(The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p  (อ่าน 58387 ครั้ง)

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
รอตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
สนุกมากค่ะ
มาต่อไวๆน้าาาา

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
หนานจงฮ่องเต้ทรงรับสั่งเช่นนี้ แสดงว่ามีใจให้ซื่อเสวี่ยนใช่มั้ย
อี้เทียนมั่นคงในรักมากเลย แม้จะไม่ได้บอกความรู้สึกต่อกัน แต่ได้คอยอยู่เคียงข้างกันก็ยังดี หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องใดขึ้นนะ

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ nuja

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
อ่านทันจนได้ สนุกค่ะ รอนะคะ

ออฟไลน์ WaterProof

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
รอค่า เข้มข้นทากๆๆ

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
พึ่งได้อ่าน สนุกมากเลย รออ่านตอนหน้านะคะ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

เดี๋ยวมาต่ออีกครั้งหลังวันที่ 5 สิงหาคมนะคะ
พอดีกำลังเร่งปิดเรื่อง Skinship อยู่ค่า

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
The Great General (9)



           อวิ๋นหนานมองบุรุษหนุ่มที่ก้มหน้าอ่านฎีกาห่างจากเขาไปราวสองช่วงแขน ใบหน้าเนียนซูบซีด ใต้ตาดำคล้ำ เสื้อคลุมที่คาดเข็มขัดไว้หลวมๆ พอจะเดาได้ว่าร่างกายคงผ่ายผอมลงไม่น้อย ตรอมใจถึงเพียงนี้ยังไม่ปริปาก ไม่ยอมพึ่งพิงผู้ใดหรือเพราะผู้ที่เคยพึ่งพาได้กลายเป็นของผู้อื่นไปแล้ว ดังนั้นเมื่อบุพการีอยากให้สมรส ก็ยอมตกลงทั้งที่หน้าตาเจ้าสาวเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ
           ชาติก่อนนั้นซื่อเสวี่ยนแต่งหลิวเสี้ยนหรงภรรยาจริง ‘เขา’ คนเดิมยอมให้ศิษย์ผู้นี้แต่งภรรยาหลังกลับจากออกรบ
แต่ ‘เขา’ ในเวลานี้ ไม่ต้องการให้ซื่อเสวี่ยนแต่งภรรยา
   ถูกแล้ว เขากลับมายังภพมนุษย์ ณ ห้วงเวลานี้แล้ว

   ผลึกแก้วสีทองของเทพเป็นแก่นสำคัญที่บรรจุความทรงจำของเทพซึ่งมีอายุขัยยาวนานกว่ามนุษย์มาก และเป็นแก่นที่บรรพบุรุษถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ไว้ จึงสำคัญกับเทพไม่ต่างจากดวงจิต ดังนั้นพลังเทพจึงถูกแบ่งมาปกป้องผลึกสีทองนี้โดยอัตโนมัติ ยากนักที่จะเกิดรอยขีดข่วน ยามที่เห็นบัวสวรรค์บานต่อหน้าทำให้เขาสะกิดใจสงสัยจนส่งกระแสพลังเข้าไปสำรวจความทรงจำของตน ค่อยพบว่าผลึกแก้วมีรอยขีดที่ตื้นและเล็กมากจนแทบมองไม่เห็นหากไม่สังเกตอย่างถี่ถ้วน กลิ่นของพลังเจืออยู่เพียงเลือนลาง แต่พอให้คาดเดาความแข็งแกร่งของผู้ใช้ได้ เวลานั้นใบหน้าของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงความคิด
   พระแม่
   มีเพียงเทพผู้สร้างอย่างพระนางเท่านั้นที่มีพลังพอจะแทรกแซงความทรงจำของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว และมีเพียงพระนางเท่านั้นที่มีสายเลือดมังกรเช่นเดียวกับเขา สามารถปิดปังกลิ่นอายพลังอย่างแนบเนียนจนเขาไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ
   แต่พระนางจะทำลายความทรงจำเกี่ยวกับมนุษย์คนหนึ่งเพราะเหตุใด
   
   พระแม่เป็นคำเรียกขานเทพผู้สร้างมหาสมุทร เทพีแห่งสายน้ำ บรรพบุรุษต้นตระกูลอวิ๋น เป็นมังกรทองที่ทรงพลังในที่สุดประวัติศาสตร์ของตระกูล ครั้นภพสวรรค์เลือกผู้ปกครองตระกูลอ้าวเหยียน โดยมีตระกูลอวิ๋นรั้งตำแหน่งตงหวาง พระนางค่อยจากไปพำนักอยู่ ณ ยอดเขาหมื่นลี้ที่ห่างไกล และรับเพียงสตรีผู้มีชะตาต้องกันไว้เป็นศิษย์ ไม่ก้าวก่ายในราชการของภพสวรรค์อีก มีเพียงครั้งเดียวที่พระนางกลับมาคือวันที่เขาถือกำเนิด มาเพื่อตั้งชื่อให้เขาว่าอวิ๋นหนาน
   พระแม่ล่วงรู้อนาคต เป็นผู้ที่สามารถแทรกแซงชะตาลิขิต แต่ก็เป็นผู้ที่เชื่อถือลิขิตสวรรค์อย่างที่สุด ทุกการกระทำล้วนคาดเดาไม่ได้ เขาไม่กระจ่างถึงเจตนาของพระนาง ขณะเดียวกันก็สงสัยว่าเรื่องราวอาจเกี่ยวพันกับเขา ดังนั้งยามที่มองซื่อเสวี่ยน มนุษย์ที่มีอายุสั้นผู้หนึ่ง ในใจจึงเกิดรสชาติซับซ้อนเกินบรรยาย
   ในบันทึกของคงเหวิน ร่างจำแลงของเขาเผชิญด่านรัก หนานจงฮ่องเต้หลงรักซื่อเสวี่ยน ผู้เป็นศิษย์และขุนนางคู่พระทัย อีกทั้งคนผู้นั้นยังแต่งภรรยาและมีบุรุษในดวงใจแล้ว ความรักนี้ล้วนไม่อาจงอกเงย กระนั้นก็ยังรัก กระทั่งซื่อเสวี่ยนรับคมดาบแทนเขา สิ้นใจลงตรงหน้าโดยที่ไม่มีเขาในหัวใจแม้แต่น้อย หนานจงฮ่องเต้ก็ยังรัก แต่งตั้งเฉินซื่อเสวี่ยนผู้ล่วงลับเป็นอ๋อง ให้บรรดาศักดิ์นี้ตกทอดสู่ลูกหลานสกุลเฉิน ส่วนสมญานามปราการแผ่นดินนั้นให้เป็นของซื่อเสวี่ยนเพียงผู้เดียว
   แต่ความทรงจำเมื่อครั้นเป็นหนานจงฮ่องเต้นั้น เขาลืมสิ้นแล้ว มีเพียงข้อความพรรณาราวสองหน้ากระดาษถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคราวนั้น ขณะที่ความรู้สึกที่มีต่อมนุษย์ที่ชื่อว่าซื่อเสวี่ยนนั้น ไม่มีแล้ว ดังนั้นยามที่เทพยามาตั้งคำถามหนึ่งกับเขา เขาจึงตอบไม่ได้



   ยมโลก
   บุรุษสองคนนั่งประจันหน้ากัน คนหนึ่งสวมชุดสีขาวสะอาด ส่วนอีกคนสวมชุดดำตลอดทั้งตัว ยังให้เกิดความแตกต่างชัดเจน ประหนึ่งสวรรค์และยมโลกโคจรมาบรรจบกัน หากว่าวังตะวันออกโอบล้อมด้วยแม่น้ำสีมรกตและบัวสวรรค์สีขาวบริสุทธิ์แล้ว ยมโลกก็มีเทือกเขาสูงและดอกไม้นรกสีแดงสด
   พวกเขาทั้งคู่สมควรเป็นคนที่ยืนอยู่คนละด้านโดยสิ้นเชิง
   กระจกส่องภพฉายภาพงานมงคลสมรสระหว่างตระกูลใหญ่อย่างสกุลอี้และสกุลซุนซึ่งถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เจ้าบ่าวเป็นถึงตูตูทั้งที่อายุยังน้อย เป็นแม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล ส่วนเจ้าสาวเป็นโฉมงามที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ท่ามกลางบรรยากาศรื่นรมย์ยินดี ใบหน้าของสหายสนิทของเจ้าบ่าวอย่างเฉินซื่อเสวี่ยนประดับรอยยิ้มตลอดทั้งงาน ผู้ใดล้วนดูไม่ออกว่าหัวใจของเขาพังยับเยินเพียงใด
   อี้เทียนยกจอกสุราร้อนแรงขึ้นดื่ม ใบหน้าคมคายของเขาคล้ายถูกเมฆดำปกคลุมไว้ กระแสลมแรงแห่งยมโลกพัดโหมจนเกิดเสียงหวีดหวิวสะท้อนถึงอารมณ์พลุ่งพล่านของผู้เป็นนาย น้ำเสียงอ่อนล้าแหบพร่าเอ่ยขึ้นโดยที่ดวงตายังไม่ละจากกระจกส่องภพ
   “ท่านบอกว่าจะไปภพมนุษย์ในห้วงอดีตของจิวซือหรือ”
   หากมิใช่เพราะเหตุผลนี้ เกรงว่าเขาคงไม่เปิดประตูต้อนรับเจ้าวังตะวันออกผู้นี้โดยง่าย
   อวิ๋นหนานจ้องมองใบหน้าขาวซีดประดับด้วยรอยยิ้มของซื่อเสวี่ยนไม่ต่างกัน สมรสพระราชทานนี้แน่นอนว่าเขาเป็นผู้อนุญาตเอง หวังดึงสกุลซุนให้เป็นโล่อีกใบ สกุลอี้ เฉิน ซุน หลิว ล้วนแต่ถูกเขากำไว้ในมือเพื่อให้บัลลังก์มังกรมั่งคง ที่แท้เบื้องหลังคือใบหน้ายิ้มแย้มนี้เองหรือ
   “ข้าคือหนานจงฮ่องเต้...” น้ำเสียงยามเอ่ยถึงอดีตของตนเองฟังดูราบเรียบ ปราศจากอารมณ์อ่อนไหว ยามนั้นภารกิจของเขาคือกำจัดขุนนางกังฉิน และปกครองต้าเสินอย่างมั่นคง วางรากฐานให้แผ่นดินสงบสุขอีกอย่างน้อยสามร้อยปี หารู้ไม่ว่าที่แท้ซ่อนด่านรักของตนไว้
   เวลานั้นเขาผ่านด่านรักมาได้อย่างไร
   ยามที่ร่างโชกเลือดล้มลงในอ้อมแขนจะยิ้มเช่นนี้หรือไม่
   
   กระทั่งอวิ๋นหนานกล่าวจบ อี้เทียนก็ยังคงนิ่ง ภาพในกระจกส่องภพเหมือนภาพที่ถูกเร่งความเร็ว พริบตาเดียวก็เห็นซื่อเสวี่ยนนอนกอดมีดพับด้ามหนึ่งหลับไปแล้ว   
   “ตงหวาง ท่านเชื่อในชะตาลิขิตหรือไม่”
   “เชื่อ”
   “แต่ข้าไม่” 
   “เจ้ายมโลกล้วนไม่”
   “จริงของท่าน”
   อี้เทียนหัวเราะในลำคอ ผู้ที่ผ่านด่านได้เป็นเจ้ายมโลกทุกรุ่นล้วนไม่เชื่อในชะตาลิขิต เพราะยมโลกถือเขาเป็นนาย เจตนารมณ์ของเขาเหนือกว่าเจตนารมณ์ของสวรรค์​ วิญญาณทั้งหลายแม้ไม่ฟังสวรรค์ยังต้องฟังเทพยามา เดิมทีเขาเองก็คิดเช่นนี้ กระทั่งพบว่าแม้ต้องการไปหาแทบขาดใจ ยังไม่อาจไปอยู่เคียงข้างได้ แม้ต้องการเปลี่ยนแปลงชะตาของคนๆ หนึ่งมากเพียงใด สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยให้คนผู้นั้นเผชิญลิขิตตามลำพัง
   “ท่านขอให้ข้าส่งท่านไปหาเขา” อี้เทียนทวนคำ
   “ถูกแล้ว”
   “นี่ก็เป็นลิขิตหรือ”
   “ลิขิตคือผลกรรมที่ผูกพันกันมา ข้าสร้างกรรมกับเขา จึงเกิดลิขิตร่วมกับเขา”
   ใบหน้าของอี้เทียนประดับรอยยิ้มเย้ยหยัน ขณะที่มือหมุนจอกสุราไปมา “ถ้าข้าไม่ช่วย เรียกว่าฝืนลิขิตหรือเปล่า”
   อวิ๋นหนานยังคงนิ่งเฉยกับกริยาท้าทายของคนตรงหน้า เขารินสุราให้ตนเอง ก่อนจะยกดื่มจนหมดถ้วย รสสุราร้อนแรงทำให้ลำคอร้อนผ่าว แต่ช่วยให้บรรยากาศของคนทั้งคู่ผ่อนคลายลง แม้มิอาจเรียกว่าสหายร่ำสุราแต่ก็มิใช่คนแปลกหน้าต่อกันเช่นแต่ก่อน ต่างยอมรับว่าพวกเขามีกรรมผูกพันกันไว้ด้วยคนผู้หนึ่ง   
   “มีแต่ข้ามผ่านเส้นทางของยมโลกจึงจะเป็นความลับ”
   “คนที่อยู่เบื้องหลัง ท่านรู้หรือ” อี้เทียนหรี่ตาลง
   ดวงตาสีทองของอวิ๋นหนานมีแสงสีทองเข้มพาดผ่าน “พระแม่”
   อี้เทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เทพผู้สร้างหรอกหรือ ดังนั้นอาจารย์ของเขาจึงบอกว่าไม่อาจแทรกแซง บอกว่าขอเพียงซื่อเสวี่ยนผ่านด่านสุดท้ายนี้ได้ คนผู้นั้นก็จะรามือเอง แต่ตงหวางมั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นพระนาง อี้เทียนมองอวิ๋นหนานอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า
   “ตงหวาง พระแม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่าน”
   สมกับเป็นเทพยามา เฉียบแหลมนัก
   อวิ๋นหนานเลือกที่จะไม่ตอบ ความเกี่ยวพันทางสายเลือดเลือนลาง ความเกี่ยวพันในชีวิตจริงแทบไม่ปรากฏ แต่หากกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้องกันเลย ก็กล่าวเช่นนั้นมิได้
   เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ หรือตอบไม่ได้ อี้เทียนก็หัวเราะในลำคอ ดวงตาสองสีของเขาฉายประกายกร้าว ควันดำแทบจะปกคลุมดวงตาทั้งสองจนแสงสีทองของดวงตาข้างหนึ่งเลือนลาง
   “ด้ายแดงจะผูกชะตาของคนสามคนเข้าด้วยกันได้อย่างไร ท่านว่าไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ”
   ใช่ ไร้เหตุผล
   “ยกเว้นผูกข้ากับซื่อเสวี่ยนไว้ก่อน และผูกกับท่านภายหลังด้วยคิดว่าข้าจะคลายปมที่ผูกไว้ครั้นเป็นมนุษย์
ยกเว้นมีคนจงใจ...ทำลายพรหมลิขิตของข้า”
   ถ้วยสุราเนื้อดีถูกอี้เทียนปล่อยจากมือร่วงลงกระแทกพื้นจนแตกละเอียด
   เกิดคำถามมากมายที่ล้วนหาคำตอบไม่ได้
   เขากับซื่อเสวี่ยนไร้วาสนาต่อกันจริงหรือ
   ตายจากกันโดยไม่เคยเอ่ยคำว่ารัก ทั้งที่รักมากถึงเพียงนั้น กลายเป็นบ่วงที่ฉุดรั้งซื่อเสวี่ยน จะผลักเขาสู่ห้วงอเวจี จำจองที่นี่หมื่นปี ทั้งหมดเป็นเขาลิขิต สวรรค์ลิขิต หรือผู้ใดแทรกแซง
   “แต่หากต้องการให้ซื่อเสวี่ยนเป็นของท่าน จะทำร้ายเขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนอาจถึงขั้นดับสูญทำไม”
   อวิ๋นหนานมองภาพในกระจก เห็นซื่อเสวี่ยนร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทางสง่างาม แต่ดวงตาเลื่อนลอยไร้จุดหมาย หาได้มีสมาธิอยู่กับเพลงกระบี่ไม่ ในใจเต็มไปด้วยความสับสน เขามั่นใจว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือพระแม่ แต่เจตนาของพระนางเป็นเช่นใดสุดจะคาดเดา ทั้งภพมนุษย์ของซื่อเสวี่ยน ทั้งด่านทดสอบคุณภาพสิบเอ็ดชาติของจิวซือ ใช่มีเขาเป็นต้นเหตุหรือไม่ อารมณ์ความรู้สึกยุ่งเหยิงยากจัดการ สุดท้ายจึงได้แต่กล่าวว่า “ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการคาดเดา”
   อี้เทียนสูดลมหายใจเข้าลึก อารมณ์พลุ่งพล่านเพราะข้อสันนิษฐานของตนเองเริ่มสงบลง เพียงคิดถึงความเป็นไปได้เสี้ยวหนึ่งก็ทำให้แทบสูญเสียกริยาและเหตุผล ไม่ว่ามีผู้ใดแทรกแซงหรือไม่แล้วอย่างไร ทั้งหมดนั้นเขาเลือกเอง รวมถึงเลือกเป็นเจ้าแห่งยมโลกด้วย สิ่งเดียวที่แน่ใจคือคนผู้นั้นประสงค์ร้ายต่อซื่อเสวี่ยน สิ่งอื่นๆ ล้วนไม่สำคัญ มีเพียงดวงจิตของซื่อเสวี่ยนเท่านั้นที่ต้องรักษาไว้ให้ได้
   ด้ายแดงผูกพวกเขาสามคนไว้ด้วยกัน เส้นหนึ่งนั้นเขาไม่มีวันคลาย แล้วอีกเส้นล่ะ
   “ซื่อเสวี่ยนเป็นด่านรักของท่าน เช่นนั้นรักหรือไม่”
   คำถามของเทพยามาที่กล่าวขึ้นอย่างกะทันหันทำให้อวิ๋นหนานชะงัก ดวงตาสีทองเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย มือกำถ้วยสุราแน่นขึ้น แม้สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน
   รักหรือไม่ ไม่กระจ่างใจด้วยไม่เคยรักผู้ใด ทราบแต่ว่าเหตุผลของเขาถึงถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะเซียนน้อยตนนั้น
   “หวังว่าท่านจะไม่รัก” อี้เทียนกล่าวคล้ายล้อเล่น แต่ดวงตาทรยศน้ำเสียงเรียบเรื่อยของเขา



   อี้เทียนยินยอมให้เขาใช้เส้นทางของยมโลกมายังภพมนุษย์ตามคาด คนผู้นั้นคับแค้นใจที่ตนปรารถนาแค่ไหน ก็ไม่สามารถมาได้ ด้วยเกรงว่าดวงจิตของจิวซือจะถูกกระทบแม้เพียงเล็กน้อย แต่เพราะรักซื่อเสวี่ยนอย่างลึกซึ้ง จึงยินยอมช่วยให้เขามา ให้ช่วยปกป้องดวงจิตดวงนี้
   อวิ๋นหนานมองซื่อเสวี่ยนที่ตั้งใจอ่านกีฎาในมือ ใบหน้าเนียนจดจ่ออยู่กับตัวอักษรจนไม่ทันสังเกตว่าหนานจงฮ่องเต้วางพู่กันแล้วทอดพระเนตรใบหน้าของตนอย่างละเอียด คิ้วเข้มเรียงตัวสวย จมูกรั้น ปากอิ่มเป็นสีชมพูเข้มตามธรรมชาติ และดวงตากระจ่างใสที่ไม่ยอมเผยความทุกข์ใจให้ผู้ใดเห็น ซ้อนทับกับใบหน้าอ่อนเยาว์ของเซียนน้อยที่เขาหมายตาให้เป็นผู้ช่วยข้างกาย ทั้งคู่ล้วนแต่มีดวงตากระจ่างใสเช่นนี้ มีรอยยิ้มประดับใบหน้า และมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำ เป็นเซียนตนที่พยายามฝึกพลังเทพแทนที่จะดื่มกินอาหารทิพย์ จะว่าไม่เรียนรู้วิถีของคนทั่วไป หรือดื้อรั้นกว่าคนอื่นก็ไม่ทราบ
   นึกถึงจิวซือที่ตั้งใจฝึกวิชาตามคำสอนของเขาแล้ว ริมฝีปากของอวิ๋นหนานก็ยกมุมขึ้นเล็กน้อย
   หากบอกว่าไม่รัก เขาจะผนึกเสี้ยวจิตหนึ่งไว้กับดวงจิตของซื่อเสวี่ยนทำไม ต่อให้เขาจำไม่ได้ แต่ยังมีกลิ่นบัวสวรรค์เป็นพยาน ความทรงจำของเขา เขาย่อมต้องทวงคืน ถึงเวลานั้นคงตอบได้ว่ารักหรือไม่รัก

   “ซือจง ฝนหมึก”






#วิถีเซียน3p

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :m16: พีะแม่นี้คือยังไง  อยู่บนสวรรค์แต่จิตใจนี้คือไม่ได้ดูมีเมตตาเลยนะ เอาความต้องการของตนเป็นที่ตั้งหรอ?

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ไม่ชอบพระแม่เลย นางมีเหตุผลอะไรที่เข้าไปแทรกแซงการเป็นเซียนของจิวซือ หรือว่าจิวซือไปทำอะไรให้นางไม่พอใจ หรือเหตุผลมันเกี่ยวข้องกับอวิ๋นหนาน ถึงได้มาทำแบบนี้

ตอนนี้หวังว่าอวิ๋นหนานจะช่วยดูแลจิวซือให้ดีที่สุดนะ

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
พระแม่นี่ยังไงหนิ

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0


The Great General (10)




   “ไม่ทรงอนุญาตหรือ นี่จะได้อย่างไร”
   เฉินตงผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าล้วนแสดงถึงความไม่อยากเชื่อและร้อนใจ การที่เขาเสียกิริยาเช่นนี้ไม่น่าแปลกใจ ด้วยเพราะการเกี่ยวดองระหว่างสกุลเฉินและสกุลหลิวเป็นเรื่องที่ตระกูลขุนนางในนครต้าเสินต่างรับรู้ คราที่หนานจงฮ่องเต้รับปากจะพระราชทานสมรสให้ เฉินตงก็ได้หารือกับหลิวฮง เจ้าบ้านสกุลหลิวเรื่องวันมงคลแล้ว หากเวลานี้ยกเลิก สองตระกูลคงไม่แคล้วเข้าหน้ากันไม่ติด
   “ลูกทำศึกยังไม่ทราบนานเท่าใดจะได้กลับเมืองหลวง”
   เฉินตงมองบุตรชายที่เติบใหญ่เป็นยอดบุรุษ เห็นสีหน้าของเขาแฝงความรู้สึกผิดก็พอเข้าใจ
   “เจ้าไม่อยากแต่งหรือ”
   ซื่อเสวี่ยนคุกเข่าลงตรงหน้าบิดา ใบหน้าคมคายของเขาปราศจากความลังเล มีเพียงดวงตาที่สะท้อนความเสียใจที่ทำให้บิดาผิดหวัง แต่ยังคงตอบตามความจริง “ไม่อยากขอรับ”
   เฉินตงเห็นเช่นนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะถอนหายใจ ดวงตาของเขาฉายแววอ่อนลง บุตรชายคนนี้นอกจากทำให้เขาภาคภูมิใจแล้ว ไม่เคยร้องขอสิ่งใด ยามนี้เขาไม่อยากแต่งงาน เฉินตงจึงยอมเห็นแก่หน้าเขา อีกประการนี่เป็นประราชประสงค์ของพระหมื่นปี ต่อให้ใต้เท้าหลิวไม่พอใจ ก็ยังเจรจาชดเชยกันได้ เฉินตงประคองไหล่ของซื่อเสวี่ยนให้เขาลุกขึ้นก่อนจะกล่าวว่า
   “พรุ่งนี้ ไปขออภัยเจ้าบ้านหลิวกับคุณหนูหลิวพร้อมบิดา”
   
   
   ซื่อเสวี่ยนยืนอยู่หน้าป้ายวิญญาณของเฉินซาน แผ่นหลังที่เหยียดตรงสง่างามอยู่เสมอคล้ายจะลู่ลงเล็กน้อย
   “พี่ใหญ่”
   “วันนี้ข้าทำบิดาเสียใจแล้ว”
   ดวงตาดำขลับทอแสงอ่อนมองตัวอักษรที่สะกดเป็นคำว่าเฉินซานเงียบๆ ในใจเกิดความขัดแย้งหลายประการ เดิมทีตนสมควรยืนกรานกับหนานจงฮ่องเต้ แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดเวลานั้นถึงได้ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ตอบเจ้าเหนือหัวไปเช่นนั้น เพียงแค่ก้าวเท้าออกจากวังหลวง ก็มีความรู้สึกว่าได้กระทำเรื่องผิดพลาดไป ทุกอย่างไม่สมควรเป็นเช่นนี้ ตนเองอย่างไรก็ต้องแต่งหลิวเสี้ยนหรงเป็นภรรยา นั่นจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เขามีลางสังหรณ์ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงมากมายอย่างที่ไม่ทราบว่าเป็นทางดีหรือร้าย
   
   

   การยกเลิกงานมงคลสมรสระหว่างรองเสนาบดีเฉินกับคุณหนูสกุลหลิวถูกลือกันปากต่อปาก บรรดาคนชั้นสูงแห่งนครต้าเสินโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าขุนนางต่างก็สงสัยเจตนาเจ้าชีวิต สองตระกูลใหญ่เกี่ยวดองมีแต่จะส่งเสริมกัน เหตุใดไม่ทรงสนับสนุน หรือทรงเตรียมจะลดอำนาจตระกูลเฉินที่รุ่งเรืองมาเป็นสิบปีภายใต้พระมหากรุณาธิคุณ เมื่อความสนใจของคนส่วนใหญ่มุ่งอยู่กับพระทัยของหนานจงฮ่องเต้ ผลกระทบที่มีต่อสกุลหลิวและหลิวเสี้ยงหรงจึงไม่มากอย่างที่กังวล
   เฉินตง ลี่ฮูหยิน และซื่อเสวี่ยนมาเยือนจวนสกุลหลิวตั้งแต่เช้า แต่กลับไม่พบใต้เท้าหลิวอย่างที่ตั้งใจเนื่องจากอีกฝ่ายถูกเรียกเข้าวังตั้งแต่ฟ้าสาง เมื่อลี่ฮูหยินถามถึงหลิวเสี้ยงหรง หลิวฮูหยินผู้เป็นมารดาก็ตอบด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก
   “นางไม่ค่อยสบาย ต้องขออภัยด้วย”
   เห็นสีหน้าหลิวฮูหยินดูไม่น่ามอง ซื่อเสวี่ยนจึงประสานมือคารวะ กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
   “หลิวฮูหยินวางใจ ชื่อเสียงของคุณหนูหลิว ข้าจะปกป้องให้ดีที่สุด ขออภัยนางด้วย”
   หลิวฮูหยินมองบุรุษผู้เป็นถึงรองเสนาบดีกรมกลาโหมและคนสนิทของฮ่องเต้กลับยอมก้มศีรษะขออภัยนาง ในใจเกิดความเลื่อมใสและเสียดาย
   “เช่นนั้นก็ขอบคุณรองเสนาบดีเฉินแล้ว” หลิวฮูหยินกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
   “หลิวฮูหยินโปรดเรียกผู้น้อยซื่อเสวี่ยนเถิด ต่อให้มิได้เกี่ยวดองกัน ผู้น้อยยังนับถือใต้เท้าหลิวและฮูหยินเป็นญาติผู้ใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง”
   หลิวฮูหยินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มของมารดา ได้ยินชื่อเสียงไม่เท่าพบหน้า พบหน้าไม่เท่าพูดคุย บุรุษเก่งกาจและสุภาพอ่อนน้อมเช่นนี้ เสียดายที่หรงหรงไม่มีวาสนาได้ครองคู่
   

   หลังจากที่หลิวฮูหยินส่งแขกแล้ว ก็เห็นร่างอรชรของบุตรสาวยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้างดงามแฝงความเจ็บช้ำไม่ยินยอม   
   “ท่านแม่”
   หลิวฮูหยินลูบผมบุตรสาวพลางกล่าวปลอบใจ “คิดเสียว่าไม่ใช่คู่กัน”
   หลิวเสี้ยนหรงตาแดงช้ำจากการร้องไห้ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น นางแอบชื่นชมคุณชายเฉินมานาน ตอนที่บิดาถามว่ายินดีแต่งกับเขาหรือไม่ หัวใจนางเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นยินดี ไม่ทราบมีสตรีมากเท่าใดอิจฉานาง นางคาดหวังรอคอย นับวันเฝ้ารอแต่สุดท้ายทุกอย่างเหมือนดังฝันตื่นหนึ่ง สิ้นสุดกันง่ายดายเพียงนี้หรือ
   ไม่ ชาตินี้หากไม่แต่งกับเขาจะไม่แต่งกับผู้ใดทั้งนั้น
   “ลูกจะรอ”
   “หรงหรง”
   “ลูกรักคุณชายเฉิน”
   หลิวฮูหยินถอนหายใจ กล่าวว่า “รอบิดาเจ้ากลับมา ค่อยว่ากันเถอะ”

   

   “ฝ่าบาททรงให้ตานเอ๋อร์สังกัดกรมคลัง เป็นผู้ช่วยใต้เท้าเฉิน” หลิวฮงกลับจากเข้าเฝ้าหนานจงฮ่องเต้ด้วยความรู้สึกซับซ้อน หนึ่งคือความยินดีที่บุตรชายได้รับการสนับสนุน อีกทางหนึ่งคือคับใจที่งานสมรสของบุตรสาวถูกยกเลิก กระนั้นความก้าวหน้าของบุตรชายก็ยังคงเป็นเรื่องที่เขาใส่ใจมากกว่า
   หลิวตานปีนี้อายุ 22 ปี เพิ่งสอบรับราชการผ่าน ถือว่าอายุไม่น้อยแล้ว อีกทั้งยังได้ลำดับที่ไม่ดีนัก หากกล่าวตามตรงก็สมควรได้ตำแหน่งขุนนางเล็กๆ ในอำเภอห่างไกล หรือหากเขาวิ่งเต้นสักหน่อย อย่างมากก็ได้เป็นขุนนางขั้น 9 ในหน่วยงานที่ไม่สำคัญสักหน่วยหนึ่ง ไม่มีทางขึ้นไปถึงกรมคลัง และยิ่งไม่มีทางได้เป็นผู้ช่วยเฉินตง ถึงตำแหน่งราชการยังเป็นแค่ขุนนางขั้น 9 แต่ขอเพียงไม่ทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรงอย่างไรก็เติบโตขึ้นไปได้ กระทำการใดผู้อื่นยังต้องไว้หน้าสักส่วนหนึ่ง
   สำหรับสกุลหลิวที่แม้เป็นตระกูลเก่าแก่ แต่คนรุ่นเยาว์ไร้ประกาย หน้าที่การงานของหลิวตานย่อมสำคัญกว่าการแต่งงานของหลิวเสี้ยนหรง
   “จริงหรือท่านพี่”
   หลิวฮูหยินแสดงอาการยินดีอย่างเห็นได้ชัด นางเป็นมารดาย่อมไม่อยากให้บุตรชายต้องไกลสายตา
   “ท่านพ่อ เรื่องคุณชายเฉิน”
   หลิวฮงส่ายหน้า แม้ทราบจิตใจบุตรีก็มิอาจช่วยให้นางสมปรารถนา ซือจงผู้นั้นนอกจากฝ่าบาทแล้ว ผู้ใดล้วนบงการเขามิได้ การที่ทรงเบิกทางให้หลิวตานถือเป็นการชดเชยให้สกุลหลิว เกรงว่าคงไม่ใช่ฝ่าบาทตั้งใจรอนอำนาจสกุลเฉินอย่างคำเล่าลือ แต่เป็นสกุลหลิวไม่มีวาสนาพอ



   
   นอกจากเรื่องการสมรสแล้ว ไม่กี่วันต่อมา หนานตงฮ่องเต้ยังมีรับสั่งให้ถอดเฉินซื่อเสวี่ยนจากการเป็นรองแม่ทัพ ไม่ต้องร่วมศึกทางใต้แล้ว ขณะที่หลายคนเริ่มรอชมเรื่องสนุก มั่นใจว่าถึงเวลาที่สกุลเฉินจะต้องถอย ก็มีพระราชโองการอีกฉบับให้เฉินซื่อเสวี่ยนตามเสด็จไปบรรเทาภัยแล้ง ออกเดินทางในอีกสามวันให้หลัง คราวนี้เหล่าขุนนางถึงกับหัวหมุนไปแล้วจริงๆ เจตนาพระหมื่นปียังคงไม่คาดเดาล่วงหน้าจะดีกว่า
   คนอื่นไม่เข้าใจ แม้แต่ซื่อเสวี่ยนเองก็ไม่เข้าใจ ฝ่าบาทไม่ให้เขาทำศึก ก็ยากจะมีความชอบทางการทหาร สกุลเฉินเติบโตเร็วเกินไป หากทรงต้องการชะลอหรือแม้แต่ทำลาย ล้วนไม่น่าแปลกใจ แต่เหตุใดทรงให้เขาตามเสด็จด้วย
   เขารู้สึกว่าหนานจงฮ่องเต้ทรงแปลกไป แต่ขบคิดไม่ออกว่าที่ตรงไหน ซื่อเสวี่ยนถอนหายใจ เห็นทีเขาคงต้องเตรียมหาทางหนีทีไล่ พาตนเองและคนในตระกูลออกห่างจากพระเนตรพระกรรณ ด้วยไม่รู้จะทรงลงดาบกับสกุลเฉินเมื่อใด แต่นั่นต้องเป็นหลังจากที่เขาได้เป็นเจียงจวินเสียก่อน




#วิถีเซียน3p



………………
ให้ตามเสด็จเพราะอยากอยู่ใกล้ชิดจ้ะลูก อย่าเพิ่งคิดหนีพี่เขา
ขออภัยในความสั้น พอดีมา ตจว. ลงเท่าที่แต่งจบเลยค่ะ T^T

ปล. ชื่อตัวละครเยอะไม่ต้องจำก็ได้นะคะ จำแต่หลิวเสี้ยนหรงคนเดียวพอ ชาติก่อนได้ซื่อเสวี่ยนเป็นสามี ชาตินี้อดไป ARC นี้เป็นเรื่องหลักก็จะยาวๆ หน่อยนะ คือจบ ARC นี้ก็คือใกล้จบเลยค่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0






The Great General (11)




   จากเมืองหลวงสู่มณฑลซูถานสมควรใช้เวลาเดินทางราวหนึ่งเดือน ถือเป็นมณฑลที่ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก แต่เทียบกันแล้วชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนขาดความมั่นคงอย่างมาก ด้วยบางฤดูประสบภัยแล้ง บางครั้งเกิดน้ำท่วมดินถล่ม แต่ละปีกรมคลังต้องเว้นภาษีและเจียดง่ายเงินช่วยเหลือไม่น้อย
   ขบวนเสด็จของหนานจงฮ่องเต้ไม่นับว่าใหญ่โตนัก แต่เพียบพร้อมด้วยบุคคลฝีมือดีที่ทรงคัดเลือกด้วยพระองค์เอง ขุนนางที่ร่วมขบวนล้วนเป็นมือเท้าที่ภักดี แน่นอนว่าสกุลอี้ย่อมมีคนร่วมขบวนด้วย เพียงแต่ซื่อเสวี่ยนไม่คิดว่าจะเป็นอี้เทียน เขามิใช่ต้องร่วมทัพกับบิดาหรอกหรือ
   “เจ้า...”
   “ไม่ดีใจที่เป็นข้าหรอกหรือ” อี้เทียนเลิกคิ้ว แววตาเป็นประกายเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของซื่อเสวี่ยน
   “ต้าเจียงจวินไม่โกรธหรือ” ต้าเจียงจวินย่อมหมายถึงบิดาของอี้เทียนผู้เป็นแม่ทัพใหญ่
   “ห้ามข้าไม่ได้” อี้เทียนพูดด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ ราวกับการที่เขาให้น้องชายร่วมทัพกับบิดาแทน ส่วนตนเองมาปรากฎตัวที่นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย
   แต่ซื่อเสวี่ยนมีหรือจะไม่ทราบว่านี่คือการแสดงออกว่ายืนข้างเขาต่อให้พระทัยฝ่าบาทเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม อี้เทียนคือเจ้าบ้านสกุลอี้คนต่อไป ดังนั้นท่าทีของเขาจึงกล่าวได้ว่าเป็นตัวแทนของทั้งตระกูล ท่ามกลางความไม่แน่นอนและหวาดระแวง การมีคนผู้หนึ่งประกาศยืนข้างตนเองเช่นนี้ ทำให้ดวงตาของซื่อเสวี่ยนโค้งลง เห็นใบหน้าของซื่อเสวี่ยนละมุนลงทันตา ริมฝีปากของอี้เทียนก็ยกขึ้นเล็กน้อย
   
   “รองเสนาบดีเฉิน ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าขอรับ”
   “รู้แล้ว”



   
   ในการเดินทางครั้งนี้ ทรงโปรดให้กางกระโจมกลางป่าแทนที่จะอ้อมผ่านเมืองเพื่อเข้าพักในโรงเตี๊ยมหรือเคหะสถานของทางการ เพื่อร่นระยะเวลาเดินทาง ภายในกระโจมหลังใหญ่ตกแต่งด้วยพรมขนสัตว์เรียบง่าย และมีของใช้ไม่กี่อย่าง แม้แต่ที่ประทับของหนานจงฮ่องเต้ยังเป็นเพียงแท่นไม้ที่ตัดจากในป่าแล้วปูด้วยพรมหนานุ่ม
   หนานจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้ซื่อเสวี่ยนลุกขึ้น และให้เขานั่งลงที่พรมอีกผืน ระยะห่างของทั้งสองย่อมใกล้ชิดกว่าบัลลังก์มังกรมากนัก
   ซื่อเสวี่ยนรออยู่ครู่หนึ่งหนานจงฮ่องเต้ค่อยวางพู่กันลง
   “ซือจงมีวิธีการดีงามอันใดจะเสนอเราหรือไม่”
   ซื่อเสวี่ยนรู้สึกวูบในใจ คำถามของพระองค์คือการให้โอกาสเขาอย่างเห็นได้ชัด จะคว้าไว้หรือไม่สุดแล้วแต่เขา คำถามเพียงประโยคเดียวแต่แฝงนัยยะสำคัญมากมาย หนึ่งคือเขายินดีเสนอความเห็นเพื่อแย่งชิงความดีความชอบกับผู้อื่นหรือไม่ สองคือสถานะของสกุลเฉินเวลานี้ยังสามารถแบกรับความดีความชอบได้อีกหรือไม่ และสามคือเขาเชื่อมั่นใจพระกรุณาที่มีต่อเขาและสกุลเฉินเพียงพอที่จะกล้าแย่งชิงความดีความชอบหรือไม่
   สมองของซื่อเสวี่ยนวิ่งเร็วจี๋ เขามีวิธีที่อยากเสนอก็จริง แต่สุดท้ายตัดสินใจเงียบไว้ พระมหากรุณาของเจ้าชีวิตเกรงว่าสกุลเฉินรับมากกว่านี้ไม่ไหว
   “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
   หนานจงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นมุมปากข้างหนึ่งก็ยกขึ้น แต่ดวงตากลับปราศจากรอยขบขัน พระพักตร์หล่อเหลาคล้ายถูกเคลือบด้วยม่านน้ำแข็ง แล้วตรัสด้วยน้ำเสียงเจือกระแสหยอกล้อตรงข้ามกับสีหน้า
   “วันนี้ไม่มีได้ พรุ่งนี้ข้าถาม เจ้าต้องมี”
   “ไปได้”



   นอกจากที่ประทับชั่วคราวของหนานจงฮ่องเต้แล้ว ยังมีกระโจมใหญ่อีกสี่หลังให้เหล่าขุนนางได้พักแรม วันนี้อากาศดี แม้หนาวเย็นไปบ้างแต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นจึงเห็นหลายคนเลือกนอนนอกกระโจม รับอากาศบริสุทธิ์ของป่าเขาอย่างเต็มที
   ห่างไกลจากบริเวณที่ตั้งกระโจมด้วยระยะทางเดินเท้าราวหนึ่งเค่อ เห็นบุรุษหนุ่มสองคนนอนข้างกันท่ามกลางหญ้าป่าสีเขียวสลับขาว บรรยากาศเงียบสงบกลมเกลียวจนมิกล้ารบกวน แน่นอนว่านอกจากฮ่องเต้แล้ว ผู้ใดล้วนมิกล้ารบกวนแย่งชิงพื้นที่ส่วนตัวจากคนทั้งสอง ด้วยคนหนึ่งเป็นถึงรองเสนาบดี อีกคนหนึ่งเป็นตูตู
   “หนิงเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
   “ซนหนักจนข้านึกว่ามีน้องชาย” ซื่อเสวี่ยนยิ้มเมื่อกล่าวถึงน้องสาวตัวน้อย แต่แล้วรอยยิ้มก็มีอันต้องหุบลงเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของอี้เทียน
   “ไม่เหมือนเจ้า ตอนเด็กเรียบร้อยเหมือนตุ๊กตา”
   “เจ้าสิตุ๊กตา”
   “ฮ่าๆ ตกลง ไม่ใช่ตุ๊กตา” อี้เทียนยอมแพ้ เขาหันหน้ามองสหายที่อยู่ห่างเพียงเอื้อมมือ นานแล้วที่ไม่ได้มองอีกฝ่ายใกล้ๆ “เจ้า...”  ปลายนิ้วขยับเล็กน้อยคล้ายกับว่าอยากจะสัมผัสเสี้ยวหน้า แต่ครู่เดียวก็ถูกกำเข้าหากันแน่นด้วยเกรงว่าหากปล่อยให้อยู่เหนือการควบคุม อาจทำลายทุกอย่างที่เพียรรักษาไว้
   ดวงดาวนำทางของเขา สมควรส่องแสงอยู่ข้างๆ เขาตลอดไป
   อี้เทียนบังคับให้ตนเองหันหน้ากลับมา มองท้องฟ้าเบื้องต้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือรอยยิ้มทั้งที่มือทั้งสองข้างยังกำแน่น “ดาว...งามนัก”
   “เจ้าชื่นชมดวงดาวเป็นด้วยหรือ”
   “ข้าชอบดาว”


   บอกไปสิว่าข้าชอบเจ้า!
   อี้เทียนมองภาพผ่านกระจกส่องภพแล้วทุบโต๊ะหินตรงหน้าจนแท่นหินสีดำเกิดเสียงแตกหักก่อนจะยุบลงกลายเป็นซากกองหินกระจายอยู่แทบเท้าเจ้าผู้ครองยมโลก
   ตัวเขาในอดีตช่างโง่เขลานัก ยึดติดกับทุกสิ่งแต่ไม่กล้ายึดครองคนผู้หนึ่ง ดวงตาสองสีครึ้มลงเมื่อแหงนมองท้องฟ้าสีดำสนิทปราศจากดวงดาวแม้เพียงครึ่งดวง
   อย่างไรก็ต้องไปโลกมนุษย์!




   หนานจงฮ่องเต้ประทับอยู่บนแท่นไม้ที่ถูกทำขึ้นชั่วคราว วรกายสูงศักดิ์สวมเพียงชุดสีครามเรียบง่ายปราศจากเครื่องประดับที่แสดงถึงฐานะแม้แต่ชิ้นเดียว กระนั้นยามที่ทอดพระเนตรมอง ข้าราชบริพารเบื้องล่างต่างรู้สึกกดดันด้วยเข้าใจว่ายังไม่มีวิธีการใดที่เจ้าชีวิตพอพระทัย
   “ซือจง”
   ได้ยินหนานจงฮ่องเต้เอ่ยชื่อตนเอง ซื่อเสวี่ยนก็ก้าวมาข้างหน้าแล้วค้อมกายลง “พ่ะย่ะค่ะ”
   “เจ้าลองเสนอ” 
   ต้องขอบคุณที่หนานจงฮ่องเต้เรียกเขาเข้าเฝ้าเมื่อวานนี้ ทำให้เขามีเวลาได้ตรึกตรองหนึ่งคืน ค่อยกระจ่างใจว่าทรงต้องการให้เขาแสดงความสามารถ ฉกฉวยความดีความชอบแน่แท้แล้ว ดังนั้นไม่ว่าทรงมีเจตนาสนับสนุนหรือแฝงด้วยสิ่งอื่นใดล้วนไม่สำคัญ
   “ระยะสั้น กระหม่อมเห็นด้วยกับใต้เท้าหลิน” ก่อนหน้านี้หลินซ่งฉีได้เสนอเรื่องการขยายทางน้ำและสร้างอ่างเก็บน้ำ แม้มิใช่วิธีแปลกใหม่แต่ต้องอาศัยความรู้ในการเลือกพื้นที่และคำนวนขนาดที่เหมาะสม ซึ่งซ่งฉีได้ร่ายแผนการโดยละเอียดแล้ว ทำให้หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย ซื่อเสวี่ยนจึงเลือกจะเสนอทางแก้ระยะยาว “ส่วนระยะยาว กระหม่อมเสนอให้ปลูกหญ้าดาบ”
   “หญ้าดาบ?”
   “เป็นชื่อที่กระหม่อมตั้งขึ้นเพราะลักษณะใบที่คล้ายดาบของมัน”
   ซื่อเสวี่ยนเห็นหนานจงฮ่องเต้สนพระทัยจึงอธิบายลักษณะและคุณสมบัติของหญ้าที่ว่าโดยละเอียด เมื่อคราวที่เขาขึ้นเหนือไปทำศึกนั้น พบหญ้าชนิดหนึ่งซึ่งเหนียวกว่าหญ้าทั่วไป แม้แต่ใช้ดาบฟันยังไม่สามารถล้มทั้งกอได้หมดในคราวเดียว เขาจึงให้ความสนใจกับหญ้้าชนิดนี้เป็นพิเศษ ต่อมาพบว่าหญ้าที่มีใบยาวเรียวเหมือนดาบนี้ทนทาน ถอนได้ยากเพราะรากสีขาวแตกแขนงชอนไชลึกในดิน ทั้งยังอุ้มน้ำทำให้บริเวณนั้นอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ จึงเสนอว่าให้ลองนำหญ้าชนิดนี้มาปลูกที่ซูถาน นอกจากจะช่วยป้องกันดินถล่มแล้วยังช่วยปรับสมดุลของหน้าดิน มีผลต่อการเกษตรในระยะยาว
   ข้อเสนอของเขาทำให้หนานจงฮ่องเต้พอพระทับ พระเนตรอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด บรรดาขุนนางหนุ่มทั้งหลายเห็นเช่นนั้นก็ค่อยระลึดได้ว่าซือจงผู้เป็นรองเสนาบดีกรมกลาโหมผู้นี้เดิมทีไม่ใช่ขุนนางบู๊ แต่เป็นบุ๋น สอบเข้าราชการได้ที่หนึ่งด้วยวัยเพียง 13 ปี เป็นราชบัณทิตที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของต้าเสิน และเป็นมือขวาที่ฝ่าบาททรงชุบเลี้ยงสั่งสอนด้วยพระองค์เอง เวลานั้นค่อยทอดถอนหายใจ ไว้อาลัยกับขุนนางเฒ่าที่คาดเดาพระทัยเจ้าชีวิตผิด และตีตนออกห่างจากสกุลเฉิน
   ฝ่าบาทหรือจะลดอำนาจสกุลเฉิน เห็นอยู่ว่ายังคงโปรดปรานซือจงกว่าผู้ใด



   หนานจงฮ่องเต้รับสั่งให้หาหญ้าดาบมาทดลองปลูก โชคดีที่ราษฎรในหมู่บ้านใกล้เคียงรายงานว่าเคยเห็นหญ้าลักษณะดังกล่าว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องเดินทางขึ้นเหนือ การทดลองปลูกหญ้าดาบเริ่มขึ้นในเวลาเดียวกับการขยายทางน้ำและสร้างอ่างเก็บน้ำ ราษฎรที่ประสบภัยทราบถึงพระมหากรุณาธิการต่างซาบซึ้งและสรรเสริญเจ้าชีวิต บรรยากาศทั่วทั้งมณฑลซูถานเต็มไปด้วยความหวัง
   
   อวิ๋นหนานมองซื่อเสวี่ยนก้มลงขุดดินด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ใบหน้าประดับรอยยิ้มสนุกสนาน ดวงตาเป็นประกายปราศจากความคิดคำนวณใด มีเพียงความตั้งใจแน่วแน่และตื่นเต้นที่ได้ทดลองข้อเสนอของตน ทั้งร่างประหนึ่งเปล่งประกาย ดึงดูดสายตาโดยไม่ต้องพยายาม โดดเด่นกว่าคนรอบข้างแต่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ มนุษย์กับธรรมชาติรวมเป็นหนึ่ง ต่างพึ่งพาอาศัยกัน เพราะซื่อเสวี่ยนตั้งใจปกป้องผืนดิน ดังนั้นธรรมชาติจึงชอบเขา อวิ๋นหนานเห็นกระแสพลังธาตุดินชื่นชอบซื่อเสวี่ยนเป็นพิเศษและพยายามเข้าใกล้เขา แน่นอนว่าซื่อเสวี่ยนที่เป็นมนุษย์ของภพนี้ไม่เข้าใจ ด้วยพลังฝีมือของภพนี้เน้นการฝึกพลังภายในไม่ใช่พลังภายนอก ถ้าหากว่าเป็นอลันล่ะก็ คงสั่งให้พลังธาตุดินพวกนี้ทำงานให้เขาแล้ว ไหนเลยจะต้องลงมือขุดดินด้วยตัวเอง
   รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วเทพหนุ่มก็ชะงักไปเพราะภาพร่างของอลันระเบิดต่อหน้าปรากฏขึ้นในห้วงความคิด หยดเลือดสีแดงที่กระทบหลังมือเขาชัดเจนเสมือนเกิดขึ้นอีกครั้ง เพียงกระพริบตาครั้งเดียว ภาพดังกล่าวก็เลือนหายไป เหลือแต่เห็นรอยยิ้มกับท่าทางสบายๆ ของซื่อเสวี่ยนเช่นเดิม
   ในอกปวดแปลบจนอยากยกมือขย้ำอกเสื้อ อวิ๋นหนานสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาไม่ละไปจากใบหน้าของซื่อเสวี่ยน

   ความรู้สึกปวดแปลบในอกเช่นนี้ มนุษย์เรียกว่า ‘ปวดใจ’
   


      #วิถีเซียน3p     #ซืออวิ๋นเทียน


…………….
1 เค่อ = 15 นาที
ตูตู = แม่ทัพภาค


BE มาทุก ARC แล้วจ้ะแม่ต๋า ARC นี้น่าจะ HE นะ คิดว่า HE แหละค่ะ


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อยากอ่านอีกเรื่อยๆเลยจ้่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
อี้เทียนเองก็รักซื่อเสวี่ยนมากเหมือนกันนะในภพนี้ ถึงได้ยอมหักห้ามใจตัวเอง ขอแค่ได้อยู่เคียงข้างคอยสนับสนุนอยู่ข้างกายของซื่อเสวี่ยนก็พอ
อวิ๋นหนานเองก็ดูจะมีใจให้ซื่อเสวี่ยน ยิ่งตอนนี้ได้กลับมาอยู่ในร่างของหนานจงฮ่องเต้แล้ว ก็น่าจะทำอะไรให้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อซื่อเสวี่ยนชัดเจนได้มากขึ้น

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

The Great General (12)





   “คุณหนู”
   “ออกไป”
   “เจ้าค่ะ”
   ใบหน้างดงามของซุนเจียวเจี๋ยปรากฎร่องรอยของความเจ็บแค้นและเย็นชา นางเป็นบุตรีที่บิดามารดารักและเอาใจดั่งประคองไว้กลางฝ่ามือ มิเคยต้องทนรับความเจ็บช้ำอันกล่าวไม่ได้มาก่อน นางไม่อยากยอมรับ แต่เมื่อได้ยินว่าสามีละท้ิงการศึกที่สามารถสร้างชื่อเสียงและสถานะที่มั่นคงของตระกูลแก่เขา ยินยอมมอบโอกาสให้กับน้องชายโดยไม่ไยดี และตามขบวนเสด็จฮ่องเต้ไปยังมณฑลซูถาน นางก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความโกรธ
   เขามิใช่บอกว่าเพื่อสืบทอดสกุลอี้ และตามรอยบิดาเป็นต้าเจียงจวิน จึงไม่มีเวลาให้นาง
   มิใช่บอกว่าบิดาออกรบครั้งใด ล้วนขาดเขามิได้ ดังนั้นวันเกิดนาง เขาจึงอยู่ชายแดน
   มิใช่บอกว่าสำหรับเขา เกียรติยศของสกุลอี้สำคัญกว่าทุกสิ่งหรอกหรือ

   การที่อี้เทียนเปลี่ยนใจไม่ออกรบแต่ตามซื่อเสวี่ยนไปยังซูถานทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของซุนเจียวเจี๋ยวขาดลง นางกับอี้เทียนแต่งงานกันได้สี่ปีแล้ว ยังไม่มีทายาทสืบสกุล แรงกดดันที่นางแบกรับเพิ่มมากขึ้นทุกวัน กระนั้นสามีกลับดูไม่เหมือนไม่มีใจ ใช่แล้ว ไม่มีความตั้งใจจะมีลูกกับนาง แม้ปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพ ไม่เคยรับหญิงสาวตระกูลใดเข้ามาอีก แต่ก็ไม่ได้รักนาง ไม่คิดจะมีลูกกับนาง
   สตรีเช่นนาง จำเป็นต้องทนรับความอัปยศเช่นนี้หรือ
   อี้เทียน เฉินซื่อเสวี่ยน พวกเจ้าดีมาก!

   


   มณฑลซูถาน
   การขุดคลองและทดลองปลูกหญ้าดาบดำเนินไปอย่างราบรื่น สำหรับการทดลองคุณสมบัติของหญ้านั้นมิจำเป็นต้องรอนาน เพียงแต่พอให้รากหยั่งลงดินจนแข็งแรงและให้ทหารทดสอบความแข็งแรงของมันก็พอจะคาดเดาได้ว่าวิธีการของซื่อเสวี่ยนนั้นมีความเป็นไปได้สูง
   หนานจงฮ่องเต้พอพระทัยยิ่ง ตรัสชมและให้กำลังใจบรรดาขุนนางที่ตามเสด็จ ตลอดจนตกลงเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ผู้ว่าการมณฑลซูถานขอพระราชทานอนุญาตจัดถวาย ด้วยคำนึงถึงความทุกข์ที่ราษฎร์เพิ่งประสบ งานเลี้ยงที่จัดขึ้นจึงเป็นไปด้วยความเรียบง่าย และอาหารก็เป็นของพื้นเมืองของซูถาน ผู้ว่าการมณฑลยังได้ถือโอกาสนี้พาขุนนางท้องถิ่นเข้าเฝ้า ถวายฎีกาเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ นับว่าเป็นงานเลี้ยงที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์
   ซื่อเสวี่ยนมองจอกสุราในมือ หลายวันมานี้เขารู้สึกประหลาด คล้ายกับว่าการที่ตนเองนั่งอยู่ที่นี่ ณ ซูถาน ในเวลานี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ประหนึ่งมีเสียงคอยกระซิบว่าเขากำลังเดินทางผิด เขาสมควรแต่งงานอยู่ในเมืองหลวงต่างหากเล่า
   “คิดอะไรอยู่”
   “แต่งงาน” ซื่อเสวี่ยนตอบโดยไม่ทันคิด แล้วค่อยตระหนักว่าเป็นเสียงของอี้เทียน พวกเขาทั้งคู่พลันชะงักจนเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ
   มือที่ถือจอกสุราของอี้เทียนสั่นเล็กน้อย ประกายแสงวาบในดวงตาของเขาทำให้ใบหน้าคมเข้มดูดุดันขึ้นยามถามว่า “เจ้าอยากแต่งหรือ”
   เจ้าอยากแต่งหรือ?
   คำถามนี้มิใช่สิ่งที่หนานจงฮ่องเต้เอ่ยถามเขาหรอกหรือ
   ซื่อเสวี่ยนเผลอเงยหน้าขึ้นมอง และบังเอิญสบตากับบุรุษที่ฉลองพระองค์ด้วยชุดสีครามลายมังกรห้าเล็บ พระพักตร์หล่อเหลาประดับรอยยิ้มน้อยๆ ทั้งที่พระเนตรราบเรียบปราศจากรอยอารมณ์ ซื่อเสวี่ยนค้อมศีรษะลง ก่อนจะยกจอกสุราในมือขึ้นดื่มจนหมด มุมปากขยับยกขึ้นเล็กน้อย
   “ไม่แต่ง”
   หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงตอบอี้เทียนว่า ‘ไม่แต่งได้หรือ'
   แต่เวลานี้ กลับคิดว่าในเมื่อตนเองไม่ต้องการ เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ
   เมื่อคิดได้ดังนั้น หัวใจก็พลันรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นหลายเท่า



   ขณะที่ซูถานกำลังอยู่ใรบรรยากาศของเฉลิมฉลอง เมืองหลวงกลับเกิดข่าวลือขึ้นเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบต้นกำเนิดมาจากผู้ใด เพียงได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับรสนิยมที่บอกผู้ใดไม่ได้จากรองเสนาบดีหนุ่มอนาคตไกล กระนั้นข่าวลือก็ยังเป็นเพียงข่าวลือ มิได้สร้างระลอกคลื่นใหญ่ในเมืองหลวง



   
   ขบวนเสด็จแวะเยี่ยมเยียนราษฎร์ตามอำเภอที่ผ่าน และมิได้เร่งรีบเหมือนขามา ยังมีเวลาให้เหล่าขุนนางได้เที่ยวชมธรรมชาติและวิถีชีวิตที่แตกต่างจากเมืองหลวง นับว่าเป็นช่วงเวลาพักผ่อนอันหาได้ยาก
   ลูกธนูเพิ่งถูกปล่อย คันธนูในมือของซื่อเสวี่ยนก็ถูกฝ่ามือหนึ่งจับไว้ ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นพระพักตร์ของหนานจงฮ่องเต้ในระยะใกล้ ทำให้เขาต้องหลบตาวูบ
   “ให้เรายืมบ้าง”
   “พ่ะย่ะค่ะ”
   หนานจงฮ่องเต้รับธนูไป สายพระเนตรคมกริบกวาดมองไปเบื้องหน้า แผ่นหลังเหยียดตรง ทรงง้างธนูขึ้นฟ้าแล้วปล่อยลูกธนูออกไปอย่างรวดเร็วแทบไม่เล็ง ลูกธนูแหวกอากาศปักเข้ากับคอของนกตัวหนึ่งพอดิบพอดี
   “ทรงพระปรีชา”
   หนานจงฮ่องเต้ส่งธนูคืนให้กับซื่อเสวี่ยน ทรงพิจารณาใบหน้าของขุนนางคนสนิทอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตรัสว่า “หลายวันนี้ สีหน้าซือจงไม่เลวเลย”
   “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย”
   “เราให้เวลาคิดว่าอยากได้อะไรเป็นรางวัล” ตรัสทิ้งท้ายแล้วพระดำเนินจากไป ซื่อเสวี่ยนค้อมศีรษะส่งเสด็จกระทั่งวรกายสูงศักดิ์ลับสายตา
   สุรเสียงมิได้ดังกว่าปกติ แต่ก็ทรงมิได้มีเจตนาปกปิด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่บทสนทาของทั้งคู่จะถูกผู้คนตีความตามแต่จะคิด บ้างว่าฝ่าบาททรงรักใคร่เอ็นดูรองเสนบาดีเฉินอย่างแท้จริง บ้างเกิดความสงสัยในความใกล้ชิดสนิทสนมที่ทรงแสดงออก บ้างหวังว่าทั้งหมดเป็นเพียงการแสดงให้สกุลเฉินตายใจ สุดท้ายหัวข้อสนทนาค่อยวกกลับมาสู่เรื่องว่าซื่อเสวี่ยนจะขอพระราชทานสิ่งใดเป็นรางวัล



   คิ้วเข้มของอี้เทียนขมวดเข้าหากัน เขาเดินเข้าไปหาซื่อเสวี่ยน ไม่ทราบเพราะเหตุใดจู่ๆ ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายคล้ายจะห่างไกลออกไปทุกขณะ เขารู้สึกหนาวยะเยือกเพียงแค่คิดว่าแสงสว่างของเขาจะสาดส่องไปที่อื่น ที่ที่เขามองไม่เห็น
   “อาเสวี่ยน”
   เห็นซื่อเสวี่ยนหันมาส่งยิ้มให้ ความหนาวเย็นในใจเมื่อครู่คล้ายจะเบาบางลง อี้เทียนจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ไปเถอะ ข้าจะย่างกระต่ายแบบที่เจ้าชอบให้”
   รอยยิ้มของอี้เทียนดำรงอยู่ไม่นาน เมื่อเห็นว่ามีดพับที่ซื่อเสวี่ยนยื่นให้เป็นเพียงมีดพับธรรมดาทั่วไป มิใช่ของแทนใจที่เขาเคยมอบให้ ปลายมีดคมปลาบเพียงกรีดนิดเดียว หนังกระต่ายก็หลุดออกอย่างง่ายดาย เลือดสีแดงสดและเปลวไฟย้อมนัยน์ตาของเขา แทบทำลายเหตุผลทั้งมวลที่พร่ำบอกตนเอง
   “เอาสุกๆ ล่ะ”
   เสียงของซื่อเสวี่ยนทำให้เขาหลุดจากภวังค์ อี้เทียนหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองเงาของพวกเขาทั้งสองทอดยาวอยู่บนพื้น ร่างเงาทำให้ดูเหมือนอยู่ใกล้กันกว่าความเป็นจริง ไหล่กระทบกัน มองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย พร่ามัว เลือนลาง คล้ายจะหลอมรวมเป็นหนึ่งได้ในชั่วขณะนั้นเอง
   “แก่ตัวไป พวกเรามิสู้ท่องเที่ยวไปทั่ว เจ้าล่ากระต่าย ข้าเป็นคนย่าง”
   ซื่อเสวี่ยนชะงักไป วูบหนึ่งในใจเขาสั่นสะท้านโดยแรง ใช่แล้ว เขาเองก็เคยคิดเช่นนั้น จากไปให้ไกลสุดหล้า ขอเพียงมีคนรู้ใจข้างกาย คิดแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ กระทั่งเรื่องเพ้อฝันที่เป็นไปไม่ได้ยังทำให้มีความสุขได้ครู่หนึ่ง “แน่นอน ข้าย่างได้ไม่เอาไหน”
   “คุณชายเฉิน สมควรมีเรื่องที่ไม่เอาไหนบ้าง”
   



   คราวนี้ขบวนเสด็จแวะเข้าพักในโรงเตี๊ยมที่นายอำเภอท้องถิ่นจัดเตรียมให้ ซื่อเสวี่ยนจึงไม่ได้ชื่นชมดวงดาวอย่างเสรีเหมือนคืนก่อนๆ แผ่นหลังสัมผัสฟูกนอนนุ่ม สองมือประสานอยู่หลังท้ายทอย ดวงตากระจ่างใสเป็นประกาย ใบหน้ารูปสลักปรากฎรอยยิ้มบางเบา เมื่อนึกถึงรางวัลที่จะขอพระราชทานจากฮ่องเต้
   จากไกลสุดหล้า ไขว่หาเสรี
   นภากว้างใหญ่ มิกลัวไร้รังนอน

   รอยยิ้มกดลึกบนใบหน้า ความสุขและความคาดหวัง รวมทั้งความปลอดโปร่งทำให้ซื่อเสวี่ยนหลับลึก ไม่ฝันถึงเฉินซาน อี้เทียน เฉินตง ไม่ฝันถึงผู้ใดอีก


เมื่อกลับถึงจวนสกุลเฉิน ซื่อเสวี่ยนพบว่าบรรยากาศในจวนไม่ถูกต้อง สายตาที่ข้ารับใช้หรือบรรดาพี่น้องมองเขาคล้ายมีคำถามและข้อกังขาบางประการ กระทั่งเขาเข้าไปพบเฉินตงและลีฮูหยิน ค่อยทราบว่าที่แท้เกิดข่าวลือไม่ดีงามเกี่ยวกับตัวเขา ทั้งยังเป็นข่าวลือที่เขาไม่อาจกล่าวว่าไม่มีมูลความจริง
   ลีเหนียงต้องการให้เขาแต่งงาน ส่วนเฉินตงแม้มิได้กล่าวอะไร แต่ก็พอเดาได้ว่าเห็นด้วยกับความคิดนี้ ซื่อเสวี่ยนได้แต่ยิ้มแล้วบอกทั้งสองคนว่าไม่ต้องกังวล เขามีวิธีการของเขา ขอให้บิดามารดาวางใจ จากนั้นก็ขอตัวไปหาหนิงเอ๋อร์
   “พี่ใหญ่”
   เห็นน้องสาวตัวน้อยเติบโตเป็นเด็กหญิงสวมชุดแพรไหมสีเหลืองสดใส หัวใจของซื่อเสวี่ยนคล้ายถูกเติมเต็ม รูกลวงเมื่อครู่เหมือนมีสายน้ำเย็นไหลผ่าน
   “น้องสาวคนดี”
   หนิงเอ๋อร์ถูกซื่อเสวี่ยนหยอกล้อจนหัวเราะคิกคัก บรรยากาศมืดมัวภายในจวนก็พลอยอ่อนลงด้วยเสียงหัวเราะซื่อบริสุทธิ์นี้เอง เห็นคุณชายของพวกเขาไม่มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจ บรรดาข้ารับใช้ต่างก็คิดว่าข่าวลือนั้นเป็นเรื่องไร้สาระที่ผู้ไม่ประสงค์ดีตั้งใจโจมตีตระกูลเฉิน



   ซื่อเสวี่ยนมิใช่คนเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกต่อหน้าผู้อื่น ไม่ว่าผู้ใดก็คิดว่าเขาเยือกเย็นไม่ใส่ใจ ทว่าคืนนั้นชายหนุ่มนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นข้างเตียง ดวงตาแม้ปราศจากน้ำตาเหม่อมองพื้นเต็มไปด้วยความปวดร้าว ทั้งร่างเปราะบางประหนึ่งกลับเป็นไปเด็กน้อยที่พี่น้องและสหายในเฟิงจวนรังเกียจ เพราะเขาไม่เหมือนคนอื่น ใช่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงแปลกแยกแตกต่างอยู่เช่นเดิม
   เคราะห์ดีที่เขาไม่เคยบอกรักอี้เทียน ไม่อย่างนั้นทั้งอี้เทียน และตระกูลเฉิน หรือแม้แต่ฝ่าบาทผู้ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ ล้วนต้องถูกเขาลากลงโคลนตม สกปรกไปพร้อมกับเขา ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว
   ซื่อเสวี่ยนหัวเราะในลำคอทว่าน้ำตาหยดหนึ่งไหลรินจากหางตาซึมหายเข้าไปในปกเสื้อ อิสระที่ใฝ่หาแม้ดูเหมือนอยู่แค่เอื้อม ที่แท้แล้วช่างห่างไกล




   วันรุ่งนี้ ยังคงเป็นอี้เทียนที่มาเยือนจวนสกุลเฉินแต่เช้า ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มเช่นทุกครั้ง เสมือนไม่ทราบว่าตนเองถูกพัวพันในข่าวลือด้วย ท่าทางเปิดเผยไร้กังวลของเขาย่อมทำให้คนว่างงานและรอชมเรื่องสนุกเหล่านั้นรู้สึกไม่ได้ดังใจ
   “ทำไมเจ้ามาแต่เช้า”
   “ข้าตื่นเช้า”
   ซื่อเสวี่ยนและอี้เทียนมองหน้ากัน แม้ไม่เอ่ยสักประโยคซื่อเสวี่ยนก็เข้าใจว่าอี้เทียนมาด้วยเป็นเรื่องใด พวกเขาคนหนึ่งเปิดตำราอ่าน อีกคนจิบน้ำชามองคนอ่านตำรา นานๆ ครั้งจึงมีบทสนทนาเกิดขึ้น
   “เจ้าว่าแคว้นตงหย่าเป็นอย่างไร”
   อี้เทียนเลิกคิ้วกับคำถามอันปราศจากที่มาที่ไป  นึกถึงแคว้นตงหย่าที่เมื่อต้นปีส่งเครื่องราชบรรณาการมาด้วยของที่อาจตีความได้ว่าแคว้นตงหย่าไม่จำเป็นต้องเอาใจต้าเสินอีกต่อไป มุมปากก็ยกขึ้นคล้ายเย้ยหยัน “มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่เจียมตน”
   “เป็นเช่นนั้น”
   ท่าทีแข็งกร้าวและข่าวที่กองทัพส่งมายังกรมกลาโหม ทำให้ทั้งสองพอคาดเดาได้ว่าอีกไม่นานจะเกิดการนองเลือดขึ้นอีก


   ยามที่อี้เทียนออกจากจวนสกุลเฉินก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว เพียงร่างสูงสง่าก้าวขึ้นรถม้า สีหน้านุ่มนวลเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา บรรยากาศรอบตัวทำให้ผู้ติดตามของเขาพากันนึกถึงตูจวินที่บงการการรบบนหลังม้า ฆ่าฟันศัตรูด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึกเช่นนี้
   อี้เทียนหรี่ตาลง ใบหน้าปรากฎแววอันตราย คนที่แม้แต่เขายังมิกล้าทำให้แปดเปื้อนสักเพียงเล็กน้อย กลับถูกผู้อื่นทำให้ชื่อเสียงด่างพร้อย
   “ลู่จง ไปสืบมาอย่างละเอียด”

   
   พวกเขาคนหนึ่งกลัวดึงอีกฝ่ายสู่โคลนตม คนหนึ่งเกรงว่าอีกฝ่ายแปดเปื้อน จึงก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว สุดท้ายจึงห่างกันสองก้าว



   
   วังหลวง

   ซื่อเสวี่ยนในฐานะขุนนางชั้น 3 รั้งตำแหน่งรองเสนบาดีกลมกลาโหม จึงยืนอยู่ค่อนไปทางด้านหน้าของแถว วันนี้เป็นวันแรกที่ฮ่องเต้เรียกประชุมขุนนางหลังจากเสด็จกลับจากซูถาน หัวข้อหลักก็คงไม่พ้นพระราชทานรางวัลให้กับผู้ตามเสด็จบรรเทาทุกข์ราษฎร์
   จริงดังคาด หนานจงฮ่องเต้ทรงตรัสถึงการพัฒนาซูถานตามข้อเสนอของขุนนางท้องถิ่น และพระราชทานรางวัลแก่ผู้เสนอความคิดอย่างเช่นหลินซ่งฉี และเฉินซื่อเสวี่ยน
   “ซือจง”
   “พ่ะย่ะค่ะ”
   “เราให้เจ้าขอรางวัลได้หนึ่งข้อ”
   แม้หลายคนได้ยินว่าฝ่าบาทตรัสจะพระราชทานรางวัลอะไรก็ได้ตามที่รองเสนาบดีเฉินทูลขอ กระนั้นเมื่อได้ยินจากพระโอษฐ์ก็ยังคงระงับสีหน้าไม่ได้อยู่ดี ควรทราบว่ารางวัลนี้หากละโมบสักหน่อยจะขอตำแหน่ง ที่ดิน ลาภยศ หรือแม้แต่ป้ายทองอภัยโทษก็ย่อมได้
   เดิมทีซื่อเสวี่ยนเองก็คิดตรึกตรองอยู่หลายประการ เป้าหมายสุดคือไปจากเมืองหลวง ใช้ชีวิตเสรีอย่างแน่นอน ทว่าก่อนหน้านั้น เพื่อสกุลเฉินและส่ิงที่ยังติดค้างในใจ เขาปรารถนาจะเป็นเจียงจวินเสียก่อน เพราะหากกระทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ก็รู้สึกว่ายังไม่อาจจากเมืองหลวงไปได้อย่างวางใจ ตรงข้ามหากสำเร็จแล้ว ยอมคืนอำนาจการทหารให้ฝ่าบาท ขอจากไปย่อมไม่มีผู้ใดรั้งไว้ สกุลเฉินเองก็ปลอดภัยไร้เรื่องราว มีเพียงเกียรติยศชื่อเสียงปราศจากอำนาจในมือ ถึงเวลานั้นไปซูถานก็ดี ดาวที่นั้นเห็นชัดกว่าเมืองหลวงมาก
   “กระหม่อมใคร่ขอเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกใหญ่สักครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
   คำขอของเขากล่าวได้ว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน ต่างขบคิดไม่ตกว่าเพราะเหตุใดรองเสนาบดีเฉินจึงทำให้โอกาสอันดีอย่างหาไม่ได้อีกแล้วเสียเปล่า หรือเพราะเขาคิดว่าความดีความชอบเพียงเล็กน้อยไม่เหมาะจะขอรางวัลเกินตัว หรือเพราะนี่คือการทดสอบของฝ่าบาท เพราะเหตุใดเฉินซื่อเสวี่ยนต้องเลือกไปลำบากลำบนในสนามรบด้วยเล่า หรือหากต้องการความชอบทางการทหาร เฉินซื่อเสวี่ยนเคยเป็นรองแม่ทัพมาแล้ว รออีกหน่อยโอกาสได้นำทัพย่อมมาถึง เหตุใดรีบร้อนจนเสียโอกาสดีงามเช่นนี้
   
   อวิ๋นหนานชะงักไปเล็กน้อยโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น นึกไม่ถึงว่าไม่ให้ซื่อเสวี่ยนออกรบคราวก่อน เขายังขอนำทัพในคราวหน้า พระเนตรเปี่ยมปัญญาของหนางจงฮ่องเต้ทอดมองขุนนางคนสนิทครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า “อนุญาต”
   “ขอบพระทัย”
   “หญ้าดาบที่ซือจงค้นพบนั้น” สุรเสียงนาบเนิบ คล้ายตรัสโดยมิได้ไตร่ตรอง ตรงข้ามประโยคต่อมาของพระองค์ซึ่งบอกเป็นนัยว่าทรงใคร่ครวญมาแล้ว “ต่อไปให้เรียกว่า ซือเฉ่า”
   พระราชทานชื่อหญ้าโดยมีนามแฝงของซือจงอยู่ในชื่อ อย่าได้เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ต่อไปภายหน้าราษฎรในมณฑลซูถานหรือพื้นที่อื่นๆ ที่นำซือเฉ่าไปปลูก จะระลึกได้ว่าต้นหญ้าธรรมดาๆ ที่ช่วยพลิกฟื้นผืนแผ่นดิน ที่อยู่ที่ทำมาหากินของพวกเขา มาจากความคิดของผู้ใด



   
   ยมโลก

   เบื้องหน้าอี้เทียนเห็นเด็กผู้ชายอายุราวห้าขวบสองคน คนหนึ่งผมสั้น ส่วนอีกคนผมยาวประบ่า หน้าตาของเด็กทั้งสองมิได้คล้ายกันแต่ก็พอเดาได้ว่าเมื่อเติบใหญ่ขึ้นจะต้องกลายเป็นชายหนุ่มที่มีเหลาเหลาไม่น้อย
   “ไหนล่ะ ท่านแม่อยู่ที่ใด” เด็กผู้ชายที่มีผมดำยาวประบ่ามองหน้าอี้เทียนอย่างไม่เกรงกลัว ศีรษะเล็กๆ เชิดขึ้นด้วยท่าทางท้าทาย
   “โลกมนุษย์”
   “ท่านจะพาพวกเราไปหรือ”
   “ข้าจะไปหาเขา ส่วนพวกเจ้าทั้งสองคนดูแลที่นี่แทนข้า”
   “หลอกลวงกันนี่”
   “เสี่ยวฝู พูดกับท่านพ่ออย่างนั้นได้อย่างไร” เด็กน้อยคนผมสั้นว่า มือเล็กบีบมือเสี่ยวฝูเบาๆ เป็นเชิงตักเตือน เสี่ยวเฮยระลึกอยู่เสมอกับตัวเองเป็นพี่ อีกทั้งเทพมายาผู้เป็นบิดาของเขาก็ไม่ใช่คนอ่อนโยน ถ้าเกิดว่าโกรธขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะตีเสี่ยวฝูหรือไม่
   “หึ เขาไม่ใช่บิดาข้าสักหน่อย บิดาของข้าชื่ออวิ๋นหนานต่างหาก”
   “เสี่ยวฝู!”
   ได้ยินเสี่ยวเฮยเรียกชื่อตัวเองเสียงดัง ใบหน้าน่ารักของเสี่ยวฝูก็งอง้ำลง ทั้งยังสะบัดหนีไม่มองเสี่ยวเฮยอีก กระทั่งเสี่ยวเฮยทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายง้อเสียเอง
   “นี่ งอนเหรอ นี่ เจ้าพูดกับข้าหน่อย”

   เนื่องจากเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฝูมีธาตุมืดเป็นหลัก บำเพ็ญเพียรที่ยมโลกซึ่งมีพลังหยินเต็มเปี่ยมจึงเป็นประโยชน์กับทั้งสองมากกว่า ดังนั้นนับตั้งแต่พวกเขากลับมาจากโลกของอลัน เสี่ยวเฮยและเสี่ยวฝูก็ฝึกฝนอยู่ในยมโลกมาโดยตลอด เมื่ออี้เทียนเห็นว่าทั้งสองผ่านด่านแรกไปอย่างราบรื่น ประจวบเหมาะกับที่เขาตั้งใจจะไปเยือนโลกมนุษย์ จึงได้เรียกพวกเขาออกมา
   อี้เทียนมองเด็กทั้งสองคนงอนง้อกันแล้วก็ส่ายศีรษะระอา หากเสี่ยวเฮยมิได้เรียกเขาว่าบิดาและเรียกจิวซือว่ามารดาล่ะก็ เขาคงจับขังแยกจนกว่าจะสำนึกไปแล้ว




         #วิถีเซียน3p




ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ยิ่งอ่านยิ่งติดงอมแง่ม o13

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ยังไม่ทันได้แต่งลูกก็โตซะแล้ว

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ซื่อเสวี่ยนอยากไปนำทัพครั้งนี้ เราว่าอวิ๋นหนานคงต้องตามไปด้วยแน่เลย ไม่น่าจะปล่อยให้ซื่อเสวี่ยนนำทัพไปเพียงคนเดียวแน่ ๆ

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
The Great General (13)




   จวนสกุลเฉิน

   ซื่อเสวี่ยนแปลกใจเมื่อได้ยินพ่อบ้านรายงานว่าคุณหนูหลิวมาหา ชายหนุ่มวางตำราลงแล้วรีบออกไปต้อนรับ ด้วยหลิวเสี้ยนหรงเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน แม้ต้าเสินมิได้เคร่งครัดธรรมเนียมระหว่างชายหญิงนัก ซื่อเสวี่ยนก็ยังให้คนเชิญนางไปยังศาลาริมน้ำ พร้อมสาวใช้หลายคน
   หลิวเสี้ยนหรงปีนี้อายุ 20 ปี นับว่าล่วงเลยวัยออกเรือนมาหลายปี ใบหน้างดงามแต้มเครื่องสำอางค์อย่างประณีต นางสวมชุดสีฟ้าอ่อนขับเน้นรูปร่างสมส่วนบอบบางของสตรี
   “คุณหนูหลิว”
   “คุณชายเฉิน”
   หลังจากกล่าวทักทายตามมารยาทแล้ว ทั้งสองต่างก็เงียบ เมื่อซื่อเสวี่ยนถามหลิวเสี้ยนหรงว่านางมีธุระอันใด นางก็เพียงทอดสายตามองไกลออกไปโดยไม่ตอบคำถามของเขา ซื่อเสวี่ยนมิได้เร่งรัดนาง เขานั่งเป็นเพื่อนนาง ทอดสายตามองไปในทิศทางเดียวกับนาง ครู่ใหญ่ค่อยได้ยินเสียงหวานเอ่ยถาม
   “เฉินซื่อเสวี่ยน ท่านมีคนในใจแล้วหรือ”
   หลิวเสี้ยนหรงเรียกชื่อเต็มของบุรุษที่ยินยอมนั่งรอนาง บุรุษที่นางเฝ้าฝันว่าจะได้ครองคู่ เมื่อได้สบตากับเขา หัวใจนางยังคงเต้นแรง กระทั่งได้ยินคำตอบของเขา
   “มีแล้ว”
   หลิวเสี้ยนหรงพลันรู้สึกเหมือนบางอย่างถูกพรากไป แม้ทำใจไว้แล้ว ก็ยังมิอาจห้ามตนเองไม่ให้รู้สึกเจ็บปวดผิดหวัง นางกระพริบตาห้ามมิให้ตนเองร้องไห้
   “ข้า...ไม่มีโอกาสเลยหรือ”
   ซื่อเสวี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง เขาพิจารณาหญิงสาวเบื้องหน้า เพียบพร้อมทั้งหน้าตา การศึกษา และชาติตระกูล หญิงสาวดีงามเช่นนี้ เขาสมควรซื่อตรงกับนาง
   “คุณหนูหลิว” ซื่อเสวี่ยนยิ้มบางทำให้บรรยากาศรอบตัวของเขาอบอุ่นดังสายลมฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาดำขลับอ่อนแสงยามเอ่ยถึงบุคคลในดวงใจ “ผู้ที่อยู่ในใจข้านั้นมีคนข้างกายแล้ว ดังนั้นชาตินี้ข้าไม่คิดแต่งงาน น้ำใจของคุณหนูหลิว ซื่อเสวี่ยนขอรับไว้ด้วยใจ”
   หลิวเสี้ยนหรงนิ่งไป นางมองบุรุษตรงหน้าเนิ่นนานกว่าจะฝืนยิ้มออกมา “ได้ ถือว่าท่านรับรู้”
   
   เย็นวันนั้นเกิดข่าวลือขึ้นอีกระลอกว่าที่แท้รองเสนาบดีเฉินมิใช่รักใคร่บุรุษ แต่เขาเป็นคนหนุ่มที่มีปณิธาน ตั้งใจจะออกศึกใหญ่ในเร็ววัน ดังนั้นจึงไม่แต่งงาน ด้วยเกรงว่าภรรยาจะเป็นหม้าย เหล่าคนผู้ว่างงานเหล่านี้แต่งเสริมเรื่องราวออกไป บ้างก็ว่าสตรีในดวงในของรองเสนาบดีเฉินถูกข้าศึกสังหาร เขาจึงผูกใจเจ็บ แม้ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลใหญ่ เขากลับปฏิเสธ แต่ขอออกรบเพื่อล้างแค้นให้หญิงอันที่รัก


   สามเดือนต่อมา หลิวเสี้ยนหรงตกลงหมั้นหมายกับคหบดีหนุ่มผู้หนึ่ง เดิมทีใต้เท้าหลิวไม่ยินยอม แต่หลิวเสี้ยนหรงยืนกรานว่าชีวิตนี้ไม่ต้องการสิ่งอื่นใด นอกจากสามีซื่อสัตย์และรักนางผู้เดียว สุดท้ายใต้เท้าหลิวจึงได้แต่ตามใจบุตรี ทั้งยังช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง





   จวนสกุลอี้

   ใบหน้าที่เคยงดงามของซุนเจียวเจี๋ยซีดขาวขาดชีวิตชีวา แม้แต่พอกแป้งทาชาดยังมิอาจกลบความเศร้าหมองบนใบหน้าของนางได้ ดวงตาสองข้างเลื่อนลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง จู่ๆ นางก็เงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เมื่อนึกถึงบทสนทนาที่แม้ผ่านมาหลายเดือนก็ยังตราตรึงชัดเจนเสมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
   

   “ใจท่านไม่เคยมีข้าเลยหรือ”
   “เจ้ารู้ดีตั้งแต่ก่อนแต่งเข้าตระกูลอี้”
   นางรู้ รู้ดี ก่อนแต่งเข้าสกุลอี้ เขาบอกกับนางอย่างชัดเจนแล้วว่าชาตินี้ไม่มีวันรักนาง ทำได้เพียงให้เกียรตินางในฐานะฮูหยินของเขา แต่นางยังหวังว่าความอ่อนโยน เอาใจใส่ของนางจะเปลี่ยนใจเขาได้ ทุ่มเทเพื่อเขา คิดเพื่อเขา กระทำทุกอย่างก็เพื่อความรักของเขา ทั้งหมดนั้นไม่มีประโยชน์หรือ
   “ท่าน...ไม่ชอบข้า ไม่เลย สักนิดหรือ”
   เขามองนางอย่างเย็นชา กล่าวว่า “อย่าคิดร้ายต่อเขาอีก”
   “อี้เทียน! เจ้า!” คิดร้ายแล้วผิดอะไร คนๆ นั้นแย่งชายคนรักไปจากนาง ทำให้นางไม่มีความสุข ไม่อาจเรียกที่นี่ว่าบ้าน ไม่มีลูก ไม่มีอะไรทั้งนั้น ทั้งหมด ทั้งหมด ล้วนถูกมันทำลาย นางคิดร้ายต่อมันแล้วผิดยังไง
   “ซุนเจียวเจี๋ย หากมีครั้งหน้า ข้าจะไม่ยั้งมือแล้ว”
   ใบหน้าของเขาน่ากลัว เลือดเย็นอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นี่เป็นการเตือนจากเขา เป็นเขาไว้หน้านางที่เป็นภรรยา หาไม่แล้วล่ะก็...
   นางทรุดลงนั่งกับพื้นสะอึกสะอื้น หัวใจแหลกสลายไม่มีชิ้นดี เงยหน้ามองอี้เทียนผ่านม่านน้ำตา ถามเขาเสียงสั่น แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ขอแค่ครั้งเดียว
   “อี้เทียน ข้ารักท่าน ฮึก ท่านมองข้า สัก...ครั้ง”
   แต่เขาไม่หันกลับมามองนาง แผ่นหลังกว้างของเขาห่างออกไปเรื่อยๆ ห่างไกลเหลือเกิน



   ซุนเจียวเจี๋ยกระพริบตาไล่น้ำตาตลอดจนภาพความทรงจำที่หวนกลับมาทำร้ายนางครั้งแล้วครั้งเล่า มารดาเคยกล่าวว่าลูกหลานตระกูลใหญ่ล้วนขาดน้ำใจรัก บิดาของนางมีอนุมากมาย โชคดีที่มารดามาจากตระกูลใหญ่ ดังนั้นจึงยังรักษาตำแหน่งฮูหยินไว้ได้ นางเคยภูมิใจนักที่สามีของนางมีนางเป็นภรรยาเพียงคนเดียว กระทั่งวันหนึ่งนางเจอภาพวาดของเฉินซื่อเสวี่ยนในห้องหนังสือของเขา
   ในภาพนั้น เฉินซื่อเสวี่ยนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มือหนึ่งมีมีดพับขนาดเล็กแต่ลวดลายประณีต ใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน ใต้ภาพนั้นเห็นลายมือของอี้เทียนเขียนว่า
   ‘ดวงใจข้าในมือเจ้า’
   นางมือสั่นจนทำภาพใบนั้นตกพื้น ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง เวลานั้นอี้เทียนตามบิดาไปทำศึก นางจึงมีความกล้าที่จะค้นห้องหนังสือของเขา จนพบหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่เขาไม่มีน้ำใจรัก เพียงแต่คนที่เขารักไม่ใช่นาง
   อี้เทียนวาดภาพใบหนึ่ง เก็บรักษาใส่กล่องอย่างดี เป็นรูปเด็กชายสองคน เด็กคนหนึ่งยื่นมือให้เด็กชายอีกคนที่กำลังร้องไห้ ด้านข้างมีข้อความเขียนว่า
   ‘หากเจ้าเป็นแม่ทัพ ข้าเป็นรองแม่ทัพ
   หากเจ้าเป็นพ่อค้า ข้าเป็นคนครัว
   หากเจ้าเป็นขอทาน ข้ายอมนั่งขอทานอยู่ข้างเจ้า
   ซื่อเสวี่ยน ข้าเป็นพี่อี้ของเจ้าตลอดไป’
   ลายมือบรรทัดสุดท้ายหนักแน่น โดยเฉพาะตัวอักษรคำว่า ‘ซื่อเสวี่ยน’ เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจรดพู่กันเพียงใด นี่ไม่ใช่คำกลอน แต่เป็นคำสัญญาของเขา เวลานั้นนางจึงเข้าใจว่าที่แท้แล้วคนเราสามารถถูกรักได้มากขนาดนี้ ที่แท้แล้วสามีของนางไม่ใช่คนเย็นชา แต่อ่อนโยนได้เพียงนี้ แล้วทำไม ทำไมคนๆ นั้นจึงไม่ใช่นาง นางเป็นภรรยาของเขา สมควรได้รับความรัก ความอ่อนโยนจากเขา ทั้งหมดควรเป็นของนาง
   หลายปีที่ผ่านมาจึงพยายาใทำทุกอย่างเพื่อเขา เพื่อสกุลอี้ สุดท้ายสิ่งที่ได้นางได้รับมีเพียงคำเตือนหนึ่งประโยค ‘อย่าคิดร้ายต่อเฉินซื่อเสวี่ยน’
   ซุนเจียวเจี๋ยหัวเราะ ทั้งร้องไห้และหัวเราะ เขาบอกชาตินี้จะเป็นพี่อี้ของเฉินซื่อเสวี่ยนตลอดไป เช่นนั้นนางเป็นตัวอะไร ฮะๆ อี้เทียน เฉินซื่อเสวี่ยน เป็นพวกเจ้าบีบบังคับข้า




   
   เจ็ดเดือนต่อมา

   ซื่อเสวี่ยนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพนำทัพใหญ่ขับไล่กบฎตงหย่า โดยมีอี้เทียนและซุนอวี้เป็นรองแม่ทัพ หลินซ่งฉีเป็นกุนซือ กล่าวได้ว่าบรรดาแม่ทัพนายกองครานี้ล้วนแต่ประกอบด้วยคนหนุ่มมากฝีมือ ผู้เป็นที่น่าจับตามอง และเป็นกำลังสำคัญของหนานจงฮ่องเต้ทั้งสิ้น มิใช่ไม่มีผู้คัดค้าน ขุนนางเก่าแก่หลายคนย่อมต้องเสนอคนของตนเพื่อหวังรักษาสมดุลของขั้วอำนาจ แต่หนานจงฮ่องเต้ตัดสินพระทัยแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งขุนนางเก่าคัดค้าน ยิ่งทรงสนับสนุนคนรุ่นใหม่ สุดท้ายจึงกลายเป็นว่าผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญแทบทั้งหมดเป็นขุนนางหนุ่มที่พระองค์คัดเลือดด้วยพระองค์เอง
   การศึกครั้งแรกที่อำเภอฉานผิง ทัพต้าเสินได้ชัยอย่างรวดเร็ว ขับไล่ข้าศึกถอยร่นโดยที่เสียกำลังพลเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อข่าวชัยชนะแรกส่งมาถึงเมืองหลวง บรรดาจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ต่างก็พลิกลิ้นชื่นชมสายพระเนตรอันเฉียบแหลมของพระหมื่นปี และบรรดาขุนพลหนุ่มเหล่านั้นว่าเป็นอนาคตของต้าเสิน
   


   ค่ายทหาร อำเภอฉานผิง

   ซื่อเสวี่ยนรู้สึกไม่สบายใจ เป็นความรู้สึกที่ปราศจากที่มาที่ไป คล้ายกับความกระวนกระวาย หรือสังหรณ์ว่า จะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้น กระนั้นเมื่อทบทวนแผนการรบและข้อมูลที่สืบทราบมาได้อย่างถี่ถ้วนแล้วก็ไม่พบว่ามีช่องโหว่ตรงไหน
   “พกมาด้วยหรือ”
   ซื่อเสวี่ยนหันตามเสียงพูดก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยของสหายมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน ใบหน้าคล้ำแดดของอี้เทียนปรากฎรอยยิ้มบางเบา ตอนนั้นค่อยระลึกได้ว่าตนเองหยิบมีดพบเล่มเล็กที่อีกฝ่ายเคยมอบให้มาหมุนเล่นเพราะหัวใจไม่สงบ
   “เหมาะมือดี”
   “แน่นอนว่าเหมาะกับเจ้า”
   “เจ้าทำให้หนิงเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ”
   อี้เทียนไม่ตอบ เขาเพียงแค่ยิ้มออกมาราวกับพอใจนักหนาที่ได้เห็นมีดพับเล่มนี้อยู่ในมือซื่อเสวี่ยน ครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “เจ้าเหนื่อยแล้ว รีบนอนเถอะ”
   ซื่อเสวี่ยนเลิกคิ้วมองอี้เทียนที่ใช้สายตากดดันให้เขารีบกลับไปนอน เวลานั้นเกือบหลุดปากบอกอีกฝ่ายว่าจบการศึกคราวนี้ ตนเองจะลาออกจากราชการไปท่องเที่ยวแล้ว แต่เมื่อคิดอีกที ยังคงไม่พูดไปจะดีกว่า อย่างไรเสียก็ไม่ได้ไปด้วยกัน ต่างคนต่างมีชีวิตของตนเอง
   “จบศึกคราวนี้ พวกเราไปท่องเที่ยวกัน”
   ปลายเท้าของซื่อเสวี่ยนชะงักกับประโยคที่ได้ยิน แทบเก็บอาการตกใจไว้ไม่อยู่ เสมือนความลับในใจถูกเปิดเผยต่อหน้าอีกฝ่าย ทั้งที่คำชวนนั้นเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
   “ท่องยุทธภพเหมือนในหนังสือที่เจ้าชอบอ่าน”
   สุดท้ายซื่อเสวี่ยนก็หัวเราะออกมาคำหนึ่ง คนอย่างอี้เทียนนั้นบางทีคงเกิดมาเพื่อชนะเขาโดยเฉพาะ ไม่ว่าเมื่อไรๆ เขาก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้เลย ชายหนุ่มเก็บมีดพับเข้าอกเสื้อ แล้วหันหลังเดินกลับไปทางกระโจมที่พัก กล่าวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า “ข้าไปคนเดียว”
   “ไม่มีข้าแล้วใครจะย่างกระต่ายให้เจ้ากิน อาเสวี่ยน เจ้าทำอาหารไม่เป็น”
   ซื่อเสวี่ยนโบกมือ ทำเป็นไม่ได้ยิน
   ใครบอกว่าเขาทำไม่เป็น เขาเพียงแต่ไว้หน้าสหาย ยอมให้แสดงฝีมือต่างหาก





   #วิถีเซียน3p

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องไม่ดีนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด