(The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (The End) เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p  (อ่าน 58403 ครั้ง)

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม







สวัสดีค่ะ จริงๆ เราเคย active ในเล้าเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่พอไปเรียนต่อก็ไม่ได้เข้ามาลงอีก ไอดีเก่าเข้าไม่ได้แล้ว เพิ่งสมัครใหม่เพื่อลงนิยายอีกครั้ง เพราะคิดว่าครั้งนี้จะไม่ดองและจะลงจนจบค่ะ ฮ่าๆ ถ้ามีข้อแนะนำอะไร บอกได้เลยนะคะ พยายามอ่านกระทู้ที่่ควรอ่านหมดแล้ว แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดไป รบกวนบอกเราด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

นิยายเรื่องอื่นๆ ที่แต่งจบแล้ว:
Wait! หรือมึงจะเล่นเพื่อน
Devil and Turtle เจ้าสาวปีศาจ






เป็นเซียนอย่างสงบไม่ง่ายเลย #วิถีเซียน3p


สารบัญ
Prologue
Life of a superstar 1
Life of a superstar 2
Life of a superstar 3
Life of a superstar 4
Life of a superstar 5
Life of a superstar 6
Life of a superstar 7
Life of a superstar (end)
Interval 1
Interval 2
Prince's fiancé 1
Prince's fiancé 2
Prince's fiancé 3
Prince's fiancé 4
Prince's fiancé (end)
Interval 2: The Underworld (1)
Interval 2: The Underworld (2)
Interval 2: The Underworld (end)
The Protector 1
The Protector 2
The Protector 3
The Protector 4
The Protector 5
The Protector 6
The Protector 7
The Protector 8
The Protector (end)
The Great General 1
The Great General 2
The Great General 3
The Great General 4
The Great General 5
The Great General 6
The Great General 7
The Great General 8
The Great General 9
The Great General 10
The Great General 11
The Great General 12
The Great General 13
The Great General 14
The Great General 15
The Great General 16
The Great General 17
The Great General 18
The Great General 19
[urlชhttps://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4019546#msg4019546]Owner of the Goldern Pagoda (1)[/url]
Owner of the Golden Pagoda (2)
Owner of the Golden Pagoda (3)
The End
[urlชhttps://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69167.msg4026382#msg4026382]Epilogue[/url]
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2020 21:02:00 โดย Whitedemon21 »

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
Prologue






            จิวซือ เป็นเซียนชั้นผู้น้อยที่เฝ้ารักษาแม่น้ำเจียงหัว แม่น้ำสายเล็กๆ สายหนึ่งแถบตงไฮ่ หรือทะเลตะวันออก ชื่อจิวซือของเขานั้นแปลว่าชะตาและความสุข ไม่ทราบเพราะชื่อนี้มีความหมายดีเกินไปหรือไม่ ชีวิตจริงถึงได้ตรงข้ามนัก  เพราะนับตั้งแต่เขามาเกิดในโลกมนุษย์ทั้งหมด 7 ชาติ ล้วนแล้วแต่ดวงตกถึงที่สุด บางคราถึงกับเกิดเป็นขอทาน ถูกอันธพาลคอยหาเรื่องและทำร้ายร่างกาย เพียงไม่กี่ปีก็ตายตก กลับมายืนต่อแถวกับสหายเซียนชั้นผู้น้อยอื่นๆ เพื่อมาเกิดใหม่อีกครั้ง

            สหายเซียนชั้นผู้น้อยที่ว่านี้ก็คือบรรดามนุษย์ที่ทำคุณความงามดีจนถึงเกณฑ์ เมื่อสิ้นอายุขัยจึงถูกชักนำเขาสู่วิถีเซียน ดวงจิตได้รับการชำระทำให้แข็งแกร่งกว่าดวงจิตของมนุษย์ทั่วไป ชาติก่อนที่จิวซือจะได้เป็นเซียนนั้น เขาเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ ช่วยเหลือชาวบ้านจากภัยพิบัติและความอดยากไว้ไม่น้อย นอกจากไม่เคยฉ้อราษฎร์บังหลวง รับสินบนแล้ว ยังบริจาคทรัพย์สินเงินทองให้ผู้ยากไร้อยู่เสมอ  เรียกได้ว่าประพฤติตนเป็นแบบอย่างของขุนนางที่ดี สุดท้ายเข้ารับกระบี่แทนฮ่องเต้จนเสียชีวิต จึงได้รับโอกาสให้เข้าสู่วิถีเซียน

 

            พวกเขาซึ่งถือเป็นเซียนชั้นผู้น้อยนั้นจะได้รับมอบหมายภารกิจต่างๆ กัน เช่น ตัวเขาถูกมอบหมายให้ดูแลแม่น้ำเจียงหัว ร่วมกับเซียนอื่นๆ อีกสองตน และหากต้องการเลื่อนขั้นเป็นเทพ มีที่พำนักบนสวรรค์ ได้รับโอกาสให้ฝึกวิชา ตบะบารมี และสั่งสมพลังเทพ ตลอดจนได้อภิสิทธิ์อื่นๆ อย่างที่เทพพึงมี เซียนชั้นผู้น้อยเหล่านี้ต้องผ่านด่านทดสอบที่เรียกว่า “ด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติ” กล่าวคือ พวกเขาต้องไปเกิดเป็นมนุษย์ 11 ชาติ ซึ่งประมาณ 770 ปีบนโลกมนุษย์ หรือ 770 วันบนสวรรค์ ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์นี้ เซียนผู้เข้ารับการทดสอบจะไม่มีความทรงจำของเซียนเหลืออยู่ ล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีกิเลศ รัก โลภ โกรธ หลง การกระทำทุกอย่างจะถูกจดบันทึกไว้ เมื่อเวียนว่ายตายเกิดจนครบ 11 ชาติแล้ว จึงมีผู้ประเมินพฤติกรรมทั้ง 11 ชาติของพวกเขาผ่านบันทึกคุณธรรม หากว่ามีชาติหนึ่งชาติใดที่กระทำเรื่องไร้ศีลธรรม หรือกระทำผิดพลาดจนเกิดผลร้ายแรง ถือว่าสอบตก ไม่มีสิทธิเลื่อนขั้นเป็นเทพ และต้องเป็นเซียนชั้นผู้น้อยต่อไปเป็นเวลา 7 ปีของภพสวรรค์ จึงค่อยมีโอกาสขอเข้ารับการทดสอบใหม่ ในกรณีที่สอบไม่ผ่านและไม่ต้องการเข้ารับการทดสอบเลื่อนขั้นอีก ก็สามารถสมัครเป็นข้ารับใช้บนสวรรค์ได้ สำหรับข้ารับใช้บนสวรรค์นั้น แม้จะได้กินดีอยู่ดีกว่าเซียนชั้นผู้น้อย และได้ร่ำเรียนวิชา ฝึกตบะบารมี แต่ฐานะและการปฏิบัติการสู้พวกเทพไม่ได้แม้แต่น้อย ฉะนั้น การผ่านด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติ จึงเป็นเป้าหมายของบรรดาเซียนชั้นผู้น้อยแทบทุกตน

 

            จิวซือผ่านด่านทดสอบมาแล้ว 7 ชาติ เมื่อสิ้นอายุขัย กลับคืนสู่ความเป็นเซียนก็จำเรื่องราวที่เกิดบนขึ้นโลกมนุษย์ของตนได้ หลังจากตรองดูแล้วก็พบว่าตนเองมิได้ละเมิดข้อห้าม หรือกระทำการผิดศีลธรรมร้ายแรงใดๆ ใจหนึ่งก็ปลอดโปร่ง ส่วนอีกใจก็อดรู้สึกโมโหและอับจนไม่ได้ เขาคาดว่าตนเองคงถูกใครสักคนกลั่นแกล้ง มิเช่นนั้น ตลอดทั้ง 7 ชาติที่ผ่านมา เขาจะมีชะตาชีวิตรันทดเช่นนั้นได้อย่างไร จำได้ว่านอกจากเกิดเป็นขอทานที่ถูกอันธพาลทำร้ายจนตายแล้ว มีชาติหนึ่งเขาเกิดเป็นลูกครึ่ง มีดวงตาสีฟ้าผมสีทอง ตั้งแต่เด็กถูกผู้คนตั้งแง่รังเกียจ เขาจึงตั้งใจจะเป็นทหารรับใช้แผ่นดินและพิสูจน์ตนเอง พากเพียรฝึกวิชา เสี่ยงชีวิตหลายคราวกว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นนายกอง สุดท้ายยังถูกสหายร่วมรบใส่ร้ายหาว่าเป็นไส้ศึก ถูกทรมานด้วยวิธีพิสดารนับไม่ถ้วน เจ็ดวันกว่าจะขาดใจตาย ชาติที่แล้ว เขาหลงนึกว่าตนเองโชคดีได้เกิดเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ มิคาดสุดท้ายยังถูกภรรยาสวมเขา ถูกน้องชายวางยาจนกระทั่งกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ แขนขาพิการเดินเหินไม่ได้ ซ้ำยังอายุยืน ต้องนอนฟังภรรยาและคนในตระกูลดูถูกเหยียดหยามเช่นนั้นอยู่หลายปี

 

            ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมอยู่ 7 ชาติ ในที่สุดเหมือนสวรรค์เห็นใจ วันหนึ่งขณะที่เขานั่งเท้าคาง เอาเท้าแช่น้ำ ใคร่ครวญว่าก่อนจะไปต่อแถวที่หอคุณธรรมเพื่อเริ่มบททดสอบชาติที่ 8 เขาควรเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ชะตาแห่งความซวย’ ไม่ก็ ‘โชคร้ายกล้ำกราย’ ดีหรือไม่ เผื่อว่าเกิดใหม่คราวหน้าจะได้โชคดี ได้เสพสุขบนโลกมนุษย์อย่างเซียนคนอื่นบ้าง  เวลานั้นเขาก็ได้พบกับ อวิ๋นหนาน เทพเจ้าแห่งทะเลตะวันออก ผู้ปกครองบรรดาเทพเซียนทั้งหลายในเขตปกครองฝั่งตะวันออก เป็นรองเพียงจอมเทพเท่านั้น ดังนั้นฐานะของอวิ๋นหนานจึงนับได้ว่าเป็นเทพชั้นสูง มีตำแหน่งใหญ่โตและมีอิทธิพลบนภพสวรรค์ นอกจากนี้เขายังเป็นเทพหนุ่มอายุน้อย อนาคตไกล บวกกับหน้าตาหล่อเหลาองอาจ ทำให้เขาเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง

            หากกล่าวไป อวิ๋นหนานก็เปรียบได้กับเจ้านายของจิวซือ ดังนั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายมาปรากฏตัว ขณะที่เขากำลังโอดครวญชะตาชีวิตอันรันทดให้บรรดาก้อนหิน ต้นหญ้า และปลาในแม่น้ำฟัง จิวซือก็รู้สึกอับอายขายหน้าจนต้องยกมือเกาแก้มตามความเคยชิน ไม่ทราบเทพอวิ๋นหนานผู้นั้นว่างหรือเกิดความสนใจต่อเรื่องราวที่เขาต้องเผชิญบนโลกมนุษย์ขึ้นมา  จึงได้ทรุดลงนั่งบนก้อนหินใหญ่ไม่ห่างจากเขานัก และบอกให้เขาเล่าชีวิตทั้ง 7 ชาติให้ฟัง

 

            ด้วยระลึกอยู่เสมอว่าอวิ๋นหนานเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งคำพูดของเขาเพียงคำเดียวก็สามารถตัดสินผลการทดสอบเลื่อนขั้นเป็นเทพของเซียนเล็กๆ อย่างเขาได้ ดังนั้นจิวซือจึงเล่าชะตาอันรันทดที่เขาต้องเผชิญแต่โดยดี น้ำเสียงที่เล่านั้นแสนจะธรรมดา ราบเรียบ อธิบายราวกับว่าบรรดาความโชคร้ายทั้งหลายนั้นเกิดขึ้นกับคนอื่น มิใช่ตนเอง เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยจนสายตาหยุดอยู่ที่ดอกหญ้าดอกเล็กๆ บริเวณปลายเท้าของอวิ๋นหนาน กริยานุ่มนวลเปี่ยมมารยาท แต่นัยน์ตาดำขลับกลับมีร่องรอยของความระมัดระวัง ไม่ต่างจากยามที่เขาถวายรายงานต่อฮ่องเต้ จิวซือเลือกใช้คำพูดอย่างฉลาด เล่าตามความจริง ไม่กล่าวโทษผู้ใด แต่ก็แฝงความนัยว่ามีข้อผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้นกับบททดสอบของเขาอย่างแนบเนียน

            เมื่อเล่าจบ จิวซือก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และสบดวงตาสีทองสว่างอย่างเทพชั้นสูงของอวิ๋นหนานแวบหนึ่ง สั้นๆ เพียงเสี้ยววินาทีเหมือนไม่ตั้งใจ แต่ดวงตาใสแจ๋วของเขากลับเปี่ยมด้วยความเคารพ นอบน้อม และจริงใจ แน่นอนว่าท่าทางเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่ครั้นที่ยังเป็นขุนนางรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ ในวงราชการใครบ้างไม่เก็บงำประกาย  ในวงราชการใครบ้างไม่เรียนรู้วิธีเอาตัวรอดกันคนละอย่างสองอย่าง และในแวดวงราชการ ชนชั้นปกครองร้อยทั้งร้อยล้วนชอบให้ผู้อื่นก้มหัว เทิดทูนตนเอง  และแม้เขาจะเคยเป็นถึงเสนาบดีขวา ขุนนางขั้นหนึ่งแห่งแผ่นดิน ก็ยังต้องรู้จักเก็บงำประกาย ทั้งยังต้องแกล้งโง่กว่าฮ่องเต้อยู่สองส่วน

 

            จิวซือไม่ทันได้เห็นประกายขบขันในดวงตาอีกคู่ แต่เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของอวิ๋นหนานกล่าวว่า “เล่าได้ไม่เลว”

            “ท่านเทพชมเกินไปแล้ว”

            เมื่อเห็นว่าเทพอวิ๋นหนานไม่ได้กล่าวถึงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นกับชะตาบนโลกมนุษย์ของเขา จิวซือก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายว่าไม่ต้องการสืบสาวราวเรื่อง แล้วก็ให้แล้วกันไป

            “เจ้ายังเหลือด่านทดสอบอีก 4 ชาติ” อวิ๋นหนานกล่าวต่อ “ข้าจะให้โชคดีแก่เจ้า 3 ชาติ ส่วนชาติสุดท้ายนั้น ขึ้นอยู่กับวาสนาและความสามารถของเจ้าแล้ว”

            ขึ้นอยู่กับวาสนาและความสามารถของเขางั้นหรือ แล้วหากว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ‘ความซวยซ้ำซ้อน’ ของเขาบังเอิญแทรกแซงในวาสนา ทำให้ชาติสุดท้ายของเขาต้องพบเจออุปสรรคมากมายจนเขามิอาจรักษาความดีงามและวิถีแห่งเซียนเล่า เช่นนั้นมิได้หมายความว่าเขาสอบตกหรอกหรือ

            ประหนึ่งล่วงรู้ความคิดของจิวซือ อวิ๋นหนานกล่าวเสริมว่า “มีคนไม่น้อยได้รับโอกาสให้เป็นเซียน แต่มีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเทพ ดังนั้นบททดสอบสุดท้าย ข้าไม่อาจมอบแต้มต่อแก่เจ้าได้”

            จิวซือนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค้อมกายคาราวะบุรุษที่นั่งหลังตรงเป็นสง่าบนก้อนหินใหญ่

            “ขอบคุณท่านเทพ”

 

 

           

            เอาล่ะ หลังจากที่ซวยซ้ำซ้อนมา 7 ชาติ ก็ถึงเวลาที่เขา จิวซือ เทพแห่งทะเลตะวันออก อ่า ก็ได้ๆ จิวซือ เซียนชั้นผู้น้อยแห่งแม่น้ำเจียงหัว จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนมีโชคเสียที

           

 



********************

อดีตชาติของจิวซือ


ชาติสุดท้ายตอนที่ยังเป็นมนุษย์
   
   ชื่อว่าซือเสวี่ยน เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย คนสนิทของฮ่องเต้ เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นขุนนางตงฉินและชอบบริจาคทรัพย์สินให้กับผู้ยากไร้ ซือเสวี่ยนกับอี้เทียนเป็นทั้งสหายและเจ้านายกับลูกน้อง ซือเสวี่ยนชอบอี้เทียน แต่อี้เทียนมีภรรยาแล้ว ซือเสวี่ยนจึงแต่งชายาตามที่มารดาต้องการ เมื่อครั้นที่ฮ่องเต้แต่งตั้งซือเสวี่ยนเป็นแม่ทัพใหญ่ออกปราบกบฎทางเหนือ ก็มีอี้เทียนเป็นรองแม่ทัพ สุดท้ายอี้เทียนเสียชีวิตเพราะรับฝนธนูแทนซือเสวียน  หลังจากนั้นไม่ถึงปีซือเสวี่ยนก็เสียชีวิตจากการรับกระบี่ของมือสังหารแทนฮ่องเต้
   ด้วยผลกรรมดีทั้งหมดนี้ ทำให้เขามาเกิดยังภพเซียน


วิถีเซียน: ด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติ
เมื่อได้โอกาสขึ้นมาบำเพ็ญเพียรในภพเซียน ในฐานะเซียนน้อย ก็เปลี่ยนชื่อเป็นจิวซือ จากนั้นขอเข้ารับการทดสอบเพื่อเลื่อนขั้นเป็นเทพชั้นผู้น้อย ต้องผ่านด่านทดสอบ 11 ชาติ ตอนนี้จิวซือสอบผ่านไปแล้ว 7 ชาติ ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างด่านทดสอบของชาติที่ 8 ค่ะ


ชาติแรก
   เกิดเป็นลูกนอกสมรสของนักการเมืองคนหนึ่ง เป็นเด็กพิการทางสติปัญญา จึงถูกทั้งภรรยาหลวง และบรรดาพี่น้องกลั่นแกล้ง กระทั่งคนรับใช้ก็ยังแอบทารุณเขา แต่มีพรสวรรค์ทางการวาดภาพ อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์ของเขาไม่เคยไม่ใครชื่นชม ใช้ชีวิตอย่างไม่มีคนรัก ไม่มีคนสนใจ แต่เขาไม่เคยคิดแก้แค้นใคร เพียงแต่ใช้ชีวิตเช่นนั้นจนตายด้วยวัย 38 ปี


ชาติที่สอง
   เกิดเป็นลูกหญิงคณิกาในหอนางโลม นางพาเขามาทิ้งที่วัดร้าง พอดีมีผู้เฒ่าในค่ายสำนักทางเต๋าผู้หนึ่งไปเจอ เลยพากลับมาฝึกวิชา เพราะความพิเศษของร่างกาย และมีพรสวรรค์ จึงรุดหน้ากลายเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง เก่งกาจด้านการปราบภูติผีปีศาจ แต่สุดท้ายถูกผู้เฒ่าที่ช่วยเหลือคนเองจับทำเป็นเตาหลอมยามีชีวิต ดูดพลังชีวิตและพลังฝีมือของเขาจนหมด เพื่อยืดอายุให้ตนเอง เขารักผู้เฒ่าเหมือนบิดาของตัวเอง ดังนั้นนอกจากความเสียใจ ผิดหวัง แล้วก็ไม่มีเคียดแค้นอะไร


ชาติที่สาม
   เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดา มีความฝันอย่างเป็นดารา และหาเงินเลี้ยงดูมารดาา  จึงเข้าเรียนที่คณะศิลปะการละครมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐ เป็นนักเรียนดีเด่น ความสามารถล้ำเลิศ เสียแต่หน้าตาธรรมดา และเอาใจใครไม่เป็น จึงไม่เคยไปถึงฝั่งฝันได้แสดงละครสมใจ สุดท้ายเขาก็กลับไปเป็นครูที่บ้านนอก สอนเด็กยากไร้ที่มีความฝันเหมือนกับเขา ก่อนตายยังได้ทราบข่าวว่าลูกศิษย์คนหนึ่งของเขาประสบความสำเร็จในอาชีพนักแสดง
   นับว่าเป็นชาติที่ธรรมดา และไร้ความทุกข์ยากที่สุดแล้วของจิวซือ


ชาติที่สี่
   เกิดเป็นลูกครึ่ง มีดวงตาสีฟ้าผมสีทอง ตั้งแต่เด็กถูกผู้คนตั้งแง่รังเกียจ จึงตั้งใจจะเป็นทหารรับใช้แผ่นดินและพิสูจน์ตนเอง พากเพียรฝึกวิชา เสี่ยงชีวิตหลายคราวกว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นนายกอง สุดท้ายถูกสหายร่วมรบใส่ร้ายหาว่าเป็นไส้ศึก ถูกทรมานด้วยวิธีพิสดารนับไม่ถ้วน เจ็ดวันกว่าจะขาดใจตาย


ชาติที่ห้า
   เกิดเป็นขอทาน ทั้งชีวิตดำเนินไปอย่างยากลำบาก วันหนึ่งเห็นเด็กสาวคนหนึ่งถูกอันธพาลทำร้าย จึงพยายามช่วย สุดท้ายก็ถูกอันธพาลเหล่านั้นรุมทำร้ายจนตาย ชาตินี้เป็นบทเรียนให้จิวซือว่าอย่ากระทำการเกินความสามาถของตน


ชาติที่หก
   เกิดในเผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์ ดำรงชีวิตในป่าเขา ด้วยความที่ร่างกายอ่อนแอ ไม่ผ่านบททดสอบเป็นนักรบของเผ่า จึงถูกผู้นำในเผ่าจับไปขายให้กับพวกมนุษย์ที่มีฐานะดี กลายเป็นของเล่น ถูกใช้แรงงาน และกระทำเรื่องป่าเถื่อนบนเตียงอย่างนับไม่ถ้วน เป็นชาติที่จิวซือเกือบฆ่าคนตายด้วยความโกรธแค้นและทุกข์ทรมาน แต่เศรษฐีผู้นั้นถูกทาสคนอื่นฆ่าตายเสียก่อน สุดท้ายเขาและบรรดาทาสคนอื่นหนีออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นได้ จิวซือกลับไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในป่า


ชาติที่เจ็ด
   เกิดเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ ดีพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถ อีกทั้งยังมีหัวการค้า ขยายกิจการของตระกูลจนใหญ่โต และยังชอบบริจาคเงินช่วยเหลือคนยากจน ตลอดจนสร้างวัดวาอาราม บำรุงศาสนา กลายเป็นคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง สุดท้ายถูกภรรยาสวมเขา ถูกน้องชายวางยาจนกระทั่งกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ แขนขาพิการเดินเหินไม่ได้ ซ้ำยังอายุยืน ต้องนอนฟังภรรยาและคนในตระกูลดูถูกเหยียดหยามเช่นนั้นหลายปี

**********************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-12-2018 18:00:47 โดย Whitedemon21 »

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0


Life of a superstar
 

(1)
             
 

                    ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนนอนอยู่ในอ่างอาบน้ำ ความรู้สึกอึดอัดทรมานทำให้ร่างกายต้องดิ้นรนขึ้นจากน้ำ จิวซือสูดหายใจเข้าลึก และสำลักน้ำออกมาหลายหน ขณะที่ยังมึนงงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองหลังจากกระโดดลงสระลืมเลือนของหอคุณธรรมเพื่อมาเกิดบนโลกมนุษย์ ความทรงจำสายหนึ่งก็แล่นผ่านเข้าสู่สมองของเขา
               จิวซือนั่งนิ่งอยู่สักพัก ค่อยทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของตนเอง ที่แท้เขามาเกิดบนโลกมนุษย์แล้ว บททดสอบชาติที่แปดของเขาเริ่มขึ้นแล้ว ทว่าเขาไม่ไปถือกำเนิดในครรภ์มารดาเช่นทุกครั้ง แต่ดวงจิตของเขากลับอาศัยร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งที่เพิ่งเสียชีวิต โดยที่ความทรงจำของเขาและมนุษย์ผู้นั้นยังอยู่ครบถ้วน
               หรือนี่จะเป็นโชคดีที่เทพอวิ๋นหนานมอบให้?
               หรือนี่จะเป็นแต้มต่อที่เขาบอกว่าไม่สามารถมอบให้ในชาติสุดท้ายได้
               เมื่อมีความทรงจำของเซียน ทราบว่าตนเองกำลังอยู่ระหว่างทดสอบคุณธรรม ก็เท่ากับการันตีว่าสามชาติต่อจากนี้เขาต้องผ่านด่านทดสอบอย่างแน่นอน


               รอให้ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมจัดเรียงในสมองของเขาเรียบร้อย จิวซือก็ทราบว่าเจ้าของร่างที่เขามาอาศัยนี้เป็นดาราหน้าใหม่ ชื่อหลิวเจียเย่ อายุ 23 ปี นอกจากรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นจนต้องมองเหลียวหลังแล้ว ก็...ไม่มีอะไรเลย
               ถูกแล้ว ไม่มีเลย
               ฐานะครอบครัวแสนจะธรรมดา บิดาเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก มารดาเป็นครูโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด ตอนเด็กๆ หลิวเจียเย่ก็ถือว่าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง กระทั่งถูกชักชวนเข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อสองปีก่อน ค่อยถูกแสงสีและความหรูหราฟูฟ่าของวงการมายาทำให้หลงลืมตนเอง ยอมนอนกับบรรดาผู้กำกับและผู้เขียนบทหลายคนเพื่อให้ได้แสดงละคร ทั้งที่ฝีมือการแสดงไม่ได้เรื่อง ด้วยความใจร้อน อยากเด่นดัง ทำให้หลิวเจียเย่ไม่ยอมเสียเวลาฝึกทักษะการแสดงทั้งหลายเช่นคนอื่น แต่อาศัยรูปร่างหน้าตาที่เรียกว่าเป็นของขวัญจากพระเจ้าเดินเส้นทางลัดจนได้รับบทพระรองในละครวัยรุ่นเรื่องหนึ่งชื่อ ‘ปีกฝัน’ แน่นอนว่าการแสดงที่แข็งทื่อของเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก
               แม้จะมีคนไม่น้อยอาศัยร่างกายเข้าแลกกับโอกาสไม่ต่างจากเขา แต่อย่างน้อยคนเหล่านั้นก็ยังพอมีฝีมือการแสดงอยู่บ้าง ดังนั้นหลิวเจียเย่จึงกลายเป็นเรื่องตลกของวงการบันเทิง หลังจากละครเรื่องปีกฝันปิดกล้อง หลิวเจียเย่ก็เริ่มใช้วิธีการเดิมๆ ของเขาเข้าหาผู้กำกับเจียงเฉิน เพราะทราบว่าเขากำลังแคสติ้งนักแสดงนำในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องเซียนเมฆา ทว่าผู้กำกับเจียงเฉินคนนี้เป็นคนเถรตรง และรักครอบครัวมาก จึงไม่สนใจหลิวเจียเย่ ทั้งยังตั้งแง่รังเกียจพฤติกรรมและฝีมือการแสดงของเขา หลิวเจียเย่ถูกผู้กำกลับจางไล่ออกจากสถานที่แคสติ้งท่ามกลางสายตาดูถูกของทีมงาน และนักแสดงทั้งหลาย ชายหนุ่มรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก จึงไปดื่มเหล้า ใช้ยา และมีสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคนในคลับ สุดท้ายก็เสียชีวิตอยู่ในอ่างน้ำที่โรงแรมแห่งนี้นี่เอง
               ความทรงจำของหลิวเจียเย่ขาดหายไปตั้งแต่ที่เขาถึงจุดสุดยอด ดังนั้นจิวซือไม่ทราบว่าคนที่ฆ่าเขาเป็นใคร หรือเพราะอะไรเขาถึงมานอนหลับอยู่ในอ่างอาบน้ำที่เปิดน้ำจนเต็ม แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถคร่าชีวิตมนุษย์จนเป็นเหตุให้ตนเองสอบตกได้ สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวคือทำความปรารถนาในการเป็นดาราดังของหลิวเจียเย่ให้เป็นจริง ถือว่าเป็นการสร้างกุศลแก่ดวงวิญญาณที่จากไปก็แล้วกัน



               จิวซือลุกขึ้นจากอ่างน้ำ เดินไปหยิบชุดคลุมอาบน้ำมาใส่ การได้ใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์มาแล้วเจ็ดชาติ รวมถึงชาติภพที่เขายังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ทำให้เขาเคยชินการวิถีชีวิตแบบต่างๆ และสามารถปรับตัวรับกับสถานการณ์ได้ง่าย
               จิวซือยืนอยู่หน้ากระจก มองร่างเงาที่สะท้อนอยู่บนกระจกใสแล้วก็ต้องพยักหน้าขึ้นลงอย่างพอใจ ถือว่ามีต้นทุนในการเป็นดาราดังอย่างแท้จริง หลิวเจียเย่สูง 179 ซม. รูปร่างสูงโปร่งมีกล้ามเนื้อแต่พอดี แผ่นหลังรูปตัววีรับกับสะโพกสอบ ผิวขาวละเอียด ใบหน้าคมคาย จมูกโด่ง ริมฝีหยัก ดวงตาสีดำสนิทเช่นเดียวกับผมซอยเปิดหน้าผาก กล่าวได้ว่าเป็นคุณชายรูปงามคนหนึ่ง แต่สิ่งที่จิวซือพบว่าถูกใจเขาที่สุดก็คือดวงตาสีดำคู่นี้ เพราะมันคล้ายดวงตาของเขาอย่างยิ่ง
               เมื่อพิจารณาร่างใหม่จนพอใจแล้ว ก็หันมองไปรอบๆ และพบสภาพห้องเละเทะ ชิ้นส่วนเสื้อผ้ากระจัดกระจาย ผ้าคลุมเตียงหลุดลุ่ย ไม่ต้องเดาก็ทราบว่าคงจะผ่านสมรภูมิรบที่ไม่ธรรมดา

               หลิวเจียเย่เป็นเกย์ ดังนั้นคนที่เขาเข้าหาล้วนเป็นผู้ชาย จิวซือมิได้ตั้งแง่รังเกียจความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย จะว่าไป ชาติก่อนที่เขาจะกลายเป็นเซียนนั้น ตัวเขาเองก็ชอบพอผู้ชายคนหนึ่ง คนผู้นั้นเป็นสหายร่วมรบของเขา ทว่าอีกฝ่ายมีภรรยาแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้แต่ปล่อยวางและแต่งกับหญิงสาวตระกูลใหญ่ที่มารดาหาให้ สุดท้ายคนผู้นั้นเสียชีวิตในสนามรบเพราะเขา เพียงแค่นึกถึงสภาพคนผู้นั้นล้มลง ทั่วร่างมีลูกธนูนับไม่ถ้วนปักอยู่จนเลือดย้อมกายแดงฉาน แต่ยังคงยิ้มให้เขา หัวใจของจิวซือก็ปวดแปลบขึ้นมา ยังดีที่ได้ยินว่าคนผู้นั้นเองก็ได้เข้าสู่วิถีเซียน กำลังเข้ารับบททดสอบด่านคุณธรรม 11 ชาติเช่นเดียวกันกับเขา ถึงแม้คลาดกัน ไม่เคยได้พบที่หอคุณธรรม ก็ยังรู้สึกว่าไม่ห่างไกลอย่างที่คิด เทียบกับตอนที่ฝ่ายนั้นตายจากไป ส่วนเขามีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายปีแล้ว นับว่าใกล้กว่าจริงๆ


               จิวซือถอนหายใจ พยายามควบคุมอารมณ์ที่ปั่นป่วน แล้วก็พบว่าทำได้ง่ายดายยิ่ง เพียงแค่สูดลมหายใจเข้าเฮือกเดียว จิตใจของเขาก็พลันสงบลง
               หืม?
               เป็นธรรมดาที่เขาจะแปลกใจ เพราะอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์นั้นมิใช่สิ่งที่จะควบคุมให้สงบได้โดยง่าย จิวซือหลับตาลง สำรวจดวงจิตของตนเอง และก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก เขาสามารถใช้มันควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก สมอง ตลอดจนทุกส่วนในร่างกายได้ดังใจปรารถนา ไม่แน่ว่ายังสามารถควบคุมผู้อื่นได้ด้วย
               นอกจากไม่ได้ลบความทรงจำแล้ว เทพอวิ๋นหนานยังยอมให้ดวงจิตเซียนที่ได้รับการชำระไปรอบหนึ่ง บวกกับเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วเจ็ดชาติของเขาหลุดพ้นจากโซ่ตรวนของหอคุณธรรมด้วยงั้นหรือ
               ไม่ว่านี่จะเป็น ‘โชคดี’ ที่อวิ๋นหนานมอบให้ หรือเป็นเรื่องบังเอิญก็ตาม
               ถือว่าโชคที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
               จิวซือยิ้มเย็น ส่งผลให้ใบหน้าคมคายของหลิวเจียเย่เปลี่ยนจากคุณชายรูปงามเป็นบุรุษอันตราย จากดอกกุหลาบขาว กลายเป็นกุหลาบแดงที่มีหนามแหลมคมในพริบตา
               อวิ๋นหนาน  โชคดีของท่านนี้ ข้าจะ ‘ใช้อย่างระมัดระวัง’ ก็แล้วกัน




               อาศัยเงินค่าตัวเรื่องปีกฝัน และรายได้จากการใช้ร่างกายสร้างความสนุกให้ตนเองและผู้อื่นอย่างขันแข็ง ทำให้หลิวเจียเย่สามารถจ่ายค่าเช่าคอนโดแบบ one bedroom ห้องหนึ่งล่วงหน้าไว้หนึ่งปี ทำเลที่ตั้งไม่แย่นัก เพราะสามารถเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน จิวซือรู้สึกโชคดีที่อย่างน้อยก็มีที่พักเป็นหลักแหล่ง ในบัญชีก็มีเงินเก็บอยู่เล็กน้อย พอให้ไม่อดตายไปหลายเดือน เรียกว่าเทียบกับชาติที่เกิดเป็นขอทานแล้ว ชาตินี้ของเขาดีกว่ามาก
               จิวซือพาร่างกายยับเยินของเขามาถึงคอนโด ขณะที่กำลังจะล้มตัวลงนอน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังมาจากห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มยันตัวขึ้นจากเตียง ก้าวเท้าไปรับโทรศัพท์
               “ครับ” เสียงของเขาแหบเล็กน้อยเจือแววอ่อนล้า
               “พี่หลิว ในที่สุดก็รับเสียที ฉันโทรเข้ามือถือพี่เป็นสิบๆ ครั้ง ไม่ติดเลยค่ะ” เสียงของร้อนรนดังมาตามสายโทรศัพท์ จิวซือได้ยินแล้วทราบว่าเป็นหลี่รุยถิง ผู้จัดการส่วนตัวของเขา หลี่รุยถิงเป็นพนักงานใหม่ของบริษัท เพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาเมื่อสี่เดือนก่อน ถือว่ายังเป็นผู้จัดการมือใหม่ ที่จริงสำหรับดาราเล็กๆ อย่างเขา บริษัทต้นสังกัดอย่างมู่อินเอ็นเตอร์เทนเมนต์ไม่จำเป็นต้องหาผู้จัดการให้ แต่เพราะหลิวเจียเย่ไต่เต้าจนได้เล่นละครเรื่องหนึ่ง บวกกับหน้าตาที่จัดได้ว่าเป็นระดับท้อปคลาส จึงได้หาผู้จัดการโนเนมมาให้คนหนึ่ง จุดประสงค์อีกอย่างก็คงเพราะต้องการฝึกเด็กรุ่นใหม่อย่างหลี่รุยถิงด้วย
               ความจริงแม้หลิวเจียเย่จะมีชื่อเสียงไม่ดีนักในวงการบันเทิง แต่เขาปฏิบัติต่อคนของตนเป็นอย่างดี ดังนั้นหลี่รุยถิงจึงเป็นห่วงเป็นใยเขาไม่น้อย
               “อ๋อ สงสัยแบตหมด” ตอนที่ออกจากโรงแรม จิวซือกวาดของทุกอย่างที่เห็นลงกระเป๋า และลอบออกมาอย่างระมัดระวัง แม้ดาราเล็กๆ อย่างเขาจะไม่ต้องกังวลเรื่องปาปารัซซี่ แต่เขาก็ไม่วางใจ เมื่อกลับมาถึงห้องก็ทั้งเหนื่อยทั้งล้า ไม่ได้ตรวจดูของที่หยิบมา
               “พี่หลิว พี่ทำฉันร้อนใจแทบแย่”
               “ขอโทษที”
               “พี่หลิว พี่...ไม่ได้เป็นอะไรนะ”
               “อืม ปกติดี”
               “โล่งอกไปที เรื่องที่คนพวกนั้นด่าพี่ ไม่ต้องสนใจหรอก พี่หล่อขนาดนี้ คนอื่นก็ต้องอิจฉาเป็นธรรมดา”
               ได้ยินหลี่รุยถิงเอ่ยปลอบที่เขาถูกผู้กำกับเจียงเฉินไล่ออกมาจากสถานที่คัดนักแสดง จิวซือก็แทบอยากจะโบกมือ แล้วกล่าวว่า ‘เรื่องเล็กน้อย’ พร้อมทั้งเห็นด้วยกับผู้จัดการของเขาว่า ด้วยใบหน้านี้บวกกับดวงจิตเซียนของเขา หลิวเจียเย่มีอะไรต้องกังวลอีก
               ผู้กำกับเจียงเฉิน? เขาคร้านจะเก็บมาใส่ใจ
               “อืม” กระนั้นจิวซือก็เพียงส่งเสียงตอบในลำคอ ทั้งยังจงใจเพิ่มน้ำเสียงของความผิดหวังไปด้วยเล็กน้อย หากถามว่าโลกนี้ใครเล่นละครได้แนบเนียนที่สุด ก็ต้องบอกว่าเป็นเขา เสนาบดีใหญ่คนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย กระทั่งหลอกฮ่องเต้ผู้ปรีชาได้ ยังมีใครที่เขาหลอกไม่ได้อีกหรือ
               “พรุ่งนี้บ่ายสาม พี่มีแคสโฆษณา เดี๋ยวบ่ายโมงฉันไปรับนะคะ จะได้ไปแต่งหน้าทำผม”
               “แคสโฆษณา?”
               “พี่ลืม?”
               “...” เขาไม่ได้ลืม แต่เป็นหลิวเจียเย่ต่างหากที่ลืม ในความทรงจำของเขาไม่มีเรื่องเกี่ยวกับการแคสติ้งโฆษณานี้เลยแม้แต่น้อย
              “พี่หลิว งานวันพรุ่งนี้ท่านประธานมู่จะมาดูด้วยนะคะ พี่ต้องทำให้ดีนะ”
               “ประธานมู่หรือ?”
               ประธานมู่ หรือมู่เหยียนเฉิน เป็นนายน้อยตระกูลมู่ เจ้าของกิจการมากมายนับไม่ถ้วนในเครือมู่อิน และบริษัทมู่อินเอ็นเตอร์เทนเมนต์ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจตระกูลที่มู่เหยียนเฉินดูแล
               มู่เหยียนเฉินในความทรงจำเป็นชายในฝันของหลิวเจียเย่ ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูล นิสัยใจคอ ล้วนเหมาะแก่คำว่าเทพบุตรอย่างแท้จริง
               “พี่ไม่ต้องกังวลนะคะ ต่อให้ท่านประธานไม่ชอบหน้าพี่ แต่ท่านประธานเป็นนักธุรกิจใหญ่ ไม่ใส่ใจเรื่องเสียมารยาทเล็กๆ น้อยๆ ของพี่หรอกค่ะ ถ้าหากว่าพี่ทำดี ท่านประธานต้องสนับสนุนพี่แน่นอน”
               เรื่องเสียมารยาทเล็กๆ น้อยๆ
               การเชิญชวนอย่างไร้ศิลปะ ไร้ยางอาย ไร้ข้อต่อรองและผลประโยชน์แบบนั้นของหลิวเจียเย่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจริงๆ นั่นแหละ
               ส่วนการที่มู่เหยียนเฉิน ประธานใหญ่แห่งมู่อินเอ็นเตอร์เทนเมนต์มาดูการแคสติ้งด้วยตัวเอง ก็เพราะว่าสินค้าที่จะโฆษณาเป็นสินค้าของ Passion Mu–in บริษัทในเครือมู่อิน และยังเป็นแบรนด์ high end น้องใหม่ที่มู่เหลียนเหลียน น้องสาวคนสำคัญของมู่เหยียนเฉินออกแบบเอง
               ถูกต้อง ตอนนี้เขาพอจะจำได้แล้ว ไม่ใช่ว่าหลิวเจียเย่ลืมว่ามีงานนี้ แต่เพราะเจ้าตัวตั้งใจจะไม่ไปแคสต่างหากล่ะ ถึงได้หลงลืมไป
               เสียมารยาทกับประธานใหญ่ไปขนาดนั้น ด้วยความกลัวจะถูกไล่ออกหรือโดนลงโทษอย่างอื่น หลิวเจียเย่จึงตั้งใจจะหลบหน้ามู่เหยียนเฉินพักใหญ่ รอจนตัวเองมีผลงานดีแล้ว ค่อยไปขอขมาท่านประธานให้อีกฝ่ายยกโทษให้
               จะว่าเป็นแผนการที่ดีก็ไม่ใช่ จะบอกว่าอ่อนหัดมากก็ไม่เชิง แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่รู้จักฐานะของตนเอง ไม่หาเรื่องใส่ตัวด้วยการดันทุรังตามตื้อมู่เหยียนเฉินจนฝ่ายนั้นเกลียดขี้หน้า และสร้างความลำบากให้กับชีวิตนักแสดงของเขา
               “อา โอเค เธอช่วยส่งสคริปมาให้พี่อีกทีได้ไหม น่าจะทำหายไปแล้ว”
               “ค่ะ ฉันจะรีบส่งให้เดี๋ยวนี้ พี่อย่าลืมทำการบ้านมาเยอะๆ นะคะ”
               “ได้”
               จิวซืออ่านสคริปที่หลี่รุยถิงส่งมาให้โดยละเอียด แล้วก็หลับตาลง คว้านหาความทรงจำเมื่อชาติที่สามของเขา ชาติที่สามของด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติ เขาเคยเรียนที่คณะศิลปะการละคร ทั้งยังเป็นนักเรียนดีเด่น ความสามารถไม่ธรรมดา แน่นอนว่าเพราะโชคร้ายทำให้เขาไม่เคยไปถึงฝั่งฝันได้แสดงละครสมใจ แต่อย่างน้อยสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก็ไม่เสียเปล่าซะทีเดียว

               หลิวเจียเย่ พรุ่งนี้จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตดาราใหญ่ของนายอย่างเป็นทางการ



ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0


Life of a superstar
 
 
 
(2)

 
           เวลาเที่ยงห้าสิบนาที หลี่รุยถิงก็มาถึงคอนโดของเขา ถึงจะบอกว่ามารับเขาไปแต่งหน้าทำผม เจ้าหล่อนก็ไม่ได้มีรถเป็นของตนเอง ดังนั้นพูดให้ถูกก็คือมาหาเขาที่คอนโด ช่วยเขาเลือกเสื้อผ้า แล้วนั่งรถยนต์ของเขาไปร้านทำผมด้วยกัน รถที่หลิวเจียเย่ใช้นั้นไม่ใช่ของที่เขาซื้อมาด้วยตัวเอง แต่เป็น BMW สีดำที่อดีตคู่นอนคนหนึ่งให้ยืมใช้ คู่นอนที่ว่านี้ก็นับว่าเป็นบุคคลที่พิเศษและโดดเด่นไม่น้อย เพราะเขาเป็นถึงดาราดังระดับ S-list ชื่อเหอเทียนเหิง
            เหอเทียนเหิงเคยได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาแล้วสองครั้ง ทั้งที่มีอายุเพียง 34 ปีเท่านั้น นอกจากหน้าตาและความสามารถแล้ว ยังมีฐานะทางบ้านดีเลิศ เรียกว่าเป็นพวก Elite อย่างแท้จริง ดังนั้นตอนที่ฝ่ายนั้นเข้ามาทำความรู้จักกับเขา หลิวเจียเย่จึงแตกตื่นยินดีมาก พวกเขามีความสัมพันธ์กันราวๆ หนึ่งสัปดาห์ หลิวเจียเย่พยายามเอาเอกเอาใจดาราใหญ่อย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายเหอเทียนเหิงก็เบื่อ และเลิกติดต่อกับเขา แต่ไม่ได้ขอรถคืน หลิวเจียเย่ไม่ได้พบฝ่ายนั้นอีก อย่างว่าล่ะ หากไม่ได้พบกันในคลับคราวนั้น และหากเหอเทียนเหิงไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าหาเขา ดาราหน้าใหม่เล็กๆ ของหลิวเจียเย่ก็เรียกว่าอยู่คนละโลกคนละชั้นอย่างสิ้นเชิง


            จิวซือใช้เวลาแต่งหน้าทำผมไปราวหนึ่งชั่วโมง เมื่อเห็นตัวเองในกระจกอีกครั้งก็ริมฝีปากก็ยกยิ้มเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น มู่อินก็คือมู่อิน ขนาดช่างทำผมในซาลอนเล็กๆ แห่งหนึ่งยังมีฝีมือไม่เบา
            “พี่หลิว พี่หล่อมากจริงๆ” หลี่รุยถิงพูดทันทีที่พวกเขามาถึงรถ ดวงตากลมของเธอยังคงจ้องจิวซือไม่วางตาตั้งแต่ในร้านทำผม แววตาทั้งชื่นชม ทั้งตื่นเต้นนั้นทำให้จิวซือหัวเราะออกมา
            “เธอเองก็เลือกเสื้อผ้าได้ดี” เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำเข้ารูป พร้อม overcoat สีน้ำตาลอ่อน เข้ากับหลิวเจียเย่มาก ดูยังไงก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มบ้านนอกฐานะยากจน แต่เหมือนคุณชายตระกูลใหญ่ที่มั่นใจในตัวเอง
            “เพราะพี่หุ่นดีต่างหากล่ะคะ” หลี่รุยถิงว่า “พวกพี่สาวที่ร้านทำผมมือไม้สั่นไปหมดแล้ว โดยเฉพาะตอนที่พี่บอกขอบคุณแล้วยิ้มให้ ฮิๆ แต่ฉันเข้าใจ พี่หลิวยอดเยี่ยมที่สุดขนาดนี้”
            จิวซือได้แต่ส่ายหัวอย่างจนปัญญากับอาการชื่นชมจนออกนอกหน้าของผู้จัดการส่วนตัวคนนี้



            เมื่อพวกเขามาถึงสตูดิโอที่นัดหมายก็เป็นเวลา 14.45 น. แล้ว จิวซือมีท่าทางผ่อนคลาย ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ ไม่ได้โปรยหวานยิ้มเรี่ยราด พยายามให้โดดเด่นกว่าคนอื่นเช่นทุกที แต่การรักษาท่าทางสุภาพใจเย็นนี้กลับดึงเสน่ห์แบบคุณชายของเขาออกมาได้เป็นอย่างดี กลายเป็นว่าดูโดดเด่นกว่าคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ
            คนที่มาแคสติ้งในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นดาราดาวรุ่ง ไม่ก็น้องร้องที่กำลังเริ่มมีชื่อเสียง รวมแล้วเกือบยี่สิบคน บางคนมองจิวซือด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น แปลกใจ หลายคนมองอย่างดูถูกและรังเกียจ มีเพียงส่วนน้อยที่ผงกศีรษะทักทายเขา จิวซือไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หลังจากรายงานตัวแล้ว ชายหนุ่มก็เลือกนั่งรอที่เก้าอี้ติดหน้าต่าง แล้วหลับตาทำสมาธิ ไม่สนใจเรื่องราวรอบตัวอีก
            อยู่ๆ ก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้น จิวซือลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าทุกคนต่างยืนทักทายคนผู้หนึ่ง เป็นผู้ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำ ใบหน้าหล่อเหลา จมูกโด่งและสันกรามชัด ดวงตาเป็นสีน้ำตาลทองเช่นเดียวกับสีผม ประธานบริษัทมู่อินเอนเตอร์เทนเมนต์ มู่เหยียนเฉิน
            อาจเพราะเป็นคนเดียวที่ยังนั่งอย่างสบายใจ มู่เหยียนเฉินจึงได้มองมาทางจิวซืว ดวงตาสองคู่ประสานกัน จิวซือที่คิดว่าอาศัยแผ่นหลังของคนข้างหน้าเป็นฉากกำบัง จึงได้แต่ลุกขึ้นยืนแต่โดยดี ก่อนจะยิ้มสุภาพและก้มศีรษะทักทายมู่เหยียนเฉิน แน่นอนว่าฝ่ายนั้นไม่สนใจ และเดินตรงเข้าไปยังสตูดิโอด้านใน
            เรื่องที่หลิวเจียเย่เคยเสียมารยาทกับมู่เหยียนเฉินไม่ใช่ความลับ ดังนั้นหลายคนจึงตีความว่าจิวซือพยายามเรียกร้องความสนใจ เขาคร้านจะใส่ใจสายตาคนอื่น จึงเอนหลังในท่าสบายๆ แล้วหลับตารอถูกเรียกชื่อ
            ทีมงานเชิญพวกเขาเข้าไปทีละคน ส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที กระทั่งถึงลำดับสุดท้าย ก็ได้ยินเสียงเรียก “หลิวเจียเย่”



            ด้านในห้องสตูดิโอ ฉากหลังเป็นผ้าสีเขียวกว้างราวห้าเมตร ด้านหน้าเป็นโต๊ะผู้กำกับ Casting director และมู่เหลียนเหลียน ซึ่งน่าจะมาถึงสตูดิโอเพื่อคุยกับผู้กำกับก่อนเวลานัดหมาย มู่เหลียนเหลียนดูไม่เหมือนคุณหนูตระกูลดัง ไม่ได้มีบุคลิกอ่อนแอน่าทะนุถนอม แต่เป็นหญิงสาวที่มั่นใจในตัวเอง และกระตือรือร้น ผมสีน้ำตาลถูกมัดรวบไว้เผยให้เห็นหน้าผากมน กับดวงตาสีดำต่างจากผู้เป็นพี่ชาย ด้านข้างและด้านหลังมีกล้องตั้งอยู่หลายมุม และบนโซฟาห่างออกไปเล็กน้อยคือมู่เหยียนเฉินที่นั่งไขว้ขามองตรงมาที่เขา
            “สวัสดีครับ” จิวซือกล่าวเมื่อเดินมาหยุดอยู่บริเวณผ้าสีเขียว ด้านหน้าโต๊ะผู้กำกับ
            “อืม” เถาจือเกา ผู้กำกับโฆษณาตัวนี้พยักหน้าเล็กน้อย เขาเห็นประวัติของหลิวเจียเย่แล้ว เป็นแค่ดาราหน้าใหม่ ใจร้อน ที่ขาดพื้นฐานการแสดง ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะเหมาะกับสินค้าอย่างมาก เถาจือเกาก็ไม่คิดจะใช้หลิวเจียเย่ นอกจากนั้นเขายังหมายตาอีกคนหนึ่งไว้แล้วในใจ รอแคสติ้งจบและไปหารือกับประธานมู่ หากฝ่ายนั้นเห็นด้วยก็ถือว่าตกลง
            “ไม่ต้องทำตามบทที่ส่งไป ผมต้องการให้เลือกคุณนาฬิกา และเครื่องประดับอื่นๆ ที่คุณชอบมาใส่” เถาจือเกาชี้ไปที่โต๊ะซึ่งมีนาฬิกาและ accessories ต่างๆ วางเรียงอยู่ “จากนั้นพูดว่า Elegance, Passion, You”
            จิวซือเลิกคิ้วแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เดินไปเลือกเครื่องประดับแต่โดยดี เดิมในสคริปที่เขาได้รับมาเป็นบทโฆษณาสั้นๆ  ประมาณสองหน้า หลักๆ คือชายหนุ่มเลือกสร้อยคอให้แฟนสาวในวันครบรอบ และเมื่อมอบมันให้เธอ ก็พบว่าเธอเองก็ซื้อนาฬิกาจากร้านเดียวกันให้เขา แน่นอนว่าคือแบรนด์ Passion Mu-in
            การที่อยู่ๆ ผู้กำกับเถาเปลี่ยนจากการแสดงตามสคริป เป็น creative acting แบบนี้ ทำให้จิวซือรู้สึกสนุกกว่าเดิม ชายหนุ่มไล่สายตามองนาฬิกา สร้อย แหวน กำไลข้อมือรูปแบบต่างๆ ทีละชิ้น ขณะที่ความคิดเริ่มโลดแล่นในหัว ว่าควรจะตีความคำว่า Elegance, Passion, You ออกมาอย่างไรดี



            ไม่นาน จิวซือก็เลือกนาฬิกาสีเงินที่ดูเรียบหรูมาเรือนหนึ่ง และสร้อยข้อมือสีเงินที่มีลักษณะคล้ายโซ่มาอีกเส้นหนึ่ง จัดการสวมทั้งสองอย่างไว้ที่ข้อมือซ้าย จากนั้นก็เดินกลับมากลางฉากสีเขียว ทันทีที่ผู้กำกับเถาให้สัญญาณ จิวซือกับหลับตาลง ชายหนุ่มค่อยๆ หมุนคอด้วยความเกียจคร้าน จากนั้นก็ถอดเสื้อโค้ทออกอย่างไม่รีบเร่ง ก่อนจะโยนมันไปทางหนึ่ง ท่าทางเกียจคร้านไร้ระเบียบนี้ทำให้ผู้กำกับเถาขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าหลิวเจียเย่คนนี้จะตีความคำว่า Elegance ของสินค้าออกมาอย่างไร
            จิวซือดึงชายเสื้อเชิ้ตสีขาวออกจากกางเกง ปลดกระดุมเม็ดบน ก่อนจะนอนลงกับพื้น กระทั่งตอนนี้ชายหนุ่มก็ยังเหมือนอยู่ในโลกของตนเอง ไม่มองกล้องหรือแม้แต่ผู้กำกับเลยสักครั้ง เขาหลับตาลง ศีรษะราบไปกับพื้น เผยให้เห็นลำคอยาว และสันกราม เครื่องหน้าสมบูรณ์แบบที่มองจากมุมด้านข้างยังทราบว่าเป็นบุรุษรูปงาม แพขนตายาวกระพือเล็กน้อย ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆ แยกออกจากกัน จากนั้นเขาก็หันหน้ามามองกล้องอย่างเชื่องช้า ทันทีที่ใบหน้าคมคายหันมา ทันทีที่ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจ้องมอง ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนถูกเขาสะกดไว้ ถูกเขาล่อลวงวิญญาณไป ราวกับเวลาหยุดหมุน คำว่างดงามจนลืมหายใจคงเป็นเช่นนี้
            Elegance

            ดวงตาสีดำคู่นั้นหวานล้ำ เต็มไปด้วยความรักและความใคร่ เปี่ยมด้วยความต้องการ คิดถึง คะนึงหา อยากครอบครอง ทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจละสายตาจากเขา ประหนึ่งเทพีร่ายมนต์ต่อคนรัก และเมื่อเห็นเขาลุ่มหลงในตนเอง เทพีผู้นั้นก็แย้มรอยยิ้มงดงามออกมา
            Passion

            จากนั้นมือเรียวขาวที่สวมนาฬิกาและสร้อยข้อมือก็ยกขึ้นมาจรดริมฝีปากสีแดงสด ขณะที่สายตาคู่นั้นยังไม่ละไปจากกล้อง ก่อนที่เรียวลิ้นสีชมพูจะขยับแลบเลียตั้งแต่สร้อยข้อมือไปจนถึงตัวเรือนนาฬิกา กริยาเชิญชวนที่ทำให้หัวใจคนมองเต้นแรง ราวกับว่าเทพีผู้นั้นกำลังเรียกหาตนเองอยู่
            You

            ทั้งที่สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย เอนกายนอนราบไปกับพื้น ทั้งที่รอบตัวชายหนุ่มมีแต่ฉากสีเขียวของห้องสตูดิโอ ไม่ใช่เตียงบรรทมของเหล่าราชนิกุลสูงศักดิ์ ไม่มีโคมระย้า ไม่มีมู่ลี่สีทองประดับมุก ทั้งที่หลิวเจียเย่คนนั้นไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ แต่คำว่า Elegance, Passion, You กลับกำลังโลดแล่นอยู่ในห้วงความคิดของทุกคน
            สตูดิโอใหญ่มีแต่ความเงียบ ขณะที่คำทั้งสามคำนั้นยังคงดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในความคิดของผู้กำกับเถาจือเกา เสมือนถูกสะกด ถูกใครบางคนกระซิบอยู่ข้างหู
            Elegance, Passion, You
        หลิวเจียเย่




            การที่หลิวเจียเย่ได้รับเลือกให้เป็นนายแบบโฆษณาเป็นไปตามความคาดหมายของจิวซือ แน่นอนว่าเพื่อบันไดขั้นแรกในการปีนป่ายไปสู่ตำแหน่งดาราดังนั้น จิวซือได้ใช้ทริกคล้ายๆ กับการสะกดจิตผ่านพลังเซียนของเขา ให้หลิวเจียเย่โดดเด่น และดึงดูดต่อจิตใจของคนเหล่านั้น จนยากจะต่อต้าน มู่เหลียนเหลียนถือว่ามีจิตใจเข้มแข็ง เพราะเธอแค่แสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจที่ได้พบบุคคลที่ตรง Concept อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าผู้กำกับเถานั้นได้รับผลกระทบไม่ใช่น้อย ดวงตาของซึมกระทือเปลี่ยนเป็นประกายวิบวับ เขาหัวเราะเสียงดังอย่างพออกพอใจ ก่อนจะเดินเข้ามาตบบ่าจิวซือหลายครั้ง ทั้งยังให้นามบัตรและเบอร์ส่วนตัวของเขาไว้อีกด้วย จะมีก็แต่ประธานมู่ มู่เหยียนเฉินเท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ นอกจากมองจิวซืออย่างมีความหมายครู่หนึ่ง พร้อมสั่งให้เขามาพบที่บริษัทพรุ่งนี้



        Mu-in Entertainment 
                 
   เมื่อจิวซือมาถึงบริษัท ก็มีคนพาเขาไปรอพบมู่เหยียนเฉินที่ห้องรับรอง ราวครึ่งชั่วโมงต่อมาเลขาของมู่เหยียนเฉินจึงมาเชิญเขาเข้าไป
   มู่เหยียนเฉินใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว สูทนอกสีดำ ผมถูกเซ็ทอย่างดี เปิดหน้าผากได้รูป ขับเน้นโครงหน้าให้ดูคมคายขึ้นไปอีก กระทั่งเซียนยังมีชนชั้นฐานะ นับประสาอะไรกับมนุษย์โลก ย่อมต้องมีบางคนเกิดมาเพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติเช่นนี้
   จิวซือโค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน สบตากับมู่เหยียนเฉินซึ่งพิจารณาเขาอย่างเปิดเผย วันนี้จิวซือแต่งตัวแบบ business casual ไม่ได้พิถีพิถันมากนัก เขาใส่กางเกงสแล็คสีเทาเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีอ่อน ทำให้ดูสะอาดตาและน่ามองเป็นพิเศษ
   “อยากฝึกการแสดงหรือเปล่า” มู่เหยียนเฉินถาม
   “ไม่ครับ ผมอยากแสดงเลยมากกว่า” จิวซือตอบพร้อมรอยยิ้มสุภาพ
   “ไม่มั่นใจในตัวเองไปหน่อยหรือ” มู่เหยียนเฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากกดรอยยิ้มที่คาดเดาไม่ออกว่าเป็นความถูกใจ หรือดูแคลน
   “ท่านประธานน่าจะลองให้โอกาสผมดู” ดวงตาของจิวซือเปล่งประกายวูบหนึ่ง กระแสจิตแข็งกล้าส่งไปยังคนฝั่งตรงข้าม ‘ให้โอกาสหลิวเจียเย่’
   มู่เหยียนเฉินยังคงเอนหลังพิงเก้าอี้หนังพนักสูงสีดำในท่าทางผ่อนคลาย ดูเหมือนว่าการสะกดจิตจะใช้กับเขาไม่ได้ผล
   “ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ”   
   “ประธานมู่คงไม่อยากแลกกับคนอย่างผมหรอกครับ” จิวซือยิ้ม ดวงตาเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม ‘ให้โอกาสหลิวเจียเย่’ สุดท้ายเมื่อเห็นว่าสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปบนใบหน้าของมู่เหยียนเฉินคือรอยยิ้มที่ลึกขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น เซียนหนุ่มในร่างมนุษย์จึงได้ยอมแพ้ ล้มเลิกความตั้งใจแต่โดยดี
   “นายเคยไปขอแคสเรื่องเซียนเมฆา?”
   คำถามของมู่เหยียนเฉินทำให้จิวซือคิ้วกระตุก เคยขอไปแคสติ้ง? ถูกแล้ว แค่ ‘ขอ‘ เท่านั้น หลิวเจียเย่ไม่ได้รับกระทั่งคำอนุญาตให้เข้าร่วมการเลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้เจ้าตัวยังสร้างเรื่องไว้กับผู้กำกับเจียงจนถูกด่าประจานต่อหน้าคนจำนวนไม่น้อย ไม่ใช่ว่าเขาเกรงสายตาของคนอื่นหรอก คนที่เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดมาหลายชาติอย่างเขานั้น ยังต้องใส่ใจเรื่องพวกนั้นอีกหรือ เพียงแต่การที่จะได้บทในเรื่องเซียนเมฆา กระทั่งบทตัวประกอบเล็กๆ นั้นไม่ง่ายเลย เพราะหากถามนักแสดงทั่วทั้งแผ่นดินในเวลานี้ว่าอยากแสดงภาพยนตร์เรื่องใด แทบทุกคนคงตอบว่าเซียนเมฆา เช่นเดียวกันหากถามคนทั่วไปว่าคาดหวังรอคอยภาพยนตร์เรื่องใดที่สุด จิวซือเชื่อมั่นว่าเสียงส่วนใหญ่คงเลือกเรื่องเซียนเมฆา
            “ถ้านายได้บทในเรื่องนี้ ถือว่าสอบผ่าน”
            จิวซือจ้องหน้ามู่เหยียนเฉินอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนตอบว่า “ครับ”
            แน่ล่ะ หากเขาได้บทเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่สอบผ่านหรอก ต้องเรียกว่าสอบได้คะแนนสูงจนน่าประทับใจต่างหาก จิวซือประชดในใจ ทว่าใบหน้าหล่อเหลายังคงประทับรอยยิ้มสุภาพตามความเคยชินเมื่อตอบรับข้อเสนอของเจ้านาย ดวงตาสีหมึกของเขาทอประกายวิบวับ ความตื่นเต้น ความอยากเอาชนะ และความมั่นใจในตนเองฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น คล้ายอัญมณีที่เก็บงำประกาย ค่อยๆ เผยแสงและเสน่ห์เฉพาะตัวออกมาช้าๆ โดยไม่ตั้งใจ เปล่งประกายเสียจนทำให้อีกคนที่มองอยู่ชะงักไปครู่หนึ่ง




                     เมื่อจิวซือกลับมาถึงคอนโด สิ่งแรกที่ทำคือการหาข้อมูลเรื่องเซียนเมฆาเพิ่มเติม ภาพยนตร์เรื่องเซียนเมฆา เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ กำหนดฉายเดือนกันยายนปีหน้า ต้นทุนเบื้องต้น 200 ล้าน ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนระหว่างสองค่ายใหญ่ คือ Mu-in Entertainment และค่ายจั๋วชิง เงินทุนนี้ยังไม่รวมสปอนเซอร์จากโฆษณาต่างๆ ที่แย่งชิงพื้นที่กันอยู่ตอนนี้ ว่ากันว่ารัฐบาลยังอนุญาตให้ใช้พื้นที่โฆษณาช่องสาธารณะในราคาถูก และมีนักการเมืองชื่อดังสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง จุดประสงค์เพื่อกระตุ้นความรักชาติ รวมถึงใช้นโยบายชาตินิยมสมัยใหม่เพื่อเป็นแรงเสริมสำหรับการเลือกตั้งในปลายปีหน้า
               เรื่องย่อ ‘เซียนเมฆา’ ที่มู่เหยียนเฉินให้เลขาส่งมาให้นั้น พูดถึงเกาจงเฉิน บัณฑิตยากจนจากหมู่บ้านห่างไกล บิดาเคยเป็นขุนนางตงฉินอนาคตไกลที่ถูกใส่ความและถูกเนรเทศมาอยู่เมืองทุรกันดาร มารดาเป็นลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้าน บิดาและมารดาต่างคาดหวังให้เกาจงเฉินรับราชการ กอบกู้ชื่อเสียงวงตระกูล เกาจงเฉินจึงเข้ามาสอบจอมหงวนเพื่อรับราชการในเมืองหลวง เนื่องเพราะได้รับการอบรมสั่งสอนจากบิดาตั้งแต่เล็ก เขาถึงสอบผ่านในอันดับต้นๆ และได้ทำงานในกรมคลัง เสนาบดีในเวลานั้นคือ ‘เปาจิงจู’ ผู้ที่ใส่ความบิดาของเกาจงเฉิน เขาจึงวางแผนจะโค่นขุนนางผู้นั้นลง เริ่มจากตีสนิทคนในกรมคลัง และอาศัยความรู้ความสามารถจนได้กลายเป็นคนที่เปาจิงจูไว้ใจ ขณะเดียวกันก็ได้รู้จักกับองค์รัชทายาท ‘เสวี่ยนซื่อจวิ๋น’ โดยบังเอิญ เปาจิงจูสนับสนุนองค์ชายรอง ดังนั้นจึงถือเป็นปฏิปักษ์ของเสวี่ยนซื่อจวิ๋น เกาจงเฉินจึงเสนอตัวเข้าเป็นฝ่ายเดียวกับองค์รัชทายาทเพื่อกำจัดเปาจิงจู ขณะที่ทั้งสองร่วมมือกันนั้น เกาจงเฉินก็ตกหลุมรักองค์หญิงห้า น้องสาวของเสวี่ยนซื่อจวิ๋น ซึ่งหลงรักพี่ชายตนเอง เกิดเป็นปมความรักอีกหนึ่งปม สุดท้ายเมื่อกำจัดเปาจิงจูสำเร็จ และเสวี่ยนซื่อจวิ๋นได้รับการสถาปนาเป็นชื่อจงฮ่องเต้ เกาจงเฉินค่อยทราบว่าองค์หญิงห้ามีใจให้ผู้ใด เกาจงเฉินซึ่งได้เลื่อนเป็นถึงรองเสนาบดีในขณะนั้นจึงขอกลับไปรับราชการที่หัวเมืองบ้านเกิด แต่ชื่อจงฮ่องเต้ไม่ทรงอนุญาต และขอให้เขาช่วยปราบปรามทุจริต แน่นอนว่านโยบายเข้มงวดของฮ่องเต้องค์ใหม่ย่อมกระทบผลประโยชน์ของคนจำนวนไม่น้อย จึงเกิดเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ขึ้น ในฉากสุดท้ายเกาจงเฉินใช้ร่างกำบังดาบที่พุ่งแทงชื่อจงฮ่องเต้จนถึงแก่ชีวิต ชื่อจงฮ่องเต้แคล้วคลาดปลอดภัย แต่ก็ทรงเสียพระทัยเป็นอันมาก และได้มีพระบัญชาให้อวยยศเกาจงเฉินเป็นอ๋อง ประกาศคุณงามความดีให้ทั่วทั้งแผ่นดินรับรู้
               ฝ่ายเกาจงเฉินนั้น เมื่อเสียชีวิตก็ได้ไปจุติเป็นเซียนเมฆาด้วยคุณธรรมความซื่อสัตย์และความเสียสละของเขา อย่างไรก็ตามก่อนที่เกาจงเฉินจะจากไปยังภพสวรรค์นั้น ดวงจิตของเขาได้ลงมายังโลกมนุษย์ และพบว่าชื่อจงฮ่องเต้กำลังวาดภาพเหมือนของตนเองอยู่ พระพักตร์หล่อเหลาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ซูบซีด กระทั่งพระวรกายก็ผ่ายผอมลง ดูเหี่ยวเฉา ขาดชีวิตชีวามิคล้ายเจ้าชีวิตของคนทั้งปวง เมื่อทรงวาดภาพของเขาเสร็จ ก็ยืนเหม่อมองอยู่เช่นนั้นหลายนาที ก่อนจะจรดพู่กัน เขียนกลอนบทหนึ่ง ที่ทำให้เกาจงเฉินรู้สึกคล้ายถูกสายฟ้าผ่ากลางร่าง
   พลัดพราก ใจรอน      จากไกล สุดหล้า
   ใฝ่หา ฤาจักเห็น              มิสู้ หลับเสีย ตามติด จิตคะนึง         

               ที่แท้ ชื่อจงฮ่องเต้หรือเสวี่ยนซื่อจวิ๋นนั้นมีใจรักต่อขุนนางของตน รักถึงขั้นอยากตายตามไป เมื่ออ่านเรื่องย่อจบ จิวซือก็ถอนหายใจยาว อดนึกถึงเรื่องของตนเองไม่ได้ ไม่ว่าจะผ่านด่านทดสอบคุณธรรมมาแล้วกี่ชาติ แต่ละชาติที่เกิดตายวนเวียนนั้นล้วนรู้สึกเหมือนเป็นเพียงบททดสอบหนึ่งหาใช่ชีวิตจริงไม่ ทว่าความทรงจำของชาติที่ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดานั้นยังคงเด่นชัดอยู่เสมอ และเป็นเสมือนโซ่ตรวนเส้นใหญ่ที่ทำให้การเข้าสู่วิถีเซียนของเขานั้นยากลำบากขึ้นหลายเท่า
               ‘อี้เทียน ได้ยินว่าเจ้าก็เองอยู่ในด่านทดสอบคุณธรรม ไม่แน่ว่าจะมีสักชาติใดชาติหนึ่งที่ข้าได้เจอเจ้าอีกครั้ง’ คิดเพียงนั้นก่อนที่รอยยิ้มบางๆ จะปรากฏบนใบหน้า พบเจอแล้วเป็นอย่างไรเล่า ใช่ว่าจะจำกันได้ หรือต่อให้จดจำได้ ก็ใช่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง
               จิวซือถอนหายใจ แล้วหลับตาลง เข้าใจถ่องแท้ถึงความรู้สึกยามเสวี่ยนซื่อจวิ๋นเขียนกลอนบทนั้น
             ถูกแล้ว ต่อให้คะนึงหาปานขาดใจก็ไม่มีวันได้พบ มิสู้หลับตาลงเสีย ปล่อยให้ดวงจิตติดตามคนผู้นั้นไป





#วิถีเซียน3p

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0


Life of a superstar
 

 
(3)





           สถานที่แคสติ้งเซียนเมฆาคือตึกมู่อินเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งจิวซือไม่แปลกใจเลย เนื่องจากมู่อินเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุด ดังนั้นย่อมเสียงดังกว่าเพื่อน ต่อให้ไม่สามารถบังคับผู้กำกับให้เลือกนักแสดงในสังกัดรับบทเด่น แต่การเสนอชื่อคนเข้ารับการแคสติ้งยังทำได้สบายๆ ยิ่งเป็นบทตัวประกอบเล็กๆ อย่างขุนนางกรมคลังที่มีบทบาทอยู่แค่สองซีนแล้ว เรียกว่าขอเพียงส่งรายชื่อให้ทีมงานก็เรียบร้อย แต่นั่นหมายถึงก่อนที่หลิวเจียเย่จะล่วงเกินผู้กำกับเจียงเข้าน่ะนะ
          เมื่อเห็นจิวซือเดินเข้ามา ผู้กำกับเจียงเฉินก็ทำหน้าเมื่อถูกบังคับให้ดื่มยาพิษ ต่อให้รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายดีเพียงใด ภายใต้เสื้อผ้าสีขาวสะอาดตานั้นคือความไร้ยางอายและความไร้สามารถ เป็นบุคลิกของคนในวงการที่เขาเกลียดที่สุด ดังนั้นเจียงเฉินได้ตัดชื่อหลิวเจียเย่ออกจากรายชื่อนักแสดงที่มาคัดตัวเสียนานแล้ว ไม่ทราบเพราะเหตุใดประธานมู่ถึงได้ยืนยันให้โอกาสหลิวเจียเย่อีกครั้ง ถ้าเป็นคนอื่นเจียงเฉินคงไม่สนใจ ทว่าสำหรับมู่เหยียนเฉินนั้น เขายังต้องไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่สามส่วน
              จิวซือเดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าผู้กำกับเจียงและทีมงาน อันที่จริงการคัดตัวนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องเซียนเมฆาเกือบจะสิ้นสุดแล้ว นักแสดงนำ นักแสดงบทรอง และตัวประกอบหลักๆ ล้วนทำการคัดเลือกและเซ็นต์สัญญาเรียบร้อยแล้ว ขาดก็แต่บทตัวประกอบไม่สำคัญสองสามบทเท่านั้น แต่ที่วันนี้ยังมีทีมงานอยู่เกือบครบก็เพราะว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับฟางอี้เหวิน นักแสดงและนักร้องระดับ A-list ที่ได้บทรัชทายาทเสวี่ยนซื่อจวิ๋น หนึ่งในบทนักแสดงนำ ดังนั้นจึงมีนักแสดงที่คุ้นหน้าหลายคนเข้ามาคัดตัวอีกรอบเพื่อบทนี้
           จิวซือได้ยินพวกเขาคุยกันว่าฟางอี้เหวินขาหักขณะที่แสดงคอนเสริต ต้องพักรักษาตัวอย่างน้อยครึ่งปี เอาเถอะ เซียนเมฆาเป็นภาพยนตร์ใหญ่แห่งปีก็จริง แต่ถึงจะพลาดโอกาสสำคัญนี้ไป ฟางอี้เหวินก็ยังเป็นดาราดัง คงไม่ถึงกับเศร้าซึมเกินไปหรอก แต่สำหรับดาราหน้าใหม่ที่ชื่อเสียงด่างพร้อยอย่างเขา หากไม่ได้รับบทตัวประกอบสักตัว ก็ไม่มีหน้ากลับไปพบประธานมู่แล้ว
          “ผู้กำกับเจียง”
           ใบหน้าหล่อเหลาของหลิวเจียเย่ประดับด้วยรอยยิ้มสุภาพ ท่าทางของเขาดูกระตือรือร้นแต่ไม่ประหม่า ดวงตาสีดำสนิทเปล่งประกายล้อแสงไฟจนแทบทำให้คนที่มองอยู่ตาลาย ไม่อยากเชื่อเลยว่าร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวราวคุณชายตระกูลใหญ่ผู้นี้คือหลิวเจียเย่ที่พวกเขาเคยเห็น
             ผู้กำกับเจียงย่นหัวคิ้ว แม้ใบหน้าจะยังแสดงถึงความดุดัน แต่ในใจรู้สึกประหลาด อดคาดเดาไม่ได้ว่าประธานมู่ได้ส่งยอดฝีมือด้านการแสดงคนไหนไปฝึกฝนอีกฝ่ายจนสามารถเปล่งประกายได้ขนาดนี้ ขนาดที่เขาคิดว่าบทตัวประกอบช่างจืดจางไปสำหรับคนตรงหน้า
             ความคิดที่ทำให้ผู้กำกับจางตระหนก และก่นด่าตัวเองในใจ ไร้สาระ! สำหรับคนไร้ยางอายเช่นนี้ไม่อยู่ในคณะนักแสดงของเขาเป็นดีที่สุด เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น เจียงเฉินก็รู้สึกผ่อนคลายลง เขาเพียงกล่าวว่า “เริ่ม”

              บทที่จิวซือถูกสั่งให้มาคัดตัวนั้น เป็นบทขุนนางชั้นผู้น้อยสังกัดกรมคลัง หัวหน้าของเขาก็คือเปาจิงจู เสนาบดีกรมคลัง ฉากที่ต้องแสดงทั้งเรื่องมีแค่สองฉาก คือฉากที่ถูกเปาจิงจูสั่งโบยเพราะความโมโห และฉากที่ถูกเกาจงเฉินฆ่าตายขณะที่บุกไปจับกุมเปาจิงจู เรียกว่าเป็นตัวละครที่ไร้รสชาติยิ่ง สำหรับฉากที่เขาจะแสดงในวันนี้คือฉากที่ถูกฆ่าตาย
             จิวซือพยักหน้าบอกใบ้ว่าเขาพร้อมแล้ว ผู้ช่วยผู้กำกับไม่ได้นับถอยหลังให้เขา จะว่าไปไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะแสดงออกมาอย่างไร
             ถูกฆ่าตาย
            หึหึ
                ยังจะมีฉากไหนง่ายดายสำหรับคนที่เกิดใหม่มาแล้วหลายชาติยิ่งกว่าฉากจบชีวิตอีกเล่า

         

                    ทั้งห้องเงียบเสียง ไม่มีนักแสดงประกอบ ไม่มีเกาจงเฉินที่เสือกกระบี่เข้ากลางอก ทว่าร่างสูงโปร่งในชุดขาวที่สะท้านเฮือก ร่างกายสั่นไหว งองุ้มลงเล็กน้อยกลับทำให้เห็นภาพว่าร่างนั้นถูกกระบี่แทงเข้าที่กลางหน้าอกอย่างแรง ดวงตาสีดำสนิทเบิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ เขาเป็นเพียงนางชั้นผู้น้อยที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง เขาเพียงโชคร้ายถูกเจ้านายสั่งให้คัดลอกบันทึกจนดึกดื่น เมื่อทำเสร็จก็ดีใจที่จะได้กลับบ้านไปหามารดา ดื่มน้ำแกงร้อนๆ สักถ้วยและนอนหลับสักตื่นเท่านั้น
            แล้วเหตุใด เหตุใด
           ดวงตาว่างเปล่าที่สลัวลง อยู่ๆ ก็โชติช่วงขึ้นมาดังเปลวเทียนในความมืด ความไม่ยินยอมพร้อมใจ ความเคียดแค้น ความรู้สึกอยุติธรรม ความเจ็ดปวด ฉายชัดอยู่ในนั้น ครู่เดียว เพียงครู่เดียวสั้นๆ ที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ความรู้สึกที่ปรากฏในดวงตาของเด็กหนุ่มค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้า
             ท่านแม่ ลูกไปแล้วใครจะดูแลท่าน
              ความเศร้าเสียใจแผ่จากตัวเขา แทรกซึมไปในบรรยากาศโดยรอบทำให้ผู้คนอึดอัดในอก ทั้งที่เป็นเพียงตัวละครที่ไม่สลักสำคัญอะไร ไม่มีใครจดจำใบหน้าหรือชื่อของเขาได้ ทว่าเวลานี้...ไม่มีผู้ใดไม่เห็นใจชะตาชีวิตของเขา


              เงียบ
             ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
              กระทั่งจิวซือคืนสู่ความเป็นตัวเอง ยืนสงบพร้อมรอยยิ้มประดับมุมปาก ก็ยังไม่มีผู้ใดส่งเสียง เพราะเมื่อหลุดจากภวังค์ของบรรยากาศหนักอึ้งเมื่อครู่ ต่างคนต่างก็ถูกความตกใจเข้าจู่โจม การแสดงเมื่อครู่นี้ต่อให้เป็นนักแสดงแถวหน้าก็ยังไม่แน่ว่าจะทำได้ดีเท่าหลิวเจียเย่ ทุกคนต่างรู้สึกได้ แล้วมีหรือผู้กำกับเจียงจะไม่รู้สึก สายตานั้น การแสดงความรู้สึกผ่านสีหน้าแบบนั้น กระทั่งบรรยากาศที่ดึงดูดผู้คนเข้าไปในโลกของตัวเอง หากว่าไม่มีเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงเลวร้ายของอีกฝ่าย เจียงเฉินถึงขนาดคิดจะปลุกปั้นเพชรงามเม็ดนี้กับมือด้วยซ้ำไป!


               “ผู้กำกับ”
               อยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งทำลายความเงียบขึ้นมา เมื่อหันตามเสียงทุ้มนั้นไปจึงพบร่างสูงใหญ่ในเสื้อโปโลสีฟ้าอ่อน กับกางเกงยีนส์สีเข้มยืนกอดอกพิงกรอบประตู ส่วนสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของเขาทำให้เสื้อผ้าสบายๆ กลายเป็นมีระดับ ผมสีดำซอยสั้นเผยให้เห็นหน้าผากและคิ้วพาดเฉียง รวมถึงดวงตาคมกล้า ใบหน้าหล่อเหลาของเขาคุ้นตาเพราะแทบจะปรากฏอยู่ทางโทรทัศน์ หรือสื่อต่างๆ อยู่ทุกวัน หากไม่ใช่ดารานำชายอย่างเหอเทียนเหิง ผู้รับบทเกาจงเฉินแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก
              คนอื่นอาจจะคุ้นเคยกับเหอเทียนเหิงก็จริง แต่สำหรับจิวซือนั้น เหอเทียนเหิงในความทรงจำของหลิวเจียเย่ดูต่างจากเหอเทียนเหิงที่เขาเห็นด้วยตาตนเองอยู่ไม่น้อย คนที่อยู่ในความทรงจำนั้นเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ที่ทำให้หลิวเจียเย่ตื่นเต้นดีใจจนนอนไม่หลับเมื่อเขาแสดงความสนใจต่อตนเอง ทว่าเหอเทียนเหิงที่อยู่ตรงหน้ากลับทำให้หัวใจของจิวซือบีบรัดโดยไม่ทราบสาเหตุ
         “บทเสวี่ยนซื่อจวิ๋น ทำไมไม่ให้โอกาสคุณหลิวลองดูล่ะครับ” ดาราใหญ่เสนอด้วยน้ำเสียงทุ้มเป็นปกติของเขา สายตามองตรงมายังจิวซืออย่างมีความหมาย แต่ข้อเสนอง่ายๆ ของเขานี้ทำให้หลายคนถึงกับสูดหายใจเข้าลึกด้วยความตกใจ     
                คุณหลิว?
                คุณหลิวที่ว่านั่น...คงไม่ได้หมายถึงหลิวเจียเย่หรอกใช่ไหม
                พี่ใหญ่เหอ คุณล้อเล่นหรือเปล่า

 
 
            ข้อเสนอของเหอเทียนเหิงนั้น หากเป็นก่อนหน้านี้สักห้านาที ผู้กำกับเจียงย่อมต้องปะทะคารมกับดาราใหญ่สักรอบ ทว่าเวลานี้เขาเพียงนิ่งเฉย ขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนกำลังใช้ความคิดทำให้ทีมงานต่างกลั้นลมหายใจรอ จริงอยู่ว่าการแสดงเมื่อครู่ของหลิวเจียเย่นั้นน่าประทับใจ แต่พฤติกรรมที่ผ่านมาของเขาฉาวโฉ่เกินกว่าจะยอมรับได้
   เวลานั้นเองผู้ที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาอย่างหลิวเจียเย่ก็ผงกหัวให้กับเหอเทียนเหิงเล็กน้อยเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นร่างสูงโปร่งของเขาก็เดินไปหยุดอยู่หน้าผู้กำกับเจียง ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายเจิดจ้า ฉายแววจริงจังและตั้งใจ ชายหนุ่มค้อมตัวลงเกือบ 90 องศา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า
   “ผู้กำกับเจียง ได้โปรดให้โอกาสผมด้วยครับ”
   การกระทำของหลิวเจียเย่ทำให้เจียงเฉินแปลกใจอย่างยิ่ง ท่าทางถ่อมตน ทัศนคติและความเป็นมืออาชีพที่ไม่มีทางเกิดขึ้นกับหลิวเจียเย่ที่อยู่ในความทรงจำของเขา เมื่อเห็นแววตาจริงใจและความตั้งใจจริงของอีกฝ่าย ใบหน้าเคร่งเครียดของเจียงเฉินก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ
   เขาไม่ทราบว่าต้นเหตุของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับหลิวเจียเย่คืออะไร แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องดี และเขายินดีให้โอกาสคนที่ตั้งใจจริงเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถของหลิวเจียเย่ทำให้เขาใครรู้ และคาดหวัง หากว่าเขาเป็นผู้ที่ค้นพบอัญมณีเม็ดนี้ และทำให้มันเปล่งประกายล่ะก็ แค่คิดก็ทำให้ผู้กำกับวัยกลางคนผู้นี้ตื่นเต้นไม่น้อย


   ตามกำหนดการเดิม พวกเขาจะเริ่มแคสติ้งนักแสดงบทเสวี่ยนซื่อจวิ๋นหลังจากพักเที่ยง แต่เนื่องจากหลิวเจียเย่และเหอเทียนเหิงอยู่ตรงนี้แล้ว เจียงเฉินจึงตัดสินใจให้หลิวเจียเย่ได้ลองดูก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายไปทานอาหารกลางวัน ด้วยเหตุผลที่ว่าหลิวเจียเย่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่มาคัดเลือก ดังนั้นจึงให้เวลาเขาอ่านบทแค่สิบนาที แน่นอนว่าผู้ช่วยผู้กำกับมองดวงตาพราวระยับของผู้กำกับเจียงก็ทราบว่าเขาต้องการทดสอบศักยภาพของหลิวเจียเย่
   ได้รับโอกาสเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีเวลาเตรียมตัว จิวซือก็ยังรู้สึกยินดี ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณผู้กำกับที่ให้โอกาส และโค้งให้เหอเทียนเหิง ก่อนจะรีบศึกษาบทที่ตัวเองต้องเล่น
   เมื่ออ่านบทจบ จิวซือรู้สึกว่าตัวเองช่างอ่อนหัดนักที่เชื่อผู้กำกับเจียง เพราะฉากที่เขาต้องเล่นนั้นแทบจะเป็นฉากที่ยากที่สุดในบรรดาฉากทั้งหมดของเสวี่ยนซื่อจวิ๋น ซึ่งก็คือฉากที่ฮ่องเต้หนุ่มรั้งตัวเกาจงเฉินไว้ สำหรับคนทั่วไปฉากนี้อาจจะดูง่าย ทว่าในความเป็นจริงแล้วมีรายละเอียดประการซ่อนอยู่
   จิวซือถอนหายใจเบาๆ นึกขอบคุณตัวเองที่รอบคอบศึกษาบทละครทั้งหมดมาล่วงหน้าจนเข้าใจความรู้สึกของเสวี่ยนซื่อจวิ๋นเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นเขาคงกลายเป็นตัวตลกในสายตาตาแก่เจียงแน่ ถูกแล้ว คนเจ้าเล่ห์เช่นนั้นสมควรถูกเขาเรียกว่าตาแก่เจียง
   

   เมื่อได้ยินเสียงผู้กำกับเจียงสั่งคิว บรรยากาศรอบตัวหลิวเจียเย่ก็เปลี่ยนไปทันที แผ่นหลังในชุดสีขาวล้วนของเขาให้ความรู้สึกสูงศักดิ์ และโดดเดี่ยว เพียงเห็นแผ่นหลังนั้นผ่านหน้าจอ ผู้กำกับเจียงก็สูดหายใจลึกด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของเขาเป็นประกาย ไม่ละไปจากหน้าจอ   
   ออร่าที่แผ่จากตัวของหลิวเจียเย่นั้นเป็นออร่าของผู้สูงศักดิ์อย่างจริงแท้แน่นอน แต่เพราะบรรยากาศรอบตัวเขาแฝงด้วยความโดดเดี่ยว จึงไม่คล้ายคนที่เป็นฮ่องเต้ ทว่าพริบตาที่ขันทีประกาศการมาถึงของรองเสนาบดีเกาจงเฉิน บรรยากาศโดดเดี่ยวก็พลันเปลี่ยนเป็นบรรยากาศกดดันของผู้เป็นราชา เมื่อหลิวเจียเย่หมุนตัวกลับมา เขาก็กลายเป็นชื่อจงฮ่องเต้อย่างสมบูรณ์แบบ
   เหอเทียนเหิงรู้สึกทึ่งอยู่ในใจ แต่ภายนอกที่แสดงออกนั้นเป็นเกาจงเฉินผู้เงียบขรึม และจริงจัง ดวงตาคมแฝงแววเจ็บช้ำหลังจากที่ทราบความจริงว่าหญิงสาวที่เขามีใจหลงรักเจ้าเหนือหัวของตนเอง เกาจงเฉินล้างมลทินให้บิดาและกำจัดศัตรูสำเร็จ กระทั่งองค์รัชทายาทก็ได้สืบทอดบัลลังก์เป็นชื่อจงฮ่องเต้แล้ว เวลานี้เขารู้สึกเหนื่อยและต้องการหลีกหนีไปจากวังหลวงและวังวนของการแย่งชิงอำนาจ
   “ฝ่าบาท กระหม่อมขอทรงอนุญาตให้กระหม่อมกลับบ้านเกิดไปดูแลบิดามารดา”
   เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำขอเช่นนี้ ชื่อจงฮ่องเต้ไม่รับสั่งอะไร เพียงทอดพระเนตรมองบุรุษที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ความปรารถนาในใจของเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้ เขาเป็นฮ่องเต้ย่อมต้องรักษาแผ่นดินนี้ด้วยชีวิต หลายอย่างที่ปรารถนาขอเพียงเอ่ยปากย่อมได้มา แต่บางอย่างต่อให้ใกล้เพียงใดยังมิอาจไขว่คว้าได้ ดังนั้นภายใต้ท่าทางสงบนิ่ง และปราการแข็งแกร่งของผู้เป็นเจ้าชีวิต ยังสามารถเห็นระลอกคลื่นเล็กๆ ในดวงพระเนตร
   “ไม่อนุญาต” สุรเสียงมั่นคง ไร้ข้อต่อรอง
   “ฝ่าบาท” เกงจงเฉินไม่คิดว่าพระองค์จะทรงปฏิเสธเขาโดยไม่ลังเลเช่นนี้ ก่อนที่เสวี่ยนซื่อจวิ๋นจะสืบทอดบัลลังก์ พวกเขานับว่าเป็นสหาย ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่แม้แต่รับฟังเหตุผลของเขา
   “จงเฉิน” คราวนี้น้ำเสียงของชื่อจงฮ่องเต้อ่อนลง ทรงเรียกชื่อเกาจงเฉินแทนที่จะเป็นรองเสนาบดีเกา พระพักตร์หล่อเหลาถูกซ่อนไว้ในเงามืด ยากจะสังเกตเห็นอารมณ์ “บัลลังก์ของข้ายังไม่มั่นคง เจ้าก็จะจากไปแล้วหรือ”
   “กระหม่อม...”
   “ช่วยข้ากำราบคนพวกนั้น”
   สีหน้าของเกาจงเฉินแสดงถึงความขัดแย้งภายในใจ ได้ยินชื่อจงฮ่องเต้เรียกเขาอย่างสนิทสนม และทราบว่าฝ่ายนั้นไม่ถนัดขอร้องผู้ใด ที่พระองค์แสดงออกเช่นนี้นับว่าลดองค์ลงมาอย่างที่สุดแล้ว เกงจงเฉินเงยหน้าสบตากับพระเนตรคม เวลานี้ภาพของเสวี่ยนซื่อจวิ๋นเมื่อครั้นยังองค์รัชทายาทปรากฏเบื้องหน้าเขา
   “รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ”
   มองร่างเงาของเกาจงเฉินที่ค่อยๆ หายไปจากครรลองสายตา พระหัตถ์ขาวนวลราวหยกเนื้อดีกำแน่นจนขึ้นข้อขาว พระพักตร์ฉายแววปวดร้าวในเงามืด พระเนตรคล้ายมีคำพูดมากมายต้องการถ่ายทอดออกมา แต่จำต้องอดกลั้นไว้ ไหล่สั่นสะท้านทว่าแผ่นหลังกลับเหยียดตรงราวกับจะแบกรับแผ่นดินนี้ไว้บนบ่า


   นานกว่าผู้กำกับเจียงจะสั่งคัท สำหรับเขาภาพที่ได้เห็นผ่านเลนส์กล้องช่างสมบูรณ์แบบ ขอเพียงนักแสดงทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้า ขอเพียงมีฉากหลังประกอบ และได้ดนตรีบรรเลงที่เหมาะสม ฉากนี้จะต้องกลายเป็นฉากที่ตราตรึงในความทรงจำฉากหนึ่ง
   เป็นฉากที่ดูไม่มีอะไร แต่ที่จริงแล้วนักแสดงต้องถึงความสูงศักดิ์และกดดันของเจ้าชีวิต และยังต้องสื่ออารมณ์ที่ต้องซ่อนไว้ รวมถึงความอ่อนไหวที่มิอาจทะลุผ่านความแข็งแกร่งและภาระหน้าที่ของผู้เป็นราชา ดังนั้นจึงเป็นการแสดงที่ท้าทาย แต่หลิวเจียเย่สามารถทำได้ดีกว่าความคาดหมายของเขา ทำให้ผู้กำกับเจียงยินดีเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อจิวซือเดินมาขอบคุณเขาที่ให้โอกาส เจียงเฉินจึงหัวเราะฮาๆ และตบบ่าเขาสองครั้ง
   จิวซือยังไม่แน่ใจว่าตนเองจะได้รับบทนี้ไหม แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าหากไม่ได้เล่นบทนี้ อย่างน้อยบทตัวประกอบไม่น่าจะหลุดลอยไป ถือว่ายังมีหน้าโผล่ไปพบประธานมู่ และขอการสนับสนุนจากต้นสังกัดได้ หนทางเป็นดาราใหญ่ของเขาจะขาดขาทองคำของมู่เหยียนเฉินไปได้อย่างไร



   เมื่อเดินมาถึงรถของตัวเอง จิวซือก็พบว่ามีคนผู้หนึ่งยืนพิงรถของเขาอยู่ คนผู้นั้นหาใช่ใครอื่นแต่เป็นเหอเทียนเหิงนั่นเอง
   “คุณเหอ ขอบคุณครับ” จิวซือกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
   เหอเทียนเหิงมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาอ่านไม่ออก เขาเคยพบหลิวเจียเย่ กระทั่งมีความสัมพันธ์บนเตียงเพราะสนใจรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่าย แต่ไม่เคยรู้สึกว่าหลิวเจียเย่มีเสน่ห์ดึงดูดตรงไหน นอกจากพยายามเอาอกเอาใจเขาแล้วก็ไม่มีข้อดีอะไรอีก ทว่าเวลานี้เขากลับพบว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป บางอย่างที่กระตุ้นความสนใจของเขา
   จิวซือเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ เพียงแต่ยืนกอดอกมองเขาเงียบๆ ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่เมื่อชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียแล้ว คิดว่าไม่ล่วงเกินอีกฝ่ายเป็นดีที่สุด และหากผูกมิตรกับขาทองคำอีกขาหนึ่งได้ล่ะก็ ชีวิตของเขานับว่ามีโชคดีอย่างแท้จริง ทว่าเมื่อเห็นเหอเทียนเหิงเอาแขนพาดรถแล้วเคาะเบาๆ ก็นึกได้ว่าฝ่ายนั้นเป็นเจ้าของรถตัวจริง จิวซือเริ่มไม่แน่ใจว่าฝ่ายนั้นจะมาทวงรถคืนหรือเปล่า เพราะเท่าที่จำได้ เหอเทียนเหิงไม่ได้ออกปากยกบีเอ็มคันนี้ให้หลิวเจียเย่ เขาเพียงแค่จอดทิ้งไว้เท่านั้น
   ตามสามัญสำนึกแล้วเขาก็ควรคืนรถให้เจ้าของ แต่เมื่อนึกอีกที รถคันนี้เป็นของที่หลิวเจียเย่ใช้ร่างกายและความจริงใจแลกมา ตอนที่เหอเทียนเหิงจากไป และทำเป็นไม่รู้จักเขา หลิวเจียเย่เสียใจมาก หลังจากนั้นพฤติกรรมใช้ร่างกายเข้าแลกของเขาจึงทวีความรุนแรงขึ้น ดังนั้นต่อให้เป็นความพอใจของทั้งสองฝ่าย จิวซือยังรู้สึกว่าเหอเทียนเหิงติดค้างหลิวเจียเย่อยู่ นอกจากนี้เหอเทียนเหิงก็เป็นถึงดาราระดับ S-list คงไม่ใส่ใจกับรถคันเดียว เพราะผ่านมาตั้งนานเหอเทียนเหิงก็ไม่เคยมาขอคืนราวกับว่าลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นจิวซือจึงยกมือเกาแก้ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่กระดากอายว่า
   “รถคันนี้ ผมขอยืมใช้ก่อนก็แล้วกัน”
   หอเทียนเหิงมองคนที่กล่าวคำขอด้วยสีหน้าอมยิ้มเล็กน้อยอย่างไร้ความเกรงใจ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร วินาทีแรกอาจเป็นความประหลาดใจ จากนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสนใจ และสุดท้ายกลายเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้มุมปากของเขาอดขยับขึ้นเล็กน้อยไม่ได้
   ร่างสูงใหญ่ของเขาเอนพิงรถด้วยท่าทางเกียจคร้าน ทว่าดวงตากลับพราวระยิบ ฟรีโรโมนพวยพุ่งออกมา “แลกกับอะไรล่ะ” เขาถาม
   แน่นอนว่าเขาไม่ได้ติดใจเรื่องรถ จะว่าตั้งใจยกให้หลิวเจียเย่ก็ใช่ แลกกับการที่ฝ่ายนั้นไม่พูดมากเรื่องความสัมพันธ์ชั่วคราวของพวกเขา และไม่ได้ตั้งใจจะใช้เส้นสายของเขาในวงการบันเทิงอย่างที่คาดเดาไว้ เพียงเอาอกเอาใจเขาทุกอย่าง กระนั้นก็จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว หลิยเจียเย่ในความทรงจำของเขาพร่ามัว แทบไม่เหลือร่องรอยอะไรเลยด้วยซ้ำไป ทว่าหลิวเจียเย่ที่อยู่ตรงหน้านี้...
   ทั้งการแสดงก่อนหน้านี้ และท่าทางสบายใจไม่ทุกข์ร้อนในเวลานี้กลับทิ้งร่องรอยไว้ ทำให้ตัวตนของฝ่ายนั้นเด่นชัดในห้วงความคิดของเขา กระทั่งต้องตามมาถึงที่นี่
   จิวซือถึงกับยิ้มค้างกับคำถามที่ไม่คาดคิด ก่อนจะปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มเปี่ยมมารยาทบนใบหน้าขยับยกสูงขึ้นอีกเล็กน้อย เด็กหนุ่มเอียงคอพูดกลั้วเสียงหัวเราะว่า “คำขอบคุณมั้งครับ”
   “ตกลง”
   “ครับ?” นึกไม่ถึงว่าเหอเทียนเหิงจะตอบตกลงง่ายๆ จิวซือมองคนตรงหน้าอย่างค้นหา
   “จะขอบคุณไม่ใช่เหรอ” เหอเทียนเหิงหัวเราะ ก่อนจะคว้าข้อศอกของจิวซือ ดึงให้เข้ามาใกล้จนแทบจะกลายเป็นแนบชิด “เลี้ยงข้าวขอบคุณ”



   โรงแรมดิเอ็มไพร์
   The Empire ดูแค่ชื่อก็พอจะเดาได้ว่าเป็นสถานที่ที่มนุษย์เงินเดือนทั่วไปไม่อาจเอื้อม เหอเทียนเหิงเปิดประตูรถ แล้วส่งกุญแจให้พนักงานนำรถไปจอด ขณะที่เขาพาจิวซือไปยังห้องอาหารที่โทรมาจองไว้ โดยมีพนักงานสาวสวยคนหนึ่งเดินนำไปอย่างสุภาพ
   จิวซือยืนมองห้องอาหารหรูหราสไตล์ตะวันตก สถานที่ ‘เลี้ยงข้าวขอบคุณ’ ที่เหอเทียนเหิงเลือก แล้วก็อดก่นด่าอีกฝ่ายในใจไม่ได้ ดิเอ็มไพร์ เอาเถอะ ในเมื่อสามารถใช้อาหารมื้อเดียวแลกกับรถหนึ่งคัน ถือว่าเขาได้กำไรล่ะนะ
   แต่เมื่อเห็นราคาอาหารแต่ละอย่าง บวกกับมองเหอเทียนเหิงที่สั่งทั้งอาหารจานหลัก ของทานเล่น และเครื่องดื่มอย่างไร้ความเกรงใจ ใบหน้าของจิวซือก็ครึ้มลงทุกที เขากัดฟันสั่งสเต็กธรรมดาๆ จานหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเมนูคืนให้พนักงาน ลองคำนวณราคาคร่าวๆ แบบไม่รวม Service charge แล้วรู้สึกเหมือนถูกหลอก โชคยังดีที่มีบัตรเครดิต ไม่อย่างนั้นใบหน้าหนาๆ ของเขามีหวังแตกเป็นเสี่ยงๆ จนบัดนี้เซียนน้อยอย่างจิวซือค่อยรู้สึกถึงความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าบัตรเครดิต จำได้ว่าใครสักคนเคยกล่าวไว้ ‘ผู้หญิงมีไว้อุ่นเตียง ส่วนบัตรเครดิตมีไว้ให้อุ่นใจ’ สำนวนที่ทำให้จิวซือหลุดหัวเราะออกมา

   “ขำอะไรหรือ”
   “ไม่มีอะไรครับ” จิวซือส่ายหน้าเล็กน้อย ทว่าดวงตายังเจือรอยขบขัน ทำให้ใบหน้าของเขาอ่อนละมุนลง
   “นายเรียนการแสดงมา?”
   “ครับ” ถูกแล้ว เขาอย่างตั้งใจมากๆ ในชาติที่สามของเขา เสียดายก็แต่ไม่เคยมีโอกาสได้แสดงให้ใครเห็นนอกจากอาจารย์และเพื่อนร่วมคณะ
   “แสดงได้ดี”
   คำชมมาอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงของคุณพูด จิวซือก็อดยิ้มกว้างไม่ได้
   “ขอบคุณครับ”
   “บทเสวี่ยนซื่อจวิ๋นเป็นบทที่ไม่เลวเลย”
   จิวซือเลิกคิ้ว ไม่แน่ใจว่าประโยคบอกเล่านี้ซ่อนความหมายอื่นไว้หรือไม่ อย่างเช่นว่าบทนี้เป็นบทที่ดีที่เขาควรพยายามทุกวิถีทางเพื่อคว้าไว้ หรือบางทีอาจเป็นแค่ประโยคที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ
   “ครับ เป็นบทที่ดี”
   เห็นสีหน้าของเหอเทียนเหิงคล้ายจะยิ้มก็ไม่ใช่จะบึ้งก็ไม่เชิง และเพื่อรักษาขาทองคำคู่นี้ไว้ จิวซือจึงกล่าวต่อว่า “ถ้าโชคดีได้บทนี้ขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ หวังว่าคุณเหอจะให้เกียรติทานข้าวกับผมสักมื้อ” แน่นอนว่าถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ เขาจะเป็นคนเลือกร้านเอง
   

   อาหารมื้อนี้ไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือตะขิดตะขวงใจอย่างที่คิด กล่าวโดยสรุปแล้ว จิวซือคิดว่ามันเป็นมื้อที่ดีทีเดียว ทั้งรสชาติ บรรยากาศ และบทสนทนา เหอเทียนเหิงไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่คิด ตรงข้ามเขาสามารถต่อบทสนทนาได้ทุกเรื่องอย่างราบรื่น เรียกว่าคุยกันถูกคอจนลืมเวลาด้วยซ้ำ และที่สำคัญกว่านั้นก็คืออีกฝ่ายเป็นคนจ่ายค่าอาหาร นับว่าคุณชายเหอเข้าใจหัวอกดาราตกอับเป็นอย่างดี ดังนั้นฐานะขาทองคำคู่นี้ได้ถูกเลื่อนระดับขึ้นไปเล็กน้อยในใจของจิวซือ
   “ค้างมั้ย” ดวงตาคมของเหอเทียนเหิงเป็นประกายแวววาว น้ำเสียงแม้จะราบเรียบ แต่ไม่มีแววล้อเล่น พูดให้ถูกก็คือเขาจริงจังอย่างยิ่ง และเขาอยากได้หลิวเจียเย่
   “คุณเหอ คุณคิดว่าค่าห้องที่ดิเอ็มไพร์นี่ราคาเท่าไรกัน”
   “นายนอนกับฉันก็ได้”
   หากก่อนหน้านี้คือการหยั่งเชิง ตอนนี้ก็คือการชวนอย่างโจ่งแจ้ง จิวซือมีหรือจะไม่เข้าใจประโยคเชิญชวนที่ตรงไปตรงมา อีกทั้งสายตาร้อนแรงของคนตรงหน้า แต่เขาเพียงหัวเราะ และตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน ปราศจากข้อแก้ตัวใดๆ
   “ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ”
   ใบหน้าของเหอเทียนเหิงยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่าดวงตาของเขาไม่ยิ้มแล้ว ทั้งยังดูอันตรายขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แน่นอนว่าเขาไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ
   หลิยเจียเย่ปฏิเสธเขา ขณะที่เขาต้องการอีกฝ่ายจนแทบทนไม่ไหว ความอดทนของเขาลดน้อยลงทุกวินาที เช่นเดียวกับร่างกายที่ร้อนขึ้นทุกวินาที ในทางตรงข้ามอีกฝ่ายกลับยังคงนิ่งเฉย ชวนให้คิดว่าเสน่ห์ของเขาใช้ไม่ได้ผลแล้วหรือ
   “เจียเย่ นายไม่น่ารักเอาซะเลย”
   “พี่เหอ พี่ก็ไม่น่ารักเลยครับ” จิวซือกล่าวยิ้มๆ แล้วลุกขึ้น ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อบอกลา “ราตรีสวัสดิ์ครับ” จากนั้นก็พาร่างของตัวเองเดินไปยังทางออก       
   เหอเทียนเหิงมองหลิวเจียเย่ตาไม่กระพริบ สายตาร้อนแรงของเขามองไล่ตั้งแต่ลำคอ ไหล่ลาด แผ่นหลัง เอวสอบ สะโพก ไปถึงเรียวขา สายตาของเขาเหมือนกับเปลวไฟลุกไหม้ลามเลียหลิวเจียเย่ไปทั่วทั้งตัว แต่มีพระเจ้าเท่านั้นที่เข้าใจว่าเขาต้องการอีกฝ่ายมากเพียงใด อยากกระชากเสื้อเชิ้ตสีขาวนั้นออกเป็นชิ้นๆ อยากคว้าข้อมือเล็กแล้วจับมัดไว้ไพล่หลัง ให้แผ่นหลังรูปตัววีนั้นโค้งงอขึ้นรอรับการปรนเปรอจากเขา จากนั้นค่อยกดไว้ใต้ร่าง รุกรานให้ร้องไห้สะอึกสะอื้น ครอบครองไม่ให้หนีไปได้อีก
   ‘ให้ตายเถอะ’
   เหอเทียนเหิงสบถในใจ เขาสูดหายใจเข้าลึก มือทั้งสองข้างกำแน่น พยายามสะกดกลั้นความร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาจากท่อนล่าง

               


ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0


Life of a Superstar




(4)




           วันรุ่งขึ้น หลี่รุยถิงมารับจิวซือไปถ่ายภาพนิ่งทำเพื่อโปสเตอร์ให้กับ Passion Mu-in มู่เหลียนเหลียนยังคงมาดูแลการถ่ายภาพด้วยตัวเอง เธอทั้งเลือกสินค้าที่ใช้ถ่ายทำ และบอกคอนเซ็ป ตลอดจนแรงบันดาลใจในการออกแบบสินค้าแต่ละชิ้น ทำให้จิวซือพรีเซนส์งานออกมาได้ดี และราบรื่น
   “เจียเย่ นายหล่อมาก ภาพออกมาสวยมากๆ” มู่เหลียนเหลียนกล่าวอย่างสนิทสนม ด้วยความที่เธออายุมากกว่าหลิวเจียเย่แค่สามปี ดังนั้นจึงอดรู้สึกสนิทกับหลิวเจียเย่ขึ้นมาอีกนิดไม่ได้
   “พี่เหลียน ต้องขอบคุณช่างภาพต่างหากล่ะครับ”
   “ไม่เถียงกับนายหรอก ไปกินข้าวกันเถอะ”
   “พี่จะเลี้ยงผมใช่ไหม”
   “แน่นอน”
   สัปดาห์ที่ผ่านมา จิวซือยุ่งอยู่กับการถ่ายภาพนิ่ง รวมถึงโฆษณาความยาว 20 วินาทีของ Passion Mu-in ซึ่งผู้กำกับเถาตัดสินใจใช้รูปแบบที่เขาแสดงตอนแคสติ้ง และเปลี่ยนฉากหลังเป็นเตียงสีขาวดูหรูและเป็นธรรมชาติ นอกจากสร้อยข้อมือ และแหวนแล้ว ก็ยังให้เขาใส่ต่างหูทำจากพลอยสีแดงสด จิวซือไม่แน่ใจว่าผลงานที่ผ่านการตัดต่อแล้วจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ดูจากปฏิกิริยาของผู้กำกับและมู่เหลียนเหลียนแล้ว เขาคิดว่าคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
   นอกจากงานของ Passion Mu-in แล้ว จิวซือยังได้งานถ่ายแบบนิตยสารวัยรุ่นอีกสองฉบับ นับว่าไม่เลวเลยสำหรับดาราระดับเขา จิวซือพอใจกับการเริ่มต้นที่ไปได้สวยนี้ สมแล้วที่เป็นชาติที่ได้รับคำอวยพรจากเทพ เหลือก็แต่ผลการแคสติ้งเรื่องเซียนเมฆาเท่านั้น


   จิวซือถูกมู่เหยียนเฉินเรียกมาพบที่มู่อินอีกครั้ง กระทั่งหลี่รุยถิงยังแปลกใจว่าท่านประธานมู่ที่ปกติไม่ค่อยปรากฏตัว และมักจะมอบหมายทุกอย่างให้เลขาหูจัดการนั้น เหตุใดจึงได้มีเวลาว่างมาพบดาราเล็กๆ อย่างหลิวเจียเย่ สุดท้ายก็ได้แต่คาดเดาเอาเองว่าคงจะเกี่ยวข้องกับคุณหนูเหลียนผู้เป็นน้องสาว
   จิวซือมาถึงบริษัทก่อนเวลานัดเกือบหนึ่งชั่วโมง แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นยินดีหรือคาดหวังอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเพราะสถานที่ที่เขาเพิ่งถ่ายปกนิตยสารเสร็จอยู่ใกล้ๆ ตึกมู่อิน เขาจึงตัดสินใจมารอที่นี่
   ยอมรับว่าการเป็นดารานั้นไม่ง่ายเลย แน่นอนว่าง่ายดายกว่าหลายๆ ชาติที่ผ่านมาของเขา อย่างไรก็ตามเกือบครึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาได้รับทราบรสชาติของความพยายามและการถูกกดขี่อยู่บ่อยครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชื่อเสียงในวงการของหลิวเจียเย่เรียกได้ว่าย่ำแย่จนไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนก่อกำแพงที่เรียกว่าอคติไว้สูงลิ่ว จิวซือไม่กลัวที่จะใช้ความสามารถพิสูจน์ตัวเอง แต่เพราะเขารู้สึกว่ามันยุ่งยาก และต้องอาศัยเวลา ในเมื่อชาตินี้ตั้งใจจะเสพสุขแล้ว เหตุใดไม่ใช่ ‘โชคดี’ ที่เทพอวิ๋นหนานประทานให้ ดังนั้นหลายวันที่ผ่านมา เขาจึงใช้พลังเซียนของเขาไปไม่น้อย และคงเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขารู้สึกอ่อนล้า กระทั่งเปลือกตายังปิดลงโดยไม่รู้ตัว

   มู่เหยียนเฉินเดินมาส่งแขกวีไอพีที่หน้าลิฟต์ ขณะที่กำลังเดินกลับห้องทำงานนั้น ก็ได้กลิ่นเฉพาะตัวของดอกบัวชนิดหนึ่ง ทำให้ฝีเท้าของเขาชะงัก ก่อนที่จะเปลี่ยนทิศเดินไปยังห้องรับรองที่อยู่ห่างออกไป
   สิ่งที่ปรากฏในครรลองสายตาของเขาคือใบหน้ายามหลับสนิทของหลิวเจียเย่ ชายหนุ่มในชุดสีฟ้าอ่อนเอนตัวลงนอนราบไปกับโซฟาหนังสีดำ หันหน้ามาทางประตู แสงแดดจากหน้าต่างตกกระทบผิวขาวสว่างจนเหมือนจะโปร่งใส ราวกับว่าร่างกายนั้นเรืองแสงบางๆ แพขนตาดกดำก่อให้เกิดเงาใต้ตา ขับเน้นใบหน้าขาวใสปราศจากเครื่องสำอางให้ดูมีมิติยิ่งขึ้น เมื่อเลื่อนสายตาลงมาจะพบกับจมูกโด่งรั้น และริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อย แขนข้างหนึ่งห้อยตกจากโซฟา ข้อมือที่ราบไปกับพื้นดูเปราะบาง ราวกับว่าเพียงออกแรงบีบเล็กน้อยก็จะหักลงได้
   มู่เหยียนเฉินยืนกอดอกพิงประตู ไม่ทราบว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยของเขามีความคิดอะไรซ่อนอยู่ ครู่หนึ่งร่างสูงใหญ่ของเขาก็ก้าวมาหยุดใกล้กับโซฟา ก้มเอวลงกระทั่งร่างเงาของเขาแทบปกคลุมร่างของคนที่ยังนอนอยู่ ใบหน้าขยับเข้าใกล้กระดูกไหปลาร้าที่เผยออกมาราวตั้งใจ มู่เหยียนเฉินสูดลมหายใจรับกลิ่นที่คล้ายกับดอกบัวเข้าเต็มปอด ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปลักษณ์ของอีกฝ่ายในเวลานี้ถูกรสนิยมของเขาเพียงใด
   เมื่อเทียบกับเซียนน้อยริมฝั่งแม่น้ำเจียงหัวผู้นั้นแล้วยังเหนือกว่า
   ถูกแล้ว เซียนน้อยริมแม่น้ำเจียงหัวที่เขาประธานพรให้สามชาติภพ
   กระทั่งกลิ่นบัวสวรรค์ก็ยังติดตัวมาถึงในชาตินี้


   มู่เหยียนเฉินในเวลานี้ มิใช่เพียงมู่เหยียนเฉิน ยิ่งไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง หากแต่เป็นร่างจำแลงของเทพอวิ๋นหนาน เจ้าแห่งทะเลตัวออก ร่างจำแลงนั้นต่างจากการยึดครองของร่างมนุษย์ เพราะเป็นร่างที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับดวงจิตของเทพโดยเฉพาะ หลายครั้งที่เทพบนสวรรค์ได้รับภารกิจในภพมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยร่างจำแลงที่มีประวัติความเป็นมาชัดเจนตามแต่สถานการณ์ ดังนั้นจึงมีกองที่รับผิดชอบเรื่องเหล่านี้โดยเฉพาะ สิ่งที่อวิ๋นหนานต้องทำก็เพียงแค่บอกความประสงค์ของเขาเท่านั้น มิได้ยากเย็นแม้แต่น้อย
   ส่วนการที่เขามายังภพมนุษย์แห่งนี้กล่าวไปก็เป็นเพียงความนึกสนุกชั่วครู่ ประกอบกับความใคร่รู้ว่าพรที่ตนเองประทานให้เซียนน้อยผู้นั้นที่แท้แล้วมีอำนาจเพียงใด อีกประการก็คงเป็นเพราะท่าทางยามบอกเล่าความยากลำบากในชาติที่ผ่านมาของเซียนผู้นั้นน่าขบขัน ปฏิบัติต่อเขาที่เป็นเจ้านายด้วยความนอบน้อม ทั้งที่กำลังโอดครวญถึงความไม่ยุติธรรมที่ตนเองได้รับอยู่แท้ๆ ดังนั้นเขาจึงอาศัยเวลาว่างแค่สามวันของตนลงมายังโลกมนุษย์ เวลาสามวันบนภพสวรรค์เท่ากับสามปีบนโลกมนุษย์ สามปีต่อจากนี้เขาตั้งใจจะดูว่าเซียนน้อยผู้นี้จะสามารถพาตัวเองไปได้ไกลเพียงใด และพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้หรือไม่ เมื่อกลับคืนสู่ภพเซียนแล้ว ณ ริมฝั่งแม่น้ำเจียงหัว เซียนผู้นั้นจะมีสีหน้าท่าทางอย่างไรเมื่อได้พบกับเขาที่เป็นเจ้านายอีกครั้ง
   ทั้งหมดนี้เป็นความใคร่รู้ของเขา


   “ตื่น” มู่เหยียนเฉินหรือเทพอวิ๋นหนานกระซิบข้างหูของคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่องราว ขณะเดียวกันพลังเทพของเขาก็ถูกส่งไปหล่อเลี้ยงพลังเซียนที่อ่อนล้าของอีกฝ่าย
   จิวซือรู้สึกถึงกระแสเย็นๆ เข้าโอบล้อมดวงจิตของเขา ทำให้อาการปวดศีรษะและความหนึกอึ้งมึนงงต่างๆ ค่อยๆ จางไป เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นร่างสูงใหญ่ของท่านประธานมู่นั่งไขว่ขาอยู่ที่โซฟาตรงข้ามกับเขา สีหน้าของมู่เหยียนเฉินยังคงเรียบเฉย เพียงใช้สายตาคมกล้ามองเขา
   จิวซือขยับตัวลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งสางเส้นผมให้เขาที่พลางยิ้มส่งยิ้มขออภัย ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย “สวัสดีครับท่านประธาน ขอโทษที่เสียมารยาทครับ” จากนั้นค่อยนั่งลงอย่างเรียบร้อย
   สีหน้าของมู่เหยียนเฉินคล้ายยิ้มก็ไม่ใช่ เพียงแต่เห็นภาพของเซียนน้อยผู้นั้นซ้อนทับเข้ามา จมูกก็ยังได้กลิ่นบัวสวรรค์จางๆ สายตาของเขาอดเลื่อนไปหยุดบริเวณลาดไหล่ที่มีกระดูกโผล่มาเล็กน้อยไม่ได้
   “ไม่ทราบประธานมู่เรียกผมมาด้วยเรื่องอะไรเหรอครับ”
   “นายไม่ลองเดาดูล่ะ”
   ประโยคที่ทำให้จิวซืออึ้งไปเล็กน้อย ประธานมู่ที่เขาได้ศึกษามานั้นดูไม่น่าจะเป็นคนที่สามารถกล่าวประโยคล้อเล่นเช่นนี้กับลูกน้อง ถูกแล้ว เวลาว่างเขามักจะศึกษาความชอบ ข้อควรระวังของบรรดาที่เขาควรรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ ดาราใหญ่ ช่างแต่งหน้า แน่นอนว่าขาทองคำอย่างมู่เหยียนเฉินเป็นคนแรกในลิสต์ พฤติกรรมศึกษาและสังเกตผู้คนรอบตัวดูเหมือนจะเป็นนิสัยที่ติดมาตั้งแต่ครั้นยังเป็นมนุษย์
   “หรือว่าผมได้รับบทในเซียนเมฆา” จิวซือหัวเราะเล็กน้อย
   มู่เหยียนเฉินเลิกคิ้ว ก่อนกล่าวว่า “เสวี่ยนซื่อจวิ๋น”
   “ครับ? ผมได้บทเสวี่ยนซื่อจวิ๋นจริงหรือครับ” น้ำเสียงที่ปกปิดความแตกตื่นยินดีไว้ไม่มิด ดวงตาสีดำเปล่งประกาย กระทั่งลมหายใจก็ดูกระชั้นขึ้นเล็กน้อย
   ท่าทางที่ทำให้มุมปากของประธานมู่ยกขึ้น คนอื่นอาจถูกท่าทางเช่นนี้หลอก ทว่าอวิ๋นหนานเป็นใคร เขาเป็นถึงเทพแห่งทะเลตะวันออก มีหรือจะมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายแกล้งทำ เจ้าตัวไม่ได้ตื่นเต้นเท่าที่แสดงออกแม้แต่น้อย
   “นายสอบผ่าน”
   จิวซือยิ้มกว้าง “ขอบคุณที่ให้โอกาสครับ”
   “เลขาหูรายงานว่านายประพฤติตัวดี ตั้งใจทำงาน ทั้งยังได้บทเด่นในเซียนเมฆา ดังนั้นฉันตัดสินใจเลื่อนระดับนายเป็น B ข่าวฉาวที่ผ่านมาทั้งหมดของนาย บริษัทจะจัดการคลีนให้ พอใจหรือเปล่า”
   ระดับ F ถึง S เป็นระดับความสำคัญที่มู่อินใช้จำแนกนักร้อง นักแสดงในสังกัด เริ่มจากเด็กฝึกซึ่งอยู่ในดับ F ดาราที่เพิ่มเดบิวต์ ระดับ E ความสำคัญและทรัพยากรที่บริษัทจัดสรรให้เพิ่มขึ้นตามลำดับ ระดับเดิมหลิวเจียเย่คือ D ค่อนไปทาง E ดังนั้นเมื่อถูกโปรโมทเป็นระดับ B ก็เรียกได้ว่าก้าวกระโดด แต่ที่สำคัญที่สุดการที่มู่อินออกแรงคลีนประวัติของเขา นี่ต่างหากคือรางวัลใหญ่อย่างแท้จริง
   เมื่อได้ยินรางวัลของการสอบผ่าน ดวงตากลมของจิวซือก็ขยายกว้างขึ้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วโค้งเก้าสิบองศา “ขอบคุณครับ ผมจะไม่ทำให้ประธานมู่ผิดหวัง”
   มุมปากของมู่เหยียนเฉินกดลึกขึ้นอีก นัยน์ตาของเขาส่องประกายวูบหนึ่งอย่างไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่

   ส่วนจิวซือ เซียนน้อยของเรานั้น ก็กำลังเดินตามเส้นทางดาราใหญ่ของเขาอย่างราบรื่น โดยไม่ทราบสักนิดว่าเจ้านายตัวจริงของเขาอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้




   เซียนเมฆามีกำหนดถ่ายทำจริงในอีกหนึ่งเดือนให้หลังโดยจะเริ่มทยอยถ่ายภาพนิ่งของคาแรกเตอร์ตัวละครทั้งหมดในสัปดาห์หน้า เพื่อทำการโปรโมท และดูเรื่องการฟิตติ้งชุดและเมคอัพไปพร้อมกัน ระหว่างที่จิวซือกำลังทำความเข้าใจกับบท และเตรียมตัวอยู่นั้น การโปรโมทของ Passion Mu-in ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ด้วยฐานะของมู่เหลียนเหลียนแล้ว งบประมาณในการโปรโมทแบรนด์ลูกของมู่อินนั้นมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ทั่วทั้งเมืองหลวงและเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นบิลบอร์ด ป้ายในรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน โรงหนังแทบจะเต็มไปด้วยโปสเตอร์โฆษณาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Passion Mu-in ดังนั้นแม้ว่าหลิวเจียเย่จะเป็นคนพรีเซนต์ผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ไม่ใช่ Brand Ambassador รูปของเขาก็ยังปรากฏอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ ภาพนิ่งทั้ง 5 แบบที่ Passion Mu-in อัพโหลดในเวบไซต์ยังถูกแชร์ไปเกือบหมื่นครั้งในหนึ่งวัน ทางโซเซียลมีเดียก็เริ่มมีการพูดถึงโปสเตอร์ของ Passion Mu-in
   วันต่อมา คลิปโฆษณาที่ถูกตัดเหลือประมาณ 15 วินาทีก็ถูกปล่อยออกมา ทั้งทางโทรทัศน์ ยูทูป และเวบไซต์ของมู่อิน
   ในคลิปนั้น ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว ปลดกระดุมสองเม็ดบนและปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกง แต่เมื่อประกอบกับเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบ และทรงผมเปิดหน้าผากที่ถูกจัดแต่งมาอย่างดี ทำให้เสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของเขากลายเป็นเสน่ห์ที่บ่งบอกถึงอิสระ ความปลอดโปร่ง และเป็นกันเอง ประหนึ่งแสงแดดในยามเช้า ต่างหูพลอยแดงขับเน้นผิวขาวสว่างของเขา เมื่อดวงตาสีดำราวแก้วผลึกคู่นั้นมองตรงมา ผู้คนก็อดกลั้นลมหายใจไม่ได้ กระทั่งเขาเผยรอยยิ้มน้อยๆ ค่อยทราบความรู้สึกที่ว่าถูกสะกดจนลืมหายใจเป็นอย่างไร และเมื่อชายหนุ่มยกข้อมือที่สวมสร้อยข้อมือสีเงิน และแหวนวงเล็กขึ้นมาใกล้ริมฝีปาก ริมฝีปากแดงสดเผยอออกเล็กน้อยเหมือนหยอกล้อ ก่อนที่เขาจะจรดมันลงกับแหวนเงิน นานว่าเปลือกตาคู่นั้นจะค่อยๆ ปิดลง ใบหน้าหล่อเหลาดูอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มที่ประดับริมฝีปากชวนให้คิดว่าเจ้าของแหวนวงนี้มีความสำคัญอย่างไรต่อชายหนุ่ม
   คลิปโฆษณานี้ถูกแชร์ กดไลค์ และมีคอมเมนท์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
   “หล่อมาก So elegant so sexyyyyyyy”
   “ข้อมือของเขาสวยกว่าฉันที่เป็นผู้หญิงเสียอีก”
   “แทบจะเลียหน้าจออยู่แล้ว ทำไมดาราใหม่คนนี้ถึงเหมือนเทพบุตรขนาดนี้”
   “คอนเมนท์บน นี่ไม่ใช่ดาราใหม่ เขาชื่อหลิวเจียเย่ เคยเล่นละครเรื่องปีกฝัน เพื่อนของฉันเคยเป็นแฟนคลับของเขาด้วย แต่ให้ตายเถอะ เขาหล่อขึ้นมากจนจำแทบไม่ได้ เลียจอ เลียจอ”
   “หลิวเจียเย่? ไม่เคยได้ยินชื่อ แต่ โอมายก็อด ฉันหลงเสน่ห์เขาให้แล้ว เลียจอ +1”
   “ใครมีลิงค์เวยป๋อของเขาบ้าง ฉันต้องไปตาม”
   เพียงแค่สองวัน ยอดผู้ติดตามเวยป๋อของหลิวเจียเย่ก็เพิ่มขึ้นจากหลักหมื่นเป็นเกือบหนึ่งแสนคน



ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

Life of a Superstar




(5)




                กองถ่ายภาพยนตร์เซียนเมฆา

            เมื่อชายหนุ่มผมยาวในชุดสีขาวลายมังกรทองเดินออกจากฉากกั้น ทุกสายตาก็ดูเหมือนจะถูกรัศมีสูงศักดิ์ของเขาทำให้พร่ามัว ชุดมังกรหรูหราและมงกุฎแห่งองค์รัชทายาท มิอาจบดบังความสง่างามและบารมีที่แผ่ออกมาตามธรรมชาติของเขาได้ แม้ว่าชายหนุ่มจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้า แต่ผู้คนก็มิอาจไม่แสดงท่าทางยำเกรง ความนอบน้อมต่อเขา
            บุรุษตรงหน้าคือเสวี่ยนซื่อจวิ๋น รัชทายาทแห่งแคว้นเหยาไม่ใช่เพียงหลิวเจียเย่


            การลองชุด แต่งหน้า และถ่ายภาพนิ่งผ่านไปอย่างราบรื่น นักแสดงหลักล้วนมาถ่ายภาพนิ่งในวันนี้ ยกเว้นเหอเทียนเหิง ที่ติดถ่ายรายการสด และนัดทีมงานไปถ่ายภาพนิ่งที่สตูดิโอของเขาในวันพรุ่งนี้แทน สำหรับจิวซือนั้น การแสดงเป็นรัชทายาทนับว่าง่ายดายยิ่ง อย่าลืมว่าเขาเป็นถึงบุตรชายตระกูลใหญ่ และขุนนางคู่พระทัยเมื่อครั้นเป็นมนุษย์ ดังนั้นเมื่อเห็นภาพนิ่งของจิวซือ ผู้กำกับเจียงก็พยักหน้าอย่างพอใจหลายครั้ง ทั้งยังชมเชยฝ่ายคอสตูมหลายคำ
            ทว่ามีคนชื่นชมก็ย่อมมีคนไม่พอใจ ใครใช้ให้ดาราเล็กๆ อย่างเขามาแย่งชิงบทเด่นในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ทั้งยังกลายเป็นคนโปรดของผู้กำกับเล่า ดังนั้นคำพูดประเภทที่ว่า ‘หน้าดีแต่ไร้ฝีมือ’ หรือ ‘ใช้ร่างกายเข้าแลก’ นั้น มักจะลอยเข้าหูเขาโดยบังเอิญเสมอ สำหรับคำพูดลอยๆ เหล่านี้ จิวซือเพียงทำในสิ่งที่ตนเองถนัดที่สุด นั่นก็คือ ‘ทำหูทวนลม’ ในเมื่อมันคือคำพูดลอยๆ ดังนั้นก็จงลอยตามลมไปเสีย เขาคร้านจะสนใจ ยิ่งตระหนักว่าการใช้พลังเซียนมากๆ จะทำให้ดวงจิตอ่อนล้าด้วยแล้ว จิวซือยิ่งไม่อยากใช้มันหากไม่จำเป็น
            กระแสจากโฆษณาของ Passion Mu-in เพิ่งจะเริ่มซาลง นิตยสารหลายฉบับที่จิวซือไปถ่ายก็ทยอยวางขาย ทำให้ชื่อของเขายังเป็นที่กล่าวถึงอยู่บ้าง โดยเฉพาะทางโซเซียล ยอดผู้ติดตามเวยป๋อของหลิวเจียเย่ทะลุสองแสนคนไปแล้ว และยังมีบ้านแฟนไซท์ (Fansite) ของเขาเกิดขึ้นหลายแอคเคาท์
            มู่เหยียนเฉินทำตามที่ได้รับปากไว้ บริษัทติดต่อมาเสนอเปลี่ยนผู้จัดการที่มีฝีมือให้เขา แต่จิวซือไม่ตกลง เขาพอใจกับหลี่รุ่ยถิง ซึ่งแม้จะมีประสบการณ์น้อย แต่มีความจริงใจและใส่ใจ ดังนั้นบริษัทจึงหาสไตล์สิลต์มาเพิ่มให้แทน ทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ training class บทละคร งานโฆษณา งานนายแบบ ล้วนมีเข้ามาให้เลือกมากขึ้น แต่เพราะจะต้องเริ่มถ่ายเซียนเมฆาในอีกสองสัปดาห์ จิวซือไม่เลือกรับงานอื่นในช่วงนี้ นอกจากนี้แผนก PR ของมู่อินยังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อจิวซือลองเสริชชื่อหลิวเจียเย่ ก็พบว่าข่าวลือทางเสียหายของเขาถูกลบไปจนหมด เหลือแต่ประวัติ ผลงานทั้งเก่าและใหม่เท่านั้น



            สองสัปดาห์ต่อมา
            จิวซือและนักแสดงในสังกัดมู่อินอีกสามคนเดินทางมาถึงมณฑลซีอาน สถานที่ถ่ายทำเซียนเมฆา ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกำหนดการเดิม และด้วยความที่มู่อินเป็นผู้ลงทุนหลักของภาพยนตร์ กรณีกดดันให้ดาราหน้าใหม่หลุดจากบทนำนั้นจึงไม่เกิดขึ้น สิ่งเดียวคาดไม่ถึงก็คือท่านประธานใหญ่เดินทางมากับเขาด้วยเหตุผลว่ามาเจรจาธุรกิจ ทันทีที่ถึงสนามบินมู่เหยียนเฉินก็นั่งลีมูซีนออกไปจัดการธุระของเขา ขณะที่จิวซือและคนอื่นๆ กลับโรงแรม ดังนั้นความคิดที่จะไปขอบคุณพร้อมประจบขาทองคำสกุลมู่ของจิวซือจึงเป็นอันล้มพับไป
            วันรุ่งขึ้นจิวซือและหลีรุ่ยถิงมาถึงกองถ่ายก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง ฉากที่ถ่ายในวันนี้เป็นฉากที่ต้องร่วมกับเหอเทียนเหิง และนักแสดงบทองค์หญิงห้า และแม้บทองค์หญิงห้าจะไม่ใช่บทเด่นด้วยธีมหลักของภาพยนตร์ไม่ใช่เรื่องความรัก แต่ก็นับได้ว่าเป็นตัวละครหญิงที่เด่นที่สุด จึงได้นักแสดงระดับ A-list อย่างฟานรุยอวี่มาร่วมแสดง
            จิวซือยอมรับว่าฟานรุยอวี่นั้นเป็นสาวงาม ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือ ดวงตากลมโตราวกับตุ๊กตา เมื่อแต่งชุดจีนโบราณสีเหลืองอ่อนเช่นนี้ นับว่างามไม่แพ้บรรดาสนมนางในทั้งหลายที่เขาเคยเห็น ส่วนเหอเทียนเหิงนั้น แวบแรกที่เห็นเขาในชุดแม่ทัพ เสื้อคลุมไหล่สีแดงและเกราะอ่อนสีเงิน จิวซือรู้สึกเหมือนเห็นภาพซ้อน ราวกับว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่เหอเทียนเหิง ไม่ใช่เกาจงเฉิน แต่เป็นผู้ที่เป็นทั้งสหายและความปวดร้าวของเขาผู้นั้น
            จิวซือนิ่งเหมือนถูกสะกด กระทั่งเสียงของเหอเทียนเหิงดังขึ้น เรียกสติของเขากลับมา
            “เจียเย่ นายหล่อมาก”
            เมื่อกระพริบตาดูอีกทีค่อยพบว่าตนเองคิดมากไป ไม่ทราบเหอเทียนเหิงเข้ามาประชิดตัวเขาตั้งแต่เมื่อไร แต่ดวงตาที่ฉายความปรารถนาชัดเจนเช่นนี้ไม่มีทางปรากฏบนใบหน้าไร้อารมณ์ของอี้เทียน สหายร่วมรบที่เพียงปฏิบัติตามคำสั่งของเขาโดยไม่มีข้อแม้ กระทั่งชีวิตก็ไม่อาจรักษาไว้ได้เพราะคำสั่งของเขา
            จิวซือยิ้ม เอียงคอมองเหอเทียนเหิง ก่อนจะตอบว่า “คุณเหอก็ดูดีมากครับ”
            เหอเทียนเหิงเลิกคิ้ว คล้ายจะไม่พอใจในคำเรียกหา
            “พี่เหอ”
            “ครับ?”
            “คราวก่อนนายเรียกฉันว่าพี่เหอ”
            เมื่อไม่เห็นแววล้อเล่นในน้ำเสียงของฝ่ายตรงข้าม จิวซือก็ยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด ในเมื่อขาทองคำคู่นี้อยากสนิทสนมกับเขา เขาย่อมไม่ปฏิเสธ ดังนั้นน้ำเสียงที่เรียกอีกฝ่ายจึงอ่อนลงขึ้นเล็กน้อย
            “พี่เหอ”
            เหอเทียนเหิงไม่คิดว่าจะได้ยินหลิวเจียเย่เรียกเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น ไม่ว่าหลิวเจียเย่ตั้งใจหรือไม่ สำหรับเขาแล้ว ความปรารถนาในตัวคนตรงหน้าคล้ายจะถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง
            “ถ้าเสวี่ยนซื่อจวิ๋นหล่อเหลาขนาดนี้ ทำไมเกาจงเฉินถึงไม่เลือกนาย กลับไปรักองค์หญิงห้า”
            คำถามคล้ายจะหยอกล้อ คล้ายจะเกี้ยว
            และพอจะตีความจากรอยยิ้มกดลึก ดวงตาส่อประกายเจ้าชู้ของเขาได้ว่า หากเขาเป็นเกาจงเฉินย่อมต้องเลือกเสวี่ยนซื่อจวิ๋นแน่
            จิวซือยิ้มจนตาปิด
            ไม่ใช่เพราะน้ำเสียงยั่วล้อของเหอเทียนเหิง
            ยิ่งไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าคำถามนี้ช่างไร้สาระ
            แต่เพราะคำถามนี้ ตนเองก็เคยพร่ำถามอยู่ในใจ
            ‘ทำไมเป็นนาง เพราะเหตุใดจึงไม่ใช่ข้า’
            ‘อี้เทียน เพราะเหตุใดจึงไม่ใช่ข้า’
            ทว่าต่อให้ตะโกนถามในใจเป็นพันเป็นหมื่นครั้งก็ไม่เคยกล้าถามออกมาจริงๆ สักที ทุกครั้งได้แต่ยิ้ม และทักทายภรรยาของสหายด้วยท่าทางสุภาพ และยินดี
            “บุรุษเก่งกล้า สตรีดีงาม ย่อมเป็นของคู่กันอยู่แล้วครับ”
            “นายคิดอย่างนั้น?” เหอเทียนเหิงมองเขาอย่างค้นหา แน่นอนว่าจากพฤติกรรมและรสนิยมของหลิวเจียเย่แล้ว คงไม่พูดประโยคนี้ออกมา
            จิวซือพยักหน้ายิ้มๆ
            ไม่ใช่คิดอย่างนั้น แต่เพราะนั่นคือความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธต่างหากเล่า



   เซียนเมฆาสมกับเป็นภาพยนตร์ที่มีเงินลงทุนสูงสุดในรอบหลายปี ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นฉาก เสื้อผ้า อุปกรณ์ หรือ Special effect ต่างๆ ล้วนไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง การถ่ายทำผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ จิวซือพบว่าตนเองหลงเส่น่ห์อาชีพนักแสดงมากขึ้นเรื่อยๆ และคงเป็นเพราะจิตเซียนที่ทำให้ความจำของเขาดีเลิศ สามารถจดจำสิ่งที่อ่านหรือเห็นได้ในคราเดียว ดังนั้นไม่ว่าผู้กำกับเจียงจะเนี้ยบเรื่องรายละเอียดขนาดไหน จิวซือก็ถูก NG น้อยมากเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ กล่าวได้ว่าหลิวเจียเย่ในเวลานี้กลายเป็นลูกรักคนใหม่ของผู้กำกับเจียงไปแล้ว
   ทุกๆ วันผ่านไปอย่างราบรื่น อะไรๆ ก็ดูง่ายดาย แตกต่างจากทุกชาติที่ผ่านมาอย่างยิ่ง เว้นก็แต่ศัตรูเล็กๆ ที่มาโดยไม่คาดหมายอย่างฟานรุยอวี่ จำได้ว่าเมื่อตอนลองชุดถ่ายโปสเตอร์ ดาราสาวยังปฏิบัติต่อเขาด้วยดี ไม่ทราบเพราะเหตุใดเธอจึงเปลี่ยนมาเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา อา...อันที่จริง สาเหตุก็พอจะเดาได้อยู่หรอก หากไม่ใช่เพราะเหอเทียนเหิง ยังจะเป็นเรื่องอะไรได้อีก
   “เจียเย่ ไปทานข้าวกัน” ตัวต้นเหตุที่ว่าเดินยิ้มเข้ามาเอาแขนพาดไหล่เขาอย่างเป็นธรรมขาติ เมื่อคนอื่นถามถึงท่าทางสนิมสนมนี้ เหอเทียนเหิงก็แค่หัวเราะ แล้วบอกว่าเขาสนใจหลิวเจียเย่ แต่อีกฝ่ายไม่เล่นด้วย แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ต่างคิดว่าเขาล้อเล่น คนอย่างเหอเทียนเหิงหรือจะตามตื้อใคร แล้วดาราเล็กๆ อย่างหลิวเจียเย่มีหรือจะปฏิเสธ
   “ผมนึกว่าพี่กลับไปแล้ว”
   “ถ้าบอกว่ารอนายอยู่ นายจะดีใจหรือเปล่า” เหอเทียนเหิงยิ้มมุมปาก เอียงศีรษะเล็กน้อย ท่าทางโปรยเสน่ห์ที่ดูก็รู้ว่าทำจนชำนาญ จิวซือหัวเราะก่อนตอบว่า
   “เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”
   คำตอบที่ทำให้ดาราใหญ่คิ้วกระตุก ได้คุยกับหลิวเจียเย่มาร่วมสัปดาห์ เขาพอจะเข้าใจความคิดและวิธีการพูดของอีกฝ่ายอยู่บ้าง ดังนั้นคำตอบที่ว่าเป็นเกียรตินั้นก็คือการตอบว่า ‘ไม่ดีใจ’ อย่างรักษามารยาทนั่นเอง
   เหอเทียนเหิงหรี่ตาลงอย่างอันตราย แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำตอบนั้น แขนที่วางพาดอยู่บนไหล่พาให้ร่างของอีกฝ่ายเดินไปพร้อมกับเขา หลิวเจียเย่ในอดีตเป็นอย่างไรเขาจำไม่ได้แล้ว แต่หลิวเจียเย่ในเวลานี้ เขาต้องได้มา
   

   เมื่อเดินออกจากรั้วกำแพง ก็เห็นร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตายืนพิงรถหรูสีดำอยู่ ร่างนั้นโดดเด่นด้วยสูทสีเทาและแว่นกันแดดสีชาที่วางอยู่บนสันจมูกโด่ง ตัวตนของเขาเด่นชัดตัดกับผู้คนและสิ่งของที่แวดล้อม คนผู้นั้นคือมู่เหยียนเฉินซึ่งจิวซือไม่ได้พบอีกเลยนับตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน
   “ท่านประธาน”
   มู่เหยียนเฉินถอดแว่นกันแดด แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ขึ้นรถ”
   “ครับ?”
   “สวัสดีครับ ประธานมู่”
   “คุณเหอ”
   มู่เหยียนเฉินยื่นมือไปจับมือเหอเทียนเหิง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังหลิวเจียเย่คล้ายจะเร่ง ขณะที่จิวซือกำลังจะขยับตัวก็รู้สึกถึงน้ำหนักบนไหล่ที่เพิ่มขึ้น
   “ผมจะพาเจียเย่ไปทานข้าว และไปส่งที่โรงแรม หวังว่าพี่มู่คงไม่ขัดข้อง”
   มู่เหยียนเฉินไม่ตอบ เพียงปรายตามองจิวซือเหมือนรอให้เขาตัดสินใจ
   ไม่ทราบว่าท่านประธานมีธุระอะไร แต่ในเมื่อคนที่งานรัดตัวอย่างเขามาถึงที่นี่ จิวซือย่อมไม่กล้าขัดใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานะนายใหญ่ของฝ่ายนั้น
   “เอ่อ ถ้าท่านประธานยังไม่ได้ทานข้าวเย็น พวกเราไม่สู้ไปด้วยกัน”
   


   มองมู่เหยียนเฉินที่นั่งหลังตรงอยู่ฝั่งตรงข้าม จิวซือก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าสเต็ก ไวน์แดง และห้องอาหารที่หรูหราและเป็นส่วนตัวเช่นนี้ก็เหมาะสมแล้ว
   “ท่านประธานทำธุระเสร็จแล้วหรือครับ”
   “อืม”
   มู่เหยียนเฉินเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนพูดต่อว่า “พรุ่งนี้ฉันจะกลับแล้ว”
   “อ้าว ไม่อยู่พักผ่อนเสียหน่อยเหรอครับ”
   “ไม่มีเวลา”
   จิวซือพยักหน้าอย่างเข้าใจ ดวงตาสีดำฉายแววเห็นใจที่เปลี่ยนความนิ่งเฉยในดวงตาของอวิ๋นหนานให้กลายเป็นขบขัน อดคิดไม่ได้ว่าเซียนน้อยผู้นี้มีความตั้งใจในการเป็นลูกน้องดีเด่นเพียงใด

   ฟังมู่เหยียนเฉินและเหอเทียนเหอสนทนากันเรื่องธุรกิจบันเทิง รวมไปถึงการลงทุนภาพยตร์ต่างๆ จิวซือค่อยทราบว่านอกจากเหอเทียนเหิงจะเป็นนักแสดงแถวหน้าของประเทศแล้ว ในฝั่งตะวันตกและเอเชียเขาก็มีชื่อเสียงไม่น้อย เคยได้ยินช่างแต่งหน้าในกองถ่ายพูดกันว่าตระกูลของเขาเป็นตระกูลใหญ่ คนหนุนหลังเขามีอำนาจพอที่จะปิดปากคนทั้งวงการได้ ดังนั้นชีวิตนักแสดงของเหอเทียนเหิงจึงมีเรื่องรุ่งไม่มีร่วง และไม่มีใครกล้าเสียมารยาทหรือหาเรื่องเขา ดังนั้นไม่ว่านี่จะเป็นเรื่องจริงหรือแค่ข่าวลือ จิวซือก็รู้สึกว่าผูกมิตรกับฝ่ายนั้นไว้ดีกว่าเป็นศัตรู ส่วนความสนใจในตัวเขาที่เหอเทียนเหิงแสดงออกนั้น เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร หากวันไหนเขาพอใจ จะขึ้นเตียงกับอีกฝ่ายเพราะความต้องการของตัวเองก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้


   กลิ่นหอมโชยมาแตะจมูก ทำให้อวิ๋นหนานชะงักไป เบื้องหน้าเห็นใบหน้าของหลิวเจียเย่ขึ้นสีแดงเรื่อ ดวงตาปรือคล้ายมีน้ำตาเคลือบอยู่บางๆ กลิ่นดอกบัวสวรรค์หอมฟุ้ง แทบมอมเมาผู้คน
   “เจียเย่ นายเมาไวน์?” เหอเทียนเหิงถามเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อเห็นใบหน้าและลำคอที่กลายเป็นสีชมพูเข้มของคนข้างๆ มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเขาขยับเข้าใกล้ ร่างกายที่เริ่มทรงตัวไม่อยู่ก็เอนมาพิงไหล่ของเขาโดยอัตโนมัติ จมูกได้กลิ่นหอมบางอย่างที่ทำให้ร่างกายของเขาร้อนขึ้น
   “เขาเมาแล้ว ผมพาเขากลับโรงแรมก่อน” มู่เหยียนเฉินลุกขึ้นจะไปพยุงร่างของหลิวเจียเย่ แต่ถูกเหอเทียนเหิงกันไว้
   “ลำบากพี่มู่เปล่าๆ ให้เจียเย่ไปกับผมก็ได้”
   จิวซือขมวดคิ้ว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าร่างกายของหลิวเจียเย่จะเมาไวน์ง่ายขนาดนี้ เขาพยายามรั้งสติตนเองไว้ เพ่งจิตเซียน ไม่ยอมให้ตัวเองหลับ ไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่าหากยอมไปกับเหอเทียนเหิง คืนนี้เขาคงไม่ได้นอนอย่างสงบ ดังนั้นจึงได้แต่หวังว่าเจ้านายจะใจกว้างพอช่วยเขาสักครั้ง
   “พี่มู่” น้ำเสียงคนเมาฟังดูอ่อนหวานขึ้นสองส่วน กระทั่งคำเรียกหายังถูกเจ้าตัวเปลี่ยนให้สนิทสนมขึ้น อวิ๋นหนานที่ตอนแรกตั้งใจจะปล่อยหลิวเจียเย่ให้ไปกับเหอเทียนเหิง เพราะอย่างไรเสียก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่คิดจะยุ่ง จึงถอนหายใจ แล้วคว้าแขนคนเมา ดึงร่างฝ่ายนั้นเข้าหาตัว “ไม่เป็นไร ผมต้องดูแลคนในสังกัดของผมอยู่แล้ว”
   “พี่มู่” เหอเทียนเหิงกดเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ
   “คุณเหอ หากกว่าเจียเย่เต็มใจไปกับคุณ ผมย่อมไม่ขัดขวาง”
   ประโยคที่ทำให้เหอเทียนเหิงรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นราดรด ความต้องการที่ท่วมท้นจนแทบทนไม่ได้เมื่อครู่นี้ค่อยเย็นลง หากเจียเย่ไปกับเขาตอนนี้ ต่อให้ฝ่ายนั้นไม่เต็มใจ เขาก็ย่อมบังคับให้คล้อยตามให้ได้ แต่การปล่อยให้หลิวเจียเย่ไปกับมู่เหยียนเฉินก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาวางใจ
   “พี่มู่ เจียเย่เป็นคนมีความสามารถ”
   “ผมรู้ คุณเหอไม่ต้องห่วง”



   จิวซือรู้ว่าตนเองกำลังฝัน ทั้งยังเป็นฝันร้ายที่ไม่เกิดขึ้นกับเขานานแล้วนับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วิถีเซียน แต่เขาไม่อาจตื่นจากฝันร้ายนี้ ไม่ว่าพยายามดิ้นรนอย่างไรก็หนีไม่พ้น ราวกับมารร้ายที่ฝังลึกอยู่ในดวงจิต รอวันที่จะมาหลอกหลอนเขา
   ในความฝัน เขากลับมาเป็นซื่อเสวี่ยนที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ นำทัพสิบหมื่นไปปราบกบฎทางเหนือ โดยมีอี้เทียน สหายสนิทของเขาเป็นรองแม่ทัพ สู้รบอยู่หลายเดือนค่อยประสบความสำเร็จอยู่บ้าง เขาตั้งใจไว้แล้วว่าหากปราบกบฎคราวนี้ลงได้จะทูลขอพระราชทานรางวัลให้อี้เทียนได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ จินตนาการไปว่าใบหน้าของสหายจะมีความสุขและยินดีเพียงใด ทว่าต่อมาไม่นานเขากลับทำลายชีวิตของคนผู้นั้นด้วยมือตนเอง
   ในความฝัน เขากำลังควบม้านำทัพไปเข่นฆ่าข้าศึก โดยไม่ฟังความทัดทานของผู้ใด เพราะในใจเขาเจ็บปวด เพราะต้องการจบสงครามนี้เต็มทน จำได้ว่าหากเดินทางไปอีกไม่ไกลจะเข้าสู่เขตทะเลทราย ที่นั่นมีทัพของข้าศึกและมือสังหารดักซุ่มอยู่ และที่นั่นก็คือที่ที่อี้เทียนจากไป
   'หยุด หยุดเดี๋ยวนี้'
   เขาพยายามห้าม ร้องตะโกนแทบขาดใจ ทว่าตัวเขาในฝันนั้นกลับควบม้าเร็วไม่ยอมหยุด มุ่งเข้าไปในดงข้าศึกเพราะความหึงหวง และความผิดหวังที่เห็นสหายกับภรรยาพลอดรักกัน ทั้งที่นางได้รับพระบัญชาจากเมืองหลวงให้นำเสบียงมาเสริม สตรีเก่งกล้าที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในกองทัพย่อมมีแค่ยอดหญิงตระกูลแม่ทัพอย่างนางเท่านั้น ฮ่องเต้ส่งนางมาเป็นขวัญและกำลังใจ ทั้งที่ทราบแก่ใจ ทั้งที่ทราบดี
   'อย่า อย่าไป'     
   หากตนเองไม่หุนหันพลันแล่นอย่างไร้สมอง หากไม่ใช่เพราะตนเอง อี้เทียนก็คงไม่ตาย คนหนุ่มอนาคตไกลอย่างเขาย่อมต้องไม่ตายอย่างอนาถเพียงนั้น
   อี้เทียนควบม้าตามมา แม้จะโกรธและไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของเขา ฝ่ายนั้นก็ยังควบม้าไล่ตามเขา สายตามองอยู่ที่ร่างของเขาอย่างร้อนรน ความเป็นห่วงและกังวลฉายชัดอยู่ในดวงตาสีดำคู่นั้น ทำให้จิวซือปวดร้าวจนหายใจไม่ออก
   'อี้เทียน อย่าตามมา อย่าตามข้ามา'
   'ขอร้อง ข้าขอร้อง'
   

   มือที่กำลังจะปิดประตูของอวิ๋นหนานชะงักค้าง เมื่อได้ยินเสียงพึมพำบางอย่าง ชายหนุ่มหันหลังกลับ สาวเท้าเข้าไปหาคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง เห็นใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลจากหางตาเป็นสาย และไม่มีวี่แววจะหยุดลง
   “..ย่ะ”
   “อย่า อย่าตาย”
   “ได้โปรด”      
   อวิ๋นหนานนั่งลงบนเตียง นิ้วเรียวยาวของเขายื่นไปแตะหน้าผากของจิวซือ กว่าชั่วอึดใจค่อยผละออก เทพหนุ่มมองใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้นอยู่นานก่อนจะถอนหายใจออกมา   
   ที่แท้สาเหตุที่ทุกชาติในด่านทดสอบคุณธรรมของเซียนน้อยผู้นี้มีแต่ความทุกข์ก็เพราะเงื่อนในใจที่เจ้าตัวมิอาจวางลง กลายเป็นตรวนพันธนาการดวงจิตของเขาไว้ ผู้ที่มิอาจปลดโซ่ตรวนแห่งอดีต ย่อมไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเทพ และเพราะสวรรค์ไม่ต้องการให้คนเหล่านี้ได้เป็นเทพ บททดสอบของเขาจึงยากกว่าเซียนตนอื่นๆ หากไม่ใช่เพราะว่าพื้นฐานเจ้าตัวเป็นคนจิตใจดีและเข้มแข็ง เกรงว่าคงจะหมดโอกาสไปนานแล้ว

   กรณีเช่นนี้ เขาเห็นมานับไม่ถ้วน เพียงแต่คราวนี้ไม่ทราบเพราะเหตุใด ภายในใจจึงเกิดความรู้สึกอยู่ไม่สุขอยู่บ้าง


ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0


Life of a Superstar


 


(6)




   เกือบสองเดือนต่อมา พวกเขาย้ายสถานที่ถ่ายมาทำยังมณฑลซานตงเพื่อถ่ายฉากในป่า และเทือกเขาทั้งหลาย เช่น ฉากสู้รบ ฉากล่าสัตว์ ฉากลอบสังหาร เป็นต้น ชีวิตของจิวซือต้องถือว่าปกติดี เพียงแต่เตือนตัวเองให้หลีกเลี่ยงไวน์เท่านั้น แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้นหลังจากได้ลองทดสอบด้วยตนเองแล้วว่าร่างกายนี้ดูเหมือนจะเมาแค่ไวน์ แต่ไม่รวมถึงพวกเหล้าหรือเบียร์ รสชาติของการเมามายจนเสียการควบคุมตนเองนั้นเขาไม่อยากสัมผัสอีก หากไม่จำเป็น
   ก่อนที่จะมาซานตง ผู้กำกับจางตัดสินใจให้เวลาพักกองสองสัปดาห์ ระหว่างนั้นหลายคนเลือกกลับปักกิ่ง หลายคนเลือกอยู่เที่ยวต่อ บางคนมีตารางงาน ส่วนจิวซือนั้นเลือกเดินทางมาซานตงล่วงหน้า เพราะต้องการมาเยือนภูเขาไท่ซานเป็นการส่วนตัว
   มนุษย์เชื่อว่าไท่ซานคือภูเขาศักดิ์สิทธิ เพราะเป็นสถานที่จัดงานบวงสรวงมาหลายรัชสมัย
ตัวเขาที่เป็นเซียนชั้นผู้น้อยไม่ทราบว่าไท่ซานศักดิ์สิทธิจริงอย่างที่พวกมนุษย์กล่าวอ้างหรือไม่ เพียงแต่ทราบว่าบางครั้งเหล่าเทพเซียนก็ชอบจัดงานชุมชนที่ยอดเขาจักรพรรดิหยกแห่งเขาไท่ซานนี่เอง
   งานชุมนุมของเหล่าเทพเซียนที่ไม่ว่าเทพชั้นผู้ใหญ่หรือเซียนชั้นผู้น้อยก็มีโอกาสเข้าร่วมนั้น ไม่นานก็จะเวียนมาถึงอีกครั้ง

   “พี่หลิว คุณเหอเมนชั่นหาพี่อีกแล้วล่ะ”
   จิวซือคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นของหลี่รุยถิง ผู้จัดการส่วนตัวของเขา ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเธอแดงเรื่อ ขณะที่กดถูกใจกับโพสที่ว่า
   หากจะบอกมีอะไรที่ไม่ปกติก็คงจะเป็นกระแสคู่จิ้นระหว่างเหอเทียนเหิงกับหลิวเจียเย่ที่เกิดขึ้นราวสองสัปดาห์ก่อน หลังจากเหอเทียนเหิงบินกลับปักกิ่งเพื่อถ่ายทำโฆษณารถยนต์ที่เป็นพรีเซนเตอร์ อยู่ๆ คนที่ไม่ค่อยอัพเดตโซเชียลอย่างเขาก็ลงรูปหลิวเจียเย่ในชุดรัชทายาทสีขาวลายมังกรทองสี่เล็บนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้พับระหว่างพักกอง ในรูปนั้นเห็นใบหน้าของหลิวเจียเย่เพียงเสี้ยวเดียว ทั้งยังอยู่ในระยะค่อนข้างไกล ส่วนด้านขวาของรูปในระยะใกล้กว่าคือเหอเทียนเหิงที่ทอดสายตาหลิวเจียเย่อย่างตั้งใจ โดยที่คนหลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังมีแคปชั่นชวนคิดว่า ‘แค่สามก้าว’
   และดูเหมือนเจ้าตัวจะเพิ่งนึกได้ จึงได้เมนชั่นหลิวเจียเย่ในคอมเมนท์
   @Liu JieYe เดินถอยหลังสามก้าว
   ไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่าการกระทำตามอำเภอใจของดาราใหญ่เหอ จะส่งผลให้เกิดพายุลูกใหญ่ขนาดไหนทางโซเซียล


   ตอนแรกที่หลี่รุยถิงบอกเรื่องนี้กับเขา จิวซือถึงกับอยากกุมขมับ รู้อยู่หรอกว่าเหอเทียนเหิงนั้นเป็นประเภทที่ตามใจตัวเองแบบสุดๆ แน่นอนว่าเขามีคุณสมบัติและเบื้องหลังยิ่งใหญ่พอให้ทำตามอำเภอใจได้ แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ นี่คงไม่ใช่การเอาคืนที่เขาไม่ยอมไปส่งที่สนามบินหรอกใช่ไหม
   จิวซือทำเป็นไม่เห็นข้อความที่เมนชั่นตัวเอง กระนั้นผ่านไปเพียงชั่วข้ามคืนคนติดตามเขาในเวยป๋อก็เพิ่มขึ้นเกือบสองแสนคน ผลลัพธ์ที่ทำให้จิวซือไม่กล้าเพิกเฉยอีกต่อไป เรียกว่าเพียงการเมนชั่นจากเหอเทียนเหิงยังมีอำนาจยิ่งกว่า PR ของมู่อินเสียอีก พลังของ S-list ช่างน่ากลัวจริงๆ
   @Tien Heng คุณเหอก้าวนำผมจนไม่เห็นฝุ่นอยู่แล้วครับ (นับถือๆ)
   จิวซืออ่านข้อความของตัวเองสามรอบจนมั่นใจว่าได้แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นน้องที่เคารพรุ่นพี่อย่างจริงใจแล้ว ค่อยกดโพส ไม่ถึงสองนาทีต่อมาเขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ ลางสังหรณ์ของจิวซือบอกว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
   @Liu JieYe งั้นฉันจะรอนายตามทัน (ยิ้ม)
   ลางสังหรณ์ของเขาแม่นยำเสมอ เหอเทียนเหิงผู้นี้สมควรถูกยกให้เป็นบุคคลที่ควรหลีกเลี่ยงแห่งปี อ้อ พวงตำแหน่งบุคคลที่ไม่ควรขัดใจแห่งปีด้วย
   หลังจากวันนั้น เหอเทียนเหิงก็มักจะแท็กรูป หรือไม่ก็เมนชั่นเขาทุกสองสามวัน จนผู้ติดตามเวยป๋อของเขาเพิ่มเป็นล้านกว่าคนเข้าไปแล้ว ผู้ติดตามที่เพิ่มมานั้นส่วนใหญ่ย่อมเป็นมนุษย์ผู้หญิงประเภทหนึ่งที่หลงอยู่ในจินตนาการสีรุ้งของพวกเธอเอง แน่นอนว่าหลี่รุยถิงเป็นหนึ่งในบรรดาคนหลงผิดเหล่านั้น และถูกคารมของเหอเทียนเหิงล้างสมองจนเชียร์ฝ่ายนั้นให้เขาฟังแทบทุกวัน บางครั้งก็ยื่นโทรศัพท์ให้เข้าดูรูปพร้อมแฮชแท็ก #HengJie ด้วย


   วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาได้รับการแจ้งเตือนว่าเหอเทียนเหิงเมนชั่นเขา จิวซือเลื่อนหน้าจอดูก็พบว่าฝ่ายนั้นเมนชั่นเขาใต้รูปเสี่ยวหลงเปา @Liu JieYe want some?
   จิวซือหัวเราะออกมา จำได้ว่าเขาบอกเหอเทียนเหิงว่าจะพาอีกฝ่ายไปเลี้ยงเสี่ยวหลงเปาเป็นการไถ่โทษที่ไม่ยอมไปส่งเขาที่สนามบิน
   อาจเพราะไม่ได้เจอฝ่ายนั้นมาพักใหญ่ จิวซือจึงตัดสินใจส่งข้อความไปหาเหอเทียนเหิง "พี่เหอ ละเว้นผมเถอะ”
   ไม่ถึงนาทีโทรศัพท์มือถือของเขาก็แผดเสียงร้อง หน้าจอเป็นชื่อเหอเทียนเหิงที่กำลังโทรมา
   “ครับ”
   “คิดถึงจังเสี่ยวเย่”
   “พี่เหอ ผมขอร้อง พี่หยุดเมนชั่นผมเถอะ แลกกับอาหารมื้อหนึ่งเลยเอ้า”
   “แค่อยากช่วยโปรโมท นายจะได้ตามฉันทันเร็วๆ”
   “ผมคงตายเพราะแฟนๆ ของพี่ก่อนตามพี่ทันแน่”
   “ฮ่าๆ มีฉันอยู่ นายไม่ตายหรอก อย่างมากอาจจะแขนหัก”
   “….” ทำตอบที่ทำให้จิวซือถอนหายใจ อันที่จริงเขาก็ไม่กลัวความตายหรอก ยิ่งตายเร็วก็ยิ่งผ่านบททดสอบเร็ว สำหรับเขาแล้วถือเป็นเรื่องดี แต่แขนขาหักนี่เลี่ยงได้เป็นเลี่ยงดีกว่า นึกถึงชาติหนึ่งที่เขาถูกทำร้ายจนพิการแล้วต้องนอนรอความตายอยู่บนเตียงหลายปีนั้น ช่างน่าเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง
   “ไม่มีใครคิดจริงจังหรอกน่า ทุกคนคิดว่าฉันแกล้งนายทั้งนั้น”
   “….” ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ
   “ยกเว้นฉัน”
   “เจียเย่ ฉันอยากได้นาย”
   น้ำเสียงที่ส่งผ่านมาทางโทรศัพท์ไร้แววล้อเล่นยียวนอย่างเคย วูบหนึ่งจิวซือรู้สึกว่าดวงจิตของเขาถูกสั่นคลอน คล้ายกับบางอย่างตกกระทบผิวน้ำที่ราบเรียบอยู่เสมอจนเกิดแรงกระเพื่อมแผ่วเบา
   บางทีคงเป็นเพราะเขาเห็นเงาร่างของคนที่อยากเจอผ่านเหอเทียนเหิง
   ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย
   “พี่เหอ ผมต้องไปแล้ว”
   “เฮ...โอเคๆ ตั้งใจทำงาน”


   
   ฉากที่ถ่ายทำวันนี้เป็นฉากที่เสวี่ยนซื่อจวิ๋นไปล่าสัตว์ในป่า เนื่องจากได้ข่าวมามีคนเห็นจิ้งจอกแดง จึงตั้งใจจะล่ามันเพื่อทำเสื้อคลุมขนจ้ิงจอกให้องค์หญิงห้า น้องสาวที่เขารักและตามใจมาตั้งแต่เด็กเพราะเห็นว่าช่วงนี้นางดูซึมเศร้า แต่เขากลับถูกลอบทำร้าย ในฉากนั้นเสวี่ยนซื่อจวิ๋นควบม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ ขณะที่กำลังง้างธนูจะยิงนั้น ก็มีลูกธนูอีกดอกหนึ่งพุ่งใส่ม้าของเขา ทำให้เขาตกม้าและบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่องครักษ์ของเขามีฝีมือไม่ธรรมดา จึงพาเขาหนีกลับวังได้สำเร็จ
   การขี่ม้ายิงธนูนั้นเป็นสิ่งที่จิวซือถนัดอยู่แล้ว อีกทั้งหัวลูกธนูที่ใช้ในการแสดงยังทำจากยาง และเล็งไปที่สะโพกม้า ดังนั้นจิวซือจึงขอแสดงเองโดยไม่ใช่แสตนอิน ไม่ใช่ว่าเขามีสปริตนักแสดงสูงส่งอย่างที่คนอื่นเข้าใจ แต่เป็นเพราะเขาคิดถึงการขี่ม้ายิงธนูต่างหาก นึกไม่ถึงว่าจะมีคนตั้งใจทำร้ายเขาจริงๆ
   ขณะที่จิวซือควบม้า และง้างธนูขึ้นนั้น ก็พลันรู้สึกได้ถึงอันตราย ราวกับว่าธนูเล็งมาที่ตัวเขาด้วยเจตนาทำร้าย หูได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศพุ่งเข้ามา จิวซือเอนร่างไปด้านข้างพร้อมกับใช้จิตเซียนเบี่ยงวิถีธนูออกไป ลูกธนูพุ่งเฉียดต้นแขนของเขาไปปักต้นไม้ใหญ่ ทว่าม้าที่เขาขี่เกิดอาการตกใจและสะบัดเขาหล่นพื้นอย่างแรง
   แขนหัก...ล่ะมั้ง
   ทั้งที่แขนเจ็บ สมองกลับนึกถึงบทสนทนากับเหอเทียนเหิงก่อนหน้านี้ แล้วก็อดนึดขำในใจไม่ได้ว่าคำพูดของฝ่ายนั้นช่างศักดิ์สิทธิจริงๆ


   วังทะเลตะวันออก
   หนึ่งในสี่วังใหญ่ของภพสวรรค์ ตัววังไม่ได้ตั้งอยู่กลางทะเล แต่เป็นภพสวรรค์เหนือน่านฟ้าของมหาสมุทรฝั่งตะวันออกของวังกลางซึ่งเป็นที่ประทับของจอมเทพ เขตแดนของวังทะเลตะวันออกกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เนรมิตและรังสรรอย่างวิจิต ลำพังอัญมณีที่ประดับกำแพงวังก็ล้วนแต่เป็นอัญมณีธาตุน้ำที่หากปรากฏบนโลกมนุษย์ คงเกิดการฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงเป็นเจ้าของ เหนือยอดปราสาทปรากฏสะพานสายน้ำสีครามระยิบระยับทอดยาวไปเชื่อมต่อกับวังกลาง และเขตแดนที่สำคัญอื่นๆ บางส่วนทอดไปยังภพมังกร บางส่วนไปยังภพมนุษย์บริเวณเหนือเทือกเขาไท่ซาน
   ในห้องโถงกว้างใหญ่ทรงโดม เจ้านายแห่งวังทะเลตะวันออกอย่างเทพอวิ๋นหนาน ผู้ที่กลับมาภพสวรรค์ด้วยเรื่องงานชุมนุมเทพเซียนซึ่งจะจัดขึ้นที่เขาไท่ซาน เขตปกครองของทะเลตะวันออกนั้น กำลังเพ่งมองกระจกใสบานเล็กบนโต๊ะทรงอักษรของเขา
   กระจกใบนั้นฉายภาพของบุรุษในชุดดำกำลังเบี่ยงตัวหลบวิถีธนู ก่อนที่ร่างสูงโปร่งของเขาจะเสียหลักตกสู่พื้นดินอย่างแรง มือข้างหนึ่งของเทพอวิ๋นหนานยื่นออกไปในอากาศคล้ายจะเข้าไปรับร่างนั้นไว้ก่อนจะค้างอยู่อย่างนั้น นิ้วเรียวยาวทั้งห้าขยับเข้าหากันเป็นหมัด ครู่หนึ่งค่อยคลายออกแล้ววางลงบนโต๊ะตามเดิม นิ้วชี้ของเขาเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ
   ตึก ตึก ตึก



   จิวซือถูกส่งมารักษาที่โรงพยายามในซานตง แน่นอนว่าเรื่องคราวนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะไม่ใช่แค่การผิดคิว แต่เป็นปองร้ายหมายชีวิตของนักแสดงในกอง ลูกธนูที่ปักอยู่กับลำต้นของต้นไม้ใหญ่เป็นหลักฐานชั้นดี เพราะเป็นธนูจริง ไม่ใช่หัวลูกยางอย่างที่เตรียมไว้ นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดว่าคนยิงจงใจยิงไปที่ร่างของหลิวเจียเย่ คนร้ายมีการเตรียมพร้อมาอย่างดี ทันทีปล่อยธนูก็หลบหนีเข้าป่า ยังตามหาไม่เจอ ฝ่ายเทคนิคของกองถ่ายบอกว่าชายผู้ต้องสงสัยเป็นคนรู้จักที่อ้างว่ามางานทำแทนคนเดิมที่ป่วย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอะใจ
   ส่วนเรื่องสืบหาคนร้าย และจะดำเนินการอย่างไรต่อให้ส่งผลต่อกองถ่ายเซียนเมฆาน้อยที่สุดนั้น จิวซือไม่ทราบ ทราบก็แต่เพียงว่าคนของมู่อินได้เข้ามาดูแลเรื่องนี้แล้ว
   “ขอโทษด้วยครับผู้กำกับ” จิวซือกล่าวขออภัยเจียงเฉินกับทีมงานอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงเขา แม้เจียงเฉินไม่ได้เอ่ยตำหนิ แต่เขาก็ทราบว่าฝ่ายนั้นร้อนใจไม่น้อยกับการที่ตัวเอกในภาพยนตร์บาดเจ็บแขนหักจนต้องใส่เฝือก ทำให้การถ่ายทำต้องล่าช้าออกไปอีก จะว่าไปการที่จิวซือยืนยันไม่ใช้แสตนอินก็มีส่วนด้วยเหมือนกัน
   “รักษาตัวเถอะ”
   “ใส่เฝือกสามเดือน?” ผู้ช่วยหลิวถาม
   “อาจจะเร็วกว่านั้นครับ ถ้าฟื้นตัวดี” หมอบอกว่าต้องใส่เฝือกประมาณสองเดือนครึ่งถึงสามเดือน แต่จิวซือเชื่อว่าเขาสามารถเร่งการฟื้นตัวของกระดูกตัวเองได้ มีวิธีหนึ่งให้ลองดู
   “เราจะถ่ายฉากอื่นๆ ที่ไม่มีเธอก่อน เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง”
   “ขอบคุณครับ”

   เจียงเฉินและทีมงานเพิ่งก้าวออกจากห้องไป โดยมีหลี่รุยถิงตามไปส่ง และอาสาไปเก็บเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆ ของเขาจากโรงแรมมาให้ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเหอเทียนเหิงโทรมา จิวซือก็ยกยิ้มเล็กน้อยกับข่าวสารที่ว่องไวของฝ่ายนั้น
   “ครับ”
   “นายตกม้า?”
   “ข่าวไวนะครับ”
   “…” ได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็กลายเป็นความเงียบ โดยปกติแล้วแม้เหอเทียนเหิงจะค่อนข้างเย็นชากับคนอื่น แต่เวลาอยู่กับเขา อีกฝ่ายมักจะหาเรื่องคุยไม่หยุด เหอเทียนเหิงในเวลานี้จึงทำให้จิวซือรู้สึกไม่คุ้นเคยนัก
   “พี่เหอ?”
   “พรุ่งนี้ฉันจะไปหา”
   “ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”
   “พรุ่งนี้เจอกัน”
   น้ำเสียงที่ดังจากโทรศัพท์ไม่มีวี่แววให้ต่อรอง การที่เหอเทียนเหิงอยากมาเยี่ยมเขานั้น จิวซือย่อมไม่ขัดข้องอยู่แล้ว อย่างไรเขาก็ว่างเสียยิ่งกว่าว่าง มีเพื่อนคุยเพิ่มย่อมเป็นเรื่องดี เพียงแต่อาการเคร่งเครียดจริงจังของเหอเทียนเหิงนั้น ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ “พี่เหอ คุณคงไม่ได้หนีงานมาหรอกนะ ใช่ไหม”
   “ไม่ได้หนี แค่จะทำให้เสร็จวันนี้”


   ช่วงเย็นของวันต่อมา เหอเทียนเหิงก็มาเยี่ยมจิวซือจริงอย่างว่า ร่างสูงใหญ่ของเขาทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง มือไม้ที่เคยทำรุ่มร่ามเพียงแต่วางบนขอบเตียง ดวงตาของเขาไล่มองคนป่วยตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะหยุดอยู่ที่แขนขวาซึ่งเข้าเฝือกอยู่
   “เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”
   จิวซือเลิกคิ้ว “เรื่องคนร้ายน่ะเหรอครับ?”
   “ใช่”
   “ให้ทางมู่อินจัดการเถอะครับ พี่ไม่ต้องลำบากหรอก”
   “เสี่ยวเย่ มันอาจจะเกิดเพราะฉันก็ได้” น้ำเสียงที่อ่อนลงของคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงตรงข้ามกับประกายกร้าวที่พาดผ่านดวงตา แฝงไว้ด้วยความกระหายเลือดที่ไม่ควรมีอยู่ในเหล่ามนุษย์ธรรมดา
   จิวซือชะงักไปเล็กน้อยกับแววตานั้น ความคาดหวังบางอย่างผุดขึ้นในใจ ชั่ววูบเดียวเท่านั้นก่อนจะถูกเจ้าตัวปัดทิ้งไป ใบหน้าที่มีเลือดฝาดไม่เหมือนคนป่วยหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะดีดนิ้วใส่มือของเหอเทียนเหิงที่อยู่ใกล้ๆ ดวงตาของเขาเป็นประกายขบขัน “เฮ นี่พี่สั่งคนมาทำร้ายผมหรอกเหรอ”
   “จะเป็นไปได้ไงเล่า” เหอเทียนเหิงสวนกลับทันควัน
   “งั้นก็ไม่เกี่ยวกับพี่”
   เหอเทียนเหิงอึ้งไป เหม่อมองใบหน้าประดับรอยยิ้มสบายๆ ของหลิวเจียเย่ราวกับว่าถูกภาพตรงหน้าล่อลวง พันธการความคิดความรู้สึกไว้ ไม่รู้เมื่อไรที่ความหลงใหลอยากได้กลายเป็นความรู้สึกอ่อนหวานอย่างหนึ่ง ก่อนหน้านี้ยังไม่แน่ใจ แต่เวลานี้เหอเทียนเหิงมั่นใจว่าเขาคงตกหลุมรักหลิวเจียเย่เข้าแล้ว
   มือใหญ่เข้ากอบกุมนิ้วข้างนั้นไว้ เหอเทียนเหิงได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรง ประกายกร้าวในดวงตาพลันอ่อนลง “ฉันหมายถึงอาจมีคนไม่พอใจนายเพราะฉัน”
   “ถ้าเป็นอย่างนั้น คนผิดก็คือคนพวกนั้นครับ ไม่ใช่พี่”
   “…”
   “พี่เหอ”
   “รู้แล้ว นายนอนพักเถอะ”
   เหอเทียนเหิงตัดบท สายตาของเขาลุ่มลึกเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
   “ผมรู้ว่าห้ามพี่ไม่ได้ แต่อย่าให้มันรุนแรงเกินไปนะครับ” ไม่ใช่ว่าอยากสร้างภาพเป็นคนดีอะไร เพียงแต่ว่าหากเป็นเรื่องจริง หากสิ่งที่เขาคาดหวังแม้เพียงเล็กน้อยนั้นคือเรื่องจริง... อย่างไรก็ตามไม่สร้างบาปหนักเป็นการดีที่สุด

   เหอเทียนเหิงยิ้ม ก่อนที่มือข้างเดิมจะเลื่อนมากุมใบหน้าของจิวซือแล้วลูบเบาๆ “ถ้านายรีบหาย”


ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
Life of a superstar




(7)



   ระหว่างที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จิวซือก็มักจะฝึกสมาธิ และดึงพลังจากธรรมชาติเพื่อเร่งการฟื้นตัวของร่างกายไปด้วย ที่จริงแล้วนี่คือพื้นฐานของการบำเพ็ญเพียรของเหล่าเซียน แม้ร่างกายของมนุษย์จะหยาบและสกปรกด้วยกิเลสตัณหา ทำให้การรับพลังทำได้ยาก แต่ก็ยังดีว่านั่งๆ นอนๆ โดยไม่ทำอะไร
   เมื่อวานนี้หลี่รุยถิงหน้าเครียดมาหาเขา บอกว่าข่าวเรื่องที่เขาตกม้ารู้ไปถึงสื่อต่างๆ แล้ว ทั้งยังมีคนบิดเบือนข้อเท็จจริง ปล่อยข่าวว่าเขาอวดเก่ง ไม่ยอมใช้แสตนอินทั้งที่ขี่ม้าไม่เป็น กลายเป็นว่่าความอวดดีของเขาทำให้ทั้งกองถ่ายเดือดร้อน นักแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้แต่ละคนล้วนเป็นคนมีชื่อเสียง แฟนคลับที่รอชมเซียนเมฆาเรียกว่าเกินครึ่งแผ่นดิน ดังนั้นบรรดาคนที่หลงเชื่อข่าวลือและต่อว่าเขาจึงมีมากมายนับไม่ถ้วน จิวซือเปิดโซเชียลดูก็พบว่าฝีปากของแต่ละคนเผ็ดร้อนไม่เบา อย่างเช่นว่าหลิวเจียเย่เป็นตัวถ่วงบ้าง มีดีแค่หน้าตาแต่ฝีมือไม่เอาไหน หรือแม้กระทั่งยั่วยวนเหอเทียนเหิง อาศัยบารมีฝ่ายนั้นจนได้บทเสวี่ยนซื่อจวิ๋นบ้าง
   จิวซืออ่านข้อความเหล่านั้นแล้วยกยิ้ม เขาน่ะหรือยั่วยวนเหอเทียนเหิง ต้องบอกว่าฝ่ายนั้นยั่วเขาสิถึงจะถูก อาจเพราะรู้สึกอยู่เสมอว่านี่เป็นแค่บททดสอบหนึ่ง หรือไม่ก็ผ่านชีวิตที่ยากลำบากกว่านี้หลายสิบเท่ามาแล้ว จิวซือจึงไม่ได้รู้สึกหดหู่ หัวเสียอะไร คล้ายกับว่ากำลังชมละครเรื่องหนึ่งมากกว่า แน่นอนว่าต่อหน้าคนอื่น เขายังคงต้องแสดงสีหน้าเศร้าใจอยู่บ้าง แต่เมื่อใดก็ตามที่อยู่ลำพัง เซียนน้อยที่ขยันขันแข็งอย่างเขาก็แค่บำเพ็ญเพียรอย่างสบายใจ
   ขณะที่เขากำลังนั่งสมาธิอยู่นั้น ก็มีแขกที่ไม่คาดคิดมาเยี่ยม เป็นมู่เหยียนเฉินนั่นเอง เจ้านายที่ไม่ได้พบมาพักใหญ่เดินเข้ามาเพียงคนเดียว ปราศจากวี่แววของเลขาหรือผู้ช่วย ร่างสูงในชุดสูทเรียบหรูหยุดอยู่ข้างเตียง ห่างไปราวหนึ่งก้าว ใบหน้าราบเรียบตามนิสัย
   “ท่านประธาน”
   “อืม”
   “ขอบคุณที่มาเยี่ยมครับ”
   อวิ๋นหนานไม่ตอบ สายตามองผ่านแขนที่เข้าเฝือกก่อนหยุดลงบริเวณหน้าต่างที่เปิดอยู่ กระแสพลังธรรมชาติไหลเวียนเข้ามาในห้องอย่างต่อเนื่อง แม้จะบางเบามากก็ตาม
   อวิ๋นหนานพิจารณาลูกน้องที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด ใบหน้ามิคล้ายใบหน้าของเซียนน้อยที่เขาเคยเห็น ยกเว้นก็แต่ดวงตากระจ่างใสที่พอจะคล้ายคลึงอยู่บ้าง พลางคิดว่าคลาดสายตานิดเดียวก็เจ็บตัวแล้ว พลังเซียนใช้ได้ไม่ดี ถือว่ายังอ่อนหัด แต่มีความพยายาม และฉลาดพอที่จะดึงพลังมาใช้กับกายหยาบของมนุษย์โดยไม่ต้องสอน
   จะว่าไป ตำหนักของเขาไม่มีเทพหน้าใหม่มานานแล้ว
   “เรื่องอื่นๆ มู่อินจัดการให้ นายรักษาตัวให้หายก็พอ”   
   “ขอบคุณครับ”
   “เอ่อ ท่านประธาน ผม...เรื่องข่าว”
   เห็นมู่เหยียนเฉินไม่ว่าอะไร จิวซือจึงยิ้มอย่างขออภัยและกระดากอาย แล้วกล่าวต่อว่า “จริงๆ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ปล่อยผ่านไปก็ได้ แต่เรื่องขี่ม้ายิงธนูนั้นไม่ทราบมีวิธีการใช้มันโปรโมทตัวผมมั้ยครับ”
   เดิมทีเขาไม่สนใจ แต่เมื่อหลี่รุยถิงบอกว่าทางมู่อินจะแก้ข่าวให้เขา จิวซือจึงลองเสนอความคิดของตนดูบ้าง แทนที่จะแก้ข่าว หรือสร้างข่าวใหม่มากลบข่าวเดิม ทั้งสองอย่างล้วนเป็นสิ่งที่สร้างขึ้น ไม่ใช่เรื่องจริง ในเมื่อเขาสามารถใช้เรื่องจริงแก้ข่าวได้ จะต้องอาศัยคนอื่นทำไม
   การขี่ม้ายิงธนูนั้นคือความสามารถที่แท้จริงของเขา จะต้องสร้างข่าวอื่นขึ้นมาทำไม
   “นายมั่นใจในฝีมือ?”
   “ครับ”
   “รอหายดี แล้วจะให้คนมารับ”
   “ขอบคุณครับ ท่านประธาน”
   มู่เหยียนเฉินพยักหน้าเป็นเชิงอำลา หันหลังเดินไปยังประตู ทว่าก็ไม่ลืมโบกมือคราหนึ่ง ทันใดนั้นพลังธรรมชาติ โดยเฉพาะธาตุน้ำ ต่างก็แย่งชิงกันหลั่งไหลเข้ามารอบโรงพยาบาล โดยเฉพาะบริเวณห้องพักของจิวซือ พวกมันคล้ายมีจิตสำนึกรู้ รอคอยให้คนในห้องพักนั้นเรียกใช้อย่างเชื่อฟัง เพราะนี้คือพระประสงค์ขององค์เทพ พวกมันย่อมยินดีปฏิบัติตาม
   
            ดูเหมือนว่าการดึงพลังธรรมชาติมาใช้จะได้ผลไม่เลว เพราะแขนของจิวซือหายเร็วกว่าที่แพทย์ประมาณการไว้ถึงหนึ่งเดือน เขาลองขยับแขนที่ถอดเฝือกแล้วก็ไม่รู้สึกติดขัดแต่อย่างใด เนื่องจากผู้กำกับจางไม่คิดว่าเขาจะหายเร็วถึงเพียงนี้ จิวซือจึงยังไม่มีคิวถ่ายทำในช่วงนี้ ดังนั้นเขาจึงกลับมาปักกิ่งเพื่อเป็นครูสอนขี่ม้าให้กับเด็กฝึกของมู่อินในรายการแนว Survival ชื่อว่า Actor National Selection ซึ่งเป็นรายการที่ถ่ายทอดชีวิตความเป็นอยู่ การฝึกฝน ตลอดจนการทำภารกิจต่างๆ ของเด็กฝึกตลอด 24 ชม. เพื่อคัดเลือกเป็นนักแสดงในสังกัดของมู่อิน และผู้ชนะทั้ง 4 คน จะได้รับบทนำในละครวัยรุ่นที่มู่อินจะผลิตในปีหน้า
            “คุณหลิว” ทีมงานทักทายจิวซืออย่างสุภาพ และพาเขาไปฟังบรีฟจากโปรดิวเซอร์ สิ่งที่จิวซือต้องทำจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เขาเพียงต้องขี่ม้าเข้ามาจากฝั่งตรงข้ามของสนาม แสดงท่าทางที่คิดว่าสง่างามและสร้างความประทับใจให้กับเหล่าเด็กฝึก ที่สำคัญคือทำให้ทุกคนเชื่อว่าเขาคือฮัวฉีเหลย ทายาทนักธุรกิจชื่อดัง คุณชายตระกูลผู้ดีเก่า ผู้เพียบพร้อม อ่อนโยนราวกับหลุดมาจากนิยาย คู่แข่งที่แท้จริงของเขาไม่ใช่ใคร แต่เป็นเจ้าม้าสีขาวล้วนที่เขาต้องขี่นั่นแหละ เพราะความสวยงามและแข็งแกร่งของมันสามารถบดบังตัวตนของนักแสดงทั่วไปได้อย่างง่ายดาย

            “ภารกิจคราวนี้คือขี่ม้าเหรอ อวี่ชิง คราวนี้นายชนะอีกแน่”
            เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘อวี่ชิง’ ไม่ตอบ เขาแค่ยกยิ้มจนเห็นลักยิ้มสองข้าง ฟานอวี่ชิง วัยสิบแปดปี เป็นน้องชายของฟานรุยอวี่ นักแสดงหญิงชื่อดัง เด็กหนุ่มสูงประมาณ 178 ซม. รูปร่างสูงโปร่ง ประกอบกับใบหน้าติดจะหวานของเขา ทำให้เขาเป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้หญิง และเป็นหนึ่งในตัวเต็งของการแข่งขันเฟ้นหานักแสดงชายครั้งนี้
            “บทฮัวฉีเหลยมีฉากขี่ม้าเป็นฉากเปิดตัว นี่อาจจะเป็นการคัดตัวล่วงหน้าก็ได้”
            “อืม เป็นไปได้สูงเลยล่ะ”


            ขณะที่เหล่าเด็กฝึกราว 30 คน กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงควบม้าดังมาจากอีกด้านหนึ่งของสนาม ท่ามกลางสนามหญ้าสีเขียวขจี และท้องฟ้าสีฟ้าอ่อน มีเมฆสีขาวแซมอยู่ประปรายนั้น ปรากฏร่างเงาของอาชาสีขาวล้วนตัวหนึ่ง มันมีขนาดใหญ่ว่าอาชาทั่วไปอยู่เล็กน้อย กล้ามเนื้อสะโพกยามโลดแล่นกลางพื้นหญ้าเผยความแข็งแกร่งและพละกำลังออกมาอย่างเด่นชัด แผงคอของมันสะท้อนแสงแดดเป็นประกายสีทองดูสง่างามเสียจนชวนให้คิดว่าที่มองเห็นอยู่นั้นไม่ใช่แค่อาชา แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่สวยงามยิ่งตัวหนึ่ง
            กระนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตที่สวยงามไม่แพ้กันนั่งอยู่บนหลังของมัน เขาคือบุรุษผู้หนึ่ง ทั้งที่สวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดาตัวหนึ่งกับกางเกงขายาวสีดำ แต่ความมั่นใจที่เผยให้เห็นผ่านแผ่นหลังเหยียดตรง ลำคอเรียวยาว และใบหน้าเชิด มองไปเบื้องหน้านั้นกลับบ่งบอกถึงความสูงศักดิ์ของเจ้าตัว ไม่ว่าผู้ใดล้วนมองออกว่าบุรุษที่มีท่าทางสง่างามเช่นนี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
            เมื่อบุรุษผู้นั้นควบม้าเข้ามาใกล้ ห่างจากรั้วกั้นเพียงไม่กี่เมตร เขาก็รั้งบังเหียนให้ม้ากลับตัวอย่างกะทันหันกระทั่งขาหน้าทั้งสองของมันลอยจากพื้น เจ้าม้าสีขาวส่งเสียงฮี่อย่างคึกคะนอง และในขณะนั้นเอง ชายหนุ่มผู้นั้นก็คว้าธนูที่สะพายอยู่ แล้วยิงธนูดอกหนึ่งออกไปโดยไม่เล็ง ลูกธนูแล่นฉิวด้วยความเร็วจนเกิดเสียงวัตถุแหลกอากาศ จากนั้นเขาค่อยกระโดดลงจากม้าพร้อมรอยยิ้มสว่างไสว มือลูบแผงคอของมันเป็นการชมเชย
            หากเจ้าชายขี่ม้าขาวในนิยายมีอยู่จริง บางทีคงถอดแบบมาจากคนผู้นี้


            เหม่ยจี เป็นแฟนรายการ Actor National Selection ตั้งแต่ตอนแรก ทุกๆ วันเธอจะเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์เพื่อรอดูฟานอวี่ชิง และทุกวันเสาร์เธอจะกดโหวตให้เขา รวมถึงคะยั้นคะยอให้เพื่อนๆ ช่วยโหวตด้วย สำหรับเธอแล้วฟานอวี่ชิงคือเพชรเม็ดงานที่สมควรโดดเด่น เป็นเจ้าชายคนใหม่แห่งวงการบันเทิง
            ทว่านับตั้งแต่ที่เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งควบม้าสีขาวห้อทะยานบนพื้นหญ้า สายตาของเธอไม่เคยละจากเขาแม้เพียงเสี้ยววินาที กระทั่งคนผู้นั้นปล่อยลูกธนูด้วยท่าทางของมืออาชีพ กระทั่งคนผู้นั้นกระโดดลงสู่พื้นหญ้าและส่งยิ้มให้ เหม่ยจีรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกคนผู้นั้นสูบวิญญาณ ในห้วงความคิดจดจำได้เพียงท่วงท่าสง่างามยามอยู่บนหลังม้า แขนที่ง้างธนูเปี่ยมด้วยกำลังของชายหนุ่ม และรอยยิ้มอ่อนโยน สว่างไสวเหมือนดวงอาทิตย์ยามเช้าของเขา
            เจ้าชาย...
            เจ้าชาย...
            ช่างหัวฟานอวี่ชิงอะไรนั่น คนคนนี้ต่างหากคือเจ้าชายตัวจริงของเธอ!!!



            บ้าคลั่ง
            คงเป็นคำเดียวที่พอจะอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางโซเซียล และโฮมเพจของมู่อินได้ มีคนที่ถูกสูบวิญญาณเหมือนเหม่ยชิงอีกมากมายนับไม่ถ้วน คำถามว่าเจ้าชายขี่ม้าขาวคนนั้นคือใครหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน ยิ่งหลังจากที่กล้องฉายภาพลูกธนูปักกลางเป้าอย่างแม่นยำ ยิ่งทำให้ความอยากรู้อยากเห็น และอาการตกหลุมรักของแต่ละคนหนักข้อขึ้นไปอีก
          “เจ้าชายคนนั้นคือเย่เย่ >//< นี่ลิงค์เวยป๋อของเขาจ้า”
          “คนนั้นคือหลิวเจียเย่จ้า หล่อมาก หล่อกว่าตอนโฆษณาของ Passion Mu-in อีก”
          “ข่าววงในบอกว่าเขาอยู่ในระดับ B-list ของมู่อิน แต่เพราะปัญหาสุขภาพ ก่อนหน้านี้จึงไม่ค่อยมีผลงาน ฉันมีนิตยสารของเขาอยู่ด้วย”
          “ใช่หลิวเจียเย่ที่เป็นข่าวกับเหอเทียนเหิงหรือเปล่า”
          “ใช่ คนเดียวกันนั่นแหละ”
          “ถ้างั้นข่าวที่บอกว่าเขาตกม้าก็เป็นข่าวปลอมสิ”
          “ข่าวปลอมมั้ง ใครบอกเขาขี่ม้าไม่เป็น ท่าทางของเขาดูชำนาญกว่ามืออาชีพอีก”       
          “นั่นสิ ถามไปทางเพจมู่อิน ก็ยังไม่ตอบอะไรเลย”
          “ฉันโหลดวิดีโอช่วงที่เข้าบังคับให้ม้าหมุนตัวมาทำเป็น Gif ไว้ด้วย ไม่ไหวแล้ว Daddy มากๆ”
          “เมื่อไรเซียนเมฆาจะฉายนะ ฉันแทบรอไม่ไหวแล้ว”
          “ใครมี account บ้านแฟนไซส์ของเจียเย่บ้าง บอกบุญหน่อยค่ะ”
          “เย่เย่จะได้แสดงบทฮัวฉีเหลยมั้ย ได้โปรดให้เขาแสดงบทนี้เถอะ ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเย่เย่ของเราอีกแล้ว”



            ทันทีที่ฉากขี่ม้าของหลิวเจียเย่ออกอากาศ ชื่อของเขาก็กลายเป็นคำค้นหาอันดับหนึ่งทันที และยังมีคำอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเขาอย่างเจ้าชายขี่ม้าขาวรวมอยู่ด้วย แฟนคลับของเขาในเวยป๋อ และเวบไซต์ของมู่อินก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ ฉายาเจ้าชายขี่ม้าขาวซึ่งเกิดจากคำค้นหาของแฟนรายการ ได้กลายเป็นฉายาของหลิวเจียเย่ ฉายาที่ทำให้จิวซือแทบสำลักน้ำ เพราะมั่นใจว่าตนเองไม่มีทางเป็นวีรบุรุษช่วยเหลือสาวงามอย่างแน่นอน
   ไม่กี่วันต่อมา จิวซือก็ได้รับข่าวจากหลี่รุยถิงว่าฟานรุยอวี่ขอถอนตัว ผู้กำกับจางที่ปกติคงต้องอาละวาดสักหนึ่งยก กลับเงียบ และไม่กล่าวถึงเหตุผลการถอนตัวของเธอ เพียงแต่แจ้งว่าการถ่ายทำคงจะล่าช้าออกไปอีก เพราะพวกเขาต้องเปลี่ยนนักแสดง กระนั้นหลี่รุยถิงก็ได้ยินจากรุ่นพี่ในบริษัทว่าเหอเทียนเหิงเป็นคนบีบให้เธอถอนตัว ที่สำคัญเขาให้ผู้ช่วยส่วนตัวแจ้งทุกบริษัท ทุกค่ายทราบว่าเขาไม่ประสงค์จะร่วมงานกับฟานรุยอวี่
            เหอเทียนเหิงเป็นใคร คนภายนอกอาจไม่ทราบทั้งหมด แต่เหล่าคนใหญ่คนโตในวงการต่างทราบดี การที่เขารังเกียจฟานรุยอวี่ ก็เท่ากับว่าอนาคตของเธอดับไปแล้วครึ่งหนึ่ง ห้าปีต่อจากนี้คงไม่มีผลงานจากดาราสาวผู้นี้ให้ได้เห็นกันอีก




   ทั้งจิวซือและมู่อินต่างไม่คาดคิดว่าการปรากฏตัวสั้นๆ ของหลิวเจียเย่จะสร้างกระแสให้เขาได้มากมายขนาดนี้ อาจเพราะหน้าตา รูปร่าง ประกอบกับกริยาไว้ตัวเล็กน้อยแต่ก็อ่อนโยนใจดีที่แสดงออก ทำให้ภาพลักษณ์เจ้าชายของเขาดูโดดเด่นกว่าบรรดาเด็กฝึกหลายขุม เกิดเป็นการเปรียบเทียบชัดเจนก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามผลประโยชน์คราวนี้มู่อินรับไปเต็มๆ เรตติ้งรายการ Actor National Selection พุ่งสูงเป็นสถิติใหม่ ทั้งยังมีบริษัทที่สนใจติดต่อหลิวเจียเย่เป็นพรีเซนเตอร์สินค้าอีกด้วย หากก่อนหน้านี้มีคนคิดว่าเขาใช้เส้นสายจนได้บทเด่นในเซียนเมฆา เวลานี้กลายเป็นว่าตั้งตารอดูการแสดงของเขา
   นักแสดงหญิงที่มาแทนฟานรุยอวี่เป็นนักแสดงของมู่อิน แม้จะไม่ดังเท่าฟานรุยอวี่ แต่ก็นับว่าเป็นที่รู้จักดี การถ่ายทำภาพยนตร์ล่าช้าไปเกือบสามเดือน ในที่สุดจิวซือก็กำลังจะได้ถ่ายฉากสุดท้ายของเขา นั่นคือฉากที่ซื่อจงฮ่องเต้หรือเสวี่ยนซื่อจวิ๋นวาดภาพเกาจงเฉินผู้ตายจากไปด้วยการปกป้องเขาจากคมดาบของมือสังหาร จากนั้นจรดพู่กันเขียนกลอนบนหนึ่ง เมื่อวิญญาณเกาจงเฉินเห็นภาพและบทกลอน รวมถึงรอยรวดร้าวของอีกคน ค่อยตระหนักว่าเสวี่ยนซื่อจวิ๋นรักเขามาโดยตลอด
   พลัดพราก ใจรอน
   จากไกล สุดหล้า   

   มือที่จับพู่กันสั่นน้อยๆ ร่างซูบผอมในฉลองพระองค์สีเหลืองทองต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะตวัดปลายพู่กันบนผืนผ้าขาวอีกครั้ง
   ใฝ่หา ฤาจักเห็น
   มิสู้ หลับเสีย ตามติด จิตคะนึง

   เสียงผู้กำกับเจียงสั่งคัท ตามด้วยเสียงปรบมือของเหล่าทีมงานและนักแสดง การถ่ายเซียนเมฆาในที่สุดก็จบลงแล้ว




   งานเลี้ยงปิดกล้องดำเนินมาได้ช่วงหนึ่ง จิวซือก็ขอตัวออกมาห้องน้ำ เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จค่อยพบว่าเหอเทียนเหิงยืนพิงผนังด้านข้างรอเขาอยู่ นิ้วเรียวยาวของเหอเทียนเหิงคีบบุหรี่ ปากหยักพ่นควันสีเทาออกมา สายตาของเขามองไปนอกหน้าต่าง ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่
   “พี่เหอ”
   พอได้ยินเสียงเรียก เหอเทียนเหิงก็หันมายิ้มให้ รอยยิ้มภายใต้แสงไฟสีเหลืองดูพร่าพราย   
   “เรื่องคุณฟาน ฝีมือพี่เหรอครับ”
   เหอเทียนเหิงไม่ตอบ แต่แววตาแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย
   “พี่ทำร้ายร่างกายเธอหรือเปล่า”
   “เปล่า”
   “แล้ว?”
   ชายหนุ่มทำหน้าอึดอัด ก่อนจะสารภาพว่า “แค่ขมขู่”
   “แบบมีหลักฐานใช่มั้ยครับ”
   ใบหน้าหล่อเหลาของดาราใหญ่อึ้งไปกับคำถามที่ไม่คาดคิด แม้เขาจะเก็บอาการอย่างดี จิวซือก็เห็นว่าดวงตาเขาสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกำลังคิดหาข้อแก้ตัว ท่าทางที่คนทั่วไปคงไม่มีทางได้เห็น ทำให้จิวซืออารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก
   “อ้อ แบล็คเมล์นี่เอง”
   “นายโกรธ?”
   คราวนี้จิวซือกลั้นไม่ไหว เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง ใครจะไปคิดว่าคนอย่างเหอเทียนเหิงก็มีมุมน่ารักแบบนี้เหมือนกัน
   “ที่บ้านพี่มีไวน์มั้ยครับ”
   สีหน้าของเหอเทียนเหิงเปลี่ยนจากไม่เข้าใจ เป็นตกใจ จากนั้นค่อยกลายเป็นความตื่นเต้น ความคาดหวังอย่างแทบรอไม่ไหวเต้นระริกอยู่ในดวงตาคู่นั้น มุมปากของเขาเม้มเข้าหากันคล้ายพยายามจะกลั้นยิ้ม แต่เพียงครู่เดียวก็ยอมแพ้ รอยยิ้มกว้างปรากฏบนในหน้าหล่อเหลาทำให้บรรยากาศรอบตัวกลายเป็นละมุนอ่อนโยน
   ไม่ทราบว่าเป็นเพราะถูกดวงตาคู่นั้นจับจ้อง หรือเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ หรืออาจจะเป็นอารมณ์ที่หลงเหลืออยู่จากการแสดงเมื่อกลางวัน จิวซือเริ่มรู้สึกหวั่นไหนขึ้นมา
   ในช่วงเวลาสั้นๆ ของชีวิตมนุษย์ผู้หนึ่ง พบ-รัก-พราก-จาก ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน บางสิ่งจริงแท้ บางสิ่งลวงหลอก ใครเล่าจะรู้แน่ ราวกับเส้นดายม้วนใหญ่พันกันยุ่งเหยิงจนแก้ไม่ออก บางทีอาจเป็นเรื่องจริง บางทีอาจเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง
   ถูกแล้ว ก็เหมือนกับชีวิตในชาตินี้ บางทีก็เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง

   “ผมไปดื่มไวน์ที่ห้องพี่ได้มั้ย”


         


       จิวซือรู้สึกว่ามือของเหอเทียนเหิงสั่นยามที่ปลดกระดุมเสื้อของเขา มือคู่นั้นทั้งใหญ่และร้อน ทำให้ร่างกายของเขาร้อนขึ้นไปด้วย พวกเขาไม่ได้ดื่มไวน์ ไม่มีแม้กระทั่งการพูดคุยอะไร มีเพียงความรีบเร่ง ต่างใช้ความรู้สึกและความต้องการสั่งร่างกายแทนสมอง
“สวยมาก” เหอเทียนเทียนพูดเหมือนละเมอยามที่เปลื้องอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายออกจากร่างขาว สายตาของเขาโลมเลียไปทั่วร่างของจิวซือ ขณะที่มือกระชากเสื้อราคาแพงของตัวเองโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี เขาใช้สองมือประคองใบหน้าแดงเรื่อของคนที่นอนทอดกายพร้อมปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเขา ริมฝีปากสัมผัสกันเพียงแผ่วเบาคราหนึ่ง ก่อนจะกดจูบหนักๆ ลงไป
“เด็กดี อ้าปาก”
ลิ้นร้อนส่งเข้ามาสำรวจตามแนวฟัน ลัดเลาะเพดานปาก กระหวัดเกี่ยวพันกันอย่างโหยหา บางครั้งนุ่มนวล บางครั้งรุกราน การจู่โจมจากปลายลิ้นลามไปยังปลายคาง ลำคอ แอ่นชีพจร ลาดไหล่ ริมฝีปากของเหอเทียนเหิงดูดดุน ขบกัด ลมหายใจชายหนุ่มหอบหนักเหมือนกำลังจะควบคุมตัวเองไม่ได้
เพียงแต่เริ่มต้น สติของเขาก็แทบหลุดจากร่าง พ่ายแพ้ให้กับสัญชาตญาณ
“อย่ากัด” จิวซือดันไหล่เหอเทียนเหิงออกเมื่อรู้สึกเจ็บแปลกที่ยอดอก เซ็กส์ที่เผ็ดร้อนรุนแรงเช่นนี้เขาไม่เคยเจอมาก่อน
“ก็ของนายมันน่ารัก” ว่าแล้วเหอเทียนเหิงก็ก้มลงริมรสชาติของตุ่มไตทั้งสองข้างอย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง และอีกครั้ง จิวซือครางฮือในลำคอ มือของเขาเองก็สำรวจร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเหอเทียนเหิง นิ้วสะกิดยอดอกสีเข้มของอีกฝ่ายเป็นการแก้แค้น นึกไม่ถึงว่าจะถูกรวบมือทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะ ดวงตาแวววาวที่จ้องเหมือนทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อที่กำลังจะถูกกิน
ความรู้สึกว่าถูกใครสักคนต้องการจนแทบรอไม่ไหวทำให้ร่างกายของเขาร้อนผ่าว รอยยิ้มยั่วยวนแกมท้าทายจึงผุดขึ้นที่มุมปาก เพียงแค่นั้นสติที่คงเหลืออยู่น้อยนิดของเหอเทียนเหิงก็ขาดผึง มือใหญ่จับต้นขาของจิวซือ และดันจนชิดหน้าอก เผยให้เห็นดอกตูมที่รอให้เขาค้นหา
ดวงตาของเหอเทียนเหิงคล้ายจะส่องประกายสีทองจางๆ ใบหน้าหล่อฝังลงไปบริเวณนั้น ลิ้นร้อนสำรวจวนไปรอบๆ ก่อนจะค่อยๆ รุกคืบเข้าไปด้านใน กวาดเลีย รุกเร้า โดยไม่รังเกียจ
“อ๊า อือ”
ยิ่งได้ยินเสียงคนใต้ร่างครางกระเส่า การรุกรานของเขายิ่งรุนแรงขึ้น ทั้งที่ร่างกายท่อนล่างของตัวเองตั้งชันจนปวดร้าว ก็ยังอดทนทำให้ช่องทางตรงนั้นเปียกแฉะ
นิ้วเรียวยาวถูกส่งเข้าไปช่วยขยายช่องทาง โดยที่ปากเปลี่ยนเป้าหมายไปยังแท่นอุ่นร้อนที่กระตุกเป็นจังหวะจากอารมณ์หวาบหวามที่ได้รับ
“อ๊าาาา”
จิวซือสะดุ้งเฮือกประหนึ่งถูกไฟช็อค ความเสียวซ่านแล่นไปยังก้านสมองเมื่อนิ้วของเหอเทียนเหิงสัมผัสจุดหนึ่งภายใน เสียงครางแหลมกว่าปกติหลุดลอดจากปากโดยไม่อาจห้ามได้
“ตรงนี้เหรอ”
“พี่เหอ ไม่เอา”
เหอเทียนเหิงผุดรอยยิ้มร้าย ไม่เพียงไม่ฟังคำทัดทาน ยังกดลงที่จุดเดิมย้ำๆ ทรมานคนใต้ร่างให้ร้องครางหนักขึ้น เฝ้ามองปฏิกริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเพราะเขาด้วยหัวใจเต้นแรง
การเล้าโลมอันยาวนานโดยไม่หยุดพักทำให้จิวซือสั่นสะท้าน ร่างกายอ่อนปวกเปียก สมองเบลอคิดอะไรไม่ออก ได้แต่หลับตาทนรับการทรมานอันแสนหวานนั้นต่อไป
“พ…อ พอแล้วครับ”
“ต้องทำให้มันกว้างกว่านี้”
“ไม่ต้องอธิบาย” จิวซือประท้วง เหอเทียนเหิงที่ร้อนแรง เอาอกเอาใจ แต่บางครั้งก็กลั่นแกล้งเขา ยังไม่ทำให้เขาอายหน้าแดงได้เท่ากับเหอเทียนเหิงที่พูดถ้อยคำน่าอายอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้
“กลัวนายไม่รู้”
นี่มันจงใจแกล้งกันชัดๆ
เมื่อเห็นใบหน้าแดงกล่ำและสายตาที่ตวัดมองเขาอย่างเอาเรื่อง เหอเทียนเหิงก็ให้รู้คันยุบยิบในหัวใจ เขาก้มลงจูบปากอิ่มหนักๆ แล้วจึงดันสะโพกของอีกคนให้ยกขึ้น จากนั้นค่อยๆ ดันตัวตนของเขาเข้าไปช้าๆ ความร้อนที่ครอบครองตัวตนของเขาทีละนิดแทบทำให้เขาไปก่อนแต่แรก
“ฮึ่ม” เหอเทียนเหิงครางในลำคอ สะกดกลั้นอารมณ์ที่อยากถาโถมเข้าไป พยายามขยับอย่างเชื่องช้าเพื่อให้ช่องทางนั้นปรับตัว กระทั่งรับเขาได้ทั้งหมด ชายหนุ่มถอดถอนหายใจเป็นสุข แล้วจึงเริ่มขยับช้าๆ แต่ลึกล้ำ กดเน้นไปยังจุดหนึ่งที่ทำให้ร่างในอ้อมกอดแอ่นโค้ง และส่งเสียงร้องที่เขาชอบออกมา
“หยุด พี่เหอ อ๊า”
“ไม่หยุดหรอก คืนนี้ทั้งคืนจนถึงเช้า ไม่หยุดแน่ๆ”
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร จิวซือรู้เพียงแต่ว่าเหอเทียนเหิงต้องเป็นสัตว์ป่า หรือไม่ก็ตายอดตายอยากมานาน ถึงได้ทำตามใจกับร่างกายของโดยไม่หยุดพัก ทำให้เขาถึงจุดหลายครั้งต่อหลายครั้ง ขอร้องยังไงก็ไม่ยอมหยุด
“เบา..หน่อย”
“เร็วไป...แล้ว อ๊ะ”
เสียงของตัวเองแหบแห้ง แต่ร่างกายยังตอบสนองให้ฝ่ายนั้นได้ใจ จิวซือไม่ทราบจะโทษตัวเอง หรือโทษร่างกายอ่อนไหวของหลิวเจียเย่ดี
“พยายามแล้ว”
“พยายามที่ไหน อึก... นี่มัน แรงขึ้นอีก...นี่”
สะโพกของเหอเทียนเหิงขยับรัวแรง แขนทั้งสองข้างโอบกอดร่างชื้นเหงื่อเข้าหาตัว ก่อนจะโถมกำลังบุกรุกเข้าไปจนเสียงเปียกแฉะและเสียงเนื้อกระทบกันอย่างลามกดังก้องทั่วทั้งห้อง
“อ๊า จะถึง จะถึง”
“เจียเย่ เจียเย่ ฉันรักนาย”
“เดี๋ยว ผมเพิ่งเสร็จ อ๊า ไม่ไหว”
เหอเทียนเหิงเหมือนคนหน้ามืด สายตาจับจ้องอยู่กับใบหน้าทุรนทุราย เปรอะเปื้อนน้ำตาแห่งความสุขสม ขณะที่ท่อนล่างยังไม่ยอมหยุดขยับเข้าออกทั้งที่อีกฝ่ายยังคงอ่อนไหวจากการถึงจุด เขาอยากบดขยี้ร่างนี้ให้ร้องไห้ครวญครางหาแต่เขา ทำให้เป็นของเขาทุกตารางนิ้ว ทุกลมหายใจ ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน สะสมทับถมจนกลายเป็นความปรารถนารุนแรง ไม่ยั้งตนเองได้
บ้าคลั่ง หลงไหล อยากครอบครอง ความรู้สึกรุนแรงนี้ประหนึ่งส่งทอดมาจากส่วนลึกของวิญญาณ
“เจียเย่ ฉันรักนาย”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-01-2019 16:00:36 โดย Whitedemon21 »

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

Life of a superstar




(end)





   ครึ่งปีต่อมา ภาพยนตร์เรื่องเซียนเมฆาเข้าฉาย กลายเป็นภาพบนตร์แห่งปีตามคาด ทำรายได้มากเป็นประวัติการณ์ในรอบ 5 ปี เหล่านักแสดงเป็นที่พูดถึงและ trending ทางโซเชี่ยลพร้อมกับความสำเร็จของภาพยนตร์ รวมถึงนักแสดงหน้าใหม่หลายคนกลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือหลิวเจียเย่ ชื่อของเขาติด Top คำที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดแทบตลอดทั้งเดือน นอกจากนี้เพลงประกอบภาพยนตร์ โดยเฉพาะเพลงตอนจบที่เหอเทียนเหิงร้องคู่กับหลิวเจียเย่นั้น ติดอันดับหนึ่งทุกชาร์ตเพลง ทำให้กระแสคู่จิ้นของทั้งคู่ร้อนแรงขึ้นอีกขั้น กระทั่งมีงานพรีเซนเตอร์คู่กันอย่างเป็นทางการ ส่วนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในสายตาประชาชนนั้น ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เพราะเหอเทียนเหิงยังคงเมนเช่นหลิวเจียเย่ทางเวยป๋ออยู่เสมอ
   ไม่ถึงสองปี จากดาราตกอับ ตัวตลกของวงการบันเทิง ความนิยมของหลิวเจียเย่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากโฆษณาของ Passion Mu-in นิตยสาร รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์เซียนเมฆา การร้องเพลงประกอบภาพยนตร์อันไร้ที่ติ กระทั่งกลายเป็นระดับ A-list ในการจัดอันดับดาราผู้มีชื่อเสียง (Celebrity ranking) อย่างเป็นทางการหลังจากที่เขาได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เซียนเมฆาในงานประกาศรางวัลช่วงสิ้นปี ส่วนรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมตกเป็นของเหอเทียนเหิง ขณะที่ภาพยนตร์แห่งปี และเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่เซียนเมฆา



   หนึ่งปีต่อมา
   ถึงกำหนดที่อวิ๋นหนานต้องกลับภพสวรรค์ แม้ในใจจะเกิดความรู้สึกไม่อยากกลับอยู่บ้าง ทว่าเขายังต้องไปพบจอมเทพที่วังกลางเรื่องแม่ทัพสวรรค์ทำผิดกฎ ประกอบกับงานชุมนุมเทพเซียนกระชั้นเข้ามาทุกที คาดว่าคงไม่มีเวลากระทั่งดูกระจกส่องภพ ร่างจำแลงนี้จำเป็นต้องเสียชีวิต แต่ไม่ทราบว่าจะด้วยสาเหตุใด เพราะเขาเพียงแจ้งกองภารกิจว่าเขาต้องการอยู่บนโลกมนุษย์สามปีเท่านั้น

   เมื่อเวลาที่เขาใกล้จะต้องจากไปมาถึง ก็ได้ยินกระแสจิตแจ้งให้เขาเดินไปถนนใหญ่เพื่อถูกรถชน สาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของพวกมนุษย์ อวิ๋นหนานเดินออกจากตึกมู่อิน สืบเท้าด้วยความเร็วคงที่ ไม่นานก็ถึงถนนใหญ่ ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าข้ามไปนั้นก็ได้ยินเสียงแตรรถ และเสียงตะโกนอย่างตระหนกตกใจ ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉย กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกเขาว่าท่านประธาน จากนั้นใครคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาคว้าแขนของเขาไว้ พลางใช้จิตเซียนหยุดรถยนต์สีดำที่พุ่งเข้ามา หากเป็นเวลาปกติ ความพยายามนี้คงประสบผลสำเร็จ จิตเซียนที่แข็งกล้าขึ้นย่อมสามารถหยุดรถได้หลายวินาที นานพอให้ดึงร่างของเขาและตนเองออกจากอันตราย

   น่าเสียดาย ที่เหตุการณ์คราวนี้คือลิขิตของเทพที่ไม่อาจฝืน
   ร่างจำแลงของเขาถูกกำหนดให้สิ้นอายุขัยในเวลานี้
   ใบหน้าที่ราบเรียบอยู่เสมอของอวิ๋นหนานปรากฏร่องรอยของความประหลาดใจ แขนทั้งสองข้างรั้งร่างของจิวซือเข้าหาตัวแล้วกอดไว้แน่น กระทั่งแรงปะทะจากรถยนต์กระแทกร่างของทั้งคู่ลอยละลิ่วไปตามพื้นถนน เลือดสีแดงฉานเจิ่งนอง พร้อมกับชีวิตทั้งสองหลุดลอยไป

   อวิ๋นหนานในร่างของเทพลุกขึ้นจากร่างจำแลงของเขา ในอ้อมแขนเป็นร่างเซียนของจิวซือที่ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท เทพหนุ่มมองร่างโปร่งแสงในอ้อมแขนแล้วผุดยิ้มบางๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้น และจางหายไปพร้อมละอองแดด
   

   “เจียเย่!!!”
   เหอเทียนเหิงเหมือนถูกสาปเป็นหิน สมองของเขาชาดิกกับภาพที่เห็น หัวใจเหมือนหยุดเต้น หูไม่ได้ยินเสียงอะไร ราวกับว่าโลกทั้งใบหยุดหมุน สายตามีเพียงร่างที่ลอยละลิ่ว กระเด็นครูดไปกับพื้นคอนกรีต สองเท้าของเขาวิ่งเข้าไปหา มือสั่นเทาพยายามจะคว้าร่างนั้นไว้ แต่กลายเป็นว่าไม่กล้าสัมผัส เลือดสีแดงไหลนองมาถึงเข่าของเขาเปลี่ยนกางเกงสีเทาให้กลายเป็นสีแดง นัยน์ตาของเขาสั่นไหวโดยแรง ก่อนที่เสียงกรีดร้องแห่งความโศกเศร้าของเขาจะดังก้องไปทั่วบริเวณ



   หลิวเจียเย่
   ชายหนุ่มผู้กลายเป็นตำนานเล็กๆ เขาเติบโตจากครอบครัวธรรมดา วิ่งตามความฝันวัยเยาว์จนกลายเป็นนักแสดงชื่อดังภายในเวลาเพียงสามปี รอยยิ้มราวกับแสงอาทิตย์ยามเช้าของเขามอบพลังให้ผู้คนมากมาย ความอ่อนโยนของเขาทำให้เขาเป็นที่รัก เป็นเจ้าชายของเหล่าหญิงสาว กลายเป็นดวงรุ่งดวงใหม่ของวงการบันเทิง
   ข่าวการเสียชีวิตของเขาทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนตกใจ เสียใจ ร่ำไห้ อาลัยกับการจากไปอย่างกะทันหันทั้งที่อายุยังน้อย เขาจากไปเพราะความกล้าหาญที่จะปกป้องคนอื่น นี่จึงเป็นแก่นแท้ของผู้ชายที่ชื่อว่าหลิวเจียเย่ เข้มแข็งและอ่อนโยนกว่าใครๆ นี่จึงเป็นเจ้าชายแห่งวงการบังเทิงที่แท้จริง
   เขาโด่งดัง กลายเป็นที่รักของผู้คนนับล้านอย่างรวดเร็ว และก็จากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ชีวิตของเขาก็เหมือนกับดอกไม้ไฟ เจิดจรัส อวดความสวยงามอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี ทำให้ผู้คนชื่นชมจนไม่อาจละสายตา ทว่าเพียงเวลาสั้นๆ ก็จางหายไป กระนั้นความสวยงามสว่างไสวเหล่านั้นก็ยังประทับอยู่ในความทรงจำของคนที่ได้เห็น ไม่ลืมเลือน
   ‘Fireworks’ กลายเป็นฉายาของหลิวเจียเย่ที่แพร่ไปทั่วทั้งแผ่นดินจีน และเอเชีย กระทั่งบางแห่งในฝั่งตะวันตก แฟนคลับผู้ที่ตั้งฉายานี้ให้เขาที่จริงแล้วเป็นหญิงสาวชาวอเมริกัน เธอรู้จักเขาครั้งแรกทาง Mu-in channel ผ่านรายงาน Actor National Selection ที่เขาปรากฏตัวในฐานะครูสอนขี่ม้า จากนั้นก็กลายเป็นแฟนคลับของเขา ติดตามผลงานทุกอย่างของเขา เสียใจร้องไห้แทบขาดใจกับการจากไปของเขา
   ในทวิตเตอร์ของเธอได้กล่าวถึงเขาไว้ว่า
          ‘Liu Jieye, my prince. His life is like fireworks. He captured all hearts and rose to the sky in one step, but faded away in a very short time. Still he never really disappeared. Let’s remember him whenever we see fireworks. R.I.P the most dazzling fireworks’
   ข้อความในทวิตเตอร์ของเธอถูกแชร์ไปมากมาย กระทั่ง fireworks กลายเป็นฉายาของหลิวเจียเย่ แฟนคลับของเขาทำเพลงมอบให้เขา ตัดต่อวิดีโอลำอาเขา เขียนจดหมายให้เขา โพสข้อความบอกว่าจะจดจำเขาตลอดไป ทุกครั้งที่เห็นดอกไม้ไฟจะยังนึกถึงเขาเสมอ

   


   
   ห้องสูทหรูของโรงแรมริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง

   เหอเทียนเหิงยืนอยู่ริมระเบียง แผ่นหลังกว้างของเขาดูโดดเดี่ยว อ้างว้าง ใบหน้าที่เคยสะกดทุกสายตาบัดนี้ดูซูบซีด ขาดชีวิตชีวา สายตาของเขามองไปยังท้องฟ้ายามราตรีปราศจากแสงดาว เหม่อลอยไร้วิญญาณ กระทั่งบนท้องฟ้าเหนือแม่น้ำปรากฏแสงหลากสีของดอกไม้ไฟ กระจายอวดสีสัน และความสวยงามของมัน ดวงตาของเขาค่อยมีประกายขึ้นมา ริมฝีปากของเขาเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง ครู่เดียวน้ำตาที่สะกดกลั้นไว้ค่อยไหลซึมจากหางตา ทำให้ภาพของดอกไม้ไฟพร่าเลือน สักพักจึงได้ยินเสียงสะอื้นหลุดลอดจากลำคอ มือทั้งสองข้างกำราวระเบียงแน่น ร่างทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน
   ไม่เคยมีใครได้เห็นเหอเทียนเหิงที่อ่อนแอจนแทบแตกสลายเช่นนี้
   หัวใจของเขาปวดร้าว จนคิดว่าไม่อาจปล่อยให้มันเต้นต่อไป ขาข้างหนึ่งเหยียบรั้วระเบียง กระทั่งได้ยินเสียงที่โหยหาดังขึ้นในห้วงความคิด
   ‘พี่สัญญากับผม ไม่ว่ายังไงก็ตาม ห้ามคร่าชีวิตไม่ว่าของคนอื่นหรือตัวเอง’

   เขาสูดลมหายใจลึก ชักเท้ากลับลงมา ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงทรุดลงนั่งกับพื้น ดวงตาเหม่อมองไปยังท้องฟ้า ดอกไม้ไฟไม่มีแล้ว...


   Who can say for certain
   Maybe you're still here
   I feel you all around me
   Your memories so clear

   Deep in the stillness
   I can hear you speak
   You're still an inspiration
   Can it be

   That you are mine
   Forever love
   And you are watching over me from up above

   Fly me up to where you are
   Beyond the distant star
   I wish upon tonight
   To see you smile
   If only for awhile to know you're there
   A breath away's not far
   To where you are*
   

   Return If Possible, my dazzling fireworks




(End of 1st Arc)


#วิถีเซียน3p


   ………………………………….

*Josh Groban’s To Where You Are

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0


Interval: งานชุมชนเทพเซียน





(1)

 


                รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง จืวซือก็พบว่าตนเองนอนอยู่เตียงนุ่มขนาดใหญ่ มีกลิ่นหอมของทะเลจางๆ เพดานห้องทรงโดมสูงประดับด้วยมุกราตรีดูโอ่โถง มองไปรอบๆ ก็เห็นตั่งทอง ตู้ ตลอดจนเครื่องเรือนเครื่องใช้ต่างๆ จัดวางอย่างลงตัว ไม่เยอะแต่หรูหรา มีระดับ แตกต่างจากต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำเจียงหัวที่เขาอาศัยอยู่หลายขุม
                ที่ไหน?
                จำได้ว่าเขาถูกรถชนกระชากจิตเซียนเขาออกจากร่าง หลังจากนั้นทุกอย่างดับมืด อันที่จริงคาดไว้ว่าพวกผู้คุมสอบจะมารับเขากลับหอคุณธรรม ตัดสินว่าผ่านบททดสอบของชาตินี้หรือไม่ แล้วค่อยปล่อยเขากลับบ้าน
 
                “ตื่นแล้วหรือ”
                ผู้ที่มาใหม่เป็นเด็กหนุ่มอายุราว 14-15 ปี ใบหน้ากลมเหมือนลูกซาลาเปา ดวงตาโค้งลงคล้ายพระจันทร์เสี้ยว เขาถือถาดทองซึ่งมีเหยือกน้ำ และแก้วกระจกวางอยู่ ก่อนจะวางถาดที่โต๊ะใกล้กับเตียง
                จิวซือลุกขึ้นนั่ง กล่าวอย่างเกรงใจว่า “ที่นี่?”
                “วังตะวันออก”
                วังตะวันออก หมายถึง... คงไม่ใช่
                “วังทะเลตะวันออก?”
                “ถูกแล้ว” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ และริมน้ำส่งให้เขา วังทะเลตะวันออก หนึ่งในวังสี่ทิศ ยิ่งใหญ่เป็นรองเพียงวังกลางอันที่เป็นประทับของจอมเทพ จิวซือมองเด็กหนุ่มที่ดูจะอายุน้อยกว่าเขาไม่กี่ปี ฝ่ายนั้นสวมชุดสีขาวล้วน แต่ที่ชายผ้าเป็นสีน้ำเงินปักด้ายลายเมฆมงคลสีเงิน ซึ่งเป็นชุดของข้ารับใช้สวรรค์ คิดได้ดังนั้นก็รีบลุกจากเตียง ประสานมือเพื่อแสดงความเคารพตามธรรมเนียม เนื่องจากเทียบกันแล้วข้ารับใช้สวรรค์มีฐานะสูงกว่าเซียนชั้นผู้น้อยอย่างเขา มิคาดเด็กหนุ่มผู้นั้นจะถลามาคว้าไหล่เขาไว้ แล้วกล่าวว่า “มิกล้าๆ” อย่างร้อนรนกังวลใจ
                แน่ละ ไม่ว่าผู้ใดเห็นเจ้าวังตะวันออกอุ้มเซียนน้อยตนหนึ่งตั้งแต่สะพานข้ามภพ จนถึงเตียงในห้องรับรองด้วยตัวเอง ก็คงมีท่าทีระมัดระวังเช่นนี้
                “สหายเซียนตื่นแล้ว ท่านเจ้าวังให้เชิญไปพบ”
               

                ท่านเจ้าวังที่ว่าย่อมหมายถึงเจ้าของวังทะเลตะวันออกอย่างเทพอวิ๋นหนาน ‘เจ้าวัง’ เป็นชื่อที่ผู้คนในวังใช้เรียกเขา สำหรับคนทั่วไปแล้วมักจะรู้จักเขาในฐานะตงหวาง (อ๋องตะวันออก) เนื่องจากเขาเป็นเทพที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลเขตแดนทางตะวันออกของภพสวรรค์ และมีศักดิ์ฐานะเป็นรองเพียงจอมเทพอ้าวเหยียนหลงเท่านั้น
                จิวซือเดินตามข้ารับใช้เด็กผู้นั้น ซึ่งภายหลังแนะนำตนเองว่าชื่อลั่วหยาง พวกเขาเดินผ่านสะพานไม้ยาวเหยียดซึ่งทอดข้ามสระน้ำขนาดใหญ่ ผิวน้ำใสราวกระจกเผยให้เห็นฝูงมัจฉาหลากสีหลายพันธุ์ ตลอดทั้งเส้นทางประดับด้วยไม้พุ่มและไม้ดอกที่จัดแต่งให้เลื้อยไปตามราวระเบียงของสะพาน ประกอบกับเมฆขาวลอยอยู่เหนือสระน้ำประปราย ทำให้ทัศนียภาพที่ได้เห็นสมกับเป็นภพสวรรค์อย่างแท้จริง
                นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จิวซือมาเยือนภพสวรรค์ แต่ตามปกติแล้วเขาจะอยู่เพียงเขตชั้นนอกซึ่งเป็นที่ตั้งของหอคุณธรรม เพื่อรับบททดสอบด่านคุณธรรม 11 ชาติเท่านั้น ไม่เคยได้ไปเยือนบริเวณอื่น นอกจากนี้ตลอดเวลาจะมีผู้คุมสอบคอยดูแลและตรวจตราเสมอ ทำให้ไม่มีเซียนตนไหนกล้าเอ้อระเหยไปที่อื่น
               
                ลั่วหยางพาจิวซือมาถึงตำหนักขนาดกลางซึ่งตั้งอยู่กลางสระน้ำ จากนั้นก็ล่าถอยไป ขณะเดียวกันหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งน่าจะมีตำแหน่งสูงกว่าลั่วหยาง เป็นผู้พาจิวซือเข้าไปด้านใน
                “ท่านเจ้าวัง สหายเซียนมาแล้วเจ้าค่ะ”
                อวิ๋นหนานไม่ได้เงยหน้าจากฎีกา เพียงโบกมือให้จิวซือไปนั่งรอที่เก้าอี้ด้านข้าง จิวซือพิจารณาเจ้านายของตนเองก็อดชื่นชมไม่ได้ เครื่องหน้าถูกรังสรรค์อย่างประณีต โดยเฉพาะหว่างคิ้วและสันจมูกโด่ง ดวงตาเป็นสีทองสว่างอันเป็นลักษณะเด่นที่บ่งบอกสายเลือดของเทพชั้นสูง ทว่าเส้นผมเป็นสีเงินตามมารดาผู้มีเชื้อสายมังกร บรรยากาศรอบตัวแตกต่างจากเทพทั่วไปที่จิวซือเคยเห็นอย่างชัดเจน จำได้ว่าครั้งแรกที่เห็นเทพอวิ๋นหนานนั้นเป็นตอนที่เขาเพิ่งได้บรรจุเป็นเซียนใหม่ ครั้งที่สองคือตอนที่บังเอิญพบกันริมฝั่งแม่น้ำเจียงหัว ซึ่งอีกฝ่ายประทานพรให้เขาสามชาติ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ดังนั้นนอกจากความประหลาดใจแล้ว ก็ไม่ได้มีความประหม่าแต่อย่างใด จิวซือเพียงดื่มชา และมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างบานสูงอย่างสงบเสงี่ยม
                ราว 1 เค่อ (ประมาณ 15 นาที) อวิ๋นหนานก็วางพู่กันลง ดวงตาสีทองของเขากวาดมองร่างของเซียนน้อย ผู้ที่กระวีกระวาดลุกขึ้นทำความเคารพเขาอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติ
                “ตงหวาง (อ๋องตะวันออก)”
                ทว่าคำเรียกหาอันห่างเหินนั้นทำให้ใบหน้าของอวิ๋นหนานตึงขึ้นเล็กน้อย
                “เรียกเจ้าวัง” เทพหนุ่มบอกเสียงเรียบ
                “ขอรับ ท่านเจ้าวัง” เห็นใบหน้าของเจ้านายของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย จิวซือก็ลอบถอนหายใจโล่งอก ความคิดที่จะประจบของเขาดูเหมือนจะผิดพลาดไป โดยปกติแล้วผู้มีอำนาจทั้งหลายมักชอบให้เรียกตนเองด้วยตำแหน่งใหญ่โต ไม่นึกว่าเทพอวิ๋นหนานจะชื่นชอบสรรพนามที่ดูเป็นกันเองมากกว่า “ขอบพระคุณท่านเจ้าวังที่กรุณาประทานพรให้” แม้ยังไม่ได้ไปหอคุณธรรม จิวซือก็มั่นใจว่าตนเองผ่านบททดสอบชาติที่แปดด้วยความราบรื่น
                “พรสวรรค์เจ้าไม่เลว ตำหนักข้ากำลังขาดคน เจ้าก็อยู่ช่วยที่นี่เถอะ”
                “ขอรับ?” จิวซือแทบเก็บสีหน้าไม่อยู่ ดวงตากลมโสขยายใหญ่ขึ้นอย่างตกใจ
                เซียนชั้นผู้น้อยในวังทะเลตะวันออกน่ะหรือ ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีเซียนตนไหนได้ทำงานในภพสวรรค์ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเขตแดนชั้นนอกที่ไม่สลักสำคัญ หรือหากได้ทำงานในตำหนักใหญ่ๆ เซียนตนนั้นย่อมมีพรสวรรค์หรือมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา แต่ว่าเขาเป็นใคร ย่อมเป็นจุดต่ำสุดของขั้นฐานะแห่งเทพเซียน หากอธิบายให้เข้าใจง่ายอีกนิด ก็คงคล้ายกับเด็กฝึกงานจากสถานศึกษาไร้ชื่อเสียง อยู่ๆ ก็ได้บรรจุทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ แถมได้ใกล้ชิดเจ้าของบริษัท พ่วงเงินเดือนและสวัสดิการดีเลิศนั่นแหละ
                “ซู่ปี้”
                “เจ้าคะ”
                “ให้เขาช่วยงานชุมนุมเทพเซียน”
 
 

                ซู่ปี้ หรือหัวหน้าข้ารับใช้พาจิวซือเดินกลับไปทางเดิม ข้ามสะพานไม้ไปสู่หมู่ตึกทางด้านหลังของตัววัง ซึ่งเป็นที่พักของเหล่าข้ารับใช้ ตลอดทางก็อธิบายกฎระเบียบต่างๆ ของวังตะวันออกให้ฟัง แน่นอนว่ากฎระเบียบของภพสวรรค์นั้น เทพเซียนทุกตนต่างทราบดีอยู่แล้ว
                ซู่ปี้พิจารณาเซียนน้อยตรงหน้าครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มยังคงดูอ่อนเยาว์ อายุราว 17-18 ปี คาดว่าเพิ่งจะเป็นเซียนได้ไม่นาน ใบหน้าของเขาเป็นรูปไข่ เส้นผมสีดำมัดรวบด้วยแถบผ้าสีขาวอย่างเรียบร้อย จมูกเล็ก ริมฝีปากอิ่มสีชมพู ดวงตาสีดำสุกใส ดูอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านคนหนึ่ง ไม่ได้มีเสน่ห์ เฉลียวฉลาด หรือดูพิเศษกว่าผู้ใด  กล้ำกลืนสักนิดก็พอจะกล่าวได้ว่าสะอาดตาน่ามอง จึงไม่เข้าใจว่าท่านเจ้าวังเกิดถูกใจอะไรในตัวเซียนน้อยตนนี้ กระทั่งใช้ข้ออ้า... เหตุผลว่าวังตะวันออกกำลังขาดคน
                รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!
                วังทะเลตะวันออก ร่ำรวยกว่าวังสี่ทิศอื่นๆ ไม่ทราบเท่าไร ยังจะขาดคนได้อย่างไร ทุกวันนี้ข้ารับใช้นับร้อยปรนนิบัติเจ้านายเพียงคนเดียว พระชายาหรือพระโอรสธิดาสักคนก็ไม่มี แม้แต่พระบิดาของท่านเจ้าวังก็ยังไปอยู่กับพระชายาที่ภพมังกรเสียส่วนใหญ่ พวกข้ารับใช้ของวังตะวันออกว่างเสียจนวังอื่นอิจฉา แม้แต่งานชุมนุมเทพเซียน พวกเขาก็เพียงช่วยควบคุมดูแล คนที่จัดการทุกอย่างจริงๆ เป็นเทพแห่งเขาไท่ซานต่างหาก
 
                “อาหาร สถานที่ การแสดง ดูแลแขก งานพิธีการ เจ้าถนัดอะไร” ซู่ปี้ถาม ในเมื่อท่านเจ้าวังสั่งให้เซียนผู้นี้ช่วยงาน ก็จำต้องหางานบางอย่างให้ทำ
                จิวซือคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาเป็นประเภทที่ว่าหากได้รับมอบหมายสิ่งใด ย่อมจะทำให้ดี แต่ในบรรดาตัวเลือกเหล่านี้ เขาล้วนไม่ชำนาญ ดังนั้นจึงลองถามในสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้ และน่าจะผิดพลาดน้อยที่สุด “มีงานใช้กำลังมั้ยครับ” เห็นสีหน้าของหัวหน้าข้ารับใช้คล้ายจะถามว่า ‘อ่อนแออย่างเจ้าน่ะหรือ’ จิวซือจึงขยายความอีกนิดว่า “ข้าน้อยไม่ถนัดงานอะไรเลย แต่พวกยกของ หรือทำความสะอาด น่าจะทำได้ขอรับ”
                ซู่ปี้ยิ้มเล็กน้อย พอใจกับการถ่อมตน และรู้จักฐานะของเซียนตรงหน้า ท่านเจ้าวังเป็นคนใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ไม่แน่ว่าอาจสงสารเซียนน้อยผู้นี้ เพราะดูไปก็คล้ายสัตว์เล็กๆ อยู่เหมือนกัน ท่านเจ้าวังคงใจอ่อนอยากทำกุศล คิดได้ดังนั้น ความสงสัยไม่พอใจก็สลายไปเกือบครึ่ง ซู่ปี้พาจิวซือไปแนะนำให้กับข้ารับใช้อีกคนหนึ่งซึ่งดูแลเรื่องทำความสะอาด สุดท้ายจิวซือจึงได้รับหน้าที่เช็ดถูศาลาด้านหน้าของวัง ซึ่งจะใช้เป็นที่รับรองแขกพิเศษ ก่อนที่แขกจะผ่านสะพานข้ามภพไปยังเขาไท่ซาน
               



                อยู่วังตะวันออกได้เพียงวันเดียว จิวซือก็พบว่าคำพูดของเซียนอาวุโสยังมีเหตุผลอยู่บ้าง ข้ารับใช้สวรรค์ส่วนใหญ่ถือว่าตัวเองเหนือกว่าเซียน ดังนั้นทัศนคติที่มีต่อเซียนจึงค่อนข้างดูถูกและเย็นชา อาจเป็นเพราะว่าข้ารับใช้เหล่านั้นเองเคยเป็นเซียน แต่ไม่ผ่านด่านทดสอบคุณธรรม และไม่คิดจะดิ้นรนให้ผ่านอีก เมื่อเห็นเซียนน้อยอย่างเขาอยู่ระหว่างเข้าทดสอบด่านคุณธรรม จึงมีสีหน้าไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง กระนั้นก็นับว่าวังตะวันออกอบรมคนของตนได้ดี เพราะไม่มีใครหาเรื่องรังแกหรือพูดจาไม่ดีใส่เขา เรียกว่าสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไม่ลำบากอะไร นอกจากนี้ยังมีอาหารสามมื้อและของว่างให้ทานด้วย สำหรับเทพเซียนแล้ว อาหารไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่อาหารพวกนี้เป็นอาหารทิพย์ กินแล้วช่วยเพิ่มพลังเทพ แม้จะเล็กน้อยมากก็ตามที การได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ งานสบาย มีอาหารทิพย์ให้กิน ที่พักยังเปี่ยมด้วยพลังเทพ ถือว่าเป็นชีวิตที่ดีอย่างที่โคนต้นไม้ริมแม่น้ำเจียงหัว ที่อยู่เดิมของเขาเทียบไม่ติ นี่สินะ เซียนส่วนใหญ่ที่สอบตกถึงอยากเป็นข้ารับใช้บนสวรรค์มากกว่าพยายามต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ทราบอนาคต

 







