เขารู้สึกได้ว่าเจ้าเหนือหัวแปลกไป
   “กระหม่อมไม่เคยพบคุณหนูรอง สกุลหลิวมาก่อน”
   หนานจงฮ่องเต้ไม่ตรัสอะไรครู่หนึ่ง คล้ายกำลังทรงกำลังตัดสินใจ ขณะที่ซื่อเสวี่ยนคิดว่าเรื่องนี้เป็นอันสิ้นสุด ก็ได้ยินรับสั่งว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องแต่ง”
    ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าด้วยความไม่อยากเชื่อ สบตากับพระเนตรลึกล้ำที่ทอประกายสีทองจางๆ แต่เพียงกระพริบตาแสงสีทองก็หายไป ราวกับภาพลวงตา
   “ไว้เจ้าเจอคนถูกใจ ค่อยมาบอกเรา”
   สรุปคือเขากับคุณหนูหลิว...ไม่ได้ต้องสมรสแล้ว?
   “เขียนต่อไป”
   ซื่อเสวี่ยนไหนเลยมีอารมณ์เขียนความคิดเห็นของฎีกาในมือ ชายหนุ่มคุกเข่าลงถวายบังคม สองมือแนบไปกับพื้นเย็นๆ ควบคุมน้ำเสียงตนเองให้สงบนิ่ง
   “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
   
   

         #วิถีเซียน3p


………………………………..
เดี๋ยวตอนหน้ามาเฉลยด่านรักของอวิ๋นหนาน แต่เดือนนี้เรื่องนี้จะมาช้าหน่อยนะคะ ต้องรีบปั่น Skinship:The King with Teddy Bear ให้จบค่ะ ขอโทษไว้ก่อนเลยค่ะ


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
ซื่อเสวียนจะผ่านด่านนี้ได้ไหมเนี่ย

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ยอดเยี่ยมตามเคย  :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด