พิมพ์หน้านี้ - (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 16:28:46

หัวข้อ: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 16:28:46
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม







สวัสดีค่ะ จริงๆ เราเคย active ในเล้าเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่พอไปเรียนต่อก็ไม่ได้เข้ามาลงอีก ไอดีเก่าเข้าไม่ได้แล้ว เพิ่งสมัครใหม่เพื่อลงนิยายอีกครั้ง เพราะคิดว่าครั้งนี้จะไม่ดองและจะลงจนจบค่ะ ฮ่าๆ ถ้ามีข้อแนะนำอะไร บอกได้เลยนะคะ พยายามอ่านกระทู้ที่่ควรอ่านหมดแล้ว แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดไป รบกวนบอกเราด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

นิยายเรื่องอื่นๆ ที่แต่งจบแล้ว:
Wait! หรือมึงจะเล่นเพื่อน
Devil and Turtle เจ้าสาวปีศาจ


Writer Page (https://www.facebook.com/whitedemon21/)




เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p


สารบัญ
Prologue (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923501#msg3923501)
Life of a superstar 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923503#msg3923503)
Life of a superstar 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923504#msg3923504)
Life of a superstar 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923507#msg3923507)
Life of a superstar 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923509#msg3923509)
Life of a superstar 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923510#msg3923510)
Life of a superstar 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923511#msg3923511)
Life of a superstar 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923512#msg3923512)
Life of a superstar (end) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923515#msg3923515)
Interval 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923526#msg3923526)
Interval 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923527#msg3923527)
Prince's fiancé 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923533#msg3923533)
Prince's fiancé 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923536#msg3923536)
Prince's fiancé 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3923538#msg3923538)
Prince's fiancé 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3924682#msg3924682)
Prince's fiancé (end) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3925911#msg3925911)
Interval 2: The Underworld (1) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3933542#msg3933542)
Interval 2: The Underworld (2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3934389#msg3934389)
Interval 2: The Underworld (end) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3937015#msg3937015)
The Protector 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3940841#msg3940841)
The Protector 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3945950#msg3945950)
The Protector 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3948459#msg3948459)
The Protector 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3949554#msg3949554)
The Protector 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3950295#msg3950295)
The Protector 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3955988#msg3955988)
The Protector 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3957497#msg3957497)
The Protector 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3960261#msg3960261)
The Protector (end) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3962223#msg3962223)
The Great General 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3966565#msg3966565)
The Great General 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3968954#msg3968954)
The Great General 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3970780#msg3970780)
The Great General 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3972960#msg3972960)
The Great General 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3979210#msg3979210)
The Great General 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3981153#msg3981153)
The Great General 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3984134#msg3984134)
The Great General 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3987796#msg3987796)
The Great General 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3996574#msg3996574)
The Great General 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3998754#msg3998754)
The Great General 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg3999691#msg3999691)
The Great General 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4004334#msg4004334)
The Great General 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4006550#msg4006550)
The Great General 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4009214#msg4009214)
The Great General 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4011532#msg4011532)
The Great General 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4013817#msg4013817)
The Great General 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4016563#msg4016563)
The Great General 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4018002#msg4018002)
The Great General 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4018445#msg4018445)
[urlชhttps://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4019546#msg4019546]Owner of the Goldern Pagoda (1)[/url]
Owner of the Golden Pagoda (2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4021214#msg4021214)
Owner of the Golden Pagoda (3) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4023675#msg4023675)
The End (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4024388#msg4024388)
[urlชhttps://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4026382#msg4026382]Epilogue[/url]
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 16:31:24
Prologue






            จิวซือ เป็นเซียนชั้นผู้น้อยที่เฝ้ารักษาแม่น้ำเจียงหัว แม่น้ำสายเล็กๆ สายหนึ่งแถบตงไฮ่ หรือทะเลตะวันออก ชื่อจิวซือของเขานั้นแปลว่าชะตาและความสุข ไม่ทราบเพราะชื่อนี้มีความหมายดีเกินไปหรือไม่ ชีวิตจริงถึงได้ตรงข้ามนัก  เพราะนับตั้งแต่เขามาเกิดในโลกมนุษย์ทั้งหมด 7 ชาติ ล้วนแล้วแต่ดวงตกถึงที่สุด บางคราถึงกับเกิดเป็นขอทาน ถูกอันธพาลคอยหาเรื่องและทำร้ายร่างกาย เพียงไม่กี่ปีก็ตายตก กลับมายืนต่อแถวกับสหายเซียนชั้นผู้น้อยอื่นๆ เพื่อมาเกิดใหม่อีกครั้ง

            สหายเซียนชั้นผู้น้อยที่ว่านี้ก็คือบรรดามนุษย์ที่ทำคุณความงามดีจนถึงเกณฑ์ เมื่อสิ้นอายุขัยจึงถูกชักนำเขาสู่วิถีเซียน ดวงจิตได้รับการชำระทำให้แข็งแกร่งกว่าดวงจิตของมนุษย์ทั่วไป ชาติก่อนที่จิวซือจะได้เป็นเซียนนั้น เขาเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ ช่วยเหลือชาวบ้านจากภัยพิบัติและความอดยากไว้ไม่น้อย นอกจากไม่เคยฉ้อราษฎร์บังหลวง รับสินบนแล้ว ยังบริจาคทรัพย์สินเงินทองให้ผู้ยากไร้อยู่เสมอ  เรียกได้ว่าประพฤติตนเป็นแบบอย่างของขุนนางที่ดี สุดท้ายเข้ารับกระบี่แทนฮ่องเต้จนเสียชีวิต จึงได้รับโอกาสให้เข้าสู่วิถีเซียน

 

            พวกเขาซึ่งถือเป็นเซียนชั้นผู้น้อยนั้นจะได้รับมอบหมายภารกิจต่างๆ กัน เช่น ตัวเขาถูกมอบหมายให้ดูแลแม่น้ำเจียงหัว ร่วมกับเซียนอื่นๆ อีกสองตน และหากต้องการเลื่อนขั้นเป็นเทพ มีที่พำนักบนสวรรค์ ได้รับโอกาสให้ฝึกวิชา ตบะบารมี และสั่งสมพลังเทพ ตลอดจนได้อภิสิทธิ์อื่นๆ อย่างที่เทพพึงมี เซียนชั้นผู้น้อยเหล่านี้ต้องผ่านด่านทดสอบที่เรียกว่า “ด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติ” กล่าวคือ พวกเขาต้องไปเกิดเป็นมนุษย์ 11 ชาติ ซึ่งประมาณ 770 ปีบนโลกมนุษย์ หรือ 770 วันบนสวรรค์ ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์นี้ เซียนผู้เข้ารับการทดสอบจะไม่มีความทรงจำของเซียนเหลืออยู่ ล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีกิเลศ รัก โลภ โกรธ หลง การกระทำทุกอย่างจะถูกจดบันทึกไว้ เมื่อเวียนว่ายตายเกิดจนครบ 11 ชาติแล้ว จึงมีผู้ประเมินพฤติกรรมทั้ง 11 ชาติของพวกเขาผ่านบันทึกคุณธรรม หากว่ามีชาติหนึ่งชาติใดที่กระทำเรื่องไร้ศีลธรรม หรือกระทำผิดพลาดจนเกิดผลร้ายแรง ถือว่าสอบตก ไม่มีสิทธิเลื่อนขั้นเป็นเทพ และต้องเป็นเซียนชั้นผู้น้อยต่อไปเป็นเวลา 7 ปีของภพสวรรค์ จึงค่อยมีโอกาสขอเข้ารับการทดสอบใหม่ ในกรณีที่สอบไม่ผ่านและไม่ต้องการเข้ารับการทดสอบเลื่อนขั้นอีก ก็สามารถสมัครเป็นข้ารับใช้บนสวรรค์ได้ สำหรับข้ารับใช้บนสวรรค์นั้น แม้จะได้กินดีอยู่ดีกว่าเซียนชั้นผู้น้อย และได้ร่ำเรียนวิชา ฝึกตบะบารมี แต่ฐานะและการปฏิบัติการสู้พวกเทพไม่ได้แม้แต่น้อย ฉะนั้น การผ่านด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติ จึงเป็นเป้าหมายของบรรดาเซียนชั้นผู้น้อยแทบทุกตน

 

            จิวซือผ่านด่านทดสอบมาแล้ว 7 ชาติ เมื่อสิ้นอายุขัย กลับคืนสู่ความเป็นเซียนก็จำเรื่องราวที่เกิดบนขึ้นโลกมนุษย์ของตนได้ หลังจากตรองดูแล้วก็พบว่าตนเองมิได้ละเมิดข้อห้าม หรือกระทำการผิดศีลธรรมร้ายแรงใดๆ ใจหนึ่งก็ปลอดโปร่ง ส่วนอีกใจก็อดรู้สึกโมโหและอับจนไม่ได้ เขาคาดว่าตนเองคงถูกใครสักคนกลั่นแกล้ง มิเช่นนั้น ตลอดทั้ง 7 ชาติที่ผ่านมา เขาจะมีชะตาชีวิตรันทดเช่นนั้นได้อย่างไร จำได้ว่านอกจากเกิดเป็นขอทานที่ถูกอันธพาลทำร้ายจนตายแล้ว มีชาติหนึ่งเขาเกิดเป็นลูกครึ่ง มีดวงตาสีฟ้าผมสีทอง ตั้งแต่เด็กถูกผู้คนตั้งแง่รังเกียจ เขาจึงตั้งใจจะเป็นทหารรับใช้แผ่นดินและพิสูจน์ตนเอง พากเพียรฝึกวิชา เสี่ยงชีวิตหลายคราวกว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นนายกอง สุดท้ายยังถูกสหายร่วมรบใส่ร้ายหาว่าเป็นไส้ศึก ถูกทรมานด้วยวิธีพิสดารนับไม่ถ้วน เจ็ดวันกว่าจะขาดใจตาย ชาติที่แล้ว เขาหลงนึกว่าตนเองโชคดีได้เกิดเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ มิคาดสุดท้ายยังถูกภรรยาสวมเขา ถูกน้องชายวางยาจนกระทั่งกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ แขนขาพิการเดินเหินไม่ได้ ซ้ำยังอายุยืน ต้องนอนฟังภรรยาและคนในตระกูลดูถูกเหยียดหยามเช่นนั้นอยู่หลายปี

 

            ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมอยู่ 7 ชาติ ในที่สุดเหมือนสวรรค์เห็นใจ วันหนึ่งขณะที่เขานั่งเท้าคาง เอาเท้าแช่น้ำ ใคร่ครวญว่าก่อนจะไปต่อแถวที่หอคุณธรรมเพื่อเริ่มบททดสอบชาติที่ 8 เขาควรเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ชะตาแห่งความซวย’ ไม่ก็ ‘โชคร้ายกล้ำกราย’ ดีหรือไม่ เผื่อว่าเกิดใหม่คราวหน้าจะได้โชคดี ได้เสพสุขบนโลกมนุษย์อย่างเซียนคนอื่นบ้าง  เวลานั้นเขาก็ได้พบกับ อวิ๋นหนาน เทพเจ้าแห่งทะเลตะวันออก ผู้ปกครองบรรดาเทพเซียนทั้งหลายในเขตปกครองฝั่งตะวันออก เป็นรองเพียงจอมเทพเท่านั้น ดังนั้นฐานะของอวิ๋นหนานจึงนับได้ว่าเป็นเทพชั้นสูง มีตำแหน่งใหญ่โตและมีอิทธิพลบนภพสวรรค์ นอกจากนี้เขายังเป็นเทพหนุ่มอายุน้อย อนาคตไกล บวกกับหน้าตาหล่อเหลาองอาจ ทำให้เขาเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง

            หากกล่าวไป อวิ๋นหนานก็เปรียบได้กับเจ้านายของจิวซือ ดังนั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายมาปรากฏตัว ขณะที่เขากำลังโอดครวญชะตาชีวิตอันรันทดให้บรรดาก้อนหิน ต้นหญ้า และปลาในแม่น้ำฟัง จิวซือก็รู้สึกอับอายขายหน้าจนต้องยกมือเกาแก้มตามความเคยชิน ไม่ทราบเทพอวิ๋นหนานผู้นั้นว่างหรือเกิดความสนใจต่อเรื่องราวที่เขาต้องเผชิญบนโลกมนุษย์ขึ้นมา  จึงได้ทรุดลงนั่งบนก้อนหินใหญ่ไม่ห่างจากเขานัก และบอกให้เขาเล่าชีวิตทั้ง 7 ชาติให้ฟัง

 

            ด้วยระลึกอยู่เสมอว่าอวิ๋นหนานเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งคำพูดของเขาเพียงคำเดียวก็สามารถตัดสินผลการทดสอบเลื่อนขั้นเป็นเทพของเซียนเล็กๆ อย่างเขาได้ ดังนั้นจิวซือจึงเล่าชะตาอันรันทดที่เขาต้องเผชิญแต่โดยดี น้ำเสียงที่เล่านั้นแสนจะธรรมดา ราบเรียบ อธิบายราวกับว่าบรรดาความโชคร้ายทั้งหลายนั้นเกิดขึ้นกับคนอื่น มิใช่ตนเอง เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยจนสายตาหยุดอยู่ที่ดอกหญ้าดอกเล็กๆ บริเวณปลายเท้าของอวิ๋นหนาน กริยานุ่มนวลเปี่ยมมารยาท แต่นัยน์ตาดำขลับกลับมีร่องรอยของความระมัดระวัง ไม่ต่างจากยามที่เขาถวายรายงานต่อฮ่องเต้ จิวซือเลือกใช้คำพูดอย่างฉลาด เล่าตามความจริง ไม่กล่าวโทษผู้ใด แต่ก็แฝงความนัยว่ามีข้อผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้นกับบททดสอบของเขาอย่างแนบเนียน

            เมื่อเล่าจบ จิวซือก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และสบดวงตาสีทองสว่างอย่างเทพชั้นสูงของอวิ๋นหนานแวบหนึ่ง สั้นๆ เพียงเสี้ยววินาทีเหมือนไม่ตั้งใจ แต่ดวงตาใสแจ๋วของเขากลับเปี่ยมด้วยความเคารพ นอบน้อม และจริงใจ แน่นอนว่าท่าทางเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่ครั้นที่ยังเป็นขุนนางรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ ในวงราชการใครบ้างไม่เก็บงำประกาย  ในวงราชการใครบ้างไม่เรียนรู้วิธีเอาตัวรอดกันคนละอย่างสองอย่าง และในแวดวงราชการ ชนชั้นปกครองร้อยทั้งร้อยล้วนชอบให้ผู้อื่นก้มหัว เทิดทูนตนเอง  และแม้เขาจะเคยเป็นถึงเสนาบดีขวา ขุนนางขั้นหนึ่งแห่งแผ่นดิน ก็ยังต้องรู้จักเก็บงำประกาย ทั้งยังต้องแกล้งโง่กว่าฮ่องเต้อยู่สองส่วน

 

            จิวซือไม่ทันได้เห็นประกายขบขันในดวงตาอีกคู่ แต่เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของอวิ๋นหนานกล่าวว่า “เล่าได้ไม่เลว”

            “ท่านเทพชมเกินไปแล้ว”

            เมื่อเห็นว่าเทพอวิ๋นหนานไม่ได้กล่าวถึงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นกับชะตาบนโลกมนุษย์ของเขา จิวซือก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายว่าไม่ต้องการสืบสาวราวเรื่อง แล้วก็ให้แล้วกันไป

            “เจ้ายังเหลือด่านทดสอบอีก 4 ชาติ” อวิ๋นหนานกล่าวต่อ “ข้าจะให้โชคดีแก่เจ้า 3 ชาติ ส่วนชาติสุดท้ายนั้น ขึ้นอยู่กับวาสนาและความสามารถของเจ้าแล้ว”

            ขึ้นอยู่กับวาสนาและความสามารถของเขางั้นหรือ แล้วหากว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ‘ความซวยซ้ำซ้อน’ ของเขาบังเอิญแทรกแซงในวาสนา ทำให้ชาติสุดท้ายของเขาต้องพบเจออุปสรรคมากมายจนเขามิอาจรักษาความดีงามและวิถีแห่งเซียนเล่า เช่นนั้นมิได้หมายความว่าเขาสอบตกหรอกหรือ

            ประหนึ่งล่วงรู้ความคิดของจิวซือ อวิ๋นหนานกล่าวเสริมว่า “มีคนไม่น้อยได้รับโอกาสให้เป็นเซียน แต่มีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเทพ ดังนั้นบททดสอบสุดท้าย ข้าไม่อาจมอบแต้มต่อแก่เจ้าได้”

            จิวซือนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค้อมกายคาราวะบุรุษที่นั่งหลังตรงเป็นสง่าบนก้อนหินใหญ่

            “ขอบคุณท่านเทพ”

 

 

           

            เอาล่ะ หลังจากที่ซวยซ้ำซ้อนมา 7 ชาติ ก็ถึงเวลาที่เขา จิวซือ เทพแห่งทะเลตะวันออก อ่า ก็ได้ๆ จิวซือ เซียนชั้นผู้น้อยแห่งแม่น้ำเจียงหัว จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนมีโชคเสียที

           

 



********************

อดีตชาติของจิวซือ


ชาติสุดท้ายตอนที่ยังเป็นมนุษย์
   
   ชื่อว่าซือเสวี่ยน เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย คนสนิทของฮ่องเต้ เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นขุนนางตงฉินและชอบบริจาคทรัพย์สินให้กับผู้ยากไร้ ซือเสวี่ยนกับอี้เทียนเป็นทั้งสหายและเจ้านายกับลูกน้อง ซือเสวี่ยนชอบอี้เทียน แต่อี้เทียนมีภรรยาแล้ว ซือเสวี่ยนจึงแต่งชายาตามที่มารดาต้องการ เมื่อครั้นที่ฮ่องเต้แต่งตั้งซือเสวี่ยนเป็นแม่ทัพใหญ่ออกปราบกบฎทางเหนือ ก็มีอี้เทียนเป็นรองแม่ทัพ สุดท้ายอี้เทียนเสียชีวิตเพราะรับฝนธนูแทนซือเสวียน  หลังจากนั้นไม่ถึงปีซือเสวี่ยนก็เสียชีวิตจากการรับกระบี่ของมือสังหารแทนฮ่องเต้
   ด้วยผลกรรมดีทั้งหมดนี้ ทำให้เขามาเกิดยังภพเซียน


วิถีเซียน: ด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติ
เมื่อได้โอกาสขึ้นมาบำเพ็ญเพียรในภพเซียน ในฐานะเซียนน้อย ก็เปลี่ยนชื่อเป็นจิวซือ จากนั้นขอเข้ารับการทดสอบเพื่อเลื่อนขั้นเป็นเทพชั้นผู้น้อย ต้องผ่านด่านทดสอบ 11 ชาติ ตอนนี้จิวซือสอบผ่านไปแล้ว 7 ชาติ ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างด่านทดสอบของชาติที่ 8 ค่ะ


ชาติแรก
   เกิดเป็นลูกนอกสมรสของนักการเมืองคนหนึ่ง เป็นเด็กพิการทางสติปัญญา จึงถูกทั้งภรรยาหลวง และบรรดาพี่น้องกลั่นแกล้ง กระทั่งคนรับใช้ก็ยังแอบทารุณเขา แต่มีพรสวรรค์ทางการวาดภาพ อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์ของเขาไม่เคยไม่ใครชื่นชม ใช้ชีวิตอย่างไม่มีคนรัก ไม่มีคนสนใจ แต่เขาไม่เคยคิดแก้แค้นใคร เพียงแต่ใช้ชีวิตเช่นนั้นจนตายด้วยวัย 38 ปี


ชาติที่สอง
   เกิดเป็นลูกหญิงคณิกาในหอนางโลม นางพาเขามาทิ้งที่วัดร้าง พอดีมีผู้เฒ่าในค่ายสำนักทางเต๋าผู้หนึ่งไปเจอ เลยพากลับมาฝึกวิชา เพราะความพิเศษของร่างกาย และมีพรสวรรค์ จึงรุดหน้ากลายเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง เก่งกาจด้านการปราบภูติผีปีศาจ แต่สุดท้ายถูกผู้เฒ่าที่ช่วยเหลือคนเองจับทำเป็นเตาหลอมยามีชีวิต ดูดพลังชีวิตและพลังฝีมือของเขาจนหมด เพื่อยืดอายุให้ตนเอง เขารักผู้เฒ่าเหมือนบิดาของตัวเอง ดังนั้นนอกจากความเสียใจ ผิดหวัง แล้วก็ไม่มีเคียดแค้นอะไร


ชาติที่สาม
   เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดา มีความฝันอย่างเป็นดารา และหาเงินเลี้ยงดูมารดาา  จึงเข้าเรียนที่คณะศิลปะการละครมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐ เป็นนักเรียนดีเด่น ความสามารถล้ำเลิศ เสียแต่หน้าตาธรรมดา และเอาใจใครไม่เป็น จึงไม่เคยไปถึงฝั่งฝันได้แสดงละครสมใจ สุดท้ายเขาก็กลับไปเป็นครูที่บ้านนอก สอนเด็กยากไร้ที่มีความฝันเหมือนกับเขา ก่อนตายยังได้ทราบข่าวว่าลูกศิษย์คนหนึ่งของเขาประสบความสำเร็จในอาชีพนักแสดง
   นับว่าเป็นชาติที่ธรรมดา และไร้ความทุกข์ยากที่สุดแล้วของจิวซือ


ชาติที่สี่
   เกิดเป็นลูกครึ่ง มีดวงตาสีฟ้าผมสีทอง ตั้งแต่เด็กถูกผู้คนตั้งแง่รังเกียจ จึงตั้งใจจะเป็นทหารรับใช้แผ่นดินและพิสูจน์ตนเอง พากเพียรฝึกวิชา เสี่ยงชีวิตหลายคราวกว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นนายกอง สุดท้ายถูกสหายร่วมรบใส่ร้ายหาว่าเป็นไส้ศึก ถูกทรมานด้วยวิธีพิสดารนับไม่ถ้วน เจ็ดวันกว่าจะขาดใจตาย


ชาติที่ห้า
   เกิดเป็นขอทาน ทั้งชีวิตดำเนินไปอย่างยากลำบาก วันหนึ่งเห็นเด็กสาวคนหนึ่งถูกอันธพาลทำร้าย จึงพยายามช่วย สุดท้ายก็ถูกอันธพาลเหล่านั้นรุมทำร้ายจนตาย ชาตินี้เป็นบทเรียนให้จิวซือว่าอย่ากระทำการเกินความสามาถของตน


ชาติที่หก
   เกิดในเผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์ ดำรงชีวิตในป่าเขา ด้วยความที่ร่างกายอ่อนแอ ไม่ผ่านบททดสอบเป็นนักรบของเผ่า จึงถูกผู้นำในเผ่าจับไปขายให้กับพวกมนุษย์ที่มีฐานะดี กลายเป็นของเล่น ถูกใช้แรงงาน และกระทำเรื่องป่าเถื่อนบนเตียงอย่างนับไม่ถ้วน เป็นชาติที่จิวซือเกือบฆ่าคนตายด้วยความโกรธแค้นและทุกข์ทรมาน แต่เศรษฐีผู้นั้นถูกทาสคนอื่นฆ่าตายเสียก่อน สุดท้ายเขาและบรรดาทาสคนอื่นหนีออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นได้ จิวซือกลับไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในป่า


ชาติที่เจ็ด
   เกิดเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ ดีพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถ อีกทั้งยังมีหัวการค้า ขยายกิจการของตระกูลจนใหญ่โต และยังชอบบริจาคเงินช่วยเหลือคนยากจน ตลอดจนสร้างวัดวาอาราม บำรุงศาสนา กลายเป็นคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง สุดท้ายถูกภรรยาสวมเขา ถูกน้องชายวางยาจนกระทั่งกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ แขนขาพิการเดินเหินไม่ได้ ซ้ำยังอายุยืน ต้องนอนฟังภรรยาและคนในตระกูลดูถูกเหยียดหยามเช่นนั้นหลายปี

**********************
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 16:40:15


Life of a superstar
 

(1)
             
 

                    ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนนอนอยู่ในอ่างอาบน้ำ ความรู้สึกอึดอัดทรมานทำให้ร่างกายต้องดิ้นรนขึ้นจากน้ำ จิวซือสูดหายใจเข้าลึก และสำลักน้ำออกมาหลายหน ขณะที่ยังมึนงงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองหลังจากกระโดดลงสระลืมเลือนของหอคุณธรรมเพื่อมาเกิดบนโลกมนุษย์ ความทรงจำสายหนึ่งก็แล่นผ่านเข้าสู่สมองของเขา
               จิวซือนั่งนิ่งอยู่สักพัก ค่อยทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของตนเอง ที่แท้เขามาเกิดบนโลกมนุษย์แล้ว บททดสอบชาติที่แปดของเขาเริ่มขึ้นแล้ว ทว่าเขาไม่ไปถือกำเนิดในครรภ์มารดาเช่นทุกครั้ง แต่ดวงจิตของเขากลับอาศัยร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งที่เพิ่งเสียชีวิต โดยที่ความทรงจำของเขาและมนุษย์ผู้นั้นยังอยู่ครบถ้วน
               หรือนี่จะเป็นโชคดีที่เทพอวิ๋นหนานมอบให้?
               หรือนี่จะเป็นแต้มต่อที่เขาบอกว่าไม่สามารถมอบให้ในชาติสุดท้ายได้
               เมื่อมีความทรงจำของเซียน ทราบว่าตนเองกำลังอยู่ระหว่างทดสอบคุณธรรม ก็เท่ากับการันตีว่าสามชาติต่อจากนี้เขาต้องผ่านด่านทดสอบอย่างแน่นอน


               รอให้ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมจัดเรียงในสมองของเขาเรียบร้อย จิวซือก็ทราบว่าเจ้าของร่างที่เขามาอาศัยนี้เป็นดาราหน้าใหม่ ชื่อหลิวเจียเย่ อายุ 23 ปี นอกจากรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นจนต้องมองเหลียวหลังแล้ว ก็...ไม่มีอะไรเลย
               ถูกแล้ว ไม่มีเลย
               ฐานะครอบครัวแสนจะธรรมดา บิดาเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก มารดาเป็นครูโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด ตอนเด็กๆ หลิวเจียเย่ก็ถือว่าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง กระทั่งถูกชักชวนเข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อสองปีก่อน ค่อยถูกแสงสีและความหรูหราฟูฟ่าของวงการมายาทำให้หลงลืมตนเอง ยอมนอนกับบรรดาผู้กำกับและผู้เขียนบทหลายคนเพื่อให้ได้แสดงละคร ทั้งที่ฝีมือการแสดงไม่ได้เรื่อง ด้วยความใจร้อน อยากเด่นดัง ทำให้หลิวเจียเย่ไม่ยอมเสียเวลาฝึกทักษะการแสดงทั้งหลายเช่นคนอื่น แต่อาศัยรูปร่างหน้าตาที่เรียกว่าเป็นของขวัญจากพระเจ้าเดินเส้นทางลัดจนได้รับบทพระรองในละครวัยรุ่นเรื่องหนึ่งชื่อ ‘ปีกฝัน’ แน่นอนว่าการแสดงที่แข็งทื่อของเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก
               แม้จะมีคนไม่น้อยอาศัยร่างกายเข้าแลกกับโอกาสไม่ต่างจากเขา แต่อย่างน้อยคนเหล่านั้นก็ยังพอมีฝีมือการแสดงอยู่บ้าง ดังนั้นหลิวเจียเย่จึงกลายเป็นเรื่องตลกของวงการบันเทิง หลังจากละครเรื่องปีกฝันปิดกล้อง หลิวเจียเย่ก็เริ่มใช้วิธีการเดิมๆ ของเขาเข้าหาผู้กำกับเจียงเฉิน เพราะทราบว่าเขากำลังแคสติ้งนักแสดงนำในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องเซียนเมฆา ทว่าผู้กำกับเจียงเฉินคนนี้เป็นคนเถรตรง และรักครอบครัวมาก จึงไม่สนใจหลิวเจียเย่ ทั้งยังตั้งแง่รังเกียจพฤติกรรมและฝีมือการแสดงของเขา หลิวเจียเย่ถูกผู้กำกลับจางไล่ออกจากสถานที่แคสติ้งท่ามกลางสายตาดูถูกของทีมงาน และนักแสดงทั้งหลาย ชายหนุ่มรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก จึงไปดื่มเหล้า ใช้ยา และมีสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคนในคลับ สุดท้ายก็เสียชีวิตอยู่ในอ่างน้ำที่โรงแรมแห่งนี้นี่เอง
               ความทรงจำของหลิวเจียเย่ขาดหายไปตั้งแต่ที่เขาถึงจุดสุดยอด ดังนั้นจิวซือไม่ทราบว่าคนที่ฆ่าเขาเป็นใคร หรือเพราะอะไรเขาถึงมานอนหลับอยู่ในอ่างอาบน้ำที่เปิดน้ำจนเต็ม แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถคร่าชีวิตมนุษย์จนเป็นเหตุให้ตนเองสอบตกได้ สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวคือทำความปรารถนาในการเป็นดาราดังของหลิวเจียเย่ให้เป็นจริง ถือว่าเป็นการสร้างกุศลแก่ดวงวิญญาณที่จากไปก็แล้วกัน



               จิวซือลุกขึ้นจากอ่างน้ำ เดินไปหยิบชุดคลุมอาบน้ำมาใส่ การได้ใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์มาแล้วเจ็ดชาติ รวมถึงชาติภพที่เขายังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ทำให้เขาเคยชินการวิถีชีวิตแบบต่างๆ และสามารถปรับตัวรับกับสถานการณ์ได้ง่าย
               จิวซือยืนอยู่หน้ากระจก มองร่างเงาที่สะท้อนอยู่บนกระจกใสแล้วก็ต้องพยักหน้าขึ้นลงอย่างพอใจ ถือว่ามีต้นทุนในการเป็นดาราดังอย่างแท้จริง หลิวเจียเย่สูง 179 ซม. รูปร่างสูงโปร่งมีกล้ามเนื้อแต่พอดี แผ่นหลังรูปตัววีรับกับสะโพกสอบ ผิวขาวละเอียด ใบหน้าคมคาย จมูกโด่ง ริมฝีหยัก ดวงตาสีดำสนิทเช่นเดียวกับผมซอยเปิดหน้าผาก กล่าวได้ว่าเป็นคุณชายรูปงามคนหนึ่ง แต่สิ่งที่จิวซือพบว่าถูกใจเขาที่สุดก็คือดวงตาสีดำคู่นี้ เพราะมันคล้ายดวงตาของเขาอย่างยิ่ง
               เมื่อพิจารณาร่างใหม่จนพอใจแล้ว ก็หันมองไปรอบๆ และพบสภาพห้องเละเทะ ชิ้นส่วนเสื้อผ้ากระจัดกระจาย ผ้าคลุมเตียงหลุดลุ่ย ไม่ต้องเดาก็ทราบว่าคงจะผ่านสมรภูมิรบที่ไม่ธรรมดา

               หลิวเจียเย่เป็นเกย์ ดังนั้นคนที่เขาเข้าหาล้วนเป็นผู้ชาย จิวซือมิได้ตั้งแง่รังเกียจความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย จะว่าไป ชาติก่อนที่เขาจะกลายเป็นเซียนนั้น ตัวเขาเองก็ชอบพอผู้ชายคนหนึ่ง คนผู้นั้นเป็นสหายร่วมรบของเขา ทว่าอีกฝ่ายมีภรรยาแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้แต่ปล่อยวางและแต่งกับหญิงสาวตระกูลใหญ่ที่มารดาหาให้ สุดท้ายคนผู้นั้นเสียชีวิตในสนามรบเพราะเขา เพียงแค่นึกถึงสภาพคนผู้นั้นล้มลง ทั่วร่างมีลูกธนูนับไม่ถ้วนปักอยู่จนเลือดย้อมกายแดงฉาน แต่ยังคงยิ้มให้เขา หัวใจของจิวซือก็ปวดแปลบขึ้นมา ยังดีที่ได้ยินว่าคนผู้นั้นเองก็ได้เข้าสู่วิถีเซียน กำลังเข้ารับบททดสอบด่านคุณธรรม 11 ชาติเช่นเดียวกันกับเขา ถึงแม้คลาดกัน ไม่เคยได้พบที่หอคุณธรรม ก็ยังรู้สึกว่าไม่ห่างไกลอย่างที่คิด เทียบกับตอนที่ฝ่ายนั้นตายจากไป ส่วนเขามีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายปีแล้ว นับว่าใกล้กว่าจริงๆ


               จิวซือถอนหายใจ พยายามควบคุมอารมณ์ที่ปั่นป่วน แล้วก็พบว่าทำได้ง่ายดายยิ่ง เพียงแค่สูดลมหายใจเข้าเฮือกเดียว จิตใจของเขาก็พลันสงบลง
               หืม?
               เป็นธรรมดาที่เขาจะแปลกใจ เพราะอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์นั้นมิใช่สิ่งที่จะควบคุมให้สงบได้โดยง่าย จิวซือหลับตาลง สำรวจดวงจิตของตนเอง และก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก เขาสามารถใช้มันควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก สมอง ตลอดจนทุกส่วนในร่างกายได้ดังใจปรารถนา ไม่แน่ว่ายังสามารถควบคุมผู้อื่นได้ด้วย
               นอกจากไม่ได้ลบความทรงจำแล้ว เทพอวิ๋นหนานยังยอมให้ดวงจิตเซียนที่ได้รับการชำระไปรอบหนึ่ง บวกกับเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วเจ็ดชาติของเขาหลุดพ้นจากโซ่ตรวนของหอคุณธรรมด้วยงั้นหรือ
               ไม่ว่านี่จะเป็น ‘โชคดี’ ที่อวิ๋นหนานมอบให้ หรือเป็นเรื่องบังเอิญก็ตาม
               ถือว่าโชคที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
               จิวซือยิ้มเย็น ส่งผลให้ใบหน้าคมคายของหลิวเจียเย่เปลี่ยนจากคุณชายรูปงามเป็นบุรุษอันตราย จากดอกกุหลาบขาว กลายเป็นกุหลาบแดงที่มีหนามแหลมคมในพริบตา
               อวิ๋นหนาน  โชคดีของท่านนี้ ข้าจะ ‘ใช้อย่างระมัดระวัง’ ก็แล้วกัน




               อาศัยเงินค่าตัวเรื่องปีกฝัน และรายได้จากการใช้ร่างกายสร้างความสนุกให้ตนเองและผู้อื่นอย่างขันแข็ง ทำให้หลิวเจียเย่สามารถจ่ายค่าเช่าคอนโดแบบ one bedroom ห้องหนึ่งล่วงหน้าไว้หนึ่งปี ทำเลที่ตั้งไม่แย่นัก เพราะสามารถเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน จิวซือรู้สึกโชคดีที่อย่างน้อยก็มีที่พักเป็นหลักแหล่ง ในบัญชีก็มีเงินเก็บอยู่เล็กน้อย พอให้ไม่อดตายไปหลายเดือน เรียกว่าเทียบกับชาติที่เกิดเป็นขอทานแล้ว ชาตินี้ของเขาดีกว่ามาก
               จิวซือพาร่างกายยับเยินของเขามาถึงคอนโด ขณะที่กำลังจะล้มตัวลงนอน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังมาจากห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มยันตัวขึ้นจากเตียง ก้าวเท้าไปรับโทรศัพท์
               “ครับ” เสียงของเขาแหบเล็กน้อยเจือแววอ่อนล้า
               “พี่หลิว ในที่สุดก็รับเสียที ฉันโทรเข้ามือถือพี่เป็นสิบๆ ครั้ง ไม่ติดเลยค่ะ” เสียงของร้อนรนดังมาตามสายโทรศัพท์ จิวซือได้ยินแล้วทราบว่าเป็นหลี่รุยถิง ผู้จัดการส่วนตัวของเขา หลี่รุยถิงเป็นพนักงานใหม่ของบริษัท เพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาเมื่อสี่เดือนก่อน ถือว่ายังเป็นผู้จัดการมือใหม่ ที่จริงสำหรับดาราเล็กๆ อย่างเขา บริษัทต้นสังกัดอย่างมู่อินเอ็นเตอร์เทนเมนต์ไม่จำเป็นต้องหาผู้จัดการให้ แต่เพราะหลิวเจียเย่ไต่เต้าจนได้เล่นละครเรื่องหนึ่ง บวกกับหน้าตาที่จัดได้ว่าเป็นระดับท้อปคลาส จึงได้หาผู้จัดการโนเนมมาให้คนหนึ่ง จุดประสงค์อีกอย่างก็คงเพราะต้องการฝึกเด็กรุ่นใหม่อย่างหลี่รุยถิงด้วย
               ความจริงแม้หลิวเจียเย่จะมีชื่อเสียงไม่ดีนักในวงการบันเทิง แต่เขาปฏิบัติต่อคนของตนเป็นอย่างดี ดังนั้นหลี่รุยถิงจึงเป็นห่วงเป็นใยเขาไม่น้อย
               “อ๋อ สงสัยแบตหมด” ตอนที่ออกจากโรงแรม จิวซือกวาดของทุกอย่างที่เห็นลงกระเป๋า และลอบออกมาอย่างระมัดระวัง แม้ดาราเล็กๆ อย่างเขาจะไม่ต้องกังวลเรื่องปาปารัซซี่ แต่เขาก็ไม่วางใจ เมื่อกลับมาถึงห้องก็ทั้งเหนื่อยทั้งล้า ไม่ได้ตรวจดูของที่หยิบมา
               “พี่หลิว พี่ทำฉันร้อนใจแทบแย่”
               “ขอโทษที”
               “พี่หลิว พี่...ไม่ได้เป็นอะไรนะ”
               “อืม ปกติดี”
               “โล่งอกไปที เรื่องที่คนพวกนั้นด่าพี่ ไม่ต้องสนใจหรอก พี่หล่อขนาดนี้ คนอื่นก็ต้องอิจฉาเป็นธรรมดา”
               ได้ยินหลี่รุยถิงเอ่ยปลอบที่เขาถูกผู้กำกับเจียงเฉินไล่ออกมาจากสถานที่คัดนักแสดง จิวซือก็แทบอยากจะโบกมือ แล้วกล่าวว่า ‘เรื่องเล็กน้อย’ พร้อมทั้งเห็นด้วยกับผู้จัดการของเขาว่า ด้วยใบหน้านี้บวกกับดวงจิตเซียนของเขา หลิวเจียเย่มีอะไรต้องกังวลอีก
               ผู้กำกับเจียงเฉิน? เขาคร้านจะเก็บมาใส่ใจ
               “อืม” กระนั้นจิวซือก็เพียงส่งเสียงตอบในลำคอ ทั้งยังจงใจเพิ่มน้ำเสียงของความผิดหวังไปด้วยเล็กน้อย หากถามว่าโลกนี้ใครเล่นละครได้แนบเนียนที่สุด ก็ต้องบอกว่าเป็นเขา เสนาบดีใหญ่คนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย กระทั่งหลอกฮ่องเต้ผู้ปรีชาได้ ยังมีใครที่เขาหลอกไม่ได้อีกหรือ
               “พรุ่งนี้บ่ายสาม พี่มีแคสโฆษณา เดี๋ยวบ่ายโมงฉันไปรับนะคะ จะได้ไปแต่งหน้าทำผม”
               “แคสโฆษณา?”
               “พี่ลืม?”
               “...” เขาไม่ได้ลืม แต่เป็นหลิวเจียเย่ต่างหากที่ลืม ในความทรงจำของเขาไม่มีเรื่องเกี่ยวกับการแคสติ้งโฆษณานี้เลยแม้แต่น้อย
              “พี่หลิว งานวันพรุ่งนี้ท่านประธานมู่จะมาดูด้วยนะคะ พี่ต้องทำให้ดีนะ”
               “ประธานมู่หรือ?”
               ประธานมู่ หรือมู่เหยียนเฉิน เป็นนายน้อยตระกูลมู่ เจ้าของกิจการมากมายนับไม่ถ้วนในเครือมู่อิน และบริษัทมู่อินเอ็นเตอร์เทนเมนต์ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจตระกูลที่มู่เหยียนเฉินดูแล
               มู่เหยียนเฉินในความทรงจำเป็นชายในฝันของหลิวเจียเย่ ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูล นิสัยใจคอ ล้วนเหมาะแก่คำว่าเทพบุตรอย่างแท้จริง
               “พี่ไม่ต้องกังวลนะคะ ต่อให้ท่านประธานไม่ชอบหน้าพี่ แต่ท่านประธานเป็นนักธุรกิจใหญ่ ไม่ใส่ใจเรื่องเสียมารยาทเล็กๆ น้อยๆ ของพี่หรอกค่ะ ถ้าหากว่าพี่ทำดี ท่านประธานต้องสนับสนุนพี่แน่นอน”
               เรื่องเสียมารยาทเล็กๆ น้อยๆ
               การเชิญชวนอย่างไร้ศิลปะ ไร้ยางอาย ไร้ข้อต่อรองและผลประโยชน์แบบนั้นของหลิวเจียเย่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจริงๆ นั่นแหละ
               ส่วนการที่มู่เหยียนเฉิน ประธานใหญ่แห่งมู่อินเอ็นเตอร์เทนเมนต์มาดูการแคสติ้งด้วยตัวเอง ก็เพราะว่าสินค้าที่จะโฆษณาเป็นสินค้าของ Passion Mu–in บริษัทในเครือมู่อิน และยังเป็นแบรนด์ high end น้องใหม่ที่มู่เหลียนเหลียน น้องสาวคนสำคัญของมู่เหยียนเฉินออกแบบเอง
               ถูกต้อง ตอนนี้เขาพอจะจำได้แล้ว ไม่ใช่ว่าหลิวเจียเย่ลืมว่ามีงานนี้ แต่เพราะเจ้าตัวตั้งใจจะไม่ไปแคสต่างหากล่ะ ถึงได้หลงลืมไป
               เสียมารยาทกับประธานใหญ่ไปขนาดนั้น ด้วยความกลัวจะถูกไล่ออกหรือโดนลงโทษอย่างอื่น หลิวเจียเย่จึงตั้งใจจะหลบหน้ามู่เหยียนเฉินพักใหญ่ รอจนตัวเองมีผลงานดีแล้ว ค่อยไปขอขมาท่านประธานให้อีกฝ่ายยกโทษให้
               จะว่าเป็นแผนการที่ดีก็ไม่ใช่ จะบอกว่าอ่อนหัดมากก็ไม่เชิง แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่รู้จักฐานะของตนเอง ไม่หาเรื่องใส่ตัวด้วยการดันทุรังตามตื้อมู่เหยียนเฉินจนฝ่ายนั้นเกลียดขี้หน้า และสร้างความลำบากให้กับชีวิตนักแสดงของเขา
               “อา โอเค เธอช่วยส่งสคริปมาให้พี่อีกทีได้ไหม น่าจะทำหายไปแล้ว”
               “ค่ะ ฉันจะรีบส่งให้เดี๋ยวนี้ พี่อย่าลืมทำการบ้านมาเยอะๆ นะคะ”
               “ได้”
               จิวซืออ่านสคริปที่หลี่รุยถิงส่งมาให้โดยละเอียด แล้วก็หลับตาลง คว้านหาความทรงจำเมื่อชาติที่สามของเขา ชาติที่สามของด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติ เขาเคยเรียนที่คณะศิลปะการละคร ทั้งยังเป็นนักเรียนดีเด่น ความสามารถไม่ธรรมดา แน่นอนว่าเพราะโชคร้ายทำให้เขาไม่เคยไปถึงฝั่งฝันได้แสดงละครสมใจ แต่อย่างน้อยสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก็ไม่เสียเปล่าซะทีเดียว

               หลิวเจียเย่ พรุ่งนี้จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตดาราใหญ่ของนายอย่างเป็นทางการ


หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 16:43:58


Life of a superstar
 
 
 
(2)

 
           เวลาเที่ยงห้าสิบนาที หลี่รุยถิงก็มาถึงคอนโดของเขา ถึงจะบอกว่ามารับเขาไปแต่งหน้าทำผม เจ้าหล่อนก็ไม่ได้มีรถเป็นของตนเอง ดังนั้นพูดให้ถูกก็คือมาหาเขาที่คอนโด ช่วยเขาเลือกเสื้อผ้า แล้วนั่งรถยนต์ของเขาไปร้านทำผมด้วยกัน รถที่หลิวเจียเย่ใช้นั้นไม่ใช่ของที่เขาซื้อมาด้วยตัวเอง แต่เป็น BMW สีดำที่อดีตคู่นอนคนหนึ่งให้ยืมใช้ คู่นอนที่ว่านี้ก็นับว่าเป็นบุคคลที่พิเศษและโดดเด่นไม่น้อย เพราะเขาเป็นถึงดาราดังระดับ S-list ชื่อเหอเทียนเหิง
            เหอเทียนเหิงเคยได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาแล้วสองครั้ง ทั้งที่มีอายุเพียง 34 ปีเท่านั้น นอกจากหน้าตาและความสามารถแล้ว ยังมีฐานะทางบ้านดีเลิศ เรียกว่าเป็นพวก Elite อย่างแท้จริง ดังนั้นตอนที่ฝ่ายนั้นเข้ามาทำความรู้จักกับเขา หลิวเจียเย่จึงแตกตื่นยินดีมาก พวกเขามีความสัมพันธ์กันราวๆ หนึ่งสัปดาห์ หลิวเจียเย่พยายามเอาเอกเอาใจดาราใหญ่อย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายเหอเทียนเหิงก็เบื่อ และเลิกติดต่อกับเขา แต่ไม่ได้ขอรถคืน หลิวเจียเย่ไม่ได้พบฝ่ายนั้นอีก อย่างว่าล่ะ หากไม่ได้พบกันในคลับคราวนั้น และหากเหอเทียนเหิงไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าหาเขา ดาราหน้าใหม่เล็กๆ ของหลิวเจียเย่ก็เรียกว่าอยู่คนละโลกคนละชั้นอย่างสิ้นเชิง


            จิวซือใช้เวลาแต่งหน้าทำผมไปราวหนึ่งชั่วโมง เมื่อเห็นตัวเองในกระจกอีกครั้งก็ริมฝีปากก็ยกยิ้มเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น มู่อินก็คือมู่อิน ขนาดช่างทำผมในซาลอนเล็กๆ แห่งหนึ่งยังมีฝีมือไม่เบา
            “พี่หลิว พี่หล่อมากจริงๆ” หลี่รุยถิงพูดทันทีที่พวกเขามาถึงรถ ดวงตากลมของเธอยังคงจ้องจิวซือไม่วางตาตั้งแต่ในร้านทำผม แววตาทั้งชื่นชม ทั้งตื่นเต้นนั้นทำให้จิวซือหัวเราะออกมา
            “เธอเองก็เลือกเสื้อผ้าได้ดี” เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำเข้ารูป พร้อม overcoat สีน้ำตาลอ่อน เข้ากับหลิวเจียเย่มาก ดูยังไงก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มบ้านนอกฐานะยากจน แต่เหมือนคุณชายตระกูลใหญ่ที่มั่นใจในตัวเอง
            “เพราะพี่หุ่นดีต่างหากล่ะคะ” หลี่รุยถิงว่า “พวกพี่สาวที่ร้านทำผมมือไม้สั่นไปหมดแล้ว โดยเฉพาะตอนที่พี่บอกขอบคุณแล้วยิ้มให้ ฮิๆ แต่ฉันเข้าใจ พี่หลิวยอดเยี่ยมที่สุดขนาดนี้”
            จิวซือได้แต่ส่ายหัวอย่างจนปัญญากับอาการชื่นชมจนออกนอกหน้าของผู้จัดการส่วนตัวคนนี้



            เมื่อพวกเขามาถึงสตูดิโอที่นัดหมายก็เป็นเวลา 14.45 น. แล้ว จิวซือมีท่าทางผ่อนคลาย ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ ไม่ได้โปรยหวานยิ้มเรี่ยราด พยายามให้โดดเด่นกว่าคนอื่นเช่นทุกที แต่การรักษาท่าทางสุภาพใจเย็นนี้กลับดึงเสน่ห์แบบคุณชายของเขาออกมาได้เป็นอย่างดี กลายเป็นว่าดูโดดเด่นกว่าคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ
            คนที่มาแคสติ้งในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นดาราดาวรุ่ง ไม่ก็น้องร้องที่กำลังเริ่มมีชื่อเสียง รวมแล้วเกือบยี่สิบคน บางคนมองจิวซือด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น แปลกใจ หลายคนมองอย่างดูถูกและรังเกียจ มีเพียงส่วนน้อยที่ผงกศีรษะทักทายเขา จิวซือไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หลังจากรายงานตัวแล้ว ชายหนุ่มก็เลือกนั่งรอที่เก้าอี้ติดหน้าต่าง แล้วหลับตาทำสมาธิ ไม่สนใจเรื่องราวรอบตัวอีก
            อยู่ๆ ก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้น จิวซือลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าทุกคนต่างยืนทักทายคนผู้หนึ่ง เป็นผู้ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำ ใบหน้าหล่อเหลา จมูกโด่งและสันกรามชัด ดวงตาเป็นสีน้ำตาลทองเช่นเดียวกับสีผม ประธานบริษัทมู่อินเอนเตอร์เทนเมนต์ มู่เหยียนเฉิน
            อาจเพราะเป็นคนเดียวที่ยังนั่งอย่างสบายใจ มู่เหยียนเฉินจึงได้มองมาทางจิวซืว ดวงตาสองคู่ประสานกัน จิวซือที่คิดว่าอาศัยแผ่นหลังของคนข้างหน้าเป็นฉากกำบัง จึงได้แต่ลุกขึ้นยืนแต่โดยดี ก่อนจะยิ้มสุภาพและก้มศีรษะทักทายมู่เหยียนเฉิน แน่นอนว่าฝ่ายนั้นไม่สนใจ และเดินตรงเข้าไปยังสตูดิโอด้านใน
            เรื่องที่หลิวเจียเย่เคยเสียมารยาทกับมู่เหยียนเฉินไม่ใช่ความลับ ดังนั้นหลายคนจึงตีความว่าจิวซือพยายามเรียกร้องความสนใจ เขาคร้านจะใส่ใจสายตาคนอื่น จึงเอนหลังในท่าสบายๆ แล้วหลับตารอถูกเรียกชื่อ
            ทีมงานเชิญพวกเขาเข้าไปทีละคน ส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที กระทั่งถึงลำดับสุดท้าย ก็ได้ยินเสียงเรียก “หลิวเจียเย่”



            ด้านในห้องสตูดิโอ ฉากหลังเป็นผ้าสีเขียวกว้างราวห้าเมตร ด้านหน้าเป็นโต๊ะผู้กำกับ Casting director และมู่เหลียนเหลียน ซึ่งน่าจะมาถึงสตูดิโอเพื่อคุยกับผู้กำกับก่อนเวลานัดหมาย มู่เหลียนเหลียนดูไม่เหมือนคุณหนูตระกูลดัง ไม่ได้มีบุคลิกอ่อนแอน่าทะนุถนอม แต่เป็นหญิงสาวที่มั่นใจในตัวเอง และกระตือรือร้น ผมสีน้ำตาลถูกมัดรวบไว้เผยให้เห็นหน้าผากมน กับดวงตาสีดำต่างจากผู้เป็นพี่ชาย ด้านข้างและด้านหลังมีกล้องตั้งอยู่หลายมุม และบนโซฟาห่างออกไปเล็กน้อยคือมู่เหยียนเฉินที่นั่งไขว้ขามองตรงมาที่เขา
            “สวัสดีครับ” จิวซือกล่าวเมื่อเดินมาหยุดอยู่บริเวณผ้าสีเขียว ด้านหน้าโต๊ะผู้กำกับ
            “อืม” เถาจือเกา ผู้กำกับโฆษณาตัวนี้พยักหน้าเล็กน้อย เขาเห็นประวัติของหลิวเจียเย่แล้ว เป็นแค่ดาราหน้าใหม่ ใจร้อน ที่ขาดพื้นฐานการแสดง ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะเหมาะกับสินค้าอย่างมาก เถาจือเกาก็ไม่คิดจะใช้หลิวเจียเย่ นอกจากนั้นเขายังหมายตาอีกคนหนึ่งไว้แล้วในใจ รอแคสติ้งจบและไปหารือกับประธานมู่ หากฝ่ายนั้นเห็นด้วยก็ถือว่าตกลง
            “ไม่ต้องทำตามบทที่ส่งไป ผมต้องการให้เลือกคุณนาฬิกา และเครื่องประดับอื่นๆ ที่คุณชอบมาใส่” เถาจือเกาชี้ไปที่โต๊ะซึ่งมีนาฬิกาและ accessories ต่างๆ วางเรียงอยู่ “จากนั้นพูดว่า Elegance, Passion, You”
            จิวซือเลิกคิ้วแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เดินไปเลือกเครื่องประดับแต่โดยดี เดิมในสคริปที่เขาได้รับมาเป็นบทโฆษณาสั้นๆ  ประมาณสองหน้า หลักๆ คือชายหนุ่มเลือกสร้อยคอให้แฟนสาวในวันครบรอบ และเมื่อมอบมันให้เธอ ก็พบว่าเธอเองก็ซื้อนาฬิกาจากร้านเดียวกันให้เขา แน่นอนว่าคือแบรนด์ Passion Mu-in
            การที่อยู่ๆ ผู้กำกับเถาเปลี่ยนจากการแสดงตามสคริป เป็น creative acting แบบนี้ ทำให้จิวซือรู้สึกสนุกกว่าเดิม ชายหนุ่มไล่สายตามองนาฬิกา สร้อย แหวน กำไลข้อมือรูปแบบต่างๆ ทีละชิ้น ขณะที่ความคิดเริ่มโลดแล่นในหัว ว่าควรจะตีความคำว่า Elegance, Passion, You ออกมาอย่างไรดี



            ไม่นาน จิวซือก็เลือกนาฬิกาสีเงินที่ดูเรียบหรูมาเรือนหนึ่ง และสร้อยข้อมือสีเงินที่มีลักษณะคล้ายโซ่มาอีกเส้นหนึ่ง จัดการสวมทั้งสองอย่างไว้ที่ข้อมือซ้าย จากนั้นก็เดินกลับมากลางฉากสีเขียว ทันทีที่ผู้กำกับเถาให้สัญญาณ จิวซือกับหลับตาลง ชายหนุ่มค่อยๆ หมุนคอด้วยความเกียจคร้าน จากนั้นก็ถอดเสื้อโค้ทออกอย่างไม่รีบเร่ง ก่อนจะโยนมันไปทางหนึ่ง ท่าทางเกียจคร้านไร้ระเบียบนี้ทำให้ผู้กำกับเถาขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าหลิวเจียเย่คนนี้จะตีความคำว่า Elegance ของสินค้าออกมาอย่างไร
            จิวซือดึงชายเสื้อเชิ้ตสีขาวออกจากกางเกง ปลดกระดุมเม็ดบน ก่อนจะนอนลงกับพื้น กระทั่งตอนนี้ชายหนุ่มก็ยังเหมือนอยู่ในโลกของตนเอง ไม่มองกล้องหรือแม้แต่ผู้กำกับเลยสักครั้ง เขาหลับตาลง ศีรษะราบไปกับพื้น เผยให้เห็นลำคอยาว และสันกราม เครื่องหน้าสมบูรณ์แบบที่มองจากมุมด้านข้างยังทราบว่าเป็นบุรุษรูปงาม แพขนตายาวกระพือเล็กน้อย ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆ แยกออกจากกัน จากนั้นเขาก็หันหน้ามามองกล้องอย่างเชื่องช้า ทันทีที่ใบหน้าคมคายหันมา ทันทีที่ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจ้องมอง ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนถูกเขาสะกดไว้ ถูกเขาล่อลวงวิญญาณไป ราวกับเวลาหยุดหมุน คำว่างดงามจนลืมหายใจคงเป็นเช่นนี้
            Elegance

            ดวงตาสีดำคู่นั้นหวานล้ำ เต็มไปด้วยความรักและความใคร่ เปี่ยมด้วยความต้องการ คิดถึง คะนึงหา อยากครอบครอง ทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจละสายตาจากเขา ประหนึ่งเทพีร่ายมนต์ต่อคนรัก และเมื่อเห็นเขาลุ่มหลงในตนเอง เทพีผู้นั้นก็แย้มรอยยิ้มงดงามออกมา
            Passion

            จากนั้นมือเรียวขาวที่สวมนาฬิกาและสร้อยข้อมือก็ยกขึ้นมาจรดริมฝีปากสีแดงสด ขณะที่สายตาคู่นั้นยังไม่ละไปจากกล้อง ก่อนที่เรียวลิ้นสีชมพูจะขยับแลบเลียตั้งแต่สร้อยข้อมือไปจนถึงตัวเรือนนาฬิกา กริยาเชิญชวนที่ทำให้หัวใจคนมองเต้นแรง ราวกับว่าเทพีผู้นั้นกำลังเรียกหาตนเองอยู่
            You

            ทั้งที่สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย เอนกายนอนราบไปกับพื้น ทั้งที่รอบตัวชายหนุ่มมีแต่ฉากสีเขียวของห้องสตูดิโอ ไม่ใช่เตียงบรรทมของเหล่าราชนิกุลสูงศักดิ์ ไม่มีโคมระย้า ไม่มีมู่ลี่สีทองประดับมุก ทั้งที่หลิวเจียเย่คนนั้นไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ แต่คำว่า Elegance, Passion, You กลับกำลังโลดแล่นอยู่ในห้วงความคิดของทุกคน
            สตูดิโอใหญ่มีแต่ความเงียบ ขณะที่คำทั้งสามคำนั้นยังคงดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในความคิดของผู้กำกับเถาจือเกา เสมือนถูกสะกด ถูกใครบางคนกระซิบอยู่ข้างหู
            Elegance, Passion, You
        หลิวเจียเย่




            การที่หลิวเจียเย่ได้รับเลือกให้เป็นนายแบบโฆษณาเป็นไปตามความคาดหมายของจิวซือ แน่นอนว่าเพื่อบันไดขั้นแรกในการปีนป่ายไปสู่ตำแหน่งดาราดังนั้น จิวซือได้ใช้ทริกคล้ายๆ กับการสะกดจิตผ่านพลังเซียนของเขา ให้หลิวเจียเย่โดดเด่น และดึงดูดต่อจิตใจของคนเหล่านั้น จนยากจะต่อต้าน มู่เหลียนเหลียนถือว่ามีจิตใจเข้มแข็ง เพราะเธอแค่แสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจที่ได้พบบุคคลที่ตรง Concept อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าผู้กำกับเถานั้นได้รับผลกระทบไม่ใช่น้อย ดวงตาของซึมกระทือเปลี่ยนเป็นประกายวิบวับ เขาหัวเราะเสียงดังอย่างพออกพอใจ ก่อนจะเดินเข้ามาตบบ่าจิวซือหลายครั้ง ทั้งยังให้นามบัตรและเบอร์ส่วนตัวของเขาไว้อีกด้วย จะมีก็แต่ประธานมู่ มู่เหยียนเฉินเท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ นอกจากมองจิวซืออย่างมีความหมายครู่หนึ่ง พร้อมสั่งให้เขามาพบที่บริษัทพรุ่งนี้



        Mu-in Entertainment 
                 
   เมื่อจิวซือมาถึงบริษัท ก็มีคนพาเขาไปรอพบมู่เหยียนเฉินที่ห้องรับรอง ราวครึ่งชั่วโมงต่อมาเลขาของมู่เหยียนเฉินจึงมาเชิญเขาเข้าไป
   มู่เหยียนเฉินใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว สูทนอกสีดำ ผมถูกเซ็ทอย่างดี เปิดหน้าผากได้รูป ขับเน้นโครงหน้าให้ดูคมคายขึ้นไปอีก กระทั่งเซียนยังมีชนชั้นฐานะ นับประสาอะไรกับมนุษย์โลก ย่อมต้องมีบางคนเกิดมาเพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติเช่นนี้
   จิวซือโค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน สบตากับมู่เหยียนเฉินซึ่งพิจารณาเขาอย่างเปิดเผย วันนี้จิวซือแต่งตัวแบบ business casual ไม่ได้พิถีพิถันมากนัก เขาใส่กางเกงสแล็คสีเทาเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีอ่อน ทำให้ดูสะอาดตาและน่ามองเป็นพิเศษ
   “อยากฝึกการแสดงหรือเปล่า” มู่เหยียนเฉินถาม
   “ไม่ครับ ผมอยากแสดงเลยมากกว่า” จิวซือตอบพร้อมรอยยิ้มสุภาพ
   “ไม่มั่นใจในตัวเองไปหน่อยหรือ” มู่เหยียนเฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากกดรอยยิ้มที่คาดเดาไม่ออกว่าเป็นความถูกใจ หรือดูแคลน
   “ท่านประธานน่าจะลองให้โอกาสผมดู” ดวงตาของจิวซือเปล่งประกายวูบหนึ่ง กระแสจิตแข็งกล้าส่งไปยังคนฝั่งตรงข้าม ‘ให้โอกาสหลิวเจียเย่’
   มู่เหยียนเฉินยังคงเอนหลังพิงเก้าอี้หนังพนักสูงสีดำในท่าทางผ่อนคลาย ดูเหมือนว่าการสะกดจิตจะใช้กับเขาไม่ได้ผล
   “ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ”   
   “ประธานมู่คงไม่อยากแลกกับคนอย่างผมหรอกครับ” จิวซือยิ้ม ดวงตาเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม ‘ให้โอกาสหลิวเจียเย่’ สุดท้ายเมื่อเห็นว่าสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปบนใบหน้าของมู่เหยียนเฉินคือรอยยิ้มที่ลึกขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น เซียนหนุ่มในร่างมนุษย์จึงได้ยอมแพ้ ล้มเลิกความตั้งใจแต่โดยดี
   “นายเคยไปขอแคสเรื่องเซียนเมฆา?”
   คำถามของมู่เหยียนเฉินทำให้จิวซือคิ้วกระตุก เคยขอไปแคสติ้ง? ถูกแล้ว แค่ ‘ขอ‘ เท่านั้น หลิวเจียเย่ไม่ได้รับกระทั่งคำอนุญาตให้เข้าร่วมการเลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้เจ้าตัวยังสร้างเรื่องไว้กับผู้กำกับเจียงจนถูกด่าประจานต่อหน้าคนจำนวนไม่น้อย ไม่ใช่ว่าเขาเกรงสายตาของคนอื่นหรอก คนที่เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดมาหลายชาติอย่างเขานั้น ยังต้องใส่ใจเรื่องพวกนั้นอีกหรือ เพียงแต่การที่จะได้บทในเรื่องเซียนเมฆา กระทั่งบทตัวประกอบเล็กๆ นั้นไม่ง่ายเลย เพราะหากถามนักแสดงทั่วทั้งแผ่นดินในเวลานี้ว่าอยากแสดงภาพยนตร์เรื่องใด แทบทุกคนคงตอบว่าเซียนเมฆา เช่นเดียวกันหากถามคนทั่วไปว่าคาดหวังรอคอยภาพยนตร์เรื่องใดที่สุด จิวซือเชื่อมั่นว่าเสียงส่วนใหญ่คงเลือกเรื่องเซียนเมฆา
            “ถ้านายได้บทในเรื่องนี้ ถือว่าสอบผ่าน”
            จิวซือจ้องหน้ามู่เหยียนเฉินอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนตอบว่า “ครับ”
            แน่ล่ะ หากเขาได้บทเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่สอบผ่านหรอก ต้องเรียกว่าสอบได้คะแนนสูงจนน่าประทับใจต่างหาก จิวซือประชดในใจ ทว่าใบหน้าหล่อเหลายังคงประทับรอยยิ้มสุภาพตามความเคยชินเมื่อตอบรับข้อเสนอของเจ้านาย ดวงตาสีหมึกของเขาทอประกายวิบวับ ความตื่นเต้น ความอยากเอาชนะ และความมั่นใจในตนเองฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น คล้ายอัญมณีที่เก็บงำประกาย ค่อยๆ เผยแสงและเสน่ห์เฉพาะตัวออกมาช้าๆ โดยไม่ตั้งใจ เปล่งประกายเสียจนทำให้อีกคนที่มองอยู่ชะงักไปครู่หนึ่ง




                     เมื่อจิวซือกลับมาถึงคอนโด สิ่งแรกที่ทำคือการหาข้อมูลเรื่องเซียนเมฆาเพิ่มเติม ภาพยนตร์เรื่องเซียนเมฆา เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ กำหนดฉายเดือนกันยายนปีหน้า ต้นทุนเบื้องต้น 200 ล้าน ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนระหว่างสองค่ายใหญ่ คือ Mu-in Entertainment และค่ายจั๋วชิง เงินทุนนี้ยังไม่รวมสปอนเซอร์จากโฆษณาต่างๆ ที่แย่งชิงพื้นที่กันอยู่ตอนนี้ ว่ากันว่ารัฐบาลยังอนุญาตให้ใช้พื้นที่โฆษณาช่องสาธารณะในราคาถูก และมีนักการเมืองชื่อดังสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง จุดประสงค์เพื่อกระตุ้นความรักชาติ รวมถึงใช้นโยบายชาตินิยมสมัยใหม่เพื่อเป็นแรงเสริมสำหรับการเลือกตั้งในปลายปีหน้า
               เรื่องย่อ ‘เซียนเมฆา’ ที่มู่เหยียนเฉินให้เลขาส่งมาให้นั้น พูดถึงเกาจงเฉิน บัณฑิตยากจนจากหมู่บ้านห่างไกล บิดาเคยเป็นขุนนางตงฉินอนาคตไกลที่ถูกใส่ความและถูกเนรเทศมาอยู่เมืองทุรกันดาร มารดาเป็นลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้าน บิดาและมารดาต่างคาดหวังให้เกาจงเฉินรับราชการ กอบกู้ชื่อเสียงวงตระกูล เกาจงเฉินจึงเข้ามาสอบจอมหงวนเพื่อรับราชการในเมืองหลวง เนื่องเพราะได้รับการอบรมสั่งสอนจากบิดาตั้งแต่เล็ก เขาถึงสอบผ่านในอันดับต้นๆ และได้ทำงานในกรมคลัง เสนาบดีในเวลานั้นคือ ‘เปาจิงจู’ ผู้ที่ใส่ความบิดาของเกาจงเฉิน เขาจึงวางแผนจะโค่นขุนนางผู้นั้นลง เริ่มจากตีสนิทคนในกรมคลัง และอาศัยความรู้ความสามารถจนได้กลายเป็นคนที่เปาจิงจูไว้ใจ ขณะเดียวกันก็ได้รู้จักกับองค์รัชทายาท ‘เสวี่ยนซื่อจวิ๋น’ โดยบังเอิญ เปาจิงจูสนับสนุนองค์ชายรอง ดังนั้นจึงถือเป็นปฏิปักษ์ของเสวี่ยนซื่อจวิ๋น เกาจงเฉินจึงเสนอตัวเข้าเป็นฝ่ายเดียวกับองค์รัชทายาทเพื่อกำจัดเปาจิงจู ขณะที่ทั้งสองร่วมมือกันนั้น เกาจงเฉินก็ตกหลุมรักองค์หญิงห้า น้องสาวของเสวี่ยนซื่อจวิ๋น ซึ่งหลงรักพี่ชายตนเอง เกิดเป็นปมความรักอีกหนึ่งปม สุดท้ายเมื่อกำจัดเปาจิงจูสำเร็จ และเสวี่ยนซื่อจวิ๋นได้รับการสถาปนาเป็นชื่อจงฮ่องเต้ เกาจงเฉินค่อยทราบว่าองค์หญิงห้ามีใจให้ผู้ใด เกาจงเฉินซึ่งได้เลื่อนเป็นถึงรองเสนาบดีในขณะนั้นจึงขอกลับไปรับราชการที่หัวเมืองบ้านเกิด แต่ชื่อจงฮ่องเต้ไม่ทรงอนุญาต และขอให้เขาช่วยปราบปรามทุจริต แน่นอนว่านโยบายเข้มงวดของฮ่องเต้องค์ใหม่ย่อมกระทบผลประโยชน์ของคนจำนวนไม่น้อย จึงเกิดเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ขึ้น ในฉากสุดท้ายเกาจงเฉินใช้ร่างกำบังดาบที่พุ่งแทงชื่อจงฮ่องเต้จนถึงแก่ชีวิต ชื่อจงฮ่องเต้แคล้วคลาดปลอดภัย แต่ก็ทรงเสียพระทัยเป็นอันมาก และได้มีพระบัญชาให้อวยยศเกาจงเฉินเป็นอ๋อง ประกาศคุณงามความดีให้ทั่วทั้งแผ่นดินรับรู้
               ฝ่ายเกาจงเฉินนั้น เมื่อเสียชีวิตก็ได้ไปจุติเป็นเซียนเมฆาด้วยคุณธรรมความซื่อสัตย์และความเสียสละของเขา อย่างไรก็ตามก่อนที่เกาจงเฉินจะจากไปยังภพสวรรค์นั้น ดวงจิตของเขาได้ลงมายังโลกมนุษย์ และพบว่าชื่อจงฮ่องเต้กำลังวาดภาพเหมือนของตนเองอยู่ พระพักตร์หล่อเหลาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ซูบซีด กระทั่งพระวรกายก็ผ่ายผอมลง ดูเหี่ยวเฉา ขาดชีวิตชีวามิคล้ายเจ้าชีวิตของคนทั้งปวง เมื่อทรงวาดภาพของเขาเสร็จ ก็ยืนเหม่อมองอยู่เช่นนั้นหลายนาที ก่อนจะจรดพู่กัน เขียนกลอนบทหนึ่ง ที่ทำให้เกาจงเฉินรู้สึกคล้ายถูกสายฟ้าผ่ากลางร่าง
   พลัดพราก ใจรอน      จากไกล สุดหล้า
   ใฝ่หา ฤาจักเห็น              มิสู้ หลับเสีย ตามติด จิตคะนึง         

               ที่แท้ ชื่อจงฮ่องเต้หรือเสวี่ยนซื่อจวิ๋นนั้นมีใจรักต่อขุนนางของตน รักถึงขั้นอยากตายตามไป เมื่ออ่านเรื่องย่อจบ จิวซือก็ถอนหายใจยาว อดนึกถึงเรื่องของตนเองไม่ได้ ไม่ว่าจะผ่านด่านทดสอบคุณธรรมมาแล้วกี่ชาติ แต่ละชาติที่เกิดตายวนเวียนนั้นล้วนรู้สึกเหมือนเป็นเพียงบททดสอบหนึ่งหาใช่ชีวิตจริงไม่ ทว่าความทรงจำของชาติที่ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดานั้นยังคงเด่นชัดอยู่เสมอ และเป็นเสมือนโซ่ตรวนเส้นใหญ่ที่ทำให้การเข้าสู่วิถีเซียนของเขานั้นยากลำบากขึ้นหลายเท่า
               ‘อี้เทียน ได้ยินว่าเจ้าก็เองอยู่ในด่านทดสอบคุณธรรม ไม่แน่ว่าจะมีสักชาติใดชาติหนึ่งที่ข้าได้เจอเจ้าอีกครั้ง’ คิดเพียงนั้นก่อนที่รอยยิ้มบางๆ จะปรากฏบนใบหน้า พบเจอแล้วเป็นอย่างไรเล่า ใช่ว่าจะจำกันได้ หรือต่อให้จดจำได้ ก็ใช่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง
               จิวซือถอนหายใจ แล้วหลับตาลง เข้าใจถ่องแท้ถึงความรู้สึกยามเสวี่ยนซื่อจวิ๋นเขียนกลอนบทนั้น
             ถูกแล้ว ต่อให้คะนึงหาปานขาดใจก็ไม่มีวันได้พบ มิสู้หลับตาลงเสีย ปล่อยให้ดวงจิตติดตามคนผู้นั้นไป





#วิถีเซียน3p
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 16:52:33


Life of a superstar
 

 
(3)





           สถานที่แคสติ้งเซียนเมฆาคือตึกมู่อินเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งจิวซือไม่แปลกใจเลย เนื่องจากมู่อินเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุด ดังนั้นย่อมเสียงดังกว่าเพื่อน ต่อให้ไม่สามารถบังคับผู้กำกับให้เลือกนักแสดงในสังกัดรับบทเด่น แต่การเสนอชื่อคนเข้ารับการแคสติ้งยังทำได้สบายๆ ยิ่งเป็นบทตัวประกอบเล็กๆ อย่างขุนนางกรมคลังที่มีบทบาทอยู่แค่สองซีนแล้ว เรียกว่าขอเพียงส่งรายชื่อให้ทีมงานก็เรียบร้อย แต่นั่นหมายถึงก่อนที่หลิวเจียเย่จะล่วงเกินผู้กำกับเจียงเข้าน่ะนะ
          เมื่อเห็นจิวซือเดินเข้ามา ผู้กำกับเจียงเฉินก็ทำหน้าเมื่อถูกบังคับให้ดื่มยาพิษ ต่อให้รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายดีเพียงใด ภายใต้เสื้อผ้าสีขาวสะอาดตานั้นคือความไร้ยางอายและความไร้สามารถ เป็นบุคลิกของคนในวงการที่เขาเกลียดที่สุด ดังนั้นเจียงเฉินได้ตัดชื่อหลิวเจียเย่ออกจากรายชื่อนักแสดงที่มาคัดตัวเสียนานแล้ว ไม่ทราบเพราะเหตุใดประธานมู่ถึงได้ยืนยันให้โอกาสหลิวเจียเย่อีกครั้ง ถ้าเป็นคนอื่นเจียงเฉินคงไม่สนใจ ทว่าสำหรับมู่เหยียนเฉินนั้น เขายังต้องไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่สามส่วน
              จิวซือเดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าผู้กำกับเจียงและทีมงาน อันที่จริงการคัดตัวนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องเซียนเมฆาเกือบจะสิ้นสุดแล้ว นักแสดงนำ นักแสดงบทรอง และตัวประกอบหลักๆ ล้วนทำการคัดเลือกและเซ็นต์สัญญาเรียบร้อยแล้ว ขาดก็แต่บทตัวประกอบไม่สำคัญสองสามบทเท่านั้น แต่ที่วันนี้ยังมีทีมงานอยู่เกือบครบก็เพราะว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับฟางอี้เหวิน นักแสดงและนักร้องระดับ A-list ที่ได้บทรัชทายาทเสวี่ยนซื่อจวิ๋น หนึ่งในบทนักแสดงนำ ดังนั้นจึงมีนักแสดงที่คุ้นหน้าหลายคนเข้ามาคัดตัวอีกรอบเพื่อบทนี้
           จิวซือได้ยินพวกเขาคุยกันว่าฟางอี้เหวินขาหักขณะที่แสดงคอนเสริต ต้องพักรักษาตัวอย่างน้อยครึ่งปี เอาเถอะ เซียนเมฆาเป็นภาพยนตร์ใหญ่แห่งปีก็จริง แต่ถึงจะพลาดโอกาสสำคัญนี้ไป ฟางอี้เหวินก็ยังเป็นดาราดัง คงไม่ถึงกับเศร้าซึมเกินไปหรอก แต่สำหรับดาราหน้าใหม่ที่ชื่อเสียงด่างพร้อยอย่างเขา หากไม่ได้รับบทตัวประกอบสักตัว ก็ไม่มีหน้ากลับไปพบประธานมู่แล้ว
          “ผู้กำกับเจียง”
           ใบหน้าหล่อเหลาของหลิวเจียเย่ประดับด้วยรอยยิ้มสุภาพ ท่าทางของเขาดูกระตือรือร้นแต่ไม่ประหม่า ดวงตาสีดำสนิทเปล่งประกายล้อแสงไฟจนแทบทำให้คนที่มองอยู่ตาลาย ไม่อยากเชื่อเลยว่าร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวราวคุณชายตระกูลใหญ่ผู้นี้คือหลิวเจียเย่ที่พวกเขาเคยเห็น
             ผู้กำกับเจียงย่นหัวคิ้ว แม้ใบหน้าจะยังแสดงถึงความดุดัน แต่ในใจรู้สึกประหลาด อดคาดเดาไม่ได้ว่าประธานมู่ได้ส่งยอดฝีมือด้านการแสดงคนไหนไปฝึกฝนอีกฝ่ายจนสามารถเปล่งประกายได้ขนาดนี้ ขนาดที่เขาคิดว่าบทตัวประกอบช่างจืดจางไปสำหรับคนตรงหน้า
             ความคิดที่ทำให้ผู้กำกับจางตระหนก และก่นด่าตัวเองในใจ ไร้สาระ! สำหรับคนไร้ยางอายเช่นนี้ไม่อยู่ในคณะนักแสดงของเขาเป็นดีที่สุด เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น เจียงเฉินก็รู้สึกผ่อนคลายลง เขาเพียงกล่าวว่า “เริ่ม”

              บทที่จิวซือถูกสั่งให้มาคัดตัวนั้น เป็นบทขุนนางชั้นผู้น้อยสังกัดกรมคลัง หัวหน้าของเขาก็คือเปาจิงจู เสนาบดีกรมคลัง ฉากที่ต้องแสดงทั้งเรื่องมีแค่สองฉาก คือฉากที่ถูกเปาจิงจูสั่งโบยเพราะความโมโห และฉากที่ถูกเกาจงเฉินฆ่าตายขณะที่บุกไปจับกุมเปาจิงจู เรียกว่าเป็นตัวละครที่ไร้รสชาติยิ่ง สำหรับฉากที่เขาจะแสดงในวันนี้คือฉากที่ถูกฆ่าตาย
             จิวซือพยักหน้าบอกใบ้ว่าเขาพร้อมแล้ว ผู้ช่วยผู้กำกับไม่ได้นับถอยหลังให้เขา จะว่าไปไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะแสดงออกมาอย่างไร
             ถูกฆ่าตาย
            หึหึ
                ยังจะมีฉากไหนง่ายดายสำหรับคนที่เกิดใหม่มาแล้วหลายชาติยิ่งกว่าฉากจบชีวิตอีกเล่า

         

                    ทั้งห้องเงียบเสียง ไม่มีนักแสดงประกอบ ไม่มีเกาจงเฉินที่เสือกกระบี่เข้ากลางอก ทว่าร่างสูงโปร่งในชุดขาวที่สะท้านเฮือก ร่างกายสั่นไหว งองุ้มลงเล็กน้อยกลับทำให้เห็นภาพว่าร่างนั้นถูกกระบี่แทงเข้าที่กลางหน้าอกอย่างแรง ดวงตาสีดำสนิทเบิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ เขาเป็นเพียงนางชั้นผู้น้อยที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง เขาเพียงโชคร้ายถูกเจ้านายสั่งให้คัดลอกบันทึกจนดึกดื่น เมื่อทำเสร็จก็ดีใจที่จะได้กลับบ้านไปหามารดา ดื่มน้ำแกงร้อนๆ สักถ้วยและนอนหลับสักตื่นเท่านั้น
            แล้วเหตุใด เหตุใด
           ดวงตาว่างเปล่าที่สลัวลง อยู่ๆ ก็โชติช่วงขึ้นมาดังเปลวเทียนในความมืด ความไม่ยินยอมพร้อมใจ ความเคียดแค้น ความรู้สึกอยุติธรรม ความเจ็ดปวด ฉายชัดอยู่ในนั้น ครู่เดียว เพียงครู่เดียวสั้นๆ ที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ความรู้สึกที่ปรากฏในดวงตาของเด็กหนุ่มค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้า
             ท่านแม่ ลูกไปแล้วใครจะดูแลท่าน
              ความเศร้าเสียใจแผ่จากตัวเขา แทรกซึมไปในบรรยากาศโดยรอบทำให้ผู้คนอึดอัดในอก ทั้งที่เป็นเพียงตัวละครที่ไม่สลักสำคัญอะไร ไม่มีใครจดจำใบหน้าหรือชื่อของเขาได้ ทว่าเวลานี้...ไม่มีผู้ใดไม่เห็นใจชะตาชีวิตของเขา


              เงียบ
             ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
              กระทั่งจิวซือคืนสู่ความเป็นตัวเอง ยืนสงบพร้อมรอยยิ้มประดับมุมปาก ก็ยังไม่มีผู้ใดส่งเสียง เพราะเมื่อหลุดจากภวังค์ของบรรยากาศหนักอึ้งเมื่อครู่ ต่างคนต่างก็ถูกความตกใจเข้าจู่โจม การแสดงเมื่อครู่นี้ต่อให้เป็นนักแสดงแถวหน้าก็ยังไม่แน่ว่าจะทำได้ดีเท่าหลิวเจียเย่ ทุกคนต่างรู้สึกได้ แล้วมีหรือผู้กำกับเจียงจะไม่รู้สึก สายตานั้น การแสดงความรู้สึกผ่านสีหน้าแบบนั้น กระทั่งบรรยากาศที่ดึงดูดผู้คนเข้าไปในโลกของตัวเอง หากว่าไม่มีเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงเลวร้ายของอีกฝ่าย เจียงเฉินถึงขนาดคิดจะปลุกปั้นเพชรงามเม็ดนี้กับมือด้วยซ้ำไป!


               “ผู้กำกับ”
               อยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งทำลายความเงียบขึ้นมา เมื่อหันตามเสียงทุ้มนั้นไปจึงพบร่างสูงใหญ่ในเสื้อโปโลสีฟ้าอ่อน กับกางเกงยีนส์สีเข้มยืนกอดอกพิงกรอบประตู ส่วนสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของเขาทำให้เสื้อผ้าสบายๆ กลายเป็นมีระดับ ผมสีดำซอยสั้นเผยให้เห็นหน้าผากและคิ้วพาดเฉียง รวมถึงดวงตาคมกล้า ใบหน้าหล่อเหลาของเขาคุ้นตาเพราะแทบจะปรากฏอยู่ทางโทรทัศน์ หรือสื่อต่างๆ อยู่ทุกวัน หากไม่ใช่ดารานำชายอย่างเหอเทียนเหิง ผู้รับบทเกาจงเฉินแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก
              คนอื่นอาจจะคุ้นเคยกับเหอเทียนเหิงก็จริง แต่สำหรับจิวซือนั้น เหอเทียนเหิงในความทรงจำของหลิวเจียเย่ดูต่างจากเหอเทียนเหิงที่เขาเห็นด้วยตาตนเองอยู่ไม่น้อย คนที่อยู่ในความทรงจำนั้นเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ที่ทำให้หลิวเจียเย่ตื่นเต้นดีใจจนนอนไม่หลับเมื่อเขาแสดงความสนใจต่อตนเอง ทว่าเหอเทียนเหิงที่อยู่ตรงหน้ากลับทำให้หัวใจของจิวซือบีบรัดโดยไม่ทราบสาเหตุ
         “บทเสวี่ยนซื่อจวิ๋น ทำไมไม่ให้โอกาสคุณหลิวลองดูล่ะครับ” ดาราใหญ่เสนอด้วยน้ำเสียงทุ้มเป็นปกติของเขา สายตามองตรงมายังจิวซืออย่างมีความหมาย แต่ข้อเสนอง่ายๆ ของเขานี้ทำให้หลายคนถึงกับสูดหายใจเข้าลึกด้วยความตกใจ     
                คุณหลิว?
                คุณหลิวที่ว่านั่น...คงไม่ได้หมายถึงหลิวเจียเย่หรอกใช่ไหม
                พี่ใหญ่เหอ คุณล้อเล่นหรือเปล่า

 
 
            ข้อเสนอของเหอเทียนเหิงนั้น หากเป็นก่อนหน้านี้สักห้านาที ผู้กำกับเจียงย่อมต้องปะทะคารมกับดาราใหญ่สักรอบ ทว่าเวลานี้เขาเพียงนิ่งเฉย ขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนกำลังใช้ความคิดทำให้ทีมงานต่างกลั้นลมหายใจรอ จริงอยู่ว่าการแสดงเมื่อครู่ของหลิวเจียเย่นั้นน่าประทับใจ แต่พฤติกรรมที่ผ่านมาของเขาฉาวโฉ่เกินกว่าจะยอมรับได้
   เวลานั้นเองผู้ที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาอย่างหลิวเจียเย่ก็ผงกหัวให้กับเหอเทียนเหิงเล็กน้อยเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นร่างสูงโปร่งของเขาก็เดินไปหยุดอยู่หน้าผู้กำกับเจียง ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายเจิดจ้า ฉายแววจริงจังและตั้งใจ ชายหนุ่มค้อมตัวลงเกือบ 90 องศา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า
   “ผู้กำกับเจียง ได้โปรดให้โอกาสผมด้วยครับ”
   การกระทำของหลิวเจียเย่ทำให้เจียงเฉินแปลกใจอย่างยิ่ง ท่าทางถ่อมตน ทัศนคติและความเป็นมืออาชีพที่ไม่มีทางเกิดขึ้นกับหลิวเจียเย่ที่อยู่ในความทรงจำของเขา เมื่อเห็นแววตาจริงใจและความตั้งใจจริงของอีกฝ่าย ใบหน้าเคร่งเครียดของเจียงเฉินก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ
   เขาไม่ทราบว่าต้นเหตุของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับหลิวเจียเย่คืออะไร แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องดี และเขายินดีให้โอกาสคนที่ตั้งใจจริงเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถของหลิวเจียเย่ทำให้เขาใครรู้ และคาดหวัง หากว่าเขาเป็นผู้ที่ค้นพบอัญมณีเม็ดนี้ และทำให้มันเปล่งประกายล่ะก็ แค่คิดก็ทำให้ผู้กำกับวัยกลางคนผู้นี้ตื่นเต้นไม่น้อย


   ตามกำหนดการเดิม พวกเขาจะเริ่มแคสติ้งนักแสดงบทเสวี่ยนซื่อจวิ๋นหลังจากพักเที่ยง แต่เนื่องจากหลิวเจียเย่และเหอเทียนเหิงอยู่ตรงนี้แล้ว เจียงเฉินจึงตัดสินใจให้หลิวเจียเย่ได้ลองดูก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายไปทานอาหารกลางวัน ด้วยเหตุผลที่ว่าหลิวเจียเย่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่มาคัดเลือก ดังนั้นจึงให้เวลาเขาอ่านบทแค่สิบนาที แน่นอนว่าผู้ช่วยผู้กำกับมองดวงตาพราวระยับของผู้กำกับเจียงก็ทราบว่าเขาต้องการทดสอบศักยภาพของหลิวเจียเย่
   ได้รับโอกาสเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีเวลาเตรียมตัว จิวซือก็ยังรู้สึกยินดี ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณผู้กำกับที่ให้โอกาส และโค้งให้เหอเทียนเหิง ก่อนจะรีบศึกษาบทที่ตัวเองต้องเล่น
   เมื่ออ่านบทจบ จิวซือรู้สึกว่าตัวเองช่างอ่อนหัดนักที่เชื่อผู้กำกับเจียง เพราะฉากที่เขาต้องเล่นนั้นแทบจะเป็นฉากที่ยากที่สุดในบรรดาฉากทั้งหมดของเสวี่ยนซื่อจวิ๋น ซึ่งก็คือฉากที่ฮ่องเต้หนุ่มรั้งตัวเกาจงเฉินไว้ สำหรับคนทั่วไปฉากนี้อาจจะดูง่าย ทว่าในความเป็นจริงแล้วมีรายละเอียดประการซ่อนอยู่
   จิวซือถอนหายใจเบาๆ นึกขอบคุณตัวเองที่รอบคอบศึกษาบทละครทั้งหมดมาล่วงหน้าจนเข้าใจความรู้สึกของเสวี่ยนซื่อจวิ๋นเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นเขาคงกลายเป็นตัวตลกในสายตาตาแก่เจียงแน่ ถูกแล้ว คนเจ้าเล่ห์เช่นนั้นสมควรถูกเขาเรียกว่าตาแก่เจียง
   

   เมื่อได้ยินเสียงผู้กำกับเจียงสั่งคิว บรรยากาศรอบตัวหลิวเจียเย่ก็เปลี่ยนไปทันที แผ่นหลังในชุดสีขาวล้วนของเขาให้ความรู้สึกสูงศักดิ์ และโดดเดี่ยว เพียงเห็นแผ่นหลังนั้นผ่านหน้าจอ ผู้กำกับเจียงก็สูดหายใจลึกด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของเขาเป็นประกาย ไม่ละไปจากหน้าจอ   
   ออร่าที่แผ่จากตัวของหลิวเจียเย่นั้นเป็นออร่าของผู้สูงศักดิ์อย่างจริงแท้แน่นอน แต่เพราะบรรยากาศรอบตัวเขาแฝงด้วยความโดดเดี่ยว จึงไม่คล้ายคนที่เป็นฮ่องเต้ ทว่าพริบตาที่ขันทีประกาศการมาถึงของรองเสนาบดีเกาจงเฉิน บรรยากาศโดดเดี่ยวก็พลันเปลี่ยนเป็นบรรยากาศกดดันของผู้เป็นราชา เมื่อหลิวเจียเย่หมุนตัวกลับมา เขาก็กลายเป็นชื่อจงฮ่องเต้อย่างสมบูรณ์แบบ
   เหอเทียนเหิงรู้สึกทึ่งอยู่ในใจ แต่ภายนอกที่แสดงออกนั้นเป็นเกาจงเฉินผู้เงียบขรึม และจริงจัง ดวงตาคมแฝงแววเจ็บช้ำหลังจากที่ทราบความจริงว่าหญิงสาวที่เขามีใจหลงรักเจ้าเหนือหัวของตนเอง เกาจงเฉินล้างมลทินให้บิดาและกำจัดศัตรูสำเร็จ กระทั่งองค์รัชทายาทก็ได้สืบทอดบัลลังก์เป็นชื่อจงฮ่องเต้แล้ว เวลานี้เขารู้สึกเหนื่อยและต้องการหลีกหนีไปจากวังหลวงและวังวนของการแย่งชิงอำนาจ
   “ฝ่าบาท กระหม่อมขอทรงอนุญาตให้กระหม่อมกลับบ้านเกิดไปดูแลบิดามารดา”
   เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำขอเช่นนี้ ชื่อจงฮ่องเต้ไม่รับสั่งอะไร เพียงทอดพระเนตรมองบุรุษที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ความปรารถนาในใจของเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้ เขาเป็นฮ่องเต้ย่อมต้องรักษาแผ่นดินนี้ด้วยชีวิต หลายอย่างที่ปรารถนาขอเพียงเอ่ยปากย่อมได้มา แต่บางอย่างต่อให้ใกล้เพียงใดยังมิอาจไขว่คว้าได้ ดังนั้นภายใต้ท่าทางสงบนิ่ง และปราการแข็งแกร่งของผู้เป็นเจ้าชีวิต ยังสามารถเห็นระลอกคลื่นเล็กๆ ในดวงพระเนตร
   “ไม่อนุญาต” สุรเสียงมั่นคง ไร้ข้อต่อรอง
   “ฝ่าบาท” เกงจงเฉินไม่คิดว่าพระองค์จะทรงปฏิเสธเขาโดยไม่ลังเลเช่นนี้ ก่อนที่เสวี่ยนซื่อจวิ๋นจะสืบทอดบัลลังก์ พวกเขานับว่าเป็นสหาย ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่แม้แต่รับฟังเหตุผลของเขา
   “จงเฉิน” คราวนี้น้ำเสียงของชื่อจงฮ่องเต้อ่อนลง ทรงเรียกชื่อเกาจงเฉินแทนที่จะเป็นรองเสนาบดีเกา พระพักตร์หล่อเหลาถูกซ่อนไว้ในเงามืด ยากจะสังเกตเห็นอารมณ์ “บัลลังก์ของข้ายังไม่มั่นคง เจ้าก็จะจากไปแล้วหรือ”
   “กระหม่อม...”
   “ช่วยข้ากำราบคนพวกนั้น”
   สีหน้าของเกาจงเฉินแสดงถึงความขัดแย้งภายในใจ ได้ยินชื่อจงฮ่องเต้เรียกเขาอย่างสนิทสนม และทราบว่าฝ่ายนั้นไม่ถนัดขอร้องผู้ใด ที่พระองค์แสดงออกเช่นนี้นับว่าลดองค์ลงมาอย่างที่สุดแล้ว เกงจงเฉินเงยหน้าสบตากับพระเนตรคม เวลานี้ภาพของเสวี่ยนซื่อจวิ๋นเมื่อครั้นยังองค์รัชทายาทปรากฏเบื้องหน้าเขา
   “รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ”
   มองร่างเงาของเกาจงเฉินที่ค่อยๆ หายไปจากครรลองสายตา พระหัตถ์ขาวนวลราวหยกเนื้อดีกำแน่นจนขึ้นข้อขาว พระพักตร์ฉายแววปวดร้าวในเงามืด พระเนตรคล้ายมีคำพูดมากมายต้องการถ่ายทอดออกมา แต่จำต้องอดกลั้นไว้ ไหล่สั่นสะท้านทว่าแผ่นหลังกลับเหยียดตรงราวกับจะแบกรับแผ่นดินนี้ไว้บนบ่า


   นานกว่าผู้กำกับเจียงจะสั่งคัท สำหรับเขาภาพที่ได้เห็นผ่านเลนส์กล้องช่างสมบูรณ์แบบ ขอเพียงนักแสดงทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้า ขอเพียงมีฉากหลังประกอบ และได้ดนตรีบรรเลงที่เหมาะสม ฉากนี้จะต้องกลายเป็นฉากที่ตราตรึงในความทรงจำฉากหนึ่ง
   เป็นฉากที่ดูไม่มีอะไร แต่ที่จริงแล้วนักแสดงต้องถึงความสูงศักดิ์และกดดันของเจ้าชีวิต และยังต้องสื่ออารมณ์ที่ต้องซ่อนไว้ รวมถึงความอ่อนไหวที่มิอาจทะลุผ่านความแข็งแกร่งและภาระหน้าที่ของผู้เป็นราชา ดังนั้นจึงเป็นการแสดงที่ท้าทาย แต่หลิวเจียเย่สามารถทำได้ดีกว่าความคาดหมายของเขา ทำให้ผู้กำกับเจียงยินดีเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อจิวซือเดินมาขอบคุณเขาที่ให้โอกาส เจียงเฉินจึงหัวเราะฮาๆ และตบบ่าเขาสองครั้ง
   จิวซือยังไม่แน่ใจว่าตนเองจะได้รับบทนี้ไหม แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าหากไม่ได้เล่นบทนี้ อย่างน้อยบทตัวประกอบไม่น่าจะหลุดลอยไป ถือว่ายังมีหน้าโผล่ไปพบประธานมู่ และขอการสนับสนุนจากต้นสังกัดได้ หนทางเป็นดาราใหญ่ของเขาจะขาดขาทองคำของมู่เหยียนเฉินไปได้อย่างไร



   เมื่อเดินมาถึงรถของตัวเอง จิวซือก็พบว่ามีคนผู้หนึ่งยืนพิงรถของเขาอยู่ คนผู้นั้นหาใช่ใครอื่นแต่เป็นเหอเทียนเหิงนั่นเอง
   “คุณเหอ ขอบคุณครับ” จิวซือกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
   เหอเทียนเหิงมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาอ่านไม่ออก เขาเคยพบหลิวเจียเย่ กระทั่งมีความสัมพันธ์บนเตียงเพราะสนใจรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่าย แต่ไม่เคยรู้สึกว่าหลิวเจียเย่มีเสน่ห์ดึงดูดตรงไหน นอกจากพยายามเอาอกเอาใจเขาแล้วก็ไม่มีข้อดีอะไรอีก ทว่าเวลานี้เขากลับพบว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป บางอย่างที่กระตุ้นความสนใจของเขา
   จิวซือเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ เพียงแต่ยืนกอดอกมองเขาเงียบๆ ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่เมื่อชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียแล้ว คิดว่าไม่ล่วงเกินอีกฝ่ายเป็นดีที่สุด และหากผูกมิตรกับขาทองคำอีกขาหนึ่งได้ล่ะก็ ชีวิตของเขานับว่ามีโชคดีอย่างแท้จริง ทว่าเมื่อเห็นเหอเทียนเหิงเอาแขนพาดรถแล้วเคาะเบาๆ ก็นึกได้ว่าฝ่ายนั้นเป็นเจ้าของรถตัวจริง จิวซือเริ่มไม่แน่ใจว่าฝ่ายนั้นจะมาทวงรถคืนหรือเปล่า เพราะเท่าที่จำได้ เหอเทียนเหิงไม่ได้ออกปากยกบีเอ็มคันนี้ให้หลิวเจียเย่ เขาเพียงแค่จอดทิ้งไว้เท่านั้น
   ตามสามัญสำนึกแล้วเขาก็ควรคืนรถให้เจ้าของ แต่เมื่อนึกอีกที รถคันนี้เป็นของที่หลิวเจียเย่ใช้ร่างกายและความจริงใจแลกมา ตอนที่เหอเทียนเหิงจากไป และทำเป็นไม่รู้จักเขา หลิวเจียเย่เสียใจมาก หลังจากนั้นพฤติกรรมใช้ร่างกายเข้าแลกของเขาจึงทวีความรุนแรงขึ้น ดังนั้นต่อให้เป็นความพอใจของทั้งสองฝ่าย จิวซือยังรู้สึกว่าเหอเทียนเหิงติดค้างหลิวเจียเย่อยู่ นอกจากนี้เหอเทียนเหิงก็เป็นถึงดาราระดับ S-list คงไม่ใส่ใจกับรถคันเดียว เพราะผ่านมาตั้งนานเหอเทียนเหิงก็ไม่เคยมาขอคืนราวกับว่าลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นจิวซือจึงยกมือเกาแก้ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่กระดากอายว่า
   “รถคันนี้ ผมขอยืมใช้ก่อนก็แล้วกัน”
   หอเทียนเหิงมองคนที่กล่าวคำขอด้วยสีหน้าอมยิ้มเล็กน้อยอย่างไร้ความเกรงใจ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร วินาทีแรกอาจเป็นความประหลาดใจ จากนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสนใจ และสุดท้ายกลายเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้มุมปากของเขาอดขยับขึ้นเล็กน้อยไม่ได้
   ร่างสูงใหญ่ของเขาเอนพิงรถด้วยท่าทางเกียจคร้าน ทว่าดวงตากลับพราวระยิบ ฟรีโรโมนพวยพุ่งออกมา “แลกกับอะไรล่ะ” เขาถาม
   แน่นอนว่าเขาไม่ได้ติดใจเรื่องรถ จะว่าตั้งใจยกให้หลิวเจียเย่ก็ใช่ แลกกับการที่ฝ่ายนั้นไม่พูดมากเรื่องความสัมพันธ์ชั่วคราวของพวกเขา และไม่ได้ตั้งใจจะใช้เส้นสายของเขาในวงการบันเทิงอย่างที่คาดเดาไว้ เพียงเอาอกเอาใจเขาทุกอย่าง กระนั้นก็จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว หลิยเจียเย่ในความทรงจำของเขาพร่ามัว แทบไม่เหลือร่องรอยอะไรเลยด้วยซ้ำไป ทว่าหลิวเจียเย่ที่อยู่ตรงหน้านี้...
   ทั้งการแสดงก่อนหน้านี้ และท่าทางสบายใจไม่ทุกข์ร้อนในเวลานี้กลับทิ้งร่องรอยไว้ ทำให้ตัวตนของฝ่ายนั้นเด่นชัดในห้วงความคิดของเขา กระทั่งต้องตามมาถึงที่นี่
   จิวซือถึงกับยิ้มค้างกับคำถามที่ไม่คาดคิด ก่อนจะปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มเปี่ยมมารยาทบนใบหน้าขยับยกสูงขึ้นอีกเล็กน้อย เด็กหนุ่มเอียงคอพูดกลั้วเสียงหัวเราะว่า “คำขอบคุณมั้งครับ”
   “ตกลง”
   “ครับ?” นึกไม่ถึงว่าเหอเทียนเหิงจะตอบตกลงง่ายๆ จิวซือมองคนตรงหน้าอย่างค้นหา
   “จะขอบคุณไม่ใช่เหรอ” เหอเทียนเหิงหัวเราะ ก่อนจะคว้าข้อศอกของจิวซือ ดึงให้เข้ามาใกล้จนแทบจะกลายเป็นแนบชิด “เลี้ยงข้าวขอบคุณ”



   โรงแรมดิเอ็มไพร์
   The Empire ดูแค่ชื่อก็พอจะเดาได้ว่าเป็นสถานที่ที่มนุษย์เงินเดือนทั่วไปไม่อาจเอื้อม เหอเทียนเหิงเปิดประตูรถ แล้วส่งกุญแจให้พนักงานนำรถไปจอด ขณะที่เขาพาจิวซือไปยังห้องอาหารที่โทรมาจองไว้ โดยมีพนักงานสาวสวยคนหนึ่งเดินนำไปอย่างสุภาพ
   จิวซือยืนมองห้องอาหารหรูหราสไตล์ตะวันตก สถานที่ ‘เลี้ยงข้าวขอบคุณ’ ที่เหอเทียนเหิงเลือก แล้วก็อดก่นด่าอีกฝ่ายในใจไม่ได้ ดิเอ็มไพร์ เอาเถอะ ในเมื่อสามารถใช้อาหารมื้อเดียวแลกกับรถหนึ่งคัน ถือว่าเขาได้กำไรล่ะนะ
   แต่เมื่อเห็นราคาอาหารแต่ละอย่าง บวกกับมองเหอเทียนเหิงที่สั่งทั้งอาหารจานหลัก ของทานเล่น และเครื่องดื่มอย่างไร้ความเกรงใจ ใบหน้าของจิวซือก็ครึ้มลงทุกที เขากัดฟันสั่งสเต็กธรรมดาๆ จานหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเมนูคืนให้พนักงาน ลองคำนวณราคาคร่าวๆ แบบไม่รวม Service charge แล้วรู้สึกเหมือนถูกหลอก โชคยังดีที่มีบัตรเครดิต ไม่อย่างนั้นใบหน้าหนาๆ ของเขามีหวังแตกเป็นเสี่ยงๆ จนบัดนี้เซียนน้อยอย่างจิวซือค่อยรู้สึกถึงความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าบัตรเครดิต จำได้ว่าใครสักคนเคยกล่าวไว้ ‘ผู้หญิงมีไว้อุ่นเตียง ส่วนบัตรเครดิตมีไว้ให้อุ่นใจ’ สำนวนที่ทำให้จิวซือหลุดหัวเราะออกมา

   “ขำอะไรหรือ”
   “ไม่มีอะไรครับ” จิวซือส่ายหน้าเล็กน้อย ทว่าดวงตายังเจือรอยขบขัน ทำให้ใบหน้าของเขาอ่อนละมุนลง
   “นายเรียนการแสดงมา?”
   “ครับ” ถูกแล้ว เขาอย่างตั้งใจมากๆ ในชาติที่สามของเขา เสียดายก็แต่ไม่เคยมีโอกาสได้แสดงให้ใครเห็นนอกจากอาจารย์และเพื่อนร่วมคณะ
   “แสดงได้ดี”
   คำชมมาอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงของคุณพูด จิวซือก็อดยิ้มกว้างไม่ได้
   “ขอบคุณครับ”
   “บทเสวี่ยนซื่อจวิ๋นเป็นบทที่ไม่เลวเลย”
   จิวซือเลิกคิ้ว ไม่แน่ใจว่าประโยคบอกเล่านี้ซ่อนความหมายอื่นไว้หรือไม่ อย่างเช่นว่าบทนี้เป็นบทที่ดีที่เขาควรพยายามทุกวิถีทางเพื่อคว้าไว้ หรือบางทีอาจเป็นแค่ประโยคที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ
   “ครับ เป็นบทที่ดี”
   เห็นสีหน้าของเหอเทียนเหิงคล้ายจะยิ้มก็ไม่ใช่จะบึ้งก็ไม่เชิง และเพื่อรักษาขาทองคำคู่นี้ไว้ จิวซือจึงกล่าวต่อว่า “ถ้าโชคดีได้บทนี้ขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ หวังว่าคุณเหอจะให้เกียรติทานข้าวกับผมสักมื้อ” แน่นอนว่าถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ เขาจะเป็นคนเลือกร้านเอง
   

   อาหารมื้อนี้ไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือตะขิดตะขวงใจอย่างที่คิด กล่าวโดยสรุปแล้ว จิวซือคิดว่ามันเป็นมื้อที่ดีทีเดียว ทั้งรสชาติ บรรยากาศ และบทสนทนา เหอเทียนเหิงไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่คิด ตรงข้ามเขาสามารถต่อบทสนทนาได้ทุกเรื่องอย่างราบรื่น เรียกว่าคุยกันถูกคอจนลืมเวลาด้วยซ้ำ และที่สำคัญกว่านั้นก็คืออีกฝ่ายเป็นคนจ่ายค่าอาหาร นับว่าคุณชายเหอเข้าใจหัวอกดาราตกอับเป็นอย่างดี ดังนั้นฐานะขาทองคำคู่นี้ได้ถูกเลื่อนระดับขึ้นไปเล็กน้อยในใจของจิวซือ
   “ค้างมั้ย” ดวงตาคมของเหอเทียนเหิงเป็นประกายแวววาว น้ำเสียงแม้จะราบเรียบ แต่ไม่มีแววล้อเล่น พูดให้ถูกก็คือเขาจริงจังอย่างยิ่ง และเขาอยากได้หลิวเจียเย่
   “คุณเหอ คุณคิดว่าค่าห้องที่ดิเอ็มไพร์นี่ราคาเท่าไรกัน”
   “นายนอนกับฉันก็ได้”
   หากก่อนหน้านี้คือการหยั่งเชิง ตอนนี้ก็คือการชวนอย่างโจ่งแจ้ง จิวซือมีหรือจะไม่เข้าใจประโยคเชิญชวนที่ตรงไปตรงมา อีกทั้งสายตาร้อนแรงของคนตรงหน้า แต่เขาเพียงหัวเราะ และตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน ปราศจากข้อแก้ตัวใดๆ
   “ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ”
   ใบหน้าของเหอเทียนเหิงยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่าดวงตาของเขาไม่ยิ้มแล้ว ทั้งยังดูอันตรายขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แน่นอนว่าเขาไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ
   หลิยเจียเย่ปฏิเสธเขา ขณะที่เขาต้องการอีกฝ่ายจนแทบทนไม่ไหว ความอดทนของเขาลดน้อยลงทุกวินาที เช่นเดียวกับร่างกายที่ร้อนขึ้นทุกวินาที ในทางตรงข้ามอีกฝ่ายกลับยังคงนิ่งเฉย ชวนให้คิดว่าเสน่ห์ของเขาใช้ไม่ได้ผลแล้วหรือ
   “เจียเย่ นายไม่น่ารักเอาซะเลย”
   “พี่เหอ พี่ก็ไม่น่ารักเลยครับ” จิวซือกล่าวยิ้มๆ แล้วลุกขึ้น ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อบอกลา “ราตรีสวัสดิ์ครับ” จากนั้นก็พาร่างของตัวเองเดินไปยังทางออก       
   เหอเทียนเหิงมองหลิวเจียเย่ตาไม่กระพริบ สายตาร้อนแรงของเขามองไล่ตั้งแต่ลำคอ ไหล่ลาด แผ่นหลัง เอวสอบ สะโพก ไปถึงเรียวขา สายตาของเขาเหมือนกับเปลวไฟลุกไหม้ลามเลียหลิวเจียเย่ไปทั่วทั้งตัว แต่มีพระเจ้าเท่านั้นที่เข้าใจว่าเขาต้องการอีกฝ่ายมากเพียงใด อยากกระชากเสื้อเชิ้ตสีขาวนั้นออกเป็นชิ้นๆ อยากคว้าข้อมือเล็กแล้วจับมัดไว้ไพล่หลัง ให้แผ่นหลังรูปตัววีนั้นโค้งงอขึ้นรอรับการปรนเปรอจากเขา จากนั้นค่อยกดไว้ใต้ร่าง รุกรานให้ร้องไห้สะอึกสะอื้น ครอบครองไม่ให้หนีไปได้อีก
   ‘ให้ตายเถอะ’
   เหอเทียนเหิงสบถในใจ เขาสูดหายใจเข้าลึก มือทั้งสองข้างกำแน่น พยายามสะกดกลั้นความร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจากท่อนล่าง

               

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 16:54:18


Life of a Superstar




(4)




           วันรุ่งขึ้น หลี่รุยถิงมารับจิวซือไปถ่ายภาพนิ่งทำเพื่อโปสเตอร์ให้กับ Passion Mu-in มู่เหลียนเหลียนยังคงมาดูแลการถ่ายภาพด้วยตัวเอง เธอทั้งเลือกสินค้าที่ใช้ถ่ายทำ และบอกคอนเซ็ป ตลอดจนแรงบันดาลใจในการออกแบบสินค้าแต่ละชิ้น ทำให้จิวซือพรีเซนส์งานออกมาได้ดี และราบรื่น
   “เจียเย่ นายหล่อมาก ภาพออกมาสวยมากๆ” มู่เหลียนเหลียนกล่าวอย่างสนิทสนม ด้วยความที่เธออายุมากกว่าหลิวเจียเย่แค่สามปี ดังนั้นจึงอดรู้สึกสนิทกับหลิวเจียเย่ขึ้นมาอีกนิดไม่ได้
   “พี่เหลียน ต้องขอบคุณช่างภาพต่างหากล่ะครับ”
   “ไม่เถียงกับนายหรอก ไปกินข้าวกันเถอะ”
   “พี่จะเลี้ยงผมใช่ไหม”
   “แน่นอน”
   สัปดาห์ที่ผ่านมา จิวซือยุ่งอยู่กับการถ่ายภาพนิ่ง รวมถึงโฆษณาความยาว 20 วินาทีของ Passion Mu-in ซึ่งผู้กำกับเถาตัดสินใจใช้รูปแบบที่เขาแสดงตอนแคสติ้ง และเปลี่ยนฉากหลังเป็นเตียงสีขาวดูหรูและเป็นธรรมชาติ นอกจากสร้อยข้อมือ และแหวนแล้ว ก็ยังให้เขาใส่ต่างหูทำจากพลอยสีแดงสด จิวซือไม่แน่ใจว่าผลงานที่ผ่านการตัดต่อแล้วจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ดูจากปฏิกิริยาของผู้กำกับและมู่เหลียนเหลียนแล้ว เขาคิดว่าคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
   นอกจากงานของ Passion Mu-in แล้ว จิวซือยังได้งานถ่ายแบบนิตยสารวัยรุ่นอีกสองฉบับ นับว่าไม่เลวเลยสำหรับดาราระดับเขา จิวซือพอใจกับการเริ่มต้นที่ไปได้สวยนี้ สมแล้วที่เป็นชาติที่ได้รับคำอวยพรจากเทพ เหลือก็แต่ผลการแคสติ้งเรื่องเซียนเมฆาเท่านั้น


   จิวซือถูกมู่เหยียนเฉินเรียกมาพบที่มู่อินอีกครั้ง กระทั่งหลี่รุยถิงยังแปลกใจว่าท่านประธานมู่ที่ปกติไม่ค่อยปรากฏตัว และมักจะมอบหมายทุกอย่างให้เลขาหูจัดการนั้น เหตุใดจึงได้มีเวลาว่างมาพบดาราเล็กๆ อย่างหลิวเจียเย่ สุดท้ายก็ได้แต่คาดเดาเอาเองว่าคงจะเกี่ยวข้องกับคุณหนูเหลียนผู้เป็นน้องสาว
   จิวซือมาถึงบริษัทก่อนเวลานัดเกือบหนึ่งชั่วโมง แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นยินดีหรือคาดหวังอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเพราะสถานที่ที่เขาเพิ่งถ่ายปกนิตยสารเสร็จอยู่ใกล้ๆ ตึกมู่อิน เขาจึงตัดสินใจมารอที่นี่
   ยอมรับว่าการเป็นดารานั้นไม่ง่ายเลย แน่นอนว่าง่ายดายกว่าหลายๆ ชาติที่ผ่านมาของเขา อย่างไรก็ตามเกือบครึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาได้รับทราบรสชาติของความพยายามและการถูกกดขี่อยู่บ่อยครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชื่อเสียงในวงการของหลิวเจียเย่เรียกได้ว่าย่ำแย่จนไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนก่อกำแพงที่เรียกว่าอคติไว้สูงลิ่ว จิวซือไม่กลัวที่จะใช้ความสามารถพิสูจน์ตัวเอง แต่เพราะเขารู้สึกว่ามันยุ่งยาก และต้องอาศัยเวลา ในเมื่อชาตินี้ตั้งใจจะเสพสุขแล้ว เหตุใดไม่ใช่ ‘โชคดี’ ที่เทพอวิ๋นหนานประทานให้ ดังนั้นหลายวันที่ผ่านมา เขาจึงใช้พลังเซียนของเขาไปไม่น้อย และคงเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขารู้สึกอ่อนล้า กระทั่งเปลือกตายังปิดลงโดยไม่รู้ตัว

   มู่เหยียนเฉินเดินมาส่งแขกวีไอพีที่หน้าลิฟต์ ขณะที่กำลังเดินกลับห้องทำงานนั้น ก็ได้กลิ่นเฉพาะตัวของดอกบัวชนิดหนึ่ง ทำให้ฝีเท้าของเขาชะงัก ก่อนที่จะเปลี่ยนทิศเดินไปยังห้องรับรองที่อยู่ห่างออกไป
   สิ่งที่ปรากฏในครรลองสายตาของเขาคือใบหน้ายามหลับสนิทของหลิวเจียเย่ ชายหนุ่มในชุดสีฟ้าอ่อนเอนตัวลงนอนราบไปกับโซฟาหนังสีดำ หันหน้ามาทางประตู แสงแดดจากหน้าต่างตกกระทบผิวขาวสว่างจนเหมือนจะโปร่งใส ราวกับว่าร่างกายนั้นเรืองแสงบางๆ แพขนตาดกดำก่อให้เกิดเงาใต้ตา ขับเน้นใบหน้าขาวใสปราศจากเครื่องสำอางให้ดูมีมิติยิ่งขึ้น เมื่อเลื่อนสายตาลงมาจะพบกับจมูกโด่งรั้น และริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อย แขนข้างหนึ่งห้อยตกจากโซฟา ข้อมือที่ราบไปกับพื้นดูเปราะบาง ราวกับว่าเพียงออกแรงบีบเล็กน้อยก็จะหักลงได้
   มู่เหยียนเฉินยืนกอดอกพิงประตู ไม่ทราบว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยของเขามีความคิดอะไรซ่อนอยู่ ครู่หนึ่งร่างสูงใหญ่ของเขาก็ก้าวมาหยุดใกล้กับโซฟา ก้มเอวลงกระทั่งร่างเงาของเขาแทบปกคลุมร่างของคนที่ยังนอนอยู่ ใบหน้าขยับเข้าใกล้กระดูกไหปลาร้าที่เผยออกมาราวตั้งใจ มู่เหยียนเฉินสูดลมหายใจรับกลิ่นที่คล้ายกับดอกบัวเข้าเต็มปอด ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปลักษณ์ของอีกฝ่ายในเวลานี้ถูกรสนิยมของเขาเพียงใด
   เมื่อเทียบกับเซียนน้อยริมฝั่งแม่น้ำเจียงหัวผู้นั้นแล้วยังเหนือกว่า
   ถูกแล้ว เซียนน้อยริมแม่น้ำเจียงหัวที่เขาประธานพรให้สามชาติภพ
   กระทั่งกลิ่นบัวสวรรค์ก็ยังติดตัวมาถึงในชาตินี้


   มู่เหยียนเฉินในเวลานี้ มิใช่เพียงมู่เหยียนเฉิน ยิ่งไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง หากแต่เป็นร่างจำแลงของเทพอวิ๋นหนาน เจ้าแห่งทะเลตัวออก ร่างจำแลงนั้นต่างจากการยึดครองของร่างมนุษย์ เพราะเป็นร่างที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับดวงจิตของเทพโดยเฉพาะ หลายครั้งที่เทพบนสวรรค์ได้รับภารกิจในภพมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยร่างจำแลงที่มีประวัติความเป็นมาชัดเจนตามแต่สถานการณ์ ดังนั้นจึงมีกองที่รับผิดชอบเรื่องเหล่านี้โดยเฉพาะ สิ่งที่อวิ๋นหนานต้องทำก็เพียงแค่บอกความประสงค์ของเขาเท่านั้น มิได้ยากเย็นแม้แต่น้อย
   ส่วนการที่เขามายังภพมนุษย์แห่งนี้กล่าวไปก็เป็นเพียงความนึกสนุกชั่วครู่ ประกอบกับความใคร่รู้ว่าพรที่ตนเองประทานให้เซียนน้อยผู้นั้นที่แท้แล้วมีอำนาจเพียงใด อีกประการก็คงเป็นเพราะท่าทางยามบอกเล่าความยากลำบากในชาติที่ผ่านมาของเซียนผู้นั้นน่าขบขัน ปฏิบัติต่อเขาที่เป็นเจ้านายด้วยความนอบน้อม ทั้งที่กำลังโอดครวญถึงความไม่ยุติธรรมที่ตนเองได้รับอยู่แท้ๆ ดังนั้นเขาจึงอาศัยเวลาว่างแค่สามวันของตนลงมายังโลกมนุษย์ เวลาสามวันบนภพสวรรค์เท่ากับสามปีบนโลกมนุษย์ สามปีต่อจากนี้เขาตั้งใจจะดูว่าเซียนน้อยผู้นี้จะสามารถพาตัวเองไปได้ไกลเพียงใด และพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้หรือไม่ เมื่อกลับคืนสู่ภพเซียนแล้ว ณ ริมฝั่งแม่น้ำเจียงหัว เซียนผู้นั้นจะมีสีหน้าท่าทางอย่างไรเมื่อได้พบกับเขาที่เป็นเจ้านายอีกครั้ง
   ทั้งหมดนี้เป็นความใคร่รู้ของเขา


   “ตื่น” มู่เหยียนเฉินหรือเทพอวิ๋นหนานกระซิบข้างหูของคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่องราว ขณะเดียวกันพลังเทพของเขาก็ถูกส่งไปหล่อเลี้ยงพลังเซียนที่อ่อนล้าของอีกฝ่าย
   จิวซือรู้สึกถึงกระแสเย็นๆ เข้าโอบล้อมดวงจิตของเขา ทำให้อาการปวดศีรษะและความหนึกอึ้งมึนงงต่างๆ ค่อยๆ จางไป เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นร่างสูงใหญ่ของท่านประธานมู่นั่งไขว่ขาอยู่ที่โซฟาตรงข้ามกับเขา สีหน้าของมู่เหยียนเฉินยังคงเรียบเฉย เพียงใช้สายตาคมกล้ามองเขา
   จิวซือขยับตัวลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งสางเส้นผมให้เขาที่พลางยิ้มส่งยิ้มขออภัย ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย “สวัสดีครับท่านประธาน ขอโทษที่เสียมารยาทครับ” จากนั้นค่อยนั่งลงอย่างเรียบร้อย
   สีหน้าของมู่เหยียนเฉินคล้ายยิ้มก็ไม่ใช่ เพียงแต่เห็นภาพของเซียนน้อยผู้นั้นซ้อนทับเข้ามา จมูกก็ยังได้กลิ่นบัวสวรรค์จางๆ สายตาของเขาอดเลื่อนไปหยุดบริเวณลาดไหล่ที่มีกระดูกโผล่มาเล็กน้อยไม่ได้
   “ไม่ทราบประธานมู่เรียกผมมาด้วยเรื่องอะไรเหรอครับ”
   “นายไม่ลองเดาดูล่ะ”
   ประโยคที่ทำให้จิวซืออึ้งไปเล็กน้อย ประธานมู่ที่เขาได้ศึกษามานั้นดูไม่น่าจะเป็นคนที่สามารถกล่าวประโยคล้อเล่นเช่นนี้กับลูกน้อง ถูกแล้ว เวลาว่างเขามักจะศึกษาความชอบ ข้อควรระวังของบรรดาที่เขาควรรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ ดาราใหญ่ ช่างแต่งหน้า แน่นอนว่าขาทองคำอย่างมู่เหยียนเฉินเป็นคนแรกในลิสต์ พฤติกรรมศึกษาและสังเกตผู้คนรอบตัวดูเหมือนจะเป็นนิสัยที่ติดมาตั้งแต่ครั้นยังเป็นมนุษย์
   “หรือว่าผมได้รับบทในเซียนเมฆา” จิวซือหัวเราะเล็กน้อย
   มู่เหยียนเฉินเลิกคิ้ว ก่อนกล่าวว่า “เสวี่ยนซื่อจวิ๋น”
   “ครับ? ผมได้บทเสวี่ยนซื่อจวิ๋นจริงหรือครับ” น้ำเสียงที่ปกปิดความแตกตื่นยินดีไว้ไม่มิด ดวงตาสีดำเปล่งประกาย กระทั่งลมหายใจก็ดูกระชั้นขึ้นเล็กน้อย
   ท่าทางที่ทำให้มุมปากของประธานมู่ยกขึ้น คนอื่นอาจถูกท่าทางเช่นนี้หลอก ทว่าอวิ๋นหนานเป็นใคร เขาเป็นถึงเทพแห่งทะเลตะวันออก มีหรือจะมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายแกล้งทำ เจ้าตัวไม่ได้ตื่นเต้นเท่าที่แสดงออกแม้แต่น้อย
   “นายสอบผ่าน”
   จิวซือยิ้มกว้าง “ขอบคุณที่ให้โอกาสครับ”
   “เลขาหูรายงานว่านายประพฤติตัวดี ตั้งใจทำงาน ทั้งยังได้บทเด่นในเซียนเมฆา ดังนั้นฉันตัดสินใจเลื่อนระดับนายเป็น B ข่าวฉาวที่ผ่านมาทั้งหมดของนาย บริษัทจะจัดการคลีนให้ พอใจหรือเปล่า”
   ระดับ F ถึง S เป็นระดับความสำคัญที่มู่อินใช้จำแนกนักร้อง นักแสดงในสังกัด เริ่มจากเด็กฝึกซึ่งอยู่ในดับ F ดาราที่เพิ่มเดบิวต์ ระดับ E ความสำคัญและทรัพยากรที่บริษัทจัดสรรให้เพิ่มขึ้นตามลำดับ ระดับเดิมหลิวเจียเย่คือ D ค่อนไปทาง E ดังนั้นเมื่อถูกโปรโมทเป็นระดับ B ก็เรียกได้ว่าก้าวกระโดด แต่ที่สำคัญที่สุดการที่มู่อินออกแรงคลีนประวัติของเขา นี่ต่างหากคือรางวัลใหญ่อย่างแท้จริง
   เมื่อได้ยินรางวัลของการสอบผ่าน ดวงตากลมของจิวซือก็ขยายกว้างขึ้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วโค้งเก้าสิบองศา “ขอบคุณครับ ผมจะไม่ทำให้ประธานมู่ผิดหวัง”
   มุมปากของมู่เหยียนเฉินกดลึกขึ้นอีก นัยน์ตาของเขาส่องประกายวูบหนึ่งอย่างไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่

   ส่วนจิวซือ เซียนน้อยของเรานั้น ก็กำลังเดินตามเส้นทางดาราใหญ่ของเขาอย่างราบรื่น โดยไม่ทราบสักนิดว่าเจ้านายตัวจริงของเขาอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้




   เซียนเมฆามีกำหนดถ่ายทำจริงในอีกหนึ่งเดือนให้หลังโดยจะเริ่มทยอยถ่ายภาพนิ่งของคาแรกเตอร์ตัวละครทั้งหมดในสัปดาห์หน้า เพื่อทำการโปรโมท และดูเรื่องการฟิตติ้งชุดและเมคอัพไปพร้อมกัน ระหว่างที่จิวซือกำลังทำความเข้าใจกับบท และเตรียมตัวอยู่นั้น การโปรโมทของ Passion Mu-in ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ด้วยฐานะของมู่เหลียนเหลียนแล้ว งบประมาณในการโปรโมทแบรนด์ลูกของมู่อินนั้นมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ทั่วทั้งเมืองหลวงและเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นบิลบอร์ด ป้ายในรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน โรงหนังแทบจะเต็มไปด้วยโปสเตอร์โฆษณาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Passion Mu-in ดังนั้นแม้ว่าหลิวเจียเย่จะเป็นคนพรีเซนต์ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ไม่ใช่ Brand Ambassador รูปของเขาก็ยังปรากฏอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ ภาพนิ่งทั้ง 5 แบบที่ Passion Mu-in อัพโหลดในเวบไซต์ยังถูกแชร์ไปเกือบหมื่นครั้งในหนึ่งวัน ทางโซเซียลมีเดียก็เริ่มมีการพูดถึงโปสเตอร์ของ Passion Mu-in
   วันต่อมา คลิปโฆษณาที่ถูกตัดเหลือประมาณ 15 วินาทีก็ถูกปล่อยออกมา ทั้งทางโทรทัศน์ ยูทูป และเวบไซต์ของมู่อิน
   ในคลิปนั้น ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว ปลดกระดุมสองเม็ดบนและปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกง แต่เมื่อประกอบกับเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบ และทรงผมเปิดหน้าผากที่ถูกจัดแต่งมาอย่างดี ทำให้เสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของเขากลายเป็นเสน่ห์ที่บ่งบอกถึงอิสระ ความปลอดโปร่ง และเป็นกันเอง ประหนึ่งแสงแดดในยามเช้า ต่างหูพลอยแดงขับเน้นผิวขาวสว่างของเขา เมื่อดวงตาสีดำราวแก้วผลึกคู่นั้นมองตรงมา ผู้คนก็อดกลั้นลมหายใจไม่ได้ กระทั่งเขาเผยรอยยิ้มน้อยๆ ค่อยทราบความรู้สึกที่ว่าถูกสะกดจนลืมหายใจเป็นอย่างไร และเมื่อชายหนุ่มยกข้อมือที่สวมสร้อยข้อมือสีเงิน และแหวนวงเล็กขึ้นมาใกล้ริมฝีปาก ริมฝีปากแดงสดเผยอออกเล็กน้อยเหมือนหยอกล้อ ก่อนที่เขาจะจรดมันลงกับแหวนเงิน นานว่าเปลือกตาคู่นั้นจะค่อยๆ ปิดลง ใบหน้าหล่อเหลาดูอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มที่ประดับริมฝีปากชวนให้คิดว่าเจ้าของแหวนวงนี้มีความสำคัญอย่างไรต่อชายหนุ่ม
   คลิปโฆษณานี้ถูกแชร์ กดไลค์ และมีคอมเมนท์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
   “หล่อมาก So elegant so sexyyyyyyy”
   “ข้อมือของเขาสวยกว่าฉันที่เป็นผู้หญิงเสียอีก”
   “แทบจะเลียหน้าจออยู่แล้ว ทำไมดาราใหม่คนนี้ถึงเหมือนเทพบุตรขนาดนี้”
   “คอนเมนท์บน นี่ไม่ใช่ดาราใหม่ เขาชื่อหลิวเจียเย่ เคยเล่นละครเรื่องปีกฝัน เพื่อนของฉันเคยเป็นแฟนคลับของเขาด้วย แต่ให้ตายเถอะ เขาหล่อขึ้นมากจนจำแทบไม่ได้ เลียจอ เลียจอ”
   “หลิวเจียเย่? ไม่เคยได้ยินชื่อ แต่ โอมายก็อด ฉันหลงเสน่ห์เขาให้แล้ว เลียจอ +1”
   “ใครมีลิงค์เวยป๋อของเขาบ้าง ฉันต้องไปตาม”
   เพียงแค่สองวัน ยอดผู้ติดตามเวยป๋อของหลิวเจียเย่ก็เพิ่มขึ้นจากหลักหมื่นเป็นเกือบหนึ่งแสนคน


หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 16:56:10

Life of a Superstar




(5)




                กองถ่ายภาพยนตร์เซียนเมฆา

            เมื่อชายหนุ่มผมยาวในชุดสีขาวลายมังกรทองเดินออกจากฉากกั้น ทุกสายตาก็ดูเหมือนจะถูกรัศมีสูงศักดิ์ของเขาทำให้พร่ามัว ชุดมังกรหรูหราและมงกุฎแห่งองค์รัชทายาท มิอาจบดบังความสง่างามและบารมีที่แผ่ออกมาตามธรรมชาติของเขาได้ แม้ว่าชายหนุ่มจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้า แต่ผู้คนก็มิอาจไม่แสดงท่าทางยำเกรง ความนอบน้อมต่อเขา
            บุรุษตรงหน้าคือเสวี่ยนซื่อจวิ๋น รัชทายาทแห่งแคว้นเหยาไม่ใช่เพียงหลิวเจียเย่


            การลองชุด แต่งหน้า และถ่ายภาพนิ่งผ่านไปอย่างราบรื่น นักแสดงหลักล้วนมาถ่ายภาพนิ่งในวันนี้ ยกเว้นเหอเทียนเหิง ที่ติดถ่ายรายการสด และนัดทีมงานไปถ่ายภาพนิ่งที่สตูดิโอของเขาในวันพรุ่งนี้แทน สำหรับจิวซือนั้น การแสดงเป็นรัชทายาทนับว่าง่ายดายยิ่ง อย่าลืมว่าเขาเป็นถึงบุตรชายตระกูลใหญ่ และขุนนางคู่พระทัยเมื่อครั้นเป็นมนุษย์ ดังนั้นเมื่อเห็นภาพนิ่งของจิวซือ ผู้กำกับเจียงก็พยักหน้าอย่างพอใจหลายครั้ง ทั้งยังชมเชยฝ่ายคอสตูมหลายคำ
            ทว่ามีคนชื่นชมก็ย่อมมีคนไม่พอใจ ใครใช้ให้ดาราเล็กๆ อย่างเขามาแย่งชิงบทเด่นในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ทั้งยังกลายเป็นคนโปรดของผู้กำกับเล่า ดังนั้นคำพูดประเภทที่ว่า ‘หน้าดีแต่ไร้ฝีมือ’ หรือ ‘ใช้ร่างกายเข้าแลก’ นั้น มักจะลอยเข้าหูเขาโดยบังเอิญเสมอ สำหรับคำพูดลอยๆ เหล่านี้ จิวซือเพียงทำในสิ่งที่ตนเองถนัดที่สุด นั่นก็คือ ‘ทำหูทวนลม’ ในเมื่อมันคือคำพูดลอยๆ ดังนั้นก็จงลอยตามลมไปเสีย เขาคร้านจะสนใจ ยิ่งตระหนักว่าการใช้พลังเซียนมากๆ จะทำให้ดวงจิตอ่อนล้าด้วยแล้ว จิวซือยิ่งไม่อยากใช้มันหากไม่จำเป็น
            กระแสจากโฆษณาของ Passion Mu-in เพิ่งจะเริ่มซาลง นิตยสารหลายฉบับที่จิวซือไปถ่ายก็ทยอยวางขาย ทำให้ชื่อของเขายังเป็นที่กล่าวถึงอยู่บ้าง โดยเฉพาะทางโซเซียล ยอดผู้ติดตามเวยป๋อของหลิวเจียเย่ทะลุสองแสนคนไปแล้ว และยังมีบ้านแฟนไซท์ (Fansite) ของเขาเกิดขึ้นหลายแอคเคาท์
            มู่เหยียนเฉินทำตามที่ได้รับปากไว้ บริษัทติดต่อมาเสนอเปลี่ยนผู้จัดการที่มีฝีมือให้เขา แต่จิวซือไม่ตกลง เขาพอใจกับหลี่รุ่ยถิง ซึ่งแม้จะมีประสบการณ์น้อย แต่มีความจริงใจและใส่ใจ ดังนั้นบริษัทจึงหาสไตล์สิลต์มาเพิ่มให้แทน ทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ training class บทละคร งานโฆษณา งานนายแบบ ล้วนมีเข้ามาให้เลือกมากขึ้น แต่เพราะจะต้องเริ่มถ่ายเซียนเมฆาในอีกสองสัปดาห์ จิวซือไม่เลือกรับงานอื่นในช่วงนี้ นอกจากนี้แผนก PR ของมู่อินยังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อจิวซือลองเสริชชื่อหลิวเจียเย่ ก็พบว่าข่าวลือทางเสียหายของเขาถูกลบไปจนหมด เหลือแต่ประวัติ ผลงานทั้งเก่าและใหม่เท่านั้น



            สองสัปดาห์ต่อมา
            จิวซือและนักแสดงในสังกัดมู่อินอีกสามคนเดินทางมาถึงมณฑลซีอาน สถานที่ถ่ายทำเซียนเมฆา ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกำหนดการเดิม และด้วยความที่มู่อินเป็นผู้ลงทุนหลักของภาพยนตร์ กรณีกดดันให้ดาราหน้าใหม่หลุดจากบทนำนั้นจึงไม่เกิดขึ้น สิ่งเดียวคาดไม่ถึงก็คือท่านประธานใหญ่เดินทางมากับเขาด้วยเหตุผลว่ามาเจรจาธุรกิจ ทันทีที่ถึงสนามบินมู่เหยียนเฉินก็นั่งลีมูซีนออกไปจัดการธุระของเขา ขณะที่จิวซือและคนอื่นๆ กลับโรงแรม ดังนั้นความคิดที่จะไปขอบคุณพร้อมประจบขาทองคำสกุลมู่ของจิวซือจึงเป็นอันล้มพับไป
            วันรุ่งขึ้นจิวซือและหลีรุ่ยถิงมาถึงกองถ่ายก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง ฉากที่ถ่ายในวันนี้เป็นฉากที่ต้องร่วมกับเหอเทียนเหิง และนักแสดงบทองค์หญิงห้า และแม้บทองค์หญิงห้าจะไม่ใช่บทเด่นด้วยธีมหลักของภาพยนตร์ไม่ใช่เรื่องความรัก แต่ก็นับได้ว่าเป็นตัวละครหญิงที่เด่นที่สุด จึงได้นักแสดงระดับ A-list อย่างฟานรุยอวี่มาร่วมแสดง
            จิวซือยอมรับว่าฟานรุยอวี่นั้นเป็นสาวงาม ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือ ดวงตากลมโตราวกับตุ๊กตา เมื่อแต่งชุดจีนโบราณสีเหลืองอ่อนเช่นนี้ นับว่างามไม่แพ้บรรดาสนมนางในทั้งหลายที่เขาเคยเห็น ส่วนเหอเทียนเหิงนั้น แวบแรกที่เห็นเขาในชุดแม่ทัพ เสื้อคลุมไหล่สีแดงและเกราะอ่อนสีเงิน จิวซือรู้สึกเหมือนเห็นภาพซ้อน ราวกับว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่เหอเทียนเหิง ไม่ใช่เกาจงเฉิน แต่เป็นผู้ที่เป็นทั้งสหายและความปวดร้าวของเขาผู้นั้น
            จิวซือนิ่งเหมือนถูกสะกด กระทั่งเสียงของเหอเทียนเหิงดังขึ้น เรียกสติของเขากลับมา
            “เจียเย่ นายหล่อมาก”
            เมื่อกระพริบตาดูอีกทีค่อยพบว่าตนเองคิดมากไป ไม่ทราบเหอเทียนเหิงเข้ามาประชิดตัวเขาตั้งแต่เมื่อไร แต่ดวงตาที่ฉายความปรารถนาชัดเจนเช่นนี้ไม่มีทางปรากฏบนใบหน้าไร้อารมณ์ของอี้เทียน สหายร่วมรบที่เพียงปฏิบัติตามคำสั่งของเขาโดยไม่มีข้อแม้ กระทั่งชีวิตก็ไม่อาจรักษาไว้ได้เพราะคำสั่งของเขา
            จิวซือยิ้ม เอียงคอมองเหอเทียนเหิง ก่อนจะตอบว่า “คุณเหอก็ดูดีมากครับ”
            เหอเทียนเหิงเลิกคิ้ว คล้ายจะไม่พอใจในคำเรียกหา
            “พี่เหอ”
            “ครับ?”
            “คราวก่อนนายเรียกฉันว่าพี่เหอ”
            เมื่อไม่เห็นแววล้อเล่นในน้ำเสียงของฝ่ายตรงข้าม จิวซือก็ยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด ในเมื่อขาทองคำคู่นี้อยากสนิทสนมกับเขา เขาย่อมไม่ปฏิเสธ ดังนั้นน้ำเสียงที่เรียกอีกฝ่ายจึงอ่อนลงขึ้นเล็กน้อย
            “พี่เหอ”
            เหอเทียนเหิงไม่คิดว่าจะได้ยินหลิวเจียเย่เรียกเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น ไม่ว่าหลิวเจียเย่ตั้งใจหรือไม่ สำหรับเขาแล้ว ความปรารถนาในตัวคนตรงหน้าคล้ายจะถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง
            “ถ้าเสวี่ยนซื่อจวิ๋นหล่อเหลาขนาดนี้ ทำไมเกาจงเฉินถึงไม่เลือกนาย กลับไปรักองค์หญิงห้า”
            คำถามคล้ายจะหยอกล้อ คล้ายจะเกี้ยว
            และพอจะตีความจากรอยยิ้มกดลึก ดวงตาส่อประกายเจ้าชู้ของเขาได้ว่า หากเขาเป็นเกาจงเฉินย่อมต้องเลือกเสวี่ยนซื่อจวิ๋นแน่
            จิวซือยิ้มจนตาปิด
            ไม่ใช่เพราะน้ำเสียงยั่วล้อของเหอเทียนเหิง
            ยิ่งไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าคำถามนี้ช่างไร้สาระ
            แต่เพราะคำถามนี้ ตนเองก็เคยพร่ำถามอยู่ในใจ
            ‘ทำไมเป็นนาง เพราะเหตุใดจึงไม่ใช่ข้า’
            ‘อี้เทียน เพราะเหตุใดจึงไม่ใช่ข้า’
            ทว่าต่อให้ตะโกนถามในใจเป็นพันเป็นหมื่นครั้งก็ไม่เคยกล้าถามออกมาจริงๆ สักที ทุกครั้งได้แต่ยิ้ม และทักทายภรรยาของสหายด้วยท่าทางสุภาพ และยินดี
            “บุรุษเก่งกล้า สตรีดีงาม ย่อมเป็นของคู่กันอยู่แล้วครับ”
            “นายคิดอย่างนั้น?” เหอเทียนเหิงมองเขาอย่างค้นหา แน่นอนว่าจากพฤติกรรมและรสนิยมของหลิวเจียเย่แล้ว คงไม่พูดประโยคนี้ออกมา
            จิวซือพยักหน้ายิ้มๆ
            ไม่ใช่คิดอย่างนั้น แต่เพราะนั่นคือความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธต่างหากเล่า



   เซียนเมฆาสมกับเป็นภาพยนตร์ที่มีเงินลงทุนสูงสุดในรอบหลายปี ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นฉาก เสื้อผ้า อุปกรณ์ หรือ Special effect ต่างๆ ล้วนไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง การถ่ายทำผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ จิวซือพบว่าตนเองหลงเส่น่ห์อาชีพนักแสดงมากขึ้นเรื่อยๆ และคงเป็นเพราะจิตเซียนที่ทำให้ความจำของเขาดีเลิศ สามารถจดจำสิ่งที่อ่านหรือเห็นได้ในคราเดียว ดังนั้นไม่ว่าผู้กำกับเจียงจะเนี้ยบเรื่องรายละเอียดขนาดไหน จิวซือก็ถูก NG น้อยมากเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ กล่าวได้ว่าหลิวเจียเย่ในเวลานี้กลายเป็นลูกรักคนใหม่ของผู้กำกับเจียงไปแล้ว
   ทุกๆ วันผ่านไปอย่างราบรื่น อะไรๆ ก็ดูง่ายดาย แตกต่างจากทุกชาติที่ผ่านมาอย่างยิ่ง เว้นก็แต่ศัตรูเล็กๆ ที่มาโดยไม่คาดหมายอย่างฟานรุยอวี่ จำได้ว่าเมื่อตอนลองชุดถ่ายโปสเตอร์ ดาราสาวยังปฏิบัติต่อเขาด้วยดี ไม่ทราบเพราะเหตุใดเธอจึงเปลี่ยนมาเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา อา...อันที่จริง สาเหตุก็พอจะเดาได้อยู่หรอก หากไม่ใช่เพราะเหอเทียนเหิง ยังจะเป็นเรื่องอะไรได้อีก
   “เจียเย่ ไปทานข้าวกัน” ตัวต้นเหตุที่ว่าเดินยิ้มเข้ามาเอาแขนพาดไหล่เขาอย่างเป็นธรรมขาติ เมื่อคนอื่นถามถึงท่าทางสนิมสนมนี้ เหอเทียนเหิงก็แค่หัวเราะ แล้วบอกว่าเขาสนใจหลิวเจียเย่ แต่อีกฝ่ายไม่เล่นด้วย แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ต่างคิดว่าเขาล้อเล่น คนอย่างเหอเทียนเหิงหรือจะตามตื้อใคร แล้วดาราเล็กๆ อย่างหลิวเจียเย่มีหรือจะปฏิเสธ
   “ผมนึกว่าพี่กลับไปแล้ว”
   “ถ้าบอกว่ารอนายอยู่ นายจะดีใจหรือเปล่า” เหอเทียนเหิงยิ้มมุมปาก เอียงศีรษะเล็กน้อย ท่าทางโปรยเสน่ห์ที่ดูก็รู้ว่าทำจนชำนาญ จิวซือหัวเราะก่อนตอบว่า
   “เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”
   คำตอบที่ทำให้ดาราใหญ่คิ้วกระตุก ได้คุยกับหลิวเจียเย่มาร่วมสัปดาห์ เขาพอจะเข้าใจความคิดและวิธีการพูดของอีกฝ่ายอยู่บ้าง ดังนั้นคำตอบที่ว่าเป็นเกียรตินั้นก็คือการตอบว่า ‘ไม่ดีใจ’ อย่างรักษามารยาทนั่นเอง
   เหอเทียนเหิงหรี่ตาลงอย่างอันตราย แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำตอบนั้น แขนที่วางพาดอยู่บนไหล่พาให้ร่างของอีกฝ่ายเดินไปพร้อมกับเขา หลิวเจียเย่ในอดีตเป็นอย่างไรเขาจำไม่ได้แล้ว แต่หลิวเจียเย่ในเวลานี้ เขาต้องได้มา
   

   เมื่อเดินออกจากรั้วกำแพง ก็เห็นร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตายืนพิงรถหรูสีดำอยู่ ร่างนั้นโดดเด่นด้วยสูทสีเทาและแว่นกันแดดสีชาที่วางอยู่บนสันจมูกโด่ง ตัวตนของเขาเด่นชัดตัดกับผู้คนและสิ่งของที่แวดล้อม คนผู้นั้นคือมู่เหยียนเฉินซึ่งจิวซือไม่ได้พบอีกเลยนับตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน
   “ท่านประธาน”
   มู่เหยียนเฉินถอดแว่นกันแดด แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ขึ้นรถ”
   “ครับ?”
   “สวัสดีครับ ประธานมู่”
   “คุณเหอ”
   มู่เหยียนเฉินยื่นมือไปจับมือเหอเทียนเหิง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังหลิวเจียเย่คล้ายจะเร่ง ขณะที่จิวซือกำลังจะขยับตัวก็รู้สึกถึงน้ำหนักบนไหล่ที่เพิ่มขึ้น
   “ผมจะพาเจียเย่ไปทานข้าว และไปส่งที่โรงแรม หวังว่าพี่มู่คงไม่ขัดข้อง”
   มู่เหยียนเฉินไม่ตอบ เพียงปรายตามองจิวซือเหมือนรอให้เขาตัดสินใจ
   ไม่ทราบว่าท่านประธานมีธุระอะไร แต่ในเมื่อคนที่งานรัดตัวอย่างเขามาถึงที่นี่ จิวซือย่อมไม่กล้าขัดใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานะนายใหญ่ของฝ่ายนั้น
   “เอ่อ ถ้าท่านประธานยังไม่ได้ทานข้าวเย็น พวกเราไม่สู้ไปด้วยกัน”
   


   มองมู่เหยียนเฉินที่นั่งหลังตรงอยู่ฝั่งตรงข้าม จิวซือก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าสเต็ก ไวน์แดง และห้องอาหารที่หรูหราและเป็นส่วนตัวเช่นนี้ก็เหมาะสมแล้ว
   “ท่านประธานทำธุระเสร็จแล้วหรือครับ”
   “อืม”
   มู่เหยียนเฉินเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนพูดต่อว่า “พรุ่งนี้ฉันจะกลับแล้ว”
   “อ้าว ไม่อยู่พักผ่อนเสียหน่อยเหรอครับ”
   “ไม่มีเวลา”
   จิวซือพยักหน้าอย่างเข้าใจ ดวงตาสีดำฉายแววเห็นใจที่เปลี่ยนความนิ่งเฉยในดวงตาของอวิ๋นหนานให้กลายเป็นขบขัน อดคิดไม่ได้ว่าเซียนน้อยผู้นี้มีความตั้งใจในการเป็นลูกน้องดีเด่นเพียงใด

   ฟังมู่เหยียนเฉินและเหอเทียนเหอสนทนากันเรื่องธุรกิจบันเทิง รวมไปถึงการลงทุนภาพยตร์ต่างๆ จิวซือค่อยทราบว่านอกจากเหอเทียนเหิงจะเป็นนักแสดงแถวหน้าของประเทศแล้ว ในฝั่งตะวันตกและเอเชียเขาก็มีชื่อเสียงไม่น้อย เคยได้ยินช่างแต่งหน้าในกองถ่ายพูดกันว่าตระกูลของเขาเป็นตระกูลใหญ่ คนหนุนหลังเขามีอำนาจพอที่จะปิดปากคนทั้งวงการได้ ดังนั้นชีวิตนักแสดงของเหอเทียนเหิงจึงมีเรื่องรุ่งไม่มีร่วง และไม่มีใครกล้าเสียมารยาทหรือหาเรื่องเขา ดังนั้นไม่ว่านี่จะเป็นเรื่องจริงหรือแค่ข่าวลือ จิวซือก็รู้สึกว่าผูกมิตรกับฝ่ายนั้นไว้ดีกว่าเป็นศัตรู ส่วนความสนใจในตัวเขาที่เหอเทียนเหิงแสดงออกนั้น เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร หากวันไหนเขาพอใจ จะขึ้นเตียงกับอีกฝ่ายเพราะความต้องการของตัวเองก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้


   กลิ่นหอมโชยมาแตะจมูก ทำให้อวิ๋นหนานชะงักไป เบื้องหน้าเห็นใบหน้าของหลิวเจียเย่ขึ้นสีแดงเรื่อ ดวงตาปรือคล้ายมีน้ำตาเคลือบอยู่บางๆ กลิ่นดอกบัวสวรรค์หอมฟุ้ง แทบมอมเมาผู้คน
   “เจียเย่ นายเมาไวน์?” เหอเทียนเหิงถามเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อเห็นใบหน้าและลำคอที่กลายเป็นสีชมพูเข้มของคนข้างๆ มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเขาขยับเข้าใกล้ ร่างกายที่เริ่มทรงตัวไม่อยู่ก็เอนมาพิงไหล่ของเขาโดยอัตโนมัติ จมูกได้กลิ่นหอมบางอย่างที่ทำให้ร่างกายของเขาร้อนขึ้น
   “เขาเมาแล้ว ผมพาเขากลับโรงแรมก่อน” มู่เหยียนเฉินลุกขึ้นจะไปพยุงร่างของหลิวเจียเย่ แต่ถูกเหอเทียนเหิงกันไว้
   “ลำบากพี่มู่เปล่าๆ ให้เจียเย่ไปกับผมก็ได้”
   จิวซือขมวดคิ้ว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าร่างกายของหลิวเจียเย่จะเมาไวน์ง่ายขนาดนี้ เขาพยายามรั้งสติตนเองไว้ เพ่งจิตเซียน ไม่ยอมให้ตัวเองหลับ ไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่าหากยอมไปกับเหอเทียนเหิง คืนนี้เขาคงไม่ได้นอนอย่างสงบ ดังนั้นจึงได้แต่หวังว่าเจ้านายจะใจกว้างพอช่วยเขาสักครั้ง
   “พี่มู่” น้ำเสียงคนเมาฟังดูอ่อนหวานขึ้นสองส่วน กระทั่งคำเรียกหายังถูกเจ้าตัวเปลี่ยนให้สนิทสนมขึ้น อวิ๋นหนานที่ตอนแรกตั้งใจจะปล่อยหลิวเจียเย่ให้ไปกับเหอเทียนเหิง เพราะอย่างไรเสียก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่คิดจะยุ่ง จึงถอนหายใจ แล้วคว้าแขนคนเมา ดึงร่างฝ่ายนั้นเข้าหาตัว “ไม่เป็นไร ผมต้องดูแลคนในสังกัดของผมอยู่แล้ว”
   “พี่มู่” เหอเทียนเหิงกดเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ
   “คุณเหอ หากกว่าเจียเย่เต็มใจไปกับคุณ ผมย่อมไม่ขัดขวาง”
   ประโยคที่ทำให้เหอเทียนเหิงรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นราดรด ความต้องการที่ท่วมท้นจนแทบทนไม่ได้เมื่อครู่นี้ค่อยเย็นลง หากเจียเย่ไปกับเขาตอนนี้ ต่อให้ฝ่ายนั้นไม่เต็มใจ เขาก็ย่อมบังคับให้คล้อยตามให้ได้ แต่การปล่อยให้หลิวเจียเย่ไปกับมู่เหยียนเฉินก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาวางใจ
   “พี่มู่ เจียเย่เป็นคนมีความสามารถ”
   “ผมรู้ คุณเหอไม่ต้องห่วง”



   จิวซือรู้ว่าตนเองกำลังฝัน ทั้งยังเป็นฝันร้ายที่ไม่เกิดขึ้นกับเขานานแล้วนับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วิถีเซียน แต่เขาไม่อาจตื่นจากฝันร้ายนี้ ไม่ว่าพยายามดิ้นรนอย่างไรก็หนีไม่พ้น ราวกับมารร้ายที่ฝังลึกอยู่ในดวงจิต รอวันที่จะมาหลอกหลอนเขา
   ในความฝัน เขากลับมาเป็นซื่อเสวี่ยนที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ นำทัพสิบหมื่นไปปราบกบฎทางเหนือ โดยมีอี้เทียน สหายสนิทของเขาเป็นรองแม่ทัพ สู้รบอยู่หลายเดือนค่อยประสบความสำเร็จอยู่บ้าง เขาตั้งใจไว้แล้วว่าหากปราบกบฎคราวนี้ลงได้จะทูลขอพระราชทานรางวัลให้อี้เทียนได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ จินตนาการไปว่าใบหน้าของสหายจะมีความสุขและยินดีเพียงใด ทว่าต่อมาไม่นานเขากลับทำลายชีวิตของคนผู้นั้นด้วยมือตนเอง
   ในความฝัน เขากำลังควบม้านำทัพไปเข่นฆ่าข้าศึก โดยไม่ฟังความทัดทานของผู้ใด เพราะในใจเขาเจ็บปวด เพราะต้องการจบสงครามนี้เต็มทน จำได้ว่าหากเดินทางไปอีกไม่ไกลจะเข้าสู่เขตทะเลทราย ที่นั่นมีทัพของข้าศึกและมือสังหารดักซุ่มอยู่ และที่นั่นก็คือที่ที่อี้เทียนจากไป
   'หยุด หยุดเดี๋ยวนี้'
   เขาพยายามห้าม ร้องตะโกนแทบขาดใจ ทว่าตัวเขาในฝันนั้นกลับควบม้าเร็วไม่ยอมหยุด มุ่งเข้าไปในดงข้าศึกเพราะความหึงหวง และความผิดหวังที่เห็นสหายกับภรรยาพลอดรักกัน ทั้งที่นางได้รับพระบัญชาจากเมืองหลวงให้นำเสบียงมาเสริม สตรีเก่งกล้าที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในกองทัพย่อมมีแค่ยอดหญิงตระกูลแม่ทัพอย่างนางเท่านั้น ฮ่องเต้ส่งนางมาเป็นขวัญและกำลังใจ ทั้งที่ทราบแก่ใจ ทั้งที่ทราบดี
   'อย่า อย่าไป'     
   หากตนเองไม่หุนหันพลันแล่นอย่างไร้สมอง หากไม่ใช่เพราะตนเอง อี้เทียนก็คงไม่ตาย คนหนุ่มอนาคตไกลอย่างเขาย่อมต้องไม่ตายอย่างอนาถเพียงนั้น
   อี้เทียนควบม้าตามมา แม้จะโกรธและไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของเขา ฝ่ายนั้นก็ยังควบม้าไล่ตามเขา สายตามองอยู่ที่ร่างของเขาอย่างร้อนรน ความเป็นห่วงและกังวลฉายชัดอยู่ในดวงตาสีดำคู่นั้น ทำให้จิวซือปวดร้าวจนหายใจไม่ออก
   'อี้เทียน อย่าตามมา อย่าตามข้ามา'
   'ขอร้อง ข้าขอร้อง'
   

   มือที่กำลังจะปิดประตูของอวิ๋นหนานชะงักค้าง เมื่อได้ยินเสียงพึมพำบางอย่าง ชายหนุ่มหันหลังกลับ สาวเท้าเข้าไปหาคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง เห็นใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลจากหางตาเป็นสาย และไม่มีวี่แววจะหยุดลง
   “..ย่ะ”
   “อย่า อย่าตาย”
   “ได้โปรด”      
   อวิ๋นหนานนั่งลงบนเตียง นิ้วเรียวยาวของเขายื่นไปแตะหน้าผากของจิวซือ กว่าชั่วอึดใจค่อยผละออก เทพหนุ่มมองใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้นอยู่นานก่อนจะถอนหายใจออกมา   
   ที่แท้สาเหตุที่ทุกชาติในด่านทดสอบคุณธรรมของเซียนน้อยผู้นี้มีแต่ความทุกข์ก็เพราะเงื่อนในใจที่เจ้าตัวมิอาจวางลง กลายเป็นตรวนพันธนาการดวงจิตของเขาไว้ ผู้ที่มิอาจปลดโซ่ตรวนแห่งอดีต ย่อมไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเทพ และเพราะสวรรค์ไม่ต้องการให้คนเหล่านี้ได้เป็นเทพ บททดสอบของเขาจึงยากกว่าเซียนตนอื่นๆ หากไม่ใช่เพราะว่าพื้นฐานเจ้าตัวเป็นคนจิตใจดีและเข้มแข็ง เกรงว่าคงจะหมดโอกาสไปนานแล้ว

   กรณีเช่นนี้ เขาเห็นมานับไม่ถ้วน เพียงแต่คราวนี้ไม่ทราบเพราะเหตุใด ภายในใจจึงเกิดความรู้สึกอยู่ไม่สุขอยู่บ้าง

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 16:57:37


Life of a Superstar


 


(6)




   เกือบสองเดือนต่อมา พวกเขาย้ายสถานที่ถ่ายมาทำยังมณฑลซานตงเพื่อถ่ายฉากในป่า และเทือกเขาทั้งหลาย เช่น ฉากสู้รบ ฉากล่าสัตว์ ฉากลอบสังหาร เป็นต้น ชีวิตของจิวซือต้องถือว่าปกติดี เพียงแต่เตือนตัวเองให้หลีกเลี่ยงไวน์เท่านั้น แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้นหลังจากได้ลองทดสอบด้วยตนเองแล้วว่าร่างกายนี้ดูเหมือนจะเมาแค่ไวน์ แต่ไม่รวมถึงพวกเหล้าหรือเบียร์ รสชาติของการเมามายจนเสียการควบคุมตนเองนั้นเขาไม่อยากสัมผัสอีก หากไม่จำเป็น
   ก่อนที่จะมาซานตง ผู้กำกับจางตัดสินใจให้เวลาพักกองสองสัปดาห์ ระหว่างนั้นหลายคนเลือกกลับปักกิ่ง หลายคนเลือกอยู่เที่ยวต่อ บางคนมีตารางงาน ส่วนจิวซือนั้นเลือกเดินทางมาซานตงล่วงหน้า เพราะต้องการมาเยือนภูเขาไท่ซานเป็นการส่วนตัว
   มนุษย์เชื่อว่าไท่ซานคือภูเขาศักดิ์สิทธิ เพราะเป็นสถานที่จัดงานบวงสรวงมาหลายรัชสมัย
ตัวเขาที่เป็นเซียนชั้นผู้น้อยไม่ทราบว่าไท่ซานศักดิ์สิทธิจริงอย่างที่พวกมนุษย์กล่าวอ้างหรือไม่ เพียงแต่ทราบว่าบางครั้งเหล่าเทพเซียนก็ชอบจัดงานชุมชนที่ยอดเขาจักรพรรดิหยกแห่งเขาไท่ซานนี่เอง
   งานชุมนุมของเหล่าเทพเซียนที่ไม่ว่าเทพชั้นผู้ใหญ่หรือเซียนชั้นผู้น้อยก็มีโอกาสเข้าร่วมนั้น ไม่นานก็จะเวียนมาถึงอีกครั้ง

   “พี่หลิว คุณเหอเมนชั่นหาพี่อีกแล้วล่ะ”
   จิวซือคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นของหลี่รุยถิง ผู้จัดการส่วนตัวของเขา ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเธอแดงเรื่อ ขณะที่กดถูกใจกับโพสที่ว่า
   หากจะบอกมีอะไรที่ไม่ปกติก็คงจะเป็นกระแสคู่จิ้นระหว่างเหอเทียนเหิงกับหลิวเจียเย่ที่เกิดขึ้นราวสองสัปดาห์ก่อน หลังจากเหอเทียนเหิงบินกลับปักกิ่งเพื่อถ่ายทำโฆษณารถยนต์ที่เป็นพรีเซนเตอร์ อยู่ๆ คนที่ไม่ค่อยอัพเดตโซเชียลอย่างเขาก็ลงรูปหลิวเจียเย่ในชุดรัชทายาทสีขาวลายมังกรทองสี่เล็บนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้พับระหว่างพักกอง ในรูปนั้นเห็นใบหน้าของหลิวเจียเย่เพียงเสี้ยวเดียว ทั้งยังอยู่ในระยะค่อนข้างไกล ส่วนด้านขวาของรูปในระยะใกล้กว่าคือเหอเทียนเหิงที่ทอดสายตาหลิวเจียเย่อย่างตั้งใจ โดยที่คนหลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังมีแคปชั่นชวนคิดว่า ‘แค่สามก้าว’
   และดูเหมือนเจ้าตัวจะเพิ่งนึกได้ จึงได้เมนชั่นหลิวเจียเย่ในคอมเมนท์
   @Liu JieYe เดินถอยหลังสามก้าว
   ไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่าการกระทำตามอำเภอใจของดาราใหญ่เหอ จะส่งผลให้เกิดพายุลูกใหญ่ขนาดไหนทางโซเซียล


   ตอนแรกที่หลี่รุยถิงบอกเรื่องนี้กับเขา จิวซือถึงกับอยากกุมขมับ รู้อยู่หรอกว่าเหอเทียนเหิงนั้นเป็นประเภทที่ตามใจตัวเองแบบสุดๆ แน่นอนว่าเขามีคุณสมบัติและเบื้องหลังยิ่งใหญ่พอให้ทำตามอำเภอใจได้ แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ นี่คงไม่ใช่การเอาคืนที่เขาไม่ยอมไปส่งที่สนามบินหรอกใช่ไหม
   จิวซือทำเป็นไม่เห็นข้อความที่เมนชั่นตัวเอง กระนั้นผ่านไปเพียงชั่วข้ามคืนคนติดตามเขาในเวยป๋อก็เพิ่มขึ้นเกือบสองแสนคน ผลลัพธ์ที่ทำให้จิวซือไม่กล้าเพิกเฉยอีกต่อไป เรียกว่าเพียงการเมนชั่นจากเหอเทียนเหิงยังมีอำนาจยิ่งกว่า PR ของมู่อินเสียอีก พลังของ S-list ช่างน่ากลัวจริงๆ
   @Tien Heng คุณเหอก้าวนำผมจนไม่เห็นฝุ่นอยู่แล้วครับ (นับถือๆ)
   จิวซืออ่านข้อความของตัวเองสามรอบจนมั่นใจว่าได้แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นน้องที่เคารพรุ่นพี่อย่างจริงใจแล้ว ค่อยกดโพส ไม่ถึงสองนาทีต่อมาเขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ ลางสังหรณ์ของจิวซือบอกว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
   @Liu JieYe งั้นฉันจะรอนายตามทัน (ยิ้ม)
   ลางสังหรณ์ของเขาแม่นยำเสมอ เหอเทียนเหิงผู้นี้สมควรถูกยกให้เป็นบุคคลที่ควรหลีกเลี่ยงแห่งปี อ้อ พวงตำแหน่งบุคคลที่ไม่ควรขัดใจแห่งปีด้วย
   หลังจากวันนั้น เหอเทียนเหิงก็มักจะแท็กรูป หรือไม่ก็เมนชั่นเขาทุกสองสามวัน จนผู้ติดตามเวยป๋อของเขาเพิ่มเป็นล้านกว่าคนเข้าไปแล้ว ผู้ติดตามที่เพิ่มมานั้นส่วนใหญ่ย่อมเป็นมนุษย์ผู้หญิงประเภทหนึ่งที่หลงอยู่ในจินตนาการสีรุ้งของพวกเธอเอง แน่นอนว่าหลี่รุยถิงเป็นหนึ่งในบรรดาคนหลงผิดเหล่านั้น และถูกคารมของเหอเทียนเหิงล้างสมองจนเชียร์ฝ่ายนั้นให้เขาฟังแทบทุกวัน บางครั้งก็ยื่นโทรศัพท์ให้เข้าดูรูปพร้อมแฮชแท็ก #HengJie ด้วย


   วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาได้รับการแจ้งเตือนว่าเหอเทียนเหิงเมนชั่นเขา จิวซือเลื่อนหน้าจอดูก็พบว่าฝ่ายนั้นเมนชั่นเขาใต้รูปเสี่ยวหลงเปา @Liu JieYe want some?
   จิวซือหัวเราะออกมา จำได้ว่าเขาบอกเหอเทียนเหิงว่าจะพาอีกฝ่ายไปเลี้ยงเสี่ยวหลงเปาเป็นการไถ่โทษที่ไม่ยอมไปส่งเขาที่สนามบิน
   อาจเพราะไม่ได้เจอฝ่ายนั้นมาพักใหญ่ จิวซือจึงตัดสินใจส่งข้อความไปหาเหอเทียนเหิง "พี่เหอ ละเว้นผมเถอะ”
   ไม่ถึงนาทีโทรศัพท์มือถือของเขาก็แผดเสียงร้อง หน้าจอเป็นชื่อเหอเทียนเหิงที่กำลังโทรมา
   “ครับ”
   “คิดถึงจังเสี่ยวเย่”
   “พี่เหอ ผมขอร้อง พี่หยุดเมนชั่นผมเถอะ แลกกับอาหารมื้อหนึ่งเลยเอ้า”
   “แค่อยากช่วยโปรโมท นายจะได้ตามฉันทันเร็วๆ”
   “ผมคงตายเพราะแฟนๆ ของพี่ก่อนตามพี่ทันแน่”
   “ฮ่าๆ มีฉันอยู่ นายไม่ตายหรอก อย่างมากอาจจะแขนหัก”
   “….” ทำตอบที่ทำให้จิวซือถอนหายใจ อันที่จริงเขาก็ไม่กลัวความตายหรอก ยิ่งตายเร็วก็ยิ่งผ่านบททดสอบเร็ว สำหรับเขาแล้วถือเป็นเรื่องดี แต่แขนขาหักนี่เลี่ยงได้เป็นเลี่ยงดีกว่า นึกถึงชาติหนึ่งที่เขาถูกทำร้ายจนพิการแล้วต้องนอนรอความตายอยู่บนเตียงหลายปีนั้น ช่างน่าเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง
   “ไม่มีใครคิดจริงจังหรอกน่า ทุกคนคิดว่าฉันแกล้งนายทั้งนั้น”
   “….” ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ
   “ยกเว้นฉัน”
   “เจียเย่ ฉันอยากได้นาย”
   น้ำเสียงที่ส่งผ่านมาทางโทรศัพท์ไร้แววล้อเล่นยียวนอย่างเคย วูบหนึ่งจิวซือรู้สึกว่าดวงจิตของเขาถูกสั่นคลอน คล้ายกับบางอย่างตกกระทบผิวน้ำที่ราบเรียบอยู่เสมอจนเกิดแรงกระเพื่อมแผ่วเบา
   บางทีคงเป็นเพราะเขาเห็นเงาร่างของคนที่อยากเจอผ่านเหอเทียนเหิง
   ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย
   “พี่เหอ ผมต้องไปแล้ว”
   “เฮ...โอเคๆ ตั้งใจทำงาน”


   
   ฉากที่ถ่ายทำวันนี้เป็นฉากที่เสวี่ยนซื่อจวิ๋นไปล่าสัตว์ในป่า เนื่องจากได้ข่าวมามีคนเห็นจิ้งจอกแดง จึงตั้งใจจะล่ามันเพื่อทำเสื้อคลุมขนจ้ิงจอกให้องค์หญิงห้า น้องสาวที่เขารักและตามใจมาตั้งแต่เด็กเพราะเห็นว่าช่วงนี้นางดูซึมเศร้า แต่เขากลับถูกลอบทำร้าย ในฉากนั้นเสวี่ยนซื่อจวิ๋นควบม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ ขณะที่กำลังง้างธนูจะยิงนั้น ก็มีลูกธนูอีกดอกหนึ่งพุ่งใส่ม้าของเขา ทำให้เขาตกม้าและบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่องครักษ์ของเขามีฝีมือไม่ธรรมดา จึงพาเขาหนีกลับวังได้สำเร็จ
   การขี่ม้ายิงธนูนั้นเป็นสิ่งที่จิวซือถนัดอยู่แล้ว อีกทั้งหัวลูกธนูที่ใช้ในการแสดงยังทำจากยาง และเล็งไปที่สะโพกม้า ดังนั้นจิวซือจึงขอแสดงเองโดยไม่ใช่แสตนอิน ไม่ใช่ว่าเขามีสปริตนักแสดงสูงส่งอย่างที่คนอื่นเข้าใจ แต่เป็นเพราะเขาคิดถึงการขี่ม้ายิงธนูต่างหาก นึกไม่ถึงว่าจะมีคนตั้งใจทำร้ายเขาจริงๆ
   ขณะที่จิวซือควบม้า และง้างธนูขึ้นนั้น ก็พลันรู้สึกได้ถึงอันตราย ราวกับว่าธนูเล็งมาที่ตัวเขาด้วยเจตนาทำร้าย หูได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศพุ่งเข้ามา จิวซือเอนร่างไปด้านข้างพร้อมกับใช้จิตเซียนเบี่ยงวิถีธนูออกไป ลูกธนูพุ่งเฉียดต้นแขนของเขาไปปักต้นไม้ใหญ่ ทว่าม้าที่เขาขี่เกิดอาการตกใจและสะบัดเขาหล่นพื้นอย่างแรง
   แขนหัก...ล่ะมั้ง
   ทั้งที่แขนเจ็บ สมองกลับนึกถึงบทสนทนากับเหอเทียนเหิงก่อนหน้านี้ แล้วก็อดนึดขำในใจไม่ได้ว่าคำพูดของฝ่ายนั้นช่างศักดิ์สิทธิจริงๆ


   วังทะเลตะวันออก
   หนึ่งในสี่วังใหญ่ของภพสวรรค์ ตัววังไม่ได้ตั้งอยู่กลางทะเล แต่เป็นภพสวรรค์เหนือน่านฟ้าของมหาสมุทรฝั่งตะวันออกของวังกลางซึ่งเป็นที่ประทับของจอมเทพ เขตแดนของวังทะเลตะวันออกกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เนรมิตและรังสรรอย่างวิจิต ลำพังอัญมณีที่ประดับกำแพงวังก็ล้วนแต่เป็นอัญมณีธาตุน้ำที่หากปรากฏบนโลกมนุษย์ คงเกิดการฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงเป็นเจ้าของ เหนือยอดปราสาทปรากฏสะพานสายน้ำสีครามระยิบระยับทอดยาวไปเชื่อมต่อกับวังกลาง และเขตแดนที่สำคัญอื่นๆ บางส่วนทอดไปยังภพมังกร บางส่วนไปยังภพมนุษย์บริเวณเหนือเทือกเขาไท่ซาน
   ในห้องโถงกว้างใหญ่ทรงโดม เจ้านายแห่งวังทะเลตะวันออกอย่างเทพอวิ๋นหนาน ผู้ที่กลับมาภพสวรรค์ด้วยเรื่องงานชุมนุมเทพเซียนซึ่งจะจัดขึ้นที่เขาไท่ซาน เขตปกครองของทะเลตะวันออกนั้น กำลังเพ่งมองกระจกใสบานเล็กบนโต๊ะทรงอักษรของเขา
   กระจกใบนั้นฉายภาพของบุรุษในชุดดำกำลังเบี่ยงตัวหลบวิถีธนู ก่อนที่ร่างสูงโปร่งของเขาจะเสียหลักตกสู่พื้นดินอย่างแรง มือข้างหนึ่งของเทพอวิ๋นหนานยื่นออกไปในอากาศคล้ายจะเข้าไปรับร่างนั้นไว้ก่อนจะค้างอยู่อย่างนั้น นิ้วเรียวยาวทั้งห้าขยับเข้าหากันเป็นหมัด ครู่หนึ่งค่อยคลายออกแล้ววางลงบนโต๊ะตามเดิม นิ้วชี้ของเขาเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ
   ตึก ตึก ตึก



   จิวซือถูกส่งมารักษาที่โรงพยายามในซานตง แน่นอนว่าเรื่องคราวนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะไม่ใช่แค่การผิดคิว แต่เป็นปองร้ายหมายชีวิตของนักแสดงในกอง ลูกธนูที่ปักอยู่กับลำต้นของต้นไม้ใหญ่เป็นหลักฐานชั้นดี เพราะเป็นธนูจริง ไม่ใช่หัวลูกยางอย่างที่เตรียมไว้ นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดว่าคนยิงจงใจยิงไปที่ร่างของหลิวเจียเย่ คนร้ายมีการเตรียมพร้อมาอย่างดี ทันทีปล่อยธนูก็หลบหนีเข้าป่า ยังตามหาไม่เจอ ฝ่ายเทคนิคของกองถ่ายบอกว่าชายผู้ต้องสงสัยเป็นคนรู้จักที่อ้างว่ามางานทำแทนคนเดิมที่ป่วย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอะใจ
   ส่วนเรื่องสืบหาคนร้าย และจะดำเนินการอย่างไรต่อให้ส่งผลต่อกองถ่ายเซียนเมฆาน้อยที่สุดนั้น จิวซือไม่ทราบ ทราบก็แต่เพียงว่าคนของมู่อินได้เข้ามาดูแลเรื่องนี้แล้ว
   “ขอโทษด้วยครับผู้กำกับ” จิวซือกล่าวขออภัยเจียงเฉินกับทีมงานอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงเขา แม้เจียงเฉินไม่ได้เอ่ยตำหนิ แต่เขาก็ทราบว่าฝ่ายนั้นร้อนใจไม่น้อยกับการที่ตัวเอกในภาพยนตร์บาดเจ็บแขนหักจนต้องใส่เฝือก ทำให้การถ่ายทำต้องล่าช้าออกไปอีก จะว่าไปการที่จิวซือยืนยันไม่ใช้แสตนอินก็มีส่วนด้วยเหมือนกัน
   “รักษาตัวเถอะ”
   “ใส่เฝือกสามเดือน?” ผู้ช่วยหลิวถาม
   “อาจจะเร็วกว่านั้นครับ ถ้าฟื้นตัวดี” หมอบอกว่าต้องใส่เฝือกประมาณสองเดือนครึ่งถึงสามเดือน แต่จิวซือเชื่อว่าเขาสามารถเร่งการฟื้นตัวของกระดูกตัวเองได้ มีวิธีหนึ่งให้ลองดู
   “เราจะถ่ายฉากอื่นๆ ที่ไม่มีเธอก่อน เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง”
   “ขอบคุณครับ”

   เจียงเฉินและทีมงานเพิ่งก้าวออกจากห้องไป โดยมีหลี่รุยถิงตามไปส่ง และอาสาไปเก็บเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆ ของเขาจากโรงแรมมาให้ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเหอเทียนเหิงโทรมา จิวซือก็ยกยิ้มเล็กน้อยกับข่าวสารที่ว่องไวของฝ่ายนั้น
   “ครับ”
   “นายตกม้า?”
   “ข่าวไวนะครับ”
   “…” ได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็กลายเป็นความเงียบ โดยปกติแล้วแม้เหอเทียนเหิงจะค่อนข้างเย็นชากับคนอื่น แต่เวลาอยู่กับเขา อีกฝ่ายมักจะหาเรื่องคุยไม่หยุด เหอเทียนเหิงในเวลานี้จึงทำให้จิวซือรู้สึกไม่คุ้นเคยนัก
   “พี่เหอ?”
   “พรุ่งนี้ฉันจะไปหา”
   “ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”
   “พรุ่งนี้เจอกัน”
   น้ำเสียงที่ดังจากโทรศัพท์ไม่มีวี่แววให้ต่อรอง การที่เหอเทียนเหิงอยากมาเยี่ยมเขานั้น จิวซือย่อมไม่ขัดข้องอยู่แล้ว อย่างไรเขาก็ว่างเสียยิ่งกว่าว่าง มีเพื่อนคุยเพิ่มย่อมเป็นเรื่องดี เพียงแต่อาการเคร่งเครียดจริงจังของเหอเทียนเหิงนั้น ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ “พี่เหอ คุณคงไม่ได้หนีงานมาหรอกนะ ใช่ไหม”
   “ไม่ได้หนี แค่จะทำให้เสร็จวันนี้”


   ช่วงเย็นของวันต่อมา เหอเทียนเหิงก็มาเยี่ยมจิวซือจริงอย่างว่า ร่างสูงใหญ่ของเขาทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง มือไม้ที่เคยทำรุ่มร่ามเพียงแต่วางบนขอบเตียง ดวงตาของเขาไล่มองคนป่วยตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะหยุดอยู่ที่แขนขวาซึ่งเข้าเฝือกอยู่
   “เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”
   จิวซือเลิกคิ้ว “เรื่องคนร้ายน่ะเหรอครับ?”
   “ใช่”
   “ให้ทางมู่อินจัดการเถอะครับ พี่ไม่ต้องลำบากหรอก”
   “เสี่ยวเย่ มันอาจจะเกิดเพราะฉันก็ได้” น้ำเสียงที่อ่อนลงของคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงตรงข้ามกับประกายกร้าวที่พาดผ่านดวงตา แฝงไว้ด้วยความกระหายเลือดที่ไม่ควรมีอยู่ในเหล่ามนุษย์ธรรมดา
   จิวซือชะงักไปเล็กน้อยกับแววตานั้น ความคาดหวังบางอย่างผุดขึ้นในใจ ชั่ววูบเดียวเท่านั้นก่อนจะถูกเจ้าตัวปัดทิ้งไป ใบหน้าที่มีเลือดฝาดไม่เหมือนคนป่วยหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะดีดนิ้วใส่มือของเหอเทียนเหิงที่อยู่ใกล้ๆ ดวงตาของเขาเป็นประกายขบขัน “เฮ นี่พี่สั่งคนมาทำร้ายผมหรอกเหรอ”
   “จะเป็นไปได้ไงเล่า” เหอเทียนเหิงสวนกลับทันควัน
   “งั้นก็ไม่เกี่ยวกับพี่”
   เหอเทียนเหิงอึ้งไป เหม่อมองใบหน้าประดับรอยยิ้มสบายๆ ของหลิวเจียเย่ราวกับว่าถูกภาพตรงหน้าล่อลวง พันธการความคิดความรู้สึกไว้ ไม่รู้เมื่อไรที่ความหลงใหลอยากได้กลายเป็นความรู้สึกอ่อนหวานอย่างหนึ่ง ก่อนหน้านี้ยังไม่แน่ใจ แต่เวลานี้เหอเทียนเหิงมั่นใจว่าเขาคงตกหลุมรักหลิวเจียเย่เข้าแล้ว
   มือใหญ่เข้ากอบกุมนิ้วข้างนั้นไว้ เหอเทียนเหิงได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรง ประกายกร้าวในดวงตาพลันอ่อนลง “ฉันหมายถึงอาจมีคนไม่พอใจนายเพราะฉัน”
   “ถ้าเป็นอย่างนั้น คนผิดก็คือคนพวกนั้นครับ ไม่ใช่พี่”
   “…”
   “พี่เหอ”
   “รู้แล้ว นายนอนพักเถอะ”
   เหอเทียนเหิงตัดบท สายตาของเขาลุ่มลึกเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
   “ผมรู้ว่าห้ามพี่ไม่ได้ แต่อย่าให้มันรุนแรงเกินไปนะครับ” ไม่ใช่ว่าอยากสร้างภาพเป็นคนดีอะไร เพียงแต่ว่าหากเป็นเรื่องจริง หากสิ่งที่เขาคาดหวังแม้เพียงเล็กน้อยนั้นคือเรื่องจริง... อย่างไรก็ตามไม่สร้างบาปหนักเป็นการดีที่สุด

   เหอเทียนเหิงยิ้ม ก่อนที่มือข้างเดิมจะเลื่อนมากุมใบหน้าของจิวซือแล้วลูบเบาๆ “ถ้านายรีบหาย”

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 17:00:46
Life of a superstar




(7)



   ระหว่างที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จิวซือก็มักจะฝึกสมาธิ และดึงพลังจากธรรมชาติเพื่อเร่งการฟื้นตัวของร่างกายไปด้วย ที่จริงแล้วนี่คือพื้นฐานของการบำเพ็ญเพียรของเหล่าเซียน แม้ร่างกายของมนุษย์จะหยาบและสกปรกด้วยกิเลสตัณหา ทำให้การรับพลังทำได้ยาก แต่ก็ยังดีว่านั่งๆ นอนๆ โดยไม่ทำอะไร
   เมื่อวานนี้หลี่รุยถิงหน้าเครียดมาหาเขา บอกว่าข่าวเรื่องที่เขาตกม้ารู้ไปถึงสื่อต่างๆ แล้ว ทั้งยังมีคนบิดเบือนข้อเท็จจริง ปล่อยข่าวว่าเขาอวดเก่ง ไม่ยอมใช้แสตนอินทั้งที่ขี่ม้าไม่เป็น กลายเป็นว่่าความอวดดีของเขาทำให้ทั้งกองถ่ายเดือดร้อน นักแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้แต่ละคนล้วนเป็นคนมีชื่อเสียง แฟนคลับที่รอชมเซียนเมฆาเรียกว่าเกินครึ่งแผ่นดิน ดังนั้นบรรดาคนที่หลงเชื่อข่าวลือและต่อว่าเขาจึงมีมากมายนับไม่ถ้วน จิวซือเปิดโซเชียลดูก็พบว่าฝีปากของแต่ละคนเผ็ดร้อนไม่เบา อย่างเช่นว่าหลิวเจียเย่เป็นตัวถ่วงบ้าง มีดีแค่หน้าตาแต่ฝีมือไม่เอาไหน หรือแม้กระทั่งยั่วยวนเหอเทียนเหิง อาศัยบารมีฝ่ายนั้นจนได้บทเสวี่ยนซื่อจวิ๋นบ้าง
   จิวซืออ่านข้อความเหล่านั้นแล้วยกยิ้ม เขาน่ะหรือยั่วยวนเหอเทียนเหิง ต้องบอกว่าฝ่ายนั้นยั่วเขาสิถึงจะถูก อาจเพราะรู้สึกอยู่เสมอว่านี่เป็นแค่บททดสอบหนึ่ง หรือไม่ก็ผ่านชีวิตที่ยากลำบากกว่านี้หลายสิบเท่ามาแล้ว จิวซือจึงไม่ได้รู้สึกหดหู่ หัวเสียอะไร คล้ายกับว่ากำลังชมละครเรื่องหนึ่งมากกว่า แน่นอนว่าต่อหน้าคนอื่น เขายังคงต้องแสดงสีหน้าเศร้าใจอยู่บ้าง แต่เมื่อใดก็ตามที่อยู่ลำพัง เซียนน้อยที่ขยันขันแข็งอย่างเขาก็แค่บำเพ็ญเพียรอย่างสบายใจ
   ขณะที่เขากำลังนั่งสมาธิอยู่นั้น ก็มีแขกที่ไม่คาดคิดมาเยี่ยม เป็นมู่เหยียนเฉินนั่นเอง เจ้านายที่ไม่ได้พบมาพักใหญ่เดินเข้ามาเพียงคนเดียว ปราศจากวี่แววของเลขาหรือผู้ช่วย ร่างสูงในชุดสูทเรียบหรูหยุดอยู่ข้างเตียง ห่างไปราวหนึ่งก้าว ใบหน้าราบเรียบตามนิสัย
   “ท่านประธาน”
   “อืม”
   “ขอบคุณที่มาเยี่ยมครับ”
   อวิ๋นหนานไม่ตอบ สายตามองผ่านแขนที่เข้าเฝือกก่อนหยุดลงบริเวณหน้าต่างที่เปิดอยู่ กระแสพลังธรรมชาติไหลเวียนเข้ามาในห้องอย่างต่อเนื่อง แม้จะบางเบามากก็ตาม
   อวิ๋นหนานพิจารณาลูกน้องที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด ใบหน้ามิคล้ายใบหน้าของเซียนน้อยที่เขาเคยเห็น ยกเว้นก็แต่ดวงตากระจ่างใสที่พอจะคล้ายคลึงอยู่บ้าง พลางคิดว่าคลาดสายตานิดเดียวก็เจ็บตัวแล้ว พลังเซียนใช้ได้ไม่ดี ถือว่ายังอ่อนหัด แต่มีความพยายาม และฉลาดพอที่จะดึงพลังมาใช้กับกายหยาบของมนุษย์โดยไม่ต้องสอน
   จะว่าไป ตำหนักของเขาไม่มีเทพหน้าใหม่มานานแล้ว
   “เรื่องอื่นๆ มู่อินจัดการให้ นายรักษาตัวให้หายก็พอ”   
   “ขอบคุณครับ”
   “เอ่อ ท่านประธาน ผม...เรื่องข่าว”
   เห็นมู่เหยียนเฉินไม่ว่าอะไร จิวซือจึงยิ้มอย่างขออภัยและกระดากอาย แล้วกล่าวต่อว่า “จริงๆ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ปล่อยผ่านไปก็ได้ แต่เรื่องขี่ม้ายิงธนูนั้นไม่ทราบมีวิธีการใช้มันโปรโมทตัวผมมั้ยครับ”
   เดิมทีเขาไม่สนใจ แต่เมื่อหลี่รุยถิงบอกว่าทางมู่อินจะแก้ข่าวให้เขา จิวซือจึงลองเสนอความคิดของตนดูบ้าง แทนที่จะแก้ข่าว หรือสร้างข่าวใหม่มากลบข่าวเดิม ทั้งสองอย่างล้วนเป็นสิ่งที่สร้างขึ้น ไม่ใช่เรื่องจริง ในเมื่อเขาสามารถใช้เรื่องจริงแก้ข่าวได้ จะต้องอาศัยคนอื่นทำไม
   การขี่ม้ายิงธนูนั้นคือความสามารถที่แท้จริงของเขา จะต้องสร้างข่าวอื่นขึ้นมาทำไม
   “นายมั่นใจในฝีมือ?”
   “ครับ”
   “รอหายดี แล้วจะให้คนมารับ”
   “ขอบคุณครับ ท่านประธาน”
   มู่เหยียนเฉินพยักหน้าเป็นเชิงอำลา หันหลังเดินไปยังประตู ทว่าก็ไม่ลืมโบกมือคราหนึ่ง ทันใดนั้นพลังธรรมชาติ โดยเฉพาะธาตุน้ำ ต่างก็แย่งชิงกันหลั่งไหลเข้ามารอบโรงพยาบาล โดยเฉพาะบริเวณห้องพักของจิวซือ พวกมันคล้ายมีจิตสำนึกรู้ รอคอยให้คนในห้องพักนั้นเรียกใช้อย่างเชื่อฟัง เพราะนี้คือพระประสงค์ขององค์เทพ พวกมันย่อมยินดีปฏิบัติตาม
   
            ดูเหมือนว่าการดึงพลังธรรมชาติมาใช้จะได้ผลไม่เลว เพราะแขนของจิวซือหายเร็วกว่าที่แพทย์ประมาณการไว้ถึงหนึ่งเดือน เขาลองขยับแขนที่ถอดเฝือกแล้วก็ไม่รู้สึกติดขัดแต่อย่างใด เนื่องจากผู้กำกับจางไม่คิดว่าเขาจะหายเร็วถึงเพียงนี้ จิวซือจึงยังไม่มีคิวถ่ายทำในช่วงนี้ ดังนั้นเขาจึงกลับมาปักกิ่งเพื่อเป็นครูสอนขี่ม้าให้กับเด็กฝึกของมู่อินในรายการแนว Survival ชื่อว่า Actor National Selection ซึ่งเป็นรายการที่ถ่ายทอดชีวิตความเป็นอยู่ การฝึกฝน ตลอดจนการทำภารกิจต่างๆ ของเด็กฝึกตลอด 24 ชม. เพื่อคัดเลือกเป็นนักแสดงในสังกัดของมู่อิน และผู้ชนะทั้ง 4 คน จะได้รับบทนำในละครวัยรุ่นที่มู่อินจะผลิตในปีหน้า
            “คุณหลิว” ทีมงานทักทายจิวซืออย่างสุภาพ และพาเขาไปฟังบรีฟจากโปรดิวเซอร์ สิ่งที่จิวซือต้องทำจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เขาเพียงต้องขี่ม้าเข้ามาจากฝั่งตรงข้ามของสนาม แสดงท่าทางที่คิดว่าสง่างามและสร้างความประทับใจให้กับเหล่าเด็กฝึก ที่สำคัญคือทำให้ทุกคนเชื่อว่าเขาคือฮัวฉีเหลย ทายาทนักธุรกิจชื่อดัง คุณชายตระกูลผู้ดีเก่า ผู้เพียบพร้อม อ่อนโยนราวกับหลุดมาจากนิยาย คู่แข่งที่แท้จริงของเขาไม่ใช่ใคร แต่เป็นเจ้าม้าสีขาวล้วนที่เขาต้องขี่นั่นแหละ เพราะความสวยงามและแข็งแกร่งของมันสามารถบดบังตัวตนของนักแสดงทั่วไปได้อย่างง่ายดาย

            “ภารกิจคราวนี้คือขี่ม้าเหรอ อวี่ชิง คราวนี้นายชนะอีกแน่”
            เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘อวี่ชิง’ ไม่ตอบ เขาแค่ยกยิ้มจนเห็นลักยิ้มสองข้าง ฟานอวี่ชิง วัยสิบแปดปี เป็นน้องชายของฟานรุยอวี่ นักแสดงหญิงชื่อดัง เด็กหนุ่มสูงประมาณ 178 ซม. รูปร่างสูงโปร่ง ประกอบกับใบหน้าติดจะหวานของเขา ทำให้เขาเป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้หญิง และเป็นหนึ่งในตัวเต็งของการแข่งขันเฟ้นหานักแสดงชายครั้งนี้
            “บทฮัวฉีเหลยมีฉากขี่ม้าเป็นฉากเปิดตัว นี่อาจจะเป็นการคัดตัวล่วงหน้าก็ได้”
            “อืม เป็นไปได้สูงเลยล่ะ”


            ขณะที่เหล่าเด็กฝึกราว 30 คน กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงควบม้าดังมาจากอีกด้านหนึ่งของสนาม ท่ามกลางสนามหญ้าสีเขียวขจี และท้องฟ้าสีฟ้าอ่อน มีเมฆสีขาวแซมอยู่ประปรายนั้น ปรากฏร่างเงาของอาชาสีขาวล้วนตัวหนึ่ง มันมีขนาดใหญ่ว่าอาชาทั่วไปอยู่เล็กน้อย กล้ามเนื้อสะโพกยามโลดแล่นกลางพื้นหญ้าเผยความแข็งแกร่งและพละกำลังออกมาอย่างเด่นชัด แผงคอของมันสะท้อนแสงแดดเป็นประกายสีทองดูสง่างามเสียจนชวนให้คิดว่าที่มองเห็นอยู่นั้นไม่ใช่แค่อาชา แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่สวยงามยิ่งตัวหนึ่ง
            กระนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตที่สวยงามไม่แพ้กันนั่งอยู่บนหลังของมัน เขาคือบุรุษผู้หนึ่ง ทั้งที่สวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดาตัวหนึ่งกับกางเกงขายาวสีดำ แต่ความมั่นใจที่เผยให้เห็นผ่านแผ่นหลังเหยียดตรง ลำคอเรียวยาว และใบหน้าเชิด มองไปเบื้องหน้านั้นกลับบ่งบอกถึงความสูงศักดิ์ของเจ้าตัว ไม่ว่าผู้ใดล้วนมองออกว่าบุรุษที่มีท่าทางสง่างามเช่นนี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
            เมื่อบุรุษผู้นั้นควบม้าเข้ามาใกล้ ห่างจากรั้วกั้นเพียงไม่กี่เมตร เขาก็รั้งบังเหียนให้ม้ากลับตัวอย่างกะทันหันกระทั่งขาหน้าทั้งสองของมันลอยจากพื้น เจ้าม้าสีขาวส่งเสียงฮี่อย่างคึกคะนอง และในขณะนั้นเอง ชายหนุ่มผู้นั้นก็คว้าธนูที่สะพายอยู่ แล้วยิงธนูดอกหนึ่งออกไปโดยไม่เล็ง ลูกธนูแล่นฉิวด้วยความเร็วจนเกิดเสียงวัตถุแหลกอากาศ จากนั้นเขาค่อยกระโดดลงจากม้าพร้อมรอยยิ้มสว่างไสว มือลูบแผงคอของมันเป็นการชมเชย
            หากเจ้าชายขี่ม้าขาวในนิยายมีอยู่จริง บางทีคงถอดแบบมาจากคนผู้นี้


            เหม่ยจี เป็นแฟนรายการ Actor National Selection ตั้งแต่ตอนแรก ทุกๆ วันเธอจะเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์เพื่อรอดูฟานอวี่ชิง และทุกวันเสาร์เธอจะกดโหวตให้เขา รวมถึงคะยั้นคะยอให้เพื่อนๆ ช่วยโหวตด้วย สำหรับเธอแล้วฟานอวี่ชิงคือเพชรเม็ดงานที่สมควรโดดเด่น เป็นเจ้าชายคนใหม่แห่งวงการบันเทิง
            ทว่านับตั้งแต่ที่เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งควบม้าสีขาวห้อทะยานบนพื้นหญ้า สายตาของเธอไม่เคยละจากเขาแม้เพียงเสี้ยววินาที กระทั่งคนผู้นั้นปล่อยลูกธนูด้วยท่าทางของมืออาชีพ กระทั่งคนผู้นั้นกระโดดลงสู่พื้นหญ้าและส่งยิ้มให้ เหม่ยจีรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกคนผู้นั้นสูบวิญญาณ ในห้วงความคิดจดจำได้เพียงท่วงท่าสง่างามยามอยู่บนหลังม้า แขนที่ง้างธนูเปี่ยมด้วยกำลังของชายหนุ่ม และรอยยิ้มอ่อนโยน สว่างไสวเหมือนดวงอาทิตย์ยามเช้าของเขา
            เจ้าชาย...
            เจ้าชาย...
            ช่างหัวฟานอวี่ชิงอะไรนั่น คนคนนี้ต่างหากคือเจ้าชายตัวจริงของเธอ!!!



            บ้าคลั่ง
            คงเป็นคำเดียวที่พอจะอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางโซเซียล และโฮมเพจของมู่อินได้ มีคนที่ถูกสูบวิญญาณเหมือนเหม่ยชิงอีกมากมายนับไม่ถ้วน คำถามว่าเจ้าชายขี่ม้าขาวคนนั้นคือใครหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน ยิ่งหลังจากที่กล้องฉายภาพลูกธนูปักกลางเป้าอย่างแม่นยำ ยิ่งทำให้ความอยากรู้อยากเห็น และอาการตกหลุมรักของแต่ละคนหนักข้อขึ้นไปอีก
          “เจ้าชายคนนั้นคือเย่เย่ >//< นี่ลิงค์เวยป๋อของเขาจ้า”
          “คนนั้นคือหลิวเจียเย่จ้า หล่อมาก หล่อกว่าตอนโฆษณาของ Passion Mu-in อีก”
          “ข่าววงในบอกว่าเขาอยู่ในระดับ B-list ของมู่อิน แต่เพราะปัญหาสุขภาพ ก่อนหน้านี้จึงไม่ค่อยมีผลงาน ฉันมีนิตยสารของเขาอยู่ด้วย”
          “ใช่หลิวเจียเย่ที่เป็นข่าวกับเหอเทียนเหิงหรือเปล่า”
          “ใช่ คนเดียวกันนั่นแหละ”
          “ถ้างั้นข่าวที่บอกว่าเขาตกม้าก็เป็นข่าวปลอมสิ”
          “ข่าวปลอมมั้ง ใครบอกเขาขี่ม้าไม่เป็น ท่าทางของเขาดูชำนาญกว่ามืออาชีพอีก”       
          “นั่นสิ ถามไปทางเพจมู่อิน ก็ยังไม่ตอบอะไรเลย”
          “ฉันโหลดวิดีโอช่วงที่เข้าบังคับให้ม้าหมุนตัวมาทำเป็น Gif ไว้ด้วย ไม่ไหวแล้ว Daddy มากๆ”
          “เมื่อไรเซียนเมฆาจะฉายนะ ฉันแทบรอไม่ไหวแล้ว”
          “ใครมี account บ้านแฟนไซส์ของเจียเย่บ้าง บอกบุญหน่อยค่ะ”
          “เย่เย่จะได้แสดงบทฮัวฉีเหลยมั้ย ได้โปรดให้เขาแสดงบทนี้เถอะ ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเย่เย่ของเราอีกแล้ว”



            ทันทีที่ฉากขี่ม้าของหลิวเจียเย่ออกอากาศ ชื่อของเขาก็กลายเป็นคำค้นหาอันดับหนึ่งทันที และยังมีคำอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเขาอย่างเจ้าชายขี่ม้าขาวรวมอยู่ด้วย แฟนคลับของเขาในเวยป๋อ และเวบไซต์ของมู่อินก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ ฉายาเจ้าชายขี่ม้าขาวซึ่งเกิดจากคำค้นหาของแฟนรายการ ได้กลายเป็นฉายาของหลิวเจียเย่ ฉายาที่ทำให้จิวซือแทบสำลักน้ำ เพราะมั่นใจว่าตนเองไม่มีทางเป็นวีรบุรุษช่วยเหลือสาวงามอย่างแน่นอน
   ไม่กี่วันต่อมา จิวซือก็ได้รับข่าวจากหลี่รุยถิงว่าฟานรุยอวี่ขอถอนตัว ผู้กำกับจางที่ปกติคงต้องอาละวาดสักหนึ่งยก กลับเงียบ และไม่กล่าวถึงเหตุผลการถอนตัวของเธอ เพียงแต่แจ้งว่าการถ่ายทำคงจะล่าช้าออกไปอีก เพราะพวกเขาต้องเปลี่ยนนักแสดง กระนั้นหลี่รุยถิงก็ได้ยินจากรุ่นพี่ในบริษัทว่าเหอเทียนเหิงเป็นคนบีบให้เธอถอนตัว ที่สำคัญเขาให้ผู้ช่วยส่วนตัวแจ้งทุกบริษัท ทุกค่ายทราบว่าเขาไม่ประสงค์จะร่วมงานกับฟานรุยอวี่
            เหอเทียนเหิงเป็นใคร คนภายนอกอาจไม่ทราบทั้งหมด แต่เหล่าคนใหญ่คนโตในวงการต่างทราบดี การที่เขารังเกียจฟานรุยอวี่ ก็เท่ากับว่าอนาคตของเธอดับไปแล้วครึ่งหนึ่ง ห้าปีต่อจากนี้คงไม่มีผลงานจากดาราสาวผู้นี้ให้ได้เห็นกันอีก




   ทั้งจิวซือและมู่อินต่างไม่คาดคิดว่าการปรากฏตัวสั้นๆ ของหลิวเจียเย่จะสร้างกระแสให้เขาได้มากมายขนาดนี้ อาจเพราะหน้าตา รูปร่าง ประกอบกับกริยาไว้ตัวเล็กน้อยแต่ก็อ่อนโยนใจดีที่แสดงออก ทำให้ภาพลักษณ์เจ้าชายของเขาดูโดดเด่นกว่าบรรดาเด็กฝึกหลายขุม เกิดเป็นการเปรียบเทียบชัดเจนก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามผลประโยชน์คราวนี้มู่อินรับไปเต็มๆ เรตติ้งรายการ Actor National Selection พุ่งสูงเป็นสถิติใหม่ ทั้งยังมีบริษัทที่สนใจติดต่อหลิวเจียเย่เป็นพรีเซนเตอร์สินค้าอีกด้วย หากก่อนหน้านี้มีคนคิดว่าเขาใช้เส้นสายจนได้บทเด่นในเซียนเมฆา เวลานี้กลายเป็นว่าตั้งตารอดูการแสดงของเขา
   นักแสดงหญิงที่มาแทนฟานรุยอวี่เป็นนักแสดงของมู่อิน แม้จะไม่ดังเท่าฟานรุยอวี่ แต่ก็นับว่าเป็นที่รู้จักดี การถ่ายทำภาพยนตร์ล่าช้าไปเกือบสามเดือน ในที่สุดจิวซือก็กำลังจะได้ถ่ายฉากสุดท้ายของเขา นั่นคือฉากที่ซื่อจงฮ่องเต้หรือเสวี่ยนซื่อจวิ๋นวาดภาพเกาจงเฉินผู้ตายจากไปด้วยการปกป้องเขาจากคมดาบของมือสังหาร จากนั้นจรดพู่กันเขียนกลอนบนหนึ่ง เมื่อวิญญาณเกาจงเฉินเห็นภาพและบทกลอน รวมถึงรอยรวดร้าวของอีกคน ค่อยตระหนักว่าเสวี่ยนซื่อจวิ๋นรักเขามาโดยตลอด
   พลัดพราก ใจรอน
   จากไกล สุดหล้า   

   มือที่จับพู่กันสั่นน้อยๆ ร่างซูบผอมในฉลองพระองค์สีเหลืองทองต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะตวัดปลายพู่กันบนผืนผ้าขาวอีกครั้ง
   ใฝ่หา ฤาจักเห็น
   มิสู้ หลับเสีย ตามติด จิตคะนึง

   เสียงผู้กำกับเจียงสั่งคัท ตามด้วยเสียงปรบมือของเหล่าทีมงานและนักแสดง การถ่ายเซียนเมฆาในที่สุดก็จบลงแล้ว




   งานเลี้ยงปิดกล้องดำเนินมาได้ช่วงหนึ่ง จิวซือก็ขอตัวออกมาห้องน้ำ เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จค่อยพบว่าเหอเทียนเหิงยืนพิงผนังด้านข้างรอเขาอยู่ นิ้วเรียวยาวของเหอเทียนเหิงคีบบุหรี่ ปากหยักพ่นควันสีเทาออกมา สายตาของเขามองไปนอกหน้าต่าง ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่
   “พี่เหอ”
   พอได้ยินเสียงเรียก เหอเทียนเหิงก็หันมายิ้มให้ รอยยิ้มภายใต้แสงไฟสีเหลืองดูพร่าพราย   
   “เรื่องคุณฟาน ฝีมือพี่เหรอครับ”
   เหอเทียนเหิงไม่ตอบ แต่แววตาแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย
   “พี่ทำร้ายร่างกายเธอหรือเปล่า”
   “เปล่า”
   “แล้ว?”
   ชายหนุ่มทำหน้าอึดอัด ก่อนจะสารภาพว่า “แค่ขมขู่”
   “แบบมีหลักฐานใช่มั้ยครับ”
   ใบหน้าหล่อเหลาของดาราใหญ่อึ้งไปกับคำถามที่ไม่คาดคิด แม้เขาจะเก็บอาการอย่างดี จิวซือก็เห็นว่าดวงตาเขาสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกำลังคิดหาข้อแก้ตัว ท่าทางที่คนทั่วไปคงไม่มีทางได้เห็น ทำให้จิวซืออารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก
   “อ้อ แบล็คเมล์นี่เอง”
   “นายโกรธ?”
   คราวนี้จิวซือกลั้นไม่ไหว เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง ใครจะไปคิดว่าคนอย่างเหอเทียนเหิงก็มีมุมน่ารักแบบนี้เหมือนกัน
   “ที่บ้านพี่มีไวน์มั้ยครับ”
   สีหน้าของเหอเทียนเหิงเปลี่ยนจากไม่เข้าใจ เป็นตกใจ จากนั้นค่อยกลายเป็นความตื่นเต้น ความคาดหวังอย่างแทบรอไม่ไหวเต้นระริกอยู่ในดวงตาคู่นั้น มุมปากของเขาเม้มเข้าหากันคล้ายพยายามจะกลั้นยิ้ม แต่เพียงครู่เดียวก็ยอมแพ้ รอยยิ้มกว้างปรากฏบนในหน้าหล่อเหลาทำให้บรรยากาศรอบตัวกลายเป็นละมุนอ่อนโยน
   ไม่ทราบว่าเป็นเพราะถูกดวงตาคู่นั้นจับจ้อง หรือเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ หรืออาจจะเป็นอารมณ์ที่หลงเหลืออยู่จากการแสดงเมื่อกลางวัน จิวซือเริ่มรู้สึกหวั่นไหนขึ้นมา
   ในช่วงเวลาสั้นๆ ของชีวิตมนุษย์ผู้หนึ่ง พบ-รัก-พราก-จาก ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน บางสิ่งจริงแท้ บางสิ่งลวงหลอก ใครเล่าจะรู้แน่ ราวกับเส้นดายม้วนใหญ่พันกันยุ่งเหยิงจนแก้ไม่ออก บางทีอาจเป็นเรื่องจริง บางทีอาจเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง
   ถูกแล้ว ก็เหมือนกับชีวิตในชาตินี้ บางทีก็เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง

   “ผมไปดื่มไวน์ที่ห้องพี่ได้มั้ย”


         


       จิวซือรู้สึกว่ามือของเหอเทียนเหิงสั่นยามที่ปลดกระดุมเสื้อของเขา มือคู่นั้นทั้งใหญ่และร้อน ทำให้ร่างกายของเขาร้อนขึ้นไปด้วย พวกเขาไม่ได้ดื่มไวน์ ไม่มีแม้กระทั่งการพูดคุยอะไร มีเพียงความรีบเร่ง ต่างใช้ความรู้สึกและความต้องการสั่งร่างกายแทนสมอง
“สวยมาก” เหอเทียนเทียนพูดเหมือนละเมอยามที่เปลื้องอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายออกจากร่างขาว สายตาของเขาโลมเลียไปทั่วร่างของจิวซือ ขณะที่มือกระชากเสื้อราคาแพงของตัวเองโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี เขาใช้สองมือประคองใบหน้าแดงเรื่อของคนที่นอนทอดกายพร้อมปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเขา ริมฝีปากสัมผัสกันเพียงแผ่วเบาคราหนึ่ง ก่อนจะกดจูบหนักๆ ลงไป
“เด็กดี อ้าปาก”
ลิ้นร้อนส่งเข้ามาสำรวจตามแนวฟัน ลัดเลาะเพดานปาก กระหวัดเกี่ยวพันกันอย่างโหยหา บางครั้งนุ่มนวล บางครั้งรุกราน การจู่โจมจากปลายลิ้นลามไปยังปลายคาง ลำคอ แอ่นชีพจร ลาดไหล่ ริมฝีปากของเหอเทียนเหิงดูดดุน ขบกัด ลมหายใจชายหนุ่มหอบหนักเหมือนกำลังจะควบคุมตัวเองไม่ได้
เพียงแต่เริ่มต้น สติของเขาก็แทบหลุดจากร่าง พ่ายแพ้ให้กับสัญชาตญาณ
“อย่ากัด” จิวซือดันไหล่เหอเทียนเหิงออกเมื่อรู้สึกเจ็บแปลกที่ยอดอก เซ็กส์ที่เผ็ดร้อนรุนแรงเช่นนี้เขาไม่เคยเจอมาก่อน
“ก็ของนายมันน่ารัก” ว่าแล้วเหอเทียนเหิงก็ก้มลงริมรสชาติของตุ่มไตทั้งสองข้างอย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง และอีกครั้ง จิวซือครางฮือในลำคอ มือของเขาเองก็สำรวจร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเหอเทียนเหิง นิ้วสะกิดยอดอกสีเข้มของอีกฝ่ายเป็นการแก้แค้น นึกไม่ถึงว่าจะถูกรวบมือทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะ ดวงตาแวววาวที่จ้องเหมือนทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อที่กำลังจะถูกกิน
ความรู้สึกว่าถูกใครสักคนต้องการจนแทบรอไม่ไหวทำให้ร่างกายของเขาร้อนผ่าว รอยยิ้มยั่วยวนแกมท้าทายจึงผุดขึ้นที่มุมปาก เพียงแค่นั้นสติที่คงเหลืออยู่น้อยนิดของเหอเทียนเหิงก็ขาดผึง มือใหญ่จับต้นขาของจิวซือ และดันจนชิดหน้าอก เผยให้เห็นดอกตูมที่รอให้เขาค้นหา
ดวงตาของเหอเทียนเหิงคล้ายจะส่องประกายสีทองจางๆ ใบหน้าหล่อฝังลงไปบริเวณนั้น ลิ้นร้อนสำรวจวนไปรอบๆ ก่อนจะค่อยๆ รุกคืบเข้าไปด้านใน กวาดเลีย รุกเร้า โดยไม่รังเกียจ
“อ๊า อือ”
ยิ่งได้ยินเสียงคนใต้ร่างครางกระเส่า การรุกรานของเขายิ่งรุนแรงขึ้น ทั้งที่ร่างกายท่อนล่างของตัวเองตั้งชันจนปวดร้าว ก็ยังอดทนทำให้ช่องทางตรงนั้นเปียกแฉะ
นิ้วเรียวยาวถูกส่งเข้าไปช่วยขยายช่องทาง โดยที่ปากเปลี่ยนเป้าหมายไปยังแท่นอุ่นร้อนที่กระตุกเป็นจังหวะจากอารมณ์หวาบหวามที่ได้รับ
“อ๊าาาา”
จิวซือสะดุ้งเฮือกประหนึ่งถูกไฟช็อค ความเสียวซ่านแล่นไปยังก้านสมองเมื่อนิ้วของเหอเทียนเหิงสัมผัสจุดหนึ่งภายใน เสียงครางแหลมกว่าปกติหลุดลอดจากปากโดยไม่อาจห้ามได้
“ตรงนี้เหรอ”
“พี่เหอ ไม่เอา”
เหอเทียนเหิงผุดรอยยิ้มร้าย ไม่เพียงไม่ฟังคำทัดทาน ยังกดลงที่จุดเดิมย้ำๆ ทรมานคนใต้ร่างให้ร้องครางหนักขึ้น เฝ้ามองปฏิกริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเพราะเขาด้วยหัวใจเต้นแรง
การเล้าโลมอันยาวนานโดยไม่หยุดพักทำให้จิวซือสั่นสะท้าน ร่างกายอ่อนปวกเปียก สมองเบลอคิดอะไรไม่ออก ได้แต่หลับตาทนรับการทรมานอันแสนหวานนั้นต่อไป
“พ…อ พอแล้วครับ”
“ต้องทำให้มันกว้างกว่านี้”
“ไม่ต้องอธิบาย” จิวซือประท้วง เหอเทียนเหิงที่ร้อนแรง เอาอกเอาใจ แต่บางครั้งก็กลั่นแกล้งเขา ยังไม่ทำให้เขาอายหน้าแดงได้เท่ากับเหอเทียนเหิงที่พูดถ้อยคำน่าอายอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้
“กลัวนายไม่รู้”
นี่มันจงใจแกล้งกันชัดๆ
เมื่อเห็นใบหน้าแดงกล่ำและสายตาที่ตวัดมองเขาอย่างเอาเรื่อง เหอเทียนเหิงก็ให้รู้คันยุบยิบในหัวใจ เขาก้มลงจูบปากอิ่มหนักๆ แล้วจึงดันสะโพกของอีกคนให้ยกขึ้น จากนั้นค่อยๆ ดันตัวตนของเขาเข้าไปช้าๆ ความร้อนที่ครอบครองตัวตนของเขาทีละนิดแทบทำให้เขาไปก่อนแต่แรก
“ฮึ่ม” เหอเทียนเหิงครางในลำคอ สะกดกลั้นอารมณ์ที่อยากถาโถมเข้าไป พยายามขยับอย่างเชื่องช้าเพื่อให้ช่องทางนั้นปรับตัว กระทั่งรับเขาได้ทั้งหมด ชายหนุ่มถอดถอนหายใจเป็นสุข แล้วจึงเริ่มขยับช้าๆ แต่ลึกล้ำ กดเน้นไปยังจุดหนึ่งที่ทำให้ร่างในอ้อมกอดแอ่นโค้ง และส่งเสียงร้องที่เขาชอบออกมา
“หยุด พี่เหอ อ๊า”
“ไม่หยุดหรอก คืนนี้ทั้งคืนจนถึงเช้า ไม่หยุดแน่ๆ”
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร จิวซือรู้เพียงแต่ว่าเหอเทียนเหิงต้องเป็นสัตว์ป่า หรือไม่ก็ตายอดตายอยากมานาน ถึงได้ทำตามใจกับร่างกายของโดยไม่หยุดพัก ทำให้เขาถึงจุดหลายครั้งต่อหลายครั้ง ขอร้องยังไงก็ไม่ยอมหยุด
“เบา..หน่อย”
“เร็วไป...แล้ว อ๊ะ”
เสียงของตัวเองแหบแห้ง แต่ร่างกายยังตอบสนองให้ฝ่ายนั้นได้ใจ จิวซือไม่ทราบจะโทษตัวเอง หรือโทษร่างกายอ่อนไหวของหลิวเจียเย่ดี
“พยายามแล้ว”
“พยายามที่ไหน อึก... นี่มัน แรงขึ้นอีก...นี่”
สะโพกของเหอเทียนเหิงขยับรัวแรง แขนทั้งสองข้างโอบกอดร่างชื้นเหงื่อเข้าหาตัว ก่อนจะโถมกำลังบุกรุกเข้าไปจนเสียงเปียกแฉะและเสียงเนื้อกระทบกันอย่างลามกดังก้องทั่วทั้งห้อง
“อ๊า จะถึง จะถึง”
“เจียเย่ เจียเย่ ฉันรักนาย”
“เดี๋ยว ผมเพิ่งเสร็จ อ๊า ไม่ไหว”
เหอเทียนเหิงเหมือนคนหน้ามืด สายตาจับจ้องอยู่กับใบหน้าทุรนทุราย เปรอะเปื้อนน้ำตาแห่งความสุขสม ขณะที่ท่อนล่างยังไม่ยอมหยุดขยับเข้าออกทั้งที่อีกฝ่ายยังคงอ่อนไหวจากการถึงจุด เขาอยากบดขยี้ร่างนี้ให้ร้องไห้ครวญครางหาแต่เขา ทำให้เป็นของเขาทุกตารางนิ้ว ทุกลมหายใจ ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน สะสมทับถมจนกลายเป็นความปรารถนารุนแรง ไม่ยั้งตนเองได้
บ้าคลั่ง หลงไหล อยากครอบครอง ความรู้สึกรุนแรงนี้ประหนึ่งส่งทอดมาจากส่วนลึกของวิญญาณ
“เจียเย่ ฉันรักนาย”

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 17:03:27

Life of a superstar




(end)





   ครึ่งปีต่อมา ภาพยนตร์เรื่องเซียนเมฆาเข้าฉาย กลายเป็นภาพบนตร์แห่งปีตามคาด ทำรายได้มากเป็นประวัติการณ์ในรอบ 5 ปี เหล่านักแสดงเป็นที่พูดถึงและ trending ทางโซเชี่ยลพร้อมกับความสำเร็จของภาพยนตร์ รวมถึงนักแสดงหน้าใหม่หลายคนกลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือหลิวเจียเย่ ชื่อของเขาติด Top คำที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดแทบตลอดทั้งเดือน นอกจากนี้เพลงประกอบภาพยนตร์ โดยเฉพาะเพลงตอนจบที่เหอเทียนเหิงร้องคู่กับหลิวเจียเย่นั้น ติดอันดับหนึ่งทุกชาร์ตเพลง ทำให้กระแสคู่จิ้นของทั้งคู่ร้อนแรงขึ้นอีกขั้น กระทั่งมีงานพรีเซนเตอร์คู่กันอย่างเป็นทางการ ส่วนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในสายตาประชาชนนั้น ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เพราะเหอเทียนเหิงยังคงเมนเช่นหลิวเจียเย่ทางเวยป๋ออยู่เสมอ
   ไม่ถึงสองปี จากดาราตกอับ ตัวตลกของวงการบันเทิง ความนิยมของหลิวเจียเย่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากโฆษณาของ Passion Mu-in นิตยสาร รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์เซียนเมฆา การร้องเพลงประกอบภาพยนตร์อันไร้ที่ติ กระทั่งกลายเป็นระดับ A-list ในการจัดอันดับดาราผู้มีชื่อเสียง (Celebrity ranking) อย่างเป็นทางการหลังจากที่เขาได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เซียนเมฆาในงานประกาศรางวัลช่วงสิ้นปี ส่วนรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมตกเป็นของเหอเทียนเหิง ขณะที่ภาพยนตร์แห่งปี และเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่เซียนเมฆา



   หนึ่งปีต่อมา
   ถึงกำหนดที่อวิ๋นหนานต้องกลับภพสวรรค์ แม้ในใจจะเกิดความรู้สึกไม่อยากกลับอยู่บ้าง ทว่าเขายังต้องไปพบจอมเทพที่วังกลางเรื่องแม่ทัพสวรรค์ทำผิดกฎ ประกอบกับงานชุมนุมเทพเซียนกระชั้นเข้ามาทุกที คาดว่าคงไม่มีเวลากระทั่งดูกระจกส่องภพ ร่างจำแลงนี้จำเป็นต้องเสียชีวิต แต่ไม่ทราบว่าจะด้วยสาเหตุใด เพราะเขาเพียงแจ้งกองภารกิจว่าเขาต้องการอยู่บนโลกมนุษย์สามปีเท่านั้น

   เมื่อเวลาที่เขาใกล้จะต้องจากไปมาถึง ก็ได้ยินกระแสจิตแจ้งให้เขาเดินไปถนนใหญ่เพื่อถูกรถชน สาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของพวกมนุษย์ อวิ๋นหนานเดินออกจากตึกมู่อิน สืบเท้าด้วยความเร็วคงที่ ไม่นานก็ถึงถนนใหญ่ ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าข้ามไปนั้นก็ได้ยินเสียงแตรรถ และเสียงตะโกนอย่างตระหนกตกใจ ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉย กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกเขาว่าท่านประธาน จากนั้นใครคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาคว้าแขนของเขาไว้ พลางใช้จิตเซียนหยุดรถยนต์สีดำที่พุ่งเข้ามา หากเป็นเวลาปกติ ความพยายามนี้คงประสบผลสำเร็จ จิตเซียนที่แข็งกล้าขึ้นย่อมสามารถหยุดรถได้หลายวินาที นานพอให้ดึงร่างของเขาและตนเองออกจากอันตราย

   น่าเสียดาย ที่เหตุการณ์คราวนี้คือลิขิตของเทพที่ไม่อาจฝืน
   ร่างจำแลงของเขาถูกกำหนดให้สิ้นอายุขัยในเวลานี้
   ใบหน้าที่ราบเรียบอยู่เสมอของอวิ๋นหนานปรากฏร่องรอยของความประหลาดใจ แขนทั้งสองข้างรั้งร่างของจิวซือเข้าหาตัวแล้วกอดไว้แน่น กระทั่งแรงปะทะจากรถยนต์กระแทกร่างของทั้งคู่ลอยละลิ่วไปตามพื้นถนน เลือดสีแดงฉานเจิ่งนอง พร้อมกับชีวิตทั้งสองหลุดลอยไป

   อวิ๋นหนานในร่างของเทพลุกขึ้นจากร่างจำแลงของเขา ในอ้อมแขนเป็นร่างเซียนของจิวซือที่ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท เทพหนุ่มมองร่างโปร่งแสงในอ้อมแขนแล้วผุดยิ้มบางๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้น และจางหายไปพร้อมละอองแดด
   

   “เจียเย่!!!”
   เหอเทียนเหิงเหมือนถูกสาปเป็นหิน สมองของเขาชาดิกกับภาพที่เห็น หัวใจเหมือนหยุดเต้น หูไม่ได้ยินเสียงอะไร ราวกับว่าโลกทั้งใบหยุดหมุน สายตามีเพียงร่างที่ลอยละลิ่ว กระเด็นครูดไปกับพื้นคอนกรีต สองเท้าของเขาวิ่งเข้าไปหา มือสั่นเทาพยายามจะคว้าร่างนั้นไว้ แต่กลายเป็นว่าไม่กล้าสัมผัส เลือดสีแดงไหลนองมาถึงเข่าของเขาเปลี่ยนกางเกงสีเทาให้กลายเป็นสีแดง นัยน์ตาของเขาสั่นไหวโดยแรง ก่อนที่เสียงกรีดร้องแห่งความโศกเศร้าของเขาจะดังก้องไปทั่วบริเวณ



   หลิวเจียเย่
   ชายหนุ่มผู้กลายเป็นตำนานเล็กๆ เขาเติบโตจากครอบครัวธรรมดา วิ่งตามความฝันวัยเยาว์จนกลายเป็นนักแสดงชื่อดังภายในเวลาเพียงสามปี รอยยิ้มราวกับแสงอาทิตย์ยามเช้าของเขามอบพลังให้ผู้คนมากมาย ความอ่อนโยนของเขาทำให้เขาเป็นที่รัก เป็นเจ้าชายของเหล่าหญิงสาว กลายเป็นดวงรุ่งดวงใหม่ของวงการบันเทิง
   ข่าวการเสียชีวิตของเขาทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนตกใจ เสียใจ ร่ำไห้ อาลัยกับการจากไปอย่างกะทันหันทั้งที่อายุยังน้อย เขาจากไปเพราะความกล้าหาญที่จะปกป้องคนอื่น นี่จึงเป็นแก่นแท้ของผู้ชายที่ชื่อว่าหลิวเจียเย่ เข้มแข็งและอ่อนโยนกว่าใครๆ นี่จึงเป็นเจ้าชายแห่งวงการบังเทิงที่แท้จริง
   เขาโด่งดัง กลายเป็นที่รักของผู้คนนับล้านอย่างรวดเร็ว และก็จากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ชีวิตของเขาก็เหมือนกับดอกไม้ไฟ เจิดจรัส อวดความสวยงามอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี ทำให้ผู้คนชื่นชมจนไม่อาจละสายตา ทว่าเพียงเวลาสั้นๆ ก็จางหายไป กระนั้นความสวยงามสว่างไสวเหล่านั้นก็ยังประทับอยู่ในความทรงจำของคนที่ได้เห็น ไม่ลืมเลือน
   ‘Fireworks’ กลายเป็นฉายาของหลิวเจียเย่ที่แพร่ไปทั่วทั้งแผ่นดินจีน และเอเชีย กระทั่งบางแห่งในฝั่งตะวันตก แฟนคลับผู้ที่ตั้งฉายานี้ให้เขาที่จริงแล้วเป็นหญิงสาวชาวอเมริกัน เธอรู้จักเขาครั้งแรกทาง Mu-in channel ผ่านรายงาน Actor National Selection ที่เขาปรากฏตัวในฐานะครูสอนขี่ม้า จากนั้นก็กลายเป็นแฟนคลับของเขา ติดตามผลงานทุกอย่างของเขา เสียใจร้องไห้แทบขาดใจกับการจากไปของเขา
   ในทวิตเตอร์ของเธอได้กล่าวถึงเขาไว้ว่า
          ‘Liu Jieye, my prince. His life is like fireworks. He captured all hearts and rose to the sky in one step, but faded away in a very short time. Still he never really disappeared. Let’s remember him whenever we see fireworks. R.I.P the most dazzling fireworks’
   ข้อความในทวิตเตอร์ของเธอถูกแชร์ไปมากมาย กระทั่ง fireworks กลายเป็นฉายาของหลิวเจียเย่ แฟนคลับของเขาทำเพลงมอบให้เขา ตัดต่อวิดีโอลำอาเขา เขียนจดหมายให้เขา โพสข้อความบอกว่าจะจดจำเขาตลอดไป ทุกครั้งที่เห็นดอกไม้ไฟจะยังนึกถึงเขาเสมอ

   


   
   ห้องสูทหรูของโรงแรมริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง

   เหอเทียนเหิงยืนอยู่ริมระเบียง แผ่นหลังกว้างของเขาดูโดดเดี่ยว อ้างว้าง ใบหน้าที่เคยสะกดทุกสายตาบัดนี้ดูซูบซีด ขาดชีวิตชีวา สายตาของเขามองไปยังท้องฟ้ายามราตรีปราศจากแสงดาว เหม่อลอยไร้วิญญาณ กระทั่งบนท้องฟ้าเหนือแม่น้ำปรากฏแสงหลากสีของดอกไม้ไฟ กระจายอวดสีสัน และความสวยงามของมัน ดวงตาของเขาค่อยมีประกายขึ้นมา ริมฝีปากของเขาเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง ครู่เดียวน้ำตาที่สะกดกลั้นไว้ค่อยไหลซึมจากหางตา ทำให้ภาพของดอกไม้ไฟพร่าเลือน สักพักจึงได้ยินเสียงสะอื้นหลุดลอดจากลำคอ มือทั้งสองข้างกำราวระเบียงแน่น ร่างทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน
   ไม่เคยมีใครได้เห็นเหอเทียนเหิงที่อ่อนแอจนแทบแตกสลายเช่นนี้
   หัวใจของเขาปวดร้าว จนคิดว่าไม่อาจปล่อยให้มันเต้นต่อไป ขาข้างหนึ่งเหยียบรั้วระเบียง กระทั่งได้ยินเสียงที่โหยหาดังขึ้นในห้วงความคิด
   ‘พี่สัญญากับผม ไม่ว่ายังไงก็ตาม ห้ามคร่าชีวิตไม่ว่าของคนอื่นหรือตัวเอง’

   เขาสูดลมหายใจลึก ชักเท้ากลับลงมา ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงทรุดลงนั่งกับพื้น ดวงตาเหม่อมองไปยังท้องฟ้า ดอกไม้ไฟไม่มีแล้ว...


   Who can say for certain
   Maybe you're still here
   I feel you all around me
   Your memories so clear

   Deep in the stillness
   I can hear you speak
   You're still an inspiration
   Can it be

   That you are mine
   Forever love
   And you are watching over me from up above

   Fly me up to where you are
   Beyond the distant star
   I wish upon tonight
   To see you smile
   If only for awhile to know you're there
   A breath away's not far
   To where you are*
   

   Return If Possible, my dazzling fireworks




(End of 1st Arc)


#วิถีเซียน3p


   ………………………………….

*Josh Groban’s To Where You Are
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 17:18:34


Interval: งานชุมชนเทพเซียน





(1)

 


                รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง จืวซือก็พบว่าตนเองนอนอยู่เตียงนุ่มขนาดใหญ่ มีกลิ่นหอมของทะเลจางๆ เพดานห้องทรงโดมสูงประดับด้วยมุกราตรีดูโอ่โถง มองไปรอบๆ ก็เห็นตั่งทอง ตู้ ตลอดจนเครื่องเรือนเครื่องใช้ต่างๆ จัดวางอย่างลงตัว ไม่เยอะแต่หรูหรา มีระดับ แตกต่างจากต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำเจียงหัวที่เขาอาศัยอยู่หลายขุม
                ที่ไหน?
                จำได้ว่าเขาถูกรถชนกระชากจิตเซียนเขาออกจากร่าง หลังจากนั้นทุกอย่างดับมืด อันที่จริงคาดไว้ว่าพวกผู้คุมสอบจะมารับเขากลับหอคุณธรรม ตัดสินว่าผ่านบททดสอบของชาตินี้หรือไม่ แล้วค่อยปล่อยเขากลับบ้าน
 
                “ตื่นแล้วหรือ”
                ผู้ที่มาใหม่เป็นเด็กหนุ่มอายุราว 14-15 ปี ใบหน้ากลมเหมือนลูกซาลาเปา ดวงตาโค้งลงคล้ายพระจันทร์เสี้ยว เขาถือถาดทองซึ่งมีเหยือกน้ำ และแก้วกระจกวางอยู่ ก่อนจะวางถาดที่โต๊ะใกล้กับเตียง
                จิวซือลุกขึ้นนั่ง กล่าวอย่างเกรงใจว่า “ที่นี่?”
                “วังตะวันออก”
                วังตะวันออก หมายถึง... คงไม่ใช่
                “วังทะเลตะวันออก?”
                “ถูกแล้ว” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ และริมน้ำส่งให้เขา วังทะเลตะวันออก หนึ่งในวังสี่ทิศ ยิ่งใหญ่เป็นรองเพียงวังกลางอันที่เป็นประทับของจอมเทพ จิวซือมองเด็กหนุ่มที่ดูจะอายุน้อยกว่าเขาไม่กี่ปี ฝ่ายนั้นสวมชุดสีขาวล้วน แต่ที่ชายผ้าเป็นสีน้ำเงินปักด้ายลายเมฆมงคลสีเงิน ซึ่งเป็นชุดของข้ารับใช้สวรรค์ คิดได้ดังนั้นก็รีบลุกจากเตียง ประสานมือเพื่อแสดงความเคารพตามธรรมเนียม เนื่องจากเทียบกันแล้วข้ารับใช้สวรรค์มีฐานะสูงกว่าเซียนชั้นผู้น้อยอย่างเขา มิคาดเด็กหนุ่มผู้นั้นจะถลามาคว้าไหล่เขาไว้ แล้วกล่าวว่า “มิกล้าๆ” อย่างร้อนรนกังวลใจ
                แน่ละ ไม่ว่าผู้ใดเห็นเจ้าวังตะวันออกอุ้มเซียนน้อยตนหนึ่งตั้งแต่สะพานข้ามภพ จนถึงเตียงในห้องรับรองด้วยตัวเอง ก็คงมีท่าทีระมัดระวังเช่นนี้
                “สหายเซียนตื่นแล้ว ท่านเจ้าวังให้เชิญไปพบ”
               

                ท่านเจ้าวังที่ว่าย่อมหมายถึงเจ้าของวังทะเลตะวันออกอย่างเทพอวิ๋นหนาน ‘เจ้าวัง’ เป็นชื่อที่ผู้คนในวังใช้เรียกเขา สำหรับคนทั่วไปแล้วมักจะรู้จักเขาในฐานะตงหวาง (อ๋องตะวันออก) เนื่องจากเขาเป็นเทพที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลเขตแดนทางตะวันออกของภพสวรรค์ และมีศักดิ์ฐานะเป็นรองเพียงจอมเทพอ้าวเหยียนหลงเท่านั้น
                จิวซือเดินตามข้ารับใช้เด็กผู้นั้น ซึ่งภายหลังแนะนำตนเองว่าชื่อลั่วหยาง พวกเขาเดินผ่านสะพานไม้ยาวเหยียดซึ่งทอดข้ามสระน้ำขนาดใหญ่ ผิวน้ำใสราวกระจกเผยให้เห็นฝูงมัจฉาหลากสีหลายพันธุ์ ตลอดทั้งเส้นทางประดับด้วยไม้พุ่มและไม้ดอกที่จัดแต่งให้เลื้อยไปตามราวระเบียงของสะพาน ประกอบกับเมฆขาวลอยอยู่เหนือสระน้ำประปราย ทำให้ทัศนียภาพที่ได้เห็นสมกับเป็นภพสวรรค์อย่างแท้จริง
                นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จิวซือมาเยือนภพสวรรค์ แต่ตามปกติแล้วเขาจะอยู่เพียงเขตชั้นนอกซึ่งเป็นที่ตั้งของหอคุณธรรม เพื่อรับบททดสอบด่านคุณธรรม 11 ชาติเท่านั้น ไม่เคยได้ไปเยือนบริเวณอื่น นอกจากนี้ตลอดเวลาจะมีผู้คุมสอบคอยดูแลและตรวจตราเสมอ ทำให้ไม่มีเซียนตนไหนกล้าเอ้อระเหยไปที่อื่น
               
                ลั่วหยางพาจิวซือมาถึงตำหนักขนาดกลางซึ่งตั้งอยู่กลางสระน้ำ จากนั้นก็ล่าถอยไป ขณะเดียวกันหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งน่าจะมีตำแหน่งสูงกว่าลั่วหยาง เป็นผู้พาจิวซือเข้าไปด้านใน
                “ท่านเจ้าวัง สหายเซียนมาแล้วเจ้าค่ะ”
                อวิ๋นหนานไม่ได้เงยหน้าจากฎีกา เพียงโบกมือให้จิวซือไปนั่งรอที่เก้าอี้ด้านข้าง จิวซือพิจารณาเจ้านายของตนเองก็อดชื่นชมไม่ได้ เครื่องหน้าถูกรังสรรค์อย่างประณีต โดยเฉพาะหว่างคิ้วและสันจมูกโด่ง ดวงตาเป็นสีทองสว่างอันเป็นลักษณะเด่นที่บ่งบอกสายเลือดของเทพชั้นสูง ทว่าเส้นผมเป็นสีเงินตามมารดาผู้มีเชื้อสายมังกร บรรยากาศรอบตัวแตกต่างจากเทพทั่วไปที่จิวซือเคยเห็นอย่างชัดเจน จำได้ว่าครั้งแรกที่เห็นเทพอวิ๋นหนานนั้นเป็นตอนที่เขาเพิ่งได้บรรจุเป็นเซียนใหม่ ครั้งที่สองคือตอนที่บังเอิญพบกันริมฝั่งแม่น้ำเจียงหัว ซึ่งอีกฝ่ายประทานพรให้เขาสามชาติ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ดังนั้นนอกจากความประหลาดใจแล้ว ก็ไม่ได้มีความประหม่าแต่อย่างใด จิวซือเพียงดื่มชา และมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างบานสูงอย่างสงบเสงี่ยม
                ราว 1 เค่อ (ประมาณ 15 นาที) อวิ๋นหนานก็วางพู่กันลง ดวงตาสีทองของเขากวาดมองร่างของเซียนน้อย ผู้ที่กระวีกระวาดลุกขึ้นทำความเคารพเขาอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติ
                “ตงหวาง (อ๋องตะวันออก)”
                ทว่าคำเรียกหาอันห่างเหินนั้นทำให้ใบหน้าของอวิ๋นหนานตึงขึ้นเล็กน้อย
                “เรียกเจ้าวัง” เทพหนุ่มบอกเสียงเรียบ
                “ขอรับ ท่านเจ้าวัง” เห็นใบหน้าของเจ้านายของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย จิวซือก็ลอบถอนหายใจโล่งอก ความคิดที่จะประจบของเขาดูเหมือนจะผิดพลาดไป โดยปกติแล้วผู้มีอำนาจทั้งหลายมักชอบให้เรียกตนเองด้วยตำแหน่งใหญ่โต ไม่นึกว่าเทพอวิ๋นหนานจะชื่นชอบสรรพนามที่ดูเป็นกันเองมากกว่า “ขอบพระคุณท่านเจ้าวังที่กรุณาประทานพรให้” แม้ยังไม่ได้ไปหอคุณธรรม จิวซือก็มั่นใจว่าตนเองผ่านบททดสอบชาติที่แปดด้วยความราบรื่น
                “พรสวรรค์เจ้าไม่เลว ตำหนักข้ากำลังขาดคน เจ้าก็อยู่ช่วยที่นี่เถอะ”
                “ขอรับ?” จิวซือแทบเก็บสีหน้าไม่อยู่ ดวงตากลมโสขยายใหญ่ขึ้นอย่างตกใจ
                เซียนชั้นผู้น้อยในวังทะเลตะวันออกน่ะหรือ ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีเซียนตนไหนได้ทำงานในภพสวรรค์ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเขตแดนชั้นนอกที่ไม่สลักสำคัญ หรือหากได้ทำงานในตำหนักใหญ่ๆ เซียนตนนั้นย่อมมีพรสวรรค์หรือมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา แต่ว่าเขาเป็นใคร ย่อมเป็นจุดต่ำสุดของขั้นฐานะแห่งเทพเซียน หากอธิบายให้เข้าใจง่ายอีกนิด ก็คงคล้ายกับเด็กฝึกงานจากสถานศึกษาไร้ชื่อเสียง อยู่ๆ ก็ได้บรรจุทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ แถมได้ใกล้ชิดเจ้าของบริษัท พ่วงเงินเดือนและสวัสดิการดีเลิศนั่นแหละ
                “ซู่ปี้”
                “เจ้าคะ”
                “ให้เขาช่วยงานชุมนุมเทพเซียน”
 
 

                ซู่ปี้ หรือหัวหน้าข้ารับใช้พาจิวซือเดินกลับไปทางเดิม ข้ามสะพานไม้ไปสู่หมู่ตึกทางด้านหลังของตัววัง ซึ่งเป็นที่พักของเหล่าข้ารับใช้ ตลอดทางก็อธิบายกฎระเบียบต่างๆ ของวังตะวันออกให้ฟัง แน่นอนว่ากฎระเบียบของภพสวรรค์นั้น เทพเซียนทุกตนต่างทราบดีอยู่แล้ว
                ซู่ปี้พิจารณาเซียนน้อยตรงหน้าครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มยังคงดูอ่อนเยาว์ อายุราว 17-18 ปี คาดว่าเพิ่งจะเป็นเซียนได้ไม่นาน ใบหน้าของเขาเป็นรูปไข่ เส้นผมสีดำมัดรวบด้วยแถบผ้าสีขาวอย่างเรียบร้อย จมูกเล็ก ริมฝีปากอิ่มสีชมพู ดวงตาสีดำสุกใส ดูอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านคนหนึ่ง ไม่ได้มีเสน่ห์ เฉลียวฉลาด หรือดูพิเศษกว่าผู้ใด  กล้ำกลืนสักนิดก็พอจะกล่าวได้ว่าสะอาดตาน่ามอง จึงไม่เข้าใจว่าท่านเจ้าวังเกิดถูกใจอะไรในตัวเซียนน้อยตนนี้ กระทั่งใช้ข้ออ้า... เหตุผลว่าวังตะวันออกกำลังขาดคน
                รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!
                วังทะเลตะวันออก ร่ำรวยกว่าวังสี่ทิศอื่นๆ ไม่ทราบเท่าไร ยังจะขาดคนได้อย่างไร ทุกวันนี้ข้ารับใช้นับร้อยปรนนิบัติเจ้านายเพียงคนเดียว พระชายาหรือพระโอรสธิดาสักคนก็ไม่มี แม้แต่พระบิดาของท่านเจ้าวังก็ยังไปอยู่กับพระชายาที่ภพมังกรเสียส่วนใหญ่ พวกข้ารับใช้ของวังตะวันออกว่างเสียจนวังอื่นอิจฉา แม้แต่งานชุมนุมเทพเซียน พวกเขาก็เพียงช่วยควบคุมดูแล คนที่จัดการทุกอย่างจริงๆ เป็นเทพแห่งเขาไท่ซานต่างหาก
 
                “อาหาร สถานที่ การแสดง ดูแลแขก งานพิธีการ เจ้าถนัดอะไร” ซู่ปี้ถาม ในเมื่อท่านเจ้าวังสั่งให้เซียนผู้นี้ช่วยงาน ก็จำต้องหางานบางอย่างให้ทำ
                จิวซือคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาเป็นประเภทที่ว่าหากได้รับมอบหมายสิ่งใด ย่อมจะทำให้ดี แต่ในบรรดาตัวเลือกเหล่านี้ เขาล้วนไม่ชำนาญ ดังนั้นจึงลองถามในสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้ และน่าจะผิดพลาดน้อยที่สุด “มีงานใช้กำลังมั้ยครับ” เห็นสีหน้าของหัวหน้าข้ารับใช้คล้ายจะถามว่า ‘อ่อนแออย่างเจ้าน่ะหรือ’ จิวซือจึงขยายความอีกนิดว่า “ข้าน้อยไม่ถนัดงานอะไรเลย แต่พวกยกของ หรือทำความสะอาด น่าจะทำได้ขอรับ”
                ซู่ปี้ยิ้มเล็กน้อย พอใจกับการถ่อมตน และรู้จักฐานะของเซียนตรงหน้า ท่านเจ้าวังเป็นคนใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ไม่แน่ว่าอาจสงสารเซียนน้อยผู้นี้ เพราะดูไปก็คล้ายสัตว์เล็กๆ อยู่เหมือนกัน ท่านเจ้าวังคงใจอ่อนอยากทำกุศล คิดได้ดังนั้น ความสงสัยไม่พอใจก็สลายไปเกือบครึ่ง ซู่ปี้พาจิวซือไปแนะนำให้กับข้ารับใช้อีกคนหนึ่งซึ่งดูแลเรื่องทำความสะอาด สุดท้ายจิวซือจึงได้รับหน้าที่เช็ดถูศาลาด้านหน้าของวัง ซึ่งจะใช้เป็นที่รับรองแขกพิเศษ ก่อนที่แขกจะผ่านสะพานข้ามภพไปยังเขาไท่ซาน
               



                อยู่วังตะวันออกได้เพียงวันเดียว จิวซือก็พบว่าคำพูดของเซียนอาวุโสยังมีเหตุผลอยู่บ้าง ข้ารับใช้สวรรค์ส่วนใหญ่ถือว่าตัวเองเหนือกว่าเซียน ดังนั้นทัศนคติที่มีต่อเซียนจึงค่อนข้างดูถูกและเย็นชา อาจเป็นเพราะว่าข้ารับใช้เหล่านั้นเองเคยเป็นเซียน แต่ไม่ผ่านด่านทดสอบคุณธรรม และไม่คิดจะดิ้นรนให้ผ่านอีก เมื่อเห็นเซียนน้อยอย่างเขาอยู่ระหว่างเข้าทดสอบด่านคุณธรรม จึงมีสีหน้าไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง กระนั้นก็นับว่าวังตะวันออกอบรมคนของตนได้ดี เพราะไม่มีใครหาเรื่องรังแกหรือพูดจาไม่ดีใส่เขา เรียกว่าสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไม่ลำบากอะไร นอกจากนี้ยังมีอาหารสามมื้อและของว่างให้ทานด้วย สำหรับเทพเซียนแล้ว อาหารไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่อาหารพวกนี้เป็นอาหารทิพย์ กินแล้วช่วยเพิ่มพลังเทพ แม้จะเล็กน้อยมากก็ตามที การได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ งานสบาย มีอาหารทิพย์ให้กิน ที่พักยังเปี่ยมด้วยพลังเทพ ถือว่าเป็นชีวิตที่ดีอย่างที่โคนต้นไม้ริมแม่น้ำเจียงหัว ที่อยู่เดิมของเขาเทียบไม่ติ นี่สินะ เซียนส่วนใหญ่ที่สอบตกถึงอยากเป็นข้ารับใช้บนสวรรค์มากกว่าพยายามต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ทราบอนาคต

 







   อวิ๋นหนานเพิ่งรับตำแหน่งต่อจากบิดาไม่นาน เนื่องจากพี่ชายของเขาอวิ๋นเทียนเล่ยพอใจกับการเป็นแม่ทัพสวรรค์มากกว่าสืบทอดตำแหน่งตงหวาง หากเป็นเจ้าวังตะวันออก มีหรือเทพหัวเก่าโบราณพวกนั้นจะกล้าหาว่าพี่ชายของเขาเลือดเย็นไร้หัวใจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ สุดท้ายก็แค่ไม่พอใจที่คนอายุน้อยกว่าตัวเองหลายพันปีได้เป็นแม่ทัพสวรรค์ อวิ๋นหนานหงุดหงิดที่พี่ชายของเขาต้องลงไปบำเพ็ญเพียรยังโลกมนุษย์ โดยที่บิดาของพวกเขาเห็นดีเห็นงาม ด้วยเหตุผลอันไม่น่าเชื่อถือว่าลิขิตของเทียนเล่ยอยู่โลกมนุษย์

   อวิ๋นหนานวุ่นวายกับเรื่องของเทียนเล่ยที่วังกลางอยู่หนึ่งวันเต็ม เมื่อกลับถึงวังตะวันออก เพิ่งจะลงจากสะพานข้ามภพ ก็เห็นร่างคุ้นตาในชุดข้ารับใช้สวรรค์นั่งอยู่บนบันไดของศาลาหลังใหญ่เพียงลำพัง ข้างตัวเขาเป็นถังใส่น้ำ และผ้าขี้ริ้ว ใบหน้ารูปไข่แดงเรื่อ เหงื่อเม็ดหนึ่งเกาะอยู่บริเวณปลายจมูกเล็ก ชวนให้เกิดความรู้สึกเอ็นดูขึ้นมา

   เทพหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อว่าเซียนน้อยตนนั้นไม่ได้แค่หลับตาพักผ่อน แต่กำลังฝึกวิชา ละอองสีทองของพลังเทพค่อยๆ ถูกดูดเข้าไปในผิวกาย ร่างเซียนแม้จะถูกชำระมาแล้วครึ่งหนึ่งก็ยังไม่บริสุทธิ์ เปรียบเสมือนน้ำที่มีตะกอนนอนก้น พลังเทพที่ถูกดูดดึงเข้าไปในร่างจึงนิดน้อยแทบไม่เกิดผล

   อวิ๋นหนานไม่เห็นใครฝึกวิชามานานแล้ว  ข้ารับใช้สวรรค์โดยปกติมักจะพึ่งอาหารทิพย์มากกว่าเสียเวลาฝึกวิชา เนื่องจากไม่ได้หวังก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ เมื่อวันนี้ได้เห็นความตั้งใจของเซียนตนหนึ่งก็พลันนึกถึงคราวที่ฝ่ายนั้นใช้พลังเซียนเพื่อช่วยชีวิตเขา ความรู้สึกยามคนที่อ่อนแอกว่าตนเองใช้ร่างกำบังรถยนต์ที่พุ่งเข้ามานั้นเป็นความรู้สึกที่ยากจะนิยาม แต่เป็นความรู้สึกพิเศษอย่างหนึ่ง

   “เข้าใจมนุษย์ จึงเข้าใจธรรมชาติ จากนั้นค่อยคิดเข้าใจเจตจำนงสวรรค์”
   เสียงทุ้มคล้ายแฝงพลังบางอย่างทำให้จิวซือลืมตาขึ้น เห็นเทพอวิ๋นหนานนังอยู่ในศาลาด้านข้างเขาไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไร จิวซือลองทบทวนคำพูดของอวิ๋นหนานทีละคำ จากนั้นจึงถามว่า
    “ท่านเจ้าวังหมายถึง ข้าน้อยต้องเข้าใจมนุษย์ก่อน จึงค่อยคิดทำความเข้าใจสวรรค์หรือขอรับ”
   “เพราะเหตุใด ก่อนผ่านการชำระดวงจิตเป็นเทพ เซียนทุกตนจึงต้องผ่านด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติ นี่ย่อมไม่ใช่เพื่อทดสอบคุณธรรมอย่างเดียว แต่ทุกชาติล้วนเป็นบทเรียนแก่เจ้า” อวิ๋นหนานนิ่งไปครู่นิ่ง เมื่อเห็นใบหน้าอ่อนวัยคิดตาม ก็พูดต่อว่า “เจ้าจะฝึกฝนพลังเทพก็ย่อมได้ แต่หากคิดก้าวหน้า ต้องเข้าใจสัจธรรมของชีวิตมนุษย์เสียก่อน สะบั้นโซ่ตรวนที่พันธนาการดวงจิตตนเอง”
   ประโยคสุดท้ายของอวิ๋นหนานเหมือนค้อนใหญ่กระแทกศีรษะจิวซือจนมึนงง สมองคล้ายมีแสงพร่าพราย ขาวโพลน ไม่ทราบจะตอบโต้อย่างไร นอกเสียจากตอบรับเสียงใส และยิ้มตาปิดแบบที่ชอบทำเวลาปิดบังอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ต้องการให้ผู้ใดพบเห็น
   สะบั้นโซ่ตรวนที่พันธนาการดวงจิต
   ตัดขาดจากอดีต
   ข้า...ทำได้หรือ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 17:20:30


Interval: งานชุมนุมเทพเซียน




(2)









   สามวันต่อมา

   งานชุมนุมเทพเซียนมาถึง คราวนี้วังตะวันออกเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยง ณ เขาไท่ซาน แน่นอนว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมอย่างสมฐานะ ตั้งแต่การต้อบรับแขกพิเศษที่สะพานข้ามภพ กระทั่งถึงบริเวณงานเลี้ยงบนเขาไท่ซาน ล้วนมีข้ารับใช้ของวังตะวันออกประจำอยู่ทุกจุด ทำให้จิวซือตระหนักว่าข้ารับใช้ของวังมีมากมายถึงเพียงนี้ สำหรับเซียนเพียงคนเดียวอย่างเขา กล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือไม่มีคุณสมบัติพอให้ยืนรับแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย ดังนั้นจิวซือจึงช่วยจิปาถะอยู่ด้านหลัง มิคาดเจ้าวังตะวันออกใช้ให้คนมาเรียกเขา

   เมื่อจิวซือมาถึงสะพานข้ามภพซึ่งประดับประดาอย่างงดงามด้วยโคมแดง ก็พบว่าเจ้านายของเขา เทพอวิ๋นหนานผู้นั้นยืนหันหลัง สนทนากับผู้สูงศักดิ์กลุ่มหนึ่ง จิวซือเพียงปราดสายตามองแวบเดียวก็ทราบว่ากลุ่มคนตรงหน้านั้นมิใช่คนที่เขาจะสามารถมองตรงๆ ได้ แขกกลุ่มสุดท้ายที่จะข้ามสะพานข้ามภพไปสู่เขาไท่ซาน หากไม่ใช่ขบวนของจอมเทพอ้าวเหยียนหลงแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก

   จิวซือก้มหน้าแล้วเดินไปหยุดอยู่หลังอวิ๋นหนานราวสามก้าว ดูเหมือนอวิ๋นหนานจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าเป็นผู้ใด จึงเอ่ยบอกเสียงเรียบว่า “เดินตามข้า”

   “ขอรับ”

   โดยปกติแล้ว ผู้ที่สมควรช่วยเจ้าวังรับแขกย่อมเป็นพระชายา ทว่าวังตะวันออกไม่มีเจ้านายฝ่ายใน ดังนั้นหน้าที่นี้จึงสมควรตกเป็นของหัวหน้าข้ารับใช้ซู่ปี้ ไม่แปลกเลยที่ซู่ปี้จะแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา ขนาดจิวซือเองยังรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะปะปนอยู่ในขบวนของเหล่าเทพชั้นสูงทั้งหลาย อย่างไรก็ตามในเมื่อเป็นคำสั่งของเจ้านาย เหมาะสมหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาเป็นผู้ตัดสิน เขาไม่โง่พอจะขัดคำสั่งเทพอวิ๋นหนาน เพียงแต่ไม่ทราบว่าจบงานคราวนี้จะเกิดความยุ่งยากอะไรอีก

   เมื่อคิดได้ว่าในอนาคตอาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างข้ารับใช้ไม่พ้น จึงตัดสินใจจับขาทองคำที่เรียกว่าเจ้าวังตะวันออกไว้ให้มั่น ในอนาคตหากเกิดเรื่องที่เกินกำลัง หวังว่าอวิ๋นหนานยังจดจำลูกน้องชั้นดีอย่างเขาไว้ อย่างที่บอกโอกาสได้ทำงานในวังตะวันออกสำหรับเซียนไร้ปูมหลังตนหนึ่งแล้วเหมือนโชคสองชั้น หากปล่อยโอกาสนี้ไปถือว่าโง่เขลายิ่ง



   จิวซือเดินตามหลังอวิ๋นหนาน จะว่าไปก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว สมควรกล่าวว่าเดินรั้งท้ายขบวนเสด็จร่วมกับผู้ติดตามคนอื่นๆ จะถูกต้องกว่า บรรดาเจ้านายที่เดินนำนั้นประกอบด้วยจอมเทพอ้าวเหยียนหลง และบิดาของเขาอ้าวเหยียนเล่อ เทพมังกรจินหลง ปัญจราชฑูตเฟยเยี่ยน สี่ท่านแรกนี้มีความเกี่ยวข้องกับภพสวรรค์ จิวซือไม่แปลกใจที่ได้พบพวกเขา ทว่าอีกสองคนนั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมาย

   ราชาปีศาจเซี่ยหย่งเซิง และพระชายา



   ที่จริงแล้วในช่วงสิบปีที่ผ่านมา บุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขานมากที่สุดไม่ใช่เซี่ยหย่งเซิง แต่เป็นพระชายาของเขา กุ้ยอิง ผู้เป็นทั้งเจ้าธารหมอก และบุตรบุญธรรมของอดีตจอมเทพอ้าวเหยียนเล่อ ถือว่าเป็นหนึ่งในโอรสสวรรค์อย่างแท้จริง ด้วยตำแหน่งฐานะเช่นนี้ กลับกลายเป็นชายาของดินแดนศัตรู ส่งเสริมให้อำนาจของภพปีศาจที่ยิ่งใหญ่จนกว่ากลัวอยู่แล้วนั้น เพิ่มพูนจนไม่มีผู้ใดกล้าขัดแย้ง

   เดิมทีการเกี่ยวดองเช่นนี้สมควรถูกขัดขวางอย่างถึงที่สุด แต่เจ้านายแห่งภพสวรรค์และภพมังกรต่างยืนอยู่ข้างเจ้าธารหมอกผู้นั้น อีกทั้งราชาปีศาจก็ใช้สันติสุข สาบานจะไม่รุกรานดินแดนใดเป็นคำมั่นสัญญารัก จากการเกี่ยวดองที่ไม่พึงปรารถนากลายเป็นคำอวยพรทั่วหล้า เรื่องราวความรักสะท้านสะเทือนแผ่นดินเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องราวที่ถูกเล่าขานกันปากต่อปาก กระทั่งเซียนเล็กๆ ในถิ่นห่างไกลอย่างเขายังทราบ

   จิวซือก้มศีรษะมองต่ำ ไม่ทราบว่าบรรดาเจ้านายทั้งหลายมีสีหน้าอย่างไร ทว่าอยู่ๆ ก็ได้ยินสุรเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้น พลังปีศาจแผ่พุ่งชัดเจนแม้แต่ในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์อย่างภพสวรรค์ ย่อมต้องเป็นเจ้าปีศาจเซียหย่งเซิง

   “ปล่อยมือ”

   ใบหน้ารูปสลักประหนึ่งถูกเคลือบด้วยน้ำแข็งพันปี ชุดสีดำไม่เข้าพวกขับเน้นความแข็งกร้าวของเขา สายตาคมกริบที่มองอ้าวเหยียนเล่อกอดไหล่กุ้ยอิงคล้ายมีไฟโทสะเต้นระริกอยู่ข้างใน

   “นี่ลูกชายข้า”

   นอกจากไม่ปล่อยมือแล้ว อ้าวเหยียนเล่อยิ่งกระชับอ้อมแขนดึงตัวลูกชายสุดที่รักเข้ามาใกล้ชิดกว่าเดิม ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงท้าทาย ทำให้โทสะของเจ้าปีศาจพวยพุ่ง บรรยากาศกดดันเช่นนี้กระทั่งเทพธรรมดายังทนไม่ไหว นับประสาอะไรกับเซียนชั้นผู้น้อยอย่างจิวซือ เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกพลังไร้สภาพกดดันจนร่างสั่นสะท้าน แทบหายใจไม่ออก

   “ท่านพ่อ”

   “เสี่ยวอิง เขารังแกเจ้าใช่หรือไม่ถึงซูบผอมเพียงนี้ กลับภพสวรรค์ของเราเถอะ”

   “อ้าวเหยียนเล่อ!” สรุเสียงกัปนาทดังเสียงคำรามแฝงพลังรุนแรง กระทั่งโคมแดงรอบสะพานที่สร้างจากวัตถุพิเศษยังถูกทำลายเหลือเพียงเศษซากตามพื้น

   “ไม่เรียกพ่อตาหรอกหรือ”

   ประโยคยั่วล้อที่ทำให้เจ้าปีศาจชะงัก แม้รังสีฆ่าฟันจะยังรุนแรงแต่เซี่ยหย่งเซิงยังคงต้องยั้งมือ ‘ไว้หน้า’ พ่อตาที่ตนเองไม่ชอบหน้าเลยแม้แต่น้อย

   ถูกแล้ว แม้แต่คนยืนอยู่เหนือผู้อื่นเสมอ ก็มีจุดอ่อนที่ทำให้พ่ายแพ้เช่นกัน   

   “ปวดหัว” เสียงใสราวระฆังดังขึ้นจากผู้ยืนอยู่ในศูนย์กลางของความขัดแย้ง ใบหน้างามล่มเมืองของพระชายาแห่งภพปีศาจฉายความเบื่อหน่าย เหตุการณ์ทำนองเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งจนกุ้ยอิงคร้านจะใส่ใจ หากเป็นที่ภพปีศาจ หรือกระทั่งภพสวรรค์ เขาคงทำเป็นหูทวนลม หาทางเลี่ยงไปอยู่กับอ้าวเหยียนหลงไม่ก็เฟยเยี่ยน ทว่าที่นี่คือวังตะวันออก พวกเขาเป็นแขกยังไม่สนใจเจ้าภาพได้หรือ
   “ตรงไหน”
   “เป็นอะไร เจ็บตรงไหน”
   “อวิ๋นหนาน ตามหมอให้ลูกข้า”
   คำพูดของบิดาทำให้เส้นเลือดในสมองกุ้ยอิงเต้นตุ้บๆ หากถามว่าผู้ใดเอาใจยากที่สุด เขาตอบได้อย่างเต็มปากเลยว่าไม่ใช่เซี่ยหย่งเซิง แต่ป็นบิดาของเขา อดีตจอมเทพอ้าวเหยียนเล่อผู้นี้ คนแก่ชอบเอาชนะ ดังนั้นเมื่อพบว่าเซี่ยหย่งเซิงยอมให้กับฐานะพ่อตาของเขาก็รู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น ทุกครั้งจึงต้องยั่วโมโหเซี่ยหย่งเซิงสักยกหนึ่งก่อน
   “ข้าปวดหัวเพราะพวกท่านนั่นแหละ” กุ้ยอิงว่า จากนั้นจึงประสานมือคาระวะอวิ๋นหนาน “ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ท่านตงหวาง”
   “มิได้”
   เห็นบุตรชายดูเหมือนจะโกรธ อ้าวเหยียนเล่อจึงดึงแขนตนเองกลับมาแล้วกล่าวอย่างยอมแพ้ว่า “ก็ได้ พ่อไม่หาเรื่องแล้ว” จากนั้นใบหน้าสลดเมื่อครู่ค่อยปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ถ้ามีหลาน ต้องให้พ่อเลี้ยง”
   “อ้าว-เหยียน-เล่อ” พลังปีศาจคล้ายจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะถูกดับลงง่ายๆ เมื่อชายาของเขาจับมือไว้ นับทั้งสิบประสานแนบแน่นปราศจากช่องว่าง
   
   “ท่านต้องดูแลบิดาคงเหนื่อยมากสินะ” เฟยเยี่ยนเปรย
   “ท่านต้องดูแลพี่ชายก็คงเหนื่อยไม่แพ้กัน” อ้าวเหยียนหลงพูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน
   “เสี่ยวอิงคงเหนื่อยที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย” เทพมังกรจินหลงส่ายหน้าคล้ายปลงตก
   
   เห็นบรรดาเจ้านายแห่งภพสวรรค์ ภพมังกร ภพปีศาจ กระทั่งแดนธารหมอก ‘สนิทสนม’ กันถึงเพียงนี้ จิวซือพลันรู้สึกว่าข่าวลือที่ได้ยินล้วนอ่อนด้อยกว่าความเป็นจิรงอยู่มากทีเดียว




   เขาไท่ซาน
   สะพานข้ามภพดูเหมือนจากไกลจากโลกมนุษย์มาก ตัวสะพานทอดยาวผ่านกลุ่มเมฆปราศจากที่สิ้นสุด แต่เดินเพียงชั่วอึดใจก็มาถึงเขาไท่ซานได้อย่างประหลาด
   เขาไท่ซานมีประตูสวรรค์คือความเชื่อของพวกมนุษย์ ซึ่งก็ไม่ผิดจากความจริงเท่าใด เพราะเมื่อพ้นสะพานข้ามภพก็จะถึงสือปาผาน ซึ่งมีบันไดหินกว่า 1,600 ขั้นอยู่ระหว่างภูเขา ปรากฎเป็นภาพอันสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เทพเจ้าแห่งเขาไทซ่านเองก็ประทับอยู่เหนือบันไดสูงเทียมเมฆนี้
   จิวซือไม่ทราบว่าหากมนุษย์ขอพร ณ เขาไท่ซานแล้วจะเป็นจริงไหม เพราะเทพมักประทานพรให้กับผู้มีวาสนาต่อกันเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เขาเชื่อก็คือบทกลอนที่ใช้เขาไท่ซานเป็นสัญลักษณ์ว่ามีความจริงซ่อนอยู่
   ‘คนเราเกิดมาต้องตาย บางคนมีชีิวิตยิ่งใหญ่ คณูปการต่อแผ่นดินหนักแน่นดังเขาไท่ซานนี้ แต่บางคนกลับไร้ค่า ชีวิตเบาบางดังขนนก’
   



   งานชุมนุมเทพเซียนจะเรียกว่างานเทศกาลปีใหม่ของเหล่าเทพเซียนก็ย่อมได้ เจ้าวังทั้งสี่ทิศผลัดเวียนกันเป็นเจ้าภาพทุกปี และทุกสิบปีจะจัดขึ้นที่วังกลางของจอมเทพ เวลานั้นย่อมยิ่งใหญ่กว่าครั้งไหนๆ แต่สำหรับจิวซือที่เพิ่งได้ร่วมงามสังสรรค์เช่นนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกแปลกที่แปลกทางอยู่บ้าง เพราะนอกจากบรรดาเทพทั้งหลายแล้ว เซียนที่ได้รับเชิญมาร่วมงานมีเพียงหยิบมือ แต่ละตนล้วนเป็นเซียนอาวุโสที่มีชื่อเสียง ไม่ก็ประกอบกุศลกรรมกับมนุษย์มากมาย
   จิวซือเดินชมบรรยากาศของเขาไท่ซานที่แปลกตาไปจากเดิมเพราะมีพลังเทพอบอวลไปทั่ว มือหนึ่งหยิบอาหารและขนมแปลกตาหลายชิ้นใส่จานแก้วขนาดเล็ก อีกมือถือจอกสุราบุปผา 9 ชนิดอันเลื่องชื่อ จากนั้นก็หามุมสงบที่ห่างไกลออกมาเล็กน้อย แต่ยังได้ยินเสียงดนตรีบรรเลง
   จิวซือพิงร่างกับต้นไม้ใหญ่ เปลือกไม้สากและแข็งแต่กระแสความเย็นที่แผ่ออกมาทำให้สมองรู้สึกปลอดโปร่ง รอยยิ้มบางถูกจุดขึ้นที่มุมปาก บางทีคงเป็นความเคยชิน เซียนแทบทุกตนไม่มีโอกาสได้อยู่บนภพสวรรค์ เพราะร่างกายไม่บริสุทธิ์พอจะรองรับพลังเทพเป็นเวลานานๆ จึงอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ โดยเฉพาะในป่าเขาที่สิ่งแวดล้อมยังไม่ย่ำแย่นัก ตัวเขาถูกมอบหมายให้ดูแลแม่น้ำเจียงหัว จึงมักอาศัยต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำเป็นที่พักพิง ดังนั้นเมื่อแผ่นหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ค่อยเกิดความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมา

   “ซื่อเสวี่ยน”
   
   จิวซือตัวแข็งเมื่อได้ยินชื่อมนุษย์ของตนเอง ร่างกายที่เริ่มผ่อนคลายเปลี่ยนเป็นตึงเครียด กล้ามเนื้อหัวใจหดเกร็ง บีบรัดอย่างรุนแรงเมื่อเห็นร่างที่คุ้นตาก้าวออกจากเงามืด


   อี้...เทียน?


   


   ใบหน้าที่คุ้นตาดูหนุ่มขึ้นกว่าคนในห้วงความคิดมาก ชวนให้นึกถึงเมื่อคราวที่พวกเขาเพิ่งสอบรับราชการได้ใหม่ๆ ทุกรายละเอียดยังคงสลักแน่นในความทรงจำ โดยเฉพาะดวงตาสีดำสนิทเปี่ยมด้วยความจริงจังอยู่เสมอและไฝเม็ดเล็กใต้ตาขวา ร่างสูงใหญ่ของอี้เทียนอยู่ในชุดยาวสีน้ำเงินเข้ม ผมดำยาวถูกมัดรวบไว้เผยให้เห็นหน้าผากกว้าง คิ้วพาดเฉียง และสันจมูกโด่ง ทั้งรูปร่าง หน้าตา ตลอดจนบรรยากาศรอบตัวยังคงทำให้นึกถึงเทพสงครามอยู่ไม่เปลี่ยน

   จิวซือรู้สึกเหมือนสีหน้าตนเองใกล้ปริร้าวลงไปทุกที จึงได้แต่ยิ้มออกมา ขอเพียงมีรอยยิ้ม ความเจ็บปวดทุกอย่างย่อมสามารถปิดบังไว้ได้

   “อี้เทียน” กระทั่งน้ำเสียงยังถูกเขาควบคุมให้เป็นปกติได้อย่างไม่น่าเชื่อ น้ำเสียงของคนที่เจอสหายเก่า

   ไม่ใช่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกันอีก ชื่อเสียงของอี้เทียนในฐานะเซียนรุ่นใหม่อนาคตไกล เขาย่อมเคยได้ยิน ดังนั้นจึงทราบว่าช้าเร็วก็คงได้พบกัน หากว่าตนเองผ่านด่านคุณธรรมได้เป็นเทพ ก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นและมีเวลามากขึ้นอีกด้วย เพียงแต่การพบกันครั้งนี้กะทันหันเกินไป แทบทำให้เขาเสียการควบคุม

   “ซื่อเสวี่ยน เจ้า...เป็นเซียน?”

   ประโยคที่แฝงความแปลกใจทำให้รอยยิ้มของจิวซือสว่างไสวขึ้นอีก ไม่ทราบจะตอบอี้เทียนว่าอย่างไร นอกจากพยักหน้าลงคราหนึ่ง

   “ข้าไม่เห็นชื่อของเจ้าในทำเนียบเซียน นึกว่า...”

   จิวซือหัวเราะเสียงใส พูดติดตลกว่า “ตกนรกน่ะหรือ ตอนแรกข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่ดูเหมือนพอจะมีความดีความชอบอยู่บ้าง”

   คำพูดที่แฝงความดูถูกตนเองนั้นทำให้อี้เทียนขมวดคิ้ว ซื่อเสวี่ยนที่อยู่ตรงหน้าดูห่างไกลจากเสนาบดีซื่อเสวี่ยนผู้เป็นสหาย ใบหน้าของเด็กวัย 17 - 18 ปี รอยยิ้มปลอดโปร่งไร้กังวล ไม่ต้องแบกภาระหน้าที่ไว้บนบ่า แต่ไม่ทราบเพราะอะไรหัวใจเขาถึงบีบรัดเพราะรอยยิ้มนี้

   “ไม่ใช่อย่างนั้น หรือว่า...เจ้าเปลี่ยนชื่อ?” ข้าถึงหาไม่พบ

   “จิวซือ”

   จิวซือ...โชคชะตาและความสุข



   ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้าด้านหลังของจิวซือ เป็นแสงหลากสีของดอกไม้ไฟ กระจายอวดความสวยงามอยู่บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาไท่ซาน ดอกไม้ไฟสะท้อนในดวงตาของอี้เทียน มือทั้งสองข้างของเขากำแน่น สายตาละจากแสงวูบวาบบนฟากฟ้ามาจับจ้องใบหน้าอ่อนวัย

   ความทรงจำเมื่อชาติที่แล้วทำให้สีหน้าของอี้เทียนขรึมลง ตามปกติแล้วความทรงจำของด่านทดสอบคุณธรรมทุกชาติเปรียบเหมือนการอ่านหนังสือ เพียงทำความเข้าใจ เลือกจดจำบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อการเลื่อนขั้นเป็นเทพเท่านั้น แต่ความทรงจำในชาติสุดท้ายของเขานั้น อี้เทียนเลือกจะจดจำทุกอย่างนับตั้งแต่ได้พบหลิวเจียเย่ที่กองถ่าย นั่นเพราะเขาทราบแล้วว่าหลิวเจียเย่คือซื่อเสวี่ยน ร่างเซียนในอ้อมแขนของเทพอวิ๋นหนานที่เขาเห็นอย่างลางเลือนคือซื่อเสวี่ยน

   ที่แท้ก็อยู่ใกล้เพียงนี้



   “ชาติก่อน” ...ข้าคือพี่เหอของเจ้า... มีคำพูดมากมายที่อยากระบายให้คนตรงหน้ารับรู แต่ไม่ทราบจะบอกกล่าวอย่างไร อดีตไม่สามารถกลับไปแก้ไข ต่อให้อยากย้อนเวลากลับไปเพียงใดล้วนเป็นไปไม่ได้

    เมื่อวิญญาณหลุดจากร่างมนุษย์ จึงได้เห็นสายตาสิ้นหวังของซื่อเสวี่ยน ฝ่ายนั้นกอดร่างเปื้อนเลือดและถูกธนูยิงจนนับไม่ถ้วนของเขาไว้ในอ้อมแขน ไม่สนใจมือสังหารที่รุดเข้ามา หากไม่ได้องค์รักษ์เงาของฮ่องเต้ เกรงว่าคงตายตามเขามาแล้ว เวลานั้นค่อยตระหนักว่าซื่อเสวี่ยนก็รักเขาเช่นกัน

   ใบหน้าของสหายที่ร้องไห้แทบขาดใจ พร่ำบอกว่าขอโทษไม่ยอมหยุด ทำให้อี้เทียนทราบว่าตนเองพลาดไปแล้ว เดิมทีที่แต่งงานนั้นก็เพราะต้องการหลบหนีจากความคิดอกุศลที่มีต่ออีกฝ่าย ความคิดอยากครอบครองรุนแรง มีแต่จะทำให้ฝ่ายนั้นแปดเปื้อน แต่สุดท้ายแล้วชีวิตมนุษย์ช่างสั้นนัก เพราะเหตุใดจึงต้องว่ิงหนีหัวใจตนเองและทำร้ายคนที่รัก ชาติก่อนที่หลิวเจียเย่จากเขาไปนั้น เขารู้ซึ้งแล้วว่าสิ่งใดคือความเจ็บปวดอย่างที่สุด



   “อี้เทียน เจ้าผ่านด่านคุณธรรมแล้วหรือ”

   “อืม ชาติที่แล้วมีคนช่วยไว้ เขาให้ข้าสัญญาจะไม่คร่าชีวิต”

   “ยินดีด้วย”

   “แล้วเจ้าเล่า”

   “เหลืออีกสามชาติ”

   “ไม่ต้องห่วง เจ้าต้องผ่านแน่”

   จิวซือยิ้มรับคำอวยพร รอยยิ้มสว่างไสวไม่ต่างจากดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า พร่าพรายจนเกรงว่าจะหายไปได้ทุกเมื่อ ร่างกายของอี้เทียนขยับเข้าไปเร็วเท่าห้วงความคิด อ้อมแขนคว้าคนตรงหน้าเข้ามากอดแน่น ไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึกหวาดกลัวที่พลุ่งพล่าน ไม่อยากมองดอกไม้ไฟบนท้องฟ้าลับหายไปจากสายตาอีก

   ทำเนียบเซียนปราศจากชื่อที่ตามหา จนคิดว่าคงไม่ได้พบอีกแล้ว

   ชาติก่อน แม้ได้พบแต่ไม่อาจครองคู่

   เวลานี้ข้าหาเจ้าพบแล้ว ซื่อเสวี่ยน เจ้ายินดีตกนรกไปกับข้าหรือไม่

   “ดีใจที่ได้พบเจ้าอีก”

   นานกว่าอ้อมแขนจะคล้ายลง จิวซือบังคับให้ตนเองสงบใจแล้วตอบกลับว่า “เช่นกัน”

          ยินดีที่ได้พบ บางทีคงเป็นคำพูดที่เหมาะสมกับพวกเขาที่สุดแล้ว

     





   “สหายเซียน ท่านเจ้าวังเรียกหา” จิวซือจำได้ว่าเป็นเสียงของลั่วหยาง หนึ่งในข้ารับใช้ของวังตะวันออก ฝ่ายนั้นเห็นเขายืนอยู่กับคนอื่นก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้มาก จิวซือบอกว่าเขาทราบแล้ว จากนั้นจึงหันกลับมาสบตาอี้เทียน

   “ข้าไปก่อน”

   “ซื่อเสวี่ยน”

   “จิวซือ” เด็กหนุ่มแก้ไขคำเรียกชื่อตนเอง ตอนนี้ไม่มีมนุษย์ที่ชื่อซื่อเสวี่ยนอีกแล้ว มีแต่เซียนนามว่าจิวซือเท่านั้น

   อี้เทียนคล้ายชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาสีดำวูบไหว ในอกพลันรู้สึกโหวงเหวงขึ้นมา เขาพยักหน้าตกลงก่อนจะเปลี่ยนคำเรียกหาตามที่เจ้าของชื่อต้องการ

   “จิวซือ  เจ้าอยู่ที่วังของเทพอวิ๋นหนานหรือ”

   จิวซือพยักหน้า อย่างน้อยก็ในเวลานี้

   “แล้วข้าจะไปหา”

      





   นับจากงานชุมนุมเทพเซียน เวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว วังตะวันออกยังคงเงียบสงบเหมือนเคย หลังจากงานชุมนุมเทพเซียน จิวซือก็เปลี่ยนหน้าที่มาเป็นข้ารับใช้ที่ตำหนักของอวิ๋นหนาน รับผิดชอบห้องหนังสือ นอกจากปัดกวาดเช็ดถูและจัดเรียงตำราต่างๆ แล้ว เขายังได้รับอนุญาตให้อ่านตำราเหล่านั้นได้ เจ้าวังตะวันออกไม่ค่อยอยู่วัง แต่ทุกครั้งที่กลับมาก็มักจะช่วยคลี่คลายข้อติดขัดในการฝึกวิชาให้โดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยปากถามด้วยซ้ำ มีเทพอวิ๋นหนานเป็นทั้งเจ้านายและอาจารย์ นับว่าเป็นงานสบาย สวัสดิการเยี่ยมอย่างแท้จริง

   หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ยังไม่เห็นคนที่บอกว่าจะมาหา

   จิวซือปิดหนังสือ สูดลมหายใจเข้าลึก ได้เวลาไปหอคุณธรรมแล้ว

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 17:52:01

A Prince’s fiancé





(1)




   จิวซือลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณไหล่ขวาปวดหนึบ ดวงตากลมแวววาวราวลูกปัดกวาดมองไปเบื้องหน้า เห็นใบไม้สีเขียวเต็มไปหมดคล้ายกับว่าตนเองนอนอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ก็ไม่ปาน รอจนความทรงจำของร่างนี้ส่งผ่านเข้ามาทั้งหมด ค่อยพิจารณาสถานการณ์ของตัวเองอย่างถี่ถ้วน

   อีกาปีกหัก
   ถูกแล้ว ตอนนี้เขาเป็นอีกาสีดำที่ถูกธนูอาบยาพิษยิงจนปีกพิการไปข้างหนึ่ง ต้องขอบคุณต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ที่ช่วยรองรับร่างของเขาไว้ ไม่อย่างนั้นอาจเกิดความพิการซ้ำซ้อนได้
   โลกที่จิวซือถูกส่งมาเริ่มบททดสอบชาติที่เก้านั้น เรียกตนเองว่าอาณาจักรนอร์ท เป็นเขตแดนพิเศษที่ซ้อนทับกับภพมนุษย์ หรือจะกล่าวว่าเป็นเขตแดนปกครองตนเองโดยที่การมีอยู่พวกเขาไม่เปิดเผยแก่มนุษย์ทั่วไปก็คงได้ เหตุผลก็เพราะพวกมนุษย์หวาดกลัวสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะพลังที่ตนเองไม่มี ความระแวงของมนุษย์ไม่มีขอบเขต และสุดท้ายก็จะเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขจัดสิ่งที่ตนเองไม่คุ้นเคยออกไป ดูจากการล่าแวมไพร์ หรือแม่มดในอดีตก็ได้
   เจ้าของร่างที่ตายไปนั้นเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งกาดำ ชื่อว่าแอสเชอร์ สเวน อายุ 17 ปี หน้าตา พรสวรรค์ ผลการเรียนค่อนข้างไปทางแย่ นิสัยซื่อๆ ถึงขั้นซื่อบื้อ ไม่ทันคน กระทั่งโดนปั่นหัวจนตายได้ทั้งที่มีขาทองคำอยู่ใกล้ตัวให้เกาะหนึบไปชั่วชีวิตแท้ๆ
   ขาทองคำที่ว่าก็คือคู่หมั้นของแอสเชอร์ เจ้าชายโดมินิก ลูเซียโน่ รัชทายาทแห่งนอร์ท การที่แอสเชอร์ได้เป็นพระคู่หมั้นของเจ้าชายรัชทายาทนั้น ย่อมไม่ใช่ความสามารถ เสน่หา หรือความรัก แต่เป็นเพราะคุณปู่ของเขาเคยช่วยชีวิตกษัตริย์เด็กซ์ตัน กษัตริย์องค์ปัจจุบันแห่งนอร์ท และเป็นกำลังหลักที่ผลักดันให้ราชวงศ์ลูเซียโน่ขึ้นครองราชย์ เวลานั้นคุณปู่ของแอสเชอร์ได้รับการแต่งตั้งเป็นดยุก ตระกูลสเวนถือเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ ศักดิ์ฐานะพอจะเกี่ยวดองกับราชวงศ์ได้ ทว่านั้นคืออดีต เมื่อสิบปีก่อนทุกคนในตระกูลสเวนค่อยๆ ป่วยตายไปอย่างเป็นปริศนา เหลือเพียงแอสเชอร์คนเดียว
   เดิมทีแอสเชอร์เป็นเด็กฉลาด และร่าเริง แต่เพราะเรื่องของครอบครัวจึงเปลี่ยนเป็นคนไม่ค่อยพูด เก็บตัว และยังถูกพี่เลี้ยงในวังกล่าวกระทบกระแทกอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นต้นตอความซวย ความโชคร้ายที่ทำให้คนในครอบครัวตายยกตระกูล ยิ่งราชวงศ์ปัจจุบันเป็นเผ่างู สัตว์เลื้อยคลานเกลียดสัตว์ปีกเป็นที่รู้กันทั่วไป ดังนั้นเผ่านกจึงถูกกดดันไม่น้อย นับประสาอะไรกับกาดำที่ถูกมองว่าเป็นลางร้ายอย่างแอสเชอร์ ข้อมูลพวกนี้ถูกปลูกฝังในหัวตั้งแต่แอสเชอร์อายุแค่เจ็ดขวบ สองปีก่อนขุนนางหลายคนขอให้กษัตริย์เด็กซ์ตันทรงทบทวนการหมั้นหมายระหว่างรัชทายาทและแอสเชอร์ แต่พระองค์ก็ยังยืนกรานจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับดยุกสเวน ดังนั้นเอสเชอร์จึงเปรียบเหมือนหนามชิ้นใหญ่สำหรับผู้ที่สนับสนุนเจ้าชายโดมินิก

   การตายของแอสเชอร์นั้น จิวซือไม่รู้เบื้องหลังแน่ชัด แต่พอจะเดาได้ว่าคงเกี่ยวพันกับการแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างรัชทายาทโดมินิก และเจ้าชายดีแลน เจ้าชายองค์ที่สองแห่งราชวงศ์ลูเซียโน่ หรือไม่ก็อาจจะเป็นหญิงสาวคลั่งรักที่มีเจ้าชายโดมินิกเป็นเป้าหมายของชีวิต แต่จิวซือเดาว่าคงเป็นประการหลังเพราะเหตุผลที่แอสเชอร์หนีออกมาจากโรงเรียนนั้นก็เพราะได้ยินว่ารัชทายาทไม่ยินดีที่จะแต่งงานกับเขา เกรงว่าจะนำความอัปมงคลมาให้ แอสเชอร์รักอีกฝ่ายอย่างแท้จริง และมองโดมินิกเป็นเหมือนคนในครอบครับเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ ดังนั้นจึงกลัวถูกเกลียด และเลือกจากมาเงียบๆ กระทั่งจดหมายบอกลายังไม่มี ในเมื่อที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขา เขาย่อมไปแสวงหาที่ของตนเอง ไม่คาดว่าจะถูกธนูอาบยาพิษยิงตาย

   นก...เป็นสิ่งมีชีวิตที่รักอิสระ โดยเฉพาะอีกาเป็นพวกที่มีความทระนงตนอยู่ในสายเลือด ต่อให้ถูกกดขี่ และสั่งสอนให้เห็นถึงความต่ำต้อยในฐานะเพียงใด ก็ไม่มีทางก้มหัวให้แต่โดยดี ยอมตายดีกว่าเสียศักดิ์ศรี บางทีคงเป็นธรรมชาติของพวกมัน
   จิวซือไม่แปลกใจที่แอสเชอร์เลือกโบยบินหาอิสระ เพียงแต่ก่อนออกโบยบิน ยังคงต้องเรียกเก็บค่าเสียหายที่ควรได้ ในเมื่อคิดจากไป ไยจึงจากไปมือเปล่า ถ้าเป็นเขาอย่างน้อยๆ ต้องขูดเศษทองคำออกจากต้นขาของโดมินิกสักแผ่นสองแผ่น
   อย่างไรก็ตามแต่ เอาเป็นว่าตอนนี้เขากลายเป็นอีกาปีกหักไร้ซึ่งทรัพย์สินเงินทอง กระทั่งที่ไปก็ไม่มี ยังดีที่พลังจิตเซียนเขาแข็งแกร่งขึ้นมากจากการบำเพ็ญเพียรที่ภพสวรรค์ ดังนั้นอาการบาดเจ็บเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ จิวซือใช้พลังถอนลูกธนูออกจากปีกขวา ลูกธนูขนาดไม่เล็กยามขยับผ่านชั้นเนื้อทำให้ความเจ็บปวดแล่นริ้วจนเหงื่อตก เขาได้แต่กลั้นเสียงร้องไว้ เกรงว่าจะถูกพบ นานหลายนาทีกว่าธนูจะหลุดจากร่าง จิวซือรีบห้ามเลือดและดึงพลังธรรมชาติเข้ามารักษาบาดแผล กระทั่งความเจ็บปวดค่อยทุเลาลง

   ในเมื่อแอสเชอร์เลือกจากมาแล้ว จิวซือก็ไม่คิดกลับไปอีก เขตแดนพิเศษที่เหมือนมิติทับซ้อนเช่นนี้ เขายังไม่เคยไปมาก่อน และไม่ใช่เรื่องง่ายหากต้องการไปเยือน ดังนั้นจึงรู้สึกตื่นเต้นนิดๆ ที่จะได้ออกสำรวจ เจ้าของร่างเดิมไม่มีความคาดหวังยิ่งใหญ่ใดๆ เขาแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข มีโดมินิกเป็นครอบครัว แต่เมื่อพบว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็แค่อยากท่องเที่ยวไปทั่ว โบยบินอยู่กลางนภาอย่างไร้กังวล หลุดพ้นจากกรงที่ขังตนเองไว้ แม้กรงที่ว่าจะเป็นกรงที่เรียกว่าความรักก็ตาม
   จิวซือรู้สึกเหมือนจะคว้าอะไรได้บางอย่าง บางอย่างที่เคยเลือนลางคล้ายเริ่มชัดเจนขึ้นมา แต่ก่อนที่สิ่งนั้นจะปรากฏชัดในห้วงความคิด ก่อนที่เขาจะพยายามเข้าใจมัน ก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นแต่ไกล คบไฟสว่างหลายจุดขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ร่างเล็กๆ ราวสองฝ่ามือของกาดำเกร็งขึ้น ลูกปัดสีดำจับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างระวัง ไม่กล้าขยับตัวหรือหายใจแรง ด้วยเกรงว่าจะเป็นพวกเดียวกับคนที่ยิงธนูใส่เขา
   กระนั้น ดูเหมือนว่าการซ่อนตัวของเขาจะไม่เป็นผล เมื่อร่างของคนผู้หนึ่งกระโดดขึ้นจากพื้นมายืนบนกิ่งไม้ที่เขาอยู่ในก้าวเดียว มือใหญ่ทั้งสองข้างช้อนตัวกาดำที่ไม่มีแรงต่อต้าน แล้วประคองไว้ในอ้อมแขน กริยาทั้งนุ่มนวลและระมัดระวังอยู่ในที ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มบางๆ

   “พบแล้ว เจ้าตัวเล็ก”


   จิวซือกระพริบตามองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดคนที่ปรากฏตัวในเวลานี้จึงเป็นเจ้าชายดีแลนไปได้เล่า
   ดีแลน ลูเซียโน่ เจ้าชายลำดับสองแห่งราชวงศ์ คู่แข่งคนสำคัญของรัชทายาทโดมินิกผู้เป็นพี่ชาย เพราะในประชากรเผ่างูทั้งหมด มีเพียงโดมินิกและดีแลนเท่านั้นที่มีขาเล็กๆ ทั้งสี่ข้างงอกออกมาจากช่วงท้อง พวกเขาเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ซึ่งหากผ่านอัสนีเก้าชั้นฟ้าไปได้จะมีโอกาสกลายร่างเป็นมังกร นอกจากสายเลือดที่โดดเด่นนี้ เจ้าชายดีแลนยังเป็นบุตรที่กษัตริย์เด็กซ์ตันรักและตามใจที่สุด ในความทรงจำของแอสเชอร์ พวกเขาทั้งสองไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันมาก่อน หรือกล่าวให้ถูกต้องก็คือเจ้าชายดีแลนไม่เห็นแอสเชอร์อยู่ในสายตามาตั้งแต่แรก แล้วเหตุใดเขาจึงมาปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้ พร้อมคำพูดและกริยาไม่คล้ายเจ้าตัว

   รอยยิ้มของเจ้าชายดีแลนเลือนหายไป เค้าลางแห่งความโกรธขยับเข้ามาแทนที่เมื่อเห็นรอยเลือดเกรอะกรังและปีกที่บิดจนผิดรูป แม้บาดแผลจะปิดสนิทแล้วก็ตามที
   นิ้วเรียวของดีแลนลูบบริเวณบาดแผล ก่อนจะส่งกระแสความเย็นดังสายน้ำให้โอบล้อมร่างเล็กๆ ไว้ จิวซือรู้สึกถึงพลังอันคุ้นเคยที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย และเบาสบายจนเผลอเอียงหัวเล็กเข้ากับท่อนแขนนั้น ดวงตาหลับลงอย่างเหนื่อยล้า ลืมสิ้นความระวังภัยใดๆ

   
   หลับไปแล้ว
   เห็นกาดำหลับอยู่ในอ้อมแขนของตน หัวเล็กซบท่อนแขนอย่างเป็นสุข จะงอยปากเกยอยู่บริเวณข้อศอกของเขาเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ดวงตากลมปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ ในอกพลันรู้สึกถึงความพึงพอใจ ยิ่งกว่าคราที่เห็นเซียนน้อยตนนั้นตั้งใจฝึกวิชาตามคำสอนของเขา

   เจ้าตัวเล็ก ยามอยู่ในตำหนักของเขามีแต่ก้มหน้ารับคำขอรับๆ กริยาเคารพแต่เหิงห่าง มาเวลานี้กลับกล้าใกล้ชิดเขาโดยไม่ระวัง หรือเพราะไม่เห็นว่าเป็นเจ้านายแล้วจะเอาแต่ใจอย่างไรก็ได้

          อย่างนั้นหรือ เจ้าเซียนน้อย เจ้าเลือกปฏิบัติกับข้าหรอกหรือ







     เห็นเจ้าชายดีแลนกระโดดลงจากต้นไม้ด้วยความนุ่มนวล อ้อมแขนกางกั้น ปกป้องสิ่งมีชีวิตสีดำอย่างระวัง ดวงตาที่เคยไม่แยแสผู้ใด บัดนี้จับจ้องเพียงกาดำที่ดูสกปรก ขมักขะมอมตัวนั้นไม่วางตา ทำเอาบรรดาผู้ติดตามทั้งหลายใกล้จะยกมือขยี้ตาตัวเองเต็มที

       ทั่วทั้งอาณาจักรนอร์ท มีผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าเจ้าชายลำดับสองผู้นี้ถือองค์เพียงใด สายตาของพระองค์มีตัวเองเป็นแกนของโลก ไม่เคยปล่อยให้ตนเองหมุนรอบผู้อื่นมาก่อน กระทั่งพระราชินีคนปัจจุบันก็ยังทรงไม่ไว้หน้า นอกจากพระมารดาที่ล่วงลับไปแล้ว ใครก็มิอาจทำให้เจ้าชายดีแลนอ่อนข้อให้ได้ ทั้งๆ ที่ทรงพยศถึงเพียงนี้ ก็ยังเป็นโอรสที่กษัตริย์เด็กซ์ตันโปรดปรานที่สุด เมื่อครั้นตั้งรัชทายาท ยังคิดแต่งตั้งเจ้าชายดีแลนที่เป็นโอรสองค์รอง เพียงแต่เจ้าตัวปฏิเสธ ไม่ต้องการหาภาระมาแบกก็เท่านั้น ตำแหน่งรัชทายาทจึงกลายเป็นของเจ้าชายโดมินิก

        ส่วนเจ้านกสีดำที่มีวาสนาสูงส่งได้นอนหลับในอ้อมแขนของเจ้าชายดีแลนนั้น เกรงว่าจะเป็น...

     “ฟรานซิส”
     “ครับ”
     “ตรวจสอบเรื่องแอสเชอร์ สเวน”

     เสียงรับสั่งเข้มได้ให้คำตอบแก่ข้อสงสัยของทุกคนหมดแล้ว อีกาที่เจ้าชายทรงทะนุถนอมตัวนั้นคือแอสเชอร์ สเวน พระคู่หมั้นของรัชทายาท ตัวอัปมงคลแห่งนอร์ท

     จะว่าเจ้าชายดีแลนเสียดายราชบัลลังก์จนคิดใช้แอสเชอร์เป็นเครื่องมือก็ไม่น่าใช่ เพราะแอสเชอร์ สเวนไม่มีค่าขนาดนั้น ต่างก็ทราบดีว่าเขาเป็นเสี้ยนหนานที่ฝ่ายสนับสนุนเจ้าชายโดมินิกอยากถอนเต็มแก่ จะว่าทรงทำไปเพื่อเอาใจพระบิดา ก็ดูไม่สมเหตุสมผล ด้วยกษัตริย์เด็กซ์ตันทรงโปรดปรานเจ้าชายดีแลนที่สุดอยู่แล้ว


     มีเพียงดีแลน หรืออวิ๋นหนานเท่านั้นที่ทราบว่าเพราะอะไร

     วังตะวันออกของเขามีข้ารับใช้เพียงพอแล้ว แต่ยังขาดคนสนิทฝีมือดี เวลานี้คนที่เขาสามารถมอบหมายงานสำคัญได้อย่างวางใจมีเพียงคงเหวินเท่านั้น จิวซือเป็นเซียนที่เขาหมายตาให้เป็นผู้ช่วยของเขาอีกคนหนึ่ง การมาจับตาดูว่าที่ลูกน้องในสังกัดจึงชอบด้วยเหตุและผลอย่างยิ่ง




     เจ้าชายดีแลน และคณะผู้ติดตาม เดินทางกลับมาถึงนอร์ทเทิร์นในเวลาไม่ถึงชั่วโมง นอร์ทเทิร์นคือโรงเรียนหลวง สถานศึกษาอันดับหนึ่งแห่งราชอาณาจักรนอร์ท อยู่ห่างจากพระราชวังไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร อาจเรียกว่าเขตพระราชฐานชั้นนอกก็เป็นได้ โครงสร้างเป็นปราสาทสไตล์ยุโรปตะวันออกขนาดใหญ่ มีระเบียงหินและอาคารเตี้ย ตลอดจนอุทยานล้อมรอบ

     ระบบการศึกษาของนอร์ทเทิร์นแบ่บเป็น 8 ระดับ เรียกอย่างง่ายว่า ปี 1 ถึง ปี 8 ไม่มีจำกัดอายุขึ้นต่ำในการสมัครเข้าเรียน แต่เนื่องจากต้องผ่านการทดสอบทั้งความรู้และทักษะต่างๆ นักเรียนชั้นปี 1 ส่วนใหญ่จึงมีอายุประมาณ 11-12 ปี

     แอสเชอร์อายุ 17 ปี ตามหลักแล้วสมควรอยู่ชั้นปีที่ 5 หรือ 6 แต่เพราะความสามารถของเขาจำกัด สอบเลื่อนชั้นไม่ผ่าน ดังนั้นจึงยังอยู่ชั้นปีที่ 4 ขณะที่เจ้าชายดีแลนที่อายุเท่ากัน เวลานี้อยู่ชั้นปีที่ 8 ชั้นเดียวกับเจ้าชายโดมินิก ผู้เป็นพี่ชาย

     นอร์ทเทิร์นเป็นโรงเรียนประจำ มีหอพักสำหรับนักเรียนอยู่ที่ปีกซ้ายของปราสาท แต่สำหรับเจ้าชายดีแลนแล้ว เขามีห้องนอนของตัวเองอยู่ที่ชั้นบนของปีกซ้าย ดังนั้นเขาจึงพาอีกาที่ยังหลับสบายในอ้อมแขนกลับห้องนอนของตนด้วย

     อาณาเขตส่วนตัวที่ไม่เคยมีผู้ใดล่วงล้ำ เวลานี้มีอีกหนึ่งชีวิตได้ก้าวเข้าไปแล้ว





     จิวซือตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเบาะนุ่มๆ หลังจากสังเกตดีแล้วค่อยทราบว่ามันเป็นตะกร้าที่บุด้วยนวมและผ้าแพรสีม่วงเย็นสบาย ตัวเขาที่ยังอยู่ในร่างกาดำนอนอยู่ในนั้น ร่างกายตั้งแต่คอลงไปถูกห่มไว้าด้วยผ้าชนิดเดียวกัน เมื่อขยับตัว เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นใบหน้าของเจ้าชายดีแลนคนเดิม
     กาดำเอียงหัวเล็กๆ แสดงความสงสัย และตั้งคำถามต่อเจ้าชายดีแลนที่ถือตะกร้าอยู่
     “ขี้เซา”
     “ก้า?” หมายถึงเขาเหรอ? จิวซือเอียงหัวไปมา ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง และมองไปด้านบนบ้าง เห็นว่าพวกเขากำลังเดินไปตามระเบียงปราสาท แสงแดดยามเช้าให้ความรู้สึกอุ่นสบาย คาดว่าคงเป็นวันใหม่แล้ว แสดงว่าเขาหลับไปหนึ่งคืนเต็มเลยหรือ
     “พูดภาษามนุษย์”
     “เจ้าชายช่วยผมไว้เหรอครับ”
     อวิ๋นหนานผุดยิ้มที่มุมปาก ท่าทางเอียงหัวเล็กๆ ของเจ้ากาดำดูโง่งม ดวงตากลมใสเหมือนลูกปัดดูซื่อตรง ไร้พิษภัย
     “เธอบาดเจ็บหนัก ยังเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ไม่ได้ ตอนนี้อยู่ในความดูแลของเรา”
     ประโยคกึ่งบอกเล่ากึ่งเป็นคำสั่งนั้นทำให้จิวซืองุนงง ใครบอกว่าเขาบาดเจ็บหนัก เวลานี้ร่างกายของ
เขาหายดีแล้ว อีกทั้งยังดูเหมือนจะแข็งแรงกว่าเก่า อย่าว่าแต่เปลี่ยนร่างมนุษย์เลย ให้เปลี่ยนเป็นร่างพร้อมรบของมนุษย์ที่มีปีกกางอกอยู่ด้านหลังก็ทำได้
     “เข้าใจมั้ย”
     แต่ในเมื่อเจ้าชายดีแลนบอกให้ทำแบบนี้ เขาก็ยินดีจะทำตาม ในโลกที่ไม่คุ้นเคย ทั้งยังมีศัตรูในที่มืด การแสร้งทำเป็นอ่อนแอ ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว
     “เข้าใจครับ”




     ห้องเรียนวิชาการปกครอง ชั้นปีที่ 8

     ศาสตราจารย์ลอเรนโซ่ หัวหน้าภาควิชาการปกครอง ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ที่เฮี้ยบที่สุดแห่งนอร์ทเทิร์น ทั้งยังควบตำแหน่งที่ปรึกษาสภาปกครองแห่งนอร์ท ดังนั้นบรรยากาศในชั้นเรียนของเขาจึงเคร่งเครียดอยู่เสมอ ทว่าในเวลานี้ สายตาของนักเรียนในชั้นวอกแวก ไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ศาสตราจารย์ลอเรนโซ่ แต่เป็นโต๊ะของเจ้าชายดีแลน ซึ่งอยู่ริมหน้าต่างด้านหลังของห้องเรียน

     เจ้าชายดีแลนยังทรงหล่อเหลา สง่างาม และมีกำแพงสูง ยากจะเข้าถึงอยู่เช่นเดิม แต่เวลานี้เหมือนกำแพงที่ว่าจะมีรูโหว่ขนาดใหญ่ ชวนให้ผู้คนอยากมองลอดเข้าไปด้านใน อยากทราบว่าทรงกำลังคิดอะไร ถึงได้มาให้อาหารนกในห้องเรียนเช่นนี้!!!

     ใบหน้าของเจ้าชายดีแลนจับจ้องอยู่ที่ตะกร้าไม้บนโต๊ะเรียน มือข้างหนึ่งเท้าค้างในกริยาผ่อนคลายอย่างหาได้ยาก ส่วนอีกข้างหยิบเมล็ดแตงที่ปลอกเปลือกเรียบร้อยป้อนเจ้ากาดำที่นอนอยู่ในตะกร้า เจ้านกตัวนั้นก็ช่างว่านอนสอนง่าย จะงอยปากเล็กรับเมล็ดแตงที่ถูกส่งมาให้อย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็แสดงความขอบคุณด้วยการเอาหัวเล็กๆ ถูไถมือของเจ้าชายดีแลนอย่างสนิทสนม และแม้เจ้าชายจะไม่ได้ยิ้มออกมา แต่สีหน้าและแววตาอ่อนลงจนสังเกตได้ ท่าทางที่ทรงมีต่อนกตัวนั้นดูอ่อนโยนกว่าท่าทางที่ทรงปฏิบัติต่อพระราชินีเสียอีก



     “เจ้าชายดีแลน” เสียงของศาสตราจารย์ลอเรนโซ่ทำให้ทุกสายตาหันกลับไปด้านหน้าห้อง รวมถึงคนที่ถูกเรียก และเจ้ากาในตะกร้า ที่ขยับหัวเล็กๆ เกยขอบตะกร้าอย่างสนใจ

     ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นของกาลเวลาแสดงถึงความไม่พอใจ แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีเหลืองทองของเจ้าชายดีแลน ความไม่พอใจนั้นก็เปลี่ยนเป็นความกลัว เขาถึงกับลืมไปว่านอกจากดีแลนจะเป็นเจ้าชายแล้ว เขายังเป็นสายเลือดชั้นสูงของเผ่างู เป็นงูใหญ่ที่มีสี่ขา เป็นบุคคลที่ไม่ควรตอแยด้วยที่สุด กระนั้นด้วยความที่ตนยังต้องรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นอาจารย์ และหน้าตาของฝ่ายรัชทายาท ลอเรนโซ่จึงปลุกปลอบขวัญตนเอง กล่าวเสียงแข็ง
     “ทรงให้คนพาสัตว์เลี้ยงกลับไปพักก่อนดีหรือไม่ เจ้าชาย”
ดีแลนเลิกคิ้ว ใบหน้าปรากฏรอยเย้ยหยัน เขาอุ้มเจ้ากาดำออกจากตะกร้า วางมันไว้ในอ้อมแขนให้ทุกคนได้เห็นชัดๆ และใช้นิ้วลูบหัวเล็กเบาๆ ก่อนเอ่ยว่า
     “ศาสตราจารย์เข้าใจผิดแล้ว นี่คือแอสเชอร์ สเวน ตระกูลสเวนต้องเกี่ยวดองกับเรา ให้เขาฟังเรื่องการปกครองไว้คงไม่ผิดกระมัง”
     ประโยคดูเหมือนจะอธิบาย แต่ท่าทางมั่นใจ ไม่ยินยอมให้ปฏิเสธ
     “ศาสตราจารย์?”
     ลอเรนโซ่รู้สึกถึงแรงกดดัน ราวกับร่างกายถูกงูใหญ่รัดไว้ทั้งตัวจนขยับไม่ได้ เขามีความรู้สึกว่าหากตนเองกล้าปฏิเสธ จะถูกรัดจนกระดูกแหลก ลอเรนโซ่กลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว
     “สนใจเรียนรู้ย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว”
     จิวซือรู้สึกขบขันกับท่าทางที่พยายามปกปิดความกลัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังพยายามงัดข้อกับเจ้าชายดีแลน ศาสตราจารย์ลอเรนโซ่เป็นพวกเดียวกับเจ้าชายโดมินิก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะเกลียดและดูถูกแอสเชอร์ สเวน แม้เขาไม่เคยลงมืออย่างเปิดเผย แต่สายตาและคำพูดเสียดสี เจ้าของร่างจำได้ทุกคำ ท่าทีของลอเรนโซ่ยังชักชวนให้ผู้คนรอบข้างมองแอสเชอร์อย่างเป็นปฏิปักษ์มากขึ้นด้วย จิวซือเชิดหน้ามองลอเรนโซ่ ดวงตากลมแวววาว หากเป็นมนุษย์ ริมปีปากคงจะฉีกยิ้มท้าทายด้วยแล้ว
     “ก้าาา”
     เสียงขานรับของเจ้ากาดำทำให้รอยขบขันปรากฏบนใบหน้าของเจ้าชายดีแลน ขณะที่ศาสตราจารย์ลอเรนโซ่ตัวสั่นด้วยความโกรธที่ไม่สามารถบรรยายได้

     แอสเชอร์ สเวน!!!

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 17:55:31

Prince’s fiancé



 (2)




   เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ดีแลนก็ถือตะกร้าพานกของเขากลับห้องท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นหลายสิบคู่ เชื่อได้เลยว่าเหตุการณ์ที่เขาออกโรงปกป้องแอสเชอร์อย่างไม่ไว้หน้าศาสตราจารย์ลอเรนโซ่ต้องโด่งดังไปทั้งรั้วโรงเรียน
   ทันทีที่ดีแลนวางตะกร้าลงบนโต๊ะหนังสือ จิวซือก็กลายร่างเป็นมนุษย์ แอสเชอร์ สเวน ผู้มีผมและตาสีดำสนิท รูปร่างเล็กและมีผิวซีดคล้ายเด็กขาดสารอาหาร เด็กหนุ่มสูงแค่ไหล่ของดีแลนทั้งที่อายุเท่ากัน
   “เจ้าชาย”
   “เรียกเจ้านายสิ”
   “ครับ?”
   อวิ๋นหนานมองใบหน้าที่เก็บอาการแปลกใจรวมถึงระแวงไว้ไม่อยู่ ร่างมนุษย์ให้ภพชาตินี้ไม่ต่างจากร่างจริงของเซียนผู้นั้นมากเท่าใดนั้น โดยเฉพาะดวงตาสีดำคู่นั้นที่จ้องมองเขาอย่างเอาจริงเอาจังเสมอเวลารับคำสั่ง หรือฟังคำชี้แนะจากเขา
   เขาไม่อาจเปิดเผยฐานะของตนเองที่นี่ ด้วยเป็นการละเมิดกฎสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้คำเรียกหาเป็นเจ้าวังได้ ส่วนเหตุผลที่ให้อีกฝ่ายเรียกเขาว่าเจ้านายนั้น เพราะเขาคิดจะฝึกให้ว่าที่ลูกน้องคนสนิทของเขาเข้าใจว่า ต่อให้เขาเป็นเจ้านายก็สามารถออดอ้อนเขาได้ สามารถขอร้องให้เขาถ่ายทอดวิชา ปกป้อง หรือหนุนหลังได้ เรียกว่าฝึกไว้ให้ชินก็ไม่ผิดนัก เมื่อกลับวังตะวันออกจะได้ไม่เลือกปฏิบัติกับเขาอีก
   “ไม่ยินยอมรับเราเป็นเจ้านายหรือ”

   เจ้านาย?
   คราวนี้จิวซืองุนงงอย่างแท้จริง เจ้าชายดีแลนตรงหน้าดูไม่คล้ายดีแลนที่อยู่ในความทรงจำของแอสเชอร์ เจ้าชายลำดับสองคนนั้นไม่มีทางสนใจคนอย่างแอสเชอร์ สเวน หรือจะกล่าวให้ถูกก็คือเขาไม่ควรเสียสละความคิดในเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ การเป็นเจ้านายของแอสเชอร์ มีประโยชน์อะไร นอกจากความนึกสนุกชั่วคราวแล้ว จิวซือหาเหตุผลอื่นที่พอเป็นไปได้ไม่ออกเลย
   “หมายถึงเจ้าชายอยากได้ผมเป็นสัตว์เลี้ยง?”
   ดีแลนย่นหัวคิ้วเล็กน้อย ท่าทางไม่ใคร่พอใจ แต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะตอบว่า “สถานะของตัวเอง เธอก็คิดเองแล้วกัน ส่วนฐานะของเราคือเป็นเจ้านายของเธอ”
   จิวซือหัวเราะในลำคอ ตัดสินใจเลิกคาดเดาความคิดของคนตรงหน้า แต่ไหนแต่ไรมาเขามักจะคอยมองสีหน้า และคาดเดาความคิดของผู้อื่นเสมอ คอยวางแผนไม่ให้ตัวเองและสหายเพลี่ยงพล้ำ เดินหมากทุกตาในสมองเป็นสิบรอบเพื่อป้องกันความผิดพลาด แต่สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร ความผิดพลาดอย่างไม่น่าอภัยก็เกิดขึ้นจนได้
   สิ้นเปลืองสมองคาดเดาจิตใจผู้อื่นเป็นเรื่องเสียเวลา มิสู้อบรมจิตใจตนเองให้เข้มแข็ง นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เขาเรียนรู้จากด่านคุณธรรม
   “ไม่ยอมรับครับ” เด็กหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้ม
   “…” ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าชายดีแลนเต็มไปด้วยคำถาม และเค้าลางแห่งความไม่พอใจ
   “ไม่ว่าลูกน้องหรือสัตว์เลี้ยง ผมก็ไม่ชอบทั้งนั้น” เป็นลูกน้อง ต้องทำตามความต้องการของเจ้านาย มอบความซื่อสัตย์ภักดีให้ ขณะที่สัตว์เลี้ยงนั้น สามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยไร้กังวล แต่ต้องเสียอิสระไป แน่นอนว่าเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้


   “แล้วเธออยากเป็นอะไรของเรา”
   “เจ้าชายต้องการใช้ผมต่อรองกับรัชทายาทหรือครับ”
   ดีแลนขมวดคิ้ว เสียงของเขาเข้มขึ้น “ไม่ใช่”
   “งั้นทรงต้องการประโยชน์อะไรจากคนไร้ค่าอย่างผม”
   “อย่าดูถูกตัวเอง”
   ดวงตาสีเหลืองทองฉายประกายจริงจังยามกล่าวถ้อยคำนั้น จิวซือพลันนึกถึงเจ้าวังตะวันออกที่ชอบใช้สายตาเช่นนั้นยามสอนเขา ข้ารับใช้คนอื่นในวังล้วนมองเขาเป็นพวกดื้อด้าน ไม่รู้จักเจียมตัว มีแต่ตงหวางเท่านั้นที่เชื่อว่าเขาสามารถผ่านด่านทดสอบคุณธรรมได้ นอกจากไม่หัวเราะเยาะที่เขาพยายามฝึกพลังเทพทุกวันทั้งที่เป็นเซียนแล้ว ยังคอยช่วยเหลือ
   เขาไม่ดูถูกตัวเองอยู่แล้ว นับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วิถีเซียน ก็มั่นใจว่าจะสำเร็จเป็นเทพ ถึงเวลานั้นเรื่องราวที่อยากทำก็จะกระทำอย่างเต็มที่
   “ในเมื่อเราอายุเท่ากัน หากเจ้าชายไม่รังเกียจ เราเป็นเพื่อนกันเถอะครับ”
   ดูเหมือนว่าคำตอบของแอสเชอร์จะเหนือความคาดหมายไปมาก สีหน้าของเจ้าชายดีแลนจึงแสดงออกว่าเขาต้องการฟังซ้ำอีกครั้ง ให้มั่นใจว่าตนได้ยินไม่ผิด ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าของคนที่อ้างตัวเองว่าอายุเท่ากันทั้งที่สูงแค่ไหล่ของเขา และเรียนช้ากว่าเขาอย่างพิจารณา สายตาของเขาหยุดลงที่รอยยิ้มปลอดโปร่งของแอสเชอร์ ก่อนที่ริมฝีปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มจะกล่าวว่า “ตามใจ”




   เวลาบนโลกมนุษย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรจิวซือก็อยู่กับดีแลนมาร่วมสัปดาห์แล้ว พูดตามตรง เป็นนกมันก็สบายดี จิวซือค้นพบว่าการฝึกพลังธรรมชาติ หรือที่ดินแดนนี้เรียกว่าพลังเวทย์นั้น ในร่างนกทำได้ง่ายกว่าร่างมนุษย์ ดังนั้นส่วนใหญ่เขาจึงอยู่ในร่างกาดำ พลังเวทย์โดยเฉพาะธาตุลมและธาตุน้ำค่อนข้างตอบสนองต่อร่างกายของเขาได้ดี
   จิวซือยังพบอีกว่าดีแลนชอบให้เขาอยู่ในร่างสัตว์เล็กๆ เช่นนี้ ดูเหมือนดีแลนจะมองเขาเป็นสัตว์เลี้ยงมากกว่าเป็นสหายอย่างที่เคยตกลงกันไว้ ฝ่ายนั้นมักชอบให้อาหารเขา ลูบหัวเขา ข้อดีก็คือเวลาที่ทำอย่างนั้นก็จะถ่ายทอดพลังเย็นๆ มาด้วย ทำให้ร่างกายของเขาผ่อนคลาย และสบายมากจนเผลอเอาศีรษะถูไถมือใหญ่ไปมา นับจากนั้นดีแลนก็เริ่มถ่ายทอดพลังให้เขาทุกเช้า รอจนเขาถูไถฝ่ามือเป็นการขอบคุณแล้ว จึงจะพอใจ ถึงได้บอกว่าฝ่ายนั้นมองเขาเป็นสัตว์เลี้ยงไปแล้วจริงๆ นอกจากนี้ดีแลนยังคงถือตะกร้าพาเขาไปเรียนด้วยทุกวัน ไม่แปลกเลยที่เรื่องนี้จะกลายเป็นหัวข้อสนทนาของคนทั้งสถานศึกษา หรือแม้กระทั่งในวังหลวง ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุนี้หรือไม่ วันนี้ดีแลนจึงถูกกษัตริย์เด็กซ์ตันเรียกเข้าวังแต่เช้าตรู่

   จิวซือเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์ ใส่เครื่องแบบนักเรียนเรียบร้อย เดินลงจากห้องของดีแลน เมินเฉยต่อสายตาดูแคลนของผู้อื่น ในเมื่อดีแลนมีห้องพักกว้างขวาง ทำไมเขาต้องกลับไปเบียดเสียดกับเพื่อนร่วมห้องอีกสามคนที่ล้วนแต่มีนิสัยย่ำแย่ ที่สำคัญคุณภาพของห้องพักที่จัดให้โอเมก้าอย่างพวกเขาขาดความใส่ใจอยู่บ้าง
   ระหว่างทาง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นของโชว์ เพราะมีสายตาหลายสิบคู่ตามติดตลอดเวลา แม้ไม่ถึงกับสร้างความลำบาก แต่ก็น่ารำคาญไม่ใช่น้อยอยู่เหมือนกัน ขณะที่จิวซือกำลังเดินผ่านลานน้ำพุเพื่อไปยังตึกเรียน ก็มีเด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันสามคนเดินเข้ามาขวางทาง
   เพื่อนร่วมห้องที่ไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวันของเขานั่นเอง
   “อาศัยอะไรไปพักที่ห้องของท่านดีแลน”
   “ตัวอัปมงคล ไม่รู้ใช้อะไรหลอกล่อเจ้าชาย”
   “อ่อนแอ ไร้ประโยชน์ปานนี้”
   “ครอบครัวตายไปหมดไม่พอ ยังคิดจะสาปแช่งท่านดีแลนอีกคนหรือไง”
   

   ปึก!!!
   จิวซือพุ่งเข้าไปกดเด็กหนุ่มที่เชิดหน้าด่าทอถึงครอบครัวสเวนลงพื้นอย่างแรง มือข้างหนึ่งกำรอบลำคอเรียวของฝ่ายนั้นไว้ หากเป็นทุกที เขาคงปล่อยผ่านไป แต่คนพวกนี้ทำตัวน่ารำคาญเหลือเกิน ถ้าไม่เชือดไก่ให้ลิงดูเสียบ้าง เรื่องน่ารำคาญเช่นนี้ก็คงมีต่อไปไม่จบสิ้น แถมคนจำพวกปากเก่งแบบนี้ก็มีอยู่มาก พวกเขาไม่เคยรู้หรอกว่าได้ใช้คำพูดทำร้ายคนอื่นไปเท่าไร แค่พอใจที่ได้เหยียบย้ำคนอื่นให้ตัวเองดูสูงขึ้นเท่านั้น เทียบกับคนที่ยิงธนูใส่เขาแล้ว คนพวกนี้ยังน่ารังเกียจกว่า
   มือกำรอบคอบีบแน่น กำแพงลมถูกสร้างขึ้นในชั่วพริบตา ก่อเกิดวงแหวนสามวงรอบตัวของแอสเชอร์ ป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้ามา ไม่เพียงเท่านั้น น้ำจากน้ำพุยังพุ่งเป็นสายเข้ามาเสริมความเเข็งแกร่งให้กับกำแพงลม กลายเป็นการรวมเวทย์ที่สมบูรณ์แบบอย่างที่แอสเชอร์ สเวนคนก่อนไม่สามารถกระทำได้
   “เก่งแต่ปาก”
   “อ..อ่..ย” ฝ่ายนั้นดิ้นรน และพยายามดึงมือออกจากลำคอตนเองแต่ไม่สำเร็จ
   “ยังพูดอยู่อีก”  ใบหน้าของแอสเชอร์ประดับรอยยิ้ม ตรงข้ามกับดวงตาที่มีประกายเยียบเย็น เป็นสายตาแบบเดียวกับที่ใช้มองศัตรูในสนามรบ ไร้ซึ่งความเมตตาใดๆ ประหนึ่งฝ่ายตรงข้ามถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องตายภายใต้เงื้อมมือของเขา มือที่กำรอบคอบีบแน่นขึ้นอีก ไม่สนใจน้ำตาและการด้ินรนของคนใต้ร่าง หรือแม้แต้เสียงโหวกเหวกรอบตัว รอกระทั่งคนใต้ร่างแทบสิ้นสติเพราะขาดอากาศหายใจ ค่อยคลายมือออก แอสเชอร์ตบแก้มขาวซีดของอีกคนเบาๆ พร้อมรอยยิ้มเจิดจ้ากว่าเดิม
   “อย่างนั้นแหละ ต่อไปก็อยู่เงียบๆ ล่ะ”



   ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์อดรู้สึกขนลุกกับความรุนแรงที่แอสเชอร์ สเวน แสดงออกไม่ได้ ความกระหายเลือดเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ป่า พวกเขาบูชาความแข็งแกร่ง ดูแคลนและเหยียบย่ำคนอ่อนแอ ดังนั้นแทบไม่มีใครสงสารหรือเห็นใจเด็กหนุ่มที่ถูกทำร้าย เพราะล้วนเกิดจากความปากดีของตัวเองทั้งนั้น ทว่าแอสเชอร์ สเวน คนนั้นต่างหากเล่าที่ดึงดูดสายตา
   แววตาเยียบเย็นกับรอยยิ้มเจิดจ้าเมื่อปรากฏขึ้นพร้อมกันกลับทำให้ใบหน้าธรรมดาๆ ดวงนั้นดูโดดเด่นและมีเสน่ห์ขึ้นมา
   อีกา...เป็นสิ่งมีชีวิตที่เย่อหยิ่ง ทระนงตน แข็งแกร่ง และเคยเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงอำนาจมาก่อน เป็นคำบอกเล่าของคนรุ่นคุณปู่ที่หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง พวกเขาคงไม่เชื่อ

   “แอสเชอร์” เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง จิวซือหันไปก็พบว่าเป็นเจ้าชายรัชทายาทแห่งนอร์ท โดมินิก ลูเซียโน่
   ใบหน้าคมคายที่ดูคล้ายพระราชินีองค์ปัจจุบันราวกับถอดมาจากพิมพ์เดียวกัน เส้นผมสีเงินถูกรวบไว้ด้วยมงกุฎทองอันเล็ก สันจมูกโด่ง คิ้วเข้ม และดวงตาสีเหลืองทองของเผ่างู ส่งผลให้รัศมีของชนชั้นปกครองแผ่อยู่รอบตัวโดมินิก แอสเชอร์มองคนผู้นี้เป็นครอบครัวหนึ่งเดียว แต่เมื่อจิวซือพิจารณาดูแล้ว จึงพบว่าโดมินิกเห็นแอสเชอร์เป็นแค่คนรู้จักเท่านั้น ไม่มีความห่วงใยใดๆ ที่ยอมหมั้นกับเขา เกรงว่าจะทำไปเพื่อเอาใจบิดาให้มอบบัลลังก์แก่เขาอย่างวางใจเท่านั้น
   ใครบอกว่าแอสเชอร์ สเวน ไม่มีประโยชน์
   หรือต่อให้ไม่มีประโยชน์จริง แต่นามสกุลสเวนของเขายังมีค่าต่อกษัตริย์เด็กซ์ตัน
   “รัชทายาท”
   โดมินิกชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำเรียกหาที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่พี่โดมินิกแต่เป็นรัชทายาท กระนั้นก็ยังคงรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้ายามเอ่ยถาม
   “ไม่บาดเจ็บใช่ไหม”
   จิวซือชื่นชมโดมินิกในใจ เพราะอีกฝ่ายสามารถสวมหน้ากากการแสดงได้อย่างแนบเนียนเช่นนี้ แอสเชอร์ถึงได้หลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
   “หมายถึงตอนนี้ หรือก่อนหน้านี้ครับ” กระทั่งคำถามจี้ใจดำยังไม่สามารถทำให้หน้ากากของโดมินิกเกิดรอยร้าวได้ จิวซือกดยิ้มลึก กล่าวต่อว่า “สบายดีครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง” จากนั้นก็เดินไปยังตึกเรียน
   ไม่ว่าโดมินิกจะอยู่เบื้องหลังธนูอาบยาพิษหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ในเมื่อแอสเชอร์ตัดสินใจจากไปเงียบๆ เขาก็ไม่คิดจะสิ้นเปลืองเวลากับคนผู้นี้อีก
   เรียนให้จบ และออกไปท่องโลกกว้าง คือเป้าหมายในชีวิตชาตินี้ของเขา
   เซียนน้อยอย่างเขาสมควรใช้ชีวิตสบายๆ เช่นนี้แหละ



   ภพสวรรค์ วังตะวันออก

   คงเหวิน เป็นเทพชั้นกลาง รับตำแหน่งผู้ช่วยของเจ้าวังตะวันออกเทพอวิ๋นหนาน เขามีใบหน้ารูปเหลี่ยม คางหยัก แสดงถึงความเป็นคนเถรตรงและกล้าตัดสินใจ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขาถูกเจ้านายเรียกตัวกลับจากภพมังกรกะทันหัน รีบรุดมาด้วยคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใด มิคาดว่าเจ้านายจะโยนภาระให้เขาดูแลวังตะวันออก บอกว่าจะไปพักผ่อนที่โลกมนุษย์ราวสิบวัน คงเหวินถึงกับพูดไม่ออกไปพักใหญ่
   งานผู้ช่วยของตงหวางยุ่งมาก แม้งานราชการจะมีกรมกองต่างๆ เป็นมือเป็นเท้าให้ตงหวางอยู่แล้ว แต่เรื่องส่วนตัวที่สำคัญ หรือเรื่องร้องเรียนที่ถูกส่งมายังวังตะวันออกล้วนมีเขาเป็นผู้จัดการ อย่างเช่นเวลานี้ มีแขกสำคัญมาเยือน แขกผู้นั้นมีฐานะใหญ่โตอย่างที่เทพชั้นกลางอย่างเขาไม่อาจรับหน้าได้ แต่เพราะเจ้าวังไม่อยู่ บวกกับวังตะออกไม่มีนายหญิง คงเหวินจึงเป็นผู้เดียวที่พอจะออกไปต้อนรับ
   
   “คาราวะท่านเทพยามา”
   บุรุษหนุ่มที่คงเหวินทำความเคารพนั้นสวมชุดดำตลอดทั้งร่าง เส้นผมสีดำยาวถึงกลางหลัง ใบหน้ารูปสลักคมคาย มีใฝเม็ดเล็กใต้ตาขวา หากจิวซือได้เห็น คงยิ้มทักทายเขาในฐานะสหายที่เคยบอกว่าจะมาหา
   ถูกแล้ว แขกที่มาเยือนวังตะวันออกในเวลานี้คือ อี้เทียน เพียงแต่ดวงตาของเขาไม่ใช่สีดำสนิทสีเดียวอีกต่อไป ดวงตาข้างซ้ายยังคงเป็นสีดำ ทว่าดวงตาข้างขวาบัดนี้เรืองแสงสีทองแห่งเทพ ดวงตาสองสีเช่นนี้เป็นลักษณะพิเศษหนึ่งเดียว เป็นสัญลักษณ์ของเทพผู้ปกครองยมโลก เทพยามาเท่านั้น

   “ข้ามาพบเซียนที่ชื่อจิวซือ"

จิวซือหรือ
   คงเหวินพยายามทบทวนใคร่ครวญอย่างเต็มที่ ก็ไม่สามารถระลึกถึงบุคคลชื่อดังกล่าวได้ จึงเรียกซู่ปี้มาสอบถาม ค่อยได้ความว่าจิวซือเป็นเซียนน้อยที่ท่านเจ้าวังพามา
   “สหายเซียนผู้นั้นไปหอคุณธรรมตั้งแต่เมื่อวานแล้วเจ้าค่ะ”
   คงเหวินเห็นใบหน้าของเทพยามาขรึมลงทันที ดวงตารัตติกาลข้างหนึ่งคล้ายมีประกายวูบวาบพาดผ่าน ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามต่อว่า “แล้วตงหวาง?”
   “ตงหวางไม่อยู่เช่นกันขอรับ”
   ร่างสูงใหญ่แผ่แรงกดดันตามธรรมชาติออกมาจนคงเหวินแทบเหงื่อตก ดีที่ยังรักษาสีหน้าสงบโดยไม่แสดงความตระหนกให้เสียชื่อวังตะวันออกไว้ได้ หากเป็นเทพอื่น แม้จะมีตำแหน่งสูงส่งกว่าเขายังต้องไว้หน้าคนสนิทของตงหวางและเกรงใจวังตะวันออก ทว่าเทพยามาแต่ไหนแต่ไรมักเป็นพวกไม่มีเหตุผล ด้วยปกครองยมโลกมีอำนาจเหนือดวงวิญญาณทั้งหลาย มั่นใจได้อย่างไรว่าวันหนึ่งจะไม่มีเรื่องที่ต้องขอความช่วยเหลือจากยมโลก มั่นใจได้อย่างไรว่าวันหนึ่งตนเองจะไม่ถูกส่งไปยมโลก ดังนั้นทัศนคติที่เทพเซียนมีต่อเทพยามาคือ ‘ไม่เป็นศัตรู’ หากไม่จำเป็น
   คงเหวินไม่ทราบว่าแดนยมโลกเปลี่ยนผู้ปกครองตั้งแต่เมื่อไร เพราะตามปกติแล้ว เทพยามามักไม่ปรากฏตัวในวงสังคม จำได้ว่าเทพยามาคนก่อนเคยโผล่อาละวาดที่ภพสวรรค์ครั้งหนึ่ง ถึงขั้นแตกหักกับอดีตจอมเทพ ลั่นวาจาว่าผู้สืบทอดคนต่อไปเขาจะเลือกเอง สภาที่ปรึกษาทั้งหลายไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว
   ‘เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย’ คงเป็นคำจำกัดความที่อธิบายบุคลิกของเทพยามาได้ดี ด้วยเพราะมีทั้งพลังเทพและพลังมืดอยู่ในตัวอย่างละครึ่ง ยมโลกจึงเป็นดินแดนอิสระ และเป็นกลาง ไม่เข้ากับฝ่ายใด ไม่ว่าเทพหรือปีศาจก็ตาม เทพยามาคนใหม่ยังดูหนุ่มอยู่มาก ไม่ทราบจะอารมณ์ร้อนเหมือนคนก่อนๆ หรือไม่
   ตรงข้ามกับที่คงเหวินกังวล เจ้าผู้ครองยมโลกเพียงพยักหน้ารับรู้ และกล่าวอำลา คงเหวินน้อมส่งอีกฝ่ายบริเวณเชิงสะพาน กระทั่งแผ่นหลังสูงสง่าหายลับไปกับสะพานข้ามภพ
   คงเหวินมองสะพานข้ามภพที่ว่างเปล่าอย่างรู้สึกสะกิดใจ ยมโลกเปลี่ยนผู้ปกครองคนใหม่อย่างกะทันหัน แม้แต่ข่าวยังไม่ถึงภพสวรรค์ แต่เทพยามากลับปรากฏตัวที่วังตะวันออก ทั้งยังตามหาคนผู้หนึ่งถึงขนาดต้องมาด้วยตนเอง ไม่ทราบสหายเซียนผู้นั้นมีความเป็นมายิ่งใหญ่อย่างไร

   




   นับตั้งแต่ลงมือเชือดไก่ให้ลิงดูไปคราวนั้น ดูเหมือนว่าทัศนคติที่คนอื่นมีต่อแอสเชอร์ สเวน จะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ต่อให้ยังมีสายตามองตามบางเวลา ก็ไม่โจ่งแจ้งจนน่ารำคาญเหมือนแต่ก่อน จิวซือยังคงเข้าเรียนของชั้นปี 4 ตามปกติ และบางครั้งก็จะเปลี่ยนร่างเป็นอีกาตามดีแลนไปนั่งฟังในคลาสของปี 8 ด้วย ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะเขาตั้งใจจะสอบเทียบชั้นปี 8 ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
   ไม่ใช่ไม่เคยมีคนสอบข้ามชั้น แต่ยังไม่เคยมีใครคิดสอบเลื่อนชั้นแบบก้าวกระโดดเช่นเขามาก่อน อีกอย่างการจะเลื่อนขั้นเป็นนักเรียนปีไหน นอกจากต้องสอบข้อเขียนได้เกิน 95 เปอร์เซนต์ของชั้นที่ต่ำกว่าหนึ่งขั้น เช่น หากต้องการเลื่อนเป็นปี 8 ต้องได้ทำคะแนนสอบของชั้นปีที่ 7 ได้เกิน 95 เปอร์เซ็นต์แล้ว ยังต้องเอาชนะนักเรียนของชั้นปีที่ตัวเองต้องการสอบเข้าให้ได้อย่างน้อย 1 คนอีกด้วย หรือก็คือเขาต้องสู้กับรุ่นพี่ชั้นปีที่ 8 และเอาชนะฝ่ายนั้นให้ได้ จึงจะสามารถข้ามไปเรียนชั้นปีที่ 8 ได้ ส่วนการสอบเพื่อสำเร็จการศึกษาจากนอร์ทเทิร์นนั้น ต้องเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 8 เท่านั้นจึงจะสามารถเข้ารับการทดสอบได้
   ด้วยเหตุนี้ สิ่งแรกที่จิวซือต้องทำก็คือสอบเลื่อนชั้นเป็นนักเรียนปี 8 ให้ได้ อีกหนึ่งเดือนจะเป็นช่วงสอบกลางภาค เขาตั้งใจจะขอสอบเลื่อนชั้นในวันนั้น และเมื่อได้เป็นนักเรียนปี 8 แล้ว อีกสามเดือนเมื่อถึงช่วงสอบปลายภาค เขาจะร่วมการทดสอบสำเร็จการศึกษาพร้อมคนอื่นๆ เขาอยากโบยบินไปท่องโลกใบนี้เร็วๆ


เย็น
   แทนที่จิวซือจะเงยหน้ามอง เขากลับหลับตาลงรับสัมผัสเย็นสบายบริเวณกลางศรีษะ ด้วยรู้ดีว่าเป็นพลังที่ดีแลนถ่ายทอดมาให้ ความเย็นนั้นเกิดขึ้นเพียงราวชั่วอึดใจก่อนที่มือข้างนั้นจะถอนกลับไป
   “ขอบคุณ” จิวซือเงยหน้าจากตำราเล่มหนา แล้วส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
   “อืม”
   ดีแลนตอบรับในลำคอ จากนั้นก็ทรุดนั่งลงที่โซฟา เริ่มอ่านหนังสือของตนเองเงียบๆ
   ผ่านมาเดือนกว่าๆ แล้วที่พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกัน จิวซือพบว่าการร่วมกันเช่นนี้ก็ไม่ได้สร้างอึดอัดให้เขา ตรงกันข้าม กลับเป็นความสบายใจและเคยชินอย่างหนึ่ง ทั้งที่เวลาในภพชาตินี้สั้นนักเมื่อเทียบกับภพสวรรค์และวิถีเซียน แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาก็เคยคิดว่ามีดีแลนเป็นสหายคงไม่เลวนัก
   จิวซือไม่มีสหาย
   ในบรรดาเซียนที่พบปะพูดคุยกันนั้น ส่วนใหญ่ล้วนแต่พยายามผ่านด่านทดสอบคุณธรรม ไม่มีใครคิดสานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ใด วิถีเซียนเงียบเหงาเช่นนี้แหละ เป้าหมายในชีวิตมีแต่การได้เป็นเทพบนสวรรค์เท่านั้น ยังดีที่ต่างคนต่างมีบททดสอบของตนเอง แค่ต้องเอาชนะตนเอง ไม่เช่นนั้นการทำลายคู่แข่งคงเป็นเรื่องปกติ
   เหลือบมองร่างสูงของอีกคน ดีแลนยังคงนั่งอ่านหนังสือของเขาเงียบๆ แต่ไม่ทราบเพราะอะไร จิวซือจึงเดาออกว่าอีกฝ่ายมานั่งรอเขา เผื่อเขาไม่เข้าใจตรงไหน จะได้อธิบายให้ฟัง
   จิวซือลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปยืนตรงหน้าดีแลน เมื่อเจ้าชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตา ก็เอ่ยถามว่า “ไม่สงสัยเหรอ” เห็นอีกฝ่ายไม่เข้าใจ จิวซือจึงอธิบายว่า “ที่ผมจะสอบข้ามชั้นไง”
   “เธอทำได้อยู่แล้ว”
   อีกฝ่ายตอบโดยไม่ต้องคิด บวกกับน้ำเสียงมั่นใจคล้ายกับว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้จิวซือยิ้มออกมา
   “ทำไมถึงเชื่อล่ะครับ”
   ดีแลนไม่ตอบ เพียงแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือของเขาต่อไป แต่เมื่อเห็นเจ้าของคำถามยังยืนอยู่ที่เดิมพร้อมนัยน์ตาสีดำเปล่งประกายคาดหวังบางเบา เจ้าชายหนุ่มก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า
   “ฉลาด และตั้งใจ”
   “มีครูดีด้วย”
   ครูที่บางทีก็นั่งอ่านหนังสือเป็นเพื่อนเขา ตอบคำถามของเขาอย่างใจเย็น บางครั้งก็เอ่ยสิ่งที่เขาสงสัยโดยที่เขาไม่ต้องถาม
   ครูคนที่ว่ายังคงจดจ้องตำราของเขาโดยไม่ละสายตา ทว่าแขนข้างซ้ายยกขึ้นเล็กน้อย ข้อศอกทำมุม 45 องศา ท่าทางที่ทำให้จิวซือหลุดหัวเราะ จากนั้นก็กลายร่างเป็นอีกา บินไปเกาะท่อนแขนข้างนั้น ยอมให้อีกคนลูบหัวเล็กๆ แต่โดยดี


หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-12-2018 17:57:20

Prince fiancé


(3)



หนึ่งเดือนต่อมา
   บรรยากาศของนอร์ทเทิร์นตึงเครียดขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากเป็นเวลาสอบกลางภาค ห้องสอบของนักเรียนปี 4 ไร้วี่แววของคนที่เป็นหัวข้อสนทนาอย่างแอสเชอร์ สเวน หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงไม่ปรากฏตัวที่นี่ หรือคิดจะละทิ้งการสอบเลื่อนชั้นไปแล้ว
   “คงกลัวสอบตกอีกล่ะมั้ง” เสียงใครบางคนพูดขึ้น ใบหน้าของผู้พูดเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชัง เขาก็คือดีนส์ เพื่อนร่วมห้องที่ถูกแอสเชอร์เล่นงานไปนั่นเอง
   “จริงด้วย หมอนั่นรั้งท้ายพวกเรามาตลอด เวทย์ที่ร่ายวันนั้นต้องมีคนอื่นช่วยแน่ๆ”
   ข่าวเรื่องที่แอสเชอร์ สเวน ไม่เข้าสอบเลื่อนชั้นของปี 4 ค่อยๆ กระจายไปทั่วนอร์ทเทิร์น เดิมทีแอสเชอร์คนนั้นก็เป็นแค่ขยะให้พวกเขาเหยียบย้ำอยู่แล้ว การที่อยู่ๆ ขยะก้อนหนึ่งไปเกาะติดกับเจ้าชายดีแลนย่อมเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ใครใช้ให้เด็กคนนั้นเป็นกาดำที่ไม่มีครอบครัวใหญ่หนุนหลังกันล่ะ ต่อให้ถูกสาปแช่งด่าทอยังจะมีใครออกมาปกป้อง

   ไม่ต้องมีใครปกป้อง การดูถูกเหยียดหยาม รอสมน้ำหน้าแอสเชอร์ สเวน ก็ต้องเปลี่ยนเป็นความตกใจแทบไม่อยากเชื่อสายตาเมื่อเห็นผลคะแนนของเขาปรากฏอยู่บนกระดานประกาศผลของปี 7 ทั้งยังอยู่ที่อันดับหนึ่งด้วยคะแนนเต็ม!
   ชื่อแอสเชอร์ สเวน และตัวเลข 100 นั้น ราวกับสายฟ้าผ่ากลางแจ้ง
   ไร้ที่มาที่ไป แต่ทำให้ผู้คนแตกตื่นกันไปหมด
   ที่แท้เขาไม่ได้กลัวสอบไม่ผ่าน แต่เขาตั้งเป้าหมายที่จะกระโดดข้ามชั้นเป็นปี 8 ต่างหากเล่า!
   ไม่ใช่ไม่เคยมีคนสอบข้ามหลายชั้นมาก่อน เจ้าชายดีแลนเองก็เป็นคนหนึ่งที่สอบข้ามชั้นไปเรียนกับคนอายุมากกว่า อย่างไรก็ตาม กระทั่งเจ้าชายดีแลนยังทำได้แค่สอบข้ามชั้นจากปี 1 เป็นปี 4 ด้วยความที่เขาเริ่มเรียนจากในวังหลวงตั้งแต่เล็ก ไม่มีผู้ใดสงสัยในความสามารถของเขา แต่เอสเชอร์ สเวนนั้นไม่เหมือนกัน เขาคือผู้ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของคนอื่นมาค่อนชีวิต ทั้งยังกล้าท้าทายบททดสอบของปีท้ายที่ยากกว่าปีต้นๆ หลายเท่าตัว ยิ่งไปกว่านั้นยังสอบข้อเขียนได้คะแนนเต็มอย่างที่ไม่เกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว ถ้าหากว่าเขามีความสามารถเก่งกาจถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมาเขามัวทำอะไรอยู่ เหตุใดจึงปล่อยให้ตัวเองถูกตราหน้าเป็นตัวอัปมงคล ถูกกลั่นแกล้งรังแกโดยไม่ตอบโต้
   คำถามเหล่านี้ล้วนทำให้ผู้คนแทบนอนไม่หลับด้วยความสงสัยใคร่รู้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาสอบภาคปฏิบัติของปี 8 ลานนักรบจึงแน่นขนัดไปด้วยคนมากหน้าหลายตา กระทั่งศาสตราจารย์หลายท่านยังมาดูชมเรื่องสนุกอย่างเปิดเผย
   แอสเชอร์ สเวน ผู้ที่กล้าขึ้นมาท้าทายรุ่นพี่
   ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ยังคงมีอยู่ แต่เหนือกว่านั้นคือความตื่นเต้นที่ทำให้คาดหวังรอคอย เป็นความรู้สึกของผู้ล่าที่ถูกเหยื่อท้าทาย


   การจับคู่สอบภาคปฏิบัติ หรือการต่อสู่ตัวต่อตัวนั้น เป็นการจับคู่แบบสุ่ม แอสเชอร์ สเวน เป็นผู้ท้าทาย จึงไม่แปลกที่เขาจะเป็นผู้สอบคนแรก
   ร่างโปร่งบางในชุดนักเรียนสีดำ สีเดียวกับดวงตาของเขา ยืนหลังตรงในท่วงท่าสบายๆ ใบหน้าแสนธรรมดาอมยิ้มน้อยๆ แม้แต่ยามที่อาจารย์คุมสอบประกาศชื่อของคู่แข่ง ที่ทำให้คนอื่นๆ มีสีหน้าไว้อาลัยให้กับความโชคไม่ดีของแอสเชอร์
   “อาเธอร์ โควเรล”
   ชายหนุ่มที่ถูกขานชื่อก้าวมาด้านหน้าก้าวใหญ่ เท้าของเขาอยู่ประชิดเส้นรอบวงกลมซึ่งเป็นเขตแดนสำหรับการต่อสู้ เขามีรูปร่างสูงใหญ่สมกับเป็นทายาทตระกูลนักรบ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นเผยให้เห็นคิ้วพาดเฉียงและดวงตาคมเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
   แม้ไม่มีการจัดลำดับความแข็งแกร่งของคนในชั้นอย่างชัดเจน แต่อาเธอร์ โควเรล ทายาทของดยุกโควเรล ย่อมอยู่ในระดับต้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เพื่อเลื่อนชั้น แอสเชอร์เพียงต้องชนะคนๆ เดียว โชคร้ายเหลือเกินที่เขาจับฉลากได้พบกับอาเธอร์ ดูท่าเขาคงสอบตกอีกแน่ กาดำก็ยังเป็นกาดำ ความโชคร้ายติดตัวเขาเสมอ




   “เริ่ม”
   สิ้นเสียง ร่างของแอสเชอร์ และอาเธอร์ก็กระโจนเข้าสู่สนามรูปวงกลมในเวลาเดียวกัน เวทย์ลมถูกสร้างเป็นใบมีดคมกริบของแอสเชอร์ปะทะกับกำแพงไฟของอาเธอร์ ตามหลักแล้วใบมีดควรจะสหายไป ทว่ามันกลับยังดันตัวลึกเข้าไปในกำแพงไฟเรื่อยๆ เพราะหากสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่าปลายมีดมีเวทย์น้ำผนึกอยู่ แอสเชอร์ใช้การผสานเวทย์ตั้งแต่เริ่ม
   อาเธอร์เลิกคิ้วอย่างสนใจ ชายหนุ่มขยับมือเล็กน้อย กำแพงไฟก็เกิดรูโหว่ จากนั้นหอกไฟก็พุ่งเข้าใส่แอสเชอร์อย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาให้ตั้งตัว ร่างเล็กกว่าของแอสเชอร์ไม่ได้ตื่นตระหนก ดวงตาสีดำของเขาทอแสงสีเหลืองทองจางๆ หอกไฟก็หยุดอยู่ห่างจากใบหน้าของเขาเพียงฝ่ามือ ปีกกาสีดำงอกจากแผ่นหลังพาร่างของแอสเชอร์ให้ลอยขึ้นกลางอากาศ ขณะเดียวกันขนสีดำนับร้อยก็พุ่งเข้าหาอาเธอร์ดังห่ากระสุน อาเธอร์คำรามออกมา เขากระโดดหลบกระสุนปีก วิ่งไปรอบๆ ลานต่อสู่ พร้อมทั้งส่งเวทย์ไฟเข้าโจมตี
   คนหนึ่งเป็นเจ้าเวหา อีกคนเป็นเจ้าปฐพี การต่อสู้ของทั้งสองยืดเยื้อเกือบชั่วโมงก็ยังไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ หากสู้กันด้วยร่างกายหรืออาวุธปกติแล้ว เอสเชอร์คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอาเธอร์ แต่แอสเชอร์ สเวนที่มีอายุน้อยกว่าหลายปีคนนั้นกลับมีพลังเวทย์เหลือล้น ไม่ว่าจะเวทย์ลม น้ำ หรือแม้แต่ดิน ก็ถูกเขาควบคุมและปรับใช้อย่างง่ายดายจนน่าประหลาดใจ ราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นจอมเวทย์
   ขณะที่อาจารย์คุมสอบตัดสินใจจะหยุดการต่อสู้และประกาศผลว่าเสมอกัน เพราะไม่อยากให้เด็กทั้งสองที่เป็นกำลังสำคัญของนอร์ทบาดเจ็บ ดวงตาของแอสเชอร์ก็เรืองแสงสีเหลืองทองเข้ม ร่างที่พุ่งเข้ามาของอาเธอร์ก็พลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ใบหน้าของเขาขรึมลงเมื่อถูกขนสีดำคมกริบจ่อลำคอ
   ดวงตาสองคู่สบกันอย่างชั่งใจ ก่อนที่อาเธอร์จะยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า
   “ฉันแพ้แล้ว”
   ร่างของคนทั้งสู่ร่อนลงสู่พื้น โดยที่ดวงตายังไม่ละจากกัน
   “นายใช้พลังจิตได้” อาเธอร์ถามด้วยความแปลกใจ ผู้ใช้พลังจิตมีน้อยยิ่งกว่าน้อย พวกเขาล้วนเป็นคนที่ได้รับความสำคัญและความเอาใจใส่เป็นพิเศษ แต่แอสเชอร์ สเวนกลับปกปิดความสามารถพิเศษของตนเองไว้ พึ่งจะนำออกมาใช้ในเวลานี้
   เมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเพียงอมยิ้ม ไม่ตอบคำถาม อาเธอร์ก็ยื่นมือไปหา กล่าวว่า
    “ยินดีต้อนรับ แอสเชอร์”
   ฝ่ามือเล็กกว่ายื่นมาจับตอบ ก่อนที่ใบหน้าแสนธรรมดาของแอสเชอร์ สเวนจะปรากฏรอยยิ้มกว้าง ร่างกายที่ดูบอบบางอย่างพวกโอเมก้ากลับสามารถมีชัยเหนืออัลฟ่าเผ่าสิงโตได้ นึกถึงปีกสีดำที่พาเขาโบยบินอยู่กลางท้องฟ้า ลายลมเย็นๆ ที่พาร่างกายล่องลอยไปตามใจนึก ดวงตาสีดำก็ทอประกายเจิดจ้าขึ้นมา เหงื่อเม็ดเล็กเกาะพราวตามใบหน้านวลยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับเจ้าตัว

   แข็งแกร่ง และสง่างาม
   เป็นอิสระ ไม่ยอมถูกพันธการ
   ช่างกระตุ้นสัญชาตญาณของอัลฟ่าให้อยากครอบครองนัก





ก่อนที่จะมีอัลฟ่าคนไหนเข้าหา ร่างสูงสง่าในชุดคอมแบทของเจ้าชายดีแลนก็ก้าวมาหยุดอยู่ตรงข้างแอสเชอร์ สเวน เสียก่อน ใบหน้ารูปสลักฉายแววอ่อนโยนอย่างยากจะได้เห็น น้ำเสียงที่เอ่ยชมไม่เบานัก เรียกให้ทุกสายตาหยุดมอง

   “เก่งมาก”

   จิวซือเงยหน้ามองคนข้างๆ นึกขบขันอยู่ในใจว่าอีกฝ่ายคงมองเขาเป็นสัตว์เลี้ยง ไม่ก็ลูกศิษย์ไปแล้วจริงๆ ถึงได้ปฏิบัติกับเขาราวกับคนอายุมากกว่าอยู่เสมอ ไม่ทราบเพราะเหตุนี้หรือเปล่า จิวซือจึงได้ยกยิ้ม แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า

   “รู้อยู่แล้วนี่”

   อวิ๋นหนานชะงักไปเล็กน้อยกับท่าทางโอ้อวดเอาแต่ใจที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตาเปล่งประกายแวววาวที่จ้องมองเขาอย่างรอคอยส่งผลให้เกิดอาการคันยุบยิบในหัวใจ มือใหญ่ยกขึ้นลูบศรีษะของอีกฝ่ายอย่างเคยชิน พลางตอบรับในลำคอ “อืม”

   ภาพเจ้าชายดีแลนเอ่ยชมแอสเชอร์ สเวน ก็ทำให้ตกใจมากพอแล้ว กริยาให้กำลังใจ และสนับสนุนท่าทางอวดดีจนเรียกได้ว่า ‘ถือหาง’ นั้นยิ่งทำให้ตกใจมากกว่าหลายเท่า เจ้าชายลำดับสองที่วางองค์ไว้เหนือผู้อื่นและมีกำแพงสูงลิ่วอยู่เสมอ บัดนี้กลับมีรอยยิ้มภูมิใจประดับบนใบหน้าขณะลูบผมแอสเชอร์

   และเมื่อสังเกตให้ดีค่อยพบว่าไม่ใช่การลูบผมธรรมดา แต่เป็นการถ่ายทอดพลังให้กับแอสเชอร์ หลายคนที่อ่อนไหวกับกระแสพลังรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังไหลผ่านจากมืออของเจ้าชายดีแลนไปยังศีรษะของแอสเชอร์ กระแสพลังราบลื่นไม่มีติดขัด

   การถ่ายทอดพลังโดยตรงเช่นนี้ มีแต่คนที่พลังแข็งแกร่งเท่านั้นจึงสามารถกระทำได้ ปัญหาคือผู้รับ น้อยคนนักที่จะมีคลื่นพลังตรงกับผู้ให้ และสามารถรับพลังที่ถูกส่งมาได้โดยไม่เกิดปฏิกริยาต่อต้าน โดยปกติแล้วมีเพียงคู่ชะตาเท่านั้นที่สามารถถ่ายทอดพลังให้กันได้

   คู่ชะตา? หรือว่าจะเป็นคู่ชะตา

   ความคิดที่ทำให้พวกเขาขนลุกทั่วร่าง ได้แต่มองเจ้าชายดีแลนสลับกับแอสเชอร์ สเวน อย่างไม่อยากเชื่อ แต่ถ้าไม่ใช่คู่ชะตาแล้วเป็นอะไรล่ะ อะไรที่ทำให้คนอย่างเจ้าชายดีแลนสนใจแอสเชอร์ สเวน อะไรที่ทำให้ทรงตามใจ และอนุญาตให้อยู่ข้างๆ หากไม่ใช่ค้นพบว่าแอสเชอร์คือคู่ชะตาแล้วยังมีความเป็นไปได้อะไรอีก

   แต่จะเป็นไปได้จริงหรือ ทั้งคู่ไม่เหมาะสมกันเสียเลย เคยมีคำพูดเปรียบเปรยว่าการที่แอสเชอร์เกาะติดเจ้าชายดีแลนก็เหมือนมีคนทิ้งขยะไว้ในห้องจัดแสดงสมบัติล้ำค่า ช่างเกะกะและขวางหูขวางตาจนทนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมองทั้งคู่อยู่ด้วยกันกลับพบว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ภาพแบบนั้นอีกแล้ว

   แอสเชอร์ สเวน อายุ 17 ปี แต่สอบข้ามชั้นไปเรียนปี 8 โดยการเอาชนะอาเธอร์ โควเรล มีพรสวรรค์ด้านพลังเวทย์ ใช้เวทย์ได้หลายธาตุ ที่สำคัญเขายังเป็นผู้ใช้พลังจิตที่หายาก ปู่ของเขาเป็นดยุก ผู้มีพระคุณและสหายของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน

   หากตัดอคติที่มีต่อเผ่าพันธุ์ของเขาไป ยังมีโอเมก้าคนไหนเทียบเขาได้ คำตอบคือ ไม่มี

   แอสเชอร์ สเวน ไม่เหมาะสมกับเจ้าชายดีแลนจริงหรือ

   แต่เดี๋ยว

   เดิมที แอสเชอร์ สเวน เป็นคนของเจ้าชายรัชทายาทต่างหากเล่า

   ความคิดที่ทำให้ดวงตาหลายคู่เหลือบมองเจ้าชายโดมินิก ซึ่งอยู่ท่ามกลางนักเรียนชั้นปี 8 ที่รอเข้ารับการสอบ เจ้าชายรัชทายาทยังมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าเมื่อทอดสายตามองแอสเชอร์ สเวน ราวกับว่าภูมิใจในตัวคู่หมั้นของเขา ไม่สนใจท่าทางสนิทสนมที่เจ้าชายดีแลนแสดงออก

   

   เห็นแอสเชอร์เดินตามหลังดีแลนออกไปนั่งพัก โดยไม่มองมาทางเขาแม้แต่เสี้ยววินาที ดวงตาของโดมินิกหรี่ลงเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่ได้ ชายหนุ่มไม่อยากยอมรับว่าเขารู้สึกขัดแย้งในใจ แอสเชอร์ รักเขา เทิดทูนบูชาเขา เรื่องนั้นไม่ว่าใครก็ดูออก แต่สำหรับเขาอีกฝ่ายเป็นตะปูเล็กๆ ที่เขาตั้งใจจะถอนออกสักวัน เพียงไม่ทราบว่าลงมือเมื่อไรจึงจะเป็นเวลาที่ดีที่สุด ทว่าตอนนี้ ตะปูตัวนั้นกลับขยับห่างออกจากวิถีการเดินของเขาเมื่อไรก็ไม่รู้ ถอนตัวไปจากชีวิตของเขาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว






   หลังจากการสอบกลางภาค นักเรียนทุกชั้นปีได้หยุดหนึ่งสัปดาห์ จิวซือในร่างกาดำบินสำรวจเมืองหลวงแห่งนอร์ทอยู่สามวันเต็ม เมื่อเขากลับมาถึงนอร์ทเทิร์น ก็พบผู้ติดตามของโดมินิก ซึ่งเป็นนักเรียนปี 8 เช่นเดียวกัน ฝ่ายนั้นเชิญเขาไปพบเจ้าชาย จิวซือตกลงตามไปแต่โดยดีเพราะเขาเองก็มีเรื่องที่ต้องการจากโดมินิก

   เช่นเดียวกับดีแลน โดมินิกมีห้องพักชั้นพิเศษของเขาอยู่ในปราสาทนอร์ทเทิร์น เมื่อจิวซือมาถึงก็เห็นโดมินิกลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน เดินมารับเขาที่ประตู ท่าทางเป็นกันเองและเอาใจใส่อย่างที่เจ้าตัวแสดงออกเป็นประจำ

   “อรุณสวัสดิ์”

   “อรุณสวัสดิ์ครับ”

   โดมินิกผายมือให้จิวซือนั่งลงที่โซฟารับแขก โต๊ะกลมซึ่งคั่นอยู่ระหว่างพวกเขามีชาร้อน และขนมหน้าตาน่าทานหลายชนิดวางอยู่ แจกันสีขาวขนาดเล็กประดับกุหลาบขาวดอกหนึ่ง ทำให้บรรยากาศดูสดชื่นอ่อนหวาน เห็นได้ชัดว่าโดมินิกเจตนาเอาใจแอสเชอร์ เสียดาย คนที่อยู่ตรงนี้คือจิวซือ เด็กหนุ่มยกถ้วยชาขึ้นจิบดับกระหายด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ ก่อนจะถามว่า

   “เจ้าชายมีธุระอะไรกับผมหรือครับ”

   สีหน้าของโดมินิกขรึมลงเล็กน้อย “พี่ทำให้เธอโกรธหรือ”

   จิวซือหัวเราะขึ้นจมูก สบตาคนตรงข้ามยามถามต่อว่า “เจ้าชายทำอะไรให้ผมโกรธหรือครับ”

   เห็นแววตาและน้ำเสียงเจือแววยั่วล้อ และท้าทายของแอสเชอร์ โดมินิกเลือกจะไม่ตอบคำถาม เขารินชาให้แอสเชอร์ด้วยตัวเองด้วยท่าทางสง่างามและมีเสน่ห์

   “สนิทกับดีแลนตั้งแต่เมื่อไร”

   จิวซือไม่แตะชาที่โดมินิกรินเพิ่มให้ เขาประสานมือบนตัก กริยาแฝงความเหินห่างอยู่ในที

   “รัชทายาท เรามาเปิดอกพูดกันดีกว่าครับ”

   ชีวิตของพวกมนุษย์วุ่นวายมาก แต่ละคนเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว มีหลายหนทาง หลายวิธีการให้ได้มา นอกจากนี้สิ่งที่ต้องการยังมีมากเกินความจำเป็น โดมินิกเป็นเผ่างู ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าคิดเจ้าแค้น และหวงของ งูกับนก นิสัยตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง จิวซือเข้าใจธรรมชาติข้อนี้ จึงคิดตัดไฟเสียแต่ต้นลม

   “เจ้าชายไม่ยินดีที่มีคนอย่างผมเป็นคู่หมั้น ผมเองก็ตั้งใจใช้ชีวิตอย่างอิสระ ท่องโลกกว้าง พวกเราไม่สู้ทางใครทางมัน อย่าผูกมัดกันไว้เลยครับ”

   ไม่โกรธ ไม่แค้น ไม่รัก ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำไป

   นั่นคือสิ่งที่โดมินิกรู้สึกได้จากคำพูดของแอสเชอร์

   ภาพวัยเด็กหลายภาพแวบเข้ามาในห้วงความคิด ภาพที่ฝ่ายนั้นเดินตามเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ สายตาแอบมองเขาโดยคิดว่าเขาไม่รู้ตัว หรือแม้แต่วันสุดท้ายก่อนที่เจ้าตัวจะถูกลอบทำร้าย

   “เธออยากถอนหมั้น”

   “เจ้าชายก็ประสงค์เช่นเดียวกัน”

   ถูกต้อง ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ บางทีเขาอาจตอบตกลงโดยไม่ลังเล แต่เวลานี้แอสเชอร์เหมือนกล่องปริศนาที่เขาเดาไม่ถูก หากปล่อยให้หลุดมือไปก็กลัวจะเสียของมีค่า แต่ถ้าดึงดันเก็บไว้ ก็เกรงว่าจะเป็นกล่องแพนโดร่าที่นำความโชคร้ายมาให้

   “ถ้าเจ้าชายเห็นด้วยกับข้อเสนอของผม ผมจะขอร้องกษัตริย์เด็กซ์ตันเอง ไม่ทำให้ทรงลำบาก”

   







   ยมโลก

   สถานที่ที่ตัดสินบุญและบาปอย่างยุติธรรม เป็นดินแดนปิด กล่าวคือไม่สามารถเดินทางมาถึงโดยปราศจากผู้นำทาง หรือตราผ่านทาง ยมโลกเป็นดินแดนใหญ่ ซึ่งถึงแม้ไม่มีกองกำลังเป็นของตัวเองเช่นภพสวรรค์ ภพปีศาจ หรือเผ่ามังกร แต่เป็นอาณาเขตที่ไม่สามารถรุกรานหรือใช้กำลังเข้าครอบครองได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในยมโลกเชื่อฟังเพียงเทพยามา ผู้ปกครองยมโลกเท่านั้น     

        ต้นไม้ แม่น้ำ ก้อนหิน อากาศ และดวงวิญญาณทั้งหลาย เชื่อฟังคำสั่งของเทพยามาเพียงผู้เดียว เขาเป็นเจ้าของทุกอย่างที่นี่ มีอำนาจสิทธิ์ขาดอย่างที่ใครก็ไม่สามารถแทรกแซงได้

   ยกโลกไม่ใช่นรกโลกัณฑ์ ไม่ได้เต็มไปด้วยเปลวไฟและความร้อนอย่างที่คิด ตรงข้าม มันหนาวเย็นและมืดมน วังของเทพยามาตั้งอยู่บนยอดเขาสูงที่สุดในยมโลก เป็นปราสาทก่อจากหินสีดำ จึงมีชื่ออีกอย่างว่าปราสาทดำ ทางขึ้นเป็นบันไดหิน 1,008 ขั้น ตลอดทางมีดอกไม้สีแดงบานสะพรั่ง ผู้คนเรียกมันว่าดอกไม้วิญญาณ

   ร่างของอี้เทียนที่กำลังลอยขึ้นไปยังปราสาทดำชะงักลงเล็กน้อยเมื่อเห็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่บนบันไดขั้นสุดท้าย เขารีบเข้าไปหา แล้วประสานมือทำความเคารพ

   “ท่านอาจารย์”

   บุรุษที่อี้เทียนเรียกว่าอาจารย์มีเส้นผมสีขาวโพลนทั่วทั้งศรีษะ แม้ใบหน้าจะดูมีอายุเพียงสี่สิบห้าสิบปีก็ตาม หากอดีตจอมเทพได้เห็นเขา คงต้องปะทะคารมกันสักยก เนื่องเพราะบุรุษผู้นี้เคยบุกขึ้นไปอาละวาดถึงภพสวรรค์ เขาคือเทพยามาคนก่อนนั่นเอง เขาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินไปยังประตูวังโดยมีร่างสูงของอี้เทียนตามหลัง

   “พบหรือไม่ ดวงวิญญาณที่เจ้าตามหา” ผู้เป็นอาจารย์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าคำถามนั้นเหมือนหินก้อนใหญ่กดลงบนหน้าอก ทำให้ฝีเท้าของอี้เทียนหนักอึ้ง

   “ขอรับ”

   ในที่สุดก็พบแล้ว เพียงแต่มิใช่ดวงวิญญาณอย่างที่คิด

   “เขา...เป็นเซียน”

   “โอ้” อดีตเทพยามามีน้ำเสียงประหลาดใจ “เจ้ามิใช่ค้นหาในทำเนียบเซียนหลายรอบแล้วหรอกหรือ”

   “ขอรับ”

   อดีตเทพยามามิได้ก้าวเข้าไปยังปราสาทที่อยู่เบื้องหน้า สถานที่ที่เขาเคยอยู่มาหมื่นปีแต่เพียงผู้เดียวดูเงียบเหงาวังเวงเกินกว่าจะเข้าไปเยือนอีกครั้ง เขาถอนหายใจ เมื่อนึกถึงอนาคตที่ลูกศิษฐ์เลือกเดิน

   “เจ้าบอกข้าไม่เชื่อในชะตาฟ้าลิขิต จึงได้ยอมปกครองยมโลกหมื่นปี เพื่อสร้างลิขิตของตนเอง เวลานี้เจ้าเชื่อหรือยัง”

   แววตาของอี้เทียนลั่นคลอนเล็กน้อย เพียงวูบเดียวสั้นๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นอีกครั้ง

   “ไม่เชื่อขอรับ”

   “ทนทุกข์หมื่นปี คุ้มกันแล้วหรือ”

   “ขอรับ”



   ซื่อเสวี่ยน ซื่อเสวี่ยน

   ผู้ใดบอกว่าเขาปลงได้ ผู้ใดบอกว่าเขาละทิ้งได้

   ที่แท้แล้ว เขาต่างหากที่ยึดติดยิ่งกว่าใครทั้งหมด



หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-12-2018 21:56:20
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 3)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 16-12-2018 12:10:31
เป็นอีกเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกว่าผู้เขียนแต่งได้ดีเลยค่ะ การดำเนินเรื่องลื่นไหลดีเลย น่าติดตามมาก จนชักเริ่มสงสัยว่าปมที่มีมาจะจบลงแบบไหน

รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 3)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-12-2018 19:19:53
ชอบค่ะ แต่งดีแล้วก็สนุกด้วย ชอบตรง 3p ที่สุุด เพราะเราเลือกไม่ถูกเลยว่าเชียร์ใคร อยากได้ทั้งสองคน  :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 3)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-12-2018 14:35:41
ชอบมากค่ะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ProserpinaW ที่ 17-12-2018 15:03:25
ติดตามอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 3)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 17-12-2018 17:11:45
สนุกมาก
ติดตามต่อค่ะ

 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 3)
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 17-12-2018 18:08:02
ตามอ่านรวดเดียว สนุกมากค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 3)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 17-12-2018 19:46:03
สนุกมากเนื้อเรื่องน่าติดตามสุดๆ ให้กำลังใจคนแต่งค่ะัะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 3)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 17-12-2018 22:18:31
อ่านๆแล้วเพลงมันดังขึ้นมาเลยครับ เพลง Shou Zhang Xin 手掌心  ของ Della Ding (ชื่อเพลงภาษาอังกฤษคือ Heart of Palms ส่วนชื่อเพลงภาษาไทยเอามาแปลกันว่า ใจกลางพรหมลิขิต) พล็อตระหว่างซื่อเสวียนกับอวี้เทียนนี่ เพลงนี้ให้มากๆ ไม่รู้ทำไม อาจจะเพราะคำพูดด้วย ทั้งฝืนลิขิตฟ้า ทั้งไม่ยอมปล่อยมือ ทั้งต้องห่างกันหากันไม่เจอ แต่ก็ยังอดทนรอและพยายามเพื่อที่จะให้ได้เจอ ทั้งเคมีระหว่างกัน ผมรู้สึกว่าซื่อเสวียนไม่สามารถตัดความรู้สึกรักที่แฝงอยู่มาตั้งแต่ชาติแรกได้ เลยทำให้ขัดต่อตบะเทพ ไม่สามารถบำเพ็ญตนฝึกฝนจนบรรลุเป็นเทพที่บริสุทธิ์ได้ อวี้เทียนเองก็ไม่ยอมที่จะละปล่อยมือ โอ้โห ความสัมพันธ์อันเปราะบางและน่าสนใจนี้ แทบน้ำตาตก แถมตอนนี้อวี้เทียนก็เป็นถึงยมเทพไปแล้ว (เทพยามา ถ้าผมจำไม่ผิด ยามาแปลว่า รัตติกาลหรือเปล่าครับ?) อีกเพลงที่ผมว่าเหมาะกับสองคนนี้คือ 等你的季节 - ฤดูแห่งกาลรอคอย Season of Waiting เนื้อหาเพลงผมว่าโคตรตรงใจอวี้เทียนเลยมั้งครับเนี่ย (หัวเราะ)

และเนื่องจากเคมีของสองคนนี้ ทำให้ผมรู้สึกอินและอยากเอาใจช่วยอวี้เทียนกับซื่อเสวียนมากเลยครับ ถ้าทำให้ทั้งสองคนใจตรงกันได้นี่คงเป็นการทำกุศลอย่างสูงมากเลยละ ไม่ใช่ว่าผมไม่เชียร์ท่านเทพมังกรตะวันออกนะครับ แต่ว่าท่านให้อารมณ์นิ่ง ขรึม เท่แบบสูงส่งน่ะครับ จากหลายๆบท ผมชอบคาแรกเตอร์ของอวิ๋นหนานนะครับ เค้าเป็นเทพที่วางตัวบุคลิกได้ดีจริงๆ ทั้งไม่เข้าไปยุ่งกับอีกฝ่ายจนเกินเหตุ มองอะไรด้วยใจที่เป็นกลางและตัดสินใจอย่างเยือกเย็น มีพลังแข็งแกร่งแต่ไม่ใช้พร่ำเพรื่อ จะใช้ก็แค่เพื่อช่วยเหลือ แต่เมื่อช่วยก็ไม่ใช่ช่วยจนสุด ถ้าจะช่วยก็คือทำแบบลับๆ มีการวางตัวเหมาะสมกับเทพผู้ปกครองแห่งทะเลตะวันออก แถมยังมีการให้คำแนะนำการฝึกฝนของจิวซือด้วยความเยือกเย็น สงบนิ่งและมีมาดอยู่ตลอดเวลา ไม่ปล่อยตัวไปตามอารมณ์ สมกับที่มีฐานะเป็นเจ้าวัง

ผมคิดว่าอวิ๋นหนานให้ภาพเหมือนผู้ปกครองที่คอยดูแลจิวซืออยู่ อายุไม่ห่างมาก มีความเอ็นดูให้เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้อารมณ์ตัวเองเสียจนควบคุมไม่ได้ เพราะมันจะทำให้เทพไม่บริสุทธิ์ ซึ่งการที่จิวซือลำบากลำบนทุกชาติก็เพราะไม่สามารถสลัดความรักที่มีในชาติภพแรกออกได้ สวรรค์จึงขัดขวาง ดังนั้นความสัมพันธ์ของจิวซือกับอวี้เทียนเป็นสิ่งที่ผูกพันกันโดยไม่รู้ตัว และอวิ๋นหนานก็ทราบดีจากการแค่กวาดมือสำรวจความคิดของจิวซือเพียงแวบเดียว และมันก็ไม่ได้ทำให้อวิ๋นหนานเสียการควบคุม เขารับรู้และเข้าใจได้ดี แถมยังให้คำแนะนำกับจิวซืออีก ผมชอบบทนี้มาก อีกบทนึงที่ชอบคือตอนที่อวี้เทียนจะดึงดันพาซื่อเสวียนกลับกันเขา แต่อวิ๋นหนานปรามด้วยสติและความเยือกเย็นที่ไม่ได้มีอารมณ์แม้แต่น้อยว่าถ้าอีกฝ่ายยอมไป เขาไม่ขัดข้องอะไรทั้งนั้นอยู่แล้ว โอ้โห เทพที่เท่ขนาดนี้จะไปหาจากไหนอีกครับ

เนื่องจากบุคลิกของท่านเทพตะวันออกเป็นแบบนี้ ผมเลยคิดว่าเคมีที่เหมาะกับท่านอวิ๋นหนานนี่คงไม่ใช่แบบจิวซืออะ (หัวเราะ) สำหรับความรักของท่านอวิ๋นหนาน ผมอยากเห็นเคมีของความรักที่บริสุทธิ์ เป็นพลังความรักที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธา ไม่จำเป็นต้องแสดงออกอย่างร้อนเร่าเหมือนกับราคะของมนุษย์ แต่สูงส่ง ทรงพลัง ศักดิ์สิทธิ์ การจะทำแบบนี้คือคู่ของท่านอวิ๋นหนานคงต้องเป็นเทพระดับสูงไม่ต่างกัน เพราะนั่นจะทำให้เกิดความรักที่ไม่จำเป็นต้องพูดกันมาก แต่เข้าใจและช่วยเหลือกันอย่างลับๆ เกื้อกูลกันในระดับที่เท่ากัน

พล็อตดีมากนะครับ รู้เลยว่าใช้พลังในการเขียนเยอะระดับหนึ่งเลย สู้ๆครับ ผมไม่มีอะไรติเลย พล็อตดี บรรยายก็เยี่ยม เคมีของตัวละครก็น่าติดตาม สู้ๆครับผม
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 3)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 18-12-2018 19:41:24





Prince’s fiancé





 (4)







   จิวซือคิดว่าชีวิตในด่านคุณธรรมชาติที่เก้าของเขานี้ไม่เลวเลย นอกจากจะทำเป้าหมายเล็กๆ เป้าหมายแรกอย่างการสอบเทียนชั้น ปี 8 สำเร็จแล้ว เวลานี้เขายังผ่านการสอบเพื่อสำเร็จการศึกษาจากนอร์ทเทิร์นเป็นที่เรียบร้อย เรียกว่าอิสระในการท่องเที่ยวของเขาอยู่แค่เพียงเอื้อมมือ

   หลายคนคาดเดาว่าเขาพยายามทำให้ตระกูลสเวนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่เปล่าเลย ตระกูลสเวนเหลือแอสเชอร์เพียงคนเดียว ยังต้องการให้กลับมายิ่งใหญ่เพื่ออะไร อำนาจ...บางทีคงเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการที่สุด

   จิวซือในร่างกาดำเกาะอยู่บนยอดไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมกับที่แอสเชอร์ถูกยิง ทอดสายตามองไปไกล ทั้งที่บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบถึงเพียงนี้ แต่ไม่ทราบเพราะอะไรในอกจึงรู้สึกไม่ใคร่สบายนัก อาจเป็นเพราะชีิวิตราบรื่นเกินไป ความคิดที่ทำให้จิวซือนึกขันตัวเอง ก่อนที่นัยน์ตาจะหม่นแสงลง

   เมื่อคืนเขาฝันอีกแล้ว ความฝันแบบเดิมๆ ที่รู้จุดจบทุกอย่างดี แต่ไม่อาจปลุกให้ตัวเองตื่นขึ้นมาได้ สุดท้ายก็จำต้องมองดูการตายจากไปของคนผู้นั้นอีกครั้ง ภาพฝันคล้ายจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่สีหน้าสงบและรอยยิ้มบางๆ ตัดกับภาพโลหิตที่ไหลนองก็กระจ่างชัด ราวกับจะบอกว่าเขาว่า ‘ซื่อเสวี่ยน เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว’   

   กาดำแหงนหน้ามองฟ้า ท้องนภาท้องใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่แค่หลับตาก็มองไม่เห็นแล้ว





   “กลับได้แล้ว”

   ไม่ต้องลืมตาก็ทราบว่าเป็นดีแลนด์ อุณหภูมิของมือที่คุ้นเคยช้อนตัวเขาไว้ในอ้อมแขน จิวซือเอนหัวเล็กลงซบกับแผ่นอก

   “เหนื่อยหรือ”

   คำถามที่ทำให้จิวซือถูไถหัวเล็กไปมา หลายครั้งที่อยากถามออกไปว่า ‘ดีแลนด์ นายอยากเข้าสู่วิถีเซียนด้วยกันไหม’ แต่เพราะเป็นเรื่องต้องห้าม ไม่สามารถเอ่ยออกไป และทราบว่าต่างคนต่างมีผลกรรม มีชะตาและวาสนาของตัวเอง ไม่แน่ว่าอนาคตของดีแลนด์อาจดียิ่งกว่าการเป็นเซียนเล็กๆ ของเขาก็เป็นได้

   จิวซือลอบถอนหายใจ ตนเองเป็นเซียนจะรู้สึกผูกพันกับมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างไร เซียนไม่จำเป็นต้องมีสหาย ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ขอเพียงผ่านด่านคุณธรรมก็พอแล้ว







   หลายวันต่อมา งานฉลองจบการศึกษาของนักเรียนปี 8 ถูกจัดขึ้นในวังหลวง แน่นอนว่าต้องยิ่งใหญ่กว่าครั้งไหนๆ เนื่องจากทั้งเจ้าชายรัชทายาท และเจ้าชายดีแลนด์ต่างก็สำเร็จการศึกษาในปีนี้ นอกจากนั้นยังมีแอสเชอร์ สเวน ซึ่งเป็นว่าที่สะใภ้หลวง คนโปรดขององค์กษัตริย์ ถึงขั้นมีรับสั่งชื่นชมที่เขาสอบผ่านด้วยคะแนนดีเยี่ยมทั้งที่อายุยังน้อย สมกับเป็นหลานของดยุกสเวน

   ห้องโถงที่ใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงเป็นอาคารทรงโดมหลังใหญ่ที่แยกออกมาจากตัวปราสาท รายล้อมด้วยสวนไม้ดอกไม้ประดับหลากสี น้ำพุ และรูปปั้นเทพต่างๆ ตามความเชื่อของนอร์ท ด้านข้างมีทางเชื่อมลักษณะคล้ายระเบียงโปร่งต่อไปยังตัวปราสาท

   งานเลี้ยงนี้ไม่จำกัดว่าต้องเป็นนักเรียนชั้นปี 8 นักเรียนและบุคลากรทั้งหมดของนอร์ทเทรินสามารถเข้าร่วมได้ ดังนั้นบรรยากาศจึงคึกคักไม่น้อย ต่างคนต่างก็แต่งชุดราตรีหรูหรา โอ้อวดโฉมและฐานะกันอย่างเต็มที่

   จิวซือเดินมาพร้อมกับดีแลนด์ พวกเขาอยู่ด้วยกันเสมอจนไม่มีใครแปลกใจอีกแล้ว หรือจะกล่าวว่าดูเหมาะสมกันดีก็ไม่ผิด ดีแลนด์อยู่ในชุดสูทสีดำเรียบหรู ขณะที่สูทของแอสเชอร์เป็นสีงาช้าง แต่ลักษณะการออกแบบและตัดเย็บ สามารถมองออกในคราวเดียวว่ามาจากร้านเดียวกับของดีแลนด์ คล้ายคลึงแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เมื่อทั้งคู่ยืนอยู่ข้างกัน บรรยากาศรอบตัวก็คล้ายกับว่ามาจากสถานที่ที่เหนือกว่าผู้อื่น พวกเขาดูแตกต่างออกไป เป็นความรู้สึกที่ทำให้ผู้คนได้แต่ชื่นชมไกลๆ โดยไม่กล้าเข้าใกล้สนิทสนม

   แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเช่นนั้น

   คลาร่า คีเนส บุตรสาวคนเดียวของนายพลครูส เดินยกชายกระโปรงเข้ามาหาดีแลนด์ ใบหน้ารูปไข่แต้มด้วยเครื่องสำอางค์แต่พอดี เข้ากับชุดราตรีสีทองหรูหราของเธอ ใบหน้างดงามประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ สมกับเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งนอร์ท

   “พี่ดีแลนด์” เสียงหวานเอ่ยทัก

   เจ้าชายดีแลนด์นั้นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยใส่ใจคนหรือเรื่องที่เขาไม่สนใจ ดังนั้นจึงเพียงแค่พยักหน้ารับคำทักทายของคลาร่า โดยไม่ทอดสายตามองเจ้าหล่อนแม้แต่น้อย

   ใบหน้างามเกิดรอยแตกร้าวขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่จะถูกเจ้าหล่อนหลบซ่อนได้อย่างรวดเร็ว ใครบอกว่าเจ้าชายดีแลนด์ทรงอ่อนโยนขึ้นแล้ว พระองค์ก็ยังคงวางตนเหนือผู้อื่นเช่นเดิม คลาร่าก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา ด้วยท่าทางน่าสงสาร “ท่านลุงให้มาตามค่ะ”

   ท่านลุงที่ว่าย่อมหมายถึงกษัตริย์เด็กซ์ตัน ดังนั้นดีแลนด์ถึงเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย บอกให้จิวซือรอเขาอยู่ตรงนี้ เมื่อได้ยินจิวซือตอบรับในลำคอ ใบหน้าของดีแลนด์ก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา คลาร่ายกชายกระโปรงเดินตามหลังดีแลนด์ออกไป จิวซือเห็นสายตาของเธอที่มองเขาอย่างมีความหมายแล้วก็แทบอยากส่ายหัว

   ดีแลนด์สร้างศัตรูให้เขาเป็นคนที่เท่าไรแล้วนะ





   จิวซือยืนอยู่เพียงครู่เดียว โดมินิกก็เดินเข้ามาหยุดตรงหน้า เจ้าชายรัชทายาทสง่างามสมกับเป็นว่ากษัตริย์ ดวงตาที่มองแอสเชอร์แฝงไว้ด้วยความซับซ้อน

   แอสเชอร​์ สเวน กล่องปริศนาที่เขาไม่สามาถเปิดออกดูข้างใน

   “พี่ต้องเปิดฟลอร์”

   “ครับ?”

   “เธอเป็นคู่หมั้นของพี่ แอสเชอร์”

   แอสเชอร์เลิกคิ้ว สีหน้าของเขาบอกเป็นนัยว่าเขาลืมความจริงข้อนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะครั้งล่าสุดที่ได้คุยกันหลังจากยื่นข้อเสนอการถอนหมั้นนั้น โดมินิกก็ให้คำตอบว่ายังไม่ถึงเวลา และจะหารือกับบิดาของเขาอีกครั้ง ข้อเสนอของจิวซือจึงยังเป็นเพียงข้อเสนอมาถึงทุกวันนี้

   “ผมเต้นไม่เก่ง”

   โดมินิกยิ้มรับคำปฏิเสธทางอ้อม จากนั้นก็ถือวิสาสะจับข้อมือคู่หมั้น พาไปกลางฟลอร์เต้นรำ การปรากฏตัวพร้อมกันของคนทั้งคู่นำมาซึ่งความแปลกใจ เกิดคำถามที่ว่าเพราะอะไรจึงเป็นแอสเชอร์และเจ้าชายโดมินิก กระทั่งเพลงบรรเลงจังหวะช้าเริ่มขึ้น กระทั่งร่างของทั้งคู่ขยับตามเสียงเพลง ค่อยนึกได้ว่าแอสเชอร์ สเวนเป็นคู่หมั้นของเจ้าชายโดมินิก หลายคนอดจะมองหาร่างเงาของเจ้าชายดีแลนด์ไม่ได้ โดยเฉพาะเด็กสาวที่แอบสนับสนุนคู่ของดีแลนด์แอสเชอร์อย่างลับๆ ยิ่งรู้สึกร้อนรนแทนเจ้าชายดีแลนด์ และมองโดมินิกเป็นมือที่สาม พวกเธอเชื่อว่าเจ้าชายดีแลนด์ที่อ่อนโยนต่อแอสเชอร์คนเดียว ย่อมดีว่าเจ้าชายโดมินิกที่อ่อนโยนกับทุกคนอยู่แล้ว

   



   “พรุ่งนี้ผมจะขอเข้าเฝ้ากษัตริย์เด็กซ์ตัน”

   ประโยคที่มาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยของแอสเชอร์ ทำให้โดมินิกชะงักไป ดวงตาของเขากร้าวขึ้นเล็กน้อยยามจับจ้องใบหน้าที่ห่างไปเพียงคืบ

   “ไม่ต้อง”

   “เจ้าชายจะจัดการเองหรือครับ”

   “เธอเกลียดพี่ขนาดนั้น”

   จิวซือมองโดมินิกด้วยความประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามเขาตามตรง ด้วยนิสัยของฝ่ายนั้นแล้ว ขอเพียงได้ในสิ่งที่ต้องการ จะเดินอ้อมเขาอีกกี่ลูกก็ไม่เกี่ยง

   “ไม่เกลียดครับ” จิวซือตอบ จากนั้นก็ยกยิ้มเล็กน้อย และพูดต่อว่า “แต่ก็ไม่ชอบ”

   คำตอบที่ตรงไปตรงมายิ่งกว่าคำถาม ถึงกับทำให้จังหวะก้าวของโดมินิกผิดไป เจ้าชายหนุ่มก้มหน้าพิจารณากล่องปริศนาเบื้องหน้าอย่างไม่อาจละสายตา

   “ผมเคยบอกไปแล้วนี่ครับว่าเรียนจบจะไปจากที่นี่”

   แววตาของแอสเชอร์เปล่งประกายท่ามกลางแสงไฟที่ส่องร่างของพวกเขา รอยยิ้มสบายๆ ประดับใบหน้ายามนึกถึงอิสระเสรีที่เข้าใกล้มาทุกที โดมินิกรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นราวกับกำลังส่งสัญญาณให้เขาทราบว่าข้างในกล่องใบนี้เป็นของวิเศษ ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือ

   “ทรงมีบัลลังก์ต้องดูแล ไม่เหมาะกับคนอย่างผมหรอก”

   จิวซือพบว่ามือที่จับรอบเอวเขาออกแรงบีบแน่นขึ้นจนเจ็บ กระนั้นเขาก็ยังคงจ้องตาโดมินิกโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน ทันทีที่เพลงจบก็บิดตัวออกจากอ้อมแขนนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ

   เจ้าชายโดมินิก ทรงเลือกบัลลังก์มากกว่าแอสเชอร์ สเวน มาตลอดไม่ใช่หรือ





   “เต้นได้ดี” ดีแลนด์ที่ไม่ทราบว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไรเอ่ยชม พร้อมกับยื่นแก้วน้ำส้มให้

   “นายจะชมฉันทุกอย่างไม่ได้” จิวซือรับแก้วน้ำส้มมาดื่ม แล้วกล่าวยิ้มๆ ระหว่างเขากับดีแลนด์ เรียกได้ว่าสนิทกันจนจิวซือเลิกใช้คำพูดเกรงอกเกรงใจกับฝ่ายนั้นแล้ว

   “เธอชอบถูกชม”

   จิวซือหัวเราะ เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าเวลาถูกดีแลนด์ชมแล้วเขารู้สึกดี นั่นเพราะว่าดีแลนด์ไม่โกหก เขาซื่อสัตย์กับคำพูดของตนเสมอ ถ้าดีก็บอกว่าดี ถ้าไม่ดี เขาจะบอกว่าควรปรับปรุงตรงไหน ทว่าคำพูดถัดมาของเขาแทบทำให้จิวซือสำลัก

   “ถอนหมั้นให้แล้ว”

   จิวซือเงยหน้ามองสหายด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ถอนหมั้นให้แล้ว อีกฝ่ายพูดออกมาง่ายๆ ไม่ต่างจากบอกว่าวันนี้อากาศดี

   “บอกอยากถอนหมั้นกับโดมินิกไม่ใช่หรือ”

   “ใช่”

   “อืม”

   ท่าทางปกติของดีแลนด์บอกเป็นนัยว่าการขอถอนหมั้นให้เขาเป็นเรื่องง่ายดาย ไม่ได้ยากเย็นอะไร ทำให้จิวซือก็หัวเราะออกมา

   “ถ้าบอกก่อน จะได้ไม่ต้องไปเต้นรำ”

   “นึกว่าชอบ”

   จิวซือพ่นลมหายใจทางจมูก รู้ว่าถูกฝ่ายนั้นล้อ แล้วถามต่อว่า “กษัตริย์เด็กซ์ตันยอมง่ายๆ อย่างนั้นเลยหรือ”

   ดีแลนด์ผุดรอยยิ้มมุมปาก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาหันมามองคนข้างกาย “พ่อแค่บอกว่าจะให้เธอแต่งเข้าตระกูลเรา ไม่ได้บอกว่าต้องแต่งกับใคร”

   “เฮ เฮ ดีแลนด์ คงไม่ใช่ว่า...”

   “เราเลยบอกว่าเธอเป็นคู่ชะตาของเราที่เราเพิ่งยอมรับ”

   ใบหน้าของดีแลนด์ประดับด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายเมื่อยามทอดมองแอสเชอร์ จากนั้นก็โน้มศีรษะลงมาให้สายตาทั้งสองคู่อยู่ในระดับเดียวกัน

   “แต่งกับเรา เธออยากเที่ยวก็จะพาไปเที่ยว ไม่ชอบอยู่วังก็ไม่ต้องอยู่” ดีแลนด์เว้นจังหวะ ก่อนจะเน้นประโยคถัดมาที่ชวนให้หัวใจใครก็ตามที่ได้ยินเต้นแรง และอาจตกบ่วงเสน่ห์ของเขาได้ง่ายๆ “เราไม่ขัดใจเธออยู่แล้ว”

   จิวซือรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดไปครึ่งจังหวะ ที่แท้มนุษย์ผู้ชายทุกคนต่างก็มีสิ่งที่เรียกว่าท่าทางหว่านเสน่ห์อยู่ ไม่เว้นกระทั่งดีแลนด์ บุรุษที่มักวางตัวนิ่งเฉย ไม่สนใจสายตาหรือความคิดของผู้ใด



   กับดีแลนด์หรือ

   ที่จริงจิวซือตั้งใจไว้แล้วว่าจะท่องโลกกว้างลำพัง ไม่ต้องการมีคู่หรือสร้างพันธะใดๆ ในชาตินี้ด้วยซ้ำ เพราะจิตเซียนในร่างมนุษย์นั้นแข็งแกร่งมาก แม้แต่ความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ที่มีต่อเหอเทียนเหิง เขายังไม่สามารถลืมได้

   “ตกลงสิ แอสเชอร์”

   “เป็นชายาของเรา”



   ดีแลนด์ซื่อสัตย์กับคำพูดของเขาเสมอ...

   หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของจิวซือค่อยคลายลง ก่อนที่เขาจะยื่นแก้วน้ำส้มไปข้างหน้า รอให้ดีแลนด์ยื่นแก้วของตนเองมา เสียงแก้วสองใบกระทบกันใสราวเสียงระฆัง



   ท่องเที่ยวเพียงลำพังก็สบายใจดี แต่มีดีแลนด์เป็นเพื่อนร่วมทาง คงไม่เลว







…………………………….


ลืมบอกไป

#วิถีเซียน3p มีความหมายตรงตัวว่า 3 persons นะคะ คือเรื่องนี้มีตัวเอกสามคน คือ จิวซือ อี้เทียน และอวิ๋นหนาน ส่วนตอนจบจะลงเอยยังไง เราก็ยังไม่ทราบค่ะ ฮ่าๆ แล้วแต่ความสัมพันธ์ของตัวละครจะพัฒนาไปแบบไหนอีกทีค่ะ



ขอบคุณทุกคอมเมนท์ด้วยค่ะ โดยเฉพาะคุณ Grey Twilight ละเอียดมาก เอาจริง ลึกกว่าเราที่เป็นคนแต่งอีก นี่ก็ฟังเพลงที่แนะนำมาด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ





หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 4)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 18-12-2018 19:57:23
สุดท้ายจิวซือจะคู่กับใคร
ติดตามต่อค่ะ

 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 4)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-12-2018 20:03:36
3 p เหรอ  :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 4)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-12-2018 20:51:28
 o13
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 4)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 18-12-2018 21:09:17
ต้องมาลุ้นกันว่า โดมินิก จะทำอะไรหลังจากรู้ว่าโดนถอนหมั้นแล้ว

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 4)
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 18-12-2018 22:25:11
อ่านตอนนักเขียนทำใจสั่นคลอน​เลยถ้าสามพีแบบนั้นต้องมีฝ่ายเราเสียใจแน่นอน
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 4)
เริ่มหัวข้อโดย: FiZZ ที่ 19-12-2018 00:03:34
อั้ยยะ สนุกมากกกกกเลยค่ะ สนุกแบบไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรมาบรรยาย
ทุกอย่างลงตัวกลมกล่อม โดยเฉพาะสำนวนภาษา ชอบจิงจัง
แอบเชียร์ตงหวาง เหมือนทำให้แบบไม่ได้หวังอะไร แค่อยากให้มาออดอ้อนบ้าง ท่านเทพดูขี้เหงานะคะ 555
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 4)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-12-2018 00:28:57
ฮือๆๆๆๆๆๆ อยากได้ 3p  :m13: :m13: :m13:
 :110011: :110011: :z7: :z7:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 4)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 19-12-2018 12:07:38
เกาะขอบอ่าน
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 4)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 19-12-2018 13:07:21
ยิ่งอ่านยิ่งรักพี่เสียดายน้องอย่าให้เก็บเธอไว้ทั้งสองคน :o8:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 4)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 19-12-2018 15:44:10
ไม่อยากให้ใครเสียใจ และไม่อยากให้ทุกฝ่ายต้องเจ็บ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 2 ตอนที่ 4)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 22-12-2018 16:07:10

Prince’s fiancé (end)



   การแต่งงาน สำหรับอวิ๋นหนานก็เป็นเพียงการเปลี่ยนสถานะที่ทำให้ทุกอย่างง่ายดายขึ้น ไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งแต่อย่างใด เพียงทำให้เขาสามารถติดตามดูเซียนน้อยตนนั้นอย่างใกล้ชิด และตั้งใจจะช่วยให้อีกฝ่ายตัดบ่วงที่พันธนาการจิตเซียนของเขาออกทีละน้อย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มปลอดโปร่งยามที่ฝ่ายนั้นยื่นแก้วมาหาเขาเป็นเชิงรอคอยแล้ว ในใจพลันเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างขึ้นก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว รู้เพียงแต่ว่าเสียงแก้วกระทบกันดังกังวานกว่าที่คิด
   วันต่อมา มีประกาศจากวังหลวง แต่งตั้งแอสเชอร์ สเวนเป็นไวเคานต์ (Viscount) และพระราชนัดดาในสมเด็จพระมหากษัตริย์ และยกให้เป็นพระคู่หมั้นของเจ้าชายลำดับที่สอง ดีแลนด์ ลูเซียโน่ ราชโองการที่ทำให้ทั่วทั้งอาณาจักรนอร์ทตกตะลึง แต่เมื่อได้อ่านข้อความสรรเสริญดยุกสเวน และชื่นชมความสามารถของแอสเชอร์ สเวน ทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลสเวนแล้ว ความคลางแคลงใจก็สิ้นไป ดยุกสเวนเป็นวีรบุรุษผู้กล้า ทายาทของเขาจะไม่เอาไหนได้อย่างไร ที่สำคัญในเมื่อเขาเป็นคู่ชะตาของเจ้าชายดีแลนด์ ยิ่งไม่มีเหตุผลอื่นให้ไม่ยอมรับเขาเป็นราชวงศ์
   จิวซือที่อยู่ๆ ก็ถูกเรียกตัวเข้าวัง พลันรู้สึกว่าบางทีคำอวยพรของเทพอวิ๋นหนานอาจจะมีอานุภาพมากเกินไป ดีแลนด์และเขาถูกพาไปยังห้องทรงอักษร กษัตริย์เด็กซ์ตันกล่าวได้ว่ารักและตามใจลูกชายคนที่สอง และหลานชายคนใหม่อย่างแท้จริง ทรงจัดเลี้ยงอาหารเย็นต้อนรับพวกเขา และสนทนากับแอสเชอร์ด้วยรอยยิ้มเอ็นดูตลอดเวลา จนจิวซืออดคิดไม่ได้ว่าบางทีความสัมพันธ์ระหว่างดยุกสเวนและองค์กษัตริย์คงลึกซึ้งกว่าที่ได้ยินได้ฟังมา ขณะที่พระราชินี มารดาแท้ๆ ของเจ้าชายโดมินิกก็มีท่าทางอ่อนโยน และพอใจที่แอสเชอร์กลายเป็นคู่หมั้นของดีแลนด์ ตระกูลสเวนเป็นแค่เสากลวงๆ ไม่มีคนหนุนหลังย่อมไม่เหมาะจะช่วยลูกชายของพระนางค้ำบัลลังก์อยู่แล้ว
   ส่วนโดมินิกนั้น เขายังคงรักษาท่าทางและรอยยิ้มอ่อนโยนตามแบบฉบับของเขา แสดงความยินดีกับแอสเชอร์และน้องชายได้อย่างสง่างามสมกับเป็นเจ้าชายรัชทายาท สำหรับโดมินิกแล้ว บางทีแอสเชอร์ สเวนคงเป็นกล่องปริศนาที่เขาทำหลุดมือไป หรือบางทีอาจเป็นแค่ตะปูดอกหนึ่งที่หลงมาอยู่ในทางเดินของเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มีเพียงโดมินิกเท่านั้นที่ทราบว่ารอยยิ้มของตนแท้จริงหรือจอมปลอม



   จิวซือ และดีแลนด์ออกเดินทางท่องเที่ยวตามที่ตกลงกันไว้ พวกเขาเริ่มจากทางใต้ที่อากาศกำลังอุ่นสบาย ขณะที่นั่งอยู่บนชายหาด ปล่อยให้สายลมและแสงแดดปะทะร่าง ค่อยรู้สึกว่าวิถีเซียนนั้นช่างสงบ และสบายใจดี การใช้ชีวิตไม่กี่สิบปีบนโลกมนุษย์จะว่าไปก็เหมือนกับการเข้าเรียน บางคนมีจุดมุ่งหมายแค่สอบผ่านได้เลื่อนชั้น บางคนต้องการทั้งสอบผ่านทั้งประสบการณ์ ขณะที่บางคนเพียงต้องสนุกกับการเรียนรู้ในแต่ละวัน สุดแล้วแต่ใครใคร่ใช้ช่วงเวลาสั้นๆ นี้แบบไหน
   “ชอบทะเลหรือ”
   “อืม” จิวซือตอบเมื่อได้ยินเสียงของดีแลนด์ดังจากด้านหลังของเขา ก่อนที่อีกฝ่ายจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ “ชอบทะเล ชอบแม่น้ำ”
   “ไม่ชอบอะไร”
   จิวซือมองไปยังทะเลสีครามเบื้องหน้า คิดอยู่ครู่หนึ่งจนเหมือนว่าจะไม่ตอบคำถามนี้ แต่แล้วก็เอียงใบหน้า สบตาดีแลนด์ กล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างว่า “ช่องเขา”
   ไม่ชอบจริงๆ นั่นแหละ
   ไม่อยากเข้าไปใกล้ แค่เห็นในอกก็รู้สึกอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออกแล้ว
   “เราไม่ชอบเวลาเธอยิ้มแบบนี้”
   คำพูดเถรตรงจี้ใจดำทำให้รอยยิ้มของจิวซือเจือนลง เปลี่ยนเป็นหัวเราะในลำคอ ดีแลนด์เป็นมนุษย์ประหลาด ในความทรงจำทุกๆ ชาติที่ผ่านมาของเขาไม่เคยพบคนที่เหมือนกับดีแลนด์มาก่อน ถ้าจะให้อธิบายละเอียดคงยาก แต่พอจะเปรียบเทียบได้ว่าอีกฝ่ายเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำเจียงหัวที่เขาใช้พักอาศัย ขอเพียงแผ่นหลังพิงกับลำต้น ใจก็จะรู้สึกสงบมั่นคงขึ้นมา ทั้งที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาๆ ที่ไม่มีวันได้พบอีกแท้ๆ
   “ดีแลนด์นาย...” อยากเข้าสู่วิถีเซียนด้วยกันไหม
    ท้ายประโยคคำถามนั้นถูกกลืนลงไป คำถามที่อยากเอ่ยอยู่หลายครั้ง แต่เพราะกฎของภพสวรรค์เขาจึงไม่อาจชี้แนะอีกฝ่ายโดยตรงได้ ไม่อาจแพร่งพรายเรื่องที่มนุษย์ไม่มีสิทธิ์รู้ มิฉะนั้นดวงจิตของเขาอาจถูกทำลาย จิวซือถอนหายใจ
   “มีเงินเยอะไหม”
   ดีแลนด์เลิกคิ้วกับคำถามปราศจากที่มาที่ไป แต่ก็พยักหน้ารับ
   “ดี”
   ในเมื่อกระทำโดยตรงไม่ได้ จิวซือจึงคิดช่วยดีแลนด์สร้างกุศล ส่วนเรื่องหลังจากนั้นก็ต้องสุดแต่สวรรค์และวาสนาแล้ว



   ระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางไปทั่วนอร์ท นอกจากเที่ยวชมธรรมชาติ สิ่งก่อสร้าง ตลอดจนวิถีชีวิตของประชาชนแล้ว ทุกครั้งที่มีโอกาสก็จะช่วยเหลือคนเดือดร้อน หรือไม่บริจาคทานไปด้วย ชื่อเสียงของเจ้าชายดีแลนด์และไวเคานต์สเวนเริ่มกระจายผ่านปากต่อปาก ผู้คนต่างสรรเสริญและชื่นชมพวกเขา อิทธิพลที่มีต่อประชาชนทั่วไปมากมายอย่างที่คนในวังหลวงเริ่มนั่งไม่ติด
   จิวซือถอดเสื้อผ้า ก้าวเท้าลงไปในลำธารใส ขณะที่สายตามองตามหลังดีแลนด์ที่ปลีกตัวไปล่าสัตว์เพื่อเป็นมื้อเย็น สหายผู้นี้เป็นมนุษย์ที่ประหลาดมากจริงๆ ซ้ำยังดูเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเขาที่เป็นเซียน ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา กลายเป็นเขาเสียอีกที่ได้เรียนรู้จากอีกฝ่าย เวลาที่เขาขอให้ยื่นมือช่วยใคร ก็จะทำโดยไม่ลังเล ทั้งยังมีสีหน้าเห็นพ้องและภูมิอกภูมิใจกับการทำกุศลของเขา ความสัมพันธ์นับได้ว่าเป็นสหาย และเป็นสหายร่วมทางอย่างแท้จริง ไม่เคยลึกซึ้งเกินกว่านั้น แม้แต่ช่วงฮีทของร่ายกายนี้ จิวซือยังใช้จิตเซียนทำให้ตัวเองสงบลง ขณะที่ดีแลนด์อยู่ข้างๆ ถ่ายทอดพลังเย็นเหมือนสายน้ำช่วยดับร้อน โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน ไม่ทราบอัลฟ่าของดีแลนด์ทนได้อย่างไร และไม่ทราบว่าทำไมต้องอดทน แต่ดูเหมือนว่ามีเส้นบางๆ กางกั้นอยู่ และฝ่ายนั้นไม่ต้องการก้าวข้ามมา
   กล่าวตามตรงแล้ว หากดีแลนด์เอ่ยปาก เขาก็ยินดีโอนอ่อนผ่อนตาม ความสัมพันธ์ทางกายสำหรับมนุษย์แล้ว เป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าเกิดจากความพอใจของสองฝ่าย และไม่ผิดศีลธรรม ยิ่งสำหรับเทพเซียน ยิ่งถือเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่คู่ควรแก้การเอ่ยถึง ความสำคัญของกายหยาบเทียบกับดวงจิตไม่ได้แม้เพียงเสี้ยว ต่อให้กายหยาบนี้ถูกทำร้าย แปดเปื้อน สูญสิ้น หรือถูกทำลายอย่างไร ก็สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ ผิดกับดวงจิต นั่นต่างหากถือเป็นสมบัติของเทพเซียน หากถูกทำให้แตกสลาย ย่อมหมายถึงการดับสูญอย่างถาวร
   จิวซือหัวเราะในลำคอ นึกถึงสีหน้าตกใจของดีแลนด์เมื่อเขาฮีทครั้งแรก เห็นได้ชัดว่ากลิ่นจากร่างกายของเขาทำให้อีกคนเกิดปฏิกริยาตามธรรมชาติ กระนั้นก็ยังกอดไหล่ของเขาไว้ และช่วยถ่ายทอดพลัง ชักนำให้เขาสงบลง ทั้งที่ตนเองเหงื่อซึมทั้งตัว
   คู่ชะตา คู่ชะตา โกหกทั้งเพ
   ชอบ แต่ไม่ได้รัก รู้สึกแบบนั้น คิดว่าเขาไม่รู้หรือ


   
   จู่ๆ จิวซือก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้า เมื่อก้มดูก็พบว่าเป็นงูสีดำมะเมื่อมขนาดเล็กตัวหนึ่ง มันจู่โจมเขาแล้วผละหนีไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังนิ่งเงียบราวกับมือสังหาร จิวซือไม่รู้สึกเลยว่ามีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ แต่อันตรายเช่นนี้เข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไร หรืออาจเป็นเพราะเขามัวแต่ใจลอยก็เป็นได้ จิวซือพยายามสั่งร่างกายให้ชะลอพิษร้าย ทว่าเพียงเสี้ยวอึดใจ ดวงตาก็เริ่มพร่าเลือน มองอะไรไม่ชัด ความง่วงงุนเข้าครอบงำ ร่างกายทั่วทั้งตัวชาจนขยับไม่ได้ พิษมันร้ายแรงกว่าที่คิด
   จิวซือยังคงมองตรงไปเบื้องหน้า สุดสายตาคือป่าโปร่งที่ดีแลนด์หายเข้าไป หนังตาเขาเริ่มหนักขึ้นทุกที แม้พยายามฝืนอย่างไรก็มิอาจทัดทานได้เมื่อพิษร้ายแล่นเข้าสู่หัวใจ ใบหน้ายกยิ้มอย่างที่ดีแลนด์เคยว่าเขาไม่ชอบเห็น
   หากได้พบกันอีก ก็คงดี...
   

   ร่างเปลือยเปล่าหงายหลังล้มลง จมหายไปในลำธาร ร่างเซียนของจิวซือเพิ่งจะลอยขึ้นมาก็ถูกอ้อมแขนของบุรุษชุดดำช้อนไว้แนบอก เขาก้มมองคนที่เปลือกตาปิดสนิท ก่อนที่ร่างของคนทั้งคู่จะค่อยๆ สลายหายไป

   


   ตำนานของอาณาจักรนอร์ทเล่าขานว่าคู่แห่งชะตาเป็นคำอวยพรจากสวรรค์ ครั้งหนึ่งเจ้าชายดีแลนด์ ได้พบกับคู่ชะตาของเขา ไวเคานต์สเวน ทรงตกหลุ่มรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้นและได้หมั้นหมายกัน เจ้าชายดีแลนด์ไม่ไยดีต่อราชบัลลังก์ ออกเดินทางไปทั่วทั้งนอร์ทตามความปรารถนาของพระคู่หมั้น ทั้งสองช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่เสียดายเงินทอง กระทั่งไวเคานต์สเวนถูกงูพิษกัดตายในป่า เจ้าชายดีแลนด์เสียพระทัยอย่างมาก กระทั่งเรียกอัสนีเก้าชั้นฟ้าลงมา ความรักและความทุกข์ตรอมที่ทรงได้รับกลายเป็นแรงกระตุ้นทำให้พระองค์ผ่านด่านอัสนีเก้าชั้นฟ้ากลายเป็นเทพมังกรกลับสวรรค์ จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นเจ้าชายดีแลนด์อีก แต่เชื่อว่าทรงคอยดูแลปกป้องประชาชนของพระองค์ต่อไป
   ชาวบ้านในบริเวณนั้นได้ช่วยกันสร้างรูปปั้นของเจ้าชายดีแลนด์และไวเคาตน์สเวน บริเวณริมแม่น้ำที่เชื่อว่าเป็นที่ที่ไวเคาตน์สเวนเสียชีวิตและที่ที่เจ้าชายดีแลนด์กลายร่างเป็นมังกร เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความรักมั่นและความเมตตาของคนทั้งคู่
   ภาวนาให้สวรรค์เมตตาให้พวกเขาได้พบกันอีกครั้ง



(End of Arc 2)

#วิถีเซียน3p
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-12-2018 17:04:26
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 22-12-2018 19:30:51
สนุกค่ะ อ่านเพลินมากๆเลย
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-12-2018 21:43:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-12-2018 22:11:49
ชอบบบบบบบบบ   :mew1: :mew1: :mew1:
มีต่อใช่ไหม....  รอ......นะ   :z3: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 23-12-2018 00:36:34

รอลุ้นต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 23-12-2018 07:33:41
สนุกมากเลยค่ะ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 23-12-2018 09:32:00
 o13 o13
รอชาติต่อไปของจิวซือ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 23-12-2018 12:41:37
รอชาติต่อไปจะเกิดเป็นใครอีกหนอแล้วชุดดำนี่ใครอ่ะลุ้นตลอด :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 23-12-2018 20:33:15
อ่านเพลินเลย สนุกดีค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 31-12-2018 01:14:20
เพิ่งได้มาอ่าน ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ เขียนออกมาได้ดี สละสลวย ชวนติดตามมากเลย เราชอบที่คุณนักเขียนเขียนมาให้เราอ่านแล้วรู้สึกว่าโฟกัสกับความสัมพันธ์ของตัวละครต่างๆมากกว่า ทำให้อ่านได้สบายๆ ไม่รีบร้อนอะไร อ่านเพลินมากเลยค่ะ น้องจิวซือน่ารักมาก ตัวละครทุกตัวมีอะไรให้ติดตาม ต่อจากนี้ไปก็ขอให้เขียนตามแนวทางที่ตัวเองชอบและอยากเขียนนะคะ จะคอยติดตามและเป็นกำลังใจให้ค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-12-2018 02:36:36
รออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 01-01-2019 20:47:43
ความสัมพันธ์ระหว่างจิวซือกับอวิ๋นหนานเริ่มมีแววพัฒนาขึ้นมาบ้างแล้ว
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 11-01-2019 07:50:24
เหมือนคนเขียนทำให้รู้สึกว่าถ้าจิวซือเลือกอวิ๋นหนานชีวิตจะมีแต่ก้าวหน้าในหน้าทีาการงานอ่ะ
แต่ถ้าเลือกอี้เทียนก็อาจจะกลายเป็นคู่คลั่งรัก เหมือนอย่างตอนพี่เหิงกับเย่เย่
ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีหรอกนะเพราะเราชอบ555555555555
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 13-01-2019 16:01:21


Interval 2: The Underworld (1)



   จิวซือลืมตาขึ้นมาพบกับบรรยากาศมืดสลัวคล้ายตอนพลบค่ำ ตัวเขานอนอยู่บนเตียงกว้าง ผ้าห่มหนาผืนใหญ่คลุมร่างจรดลำคอ รอบกายมืดมิด และหนาวเย็น ไร้กลิ่นอายของสิ่งมีชีวิต ทุกอย่างดูราวกับว่าถูกแช่แข็ง ถูกหยุดไว้ จิวซือขยับลุกขึ้นนั่ง มอบไปรอบๆ อย่างใช้ความคิด
   โดยปกติเมื่อเสียชีวิตในด่านคุณธรรม จะมีผู้คุมพาจิตเซียนของเขากลับไปที่หอคุณธรรม เพื่อรอฟังผลการตัดสิน จากนั้นจึงปล่อยตัวเขากลับที่พัก จะมีก็แต่คราวก่อนที่ถูกพาไปวังตะวันออก แต่ที่นี่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่ทั้งหอคุณธรรม และวังตะวันออก บรรยากาศไร้ชีวิตเช่นนี้แตกต่างจากทุกที่ที่เขาเคยพบเจอ



   เสียงประตูดึงแผ่วเบา แสดงออกถึงความระมัดะวังของคนเปิด แต่เพราะรอบกายเงียบสงัด จิวซือจึงได้ยินมันอย่างชัดเจน ร่างสูงใหญ่ปรากฎขึ้นในครรลองสายตา ร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดดำยาวหยุดอยู่ข้างเตียง เม่ือเห็นว่าคนบนเตียงตื่นแล้ว เขาจึงโบกมือคราหนึ่ง แสงสว่างจากลูกไฟสีเหลืองนวลถูกจุดขึ้นรอบห้อง ขับไล่ความมืดและความหนาวเย็น

   ดวงตาสองสีของอี้เทียนมองซื่อเสวี่ยนที่อยู่ห่างเขาเพียงเอื้อมมือ ใบหน้าอ่อนวัย ผิวขาวซีด มิคล้ายสหายผู้กินนอนอยู่กลางสนามรบในความทรงจำ ไม่ใช่ซื่อเสวี่ยนที่กอดร่างของเขาร้องไห้แทบขาดใจ ดวงตาสีดำคู่นั้นที่สบประสานกับเขามีหมอกจางๆ ปิดกั้นความรู้สึก ทำให้เขาอ่านไม่ออก นอกจากความประหลาดใจเพียงเล็กน้อยแล้ว เขาไม่เห็นอย่างอื่น ไม่ใช่แววตาที่ฉายแต่เพียงภาพของเขาอีกต่อไป  เห็นได้ชัดว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างขึ้นกับซื่อเสวี่ยน ไม่ใช่แค่ชื่อ ไม่ใช่แค่วิถีเซียน กระนั้นเขาก็ยังมิอาจปล่อยมือ ยังคงดึงรั้งโซ่แห่งอดีตเส้นนี้ไว้ ไม่ยอมให้พันธนาการระหว่างพวกเขาคลายออก

   “ซื่อเสวี่ยน”  ...ซื่อเสวี่ยน...เป็นเหมือนสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวอดีตของพวกเขาไว้
   เมื่อได้ยินเขาเอ่ยชื่อนั้น ดวงตาของคนบนเตียงคล้ายจะขยายขึ้นเล็กน้อย ม่านหมอกที่ปกคลุมดวงตาคล้ายจะกระจายออก แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลับมาเป็นเช่นเดิม ทั้งยังก่อตัวหนาขึ้น ปิดกั้นความรู้สึกทุกอย่างไว้
   “ไม่ใช่”
   น้ำเสียงปฏิเสธชัดเจน ขณะที่เจ้าตัวลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขา
   หลายครั้งที่อยากถามว่าเพราะอะไรถึงเปลี่ยนชื่อ หากว่าเป็นเซียนเหมือนกันเพราะอะไรถึงไม่เคยมาหาเขา ชื่อของเขาอี้เทียนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดของทำเนียบเซียน ก็ด้วยหวังว่าซื่อเสวี่ยนจะได้เห็น หวังว่าอีกฝ่ายจะมาพบเขา แต่ก็ไม่เคย หรือต้องการลืมเลือนเขาแล้ว ไม่ต้องพบเจออีกแล้วหรือ

   แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ข้าก็ปล่อยเจ้าไปไม่ได้ จะจองจำเจ้าไว้กับข้าที่นี่
   ดวงตาสองสีของอี้เทียนเข้มขึ้น ยามเน้นย้ำคำเรียกขาน ประกายความมืดพาดผ่านดวงตาข้างที่เป็นสีทอง ทำให้แสงสีทองแห่งองค์เทพขมุกขมัวลง
   “ซื่อเสวี่ยน”
   “จิวซือ ซื่อเสวี่ยนตายไปแล้ว”
   อี้เทียนยิ้ม แต่ดวงตาสองสีของเขาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย ตรงกันข้าม มันแข็งกร้าว ลุกโชนด้วยความเผด็จการ ไม่ยินยอมให้ปฏิเสธ ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าต่อให้เปลี่ยนชื่อ ต่อให้กลายเป็นเซียน เป็นเทพ หรือแม้แต่วิญญาณเร่ร่อน เจ้าก็คือซื่อเสวี่ยนของข้า

   รอยยิ้มของอี้เทียนทำให้จิวซือขนลุกไปทั้งตัว
   อี้เทียนที่อยู่ๆ ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเขาดูไม่เหมือนอี้เทียนที่เขาเคยรู้จักหรือจดจำ ดูราวกับปีศาจร้ายที่บ้าคลั่งและอันตราย
   มือเยียบเย็นยกขึ้นมาสัมผัสใบหน้าเขาแผ่วเบา ทั้งที่เย็นไม่ต่างจากก้อนน้ำแข็ง แต่กลับลูบใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน ทะนุถนอม รอยยิ้มมุมปากกดลึกยามเอ่ยว่า
   “ข้าฆ่าเจ้า”

   จิวซือถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ
   ฆ่า? หมายถึงงูดำตัวนั้น?
   ไม่รอให้ต้องสงสัยนาน งูสีดำตัวเล็กที่กัดเขาจนตายก็โผล่หัวเล็กๆ ของมันออกมาจากคอเสื้อของอี้เทียน ก่อนจะเลื้อยไปขดอยู่บนไหล่กว้าง
   จิวซือเลื่อนสายตาจากงูตัวนั้นไปสบกับดวงตาของอี้เทียน เวลานี้เขาจึงเพิ่งเห็นว่าดวงตาข้างหนึ่งของอี้เทียนเป็นสีทอง
   อี้เทียนน่ะหรือฆ่าเขา
   ความคิดที่ทำให้ความตึงเครียดตลอดทั้งร่างของจิวซือคลายลง ก่อนที่รอยยิ้มเล็กๆ จะปรากฎขึ้น

   “ไม่โกรธหรือ”
   “เจ้าไม่ได้ฆ่าข้า” อี้เทียนเลิกคิ้วกับคำตอบของจิวซือ ความประหลาดใจยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อได้ยินคำถามต่อมา  “โดมินิก?”
   ฉลาดไม่เปลี่ยน
   อี้เทียนถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้า
   “แต่ข้าช่วยกำบังร่างของเจ้าตัวนี้”
   จิวซือส่งเสียงตอบรับในลำคอ เพราะเหตุนี้เขาถึงไม่รู้สึกตัวว่ามีงูตัวหนึ่งเข้ามาใกล้ โดมินิกต้องการฆ่าเขา อาจเพราะชื่อเสียงของเขาและดีแลนโด่งดังเกินไป จนเป็นภัยจากราชบัลลังก์ แต่ก็ดี แค่ไม่กี่วันด่านคุณธรรมด่านที่เก้าของเขาก็สิ้นสุด เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่ทันได้บอกลา
   ร่องรอยของความอาลัยที่ปรากฏในแววตาของจิวซือทำให้ความมืดในดวงตาของอี้เทียนเข้มขึ้น ไม่คาดคิดมาก่อนว่าตงหวางแห่งวังตะออกจะตามไปถึงด่านคุณธรรม ครานั้นเขาเห็นเทพอวิ๋นหนานประคองร่างเซียนของจิวซือออกจากร่างไร้วิญญาณของเจียเย่ เขาคิดว่าเป็นความบังเอิญ แต่เวลานี้เขาไม่มั่นใจว่ายังเป็นแค่เรื่องบังเอิญอีกหรือไม่
   เดิมทีการที่เขาบังเอิญพบซื่อเสวี่ยนที่ไท่ซาน เขาดีใจมาก แต่เพราะเกรงว่าตนเองอาจตายในระหว่างบททดสอบของเทพยามา กลัวว่าจะทำให้ซื่อเสวี่ยนเสียใจอีก จึงได้แต่สะกดอารมณ์พลุ่งพล่านทั้งมวลไว้ และปล่อยให้อีกฝ่ายกลับวังตะวันออกไป
   ทันทีที่สำเร็จเป็นเทพยามา สิ่งแรกที่ทำคือไปท้วงคนจากวังตะวันออก แต่กลับช้าไปก้าวหนึ่ง พวกเขาคลาดกันหลายครั้ง จนอี้เทียนนึกกลัว กลัวว่าจะเป็นดั่งที่อาจารย์ของเขากล่าวไว้ว่า หากไร้ซึ่งวาสนา ไม่ว่าชาติใดก็มิอาจครองคู่ แม้แต่เทพยามาผู้ปกครองยมโลก ชี้เป็นตายแก่ทุกดวงวิญญาณ ก็ไม่อาจฝืนลิขิตสวรรค์
   เขาไม่เช่ืออาจารย์ ไม่เชื่อลิขิตสวรรค์ เชื่อแต่ตัวเองเท่านั้น
   หากเขายินกรานจะผูกมัดอีกฝ่ายไว้ตลอดกาลเล่า
   
   “ที่นี่คือ?”
   “ยมโลก”
   จิวซือไม่เคยมายมโลก เพราะเมื่อเขาตาย ก็ถูกพาเข้าสู่วิถีเซียนทันที อย่างไรก็ตามเขาพอจะทราบเกี่ยวกับยมโลกอยู่บ้าง ยมโลกไม่มีกลางวันและกลางคืน บรรยากาศมืดสลัวตลอดทั้งวัน อาณาเขตของยมโลกกว้างใหญ่ไพศาล ไม่ด้อยไปกว่าภพสวรรค์ เมืองหลวงชื่อว่าโยวดู๋ มีเขตปกครองทั้งหมด 10 เขต แต่ละเขตมีผู้ปกครอง เรียกว่าหยานหวาง ล้วนเป็นตัวแทนของเทพยามา คอยตัดสินบุญบาปของทุกวิญญาณ ยมโลกไม่มีทางเชื่อมกับสะพานข้ามภพ คนที่ไม่มีป้ายผ่านทางไม่สามารถเข้ามาได้ แม้แต่เทพชั้นผู้ใหญ่ก็ไม่เว้น ดวงวิญญาณทั้งหลายจะถูกยมฑูตพาข้ามแม่น้ำ แยกไปแต่ละเขตปกครอง เพื่อตัดสินบุญและกรรม
   เทพยามา ผู้ปกครองยมโลก จะถูกเปลี่ยนทุกหมื่นปี เพื่อรักษาความเป็นกลางของยมโลก เทพยามาเป็นเทพองค์เดียวที่มีตาสองสี ข้างหนึ่งเป็นสีดำ แสดงถึงพลังปีศาจ พลังมืด อีกข้างเป็นสีทองแห่งปวงเทพ
   
   “เจ้า...เป็นเทพยามา?”
   “ใช่”
   จิวซือบอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไร อี้เทียนกลายเป็นเทพยามา แม้แต่จอมเทพยังต้องเกรงใจ ตอนที่ทราบว่าอี้เทียนเข้าสู่วิถีเซียน ตอนที่เห็นชื่ออีกฝ่ายอยู่ด้านบนสุดของทำเนียบเซียน เขาทั้งดีใจและกังวล ใจหนึ่งอยากไปหา ใจหนึ่งละอายเกินกว่าจะพบหน้า สุดท้ายก็บอกตนเองว่าเมื่อเลื่อนขั้นเป็นเทพได้สำเร็จ ค่อยไปพบอีกฝ่าย ถึงเวลานั้นพวกเขาต่างมีชีวิตยืนยาว ไม่เจ็บไม่ตายโดยง่าย มีเวลาหลายพันปีให้สนทนากัน
   ซื่อเสวี่ยนเป็นคนโชคร้าย มีชะตาทำให้คนรอบข้างเป็นทุกข์ ถึงขั้นตายตก บิดา พี่ชาย สหาย คนรัก ผู้มีพระคุณ ทุกคนล้วนตายตก ตายอย่างไม่เป็นสุข มีแต่เขาที่ยังชีวิตอยู่ได้ เขา...ไม่อยากเป็นซื่อเสวี่ยน เพราะเช่นนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็นจิวซือที่แปลว่าชะตาและความสุข หากได้เกิดใหม่เป็นเทพ ชำระวิญญาณจนบริสุทธิ์ คงจะลบล้างความอัปมงคลของตัวเองได้ ถึงตอนนั้นค่อยมาพบอี้เทียนก็ยังไม่สาย ถึงเวลานั้นค่อยขอให้อีกฝ่ายอภัยให้ แต่เมื่อได้ตรองดูดีๆ แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าทั้งหมดล้วนเป็นข้ออ้าง สุดท้ายเขาก็แค่ขี้ขลาด ไม่กล้าไปเจอ
   เวลานี้อีกฝ่ายกลายเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่อย่างที่เขาอย่างเขาเทียบไม่ติด เซียนเล็กๆ อย่างเขาย่อมไม่กระทบชีวิตเทพชั้นสูงอย่างอี้เทียน นับว่าเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดีจริงๆ
   “ยินดีด้วย”
   รอยยิ้มกว้างจนตาปิดทำให้ใบหน้าของจิวซือดูละมุนลงอีกสองส่วน แต่กลับทำให้หัวใจของคนมองกระตุกหลายครั้ง ภาพในอดีตที่ไม่เคยเลื่อนหายไปจากหัวใจซ้อนทับกับดวงหน้าอ่อนวัย ซื่อเสวี่ยนมักจะยิ้มเช่นนี้เสมอ เดิมทีเขาไม่เคยสังเกต และไม่กล้าสังเกต เวลานี้จึงพบว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของเขาบีบรัดเพียงใด

   เขา...เป็นต้นเหตุให้ซื่อเสวี่ยนยิ้นเช่นนี้

   
   

   ตำหนักสีขาวหลังเล็กลอยอยู่กลางอากาศกลืนไปกับหมู่เมฆที่รอบล้อม ดูเรียบง่าย และเงียบสงบ นกสีขาวตัวเล็กบินมาเกาะขอบหน้าต่างที่เปิดกว้าง เอียงคอ ส่งเสียงร้องจิ๊บๆ อย่างน่าฟัง ทว่าใบหน้าของหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างกลับเคร่งเครียดขึ้นทุกวินาที เจ้านกตัวน้อยบินจากไปทันทีที่ส่งสารจบ ขณะที่ดวงตาสีทองสว่างของหญิงผู้นั้นทอดมองไปข้างหน้าอย่างใช้ความคิด
   ครู่ใหญ่ ค่อยได้ยินนางเอ่ยว่า “เจ้าไปหอคุณธรรมอีกครั้ง”
   “เจ้าค่ะ” เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มรับคำ บนหน้าผากนวลมีปานรูปกลีบบัวเล็กๆ สีแดง ปรากฏอยู่ ดวงตากลมโตปรากฏแววเวทนาสงสาร และจำใจ


หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-01-2019 16:29:03
เกิดเหตุอันใดหนอ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (จบ Arc 2)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 13-01-2019 20:58:32
งือ สนุกมาก
ฝากคนเขียน ตอนอัพอย่าลืมเปลี่ยนหัวข้อนะคะ
จะได้รู้ว่ามีตอนใหม่มา
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (The underworld 1)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 13-01-2019 22:07:11
จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับจิวซือหรือเปล่านะ
อยากให้ทั้งจิวซือและอี้เทียนได้ปรับความเข้าใจกันเร็ว ๆ จะได้หมดเรื่องที่ค้างคาต่อกัน
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (The underworld 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 15-01-2019 19:47:20

The underworld (2)




   ภพสวรรค์

   คงเหวินไม่เคยเห็นท่านเจ้าวังของเขามีสีหน้าโกรธขึ้งเช่นนี้มานานแล้ว แม้จะไม่ทรงแสดงออกด้วยกริยาหรือวาจา แต่ริมฝีปากที่เม้มเป็นเส้นตรง ดวงตาสีทองเรียบเฉยไร้ความเมตตาเช่นทุกที และบรรยากาศรอบกายเยียบเย็น กดดันจนแทบหายใจไม่ออก ก็สามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ไม่ปกติของตงหวางได้เป็นอย่างดี
   นับตั้งแต่ตงหวางกลับมาจากโลกมนุษย์ ก็ตรงดิ่งไปยังหอคุณธรรม เมื่อกลับมาถึงวังตะวันออก สีหน้ายิ่งย่ำแย่กว่าเดิม คาดว่าคงไม่พบคนที่ตามหา คราแรกคงเหวินยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องราวร้ายแรงอะไร ลอบหวาดกลัวไปต่างๆ นานาว่าจะเกิดเหตุกับวังตะวันออก หรือภพมังกร กระทั่งได้ยินตงหวางถามว่า ‘จิวซือได้กลับมาที่นี่หรือไม่’ ค่อยตระหนักว่าต้นเหตุที่ทำให้เจ้านายของเขากริ้วถึงเพียงนี้ คือเซียนน้อยผู้หนึ่ง
   จิวซือ เขาใคร่พบหน้าเซียนน้อยผู้นี้เหลือเกิน
    “สหายเซียนไม่ได้มาที่นี่ขอรับ” คงเหวินรายงานอย่างระวัง แต่แล้วก็นึกได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเทพผู้ครองยมโลกมาตามหาจิวซือที่วังตะวันออก “ก่อนหน้านี้ เทพยามาก็มาตามหาสหายเซียนขอรับ”
   “เทพยามา?”
   “ขอรับ หลังจากท่านเจ้าวังลงไปโลกมนุษย์เพียงวันเดียว”
   เห็นสีหน้าครุ่นคิดของอวิ๋นหนาน คงเหวินจึงกล่าวเสริมว่า “ยมโลกมีเทพยามาองค์ใหม่แล้วขอรับ”
   ดวงตาสีทองของอวิ๋นหนานมีประกายพาดผ่าน ความหงุดหงิดผุดขึ้นกลางใจ เสมือนตอน้ำเล็กๆ ที่ปล่อยกระแสแห่งความขุ่นมัวไหลนองไปทั่วอก อยู่ๆ ก็หายไปจากสายตาเขาที่คอยเฝ้าดู แค่พริบตาเดียวก็เหลือไว้เพียงแต่กายว่างเปล่าปราศจากวิญญาณ หากรู้ว่าเป็นผู้ใด...
   “ตราผ่านทาง”
   คราวนี้คงเหวินตกใจจริงๆ แต่ไม่กล้าเอ่ยถามสักครึ่งคำ ด้วยน้ำเสียงของท่านเจ้าวังแฝงไว้ด้วยแรงกดดันมหาศาล ท่านเจ้าวัง...คิดจะไปตามคนถึงยมโลกเชียวหรือ




   ยมโลก

   จิวซือไม่ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับเทพยามามากนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะยมโลกเป็นดินแดนปิด เป็นดินแดนที่ต้อนรับเฉพาะคนตาย เทพยามาเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบปรากฎตัว คนที่รู้จักและมีความสัมพันธ์กับเขามีน้อยเพียงหยิบมือ นึกไม่ถึงว่าเวลานี้ตัวเองจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
   คราวก่อนที่พบกับในงานชุมนุมเทพเซียน อี้เทียนบอกว่าผ่านด่านคุณธรรมแล้ว จิวซือคิดว่าอีกฝ่ายจะได้เป็นเทพในสังกัดของแม่ทัพสวรรค์ ด้วยความสามาถเชิงยุทธ์เป็นเลิศ ต้องก้าวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย สุดท้ายยังเป็นเขาที่ประเมินอี้เทียนต่ำไป

   ฟ่อๆ
   งูพิษสีดำตัวเดิมยกหัวเล็กๆ ขึ้นมาถูแก้มอี้เทียน จากนั้นก็ผงกหัวให้จิวซือ ดวงตากลมสีดำคล้ายลูกปัดของมันที่จับจ้องใบหน้าของจิวซือมีประกายอ้อนวอน เมื่อเห็นว่าเขายังไม่มีปฏิกริยา หัวเล็กๆ ก็ตกลง ซบอยู่กับซอกคอของอี้เทียนอย่างหดหู่

   “มันชอบเจ้า” อี้เทียนกล่าว นิ้วชี้ลูบหัวเจ้างูน้อยเบาๆ “มันอยากขอโทษ” ได้ยินอี้เทียนช่วยอธิบายความในใจ เจ้างูก็รีบชูคอ มองหน้าจิวซือ แล้วผงกหัวลง

   เห็นท่าทางแสนรู้และน่าเอ็นดูเช่นนั้น จิวซือก็อดยื่นมือไปลูบลำตัวลื่นๆ ของมันไม่ได้ เจ้างูน้อยร้องฟ่อๆ อย่างตื่นเต้นดีใจ แล้วใช้หางพันข้อมือของจิวซือไว้
   “มันปลุกสำนึกแล้วหรือ” จิวซือถาม งูเป็นสัตว์เลื้อยคลาน มีวรรณะต่ำกว่ามนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ดังนั้นการปลุกสำนึก หรือสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า ‘สติปัญญา’ นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องบำเพ็ญตบะร้อยปีกว่าจะเริ่มมีปัญญา รับรู้ เข้าใจภาษามนุษย์ และบำเพ็ญเพียรอีกพันปีจึงจะมีสิทธิเข้าสู่วิถีเซียน ถึงเวลานั้นค่อยสามารถแปลงกายเป็นมนุษ์ และมีอิทฤทธิ์ไม่แพ้เซียนทั่วไป
   “อืม เพราะได้เลือดกับพลังเซียนของเจ้า เจ้าตัวน้อยเลยพลอยได้ตบะร้อยปีมาด้วย”
คำตอบของอี้เทียนทำให้จิวซือเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ตบะร้อยปีของเขาน่ะหรือ ร่างที่ถูกเจ้าตัวนี้กัดตายเป็นร่างกายของมนุษย์ธรรมดาชัดๆ นอกจากนั้นตัวเขายังเป็นเพียงเซียนเล็กๆ ต่อให้จิตเซียนแข็งแกร่งขึ้นอย่างไรก็ไม่น่าจะทดแทนตบะร้อยปีได้
   “เป็นไปได้อย่างไร”
   อี้เทียนมองจิวซืออย่างมีความหมาย เขาเลี่ยงไม่ตอบคำถาม แต่กลับจับเจ้างูดำไปวางบนฝ่ามือของจิวซือและขอให้เขาตั้งชื่อมัน
   “ตั้งชื่อให้มันสิ”

   เห็นอี้เทียนไม่ตอบข้อสงสัยของเขา จิวซือก็ไม่ว่าอะไร เจ้างูตัวเล็กบนฝ่ามือชูคอมองเขาอย่างคาดหวัง ทำให้อดนึกถึงดีแลนที่มีร่างเดิมเป็นงูดำสี่ขาไม่ได้ ความเชื่อของนอร์ทคือหากงูสี่ขาผ่านด่านอัสนีเก้าชั้นฟ้าจะกลายเป็นเทพมังกร ไม่ทราบจริงหรือไม่ เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองเผลอนึกถึงสหายผู้นั้นอีกแล้ว ก็ได้แต่นึกขันในใจ ดูท่าเขาคงจะมีวาสนากับสัตว์จำพวกงูกระมัง
   จิวซือลูบหัวเล็ก แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเฮย” เฮยแปลว่าสีดำ เสี่ยวแปลว่าเล็ก ในเมื่อเจ้าตัวนี้เป็นงูสีดำตัวเล็ก ก็ย่อมต้องชื่อว่าเสี่ยวเฮ่ย

   อี้เทียนอมยิ้ม สีหน้าของเขาอ่อนโยนลง พลอยให้บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายลงไปด้วย “เจ้ายังตั้งชื่อไม่ได้เรื่องอยู่เหมือนเดิม”
   ได้ยินอี้เทียนบอกว่าชื่อเสี่ยวเฮยของมันไม่ได้เรื่อง เจ้างูก็ชูคอขึ้นมาขู่ฟ่อๆ เป็นเชิงประท้วง เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนเจ้านายใหม่เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังออกโรงปกป้องอย่างแข็งขัน แทบลืมไปว่าบุคคลที่มันประท้วงอยู่นั้นเป็นนายแห่งยมโลก

   จิวซือยิ้ม อดรู้สึกเอ็นดูเสี่ยวเฮยไม่ได้
   “ข้าเพิ่งเคยมายมโลก”
   “เช่นนั้นพวกเราไปเดินเล่นกัน” อี้เทียนกล่าว จากนั้นก็จับมือจิวซือให้เดินไปด้วยกันกับเขา จิวซือก้มมองข้อมือที่ถูกเกาะกุม อุณหภูมิจากร่างกายของอี้เทียนเย็นกว่าคนทั่วไปอยู่มาก กระนั้นเขาก็ไม่ได้ดึงออก



   ยมโลกที่อี้เทียนพาจิวซือไปเดินเที่ยวชมนั้นเป็นแค่อาณาเขตชั้นในสุด กล่าวคือเป็นบริเวณปราสาทดำ และหอคอยของเหล่าบริวารระดับสูงซี่งมีอยู่ไม่ถึงร้อยคน เทียบกับพื้นที่กว้างใหญ่สุดสายตาแล้ว เรียกว่าน้อยมาก
   ปราสาทของอี้เทียนทำจากหินสีดำ มีบันไดสูง 1,008 ขั้น รอบปราสาทปลูกดอกไม้ชนิดหนึ่ง เรียกว่าดอกไม้วิญญาณ กลีบดอกเรียวเล็กมีสีแดงสด มันเป็นดอกไม้ชนิดเดียวที่เบ่งบานในดินแดนที่ไร้แสงแดดอย่างยมโลก เพราะใช้พลังวิญญาณในการเติบโต
   หอคอยต่างๆ ที่อยู่ห่างจากปราสาทดำของอี้เทียนออกไปมีลักษณะเป็นทรงกระบอก สูงต่ำต่างกันไป แต่ทั้งหมดล้วนทำจากหินสีดำ ซึ่งเป็นวัสดุพิเศษที่มีแต่ในยมโลกเท่านั้น มีคุณสมบัติทนทาน และมีพลังป้องกันดีเยี่ยม
   ถัดจากอาณาเขตชั้นในสุด จึงจะเป็นโลกวิญญาณที่แท้จริง แต่ละเขตมีหยานหวางปกครองอยู่ ถ้าเทียบกับโลกมนุษย์แล้ว หยานหวางก็เปรียบได้กับอ๋อง ขณะที่เทพยามาเป็นฮ่องเต้ ต่างกันตรงที่หยานหวางมีอำนาจสิทธิ์ขาดในดินแดนของตัวเอง หากไม่มีเรื่องร้ายแรง จะมาพบเทพยามาเพื่อรายงานทั่วไปปีละหน และเทพยามาก็มิใคร่ยุ่งเกี่ยวกับภารกิจเหล่านี้ เขามีหน้าที่ในการรักษาสมดุล และความสงบสุขของยมโลก เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของยมโลก อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีปัญหาเรื่องกบฎหรือแย่งบัลลังก์เหมือนพวกมนุษย์ เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างในยมโลกถือเทพยามาเป็นนาย และเชื่อฟังแต่เขาผู้เดียว นี่คือกฎและวิถีของยมโลก



   อี้เทียนพาจิวซือมาถึงหน้าผาสูงเป็นชะง่อนยื่นไปกลางอากาศ หน้าผาแห่งนี้มีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือพื้นดินรอบๆ ยกตัวสูงจนสามารถมองเห็นอาณาเขตได้รอบทิศ ด้านหน้าคือเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนจนนับไม่ถ้วน มีหมอกสีแดงจางๆ ปกคลุมอยู่ ด้านซ้ายเป็นทะเลทรายกว้างไกลไร้จุดจบ ด้านขวาเป็นทะเลลาวาเดือด และด้านหลังคือแม่น้ำใหญ่ชื่อว่าซันสี เป็นแม่น้ำที่เชื่อมไปยังโลกมนุษย์ และรับดวงวิญญาณจากทุกสารทิศเข้ามาสู่ยมโลก ก่อนจะแยกไปยังสิบเขตปกครอง ในบรรดาทั้งสี่ทิศ จิวซือคิดว่าแม่น้ำซันสีดูสวยงามและปลอดภัยที่สุด แต่อี้เทียนกลับบอกว่านั่นคือที่ที่อันตรายที่สุด ภายใต้ผืนน้ำระยิบระยับคืออสูรกาย และปีศาจร้ายที่พร้อมจะดึงดวงวิญญาณทั้งหลายให้จมลง ดังนั้นจึงต้องมีคนพายเรือพาข้ามมาส่ง เรือเมื่อพายออกมาแล้วจะไม่หันหัวเรือกลับ จนกว่าจะถึงอีกฝั่งหนึ่ง
   ทิวทัศน์ที่ได้เห็นแตกต่างจากที่เคยจินตนาการไว้มาก หลายอย่างดูขัดแย้งจนไม่น่าอยู่ร่วมกันได้ บางทีนี่คงเป็นแก่นแท้ของยมโลก เช่นเดียวกับผู้ปกครองของมัน ความดี ความเลว พลังเทพและมาร ล้วนแล้วแต่รวมอยู่ในร่างของเขา
   ยมโลกกว้างใหญ่ และซับซ้อนกว่าที่คิด แต่ก็เงียบเหงาวังเวงอย่างบอกไม่ถูก ตรงข้ามกับวังตะวันออก แม้จะมีอาณาเขตไม่กว้างมากนัก แต่ทุกวันเต็มไปด้วยสีสัน และเสียงพูดคุยของผู้คน
   แม้เทพยามาจะย่ิงใหญ่จนทุกภพต้องไว้หน้า จิวซือกลับรู้สึกว่าข้างในช่างว่างเปล่านัก
   “เจ้าบอกจะไปเยี่ยมข้าที่วังตะวันออก นึกไม่ถึงว่าจะเชิญข้ามาที่นี่แทน”
   อี้เทียนผุดรอยยิ้มบางเบา ไม่อธิบายเรื่องที่เขาต้องรับบททดสอบเพื่อเป็นเทพยามาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพียงแต่ทอดสายตามองไปไกล เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า
   “ซื่อเสวี่ยน มาอยู่กับข้าเถิด”





#วิถีเซียน3p
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (The underworld 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-01-2019 20:35:01
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (The underworld 2)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-01-2019 20:54:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (The underworld 2)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 15-01-2019 23:10:15
โอ๊ยย ใจเราเอนเอียงมากตอนนีั
อี้เทียนรอมานานเหลือเกิน จิวซือก็รออี้เทียนเหมือนกัน

เลือกไม่ได้ ฮึกก  :m15:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (The underworld 2)
เริ่มหัวข้อโดย: earn23 ที่ 16-01-2019 08:09:58
ไม่อยากให้ใครเสียใจเลยยย​ เลือก​ ​ยากกก :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (The underworld 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 16-01-2019 08:11:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (The underworld 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 20-01-2019 00:20:51
สนุกมากกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (The underworld 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 22-01-2019 19:31:39

Interval 2: The Underworld (end)



   จิวซือรู้สึกราวกับว่าโลกหยุดหมุน ทุกอย่างรอบตัวพลันชะงักลง หรืออาจเป็นเพราะหัวใจของเขาหยุดเต้นไปเสียเองก็ได้ เงยหน้ามองอี้เทียนที่ไม่ทราบว่าหันมามองเขาตั้งแต่เมื่อไร ดวงตาสองสีปราศจากแววล้อเล่น ที่จริงเขาสงสัยมาตลอดว่าอี้เทียนพาเขามาที่ยมโลกทำไม แต่ไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าจะได้ยินคำถามนี้
   “อยู่กับข้า”
   จิวซือสูดลมหายใจเข้าลึก สมองของเขาว่างเปล่า ความนึกคิดแทบถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดไปจนหมด มือของอี้เทียนที่ยกขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของเขาสั่นจนอยากยื่นมือไปกุมทับ แล้วบีบแน่นๆ แต่...ทำไม่ได้
   จิวซือหลับตาลง ผ่านมานานมากแล้ว หากรวมด่านคุณธรรมก็นับว่าผ่านมาหลายชาติหลายภพ จะบอกเขาไม่เปลี่ยนไปเลยคงเป็นไปไม่ได้ กระนั้นก็ไม่อาจสลัดความคิดที่มีต่ออี้เทียน ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย เขาเหมือนจะจมลง ทรวงอกอึดอัดแทบหายใจไม่ออก
   โซ่ตรวนที่ตงหวางพูดถึงคงเป็นสิ่งนี้กระมัง
   “ข้าไม่มีวันตาย ไม่ต้องกลัวข้าตายจากเจ้าไปอีก”
   ตึก!
   เหมือนถูกทุบลงกลางใจ หนักหน่วงจนหน้าอกสะท้อนแรง สมองอื้ออึง เสมือนว่าความรู้สึกที่ผนึกไว้จะทะลักทลายออกมาหากเขาเผลอแม้เพียงเสี้ยววินาที บาดแผลที่ปิดไว้ถูกอีกฝ่ายเปิดเปลือย กระทั่งโลหิตสีแดงสดไหลซึม แม้ทราบว่าเป็นวิธีรักษา ก็ไม่อาจหลอกตัวเองว่าไม่เจ็บปวด จิวซือกำหมัดแน่น กระพริบตาถี่ๆ ไล่ความอุ่นร้อนในดวงตา สูดลมหายใจเข้าลึก
   ใช่แล้ว เทพยามาเป็นอมตะ หมื่นปีที่ครองยมโลก เขาไม่มีวันตาย เพราะเขาคือยมโลก ยมโลกก็คือเขา
   ตรงข้ามเวลานี้เขาคือจิวซือไม่ใช่ซื่อเสวี่ยน และซื่อเสวี่ยนไม่ใช่เขา
   ดวงตาที่ปิดลงเมื่อครู่พลันลืมขึ้น ม่านหมอกที่ปกคลุมจางออกกลายเป็นความสุกสว่าง 
   “ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้”
   คำตอบของจิวซือทำให้มือของอี้เทียนชะงักค้าง บรรยากาศกดดัน หนาวเย็นแผ่จากร่างสูงใหญ่ ดวงตาสองสีหรี่ลงเคลือบด้วยไอมืด บดบังความรู้สึกของเจ้าตัว ทว่าเสียงลมหวีดหวิวเจือโศกเศร้าและไม่ยินยอมพัดมาจากทั่วทุกสารทิศกลับสะท้อนอารมณ์รุนแรงของผู้เป็นนายได้เป็นอย่างดี
   จิวซือยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ปราศจากการดัดแปลง ปราศจากการปกปิด อาจเพราะบาดแผลที่ใหญ่ที่สุดของเขาได้ปรากฏเบื้องหน้าอีกฝ่ายไปแล้วก็ได้ เขากล่าวว่า “ข้ายังเหลือด่านคุณธรรมอีกสองด่าน”
   เสียงลมหวีดหวิวค่อยๆ เบาบางลง ดวงตาสองคู่สบกันอยู่อย่างนั้นนานนับนาที ก่อนที่อี้เทียนจะพยักหน้าลง
   ไม่มีคำถาม
   ไม่มีคำอธิบาย
   มีเพียงความเงียบและเสียงลมพัด
   ความรู้สึกบางอย่างไม่ได้พูดออกไป เก็บกดลึกมาเนิ่นนาน เมื่อถึงเวลา กลับไม่สามารถพูดออกไปได้ ไม่กระจ่างใจด้วยซ้ำว่ายังเป็นสิ่งที่เรียกว่าความรักสึกซึ้งได้อยู่หรือไม่ ด้วยมีบางสิ่งแทรกซึมอยู่ ทั้งความโกรธ ความเศร้า ความอาลัย ความรู้สึกผิด หรือแม้แต่ความต้องการจะหลุดพ้น
   ดังนั้น จึงไม่มีคำถาม และไม่มีคำอธิบาย
 



 
   คงเหวินมองแผ่นหลังเหยียดตรงในชุดสีขาวล้วนของผู้เป็นนายเคลื่อนออกห่างจากสายตาไปเรื่อยๆ ด้วยความสับสน จนบัดนี้ยังไม่เข้าใจความคิดและการกระทำของเจ้าวัง พลอยทำให้รู้สึกว่าตำแหน่งคนสนิทของเขาสั่นคลอน สามวันก่อนเจ้าวังเรียกหาตราผ่านทางไปยมโลก ไม่แปลกที่วังตะวันออกจะมีของสิ่งนี้ ด้วยมีสัมพันธ์ที่ดีกับเทพยามาองค์ก่อน แต่ที่ผิดคาดก็คืออดีตเจ้าวัง หรือพระบิดาของตงหวางทรงนำตราผ่านทางไปด้วย อดีตเจ้าวังชอบท่องเที่ยว ไม่ว่าภพมาร หรือแดนลึกลับที่ใดก็จะทรงดั้นด้นพาพระชายาไปด้วยให้ได้ และไม่มีผู้ใดทราบว่าเวลานี้ทรงประทับอยู่ที่ไหน
   วิธีไปยมโลกโดยไม่ใช้ตราผ่านทางก็มีอยู่ แต่เป็นเรื่องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไม่น้อย เพราะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากหยานหวางที่ดูแลเขตทะเลตะวันออก ขณะที่คิดว่าเจ้าวังจะให้เขาไปพบหยานหวางหรือไม่ ก็เห็นทรงสะบัดชายเสื้อ เดินกลับหอตำราไป และเริ่มจัดการงานสำคัญในส่วนที่เขาตัดสินใจไม่ได้ กลับมาเป็นตงหวาน ผู้ปกครองวังตะวันออกคนเดิม รวดเร็วอย่างที่คงเหวินตามไม่ทัน
   หลงคิดว่าจะทรงไม่ใส่ใจเรื่องของเซียนน้อยแล้ว กลับกลายเป็นว่าท่านเจ้าวังเรียกเขามาสั่งการให้ดูแลวังตะวันออกแทนอีกหลายวัน  ขณะที่เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั้น พระวรกายสูงใหญ่ก็จากไปไกลแล้ว
 
 


   หอคุณธรรม เป็นหอทรงหกเหลี่ยมสีทองสูง 11 ชั้น แต่ละชั้นมีความสูงกว่าหอทั่วไป ดังนั้นความสูงโดยรวมของหอคุณธรรมจึงเทียบได้กับหอสูง 20 ชั้น อยู่ในเขตแดนชั้นนอกจากภพสวรรค์เยื้องมาทางตะวันออก ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแม่น้ำสีเขียวอมฟ้าซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไม่มีต้นสาย ราวกับว่าถือกำเนิดมาพร้อมหอคุณธรรมแห่งนี้ น้ำเป็นสื่อวิญญาณ ดังนั้นสิ่งวิเศษอย่างหอคุณธรรมถึงถูกหล่อเลี้ยงด้วยน้ำ
   หอสูงแห่งนี้เป็นสิ่งวิเศษที่อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในภพสวรรค์เพื่อร้อยปีก่อน เดิมทีมีผู้คนมากมายพยายามเป็นเจ้าของมัน แต่ไม่เคยมีผู้ใดทำสำเร็จ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหอคุณธรรม แต่ถูกสวรรค์ใช้เป็นสถานที่ทำงาน เพื่อคัดเลือกเทพหน้าใหม่แทน เจ้าหน้าที่ที่ทำงานที่หอคุณธรรมเรียกว่าผู้คุมกฎ สังกัดกองบริหาร ขึ้นตรงกับจอมเทพ มีหน้าที่ควบคุมความเรียบร้อยของด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติ พวกเขาล้วนเป็นเทพชั้นกลาง แต่อาศัยว่ามีจอมเทพเป็นเจ้านายโดยตรง ดังนั้นจึงมีฐานะสูงกว่าเทพในระดับเดียวกันอยู่เล็กน้อย
 
          เปียวขุย เป็นหนึ่งในผู้คุมกฎ เขาเป็นชายรูปร่างสันทัด ผิวกายสีทองแดง ใบหน้ารูปเหลี่ยม หน้าผากกว้าง ริมฝีปากหน้า ใบหน้าของดูคล้ายชายชาตินักรบมากกว่าเทพที่มักมีผิวกายขาวละเอียด และใบหน้าสวยงามปานรูปสลัก รูปลักษณ์ภายนอกสามารถบ่งบอกถึงสายเลือดและชาติกำเนิดได้ดีในระดับหนึ่ง ยิ่งรูปร่างหน้าตาสมบูรณ์แบบเท่าไรยิ่งมีโอกาสเป็นเทพชั้นสูงหรือมีพลังเทพบริสุทธิ์มากเท่านั้น ดังนั้นเทพที่ถือกำเนิดจากครรภ์ของเทพ หรือสิ่งวิเศษบนสวรรค์ มักมีรูปร่างหน้าตาสวยงามโดดเด่น ตรงข้ามผู้ที่ได้บรรลุเป็นเทพจากวิธีอื่นๆ เช่น การเลื่อนขั้นจากเซียน มักมีรูปลักษณ์เป็นรองอยู่บ้าง
   เปียวขุยก็เป็นหนึ่งในกรณีหลัง เขาเข้าสู่วิถีเซียนและต้องเผชิญกับด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติถึงสามครั้งกว่าจะได้เลื่อนเป็นเทพ เดิมทีคิดว่าจะสอบตก ตัดใจยอมรับว่าจะต้องเป็นเซียนไปตลอด เคราะห์ดีที่ได้พบกับพระแม่ ช่วยให้ผ่านบททดสอบมาได้ พระแม่เป็นผู้มีพระคุณของเขา ดังนั้นเมื่อได้รับการไหว้วานให้ช่วยงานหนึ่ง เขาย่อมยินดีปฏิบัติตาม
          แค่ส่งดวงจิตของเซียนน้อยตนหนึ่งไปด่านคุณธรรมที่ยากกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเอง เขาไม่เคยสงสัยเจตนาของพระแม่ ไม่เคยตั้งคำถามว่าเพราะอะไร กระทั่งตงหวางแห่งวังตะวันออก มาเยือนหอคุณธรรม

   เพราะตงหวางบอกว่ามารอเซียนนามว่าจิวซือ ซึ่งเป็นเซียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขา เปียวขุยจึงกลายเป็นผู้ที่คอยต้อนรับตงหวางไปโดยปริยาย เห็นว่าตงหวางอยากได้เซียนผู้นี้ไปทำงานที่วังตะวันออก ก็มีตัวอย่างคล้ายๆ อย่างนี้อยู่หรอก การที่เทพชั้นสูงมาจองตัวเซียนที่กำลังจะสำเร็จเป็นเทพ โดยเฉพาะในทัพสวรรค์ที่มีสิทธิ์เลือกเป็นอันดับแรกๆ แต่ก็ไม่เคยมีเทพชั้นสูงผู้ใด หรือเจ้าของวังไหน มารอรับเซียนเล็กๆ ถึงหอคุณธรรมด้วยตนเอง
         
   ห้องที่ใช้รับรองอาคันตุกะผู้มีเกียรติอยู่ในชั้น 5 เนื่องจากหน้าต่างเป็นบานสูงแทบจรดพื้น จึงสามารถมองเห็นภายนอกได้ชัดเจน อวิ๋นหนานนั่งตัวตรง ทอดสายตามองสะพานไม้ข้ามแม่น้ำที่อยู่ห่างไปไม่ไกล หากมาจากยมโลก ย่อมต้องขึ้นสะพานด้านนี้
   เสี้ยวพลังส่วนหนึ่งของเขาอยู่ในร่างของจิวซือ ดังนั้นจึงเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมาที่นี่ ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าตนเองออกจะกระทำเกินเลยไป เพียงเพราะเซียนตนหนึ่ง ถึงขั้นสละเวลาตามติด เดิมทีคิดว่าพักผ่อนในโลกมนุษย์ไม่กี่วันพร้อมทั้งได้ดูพฤติกรรมและช่วยชี้แนะเด็กคนนั้นไปด้วยก็ไม่เลว ไม่นึกว่าจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้
      ครั้งแรกที่พบริมฝั่งแม่น้ำเจียงหัว เขามอบพรให้อีกฝ่าย 3 ชาติ
     ครั้งที่สองในภพมนุษย์ เขาไปปฏิบัติภารกิจ บังเอิญได้เป็นเจ้านายของเซียนน้อยตนนั้น เขาจึงให้ความสนใจอยู่บ้าง สุดท้ายเซียนตนนั้นใช้ร่างกำบังหมายช่วยชีวิตเขา
   ครั้งที่สาม เป็นเขาพาเด็กคนนั้นกลับมาวังตะวันออก เพื่อตอบแทบน้ำใจที่คิดช่วยชีวิตเขา พบว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กที่ขยันขันแข็ง และหัวไว จึงคิดจะชุบเลี้ยงให้เป็นผู้ช่วยอีกคน
   ครั้งที่สี่ เขาตามฝ่ายนั้นไปโลกมนุษย์ ได้เห็นตัวตนที่เขาไม่เคยเห็น แข็งแกร่ง สวยงาม ยิ่งทำให้เขาปักใจอยากได้มาไว้ที่วังตะวันออกมากขึ้น กระทั่งร่างมนุษย์ของเด็กคนนั้นเกิดอาการที่พวกครึ่งสัตว์เรียกว่า ‘ฮีท’ กลิ่นหอมของบัวสวรรค์ผสมกับกลิ่นอายพลังเทพของเขา อบอวลอยู่ในอากาศแทบทำลายสติสัมปชัญญะของเขาไปสิ้น หลังจากนั้นมีหลายครั้งที่เขารู้สึกคล้ายบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น แต่ยังไม่ทันได้กระจ่างชัด เจ้าตัวก็จากเขาไปเสียก่อน
        อวิ๋นหนานกางมือออกช้าๆ ปรากฏขนนกสีดำเส้นหนึ่งกลางฝ่ามือข้างนั้น   
 
 

       อยู่ยมโลกได้สามวัน จิวซือก็ให้อี้เทียนพาเขากลับมาที่หอคุณธรรม เพื่อเข้ารับบททดสอบชาติที่ 10 เมื่อข้ามสะพานมาถึงหอสูง กลับได้พบกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้พบ บุรุษในชุดสีขาวสูงศักดิ์ มีใบหน้างดงามปานรูปสลัก นัยน์ตาสีทองสว่างเจิดจ้าท่ามกลางแสงอาทิตย์
   “ท่านเจ้าวัง”
   จิวซือค้อมศีรษะทำความเคารพ อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นตงหวางที่นี่ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดที่หอคุณธรรม แต่เขายอมรับว่าดีใจที่ได้เห็นอีกฝ่าย
   อวิ๋นหนานพยักหน้ารับ ท่าทีไม่เหินห่างหรือสนิทสนม ดวงตาสีทองสบประสานกับดวงตาสองสีของอี้เทียน กล่าวทักทายตามมารยามว่า “เทพยามา”
   “ตงหวาง” อี้เทียนทักตอบ เขารู้สึกคล้ายกับว่าเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว การปรากฏตัวของตงหวางไม่ได้อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายของเขา ความรู้สึกไม่สบายใจสายหนึ่งแล่นเข้ามาในใจ แม้แต่ความรู้สึกเช่นนี้ก็ราวกับว่าเกิดขึ้นกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
   “ท่านเจ้าวังมาธุระที่นี่หรือครับ”
   อวิ๋นหนานยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขามองจิวซืออย่างมีความหมาย ก่อนที่ฝ่ามือจะกางออกเผยให้เห็นเส้นขนสีดำมันวาวเส้นหนึ่ง ดวงตาของเขาไม่ละไปจากใบหน้าอ่อนวัย ยามกล่าวว่า “แอสเชอร์ สเวน เหลือไว้แค่ขนเส้นเดียว” น้ำเสียงนิ่งเรียบแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันบางเบา เมื่อเห็นจิวซือยังมองมาอย่างไม่เข้าใจ จึงถามซ้ำ
      “ลืมแล้ว?”
    ม่านตาสีดำของจิวซือขยายกว้าง ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อแอสเชอร์ สเวนอีก ยิ่งไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากเทพอวิ๋นหนาน ทว่ายามที่มือของตงหวางเรืองแสงสีทองบางเบา เปลี่ยนให้ขนสีดำกลายเป็นอีกาดำตัวหนึ่ง จิวซือสัมผัสได้ถึงพลังคุ้นเคย พลังที่ดีแลนถ่ายทอดให้เขานับครั้งไม่ถ้วน
   “ท่าน...ดีแลน?”
   กาดำตัวเล็กเท่าฝ่ามือขยับปีกบินไปเกาะไหล่จิวซือ แล้วถูหัวเล็กๆ ของมันกับสันกรามเขาอย่างออดอ้อน ก่อนจะนิ่งไปเมื่อร่างของอวิ๋นหนานกลายเป็นแสงสีขาวพุ่งเข้าสู่ร่างของมัน ดวงตาสีดำราวลูกปัดเปลี่ยนเป็นสีทองสว่าง ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย
    อี้เทียนเห็นดังนั้น ก็วางร่างเรียบลื่นของเสี่ยวเฮยบนไหล่อีกข้างของจิวซือ งูน้อยส่งเสียงฟ่อๆ อย่างพอใจ ขดหาตำแหน่งสบาย อี้เทียนมองกาดำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นแสงสีขาวพุ่งเข้าสู่ร่างของเสี่ยวเฮย
 


          เปียวขุยทำหน้าไม่ถูก เขามองจิวซือสลับกับอีกาและงูที่อยู่บนไหล่ทั้งสองข้าง จะถือว่าเทพทั้งสองเป็นเทพอารักษ์ได้หรือไม่ หากเป็นเทพอารักษ์ เขาย่อมอนุโลมให้ติดตามเซียนน้อยไปได้เป็นกรณีพิเศษ แต่หากไม่ใช่ จะถือเป็นการลำเอียงอย่างโจ่งแจ้งเกินไป เทพชั้นสูงสององค์แทรกแซงด่านทดสอบคุณธรรม ผู้ที่จะขัดขวางได้มีแต่จอมเทพเท่านั้น ตัวเขาเป็นเพียงผู้คุมกฎ ก่อนหน้านี้ยังเคยใช้เส้นสายภายในเปลี่ยนแปลงบททดสอบของเซียนผู้นี้ไปหลายต่อหลายชาติ ย่อมไม่กล้ารายงานเบื้องต้น เปียวขุยเหงื่อซึมทั่วทั้งร่าง ขยับตัวไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อเห็นสายตากดดันสองคู่ จึงได้แต่กัดฟันยอมรับ แม้แต่น้ำเสียงที่กล่าวกับจิวซือยังอ่อนลงสองส่วน

          “สหายเซียน เชิญ”
 
 
 
 
#วิถีเซียน3p
[/color]



…………………..
Next Station: Apocalypse
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Interval 2: The Underworld End)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 22-01-2019 20:19:27
หนักใจแทนจิวซือ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Interval 2: The Underworld End)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-01-2019 20:26:20
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Interval 2: The Underworld End)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-01-2019 20:55:46
แหมๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Interval 2: The Underworld End)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 22-01-2019 21:49:09
แบบนี้จะให้เลือกได้หรออ  :sad4:
เราสัมผัสได้ว่าจิวซือคงจะเลือกตงหวาง
แต่...  แล้วอี้เทียนล่ะ ทำไมไม่เลือกอี้เทียน
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Interval 2: The Underworld End)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 22-01-2019 22:08:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Interval 2: The Underworld End)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 22-01-2019 22:47:31
อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน  :ling1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Interval 2: The Underworld End)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 23-01-2019 07:16:45
ตามต่อจ้า
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Interval 2: The Underworld End)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-01-2019 09:40:29
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Interval 2: The Underworld End)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 23-01-2019 10:13:04
ตัดสินใจแทนจิวซือไม่ได้จริง ๆ ว่าจะเลือกใคร

 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Interval 2: The Underworld End)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-01-2019 11:43:53
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Interval 2: The Underworld End)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 23-01-2019 22:08:44
อยากให้ทั้งสามเปิดอกคุยไปเลย อึดอัดแทนอ่ะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Interval 2: The Underworld End)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 02-02-2019 20:24:59
The Protector 1


     จิวซือลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็นย่อมมิใช่เปียวขุย หรือลูกแก้วนำทางแห่งหอคุณธรรม แต่เป็นเพดานหินและรอบข้างที่มืดสลัว เสียงขยับร่างกายดังขึ้นจากทั้งด้านซ้ายและขวา เมื่อเบนสายตามองก็พบว่าเป็นบุรุษหนุ่มสองคน คนหนึ่งมีผิวสีแทน เส้นผมสีดำตัดสั้น เผยให้เห็นหน้าผากกว้าง คิ้วเข้ม และรอยแผลเป็นที่ปลายคิ้วยาวไปถึงขมับ ดวงตาข้างหนึ่งของเขาเป็นสีทอง อีกข้างเป็นสีเหลืองทอง ส่วนอีกคนมีเส้นผมสีทองอร่าม ยาวสยายปกปิดแผ่นอกเปลือยเปล่าไว้บางส่วน ผิวกายขาวละเอียดแต่มีกล้ามเนื้อสมบูรณ์ บ่งบอกถึงพละกำลังที่ซ่อนอยู่
     หากเป็นเมื่อก่อน จิวซือคงไม่ทราบ แต่เวลานี้จิตเซียนของเขาแข็งแกร่งขึ้น ประกอบกับเหตุการณ์ที่หอคุณธรรม ทำให้เขามั่นใจว่าบุรุษทั้งสองคืออี้เทียนและเทพอวิ๋น พวกเขามายังภพนี้ด้วย
จิวซือไม่ได้เอ่ยถาม เขาเพียงแค่หลับตาลง ข้อมูลจำนวนหนึ่งหลั่งไหลของมาในสมองทีละฉาก ที่แท้นี่เป็นโลกที่เพิ่งผ่านวิกฤตการณ์ครั้งยิ่งใหม่ ไวรัสไม่ทราบสายพันธุ์ ที่ภายหลังถูกเรียกว่า Z Virus ระบาด ผู้คนที่ติดเชื้อกลายเป็นซอมบี้ พืชและสัตว์ในหลายพื้นที่เกิดการกลายพันธุ์ อาหารและน้ำสะอาดขาดแคลน มนุษย์อยู่ด้วยความหวดกลัวและหวาดระแวง กว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ก็ล่วงเลยไปเกือบสองปี ประชากรที่เหลือรอดถูกตรวจสอบและควบคุมดูแลภายในค่ายของรัฐ ทั้งหมด 13 แห่ง พวกเขาก่อสร้างกำแพงสูงที่มีกระแสไฟฟ้าเป็นเกราะป้องกัน สหพันธ์รัฐบาลจากทั่วโลกจับมือกับพัฒนาอาวุธ และวัคซีนป้องกัน แต่ก็ยังไม่มีความก้าวหน้า กระทั่งครึ่งปีก่อน รัฐบาลค้นพบการมีอยู่ของมนุษย์กลายพันธุ์ หรือที่เรียกว่ามิวเทนท์ (Mutant)

     อลัน หรือร่างที่จิวซืออาศัยในเวลานี้ คือมิวเทนท์คนแรกที่ถูกพบ หลังจากนั้นชีวิตเด็กกำพร้าที่ย่ำแย่อยู่แล้วของเขายิ่งเลวร้ายกว่าเดิมหลายเท่า ร่างกายของมิวเทนท์สร้างยีนส์ชนิดพิเศษขึ้นมาต่อต้านไวรัส ทำให้รักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้ แต่มักมีอารมณ์รุนแรง หรืออาจเกิดการคลั่งทำร้ายผู้คน หรือตนเอง และมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นซอมบี้ในภายหลัง สำหรับรัฐบาลและคนทั่วไป มิวเทนท์คือตัวอันตราย คือความเสี่ยงที่ไม่อาจรับได้ ทว่าสำหรับนักวิจัย มิวเทนท์คือชิ้นส่วนศึกษาที่สำคัญ
     หลังจากค้นพบการกลายพันธุ์จากอลัน ก็มีการค้นหาและจับคุมมิวเทนท์ได้อีกหลายสิบคน บางคนถูกครอบครัวพามามอบตัวกับรัฐ เพราะเกรงว่าจะถูกลูกที่ติดเชื้อทำร้ายเข้าสักวัน ต่อหน้าความตาย ครอบครัวกลับกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย ในฐานะชิ้นส่วนงานวิจัย อลัน และมิวเทนท์คนอื่นๆ ไม่ได้มีชีวิตที่ดีนัก พวกเขาถูกขังไว้รวมกัน มีโซ่ล่ามเท้าเหมือนนักโทษ โดยมีการ์ดติดอาวุธคอยเฝ้าตลอด 24 ชม. ได้รับอาหารและน้ำวันละครั้ง ขณะที่ร่างกายพรุนไปด้วยรอยเข็มและรอยไหม้จากสารเคมี ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ มิวเทนท์หลายคนเกิดอาการคลั่งทำร้ายผู้อื่น  แน่นอนว่าพวกเขาถูกการ์ดฆ่าทิ้งทันที กลิ่นคาวเลือดอบอวลทั่วทั้งห้อง ภาพโลหิตแดงฉานและสีหน้าทรมานของคนที่จากไป คืออนาคตที่มิวเทนท์ทุกคนทราบดี
     เมื่อวันที่มิวเทนท์คนที่ 5 ถูกฆ่า พลังพิเศษของอลันก็ตื่นขึ้น เพราะความรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้คนอื่นๆ ถูกตามล่า อลันพบว่าตนเองสามารถควบคุมดิน ทุกๆ วัน จะเห็นเขานั่งอยู่บนพื้นห้องในมุมมืด คนอื่นคิดว่าเขาเศร้า หดหู่ และอาจจะคลั่งในอีกไม่นาน อย่างไรก็ตามความจริงแล้วเขากำลังใช้พลังควบคุมพื้นดินใต้อาคารให้กลายเป็นอุโมงค์ทีละน้อย ต่อมาราวหนึ่งสัปดาห์พลังพิเศษของมิวเทนท์อีกหลายคนเริ่มตื่นขึ้น ความกดดันและควาามทรมานทั้งกายใจที่ต้องเผชิญภายในศูนย์วิจัยอาจเป็นสิ่งกระตุ้นชั้นดี พวกเขารู้เรื่องที่อลันกำลังทำ และเริ่มวางแผนหนีจากศูนย์วิจัย สองเดือนให้หลังพวกเขาพามิวเทนท์ที่รอดชีวิตอยู่อีกสามสิบกว่าคนหนีออกมาได้สำเร็จ เมื่อทางการทราบข่าว ก็พบเพียงศพของการ์ดทั้งหกคน และห้องว่างเปล่า ไม่พบร่องรอยหรือเส้นทางการหนีใดๆ แม้แต่อุโมงค์ลับใต้ดินที่ถูกปิดตาย

     ที่ๆ อลันและมิวเทนท์ที่หนีรอดมาได้อาศัยอยู่ในเวลานี้คือถ้ำขนาดใหญ่ลึกเข้าไปในป่าแห่งความตาย (Forest of Death) ที่เรียกเช่นนี้เพราะว่าป่าแห่งนี้เป็นเขตแดนที่กั้นระหว่างพื้นที่ปลอดภัยของมนุษย์ และอาณาเขตของพวกซอมบี้ ที่ปกครองโดยราชาซอมบี้ และบรรดานายพล พวกมันทั้งพละกำลังและสติปัญญา สามารถสั่งการซอมบี้ทั่วไปได้ การวิวัฒนาการอันรวดเร็วของซอมบี้คาดว่าเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนส์ ในลักษณะเดียวกับการกลายพันธุ์ของมิวเทนท์
     นักวิจัยหลายคนจัดประเภทมิวเทนท์ไว้ในกลุ่มเดียวกับซอมบี้ที่อัพเกรด ดังนั้นหากสามารถวิจัยการกลายพันธุ์ของมูเทนส์ได้ โอกาสที่จะกำจัดพวกซอมบี้จึงมีมากขึ้น
     
     ฮิลและคานส์ บุรุษทั้งสองที่นั่งอยู่เคียงข้างอลันในเวลานี้ ก็คือบุคคลที่เชื่อสมมติฐานนี้ เขาเป็นมิวเทนท์ที่รับหน้าที่จากรัฐบาลให้พา ‘พวกเดียวกัน’ กลับศูนย์วิจัยหลังจากทหารไม่สามารถฝ่าเข้ามาถึงใจกลางป่าแห่งความตาย ราชาซอมบี้ไม่ออกล่ามิวเทนท์อาจเพราะเห็นเป็นพวกเดียวกัน หรือเพราะไม่ใส่ใจ ไม่คิดว่าเป็นภัย หรืออาจรอชมความเป็นไปของชีวิตที่ถูกเผ่าพันธุ์ละทิ้งก็มิอาจทราบได้ พวกเขาจึงยังคงรักษาชีวิตรอดในป่าแห่งความตาย ฮิลคือชายผมทองที่อวิ๋นหนานครอบครองร่าง ส่วนคานส์เป็นร่างที่อี้เทียนครอบครอง ทั้งสองถูกล้างสมองให้เสียสละชีวิตเพื่อมนุษยชาติ พวกเขาทำทีเป็นหลบหนีมาหวังพึ่งอลัน หลอกให้เขาตายใจ จากนั้นก็ร่วมมือกันฆ่าอลันหลังจากมีเซ็กส์ด้วยกันอย่างดุเดือด
     จิวซือเกิดความสงสัยว่าอี้เทียนและเทพอวิ๋นหนานสามารถใช้ร่างของฮิลและคานส์ได้อย่างไร แต่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบกับดวงตาอีกสองคู่ที่รอคอยเขาอยู่ ความรู้สึกยามถูกดวงตาสองคู่จับจ้องไม่ได้ทำให้เขาอึดอัดหรือกดดัน ตรงข้ามกลับคล้ายบางอย่างค่อยๆ เปิดเผยต่อเขา ราวกับชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ภาพใหญ่ที่กระจัดกระจายเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
     “อี้เทียน ท่านเจ้าวัง”
     จิวซือยันกายขึ้นนั่ง และเอ่ยทักบุรุษทั้งสอง ร่างกานท่อนบนเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าเนื้อหยาบผืนเล็กปกปิดท่อนล่างไว้ ยามขยับตัวจิวซือรู้สึกได้ถึงของเหลวที่ไหลออกมาจากช่องทางด้านหลัง ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าเป็นร่องรอยของสมรภูมิราคะอันยาวนานของคนทั้งสาม
     ร่างกายของอลันไม่อาจเรียกได้ว่าสวยงาม เขาเป็นมิวเทนท์คนแรกที่ถูกจับ ดังนั้นจึงมีร่องรอยของการถูกใช้เป็นวัตถุดิบวิจัยอยู่แทบทั้งตัว รอยมีด รอยเข็ม รอยไหม้ หรือแม้แต่รอยกระสุนที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ทิ้งรอยแผลเป็นไม่น่ามองไว้ตลอดทั้งร่าง เวลานี้มีรอยฟันและรอยดูดเม้มเพิ่มขึ้นมาอีก ทำให้ผิวเนื้อแทบทุกตารางนิ้วไม่มีบริเวณไหนเป็นปกติ
     แม้สิ่งที่เห็นเป็นเพียงกายหยาบ เพียงเปลือกนอกที่ห่อหุ้มดวงจิตของอีกคน ดวงตาสองสีของอี้เทียนก็มืดครึมลงจนสังเกตได้ มือใหญ่ยื่นไปสัมผัสรอยฟันห้อเลือดที่บริเวณลำคอของอลัน ถามเสียงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ยังเจ็บหรือเปล่า”
     “ไม่แล้ว” จิวซือชะงักกับสัมผัสที่มาอย่างกะทันหัน รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับกริยาสนิทสนมของอี้เทียน
     “ด่านคุณธรรมของเจ้าไม่ง่ายเลย” บุรุษผู้มีเส้นผมและดวงตาสีทองกล่าว ขณะที่อวิ๋นหนานครอบครองร่างนี้ ดวงจิตของฮิลถูกทำให้อยู่ในสภาพหลับไหล แต่ยังสามารถรับรู้ทุกอย่างรอบตัวได้ เจ้าวังตะวันออกมองจิวซือที่อมยิ้มน้อยๆ พยักเห็นด้วยกับคำพูดของเขา รอยยิ้มปลอดโปร่งและแววขบขันกับชะตาของตัวนั้นพลอยทำให้มุมปากของอวิ๋นหนานยกขึ้นเล็กน้อยตามไปด้วย ดวงตาสีทองของเขาอ่อนแสงลง ละอองแสงสีทองก่อตัวขึ้นบริเวณไหล่เปลือยเปล่า ก่อนจะกลายเป็นกาดำที่มีขนาดเล็กกว่ากาดำทั่วไป ทว่าขนสีดำเป็นมันวาว ดวงตากลมมีแววเฉลียวฉลาด
     เจ้ากาดำเอียงหัวเล็กๆ ของมัน เงยหน้ามองเจ้าของไหล่ที่เกาะอยู่ จากนั้นก็กางปีกทำท่าจะโผไปหาจิวซือ ทว่ากลับถูกอวิ๋นหนานคว้าไว้ก่อน
     ก้า ก้า
     กาดำร้องประท้วงเสียงอ่อน เมื่อเห็นสายตาคาดโทษของเจ้านายก็เอียงหัวเล็กๆ หลบ ได้ยินเสียงทุ้มกล่าวว่า “เขายังไม่ได้สวมเสื้อผ้า” นกน้อยงุนงงกับประโยคนี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นว่ากรงเล็บของมันทำให้ไหล่ของอวิ๋นหนานมีเลือดออก มันรีบบินลงไปอยู่บนเตียง เงยหน้ามองอวิ๋นหนานคราหนึ่ง จิวซือคราหนึ่งอย่างน่าสงสาร
     ท่าทางราวกับเด็กหลงทางทำให้จิวซือรู้สึกคล้ายหัวใจอ่อนยวบลง เขาไม่ใช่คนรักสัตว์ แต่ไม่ทราบเพราะอะไรจึงเกิดความรู้สึกพิเศษกับเสี่ยวเฮยและกาดำตัวนี้
     “ตั้งชื่อสิ”
     เห็นสายตาของจิวซือแฝงไว้ด้วยคำถาม อวิ๋นหนานจึงกล่าวเสริมว่า “มันเกิดจากขนปีกของแอสเชอร์”
     จิวซือพยักหน้า กาดำตัวนี้ตัวเล็กกว่าร่างจริงของแอสเชอร์เล็กน้อย แต่ดูฉลาดและขี้อ้อนมากกว่า ดวงตากลมเหมือนลูกปัดวาวแววอย่างคาดหวังรอคอย ขณะเดียวกันนั้นเองเสี่ยวเฮยก็ปรากฎตัวขึ้นบนท่อนแขนของอี้เทียน ยืดคอมองสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่มันไม่เคยพบมาก่อนอย่างใคร่รู้
     แอสเชอร์แปลว่าโชคดี บวกกับอยากให้ชื่อสอดคล้องกับเสี่ยวเฮย จิวซือจึงเสนอว่า “ชื่อว่าเสี่ยวฝู ดีไหมครับ”

     ก้า
     ไม่รอคำตอบของอวิ๋นหนาน กาดำขยับเข้ามาใกล้แล้วไถหัวเล็กๆ ของมันขาของจิวซือ ท่าทางออดอ้อนนั้นทำให้เสี่ยวเฮยส่งเสียงฟ่อๆ แล้วเลื้อยมายึดต้นขาอีกด้าน ประกาศอาณาเขตของตนเอง งูเป็นสัตว์หวงของ อะไรที่มันมองว่าเป็นของตัวเองก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้
     จิวซือหลุดยิ้ม เขาช้อนลำตัวเรียบลื่นของเสี่ยวเฮยขึ้นมาไว้บนอ้อมแขน ขณะที่อีกมือถึงก็ลูบหัวเล็กๆ ของเสี่ยวฝู “เสี่ยวเฮย นี่เสี่ยวฝู สนิทกันไว้นะ”
     เสี่ยวเฮยมองเจ้ากาดำสลับกับจิวซือเนิ่นนาน ก่อนจะยอมผงกหัวลงอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก งูกับนกไม่ถูกกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่แล้วเจ้างูน้อยก็เงยหน้าขึ้นมากะทันหัน ส่งเสียงฟ่อๆ ราวกับกำลังต่อรองอะไรอยู่ จิวซือไม่เข้าใจสิ่งที่มันต้องการจะสื่อสาร จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากอี้เทียน
     ใบหน้าคมเข้มของคานส์ปรากฎแววลำบากใจ ไม่ทราบว่าไม่อยากแปลคำพูดของเสี่ยวเฮย หรือไม่เห็นด้วยกับมันกันแน่ ครั้นถูกจิวซือเร่งรัด เขาก็ถอนหายใจ ยอมอธิบายในที่สุด “เกิดก่อน เป็นพี่”
     เสี่ยวเฮยเกิดก่อน เสี่ยวเฮยเป็นพี่
     คราวนี้จิวซือถึงกับหัวเราะออกมา ทั้งที่สถานการณ์รอบด้านและบททดสอบในภพนี้ของเขานับว่าหนักหนาเอาการ แต่เขากลับรู้สึกปลอดโปร่ง และมีความสุขอย่างหาได้ยาก และบางทีเสียงหัวเราะนี้คงส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง คลี่คลายบรรยากาศระแวดระวังและเหินห่างไปเล็กน้อย


     “รัฐบาลรู้แล้วว่าพวกเรากบดานอยู่ที่นี่” ประโยคบอกเล่าของเทพอวิ๋นหนานทำลายบรรยากาศสงบสุขที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ นัยน์ตาสีทองมองจิวซือที่มีลูกงูพันแขน และกาดำซุกหน้าอยู่กับต้นขา เสี่ยวฝูแปลว่าโชคดี ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตั้งชื่อนี้เพราะความหมายที่เหมือนกับชื่อของแอสเชอร์ หรือเพราะเหตุผลอื่นใด แต่สำหรับเขา คำว่า ‘ฝู’ คำนี้ทำให้นึกถึงโชคดีที่เขามอบให้กับเซียนน้อยตนนั้นครั้งแรกริมฝั่งแม่น้ำ ชื่ออันแสนธรรมดาจึงกลายเป็นเรื่องพิเศษประการหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
     “ครับ?”
     “หากไม่ได้ข่าวจากพวกเราเกินหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาอาจะส่งคนอื่นเข้ามา หรือแม้แต่ใช้วิธีรุนแรง”
     “นายคิดจะทำยังไง”
     เห็นสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนของจิวซือ อวิ๋นหนานก็ทราบแล้วว่าเขาคิดอย่างไร ส่วนหนึ่งอวิ๋นหนานคิดว่าเป็นความคิดของเขา เพราะคำอวยพรของเขาทำให้จิวซือมีความทรงจำของเซียนอยู่ครบถ้วน ทั้งยังไม่ได้เกิดในครรภ์มารดาตามปกติ เขาจึงใช้ชีวิตเหมือนเป็นคนนอก ไม่ใช่คนที่อยู่ในภพชาตินั้น ไม่มีอดีตและปัจจัยผลักดัน ไม่ทะเยอทะยาน ไม่แม้แต่จะหลบเลี่ยงอันตราย ไม่...รักชีวิต สามารถจากไปเมื่อใดก็ได้ โดยไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ ไว้
     อวิ๋นหนานถือกำเนิดจากเทพ ไม่เคยผ่านด่านทดสอบคุณธรรม แต่รู้ว่าหากเทพเซียนผู้ใดปรารถนาเป็นเทพชั้นสูง ต้องสะสมบารมี ด่านคุณธรรมเป็นหนทางที่ง่ายที่สุด เป็นพื้นฐานที่สามารถสร้างได้โดยไม่ต้องรอรับภารกิจจากสวรรค์เพื่อกลับมาสั่งสมบารมีในโลกมนุษย์ นอกจากนี้หอคุณธรรมเป็นสิ่งวิเศษที่มีความนึกคิดเป็นของตัวเอง ไม่มีผู้ใดสั่งการได้ บางครั้งหากพึงพอใจ จะก็มอบบางอย่างให้กับผู้ที่รับการทดสอบ
     ดวงตาสีทองเลื่อนไปประสานกับดวงตาสองสีของอี้เทียน ต่างฝ่ายต่างเข้าใจในสิ่งที่ไม่สามารถแพร่งพรายทางวาจา

     “สร้างสถานที่ปลอดภัยให้พวกมิวเทนท์ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ” อวิ๋นหนานกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “อลัน นายจะช่วยฉันหรือเปล่า”
     จิวซือรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่าตงหวางคงมีภารกิจที่ต้องกระทำในภพนี้ และภารกิจที่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาขอความช่วยเหลือ จึงตอบรับโดยไม่ลังเล
     เจ้านายขอให้ช่วย ลูกน้องที่ดีย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว


#วิถีเซียน3p


.............................
เผื่อใครยังไม่เห็นน้า เล้าโดนบล็อคในเฟสค่า ช่วยกันรีพอร์ตว่า "ไม่ใช่สแปม ไม่ผิดมาตรฐานของชุมชน"
https://www.facebook.com/help/contact/571927962827151?additional_content=Aeh7oa5v-umzaYhbP_uO4Bk8cShiUqsm96l-hzuQfoyHlHGSVi-yDtwzypm6Dak7lLo1sjBoL0zUT3tnuacB3rvM3vqyOVFfO_W2_IbSydxMMV7fZzMzw70TJr5ffN8CoU9CCFaGYPnQeXfohomw8D76wZUH92-27fC3pFRzRj2sZAtYpFMaG23v5jfqStz7ANtdBral7fCRuDL7u8f8uCIGVo6jBXXEwfsbUDXluRkpLjgDxUiwMwpIgZdwY_DNm9x5hXu8Kn9MS1DAqR7u6TLhUW7UzCGdTz_N8VKbTA-4DQyGUN7PFcHT8ScHQCf0cndBe7EggUS2pFFsMTFcspVqgukmsI2IKJIDlYlXNbIu9CYk5qGbh95Mk2VIOThO6mMqp3EIqATbwOd08uNn7IoN807Zc5lqe558n_OO-W6o4i8GprXsQSurL1RJe_2IDE8Dk2XZWk3V4NBzq4pO4rIE_SD2odot7sZVb0o5w-gyV7ID0SdzrWaFrHm3vZbrzJ09dTM7xXveUOTf-9vgMpzC0PmnEe6gx9-jufTF7l_XYb6xYhfGdL0PM71g8r5xBSdWKpsmfjddX6PY318kYStwvv3w-tkVtlorKkyARn-s8r2gpCwF7EG9QruxVQ6dInRVLzjlMAjzwJ6TsI7ZXJmcKlDZ9NJPlPOU-n4r7O8SuIMooA1AMrboNwLXzWhYQeyqtxREd7Ixx8oHVN6FgA1N
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 1)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-02-2019 23:01:03
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 1)
เริ่มหัวข้อโดย: chaweewong19841 ที่ 03-02-2019 00:29:24
รอค่าา
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 03-02-2019 08:57:05
ชอบมากๆเลยค่ะ รอติดตามนะคะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 17-02-2019 15:49:38

The Protector 2

 

          จิวซือวางเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฝูไว้ที่มุมหนึ่ง บอกให้ค่อยๆ ทำความรู้จักกัน หลังจากที่เสี่ยวเฮยได้เป็นพี่ ก็ดูเหมือนจะมีท่าทีเป็นมิตรมากขึ้น จิวซือลูบหัวเล็กๆ ของทั้งสองก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงในสภาพเปลือยเปล่า ใบหน้าเนียนปราศจากแววเก้อเขิน ด้วยร่างกายเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยร่องรอยทารุณหรือแม้แต่ความเหนียวเนอะในบริเวณนั้นเป็นแค่เปลือกนอกที่พวกเขาเทพเซียนไม่เคยให้ความสำคัญแต่แรก เขาเดินไปค้นเสื้อผ้าเนื้อหยาบมาสวม แล้วหันมาบอกอีกสองคนว่า
          “ไปอาบน้ำก่อนไหมครับ”
 
 

          ป่าแห่งความตายมีขนาดกว้างใหญ่และซับซ้อนมาก ปกคลุมภูเขาสูงเจ็ดลูก ตั้งเรียงกันเป็นแนวยาว จึงถือเป็นเขตแดนตามธรรมชาติ ด้านหนึ่งของแนวเทือกเขาปกคลุมด้วยหมอกดำทะมึน แน่นอนว่าเป็นอาณาเขตของพวกซอมบี้และเผ่าพันธุ์มืด อีกฝากฝั่งของแนวเขาคือเมืองของมนุษย์ ดังนั้นอากาศในป่าแห่งความตายจึงค่อนข้างขมุกขมัว ถ้ำที่พวกมิวเทนท์ยึดครองเป็นที่อาศัยชั่วคราวกว่าสามเดือนนี้อยู่ลึกเข้ามาเกือบถึงใจกลางของภูเขาลูกกลางซึ่งสูงใหญ่ที่สุด ตัวถ้ำมีความยาวหลายกิโลเมตร แบ่งเป็นหลายโถง และมีแหล่งน้ำอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ยังไม่ถูกปนเปื้อน กลายเป็นทรัพยากรสำคัญในการดำรงชีวิตของพวกมิวเมนท์
 
          เนื่องจากมิวเมนท์ที่หลบหนีมาทั้งหมดเห็นอลันเป็นผู้นำ ดังนั้นจึงยกโถงหนึ่งให้เขา แม้จะไม่ใช่โถงที่ใหญ่ แต่ก็เพียงพอ และตั้งอยู่ด้านในสุดทำให้มีความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ อลันมีพลังในการควบคุมดิน เขาจึงดัดแปลงและเพิ่มเติมโครงสร้างหลายอย่าง ทำให้กลายเป็นที่พักที่ไม่เลวนัก แน่นอนเขาไม่คาดคิดว่าความมิดชิดห่างไกลเช่นนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกในการสังหารตนเอง
 
          ระหว่างทางที่เดินไปแหล่งน้ำที่อยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ อี้เทียนเดินอยู่ด้านข้างของจิวซือ ขณะที่อวิ๋นหนานเดินตามหลังห่างไปสองก้าว นี่ทำให้จิวซือรู้สึกแปลกเล็กน้อย ด้วยเพราะตามปกติแล้วเขาต้องเป็นฝ่ายเดินตามตงหวาง จึงอดหันไปมองอีกฝ่ายไม่ได้ เห็นว่าฝ่ายนั้นก้าวเท้ายาวๆ โดยไม่ใส่ใจ
 
          เนื่องจากแหล่งน้ำมีจำกัด จึงต้องใช้อย่างระวัง แทนที่จะลงไปอาบน้ำ จิวซือหยิบกระบวยที่ทำจากใบไม้สานสำหรับตักน้ำ ส่งให้อี้เทียนและอวิ๋นหนาน จากนั้นก็เลือกมุมหนึ่งเพื่อถอดเสื้อผ้าออก ก้มดูร่างกายตนเองเป็นแผลเป็นทั่วร่างก็นึกสงสัย จึงคุกเข่าลง ชะโงกหน้ามองใบหน้าของอลันในบ่อน้ำสีเขียวคราม เห็นใบหน้าที่สะท้อนมีขนาดเรียวเล็ก จมูกโด่ง ดวงตาและแต่เส้นผมเป็นสีน้ำตาลคาราเมล และคงเพราะดวงตากลมโตสีสวยเช่นนี้ที่นำภัยมาสู่ตัว
 
          ร่างกายเปลือยเปล่าที่อยู่ในท่าคุกเข่า ชะโงกหน้าก้มมองตัวเองในลำธาร เปิดเผยแผ่นหลังและบั้นท้ายที่เต็มไปด้วยรอยรัก โดยปราศจากความระแวงระวังทำให้ดวงตาสองสีขรึมลง อี้เทียนก้าวไปหยุดข้างหลังของจิวซือ บดบังร่างกายนั้นจนหมดสิ้น พูดเสียงแข็งว่า “รีบอาบ”
แม้ไม่ทราบว่าเทพยามาโมโหเรื่องอะไร จิวซือก็รีบชำระร่างกายตามที่เขาบอก แต่เมื่อเห็นอี้เทียนชวนอวิ๋นหนานไปอาบน้ำด้วยกันอีกด้าน ห่างจากเขาไปพอสมควร ก็พลันสงสัยว่า ‘สนิทกันหรือ สองคนนั้น’
 

 
          เมื่อกลับมาถึงโถงที่เป็นที่พักของอลัน ก็เห็นเสี่ยวเฮยใช้หางลูบตัวเสี่ยวฝู ขณะที่เจ้ากาน้อยเชิดหน้าไม่สนใจ ดูเหมือนเสี่ยวเฮยจะพอกับการได้เป็นพี่ จึงทำตามสัญชาตญาณของงูในการปกป้องคนในครอบครัวเต็มที่ เสี่ยวฝูเห็นพวกจิวซือกลับมาแล้ว ก็รีบบินมาเกาะไหล่ จงอยปากเล็กซุกไซร์กับไรผมของจิวซือ ท่าทางร่าเริงผิดกับเมื่อครู่นี้ลิบลับ ปลายหางของเสี่ยวเฮยลอยอยู่ในอากาศ ก่อนจะตกลงบนพื้นอย่างหงอยเหงา จิวซือกลั้นยิ้ม เขายื่นมือออกไปข้างหน้าในเชิงเรียก เจ้างูน้อยเห็นดังนั้นก็สะบัดหางดีใจ แล้วรีบเลื้อยเข้ามาหา โดยที่จิวซือย่อตัวรับมากอดไว้

          “พวกมันคิดว่าเจ้าเป็นแม่ไปแล้ว” อี้เทียนว่า ใบหน้าหล่อเหลาของเขาคล้ายไม่ใส่ใจ แต่ดวงตาปรากฏแววลึกล้ำยากคาดเดา
          จิวซือหัวเราะในลำคอ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสกับความใกล้ชิดสนิทสนมแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงชีวิตของซื่อเสวี่ยน หรือกี่ชาติภพในวิถีเซียน ไม่ใช่ว่าต้องการหรือโหยหา เพียงแต่เมื่อได้สัมผัสแล้วก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย
          “ต้องเป็นพ่อสิครับ”


          จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกคล้ายเกิดเรื่องชุลมุนขึ้นข้างนอก พวกเขาทั้งสามมองหน้ากัน ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปบริเวณปากถ้ำ โดยมีอวิ๋นหนานนำไป เมื่อมาถึงโถงแรกของถ้ำก็เห็นบรรดามิวเทนท์หลายสิบคนยืนล้อมกันเป็นวงกลม และมีหลายคนพยายามขยับเข้าไปใกล้บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ตรงกลาง แต่ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นทำให้ต้องถอยหลังออกมา
          “ไม่ ไม่ อย่าเข้ามา”
          เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงเด็กผู้ชาย บ่งบอกถึงความหวาดกลัว เมื่อมิวเทนท์คนอื่นๆ เห็นพวกอลัน ก็แหวกทางให้ วงล้อมที่คลายออกเผยให้เห็นเด็กผู้ชายผมดำคนหนึ่งนั่งกอดเข่า ซุกใบหน้ากับแขน ร่างกายเล็กสั่นสะท้านไม่หยุด เสื้อผ้าเปียกชื้นขาดวิ่น และมีคราบดินคราบโคลนเลอะเทอะไปทั่ว
          “หัวหน้าอลัน”
          “เกิดอะไรขึ้น”
          “โทนี่เจอเด็กคนนี้ที่ตีนเขาครับ คงถูกเอามาทิ้งไว้”
          “เขาเป็น...มิวเทนท์?” จิวซือถามอย่างไม่แน่ใจนัก
          “ครับ”
          เป็นเช่นนี้เอง เหตุผลว่าทำไมทุกคนดูตื่นเต้น และอยากรู้จักเด็กคนนี้นัก เขาเป็นคนพิเศษทั้งที่ดูอายุไม่เกินสี่ห้าขวบเท่านั้น ปกติแล้วไม่มีมิวเมนท์ที่เป็นเด็ก เพราะร่างกายของเด็กอ่อนแอเกินไป หากได้รับ Z virus ส่วนใหญ่ก็จะเสียชีวิตทันที และมีส่วนน้อยที่กลายเป็นซอมบี้ นี่เป็นคนแรกที่ร่างกายสร้างเกราะป้องกันและพัฒนาตัวเองเป็นมิวเทน์ วิธีแยกมิวเทน์จากมนุษย์ทั่วไปนั้นง่ายมาก คนปกติเลือดจะเป็นสีแดงสด ขณะที่เลือดของมิวเทน์จะเป็นสีแดงคล้ำ ดังนั้นขอเพียงเห็นเลือดของเขา ก็ทราบได้

          จิวซือหันไปสบตากับอวิ๋นหนาน เห็นเขานิ่งเฉยราวกับว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ของเขา เมื่อหันไปหาอี้เทียน ก็เห็นสีหน้าแบบเดียวกัน เทพผู้ยิ่งใหญ่ของคนไม่ขอยุ่งเกี่ยว จิวซือจึงบอกให้คนที่เหลือแยกย้ายกันไป อย่าทำให้เด็กตกใจ และสั่งให้อีกคนหาผ้ากับน้ำสะอาดมา จากนั้นเขาก็ส่งเสี่ยวเฮยให้อี้เทียน และเสี่ยวฝูให้อวิ๋นหนาน จากนั้นก็ขยับไปนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าเด็กน้อย

          เด็กน้อยสัมผัสได้ว่ารอบข้างเงียบเสียงลง แต่รู้สึกว่ามีใครบางคนนั่งลงข้างๆ ก็ขยับตัวหนีโดยไม่ยอมเงยหน้า ท่าทางหวาดกลัวและระแวงนั้น จิวซือเข้าใจดี ครอบครัวพามาทิ้งไว้ที่ภูเขาแห่งนี้ก็เพราะเกรงว่าวันหนึ่งเด็กคนนี้จะกลายเป็นภัย แต่ก็ไม่อาจหักใจฆ่าเขากับมือ ได้แต่ปล่อยให้เขาเผชิญชะตากรรม กำหนดความเป็นตายของตนเอง ยังดีที่อย่างน้อยก็พาเขามาถึงเขาลูกนี้

          จิวซือรับผ้ากับชามไม้ใส่น้ำสะอาดมา จากนั้นก็ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดแขนเล็ก เด็กน้อยสะดุ้งเฮือก เงยหน้ามอง ใบหน้าเล็กเปรอะเปื้อนน้ำตา และคราบดิน มอมแมมไม่แพ้เสื้อผ้าติดกาย
          “ออกไป ออกไป”
          “ที่นี่บ้านฉัน”
          ตากลมแดงจากการร้องไห้เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหูกับประโยคบอกเล่าเรียบง่าย ร่างเล็กสั่นสะท้านกับความจริงตรงหน้า ราวกับว่าเกราะป้องกันตัวที่เพียงพยายามสร้างขึ้นถูกอีกฝ่ายทำลายลงง่ายๆ สองแขนที่กอดเข่าตัวเองเปลี่ยนเป็นทุบทีคนตรงหน้า เสียงร้องไห้ที่เคยพยายามสะกดไว้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงตะโกน สลับกับสะอื้นฮักโดยแรง
          ไม่มีบ้านแล้ว ไม่มีบ้าน
          “กลับบ้าน ฮึก อยากกลับบ้าน”
          จิวซือไม่สนใจการดิ้นรนรุนแรงนั้น เขาอุ้มตัวเด็กมานั่งตักแล้วล็อคตัวไม่ให้ดิ้นหนี จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาเช็ดใบหน้า และลำตัวของเด็กน้อยต่อไป กระทั่งเขาพอใจก็เป็นตอนที่เด็กน้อยหมดเรี่ยวแรงไปแล้ว
          อี้เทียนเข้ามายืนข้างๆ พร้อมสั่งกระบอกน้ำให้ จิวซือรับมาแต่ไม่ได้ดื่มเอง เขาส่งให้ร่างเล็กในอ้อมกอดก่อน เด็กน้อยเม้มปากเน้น ไม่ยอมดื่ม จิวซือจึงยกขึ้นดื่นเสียเอง หางตาสังเกตเห็นลูกกระเดือกของเด็กน้อยขยับ เพราะความกระหาย เขาจึงจับคางเล็กบีบออกแล้วเทน้ำลงไปช้าๆ ป้องกันไม่ให้เด็กสำลักน้ำ

          เด็กน้อยสิ้นฤทธิ์ เอนศรีษะซบหน้าอกของจิวซือ ดวงตาปรือปรอยคล้ายจะใกล้กลับเต็มที่ แต่ครู่เดียวร่างเล็กๆ ก็สะดุ้งเฮือก ตัวงอ และส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา เขาบิดร่างกายทุรนทุราย ดวงตาสีดำเปลี่ยนเป็นสีแดง เล็กแหลมจิกข่วนจิวซือโดยแรงขณะที่เขาดิ้นรนไปมาจนเห็นเลือดสีแดงคล้ำไหลซึมออก

          “ปล่อยเขา” อี้เทยนกล่าวเสียงเข้ม ทำท่าจะดึงเด็กออกจากอ้อมแขนของจิวซือ แต่จิวซือยังไม่ยอมปล่อย เขากอดเด็กน้อยแน่นขึ้น ก้มลงกระซิบว่า “ชู่วๆ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
          บ่อยครั้งที่มิวเทนท์ต้องทนกับความเจ็บปวดทางกาย โดยเฉพาะเวลาที่อากาศเย็น และมีภาวะเครียด หลายคนไม่สามารถควบคุมตัวเองจนกลายเป็นอาการคลั่ง และถูกกำจัดไปในที่สุด
          “หายใจเข้าลึกๆ”
          เด็กคนนี้อุตส่าห์รอดตายมาได้ อุตส่าห์มาถึงถ้ำของพวกเขา จิวซือจึงไม่อยากยอมปล่อยให้เขาตายง่ายๆ
          “เด็กดี หายใจลึกๆ”
          ดูเหมือนเด็กน้อยจะสงบลงเล็กน้อย เขาเลิกดิ้น แต่ร่างกายยังคงบิดงอ และสั่นสะท้าน เขาส่งเสียงร้องไห้เหมือนสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ ความเจ็บปวดทรมานเหมือนถูกไฟเผานี้มิวเทนท์เกือบทุกคนเคยผ่านมาแล้ว ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไร ที่มิวเทนท์ทั้งหมดมารวมกันอยู่ในโถงนี้ สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความเข้าใจและสงสาร บางคนร้องได้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

          มีใครเข้าใจบ้างว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรมา กว่าจะมีชีวิตจนถึงทุกวันนี้
          พวกเขาเป็นคนป่วย ที่พยายามมีชีวิตรอด ไม่ใช่สัตว์ร้าย
          พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ ไม่ใช่การทารุณ

          เมื่อเห็นอลันกอดปลอบเด็กน้อยไม่หยุด กระทั่งตนเองมีบาดแผลหลายแผล ก็ยังคงลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นก็พลันเกิดขึ้นในใจ อย่างน้อย...อย่างน้อยที่นี่ก็มีคนหนึ่งที่ยินดีช่วยเหลือ ฉุดรั้งอย่างไม่ยอมแพ้


          เพราะจิวซือมีพลังเซียนอยู่กับตัว คำพูดและสัมผัสของเขาจึงทำให้เด็กเริ่มสงบลงอย่างเหลือเชื่อ ร่างเล็กๆ บัดนี้หันหน้าเข้าหาจิวซือและกอดเอวเขาแน่นยังคงกระตุกเป็นครั้งคราวเมื่อความเจ็บปวดเข้าโจมตี
          “รัฐบาลจับมิวเมนท์ทุกคนไปขัง” จิวซือพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกำลังเล่านิทานก่อนนนอน                             “คิดว่าพวกเราเป็นพวกเดียวกับซอมบี้ ศัตรูของมนุษยชาติ”
          “เราไม่ใช่มนุษย์”
          “เลือดของเรา ร่างกาย อวัยวะ เป็นแค่ชิ้นส่วนที่ใช้วิจัย หายาต่อต้านไวรัส หาจุดอ่อนของซอมบี้”
          “ในสายตาพวกเขา เรามีค่าแค่นั้น”
          ประโยคบอกเล่าเรียบง่าย เสมือนมีดแหลมคมกรีดผ่าลงกลางใจของทุกคน กระนั้นคนพูดกลับสีหน้าไม่เปลี่ยน อลันเป็นมิวเทน์คนแรกที่ถูกพบ ร่างกายของเขาแทบไม่มีบริเวณไหนไม่มีแผลเป็น แต่เขากลับเป็นคนที่พาทุกคนหนีรอดมาได้ และบัดนี้ก็เป็นคนที่ช่วยอีกหนึ่งชีวิตไว้

          “พ่อแม่ของนายไม่อยากให้นายถูกจับ ถึงได้เอามาฝากไว้ที่นี่”
          เสียงสะอื้นฮักเริ่มเปลี่ยนเป็นแผ่วเบา ขณะที่มือเล็กยังกำเสื้อของจิวซือแน่น
          “อยู่ที่นี่ได้นะ”
          เสียงพูดเชิญชวนเรียบง่าย แต่ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมานั้นไม่ใช่ของปลอม แม้จะอายุยังน้อย แต่เขาไม่ได้โง่ ตอนที่ถูกพ่อแม่พามาที่นี่ เขากลัวมาก พ่อปล่อยเขาไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ อยากจะวิ่งตามไป แต่ร่างกายถูกทำให้ไม่มีแรง จึงได้แต่ร้องตะโกน อ้อนวอน ขอร้องกับแผ่นหลังที่ไม่มีวันหวนกลับมา
ไม่รู้ว่าทำผิดอะไร รู้แต่ว่าไม่มีบ้านให้กลับอีกแล้ว
          ดังนั้นเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของคนที่ไม่ยอมปล่อยเขาแม้แต่ตอนที่ถูกเขาทำร้าย เสียงร้องไห้ที่เพิ่งแผ่วเบาลงจึงเปลี่ยนเป็นกังวานขึ้นอีกครั้ง
          “อยู่ด้วยกัน ที่นี่เป็นบ้านของมิวเทนท์อยู่แล้ว”

          จิวซือเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นมิวเทน์คนอื่นๆ รวมถึงอี้เทียนและอวิ๋นหนานมองเขาอยู่ สายตาสามคู่สบมองกัน ต่างเข้าใจความหมายที่จิวซือสื่อผ่านมาทางสายตา
          ‘ที่อยู่ของพวกมิวเมนท์ เรามาช่วยกันสร้างเถอะ’
 
 

 

#วิถีเซียน3p



…………………………..
ขออภัยมาช้า ป่วยไปอาทิตย์หนึ่ง ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 2)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 17-02-2019 16:11:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 2)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-02-2019 17:12:54
เศร้าใจ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 24-02-2019 15:55:06

The Protector 3



มิวเทน์คนอื่นๆ แยกย้ายไปด้วยสายตาชื่นชมและขอบคุณอย่างไม่ปิดบัง ตลอดหลายภพชาติที่ผ่านมา จิวซือไม่ใช่ไม่เคยเห็นสายตาเทิดทูนเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกกระดากหรือเก้อเขิน เขายิ้มเล็กน้อยทำให้ใบหน้าดูอ่อนโยนลง ในอ้อมแขนมีเด็กน้อยกอดคออยู่ไม่ยอมปล่อย  ขณะที่เสี่ยวฝูและเสี่ยวเฮยกลับไปอยู่กับเจ้านายของพวกมัน

จิวซืออุ้มเด็กไปโถงห้องพักของเขา เดิมทีอลันอยู่ห้องนี้แค่คนเดียว ทว่าเวลานี้มีผู้ชายตัวสูงใหญ่อยู่ด้วยกันทั้งสามคน เด็กเล็กอีกหนึ่ง บวกงูและนกอีกอย่างละตัว ทำให้โถงดูอึดอัดเล็กน้อย จิวซือมองอี้เทียนครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันไปสบตาอวิ๋นหนาน เห็นพวกเขาทั้งสองเพียงยืนนิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะออกไปที่อื่น ก็ลังเลว่าจะพาเด็กน้อยไปนอนที่อื่นดีหรือไม่

ดูเหมือนอี้เทียนจะเดาความคิดของเขาออก ดังนั้นจึงก้าวมาคว้าเด็กออกจากแขนของจิวซือไปอุ้มไปด้วยแขนข้างเดียวเสียเอง ถูกดึงออกมาด้วยแรงที่ไม่เบานัก เด็กน้อยจึงมีสีหน้าตกใจ ปากเล็กทำท่าจะร้องประท้วง แต่เมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงของคานส์ และแววตาเย็นชาปราศจากความเมตตาปราณี เด็กน้อยจึงได้แต่ตัวแข็ง ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย ปากเล็กเม้มแน่น ขณะที่ดวงตากลมปรากฎร่องรอยหวาดกลัว
“ชื่อ” ดวงตาสองสีฉายแววหงุดหงิดไม่ชอบใจอย่างไม่ปิดบัง นึกถึงเล็บคมกรีดแขนและลำคอเรียวจนได้เลือด เขายิ่งไม่มีความคิดอ่อนโยนให้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่เด็กก็ตาม

เด็กน้อยย่นคอหนีโดยอัตโนมัติ เมื่อต้องเผชิญกับสีหน้าเย็นชาและน้ำเสียงแข็งกระด่างติดรำคาญ เขาหันไปหาอลันเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับถูกมือใหญ่ของคานส์จับใบหน้าให้หันกลับมา
“ฉันไม่ใจดีเหมือนอลันหรอกนะ”
“ซ..ซีโน่”
“อายุ”
“ห้าขวบ”
ขณะที่ซีโน่กลั้นหายใจรอว่าผู้ชายตัวสูงใหญ่เจ้าของท่อนแขนที่เขานั่งทับอยู่นั้นจะทำอย่างไรกับตนเอง ก็ได้ยินประโยคบอกเล่าแสนเรียบร้อย ไม่ใช่การข่มขู่คุกคามอย่างที่กลัว
“โตแล้ว นอนเอง”
ซีโน่มองคานส์อย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ต่อให้เขาเป็นเด็ก ก็เข้าใจความหมายในคำพูดชัดเจน อีกฝ่ายบอกให้เขาไปนอนที่อื่น ไม่อนุญาตให้ใกล้ชิดกับอลัน เด็กน้อยเม้มปาก แววตาดื้อรั้นไม่ยินยอม ก่อนจะหันไปหาอลันด้วยท่าทางคล้ายสัตว์เล็กที่ถูกรังแก
“คานส์ อย่าทำเขากลัว” จิวซือกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง อี้เทียนในเวลานี้ไม่คล้ายสหายร่วมรบของเขาที่มักจะมีสีหน้าไม่ไยดีอยู่เสมอ กลับทำให้นึกถึงวัยเด็กที่ทั้งโผงผางและเอาแต่ใจ แต่ปกป้องคนของตัวเองอย่างที่สุด

อี้เทียนมองซีโน่อย่างคาดโทษคราหนึ่ง ก่อนจะวางเขาลงบนพื้น ไม่ยอมส่งให้จิวซือที่ขยับจะเข้ามารับไว้ จากนั้นก็กล่าวต่อว่า “เสี่ยวเฮยกับ...” อี้เทียนประสานสายตาอวิ๋นหนานเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะไล่สายตาไปยังเสี่ยวฝูที่เกาะอยู่บนไหล่ของอีกฝ่าย “เสี่ยวฝู ไปนอนกับเขา”

ขณะที่จิวซือกำลังจะเอ่ยเสนอตัวพาซีโน่ เสี่ยวเฮยและเสี่ยวฝูแยกไปนอนที่อื่น ก็ได้ยินเสียงอี้เทียนเอ่ยปรามอย่างไม่มีแววยอมให้ต่อรอง
“อลัน นายนอนนี่”
เขานอนที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่...
จิวซือประสานสายตากับอวิ๋นหนาน เห็นฝ่ายนั้นยืนเอามือไพล่หลังไม่กล่าวอะไร แต่ก็ไม่มีท่าทีจะย้ายไปไหน ใบหน้าคมคายปรายตามองเสี่ยวฝูคราหนึ่ง เจ้านกน้อยก็บินไปหาซีโน่อย่างเชื่อฟัง เสี่ยวฝูเงยหน้าเอียงคอมองซีโน่ที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้น แล้วร้องกาออกมา ในลักษณะเชิญชวน ตรงข้ามกับเสี่ยวเฮยที่ดูจะไม่ค่อยชอบใจนัก เจ้างูน้อยเลื้อยลงจากไหล่ของคานส์ไปหาซีโน่ด้วยท่าทางจำใจ


จิวซืออดคิดไม่ได้ว่าประสบการณ์ในภพชาตินี้ของเขาช่างประหลาด หรือบางทีคงเหนือการควบคุมนับตั้งแต่มีเทพชั้นสูงขององค์มาปรากฏกายที่นี่ จิวซือยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก่อนจะจูงมือซี่โน่ให้เดินไปด้วยกัน ขณะที่เสี่ยวเฮยและเสี่ยวฝูเข้ามายึดครองไหล่ของทั้งสองของจิวซือโดยอัตโนมัติ


ถัดจากโถงที่พวกเขาอยู่คือทางเดินยาวกว้างพอให้คนห้าหกคนเดินเรียงกันได้อย่างสบาย จิวซือใช้มือคลำไปตามผนังถ้ำ เลือกบริเวณทางเดินที่เว้าออกเป็นพื้นที่คล้ายลานเล็กๆ จากนั้นก็ก้มมองซีโน่ บอกพร้อมรอยยิ้มว่า
“ดูให้ดี นี่คือพลังของพวกเรามิวเทนท์”
ละอองสีเหลืองหม่นค่อยๆ รวมตัวกันที่ฝ่ามือของจิวซือจนกระทั่งกลายเป็นกลุ่มแสงห่อหุ้มทั้งข้อมือของเขาไว้ จิวซือยิ้มให้กับซีโน่ที่ตาลุกวาว ก่อนจะทาบฝ่ามือกับผนังถ้ำ พริบตานั้นราวกับว่าดินและหินมีชีวิต มันขยับเคลื่อนไหวตอบสนองความคิดของจิวซือ จากหินแข็งแกร่งกลายเป็นอ่อนเหลวดังโคลน บ้างแหวกทางออก บ้างพุ่งขึ้นในอากาศ บางม้วนตัวเป็นต้นเสา เป็นกำแพงกั้น เตียงขนาดกลาง โต๊ะและเก้าอี้ หรือแม้แต่ชั้นลอยที่ยื่นออกมาจากผนังถ้ำ เปลี่ยนให้ลานว่างเปล่ากลายเป็นห้องนอนอันอบอุ่น ครบถ้วนยิ่งกว่าโถงเดิมเสียอีก
 
“อยากทำได้ไหม”
เด็กชายพยักหน้าโดยที่ดวงตาไม่อาจละไปจากภาพตรงหน้า ปากเล็กอ้าออกด้วยความอัศจรรย์ใจ ดวงตากลมทอประกาย เขาวิ่งเข้าไปสำราจห้องใหม่อย่างตื่นเต้น


พรึบ
ผ้าคลุมที่ทอจากหญ้าแห้งถูกโยนลงบนพื้นดินที่ยกสูงให้เป็นเตียงอย่างลวกๆ โดยอี้เทียน ทำให้ซีโน่ตื่นจากภวังค์ เด็กชายเห็นอลันถูกคานส์คว้าข้อมือลากไปด้วยเสียแล้วโดยทิ้งเขาไว้กับงูและนกที่มีท่าทางไม่เป็นมิตร ซี่โน่รู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก เขากำหมัดแน่น สายตาเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมา ตอนที่ถูกพบและพามาที่นี่ เขาได้ยินมิวเมนท์คนอื่นๆ พูดกันว่า เขาเป็นคนพิเศษ โตขึ้นจะต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ ซีโน่เองก็เชื่อเช่นนั้น

โตขึ้นเมื่อไร เขาต้องเก่งกว่าคนๆ นั้นแน่นอน



“ไม่ชอบซีโน่?” จิวซือถามขึ้นขณะที่พวกเขาเดินกลับไปยังห้องโถงเดิม อี้เทียนชะงักฝีเท้า ใบหน้าคมคายขรึมลงยามหันมาเผชิญหน้ากับจิวซือ
“ไม่ใช่”
มือข้างหนึ่งยกขึ้นประคองแก้มของจิวซือไว้ ปลายนิ้วไล้ผิวเนื้ออ่อนแผ่วเบา ต่อให้ภายนอกเป็นคนละคน ต่อให้ผ่านไปหลายภพหลายชาติ สุดท้ายซื่อเสวี่ยนก็ยังเป็นซื่อเสวี่ยน ภายนอกเข้มแข็ง ไม่ยีหระต่อสิ่งใด ดูราวกับว่าสามารถปล่อยวางทุกอย่างได้ กระทั่งซากศพของทหารในสังกัดทับถมสูงเท่าภูเขาก็ยังแบกรับไว้โดยสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ซื่อเสวี่ยนไม่ใส่ใจจริงหรือ หากไม่ใส่ใจ จะจดจำชื่อแซ่และครอบครัวของแม่ทัพนายกองที่จากไปได้อย่างไร
มีข้าอยู่ เจ้าอย่าเจ็บปวดคนเดียวอีกเลย
“เรา...พาเขากลับไปด้วยไม่ได้”
จิวซือชะงัก เขาถึงกับลืมเลือนไป ลืมสร้างปราการป้องกันที่มักจะสร้างไว้เสมอ ลืมเสียสนิทว่าสุดท้ายแล้วตนเองยังต้องจากไป คงเพราะรู้สึกปลอดภัยหรือวางใจเกินไปกระมัง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะกล่าวขอบคุณอี้เทียนที่เตือนสติ ร่างกายและจิตใจพลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา




เมื่อกลับมาถึงโถงส่วนตัวของอลัน ก็เห็นอวิ๋นหนานนั่งขัดสมาธิอยู่เตียงหิน ฝ่ายนั้นลืมตาขึ้นมาในจังหวะเดียวกัน เห็นเส้นผมสีทองของฮิลยาวสยายอย่างไร้ระเบียบ จิวซือพลันนึกถึงห้องบรรทมของตงหวางแห่งวังตะวันออกที่กว้างใหญ่และสะดวกสบาย จึงถามขึ้นมาอย่างเกรงใจว่า
“ฮิล ผมทำห้องใหม่ให้สักห้องมั้ยครับ”
“ไม่ต้องลำบาก ฉันนอนได้”
อวิ๋นหนานลุกขึ้นก้าวไปหาจิวซือ ก่อนจะวางมือบนศีรษะเขาถ่ายทอดพลังให้อย่างที่ดีแลนเคยกระทำ มือของอี้เทียนยกขึ้นคล้ายจะห้าม แต่เมื่อนึกได้ว่าพลังของเขาเป็นพลังสองขั้วที่คนทั่วไปไม่สามารถรับได้โดยง่าย จึงเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์นัก

พลังที่เหมือนกระแสน้ำเย็นเข้าโอบล้อมดวงจิตของเขาไว้ ทำให้จิวซือผ่อนคลาย ความเหนื่อยล้าจากการใช้พลังเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง ร่างกายของเขาเบาสบาย รู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เขาและดีแลนออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วนอร์ท ตอนนั้้นนึกเสียดายที่ไม่ทันได้กล่าวคำอำลา นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกันอีกรวดเร็วถึงเพียงนี้ ที่สำคัญอีกฝ่ายยังเป็นเจ้านายของเขา ตงหวางผู้ยิ่งใหญ่ ครั้งหนึ่งเคยเป็นสหายที่ทำตามความปรารถนาทุกอย่างเขาเชียวนะ จิวซือพลันรู้สึกว่าการมีเจ้านายอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่ได้น่าอึดอัดใจอย่างที่คิด




เตียงที่ทำจากหินและดินแม้จะแข็งกระด่าง แต่พื้นผิวเรียบกริบไม่มีเศษหินตะปุ่มตะป่ำ เมื่อปูทับด้วยใบไม้ ก็พอจะอุ่นสบายอยู่บ้าง จิวซือนอนอยู่ตรงกลาง ด้านขวาของเขาคืออี้เทียน ส่วนด้านซ้ายคืออวิ๋นหนาน ทำให้เขารู้สึกเกร็งและไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง จึงหันเหความสนใจของตัวเองไปเรื่องอื่น

สร้างที่อยู่ที่ปลอดภัยให้กับมิวเทนท์ไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่นับเรื่องการกินอยู่ ยังมีเรื่องที่ต้องระวังอย่างพวกรัฐบาล และราชาซอมบี้ที่ไม่ทราบว่าจะเปลี่ยนใจมารุกรานพื้นที่ของพวกเขาตอนไหน น้ำและอาหารในบริเวณใกล้เคียงแทบถูกพวกเขาบริโภคไปหมดแล้ว เวลานี้ต้องจับกลุ่มแบ่งกันขยายพื้นที่หาอาหารออกไป โดยมีมิวเมนท์ที่มีพลังพิเศษเป็นผู้นำ ดังนั้นสุดท้ายแล้วความอยู่รอดของพวกเขาก็ต้องการพลังและความแข็งแกร่งเป็นอันดับแรก

อลันมีความลับประการหนึ่งที่ปกปิดไว้ นั่นคือนอกจากเขาจะสามารถควบคุมดินแล้ว เขายังสามารถสื่อสารธาตุน้ำไป เดิมทีเป็นเพียงพลังที่อ่อนด้อย ต่อมาค่อยพัฒนาจนใช้ประโยชน์ได้ เนื่องจากไม่เคยมีมิวเทน์คนไหนมีพลังผสมเช่นนี้ อลันจึงไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้ เกรงว่าจะกลายเป็นเป้าให้พวกนักวิจัยเหล่านั้นตามล่า

นั่นคือสื่งที่อลันรับรู้ แต่สิ่งที่จิวซือคิดได้หลังจากใช้จิตเซียนวิเคราะห์ร่างกายนี้ก็คือ อลันพิเศษกว่านั้น ดินและน้ำก่อกำเนิดชีวิต เช่นเดียวกับหลักการที่ว่า หนึ่งบวกหนึ่งมากกว่าสอง จิวซือคาดว่าร่างกายของอลันอาจจะมีพลังชีวิต ซึ่งเขายังต้องทดสอบอีกให้แน่ใจ อย่างไรก็ตาม หากการคาดเดาของเขาเป็นจริง หากเลือดเนื้อของอลันมีพลังที่ว่าแฝงอยู่จริงๆ หนทางในการสร้างสถานที่ปลอดภัยให้มิวเทนท์ย่อมสว่างขึ้นไม่น้อยทีเดียว






#วิถีเซียน3p


หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 3)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-02-2019 16:45:30
พลัง​ที่​ยิ่งใหญ่​มาพร้อม​กับ​ภารกิจ​ที่​ยิ่งใหญ่​
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 3)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 27-02-2019 19:23:09


The Protector (4)
 


 
   โถงที่ใหญ่ที่สุดในถ้ำอยู่ลึกเข้ามาจากปากถ้ำราวหนึ่งกิโลเมตร เป็นสถานที่ที่พวกเขาใช้เป็นกองบัญชาการ เวลานี้มิวเทนท์ทั้งสี่สิบห้าคนยืนแถวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ นับตั้งแต่ที่จิวซือช่วยซีโน่ไว้คราวนั้น สายตาที่มิวเทนท์คนอื่นๆ มองเขาก็เปลี่ยนไปไม่น้อย
   จิวซือยืนหันหน้าเข้าหาแถวเพียงคนเดียว ขณะที่อวิ๋นหนาน อี้เทียน และซีโน่ยืนอยู่รวมกับมิวเทนท์คนอื่นๆ เทพทั้งสองแสดงจุดยืนชัดเจนว่าให้จิวซือเป็นผู้รับผิดชอบภารกิจนี้ จิวซือยังคงเข้าใจว่าตงหวางมอบหมายภารกิจพิเศษให้เขา ส่วนตนเองก็เห็นใจมิวเมนท์ไม่น้อย ดังนั้นในช่วงเวลาที่เหลือทั้งหมดในภพชาตินี้ เขาตั้งใจจะทำให้สำเร็จ อย่างน้อยเขาปรารถนาให้มิวเทนท์ทั้งหมดไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป
   ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ ใบหน้าติดจะหวานของอลันพลันปรากฏรอยยิ้ม มิใช่รอยยิ้มอ่อนโยน หรือผ่อนคลายอย่างทุกครั้ง แต่เป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความเชื่อมั่นในตนเอง ส่งผลให้บรรยากาศรอบตัวของเขาเปลี่ยนไป ชายหนุ่มกางแขนทั้งสองข้างออก ดวงตาสีน้ำตาลเปล่งประกายเจิดจ้า
 

   ครืด ครืด
   เสียงของผนังถ้ำเลื่อนแยกออกจากกัน พื้นดินและหินขยับโยกย้ายราวกับมีชีวิต ดังมีมือที่มองไม่เห็นหยิบจับให้เคลื่อนย้าย ปรับเปลี่ยนโครงสร้างของโถงถ้ำอย่างง่ายดาย ยังมีหินก้อนเล็กนับร้อยนับพันบินวนอยู่กลางอากาศ เกิดเป็นภาพอัศจรรย์ เพียงจิตนาการว่าปลายหินแหลมคมนี้พุ่งกระแทกร่าง จุดจบคงไม่พ้นความตาย กลุ่มหินบินเป็นวงกลมก่อนจะจับตัวแยกเป็นกลุ่มๆ กระจายออกเป็นแถว และกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง จิวซือเงยหน้าขึ้น ฝ่ามือสะบัดเบาๆ บรรดาก้อนหินที่ลอยอยู่กลางอากาศก็พุ่งไปปักผนังถ้ำทั้งซ้ายและขวาด้วยความรวดเร็วและรุนแรงไม่ต่างจากกระสุนปืน จนเกิดเสียงแหวกอากาศและเสียงของแข็งกระทบกันดังขึ้นทั่วบริเวณ
 
   มิวเทนท์ทั้งหมดเหม่อมองการกระทำของอลันด้วยความแตกตื่น แม้ว่ามิวเทนท์กว่าครึ่งในที่นี้จะสามารถปลุกพลังพิเศษของตัวเองได้สำเร็จ แต่กลับไม่อาจใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ พลังเหล่านั้นก็ทำได้แค่ช่วยสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ส่วนน้อยเท่านั้นที่พอจะมีประโยชน์ในการโจมตีหรือป้องกันตัวเอง กระนั้นก็ไม่เคยเห็นการควบคุมพลังของมิวเทนท์คนไหนเป็นแบบอลันมาก่อน ราวกับว่าเขากลายเป็นเจ้านายของบรรดาก้อนหินและพื้นดิน สั่งการได้ตามใจนึก
    เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขาเห็นอลันยื่นมาขวาไปด้านหน้า ฝ่ามือกางออกราวกับกำลังเรียกหาบางสิ่ง ขณะที่ทุกคนมองตามอย่างไม่เข้าใจ ก็เห็นมวลน้ำขนาดใหญ่บิดเกลียวประหนึ่งมังกรน้ำที่เคยเห็นแต่จิตนาการ มังกรน้ำที่พุ่งเข้ามามีลำตัวยาวประมาณห้าเมตร ขนาดใหญ่พอๆ กับต้นเสา แต่ปราดเปรียวว่องไว หินงอกหินย้อยภายในถ้ำไม่เป็นอุปสรรคสำหรับมันเลยแม้แต่น้อย เมื่อเข้ามาใกล้ มันก็ชะลอความเร็ว ตรงเข้าไปโอบล้อมและคลอเคลียอลันราวกับสัตว์เลี้ยงผู้ภักดี
 
   หากการแสดงพลังควบคุมดินของอลันนับว่าน่าตื่นตาตื่นใจ การที่เขาเปิดเผยพลังธาตุน้ำของเขายิ่งน่าอัศจรรย์ใจมากกว่าหลายเท่า!
   เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่เสียงเฮเสียงเป่าปากเสียงตะโกนเชียร์อลันดังก้องสะท้อนอยู่ภายในถ้ำ
   “หัวหน้าอลัน หัวหน้าอลัน”
   สำหรับมิวเทนท์ที่ไร้ที่พึ่งแล้ว ความแข็งแกร่งของอลันเปรียบเสมือนแสงสว่างสายหนึ่งที่ลอดผ่านรอยแยกของหินเข้ามาในถ้ำมืดมิด ดังนั้นสายตาที่มองเขาจึงเปลี่ยนจากชื่นชมเป็นเทิดทูน
 

   รอกระทั่งทุกคนเริ่มสงบลง จึงได้ยินเสียงหนักแน่นของอลันกล่าวว่า “รัฐบาลไม่ยอมปล่อยพวกเรา และไม่รู้ว่าเมื่อไรพวกซอมบี้จะเปลี่ยนใจจู่โจม ความปลอดภัยของพวกเราในตอนนี้เป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น”
   ประโยคบอกเล่าเรียบง่าย น้ำเสียงไร้ความตระหนก แต่กลับทำให้คนฟังหน้าเปลี่ยนสี ไม่มีใครไม่หวาดหวั่น ไม่มีใครไม่กังวล ขุมนรกที่อุตส่าห์หนีออกมาได้ ย่อมไม่อยากกลับไปอีกเป็นครั้งที่สอง
   “เราไม่อาจขอความช่วยเหลือจากใคร เพราะเรา...ไม่มีใคร”
   “พวกเรามีแต่ตัวเอง””
   แววตาของอลันอ่อนลง เมื่อกวาดสายตามองบรรดาสหายที่หนีรอดมาด้วยกัน หลายคนสบตาอลัน พลันนึกถึงช่วงเวลาในศูนย์วิจัย พวกเขาถูกปฏิบัติไม่ต่างจากสัตว์ทดลอง ร่องรอยของความทุกข์ทรมานนั้นยังปรากฏอยู่บนร่างกาย
   “ดังนั้น จึงมีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องตัวเอง และสหายที่อยู่ด้วยกันที่นี่”
   อลัน...ที่ยืนอยู่ลำพังเบื้องหน้าพวกเขาดูสว่างไสว
   แววตาของเขาเป็นประกาย แสดงออกถึงความเชื่อมั่น ไม่ใช่เฉพาะต่อตนเอง แต่หมายรวมถึงมิวเทนท์ทุกคน
   “ฉันเชื่อว่าพลังพิเศษคือผลตอบแทนให้กับความสำเร็จที่พวกเราต่อสู้ ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอด”
   “เชื่อว่าพวกเราทุกคนต่างมีพลังเหล่านี้หลับใหลอยู่ในตัว”
   คนทั่วไปอาจไม่เชื่อ แม้แต่มิวเทนท์ด้วยกันเองยังไม่เชื่อ ลึกๆ แล้วในใจของพวกเขาก็ไม่เชื่อ แต่อลันบอกว่าเขาเชื่อ บอกว่าพวกเขาไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นความสำเร็จ
   เพราะพวกเขาต่อสู้ พระเจ้าจึงมอบพลังพิเศษให้ พระเจ้าต้องการให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไป
   “นับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราจะแข็งแกร่งขึ้นไปด้วยกัน”
   “นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะสร้างบ้านที่ปลอดภัยขึ้นมา ตัวตนของพวกเราจะกลายเป็นสิ่งพิเศษ ไม่ใช่สิ่งน่าละอาย ยิ่งไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน”
   ทุกคนรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น ลมหายใจกระชั้นตามแรงอารมณ์ เลือดในกายสูบฉีดส่งกระแสความตื่นเต้นยินดีไปทั่วทั้งร่าง ฝ่ามือกำหมัดแน่น แววตาแข็งกร้าวเจิดจ้าท่ามทลางแสงสลัวภายในถ้ำ
   “ภายในป่าแห่งความตาย จะเกิดนครแห่งชีวิต บ้านของพวกเรามิวเมนท์” สิ้นเสียงของอลัน มังกรน้ำ และมังกรดินก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง พวกมันบินวนอยู่กลางอากาศ เหนือศีรษะของเหล่ามิวเทนท์ ก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมาประหนึ่งเป็นมังกรที่แท้จริง เสียงคำรามของสองมังกรปลุกขวัญและกำลังใจ ตลอดจนความเชื่อมั่นให้กับเหล่ามินเทนท์ หลายคนโก่งคอส่งเสียงโห่ร้องคำรามออกมาเช่นกัน เสียงนั้นปลดปล่อยความรู้สึกที่ถูกเก็บกักไว้มาเป็นเวลานาน

   นครแห่งชีวิต...บ้านของพวกเขา
 


 
   หลังจากการประกาศเจตนารมณ์ของอลัน บรรยากาศภายในถ้ำเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย จิวซือสัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้น และความหวังของมิวเทนท์ทุกคน เมื่อตกลงว่าจะก่อสร้างนครแห่งชีวิต พวกเขาก็แบ่งหน้าที่เป็นสามกลุ่มหลัก ได้แก่ ฝึกซ้อม ลาดตระเวน และก่อสร้าง และสลับสับเปลี่ยนกันทุกๆ สัปดาห์ สำหรับการฝึกซ้อมนั้นเป็นการพยายามปลุกพลังพิเศษ และพัฒนาให้พลังนั้นแข็งแกร่งขึ้น โดยมีคานส์เป็นหัวหน้าหน่วย หน่วยลาดตระเวนนำโดยฮิล ถือว่ามีหน้าที่สำคัญที่สุดในการตรวจตรา สำรวจ และขยายพื้นที่ปลอดภัยออกไป นอกจากนี้ยังทำการค้นหามิวเทนท์คนอื่นๆ ที่ถูกทอดทิ้งอีกด้วย กำลังแรงงานปัจจุบันของพวกเขามีน้อยเกินไป แต่การรับสมาชิกใหม่เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงมาก ดังนั้นจิวซือจึงขอให้อวิ๋นหนานรับผิดชอบดูแลหน่วยลาดตระเวน สำหรับตนเอง เขารับหน้าที่ในการก่อสร้าง ซึ่งสิ่งแรกที่จิวซือทำขึ้นมา ไม่ใช่อาคารบ้านเรือน แต่เป็นป้ายหินขนาดใหญ่ บนป้ายมีข้อความสลักไว้ด้วยสายเส้นสวยงามหนักแน่น บรรทัดแรกเขียนว่านครแห่งชีวิต บรรทัดที่สองตัวอักษรมีขนาดเล็กกว่าครึ่งหนึ่งเขียนว่า ‘ท่ามกลางป่าแห่งความตาย คือนครแห่งชีวิต บ้านของเหล่าผู้ใช้พลังพิเศษ’     
   
 
 
City of Life
In the midst of Forest of Death is the City of Life. Home of ability users
 
 




 
   การก่อสร้างนครแห่งชีวิตดำเนินมาได้ราวหนึ่งเดือน นอกจากจิวซือที่สามารถควบคุมดินแล้ว ยังมีมิวเทนท์อีกหลายคนที่มีพลังซึ่งเป็นประโยชน์กับการก่อสร้าง ดังนั้นการก่อสร้างจึงเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เพียงแค่หนึ่งเดือนโครงสร้างภายในและรอบๆ ถ้ำก็เปลี่ยนไปไม่น้อย ผนังถ้ำถูกเจาะและขยายในส่วนที่ควรกว้าง และทำให้แคบตรงในส่วนที่ควรแคบ มีทั้งสะพานหินเชื่อมต่อจากด้านบนมาสู่ด้านหลัง และพาดผ่านหุบเหว นอกจากนี้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขายังค้นพบโพรงใต้พื้นถ้ำ และความเป็นไปได้ที่จะเชื่อมทะลุไปภูเขาลูกอื่นๆ ซึ่งหากเป็นอย่างที่คาดเดา นครแห่งชีวิตจะกลายเป็นนครใต้ดินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
 

   “อลัน!”
   จิวซือหันตามเสียงเรียก ก็เห็นซีโน่วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น เด็กชายดูร่าเริงและมีชีวิตชีวาต่างจากครั้งแรกที่พบกันอยู่มาก จิวซือทรุดตัวลงนั่งยองๆ ให้สายตาของเขาอยู่ในระดับเดียวกัน ก่อนจะถามว่า “มีอะไรหรือ”
   ซีโน่ยิ้มกว้าง มือเล็กยกขึ้นมาแล้วกางออก ก่อนที่จะปรากฏลูกไฟขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือลูกหนึ่งลอยอยู่เหนือฝ่ามือเล็ก เด็กชายเงยหน้ามองจิวซือด้วยแววตาคาดหวัง
   จิวซือประหลาดมากที่เห็นซีโน่สามารถสร้างไฟเล็กๆ ภายในเวลาสัปดาห์เดียว เขายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่ามีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาเลย จิวซือพยักหน้าชื่มชน ยื่นมือไปลูบศีรษะเด็กชายอย่างให้กำลังใจ
   “ซีโน่ เก่งมาก”
   ซีโน่ยิ้มกว้างจนตาหยี เขาดีใจมากเมื่อพลังของเขาตื่นขึ้น ในบรรดามิวเทนท์ที่ฝึกฝนอยู่ด้วยกัน เขาทำได้เป็นคนแรก คราวก่อนอลันบอกว่าทุกคนมีพลังพิเศษหลับใหลอยู่ในตัว ซีโน่เชื่อหมดใจ ไม่ว่าอลันพูดอะไร เขาเชื่อทั้งนั้น ดังนั้นทันทีที่ทำสำเร็จ เขาก็รีบวิ่งมาบอกข่าวดีกับอลัน เมื่อได้ยินคำชม ได้ยินอลันเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซีโน่รู้สึกหัวใจพองโตไปด้วยความสุขและความภูมิใจ เขาชอบฟังอลันเรียกเขาว่าซีโน่ที่สุด
   “คานส์ก็ใช้ไฟ ให้เขาสอนสิ”
   ประโยคถัดมาของอลันทำให้ซีโน่หน้ามุ่ยลง เด็กชายเม้มปากอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาแทบใกล้เคียงกับการอ้อนว่า “อยากให้อลันสอน”
   จิวซือใคร่ครวญเล็กน้อย พบว่าการที่เขาจะสอนซีโน่ไปด้วย และควบคุมการก่อสร้างนครแห่งชีวิตไปด้วย ไม่ยากลำบากเกินไป จึงตอบตกลง เด็กชายยิ้มกว้างอย่างยินดี มือเล็กทั้งสองข้างเอื้อมมาจับมือของอลันไว้
   “ถ้าผมสร้างมังกรไฟตัวใหญ่เท่ามังกรน้ำของอลัน” ซีโน่ลังเลเล็กน้อย เด็กชายสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เอ่ยเสียงสั่นว่า “อลัน...อลันย้ายมานอนกับผมนะ”
 

   “หึ”
   จิวซือและซีโน่หันไปตามเสียง เห็นคานส์ก้าวยาวๆ เข้ามา สายตาของเขาที่มองซีโน่เหมือนได้ฟังเรื่องตลกที่สุดในชีวิต ร่างเงาสูงใหญ่แผ่บรรยากาศกดดัน ทำให้เด็กชายตัวสั่น แต่ก็ยังอดทนไม่ยอมหลบตา
   คานส์เห็นซีโน่ไม่ยอมแพ้ ก็ผุดรอยยิ้มร้าย ลูกไฟขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือใจกลางฝ่ามือของเขา ก่อนที่มันจะค่อยๆ ขยายตัวกลายเป็นมังกรเพลิงยาวห้าเมตร มีขนาดและรูปลักษณ์เหมือนกับมังกรน้ำที่จิวซือสร้างขึ้นมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน ไม่ต้องอธิบายก็ทราบได้ว่าเขาจงใจ
   จิวซือตาโตมองอี้เทียนอย่างไม่อยากเชื่อ อีกฝ่ายถึงขนาดแข่งกับเด็กตัวเล็กเท่านี้ได้ลงคอ ทั้งยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วย ไม่ทราบคำว่า ‘เกเร’ สามารถใช้กับเทพยามาได้หรือไม่ เนื่องจากคำว่า ‘เอาแต่ใจ’ คงจะไม่เพียงพอในการบรรยายพฤติกรรมของอี้เทียนในเวลานี้
   จิวซือไม่รู้ตัวว่าริมฝีปากของตนคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม ส่งผลให้ใบหน้าของเขาละมุนลง และทำให้อี้เทียนเหม่อมองไม่วางตา นานมากแล้วที่เขาไม่เห็นซื่อเสวี่ยนยิ้มเช่นนี้ ดังนั้นแม้ประโยคต่อมาของฝ่ายนั้นจะมีเจตนาเอาคืน อี้เทียนก็ยังพยักหน้าตกลงแต่โดยดี

   “คานส์ นายช่วยสอนซีโน่จนกว่าเขาจะสร้างมังกรไฟแบบนั้นได้ก็แล้วกัน”


#วิถีเซียน3p
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 4)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 28-02-2019 07:37:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 4)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-02-2019 15:31:30
ยิ้ม​ๆ​
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 4)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 28-02-2019 20:11:00
อี้เที้ยน กับเด็กก็ห่วงนะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 4)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 01-03-2019 07:12:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 4)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 01-03-2019 20:57:30

The Protector 5
 
 
                   การก่อสร้างนครแห่งชีวิตเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ภายในถ้ำถูกจัดสรรอย่างเป็นสัดส่วน นอกจากห้องพักแล้ว ยังมีห้องประชุมหลายห้อง ห้องครัวและรับประทานอาหาร ห้องเก็บอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ บันไดหินและสะพานเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ขณะที่ลานกว้างสำหรับการฝึกฝนถูกย้ายออกมานอกถ้ำ นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างบ้านหลังเล็กที่ทำจากต้นไม้และดินเหนียวบริเวณรอบถ้ำ โดยการวางผังเมืองจากเซฟ มิวเทนท์ที่จิวซือส่งมอบเรื่องการบริหารจัดการให้ เซฟจึงมีสถานะคล้ายกับผู้ใหญ่บ้าน
                ข้อสงสัยเรื่องโพรงใต้ดินได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง โพรงใต้ดินสามารถเชื่อมทะลุไปยังภูเขาลูกอื่นๆ ที่สำคัญภูเขาลูกที่อยู่ติดกันมีถ้ำขนาดใหญ่ ใหญ่กว่าถ้ำเดิมของพวกเขาเกือบสามเท่าตัว เพดานถ้ำสูงและมีช่องให้แสงสว่างลอดเข้ามาอย่างพอดี ภายในมีแหล่งน้ำใต้ดินขนาดใหญ่ที่ยังบริสุทธิ์อยู่ และต้นไม้พืชพันธุ์หลายชนิด ราวกับมีป่าที่อุดมสมบูรณ์ซ่อนเร้นอยู่ใต้ดิน
                ขณะที่จิวซือก้มลงสำรวจผนังถ้ำแห่งใหม่นี้ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงตกใจจากด้านหลัง เขารีบเร่งฝีเท้าไปทางต้นเสียง และพบว่าลีน่า สมาชิกในทีมก่อสร้างของเขาทรุดลงกับพื้น มือทั้งสองกุมศีรษะ และครวญครางด้วยความเจ็บปวดออกมา เธอกำลังเผชิญกับอาการเจ็บปวดที่มิวเทนท์ไม่อาจหลีกเลี่ยง
                “ลีน่า!” เซฟกอดเธอไว้แน่น เมื่อเขาเห็นอลัน ก็ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ ทั้งที่ในใจทราบดีว่าเป็นไปได้ยากเหลือเกิน ไม่มีใครช่วยได้ ความเจ็บปวดนี้มีแต่ต้องผ่านไปได้ด้วยตัวเอง หากควบคุมไว้ไม่ได้ก็มีแต่ต้องถูกกำจัดเท่านั้น
 
                จิวซือนั่งลงจับไหล่ที่สั่นสะท้านของลีน่าไว้ พยายามพูดให้เธอมีสติ และอดทนผ่านมันไปให้ได้ ทว่าดูเหมือนจะไม่เป็นผลมากนัก ลีน่าเงยหน้ากรีดร้องขึ้นอย่างฉับพลัน ม่านตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน บ่งบอกภาวะใกล้คลั่ง เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น จิวซือจึงตัดสินใจทดลองบางอย่าง เขาสั่งให้เซฟจับตัวลีน่าไว้ จากนั้นก็กัดนิ้วตัวเองจนเลือดไหลเป็นทาง ก่อนจะจับคางของลีน่าบังคับให้อ้าปาก แล้วส่งนิ้วอาบเลือดเข้าไปในปากของเธอ
                เซฟมองอลันอย่างตกตะลึง แต่เพราะความเชื่อถือในตัวเขา จึงทำตามคำสั่งของอลันโดยไม่มีข้อโต้แย้ง แม้ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยแค่ไหนก็ตาม
                แม้ว่าทั้งเซฟและจิวซือจะจับลีน่าไว้แน่น แต่ฟันแหลมคมของเธอก็ยังสะกิดโดนนิ้วของจิวซืออย่างเลี่ยงไม่ได้ กรีดแผลเป็นทางยาว โลหิตสีคล้ำทะลักออกมา ทันใดนั้นเองก็มีมือข้างหนึ่งเข้ามาตรึงลำคอของลีน่าไว้ไม่ให้ขยับ จากนั้นก็ดึงมือของจิวซือออกมา เพราะปากแผลถูกฟันของลีน่ากรีดออกเป็นทางยาว ดังนั้นตั้งแต่นิ้วชี้จนถึงข้อมือของจิวซือจึงถูกย้อมไปด้วยเลือดสีคล้ำ
                จิวซือเงยหน้ามองคนที่เข้ามาขัดขวาง ก็เห็นใบหน้าถมึงทึงดำมืดยิ่งกว่าพายุหมุนกลางทะเลของอี้เทียน ความโกรธเกรี้ยวของเขาปรากฏชัดทั้งทางสายตา และบรรยากาศรอบตัว มือชุ่มเลือดของจิวซือถูกอี้เทียนคว้าไว้ ก่อนที่เขาจะใช้ผ้าสะอาดกดปากแผลให้เลือดหยุดไหล โดยที่สายตาวาวโรจน์ไม่ยอมละจากใบหน้าของจิวซือ
                จิวซือหลบตาเขา เบนสายตาไปมองอาการของลีน่าที่เวลานี้เริ่มสงบลง สีแดงในดวงตาเริ่มจางลง จิวซือเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อนึกได้ว่าเลือดของอลันมีพลังชีวิตอย่างที่คาดจริงๆ
                รอยยิ้มโล่งใจของจิวซือเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายของอี้เทียน เขาฉุดอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมาโดยไม่ออมแรง จากนั้นก็ลากจิวซือที่มีใบหน้างุนงงให้เดินตามเขา โดยไม่ลืมกำชับเซฟไม่ให้แพร่พรายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ใด
 
                อี้เทียนกึ่งลากกึ่งจูงจิวซือออกมานอกถ้ำ ผ่านสายตาใคร่รู้ของทิวเทนท์คนอื่นๆ ไปยังป่าด้านนอก ระยะที่ผ่านมาไม่อาจทำให้อารมณ์ของอี้เทียนเย็นลงได้เลย
                เขาโกรธ โกรธจริงๆ
                ทำไมชอบทำให้ตัวเองบาดเจ็บเพราะคนอื่น แล้วยังยิ้มโล่งใจโดยไม่รู้สึกสักนิดว่าเขาเป็นห่วง หากไม่พูดกันให้ชัดเจนคราวนี้ เกรงว่าหากมีครั้งต่อไป คงไม่ใช่บาดแผลเล็กน้อยเท่านี้
 
                อี้เทียนดันหลังของจิวซือพิงกับต้นไม่ใหญ่ ขณะที่ตนเองโน้มใบหน้าลงมาใกล้ชิด ดวงตาสองสีของเขาประสานกับดวงตาสีน้ำตาล ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ซื่อเสวี่ยน ไม่ใช่จิวซือ ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจว่าหากผ่านด่านคุณธรรมด้วยผลงานดี พลังที่ไดรับเมื่อเป็นเทพยิ่งสูงส่ง
                เขาเข้าใจ แต่-ไม่-ชอบ!
                “อย่าใช้คำว่าแผลเล็กน้อย หรือไม่เจ็บกับข้า”
                น้ำเสียงของอี้เทียนแข็งกร้าวจนจิวซือตกใจ ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายโกรธเคืองเรื่องอะไร สีหน้าสับสนงุนงงของจิวซือทำให้อี้เทียนถอนหายใจยืดยาว ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
                “ข้าพยายามอดทนแล้ว”
                ไม่ก้าวก่าย ไม่อยากให้วอกแวกกับเรื่องในอดีตของพวกเขา รอจนอีกฝ่ายเป็นเทพอย่างที่ตั้งใจ ถึงเวลานั้นจะจับไว้ให้มั่น ไม่ให้หลุดรอดจาดมือของเขาอีก แต่...
                “แต่ข้าทนไม่ได้”
                แผ่วเบาแทบเป็นเสียงกระซิบ ใบหน้าโน้มลงมาจนปลายจมูกทั้งสองสัมผัสกัน ดวงตาสองคู่ประสานกันอยู่นานราวกับกำลังวัดใจ และเป็นอี้เทียนที่ขยับใบหน้าออกมา โดยที่สายตายังไม่ละไปจากคนตรงหน้า
                ซื่อเสวี่ยนอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ แต่ไม่อาจครอบครอง ยังคงต้องปล่อยให้โบยบินไปตามที่ใจปรารถนา
                “น่าจะขังเจ้าไว้ที่ยมโลก”
                “ได้ยินว่าเทพยามาอารมณ์แปรปรวน ไม่ผิดจริงๆ”
                “ต้นเหตุก็คือเจ้า”
                จิวซือเข้าใจว่าเขาหมายถึงสาเหตุที่ทำให้อารมณ์ขึ้น แต่ไม่ทราบว่าตนเองยังเป็นต้นเหตุให้อี้เทียนกลายเป็นเทพยามาอีกด้วย ดังนั้นจึงเชิดคางขึ้น เลิกคิ้วอย่างท้าทาย ความนัยที่แฝงอยู่ในสีหน้าท่าทางพอจะเดาได้เป็นรูปประโยคได้ว่า ‘ใครใช้เจ้าอารมณ์เสียเพราะข้า’
                สีหน้าของอี้เทียนคล้ายยอมแพ้ผสมกับความเอ็นดู ก่อนที่มุมปากของเขายกขึ้นอย่างมีเสน่ห์ “ถ้าเจ้าเรียกข้าว่าพี่อี้ จะยอมปล่อยให้ทำตามใจ”
                “ไม่เรียก” จิวซือเอ่ยโดยไม่ต้องคิด รอยยิ้มบนใบหน้าของจิวซือสว่างไสวขึ้นเล็กน้อย ตรงข้ามกับแววตา ทำให้อี้เทียนไม่กล้ารั้งไว้ ยามที่เขาบอกว่าจะกลับไปดูอาการลีน่า
 
               
                แผ่นหลังของจิวซือเพิ่งจะลับสายตาไป ร่างสูงของฮิลก็ปรากฏขึ้นห่างออกไปไม่ไกลนัก ไม่ทราบเขาอยู่ตรงนี้มานานเท่าไรแล้ว แต่ดูจากสีหน้าไม่ยินดียินร้ายของอี้เทียนแล้ว คาดว่าคงรับรู้ตัวตนของอวิ๋นหนานแต่แรก
                “อย่าใช้อดีตฉุดรั้งเขา”
                สายตาอี้เทียนแข็งกร้าวเมื่อได้ยินคำพูดของอวิ๋นหนาน มุมปากยกขึ้นอย่างท้าทาย “อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ข้าล้วนพันธนาการเขาไว้”
                แววตาที่นิ่งสงบเหมือนก้นทะเลสาบของอวิ๋นหนานปรากฏระลอกคลื่นบางเบา บ่งบอกถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจ ด้านหนึ่งคือความต้องการยึดถือเซียนน้อยตนนั้นเป็นคนของวังตะวันออก อีกด้านคือเสียงโต้แย้งบอกว่าไม่จำเป็นต้องแย่งชิง แค่ผู้ช่วยคนเดียว ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น เหตุผลที่ตนเองรู้สึกวุ่นวายใจถึงเพียงนี้ ตนเองยังไม่เข้าใจ สุดท้ายจึงได้แต่กล่าวกึ่งเตือนว่า
                 “เขามีอนาคตไกล”
 
 
 
                เมื่อแผ่นพิงกับเปลือกไม้แข็งๆ ของต้นไม้ใหญ่ จิวซือค่อยรู้สึกว่าหัวใจสงบลง เขาเงยหน้าให้ศีรษะพิงแนบลำต้นแข็งแรง ทอดสายตามองไปไกล ความทรงจำที่เคยคิดว่าเลือนหายไปเสียนานกลับมาฉายซ้ำในห้วงความคิด
               
                “เรียกข้าว่าพี่อี้” เด็กชายวัยหกขวบกล่าว ใบหน้าเล็กเชิดขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับยืนตัวตรง พยายามให้ดูเป็นโตกว่าเด็กชายคนอีกคนหนึ่ง
            เด็กชายอีกคนทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมกล่าวว่า “พี่อี้”
            คนออกคำสั่งพยักหน้าขึ้นลงอย่างพอใจ ยื่นมาตบศีรษะที่เตี้ยกว่าเล็กน้อย
           
 
            หลายปีต่อมา เด็กทั้งสองเติบโตขึ้นเป็นสหายรัก ร่ำเรียนในสำนักศึกษาด้วยกัน เพราะทราบว่าพวกเขาอายุเท่าๆ กัน ซื่อเสวี่ยนจึงไม่ยอมเรียกอี้เทียนว่าพี่อี้อีก
            “เรียกข้าว่าพี่อี้สิ แล้วจะตามใจเจ้า” นี่จึงเป็นประโยคที่อี้เทียนชอบใช้หยอกล้อเขา
            “ข้าอายุมากกว่าเจ้า”
            “แค่สามวัน” อี้เทียนกล่าวอย่างไม่ชอบใจนัก
            “เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าอายุมากกว่าเจ้าสามวัน”
            “ซี่อเสวี่ยน เจ้าช่างไม่น่ารักเลย” อี้เทียนทำหน้าหมดสนุก ก่อนจะกลับไปฝึกเพลงดาบของเขาต่อ ไม่ทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในดวงตาของซื่อเสวี่ยน และไม่ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาของเขา
            “พี่อี้” ถ้าเรียกแล้ว ข้าจะน่ารักหรือ น่ารักในสายตาเจ้า
 
            ไม่กี่ปีต่อมา อี้เทียนในชุดเจ้าบ่าวสีแดงยืนเคียงข้างเจ้าสาวของเขา เวลานั้นซื่อเสวี่ยนตระหนักว่า คำว่า “พี่อี้” ไม่ใช่คำเรียกขานที่ตนเองสามารถกล่าวได้อีกต่อไป
            หากรู้ก่อน เขาจะเรียกอีกฝ่ายว่าพี่อี้ซ้ำๆ จนฝ่ายนั้นรำคาญเลยทีเดียว
               
               
                อวิ๋นหนานไม่คาดว่าจะได้พบต้นเหตุความวุ่นวายใจของเขาเร็วถึงเพียงนี้ และได้เห็นสีหน้าขมขื่นที่ไม่ทันได้ปิดบัง เทพหนุ่มพลันรู้สึกว่าหัวใจบีบรดแน่นจนอึดอัด ภาพของเซียนน้อยที่บอกเล่าความทุกข์ยากให้เขาฟังริมแม่น้ำเจียงหัวซ้อนทับเข้ามา รู้ตัวอีกทีสองขาก็พาตนเองเข้ามาใกล้อีกฝ่ายเสียแล้ว
                เห็นจิวซือเงยหน้ามองเขาตาโต ก่อนจะยิ้มให้ ท่าทางปราศจากความทุกข์กังวลใจอย่างที่หากเขาไม่เห็นเสียก่อน ก็คงไม่ทราบ ดวงตาสีทองของอวิ๋นหนานซับซ้อนขึ้น คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ก็คล้ายไม่เข้าใจ
                “มีอะไรหรือครับ”
                อวิ๋นหนานยังคงมองจิวซือเงียบๆ เนิ่นนานจนคล้ายกับว่าจะไม่มีบทสนทนาใด กระทั่งจิวซือขยับตัวจะลุกขึ้น ค่อยได้ยินเสียงทุ่มต่ำของเขาเอ่ยว่า “วังตะวันออก”
                สีหน้าอวิ๋นหนานเหมือนแปลกใจกับคำพูดของตัวเอง แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลับมาเรียบราบตามเดิม พร้อมกับน้ำเสียงที่มั่นคงและชัดเจนขึ้น “สิ้นสุดภพนี้เมื่อใด กลับไปวังตะวันออก”
                คำสั่งปราศจากที่มาที่ไปของเจ้าวังตะวันออกสร้างความสับสนงุนงงให้กับจิวซือไม่น้อย ไม่ทราบเจ้าวังมีภารกิจอื่นใดจะสั่งการเขาหรือเปล่า แต่ก็พยักหน้ารับโดยดี
                “ครับ”
                ร่างสูงของอวิ๋นหนานขยับเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง ก่อนจะโน้มกายลงกระทั่งใบหน้าอยู่ห่างจากศีรษะของจิวซือเพียงคืบจนจิวซือตัวแข็งทือ กระนั้นเมื่อฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะแล้วลูบเส้นผมของเขาเบาๆ ด้วยสัมผัสอ่อนโยนเต็มไปด้วยความระมัดระวัง จิวซือพลันนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ในร่างกาดำ จึงเอียงศีรษะรับสัมผัสอ่อนโยนอย่างว่าง่าย กลายเป็นเจ้าของฝ่ามือเสียเองที่เป็นฝ่ายชะงักไป นัยน์ตาสีทองฉายแววลึกล้ำยากคาดเดา ราวกับว่ามีพายุอารมณ์ลูกใหญ่โลดแล่นในทะเลความคิดของเขา
                จิวซือลืมตาอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่าสัมผัสของอวิ๋นหนานหายไป กลายเป็นความเย็นของกระแสลมเข้ามาแทนที่ เขามองแผ่นหลังเหยียดตรงห่างออกไปเรื่อยๆ ริมฝีปากของจิวซือเม้มเข้าหากัน ไม่อาจละสายตาจากแผ่นหลังกว้างนั้นได้ เนิ่นนานว่าเขาจะผ่อนลมหายใจยืดยาว แล้วเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ พยายามกำจัดความรู้สึกไม่มั่นคงในจิตใจ
 
                #วิถีเซียน3p
 
...................
อาทิตย์นี้ลงสองตอน เนื่องจากเสาร์อาทิตย์หน้าไม่อยู่ค่า V.V
Q: ตงหวาง บทน้อยไปมั้ย
A: รอ Arc เลยค่ะ มีสะใภ้ เอ๊ย เซอร์ไพส
 Q: มีฉากคัทกับตงหวางมั้ย
A: Arc นะก๊ะ
Q: 3p แน่ๆ ใช่มั้ย
A: แน่นอนที่สุด อยากแต่งตอนจบแล้ว TT ทำไมเรื่องนี้มันยาวจังเลยยยย


หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 5)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 01-03-2019 21:17:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 5)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-03-2019 23:06:47
 :hao7:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 5)
เริ่มหัวข้อโดย: FiZZ ที่ 04-03-2019 12:46:26
อยากจะชูธงทีมตงหวาง แต่อ้าว 3P นี่นา 555
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 5)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 17-03-2019 12:14:00

The Protector 6


   หลังจากทราบว่าเลือดของอลันมีพลังชีวิตอย่างที่คาด แน่นอนว่าจิวซือคิดจะใช้มันให้เกิดประโยชน์กับภารกิจครั้งนี้ ปัญหาคือทำอย่างไรไม่ให้เกิดอันตรายและเป็นความลับ หากเรื่องที่เลือดของเขามีพลังเช่นนี้ถูกเปิดเผยออกไป ย่อมนำมาซึ่งความวุ่นวาย
   สองสามวันนี้หน้าที่การควบคุมการก่อสร้างถูกมอบหมายให้กับเซฟเป็นการชั่วคราว เนื่องจากอี้เทียนยืนกรานให้เขามาช่วยเป็นครูฝึกให้กับมิวเทนท์ที่มีพลังธาตุดินและน้ำ จิวซือสอนการควบคุมพลังให้กับคนที่พลังพิเศษตื่นแล้ว และใช้พลังของตัวเองชักนำพลังที่หลับใหลให้กับคนอื่นๆ กรณีหลังนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อาจเป็นเพราะเขาสามารถรับรู้ถึงกระแสพลังเล็กๆ ในร่างกายของคนพวกนั้น ทำให้อัตราความสำเร็จของเขาค่อนข้างสูง
   อี้เทียนอ้างว่าการสร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งสำคัญกว่างานก่อสร้าง ดังนั้นจึงดึงตัวเขาไว้ที่นี่ เขามีหรือไม่จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายตั้งใจจับตาดูเขา ไม่ให้ใช้ร่างกายนี้เปลืองจนเกินไป อย่างไรก็ตามในเมื่อเลือดของอลันมีประโยชน์ขนาดนี้ แถมร่างกายยังสร้างขึ้นทดแทนได้เรื่อยๆ จะปล่อยให้สูญเปล่าก็น่าเสียดาย



   หลังจากที่บอกลาซีโน่ เสี่ยวฝู และเสี่ยวเฮยเรียบร้อยแล้ว จิวซือก็เดินกลับมายังห้องนอนของตัวเอง หรือกล่าวให้ถูกต้องก็คือห้องนอนของพวกเขาสามคน เดิมทีคิดว่าหลังจากขยายนครแห่งชีวิต เทพทั้งสองจะย้ายออกไป แต่เปล่าเลย พวกเขาสามคนยังอยู่ด้วยกันเช่นเดิม ดังนั้นจิวซือจึงเพียงแค่ขยายโถงนี้ รวมถึงเตียงนอนให้กว้างขึ้น เพื่อให้ไม่อึดอัดเกินไป
   อี้เทียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ขณะที่อวิ๋นหนานนั่งในท่าเดียวกันบนหินก้อนใหญ่ริมผนังที่เจาะเป็นหน้าต่าง โดยปกติแล้วเจ้าวังตะวันออก เจ้านายของเขามักออกไปข้างนอกตลอดทั้งวัน และกว่าจะกลับมาก็ครึ่งคืนแล้ว จิวซือเดาว่าเขาคงมีภารกิจอื่นๆ ที่ต้องกระทำในภพนี้ ไม่เช่นนั้น เจ้าวังตะวันออกอย่างเขาจะลงมาโลกมนุษ์บ่อยๆ เพื่ออะไร

   “เลือดของอลัน...”
   ทันทีที่ได้ยินคำพูดของจิวซือ เปลือกที่ปิดสนิทของอี้เทียนก็เปิดออกเผยให้ม่านตาสองสีสาดประกายคมกล้า ราวกับกำลังส่งคำเตือนผ่านสายตาคู่นั้น
   แทนที่จะเกรงกลัว จิวซือผ่อนลมหายใจและยิ้มออกมาเล็กน้อย แน่นอนเขาเข้าใจความหมายของอี้เทียน กระทั่งความอบอุ่นสายหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวใจก็รู้สึกได้ ไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับความหวังดีของอีกฝ่าย แต่เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว เขาย่อมไม่เปลี่ยนความตั้งใจโดยง่าย อย่างน้อยจนกว่าจะค้นพบบางอย่างที่ดีกว่าเลือดของอลัน
   อี้เทียนขมวดคิ้ว เมื่อเห็นความดื้อรั้นของจิวซือ กล่าวย้ำว่า “ไม่จำเป็นต้องใช้เลือดของเจ้า”
   “เลือดเล็กน้อย สร้างใหม่ได้”
   ก่อนที่อี้เทียนจะลุกขึ้นมาจัดการกับคนที่ไม่เชื่อฟังเขา ก็ได้ยินเสียงราบเรียบของอวิ๋นหนานขัดขึ้นมาเสียก่อน
   “ทำเป็นยา”
   สายตาคมของเจ้ายมโลกเปลี่ยนทิศทาง ดวงตาสองสีประสานกับดวงตาสีทองที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ทุกครั้งที่ได้เห็น ‘เกะกะขวางทาง’ เรียกว่าเช่นนี้ก็คงได้ แต่กลับจำกัดอีกฝ่ายไปไม่ได้
   “ไม่”
   “ข้าไม่ทำร้ายเขา” น้ำเสียงของเจ้าวังตะวันออกนิ่งเรียบแต่เปี่ยมด้วยมั่นคงหนักแน่น ครั้นเห็นเทพยามายังคงแสดงท่าทางปฏิเสธชัดเจน ก็อธิบายเพิ่มอย่างที่น้อยครั้งจะทำ “ดีกว่าปล่อยให้ดื้อรั้นเกินขอบเขต”   
   อวิ๋นหนานเข้าใจ มีหรืออี้เทียนจะไม่เข้าใจ
   ต่อให้พวกเขาไม่ยินยอมช่วยเหลือ หรือแม้แต่ขัดขวาง เจ้าตัวก็ต้องหาวิธีการอื่นๆ จนได้ ดังนั้นให้ทำอยู่ในสายตาของพวกเขาย่อมปลอดภัยกว่า
   จิวซือชะงักไปเล็กน้อยกับประโยคที่เจือความอ่อนใจและเข้าใจของอวิ๋นหนาน จากนั้นใบหน้านวลก็เผยรอยยิ้มกว้าง ดวงตาโค้งลงเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว แสดงถึงความยินดีอย่างไม่ปิดบัง
   “ลองดูกันเถอะครับ”




   5 ปีต่อมา
   นครแห่งชีวิต หรือที่บางคนเรียกว่ามหานครใต้ดิน เวลา 5 ปี นับว่าไม่สั้นไม่ยาว แต่เพียงพอให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายกับสถานที่แห่งนี้ นครแห่งชีวิตกลายเป็นมหานครใต้ดินขนาดใหญ่ ครอบคลุมเทือกเขาสามลูก ไม่ใช่หมู่บ้านเล็กๆ ในถ้ำที่คนไม่รู้จักอีกต่อไป เช่นเดียวกับมิวเทนท์ที่ไม่ใช่ผู้ถูกละทิ้ง แต่เป็นขุมกำลังใหญ่ที่น่าจับตามอง
   อาณาเขตของนครแห่งชีวิตขยายตัวอย่างเงียบเชียบขณะที่มนุษย์และซอมบี้ต่อสู้กัน ราวกับฟ้าประทานโอกาสอันดี กำลังทั้งสองฝ่ายยิ่งใหญ่ทัดเทียมกันไหนเลยจะเห็นมิวเทนท์แค่ไม่กี่สิบคนเป็นภัยคุกคาม หารู้ไม่ว่าประชากรของมิวเทนท์ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางคนถูกนำมาทิ้งไว้เช่นเดียวกับซีโน่ หลายคนหลบหนีมาร่วมด้วยตนเองเพื่อหวังมีชีวิตรอด ความจริงแล้วประชากรมิวเทนท์นั้นมีมากกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ เรื่องที่มิวเทนท์มีพลังพิเศษถูกเปิดเผยต่อคนทั่วไปเมื่อสองปีก่อน กลายเป็นหัวข้อใหญ่ แต่แทนที่รัฐบาลจะพยายามดึงพวกเขาเข้าเป็นพวก กลับยิ่งตามล่า มองพวกเขาเป็นภัยคุกคามไม่ต่างจากซอมบี้ ศูนย์วิจัยประกาศมอบรางวัลนำจับจำนวนมหาศาล เจ้าหน้าที่หรือแม้คนทั่วไปพกมีดตั้งใจสร้างบาดแผลให้กับคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นมิวเทนท์ เพื่อดูสีเลือดของพวกเขา ทำให้มิวเทนท์หนีมาลงหลักปักฐานที่นครแห่งชีวิตเป็นจำนวนมาก และต่อเนื่อง สุดท้ายนครแห่งชีวิตนี้จึงกลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ
   ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเมื่อมิวเทนท์ทั่วไปได้รับการฝึกฝนและยาเม็ดกลมเล็กสีแดง ที่เรียกกันว่า Life-Med การปลุกพลังและควบคุมพลังพิเศษของพวกเขาง่ายดายขึ้นมาก อาการเจ็บปวดที่นำไปสู่การเสียสติและการคลั่งก็หายไปด้วยเช่นกัน Life-Med เป็นผลงานวิจัยและผลิตโดยอลัน ผู้ปกครองนครแห่งชีวิต ดังนั้นสำหรับเหล่าผู้ใช้พลังแล้ว อลันคือพระเจ้าที่ปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมาน กระทั่งหลายคนจึงเรียกเขาว่า ‘ก็อดอลัน’
   


   โดยปกติแล้ว เวลานี้ของทุกเดือนจะเป็นเวลาที่จิวซือต้องปรุงยา Life-Med ที่เรียกชื่อนี้ก็เพราะมันมีสรรพคุณในการกระตุ้นให้ร่างกายให้ต่อสู้กับเชื้อโรคและอาการบาดเจ็บต่างๆ ตลอดจนมีส่วนช่วยดึงพลังพิเศษที่ซ่อนเร้นออกมา อีกประการก็เพราะยาตัวนี้มีเลือดที่มีพลังชีวิตของเขาเป็นส่วนประกอบสำคัญ แม้จะเจือจางลงมากเพื่อให้เพียงพอกับจำนวนมิวเทนท์ที่เพิ่มขึ้นก็ตาม
   วันนี้เป็นวันครบรอบ 5 ปีของการก่อตั้งนครแห่งชีวิต ดังนั้นอลันที่เป็นเจ้าผู้ครองนครจึงมิอาจไม่เข้าร่วม งานเลี้ยงฉลองนี้ไม่มีสิ่งใดพิเศษ เพียงแต่เป็นการทานมื้ออาหารค่ำที่หรูหรากว่าปกติเล็กน้อย ส่วนสถานที่จัดงานก็เป็นโถงใหญ่ของถ้ำแห่งแรกที่พวกเขาบุกเบิกขึ้นมา ประชากรมิวเทนท์เพิ่มขึ้นจากสี่สิบคนเป็นเกือบพันคน แม้เล็กน้อยหากเทียบกับจำนวนของมนุษย์ทั่วไป แต่แทบทุกคนล้วนเป็นผู้ใช้พลัง ดังนั้นมนุษย์ธรรมดาหรือแม้แต่กองกำลังติดอาวุธก็ไม่อาจเทียบได้ ลองจินตนากรว่ามีซุปเปอร์ฮีโร่หนึ่งพันคนรวมตัวกันเป็นองค์กรแห่งหนึ่ง พลังของพวกเขาย่อมไม่อาจดูแคลนได้เลย
   รู้สึกถึงวงแขนที่ตวัดโอบรอบเอวของตนเอง จิวซือมองใบหน้าคมคายของคานส์เกยอยู่บนไหล่ของเขา ความใกล้ชิดสนิทสนมบางครั้งเหมือนจะทลายกำแพงสูงที่เขาก่อขึ้นไว้ได้ไม่ยาก แต่เพราะตนเองไม่คิดป้องกัน หรือหลีกหนีอีก ดังนั้นจึงได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ ถึงอย่างนั้นตนเองก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่กล้าก้าวหน้าไปข้างหน้าสักก้าว ไม่เชื่อใจอีกฝ่ายหรือไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ล้วนเป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากพิจารณาทั้งนั้น เกรงว่าหากได้คำตอบแล้ว บางทีอาจสูญเสียเป้าหมายในการเป็นเทพไป

   “ซีโน่ล่ะ”
   อารมณ์ดีของอี้เทียนแทบถูกทำลายด้วยคำถามนี้ ชายหนุ่มแค่นเสียงในลำคอ “ถามทำไม”
   “สนิทกันนี่” จิวซือกล่าวกลั้วหัวเราะ อี้เทียนปากบอกว่าไม่ชอบ สุดท้ายก็เป็นคนสอนซีโน่ด้วยตัวเอง พรสวรรค์ของซีโน่ไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่แปลกที่อี้เทียนจะเอ็นดูเขา เพียงแต่ไม่รู้ทำไมชอบแสดงออกในทางตรงข้ามนัก
    “กล้าล้อข้า” เขาว่า พร้อมทั้งขบฟันกับไหล่บางเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว
   

   เสียงฝีเท้าที่คุ้ยเคย ตามมาด้วยเสียงประตูเปิด ทำให้จิวซือผละจากอ้อมแขนของอี้เทียน ยิ้มทักผู้มาใหม่โดยปราศจากความเก้อเขิน “กลับมาแล้วหรือครับ”
   อวิ๋นหนานพยักหน้า ไม่ใส่ใจท่าทางไม่สบอารมณ์ของนายแห่งยมโลกเมื่อเขาเข้ามาขัดจังหวะ เทพหนุ่มเอี้ยวตัวไปดึงแขนของซีโน่ที่หลบอยู่ข้างประตู ให้เด็กหนุ่มก้าวมาข้างหน้า
   ซีโน่ในวัย 10 ปี มีรูปร่างสูงโปร่งกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ใบหน้ารูปไข่เริ่มมีเค้าโครงชัดเจน ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตมา ทำให้เด็กชายดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย กระนั้นใบหน้าที่เคยดูน่ามองบัดนี้กลับมีรอยเลือดและรอยไหม้ที่มุมปากและปลายคิ้ว
   จิวซือตรงเข้าไปหาซีโน่ เด็กชายสูงประมาณคอของเขา ดังนั้นแค่ก้มหน้าลง ใบหน้าของซีโน่ก็อยู่ในครรลองสายตา
   “เกิดอะไรขึ้น”
   ซีโน่เม้มปาก ช้อนตามองอลัน สีหน้าของเขาแฝงความดื้อรั้น และอัดอั้นตันใจ
   “ทะเลาะกับคนอื่น” และเป็นอวิ๋นหนานที่อธิบาย เมื่อเขากลับจากลาดตระเวนก็เห็นซีโน่กำลังต่อสู้กับผู้ชายตัวสูงใหญ่กว่าตนเอง ถ้าจำไม่ได้มิวเทนท์ตนนั้นชื่อเกียส เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในนครแห่งชีวิตเมื่อไม่นานมานี้
   “มันว่าอลัน” แววตาของซีโน่ฉายความกรุ่นโกรธ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ความร้อนแล่นมารวมกันที่ใบหน้า โกรธ เขาโกรธมาก คนพวกนั้นกล้าดียังไงมาว่าอลันของเขา “เรื่องยา” บอกว่าอลันใจแคบ จงใจปกปิดสูตรยา Life-Med ไม่ให้คนอื่นรู้ ตัวเองจะได้มีอำนาจควบคุมทุกคน บอกว่าอลันเห็นแก่ตัว เห็นแก่อำนาจ ไม่ใช่คนดีอย่างที่ทุกคนเข้าใจ พวกนั้นกล้าพูดออกมาได้ยังไง! ถ้าไม่มีอลัน พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตสบายอย่างทุกวันนี้เหรอ ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร ที่อยู่ หรือแม้แต่ชีวิต ถ้าไม่มีอลันก็อาจไม่มีนครแห่งชีวิตด้วยซ้ำไป
   ทุกครั้งที่อลันออกมาจากห้องปรุงยา ใบหน้าของเขาขาวซีดอ่อนแรง ยิ่งคนในนครแห่งชีวิตเพิ่มขึ้น อลันยิ่งต้องสร้างยาพวกนั้นเพิ่มขึ้นทุกเดือน บางครั้งต้องอาศัยคานส์อุ้มออกมานอนพักด้วยซ้ำ ซีโน่ไม่รู้หรอกว่าอลัน คานส์และฮิลสร้างยามหัศจรรย์อย่าง Life-Med ขึ้นมาได้ยังไง แต่แน่ใจว่าอลันต้องเสียสละบางอย่างไป
   สำหรับเขา อลันคือพระเจ้า คือผู้ปกป้องดินแดนแห่งนี้ เขาทนไม่ได้ที่เห็นใครว่าร้ายพระเจ้าของเขา

   เห็นใบหน้าโกรธขึ้ง และดวงตาแดงกล่ำเหมือนใกล้ร้องไห้เต็มทีของซีโน่ ใบหน้าของจิวซือก็พลันอ่อนโยนลง ชายหนุ่มดึงตัวซีโน่มากอดเต็มอ้อมแขน  ตบไหล่เขาเบาๆ
   แค่ได้ยินว่าเป็นเรื่องยา เขาก็พอจะคาดเดาต้นสายปลายเหตุได้ เมื่ออาณาเขตขยายตัวขึ้น มีผู้คนมากขึ้น อำนาจและพลังแข็งแกร่งขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่จะมีข้อกังขาหรือแม้แต่หนอนบ่อนไส้ที่ต้องการสร้างความแตกแยกจากภายใน ข่าวลือพวกนั้นใช่ว่าเขาจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เพราะเห็นว่ายังเป็นแค่เรื่องน่ารำคาญ ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ ดังนั้นจึงปล่อยไป ไม่คิดว่าจะเป็นสาเหตุให้ซีโน่ไปทะเลาะกับคนอื่น
   “ซีโน่ปกป้องฉันเหรอ ขอบใจนะ”
   ความโกรธขึ้งของเด็กชายแทบสลายไปกับประโยคนี้ เขาซุกหน้ากับอกของอลัน ซ่อนรอยยิ้มยินดีที่ได้รับคำขอบคุณเอาไว
   “ทำเก่งไม่เข้าเรื่อง” ซีโน่เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของคานส์ เขาประสานสายตากับอีกคนอย่างปราศจากความเกรงกลัว ดวงตาสองสีของคนที่สอนเขาใช้ไฟฉายแววตำหนิ
   “ใคร”
   “เกียส” ซีโน่ตอบ มั่นใจว่าคานส์จะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไว้ เหตุผลย่อมไม่ใช่การทำให้เขาบาดเจ็บ เพราะถ้าเป็นเรื่องนี้ คานส์คงสอนเทคนิคให้เขาเอาชนะเกียสด้วยตัวเองจึงจะสะใจกว่า แต่น่าจะเป็นเพราะเกียสว่าร้ายอลันมากกว่า
   สมควรแล้ว พวกนั้นสมควรได้ลิ้มลองไฟที่ร้อนที่สุดของนครแห่งชีวิตแล้ว




   #วิถีเซียน3p


………………

TBC.
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 6)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-03-2019 13:40:11
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 6)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-03-2019 15:30:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 6)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 17-03-2019 21:40:52
 o13
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 6)
เริ่มหัวข้อโดย: rainichxx ที่ 18-03-2019 01:53:46
เลือกไม่ได้จริง ๆ ท่านเจ้าวังคือยังไม่รู้ใจตัวเองแต่ปลอมลงมาช่วยหลายต่อหลานครั้ง
ส่วนอี้เทียนนี่เหมือนรักแรก เหมือนบ่วง เป็นอะไรที่ทำใจปล่อยไม่ได้จริง ๆ
ดีนะที่เป็น 3p ไม่งั้นจิตใจคนอ่านไม่อยู่สุขแน่นอน ฮือออ

เอ็นดูซีโน่มาก ๆ เป็นเด็กดีจริง ๆ เลยย  :mew1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 7)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 21-03-2019 18:16:37


The Protector (7)
 





                ไฟที่ร้อนที่สุดของนครแห่งชีวิตไม่เคยเหลือร่องรอยใดๆ ไว้ ภายในเวลาไม่กี่วัน หนูหลายตัวถูกกำจัด แน่นอนว่ารวมถึงเกียสกับพวกด้วย ไม่ทราบมีพวกที่หลงเชื่อรัฐบาลและแฝงตัวเข้ามาเท่าไร แต่พวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องเกรงกลัว ในทางตรงข้ามเมื่อรัฐบาลทราบถึงความแข็งแกร่งของนครแห่งชีวิต พวกเขาก็เป็นฝ่ายก้าวถอยหลัง และส่งคนมาขอเจรจาด้วย เวลานั้นคานส์ถึงกับยิ้มเย็น เยาะเย้ยว่าในที่สุดพวกเขาก็เริ่มฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว
                หน้าผาหินที่ยื่นออกมาจากภูเขา ไม่ได้เป็นจุดที่สูงที่สุดของนครแห่งชีวิต แต่เป็นที่ที่สามารถเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน และเป็นที่ประจำที่จิวซือมักจะขึ้นมายืนรับลม เวลานี้ก็เช่นกัน เขายืนหลังตรง ทอดสายตามองไกลออกไป สายตาของมิวเทนท์ดีกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่า ดังนั้นจึงเห็นมิวเทนท์หลายคนๆ ที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ด้านล่างได้ไม่ยาก รวมถึงหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนอย่างฮิลด้วย
                ผมสีทองยาวถูกมัดรวบอย่างเรียบร้อย ร่างสูงอยู่ในชุดสีดำทั้งตัว สง่างาม ปราดเปรียว ราวกับเสือดำโลดแล่นอยู่กลางป่า ช่างแตกต่างจากรูปลักษณ์ยามปกติของเจ้าวังตะวันออกนัก แวบหนึ่งจิวซือรู้สึกได้ว่าอวิ๋นหนานรับรู้ถึงสายตาของเขา จังหวะฝีเท้าชะงักไปเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หันกลับมา
                ไม่ทราบเพราะอะไร จู่ๆ ก็คล้ายกับว่าอีกฝ่ายสร้างกำแพงสูงใหญ่ขึ้นมา ทำให้เขาได้แต่แหงนหน้ามองขึ้นไป ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ความคิดได้เลยแม้แต่น้อย อวิ๋นหนานเหมือนกลับคืนสู่สถานะของเทพผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เจ้าวังตะวันออกที่คอยสอนวิชาให้เขา ไม่ใช่ดีแลนด์สหายของเขา ไม่ใช่ตงหวางที่ประทานพรให้เขา

                จากสหายกลายเป็นคนแปลกหน้าในชั่วข้ามคืน
               
 


                ราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ จิวซือจะไปพบผู้นำของฝั่งรัฐบาลที่ต้องการเจรจาเป็นพันธมิตรกับนครแห่งชีวิต และตั้งใจจะพาซีโน่ไปหาพ่อกับแม่ของเขาด้วย ดังนั้นเขาคิดว่าจะผลิต Life-Med ตุนไว้ก่อน จริงๆ การทำยาตัวนี้ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร แค่ใช้เลือดของเขาผสมกับสมุนไพรทั่วไปอีกห้าอย่าง จากนั้นก็หลอมเป็นยาลูกกลอนด้วยไฟของอี้เทียน ส่วนตงหวางนั้นเดิมทีเขาคอยช่วยถ่ายทอดพลังให้เวลาที่เสียเลือดมาก เนื่องจากเลือดของอลันมีพลังชีวิต ดังนั้นการเสียเลือดสำหรับจิวซือจึงหมายถึงเสียพลังชีวิตไปด้วย แน่นอนว่าร่างกายของเขาจะค่อยๆ ฟื้นฟูตัวเอง
                ห้องที่ใช้ผลิตยา Life-Med เป็นห้องที่สร้างขึ้นใหม่ อยู่ลึกเข้าไปในเขาลูกที่สอง ซึ่งจิวซือได้สร้างเตาหลอมยาขนาดใหญ่ไว้ที่นั่น ขณะที่สมุนไพรต่างๆ ถูกจัดเก็บไว้บนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ ตามปกติห้องผลิตยานี้ไม่ใช่สถานที่หวงห้ามอะไร ยกเว้นเมื่อถึงคราวที่จิวซือจะผลิต Life-Med ทุกคนจะถูกกันออกไปนอกบริเวณ โดยมีเซฟ เสี่ยวฝูและเสี่ยวเฮยทำหน้าที่เป็นนายทวาร ปกป้องไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา
                “จะทำยา?”
                “อืม ลงจากเขาคราวนี้ คงใช้เวลาหลายวัน”
                อี้เทียนพยักหน้าเข้าใจ แต่เมื่อไม่เห็นอีกคนหนึ่งที่สมควรอยู่ในเวลานี้ สายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นตั้งคำถาม จิวซือเดินไปเตรียมสมุนไพร กล่าวโดยไม่มองหน้าอีกคน “...แค่ร้อยเม็ด ไม่จำเป็นต้องรบกวนตงหวาง”
                ตามปกติแล้ว เขาจะผลิต Life-Med เดือนละครั้ง ครั้งละประมาณสองถึงสามร้อยเม็ด เพราะนอกจากทุกสามเดือนจะต้องแจกจ่ายให้มิวเทนท์ทุกคนแล้ว ยังใช้เป็นรางวัลหรือของตอบแทนให้กับมิวเมนท์ที่ปฏิบัติภารกิจต่างๆ ด้วย จิวซือเคยคิดจะผลิตครั้งละมากๆ ในคราวเดียว แต่อวิ๋นหนานแย้งว่าหากเขาเสียพลังชีวิตมากเกินไป ร่างกายจะไม่สามารถสร้างขึ้นมาทดแทนได้ ทำให้เกิดผลกระทบถาวร ดังนั้นตลอดเวลาจึงคอยควบคุมการเสียเลือดและพลังของเขา
                จะว่าไปแล้วเรื่องที่พวกเกียสพูดก็ไม่ผิดนัก พวกเขาตั้งใจใช้ Life-Med ในการควบคุมนครแห่งชีวิตจริงๆ มหานครใต้ดินแห่งนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวัน การควบคุมอย่างรัดกุมเป็นไปได้ยาก ดังนั้น Life-Med จึงเปรียบเหมือนการควบคุมแบบหลวมๆ ให้ทุกคนไม่ละเลยหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น
                ชามแก้วใสใบใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะไม้ เล็บบริเวณนิ้วชี้ของจิวซืองอกยาวขึ้น ปลายเล็บแหลมคมไม่ต่างจากมีด เขา จรดปลายเล็บลงบนข้อมือซ้ายโดยไม่ลังเล โลหิตสีคล้ำไหลจากรอยกรีดข้อมือลงในชามแก้วช้าๆ หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามีละอองแสงสีเขียวเคลือบอยู่ในเลือดทุกหยด
                กระทั่งชามแก้วถูกเต็มไปกว่าครึ่ง มือของอี้เทียนก็ขยับเข้ามาจับต้นแขนของจิวซือ เป็นเชิงให้เขาหยุด
                “พอแล้ว”
                จิวซือยอมนั่งลงกดปิดปากแผลแต่โดยดี อี้เทียนพิจารณาสีหน้าของอีกฝ่าย เมื่อพบว่าไม่ได้ขาวซีดเกินไปนักก็วางใจ ชั่วขณะหนึ่งดวงตาสองสีของเขาฉายแววซับซ้อน พลังของเทพยามาประกอบด้วยพลังสองขั้วที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก ดังนั้นไม่อาจถ่ายทอดให้เซียนอย่างจิวซือได้ จึงได้แต่ปล่อยให้เขาค่อยๆ ฟื้นตัวเอง
                ไม่ต้องรบกวนตงหวาง
                แม้แต่คำเรียกขานก็เปลี่ยนไป ไม่ทราบเจ้าตัวรู้หรือไม่
 
 

                ไกลออกไปเกือบสุดอาณาเขตของนครแห่งชีวิต กาดำบินร่อนลงสู่ไหล่ของร่างสูงในชุดดำทั้งตัว เจ้ากาน้อยเสี่ยวเฮยร้องก้าก้าด้วยท่าทางคล้ายประท้วง และโกรธเจ้าของไหล่กว้างอยู่ไม่น้อย นิ้วเรียวของอวิ๋นหนานเคาะจะงอยปากของเสี่ยวเฮยเบาๆ เร่งให้มันเล่าเรื่องที่เห็นให้เขาฟัง
                เมื่อได้ยินว่าจิวซือผลิตยาเองโดยไม่รอ อวิ๋นหนานก็อดมองไปทางหน้าผาสูงไม่ได้ แน่นอนว่าบริเวณนั้นว่างเปล่า เสี่ยวเฮยเอียงคอมองเจ้านายของมันอย่างไม่เข้าใจ
                “หมดสติหรือเปล่า”
                ก้า ก้า
                “ดีแล้ว”
                เซียนน้อยตนหนึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับเขามากนัก เพียงมีชะตาได้พบกันครั้งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำเจียงหัว และภายหลังพบว่าเด็กคนนั้นมีความตั้งใจดีควรส่งเสริม ไม่ทราบเมื่อไรที่ตนเองสนใจอีกฝ่ายมากไป แค่ผู้ช่วยคนเดียว เพียงเอ่ยปากย่อมมีผู้จัดหามาให้ ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงกับเจ้าผู้ครองยมโลกให้เกิดการบาดหมาง เหตุผลบอกเขาเช่นนี้ จิตเซียนของจิวซือแข็งแกร่งพอแล้ว บ่วงในอดีตคงไม่ขวางทางการบรรลุเป็นเทพของเขา ไม่มีเรื่องใดน่าเป็นห่วง
                สิ้นสุดภพนี้ จะกลับมาวังตะวันออกหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่
 



            เมืองสตาร์ดัส เป็นเมืองรอยต่อระหว่างป่าแห่งความตายและอาณาเขตของมนุษย์ทั่วไป เดิมทีพื้นที่บริเวณนี้เป็นเมืองร้างที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงไม่นานหลังจากที่รัฐบาลตัดสินใจดึงมิวเทนท์เข้าเป็นพวก เพื่อสร้างอาณาเขตที่เป็นมิตรกับทั้งสองฝ่าย ด้วยเวลาจำกัด เมืองสตาร์ดัสจึงไม่ต่างจากหมู่บ้านในชนบทมากนัก เว้นแต่มีทหารติดอาวุธลาดตระเวนอยู่ทั่วทุกมุม
                จิวซือเดินจับมือซีโน่ โดยมีเสี่ยวเฮยขดตัวอยู่บนไหล่ ส่วนเสี่ยวฝูบินวนอยู่ด้านบนในลักษณะระวังภัย ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าคืออี้เทียนและแวล ผู้ใช้พลังควบคุมดินเช่นเดียวกับจิวซือ ส่วนด้านหลังคืออวิ๋นหนาน และโจเซฟ รองหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน เขาเป็นผู้ใช้ลม
                เมื่อเห็นอวิ๋นหนานตามมาด้วย จิวซือก็เพียงทักทายเขาตามปกติ อีกฝ่ายไม่กลับมาที่โถงของพวกเขาอีกเลยนับตั้งแต่จิวซือเห็นเขาออกไปลาดตระเวนครั้งสุดท้าย หลายครั้งเขาอยากถามว่าภารกิจอะไรที่ทำให้ตงหวางอย่างท่านวุ่นวายขนาดนี้ และมีอะไรที่เขาพอจะช่วยได้ไหม แต่เมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ตระหนักว่าเดิมทีเจ้าวังทะเลตะวันออกก็เป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ที่เขาไม่สามารถใกล้ชิดได้อยู่แล้ว เช่นนั้นมิสู้ทำในสิ่งที่เคยรับปากไว้ให้สำเร็จเถอะ
               
 
                ตัวแทนในการเจรจาของฝ่ายรัฐบาลคือนายพลอีวาน เขาดูไม่อายุไม่ถึงสี่สิบปี รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ามิคล้ายผู้กุมอำนาจในกองทัพ ตรงข้ามเขาดูใจดีเข้าถึงง่าย แต่บุรุษที่ได้เป็นถึงนายพลขณะที่อายุยังน้อยย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ในฐานะผู้ครองนครแห่งชีวิต เขามิอาจปล่อยให้ตนเองเสียเปรียบตั้งแต่แรก ดังนั้นท่าทางที่จิวซือทักทายนายพลอีวานจึงเรียกได้ว่าเป็นมิตรแต่ไม่ลดตัว ต่างฝ่ายต่างหยั่งเชิงกันผ่านรอยยิ้ม กระทั่งอีวานพาพวกเขาไปยังที่พัก
                ขณะที่พูดคุยกับอีวาน จิวซือได้ถามถึงสิ่งที่เขาขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ได้ยินอีวานยืนยันว่าเขาเตรียมการเรียบร้อยแล้ว จิวซือก็กล่าวขอบคุณอย่างวางใจ จิวซือขอให้รัฐบาลช่วยหาพ่อแม่ของซีโน่ และสอบถามว่าพวกเขาต้องการเจอซีโน่หรือไม่ ให้คนของอีวานพิสูจน์จนมั่นใจว่าพวกเขารักซีโน่ และเสียใจกับการกระทำของตัวเองจริงๆ

                หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่ง จิวซือก็บอกซีโน่ว่าจะพาเขาไปเดินเล่น เด็กชายดีใจมาก ท่าทางที่มักจะทำเป็นผู้ใหญ่เกินตัวเมื่ออยู่ในนครแห่งชีวิตกลับสู่ความมีชีวิตชีวา อี้เทียนรู้เรื่องที่จิวซือจะพาซีโน่ไปพบพ่อกับแม่ ดังนั้นเขาจึงไม่ตามมา แต่ให้เสี่ยวฝูและเสี่ยวเฮยคอยระวังภัยห่างๆ
                จิวซือจูงมือซีโน่เดินไปรอบๆ อากาศในเมืองเมืองสตาร์ดัสดีกว่าบนเขามาก รอบๆ เมืองแม้จะรกร้างแต่ก็มีสิ่งของที่น่าสนใจอยู่บ้าง พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านไม้หลังเล็กหลังหนึ่ง จิวซือหยุดฝีเท้าลงทำให้ซีโน่เงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
                “คิดถึงพ่อแม่มั้ย”
                คำถามที่ปราศจากที่มาที่ไปของอลันทำให้ดวงตาของซีโน่ขยายกว้างขึ้นก่อนจะหลุบลง ภาพวัยเด็กของเขาแวบผ่านเข้ามาในความคิดภาพแล้วภาพเล่า ซีโน่หายใจเข้าลึกก่อนจะสั่นหัว
                ไม่คิดถึง
                ไม่มีวันคิดถึง
                “พวกเขารออยู่”
                ซีโน่ยังคงก้มหน้าไม่กล้ามองอลัน ความหมายที่อลันต้องการสื่อเขาเข้าใจ บ้านหลังนี้... พ่อกับแม่ของเขารออยู่ในบ้านหลังนี้ แต่รอเขาจริงหรือ ถ้ารอ ทำไมวันนั้นถึงทิ้งเขาไว้ ตั้งใจให้เขาตายอยู่กลางป่า หากไม่มีอลัน เขาคงตายไปแล้วจริงๆ วันที่พ่อปล่อยเขาไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาข้อร้องอ้อนวอนยังไงก็ไม่เหลียวมามอง พ่อไม่ได้ต้องการเขาแล้ว
                ซีโน่เงยหน้าสบตาอลัน ดวงตาของเขาแดงกล้ำแต่ไม่ยอมให้น้ำตาไหล เขาบีบมือของอลันแน่น อยากให้รู้ว่าเขาไม่ต้องการพ่อแม่ ตอนนี้ชีวิตของเขามีแค่อลันก็พอ ซีโน่เห็นอลันยิ้มอ่อนโยนให้เขา เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับตอนที่เห็นเขาใช้ไฟได้ครั้งแรก อลันยื่นมือมาลูบหัวของเขาเบาๆ เสียงพูดแผ่วเบาไม่ต่างจากตอนที่ปลอบให้เขาสงบลงจากอาการคลั่ง
                “ต่อให้พวกเขาทำผิด ซีโน่ก็รักใช่มั้ย”
                ซีโน่เม้มปาก ดวงตาของเขาร้อนผ่าว เขาไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากให้อลันรู้ว่าทุกวันนี้เขายังคิดถึงพ่อกับแม่อยู่ ยังคิดถึงเวลาที่พ่อยกเขาขึ้นบนบ่าบอกว่าเขาตัวหนักขึ้นอีกแล้ว คิดถึงแม่ที่คอยเป่าข้าวให้เย็นก่อนจะป้อนเขา คิดถึงเวลาที่ถูกชมว่าเป็นเด็กดี ทำไมถึงทิ้งเขาล่ะ เขาไม่ใช่เด็กดีของพ่อกับแม่แล้วหรือ
                “ซีโน่คือผู้ใช้พลัง ไม่อยากบอกให้พวกเขารู้หรือ”
                ซีโน่โถมเข้ากอดอลัน ซุกหน้ากับไหล่ของเขา ไม่อาจกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้น ราวกับจะปลดปล่อยความเสียใจที่เก็บกักไว้ตลอด 5 ปีออกมา
                อยากสิ อยากให้รู้
                เขาเอาชนะไวรัสได้ เขาใช้พลังไฟได้
                พ่อกับแม่ว่าเสียใจมั้ยที่ทิ้งเขาไปวันนั้น
                เคย...คิดถึงเขาบ้างมั้ย

                “อลัน ฮึก...อลัน มังกรไฟ ผมจะสร้างให้ได้”
                “อืม ฉันจะรอ”
 


 
#วิถีเซียน3p
 
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 6)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-03-2019 19:18:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 6)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 24-03-2019 00:02:26
แสดงว่าซีโน่จะกลับมาอยู่กับพ่อและแม่ใช่มั้ย หวังว่าพวกเขาจะไม่ทำร้ายซีโน่เหมือนครั้งเก่านะ

เราว่าอวิ๋นหนานควรจะมาพูดคุยกับจิวซือนะ หากจะทำแบบนี้ อย่างน้อยก็จะได้เข้าใจกัน
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 6)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 30-03-2019 18:00:09



The Protector (8)



   หลังจากทำข้อตกลงกับฝ่ายรัฐบาล นครแห่งชีวิตก็กลายเป็นที่กล่าวขาน ยกย่องจากคนทั่วไป ผู้คนหลีกเลี่ยงคำว่ามิวเทนท์ และเลือกใช้คำว่าผู้ใช้พลังเพื่อแสดงถึงความเคารพยกย่อง สถานะของพวกมิวเทนท์ได้รับการเชิดชูอยู่เหนือผู้คน เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองของนครแห่งชีวิตก็ว่าได้
   น่าเสียดายที่ยุคทองของพวกเขาคงอยู่ได้เพียงไม่นาน
   เป็นไปได้ว่าราชาซอมบี้ทราบเรื่องความร่วมมือระหว่างมนุษย์และมิวเทนท์ ดังนั้นหลังจากที่จิวซือกลับไปยังนครแห่งชีวิตเพียงสามเดือน การโจมตีของเหล่าซอมบี้ก็เริ่มรุนแรงขึ้น ซอมบี้ระดับนายพลและทหารระดับสูงถูกส่งออกมาจากด้านหลังป่าแห่งความตายอย่างต่อเนื่อง น่าแปลกที่พวกมันหลีกเลี่ยงนครแห่งชีวิต จนจิวซือเกิดความสงสัยว่าบางทีเทือกเขาแห่งนี้คงมีความพิเศษบางอย่างที่เขาไม่รู้
   ในช่วงแรกนครแห่งชีวิตเพียงส่งผู้ใช้พลังระดับทั่วไปไปช่วยต้านกองกำลังของพวกซอมบี้ ต่อมาพบว่ามีซอมบี้ระดับสูงจำนวนมากปะปนอยู่ ราวกับว่าพวกมันกำลังเตรียมการสำหรับการโจมตีครั้งใหญ่ จิวซือทราบข่าวนี้ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ที่การปะทะระหว่างซอมบี้กับกองกำลังติดอาวุธลงเอยที่การเสมออาจเป็นความตั้งใจของราชาซอมบี้ บางทีเขาแค่นึกสนุก และต้องการรักษาความสมดุลนี้ไว้ บางทีการตัดสินใจเข้าข้างมนุษย์ของพวกมิวเมนท์เป็นชนวนสำคัญ
   จากนครแห่งชีวิตไปถึงชายแดนเมืองสตาร์ตัสใช้เวลาเดินเท้าประมาณครึ่งวัน จิวซือ คานส์ ฮิล ซีโน่และบรรดามิวเทนท์ระดับสูงกว่าห้าร้อยคนเดินทางมายังเมืองสตาร์ดัส ส่วนที่เหลือเฝ้ารักษานครแห่งชีวิต เมืองสตาร์ดัสบัดนี้เต็มไปด้วยกองกำลังติดอาวุธ ประชาชนที่เพิ่งอพยพกลับมาก็ถูกพาตัวออกไปยังสถานที่ปลอดภัยอีกครั้ง รวมถึงพ่อแม่ของซีโน่ด้วย
   


   “พวกมันจงใจตีเมืองสตาร์ดัส” นายพลอีวานกล่าวด้วยสีหน้าฉายความกังวล ด้านซ้ายมือของเขาคือนายทหารระดับสูงอีกสามคน ซึ่งมีท่าทางเคร่งเครียดไม่ต่างกัน การถอนกำลังของพวกซอมบี้จากเขตแดนอื่นๆ แล้วมุ่งเป้าตีเมืองสตาร์ดัสที่อยู่ใกล้นครแห่งชีวิต และสมควรจะเป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุด ทำให้เกิดคำถามมากมาย และแม้ฝ่ายรัฐบาลจะโยกกำลังพลมายังเมืองชายแดนแห่งนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่า ก็ยังไม่กล้าละทิ้งบริเวณอื่นๆ
   “แปลก” นายทหารระดับสูงคนหนึ่งกล่าว
   “เกรงว่าจะเป็นกับดัก”
   จิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อกังวลของนายพลอีวาน ราชาซอมบี้เป็นปริศนาอีกประการหนึ่งที่เขายังไม่กระจ่าง ความคิดของฝ่ายนั้นที่มีต่อมิวเทนท์ยากจะคาดเดา จิวซือหันไปหาอี้เทียนที่นั่งอยู่ด้านข้างเพื่อขอความเห็น
   “คานส์?”
   “ไม่มีทางเลือก มันบุกทางไหนก็ยันทางนั้น”
   จิวซือมองข้ามไหล่อี้เทียน เห็นใบหน้าคมคายของอวิ๋นหนานหันมาราวกับรับรู้ถึงสายตาของเขา ดวงตาสีทองราบเรียบยามกล่าว “ไม่มีทางอื่น” หมายความว่าเขาเห็นด้วยที่จะตั้งรบที่นี่ ก่อนจะเสริมว่า “ส่งหน่วยลาดตระเวนสืบข่าว”
   “ทางเราจะร่วมด้วย”




   การปะทะของสองกองกำลังดำเนินอยู่ราวหนึ่งเดือน หน่วยลาดตระเวนของนครแห่งชีวิตและฝ่ายรัฐบาลไม่พบความผิดปกติของเมืองอื่นๆ เป็นความจริงว่าฝ่ายตรงข้ามโจมตีแต่เมืองสตาร์ดัส ทั้งยังเป็นการโจมตีอย่างค่อยเป็นค่อยไปราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง กระทั่งกลางดึกของคืนที่เงียบสงัด ลมพัดแรงจนเกิดเสียงหวีดหวิว บรรยากาศขมุกขมัวเข้าปลุกคลุมทั่วเมืองสตาร์ดัส
   ในที่สุดก็มาแล้ว


   ในฐานะครูฝึก อี้เทียนรู้จักพลัง จุดแข็งจุดด้อยของทุกคนเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงอยู่บัญชาการที่แนวหน้า จิวซือที่อยู่ในกระโจมค่ายชั่วคราวผุดลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ ซีโน่รู้สึกตัวตื่นเพราะความเคลื่อนไหวของคนข้างๆ เขาเห็นอลันรีบร้อนลุกจากที่นอน ก็ทราบว่าสถานการณ์ไม่ดี เด็กชายรีบลุกขึ้นตาม แต่ถูกอลันห้ามไว้
   “ห้ามออกไป”
   “ผมไปด้วย”
   “นี่คือคำสั่ง”
   ซีโน่เม้มปาก เขาเคยเห็นอลันออกคำสั่งกับคนอื่นๆ เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของเขา เด็กชายเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่ายามที่อลันแสดงตนในฐานะเจ้านครแห่งชีวิต แรงกดดันที่แผ่จากตัวเองมากมายเพียงใด




   จิวซือสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อเห็นกองทัพดำทะมึนของพวกซอมบี้ ท่ามกลางพวกมันมีหลายร้อยตนที่ดูแล้วน่าจะเป็นพวกที่มีระดับชั้นสูง เรียกได้ว่าแม้ปราศจากพลังพิเศษเช่นเดียวกับมิวเทนท์ แต่แค่ความรวดเร็วและแข็งแกร่งของร่างกาย ก็สร้างความลำบากให้กับเหล่าผู้ใช้พลังได้แล้ว

   จิวซือกระโจนเข้าไปเบื้องหน้ามิวเมนท์ตนหนึ่งที่ถูกล้อม กำแพงดินกระแทกซอมบี้หลายตัวกระเด็น หินแหลมคมราวห่ากระสุนกระแทกร่างของเหล่าซอมบี้ ทำให้การเคลื่อนไหวของพวกมันชะงักลง เปิดทางให้ผู้ใช้พลังคนอื่นๆ โจมตี

   “เจ้าเมือง”
   “ท่านอลัน”
   “บอสอลัน”
   ใบหน้าของเหล่าผู้ใช้พลังฉายแววความตื่นเต้นและยินดีที่อลันปรากฏตัวขึ้น ทุกคนต่างทราบดีว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ใช่ครูฝึกคานส์ แต่เป็นอลัน เจ้าผู้ครองนครแห่งชีวิตผู้นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากออกจากนครแห่งชีวิต พลังพิเศษของพวกมิวเทนท์คล้ายกับถูกลดระดับลงกึ่งหนึ่ง แม้แต่คานส์และฮิลก็ไม่มีข้อยกเว้น มีเพียงอลันเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบอะไร ทำให้สถานะของเขายิ่งสูงขึ้นไปอีก แน่นอนว่ามีบางคนเกิดความสงสัยว่าอลันมีความลับ หรือสิ่งของวิเศษอะไรที่ไม่บอกพวกเขา หลอกลวงว่าตนเองแข็งแกร่ง ทั้งที่อาศัยของวิเศษ นับตั้งแต่ได้ฝังความเคลือบแคลงเรื่อง Life-med ไว้ในใจ ความรู้สึกของบางคนที่มีต่ออลันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้จะไม่มีใครกล้าพูดออกมาเพราะเกรงกลัวคานส์ก็ตามที
   ความสามารถของจิวซือเรียกได้ว่าเป็นไพ่ตายหรืออาวุธลับ เพื่อรอดูเชิงของฝ่ายตรงข้าม นับตั้งแต่มิวเทนท์เข้าร่วมกับรัฐบาล จิวซือก็ไม่เคยแสดงตัวต่อสู้ด้วยตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาร่วมวงกับแนวทาง เมื่อเห็นพลังที่แข็งแกร่งของเขา ขวัญและกำลังใจของฝ่ายนครแห่งชีวิตก็เพิ่มสูงขึ้นทันที เสียงเรียกชื่ออลันแทบกลายเป็นเพลงปลุกใจ ครู่เดียวฝ่ายผู้ใช้พลังก็ผลักดันฝูงซอมบี้ถอยร่นไปหลายกิโลเมตร

   ขณะที่ดูเหมือนฝ่ายผู้ใช้พลังจะเริ่มได้เปรียบ ฝูงซอมบี้ก็หยุดชะงักก่อนจะแหวกแถวออกเป็นสองฝั่ง ทำให้เกิดทางเดินโล่งตรงกลาง การทำให้ซอมบี้ที่ปราศจากความนึกถึงเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเป็นระเบียบเช่นนี้ มีแต่ราชาซอมบี้เท่านั้นที่ทำได้ และแน่นอนว่าเขาผู้นั้นมาแล้ว

   บุรุษร่างสูงใหญ่ดูไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป ยกเว้นเพียงแต่ผิวขาวซีดเหมือนกระดาษ ดวงตาแดงก่ำ และเล็บยาวแหลมคม แต่ไอดำทะมึนที่ล้อมรอบตัวเขาดังพายุหมุน และเหล่าซอมบี้ที่ค้อมตัวลงทำความเคารพ ทำให้คาดเดาถึงสถานะราชาของเขาได้ไม่ยาก

   บุรุษผู้นั้นเผยรอยยิ้มที่มิคล้ายยิ้ม กล่าวเสียงเย็นว่า “มิวเทนท์ ข้าละเลยพวกเจ้ามานานเกินไป”

   ประหนึ่งเลือดในกายของมิวเทนท์ทุกตนตอบสนองต่อคำพูดของเขา ต่างรู้สึกว่าร่างกายร้อนขึ้นทั้งที่อุณหภูมิร่างกายของมิวเทนท์มักต่ำกว่าคนทั่วไป บางคนตัวสั่นทรุดลงกับพื้น หอบหายใจร้องครางเบาๆ อี้เทียนกระโดดมายืนข้างจิวซือเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดี ใบหน้าหล่อเหลาของเขามีเหงื่อผุดพรายคล้ายพยายามข่มกลั้นความไม่สบายกาย แม้แต่มิวเทนท์ระดับสูงอย่างอี้เทียนยังได้รับผลกระทบ ทำให้จิวซือเริ่มตระหนกขึ้นมา

   “เกิดอะไรขึ้น” จิวซือไม่รู้สึกอะไร แต่ดูเหมือนคนอื่นๆ จะไม่เป็นเช่นนั้น

   “ต่อต้านข้าหรือ” ราชาซอมบี้หัวเราะเสียงต่ำ ไอดำรอบตัวเขาโคจรเร็วขึ้นจนเกิดเสียงหวีดหวิวในอากาศ ไม่ว่าสายตาของพาดผ่านมิวเทนท์ตนไหน ผู้นั้นพลันรู้สึกเหมือนเลือดในกายเดือดพล่าน เจ็บปวดทุรนทุราย ไม่ต่างจากยามที่พวกเขากำลังจะคลั่งเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้

   “อ๊ากกก”

   “มิวเทนท์ ลูกนอกสายเลือดของข้า กลับกล้าแข็งข้อกับข้า” ราชาซอมบี้หัวเราะเสียงเย็น ดวงตาแดงหรี่มองบรรดามิวเทนท์ที่กำลังทุรนทุรายอย่างดูแคลน

   “มันกระตุ้นไวรัส” จิวซือขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงลอดไรฟันของอี้เทียน ใบหน้าของอีกฝ่ายบิดเบี้ยวแม้ร่างกายจะเหยียดตรง ต่อต้านความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นทุกวินาที จิวซือบีบไหล่อี้เทียน สายตาเป็นกังวล แม้อี้เทียนจะมีดวงจิตแข็งกล้าอย่างไร แต่ร่างกายของคานส์ไม่อาจทนทานต่ออิทธิพลที่เข้ามากระตุ้นได้ ยิ่งร่างนี้มีพลังแข็งกล้าเพียงใด ไวรัสยิ่งมีจำนวนมากและแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ดังนั้นการที่ชายหนุ่มยังอดทนไม่คลั่งไปเสียก่อนก็ต้องอาศัยดวงจิตที่แข็งแกร่งของเขา

   จิวซือมอบไปรอบๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้สึกเดือดดาลจนตัวสั่น แผ่นดินรอบตัวสั่นสะเทือนตามแรงอารมณ์ของเขา ก้อนหินเศษดินพุ่งขึ้นมาในอากาศ หมุนวนอย่างรวดเร็วประหนึ่งถูกพายุหมุนพัดลอยขึ้นไป ก่อนจะพุ่งไปกระแทกบรรดาซอมบี้ที่อยู่รอบๆ จนพวกมันกระเด็นล้มระเนระนาด
   การกระทำของเขาย่อมเป็นสิ่งที่ท้าทายราชาซอมบี้จนฝ่ายนั้นหยุดชะงัก เบนสายตามาจับจ้องจิวซือด้วยความประหลาดใจ
   “อลัน” เสียงเรียกแหบต่ำ ริมฝีปากซีดเซียวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มมุมปาก ตรงข้ามกับประกายกร้าวในดวงตา “ลูกชายคนโปรด ที่ข้าหวังให้สืบทอด”
   “น่าผิดหวัง”
   สิ้นคำ พายุดำที่โคจรอยู่รอบตัวของเขาก็เพิ่มกำลังแรง เส้นรอบวงขยายออกไปโดยรอบ จิวซือสบตากับอี้เทียน ต่างเห็นตรงกันว่าไม่อาจปล่อยให้พายุดำใหญ่โตขึ้นกว่านี้ มังกรไฟลำตัวยาวกว่าสิบเมตรทะยานออกจากกลางฝ่ามือของอี้เทียน เร่งเร้าให้ไวรัสในร่างกายยิ่งมีปฏิกริยา มังกรไฟพุ่งชนพายุดำ ทำให้เกิดรอยแยก ก่อนจะทะยานเข้าหาราชาซอมบี้ ฝ่ายนั้นไม่คาดคิดว่าจะมีมิวเทนท์ที่แข็งแกร่งพอจะต่อต้านพลังของเขา สมาธิถูกแบ่งแยกมารับมือกำลังมังกรไฟ ทำให้พายุดำอ่อนกำลังลง ขณะเดียวกันเจ้าของมังกรไฟก็ทรุดลงกับพื้น มือกุมลำคอก่อนจะกระอักเลือดสีคล้ำออกมา
   จิวซือลนลานเข้าไปหาเขา เห็นสีหน้าของอี้เทียนย่ำแย่อย่างที่คงไม่มีทางเกิดขึ้นกับเทพยามา พวกเขาเป็นเทพแต่เข้ามาในภพที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดก็ลำบากแล้ว ยังต้องอยู่ในร่างที่ต่อต้านพลังเทพ และเป็นทาสของเชื้อไวรัสอีก แม้แต่เทพยามายังไม่อาจประคองตนได้ นับประสาอะไรกับมิวเทนท์ตนอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่ตาแดงก่ำ กรีดร้องโหยหวนอย่างทรมาน
   จิวซือรู้เพียงว่ามีแต่ตนเองที่ไม่ถูกผลกระทบ ที่ไม่ถูกควบคุม ร่างกายของอลันยังปกติดีทุกอย่าง ในเมื่ออลันไม่เป็นอะไร ดังนั้นเลือดของเขาก็น่าจะสามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ จิวซือกรีดข้อมือตัวเองแล้วยื่นไปให้อี้เทียนด้วยความรีบร้อน ลืมไปว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องต้องห้ามและล้ำเส้นของอีกคนขนาดไหน
   “คานส์ ดื่ม” อี้เทียนมองจิวซืออย่างไม่อยากเชื่อ เขากัดฟันกรอด ตวัดสายตามองอีกคนด้วยความโกรธ โกรธจนแทบจะถูกไวรัสในร่างกายครอบงำ
   ถึงกลับเสนอเลือดตัวเองให้เขา!
   ชายหนุ่มผลักมือเปื้อนเลือดออกไป ก่อนจะทะยานเข้าหาราชาซอมบี้ที่ยังอยู่ใจกลางพายุดำ ตั้งใจจะปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวทุกอย่างกับตัวการ เงาดำอีกสายหนึ่งทะยานตามไปติดๆ เป็นอวิ๋นหนานที่หลังจากพยายามช่วยเหลือมิวเทนท์หลายต่อหลายคนให้รอดจากอาการคลั่งด้วยพลังของเขา แต่มิวเทนท์มีจำนวนน้อยหลายร้อยคน สิ้นเปลืองพลังและเวลาเป็นอย่างมาก จึงเปลี่ยนใจสังหารราชาซอมบี้แทน

   จิวซือเม้มปาก เหตุการณ์คราวนี้ถือว่าเกินกว่าที่พวกเขาคาดเดาไว้หลายขุม เขาสร้างกำแพงดินล้อมรอบบริเวณแนวหน้านี้ไว้ ปกป้องมนุษย์ที่อ่อนแอไม่ให้ได้รับอันตราย กองกำลังของนายพลอีวานถอยร่นไปไกลแล้ว มีแต่พวกเขาเหล่าผู้ใช้พลังเท่านั้นที่ยันการบุกรุกของซอมบี้ แต่เพราะมิวเทนท์ทุกคนต่างได้รับผลกระทบ ทำได้เพียงต่อสู้กับร่างกายตัวเอง ไม่ให้เสียการควบคุมจนคลั่งและกลายเป็นซอมบี้ไป จึงไม่มีผู้ใดต้านทานฝูงซอมบี้ได้อีก ยกเว้นกำแพงดินของจิวซือ ขณะที่เขาสร้างกำแพงดินชั้นแล้วชั้นเล่า สายตาก็ยังเฝ้ามองการต่อสู้ของเทพทั้งสอง ภาวนาให้พวกเขาสังหารราชาฝ่ายนั้นให้สำเร็จ


   “ก้า ก้า”
   จิวซือหันตามเสียงร้องที่คุ้นเคยของเสี่ยวเฮย ก็เห็นซีโน่กำลังถูกมิวเมนท์อีกสามตนทำร้าย มิวเทนท์ทั้งสามตนนั้นตาแดงก่ำ น้ำลายไหลยืด เขี้ยวและเล็บแหลมคม คาดว่าคงพ่ายแพ้ต่อเชื้อไวรัสในร่างแล้ว ซีโน่ปล่อยลูกไฟปะทะกับพวกนั้น แต่เด็กสิบขวบเพียงคนเดียว ต่อให้อัจฉริยะเพียงใดก็สู้ไม่ไหว เขานึกเสียใจที่ไม่ยอมเชื่อฟังฮิล เดิมทีหลังจากที่ฮิลช่วยถ่ายทอดพลังให้ ก็บอกให้เสี่ยวเฮยและเสี่ยวฝูพาเขาหนี แต่เพราะเขาอยากช่วยอลัน อยากเห็นกับตาว่าอลันปลอดภัยดี จึงดึงดันปีนกำแพงดินเข้ามา ไม่คาดคิดว่าจะสถานการณ์จะเลวร้ายถึงเพียงนี้
   “ซีโน่!”
   จิวซือเข้ามาช่วยเด็กชายได้ทันอย่างฉิวเฉียด กรงเล็บกรีดผ่านไหลของเขาจนเลือดทะลัก แต่ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว มือหนึ่งดึงซีโน่เข้าหาตัวอีก อีกมือซัดมิวเทนท์ทั้งสามตัวกระเด็น ทั้งยังตอกตรึงมือสองข้างของมิวเทนท์ทั้งสามไว้กับพื้นด้วยแท่งหินปลายแหลม
   หนึ่งในนั้นคือลีน่าที่เขาเคยช่วยไว้ ลีน่าสังกัดหน่วยก่อสร้าง เรียกได้ว่าเป็นลูกน้องสายตรงของจิวซือ หลังจากที่รอดจากอาการคลั่งคราวก่อน เธอก็คอยดูแลจิวซืออย่างดี และมักเรียกเขาว่าบอสอลันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน เวลานี้กลับถูกเขาตรึงไว้กับพื้น กรีดร้องและพยายามจะดิ้นให้หลุด ไม่สนว่าบาดแผลที่มือจะฉีกขาดขนาดไหน
   จิวซือมองภาพนั้นด้วยใจปวดหนึบ อีกด้านเห็นอี้เทียนถูกมวนไอดำกระแทกจนลอยละลิ่วไปปะทะกับกับกำแพงดิน ขณะที่อวิ๋นหนานเข้าประชิดตัวราชาซอมบี้ ต่อสู้พัวพันโดยไม่มีท่าทีว่าจะได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย
   จิวซือกัดริมฝีปาก ซีโน่ยังตัวสั่นในอ้อมแขนของเขา รอบกายเต็มไปด้วยเสียครวญครางและเจ็บปวดของบรรดาพี่น้องของนครแห่งชีวิต
   ดวงตาสีทองเบือนมาสบคล้ายไม่ตั้งใจ แต่จิวซือถึงกับไม่อาจละสายตาจากคนที่อยู่ห่างไกลออกไป ตงหวางมักเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นเสมอ ไม่ว่าเมื่อไร สมควรแล้วที่เป็นผู้ปกครองวังทะเลตะวันออก เจ้านายของเขา ความคิดที่ทำให้รอยยิ้มช่วยไม่ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจิวซือ ก่อนที่ดวงตาอ่อนแสงจะแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวในวินาทีที่เขาตัดสินใจ


   รักและต้องการปกป้องก็ใช่
   แต่ที่เหนือกว่านั้นคือคำสัญญาที่เคยลั่นวาจาไว้




#วิถีเซียน3p
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 8)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 30-03-2019 21:06:44
กรี้ดดดดดดดดดดดดด สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :hao6:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 8)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-03-2019 21:17:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 8)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 30-03-2019 22:31:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 8)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 31-03-2019 07:52:38
โอ๊ยยยย ลุ้นๆๆๆๆๆ จะเป็นอย่างไรต่อไปเนี่ย
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector 8)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 06-04-2019 12:40:32


The Protector (9)
 
 


                ซีโน่เหม่อมองอลันที่ก้มหน้าลงมาหาเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาที่ปกติมักสุขุมรอบคอบแสดงถึงความเป็นเจ้าผู้ครองนครแห่งชีวิตบัดนี้เปล่งประกายเจิดจ้า สวยงามยิ่งกว่าพระอาทิตย์ยามเช้าที่เขาเคยเห็น สวยงามกว่าดวงดาวดวงไหนๆ ฝ่ามือเย็นสัมผัสศีรษะของเขาแล้วลูบเบาๆ ก่อนที่อลันจะหันหลังก้าวจากไป สายตาของซีโน่ตรึงอยู่กับแผ่นหลังที่ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นทุกเวลา
                แม้ดูเหมือนเขาจะเดินด้วยความเร็วปกติ ไม่ช้าไม่เร็ว แต่เพียงพริบตาเดียวร่างของจิวซือก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าราชาซอมบี้ ห่างไปไม่กี่เมตรเท่านั้น ตลอดทางเต็มไปด้วยร่างที่สั่นสะท้าน ร้องครวญครางของเหล่าผู้ใช้พลัง และซอมบี้ที่พยายามจะเข้าโจมตี แต่ถูกกำแพงดินรอบตัวจิวซือกันไว้ เวลานี้เขาเหมือนพระเจ้าผู้ควบคุมทุกชีวิตไว้ในมือ แต่จิวซือรู้ว่าความจริง ร่างกายเขามาถึงขีดสุดแล้ว
                แม้ว่าพลังของเขาจะไม่ถูกกดไว้เหมือนคนอื่น ทั้งพลังธรรมชาติยังที่ยังหลงเหลืออยู่ในอาณาบริเวณนี้ถูกเขาดูดกลืน เปลี่ยนเป็นพลังของตนอย่างง่ายดาย แต่ร่างกายของอลันอย่างไรเสียก็เป็นแค่มนุษย์กลายพันธุ์คนหนึ่ง ต่อให้เลือดของเขาพิเศษกว่าคนอื่น ต่อให้เขาสามารถใช้พลังได้ดีกว่าทุกคน ร่างกายของเขาก็เริ่มรับไม่ไหว
                เส้นเลือดฝอยที่รองรับพลังจากภายนอกโป่งพองเหมือนใกล้จะระเบิด ขณะที่เขารับพลังมาแล้วปล่อยออกไป กำแพงดิน กระสุดหิน หอกหินแหลมคม ล้วนแต่สร้างภาระให้กับร่างกายนี้ทีละน้อย ทุกครั้งเจ็บปวดจนแทบก้าวขาไม่ออก แต่เวลานี้จิตใจเขาปลอดโปร่งยิ่ง เพิ่งเข้าใจว่าความตายมีหลายแบบ แต่ละแบบทำให้รู้สึกแตกต่างกัน
                ตายเพื่อคนอื่น หรือตายเพื่อตนเอง

                เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ตอนที่รับกระปี่แทนฮ่องเต้ เขาไม่ได้ตายเพื่อปกป้องอีกฝ่าย แต่เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความทุกข์ ดังนั้นในใจมีเพียงความว่างเปล่า ปราศจากความปลอดโปร่งยินดีอย่างครานี้ ราวกับว่าจิตเซียนของเขาได้รับการชำระล้างอีกครั้ง
                “อลัน” เสียงของราชาซอมบี้แทบเป็นเสียงคำราม ไม่เคยคาดคิดว่ามนุษย์คนหนึ่งจะกลายเป็นตัวสำคัญที่แปรปั่นป่วนแผนการของเขา ยิ่งไม่อยากเชื่อว่าฝ่ายนั้นมีพลังเทียบเท่าเขา เขาคือราชา เขาคือผู้ที่ถูกกำหนดให้ยืนอยู่เหนือผู้อื่น ไหนเลยจะปล่อยให้ใครหน้าไหนเป็นภัยคุกคามได้
                สมควรกำจัดเสียตั้งแต่แรก
                พายุดำม้วนตัวเป็นมังกรดำขนาดใหญ่ พุ่งเข้าชนอวิ๋นหนานเต็มแรงจนเขาถอยร่นไปหลายร้อยเมตร แม้เกราะพลังที่สร้างขึ้นจะช่วยผ่อนแรงกระแทกไปกว่าครึ่งก็ตาม ขณะที่อี้เทียนผลักกองหินที่ร่วงลงมาทับร่างของเขาออก แล้วยันกายลุกขึ้น จิวซือพ่นลมหายใจที่ฟังดูคล้ายเสียงหัวเราะ นับว่าอีกฝ่ายลงมือได้ถูกเวลา ช่วยกันตงหวางออกไปโดยที่เขาไม่ต้องลงมือเอง จิวซือมองอี้เทียนเพียงแวบเดียวก็เดาได้ว่าชายหนุ่มต้องการให้พวกเขาสามคนลงมือพร้อมกัน สามต่อหนึ่ง โอกาสชนะย่อมมีมากกว่า เสียดายที่พลังทั้งหลายถูกเงื่อนไขบางอย่างของภพนี้จำกัดไว้แทบทั้งหมด ขณะที่คนที่มีอิสระใช้พลังได้อย่างเต็มที่อย่างเขาก็ทราบดีว่า...สายไปแล้ว
                ข้าไปก่อน ไม่ทราบอี้เทียนเข้าใจความหมายที่เขาสื่อสารผ่านทางสายตาหรือไม่ จากหอคุณธรรมไปยมโลก ไกลพอดูทีเดียว หากรู้ก่อน สมควรขอป้ายผ่านทางไว้
                จิวซือเบือนสายตาไปอีกด้านหนึ่ง ดวงตากลมสุกสกาวประสานกับดวงตาสีทอง ใบหน้าคมคามของตงหวางราบเรียบ ไม่มีแม้แต่ระลอกคลื่นเล็กๆ ให้เห็น
                 วังตะวันออก ยังคงไม่กลับไปจะดีกว่า
               

                ชั่วขณะที่ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นมองมา อวิ๋นหนานรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง บางอย่างที่ทำให้เกิดความรู้สึกวูบโหวงในอก แต่ก่อนที่จะทราบว่าเพราะเหตุใด ร่างสูงโปร่งของจิวซือก็พุ่งเข้าไปประชิดราชาซอมบี้ มือทั้งสองข้างกางออก น้ำเสียงแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ แต่ส่งผ่านมามายังประสาทรับรู้ของเขาอย่างชัดเจน
                “Rise…City of life”
                ‘ลุกขึ้น นครแห่งชีวิต’ ความหมายที่ให้ใจหาย อวิ๋นหนานเบิกตามองอย่างไม่อยากเชื่อ เมื่อร่างที่เพิ่งสบตาระเบิดต่อหน้าต่อหน้าเขา!
                อวิ๋นหนานตะลึงลานอยู่กับที่ ราวกับว่าโลกหยุดหมุน แม้แต่อากาศก็หยุดเคลื่อนไหว กระทั่งหยดเลือดหยดหนึ่งกระทบข้างแก้ม และหลังมือของเขา ก่อนจะซึมหายไปในผิวหนัง พริบตาเดียวนั้นไวรัสในร่างกายก็สงบลง แม้แต่พลังที่เคยถูกกดไว้ก็เริ่มตอบสนอง
                กระนั้น อวิ๋นหนานก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ก้มมองหลังมือที่หยดเลือดสีแดงเข้มซึมหายไป ภายในหยดเลือดหยดเล็กๆ เขารับรู้ได้ถึงความปรารถนาของเจ้าของ ปรารถนาให้ปลอดภัย

 
                ไม่!
                อี้เทียนกระโจนเข้าไปหาร่างที่ระเบิดเป็นจุณ คว้าได้เพียงอากาศ ไม่มีจิวซือ ไม่มีราชาซอมบี้ แม้แต่เศษซากเสื้อผ้าชิ้นเล็กๆ สักชิ้นก็ไม่มีเหลือ ฝนเลือดกระจายทั่วบริเวณ เลือดราวกับมีความนึกคิดของตัวเอง มันลอยเข้าหามิวเทนท์ทุกตน ซึมหายไปในร่างกายของพวกเขา ท่ามกลางสติที่เริ่มกลับคืนมา ท่ามกลางความเจ็บปวดที่ค่อยทุเลาลง พวกเขาได้ยินเสียงร้องตะโกนอย่างเจ็บปวดและโกรธแค้นยิ่งกว่าของคนผู้หนึ่ง ตามมาด้วยเสียงคำรามของมังกรไฟ
               



                สิบปีก่อน กองทัพซอมบี้บุกโจมตีเมืองสตาร์ดัส นับเป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุด ขณะที่มนุษย์พ่ายแพ้ สิ้นหวัง หวาดกลัว กลับได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าผู้ใช้พลังของนครแห่งชีวิต นำโดยอลัน เจ้าผู้ครองนคร เขาเสียสละชีวิตตนเองเพื่อสังหารราชาซอมบี้ ปลดปล่อยโลกมนุษย์จากความมืดมิด ชำระล้างภัยคุกคามทั้งหลายในคราวเดียว นับตั้งแต่นับเป็นต้นมา ไม่ได้ข่าวว่ามีผู้ใดติดเชื้อไวรัสอีก ไม่มีใครกลายเป็นสัตว์ประหลาดกระหายเลือด เช่นเดียวกัน ไม่มีมิวเทน์ตนใหม่เกิดขึ้น
   อย่างไรก็ตาม มิวเทนท์ที่รอดชีวิตหลายร้อยคนยังคงอาศัยอยู่ในนครแห่งชีวิต ทายาทของพวกเขาได้รับยีนส์ที่พิเศษกว่าคนทั่วไป กว่าครึ่งสามารถปลุกพลังพิเศษในร่างกาย ทำให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มคนที่มีพลังอย่างที่มนุษย์ทั่วไปแทบไม่ได้ และเป็นภัยคุกคามในเวลาเดียวกัน
   เป็นธรรมดาเหลือเกินที่มนุษย์จะหวั่นเกรงคนหรือสิ่งที่มีพลังหรือแปลกแยกจากพวกของตน แต่ผ่านไปหลายต่อหลายปี นครแห่งชีวิตก็ยังเป็นมหานครใต้ดินที่ไม่คุกคามผู้ใด ยังคงใช้ชีวิตในเทือกเขาและป่าแห่งความตายอย่างสงบสุข มนุษย์ทั่วไปน้อยคนนักจะทราบว่าเพราะเหตุใด กลุ่มบุคคลที่แข็งแกร่งและย่ิงใหญ่จึงยินดีที่จะใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่มิวเทนท์ทุกคนทราบดีแก่ใจ รับรู้ได้ด้วยจิตวิญญาณว่าในร่างกายของตนมีเลือดของผู้ปกป้องไหลเวียนอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิญาณว่าจะเป็นผู้ปกป้อง ไม่ใช่ผู้ทำลาย
   นครแห่งชีวิตไม่มีศาสนา แต่มีลัทธิที่ถูกตั้งขึ้นโดยเจ้าผู้ครองนครคนปัจจุน ซีโน่ และนับถืออย่างกว้างขวาง คือลัทธิอลานิส (Alanis) มีอลัน ผู้ก่อตั้งนครแห่งชีวิตเป็นศาสดา ปลูกฝังเรื่องความรัก เสียสละ และให้อภัย โดยมิวเทนท์ที่เคยสงสัยในความจริงใจของอลัน ทั้งเรื่องยาและเรื่องพลัง บัดนี้เปลี่ยนเป็นสาวกที่อุทิศตนที่สุด พวกเขาเดินทางเผยแพร่ความเชื่อและความดีของอลันไปทั่วทุกหนแห่ง จนคนทั่วไปเรียกลัทธินี้ว่าลัทธิของผู้ปกป้อง

 
               บริเวณหน้าผ้าหินที่อลันชอบมายืนชมทิวทัศน์เมื่อครั้นที่เขายังมีชีวิตอยู่ เวลานี้มีป้ายหินแกะสลักขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยดอกไม้หลากสีหลายพันธุ์ ข้อความบนป้ายหินแกะสลักด้วยอักษรที่แสดงถึงความแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว

              Alan
            The Protector
 
               เบื้องหน้าป้ายหิน เห็นร่างสูงใหญ่ของซีโน่ในวัย 20 ปี ใบหน้าคมคายของเขายังมีเค้าโครงของความเป็นเด็กหนุ่ม ทว่าบรรยากาศรอบตัวที่แผ่ออกมาทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย ซีโน่ถูกยกให้เป็นเจ้าผู้ครองนครแห่งชีวิตต่อจากเซฟ เมื่อเขามีอายุได้เพียง 15 ปี ด้วยความสามารถและทัศนคติของเขา ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา นครแห่งชีวิตเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการสร้างพันธมิตร ไม่สร้างศัตรู แม้เป็นอาณาจักรที่รักสงบ แต่มีกำลังเพียงพอที่จะปกป้องตนเองและผู้อื่น เด็กชายวัย 15 ปีทุ่มเทชีวิตจิตใจของเขาให้กับนครแห่งชีวิตก็เพื่อคนผู้หนึ่ง ผู้เป็นดังพระเจ้าของเขา

               “อลัน คุณสบายดีไหม”
               ซีโน่มองป้ายหินที่สลักชื่ออลัน สายตาหม่นเศร้าและแฝงความโดดเดี่ยวอย่างที่ชาวนครแห่งชีวิตไม่มีทางได้เห็น
               “ฮิลกับคานส์ตามไปปกป้องคุณหรือเปล่า”
               มือเรียวลูบไล้ทีละตัวอักษร กระทั่งถึงตัวสุดท้ายก็ค้างไว้อย่างนั้น ราวกับว่าจะได้สัมผัสคนที่อยู่ในห้วงคำนึง ราวกับว่าจะส่งผ่านความรู้สึกทางปลายนิ้วสั่นสะท้าน ไม่ต่างจากน้ำเสียงสั่นเครือยามเอ่ยว่า
               “อลัน ผมคิดถึงคุณ”

               ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ของยามเช้า ชาวนครแห่งชีวิตมองเห็นมังกรไฟขนาดราวห้าเมตรวนเวียนอยู่เหนือหน้าผาหิน ต่างทราบว่าเจ้าผู้ครองนครกำลังแสดงความเคารพต่อท่านอลัน

 

 (End of the ARC)

#วิถีเซียน3p
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector End)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-04-2019 12:47:48
ลุ้นจนหยดสุดท้ายเลย
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector End)
เริ่มหัวข้อโดย: mholic ที่ 06-04-2019 16:00:09
ว้าวววว  อย่างกับหนัง
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector End)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 06-04-2019 21:02:25
สงสารซีโน่จัง
เสียดายที่จิวซือไม่ทันได้เห็นมังกรไฟของซีโน่
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector End)
เริ่มหัวข้อโดย: ursleepingxd ที่ 06-04-2019 23:25:28
น้องซีโน่ตายไปก็ไปตามหาพี่เขาที่ภพเซียนนะลูก ฮื้อออ ทำไมน้องเป็นคนดีอย่างงี้ น้องจิวซือออออออ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector End)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 07-04-2019 00:03:52
 :o12 :hao5: :heaven
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 3: The Protector End)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 20-04-2019 15:33:22
The Great General (1)



   ราวกับว่าเฝ้ารอรับเขาอยู่แล้ว ทันทีที่ดวงจิตของจิวซือหลุดจากร่างก็เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นคว้าไว้ จากนั้นแสงสีขาวก็ค่อยๆ จางหายไป ก่อนจะปรากฏขึ้นในหอคุณธรรม เปียวขุยหลุบตามองจิตเซียนที่ลอยอยู่เบื้องหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมา ไม่ทราบเซียนน้อยตนนี้มีความสัมพันธ์ใดกับตงหวางและเทพยามา ไม่ทราบว่าหลังจากเรื่องที่เขากระทำนี้เปิดเผยออกไป จะถูกตัดสินโทษอย่างไร กระนั้นเมื่อเป็นคำสั่งของพระแม่ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากส่งดวงจิตดวงนี้ไปยังอดีตชาติ การส่งดวงจิตกลับไปยังอดีตของตัวเองโดยพลการนั้นถือเป็นการฝ่าฝืนกฎ และอันตรายต่อดวงจิตนั้นอย่างยิ่ง อาจถึงขึ้นแตกสลายไปก็เป็นได้
   “เซียนน้อย ได้แต่หวังว่าเจ้าจะเข้มแข็งพอ”

   
...........................



   “เม่ยเม่ย ท่านแม่ไม่ให้เล่นกับเขานะ”
   เด็กหญิงวัยสี่ขวบทำแก้มป่องเมื่อพี่สาวเอ่ยปราม ก่อนจะยอมเดินตามพี่สาวไป โดยไม่ลืมหันมามองเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่หลายครั้ง
   ซื่อเสวี่ยนก้มหน้าลง มือเล็กที่จับพู่กันสั่นเล็กน้อย ดวงตากลมโตสีดำสนิทเคลือบไว้ด้วยม่านน้ำ ก่อนที่เขาจะกระพริบตากระทั่งภาพเบื้องหน้ากลับมากระจ่างชัด
   ตั้งแต่จำความได้ ก็ทราบว่าตนเองไม่ใช่คุณชายน้อยสกุลเฉิน แต่เป็นลูกของสหายที่ท่านพ่อรับมาเลี้ยง เขาเกิดในตระกูลขุนนางระดับกลาง หลังจากที่ลืมตาดูโลกได้เพียงวันเดียว บิดาก็ถูกกล่าวหาว่าลักลอบค้าเกลือ ถูกตัดสินประหารชีวิตทั้งครอบครัว ยึดทรัพย์เป็นของหลวง มารดาแอบมอบเขากับเฉินตง เจ้าบ้านสกุลเฉิน ผู้เป็นสหาย เขาจึงกลายเป็นคุณชายน้อยสกุลเฉินในชั่วข้ามคืน ประกอบกับเวลานั้นอนุลี่เพิ่งเสียลูกไป จึงรับเขาเป็นบุตร และดูแลเหมือนบตรชายแท้ๆ ขณะที่เจินฮูหยิน ภรรยาตามกฎหมายของเฉินตง นายหญิงสกุลเฉิน ไม่ใคร่ชอบเขานัก ภายหลังค่อยทราบว่าเป็นเพราะเฉินตงรักแม่แท้ๆ ของเขา
   เมื่อนึกถึงเฉินตง ความอบอุ่นสายหนึ่งก็แล่นเข้ามาในใจ แววตาเด็กชายมุ่งมั่นยามที่บรรจงคัดอักษร หวังว่าเมื่อบิดากลับมา จะได้เห็น
   ซื่อเสวี่ยนไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่แท้ๆ และไม่เข้าใจว่าครอบครัวของผู้อื่นเป็นอย่างไร แต่เขาไม่รู้สึกว่าตนเองโชคร้าย หรือขาดในเรื่องใด เพราะเฉินตงรักและเอ็นดูเขาไม่ต่างจากลูกแท้ๆ อะไรที่พี่น้องคนอื่นได้ เขาก็ไม่เคยขาด ทุกๆ วันมักจะแวะมาหาเขาเสมอ เฉินตงสอนเขาเขียนหนังสือด้วยตัวเอง เหนียงบอกว่านอกจากพี่ใหญ่แล้ว ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่บิดาสั่งสอนด้วยตัวเอง เขาทั้งขอบคุณและดีใจ จึงพยายามเต็มที่ ไม่อยากให้บิดาผิดหวัง
   เพราะเป็นลูกนอกสายเลือดที่บิดาให้ความสำคัญ จึงต้องพยายามมากกว่าคนอื่น แต่ห้ามแสดงความโดดเด่นของตนต่อหน้าพี่น้อง และคนนอก นี่คือสิ่งที่เหนียงคอยย้ำเตือนอยู่เสมอ

   
   “ท่านพ่อ”
   “ซื่อซื่อ”
   ซื่อเสวี่ยนยิ้มกว้างเมื่อเห็นเฉินตง เฉินตงปีนี้อายุสามสิบเจ็ดปี ใบหน้าแม้ไม่ถึงขั้นหล่อเหลา ก็เรียกได้ว่าน่ามอง ประกอบกับท่าทางสุขุมรอบคอบ ยิ่งส่งเสริมสง่าราศรีของเจ้าตัว เจ้าบ้านตระกูลเฉินผู้นี้แยกครอบครัวมาตั้งรกรากในเมืองหลวงเมื่อได้ตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ดในกรมคลัง
   เฉินตงตรวจดูบทกลอนที่ซื่อเสวี่ยนคัดลอก เห็นลายเส้นมีความมั่นคง และเป็นระเบียบ ทั้งที่มือเล็กของเด็กชายวัยห้าขวบยังไม่สามารถจับพู่กันได้ถนัดนัก ก็พยักหน้าและกล่าวชม
   “ทำได้ดีมาก” ใบหน้าของเฉินตงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แววตายามมองดูบุตรชายเปี่ยมด้วยความรักและเอ็นดู “วันนี้บิดาจะกินข้าวกับเจ้า”
   เด็กน้อยยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย แม้พยายามจะเก็บอาการอย่างไร ผู้เป็นบิดาก็ยังมองออก จึงอดยื่นมือมาลูบศรีษะเล็กไม่ได้
   “ข้าจะไปบอกท่านแม่”
   เฉินตงมองตามหลังบุตรชาย สายตาอ่อนโยนลง ซื่อเสวี่ยนเป็นสิ่งเดียวที่ซื่อเยี่ยนเหลือไว้บนโลกใบนี้ ยามที่เรียกชื่อเล่นซื่อซื่อ หลายครั้งก็อดนึกถึงหญิงสาวผู้เป็นดังแสงสว่างของเขาไม่ได้ เขาตั้งใจจะรักและดูแลไม่ต่างจากบุตรแท้ๆ คราวที่ฮูหยินบอกเรื่องชาติกำเนิดให้ซื่อเสวี่ยนรู้โดยพลการ เขาทั้งโกรธและนึกหวาดกลัว เกรงว่าซื่อเสวี่ยนจะไม่เข้าใจ แต่เปล่าเลย เด็กน้อยยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี ไม่บ่น ไม่ตัดพ้อ ไม่ตีตัวออกจากห่างเขา ทำให้เขาทั้งรักทั้งสงสาร แม้ซื่อเสวี่ยนจะเป็นเพียงลูกอนุ เขาก็หวังสนับสนุนให้บุตรชายผู้นี้เจริญก้าวหน้าไม่แพ้บุตรของภรรยาหลวง


   ซื่อเสวี่ยนเดินมาพร้อมอนุลี่ ก็พบว่านอกจากบิดาแล้วยังมีเฉินซาน คุณชายใหญ่แห่งสกุลตงอยู่ด้วย เฉินซานอายุสิบเจ็ดปี เป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ท่าทางสุขุมไม่แพ้เฉินตงผู้เป็นบิดา เขาสอบได้ที่ห้าในการสอบเข้ารับราชการเมื่อต้นปี ดังนั้นจึงเป็นความหวังและความภาคภูมิใจของตระกูล นอกจากบิดาและลี่เหนียงแล้ว ก็มีแต่เฉินซานที่ไม่รังเกียงคนนอกสายเลือดของเขา
   “พี่ใหญ่”
   “เจ้าตัวเล็ก ไม่ต้องรับพี่ใหญ่หรือ”
   “ต้อนรับสิ” ไม่พูดเปล่า ซื่อเสวี่ยนพาร่างเล็กๆ ของตนวิ่งหายไปเข้าในเรือน ก่อนจะกลับมาพร้อมกับจานและตะเกียบอีกคู่โดยไม่รอคนรับใช้ เขาเขย่งขาวางจานและตะเกียบลงบนโต๊ะเบื้องหน้าเฉินซาน กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่ เชิญ”
   เฉินซานหัวเราะชอบใจ เอื้อมมือมาหยิกแก้มนุ่มของน้องชายที่อายุห่างกันเป็นสิบปีอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็หยิบของเล่นที่ทำจากไม้จากอกเสื้อยื่นให้ซื่อเสวี่ยน “แลกกับข้าวเย็น”
   ซื่อเสวี่ยนมองไม้หอมที่แกะเป็นรูปม้าได้อย่างเหมือนจริง ลองลูบดูก็พบว่าผิวเรียบลื่นและให้ความรู้สึกเย็นสบาย “ขอบคุณพี่ใหญ่”
   เขามีความสุขมาก ไม่เคยรู้สึกน้อยใจที่เป็นลูกอนุในสกุลเฉิน หวังแต่ว่าจะตั้งใจศึกษาหาความรู้เพื่อช่วยเหลือบิดาและพี่ใหญ่ในอนาคต กระทั่ง...เฉินซานจากไป



   เพราะอีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดปีที่หกของซื่อเสวี่ยน เฉินซานจึงพาเขาไปเที่ยวน้ำตก ระหว่างทางขากลับ พวกเขาถูกลอบทำร้าย พี่ใหญ่มีวรยุทธ์ไม่เลว หากไม่มีเขาเป็นตัวถ่วง ย่อมหลบหนีไปไหน เพราะคอบปกป้องเขา เฉินซานถึงถูกกระบี่แทงหน้าท้อง ตอนที่ทหารมาช่วยเหลือ เฉินซานก็เหลือลมหายใจรวยรินเต็มที
   เขาร้องไห้ เรียกพี่ใหญ่ๆ เพราะไม่มีเรื่องอื่นที่สามารถทำได้ พี่ใหญ่ยกมืกลูบหัวเขาอย่างยากลำบาก บอกว่าอย่าร้อง พี่ใหญ่ไม่เป็นไร แต่แล้วกลับกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ปิดตาลง ไม่ยอมลืมตาขึ้นมาอีก
   

   ทุกคนเสียใจอย่างมากกับการจากไปของพี่ใหญ่ เขาเป็นความหวัง เป็นความภาคภูมิใจ และเสาหลักต้นต่อไปของสกุลตง แต่กลับต้องมาจากไปทั้งที่อายุยังน้อย ท่านพ่อตาแดงกล่ำตอนที่ฝังศพพี่ใหญ่ ฮูหยินร้องไห้แทบขาดใจ นางมองเขาด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชัง เพราะพี่ใหญ่พาเขาไปเที่ยว ถึงได้ประสบเรื่องร้าย เขาเป็นต้นเหตุ
   “ตัวซวย ทำไมเป็นแกที่รอดมาได้ ทำไม ซานเอ้อร์ถึงต้องตาย ฮือ ซานเอ้อร์”
   ซื่อเสวี่ยนก้มหน้าลง มือกำแน่น ไม่เอ่ยเถียงสักครึ่งคำ ความปวดร้าวที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ คงเทียบไม่ได้กับฮูหยินและท่านพ่อที่เสียพี่ใหญ่ไป
   นั่นสิ ทำไมไม่ใช่เขาที่ตาย ทำไมเป็นพี่ใหญ่
   เพราะเขาอยากไปดูน้ำตก เพราะเขาอ่อนแอ เป็นตัวถ่วง พี่ใหญ่ถึงต้องตาย
   เขาเป็นตัวซวยอย่างที่ว่าจริงๆ

   
   ซื่อเสวี่ยนนอนไม่หลับ น้ำตาที่กลั้นไว้ตลอดทั้งวันไหลเป็นทาง เด็กชายนั่งกอดเขา ซุกหน้ากับลงแขนให้แขนเสื้อซับน้ำตา พี่ใหญ่ที่ทั้งเก่งกาจและใจดีของเขาไม่อยู่แล้ว สิ้นใจไปต่อหน้าเขา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเรียกพี่ใหญ่ซ้ำ พี่ใหญ่เคยบอกว่าอยากเป็นเจียงจวิน ออกรบ ปกป้องแผ่นดินเกิดและนำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูล เวลานั้นเขาจึงบอกไปว่าเขาจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน โตขึ้นจะได้เป็นกุนซือ ช่วยพี่ใหญ่ พี่ใหญ่หัวเราะเสียงดัง ชมว่าเขาเป็นเด็กดี บอกว่า ‘พี่ใหญ่จะรอซือซือช่วยคิดกลศึกให้’

   เด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้น ร่างเล็กๆ เหมือนถูกความโศกเศร้าห้อมล้อมไว้ทั้งตัว ไม่สังเกตเห็นเฉินตงที่เดินเข้ามาใกล้ กระทั่งอ้อมแขนที่แข็งแรงคว้าตัวเขาไปกอดไว้ ซื่อเสวี่ยนค่อยพบว่าเป็นเฉินตง
   ฝ่ามือที่ลูบศรีษะและหลังของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่น ราวกับจะพัดพาความทุกข์ใจ ทำให้คำพูดที่เฝ้าเพียรถามในใจอยู่หลายวันพาลหลุดออกมา
   “แลกกัน ให้ข้าไปแทนพี่ใหญ่ ได้หรือไม่ ฮึก แลกกัน”
   เฉินตงกอดบุตรชายแน่น ในใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวดไม่ต่างกัน เฉินซานจากไปแล้ว เขาไม่อาจเสียซื่อเสวี่ยนไปได้อีก
   “ซื่อซื่อ บิดารักเจ้า”
   ร่างเล็กในอ้อมกอดชะงักไป ก่อนที่เสียงร้องไห้โฮจะกังวานขึ้นแทนที่ ซื่อเสวี่ยนซุกหน้ากับอกของเฉินตง สองแขนกอดบิดาแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะจากไปอีกคน
   
   ไม่เอาแล้ว ได้โปรดอย่าพรากคนที่เขารักไปอีกเลย



#วิถีเซียน3p



…..
เม่ยเม่ย = น้องสาว
เหนียง  = แม่ (ลี่เหนียง = พูดถึงอนุลี่ที่เป็นแม่)
เจียงจวิน = แม่ทัพ



หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 1)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 20-04-2019 17:23:18
พระแม่นี่อะไรกับจิวซือจัง
ถ้าพระแม่ต้องไปเจอแบบที่จิวซือเจอ อยากรู้จริงๆ ว่าจะรอดม่ะ

อิน!!!

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 1)
เริ่มหัวข้อโดย: pepperpro ที่ 20-04-2019 17:27:00
ทำไมจิวซือ ถูกเพ่งเล็งจากพระแม่แบบนี้ล่ะ

อยากรู้มากๆๆๆๆๆๆ มาต่อไวๆนะไร
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 1)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 20-04-2019 19:45:33
พระแม่เนี่ยเป็นใครกัน ทำไมถึงได้ทำแบบนี้กับจิวซือ
มันน่าตบให้หลุดจากตำแหน่งเสียจริง

จิวซือต้องผ่านภพนี้ไปให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 20-04-2019 19:52:04
สนุกมากกกกกก  :katai4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 22-04-2019 00:59:26
พระแม่ในที่นี้ คือเจ้าแม่หนี่วาห์รึเปล่าครับ(?) ถ้าใช่นี่ถือว่าเรื่องสะเทือนภพสวรรค์เลยนะครับ เจ้าแม่หนี่วาห์นี่เป็นคนซ่อมฟ้าเปิดสวรรค์ ถือเป็นอัตลักษณ์คอสมิคบีอิ้งระดับสูงสุดๆ ถ้าพระแม่ลงมาสอดส่องเรื่องของซื่อเสวียนเองล่ะก็ ผมว่าระดับตงหวางเองยังต้องรับคำสั่ง

ผมคิดว่าตงหวางกับจิวซือ ให้ความรู้สึกแบบเดียวกับ เฉินซานกับซื่อเสวียน มาก ทั้งสุขุมรอบคอบและใจเย็น ถ้าสังเกตเราจะเห็นว่าน้องน่ารักสุดๆในอดีตชาติ ผมว่าตรงนี้แหละคือประเด็นสำคัญ การที่จิวซือจะหลุดไปสู่ภพเซียนและกลายเป็นเทพได้ ถ้าจำได้ ตงหวางบอกว่าต้องตัดความรู้สึกทิ้งออกไปให้หมด คำถามคือ ถ้าจิวซือจะหลุดจากความรู้สึกและบาดแผลทางจิตใจในอดีตชาติ เพื่อให้ได้บำเพ็ญชาติสุดท้ายผ่านด่านคุณธรรมแล้วได้กลายเป็นเทพ การแลกตรงนั้น มันคุ้มกันรึเปล่า? นี่เป็นคำถามสำคัญ

ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการที่เราต้องแลกความรู้สึกและตัดทุกอย่างเพื่อให้ได้ไปเป็นเทพนั้น ผมคิดว่าไม่สำคัญ จิวซือตอนนี้เปลี่ยนทั้งชื่อตัวเอง ตั้งใจพยายามจะกลายเป็นเทพให้ได้ ทั้งหมดเอาจริงๆก็เพื่อที่จะตัดความรู้สึกของอดีตชาติที่ยังรั้งอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ มันไม่ใช่เพื่อการบำเพ็ญเพียรละกิเลส แต่เพราะว่าคุณยังไม่เข้าใจกิเลสนั้นและไม่สามารถปลงได้ คุณจึงไม่สามารถผ่านด่านคุณธรรม คุณต้องการที่จะผ่านด่าน เพราะคุณต้องการจะ ‘ตัด’ ความรู้สึกนี้ออกไป ถ้าเปรียบเหมือนธรรมชาติ ก็คือการที่คุณเห็นขยะแต่คุณไม่รู้จะกำจัดมันยังไง เลยจึงจะฝังกลบมันซะให้หายไป แต่ไม่ใช่การเรียนรู้ว่ามันมีอะไรบ้าง แล้วกำจัดออกไปตามกระบวนการทีละส่วน นี่เป็นหลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่เข้าใจยาก แต่ถ้าเข้าใจ จะรู้ได้ว่า เมื่อคุณเข้าใจทุกข์อย่างกระจ่างแท้ คุณจึงจะเรียนรู้นิพพานและการดับทุกข์นั้น

ในเคสของซือเสวียน ผมคิดว่าปัญหาของซือเสวียนคือความรัก จิวซือเป็นแค่อัตลักษณ์ที่ซือเสวียนพยายามสร้างขึ้นมาเพราะว่าไม่อยากจะเผชิญเกี่ยวกับความรักอีกแล้ว อยากจะชินชาและมองให้มันเป็นเรื่องปกติ ความจริงแล้วนั่นเพราะซือเสวียนเรียนรู้ความรักด้วยมุมมองเดียวคือความเจ็บปวด มันยังมีอีกหลายมุม เช่น ความอบอุ่น ความห่วงใย ความวาบหวามและความอ่อนโยนในการร่วมรักและร่วมชีวิตด้วยกัน ซึ่งจริงๆแล้วซือเสวียนจะเรียนรู้ความรักนี้ได้ แต่ปัญหาคืออี้เทียนดันมาตายก่อนจะได้ครองรักกัน ความรัก(ด้ายแดง) ของสองคนนี้ผมว่ามันรุนแรง อี้เทียนยังยอมเป็นเทพยามาเพื่อจะได้กลับมาอยู่กับซื่อเสวียนอีกครั้ง ความทุ่มเทนี้ระดับคอสมิคบีอิ้งระดับสูงนี่ต้องมองเห็น

ดังนั้นจึงกลับมาที่เรื่องว่าซือเสวียนจะเผชิญกับดราม่าความรู้สึกหนักๆหลายอย่างในอดีตชาติ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมมาจากความรัก ในครั้งนี้ ผมว่าอี้เทียนต้องแทรกแซง เช่นเดียวกับอวิ๋นหนาน ส่วนตัวผมคิดว่าอี้เทียนต้องหาทางกลับและแก้ไขอดีตชาติ แต่การแก้ไขอดีตเป็นไปได้ยากมากเพราะผิดกฏสวรรค์ สิ่งที่ทำได้คือทำให้ซือเสวียนได้ประสบกับความรักและเห็นได้ว่าความรักนั้นสามารถสร้างเป็นพลังอันสร้างสรรค์ มุมมองของความรักแบบหนุ่มสาว ผมเชียร์อี้เทียน แต่มุมมองของความรักแบบครอบครัวที่อ่อนโยนและหวังดี ผมคิดว่าอวิ๋นหนานจะเติมเต็มตรงนี้ได้ เพราะเราเห็นแล้วว่าซือเสวียนมีปมที่พี่ชายตาย และอย่างที่บอกไปว่ามุมมองของผมที่มีต่ออวิ๋นหนาน เหมือนจะคล้ายกับเฉินซานซะมากกว่า แต่เนื่องจากเฉินซานตายแล้ว ผมเดาว่าคนที่อวิ๋นหนานจะแทรกแซงและมอบความรักแบบนี้ต่อได้ให้คล้ายกับเฉินซาน คือฮ่องเต้ เพราะซือเสวียนรับกระบี่มือสังหารแทนฮ่องเต้ มันไปพ้องกับการที่เฉินซานโดนกระบี่แทนน้องตัวเองพอดี นอกจากนี้ ในมุมของเทพสวรรค์ อี้เทียนจะฝ่าฝืนกฏแล้วไปครองคู่กับซือเสวียนที่ลดขั้นไปด้วย ผมว่าไม่แปลก เพราะสองคนนี้เหมือนคล้องกันด้วยด้ายแดง ผูกพรหมลิขิตกันมาแต่อดีตชาติ แต่อวิ๋นหนานคือตงหวาง เป็นเทพที่เป็นเจ้าวังตะวันออก อวิ๋นหนานเป็นเทพมาช้านาน เรียนรู้สรรพสิ่งและเชี่ยวชาญหลักธรรม การจะไปลงล็อกของรักหนุ่มสาวผมว่ามันผิดการบำเพ็ญเพียรที่ควรจะตัดได้มาตั้งนานแล้ว แต่มุมมองของการสั่งสอนหลักธรรม คุณธรรม มอบความรักความอ่อนโยนของครอบครัวให้กับซือเสวียน ตรงนี้เป็นมุมมองที่ผมว่ามันเหมาะกับตำแหน่งความรับผิดชอบเอื้ออารีในฐานะตงหวางมากกว่า

ผมชอบอดีตชาติมากเลยอะ ซือเสวียนโคตรน่ารัก! ไม่แปลกใจเลยทำไมอี้เทียนหลงรัก และรู้ด้วยว่าอีกฝั่งก็ชอบตอบ เลยเป็นแรงผลักดันให้ยอมทำทุกอย่างเพื่อจะได้มาครองคู่กัน นิสัยน้องน่าฟัดสุดๆ ชอบมากเลยครับ เขียนดีมากเลย อย่างนี้ถ้าผมเป็นพี่ชายก็หวงตาย (หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 1)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-04-2019 02:48:54
ลุ้นทุกตอนค่ะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 28-04-2019 15:58:38

The Great General (2)




   ซื่อเสวี่ยนไม่ชอบวันเกิดของตัวเอง ทุกครั้งที่ถึงวันเกิดก็จะนึกว่าเขาเกิดมาทำไม วันเกิดอายุครบหกขวบของเขาเพิ่งผ่านไป ผู้ที่อยู่ร่วมฉลองวันเกิดของเขามีเพียงเฉินตงและลี่เหนียง พวกเขาทานอาหารเย็นด้วยกันภายใต้ความเงียบ เพราะเมื่อสองวันก่อนเป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่เฉินซานจากไป ใบหน้าของบิดาตอนที่ได้ยินเขาบอกว่าไม่ต้องฉลองวันเกิดให้ดูย่ำแย่กว่าเดิม ดังนั้นซื่อเสวี่ยนจึงเสนอให้ทานอาหารเย็นด้วยกัน บิดาค่อยถอนหายใจแล้วลูบหัวเขาเบาๆ
   เฉินตงไม่อยากให้เขาทุกข์ใจและโทษตัวเอง ซื่อเสวี่ยนเข้าใจ ดังนั้นเขาจึงไม่แสดงความทุกข์ใจให้บิดาเห็น  เขายังคงไม่เข้าใจว่าตัวเองเกิดมาทำไม และยังคงเกลียดวันเกิดของตัวเอง แต่จะพยายามทำให้ส่วนของเฉินซาน พี่ใหญ่อยากเป็นเจียงจวิน* เขาก็จะเป็นเจียงจวิน ดังนั้นของขวัญที่ซื่อเสวี่ยนขอต่อเฉินตงจึงเป็นการฝึกยุทธ์


   “ซื่อซื่อ อาจารย์บอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์”
   ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าจากตำรา ยิ้มให้กับเฉินตงเล็กน้อย “อาจารย์ชมเกินไป” ท่าทางเป็นผู้ใหญ่เกินวัยและเก็บอารมณ์ทำให้เฉินตงถอนหายใจ เขาดึงพู่กันออกจากมือเล็กแล้วอุ้มบุตรชายวัยหกขวบขึ้นนั่งบนตัก เห็นใบหน้าเล็กของซื่อเสวี่ยนฉายแววตกใจก่อนจะเก็บอาการดีใจ ไม่แสดงออกมาเกินไป ทำให้หัวใจของคนเป็นพ่อคล้ายถูกความรักความเอ็นดูหลอมละลาย
   เฉินตงลูบผมสีดำนิ่มสลวยของเด็กน้อย กล่าวว่า “พรุ่งนี้ไปงานเลี้ยงบ้านสกุลหลินกับบิดา”
   ตามปกติแล้วบุตรชายที่เฉินตงพาไปงานสังสรรค์ระหว่างตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงย่อมเป็นบุตรชายคนโตเฉินซาน ถัดจากเฉินซานยังมีบุตรชายที่อายุมากว่าซื่อเสวี่ยนอีกสองคน ดังนั้นการที่เขาตัดสินใจพาซื่อเสวี่ยน ซึ่งเป็นเพียงบุตรอนุและมีอายุแค่หกปีไปงานวันเกิดของราชอารักษ์หลิน ทำให้เกิดคลื่นลมในสกุลเฉินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อมาเมื่อเฉินตงหาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอนซื่อเสวี่ยน ทั้งยังพาเขาไปงานอื่นๆ อย่างออกหน้าออกตา หลายคนจึงสงสัยว่าเขามีเจตนาจะยกซื่อเสวี่ยนขึ้นเป็นทายาทสืบสกุลหรือไม่
   แต่ซื่อเสวี่ยนเป็นลูกอนุจะเป็นอุ้มชูเป็นทายาทสืบสกุลได้อย่างไร



   บ้านสกุลหลิน
   เฉินตงถูกสหายพาไปสนทนาด้านใน จึงฝากฝังซื่อเสวี่ยนไปกับซ่งฉีบุตรชายของสหาย ซ่งฉีอายุมากกว่าซื่อเสวี่ยนห้าปี ใบหน้าและกริยานุ่มนวลสมกับที่เกิดในตระกูลบัณฑิต เขาแนะนำให้ซื่อเสวี่ยนรู้จักกับคุณชายน้อยตระกูลต่างๆ หลายคน ก่อนที่จะปลีกตัวไปรับรองแขกจากตระกูลใหญ่ ซื่อเสวี่ยนจึงหามุมสงบนั่งรอเฉินตง
   เจตนาของบิดาที่อยากให้เขาคลุกคลีกับบรรดาทายาทตระกูลขุนนางนั้น เขาทราบดี แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอคนแปลกหน้าจำนวนมาก จึงอดรู้สึกอึดอัดและเหนื่อยไม่ได้ หลายครั้งเขานึกถึงเฉินซาน หากมีพี่ใหญ่อยู่ด้วย จะดีเพียงใด


   “นี่”
   ซื่อเสวี่ยนหันหน้าตามเสียงเรียก ก็เห็นเด็กผู้ชายตัวสูงกว่าเขาราวครึ่งศีรษะ สวมใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มเนื้อละเอียด ประดับดิ้นทอง แสดงถึงสถานะของวงศ์ตระกูล ฝ่ายนั้นทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ถามเขาว่า
   “ทำไมอยู่คนเดียว”
   ซื่อเสวี่ยนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “รอบิดา”
   “ไม่มีสหาย?”
   “อืม ไม่มี”
   ฝ่ายนั้นมีสีหน้าตกใจคงเพราะไม่คิดว่าเขาจะยอมรับตามตรง ไม่โกรธ ไม่อับอายกับคำตอบของตัวเอง อันที่จริงซื่อเสวี่ยนก็รู้สึกว่าคนแปลกหน้าผู้นี้ไร้มารยาทยิ่ง ประพฤติตนแตกต่างจากที่อาจารย์เขาสั่งสอน แต่กลับให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง ไม่ทำให้เขาอึดอัดเหมือนบรรดาคุณชายตระกูลใหญ่คนอื่นๆ ที่มักใช้สายตาแสดงถึงความแตกต่างทางฐานะและชนชั้น
   “ชื่ออะไร”
   “เฉินซื่อเสวี่ยน” ซื่อเสวี่ยนถามกลับ “เจ้าล่ะ”
   ฝ่ายนั้นมองเขาอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าจะปรากฏรอยยิ้ม แล้วเชิดคางขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับแผ่นหลังเหยียดตรงกว่าเดิม พยายามให้ร่างกายดูสูงใหญ่ขึ้นอีก “เรียกข้าว่าพี่อี้”


   คืนนั้นซื่อเสวี่ยนยอมเรียกอีกฝ่ายว่าพี่อี้ ไม่คาดว่าวันรุ่งขึ้น จะมีเทียบเชิญจากสกุลอี้มาถึงเขา สกุลอี้เป็นตระกูลแม่ทัพมาหลายชั่วอายุคน เจ้าบ้านสกุลอี้เป็นต้าเจียงจวิน* ถือเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจทหารที่แท้จริงในมือ ประกอบกับฮูหยินเฒ่า มารดาของเจ้าบ้านสกุลอี้เป็นพระญาติของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีฐานะยิ่งใหญ่ดังอาทิตย์เที่ยงวัน เทียบเชิญของซื่อเสวี่ยนจึงเป็นครั้งแรกที่สกุลเฉินได้รับเทียบเชิญส่วนตัวจากตระกูลแม่ทัพใหญ่

   ซื่อเสวี่ยนเล่าเรื่องที่เขาพบกับ ‘พี่อี้’ ที่งานเลี้ยงบ้านสกุลหลินให้เฉินตงฟัง เฉินตงเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ผูกมิตรกับคุณชายน้อยสกุลอี้แต่ก็ยังไม่วางใจ จึงไปส่งเขาที่จวนสกุลอี้ด้วยตัวเอง
   ‘พี่อี้’ มีชื่อเต็มคำเดียวว่า ‘เทียน’ บิดากล่าวว่าแค่ชื่อที่ต้าเจียงจวินมอบให้ก็พอจะเดาความสำคัญของอี้เทียนได้แล้ว เทียนแปลว่าฟ้า ต้าเจียงจวินคาดหวังให้เขาเป็นฟ้าของสกุลอี้
   เดิมที ซื่อเสวี่ยนคิดว่าอีกฝ่ายสนใจให้เขาเป็นลูกน้อง เหมือนอย่างที่คุณชายตระกูลใหญ่หลายคนมีผู้ติดตามเป็นลูกหลานของขุนนางตระกูลเล็กๆ ไม่คิดว่าอี้เทียนจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนสหายเหมือนน้องชายคนหนึ่ง ทั้งพาเขาไปเที่ยวเล่น ให้ลองกินอาหารดีๆ แบ่งของเล่นแปลกใหม่กับเขา ทุกสามสี่วันจะมาหาเขาที่บ้านสกุลเฉินหรือไม่ก็ให้คนมารับเขาไปจวนสกุลอี้ อี้เทียนไม่เคยไว้หน้าคุณชายตระกูลอื่น แต่กลับใจเย็นกับซื่อเสวี่ยนมาก ขอเพียงเขายอมเรียกว่าพี่อี้ ไม่ว่าเขาอยากได้อะไรก็ยอมยกให้ หรือหากโกรธอยู่ก็จะให้อภัยง่ายๆ
   อี้เทียนเหมือนดวงอาทิตย์ สว่างและอบอุ่น พลอยทำให้ชีวิตในแต่ละวันของซื่อเสวี่ยนค่อยๆ สดใสขึ้นไปด้วย




   ตั้งแต่เฉินซานจากไป เจินฮูหยินก็ล้มป่วย หลังจากนั้นก็อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บางครั้งเศร้าซึม บางครั้งก็อารมณ์ร้าย ทำลายข้าวของ เมื่อเห็นว่านางไม่มีทีท่าจะดีขึ้นในเร็ววัน เฉินตงจึงมอบหมายการจัดการดูแลเรื่องภายในบ้าน และร้านของสกุลเฉินให้อนุสี่ดูแลชั่วคราว อนุลี่มิใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด ครอบครัวของนางเป็นครอบครัวนักกวี ไม่มีความรู้ด้านการค้าขาย หน้าที่นี้จึงสมควรเป็นของอนุเหยาที่เชี่ยวชาญด้านนี้และเคยเป็นผู้ชายของเจินฮูหยินมาก่อน ดังนั้นแทบทุกคนคาดเดาว่าเฉินตงต้องการสนับสนุนซื่อเสวี่ยน จึงได้มอบอำนาจในการตัดสินใจเรื่องภายในบ้านให้กับอนุลี่ นอกจากนั้นแทบทุกวัน เฉินตงมักจะอยู่ทานอาหารเย็น หรือไม่ก็พักแรมที่เรือนของอนุลี่ จนเกิดเป็นข่าวลือว่าเขาต้องการยกฐานะอนุลี่ขึ้นเป็นภรรยารอง

   แน่นอนว่าเจินฮูหยินย่อมรู้สึกคับแค้นใจ นางเกลียดชังซื่อเสวี่ยนยิ่งกว่าผู้ใดในโลก จะยอมให้สองแม่ลูกมีความสุขได้อย่างไร ดังนั้นหลายต่อหลายครั้งที่นางจงใจสร้างความลำบากให้ทั้งคู่ บุตรธิดาของเฉินตงคนอื่นๆ ล้วนทราบเรื่องที่เขาเป็นคนนอกสายเลือดแต่กลับได้รับความรักจากบิดา พากันเกลียดชัง ว่าร้าย บางครั้งถึงขั้นลงมือไม้ลงมือกับเขา ยังดีที่พวกเขาเกรงกลัวเฉินตง จึงไม่เคยกระทำเกินเลยจนซื่อเสวี่ยนบาดเจ็บหนัก
   ซื่อเสวี่ยนไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเฉินตง เขาคิดว่าทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผลเสมอ การที่เจินฮูหยินเกลียดชังเขาก็เพราะเขาทำให้พี่ใหญ่ตาย ส่วนการที่บรรดาพี่น้องไม่ชอบเขา ก็เพราะเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเฉินตง แต่ได้เรียนหนังสือ ได้รับความรักความเอ็นดูจากบิดามากกว่าพี่น้องคนอื่น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล เขาได้บางอย่างที่ไม่สมควรเป็นตัวเองมา ก็ต้องเสียบางอย่างไป   
   การแลกเปลี่ยนเช่นนี้ เขาเข้าใจดี
   

   
#วิถีเซียน3p


   ………………..
เจียงจวิน = แม่ทัพ
ต้าเจียงจวิน* = แม่ทัพใหญ่ = เจ้าบ้านสกุลอี้ พ่อของอี้เทียน



ปล. คุณ Grey Twilight วิเคราะห์ได้สุดยอดเลยค่ะ เอาจริงๆ ลึกซึ้งว่าที่เราคิดไว้อีก ฮ่าๆ ขอบคุณมากค่ะ

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 2)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-04-2019 17:55:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 2)
เริ่มหัวข้อโดย: FiZZ ที่ 28-04-2019 20:48:38
สนุกมากกกก น้องน่ารักเกินนน
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 2)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 29-04-2019 17:24:50
ตอนนี้เราอยากรู้เหตุผลที่เจ้าแม่เข้ามาแทรกแซงเรื่องของจิวซือจัง เพราะอะไรนางถึงทำแบบนี้

ปล.ชอบการวิเคราะห์ของคุณ Grey Twilight มากค่ะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 2)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 04-05-2019 13:51:06




The Great General (3)





   วังตะวันออก

   อวิ๋นหนานยืนอยู่หน้าสะพานข้ามภพ แผ่นหลังเหยียดสายตาตรงมองไปข้างหน้า ดวงตาสีทองสว่างของเขาปรากฏแววซับซ้อน สะพานข้ามภพว่างเปล่า เซียนน้อยตนนั้นไม่ได้กลับมายังวังตะวันออก ตงหวางเช่นเขาไม่ควรยึดติดกับเรื่องใด กระนั้น ภาพร่างกายของอลันระเบิดสิ้นใจต่อหน้าเขากลับไม่อาจลบเลือนไปได้โดยง่าย หยดเลือดอุ่นๆ ที่แฝงความปรารถนาดีคล้ายจะดึงความทรงจำบางอย่างออกมา เหมือนจะชัดเจนแต่กลับลางเลือนเกินกว่าจะเข้าใจ ไม่ต่างกับความฝันในยามค่ำคืน ที่มักจะถูกลืมเลือนยามรุ่งสาง

   เวลานั้นเอง ร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นบนสะพานข้ามภพ ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมยาวสีดำทั้งตัว ดวงตาสองสีทอประกายกร้าว หากไม่ใช่เทพยามาแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก อวิ๋นหนานไม่คาดว่าจะอีกฝ่ายจะมาเยือนวังตะวันออก แต่เมื่อได้ยินคำถามของอี้เทียน ดวงตาสีทองก็ขยายกล้าวขึ้นก่อนจะหรี่ลงอย่างใช้ความคิด

   “อยู่ที่นี่หรือไม่”

   เห็นสีหน้าของเจ้าวังตะวันออก อี้เทียนก็พอจะเดาคำตอบได้ ความรู้สึกไม่สบายใจสายหนึ่งแวบผ่านเข้ามา ไม่ได้อยู่ยมโลก ไม่ได้มาวังตะวันออก แล้วไปที่ใด โดยไม่รีรอร่างสูงของเขาหันหลังกลับ เปลี่ยนทิศทางไปยังหอคุณธรรม แต่ก้าวไปได้เพียงก้าวเดียว ก็รู้สึกได้ถึงฝีเท้าอีกคู่ที่ก้าวตามมา







   เมื่อเห็นเทพชั้นสูงทั้งสองปรากฏตัว ณ หอคุณธรรม เปียวขุยมิได้แปลกใจนัก จะกล่าวว่าเขาทำใจมาระยะหนึ่งก็ได้ นับตั้งแต่ส่งดวงจิตของจิวซือไปยังอดีตชาติเมื่อสองวันก่อน ก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องมีคำอธิบายให้กับเทพทั้งสอง ความสัมพันธ์ของทั้งสาม เปียวขุยมิกล้าคาดเดา อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นตงหวางและเทพยามามาเยือนหอคุณธรรมพร้อมกัน เขาก็ทราบว่าเซียนน้อยตนนั้นมีความสำคัญอย่างไม่ธรรมดา ไม่ใช่แต่เพียงกับเทพทั้งสอง ยังรวมถึงพระแม่ และบางทีแม้แต่หอคุณธรรมด้วย

   โดยปกติหลังจากขบด่านทดสอบคุณธรรมแต่ละด่าน หอคุณธรรมจะตัดสินผลการทดสอบ และบอกแก่ผู้คุมอย่างเปียวขุย หากผ่านลูกแก้วคุณธรรม โดยหากผ่านบททดสอบ มันจะเรืองแสงสีเขียว หากไม่ผ่านจะเรืองแสงมีเหลืองหม่น แต่คราวนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ หอคุณธรรมยังคงยินยอมส่งดวงจิตของจิวซือไปยังอดีตชาติตามที่เปียวขุยปรารถนา แต่ไม่ยอมเปิดเผยผลการทดสอบในชาติที่แล้วของจิวซือให้เขาได้รับรู้

   “ส่งเขาไปแล้วหรือ”
   “ขอรับ”
   “นำทาง”
   “ตงหวาง เทพยามา ที่ที่เซียนน้อยไปนั้น มิใช่ด่านทดสอบธรรมดา แต่เป็น...” เปียวขุยไม่คิดปกปิดเรื่องที่เขาส่งดวงจิตของจิวซือไปอดีตชาติของเจ้าตัว ประการแรกเพราะเขาทราบว่าไม่มีทางทั้งคู่ การปิดบังรังแต่จะทำให้เรื่องราวใหญ่โตขึ้น ตงหวางเป็นผู้ใด เจ้าแห่งยมโลกเป็นผู้ใด ไม่มีใครรับรองได้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ก่อเรื่องใหญ่เพราะเซียนน้อยตนเดียว ประการที่สอง เขาเห็นใจเซียนตนนั้น ตลอดทั้งสิบภพชาติที่ผ่านมา ไม่มีด่านทดสอบใดเรียกได้ว่าง่ายดาย ไม่มีชาติใดมีจุดจบที่ดี ไม่ตายอย่างทรมานก็ต้องตายไปพร้อมกับความเสียใจ เด็กคนนั้นผ่านมาได้จนถึงเวลานี้ทำให้เขาที่เคยสอบตกด่านคุณธรรมเกิดความนับถือขึ้นในใจ และอดเอาใจช่วยไม่ได้

   เห็นสีหน้าของตงหวางขรึมลงแทบจะในทันทีที่เขาบอกว่าส่งดวงจิตของจิวซือที่ใด คนทั่วไปอาจไม่เข้าใจความนัย แต่ตงหวางมีหรือจะไม่เข้าใจ หลายครั้งเขานึกสงสัยเจตนาของพระแม่ หากพระนางตั้งใจจะทำลายเซียนตนนี้ เหตุใดไม่ทำลายดวงจิตนั้นเสีย เหตุใดต้องใช้วิธีการอ้อมค้อมเช่นนี้
   “คราวนี้ต่างจากคราวก่อนๆ ดวงจิตของเซียนผสานแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับร่างเดิม ลวงตากลับกลายเป็นแท้จริง หาใช่เพียงบททดสอบไม่ หากแยกก่อนถึงอายุขัย หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่คาดคิด” เปียวขุยถอนหายใจ “น้อยสุดคือชะตาเซียนของเขาถูกทำลาย ไม่อาจเข้าสู่วิถีเซียน ร้ายแรงสุดคือดวงจิต...สลาย”

   อึก!
   ลำคอของเปียวขุยถูกฝ่ามือใหญ่ของอี้เทียนบีบแน่นจนปลายเท้าลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อย แม้ลำคอถูกบีบจนขาดอากาศหายใจ สีหน้าของเปียวขุยก็ไร้แววแตกตื่น เขาเตรียมใจมาแล้วนับตั้งแต่ส่งเซียนน้อยไปที่นั่น ท่าทางกริ้วโกรธาของเทพยามาจึงไม่ได้อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเขา
   “ผู้ใด” ได้ยินเสียงถามกึ่งคำรามของเจ้าผู้ปกครองยมโลก เปียวขุยเพียงแต่หลับตาลง จะฆ่าก็ฆ่า เขามิอาจเปิดเผยได้ กระทั่งศีรษะว่างเปล่าขาวโพลน ค่อยรู้สึกว่าแรงที่ลำคอคลายออก ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกโยนไปกระแทกพื้นไม่ต่างจากว่าวขาดสายป่าน
   เปียวขุยไอโขลก ร่างทั้งร่างเย็นเฉียบสั่นสะท้านเมื่อถูกไอดำแทรกซึมเข้าไปในกระดูก อวิ๋นหนานมองร่างที่ทรุดอยู่บนพื้นด้วยสายตาเรียบเฉย ภายใต้ความไม่ยินดียินร้ายคือพายุอารมณ์ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น กลั่นออกมาเป็นคำพูดประโยคหนึ่ง ประโยคที่ทรยศหน้ากากสุขุมซึ่งสวมไว้ตลอดเวลา
   “ผู้คุมเปียว ข้าต้องการเห็น...ทุกอย่าง”


**********************************





   เฟิงจวน เป็นสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินต้าเสิน นักเรียนทั้งหมดล้วนเป็นลูกหลานตระกูลขุนนาง ทั้งยังต้องสอบผ่านจึงจะสามารถเข้าเรียนได้ ซื่อเสวี่ยนสอบเข้าเฟิงจวนตอนอายุแปดขวบพร้อมอี้เทียน เวลานั้นค่อยรู้ว่า ‘พี่อี้’ อายุเท่ากับเขา ไม่สิ อายุน้อยกว่าเขาสามวัน นับจากวันนั้น ซื่อเสวี่ยนไม่ยอมเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ง่ายๆ อีก ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีหรืออับอายแต่อย่างใด แต่เพราะเขาชื่นชอบที่จะได้เห็นสีหน้าหงุดหงิดของอี้เทียน และกริยาคะยั้นคะยอแกมเอาแต่ใจเวลาต้องการได้ยินเขาเรียกว่าพี่ อาจารย์ทั้งหลายเรียกอี้เทียนว่าปีศาจน้อย ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง

   อี้เทียนแตกต่างจากบรรดาพี่น้องในตระกูลเฉินและคนตระกูลอื่นทั้งหมดที่เขารู้จัก ไม่เพียงยอมอ่อนข้อให้เขา ดูแลเอาใจใส่เขา ยังแสดงสีหน้าและอารมณ์อย่างเปิดเผย แม้ว่าจะบางครั้งจะเป็นอารมณ์โกรธเกรี้ยว หรือไม่พอใจอย่างไร้เหตุผลเพียงใดก็ตาม เพราะนั่นทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและวางใจ ไม่จำเป็นต้องคอยสังเกตสีหน้าและคาดเดาความคิดที่ซ่อนอยู่



   ซื่อเสวี่ยนชอบมาเรียนที่เฟิงจวนอย่างยิ่ง แม้เขาไม่มีสหายคนอื่นนอกจากอี้เทียน แต่ก็ยังได้พบปะคนในรุ่นราวคราวเดียวกัน ได้ศึกษาตำราหลายแขนง และได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์ที่เก่งกาจ กระทั่งวันหนึ่งเรื่องที่เขามิใช่สายเลือดที่แท้จริงของตระกูลเฉินถูกเล่าลือในเฟิงจวน



   “เฉินหนิงบอกว่าเขาถูกรับมาเลี้ยง เพราะครอบครัวถูกประหารทั้งโคตร”

   “จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นทำไมเขารอดมาได้”

   “ได้ยินว่ามีคนเอามาทิ้งไว้หน้าประตูบ้านสกุลเฉิน”

   “เหมือนพวกขอทานน่ะหรือ”

   “เรียนห้องเดียวกับลูกอนุก็ฝืนใจมากแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งแปลกปลอมเพียงนี้”

   “หากมิใช่เพราะเขาตีสนิทกับคุณชายตระกูลอี้ ข้าหรือจะยอมเสวนาด้วย”



   ซื่อเสวี่ยนมิกล้าโผล่หน้าออกไป ได้แต่ยืนหลบหลังเสารับฟังถ้อยคำโหดร้ายเหล่านั้นกระทั่งเสียงนินทาทั้งหลายเงียบลง ในหัวมีแต่ถ้อยคำที่ได้ยินก้องกังวานขณะที่สองขาพาร่างไร้เรี่ยวแรงของตนเองไปหลังน้ำตกจำลอง เรื่องจริงทั้งนั้นแต่แค่คิดว่าจะต้องพบเจอสายตาและสีหน้าแบบไหน ขาก็พาตัวเองออกมาไกลเสียแล้ว

   ซื่อเสวี่ยนนั่งกอดเข่า พิงภูเขาหินจำลอง สายตาว่างเปล่าราวกับปิดกั้นโลกภายนอก และปล่อยให้อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกทุกอย่างเก็บกดอยู่ข้างใน

   วันนี้คงเข้าเรียนสายแล้ว มิสู้ไม่กลับไป



   “อยู่นี่เอง”

   เวลานั้น ซื่อเสวี่ยนเห็นใบหน้าที่ทำให้ดวงตาของเขาพร่ามัว





   #วิถีเซียน3p





………………….

อดทนผ่านช่วงเวลาบัดซบของน้องด้วยกัน จับมือ






หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 04-05-2019 15:47:29
ชอบมากที่เรื่องนี้มีหลากหลายแนว
สนุกมากกกกกกกกกกกก
ขอบคุณที่มาอัพสม่ำเสมอนะคะ :heaven :กอด1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 3)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-05-2019 19:48:01
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 04-05-2019 23:14:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 3)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 05-05-2019 16:25:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 3)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 05-05-2019 16:34:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 3)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 10-05-2019 14:21:13
พอได้อ่านช่วงต้นของตอนนี้ อยากจะไปประมือกับพรแม่องค์นั้นเลย ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรกับจิวซือห่ะ โมโหเว้ย

จิวซือ ต้องผ่านบททดสอบนี้ไปให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 3)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 11-05-2019 18:40:16

The Great General (4)






   ซื่อเสวี่ยนไม่อยากกลับไปเฟิงจวน อี้เทียนจึงพาเขาไปเที่ยวเล่นนอกเมืองจนค่ำก่อนจะพาเขากลับมาส่งที่บ้านสกุลเฉิน นี่เป็นครั้งแรกที่ซื่อเสวี่ยนทำตัวเหลวไหล ในใจทั้งปลอดโปร่งทั้งรู้สึกผิด เกรงว่าจะทำให้บิดาผิดหวัง เมื่อกลับมาถึงสกุลเฉิน ซื่อเสวี่ยนก็ไปพบเฉินตงที่ห้องหนังสือเป็นอันดับแรก แต่แทนที่เฉินตงจะดุด่าว่ากล่าวบุตรชาย เขากลับหัวเราะเสียงดัง ดีใจที่ในที่สุดซื่อเสวี่ยนก็ทำตัวเหมือนเด็กทั่วไปเสียที
   “บิดารู้ว่าเจ้ามีเหตุผลของเจ้า”
   ซื่อเสวี่ยนรู้สึกอบอุ่นหัวใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เขาโผกอดเอวเฉินตงแน่น บอกตัวเองว่าจะไม่ทำให้บิดาผิดหวัง
   นับตั้งแต่วันนั้น ซื่อเสวี่ยนตั้งใจศึกษาเล่าเรียนทั้งในเฟิงจวนและด้วยตนเอง เข้มงวดกับตนเองและพยายามมากกว่าเดิมหลายเท่า ทุกเช้าจะฝึกเพลงยุทธ์กับอาจารย์ที่เฉินตงเชิญมา สายตาดูถูกรังเกียจของบรรดาสหายร่วมสถาบันกลายเป็นเพียงสายลมพัดผ่านไป นอกจากอี้เทียนที่เป็นสหายแล้ว เขาไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น กล่าวได้ว่าความรู้สึกทั้งหมดถูกมอบให้กับคนผู้เดียว ซื่อเสวี่ยนเฉลาดเฉลียว แต่ไม่มีท่าทางหยิ่งผยอง ตรงข้ามเขาสุภาพและอ่อนน้อม จึงกลายเป็นศิษย์รักของบรรดาอาจารย์ทั้งหลายในเฟิงจวน ขุนนางหลายคนพอได้ยินชื่อซื่อเสวี่ยนผ่านคำชมเชยของอาจารย์เหล่านั้นมาบ้าง จึงแสดงความยินดีกับเฉินตงที่มีบุตรชายดี

   
   เมื่อซื่อเสวี่ยนอายุได้ 10 ขวบ ลี่เหนียงก็ตั้งครรภ์ เฉินตงตั้งให้นางเป็นฮูหยินรอง รอบข้างมีสาวใช้และผู้ช่วยมากมาย ประกอบกับหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องภายในบ้านและร้านค้าเป็นของนาง ทำให้อำนาจบารมีสูงกว่าเจินฮูหยินเสียอีก แต่เรื่องน่ายินดีก็แปรเปลี่ยนเป็นโศกเศร้า เมื่อลี่เหนียงแท้งลูก นางแท้งมาแล้วครึ่งหนึ่ง จึงตั้งความหวังกับเด็กคนนี้ไว้มาก เมื่อต้องมาเสียลูกไปอีกครั้ง ก็ล้มป่วยทั้งกายใจ
   เฉินตงสืบหาตัวคนร้าย ในที่สุดก็ทราบว่าเป็นเจินฮูหยินอยู่เบื้องหลัง เขาจึงปลดเจินฮูหยินและส่งกลับบ้านเดิม ข้อหาฆ่าทายาทสืบสกุลร้ายแรงอย่างยิ่ง ดังนั้นสกุลเจินจึงไม่มีคำว่ากล่าว นอกเสียจากขออภัยที่อบรมบุตรสาวไม่ดี พร้อมกันนั้นเฉินตงได้ตั้งลี่เหนี่ยงเป็นลี่ฮูหยิน เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา ฐานะของซื่อเสวี่ยนจึงพลอยเปลี่ยนเป็นบุตรชายของภรรยาตามกฎหมายไปด้วย แม้ในใจของคนสกุลเฉินหลายคนอึดอัดคับข้อง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางการที่เฉินตงสนับสนุน เปิดทางให้กับซื่อเสวี่ยน ด้วยความสามารถของซื่อเสวี่ยนโดดเด่นกว่าผู้ใด และอดคิดไม่ได้ว่าหากเขาเป็นบุตรชายแท้ๆ ของเฉินตงจะดีเพียงใด
   สองปีต่อมา เฉินตงได้เลื่อนเป็นขุนนางขั้นห้า หนานจงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ด้วยวัยเพียง 17 ปี เนื่องจากพระราชบิดาสิ้นพระชนม์กะทันหัน หนานจงฮ่องเต้ มีพระนามเดิมว่า หนานจงหลี่เจี๋ย เป็นพระโอรสองค์รอง และแม้จะทรงเป็นรัชทายาทที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนแต่งตั้ง ก็ใช่ว่าจะทรงนั่งบนบัลลังก์อย่างมั่นคง ด้วยฮองเฮาทรงโปรดและสนับสนุนโอรสองค์โต ในปีนั้นจึงทรงเลื่อนการสอบเข้ารับราชการที่จัดขึ้นทุก 2 ออกไป เพื่อสะสางคดีและขั้วอำนาจต่างๆ ในวังหลวง
   ปีต่อมา ซื่อเสวี่ยนในวัย 13 ปี สอบเข้ารับราชการได้ที่ 1 ถือเป็นราชบัณฑิตที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินต้าเสิน เวลานั้นอี้เทียนก็ถูกเขาคะยั้นคะยอจนสอบผ่านเป็นหนึ่งใน 50 ราชบัณฑิตเช่นกัน สกุลอี้เห็นซื่อเสวี่ยนเป็นดังหลานชายนอกสกุล เพราะนอกจากเขาจะเป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกลแล้ว ยังเป็นสาเหตุให้บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างอี้เทียนพลอยประพฤติตัวดีขึ้นไปด้วย ดังนั้นเมื่อทั้งคู่สอบผ่าน สกุลอี้จึงอาสาเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงฉลองให้ทั้งคู่ งานเลี้ยงถูกกำหนดไว้ในอีกเจ็ดวันให้หลัง ก่อนหน้านั้นราชบัณฑิตใหม่ซึ่งสอบได้เป็น 5 อันดับแรกจะได้รับเกียรติให้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ และได้พระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์

   ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ถือเป็นเกียตริยศแห่งสกุลเฉิน ดังนั้นทั้งเฉินตง และลี่ฮูหยินถือเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง พวกเขามีเวลาเพียงสามวันสำหรับการเตรียมตัว เฉินตงสอนข้อปฏิบัติต่างๆ ให้กับซื่อเสวี่ยนอย่างเคร่งครัด แม้ว่าสิ่งเหล่านี้เขาล้วนแต่ได้เรียนรู้ในเฟิงจวนแล้วก็ตาม
   กล่าวถึงเฟิงจวน หลังจากเข้าเฝ้า ซื่อเสวี่ยนคิดจะไปขอบคุณบรรดาอาจารย์ทั้งหลายที่สั่งสอนเขา เฉินตงเห็นดีด้วย และช่วยเตรียมของขวัญไปมอบให้ผู้อาวุโสเหล่านั้น
   



   หนานจงฮ่องเต้เพิ่งขึ้นครองราชย์เมื่อปีก่อน ซื่อเสวี่ยนและบัณฑิตรุ่นนี้จึงถือเป็นราชบัณฑิตรุ่นแรกที่ทรงแต่งตั้ง ซื่อเสวี่ยนและราชบิณฑิตที่สอบได้คะแนนสูงสุดอีกสี่คน เดินก้มหน้าตามหลังขันทีน้อยผู้หนึ่งมารอที่ท้ายแถวของเหล่าขุนนาง ซึ่งตั้งแถวตามตำแหน่งเพื่อเตรียมประชุมเช้า ขุนนางที่มีสิทธิเข้าประชุมหารือราชการเป็นขุนนางขั้น 5 ขึ้นไป ดังนั้นเฉินตงซึ่งยังเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางชั้น 5 เมื่อปีก่อนจึงอยู่ในแถวด้วย
   ซื่อเสวี่ยนเห็นบิดามองมาด้วยสายตาภาคภูมิใจ ก็อมยิ้ม ลอบพยักหน้าคราหนึ่ง เพื่อให้บิดาวางใจว่าเขาจะไม่ทำให้ขายหน้าอย่างแน่นอน

   เวลาล่วงเลยไปจนใกล้เที่ยง ค่อยถึงคราวของราชบัณฑิตใหม่ทั้ง 5 คน ซื่อเสวี่ยนเดินนำหน้า ก่อนจะหมอบทำความเคารพเจ้าชีวิตตามธรรมเนียม หัวใจเขาเต้นแรง มือเท้าเย็นเฉียบ กระนั้นสีหน้าและท่าทางยังคงสุขุมเช่นเดิม ใบบรรดาบัณทิตทั้ง 5 คน ซื่อเสวี่ยนนับว่าอายุน้อยอย่างเห็นได้ชัด ด้านหลังของเขาประกอบด้วยชายหนุ่มอายุราว 17 - 18 ปี หนึ่งคน วัย 20 ต้นๆ หนึ่งคน ขณะที่อีกสองคนน่าจะมีอายุมากกว่าคนที่เหลืออยู่หลายปี ความอ่อนวัยและท่าทางเฉลียวฉลาดของซื่อเสวี่ยนที่ยืนอยู่ด้านหน้าจึงโดดเด่นขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
   หนางจงฮ่องเต้กล่าวชื่นชมราชบัณฑิตใหม่ สุรเสียงทุ้มนุ่มนวลดังสายน้ำและยังแฝงความอ่อนเยาว์อยู่บ้าง ซื่อเสวี่ยนไม่เห็นว่าหนานจงฮ่องเต้มีพระพักตร์อย่างไร เขาก้มหน้ารอ ขณะที่บัณฑิตลำดับที่ 2- 5 เข้ารับพระราชทานยศเป็นขุนนางขั้น 9 ซึ่งเป็นยศต่ำสุดของขุนนางฝ่ายพลเรือน ส่วนอยู่สังกัดไหนใน 6 กระทรวงค่อยเป็นหน้าที่ของกรมขุนนางอีกที


   “ลำดับหนึ่ง เฉินซื่อเสวี่ยน”
   ได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง ซื่อเสวี่ยนก้าวไปข้างหน้าสามก้าว ก่อนจะทำความเคารพ หลังจากนั้นคือความเงียบที่ไม่คุ้นเคย โถงกว้างปราศจากเสียงพูด แม้แต่เสียงลมหายใจก็แผ่วเบาลง กระทั่งสุรเสียงของเจ้าเหนือหัวตรัสว่า “เงยหน้า” 
   ซื่อเสวี่ยนตระหนกเล็กน้อยที่อยู่ๆ เจ้าชีวิตก็สั่งให้เขาเงยหน้า มิได้พระราชทานรางวัลให้ทันทีเหมือนคนอื่นๆ ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าตามรับสั่ง แต่ทอดสายตามองต่ำ เห็นเพียงแต่ฐานบัลลังก์มังกรสีทองเท่านั้น
   “ยังเด็กนัก” รับสั่งคล้ายทอดถอนใจ  “เจิ้นอ่านบทความของเจ้า น้ำน้อยไม่อาจดับไฟใกล้ แต่จะไม่ท่วมจนเป็นมหาภัย เจิ้นเห็นด้วย”
   “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
   ได้รับคำชมจากผู้เป็นใหญ่ในใต้หล้า ยังให้เกิดความพึงพอใจและภาคภูมิใจในอก ยิ่งทราบว่าหนานจงฮ่องเต้อ่านบทความในข้อสอบของเขา ซื่อเสวี่ยนยิ่งรู้สึกว่าเจ้าชีวิตองค์นี้ให้ความสนใจกับบุคลากรอย่างยิ่ง ซึ่งเหนือความคาดหมายของเขามาก
   “วรยุทธ์เป็นอย่างไร”
   “พอป้องกันตนเองได้พะย่ะค่ะ”
   สิ้นคำตอบของเขา กระบี่เล่มหนึ่งก็ถูกยื่นให้โดยบุรุษที่คาดว่าน่าจะเป็นราชองค์รักษ์ ซื่อเสวี่ยนเงยหน้ามองคล้ายเข้าใจ แต่ไม่แน่ใจ กระทั่งได้ยินรับสั่งต่อมา
   “ลองดู”
   ซื่อเสวี่ยนรับกระบี่ ชั่วขณะนั้นทันได้เห็นฉลองพระองค์สีเหลือง และปลายคางของหนานจงฮ่องเต้ เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะร่ายรำเพลงกระบี่เพลงหนึ่งที่เรียบง่ายแต่ดุดัน ตรงข้ามกับรูปร่างหน้าตาและกริยานุ่มนวลของเขาโดยสิ้นเชิง กระบี่สะท้อนผู้ใช้ บุคลิกเด็ดเดี่ยวและองอาจจึงฉายประกายผ่านเพลงกระบี่ชุดนี้
   เฉินตงมองบุตรชายด้วยตาเป็นประกาย แสดงกระบี่หน้าพระพักตร์ ไม่ทราบมีผู้คนมากมายเท่าใดปรารถนาแต่ไม่มีโอกาส สกุลเฉินอย่างไรก็คงต้องฝากไว้กับบุตรชายผู้นี้แล้ว

   “ไม่เลว”
   “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซื่อเสวี่ยนทำความเคารพหนานจงฮ่องเต้อีกครั้ง หลังจากส่งกระบี่คืนให้กับราชองค์รักษ์ส่วนพระองค์
   “อายุยังเยาว์ เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊” รับสั่งแผ่วเบาคล้ายกำลังใช้ความคิด เวลานั้นทุกคนต่างก้มหน้ามองพื้น ไม่มีผู้ใดเห็นสายตาประเมินที่ตกยังร่างกายที่ยังเติบโตไม่เต็มที่ของซื่อเสวี่ยน หนานจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองบัณฑิตใหม่ของพระองค์ สกุลเฉินเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ มีเฉินตงเป็นขุนนางชั้น 5 เบื้องหลังปราศจากอำนาจและไม่ซับซ้อน เฉินซื่อเสวี่ยนเป็นบุตรชายตระกูลคหบดีที่ถูกใส่ความ สนิทสนทกับสกุลอี้ ซึ่งถือเป็นตระกูลที่พระองค์วางใจ ชาติตระกูลและความสามารถล้วนไม่มีปัญหา
   “เจ้ามีชื่อรองหรือไม่”
   “ยังไม่มีพะย่ะค่ะ”
   เมื่อได้ยินทรงตรัสถามเรื่องชื่อรองของเฉินซื่อเสวี่ยน บรรดาขุนนางลอบสูดลมหายใจลึก ไม่กล้าคิดถึงเจตนาของเจ้าชีวิต กระทั่งได้ยินหนานจงฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงดังขึ้นเล็กน้อยว่า
   “เฉินซื่อเสวี่ยน ประทานชื่อรองว่าซือจง แต่งตั้งเป็นขุนนางขั้น 8 กรมกลาโหม”
   “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
   

   ฮ่องเต้ประทานชื่อรอง เป็นเกียรติยศที่ไขว่หามิได้ ในอดีตผู้ที่ฮ่องเต้ประทานชื่อรองล้วนได้รับการปฏิบัติเยี่ยงศิษย์ของพระองค์ หมายถึงทรงตั้งใจจะสั่งสอนชุบเลี้ยง ‘ซือจง’ แปลว่าความสุขและความภักดี ทั้งยังมีเสียงพ้องกับพระนาม เจตนาเจ้าชีวิตชัดเจนจนทำให้บรรดาขุนนางทั้งหลายรู้สึกหนาวเหน็บ ปีก่อนหนานจงฮ่องเต้ปลดขุนนางมากมาย เวลานี้กลับทรงสนับสนุนเด็กน้อยสกุลเฉิน เจตนาโอรสสวรรค์แท้จริงแล้วเป็นเช่นใด





...........................
หนานจงฮ่องเต้ ชื่อก็ใบ้เสียชัดเจน จะเป็นใครไปได้อีกคะคุณณณณณ
มาฉากเดียว แต่เรือใส่เครืองเทอร์โบจ้าพี่จ๋า
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 4)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-05-2019 18:46:25
 o13
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 4)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 11-05-2019 21:49:18
เจ้าวังตะวันออกมาแล้ว แล้วเทพมายาล่ะจะกลับมาเป็นอี้เทียนคนเดิม หรือเป็นคนใหม่กันนะ

แต่อวิ๋นหนานไม่ค่อยจะให้ความเอ็นดูจิวซือเลยนะ  เห็นหน้าครั้งแรกก็คิดจะให้อยู่ข้างตัวเลย 555
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 4)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-05-2019 23:57:27
นี้แค่เริ่มต้น
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 4)
เริ่มหัวข้อโดย: pepperpro ที่ 02-06-2019 16:46:09
ไรท์อยากต่อแล้วอะครับ มาต่อหน่อยสิฮะ

 :z10: :z10: :z10: :z10: :z10: :z10:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 4)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 02-06-2019 17:38:22

The Great General (5)



   ภายในเวลาเพียง 5 ปี ขั้วอำนาจในเมืองหลวงเปลี่ยนแปลงไปมาก ตระกูลใหญ่หลายตระกูลที่เกี่ยวดองกับไทเฮา บ้างถูกกำจัด บ้างถูกลดอำนาจ ขณะที่ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลเฉินกลับกลายเป็นขั้วอำนาจใหม่ที่มิอาจดูแคลน
   เฉินตงเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วจากขุนนางขั้น 5 เป็นขุนนางขั้น 3 รั้งตำแหน่งรองเสนาบดีกรมคลัง และคาดว่าตำแหน่งเสนาบดีก็คงไม่พ้นจากเขา หากยังคงรักษาความไว้เนื้อเชื่อใจของพระหมื่นปี*ไว้ได้ แต่ที่โดดเด่นกว่าเห็นจะเป็นบุตรชายของเขา เฉินซื่อเสวี่ยน ที่ได้รับการเลื่อนขั้นจากขุนนางขั้น 8 เป็นขุนนางขั้น 5 กรมกลาโหม สามารถเข้าร่วมการประชุมราชการช่วงเช้าด้วยอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น กล่าวว่าซื่อเสวี่ยนกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาบุรุษรุ่นเยาว์ก็เป็นได้
   แน่นอนว่าผู้ที่คัดค้านและไม่พอใจพ่อลูกตระกูลเฉินมีอยู่ไม่น้อย แต่เพราะหนานจงฮ่องเต้ทรงมีเจตนาอุ้มชูอย่างชัดเจน แม้แต่ยามที่มีคนพยายามใส่ความเฉินตงก็ทรงออกหน้าปกป้อง ดังนั้นตระกูลเฉินจึงมีแต่ก้าวหน้าไม่ถอยหลัง ยิ่งกับเฉินซื่อเสวี่ยนซึ่งทรงประทานชื่อรองให้นั้น ความโปรดปรานของพระองค์ที่มีต่อเขาเหนือกว่าผู้ใดในวังหลวง หลายครั้งทรงถามความเห็นของเขาต่อหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ตรัสชื่นชมหรือตำหนิเขาอย่างตรงไปตรงมา พระราชทานรางวัลให้เขาและเผื่อแผ่ถึงตระกูลเฉิน แม้แต่หอสมุดหลวงก็ทรงอนุญาตให้ซื่อเสวี่ยนเข้าออกได้อย่างอิสระ ราวกับตั้งพระทัยจะปฏิบัติต่อเขาดังลูกศิษย์ที่แท้จริง
   พระกรุณายิ่งใหญ่นี้ หากเป็นคนทั่วไปเกรงว่ายากจะรับไว้ ซื่อเสวี่ยนและตระกูลเฉินก็ไม่ต่างกัน พวกเขาไม่ใช่ตระกูลเก่าแก่ที่มีอิทธิพลหรือรากฐานอำนาจมั่นคง เครือข่ายเส้นสายล้วนแต่เปราะบาง มิตรหรือศัตรูแปรเปลี่ยนเพียงเสี้ยวนาที เฉินตงออกคำสั่งให้ทุกคนในตระกูลประพฤติตนอย่างรัดกุม ห้ามมิให้วางอำนาจบาตรใหญ่อย่างเด็ดขาด ด้วยทราบว่ามีผู้คนมากมายพร้อมจะฉวยโอกาสสร้างความลำบากให้พวกเขา ตระกูลเฉินอ่อนแอเกินไป พระมหากรุณาธิคุณนี้แทบรับไม่ไหว แต่เพราะขี่หลังเสือแล้วมิอาจกระโดดลงเองได้ จึงต้องเดินหน้าต่อไป
   เฉินตงมองบุตรชายที่เติบโตเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงสง่า เห็นเขาฝึกเพลงยุทธ์ด้วยกระบี่พระราชทานด้วยสายตาซับซ้อน ซื่อเสวี่ยนสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาก็ลดกระบี่ลง เมื่อสายตาของบุรุษสองวัยสบเข้าด้วยกัน ต่างก็เข้าใจความคิดโดยมิต้องกล่าววาจา เฉินตงกังวลเรื่องใด มีหรือซื่อเสวี่ยนจะไม่ทราบ
   หนานจงฮ่องเต้ต้องการใช้สกุลเฉินเป็นโล่ ต้องการให้เขาเป็นดาบ ทั้งสนับสนุน อวยยศ มอบอำนาจ ให้ความไว้วางพระทัย เพราะสกุลเฉินเป็นหมากดีที่พระองค์จะใช้สอยหรือสละทิ้งเมือใดก็ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ ผู้อื่นอาจอิจฉาริษยาในวาสนาที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวนี้ แต่สำหรับสกุลเฉิน ทุกเวลาดังเหยียบย่างอยู่บนยอดคลื่น มิรู้ว่าจะเพลี่ยงพล้ำถูกซัดลงสู่ก้นทะเลเมื่อใด
   ซื่อเสวี่ยนยิ้มให้บิดา เอ่ยว่า “ไปเยี่ยมหนิงเอ้อร์กันเถอะขอรับ” เฉินตงถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย หนิงเอ้อร์หรือเฉินหนิงอัน เป็นบุตรสาวของลี่ฮูหยิน ปีนี้เพิ่งอายุได้ขวบเดียว ทารกน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เป็นแก้วตาดวงใจของลี่ฮูหยินรวมถึงซื่อเสวี่ยนด้วย
   นึกถึงน้องสาวตัวน้อย สีหน้าของซื่อเสวี่ยนก็อ่อนโยนลง ฮ่องเต้ต้องการให้เขาเป็นดาบ เขาก็จะเป็นดาบที่คู่พระทัยที่พระองค์ไม่อาจสละทิ้งได้โดยง่าย


   
   “คุณชายอี้มาขอรับ”
   ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าจากตำราเมื่อได้ยินข้ารับใช้บอกการมาถึงของอี้เทียน รอยยิ้มน้อยผุดขึ้นบนใบหน้าโดยอัตโนมัติ ร่างสูงโปร่งยังมิทันลุกจากที่นั่ง ประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับสหายที่ก้าวเข้ามาอย่างคุ้นเคย อี้เทียนในวัย 18 ปี ตัวสูงกว่าเขาราวครึ่งศีรษะ และอาจเป็นเพราะเจ้าตัวฝึกยุทธ์กับบิดาตั้งแต่เล็ก จึงมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปอยู่มาก กล่าวได้ว่าเป็นชายชาตินักรบเช่นเดียวกับบิดาของเขาก็ไม่ผิดนัก
   “เป็นถึงตูจวิน* แล้วก็ยังไม่รักษามารยาทอยู่เช่นเดิม”
   ไม่ใช่มีแต่สกุลเฉินที่ได้รับความไว้วางพระทัย ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลอี้ก็อยู่ฝ่ายที่สนับสนุนพระองค์มาตั้งแต่แรก ดังนั้นอำนาจทางการทหารส่วนใหญ่จึงยังคงอยู่ในมือตระกูลอี้ เช่นเดียวกันอี้เทียนก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นตูจวินตั้งแต่อายุยังน้อย
   “รักษามารยาทกับเจ้าน่ะหรือ เด็กน้อย” อี้เทียนยิ้มมุมปาก ดวงตาพราวอย่างที่นึกสนุกที่ได้ล้อเลียนสหาย ซึ่งรูปร่างเล็กกว่าตนเอง ประกอบกับใบหน้านวลเนียนที่ไม่ค่อยได้ออกแดด จึงทำให้ยังดูคล้ายคุณชายน้อยแห่งเฟิงจวนอยู่เหมือนเดิม แต่เมื่อเห็นซื่อเสวี่ยนทำท่าจะโต้เถียงว่าผู้ใดกันแน่ที่เด็กกว่า ก็รีบยกของในมือขึ้น ชิงกล่าวว่า “ข้าเอาของมาฝากหนิงเอ้อร์”
   ซื่อเสวี่ยนส่ายหัวยิ้มๆ รับถุงผ้าสีน้ำตาลจากมืออี้เทียน เปิดดูก็พบว่าเป็นมีดพับขนาดกระทัดรัด สามารถพับและเปิดได้อย่างสะดวก ที่จับทำจากโลหะอ่อนประดับด้วยลวดลายแกะสลักสวยงาม
   “เจ้าจะให้น้องสาวข้าเล่นมีดพับนี่นะหรือ”
   “ถ้างั้น เจ้าก็เล่นแทนนาง”
   ซื่อเสวี่ยนเลิกคิ้วมองอีกคน เห็นอี้เทียนยังทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ คราวก่อนที่ขี่ม้าออกไปนอกเมืองด้วยกัน เขาตั้งใจจะหาซื้อมีดพับสักเล่ม แต่ปรากฎว่ายังหาที่ถูกใจไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสั่งทำของชิ้นนี้มาให้ ทั้งขนาด คุณภาพ และลวดลายล้วนแต่น่าพอใจ
   “ยังจะยิ้มอีก” อี้เทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจนใจ ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้เส้นผมนุ่มกลางศีรษะของซื่อเสวี่ยน โดยที่ริมฝีปากตนเองก็อดยกขึ้นตามเล็กน้อยไม่ได้
   ถึงจะไม่ยอมเรียกเขาว่าพี่อี้เหมือนตอนเด็กๆ แต่เขาก็ยังอยากเอาใจ และตามใจคนตรงหน้าอยู่ดี




   
   ชั้นสามของภัตตาคารหลีต้าฟง ในห้องรับรองพิเศษ เห็นซื่อเสวี่ยน อี้เทียน และบุรุษหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันอีกสามคน นั่งรับประทานอาหารดื่มสุรา และสนทนากันอย่างออกรส พวกเขาล้วนแต่เป็นสหายที่ศึกษาในเฟิงจวนด้วยกัน ต่างไม่ค่อยได้พบปะกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอี้เทียนที่ติดตามบิดาไปยังชายแดนอยู่บ่อยครั้ง นอกจากซื่อเสวี่ยนและอี้เทียนแล้ว บุรุษหนุ่มอีกสามคนล้วนแต่เป็นคุณชายตระกูลใหญ่ แม้ไม่ใช่คนรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุด แต่ก็นับว่ามีอนาคตไกลไม่เลว กระนั้นทุกคนต่างพร้อมใจกันยกให้อี้เทียนเป็นพี่ใหญ่
   “พี่ใหญ่อี้ ไปชายแดนไม่กี่ปีก็ได้เป็นตูจวินแล้ว ผู้น้องคาราะวะหนึ่งจอก” จางเหว่ยกล่าว จางเหว่ยเป็นบุตรชายที่ห้าของสกุลจาง บิดาและพี่ชายล้วนเป็นแม่ทัพนายกอง จึงนับถืออี้เทียนมากเป็นพิเศษ
   “เช่นนั้นเจ้าคงต้องคาราวะซือเสวี่ยนสามจอก” อี้เทียนพูดกลั้วหัวเราะ แต่ก็ยังยกสุราดื่มจนหมดจอก
   “เหอะ ตอนซือจง*ได้เลื่อนขั้น บิดาเขาเลี้ยงสุราหิมะพันปี เจ้าที่อยู่ชายแดนจะไปรู้อะไร” โม่โฉว บุตรชายคนรองของสกุลโม่ ยกยิ้มแกมสะใจที่อี้เทียนพลาดงานเลี้ยงของสหายรัก คนทั่วไปอาจไม่รู้ แต่พวกเขาที่เป็นสหายล้วนทราบดีว่า อี้เทียนตูจวินผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตานั้น ขี้อิจฉาและจิตใจคับแคบกับเรื่องของซื่อเสวี่ยนเพียงใด
   อี้เทียนขมวดคิ้ว โอบไหล่ซื่อเสวี่ยนเข้ามาถามว่า “ซื่อเสวี่ยน ส่วนของข้าล่ะ”
   “ไม่มี”
   “ฮ่าๆ พี่ใหญ่อี้ รอท่านเป็นเจียงจวินเมื่อใด ท่านค่อยให้เขาปิดหลีต้าฟงเลี้ยงพวกเราทั้งหมด”
   คำว่า ‘เจียงจวิน’ ทำให้มือที่ถือถ้วยสุราของซื่อเสวี่ยนบีบแน่นขึ้น ก่อนที่เขาจะยกดื่มรวดเดียวหมด ความฝันของเฉินซานคือเป็นเจียงจวิน ซื่อเสวี่ยนไม่เคยลืม จนใจที่ฝ่าบาทไม่อนุญาตให้เขาออกรบ ได้แย่ถกข้าราชการกับขุนนางอื่นๆ ในวังหลวง
   “ทั้งพี่ใหญ่อี้ ทั้งซื่อเสวี่ยน ล้วนก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ข้าสิ ถูกมารดาบังคับให้แต่งภรรยา ข้าเพิ่ง 18 เท่านั้น ยังจะหาบ่วงมาผูกคอเร็วปานนี้เพื่ออะไร” จางเหว่ยตีหน้าเศร้า ทำให้คนอื่นๆ หัวเราะกับท่าทางเกินพอดีของเขา
   “เร็วอะไร ดูอย่างลู่เสียนสิ แต่งเมื่อต้นปี พอปลายปีภรรยาก็ตั้งครรภ์แล้ว ถือว่าล้ำหน้ากว่าพวกเราทั้งหมด”
   “ใช่ เป็นเรื่องเดียวที่เจ้านำหน้าซื่อเสวี่ยน ฮ่าๆ”
   ลู่เสียนถูกสหายล้อเลียนก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งยังรับยิ้ม แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ไม่เลวระหว่างสามีภรรยา

   อี้เทียนเห็นซื่อเสวี่ยนดื่มเหล้าไม่หยุด ก็คว้าข้อมือเขา บังคับให้วางจอกเหล้า และเปลี่ยนมาเป็นกินกับแกล้มแทน “เดี๋ยวปวดท้อง”
   น้ำเสียงกึ่งดุกึ่งตามใจของอี้เทียนทำให้โม่โฉวอดเหน็บแนมสักคำไม่ได้ “ลู่เสียน เจ้าดูแลภรรยาได้ครึ่งหนึ่งของที่อี้เทียนดูแลซื่อเสวี่ยนหรือไม่”
   ลู่เสียนกลอกตา แสร้งเมินประโยคคำถามของโม่โฉว ขณะที่อี้เทียนสีหน้าไม่เปลี่ยน เขารินน้ำชาร้อนๆ ยื่นให้ซื่อเสวี่ยนดื่มแทนสุรา พลางกล่าวว่า “สหายย่อมสำคัญกว่าสตรี” และคงเพราะรู้สึกยังไม่เพียงพอ จึงกระชับไหล่ของซื่อเสวี่ยน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ้าชู้คล้ายกำลังแทะโลมสตรีดีงาม “ยิ่งหากซือซือยอมเรียกข้าว่าพี่อี้ ข้าจะดีต่อเขามากกว่านี้”
   โม่โฉวกลอกตา สีหน้าเหมือนกลืนยาขม “แม่นางทั้งหลายล้วนใจสลายเพราะพวกเจ้าแล้ว”
   “ฮ่าๆ”

   ท่ามกลางเสียงหัวเราะหลอกล้อของบรรดาสหาย ซื่อเสวี่ยนก้มหน้าจิบน้ำชา บังคับไม่ให้มุมปากของตนเองยกขึ้น เปิดเผยความรู้สึกภายใน ความรู้สึกที่เขาเพียรข่มกลั้นไว้ พยายามอย่างมากที่จะลดทอนมัน แต่...

   บางทีคงไม่ทันแล้ว
   เมล็ดพันธุ์เล็กๆ เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่
   หยั่งรากลึกในใจเขา



   #วิถีเซียน3p



……………………………….
พระหมื่นปี* = ฮ่องเต้
*ซือจง = ชื่อรองของซื่อเสวี่ยนที่ฮ่องเต้พระราชทานให้
*ตูจวิน = สารวัตรทหาร สูงขึ้นไปคือ ตูตู ต้าตูตู เจียงจวิน ต้าเจียงจวิน และจงหลางเจี้ยง

ARC นี้เหมือนเป็นเรื่องหลัก น่าจะยาวกว่า Arc ที่ผ่านมาพอสมควรค่ะ

ปล. เปิด Pre-order นิยายเรื่อง Skinship: The king with Teddy Bear แล้วนะคะ สอบถามได้ในเพจ White Demon นะคะ

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 5)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-06-2019 18:40:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 5)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 02-06-2019 19:29:28
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ

แอบบสงสัยว่าตอนนี้ อี้เทียนจะมีความรู้สึกเริ่มชอบซื่อเสวี่ยน เหมือนที่ซื่อเสวี่ยนเริ่มรู้สึกว่าชอบอี้เทียนหรือยัง
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 5)
เริ่มหัวข้อโดย: เฉื่อย ที่ 04-06-2019 20:11:20
สามคนนี้ชะตาเกี่ยวพันกันเสมอเลยสินะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 5)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 09-06-2019 12:40:48





The Great General (6)




   ซื่อเสวี่ยนคิดว่าระหว่างเขาและอี้เทียนคงเป็นเช่นนี้ไปตลอด กระทั่งคืนหนึ่งที่เขาพาอี้เทียนที่เมาไร้สติไปส่งที่จวนสกุลอี้ และพวกเขาเผลอจูบกัน จะเรียกว่าเผลอก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะเวลานั้นเขามีสติดีทุกอย่าง แต่ก็ยังยินดีที่ฝ่ายนั้นจรดริมฝีปากร้อนเข้ามาบดเบียด ตอบสนองอย่างกระตือรือร้น ต้องการส่งผ่านความรู้สึกที่เก็บกดไว้หลายปี กระทั่งสัมผัสดุดันนั้นหยุดไปพร้อมกับศีรษะของอีกฝ่ายเลื่อนลงซบไหล่ของเขา
   หลังจากวันนั้น คนที่เคยมาเยือนบ้านสกุลเฉินแทบทุกวันก็หายหน้าหายตาไป แม้แต่ยามที่เขาไปหาที่จวนสกุลอี้ ก็ปัดป้องว่าไม่อยู่ กระทั่งฉุกคิดได้ว่าบางทีอีกฝ่ายคงนึกรังเกียจ ความคิดที่ทำให้เท้าแทบไม่มีแรง ได้แต่มองประตูจวนสกุลอี้อยู่นาน หากรู้ว่าหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่เหมือนเดิม หากรู้ว่าอี้เทียนยังมีสติรับรู้แม้เพียงเล็กน้อย ตอนนั้นคงไม่ทำตามใจตนเอง
   หากต้องสูญเสียไป มิสู้ไม่รู้จักความรัก
   

   ซื่อเสวี่ยนเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้เขาเงียบขรึมไปก็ไม่มีผู้ใดคิดว่าผิดปกติ ในฐานะขุนนางขั้น 5 ซึ่งยืนอยู่ท้ายแถว เขาก้มศีรษะมองต่ำ ไม่แสดงความคิดเห็นกับเรื่องที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่กำลังถกเถียงกัน มิคาดว่าเมื่อจบการประชุมช่วงเช้าแล้ว ฮ่องเต้จะมีรับสั่งให้เขารั้งอยู่ก่อน
   โถงว่าราชการกว้างใหญ่เวลานี้เหลือเพียงเจ้าชีวิตบนบัลลังก์สีทอง และซื่อเสวี่ยนที่ยืนก้มศีรษะลงต่ำและประสานมืออย่างนอบน้อม
   “ซือจง เงยหน้า”
   ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าตามรับสั่ง แต่ดวงตายังคงมองเพียงฐานบัลลังก์จึงไม่เห็นว่าพระหม่ืนปีทอดพระเนตรมองเขาอย่างพิจารณา
   “อาหารที่สกุลเฉินไม่ถูกปากเจ้าหรือ”
   คำถามที่ดูปราศจากที่มาที่ไปทำให้ซื่อเสวี่ยนมึนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะนึกได้ว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขากินข้าวได้น้อยลงมาก จึงไม่แปลกที่จะดูซูบผอมไปบ้าง “หามิได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมฝึกวิชา”
   ฝึกวิชาเป็นเรื่องจริงแท้ จะเรียกว่าหลอกลวงเบื้องสูงคงไม่ได้
   หนานจงฮ่องเต้ไม่ตรัสอะไร ทรงมองดูขุนนางของพระองค์อยู่ครู่หนึ่ง ขุนนางที่มีพระประสงค์จะให้เป็นกระบี่ฆ่าฟันศัตรูบัดนี้เติบโตเป็นคนหนุ่มที่ฝีมือและกริยาล้วนไม่มีที่ติ ส่องประกายแม้ยังอยู่ในฝัก เหมาะสมที่จะเป็นกระปี่ของพระองค์
   “ปีนี้อายุเท่าใด”
   “ย่าง 20 แล้วพะย่ะค่ะ”
   “ต้องใจบุตรสาวตระกูลใดบ้างหรือไม่”
   ซื่อเสวี่ยนค้อมศีรษะลงแล้วตอบปฏิเสธ แต่ในใจนึกกลัวอยู่ไม่น้อย ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์ให้เขาแต่งบุตรสาวตระกูลใด ต้องการลากตระกูลไหนมาเป็นโล่อีก หมากบนกระดานของพระองค์ล้วนแต่คาดเดาไม่ได้
   “อยู่กินข้าวกับเรา”
   
   สำหรับซื่อเสวี่ยน หนานจงฮ่องเต้เปรียบได้กับอาจารย์ เพราะนอกจากจะทรงส่งเสริมสนับสนุนเขาแล้ว ยังสั่งสอนทั้งเรื่องการเมืองและการทหาร หากไม่มีหนานจงฮ่องเต้ ตระกูลเฉินย่อมไม่มีทางกลายเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ สายตาที่ผู้อื่นมองเขาว่าเป็นตัวโชคร้ายย่อมไม่แปรเปลี่ยนเป็นชื่นชม แต่ภายใต้ความรู้สึกขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณนี้ยังแฝงไว้ด้วยความเกรงกลัวและระมัดระวังอย่างเลี่ยงไม่ได้




   ซื่อเสวี่ยนได้พบอี้เทียนอีกครั้งก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนต่อมา สหายที่ไม่ได้พบเสียนานดูซูบผอมลงไม่น้อย แม้แต่สีหน้าก็ดูหม่นหมองอยู่บ้าง
   “สบายดีหรือ”
   คำถามที่ฟังดูห่างเหินนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวพวกเขาอึมครึมยิ่งกว่าเดิม ซื่อเสวี่ยนตอบรับในลำคอ ไม่ทราบจะกล่าวอะไร ในใจเต็มไปด้วยคำถาม ตลอดจนข้อความตัดพ้อที่ไม่สามารถเปล่งวาจาได้ ด้วยเขาเป็นบุรุษ และเป็นเพียงสหาย
   “มารดาต้องการให้ข้าแต่งงาน ข้ายังไม่อยากแต่ง จึงจะไปชายแดนกับบิดา”
   แต่งงาน พวกเขาถึงวัยนั้นแล้ว ลู่เสียน โม่โฉว หรือแม้แต่จางเหว่ยที่เด็กกว่าหนึ่งปียังแต่งภรรยาเรียบร้อย บุตรชายของลู่เสียนเริ่มพูดได้แล้วด้วยซ้ำ กาลเวลาผ่านไปเร็ว แต่บางอย่างยังไม่เปลี่ยน เช่นว่าหน้าที่ในการสืบสกุล นอกเสียจากว่าไม่ใส่ใจความเป็นไปของสกุลแล้ว อย่างไรสักวันก็จำต้องแต่งภรรยา มีบุตรธิดาอยู่ดี ทั้งอี้เทียนและตนเอง ซื่อเสวี่ยนยกมุมปากตนเองขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างยากลำบาก
   “รักษาตัวด้วย”
   ซื่อเสวี่ยนพูดได้เพียงประโยคสั้นประโยคนี้เท่านั้น ยามรู้สึกได้ว่าฝ่ามือของอีกคนวางบนไหล่ของเขาแล้วบีบแน่น หากเป็นเช่นทุกที มือคู่นี้คงดึงเขาเข้าไปกอดอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วตบหลังปลอบใจบอกว่าจะซื้อของแปลกๆ จากชายแดนมาให้ แต่ในเวลานี้มือคู่นั้นยังค้างอยู่แค่บนไหล่ พร้อมกับคำอำลาเรียบง่าย
   “ข้าไปก่อน”

   

   ยมโลก
   บุรุษในชุดคลุมยาวสีดำสนิท นั่งอยู่บนตั่งทองของหอนอนที่อยู่สูงที่สุดในเขตแดนแห่งความตายนี้แต่เพียงผู้เดียว ตรงข้ามกับตั่งทองคือกระจกใสรูปวงรีสูงราวหนึ่งช่วงแขน ลอยอยู่กลางอากาศ สะท้อนภาพของซื่อเสวี่ยนที่มองตามหลังอี้เทียนที่ควบม้าจากไป
   รอยยิ้มที่ประดับใบหน้าของซื่อเสวี่ยนจางหายไปแล้ว รอยยิ้มที่เขาไม่ชอบบางทีคงเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น แผ่นหลังที่เคยเหยียดตรงของตนในกระจกดูคล้ายจะลู่ลงเล็กน้อยเหมือนคนหมดแรง มือเรียวขาวดังมือของนักกวีหยิบมีดพับเล่มหนึ่งของจากอกเสื้อ เป็นมีดพับที่อี้เทียนหรือตัวเขาเมื่อยังเป็นมนุษย์มอบให้กับซื่อเสวี่ยน ซื่อเสวี่ยนเปิดมันออก มองใบมีดสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย ก่อนที่จะจรดมันลงบนปลายนิ้ว ทำให้โลหิตสีแดงไหลออกมาจากปากแผลเล็กๆ
   อี้เทียนผุดลุกขึ้นจากตั่งทอง ก้าวไปยังกระจกใสด้วยลมหายใจกระชั้น มือทั้งสองข้างจับขอบกระจกไว้ ใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่าใบมีดนั้นกรีดลงบนหัวใจตนเอง เพิ่งรู้ว่าตอนที่เขาจากไปชายแดนคราวนั้น ซื่อเสวี่ยนทำร้ายตัวเองเช่นนี้
   นอกจากนั่งมองผ่านกระจก เขาผู้เป็นถึงเทพยามา ไม่สมารถทำอะไรได้เลย บางทีนี่คือการชดใช้กรรมของเขา เป็นสวรรค์บอกต่อเขาว่าต่อให้ดิ้นรนฝืนลิขิตเป็นผู้ครองยมโลก มีชีวิตอมตะหมื่นปี ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงลิขิตที่สวรรค์กำหนดไว้ได้ ถ้าอย่างนั้นเขาเป็นเพทยามาไปเพื่ออะไร ต่อให้แทรกแซงดวงวิญญาณดวงอื่นได้ กลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของบุคคลเดียว กระจกส่องภพทำให้เขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เข้าใจความรู้สึกของซื่อเสวี่ยนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แต่ไม่สามารถช่วยเหลือ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตของพวกเขาได้
   หลายครั้งที่เขาทนไม่ไหว อยากไปโลกมนุษย์ แย่งชิงอีกคนกลับมา แต่คำเตือนของอาจารย์ก็มักจะดึงสติของเขาไว้


   “ตัวเจ้ามีผลกระทบกับเขามาก ถ้าเจ้าเข้าไป เกรงว่าไม่กี่เพลา ลิขิตของเขาก็บิดเบี้ยวแล้ว ใครเข้าไปได้ แต่เจ้าไปไม่ได้”
   “หรือต่อให้เจ้าฝืนชะตาได้ ก็ต้องยอมรับผลของการเปลี่ยนแปลงนั้น เขาอาจมีจุดจบที่ดีในโลกมนุษย์ แต่ไม่ได้เป็นเซียนไปตลอดกาล สวรรค์ต้องการการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันเสมอ”
   “นี่คือผลกรรมของข้าหรือขอรับ แม้พบก็มิอาจครอบครอง ต้องการช่วยเหลือยังไม่อาจทำได้ เช่นนั้นข้าจะเป็นเทพยามาไปเพื่ออะไร”
   “ศิษย์ข้า เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้าลองไตร่ตรองดูเถิด”
   “คนรักของเจ้าเป็นคนพิเศษ เจ้าเป็นบ่วงรักของเขา เขาเองก็เป็นบ่วงรักของเจ้าและผู้มีบุญหนักอีกผู้หนึ่ง มนุษย์ตัวเล็กๆ คนเดียวกลับเป็นบ่วงรักของเทพชั้นสูงสององค์ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นจึงมีคนต้องการขัดขวางหรือแม้แต่จำกัดเขา”
   “ท่านอาจารย์ทราบหรือขอรับว่าเป็นผู้ใด”
   “วางใจเถอะ แม้นางจะมีอำนาจมากล้น แต่นางก็ไม่อาจฝืนลิขิตสวรรค์เช่นกัน ดังนั้นขอแค่เขาผ่านด่านคุณธรรมสุดท้ายนี้ไปได้ แสดงให้เห็นว่าสวรรค์ยอมรับตัวตนของเขาได้ นางจะวางมือเอง”
   
   


   อี้เทียนมองภาพเคลื่อนไหวผ่านกระจก ใบหน้าฉายแววครุ่นคิด หากเขาเข้าไปแทรกแซงตอนนี้ เกรงว่าคงจะตกหลุมพรางที่คนผู้นั้นตั้งใจทำลายซื่อเสวี่ยน ที่ส่งดวงจิตของซื่อเสวี่ยนกลับไปยังอดีตชาติ เป้าหมายคงไม่ได้มีแต่ซื่อเสวี่ยนคนเดียว แต่ยังรวมถึงตัวเขาด้วย
   บ่วงรักของเทพชั้นสูงสององค์ เขาไม่ยอมรับ แต่ในใจคาดเดาได้อยู่แล้วว่าเป็นผู้ใด อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะเปลี่ยนบ่วงรักของเขาให้กลายเป็นด้ายแดงเอง แต่บ่วงที่ผูกมัดอดีตของซื่อเสวี่ยนไว้ ไม่ได้มีแค่บ่วงรัก แต่เป็นการที่เขาไม่ยินยอมให้อภัยตนเอง สิ่งนี้จะต้องผ่อนปรนให้ได้ ขอแค่...ไม่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของพวกเขาก็พอ




   #วิถีเซียน3p




……………………….
นี่พยายามจะลดดราม่าด้วยการ Fast forward ที่สุดแล้ว ถถถ

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 6)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-06-2019 14:05:55
กลั้นหายใจรอเลย
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 6)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 09-06-2019 15:42:06
อย่า fast forward เยอะเลยครับ เดี๋ยวมันจะห้วนไปแบบ Game of Throne แล้วอารมณ์สะดุดนี่พังเลยนะครับ นี่เป็นบททดสอบคุณธรรมด่านสุดท้ายแล้ว ค่อยๆละเลียดแล้วให้คนอ่านซึมซับอารมณ์ดีกว่านะฮะ จะเศร้าหรือสุข อย่างน้อยก็ทำให้มันซาบซึ้งตรึงใจในอารมณ์ ผมว่าน่าจะดีต่อโทนเรื่องมากกว่าด้วย
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 6)
เริ่มหัวข้อโดย: pepperpro ที่ 16-06-2019 20:21:58
ตอนนี้บีบคั้นอารมณ์มากกว่านะครับ ถึงจะดูกระชับ แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิงใหญ่พอสมควรในเขตของเรื่องราวในอดีตชาติ

อยากรู้เรื่องต่อไปแล้ว มาต่อไวๆนะครับ

และเห็นด้วยกับเม้นบนนะว่าไม่ต้องรีบเพราะชาตินี้อยากจะละเมียดละไมกับที่มาที่ไป รวมถึงปมต่างๆของซือเสวี่ยน
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 6)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 17-06-2019 21:08:30
เราอยากรู้เรื่องของทางฝั่งอี้เทียนบ้างจัง ความรู้สึกของอี้เทียนที่มีต่อซือเสวี่ยนตอนที่ได้ใกล้ชิดกัน และตอนที่ตัดสินใจแยกห่าง อี้เที้ยนรู้สึกอย่างไร
เราอยากให้ภพนี้ดำเนินเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมๆ กับที่อยากรู้ว่าเพราะสาเหตุใดพระแม่ถึงคอยเข้ามาแทรกแซงการเป็นเซียนของซือเสวี่ยน

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 6)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 20-06-2019 19:10:53



The Great General (7)

   


   ท่านปู่เคยกล่าวว่าคนเราจะมีดวงดาวประจำตัวอยู่ดวงหนึ่งบนฟากฟ้าที่ห่างไกล ดวงดาวดวงนั้นจะคอยปกป้องเรา มองดูเรา และเป็นผู้นำทางของเรา ตอนที่เขายังเด็กมาก เขาเคยพยายามมองหาดวงดาวที่ว่านั่น แต่เมื่อโตขึ้นมาหน่อย จึงเรียนรู้ว่าไม่มีดวงดาวนำทางหรือปกป้องที่ว่า มีแต่ตนเองเท่านั้น
   บิดาตั้งชื่อเขาว่า ‘เทียน’ แปลว่าฟ้า เจตนาให้เขาเป็นฟ้าของตระกูลอี้ ดังนั้นจึงเข้มงวดกับเขามากกว่าคนอื่นๆ ตั้งแต่เริ่มเดินได้ก็ต้องเริ่มฝึกยุทธ์ ไม่ได้เที่ยวเล่นเหมือนคนอื่น แม้แต่บรรดาพี่น้องในจวน เขายังพูดคุยด้วยนับครั้งได้ ตั้งแต่จำความได้ เพื่อนเล่นของเขาก็มีแต่กระบี่เท่านั้น หากเมื่อใดเขาทำได้ไม่ดี บิดาจะลงโทษเขาเสมอ หลายครั้งนึกสงสัยว่าอะไรที่เรียกว่าดีพอ เขาต้องพยายามอีกแค่ไหนถึงจะดีพอ ท่านปู่บอกว่านั่นคือวิธีแสดงความรักของบิดา แต่แม้ว่าเขาจะพยายามเข้าใจ ก็ยังไม่เคยรู้สึกได้ถึงความรักเลยสักครั้ง
   เขาเป็นความคาดหวังของบิดา แต่จะใช่ความรักหรือเปล่า เขาไม่แน่ใจ ท่านปู่บอกว่าสำหรับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลอี้แล้ว เกียรติยศของตระกูลเป็นเรื่องหลัก ครอบครัวเป็นเรื่องรอง เขาต้องเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป ดังนั้นบิดาจึงอบรมสั่งสอนวิถีของผู้นำให้เขา
   อันที่จริง เขาไม่เคยอยากเป็นผู้นำ เขาเพียงอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น ได้กินอาหารพร้อมหน้ากับท่านปู่ บิดา มารดา และบรรดาพี่น้อง ไม่ทราบเมื่อไรที่เขาตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้ อาจจะเป็นตอนที่อ่านสายตาบรรดาพี่น้องออกเป็นครั้งแรกก็เป็นได้ สายตาที่มองเขาเป็นคนแปลกหน้า หวั่นเกรง โกรธ หรือแม้แต่เกลียดชัง
   ถ้านี่คือวิถีของผู้นำที่ว่า เขาไม่อยากเป็น
   นับตั้งแต่นั้น เขาจึงทำตัวเริ่มทำตัวเกเร ไม่ยอมเป็นคุณชายน้อยที่เชื่อฟังบิดาอีก ไม่เชื่อว่าสิ่งที่บิดาทำคือความรักอีก ในเมื่อต้องการให้เขาเป็นผู้นำ ดังนั้นเขาจะอาศัยอำนาจบารมีของการเป็นคุณชายตระกูลใหญ่กระทำในเรื่องที่เขาอยากทำให้เต็มที่ ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าผู้ใด
   ไม่คิดว่าเพียงตัดสินใจว่าจะสร้างความลำบากให้บิดาให้งานเลี้ยงบ้านสกุลหลิน เขากลับได้พบคนผู้หนึ่ง เด็กคนนั้นดูน่าจะอ่อนวัยกว่าเขา ใบหน้าเล็ก ผิวขาว ปากแดง และมีแก้มน้อยๆ น่ารักเหมือนกับตุ๊กตา น่ารักกว่าบรรดาน้องสาวน้องชายทุกคนที่เขาเคยเห็น โดยเฉพาะดวงตากลมโตกระจ่างใสที่มองเขาโดยปราศจากความกลัว ความโกรธเกลียด มีเพียงคำถามและความอยากรู้อยากเห็น และยังตอบคำถามไร้มารยาทของเขาตามตรงว่าที่นั่งอยู่คนเดียวก็เพราะไม่มีสหาย เขาไม่เคยพบใครที่ตรงไปตรงมา และกล้ายอมรับความจริงเช่นนี้มาก่อน ทั้งที่ตัวเล็กบอบบางจนดูน่ารังแกขนาดนี้แท้ๆ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกอยากปกป้องขึ้นมา ตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกเขาว่าพี่อี้ เขารู้สึกเหมือนบางอย่างขยับขยายอยู่ภายในใจ เวลานั้นเขายังไม่เข้าใจ รู้แต่ว่าดีใจที่มีน้องชาย ดีใจที่มีคนให้เขาปกป้องดูแลแล้ว
   และอาจเพราะมีคนให้ปกป้องดูแล เขาจึงยอมฝึกยุทธ์ต่อไป ยอมเข้าเรียนที่เฟิงจวน แม้จะยังไม่ล้มเลิกการอาศัยบารมีตระกูลกระทำตามใจตนเอง แต่ก็ไม่นับว่าออกนอกลู่นอกทางนัก ด้วยเกรงว่าหากเขาไม่เก่ง จะดูแลซื่อเสวี่ยนได้ไม่ดีพอ ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว ซื่อเสวี่ยนคือดวงดาวนำทางดวงนั้น เป็นแสงสว่างของเขา


   อี้เทียนยืนอยู่บนปราการสูง เงยหน้ามองดวงดาวนับล้านบนท้องฟ้ายามราตรี ชายแดนหนาวเหน็ยยังไม่สู้ใจของเขา รอยยิ้มของซื่อเสวี่ยนปรากฏขึ้นในห้วงความคิด แม้จะยิ้มให้เขาแต่ดวงตากลับเศร้านัก ทั้งที่ตั้งใจจะปกป้องดูแลไปตลอด แต่สุดท้ายยังทำให้เสียใจ แต่ซื่อเสวี่ยน ข้าทำให้เจ้าแปดเปื้อนไม่ได้ เจ้าสมควรได้รับการยกย่อง ชื่นชม ศรัทธา เป็นดวงดาวที่เจิดจรัสอยู่บนฟากฟ้า เป็นดาวที่งดงามที่สุด





   สามปีต่อมา เฉินตงได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสอง รั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง ส่วนซื่อเสวี่ยนบุตรชายได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสี่ กรมกลาโหม ขณะที่อี้เทียนได้เป็นตูตู ขอเพียงนำทัพใหญ่จนประสบความสำเร็จสักครั้ง ก็มีโอกาสได้เป็นเจียงจวินที่อายุน้อยที่สุดประวัติศาสตร์ สามปีที่ผ่านมา ซื่อเสวี่ยนได้เจออี้เทียนเพียงครั้งเดียว พวกเขาทักทายและทานอาหารในหอสุราได้เหมือนสหายทั่วไป แม้แต่โม่โฉวยังดูไม่ออกว่าผิดปกติตรงไหน ด้วยเพราะบัดนี้ต่างเติบโตขึ้น บรรดาสหายล้วนเป็นพ่อคนกันหมดแล้ว จะให้สนิทสนมหยอกล้อเช่นแต่ก่อนคงเป็นไปได้ยาก ระหว่างเขากับอี้เทียนก็เช่นกัน ยังคงดูแลเอาใจใส่และเข้าใจกัน เพียงแต่มีกำแพงบางๆ กั้นไว้ไม่ให้ก้าวข้ามไปเท่านั้น กล่าวได้ว่านอกจากโลกของเขาที่มืดและหนาวกว่าเดิม อย่างอื่นล้วนดำเนินไปอย่างที่ควรเป็น รวมถึงการแต่งภรรยา
   
   เทียนเชิญถูกยื่นมาให้ โชคดีที่เขาทราบข่าวเรื่องการแต่งงานของอี้เทียนกับบุตรสาวตระกูลซุน ซุนเจียวเจี๋ย อยู่ก่อนแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ได้ยากเต็มที
   “ยินดีด้วย”
   “ซื่อเสวี่ยน ข้า...” มือที่เคยวางแค่บนไหล่เมื่อสามปีก่อน เวลานี้กลับดึงเขาเข้าไปกอดแน่นจนแทบปราศจากช่องว่าง เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูเจืออาการสั่นสะท้านอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน “ไม่ว่าอย่างไร ยังคงเป็นพี่อี้ของเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”
   คำสัญญาที่ทำให้หัวใจซื่อเสวี่ยนกระตุกด้วยความเจ็บปวด เพราะรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ พี่อี้ของเขา...ไม่มีแล้ว




   ภพสวรรค์ วังตะวันออก   
   ร่างสูงสง่าของผู้เป็นเจ้าวังยืนอยู่ในศาลาพักรอบริเวณสะพานข้ามภพ ศาลาที่จิวซือเคยทำความสะอาดเมื่อคราวที่ใช้ต้อนรับแขกในงานชุมนุมเทพเซียน ดวงตาสีทองสว่างราบเรียบเสียจนมองไม่ออกว่าภายใต้หน้ากากสุขุมนั้น เจ้าตัวกำลังหงุดหงิดและวุ่นวายใจ เป็นอาการที่เกิดขึ้นน้อยจนนับครั้งได้ อาการเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะเขาดูกระจกส่องภพ เห็นความทุกข์ใจที่เด็กคนนั้นพยายามข่มกลั้นไว้ และทราบว่าต่อไปจะต้องพบเจอกับเรื่องราวอะไรบ้าง ก็นั่งไม่ติด กระทั่งต้องออกมาสูดอากาศข้างนอก
   อวิ๋นหนานถอนหายใจอย่างไม่เข้าใจตนเอง ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรจึงตัดไม่ได้ เพราะเหตุใดจึงไม่อาจตัดสายสัมพันธ์ที่ยังร้อยไว้แค่หลวมๆ เส้นนี้ลง กระทั่งสายตาหันไปเห็นบัวสวรรค์ดอกหนึ่งค่อยๆ แย้มบานออกทีละกลีบ สระน้ำกว้างใหญ่ของวังตะวันออกปลูกแต่บัวสวรรค์ ซึ่งปกติแล้วจะมีแต่ใบและดอกตูมสีเขียว ขณะที่ดอกบัวบานหายากมาก ร้อยปีจะบานสักดอกหนึ่ง แต่เมื่อมันแย้มบานแล้ว ดอกบัวจะเป็นสีขาวบริสุทธิ์ยิ่งกว่าหิมะแรกฤดู ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว กลิ่นหอมเฉพาะตัวของบัวสวรรค์ลอยมาแตะจมูก ทำให้อวิ๋นหนานชะงักค้างอยู่กับที่
   กลิ่นนี้...
   กลิ่นบัวสวรรค์ที่เขารู้สึกได้จากตัวของจิวซือ แม้จะอ่อนบางแต่เป็นกลิ่นนี้ไม่ผิดแน่ เป็นกลิ่นเดียวกับเขา ตัวเขาเกิดจากบัวสวรรค์ มิได้เกิดจากไข่มังกรของมารดา แรกเริ่มลืมตาก็มีร่างกายเต็มวัย สมบูรณ์แบบอย่างเทพชั้นสูงแล้ว กลิ่นบัวสวรรค์จึงเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของเขา เพียงแต่การที่ร่างกายมีกลิ่นหอมลอยไปหลายร้อยลี้มิใคร่สะดวกนัก เขาจึงสะกดมันไว้ตั้งแต่เกิด จนแทบลืมไปว่านี่คือกลิ่นของตัวเอง การที่เซียนน้อยตนหนึ่งซึ่งมาภพสวรรค์ด้วยการบำเพ็ญเพียรมีกลิ่นนี้ติดตัวโดยธรรมชาติแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้...
   ความคิดที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะไปคราหนึ่ง ดวงตาสีทองมีประกายความไม่แน่ใจพาดผ่าน กระนั้นก็เรียกให้คงเหวินมาหา

   “ท่านเจ้าวัง”
   น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นโดยที่ยังไม่ละสายตาจากบัวสวรรค์ดอกนั้น “เดือนยี่ เมื่อห้าปีก่อน ข้าอยู่ที่ใด”
   คงเหวินมีสีหน้าแปลกใจ แต่ก็เรียกสมุดบันทึกประจำวันออกมา สมุดบันทึกเล่มหนามีปกสีทองและสันปกสีดำ กว้างประมาณสองคืบ ยาวประมาณหนึ่งศอก ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบกลางอากาศ คงเหวินบอกเวลาตามที่อวิ๋นหนานอยากทราบ สมุดบันทึกก็เปิดออก พร้อมกับหน้ากระดาษที่พลิกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดลง
   คงเหวินอ่านข้อความสั้นๆ ในหน้ากระดาษที่เปิดค้างไว้ แล้วพลันนึกออกว่าตอนที่เขาไปรอรับตงหวางที่กลับมาจากภารกิจ เจ้านายของเขามีสีหน้าซีดเซียวกว่าปกติ และปวดศีรษะเล็กน้อย แต่เพียงไม่กี่อึดใจอาการดังกล่าวก็หายไป จึงคาดเดาว่าเป็นเพราะข้ามภพขณะที่ดวงจิตไม่มั่นคง เดือนยี่ เมื่อห้าปีก่อน ตงหวางอยู่ที่...
   “ภพมนุษย์ขอรับ”
   ได้ยินเสียงสูดหายใจลึก หลังจากนั้นคือความเงียบ ซึ่งคงเหวินทราบว่าเจ้านายกำลังรอให้เขาพูดต่อ

   “ภพมนุษย์ นครต้าเสิน ร่างจำแลงหนานจงฮ่องเต้ เผชิญด่านรัก”
   สิ้นเสียงของผู้ช่วยคนสนิท อวิ๋นหนานสะท้านราวกับถูกฟ้าผ่า เขาหลับตาลง พยายามเรียกความทรงจำของช่วงเวลานั้นออกมา ทว่ากลับพบว่าความทรงจำของเขาขาดๆ หายๆ เขาเพ่งพลังเทพของตนไปยังกลางหน้าผาก ซึ่งเป็นจุดที่บรรจุความทรงจำอันยาวนานของเทพ คราแรกไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่เมื่อเขารวมสมาธิและส่งพลังเทพเข้าไปอีกครั้ง ค่อยเห็นจุดด่างเล็กๆ ที่แทบกลืนเป็นเนื้อเดียวกับแก้วผลึกสีทองของเขา
   หากบัวสวรรค์ดอกนี้ไม่บานต่อหน้า เขาคงไม่สะกิดใจสงสัย
   ใบหน้ารูปสลักขรึมลงทันตา ดวงตาสีทองสาดประกายกร้าวแสดงถึงความครุกรุ่นที่ปะทุอยู่ภายใน ไอเทพเข้มข้นทำให้เกิดรัศมีสีทองรอบตัวเขา และส่งผลให้มวลอากาศโดยรอบหนักอึ้ง กดดันจนผู้อื่นหายใจลำบาก ขณะที่คงเหวินต้านทานไม่ไหว ต้องถอยร่นไปสองก้าว ร่างของอวิ๋นหนานก็เลือนหายไป




#วิถีเซียน3p




..............
ปล. 1 อี้เทียนคือดวงอาทิตย์ของซื่อเสวี่ยน ส่วนซื่อเสวี่ยนคือดาวนำทางของอี้เทียน
ปล. 2 ตงหวาง ยินดีด้วยคุณไม่ได้เริ่มช้ากว่าคู่แข่งเท่าไรนัก คุณแค่ถูกทำให้ลืมไป
ปล. 3 พอกลับไปเก็บๆ ประเด็นที่โยนทิ้งไว้แล้วก็รู้สึกว่าอาจจะต้องมีแก้เล็กๆ น้อยๆ ตามประสาคนไม่วางพล็อต T^T เดี๋ยวเราแก้อะไรบ้างจะบอกอีกทีนะคะ น่าจะนิดหน่อยอ่ะ ไม่กระทบเนื้อเรื่องค่ะ อย่างเช่นฉากตอนที่อี้เทียนตายในภพมนุษย์อะไรงี้ ส่วนเรื่องบัวสรรค์นี้ก็เพิ่งจะนึกได้ เกือบลืมไปแล้ว T^T   


หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 7)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 20-06-2019 20:42:32
แสดงว่าจะต้องมีเรื่องในอดีตที่เกี่ยวโยงเชื่อมกันสินะ

อี้เที้ยนเองก็มีใจให้ซือเสวี่ยว แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้ความรู้สึกให้แก่กัน

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 7)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-06-2019 22:19:32
 :a5: ต้องทบทวนแล้วทำความเข้าใจใหม่ละ​ ว่าลืมอะไรไป
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 7)
เริ่มหัวข้อโดย: Rabbitongrass ที่ 21-06-2019 10:02:21
มาเป็นมหากาพย์เลย ยินดีกะผู้เขียนด้วยที่ยังแก้พล็อตทันไม่ออกทะเลไปซะก่อน
ขอเดาตอนต่อไป
สรุปว่าพี่อี้แทนคุณ เอ๊ย อี้เทียน โดน ตงวานสะกัดดาวรุ่งเรื่องการจัดสมรส > เหตุหน้ามืดขี่ม้าประชดชีวิต > ซีนสารภาพรักขณะร่างพรุน > ย้อนกลับมาภพเซียน(หลังจากขยี้มุมมองของทั้งสามคนอย่างละเอียด) > ไปต่อกรแม่นางคนที่สั่งให้ปัดเศษสูตรคำนวญการฝึกเป็นเซียน เอ๊ย เพิ่มความยากลำบาก > ซีนไปฟ้องศาลปกครอง(เทพเซียน)เรื่องขาดคุณสมบัติฯการเป็นเซียนที่ดี
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 7)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 28-06-2019 23:22:36
รอติดตามจร้า~~~ :ling1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 7)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 06-07-2019 17:34:37
The Great General 8




   จวนสกุลเฉิน

   ซื่อเสวี่ยนอุ้มน้องสาวที่แต่งตัวเหมือนตุ๊กตาตัวน้อยในอ้อมแขน แล้วพานางเดินเล่นภายในจวน สกุลเฉินกว้านซื้อที่ดินโดยรอบ และขยับขยายจนเหมาะสมกับฐานะของเฉินตงผู้รั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง เฉินหนิงเอ๋อร์เติบโตขึ้นเป็นเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ที่ขี้เล่นซุกซน ยิ้มง่ายหัวเราะง่าย แตกต่างจากบรรดาพี่น้อง เรียกได้ว่าเป็นแก้วตาดวงใจที่เฉินตงและซื่อเสวี่ยนประคองไว้บนฝ่ามือ
   “พี่ใหญ่ เอาดอกนั้น” มือเล็กป้อมชี้ดอกบัวสีชมพูอ่อนที่อยู่กลางสระ ดวงตากลมโตมองซื่อเสวี่ยนด้วยแววตาออดอ้อน
   ซื่อเสวี่ยนแสร้งทำท่าคิด แล้วกล่าวว่า “ไกลจัง พี่ใหญ่ไม่มีแรง”
   เด็กน้อยเอียงคออย่างสับสน ปกติพี่ใหญ่โบยบินเหมือนนกตัวใหญ่ เก่งกาจยิ่งกว่าผู้ใด ไฉนบอกว่าไกลเกินไป แต่เมื่อเห็นซื่อเสวี่ยนก้มหน้ามาใกล้ เฉินหนิงเอ๋อร์ก็เข้าใจว่าพี่ใหญ่ของนางต้องการเติมพลัง ดังนั้นปากเล็กจึงหอมแก้มพี่ชายฟอดใหญ่ แล้วหัวเราะคิกคัก ซื่อเสวี่ยนพลอยถูกเสียงหัวเราะชอบใจของน้องสาวทำให้มีรอยยิ้มไปด้วย
   ซื่อเสวี่ยนส่งหนิงเอ๋อร์ให้กับพี่เลี้ยง แต่เพิ่งจะก้าวไปได้เพียงก้าวเดียวก็เห็นร่างเงาของคนผู้หนึ่งทะยานไปยังสระบัว แล้วเด็ดบัวดอกนั้น ก่อนจะร่อนลงข้างกายของเขา บุคคลที่ประพฤติตนในจวนสกุลเฉินเสมือนเป็นหลังบ้านของตนเอง หากไม่ใช่อี้เทียนแล้วยังจะมีผู้ใด ซื่อเสวี่ยนถอนหายใจเมื่อเห็นสหายคุกเข่าตรงหน้าหนิงเอ๋อร์ พร้อมทั้งยื่นดอกบัวสีชมพูให้ เด็กน้อยตาโต แล้วโผไปกอดเขา “พี่รอง!”
   “หนิงเอ๋อร์ พี่รองก็หมดแรง”
   สิ้นคำ จมูกและปากเล็กๆ ของหนิงเอ๋อร์ก็แตะแก้มของอี้เทียน กล่าวเสียงหวานว่า “พี่รองหายเหนื่อย”
   อี้เทียนหัวเราะ อุ้มเด็กน้อยขึ้นมา แล้วหันไปยิ้มให้ซื่อเสวี่ยน เขาชอบเวลาซื่อเสวี่ยนอยู่กับหนิงเอ๋อร์ ฝ่ายนั้นดูอบอุ่นอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้เขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศแบบนั้น หลายครั้งเผลอคิดว่าหากพวกเขามีลูกด้วยกัน ซื่อเสวี่ยนคงจะรักและเลี้ยงดูลูกๆ อย่างอบอุ่นเช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเพียงความคิดเพ้อฝันอันเลื่อนลอย ดังนั้นเขาจึงให้หนิงเอ๋อร์เรียกเขาว่าพี่รอง ยัดเหยียดตนเองเข้าไปในความสัมพันธ์อันบริสุทิ์อ่อนหวานนี้
   ให้หนิงเอ๋อร์เรียกเขาว่าพี่รอง ให้ฮูหยินเรียกเขาว่าท่านพี่ เพราะคำว่า ‘พี่อี้’ สงวนให้คนเพียงคนเดียว ส่วนคำว่าท่านพ่อนั้น บางทีชาตินี้คงไม่มีผู้ใดใช้เรียกขานเขา ด้วยเขาไม่คิดมีบุตรธิดา หัวใจของเขาไม่มีที่ว่างพอสำหรับผู้อื่น แม้แต่บุตรธิดาที่อาจถือกำเนิดมา เกรงว่าไม่สามารถรักพวกเขาได้อย่างสนิทใจ และไม่อาจทำหน้าที่บิดาอย่างสมบูรณ์ หน้าที่สืบสกุลได้แต่มอบให้พี่น้องคนอื่นรับผิดชอบแล้ว
   “พี่รองจะอยู่กินข้าวเย็นกับหนิงเอ๋อร์”
   “อื้ม!” เด็กน้อยยิ้มดีใจ ก่อนจะหันมาหาพี่ชายอีกคน “แล้วพี่ใหญ่?”
   ซื่อเสวี่ยนถูกจ้องด้วยดวงตาสองคู่ คู่หนึ่งไร้เดียงสา คู่หนึ่งลึกล้ำ แต่ที่คล้ายกันก็คือประกายคาดหวังรอคอยให้เขาตอบตกลง ซื่อเสวี่ยนกลั้นยิ้ม เอื้อมมือไปลูบศรีษะของน้องสาว “พี่ใหญ่ก็อยู่”
   “เย้!”



   ลีฮูหยินผ่านเรื่องราวของหญิงชายและการแย่งชิงความรักมาไม่น้อย มีหรือจะมองไม่ออกว่าระหว่างบุตรชายและคุณชายสกุลอี้ มิใช่ความสัมพันธ์ของสหายธรรมดา เดิมทีอี้เทียนแต่งภรรยา นางโล่งใจด้วยคาดว่าเด็กสองคนคงเว้นระยะห่างที่สมควร นางไม่ห่วงว่าซื่อเสวี่ยนจะออกนอกลู่ทาง แต่เกรงว่าเขาจะเจ็บช้ำเพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น ไม่คิดว่าแม้อี้เทียนจะแต่งภรรยาแล้วก็ยังคงสนิทสนมกับซื่อเสวี่ยนเช่นเดิม แทบจะบุรุกเข้ามาในชีวิตส่วนตัวของบุตรชายนางมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ราวกับว่าเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของซื่อเสวี่ยน
   หากคุณชายอี้บริสุทธิ์ใจ นางหรือจะรังเกียจ ตรงข้ามต้องซาบซึ้งใจที่ตระกูลอี้เอ็นดูและสนับสนุนซื่อเสวี่ยนด้วยซ้ำ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของซื่อเสวี่ยนในกรมกลาโหม นอกจากฮ่องเต้แล้ว ตระกูลแม่ทัพอย่างสกุลอี้ก็มีส่วนสำคัญ สกุลเฉินและสกุลอี้เหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า มีไมตรีที่ดีต่อกันก็เพราะเด็กทั้งสอง เกรงว่าหากซื่อเสวี่ยนเป็นสตรี นายท่านสกุลอี้คงสู่ขอเขาให้กับอี้เทียนตั้งแต่เด็กแล้ว
   ลีฮูหยินขอบคุณสหายของบุตรชายผู้นี้ ในขณะเดียวกันสายตาของเขาที่ทอดมองซื่อเสวี่ยนก็ทำให้นางไม่สบายใจ เพราะเป็นสายตาที่บุรุษใช้มองสตรีที่รัก นางเห็นเด็กทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน มิอาจทำเป็นมองไม่เห็นความรักลึกซึ้งที่ถูกซ่อนไว้ได้
   อี้เทียนแต่งภรรยาได้สองปีแล้ว ยังไม่มีทายาท ยิ่งไปกว่านั้นยังมาเป็นแขกประจำของสกุลเฉิน หากไม่เล่นกับหนิงเอ๋อร์ ก็ฝึกซ้อมเพลงกระบี่ เดินหมาก หรือถกตำรายุทธ์กับซื่อเสวี่ยน กว่าจะออกจากจวนสกุลเฉินพระอาทิตย์ก็ตกดินแล้วแทบทุกครา เวลาทั้งหมดถูกใช้ที่นี่ แล้วภรรยาของอี้เทียนเล่า จะไม่แค้นใจหรือ ต่อให้คนทั่วไปทราบว่าทั้งสองเป็นสหายรัก และแม้เวลานี้ยังไม่เกิดเรื่องไม่สมควร แต่ในอนาคตเล่าจะมีผู้ใดรับรองได้ แผ่นดินต้าเสินไม่อาจยอมรับความรักระหว่างบุรุษ นางไม่รังเกียจที่บุตรชายรักใคร แต่ไม่อยากเห็นผู้ใดนินทาว่าร้ายซื่อเสวี่ยน

   เย็นวันนั้น หลังจากที่อี้เทียนกลับไปแล้ว ลีฮูหยินจึงตั้งใจสนทนากับซื่อเสวี่ยนอย่างจริงจังอย่างที่น้อยครั้งจะทำ
   “เสวี่ยนเอ๋อร์ อายุ 22 แล้ว ยังไม่ถูกใจบุตรสาวตระกูลใดอีกหรือ แล้วเมื่อไรแม่จะได้เห็นซื่อเสวี่ยนน้อยเล่า”
   คำถามของลีเหนียงทำให้ซื่อเสวี่ยนชะงักไปเล็กน้อย เห็นผู้ที่เขารักดังแม่แท้ๆ ยิ้มโดยที่ดวงตาแฝงความห่วงใย จึงได้แต่ถอนหายใจ เรื่องที่เขาพยายามหลีกเลี่ยง สุดท้ายก็เวียนมาถึงอยู่ดี
   “ข้ายังอยากดูแลหนิงเอ๋อร์ให้ดีก่อน”
   ลีฮูหยินรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง จึงกล่าวประโยคที่ทราบว่าจะทำให้บุตรชายปวดใจ แต่ปวดใจกับความจริง ยังดีกว่าให้เขาถล้ำลึกในหลุ่มบ่อที่ปีนออกมาไม่ได้ หรือแม้ปีนออกมาได้ ร่างกายยังคงเปื้อนด้วยโคลนที่ยากจะล้างออกได้หมด “แม้แต่สหายเจ้ายังแต่งงานกันหมดแล้ว อีกไม่นานคงมีคุณชายน้อยสกุลอี้มาวิ่งเล่นบ้านเรา”
   แม้คำครหาไม่คร่าชีวิตผู้ใด แต่อาจทำลายอนาคต ตอนที่ซื่อเสวี่ยนยังเด็ก เขาถูกผู้คนกล่าวหาว่าร้ายมามาก นางในเวลานั้นไม่เข้มแข็งพอจะปกป้องเขา แต่เชื่อเถิดว่าไม่มีแม่คนไหนอยากเห็นลูกของตนเองถูกคนอื่นว่าร้าย
   “แม่ไม่คิดเร่งรัด แต่อยากให้ลูกลองคิดเรื่องนี้ดูบ้าง อย่างไรเสียลูกก็ต้องแต่งงานมีครอบครัว มิสู้มองหาแต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าหญิงสาวดีงามจะถูกผู้อื่นชิงตัดหน้าไป”
   ซื่อเสวี่ยนรู้ว่านางหวังดี และตระหนักดีว่าสิ่งที่นางพูดมาทั้งหมดคือเรื่องจริง สองปีที่ผ่านมาเขายังคงหลอกตัวเอง ยืนอยู่กับที่ แม้หน้าที่การงานก้าวหน้าไปไกล แต่ลึกๆ แล้วยังคงเป็นซื่อเสวี่ยนแห่งเฟิงจวน
   หลังจากอี้เทียนแต่งงาน แทนที่ช่องว่างระหว่างพวกเขาจะกว้างขึ้น มันกลับแคบลง เพียงแต่มีกำแพงใสๆ กั้นไว้ ไม่ให้เข้าใกล้เกินคำว่าสหาย กล่าวว่ากลับมาเป็นเหมือนก่อนที่เขาจะทราบว่าตนเองหลงรักอี้เทียนเข้าให้แล้วก็ว่าได้ แต่เทียบกับตอนที่ฝ่ายนั้นไปชายแดนโดยไม่ติดต่อมาแล้ว เป็นแบบนี้ดีกว่า ให้เขาอยู่ในที่ของเขา และยังมีอี้เทียนอยู่ข้างๆ แม้ไม่อาจเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด แต่ก็ยังใกล้พอให้แสงตะวันดวงนั้นส่องผ่านมาถึง ไม่ให้หนาวเหน็บจนเกินไป
   เขาพอใจแล้ว บางทีในอนาคต ลูกของเขาและลูกของอี้เทียนอาจได้เป็นสหายรัก คอยช่วยเหลือกัน ความคิดที่ทำให้มุมปากของซื่อเสวี่ยนยกยิ้ม ขณะที่ในอกปวดแปลบ
   “เช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านแม่เห็นสมควรเถิด”
   



   เฉินซื่อเสวี่ยน ในวัย 24 ปี ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้น 3 รั้งตำแหน่งรองเสนาบดีกรมกลาโหม เดิมทีการที่ฮ่องเต้ให้เขาเป็นรองเสนาบดีด้วยวัยเพียงเท่านี้ คงเกิดการต่อต้านหรือถวายฎีกายับยั้งบ้าง แต่เมื่อปีก่อนเขาได้เป็นรองแม่ทัพ ออกรบชายแดนใต้ เสนอกลยุทธ์ลึกล้ำจนได้ชัย ประกอบกับได้พิสูจน์แล้วว่ามีฝีมือไม่ด้อยกว่าเจียงจวินและต้าเจียงจวินทั้งหลาย อีกทั้งยังนอนกลางดินกินกลางทราย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทหารทั่วไป และกลายเป็นสหายกับแม่ทัพนายกองหลายคน ฝ่ายกองทัพจึงเลือกที่จะสนับสนุนเขา อย่างน้อยเฉินเซื่อเสวี่ยนก็มีฝีมือจริงและที่สำคัญคือเขาเข้าใจความเป็นความตายของการศึก ย่อมต้องสนับสนุนการจัดหาเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์โดยไม่ละเลย ดีกว่าให้ขุนนางบุ๋นที่ดีแต่อ้างหลักการ อ้างตำรา แต่ไม่เคยเห็นเลือด ขึ้นมาเป็นใหญ่ในกรมกลาโหม
   การที่ซื่อเสวี่ยนได้ออกรบสมใจนั้น เป็นเพราะว่าเฉินตงขอพระราชทานสมรสระหว่างซื่อเสวี่ยนและหลิวเสี้ยนหรง บุตรสาวคนที่สองของเจ้าบ้านสกุลหลิว สหายของเฉินตง เดิมทีการแต่งงานของบุตรชายนั้น เฉินตงเพียงเห็นชอบคนเดียวก็ได้ เพียงแต่ในกรณีของซื่อเสวี่ยนนั้น เขาเปรียบได้กับศิษย์ของฮ่องเต้ เฉินตงจึงต้องขอพระราชทานอนุญาต หนานจงฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาตและตรัสจะพระราชทานสมรสให้ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันกลับมีรับสั่งให้ซื่อเสวี่ยนเป็นรองแม่ทัพออกรบ เฉินตงไม่อาจคาดเดาพระทัยเจ้าเหนือหัว จึงมิกล้ากำหนดวันมงคลสมรสให้บุตรชาย ดังนั้นเวลานี้หลิวเสี้ยนหรงจึงยังเป็นเพียงคู่หมั้นของซื่อเสวี่ยน


   หลังจากสิ้นสุดราชการในช่วงบ่าย หนานจงฮ่องเต้เรียกให้ซื่อเสวี่ยนอยู่ก่อน ทรงให้เขาตรวจดูฎีกาเกี่ยวกับการขอเพิ่มงบประมาณจัดซื้ออาวุธ และเกณฑ์ทหารที่ส่งมาจากชายแดนใต้ ซึ่งเพิ่งผ่านสงคราม ขณะที่ซื่อเสวี่ยนกำลังคำนวนว่าสมควรอนุมัติงบประมาณเท่าใด ก็ได้ยินเจ้าเหนือหัวตรัสถามว่า
   “อยากแต่งหรือไม่”
   คำถามที่ไม่คาดคิดทำให้ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าขึ้น เผลอจ้องพระเนตรของหนานจงฮ่องเต้ด้วยกริยาที่กล่าวได้ว่าไร้มารยาท ซื่อเสวี่ยนรู้สึกว่าสายพระเนตรที่มองเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่ทราบที่ตรงไหน เขามิกล้ามองนาน จึงรีบก้มหน้าลงตอบว่า “กระหม่อมไม่ขัดข้อง” สำหรับเขา แต่งกับผู้ใดก็เหมือนกัน ในเมื่อบิดาเลือกหลิวเสี้ยนหรง เขาก็เชื่อสายตาบิดา
   “ข้าถามว่าอยากไหม”
   “ทรงมี...” เขาเดาว่าหนานจงฮ่องเต้อาจมีบุคคลอื่นที่เห็นว่าเหมาะสมมากกว่า เป็นหมากในกระดานหรือโล่ที่เห็นว่ามีประโยชน์กับพระองค์ แต่ขุนนางไม่คาดเดาพระทัยเจ้าชีวิต เขาจึงตอบว่า “สุดแล้วแต่พระกรุณา”   
   “ซือจง เงยหน้า”
   สรุเสียงกังวานแฝงแววดุ และคล้ายกับมีอารมณ์บางที่ยากจะเข้าใจ
   “ตอบคำถามเรา”
   ซื่อเสวี่ยนไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่เขารู้สึกได้ว่าเจ้าเหนือหัวแปลกไป
   “กระหม่อมไม่เคยพบคุณหนูรอง สกุลหลิวมาก่อน”
   หนานจงฮ่องเต้ไม่ตรัสอะไรครู่หนึ่ง คล้ายกำลังทรงกำลังตัดสินใจ ขณะที่ซื่อเสวี่ยนคิดว่าเรื่องนี้เป็นอันสิ้นสุด ก็ได้ยินรับสั่งว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องแต่ง”
    ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าด้วยความไม่อยากเชื่อ สบตากับพระเนตรลึกล้ำที่ทอประกายสีทองจางๆ แต่เพียงกระพริบตาแสงสีทองก็หายไป ราวกับภาพลวงตา
   “ไว้เจ้าเจอคนถูกใจ ค่อยมาบอกเรา”
   สรุปคือเขากับคุณหนูหลิว...ไม่ได้ต้องสมรสแล้ว?
   “เขียนต่อไป”
   ซื่อเสวี่ยนไหนเลยมีอารมณ์เขียนความคิดเห็นของฎีกาในมือ ชายหนุ่มคุกเข่าลงถวายบังคม สองมือแนบไปกับพื้นเย็นๆ ควบคุมน้ำเสียงตนเองให้สงบนิ่ง
   “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
   
   

         #วิถีเซียน3p


………………………………..
เดี๋ยวตอนหน้ามาเฉลยด่านรักของอวิ๋นหนาน แต่เดือนนี้เรื่องนี้จะมาช้าหน่อยนะคะ ต้องรีบปั่น Skinship:The King with Teddy Bear ให้จบค่ะ ขอโทษไว้ก่อนเลยค่ะ

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-07-2019 17:48:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 06-07-2019 21:53:38
ซื่อเสวียนจะผ่านด่านนี้ได้ไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 07-07-2019 01:28:20
ยอดเยี่ยมตามเคย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 07-07-2019 08:07:45
รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 08-07-2019 21:23:04
สนุกมากค่ะ
มาต่อไวๆน้าาาา
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 09-07-2019 21:06:12
หนานจงฮ่องเต้ทรงรับสั่งเช่นนี้ แสดงว่ามีใจให้ซื่อเสวี่ยนใช่มั้ย
อี้เทียนมั่นคงในรักมากเลย แม้จะไม่ได้บอกความรู้สึกต่อกัน แต่ได้คอยอยู่เคียงข้างกันก็ยังดี หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องใดขึ้นนะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 09-07-2019 22:08:46
 o13 o13
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: nuja ที่ 12-07-2019 06:25:24
อ่านทันจนได้ สนุกค่ะ รอนะคะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 12-07-2019 23:15:12
 :ling3:ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 14-07-2019 19:53:13
รอค่า เข้มข้นทากๆๆ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 15-07-2019 09:10:12
พึ่งได้อ่าน สนุกมากเลย รออ่านตอนหน้านะคะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 20-07-2019 13:24:56

เดี๋ยวมาต่ออีกครั้งหลังวันที่ 5 สิงหาคมนะคะ
พอดีกำลังเร่งปิดเรื่อง Skinship อยู่ค่า

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 29-07-2019 17:01:10
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-07-2019 17:22:35
 :katai5:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 8)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 13-08-2019 18:11:51
The Great General (9)



           อวิ๋นหนานมองบุรุษหนุ่มที่ก้มหน้าอ่านฎีกาห่างจากเขาไปราวสองช่วงแขน ใบหน้าเนียนซูบซีด ใต้ตาดำคล้ำ เสื้อคลุมที่คาดเข็มขัดไว้หลวมๆ พอจะเดาได้ว่าร่างกายคงผ่ายผอมลงไม่น้อย ตรอมใจถึงเพียงนี้ยังไม่ปริปาก ไม่ยอมพึ่งพิงผู้ใดหรือเพราะผู้ที่เคยพึ่งพาได้กลายเป็นของผู้อื่นไปแล้ว ดังนั้นเมื่อบุพการีอยากให้สมรส ก็ยอมตกลงทั้งที่หน้าตาเจ้าสาวเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ
           ชาติก่อนนั้นซื่อเสวี่ยนแต่งหลิวเสี้ยนหรงภรรยาจริง ‘เขา’ คนเดิมยอมให้ศิษย์ผู้นี้แต่งภรรยาหลังกลับจากออกรบ
แต่ ‘เขา’ ในเวลานี้ ไม่ต้องการให้ซื่อเสวี่ยนแต่งภรรยา
   ถูกแล้ว เขากลับมายังภพมนุษย์ ณ ห้วงเวลานี้แล้ว

   ผลึกแก้วสีทองของเทพเป็นแก่นสำคัญที่บรรจุความทรงจำของเทพซึ่งมีอายุขัยยาวนานกว่ามนุษย์มาก และเป็นแก่นที่บรรพบุรุษถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ไว้ จึงสำคัญกับเทพไม่ต่างจากดวงจิต ดังนั้นพลังเทพจึงถูกแบ่งมาปกป้องผลึกสีทองนี้โดยอัตโนมัติ ยากนักที่จะเกิดรอยขีดข่วน ยามที่เห็นบัวสวรรค์บานต่อหน้าทำให้เขาสะกิดใจสงสัยจนส่งกระแสพลังเข้าไปสำรวจความทรงจำของตน ค่อยพบว่าผลึกแก้วมีรอยขีดที่ตื้นและเล็กมากจนแทบมองไม่เห็นหากไม่สังเกตอย่างถี่ถ้วน กลิ่นของพลังเจืออยู่เพียงเลือนลาง แต่พอให้คาดเดาความแข็งแกร่งของผู้ใช้ได้ เวลานั้นใบหน้าของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงความคิด
   พระแม่
   มีเพียงเทพผู้สร้างอย่างพระนางเท่านั้นที่มีพลังพอจะแทรกแซงความทรงจำของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว และมีเพียงพระนางเท่านั้นที่มีสายเลือดมังกรเช่นเดียวกับเขา สามารถปิดปังกลิ่นอายพลังอย่างแนบเนียนจนเขาไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ
   แต่พระนางจะทำลายความทรงจำเกี่ยวกับมนุษย์คนหนึ่งเพราะเหตุใด
   
   พระแม่เป็นคำเรียกขานเทพผู้สร้างมหาสมุทร เทพีแห่งสายน้ำ บรรพบุรุษต้นตระกูลอวิ๋น เป็นมังกรทองที่ทรงพลังในที่สุดประวัติศาสตร์ของตระกูล ครั้นภพสวรรค์เลือกผู้ปกครองตระกูลอ้าวเหยียน โดยมีตระกูลอวิ๋นรั้งตำแหน่งตงหวาง พระนางค่อยจากไปพำนักอยู่ ณ ยอดเขาหมื่นลี้ที่ห่างไกล และรับเพียงสตรีผู้มีชะตาต้องกันไว้เป็นศิษย์ ไม่ก้าวก่ายในราชการของภพสวรรค์อีก มีเพียงครั้งเดียวที่พระนางกลับมาคือวันที่เขาถือกำเนิด มาเพื่อตั้งชื่อให้เขาว่าอวิ๋นหนาน
   พระแม่ล่วงรู้อนาคต เป็นผู้ที่สามารถแทรกแซงชะตาลิขิต แต่ก็เป็นผู้ที่เชื่อถือลิขิตสวรรค์อย่างที่สุด ทุกการกระทำล้วนคาดเดาไม่ได้ เขาไม่กระจ่างถึงเจตนาของพระนาง ขณะเดียวกันก็สงสัยว่าเรื่องราวอาจเกี่ยวพันกับเขา ดังนั้งยามที่มองซื่อเสวี่ยน มนุษย์ที่มีอายุสั้นผู้หนึ่ง ในใจจึงเกิดรสชาติซับซ้อนเกินบรรยาย
   ในบันทึกของคงเหวิน ร่างจำแลงของเขาเผชิญด่านรัก หนานจงฮ่องเต้หลงรักซื่อเสวี่ยน ผู้เป็นศิษย์และขุนนางคู่พระทัย อีกทั้งคนผู้นั้นยังแต่งภรรยาและมีบุรุษในดวงใจแล้ว ความรักนี้ล้วนไม่อาจงอกเงย กระนั้นก็ยังรัก กระทั่งซื่อเสวี่ยนรับคมดาบแทนเขา สิ้นใจลงตรงหน้าโดยที่ไม่มีเขาในหัวใจแม้แต่น้อย หนานจงฮ่องเต้ก็ยังรัก แต่งตั้งเฉินซื่อเสวี่ยนผู้ล่วงลับเป็นอ๋อง ให้บรรดาศักดิ์นี้ตกทอดสู่ลูกหลานสกุลเฉิน ส่วนสมญานามปราการแผ่นดินนั้นให้เป็นของซื่อเสวี่ยนเพียงผู้เดียว
   แต่ความทรงจำเมื่อครั้นเป็นหนานจงฮ่องเต้นั้น เขาลืมสิ้นแล้ว มีเพียงข้อความพรรณาราวสองหน้ากระดาษถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคราวนั้น ขณะที่ความรู้สึกที่มีต่อมนุษย์ที่ชื่อว่าซื่อเสวี่ยนนั้น ไม่มีแล้ว ดังนั้นยามที่เทพยามาตั้งคำถามหนึ่งกับเขา เขาจึงตอบไม่ได้



   ยมโลก
   บุรุษสองคนนั่งประจันหน้ากัน คนหนึ่งสวมชุดสีขาวสะอาด ส่วนอีกคนสวมชุดดำตลอดทั้งตัว ยังให้เกิดความแตกต่างชัดเจน ประหนึ่งสวรรค์และยมโลกโคจรมาบรรจบกัน หากว่าวังตะวันออกโอบล้อมด้วยแม่น้ำสีมรกตและบัวสวรรค์สีขาวบริสุทธิ์แล้ว ยมโลกก็มีเทือกเขาสูงและดอกไม้นรกสีแดงสด
   พวกเขาทั้งคู่สมควรเป็นคนที่ยืนอยู่คนละด้านโดยสิ้นเชิง
   กระจกส่องภพฉายภาพงานมงคลสมรสระหว่างตระกูลใหญ่อย่างสกุลอี้และสกุลซุนซึ่งถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เจ้าบ่าวเป็นถึงตูตูทั้งที่อายุยังน้อย เป็นแม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล ส่วนเจ้าสาวเป็นโฉมงามที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ท่ามกลางบรรยากาศรื่นรมย์ยินดี ใบหน้าของสหายสนิทของเจ้าบ่าวอย่างเฉินซื่อเสวี่ยนประดับรอยยิ้มตลอดทั้งงาน ผู้ใดล้วนดูไม่ออกว่าหัวใจของเขาพังยับเยินเพียงใด
   อี้เทียนยกจอกสุราร้อนแรงขึ้นดื่ม ใบหน้าคมคายของเขาคล้ายถูกเมฆดำปกคลุมไว้ กระแสลมแรงแห่งยมโลกพัดโหมจนเกิดเสียงหวีดหวิวสะท้อนถึงอารมณ์พลุ่งพล่านของผู้เป็นนาย น้ำเสียงอ่อนล้าแหบพร่าเอ่ยขึ้นโดยที่ดวงตายังไม่ละจากกระจกส่องภพ
   “ท่านบอกว่าจะไปภพมนุษย์ในห้วงอดีตของจิวซือหรือ”
   หากมิใช่เพราะเหตุผลนี้ เกรงว่าเขาคงไม่เปิดประตูต้อนรับเจ้าวังตะวันออกผู้นี้โดยง่าย
   อวิ๋นหนานจ้องมองใบหน้าขาวซีดประดับด้วยรอยยิ้มของซื่อเสวี่ยนไม่ต่างกัน สมรสพระราชทานนี้แน่นอนว่าเขาเป็นผู้อนุญาตเอง หวังดึงสกุลซุนให้เป็นโล่อีกใบ สกุลอี้ เฉิน ซุน หลิว ล้วนแต่ถูกเขากำไว้ในมือเพื่อให้บัลลังก์มังกรมั่งคง ที่แท้เบื้องหลังคือใบหน้ายิ้มแย้มนี้เองหรือ
   “ข้าคือหนานจงฮ่องเต้...” น้ำเสียงยามเอ่ยถึงอดีตของตนเองฟังดูราบเรียบ ปราศจากอารมณ์อ่อนไหว ยามนั้นภารกิจของเขาคือกำจัดขุนนางกังฉิน และปกครองต้าเสินอย่างมั่นคง วางรากฐานให้แผ่นดินสงบสุขอีกอย่างน้อยสามร้อยปี หารู้ไม่ว่าที่แท้ซ่อนด่านรักของตนไว้
   เวลานั้นเขาผ่านด่านรักมาได้อย่างไร
   ยามที่ร่างโชกเลือดล้มลงในอ้อมแขนจะยิ้มเช่นนี้หรือไม่
   
   กระทั่งอวิ๋นหนานกล่าวจบ อี้เทียนก็ยังคงนิ่ง ภาพในกระจกส่องภพเหมือนภาพที่ถูกเร่งความเร็ว พริบตาเดียวก็เห็นซื่อเสวี่ยนนอนกอดมีดพับด้ามหนึ่งหลับไปแล้ว   
   “ตงหวาง ท่านเชื่อในชะตาลิขิตหรือไม่”
   “เชื่อ”
   “แต่ข้าไม่” 
   “เจ้ายมโลกล้วนไม่”
   “จริงของท่าน”
   อี้เทียนหัวเราะในลำคอ ผู้ที่ผ่านด่านได้เป็นเจ้ายมโลกทุกรุ่นล้วนไม่เชื่อในชะตาลิขิต เพราะยมโลกถือเขาเป็นนาย เจตนารมณ์ของเขาเหนือกว่าเจตนารมณ์ของสวรรค์​ วิญญาณทั้งหลายแม้ไม่ฟังสวรรค์ยังต้องฟังเทพยามา เดิมทีเขาเองก็คิดเช่นนี้ กระทั่งพบว่าแม้ต้องการไปหาแทบขาดใจ ยังไม่อาจไปอยู่เคียงข้างได้ แม้ต้องการเปลี่ยนแปลงชะตาของคนๆ หนึ่งมากเพียงใด สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยให้คนผู้นั้นเผชิญลิขิตตามลำพัง
   “ท่านขอให้ข้าส่งท่านไปหาเขา” อี้เทียนทวนคำ
   “ถูกแล้ว”
   “นี่ก็เป็นลิขิตหรือ”
   “ลิขิตคือผลกรรมที่ผูกพันกันมา ข้าสร้างกรรมกับเขา จึงเกิดลิขิตร่วมกับเขา”
   ใบหน้าของอี้เทียนประดับรอยยิ้มเย้ยหยัน ขณะที่มือหมุนจอกสุราไปมา “ถ้าข้าไม่ช่วย เรียกว่าฝืนลิขิตหรือเปล่า”
   อวิ๋นหนานยังคงนิ่งเฉยกับกริยาท้าทายของคนตรงหน้า เขารินสุราให้ตนเอง ก่อนจะยกดื่มจนหมดถ้วย รสสุราร้อนแรงทำให้ลำคอร้อนผ่าว แต่ช่วยให้บรรยากาศของคนทั้งคู่ผ่อนคลายลง แม้มิอาจเรียกว่าสหายร่ำสุราแต่ก็มิใช่คนแปลกหน้าต่อกันเช่นแต่ก่อน ต่างยอมรับว่าพวกเขามีกรรมผูกพันกันไว้ด้วยคนผู้หนึ่ง   
   “มีแต่ข้ามผ่านเส้นทางของยมโลกจึงจะเป็นความลับ”
   “คนที่อยู่เบื้องหลัง ท่านรู้หรือ” อี้เทียนหรี่ตาลง
   ดวงตาสีทองของอวิ๋นหนานมีแสงสีทองเข้มพาดผ่าน “พระแม่”
   อี้เทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เทพผู้สร้างหรอกหรือ ดังนั้นอาจารย์ของเขาจึงบอกว่าไม่อาจแทรกแซง บอกว่าขอเพียงซื่อเสวี่ยนผ่านด่านสุดท้ายนี้ได้ คนผู้นั้นก็จะรามือเอง แต่ตงหวางมั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นพระนาง อี้เทียนมองอวิ๋นหนานอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า
   “ตงหวาง พระแม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่าน”
   สมกับเป็นเทพยามา เฉียบแหลมนัก
   อวิ๋นหนานเลือกที่จะไม่ตอบ ความเกี่ยวพันทางสายเลือดเลือนลาง ความเกี่ยวพันในชีวิตจริงแทบไม่ปรากฏ แต่หากกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้องกันเลย ก็กล่าวเช่นนั้นมิได้
   เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ หรือตอบไม่ได้ อี้เทียนก็หัวเราะในลำคอ ดวงตาสองสีของเขาฉายประกายกร้าว ควันดำแทบจะปกคลุมดวงตาทั้งสองจนแสงสีทองของดวงตาข้างหนึ่งเลือนลาง
   “ด้ายแดงจะผูกชะตาของคนสามคนเข้าด้วยกันได้อย่างไร ท่านว่าไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ”
   ใช่ ไร้เหตุผล
   “ยกเว้นผูกข้ากับซื่อเสวี่ยนไว้ก่อน และผูกกับท่านภายหลังด้วยคิดว่าข้าจะคลายปมที่ผูกไว้ครั้นเป็นมนุษย์
ยกเว้นมีคนจงใจ...ทำลายพรหมลิขิตของข้า”
   ถ้วยสุราเนื้อดีถูกอี้เทียนปล่อยจากมือร่วงลงกระแทกพื้นจนแตกละเอียด
   เกิดคำถามมากมายที่ล้วนหาคำตอบไม่ได้
   เขากับซื่อเสวี่ยนไร้วาสนาต่อกันจริงหรือ
   ตายจากกันโดยไม่เคยเอ่ยคำว่ารัก ทั้งที่รักมากถึงเพียงนั้น กลายเป็นบ่วงที่ฉุดรั้งซื่อเสวี่ยน จะผลักเขาสู่ห้วงอเวจี จำจองที่นี่หมื่นปี ทั้งหมดเป็นเขาลิขิต สวรรค์ลิขิต หรือผู้ใดแทรกแซง
   “แต่หากต้องการให้ซื่อเสวี่ยนเป็นของท่าน จะทำร้ายเขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนอาจถึงขั้นดับสูญทำไม”
   อวิ๋นหนานมองภาพในกระจก เห็นซื่อเสวี่ยนร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทางสง่างาม แต่ดวงตาเลื่อนลอยไร้จุดหมาย หาได้มีสมาธิอยู่กับเพลงกระบี่ไม่ ในใจเต็มไปด้วยความสับสน เขามั่นใจว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือพระแม่ แต่เจตนาของพระนางเป็นเช่นใดสุดจะคาดเดา ทั้งภพมนุษย์ของซื่อเสวี่ยน ทั้งด่านทดสอบคุณภาพสิบเอ็ดชาติของจิวซือ ใช่มีเขาเป็นต้นเหตุหรือไม่ อารมณ์ความรู้สึกยุ่งเหยิงยากจัดการ สุดท้ายจึงได้แต่กล่าวว่า “ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการคาดเดา”
   อี้เทียนสูดลมหายใจเข้าลึก อารมณ์พลุ่งพล่านเพราะข้อสันนิษฐานของตนเองเริ่มสงบลง เพียงคิดถึงความเป็นไปได้เสี้ยวหนึ่งก็ทำให้แทบสูญเสียกริยาและเหตุผล ไม่ว่ามีผู้ใดแทรกแซงหรือไม่แล้วอย่างไร ทั้งหมดนั้นเขาเลือกเอง รวมถึงเลือกเป็นเจ้าแห่งยมโลกด้วย สิ่งเดียวที่แน่ใจคือคนผู้นั้นประสงค์ร้ายต่อซื่อเสวี่ยน สิ่งอื่นๆ ล้วนไม่สำคัญ มีเพียงดวงจิตของซื่อเสวี่ยนเท่านั้นที่ต้องรักษาไว้ให้ได้
   ด้ายแดงผูกพวกเขาสามคนไว้ด้วยกัน เส้นหนึ่งนั้นเขาไม่มีวันคลาย แล้วอีกเส้นล่ะ
   “ซื่อเสวี่ยนเป็นด่านรักของท่าน เช่นนั้นรักหรือไม่”
   คำถามของเทพยามาที่กล่าวขึ้นอย่างกะทันหันทำให้อวิ๋นหนานชะงัก ดวงตาสีทองเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย มือกำถ้วยสุราแน่นขึ้น แม้สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน
   รักหรือไม่ ไม่กระจ่างใจด้วยไม่เคยรักผู้ใด ทราบแต่ว่าเหตุผลของเขาถึงถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะเซียนน้อยตนนั้น
   “หวังว่าท่านจะไม่รัก” อี้เทียนกล่าวคล้ายล้อเล่น แต่ดวงตาทรยศน้ำเสียงเรียบเรื่อยของเขา



   อี้เทียนยินยอมให้เขาใช้เส้นทางของยมโลกมายังภพมนุษย์ตามคาด คนผู้นั้นคับแค้นใจที่ตนปรารถนาแค่ไหน ก็ไม่สามารถมาได้ ด้วยเกรงว่าดวงจิตของจิวซือจะถูกกระทบแม้เพียงเล็กน้อย แต่เพราะรักซื่อเสวี่ยนอย่างลึกซึ้ง จึงยินยอมช่วยให้เขามา ให้ช่วยปกป้องดวงจิตดวงนี้
   อวิ๋นหนานมองซื่อเสวี่ยนที่ตั้งใจอ่านกีฎาในมือ ใบหน้าเนียนจดจ่ออยู่กับตัวอักษรจนไม่ทันสังเกตว่าหนานจงฮ่องเต้วางพู่กันแล้วทอดพระเนตรใบหน้าของตนอย่างละเอียด คิ้วเข้มเรียงตัวสวย จมูกรั้น ปากอิ่มเป็นสีชมพูเข้มตามธรรมชาติ และดวงตากระจ่างใสที่ไม่ยอมเผยความทุกข์ใจให้ผู้ใดเห็น ซ้อนทับกับใบหน้าอ่อนเยาว์ของเซียนน้อยที่เขาหมายตาให้เป็นผู้ช่วยข้างกาย ทั้งคู่ล้วนแต่มีดวงตากระจ่างใสเช่นนี้ มีรอยยิ้มประดับใบหน้า และมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำ เป็นเซียนตนที่พยายามฝึกพลังเทพแทนที่จะดื่มกินอาหารทิพย์ จะว่าไม่เรียนรู้วิถีของคนทั่วไป หรือดื้อรั้นกว่าคนอื่นก็ไม่ทราบ
   นึกถึงจิวซือที่ตั้งใจฝึกวิชาตามคำสอนของเขาแล้ว ริมฝีปากของอวิ๋นหนานก็ยกมุมขึ้นเล็กน้อย
   หากบอกว่าไม่รัก เขาจะผนึกเสี้ยวจิตหนึ่งไว้กับดวงจิตของซื่อเสวี่ยนทำไม ต่อให้เขาจำไม่ได้ แต่ยังมีกลิ่นบัวสวรรค์เป็นพยาน ความทรงจำของเขา เขาย่อมต้องทวงคืน ถึงเวลานั้นคงตอบได้ว่ารักหรือไม่รัก

   “ซือจง ฝนหมึก”






#วิถีเซียน3p
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 9)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-08-2019 18:39:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 9)
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 13-08-2019 21:01:29
 :m16: พีะแม่นี้คือยังไง  อยู่บนสวรรค์แต่จิตใจนี้คือไม่ได้ดูมีเมตตาเลยนะ เอาความต้องการของตนเป็นที่ตั้งหรอ?
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 9)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 15-08-2019 13:37:26
ไม่ชอบพระแม่เลย นางมีเหตุผลอะไรที่เข้าไปแทรกแซงการเป็นเซียนของจิวซือ หรือว่าจิวซือไปทำอะไรให้นางไม่พอใจ หรือเหตุผลมันเกี่ยวข้องกับอวิ๋นหนาน ถึงได้มาทำแบบนี้

ตอนนี้หวังว่าอวิ๋นหนานจะช่วยดูแลจิวซือให้ดีที่สุดนะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 9)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 16-08-2019 00:50:48
พระแม่นี่ยังไงหนิ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 9)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 22-08-2019 14:32:35


The Great General (10)




   “ไม่ทรงอนุญาตหรือ นี่จะได้อย่างไร”
   เฉินตงผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าล้วนแสดงถึงความไม่อยากเชื่อและร้อนใจ การที่เขาเสียกิริยาเช่นนี้ไม่น่าแปลกใจ ด้วยเพราะการเกี่ยวดองระหว่างสกุลเฉินและสกุลหลิวเป็นเรื่องที่ตระกูลขุนนางในนครต้าเสินต่างรับรู้ คราที่หนานจงฮ่องเต้รับปากจะพระราชทานสมรสให้ เฉินตงก็ได้หารือกับหลิวฮง เจ้าบ้านสกุลหลิวเรื่องวันมงคลแล้ว หากเวลานี้ยกเลิก สองตระกูลคงไม่แคล้วเข้าหน้ากันไม่ติด
   “ลูกทำศึกยังไม่ทราบนานเท่าใดจะได้กลับเมืองหลวง”
   เฉินตงมองบุตรชายที่เติบใหญ่เป็นยอดบุรุษ เห็นสีหน้าของเขาแฝงความรู้สึกผิดก็พอเข้าใจ
   “เจ้าไม่อยากแต่งหรือ”
   ซื่อเสวี่ยนคุกเข่าลงตรงหน้าบิดา ใบหน้าคมคายของเขาปราศจากความลังเล มีเพียงดวงตาที่สะท้อนความเสียใจที่ทำให้บิดาผิดหวัง แต่ยังคงตอบตามความจริง “ไม่อยากขอรับ”
   เฉินตงเห็นเช่นนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะถอนหายใจ ดวงตาของเขาฉายแววอ่อนลง บุตรชายคนนี้นอกจากทำให้เขาภาคภูมิใจแล้ว ไม่เคยร้องขอสิ่งใด ยามนี้เขาไม่อยากแต่งงาน เฉินตงจึงยอมเห็นแก่หน้าเขา อีกประการนี่เป็นประราชประสงค์ของพระหมื่นปี ต่อให้ใต้เท้าหลิวไม่พอใจ ก็ยังเจรจาชดเชยกันได้ เฉินตงประคองไหล่ของซื่อเสวี่ยนให้เขาลุกขึ้นก่อนจะกล่าวว่า
   “พรุ่งนี้ ไปขออภัยเจ้าบ้านหลิวกับคุณหนูหลิวพร้อมบิดา”
   
   
   ซื่อเสวี่ยนยืนอยู่หน้าป้ายวิญญาณของเฉินซาน แผ่นหลังที่เหยียดตรงสง่างามอยู่เสมอคล้ายจะลู่ลงเล็กน้อย
   “พี่ใหญ่”
   “วันนี้ข้าทำบิดาเสียใจแล้ว”
   ดวงตาดำขลับทอแสงอ่อนมองตัวอักษรที่สะกดเป็นคำว่าเฉินซานเงียบๆ ในใจเกิดความขัดแย้งหลายประการ เดิมทีตนสมควรยืนกรานกับหนานจงฮ่องเต้ แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดเวลานั้นถึงได้ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ตอบเจ้าเหนือหัวไปเช่นนั้น เพียงแค่ก้าวเท้าออกจากวังหลวง ก็มีความรู้สึกว่าได้กระทำเรื่องผิดพลาดไป ทุกอย่างไม่สมควรเป็นเช่นนี้ ตนเองอย่างไรก็ต้องแต่งหลิวเสี้ยนหรงเป็นภรรยา นั่นจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เขามีลางสังหรณ์ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงมากมายอย่างที่ไม่ทราบว่าเป็นทางดีหรือร้าย
   
   

   การยกเลิกงานมงคลสมรสระหว่างรองเสนาบดีเฉินกับคุณหนูสกุลหลิวถูกลือกันปากต่อปาก บรรดาคนชั้นสูงแห่งนครต้าเสินโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าขุนนางต่างก็สงสัยเจตนาเจ้าชีวิต สองตระกูลใหญ่เกี่ยวดองมีแต่จะส่งเสริมกัน เหตุใดไม่ทรงสนับสนุน หรือทรงเตรียมจะลดอำนาจตระกูลเฉินที่รุ่งเรืองมาเป็นสิบปีภายใต้พระมหากรุณาธิคุณ เมื่อความสนใจของคนส่วนใหญ่มุ่งอยู่กับพระทัยของหนานจงฮ่องเต้ ผลกระทบที่มีต่อสกุลหลิวและหลิวเสี้ยงหรงจึงไม่มากอย่างที่กังวล
   เฉินตง ลี่ฮูหยิน และซื่อเสวี่ยนมาเยือนจวนสกุลหลิวตั้งแต่เช้า แต่กลับไม่พบใต้เท้าหลิวอย่างที่ตั้งใจเนื่องจากอีกฝ่ายถูกเรียกเข้าวังตั้งแต่ฟ้าสาง เมื่อลี่ฮูหยินถามถึงหลิวเสี้ยงหรง หลิวฮูหยินผู้เป็นมารดาก็ตอบด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก
   “นางไม่ค่อยสบาย ต้องขออภัยด้วย”
   เห็นสีหน้าหลิวฮูหยินดูไม่น่ามอง ซื่อเสวี่ยนจึงประสานมือคารวะ กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
   “หลิวฮูหยินวางใจ ชื่อเสียงของคุณหนูหลิว ข้าจะปกป้องให้ดีที่สุด ขออภัยนางด้วย”
   หลิวฮูหยินมองบุรุษผู้เป็นถึงรองเสนาบดีกรมกลาโหมและคนสนิทของฮ่องเต้กลับยอมก้มศีรษะขออภัยนาง ในใจเกิดความเลื่อมใสและเสียดาย
   “เช่นนั้นก็ขอบคุณรองเสนาบดีเฉินแล้ว” หลิวฮูหยินกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
   “หลิวฮูหยินโปรดเรียกผู้น้อยซื่อเสวี่ยนเถิด ต่อให้มิได้เกี่ยวดองกัน ผู้น้อยยังนับถือใต้เท้าหลิวและฮูหยินเป็นญาติผู้ใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง”
   หลิวฮูหยินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มของมารดา ได้ยินชื่อเสียงไม่เท่าพบหน้า พบหน้าไม่เท่าพูดคุย บุรุษเก่งกาจและสุภาพอ่อนน้อมเช่นนี้ เสียดายที่หรงหรงไม่มีวาสนาได้ครองคู่
   

   หลังจากที่หลิวฮูหยินส่งแขกแล้ว ก็เห็นร่างอรชรของบุตรสาวยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้างดงามแฝงความเจ็บช้ำไม่ยินยอม   
   “ท่านแม่”
   หลิวฮูหยินลูบผมบุตรสาวพลางกล่าวปลอบใจ “คิดเสียว่าไม่ใช่คู่กัน”
   หลิวเสี้ยนหรงตาแดงช้ำจากการร้องไห้ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น นางแอบชื่นชมคุณชายเฉินมานาน ตอนที่บิดาถามว่ายินดีแต่งกับเขาหรือไม่ หัวใจนางเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นยินดี ไม่ทราบมีสตรีมากเท่าใดอิจฉานาง นางคาดหวังรอคอย นับวันเฝ้ารอแต่สุดท้ายทุกอย่างเหมือนดังฝันตื่นหนึ่ง สิ้นสุดกันง่ายดายเพียงนี้หรือ
   ไม่ ชาตินี้หากไม่แต่งกับเขาจะไม่แต่งกับผู้ใดทั้งนั้น
   “ลูกจะรอ”
   “หรงหรง”
   “ลูกรักคุณชายเฉิน”
   หลิวฮูหยินถอนหายใจ กล่าวว่า “รอบิดาเจ้ากลับมา ค่อยว่ากันเถอะ”

   

   “ฝ่าบาททรงให้ตานเอ๋อร์สังกัดกรมคลัง เป็นผู้ช่วยใต้เท้าเฉิน” หลิวฮงกลับจากเข้าเฝ้าหนานจงฮ่องเต้ด้วยความรู้สึกซับซ้อน หนึ่งคือความยินดีที่บุตรชายได้รับการสนับสนุน อีกทางหนึ่งคือคับใจที่งานสมรสของบุตรสาวถูกยกเลิก กระนั้นความก้าวหน้าของบุตรชายก็ยังคงเป็นเรื่องที่เขาใส่ใจมากกว่า
   หลิวตานปีนี้อายุ 22 ปี เพิ่งสอบรับราชการผ่าน ถือว่าอายุไม่น้อยแล้ว อีกทั้งยังได้ลำดับที่ไม่ดีนัก หากกล่าวตามตรงก็สมควรได้ตำแหน่งขุนนางเล็กๆ ในอำเภอห่างไกล หรือหากเขาวิ่งเต้นสักหน่อย อย่างมากก็ได้เป็นขุนนางขั้น 9 ในหน่วยงานที่ไม่สำคัญสักหน่วยหนึ่ง ไม่มีทางขึ้นไปถึงกรมคลัง และยิ่งไม่มีทางได้เป็นผู้ช่วยเฉินตง ถึงตำแหน่งราชการยังเป็นแค่ขุนนางขั้น 9 แต่ขอเพียงไม่ทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรงอย่างไรก็เติบโตขึ้นไปได้ กระทำการใดผู้อื่นยังต้องไว้หน้าสักส่วนหนึ่ง
   สำหรับสกุลหลิวที่แม้เป็นตระกูลเก่าแก่ แต่คนรุ่นเยาว์ไร้ประกาย หน้าที่การงานของหลิวตานย่อมสำคัญกว่าการแต่งงานของหลิวเสี้ยนหรง
   “จริงหรือท่านพี่”
   หลิวฮูหยินแสดงอาการยินดีอย่างเห็นได้ชัด นางเป็นมารดาย่อมไม่อยากให้บุตรชายต้องไกลสายตา
   “ท่านพ่อ เรื่องคุณชายเฉิน”
   หลิวฮงส่ายหน้า แม้ทราบจิตใจบุตรีก็มิอาจช่วยให้นางสมปรารถนา ซือจงผู้นั้นนอกจากฝ่าบาทแล้ว ผู้ใดล้วนบงการเขามิได้ การที่ทรงเบิกทางให้หลิวตานถือเป็นการชดเชยให้สกุลหลิว เกรงว่าคงไม่ใช่ฝ่าบาทตั้งใจรอนอำนาจสกุลเฉินอย่างคำเล่าลือ แต่เป็นสกุลหลิวไม่มีวาสนาพอ



   
   นอกจากเรื่องการสมรสแล้ว ไม่กี่วันต่อมา หนานตงฮ่องเต้ยังมีรับสั่งให้ถอดเฉินซื่อเสวี่ยนจากการเป็นรองแม่ทัพ ไม่ต้องร่วมศึกทางใต้แล้ว ขณะที่หลายคนเริ่มรอชมเรื่องสนุก มั่นใจว่าถึงเวลาที่สกุลเฉินจะต้องถอย ก็มีพระราชโองการอีกฉบับให้เฉินซื่อเสวี่ยนตามเสด็จไปบรรเทาภัยแล้ง ออกเดินทางในอีกสามวันให้หลัง คราวนี้เหล่าขุนนางถึงกับหัวหมุนไปแล้วจริงๆ เจตนาพระหมื่นปียังคงไม่คาดเดาล่วงหน้าจะดีกว่า
   คนอื่นไม่เข้าใจ แม้แต่ซื่อเสวี่ยนเองก็ไม่เข้าใจ ฝ่าบาทไม่ให้เขาทำศึก ก็ยากจะมีความชอบทางการทหาร สกุลเฉินเติบโตเร็วเกินไป หากทรงต้องการชะลอหรือแม้แต่ทำลาย ล้วนไม่น่าแปลกใจ แต่เหตุใดทรงให้เขาตามเสด็จด้วย
   เขารู้สึกว่าหนานจงฮ่องเต้ทรงแปลกไป แต่ขบคิดไม่ออกว่าที่ตรงไหน ซื่อเสวี่ยนถอนหายใจ เห็นทีเขาคงต้องเตรียมหาทางหนีทีไล่ พาตนเองและคนในตระกูลออกห่างจากพระเนตรพระกรรณ ด้วยไม่รู้จะทรงลงดาบกับสกุลเฉินเมื่อใด แต่นั่นต้องเป็นหลังจากที่เขาได้เป็นเจียงจวินเสียก่อน




#วิถีเซียน3p



………………
ให้ตามเสด็จเพราะอยากอยู่ใกล้ชิดจ้ะลูก อย่าเพิ่งคิดหนีพี่เขา
ขออภัยในความสั้น พอดีมา ตจว. ลงเท่าที่แต่งจบเลยค่ะ T^T

ปล. ชื่อตัวละครเยอะไม่ต้องจำก็ได้นะคะ จำแต่หลิวเสี้ยนหรงคนเดียวพอ ชาติก่อนได้ซื่อเสวี่ยนเป็นสามี ชาตินี้อดไป ARC นี้เป็นเรื่องหลักก็จะยาวๆ หน่อยนะ คือจบ ARC นี้ก็คือใกล้จบเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 9)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-08-2019 14:43:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 9)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 26-08-2019 17:26:33






The Great General (11)




   จากเมืองหลวงสู่มณฑลซูถานสมควรใช้เวลาเดินทางราวหนึ่งเดือน ถือเป็นมณฑลที่ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก แต่เทียบกันแล้วชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนขาดความมั่นคงอย่างมาก ด้วยบางฤดูประสบภัยแล้ง บางครั้งเกิดน้ำท่วมดินถล่ม แต่ละปีกรมคลังต้องเว้นภาษีและเจียดง่ายเงินช่วยเหลือไม่น้อย
   ขบวนเสด็จของหนานจงฮ่องเต้ไม่นับว่าใหญ่โตนัก แต่เพียบพร้อมด้วยบุคคลฝีมือดีที่ทรงคัดเลือกด้วยพระองค์เอง ขุนนางที่ร่วมขบวนล้วนเป็นมือเท้าที่ภักดี แน่นอนว่าสกุลอี้ย่อมมีคนร่วมขบวนด้วย เพียงแต่ซื่อเสวี่ยนไม่คิดว่าจะเป็นอี้เทียน เขามิใช่ต้องร่วมทัพกับบิดาหรอกหรือ
   “เจ้า...”
   “ไม่ดีใจที่เป็นข้าหรอกหรือ” อี้เทียนเลิกคิ้ว แววตาเป็นประกายเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของซื่อเสวี่ยน
   “ต้าเจียงจวินไม่โกรธหรือ” ต้าเจียงจวินย่อมหมายถึงบิดาของอี้เทียนผู้เป็นแม่ทัพใหญ่
   “ห้ามข้าไม่ได้” อี้เทียนพูดด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ ราวกับการที่เขาให้น้องชายร่วมทัพกับบิดาแทน ส่วนตนเองมาปรากฎตัวที่นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย
   แต่ซื่อเสวี่ยนมีหรือจะไม่ทราบว่านี่คือการแสดงออกว่ายืนข้างเขาต่อให้พระทัยฝ่าบาทเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม อี้เทียนคือเจ้าบ้านสกุลอี้คนต่อไป ดังนั้นท่าทีของเขาจึงกล่าวได้ว่าเป็นตัวแทนของทั้งตระกูล ท่ามกลางความไม่แน่นอนและหวาดระแวง การมีคนผู้หนึ่งประกาศยืนข้างตนเองเช่นนี้ ทำให้ดวงตาของซื่อเสวี่ยนโค้งลง เห็นใบหน้าของซื่อเสวี่ยนละมุนลงทันตา ริมฝีปากของอี้เทียนก็ยกขึ้นเล็กน้อย
   
   “รองเสนาบดีเฉิน ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าขอรับ”
   “รู้แล้ว”



   
   ในการเดินทางครั้งนี้ ทรงโปรดให้กางกระโจมกลางป่าแทนที่จะอ้อมผ่านเมืองเพื่อเข้าพักในโรงเตี๊ยมหรือเคหะสถานของทางการ เพื่อร่นระยะเวลาเดินทาง ภายในกระโจมหลังใหญ่ตกแต่งด้วยพรมขนสัตว์เรียบง่าย และมีของใช้ไม่กี่อย่าง แม้แต่ที่ประทับของหนานจงฮ่องเต้ยังเป็นเพียงแท่นไม้ที่ตัดจากในป่าแล้วปูด้วยพรมหนานุ่ม
   หนานจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้ซื่อเสวี่ยนลุกขึ้น และให้เขานั่งลงที่พรมอีกผืน ระยะห่างของทั้งสองย่อมใกล้ชิดกว่าบัลลังก์มังกรมากนัก
   ซื่อเสวี่ยนรออยู่ครู่หนึ่งหนานจงฮ่องเต้ค่อยวางพู่กันลง
   “ซือจงมีวิธีการดีงามอันใดจะเสนอเราหรือไม่”
   ซื่อเสวี่ยนรู้สึกวูบในใจ คำถามของพระองค์คือการให้โอกาสเขาอย่างเห็นได้ชัด จะคว้าไว้หรือไม่สุดแล้วแต่เขา คำถามเพียงประโยคเดียวแต่แฝงนัยยะสำคัญมากมาย หนึ่งคือเขายินดีเสนอความเห็นเพื่อแย่งชิงความดีความชอบกับผู้อื่นหรือไม่ สองคือสถานะของสกุลเฉินเวลานี้ยังสามารถแบกรับความดีความชอบได้อีกหรือไม่ และสามคือเขาเชื่อมั่นใจพระกรุณาที่มีต่อเขาและสกุลเฉินเพียงพอที่จะกล้าแย่งชิงความดีความชอบหรือไม่
   สมองของซื่อเสวี่ยนวิ่งเร็วจี๋ เขามีวิธีที่อยากเสนอก็จริง แต่สุดท้ายตัดสินใจเงียบไว้ พระมหากรุณาของเจ้าชีวิตเกรงว่าสกุลเฉินรับมากกว่านี้ไม่ไหว
   “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
   หนานจงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นมุมปากข้างหนึ่งก็ยกขึ้น แต่ดวงตากลับปราศจากรอยขบขัน พระพักตร์หล่อเหลาคล้ายถูกเคลือบด้วยม่านน้ำแข็ง แล้วตรัสด้วยน้ำเสียงเจือกระแสหยอกล้อตรงข้ามกับสีหน้า
   “วันนี้ไม่มีได้ พรุ่งนี้ข้าถาม เจ้าต้องมี”
   “ไปได้”



   นอกจากที่ประทับชั่วคราวของหนานจงฮ่องเต้แล้ว ยังมีกระโจมใหญ่อีกสี่หลังให้เหล่าขุนนางได้พักแรม วันนี้อากาศดี แม้หนาวเย็นไปบ้างแต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นจึงเห็นหลายคนเลือกนอนนอกกระโจม รับอากาศบริสุทธิ์ของป่าเขาอย่างเต็มที
   ห่างไกลจากบริเวณที่ตั้งกระโจมด้วยระยะทางเดินเท้าราวหนึ่งเค่อ เห็นบุรุษหนุ่มสองคนนอนข้างกันท่ามกลางหญ้าป่าสีเขียวสลับขาว บรรยากาศเงียบสงบกลมเกลียวจนมิกล้ารบกวน แน่นอนว่านอกจากฮ่องเต้แล้ว ผู้ใดล้วนมิกล้ารบกวนแย่งชิงพื้นที่ส่วนตัวจากคนทั้งสอง ด้วยคนหนึ่งเป็นถึงรองเสนาบดี อีกคนหนึ่งเป็นตูตู
   “หนิงเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
   “ซนหนักจนข้านึกว่ามีน้องชาย” ซื่อเสวี่ยนยิ้มเมื่อกล่าวถึงน้องสาวตัวน้อย แต่แล้วรอยยิ้มก็มีอันต้องหุบลงเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของอี้เทียน
   “ไม่เหมือนเจ้า ตอนเด็กเรียบร้อยเหมือนตุ๊กตา”
   “เจ้าสิตุ๊กตา”
   “ฮ่าๆ ตกลง ไม่ใช่ตุ๊กตา” อี้เทียนยอมแพ้ เขาหันหน้ามองสหายที่อยู่ห่างเพียงเอื้อมมือ นานแล้วที่ไม่ได้มองอีกฝ่ายใกล้ๆ “เจ้า...”  ปลายนิ้วขยับเล็กน้อยคล้ายกับว่าอยากจะสัมผัสเสี้ยวหน้า แต่ครู่เดียวก็ถูกกำเข้าหากันแน่นด้วยเกรงว่าหากปล่อยให้อยู่เหนือการควบคุม อาจทำลายทุกอย่างที่เพียรรักษาไว้
   ดวงดาวนำทางของเขา สมควรส่องแสงอยู่ข้างๆ เขาตลอดไป
   อี้เทียนบังคับให้ตนเองหันหน้ากลับมา มองท้องฟ้าเบื้องต้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือรอยยิ้มทั้งที่มือทั้งสองข้างยังกำแน่น “ดาว...งามนัก”
   “เจ้าชื่นชมดวงดาวเป็นด้วยหรือ”
   “ข้าชอบดาว”


   บอกไปสิว่าข้าชอบเจ้า!
   อี้เทียนมองภาพผ่านกระจกส่องภพแล้วทุบโต๊ะหินตรงหน้าจนแท่นหินสีดำเกิดเสียงแตกหักก่อนจะยุบลงกลายเป็นซากกองหินกระจายอยู่แทบเท้าเจ้าผู้ครองยมโลก
   ตัวเขาในอดีตช่างโง่เขลานัก ยึดติดกับทุกสิ่งแต่ไม่กล้ายึดครองคนผู้หนึ่ง ดวงตาสองสีครึ้มลงเมื่อแหงนมองท้องฟ้าสีดำสนิทปราศจากดวงดาวแม้เพียงครึ่งดวง
   อย่างไรก็ต้องไปโลกมนุษย์!




   หนานจงฮ่องเต้ประทับอยู่บนแท่นไม้ที่ถูกทำขึ้นชั่วคราว วรกายสูงศักดิ์สวมเพียงชุดสีครามเรียบง่ายปราศจากเครื่องประดับที่แสดงถึงฐานะแม้แต่ชิ้นเดียว กระนั้นยามที่ทอดพระเนตรมอง ข้าราชบริพารเบื้องล่างต่างรู้สึกกดดันด้วยเข้าใจว่ายังไม่มีวิธีการใดที่เจ้าชีวิตพอพระทัย
   “ซือจง”
   ได้ยินหนานจงฮ่องเต้เอ่ยชื่อตนเอง ซื่อเสวี่ยนก็ก้าวมาข้างหน้าแล้วค้อมกายลง “พ่ะย่ะค่ะ”
   “เจ้าลองเสนอ” 
   ต้องขอบคุณที่หนานจงฮ่องเต้เรียกเขาเข้าเฝ้าเมื่อวานนี้ ทำให้เขามีเวลาได้ตรึกตรองหนึ่งคืน ค่อยกระจ่างใจว่าทรงต้องการให้เขาแสดงความสามารถ ฉกฉวยความดีความชอบแน่แท้แล้ว ดังนั้นไม่ว่าทรงมีเจตนาสนับสนุนหรือแฝงด้วยสิ่งอื่นใดล้วนไม่สำคัญ
   “ระยะสั้น กระหม่อมเห็นด้วยกับใต้เท้าหลิน” ก่อนหน้านี้หลินซ่งฉีได้เสนอเรื่องการขยายทางน้ำและสร้างอ่างเก็บน้ำ แม้มิใช่วิธีแปลกใหม่แต่ต้องอาศัยความรู้ในการเลือกพื้นที่และคำนวนขนาดที่เหมาะสม ซึ่งซ่งฉีได้ร่ายแผนการโดยละเอียดแล้ว ทำให้หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย ซื่อเสวี่ยนจึงเลือกจะเสนอทางแก้ระยะยาว “ส่วนระยะยาว กระหม่อมเสนอให้ปลูกหญ้าดาบ”
   “หญ้าดาบ?”
   “เป็นชื่อที่กระหม่อมตั้งขึ้นเพราะลักษณะใบที่คล้ายดาบของมัน”
   ซื่อเสวี่ยนเห็นหนานจงฮ่องเต้สนพระทัยจึงอธิบายลักษณะและคุณสมบัติของหญ้าที่ว่าโดยละเอียด เมื่อคราวที่เขาขึ้นเหนือไปทำศึกนั้น พบหญ้าชนิดหนึ่งซึ่งเหนียวกว่าหญ้าทั่วไป แม้แต่ใช้ดาบฟันยังไม่สามารถล้มทั้งกอได้หมดในคราวเดียว เขาจึงให้ความสนใจกับหญ้้าชนิดนี้เป็นพิเศษ ต่อมาพบว่าหญ้าที่มีใบยาวเรียวเหมือนดาบนี้ทนทาน ถอนได้ยากเพราะรากสีขาวแตกแขนงชอนไชลึกในดิน ทั้งยังอุ้มน้ำทำให้บริเวณนั้นอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ จึงเสนอว่าให้ลองนำหญ้าชนิดนี้มาปลูกที่ซูถาน นอกจากจะช่วยป้องกันดินถล่มแล้วยังช่วยปรับสมดุลของหน้าดิน มีผลต่อการเกษตรในระยะยาว
   ข้อเสนอของเขาทำให้หนานจงฮ่องเต้พอพระทับ พระเนตรอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด บรรดาขุนนางหนุ่มทั้งหลายเห็นเช่นนั้นก็ค่อยระลึดได้ว่าซือจงผู้เป็นรองเสนาบดีกรมกลาโหมผู้นี้เดิมทีไม่ใช่ขุนนางบู๊ แต่เป็นบุ๋น สอบเข้าราชการได้ที่หนึ่งด้วยวัยเพียง 13 ปี เป็นราชบัณทิตที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของต้าเสิน และเป็นมือขวาที่ฝ่าบาททรงชุบเลี้ยงสั่งสอนด้วยพระองค์เอง เวลานั้นค่อยทอดถอนหายใจ ไว้อาลัยกับขุนนางเฒ่าที่คาดเดาพระทัยเจ้าชีวิตผิด และตีตนออกห่างจากสกุลเฉิน
   ฝ่าบาทหรือจะลดอำนาจสกุลเฉิน เห็นอยู่ว่ายังคงโปรดปรานซือจงกว่าผู้ใด



   หนานจงฮ่องเต้รับสั่งให้หาหญ้าดาบมาทดลองปลูก โชคดีที่ราษฎรในหมู่บ้านใกล้เคียงรายงานว่าเคยเห็นหญ้าลักษณะดังกล่าว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องเดินทางขึ้นเหนือ การทดลองปลูกหญ้าดาบเริ่มขึ้นในเวลาเดียวกับการขยายทางน้ำและสร้างอ่างเก็บน้ำ ราษฎรที่ประสบภัยทราบถึงพระมหากรุณาธิการต่างซาบซึ้งและสรรเสริญเจ้าชีวิต บรรยากาศทั่วทั้งมณฑลซูถานเต็มไปด้วยความหวัง
   
   อวิ๋นหนานมองซื่อเสวี่ยนก้มลงขุดดินด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ใบหน้าประดับรอยยิ้มสนุกสนาน ดวงตาเป็นประกายปราศจากความคิดคำนวณใด มีเพียงความตั้งใจแน่วแน่และตื่นเต้นที่ได้ทดลองข้อเสนอของตน ทั้งร่างประหนึ่งเปล่งประกาย ดึงดูดสายตาโดยไม่ต้องพยายาม โดดเด่นกว่าคนรอบข้างแต่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ มนุษย์กับธรรมชาติรวมเป็นหนึ่ง ต่างพึ่งพาอาศัยกัน เพราะซื่อเสวี่ยนตั้งใจปกป้องผืนดิน ดังนั้นธรรมชาติจึงชอบเขา อวิ๋นหนานเห็นกระแสพลังธาตุดินชื่นชอบซื่อเสวี่ยนเป็นพิเศษและพยายามเข้าใกล้เขา แน่นอนว่าซื่อเสวี่ยนที่เป็นมนุษย์ของภพนี้ไม่เข้าใจ ด้วยพลังฝีมือของภพนี้เน้นการฝึกพลังภายในไม่ใช่พลังภายนอก ถ้าหากว่าเป็นอลันล่ะก็ คงสั่งให้พลังธาตุดินพวกนี้ทำงานให้เขาแล้ว ไหนเลยจะต้องลงมือขุดดินด้วยตัวเอง
   รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วเทพหนุ่มก็ชะงักไปเพราะภาพร่างของอลันระเบิดต่อหน้าปรากฏขึ้นในห้วงความคิด หยดเลือดสีแดงที่กระทบหลังมือเขาชัดเจนเสมือนเกิดขึ้นอีกครั้ง เพียงกระพริบตาครั้งเดียว ภาพดังกล่าวก็เลือนหายไป เหลือแต่เห็นรอยยิ้มกับท่าทางสบายๆ ของซื่อเสวี่ยนเช่นเดิม
   ในอกปวดแปลบจนอยากยกมือขย้ำอกเสื้อ อวิ๋นหนานสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาไม่ละไปจากใบหน้าของซื่อเสวี่ยน

   ความรู้สึกปวดแปลบในอกเช่นนี้ มนุษย์เรียกว่า ‘ปวดใจ’
   


      #วิถีเซียน3p     #ซืออวิ๋นเทียน


…………….
1 เค่อ = 15 นาที
ตูตู = แม่ทัพภาค


BE มาทุก ARC แล้วจ้ะแม่ต๋า ARC นี้น่าจะ HE นะ คิดว่า HE แหละค่ะ

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 11)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-08-2019 23:24:07
อยากอ่านอีกเรื่อยๆเลยจ้่
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 11)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 01-09-2019 21:38:55
อี้เทียนเองก็รักซื่อเสวี่ยนมากเหมือนกันนะในภพนี้ ถึงได้ยอมหักห้ามใจตัวเอง ขอแค่ได้อยู่เคียงข้างคอยสนับสนุนอยู่ข้างกายของซื่อเสวี่ยนก็พอ
อวิ๋นหนานเองก็ดูจะมีใจให้ซื่อเสวี่ยน ยิ่งตอนนี้ได้กลับมาอยู่ในร่างของหนานจงฮ่องเต้แล้ว ก็น่าจะทำอะไรให้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อซื่อเสวี่ยนชัดเจนได้มากขึ้น
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 11)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 22-09-2019 16:25:34

The Great General (12)





   “คุณหนู”
   “ออกไป”
   “เจ้าค่ะ”
   ใบหน้างดงามของซุนเจียวเจี๋ยปรากฎร่องรอยของความเจ็บแค้นและเย็นชา นางเป็นบุตรีที่บิดามารดารักและเอาใจดั่งประคองไว้กลางฝ่ามือ มิเคยต้องทนรับความเจ็บช้ำอันกล่าวไม่ได้มาก่อน นางไม่อยากยอมรับ แต่เมื่อได้ยินว่าสามีละท้ิงการศึกที่สามารถสร้างชื่อเสียงและสถานะที่มั่นคงของตระกูลแก่เขา ยินยอมมอบโอกาสให้กับน้องชายโดยไม่ไยดี และตามขบวนเสด็จฮ่องเต้ไปยังมณฑลซูถาน นางก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความโกรธ
   เขามิใช่บอกว่าเพื่อสืบทอดสกุลอี้ และตามรอยบิดาเป็นต้าเจียงจวิน จึงไม่มีเวลาให้นาง
   มิใช่บอกว่าบิดาออกรบครั้งใด ล้วนขาดเขามิได้ ดังนั้นวันเกิดนาง เขาจึงอยู่ชายแดน
   มิใช่บอกว่าสำหรับเขา เกียรติยศของสกุลอี้สำคัญกว่าทุกสิ่งหรอกหรือ

   การที่อี้เทียนเปลี่ยนใจไม่ออกรบแต่ตามซื่อเสวี่ยนไปยังซูถานทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของซุนเจียวเจี๋ยวขาดลง นางกับอี้เทียนแต่งงานกันได้สี่ปีแล้ว ยังไม่มีทายาทสืบสกุล แรงกดดันที่นางแบกรับเพิ่มมากขึ้นทุกวัน กระนั้นสามีกลับดูไม่เหมือนไม่มีใจ ใช่แล้ว ไม่มีความตั้งใจจะมีลูกกับนาง แม้ปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพ ไม่เคยรับหญิงสาวตระกูลใดเข้ามาอีก แต่ก็ไม่ได้รักนาง ไม่คิดจะมีลูกกับนาง
   สตรีเช่นนาง จำเป็นต้องทนรับความอัปยศเช่นนี้หรือ
   อี้เทียน เฉินซื่อเสวี่ยน พวกเจ้าดีมาก!

   


   มณฑลซูถาน
   การขุดคลองและทดลองปลูกหญ้าดาบดำเนินไปอย่างราบรื่น สำหรับการทดลองคุณสมบัติของหญ้านั้นมิจำเป็นต้องรอนาน เพียงแต่พอให้รากหยั่งลงดินจนแข็งแรงและให้ทหารทดสอบความแข็งแรงของมันก็พอจะคาดเดาได้ว่าวิธีการของซื่อเสวี่ยนนั้นมีความเป็นไปได้สูง
   หนานจงฮ่องเต้พอพระทัยยิ่ง ตรัสชมและให้กำลังใจบรรดาขุนนางที่ตามเสด็จ ตลอดจนตกลงเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ผู้ว่าการมณฑลซูถานขอพระราชทานอนุญาตจัดถวาย ด้วยคำนึงถึงความทุกข์ที่ราษฎร์เพิ่งประสบ งานเลี้ยงที่จัดขึ้นจึงเป็นไปด้วยความเรียบง่าย และอาหารก็เป็นของพื้นเมืองของซูถาน ผู้ว่าการมณฑลยังได้ถือโอกาสนี้พาขุนนางท้องถิ่นเข้าเฝ้า ถวายฎีกาเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ นับว่าเป็นงานเลี้ยงที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์
   ซื่อเสวี่ยนมองจอกสุราในมือ หลายวันมานี้เขารู้สึกประหลาด คล้ายกับว่าการที่ตนเองนั่งอยู่ที่นี่ ณ ซูถาน ในเวลานี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ประหนึ่งมีเสียงคอยกระซิบว่าเขากำลังเดินทางผิด เขาสมควรแต่งงานอยู่ในเมืองหลวงต่างหากเล่า
   “คิดอะไรอยู่”
   “แต่งงาน” ซื่อเสวี่ยนตอบโดยไม่ทันคิด แล้วค่อยตระหนักว่าเป็นเสียงของอี้เทียน พวกเขาทั้งคู่พลันชะงักจนเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ
   มือที่ถือจอกสุราของอี้เทียนสั่นเล็กน้อย ประกายแสงวาบในดวงตาของเขาทำให้ใบหน้าคมเข้มดูดุดันขึ้นยามถามว่า “เจ้าอยากแต่งหรือ”
   เจ้าอยากแต่งหรือ?
   คำถามนี้มิใช่สิ่งที่หนานจงฮ่องเต้เอ่ยถามเขาหรอกหรือ
   ซื่อเสวี่ยนเผลอเงยหน้าขึ้นมอง และบังเอิญสบตากับบุรุษที่ฉลองพระองค์ด้วยชุดสีครามลายมังกรห้าเล็บ พระพักตร์หล่อเหลาประดับรอยยิ้มน้อยๆ ทั้งที่พระเนตรราบเรียบปราศจากรอยอารมณ์ ซื่อเสวี่ยนค้อมศีรษะลง ก่อนจะยกจอกสุราในมือขึ้นดื่มจนหมด มุมปากขยับยกขึ้นเล็กน้อย
   “ไม่แต่ง”
   หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงตอบอี้เทียนว่า ‘ไม่แต่งได้หรือ'
   แต่เวลานี้ กลับคิดว่าในเมื่อตนเองไม่ต้องการ เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ
   เมื่อคิดได้ดังนั้น หัวใจก็พลันรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นหลายเท่า



   ขณะที่ซูถานกำลังอยู่ใรบรรยากาศของเฉลิมฉลอง เมืองหลวงกลับเกิดข่าวลือขึ้นเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบต้นกำเนิดมาจากผู้ใด เพียงได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับรสนิยมที่บอกผู้ใดไม่ได้จากรองเสนาบดีหนุ่มอนาคตไกล กระนั้นข่าวลือก็ยังเป็นเพียงข่าวลือ มิได้สร้างระลอกคลื่นใหญ่ในเมืองหลวง



   
   ขบวนเสด็จแวะเยี่ยมเยียนราษฎร์ตามอำเภอที่ผ่าน และมิได้เร่งรีบเหมือนขามา ยังมีเวลาให้เหล่าขุนนางได้เที่ยวชมธรรมชาติและวิถีชีวิตที่แตกต่างจากเมืองหลวง นับว่าเป็นช่วงเวลาพักผ่อนอันหาได้ยาก
   ลูกธนูเพิ่งถูกปล่อย คันธนูในมือของซื่อเสวี่ยนก็ถูกฝ่ามือหนึ่งจับไว้ ซื่อเสวี่ยนเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นพระพักตร์ของหนานจงฮ่องเต้ในระยะใกล้ ทำให้เขาต้องหลบตาวูบ
   “ให้เรายืมบ้าง”
   “พ่ะย่ะค่ะ”
   หนานจงฮ่องเต้รับธนูไป สายพระเนตรคมกริบกวาดมองไปเบื้องหน้า แผ่นหลังเหยียดตรง ทรงง้างธนูขึ้นฟ้าแล้วปล่อยลูกธนูออกไปอย่างรวดเร็วแทบไม่เล็ง ลูกธนูแหวกอากาศปักเข้ากับคอของนกตัวหนึ่งพอดิบพอดี
   “ทรงพระปรีชา”
   หนานจงฮ่องเต้ส่งธนูคืนให้กับซื่อเสวี่ยน ทรงพิจารณาใบหน้าของขุนนางคนสนิทอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตรัสว่า “หลายวันนี้ สีหน้าซือจงไม่เลวเลย”
   “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย”
   “เราให้เวลาคิดว่าอยากได้อะไรเป็นรางวัล” ตรัสทิ้งท้ายแล้วพระดำเนินจากไป ซื่อเสวี่ยนค้อมศีรษะส่งเสด็จกระทั่งวรกายสูงศักดิ์ลับสายตา
   สุรเสียงมิได้ดังกว่าปกติ แต่ก็ทรงมิได้มีเจตนาปกปิด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่บทสนทาของทั้งคู่จะถูกผู้คนตีความตามแต่จะคิด บ้างว่าฝ่าบาททรงรักใคร่เอ็นดูรองเสนบาดีเฉินอย่างแท้จริง บ้างเกิดความสงสัยในความใกล้ชิดสนิทสนมที่ทรงแสดงออก บ้างหวังว่าทั้งหมดเป็นเพียงการแสดงให้สกุลเฉินตายใจ สุดท้ายหัวข้อสนทนาค่อยวกกลับมาสู่เรื่องว่าซื่อเสวี่ยนจะขอพระราชทานสิ่งใดเป็นรางวัล



   คิ้วเข้มของอี้เทียนขมวดเข้าหากัน เขาเดินเข้าไปหาซื่อเสวี่ยน ไม่ทราบเพราะเหตุใดจู่ๆ ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายคล้ายจะห่างไกลออกไปทุกขณะ เขารู้สึกหนาวยะเยือกเพียงแค่คิดว่าแสงสว่างของเขาจะสาดส่องไปที่อื่น ที่ที่เขามองไม่เห็น
   “อาเสวี่ยน”
   เห็นซื่อเสวี่ยนหันมาส่งยิ้มให้ ความหนาวเย็นในใจเมื่อครู่คล้ายจะเบาบางลง อี้เทียนจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ไปเถอะ ข้าจะย่างกระต่ายแบบที่เจ้าชอบให้”
   รอยยิ้มของอี้เทียนดำรงอยู่ไม่นาน เมื่อเห็นว่ามีดพับที่ซื่อเสวี่ยนยื่นให้เป็นเพียงมีดพับธรรมดาทั่วไป มิใช่ของแทนใจที่เขาเคยมอบให้ ปลายมีดคมปลาบเพียงกรีดนิดเดียว หนังกระต่ายก็หลุดออกอย่างง่ายดาย เลือดสีแดงสดและเปลวไฟย้อมนัยน์ตาของเขา แทบทำลายเหตุผลทั้งมวลที่พร่ำบอกตนเอง
   “เอาสุกๆ ล่ะ”
   เสียงของซื่อเสวี่ยนทำให้เขาหลุดจากภวังค์ อี้เทียนหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองเงาของพวกเขาทั้งสองทอดยาวอยู่บนพื้น ร่างเงาทำให้ดูเหมือนอยู่ใกล้กันกว่าความเป็นจริง ไหล่กระทบกัน มองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย พร่ามัว เลือนลาง คล้ายจะหลอมรวมเป็นหนึ่งได้ในชั่วขณะนั้นเอง
   “แก่ตัวไป พวกเรามิสู้ท่องเที่ยวไปทั่ว เจ้าล่ากระต่าย ข้าเป็นคนย่าง”
   ซื่อเสวี่ยนชะงักไป วูบหนึ่งในใจเขาสั่นสะท้านโดยแรง ใช่แล้ว เขาเองก็เคยคิดเช่นนั้น จากไปให้ไกลสุดหล้า ขอเพียงมีคนรู้ใจข้างกาย คิดแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ กระทั่งเรื่องเพ้อฝันที่เป็นไปไม่ได้ยังทำให้มีความสุขได้ครู่หนึ่ง “แน่นอน ข้าย่างได้ไม่เอาไหน”
   “คุณชายเฉิน สมควรมีเรื่องที่ไม่เอาไหนบ้าง”
   



   คราวนี้ขบวนเสด็จแวะเข้าพักในโรงเตี๊ยมที่นายอำเภอท้องถิ่นจัดเตรียมให้ ซื่อเสวี่ยนจึงไม่ได้ชื่นชมดวงดาวอย่างเสรีเหมือนคืนก่อนๆ แผ่นหลังสัมผัสฟูกนอนนุ่ม สองมือประสานอยู่หลังท้ายทอย ดวงตากระจ่างใสเป็นประกาย ใบหน้ารูปสลักปรากฎรอยยิ้มบางเบา เมื่อนึกถึงรางวัลที่จะขอพระราชทานจากฮ่องเต้
   จากไกลสุดหล้า ไขว่หาเสรี
   นภากว้างใหญ่ มิกลัวไร้รังนอน

   รอยยิ้มกดลึกบนใบหน้า ความสุขและความคาดหวัง รวมทั้งความปลอดโปร่งทำให้ซื่อเสวี่ยนหลับลึก ไม่ฝันถึงเฉินซาน อี้เทียน เฉินตง ไม่ฝันถึงผู้ใดอีก


เมื่อกลับถึงจวนสกุลเฉิน ซื่อเสวี่ยนพบว่าบรรยากาศในจวนไม่ถูกต้อง สายตาที่ข้ารับใช้หรือบรรดาพี่น้องมองเขาคล้ายมีคำถามและข้อกังขาบางประการ กระทั่งเขาเข้าไปพบเฉินตงและลีฮูหยิน ค่อยทราบว่าที่แท้เกิดข่าวลือไม่ดีงามเกี่ยวกับตัวเขา ทั้งยังเป็นข่าวลือที่เขาไม่อาจกล่าวว่าไม่มีมูลความจริง
   ลีเหนียงต้องการให้เขาแต่งงาน ส่วนเฉินตงแม้มิได้กล่าวอะไร แต่ก็พอเดาได้ว่าเห็นด้วยกับความคิดนี้ ซื่อเสวี่ยนได้แต่ยิ้มแล้วบอกทั้งสองคนว่าไม่ต้องกังวล เขามีวิธีการของเขา ขอให้บิดามารดาวางใจ จากนั้นก็ขอตัวไปหาหนิงเอ๋อร์
   “พี่ใหญ่”
   เห็นน้องสาวตัวน้อยเติบโตเป็นเด็กหญิงสวมชุดแพรไหมสีเหลืองสดใส หัวใจของซื่อเสวี่ยนคล้ายถูกเติมเต็ม รูกลวงเมื่อครู่เหมือนมีสายน้ำเย็นไหลผ่าน
   “น้องสาวคนดี”
   หนิงเอ๋อร์ถูกซื่อเสวี่ยนหยอกล้อจนหัวเราะคิกคัก บรรยากาศมืดมัวภายในจวนก็พลอยอ่อนลงด้วยเสียงหัวเราะซื่อบริสุทธิ์นี้เอง เห็นคุณชายของพวกเขาไม่มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจ บรรดาข้ารับใช้ต่างก็คิดว่าข่าวลือนั้นเป็นเรื่องไร้สาระที่ผู้ไม่ประสงค์ดีตั้งใจโจมตีตระกูลเฉิน



   ซื่อเสวี่ยนมิใช่คนเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกต่อหน้าผู้อื่น ไม่ว่าผู้ใดก็คิดว่าเขาเยือกเย็นไม่ใส่ใจ ทว่าคืนนั้นชายหนุ่มนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นข้างเตียง ดวงตาแม้ปราศจากน้ำตาเหม่อมองพื้นเต็มไปด้วยความปวดร้าว ทั้งร่างเปราะบางประหนึ่งกลับเป็นไปเด็กน้อยที่พี่น้องและสหายในเฟิงจวนรังเกียจ เพราะเขาไม่เหมือนคนอื่น ใช่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงแปลกแยกแตกต่างอยู่เช่นเดิม
   เคราะห์ดีที่เขาไม่เคยบอกรักอี้เทียน ไม่อย่างนั้นทั้งอี้เทียน และตระกูลเฉิน หรือแม้แต่ฝ่าบาทผู้ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ ล้วนต้องถูกเขาลากลงโคลนตม สกปรกไปพร้อมกับเขา ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว
   ซื่อเสวี่ยนหัวเราะในลำคอทว่าน้ำตาหยดหนึ่งไหลรินจากหางตาซึมหายเข้าไปในปกเสื้อ อิสระที่ใฝ่หาแม้ดูเหมือนอยู่แค่เอื้อม ที่แท้แล้วช่างห่างไกล




   วันรุ่งนี้ ยังคงเป็นอี้เทียนที่มาเยือนจวนสกุลเฉินแต่เช้า ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มเช่นทุกครั้ง เสมือนไม่ทราบว่าตนเองถูกพัวพันในข่าวลือด้วย ท่าทางเปิดเผยไร้กังวลของเขาย่อมทำให้คนว่างงานและรอชมเรื่องสนุกเหล่านั้นรู้สึกไม่ได้ดังใจ
   “ทำไมเจ้ามาแต่เช้า”
   “ข้าตื่นเช้า”
   ซื่อเสวี่ยนและอี้เทียนมองหน้ากัน แม้ไม่เอ่ยสักประโยคซื่อเสวี่ยนก็เข้าใจว่าอี้เทียนมาด้วยเป็นเรื่องใด พวกเขาคนหนึ่งเปิดตำราอ่าน อีกคนจิบน้ำชามองคนอ่านตำรา นานๆ ครั้งจึงมีบทสนทนาเกิดขึ้น
   “เจ้าว่าแคว้นตงหย่าเป็นอย่างไร”
   อี้เทียนเลิกคิ้วกับคำถามอันปราศจากที่มาที่ไป  นึกถึงแคว้นตงหย่าที่เมื่อต้นปีส่งเครื่องราชบรรณาการมาด้วยของที่อาจตีความได้ว่าแคว้นตงหย่าไม่จำเป็นต้องเอาใจต้าเสินอีกต่อไป มุมปากก็ยกขึ้นคล้ายเย้ยหยัน “มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่เจียมตน”
   “เป็นเช่นนั้น”
   ท่าทีแข็งกร้าวและข่าวที่กองทัพส่งมายังกรมกลาโหม ทำให้ทั้งสองพอคาดเดาได้ว่าอีกไม่นานจะเกิดการนองเลือดขึ้นอีก


   ยามที่อี้เทียนออกจากจวนสกุลเฉินก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว เพียงร่างสูงสง่าก้าวขึ้นรถม้า สีหน้านุ่มนวลเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา บรรยากาศรอบตัวทำให้ผู้ติดตามของเขาพากันนึกถึงตูจวินที่บงการการรบบนหลังม้า ฆ่าฟันศัตรูด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึกเช่นนี้
   อี้เทียนหรี่ตาลง ใบหน้าปรากฎแววอันตราย คนที่แม้แต่เขายังมิกล้าทำให้แปดเปื้อนสักเพียงเล็กน้อย กลับถูกผู้อื่นทำให้ชื่อเสียงด่างพร้อย
   “ลู่จง ไปสืบมาอย่างละเอียด”

   
   พวกเขาคนหนึ่งกลัวดึงอีกฝ่ายสู่โคลนตม คนหนึ่งเกรงว่าอีกฝ่ายแปดเปื้อน จึงก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว สุดท้ายจึงห่างกันสองก้าว



   
   วังหลวง

   ซื่อเสวี่ยนในฐานะขุนนางชั้น 3 รั้งตำแหน่งรองเสนบาดีกลมกลาโหม จึงยืนอยู่ค่อนไปทางด้านหน้าของแถว วันนี้เป็นวันแรกที่ฮ่องเต้เรียกประชุมขุนนางหลังจากเสด็จกลับจากซูถาน หัวข้อหลักก็คงไม่พ้นพระราชทานรางวัลให้กับผู้ตามเสด็จบรรเทาทุกข์ราษฎร์
   จริงดังคาด หนานจงฮ่องเต้ทรงตรัสถึงการพัฒนาซูถานตามข้อเสนอของขุนนางท้องถิ่น และพระราชทานรางวัลแก่ผู้เสนอความคิดอย่างเช่นหลินซ่งฉี และเฉินซื่อเสวี่ยน
   “ซือจง”
   “พ่ะย่ะค่ะ”
   “เราให้เจ้าขอรางวัลได้หนึ่งข้อ”
   แม้หลายคนได้ยินว่าฝ่าบาทตรัสจะพระราชทานรางวัลอะไรก็ได้ตามที่รองเสนาบดีเฉินทูลขอ กระนั้นเมื่อได้ยินจากพระโอษฐ์ก็ยังคงระงับสีหน้าไม่ได้อยู่ดี ควรทราบว่ารางวัลนี้หากละโมบสักหน่อยจะขอตำแหน่ง ที่ดิน ลาภยศ หรือแม้แต่ป้ายทองอภัยโทษก็ย่อมได้
   เดิมทีซื่อเสวี่ยนเองก็คิดตรึกตรองอยู่หลายประการ เป้าหมายสุดคือไปจากเมืองหลวง ใช้ชีวิตเสรีอย่างแน่นอน ทว่าก่อนหน้านั้น เพื่อสกุลเฉินและส่ิงที่ยังติดค้างในใจ เขาปรารถนาจะเป็นเจียงจวินเสียก่อน เพราะหากกระทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ก็รู้สึกว่ายังไม่อาจจากเมืองหลวงไปได้อย่างวางใจ ตรงข้ามหากสำเร็จแล้ว ยอมคืนอำนาจการทหารให้ฝ่าบาท ขอจากไปย่อมไม่มีผู้ใดรั้งไว้ สกุลเฉินเองก็ปลอดภัยไร้เรื่องราว มีเพียงเกียรติยศชื่อเสียงปราศจากอำนาจในมือ ถึงเวลานั้นไปซูถานก็ดี ดาวที่นั้นเห็นชัดกว่าเมืองหลวงมาก
   “กระหม่อมใคร่ขอเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกใหญ่สักครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
   คำขอของเขากล่าวได้ว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน ต่างขบคิดไม่ตกว่าเพราะเหตุใดรองเสนาบดีเฉินจึงทำให้โอกาสอันดีอย่างหาไม่ได้อีกแล้วเสียเปล่า หรือเพราะเขาคิดว่าความดีความชอบเพียงเล็กน้อยไม่เหมาะจะขอรางวัลเกินตัว หรือเพราะนี่คือการทดสอบของฝ่าบาท เพราะเหตุใดเฉินซื่อเสวี่ยนต้องเลือกไปลำบากลำบนในสนามรบด้วยเล่า หรือหากต้องการความชอบทางการทหาร เฉินซื่อเสวี่ยนเคยเป็นรองแม่ทัพมาแล้ว รออีกหน่อยโอกาสได้นำทัพย่อมมาถึง เหตุใดรีบร้อนจนเสียโอกาสดีงามเช่นนี้
   
   อวิ๋นหนานชะงักไปเล็กน้อยโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น นึกไม่ถึงว่าไม่ให้ซื่อเสวี่ยนออกรบคราวก่อน เขายังขอนำทัพในคราวหน้า พระเนตรเปี่ยมปัญญาของหนางจงฮ่องเต้ทอดมองขุนนางคนสนิทครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า “อนุญาต”
   “ขอบพระทัย”
   “หญ้าดาบที่ซือจงค้นพบนั้น” สุรเสียงนาบเนิบ คล้ายตรัสโดยมิได้ไตร่ตรอง ตรงข้ามประโยคต่อมาของพระองค์ซึ่งบอกเป็นนัยว่าทรงใคร่ครวญมาแล้ว “ต่อไปให้เรียกว่า ซือเฉ่า”
   พระราชทานชื่อหญ้าโดยมีนามแฝงของซือจงอยู่ในชื่อ อย่าได้เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ต่อไปภายหน้าราษฎรในมณฑลซูถานหรือพื้นที่อื่นๆ ที่นำซือเฉ่าไปปลูก จะระลึกได้ว่าต้นหญ้าธรรมดาๆ ที่ช่วยพลิกฟื้นผืนแผ่นดิน ที่อยู่ที่ทำมาหากินของพวกเขา มาจากความคิดของผู้ใด



   
   ยมโลก

   เบื้องหน้าอี้เทียนเห็นเด็กผู้ชายอายุราวห้าขวบสองคน คนหนึ่งผมสั้น ส่วนอีกคนผมยาวประบ่า หน้าตาของเด็กทั้งสองมิได้คล้ายกันแต่ก็พอเดาได้ว่าเมื่อเติบใหญ่ขึ้นจะต้องกลายเป็นชายหนุ่มที่มีเหลาเหลาไม่น้อย
   “ไหนล่ะ ท่านแม่อยู่ที่ใด” เด็กผู้ชายที่มีผมดำยาวประบ่ามองหน้าอี้เทียนอย่างไม่เกรงกลัว ศีรษะเล็กๆ เชิดขึ้นด้วยท่าทางท้าทาย
   “โลกมนุษย์”
   “ท่านจะพาพวกเราไปหรือ”
   “ข้าจะไปหาเขา ส่วนพวกเจ้าทั้งสองคนดูแลที่นี่แทนข้า”
   “หลอกลวงกันนี่”
   “เสี่ยวฝู พูดกับท่านพ่ออย่างนั้นได้อย่างไร” เด็กน้อยคนผมสั้นว่า มือเล็กบีบมือเสี่ยวฝูเบาๆ เป็นเชิงตักเตือน เสี่ยวเฮยระลึกอยู่เสมอกับตัวเองเป็นพี่ อีกทั้งเทพมายาผู้เป็นบิดาของเขาก็ไม่ใช่คนอ่อนโยน ถ้าเกิดว่าโกรธขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะตีเสี่ยวฝูหรือไม่
   “หึ เขาไม่ใช่บิดาข้าสักหน่อย บิดาของข้าชื่ออวิ๋นหนานต่างหาก”
   “เสี่ยวฝู!”
   ได้ยินเสี่ยวเฮยเรียกชื่อตัวเองเสียงดัง ใบหน้าน่ารักของเสี่ยวฝูก็งอง้ำลง ทั้งยังสะบัดหนีไม่มองเสี่ยวเฮยอีก กระทั่งเสี่ยวเฮยทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายง้อเสียเอง
   “นี่ งอนเหรอ นี่ เจ้าพูดกับข้าหน่อย”

   เนื่องจากเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฝูมีธาตุมืดเป็นหลัก บำเพ็ญเพียรที่ยมโลกซึ่งมีพลังหยินเต็มเปี่ยมจึงเป็นประโยชน์กับทั้งสองมากกว่า ดังนั้นนับตั้งแต่พวกเขากลับมาจากโลกของอลัน เสี่ยวเฮยและเสี่ยวฝูก็ฝึกฝนอยู่ในยมโลกมาโดยตลอด เมื่ออี้เทียนเห็นว่าทั้งสองผ่านด่านแรกไปอย่างราบรื่น ประจวบเหมาะกับที่เขาตั้งใจจะไปเยือนโลกมนุษย์ จึงได้เรียกพวกเขาออกมา
   อี้เทียนมองเด็กทั้งสองคนงอนง้อกันแล้วก็ส่ายศีรษะระอา หากเสี่ยวเฮยมิได้เรียกเขาว่าบิดาและเรียกจิวซือว่ามารดาล่ะก็ เขาคงจับขังแยกจนกว่าจะสำนึกไปแล้ว




         #วิถีเซียน3p



หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 12)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 22-09-2019 19:38:30
ยิ่งอ่านยิ่งติดงอมแง่ม o13
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 12)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-09-2019 20:43:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 12)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 29-09-2019 00:49:08
ยังไม่ทันได้แต่งลูกก็โตซะแล้ว
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 12)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 03-10-2019 18:36:45
ซื่อเสวี่ยนอยากไปนำทัพครั้งนี้ เราว่าอวิ๋นหนานคงต้องตามไปด้วยแน่เลย ไม่น่าจะปล่อยให้ซื่อเสวี่ยนนำทัพไปเพียงคนเดียวแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 12)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 05-10-2019 15:57:30
The Great General (13)




   จวนสกุลเฉิน

   ซื่อเสวี่ยนแปลกใจเมื่อได้ยินพ่อบ้านรายงานว่าคุณหนูหลิวมาหา ชายหนุ่มวางตำราลงแล้วรีบออกไปต้อนรับ ด้วยหลิวเสี้ยนหรงเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน แม้ต้าเสินมิได้เคร่งครัดธรรมเนียมระหว่างชายหญิงนัก ซื่อเสวี่ยนก็ยังให้คนเชิญนางไปยังศาลาริมน้ำ พร้อมสาวใช้หลายคน
   หลิวเสี้ยนหรงปีนี้อายุ 20 ปี นับว่าล่วงเลยวัยออกเรือนมาหลายปี ใบหน้างดงามแต้มเครื่องสำอางค์อย่างประณีต นางสวมชุดสีฟ้าอ่อนขับเน้นรูปร่างสมส่วนบอบบางของสตรี
   “คุณหนูหลิว”
   “คุณชายเฉิน”
   หลังจากกล่าวทักทายตามมารยาทแล้ว ทั้งสองต่างก็เงียบ เมื่อซื่อเสวี่ยนถามหลิวเสี้ยนหรงว่านางมีธุระอันใด นางก็เพียงทอดสายตามองไกลออกไปโดยไม่ตอบคำถามของเขา ซื่อเสวี่ยนมิได้เร่งรัดนาง เขานั่งเป็นเพื่อนนาง ทอดสายตามองไปในทิศทางเดียวกับนาง ครู่ใหญ่ค่อยได้ยินเสียงหวานเอ่ยถาม
   “เฉินซื่อเสวี่ยน ท่านมีคนในใจแล้วหรือ”
   หลิวเสี้ยนหรงเรียกชื่อเต็มของบุรุษที่ยินยอมนั่งรอนาง บุรุษที่นางเฝ้าฝันว่าจะได้ครองคู่ เมื่อได้สบตากับเขา หัวใจนางยังคงเต้นแรง กระทั่งได้ยินคำตอบของเขา
   “มีแล้ว”
   หลิวเสี้ยนหรงพลันรู้สึกเหมือนบางอย่างถูกพรากไป แม้ทำใจไว้แล้ว ก็ยังมิอาจห้ามตนเองไม่ให้รู้สึกเจ็บปวดผิดหวัง นางกระพริบตาห้ามมิให้ตนเองร้องไห้
   “ข้า...ไม่มีโอกาสเลยหรือ”
   ซื่อเสวี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง เขาพิจารณาหญิงสาวเบื้องหน้า เพียบพร้อมทั้งหน้าตา การศึกษา และชาติตระกูล หญิงสาวดีงามเช่นนี้ เขาสมควรซื่อตรงกับนาง
   “คุณหนูหลิว” ซื่อเสวี่ยนยิ้มบางทำให้บรรยากาศรอบตัวของเขาอบอุ่นดังสายลมฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาดำขลับอ่อนแสงยามเอ่ยถึงบุคคลในดวงใจ “ผู้ที่อยู่ในใจข้านั้นมีคนข้างกายแล้ว ดังนั้นชาตินี้ข้าไม่คิดแต่งงาน น้ำใจของคุณหนูหลิว ซื่อเสวี่ยนขอรับไว้ด้วยใจ”
   หลิวเสี้ยนหรงนิ่งไป นางมองบุรุษตรงหน้าเนิ่นนานกว่าจะฝืนยิ้มออกมา “ได้ ถือว่าท่านรับรู้”
   
   เย็นวันนั้นเกิดข่าวลือขึ้นอีกระลอกว่าที่แท้รองเสนาบดีเฉินมิใช่รักใคร่บุรุษ แต่เขาเป็นคนหนุ่มที่มีปณิธาน ตั้งใจจะออกศึกใหญ่ในเร็ววัน ดังนั้นจึงไม่แต่งงาน ด้วยเกรงว่าภรรยาจะเป็นหม้าย เหล่าคนผู้ว่างงานเหล่านี้แต่งเสริมเรื่องราวออกไป บ้างก็ว่าสตรีในดวงในของรองเสนาบดีเฉินถูกข้าศึกสังหาร เขาจึงผูกใจเจ็บ แม้ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลใหญ่ เขากลับปฏิเสธ แต่ขอออกรบเพื่อล้างแค้นให้หญิงอันที่รัก


   สามเดือนต่อมา หลิวเสี้ยนหรงตกลงหมั้นหมายกับคหบดีหนุ่มผู้หนึ่ง เดิมทีใต้เท้าหลิวไม่ยินยอม แต่หลิวเสี้ยนหรงยืนกรานว่าชีวิตนี้ไม่ต้องการสิ่งอื่นใด นอกจากสามีซื่อสัตย์และรักนางผู้เดียว สุดท้ายใต้เท้าหลิวจึงได้แต่ตามใจบุตรี ทั้งยังช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง





   จวนสกุลอี้

   ใบหน้าที่เคยงดงามของซุนเจียวเจี๋ยซีดขาวขาดชีวิตชีวา แม้แต่พอกแป้งทาชาดยังมิอาจกลบความเศร้าหมองบนใบหน้าของนางได้ ดวงตาสองข้างเลื่อนลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง จู่ๆ นางก็เงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เมื่อนึกถึงบทสนทนาที่แม้ผ่านมาหลายเดือนก็ยังตราตรึงชัดเจนเสมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
   

   “ใจท่านไม่เคยมีข้าเลยหรือ”
   “เจ้ารู้ดีตั้งแต่ก่อนแต่งเข้าตระกูลอี้”
   นางรู้ รู้ดี ก่อนแต่งเข้าสกุลอี้ เขาบอกกับนางอย่างชัดเจนแล้วว่าชาตินี้ไม่มีวันรักนาง ทำได้เพียงให้เกียรตินางในฐานะฮูหยินของเขา แต่นางยังหวังว่าความอ่อนโยน เอาใจใส่ของนางจะเปลี่ยนใจเขาได้ ทุ่มเทเพื่อเขา คิดเพื่อเขา กระทำทุกอย่างก็เพื่อความรักของเขา ทั้งหมดนั้นไม่มีประโยชน์หรือ
   “ท่าน...ไม่ชอบข้า ไม่เลย สักนิดหรือ”
   เขามองนางอย่างเย็นชา กล่าวว่า “อย่าคิดร้ายต่อเขาอีก”
   “อี้เทียน! เจ้า!” คิดร้ายแล้วผิดอะไร คนๆ นั้นแย่งชายคนรักไปจากนาง ทำให้นางไม่มีความสุข ไม่อาจเรียกที่นี่ว่าบ้าน ไม่มีลูก ไม่มีอะไรทั้งนั้น ทั้งหมด ทั้งหมด ล้วนถูกมันทำลาย นางคิดร้ายต่อมันแล้วผิดยังไง
   “ซุนเจียวเจี๋ย หากมีครั้งหน้า ข้าจะไม่ยั้งมือแล้ว”
   ใบหน้าของเขาน่ากลัว เลือดเย็นอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นี่เป็นการเตือนจากเขา เป็นเขาไว้หน้านางที่เป็นภรรยา หาไม่แล้วล่ะก็...
   นางทรุดลงนั่งกับพื้นสะอึกสะอื้น หัวใจแหลกสลายไม่มีชิ้นดี เงยหน้ามองอี้เทียนผ่านม่านน้ำตา ถามเขาเสียงสั่น แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ขอแค่ครั้งเดียว
   “อี้เทียน ข้ารักท่าน ฮึก ท่านมองข้า สัก...ครั้ง”
   แต่เขาไม่หันกลับมามองนาง แผ่นหลังกว้างของเขาห่างออกไปเรื่อยๆ ห่างไกลเหลือเกิน



   ซุนเจียวเจี๋ยกระพริบตาไล่น้ำตาตลอดจนภาพความทรงจำที่หวนกลับมาทำร้ายนางครั้งแล้วครั้งเล่า มารดาเคยกล่าวว่าลูกหลานตระกูลใหญ่ล้วนขาดน้ำใจรัก บิดาของนางมีอนุมากมาย โชคดีที่มารดามาจากตระกูลใหญ่ ดังนั้นจึงยังรักษาตำแหน่งฮูหยินไว้ได้ นางเคยภูมิใจนักที่สามีของนางมีนางเป็นภรรยาเพียงคนเดียว กระทั่งวันหนึ่งนางเจอภาพวาดของเฉินซื่อเสวี่ยนในห้องหนังสือของเขา
   ในภาพนั้น เฉินซื่อเสวี่ยนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มือหนึ่งมีมีดพับขนาดเล็กแต่ลวดลายประณีต ใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน ใต้ภาพนั้นเห็นลายมือของอี้เทียนเขียนว่า
   ‘ดวงใจข้าในมือเจ้า’
   นางมือสั่นจนทำภาพใบนั้นตกพื้น ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง เวลานั้นอี้เทียนตามบิดาไปทำศึก นางจึงมีความกล้าที่จะค้นห้องหนังสือของเขา จนพบหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่เขาไม่มีน้ำใจรัก เพียงแต่คนที่เขารักไม่ใช่นาง
   อี้เทียนวาดภาพใบหนึ่ง เก็บรักษาใส่กล่องอย่างดี เป็นรูปเด็กชายสองคน เด็กคนหนึ่งยื่นมือให้เด็กชายอีกคนที่กำลังร้องไห้ ด้านข้างมีข้อความเขียนว่า
   ‘หากเจ้าเป็นแม่ทัพ ข้าเป็นรองแม่ทัพ
   หากเจ้าเป็นพ่อค้า ข้าเป็นคนครัว
   หากเจ้าเป็นขอทาน ข้ายอมนั่งขอทานอยู่ข้างเจ้า
   ซื่อเสวี่ยน ข้าเป็นพี่อี้ของเจ้าตลอดไป’
   ลายมือบรรทัดสุดท้ายหนักแน่น โดยเฉพาะตัวอักษรคำว่า ‘ซื่อเสวี่ยน’ เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจรดพู่กันเพียงใด นี่ไม่ใช่คำกลอน แต่เป็นคำสัญญาของเขา เวลานั้นนางจึงเข้าใจว่าที่แท้แล้วคนเราสามารถถูกรักได้มากขนาดนี้ ที่แท้แล้วสามีของนางไม่ใช่คนเย็นชา แต่อ่อนโยนได้เพียงนี้ แล้วทำไม ทำไมคนๆ นั้นจึงไม่ใช่นาง นางเป็นภรรยาของเขา สมควรได้รับความรัก ความอ่อนโยนจากเขา ทั้งหมดควรเป็นของนาง
   หลายปีที่ผ่านมาจึงพยายาใทำทุกอย่างเพื่อเขา เพื่อสกุลอี้ สุดท้ายสิ่งที่ได้นางได้รับมีเพียงคำเตือนหนึ่งประโยค ‘อย่าคิดร้ายต่อเฉินซื่อเสวี่ยน’
   ซุนเจียวเจี๋ยหัวเราะ ทั้งร้องไห้และหัวเราะ เขาบอกชาตินี้จะเป็นพี่อี้ของเฉินซื่อเสวี่ยนตลอดไป เช่นนั้นนางเป็นตัวอะไร ฮะๆ อี้เทียน เฉินซื่อเสวี่ยน เป็นพวกเจ้าบีบบังคับข้า




   
   เจ็ดเดือนต่อมา

   ซื่อเสวี่ยนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพนำทัพใหญ่ขับไล่กบฎตงหย่า โดยมีอี้เทียนและซุนอวี้เป็นรองแม่ทัพ หลินซ่งฉีเป็นกุนซือ กล่าวได้ว่าบรรดาแม่ทัพนายกองครานี้ล้วนแต่ประกอบด้วยคนหนุ่มมากฝีมือ ผู้เป็นที่น่าจับตามอง และเป็นกำลังสำคัญของหนานจงฮ่องเต้ทั้งสิ้น มิใช่ไม่มีผู้คัดค้าน ขุนนางเก่าแก่หลายคนย่อมต้องเสนอคนของตนเพื่อหวังรักษาสมดุลของขั้วอำนาจ แต่หนานจงฮ่องเต้ตัดสินพระทัยแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งขุนนางเก่าคัดค้าน ยิ่งทรงสนับสนุนคนรุ่นใหม่ สุดท้ายจึงกลายเป็นว่าผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญแทบทั้งหมดเป็นขุนนางหนุ่มที่พระองค์คัดเลือดด้วยพระองค์เอง
   การศึกครั้งแรกที่อำเภอฉานผิง ทัพต้าเสินได้ชัยอย่างรวดเร็ว ขับไล่ข้าศึกถอยร่นโดยที่เสียกำลังพลเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อข่าวชัยชนะแรกส่งมาถึงเมืองหลวง บรรดาจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ต่างก็พลิกลิ้นชื่นชมสายพระเนตรอันเฉียบแหลมของพระหมื่นปี และบรรดาขุนพลหนุ่มเหล่านั้นว่าเป็นอนาคตของต้าเสิน
   


   ค่ายทหาร อำเภอฉานผิง

   ซื่อเสวี่ยนรู้สึกไม่สบายใจ เป็นความรู้สึกที่ปราศจากที่มาที่ไป คล้ายกับความกระวนกระวาย หรือสังหรณ์ว่า จะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้น กระนั้นเมื่อทบทวนแผนการรบและข้อมูลที่สืบทราบมาได้อย่างถี่ถ้วนแล้วก็ไม่พบว่ามีช่องโหว่ตรงไหน
   “พกมาด้วยหรือ”
   ซื่อเสวี่ยนหันตามเสียงพูดก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยของสหายมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน ใบหน้าคล้ำแดดของอี้เทียนปรากฎรอยยิ้มบางเบา ตอนนั้นค่อยระลึกได้ว่าตนเองหยิบมีดพบเล่มเล็กที่อีกฝ่ายเคยมอบให้มาหมุนเล่นเพราะหัวใจไม่สงบ
   “เหมาะมือดี”
   “แน่นอนว่าเหมาะกับเจ้า”
   “เจ้าทำให้หนิงเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ”
   อี้เทียนไม่ตอบ เขาเพียงแค่ยิ้มออกมาราวกับพอใจนักหนาที่ได้เห็นมีดพับเล่มนี้อยู่ในมือซื่อเสวี่ยน ครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “เจ้าเหนื่อยแล้ว รีบนอนเถอะ”
   ซื่อเสวี่ยนเลิกคิ้วมองอี้เทียนที่ใช้สายตากดดันให้เขารีบกลับไปนอน เวลานั้นเกือบหลุดปากบอกอีกฝ่ายว่าจบการศึกคราวนี้ ตนเองจะลาออกจากราชการไปท่องเที่ยวแล้ว แต่เมื่อคิดอีกที ยังคงไม่พูดไปจะดีกว่า อย่างไรเสียก็ไม่ได้ไปด้วยกัน ต่างคนต่างมีชีวิตของตนเอง
   “จบศึกคราวนี้ พวกเราไปท่องเที่ยวกัน”
   ปลายเท้าของซื่อเสวี่ยนชะงักกับประโยคที่ได้ยิน แทบเก็บอาการตกใจไว้ไม่อยู่ เสมือนความลับในใจถูกเปิดเผยต่อหน้าอีกฝ่าย ทั้งที่คำชวนนั้นเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
   “ท่องยุทธภพเหมือนในหนังสือที่เจ้าชอบอ่าน”
   สุดท้ายซื่อเสวี่ยนก็หัวเราะออกมาคำหนึ่ง คนอย่างอี้เทียนนั้นบางทีคงเกิดมาเพื่อชนะเขาโดยเฉพาะ ไม่ว่าเมื่อไรๆ เขาก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้เลย ชายหนุ่มเก็บมีดพับเข้าอกเสื้อ แล้วหันหลังเดินกลับไปทางกระโจมที่พัก กล่าวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า “ข้าไปคนเดียว”
   “ไม่มีข้าแล้วใครจะย่างกระต่ายให้เจ้ากิน อาเสวี่ยน เจ้าทำอาหารไม่เป็น”
   ซื่อเสวี่ยนโบกมือ ทำเป็นไม่ได้ยิน
   ใครบอกว่าเขาทำไม่เป็น เขาเพียงแต่ไว้หน้าสหาย ยอมให้แสดงฝีมือต่างหาก





   #วิถีเซียน3p
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 13)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 05-10-2019 17:34:47
ตามจ้า  o13
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 13)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-10-2019 17:54:27
ใจหาย
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 13)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 11-10-2019 06:29:58
หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องไม่ดีนะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 13)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 17-10-2019 01:06:30
สงสารนางเนอะ ฉันว่าพระแม่ ต้องเป็นนางคนนั้นแน่ๆ !!  หล่อนมันเสนอหน้าเข้ามาในชีวิตเขาเองจ้ะ ไปไกลๆไป๊ !!  :m31:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 13)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 20-10-2019 20:04:55

The Great General (14)





   สงครามกับแคว้นตงหย่าดำเนินมายาวนานกว่าครึ่งปี ทัพต้าเสินกำชัยทั้งศึกเล็กและศึกใหญ่ ขับไล่ทหารตงหย่าถอยร่น และรุกคืบกินดินแดนของมณฑลซีเจาและหยางโยวที่ต้าเสินเคยยกให้กับเจ้าครองแคว้นตงหย่าเมื่อร้อยปีก่อน ชาวตงหย่าอาจลืมไปแล้ว แต่ต้าเสินไม่เคยลืม
   พื้นที่ที่ยกให้กับตงหย่านั้นเป็นที่ราบระหว่างภูเขา มีความอุดมสมบูรณ์ ปลูกพืชพันธุ์ได้อย่างชนิด ฮ่องตงในรัชกาลนั้นเห็นกษัตริย์ตงหย่าเป็นน้อง ยินดีรับดินแดนแห้งแล้งกันดารนั้นในปกครอง ทั้งส่งคนมาช่วยเรื่องดินเรื่องน้ำ ตลอดจนการค้า ทำให้ตงหย่าเปลี่ยนสภาพจากยากจนข้นแค้นเป็นอยู่ดีกินดี มีอิสระเสรี ไม่มีแคว้นข้างเคียงใดกล้ารุกราน ก็ด้วยบารมีต้าเสินทั้งสิ้น ดังนั้นการที่กองทัพนำโดยเฉินซื่อเสวี่ยนบุกยึดอาณาเขตกว่าสองมณฑลคืนก็เพื่อตอกย้ำถึงความไม่รู้จักบุญคุณของตงหย่า และสร้างความชอบธรรมให้กับต้าเสิน พวกเขาเพียงทวงคืนแผ่นดินต้าเสิน ให้ไปเท่าใดก็ยึดคืนมาเท่านั้น ไม่ขาดไม่เกิน
   แต่ซีเจาและหยางโยวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจของแคว้นตงหย่า ทั้งข้าว พืชผัก การค้าที่ชาวตงหย่าลงทุนมาหลายสิบปีล้วนถูกต้าเสินยึดไปสิ้น จินตนาการได้ว่าความสูญเสียของตงหย่านั้นมากกว่าเลือดเนื้อและเขตแดน ยุคข้าวยากหมากแพงคงมิพ้นติดตามมา หนานจงฮ่องเต้ไม่ประสงค์ได้ตงหย่าเป็นเมืองขึ้น ก็เท่ากับทรงตัดไมตรี ไม่อยากสิ้นเปลืองทรัพยากรกับแคว้นนั้นอีก และทรงอยากทอดพระเนตรว่าหากไม่มีต้าเสินคอยค้ำจุนแล้ว แคว้นตงหย่าจะอยู่รอดอย่างไร หากเป็นศัตรูกับต้าเสินแล้ว พวกเขายังสามารถหันไปพึ่งพาผู้ใดหรือจะถูกแคว้นข้างเคียงเฉือนดินแดนไปสิ้น

   ทัพต้าเสินค้างแรมที่หยางโยวหนึ่งคืน พรุ่งนี้จึงจับเดินทัพกลับเมืองหลวง ใบหน้าทหารทั้งหลายแม้อิดโรย แต่ดวงตาสดใส มีรอยยิ้มประดับใบหน้า บรรยากาศในค่ายทหารรื่นเริงผ่อนคลายด้วยสงครามจบลงแล้ว
   ซื่อเสวี่ยนมองภาพโดยรอบด้วยความโล่งใจ เขาเห็นอี้เทียนกำลังสนทนากับทหารกลุ่มหนึ่งอย่างเป็นกันเอง พวกเขาหัวเราะเสียงดัง แม้ดื่มเพียงน้ำเปล่าก็ยังคล้ายร่ำสุรา คนผู้นั้นก็เป็นเช่นนี้ มักถูกห้อมล้อมด้วยผู้คน เป็นที่รัก ที่นับถือ เป็นผู้นำ ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็โดดเด่นเสมอ แต่เมื่ออี้เทียนหันมาเห็นเขา ดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมา จากนั้นก็โบกมือลาทหารกลุ่มนั้น เดินตรงมาหาเขา
   “ต้าเจียงจวิน” น้ำเสียงเจือแววหยอกล้อ สายตาอ่อนแสงเมื่อเห็นซื่อเสวี่ยนกลอกตาใส่เขา กริยาที่น้อยครั้งจะได้เห็นทำให้อี้เทียนอารมณ์ดีจนหัวเราะออกมา เขาเห็นเส้นผมสีหมึกของซื่อเสวี่ยนถูกลมพัดจนยุ่ง ก็ยกมือขึ้นหมายจะจัดให้ แต่นึกได้ว่าพวกเขาอยู่กลางค่ายทหาร ไม่ทราบมีสายตากี่คู่ลอบมองอยู่ จึงได้แต่ถอนหายใจ โอดครวญว่า “อยากลูบหัวเจ้า”
   เห็นซื่อเสวี่ยนมีสีหน้าไม่เข้าใจ อี้เทียนก็ยักไหล่ สารภาพตามตรง “กลัววินัยทหาร”
   ซื่อเสวี่ยนเห็นสีหน้าอีกฝ่ายคล้ายจนใจก็หลุดยิ้ม เป็นรอยยิ้มเปิดเผยที่ทำให้คนมองสายตาพร่าพราย แม้แต่คนรอบข้างที่แอบสังเกตุการณ์อยู่ก็ถูกรอยยิ้มหายากนี้ทำให้ตะลึงไปชั่วครู่ ที่แท้แม่ทัพเฉินผู้นั้นมีรอยยิ้มที่งดงามเพียงนี้
   
   


   วันรุ่งนี้ ขณะที่ทัพต้าเสินออกเดินทางมุ่งหน้ากลับเมืองหลวงได้ไม่ถึงหนึ่งสองชั่วยาม จู่ๆ ท้องฟ้าเวลาเที่ยงวันก็ปรากฏหมู่เมฆดำขนาดใหญ่เคลื่อนที่มาเหนือหัวของพวกเขาอย่างรวดเร็วราวกับมีมือที่มองไม่เห็นชักนำพวกมันมารวมกัน เมฆดำเข้าปกคลุมน่านฟ้าและขยายออกไปจนบดบังแสงอาทิตย์แทบทั้งหมด จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้อง ฝนกระหน่ำ ลมกรรโชกแรงประหนึ่งฟ้าพิโรธ
   เวลานั้นทหารต้าเสินตามองหน้ากัน โอดครวญในใจว่าฟ้าฝนช่างไม่เป็นใจ พวกเขาพ้นเขตเมืองมาแล้ว กลางป่าเขาเช่นนี้ไม่มีที่ให้หลบฝน ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความผิดปกติว่าร่างสูงใหญ่ของรองแม่ทัพอี้สะท้านไปชั่วขณะ และดวงตาที่เคยเป็นสีดำสนิทของเขา เวลานี้ข้างหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีทอง เขาเงยหน้ามองฟ้า เหยียดยิ้มท้าทาย ก่อนที่จะจับจ้องแผ่นหลังของซื่อเสวี่ยนที่ห่างเพียงเอื้อมมือ
   เมื่อคราวที่เขายังเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ชื่อว่าอี้เทียนนั้น บันทึกระบุวันตายของเขาคือวันนี้ สาเหตุคือถูกธนูยิงทั่วร่าง เจตนาเพื่อปกป้องคนผู้หนึ่ง ดังนั้นขอเพียงไม่ขัดกับเหตุการณ์เหล่านี้ บิดเบือนบางอย่างใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ดวงตาสองสีของอี้เทียนเหลือบมองซุนอวี้อย่างมีความหมาย
      
   ในอดีตชาตินั้น อี้เทียนและซุนเจียวเจี๋ยยังนับว่ารักษามารยาทต่อกัน ซุนเจียวเจี๋ยแม้เกลียดชังเฉินซื่อเสวี่ยน แต่ไม่ถึงขั้นลงมือทำร้าย ดังนั้นจึงเป็นนางที่ตามอี้เทียนมาชายแดน และเป็นนางที่ยั่วยุจนซื่อเสวี่ยนขี่ม้าไปพบมือสังหารที่ดักซุ่มอยู่ กล่าวว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ หรือกล่าวว่าสวรรค์เล่นตลกกับชีวิตมนุษย์ก็ได้ สุดท้ายอี้เทียนตายเพราะปกป้องซื่อเสวี่ยน กลายเป็นบาดแผลที่ยึดติดกระทั่งจิตเซียนของซื่อเสวี่ยน
   อี้เทียนทราบทุกเรื่องผ่านกระจกส่องภพจึงรู้ว่าแม้ชาตินี้ซุนเจียวเจี๋ยไม่ได้ออกจากเมืองหลวง แต่นางขอให้ซุนอวี้ผู้เป็นน้องชายกำจัดซื่อเสวี่ยน อย่าให้เขาได้มีชีวิตรอดกลับไปอีก ซุนอวี้ที่เป็นเครื่องมือของพี่สาวจึงตกเป็นหมากในกระดานของเขาด้วย


   เปรี๊ยง!
   ฟ้าผ่าทำให้เกิดแสงสว่างวาบ เวลานั้นม้าที่ซื่อเสวี่ยนขี่อยู่ก็ร้องอย่างตระหนกก่อนจะห้อตะบึงไปข้างหน้า แทบกระชากเขาตกลงมา ชายหนุ่มประคองสติได้อย่างรวดเร็ว ร่างกายลู่ลงไปกอดลำคอม้า สองข้าเกี่ยวลำตัวมันไว้แน่น เฝ้ารอจังหวะที่ม้าผ่อนฝีเท้าเพื่อถีบตัวออกมา
   “ซื่อเสวี่ยน!”
   ท่ามกลางพายุฝนและเสียงฟ้าเลื่อนลั่น เขาได้ยินเสียงอี้เทียนตะโกนไล่หลัง คาดว่าอีกฝ่ายคงควบม้าตามมา ซื่อเสวี่ยนพยายามทำให้ม้าสงบลงแต่ไม่เป็นผล ราวกับว่ามันถูกกระตุ้น เขาเหลือบมองรอบข้างก่อนจะตัดสินใจสละม้า ซื่อเสวี่ยนสูดลมหายใจ ฟาดฝ่ามือกับหลังม้าอย่างแรงและดีดตัวเองออกมา ร่างของเขาลอยขึ้นฟ้าม้วนตัวกลางอากาศเพื่อเพิ่มแรงเสียดทานก่อนจะร่วงลงกับพื้น
   ขณะเดียวกันกับที่ร่างกระแทกพื้น หูก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศพุ่งมาทางตนเอง ไม่ต้องหันไปมองก็ซื่อเสวี่ยนก็ทราบว่าเป็นลูกธนู เขาฝืนความจุกและเจ็บร้าวบังคับร่างให้กลิ้งหลบ ทำให้ธนูปักลงกับพื้นเฉียดศีรษะไปเพียงเล็กน้อย
   ดวงตาของซื่อเสวี่ยนหรี่ลง เขากลิ้งหลบลูกธนูอีกกลุ่มหนึ่งก่อนจะทะยานร่างขึ้นในเวลาเดียวกับที่อี้เทียนกระโจนเข้ามาเบื้องหน้า ยกดาบปะทะมือสังหารชุดดำ พริบตาเดียวพวกเขาทั้งสองคนก็ถูกคนชุดดำกว่าสิบคนรุมล้อม มือสังหารเหล่านี้ล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา ทั้งยังคุ้นเคยกัน เมื่อคนหนึ่งเพลี่ยงพล้ำ อีกคนก็เข้ามาแทนที ไม่ต่างจากค่ายกล บังคับให้สองคนที่อยู่ในวงกลมได้แต่ต่อสู้โดยไม่อาจฝ่าออกไป
   เหตุการณ์คับขัน ซื่อเสวี่ยนไม่ทันเห็นสีตาที่เปลี่ยนไปของอี้เทียน ไม่เห็นว่าดวงตาของเขาทอแสงวาบ ริมฝีปากซีดเปลี่ยนเป็นสีแดงสด จู่ๆ ท้องฟ้าก็ถูกย้อมด้วยสีแดงอมม่วง อากาศแปรปรวน เสียงฟ้าร้องเลื่อนลั่น อัสนีบาตฟาดผืนดินที่ห่างออกไปม่ไกล
   อี้เทียนทราบว่าเขาไม่มีเวลาแล้ว ชายหนุ่มฟาดมือใส่หน้าอกชายชุดดำคนหนึ่ง จากนั้นก็ร่ายเพลงดาบใส่มือสังหารอีกคน จากพลังฝีมือที่เคยใกล้เคียงกันบัดนี้กลายเป็นเหล่ามือสังหารเหมือนเด็กน้อยที่ถูกกำราบ พริบตาเดียวลมหายใจก็ปลิดปลิวไปจากร่าง
   ซื่อเสวี่ยนมองชายชุดดำล้มลงทีละคนอย่างแทบไม่เชื่อสายตา วรยุทธ์ของอี้เทียนรุดหน้าไปเพียงนี้เชียวหรือ ขณะที่กำลังจะเอ่ยถาม ร่างกายก็ถูกวงแขนแข็งแกร่งรวบไปกอดแล้วพลิกไปอีกด้าน ซื่อเสวี่ยนเบิกตากว้างเมื่อเห็นลูกธนูปักที่หลังของคนที่กอดเขาไว้ เกราะอ่อนถูกพลังยุทธ์ที่แฝงมากับลูกธนูทำให้แตกเป็นชิ้นๆ

   ฉึก ฉึก ฉึก
   เสียงเนื้อถูกธนูชำแรกดังขึ้นติดๆ กันหลายครั้ง รวดเร็วรุนแรง บ่งบอกความเป็นยอดฝีมือของคนยิง ลูกธนูถูกปล่อยออกมาเพียงสองครั้ง แต่ละครั้งประกอบด้วยลูกธนูสามดอก วิถีธนูพิสดารแต่ทุกดอกล้วนปักลงบนแผ่นหลังของอี้เทียน ซื่อเสวี่ยนพยายามจะผลักเขาออกไป แต่ไม่เป็นผล อ้อมแขนนั้นกักขังเขาไว้ กระทั่งมือธนูทะยานร่างหลบหนีไปค่อยคลายออก ซื่อเสวี่ยนคว้าร่างที่ทรุดลงไว้ ความหวาดกลัวแทรกซึมขั้วหัวใจจนร่างกายเขาเยียบเย็น



   เมื่อหลินซ่งฉี และนายกองอีกหลายคนมาถึงจึงทันเห็นร่างสูงใหญ่ของรองแม่ทัพอี้เอนซบไหล่ของแม่ทัพเฉิน แผ่นหลังเต็มไปด้วยลูกธนู โลหิตแดงฉานอาบร่าง พวกเขาตะลึงงัน แต่เมื่อจะก้าวเข้าไปหาคนทั้งคู่ ก็เห็นสายตารองแม่ทัพอี้ ส่งสัญญาณให้พวกเขาล่าถอยออกไป หลินซ่งฉีเข้าใจความต้องการของอี้เทียน เขาเม้มปากแล้วพยักหน้า พาคนที่เหลือถอยออกไปและคอยระวังภัย


   
   ซื่อเสวี่ยนมองร่างโชกเลือดที่เอนซบไหล่เขาด้วยสมองว่างเปล่า ราวกับทุกอย่างมืดลงเหลือเพียงโลหิตแดงฉาน
   “เทียน...อี้เทียน”
   คนที่เขาเรียกหาส่งยิ้มให้ ใบหน้าคมคายนอกจากซีดขาวเพราะเสียเลือดแล้วไม่ได้แสดงความเจ็บปวดใดๆ ออกมา เหมือนบนแผ่นหลังของเขาปราศจากธนูสักดอก ซื่อเสวี่ยนมือสั่น เขาคลำหายาในเสื้อโดยพยายามเคลื่อนไหวน้อยที่สุด ด้วยเกรงว่าจะกระเทือนถึงอีกคน ยาเม็ดหนึ่งถูกส่งเข้าปากอี้เทียนซึ่งยอมกลืนลงไปโดยดี ส่วนลูกธนูที่แผ่นหลังนั้นจมลึกจนซื่อเสวี่ยนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี   
   “ข้า.. ตามหมอ หมอ”
   “อาเสวี่ยน ไม่ต้อง”
   ต้องสิ ต้องตามหมอ ซื่อเสวี่ยนหายใจแรง พยายามสะกดเสียงสะอื้นไว้ กลัวจะสะเทือนถึงบาดแผลของอี้เทียน
   “นี่เป็นชะตาของข้า”
   ซื่อเสวี่ยนมือสั่น ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เพราะเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายกำลังบอกกล่าว แต่ปฏิเสธไม่ยอมเข้าใจ ไม่ยอมเชื่อ ไม่ ไม่ได้
   “ได้ปกป้องเจ้า ข้า...มีความสุขมาก” เสียงพูดนั้นเบาแต่หนักแน่น ดวงตาของเขาอ่อนแสง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เหมือนไม่เจ็บเลย เหมือนกำลังมีความสุขมากอย่างที่เขาบอกจริงๆ
   “ไม่...ไม่”
   “อย่าร้อง” มือของอี้เทียนพยายามยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ แต่เมื่อยกขึ้นมาได้เล็กน้อยก็ตกลง
   “ไม่ ไม่ได้ เจ้า...” ซื่อเสวี่ยนไม่กล้าเอ่ยคำว่าตาย เขากลัว กลัวมากจริงๆ ไม่กล้าคิดแม้แต่น้อย ได้โปรด
ได้โปรดอย่าพรากเขาไป อย่าพรากคนที่เขารักไปอีกเลย

   “ซือซือ เรียกพี่อี้”

   ซื่อเสวี่ยนรู้สึกเหมือนหัวใจแทบแตกสลาย เขาไม่กล้าหายใจ ไม่กล้าขยับตัว ไม่กล้าละสายตาไปจากใบหน้าเปื้อนยิ้มของอี้เทียน น้ำตาทำให้ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน เขารีบกระพริบตาแล้วเบิกตากว้าง กลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไป แต่ยิ่งกระพริบตาน้ำตายิ่งไหลออกมา หยุดร้อง หยุดร้อง จะมองไม่เห็นแล้ว อี้เทียน อี้เทียน

   “ซื่อเสวี่ยน เรียกสิ” อี้เทียนกระอักเลือดออกมา แต่เขายังยิ้มอ่อนโยน ดวงตาคาดหวังรอคอย

   “พี่อี้” ซื่อเสวี่ยนกล่าวเสียงสั่น ราวกับว่าได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีเปล่งคำๆ นี้ออกไป เจ็บปวดในอกจนแทบไม่อยากหายใจ การเรียกใครสักคนเจ็บปวดขนาดนี้เลยหรือ

   อี้เทียนยิ้มกว้างขึ้นอีก “ชาตินี้ ข้า...เป็นพี่อี้ของเจ้า” ดวงตาเขาสะท้อนภาพของซื่อเสวี่ยน ดังจะจารึกไว้ในจิตวิญญาณ จดจำไปตลอด ดวงตาสีดำปรากฏแสงสีทองพาดผ่าน สะท้อนความต้องการครอบครองบ้าคลั่ง แตกต่างจากใบหน้าอ่อนโยนของเขา น้ำเสียงที่เปล่งออกมามั่งคงหนักแน่นเฉกเช่นคำประกาศิต “ชาติหน้า เจ้าเป็นภรรยาของข้า อี้เทียน”



   ดวงจิตเทพของอี้เทียนหลุดลอยจากร่างมนุษย์ ดวงตาจับจ้องใบหน้าอาบน้ำตาและเหม่อลอยของซื่อเสวี่ยน ความรู้สึกผิดที่จองจำซื่อเสวี่ยนไว้ เขาจะคลายออกให้ แต่บ่วงรัก...เขาไม่มีวันคลาย







   หลิวซ่งฉีได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของเฉินซื่อเสวี่ยน และได้ยินประโยคสุดท้ายของอี้เทียน หลิวซ่งฉีรู้หลับตาลง เข้าใจแล้วว่าอี้เทียนรักซื่อเสวี่ยน รักมากเหลือเกิน แม้ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยบอกรักอีกฝ่าย แต่ความรักของเขากระจ่างชัด โอบล้อมรอบตัวซื่อเสวี่ยนไว้











#วิถีเซียน3p





……………………..

บายๆ พี่อี้ ไปดีนะ เอ๊ย ไปรอดีๆ นะ อี้เทียนได้ปล็ดล็อคความรู้สึกผิดที่จองจำจิวซือไว้ แต่ไม่ยอมคลายบ่วงรัก พี่อี้ไม่ใช่คนดี พี่อี้จะเอา แฮร่

อวิ๋นหนาน: ถึงเวลาของข้าเสียที

อี้เทียน: ข้าประกาศจองตัวเขาแล้ว

เสี่ยวฝู: ไหนบอกว่าจะพาท่านแม่ไงล่ะ โกหก

เสี่ยวเฮย: (ทำหน้าผิดหวัง แต่ไม่กล้าบ่น)

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 24-10-2019 07:08:54
สงสารซื่อเสวี่ยน  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 25-10-2019 12:19:11


แง เพิ่งได้เข้ามาอ่าน ดีมากกกกกกกกกก
เป็นกำลังใจให้นะคะ เราจะคอยอยู่เชียร์คุณคนเขียนพร้อมส่งซือซือให้ถึงมือสองเทพให้ได้เลย!!  :L2: :pig4:


หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: arisa_sa ที่ 25-10-2019 13:12:25
ดีงามมากค่ะ ชอบที่สุดเลย  :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-10-2019 19:57:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: Autonomyz ที่ 25-10-2019 23:34:20
รีบๆกลับมากันได้แล้ว ลูกๆรออยู่
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 26-10-2019 22:03:08
อ่านรวดเดียวเลย

ดีงามมากกกกกกกกก บรรยายได้ดี ได้อรรถรส ทุก Arc จบแบบสมบูรณ์ในตัวเอง
ยอดเยี่ยมมากค่ะ


ขอบคุณ Malimaru ที่แนะนำให้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: 14th-friedegg ที่ 27-10-2019 22:14:21
รอเปย์ครเขียนนะคะ
อยากเก็บรูปเล่มมากๆ
เนื้อเรื่องดีมากๆคะ
จะขาดใจตามน้องง
ฮือพี่อี้!! ไปรอดีๆนะอย่าเกรี้ยวกราดดด
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 04-11-2019 19:42:43




The Great General (15)



   การตายของอี้เทียน ผู้เป็นรองแม่ทัพอนาคตไกล และว่าที่ผู้นำสกุลอี้ รวมทั้งการลอบสังหารที่เกิดขึ้นย่อมเป็นเรื่องใหญ่หลวง มือสังหารเหล่านั้นได้รับการพิสูจน์ยืนยันแล้วว่าเป็นยอดฝีมือตงหย่า ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับซุนอวี้
   ถูกแล้ว ซุนอวี้ถูกจับพร้อมของกลาง ทันทีที่เขาซัดอาวุธลับใส่สะโพกม้าของเฉินซื่อเสวี่ยน ก็ถูกนายทหารที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งจับตัวได้ เมื่อนายทหารผู้นั้นกล่าวว่าซุนอวี้เป็นผู้ลงมือ จึงก่อให้เกิดความคลางแคลงใจกระทั่งเขาแสดงตราสัญลักษณ์ของหนานจงฮ่องเต้ออกมา ที่แท้เป็นโอรสสวรรค์บัญชาให้เขาแฝงตัวมากับกองทัพ มิมีผู้ใดกล้าคาดเดาพระทัยเจ้าชีวิต แต่ในใจอดนึกถึงแม่ทัพเฉินผู้เป็นที่โปรดปรานมิได้ นอกจากนายทหารผู้นี้แล้ว ยังมีนายกองหวง ผู้เป็นมือขวาของรองอี้เทียน ให้การว่ารองแม่ทัพอี้สงสัยว่าซุนอวี้อาจมีปัญหา สั่งให้เขาคอยจับตาดูไว้ ดังนั้นซุนอวี้ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกจับแล้ว
   เพราะรองแม่ทัพคนหนึ่งถูกสังหาร คนหนึ่งถูกจับกุม ส่วนแม่ทัพใหญ่ก็มิอาจบัญชาการได้ชั่วคราว ดังนั้นหลินซ่งฉีผู้เป็นกุนซือ จึงได้รายงานเหตุการณ์ทั้งหมดโดยละเอียด และให้ม้าเร็วนำสาส์นส่งไปเมืองหลวงก่อน เพื่อให้คนสกุลอี้มีเวลาเตรียมใจ

   “เจียงจวิน...”
   หลินซ่งฉีส่ายหน้าพลางถอนหายใจเมื่อเห็นนัยน์ตาไร้ประกายของเฉินซื่อเสวี่ยน เขาเหมือนร่างปราศจากวิญญาณ เป็นแค่ร่างกายกลวงๆ ไม่รับรู้สิ่งใด ไม่หิว ไม่ร้อนหนาว ไม่เจ็บ ประหนึ่งปิดกั้นทุกสิ่งไว้ด้านนอก ฝังตัวเองเอาไว้ในหลุมลึกที่มืดสนิทและหนาวเย็น





   เมืองหลวง
   ชัยชนะและการยึดคืนดินแดนของต้าเสินจากตงหย่าย่อมเป็นเหตุการณ์อันน่าเฉลิมฉลอง ดังนั้นตลอดทางที่ทัพต้าเสินผ่าน ก็มีชาวบ้านตั้งแถวต้อนรับอย่างเอิกเกริก กระนั้นแม่ทัพหนุ่มผู้ขี่อาชาตัวใหญ่อยู่หน้าสุดของขบวนกลับมีสีหน้าเย็นชาอย่างยิ่ง พลอยทำให้เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีค่อยเบาลงไปด้วย
   กองทัพต้าเสินตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบรอคำสั่งอยู่นอกประตูเมือง เหลือเพียงเฉินซื่อเสวี่ยน หลินซ่งฉี นายกองหวง และทหารอีกสองนายซึ่งควบคุมตัวซุนอวี้ไว้ เดินผ่านประตูเมืองเข้ามา และด้วยหนานจงฮ่องเต้ทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ศพของอี้เทียนจึงมีคนของตระกูลอี้และกรมยุติธรรมมารับไปแล้ว
   

   ฝ่าบาทเสร็จมาต้อนรับกองทัพด้วยพระองค์เองถือเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ บรรดาขุนนางทั้งหลายย่อมต้องแสดงสีหน้าปรีดาและปลาบปลื้มกับเหล่าคนหนุ่มที่ทวงคืนแผ่นดินและประกาศศักดาของต้าเสิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาขุนนางผู้เฒ่าที่บุตรหลานได้ร่วมศึกครานี้ ซื่อเสวี่ยนชะงักเมื่อเห็นบิดาของอี้เทียน แม่ทัพใหญ่อี้คุน มองเขาด้วยสายตาเช่นเดิม เฉกเช่นผู้ใหญ่มองดูบุตรหลานที่เอ็นดูไม่เปลี่ยนแปลง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกสะกดคลื่นอารมณ์ที่แทบทะลักทลายออกมา แล้วคุกเข่าทำความเคารพหนานจงฮ่องเต้
   “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี”
   “ลุกขึ้น”
   หนานจงฮ่องเต้ทรงตรัสชมเหล่าทหารต้าเสิน และให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับตามธรรมเนียม จากนั้นก็ทรงทอดพระเนตรมองซุนอวี้ที่ถูกล่ามตรวน พระเนตรเย็นชารับสั่งให้ทหารจับเขาเข้าคุกหลวงรอลงอาญา

   ทันใดนั้น สตรีนางหนึ่งก็แหวกฝูงชนเข้ามา ใบหน้างามซีดขาว เปรอะเปื้อนด้วยน้ำตา เป็นซุนเจียวเจี๋ยวนั่นเอง นางโผเข้าหาซุนอวี้ สองมือกุมมือที่ถูกล่ามโซ่ของเขาไว้ เห็นสภาพซุนอวี้สะบักสะบอมไม่ต่างจากนักโทษ นางก็ร่ำไห้เสียงดัง
   “อาอวี้ อาอวี้”
   “เจี่ย” ซุนอวี้กล่าวคำว่าพี่สาวอย่างยากลำบาก ทราบว่าอนาคตตนเองหมดสิ้นแล้ว แม้แต่ชีวิตก็คงรักษาไว้ไม่ได้ แต่ประโยคต่อมาของซุนเจียวเจี๋ยทำให้เขาแทบล้มทั้งยืน
   “ตระกูลซุน ไม่มีแล้ว ไม่...มี”
   หนานจงฮ่องเต้กริ้วหนักเมื่อทราบเรื่อง เดิมทีผู้ต้องโทษอาจมีแต่ซุนอวี้ผู้ลงมือ แต่เวลานั้นมีขุนนางผู้หนึ่งกล่าวหาว่าตระกูลซุนสมคบคิดกับตงหย่า และแม้ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ด้วยความประจวบเหมาะของการลอบสังหาร จึงมิใช่ไม่มีมูลเสียทีเดียว หนานจงฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาเนรเทศตระกูลซุนทั้งหมดไปชายแดน ไม่ให้รับราชการอีก 5 รุ่น ส่วนซุนอวี้ให้ประหารในอีกเจ็ดวัน ชะตากรรมของตระกูลซุน ตระกูลขุนนางใหญ่หลายร้อยปีเรียกว่าจบสิ้นแล้ว
   น้องชายต้องโทษประหาร บิดามารดาถูกเนรเทศ สามีตายอนาถ ขณะที่ศัตรูของนางยังปลอดภัยไร้เรื่องราว อีกทั้งยังได้รับการยกย่องสรรเสริญ นางจะทนได้อย่างไร ทนได้อย่างไร
   ดวงตาของซุนเจียวเจี๋ยแดงกล่ำ จ้องมองซื่อเสวี่ยนอย่างอาฆาต นำ้เสียงแหลมสูงสาปแช่งเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
   “เฉินซื่อเสวี่ยน ไอ้คนชั่ว คนเนรคุณ เขาตายเพราะเจ้า สามีข้าตายเพราะเจ้า ตระกูลข้าฉิบหายก็เพราะเจ้า ไอ้ตัวกาลกิณี ผิดเพศ ชั่วช้าสามานย์ ปีศาจร้าย ทำไมเจ้าไม่ตายๆ ไปซะ ขอให้เจ้าตายอย่าง...อือ” ซุนเจียวเจี๋ยไม่ทันสาปแช่งเขาจบประโยคก็ถูกทหารปิดปากแล้วลากตัวออกไป
   อี้คุนมองลูกสะใภ้ที่เขาเลือกให้ลูกชายด้วยสายตาเย็นชา แม่ทัพใหญ่ขอขมาหนานจงฮ่องเต้ จากนั้นก็สืบเท้ามาหยุดตรงหน้าซื่อเสวี่ยน มือใหญ่วางลงบนบ่าของเขาแล้วบีบเบาๆ
   “ท่านลุงอี้” ซื่อเสวี่ยนรู้สึกกระบอกตาร้อนผ่าว ชายหนุ่มคุกเข่าลงกับพื้นแล้วโขกศีรษะให้อี้คุนโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด ไม่สนใจสายตาผู้ใด เป็นเขาติดค้างอี้เทียน ติดค้างอี้คุน เป็นเขาติดค้างสกุลอี้ เมื่อศีรษะกระแทกกับพื้นแรงๆ ความทุกข์ความเจ็บปวดในใจก็คล้ายจะเบาลงเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงโขกแรงขึ้นอีก เมื่อครบสามครั้งหน้าผากก็ปริแตกจนโลหิตไหลซึมแล้ว
   อี้คุนไม่ห้ามเขา รอจนซื่อเสวี่ยนเงยหน้า ค่อยพยุงเขาขึ้นมา มือทั้งสองข้างของอี้คุนวางบนไหล่ของซื่อเสวี่ยน ใบหน้าที่แก่ชราลงหลายปีเพราะการจากไปของอี้เทียนปรากฏรอยยิ้มบางเบา เขาเห็นเด็กทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกัน บุตรชายคิดอย่างไรมีหรือผู้เป็นบิดาไม่ทราบ แต่เพราะต้องการให้อี้เทียนเป็นผู้นำตระกูลต่อจากเขา จึงให้เกี่ยวดองกับสกุลซุน นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเป็นการทำร้ายอี้เทียนทางอ้อม
   อี้คุนบีบไหล่ซื่อเสวี่ยน กล่าวว่า “อาเทียนได้ทำอย่างที่เขาอยากทำแล้ว ไม่มีห่วงอีก”
   





   สามวันต่อมา หนานจงฮ่องเต้ให้เฉินซื่อเสวี่ยนและหลินซ่งฉีเข้าเฝ้า ทรงพระราชทานรางวัลและตรัสชมเชย ตลอดจนเลื่อนขั้นให้กับแม่ทัพนายกองที่มีความดีความชอบตามรายงานการศึกที่หลินซ่งฉีถวาย นอกจากนั้นยังทรงมีพระกรุณาเลื่อนขั้นอี้เทียนเป็นเจียงจวินเช่นเดียวกับซื่อเสวี่ยน และให้น้องชายของอี้เทียนขึ้นเป็นรองแม่ทัพแทนเขาเพื่อชดเชยให้สกุลอี้   







   ห้องเก็บป้ายวิญญาณสกุลเฉินอาจเป็นที่เดียวที่ทำให้ซื่อเสวี่ยนรู้สึกปลอดภัยพอจะปลดเกราะกำบังทุกอย่างออก เขานั่งกอดเข่าอยู่ในมุมหนึ่ง ดวงตาว่างเปล่ามองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย คำพูดมากมายที่ยากจะกล่าวให้ผู้ใดฟัง บัดนี้สามารถบอกเล่ากับเฉินซานได้ ต่อหน้าเฉินซานเขาสามารถเป็นแค่ซื่อเสวี่ยน ไม่ใช่เฉินซื่อเสวี่ยน
   “พี่ใหญ่ ฝ่าบาทแต่งตั้งให้ข้าเป็นเจียงจวินแล้ว”
   “ตระกูลเรามีแม่ทัพแล้วนะ”
   “ท่านพ่อสบายดี ไม่นานคงปลดเกษียณแล้วมาอยู่หนิงเอ๋อร์”
   “หนิงเอ๋อร์ก็โตขึ้นมาก น่ารักกว่าเด็กสาวบ้านไหน ข้าไม่อยากยกนางให้ใครเลย”
   “พี่ใหญ่”
   “ข้า...เหนื่อยแล้ว”
   สิ้นคำ น้ำตาที่กลั้นไหวก็ไหลริน หยดแล้วหยดเล่า แทบจมตัวตนเล็กๆ ที่ซื่อเสวี่ยนฝังลึกไว้ ทำให้เขาหายใจไม่ออก ทำให้ในอกอึดอัดปวดร้าวเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ถ้าตอนนั้นเขาไม่โลภอยากนำทัพ ถ้าตอนนั้นลาออกไปให้ไกลจากเมืองหลวงเสีย
   ‘จบศึกคราวนี้ พวกเราไปท่องเที่ยวกัน’
   ‘ท่องยุทธภพเหมือนในหนังสือที่เจ้าชอบอ่าน’

   เจียงจวิน ข้าไม่อยากเป็นแล้ว พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากเป็นแล้ว






   สกุลเฉินมีเฉินตงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง มีเฉินซื่อเสวี่ยนเป็นรองเสนบดีกรมกลาโหม และยังรั้งตำแหน่งทางการทหาร ถือเป็นขุนนางหนุ่มที่มีอนาคตไกลกว่าผู้ใดในต้าเสิน หลายตระกูลคิดหาหนทางเกี่ยวดอง ผูกไมตรี ไม่มีผู้ใดกล้าไม่ไหวหน้าคนของสกุลเฉิน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเฉินซื่อเสวี่ยนจะยื่นหนังสือลาออกจากราชการ





#วิถีเซียน3p



หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 06-11-2019 01:00:50
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 06-11-2019 19:46:56
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 07-11-2019 12:01:59


 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
เห็นสองเมนท์บนแล้วรู้สึกเหมือนอุปาทานหมู่ เผลอทำตามโดยไม่รู้ตัว 555
ฮ่องเต้เพคะ ช่วยน้องด้วย (รีบๆ ทำคะแนนเถอะเพคะ ไหนๆ แม่ทัพอี้ก็ไม่อยู่เป็นก้างขวางคอแล้ว จับน้องให้อยู่หมัดบัดเดี๋ยวนี้เลยเถิด / ถวายลังโคม ตึ่งโป๊ะ!!)
เป็นกำลังใจให้ จะรอตอนต่อไปนะคะ  :กอด1:




หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-11-2019 00:39:51
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: 14th-friedegg ที่ 13-11-2019 07:47:00
 :hao5: :hao5:
ฮองเต้ เยียวยาน้องที!!!!!
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 15-11-2019 15:08:45
ผมชอบบทนี้ครับ มีการบรรยายที่ทรงพลังมากที่สุดที่จับต้องอารมณ์ของคนอ่านโดยส่งผ่านซื่อเสวี่ยนมา

   ห้องเก็บป้ายวิญญาณสกุลเฉินอาจเป็นที่เดียวที่ทำให้ซื่อเสวี่ยนรู้สึกปลอดภัยพอจะปลดเกราะกำบังทุกอย่างออก เขานั่งกอดเข่าอยู่ในมุมหนึ่ง ดวงตาว่างเปล่ามองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย คำพูดมากมายที่ยากจะกล่าวให้ผู้ใดฟัง บัดนี้สามารถบอกเล่ากับเฉินซานได้ ต่อหน้าเฉินซานเขาสามารถเป็นแค่ซื่อเสวี่ยน ไม่ใช่เฉินซื่อเสวี่ยน
   “พี่ใหญ่ ฝ่าบาทแต่งตั้งให้ข้าเป็นเจียงจวินแล้ว”
   “ตระกูลเรามีแม่ทัพแล้วนะ”
   “ท่านพ่อสบายดี ไม่นานคงปลดเกษียณแล้วมาอยู่หนิงเอ๋อร์”
   “หนิงเอ๋อร์ก็โตขึ้นมาก น่ารักกว่าเด็กสาวบ้านไหน ข้าไม่อยากยกนางให้ใครเลย”
   “พี่ใหญ่”
   “ข้า...เหนื่อยแล้ว”
   สิ้นคำ น้ำตาที่กลั้นไหวก็ไหลริน หยดแล้วหยดเล่า แทบจมตัวตนเล็กๆ ที่ซื่อเสวี่ยนฝังลึกไว้ ทำให้เขาหายใจไม่ออก ทำให้ในอกอึดอัดปวดร้าวเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ถ้าตอนนั้นเขาไม่โลภอยากนำทัพ ถ้าตอนนั้นลาออกไปให้ไกลจากเมืองหลวงเสีย
   ‘จบศึกคราวนี้ พวกเราไปท่องเที่ยวกัน’
   ‘ท่องยุทธภพเหมือนในหนังสือที่เจ้าชอบอ่าน’

   เจียงจวิน ข้าไม่อยากเป็นแล้ว พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากเป็นแล้ว

ที่เดียวที่ซื่อเสวี่ยนจะเป็นตัวของเขาเองได้ คือหน้าหลุมศพของพี่ชายคนที่รักและดูแลเขา คอยเอามือลูบหัวเขา คอยอุ้มเขาแล้วปกป้องเขาจนตัวตาย ซื่อเสวี่ยนแบกรับภาระของความคาดหวังเอาไว้ตอนที่เฉินตงปกป้องเขาจนตาย ซื่อเสวี่ยนคิดไปเองว่าหากเขาสามารถเติมเต็มสิ่งที่เฉินซานอยากทำไว้ได้ อย่างน้อยเขาจะรู้สึกผิดน้อยลง อย่างน้อยตัวตนของเขาก็ควรจะมีค่า

แต่พอซื่อเสวี่ยนเห็นว่ายังมีคนที่มองเห็นคุณค่าของเขามากกว่าใคร ไม่ว่าคนอื่นจะมองเขาว่ายังไง คนอื่นจะเห็นเขาเป็นยังไง อี้เทียนก็ยังคงเห็นคุณค่าของเขา ทะนุถนอมเขา หยอกล้อเขาและรักเขามากกว่าใคร อี้เทียนเป็นคนที่รักซื่อเสวี่ยนมากพอๆกับเฉินตง แล้วยังรักโดยเสน่หา ทะนุถนอมและไม่มีวันมองใครนอกจากซื่อเสวี่ยน ผมว่าอีกประโยคนึงที่เด็ดมากของอี้เทียนคือประโยคลาตายของเขา “ชาตินี้ ข้าเป็นพี่อี้ของเจ้า ชาติหน้า เจ้าเป็นภรรยาของข้า อี้เทียน”

ผมอ่านแล้วขนลุกนะครับ เหมือนเคยเห็นเดจาวูแบบนี้ในหนังจีนเรื่องนึงที่พระเอกนางเอกตายจากกันแล้วปฏิญาณรักทำนองนี้แหละ ประทับใจมากครับตอนนั้น

ดังนั้น พออี้เทียนตายโดยปกป้องซื่อเสวี่ยนอีก มันเลยทำให้น้องพังที่สุด ผมชอบประโยคบีบคั้นจิตใจที่ซื่อเสวี่ยนพูด ถ้าการเป็นเจียงจวิน การเติมเต็มความฝันของพี่ชาย ต้องแลกมาด้วยชีวิตของคนที่รักซื่อเสวี่ยน และซื่อเสวี่ยนเองก็รักเขาอยู่ในใจมาตลอด ถ้ามันต้องเป็นการแลกแบบนี้ เขาไม่แลกแล้วได้ไหม เขาเหนื่อยแล้วกับการที่จะต้องเติมเต็มสิ่งที่พี่ชายคาดหวังไว้ ปมของจิตใจซื่อเสวี่ยนทำให้เขาร้องไห้หน้าหลุมศพของเฉินซาน ถ้าต้องแลกอี้เทียนกับตำแหน่ง เขาเหนื่อยแล้ว เขาไม่อยากแลกแล้ว เขาขออยู่กับอี้เทียนได้ไหม ยิ่งความทรงจำของเขากับอี้เทียนทะลักออกมา มันยิ่งทำให้ซื่อเสวี่ยนเจ็บปวดมากขึ้น หวนไห้กับพี่อี้ของเขามากขึ้น ทุกความดีและทุกความอ่อนโยนที่อี้เทียนทำให้ซื่อเสวี่ยน ทุกความฝันที่ได้คุยกัน แล้วการตายของเขายิ่งตอกย้ำสิ่งที่ซื่อเสวี่ยนต้องการว่าเป็นแค่ตำแหน่ง ทำให้ตัวตนของซื่อเสวี่ยนอยากจะเหวี่ยงตำแหน่งตัวนี้ทิ้งออกไป ผมชอบความปวดร้าวนี้นะครับ มันเจ็บและเรียลมาก คนอ่านสัมผัสได้

การบรรยายตรงนี้ทำให้เรารู้เลยว่าซื่อเสวี่ยนรักอี้เทียนมาก แล้วอี้เทียนก็รักน้องมาก มันทำให้เป็นโศกนาฏกรรมที่คนอ่านสัมผัสแล้วโศกเศร้า ทำให้คนอ่านอินได้ดีมากครับ นี่เป็นสาเหตุที่ผมเชียร์อี้เทียนมาตั้งแต่ต้น คู่นี้น่าสนใจมากๆ ถ้าสองคนกลับมาได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง มันจะมีความสุขขนาดไหน

ขอทิ้งท้ายด้วยเพลงที่ผมคิดว่าเข้ากับสองคนนี้มาก คือเพลง Heart of Palm ของ Della Ding ครับ เพลงนี้ผมว่าเหมาะกับสองคนนี้มาก ฮืออ /ยกป้ายไฟ

https://www.youtube.com/watch?v=6VUuEQwvMlQ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 14)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 19-11-2019 20:47:35
The Great General (16)

   

   อวิ๋นหนานมองคนที่คุกเข่าอยู่หน้าบังลังก์มังกร ใบหน้าขาวซีดปราศจากอารมณ์ ดวงตาไร้ประกาย แตกต่างจากเซียนน้อยที่เขาพบริมแม่น้ำเจียงหัวนัก เด็กคนนั้นตีหน้าเศร้า บรรยายความทุกข์ยากของด่านคุณธรรมจนเขายอมให้พรโชคดีสามชาติ ที่แท้แล้วเป็นคนดื้อรั้นและรักมั่น
   ดวงจิตที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่มีทางแตกสลายอย่างที่กังวล
   ‘สมควรปล่อยไปได้แล้ว’ ความคิดที่ทำให้หัวใจบีบรัด ต่อต้าน ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นแล้วยามที่เขาใช้เหตุผลตัดสินใจรักษาระยะห่างกับอลัน แล้วเวลานี้เล่า...ยังสมควรใช้เหตุและผลเหมือนเช่นทุกครั้งหรือไม่
   

   บรรยากาศในท้องพระโรงหนาวเย็นและกดดันยิ่ง บรรดาขุนนางไม่ว่าจะยศศักดิ์น้อยใหญ่ล้วนปิดปากเงียบ ไม่กล้ากระทั่งหายใจแรง เพียงแต่ข้ามองท่าน ท่านมองข้า ไม่ทราบสมควรช่วยรองเสนาบดีเฉินขอร้องฝ่าบาท หรือควรออกหน้าทัดทานขุนนางหนุ่มอนาคตไกลผู้นี้ดี
   กระนั้นซื่อเสวี่ยนที่สมควรแบกรับแรงกดดันจากสายพระเนตรที่สุดกลับยังนิ่งเฉย ไม่ยินดียินร้าย ราวกับว่าแม้ถูกทหารลากไปตัดหัวตอนนี้ สีหน้าก็คงไม่เปลี่ยน

   “ซือจง ต้องการไปจากเราหรือ”
   สุรเสียงเนิบนาบแต่ทำให้หลายคนตัวสั่นด้วยรับรู้ถึงโทสะของเจ้าชีวิต แม้รับสั่งของหนานจงฮ่องเต้จะฟังดูพิกล คล้ายแฝงความหมายบางประการ แต่บรรยากาศที่แผ่ออกจากพระวรกายกลับทำให้พวกเขาไม่กล้าคิดเป็นอื่น นอกเสียจาก ‘ทรงกริ้วแล้ว’
   ซื่อเสวี่ยนค้อมตัวลง หน้าผากจรดพื้น แสดงถึงความตั้งใจแน่วแน่ไม่เกรงกลัวของเขา เฉินตงมองบุตรชายด้วยสายตากังวล เรื่องที่ซื่อเสวี่ยนอยากออกจากราชการนั้นเขาไม่ทราบมาก่อน ดังนั้นคราแรกที่ได้ยินก็อดรู้สึกไม่เห็นด้วย และผิดหวังเสียใจไม่ได้ แต่ความผิดหวังของเขาเมื่อเทียบกับความสุขของซื่อเสวี่ยนนั้นถือว่าเล็กน้อย ตระกูลเฉินเวลานี้ยังมีเขาแบกไว้ เฉินตงก้าวออกมาคุกเข้าอยู่ข้างซื่อเสวี่ยน ขอร้องแทนบุตรชาย
   “ฝ่าบาททรงเมตตา”


   เมตตา เมตตาให้เขาจากไปน่ะหรือ
   ดวงตาของอวิ๋นหนานเปลี่ยนเป็นสีทองเข้ม เดิมทีเขาไม่เคยมีสิ่งที่ต้องการ แม้แต่ตำแหน่งตงหวางก็ไม่ ทั้งหมดล้วนถูกกำหนดไว้ให้เป็นของเขา เขาต่างจากเทพตนอื่นด้วยเมื่อเกิดมาก็ทราบเจตจำนงค์ของสวรรค์แล้วว่าตนเองต้องทำสิ่งใด และต้องครอบครองอะไร ทราบกระทั่งว่าคู่ครองของเขาเป็นเทพชั้นสูงที่ยังไม่ถือกำเนิด เป็นผู้ครอบครองสมบัติล้ำค่าหนึ่งเดียวของสวรรค์ ไม่ใช่เซียนน้อยที่ยังไม่บรรลุเป็นเทพตนนี้
   อวิ๋นหนานเคาะนิ้วกับบัลลังก์ ใบหน้ารูปสลักปรากฏรอยยิ้มบางเบา ขณะที่ดวงตาเป็นประกายกร้าว มิคล้ายตัวเขาในเวลาปกติ
   ไม่ใช่ลิขิตฟ้าแล้วอย่างไร เขาต้องการคนผู้นี้!
   ไม่ยินยอมตัดความสัมพันธ์ ไม่ยินยอมให้ด้ายแดงที่ปลายนิ้วขาดลง

   “ให้เจ้าพักร้อนเท่าที่ต้องการ ถึงเวลาต้องกลับมาอยู่ข้างกายเรา”
   หนานจงฮ่องเต้รับสั่งด้วยเสียงเนินนาบแต่ทรงพลัง จากนั้นก็ทรงลุกขึ้นจากบังลังก์มังกร สะบัดชายเสื้อจากไป ปล่อยให้ขุนนางทั้งหลายมองหน้ากันไปมา


   เรื่องที่เฉินซื่อเสวี่ยนขอลาออกจากราชการแต่ฝ่าบาททรงไม่อนุญาติ และให้เขาพักร้อนไม่มีกำหนดแทน แม้แต่ตำแหน่งขุนนางและการทหารยังคงรักษาไว้ให้ เป็นที่เล่าลือไปทั้งเมืองหลวง ตำแหน่งรองเสนาบดีที่ว่างเว้นก็โปรดให้ผู้ช่วยของเขารักษาการแทน เห็นได้ชัดว่าทรงให้ความสำคัญกับเขาเพียงใด ตระกูลเฉินใช้สองมือประคองคืนอำนาจให้ ฝ่าบาทกลับทรงไม่รับ ทั้งยังรักษาไว้รอเขากลับมา สถานะของตระกูลเฉินในพระทัยหนักแน่นยากสั่นคลอนแน่แล้ว



   หนึ่งปีต่อมา มณฑลซีเจาที่ยึดคืนมาจากตงหย่าดูคึกครื้นกว่าเดิม ชาวบ้านและพ่อค้าแม่ค้ายังดำรงชีวิตเหมือนที่ผ่านมาแม้เจ้าเมืองจะเปลี่ยนเป็นขุนนางต้าเสิน คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เนื่องจากต้าเสินเก็บภาษีน้อยกว่าตงหย่า และยังช่วยจัดหาทหารคุ้มกันตามแนวพื้นที่เสี่ยงให้ด้วย ผู้คนจึงมั่นใจลงทุนทำการค้า ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในพื้นที่มากขึ้น
   ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของตลาดในอำเภอชายแดนของซีเจา เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งมีหมวกสานปิดบังใบหน้ากว่าครึ่ง เขาสวมชุดสีดำทำจากผ้าเนื้อหยาบ สะพายดาบยาวเล่มหนึ่ง จากท่วงท่าลึกลับและการแต่งกายเดาว่าเขาคงเป็นชาวยุทธ์
   ชายหนุ่มผู้นั้นหยุดดูแผงขายของแผงหนึ่ง เขาหยิบมีดพับขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาพิจารณา แต่เพราะมองไม่เห็นใบหน้าของเขา จึงไม่อาจบอกได้ว่าเขาสนใจหรือไม่ กระนั้นพ่อค้าก็ยังยิ้มแย้มอวดสินค้าของตนเองอย่างคล่องแคล่ว
   “ผู้กล้าตาแหลมยิ่ง มีดพับเล่มนี้ข้าได้มาจากเมืองหลวง เป็นช่างฝีมือดีหลอมเอง รับรองว่าทนทานคุ้มราคาแน่นอน”
   ชายหนุ่มเล่นมีดพับกับปลายนิ้วเรียวด้วยท่าทางชำนาญ จากนั้นก็วางลง แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดจา ทำให้คนขายบ่นกระปอดกระแปดว่าไม่มีเงินแล้วยังทำเป็นเลือกซื้อของตั้งนานสองนาน เสียเวลาค้าขายของเขา
   


   
   เมืองออกจากตัวเมืองแล้ว ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกหนึ่ง วิชาตัวเบาของเขาถือว่าไม่เลว ดังนั้นใช้เวลาไม่นานก็มาเกือบถึงยอดเขาแล้ว หน้าหนาวท้องฟ้ามืดเร็ว ประกอบกับอากาศที่เย็นลง ทำให้ตลอดทางไม่เห็นผู้อื่น เบื้องหน้าห่างออกไปเล็กน้อยเป็นอารามเก่าหลังเล็กที่ทรุดโทรมตามกาลเวลา ภายในมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์ประทานพร ชาวบ้านที่มาเก็บของป่า นานๆ ครั้งก็จะนำผลไม้มาถวาย หรือไม่ก็ช่วยทำความสะอาดเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้นภายในอารามจึงพออาศัยหลบลมหนาวได้
   ชายหนุ่มถอดหมวกสาน วางดาบและห่อผ้าลง เผยใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่ดูคล้ำขึ้นเล็กน้อยของซื่อเสวี่ยน ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาออกเดินทางจากเมืองหลวง ท่องเที่ยวไปทั่วกระทั่งมาถึงซีเจา หัวใจที่รุ่นร้อนเจ็บปวดเวลานี้สงบลงมากแล้ว แม้ทุกๆ วันยังนึกถึงและเฝ้ารอเวลา หากบอกว่ารอเวลาตายก็ฟังดูเกินจริงไป เพียงแต่หัวใจรู้สึกวางเปล่า ไม่มีจุดหมายในชีวิต ดังนั้นแต่ละวันหมดไปกับการรอเวลา
   ซื่อเสวี่ยนจุดไฟด้านหน้าอาราม มือล้วงผลไม้ออกจากห่อผ้าแล้วกัดกินช้าๆ เมื่อไม่มีจุดหมาย ชีวิตก็ไม่ต้องรีบเร่ง เขามองกองไฟที่วูบไหวตามลม ไม่ทราบคิดสิ่งใด

      
   จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังเดินเข้ามาทางนี้ ซื่อเสวี่ยนขมวดคิ้ว มือคว้าดาบไว้ด้วยเกรงว่าผู้มาจะไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามาอย่างเปิดเผย คาดว่าคงไม่มีเจตนาร้าย อาจมาอาศัยค้างแรมที่อารามเท่านั้น หัวคิ้วจึงคลายออกเล็กน้อย
   
   “นี่คือการพักร้อนของเจ้าหรือ”
   น้ำเสียงคุ้นเคยที่ทำให้ซื่อเสวี่ยนตัวแข็ง ใบหน้าที่โผล่มาจากเงามืดประดับรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม แม้ร่างสูงสง่าฉลองพระองค์ด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ยังไม่อาจปิดบังรัศมีสูงศักดิ์ของเขาได้
   “ฝ่า...บาท”
   “หึ” หนานจงฮ่องเต้ส่งเสียงในลำคอซึ่งอาจตีความหมายได้ว่า ‘ยังจำเราได้หรอกหรือ’
   “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
   ซื่อเสวี่ยนทำความเคารพหนานจงฮ่องเต้ด้วยความลนลานอยู่บ้าง สีหน้าไม่อาจปิดบังความตกใจ และความสงสัย ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่ได้อย่างไร ทำไมมาถึงซีเจา องค์รักษ์ส่วนพระองค์อยู่ที่ไหน สุดท้ายคือทรงปรากฎตัวเบื้องหน้าเขาเพราะเหตุใด หนานจงฮ่องเต้เหมือนทราบความคิดของเขา จึงตรัสด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า
   “ข้ามารับ”
   ซื่อเสวี่ยนตกใจจนเผลอเงยหน้าสบตากับพระเนตรลึกล้ำที่สะท้อนแสงจากกองไฟ ก่อนจะรีบก้มศีรษะลง
   “ซือจง กลับไปกับเรา” สรรพนามที่ใช้เปลี่ยนไป บ่งบอกนี่คือคำสั่งที่ไม่ยินยอมให้ปฏิเสธ
   ซื่อเสวี่ยนรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่ง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ราวกับว่าถูกพระมหากรุณาทำให้สมองพร่าเลือน เดิมทีเคยคิดเล่นๆ ว่าหากวันหนึ่งทางการส่งทหารมาเรียกให้เขากลับเมืองหลวง ตนเองจะตอบรับหรือปฏิเสธ จะยินยอมหรือหนีไปสุดหล้า แต่ไม่เคยคิดว่าพระองค์จะเสด็จมาด้วยตนเอง มารับคนอย่างเขาน่ะหรือ มีค่าให้ทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เชียวหรือ เวลานี้เขาเริ่มไม่มั่นใจว่าตนเองเข้าใจเจ้าชีวิตเบื้องหน้าดีแค่ไหน ไม่แน่ใจว่าเขาและตระกูลเฉินยังเป็นเพียงโล่และดาบของพระองค์หรือไม่

   หนานจงฮ่องเต้สืบเท้าเข้ามาใกล้ และโน้มพระวรกายสูงส่งลง ก่อนจะวางพระหัตถ์บนศีรษะของซื่อเสวี่ยนแผ่วเบา เพียงแค่แตะเส้นผมเหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำเท่านั้น สุรเสียงทุ้มตรัสว่า
   “เจ้าให้อภัยคนอื่นได้ เหตุใดจึงไม่ยอมให้อภัยตนเอง”
   ซื่อเสวี่ยนเบิกตากว้าง รู้สึกราวกับว่าประโยคนี้ไม่ได้กล่าวกับเขาโดยตรง แต่กำลังบอกกับตัวเขาอีกคนหนึ่ง คนที่อยู่ลึกลงไปในจิตใต้สำนึก ถ้อยคำเหมือนแสงสว่างจ้าทะลุผ่านกรงขังที่อยู่ลึกและมืดมิด ทำให้ดวงจิตภายในนั้นสั่นสะท้าน บิดเบี้ยว ขัดขืน ดิ้นรน ก่อนจะค่อยๆ สงบลงและนิ่งไปในที่สุด
   ให้อภัยตนเอง
   ให้อภัยตนเอง
   


   #วิถีเซียน3p

……………………………………..

เปิดพรีต้นปีหน้านะคะ :)

@คุณ Grey Twilight วิเคราะห์ละเอียดเหมือนเดิมเลย ฟังเพลงแล้ว ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 16)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 20-11-2019 20:27:33
ต้องเดินหน้าต่อไปนะ ซื่อเสวี่ยน อดีตเราจดจำได้แตือย่าให้มันฉุดรั้งเราอยู่กับที่นะ

 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 16)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-11-2019 21:59:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 16)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 20-11-2019 23:19:19
บีบหัวใจ ถ้าเล่นให้เศร้ากว่านี้อีก ดิฉันจะร้องไห้ เหมียนหมาแล้วนะคะ  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 16)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 07-12-2019 06:44:47
The Great General


(17)





   หลังจากหนานจงฮ่องเต้เสด็จมารับขุนนางคนสนิทก็มิได้เสด็จกลับวังหลวงในทันที ราชบัลลังก์เวลานี้มั่นคงยิ่ง ไม่มีสิ่งใดให้กริ่งเกรงเฉกเช่นยามที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ ดังนั้นจึงถือโอกาสนี้เสด็จประพาสดูความเป็นไปได้ของราษฎร ด้วยเป็นความลับจึงมีผู้ติดตามไม่มาก นอกจากซื่อเสวี่ยนแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้น

   ซื่อเสวี่ยนมองเจ้าชีวิตผู้ทรงค้อมพระวรกายสูงส่งลงสนทนากับเด็กน้อยหน้าตามอมแมมผู้หนึ่งแล้วอดคิดในใจไม่ได้ว่าทรงเป็นฮ่องเต้ที่ดี แม้แผ่นดินนี้เป็นของพระองค์ แต่ทรงเห็นแก่ประชาชนเป็นที่ตั้ง มิได้ใฝ่สงคราม แต่อาศัยการค้าและวิทยาการขยายอิทธิพลของต้าเสินออกไปจนแคว้นต่างๆ มาขอพึ่งบารมี ยอมเป็นแคว้นในปกครองบ้าง หรือเป็นพันธมิตรทางการค้าบ้าง ซึ่งล้วนมิเคยเกิดขึ้นในอดีต
   ทันใดนั้นหนานจงฮ่องเต้ก็หันพระวรกายกลับมา แล้วกวักมือเรียกเขา ซื่อเสวี่ยนเร่งฝีเท้าเข้าไปหา ยังมิทันได้กล่าวอันใด กระต่ายตัวเล็กที่ทำจากไม้ก็ถูกยื่นมาให้
   “ให้เจ้า”
   ซื่อเสวี่ยนชะงักไป แต่เมื่อเห็นหนานจงฮ่องเต้ทรงรออยู่จึงยื่นมาไปรับ และทันได้เห็นมุมปากของคนตรงหน้ายกขึ้นเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี ทั่วทั้งร่างแผ่ความอบอุ่นอ่อนโยนออกมาคล้ายกับ... คล้ายกับ... ชื่อหนึ่งติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่กลับนึกไม่ออก ทราบแต่ว่าคนผู้นั้นสูงส่งและใจดีต่อเขาเช่นนี้ ซื่อเสวี่ยนตำหนิตนเองในใจ หนานจงฮ่องเต้จะทรงคล้ายผู้ใดได้ ใต้หล้านี้เห็นทีคงไม่มีแล้ว


   แสงจันทร์จากภายนอกลอดผ่านบานหน้าต่างที่เปิดท้ิงไว้ขณะที่เจ้าของห้องกำลังชำระล้างร่างกายอยู่ด้านหลังฉากกั้น บนเตียงนอนนอกจากหมอนและผ้าห่มแล้ว ยังมีมีดพับด้ามหนึ่งวางอยู่คู่กับกระต่ายไม้ตัวเล็ก ทั้งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ดำรงอยู่ร่วมกันเช่นนั้น



   เรื่องที่หนานจงฮ่องเต้เสด็จประพาสเป็นการส่วนพระองค์นั้นเหล่าขุนนางล้วนทราบ เพียงแต่มิทราบว่าทรงเสด็จไปที่ใด จึงได้แต่ส่งม้าเร็วไปแจ้งเหล่าคนสนิทให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบเท่านั้น ราวสามเดือนต่อมาวังหลวงจึงได้รับจดหมายว่าพระองค์กำลังจะเสด็จกลับวัง เหล่าข้าราชบริพารเร่งเตรียมการต้อบรับ ฝ่ายขุนนางก็จัดแจงฎีกาที่จะถวาย วันเวลาที่เคยว่างสบายจึงหมดไปด้วยประการนี้
   เมื่อทราบว่าฮ่องเต้เสด็จใกล้ถึงเมืองหลวง เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ต่างก็พากันออกไปต้อนรับไกลร้อยลี้ เกือบทั้งหมดพาบุตรชายหลายชายของตนไปร่วมขบวนต้อนรับ ด้วยหวังว่าจะมีวาสนาต้องสายพระเนตรและได้รับการผลักดันจากฝ่าบาทบ้าง กรมพิธีการเริ่มเตรียมงานตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน ทั้งยังประกาศให้ประชาชนทราบว่าหนานจงฮ่องเต้ทรงเสด็จกลับจากการเยี่ยนเยียนราษฎร ชาวบ้านที่รักและเคารพพระองค์ดังเทพเจ้าจึงพากันแขวนโคมแดงผ้าแดง ทำให้ทั่วทั้งต้าเสินมีบรรยากาศครึกครื้นเสมือนงานขึ้นปีใหม่
   เมื่อได้ยินเสียงกลอง เหล่าขุนนางก็จัดเสื้อผ้า ยืนหลังตรงชะเง้อคอมองไปข้างหน้า รออยู่ครู่หนึ่งค่อยเห็นขบวนเสด็จอันประกอบด้วยรถม้าขนาดใหญ่กว่ารถม้าทั่วไปเพียงหนึ่งคัน และทหารองครักษ์ราวยี่สิบนายขี่อาชาล้อมรอบรถม้าคันนั้นเป็นการคุ้มกัน นับว่าเป็นขบวนเสด็จที่เล็กที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็นมา กระนั้นบรรยากาศโดยรอบก็ยังเปี่ยมด้วยอำนาจบารมีไม่เปลี่ยนแปลง
   ขบวนเสด็จหยุดลงหน้าพลับพลา คาดว่าจะทรงลงจากรถม้ามาทักทายเหล่าขุนนางและราษฎรก่อนเสด็จกลับวัง ทหารองครักษ์ประจำพระองค์กระโดดลงจากม้า ค้อมกายทำความเคารพก่อนจะเปิดประตูรถม้าออก เมื่อเห็นชายผ้าคลุมสีเหลือง เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็คุกเข่าลงกับพื้นเพื่อทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน
   “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ”
   รออยู่ราวชั่วอึดใจก็ได้ยินสุรเสียงที่คุ้นเคยบอกให้ลุกขึ้น ตามธรรมเนียมของต้าเสินตั้งแต่โบราณมาห้ามผู้ใดสบตาฮ่องเต้ และแม้กฎเกณฑ์เหล่านั้นจะถูกผ่อนปรนแล้วในรัชสมัยนี้ แทบทุกคนก็ยังคงรักษาระดับสายตาของตนเองมิให้สูงเกินกว่าปลายคางของเจ้าเหนือหัว ท่ามกลางความเงียบสงบก็ได้ยินพระองค์ตรัสว่า
   “ซือจง”
   ซือจง? ซือจงมิใช่...มิใช่ชื่อรองที่ทรงประทานกับให้รองเสนาบดีเฉินหรอกหรือ ความคิดที่นำไปสู่การคาดการณ์บางอย่าง เฉินตงถึงกับลืมตัวเงยหน้ามองพระพักตร์ สีหน้าแฝงไว้ด้วยความคาดหวังปะปนกับความสะกดกลั้นด้วยกลัวจะผิดหวัง

   เมื่อซื่อเสวี่ยนได้ยินหนานจงฮ่องเต้เอ่ยชื่อตนเองก็ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาตั้งใจจะลงจากรถม้าก่อนเพื่อไปรอรับพระองค์ แต่ทรงยกมือห้ามไว้ เขาจึงเข้าใจว่าทรงไม่อยากให้เขาออกไป ซึ่งก็สมควรแล้ว จู่ๆ คนที่หายหน้าไปปีกว่ามาปรากฏตัวพร้อมฝ่าบาท เกรงว่าจะสร้างความวุ่นวายโดยใช่เหตุ ให้เขากลับจวนสกุลเฉินแล้วค่อยขอเข้าเฝ้าจึงจะเหมาะสมกว่า ไม่คิดว่าจะทรงเรียกหาเขาในเวลานี้ เจตนาของพระองค์ชัดเจนยิ่ง
   แทนที่จะเป็นกังวล ซื่อเสวี่ยนกลับรู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา พระทัยเจ้าชีวิตผู้นี้ เขายังคงไม่คาดเดาจะดีกว่า หากเทียบกันแล้ว การที่พระองค์เสด็จไปถึงวัดร้างที่เขาอาศัยพักแรมยังน่าตกใจมากกว่า หากฝ่าบาททรงปรารถนาอุ้มชูเขาเช่นนั้นก็ทำตามพระประสงค์เถิด มิใช่ว่าทรงทำเช่นนี้มาตั้งแต่เขาอายุ 13 โดยที่เขาเอาแต่หวาดระแวงเกรงว่าสกุลเฉินจะเป็นภัยหรอกหรือ

   ซื่อเสวี่ยนลุกขึ้นจากเบาะรอง จัดเสื้อผ้าอย่างลวกๆ ก่อนจะค้อมตัวลงจากรถม้าด้วยท่วงทาสง่างาม เขาหยุดอยู่ด้านหลังหนานจงฮ่องเต้ที่ทรงผิดพระพักตร์มามอง ก่อนจะคุกเข่าลงทำความเคารพ
   “ถวายบังคับฝ่าบาท"
   “ลุกขึ้น”
   “ขอบพระทัย”
   เมื่อเห็นใบหน้าของบุรุษชุดขาวชัดๆ บรรดาขุนนางและผู้ที่อยู่โดยรอบแทบไม่อาจรักษากิริยา เฉินซื่อเสวี่ยน!!! หากมิใช่เขาแล้วยังเป็นผู้ใดได้อีก ซือจงที่หายไปจากเมืองหลวงปีกว่าแต่ยังรักษาตำแหน่งหน้าที่การงานไว้ได้ เวลานี้ยืนอยู่ด้านหลังหนานจงฮ่องเต้อย่างสง่าผ่าเผย ดูจากท่าทีของฝ่าบาทแล้ว เห็นได้ชัดว่ายังคงให้ความสำคัญกับเขาเช่นเดิม ไม่สิ มากกว่าเดิมเสียอีก ที่ทรงเสด็จประพาสคราวนี้คงไม่ใช่เพื่อไปพาเฉินเซื่อเสวี่ยนกลับมาหรอกนะ ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้ พวกเขาคิดมากไปเอง ฝ่าบาทเป็นผู้ใด ไหนเลยจะลดตัวไปตามคนผู้หนึ่ง
   แม้หลายคนปฏิเสธความคิดนี้ แต่ในใจอดทบทวนความเป็นไปได้หลายครั้งหลายคราวไม่ได้ และแม้ว่าในใจบอกว่าใช่ สมองก็ยังคงยืนยันไม่เชื่ออยู่อย่างนั้น คงมีเพียงเสนาบดีกรมพิธีการผู้เป็นสหายของเฉินตงเท่านั้นแหละที่ความสงสัยแล่นเลยเถิดไปถึงเรื่องอื่น เช่นว่าที่ทรงยินยอมให้กรมพิธีการจัดการต้อนรับใหญ่โต คงมิใช่เพื่อต้อนรับใต้เท้าเฉินหรอกนะ





   จวนสกุลเฉิน

   “ท่านพ่อ” ซื่อเสวี่ยนคุกเข่าลงเบื้องหน้าเฉินตง เห็นดวงตาของบิดาแดงกล่ำ ในใจเขารู้สึกผิดอย่างยิ่ง “ลูกอกตัญญู ทำให้พวกท่านเป็นห่วง”
   เฉินตงประคองซื่อเสวี่ยนให้ลุกขึ้น เขาไม่ดุด่าว่ากล่าวเพียงถามว่า “กลับมาก็ดีแล้ว สนุกหรือไม่”
   ซื่อเสวี่ยนรู้สึกว่ากระบอกตาร้อนผ่าว เวลานั้นจวนสกุลเฉินสำหรับเหมือนเขาวงกฎที่เดินเท่าไรก็หาทางออกไม่เจอ กระทั่งหมดแรงกายแรงใจจะก้าวต่อแม้เพียงครึ่งก้าว ดังนั้นเมื่อได้ออกเดินทางไปที่อื่นค่อยรู้สึกว่าได้รับอิสระกลับคืนมาทีละน้อย ทว่าเวลานี้กรงขังในใจถูกคนผู้หนึ่งช่วยเปิดออกให้แล้ว และแม้ว่าตัวเขายังทำได้แค่นั่งมองประตูทางออกอยู่ในมุมหนึ่ง ยังมิกล้าก้าวเดินออกไป แต่ในใจมีแสงสว่างส่องเข้ามา ไม่มืดมนเช่นเดิมอีก
   เขาวงกฎย่อมมิใช่ของจริง ที่กักขังตนเองไว้คือความยึดติดของตนเอง
   “ขอรับ” ซื่อเสวี่ยนตอบพร้อมรอยยิ้ม ยื่นแขนออกไปสวมกอดบิดาอย่างที่ไม่ได้ทำมานานแล้ว “ท่านพ่อ ลูกกลับมาแล้ว”
   เฉินตงกอดตอบบุตรชาย ช่องว่างที่เกิดขึ้นค่อยๆ แคบลง มือข้างหนึ่งตบบ่าซื่อเสวี่ยนเบาๆ สะกดกลั้นน้ำตาแห่งความยินดีไว้ กลับมาก็ดีแล้ว
   

   ข่าวที่เฉินซื่อเสวี่ยนกลับมาแล้วนั้นคนทั้งจวนย่อมรับรู้ คนสกุลเฉินทั้งสายหลักสายรองต่างต้องการมาทักทายและมอบของขวัญต้อนรับเขา เฉินซื่อเสวี่ยนเวลานี้มิใช่ซื่อเสวี่ยนที่เพิ่งถูกพาตัวมาสกุลเฉิน เขาเป็นว่าที่ผู้นำสกุลคนต่อไป เป็นคนโปรดของฮ่องเต้ อนาคตกว้างไกลไร้สิ้นสุด ต่อให้ในใจริษยา ฉากหน้ายังต้องเกรงใจ เพื่อให้บุตรหลานได้อาศัยเขาไต่เต้าขึ้นไป
   พ่อบ้านถูกรบเร้าครึ่งค่อนวันจึงถามเฉินตงว่าต้องการจัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณชายหรือไม่ แน่นอนว่าซื่อเสวี่ยนปฏิเสธ เย็นวันนั้นผู้ที่อยู่ร่วมโต๊ะอาหารจึงมีเพียงเฉินตง ลี่เหนียง และหนิงเอ๋อร์ บทสนทนาเต็มไปด้วยความอบอุ่นของครอบครัว
   “พี่ใหญ่ๆ เราไปเยี่ยมโม่เอ๋อร์กันเถอะ” เฉินหนิงเอ๋อร์ที่บัดนี้ตัวสูงเท่ากว่าเอวของซื่อเสวี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใบหน้าเล็กๆ แย้มรอยยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายดูน่ารักยิ่ง
   “โม่เอ๋อร์?”
   เห็นใบหน้าของบุตรชายฉายแววงุนงง เฉินตงก็หัวเราะหึๆ กล่าวว่า “ท่านแม่ของเจ้ามีน้องชายให้เจ้าอีกคนแล้ว”
   ซื่อเสวี่ยนตาโต เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างลืมตัว ไม่เหลือมาดขุนนางใหญ่จนลี่เหนียงหัวเราะเสียงใส เฉินตงส่ายหน้าพลางโบกมือให้สองพี่น้องไปเยี่ยมน้องชายคนใหม่ด้วยรอยยิ้มเอ็นดู

   เฉินหยานโม่ เด็กทารกวัยสองเดือนตัวขาวกำลังหลับสนิท แก้มของเขาดูนุ่มนิ่มเหมือนซาลาเปา มือสองข้างกำหมัดหลวมๆ ซื่อเสวี่ยนยื่นนิ้วไปแตะมือเล็กเบาๆ
   “โม่เอ๋อร์ ข้าคือพี่ใหญ่ของเจ้า” ซื่อเสวี่ยนกระซิบ ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา



#วิถีเซียน3p

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 17)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-12-2019 17:42:06
ละมุนเหลือเกิน ไปรับเขาด้วยตัวเอง ดีต่อจัยยยยย


หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 17)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 07-12-2019 21:48:01
แม้จะยังไม่ออกจากกรงขังในจิตใจตนเองแต่ก็มีแสงส่องนำทางเข้ามาเพื่อให้แสงสว่างแล้วนะ ซื่อเสวี่ยน
หวังว่าอีกไม่นานจะก้าวออกมาจากกรงขังนั้นได้อย่างเข้มแข็งนะ  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 17)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-12-2019 19:30:32
มองไปทางไหนก็มีแต่รอยยิ้ม
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 17)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 17-12-2019 17:49:30

The Great General (18)



   ต้าเสินในรัชสมัยหนานจงฮ่องเต้ถือเป็นยุคทองที่ประชาชนอยู่ดีกินดี ประเทศชาติมั่งคั่งที่แท้จริง นับตั้งแต่สงครามกบฏตงหย่าเมื่อห้าปีก่อน ก็ไม่มีสงครามเกิดขึ้นอีก ทว่าอิทธิพลของต้าเสินแผ่ขยายออกไปทุกๆ ปี ด้วยการทูต การค้า ภาษาและวัฒนธรรม ฮ่องเต้ถูกกล่าวขานว่าเป็นโอรสสวรรค์ผู้ปราดเปรื่อง ทรงใช้งานผู้คนตามความรู้ความสามารถ ไม่เกี่ยงชาติกำเนิด
   องค์ชายใหญ่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทเมื่อปีก่อน และเริ่มเข้าร่วมประชุมเช้า ทรงขยันหมั่นเพียรและไม่หยิ่งทระนงในสายเลือดหรือบรรดาศักดิ์ บรรดาองค์ชายองค์อื่นก็มิได้มีทีท่าปฏิปักษ์ ตรงข้ามยังสนับสนุนพี่ชายของพวกเขาอย่างเปิดเผย ดังนั้นเหล่าขุนนางไม่ต้องเลือกข้าง ไม่ต้องเสียกำลังขัดแข้งขัดขา สามารถช่วยกันพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างเต็มที่ เกรงว่าต้าเสินมีแต่จะรุดหน้าไม่ถอยหลัง


   จวนสกุลเฉิน
   วันนี้เป็นวันหยุด ไม่ต้องเข้าวัง ซื่อเสวี่ยนจึงมีเวลาฝึกกระบี่ตอนเช้า หลังจากนั้นก็ไปรับประทานอาหารเช้าร่วมกับบิดา หารือเรื่องราชการราวครึ่งชั่วยาม เมื่อได้ยินข้ารับใช้บอกว่าโมเอ๋อร์ตื่นแล้วก็รีบขอปลีกตัวจากบิดาไปหาน้องชายคนเล็กของบ้านทันที
   เฉินตงเคยล้อเขาว่าเขารักและตามใจเฉินหยานโม่ประหนึ่งเป็นบุตรชายของตัวเอง เขาก็ได้แต่หัวเราะและไม่ปฏิเสธ เวลานี้จึงเข้าใจว่าเหตุใดคนอายุมากมักชอบเด็กเล็กๆ นั่นเพราะว่าจิตใจของเด็กเรียบง่าย ต้องการสิ่งใดก็จะเอื้อมมือไปคว้าสิ่งนั้น เวลามีความสุขก็จะหัวเราะจนเห็นเหงือกสีชมพู ดวงตากลมเป็นประกาย หากไม่พอใจหรือไม่สบายกายก็จะร้องบอกให้คนอื่นทราบ นอกจากนั้นเฉินหยานโม่ยังเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย ไม่งอแง กินเก่ง หัวเราะ เหมือนพี่สาวของเขาเฉินหนิงอันนั่นแหละ
   สำหรับซื่อเสวี่ยนที่ไม่มีสิ่งใดให้คาดหวัง ไม่มีเรื่องที่อยากได้อยากกระทำแล้ว การได้เลี้ยงดู ได้เฝ้ามองโม่เอ๋อร์เติบโตขึ้นทุกวันคือความสุขอย่างหนึ่ง
   “โม่เอ๋อร์”
   “พี่ใหญ่” เด็กชายตัวขาววัยสองขวบกว่าพูดเก่งขึ้นมาก เขาสามารถกล่าวคำว่าพี่ใหญ่ได้ชัดเจน ขาป้อมๆ วิ่งเขามาหาซื่อเสวี่ยนแล้วกอดขาของเขาไว้ ก่อนจะเงยหน้ายิ้มหวานให้
   ซื่อเสวี่ยนก้มลงไปอุ้มหยานโม่ขึ้นมา แล้วกดริมฝีปากเข้ากับแก้มกลมๆ ของน้องฟอดใหญ่ ทำให้เจ้าตัวเล็กหัวเราะคิกคัก และพลอยทำให้ซื่อเสวี่ยนยิ้มตามไปด้วย
   “ท่านแม่”
   ลี่ฮูหยินยิ้ม สั่งให้ข้ารับใช้ไปหยิบเสื้อคลุมมาให้หยานโม่ ก่อนจะโบกมือไล่บุตรชายทั้งสองคน “จะพาเจ้าซาลาเปานึ่งไปเล่นก็ไปเถอะ”
   “ขอรับ”
   ซาลาเปานึ่งย่อมเป็นชื่อเล่นของเฉินหยานโม่ที่ซื่อเสวี่ยนเป็นคนตั้งใจ เพราะเห็นแก้มกลมของเด็กน้อยทีไร ก็อดนึกถึงซาลาเปาลูกขาวๆ มิได้
   เฉินหยานโม่ชื่นชอบกระบี่และอาวุธต่างๆ เป็นอย่างมาก ดังนั้น ‘พาไปเล่น’ ที่ลี่ฮูหยินพูดถึงนั้นส่วนใหญ่ก็จะหมายถึงการที่ซื่อเสวี่ยนจับมือสั้นๆ และขาป้อมๆ ของเด็กน้อยแสดงท่าหมัดมวยอยู่ในสวน ขณะที่มือแขนเล็กถูกพี่ไปจับให้ต่อยไปข้างหน้า ปากของหยานโม่ก็จะส่งเสียงย่าห์ ย่าห์ ไม่หยุด เมื่อประกอบกับน้ำเสียงใสแจ๋วของเขา ยิ่งทำให้ดูขบขันและน่าเอ็นดู
   นี่เป็นภาพที่หนานจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นยามที่พระองค์เสด็จมาจวนสกุลเฉินเป็นการส่วนพระองค์  คราวนี้ก็เช่นกัน เฉินตงที่ยืนอยู่หลังพระวรกายสูงศักดิ์ถูกสั่งห้ามมิให้รบกวนสองพี่น้อง ขณะที่ซื่อเสวี่ยนซึ่งมีวรยุทธ์มิอ่อนด้อย คาดว่าคงมัวแต่สนใจเจ้าตัวเล็กจึงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ

   นี่มิใช่ครั้งแรกที่ฮ่องเต้เสด็จมาถึงจวนสกุลเฉิน พ่อบ้านจดบันทึกการเสด็จมาเยี่ยมของพระองค์ได้แล้วห้าครั้ง จำได้ว่าครั้งแรกนั้นคนในจวนแทบปัสสาวะรดกางเกง แข้งขาอ่อนจนหมอบกราบอยู่กับพื้น แม้ว่าฮ่องเต้รัชกาลปัจจุบันจะทรงใกล้ชิดกับขุนนางและประชาชนกว่าเดิม ถึงขั้นยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัติโบราณหลายประการ แต่ก็ยังไม่เคยมีฮ่องเต้พระองค์ไหนเสด็จเยือนมาจวนขุนนาง ที่มิใช่ครอบครัวของฮองเฮามาก่อน โดยปกติหากทรงมีพระประสงค์สิ่งใด ก็เรียกตัวขุนนางผู้นั้นเข้าวัง
   แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาอีกหลายครั้ง คนในจวนก็เริ่มปรับตัวได้ ถนนสายหลักจากวังหลวงมาถึงจวนสกุลเฉินมีทหารองครักษ์ควบคุมดูแลอย่างเคร่งครัด ทำให้คนในสกุลเฉินพอวางใจได้บ้าง การเสด็จมาแต่ละครั้งล้วนเป็นความลับ คนในจวนถูกสั่งให้ปิดปากรักษาชีวิต แต่ว่าโลกนี้มีความลับจริงหรือ

   กว่าซื่อเสวี่ยนจะรู้สึกว่ารอบข้างเงียบกว่าปกติ หนานจงฮ่องเต้ก็ประทับรออยู่ครู่หนึ่งแล้ว ทันทีที่เห็นโอรสสวรรค์ยืนเอามือไพล่หลังมองเขากับหยานโม่ด้วยรอยยิ้มบางเบา ดวงตาของซื่อเสวี่ยนก็เบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรีบพาหยานโม่เข้าไปคุกเข่าทำความเคารพ
   “ถวายบังคมฝ่าบาท”
   “ลุกขึ้น”
   “กระบวนท่าของโม่เอ๋อร์วันนี้ไม่เลว”
   ได้ยินฮ่องเต้ตรัสชม เด็กน้อยก็ยิ้มกว้าง เฉินหยานโม่ยังเล็กนัก ไม่เข้าใจว่าคำชมของพี่ชายหน้าตาหล่อเหลาท่าทางสง่างามเกินของคนผู้นี้มีค่าเพียงใด เขาแค่รู้สึกภูมิใจและดีใจมากๆ จนอดหันไปใบหน้าไปหาพี่ใหญ่อย่างโอ้อวดน้อยๆ ไม่ได้
   “ขอบพระทัยที่ทรงตรัสชมพ่ะย่ะค่ะ” ซื่อเสวี่ยนกล่าวขอบคุณแทนน้อง ก่อนจะส่งสัญญาณให้พ่อบ้านพาหยานโม่ไปหาลี่ฮูหยิน จากนั้นจึงถามแขกผู้สูงศักดิ์ว่า “ฝ่าบาทที่สิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”   
   หนานจงฮ่องเต้ยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ตรัสด้วยน้ำเสียงแฝงความยั่วล้ออย่างที่ยากจะได้ยิน “อ้อ เสนาบดีเฉินไม่ต้องรับเราหรือ”
   เสนาบดีเฉินที่ว่ามิใช่เฉินตง แต่หมายถึงเฉินซื่อเสวี่ยน
   หลังจากที่ซื่อเสวี่ยนกลับมารับราชการในตำแหน่งเดิมคือรองเสนาบดีกรมกลาโหม ขุนนางชั้นสาม หนานจงฮ่องเต้ก็แต่งตั้งให้เขาเป็นพระอาจารย์ขององค์ชายใหญ่หนานจงเส้าหยิง ซึ่งตอนนั้นทรงมีพระชันษา 8 ปี อีกตำแหน่งหนึ่ง พระองค์ตรัสว่านี่คือบทลงโทษที่เขาหนีงานไปปีกว่า ตำแหน่งพระอาจารย์นั้นได้ใกล้ชิดกับราชวงศ์มากกว่าเดิม นอกจากหลายคนเริ่มคาดเดาว่าหนานจงฮ่องเต้ทรงวางตัวให้องค์ชายใหญ่ขึ้นเป็นรัชทายาทแล้ว ตระกูลเฉินเองก็ยิ่งใหญ่กว่าตระกูลขุนนางอื่นทั้งหมด แม้แต่สกุลอี้ก็เทียบไม่ได้ ดังนั้นปีต่อมาเฉินตงจึงลาออกจากราชการ นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะโยกเสนาบดีกรมกลาโหมไปเป็นเสนาบดีกรมพระคลังแทนเฉินตง และทรงเลื่อนขั้นให้เฉินซื่อเสวี่ยน ให้เขาเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมด้วยวัยเพียง 30 ปี
   สำหรับเรื่องที่หนานจงฮ่องเต้สนับสนุนศิษย์รักผู้นี้นั้นไม่มีผู้ใดแปลกใจ หรือโง่เขลาพอจะออกมาคัดค้านอีกแล้ว

   “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”
   “เฉินตงไปเถิด เราจะเดินหมากกับซือจงสักตา”
   “ผู้น้อยทูลลา”


   อวิ๋นหนานมองคนที่หัวคิ้วแทบจะชนกันยามคิดว่าจะวางหมากตรงไหน แล้วอดยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยมิได้ แม้มิใช่เด็กหนุ่มใบหน้าใสซื่อเช่นเดียวกับร่างเซียน ทั้งยังเติบโตเป็นขุนนางคู่ใจที่สามารถถือกระบี่ขับไล่ศัตรู เวลาที่ตั้งใจกระทำสิ่งใดก็ยังคงใส่ใจและพยายามกว่าผู้ใด และออกจะดันทุรังกว่าผู้อื่นเสียด้วย ไม่เปลี่ยนสักนิด ไม่ว่าเป็นจิวซือ หลิวเจียเย่ แอสเชอร์ หรืออลัน
   “ดี” อวิ๋นหนานกล่าวเมื่อเห็นซื่อเสวี่ยนวางหมากลงในจุดที่คิดไม่ถึง แต่สามารถพลิกชะตาหมากดำบนกระดานได้ ดวงตาสีดำสนิทของคนตรงหน้าเปล่งประกาย ไม่ยอมละสายตาจากกระดานหมาก คาดว่าคงกำลังครุ่นคิดว่าจะโจมตีใส่เขาอย่างไรดี เฉินซื่อเสวี่ยนที่สุขุมรอบคอบอยู่เสมอผู้นั้น เวลาเดินหมากกับเขา มักจะเป็นฝ่ายบุกอย่างคิดไม่ถึง
   หากว่าได้เซียนน้อยเป็นคนสนิทไว้อย่างที่ตั้งใจไว้ในคราวแรก ความสัมพันธ์ก็คงไม่ต่างจากเวลานี้ ดียิ่ง...แต่คล้ายจะยังไม่พอ คนรู้ใจ เมื่อได้พบแล้วมักเกิดความรู้สึกเสียดายที่พบช้าเกินไป



   ซื่อเสวี่ยนมองดูเกี้ยวหน้าตาธรรมดาสามัญแต่รองรับวรกายสูงศักดิ์ของเจ้าแผ่นดินลับหายไปจากหัวมุมถนน สหายในตอนนี้ของเขาดูเหมือนว่าจะมีแค่ฝ่าบาทพระองค์เดียว คิดแล้วก็ตกใจยิ่ง แต่ว่าเป็นเช่นนั้นจริง คนอื่นล้วนแต่งงานมีบุตรธิดา หลายคนยังวุ่นวายอยู่กับความก้าวหน้าของตำแหน่งการงาน ส่วนตัวเขาเวลานี้ไม่มีสิ่งใดให้ไขว่คว้า ประกอบกับเขาไม่ชอบสังสรรค์ ดังนั้นแม้แต่สหายอย่างพวกจางเหว่ย โม่โฉว และลู่เสียน ก็ได้พบกันปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างมีชีวิตและหนทางของตนเอง ส่วนอี้เทียนก็...จากไปเสียแล้ว ไม่รู้เวลานี้จะไปเกี้ยวนางฟ้านางสวรรค์อยู่ที่ใด หรือยังคงรอเขาอยู่ในยมโลก
   ซื่อเสวี่ยนเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ปรากฏเพียงเสี้ยวเดียวบนฟ้า กล้าบอกว่าชาติหน้าให้เขาเป็นภรรยา ชาติหน้า...เขาจะตามหาอีกฝ่ายเพื่อทวงสัญญาได้หรือเปล่า
   


   เฉินตงไม่บังคับให้ซื่อเสวี่ยนแต่งงาน แม้แต่ลี่ฮูหยินก็ไม่เคยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีก อาจเพราะกลัวซื่อเสวี่ยนหายไปท่องยุทธภพอีกก็เป็นได้ เฉินหนิงอันในวัย 14 ได้หมั้นหมายกับอี้เว่ย น้องชายของอี้เทียน ซึ่งบัดนี้มีตำแหน่งเป็นตูตูแล้ว สองตระกูลจึงได้เกี่ยวดองกันในที่สุด ขณะที่เฉินหยานโม่ไม่ทราบว่าเป็นที่ถูกพระทัยของหนานจงฮ่องเต้ตั้งแต่เมื่อใด จึงทรงรับเขาเป็นพระราชนัดดา นับว่าในเวลานี้เฉินหยานโม่มีฐานะสูงที่สุดในสกุลเฉิน และทำให้สกุลเฉินกลายเป็นพระญาติกับราชวงศ์โดยมิได้ตั้งใจ


   ต้าเสินสงบสุข แต่หลายที่ร้อนเป็นไฟ

   ตำหนักสีขาวหลังเล็กลอยอยู่กลางอากาศ ประหนึ่งวิมานลอยฟ้าอันเงียบสงบ สตรีวัยกลางคนในชุดสีขาวล้วนทั้งตัวกำลังนับประคำด้วยมือข้างเดียว จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีอ่อนจนแทบจะเป็นสีขาวทอประกายสีทองเรืองๆ แม้ใบหน้างดงามของนางจะมิได้แสดงความรู้สึกใดออกมา แต่เด็กสาวที่รอรับใช้อยู่ไม่ห่างก็ยังรับรู้ถึงอารมณ์ไม่คงที่ของนาง จึงได้แต่ก้มหน้าระมัดระวังกิริยา


   วังตะวันออก
   คงเหวินกำลังยุ่งจนหัวหมุน ด้วยเหตุที่อดีตเจ้าวังตะวันออกและพระชายา หรือก็คือบิดาและมารดาของอวิ๋นหนาน กลับมาเยี่ยมบุตรชายหลังจากที่ไปท่องเที่ยวกันสองคนเสียหลายปี กระนั้นเมื่อมาถึงกลับพบว่าบุตรชายของพวกเขาหนีงานลงไปยังภพมนุษย์ คงเหวินหนักใจยิ่งนักว่าควรจะตอบคำถามของนายท่านอย่างไรดี


   ยมโลก    
   เด็กชายสองคนมองกระจกส่องภพด้วยใบหน้าโกรธเคือง โดยเฉพาะเสี่ยวฝูที่ไม่ทราบว่าหนานจงฮ่องเต้คือเทพอวิ๋นหนาน ผู้ที่เขาเรียกหาว่าเป็นบิดา โกรธจนหน้าแดง
   “เจ้ามนุษย์ตัวเหม็น กล้าดียังไงมาหยอกล้อท่านแม่ข้า” ปากเล็กด่าทอหนานจงฮ่องเต้โดยไม่เกรงกลัว ก่อนจะหันมามองค้อนอี้เทียน น้ำเสียงทั้งโมโหทั้งดูแคลน “ท่านมิใช่บอกว่าจะพาท่านแม่กลับมาหรอกหรือ”
   เสี่ยวเฮยมีสีหน้าร้อนใจ เขาจับมือเสี่ยวฝูไว้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอี้เทียนด้วยความเห็นใจ ท่านพ่อพ่ายแพ้กลับมาเช่นนี้ ช่างน่าสงสารนัก แต่ว่าเขาก็อยากพบท่านแม่เร็วๆ นี่นา เสี่ยวเฮยคิดแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านกลับไปโลกมนุษย์อีกก็ได้นะ พวกเราดูแลที่นี่ให้เอง”
   อี้เทียนหัวคิ้วกระตุก ก่อนจะส่งเสียงหึในลำคอ แล้วสะบัดหน้าจากไป


เปิด Pre-order แล้วนะคะ รายละเอียดใน Facebook Page: Whitedemon21 ค่ะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 18)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-12-2019 19:20:12
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 18)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 18-12-2019 20:39:54
สงบสุขมาก ดูเป็นความสงบก่อนพายุ หวั่นใจมาก

ท่านอวิ๋นหนานจะไม่ยอมปล่อยมือแน่นอน อี้เทียนยิ่งไม่มีวัน หูยยยยย ท่าทางสนุกละทีนี้
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-12-2019 16:57:08
จะมีเหตุอันใดเกิดขึ้นอีกหนอ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General 18)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 21-12-2019 06:17:54
The Great General (19)



   เสนาบดีเฉิน นามว่าเฉินซื่อเสวี่ยนนั้น ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงไม่เคยได้ยิน นอกจากเขาจะเป็นเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุดแล้ว ยังเป็นพระอาจารย์ขององค์รัชทายาท และเป็นขุนนางคู่พระทัยของหนานจงฮ่องเต้ ที่สำคัญเขาได้ชื่อว่าเป็นขุนนางสุจริต และยังชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ดูอย่างตอนที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ซานตง เสนาบดีเฉินก็อาสาไปช่วย ทั้งยังบริจาคเงินตั้งมากมาย เรียกได้ว่าเป็นขุนนางที่ดีเสียจนหากมีผู้ใดกล้านินทาเขาแม้เพียงครึ่งคำ ก็มีผู้พร้อมออกโรงปกป้องตลอดเวลา
   แต่ใช่ว่าชีวิตราชการจะราบรื่นเช่นนี้ไปตลอด เมื่อซื่อเสวี่ยนอายุได้ 33 ปี ตำแหน่งอัครเสนบาดี ขุนนางขั้นหนึ่ง ก็ว่างลง ดังนั้นการต่อสู้แย่งชิง ตัดแข้งตัดขาผู้อื่นจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันหนึ่งในช่วงว่าราชการเช้า มีขุนนางขั้น 5 ถวายฎีการ้องเรียนให้ตรวจสอบทรัพย์สินของตระกูลเฉิน กล่าวว่าเฉินซื่อเสวี่ยนรับสินบนจากผู้ว่าการทณฑลซีเจา และซานตง เงินที่บอกว่าบริจาคช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัย ที่แท้แล้วเป็นเงินที่ยักยอกจากงบประมาณด้านเสบียงของกรมกลาโหม
   เวลานั้นผู้ที่อยู่บนบัลลังก์มังกรเพียงเผยรอยยิ้มเย็นชาจนหลายคนที่แอบสังเกตพระพักตร์ใจหาย ได้แต่ไว้อาลัยให้กับขุนนางผู้นั้น ที่ไม่ทราบรับผลประโยชน์อะไรจากตระกูลเติ้ง จึงได้อาจหาญใช้วิธีการเช่นนี้ต่อเสนาบดีเฉิน
   “อ้ายเฉิน (ขุนนางที่รัก) แน่ใจในสิ่งที่กล่าวหรือ”
   เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวก็ทราบเจตนาของเจ้าชีวิตได้กระจ่าง ตระกูลเติ้งหากไม่หาเรื่องใส่ความใต้เท้าเฉิน อาจพอมีโอกาสแย่งชิงตำแหน่งอัครเสนาบดี ทว่าเวลานี้ เกรงว่าคงไม่มีวาสนาแล้ว
   หนานจงฮ่องเต้มีบัญชาให้กรมขุนนางและกรมยุติธรรมตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียด ไม่เฉพาะสกุลเฉินเท่านั้น แต่ลามไปถึงสกุลเติ้ง และตระกูลขุนนางใหญ่อื่นๆ เรียกว่าเป็นการเก็บกวาดเนื้อร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ก็เป็นได้
   สามเดือนต่อมา เฉินซื่อเสวี่ยนได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครเสนบาดี ขุนนางขั้น 1 หัวหน้าของขุนนางทั้งปวง
   นับตั้งแต่ที่หนานจงฮ่องเต้ทรงแสดงออกชัดเจนว่าเชื่อใจเขานั้น ซื่อเสวี่ยนบอกตัวเองว่าชีวิตนี้ได้อุทิศเพื่อพระองค์และต้าเสินหมดสิ้น เสมือนค้นพบเป้าหมายใหม่ในชีวิต ทุกๆ วันแม้ทำงานอย่างหนัก ใบหน้ายังประดับรอยยิ้ม เขาปรารถนาให้ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ มิใช่จารึกชื่อของเขา แต่จารึกว่าหนานจงฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้ที่ทรงพระปรีชาสามารถ เมตตากรุณา ปราดเปรื่อง และยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน
   นี่จึงเป็นปณิธานของเขา


   ตลอดเวลา 10 ปี หนานจงฮ่องเต้ทรงงานโดยมิหยุดพัก ข้างกายมักเห็นอัครเสนาบดีเฉินอยู่ด้วย ทั้งสองสนิทสนมยิ่งกว่าเจ้าชีวิตและขุนนาง องค์รัชทายาทเองก็แสดงออกถึงพระอัจฉริยภาพตั้งแต่เล็ก สามารถช่วยแบ่งเบาภาระบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี ต้าเสินนับวันยิ่งเจริญรุ่งเรือง ถือเป็นยุคทองอย่างแท้จริง แทบทุกปีมีแคว้นน้อยใหญ่มาขอพึ่งบารมี ขณะที่แคว้นตงหย่าตกต่ำถึงขีดสุด อาณาเขตถูกแคว้นใหญ่ข้างเคียงตัดเฉือนแบ่งกัน ประชาชนต้องลี้ภัยไปเมืองอื่น สิ้นชื่อ สิ้นชาติ



   จวนสกุลเฉิน
   เป็นอีกครั้งที่หนานจงฮ่องเต้เสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์ พระพักตร์หล่อเหลาเริ่มมีริ้วรอยของกาลเวลา แต่บรรยากาศรอบตัวนุ่มนวลขึ้นกว่าคราที่ทรงขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ มากทีเดียว
   ห้องหนังสือที่ใหญ่ที่สุดของจวน ถูกปรับปรุง ขยับขยายและตกแต่งอย่างประณีต เพื่อใช้เป็นห้องรับรองยามที่เจ้าชีวิตเสด็จมา จากหลายเดือนครั้งเป็นเดือนละหลายครั้ง ความลับย่อมมิใช่ความลับอีกต่อไป แต่เพราะทั้งอัครเสนาบดีเฉิน และเฉินหยานโม่ พระราชนัดดาคนโปรด ล้วนเป็นคนสกุลเฉิน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดปากสว่างมากความ เพียงรักษาความปลอดภัยให้เจ้าชีวิตก็พอ ถนนทุกสายโดยรอบจวนสกุลเฉินถูกคุมเข้ม แต่ไม่ว่าอย่างไรหากมีผู้ประสงค์ร้ายแล้ว ข้อผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้
   มือสังหารเดนตายจากแคว้นตงหย่าลับลอบเข้ามาถึงจวนสกุลเฉิน ภายหลังสืบทราบว่าพวกเขาวางแผนกันหลายปี แฝงตัวเข้ามาเป็นพ่อค้า นักเดินทาง นักเล่านิทาน นางคณิกา จนตั้งรกรากเป็นคนต้าเสิน ทั้งหมดเพื่อสังหารหนานจงฮ่องเต้ที่ทำลายตงหย่าจนสิ้นชาติ มือสังหารเหล่านี้ต่อสู้ไม่เสียดายชีวิต ทั้งยังมีมือธนูที่เป็นยอดฝีมือหาตัวจับยากคอยช่วย เบี่ยงเบนความสนใจและขัดขวางเหล่าองครักษ์ กว่ากำลังเสริมจะมาถึง มือกระบี่ก็สามารถเข้าประชิดตัวหนานจงฮ่องเต้แล้ว ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น ข้างพระวรกายมีเพียงเสนาบดีเฉินเพียงคนเดียว
   เห็นกำลังเสริมของวังหลวงบุกมาถึง มือสังหารยิ่งจู่โจมรุนแรง ทุ่มเทพลังฝีมือทั้งหมดเพื่อสังหารหนานจงฮ่องเต้ กระบี่ในพระหัตถ์ถูกกระแทกจนเบี่ยงออก เผยช่องโหว่บริเวณหน้าอก ปลายกระบี่แหลมคมโถมเข้าหาพระองค์ด้วยความรวดเร็ว
   ฉึก
   กระบี่ปักเข้าไปในเนื้อเหนือหัวใจของร่างที่พุ่งเข้ามาป้องกันพระวรกายสูงศักดิ์ไว้ได้ทัน ขณะเดียวกันกระบี่ในมือของคนผู้นั้นก็ตวัดตัดศีรษะของมือสังหารกระเด็นจากร่าง จนโลหิตแดงฉานพุ่งกระชูดจากลำคอ เจิงนองทั่วพื้น
   ซื่อเสวี่ยนก้มมองกระบี่ที่ปักลึกเข้ามาในหน้าอกเขาจนเกือบทะลุ ก่อนจะเหลือบมองรอบด้านเห็นทหารองครักษ์เริ่มควบคุมสถานการณ์ได้ก็วางใจ ร่างทั้งร่างชาหนึบ สิ้นเรี่ยวแรง
   “ซื่อเสวี่ยน ซื่อเสวี่ยน” ได้ยินสุรเสียงรับสั่งอย่างร้อนรนอยู่ข้างหู ก็อ้าปากหมายจะตอบรับ ทว่ากลับกระอักเลือดออกมาแทน ดวงตาเริ่มมองไม่เห็น ทำให้ใบหน้าของผู้เป็นทั้งเจ้านายและสหายปรากฏอย่างรางเลือน

   ในใจเขาเวลานี้ปราศจากความเสียใจ เพราะได้ทำตามปณิธานที่ตั้งไว้แล้ว
   ชีวิตถวายฝ่าบาท สมองและกำลังมอบให้กับต้าเสิน
   คุ้มแล้ว
   ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มลำอา
   เวลานี้ค่อยกล้าเอ่ยพระนามเดิมของคนตรงหน้าออกมา
   “หนานจงหลี่เจี๋ย ท่านเป็น...ฮ่องเต้ที่ดี”
   


   จิตเซียนของจิวซือหลุดออกจากร่างทันทีที่เฉินซื่อเสวี่ยนหยุดหายใจ ข้างกายเขาปรากฏผู้คุมสอบคนหนึ่งมารอรับจิตเซียน เพื่อพากลับไปยังหอคุณธรรม ผู้คุมสอบยื่นมือข้างหนึ่งมาทาบบริเวณหน้าผากของร่างเซียน เมื่อเห็นร่างเซียนของเขามีรอยยิ้มประดับริมฝีปากทั้งที่ดวงตาหลับพริ้ม ก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะพยักหน้าลงด้วยความชื่นชม ทันใดนั้นเขาก็ต้องผงะไปเมื่อหนานจงฮ่องเต้หมดสติล้มลงกับพื้น ก่อนที่ร่างเทพทอแสงสีทองจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากร่างมนุษย์นั้น ดวงตาสีทองสว่างของเจ้าวังตะวันออกจับจ้องร่างเซียนที่อยู่ในความควบคุมของเขาไม่วางตา แล้วจึงพยักหน้าให้เขาและนอนลงกลับเข้าร่างเดิม ผู้คุมสอบรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง พลอยทำให้มือที่แตะหน้าผากของเซียนน้อยเพิ่มความระมัดระวังขึ้น
   




   ประวัติศาสตร์ต้าเสินบันทึกไว้
   รัชสมัยหนานจงฮ่องเต้เป็นยุคทองของต้าเสิน ฮ่องเต้ปรีชา ขุนนางตงฉิน วิทยาการเจริญก้าวหน้า อิทธิพลแผ่ไพศาล ประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข
   อัครเสนาบดีเฉิน นามเฉินซื่อเสวี่ยน เป็นขุนนางคู่พระทัย เป็นทั้งผู้ทรงความรู้และแม่ทัพมากฝีมือ เป็นที่รักของเจ้าชีวิตและประชาชน อัจฉริยะมักอายุสั้น เสนาบดีเฉินจากไปด้วยวัย 43 ปี จากการปกป้องเจ้าชีวิตจนตัวตาย หนานจงฮ่องเต้เสียพระทัยอย่างยิ่ง ประกาศให้ทั่วแผ่นดินไว้อาลัยหนึ่งเดือน ทั้งยังรับสั่งให้ฝังร่างของเสนาบดีเฉินในสุสานหลวง และแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง บรรดาศักดิ์ตกทอดสู่ลูกหลานสกุลเฉิน ซึ่งภายหลังได้ตกเป็นของเฉินหยานโม่ ส่วนสมญานาม ‘ปราการแผ่นดิน’ นั้น ให้มีไว้สำหรับเฉินซื่อเสวี่ยนเพียงผู้เดียว
   หนานจงฮ่องเต้ทรงรับสั่งเมื่อยามฝั่งศพของอัครเสนาบดีเฉินว่า ‘ต้าเสินเรามั่นคงได้เพราะปราการแผ่นดินผู้นี้’




               (End of the ARC)
            
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General end)
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 21-12-2019 08:34:30
 :katai2-1: สุดยอด :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General end)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-12-2019 17:08:21
ใจเราตอนนี้คือล้มสลายกว่าทุกตอนที่เจ้าตาย
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General end)
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 21-12-2019 20:51:50
รอติดตามตอนต่อไป :mew1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General end)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 23-12-2019 12:56:38
ซื่อเสวี่ยนจะเป็นอย่างไรต่อนะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General end)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-12-2019 21:49:58
เป็นตอนที่สะเทือนใจมาก
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General end)
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 27-12-2019 21:57:27
ในที่สุดก็ตามอ่านถึงตอนปัจจุบัน สนุกมาก ลุ้นเรื่องราวหลังจากนี้ครับ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p (Arc 4: The Great General end)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 29-12-2019 15:59:25
Owner of the Golden Pagoda (1)


แม้ภาพต่างๆ จะขาดหายไปทันทีที่เฉินซื่อเสวี่ยนสิ้นลม จิวซือก็รับรู้ว่าตนเองกำลังมีความสุข ร่างกายเบาหวิวปลอดโปร่ง ความทรงจำขณะที่เป็นเฉินซื่อเสวี่ยนหลั่งไหลเข้ามาอีกครั้ง นับตั้งแต่แรกเกิดกระทั่งเสียชีวิต เขาพบว่านอกจากจะไม่ได้ทำเรื่องผิดคุณธรรมแล้ว ยังได้เปลี่ยนแปลงอดีตของตัวเอง แก้ไขสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ
ประสบการณ์ของเฉินซื่อเสวี่ยนนั้นมิได้หนักหนาเท่าหลายชาติภพของเขาในด่านคุณธรรม เพียงเพราะเป็นสิ่งที่ยึดติด ฝังใจ ดังนั้นจึงกลายเป็นกรงขัง เป็นสถานที่มืดมิดคับแคบที่ตนเองสร้างขึ้นมา แล้วนั่งกอดเข่ามองประตูที่ปิดสนิทอยู่อย่างนั้น ที่เท้ามีโซ่เส้นใหญ่ล่ามไว้ เฝ้ารอว่าเมื่อไรประตูบานนั้นจะเปิดออก ทั้งที่มันไม่ได้ลงกลอนไว้เสียหน่อย แค่ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเท่านั้นเอง ไม่คิดว่าสุดท้ายจะมีคนผู้หนึ่งปลดโซ่ตรวนที่ล่ามขาของเขา และคนอีกผู้หนึ่งเปิดประตูกรงขังออกให้
ขอบคุณ
จิวซือยิ้ม ลุกขึ้นยืนช้าๆ ค่อยๆ ก้าวออกมา


เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกคราก็ต้องสับสนงุนงง เพราะแทนที่จะเป็นหอคุณธรรม เบื้องหน้าเขากลับเป็นห้องนอนขนาดไม่ใหญ่นักห้องหนึ่ง ทั้งห้องมืดสลัวเพราะไม่ได้เปิดไฟ และมีผ้าม่านสีทึบบดบังแสงจากภายนอก เด็กชายร่างผอมขาวซีดนั่งห้อยขาอยู่บนเตียง เขาน่าจะมีอายุราว 8 ขวบ ใบหน้าเล็กเหม่อลอย ดวงตากลมไร้ประกาย ตามตัวมีร่องรอยของการถูกทารุณ แต่เด็กน้อยไม่ทราบว่าทำไมจึงถูกตี ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงออกจากห้องนี้ไม่ได้ ประตูห้องถูกล็อกจากด้านนอก เขาได้แค่มองอยู่อย่างนั้น รอว่าเมื่อไรประตูบานนั้นจะเปิดออก
จิวซือมองเด็กน้อยอย่างแปลกใจครู่หนึ่ง เด็กคนนี้ไม่ใช่อเล็ก ด่านคุณธรรมชาติแรกของเขาหรอกหรือ

ด่านทดสอบคุณธรรมชาติแรกของจิวซือนั้นเขาเกิดเป็นอเล็ก ลูกนอกสมรสของนักการเมืองชื่อดังคนหนึ่ง อาจเพราะตอนตั้งครรภ์ แม่ของเขามีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจอยู่บ่อยๆ และเกือบแท้งถึงสองครั้ง อเล็กเกิดมาพร้อมความพิการทางปัญญา เขาอยู่กับแม่แท้ๆ จนอายุห้าขวบ แม่ของเขาก็เสียชีวิต อเล็กถูกพ่อที่เขาจำหน้าไม่ได้พากลับไปเลี้ยงดูที่คฤหาสน์ของตระกูล เด็กนอกสมรสและยังไม่เหมือนคนอื่นจึงกลายเป็นที่รังเกียจและเป้าหมายของการทารุณอยู่บ่อยครั้ง
ประตูห้องนอนของเด็กน้อยเปิดออก ดวงตาไร้ประกายเมื่อครู่ค่อยมีแสงพาดผ่าน ทว่าก็หม่นลงทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาคือพี่เลี้ยง ถาดอาหารถูกวางอย่างแรงจนเหมือนกระแทกกับโต๊ะ พี่เลี้ยงมองอเล็กด้วยสายตารังเกียจและดูถูก ปากก็สาดถ้อยคำทำร้ายจิตใจอย่างที่ทำทุกวัน ราวกับห้องๆ นี้คือสถานที่ให้เธอได้ระบาย ได้แสดงออกถึงความเหนือกว่า ลูกชายของนายท่านแล้วอย่างไร ก็แค่เด็กปัญญาอ่อนที่ไม่มีใครต้องการ
“ขยะ รกโลก วันๆ ก็นั่งงอมืองอเท้ารออาหาร ต่างกับขอทานตรงไหนวะ เหอะ หมาข้างถนนยังดีกว่า อย่างน้อยมันก็คุ้ยขยะกินเองได้ แต่ไอ้เด็กปัญญาอ่อนนี่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง นอกจากทำตัวน่าสงสาร ถุย เปลืองข้าวสุก ทำไมไม่ตายๆ ไปสักทีวะ”
หลังประตูห้องนอนของอเล็ก จิวซือเห็นนายหญิงของบ้านยิ้มเย็น สีหน้าพึงพอใจกับคำพูดของพี่เลี้ยง ดวงตาสีน้ำตาลของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ตกเย็นเมื่อพี่ชายและน้องสาวต่างแม่ของอเล็กกลับมาจากโรงเรียน คฤหาสน์ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ยกเว้นแต่มุมหนึ่งของชั้นสองของคฤหาสน์ซึ่งเป็นห้องของอเล็ก มุมมืดที่ไม่มีใครอยากเข้ามาใกล้
จิวซือได้ยินความคิดของอเล็ก หรือจะพูดให้ถูกก็คือความคิดของตัวเขาในภพนั้น ตอนที่ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงตะโกนเรียกพ่ออย่างดีใจ พ่อคงกลับมาแล้ว
‘คำว่าพ่อ ผมก็พูดได้แล้ว ถึงจะช้ากว่าเด็กคนอื่นมาก แต่พูดได้แล้วนะ’
อเล็กพูดคำว่าพ่อได้อย่างชัดเจนเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเขาฟังเสียงที่ตัวเองเปล่งออกมาอย่างตั้งใจก็พบว่าเหมือนที่น้องสาวออกเสียงไม่ผิดแล้ว เขาอยากบอกพ่อ อยากให้ใครสักคนรับรู้ถึงความสำเร็จเล็กๆ ของเขา แต่ว่าพ่อไม่เคยมาหา เขาได้ยินเสียงพ่อหัวเราะ พูดว่ากลับมาแล้วลูก แต่พ่อไม่เคยมาถึงห้องของเขา พ่อมักจะอยู่ข้างล่าง แล้วก็ขึ้นชั้นสามไปเมื่อถึงเวลานอน ขณะที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องนี้เวลาที่คนอื่นๆ อยู่ เขาจะออกไปได้ก็ต่อเมื่อเจ้านายของคฤหาสน์หลังนี้ไปพักผ่อนที่อื่น แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้ออกไปอยู่ดี เพราะพี่เลี้ยงมักจะลืมมาเปิดประตูให้ สุดท้ายก็เหมือนอยู่ลำพัง ยังดีที่เขามีกระดาษ และดินสอสีไว้คอยระบายสิ่งต่างๆ ที่พูดออกมาไม่ได้
จริงๆ แล้ว อเล็กไม่ได้เป็นคนพิการทางปัญญาอย่างที่คนอื่นคิด เขาแค่แตกต่างออกไป แค่มีพัฒนาการบางอย่างช้ากว่าเด็กคนอื่น เขาเป็นอัจฉริยะเรื่องการวาดภาพ แต่ไม่เคยมีใครรู้ ความสามารถถูกฝังอยู่ที่ชั้นสองของบ้าน

   จิวซือมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ เข้าใจทั้งตนเองและคนอื่น มนุษย์ก็เป็นแบบนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยอารมณ์และเหตุผลในสัดส่วนที่ต่างกันไป และมีวิธีการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวไม่เหมือนกัน คนที่ไม่รักเลือดเนื้อของตัวเองก็มี คนที่เกลียดแม่แล้วทำร้ายลูกก็มี คนที่พ่นคำพูดร้ายกาจกดหัวคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูสูงขึ้นก็มี มีอยู่จริงทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าทุกครอบครัวคือสถานที่ปลอดภัย ไม่สามารถตัดสินคนอื่นจากบรรทัดฐานของตนเองได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรทางเลือกและการกระทำของแต่ละคนก็ล้วนส่งผลกับอนาคตของบุคคลนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

   วันหนึ่งขณะที่อเล็กกำลังระบายสีลงบนกระดาษขาวที่กระจายอยู่บนพื้นอย่างไร้ระเบียบ ก็ได้ยินเสียงกุกกักที่หน้าต่าง เด็กน้อยเปิดผ้าม่านออกดูก็เห็นนกตัวเล็กๆ ที่มีขนสีขาวตลอดทั้งตัว และมีดวงตาสีทองประหลาดเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่าง เด็กน้อยนิ่งเหมือนรูปปั้นไม่กล้าขยับตัว ด้วยเกรงว่าเจ้านกน้อยจะบินจากไป
อย่าเพิ่งไปเลยนะ อยู่ด้วยกันก่อน
   เหมือนคำอธิษฐานเป็นจริงเมื่อเจ้านกน้อยไม่บินหนี มันเอียงหัวเล็กแล้วส่งเสียงร้องจิ๊บๆ ราวกับกำลังทักทาย ใบหน้าของอเล็กเป็นสีแดงสดใส ดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า เด็กชายมองนกน้อยอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน หลังจากนั้นเจ้านกก็มักจะแวะเวียนมาหาเขาบ่อยๆ กลายเป็นเพื่อนคนแรกและคนเดียวของอเล็ก
   จิวซือจำนกตัวนี้ได้ แต่เขาไม่รู้มาก่อนเลย ไม่เคยสังเกตเห็นความผิดปกตินี้เลยจนกระทั่งได้เห็นมันด้วยร่างเซียนในเวลานี้เอง ดวงตาสีทองของมันเรืองแสงสีทองขององค์เทพ แม้จะเลือนราง แต่เขาจำพลังนั้นได้ดี พลังของ...ตงหวาง แต่จะเป็นไปได้อย่างไร

   จิวซือเฝ้ามองชีวิตในแต่ละวันของอเล็กกระทั่งวันที่เด็กชายอายุ 10 ปี อเล็กหิวข้าวจนปวดท้องเพราะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน เพราะพี่เลี้ยงโกรธที่เขาทำข้าวหก บอกว่าไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน เด็กชายเงี่ยหูฟังที่ประตูพบว่าข้างนอกเงียบสนิท จึงค่อยๆ แง้มประตูเปิดออก แล้วแอบย่องลงมา ภาวนาให้ไม่มีคนอยู่ แต่แล้วเขากลับพบผู้ชายคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ น่าจะแก่เขาสักสิบปี อเล็กหดตัวเล็กเท่าที่จะทำได้ เบียดตัวเองกับผนังเพราะกลัวถูกตี แต่ท้องของเขากลับร้องขึ้นมา เด็กชายหน้าซีด ทำอะไรไม่ถูก
   คนๆ นั้นถามเขาว่าหิวเหรอ จากนั้นไม่รอให้เขาตอบ ก็อุ้มเขาแล้วพาลงมาข้างล่าง อเล็กเห็นแม่บ้านสีมีหน้าตกใจ แต่ก็ไปอุ่นอาหารมาให้เขาตามที่ผู้ชายคนนั้นบอก วันนั้นเขาได้กินอาหารหลายอย่างมาก ทั้งร้อน หอม และอร่อย ตอนค่ำก็มีนมร้อนๆ มาให้แก้วหนึ่ง ไม่ถูกด่าหรือถูกตีอย่างที่กังวล ไม่รู้ว่าพี่ชายคนนั้นทำได้ยังไง ไม่รู้พี่ชายคนนั้นเป็นใคร และจะมาที่นี่อีกไหม ยังไม่ได้ขอบคุณเลย
   จิวซือเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ เขารู้ ไม่ทราบเพราะอะไร แต่เขารู้ว่าผู้ชายคนนั้นคืออี้เทียนที่กำลังอยู่ในด่านคุณธรรมเช่นเดียวกับเขา
   ที่แท้ก็สวนกันครั้งหนึ่งหรอกหรือ

   ภพชาตินั้นเขาตายตอนอายุ 38 ไม่เคยออกไปไหน ไม่เคยใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น ก็แค่เกิดและตายอยู่ในมุมเงียบๆ มุมหนึ่งของโลก เมื่อดวงตาของอเล็กปิดลง จิตเซียนของจิวซือก็ถูกดูดไปอีกครั้ง แสงสว่างจ้าบังคับให้เขาหลับตาลง เมื่อลืมตาอีกครั้ง ก็อยู่อีกโลกหนึ่งแล้ว
   เหลาสุราเบื้องหน้าเขามีป้ายเขียนว่า ‘หอสุคนธ์’ จิวซือจำได้ว่านี่คือด่านคุณธรรมด่านที่สองของเขา เวลานี้เขาค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ากำลังมองดูชีวิตในด่านคุณธรรมที่ผ่านมาของตัวเอง แต่ไม่แน่ใจว่าเซียนทุกคนได้เห็นแบบนี้หรือเปล่า เพราะเหตุการณ์เช่นนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เซียนอาวุโสเคยแค่บอกว่าเมื่อผ่านด่านคุณธรรมทั้ง 11 ชาติแล้ว หอคุณธรรมก็จะเลื่อนขั้นให้เป็นเทพ มีผู้คุมกฎพาไปส่งยังภพสวรรค์เพื่อรายงานตัว ก่อนจะจัดสรรตำหนักและหน้าที่ต่อไป
   เถาฮุ่ย คือชื่อของเขาในภพชาตินี้ เขาเกิดเป็นลูกหญิงคณิกาในหอสุคนธ์ ตั้งแต่แรกเกิดก็ถูกพามาทิ้งที่วัดร้าง โชคดีมีผู้เฒ่าในค่ายสำนักทางเต๋าผู้หนึ่งไปพบเข้า จึงพาเถาฮุ่ยกลับมาฝึกวิชา เพราะความพิเศษของร่างกาย ประกอบกับพรสวรรค์ไม่เลว จึงรุดหน้ากลายเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง เก่งกาจด้านการปราบภูตผีปีศาจ เป็นที่ชื่นชมของบรรดาศิษย์พี่ศิษย์ไม่น้อย นับว่าชีวิตในช่วงวัยรุ่นของเถาฮุ่ยราบรื่นดี
   เถาฮุ่ยฝึกวิชาอย่างหนัก เพราะกลัวว่าท่านผู้เฒ่าจะไม่พอใจ กลัวว่าจะถูกขับไล่ เขาไม่เคยเที่ยวเล่นกับเด็กวัยเดียวกัน ทุกๆ วันเหนื่อยจนไม่อยากหายใจ ปวดร้าวไปทั้งร่าง แต่ขอแค่ผู้เฒ่าพยักหน้าชมเชยครั้งเดียว ความเจ็บปวดทั้งหมดก็ทุเลา ร่างกายเปี่ยมไปด้วยกำลังอีกครั้ง รู้สึกว่าตัวเองมีค่า ไม่ใช่คนที่ไม่มีใครต้องการอีก เวลาเดียวที่เถาฮุ่ยรู้สึกผ่อนคลายก็คือตอนที่ได้เล่นกับนกสีขาวตัวหนึ่ง มันบินมาเกาะหน้าต่างห้องพักเขา ครั้งแรกที่เถาฮุ่ยให้ข้าวมันกิน มันมองเหมือนไม่อยากกิน แต่สุดท้ายก็ยอมจิกข้าวสารจากมือของเขา จากนั้นก็ชอบแวะเวียนมาหาเขาอยู่บ่อยๆ
   อีกบุคคลหนึ่งที่สมควรเอ่ยถึงในภพชาตินี้ ก็คือซ่งจวิน ศิษย์พี่ของเถาฮุ่ย อาจารย์ของเขาเป็นเจ้าสำนักคนปัจจุบัน ซ่งจวินเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดในรุ่น และเป็นว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไป พวกเขาเคยออกปราบปีศาจด้วยกันอยู่สองสามครั้ง ไม่นับว่าสนิทสนม แต่ก็มิใช่คนแปลกหน้า
   เมื่อเถาฮุ่ยฝึกวิชาถึงปราณฟ้าขั้นที่สิบสำเร็จ ก็ถูกผู้เฒ่าซึ่งเป็นทั้งผู้มีพระคุณและอาจารย์จับทำเป็นเตาหลอมยามีชีวิต ดูดพลังชีวิตและพลังฝีมือของเขาจนหมด เพื่อยืดอายุให้ตนเอง เขารักผู้เฒ่าเหมือนบิดาของตัวเอง ดังนั้นนอกจากความเสียใจ ผิดหวังแล้วก็ไม่ได้เคียดแค้นอะไร อย่างไรเสียชีวิตนี้ก็ได้ท่านผู้เฒ่าเก็บกู้มา ภายหลังซ่งจวินสืบจนรู้สาเหตุการตายของเถาฮุ่ย และแจ้งความผิดของผู้เฒ่าต่อเจ้าสำนัก ผู้เฒ่าจึงถูกทำลายพลังฝีมือ และจองจำชั่วชีวิต
จิวซือรับรู้ว่านกสีขาวตัวนั้นคือตงหวาง หรือมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับตงหวาง ขณะที่ซ่งจวินนั้นคืออี้เทียน


   ด่านคุณธรรมถัดมาน่าจะเป็นภพชาติที่เรียบง่ายที่สุดของเขาแล้ว ไป่จินเกิดในครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดา มีความฝันอย่างเป็นนักแสดง และหาเงินเลี้ยงดูมารดา จึงเข้าเรียนที่คณะศิลปะการละครในมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐ เขาเป็นนักเรียนดีเด่น ความสามารถล้ำเลิศ ได้ทุนเล่าเรียนฟรีทุกเทอม เสียแต่หน้าตาธรรมดา และเอาใจใครไม่เป็น จึงไม่เคยไปถึงฝั่งฝันได้แสดงละครสมใจ สุดท้ายเขาก็กลับไปเป็นครูที่บ้านนอก สอนเด็กยากไร้ที่มีความฝันเหมือนกับเขา ก่อนตายยังได้ทราบข่าวว่าลูกศิษย์คนหนึ่งของเขาประสบความสำเร็จในอาชีพนักแสดง ได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ และมีอนาคตไกล ลูกศิษย์ของเขาผู้นั้น ชื่อว่าสวีมู่ ซึ่งจิวซือรับรู้ว่าเดี๋ยวนี้เองว่าเป็นอี้เทียนในด่านคุณธรรม ไป่จินดูสวีมู่กล่าวขอบคุณที่ได้รับรางวัล หนึ่งในนั้นมีชื่อของเขาอยู่ด้วย แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่ได้ยินชื่อตัวเองผ่านจอโทรทัศน์ ไป่จินก็มีความสุขมาก น้ำตาร้อนไหลรินสองข้างแก้มบรรจุความรู้สึกหลากหลายและความฝันที่เก็บกดไว้นานปี
   มารดาของไป่จินเสียชีวิตไปนานแล้ว ดังนั้นเมื่อไป่จินล้มป่วยจึงไม่มีใครให้พึ่งพา เขานอนอยู่บนเตียงเพียงคนเดียว ข้างหน้าต่างนั้นมีนกสีขาวตัวหนึ่ง ดวงตาสีทองของมันจับจ้องเขาตลอดเวลา กระทั่งเขาหลับตาลง


จิวซือลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นเด็กน้อยที่น่าจะมีอายุไม่เกิน 5 ขวบ กำลังวิ่งหนีเข้าไปในตรอกมืดๆ ด้านหลังของเด็กคนนั้นมีกลุ่มเด็กผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่กว่ากลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งไล่อย่างมาดร้าย
แฮรีส เป็นลูกครึ่ง ผิวขาว มีดวงตาสีฟ้าและเส้นผมสีทอง ต่างจากคนอื่นๆ ที่มีผมและดวงตาสีดำ ตั้งแต่เด็กเขาถูกผู้คนตั้งแง่รังเกียจ ถูกก้อนหินขว้างปาใส่เป็นเรื่องปกติ จึงเรียนรู้ที่จะหลบหนี หาทางรอด ทำให้รู้จักตรอกซอกซอยต่างๆ เป็นอย่างดี เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็รู้ว่าความว่องไว ปราดเปรียว ช่างสังเกต และสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด ได้ถูกบ่มเพาะจนกลายเป็นจุดแข็งของตัวเอง แฮรีสจึงตั้งใจจะเป็นทหารรับใช้แผ่นดินและพิสูจน์ตนเอง เขาสมัครเข้าค่ายทหารได้ก็ฝึกฝนหนักกว่าคนอื่น พยายามมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า อดทนกับอคติและการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมต่างๆ นานา และเสี่ยงชีวิตหลายคราวกว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นนายกอง
ทุกคนรังเกียจเขา ต่อให้เขาก้าวหน้าแค่ไหนก็ไม่มีใครสักคนยินดีกับเขาจากใจจริง มีเพียงนกสีขาวตัวหนึ่งที่มักมาอยู่ใกล้ๆ อยู่เป็นเพื่อนเขา เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่ไม่รังเกียจเขา มันมีดวงตาสีทองเหมือนกับเส้นผมของเขา สำหรับแฮรีส เจ้านกน้อยตัวนั้นมีความหมายมาก ดังนั้นตอนที่ถูกสหายร่วมรบใส่ร้ายหาว่าเป็นไส้ศึก ถูกทรมานด้วยวิธีพิสดารนับไม่ถ้วน เจ็ดวันกว่าจะขาดใจตาย แฮรีสก็ยังคิดถึงแต่นกตัวนั้น เป็นห่วงมัน เพราะมีแต่มันเท่านั้นที่ยอมใกล้ชิดคนอย่างเขา
มองแฮรีสที่ลมหายใจรวยริน จิวซือก็สงสัยไม่ได้ว่าอี้เทียนไม่ได้มาเกิดในภพนี้เช่นเดียวกับเขาหรือ ทันทีที่คิด ภาพก็ตัดมาอีกที่หนึ่ง ตรงหน้าของเขาคือทารกที่เพิ่งเกิดก่อนที่แฮรีสจะถูกใส่ร้ายเพียงไม่กี่วัน ที่แท้ก็มา แม้จะช้าไปสักหน่อย
ไม่รู้ทำไม จิวซือถึงยิ้มออกมา
บังเอิญหรือ
จะบังเอิญทุกชาติภพหรือเปล่า

   

#วิถีเซียน3p

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p :Owner of the Goldern Pagpda (1)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-12-2019 19:19:42
เอาอีกๆ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p :Owner of the Goldern Pagpda (1)
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 29-12-2019 22:00:05
ผูกพันกันมาอย่างเหนียวแน่นและยาวนาน
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p :Owner of the Goldern Pagpda (1)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 11-01-2020 21:08:24

Owner of the Golden Pagoda (2)


   ด่านคุณธรรมชาติที่ 5 จิวซือเป็นขอทานน้อยนามว่าเสี่ยวหยวน เขาจำไม่ได้ว่าบิดามารดาเป็นใคร บางทีคงถูกทิ้งตั้งแต่แรกเกิด ตลอดชีวิตดำเนินไปอย่างยากลำบาก ต้องไปนั่งขอทานไม่ก็รอคนใจดีหยิบยื่นอาหารให้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำงานแลกเงิน เคยพยายามหลายครั้งแรกแต่ไม่มีผู้ใดรับ เถ้าแก่ร้านอาหารรังเกียจสภาพมอมแมมของเขา นายช่างโรงไม้เกี่ยงว่าเขาตัวเล็กไม่มีกำลังพอ ที่สำคัญใครล่ะจะเชื่อใจขอทานไม่มีหัวนอนปลายเท้า ใครจะเชื่อว่าวันหนึ่งจะไม่คิดลักขโมยของ ไม่มีใครเชื่อหรอก ความซื่อสัตย์ความจริงจังล้วนถูกเปลือกนอกที่เป็นขอทานบดบังเสียหมด
   ภพชาตินี้เขายังคงบังเอิญได้พบกับอี้เทียนอีกครั้ง แน่นอนว่าตอนที่อยู่ในบททดสอบเขาจำอีกฝ่ายไม่ได้ ดังนั้นเวลานี้เมื่อทราบว่าอี้เทียนเป็นขอทานน้อยที่นั่งขอทานอยู่ข้างๆ ก็ตกใจมาก ใกล้มากเหลือเกิน ถึงกับเป็นคนที่นั่งขอทานอยู่ข้างกัน จิวซือมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกซับซ้อนยิ่ง หากมิใช่โชคชะตาเล่นตลก ก็คงเป็นเพราะเกี่ยวพันกันด้วยอะไรบางอย่าง จึงได้โคจรมาพบเสมอ
   อย่างไรก็ตามชีวิตของอี้เทียนดีกว่าเขามาก เพราะแม้ว่าวัยเด็กจะลำบากกว่าเขา เพราะมักถูกขอทานที่แก่กว่าหาเรื่องทำร้าย แต่สุดท้ายอี้เทียนยังโชคดีที่นายท่านของสำนักคุ้มภัยเห็นแววไม่ยอมคนในตัวเขา จึงพากลับไปฝึกฝนจนกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนัก และเป็นผู้สืบทอดสำนักคุ้มภัยกังเฉียวในที่สุด
   วันหนึ่งเสี่ยวหยวนที่อายุเกือบสิบห้าปีแล้วรู้สึกว่าชีวิตของเขาคงอยู่ได้อีกไม่นาน คงเป็นเพราะสองวันก่อนแย่งอาหารสุนัขกิน กรรมจึงตามสนอง เขาปวดท้องตัวงอตลอดทั้งคืน วันต่อมาก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องแม้แต่น้ำสักหยด ร่างกายผ่ายผอมเอนหลังพิงกำแพงอย่างหมดแรง เหม่อมองหลังคาเหลาสุราฝั่งตรงข้ามเห็นนกสีขาวล้วนตัวหนึ่งเอียงคอมองเขาอยู่เช่นกัน มันขาวสะอาดต่างจากขอทานอย่างเขามาก ดวงตากระจ่างใสสะท้อนภาพของเขาเพียงคนเดียว เป็นครั้งแรกที่ถูกมองอย่างเต็มตาเช่นนี้ ไม่ทราบดวงตากลมสีทองนั้นสวยงามมากหรืออย่างไร เสี่ยวหยวนจึงได้ยิ้มออกมา กระทั่งยิ้มหนึ่งยังสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงยิ่ง
ขณะที่กำลังคิดว่าจะหลับไปเลยดีหรือไม่ ถ้าหลับแล้วไม่ฟื้นขึ้นมาอีกจะได้หมดทุกข์เสียที แต่มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาใกล้เขาตั้งแต่เมื่อไรก็มิทราบ ร่างเงาสูงใหญ่ทอดลงมาบดบังแสงอาทิตย์ร้อนแรงให้ ซาลาเปาห่อหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า พร้อมกับกระบอกน้ำที่วางลงบนพื้นข้างตัว ก่อนที่คนผู้นั้นจะหันกายเดินจากไปพร้อมขบวนของสำนักคุ้มกันภัยกังเฉียว
เสี่ยงหยวนมองตามแผ่นหลังที่ดูกว้างใหญ่กว่าแต่ก่อน ขอทานน้อยที่เคยนั่งขอทานอยู่ข้างๆ เขาเวลานี้มีชีวิตใหม่ที่ดีแล้ว ไม่ทราบว่ายังจดจำเขาได้หรือไม่ จู่ๆ คนผู้นั้นก็หันใบหน้ากลับมา เสี่ยวหยวนสบตาเขาชั่ววินาทีก่อนจะรีบก้มหน้าลง ใบหน้าของคนๆ นั้นปราศจากร่องรอยฟกช้ำหรือเศษดินโคลนอย่างเคย ท่วงท่าก็เปี่ยมด้วยกำลังวังชา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูหนานุ่มไม่น้อย เวลานั้นเสี่ยวหยวนเผลอคิดว่าหากเขาทำใจกล้า ไปขอสำนักคุ้มภัยทำงานหาบน้ำผ่าฟืน จะพอมีโอกาสหรือไม่ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ได้แต่คิด ยังไม่ทันได้ลอง เขาก็ตายเสียก่อน เหตุเพราะช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่ง แม่นางน้อยผู้นั้นเป็นลูกเจ้าของร้านอาหารที่เขาเคยไปขอทำงาน แม้ว่าเถ้าแก่จะไม่รับเขาทำงานแถมยังไล่เขาออกมา แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กลับแอบยัดซาลาเปาลูกหนึ่งใส่มือเขา แล้วยิ้มให้ เขาจดจำนางได้ไม่ลืม ดังนั้นเมื่อเห็นนางถูกอันธพาลหมายล่วงเกิน จึงเข้าไปช่วยโดยไม่ต้องคิด สุดท้ายก็ถูกอันธพาลเหล่านั้นรุมทำร้ายจนตาย
    จิวมือมองเสี่ยวหยวนหรือตัวเขาเองถูกรุมทำร้ายจนลมหายใจค่อยๆ แผ่วเบาลง ความเจ็บปวดและความคิดของเสี่ยวหยวนเขาก็รับรู้อย่างชัดเจน เจ็บแต่ไม่เสียใจเลย ต่อให้เป็นแค่ขอทานไม่มีหัวนอนปลายเท้า แม้แต่ละวันยังไม่รู้จะกินอะไร แต่บุญคุณน้ำใจนั้นต้องตอบแทน แม่นางคนนั้นยังมีบิดามารดาห่วงใย ส่วนเขาไม่มีผู้ใดใส่ใจอยู่แล้ว เป็นหรือตายล้วนไม่สำคัญ ถึงเวลาทางการก็จะขนศพของเขาออกไปทำให้ถนนโล่งขึ้น นึกไม่ถึงว่ายังมีนกตัวหนึ่งรับรู้ มองดูจนเขาจากไป เสี่ยวหยวนเองก็จ้องมองมันเหมือนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจกระทั่งสิ้นลม

   ได้พบอี้เทียนอีกครั้ง จิวซือไม่แปลกใจแล้ว คนผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรก็เก่งกาจกว่าเขา หากหมายติดตามก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ตงหวางเล่า เหตุใดจึงอยู่ในร่างนกทุกชาติ เหตุใดจึงปรากฏในที่ๆ เขาต้องการเสมอ คอยตามดูเขาหรือ ไม่หรอก ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น ทั้งที่ปฏิเสธข้อสันนิษฐานนั้น แต่ในใจกลับถูกดวงตาสีทองคู่นั้นดึงดูดไว้ ราวกับบางอย่างค่อยๆ ร้อยรัดเข้ามาอย่างละมุนละไม

ดวงจิตของจิวซือถูกดึงดูดมายังอีกโลกหนึ่ง เป็นด่านทดสอบชาติที่หกของเขา ด่านนี้กล่าวได้ว่าเป็นด่านที่เขาแทบจะพลาดท่า เกือบลงมือสังหารคนผู้หนึ่งไป
ยามีลคือชื่อที่หัวหน้าเผ่าตั้งให้ เผ่าของเขานั้นเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ ดำรงชีวิตในป่าลึก คนในเผ่าที่เป็นเพศชายมีร่างกายแข็งแกร่งว่ามนุษย์ธรรมดา เมื่ออายุครบสิบปีก็จะต้องเข้าป่าไปล่าสัตว์ดุร้ายมาเพื่อผ่านการทดสอบเป็นนักรบของเผ่า แต่ว่ายามีลนั้นร่างกายอ่อนแอแต่เด็ก อย่าว่าแต่ล่าสัตว์เลย แค่ผ่าฟืนตัดต้นไม้ยังยากสำหรับเขา ประกอบกับเจ้าตัวมีรูปร่างบอบบาง ผิวขาวตาโตเหมือนผู้หญิง หัวหน้าเผ่าจึงขายเขาให้กับเศรษฐีใหญ่คนหนึ่งแลกกับเสบียงและยารักษาโรค
เศรษฐีคนนั้นเป็นชายแก่ที่มีรสนิยมทางเพศรุนแรง มักกระทำเรื่องบัดสีและผิดมนุษย์กับทาสของเขา แน่นอนว่ารวมถึงยามีลด้วย เขาต้องทนรับความรุนแรงป่าเถื่อนบนเตียง ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจนมนุษย์คนหนึ่งแทบทนรับไม่ไหว วันหนึ่งความโกรธแค้นของเขาก็ปะทุขึ้น ยามดึกสงัด ยามีลที่เป็นของเล่นชิ้นโปรดของเศรษฐีใหญ่ก็คว้ามีดทำครัวขึ้นมา ดวงตาเลื่อนลอย ร่างกายสั่นสะท้านราวกับไม่ใช่ตนเอง
ทนไม่ไหวแล้ว หากไม่ฆ่าไอ้ชั่วนั่นก็คงจะฆ่าตัวเอง
แต่ตามกฎของเผ่า เขามิอาจจบชีวิตตัวเองได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจจะฆ่าคนชั่ว ขจัดภัยให้ทาสคนอื่นๆ หลังจากนั้นคงมีคนของคฤหาสน์สักคนสังหารเขา
จิ๊บ จิ๊บ
ไม่ทราบนกสีขาวล้วนตัวหนึ่งบินผ่านหน้าต่างห้องครัวตั้งแต่เมื่อใด มันร่อนลงบนไหล่เล็ก ดวงตาสีทองกระจ่างจ้องมองใบหน้าเด็กหนุ่มแล้วร้องเรียกเขาเบาๆ หลายครั้ง กระทั่งดวงตาเลื่อนลอยของยามีลเริ่มกลับมามีสติ เจ้านกน้อยเอียงหัว แล้วใช้จะงอยปากเย็นๆ สัมผัสแก้มของเด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง โดยที่ดวงตายังไม่ละไปจากใบหน้าของเขา มันขยับเข้ามาใกล้อีกนิด กระทั่งหัวเล็กๆ แนบไปกับคางของยามีล แล้วถูไถขากรรไกรของเขาราวกับกำลังปลอบโยน ยามีลตัวสั่นสะท้านก่อนที่มีดจะเลื่อนหลุดจากมือ หล่นกระแทกพื้น พร้อมกับร่างของยามีลที่ทรุดลงนั่งกอดเข่า ปล่อยให้น้ำตาร้อนไหลรินออกมาไม่หยุด
ไม่กี่วันต่อมา เศรษฐีผู้นั้นถูกทาสคนหนึ่งฆ่าตาย โดยที่หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยอย่างไซคัสไม่เพียงไม่ปกป้อง ยังยืนมองเศรษฐีผู้นั้นล้มลงไปต่อหน้า จากนั้นเขายังเป็นคนพาทาสหลายคนในคฤหาสน์หนีออกไป ไซคัสคนนี้ก็คืออี้เทียนนั่นเอง เมื่อไซคัสถามยามีลว่าอยากให้พาไปส่งที่ไหน ยามีลก็อึ้งไป ไปไหนหรือ เขา...ไม่มีที่ให้กลับหรอก
“ข้า...ไม่รู้จะไปที่ใด”
ใบหน้าคล้ำแดดของไซคัสเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิใช่ว่าทาสคนอื่นไม่เคยกล่าวประโยคนี้กับเขา แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด จึงเอ่ยถามเด็กน้อยตัวผอมตรงหน้าว่า “เจ้าชอบหาสมุนไพรหรือไม่”
ยามีลตาโต มองบุรุษในชุดทหารตรงหน้าเต็มตา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนถามถึงความชอบของเขา
“ขอรับ!”
ยามีลถูกไซคัสพาไปยังบ้านหลังเล็กกลางป่าซึ่งบิดาของไซคัสนามว่าเคิร์ดอาศัยอยู่เพียงลำพังเพราะไม่อยากย้ายออกจากบ้านที่ร่วมกันสร้างกับภรรยา ยามีลจึงกลายเป็นผู้ดูแลเคิร์ด ขณะที่ไซคัสไปสมัครเป็นอัศวินของกษัตริย์ ภายหลังเคิร์ดเล่าให้ฟังว่าเศรษฐีคนนั้นเคยช่วยชีวิตของเขาโดยบังเอิญ จึงส่งไซคัสไปรับใช้เพื่อตอบแทนบุญคุณ ไม่คิดว่าเศรษฐีผู้นั้นจะเสียชีวิตกะทันหัน ยามีลไม่ได้เล่าความชั่วร้ายและสาเหตุการตายของเศรษฐีคนนั้นให้เคิร์ดฟัง เกรงว่าเขาจะผิดหวังเสียใจที่ส่งไซคัสไปดูแลคนชั่วช้าเช่นนั้น
ไซคัสได้เป็นอัศวิน และเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว เขามักจะกลับมาเยี่ยมบิดาและยามีลปีละครั้ง บางคราวก็จะฝากคนนำสมุนไพรหรือของน่าสนใจมาให้ เมื่อยามีลเข้าเมืองนำสมุนไพรไปขายก็จะได้ยินข่าวหัวหน้าอัศวินนามว่าไซคัสเสมอ และนำข่าวนี้มาเล่าให้เคิร์ดฟัง กระทั่งเจ็ดปีต่อมา ชาวบ้านก็ลือกันว่าหัวหน้าอัศวินไซคัสเสียชีวิตแล้ว ทางการบอกว่าเขาป่วยตาย แจ่จิวซือรู้ว่าเพราะเขาโดดเด่นจนเป็นภัย จึงถูกเจ้าชายพระองค์หนึ่งกำจัด
 หลังจากไซคัสจากไป ยามีลและเคิร์ดก็มิได้เฝ้ารอผู้ใดกลับมาอีก หนึ่งปีต่อมาเคิร์ดเสียชีวิต ยามีลที่คิดว่าต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวจนตายก็พบว่ามีนกสีขาวดวงตาสีทองตัวหนึ่งมาอาศัยอยู่บนต้นไม้ใกล้บ้านของเขา เขาจดจำดวงตาแสนรู้ของมันได้ ดวงตาหม่นแสงของยามีลจึงทอประกายขึ้นวูบหนึ่ง

   บททดสอบชาติที่เจ็ดก่อนที่จิวซือจะได้พรจากอวิ๋นหนานนั้นเขาชื่อเซียวอู๋หมิง เกิดในครอบครัวที่ดี เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลคหบดีที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลอย่างมากในหัวเมือง เซียวอู๋หมิงดีพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถ อีกทั้งยังมีหัวการค้า บิดาจึงได้มอบกิจการทั้งหมดของตระกูลให้เขาดูแล เขาก็มิได้ทำให้บิดาผู้ล่วงลับผิดหวังด้วยสามารถขยายกิจการของตระกูลจนใหญ่โต นอกจากนั้นยังเป็นที่รักเคารพของชาวบ้านเพราะชอบบริจาคเงินช่วยเหลือคนยากไร้ ตลอดจนสร้างวัดวาอารามต่างๆ ชื่อเซียวอู๋หมิงปรากฏอยู่ในอันดับต้นๆ ของทำเนียบคุณชายที่เป็นที่หมายปองทุกปี
แต่แล้วโชคชะตาก็พลันเล่นตลกกับเขา เมื่อเซียวอู๋หมิงอายุได้สามสิบห้าปี ภรรยาก็ลอบเป็นชู้กับน้องชายต่างมารดาของเขา เซียวอู๋หมิงถูกวางยาพิษ เขาดวงแข็งจึงรอดมาได้ แต่ก็กลายเป็นใบ้หูหนวก แขนขาพิการเดินเหินไม่ได้ ต้องนอนฟังน้องชาย ภรรยาและคนในตระกูลดูถูกเหยียดหยามเช่นนั้นหลายปี ชีวิตที่อยู่ไม่สู้ตายนี้นับว่าโหดร้ายมากทีเดียวสำหรับคนที่เคยเป็นคุณชายใหญ่มีแต่คนไว้หน้าเช่นเขา
วันหนึ่งเซียวอู๋หมิงเห็นนกที่มีขนสีขาวตลอดทั้งตัวเบียดร่างผ่านช่องว่างของบานหน้าต่างที่แง้มไว้ จากนั้นมันก็บินมาเกาะขอบเตียง ห่างจากใบหน้าของเขาเพียงชั่วฝ่ามือ ดวงตาสีทองสว่างมองตรงมาที่เขาอย่างฉลาด เซียวอู๋หมิงไม่เคยพบเห็นแววตาเช่นนี้ในเดรัจฉานตัวใดมาก่อน
ร่างกายของเขาเป็นอัมพาตทั้งตัว ขยับได้เพียงดวงตา ดังนั้นเมื่อเจ้านกตัวเล็กล้มตัวลงนอนโดยเอาหัวเล็กๆ ของมันพาดไหล่ของเขา ดวงตาของเซียวอู๋หมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจและประหลาดใจ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเซียวอู๋หมิงที่ทนรับความอัปยศเพียงลำพังก็มีนกตัวหนึ่งเป็นเพื่อน
หลายปีต่อมา กิจการของสกุลเซียวภายใต้การบริหารของน้องชายเซียวอู๋หมิงเริ่มมีปัญหา คุณภาพของสินค้าต่ำลงจนเกิดการฟ้องร้องและก่นด่า แต่เซียวอู๋หมิงไม่สนใจ ทุกวันนี้เขาเพียงอยากหลุดพ้นเท่านั้น ไม่นานกิจการทั้งหมดของตระกูลก็เริ่มถูกกว้านซื้อโดยสกุลหม่า ตระกูลเซียวล้มละลาย สถานการณ์ย่ำแย่ถึงขีดสุด เวลานี้ยังมีผู้ใดจำได้ว่ามีเซียวอู๋หมิงนอนเป็นผักอยู่ในเรือนหลังเล็กเล่า ดังนั้นเซียวอู๋หมิงจึงได้ตายสมใจ ขอบคุณเจ้าบ้านสกุลหม่าที่ปลดปล่อยเขา เจ้าบ้านสกุลหม่าที่ว่าก็คือจิตเซียนของอี้เทียนนั่นเอง

ชาติที่แปด เขาได้พรจากอวิ๋นหนานและไปอาศัยร่างของหลิวเจียเย่ จิวซือได้ประจักษ์ว่าหลังจากการเสียชีวิตของเขานั้นยังมีผู้คนนึกถึงเขา อาลัยเขา ยามที่ดอกไม้ไฟปรากฏบนท้องฟ้าก็ยังมีหลายคนหยุดมองมันและคิดถึงเขา ร้องไห้เสียใจกับการจากไปของเขา พวกเขายังไม่ลืม แม้ความรักของแฟนคลับอาจเทียบไม่ได้กับความรักของบิดามารดา แต่ความรักนั้นเป็นเรื่องจริง น้ำตาที่เสียให้ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน เป็นความรักบริสุทธิ์ที่ไม่คิดหวังสิ่งใดตอบแทน เพียงหวังให้เขามีความสุข หวังให้ดวงวิญญาณของเขาได้พักผ่อนอย่างสงบ

ชาติที่เก้า หลังจากที่แอสเชอร์และดีแลนจากไปเพียงไม่กี่ปี เจ้าชายรัชทายาทโดมินิกก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรนอร์ท เขาเป็นกษัตริย์ที่ไม่เลว ใส่ใจกิจการบ้านเมืองและมีความรู้ความสามารถ แต่โชคร้ายที่เกิดภัยพิบัติหลายครั้ง ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง ไฟป่า และแผ่นดินไหว จนชาวบ้านที่มีความเชื่อเรื่องเทพสวรรค์เริ่มคาดเดาว่ากษัตริย์แห่งนอร์ทสมควรเป็นเจ้าชายดีแลน แต่เพราะทรงเสียพระทัยกับการตายอย่างกะทันหันของพระคู่หมั้น จึงได้กลายเป็นเทพมังกรไปแล้ว
ผู้คนพากันหลั่งไหลมาสักการะรูปปั้นของแอสเชอร์และดีแลนมากขึ้นทุกปีเพื่อขอพรให้ทั้งสองช่วยปกป้องอาณาจักรนอร์ท จนสถานที่บริเวณดังกล่าวกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังแห่งศรัทธา

ต่อมาในชาติที่สิบ จิวซือเห็นภาพของซีโน่เป็นเจ้าผู้ครองนครแห่งชีวิต แม้จะยังเด็กมากด้วยวัยเพียง 15 ปี เขาไม่ยอมกลับไปอยู่กับพ่อแม่ แต่ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับมหานครแห่งนี้ รวมทั้งมิวเทนท์ทั้งหลายที่ระลึกถึงอลันและเผยแพร่ลัทธิอลานิสออกไป จิวซือไม่คิดมาก่อนเลยว่าชาวนครแห่งชีวิตจะทำถึงขนาดนั้น จะซาบซึ้งและระลึกถึงเขามากมายเพียงนั้น และเมื่อเขาเห็นซีโน่สร้างมังกรไฟเหนือป้ายหินของอลัน ดวงตาของเขาก็ผ่าวร้อนขึ้นมาวูบหนึ่ง เด็กน้อยคนนั้นทำได้แล้ว เพียงแต่เขายังไม่มีโอกาสได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้

ภาพเบื้องหน้ามืดลงอีกครั้ง จิวซือรู้สึกว่าร่างกายถูกพลังอันอ่อนโยนโอบล้อมไว้ จิตเซียนของเขาเหมือนแช่อยู่ในน้ำที่อุ่นสบาย ยังไม่ทันได้ลืมตา ก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มเหมือนดังมาจากที่ไกลๆ แต่กลับได้ยินชัดมาก ก้องกังวานอยู่ในหู

“เซียนน้อย ข้าคือหอคุณธรรม”



#วิถีเซียน3p


......................
อี้เทียนเคยบอกว่าจะเป็นขอทานนั่งข้างๆ :)
ส่วนเหตุผลว่าทำไมตงหวางจึงมาแต่ในร่างนก รอพี่หอคุณธรรมมาเฉลยค่ะ
สามคน เกี่ยวพันกันทุกชาติ จะตัดได้ยังไง ไม่ได้เนอะ นั่งเรือไปสองลำสวยๆ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p :Owner of the Goldern Pagpda (2)
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 11-01-2020 21:44:15
รอติดตามตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ :mew1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p :Owner of the Goldern Pagpda (2)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-01-2020 21:57:44
ตามติดกันไปทุกชาติภพ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p :Owner of the Goldern Pagpda (2)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 26-01-2020 17:45:13
ดีใจทุกชาติภพของจิวซือมีตงหวางและอี้เทียนเคียงข้าง แม้ทั้งคู่จะได้เข้ามาหาโดยตรงแต่ก็คอยตามดูอยู่ตลอด ขอให้เรื่องราวต่อจากนี้เป็นไปอย่างราบรื่นด้วยเถอะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p :Owner of the Goldern Pagpda (2)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 30-01-2020 17:26:10

Owner of the Golden Pagoda (3)


สิ้นคำกลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งก็รวมตัวกันก่อเกิดเป็นร่างของเด็กชายราวแปดขวบ เครื่องหน้าสมบูรณ์แบบแม้ยังเยาว์ ดวงตากลมโตเป็นสีทองสว่างเช่นเดียวกับเส้นผมที่ยาวถึงสะโพก เด็กน้อยสวมชุดสีเงินประดับด้วยลวดลายเมฆและใบไม้ เนื้อผ้าคล้ายจะทอแสงสีขาวเรืองรองออกมา
แขนเล็กวาดออกไปด้านขวาก็ปรากฏภาพของซีโน่กำลังช่วยฝึกการใช้พลังให้เด็กอายุราวห้าหกขวบคนหนึ่ง เด็กชายชุดเงินเบื้องหน้าจิวซือพยักหน้าลงคราหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าเด็กนี่ไม่เลวนะ”
จิวซือขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่พอคาดการณ์จากพลังเทพคุ้นเคยที่แผ่ออก รวมถึงภาพด่านคุณธรรมของเขาที่ฉายอยู่ตรงหน้า จึงเอ่ยถามอย่างมิใครแน่ใจนัก “ท่านคือ...หอคุณธรรมหรือ”
เด็กน้อยผู้นั้นมองจิวซือด้วยสีพึงพอใจ เสียงทุ้มกว่าเด็กทั่วไปเล็กน้อยเอ่ยแนะนำตนเอง “ถูกแล้ว ข้าคือหอคุณธรรม มีนามว่าเยว่เฉียน”
เยว่เฉียนมิใช่เพียงดวงจิตที่พิทักษ์หอคุณธรรม ตัวเขาคือสำนึกที่เกิดขึ้นพร้อมกับหอคุณธรรม กล่าวได้ว่าหากเปรียบหอคุณธรรมคือร่างกาย เยว่เฉียนผู้นั้นก็คือวิญญาณ คือความรู้สึกนึกคิดของหอคุณธรรม ดังนั้นตัวเขาก็คือหอคุณธรรม หอคุณธรรมก็คือเขา
“ซีโน่ เด็กคนนี้ไม่เลวจริงๆ” เยว่เฉียนกล่าวพลางยกมือเรียวของเขาลูบคางด้วยท่าทางมิต่างจากเซียนผู้เฒ่า
จิวซือมองภาพซีโน่ยืนอยู่หน้าป้ายหินที่สลักชื่ออลัน และมังกรไฟที่บินอยู่เหนือหน้าผาบริเวณนั้นด้วยนัยน์ตาอ่อนแสง หัวใจบีบรัดเล็กน้อย ยังคงจดจำเด็กน้อยคนนั้นได้ คนที่วิ่งมาอวดความสำเร็จเล็กๆ ของตนเอง และขอสัญญาเรื่องหนึ่งกับเขา เพียงระยะเวลาสั้นๆ ของการเป็นเซียนกลับผูกพันและสร้างร่องรอยชีวิตไว้ผ่านความคิดคำนึงของผู้อื่น
   “เป็นข้าที่ผิดสัญญากับเขา”
   เยว่เฉียนยิ้มเจ้าเล่ห์ กล่าวว่า “ไว้เจ้าค่อยทำตามสัญญาก็ยังมิสาย”

เยว่เฉียนบอกว่าจะพาจิวซือไปที่แห่งหนึ่ง ระหว่างทางเขาเล่าความเป็นมาของตนเองและหอคุณธรรมแห่งนี้ หอคุณธรรมถือกำเนิดขึ้นเมื่อราวหนึ่งพันปีก่อนในชายแดนธารหมอก อันเป็นบ้านของเหล่าของวิเศษ ไม่มีผู้ใดสร้างมันขึ้นมา เป็นสิ่งวิเศษที่ถือกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติด้วยพลังฟ้าดิน แน่นอนว่าย่อมวิเศษว่าของที่ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจ ยามกล่าวประโยคนี้ แผ่นหลังของเยว่เฉียนก็ตั้งตรงขึ้นอีกหน่อย ใบหน้าก็เชิดขึ้นอีกนิด
เมื่อแรกกำเนิดนั้น เยว่เฉียนยังเป็นแค่ทารกไม่รู้ความ เขาจำศีลซึมซับพลังฟ้าดินอยู่เจ็ดร้อยปี ก่อนจะพบว่าหอคุณธรรมเติบโตขึ้นอีกขั้น และต้องการการบำรุงจึงออกตามหาสถานที่ที่เหมาะสม กระทั่งลงเอยที่ภพสวรรค์ ด้วยมีทั้งพลังฟ้าดิน และพลังเทพหลากหลาย นอกจากนั้นยังมีแม่น้ำสายใหญ่เปี่ยมด้วยพลังวิญญาณที่เชื่อมต่อไปยังยมโลก อันเป็นของบำรุงชั้นดี
หลังจากนั้นไม่กี่เพลาก็มีเทพมากหน้าหลายตาพยายามครอบครองหอคุณธรรม แต่เพราะเขาเป็นของวิเศษที่เกิดตามธรรมชาติ ดังนั้นไม่มีใครทราบจุดอ่อนของเขา ไม่มีใครหาแก่นแท้ของเขาพบ จึงไม่มีใครทำสำเร็จ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปลอดภัยตลอดไป ดังนั้นเมื่อพวกเทพต้องการใช้หอแห่งนี้เป็นสถานที่ทดสอบเซียน เยว่เฉียนจึงให้ความร่วมมือ กลายเป็นของวิเศษของภพสวรรค์โดยพฤตินัยจวบจนวันนี้
เป็นที่รู้กันว่าหอคุณธรรมเป็นหอทรงหกเหลี่ยมสีทองสูง 11 ชั้น ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับคัดเลือกเทพหน้าใหม่ เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในหอคุณธรรมประกอบด้วยผู้คุมกฎและผู้คุมสอบ สังกัดกองบริหาร ขึ้นตรงกับจอมเทพ ทว่าไม่มีผู้ใครทราบแม้แต่น้อยว่านอกจากพื้นที่ 11 ชั้นที่คนทั่วไปเห็นนั้น ยังมีชั้นใต้ดินอีกชั้นหนึ่ง
เยว่เฉียนพาจิวซือมาถึงชั้นใต้ดิน คาดว่าคงจะมีแต่เยว่เฉียนเท่านั้นที่สามารถเข้ามายังชั้นนี้ได้ ชั้นใต้ดินดูมิคล้ายพื้นที่ชั้นหนึ่งของหอสูง แต่ดูเหมือนอาณาเขตดินแดนหนึ่ง แม้มิถึงขนาดกว้างไกลสุดลูกตา แต่ก็ทอดยาวออกไปหลายร้อยลี้ ประกอบด้วยพื้นหญ้าสีเขียวขจี และเนินเขาสลับไล่ความสูงกัน ทั้งยังมีแม่น้ำสองสีทอดยาวตัดผ่านใจกลางดินแดน
“น้ำสีครามนั้นเชื่อมกับภพสวรรค์ ไปจนใกล้วังกลางของจอมเทพ ส่วนที่ออกสีฟ้าอมเขียวนั่นเชื่อมกับแม่น้ำซันสีในยมโลก หรือหากเจ้าต้องการให้มันเชื่อมไปที่อื่นก็ได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องเสียสละวัตถุมีค่าสักหน่อย”
ไม่จำเป็นต้องอาศัยสะพานเชื่อมภพ หรือตราผ่านทาง อีกทั้งยังเป็นเส้นทางที่ไม่มีใครรู้ หอคุณธรรมอาศัยพลังเทพ และพลังวิญญาณในการเติบโต หยั่งรากลึกในสองภพโดยที่เจ้าของบ้านไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย
“หอคุณธรรมมิใช่ของวิเศษสำหรับต่อสู้ แต่เป็นสายสนับสนุน สามารถเพิ่มพลังให้เจ้าอย่างไม่รู้จบ ต่อให้เป็นเทพบรรพกาลก็ไม่มีพลังเทพมากมายเท่าเจ้า อืม เอาไว้โอ้อวดรัศมีเทพได้ไม่เลว”
โอ้อวดรัศมีเทพเท่านั้นหรอกหรือ ของวิเศษหากทำได้เพียงแค่นี้จะไม่ดูถูกพลังฟ้าดินไปหน่อยหรือ ทั้งที่เป็นผู้ตัดสินบททดสอบในด่านคุณธรรมของเซียนทั้งหลาย แต่เจ้าตัวกลับบอกสรรพคุณครึ่งๆ กลางๆ จิวซือจึงถามอย่างลองเชิงว่า “เช่นนั้นเพิ่มพลังให้ผู้อื่นได้ด้วยหรือไม่”
เยว่เฉียนฉีกยิ้มพอใจ “ย่อมได้ หากเกิดสงคราม ฝ่ายใดครอบครองหอคุณธรรม ฝ่ายนั้นกล่าวได้ว่ามีชัยไปว่าครึ่งแล้ว”
นอกจากจะสามารถดึงพลังธรรมชาติมาเพิ่มพูนพละกำลังของฝ่ายตัวเอง หอคุณธรรมยังเปรียบเสมือนดวงตารอบรู้ทุกภพด้วยพลังวิญญาณมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง หากมิใช่ตัวช่วยที่โกงแสนโกงแล้วยังเรียกว่าอะไรได้อีก
เมื่อเห็นว่าเซียนน้อยที่เขาเลือกด้วยตัวเองตระหนักถึงความสำคัญและความพิเศษของหอคุณธรรมแล้ว เยว่เฉียนก็ลูบคางที่ปราศจากเคราอย่างอารมณ์ดี ตัวเขานั้นล้ำค่าถึงเพียงนี้แต่มิอาจโอ้อวดให้ผู้ใดฟัง ทั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่ทำงานของภพสวรรค์ ช่างชวนให้คับใจยิ่ง เดิมทีคิดว่าจะดำรงตนเป็นอิสระเช่นนี้ต่อไป มิคาดกลับถูกชะตาเซียนน้อยตนหนึ่งเข้า ดวงตาสีทองของเยว่เฉียนหรี่ลงเมื่อนึกถึงเทพบรรพกาลองค์หนึ่ง เขาชี้ชวนให้จิวซือนั่งลงบนโขดหินข้างแม่น้ำ ก่อนจะถาม
“รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด ด่านคุณธรรมของเจ้าจึงยากลำบากทุกชาติ”
จิวซือส่ายหน้า ในใจเคยคาดเดาเหตุผลมากมายแต่สุดท้ายก็ยังมิทราบอยู่ดี เพียงแต่เมื่อได้เห็นทั้ง 11 ชาติของตนเองอีกครั้ง ก็พบว่าคงมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับตงหวางและอี้เทียน
“นี่ต้องโทษที่ตัวเจ้าสะกิดความระแวงของเทพบรรพกาลองค์หนึ่ง นางมีนามว่าอวิ๋นซูเหยา บรรพบุรุษต้นตระกูลอวิ๋น ที่ผู้อื่นเรียกขานกันว่าพระแม่ มารดาแห่งมหาสมุทรนั่นแหละ อวิ๋นหนานเป็นมังกรทองเช่นเดียวกับนาง ทั้งยังมีพรสวรรค์สูงกว่าเผ่ามังกรรุ่นหลัง นางจึงเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ”
เทพผู้สร้างมหาสมุทรนั้น จิวซือย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของพระนาง ทราบว่าเหล่าเทพบรรพกาลล้วนปลีกตัวพำนักอยู่ในเขตแดนพิเศษของตัวเอง หากไม่ได้รับอนุญาต ผู้ใดก็บุกรุกเข้าไปไม่ได้ มีเทพเซียนหลายองค์อยากกราบเทพบรรพกาลเป็นอาจารย์ แต่น้อยนักที่จะสมปรารถนา
“ชื่อสกุลอวิ๋นมีเพียงเชื้อพระวงศ์เผ่ามังกรเท่านั้นจึงจะใช้ได้ เดิมทีตระกูลอ้าวเหยียนและตระกูลอวิ๋นถือเป็นผู้ทรงศักดิ์ มากฤทธิ์ทั้งคู่ แต่ตอนที่เหล่าเทพเลือกผู้ปกครองนั้น ตระกูลอ้าวเหยียนร่ำรวยเงินทองของวิเศษจึงติดสินบนเหล่าเทพไปไม่น้อย สุดท้ายจอมเทพจึงกลายเป็นคนของตระกูลอ้าวเหยียน อวิ๋นซูเหยาย่อมไม่พอใจ รังเกียจพวกเทพที่ซื้อได้ด้วยของวิเศษ ดังนั้นแม้จะปลีกวิเวกแล้วก็ยังคงสอดส่องความเป็นไปของภพสวรรค์และภพมังกรอยู่เสมอ”
“ตระกูลอ้าวเหยียนให้เกียรติตระกูลอวิ๋นส่วนหนึ่งก็เพราะเหตุนี้ อีกส่วนหนึ่งก็เพราะพระนางเป็นผู้หยั่งรู้อนาคต” ยามที่กล่าวประโยคนี้ สีหน้าของเยว่เฉียนแฝงแววเยาะเย้ยไม่ปิดบัง
“แต่ผู้หยั่งรู้ก็ยังมิอาจฝืนชะตา มิเช่นนั้นตระกูลอวิ๋นคงขึ้นเป็นจอมเทพนานแล้ว” สีหน้าเยว่เฉียนบ่งบอกถึงความสมใจ นัยน์ตาสีทองโค้งลงทำให้ใบหน้าเล็กดูซุกซนผิดกับบรรยายกาศรอบตัว หอคุณธรรมกำเนิดจากพลังฟ้าดิน ย่อมเชื่อถือในลิขิตสวรรค์และวาระวาสนาของแต่ละคนเป็นที่สุด เช่นเดียวกับที่เขาเลือกจิวซือ เขาเองก็เชื่อว่านี่คือชะตาลิขิต จึงไม่เพียงไม่ขัดขืน กลับช่วยส่งเสริมเต็มที่ ดังนั้นกับผู้ที่พยายามฝืนลิขิตฟ้าอย่างพระแม่แล้ว เยว่เฉียนมีแต่ความไม่ชอบหน้าและสะใจในความทุกข์ของผู้อื่นมอบให้
“พระแม่รู้อนาคตย่อมเห็นว่าเจ้าจะได้ครอบครองหอสูงแห่งนี้เมื่อสำเร็จเป็นเทพ หอคุณธรรมนี้ผู้ใดได้ครอบครองย่อมเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนใหม่ นางไม่ต้องการให้เซียนเล็กๆ ไร้สกุลอย่างเจ้าได้ไป แม้ด้ายแดงของเจ้าปลายด้านหนึ่งจะร้อยไว้กับอวิ๋นหนาน ทายาทรุ่นหลังของนาง แต่ปลายอีกด้านยังมิหลุดจากเจ้าแห่งยมโลก อ้อ ที่สำคัญ นางชิงชังผู้ที่ได้ครอบครองของวิเศษทั้งหลายยิ่งนัก สุดท้ายจึงพยายามมิให้เจ้าสำเร็จเป็นเทพอย่างไรเล่า”
“แต่นางไม่รู้หรอกว่าหากนางไม่แทรกแซง ข้าจะไม่มีทางสังเกตและตามดูเจ้า สุดท้ายหอคุณธรรมนี้คงไร้ผู้สืบทอดตลอดไป”
เยว่เฉียนเงยหน้ามองฟ้าด้านหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่ากังวานไปทั่วบริเวณชวนให้คาดเดาว่าข้อความนี้ตั้งใจส่งให้ผู้ใด “หึ คิดฝืนลิขิตสวรรค์ สุดท้ายก็เป็นผู้เดินตามลิขิตสวรรค์เช่นเดียวกับผู้อื่น”

เยว่เฉียนโบกมือคราหนึ่ง หินสีชมพูใสมีความกว้างเท่าหนึ่งคนโอบก็ค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือผืนน้ำ และลอยอยู่กลางอากาศ มันมีความสูงเท่าผู้ชายตัวโต ผิวเรียบเนียนทอแสงขาวจางๆ อีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมของพลังบริสุทธิ์ออกมา จิวซือที่นั่งอยู่ใกล้ๆ รู้สึกได้ว่าพลังเซียนของเขาเพิ่มพูนขึ้นทันทีที่สูดหายใจ
“นี่เป็นแก่นแท้ของหอคุณธรรม หากเจ้าหล่อหลอมมันเป็นของตนเองได้ ก็ถือว่าได้สืบทอดหอคุณธรรมแห่งนี้ ดูจากพลังเซียนของเจ้าแล้วคงใช้เวลาไม่เกินร้อยปี”
   หนึ่งร้อยปีตามเวลาของภพสวรรค์ กระทั่งตามอายุขัยของเทพแล้วก็ยังถือว่านานพอดู จิวซือย่นหัวคิ้วอย่างใช้ความคิด ได้ครอบครองหอคุณธรรม ไม่ว่าใครก็ต้องยินดีทั้งนั้น วาสนายากพานพบ เขาไม่คิดปฏิเสธ ทว่าในใจรู้สึกเหมือนติดค้าง ติดค้างอวิ๋นหนาน ติดค้างอี้เทียน อยากพบหน้าพวกเขา อยากกล่าวขอบคุณที่ติดตามเขาไปทุกชาติ ลึกลงไปในใจ อยากถามโดยไม่ละอายว่า...ยินดีอยู่ด้วยกันกับเขา เป็นครอบครัวเดียวกันหรือไม่
   ความคิดที่ทำให้ร้อนใจ ถูกแล้ว หากเป็นเวลานี้ เขาปรารถนาจะเอ่ยถามออกไปตามตรง หนึ่งชีวิตมนุษย์ สิบเอ็ดชาติภพในด่านคุณธรรม แคล้วคลาดแลหวนประสบ ก่อเกิดเป็นความรู้สึกพิเศษในใจ ความรู้สึกว่าไม่อยากพลัดพรากอีก แม้มิทราบว่าแท้จริงแล้วหัวใจหนึ่งดวงสามารถรองรับคนสองคนได้พร้อมกันหรือไม่ก็ตาม   
   “อะไร เจ้าไม่ยินยอมหรือ” เห็นเซียนน้อยที่ตนเองเลือกเป็นนายไม่ตื่นเต้นยินดีอย่างที่คาด กลับมีสีหน้ากังวลใจ เยว่เฉียนจึงถามเสียงเข้ม แก้มทั้งสองข้างพองตัวอย่างน่ารัก
   “ย่อมยินยอม เพียงแต่...”
“ไม่ต้องห่วงเจ้าหนุ่มสองคนนั่นหรอก หากพวกเขารอไม่ได้ จะคู่ควรกับเจ้านายของข้าเยว่เฉียนได้อย่างไร” สิ้นเสียงประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนของเยว่เสียง พวกเขาก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากด้านบน เมื่อเงี่ยหูฟังก็ทราบว่าอี้เทียนกำลังอาละวาดที่ดวงจิตของจิวซือหายไป ผู้คุมสอบที่พาดวงจิตของจิวซือกลับมาก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดหอคุณธรรมที่รับดวงจิตของเซียนน้อยไปแล้วยังไม่บอกผลการเลื่อนขั้นของเขา ทั้งยังหายเข้ากลีบเมฆ ไม่ว่าพวกเขาผู้คุมพยายามสื่อสารอย่างไรก็มิได้ความแม้แต่น้อย
“เจ้าเด็กนี่ยังใจร้อนไม่เปลี่ยน” เยว่เฉียนหัวเราะ กล่าวต่อว่า “ตอนเขามาหอคุณธรรมครั้งแรก ก็ไล่อ่านทำเนียบเซียนทุกบรรทัดหาชื่อของเจ้า ไม่ยอมรับบททดสอบสักที สุดท้ายก่อนไปด่านคุณธรรม เขาอธิษฐานให้ได้พบเจ้า ข้าคิดว่าน่าสนุกจึงช่วยเปิดทางให้”
“ถึงได้พบกัน เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเจ้า ทุกครั้งก่อนเข้าด่านคุณธรรม ต้องขออ่านทำเนียบเซียนรอบหนึ่ง กระทั่งหมดหวังคิดว่าเจ้าคงมิได้เข้าสู้วิถีเซียน จึงยอมเป็นเทพยามาแทนอาจารย์ของเขา ยอมอยู่ค้ำบัลลังก์ทมิฬเงียบเหงาหมื่นปี คิดว่าคงต้องการตามหาดวงวิญญาณของเจ้านั่นแหละ นับว่าจริงใจต่อเจ้าโดยแท้”
เยว่เฉียนโบกมือคราหนึ่ง แม่น้ำก็สะท้อนภาพอี้เทียนที่กำลังพิสูจน์ตนเองเพื่อขึ้นเทพยามา เทพยามานั้นเป็นเจ้านายของยมโลก ดังนั้นหากต้องการเป็นเจ้านายก็ต้องทำให้ยมโลกยอมรับ เขาต้องฝ่ามนต์ลวงตาท่ามกลางหมอกพิษ ข้ามทะเลทรายไร้สิ้นสุดโดยปราศจากน้ำและอาหาร อดทนความร้อนแทบละลายกระดูกของทะเลลาวาเดือด รวมถึงรับมืออสูรร้ายและวิญญาณอาฆาตในแม่น้ำซันสี ทุกคราที่เขาใกล้จะถอดใจ จิวซือได้เขาพึมพำเรียกชื่อซื่อเสวี่ยนซ้ำๆ ราวกับชื่อนั้นเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเพียงสิ่งเดียวของเขา
เพราะเหตุนี้...อี้เทียนจึงมิได้ไปหาเขาที่วังตะวันออก จิวซือรู้สึกดวงตาร้อนแผ่วยามที่เฝ้ามองคนผู้นั้นเผชิญอันตรายจนดวงจิตแทบแตกสลาย

   “ส่วนนกสีขาวที่ติดตามเจ้าทุกภพ เป็นเพราะนับตั้งแต่มนุษย์ที่ชื่อว่าซื่อเสวี่ยนรับดาบแทนหนานจงฮ่องเต้ ซึ่งเป็นร่างจำแลงของเทพอวิ๋นหนาน เขาก็รักเจ้าแล้ว ดังนั้นจึงแบ่งเสี้ยวจิตติดตามเจ้าไปทั้งที่ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นเทพจำแลงลงมา เขาต้องการจองตัวเจ้า น่าเสียดายที่แก้วผลึกสีทองของเขาถูกพระแม่สร้างรอยไว้ ทำให้ลืมเรื่องของเจ้าไป จึงได้แต่เป็นนกน้อยคอยเฝ้าดูเจ้าเท่านั้น”
   “เหตุใดพระแม่ต้องทำเช่นนั้นเล่า”
   “เขาหลงรักเจ้าถึงขั้นสละเสี้ยวดวงจิตของตนเองย่อมไม่ผ่านด่านรัก นางช่วยเขาตัดเจ้าออกไป ก็เท่ากับช่วยตงหวางผ่านด่านรักทางอ้อม”
    “เช่นนั้น ตอนนี้เขา...”
“หึ จำได้แล้ว ข้าคืนเสี้ยวจิตนั้นให้เขา ครอบครองหอคุณธรรมดวงจิตย่อมต้องบริสุทธิ์ จะปนเบื้อนได้ยังไง คืนเสี้ยวจิตให้เขาก็เท่ากับว่าคืนความทรงทุกชาติที่เขาตามติดเจ้าให้เขาในคราวเดียว” กล่าวจบเยว่เฉียนก็ก้มลงมองบางอย่างในมือ จากนั้นเขาก็เงยหน้าหัวเราะฮาๆ ประหนึ่งตัวร้ายในละครหลังข่าวของพวกมนุษย์ “ตงหวางเอ๋ยตงหวาง ท่านกำลังคลั่งไคล้เจ้านายน้อยของข้าแทบบ้าแล้ว ฮ่าๆ วางมาดตีหน้าตายแต่ภายในใกล้คลุ้มคลั่งเต็มทน ดี! สมควรแล้ว! บังอาจให้พรเจ้าสามชาติเท่ากับหยามหน้าข้าเยว่เฉียน ข้าต้องให้เขารอ ให้ร้อนใจจนนั่งไม่ติดทีเดียว!”
เยว่เฉียนยังคงหัวเราะด้วยสีหน้าท่าทางของตัวร้าย ปราศจากคุณธรรมเช่นนั้นนานนับนาที เห็นได้ชัดว่าเขาสนุกสนานเพียงใด

“เอาละ ร้อยปีต่อจากนี้ เจ้าอยู่กับข้าที่นี่จนกว่าจะได้ครอบครองหอคุณธรรมแห่งนี้โดยสมบูรณ์เถอะ”


#วิถีเซียน3p

……………………………

เนื้อเรื่องหลักเหลืออีกหนึ่งตอน เดี๋ยวจะพยายามให้เสร็จ และลงให้อ่านภายในวันอาทิตย์นะคะ
ส่วนตอนพิเศษที่เหลือติดตามได้ในหนังสือและ ebook ค่ะ (รายละเอียดในเพจ fb: Whitedemon21 ค่ะ)
ขออภัยที่มาช้าด้วยนะ อาจารย์สั่งงานเหมือนสั่งฆ่าเลยค่ะ T^T

อวิ๋นหนาน & อี้เทียน: ให้ฉันรอแล้วได้อะไร
เยว่เฉียน: ใครรอได้ก็รอ รอไม่ได้ก็ไสหัวไปเสีย

หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p :Owner of the Goldern Pagpda (3)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 30-01-2020 21:24:59
 :katai2-1:

จิวซือทำบุญด้วยอะไรมา มีคนสองคนมอบหัวใจรักจริงมิเสื่อมคลาย มีดวงจิตน้อยจอมซุกซนสนับสนุน


สนุกมาก ๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p :Owner of the Goldern Pagpda (3)
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 30-01-2020 23:43:20
รอติดตามค่า :mew1:
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p :Owner of the Goldern Pagpda (3)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-01-2020 02:47:33
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p :Owner of the Goldern Pagpda (3)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 31-01-2020 15:00:52
อีกร้อยปีรอได้อยู่แล้วใช่มั้ยทั้งเทพอวิ๋นหนานกับอี้เทียนเลย เวลาร้อยปีคงไม่นานเกินไปหรอกนะทั้งสองคน ส่วนจิวซือต้องทำช่วงเวลาร้อยปีต่อจากนี้ให้มีค่ามากที่สุดนะ เอาใจช่วยทั้งสามคนเลย
หัวข้อ: Re: เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p :Owner of the Goldern Pagpda (3)
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 04-02-2020 17:29:32

The End

   เกิดความโกลาหลขนาดย่อมๆ ขึ้นในภพสวรรค์เมื่อจู่ๆ หอคุณธรรมซึ่งตั้งอยู่ในอาณาเขตชั้นนอกของภพสวรรค์ก็ดีดทั้งเทพเซียนทั้งหลายที่อยู่ภายในหอออกมาทั้งหมด ถูกแล้ว ดีดออกมา ประหนึ่งมีมือที่มองไม่เห็นขนาดใหญ่ใช้นิ้วดีดตัวพวกเขาออกมา จากนั้นหอสูงที่เคยเปล่งรัศมีสีทองก็แปรเปลี่ยนเป็นเจดีย์หินธรรมดา ไร้พลังวิเศษ ราวกับว่าหมดพลังลงเสียงอย่างนั้น
   เหล่าผู้คุมกฎและผู้คุมสอบต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ขณะที่คนหนึ่งส่งสารไปแจ้งคนของวังกลางด้วยเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใดขึ้น เวลาเดียวกันนั้นก็ปรากฏร่างของตงหวาง เจ้าวังตะวันออกเร่งรุดมา พอให้เหล่าเทพชั้นผู้นั้นทั้งหลายค่อยคลายกังวล
   อวิ๋นหนานแม้สีหน้าเรียบเฉยทว่าภายในร้อนรุ่ม เซียนน้อยของเขากำลังจะได้เลื่อนเป็นเทพ และได้ครอบครองหอคุณธรรม สิ่งวิเศษแห่งภพสวรรค์ เซียนน้อยที่เขาหมายตาไว้ที่แท้แล้วเป็นคู่บุพเพของเขาเช่นกัน เป็นของเขามาหลายชาติภพ หัวใจอวิ๋นหนานพลันเต้นแรงขึ้นด้วยความคาดหวังรอคอย ดวงตาสีทองมองหอสูงที่บัดนี้กลายเป็นเพียงหินธรรมดาตั้งแต่ยอดตรงฐานคราหนึ่ง ก่อนจะสืบเท้าไปหยุดอยู่ข้างอี้เทียน
   “เขาอยู่ข้างใน” น้ำเสียงทุ้มต่ำของอี้เทียนเอ่ยขึ้นโดยที่ดวงตาสองสียังมิละจากหอคุณธรรม
   อวิ๋นหนานพยักหน้าหน้าบ่งบอกว่าเขาเองก็ทราบเช่นกัน คงเป็นดวงจิตของหอคุณธรรมที่ส่งสารบอกพวกเขาทั้งคู่ ให้ช่วยปกป้องหอคุณธรรมจนกว่าจิวซือจะสำเร็จเป็นเทพ และเป็นนายของมัน ข้อแลกเปลี่ยนก็คือยินยอมให้พวกเขาเข้าไปเยี่ยมเซียนน้อยได้
   “ข้าจะไปพบจอมเทพ ที่นี่...ฝากเจ้า” ผู้เป็นเจ้าวังตะวันออกกล่าว
   อี้เทียนส่งเสียงหึในลำคอ ต่อให้ไม่พูด เขาก็ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้หอคุณธรรมอยู่แล้ว กระนั้นก็ยังคงยอมรักษามารยาทด้วยการตอบรับในลำคอ แสดงอาการไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่บ้าง เรื่องให้ไปเจรจากับพวกเทพทั้งหลายแห่งภพสวรรค์นั้น ยุ่งยากเกินไปในความคิดของเขา
   บรรดาผู้คุมและเทพชั้นผู้น้อยอื่นๆ ต่างส่งสายตาให้กันด้วยความสงสัยแกมแปลกใจ ไม่ทราบว่าเทพยามาและตงหวางของพวกเขาสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อใด
   คล้อยหลังอวิ๋นหนาน อี้เทียนก็กางมือทั้งสองข้างออก พลังเทพสีทองบริสุทธิ์พวยพุ่งออกจากมือด้านหนึ่ง ขณะที่พลังปีศาจสีดำสนิทแผ่ออกจากฝ่ามืออีกด้านหนึ่ง ก่อเกิดเป็นกำแพงพลังสีทองสลับดำดูน่าเกรงขามเข้าล้อมรอบอาณาเขตของหอคุณธรรมไว้ ร่างสูงสง่ายืนอยู่เบื้องหน้ากำแพงที่ตนเองสร้างขึ้น สายตาเปี่ยมอำนาจกวาดมองผ่านผู้ใด ผู้นั้นก็อดรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลจนต้องถอยร่นมิได้ ราวกับจะบอกว่า ‘มีข้าอยู่ ผู้ใดก็ผ่านเข้าไปไม่ได้’
เปียวขุยจำได้ว่าสองเทพเคยมาเยือนหอคุณธรรม และกระทั่งแฝงดวงจิตไปยังด่านคุณธรรมพร้อมกับเซียนที่ชื่อจิวซือ ซึ่งอยู่ในการดูแลของเขา จึงอดสงสัยมิได้ว่ามีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ทว่าทันทีที่เทพยามาปรายตามอง เปียวขุยก็รีบก้มหน้าลง เกี่ยวข้องหรือไม่ล้วนมิใช่ธุระกงการของเขาแล้ว

   อวิ๋นหนานกลับมาหอคุณธรรมในช่วงเย็นพร้อมกับนายทหารจำนวนหนึ่งที่แยกย้ายกันเฝ้าตามจุดต่างๆ รอบหอคุณธรรม ทันทีที่อวิ๋นหนานและอี้เทียนอยู่ห่างจากหอคุณธรรมไม่เกินสิบก้าว ร่างของพวกเขาทั้งสองก็หายไป ก่อนจะปรากฏขึ้นที่ชั้นใต้ดินของหอคุณธรรม
เหนือแม่น้ำสองสี เห็นจิวซือในชุดเซียนสีขาวล้วนทั้งตัวนอนอยู่บนก้อนหินสีชมพูใสที่บัดนี้แปรสภาพเป็นเตียงหินขนาดพอดีตัว ทั้งเตียงหินและผู้ที่นอนหลับตาอยู่บนนั้นต่างเปล่งแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกมา ชวนให้สีสันของสิ่งอื่นๆ ดูจืดจางลง
   ขณะที่ทั้งสองเทพก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างลืมตัว ก็มีเสียงยียวนเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง “เอ้าๆ เจ้าเด็กไม่รู้ความสองคนนี้ อย่าเข้าไปใกล้มาก จะรบกวนเขาหรืออย่างไร”
   ผู้ที่สามารถกล่าววาจาเช่นนี้ต่อเทพชั้นสูงสององค์ได้ เห็นจะมีแต่เยว่เฉียนนั่นแหละ ด้วยเจ้าตัวในเวลานี้ยึดถือจิวซือเป็นคนของตัวเองเรียบร้อย อีกทั้งเซียนน้อยของเขายังดีมาก กลัวว่าจะถูกเทพสององค์นี้หลอกลวงเอา ฉะนั้นจะยอมยกให้ง่ายๆ ได้อย่างไร เยว่เฉียนตีหน้าเคร่งขรึม กล่าวย้ำว่า “ที่ยอมให้เข้ามาไม่ได้หมายความว่าต้อนรับหรอกนะ”
   หนึ่งผู้ปกครองวังตะวันออก มียศศักดิ์เป็นรองเพียงจอมเทพของภพสวรรค์ หนึ่งเป็นเจ้าแห่งยมโลก นายของทุกดวงวิญญาณ สุดท้ายแล้วก็ยังต้องสงบปากสงบคำไม่เอ่ยเถียงเยว่เฉียนสักครึ่งคำ ด้วยเกรงว่าจะถูกเขาขับไล่จากหอคุณธรรม
   
   กิจวัตรของสองเทพหนึ่งดวงจิตในแต่ละวันล้วนผ่านไปอย่างกลมเกลียว เยว่เฉียนคิดว่าเขามีความสุขสนุกสนานที่สุดนับตั้งแต่ถือกำเนิดมา ด้วยมีเทพชั้นสูงสององค์คอยเอาอกเอาใจ นึกแล้วก็อยากมีเพื่อนตัวน้อยๆ เพิ่มขึ้นสักสองสามคน คงจะทำให้สถานที่แห่งนี้ครึกครื้นขึ้นไม่น้อย
   “เจ้าวาดข้าไม่หล่อเหลาเท่าตัวจริง”
   มุมปากของอี้เทียนกระตุก เขาต้องสูดลมหายใจลึกเพื่อข่มกลั้นความคุกรุ่นในใจเมื่อได้ยินเยว่เฉียนบ่นเสียงดังว่าภาพเหมือนที่เขาวาดให้นั้นไม่หล่อเหลาถูกใจเจ้าตัว หากมิใช่เพราะต้องการอาศัยเด็กน้อยนี่ในการเข้ามาในหอคุณธรรม เขาหรือจะมีกระจิตกระใจยอมทำตามคำขอร้องไร้สาระของเยว่เฉียน นี่กระไร เขาตั้งใจวาดอย่างสุดความสามารถ เจ้ามารน้อยนี่กลับไม่พอใจ
   “เอ้า เปลี่ยนคนๆ ตงหวาง ท่านมาวาดให้ข้า”
   สิ้นประโยคคำสั่งของเยว่เฉียน ริมฝีปากของอี้เทียนก็พลันยกขึ้นอย่างสะใจ เขารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทรงกลมที่ทำจากหิน สะบัดชายเสื้อคลุมเล็กน้อยเปิดทางให้อวิ๋นหนานด้วยใบหน้าเปี่ยมไมตรี ขณะที่เจ้าวังตะวันออกรับพู่กันมาอย่างเสียมิได้ ก็ยังดีที่วันนี้แค่เป็นเพื่อนเจ้ามารน้อยวาดรูป มิได้ต้องพาเข้าออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน
   ถูกแล้ว ในสายตาของสองเทพ เยว่เฉียนได้เปลี่ยนเป็นมารน้อยไปเรียบร้อย

   วันแล้ววันเล่า อาณาเขตที่เคยครึกครื้นด้วยเป็นที่ตั้งของหอคุณธรรม และสถานที่ที่เซียนทุกตนที่ต้องการเลื่อนขั้นเป็นเทพต้องรู้จัก ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากบทสนทนาของเหล่าเทพเซียน บ้างก็ว่าหอคุณธรรมสิ้นอิทธิฤทธิ์แล้ว บ้างก็ว่าเป็นฝีมือของเทพยามาที่ต้องการครอบครองหอแห่งนี้ ขณะที่บางแหล่งข่าวเชื่อมโยงไปถึงภพมังกรด้วยเกี่ยวข้องกับตงหวาง นอกจากคนไม่กี่คนแล้ว ไม่มีผู้ใดทราบว่าในชั้นใต้ดินของหอคุณธรรม มีเซียนน้อยตนหนึ่งกำลังบำเพ็ญเพียรเพื่อหล่อหลอมแก่นแท้ของหอคุณธรรมเป็นของตน

   

77 ปีต่อมา
   จู่ๆ หอคุณธรรมที่เคยเงียบสงบดังภูเขาหินที่ถูกทิ้งร้างก็เปล่งแสงสีทองสว่างจ้า พลังเทพบริสุทธิ์พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กลิ่นอายของเทพชั้นสูงแผ่กระจายไปทั่วภพสวรรค์ เวลาเดียวกันนั้นเอง ท้องฟ้าเหนือหอคุณธรรมก็ปรากฏตัวอักษรสีทองสง่างามสองตัว รวมกันเป็นคำว่า “ซือเนี่ยน” ที่แปลว่าคะนึงหา เป็นฉายาเทพที่สวรรค์ประทานให้ การที่ฟ้าดินมอบชื่อเทพให้แก่เทพองค์ใดองค์หนึ่งนั้นเป็นปรากฏการณ์หายากและคู่ควรแก่การแสดงความยินดี เพราะนั่นแปลว่าฟ้าดินรับรู้และรับรองความเหมาะสมของเทพใหม่องค์นี้ อักษรซือและอักษรเนี่ยนลอยเด่นอยู่กลางนภานานนับนาทีราวกับต้องการประกาศการถือกำเนิดของเทพองค์นี้แก่ทุกภพ ให้ต้อนรับการมาของเขา

   ภายในหอคุณธรรม
   เปลือกตาของจิวซือขยับแยกออกจากกัน เผยให้เห็นดวงตาสีทองอร่ามสวยงามอย่างอัญมณีล้ำค่า เส้นผมของเขาเองก็เปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามยาวสยายจนปลายผมระกับผืนน้ำ ดวงหน้ารูปไข่คล้ายถูกช่างฝีมือดีสลักเสลาให้คมคายกว่าเดิม ตลอดทั้งร่างเปล่งรัศมีของเทพชั้นสูงออกมาไม่หยุด เพราะเจ้าตัวยังควบคุมพลังของตนเองไม่ได้
“ซือซือ”
“อาเสวี่ยน”
   จิวซือผินใบหน้าตามเสียงเรียก หัวใจเต้นแรงทั้งที่ทราบดีแก่ใจว่าจะได้พบผู้ใด เพราะตลอดเวลาที่หลับอยู่นั้น เขารับรู้ทุกความเคลื่อนไหวรอบกาย รู้ว่ามีคนที่รออยู่ ดังนั้นจึงสำเร็จเป็นเทพเร็วว่าที่เยว่เฉียนคาดการณ์ไว้หลายสิบปี ดังนั้นจึงได้ชื่อใหม่จากสวรรค์ว่าซือเนี่ยน เพราะตัวเขาสำเร็จเป็นเทพได้ด้วยความคะนึงหา
“ขอโทษที่ให้รอนาน”

   เยว่เฉียนมองเจ้านายของเขาที่ถูกอี้เทียนรวบตัวไปกอดแน่น ขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งก็ถูกอวิ๋นหนานกอบกุมไว้ราวกับจะไม่ปล่อยไปอีกตลอดกาล เยว่เฉียนไม่ค่อยเข้าใจความรักนัก แต่กระนั้นตัวเขาก็ยังอดซาบซึ้งตื้นตันไม่ได้ เอาล่ะ ถือว่าเขาเยว่เฉียนทำกระทำบุญกุศลใหญ่ก็แล้วกัน ว่าแล้วยกมือลูบคางที่ปราศจากหนวดเคราแล้วเอียงหน้าหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป เวลานี้สมควรปล่อยให้พวกเขาเจรจาแบ่งคน แน่นอนว่าในเจ็ดวันเขาต้องเรียกร้องให้เจ้านายของเขาอยู่เรียนรู้ในหอคุณธรรมสักห้าวัน เหลืออีกสองวันให้เจ้าหนุ่มสองคนนั้นแบ่งกันไป


บางคน สวรรค์ชักนำพบเจอหลายครา สุดท้ายยังคลาดกัน
   บางคน พบเพียงชั่วสบตา กลับได้ครองคู่แก่เฒ่า
   บางคน พบเพื่อลาจาก
   บางคน จากเพื่อประสบพบกันอีกครั้ง
   ความรักนั้น ต้องอาศัยพรหมลิขิต จิตใจ บุคคลที่ใช่ และเวลาที่เหมาะสม

สุดท้าย แม้แต่เทพแห่งความรักก็มิทราบแน่ชัดว่านี่เป็นพรหมลิขิตของผู้ใดกันแน่ อี้เทียนที่ด้ายแดงสมควรขาดสะบั้นแล้วแต่ยังดึงดันไม่ยอมปล่อย หรืออวิ๋นหนานที่ผูกด้ายแดงเส้นนั้นด้วยตนเองทั้งที่สมควรแลกด้วยการไม่ผ่านด่านรัก ผิดหรือถูกมิอาจรู้ได้ จึงได้แต่กล่าวอวยพรที่ในชีวิตอันยืนยาวของทวยเทพ บนเส้นทางยาวไกลที่รออยู่เบื้องหน้า อย่างน้อยพวกเขายังได้พบพานผู้รู้ใจ
   
   

(จบ)
#วิถีเซียน3p

…………………..
Talk
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนิยายเรื่องนี้มาจนถึงตอนจบนะคะ และที่ต้องขอบคุณมากๆ คือคอมเมนท์ที่ยาวและวิเคราะห์อย่างจริงจัง ช่วยได้มากเลยค่า กราบ

เหลือตอนพิเศษอีก 5 ตอน และ ตอนพิเศษใน mini-novel อีกหนึ่งตอน สนใจนิยาย สั่งได้ใน FB page:Whitedemon21 ค่ะ

ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 05-02-2020 00:45:10
ขอบคุณคนแต่งค่า
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 06-02-2020 10:05:43
ตอนจบเฉลยแล้วว ดีมากเลยค่ะ ทับจัยย
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: ss.suttida ที่ 10-02-2020 21:22:45
จบเสยเลย​   เนื้อเรื่องเรื่อยๆเหมาะสำหรับคนไม่​รีบ​ ความจริงอยากได้NCนี่ยังไม่สมใจอยากเลย​   เราคาดหวังนะเคอะ
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Mushroom_mus ที่ 12-02-2020 00:00:41
เป็น​นิยายที่อ่านแล้วรู้สึกลุ้นและน่าติดตามทุกตอน อ่านแล้วเห็นภาพมีหลากหลายอารมณ์​เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 12-02-2020 22:12:36
ไม่รู้จะบรรยายยังไงจริงๆ สุดมากอะ บอกเลย   :pig4:
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 14-02-2020 02:39:24
เขียนดี สนุกมากๆค่ะ เราชอบอ่านแนวเทพเซียน, แนวข้ามภพชาติ, แนวซุปเปอร์สตาร์เป็นพิเศษ เรื่องนี้เรียกว่าเอาของชอบมามัดรวมให้ ถูกใจเลยสิเนี่ย
จบดี แฮปปี้ แต่อดสงสารเอ็นดูตงหวางไม่ได้ โถ...พ่อคุณ ได้แค่จับมือก็เอา  อารมณ์เหมือนเป็นผัวน้อย 555
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 15-02-2020 07:09:59
สนุกมากกกกกก คนเขียนเขียนดีสุดๆ อ่านไปลุ้นไป ขอให้มีผลงานออกมาอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: yin ที่ 17-02-2020 15:40:05
สนุกมาก เขียนดีมาก ให้อารมณ์ละมุน ดีต่อใจ ขอบคุณที่สร้างผลงานดีๆขึ้นมานะคะ
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Aunttk ที่ 18-02-2020 20:39:23
ดีอ่ะ เขียนดีมากกกก
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: lidelia ที่ 18-02-2020 22:33:06
สนุกมากค่ะ อ่านแล้วหยุดไม่ได้เลยยย

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 21-02-2020 21:00:50

Epilogue
 


เถ้าเปา เป็นเซียนน้อยที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าแม่น้ำเล็กๆ ที่ชื่อว่าเจียงหัว สหายเซียนคนอื่นหากันอิจฉาเขาเนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบของเทพซือเนี่ยน เจ้านายของหอคุณธรรม
นามของเทพซือเนี่ยนนั้นอาจจะเป็นนามใหม่ที่เทพทั้งหลายรู้จักแต่มิได้มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นอันใด ด้วยเขาเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นเทพเมื่อไม่นานมานี้ ทว่าสำหรับเหล่าเซียนแล้ว ท่านเทพเปรียบได้กับวีรบุรุษ เป็นบุคคลที่เหล่าเซียนทั้งชื่นชมทั้งอิจฉา และเป็นแรงผลัดกันให้แต่ละคนพยายามในด่านคุณธรรมมากขึ้น
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอันใด คิดดูสิ หอคุณธรรม สิ่งวิเศษแห่งภพสวรรค์ที่ทั้งเทพทั้งปีศาจรวมถึงผู้มีฤทธิ์มากมายพยายามเป็นเจ้าของ สุดท้ายก็ต้องล้มเลิก ทว่าเทพซือเนี่ยน เป็นแค่เซียนเฝ้าแม่น้ำเจียงหัว กลับได้ไปครอบครอง แถมยังกลายเป็นเทพชั้นสูงที่มีพลังเทพเหนือกว่าเทพทุกองค์ ได้ยินว่ารัศมีเทพถึงขั้นล้ำหน้าจอมเทพเชียวหนา
ที่น่าตกใจว่ากว่านั้นก็คือนอกจากท่านจะได้ของวิเศษแล้ว ยังได้ครองหัวใจของบุรุษผู้มีอำนาจถึงสองคน หนึ่งคือตงหวางแห่งวันตะวันออกที่เทพนารีทั้งหลายชม้อยชม้ายสายตาให้ทุกคราที่เขาเดินผ่าน ส่วนอีกหนึ่งที่เทพยามาผู้ลึกลับแต่ครอบครองดินแดนใหญ่อย่างยมโลก หากเทียบอำนาจวาสนาแล้ว เวลานี้ยังมีใครน่าอิจฉาไปกว่าเทพซือเนี่ยนอีกเล่า
เถ้าเปาและเซียนน้อยอีกสามตนถูกเซียนอาวุโสพามาส่งที่หอคุณธรรม ก่อนจากไปยังกำชับว่า “ตั้งใจล่ะ อย่าให้เสียชื่อข้า”
“ขอรับ”


 

หอคุณธรรม

หลังจากที่จิวซือแจ้งต่อจอมเทพว่ายินยอมให้สวรรค์ใช้หอคุณธรรมเป็นสถานที่ทดสอบเลื่อนขั้นเซียนต่อไป และจอมเทพตอบแทนด้วยการมอบอำนาจการตัดสินใจเรื่องการทดสอบทั้งหมดแก่จิวซือนั้น ด่านทดสอบคุณธรรมตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็เสมือนว่าตกอยู่ในมือของเขา ไม่สิ ในกำมือเล็กๆ ของเยว่เฉียนต่างหาก
เบื้องหน้าของบรรดาเซียนรุ่นใหม่ที่เพิ่งถูกพามาหอคุณธรรมครั้งแรก คือเด็กน้อยอายุราวแปดขวบ สวมใส่อาภรณ์สีเงินหรูหรา ดวงตาเล็กฉายแววเคร่งเครียดจริงจัง ทว่าหากสังเกตสักหน่อยจะเห็นว่าดวงตากลมสีทองนั้นไหวระริกด้วยความสนุกสนานและพึงพอใจ
เด็กน้อยยืนอยู่หน้าผู้คุมกฎสองคนที่ดูให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมาก หนึ่งในนั้นคือเปียวขุยผู้มีคดีกับจิวซือนั่นเอง จิวซือไม่เอาความเขา ทว่าเยว่เฉียนผู้รักคุณธรรมมีหรือจะยอมให้อภัยโดยง่าย ดังนั้นเปียวขุยจึงกลายเป็นข้ารับใช้คนสนิทที่เยว่เฉียนสั่งซ้ายมิกล้าไปขวา
“ข้ามีนามว่าเยว่เฉียน เป็นคนสนิทของเทพซือเนี่ยน”
เหล่าเซียนน้อยตาโต คนผู้นี้เป็นคนสนิทของเทพซือเนี่ยนที่พวกเขาเคารพนับถือ! แต่ละคนยืดหลังตรงขึ้นอีกนิด ลอบมองเยว่เฉียนด้วยความชื่นชมปนอิจฉา หากว่าได้รับใช้ใกล้ชิดเทพซือเนี่ยนก็คงจะดีไม่น้อย ดูสิ ขนาดเด็กตัวเล็กเท่านี้ยังยิ่งใหญ่กว่าผู้คุมกฎทั้งสองคนเลยนะ
ริมฝีปากของเยว่เฉียนแทบจะคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม แต่เขาต้องพยายามกลั้นไว้เพื่อภาพลักษณ์อันสมบูรณ์แบบ
“ด่านคุณธรรม 11 ด่านนี้ ไม่ต้องเกรงว่าจะมีความอยุติธรรมเกิดขึ้น เพราะข้าจะคอยควบคุมตรวจสอบ ดังนั้นขอให้พวกเจ้าทุกคนตั้งใจเต็มที่ เพื่อได้เลื่อนขั้นเป็นเทพอย่างที่ปรารถนา”
“ขอรับ!”
มุมปากของเยว่เฉียนกระตุกแล้ว แต่เขายังระงับไม่ให้มันยกขึ้นได้
“เอาล่ะ เซียนน้อยทั้งหลาย หอคุณธรรมเป็นเช่นไร ข้าคงไม่ต้องบรรยายให้มากความ แน่นอนว่าพวกเจ้ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิ่งวิเศษใดดีเลิศไปกว่าที่แห่งนี้”
เหล่าเซียนน้อยพยักหน้าหงึกๆ ดวงตาเป็นประกาย ใช่แล้ว เทพซือเนี่ยนดีที่สุด หอคุณธรรมดีที่สุด เซียนอย่างพวกเขาไม่มีประมุข ไม่มีปราสาทราชวัง ไม่มีสิ่งใดให้เชิดหน้าชูตา ดังนั้นจึงยึดถือเทพซือเนี่ยนเป็นเจ้านายของเหล่าเซียน ขณะที่หอคุณธรรมกลายเป็นของวิเศษของเหล่าเซียนไปแล้ว
ในที่สุดริมฝีปากของเยว่เฉียนก็ยกยิ้ม
บรรดาลูกแกะที่ว่านอนสอนง่าย เขาชื่นชอบมาก ดังนั้นแม้ว่าเจ้านายจะถูกตงหวางพาตัวไปวังตะวันออก เขาก็ไม่อาจจะตัดใจทิ้งเหล่าลูกแกะน้อยของหอคุณธรรมได้ หากไม่มีเขา เกรงว่าลูกแกะที่น่ารักเหล่านี้จะต้องหลงทางเป็นแน่
 





วังตะวันออก

คงเหวินค้อมตัวคำนับผู้มาเยือนวังตะวันออกอย่างกะทันหัน บุรุษผู้สูงศักดิ์เจ้าของนัยน์ตาสองสีจะเป็นใครไปได้เล่า หากมิใช่เทพยามาคนปัจจุบัน จำได้ว่าคราวก่อนเทพยามามาตามหาเซียนน้อย ตัวเขาคนเดียวแทบรับมือไม่ไหว เวลานี้เจ้านายทั้งสองอยู่ก็วางใจ รีบเข้าไปรายงาน
“ท่านเจ้าวัง พระชายา เทพยามาขอเข้าพบขอรับ”
แม้ว่าเทพซือเนี่ยนยังมิได้แต่งเข้าวังตะวันออกอย่างเป็นทางการ แต่ท่านเจ้าวังก็ทรงแนะนำเขาให้ข้ารับใช้ทุกคนรู้จักหมดแล้ว โดยมีคงเหวินเป็นผู้นำการเรียกเทพซือเนี่ยนด้วยตำแหน่งในอนาคต เห็นดวงตาท่านเจ้าวังโค้งลงเล็กน้อยแสดงถึงความพึงพอใจ คงเหวินก็รู้ว่ามาถูกทาง คนสนิทอย่างเขาย่อมรู้ใจนายที่สุด ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ข้ารับใช้ในวังเรียกเทพซือเนี่ยนว่าพระชายา ผลก็คือทั้งวังตะวันออกได้รับรางวัลกันถ้วนหน้า
“เชิญ”
 

เห็นอี้เทียนเดินหน้าตึงเข้ามา ไม่รู้ทำไมจิวซือจึงรู้สึกว่าน่าขันมาก คล้ายจะเห็นอี้เทียนคนเอาแต่ใจ ชอบงอนและรอให้เขาเป็นฝ่ายง้อ หากเขาไม่ง้อ เจ้าตัวก็จะหน้าบูดทั้งวัน แล้ววันรุ่งขึ้นก็จะให้คนมาตามเขาไปจวนสกุลอี้ เป็นถึงเทพยามาแล้วก็ยังไม่รักษาภาพลักษณ์สักนิด ไม่ถูก เพราะเป็นเทพยามาต่างหากเล่าจึงไม่ต้องสนใจภาพลักษณ์ใดๆ จิวซือหลิ่วตาให้อวิ๋นหนาน บอกเป็นนัยว่าคราวนี้ เขาขอวางตัวเป็นคนนอก ปล่อยให้เจ้าของวังจัดการเอาเอง
อี้เทียนในชุดดำยาวตลอดทั้งตัวสืบเท้ายาวๆ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ทรงกลมตัวที่อยู่ติดกับจิวซือ ใบหน้าคมคายยังคงเรียบเฉย เขานิ่งไม่ยอมพูดจา ไม่บอกว่าธุระสำคัญที่ทำให้มาเยือนวังตะวันออกคืออะไร แน่ล่ะ จะบอกว่ามาตามคนกลับยมโลกก็มิได้ ด้วยยังไม่ครบกำหนดหนึ่งสัปดาห์ตามข้อตกลง แต่เขาเพิ่งได้ยอดดวงใจกลับคืนมา จะทนไม่เห็นหน้าค่าตาหลายวันไหวหรือ ผู้อื่นอาจทนไหว แต่เขาทนไม่ไหว!
ดังนั้นคนที่ทิ้งให้เสี่ยวฝูและเสี่ยวเฮยช่วยจัดการงานในยมโลกจึงเมินเฉยสายตาเย็นชาของเจ้านายใหญ่แห่งวันตะวันออก แล้วเอื้อมมือไปวางบนหน้าขาของจิวซือ ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมก็คลายลง อ่อนลงพอๆ กับน้ำเสียง
“ข้าคิดถึง”
“อ้อ” ผู้ที่ตอบรับอย่างไม่ใส่ใจนี้ย่อมมิใช่จิวซือ แต่เป็นอวิ๋นหนาน สีหน้าท่านเจ้าวังเริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์แล้วที่ถูกขัดจังหวะการสนทนากับว่าที่พระชายาของเขา แต่ครั้นจะออกปากไล่อีกคนก็ทำไม่ได้ ด้วยไม่มั่นใจเช่นกันว่าตนเองจะไม่หนีงานไปเยี่ยมใครบางคนถึงยมโลก
จิวซือกลั้นยิ้ม ไม่คิดว่าวันหนึ่งพวกเขาสามคนจะได้สนทนาอย่างเปิดเผยเพียงนี้ จะว่าไปก็คล้ายกับโลกที่เขาเป็นอลัน แล้วทั้งสองคนอยู่ในร่างของคานส์และฮิลอยู่เหมือนกัน ขาดก็แต่ซีโน่ เด็กคนนั้นไม่รู้จะได้เข้าวิถีเซียนเมื่อใด เห็นอี้เทียนกัดฟันถลึงตาใส่อวิ๋นหนาน จิวซือรีบเอ่ยปากชวนทานอาหารเย็นด้วยกัน เขาเป็นคนกลางก็สมควรช่วยประสานให้กระมัง
“วันนี้มีเนื้อกระยางสามสี เจ้าก็อยู่กินด้วยกันสิ”
“อืม” อี้เทียนพยักหน้ายินดี แววตาคล้ายจะเยาะเย้ยเจ้าของวังอยู่เล็กน้อย
อวิ๋นหนานเรียกคนสนิทของเขาด้วยหางสายตา คงเหวินเห็นดังนั้นก็สืบเท้าเข้ามา ค้อมศีรษะลงรอรับคำสั่ง แล้วก็เหงื่อตกเมื่อได้ยินเจ้านายของเขาโยนภารกิจเสี่ยงตายมาให้
“คงเหวิน เชิญท่านเทพยามาไปห้องรับรอง ถึงเวลาอาหารค่อยเชิญท่านเข้ามาเถิด ข้ากับพระชายาจะหารือเรื่องงานแต่งเสียก่อน”
คนถูกเชิญไปพักคิ้วกระตุก กัดฟันกรอด ดวงตาเหมือนมีกองเพลิงลุกโชน อยากจะเผาวังตะวันออกให้มอดไหม้
จงใจเอาเรื่องนี้มาข่มเขา!
ได้ ตงหวาง เจ้าดีมาก
งานมงคลที่ยมโลกแม้จัดทีหลัง แต่จะต้องยิ่งใหญ่จนวังกระจอกของเจ้าเทียบไม่ติด
อี้เทียนมาดหมายอยู่ในใจ จะต้องทำให้ทุกภพต้องจดจำว่าซื่อเสวี่ยนที่แท้แล้วเป็นของผู้ใดกันแน่
 
 

#วิถีเซียน3p

ไม่งงใช่มั้ยคะ อี้เทียนเรียกน้องว่าซื่อเสวี่ยน/อาเสวี่ยน อวิ๋นหนานมักจะเรียกว่าจิวซือ/ซือซือ ส่วนคนอื่นๆ ก็เรียกชื่อเทพของน้อง เทพซื่อเนี่ยน
 

ตอนที่จะลงเว็บหมดแล้วจริงๆ แต่...ยังมีให้ฟินต่อในตอนพิเศษนะคะ
ตอนพิเศษ
a) วังตะวันออกก็มีงานมงคล (NC พี่อวิ๋น)
b) ยมโลกมีงานมงคล (NC พี่อี้)
c) เทพองค์ใหม่ ฉายามังกรไฟ (ซีโน่ comeback)
d) จากพี่ใหญ่กลายเป็นน้องเล็ก (เฉินซาน comeback/ happy family)
e) หมื่นปี (Happy ending)
mini-novel: ตอนพิเศษที่ชื่อยังไม่ได้คิดค่ะ
 
 
ตอบคำถามที่มีคนคอมเมนท์ไว้ และที่ถามเข้ามานะคะ
Q: พระแม่จะได้รับผลกรรมอะไรไหม
A: ในตอนพิเศษไม่มีเรื่องของพระแม่แล้วค่ะ สำหรับเราคิดว่าผลกรรมที่นางได้รับก็คือพยายามฝืนดวงชะตา แต่ก็กลายเป็นตัวแปรที่ทำให้ดวงชะตานั้นเกิดเสียเอง คืออยากให้จิวซือไม่ได้เป็นเทพ แต่น้องกลับได้เป็นเทพชั้นสูง แถมได้หอคุณธรรมไปครองด้วย เท่านี้ก็รู้สึกว่าเทพผู้สร้างอย่างพระแม่คงเจ็บใจมากแล้ว ที่เห็นคนที่ไม่ชอบมีความสุขสุดๆ
 
Q: NC ของอวิ๋นหนานอยู่ไหน ท่านเทพเสียเปรียบยังไม่ได้น้องเลย
A: จัด NC ให้ทั้งสองคนเลย พี่อวิ๋น พี่อี้ ไม่น้อยหน้ากัน แต่น้องก็จะเหนื่อยๆ หน่อย
 
Q: เขาแบ่งวันกันยังไง
A: บอกใบ้ในบทส่งท้ายคือ น้องอยู่ยมโลกเจ็ดวัน อยู่วังตะวันออกเจ็ดวัน ส่วนหอคุณธรรมนานๆ มาที ยกให้เยว่เฉียนจัดการไป
 
Q: ซีโน่กลับมาใช่มั้ย
A: ทั้งซีโน่และเฉินซานกลับมาในตอนพิเศษค่า กลับมาให้จิวซือทำตามสัญญาเนาะ ซีโน่เป็นตัวละครที่เรารักมากๆ อีกตัวหนึ่ง เอาไว้ฤกษ์งามยามดี อาจจะเขียนถึงน้องเป็นตอนสั้นๆ ลงเว็บให้ได้อ่านกันนะคะ
 
 
ช่วงขายของ
หนังสือโอนได้ถึงวันที่ 5 มีนาคมนะคะ ถ้าเก็บเงินเปย์น้องไม่ทันแต่อยากได้เล่ม สามารถโอนมัดจำ 300 บาทภายในวันที่ 5 มีนาคม เพื่อให้เราการันตีจำนวนได้นะคะ แล้วที่เหลือค่อยโอนมาก่อนจัดสั่ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงต้นเดือนเมษายนค่ะ
หลังจากนี้จะอัพเดตเรื่องหนังสือและการจัดส่งต่างๆ ในเพจ facebook: @Whitedemon21 และทางทวิตเตอร์ @Demon21white นะคะ

ส่วน ebook ถ้าลง meb แล้วจะมาแจ้งทางหน้านิยายอีกครั้งค่ะ


ขอบคุณค่ะ หวังว่าจะได้เจอกันในเรื่องต่อๆ ไปนะคะ
รัก
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: poterdow ที่ 22-02-2020 15:29:47
น่ารักมากๆๆๆๆๆ อยากได้อีบุ๊คมากกว่าอ่ะค่ะ ต้องรอนานไหมคะ
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 22-02-2020 21:26:26
Ebook น่าจะเป็นช่วงสงกรานต์ค่า
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: tangtey59 ที่ 23-02-2020 10:26:04
 เรื่อสนุกมาก เนื้อเรื่องดีมากๆ สอนอะไรหลายๆ อย่าง  ทำเป็นเป็นซีรี่ได้เลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 23-02-2020 21:28:23
เพิ่งได้มาตามอ่านเรื่องนี่จบ
น่ารักมากเลยค่ะ
ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-02-2020 02:09:50
เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกมากติดหนึบเลย

เจอพิมพ์ตกหล่น มีชื่อตัวละครผิด พิมพ์ผิดหลายจุด
อยากเสนอตัวช่วยแก้ไขทบทวนให้ ชอบเรื่องนี้มากๆเลย
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: modisvip ที่ 25-02-2020 01:36:41
นี่มันดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆค่ะ ฮือออ สนุกมาก
อ่านแบบรวดเดียวจบเลยค่ะ ขอบคุณมากสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ รอผลงานต่อไปนะคะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: arissara ที่ 25-02-2020 03:58:58
สนุกมากๆๆๆ ชอบมากๆ เนื้อเรื่องมีการสอนทัศนคติเต็มไปหมด รักเรื่องนี้ ขอบคุณที่เเต่งเรื่องนี้ให้ได้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 26-02-2020 13:32:34
 :pig4: :pig4: สนุกมากเลยค่ะ ชอบอ่านนิยายแนวนี้มาก  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 28-02-2020 19:36:39
สนุกมากค่ะ ชอบมากเลย จะตามไปซื้อหนังสือนะคะ
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 29-02-2020 17:17:37
 :z13:
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Whitedemon21 ที่ 01-03-2020 03:42:31
เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกมากติดหนึบเลย

เจอพิมพ์ตกหล่น มีชื่อตัวละครผิด พิมพ์ผิดหลายจุด
อยากเสนอตัวช่วยแก้ไขทบทวนให้ ชอบเรื่องนี้มากๆเลย

ขอบคุณมากเลยค่ะ ตอนนี้ได้ส่งให้คนตรวจ proof เพื่อทำเล่มแล้วค่ะ แต่ขอบคุณมากๆ สำหรับน้ำใจค่ะ
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: Maeo ที่ 08-03-2020 10:55:29
สนุกมากค่ะ
อยากอ่านตอนพิเศษ  :ling1:
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 14-03-2020 13:56:05
เป็นนิยาย 3P ที่ไม่มี NC แต่สนุกและอบอุ่นหัวใจมาก
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 09:56:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 14-06-2020 02:16:18
ชอบมากๆจ้า อ่านไปลุ้นไปทุกตอน บางตอนก็เศร้า บางตอนก็สนุก ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวดีๆมาให้ได้อ่าน