   อวิ๋นหนานเพิ่งรับตำแหน่งต่อจากบิดาไม่นาน เนื่องจากพี่ชายของเขาอวิ๋นเทียนเล่ยพอใจกับการเป็นแม่ทัพสวรรค์มากกว่าสืบทอดตำแหน่งตงหวาง หากเป็นเจ้าวังตะวันออก มีหรือเทพหัวเก่าโบราณพวกนั้นจะกล้าหาว่าพี่ชายของเขาเลือดเย็นไร้หัวใจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ สุดท้ายก็แค่ไม่พอใจที่คนอายุน้อยกว่าตัวเองหลายพันปีได้เป็นแม่ทัพสวรรค์ อวิ๋นหนานหงุดหงิดที่พี่ชายของเขาต้องลงไปบำเพ็ญเพียรยังโลกมนุษย์ โดยที่บิดาของพวกเขาเห็นดีเห็นงาม ด้วยเหตุผลอันไม่น่าเชื่อถือว่าลิขิตของเทียนเล่ยอยู่โลกมนุษย์

   อวิ๋นหนานวุ่นวายกับเรื่องของเทียนเล่ยที่วังกลางอยู่หนึ่งวันเต็ม เมื่อกลับถึงวังตะวันออก เพิ่งจะลงจากสะพานข้ามภพ ก็เห็นร่างคุ้นตาในชุดข้ารับใช้สวรรค์นั่งอยู่บนบันไดของศาลาหลังใหญ่เพียงลำพัง ข้างตัวเขาเป็นถังใส่น้ำ และผ้าขี้ริ้ว ใบหน้ารูปไข่แดงเรื่อ เหงื่อเม็ดหนึ่งเกาะอยู่บริเวณปลายจมูกเล็ก ชวนให้เกิดความรู้สึกเอ็นดูขึ้นมา

   เทพหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อว่าเซียนน้อยตนนั้นไม่ได้แค่หลับตาพักผ่อน แต่กำลังฝึกวิชา ละอองสีทองของพลังเทพค่อยๆ ถูกดูดเข้าไปในผิวกาย ร่างเซียนแม้จะถูกชำระมาแล้วครึ่งหนึ่งก็ยังไม่บริสุทธิ์ เปรียบเสมือนน้ำที่มีตะกอนนอนก้น พลังเทพที่ถูกดูดดึงเข้าไปในร่างจึงนิดน้อยแทบไม่เกิดผล

   อวิ๋นหนานไม่เห็นใครฝึกวิชามานานแล้ว  ข้ารับใช้สวรรค์โดยปกติมักจะพึ่งอาหารทิพย์มากกว่าเสียเวลาฝึกวิชา เนื่องจากไม่ได้หวังก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ เมื่อวันนี้ได้เห็นความตั้งใจของเซียนตนหนึ่งก็พลันนึกถึงคราวที่ฝ่ายนั้นใช้พลังเซียนเพื่อช่วยชีวิตเขา ความรู้สึกยามคนที่อ่อนแอกว่าตนเองใช้ร่างกำบังรถยนต์ที่พุ่งเข้ามานั้นเป็นความรู้สึกที่ยากจะนิยาม แต่เป็นความรู้สึกพิเศษอย่างหนึ่ง

   “เข้าใจมนุษย์ จึงเข้าใจธรรมชาติ จากนั้นค่อยคิดเข้าใจเจตจำนงสวรรค์”
   เสียงทุ้มคล้ายแฝงพลังบางอย่างทำให้จิวซือลืมตาขึ้น เห็นเทพอวิ๋นหนานนังอยู่ในศาลาด้านข้างเขาไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไร จิวซือลองทบทวนคำพูดของอวิ๋นหนานทีละคำ จากนั้นจึงถามว่า
    “ท่านเจ้าวังหมายถึง ข้าน้อยต้องเข้าใจมนุษย์ก่อน จึงค่อยคิดทำความเข้าใจสวรรค์หรือขอรับ”
   “เพราะเหตุใด ก่อนผ่านการชำระดวงจิตเป็นเทพ เซียนทุกตนจึงต้องผ่านด่านทดสอบคุณธรรม 11 ชาติ นี่ย่อมไม่ใช่เพื่อทดสอบคุณธรรมอย่างเดียว แต่ทุกชาติล้วนเป็นบทเรียนแก่เจ้า” อวิ๋นหนานนิ่งไปครู่นิ่ง เมื่อเห็นใบหน้าอ่อนวัยคิดตาม ก็พูดต่อว่า “เจ้าจะฝึกฝนพลังเทพก็ย่อมได้ แต่หากคิดก้าวหน้า ต้องเข้าใจสัจธรรมของชีวิตมนุษย์เสียก่อน สะบั้นโซ่ตรวนที่พันธนาการดวงจิตตนเอง”
   ประโยคสุดท้ายของอวิ๋นหนานเหมือนค้อนใหญ่กระแทกศีรษะจิวซือจนมึนงง สมองคล้ายมีแสงพร่าพราย ขาวโพลน ไม่ทราบจะตอบโต้อย่างไร นอกเสียจากตอบรับเสียงใส และยิ้มตาปิดแบบที่ชอบทำเวลาปิดบังอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ต้องการให้ผู้ใดพบเห็น
   สะบั้นโซ่ตรวนที่พันธนาการดวงจิต
   ตัดขาดจากอดีต
   ข้า...ทำได้หรือ

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0


Interval: งานชุมนุมเทพเซียน




(2)









   สามวันต่อมา

   งานชุมนุมเทพเซียนมาถึง คราวนี้วังตะวันออกเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยง ณ เขาไท่ซาน แน่นอนว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมอย่างสมฐานะ ตั้งแต่การต้อบรับแขกพิเศษที่สะพานข้ามภพ กระทั่งถึงบริเวณงานเลี้ยงบนเขาไท่ซาน ล้วนมีข้ารับใช้ของวังตะวันออกประจำอยู่ทุกจุด ทำให้จิวซือตระหนักว่าข้ารับใช้ของวังมีมากมายถึงเพียงนี้ สำหรับเซียนเพียงคนเดียวอย่างเขา กล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือไม่มีคุณสมบัติพอให้ยืนรับแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย ดังนั้นจิวซือจึงช่วยจิปาถะอยู่ด้านหลัง มิคาดเจ้าวังตะวันออกใช้ให้คนมาเรียกเขา

   เมื่อจิวซือมาถึงสะพานข้ามภพซึ่งประดับประดาอย่างงดงามด้วยโคมแดง ก็พบว่าเจ้านายของเขา เทพอวิ๋นหนานผู้นั้นยืนหันหลัง สนทนากับผู้สูงศักดิ์กลุ่มหนึ่ง จิวซือเพียงปราดสายตามองแวบเดียวก็ทราบว่ากลุ่มคนตรงหน้านั้นมิใช่คนที่เขาจะสามารถมองตรงๆ ได้ แขกกลุ่มสุดท้ายที่จะข้ามสะพานข้ามภพไปสู่เขาไท่ซาน หากไม่ใช่ขบวนของจอมเทพอ้าวเหยียนหลงแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก

   จิวซือก้มหน้าแล้วเดินไปหยุดอยู่หลังอวิ๋นหนานราวสามก้าว ดูเหมือนอวิ๋นหนานจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าเป็นผู้ใด จึงเอ่ยบอกเสียงเรียบว่า “เดินตามข้า”

   “ขอรับ”

   โดยปกติแล้ว ผู้ที่สมควรช่วยเจ้าวังรับแขกย่อมเป็นพระชายา ทว่าวังตะวันออกไม่มีเจ้านายฝ่ายใน ดังนั้นหน้าที่นี้จึงสมควรตกเป็นของหัวหน้าข้ารับใช้ซู่ปี้ ไม่แปลกเลยที่ซู่ปี้จะแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา ขนาดจิวซือเองยังรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะปะปนอยู่ในขบวนของเหล่าเทพชั้นสูงทั้งหลาย อย่างไรก็ตามในเมื่อเป็นคำสั่งของเจ้านาย เหมาะสมหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาเป็นผู้ตัดสิน เขาไม่โง่พอจะขัดคำสั่งเทพอวิ๋นหนาน เพียงแต่ไม่ทราบว่าจบงานคราวนี้จะเกิดความยุ่งยากอะไรอีก

   เมื่อคิดได้ว่าในอนาคตอาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างข้ารับใช้ไม่พ้น จึงตัดสินใจจับขาทองคำที่เรียกว่าเจ้าวังตะวันออกไว้ให้มั่น ในอนาคตหากเกิดเรื่องที่เกินกำลัง หวังว่าอวิ๋นหนานยังจดจำลูกน้องชั้นดีอย่างเขาไว้ อย่างที่บอกโอกาสได้ทำงานในวังตะวันออกสำหรับเซียนไร้ปูมหลังตนหนึ่งแล้วเหมือนโชคสองชั้น หากปล่อยโอกาสนี้ไปถือว่าโง่เขลายิ่ง



   จิวซือเดินตามหลังอวิ๋นหนาน จะว่าไปก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว สมควรกล่าวว่าเดินรั้งท้ายขบวนเสด็จร่วมกับผู้ติดตามคนอื่นๆ จะถูกต้องกว่า บรรดาเจ้านายที่เดินนำนั้นประกอบด้วยจอมเทพอ้าวเหยียนหลง และบิดาของเขาอ้าวเหยียนเล่อ เทพมังกรจินหลง ปัญจราชฑูตเฟยเยี่ยน สี่ท่านแรกนี้มีความเกี่ยวข้องกับภพสวรรค์ จิวซือไม่แปลกใจที่ได้พบพวกเขา ทว่าอีกสองคนนั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมาย

   ราชาปีศาจเซี่ยหย่งเซิง และพระชายา



   ที่จริงแล้วในช่วงสิบปีที่ผ่านมา บุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขานมากที่สุดไม่ใช่เซี่ยหย่งเซิง แต่เป็นพระชายาของเขา กุ้ยอิง ผู้เป็นทั้งเจ้าธารหมอก และบุตรบุญธรรมของอดีตจอมเทพอ้าวเหยียนเล่อ ถือว่าเป็นหนึ่งในโอรสสวรรค์อย่างแท้จริง ด้วยตำแหน่งฐานะเช่นนี้ กลับกลายเป็นชายาของดินแดนศัตรู ส่งเสริมให้อำนาจของภพปีศาจที่ยิ่งใหญ่จนกว่ากลัวอยู่แล้วนั้น เพิ่มพูนจนไม่มีผู้ใดกล้าขัดแย้ง

   เดิมทีการเกี่ยวดองเช่นนี้สมควรถูกขัดขวางอย่างถึงที่สุด แต่เจ้านายแห่งภพสวรรค์และภพมังกรต่างยืนอยู่ข้างเจ้าธารหมอกผู้นั้น อีกทั้งราชาปีศาจก็ใช้สันติสุข สาบานจะไม่รุกรานดินแดนใดเป็นคำมั่นสัญญารัก จากการเกี่ยวดองที่ไม่พึงปรารถนากลายเป็นคำอวยพรทั่วหล้า เรื่องราวความรักสะท้านสะเทือนแผ่นดินเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องราวที่ถูกเล่าขานกันปากต่อปาก กระทั่งเซียนเล็กๆ ในถิ่นห่างไกลอย่างเขายังทราบ

   จิวซือก้มศีรษะมองต่ำ ไม่ทราบว่าบรรดาเจ้านายทั้งหลายมีสีหน้าอย่างไร ทว่าอยู่ๆ ก็ได้ยินสุรเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้น พลังปีศาจแผ่พุ่งชัดเจนแม้แต่ในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์อย่างภพสวรรค์ ย่อมต้องเป็นเจ้าปีศาจเซียหย่งเซิง

   “ปล่อยมือ”

   ใบหน้ารูปสลักประหนึ่งถูกเคลือบด้วยน้ำแข็งพันปี ชุดสีดำไม่เข้าพวกขับเน้นความแข็งกร้าวของเขา สายตาคมกริบที่มองอ้าวเหยียนเล่อกอดไหล่กุ้ยอิงคล้ายมีไฟโทสะเต้นระริกอยู่ข้างใน

   “นี่ลูกชายข้า”

   นอกจากไม่ปล่อยมือแล้ว อ้าวเหยียนเล่อยิ่งกระชับอ้อมแขนดึงตัวลูกชายสุดที่รักเข้ามาใกล้ชิดกว่าเดิม ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงท้าทาย ทำให้โทสะของเจ้าปีศาจพวยพุ่ง บรรยากาศกดดันเช่นนี้กระทั่งเทพธรรมดายังทนไม่ไหว นับประสาอะไรกับเซียนชั้นผู้น้อยอย่างจิวซือ เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกพลังไร้สภาพกดดันจนร่างสั่นสะท้าน แทบหายใจไม่ออก

   “ท่านพ่อ”

   “เสี่ยวอิง เขารังแกเจ้าใช่หรือไม่ถึงซูบผอมเพียงนี้ กลับภพสวรรค์ของเราเถอะ”

   “อ้าวเหยียนเล่อ!” สรุเสียงกัปนาทดังเสียงคำรามแฝงพลังรุนแรง กระทั่งโคมแดงรอบสะพานที่สร้างจากวัตถุพิเศษยังถูกทำลายเหลือเพียงเศษซากตามพื้น

   “ไม่เรียกพ่อตาหรอกหรือ”

   ประโยคยั่วล้อที่ทำให้เจ้าปีศาจชะงัก แม้รังสีฆ่าฟันจะยังรุนแรงแต่เซี่ยหย่งเซิงยังคงต้องยั้งมือ ‘ไว้หน้า’ พ่อตาที่ตนเองไม่ชอบหน้าเลยแม้แต่น้อย

   ถูกแล้ว แม้แต่คนยืนอยู่เหนือผู้อื่นเสมอ ก็มีจุดอ่อนที่ทำให้พ่ายแพ้เช่นกัน   

   “ปวดหัว” เสียงใสราวระฆังดังขึ้นจากผู้ยืนอยู่ในศูนย์กลางของความขัดแย้ง ใบหน้างามล่มเมืองของพระชายาแห่งภพปีศาจฉายความเบื่อหน่าย เหตุการณ์ทำนองเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งจนกุ้ยอิงคร้านจะใส่ใจ หากเป็นที่ภพปีศาจ หรือกระทั่งภพสวรรค์ เขาคงทำเป็นหูทวนลม หาทางเลี่ยงไปอยู่กับอ้าวเหยียนหลงไม่ก็เฟยเยี่ยน ทว่าที่นี่คือวังตะวันออก พวกเขาเป็นแขกยังไม่สนใจเจ้าภาพได้หรือ
   “ตรงไหน”
   “เป็นอะไร เจ็บตรงไหน”
   “อวิ๋นหนาน ตามหมอให้ลูกข้า”
   คำพูดของบิดาทำให้เส้นเลือดในสมองกุ้ยอิงเต้นตุ้บๆ หากถามว่าผู้ใดเอาใจยากที่สุด เขาตอบได้อย่างเต็มปากเลยว่าไม่ใช่เซี่ยหย่งเซิง แต่ป็นบิดาของเขา อดีตจอมเทพอ้าวเหยียนเล่อผู้นี้ คนแก่ชอบเอาชนะ ดังนั้นเมื่อพบว่าเซี่ยหย่งเซิงยอมให้กับฐานะพ่อตาของเขาก็รู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น ทุกครั้งจึงต้องยั่วโมโหเซี่ยหย่งเซิงสักยกหนึ่งก่อน
   “ข้าปวดหัวเพราะพวกท่านนั่นแหละ” กุ้ยอิงว่า จากนั้นจึงประสานมือคาระวะอวิ๋นหนาน “ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ท่านตงหวาง”
   “มิได้”
   เห็นบุตรชายดูเหมือนจะโกรธ อ้าวเหยียนเล่อจึงดึงแขนตนเองกลับมาแล้วกล่าวอย่างยอมแพ้ว่า “ก็ได้ พ่อไม่หาเรื่องแล้ว” จากนั้นใบหน้าสลดเมื่อครู่ค่อยปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ถ้ามีหลาน ต้องให้พ่อเลี้ยง”
   “อ้าว-เหยียน-เล่อ” พลังปีศาจคล้ายจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะถูกดับลงง่ายๆ เมื่อชายาของเขาจับมือไว้ นับทั้งสิบประสานแนบแน่นปราศจากช่องว่าง
   
   “ท่านต้องดูแลบิดาคงเหนื่อยมากสินะ” เฟยเยี่ยนเปรย
   “ท่านต้องดูแลพี่ชายก็คงเหนื่อยไม่แพ้กัน” อ้าวเหยียนหลงพูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน
   “เสี่ยวอิงคงเหนื่อยที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย” เทพมังกรจินหลงส่ายหน้าคล้ายปลงตก
   
   เห็นบรรดาเจ้านายแห่งภพสวรรค์ ภพมังกร ภพปีศาจ กระทั่งแดนธารหมอก ‘สนิทสนม’ กันถึงเพียงนี้ จิวซือพลันรู้สึกว่าข่าวลือที่ได้ยินล้วนอ่อนด้อยกว่าความเป็นจิรงอยู่มากทีเดียว




   เขาไท่ซาน
   สะพานข้ามภพดูเหมือนจากไกลจากโลกมนุษย์มาก ตัวสะพานทอดยาวผ่านกลุ่มเมฆปราศจากที่สิ้นสุด แต่เดินเพียงชั่วอึดใจก็มาถึงเขาไท่ซานได้อย่างประหลาด
   เขาไท่ซานมีประตูสวรรค์คือความเชื่อของพวกมนุษย์ ซึ่งก็ไม่ผิดจากความจริงเท่าใด เพราะเมื่อพ้นสะพานข้ามภพก็จะถึงสือปาผาน ซึ่งมีบันไดหินกว่า 1,600 ขั้นอยู่ระหว่างภูเขา ปรากฎเป็นภาพอันสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เทพเจ้าแห่งเขาไทซ่านเองก็ประทับอยู่เหนือบันไดสูงเทียมเมฆนี้
   จิวซือไม่ทราบว่าหากมนุษย์ขอพร ณ เขาไท่ซานแล้วจะเป็นจริงไหม เพราะเทพมักประทานพรให้กับผู้มีวาสนาต่อกันเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เขาเชื่อก็คือบทกลอนที่ใช้เขาไท่ซานเป็นสัญลักษณ์ว่ามีความจริงซ่อนอยู่
   ‘คนเราเกิดมาต้องตาย บางคนมีชีิวิตยิ่งใหญ่ คณูปการต่อแผ่นดินหนักแน่นดังเขาไท่ซานนี้ แต่บางคนกลับไร้ค่า ชีวิตเบาบางดังขนนก’
   



   งานชุมนุมเทพเซียนจะเรียกว่างานเทศกาลปีใหม่ของเหล่าเทพเซียนก็ย่อมได้ เจ้าวังทั้งสี่ทิศผลัดเวียนกันเป็นเจ้าภาพทุกปี และทุกสิบปีจะจัดขึ้นที่วังกลางของจอมเทพ เวลานั้นย่อมยิ่งใหญ่กว่าครั้งไหนๆ แต่สำหรับจิวซือที่เพิ่งได้ร่วมงามสังสรรค์เช่นนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกแปลกที่แปลกทางอยู่บ้าง เพราะนอกจากบรรดาเทพทั้งหลายแล้ว เซียนที่ได้รับเชิญมาร่วมงานมีเพียงหยิบมือ แต่ละตนล้วนเป็นเซียนอาวุโสที่มีชื่อเสียง ไม่ก็ประกอบกุศลกรรมกับมนุษย์มากมาย
   จิวซือเดินชมบรรยากาศของเขาไท่ซานที่แปลกตาไปจากเดิมเพราะมีพลังเทพอบอวลไปทั่ว มือหนึ่งหยิบอาหารและขนมแปลกตาหลายชิ้นใส่จานแก้วขนาดเล็ก อีกมือถือจอกสุราบุปผา 9 ชนิดอันเลื่องชื่อ จากนั้นก็หามุมสงบที่ห่างไกลออกมาเล็กน้อย แต่ยังได้ยินเสียงดนตรีบรรเลง
   จิวซือพิงร่างกับต้นไม้ใหญ่ เปลือกไม้สากและแข็งแต่กระแสความเย็นที่แผ่ออกมาทำให้สมองรู้สึกปลอดโปร่ง รอยยิ้มบางถูกจุดขึ้นที่มุมปาก บางทีคงเป็นความเคยชิน เซียนแทบทุกตนไม่มีโอกาสได้อยู่บนภพสวรรค์ เพราะร่างกายไม่บริสุทธิ์พอจะรองรับพลังเทพเป็นเวลานานๆ จึงอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ โดยเฉพาะในป่าเขาที่สิ่งแวดล้อมยังไม่ย่ำแย่นัก ตัวเขาถูกมอบหมายให้ดูแลแม่น้ำเจียงหัว จึงมักอาศัยต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำเป็นที่พักพิง ดังนั้นเมื่อแผ่นหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ค่อยเกิดความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมา

   “ซื่อเสวี่ยน”
   
   จิวซือตัวแข็งเมื่อได้ยินชื่อมนุษย์ของตนเอง ร่างกายที่เริ่มผ่อนคลายเปลี่ยนเป็นตึงเครียด กล้ามเนื้อหัวใจหดเกร็ง บีบรัดอย่างรุนแรงเมื่อเห็นร่างที่คุ้นตาก้าวออกจากเงามืด


   อี้...เทียน?


   


   ใบหน้าที่คุ้นตาดูหนุ่มขึ้นกว่าคนในห้วงความคิดมาก ชวนให้นึกถึงเมื่อคราวที่พวกเขาเพิ่งสอบรับราชการได้ใหม่ๆ ทุกรายละเอียดยังคงสลักแน่นในความทรงจำ โดยเฉพาะดวงตาสีดำสนิทเปี่ยมด้วยความจริงจังอยู่เสมอและไฝเม็ดเล็กใต้ตาขวา ร่างสูงใหญ่ของอี้เทียนอยู่ในชุดยาวสีน้ำเงินเข้ม ผมดำยาวถูกมัดรวบไว้เผยให้เห็นหน้าผากกว้าง คิ้วพาดเฉียง และสันจมูกโด่ง ทั้งรูปร่าง หน้าตา ตลอดจนบรรยากาศรอบตัวยังคงทำให้นึกถึงเทพสงครามอยู่ไม่เปลี่ยน

   จิวซือรู้สึกเหมือนสีหน้าตนเองใกล้ปริร้าวลงไปทุกที จึงได้แต่ยิ้มออกมา ขอเพียงมีรอยยิ้ม ความเจ็บปวดทุกอย่างย่อมสามารถปิดบังไว้ได้

   “อี้เทียน” กระทั่งน้ำเสียงยังถูกเขาควบคุมให้เป็นปกติได้อย่างไม่น่าเชื่อ น้ำเสียงของคนที่เจอสหายเก่า

   ไม่ใช่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกันอีก ชื่อเสียงของอี้เทียนในฐานะเซียนรุ่นใหม่อนาคตไกล เขาย่อมเคยได้ยิน ดังนั้นจึงทราบว่าช้าเร็วก็คงได้พบกัน หากว่าตนเองผ่านด่านคุณธรรมได้เป็นเทพ ก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นและมีเวลามากขึ้นอีกด้วย เพียงแต่การพบกันครั้งนี้กะทันหันเกินไป แทบทำให้เขาเสียการควบคุม

   “ซื่อเสวี่ยน เจ้า...เป็นเซียน?”

   ประโยคที่แฝงความแปลกใจทำให้รอยยิ้มของจิวซือสว่างไสวขึ้นอีก ไม่ทราบจะตอบอี้เทียนว่าอย่างไร นอกจากพยักหน้าลงคราหนึ่ง

   “ข้าไม่เห็นชื่อของเจ้าในทำเนียบเซียน นึกว่า...”

   จิวซือหัวเราะเสียงใส พูดติดตลกว่า “ตกนรกน่ะหรือ ตอนแรกข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่ดูเหมือนพอจะมีความดีความชอบอยู่บ้าง”

   คำพูดที่แฝงความดูถูกตนเองนั้นทำให้อี้เทียนขมวดคิ้ว ซื่อเสวี่ยนที่อยู่ตรงหน้าดูห่างไกลจากเสนาบดีซื่อเสวี่ยนผู้เป็นสหาย ใบหน้าของเด็กวัย 17 - 18 ปี รอยยิ้มปลอดโปร่งไร้กังวล ไม่ต้องแบกภาระหน้าที่ไว้บนบ่า แต่ไม่ทราบเพราะอะไรหัวใจเขาถึงบีบรัดเพราะรอยยิ้มนี้

   “ไม่ใช่อย่างนั้น หรือว่า...เจ้าเปลี่ยนชื่อ?” ข้าถึงหาไม่พบ

   “จิวซือ”

   จิวซือ...โชคชะตาและความสุข



   ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้าด้านหลังของจิวซือ เป็นแสงหลากสีของดอกไม้ไฟ กระจายอวดความสวยงามอยู่บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาไท่ซาน ดอกไม้ไฟสะท้อนในดวงตาของอี้เทียน มือทั้งสองข้างของเขากำแน่น สายตาละจากแสงวูบวาบบนฟากฟ้ามาจับจ้องใบหน้าอ่อนวัย

   ความทรงจำเมื่อชาติที่แล้วทำให้สีหน้าของอี้เทียนขรึมลง ตามปกติแล้วความทรงจำของด่านทดสอบคุณธรรมทุกชาติเปรียบเหมือนการอ่านหนังสือ เพียงทำความเข้าใจ เลือกจดจำบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อการเลื่อนขั้นเป็นเทพเท่านั้น แต่ความทรงจำในชาติสุดท้ายของเขานั้น อี้เทียนเลือกจะจดจำทุกอย่างนับตั้งแต่ได้พบหลิวเจียเย่ที่กองถ่าย นั่นเพราะเขาทราบแล้วว่าหลิวเจียเย่คือซื่อเสวี่ยน ร่างเซียนในอ้อมแขนของเทพอวิ๋นหนานที่เขาเห็นอย่างลางเลือนคือซื่อเสวี่ยน

   ที่แท้ก็อยู่ใกล้เพียงนี้



   “ชาติก่อน” ...ข้าคือพี่เหอของเจ้า... มีคำพูดมากมายที่อยากระบายให้คนตรงหน้ารับรู แต่ไม่ทราบจะบอกกล่าวอย่างไร อดีตไม่สามารถกลับไปแก้ไข ต่อให้อยากย้อนเวลากลับไปเพียงใดล้วนเป็นไปไม่ได้

    เมื่อวิญญาณหลุดจากร่างมนุษย์ จึงได้เห็นสายตาสิ้นหวังของซื่อเสวี่ยน ฝ่ายนั้นกอดร่างเปื้อนเลือดและถูกธนูยิงจนนับไม่ถ้วนของเขาไว้ในอ้อมแขน ไม่สนใจมือสังหารที่รุดเข้ามา หากไม่ได้องค์รักษ์เงาของฮ่องเต้ เกรงว่าคงตายตามเขามาแล้ว เวลานั้นค่อยตระหนักว่าซื่อเสวี่ยนก็รักเขาเช่นกัน

   ใบหน้าของสหายที่ร้องไห้แทบขาดใจ พร่ำบอกว่าขอโทษไม่ยอมหยุด ทำให้อี้เทียนทราบว่าตนเองพลาดไปแล้ว เดิมทีที่แต่งงานนั้นก็เพราะต้องการหลบหนีจากความคิดอกุศลที่มีต่ออีกฝ่าย ความคิดอยากครอบครองรุนแรง มีแต่จะทำให้ฝ่ายนั้นแปดเปื้อน แต่สุดท้ายแล้วชีวิตมนุษย์ช่างสั้นนัก เพราะเหตุใดจึงต้องว่ิงหนีหัวใจตนเองและทำร้ายคนที่รัก ชาติก่อนที่หลิวเจียเย่จากเขาไปนั้น เขารู้ซึ้งแล้วว่าสิ่งใดคือความเจ็บปวดอย่างที่สุด



   “อี้เทียน เจ้าผ่านด่านคุณธรรมแล้วหรือ”

   “อืม ชาติที่แล้วมีคนช่วยไว้ เขาให้ข้าสัญญาจะไม่คร่าชีวิต”

   “ยินดีด้วย”

   “แล้วเจ้าเล่า”

   “เหลืออีกสามชาติ”

   “ไม่ต้องห่วง เจ้าต้องผ่านแน่”

   จิวซือยิ้มรับคำอวยพร รอยยิ้มสว่างไสวไม่ต่างจากดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า พร่าพรายจนเกรงว่าจะหายไปได้ทุกเมื่อ ร่างกายของอี้เทียนขยับเข้าไปเร็วเท่าห้วงความคิด อ้อมแขนคว้าคนตรงหน้าเข้ามากอดแน่น ไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึกหวาดกลัวที่พลุ่งพล่าน ไม่อยากมองดอกไม้ไฟบนท้องฟ้าลับหายไปจากสายตาอีก

   ทำเนียบเซียนปราศจากชื่อที่ตามหา จนคิดว่าคงไม่ได้พบอีกแล้ว

   ชาติก่อน แม้ได้พบแต่ไม่อาจครองคู่

   เวลานี้ข้าหาเจ้าพบแล้ว ซื่อเสวี่ยน เจ้ายินดีตกนรกไปกับข้าหรือไม่

   “ดีใจที่ได้พบเจ้าอีก”

   นานกว่าอ้อมแขนจะคล้ายลง จิวซือบังคับให้ตนเองสงบใจแล้วตอบกลับว่า “เช่นกัน”

          ยินดีที่ได้พบ บางทีคงเป็นคำพูดที่เหมาะสมกับพวกเขาที่สุดแล้ว

     





   “สหายเซียน ท่านเจ้าวังเรียกหา” จิวซือจำได้ว่าเป็นเสียงของลั่วหยาง หนึ่งในข้ารับใช้ของวังตะวันออก ฝ่ายนั้นเห็นเขายืนอยู่กับคนอื่นก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้มาก จิวซือบอกว่าเขาทราบแล้ว จากนั้นจึงหันกลับมาสบตาอี้เทียน

   “ข้าไปก่อน”

   “ซื่อเสวี่ยน”

   “จิวซือ” เด็กหนุ่มแก้ไขคำเรียกชื่อตนเอง ตอนนี้ไม่มีมนุษย์ที่ชื่อซื่อเสวี่ยนอีกแล้ว มีแต่เซียนนามว่าจิวซือเท่านั้น

   อี้เทียนคล้ายชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาสีดำวูบไหว ในอกพลันรู้สึกโหวงเหวงขึ้นมา เขาพยักหน้าตกลงก่อนจะเปลี่ยนคำเรียกหาตามที่เจ้าของชื่อต้องการ

   “จิวซือ  เจ้าอยู่ที่วังของเทพอวิ๋นหนานหรือ”

   จิวซือพยักหน้า อย่างน้อยก็ในเวลานี้

   “แล้วข้าจะไปหา”

      





   นับจากงานชุมนุมเทพเซียน เวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว วังตะวันออกยังคงเงียบสงบเหมือนเคย หลังจากงานชุมนุมเทพเซียน จิวซือก็เปลี่ยนหน้าที่มาเป็นข้ารับใช้ที่ตำหนักของอวิ๋นหนาน รับผิดชอบห้องหนังสือ นอกจากปัดกวาดเช็ดถูและจัดเรียงตำราต่างๆ แล้ว เขายังได้รับอนุญาตให้อ่านตำราเหล่านั้นได้ เจ้าวังตะวันออกไม่ค่อยอยู่วัง แต่ทุกครั้งที่กลับมาก็มักจะช่วยคลี่คลายข้อติดขัดในการฝึกวิชาให้โดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยปากถามด้วยซ้ำ มีเทพอวิ๋นหนานเป็นทั้งเจ้านายและอาจารย์ นับว่าเป็นงานสบาย สวัสดิการเยี่ยมอย่างแท้จริง

   หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ยังไม่เห็นคนที่บอกว่าจะมาหา

   จิวซือปิดหนังสือ สูดลมหายใจเข้าลึก ได้เวลาไปหอคุณธรรมแล้ว


ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

A Prince’s fiancé





(1)




   จิวซือลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณไหล่ขวาปวดหนึบ ดวงตากลมแวววาวราวลูกปัดกวาดมองไปเบื้องหน้า เห็นใบไม้สีเขียวเต็มไปหมดคล้ายกับว่าตนเองนอนอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ก็ไม่ปาน รอจนความทรงจำของร่างนี้ส่งผ่านเข้ามาทั้งหมด ค่อยพิจารณาสถานการณ์ของตัวเองอย่างถี่ถ้วน

   อีกาปีกหัก
   ถูกแล้ว ตอนนี้เขาเป็นอีกาสีดำที่ถูกธนูอาบยาพิษยิงจนปีกพิการไปข้างหนึ่ง ต้องขอบคุณต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ที่ช่วยรองรับร่างของเขาไว้ ไม่อย่างนั้นอาจเกิดความพิการซ้ำซ้อนได้
   โลกที่จิวซือถูกส่งมาเริ่มบททดสอบชาติที่เก้านั้น เรียกตนเองว่าอาณาจักรนอร์ท เป็นเขตแดนพิเศษที่ซ้อนทับกับภพมนุษย์ หรือจะกล่าวว่าเป็นเขตแดนปกครองตนเองโดยที่การมีอยู่พวกเขาไม่เปิดเผยแก่มนุษย์ทั่วไปก็คงได้ เหตุผลก็เพราะพวกมนุษย์หวาดกลัวสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะพลังที่ตนเองไม่มี ความระแวงของมนุษย์ไม่มีขอบเขต และสุดท้ายก็จะเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขจัดสิ่งที่ตนเองไม่คุ้นเคยออกไป ดูจากการล่าแวมไพร์ หรือแม่มดในอดีตก็ได้
   เจ้าของร่างที่ตายไปนั้นเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งกาดำ ชื่อว่าแอสเชอร์ สเวน อายุ 17 ปี หน้าตา พรสวรรค์ ผลการเรียนค่อนข้างไปทางแย่ นิสัยซื่อๆ ถึงขั้นซื่อบื้อ ไม่ทันคน กระทั่งโดนปั่นหัวจนตายได้ทั้งที่มีขาทองคำอยู่ใกล้ตัวให้เกาะหนึบไปชั่วชีวิตแท้ๆ
   ขาทองคำที่ว่าก็คือคู่หมั้นของแอสเชอร์ เจ้าชายโดมินิก ลูเซียโน่ รัชทายาทแห่งนอร์ท การที่แอสเชอร์ได้เป็นพระคู่หมั้นของเจ้าชายรัชทายาทนั้น ย่อมไม่ใช่ความสามารถ เสน่หา หรือความรัก แต่เป็นเพราะคุณปู่ของเขาเคยช่วยชีวิตกษัตริย์เด็กซ์ตัน กษัตริย์องค์ปัจจุบันแห่งนอร์ท และเป็นกำลังหลักที่ผลักดันให้ราชวงศ์ลูเซียโน่ขึ้นครองราชย์ เวลานั้นคุณปู่ของแอสเชอร์ได้รับการแต่งตั้งเป็นดยุก ตระกูลสเวนถือเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ ศักดิ์ฐานะพอจะเกี่ยวดองกับราชวงศ์ได้ ทว่านั้นคืออดีต เมื่อสิบปีก่อนทุกคนในตระกูลสเวนค่อยๆ ป่วยตายไปอย่างเป็นปริศนา เหลือเพียงแอสเชอร์คนเดียว
   เดิมทีแอสเชอร์เป็นเด็กฉลาด และร่าเริง แต่เพราะเรื่องของครอบครัวจึงเปลี่ยนเป็นคนไม่ค่อยพูด เก็บตัว และยังถูกพี่เลี้ยงในวังกล่าวกระทบกระแทกอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นต้นตอความซวย ความโชคร้ายที่ทำให้คนในครอบครัวตายยกตระกูล ยิ่งราชวงศ์ปัจจุบันเป็นเผ่างู สัตว์เลื้อยคลานเกลียดสัตว์ปีกเป็นที่รู้กันทั่วไป ดังนั้นเผ่านกจึงถูกกดดันไม่น้อย นับประสาอะไรกับกาดำที่ถูกมองว่าเป็นลางร้ายอย่างแอสเชอร์ ข้อมูลพวกนี้ถูกปลูกฝังในหัวตั้งแต่แอสเชอร์อายุแค่เจ็ดขวบ สองปีก่อนขุนนางหลายคนขอให้กษัตริย์เด็กซ์ตันทรงทบทวนการหมั้นหมายระหว่างรัชทายาทและแอสเชอร์ แต่พระองค์ก็ยังยืนกรานจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับดยุกสเวน ดังนั้นเอสเชอร์จึงเปรียบเหมือนหนามชิ้นใหญ่สำหรับผู้ที่สนับสนุนเจ้าชายโดมินิก

   การตายของแอสเชอร์นั้น จิวซือไม่รู้เบื้องหลังแน่ชัด แต่พอจะเดาได้ว่าคงเกี่ยวพันกับการแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างรัชทายาทโดมินิก และเจ้าชายดีแลน เจ้าชายองค์ที่สองแห่งราชวงศ์ลูเซียโน่ หรือไม่ก็อาจจะเป็นหญิงสาวคลั่งรักที่มีเจ้าชายโดมินิกเป็นเป้าหมายของชีวิต แต่จิวซือเดาว่าคงเป็นประการหลังเพราะเหตุผลที่แอสเชอร์หนีออกมาจากโรงเรียนนั้นก็เพราะได้ยินว่ารัชทายาทไม่ยินดีที่จะแต่งงานกับเขา เกรงว่าจะนำความอัปมงคลมาให้ แอสเชอร์รักอีกฝ่ายอย่างแท้จริง และมองโดมินิกเป็นเหมือนคนในครอบครับเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ ดังนั้นจึงกลัวถูกเกลียด และเลือกจากมาเงียบๆ กระทั่งจดหมายบอกลายังไม่มี ในเมื่อที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขา เขาย่อมไปแสวงหาที่ของตนเอง ไม่คาดว่าจะถูกธนูอาบยาพิษยิงตาย

   นก...เป็นสิ่งมีชีวิตที่รักอิสระ โดยเฉพาะอีกาเป็นพวกที่มีความทระนงตนอยู่ในสายเลือด ต่อให้ถูกกดขี่ และสั่งสอนให้เห็นถึงความต่ำต้อยในฐานะเพียงใด ก็ไม่มีทางก้มหัวให้แต่โดยดี ยอมตายดีกว่าเสียศักดิ์ศรี บางทีคงเป็นธรรมชาติของพวกมัน
   จิวซือไม่แปลกใจที่แอสเชอร์เลือกโบยบินหาอิสระ เพียงแต่ก่อนออกโบยบิน ยังคงต้องเรียกเก็บค่าเสียหายที่ควรได้ ในเมื่อคิดจากไป ไยจึงจากไปมือเปล่า ถ้าเป็นเขาอย่างน้อยๆ ต้องขูดเศษทองคำออกจากต้นขาของโดมินิกสักแผ่นสองแผ่น
   อย่างไรก็ตามแต่ เอาเป็นว่าตอนนี้เขากลายเป็นอีกาปีกหักไร้ซึ่งทรัพย์สินเงินทอง กระทั่งที่ไปก็ไม่มี ยังดีที่พลังจิตเซียนเขาแข็งแกร่งขึ้นมากจากการบำเพ็ญเพียรที่ภพสวรรค์ ดังนั้นอาการบาดเจ็บเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ จิวซือใช้พลังถอนลูกธนูออกจากปีกขวา ลูกธนูขนาดไม่เล็กยามขยับผ่านชั้นเนื้อทำให้ความเจ็บปวดแล่นริ้วจนเหงื่อตก เขาได้แต่กลั้นเสียงร้องไว้ เกรงว่าจะถูกพบ นานหลายนาทีกว่าธนูจะหลุดจากร่าง จิวซือรีบห้ามเลือดและดึงพลังธรรมชาติเข้ามารักษาบาดแผล กระทั่งความเจ็บปวดค่อยทุเลาลง

   ในเมื่อแอสเชอร์เลือกจากมาแล้ว จิวซือก็ไม่คิดกลับไปอีก เขตแดนพิเศษที่เหมือนมิติทับซ้อนเช่นนี้ เขายังไม่เคยไปมาก่อน และไม่ใช่เรื่องง่ายหากต้องการไปเยือน ดังนั้นจึงรู้สึกตื่นเต้นนิดๆ ที่จะได้ออกสำรวจ เจ้าของร่างเดิมไม่มีความคาดหวังยิ่งใหญ่ใดๆ เขาแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข มีโดมินิกเป็นครอบครัว แต่เมื่อพบว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็แค่อยากท่องเที่ยวไปทั่ว โบยบินอยู่กลางนภาอย่างไร้กังวล หลุดพ้นจากกรงที่ขังตนเองไว้ แม้กรงที่ว่าจะเป็นกรงที่เรียกว่าความรักก็ตาม
   จิวซือรู้สึกเหมือนจะคว้าอะไรได้บางอย่าง บางอย่างที่เคยเลือนลางคล้ายเริ่มชัดเจนขึ้นมา แต่ก่อนที่สิ่งนั้นจะปรากฏชัดในห้วงความคิด ก่อนที่เขาจะพยายามเข้าใจมัน ก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นแต่ไกล คบไฟสว่างหลายจุดขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ร่างเล็กๆ ราวสองฝ่ามือของกาดำเกร็งขึ้น ลูกปัดสีดำจับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างระวัง ไม่กล้าขยับตัวหรือหายใจแรง ด้วยเกรงว่าจะเป็นพวกเดียวกับคนที่ยิงธนูใส่เขา
   กระนั้น ดูเหมือนว่าการซ่อนตัวของเขาจะไม่เป็นผล เมื่อร่างของคนผู้หนึ่งกระโดดขึ้นจากพื้นมายืนบนกิ่งไม้ที่เขาอยู่ในก้าวเดียว มือใหญ่ทั้งสองข้างช้อนตัวกาดำที่ไม่มีแรงต่อต้าน แล้วประคองไว้ในอ้อมแขน กริยาทั้งนุ่มนวลและระมัดระวังอยู่ในที ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มบางๆ

   “พบแล้ว เจ้าตัวเล็ก”


   จิวซือกระพริบตามองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดคนที่ปรากฏตัวในเวลานี้จึงเป็นเจ้าชายดีแลนไปได้เล่า
   ดีแลน ลูเซียโน่ เจ้าชายลำดับสองแห่งราชวงศ์ คู่แข่งคนสำคัญของรัชทายาทโดมินิกผู้เป็นพี่ชาย เพราะในประชากรเผ่างูทั้งหมด มีเพียงโดมินิกและดีแลนเท่านั้นที่มีขาเล็กๆ ทั้งสี่ข้างงอกออกมาจากช่วงท้อง พวกเขาเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ซึ่งหากผ่านอัสนีเก้าชั้นฟ้าไปได้จะมีโอกาสกลายร่างเป็นมังกร นอกจากสายเลือดที่โดดเด่นนี้ เจ้าชายดีแลนยังเป็นบุตรที่กษัตริย์เด็กซ์ตันรักและตามใจที่สุด ในความทรงจำของแอสเชอร์ พวกเขาทั้งสองไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันมาก่อน หรือกล่าวให้ถูกต้องก็คือเจ้าชายดีแลนไม่เห็นแอสเชอร์อยู่ในสายตามาตั้งแต่แรก แล้วเหตุใดเขาจึงมาปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้ พร้อมคำพูดและกริยาไม่คล้ายเจ้าตัว

   รอยยิ้มของเจ้าชายดีแลนเลือนหายไป เค้าลางแห่งความโกรธขยับเข้ามาแทนที่เมื่อเห็นรอยเลือดเกรอะกรังและปีกที่บิดจนผิดรูป แม้บาดแผลจะปิดสนิทแล้วก็ตามที
   นิ้วเรียวของดีแลนลูบบริเวณบาดแผล ก่อนจะส่งกระแสความเย็นดังสายน้ำให้โอบล้อมร่างเล็กๆ ไว้ จิวซือรู้สึกถึงพลังอันคุ้นเคยที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย และเบาสบายจนเผลอเอียงหัวเล็กเข้ากับท่อนแขนนั้น ดวงตาหลับลงอย่างเหนื่อยล้า ลืมสิ้นความระวังภัยใดๆ

   
   หลับไปแล้ว
   เห็นกาดำหลับอยู่ในอ้อมแขนของตน หัวเล็กซบท่อนแขนอย่างเป็นสุข จะงอยปากเกยอยู่บริเวณข้อศอกของเขาเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ดวงตากลมปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ ในอกพลันรู้สึกถึงความพึงพอใจ ยิ่งกว่าคราที่เห็นเซียนน้อยตนนั้นตั้งใจฝึกวิชาตามคำสอนของเขา

   เจ้าตัวเล็ก ยามอยู่ในตำหนักของเขามีแต่ก้มหน้ารับคำขอรับๆ กริยาเคารพแต่เหิงห่าง มาเวลานี้กลับกล้าใกล้ชิดเขาโดยไม่ระวัง หรือเพราะไม่เห็นว่าเป็นเจ้านายแล้วจะเอาแต่ใจอย่างไรก็ได้

          อย่างนั้นหรือ เจ้าเซียนน้อย เจ้าเลือกปฏิบัติกับข้าหรอกหรือ







     เห็นเจ้าชายดีแลนกระโดดลงจากต้นไม้ด้วยความนุ่มนวล อ้อมแขนกางกั้น ปกป้องสิ่งมีชีวิตสีดำอย่างระวัง ดวงตาที่เคยไม่แยแสผู้ใด บัดนี้จับจ้องเพียงกาดำที่ดูสกปรก ขมักขะมอมตัวนั้นไม่วางตา ทำเอาบรรดาผู้ติดตามทั้งหลายใกล้จะยกมือขยี้ตาตัวเองเต็มที

       ทั่วทั้งอาณาจักรนอร์ท มีผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าเจ้าชายลำดับสองผู้นี้ถือองค์เพียงใด สายตาของพระองค์มีตัวเองเป็นแกนของโลก ไม่เคยปล่อยให้ตนเองหมุนรอบผู้อื่นมาก่อน กระทั่งพระราชินีคนปัจจุบันก็ยังทรงไม่ไว้หน้า นอกจากพระมารดาที่ล่วงลับไปแล้ว ใครก็มิอาจทำให้เจ้าชายดีแลนอ่อนข้อให้ได้ ทั้งๆ ที่ทรงพยศถึงเพียงนี้ ก็ยังเป็นโอรสที่กษัตริย์เด็กซ์ตันโปรดปรานที่สุด เมื่อครั้นตั้งรัชทายาท ยังคิดแต่งตั้งเจ้าชายดีแลนที่เป็นโอรสองค์รอง เพียงแต่เจ้าตัวปฏิเสธ ไม่ต้องการหาภาระมาแบกก็เท่านั้น ตำแหน่งรัชทายาทจึงกลายเป็นของเจ้าชายโดมินิก

        ส่วนเจ้านกสีดำที่มีวาสนาสูงส่งได้นอนหลับในอ้อมแขนของเจ้าชายดีแลนนั้น เกรงว่าจะเป็น...

     “ฟรานซิส”
     “ครับ”
     “ตรวจสอบเรื่องแอสเชอร์ สเวน”

     เสียงรับสั่งเข้มได้ให้คำตอบแก่ข้อสงสัยของทุกคนหมดแล้ว อีกาที่เจ้าชายทรงทะนุถนอมตัวนั้นคือแอสเชอร์ สเวน พระคู่หมั้นของรัชทายาท ตัวอัปมงคลแห่งนอร์ท

     จะว่าเจ้าชายดีแลนเสียดายราชบัลลังก์จนคิดใช้แอสเชอร์เป็นเครื่องมือก็ไม่น่าใช่ เพราะแอสเชอร์ สเวนไม่มีค่าขนาดนั้น ต่างก็ทราบดีว่าเขาเป็นเสี้ยนหนานที่ฝ่ายสนับสนุนเจ้าชายโดมินิกอยากถอนเต็มแก่ จะว่าทรงทำไปเพื่อเอาใจพระบิดา ก็ดูไม่สมเหตุสมผล ด้วยกษัตริย์เด็กซ์ตันทรงโปรดปรานเจ้าชายดีแลนที่สุดอยู่แล้ว


     มีเพียงดีแลน หรืออวิ๋นหนานเท่านั้นที่ทราบว่าเพราะอะไร

     วังตะวันออกของเขามีข้ารับใช้เพียงพอแล้ว แต่ยังขาดคนสนิทฝีมือดี เวลานี้คนที่เขาสามารถมอบหมายงานสำคัญได้อย่างวางใจมีเพียงคงเหวินเท่านั้น จิวซือเป็นเซียนที่เขาหมายตาให้เป็นผู้ช่วยของเขาอีกคนหนึ่ง การมาจับตาดูว่าที่ลูกน้องในสังกัดจึงชอบด้วยเหตุและผลอย่างยิ่ง




     เจ้าชายดีแลน และคณะผู้ติดตาม เดินทางกลับมาถึงนอร์ทเทิร์นในเวลาไม่ถึงชั่วโมง นอร์ทเทิร์นคือโรงเรียนหลวง สถานศึกษาอันดับหนึ่งแห่งราชอาณาจักรนอร์ท อยู่ห่างจากพระราชวังไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร อาจเรียกว่าเขตพระราชฐานชั้นนอกก็เป็นได้ โครงสร้างเป็นปราสาทสไตล์ยุโรปตะวันออกขนาดใหญ่ มีระเบียงหินและอาคารเตี้ย ตลอดจนอุทยานล้อมรอบ

     ระบบการศึกษาของนอร์ทเทิร์นแบ่บเป็น 8 ระดับ เรียกอย่างง่ายว่า ปี 1 ถึง ปี 8 ไม่มีจำกัดอายุขึ้นต่ำในการสมัครเข้าเรียน แต่เนื่องจากต้องผ่านการทดสอบทั้งความรู้และทักษะต่างๆ นักเรียนชั้นปี 1 ส่วนใหญ่จึงมีอายุประมาณ 11-12 ปี

     แอสเชอร์อายุ 17 ปี ตามหลักแล้วสมควรอยู่ชั้นปีที่ 5 หรือ 6 แต่เพราะความสามารถของเขาจำกัด สอบเลื่อนชั้นไม่ผ่าน ดังนั้นจึงยังอยู่ชั้นปีที่ 4 ขณะที่เจ้าชายดีแลนที่อายุเท่ากัน เวลานี้อยู่ชั้นปีที่ 8 ชั้นเดียวกับเจ้าชายโดมินิก ผู้เป็นพี่ชาย

     นอร์ทเทิร์นเป็นโรงเรียนประจำ มีหอพักสำหรับนักเรียนอยู่ที่ปีกซ้ายของปราสาท แต่สำหรับเจ้าชายดีแลนแล้ว เขามีห้องนอนของตัวเองอยู่ที่ชั้นบนของปีกซ้าย ดังนั้นเขาจึงพาอีกาที่ยังหลับสบายในอ้อมแขนกลับห้องนอนของตนด้วย

     อาณาเขตส่วนตัวที่ไม่เคยมีผู้ใดล่วงล้ำ เวลานี้มีอีกหนึ่งชีวิตได้ก้าวเข้าไปแล้ว





     จิวซือตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเบาะนุ่มๆ หลังจากสังเกตดีแล้วค่อยทราบว่ามันเป็นตะกร้าที่บุด้วยนวมและผ้าแพรสีม่วงเย็นสบาย ตัวเขาที่ยังอยู่ในร่างกาดำนอนอยู่ในนั้น ร่างกายตั้งแต่คอลงไปถูกห่มไว้าด้วยผ้าชนิดเดียวกัน เมื่อขยับตัว เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นใบหน้าของเจ้าชายดีแลนคนเดิม
     กาดำเอียงหัวเล็กๆ แสดงความสงสัย และตั้งคำถามต่อเจ้าชายดีแลนที่ถือตะกร้าอยู่
     “ขี้เซา”
     “ก้า?” หมายถึงเขาเหรอ? จิวซือเอียงหัวไปมา ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง และมองไปด้านบนบ้าง เห็นว่าพวกเขากำลังเดินไปตามระเบียงปราสาท แสงแดดยามเช้าให้ความรู้สึกอุ่นสบาย คาดว่าคงเป็นวันใหม่แล้ว แสดงว่าเขาหลับไปหนึ่งคืนเต็มเลยหรือ
     “พูดภาษามนุษย์”
     “เจ้าชายช่วยผมไว้เหรอครับ”
     อวิ๋นหนานผุดยิ้มที่มุมปาก ท่าทางเอียงหัวเล็กๆ ของเจ้ากาดำดูโง่งม ดวงตากลมใสเหมือนลูกปัดดูซื่อตรง ไร้พิษภัย
     “เธอบาดเจ็บหนัก ยังเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ไม่ได้ ตอนนี้อยู่ในความดูแลของเรา”
     ประโยคกึ่งบอกเล่ากึ่งเป็นคำสั่งนั้นทำให้จิวซืองุนงง ใครบอกว่าเขาบาดเจ็บหนัก เวลานี้ร่างกายของ
เขาหายดีแล้ว อีกทั้งยังดูเหมือนจะแข็งแรงกว่าเก่า อย่าว่าแต่เปลี่ยนร่างมนุษย์เลย ให้เปลี่ยนเป็นร่างพร้อมรบของมนุษย์ที่มีปีกกางอกอยู่ด้านหลังก็ทำได้
     “เข้าใจมั้ย”
     แต่ในเมื่อเจ้าชายดีแลนบอกให้ทำแบบนี้ เขาก็ยินดีจะทำตาม ในโลกที่ไม่คุ้นเคย ทั้งยังมีศัตรูในที่มืด การแสร้งทำเป็นอ่อนแอ ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว
     “เข้าใจครับ”




     ห้องเรียนวิชาการปกครอง ชั้นปีที่ 8

     ศาสตราจารย์ลอเรนโซ่ หัวหน้าภาควิชาการปกครอง ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ที่เฮี้ยบที่สุดแห่งนอร์ทเทิร์น ทั้งยังควบตำแหน่งที่ปรึกษาสภาปกครองแห่งนอร์ท ดังนั้นบรรยากาศในชั้นเรียนของเขาจึงเคร่งเครียดอยู่เสมอ ทว่าในเวลานี้ สายตาของนักเรียนในชั้นวอกแวก ไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ศาสตราจารย์ลอเรนโซ่ แต่เป็นโต๊ะของเจ้าชายดีแลน ซึ่งอยู่ริมหน้าต่างด้านหลังของห้องเรียน

     เจ้าชายดีแลนยังทรงหล่อเหลา สง่างาม และมีกำแพงสูง ยากจะเข้าถึงอยู่เช่นเดิม แต่เวลานี้เหมือนกำแพงที่ว่าจะมีรูโหว่ขนาดใหญ่ ชวนให้ผู้คนอยากมองลอดเข้าไปด้านใน อยากทราบว่าทรงกำลังคิดอะไร ถึงได้มาให้อาหารนกในห้องเรียนเช่นนี้!!!

     ใบหน้าของเจ้าชายดีแลนจับจ้องอยู่ที่ตะกร้าไม้บนโต๊ะเรียน มือข้างหนึ่งเท้าค้างในกริยาผ่อนคลายอย่างหาได้ยาก ส่วนอีกข้างหยิบเมล็ดแตงที่ปลอกเปลือกเรียบร้อยป้อนเจ้ากาดำที่นอนอยู่ในตะกร้า เจ้านกตัวนั้นก็ช่างว่านอนสอนง่าย จะงอยปากเล็กรับเมล็ดแตงที่ถูกส่งมาให้อย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็แสดงความขอบคุณด้วยการเอาหัวเล็กๆ ถูไถมือของเจ้าชายดีแลนอย่างสนิทสนม และแม้เจ้าชายจะไม่ได้ยิ้มออกมา แต่สีหน้าและแววตาอ่อนลงจนสังเกตได้ ท่าทางที่ทรงมีต่อนกตัวนั้นดูอ่อนโยนกว่าท่าทางที่ทรงปฏิบัติต่อพระราชินีเสียอีก



     “เจ้าชายดีแลน” เสียงของศาสตราจารย์ลอเรนโซ่ทำให้ทุกสายตาหันกลับไปด้านหน้าห้อง รวมถึงคนที่ถูกเรียก และเจ้ากาในตะกร้า ที่ขยับหัวเล็กๆ เกยขอบตะกร้าอย่างสนใจ

     ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นของกาลเวลาแสดงถึงความไม่พอใจ แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีเหลืองทองของเจ้าชายดีแลน ความไม่พอใจนั้นก็เปลี่ยนเป็นความกลัว เขาถึงกับลืมไปว่านอกจากดีแลนจะเป็นเจ้าชายแล้ว เขายังเป็นสายเลือดชั้นสูงของเผ่างู เป็นงูใหญ่ที่มีสี่ขา เป็นบุคคลที่ไม่ควรตอแยด้วยที่สุด กระนั้นด้วยความที่ตนยังต้องรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นอาจารย์ และหน้าตาของฝ่ายรัชทายาท ลอเรนโซ่จึงปลุกปลอบขวัญตนเอง กล่าวเสียงแข็ง
     “ทรงให้คนพาสัตว์เลี้ยงกลับไปพักก่อนดีหรือไม่ เจ้าชาย”
ดีแลนเลิกคิ้ว ใบหน้าปรากฏรอยเย้ยหยัน เขาอุ้มเจ้ากาดำออกจากตะกร้า วางมันไว้ในอ้อมแขนให้ทุกคนได้เห็นชัดๆ และใช้นิ้วลูบหัวเล็กเบาๆ ก่อนเอ่ยว่า
     “ศาสตราจารย์เข้าใจผิดแล้ว นี่คือแอสเชอร์ สเวน ตระกูลสเวนต้องเกี่ยวดองกับเรา ให้เขาฟังเรื่องการปกครองไว้คงไม่ผิดกระมัง”
     ประโยคดูเหมือนจะอธิบาย แต่ท่าทางมั่นใจ ไม่ยินยอมให้ปฏิเสธ
     “ศาสตราจารย์?”
     ลอเรนโซ่รู้สึกถึงแรงกดดัน ราวกับร่างกายถูกงูใหญ่รัดไว้ทั้งตัวจนขยับไม่ได้ เขามีความรู้สึกว่าหากตนเองกล้าปฏิเสธ จะถูกรัดจนกระดูกแหลก ลอเรนโซ่กลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว
     “สนใจเรียนรู้ย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว”
     จิวซือรู้สึกขบขันกับท่าทางที่พยายามปกปิดความกลัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังพยายามงัดข้อกับเจ้าชายดีแลน ศาสตราจารย์ลอเรนโซ่เป็นพวกเดียวกับเจ้าชายโดมินิก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะเกลียดและดูถูกแอสเชอร์ สเวน แม้เขาไม่เคยลงมืออย่างเปิดเผย แต่สายตาและคำพูดเสียดสี เจ้าของร่างจำได้ทุกคำ ท่าทีของลอเรนโซ่ยังชักชวนให้ผู้คนรอบข้างมองแอสเชอร์อย่างเป็นปฏิปักษ์มากขึ้นด้วย จิวซือเชิดหน้ามองลอเรนโซ่ ดวงตากลมแวววาว หากเป็นมนุษย์ ริมปีปากคงจะฉีกยิ้มท้าทายด้วยแล้ว
     “ก้าาา”
     เสียงขานรับของเจ้ากาดำทำให้รอยขบขันปรากฏบนใบหน้าของเจ้าชายดีแลน ขณะที่ศาสตราจารย์ลอเรนโซ่ตัวสั่นด้วยความโกรธที่ไม่สามารถบรรยายได้

     แอสเชอร์ สเวน!!!


ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

Prince’s fiancé



 (2)




   เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ดีแลนก็ถือตะกร้าพานกของเขากลับห้องท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นหลายสิบคู่ เชื่อได้เลยว่าเหตุการณ์ที่เขาออกโรงปกป้องแอสเชอร์อย่างไม่ไว้หน้าศาสตราจารย์ลอเรนโซ่ต้องโด่งดังไปทั้งรั้วโรงเรียน
   ทันทีที่ดีแลนวางตะกร้าลงบนโต๊ะหนังสือ จิวซือก็กลายร่างเป็นมนุษย์ แอสเชอร์ สเวน ผู้มีผมและตาสีดำสนิท รูปร่างเล็กและมีผิวซีดคล้ายเด็กขาดสารอาหาร เด็กหนุ่มสูงแค่ไหล่ของดีแลนทั้งที่อายุเท่ากัน
   “เจ้าชาย”
   “เรียกเจ้านายสิ”
   “ครับ?”
   อวิ๋นหนานมองใบหน้าที่เก็บอาการแปลกใจรวมถึงระแวงไว้ไม่อยู่ ร่างมนุษย์ให้ภพชาตินี้ไม่ต่างจากร่างจริงของเซียนผู้นั้นมากเท่าใดนั้น โดยเฉพาะดวงตาสีดำคู่นั้นที่จ้องมองเขาอย่างเอาจริงเอาจังเสมอเวลารับคำสั่ง หรือฟังคำชี้แนะจากเขา
   เขาไม่อาจเปิดเผยฐานะของตนเองที่นี่ ด้วยเป็นการละเมิดกฎสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้คำเรียกหาเป็นเจ้าวังได้ ส่วนเหตุผลที่ให้อีกฝ่ายเรียกเขาว่าเจ้านายนั้น เพราะเขาคิดจะฝึกให้ว่าที่ลูกน้องคนสนิทของเขาเข้าใจว่า ต่อให้เขาเป็นเจ้านายก็สามารถออดอ้อนเขาได้ สามารถขอร้องให้เขาถ่ายทอดวิชา ปกป้อง หรือหนุนหลังได้ เรียกว่าฝึกไว้ให้ชินก็ไม่ผิดนัก เมื่อกลับวังตะวันออกจะได้ไม่เลือกปฏิบัติกับเขาอีก
   “ไม่ยินยอมรับเราเป็นเจ้านายหรือ”

   เจ้านาย?
   คราวนี้จิวซืองุนงงอย่างแท้จริง เจ้าชายดีแลนตรงหน้าดูไม่คล้ายดีแลนที่อยู่ในความทรงจำของแอสเชอร์ เจ้าชายลำดับสองคนนั้นไม่มีทางสนใจคนอย่างแอสเชอร์ สเวน หรือจะกล่าวให้ถูกก็คือเขาไม่ควรเสียสละความคิดในเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ การเป็นเจ้านายของแอสเชอร์ มีประโยชน์อะไร นอกจากความนึกสนุกชั่วคราวแล้ว จิวซือหาเหตุผลอื่นที่พอเป็นไปได้ไม่ออกเลย
   “หมายถึงเจ้าชายอยากได้ผมเป็นสัตว์เลี้ยง?”
   ดีแลนย่นหัวคิ้วเล็กน้อย ท่าทางไม่ใคร่พอใจ แต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะตอบว่า “สถานะของตัวเอง เธอก็คิดเองแล้วกัน ส่วนฐานะของเราคือเป็นเจ้านายของเธอ”
   จิวซือหัวเราะในลำคอ ตัดสินใจเลิกคาดเดาความคิดของคนตรงหน้า แต่ไหนแต่ไรมาเขามักจะคอยมองสีหน้า และคาดเดาความคิดของผู้อื่นเสมอ คอยวางแผนไม่ให้ตัวเองและสหายเพลี่ยงพล้ำ เดินหมากทุกตาในสมองเป็นสิบรอบเพื่อป้องกันความผิดพลาด แต่สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร ความผิดพลาดอย่างไม่น่าอภัยก็เกิดขึ้นจนได้
   สิ้นเปลืองสมองคาดเดาจิตใจผู้อื่นเป็นเรื่องเสียเวลา มิสู้อบรมจิตใจตนเองให้เข้มแข็ง นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เขาเรียนรู้จากด่านคุณธรรม
   “ไม่ยอมรับครับ” เด็กหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้ม
   “…” ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าชายดีแลนเต็มไปด้วยคำถาม และเค้าลางแห่งความไม่พอใจ
   “ไม่ว่าลูกน้องหรือสัตว์เลี้ยง ผมก็ไม่ชอบทั้งนั้น” เป็นลูกน้อง ต้องทำตามความต้องการของเจ้านาย มอบความซื่อสัตย์ภักดีให้ ขณะที่สัตว์เลี้ยงนั้น สามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยไร้กังวล แต่ต้องเสียอิสระไป แน่นอนว่าเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้


   “แล้วเธออยากเป็นอะไรของเรา”
   “เจ้าชายต้องการใช้ผมต่อรองกับรัชทายาทหรือครับ”
   ดีแลนขมวดคิ้ว เสียงของเขาเข้มขึ้น “ไม่ใช่”
   “งั้นทรงต้องการประโยชน์อะไรจากคนไร้ค่าอย่างผม”
   “อย่าดูถูกตัวเอง”
   ดวงตาสีเหลืองทองฉายประกายจริงจังยามกล่าวถ้อยคำนั้น จิวซือพลันนึกถึงเจ้าวังตะวันออกที่ชอบใช้สายตาเช่นนั้นยามสอนเขา ข้ารับใช้คนอื่นในวังล้วนมองเขาเป็นพวกดื้อด้าน ไม่รู้จักเจียมตัว มีแต่ตงหวางเท่านั้นที่เชื่อว่าเขาสามารถผ่านด่านทดสอบคุณธรรมได้ นอกจากไม่หัวเราะเยาะที่เขาพยายามฝึกพลังเทพทุกวันทั้งที่เป็นเซียนแล้ว ยังคอยช่วยเหลือ
   เขาไม่ดูถูกตัวเองอยู่แล้ว นับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วิถีเซียน ก็มั่นใจว่าจะสำเร็จเป็นเทพ ถึงเวลานั้นเรื่องราวที่อยากทำก็จะกระทำอย่างเต็มที่
   “ในเมื่อเราอายุเท่ากัน หากเจ้าชายไม่รังเกียจ เราเป็นเพื่อนกันเถอะครับ”
   ดูเหมือนว่าคำตอบของแอสเชอร์จะเหนือความคาดหมายไปมาก สีหน้าของเจ้าชายดีแลนจึงแสดงออกว่าเขาต้องการฟังซ้ำอีกครั้ง ให้มั่นใจว่าตนได้ยินไม่ผิด ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าของคนที่อ้างตัวเองว่าอายุเท่ากันทั้งที่สูงแค่ไหล่ของเขา และเรียนช้ากว่าเขาอย่างพิจารณา สายตาของเขาหยุดลงที่รอยยิ้มปลอดโปร่งของแอสเชอร์ ก่อนที่ริมฝีปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มจะกล่าวว่า “ตามใจ”




   เวลาบนโลกมนุษย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรจิวซือก็อยู่กับดีแลนมาร่วมสัปดาห์แล้ว พูดตามตรง เป็นนกมันก็สบายดี จิวซือค้นพบว่าการฝึกพลังธรรมชาติ หรือที่ดินแดนนี้เรียกว่าพลังเวทย์นั้น ในร่างนกทำได้ง่ายกว่าร่างมนุษย์ ดังนั้นส่วนใหญ่เขาจึงอยู่ในร่างกาดำ พลังเวทย์โดยเฉพาะธาตุลมและธาตุน้ำค่อนข้างตอบสนองต่อร่างกายของเขาได้ดี
   จิวซือยังพบอีกว่าดีแลนชอบให้เขาอยู่ในร่างสัตว์เล็กๆ เช่นนี้ ดูเหมือนดีแลนจะมองเขาเป็นสัตว์เลี้ยงมากกว่าเป็นสหายอย่างที่เคยตกลงกันไว้ ฝ่ายนั้นมักชอบให้อาหารเขา ลูบหัวเขา ข้อดีก็คือเวลาที่ทำอย่างนั้นก็จะถ่ายทอดพลังเย็นๆ มาด้วย ทำให้ร่างกายของเขาผ่อนคลาย และสบายมากจนเผลอเอาศีรษะถูไถมือใหญ่ไปมา นับจากนั้นดีแลนก็เริ่มถ่ายทอดพลังให้เขาทุกเช้า รอจนเขาถูไถฝ่ามือเป็นการขอบคุณแล้ว จึงจะพอใจ ถึงได้บอกว่าฝ่ายนั้นมองเขาเป็นสัตว์เลี้ยงไปแล้วจริงๆ นอกจากนี้ดีแลนยังคงถือตะกร้าพาเขาไปเรียนด้วยทุกวัน ไม่แปลกเลยที่เรื่องนี้จะกลายเป็นหัวข้อสนทนาของคนทั้งสถานศึกษา หรือแม้กระทั่งในวังหลวง ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุนี้หรือไม่ วันนี้ดีแลนจึงถูกกษัตริย์เด็กซ์ตันเรียกเข้าวังแต่เช้าตรู่

   จิวซือเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์ ใส่เครื่องแบบนักเรียนเรียบร้อย เดินลงจากห้องของดีแลน เมินเฉยต่อสายตาดูแคลนของผู้อื่น ในเมื่อดีแลนมีห้องพักกว้างขวาง ทำไมเขาต้องกลับไปเบียดเสียดกับเพื่อนร่วมห้องอีกสามคนที่ล้วนแต่มีนิสัยย่ำแย่ ที่สำคัญคุณภาพของห้องพักที่จัดให้โอเมก้าอย่างพวกเขาขาดความใส่ใจอยู่บ้าง
   ระหว่างทาง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นของโชว์ เพราะมีสายตาหลายสิบคู่ตามติดตลอดเวลา แม้ไม่ถึงกับสร้างความลำบาก แต่ก็น่ารำคาญไม่ใช่น้อยอยู่เหมือนกัน ขณะที่จิวซือกำลังเดินผ่านลานน้ำพุเพื่อไปยังตึกเรียน ก็มีเด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันสามคนเดินเข้ามาขวางทาง
   เพื่อนร่วมห้องที่ไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวันของเขานั่นเอง
   “อาศัยอะไรไปพักที่ห้องของท่านดีแลน”
   “ตัวอัปมงคล ไม่รู้ใช้อะไรหลอกล่อเจ้าชาย”
   “อ่อนแอ ไร้ประโยชน์ปานนี้”
   “ครอบครัวตายไปหมดไม่พอ ยังคิดจะสาปแช่งท่านดีแลนอีกคนหรือไง”
   

   ปึก!!!
   จิวซือพุ่งเข้าไปกดเด็กหนุ่มที่เชิดหน้าด่าทอถึงครอบครัวสเวนลงพื้นอย่างแรง มือข้างหนึ่งกำรอบลำคอเรียวของฝ่ายนั้นไว้ หากเป็นทุกที เขาคงปล่อยผ่านไป แต่คนพวกนี้ทำตัวน่ารำคาญเหลือเกิน ถ้าไม่เชือดไก่ให้ลิงดูเสียบ้าง เรื่องน่ารำคาญเช่นนี้ก็คงมีต่อไปไม่จบสิ้น แถมคนจำพวกปากเก่งแบบนี้ก็มีอยู่มาก พวกเขาไม่เคยรู้หรอกว่าได้ใช้คำพูดทำร้ายคนอื่นไปเท่าไร แค่พอใจที่ได้เหยียบย้ำคนอื่นให้ตัวเองดูสูงขึ้นเท่านั้น เทียบกับคนที่ยิงธนูใส่เขาแล้ว คนพวกนี้ยังน่ารังเกียจกว่า
   มือกำรอบคอบีบแน่น กำแพงลมถูกสร้างขึ้นในชั่วพริบตา ก่อเกิดวงแหวนสามวงรอบตัวของแอสเชอร์ ป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้ามา ไม่เพียงเท่านั้น น้ำจากน้ำพุยังพุ่งเป็นสายเข้ามาเสริมความเเข็งแกร่งให้กับกำแพงลม กลายเป็นการรวมเวทย์ที่สมบูรณ์แบบอย่างที่แอสเชอร์ สเวนคนก่อนไม่สามารถกระทำได้
   “เก่งแต่ปาก”
   “อ..อ่..ย” ฝ่ายนั้นดิ้นรน และพยายามดึงมือออกจากลำคอตนเองแต่ไม่สำเร็จ
   “ยังพูดอยู่อีก”  ใบหน้าของแอสเชอร์ประดับรอยยิ้ม ตรงข้ามกับดวงตาที่มีประกายเยียบเย็น เป็นสายตาแบบเดียวกับที่ใช้มองศัตรูในสนามรบ ไร้ซึ่งความเมตตาใดๆ ประหนึ่งฝ่ายตรงข้ามถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องตายภายใต้เงื้อมมือของเขา มือที่กำรอบคอบีบแน่นขึ้นอีก ไม่สนใจน้ำตาและการด้ินรนของคนใต้ร่าง หรือแม้แต้เสียงโหวกเหวกรอบตัว รอกระทั่งคนใต้ร่างแทบสิ้นสติเพราะขาดอากาศหายใจ ค่อยคลายมือออก แอสเชอร์ตบแก้มขาวซีดของอีกคนเบาๆ พร้อมรอยยิ้มเจิดจ้ากว่าเดิม
   “อย่างนั้นแหละ ต่อไปก็อยู่เงียบๆ ล่ะ”



   ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์อดรู้สึกขนลุกกับความรุนแรงที่แอสเชอร์ สเวน แสดงออกไม่ได้ ความกระหายเลือดเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ป่า พวกเขาบูชาความแข็งแกร่ง ดูแคลนและเหยียบย่ำคนอ่อนแอ ดังนั้นแทบไม่มีใครสงสารหรือเห็นใจเด็กหนุ่มที่ถูกทำร้าย เพราะล้วนเกิดจากความปากดีของตัวเองทั้งนั้น ทว่าแอสเชอร์ สเวน คนนั้นต่างหากเล่าที่ดึงดูดสายตา
   แววตาเยียบเย็นกับรอยยิ้มเจิดจ้าเมื่อปรากฏขึ้นพร้อมกันกลับทำให้ใบหน้าธรรมดาๆ ดวงนั้นดูโดดเด่นและมีเสน่ห์ขึ้นมา
   อีกา...เป็นสิ่งมีชีวิตที่เย่อหยิ่ง ทระนงตน แข็งแกร่ง และเคยเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงอำนาจมาก่อน เป็นคำบอกเล่าของคนรุ่นคุณปู่ที่หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง พวกเขาคงไม่เชื่อ

   “แอสเชอร์” เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง จิวซือหันไปก็พบว่าเป็นเจ้าชายรัชทายาทแห่งนอร์ท โดมินิก ลูเซียโน่
   ใบหน้าคมคายที่ดูคล้ายพระราชินีองค์ปัจจุบันราวกับถอดมาจากพิมพ์เดียวกัน เส้นผมสีเงินถูกรวบไว้ด้วยมงกุฎทองอันเล็ก สันจมูกโด่ง คิ้วเข้ม และดวงตาสีเหลืองทองของเผ่างู ส่งผลให้รัศมีของชนชั้นปกครองแผ่อยู่รอบตัวโดมินิก แอสเชอร์มองคนผู้นี้เป็นครอบครัวหนึ่งเดียว แต่เมื่อจิวซือพิจารณาดูแล้ว จึงพบว่าโดมินิกเห็นแอสเชอร์เป็นแค่คนรู้จักเท่านั้น ไม่มีความห่วงใยใดๆ ที่ยอมหมั้นกับเขา เกรงว่าจะทำไปเพื่อเอาใจบิดาให้มอบบัลลังก์แก่เขาอย่างวางใจเท่านั้น
   ใครบอกว่าแอสเชอร์ สเวน ไม่มีประโยชน์
   หรือต่อให้ไม่มีประโยชน์จริง แต่นามสกุลสเวนของเขายังมีค่าต่อกษัตริย์เด็กซ์ตัน
   “รัชทายาท”
   โดมินิกชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำเรียกหาที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่พี่โดมินิกแต่เป็นรัชทายาท กระนั้นก็ยังคงรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้ายามเอ่ยถาม
   “ไม่บาดเจ็บใช่ไหม”
   จิวซือชื่นชมโดมินิกในใจ เพราะอีกฝ่ายสามารถสวมหน้ากากการแสดงได้อย่างแนบเนียนเช่นนี้ แอสเชอร์ถึงได้หลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
   “หมายถึงตอนนี้ หรือก่อนหน้านี้ครับ” กระทั่งคำถามจี้ใจดำยังไม่สามารถทำให้หน้ากากของโดมินิกเกิดรอยร้าวได้ จิวซือกดยิ้มลึก กล่าวต่อว่า “สบายดีครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง” จากนั้นก็เดินไปยังตึกเรียน
   ไม่ว่าโดมินิกจะอยู่เบื้องหลังธนูอาบยาพิษหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ในเมื่อแอสเชอร์ตัดสินใจจากไปเงียบๆ เขาก็ไม่คิดจะสิ้นเปลืองเวลากับคนผู้นี้อีก
   เรียนให้จบ และออกไปท่องโลกกว้าง คือเป้าหมายในชีวิตชาตินี้ของเขา
   เซียนน้อยอย่างเขาสมควรใช้ชีวิตสบายๆ เช่นนี้แหละ



   ภพสวรรค์ วังตะวันออก

   คงเหวิน เป็นเทพชั้นกลาง รับตำแหน่งผู้ช่วยของเจ้าวังตะวันออกเทพอวิ๋นหนาน เขามีใบหน้ารูปเหลี่ยม คางหยัก แสดงถึงความเป็นคนเถรตรงและกล้าตัดสินใจ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขาถูกเจ้านายเรียกตัวกลับจากภพมังกรกะทันหัน รีบรุดมาด้วยคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใด มิคาดว่าเจ้านายจะโยนภาระให้เขาดูแลวังตะวันออก บอกว่าจะไปพักผ่อนที่โลกมนุษย์ราวสิบวัน คงเหวินถึงกับพูดไม่ออกไปพักใหญ่
   งานผู้ช่วยของตงหวางยุ่งมาก แม้งานราชการจะมีกรมกองต่างๆ เป็นมือเป็นเท้าให้ตงหวางอยู่แล้ว แต่เรื่องส่วนตัวที่สำคัญ หรือเรื่องร้องเรียนที่ถูกส่งมายังวังตะวันออกล้วนมีเขาเป็นผู้จัดการ อย่างเช่นเวลานี้ มีแขกสำคัญมาเยือน แขกผู้นั้นมีฐานะใหญ่โตอย่างที่เทพชั้นกลางอย่างเขาไม่อาจรับหน้าได้ แต่เพราะเจ้าวังไม่อยู่ บวกกับวังตะออกไม่มีนายหญิง คงเหวินจึงเป็นผู้เดียวที่พอจะออกไปต้อนรับ
   
   “คาราวะท่านเทพยามา”
   บุรุษหนุ่มที่คงเหวินทำความเคารพนั้นสวมชุดดำตลอดทั้งร่าง เส้นผมสีดำยาวถึงกลางหลัง ใบหน้ารูปสลักคมคาย มีใฝเม็ดเล็กใต้ตาขวา หากจิวซือได้เห็น คงยิ้มทักทายเขาในฐานะสหายที่เคยบอกว่าจะมาหา
   ถูกแล้ว แขกที่มาเยือนวังตะวันออกในเวลานี้คือ อี้เทียน เพียงแต่ดวงตาของเขาไม่ใช่สีดำสนิทสีเดียวอีกต่อไป ดวงตาข้างซ้ายยังคงเป็นสีดำ ทว่าดวงตาข้างขวาบัดนี้เรืองแสงสีทองแห่งเทพ ดวงตาสองสีเช่นนี้เป็นลักษณะพิเศษหนึ่งเดียว เป็นสัญลักษณ์ของเทพผู้ปกครองยมโลก เทพยามาเท่านั้น

   “ข้ามาพบเซียนที่ชื่อจิวซือ"

จิวซือหรือ
   คงเหวินพยายามทบทวนใคร่ครวญอย่างเต็มที่ ก็ไม่สามารถระลึกถึงบุคคลชื่อดังกล่าวได้ จึงเรียกซู่ปี้มาสอบถาม ค่อยได้ความว่าจิวซือเป็นเซียนน้อยที่ท่านเจ้าวังพามา
   “สหายเซียนผู้นั้นไปหอคุณธรรมตั้งแต่เมื่อวานแล้วเจ้าค่ะ”
   คงเหวินเห็นใบหน้าของเทพยามาขรึมลงทันที ดวงตารัตติกาลข้างหนึ่งคล้ายมีประกายวูบวาบพาดผ่าน ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามต่อว่า “แล้วตงหวาง?”
   “ตงหวางไม่อยู่เช่นกันขอรับ”
   ร่างสูงใหญ่แผ่แรงกดดันตามธรรมชาติออกมาจนคงเหวินแทบเหงื่อตก ดีที่ยังรักษาสีหน้าสงบโดยไม่แสดงความตระหนกให้เสียชื่อวังตะวันออกไว้ได้ หากเป็นเทพอื่น แม้จะมีตำแหน่งสูงส่งกว่าเขายังต้องไว้หน้าคนสนิทของตงหวางและเกรงใจวังตะวันออก ทว่าเทพยามาแต่ไหนแต่ไรมักเป็นพวกไม่มีเหตุผล ด้วยปกครองยมโลกมีอำนาจเหนือดวงวิญญาณทั้งหลาย มั่นใจได้อย่างไรว่าวันหนึ่งจะไม่มีเรื่องที่ต้องขอความช่วยเหลือจากยมโลก มั่นใจได้อย่างไรว่าวันหนึ่งตนเองจะไม่ถูกส่งไปยมโลก ดังนั้นทัศนคติที่เทพเซียนมีต่อเทพยามาคือ ‘ไม่เป็นศัตรู’ หากไม่จำเป็น
   คงเหวินไม่ทราบว่าแดนยมโลกเปลี่ยนผู้ปกครองตั้งแต่เมื่อไร เพราะตามปกติแล้ว เทพยามามักไม่ปรากฏตัวในวงสังคม จำได้ว่าเทพยามาคนก่อนเคยโผล่อาละวาดที่ภพสวรรค์ครั้งหนึ่ง ถึงขั้นแตกหักกับอดีตจอมเทพ ลั่นวาจาว่าผู้สืบทอดคนต่อไปเขาจะเลือกเอง สภาที่ปรึกษาทั้งหลายไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว
   ‘เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย’ คงเป็นคำจำกัดความที่อธิบายบุคลิกของเทพยามาได้ดี ด้วยเพราะมีทั้งพลังเทพและพลังมืดอยู่ในตัวอย่างละครึ่ง ยมโลกจึงเป็นดินแดนอิสระ และเป็นกลาง ไม่เข้ากับฝ่ายใด ไม่ว่าเทพหรือปีศาจก็ตาม เทพยามาคนใหม่ยังดูหนุ่มอยู่มาก ไม่ทราบจะอารมณ์ร้อนเหมือนคนก่อนๆ หรือไม่
   ตรงข้ามกับที่คงเหวินกังวล เจ้าผู้ครองยมโลกเพียงพยักหน้ารับรู้ และกล่าวอำลา คงเหวินน้อมส่งอีกฝ่ายบริเวณเชิงสะพาน กระทั่งแผ่นหลังสูงสง่าหายลับไปกับสะพานข้ามภพ
   คงเหวินมองสะพานข้ามภพที่ว่างเปล่าอย่างรู้สึกสะกิดใจ ยมโลกเปลี่ยนผู้ปกครองคนใหม่อย่างกะทันหัน แม้แต่ข่าวยังไม่ถึงภพสวรรค์ แต่เทพยามากลับปรากฏตัวที่วังตะวันออก ทั้งยังตามหาคนผู้หนึ่งถึงขนาดต้องมาด้วยตนเอง ไม่ทราบสหายเซียนผู้นั้นมีความเป็นมายิ่งใหญ่อย่างไร

   




   นับตั้งแต่ลงมือเชือดไก่ให้ลิงดูไปคราวนั้น ดูเหมือนว่าทัศนคติที่คนอื่นมีต่อแอสเชอร์ สเวน จะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ต่อให้ยังมีสายตามองตามบางเวลา ก็ไม่โจ่งแจ้งจนน่ารำคาญเหมือนแต่ก่อน จิวซือยังคงเข้าเรียนของชั้นปี 4 ตามปกติ และบางครั้งก็จะเปลี่ยนร่างเป็นอีกาตามดีแลนไปนั่งฟังในคลาสของปี 8 ด้วย ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะเขาตั้งใจจะสอบเทียบชั้นปี 8 ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
   ไม่ใช่ไม่เคยมีคนสอบข้ามชั้น แต่ยังไม่เคยมีใครคิดสอบเลื่อนชั้นแบบก้าวกระโดดเช่นเขามาก่อน อีกอย่างการจะเลื่อนขั้นเป็นนักเรียนปีไหน นอกจากต้องสอบข้อเขียนได้เกิน 95 เปอร์เซนต์ของชั้นที่ต่ำกว่าหนึ่งขั้น เช่น หากต้องการเลื่อนเป็นปี 8 ต้องได้ทำคะแนนสอบของชั้นปีที่ 7 ได้เกิน 95 เปอร์เซ็นต์แล้ว ยังต้องเอาชนะนักเรียนของชั้นปีที่ตัวเองต้องการสอบเข้าให้ได้อย่างน้อย 1 คนอีกด้วย หรือก็คือเขาต้องสู้กับรุ่นพี่ชั้นปีที่ 8 และเอาชนะฝ่ายนั้นให้ได้ จึงจะสามารถข้ามไปเรียนชั้นปีที่ 8 ได้ ส่วนการสอบเพื่อสำเร็จการศึกษาจากนอร์ทเทิร์นนั้น ต้องเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 8 เท่านั้นจึงจะสามารถเข้ารับการทดสอบได้
   ด้วยเหตุนี้ สิ่งแรกที่จิวซือต้องทำก็คือสอบเลื่อนชั้นเป็นนักเรียนปี 8 ให้ได้ อีกหนึ่งเดือนจะเป็นช่วงสอบกลางภาค เขาตั้งใจจะขอสอบเลื่อนชั้นในวันนั้น และเมื่อได้เป็นนักเรียนปี 8 แล้ว อีกสามเดือนเมื่อถึงช่วงสอบปลายภาค เขาจะร่วมการทดสอบสำเร็จการศึกษาพร้อมคนอื่นๆ เขาอยากโบยบินไปท่องโลกใบนี้เร็วๆ


เย็น
   แทนที่จิวซือจะเงยหน้ามอง เขากลับหลับตาลงรับสัมผัสเย็นสบายบริเวณกลางศรีษะ ด้วยรู้ดีว่าเป็นพลังที่ดีแลนถ่ายทอดมาให้ ความเย็นนั้นเกิดขึ้นเพียงราวชั่วอึดใจก่อนที่มือข้างนั้นจะถอนกลับไป
   “ขอบคุณ” จิวซือเงยหน้าจากตำราเล่มหนา แล้วส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
   “อืม”
   ดีแลนตอบรับในลำคอ จากนั้นก็ทรุดนั่งลงที่โซฟา เริ่มอ่านหนังสือของตนเองเงียบๆ
   ผ่านมาเดือนกว่าๆ แล้วที่พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกัน จิวซือพบว่าการร่วมกันเช่นนี้ก็ไม่ได้สร้างอึดอัดให้เขา ตรงกันข้าม กลับเป็นความสบายใจและเคยชินอย่างหนึ่ง ทั้งที่เวลาในภพชาตินี้สั้นนักเมื่อเทียบกับภพสวรรค์และวิถีเซียน แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาก็เคยคิดว่ามีดีแลนเป็นสหายคงไม่เลวนัก
   จิวซือไม่มีสหาย
   ในบรรดาเซียนที่พบปะพูดคุยกันนั้น ส่วนใหญ่ล้วนแต่พยายามผ่านด่านทดสอบคุณธรรม ไม่มีใครคิดสานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ใด วิถีเซียนเงียบเหงาเช่นนี้แหละ เป้าหมายในชีวิตมีแต่การได้เป็นเทพบนสวรรค์เท่านั้น ยังดีที่ต่างคนต่างมีบททดสอบของตนเอง แค่ต้องเอาชนะตนเอง ไม่เช่นนั้นการทำลายคู่แข่งคงเป็นเรื่องปกติ
   เหลือบมองร่างสูงของอีกคน ดีแลนยังคงนั่งอ่านหนังสือของเขาเงียบๆ แต่ไม่ทราบเพราะอะไร จิวซือจึงเดาออกว่าอีกฝ่ายมานั่งรอเขา เผื่อเขาไม่เข้าใจตรงไหน จะได้อธิบายให้ฟัง
   จิวซือลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปยืนตรงหน้าดีแลน เมื่อเจ้าชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตา ก็เอ่ยถามว่า “ไม่สงสัยเหรอ” เห็นอีกฝ่ายไม่เข้าใจ จิวซือจึงอธิบายว่า “ที่ผมจะสอบข้ามชั้นไง”
   “เธอทำได้อยู่แล้ว”
   อีกฝ่ายตอบโดยไม่ต้องคิด บวกกับน้ำเสียงมั่นใจคล้ายกับว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้จิวซือยิ้มออกมา
   “ทำไมถึงเชื่อล่ะครับ”
   ดีแลนไม่ตอบ เพียงแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือของเขาต่อไป แต่เมื่อเห็นเจ้าของคำถามยังยืนอยู่ที่เดิมพร้อมนัยน์ตาสีดำเปล่งประกายคาดหวังบางเบา เจ้าชายหนุ่มก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า
   “ฉลาด และตั้งใจ”
   “มีครูดีด้วย”
   ครูที่บางทีก็นั่งอ่านหนังสือเป็นเพื่อนเขา ตอบคำถามของเขาอย่างใจเย็น บางครั้งก็เอ่ยสิ่งที่เขาสงสัยโดยที่เขาไม่ต้องถาม
   ครูคนที่ว่ายังคงจดจ้องตำราของเขาโดยไม่ละสายตา ทว่าแขนข้างซ้ายยกขึ้นเล็กน้อย ข้อศอกทำมุม 45 องศา ท่าทางที่ทำให้จิวซือหลุดหัวเราะ จากนั้นก็กลายร่างเป็นอีกา บินไปเกาะท่อนแขนข้างนั้น ยอมให้อีกคนลูบหัวเล็กๆ แต่โดยดี



ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

Prince fiancé


(3)



หนึ่งเดือนต่อมา
   บรรยากาศของนอร์ทเทิร์นตึงเครียดขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากเป็นเวลาสอบกลางภาค ห้องสอบของนักเรียนปี 4 ไร้วี่แววของคนที่เป็นหัวข้อสนทนาอย่างแอสเชอร์ สเวน หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงไม่ปรากฏตัวที่นี่ หรือคิดจะละทิ้งการสอบเลื่อนชั้นไปแล้ว
   “คงกลัวสอบตกอีกล่ะมั้ง” เสียงใครบางคนพูดขึ้น ใบหน้าของผู้พูดเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชัง เขาก็คือดีนส์ เพื่อนร่วมห้องที่ถูกแอสเชอร์เล่นงานไปนั่นเอง
   “จริงด้วย หมอนั่นรั้งท้ายพวกเรามาตลอด เวทย์ที่ร่ายวันนั้นต้องมีคนอื่นช่วยแน่ๆ”
   ข่าวเรื่องที่แอสเชอร์ สเวน ไม่เข้าสอบเลื่อนชั้นของปี 4 ค่อยๆ กระจายไปทั่วนอร์ทเทิร์น เดิมทีแอสเชอร์คนนั้นก็เป็นแค่ขยะให้พวกเขาเหยียบย้ำอยู่แล้ว การที่อยู่ๆ ขยะก้อนหนึ่งไปเกาะติดกับเจ้าชายดีแลนย่อมเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ใครใช้ให้เด็กคนนั้นเป็นกาดำที่ไม่มีครอบครัวใหญ่หนุนหลังกันล่ะ ต่อให้ถูกสาปแช่งด่าทอยังจะมีใครออกมาปกป้อง

   ไม่ต้องมีใครปกป้อง การดูถูกเหยียดหยาม รอสมน้ำหน้าแอสเชอร์ สเวน ก็ต้องเปลี่ยนเป็นความตกใจแทบไม่อยากเชื่อสายตาเมื่อเห็นผลคะแนนของเขาปรากฏอยู่บนกระดานประกาศผลของปี 7 ทั้งยังอยู่ที่อันดับหนึ่งด้วยคะแนนเต็ม!
   ชื่อแอสเชอร์ สเวน และตัวเลข 100 นั้น ราวกับสายฟ้าผ่ากลางแจ้ง
   ไร้ที่มาที่ไป แต่ทำให้ผู้คนแตกตื่นกันไปหมด
   ที่แท้เขาไม่ได้กลัวสอบไม่ผ่าน แต่เขาตั้งเป้าหมายที่จะกระโดดข้ามชั้นเป็นปี 8 ต่างหากเล่า!
   ไม่ใช่ไม่เคยมีคนสอบข้ามหลายชั้นมาก่อน เจ้าชายดีแลนเองก็เป็นคนหนึ่งที่สอบข้ามชั้นไปเรียนกับคนอายุมากกว่า อย่างไรก็ตาม กระทั่งเจ้าชายดีแลนยังทำได้แค่สอบข้ามชั้นจากปี 1 เป็นปี 4 ด้วยความที่เขาเริ่มเรียนจากในวังหลวงตั้งแต่เล็ก ไม่มีผู้ใดสงสัยในความสามารถของเขา แต่เอสเชอร์ สเวนนั้นไม่เหมือนกัน เขาคือผู้ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของคนอื่นมาค่อนชีวิต ทั้งยังกล้าท้าทายบททดสอบของปีท้ายที่ยากกว่าปีต้นๆ หลายเท่าตัว ยิ่งไปกว่านั้นยังสอบข้อเขียนได้คะแนนเต็มอย่างที่ไม่เกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว ถ้าหากว่าเขามีความสามารถเก่งกาจถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมาเขามัวทำอะไรอยู่ เหตุใดจึงปล่อยให้ตัวเองถูกตราหน้าเป็นตัวอัปมงคล ถูกกลั่นแกล้งรังแกโดยไม่ตอบโต้
   คำถามเหล่านี้ล้วนทำให้ผู้คนแทบนอนไม่หลับด้วยความสงสัยใคร่รู้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาสอบภาคปฏิบัติของปี 8 ลานนักรบจึงแน่นขนัดไปด้วยคนมากหน้าหลายตา กระทั่งศาสตราจารย์หลายท่านยังมาดูชมเรื่องสนุกอย่างเปิดเผย
   แอสเชอร์ สเวน ผู้ที่กล้าขึ้นมาท้าทายรุ่นพี่
   ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ยังคงมีอยู่ แต่เหนือกว่านั้นคือความตื่นเต้นที่ทำให้คาดหวังรอคอย เป็นความรู้สึกของผู้ล่าที่ถูกเหยื่อท้าทาย


   การจับคู่สอบภาคปฏิบัติ หรือการต่อสู่ตัวต่อตัวนั้น เป็นการจับคู่แบบสุ่ม แอสเชอร์ สเวน เป็นผู้ท้าทาย จึงไม่แปลกที่เขาจะเป็นผู้สอบคนแรก
   ร่างโปร่งบางในชุดนักเรียนสีดำ สีเดียวกับดวงตาของเขา ยืนหลังตรงในท่วงท่าสบายๆ ใบหน้าแสนธรรมดาอมยิ้มน้อยๆ แม้แต่ยามที่อาจารย์คุมสอบประกาศชื่อของคู่แข่ง ที่ทำให้คนอื่นๆ มีสีหน้าไว้อาลัยให้กับความโชคไม่ดีของแอสเชอร์
   “อาเธอร์ โควเรล”
   ชายหนุ่มที่ถูกขานชื่อก้าวมาด้านหน้าก้าวใหญ่ เท้าของเขาอยู่ประชิดเส้นรอบวงกลมซึ่งเป็นเขตแดนสำหรับการต่อสู้ เขามีรูปร่างสูงใหญ่สมกับเป็นทายาทตระกูลนักรบ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นเผยให้เห็นคิ้วพาดเฉียงและดวงตาคมเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
   แม้ไม่มีการจัดลำดับความแข็งแกร่งของคนในชั้นอย่างชัดเจน แต่อาเธอร์ โควเรล ทายาทของดยุกโควเรล ย่อมอยู่ในระดับต้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เพื่อเลื่อนชั้น แอสเชอร์เพียงต้องชนะคนๆ เดียว โชคร้ายเหลือเกินที่เขาจับฉลากได้พบกับอาเธอร์ ดูท่าเขาคงสอบตกอีกแน่ กาดำก็ยังเป็นกาดำ ความโชคร้ายติดตัวเขาเสมอ




   “เริ่ม”
   สิ้นเสียง ร่างของแอสเชอร์ และอาเธอร์ก็กระโจนเข้าสู่สนามรูปวงกลมในเวลาเดียวกัน เวทย์ลมถูกสร้างเป็นใบมีดคมกริบของแอสเชอร์ปะทะกับกำแพงไฟของอาเธอร์ ตามหลักแล้วใบมีดควรจะสหายไป ทว่ามันกลับยังดันตัวลึกเข้าไปในกำแพงไฟเรื่อยๆ เพราะหากสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่าปลายมีดมีเวทย์น้ำผนึกอยู่ แอสเชอร์ใช้การผสานเวทย์ตั้งแต่เริ่ม
   อาเธอร์เลิกคิ้วอย่างสนใจ ชายหนุ่มขยับมือเล็กน้อย กำแพงไฟก็เกิดรูโหว่ จากนั้นหอกไฟก็พุ่งเข้าใส่แอสเชอร์อย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาให้ตั้งตัว ร่างเล็กกว่าของแอสเชอร์ไม่ได้ตื่นตระหนก ดวงตาสีดำของเขาทอแสงสีเหลืองทองจางๆ หอกไฟก็หยุดอยู่ห่างจากใบหน้าของเขาเพียงฝ่ามือ ปีกกาสีดำงอกจากแผ่นหลังพาร่างของแอสเชอร์ให้ลอยขึ้นกลางอากาศ ขณะเดียวกันขนสีดำนับร้อยก็พุ่งเข้าหาอาเธอร์ดังห่ากระสุน อาเธอร์คำรามออกมา เขากระโดดหลบกระสุนปีก วิ่งไปรอบๆ ลานต่อสู่ พร้อมทั้งส่งเวทย์ไฟเข้าโจมตี
   คนหนึ่งเป็นเจ้าเวหา อีกคนเป็นเจ้าปฐพี การต่อสู้ของทั้งสองยืดเยื้อเกือบชั่วโมงก็ยังไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ หากสู้กันด้วยร่างกายหรืออาวุธปกติแล้ว เอสเชอร์คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอาเธอร์ แต่แอสเชอร์ สเวนที่มีอายุน้อยกว่าหลายปีคนนั้นกลับมีพลังเวทย์เหลือล้น ไม่ว่าจะเวทย์ลม น้ำ หรือแม้แต่ดิน ก็ถูกเขาควบคุมและปรับใช้อย่างง่ายดายจนน่าประหลาดใจ ราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นจอมเวทย์
   ขณะที่อาจารย์คุมสอบตัดสินใจจะหยุดการต่อสู้และประกาศผลว่าเสมอกัน เพราะไม่อยากให้เด็กทั้งสองที่เป็นกำลังสำคัญของนอร์ทบาดเจ็บ ดวงตาของแอสเชอร์ก็เรืองแสงสีเหลืองทองเข้ม ร่างที่พุ่งเข้ามาของอาเธอร์ก็พลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ใบหน้าของเขาขรึมลงเมื่อถูกขนสีดำคมกริบจ่อลำคอ
   ดวงตาสองคู่สบกันอย่างชั่งใจ ก่อนที่อาเธอร์จะยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า
   “ฉันแพ้แล้ว”
   ร่างของคนทั้งสู่ร่อนลงสู่พื้น โดยที่ดวงตายังไม่ละจากกัน
   “นายใช้พลังจิตได้” อาเธอร์ถามด้วยความแปลกใจ ผู้ใช้พลังจิตมีน้อยยิ่งกว่าน้อย พวกเขาล้วนเป็นคนที่ได้รับความสำคัญและความเอาใจใส่เป็นพิเศษ แต่แอสเชอร์ สเวนกลับปกปิดความสามารถพิเศษของตนเองไว้ พึ่งจะนำออกมาใช้ในเวลานี้
   เมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเพียงอมยิ้ม ไม่ตอบคำถาม อาเธอร์ก็ยื่นมือไปหา กล่าวว่า
    “ยินดีต้อนรับ แอสเชอร์”
   ฝ่ามือเล็กกว่ายื่นมาจับตอบ ก่อนที่ใบหน้าแสนธรรมดาของแอสเชอร์ สเวนจะปรากฏรอยยิ้มกว้าง ร่างกายที่ดูบอบบางอย่างพวกโอเมก้ากลับสามารถมีชัยเหนืออัลฟ่าเผ่าสิงโตได้ นึกถึงปีกสีดำที่พาเขาโบยบินอยู่กลางท้องฟ้า ลายลมเย็นๆ ที่พาร่างกายล่องลอยไปตามใจนึก ดวงตาสีดำก็ทอประกายเจิดจ้าขึ้นมา เหงื่อเม็ดเล็กเกาะพราวตามใบหน้านวลยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับเจ้าตัว

   แข็งแกร่ง และสง่างาม
   เป็นอิสระ ไม่ยอมถูกพันธการ
   ช่างกระตุ้นสัญชาตญาณของอัลฟ่าให้อยากครอบครองนัก





ก่อนที่จะมีอัลฟ่าคนไหนเข้าหา ร่างสูงสง่าในชุดคอมแบทของเจ้าชายดีแลนก็ก้าวมาหยุดอยู่ตรงข้างแอสเชอร์ สเวน เสียก่อน ใบหน้ารูปสลักฉายแววอ่อนโยนอย่างยากจะได้เห็น น้ำเสียงที่เอ่ยชมไม่เบานัก เรียกให้ทุกสายตาหยุดมอง

   “เก่งมาก”

   จิวซือเงยหน้ามองคนข้างๆ นึกขบขันอยู่ในใจว่าอีกฝ่ายคงมองเขาเป็นสัตว์เลี้ยง ไม่ก็ลูกศิษย์ไปแล้วจริงๆ ถึงได้ปฏิบัติกับเขาราวกับคนอายุมากกว่าอยู่เสมอ ไม่ทราบเพราะเหตุนี้หรือเปล่า จิวซือจึงได้ยกยิ้ม แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า

   “รู้อยู่แล้วนี่”

   อวิ๋นหนานชะงักไปเล็กน้อยกับท่าทางโอ้อวดเอาแต่ใจที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตาเปล่งประกายแวววาวที่จ้องมองเขาอย่างรอคอยส่งผลให้เกิดอาการคันยุบยิบในหัวใจ มือใหญ่ยกขึ้นลูบศรีษะของอีกฝ่ายอย่างเคยชิน พลางตอบรับในลำคอ “อืม”

   ภาพเจ้าชายดีแลนเอ่ยชมแอสเชอร์ สเวน ก็ทำให้ตกใจมากพอแล้ว กริยาให้กำลังใจ และสนับสนุนท่าทางอวดดีจนเรียกได้ว่า ‘ถือหาง’ นั้นยิ่งทำให้ตกใจมากกว่าหลายเท่า เจ้าชายลำดับสองที่วางองค์ไว้เหนือผู้อื่นและมีกำแพงสูงลิ่วอยู่เสมอ บัดนี้กลับมีรอยยิ้มภูมิใจประดับบนใบหน้าขณะลูบผมแอสเชอร์

   และเมื่อสังเกตให้ดีค่อยพบว่าไม่ใช่การลูบผมธรรมดา แต่เป็นการถ่ายทอดพลังให้กับแอสเชอร์ หลายคนที่อ่อนไหวกับกระแสพลังรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังไหลผ่านจากมืออของเจ้าชายดีแลนไปยังศีรษะของแอสเชอร์ กระแสพลังราบลื่นไม่มีติดขัด

   การถ่ายทอดพลังโดยตรงเช่นนี้ มีแต่คนที่พลังแข็งแกร่งเท่านั้นจึงสามารถกระทำได้ ปัญหาคือผู้รับ น้อยคนนักที่จะมีคลื่นพลังตรงกับผู้ให้ และสามารถรับพลังที่ถูกส่งมาได้โดยไม่เกิดปฏิกริยาต่อต้าน โดยปกติแล้วมีเพียงคู่ชะตาเท่านั้นที่สามารถถ่ายทอดพลังให้กันได้

   คู่ชะตา? หรือว่าจะเป็นคู่ชะตา

   ความคิดที่ทำให้พวกเขาขนลุกทั่วร่าง ได้แต่มองเจ้าชายดีแลนสลับกับแอสเชอร์ สเวน อย่างไม่อยากเชื่อ แต่ถ้าไม่ใช่คู่ชะตาแล้วเป็นอะไรล่ะ อะไรที่ทำให้คนอย่างเจ้าชายดีแลนสนใจแอสเชอร์ สเวน อะไรที่ทำให้ทรงตามใจ และอนุญาตให้อยู่ข้างๆ หากไม่ใช่ค้นพบว่าแอสเชอร์คือคู่ชะตาแล้วยังมีความเป็นไปได้อะไรอีก

   แต่จะเป็นไปได้จริงหรือ ทั้งคู่ไม่เหมาะสมกันเสียเลย เคยมีคำพูดเปรียบเปรยว่าการที่แอสเชอร์เกาะติดเจ้าชายดีแลนก็เหมือนมีคนทิ้งขยะไว้ในห้องจัดแสดงสมบัติล้ำค่า ช่างเกะกะและขวางหูขวางตาจนทนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมองทั้งคู่อยู่ด้วยกันกลับพบว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ภาพแบบนั้นอีกแล้ว

   แอสเชอร์ สเวน อายุ 17 ปี แต่สอบข้ามชั้นไปเรียนปี 8 โดยการเอาชนะอาเธอร์ โควเรล มีพรสวรรค์ด้านพลังเวทย์ ใช้เวทย์ได้หลายธาตุ ที่สำคัญเขายังเป็นผู้ใช้พลังจิตที่หายาก ปู่ของเขาเป็นดยุก ผู้มีพระคุณและสหายของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน

   หากตัดอคติที่มีต่อเผ่าพันธุ์ของเขาไป ยังมีโอเมก้าคนไหนเทียบเขาได้ คำตอบคือ ไม่มี

   แอสเชอร์ สเวน ไม่เหมาะสมกับเจ้าชายดีแลนจริงหรือ

   แต่เดี๋ยว

   เดิมที แอสเชอร์ สเวน เป็นคนของเจ้าชายรัชทายาทต่างหากเล่า

   ความคิดที่ทำให้ดวงตาหลายคู่เหลือบมองเจ้าชายโดมินิก ซึ่งอยู่ท่ามกลางนักเรียนชั้นปี 8 ที่รอเข้ารับการสอบ เจ้าชายรัชทายาทยังมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าเมื่อทอดสายตามองแอสเชอร์ สเวน ราวกับว่าภูมิใจในตัวคู่หมั้นของเขา ไม่สนใจท่าทางสนิทสนมที่เจ้าชายดีแลนแสดงออก

   

   เห็นแอสเชอร์เดินตามหลังดีแลนออกไปนั่งพัก โดยไม่มองมาทางเขาแม้แต่เสี้ยววินาที ดวงตาของโดมินิกหรี่ลงเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่ได้ ชายหนุ่มไม่อยากยอมรับว่าเขารู้สึกขัดแย้งในใจ แอสเชอร์ รักเขา เทิดทูนบูชาเขา เรื่องนั้นไม่ว่าใครก็ดูออก แต่สำหรับเขาอีกฝ่ายเป็นตะปูเล็กๆ ที่เขาตั้งใจจะถอนออกสักวัน เพียงไม่ทราบว่าลงมือเมื่อไรจึงจะเป็นเวลาที่ดีที่สุด ทว่าตอนนี้ ตะปูตัวนั้นกลับขยับห่างออกจากวิถีการเดินของเขาเมื่อไรก็ไม่รู้ ถอนตัวไปจากชีวิตของเขาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว






   หลังจากการสอบกลางภาค นักเรียนทุกชั้นปีได้หยุดหนึ่งสัปดาห์ จิวซือในร่างกาดำบินสำรวจเมืองหลวงแห่งนอร์ทอยู่สามวันเต็ม เมื่อเขากลับมาถึงนอร์ทเทิร์น ก็พบผู้ติดตามของโดมินิก ซึ่งเป็นนักเรียนปี 8 เช่นเดียวกัน ฝ่ายนั้นเชิญเขาไปพบเจ้าชาย จิวซือตกลงตามไปแต่โดยดีเพราะเขาเองก็มีเรื่องที่ต้องการจากโดมินิก

   เช่นเดียวกับดีแลน โดมินิกมีห้องพักชั้นพิเศษของเขาอยู่ในปราสาทนอร์ทเทิร์น เมื่อจิวซือมาถึงก็เห็นโดมินิกลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน เดินมารับเขาที่ประตู ท่าทางเป็นกันเองและเอาใจใส่อย่างที่เจ้าตัวแสดงออกเป็นประจำ

   “อรุณสวัสดิ์”

   “อรุณสวัสดิ์ครับ”

   โดมินิกผายมือให้จิวซือนั่งลงที่โซฟารับแขก โต๊ะกลมซึ่งคั่นอยู่ระหว่างพวกเขามีชาร้อน และขนมหน้าตาน่าทานหลายชนิดวางอยู่ แจกันสีขาวขนาดเล็กประดับกุหลาบขาวดอกหนึ่ง ทำให้บรรยากาศดูสดชื่นอ่อนหวาน เห็นได้ชัดว่าโดมินิกเจตนาเอาใจแอสเชอร์ เสียดาย คนที่อยู่ตรงนี้คือจิวซือ เด็กหนุ่มยกถ้วยชาขึ้นจิบดับกระหายด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ ก่อนจะถามว่า

   “เจ้าชายมีธุระอะไรกับผมหรือครับ”

   สีหน้าของโดมินิกขรึมลงเล็กน้อย “พี่ทำให้เธอโกรธหรือ”

   จิวซือหัวเราะขึ้นจมูก สบตาคนตรงข้ามยามถามต่อว่า “เจ้าชายทำอะไรให้ผมโกรธหรือครับ”

   เห็นแววตาและน้ำเสียงเจือแววยั่วล้อ และท้าทายของแอสเชอร์ โดมินิกเลือกจะไม่ตอบคำถาม เขารินชาให้แอสเชอร์ด้วยตัวเองด้วยท่าทางสง่างามและมีเสน่ห์

   “สนิทกับดีแลนตั้งแต่เมื่อไร”

   จิวซือไม่แตะชาที่โดมินิกรินเพิ่มให้ เขาประสานมือบนตัก กริยาแฝงความเหินห่างอยู่ในที

   “รัชทายาท เรามาเปิดอกพูดกันดีกว่าครับ”

   ชีวิตของพวกมนุษย์วุ่นวายมาก แต่ละคนเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว มีหลายหนทาง หลายวิธีการให้ได้มา นอกจากนี้สิ่งที่ต้องการยังมีมากเกินความจำเป็น โดมินิกเป็นเผ่างู ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าคิดเจ้าแค้น และหวงของ งูกับนก นิสัยตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง จิวซือเข้าใจธรรมชาติข้อนี้ จึงคิดตัดไฟเสียแต่ต้นลม

   “เจ้าชายไม่ยินดีที่มีคนอย่างผมเป็นคู่หมั้น ผมเองก็ตั้งใจใช้ชีวิตอย่างอิสระ ท่องโลกกว้าง พวกเราไม่สู้ทางใครทางมัน อย่าผูกมัดกันไว้เลยครับ”

   ไม่โกรธ ไม่แค้น ไม่รัก ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำไป

   นั่นคือสิ่งที่โดมินิกรู้สึกได้จากคำพูดของแอสเชอร์

   ภาพวัยเด็กหลายภาพแวบเข้ามาในห้วงความคิด ภาพที่ฝ่ายนั้นเดินตามเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ สายตาแอบมองเขาโดยคิดว่าเขาไม่รู้ตัว หรือแม้แต่วันสุดท้ายก่อนที่เจ้าตัวจะถูกลอบทำร้าย

   “เธออยากถอนหมั้น”

   “เจ้าชายก็ประสงค์เช่นเดียวกัน”

   ถูกต้อง ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ บางทีเขาอาจตอบตกลงโดยไม่ลังเล แต่เวลานี้แอสเชอร์เหมือนกล่องปริศนาที่เขาเดาไม่ถูก หากปล่อยให้หลุดมือไปก็กลัวจะเสียของมีค่า แต่ถ้าดึงดันเก็บไว้ ก็เกรงว่าจะเป็นกล่องแพนโดร่าที่นำความโชคร้ายมาให้

   “ถ้าเจ้าชายเห็นด้วยกับข้อเสนอของผม ผมจะขอร้องกษัตริย์เด็กซ์ตันเอง ไม่ทำให้ทรงลำบาก”

   







   ยมโลก

   สถานที่ที่ตัดสินบุญและบาปอย่างยุติธรรม เป็นดินแดนปิด กล่าวคือไม่สามารถเดินทางมาถึงโดยปราศจากผู้นำทาง หรือตราผ่านทาง ยมโลกเป็นดินแดนใหญ่ ซึ่งถึงแม้ไม่มีกองกำลังเป็นของตัวเองเช่นภพสวรรค์ ภพปีศาจ หรือเผ่ามังกร แต่เป็นอาณาเขตที่ไม่สามารถรุกรานหรือใช้กำลังเข้าครอบครองได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในยมโลกเชื่อฟังเพียงเทพยามา ผู้ปกครองยมโลกเท่านั้น     

        ต้นไม้ แม่น้ำ ก้อนหิน อากาศ และดวงวิญญาณทั้งหลาย เชื่อฟังคำสั่งของเทพยามาเพียงผู้เดียว เขาเป็นเจ้าของทุกอย่างที่นี่ มีอำนาจสิทธิ์ขาดอย่างที่ใครก็ไม่สามารถแทรกแซงได้

   ยกโลกไม่ใช่นรกโลกัณฑ์ ไม่ได้เต็มไปด้วยเปลวไฟและความร้อนอย่างที่คิด ตรงข้าม มันหนาวเย็นและมืดมน วังของเทพยามาตั้งอยู่บนยอดเขาสูงที่สุดในยมโลก เป็นปราสาทก่อจากหินสีดำ จึงมีชื่ออีกอย่างว่าปราสาทดำ ทางขึ้นเป็นบันไดหิน 1,008 ขั้น ตลอดทางมีดอกไม้สีแดงบานสะพรั่ง ผู้คนเรียกมันว่าดอกไม้วิญญาณ

   ร่างของอี้เทียนที่กำลังลอยขึ้นไปยังปราสาทดำชะงักลงเล็กน้อยเมื่อเห็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่บนบันไดขั้นสุดท้าย เขารีบเข้าไปหา แล้วประสานมือทำความเคารพ

   “ท่านอาจารย์”

   บุรุษที่อี้เทียนเรียกว่าอาจารย์มีเส้นผมสีขาวโพลนทั่วทั้งศรีษะ แม้ใบหน้าจะดูมีอายุเพียงสี่สิบห้าสิบปีก็ตาม หากอดีตจอมเทพได้เห็นเขา คงต้องปะทะคารมกันสักยก เนื่องเพราะบุรุษผู้นี้เคยบุกขึ้นไปอาละวาดถึงภพสวรรค์ เขาคือเทพยามาคนก่อนนั่นเอง เขาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินไปยังประตูวังโดยมีร่างสูงของอี้เทียนตามหลัง

   “พบหรือไม่ ดวงวิญญาณที่เจ้าตามหา” ผู้เป็นอาจารย์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าคำถามนั้นเหมือนหินก้อนใหญ่กดลงบนหน้าอก ทำให้ฝีเท้าของอี้เทียนหนักอึ้ง

   “ขอรับ”

   ในที่สุดก็พบแล้ว เพียงแต่มิใช่ดวงวิญญาณอย่างที่คิด

   “เขา...เป็นเซียน”

   “โอ้” อดีตเทพยามามีน้ำเสียงประหลาดใจ “เจ้ามิใช่ค้นหาในทำเนียบเซียนหลายรอบแล้วหรอกหรือ”

   “ขอรับ”

   อดีตเทพยามามิได้ก้าวเข้าไปยังปราสาทที่อยู่เบื้องหน้า สถานที่ที่เขาเคยอยู่มาหมื่นปีแต่เพียงผู้เดียวดูเงียบเหงาวังเวงเกินกว่าจะเข้าไปเยือนอีกครั้ง เขาถอนหายใจ เมื่อนึกถึงอนาคตที่ลูกศิษฐ์เลือกเดิน

   “เจ้าบอกข้าไม่เชื่อในชะตาฟ้าลิขิต จึงได้ยอมปกครองยมโลกหมื่นปี เพื่อสร้างลิขิตของตนเอง เวลานี้เจ้าเชื่อหรือยัง”

   แววตาของอี้เทียนลั่นคลอนเล็กน้อย เพียงวูบเดียวสั้นๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นอีกครั้ง

   “ไม่เชื่อขอรับ”

   “ทนทุกข์หมื่นปี คุ้มกันแล้วหรือ”

   “ขอรับ”



   ซื่อเสวี่ยน ซื่อเสวี่ยน

   ผู้ใดบอกว่าเขาปลงได้ ผู้ใดบอกว่าเขาละทิ้งได้

   ที่แท้แล้ว เขาต่างหากที่ยึดติดยิ่งกว่าใครทั้งหมด




ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
เป็นอีกเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกว่าผู้เขียนแต่งได้ดีเลยค่ะ การดำเนินเรื่องลื่นไหลดีเลย น่าติดตามมาก จนชักเริ่มสงสัยว่าปมที่มีมาจะจบลงแบบไหน

รอติดตามค่ะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
ชอบค่ะ แต่งดีแล้วก็สนุกด้วย ชอบตรง 3p ที่สุุด เพราะเราเลือกไม่ถูกเลยว่าเชียร์ใคร อยากได้ทั้งสองคน  :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ProserpinaW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ติดตามอยู่นะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
สนุกมาก
ติดตามต่อค่ะ

 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตามอ่านรวดเดียว สนุกมากค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สนุกมากเนื้อเรื่องน่าติดตามสุดๆ ให้กำลังใจคนแต่งค่ะัะ :กอด1:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
อ่านๆแล้วเพลงมันดังขึ้นมาเลยครับ เพลง Shou Zhang Xin 手掌心  ของ Della Ding (ชื่อเพลงภาษาอังกฤษคือ Heart of Palms ส่วนชื่อเพลงภาษาไทยเอามาแปลกันว่า ใจกลางพรหมลิขิต) พล็อตระหว่างซื่อเสวียนกับอวี้เทียนนี่ เพลงนี้ให้มากๆ ไม่รู้ทำไม อาจจะเพราะคำพูดด้วย ทั้งฝืนลิขิตฟ้า ทั้งไม่ยอมปล่อยมือ ทั้งต้องห่างกันหากันไม่เจอ แต่ก็ยังอดทนรอและพยายามเพื่อที่จะให้ได้เจอ ทั้งเคมีระหว่างกัน ผมรู้สึกว่าซื่อเสวียนไม่สามารถตัดความรู้สึกรักที่แฝงอยู่มาตั้งแต่ชาติแรกได้ เลยทำให้ขัดต่อตบะเทพ ไม่สามารถบำเพ็ญตนฝึกฝนจนบรรลุเป็นเทพที่บริสุทธิ์ได้ อวี้เทียนเองก็ไม่ยอมที่จะละปล่อยมือ โอ้โห ความสัมพันธ์อันเปราะบางและน่าสนใจนี้ แทบน้ำตาตก แถมตอนนี้อวี้เทียนก็เป็นถึงยมเทพไปแล้ว (เทพยามา ถ้าผมจำไม่ผิด ยามาแปลว่า รัตติกาลหรือเปล่าครับ?) อีกเพลงที่ผมว่าเหมาะกับสองคนนี้คือ 等你的季节 - ฤดูแห่งกาลรอคอย Season of Waiting เนื้อหาเพลงผมว่าโคตรตรงใจอวี้เทียนเลยมั้งครับเนี่ย (หัวเราะ)

และเนื่องจากเคมีของสองคนนี้ ทำให้ผมรู้สึกอินและอยากเอาใจช่วยอวี้เทียนกับซื่อเสวียนมากเลยครับ ถ้าทำให้ทั้งสองคนใจตรงกันได้นี่คงเป็นการทำกุศลอย่างสูงมากเลยละ ไม่ใช่ว่าผมไม่เชียร์ท่านเทพมังกรตะวันออกนะครับ แต่ว่าท่านให้อารมณ์นิ่ง ขรึม เท่แบบสูงส่งน่ะครับ จากหลายๆบท ผมชอบคาแรกเตอร์ของอวิ๋นหนานนะครับ เค้าเป็นเทพที่วางตัวบุคลิกได้ดีจริงๆ ทั้งไม่เข้าไปยุ่งกับอีกฝ่ายจนเกินเหตุ มองอะไรด้วยใจที่เป็นกลางและตัดสินใจอย่างเยือกเย็น มีพลังแข็งแกร่งแต่ไม่ใช้พร่ำเพรื่อ จะใช้ก็แค่เพื่อช่วยเหลือ แต่เมื่อช่วยก็ไม่ใช่ช่วยจนสุด ถ้าจะช่วยก็คือทำแบบลับๆ มีการวางตัวเหมาะสมกับเทพผู้ปกครองแห่งทะเลตะวันออก แถมยังมีการให้คำแนะนำการฝึกฝนของจิวซือด้วยความเยือกเย็น สงบนิ่งและมีมาดอยู่ตลอดเวลา ไม่ปล่อยตัวไปตามอารมณ์ สมกับที่มีฐานะเป็นเจ้าวัง

ผมคิดว่าอวิ๋นหนานให้ภาพเหมือนผู้ปกครองที่คอยดูแลจิวซืออยู่ อายุไม่ห่างมาก มีความเอ็นดูให้เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้อารมณ์ตัวเองเสียจนควบคุมไม่ได้ เพราะมันจะทำให้เทพไม่บริสุทธิ์ ซึ่งการที่จิวซือลำบากลำบนทุกชาติก็เพราะไม่สามารถสลัดความรักที่มีในชาติภพแรกออกได้ สวรรค์จึงขัดขวาง ดังนั้นความสัมพันธ์ของจิวซือกับอวี้เทียนเป็นสิ่งที่ผูกพันกันโดยไม่รู้ตัว และอวิ๋นหนานก็ทราบดีจากการแค่กวาดมือสำรวจความคิดของจิวซือเพียงแวบเดียว และมันก็ไม่ได้ทำให้อวิ๋นหนานเสียการควบคุม เขารับรู้และเข้าใจได้ดี แถมยังให้คำแนะนำกับจิวซืออีก ผมชอบบทนี้มาก อีกบทนึงที่ชอบคือตอนที่อวี้เทียนจะดึงดันพาซื่อเสวียนกลับกันเขา แต่อวิ๋นหนานปรามด้วยสติและความเยือกเย็นที่ไม่ได้มีอารมณ์แม้แต่น้อยว่าถ้าอีกฝ่ายยอมไป เขาไม่ขัดข้องอะไรทั้งนั้นอยู่แล้ว โอ้โห เทพที่เท่ขนาดนี้จะไปหาจากไหนอีกครับ

เนื่องจากบุคลิกของท่านเทพตะวันออกเป็นแบบนี้ ผมเลยคิดว่าเคมีที่เหมาะกับท่านอวิ๋นหนานนี่คงไม่ใช่แบบจิวซืออะ (หัวเราะ) สำหรับความรักของท่านอวิ๋นหนาน ผมอยากเห็นเคมีของความรักที่บริสุทธิ์ เป็นพลังความรักที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธา ไม่จำเป็นต้องแสดงออกอย่างร้อนเร่าเหมือนกับราคะของมนุษย์ แต่สูงส่ง ทรงพลัง ศักดิ์สิทธิ์ การจะทำแบบนี้คือคู่ของท่านอวิ๋นหนานคงต้องเป็นเทพระดับสูงไม่ต่างกัน เพราะนั่นจะทำให้เกิดความรักที่ไม่จำเป็นต้องพูดกันมาก แต่เข้าใจและช่วยเหลือกันอย่างลับๆ เกื้อกูลกันในระดับที่เท่ากัน

พล็อตดีมากนะครับ รู้เลยว่าใช้พลังในการเขียนเยอะระดับหนึ่งเลย สู้ๆครับ ผมไม่มีอะไรติเลย พล็อตดี บรรยายก็เยี่ยม เคมีของตัวละครก็น่าติดตาม สู้ๆครับผม

ออฟไลน์ Whitedemon21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0





Prince’s fiancé





 (4)







   จิวซือคิดว่าชีวิตในด่านคุณธรรมชาติที่เก้าของเขานี้ไม่เลวเลย นอกจากจะทำเป้าหมายเล็กๆ เป้าหมายแรกอย่างการสอบเทียนชั้น ปี 8 สำเร็จแล้ว เวลานี้เขายังผ่านการสอบเพื่อสำเร็จการศึกษาจากนอร์ทเทิร์นเป็นที่เรียบร้อย เรียกว่าอิสระในการท่องเที่ยวของเขาอยู่แค่เพียงเอื้อมมือ

   หลายคนคาดเดาว่าเขาพยายามทำให้ตระกูลสเวนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่เปล่าเลย ตระกูลสเวนเหลือแอสเชอร์เพียงคนเดียว ยังต้องการให้กลับมายิ่งใหญ่เพื่ออะไร อำนาจ...บางทีคงเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการที่สุด

   จิวซือในร่างกาดำเกาะอยู่บนยอดไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมกับที่แอสเชอร์ถูกยิง ทอดสายตามองไปไกล ทั้งที่บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบถึงเพียงนี้ แต่ไม่ทราบเพราะอะไรในอกจึงรู้สึกไม่ใคร่สบายนัก อาจเป็นเพราะชีิวิตราบรื่นเกินไป ความคิดที่ทำให้จิวซือนึกขันตัวเอง ก่อนที่นัยน์ตาจะหม่นแสงลง

   เมื่อคืนเขาฝันอีกแล้ว ความฝันแบบเดิมๆ ที่รู้จุดจบทุกอย่างดี แต่ไม่อาจปลุกให้ตัวเองตื่นขึ้นมาได้ สุดท้ายก็จำต้องมองดูการตายจากไปของคนผู้นั้นอีกครั้ง ภาพฝันคล้ายจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่สีหน้าสงบและรอยยิ้มบางๆ ตัดกับภาพโลหิตที่ไหลนองก็กระจ่างชัด ราวกับจะบอกว่าเขาว่า ‘ซื่อเสวี่ยน เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว’   

   กาดำแหงนหน้ามองฟ้า ท้องนภาท้องใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่แค่หลับตาก็มองไม่เห็นแล้ว





   “กลับได้แล้ว”

   ไม่ต้องลืมตาก็ทราบว่าเป็นดีแลนด์ อุณหภูมิของมือที่คุ้นเคยช้อนตัวเขาไว้ในอ้อมแขน จิวซือเอนหัวเล็กลงซบกับแผ่นอก

   “เหนื่อยหรือ”

   คำถามที่ทำให้จิวซือถูไถหัวเล็กไปมา หลายครั้งที่อยากถามออกไปว่า ‘ดีแลนด์ นายอยากเข้าสู่วิถีเซียนด้วยกันไหม’ แต่เพราะเป็นเรื่องต้องห้าม ไม่สามารถเอ่ยออกไป และทราบว่าต่างคนต่างมีผลกรรม มีชะตาและวาสนาของตัวเอง ไม่แน่ว่าอนาคตของดีแลนด์อาจดียิ่งกว่าการเป็นเซียนเล็กๆ ของเขาก็เป็นได้

   จิวซือลอบถอนหายใจ ตนเองเป็นเซียนจะรู้สึกผูกพันกับมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างไร เซียนไม่จำเป็นต้องมีสหาย ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ขอเพียงผ่านด่านคุณธรรมก็พอแล้ว







   หลายวันต่อมา งานฉลองจบการศึกษาของนักเรียนปี 8 ถูกจัดขึ้นในวังหลวง แน่นอนว่าต้องยิ่งใหญ่กว่าครั้งไหนๆ เนื่องจากทั้งเจ้าชายรัชทายาท และเจ้าชายดีแลนด์ต่างก็สำเร็จการศึกษาในปีนี้ นอกจากนั้นยังมีแอสเชอร์ สเวน ซึ่งเป็นว่าที่สะใภ้หลวง คนโปรดขององค์กษัตริย์ ถึงขั้นมีรับสั่งชื่นชมที่เขาสอบผ่านด้วยคะแนนดีเยี่ยมทั้งที่อายุยังน้อย สมกับเป็นหลานของดยุกสเวน

   ห้องโถงที่ใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงเป็นอาคารทรงโดมหลังใหญ่ที่แยกออกมาจากตัวปราสาท รายล้อมด้วยสวนไม้ดอกไม้ประดับหลากสี น้ำพุ และรูปปั้นเทพต่างๆ ตามความเชื่อของนอร์ท ด้านข้างมีทางเชื่อมลักษณะคล้ายระเบียงโปร่งต่อไปยังตัวปราสาท

   งานเลี้ยงนี้ไม่จำกัดว่าต้องเป็นนักเรียนชั้นปี 8 นักเรียนและบุคลากรทั้งหมดของนอร์ทเทรินสามารถเข้าร่วมได้ ดังนั้นบรรยากาศจึงคึกคักไม่น้อย ต่างคนต่างก็แต่งชุดราตรีหรูหรา โอ้อวดโฉมและฐานะกันอย่างเต็มที่

   จิวซือเดินมาพร้อมกับดีแลนด์ พวกเขาอยู่ด้วยกันเสมอจนไม่มีใครแปลกใจอีกแล้ว หรือจะกล่าวว่าดูเหมาะสมกันดีก็ไม่ผิด ดีแลนด์อยู่ในชุดสูทสีดำเรียบหรู ขณะที่สูทของแอสเชอร์เป็นสีงาช้าง แต่ลักษณะการออกแบบและตัดเย็บ สามารถมองออกในคราวเดียวว่ามาจากร้านเดียวกับของดีแลนด์ คล้ายคลึงแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เมื่อทั้งคู่ยืนอยู่ข้างกัน บรรยากาศรอบตัวก็คล้ายกับว่ามาจากสถานที่ที่เหนือกว่าผู้อื่น พวกเขาดูแตกต่างออกไป เป็นความรู้สึกที่ทำให้ผู้คนได้แต่ชื่นชมไกลๆ โดยไม่กล้าเข้าใกล้สนิทสนม

   แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเช่นนั้น

   คลาร่า คีเนส บุตรสาวคนเดียวของนายพลครูส เดินยกชายกระโปรงเข้ามาหาดีแลนด์ ใบหน้ารูปไข่แต้มด้วยเครื่องสำอางค์แต่พอดี เข้ากับชุดราตรีสีทองหรูหราของเธอ ใบหน้างดงามประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ สมกับเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งนอร์ท

   “พี่ดีแลนด์” เสียงหวานเอ่ยทัก

   เจ้าชายดีแลนด์นั้นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยใส่ใจคนหรือเรื่องที่เขาไม่สนใจ ดังนั้นจึงเพียงแค่พยักหน้ารับคำทักทายของคลาร่า โดยไม่ทอดสายตามองเจ้าหล่อนแม้แต่น้อย

   ใบหน้างามเกิดรอยแตกร้าวขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่จะถูกเจ้าหล่อนหลบซ่อนได้อย่างรวดเร็ว ใครบอกว่าเจ้าชายดีแลนด์ทรงอ่อนโยนขึ้นแล้ว พระองค์ก็ยังคงวางตนเหนือผู้อื่นเช่นเดิม คลาร่าก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา ด้วยท่าทางน่าสงสาร “ท่านลุงให้มาตามค่ะ”

   ท่านลุงที่ว่าย่อมหมายถึงกษัตริย์เด็กซ์ตัน ดังนั้นดีแลนด์ถึงเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย บอกให้จิวซือรอเขาอยู่ตรงนี้ เมื่อได้ยินจิวซือตอบรับในลำคอ ใบหน้าของดีแลนด์ก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา คลาร่ายกชายกระโปรงเดินตามหลังดีแลนด์ออกไป จิวซือเห็นสายตาของเธอที่มองเขาอย่างมีความหมายแล้วก็แทบอยากส่ายหัว

   ดีแลนด์สร้างศัตรูให้เขาเป็นคนที่เท่าไรแล้วนะ





   จิวซือยืนอยู่เพียงครู่เดียว โดมินิกก็เดินเข้ามาหยุดตรงหน้า เจ้าชายรัชทายาทสง่างามสมกับเป็นว่ากษัตริย์ ดวงตาที่มองแอสเชอร์แฝงไว้ด้วยความซับซ้อน

   แอสเชอร​์ สเวน กล่องปริศนาที่เขาไม่สามาถเปิดออกดูข้างใน

   “พี่ต้องเปิดฟลอร์”

   “ครับ?”

   “เธอเป็นคู่หมั้นของพี่ แอสเชอร์”

   แอสเชอร์เลิกคิ้ว สีหน้าของเขาบอกเป็นนัยว่าเขาลืมความจริงข้อนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะครั้งล่าสุดที่ได้คุยกันหลังจากยื่นข้อเสนอการถอนหมั้นนั้น โดมินิกก็ให้คำตอบว่ายังไม่ถึงเวลา และจะหารือกับบิดาของเขาอีกครั้ง ข้อเสนอของจิวซือจึงยังเป็นเพียงข้อเสนอมาถึงทุกวันนี้

   “ผมเต้นไม่เก่ง”

   โดมินิกยิ้มรับคำปฏิเสธทางอ้อม จากนั้นก็ถือวิสาสะจับข้อมือคู่หมั้น พาไปกลางฟลอร์เต้นรำ การปรากฏตัวพร้อมกันของคนทั้งคู่นำมาซึ่งความแปลกใจ เกิดคำถามที่ว่าเพราะอะไรจึงเป็นแอสเชอร์และเจ้าชายโดมินิก กระทั่งเพลงบรรเลงจังหวะช้าเริ่มขึ้น กระทั่งร่างของทั้งคู่ขยับตามเสียงเพลง ค่อยนึกได้ว่าแอสเชอร์ สเวนเป็นคู่หมั้นของเจ้าชายโดมินิก หลายคนอดจะมองหาร่างเงาของเจ้าชายดีแลนด์ไม่ได้ โดยเฉพาะเด็กสาวที่แอบสนับสนุนคู่ของดีแลนด์แอสเชอร์อย่างลับๆ ยิ่งรู้สึกร้อนรนแทนเจ้าชายดีแลนด์ และมองโดมินิกเป็นมือที่สาม พวกเธอเชื่อว่าเจ้าชายดีแลนด์ที่อ่อนโยนต่อแอสเชอร์คนเดียว ย่อมดีว่าเจ้าชายโดมินิกที่อ่อนโยนกับทุกคนอยู่แล้ว

   



   “พรุ่งนี้ผมจะขอเข้าเฝ้ากษัตริย์เด็กซ์ตัน”

   ประโยคที่มาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยของแอสเชอร์ ทำให้โดมินิกชะงักไป ดวงตาของเขากร้าวขึ้นเล็กน้อยยามจับจ้องใบหน้าที่ห่างไปเพียงคืบ

   “ไม่ต้อง”

   “เจ้าชายจะจัดการเองหรือครับ”

   “เธอเกลียดพี่ขนาดนั้น”

   จิวซือมองโดมินิกด้วยความประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามเขาตามตรง ด้วยนิสัยของฝ่ายนั้นแล้ว ขอเพียงได้ในสิ่งที่ต้องการ จะเดินอ้อมเขาอีกกี่ลูกก็ไม่เกี่ยง

   “ไม่เกลียดครับ” จิวซือตอบ จากนั้นก็ยกยิ้มเล็กน้อย และพูดต่อว่า “แต่ก็ไม่ชอบ”

   คำตอบที่ตรงไปตรงมายิ่งกว่าคำถาม ถึงกับทำให้จังหวะก้าวของโดมินิกผิดไป เจ้าชายหนุ่มก้มหน้าพิจารณากล่องปริศนาเบื้องหน้าอย่างไม่อาจละสายตา

   “ผมเคยบอกไปแล้วนี่ครับว่าเรียนจบจะไปจากที่นี่”

   แววตาของแอสเชอร์เปล่งประกายท่ามกลางแสงไฟที่ส่องร่างของพวกเขา รอยยิ้มสบายๆ ประดับใบหน้ายามนึกถึงอิสระเสรีที่เข้าใกล้มาทุกที โดมินิกรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นราวกับกำลังส่งสัญญาณให้เขาทราบว่าข้างในกล่องใบนี้เป็นของวิเศษ ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือ

   “ทรงมีบัลลังก์ต้องดูแล ไม่เหมาะกับคนอย่างผมหรอก”

   จิวซือพบว่ามือที่จับรอบเอวเขาออกแรงบีบแน่นขึ้นจนเจ็บ กระนั้นเขาก็ยังคงจ้องตาโดมินิกโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน ทันทีที่เพลงจบก็บิดตัวออกจากอ้อมแขนนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ

   เจ้าชายโดมินิก ทรงเลือกบัลลังก์มากกว่าแอสเชอร์ สเวน มาตลอดไม่ใช่หรือ





   “เต้นได้ดี” ดีแลนด์ที่ไม่ทราบว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไรเอ่ยชม พร้อมกับยื่นแก้วน้ำส้มให้

   “นายจะชมฉันทุกอย่างไม่ได้” จิวซือรับแก้วน้ำส้มมาดื่ม แล้วกล่าวยิ้มๆ ระหว่างเขากับดีแลนด์ เรียกได้ว่าสนิทกันจนจิวซือเลิกใช้คำพูดเกรงอกเกรงใจกับฝ่ายนั้นแล้ว

   “เธอชอบถูกชม”

   จิวซือหัวเราะ เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าเวลาถูกดีแลนด์ชมแล้วเขารู้สึกดี นั่นเพราะว่าดีแลนด์ไม่โกหก เขาซื่อสัตย์กับคำพูดของตนเสมอ ถ้าดีก็บอกว่าดี ถ้าไม่ดี เขาจะบอกว่าควรปรับปรุงตรงไหน ทว่าคำพูดถัดมาของเขาแทบทำให้จิวซือสำลัก

   “ถอนหมั้นให้แล้ว”

   จิวซือเงยหน้ามองสหายด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ถอนหมั้นให้แล้ว อีกฝ่ายพูดออกมาง่ายๆ ไม่ต่างจากบอกว่าวันนี้อากาศดี

   “บอกอยากถอนหมั้นกับโดมินิกไม่ใช่หรือ”

   “ใช่”

   “อืม”

   ท่าทางปกติของดีแลนด์บอกเป็นนัยว่าการขอถอนหมั้นให้เขาเป็นเรื่องง่ายดาย ไม่ได้ยากเย็นอะไร ทำให้จิวซือก็หัวเราะออกมา

   “ถ้าบอกก่อน จะได้ไม่ต้องไปเต้นรำ”

   “นึกว่าชอบ”

   จิวซือพ่นลมหายใจทางจมูก รู้ว่าถูกฝ่ายนั้นล้อ แล้วถามต่อว่า “กษัตริย์เด็กซ์ตันยอมง่ายๆ อย่างนั้นเลยหรือ”

   ดีแลนด์ผุดรอยยิ้มมุมปาก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาหันมามองคนข้างกาย “พ่อแค่บอกว่าจะให้เธอแต่งเข้าตระกูลเรา ไม่ได้บอกว่าต้องแต่งกับใคร”

   “เฮ เฮ ดีแลนด์ คงไม่ใช่ว่า...”

   “เราเลยบอกว่าเธอเป็นคู่ชะตาของเราที่เราเพิ่งยอมรับ”

   ใบหน้าของดีแลนด์ประดับด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายเมื่อยามทอดมองแอสเชอร์ จากนั้นก็โน้มศีรษะลงมาให้สายตาทั้งสองคู่อยู่ในระดับเดียวกัน

   “แต่งกับเรา เธออยากเที่ยวก็จะพาไปเที่ยว ไม่ชอบอยู่วังก็ไม่ต้องอยู่” ดีแลนด์เว้นจังหวะ ก่อนจะเน้นประโยคถัดมาที่ชวนให้หัวใจใครก็ตามที่ได้ยินเต้นแรง และอาจตกบ่วงเสน่ห์ของเขาได้ง่ายๆ “เราไม่ขัดใจเธออยู่แล้ว”

   จิวซือรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดไปครึ่งจังหวะ ที่แท้มนุษย์ผู้ชายทุกคนต่างก็มีสิ่งที่เรียกว่าท่าทางหว่านเสน่ห์อยู่ ไม่เว้นกระทั่งดีแลนด์ บุรุษที่มักวางตัวนิ่งเฉย ไม่สนใจสายตาหรือความคิดของผู้ใด



   กับดีแลนด์หรือ

   ที่จริงจิวซือตั้งใจไว้แล้วว่าจะท่องโลกกว้างลำพัง ไม่ต้องการมีคู่หรือสร้างพันธะใดๆ ในชาตินี้ด้วยซ้ำ เพราะจิตเซียนในร่างมนุษย์นั้นแข็งแกร่งมาก แม้แต่ความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ที่มีต่อเหอเทียนเหิง เขายังไม่สามารถลืมได้

   “ตกลงสิ แอสเชอร์”

   “เป็นชายาของเรา”



   ดีแลนด์ซื่อสัตย์กับคำพูดของเขาเสมอ...

   หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของจิวซือค่อยคลายลง ก่อนที่เขาจะยื่นแก้วน้ำส้มไปข้างหน้า รอให้ดีแลนด์ยื่นแก้วของตนเองมา เสียงแก้วสองใบกระทบกันใสราวเสียงระฆัง



   ท่องเที่ยวเพียงลำพังก็สบายใจดี แต่มีดีแลนด์เป็นเพื่อนร่วมทาง คงไม่เลว







…………………………….


ลืมบอกไป

#วิถีเซียน3p มีความหมายตรงตัวว่า 3 persons นะคะ คือเรื่องนี้มีตัวเอกสามคน คือ จิวซือ อี้เทียน และอวิ๋นหนาน ส่วนตอนจบจะลงเอยยังไง เราก็ยังไม่ทราบค่ะ ฮ่าๆ แล้วแต่ความสัมพันธ์ของตัวละครจะพัฒนาไปแบบไหนอีกทีค่ะ




ขอบคุณทุกคอมเมนท์ด้วยค่ะ โดยเฉพาะคุณ Grey Twilight ละเอียดมาก เอาจริง ลึกกว่าเราที่เป็นคนแต่งอีก นี่ก็ฟังเพลงที่แนะนำมาด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ






ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
สุดท้ายจิวซือจะคู่กับใคร
ติดตามต่อค่ะ

 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ต้องมาลุ้นกันว่า โดมินิก จะทำอะไรหลังจากรู้ว่าโดนถอนหมั้นแล้ว


ออฟไลน์ naezapril

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 120
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
อ่านตอนนักเขียนทำใจสั่นคลอน​เลยถ้าสามพีแบบนั้นต้องมีฝ่ายเราเสียใจแน่นอน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด