(The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p  (อ่าน 58502 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ใจเราตอนนี้คือล้มสลายกว่าทุกตอนที่เจ้าตาย

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
รอติดตามตอนต่อไป :mew1:

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ซื่อเสวี่ยนจะเป็นอย่างไรต่อนะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เป็นตอนที่สะเทือนใจมาก

ออฟไลน์ padloms

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ในที่สุดก็ตามอ่านถึงตอนปัจจุบัน สนุกมาก ลุ้นเรื่องราวหลังจากนี้ครับ

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
Owner of the Golden Pagoda (1)


แม้ภาพต่างๆ จะขาดหายไปทันทีที่เฉินซื่อเสวี่ยนสิ้นลม จิวซือก็รับรู้ว่าตนเองกำลังมีความสุข ร่างกายเบาหวิวปลอดโปร่ง ความทรงจำขณะที่เป็นเฉินซื่อเสวี่ยนหลั่งไหลเข้ามาอีกครั้ง นับตั้งแต่แรกเกิดกระทั่งเสียชีวิต เขาพบว่านอกจากจะไม่ได้ทำเรื่องผิดคุณธรรมแล้ว ยังได้เปลี่ยนแปลงอดีตของตัวเอง แก้ไขสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ
ประสบการณ์ของเฉินซื่อเสวี่ยนนั้นมิได้หนักหนาเท่าหลายชาติภพของเขาในด่านคุณธรรม เพียงเพราะเป็นสิ่งที่ยึดติด ฝังใจ ดังนั้นจึงกลายเป็นกรงขัง เป็นสถานที่มืดมิดคับแคบที่ตนเองสร้างขึ้นมา แล้วนั่งกอดเข่ามองประตูที่ปิดสนิทอยู่อย่างนั้น ที่เท้ามีโซ่เส้นใหญ่ล่ามไว้ เฝ้ารอว่าเมื่อไรประตูบานนั้นจะเปิดออก ทั้งที่มันไม่ได้ลงกลอนไว้เสียหน่อย แค่ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเท่านั้นเอง ไม่คิดว่าสุดท้ายจะมีคนผู้หนึ่งปลดโซ่ตรวนที่ล่ามขาของเขา และคนอีกผู้หนึ่งเปิดประตูกรงขังออกให้
ขอบคุณ
จิวซือยิ้ม ลุกขึ้นยืนช้าๆ ค่อยๆ ก้าวออกมา


เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกคราก็ต้องสับสนงุนงง เพราะแทนที่จะเป็นหอคุณธรรม เบื้องหน้าเขากลับเป็นห้องนอนขนาดไม่ใหญ่นักห้องหนึ่ง ทั้งห้องมืดสลัวเพราะไม่ได้เปิดไฟ และมีผ้าม่านสีทึบบดบังแสงจากภายนอก เด็กชายร่างผอมขาวซีดนั่งห้อยขาอยู่บนเตียง เขาน่าจะมีอายุราว 8 ขวบ ใบหน้าเล็กเหม่อลอย ดวงตากลมไร้ประกาย ตามตัวมีร่องรอยของการถูกทารุณ แต่เด็กน้อยไม่ทราบว่าทำไมจึงถูกตี ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงออกจากห้องนี้ไม่ได้ ประตูห้องถูกล็อกจากด้านนอก เขาได้แค่มองอยู่อย่างนั้น รอว่าเมื่อไรประตูบานนั้นจะเปิดออก
จิวซือมองเด็กน้อยอย่างแปลกใจครู่หนึ่ง เด็กคนนี้ไม่ใช่อเล็ก ด่านคุณธรรมชาติแรกของเขาหรอกหรือ

ด่านทดสอบคุณธรรมชาติแรกของจิวซือนั้นเขาเกิดเป็นอเล็ก ลูกนอกสมรสของนักการเมืองชื่อดังคนหนึ่ง อาจเพราะตอนตั้งครรภ์ แม่ของเขามีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจอยู่บ่อยๆ และเกือบแท้งถึงสองครั้ง อเล็กเกิดมาพร้อมความพิการทางปัญญา เขาอยู่กับแม่แท้ๆ จนอายุห้าขวบ แม่ของเขาก็เสียชีวิต อเล็กถูกพ่อที่เขาจำหน้าไม่ได้พากลับไปเลี้ยงดูที่คฤหาสน์ของตระกูล เด็กนอกสมรสและยังไม่เหมือนคนอื่นจึงกลายเป็นที่รังเกียจและเป้าหมายของการทารุณอยู่บ่อยครั้ง
ประตูห้องนอนของเด็กน้อยเปิดออก ดวงตาไร้ประกายเมื่อครู่ค่อยมีแสงพาดผ่าน ทว่าก็หม่นลงทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาคือพี่เลี้ยง ถาดอาหารถูกวางอย่างแรงจนเหมือนกระแทกกับโต๊ะ พี่เลี้ยงมองอเล็กด้วยสายตารังเกียจและดูถูก ปากก็สาดถ้อยคำทำร้ายจิตใจอย่างที่ทำทุกวัน ราวกับห้องๆ นี้คือสถานที่ให้เธอได้ระบาย ได้แสดงออกถึงความเหนือกว่า ลูกชายของนายท่านแล้วอย่างไร ก็แค่เด็กปัญญาอ่อนที่ไม่มีใครต้องการ
“ขยะ รกโลก วันๆ ก็นั่งงอมืองอเท้ารออาหาร ต่างกับขอทานตรงไหนวะ เหอะ หมาข้างถนนยังดีกว่า อย่างน้อยมันก็คุ้ยขยะกินเองได้ แต่ไอ้เด็กปัญญาอ่อนนี่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง นอกจากทำตัวน่าสงสาร ถุย เปลืองข้าวสุก ทำไมไม่ตายๆ ไปสักทีวะ”
หลังประตูห้องนอนของอเล็ก จิวซือเห็นนายหญิงของบ้านยิ้มเย็น สีหน้าพึงพอใจกับคำพูดของพี่เลี้ยง ดวงตาสีน้ำตาลของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ตกเย็นเมื่อพี่ชายและน้องสาวต่างแม่ของอเล็กกลับมาจากโรงเรียน คฤหาสน์ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ยกเว้นแต่มุมหนึ่งของชั้นสองของคฤหาสน์ซึ่งเป็นห้องของอเล็ก มุมมืดที่ไม่มีใครอยากเข้ามาใกล้
จิวซือได้ยินความคิดของอเล็ก หรือจะพูดให้ถูกก็คือความคิดของตัวเขาในภพนั้น ตอนที่ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงตะโกนเรียกพ่ออย่างดีใจ พ่อคงกลับมาแล้ว
‘คำว่าพ่อ ผมก็พูดได้แล้ว ถึงจะช้ากว่าเด็กคนอื่นมาก แต่พูดได้แล้วนะ’
อเล็กพูดคำว่าพ่อได้อย่างชัดเจนเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเขาฟังเสียงที่ตัวเองเปล่งออกมาอย่างตั้งใจก็พบว่าเหมือนที่น้องสาวออกเสียงไม่ผิดแล้ว เขาอยากบอกพ่อ อยากให้ใครสักคนรับรู้ถึงความสำเร็จเล็กๆ ของเขา แต่ว่าพ่อไม่เคยมาหา เขาได้ยินเสียงพ่อหัวเราะ พูดว่ากลับมาแล้วลูก แต่พ่อไม่เคยมาถึงห้องของเขา พ่อมักจะอยู่ข้างล่าง แล้วก็ขึ้นชั้นสามไปเมื่อถึงเวลานอน ขณะที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องนี้เวลาที่คนอื่นๆ อยู่ เขาจะออกไปได้ก็ต่อเมื่อเจ้านายของคฤหาสน์หลังนี้ไปพักผ่อนที่อื่น แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้ออกไปอยู่ดี เพราะพี่เลี้ยงมักจะลืมมาเปิดประตูให้ สุดท้ายก็เหมือนอยู่ลำพัง ยังดีที่เขามีกระดาษ และดินสอสีไว้คอยระบายสิ่งต่างๆ ที่พูดออกมาไม่ได้
จริงๆ แล้ว อเล็กไม่ได้เป็นคนพิการทางปัญญาอย่างที่คนอื่นคิด เขาแค่แตกต่างออกไป แค่มีพัฒนาการบางอย่างช้ากว่าเด็กคนอื่น เขาเป็นอัจฉริยะเรื่องการวาดภาพ แต่ไม่เคยมีใครรู้ ความสามารถถูกฝังอยู่ที่ชั้นสองของบ้าน

   จิวซือมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ เข้าใจทั้งตนเองและคนอื่น มนุษย์ก็เป็นแบบนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยอารมณ์และเหตุผลในสัดส่วนที่ต่างกันไป และมีวิธีการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวไม่เหมือนกัน คนที่ไม่รักเลือดเนื้อของตัวเองก็มี คนที่เกลียดแม่แล้วทำร้ายลูกก็มี คนที่พ่นคำพูดร้ายกาจกดหัวคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูสูงขึ้นก็มี มีอยู่จริงทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าทุกครอบครัวคือสถานที่ปลอดภัย ไม่สามารถตัดสินคนอื่นจากบรรทัดฐานของตนเองได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรทางเลือกและการกระทำของแต่ละคนก็ล้วนส่งผลกับอนาคตของบุคคลนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

   วันหนึ่งขณะที่อเล็กกำลังระบายสีลงบนกระดาษขาวที่กระจายอยู่บนพื้นอย่างไร้ระเบียบ ก็ได้ยินเสียงกุกกักที่หน้าต่าง เด็กน้อยเปิดผ้าม่านออกดูก็เห็นนกตัวเล็กๆ ที่มีขนสีขาวตลอดทั้งตัว และมีดวงตาสีทองประหลาดเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่าง เด็กน้อยนิ่งเหมือนรูปปั้นไม่กล้าขยับตัว ด้วยเกรงว่าเจ้านกน้อยจะบินจากไป
อย่าเพิ่งไปเลยนะ อยู่ด้วยกันก่อน
   เหมือนคำอธิษฐานเป็นจริงเมื่อเจ้านกน้อยไม่บินหนี มันเอียงหัวเล็กแล้วส่งเสียงร้องจิ๊บๆ ราวกับกำลังทักทาย ใบหน้าของอเล็กเป็นสีแดงสดใส ดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า เด็กชายมองนกน้อยอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน หลังจากนั้นเจ้านกก็มักจะแวะเวียนมาหาเขาบ่อยๆ กลายเป็นเพื่อนคนแรกและคนเดียวของอเล็ก
   จิวซือจำนกตัวนี้ได้ แต่เขาไม่รู้มาก่อนเลย ไม่เคยสังเกตเห็นความผิดปกตินี้เลยจนกระทั่งได้เห็นมันด้วยร่างเซียนในเวลานี้เอง ดวงตาสีทองของมันเรืองแสงสีทองขององค์เทพ แม้จะเลือนราง แต่เขาจำพลังนั้นได้ดี พลังของ...ตงหวาง แต่จะเป็นไปได้อย่างไร

   จิวซือเฝ้ามองชีวิตในแต่ละวันของอเล็กกระทั่งวันที่เด็กชายอายุ 10 ปี อเล็กหิวข้าวจนปวดท้องเพราะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน เพราะพี่เลี้ยงโกรธที่เขาทำข้าวหก บอกว่าไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน เด็กชายเงี่ยหูฟังที่ประตูพบว่าข้างนอกเงียบสนิท จึงค่อยๆ แง้มประตูเปิดออก แล้วแอบย่องลงมา ภาวนาให้ไม่มีคนอยู่ แต่แล้วเขากลับพบผู้ชายคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ น่าจะแก่เขาสักสิบปี อเล็กหดตัวเล็กเท่าที่จะทำได้ เบียดตัวเองกับผนังเพราะกลัวถูกตี แต่ท้องของเขากลับร้องขึ้นมา เด็กชายหน้าซีด ทำอะไรไม่ถูก
   คนๆ นั้นถามเขาว่าหิวเหรอ จากนั้นไม่รอให้เขาตอบ ก็อุ้มเขาแล้วพาลงมาข้างล่าง อเล็กเห็นแม่บ้านสีมีหน้าตกใจ แต่ก็ไปอุ่นอาหารมาให้เขาตามที่ผู้ชายคนนั้นบอก วันนั้นเขาได้กินอาหารหลายอย่างมาก ทั้งร้อน หอม และอร่อย ตอนค่ำก็มีนมร้อนๆ มาให้แก้วหนึ่ง ไม่ถูกด่าหรือถูกตีอย่างที่กังวล ไม่รู้ว่าพี่ชายคนนั้นทำได้ยังไง ไม่รู้พี่ชายคนนั้นเป็นใคร และจะมาที่นี่อีกไหม ยังไม่ได้ขอบคุณเลย
   จิวซือเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ เขารู้ ไม่ทราบเพราะอะไร แต่เขารู้ว่าผู้ชายคนนั้นคืออี้เทียนที่กำลังอยู่ในด่านคุณธรรมเช่นเดียวกับเขา
   ที่แท้ก็สวนกันครั้งหนึ่งหรอกหรือ

   ภพชาตินั้นเขาตายตอนอายุ 38 ไม่เคยออกไปไหน ไม่เคยใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น ก็แค่เกิดและตายอยู่ในมุมเงียบๆ มุมหนึ่งของโลก เมื่อดวงตาของอเล็กปิดลง จิตเซียนของจิวซือก็ถูกดูดไปอีกครั้ง แสงสว่างจ้าบังคับให้เขาหลับตาลง เมื่อลืมตาอีกครั้ง ก็อยู่อีกโลกหนึ่งแล้ว
   เหลาสุราเบื้องหน้าเขามีป้ายเขียนว่า ‘หอสุคนธ์’ จิวซือจำได้ว่านี่คือด่านคุณธรรมด่านที่สองของเขา เวลานี้เขาค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ากำลังมองดูชีวิตในด่านคุณธรรมที่ผ่านมาของตัวเอง แต่ไม่แน่ใจว่าเซียนทุกคนได้เห็นแบบนี้หรือเปล่า เพราะเหตุการณ์เช่นนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เซียนอาวุโสเคยแค่บอกว่าเมื่อผ่านด่านคุณธรรมทั้ง 11 ชาติแล้ว หอคุณธรรมก็จะเลื่อนขั้นให้เป็นเทพ มีผู้คุมกฎพาไปส่งยังภพสวรรค์เพื่อรายงานตัว ก่อนจะจัดสรรตำหนักและหน้าที่ต่อไป
   เถาฮุ่ย คือชื่อของเขาในภพชาตินี้ เขาเกิดเป็นลูกหญิงคณิกาในหอสุคนธ์ ตั้งแต่แรกเกิดก็ถูกพามาทิ้งที่วัดร้าง โชคดีมีผู้เฒ่าในค่ายสำนักทางเต๋าผู้หนึ่งไปพบเข้า จึงพาเถาฮุ่ยกลับมาฝึกวิชา เพราะความพิเศษของร่างกาย ประกอบกับพรสวรรค์ไม่เลว จึงรุดหน้ากลายเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง เก่งกาจด้านการปราบภูตผีปีศาจ เป็นที่ชื่นชมของบรรดาศิษย์พี่ศิษย์ไม่น้อย นับว่าชีวิตในช่วงวัยรุ่นของเถาฮุ่ยราบรื่นดี
   เถาฮุ่ยฝึกวิชาอย่างหนัก เพราะกลัวว่าท่านผู้เฒ่าจะไม่พอใจ กลัวว่าจะถูกขับไล่ เขาไม่เคยเที่ยวเล่นกับเด็กวัยเดียวกัน ทุกๆ วันเหนื่อยจนไม่อยากหายใจ ปวดร้าวไปทั้งร่าง แต่ขอแค่ผู้เฒ่าพยักหน้าชมเชยครั้งเดียว ความเจ็บปวดทั้งหมดก็ทุเลา ร่างกายเปี่ยมไปด้วยกำลังอีกครั้ง รู้สึกว่าตัวเองมีค่า ไม่ใช่คนที่ไม่มีใครต้องการอีก เวลาเดียวที่เถาฮุ่ยรู้สึกผ่อนคลายก็คือตอนที่ได้เล่นกับนกสีขาวตัวหนึ่ง มันบินมาเกาะหน้าต่างห้องพักเขา ครั้งแรกที่เถาฮุ่ยให้ข้าวมันกิน มันมองเหมือนไม่อยากกิน แต่สุดท้ายก็ยอมจิกข้าวสารจากมือของเขา จากนั้นก็ชอบแวะเวียนมาหาเขาอยู่บ่อยๆ
   อีกบุคคลหนึ่งที่สมควรเอ่ยถึงในภพชาตินี้ ก็คือซ่งจวิน ศิษย์พี่ของเถาฮุ่ย อาจารย์ของเขาเป็นเจ้าสำนักคนปัจจุบัน ซ่งจวินเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดในรุ่น และเป็นว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไป พวกเขาเคยออกปราบปีศาจด้วยกันอยู่สองสามครั้ง ไม่นับว่าสนิทสนม แต่ก็มิใช่คนแปลกหน้า
   เมื่อเถาฮุ่ยฝึกวิชาถึงปราณฟ้าขั้นที่สิบสำเร็จ ก็ถูกผู้เฒ่าซึ่งเป็นทั้งผู้มีพระคุณและอาจารย์จับทำเป็นเตาหลอมยามีชีวิต ดูดพลังชีวิตและพลังฝีมือของเขาจนหมด เพื่อยืดอายุให้ตนเอง เขารักผู้เฒ่าเหมือนบิดาของตัวเอง ดังนั้นนอกจากความเสียใจ ผิดหวังแล้วก็ไม่ได้เคียดแค้นอะไร อย่างไรเสียชีวิตนี้ก็ได้ท่านผู้เฒ่าเก็บกู้มา ภายหลังซ่งจวินสืบจนรู้สาเหตุการตายของเถาฮุ่ย และแจ้งความผิดของผู้เฒ่าต่อเจ้าสำนัก ผู้เฒ่าจึงถูกทำลายพลังฝีมือ และจองจำชั่วชีวิต
จิวซือรับรู้ว่านกสีขาวตัวนั้นคือตงหวาง หรือมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับตงหวาง ขณะที่ซ่งจวินนั้นคืออี้เทียน


   ด่านคุณธรรมถัดมาน่าจะเป็นภพชาติที่เรียบง่ายที่สุดของเขาแล้ว ไป่จินเกิดในครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดา มีความฝันอย่างเป็นนักแสดง และหาเงินเลี้ยงดูมารดา จึงเข้าเรียนที่คณะศิลปะการละครในมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐ เขาเป็นนักเรียนดีเด่น ความสามารถล้ำเลิศ ได้ทุนเล่าเรียนฟรีทุกเทอม เสียแต่หน้าตาธรรมดา และเอาใจใครไม่เป็น จึงไม่เคยไปถึงฝั่งฝันได้แสดงละครสมใจ สุดท้ายเขาก็กลับไปเป็นครูที่บ้านนอก สอนเด็กยากไร้ที่มีความฝันเหมือนกับเขา ก่อนตายยังได้ทราบข่าวว่าลูกศิษย์คนหนึ่งของเขาประสบความสำเร็จในอาชีพนักแสดง ได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ และมีอนาคตไกล ลูกศิษย์ของเขาผู้นั้น ชื่อว่าสวีมู่ ซึ่งจิวซือรับรู้ว่าเดี๋ยวนี้เองว่าเป็นอี้เทียนในด่านคุณธรรม ไป่จินดูสวีมู่กล่าวขอบคุณที่ได้รับรางวัล หนึ่งในนั้นมีชื่อของเขาอยู่ด้วย แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่ได้ยินชื่อตัวเองผ่านจอโทรทัศน์ ไป่จินก็มีความสุขมาก น้ำตาร้อนไหลรินสองข้างแก้มบรรจุความรู้สึกหลากหลายและความฝันที่เก็บกดไว้นานปี
   มารดาของไป่จินเสียชีวิตไปนานแล้ว ดังนั้นเมื่อไป่จินล้มป่วยจึงไม่มีใครให้พึ่งพา เขานอนอยู่บนเตียงเพียงคนเดียว ข้างหน้าต่างนั้นมีนกสีขาวตัวหนึ่ง ดวงตาสีทองของมันจับจ้องเขาตลอดเวลา กระทั่งเขาหลับตาลง


จิวซือลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นเด็กน้อยที่น่าจะมีอายุไม่เกิน 5 ขวบ กำลังวิ่งหนีเข้าไปในตรอกมืดๆ ด้านหลังของเด็กคนนั้นมีกลุ่มเด็กผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่กว่ากลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งไล่อย่างมาดร้าย
แฮรีส เป็นลูกครึ่ง ผิวขาว มีดวงตาสีฟ้าและเส้นผมสีทอง ต่างจากคนอื่นๆ ที่มีผมและดวงตาสีดำ ตั้งแต่เด็กเขาถูกผู้คนตั้งแง่รังเกียจ ถูกก้อนหินขว้างปาใส่เป็นเรื่องปกติ จึงเรียนรู้ที่จะหลบหนี หาทางรอด ทำให้รู้จักตรอกซอกซอยต่างๆ เป็นอย่างดี เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็รู้ว่าความว่องไว ปราดเปรียว ช่างสังเกต และสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด ได้ถูกบ่มเพาะจนกลายเป็นจุดแข็งของตัวเอง แฮรีสจึงตั้งใจจะเป็นทหารรับใช้แผ่นดินและพิสูจน์ตนเอง เขาสมัครเข้าค่ายทหารได้ก็ฝึกฝนหนักกว่าคนอื่น พยายามมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า อดทนกับอคติและการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมต่างๆ นานา และเสี่ยงชีวิตหลายคราวกว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นนายกอง
ทุกคนรังเกียจเขา ต่อให้เขาก้าวหน้าแค่ไหนก็ไม่มีใครสักคนยินดีกับเขาจากใจจริง มีเพียงนกสีขาวตัวหนึ่งที่มักมาอยู่ใกล้ๆ อยู่เป็นเพื่อนเขา เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่ไม่รังเกียจเขา มันมีดวงตาสีทองเหมือนกับเส้นผมของเขา สำหรับแฮรีส เจ้านกน้อยตัวนั้นมีความหมายมาก ดังนั้นตอนที่ถูกสหายร่วมรบใส่ร้ายหาว่าเป็นไส้ศึก ถูกทรมานด้วยวิธีพิสดารนับไม่ถ้วน เจ็ดวันกว่าจะขาดใจตาย แฮรีสก็ยังคิดถึงแต่นกตัวนั้น เป็นห่วงมัน เพราะมีแต่มันเท่านั้นที่ยอมใกล้ชิดคนอย่างเขา
มองแฮรีสที่ลมหายใจรวยริน จิวซือก็สงสัยไม่ได้ว่าอี้เทียนไม่ได้มาเกิดในภพนี้เช่นเดียวกับเขาหรือ ทันทีที่คิด ภาพก็ตัดมาอีกที่หนึ่ง ตรงหน้าของเขาคือทารกที่เพิ่งเกิดก่อนที่แฮรีสจะถูกใส่ร้ายเพียงไม่กี่วัน ที่แท้ก็มา แม้จะช้าไปสักหน่อย
ไม่รู้ทำไม จิวซือถึงยิ้มออกมา
บังเอิญหรือ
จะบังเอิญทุกชาติภพหรือเปล่า

   

#วิถีเซียน3p


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
ผูกพันกันมาอย่างเหนียวแน่นและยาวนาน

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

Owner of the Golden Pagoda (2)


   ด่านคุณธรรมชาติที่ 5 จิวซือเป็นขอทานน้อยนามว่าเสี่ยวหยวน เขาจำไม่ได้ว่าบิดามารดาเป็นใคร บางทีคงถูกทิ้งตั้งแต่แรกเกิด ตลอดชีวิตดำเนินไปอย่างยากลำบาก ต้องไปนั่งขอทานไม่ก็รอคนใจดีหยิบยื่นอาหารให้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำงานแลกเงิน เคยพยายามหลายครั้งแรกแต่ไม่มีผู้ใดรับ เถ้าแก่ร้านอาหารรังเกียจสภาพมอมแมมของเขา นายช่างโรงไม้เกี่ยงว่าเขาตัวเล็กไม่มีกำลังพอ ที่สำคัญใครล่ะจะเชื่อใจขอทานไม่มีหัวนอนปลายเท้า ใครจะเชื่อว่าวันหนึ่งจะไม่คิดลักขโมยของ ไม่มีใครเชื่อหรอก ความซื่อสัตย์ความจริงจังล้วนถูกเปลือกนอกที่เป็นขอทานบดบังเสียหมด
   ภพชาตินี้เขายังคงบังเอิญได้พบกับอี้เทียนอีกครั้ง แน่นอนว่าตอนที่อยู่ในบททดสอบเขาจำอีกฝ่ายไม่ได้ ดังนั้นเวลานี้เมื่อทราบว่าอี้เทียนเป็นขอทานน้อยที่นั่งขอทานอยู่ข้างๆ ก็ตกใจมาก ใกล้มากเหลือเกิน ถึงกับเป็นคนที่นั่งขอทานอยู่ข้างกัน จิวซือมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกซับซ้อนยิ่ง หากมิใช่โชคชะตาเล่นตลก ก็คงเป็นเพราะเกี่ยวพันกันด้วยอะไรบางอย่าง จึงได้โคจรมาพบเสมอ
   อย่างไรก็ตามชีวิตของอี้เทียนดีกว่าเขามาก เพราะแม้ว่าวัยเด็กจะลำบากกว่าเขา เพราะมักถูกขอทานที่แก่กว่าหาเรื่องทำร้าย แต่สุดท้ายอี้เทียนยังโชคดีที่นายท่านของสำนักคุ้มภัยเห็นแววไม่ยอมคนในตัวเขา จึงพากลับไปฝึกฝนจนกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนัก และเป็นผู้สืบทอดสำนักคุ้มภัยกังเฉียวในที่สุด
   วันหนึ่งเสี่ยวหยวนที่อายุเกือบสิบห้าปีแล้วรู้สึกว่าชีวิตของเขาคงอยู่ได้อีกไม่นาน คงเป็นเพราะสองวันก่อนแย่งอาหารสุนัขกิน กรรมจึงตามสนอง เขาปวดท้องตัวงอตลอดทั้งคืน วันต่อมาก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องแม้แต่น้ำสักหยด ร่างกายผ่ายผอมเอนหลังพิงกำแพงอย่างหมดแรง เหม่อมองหลังคาเหลาสุราฝั่งตรงข้ามเห็นนกสีขาวล้วนตัวหนึ่งเอียงคอมองเขาอยู่เช่นกัน มันขาวสะอาดต่างจากขอทานอย่างเขามาก ดวงตากระจ่างใสสะท้อนภาพของเขาเพียงคนเดียว เป็นครั้งแรกที่ถูกมองอย่างเต็มตาเช่นนี้ ไม่ทราบดวงตากลมสีทองนั้นสวยงามมากหรืออย่างไร เสี่ยวหยวนจึงได้ยิ้มออกมา กระทั่งยิ้มหนึ่งยังสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงยิ่ง
ขณะที่กำลังคิดว่าจะหลับไปเลยดีหรือไม่ ถ้าหลับแล้วไม่ฟื้นขึ้นมาอีกจะได้หมดทุกข์เสียที แต่มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาใกล้เขาตั้งแต่เมื่อไรก็มิทราบ ร่างเงาสูงใหญ่ทอดลงมาบดบังแสงอาทิตย์ร้อนแรงให้ ซาลาเปาห่อหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า พร้อมกับกระบอกน้ำที่วางลงบนพื้นข้างตัว ก่อนที่คนผู้นั้นจะหันกายเดินจากไปพร้อมขบวนของสำนักคุ้มกันภัยกังเฉียว
เสี่ยงหยวนมองตามแผ่นหลังที่ดูกว้างใหญ่กว่าแต่ก่อน ขอทานน้อยที่เคยนั่งขอทานอยู่ข้างๆ เขาเวลานี้มีชีวิตใหม่ที่ดีแล้ว ไม่ทราบว่ายังจดจำเขาได้หรือไม่ จู่ๆ คนผู้นั้นก็หันใบหน้ากลับมา เสี่ยวหยวนสบตาเขาชั่ววินาทีก่อนจะรีบก้มหน้าลง ใบหน้าของคนๆ นั้นปราศจากร่องรอยฟกช้ำหรือเศษดินโคลนอย่างเคย ท่วงท่าก็เปี่ยมด้วยกำลังวังชา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูหนานุ่มไม่น้อย เวลานั้นเสี่ยวหยวนเผลอคิดว่าหากเขาทำใจกล้า ไปขอสำนักคุ้มภัยทำงานหาบน้ำผ่าฟืน จะพอมีโอกาสหรือไม่ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ได้แต่คิด ยังไม่ทันได้ลอง เขาก็ตายเสียก่อน เหตุเพราะช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่ง แม่นางน้อยผู้นั้นเป็นลูกเจ้าของร้านอาหารที่เขาเคยไปขอทำงาน แม้ว่าเถ้าแก่จะไม่รับเขาทำงานแถมยังไล่เขาออกมา แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กลับแอบยัดซาลาเปาลูกหนึ่งใส่มือเขา แล้วยิ้มให้ เขาจดจำนางได้ไม่ลืม ดังนั้นเมื่อเห็นนางถูกอันธพาลหมายล่วงเกิน จึงเข้าไปช่วยโดยไม่ต้องคิด สุดท้ายก็ถูกอันธพาลเหล่านั้นรุมทำร้ายจนตาย
    จิวมือมองเสี่ยวหยวนหรือตัวเขาเองถูกรุมทำร้ายจนลมหายใจค่อยๆ แผ่วเบาลง ความเจ็บปวดและความคิดของเสี่ยวหยวนเขาก็รับรู้อย่างชัดเจน เจ็บแต่ไม่เสียใจเลย ต่อให้เป็นแค่ขอทานไม่มีหัวนอนปลายเท้า แม้แต่ละวันยังไม่รู้จะกินอะไร แต่บุญคุณน้ำใจนั้นต้องตอบแทน แม่นางคนนั้นยังมีบิดามารดาห่วงใย ส่วนเขาไม่มีผู้ใดใส่ใจอยู่แล้ว เป็นหรือตายล้วนไม่สำคัญ ถึงเวลาทางการก็จะขนศพของเขาออกไปทำให้ถนนโล่งขึ้น นึกไม่ถึงว่ายังมีนกตัวหนึ่งรับรู้ มองดูจนเขาจากไป เสี่ยวหยวนเองก็จ้องมองมันเหมือนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจกระทั่งสิ้นลม

   ได้พบอี้เทียนอีกครั้ง จิวซือไม่แปลกใจแล้ว คนผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรก็เก่งกาจกว่าเขา หากหมายติดตามก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ตงหวางเล่า เหตุใดจึงอยู่ในร่างนกทุกชาติ เหตุใดจึงปรากฏในที่ๆ เขาต้องการเสมอ คอยตามดูเขาหรือ ไม่หรอก ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น ทั้งที่ปฏิเสธข้อสันนิษฐานนั้น แต่ในใจกลับถูกดวงตาสีทองคู่นั้นดึงดูดไว้ ราวกับบางอย่างค่อยๆ ร้อยรัดเข้ามาอย่างละมุนละไม

ดวงจิตของจิวซือถูกดึงดูดมายังอีกโลกหนึ่ง เป็นด่านทดสอบชาติที่หกของเขา ด่านนี้กล่าวได้ว่าเป็นด่านที่เขาแทบจะพลาดท่า เกือบลงมือสังหารคนผู้หนึ่งไป
ยามีลคือชื่อที่หัวหน้าเผ่าตั้งให้ เผ่าของเขานั้นเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ ดำรงชีวิตในป่าลึก คนในเผ่าที่เป็นเพศชายมีร่างกายแข็งแกร่งว่ามนุษย์ธรรมดา เมื่ออายุครบสิบปีก็จะต้องเข้าป่าไปล่าสัตว์ดุร้ายมาเพื่อผ่านการทดสอบเป็นนักรบของเผ่า แต่ว่ายามีลนั้นร่างกายอ่อนแอแต่เด็ก อย่าว่าแต่ล่าสัตว์เลย แค่ผ่าฟืนตัดต้นไม้ยังยากสำหรับเขา ประกอบกับเจ้าตัวมีรูปร่างบอบบาง ผิวขาวตาโตเหมือนผู้หญิง หัวหน้าเผ่าจึงขายเขาให้กับเศรษฐีใหญ่คนหนึ่งแลกกับเสบียงและยารักษาโรค
เศรษฐีคนนั้นเป็นชายแก่ที่มีรสนิยมทางเพศรุนแรง มักกระทำเรื่องบัดสีและผิดมนุษย์กับทาสของเขา แน่นอนว่ารวมถึงยามีลด้วย เขาต้องทนรับความรุนแรงป่าเถื่อนบนเตียง ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจนมนุษย์คนหนึ่งแทบทนรับไม่ไหว วันหนึ่งความโกรธแค้นของเขาก็ปะทุขึ้น ยามดึกสงัด ยามีลที่เป็นของเล่นชิ้นโปรดของเศรษฐีใหญ่ก็คว้ามีดทำครัวขึ้นมา ดวงตาเลื่อนลอย ร่างกายสั่นสะท้านราวกับไม่ใช่ตนเอง
ทนไม่ไหวแล้ว หากไม่ฆ่าไอ้ชั่วนั่นก็คงจะฆ่าตัวเอง
แต่ตามกฎของเผ่า เขามิอาจจบชีวิตตัวเองได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจจะฆ่าคนชั่ว ขจัดภัยให้ทาสคนอื่นๆ หลังจากนั้นคงมีคนของคฤหาสน์สักคนสังหารเขา
จิ๊บ จิ๊บ
ไม่ทราบนกสีขาวล้วนตัวหนึ่งบินผ่านหน้าต่างห้องครัวตั้งแต่เมื่อใด มันร่อนลงบนไหล่เล็ก ดวงตาสีทองกระจ่างจ้องมองใบหน้าเด็กหนุ่มแล้วร้องเรียกเขาเบาๆ หลายครั้ง กระทั่งดวงตาเลื่อนลอยของยามีลเริ่มกลับมามีสติ เจ้านกน้อยเอียงหัว แล้วใช้จะงอยปากเย็นๆ สัมผัสแก้มของเด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง โดยที่ดวงตายังไม่ละไปจากใบหน้าของเขา มันขยับเข้ามาใกล้อีกนิด กระทั่งหัวเล็กๆ แนบไปกับคางของยามีล แล้วถูไถขากรรไกรของเขาราวกับกำลังปลอบโยน ยามีลตัวสั่นสะท้านก่อนที่มีดจะเลื่อนหลุดจากมือ หล่นกระแทกพื้น พร้อมกับร่างของยามีลที่ทรุดลงนั่งกอดเข่า ปล่อยให้น้ำตาร้อนไหลรินออกมาไม่หยุด
ไม่กี่วันต่อมา เศรษฐีผู้นั้นถูกทาสคนหนึ่งฆ่าตาย โดยที่หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยอย่างไซคัสไม่เพียงไม่ปกป้อง ยังยืนมองเศรษฐีผู้นั้นล้มลงไปต่อหน้า จากนั้นเขายังเป็นคนพาทาสหลายคนในคฤหาสน์หนีออกไป ไซคัสคนนี้ก็คืออี้เทียนนั่นเอง เมื่อไซคัสถามยามีลว่าอยากให้พาไปส่งที่ไหน ยามีลก็อึ้งไป ไปไหนหรือ เขา...ไม่มีที่ให้กลับหรอก
“ข้า...ไม่รู้จะไปที่ใด”
ใบหน้าคล้ำแดดของไซคัสเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิใช่ว่าทาสคนอื่นไม่เคยกล่าวประโยคนี้กับเขา แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด จึงเอ่ยถามเด็กน้อยตัวผอมตรงหน้าว่า “เจ้าชอบหาสมุนไพรหรือไม่”
ยามีลตาโต มองบุรุษในชุดทหารตรงหน้าเต็มตา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนถามถึงความชอบของเขา
“ขอรับ!”
ยามีลถูกไซคัสพาไปยังบ้านหลังเล็กกลางป่าซึ่งบิดาของไซคัสนามว่าเคิร์ดอาศัยอยู่เพียงลำพังเพราะไม่อยากย้ายออกจากบ้านที่ร่วมกันสร้างกับภรรยา ยามีลจึงกลายเป็นผู้ดูแลเคิร์ด ขณะที่ไซคัสไปสมัครเป็นอัศวินของกษัตริย์ ภายหลังเคิร์ดเล่าให้ฟังว่าเศรษฐีคนนั้นเคยช่วยชีวิตของเขาโดยบังเอิญ จึงส่งไซคัสไปรับใช้เพื่อตอบแทนบุญคุณ ไม่คิดว่าเศรษฐีผู้นั้นจะเสียชีวิตกะทันหัน ยามีลไม่ได้เล่าความชั่วร้ายและสาเหตุการตายของเศรษฐีคนนั้นให้เคิร์ดฟัง เกรงว่าเขาจะผิดหวังเสียใจที่ส่งไซคัสไปดูแลคนชั่วช้าเช่นนั้น
ไซคัสได้เป็นอัศวิน และเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว เขามักจะกลับมาเยี่ยมบิดาและยามีลปีละครั้ง บางคราวก็จะฝากคนนำสมุนไพรหรือของน่าสนใจมาให้ เมื่อยามีลเข้าเมืองนำสมุนไพรไปขายก็จะได้ยินข่าวหัวหน้าอัศวินนามว่าไซคัสเสมอ และนำข่าวนี้มาเล่าให้เคิร์ดฟัง กระทั่งเจ็ดปีต่อมา ชาวบ้านก็ลือกันว่าหัวหน้าอัศวินไซคัสเสียชีวิตแล้ว ทางการบอกว่าเขาป่วยตาย แจ่จิวซือรู้ว่าเพราะเขาโดดเด่นจนเป็นภัย จึงถูกเจ้าชายพระองค์หนึ่งกำจัด
 หลังจากไซคัสจากไป ยามีลและเคิร์ดก็มิได้เฝ้ารอผู้ใดกลับมาอีก หนึ่งปีต่อมาเคิร์ดเสียชีวิต ยามีลที่คิดว่าต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวจนตายก็พบว่ามีนกสีขาวดวงตาสีทองตัวหนึ่งมาอาศัยอยู่บนต้นไม้ใกล้บ้านของเขา เขาจดจำดวงตาแสนรู้ของมันได้ ดวงตาหม่นแสงของยามีลจึงทอประกายขึ้นวูบหนึ่ง

   บททดสอบชาติที่เจ็ดก่อนที่จิวซือจะได้พรจากอวิ๋นหนานนั้นเขาชื่อเซียวอู๋หมิง เกิดในครอบครัวที่ดี เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลคหบดีที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลอย่างมากในหัวเมือง เซียวอู๋หมิงดีพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถ อีกทั้งยังมีหัวการค้า บิดาจึงได้มอบกิจการทั้งหมดของตระกูลให้เขาดูแล เขาก็มิได้ทำให้บิดาผู้ล่วงลับผิดหวังด้วยสามารถขยายกิจการของตระกูลจนใหญ่โต นอกจากนั้นยังเป็นที่รักเคารพของชาวบ้านเพราะชอบบริจาคเงินช่วยเหลือคนยากไร้ ตลอดจนสร้างวัดวาอารามต่างๆ ชื่อเซียวอู๋หมิงปรากฏอยู่ในอันดับต้นๆ ของทำเนียบคุณชายที่เป็นที่หมายปองทุกปี
แต่แล้วโชคชะตาก็พลันเล่นตลกกับเขา เมื่อเซียวอู๋หมิงอายุได้สามสิบห้าปี ภรรยาก็ลอบเป็นชู้กับน้องชายต่างมารดาของเขา เซียวอู๋หมิงถูกวางยาพิษ เขาดวงแข็งจึงรอดมาได้ แต่ก็กลายเป็นใบ้หูหนวก แขนขาพิการเดินเหินไม่ได้ ต้องนอนฟังน้องชาย ภรรยาและคนในตระกูลดูถูกเหยียดหยามเช่นนั้นหลายปี ชีวิตที่อยู่ไม่สู้ตายนี้นับว่าโหดร้ายมากทีเดียวสำหรับคนที่เคยเป็นคุณชายใหญ่มีแต่คนไว้หน้าเช่นเขา
วันหนึ่งเซียวอู๋หมิงเห็นนกที่มีขนสีขาวตลอดทั้งตัวเบียดร่างผ่านช่องว่างของบานหน้าต่างที่แง้มไว้ จากนั้นมันก็บินมาเกาะขอบเตียง ห่างจากใบหน้าของเขาเพียงชั่วฝ่ามือ ดวงตาสีทองสว่างมองตรงมาที่เขาอย่างฉลาด เซียวอู๋หมิงไม่เคยพบเห็นแววตาเช่นนี้ในเดรัจฉานตัวใดมาก่อน
ร่างกายของเขาเป็นอัมพาตทั้งตัว ขยับได้เพียงดวงตา ดังนั้นเมื่อเจ้านกตัวเล็กล้มตัวลงนอนโดยเอาหัวเล็กๆ ของมันพาดไหล่ของเขา ดวงตาของเซียวอู๋หมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจและประหลาดใจ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเซียวอู๋หมิงที่ทนรับความอัปยศเพียงลำพังก็มีนกตัวหนึ่งเป็นเพื่อน
หลายปีต่อมา กิจการของสกุลเซียวภายใต้การบริหารของน้องชายเซียวอู๋หมิงเริ่มมีปัญหา คุณภาพของสินค้าต่ำลงจนเกิดการฟ้องร้องและก่นด่า แต่เซียวอู๋หมิงไม่สนใจ ทุกวันนี้เขาเพียงอยากหลุดพ้นเท่านั้น ไม่นานกิจการทั้งหมดของตระกูลก็เริ่มถูกกว้านซื้อโดยสกุลหม่า ตระกูลเซียวล้มละลาย สถานการณ์ย่ำแย่ถึงขีดสุด เวลานี้ยังมีผู้ใดจำได้ว่ามีเซียวอู๋หมิงนอนเป็นผักอยู่ในเรือนหลังเล็กเล่า ดังนั้นเซียวอู๋หมิงจึงได้ตายสมใจ ขอบคุณเจ้าบ้านสกุลหม่าที่ปลดปล่อยเขา เจ้าบ้านสกุลหม่าที่ว่าก็คือจิตเซียนของอี้เทียนนั่นเอง

ชาติที่แปด เขาได้พรจากอวิ๋นหนานและไปอาศัยร่างของหลิวเจียเย่ จิวซือได้ประจักษ์ว่าหลังจากการเสียชีวิตของเขานั้นยังมีผู้คนนึกถึงเขา อาลัยเขา ยามที่ดอกไม้ไฟปรากฏบนท้องฟ้าก็ยังมีหลายคนหยุดมองมันและคิดถึงเขา ร้องไห้เสียใจกับการจากไปของเขา พวกเขายังไม่ลืม แม้ความรักของแฟนคลับอาจเทียบไม่ได้กับความรักของบิดามารดา แต่ความรักนั้นเป็นเรื่องจริง น้ำตาที่เสียให้ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน เป็นความรักบริสุทธิ์ที่ไม่คิดหวังสิ่งใดตอบแทน เพียงหวังให้เขามีความสุข หวังให้ดวงวิญญาณของเขาได้พักผ่อนอย่างสงบ

ชาติที่เก้า หลังจากที่แอสเชอร์และดีแลนจากไปเพียงไม่กี่ปี เจ้าชายรัชทายาทโดมินิกก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรนอร์ท เขาเป็นกษัตริย์ที่ไม่เลว ใส่ใจกิจการบ้านเมืองและมีความรู้ความสามารถ แต่โชคร้ายที่เกิดภัยพิบัติหลายครั้ง ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง ไฟป่า และแผ่นดินไหว จนชาวบ้านที่มีความเชื่อเรื่องเทพสวรรค์เริ่มคาดเดาว่ากษัตริย์แห่งนอร์ทสมควรเป็นเจ้าชายดีแลน แต่เพราะทรงเสียพระทัยกับการตายอย่างกะทันหันของพระคู่หมั้น จึงได้กลายเป็นเทพมังกรไปแล้ว
ผู้คนพากันหลั่งไหลมาสักการะรูปปั้นของแอสเชอร์และดีแลนมากขึ้นทุกปีเพื่อขอพรให้ทั้งสองช่วยปกป้องอาณาจักรนอร์ท จนสถานที่บริเวณดังกล่าวกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังแห่งศรัทธา

ต่อมาในชาติที่สิบ จิวซือเห็นภาพของซีโน่เป็นเจ้าผู้ครองนครแห่งชีวิต แม้จะยังเด็กมากด้วยวัยเพียง 15 ปี เขาไม่ยอมกลับไปอยู่กับพ่อแม่ แต่ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับมหานครแห่งนี้ รวมทั้งมิวเทนท์ทั้งหลายที่ระลึกถึงอลันและเผยแพร่ลัทธิอลานิสออกไป จิวซือไม่คิดมาก่อนเลยว่าชาวนครแห่งชีวิตจะทำถึงขนาดนั้น จะซาบซึ้งและระลึกถึงเขามากมายเพียงนั้น และเมื่อเขาเห็นซีโน่สร้างมังกรไฟเหนือป้ายหินของอลัน ดวงตาของเขาก็ผ่าวร้อนขึ้นมาวูบหนึ่ง เด็กน้อยคนนั้นทำได้แล้ว เพียงแต่เขายังไม่มีโอกาสได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้

ภาพเบื้องหน้ามืดลงอีกครั้ง จิวซือรู้สึกว่าร่างกายถูกพลังอันอ่อนโยนโอบล้อมไว้ จิตเซียนของเขาเหมือนแช่อยู่ในน้ำที่อุ่นสบาย ยังไม่ทันได้ลืมตา ก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มเหมือนดังมาจากที่ไกลๆ แต่กลับได้ยินชัดมาก ก้องกังวานอยู่ในหู

“เซียนน้อย ข้าคือหอคุณธรรม”



#วิถีเซียน3p


......................
อี้เทียนเคยบอกว่าจะเป็นขอทานนั่งข้างๆ :)
ส่วนเหตุผลว่าทำไมตงหวางจึงมาแต่ในร่างนก รอพี่หอคุณธรรมมาเฉลยค่ะ
สามคน เกี่ยวพันกันทุกชาติ จะตัดได้ยังไง ไม่ได้เนอะ นั่งเรือไปสองลำสวยๆ

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
รอติดตามตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตามติดกันไปทุกชาติภพ

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ดีใจทุกชาติภพของจิวซือมีตงหวางและอี้เทียนเคียงข้าง แม้ทั้งคู่จะได้เข้ามาหาโดยตรงแต่ก็คอยตามดูอยู่ตลอด ขอให้เรื่องราวต่อจากนี้เป็นไปอย่างราบรื่นด้วยเถอะ

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

Owner of the Golden Pagoda (3)


สิ้นคำกลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งก็รวมตัวกันก่อเกิดเป็นร่างของเด็กชายราวแปดขวบ เครื่องหน้าสมบูรณ์แบบแม้ยังเยาว์ ดวงตากลมโตเป็นสีทองสว่างเช่นเดียวกับเส้นผมที่ยาวถึงสะโพก เด็กน้อยสวมชุดสีเงินประดับด้วยลวดลายเมฆและใบไม้ เนื้อผ้าคล้ายจะทอแสงสีขาวเรืองรองออกมา
แขนเล็กวาดออกไปด้านขวาก็ปรากฏภาพของซีโน่กำลังช่วยฝึกการใช้พลังให้เด็กอายุราวห้าหกขวบคนหนึ่ง เด็กชายชุดเงินเบื้องหน้าจิวซือพยักหน้าลงคราหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าเด็กนี่ไม่เลวนะ”
จิวซือขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่พอคาดการณ์จากพลังเทพคุ้นเคยที่แผ่ออก รวมถึงภาพด่านคุณธรรมของเขาที่ฉายอยู่ตรงหน้า จึงเอ่ยถามอย่างมิใครแน่ใจนัก “ท่านคือ...หอคุณธรรมหรือ”
เด็กน้อยผู้นั้นมองจิวซือด้วยสีพึงพอใจ เสียงทุ้มกว่าเด็กทั่วไปเล็กน้อยเอ่ยแนะนำตนเอง “ถูกแล้ว ข้าคือหอคุณธรรม มีนามว่าเยว่เฉียน”
เยว่เฉียนมิใช่เพียงดวงจิตที่พิทักษ์หอคุณธรรม ตัวเขาคือสำนึกที่เกิดขึ้นพร้อมกับหอคุณธรรม กล่าวได้ว่าหากเปรียบหอคุณธรรมคือร่างกาย เยว่เฉียนผู้นั้นก็คือวิญญาณ คือความรู้สึกนึกคิดของหอคุณธรรม ดังนั้นตัวเขาก็คือหอคุณธรรม หอคุณธรรมก็คือเขา
“ซีโน่ เด็กคนนี้ไม่เลวจริงๆ” เยว่เฉียนกล่าวพลางยกมือเรียวของเขาลูบคางด้วยท่าทางมิต่างจากเซียนผู้เฒ่า
จิวซือมองภาพซีโน่ยืนอยู่หน้าป้ายหินที่สลักชื่ออลัน และมังกรไฟที่บินอยู่เหนือหน้าผาบริเวณนั้นด้วยนัยน์ตาอ่อนแสง หัวใจบีบรัดเล็กน้อย ยังคงจดจำเด็กน้อยคนนั้นได้ คนที่วิ่งมาอวดความสำเร็จเล็กๆ ของตนเอง และขอสัญญาเรื่องหนึ่งกับเขา เพียงระยะเวลาสั้นๆ ของการเป็นเซียนกลับผูกพันและสร้างร่องรอยชีวิตไว้ผ่านความคิดคำนึงของผู้อื่น
   “เป็นข้าที่ผิดสัญญากับเขา”
   เยว่เฉียนยิ้มเจ้าเล่ห์ กล่าวว่า “ไว้เจ้าค่อยทำตามสัญญาก็ยังมิสาย”

เยว่เฉียนบอกว่าจะพาจิวซือไปที่แห่งหนึ่ง ระหว่างทางเขาเล่าความเป็นมาของตนเองและหอคุณธรรมแห่งนี้ หอคุณธรรมถือกำเนิดขึ้นเมื่อราวหนึ่งพันปีก่อนในชายแดนธารหมอก อันเป็นบ้านของเหล่าของวิเศษ ไม่มีผู้ใดสร้างมันขึ้นมา เป็นสิ่งวิเศษที่ถือกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติด้วยพลังฟ้าดิน แน่นอนว่าย่อมวิเศษว่าของที่ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจ ยามกล่าวประโยคนี้ แผ่นหลังของเยว่เฉียนก็ตั้งตรงขึ้นอีกหน่อย ใบหน้าก็เชิดขึ้นอีกนิด
เมื่อแรกกำเนิดนั้น เยว่เฉียนยังเป็นแค่ทารกไม่รู้ความ เขาจำศีลซึมซับพลังฟ้าดินอยู่เจ็ดร้อยปี ก่อนจะพบว่าหอคุณธรรมเติบโตขึ้นอีกขั้น และต้องการการบำรุงจึงออกตามหาสถานที่ที่เหมาะสม กระทั่งลงเอยที่ภพสวรรค์ ด้วยมีทั้งพลังฟ้าดิน และพลังเทพหลากหลาย นอกจากนั้นยังมีแม่น้ำสายใหญ่เปี่ยมด้วยพลังวิญญาณที่เชื่อมต่อไปยังยมโลก อันเป็นของบำรุงชั้นดี
หลังจากนั้นไม่กี่เพลาก็มีเทพมากหน้าหลายตาพยายามครอบครองหอคุณธรรม แต่เพราะเขาเป็นของวิเศษที่เกิดตามธรรมชาติ ดังนั้นไม่มีใครทราบจุดอ่อนของเขา ไม่มีใครหาแก่นแท้ของเขาพบ จึงไม่มีใครทำสำเร็จ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปลอดภัยตลอดไป ดังนั้นเมื่อพวกเทพต้องการใช้หอแห่งนี้เป็นสถานที่ทดสอบเซียน เยว่เฉียนจึงให้ความร่วมมือ กลายเป็นของวิเศษของภพสวรรค์โดยพฤตินัยจวบจนวันนี้
เป็นที่รู้กันว่าหอคุณธรรมเป็นหอทรงหกเหลี่ยมสีทองสูง 11 ชั้น ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับคัดเลือกเทพหน้าใหม่ เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในหอคุณธรรมประกอบด้วยผู้คุมกฎและผู้คุมสอบ สังกัดกองบริหาร ขึ้นตรงกับจอมเทพ ทว่าไม่มีผู้ใครทราบแม้แต่น้อยว่านอกจากพื้นที่ 11 ชั้นที่คนทั่วไปเห็นนั้น ยังมีชั้นใต้ดินอีกชั้นหนึ่ง
เยว่เฉียนพาจิวซือมาถึงชั้นใต้ดิน คาดว่าคงจะมีแต่เยว่เฉียนเท่านั้นที่สามารถเข้ามายังชั้นนี้ได้ ชั้นใต้ดินดูมิคล้ายพื้นที่ชั้นหนึ่งของหอสูง แต่ดูเหมือนอาณาเขตดินแดนหนึ่ง แม้มิถึงขนาดกว้างไกลสุดลูกตา แต่ก็ทอดยาวออกไปหลายร้อยลี้ ประกอบด้วยพื้นหญ้าสีเขียวขจี และเนินเขาสลับไล่ความสูงกัน ทั้งยังมีแม่น้ำสองสีทอดยาวตัดผ่านใจกลางดินแดน
“น้ำสีครามนั้นเชื่อมกับภพสวรรค์ ไปจนใกล้วังกลางของจอมเทพ ส่วนที่ออกสีฟ้าอมเขียวนั่นเชื่อมกับแม่น้ำซันสีในยมโลก หรือหากเจ้าต้องการให้มันเชื่อมไปที่อื่นก็ได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องเสียสละวัตถุมีค่าสักหน่อย”
ไม่จำเป็นต้องอาศัยสะพานเชื่อมภพ หรือตราผ่านทาง อีกทั้งยังเป็นเส้นทางที่ไม่มีใครรู้ หอคุณธรรมอาศัยพลังเทพ และพลังวิญญาณในการเติบโต หยั่งรากลึกในสองภพโดยที่เจ้าของบ้านไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย
“หอคุณธรรมมิใช่ของวิเศษสำหรับต่อสู้ แต่เป็นสายสนับสนุน สามารถเพิ่มพลังให้เจ้าอย่างไม่รู้จบ ต่อให้เป็นเทพบรรพกาลก็ไม่มีพลังเทพมากมายเท่าเจ้า อืม เอาไว้โอ้อวดรัศมีเทพได้ไม่เลว”
โอ้อวดรัศมีเทพเท่านั้นหรอกหรือ ของวิเศษหากทำได้เพียงแค่นี้จะไม่ดูถูกพลังฟ้าดินไปหน่อยหรือ ทั้งที่เป็นผู้ตัดสินบททดสอบในด่านคุณธรรมของเซียนทั้งหลาย แต่เจ้าตัวกลับบอกสรรพคุณครึ่งๆ กลางๆ จิวซือจึงถามอย่างลองเชิงว่า “เช่นนั้นเพิ่มพลังให้ผู้อื่นได้ด้วยหรือไม่”
เยว่เฉียนฉีกยิ้มพอใจ “ย่อมได้ หากเกิดสงคราม ฝ่ายใดครอบครองหอคุณธรรม ฝ่ายนั้นกล่าวได้ว่ามีชัยไปว่าครึ่งแล้ว”
นอกจากจะสามารถดึงพลังธรรมชาติมาเพิ่มพูนพละกำลังของฝ่ายตัวเอง หอคุณธรรมยังเปรียบเสมือนดวงตารอบรู้ทุกภพด้วยพลังวิญญาณมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง หากมิใช่ตัวช่วยที่โกงแสนโกงแล้วยังเรียกว่าอะไรได้อีก
เมื่อเห็นว่าเซียนน้อยที่เขาเลือกด้วยตัวเองตระหนักถึงความสำคัญและความพิเศษของหอคุณธรรมแล้ว เยว่เฉียนก็ลูบคางที่ปราศจากเคราอย่างอารมณ์ดี ตัวเขานั้นล้ำค่าถึงเพียงนี้แต่มิอาจโอ้อวดให้ผู้ใดฟัง ทั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่ทำงานของภพสวรรค์ ช่างชวนให้คับใจยิ่ง เดิมทีคิดว่าจะดำรงตนเป็นอิสระเช่นนี้ต่อไป มิคาดกลับถูกชะตาเซียนน้อยตนหนึ่งเข้า ดวงตาสีทองของเยว่เฉียนหรี่ลงเมื่อนึกถึงเทพบรรพกาลองค์หนึ่ง เขาชี้ชวนให้จิวซือนั่งลงบนโขดหินข้างแม่น้ำ ก่อนจะถาม
“รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด ด่านคุณธรรมของเจ้าจึงยากลำบากทุกชาติ”
จิวซือส่ายหน้า ในใจเคยคาดเดาเหตุผลมากมายแต่สุดท้ายก็ยังมิทราบอยู่ดี เพียงแต่เมื่อได้เห็นทั้ง 11 ชาติของตนเองอีกครั้ง ก็พบว่าคงมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับตงหวางและอี้เทียน
“นี่ต้องโทษที่ตัวเจ้าสะกิดความระแวงของเทพบรรพกาลองค์หนึ่ง นางมีนามว่าอวิ๋นซูเหยา บรรพบุรุษต้นตระกูลอวิ๋น ที่ผู้อื่นเรียกขานกันว่าพระแม่ มารดาแห่งมหาสมุทรนั่นแหละ อวิ๋นหนานเป็นมังกรทองเช่นเดียวกับนาง ทั้งยังมีพรสวรรค์สูงกว่าเผ่ามังกรรุ่นหลัง นางจึงเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ”
เทพผู้สร้างมหาสมุทรนั้น จิวซือย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของพระนาง ทราบว่าเหล่าเทพบรรพกาลล้วนปลีกตัวพำนักอยู่ในเขตแดนพิเศษของตัวเอง หากไม่ได้รับอนุญาต ผู้ใดก็บุกรุกเข้าไปไม่ได้ มีเทพเซียนหลายองค์อยากกราบเทพบรรพกาลเป็นอาจารย์ แต่น้อยนักที่จะสมปรารถนา
“ชื่อสกุลอวิ๋นมีเพียงเชื้อพระวงศ์เผ่ามังกรเท่านั้นจึงจะใช้ได้ เดิมทีตระกูลอ้าวเหยียนและตระกูลอวิ๋นถือเป็นผู้ทรงศักดิ์ มากฤทธิ์ทั้งคู่ แต่ตอนที่เหล่าเทพเลือกผู้ปกครองนั้น ตระกูลอ้าวเหยียนร่ำรวยเงินทองของวิเศษจึงติดสินบนเหล่าเทพไปไม่น้อย สุดท้ายจอมเทพจึงกลายเป็นคนของตระกูลอ้าวเหยียน อวิ๋นซูเหยาย่อมไม่พอใจ รังเกียจพวกเทพที่ซื้อได้ด้วยของวิเศษ ดังนั้นแม้จะปลีกวิเวกแล้วก็ยังคงสอดส่องความเป็นไปของภพสวรรค์และภพมังกรอยู่เสมอ”
“ตระกูลอ้าวเหยียนให้เกียรติตระกูลอวิ๋นส่วนหนึ่งก็เพราะเหตุนี้ อีกส่วนหนึ่งก็เพราะพระนางเป็นผู้หยั่งรู้อนาคต” ยามที่กล่าวประโยคนี้ สีหน้าของเยว่เฉียนแฝงแววเยาะเย้ยไม่ปิดบัง
“แต่ผู้หยั่งรู้ก็ยังมิอาจฝืนชะตา มิเช่นนั้นตระกูลอวิ๋นคงขึ้นเป็นจอมเทพนานแล้ว” สีหน้าเยว่เฉียนบ่งบอกถึงความสมใจ นัยน์ตาสีทองโค้งลงทำให้ใบหน้าเล็กดูซุกซนผิดกับบรรยายกาศรอบตัว หอคุณธรรมกำเนิดจากพลังฟ้าดิน ย่อมเชื่อถือในลิขิตสวรรค์และวาระวาสนาของแต่ละคนเป็นที่สุด เช่นเดียวกับที่เขาเลือกจิวซือ เขาเองก็เชื่อว่านี่คือชะตาลิขิต จึงไม่เพียงไม่ขัดขืน กลับช่วยส่งเสริมเต็มที่ ดังนั้นกับผู้ที่พยายามฝืนลิขิตฟ้าอย่างพระแม่แล้ว เยว่เฉียนมีแต่ความไม่ชอบหน้าและสะใจในความทุกข์ของผู้อื่นมอบให้
“พระแม่รู้อนาคตย่อมเห็นว่าเจ้าจะได้ครอบครองหอสูงแห่งนี้เมื่อสำเร็จเป็นเทพ หอคุณธรรมนี้ผู้ใดได้ครอบครองย่อมเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนใหม่ นางไม่ต้องการให้เซียนเล็กๆ ไร้สกุลอย่างเจ้าได้ไป แม้ด้ายแดงของเจ้าปลายด้านหนึ่งจะร้อยไว้กับอวิ๋นหนาน ทายาทรุ่นหลังของนาง แต่ปลายอีกด้านยังมิหลุดจากเจ้าแห่งยมโลก อ้อ ที่สำคัญ นางชิงชังผู้ที่ได้ครอบครองของวิเศษทั้งหลายยิ่งนัก สุดท้ายจึงพยายามมิให้เจ้าสำเร็จเป็นเทพอย่างไรเล่า”
“แต่นางไม่รู้หรอกว่าหากนางไม่แทรกแซง ข้าจะไม่มีทางสังเกตและตามดูเจ้า สุดท้ายหอคุณธรรมนี้คงไร้ผู้สืบทอดตลอดไป”
เยว่เฉียนเงยหน้ามองฟ้าด้านหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่ากังวานไปทั่วบริเวณชวนให้คาดเดาว่าข้อความนี้ตั้งใจส่งให้ผู้ใด “หึ คิดฝืนลิขิตสวรรค์ สุดท้ายก็เป็นผู้เดินตามลิขิตสวรรค์เช่นเดียวกับผู้อื่น”

เยว่เฉียนโบกมือคราหนึ่ง หินสีชมพูใสมีความกว้างเท่าหนึ่งคนโอบก็ค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือผืนน้ำ และลอยอยู่กลางอากาศ มันมีความสูงเท่าผู้ชายตัวโต ผิวเรียบเนียนทอแสงขาวจางๆ อีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมของพลังบริสุทธิ์ออกมา จิวซือที่นั่งอยู่ใกล้ๆ รู้สึกได้ว่าพลังเซียนของเขาเพิ่มพูนขึ้นทันทีที่สูดหายใจ
“นี่เป็นแก่นแท้ของหอคุณธรรม หากเจ้าหล่อหลอมมันเป็นของตนเองได้ ก็ถือว่าได้สืบทอดหอคุณธรรมแห่งนี้ ดูจากพลังเซียนของเจ้าแล้วคงใช้เวลาไม่เกินร้อยปี”
   หนึ่งร้อยปีตามเวลาของภพสวรรค์ กระทั่งตามอายุขัยของเทพแล้วก็ยังถือว่านานพอดู จิวซือย่นหัวคิ้วอย่างใช้ความคิด ได้ครอบครองหอคุณธรรม ไม่ว่าใครก็ต้องยินดีทั้งนั้น วาสนายากพานพบ เขาไม่คิดปฏิเสธ ทว่าในใจรู้สึกเหมือนติดค้าง ติดค้างอวิ๋นหนาน ติดค้างอี้เทียน อยากพบหน้าพวกเขา อยากกล่าวขอบคุณที่ติดตามเขาไปทุกชาติ ลึกลงไปในใจ อยากถามโดยไม่ละอายว่า...ยินดีอยู่ด้วยกันกับเขา เป็นครอบครัวเดียวกันหรือไม่
   ความคิดที่ทำให้ร้อนใจ ถูกแล้ว หากเป็นเวลานี้ เขาปรารถนาจะเอ่ยถามออกไปตามตรง หนึ่งชีวิตมนุษย์ สิบเอ็ดชาติภพในด่านคุณธรรม แคล้วคลาดแลหวนประสบ ก่อเกิดเป็นความรู้สึกพิเศษในใจ ความรู้สึกว่าไม่อยากพลัดพรากอีก แม้มิทราบว่าแท้จริงแล้วหัวใจหนึ่งดวงสามารถรองรับคนสองคนได้พร้อมกันหรือไม่ก็ตาม   
   “อะไร เจ้าไม่ยินยอมหรือ” เห็นเซียนน้อยที่ตนเองเลือกเป็นนายไม่ตื่นเต้นยินดีอย่างที่คาด กลับมีสีหน้ากังวลใจ เยว่เฉียนจึงถามเสียงเข้ม แก้มทั้งสองข้างพองตัวอย่างน่ารัก
   “ย่อมยินยอม เพียงแต่...”
“ไม่ต้องห่วงเจ้าหนุ่มสองคนนั่นหรอก หากพวกเขารอไม่ได้ จะคู่ควรกับเจ้านายของข้าเยว่เฉียนได้อย่างไร” สิ้นเสียงประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนของเยว่เสียง พวกเขาก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากด้านบน เมื่อเงี่ยหูฟังก็ทราบว่าอี้เทียนกำลังอาละวาดที่ดวงจิตของจิวซือหายไป ผู้คุมสอบที่พาดวงจิตของจิวซือกลับมาก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดหอคุณธรรมที่รับดวงจิตของเซียนน้อยไปแล้วยังไม่บอกผลการเลื่อนขั้นของเขา ทั้งยังหายเข้ากลีบเมฆ ไม่ว่าพวกเขาผู้คุมพยายามสื่อสารอย่างไรก็มิได้ความแม้แต่น้อย
“เจ้าเด็กนี่ยังใจร้อนไม่เปลี่ยน” เยว่เฉียนหัวเราะ กล่าวต่อว่า “ตอนเขามาหอคุณธรรมครั้งแรก ก็ไล่อ่านทำเนียบเซียนทุกบรรทัดหาชื่อของเจ้า ไม่ยอมรับบททดสอบสักที สุดท้ายก่อนไปด่านคุณธรรม เขาอธิษฐานให้ได้พบเจ้า ข้าคิดว่าน่าสนุกจึงช่วยเปิดทางให้”
“ถึงได้พบกัน เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเจ้า ทุกครั้งก่อนเข้าด่านคุณธรรม ต้องขออ่านทำเนียบเซียนรอบหนึ่ง กระทั่งหมดหวังคิดว่าเจ้าคงมิได้เข้าสู้วิถีเซียน จึงยอมเป็นเทพยามาแทนอาจารย์ของเขา ยอมอยู่ค้ำบัลลังก์ทมิฬเงียบเหงาหมื่นปี คิดว่าคงต้องการตามหาดวงวิญญาณของเจ้านั่นแหละ นับว่าจริงใจต่อเจ้าโดยแท้”
เยว่เฉียนโบกมือคราหนึ่ง แม่น้ำก็สะท้อนภาพอี้เทียนที่กำลังพิสูจน์ตนเองเพื่อขึ้นเทพยามา เทพยามานั้นเป็นเจ้านายของยมโลก ดังนั้นหากต้องการเป็นเจ้านายก็ต้องทำให้ยมโลกยอมรับ เขาต้องฝ่ามนต์ลวงตาท่ามกลางหมอกพิษ ข้ามทะเลทรายไร้สิ้นสุดโดยปราศจากน้ำและอาหาร อดทนความร้อนแทบละลายกระดูกของทะเลลาวาเดือด รวมถึงรับมืออสูรร้ายและวิญญาณอาฆาตในแม่น้ำซันสี ทุกคราที่เขาใกล้จะถอดใจ จิวซือได้เขาพึมพำเรียกชื่อซื่อเสวี่ยนซ้ำๆ ราวกับชื่อนั้นเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเพียงสิ่งเดียวของเขา
เพราะเหตุนี้...อี้เทียนจึงมิได้ไปหาเขาที่วังตะวันออก จิวซือรู้สึกดวงตาร้อนแผ่วยามที่เฝ้ามองคนผู้นั้นเผชิญอันตรายจนดวงจิตแทบแตกสลาย

   “ส่วนนกสีขาวที่ติดตามเจ้าทุกภพ เป็นเพราะนับตั้งแต่มนุษย์ที่ชื่อว่าซื่อเสวี่ยนรับดาบแทนหนานจงฮ่องเต้ ซึ่งเป็นร่างจำแลงของเทพอวิ๋นหนาน เขาก็รักเจ้าแล้ว ดังนั้นจึงแบ่งเสี้ยวจิตติดตามเจ้าไปทั้งที่ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นเทพจำแลงลงมา เขาต้องการจองตัวเจ้า น่าเสียดายที่แก้วผลึกสีทองของเขาถูกพระแม่สร้างรอยไว้ ทำให้ลืมเรื่องของเจ้าไป จึงได้แต่เป็นนกน้อยคอยเฝ้าดูเจ้าเท่านั้น”
   “เหตุใดพระแม่ต้องทำเช่นนั้นเล่า”
   “เขาหลงรักเจ้าถึงขั้นสละเสี้ยวดวงจิตของตนเองย่อมไม่ผ่านด่านรัก นางช่วยเขาตัดเจ้าออกไป ก็เท่ากับช่วยตงหวางผ่านด่านรักทางอ้อม”
    “เช่นนั้น ตอนนี้เขา...”
“หึ จำได้แล้ว ข้าคืนเสี้ยวจิตนั้นให้เขา ครอบครองหอคุณธรรมดวงจิตย่อมต้องบริสุทธิ์ จะปนเบื้อนได้ยังไง คืนเสี้ยวจิตให้เขาก็เท่ากับว่าคืนความทรงทุกชาติที่เขาตามติดเจ้าให้เขาในคราวเดียว” กล่าวจบเยว่เฉียนก็ก้มลงมองบางอย่างในมือ จากนั้นเขาก็เงยหน้าหัวเราะฮาๆ ประหนึ่งตัวร้ายในละครหลังข่าวของพวกมนุษย์ “ตงหวางเอ๋ยตงหวาง ท่านกำลังคลั่งไคล้เจ้านายน้อยของข้าแทบบ้าแล้ว ฮ่าๆ วางมาดตีหน้าตายแต่ภายในใกล้คลุ้มคลั่งเต็มทน ดี! สมควรแล้ว! บังอาจให้พรเจ้าสามชาติเท่ากับหยามหน้าข้าเยว่เฉียน ข้าต้องให้เขารอ ให้ร้อนใจจนนั่งไม่ติดทีเดียว!”
เยว่เฉียนยังคงหัวเราะด้วยสีหน้าท่าทางของตัวร้าย ปราศจากคุณธรรมเช่นนั้นนานนับนาที เห็นได้ชัดว่าเขาสนุกสนานเพียงใด

“เอาละ ร้อยปีต่อจากนี้ เจ้าอยู่กับข้าที่นี่จนกว่าจะได้ครอบครองหอคุณธรรมแห่งนี้โดยสมบูรณ์เถอะ”


#วิถีเซียน3p

……………………………

เนื้อเรื่องหลักเหลืออีกหนึ่งตอน เดี๋ยวจะพยายามให้เสร็จ และลงให้อ่านภายในวันอาทิตย์นะคะ
ส่วนตอนพิเศษที่เหลือติดตามได้ในหนังสือและ ebook ค่ะ (รายละเอียดในเพจ fb: Whitedemon21 ค่ะ)
ขออภัยที่มาช้าด้วยนะ อาจารย์สั่งงานเหมือนสั่งฆ่าเลยค่ะ T^T

อวิ๋นหนาน & อี้เทียน: ให้ฉันรอแล้วได้อะไร
เยว่เฉียน: ใครรอได้ก็รอ รอไม่ได้ก็ไสหัวไปเสีย


ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
 :katai2-1:

จิวซือทำบุญด้วยอะไรมา มีคนสองคนมอบหัวใจรักจริงมิเสื่อมคลาย มีดวงจิตน้อยจอมซุกซนสนับสนุน


สนุกมาก ๆ เลยค่ะ

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
อีกร้อยปีรอได้อยู่แล้วใช่มั้ยทั้งเทพอวิ๋นหนานกับอี้เทียนเลย เวลาร้อยปีคงไม่นานเกินไปหรอกนะทั้งสองคน ส่วนจิวซือต้องทำช่วงเวลาร้อยปีต่อจากนี้ให้มีค่ามากที่สุดนะ เอาใจช่วยทั้งสามคนเลย

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

The End

   เกิดความโกลาหลขนาดย่อมๆ ขึ้นในภพสวรรค์เมื่อจู่ๆ หอคุณธรรมซึ่งตั้งอยู่ในอาณาเขตชั้นนอกของภพสวรรค์ก็ดีดทั้งเทพเซียนทั้งหลายที่อยู่ภายในหอออกมาทั้งหมด ถูกแล้ว ดีดออกมา ประหนึ่งมีมือที่มองไม่เห็นขนาดใหญ่ใช้นิ้วดีดตัวพวกเขาออกมา จากนั้นหอสูงที่เคยเปล่งรัศมีสีทองก็แปรเปลี่ยนเป็นเจดีย์หินธรรมดา ไร้พลังวิเศษ ราวกับว่าหมดพลังลงเสียงอย่างนั้น
   เหล่าผู้คุมกฎและผู้คุมสอบต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ขณะที่คนหนึ่งส่งสารไปแจ้งคนของวังกลางด้วยเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใดขึ้น เวลาเดียวกันนั้นก็ปรากฏร่างของตงหวาง เจ้าวังตะวันออกเร่งรุดมา พอให้เหล่าเทพชั้นผู้นั้นทั้งหลายค่อยคลายกังวล
   อวิ๋นหนานแม้สีหน้าเรียบเฉยทว่าภายในร้อนรุ่ม เซียนน้อยของเขากำลังจะได้เลื่อนเป็นเทพ และได้ครอบครองหอคุณธรรม สิ่งวิเศษแห่งภพสวรรค์ เซียนน้อยที่เขาหมายตาไว้ที่แท้แล้วเป็นคู่บุพเพของเขาเช่นกัน เป็นของเขามาหลายชาติภพ หัวใจอวิ๋นหนานพลันเต้นแรงขึ้นด้วยความคาดหวังรอคอย ดวงตาสีทองมองหอสูงที่บัดนี้กลายเป็นเพียงหินธรรมดาตั้งแต่ยอดตรงฐานคราหนึ่ง ก่อนจะสืบเท้าไปหยุดอยู่ข้างอี้เทียน
   “เขาอยู่ข้างใน” น้ำเสียงทุ้มต่ำของอี้เทียนเอ่ยขึ้นโดยที่ดวงตาสองสียังมิละจากหอคุณธรรม
   อวิ๋นหนานพยักหน้าหน้าบ่งบอกว่าเขาเองก็ทราบเช่นกัน คงเป็นดวงจิตของหอคุณธรรมที่ส่งสารบอกพวกเขาทั้งคู่ ให้ช่วยปกป้องหอคุณธรรมจนกว่าจิวซือจะสำเร็จเป็นเทพ และเป็นนายของมัน ข้อแลกเปลี่ยนก็คือยินยอมให้พวกเขาเข้าไปเยี่ยมเซียนน้อยได้
   “ข้าจะไปพบจอมเทพ ที่นี่...ฝากเจ้า” ผู้เป็นเจ้าวังตะวันออกกล่าว
   อี้เทียนส่งเสียงหึในลำคอ ต่อให้ไม่พูด เขาก็ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้หอคุณธรรมอยู่แล้ว กระนั้นก็ยังคงยอมรักษามารยาทด้วยการตอบรับในลำคอ แสดงอาการไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่บ้าง เรื่องให้ไปเจรจากับพวกเทพทั้งหลายแห่งภพสวรรค์นั้น ยุ่งยากเกินไปในความคิดของเขา
   บรรดาผู้คุมและเทพชั้นผู้น้อยอื่นๆ ต่างส่งสายตาให้กันด้วยความสงสัยแกมแปลกใจ ไม่ทราบว่าเทพยามาและตงหวางของพวกเขาสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อใด
   คล้อยหลังอวิ๋นหนาน อี้เทียนก็กางมือทั้งสองข้างออก พลังเทพสีทองบริสุทธิ์พวยพุ่งออกจากมือด้านหนึ่ง ขณะที่พลังปีศาจสีดำสนิทแผ่ออกจากฝ่ามืออีกด้านหนึ่ง ก่อเกิดเป็นกำแพงพลังสีทองสลับดำดูน่าเกรงขามเข้าล้อมรอบอาณาเขตของหอคุณธรรมไว้ ร่างสูงสง่ายืนอยู่เบื้องหน้ากำแพงที่ตนเองสร้างขึ้น สายตาเปี่ยมอำนาจกวาดมองผ่านผู้ใด ผู้นั้นก็อดรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลจนต้องถอยร่นมิได้ ราวกับจะบอกว่า ‘มีข้าอยู่ ผู้ใดก็ผ่านเข้าไปไม่ได้’
เปียวขุยจำได้ว่าสองเทพเคยมาเยือนหอคุณธรรม และกระทั่งแฝงดวงจิตไปยังด่านคุณธรรมพร้อมกับเซียนที่ชื่อจิวซือ ซึ่งอยู่ในการดูแลของเขา จึงอดสงสัยมิได้ว่ามีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ทว่าทันทีที่เทพยามาปรายตามอง เปียวขุยก็รีบก้มหน้าลง เกี่ยวข้องหรือไม่ล้วนมิใช่ธุระกงการของเขาแล้ว

   อวิ๋นหนานกลับมาหอคุณธรรมในช่วงเย็นพร้อมกับนายทหารจำนวนหนึ่งที่แยกย้ายกันเฝ้าตามจุดต่างๆ รอบหอคุณธรรม ทันทีที่อวิ๋นหนานและอี้เทียนอยู่ห่างจากหอคุณธรรมไม่เกินสิบก้าว ร่างของพวกเขาทั้งสองก็หายไป ก่อนจะปรากฏขึ้นที่ชั้นใต้ดินของหอคุณธรรม
เหนือแม่น้ำสองสี เห็นจิวซือในชุดเซียนสีขาวล้วนทั้งตัวนอนอยู่บนก้อนหินสีชมพูใสที่บัดนี้แปรสภาพเป็นเตียงหินขนาดพอดีตัว ทั้งเตียงหินและผู้ที่นอนหลับตาอยู่บนนั้นต่างเปล่งแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกมา ชวนให้สีสันของสิ่งอื่นๆ ดูจืดจางลง
   ขณะที่ทั้งสองเทพก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างลืมตัว ก็มีเสียงยียวนเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง “เอ้าๆ เจ้าเด็กไม่รู้ความสองคนนี้ อย่าเข้าไปใกล้มาก จะรบกวนเขาหรืออย่างไร”
   ผู้ที่สามารถกล่าววาจาเช่นนี้ต่อเทพชั้นสูงสององค์ได้ เห็นจะมีแต่เยว่เฉียนนั่นแหละ ด้วยเจ้าตัวในเวลานี้ยึดถือจิวซือเป็นคนของตัวเองเรียบร้อย อีกทั้งเซียนน้อยของเขายังดีมาก กลัวว่าจะถูกเทพสององค์นี้หลอกลวงเอา ฉะนั้นจะยอมยกให้ง่ายๆ ได้อย่างไร เยว่เฉียนตีหน้าเคร่งขรึม กล่าวย้ำว่า “ที่ยอมให้เข้ามาไม่ได้หมายความว่าต้อนรับหรอกนะ”
   หนึ่งผู้ปกครองวังตะวันออก มียศศักดิ์เป็นรองเพียงจอมเทพของภพสวรรค์ หนึ่งเป็นเจ้าแห่งยมโลก นายของทุกดวงวิญญาณ สุดท้ายแล้วก็ยังต้องสงบปากสงบคำไม่เอ่ยเถียงเยว่เฉียนสักครึ่งคำ ด้วยเกรงว่าจะถูกเขาขับไล่จากหอคุณธรรม
   
   กิจวัตรของสองเทพหนึ่งดวงจิตในแต่ละวันล้วนผ่านไปอย่างกลมเกลียว เยว่เฉียนคิดว่าเขามีความสุขสนุกสนานที่สุดนับตั้งแต่ถือกำเนิดมา ด้วยมีเทพชั้นสูงสององค์คอยเอาอกเอาใจ นึกแล้วก็อยากมีเพื่อนตัวน้อยๆ เพิ่มขึ้นสักสองสามคน คงจะทำให้สถานที่แห่งนี้ครึกครื้นขึ้นไม่น้อย
   “เจ้าวาดข้าไม่หล่อเหลาเท่าตัวจริง”
   มุมปากของอี้เทียนกระตุก เขาต้องสูดลมหายใจลึกเพื่อข่มกลั้นความคุกรุ่นในใจเมื่อได้ยินเยว่เฉียนบ่นเสียงดังว่าภาพเหมือนที่เขาวาดให้นั้นไม่หล่อเหลาถูกใจเจ้าตัว หากมิใช่เพราะต้องการอาศัยเด็กน้อยนี่ในการเข้ามาในหอคุณธรรม เขาหรือจะมีกระจิตกระใจยอมทำตามคำขอร้องไร้สาระของเยว่เฉียน นี่กระไร เขาตั้งใจวาดอย่างสุดความสามารถ เจ้ามารน้อยนี่กลับไม่พอใจ
   “เอ้า เปลี่ยนคนๆ ตงหวาง ท่านมาวาดให้ข้า”
   สิ้นประโยคคำสั่งของเยว่เฉียน ริมฝีปากของอี้เทียนก็พลันยกขึ้นอย่างสะใจ เขารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทรงกลมที่ทำจากหิน สะบัดชายเสื้อคลุมเล็กน้อยเปิดทางให้อวิ๋นหนานด้วยใบหน้าเปี่ยมไมตรี ขณะที่เจ้าวังตะวันออกรับพู่กันมาอย่างเสียมิได้ ก็ยังดีที่วันนี้แค่เป็นเพื่อนเจ้ามารน้อยวาดรูป มิได้ต้องพาเข้าออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน
   ถูกแล้ว ในสายตาของสองเทพ เยว่เฉียนได้เปลี่ยนเป็นมารน้อยไปเรียบร้อย

   วันแล้ววันเล่า อาณาเขตที่เคยครึกครื้นด้วยเป็นที่ตั้งของหอคุณธรรม และสถานที่ที่เซียนทุกตนที่ต้องการเลื่อนขั้นเป็นเทพต้องรู้จัก ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากบทสนทนาของเหล่าเทพเซียน บ้างก็ว่าหอคุณธรรมสิ้นอิทธิฤทธิ์แล้ว บ้างก็ว่าเป็นฝีมือของเทพยามาที่ต้องการครอบครองหอแห่งนี้ ขณะที่บางแหล่งข่าวเชื่อมโยงไปถึงภพมังกรด้วยเกี่ยวข้องกับตงหวาง นอกจากคนไม่กี่คนแล้ว ไม่มีผู้ใดทราบว่าในชั้นใต้ดินของหอคุณธรรม มีเซียนน้อยตนหนึ่งกำลังบำเพ็ญเพียรเพื่อหล่อหลอมแก่นแท้ของหอคุณธรรมเป็นของตน

   

77 ปีต่อมา
   จู่ๆ หอคุณธรรมที่เคยเงียบสงบดังภูเขาหินที่ถูกทิ้งร้างก็เปล่งแสงสีทองสว่างจ้า พลังเทพบริสุทธิ์พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กลิ่นอายของเทพชั้นสูงแผ่กระจายไปทั่วภพสวรรค์ เวลาเดียวกันนั้นเอง ท้องฟ้าเหนือหอคุณธรรมก็ปรากฏตัวอักษรสีทองสง่างามสองตัว รวมกันเป็นคำว่า “ซือเนี่ยน” ที่แปลว่าคะนึงหา เป็นฉายาเทพที่สวรรค์ประทานให้ การที่ฟ้าดินมอบชื่อเทพให้แก่เทพองค์ใดองค์หนึ่งนั้นเป็นปรากฏการณ์หายากและคู่ควรแก่การแสดงความยินดี เพราะนั่นแปลว่าฟ้าดินรับรู้และรับรองความเหมาะสมของเทพใหม่องค์นี้ อักษรซือและอักษรเนี่ยนลอยเด่นอยู่กลางนภานานนับนาทีราวกับต้องการประกาศการถือกำเนิดของเทพองค์นี้แก่ทุกภพ ให้ต้อนรับการมาของเขา

   ภายในหอคุณธรรม
   เปลือกตาของจิวซือขยับแยกออกจากกัน เผยให้เห็นดวงตาสีทองอร่ามสวยงามอย่างอัญมณีล้ำค่า เส้นผมของเขาเองก็เปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามยาวสยายจนปลายผมระกับผืนน้ำ ดวงหน้ารูปไข่คล้ายถูกช่างฝีมือดีสลักเสลาให้คมคายกว่าเดิม ตลอดทั้งร่างเปล่งรัศมีของเทพชั้นสูงออกมาไม่หยุด เพราะเจ้าตัวยังควบคุมพลังของตนเองไม่ได้
“ซือซือ”
“อาเสวี่ยน”
   จิวซือผินใบหน้าตามเสียงเรียก หัวใจเต้นแรงทั้งที่ทราบดีแก่ใจว่าจะได้พบผู้ใด เพราะตลอดเวลาที่หลับอยู่นั้น เขารับรู้ทุกความเคลื่อนไหวรอบกาย รู้ว่ามีคนที่รออยู่ ดังนั้นจึงสำเร็จเป็นเทพเร็วว่าที่เยว่เฉียนคาดการณ์ไว้หลายสิบปี ดังนั้นจึงได้ชื่อใหม่จากสวรรค์ว่าซือเนี่ยน เพราะตัวเขาสำเร็จเป็นเทพได้ด้วยความคะนึงหา
“ขอโทษที่ให้รอนาน”

   เยว่เฉียนมองเจ้านายของเขาที่ถูกอี้เทียนรวบตัวไปกอดแน่น ขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งก็ถูกอวิ๋นหนานกอบกุมไว้ราวกับจะไม่ปล่อยไปอีกตลอดกาล เยว่เฉียนไม่ค่อยเข้าใจความรักนัก แต่กระนั้นตัวเขาก็ยังอดซาบซึ้งตื้นตันไม่ได้ เอาล่ะ ถือว่าเขาเยว่เฉียนทำกระทำบุญกุศลใหญ่ก็แล้วกัน ว่าแล้วยกมือลูบคางที่ปราศจากหนวดเคราแล้วเอียงหน้าหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป เวลานี้สมควรปล่อยให้พวกเขาเจรจาแบ่งคน แน่นอนว่าในเจ็ดวันเขาต้องเรียกร้องให้เจ้านายของเขาอยู่เรียนรู้ในหอคุณธรรมสักห้าวัน เหลืออีกสองวันให้เจ้าหนุ่มสองคนนั้นแบ่งกันไป


บางคน สวรรค์ชักนำพบเจอหลายครา สุดท้ายยังคลาดกัน
   บางคน พบเพียงชั่วสบตา กลับได้ครองคู่แก่เฒ่า
   บางคน พบเพื่อลาจาก
   บางคน จากเพื่อประสบพบกันอีกครั้ง
   ความรักนั้น ต้องอาศัยพรหมลิขิต จิตใจ บุคคลที่ใช่ และเวลาที่เหมาะสม

สุดท้าย แม้แต่เทพแห่งความรักก็มิทราบแน่ชัดว่านี่เป็นพรหมลิขิตของผู้ใดกันแน่ อี้เทียนที่ด้ายแดงสมควรขาดสะบั้นแล้วแต่ยังดึงดันไม่ยอมปล่อย หรืออวิ๋นหนานที่ผูกด้ายแดงเส้นนั้นด้วยตนเองทั้งที่สมควรแลกด้วยการไม่ผ่านด่านรัก ผิดหรือถูกมิอาจรู้ได้ จึงได้แต่กล่าวอวยพรที่ในชีวิตอันยืนยาวของทวยเทพ บนเส้นทางยาวไกลที่รออยู่เบื้องหน้า อย่างน้อยพวกเขายังได้พบพานผู้รู้ใจ
   
   

(จบ)
#วิถีเซียน3p

…………………..
Talk
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนิยายเรื่องนี้มาจนถึงตอนจบนะคะ และที่ต้องขอบคุณมากๆ คือคอมเมนท์ที่ยาวและวิเคราะห์อย่างจริงจัง ช่วยได้มากเลยค่า กราบ

เหลือตอนพิเศษอีก 5 ตอน และ ตอนพิเศษใน mini-novel อีกหนึ่งตอน สนใจนิยาย สั่งได้ใน FB page:Whitedemon21 ค่ะ

ขอบคุณค่า

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
ขอบคุณคนแต่งค่า

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ตอนจบเฉลยแล้วว ดีมากเลยค่ะ ทับจัยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ss.suttida

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จบเสยเลย​   เนื้อเรื่องเรื่อยๆเหมาะสำหรับคนไม่​รีบ​ ความจริงอยากได้NCนี่ยังไม่สมใจอยากเลย​   เราคาดหวังนะเคอะ

ออฟไลน์ Mushroom_mus

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็น​นิยายที่อ่านแล้วรู้สึกลุ้นและน่าติดตามทุกตอน อ่านแล้วเห็นภาพมีหลากหลายอารมณ์​เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ

ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ไม่รู้จะบรรยายยังไงจริงๆ สุดมากอะ บอกเลย   :pig4:

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
เขียนดี สนุกมากๆค่ะ เราชอบอ่านแนวเทพเซียน, แนวข้ามภพชาติ, แนวซุปเปอร์สตาร์เป็นพิเศษ เรื่องนี้เรียกว่าเอาของชอบมามัดรวมให้ ถูกใจเลยสิเนี่ย
จบดี แฮปปี้ แต่อดสงสารเอ็นดูตงหวางไม่ได้ โถ...พ่อคุณ ได้แค่จับมือก็เอา  อารมณ์เหมือนเป็นผัวน้อย 555

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
สนุกมากกกกกก คนเขียนเขียนดีสุดๆ อ่านไปลุ้นไป ขอให้มีผลงานออกมาอีกนะคะ

ออฟไลน์ yin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สนุกมาก เขียนดีมาก ให้อารมณ์ละมุน ดีต่อใจ ขอบคุณที่สร้างผลงานดีๆขึ้นมานะคะ

ออฟไลน์ Aunttk

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ดีอ่ะ เขียนดีมากกกก

ออฟไลน์ lidelia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-1
สนุกมากค่ะ อ่านแล้วหยุดไม่ได้เลยยย

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

Epilogue
 


เถ้าเปา เป็นเซียนน้อยที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าแม่น้ำเล็กๆ ที่ชื่อว่าเจียงหัว สหายเซียนคนอื่นหากันอิจฉาเขาเนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบของเทพซือเนี่ยน เจ้านายของหอคุณธรรม
นามของเทพซือเนี่ยนนั้นอาจจะเป็นนามใหม่ที่เทพทั้งหลายรู้จักแต่มิได้มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นอันใด ด้วยเขาเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นเทพเมื่อไม่นานมานี้ ทว่าสำหรับเหล่าเซียนแล้ว ท่านเทพเปรียบได้กับวีรบุรุษ เป็นบุคคลที่เหล่าเซียนทั้งชื่นชมทั้งอิจฉา และเป็นแรงผลัดกันให้แต่ละคนพยายามในด่านคุณธรรมมากขึ้น
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอันใด คิดดูสิ หอคุณธรรม สิ่งวิเศษแห่งภพสวรรค์ที่ทั้งเทพทั้งปีศาจรวมถึงผู้มีฤทธิ์มากมายพยายามเป็นเจ้าของ สุดท้ายก็ต้องล้มเลิก ทว่าเทพซือเนี่ยน เป็นแค่เซียนเฝ้าแม่น้ำเจียงหัว กลับได้ไปครอบครอง แถมยังกลายเป็นเทพชั้นสูงที่มีพลังเทพเหนือกว่าเทพทุกองค์ ได้ยินว่ารัศมีเทพถึงขั้นล้ำหน้าจอมเทพเชียวหนา
ที่น่าตกใจว่ากว่านั้นก็คือนอกจากท่านจะได้ของวิเศษแล้ว ยังได้ครองหัวใจของบุรุษผู้มีอำนาจถึงสองคน หนึ่งคือตงหวางแห่งวันตะวันออกที่เทพนารีทั้งหลายชม้อยชม้ายสายตาให้ทุกคราที่เขาเดินผ่าน ส่วนอีกหนึ่งที่เทพยามาผู้ลึกลับแต่ครอบครองดินแดนใหญ่อย่างยมโลก หากเทียบอำนาจวาสนาแล้ว เวลานี้ยังมีใครน่าอิจฉาไปกว่าเทพซือเนี่ยนอีกเล่า
เถ้าเปาและเซียนน้อยอีกสามตนถูกเซียนอาวุโสพามาส่งที่หอคุณธรรม ก่อนจากไปยังกำชับว่า “ตั้งใจล่ะ อย่าให้เสียชื่อข้า”
“ขอรับ”


 

หอคุณธรรม

หลังจากที่จิวซือแจ้งต่อจอมเทพว่ายินยอมให้สวรรค์ใช้หอคุณธรรมเป็นสถานที่ทดสอบเลื่อนขั้นเซียนต่อไป และจอมเทพตอบแทนด้วยการมอบอำนาจการตัดสินใจเรื่องการทดสอบทั้งหมดแก่จิวซือนั้น ด่านทดสอบคุณธรรมตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็เสมือนว่าตกอยู่ในมือของเขา ไม่สิ ในกำมือเล็กๆ ของเยว่เฉียนต่างหาก
เบื้องหน้าของบรรดาเซียนรุ่นใหม่ที่เพิ่งถูกพามาหอคุณธรรมครั้งแรก คือเด็กน้อยอายุราวแปดขวบ สวมใส่อาภรณ์สีเงินหรูหรา ดวงตาเล็กฉายแววเคร่งเครียดจริงจัง ทว่าหากสังเกตสักหน่อยจะเห็นว่าดวงตากลมสีทองนั้นไหวระริกด้วยความสนุกสนานและพึงพอใจ
เด็กน้อยยืนอยู่หน้าผู้คุมกฎสองคนที่ดูให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมาก หนึ่งในนั้นคือเปียวขุยผู้มีคดีกับจิวซือนั่นเอง จิวซือไม่เอาความเขา ทว่าเยว่เฉียนผู้รักคุณธรรมมีหรือจะยอมให้อภัยโดยง่าย ดังนั้นเปียวขุยจึงกลายเป็นข้ารับใช้คนสนิทที่เยว่เฉียนสั่งซ้ายมิกล้าไปขวา
“ข้ามีนามว่าเยว่เฉียน เป็นคนสนิทของเทพซือเนี่ยน”
เหล่าเซียนน้อยตาโต คนผู้นี้เป็นคนสนิทของเทพซือเนี่ยนที่พวกเขาเคารพนับถือ! แต่ละคนยืดหลังตรงขึ้นอีกนิด ลอบมองเยว่เฉียนด้วยความชื่นชมปนอิจฉา หากว่าได้รับใช้ใกล้ชิดเทพซือเนี่ยนก็คงจะดีไม่น้อย ดูสิ ขนาดเด็กตัวเล็กเท่านี้ยังยิ่งใหญ่กว่าผู้คุมกฎทั้งสองคนเลยนะ
ริมฝีปากของเยว่เฉียนแทบจะคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม แต่เขาต้องพยายามกลั้นไว้เพื่อภาพลักษณ์อันสมบูรณ์แบบ
“ด่านคุณธรรม 11 ด่านนี้ ไม่ต้องเกรงว่าจะมีความอยุติธรรมเกิดขึ้น เพราะข้าจะคอยควบคุมตรวจสอบ ดังนั้นขอให้พวกเจ้าทุกคนตั้งใจเต็มที่ เพื่อได้เลื่อนขั้นเป็นเทพอย่างที่ปรารถนา”
“ขอรับ!”
มุมปากของเยว่เฉียนกระตุกแล้ว แต่เขายังระงับไม่ให้มันยกขึ้นได้
“เอาล่ะ เซียนน้อยทั้งหลาย หอคุณธรรมเป็นเช่นไร ข้าคงไม่ต้องบรรยายให้มากความ แน่นอนว่าพวกเจ้ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิ่งวิเศษใดดีเลิศไปกว่าที่แห่งนี้”
เหล่าเซียนน้อยพยักหน้าหงึกๆ ดวงตาเป็นประกาย ใช่แล้ว เทพซือเนี่ยนดีที่สุด หอคุณธรรมดีที่สุด เซียนอย่างพวกเขาไม่มีประมุข ไม่มีปราสาทราชวัง ไม่มีสิ่งใดให้เชิดหน้าชูตา ดังนั้นจึงยึดถือเทพซือเนี่ยนเป็นเจ้านายของเหล่าเซียน ขณะที่หอคุณธรรมกลายเป็นของวิเศษของเหล่าเซียนไปแล้ว
ในที่สุดริมฝีปากของเยว่เฉียนก็ยกยิ้ม
บรรดาลูกแกะที่ว่านอนสอนง่าย เขาชื่นชอบมาก ดังนั้นแม้ว่าเจ้านายจะถูกตงหวางพาตัวไปวังตะวันออก เขาก็ไม่อาจจะตัดใจทิ้งเหล่าลูกแกะน้อยของหอคุณธรรมได้ หากไม่มีเขา เกรงว่าลูกแกะที่น่ารักเหล่านี้จะต้องหลงทางเป็นแน่
 





วังตะวันออก

คงเหวินค้อมตัวคำนับผู้มาเยือนวังตะวันออกอย่างกะทันหัน บุรุษผู้สูงศักดิ์เจ้าของนัยน์ตาสองสีจะเป็นใครไปได้เล่า หากมิใช่เทพยามาคนปัจจุบัน จำได้ว่าคราวก่อนเทพยามามาตามหาเซียนน้อย ตัวเขาคนเดียวแทบรับมือไม่ไหว เวลานี้เจ้านายทั้งสองอยู่ก็วางใจ รีบเข้าไปรายงาน
“ท่านเจ้าวัง พระชายา เทพยามาขอเข้าพบขอรับ”
แม้ว่าเทพซือเนี่ยนยังมิได้แต่งเข้าวังตะวันออกอย่างเป็นทางการ แต่ท่านเจ้าวังก็ทรงแนะนำเขาให้ข้ารับใช้ทุกคนรู้จักหมดแล้ว โดยมีคงเหวินเป็นผู้นำการเรียกเทพซือเนี่ยนด้วยตำแหน่งในอนาคต เห็นดวงตาท่านเจ้าวังโค้งลงเล็กน้อยแสดงถึงความพึงพอใจ คงเหวินก็รู้ว่ามาถูกทาง คนสนิทอย่างเขาย่อมรู้ใจนายที่สุด ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ข้ารับใช้ในวังเรียกเทพซือเนี่ยนว่าพระชายา ผลก็คือทั้งวังตะวันออกได้รับรางวัลกันถ้วนหน้า
“เชิญ”
 

เห็นอี้เทียนเดินหน้าตึงเข้ามา ไม่รู้ทำไมจิวซือจึงรู้สึกว่าน่าขันมาก คล้ายจะเห็นอี้เทียนคนเอาแต่ใจ ชอบงอนและรอให้เขาเป็นฝ่ายง้อ หากเขาไม่ง้อ เจ้าตัวก็จะหน้าบูดทั้งวัน แล้ววันรุ่งขึ้นก็จะให้คนมาตามเขาไปจวนสกุลอี้ เป็นถึงเทพยามาแล้วก็ยังไม่รักษาภาพลักษณ์สักนิด ไม่ถูก เพราะเป็นเทพยามาต่างหากเล่าจึงไม่ต้องสนใจภาพลักษณ์ใดๆ จิวซือหลิ่วตาให้อวิ๋นหนาน บอกเป็นนัยว่าคราวนี้ เขาขอวางตัวเป็นคนนอก ปล่อยให้เจ้าของวังจัดการเอาเอง
อี้เทียนในชุดดำยาวตลอดทั้งตัวสืบเท้ายาวๆ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ทรงกลมตัวที่อยู่ติดกับจิวซือ ใบหน้าคมคายยังคงเรียบเฉย เขานิ่งไม่ยอมพูดจา ไม่บอกว่าธุระสำคัญที่ทำให้มาเยือนวังตะวันออกคืออะไร แน่ล่ะ จะบอกว่ามาตามคนกลับยมโลกก็มิได้ ด้วยยังไม่ครบกำหนดหนึ่งสัปดาห์ตามข้อตกลง แต่เขาเพิ่งได้ยอดดวงใจกลับคืนมา จะทนไม่เห็นหน้าค่าตาหลายวันไหวหรือ ผู้อื่นอาจทนไหว แต่เขาทนไม่ไหว!
ดังนั้นคนที่ทิ้งให้เสี่ยวฝูและเสี่ยวเฮยช่วยจัดการงานในยมโลกจึงเมินเฉยสายตาเย็นชาของเจ้านายใหญ่แห่งวันตะวันออก แล้วเอื้อมมือไปวางบนหน้าขาของจิวซือ ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมก็คลายลง อ่อนลงพอๆ กับน้ำเสียง
“ข้าคิดถึง”
“อ้อ” ผู้ที่ตอบรับอย่างไม่ใส่ใจนี้ย่อมมิใช่จิวซือ แต่เป็นอวิ๋นหนาน สีหน้าท่านเจ้าวังเริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์แล้วที่ถูกขัดจังหวะการสนทนากับว่าที่พระชายาของเขา แต่ครั้นจะออกปากไล่อีกคนก็ทำไม่ได้ ด้วยไม่มั่นใจเช่นกันว่าตนเองจะไม่หนีงานไปเยี่ยมใครบางคนถึงยมโลก
จิวซือกลั้นยิ้ม ไม่คิดว่าวันหนึ่งพวกเขาสามคนจะได้สนทนาอย่างเปิดเผยเพียงนี้ จะว่าไปก็คล้ายกับโลกที่เขาเป็นอลัน แล้วทั้งสองคนอยู่ในร่างของคานส์และฮิลอยู่เหมือนกัน ขาดก็แต่ซีโน่ เด็กคนนั้นไม่รู้จะได้เข้าวิถีเซียนเมื่อใด เห็นอี้เทียนกัดฟันถลึงตาใส่อวิ๋นหนาน จิวซือรีบเอ่ยปากชวนทานอาหารเย็นด้วยกัน เขาเป็นคนกลางก็สมควรช่วยประสานให้กระมัง
“วันนี้มีเนื้อกระยางสามสี เจ้าก็อยู่กินด้วยกันสิ”
“อืม” อี้เทียนพยักหน้ายินดี แววตาคล้ายจะเยาะเย้ยเจ้าของวังอยู่เล็กน้อย
อวิ๋นหนานเรียกคนสนิทของเขาด้วยหางสายตา คงเหวินเห็นดังนั้นก็สืบเท้าเข้ามา ค้อมศีรษะลงรอรับคำสั่ง แล้วก็เหงื่อตกเมื่อได้ยินเจ้านายของเขาโยนภารกิจเสี่ยงตายมาให้
“คงเหวิน เชิญท่านเทพยามาไปห้องรับรอง ถึงเวลาอาหารค่อยเชิญท่านเข้ามาเถิด ข้ากับพระชายาจะหารือเรื่องงานแต่งเสียก่อน”
คนถูกเชิญไปพักคิ้วกระตุก กัดฟันกรอด ดวงตาเหมือนมีกองเพลิงลุกโชน อยากจะเผาวังตะวันออกให้มอดไหม้
จงใจเอาเรื่องนี้มาข่มเขา!
ได้ ตงหวาง เจ้าดีมาก
งานมงคลที่ยมโลกแม้จัดทีหลัง แต่จะต้องยิ่งใหญ่จนวังกระจอกของเจ้าเทียบไม่ติด
อี้เทียนมาดหมายอยู่ในใจ จะต้องทำให้ทุกภพต้องจดจำว่าซื่อเสวี่ยนที่แท้แล้วเป็นของผู้ใดกันแน่
 
 

#วิถีเซียน3p

ไม่งงใช่มั้ยคะ อี้เทียนเรียกน้องว่าซื่อเสวี่ยน/อาเสวี่ยน อวิ๋นหนานมักจะเรียกว่าจิวซือ/ซือซือ ส่วนคนอื่นๆ ก็เรียกชื่อเทพของน้อง เทพซื่อเนี่ยน
 

ตอนที่จะลงเว็บหมดแล้วจริงๆ แต่...ยังมีให้ฟินต่อในตอนพิเศษนะคะ
ตอนพิเศษ
a) วังตะวันออกก็มีงานมงคล (NC พี่อวิ๋น)
b) ยมโลกมีงานมงคล (NC พี่อี้)
c) เทพองค์ใหม่ ฉายามังกรไฟ (ซีโน่ comeback)
d) จากพี่ใหญ่กลายเป็นน้องเล็ก (เฉินซาน comeback/ happy family)
e) หมื่นปี (Happy ending)
mini-novel: ตอนพิเศษที่ชื่อยังไม่ได้คิดค่ะ
 
 
ตอบคำถามที่มีคนคอมเมนท์ไว้ และที่ถามเข้ามานะคะ
Q: พระแม่จะได้รับผลกรรมอะไรไหม
A: ในตอนพิเศษไม่มีเรื่องของพระแม่แล้วค่ะ สำหรับเราคิดว่าผลกรรมที่นางได้รับก็คือพยายามฝืนดวงชะตา แต่ก็กลายเป็นตัวแปรที่ทำให้ดวงชะตานั้นเกิดเสียเอง คืออยากให้จิวซือไม่ได้เป็นเทพ แต่น้องกลับได้เป็นเทพชั้นสูง แถมได้หอคุณธรรมไปครองด้วย เท่านี้ก็รู้สึกว่าเทพผู้สร้างอย่างพระแม่คงเจ็บใจมากแล้ว ที่เห็นคนที่ไม่ชอบมีความสุขสุดๆ
 
Q: NC ของอวิ๋นหนานอยู่ไหน ท่านเทพเสียเปรียบยังไม่ได้น้องเลย
A: จัด NC ให้ทั้งสองคนเลย พี่อวิ๋น พี่อี้ ไม่น้อยหน้ากัน แต่น้องก็จะเหนื่อยๆ หน่อย
 
Q: เขาแบ่งวันกันยังไง
A: บอกใบ้ในบทส่งท้ายคือ น้องอยู่ยมโลกเจ็ดวัน อยู่วังตะวันออกเจ็ดวัน ส่วนหอคุณธรรมนานๆ มาที ยกให้เยว่เฉียนจัดการไป
 
Q: ซีโน่กลับมาใช่มั้ย
A: ทั้งซีโน่และเฉินซานกลับมาในตอนพิเศษค่า กลับมาให้จิวซือทำตามสัญญาเนาะ ซีโน่เป็นตัวละครที่เรารักมากๆ อีกตัวหนึ่ง เอาไว้ฤกษ์งามยามดี อาจจะเขียนถึงน้องเป็นตอนสั้นๆ ลงเว็บให้ได้อ่านกันนะคะ
 
 
ช่วงขายของ
หนังสือโอนได้ถึงวันที่ 5 มีนาคมนะคะ ถ้าเก็บเงินเปย์น้องไม่ทันแต่อยากได้เล่ม สามารถโอนมัดจำ 300 บาทภายในวันที่ 5 มีนาคม เพื่อให้เราการันตีจำนวนได้นะคะ แล้วที่เหลือค่อยโอนมาก่อนจัดสั่ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงต้นเดือนเมษายนค่ะ
หลังจากนี้จะอัพเดตเรื่องหนังสือและการจัดส่งต่างๆ ในเพจ facebook: @Whitedemon21 และทางทวิตเตอร์ @Demon21white นะคะ

ส่วน ebook ถ้าลง meb แล้วจะมาแจ้งทางหน้านิยายอีกครั้งค่ะ


ขอบคุณค่ะ หวังว่าจะได้เจอกันในเรื่องต่อๆ ไปนะคะ
รัก

ออฟไลน์ poterdow

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
น่ารักมากๆๆๆๆๆ อยากได้อีบุ๊คมากกว่าอ่ะค่ะ ต้องรอนานไหมคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด