(The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p  (อ่าน 58535 ครั้ง)

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

Interval 2: The Underworld (end)



   จิวซือรู้สึกราวกับว่าโลกหยุดหมุน ทุกอย่างรอบตัวพลันชะงักลง หรืออาจเป็นเพราะหัวใจของเขาหยุดเต้นไปเสียเองก็ได้ เงยหน้ามองอี้เทียนที่ไม่ทราบว่าหันมามองเขาตั้งแต่เมื่อไร ดวงตาสองสีปราศจากแววล้อเล่น ที่จริงเขาสงสัยมาตลอดว่าอี้เทียนพาเขามาที่ยมโลกทำไม แต่ไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าจะได้ยินคำถามนี้
   “อยู่กับข้า”
   จิวซือสูดลมหายใจเข้าลึก สมองของเขาว่างเปล่า ความนึกคิดแทบถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดไปจนหมด มือของอี้เทียนที่ยกขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของเขาสั่นจนอยากยื่นมือไปกุมทับ แล้วบีบแน่นๆ แต่...ทำไม่ได้
   จิวซือหลับตาลง ผ่านมานานมากแล้ว หากรวมด่านคุณธรรมก็นับว่าผ่านมาหลายชาติหลายภพ จะบอกเขาไม่เปลี่ยนไปเลยคงเป็นไปไม่ได้ กระนั้นก็ไม่อาจสลัดความคิดที่มีต่ออี้เทียน ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย เขาเหมือนจะจมลง ทรวงอกอึดอัดแทบหายใจไม่ออก
   โซ่ตรวนที่ตงหวางพูดถึงคงเป็นสิ่งนี้กระมัง
   “ข้าไม่มีวันตาย ไม่ต้องกลัวข้าตายจากเจ้าไปอีก”
   ตึก!
   เหมือนถูกทุบลงกลางใจ หนักหน่วงจนหน้าอกสะท้อนแรง สมองอื้ออึง เสมือนว่าความรู้สึกที่ผนึกไว้จะทะลักทลายออกมาหากเขาเผลอแม้เพียงเสี้ยววินาที บาดแผลที่ปิดไว้ถูกอีกฝ่ายเปิดเปลือย กระทั่งโลหิตสีแดงสดไหลซึม แม้ทราบว่าเป็นวิธีรักษา ก็ไม่อาจหลอกตัวเองว่าไม่เจ็บปวด จิวซือกำหมัดแน่น กระพริบตาถี่ๆ ไล่ความอุ่นร้อนในดวงตา สูดลมหายใจเข้าลึก
   ใช่แล้ว เทพยามาเป็นอมตะ หมื่นปีที่ครองยมโลก เขาไม่มีวันตาย เพราะเขาคือยมโลก ยมโลกก็คือเขา
   ตรงข้ามเวลานี้เขาคือจิวซือไม่ใช่ซื่อเสวี่ยน และซื่อเสวี่ยนไม่ใช่เขา
   ดวงตาที่ปิดลงเมื่อครู่พลันลืมขึ้น ม่านหมอกที่ปกคลุมจางออกกลายเป็นความสุกสว่าง 
   “ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้”
   คำตอบของจิวซือทำให้มือของอี้เทียนชะงักค้าง บรรยากาศกดดัน หนาวเย็นแผ่จากร่างสูงใหญ่ ดวงตาสองสีหรี่ลงเคลือบด้วยไอมืด บดบังความรู้สึกของเจ้าตัว ทว่าเสียงลมหวีดหวิวเจือโศกเศร้าและไม่ยินยอมพัดมาจากทั่วทุกสารทิศกลับสะท้อนอารมณ์รุนแรงของผู้เป็นนายได้เป็นอย่างดี
   จิวซือยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ปราศจากการดัดแปลง ปราศจากการปกปิด อาจเพราะบาดแผลที่ใหญ่ที่สุดของเขาได้ปรากฏเบื้องหน้าอีกฝ่ายไปแล้วก็ได้ เขากล่าวว่า “ข้ายังเหลือด่านคุณธรรมอีกสองด่าน”
   เสียงลมหวีดหวิวค่อยๆ เบาบางลง ดวงตาสองคู่สบกันอยู่อย่างนั้นนานนับนาที ก่อนที่อี้เทียนจะพยักหน้าลง
   ไม่มีคำถาม
   ไม่มีคำอธิบาย
   มีเพียงความเงียบและเสียงลมพัด
   ความรู้สึกบางอย่างไม่ได้พูดออกไป เก็บกดลึกมาเนิ่นนาน เมื่อถึงเวลา กลับไม่สามารถพูดออกไปได้ ไม่กระจ่างใจด้วยซ้ำว่ายังเป็นสิ่งที่เรียกว่าความรักสึกซึ้งได้อยู่หรือไม่ ด้วยมีบางสิ่งแทรกซึมอยู่ ทั้งความโกรธ ความเศร้า ความอาลัย ความรู้สึกผิด หรือแม้แต่ความต้องการจะหลุดพ้น
   ดังนั้น จึงไม่มีคำถาม และไม่มีคำอธิบาย
 



 
   คงเหวินมองแผ่นหลังเหยียดตรงในชุดสีขาวล้วนของผู้เป็นนายเคลื่อนออกห่างจากสายตาไปเรื่อยๆ ด้วยความสับสน จนบัดนี้ยังไม่เข้าใจความคิดและการกระทำของเจ้าวัง พลอยทำให้รู้สึกว่าตำแหน่งคนสนิทของเขาสั่นคลอน สามวันก่อนเจ้าวังเรียกหาตราผ่านทางไปยมโลก ไม่แปลกที่วังตะวันออกจะมีของสิ่งนี้ ด้วยมีสัมพันธ์ที่ดีกับเทพยามาองค์ก่อน แต่ที่ผิดคาดก็คืออดีตเจ้าวัง หรือพระบิดาของตงหวางทรงนำตราผ่านทางไปด้วย อดีตเจ้าวังชอบท่องเที่ยว ไม่ว่าภพมาร หรือแดนลึกลับที่ใดก็จะทรงดั้นด้นพาพระชายาไปด้วยให้ได้ และไม่มีผู้ใดทราบว่าเวลานี้ทรงประทับอยู่ที่ไหน
   วิธีไปยมโลกโดยไม่ใช้ตราผ่านทางก็มีอยู่ แต่เป็นเรื่องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไม่น้อย เพราะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากหยานหวางที่ดูแลเขตทะเลตะวันออก ขณะที่คิดว่าเจ้าวังจะให้เขาไปพบหยานหวางหรือไม่ ก็เห็นทรงสะบัดชายเสื้อ เดินกลับหอตำราไป และเริ่มจัดการงานสำคัญในส่วนที่เขาตัดสินใจไม่ได้ กลับมาเป็นตงหวาน ผู้ปกครองวังตะวันออกคนเดิม รวดเร็วอย่างที่คงเหวินตามไม่ทัน
   หลงคิดว่าจะทรงไม่ใส่ใจเรื่องของเซียนน้อยแล้ว กลับกลายเป็นว่าท่านเจ้าวังเรียกเขามาสั่งการให้ดูแลวังตะวันออกแทนอีกหลายวัน  ขณะที่เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั้น พระวรกายสูงใหญ่ก็จากไปไกลแล้ว
 
 


   หอคุณธรรม เป็นหอทรงหกเหลี่ยมสีทองสูง 11 ชั้น แต่ละชั้นมีความสูงกว่าหอทั่วไป ดังนั้นความสูงโดยรวมของหอคุณธรรมจึงเทียบได้กับหอสูง 20 ชั้น อยู่ในเขตแดนชั้นนอกจากภพสวรรค์เยื้องมาทางตะวันออก ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแม่น้ำสีเขียวอมฟ้าซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไม่มีต้นสาย ราวกับว่าถือกำเนิดมาพร้อมหอคุณธรรมแห่งนี้ น้ำเป็นสื่อวิญญาณ ดังนั้นสิ่งวิเศษอย่างหอคุณธรรมถึงถูกหล่อเลี้ยงด้วยน้ำ
   หอสูงแห่งนี้เป็นสิ่งวิเศษที่อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในภพสวรรค์เพื่อร้อยปีก่อน เดิมทีมีผู้คนมากมายพยายามเป็นเจ้าของมัน แต่ไม่เคยมีผู้ใดทำสำเร็จ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหอคุณธรรม แต่ถูกสวรรค์ใช้เป็นสถานที่ทำงาน เพื่อคัดเลือกเทพหน้าใหม่แทน เจ้าหน้าที่ที่ทำงานที่หอคุณธรรมเรียกว่าผู้คุมกฎ สังกัดกองบริหาร ขึ้นตรงกับจอมเทพ มีหน้าที่ควบคุมความเรียบร้อยของด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติ พวกเขาล้วนเป็นเทพชั้นกลาง แต่อาศัยว่ามีจอมเทพเป็นเจ้านายโดยตรง ดังนั้นจึงมีฐานะสูงกว่าเทพในระดับเดียวกันอยู่เล็กน้อย
 
          เปียวขุย เป็นหนึ่งในผู้คุมกฎ เขาเป็นชายรูปร่างสันทัด ผิวกายสีทองแดง ใบหน้ารูปเหลี่ยม หน้าผากกว้าง ริมฝีปากหน้า ใบหน้าของดูคล้ายชายชาตินักรบมากกว่าเทพที่มักมีผิวกายขาวละเอียด และใบหน้าสวยงามปานรูปสลัก รูปลักษณ์ภายนอกสามารถบ่งบอกถึงสายเลือดและชาติกำเนิดได้ดีในระดับหนึ่ง ยิ่งรูปร่างหน้าตาสมบูรณ์แบบเท่าไรยิ่งมีโอกาสเป็นเทพชั้นสูงหรือมีพลังเทพบริสุทธิ์มากเท่านั้น ดังนั้นเทพที่ถือกำเนิดจากครรภ์ของเทพ หรือสิ่งวิเศษบนสวรรค์ มักมีรูปร่างหน้าตาสวยงามโดดเด่น ตรงข้ามผู้ที่ได้บรรลุเป็นเทพจากวิธีอื่นๆ เช่น การเลื่อนขั้นจากเซียน มักมีรูปลักษณ์เป็นรองอยู่บ้าง
   เปียวขุยก็เป็นหนึ่งในกรณีหลัง เขาเข้าสู่วิถีเซียนและต้องเผชิญกับด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติถึงสามครั้งกว่าจะได้เลื่อนเป็นเทพ เดิมทีคิดว่าจะสอบตก ตัดใจยอมรับว่าจะต้องเป็นเซียนไปตลอด เคราะห์ดีที่ได้พบกับพระแม่ ช่วยให้ผ่านบททดสอบมาได้ พระแม่เป็นผู้มีพระคุณของเขา ดังนั้นเมื่อได้รับการไหว้วานให้ช่วยงานหนึ่ง เขาย่อมยินดีปฏิบัติตาม
          แค่ส่งดวงจิตของเซียนน้อยตนหนึ่งไปด่านคุณธรรมที่ยากกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเอง เขาไม่เคยสงสัยเจตนาของพระแม่ ไม่เคยตั้งคำถามว่าเพราะอะไร กระทั่งตงหวางแห่งวังตะวันออก มาเยือนหอคุณธรรม

   เพราะตงหวางบอกว่ามารอเซียนนามว่าจิวซือ ซึ่งเป็นเซียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขา เปียวขุยจึงกลายเป็นผู้ที่คอยต้อนรับตงหวางไปโดยปริยาย เห็นว่าตงหวางอยากได้เซียนผู้นี้ไปทำงานที่วังตะวันออก ก็มีตัวอย่างคล้ายๆ อย่างนี้อยู่หรอก การที่เทพชั้นสูงมาจองตัวเซียนที่กำลังจะสำเร็จเป็นเทพ โดยเฉพาะในทัพสวรรค์ที่มีสิทธิ์เลือกเป็นอันดับแรกๆ แต่ก็ไม่เคยมีเทพชั้นสูงผู้ใด หรือเจ้าของวังไหน มารอรับเซียนเล็กๆ ถึงหอคุณธรรมด้วยตนเอง
         
   ห้องที่ใช้รับรองอาคันตุกะผู้มีเกียรติอยู่ในชั้น 5 เนื่องจากหน้าต่างเป็นบานสูงแทบจรดพื้น จึงสามารถมองเห็นภายนอกได้ชัดเจน อวิ๋นหนานนั่งตัวตรง ทอดสายตามองสะพานไม้ข้ามแม่น้ำที่อยู่ห่างไปไม่ไกล หากมาจากยมโลก ย่อมต้องขึ้นสะพานด้านนี้
   เสี้ยวพลังส่วนหนึ่งของเขาอยู่ในร่างของจิวซือ ดังนั้นจึงเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมาที่นี่ ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าตนเองออกจะกระทำเกินเลยไป เพียงเพราะเซียนตนหนึ่ง ถึงขั้นสละเวลาตามติด เดิมทีคิดว่าพักผ่อนในโลกมนุษย์ไม่กี่วันพร้อมทั้งได้ดูพฤติกรรมและช่วยชี้แนะเด็กคนนั้นไปด้วยก็ไม่เลว ไม่นึกว่าจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้
      ครั้งแรกที่พบริมฝั่งแม่น้ำเจียงหัว เขามอบพรให้อีกฝ่าย 3 ชาติ
     ครั้งที่สองในภพมนุษย์ เขาไปปฏิบัติภารกิจ บังเอิญได้เป็นเจ้านายของเซียนน้อยตนนั้น เขาจึงให้ความสนใจอยู่บ้าง สุดท้ายเซียนตนนั้นใช้ร่างกำบังหมายช่วยชีวิตเขา
   ครั้งที่สาม เป็นเขาพาเด็กคนนั้นกลับมาวังตะวันออก เพื่อตอบแทบน้ำใจที่คิดช่วยชีวิตเขา พบว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กที่ขยันขันแข็ง และหัวไว จึงคิดจะชุบเลี้ยงให้เป็นผู้ช่วยอีกคน
   ครั้งที่สี่ เขาตามฝ่ายนั้นไปโลกมนุษย์ ได้เห็นตัวตนที่เขาไม่เคยเห็น แข็งแกร่ง สวยงาม ยิ่งทำให้เขาปักใจอยากได้มาไว้ที่วังตะวันออกมากขึ้น กระทั่งร่างมนุษย์ของเด็กคนนั้นเกิดอาการที่พวกครึ่งสัตว์เรียกว่า ‘ฮีท’ กลิ่นหอมของบัวสวรรค์ผสมกับกลิ่นอายพลังเทพของเขา อบอวลอยู่ในอากาศแทบทำลายสติสัมปชัญญะของเขาไปสิ้น หลังจากนั้นมีหลายครั้งที่เขารู้สึกคล้ายบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น แต่ยังไม่ทันได้กระจ่างชัด เจ้าตัวก็จากเขาไปเสียก่อน
        อวิ๋นหนานกางมือออกช้าๆ ปรากฏขนนกสีดำเส้นหนึ่งกลางฝ่ามือข้างนั้น   
 
 

       อยู่ยมโลกได้สามวัน จิวซือก็ให้อี้เทียนพาเขากลับมาที่หอคุณธรรม เพื่อเข้ารับบททดสอบชาติที่ 10 เมื่อข้ามสะพานมาถึงหอสูง กลับได้พบกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้พบ บุรุษในชุดสีขาวสูงศักดิ์ มีใบหน้างดงามปานรูปสลัก นัยน์ตาสีทองสว่างเจิดจ้าท่ามกลางแสงอาทิตย์
   “ท่านเจ้าวัง”
   จิวซือค้อมศีรษะทำความเคารพ อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นตงหวางที่นี่ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดที่หอคุณธรรม แต่เขายอมรับว่าดีใจที่ได้เห็นอีกฝ่าย
   อวิ๋นหนานพยักหน้ารับ ท่าทีไม่เหินห่างหรือสนิทสนม ดวงตาสีทองสบประสานกับดวงตาสองสีของอี้เทียน กล่าวทักทายตามมารยามว่า “เทพยามา”
   “ตงหวาง” อี้เทียนทักตอบ เขารู้สึกคล้ายกับว่าเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว การปรากฏตัวของตงหวางไม่ได้อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายของเขา ความรู้สึกไม่สบายใจสายหนึ่งแล่นเข้ามาในใจ แม้แต่ความรู้สึกเช่นนี้ก็ราวกับว่าเกิดขึ้นกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
   “ท่านเจ้าวังมาธุระที่นี่หรือครับ”
   อวิ๋นหนานยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขามองจิวซืออย่างมีความหมาย ก่อนที่ฝ่ามือจะกางออกเผยให้เห็นเส้นขนสีดำมันวาวเส้นหนึ่ง ดวงตาของเขาไม่ละไปจากใบหน้าอ่อนวัย ยามกล่าวว่า “แอสเชอร์ สเวน เหลือไว้แค่ขนเส้นเดียว” น้ำเสียงนิ่งเรียบแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันบางเบา เมื่อเห็นจิวซือยังมองมาอย่างไม่เข้าใจ จึงถามซ้ำ
      “ลืมแล้ว?”
    ม่านตาสีดำของจิวซือขยายกว้าง ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อแอสเชอร์ สเวนอีก ยิ่งไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากเทพอวิ๋นหนาน ทว่ายามที่มือของตงหวางเรืองแสงสีทองบางเบา เปลี่ยนให้ขนสีดำกลายเป็นอีกาดำตัวหนึ่ง จิวซือสัมผัสได้ถึงพลังคุ้นเคย พลังที่ดีแลนถ่ายทอดให้เขานับครั้งไม่ถ้วน
   “ท่าน...ดีแลน?”
   กาดำตัวเล็กเท่าฝ่ามือขยับปีกบินไปเกาะไหล่จิวซือ แล้วถูหัวเล็กๆ ของมันกับสันกรามเขาอย่างออดอ้อน ก่อนจะนิ่งไปเมื่อร่างของอวิ๋นหนานกลายเป็นแสงสีขาวพุ่งเข้าสู่ร่างของมัน ดวงตาสีดำราวลูกปัดเปลี่ยนเป็นสีทองสว่าง ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย
    อี้เทียนเห็นดังนั้น ก็วางร่างเรียบลื่นของเสี่ยวเฮยบนไหล่อีกข้างของจิวซือ งูน้อยส่งเสียงฟ่อๆ อย่างพอใจ ขดหาตำแหน่งสบาย อี้เทียนมองกาดำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นแสงสีขาวพุ่งเข้าสู่ร่างของเสี่ยวเฮย
 


          เปียวขุยทำหน้าไม่ถูก เขามองจิวซือสลับกับอีกาและงูที่อยู่บนไหล่ทั้งสองข้าง จะถือว่าเทพทั้งสองเป็นเทพอารักษ์ได้หรือไม่ หากเป็นเทพอารักษ์ เขาย่อมอนุโลมให้ติดตามเซียนน้อยไปได้เป็นกรณีพิเศษ แต่หากไม่ใช่ จะถือเป็นการลำเอียงอย่างโจ่งแจ้งเกินไป เทพชั้นสูงสององค์แทรกแซงด่านทดสอบคุณธรรม ผู้ที่จะขัดขวางได้มีแต่จอมเทพเท่านั้น ตัวเขาเป็นเพียงผู้คุมกฎ ก่อนหน้านี้ยังเคยใช้เส้นสายภายในเปลี่ยนแปลงบททดสอบของเซียนผู้นี้ไปหลายต่อหลายชาติ ย่อมไม่กล้ารายงานเบื้องต้น เปียวขุยเหงื่อซึมทั่วทั้งร่าง ขยับตัวไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อเห็นสายตากดดันสองคู่ จึงได้แต่กัดฟันยอมรับ แม้แต่น้ำเสียงที่กล่าวกับจิวซือยังอ่อนลงสองส่วน

          “สหายเซียน เชิญ”
 
 
 
 
#วิถีเซียน3p
[/color]



…………………..
Next Station: Apocalypse

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
หนักใจแทนจิวซือ

 :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
แบบนี้จะให้เลือกได้หรออ  :sad4:
เราสัมผัสได้ว่าจิวซือคงจะเลือกตงหวาง
แต่...  แล้วอี้เทียนล่ะ ทำไมไม่เลือกอี้เทียน
 :hao5:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน  :ling1:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ตัดสินใจแทนจิวซือไม่ได้จริง ๆ ว่าจะเลือกใคร

 :กอด1: :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
อยากให้ทั้งสามเปิดอกคุยไปเลย อึดอัดแทนอ่ะ

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
The Protector 1


     จิวซือลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็นย่อมมิใช่เปียวขุย หรือลูกแก้วนำทางแห่งหอคุณธรรม แต่เป็นเพดานหินและรอบข้างที่มืดสลัว เสียงขยับร่างกายดังขึ้นจากทั้งด้านซ้ายและขวา เมื่อเบนสายตามองก็พบว่าเป็นบุรุษหนุ่มสองคน คนหนึ่งมีผิวสีแทน เส้นผมสีดำตัดสั้น เผยให้เห็นหน้าผากกว้าง คิ้วเข้ม และรอยแผลเป็นที่ปลายคิ้วยาวไปถึงขมับ ดวงตาข้างหนึ่งของเขาเป็นสีทอง อีกข้างเป็นสีเหลืองทอง ส่วนอีกคนมีเส้นผมสีทองอร่าม ยาวสยายปกปิดแผ่นอกเปลือยเปล่าไว้บางส่วน ผิวกายขาวละเอียดแต่มีกล้ามเนื้อสมบูรณ์ บ่งบอกถึงพละกำลังที่ซ่อนอยู่
     หากเป็นเมื่อก่อน จิวซือคงไม่ทราบ แต่เวลานี้จิตเซียนของเขาแข็งแกร่งขึ้น ประกอบกับเหตุการณ์ที่หอคุณธรรม ทำให้เขามั่นใจว่าบุรุษทั้งสองคืออี้เทียนและเทพอวิ๋น พวกเขามายังภพนี้ด้วย
จิวซือไม่ได้เอ่ยถาม เขาเพียงแค่หลับตาลง ข้อมูลจำนวนหนึ่งหลั่งไหลของมาในสมองทีละฉาก ที่แท้นี่เป็นโลกที่เพิ่งผ่านวิกฤตการณ์ครั้งยิ่งใหม่ ไวรัสไม่ทราบสายพันธุ์ ที่ภายหลังถูกเรียกว่า Z Virus ระบาด ผู้คนที่ติดเชื้อกลายเป็นซอมบี้ พืชและสัตว์ในหลายพื้นที่เกิดการกลายพันธุ์ อาหารและน้ำสะอาดขาดแคลน มนุษย์อยู่ด้วยความหวดกลัวและหวาดระแวง กว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ก็ล่วงเลยไปเกือบสองปี ประชากรที่เหลือรอดถูกตรวจสอบและควบคุมดูแลภายในค่ายของรัฐ ทั้งหมด 13 แห่ง พวกเขาก่อสร้างกำแพงสูงที่มีกระแสไฟฟ้าเป็นเกราะป้องกัน สหพันธ์รัฐบาลจากทั่วโลกจับมือกับพัฒนาอาวุธ และวัคซีนป้องกัน แต่ก็ยังไม่มีความก้าวหน้า กระทั่งครึ่งปีก่อน รัฐบาลค้นพบการมีอยู่ของมนุษย์กลายพันธุ์ หรือที่เรียกว่ามิวเทนท์ (Mutant)

     อลัน หรือร่างที่จิวซืออาศัยในเวลานี้ คือมิวเทนท์คนแรกที่ถูกพบ หลังจากนั้นชีวิตเด็กกำพร้าที่ย่ำแย่อยู่แล้วของเขายิ่งเลวร้ายกว่าเดิมหลายเท่า ร่างกายของมิวเทนท์สร้างยีนส์ชนิดพิเศษขึ้นมาต่อต้านไวรัส ทำให้รักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้ แต่มักมีอารมณ์รุนแรง หรืออาจเกิดการคลั่งทำร้ายผู้คน หรือตนเอง และมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นซอมบี้ในภายหลัง สำหรับรัฐบาลและคนทั่วไป มิวเทนท์คือตัวอันตราย คือความเสี่ยงที่ไม่อาจรับได้ ทว่าสำหรับนักวิจัย มิวเทนท์คือชิ้นส่วนศึกษาที่สำคัญ
     หลังจากค้นพบการกลายพันธุ์จากอลัน ก็มีการค้นหาและจับคุมมิวเทนท์ได้อีกหลายสิบคน บางคนถูกครอบครัวพามามอบตัวกับรัฐ เพราะเกรงว่าจะถูกลูกที่ติดเชื้อทำร้ายเข้าสักวัน ต่อหน้าความตาย ครอบครัวกลับกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย ในฐานะชิ้นส่วนงานวิจัย อลัน และมิวเทนท์คนอื่นๆ ไม่ได้มีชีวิตที่ดีนัก พวกเขาถูกขังไว้รวมกัน มีโซ่ล่ามเท้าเหมือนนักโทษ โดยมีการ์ดติดอาวุธคอยเฝ้าตลอด 24 ชม. ได้รับอาหารและน้ำวันละครั้ง ขณะที่ร่างกายพรุนไปด้วยรอยเข็มและรอยไหม้จากสารเคมี ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ มิวเทนท์หลายคนเกิดอาการคลั่งทำร้ายผู้อื่น  แน่นอนว่าพวกเขาถูกการ์ดฆ่าทิ้งทันที กลิ่นคาวเลือดอบอวลทั่วทั้งห้อง ภาพโลหิตแดงฉานและสีหน้าทรมานของคนที่จากไป คืออนาคตที่มิวเทนท์ทุกคนทราบดี
     เมื่อวันที่มิวเทนท์คนที่ 5 ถูกฆ่า พลังพิเศษของอลันก็ตื่นขึ้น เพราะความรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้คนอื่นๆ ถูกตามล่า อลันพบว่าตนเองสามารถควบคุมดิน ทุกๆ วัน จะเห็นเขานั่งอยู่บนพื้นห้องในมุมมืด คนอื่นคิดว่าเขาเศร้า หดหู่ และอาจจะคลั่งในอีกไม่นาน อย่างไรก็ตามความจริงแล้วเขากำลังใช้พลังควบคุมพื้นดินใต้อาคารให้กลายเป็นอุโมงค์ทีละน้อย ต่อมาราวหนึ่งสัปดาห์พลังพิเศษของมิวเทนท์อีกหลายคนเริ่มตื่นขึ้น ความกดดันและควาามทรมานทั้งกายใจที่ต้องเผชิญภายในศูนย์วิจัยอาจเป็นสิ่งกระตุ้นชั้นดี พวกเขารู้เรื่องที่อลันกำลังทำ และเริ่มวางแผนหนีจากศูนย์วิจัย สองเดือนให้หลังพวกเขาพามิวเทนท์ที่รอดชีวิตอยู่อีกสามสิบกว่าคนหนีออกมาได้สำเร็จ เมื่อทางการทราบข่าว ก็พบเพียงศพของการ์ดทั้งหกคน และห้องว่างเปล่า ไม่พบร่องรอยหรือเส้นทางการหนีใดๆ แม้แต่อุโมงค์ลับใต้ดินที่ถูกปิดตาย

     ที่ๆ อลันและมิวเทนท์ที่หนีรอดมาได้อาศัยอยู่ในเวลานี้คือถ้ำขนาดใหญ่ลึกเข้าไปในป่าแห่งความตาย (Forest of Death) ที่เรียกเช่นนี้เพราะว่าป่าแห่งนี้เป็นเขตแดนที่กั้นระหว่างพื้นที่ปลอดภัยของมนุษย์ และอาณาเขตของพวกซอมบี้ ที่ปกครองโดยราชาซอมบี้ และบรรดานายพล พวกมันทั้งพละกำลังและสติปัญญา สามารถสั่งการซอมบี้ทั่วไปได้ การวิวัฒนาการอันรวดเร็วของซอมบี้คาดว่าเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนส์ ในลักษณะเดียวกับการกลายพันธุ์ของมิวเทนท์
     นักวิจัยหลายคนจัดประเภทมิวเทนท์ไว้ในกลุ่มเดียวกับซอมบี้ที่อัพเกรด ดังนั้นหากสามารถวิจัยการกลายพันธุ์ของมูเทนส์ได้ โอกาสที่จะกำจัดพวกซอมบี้จึงมีมากขึ้น
     
     ฮิลและคานส์ บุรุษทั้งสองที่นั่งอยู่เคียงข้างอลันในเวลานี้ ก็คือบุคคลที่เชื่อสมมติฐานนี้ เขาเป็นมิวเทนท์ที่รับหน้าที่จากรัฐบาลให้พา ‘พวกเดียวกัน’ กลับศูนย์วิจัยหลังจากทหารไม่สามารถฝ่าเข้ามาถึงใจกลางป่าแห่งความตาย ราชาซอมบี้ไม่ออกล่ามิวเทนท์อาจเพราะเห็นเป็นพวกเดียวกัน หรือเพราะไม่ใส่ใจ ไม่คิดว่าเป็นภัย หรืออาจรอชมความเป็นไปของชีวิตที่ถูกเผ่าพันธุ์ละทิ้งก็มิอาจทราบได้ พวกเขาจึงยังคงรักษาชีวิตรอดในป่าแห่งความตาย ฮิลคือชายผมทองที่อวิ๋นหนานครอบครองร่าง ส่วนคานส์เป็นร่างที่อี้เทียนครอบครอง ทั้งสองถูกล้างสมองให้เสียสละชีวิตเพื่อมนุษยชาติ พวกเขาทำทีเป็นหลบหนีมาหวังพึ่งอลัน หลอกให้เขาตายใจ จากนั้นก็ร่วมมือกันฆ่าอลันหลังจากมีเซ็กส์ด้วยกันอย่างดุเดือด
     จิวซือเกิดความสงสัยว่าอี้เทียนและเทพอวิ๋นหนานสามารถใช้ร่างของฮิลและคานส์ได้อย่างไร แต่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบกับดวงตาอีกสองคู่ที่รอคอยเขาอยู่ ความรู้สึกยามถูกดวงตาสองคู่จับจ้องไม่ได้ทำให้เขาอึดอัดหรือกดดัน ตรงข้ามกลับคล้ายบางอย่างค่อยๆ เปิดเผยต่อเขา ราวกับชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ภาพใหญ่ที่กระจัดกระจายเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
     “อี้เทียน ท่านเจ้าวัง”
     จิวซือยันกายขึ้นนั่ง และเอ่ยทักบุรุษทั้งสอง ร่างกานท่อนบนเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าเนื้อหยาบผืนเล็กปกปิดท่อนล่างไว้ ยามขยับตัวจิวซือรู้สึกได้ถึงของเหลวที่ไหลออกมาจากช่องทางด้านหลัง ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าเป็นร่องรอยของสมรภูมิราคะอันยาวนานของคนทั้งสาม
     ร่างกายของอลันไม่อาจเรียกได้ว่าสวยงาม เขาเป็นมิวเทนท์คนแรกที่ถูกจับ ดังนั้นจึงมีร่องรอยของการถูกใช้เป็นวัตถุดิบวิจัยอยู่แทบทั้งตัว รอยมีด รอยเข็ม รอยไหม้ หรือแม้แต่รอยกระสุนที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ทิ้งรอยแผลเป็นไม่น่ามองไว้ตลอดทั้งร่าง เวลานี้มีรอยฟันและรอยดูดเม้มเพิ่มขึ้นมาอีก ทำให้ผิวเนื้อแทบทุกตารางนิ้วไม่มีบริเวณไหนเป็นปกติ
     แม้สิ่งที่เห็นเป็นเพียงกายหยาบ เพียงเปลือกนอกที่ห่อหุ้มดวงจิตของอีกคน ดวงตาสองสีของอี้เทียนก็มืดครึมลงจนสังเกตได้ มือใหญ่ยื่นไปสัมผัสรอยฟันห้อเลือดที่บริเวณลำคอของอลัน ถามเสียงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ยังเจ็บหรือเปล่า”
     “ไม่แล้ว” จิวซือชะงักกับสัมผัสที่มาอย่างกะทันหัน รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับกริยาสนิทสนมของอี้เทียน
     “ด่านคุณธรรมของเจ้าไม่ง่ายเลย” บุรุษผู้มีเส้นผมและดวงตาสีทองกล่าว ขณะที่อวิ๋นหนานครอบครองร่างนี้ ดวงจิตของฮิลถูกทำให้อยู่ในสภาพหลับไหล แต่ยังสามารถรับรู้ทุกอย่างรอบตัวได้ เจ้าวังตะวันออกมองจิวซือที่อมยิ้มน้อยๆ พยักเห็นด้วยกับคำพูดของเขา รอยยิ้มปลอดโปร่งและแววขบขันกับชะตาของตัวนั้นพลอยทำให้มุมปากของอวิ๋นหนานยกขึ้นเล็กน้อยตามไปด้วย ดวงตาสีทองของเขาอ่อนแสงลง ละอองแสงสีทองก่อตัวขึ้นบริเวณไหล่เปลือยเปล่า ก่อนจะกลายเป็นกาดำที่มีขนาดเล็กกว่ากาดำทั่วไป ทว่าขนสีดำเป็นมันวาว ดวงตากลมมีแววเฉลียวฉลาด
     เจ้ากาดำเอียงหัวเล็กๆ ของมัน เงยหน้ามองเจ้าของไหล่ที่เกาะอยู่ จากนั้นก็กางปีกทำท่าจะโผไปหาจิวซือ ทว่ากลับถูกอวิ๋นหนานคว้าไว้ก่อน
     ก้า ก้า
     กาดำร้องประท้วงเสียงอ่อน เมื่อเห็นสายตาคาดโทษของเจ้านายก็เอียงหัวเล็กๆ หลบ ได้ยินเสียงทุ้มกล่าวว่า “เขายังไม่ได้สวมเสื้อผ้า” นกน้อยงุนงงกับประโยคนี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นว่ากรงเล็บของมันทำให้ไหล่ของอวิ๋นหนานมีเลือดออก มันรีบบินลงไปอยู่บนเตียง เงยหน้ามองอวิ๋นหนานคราหนึ่ง จิวซือคราหนึ่งอย่างน่าสงสาร
     ท่าทางราวกับเด็กหลงทางทำให้จิวซือรู้สึกคล้ายหัวใจอ่อนยวบลง เขาไม่ใช่คนรักสัตว์ แต่ไม่ทราบเพราะอะไรจึงเกิดความรู้สึกพิเศษกับเสี่ยวเฮยและกาดำตัวนี้
     “ตั้งชื่อสิ”
     เห็นสายตาของจิวซือแฝงไว้ด้วยคำถาม อวิ๋นหนานจึงกล่าวเสริมว่า “มันเกิดจากขนปีกของแอสเชอร์”
     จิวซือพยักหน้า กาดำตัวนี้ตัวเล็กกว่าร่างจริงของแอสเชอร์เล็กน้อย แต่ดูฉลาดและขี้อ้อนมากกว่า ดวงตากลมเหมือนลูกปัดวาวแววอย่างคาดหวังรอคอย ขณะเดียวกันนั้นเองเสี่ยวเฮยก็ปรากฎตัวขึ้นบนท่อนแขนของอี้เทียน ยืดคอมองสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่มันไม่เคยพบมาก่อนอย่างใคร่รู้
     แอสเชอร์แปลว่าโชคดี บวกกับอยากให้ชื่อสอดคล้องกับเสี่ยวเฮย จิวซือจึงเสนอว่า “ชื่อว่าเสี่ยวฝู ดีไหมครับ”

     ก้า
     ไม่รอคำตอบของอวิ๋นหนาน กาดำขยับเข้ามาใกล้แล้วไถหัวเล็กๆ ของมันขาของจิวซือ ท่าทางออดอ้อนนั้นทำให้เสี่ยวเฮยส่งเสียงฟ่อๆ แล้วเลื้อยมายึดต้นขาอีกด้าน ประกาศอาณาเขตของตนเอง งูเป็นสัตว์หวงของ อะไรที่มันมองว่าเป็นของตัวเองก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้
     จิวซือหลุดยิ้ม เขาช้อนลำตัวเรียบลื่นของเสี่ยวเฮยขึ้นมาไว้บนอ้อมแขน ขณะที่อีกมือถึงก็ลูบหัวเล็กๆ ของเสี่ยวฝู “เสี่ยวเฮย นี่เสี่ยวฝู สนิทกันไว้นะ”
     เสี่ยวเฮยมองเจ้ากาดำสลับกับจิวซือเนิ่นนาน ก่อนจะยอมผงกหัวลงอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก งูกับนกไม่ถูกกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่แล้วเจ้างูน้อยก็เงยหน้าขึ้นมากะทันหัน ส่งเสียงฟ่อๆ ราวกับกำลังต่อรองอะไรอยู่ จิวซือไม่เข้าใจสิ่งที่มันต้องการจะสื่อสาร จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากอี้เทียน
     ใบหน้าคมเข้มของคานส์ปรากฎแววลำบากใจ ไม่ทราบว่าไม่อยากแปลคำพูดของเสี่ยวเฮย หรือไม่เห็นด้วยกับมันกันแน่ ครั้นถูกจิวซือเร่งรัด เขาก็ถอนหายใจ ยอมอธิบายในที่สุด “เกิดก่อน เป็นพี่”
     เสี่ยวเฮยเกิดก่อน เสี่ยวเฮยเป็นพี่
     คราวนี้จิวซือถึงกับหัวเราะออกมา ทั้งที่สถานการณ์รอบด้านและบททดสอบในภพนี้ของเขานับว่าหนักหนาเอาการ แต่เขากลับรู้สึกปลอดโปร่ง และมีความสุขอย่างหาได้ยาก และบางทีเสียงหัวเราะนี้คงส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง คลี่คลายบรรยากาศระแวดระวังและเหินห่างไปเล็กน้อย


     “รัฐบาลรู้แล้วว่าพวกเรากบดานอยู่ที่นี่” ประโยคบอกเล่าของเทพอวิ๋นหนานทำลายบรรยากาศสงบสุขที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ นัยน์ตาสีทองมองจิวซือที่มีลูกงูพันแขน และกาดำซุกหน้าอยู่กับต้นขา เสี่ยวฝูแปลว่าโชคดี ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตั้งชื่อนี้เพราะความหมายที่เหมือนกับชื่อของแอสเชอร์ หรือเพราะเหตุผลอื่นใด แต่สำหรับเขา คำว่า ‘ฝู’ คำนี้ทำให้นึกถึงโชคดีที่เขามอบให้กับเซียนน้อยตนนั้นครั้งแรกริมฝั่งแม่น้ำ ชื่ออันแสนธรรมดาจึงกลายเป็นเรื่องพิเศษประการหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
     “ครับ?”
     “หากไม่ได้ข่าวจากพวกเราเกินหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาอาจะส่งคนอื่นเข้ามา หรือแม้แต่ใช้วิธีรุนแรง”
     “นายคิดจะทำยังไง”
     เห็นสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนของจิวซือ อวิ๋นหนานก็ทราบแล้วว่าเขาคิดอย่างไร ส่วนหนึ่งอวิ๋นหนานคิดว่าเป็นความคิดของเขา เพราะคำอวยพรของเขาทำให้จิวซือมีความทรงจำของเซียนอยู่ครบถ้วน ทั้งยังไม่ได้เกิดในครรภ์มารดาตามปกติ เขาจึงใช้ชีวิตเหมือนเป็นคนนอก ไม่ใช่คนที่อยู่ในภพชาตินั้น ไม่มีอดีตและปัจจัยผลักดัน ไม่ทะเยอทะยาน ไม่แม้แต่จะหลบเลี่ยงอันตราย ไม่...รักชีวิต สามารถจากไปเมื่อใดก็ได้ โดยไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ ไว้
     อวิ๋นหนานถือกำเนิดจากเทพ ไม่เคยผ่านด่านทดสอบคุณธรรม แต่รู้ว่าหากเทพเซียนผู้ใดปรารถนาเป็นเทพชั้นสูง ต้องสะสมบารมี ด่านคุณธรรมเป็นหนทางที่ง่ายที่สุด เป็นพื้นฐานที่สามารถสร้างได้โดยไม่ต้องรอรับภารกิจจากสวรรค์เพื่อกลับมาสั่งสมบารมีในโลกมนุษย์ นอกจากนี้หอคุณธรรมเป็นสิ่งวิเศษที่มีความนึกคิดเป็นของตัวเอง ไม่มีผู้ใดสั่งการได้ บางครั้งหากพึงพอใจ จะก็มอบบางอย่างให้กับผู้ที่รับการทดสอบ
     ดวงตาสีทองเลื่อนไปประสานกับดวงตาสองสีของอี้เทียน ต่างฝ่ายต่างเข้าใจในสิ่งที่ไม่สามารถแพร่งพรายทางวาจา

     “สร้างสถานที่ปลอดภัยให้พวกมิวเทนท์ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ” อวิ๋นหนานกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “อลัน นายจะช่วยฉันหรือเปล่า”
     จิวซือรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่าตงหวางคงมีภารกิจที่ต้องกระทำในภพนี้ และภารกิจที่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาขอความช่วยเหลือ จึงตอบรับโดยไม่ลังเล
     เจ้านายขอให้ช่วย ลูกน้องที่ดีย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว


#วิถีเซียน3p


.............................
เผื่อใครยังไม่เห็นน้า เล้าโดนบล็อคในเฟสค่า ช่วยกันรีพอร์ตว่า "ไม่ใช่สแปม ไม่ผิดมาตรฐานของชุมชน"
https://www.facebook.com/help/contact/571927962827151?additional_content=Aeh7oa5v-umzaYhbP_uO4Bk8cShiUqsm96l-hzuQfoyHlHGSVi-yDtwzypm6Dak7lLo1sjBoL0zUT3tnuacB3rvM3vqyOVFfO_W2_IbSydxMMV7fZzMzw70TJr5ffN8CoU9CCFaGYPnQeXfohomw8D76wZUH92-27fC3pFRzRj2sZAtYpFMaG23v5jfqStz7ANtdBral7fCRuDL7u8f8uCIGVo6jBXXEwfsbUDXluRkpLjgDxUiwMwpIgZdwY_DNm9x5hXu8Kn9MS1DAqR7u6TLhUW7UzCGdTz_N8VKbTA-4DQyGUN7PFcHT8ScHQCf0cndBe7EggUS2pFFsMTFcspVqgukmsI2IKJIDlYlXNbIu9CYk5qGbh95Mk2VIOThO6mMqp3EIqATbwOd08uNn7IoN807Zc5lqe558n_OO-W6o4i8GprXsQSurL1RJe_2IDE8Dk2XZWk3V4NBzq4pO4rIE_SD2odot7sZVb0o5w-gyV7ID0SdzrWaFrHm3vZbrzJ09dTM7xXveUOTf-9vgMpzC0PmnEe6gx9-jufTF7l_XYb6xYhfGdL0PM71g8r5xBSdWKpsmfjddX6PY318kYStwvv3w-tkVtlorKkyARn-s8r2gpCwF7EG9QruxVQ6dInRVLzjlMAjzwJ6TsI7ZXJmcKlDZ9NJPlPOU-n4r7O8SuIMooA1AMrboNwLXzWhYQeyqtxREd7Ixx8oHVN6FgA1N
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2019 12:42:23 โดย Whitedemon21 »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ chaweewong19841

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-2

ออฟไลน์ ursleepingxd

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ชอบมากๆเลยค่ะ รอติดตามนะคะ

 :กอด1:

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

The Protector 2

 

          จิวซือวางเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฝูไว้ที่มุมหนึ่ง บอกให้ค่อยๆ ทำความรู้จักกัน หลังจากที่เสี่ยวเฮยได้เป็นพี่ ก็ดูเหมือนจะมีท่าทีเป็นมิตรมากขึ้น จิวซือลูบหัวเล็กๆ ของทั้งสองก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงในสภาพเปลือยเปล่า ใบหน้าเนียนปราศจากแววเก้อเขิน ด้วยร่างกายเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยร่องรอยทารุณหรือแม้แต่ความเหนียวเนอะในบริเวณนั้นเป็นแค่เปลือกนอกที่พวกเขาเทพเซียนไม่เคยให้ความสำคัญแต่แรก เขาเดินไปค้นเสื้อผ้าเนื้อหยาบมาสวม แล้วหันมาบอกอีกสองคนว่า
          “ไปอาบน้ำก่อนไหมครับ”
 
 

          ป่าแห่งความตายมีขนาดกว้างใหญ่และซับซ้อนมาก ปกคลุมภูเขาสูงเจ็ดลูก ตั้งเรียงกันเป็นแนวยาว จึงถือเป็นเขตแดนตามธรรมชาติ ด้านหนึ่งของแนวเทือกเขาปกคลุมด้วยหมอกดำทะมึน แน่นอนว่าเป็นอาณาเขตของพวกซอมบี้และเผ่าพันธุ์มืด อีกฝากฝั่งของแนวเขาคือเมืองของมนุษย์ ดังนั้นอากาศในป่าแห่งความตายจึงค่อนข้างขมุกขมัว ถ้ำที่พวกมิวเทนท์ยึดครองเป็นที่อาศัยชั่วคราวกว่าสามเดือนนี้อยู่ลึกเข้ามาเกือบถึงใจกลางของภูเขาลูกกลางซึ่งสูงใหญ่ที่สุด ตัวถ้ำมีความยาวหลายกิโลเมตร แบ่งเป็นหลายโถง และมีแหล่งน้ำอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ยังไม่ถูกปนเปื้อน กลายเป็นทรัพยากรสำคัญในการดำรงชีวิตของพวกมิวเมนท์
 
          เนื่องจากมิวเมนท์ที่หลบหนีมาทั้งหมดเห็นอลันเป็นผู้นำ ดังนั้นจึงยกโถงหนึ่งให้เขา แม้จะไม่ใช่โถงที่ใหญ่ แต่ก็เพียงพอ และตั้งอยู่ด้านในสุดทำให้มีความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ อลันมีพลังในการควบคุมดิน เขาจึงดัดแปลงและเพิ่มเติมโครงสร้างหลายอย่าง ทำให้กลายเป็นที่พักที่ไม่เลวนัก แน่นอนเขาไม่คาดคิดว่าความมิดชิดห่างไกลเช่นนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกในการสังหารตนเอง
 
          ระหว่างทางที่เดินไปแหล่งน้ำที่อยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ อี้เทียนเดินอยู่ด้านข้างของจิวซือ ขณะที่อวิ๋นหนานเดินตามหลังห่างไปสองก้าว นี่ทำให้จิวซือรู้สึกแปลกเล็กน้อย ด้วยเพราะตามปกติแล้วเขาต้องเป็นฝ่ายเดินตามตงหวาง จึงอดหันไปมองอีกฝ่ายไม่ได้ เห็นว่าฝ่ายนั้นก้าวเท้ายาวๆ โดยไม่ใส่ใจ
 
          เนื่องจากแหล่งน้ำมีจำกัด จึงต้องใช้อย่างระวัง แทนที่จะลงไปอาบน้ำ จิวซือหยิบกระบวยที่ทำจากใบไม้สานสำหรับตักน้ำ ส่งให้อี้เทียนและอวิ๋นหนาน จากนั้นก็เลือกมุมหนึ่งเพื่อถอดเสื้อผ้าออก ก้มดูร่างกายตนเองเป็นแผลเป็นทั่วร่างก็นึกสงสัย จึงคุกเข่าลง ชะโงกหน้ามองใบหน้าของอลันในบ่อน้ำสีเขียวคราม เห็นใบหน้าที่สะท้อนมีขนาดเรียวเล็ก จมูกโด่ง ดวงตาและแต่เส้นผมเป็นสีน้ำตาลคาราเมล และคงเพราะดวงตากลมโตสีสวยเช่นนี้ที่นำภัยมาสู่ตัว
 
          ร่างกายเปลือยเปล่าที่อยู่ในท่าคุกเข่า ชะโงกหน้าก้มมองตัวเองในลำธาร เปิดเผยแผ่นหลังและบั้นท้ายที่เต็มไปด้วยรอยรัก โดยปราศจากความระแวงระวังทำให้ดวงตาสองสีขรึมลง อี้เทียนก้าวไปหยุดข้างหลังของจิวซือ บดบังร่างกายนั้นจนหมดสิ้น พูดเสียงแข็งว่า “รีบอาบ”
แม้ไม่ทราบว่าเทพยามาโมโหเรื่องอะไร จิวซือก็รีบชำระร่างกายตามที่เขาบอก แต่เมื่อเห็นอี้เทียนชวนอวิ๋นหนานไปอาบน้ำด้วยกันอีกด้าน ห่างจากเขาไปพอสมควร ก็พลันสงสัยว่า ‘สนิทกันหรือ สองคนนั้น’
 

 
          เมื่อกลับมาถึงโถงที่เป็นที่พักของอลัน ก็เห็นเสี่ยวเฮยใช้หางลูบตัวเสี่ยวฝู ขณะที่เจ้ากาน้อยเชิดหน้าไม่สนใจ ดูเหมือนเสี่ยวเฮยจะพอกับการได้เป็นพี่ จึงทำตามสัญชาตญาณของงูในการปกป้องคนในครอบครัวเต็มที่ เสี่ยวฝูเห็นพวกจิวซือกลับมาแล้ว ก็รีบบินมาเกาะไหล่ จงอยปากเล็กซุกไซร์กับไรผมของจิวซือ ท่าทางร่าเริงผิดกับเมื่อครู่นี้ลิบลับ ปลายหางของเสี่ยวเฮยลอยอยู่ในอากาศ ก่อนจะตกลงบนพื้นอย่างหงอยเหงา จิวซือกลั้นยิ้ม เขายื่นมือออกไปข้างหน้าในเชิงเรียก เจ้างูน้อยเห็นดังนั้นก็สะบัดหางดีใจ แล้วรีบเลื้อยเข้ามาหา โดยที่จิวซือย่อตัวรับมากอดไว้

          “พวกมันคิดว่าเจ้าเป็นแม่ไปแล้ว” อี้เทียนว่า ใบหน้าหล่อเหลาของเขาคล้ายไม่ใส่ใจ แต่ดวงตาปรากฏแววลึกล้ำยากคาดเดา
          จิวซือหัวเราะในลำคอ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสกับความใกล้ชิดสนิทสนมแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงชีวิตของซื่อเสวี่ยน หรือกี่ชาติภพในวิถีเซียน ไม่ใช่ว่าต้องการหรือโหยหา เพียงแต่เมื่อได้สัมผัสแล้วก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย
          “ต้องเป็นพ่อสิครับ”


          จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกคล้ายเกิดเรื่องชุลมุนขึ้นข้างนอก พวกเขาทั้งสามมองหน้ากัน ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปบริเวณปากถ้ำ โดยมีอวิ๋นหนานนำไป เมื่อมาถึงโถงแรกของถ้ำก็เห็นบรรดามิวเทนท์หลายสิบคนยืนล้อมกันเป็นวงกลม และมีหลายคนพยายามขยับเข้าไปใกล้บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ตรงกลาง แต่ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นทำให้ต้องถอยหลังออกมา
          “ไม่ ไม่ อย่าเข้ามา”
          เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงเด็กผู้ชาย บ่งบอกถึงความหวาดกลัว เมื่อมิวเทนท์คนอื่นๆ เห็นพวกอลัน ก็แหวกทางให้ วงล้อมที่คลายออกเผยให้เห็นเด็กผู้ชายผมดำคนหนึ่งนั่งกอดเข่า ซุกใบหน้ากับแขน ร่างกายเล็กสั่นสะท้านไม่หยุด เสื้อผ้าเปียกชื้นขาดวิ่น และมีคราบดินคราบโคลนเลอะเทอะไปทั่ว
          “หัวหน้าอลัน”
          “เกิดอะไรขึ้น”
          “โทนี่เจอเด็กคนนี้ที่ตีนเขาครับ คงถูกเอามาทิ้งไว้”
          “เขาเป็น...มิวเทนท์?” จิวซือถามอย่างไม่แน่ใจนัก
          “ครับ”
          เป็นเช่นนี้เอง เหตุผลว่าทำไมทุกคนดูตื่นเต้น และอยากรู้จักเด็กคนนี้นัก เขาเป็นคนพิเศษทั้งที่ดูอายุไม่เกินสี่ห้าขวบเท่านั้น ปกติแล้วไม่มีมิวเมนท์ที่เป็นเด็ก เพราะร่างกายของเด็กอ่อนแอเกินไป หากได้รับ Z virus ส่วนใหญ่ก็จะเสียชีวิตทันที และมีส่วนน้อยที่กลายเป็นซอมบี้ นี่เป็นคนแรกที่ร่างกายสร้างเกราะป้องกันและพัฒนาตัวเองเป็นมิวเทน์ วิธีแยกมิวเทน์จากมนุษย์ทั่วไปนั้นง่ายมาก คนปกติเลือดจะเป็นสีแดงสด ขณะที่เลือดของมิวเทน์จะเป็นสีแดงคล้ำ ดังนั้นขอเพียงเห็นเลือดของเขา ก็ทราบได้

          จิวซือหันไปสบตากับอวิ๋นหนาน เห็นเขานิ่งเฉยราวกับว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ของเขา เมื่อหันไปหาอี้เทียน ก็เห็นสีหน้าแบบเดียวกัน เทพผู้ยิ่งใหญ่ของคนไม่ขอยุ่งเกี่ยว จิวซือจึงบอกให้คนที่เหลือแยกย้ายกันไป อย่าทำให้เด็กตกใจ และสั่งให้อีกคนหาผ้ากับน้ำสะอาดมา จากนั้นเขาก็ส่งเสี่ยวเฮยให้อี้เทียน และเสี่ยวฝูให้อวิ๋นหนาน จากนั้นก็ขยับไปนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าเด็กน้อย

          เด็กน้อยสัมผัสได้ว่ารอบข้างเงียบเสียงลง แต่รู้สึกว่ามีใครบางคนนั่งลงข้างๆ ก็ขยับตัวหนีโดยไม่ยอมเงยหน้า ท่าทางหวาดกลัวและระแวงนั้น จิวซือเข้าใจดี ครอบครัวพามาทิ้งไว้ที่ภูเขาแห่งนี้ก็เพราะเกรงว่าวันหนึ่งเด็กคนนี้จะกลายเป็นภัย แต่ก็ไม่อาจหักใจฆ่าเขากับมือ ได้แต่ปล่อยให้เขาเผชิญชะตากรรม กำหนดความเป็นตายของตนเอง ยังดีที่อย่างน้อยก็พาเขามาถึงเขาลูกนี้

          จิวซือรับผ้ากับชามไม้ใส่น้ำสะอาดมา จากนั้นก็ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดแขนเล็ก เด็กน้อยสะดุ้งเฮือก เงยหน้ามอง ใบหน้าเล็กเปรอะเปื้อนน้ำตา และคราบดิน มอมแมมไม่แพ้เสื้อผ้าติดกาย
          “ออกไป ออกไป”
          “ที่นี่บ้านฉัน”
          ตากลมแดงจากการร้องไห้เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหูกับประโยคบอกเล่าเรียบง่าย ร่างเล็กสั่นสะท้านกับความจริงตรงหน้า ราวกับว่าเกราะป้องกันตัวที่เพียงพยายามสร้างขึ้นถูกอีกฝ่ายทำลายลงง่ายๆ สองแขนที่กอดเข่าตัวเองเปลี่ยนเป็นทุบทีคนตรงหน้า เสียงร้องไห้ที่เคยพยายามสะกดไว้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงตะโกน สลับกับสะอื้นฮักโดยแรง
          ไม่มีบ้านแล้ว ไม่มีบ้าน
          “กลับบ้าน ฮึก อยากกลับบ้าน”
          จิวซือไม่สนใจการดิ้นรนรุนแรงนั้น เขาอุ้มตัวเด็กมานั่งตักแล้วล็อคตัวไม่ให้ดิ้นหนี จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาเช็ดใบหน้า และลำตัวของเด็กน้อยต่อไป กระทั่งเขาพอใจก็เป็นตอนที่เด็กน้อยหมดเรี่ยวแรงไปแล้ว
          อี้เทียนเข้ามายืนข้างๆ พร้อมสั่งกระบอกน้ำให้ จิวซือรับมาแต่ไม่ได้ดื่มเอง เขาส่งให้ร่างเล็กในอ้อมกอดก่อน เด็กน้อยเม้มปากเน้น ไม่ยอมดื่ม จิวซือจึงยกขึ้นดื่นเสียเอง หางตาสังเกตเห็นลูกกระเดือกของเด็กน้อยขยับ เพราะความกระหาย เขาจึงจับคางเล็กบีบออกแล้วเทน้ำลงไปช้าๆ ป้องกันไม่ให้เด็กสำลักน้ำ

          เด็กน้อยสิ้นฤทธิ์ เอนศรีษะซบหน้าอกของจิวซือ ดวงตาปรือปรอยคล้ายจะใกล้กลับเต็มที่ แต่ครู่เดียวร่างเล็กๆ ก็สะดุ้งเฮือก ตัวงอ และส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา เขาบิดร่างกายทุรนทุราย ดวงตาสีดำเปลี่ยนเป็นสีแดง เล็กแหลมจิกข่วนจิวซือโดยแรงขณะที่เขาดิ้นรนไปมาจนเห็นเลือดสีแดงคล้ำไหลซึมออก

          “ปล่อยเขา” อี้เทยนกล่าวเสียงเข้ม ทำท่าจะดึงเด็กออกจากอ้อมแขนของจิวซือ แต่จิวซือยังไม่ยอมปล่อย เขากอดเด็กน้อยแน่นขึ้น ก้มลงกระซิบว่า “ชู่วๆ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
          บ่อยครั้งที่มิวเทนท์ต้องทนกับความเจ็บปวดทางกาย โดยเฉพาะเวลาที่อากาศเย็น และมีภาวะเครียด หลายคนไม่สามารถควบคุมตัวเองจนกลายเป็นอาการคลั่ง และถูกกำจัดไปในที่สุด
          “หายใจเข้าลึกๆ”
          เด็กคนนี้อุตส่าห์รอดตายมาได้ อุตส่าห์มาถึงถ้ำของพวกเขา จิวซือจึงไม่อยากยอมปล่อยให้เขาตายง่ายๆ
          “เด็กดี หายใจลึกๆ”
          ดูเหมือนเด็กน้อยจะสงบลงเล็กน้อย เขาเลิกดิ้น แต่ร่างกายยังคงบิดงอ และสั่นสะท้าน เขาส่งเสียงร้องไห้เหมือนสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ ความเจ็บปวดทรมานเหมือนถูกไฟเผานี้มิวเทนท์เกือบทุกคนเคยผ่านมาแล้ว ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไร ที่มิวเทนท์ทั้งหมดมารวมกันอยู่ในโถงนี้ สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความเข้าใจและสงสาร บางคนร้องได้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

          มีใครเข้าใจบ้างว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรมา กว่าจะมีชีวิตจนถึงทุกวันนี้
          พวกเขาเป็นคนป่วย ที่พยายามมีชีวิตรอด ไม่ใช่สัตว์ร้าย
          พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ ไม่ใช่การทารุณ

          เมื่อเห็นอลันกอดปลอบเด็กน้อยไม่หยุด กระทั่งตนเองมีบาดแผลหลายแผล ก็ยังคงลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นก็พลันเกิดขึ้นในใจ อย่างน้อย...อย่างน้อยที่นี่ก็มีคนหนึ่งที่ยินดีช่วยเหลือ ฉุดรั้งอย่างไม่ยอมแพ้


          เพราะจิวซือมีพลังเซียนอยู่กับตัว คำพูดและสัมผัสของเขาจึงทำให้เด็กเริ่มสงบลงอย่างเหลือเชื่อ ร่างเล็กๆ บัดนี้หันหน้าเข้าหาจิวซือและกอดเอวเขาแน่นยังคงกระตุกเป็นครั้งคราวเมื่อความเจ็บปวดเข้าโจมตี
          “รัฐบาลจับมิวเมนท์ทุกคนไปขัง” จิวซือพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกำลังเล่านิทานก่อนนนอน                             “คิดว่าพวกเราเป็นพวกเดียวกับซอมบี้ ศัตรูของมนุษยชาติ”
          “เราไม่ใช่มนุษย์”
          “เลือดของเรา ร่างกาย อวัยวะ เป็นแค่ชิ้นส่วนที่ใช้วิจัย หายาต่อต้านไวรัส หาจุดอ่อนของซอมบี้”
          “ในสายตาพวกเขา เรามีค่าแค่นั้น”
          ประโยคบอกเล่าเรียบง่าย เสมือนมีดแหลมคมกรีดผ่าลงกลางใจของทุกคน กระนั้นคนพูดกลับสีหน้าไม่เปลี่ยน อลันเป็นมิวเทน์คนแรกที่ถูกพบ ร่างกายของเขาแทบไม่มีบริเวณไหนไม่มีแผลเป็น แต่เขากลับเป็นคนที่พาทุกคนหนีรอดมาได้ และบัดนี้ก็เป็นคนที่ช่วยอีกหนึ่งชีวิตไว้

          “พ่อแม่ของนายไม่อยากให้นายถูกจับ ถึงได้เอามาฝากไว้ที่นี่”
          เสียงสะอื้นฮักเริ่มเปลี่ยนเป็นแผ่วเบา ขณะที่มือเล็กยังกำเสื้อของจิวซือแน่น
          “อยู่ที่นี่ได้นะ”
          เสียงพูดเชิญชวนเรียบง่าย แต่ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมานั้นไม่ใช่ของปลอม แม้จะอายุยังน้อย แต่เขาไม่ได้โง่ ตอนที่ถูกพ่อแม่พามาที่นี่ เขากลัวมาก พ่อปล่อยเขาไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ อยากจะวิ่งตามไป แต่ร่างกายถูกทำให้ไม่มีแรง จึงได้แต่ร้องตะโกน อ้อนวอน ขอร้องกับแผ่นหลังที่ไม่มีวันหวนกลับมา
ไม่รู้ว่าทำผิดอะไร รู้แต่ว่าไม่มีบ้านให้กลับอีกแล้ว
          ดังนั้นเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของคนที่ไม่ยอมปล่อยเขาแม้แต่ตอนที่ถูกเขาทำร้าย เสียงร้องไห้ที่เพิ่งแผ่วเบาลงจึงเปลี่ยนเป็นกังวานขึ้นอีกครั้ง
          “อยู่ด้วยกัน ที่นี่เป็นบ้านของมิวเทนท์อยู่แล้ว”

          จิวซือเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นมิวเทน์คนอื่นๆ รวมถึงอี้เทียนและอวิ๋นหนานมองเขาอยู่ สายตาสามคู่สบมองกัน ต่างเข้าใจความหมายที่จิวซือสื่อผ่านมาทางสายตา
          ‘ที่อยู่ของพวกมิวเมนท์ เรามาช่วยกันสร้างเถอะ’
 
 

 

#วิถีเซียน3p



…………………………..
ขออภัยมาช้า ป่วยไปอาทิตย์หนึ่ง ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

The Protector 3



มิวเทน์คนอื่นๆ แยกย้ายไปด้วยสายตาชื่นชมและขอบคุณอย่างไม่ปิดบัง ตลอดหลายภพชาติที่ผ่านมา จิวซือไม่ใช่ไม่เคยเห็นสายตาเทิดทูนเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกกระดากหรือเก้อเขิน เขายิ้มเล็กน้อยทำให้ใบหน้าดูอ่อนโยนลง ในอ้อมแขนมีเด็กน้อยกอดคออยู่ไม่ยอมปล่อย  ขณะที่เสี่ยวฝูและเสี่ยวเฮยกลับไปอยู่กับเจ้านายของพวกมัน

จิวซืออุ้มเด็กไปโถงห้องพักของเขา เดิมทีอลันอยู่ห้องนี้แค่คนเดียว ทว่าเวลานี้มีผู้ชายตัวสูงใหญ่อยู่ด้วยกันทั้งสามคน เด็กเล็กอีกหนึ่ง บวกงูและนกอีกอย่างละตัว ทำให้โถงดูอึดอัดเล็กน้อย จิวซือมองอี้เทียนครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันไปสบตาอวิ๋นหนาน เห็นพวกเขาทั้งสองเพียงยืนนิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะออกไปที่อื่น ก็ลังเลว่าจะพาเด็กน้อยไปนอนที่อื่นดีหรือไม่

ดูเหมือนอี้เทียนจะเดาความคิดของเขาออก ดังนั้นจึงก้าวมาคว้าเด็กออกจากแขนของจิวซือไปอุ้มไปด้วยแขนข้างเดียวเสียเอง ถูกดึงออกมาด้วยแรงที่ไม่เบานัก เด็กน้อยจึงมีสีหน้าตกใจ ปากเล็กทำท่าจะร้องประท้วง แต่เมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงของคานส์ และแววตาเย็นชาปราศจากความเมตตาปราณี เด็กน้อยจึงได้แต่ตัวแข็ง ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย ปากเล็กเม้มแน่น ขณะที่ดวงตากลมปรากฎร่องรอยหวาดกลัว
“ชื่อ” ดวงตาสองสีฉายแววหงุดหงิดไม่ชอบใจอย่างไม่ปิดบัง นึกถึงเล็บคมกรีดแขนและลำคอเรียวจนได้เลือด เขายิ่งไม่มีความคิดอ่อนโยนให้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่เด็กก็ตาม

เด็กน้อยย่นคอหนีโดยอัตโนมัติ เมื่อต้องเผชิญกับสีหน้าเย็นชาและน้ำเสียงแข็งกระด่างติดรำคาญ เขาหันไปหาอลันเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับถูกมือใหญ่ของคานส์จับใบหน้าให้หันกลับมา
“ฉันไม่ใจดีเหมือนอลันหรอกนะ”
“ซ..ซีโน่”
“อายุ”
“ห้าขวบ”
ขณะที่ซีโน่กลั้นหายใจรอว่าผู้ชายตัวสูงใหญ่เจ้าของท่อนแขนที่เขานั่งทับอยู่นั้นจะทำอย่างไรกับตนเอง ก็ได้ยินประโยคบอกเล่าแสนเรียบร้อย ไม่ใช่การข่มขู่คุกคามอย่างที่กลัว
“โตแล้ว นอนเอง”
ซีโน่มองคานส์อย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ต่อให้เขาเป็นเด็ก ก็เข้าใจความหมายในคำพูดชัดเจน อีกฝ่ายบอกให้เขาไปนอนที่อื่น ไม่อนุญาตให้ใกล้ชิดกับอลัน เด็กน้อยเม้มปาก แววตาดื้อรั้นไม่ยินยอม ก่อนจะหันไปหาอลันด้วยท่าทางคล้ายสัตว์เล็กที่ถูกรังแก
“คานส์ อย่าทำเขากลัว” จิวซือกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง อี้เทียนในเวลานี้ไม่คล้ายสหายร่วมรบของเขาที่มักจะมีสีหน้าไม่ไยดีอยู่เสมอ กลับทำให้นึกถึงวัยเด็กที่ทั้งโผงผางและเอาแต่ใจ แต่ปกป้องคนของตัวเองอย่างที่สุด

อี้เทียนมองซีโน่อย่างคาดโทษคราหนึ่ง ก่อนจะวางเขาลงบนพื้น ไม่ยอมส่งให้จิวซือที่ขยับจะเข้ามารับไว้ จากนั้นก็กล่าวต่อว่า “เสี่ยวเฮยกับ...” อี้เทียนประสานสายตาอวิ๋นหนานเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะไล่สายตาไปยังเสี่ยวฝูที่เกาะอยู่บนไหล่ของอีกฝ่าย “เสี่ยวฝู ไปนอนกับเขา”

ขณะที่จิวซือกำลังจะเอ่ยเสนอตัวพาซีโน่ เสี่ยวเฮยและเสี่ยวฝูแยกไปนอนที่อื่น ก็ได้ยินเสียงอี้เทียนเอ่ยปรามอย่างไม่มีแววยอมให้ต่อรอง
“อลัน นายนอนนี่”
เขานอนที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่...
จิวซือประสานสายตากับอวิ๋นหนาน เห็นฝ่ายนั้นยืนเอามือไพล่หลังไม่กล่าวอะไร แต่ก็ไม่มีท่าทีจะย้ายไปไหน ใบหน้าคมคายปรายตามองเสี่ยวฝูคราหนึ่ง เจ้านกน้อยก็บินไปหาซีโน่อย่างเชื่อฟัง เสี่ยวฝูเงยหน้าเอียงคอมองซีโน่ที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้น แล้วร้องกาออกมา ในลักษณะเชิญชวน ตรงข้ามกับเสี่ยวเฮยที่ดูจะไม่ค่อยชอบใจนัก เจ้างูน้อยเลื้อยลงจากไหล่ของคานส์ไปหาซีโน่ด้วยท่าทางจำใจ


จิวซืออดคิดไม่ได้ว่าประสบการณ์ในภพชาตินี้ของเขาช่างประหลาด หรือบางทีคงเหนือการควบคุมนับตั้งแต่มีเทพชั้นสูงขององค์มาปรากฏกายที่นี่ จิวซือยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก่อนจะจูงมือซี่โน่ให้เดินไปด้วยกัน ขณะที่เสี่ยวเฮยและเสี่ยวฝูเข้ามายึดครองไหล่ของทั้งสองของจิวซือโดยอัตโนมัติ


ถัดจากโถงที่พวกเขาอยู่คือทางเดินยาวกว้างพอให้คนห้าหกคนเดินเรียงกันได้อย่างสบาย จิวซือใช้มือคลำไปตามผนังถ้ำ เลือกบริเวณทางเดินที่เว้าออกเป็นพื้นที่คล้ายลานเล็กๆ จากนั้นก็ก้มมองซีโน่ บอกพร้อมรอยยิ้มว่า
“ดูให้ดี นี่คือพลังของพวกเรามิวเทนท์”
ละอองสีเหลืองหม่นค่อยๆ รวมตัวกันที่ฝ่ามือของจิวซือจนกระทั่งกลายเป็นกลุ่มแสงห่อหุ้มทั้งข้อมือของเขาไว้ จิวซือยิ้มให้กับซีโน่ที่ตาลุกวาว ก่อนจะทาบฝ่ามือกับผนังถ้ำ พริบตานั้นราวกับว่าดินและหินมีชีวิต มันขยับเคลื่อนไหวตอบสนองความคิดของจิวซือ จากหินแข็งแกร่งกลายเป็นอ่อนเหลวดังโคลน บ้างแหวกทางออก บ้างพุ่งขึ้นในอากาศ บางม้วนตัวเป็นต้นเสา เป็นกำแพงกั้น เตียงขนาดกลาง โต๊ะและเก้าอี้ หรือแม้แต่ชั้นลอยที่ยื่นออกมาจากผนังถ้ำ เปลี่ยนให้ลานว่างเปล่ากลายเป็นห้องนอนอันอบอุ่น ครบถ้วนยิ่งกว่าโถงเดิมเสียอีก
 
“อยากทำได้ไหม”
เด็กชายพยักหน้าโดยที่ดวงตาไม่อาจละไปจากภาพตรงหน้า ปากเล็กอ้าออกด้วยความอัศจรรย์ใจ ดวงตากลมทอประกาย เขาวิ่งเข้าไปสำราจห้องใหม่อย่างตื่นเต้น


พรึบ
ผ้าคลุมที่ทอจากหญ้าแห้งถูกโยนลงบนพื้นดินที่ยกสูงให้เป็นเตียงอย่างลวกๆ โดยอี้เทียน ทำให้ซีโน่ตื่นจากภวังค์ เด็กชายเห็นอลันถูกคานส์คว้าข้อมือลากไปด้วยเสียแล้วโดยทิ้งเขาไว้กับงูและนกที่มีท่าทางไม่เป็นมิตร ซี่โน่รู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก เขากำหมัดแน่น สายตาเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมา ตอนที่ถูกพบและพามาที่นี่ เขาได้ยินมิวเมนท์คนอื่นๆ พูดกันว่า เขาเป็นคนพิเศษ โตขึ้นจะต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ ซีโน่เองก็เชื่อเช่นนั้น

โตขึ้นเมื่อไร เขาต้องเก่งกว่าคนๆ นั้นแน่นอน



“ไม่ชอบซีโน่?” จิวซือถามขึ้นขณะที่พวกเขาเดินกลับไปยังห้องโถงเดิม อี้เทียนชะงักฝีเท้า ใบหน้าคมคายขรึมลงยามหันมาเผชิญหน้ากับจิวซือ
“ไม่ใช่”
มือข้างหนึ่งยกขึ้นประคองแก้มของจิวซือไว้ ปลายนิ้วไล้ผิวเนื้ออ่อนแผ่วเบา ต่อให้ภายนอกเป็นคนละคน ต่อให้ผ่านไปหลายภพหลายชาติ สุดท้ายซื่อเสวี่ยนก็ยังเป็นซื่อเสวี่ยน ภายนอกเข้มแข็ง ไม่ยีหระต่อสิ่งใด ดูราวกับว่าสามารถปล่อยวางทุกอย่างได้ กระทั่งซากศพของทหารในสังกัดทับถมสูงเท่าภูเขาก็ยังแบกรับไว้โดยสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ซื่อเสวี่ยนไม่ใส่ใจจริงหรือ หากไม่ใส่ใจ จะจดจำชื่อแซ่และครอบครัวของแม่ทัพนายกองที่จากไปได้อย่างไร
มีข้าอยู่ เจ้าอย่าเจ็บปวดคนเดียวอีกเลย
“เรา...พาเขากลับไปด้วยไม่ได้”
จิวซือชะงัก เขาถึงกับลืมเลือนไป ลืมสร้างปราการป้องกันที่มักจะสร้างไว้เสมอ ลืมเสียสนิทว่าสุดท้ายแล้วตนเองยังต้องจากไป คงเพราะรู้สึกปลอดภัยหรือวางใจเกินไปกระมัง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะกล่าวขอบคุณอี้เทียนที่เตือนสติ ร่างกายและจิตใจพลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา




เมื่อกลับมาถึงโถงส่วนตัวของอลัน ก็เห็นอวิ๋นหนานนั่งขัดสมาธิอยู่เตียงหิน ฝ่ายนั้นลืมตาขึ้นมาในจังหวะเดียวกัน เห็นเส้นผมสีทองของฮิลยาวสยายอย่างไร้ระเบียบ จิวซือพลันนึกถึงห้องบรรทมของตงหวางแห่งวังตะวันออกที่กว้างใหญ่และสะดวกสบาย จึงถามขึ้นมาอย่างเกรงใจว่า
“ฮิล ผมทำห้องใหม่ให้สักห้องมั้ยครับ”
“ไม่ต้องลำบาก ฉันนอนได้”
อวิ๋นหนานลุกขึ้นก้าวไปหาจิวซือ ก่อนจะวางมือบนศีรษะเขาถ่ายทอดพลังให้อย่างที่ดีแลนเคยกระทำ มือของอี้เทียนยกขึ้นคล้ายจะห้าม แต่เมื่อนึกได้ว่าพลังของเขาเป็นพลังสองขั้วที่คนทั่วไปไม่สามารถรับได้โดยง่าย จึงเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์นัก

พลังที่เหมือนกระแสน้ำเย็นเข้าโอบล้อมดวงจิตของเขาไว้ ทำให้จิวซือผ่อนคลาย ความเหนื่อยล้าจากการใช้พลังเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง ร่างกายของเขาเบาสบาย รู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เขาและดีแลนออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วนอร์ท ตอนนั้้นนึกเสียดายที่ไม่ทันได้กล่าวคำอำลา นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกันอีกรวดเร็วถึงเพียงนี้ ที่สำคัญอีกฝ่ายยังเป็นเจ้านายของเขา ตงหวางผู้ยิ่งใหญ่ ครั้งหนึ่งเคยเป็นสหายที่ทำตามความปรารถนาทุกอย่างเขาเชียวนะ จิวซือพลันรู้สึกว่าการมีเจ้านายอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่ได้น่าอึดอัดใจอย่างที่คิด




เตียงที่ทำจากหินและดินแม้จะแข็งกระด่าง แต่พื้นผิวเรียบกริบไม่มีเศษหินตะปุ่มตะป่ำ เมื่อปูทับด้วยใบไม้ ก็พอจะอุ่นสบายอยู่บ้าง จิวซือนอนอยู่ตรงกลาง ด้านขวาของเขาคืออี้เทียน ส่วนด้านซ้ายคืออวิ๋นหนาน ทำให้เขารู้สึกเกร็งและไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง จึงหันเหความสนใจของตัวเองไปเรื่องอื่น

สร้างที่อยู่ที่ปลอดภัยให้กับมิวเทนท์ไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่นับเรื่องการกินอยู่ ยังมีเรื่องที่ต้องระวังอย่างพวกรัฐบาล และราชาซอมบี้ที่ไม่ทราบว่าจะเปลี่ยนใจมารุกรานพื้นที่ของพวกเขาตอนไหน น้ำและอาหารในบริเวณใกล้เคียงแทบถูกพวกเขาบริโภคไปหมดแล้ว เวลานี้ต้องจับกลุ่มแบ่งกันขยายพื้นที่หาอาหารออกไป โดยมีมิวเมนท์ที่มีพลังพิเศษเป็นผู้นำ ดังนั้นสุดท้ายแล้วความอยู่รอดของพวกเขาก็ต้องการพลังและความแข็งแกร่งเป็นอันดับแรก

อลันมีความลับประการหนึ่งที่ปกปิดไว้ นั่นคือนอกจากเขาจะสามารถควบคุมดินแล้ว เขายังสามารถสื่อสารธาตุน้ำไป เดิมทีเป็นเพียงพลังที่อ่อนด้อย ต่อมาค่อยพัฒนาจนใช้ประโยชน์ได้ เนื่องจากไม่เคยมีมิวเทน์คนไหนมีพลังผสมเช่นนี้ อลันจึงไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้ เกรงว่าจะกลายเป็นเป้าให้พวกนักวิจัยเหล่านั้นตามล่า

นั่นคือสื่งที่อลันรับรู้ แต่สิ่งที่จิวซือคิดได้หลังจากใช้จิตเซียนวิเคราะห์ร่างกายนี้ก็คือ อลันพิเศษกว่านั้น ดินและน้ำก่อกำเนิดชีวิต เช่นเดียวกับหลักการที่ว่า หนึ่งบวกหนึ่งมากกว่าสอง จิวซือคาดว่าร่างกายของอลันอาจจะมีพลังชีวิต ซึ่งเขายังต้องทดสอบอีกให้แน่ใจ อย่างไรก็ตาม หากการคาดเดาของเขาเป็นจริง หากเลือดเนื้อของอลันมีพลังที่ว่าแฝงอยู่จริงๆ หนทางในการสร้างสถานที่ปลอดภัยให้มิวเทนท์ย่อมสว่างขึ้นไม่น้อยทีเดียว






#วิถีเซียน3p



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
พลัง​ที่​ยิ่งใหญ่​มาพร้อม​กับ​ภารกิจ​ที่​ยิ่งใหญ่​

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0


The Protector (4)
 


 
   โถงที่ใหญ่ที่สุดในถ้ำอยู่ลึกเข้ามาจากปากถ้ำราวหนึ่งกิโลเมตร เป็นสถานที่ที่พวกเขาใช้เป็นกองบัญชาการ เวลานี้มิวเทนท์ทั้งสี่สิบห้าคนยืนแถวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ นับตั้งแต่ที่จิวซือช่วยซีโน่ไว้คราวนั้น สายตาที่มิวเทนท์คนอื่นๆ มองเขาก็เปลี่ยนไปไม่น้อย
   จิวซือยืนหันหน้าเข้าหาแถวเพียงคนเดียว ขณะที่อวิ๋นหนาน อี้เทียน และซีโน่ยืนอยู่รวมกับมิวเทนท์คนอื่นๆ เทพทั้งสองแสดงจุดยืนชัดเจนว่าให้จิวซือเป็นผู้รับผิดชอบภารกิจนี้ จิวซือยังคงเข้าใจว่าตงหวางมอบหมายภารกิจพิเศษให้เขา ส่วนตนเองก็เห็นใจมิวเมนท์ไม่น้อย ดังนั้นในช่วงเวลาที่เหลือทั้งหมดในภพชาตินี้ เขาตั้งใจจะทำให้สำเร็จ อย่างน้อยเขาปรารถนาให้มิวเทนท์ทั้งหมดไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป
   ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ ใบหน้าติดจะหวานของอลันพลันปรากฏรอยยิ้ม มิใช่รอยยิ้มอ่อนโยน หรือผ่อนคลายอย่างทุกครั้ง แต่เป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความเชื่อมั่นในตนเอง ส่งผลให้บรรยากาศรอบตัวของเขาเปลี่ยนไป ชายหนุ่มกางแขนทั้งสองข้างออก ดวงตาสีน้ำตาลเปล่งประกายเจิดจ้า
 

   ครืด ครืด
   เสียงของผนังถ้ำเลื่อนแยกออกจากกัน พื้นดินและหินขยับโยกย้ายราวกับมีชีวิต ดังมีมือที่มองไม่เห็นหยิบจับให้เคลื่อนย้าย ปรับเปลี่ยนโครงสร้างของโถงถ้ำอย่างง่ายดาย ยังมีหินก้อนเล็กนับร้อยนับพันบินวนอยู่กลางอากาศ เกิดเป็นภาพอัศจรรย์ เพียงจิตนาการว่าปลายหินแหลมคมนี้พุ่งกระแทกร่าง จุดจบคงไม่พ้นความตาย กลุ่มหินบินเป็นวงกลมก่อนจะจับตัวแยกเป็นกลุ่มๆ กระจายออกเป็นแถว และกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง จิวซือเงยหน้าขึ้น ฝ่ามือสะบัดเบาๆ บรรดาก้อนหินที่ลอยอยู่กลางอากาศก็พุ่งไปปักผนังถ้ำทั้งซ้ายและขวาด้วยความรวดเร็วและรุนแรงไม่ต่างจากกระสุนปืน จนเกิดเสียงแหวกอากาศและเสียงของแข็งกระทบกันดังขึ้นทั่วบริเวณ
 
   มิวเทนท์ทั้งหมดเหม่อมองการกระทำของอลันด้วยความแตกตื่น แม้ว่ามิวเทนท์กว่าครึ่งในที่นี้จะสามารถปลุกพลังพิเศษของตัวเองได้สำเร็จ แต่กลับไม่อาจใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ พลังเหล่านั้นก็ทำได้แค่ช่วยสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ส่วนน้อยเท่านั้นที่พอจะมีประโยชน์ในการโจมตีหรือป้องกันตัวเอง กระนั้นก็ไม่เคยเห็นการควบคุมพลังของมิวเทนท์คนไหนเป็นแบบอลันมาก่อน ราวกับว่าเขากลายเป็นเจ้านายของบรรดาก้อนหินและพื้นดิน สั่งการได้ตามใจนึก
    เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขาเห็นอลันยื่นมาขวาไปด้านหน้า ฝ่ามือกางออกราวกับกำลังเรียกหาบางสิ่ง ขณะที่ทุกคนมองตามอย่างไม่เข้าใจ ก็เห็นมวลน้ำขนาดใหญ่บิดเกลียวประหนึ่งมังกรน้ำที่เคยเห็นแต่จิตนาการ มังกรน้ำที่พุ่งเข้ามามีลำตัวยาวประมาณห้าเมตร ขนาดใหญ่พอๆ กับต้นเสา แต่ปราดเปรียวว่องไว หินงอกหินย้อยภายในถ้ำไม่เป็นอุปสรรคสำหรับมันเลยแม้แต่น้อย เมื่อเข้ามาใกล้ มันก็ชะลอความเร็ว ตรงเข้าไปโอบล้อมและคลอเคลียอลันราวกับสัตว์เลี้ยงผู้ภักดี
 
   หากการแสดงพลังควบคุมดินของอลันนับว่าน่าตื่นตาตื่นใจ การที่เขาเปิดเผยพลังธาตุน้ำของเขายิ่งน่าอัศจรรย์ใจมากกว่าหลายเท่า!
   เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่เสียงเฮเสียงเป่าปากเสียงตะโกนเชียร์อลันดังก้องสะท้อนอยู่ภายในถ้ำ
   “หัวหน้าอลัน หัวหน้าอลัน”
   สำหรับมิวเทนท์ที่ไร้ที่พึ่งแล้ว ความแข็งแกร่งของอลันเปรียบเสมือนแสงสว่างสายหนึ่งที่ลอดผ่านรอยแยกของหินเข้ามาในถ้ำมืดมิด ดังนั้นสายตาที่มองเขาจึงเปลี่ยนจากชื่นชมเป็นเทิดทูน
 

   รอกระทั่งทุกคนเริ่มสงบลง จึงได้ยินเสียงหนักแน่นของอลันกล่าวว่า “รัฐบาลไม่ยอมปล่อยพวกเรา และไม่รู้ว่าเมื่อไรพวกซอมบี้จะเปลี่ยนใจจู่โจม ความปลอดภัยของพวกเราในตอนนี้เป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น”
   ประโยคบอกเล่าเรียบง่าย น้ำเสียงไร้ความตระหนก แต่กลับทำให้คนฟังหน้าเปลี่ยนสี ไม่มีใครไม่หวาดหวั่น ไม่มีใครไม่กังวล ขุมนรกที่อุตส่าห์หนีออกมาได้ ย่อมไม่อยากกลับไปอีกเป็นครั้งที่สอง
   “เราไม่อาจขอความช่วยเหลือจากใคร เพราะเรา...ไม่มีใคร”
   “พวกเรามีแต่ตัวเอง””
   แววตาของอลันอ่อนลง เมื่อกวาดสายตามองบรรดาสหายที่หนีรอดมาด้วยกัน หลายคนสบตาอลัน พลันนึกถึงช่วงเวลาในศูนย์วิจัย พวกเขาถูกปฏิบัติไม่ต่างจากสัตว์ทดลอง ร่องรอยของความทุกข์ทรมานนั้นยังปรากฏอยู่บนร่างกาย
   “ดังนั้น จึงมีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องตัวเอง และสหายที่อยู่ด้วยกันที่นี่”
   อลัน...ที่ยืนอยู่ลำพังเบื้องหน้าพวกเขาดูสว่างไสว
   แววตาของเขาเป็นประกาย แสดงออกถึงความเชื่อมั่น ไม่ใช่เฉพาะต่อตนเอง แต่หมายรวมถึงมิวเทนท์ทุกคน
   “ฉันเชื่อว่าพลังพิเศษคือผลตอบแทนให้กับความสำเร็จที่พวกเราต่อสู้ ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอด”
   “เชื่อว่าพวกเราทุกคนต่างมีพลังเหล่านี้หลับใหลอยู่ในตัว”
   คนทั่วไปอาจไม่เชื่อ แม้แต่มิวเทนท์ด้วยกันเองยังไม่เชื่อ ลึกๆ แล้วในใจของพวกเขาก็ไม่เชื่อ แต่อลันบอกว่าเขาเชื่อ บอกว่าพวกเขาไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นความสำเร็จ
   เพราะพวกเขาต่อสู้ พระเจ้าจึงมอบพลังพิเศษให้ พระเจ้าต้องการให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไป
   “นับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราจะแข็งแกร่งขึ้นไปด้วยกัน”
   “นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะสร้างบ้านที่ปลอดภัยขึ้นมา ตัวตนของพวกเราจะกลายเป็นสิ่งพิเศษ ไม่ใช่สิ่งน่าละอาย ยิ่งไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน”
   ทุกคนรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น ลมหายใจกระชั้นตามแรงอารมณ์ เลือดในกายสูบฉีดส่งกระแสความตื่นเต้นยินดีไปทั่วทั้งร่าง ฝ่ามือกำหมัดแน่น แววตาแข็งกร้าวเจิดจ้าท่ามทลางแสงสลัวภายในถ้ำ
   “ภายในป่าแห่งความตาย จะเกิดนครแห่งชีวิต บ้านของพวกเรามิวเมนท์” สิ้นเสียงของอลัน มังกรน้ำ และมังกรดินก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง พวกมันบินวนอยู่กลางอากาศ เหนือศีรษะของเหล่ามิวเทนท์ ก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมาประหนึ่งเป็นมังกรที่แท้จริง เสียงคำรามของสองมังกรปลุกขวัญและกำลังใจ ตลอดจนความเชื่อมั่นให้กับเหล่ามินเทนท์ หลายคนโก่งคอส่งเสียงโห่ร้องคำรามออกมาเช่นกัน เสียงนั้นปลดปล่อยความรู้สึกที่ถูกเก็บกักไว้มาเป็นเวลานาน

   นครแห่งชีวิต...บ้านของพวกเขา
 


 
   หลังจากการประกาศเจตนารมณ์ของอลัน บรรยากาศภายในถ้ำเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย จิวซือสัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้น และความหวังของมิวเทนท์ทุกคน เมื่อตกลงว่าจะก่อสร้างนครแห่งชีวิต พวกเขาก็แบ่งหน้าที่เป็นสามกลุ่มหลัก ได้แก่ ฝึกซ้อม ลาดตระเวน และก่อสร้าง และสลับสับเปลี่ยนกันทุกๆ สัปดาห์ สำหรับการฝึกซ้อมนั้นเป็นการพยายามปลุกพลังพิเศษ และพัฒนาให้พลังนั้นแข็งแกร่งขึ้น โดยมีคานส์เป็นหัวหน้าหน่วย หน่วยลาดตระเวนนำโดยฮิล ถือว่ามีหน้าที่สำคัญที่สุดในการตรวจตรา สำรวจ และขยายพื้นที่ปลอดภัยออกไป นอกจากนี้ยังทำการค้นหามิวเทนท์คนอื่นๆ ที่ถูกทอดทิ้งอีกด้วย กำลังแรงงานปัจจุบันของพวกเขามีน้อยเกินไป แต่การรับสมาชิกใหม่เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงมาก ดังนั้นจิวซือจึงขอให้อวิ๋นหนานรับผิดชอบดูแลหน่วยลาดตระเวน สำหรับตนเอง เขารับหน้าที่ในการก่อสร้าง ซึ่งสิ่งแรกที่จิวซือทำขึ้นมา ไม่ใช่อาคารบ้านเรือน แต่เป็นป้ายหินขนาดใหญ่ บนป้ายมีข้อความสลักไว้ด้วยสายเส้นสวยงามหนักแน่น บรรทัดแรกเขียนว่านครแห่งชีวิต บรรทัดที่สองตัวอักษรมีขนาดเล็กกว่าครึ่งหนึ่งเขียนว่า ‘ท่ามกลางป่าแห่งความตาย คือนครแห่งชีวิต บ้านของเหล่าผู้ใช้พลังพิเศษ’     
   
 
 
City of Life
In the midst of Forest of Death is the City of Life. Home of ability users
 
 




 
   การก่อสร้างนครแห่งชีวิตดำเนินมาได้ราวหนึ่งเดือน นอกจากจิวซือที่สามารถควบคุมดินแล้ว ยังมีมิวเทนท์อีกหลายคนที่มีพลังซึ่งเป็นประโยชน์กับการก่อสร้าง ดังนั้นการก่อสร้างจึงเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เพียงแค่หนึ่งเดือนโครงสร้างภายในและรอบๆ ถ้ำก็เปลี่ยนไปไม่น้อย ผนังถ้ำถูกเจาะและขยายในส่วนที่ควรกว้าง และทำให้แคบตรงในส่วนที่ควรแคบ มีทั้งสะพานหินเชื่อมต่อจากด้านบนมาสู่ด้านหลัง และพาดผ่านหุบเหว นอกจากนี้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขายังค้นพบโพรงใต้พื้นถ้ำ และความเป็นไปได้ที่จะเชื่อมทะลุไปภูเขาลูกอื่นๆ ซึ่งหากเป็นอย่างที่คาดเดา นครแห่งชีวิตจะกลายเป็นนครใต้ดินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
 

   “อลัน!”
   จิวซือหันตามเสียงเรียก ก็เห็นซีโน่วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น เด็กชายดูร่าเริงและมีชีวิตชีวาต่างจากครั้งแรกที่พบกันอยู่มาก จิวซือทรุดตัวลงนั่งยองๆ ให้สายตาของเขาอยู่ในระดับเดียวกัน ก่อนจะถามว่า “มีอะไรหรือ”
   ซีโน่ยิ้มกว้าง มือเล็กยกขึ้นมาแล้วกางออก ก่อนที่จะปรากฏลูกไฟขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือลูกหนึ่งลอยอยู่เหนือฝ่ามือเล็ก เด็กชายเงยหน้ามองจิวซือด้วยแววตาคาดหวัง
   จิวซือประหลาดมากที่เห็นซีโน่สามารถสร้างไฟเล็กๆ ภายในเวลาสัปดาห์เดียว เขายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่ามีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาเลย จิวซือพยักหน้าชื่มชน ยื่นมือไปลูบศีรษะเด็กชายอย่างให้กำลังใจ
   “ซีโน่ เก่งมาก”
   ซีโน่ยิ้มกว้างจนตาหยี เขาดีใจมากเมื่อพลังของเขาตื่นขึ้น ในบรรดามิวเทนท์ที่ฝึกฝนอยู่ด้วยกัน เขาทำได้เป็นคนแรก คราวก่อนอลันบอกว่าทุกคนมีพลังพิเศษหลับใหลอยู่ในตัว ซีโน่เชื่อหมดใจ ไม่ว่าอลันพูดอะไร เขาเชื่อทั้งนั้น ดังนั้นทันทีที่ทำสำเร็จ เขาก็รีบวิ่งมาบอกข่าวดีกับอลัน เมื่อได้ยินคำชม ได้ยินอลันเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซีโน่รู้สึกหัวใจพองโตไปด้วยความสุขและความภูมิใจ เขาชอบฟังอลันเรียกเขาว่าซีโน่ที่สุด
   “คานส์ก็ใช้ไฟ ให้เขาสอนสิ”
   ประโยคถัดมาของอลันทำให้ซีโน่หน้ามุ่ยลง เด็กชายเม้มปากอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาแทบใกล้เคียงกับการอ้อนว่า “อยากให้อลันสอน”
   จิวซือใคร่ครวญเล็กน้อย พบว่าการที่เขาจะสอนซีโน่ไปด้วย และควบคุมการก่อสร้างนครแห่งชีวิตไปด้วย ไม่ยากลำบากเกินไป จึงตอบตกลง เด็กชายยิ้มกว้างอย่างยินดี มือเล็กทั้งสองข้างเอื้อมมาจับมือของอลันไว้
   “ถ้าผมสร้างมังกรไฟตัวใหญ่เท่ามังกรน้ำของอลัน” ซีโน่ลังเลเล็กน้อย เด็กชายสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เอ่ยเสียงสั่นว่า “อลัน...อลันย้ายมานอนกับผมนะ”
 

   “หึ”
   จิวซือและซีโน่หันไปตามเสียง เห็นคานส์ก้าวยาวๆ เข้ามา สายตาของเขาที่มองซีโน่เหมือนได้ฟังเรื่องตลกที่สุดในชีวิต ร่างเงาสูงใหญ่แผ่บรรยากาศกดดัน ทำให้เด็กชายตัวสั่น แต่ก็ยังอดทนไม่ยอมหลบตา
   คานส์เห็นซีโน่ไม่ยอมแพ้ ก็ผุดรอยยิ้มร้าย ลูกไฟขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือใจกลางฝ่ามือของเขา ก่อนที่มันจะค่อยๆ ขยายตัวกลายเป็นมังกรเพลิงยาวห้าเมตร มีขนาดและรูปลักษณ์เหมือนกับมังกรน้ำที่จิวซือสร้างขึ้นมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน ไม่ต้องอธิบายก็ทราบได้ว่าเขาจงใจ
   จิวซือตาโตมองอี้เทียนอย่างไม่อยากเชื่อ อีกฝ่ายถึงขนาดแข่งกับเด็กตัวเล็กเท่านี้ได้ลงคอ ทั้งยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วย ไม่ทราบคำว่า ‘เกเร’ สามารถใช้กับเทพยามาได้หรือไม่ เนื่องจากคำว่า ‘เอาแต่ใจ’ คงจะไม่เพียงพอในการบรรยายพฤติกรรมของอี้เทียนในเวลานี้
   จิวซือไม่รู้ตัวว่าริมฝีปากของตนคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม ส่งผลให้ใบหน้าของเขาละมุนลง และทำให้อี้เทียนเหม่อมองไม่วางตา นานมากแล้วที่เขาไม่เห็นซื่อเสวี่ยนยิ้มเช่นนี้ ดังนั้นแม้ประโยคต่อมาของฝ่ายนั้นจะมีเจตนาเอาคืน อี้เทียนก็ยังพยักหน้าตกลงแต่โดยดี

   “คานส์ นายช่วยสอนซีโน่จนกว่าเขาจะสร้างมังกรไฟแบบนั้นได้ก็แล้วกัน”


#วิถีเซียน3p
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-02-2019 19:42:09 โดย Whitedemon21 »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
อี้เที้ยน กับเด็กก็ห่วงนะ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

The Protector 5
 
 
                   การก่อสร้างนครแห่งชีวิตเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ภายในถ้ำถูกจัดสรรอย่างเป็นสัดส่วน นอกจากห้องพักแล้ว ยังมีห้องประชุมหลายห้อง ห้องครัวและรับประทานอาหาร ห้องเก็บอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ บันไดหินและสะพานเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ขณะที่ลานกว้างสำหรับการฝึกฝนถูกย้ายออกมานอกถ้ำ นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างบ้านหลังเล็กที่ทำจากต้นไม้และดินเหนียวบริเวณรอบถ้ำ โดยการวางผังเมืองจากเซฟ มิวเทนท์ที่จิวซือส่งมอบเรื่องการบริหารจัดการให้ เซฟจึงมีสถานะคล้ายกับผู้ใหญ่บ้าน
                ข้อสงสัยเรื่องโพรงใต้ดินได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง โพรงใต้ดินสามารถเชื่อมทะลุไปยังภูเขาลูกอื่นๆ ที่สำคัญภูเขาลูกที่อยู่ติดกันมีถ้ำขนาดใหญ่ ใหญ่กว่าถ้ำเดิมของพวกเขาเกือบสามเท่าตัว เพดานถ้ำสูงและมีช่องให้แสงสว่างลอดเข้ามาอย่างพอดี ภายในมีแหล่งน้ำใต้ดินขนาดใหญ่ที่ยังบริสุทธิ์อยู่ และต้นไม้พืชพันธุ์หลายชนิด ราวกับมีป่าที่อุดมสมบูรณ์ซ่อนเร้นอยู่ใต้ดิน
                ขณะที่จิวซือก้มลงสำรวจผนังถ้ำแห่งใหม่นี้ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงตกใจจากด้านหลัง เขารีบเร่งฝีเท้าไปทางต้นเสียง และพบว่าลีน่า สมาชิกในทีมก่อสร้างของเขาทรุดลงกับพื้น มือทั้งสองกุมศีรษะ และครวญครางด้วยความเจ็บปวดออกมา เธอกำลังเผชิญกับอาการเจ็บปวดที่มิวเทนท์ไม่อาจหลีกเลี่ยง
                “ลีน่า!” เซฟกอดเธอไว้แน่น เมื่อเขาเห็นอลัน ก็ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ ทั้งที่ในใจทราบดีว่าเป็นไปได้ยากเหลือเกิน ไม่มีใครช่วยได้ ความเจ็บปวดนี้มีแต่ต้องผ่านไปได้ด้วยตัวเอง หากควบคุมไว้ไม่ได้ก็มีแต่ต้องถูกกำจัดเท่านั้น
 
                จิวซือนั่งลงจับไหล่ที่สั่นสะท้านของลีน่าไว้ พยายามพูดให้เธอมีสติ และอดทนผ่านมันไปให้ได้ ทว่าดูเหมือนจะไม่เป็นผลมากนัก ลีน่าเงยหน้ากรีดร้องขึ้นอย่างฉับพลัน ม่านตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน บ่งบอกภาวะใกล้คลั่ง เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น จิวซือจึงตัดสินใจทดลองบางอย่าง เขาสั่งให้เซฟจับตัวลีน่าไว้ จากนั้นก็กัดนิ้วตัวเองจนเลือดไหลเป็นทาง ก่อนจะจับคางของลีน่าบังคับให้อ้าปาก แล้วส่งนิ้วอาบเลือดเข้าไปในปากของเธอ
                เซฟมองอลันอย่างตกตะลึง แต่เพราะความเชื่อถือในตัวเขา จึงทำตามคำสั่งของอลันโดยไม่มีข้อโต้แย้ง แม้ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยแค่ไหนก็ตาม
                แม้ว่าทั้งเซฟและจิวซือจะจับลีน่าไว้แน่น แต่ฟันแหลมคมของเธอก็ยังสะกิดโดนนิ้วของจิวซืออย่างเลี่ยงไม่ได้ กรีดแผลเป็นทางยาว โลหิตสีคล้ำทะลักออกมา ทันใดนั้นเองก็มีมือข้างหนึ่งเข้ามาตรึงลำคอของลีน่าไว้ไม่ให้ขยับ จากนั้นก็ดึงมือของจิวซือออกมา เพราะปากแผลถูกฟันของลีน่ากรีดออกเป็นทางยาว ดังนั้นตั้งแต่นิ้วชี้จนถึงข้อมือของจิวซือจึงถูกย้อมไปด้วยเลือดสีคล้ำ
                จิวซือเงยหน้ามองคนที่เข้ามาขัดขวาง ก็เห็นใบหน้าถมึงทึงดำมืดยิ่งกว่าพายุหมุนกลางทะเลของอี้เทียน ความโกรธเกรี้ยวของเขาปรากฏชัดทั้งทางสายตา และบรรยากาศรอบตัว มือชุ่มเลือดของจิวซือถูกอี้เทียนคว้าไว้ ก่อนที่เขาจะใช้ผ้าสะอาดกดปากแผลให้เลือดหยุดไหล โดยที่สายตาวาวโรจน์ไม่ยอมละจากใบหน้าของจิวซือ
                จิวซือหลบตาเขา เบนสายตาไปมองอาการของลีน่าที่เวลานี้เริ่มสงบลง สีแดงในดวงตาเริ่มจางลง จิวซือเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อนึกได้ว่าเลือดของอลันมีพลังชีวิตอย่างที่คาดจริงๆ
                รอยยิ้มโล่งใจของจิวซือเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายของอี้เทียน เขาฉุดอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมาโดยไม่ออมแรง จากนั้นก็ลากจิวซือที่มีใบหน้างุนงงให้เดินตามเขา โดยไม่ลืมกำชับเซฟไม่ให้แพร่พรายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ใด
 
                อี้เทียนกึ่งลากกึ่งจูงจิวซือออกมานอกถ้ำ ผ่านสายตาใคร่รู้ของทิวเทนท์คนอื่นๆ ไปยังป่าด้านนอก ระยะที่ผ่านมาไม่อาจทำให้อารมณ์ของอี้เทียนเย็นลงได้เลย
                เขาโกรธ โกรธจริงๆ
                ทำไมชอบทำให้ตัวเองบาดเจ็บเพราะคนอื่น แล้วยังยิ้มโล่งใจโดยไม่รู้สึกสักนิดว่าเขาเป็นห่วง หากไม่พูดกันให้ชัดเจนคราวนี้ เกรงว่าหากมีครั้งต่อไป คงไม่ใช่บาดแผลเล็กน้อยเท่านี้
 
                อี้เทียนดันหลังของจิวซือพิงกับต้นไม่ใหญ่ ขณะที่ตนเองโน้มใบหน้าลงมาใกล้ชิด ดวงตาสองสีของเขาประสานกับดวงตาสีน้ำตาล ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ซื่อเสวี่ยน ไม่ใช่จิวซือ ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจว่าหากผ่านด่านคุณธรรมด้วยผลงานดี พลังที่ไดรับเมื่อเป็นเทพยิ่งสูงส่ง
                เขาเข้าใจ แต่-ไม่-ชอบ!
                “อย่าใช้คำว่าแผลเล็กน้อย หรือไม่เจ็บกับข้า”
                น้ำเสียงของอี้เทียนแข็งกร้าวจนจิวซือตกใจ ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายโกรธเคืองเรื่องอะไร สีหน้าสับสนงุนงงของจิวซือทำให้อี้เทียนถอนหายใจยืดยาว ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
                “ข้าพยายามอดทนแล้ว”
                ไม่ก้าวก่าย ไม่อยากให้วอกแวกกับเรื่องในอดีตของพวกเขา รอจนอีกฝ่ายเป็นเทพอย่างที่ตั้งใจ ถึงเวลานั้นจะจับไว้ให้มั่น ไม่ให้หลุดรอดจาดมือของเขาอีก แต่...
                “แต่ข้าทนไม่ได้”
                แผ่วเบาแทบเป็นเสียงกระซิบ ใบหน้าโน้มลงมาจนปลายจมูกทั้งสองสัมผัสกัน ดวงตาสองคู่ประสานกันอยู่นานราวกับกำลังวัดใจ และเป็นอี้เทียนที่ขยับใบหน้าออกมา โดยที่สายตายังไม่ละไปจากคนตรงหน้า
                ซื่อเสวี่ยนอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ แต่ไม่อาจครอบครอง ยังคงต้องปล่อยให้โบยบินไปตามที่ใจปรารถนา
                “น่าจะขังเจ้าไว้ที่ยมโลก”
                “ได้ยินว่าเทพยามาอารมณ์แปรปรวน ไม่ผิดจริงๆ”
                “ต้นเหตุก็คือเจ้า”
                จิวซือเข้าใจว่าเขาหมายถึงสาเหตุที่ทำให้อารมณ์ขึ้น แต่ไม่ทราบว่าตนเองยังเป็นต้นเหตุให้อี้เทียนกลายเป็นเทพยามาอีกด้วย ดังนั้นจึงเชิดคางขึ้น เลิกคิ้วอย่างท้าทาย ความนัยที่แฝงอยู่ในสีหน้าท่าทางพอจะเดาได้เป็นรูปประโยคได้ว่า ‘ใครใช้เจ้าอารมณ์เสียเพราะข้า’
                สีหน้าของอี้เทียนคล้ายยอมแพ้ผสมกับความเอ็นดู ก่อนที่มุมปากของเขายกขึ้นอย่างมีเสน่ห์ “ถ้าเจ้าเรียกข้าว่าพี่อี้ จะยอมปล่อยให้ทำตามใจ”
                “ไม่เรียก” จิวซือเอ่ยโดยไม่ต้องคิด รอยยิ้มบนใบหน้าของจิวซือสว่างไสวขึ้นเล็กน้อย ตรงข้ามกับแววตา ทำให้อี้เทียนไม่กล้ารั้งไว้ ยามที่เขาบอกว่าจะกลับไปดูอาการลีน่า
 
               
                แผ่นหลังของจิวซือเพิ่งจะลับสายตาไป ร่างสูงของฮิลก็ปรากฏขึ้นห่างออกไปไม่ไกลนัก ไม่ทราบเขาอยู่ตรงนี้มานานเท่าไรแล้ว แต่ดูจากสีหน้าไม่ยินดียินร้ายของอี้เทียนแล้ว คาดว่าคงรับรู้ตัวตนของอวิ๋นหนานแต่แรก
                “อย่าใช้อดีตฉุดรั้งเขา”
                สายตาอี้เทียนแข็งกร้าวเมื่อได้ยินคำพูดของอวิ๋นหนาน มุมปากยกขึ้นอย่างท้าทาย “อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ข้าล้วนพันธนาการเขาไว้”
                แววตาที่นิ่งสงบเหมือนก้นทะเลสาบของอวิ๋นหนานปรากฏระลอกคลื่นบางเบา บ่งบอกถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจ ด้านหนึ่งคือความต้องการยึดถือเซียนน้อยตนนั้นเป็นคนของวังตะวันออก อีกด้านคือเสียงโต้แย้งบอกว่าไม่จำเป็นต้องแย่งชิง แค่ผู้ช่วยคนเดียว ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น เหตุผลที่ตนเองรู้สึกวุ่นวายใจถึงเพียงนี้ ตนเองยังไม่เข้าใจ สุดท้ายจึงได้แต่กล่าวกึ่งเตือนว่า
                 “เขามีอนาคตไกล”
 
 
 
                เมื่อแผ่นพิงกับเปลือกไม้แข็งๆ ของต้นไม้ใหญ่ จิวซือค่อยรู้สึกว่าหัวใจสงบลง เขาเงยหน้าให้ศีรษะพิงแนบลำต้นแข็งแรง ทอดสายตามองไปไกล ความทรงจำที่เคยคิดว่าเลือนหายไปเสียนานกลับมาฉายซ้ำในห้วงความคิด
               
                “เรียกข้าว่าพี่อี้” เด็กชายวัยหกขวบกล่าว ใบหน้าเล็กเชิดขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับยืนตัวตรง พยายามให้ดูเป็นโตกว่าเด็กชายคนอีกคนหนึ่ง
            เด็กชายอีกคนทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมกล่าวว่า “พี่อี้”
            คนออกคำสั่งพยักหน้าขึ้นลงอย่างพอใจ ยื่นมาตบศีรษะที่เตี้ยกว่าเล็กน้อย
           
 
            หลายปีต่อมา เด็กทั้งสองเติบโตขึ้นเป็นสหายรัก ร่ำเรียนในสำนักศึกษาด้วยกัน เพราะทราบว่าพวกเขาอายุเท่าๆ กัน ซื่อเสวี่ยนจึงไม่ยอมเรียกอี้เทียนว่าพี่อี้อีก
            “เรียกข้าว่าพี่อี้สิ แล้วจะตามใจเจ้า” นี่จึงเป็นประโยคที่อี้เทียนชอบใช้หยอกล้อเขา
            “ข้าอายุมากกว่าเจ้า”
            “แค่สามวัน” อี้เทียนกล่าวอย่างไม่ชอบใจนัก
            “เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าอายุมากกว่าเจ้าสามวัน”
            “ซี่อเสวี่ยน เจ้าช่างไม่น่ารักเลย” อี้เทียนทำหน้าหมดสนุก ก่อนจะกลับไปฝึกเพลงดาบของเขาต่อ ไม่ทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในดวงตาของซื่อเสวี่ยน และไม่ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาของเขา
            “พี่อี้” ถ้าเรียกแล้ว ข้าจะน่ารักหรือ น่ารักในสายตาเจ้า
 
            ไม่กี่ปีต่อมา อี้เทียนในชุดเจ้าบ่าวสีแดงยืนเคียงข้างเจ้าสาวของเขา เวลานั้นซื่อเสวี่ยนตระหนักว่า คำว่า “พี่อี้” ไม่ใช่คำเรียกขานที่ตนเองสามารถกล่าวได้อีกต่อไป
            หากรู้ก่อน เขาจะเรียกอีกฝ่ายว่าพี่อี้ซ้ำๆ จนฝ่ายนั้นรำคาญเลยทีเดียว
               
               
                อวิ๋นหนานไม่คาดว่าจะได้พบต้นเหตุความวุ่นวายใจของเขาเร็วถึงเพียงนี้ และได้เห็นสีหน้าขมขื่นที่ไม่ทันได้ปิดบัง เทพหนุ่มพลันรู้สึกว่าหัวใจบีบรดแน่นจนอึดอัด ภาพของเซียนน้อยที่บอกเล่าความทุกข์ยากให้เขาฟังริมแม่น้ำเจียงหัวซ้อนทับเข้ามา รู้ตัวอีกทีสองขาก็พาตนเองเข้ามาใกล้อีกฝ่ายเสียแล้ว
                เห็นจิวซือเงยหน้ามองเขาตาโต ก่อนจะยิ้มให้ ท่าทางปราศจากความทุกข์กังวลใจอย่างที่หากเขาไม่เห็นเสียก่อน ก็คงไม่ทราบ ดวงตาสีทองของอวิ๋นหนานซับซ้อนขึ้น คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ก็คล้ายไม่เข้าใจ
                “มีอะไรหรือครับ”
                อวิ๋นหนานยังคงมองจิวซือเงียบๆ เนิ่นนานจนคล้ายกับว่าจะไม่มีบทสนทนาใด กระทั่งจิวซือขยับตัวจะลุกขึ้น ค่อยได้ยินเสียงทุ่มต่ำของเขาเอ่ยว่า “วังตะวันออก”
                สีหน้าอวิ๋นหนานเหมือนแปลกใจกับคำพูดของตัวเอง แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลับมาเรียบราบตามเดิม พร้อมกับน้ำเสียงที่มั่นคงและชัดเจนขึ้น “สิ้นสุดภพนี้เมื่อใด กลับไปวังตะวันออก”
                คำสั่งปราศจากที่มาที่ไปของเจ้าวังตะวันออกสร้างความสับสนงุนงงให้กับจิวซือไม่น้อย ไม่ทราบเจ้าวังมีภารกิจอื่นใดจะสั่งการเขาหรือเปล่า แต่ก็พยักหน้ารับโดยดี
                “ครับ”
                ร่างสูงของอวิ๋นหนานขยับเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง ก่อนจะโน้มกายลงกระทั่งใบหน้าอยู่ห่างจากศีรษะของจิวซือเพียงคืบจนจิวซือตัวแข็งทือ กระนั้นเมื่อฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะแล้วลูบเส้นผมของเขาเบาๆ ด้วยสัมผัสอ่อนโยนเต็มไปด้วยความระมัดระวัง จิวซือพลันนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ในร่างกาดำ จึงเอียงศีรษะรับสัมผัสอ่อนโยนอย่างว่าง่าย กลายเป็นเจ้าของฝ่ามือเสียเองที่เป็นฝ่ายชะงักไป นัยน์ตาสีทองฉายแววลึกล้ำยากคาดเดา ราวกับว่ามีพายุอารมณ์ลูกใหญ่โลดแล่นในทะเลความคิดของเขา
                จิวซือลืมตาอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่าสัมผัสของอวิ๋นหนานหายไป กลายเป็นความเย็นของกระแสลมเข้ามาแทนที่ เขามองแผ่นหลังเหยียดตรงห่างออกไปเรื่อยๆ ริมฝีปากของจิวซือเม้มเข้าหากัน ไม่อาจละสายตาจากแผ่นหลังกว้างนั้นได้ เนิ่นนานว่าเขาจะผ่อนลมหายใจยืดยาว แล้วเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ พยายามกำจัดความรู้สึกไม่มั่นคงในจิตใจ
 
                #วิถีเซียน3p
 
...................
อาทิตย์นี้ลงสองตอน เนื่องจากเสาร์อาทิตย์หน้าไม่อยู่ค่า V.V
Q: ตงหวาง บทน้อยไปมั้ย
A: รอ Arc เลยค่ะ มีสะใภ้ เอ๊ย เซอร์ไพส
 Q: มีฉากคัทกับตงหวางมั้ย
A: Arc นะก๊ะ
Q: 3p แน่ๆ ใช่มั้ย
A: แน่นอนที่สุด อยากแต่งตอนจบแล้ว TT ทำไมเรื่องนี้มันยาวจังเลยยยย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-04-2019 15:55:13 โดย Whitedemon21 »

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ FiZZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
อยากจะชูธงทีมตงหวาง แต่อ้าว 3P นี่นา 555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด