≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการส่งท้าย:⊱ 30/8/62 P.6 -จบ-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการส่งท้าย:⊱ 30/8/62 P.6 -จบ-  (อ่าน 35304 ครั้ง)

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
โอ้ยยยยย สนุกมากเพิ่งได้อ่านรวดเดียวหมดเลย ชอบความซุ่มซ่าม ความน่ารักนี้ :กอด1: นึกว่าพอเป็นปีศาจเต็มตัวแถมระดับสูงด้วยนะ สายตาจะกลับมาปกติซะอีก แต่คุณปู่ก็ยังตาบอดเลยเนอะเข้าใจๆ รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ :pig4:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰บงการ:วันที่11:⊱




การฝึกทักษะการต่อสู้เป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันที่ผมต้องทำทุกวันโดยมีอาจารย์มากฝีมืออย่างเตโชคอยฝึกให้ไม่ขาดแต่ด้วยความหวังดีหรืออะไรก็ไม่รู้แหละของเบียทรีซถึงได้บอกให้เตโชฝึกอาวุธผมเพิ่มอีกอย่าง แม้การเคลื่อนไหวของผมจะค่อนข้างดีทว่าการมีอาวุธอยู่ในมือค่อนข้างยากเกินไปสำหรับผม


ดาบยาวในมือยกขึ้นปะทะกับดาบอีกเล่มที่ฟาดฟันลงมาอย่างรุนแรงจนผมถึงกับทรุดเข่าลงไปกับพื้น แค่นั้นยังไม่พอเตโชเตะตรงเข้ายังกระบังลมแต่ด้วยสัญชาตญาณทำให้ผมหลบได้อย่างเฉียดฉิว ความหนักของอาวุธในช่วงแรกอาจไม่รู้สึกเท่าไรแต่เมื่อผ่านไปประมาณชั่วโมงหนึ่งกำลังแขนผมก็เริ่มหมดลง


แค่จะยกดาบขึ้นยังยากเลย


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมเงยหน้ามองการเคลื่อนไหวที่กำลังเข้ามาประชิด ในเมื่อไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะยกผมจึงปักดาบลงพื้นหญ้าให้ผืนดินช่วยเพิ่มหลักในการป้องกัน แน่นอนว่าระดับผู้คุมทับปิศาจกว่า 30,000 ตนอย่างเตโชสามารถอ่านออกได้ในพริบตา เขาใช้สันดาบปะทะกับดาบของผมจนดาบนั่นปลิวไปตกอยู่บริเวณทางเดินข้างปราสาท


ทั้งที่ควรจะหยุดการต่อสู้เพราะอาวุธผมลอยไปแต่ในความจริงเตโชกลับง้างดาบขึ้นแล้วเหวี่ยงเข้าใส่ผมที่นั่งทรุดอยู่บนพื้น ภายในสมองว่างเกิดว่างเปล่าเฉียบพลัน พลังปิศาจภายในร่างถูกปลดปล่อยออกมาคล้ายกำลังปกป้องตัวเองไม่ให้เกิดอันตรายโดยไม่รู้ตัว พอสติกลับมาร่างของเตโชก็ลอยไปกระแทรกกับต้นไม้ด้านหลังเช่นเดียวกับกองทัพปิศาจที่กำลังฝึกอยู่ไม่ไกลนั้นต่างพากันล้มลงไปกองบนพื้น


“...อะไร...” นี่มันคืออะไร


ผมเป็นคนทำ?


“แค่ก...” เตโชไอเล็กน้อยระหว่างเดินเข้ามาหา


เลือดมุมปากที่ไหลออกมาทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย


“เตโช เป็นอะไรรึเปล่า” ผมรีบก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง


“ไม่เป็นไร แค่ไม่ทันตั้งตัวเลยป้องกันตัวไม่ทัน”


“นี่ผมทำอะไรลงไป แล้วพวกเขาจะเป็นอะไรไหม” ระหว่างถามผมหันไปมองเหล่าปิศาจที่ล้มอยู่บนพื้น มีจำนวนไม่น้อยที่ยังยืนอยู่แต่ก็มีไม่น้อยที่สลบ


“แรงกดดันของพลังปิศาจที่เจ้าปล่อยออกมามันเข้มข้นจนปิศาจปกติรับไม่ไหว ผลเลยเป็นแบบนั้น ให้พักหน่อยก็ฟื้นเอง” เตโชอธิบายให้ฟัง


“ผมไม่ค่อยเข้าใจ” ต่อให้อธิบายให้ฟังแต่ด้วยความที่ผมนั้นค่อนข้างเข้าใจช้าเลยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก


“สรุปง่ายๆ คือพลังของเจ้ามีมากเกินกว่าปิศาจปกติจะทนไหว”


“...หมายถึงปิศาจระดับสูง?” ผมเคยได้ยินเบียทรีซบอกก่อนหน้านี้ เหมือนว่าผมจะผ่านช่วงเปลี่ยนถ่ายเลยกลายเป็นปิศาจระดับสูง ประมาณนั้น


“ใช่ พลังของปิศาจระดับสูงนั้นปิศาจระดับกลางลงไปต้านไม่ได้หรอกขนาดปิศาจระดับสูงอย่างข้ายังรับตรงๆ ไม่ไหวเลย ยิ่งเจ้ายังไม่สามารถควบคุมมันได้ด้วย” เตโชบอกพลางใช้ดวงตาสีเทาจับจ้องมาที่ผม


“...ทำไมผมถึงมีพลังระดับนั้นได้กัน”


“เพราะสายเลือดของชารอนละมั้ง”


“คุณก็รู้จักแม่ผมด้วยเหรอ” ผมถามกลับด้วยความสงสัย


“ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชารอนหรอก ปิศาจที่อยู่เคียงข้างองค์ราชามาตั้งแต่ก่อนขึ้นปกครองโลกปิศาจ ด้วยพลังอันมหาศาลอันหาใครเปรียบทำให้เธออยู่สูงยิ่งกว่าใคร มีเพียงราชาที่ชารอนยอมฟังคำสั่งเท่านั้น”


“...ผมไม่ได้เป็นเหมือนคุณแม่” ผมบอกเสียงเบา ต่อให้สืบเชื้อสายแต่ผมคงไม่สามารถทำได้แบบนั้น


“ไม่มีใครบอกให้เจ้าต้องเป็นชารอน พลังนี้เป็นของเจ้า จะเลือกใช้ยังไงก็อยู่ที่ตัวเจ้าเอง” เตโชพูดต่อ


“คุณจงใจโจมตีเพื่อให้ผมแสดงพลังออกมาใช่ไหม” นี่เป็นคำตอบเดียวที่คิดได้หลังจากได้ฟังหลายๆ อย่าง


“ประมาณนั้น ต้องขอโทษด้วยอาจทำให้ท่านบาดเจ็บ พลังที่ปลดปล่อยออกมาตอนช่วงเปลี่ยนถ่ายพวกข้าทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่ง เพียงแค่ข้าอยากรู้ว่าท่านจะสามารถควบคุมพลังนั่นได้หรือไม่”


“ผมควบคุมไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใช้ยังไง” มันเหมือนผมแสดงออกมาเพราะต้องการเอาชีวิตรอด ถ้าให้ทำอีกรอบคงไม่ได้แล้ว


“การควบคุมพลังนั้นทุกอย่างอยู่ที่จิตใจ ไม่สามารถสอนให้กันได้”


“แบบนั้นผมก็แย่สิ” ถ้าสอนไม่ได้แล้วผมจะทำยังไงต่อไปได้ล่ะ


“ท่านยังอายุน้อยนัก ประสบการณ์จะช่วยให้ท่านควบคุมพลังของตนเองได้ในสักวัน”


“ในสักวันนี่นานแค่ไหนกัน”


“อาจจะร้อยหรือสองร้อยปี” คำพูดของเตโชทำเอาตาผมแทบจะถลนออกมานอกแว่นตา


“นานไปนะ”


“สำหรับปิศาจแล้วมันไม่นานหรอก ว่าแต่เลย 11 โมงมาแล้ว ท่านควรรีบกลับไปก่อนองค์ราชาจะมาตามด้วยตนเอง” ประโยคของเตโชทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนที่ผมอยู่ฝึกซ้อมนานเกินกว่าเวลาที่กำหนดแล้วเบียทรีซลงมาตามด้วยตัวเอง แถมยังให้สายตาคมกริบมองมาราวกับผมทำผิดสถานหนัก


“ทำไมถึงชอบบังคับผมนักนะ” ได้ทีผมขอบ่นหน่อยเถอะ ต้องมาไม่เกินเท่านี้ ห้ามไปไหนโดยไม่บอกและอื่นๆ อีกมากมายจนผมไม่มีพื้นที่ส่วนตัวเลย


“เพราะท่านพิเศษ”


“พิเศษ?” หมายถึงน่าแกล้งเป็นพิเศษ?


“องค์ราชาเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่มีท่านเข้ามาอยู่ที่นี่ ข้า...ไม่สิ...ต้องบอกว่าปิศาจทุกคนสัมผัสถึงบรรยากาศที่อ่อนลงกว่าแต่เดิมมาก ทั้งหมดเป็นเพราะมีท่านอยู่ข้างกายองค์ราชา” เตโชบอกระหว่างเดินไปหยิบดาบที่ปลิวไปไกล


“อาจไม่ใช่เพราะผมก็ได้”


“แค่มองก็รู้แล้ว ท่านวิณณ์...โปรดอย่าโกรธเคืองกับการกระทำขององค์ราชาเลย ด้วยฐานะและตำแหน่งที่แบกรับทำให้ทุกสิ่งที่ต้องการนั้นต้องมาอยู่ในมือ เหมือนกับเด็กที่อยากได้ของเล่นที่ชอบมาอยู่ในมือตลอด พอให้ออกห่างก็ห่วง พอมีใครเข้าใกล้ก็หวง เป็นกังวลว่าสักวันของที่ชอบนั่นจะหายไป” คำอธิบายของเตโชผมฟังจนจบและพยายามคิดตามแต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี


สรุปคือผมเป็นของเล่นของเบียทรีซ?


ผมพาตัวเองขึ้นมาจนถึงห้องทำงานของเบียทรีซ การที่ภายในห้องว่างเปล่าทำให้ผมแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะทุกครั้งที่ผมเปิดประตูเข้ามาจะเห็นเบียทรีซนั่งอยู่เสมอ ถึงจะสงสัยแต่ก็ไม่รู้จะออกไปตามหรือหาที่ไหนจึงตัดสินใจนั่งคอยบนเก้าอี้ทำงานของตัวเอง


เส้นผมสีน้ำตาลแดงของผมนั้นไม่ใช่แค่เข้มขึ้นอย่างเดียวแต่ยังยาวประบ่าสร้างความรำคาญให้ผมมากตั้งแต่การกินข้าวที่พอก้มลงแล้วปลายผมก็มักจะจุ่มลงไปในจานทุกครั้งไป แถมตอนฝึกต่อสู้กับเตโชยังมีหลายครั้งปิดตาผมจนมองไม่เห็น


“ขอตัดคงได้มั้ง” ผมมองปลายผมตัวเองขณะพูด ในเมื่อมันเกะกะการจะตัดให้สั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลก สำหรับผมการไว้ผมซอยให้อยู่เหนือไหล่มันคล่องตัวกว่า ไม่ได้สั้นจนเกรียนแต่ยาวให้พอดีกับการใช้ชีวิต...ล่ะนะ


ระหว่างตัดสินใจผมมองหากรรไกรมาตัดผมแต่ไม่เจอเลยสักอัน ในตอนนั้นเองที่ในหัวผุดขึ้นมาว่ามีอุปกรณ์สำหรับตัดติดตัวอยู่นี่นา มีดสั้นความยาวประมาณสองคืบอยู่ในฟักอย่างดีซึ่งได้รับมาจากเบียทรีซและถูกย้ำอยู่หลายล้านครั้งว่าให้ใช้อย่างระวังและอย่าให้บาดเจ็บ


ในเมื่อไม่มีกรรไกรก็ขอใช้มีดสั้นแทนละกัน


ยังไงผมก็ไม่ได้แคร์เรื่องทรงเท่าไหร่แค่สั้นในระดับพอเหมาะก็โอเคแล้ว มีดสั้นสีเงินหันปลายมีคมเข้าหาเส้นผมที่ถูกกำเอาไว้ลวกๆ แต่ด้วยความที่จังหวะของการรวบผมทำให้มือไปอยู่ข้างหลังผมเลยต้องพยายามหันหน้าไปมองแล้วใช้เพียงสัมผัสของมือกะว่าจะสามารถตัดผมได้ถูกที่ตามที่ตั้งใจรึเปล่า


แกร็ก!


“วิณณ์!” เสียงเรียกจากเบียทรีซที่เปิดประตูเข้ามานั้นทำเอาปลายมีดที่กำลังจะโดนเส้นผมถึงกับชะงัก


“กลับมาแล้วเหรอ...อ๊ะ!” ยังไม่ทันได้เอ่ยทักทายจบประโยคอีกฝ่ายก็ก้าวยาวๆ มาตรงหน้าผมพร้อมดึงมีดในมือผมไปแถมยังทำหน้าโกรธๆ ด้วย


“คิดจะทำอะไรน่ะ”


“...ก็กำลังตัดผมไง” ผมตอบกลับตามจริง ท่าทางของผมนอกจากตัดผมแล้วยังมองเป็นอย่างอื่นได้อีกเหรอ


“ตัดผม? ใครสอนให้ใช้มีดตัดผมตัวเองฮะวิณณ์!” เบียทรีซทำหน้างงยามได้ยินคำตอบผมก่อนจะบ่นออกมาระลอกใหญ่


“ก็มันไม่มีกรรไกร...”


“ถ้าข้าไม่เข้ามาสิ่งแรกที่มีดจะโดนไม่ใช่ผมแต่เป็นมือเจ้า”


“...ผมมองไม่เห็นนี่นา ทำไมต้องดุด้วย” ผมถามเสียงแผ่ว


“จะให้ข้าชมที่เจ้าเกือบจะตัดมือตัวเองขาดรึไง”


“...แต่ว่า...”


“ไม่มีแต่วิณณ์ เงียบแล้วฟังข้า นิสัยซุ่มซามของเจ้าน่ะช่วยรับรู้ถึงมันหน่อยเถอะแค่ถือดินสอก็ยังทำตัวเองบาดเจ็บได้เลยแต่นี่เป็นมีดนะ ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าให้ระวังอย่าให้ตัวเองบากเจ็บ...นี่เจ้ายิ้มอะไรน่ะ” คำบ่นมากมายหยุดลงกลางครันเมื่ออีกฝ่ายเห็นผมเผยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ


“คุณเป็นห่วงผมด้วย”


“...อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ข้ากำลังบ่นเจ้าอยู่”


“ผมไม่ได้เปลี่ยนสักหน่อย จริงอยู่คุณบ่นอยู่แต่ผมรู้ว่าคำบ่นนั้นเป็นเพราะคุณเป็นห่วงกลัวว่าผมจะบาดเจ็บ ใช่ไหมล่ะ” ผมถามกลับพร้อมรอยยิ้มกว้าง


“คิดเองเออเอง”


“ขอบคุณนะเบียทรีซที่เป็นห่วงผมขนาดนี้”


“ข้าบอกว่าเป็นห่วงเจ้าตอนไหนกัน” อีกฝ่ายยังคงปากแข็งทำเป็นไม่รู้เรื่องเหมือนอย่างทุกครั้งซึ่งผมก็ชินแล้วล่ะ


“ไม่ต้องบอกผมก็รู้” ไม่จำเป็นต้องพูดว่าเป็นห่วงเพราะไม่ว่าจะเป็นการกระทำคือความหมายของประโยคมันสื่อออกมาอย่างชัดเจน ขนาดผมที่เข้าใจยากยังรับรู้ถึงความห่วงใยนั้นได้เลย


“...ชิ” เบียทรีซเลิกต่อการสนทนาเดินกลับไปนั่งโต๊ะทำงานตัวเองตามเดิม


“จะว่าไป คุณไปไหนมาเหรอ”


“ประชุม”


“อ้อ...นี่เบียทรีซ”


“อะไร”


“ผมอยากตัดผม ได้รึเปล่า” ผมถามต่อ


“มาถามข้าทำไม ผมเจ้าเองนี่” อีกฝ่ายหันมามองผมระหว่างถาม


“ก็อยากขอความเห็นหน่อย ผมไม่ชอบเวลาที่เส้นผมมันยาวเลยบ่ามามันรู้สึกรำคาญน่ะ ปกติผมจะไว้สั้นประบ่าประมาณนี้” ผมใช้มือบอกระดับผมที่ไว้ประจำ


“แล้วแต่เจ้าสิ”


“แล้วเบียทรีซชอบแบบไหน ยาวแบบนี้หรือสั้นหน่อย” ผมถามพลางก้าวไปหาเบียทรีซที่เกร็งร่างขึ้นเล็กน้อยหลังได้ยินผมพูดจบประโยค


“...ถ้าข้าบอกว่าชอบแบบนี้เจ้าจะไม่ตัดรึไง”


“อืม...ถ้าเบียทรีซชอบผมจะทำตาม” ปกติผมเป็นคนคิดเองว่าจะตัดทรงไหน ไม่มีใครคอยมาบอกว่าเหมาะหรือดีรึเปล่า แต่ตอนนี้มีเบียทรีซอยู่ถ้าเขาเห็นว่าผมไว้แบบนี้แล้วเหมาะกว่าผมก็ไม่ขัดอะไรแค่ต้องทำตัวให้ชินแค่นั้นเอง


“เจ้า...รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”


“ฮะ? ก็ถามว่าเบียทรีซชอบ อ๊ะ!” เป็นอีกครั้งที่ผมยังเอ่ยไม่จบประโยคก็ถูกอีกฝ่ายคว้าแขนพร้อมออกแรงดึงจนขึ้นมานั่งอยู่บนตักของเบียทรีซในสภาพที่หันหน้าเข้าหากัน


“ถ้าพูดโดยไม่รู้ความหมายแปลว่าเจ้า...นิสัยแย่นะวิณณ์”


“ฮะ?” ไม่รู้ว่าผมพูดคำว่าฮะไปกี่รอบแต่ผมในตอนนี้ไม่เข้าใจสิ่งที่เบียทรีซต้องการจะสื่อสักนิดเดียว


“ถามว่าข้าชอบแบบไหนใช่ไหม” อีกฝ่ายกระซิบถาม


“...อืม” ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นด้วยล่ะ


อยู่ๆ ก็รู้สึกเขินขึ้นมาซะอย่างงั้น


“ข้าชอบทุกแบบที่เป็นเจ้า” ดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซสอดประสานมายังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมคล้ายกำลังสื่อความนัยบางอย่าง จังหวะของหัวใจเริ่มเต้นเร็วขึ้นและเร็วมากเข้าไปอีกยามริมฝีปากนั้นแนบสนิทลงมาโดยไม่บอกกล่าว


ภายในหัวขาวโพลนทว่าหัวใจกลับเต้นถี่เร็วขึ้น ความร้อนจากทั่วทุกส่วนของร่างกายมาหลอมรวมอยู่บริเวณใบหน้า ต่อให้มองไม่เห็นหน้าตัวเองผมก็มั่นใจว่าหน้าผมตอนนี้กำลังเห่อแดงแบบสุดๆ ครั้งก่อนอยู่ๆ ก็ถูกจูบ...ครั้งนี้ก็ถูกจูบอีก


ถ้าถามว่าชินรึยังตอบได้เลยว่าไม่


ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดคล้ายกำลังจีบสาวอยู่นั่นคืออะไร แค่ใบหน้าหล่อเหลาก็เรียกว่ากินขาดแล้วแต่ตอนนี้ต้องเพิ่มเจ้าคารมเข้าไปอีก เชื่อเถอะว่าถ้าใครมาอยู่ในเหตุการณ์แบบเดียวกับผมต่อให้เป็นผู้ชายก็ต้องมีใจเต้นกันเป็นธรรมดา


ริมฝีปากที่แนบลงมานั้นบดเบียดเข้ามามากขึ้นในขณะที่ผมได้แต่เบิกตากว้างผ่านเลนส์แว่นด้วยความตกใจ มือทั้งสองข้างกำแน่นทุบเข้าบริเวณแผ่นอกของอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มี แน่นอนว่าผมในสภาพนี้นอกจากจะไม่มีกำลังมากพอที่จะหยุดแล้วยังถูกอีกฝ่ายจับปลายคางให้เชิดขึ้นเพื่อรับจูบนั้นมากกว่าเดิม ปลายลิ้นของเบียทรีซพยายามจะล่วงล้ำเข้ามาทว่าผมเม้มปากแน่นพลางขยับตัวหนี


“อื้อ!...แฮ่ก ทำอะไรของคุณน่ะ” ผลจากความพยายามในที่สุดริมฝีปากผมก็สามารถเป็นอิสระได้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมเงยขึ้นไปสบอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง โดนฉวยโอกาสเป็นครั้งที่สองผมคงจะยอมปล่อยไปได้หรอก


“นั่นเป็นข้าที่ต้องถามมากว่า”


“ทำไมถึงเป็นคุณที่ต้องถาม?” ผมสิที่ต้องถาม!


“เจ้านั่นแหละทำอะไร เม้มปากแน่นขนาดนั้นข้าก็จูบไม่ได้น่ะสิ”


“ที่เม้มปากแน่นก็เพราะไม่อยากให้จูบนั่นแหละ จูบผู้ชายด้วยกันรู้สึกดีรึไง”


“ก็ดีกว่าที่คิด อีกอย่างมันยังไม่เรียกว่าจูบ” เบียทรีซพูดเสียงนิ่ง


“ผมรู้น่า” แต่ยังไงสำหรับผมมันก็เรียกว่าจูบอยู่ดี


“เจ้ารู้? เคยจูบเหรอ”


“...ผมอยู่มาตั้ง 30 ปีมันก็มีบ้างสิ” ถึงจะอายที่ต้องมาบอกคนอื่นก็ตามที ความเงียบที่ตามมาหลังผมพูดจบเรียกให้ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่บัดนี้นอกจากจะขมวดคิ้วแน่นแล้วยังจ้องมาทางผมด้วยความไม่พอใจอีก


“เป็นเด็กน้อยเพิ่งหัดคลาดแท้ๆ มันยังเร็วไปสำหรับเจ้า ริอาจไปลองจูบแบบนี้น่าลงโทษนักวิณณ์” ขนทั้งร่างลุกตั้งชันเมื่อได้ยินคำพูดของเบียทรีซ


“...สำหรับมนุษย์มันไม่เรียกว่าเร็วหรอกนะ” อีกอย่างกว่าผมจะได้ลองจูบแรกก็อยู่ตั้งมหาลัยปี 3 เข้าไปแล้ว


“เจ้าไม่ใช่มนุษย์”


“สุดท้ายก็วกมาเรื่องนี้?” ไม่รู้กี่ร้อยครั้งแล้วที่พูดเรื่องนี้กัน ต่อให้ผมมีสายเลือดของปิศาจอยู่แต่ผมก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์อยู่ดี


“ฮึ้ย! เรื่องตอนเป็นทารกนั่นช่างมันก็ได้แต่จากนี้ห้ามเจ้าไปจูบใครอีก เข้าใจนะ”


“...ทำไมต้องห้ามผมเรื่องนี้ด้วย” เรื่องอื่นอย่างห้ามออกไปไหนคนเดียวหรือต้องมาตรงเวลายังพอเข้าใจแต่นี่มันเรื่องจูบ?


“ทำไม เจ้าอยากไปจูบใครรึไงวิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซต่ำลงทันทีที่ได้ยิน


“เปล่า แค่ผมไม่เข้าใจเฉยๆ” เรื่องจูบมันเป็นเหมือนเรื่องส่วนตัวจะมาห้ามแบบนี้มันออกจะแปลก


“เจ้ายังไม่จำเป็นต้องเข้าใจ”


“...ทีคุณเองยังจูบผมเลย” ถ้าห้ามไม่ให้ไปจูบใครคนแรกที่ควรห้ามก็ต้องเป็นเขานั่นแหละ


“ข้าเป็นข้อยกเว้น”


“ฮะ?” มีการยกเว้นตัวเองด้วย?


“ถ้าเข้าใจแล้วก็เลิกถาม”


“ผมยังไม่เข้าใจ...”


“งั้นก็ไม่ต้องเข้าใจต่อไปละกัน”


“...” ผมเงียบพลางขมวดคิ้วแน่นมองเบียทรีซที่จ้องผมกลับมาเช่นเดียวกัน


รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกแกล้งเลย


“ถ้าเจ้ารำคาญก็ตัดให้สั้นหน่อย” มองกันอยู่สักพักใหญ่เบียทรีซจึงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมาก่อน


“...หมายถึงผม?”


“แล้วยังหมายถึงอย่างอื่นได้อีกรึไง ประมาณนี้ก็พอ” เส้นผมสีน้ำตาลแดงถูกอีกฝ่ายสัมผัสเพื่อบอกความยาวที่เหมาะสม


“สั้นอีกนิดก็ได้นะ” ผมบอกเพราะจากบริเวณมือที่แตะโดนมันอยู่เกือบถึงไหล่ ทรงผมของเบียทรีซเองอยู่ในระดับที่ยาวกว่าผมหน่อย


“สไลด์ลงมาให้ยาวสุดอยู่ตรงนี้”  เบียทรีซอธิบายเพิ่ม


“แบบนั้นก็ได้” ผมพยักหน้าตกลง เรื่องทรงผมพวกนี้ผมไม่ค่อยรู้หรอก


“ดี งั้นไปนั่งที่เก้าอี้นิ่งๆ ”


“คุณจะตัดให้?” ผมเอ่ยถามระหว่างเดินไปนั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง


“ดีกว่าให้เจ้าใช้มีดปาดคอตัวเองละกัน” อีกฝ่ายบอกพลางหยิบกรรไกรในลิ้นชักเดินมาหา


เส้นผมสีน้ำตาลแดงถูกเบียทรีซหวีสักพักแล้วจึงเริ่มลงมือตัดโดยเริ่มจากด้านหน้าที่สไลด์สั้นๆ ต่างจากด้านหลังที่ซอยระไปกับต้นคอ ผมทำเพียงนั่งอยู่นิ่งๆ ให้อีกฝ่ายตัดเล็มกินเวลาไปสักใหญ่ผมทรงใหม่ก็เสร็จสิ้น


“คุณเหมาะจะเป็นช่างตัดผมนะเนี่ย” ผมสะบัดเส้นผมสีน้ำตาลแดงไปมา พอตัดสั้นลงหน่อยแล้วรู้สึกเบาสบายกว่าเดิมเยอะเลย


“หึ เลิกหมุนตัวแล้วเริ่มทำงานสักที”


“อืม”


หลายวันผ่านไปการมีทรงผมใหม่นั้นช่วยให้การเคลื่อนไหวผมดีขึ้นเยอะแถมยังเพิ่มความมั่นใจให้อีก ทั้งแกรน ทั้งเตโชรวมไปถึงกาเนอร์ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าทรงนี้เหมาะกับผมมาก พอผมบอกต่อว่าเบียทรีซเป็นคนตัดให้ก็ได้เห็นปิศาจระดับแนวหน้าทำตาโตกันเป็นแถว พวกเขาบอกว่าเบียทรีซไม่เคยตัดผมให้ใครมาก่อนซึ่งผมก็เชื่อแบบนั้น ระดับราชาของโลกปิศาจจะไปตัดผมให้ใครได้มีแต่จะให้คนอื่นมาตัดให้ซะมากกว่า


วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสเหมาะแก่การออกไปข้างนอกมาก ผมแอบมองท้องฟ้าผ่านทางกระจกหน้าต่างในห้องทำงานซึ่งตอนนี้ผมอยู่คนเดียวในห้องเนื่องจากเบียทรีซออกไปประชุม ท่าทางเร่งรีบแบบนั้นผมเลยไม่กล้ารั้งไว้แม้วันนี้ผมจะอยากกลับไปบ้านสักหน่อย


ระหว่างคิดอะไรเรื่อยเปื่อยผมก็เหลือบไปเห็นชายผมสีทองเข้มซอยสั้นเดินอยู่ระเบียงด้านล่างสุดของปราสาท ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัวพร้อมกับสองขาที่วิ่งออกจากห้องไปในทันที เดาจากทิศที่อีกฝ่ายเดินไปคงเป็นหน้าปราสาทผมเลยลงไปดักรออยู่หน้าประตูซึ่งก็เป็นไปตามคาดปิศาจระดับสูงในคราบของนักธุรกิจระดับโลกอย่างจาร์ม สก๊อตเดินออกมาจากประตู พอเห็นผมยืนมองอยู่ก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะก้มหัวทักทาย


“สวัสดีสก๊อต” ผมปรี่เข้าไปหาอีกฝ่ายที่เริ่มขมวดคิ้วมองมา


“สวัสดีท่านวิณณ์ ไม่ได้เจอกันนานเลย” อีกฝ่ายทักทายด้วยรอยยิ้มเทพบุตร


“นั่นสิ ครึ่งปีได้มั้ง” เมื่อครึ่งปีก่อนผมมีโอกาสได้เจอกับสก๊อตในห้องทำงานของเบียทรีซ เห็นว่ามารายงานผลอะไรสักอย่างให้ฟังนี่แหละ


“มีเรื่องอะไรรึเปล่า” คุยกันแค่ประโยคเดียวก็ทำเอาผมสะดุ้ง ไม่คิดว่าจะรู้เร็วขนาดนี้


“คือผม...มีเรื่องอยากขอร้องหน่อยน่ะครับ”


“ขอร้องข้า?” สก๊อตทำหน้าแปลกใจ


“ใช่ครับ ผมรู้ว่ามันค่อนข้างรบกวนและเอาแต่ใจไปสักหน่อยแต่นอกจากคุณผมก็ไม่รู้จะไปขอร้องใคร”


“...ลองบอกมาก่อน”


“ช่วยเปิดทางเชื่อมมิติไปบ้านผมให้หน่อยได้ไหมครับ” ผมเอ่ยความต้องการของตัวเองออกไป


“ลืมของไว้?” สก๊อตถามต่อ


“เปล่าครับ คือวันนี้เป็นวันครอบรอบวันตายของคุณแม่ผมเลยอยากไปไหว้หลุมศพ ขอร้องล่ะครับ” ความจริงผมควรจะกลับไปวันตรุษจีนด้วยแต่ช่วงนั้นผมนอนซมเพราะช่วงเปลี่ยนถ่ายไปเป็นอาทิตย์


ไหนๆ วันนี้สภาพร่างกายผมก็พร้อมเลยอยากกลับไปไหว้


“เจ้าน่ะ...แปลกจริงๆ นะ” เงียบไปสักพักสก๊อตก็พึมพำออกมา สายตาที่ใช้มองผมดูอ่อนลงกว่าแต่ก่อน


“ครับ?” แปลกยังไง


“แค่สั่งว่าให้เปิดทางเชื่อมไปโลกมนุษย์ก็พอแล้วแท้ๆ”


“สั่ง? ไม่ๆ ๆ คือผมจะสั่งคุณได้ยังไงกัน” ผมส่ายหน้ารัวๆ แค่คิดยังไม่เคยเลย


“ด้วยฐานะของเจ้าไม่จำเป็นต้องมาขอร้องด้วยซ้ำ”


“ฐานะ...” ของผมเหรอ


“ท่านเบียทรีซยังไม่ได้บอกอะไรกับเจ้าเลย?”


“...บอกอะไรครับ” อีกฝ่ายทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้างงๆ ของผม


“เอาเถอะ เรื่องเปิดทางเชื่อมข้าไม่มีปัญหา แต่เจ้าควรไปบอกท่านเบียทรีซก่อน ขืนอยู่ๆ เจ้าหายไปเดี๋ยวได้กลายเป็นเรื่องใหญ่กันพอดี”


“เบียทรีซกำลังประชุมอยู่ผมไม่อยากเข้าไปขัด เห็นว่าจะประชุมประมาณ 4 ชั่วโมงเพราะงั้นผมจะกลับมาให้ทันก่อนจะเลิกประชุม” ผมบอกสก๊อตไปตามตรง ถ้ากลับมาทันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร


“เจ้าดูถูกองค์ราชาของพวกเราเกินไปแล้ว ถ้าสัมผัสถึงตัวตนเจ้าไม่ได้ต่อให้ประชุมหรือติดธุระสำคัญขนาดไหนก็ไม่เกี่ยว ตัวตนของเจ้าสำหรับท่านเบียทรีซน่ะยิ่งใหญ่มากนะรู้รึเปล่า”


“...ผมจะไปแค่แป๊บเดียว”


“นี่เจ้าไม่ได้ฟังข้าเลยสินะ”


“ผมฟังอยู่ แต่ผมรอจนเบียทรีซเลิกไม่ได้มันจะเย็นไป เพราะงั้นผมขอร้องล่ะครับ”


“จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ท่านเบียทรีซหาเจ้าไม่เจอข้าไม่รู้ด้วยนะ” อีกฝ่ายพูดต่อ


“ครับ?” หมายถึงเบียทรีซจะบ่นผมน่ะเหรอ


“ข้าจะเปิดทางเชื่อมให้” พูดจบสก๊อตก็ผายมือออกไปด้านข้างพร้อมพลังปิศาจที่หลั่งไหลออกมาผ่านทางปลายนิ้วทั้งห้า มิติโดยรอบเกิดอาการมิดเบี้ยวและแยกออกกว้างเป็นรูปประตู


“ขอบคุณนะครับ แล้ว...”


“ให้เวลาสามชั่วโมงข้าจะเปิดทางเชื่อมให้เจ้ากลับมาที่นี่อีกครั้ง” ไม่ต้องรอให้ผมพูดจบประโยคสก๊อตก็สามารถเข้าใจคำถามผมได้ในทันที



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


ผมผงกหัวขอบคุณอีกรอบก่อนจะก้าวขาเข้าไปในทางเชื่อมที่เปิดรอไว้ ด้านในยังคงเป็นบรรยากาศอันน่าพิศวงไม่เปลี่ยน ก้าวเดินไปไม่นานแสงสว่างจากทางออกก็เด่นชัดขึ้น สถานที่ที่ผมก้าวออกมาคือสวนในบ้านของตัวเองที่ไม่ได้กลับมากว่า 1 ปี ผมทำใจไว้แล้วว่าหญ้าต้องขึ้นสูงชนิดที่ต้องใช้มือแหวกทว่าภาพสวนตรงหน้ายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นความยาวของหญ้าในสนาม พุ่มไม้บริเวณรั้วหรือแม้แต่ตัวบ้านที่ไม่มีฝุ่นเกาะอยู่เลยสักนิดเดียว


“...เกิดอะไรขึ้น?” หรือจะมีโจรเข้ามา


แต่ถ้าเป็นโจรจริงคงไม่มานั่งถางหญ้าตัดพุ่มไม้ให้หรอกนะ ยิ่งทำความสะอาดบ้านทั้งหลังยิ่งไม่มีทาง แสดงว่าต้องมีใครสักคนมาทำความสะอาดให้สม่ำเสมอ และหากนึกถึงคนที่จะสามารถทำเรื่องนี้ได้ก็คงไม่พ้น...เบียทรีซ


อยากจะละลึกความหลังในการกลับมาครั้งนี้อยู่หรอกแต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดอยู่แค่สามชั่วโมงเลยจำเป็นต้องรีบหน่อย ที่แขวนกุญแจรถหน้าประตูยังอยู่เหมือนเดิมแถมลมยางรถยังเหมือนเพิ่งเติมมาใหม่ๆ นั่นทำให้ผมทุ่นเวลาในการจัดการไปได้เยอะเลย


รถยนต์คันสีขาวอันแสนคิดถึงแล่นไปตามถนนสายหลักด้วยความไม่คุ้นชินนัก เหมือนผมไปอยู่ต่างเมืองมาซะนานพอกลับมาบ้านเกิดอีกครั้งเลยจำพวกถนนเส้นทางไม่ค่อยได้ บวกกับความเอ๋อที่มีมาแต่เดิมพอนึกจะออกว่าต้องเลี้ยวก็ดันขับผ่านสี่แยกไปซะแล้ว กว่าจะวนรถกลับมาเสียเวลาไปหลายสิบนาทีเลย


สถานที่แรกที่ผมไปยังไม่ใช่หลุมศพแต่เป็นห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของสำหรับไหว้เล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะขับตรงไปยังหลุมศพซึ่งอยู่เกือบนอกตัวเมือง บริเวณนั้นเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยสุสานของชาวจีนตั้งอยู่จำนวนมาก พ่อของผมมีเชื้อสายจีนจึงได้ฝังแม่พร้อมสั่งเสียไว้ว่าหากไม่อยู่แล้วก็ให้ฝังไว้ข้างๆ คุณแม่


อาหารง่ายๆ ที่ผมพอจะหาซื้อมาไหว้ได้ก็เป็นพวกอาหารปรุงสำเร็จกับกระถางธูปและน้ำสะอาดรวมไปถึงดอกไม้ การซื้อของครั้งนี้เรียกว่าแตกต่างกับครั้งก่อนมาก หากเลือกได้ผมอยากจะทำทำอาหารสำหรับไหว้เองมากกว่าซื้อ ที่สำคัญคือตั้งแต่ลงจากรถ เดินเลือกของไปจนถึงจ่ายเงินล้วนถูกสายตาจับจ้องมาจนเกร็งตัวไปหมด ไม่รู้ว่าผมเผลอทำอะไรเป๋อเหรอไปรึเปล่าถึงได้มองกันขนาดนั้น


ก่อนจะไหว้ผมจัดการปัดกวาดเช็ดถูโดยรอบให้สะอาดแล้วค่อยวางพวกอาหารไว้ด้านหน้าป้ายชื่อพร้อมจุดธูปเรียกตามความเคยชินในทุกๆ ครั้งที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้


“ผมขอโทษที่ปีนี้ไม่ได้มาไหว้วันตรุษจีนนะครับ คุณแม่ต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าตอนนี้ผมไปอยู่ที่โลกปิศาจกับเบียทรีซ ถ้าคุณแม่ยังอยู่คงจะอธิบายให้ผมฟังได้เข้าใจง่ายกว่าแน่ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ ตอนนี้ถึงจะไม่มีคุณพ่อคุณแม่แต่ผมยังมีคนที่สามารถเรียกว่าเป็นครอบครัวได้ ถึงเขาจะเป็นถึงราชาก็ตาม...” ผมเล่าเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ตอนได้พบเบียทรีซมาจนถึงการใช้ชีวิตในตอนนี้ระหว่างรอธูปดับ เหมือนเป็นการพูดคุยกันระหว่างกินมื้ออาหารคงไม่ผิดนักหรอก


กว่าธูปจะมอดและดับลงก็กินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เป็นช่วงเวลาที่ผมได้เล่าเรื่องทุกอย่างจบลงพอดี ระหว่างจัดเก็บของให้เรียบร้อยสัมผัสแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้นจากด้านหลังและพอหันไปมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมก็ต้องเบิกกว้าเมื่อเห็นทางเชื่อมมิติปรากฎขึ้น


ถ้าแค่ทางเชื่อมมิติยังไม่เท่าไหร่แต่ร่างสูงอันคุ้นเคยที่ก้าวออกมาพร้อมกับใบหน้านิ่งๆ ดวงตาสีทองสว่างฉายแววหงุดหงิดปนโมโห ตรงหน้าผมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากราชาของโลกปิศาจเบียทรีซ


“เบียทรีซ...”


“เจ้าจะทำให้ข้ากังวลขนาดไหนถึงจะพอใจฮะวิณณ์!” เสียงตะโกนมาพร้อมกับวงแขนที่กอดรัดร่างผมจนแน่น มันไม่ใช่เพียงไออุ่นที่แผ่มาแต่ผมสัมผัสได้ถึงความว้าวุ่นและหงุดหงิดจากเบียทรีซผ่านทางอ้อมกอด


“...ประชุมเสร็จแล้วเหรอ” ผมถามเสียงเบา


“ช่างเรื่องประชุมเถอะ ทำไมถึงแอบมานี่โดยไม่บอกข้ากัน” อีกฝ่ายถามเสียงขุ่น


“ก็วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของคุณแม่...”


“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าแอบมาโดยไม่บอกข้า” เบียทรีซพูดแทรก


“เอ่อ...ผมจะขอมาตอนสายๆ แต่คุณต้องรีบไปประชุมผมเลยไม่กล้าขัด ระหว่างคิดก็เจอสก๊อตพอดีเลย...”


“ให้สก๊อตเปิดทางเชื่อมแล้วแอบมาโดยไม่บอกข้า” อีกฝ่ายต่อประโยคที่ผมยังพูดไม่จบ


“...ขอโทษนะ” พอได้ยินเสียงของอีกฝ่ายผมก็รู้สึกผิดขึ้นมา ทำให้เบียทรีซกังวลและเป็นห่วงขนาดนี้


“รู้ไหมว่าตอนนี้ข้ากำลังคิดอะไรอยู่”


“...ไม่รู้”


“ข้ากำลังคิดว่าจะซื้อโซ่สีอะไรมาล่ามเจ้าไว้ดี”


“ผมไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ” ผมผลักให้ตัวเองออกมาจากอ้อมกอดนั้นแล้วมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ


“ถ้าเจ้ายังกล้าไปไหนโดยไม่บอกข้าอีก เตรียมบอกสีที่ชอบมาได้เลย” เบียทรีซกดเสียงต่ำแสดงถึงความเอาจริงผ่านทางน้ำเสียง


“แต่ถ้าคุณกำลังยุ่ง...”


“จะยุ่งขนาดไหนก็ช่าง เรื่องของเจ้าสำคัญที่สุดสำหรับข้าวิณณ์”


“...เบียทรีซ” หัวใจอยู่ๆ ก็เต้นเร็วขึ้นยามได้ประโยคนั้น นี่ผมใจเต้นไปกี่ครั้งแล้วนะตั้งแต่มาอยู่กับเบียทรีซ


สาเหตุของอาการใจเต้นมันคงไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกแต่มีอะไรที่มากกว่านั้น อะไรบางอย่างที่ต่างออกไปจากทุกคนในชีวิตที่ผมเคยเจอมา


“สัญญากับข้าว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย” แม้น้ำเสียงจะดูเหมือนเป็นคำสั่งทว่าสายตาที่จับจ้องมานั้นมันแฝงไปด้วยการร้องขอ


“อืม ผมสัญญา...ถ้าจะไปไหนจะบอกคุณก่อน” ผมเอ่ยคำสัญญาด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“ดี...รู้ใช่ไหมว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกจะเป็นยังไง”


“...จะซื้อโซ่มาล่าม” ผมตอบเสียงแผ่วเบา เป็นโทษที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาเลย


“ตามนั้น ว่าแต่เสร็จแล้ว?” เบียทรีซถามพลางมองไปยังหลุมศพด้านหลังผม คงจะหมายถึงไหว้พอกับแม่เสร็จแล้วรึยังผมเข้าใจถูกไหมนะ


“อืม เหลือแค่เก็บกวาดอีกนิดหน่อย โอ๊ะ...ไหนๆ คุณก็มาแล้วจุดธูปไหว้ด้วยสิ” บอกเสร็จผมก็จัดการเตรียมธูปแล้วยื่นส่งให้เบียทรีซที่มองมายังธูปงงๆ


“...ข้าต้องทำอะไร” เขาคงพยายามคิดว่าจะต้องทำอะไรกับธูปแต่เพราะไม่เคยได้ทำมาก่อนเลยไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด


“ก็ไม่อยากแค่ถือธูปแล้วก็ไหว้ ระหว่างนั้นก็พูดคุยอะไรก็ได้”


“แล้วเจ้าพูดอะไร”


“ผมเล่าเรื่องตั้งแต่เจอเบียทรีซให้คุณพ่อกับคุณแม่ฟังน่ะ” ผมตอบไปโดยไม่ปิดบัง


“ฮืม ในเมื่อเจ้าเกริ่นแล้วข้าก็มาสู่ขอเลยละกัน”


“ฮะ?” สู่ขอ?


หมายถึงอะไร


อยากจะถามแต่ผมก็เลือกที่จะเงียบมองดูแผ่นหลังของเบียทรีซที่ก้าวไปด้านหน้าเล็กน้อย ดวงตาสีทองสว่างจับจ้องไปยังป้ายชื่อทั้งสองนิ่งๆ โดยไม่มีคำพูดใดๆ คล้ายกำลังถ่ายถอดหลายๆ อย่างภายในใจออกมาทางสายตา ทั้งที่อีกฝ่ายทำเพียงยืนนิ่งๆ แถมยังไม่มีคำพูดอะไรแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเขินขึ้นมา เหมือนกำลังถูกพูดถึงงั้นแหละ


เบียทรีซใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงยืนนิ่งโดยไร้ซึ่งคำพูดจนกระทั่งธูปในมือมอดดับลงพร้อมกับดวงตาที่ปิดลงเช่นกัน ผมมองการกระทำของเบียทรีซอย่างไม่เข้าใจ และในจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าไปเรียกขาทั้งสองข้างกลับชะงักเพราะได้ยินเสียงกระซิบอันแผ่วเบาจากเบียทรีซเข้าพอดี...


“ข้าจะดูแลวิณณ์เอง” นั่นคือคำพูดที่ผมได้ยิน


ทั้งที่เป็นคำพูดธรรมดาแต่มันกลับส่งผลกระทบต่อจิตใจของผมอย่างรุนแรง คนที่สูญเสียครอบครัวไปจนหมดต้องยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีใครเข้ามาห่วงหรือดูแลเหมือนอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว เพราะงั้นพอได้ยินคำพูดของเบียทรีซผมเลยรู้สึกเหมือนน้ำตามันเอ่อไหลออกมา


“...” ผมไม่ได้พูดหรือบอกอะไรแต่เลือกที่จะใช้แขนสองข้างของตัวเองสวมกอดเบียทรีซจากด้านหลังส่งผ่านความรู้สึกตื้นตันภายในอกนี่ผ่านวงแขนที่กระชับแน่นขึ้น


“วิณณ์?” เบียทรีซคงจะงงที่จู่ๆ ก็ถูกผมสวมกอด


“...ขอบคุณนะเบียทรีซ” มีหลายคำอยากบอกแต่ผมสามารถเอ่ยออกไปได้แค่ประโยคเดียวเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงสะอื้นนี่


“เจ้า...เป็นอะไร”


“...” ดูเหมือนเบียทรีซจะรู้ว่าผมผิดปกติเลยถามมาแบบนี้ แน่นอนว่าผมส่ายหัวตอบกลับไป


“วิณณ์ ปล่อยข้า” เมื่ออีกฝ่ายพยายามจะหันมาหาผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น


“...ผมไม่เป็นไร”


“ไม่เป็นที่ไหน เจ้าร้องไห้”


“ผมไม่ได้ร้อง”


“โกหกยังทำไม่เป็นก็ไม่ต้องพยายาม ร้องไห้ทำไม” ด้วยพละกำลังที่แตกต่างกันมากทำให้เบียทรีซหันมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ โดยผมพยายามซ่อนใบหน้านี่ด้วยการก้มลงแต่กับถูกอีกฝ่ายเชิดปลายคางขึ้นจนเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังสั่นระริกผ่านเลส์แว่นของผม


“...ผม...”


“ร้องไห้ทำไมวิณณ์” เบียทรีซถามซ้ำซึ่งครั้งนี้น้ำเสียงนั่นกลับอ่อนลงเหมือนใจผมในตอนนี้


“...ผมแค่ดีใจ”


“ดีใจ?”


“คุณบอกว่าจะดูแลผม”


“แค่นั้น?” เขาเหมือนจะสงสัยว่าแค่คำพูดนั้นถึงขนาดที่ผมต้องร้องไห้เลยเหรอ


“อืม...ผมไม่ได้รับความรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว เหมือนได้มีครอบครัวกลับมาอีกครั้งก็เลยดีใจมากไปหน่อย แฮะๆ ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ” ผมบอกพลางใช้มือปาดน้ำตาลวกๆ


“อย่าปาดแรงแบบนั้น แดงหมดแล้ว” ระหว่างพูดเบียทรีซก็ใช้นิ้วช่วยเกลี่ยน้ำตาให้


“เบีย...ทรีซ” ความอ่อนโยนที่สัมผัสได้ทำเอาหัวใจเต้นไม่เป็นสั่ม


“อยู่นิ่งๆ”


“แต่...”


“ไม่มีแต่วิณณ์” ผมจำต้องเงียบแล้วยืนนิ่งๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่ปกคลุมหัวใจ


เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ ผมและเบียทรีซนั่งรถกลับมาบ้านด้วยเหตุผลง่ายๆ คือผมต้องเอารถมาจอดเก็บที่บ้าน ตอนแรกผมบอกให้เบียทรีซกลับไปก่อนซึ่งดวงตาสีทองที่จ้องเขม็งมาก็แทนคำปฏิเสธจนผมไม่กล้าพูดอะไรอีก บริเวณสวนข้างตัวบ้านมีทางเชื่อมมิติถูกเปิดรอไว้ราวกับรู้การเคลื่อนไหวของพวกเราล่วงหน้า


“กลับกัน”


“เอ่อ...เดี๋ยวเบียทรีซ” ผมคว้าชายเสื้อของอีกฝ่ายไม่ให้ก้าวเข้าไป


“ลืมอะไรอีก”


“เปล่า...คือผมอยากค้างที่บ้านสักคืน...ได้รึเปล่า” ไม่ได้กลับมาตั้งนานผมอยากอยู่อีกสักพัก


“ตามใจเจ้าสิ สก๊อตปิดทางเชื่อม” ทันทีที่เบียทรีซพูดจบประโยคทางเชื่อมที่เปิดรออยู่ปิดลงทันที


หรือสก๊อตจะแอบอยู่แถวนี้?


“...แล้วคุณไม่กลับเหรอ”


“ไล่ข้า?” อีกฝ่ายเลิกคิ้วถาม


“เปล่านะ ผมแค่สงสัย”


“เจ้านอนคนเดียวได้รึไง”


“...คิดว่าได้นะ” ถึงจะไม่ค่อยชินแต่คิดว่าไม่น่าเป็นปัญหาอย่างมากก็แค่ไม่ได้นอน


“ข้าเคยบอกว่ายังไงจำได้ไหม” เบียทรีซถามต่อ


“บอกเรื่องไหน” บอกหลายเรื่องจนไม่รู้ว่าเรื่องไหนกันแน่ที่กำลังพูดถึงอยู่


“การนอน”


“...จำไม่ได้” ใช้เวลาคิดสักพักใหญ่เลยแต่สุดท้ายก็ต้องส่ายหน้ากลับไป


“เดี๋ยวข้าจะสั่งให้กาเนอร์ใช้ปลาเป็นวัตถุดิบหลักสัก 200 ปีเผื่อความจำเจ้าจะดีขึ้นมาบ้าง”


“ถ้ากินติดกันนานขนาดนั้นผมได้กลายเป็นปลาพอดี” ให้กินปลาตลอด 200 ปีเนี่ยนะ


“หึ ถ้าเป็นจริงคงเป็นปลาที่ว่ายชนกระจกจนสลบ”


“อย่ามาดูถูกผมนะ”


“แล้วข้าดูผิดตรงไหน”


“อึก...” ผมถึงกับพูดไม่ออกเพราะมันคงเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด


“ทำมื้อเย็นด้วย ข้าหิวแล้ว”


“เดี๋ยวสิ แล้วสรุปคุณเคยบอกผมว่าอะไรเหรอ”


ถ้ายังคาใจอยู่แบบนี้ผมไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี


“เจ้านอนคนเดียวได้แต่ข้าไม่ จบนะวิณณ์” พูดจบเบียทรีซก็ปล่อยผมยืนนิ่งอยู่ในสวนทั้งๆ แบบนั้น


ผมบอกว่าถ้าไม่รู้คงคาใจจนไม่เป็นอันทำอะไรแต่พอรู้แล้วก็ไม่เป็นอันทำอะไรเหมือนกันนั่นแหละ กล้าพูดประโยคหน้าอายแบบนั้นออกมาได้ยังเบียทรีซ


ขนาดผมแค่ฟังยังอายแทนเลย


มื้อค่ำผ่านไปด้วยอาหารจานเดียวง่ายๆ ตกดึกผมและเบียทรีซล้มตัวนอนบนเตียงขนาด 6 ฟุตซึ่งถือว่าแคบมากเมื่อเทียบกับเตียงในห้องของเบียทรีซ


“แคบไหม” ผมหันไปถามท่ามกลางความมืด ดวงตาของปิศาจสามารถมองเห็นในความมืดได้แต่ด้วยความที่สายตาสั้นทำให้ความสามารถนั่นไร้ประโยชน์สำหรับผม


“แคบ”


“ผมขยับจนชิดขอบเตียงแล้วนะ”


“เดี๋ยวก็ตกหรอก มานี่” ไม่พูดเปล่าเบียทรีซดึงตัวผมเข้าไปปะทะแผ่นอกแล้วโอบกอดทั้งร่างของผมไว้แน่นไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ตั้งตัวก่อน


“บะ...เบียทรีซ”


“อะไร”


“...ปล่อยผมได้ไหม” หัวใจเหมือนจะหลุดออกมาเลย


“ยังไม่ชิน?” อีกฝ่ายกระซิบถาม


“ใครจะชินได้กัน” ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่ก็ไม่มีทีท่าที่ผมจะชินเวลาโดนกอด


“อีกสัก 500 ปีน่าจะชินมั้ง”


“...คุณคิดจะนอนกอดผมไปอีก 500 ปีเลยเหรอ” ผมถามเสียงเบา ไม่รู้ว่าตัวผมคาดหวังคำตอบแบบไหนหัวใจถึงได้เต้นรัวแบบนี้


“ใครบอก”


“ก็คุณบอกเองว่าอีก 500 ปีผมคงชิน” ประโยคนั่นไม่ได้แปลว่าแบบนั้นเหรอ


“อืม ข้าบอก แต่เจ้าพูดผิดไป ข้าไม่คิดจะกอดเจ้า 500 ปีหรอกนะ”


“หมายความว่ายังไง”


“ทั้งชีวิตต่างหากที่ข้าจะกอดเจ้าแบบนี้” เสียงกระซิบแม้จะแผ่วเบาแต่กลับเปี่ยมด้วยความจริงจังจนผมเผลอตอบรับโดยการขยับตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายมากขึ้น


“...” ทั้งชีวิตเหรอ สำหรับปิศาจเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนจินตนาการไม่ออกเลย


“เหมือนเจ้าจะบอกว่าข้าเป็นครอบครัวสินะ” ไม่รู้ว่าเพราะผมเงียบไปหรืออะไรอีกฝ่ายจึงพูดต่อ


“อืม”


“แต่อยากบอกเจ้าไว้อย่างนึง”


“บอกอะไร” ผมถามกลับด้วยความอยากรู้


“ข้าจะเป็นมากกว่าครอบครัวของเจ้าอีกวิณณ์” คำพูดของเบียทรีซเป็นเหมือนพายุที่โหมกระหน่ำและหมุนวนเวียนอยู่ภายในอกและตามเข้าไปจนถึงในความฝัน


หัวใจผมในตอนนี้กำลังถูกโอบอุ้มด้วยเส้นใยบางๆ จากเบียทรีซที่ทั้งเหนียวและแข็งแรงซึ่งผมคงไม่มีวันที่จะดึงมันออกไปได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือปล่อยให้เส้นใยนั่นเกี่ยวพันหัวใจทั้งดวงจนไม่เหลือพื้นที่ใดๆ อีก

......................................................

มาต่อแล้วค่าา

บอกตามจริงว่านิสัยเป๋อ+เอ๋อ+ซุ่มซ่าม+น่ารักของวิณณ์เป็นคาแร็กเตอร์ที่เราไม่เคยแต่งมาก่อนจึงรู้สึกพิเศษมาก นอกจากพิเศษแล้วยังรู้สึกตลกหน่อยๆ ด้วย

ในส่วนของเบียทรีซเองตอนแรกวางไว้ว่าเป็นคนเอาแต่ใจและเผด็จการอยู่แล้ว

แต่พอแต่งไปแต่งมากทำไมกลายเป็นคนซึนได้ขนาดนี้นะ น่ารักเหลือเกิน

หากใครติดตามนิยายที่เราแต่ก็จะรู้แนวดีว่าเราไม่ใช่สายดราม่าแต่เป็นนิยายฟีลกู๊ดที่อ่านสบายๆ

ดังนั้นหมดกังวลเรื่องดราม่ากันได้ค่ะแต่จะมีพวกฉากบีบอารมณ์เล็กๆ ให้ตื่นเต้นหน่อยๆ

เอาเป็นว่าขอฝากวิณณ์และเบียทรีซด้วยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ hoihak

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
เขินอะแงงงงงงง

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ขอกับแม่แล้ว รู้ยังว่าขอไปทำอะไร  :hao6:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
รีบตามมาอย่างรวดเร็วเลยนะเบียทรีซ

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
มาแบบหวานๆ โรแมนติกเหมือนกันนะเนี่ย เบียทรีซ

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰บงการ:วันที่12:⊱



“คุณว่าอะไรนะ” ผมเอ่ยถามพลางเงยหน้าขึ้นสบตากับเบียทรีซที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานหลังจากไปเข้าร่วมการประชุมตั้งแต่ช่วงสายของวัน กว่าจะกลับมาก็ปาเข้าไปเกือบ 3 ชั่วโมง สงสัยคงมีเรื่องหรือไม่ก็ปัญหาอะไรเกิดขึ้นแน่เพราะช่วงนี้อีกฝ่ายเข้าประชุมแทบทุกวัน


“ข้าบอกว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปประมาณ 4 วันข้าจะไม่อยู่” เบียทรีซบอกด้วยน้ำเสียงคล้ายจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย


“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ตั้งแต่ผมมาอยู่นี่ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายออกไปไหนเลย


“มีพวกน่ารำคาญบุกโจมตีทางชายแดนของโลกปิศาจน่ะสิ ไม่รู้จักจำกันซะเลย”


“คุณต้องไปด้วยตัวเอง?” นึกว่าราชาจะอยู่ในปราสาทคอยสั่งการณ์จากที่นี่ซะอีก


“ประมาณนั้น ถ้าข้าไปมันจะจบเร็วกว่า” อีกฝ่ายพูดต่อ


“แล้ว...อันตรายไหม”


“หึ...ห่วงข้ารึไงวิณณ์” เบียทรีซยกยิ้มพร้อมมองมาทางผม


“อืม ผมห่วงคุณ” ผมพยักหน้าตอบกลับไป


ไม่จำเป็นต้องโกหกความรู้สึกของตัวเองนี่นะ แค่ฟังคำว่าบุกโจมตีก็คิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับการต่อสู้และอันตราย แบบนั้นจะห่วงก็คงไม่แปลก


“...มานี่วิณณ์” นิ่งไปสักพักอีกฝ่ายก็กวักมือเรียกให้ผมไปหา ความจริงผมไม่จำเป็นต้องทำตามก็ได้ทว่ารู้ตัวอีกทีก็ก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนเรียกซะแล้ว


“มาแล้ว มีอะไร อ๊ะ!” เสียงร้องด้วยความตกใจของผมไม่ได้มาจากถูกดึงให้ไปอยู่บนตักเหมือนหลายวันก่อนแต่เป็นเพราะฝ่ามืออุ่นๆ ของเบียทรีซที่เอื้อมมาแตะแก้มซ้ายผมโดยไม่ทันตั้งตัว ฝ่ายนั้นไม่ได้ทำอะไรนอกจากวางมือแนบสนิทแล้วเกลี่ยเบาๆ ไปมา...น่าแปลกที่ผมกลับใจเต้นขึ้นมาซะอย่างงั้น


“เจ้าน่ะจะซื่อเกินไปแล้ว”


“...ฮืม?”


“รู้ไหมว่าคำตอบนั่นทำให้ข้าคิด”


“คิดอะไร” ผมกระพริบตาปริบๆ ระหว่างถามกลับ


“ฮึ...ไม่รู้สินะ”


“ฮะ?” อะไรคือไม่รู้ แล้วรอยยิ้มแปลกๆ นั่นคืออะไร


“ข้าจะจัดการให้เสร็จโดยเร็วที่สุด” เบียทรีซเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยสีหน้าจริงจัง


“คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น การรีบทำอะไรไม่ทำให้เกิดผลดีหรอกนะ” จากประสบการณ์ในการทำงานมาเกือบ 10 ปีผมกล้าพูดเลยว่าหากเราทำอะไรด้วยความเร่งรีบจะทำให้ความรอบคอบของเราลดลง ผลที่ตามมาคือเกิดความผิดพลาดขึ้น


“ใครบอกว่าไม่จำเป็นกัน”


“...คุณมีเหตุผลที่ต้องรีบเหรอ” หรือมีงานอื่นที่รอให้กลับมาทำอยู่


“จะนอนคนเดียวได้รึเปล่า”


“ฮะ? นอนได้สิ แค่ไม่กี่คืนผมนอนได้หรอกน่า” แม้จะตกใจไปบ้างกับคำถามแต่ผมก็ตอบกลับ เรื่องการนอนผมนอนคนเดียวมาหลายปีแล้วกับแค่ไม่กี่วันทำไมผมจะนอนไม่ได้ล่ะ


“ข้าไม่ได้พูดถึงเจ้าสักหน่อย”


“งั้นพูดถึงใคร” อยู่กันตรงนี้แค่ 2 คนถ้าไม่ได้พูดกับผมก็พูดกับตัวเองรึไง


“ตัวเอง ข้าจะนอนโดยไม่เจ้าอยู่ข้างๆ ได้รึเปล่า” น้ำเสียงของเบียทรีซไม่ได้ต่างไปจากเดิม เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่เขอะเขินแถมยังทำหน้าคิดหนักอีก ผิดกับผมที่บัดนี้อยากจะวิ่งไปเอาหัวจุ่มน้ำเพื่อลดอุณหภูมิบนใบหน้ายามได้ยินประโยคนั้นจริงๆ


“...นอนได้อยู่แล้ว เมื่อก่อนคุณก็นอนคนเดียวมาตลอดนี่” ผมพยายามหาเรื่องต่อบทสนทนาเพราะไม่งั้นอีกฝ่ายต้องได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นเร็วขึ้นแน่ แบบนั้นมันน่าอายเกินกว่าจะรับไหว


“นั่นไม่นับ”


“ทำไมถึงไม่นับล่ะ”


“เพราะตอนนั้นข้ายังไม่มีเจ้า”


เคยเห็นคนเขินจนแทบระเบิดไหม ถ้าไม่เคยผมแนะนำให้มาดูหน้าผมในตอนนี้จะได้รู้เองว่าเป็นยังไง ขนาดผมที่เป็นผู้ชายด้วยกันยังอาการหนักขนาดนี้ถ้าผู้หญิงได้ยินเข้าคงต้องเรียกรถพยาบาลมารอกันพอดี


“...มาหยอดผมก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกนะ”


“ตอนนี้ยังไม่ได้แต่ต่อไปก็ไม่แน่นี่” รอยยิ้มเปี่ยมความมั่นใจทำเอาผมรีบเบนสายตาหนีทันที และผมก็ปิดฉากการสนทนานี้ด้วยความเงียบขืนต่อประโยคไปมากว่านี้อาจเป็นตัวผมเองที่ละลายไปซะก่อน


วันรุ่งขึ้นเบียทรีซตื่นเช้ากว่าปกติลงไปเตรียมการเดินทาง ผมเองก็ตามลงมาส่งด้วย ทั้งที่คิดว่าพวกเราลงมาเช้าแล้วทว่าเตโชพ่วงด้วยกองทัพจำนวนหลายพันคนยืนคอยอยู่ด้านหลัง ทางเชื่อมมิติดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่สก๊อตที่สร้างได้...มีปิศาจสองคนร่วมกันเปิดทางเชื่อมขนาดใหญ่ขึ้นมา


ก็ว่าอยู่ทำไมถึงใช้หลายคน เพราะว่ามีขนาดใหญ่มากนี่เอง


เบียทรีซสั่งการหลายๆ อย่างพร้อมตรวจดูความเรียบร้อย ระหว่างนั้นแกรนเดินออกมาจากด้านข้างตัวปราสาทพร้อมกองกำลังอีกส่วนหนึ่ง มองด้วยสายตาของผมปัญหานี่ต้องใหญ่มากพอดูถึงได้เตรียมกำลังไปมากขนาดนี้


ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องมีสินะ...เรื่องความไม่สงบเนี่ย


ผมไม่เข้าใจความรู้สึกของคนกลุ่มนั้นเลยเพราะถ้าเป็นผมการได้ใช้ชีวิตอย่างสงบในแต่ละวันล้วนดีกว่าการก่อความไม่สงบให้คนอื่นมาเดือนร้อนและเสี่ยงอันตรายไปด้วย การสูญเสียย่อมต้องมีซึ่งคงเป็นการสูญเสียของทั้งสองฝ่าย สำหรับผมการก่อความไม่สงบนั้นไม่ได้เกิดผลดีเลย


“...เบียทรีซ” ผมเรียกพลางเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายที่กำลังทำหน้าเครียดมองปิศาจในทัพโดยรอบ


“อะไร”


“...ระวังตัวด้วยนะ” ใจจริงลึกๆ ผมอยากจะบอกว่าไม่ได้ไหม อยู่ๆ ผมก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา


“หยุดทำหน้าแบบนั้นวิณณ์” เบียทรีซหรี่ตาลงเล็กน้อยยามหันมามองหน้าผม


“หน้า?” ผมทำหน้าแบบไหนออกไปเหรอ


“เจ้าทำหน้ากังวลอยู่น่ะรู้ตัวรึเปล่า”


“...ไม่เห็นรู้เลย”


“คิดอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าหมด แต่ข้าก็ไม่ได้ไม่ชอบหรอกนะ” รอยยิ้มมุมปากมาพร้อมกับฝ่ามือที่ขยี้เส้นผมสีน้ำตาลแดงของผมจนฟูฟ่อง


“เบียทรีซ...”


“ไม่ต้องห่วงข้าจะรีบจัดการแล้วจะรีบกลับมา”


“ค่อยเป็นค่อยไปเถอะเบียทรีซ อย่าฝืนเกินไปล่ะ” เมื่อวานผมก็พูดแล้วเรื่องการเร่งรีบเพราะงั้นผมค่อนข้างมั่นใจว่าเบียทรีซจะไม่รีบร้อนเกินไปนัก


“อืม เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย” เบียทรีซเปลี่ยนเรื่องพูด


“ผมอยู่ในปราสาทนะไม่ต้องระวังอะไรหรอก” ไม่ได้ออกไปข้างนอกเหมือนเบียทรีซสักหน่อยที่ต้องระวังตัว


“สถานที่ที่ไม่อันตรายคือสถานที่ที่อันตรายที่สุด” อีกฝ่ายบอกเสียงเบา


“...เข้าใจแล้ว ผมจะระวังละกัน” ในหัวผมตีความหมายว่าเบียทรีซกำลังพูดถึงความซุ่มซ่ามของผมที่ไม่ว่าอยู่ไหนก็หาเรื่องเจ็บตัวได้ ดูขนาดเมื่อเช้าอยู่ๆ ก็ก้าวบันไดผิดขั้นจนเกือบกลิ้งตกลงมา ยังดีได้เบียทรีซคว้าแขนไว้ไม่งั้นได้เห็นผมกลิ้งตกลงมาถึงชั้นหนึ่งแน่


“ดี แกรน เตโช” เมื่อพูดกับผมเสร็จก็เปลี่ยนไปเรียกคนสนิททั้งสองคนที่ยืนรอคำสั่งอยู่ไม่ไกล


“รับด้วยเกล้าองค์ราชา” ทั้งคู่ขานรับพร้อมกัน


“เคลื่อนพล!” เพียงคำพูดเดียวของเบียทรีซบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มเปลี่ยนไป ทั้งที่ไม่มีใครปล่อยพลังปิศาจออกมาแต่บรรยากาศกลับหนักอึ้ง


เหล่ากองกำลังหลายพันชีวิตเดินนำหน้าเข้าไปในทางเชื่อมมิติซึ่งถูกเปิดเตรียมไปก่อนจะตามด้วยเตโช แกรนและเบียทรีซเป็นคนสุดท้าย ก่อนร่างนั้นจะหายไปเขาหันกลับมามองผมที่ยืนส่งอีกครั้ง พวกเราสบตากันนิ่งๆ สักพักคล้ายอีกฝ่ายยังไม่อยากละสายตาออกไป แต่ไม่นานผมก็เป็นฝ่ายยกมือขึ้นบ๊ายบายแล้วหันหลังให้


ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องแย่แน่หากมองเบียทรีซหายไปต่อหน้าต่อหน้า


กิจกรรมของผมหลังจากส่งเบียทรีซเสร็จคือกินมื้อเช้าฝีมือกาเนอร์ตามลำพังในห้องอาหารสุดหรูก่อนขึ้นไปจัดการงานที่แกรนยกมาเพิ่มให้ผมทำในระหว่างเขาไม่อยู่ ช่วงแรกๆ ผมช่วยสรุปเอกสารที่มีตัวเลขแต่ในช่วงหลังมานี่แกรนให้ผมดูตัวเลขจริงที่จดบันทึกไว้แล้วจัดทำออกมาเป็นเอกสารเพื่อให้เบียทรีซอ่านในลำดับต่อไป เป็นงานที่ถือว่ายากมากเพราะจำเป็นต้องใช้ทั้งความเข้าใจ ความละเอียดและความรอบคอบอย่างมากผมจึงต้องค่อยๆ ทำไม่รีบร้อน


เมื่อมีสมาธิในการทำงานผมจะเข้าสู่โหมดปิดตัวเองออกจากโลกภายนอก สายตาจะมองข้อมูลโดยจะให้มือพิมพ์ข้อมูลเหล่านั้นลงไป ผมพยายามใช้ภาพเข้ามาช่วยให้ดูง่ายขึ้นไม่ว่าจะเป็นกราฟหรือแผนภูมิต่างๆ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเสียงท้องร้องก็ดังประท้วงขออาหาร ท้องฟ้าเองได้เปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีส้มของยามเย็นซะแล้ว


ในวันแรกทุกอย่างยังคงปกติดี แต่พอเข้าสู่วันที่สองอาการของผมก็เริ่มออก มื้อเช้าที่ผมกินน้อยอยู่แล้วกลับเหลือเกินครึ่งจาน กาเนอร์เข้ามาถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ส่วนตัวแล้วมันไม่ใช่อาการผิดปกติอะไรในทางกลับกันควรเรียกว่าปกติซะมากกว่า
ผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง...ทุกครั้งที่เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในหัวผมมันจะคิดฟุ้งซ่านไปหมด เกิดความกังวลโดยไม่มีสาเหตุ วันแรกผมพยายามทำหัวให้ยุ่งเพื่อที่จะไม่คิดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้


มันอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ อย่างเบียทรีซไม่อยู่ แต่เพียงแค่นั้นก็มากพอที่จะส่งผลต่อตัวผมโดยตรงได้ ผมไม่ชอบเวลาภายในอกรู้สึกกังวลและคิดจินตนาการไปในทุกๆ อย่าง ทั้งที่ความจริงอาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้


การจะห้ามความคิดเป็นเรื่องยาก กว่าสองวันที่ผ่านมาผมจมอยู่กับการทำงานตั้งแต่เช้ายันเย็นไม่ใช่แค่เพื่อให้เลิกคิดแต่ยังมีเหตุผลอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร ถ้าเหนื่อยมากเป็นธรรมดาที่จะกินข้าวได้หมด อีกอย่างคือความเหนื่อยล้าส่งผลให้การนอนหลับง่ายขึ้น


ผมเป็นฝ่ายบอกเบียทรีซเองว่านอนคนเดียวไม่กี่คืนไม่เป็นหรอก แต่ดูสภาพผมในตอนนี้สิ...ความเหนื่อยล้าที่พยายามสร้างแทบไม่ได้ผลเลยยามหัวถึงหมอน กลิ่นของเบียทรีซผมรับรู้ได้มากขึ้นผ่านประสาทสัมผัสที่พัฒนาขึ้น ผมซุกหน้าลงบนหมอนแล้วนึกว่าเป็นเบียทรีซในร่างสัตว์แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกพยายามเพราะมันไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย ตอนหนุนเบียทรีซนอกจากความนุ่มของขนและกลิ่นจากอีกฝ่ายแล้วยังมีการขยับขึ้นลงยามหายใจเข้าออกต่างจากหมอนที่ไร้ชีวิต


“...เบียทรีซ” ผมเรียกอีกฝ่ายระหว่างคว้ามหมอนข้างมากอดไว้แน่น ตอนนอนด้วยกันเบียทรีซไม่ได้กอดผมตลอดแต่สัมผัสของไออุ่นที่แผ่ออกมานั่นทำให้ผมรู้ว่ามีเขาอยู่ข้างๆ


อาการผมในตอนนี้เหมือนกำลังจะขาดเบียทรีซไม่ได้


น่าอายจริงๆ อายุก็ขนาดนี้แล้วยัง...


“ฮึ้ย! เลิกคิดๆ นอนได้แล้ว!” ตะโกนบอกกับตัวเองจบก็ดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมร่าง กว่าจะหลับได้น่าจะปาไปเกือบค่อนคืน


วันที่สามผมหอบหนังสือข้อมูลด้านสถิติต่างๆ มาจากห้องของแกรน ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกให้ผมเข้าไปหยิบได้ตามใจแถมยังให้กุญแจห้องมาอีก ดีใจนิดๆ เหมือนกันที่ได้รับความเชื่อใจขนาดนี้ จำนวนหนังสือที่ต้องใช้ประกอบทำงานนั้นค่อนข้างเยอะความสูงรวมกันอยู่ประมาณคิ้วผมเลยมองทางไม่เห็นแต่อาศัยความคุ้นเคยของตัวเองมาจนถึงชั้น 8 แต่แล้วในจังหวะเลี้ยวมุมกลับปะทะเข้ากับร่างของใครบางคนจนผมและหนังสือร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น


“โอ้ย...ขอโทษ...” คำพูดของผมขาดหายไปแทบจะทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายที่เพิ่งปะทะด้วย ความรู้สึกอันตรายและไม่น่าเข้าใกล้แบบนี้มีอยู่แค่หนึ่งเดียว...


บักเก็ต


“บังเอิญจังเลยนะ คนรับใช้ขององค์ราชา” น้ำเสียงเย็นๆ ทำเอาผมสะดุ้ง


“ขะ...ขอโทษที่ชนครับ ผมขอตัว” หนังสือบนพื้นถูกหยิบวางบนมืออย่างรวดเร็วเพื่อก้าวออกห่างชายคนนี้ สัญชาตญาณผมกำลังบอกว่ามีอันตราย


“จะรีบไปไหนล่ะ” ไม่พูดเปล่าอีกฝ่ายคว้าแขนผมที่กำลังก้าวผ่านไปแล้วดึงกลับ ผลักร่างผมจนชิดกับกำแพงด้านหลัง หนังสือที่อุตส่าเก็บล่วงกระจายลงบนพื้นอีกครั้ง


“...ปล่อยผม”


“ไหนๆ ก็มีโอกาสได้มาเจอกันทั้งทีคุยกันก่อนสิ แถมตอนนี้เป็นโอกาสดีเพราะไม่มีใครมากวนใจได้” ระหว่างพูดอีกฝ่ายขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ แม้จะมีรูปลักษณ์อันหล่อเหลาซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของปิศาจระดับสูงทว่าบรรยากาศกลับแตกต่างกับคนอื่นๆ ที่ผมเคยเจอมา


“...ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ปล่อยผมด้วย”


“เจ้าไม่มีแต่ข้ามีนี่ เหมือนราชาจะถูกใจเจ้ามาเลยนี่นะ...บอกข้าหน่อยสิว่าเจ้าทำอะไรถึงทำให้ราชาเปิดช่องว่างได้ขนาดนั้น” คำพูดออกแนวข่มขู่อยู่ชัดๆ


“ผมไม่ได้ทำอะไร”


“อย่ามาหวงน่า บอกมา” นอกจากน้ำเสียงที่ต่ำลงแล้วยังบีบข้อมือผมแน่นขึ้นอีก


“อึก...ปล่อยผม”


“อ้อ หรือว่าเจ้าจะให้ร่างกายกันล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นข้าก็อยากจะขอลอลิ้มลองเจ้าหน่อยคงได้ใช่ไหม” บักเก็ตพูดพร้อมใช้มืออีกข้างเชิดปลายคางผมขึ้นเตรียมจะก้มลงมาหา หัวใจของผมเต้นรัวด้วยความรู้สึกหวาดกลัวแตกต่างกับเบียทรีซคนละขั้ว


“อย่านะ!!” ผมตะโกนเสียงดังพร้อมบางอย่างภายในถูกกระตุ้นขึ้นฉับพลัน พลังปิศาจไหลทะลักออกมาจากภายในตัวผม ความรุนแรงของพลังนั้นผลักร่างของบักเก็ตให้ออกห่างไป บานกระจกตรงทางเดินส่งเสียงปริแตกดังเคร้งไล่ติดกันไปหลายบาน


“...อึก เจ้า...พลังของผู้หญิงนั่น น่ารำคาญชะมัด!” บักเก็ตยกแขนขึ้นตั้งการ์ดพยายามต้านพลังของผมที่แผ่ออกไปอย่างต่อเนื่อง


“...ทำไมคุณถึงต้องทำร้ายเบียทรีซด้วย” ผมเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้ที่สุดออกไป


“ฮะ? คำถามโง่ๆ น่า ไม่ว่าใครก็อยากจะขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดด้วยกันทั้งนั้นแต่อยู่ๆ ก็มีราชาปรากฏตัวขึ้นแล้วเข้าปกครองโลกปิศาจทั้งที่มันควรจะเป็นตำแหน่งของข้าแท้ๆ”


“คุณไม่เหมาะจะเป็นราชา” ผมข่มความกลัวต่อสายตาเย็นยะเยือกนั่นอยู่นานกว่าจะพูดออกไปได้


“ว่าไงนะ! ไอ้ลูกครึ่ง!”


“เบียทรีซเหมาะจะเป็นราชามากกว่าคุณ” ผมย้ำสิ่งที่ตัวเองคิดอีกรอบ


“แก...” ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความโกรธ พลังปิศาจของบักเก็ตที่กำลังแผ่ออกมาปะทะกับพลังของผมอยู่ๆ ก็หายไปแถมยังหันไปมองทางด้านหน้าปราสาทคล้ายสัมผัสถึงบางอย่างได้


“...เบียทรีซ” ความรู้สึกแบบนี้...ไม่ผิดแน่คือเบียทรีซ


“ถือว่าโชคดีของเจ้าที่ราชากลับมาพอดี ไว้ครั้งหน้าข้าจะทำให้เจ้าร้องไม่ออกเลย” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนอีกฝ่ายจะเดินจากไปอีกทาง พลังปิศาจของผมอ่อนแรงลงจนกระทั่งหมดไปในที่สุดบักเก็ตเลยสามารถเดินหนีไปได้สบายๆ แบบนั้น


พลังปิศาจก็เปรียบเหมือนพลังของร่างกายซึ่งหากใช้มากจะส่งผลให้เหนื่อยล้าได้ พูดง่ายๆ คือหมดแรงนั่นเอง แต่ต่อให้หมดแรงจนก้าวไม่ออกผมก็ฝืนลงมาจนถึงหน้าประตูปราสาท กองทัพปิศาจหลายพันชีวิตกลับมายังปราสาทในสภาพบาดเจ็บกันพอสมควร


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมมองหาเบียทรีซท่ามกลางเหล่าปิศาจมากมาย และเมื่อเจอคนที่ตามหาความโล่งใจที่มีกลับแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจอย่างรวดเร็วยามเห็นสภาพของเบียทรีซเต็มไปด้วยบาดแผลโดยมีเตโชและแกรนพยุงคนละฝั่ง


“เบียทรีซ!!” ผมไม่รอช้าวิ่งตรงไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้ากังวล ไม่เพียงแค่มีบาดแผลบนใบหน้าเท่านั้นแต่เสื้อผ้าเองก็ขาดรุ่ยแถมที่น่าตกใจที่สุดคือแขนซึ่งตอนนี้มีเลือดไหลอาบอยู่ หยาดเลือดสีแดงหยดลงบนพื้นหยดแล้วหยดเล่าหัวใจผมเองก็เหมือนจะล่วงลงไปพร้อมกับหยดเลือดเหล่านั้นด้วย


“เกิดอะไรขึ้น” คำแรกที่เบียทรีซพูดหลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายทำเอาความรู้สึกกังวลทุเลาลงชั่วคราว


“ผะ...ผมต่างหากที่ต้องถามน่ะ ทำไมถึงได้บาดเจ็บขนาดนี้ได้” ผมถามกลับพลางเข้าไปหาใกล้ๆ มองบาดแผลบริเวณแขนอีกรอบ รอยนั่นลากยาวเกือบสิบเซ็นได้เหมือนถูกของมีคมกรีด


“ข้าสัมผัสถึงพลังของเจ้าได้ เกิดอะไรขึ้นถึงได้ใช้พลังออกมาแบบนั้น” เบียทรีซขยายความให้ผมเข้าใจคำถามมากขึ้นโดยทำเป็นเมินสิ่งที่ผมถาม


“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก คุณต่างหากที่กำลังแย่น่ะ ตามกริซรึยัง...ผมไปตามให้ไหม”


“พวกข้าตามกริซแล้ว” แกรนตอบแทน ทั้งแกรนและเตโชพยุงเบียทรีซไปนั่งยังเก้าอี้ใกล้ๆ ซึ่งแน่นอนว่ามีผมเดินตามมาด้วย ใจจริงอยากจะเข้าไปช่วยแต่ด้วยขนาดของร่างกายขืนเข้าไปช่วยคงทำเบียทรีซเจ็บกว่าเดิมเลยเลือกที่จะเดินตามไป


“วิณณ์ ตอบข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น” นั่งพักได้ไม่นานอีกฝ่ายก็ยิ่งคำถามเดิมมาเป็นรอบที่สอง


“ผมบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”


“ข้าจะตัดสินเองว่าจะเป็นหรือไม่เป็น” ดวงตาของเบียทรีซหรี่ลงระหว่างพูด


“...แค่เจอกับบักเก็ต...”


“ว่าไงนะ อึก!” คนรอฟังคำตอบเด้งตัวลุกขึ้นแต่เพราะบาดแผลเต็มร่างเลยจำต้องนั่งลงตามเดิม


“อย่าฝืนสิ คุณบาดเจ็บอยู่นะ” ผมเองก็รีบเข้าไปดันอีกฝ่ายไม่ให้ฝืนตัวเองมากไปกว่านี้


“มันทำอะไรเจ้า” เบียทรีซไม่สนอาการของตัวเองแถมยังใช้น้ำเสียงคาดคั้นเอาคำตอบอีก


“...ยังไม่ได้ทำ”


“ยัง? หมายถึงยังไง”


“เขาเข้ามาใกล้เกินไปผมเลยกลัวจนเผลอปล่อยพลังออกมาแค่นั้นเอง” ผมไม่ได้โกหกอะไรนะแค่อาจพูดไม่หมดไปบ้างแค่นั้นเอง


“...ถ้าแค่นั้นก็ดี ใช้พลังไปขนาดนั้นคงจะเหนื่อยสินะ” สายตาของเบียทรีซอ่อนลงยามได้ยินคำตอบ


“อืม แต่ผมไม่เป็นไร คุณเองเถอะที่เลือดไหลไม่หยุดเลย”


“แค่นี้เดี๋ยวก็หาย”


“องค์ราชาข้าว่ารอให้กริซมาดูก่อนดีกว่านะ ข้าคิดว่าแผลท่านน่าใช้เวลาสักพักเลยกว่าจะหาย” แกรนพูดพลางมองสำรวจบาดแผล ระหว่างนั้นเองที่กริซกับทีมอีกสามสี่คนวิ่งเข้ามาหาพร้อมอุปกรณ์รักษา สีหน้าของกริซยามเห็นสภาพของราชาหรือเบียทรีซนั้นตกใจมากถึงขนาดทำกล่องที่ถือมาด้วยตกพื้นเลย


“องค์ราชา ทำไมท่านถึงอยู่ในสภาพนี้ได้กัน?!” นี่คือคำพูดของกริซก่อนจะเริ่มตรวจสลับกับใช้พวกยารักษาแผลทั้งบริเวณใบหน้าและส่วนอื่นๆ จุดที่เป็นปัญหาใหญ่ไม่พ้นแขนขวาที่มีบาดแผลขนาดใหญ่ลากยาว น้ำเกลือทั้งขวดถูกเทลงบนแผลพร้อมเริ่มต้นการเย็บแผลสดๆ ที่พานให้คนมองอย่างผมรู้สึกเจ็บแทน


“ไม่ต้องมอง มานี่วิณณ์” แขนอีกข้างดึงผมให้เข้ามาใกล้ ด้วยระดับที่ต่างกันผมเลยตัดสินใจนั่งลงบนพื้นเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว


“ทำไมถึงได้เจ็บขนาดนี้ล่ะ” ไม่รู้ว่าผมถามเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว รู้แค่ว่าผมจะถามจนกว่าจะได้รับคำตอบนั่นแหละ


“...ไม่มีเหตุผลพิเศษหรอก” ความเงียบเพียงชั่วครู่ก็มากพอให้ผมรับรู้ถึงความผิดปกติ


เบียทรีซกำลังปิดบังบางอย่างอยู่


“คุณไม่ยอมบอกผมสินะ ก็ได้ แกรนเกิดอะไรขึ้นเหรอ” ในเมื่อเบียทรีซไม่บอกก็ต้องถามคนอื่นที่รู้ และคนแรกที่ผมนึกถึงคือเลขาของเขาอย่างแกรนนั่นเอง


“แกรน” เบียทรีซกดเสียงต่ำแถมยังเบนสายไปทางเลขาตนเป็นเชิงบอกให้ปิดปากห้ามบอกผมเด็ดขาด


“แกรน” ผมไม่ยอมแพ้เรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงขอร้อง แกรนถึงกับทำหน้าคิดหนักมองผมสลับกับราชาของตัวเองอยู่นานก่อนจะเปลี่ยนไปขอความเห็นเตโชผ่านทางสายตาแทนซึ่งคนถูกมองอย่าเตโชทำเพียงยักไหล่กลับมาคล้ายจะบอกว่าตามใจเจ้าสิ


“ขออภัยองค์ราชา ครั้งนี้ข้าไม่อาจทำตามคำสั่งท่านได้” แกรนบอกหลังจากคิดอยู่นาน


“แกรน” ทั้งผมและเบียทรีซต่างเอ่ยเรียกอีกฝ่ายออกมาพร้อมกันทว่าน้ำเสียงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เบียทรีซแสดงสีหน้าไม่พอใจและพยายามจะหยุดแกรนแต่แขนกลับถูกกริซและทีมจับไว้แน่น ส่วนผมนั้นกำลังยิ้มแป้นด้วยความดีใจสุดๆ


เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่เห็นแกรนไม่ทำตามคำสั่งเบียทรีซ


“ข้าคิดว่าท่านวิณณ์ควรจะได้รู้ องค์ราชาทรงประมาทตอนกองทัพกำลังเข้าปะทะกัน อยู่ๆ องค์ราชาก็มีทีท่าเหม่อลอยและเปิดช่องจนฝ่ายศัตรูอาศัยเสี้ยววินาทีนั้นเข้ามาจู่โจม” แกรนบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผมฟัง


“เหม่อ? เบียทรีซน่ะนะ” ผมไม่ค่อยอยากเชื่อนักเพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมายังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเหม่อเลย มีแต่ทำหน้าจริงจัง บางครั้งผมแค่ขยับตัวยังหันมามองเลย ทั้งประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณของเบียทรีซดีมากต่อให้มีคนอยู่ข้างหลังก็ต้องรู้ตัวในทันทีแน่ ไม่น่าจะถูกโจมตีได้ง่ายๆ แบบนั้น


“ถ้าให้ข้าเดา คงคิดถึงท่านวิณณ์อยู่...”


“แกรน! อย่าพูดมากไปกว่านี้ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว” พลังปิศาจอันดำทมึนจากเบียทรีซแผ่ปกคลุมบริเวณที่พวกเราอยู่ในจังหวะที่แกรนกำลังเอ่ยข้อสันนิฐาน


“รับทราบองค์ราชา ข้าจะไม่พูดแล้ว” รอยยิ้มมุมปากจากแกรนค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับพอสมควร เหมือนเขากำลังสนุกแม้จะถูกขู่ก็ตามที


“เบียทรีซ...”


“เจ้าก็เลิกถามสักที นั่งเงียบๆ น่ะเป็นไหม” ไม่พูดเปล่าเบียทรีซวางมือลงบนเส้นผมสีน้ำตาลแดงของผมพร้อมขยี้แทนการลงโทษ


“โอ้ย...อย่ากดหัวผมสิ” ผมเจ็บนะ


“ชิ...” ขยี้แรงๆ อีกทีเบียทรีซจึงยอมละมือออกไป


“กริซ อาการของเบียทรีซเป็นยังไงบ้าง” ผมเปลี่ยนเรื่องหันไปถามกริซที่เพิ่งเย็บปากแผลเสร็จ


“พวกบาดแผลถลอกเพียงใส่ยาและนอนพักผ่อนไม่กี่วันก็หายสนิทแต่ปัญหาอยู่ที่แขนขวาข้างนี้ นอกจากจะเป็นแผลใหญ่ที่ต้องเย็บแล้วกระดูกยังหักอีกถึงจะเป็นองค์ราชาแต่ก็ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าจะกลับมาใช้แขนได้ปกติ”


“หมายถึงแขนหัก?” ผมสรุปตามความเข้าใจ คนในทีมแพทย์กำลังช่วยกันพันแผลโดนใช้ผ้าพันรอบคอเบียทรีซเพื่อไม่ให้แขนขยับเคลื่อนไหว


“ใช่ครับ ระหว่างนี้จะใช้แขนข้างนี้ไม่ได้แล้วก็อย่าเพิ่งโดนน้ำด้วยครับ” กริซพยักหน้าก่อนอธิบายเพิ่ม


“...แบบนี้องค์ราชาก็กินข้าวกับอาบน้ำเองไม่ได้น่ะสิ” เสียงพึมพำจากแกรนดังขึ้นจากข้างหลังผม


“...” ก่อนหน้านี้ยังอยู่ข้างเบียทรีซอยู่เลยทำไมถึงมาอยู่ข้างหลังผมได้กัน


“ให้เจ้าหรือคนของเจ้าคอยอำนวยความสะดวกให้องค์ราชาเจ้าเห็นว่าไงเตโช”


“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา เพียงแต่องค์ราชาไม่ชอบให้ใครตามติดต่อให้เป็นการดูแลก็ตาม ยิ่งป้อนอาหารกับเช็ดตัวไม่ต้องพูดถึง ถูกดีดออกจากห้องด้วยพลังปิศาจแน่” เตโชเอ่ยตอบแกรนด้วยใบหน้าครุ่นคิด


ที่ผมอยากรู้คือทำไมต้องมาครุ่นคิดอยู่ด้านหลังผมราวกับจงใจให้ได้ยินงั้นแหละ


จะให้หนึ่งในกองกำลังของเตโชมาดูแลเบียทรีซในช่วงนี้เหรอ ให้ถามผมก็คงตอบทันทีว่าไม่เหมาะ เบียทรีซเป็นราชาที่มีนิสัยเป็นราชาจริงๆ ความอ่อนโยนและเห็นใจน่ะมีแต่ใช่ว่าจะแสดงออกมาบ่อย อีกอย่างนิสัยแต่เดิมก็ทั้งเอาใจยากและไม่ต้องการให้ใครมายุ่งเกินไป ในตอนนี้คนที่อยู่กับเขาเกือบ 24 ชั่วโมงได้คงมีแต่ผมคนเดียว


โอ๊ะ...แบบนั้นก็ได้นี่



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


“งั้นให้ผมดูแลเบียทรีซให้ก็ได้นะ” ผมเสนอตัวเองให้ทั้งคู่ฟัง เบียทรีซซึ่งกำลังถูกพันแผลมองมาทางพวกเราเงียบๆ รอดูสถานการณ์โดยไม่พูดอะไร


“ถ้าได้แบบนั้นพวกเราก็ต้องขอฝากองค์ราชาด้วย หากมีอะไรที่ต้องการแจ้งข้าได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” แกรนบอกสรุปทุกอย่างในพริบตา


ผมคิดไปเองรึเปล่านะว่ารู้สึกเหมือนถูกชักจูงให้เป็นไปตามที่อีกฝ่ายต้องการเลย


“...ครับ” เอาเถอะ ยังไงผมอยู่กับเบียทรีซตลอดอยู่แล้วหน้าที่ดูแลคงไม่มีใครเหมาะไปกว่าผม


“ทำอะไรเสียเวลา” เบียทรีซบอกกับแกรนและเตโชที่เดินกลับไปหา


“ข้าว่าใช้เวลาไปนิดเดียวเอง” เตโชพูด


“องค์ราชา ข้าไม่ได้อยากพูดแต่แบบนี้ต่อไปจะไม่แย่เอาหรือหากขืนถูกชักจูงง่ายเช่นนี้” แกรนพูดเสริม


“หึ ไม่เป็นไรเพราะมีข้าอยู่” ทั้งที่ยืนร่วมวงอยู่ด้วยตั้งแต่ก่อนกริซจะมาแต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เหมือนถูกกันออกไปอยู่วงนอกเลย พูดอะไรกันก็ไม่รู้เข้าใจกันอยู่แค่สามคน


“เอ่อ...คุยอะไรกันเหรอ” พอลองรวบรวมความกล้าถามออกไปแบบนั้นก็ได้คำตอบที่ทำเอาพูดไม่ออกกลับมา


“รอให้โตกว่านี้สักร้อยปีข้าจะบอก”


หลังจากนั้นทุกคนต่างแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตนเองตามเดิม เบียทรีซที่ก่อนหน้านี้แค่เดินยังจะไม่ไหวตอนนี้สามารถเดินได้เปร๋อจนผมต้องก้าวยาวๆ ถึงจะไล่ตามทัน ห้องอาหารบนชั้น 5 เงียบเหงามาหลายวันจากการนั่งกินข้าวคนเดียวแต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่ทั้งกินคนเดียวและไม่ใช่สถานการณ์ปกติด้วย


เป็นที่รู้กันว่าแขนขวาเบียทรีซขยับไม่ได้ซึ่งคนที่คอยดูแลคือผมนั่นทำให้ต้องขยับเข้าอี้มานั่งหัวโต๊ะข้างๆ อีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกับชุดเซ็ตอาหารจานใหญ่ถูกเรียงเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า เนื้อชิ้นยักษ์ส่งกลิ่นหอมอบอวนท่ามกลางบรรยากาศเกร็งๆ ที่ผมแผ่ออกมา


จะไม่ให้เกร็งคงไม่ได้หรอก การป้อนข้าวใครผมเคยทำที่ไหนล่ะ...กับพ่อยังพอจะเคยแต่นี่...


“วิณณ์”


“...ฮะ?” ผมหันหน้าเหว๋อๆ ไปตามเสียงเรียก


“ถ้าหายเกร็งก็รีบตัดเนื้อให้ข้า” คำพูดนั่นแปลว่าเขาสัมผัสได้ถึงอาการเกร็งๆ ของผม


“โทษทีคือผม...ไม่ชินเวลาต้องป้อนใครแบบนี้” ระหว่างพูดผมใช้มีดและส้อมตัดเนื้อออกเป็นชิ้นพอดีคำแล้วยื่นส้อมไปตรงหน้าเบียทรีซ


“ข้าก็ไม่ชินเวลามีใครมาป้อนเหมือนกัน” อีกฝ่ายบอกเสียงเรียบอ้าปากรับเนื้อเข้าไป


“ผมนึกว่าคุณจะชินซะอีก” ได้ชื่อว่าราชาคงได้รับความสะดวกสบายและการปรนิบัตรอย่างดี แต่ก็คงใช่เพราะดูจากนิสัยเบียทรีซคงคิดว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญ


“ชิน? ทำไมข้าต้องให้ใครมาป้อนด้วย น่ารำคาญจะตาย”


นั่นไง เป็นอย่างที่คิดเลยรำคาญจริงๆ ด้วย


“เอ่อ...งั้นผมแค่หั่นไว้ให้ดีกว่าไหม” ทำเสียงหงุดหงิดแบบนั้นพาลเอาผมไม่กล้ายื่นชิ้นต่อไปให้เลย


“รีบป้อนมา ข้าหิว”


“แต่คุณบอกว่าไม่ชอบ...”


“ข้าไม่ได้บอกว่าไม่ชอบ รำคาญต่างหาก” อีกฝ่ายแก้


“ก็ความหมายเดียวกันไม่ใช่เหรอ”


“คนละความหมาย เอาซุปด้วย” เบียทรีซสั่งต่อผมจึงใช้ช้อนตักซุปให้อีกฝ่ายโดยระวังไม่ให้หก


“ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”


“อืม มองหน้าก็รู้แล้ว”


“...จะไม่อธิบายหน่อยเหรอ” ผมก็อุตส่าเงียบลงเผื่อเบียทรีซจะอธิบายให้ฟัง


“ไม่ล่ะ อย่ามัวแต่ป้อนข้ากินของตัวเองด้วย”


“เดี๋ยวผมกินทีหลังก็ได้” ให้กินสลับกับป้อนมันค่อนข้างลำบาก


“ข้าไม่ได้บอกแต่กำลังสั่งเจ้า...วิณณ์” ไม่เพียงแค่น้ำเสียงแต่สายตาของเบียทรีซยังจ้องมองมาไม่หยุด เป็นสายตาที่ไม่มีใครกล้าขัด


สุดท้ายผมเลยจำต้องกินอาหารของตัวเองสลับกับป้อนให้เบียทรีซ แค่ลำพังกินของตัวเองอย่างเดียวก็ใช้เวลามากอยู่แล้วแต่เมื่อต้องป้อนอีกฝ่ายด้วยเวลาเลยคูณสอง กว่าสองชั่วโมงที่ผมและเบียทรีซใช้เวลาในการกินมื้อเย็นก่อนจะกลับขึ้นไปบนห้องส่วนตัวบนชั้นสิบ


ทันทีที่ถึงห้องเบียทรีซก้าวยาวๆ ตรงไปยังเตียงพร้อมทิ้งตัวลงนั่นให้แผ่นหลังพิงกับขอบหัวเตียง ส่วนผมก็ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนเลยขอตัวไปอาบน้ำ วันนี้ผมอาบฝักบัวเพราะไม่อยากแช่น้ำนานเกินไป ต้องดูแลจนกว่าจะหาย จะว่าไปหลังมื้อเย็นมียาที่กริซจัดไว้ให้นี่นา


ลืมไปสนิทเลย


“เบียทรีซคุณกินยาหลังอาหารแล้วรึยัง” ผมเอ่ยถามกลังออกมาจากห้องน้ำในชุดนอน ห้องเสื้อผ้าด้านข้างนี้มีที่แขวนอยู่นับไม่ถ้วนให้เดินเลือกชุดได้ตามใจ ตอนมาแรกๆ ก็ยืมชุดเบียทรีซอยู่หรอกแต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เสื้อผ้าไซส์ผมเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ก็มีประมาณหนึ่งในสามของห้องได้


“ข้าไม่ใช่เด็กที่ต้องกินยา”


“มันไม่เกี่ยวสักหน่อยว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ คนป่วยก็ต้องกินยาสิจะได้หายเร็วๆ”


“ไม่กิน” คำพูดแสนสั้นอันเปี่ยมด้วยความเอาแต่ใจทำเอาผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา


“ขนาดเด็กยังยอมกินยาดีๆ เลยทำไมผู้ใหญ่อย่างคุณถึงเข้าใจยากนัก”


“เจ้าจะบอกว่าข้ายิ่งกว่าเด็กรึไง”


“ใช่”


“ถูกเด็กอย่างเจ้าพูดแล้วหงุดหงิดชะมัด แค่กินก็พอใช่ไหม”


“อืม” ผมพยักหน้ารัวๆ พร้อมยื่นยาและน้ำให้อีกฝ่ายทันที ต้องรีบกันไว้เดี๋ยวจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาซะก่อน ยาเม็ดสามเม็ดถูกกลืนลงคือตามด้วยน้ำด้วยท่าทางปกติ จากที่มองก็กินยาเม็ดได้ปกตินี่นา หรือไม่ชอบของขมถึงได้เอ่ยปัดแบบนั้น


ยังไงกันแน่นะเบียทรีซ


“ขมวดคิ้วอะไรของเจ้าอีก” เบียทรีซถามเมื่อหันมาเห็นผมทำหน้าสงสัย


“แค่สงสัยว่าทำไมถึงไม่ยอมกินยาแค่นั้นเอง”


“ข้ากินแล้ว เจ้าก็เห็นอยู่”


“ก็ใช่อยู่ แต่ก่อนหน้านั้นยังปฏิเสธเสียงแข็งอยู่เลยผมเลยคิดว่าไม่ชอบยาขมๆ รึเปล่านะ...”


“เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กรึไงวิณณ์!” อีกฝ่ายพูดแทรกข้อสันนิฐานของผมทันควัน


“...” ผมใช้ความเงียบแทนคำตอบ


“ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว ยาไม่จำเป็นสำหรับข้า”


“...หมายถึงอะไร” ยาไม่จำเป็น?


“ว่าแล้วต้องไม่เข้าใจ” เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้นพร้อมใบหน้าเอือมๆ


“ขอโทษที่เป็นคนเข้าใจยากละกัน”


“ไม่ได้ว่าเจ้าสักหน่อย”


“ตรงไหนกัน” คำพูดนั่นฟังยังไงก็เหมือนว่าอยู่ชัดๆ


“ถ้าอยากให้อธิบายก็เปลี่ยนชุดให้ข้าก่อน” อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอ


“โอ๊ะ...จริงด้วย ต้องเปลี่ยนชุดให้คุณนี่นา เอ่อ...ร้อนหรือเหนียวตัวไหม” ความจริงผมควรจะเปลี่ยนชุดให้เบียทรีซก่อนค่อยไปอาบน้ำ


นี่เหมือนผมปล่อยให้เขานอนทั้งๆ ที่ไม่สบายตัว สอบตกในฐานะคนดูแลต้องถูกไล่ออกสถานเดียวมั้งเนี่ย


“นิดหน่อย”


“คุณยังอาบน้ำไม่ได้ งั้นผมเช็ดตัวให้แทนนะ”


“อืม”


ผมเดินกลับไปในห้องน้ำเตรียมกะละมังกับผ้าสะอาดรวมไปถึงชุดสำหรับเปลี่ยนวางเตรียมพร้อมไว้ กระดุมเสื้อสีดำถูกผมปลดออกจนเผยแผ่นอกอกกว้างกำยำพอสมควรปรากฏต่อหน้าต่อตา กล้ามเนื้อของเบียทรีซไม่ได้มีมากแต่ก็ไม่น้อย เรียกว่ามีสมดุลดีมากขนาดผมที่เป็นผู้ชายด้วยกันยังเผลอใจเต้นไปวูบนึงเลย


ผ้าเปียกบิดหมาดเช็ดไล่ตั้งแต่ใบหน้า ลำคอ ไหล่มาถึงแผ่นอก ท้องและไล่ลงมาจนถึงขา แม้จะอยู่ด้วยกันมานานแค่ไหนแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายในสภาพเกือบเปลือยมีเพียงแค่ส่วนกลางที่ถูกปกปิดไว้ ตลอดการเช็ดตัวผมไม่กล้าพูดคุยหรือแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เพราะถ้าเกิดส่งเสียงออกไปเขาต้องได้ยินเสียงสั่นๆ ของผมแน่


ต่อให้ไม่พูดแต่การมองเองก็มากพอที่จะแสดงความรู้สึกออกมาได้ ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือเงียบและมีสมาธิกับการเช็ดตัวจนกว่าจะเสร็จ


ความเงียบอาจมีข้อดีมากมายแต่มันก็มีข้อเสียข้อใหญ่เช่นกัน นั่นคือเสียงหัวใจที่กำลังเต้นระรัวนี่จะได้ยินชัดกว่าปกติ ผมพยายามทำทุกทางให้หัวใจสงบลงไม่ว่าจะเป็นการคิดเรื่องอื่นหรือหายใจเข้าออกกำหนดลมหายใจ แต่ก็ไม่ได้ผลเลยสักนิดเดียว
ทำได้แค่หวังว่าเบียทรีซจะไม่ได้ยินมัน


“เสียงดังจังนะ”


“ฮะ?” หมายถึงอะไร


“เสียงหัวใจเจ้าน่ะ...เต้นดังจังนะ” ไม่ใช่แค่คำพูดแต่รอยยิ้มของเทพบุตรที่เผยออกมายามผมเงยหน้าขึ้นไปนั่นทำเอาหัวใจที่เต้นรัวหยุดเต้นไปวูบนึงก่อนจะกลับมาเต้นเร็วกว่าเดิมหลายเท่า


“อะ...เอ่อ...คือ ไม่...”


“พูดอะไรของเจ้าน่ะ” เบียทรีซพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดติดขัดของผม


“ไม่...ไม่มีอะไร” ผมเบนหน้าหนีก่อนจะเริ่มใส่เสื้อผ้าให้เบียทรีซ


“หัวใจเต้นรัวขนาดนี้จะไม่เป็นไรได้ยังไง”


“ไม่ได้เต้นเร็วขนาดนั้นสักหน่อย” ผมยังพยายามแถจนถึงที่สุด


“จริงเหรอ”


“จริงสิ”


“ขอข้าพิสูจหน่อยละกัน”


“ฮะ? อ๊ะ! ทำอะไรน่ะ” ผมร้องเสียงหลงอย่างไม่อายใครเมื่อเบียทรีซใช้มือข้างเดียวที่ใช้ได้ดึงตัวผมให้ขึ้นไปนั่งทับบนตัก เป็นสภาพแสนน่าอายที่ส่งผลต่อการเต้นของหัวใจอย่างรุนแรง ทั้งความเขินและความอายแสดงออกมาผ่านใบหน้าแดงๆ


“นอกจากหัวใจเต้นแรงแล้ว หน้ายังแดงอีกนะวิณณ์” เบียทรีซกระซิบด้วยน้ำเสียงเหมือนคนกำลังสนุกที่ได้เห็นผมทำตัวไม่ถูก


“ปล่อยผม อ๊ะ...เบียทรีซ” ความพยายามหนีสูญเปล่าเพราะถูกแขนเพียงข้างเดียวนั้นโอบรัดจนขยับไปไหนไม่ได้ แม้จะใช้ได้แค่แขนข้างเดียวแต่พละกำลังของผมและเบียทรีซก็ยังแตกต่างกันมาอยู่ดี


“อย่าหนีสิ ข้าขอมองใบหน้าแดงๆ กับฟังเสียงหัวใจของเจ้าอีกหน่อย”


“มะ...ไม่ อย่าเบียทรีซ” นี่คิดจะทำให้ผมละลายหายกลายเป็นไอรึไงถึงได้เอ่ยประโยคน่าอายนั่นออกมาน่ะ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุอีกฝ่ายซุกใบหน้าลงมายังคอผมก่อนจะขยับมายังบริเวณหัวใจใช้หูแนบลงเพื่อฟังเสียงหัวใจผมที่บัดนี้เต้นเร็วจนแทบจะทะลุออกมานอนอกอยู่แล้ว


ทำไมถึงเขินขนาดนี้...เพราะเพิ่งเคยถูกทำแบบนี้เหรอ


หรือเพียงแค่เหตุผลง่ายๆ เพราะเป็นเบียทรียกัน


เพราะเป็นเบียทรีซผมถึงได้ทั้งเขิน อายและหัวใจเต้นรัวทุกครั้งที่ถูกหยอด ความจริงไม่ใช่แค่ถูกหยอด...เพียงดวงตาสีทองสว่างนั่นสอดประสานมาหัวใจผมมันก็บีบตัวแน่นขึ้นแล้ว


“ตอนนี้ยังอยากให้อธิบายอยู่ไหม”


“...ไม่...” ผมในตอนนี้ไม่สามารถรับรู้อะไรได้ทั้งนั้นแหละ


“แต่ข้าจะอธิบาย ราชาอย่างข้าน่ะมีพลังฟื้นตัวที่แม้แต่การรักษายังตามไม่ทันจึงไม่จำเป็นต้องกินยา ถ้ายาใช้รักษาหายได้ในหนึ่งอาทิตย์ ข้าก็สามารถทำให้แผลหายเองได้ในสามวัน ข้าเลยไม่คิดจะกินเพราะถึงกินไปก็ไม่ได้ส่งผลให้แผลหายเร็วขึ้นอยู่ดี”


“...งั้นคุณก็บอกแต่แรกสิ แล้วกินเข้าไปทำไมกัน” ถ้ารู้ว่ากินไปก็ไม่มีผลผมคงไม่บังคับให้กินหรอก ตอนนี้ผมเริ่มหายใจสะดวกขึ้นเมื่อเบียทรีซเงยหน้าที่ซุกฟังเสียงหัวใจขึ้นมา


“เพราะเจ้า...”


“...”


“เพราะเจ้าข้าถึงยอมกินยา เพราะเจ้าข้าถึงยอมให้ป้อน เช็ดตัวและเปลี่ยนชุด เหตุผลของทุกอย่างเป็นเพราะเจ้าข้าถึงได้ยอมแบบนี้ไงวิณณ์ ถ้าไม่ใช่เจ้าอย่าหวังว่าข้ายอมให้ขนาดนี้นะ เข้าใจรึเปล่า”


เบาใจไปได้ไม่ถึงวินาทีดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซที่สอดประสานมายังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมพร้อมคำพูดแสนน่าอายนั่นทำเอาวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง

.............................................

เอ้าๆ หวานกันเข้าไป

หวานกันให้คนอ่านอิจฉากันไปเลย

เอาจริงๆ เลยคือเราไม่คิดว่าคู่นี้จะหวานกันได้ขนาดนี้

ไม่คิดว่าราชาจะมีนิสัยแบนี้ได้

บอกเลยว่าราชานั้นหลงวิณณ์หนักมากกก

หวานกว่านี้มีอีกไหม

ขอตอบเลยว่ามี!

และจะมาหวานแบบเป็นคอมโบ้ด้วย

นักอ่านเตรียมยาฆ่ามดกันให้ดีค่ะ 555

ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
รถอ้อยคว่ำแล้วจย้าาาาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แผลหายช้าๆ นะ  :call:

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
แบบนี้เรียกว่าอ้อยได้หรือเปล่าคะ เบียทรีซ

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ตอนนี้ตาลุกเป็นไฟเลยค่ะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
บางทีวิณณ์ก็ซื่อเกินไป ทั้งที่ใจเต้น ทั้งที่เขิน
แต่กลับไม่รู้ตัวเลยว่าถูกรุกหนักมาก
และเจอเบียทริซเนียนหนักมากด้วย
เอ็นดูความซื่อของวิณณ์

เบียทริซปล่อยไก่ไปหลายเล้าแล้ว
ขุดหลุมไปลึกสุดแล้ว ก็ยังตกวิณณ์ไม่ได้
แต่ดีที่เข้าใจ แต่ขนาดเข้าใจ ยังหงุดหงิด 5555

ตอนนี้เพราะวิณณ์คุมพลังไม่ได้หรอ ถึงยังสายตาสั้น
หรือว่าไม่เกี่ยวกันกับพลัง แล้วไม่มีใครบอกด้วยนะ
ว่าต้องเรียนรู้ยังไง ควบคุมประมาณไหน
เตโชบอกแค่ว่าจะรู้เอง ช่วยวิณณ์ได้มาก และวิณณ์ใส่ใจมาก 5555

ลุ้นความคืบหน้าของวิณณ์นะ ว่าจะจีบติดตอนไหน


ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰บงการ:วันที่13:⊱



วันเวลาได้ไหลผ่านไปนับเดือน นับปีตั้งแต่ได้พานพบกับราชาของโลกปิศาจอย่างเบียทรีซ ถูกทำให้ปั่นป่วนไปทั้งร่างกายและหัวใจไปครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่มีทีท่าว่าผมจะชินกับการกระทำเหล่านั้นสักที ในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไปผมได้รู้จักเบียทรีซมากขึ้นเช่นเดียวกับที่เขาได้รู้จักผมมากขึ้นเช่นกัน


ความรู้สึกที่มีต่อเบียทรีซกำลังเพิ่มขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปเพียงแต่ผมยังไม่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนไปในแง่ไหน ตัวผมไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเพราะพวกเรามีเวลาอีกมากที่จะอยู่ด้วยกัน อายุไขของปิศาจยาวนานกว่ามนุษย์มากผมเองที่ตอนนี้เลยช่วงเปลี่ยนผ่านไปก็กลายเป็นปิศาจไปโดยสมบูรณ์ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องราวแสนแฟนตาซีแบบนี้จะเกิดขึ้นได้จริง


สิ่งเดียวที่สามารถบอกได้ตอนนี้สำหรับผมเบียทรีซเป็นคนสำคัญและพิเศษที่สุด


“เหม่ออะไรวิณณ์” เสียงของเบียทรีซมาพร้อมกับมือที่โยกหัวผมไปมา


“...ผมง่วงนิดหน่อย” อาจเพราะโดนทำแบบนี้บ่อยเลยค่อนข้างชิน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงบ่นไปแล้ว


“ไปนอนพักที่ห้องไป”


“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ผมยังทำงานได้” ให้ไปหลับทั้งที่ตอนนี้เพิ่งจะ 11 โมงเนี่ยนะ


ดูไม่ดีมั้ง


“เหม่อขนาดนั้นเดี๋ยวก็ใส่ตัวเลขผิดหรอก” เบียทรีซเอ่ยต่อ


“ผมจะระวัง แขนไม่ได้เจ็บอะไรใช่ไหม” ผมเปลี่ยนเรื่องถามพลางมองแขนข้างที่วางอยู่บนหัวผมในตอนนี้ แขนขวาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนได้รับบาดเจ็บแถมยังหักจนต้องเข้าเฝือกไปนานหลายอาทิตย์ เมื่อประมาณไม่กี่วันก่อนเองมั้งที่กริซตัดเฝือกออกให้


“ข้าหายนานแล้วแต่ไม่รู้จะแย้งอะไรนักกับแค่เอาเฝือกออก...”


“คุณอาจคิดไปเองว่าหายก็ได้ กริซกำหนดเวลาเอาเฝือกออกแล้วคุณจะฝืนเร่งไม่ได้นะ ถ้ากระดูกยังเชื่อมไม่ดีอาจส่งผลในระยะยาว” ผมรีบพูดแทรกคำบ่นนั่น คนที่แย้งเบียทรีซไม่ให้เอาเฝือกออกก่อนถึงกำหนดไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นตัวผมเอง


มีอย่างที่ไหนคนกระดูกหักจะหายดีในไม่กี่อาทิตย์ จำได้เลยว่าพอผ่านไปอาทิตย์กว่าเบียทรีซเดินไปหากริซให้ตัดเฝือกออก แน่นอนว่านอกจากกริซที่ส่ายหน้ารัวๆ ทำให้ไม่ได้แล้วยังมีผมที่ยืนกรานไม่ให้อีกฝ่ายเอาเฝือกออก เป็นที่รู้กันว่าเบียทรีซไม่มีทางยอมง่ายๆ กว่าผมจะคุยรู้เรื่องก็เล่นเอาพลังงานเกือบหมดตัว


“ข้าเคยบอกแล้วนี่ว่าพลังของข้ามันช่วยให้ร่างกายรักษาตัวเองเร็วขึ้น”


“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ...ผมเป็นห่วงคุณนี่นา” ผมพึมพำประโยคสุดท้ายเสียงเบาหวิว


“...ข้าก็ไม่ได้ว่าเจ้านี่” อีกฝ่ายเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับมา


“ไม่ได้ว่าแต่บ่นไม่หยุดเลยนะ”


“มันรำคาญเวลาขยับแขนไม่ได้”


“ตอนนี้ขยับได้แล้วแต่ก็อย่าเพิ่งฝืนเกินไปล่ะ”


“ห่วงข้างอีกรึไง” เบียทรีซยิ้มมุมปากระหว่างถาม


“อืม...ห่วง ห่วงมากด้วย”


“วิณณ์...”


“ผมน่ะไม่อยากเห็นคุณเจ็บตัวเลย ทั้งที่ไม่กลัวพวกลือดแท้ๆ แต่พอเห็นแผลของคุณผมกลับรู้สึกกลัวขึ้นมา มันไม่ใช่ความกลัวต่อเลือดแต่เป็นความกลัวว่าคุณเป็นอะไรไป” ความจริงภายในใจค่อยๆ เผยออกมาทีละน้อย


“เจ้านี่นะ เอาแต่พูดประโยคน่ารักๆ อยู่เรื่อย” คนตรงหน้าพูดเสียงแผ่วซึ่งแฝงไปด้วยความปลาบปลื้มจนผมต้องขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่เข้าใจ


ประโยคน่ารัก?


“ตรงไหนกัน” ไม่เห็นจะมีคำไหนสื่อไปทางน่ารักเลย


“ตรงนั้นแหละ”


“แล้วตรงนั้นมันตรงไหนเล่า”


“ก็ตรงที่ใกล้ๆ กับตรงนู้นไง”


“สนุกไหมที่ได้แหย่ผมเนี่ย” ผมถามเสียงนิ่ง


“สนุก”


“เบียทรีซ...” ในจังหวะที่กำลังจะอ้าปากพูดเสียงแปลกๆ คล้ายเสียงร้องของอะไรบางอย่างก็ดังขึ้น โทนเสียงสูงเหมือนกำลังจะขาดใจนั่นลางไม่ดีเลย


“มีอะไรวิณณ์” เบียทรีซรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของผม


“ได้ยินเสียง”


“เสียง? เสียงอะไร” อีกฝ่ายถามต่อ


“ไม่รู้สิ...เป็นเสียงโทนสูงเหมือนกำลังกรีดร้องด้วยความทรมาน มาจากทางนั้น” ผมมองออกไปนอกกระจกหน้าต่างซึ่งเต็มไปด้วยสีขาวโพลนของหิมะในฤดูเหมันต์ ช่วงปลายปีเป็นช่วงที่โลกปิศาจจะมีหิมะตกปกคลุมไปทั่วบริเวณ ขนาดสวนที่ผมมักไปเดินยังมีหิมะสูงจนเดินแทบไม่ได้เลย


“ข้างในหรือข้างนอก”


“ข้างนอก น่าจะเป็นในป่านั่น” ถัดจากรั้วของปราสาทไปจะเป็นส่วนของป่าลึกที่ผมไม่เคยเดินเข้าไปสักครั้งเดียว อย่างมากทำแค่ยืนมองจากด้านในรั้ว


“อาจเป็นพวกสัตว์ละมั้ง” เบียทรีซสันนิฐาน


“...ผมขอไปดูได้รึเปล่า” จะให้ปล่อยผ่านคงทำไม่ได้


“จะฝ่าหิมะไป?”


“...ถ้าค่อยๆ เดินก็น่าจะได้อยู่” ผมลืมนึกเรื่องหิมะไปเลย


“ปล่อยผ่านไปไม่ได้รึไง”


“...ก็มันคาใจ” จะให้ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปก็ได้แต่ผมคงจะคิดถึงอยู่นานเลย


“เฮ้อ...ไม่ต้องทำหน้าเศร้า แค่พาไปก็พอใช่ไหม” เสียงถอนหายใจมาพร้อมน้ำเสียงปลงๆ


“พาไป? เบียทรีซก็จะไปด้วยเหรอ”


“ให้เจ้าไปคนเดียวมันน่าห่วงจะตาย”


“คิก...”


“ขำอะไร”


“คุณยอมรับว่าห่วงผมด้วย” ปกติมีแต่จะเลี่ยงคำว่าห่วง แต่อยู่ๆ กลับพูดคำว่าห่วงออกมาเองซะอย่างงั้น


“...หูฝาดแล้ว” คำแก้ตัวของอีกฝ่ายนอกจากจะฟังไม่ขึ้นแล้วยังทำให้ผมขำมากกว่าเดิมอีก เบียทรีซที่เห็นผมขำไม่หยุดใช้ดวงตาสีทองจับจ้องมาทันที สายตานั่นบอกให้ผมหยุดขำซึ่งใช้เวลาสักพักเลยกว่าจะหยุดได้


“คุณได้ยินเสียงนั้นด้วยใช่ไหม”


“ไม่ได้ยิน” เบียทรีซตอบกลับแทบจะทันที


“...หรือเป็นผมที่หูฝาด” ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเสียงนั้นดังพอสมควรเลยนะแต่ถ้าเบียทรีซยังไม่ได้ยินแปลว่ามันต้องมีอะไรบางอย่าง


“คลื่นเกิดตรงกันพอดีมั้ง”


“คลื่น?”


“ทำหน้างง”


“ก็ผมงงจริงๆ นี่”


“เจ้ามีพลังสัมผัสที่ดีกว่าปิศาจปกติอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่สัมผัสถึงพลังแต่อาจรวมไปถึงเสียงด้วยซึ่งปกติการจะได้ยินต้องมีการปรับคลื่นของพลังให้ตรงกัน แต่ก็ไม่มีน้อยที่มีคลื่นตรงกันเพียงชั่วคราว” เบียทรีซอธิบาย


“หมายถึงผมสามารถได้ยินเสียงคุณได้แม้จะอยู่ไกลงั้นเหรอ”


“ไม่ใช่ ต่อให้เป็นข้าแต่การจะส่งเสียงผ่านคลื่นที่ตรงกันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย พวกที่สามารถปรับจูนคลื่นได้ส่วนมากจะเป็นพวกสัตว์ปิศาจ”


“สะ...สัตว์ปิศาจ?!” ทำไมชื่อมันดูน่ากลัวขนาดนั้นล่ะ


“มนุษย์ยังมีสัตว์ได้ทำไมปิศาจจะมีไม่ได้ล่ะ”


“ก็ใจอยู่ แต่...คุณจะบอกว่าเสียงที่ผมได้ยินเป็นของสัตว์ปิศาจใช่รึเปล่า”


“มีความเป็นไปได้สูง” คำตอบจากเบียทรีซทำเอาผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก


“...สัตว์ปิศาจนี่น่ากลัวไหม” ผมถามต่อ


“หึ ลองไปเห็นเองละกัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นไม่น่าไว้ใจสักนิด


“...เราจะเดินไปสินะ”


“เสียเวลา”


“งั้นจะไปยังไงล่ะ”


“บินไป” คำตอบของเบียทรีเรียกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นให้เบิกกว้างขึ้นเมื่อนึกกขึ้นมาได้ว่าวันแรกที่มาโลกปิศาจเบียทรีซใช้พลังปิศาจสร้างเป็นปีกและใช้บินไปไหนมาไหนได้


บรรยากาศด้านนอกปราสาทหนาวกว่าด้านในมาก ขนาดใส่เสื้อแขนยาวแถมยังมีเสื้อกันหนาวยังรู้สึกถึงความเย็นที่แผ่เข้ามาได้เลย


ตอนอยู่โลกมนุษย์ผมไม่เคยไปเมืองนอก นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นหิมะเต็มๆ ตา สะเก็ดสีขาวยามล่วงลงมาเหมือนปุยเมฆนุ่มนิ่ม อยากจะนอนกลิ้งไปบนพื้นหิมะซะเหลือเกินถ้าไม่ติดว่าจะถูกสายตาคมๆ ของคนแถวนี้จ้องมาละก็นะ


เบียทรีซใช้พลังปิศาจสร้างปีกพาผมซึ่งถูกอุ้มอยู่ไปยังป่าด้านข้างปราสาท แน่นอนว่ากว่าผมจะยอมมาอยู่ในสภาพถูกอุ้มนี่ไม่ง่ายเลย แค่ครั้งเดียวก็อายมากพอแล้วกับการถูกอุ้มในท่าเจ้าหญิง


ผู้ชายที่ไหนจะดีใจเวลาถูกอุ้มล่ะจริงไหม


ผมพยายามพูดทุกสิ่งที่นึกออกแต่กลับถูกเมินแถมยังอาศัยช่วงที่เผลออุ้มผมขึ้นพาออกมาอีก เพราะแบบนั้นผมเลยต้องจำใจทนอยู่ในสภาพแสนน่าอายนี่


“ได้ยินเสียงแถวไหน” เบียทรีซถามเมื่อพวกเราเริ่มเข้ามาในเขตป่ากัน มองจากมุมสูงจะเห็นด้านล่างเป็นป่าทึบสีขาวโพลนจากการถูกหิมะตกทับ


“น่าจะไกลกว่านี้ ผมไม่แน่ใจ”


“แปลว่าไม่ได้ยินเสียงแล้วสินะ”


“อืม อ๊ะ!...ทางนั้น” เสียงเล็กๆ ที่ร้องขึ้นแล่นเข้ามาเพียงเสี้ยววินาทีและหายไป ผมชี้ไปตามทิศที่สัมผัสได้แม้เสียงที่ได้ยินจะแตกต่างกับเสียงก่อนหน้านี้ก็ตามแต่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเสียงใกล้ๆ กันนะ


“อืม” อีกฝ่ายพยักหน้ามุ่งหน้าไปตามที่ผมชี้


ยิ่งสัมผัสถึงอะไรบางอย่างมือผมก็ยิ่งกระชับกำเสื้อของเบียทรีซไว้แน่น สัตว์ปิศาจแค่ชื่อก็บ่งบอกถึงเอกลักษณ์อย่างมีเขางอกหรือมีเขี้ยวแหลม ภาพสัปปะหลาดในหนัผุดขึ้นมาในหัวทีละตัว


นี่ผมคิดผิดที่อยากมาดูรึเปล่านะ


การปล่อยผ่านไปอาจเป็นทางเลือกที่ถูกแล้วก็ได้


“เบียทรีซ...”


“ดูเหมือนเจ้าจะดวงดีมากเลยนะ” อยู่ๆ เบียทรีซก็พูดแทรกขึ้นมา


“ดวงดี?”


“สัมผัสแบบนี้เป็นสัตว์ปิศาจไม่ผิดแน่ แถมยังเป็นสัตว์หายากด้วย”


“...เป็นสัตว์แบบไหนเหรอ” ผมถามกลับไป


“สัตว์เพียงหนึ่งเดียวที่ได้ชื่อว่ามีพลังทัดเทียบกับปิศาจระดับสูง ราลามอส” ระหว่างบอกเบียทรีซค่อยๆ พาผมลงมาบนพื้นหิมะด้านล่าง


“น่ากลัวรึเปล่า อ๊ะ...ไม่” การทรงตัวบนพื้นอันเต็มไปด้วยหิมะสูงหลายนิ้วนี่ค่อนข้างลำบากทำให้เมื่อออกก้าวเพียงก้าวแรกก็ล้มหน้าทิ่มลงบนผืนหิมะอย่างแรง โชคดีที่มีหิมะรองรับเลยไม่เจ็บถ้าเป็นพื้นปกติคงได้มีเจ็บตัวแน่


“...” ผมรีบลุกขึ้นมาท่ามกลางสายตาปลงๆ ของเบียทรีซที่มองมาโดยไม่พูดอะไร


“ก็มันทรงตัวยากนี่” ผมรีบบอกเสียงสูง


“ข้าก็ไม่ว่าอะไรนี่ ขนาดพื้นราบยังสะดุดได้ประสาอะไรกับหิมะล่ะ”


“...ฟังดูเหมือนไม่ใช่คำชมนะ”


“ก็เข้าใจถูกแล้วนี่ ระวังหน่อยหิมะมันกัดผิวได้...หน้าเริ่มแดงแล้ว” เบียทรีซบอกก่อนจะใช้มือทั้งสองข้าแนบลงบนแก้มผม ความอุ่นของฝ่ามือแผ่ซ่านเข้ามาพานให้ใบหน้าที่เริ่มชาอุ่นขึ้นทันควัน


“คุณไม่หนาวเหรอ” ผมถามกลับบ้าง ถึงเบียทรีซจะใส่ชุดแขนยาวขายาวแต่ก็เป็นชุดปกติที่ผมเห็นเขาใส่ตั้งแต่ฤดูร้อนยันฤดูฝนแถมยังไม่ใส่ถุงมืออีก


“นิดหน่อย กลับเข้าปราสาทเดี๋ยวก็อุ่นแล้ว”


“เอาผ้าพันคอผมไหม” ก่อนออกจากห้องผมหยิบผ้ามาพันคอไว้เพราะเห็นหิมะแล้วรู้สึกหนาวขึ้นมา


“เจ้าใส่ไปเถอะ” อีกฝ่ายห้ามเมื่อเห็นผมกำลังถอดผ้าพันคอออก


“แต่คุณ...”


“เลิกแต่วิณณ์ อยากเห็นไม่เหรอหันไปดูให้เต็มตาสิ ราลามอสน่ะ” เบียทรีซหันไปมองทางซ้ายมองของผม สายตานั่นคล้ายจะชักจูงให้ผมหันไปมองตาม


ภาพของต้นไม้ถูกย้อมด้วยสีขาวของหิมะโค่นล้มลงมาหลายสิบต้นทำให้บริเวณนั้นเป็นเหมือนที่โล่ง แต่นั่นไม่ได้สร้างความตกใจเท่าสัตว์ตัวใหญ่มีปีกกำลังนอนจมกองเลือดอยู่ ขนาดของมันใหญ่ประมาณช้างตัวเต็มไวแถมยังมีขนสีดำสนิทปกคลุมทั้งร่างจนมองไม่ออกเลยว่าส่วนไหนคือหัว


ความน่าตกใจยังไม่หมดแค่นั้นเพราะได้ชื่อว่าสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยการหายใจเอาอากาศเข้าไปทว่าร่างตรงหน้ากลับไม่มีการกระเพื่อมยามสูดอากาศเลย นอนนิ่งสนิทไม่แม้แต่จะขยับตัวหรือส่งเสียงร้อง ผมมองภาพนั่นโดยในหัวกำลังประมวลเหตุการณ์อย่างไม่รีบร้อน ไม่นานดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมหันกลับไปหาเบียทรีซสื่อความหมายผ่านสายตานั่นโดยไม่ใช้คำพูดใดๆ


“...คงงั้น” เบียทรีซเหมือนจะรู้สิ่งที่ผมสื่อไป


“ไม่จริงน่า” ตายแล้วงั้นเหรอ


“เลือดออกมากขนาดนี้ร่างกายคงทนไม่ไหว”


“ถ้าผมรีบมาเร็วกว่านี้ละก็...” อาจจะช่วยทันก็ได้


“มันไม่ใช่ความผิดเจ้า ทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติในวันนึง ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นวันใดเท่านั้น” แม้จะเข้าใจสิ่งที่เบียทรีซต้องการจะสื่อแต่มันก็ห้ามความเศร้าหรือเสียใจไม่ได้


งี๊ดด~


เสียงร้องเล็กๆ ที่ดังขึ้นเรียกผมและเบียทรีซให้หันไปมองยังต้นเสียงพร้อมกัน ฟังจากเสียงน่าจะอยู่อีกฝั่งนึงเบียทรีซเลยเดินนำผมไปก่อนจะพบกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กซึ่งมองจากสีน่าจะเป็นลูกของเจ้าตัวใหญ่นี่ ร่างเล็กสีดำสนิทมีขนฟูฟ่องใช้ป้องกันความหนาวเย็น ท่าทางตอนใช้ขาหน้าตะกายตัวขึ้นมาจากหิมะน่าเอ็นดูจนผมต้องก้าวเข้าไปมองร่างนั้นใกล้ขึ้น


งี๊ด!


ดวงตาสีทองของสัตว์ตรงหน้าจ้องมองมายังผมคล้ายกำลังบอกว่า ‘ช่วยผมที’


แค่เห็นดวงตากลมโตที่สั่นระริกผมไม่รอช้าเข้าไปอุ้มร่างนั้นขึ้นมากอดไว้แนบอกเพื่อมอบความอบอุ่นให้ ขนาดในตอนนี้ประมาณแมวตัวเต็มวัยที่ออกจะอ้วนมากไปสักหน่อย ไออุ่นจากร่างผมน่าจะถูกใจเจ้าตัวเล็กอยู่ไม่น้อยเพราะนอกจากจะซุกเข้าหาแล้วยังส่งเสียงครางยาวคล้ายพอใจสุดๆ อีก


“เบียทรีซ” ผมเงยหน้าสบดวงตาสีทองของอีกฝ่ายตรงๆ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมายอีกฝ่ายก็สามารถเข้าใจความต้องการของผมได้อยู่แล้ว


“...ดูเหมือนเจ้าตัวใหญ่นี่จะเป็นแม่ เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าราลามอสจะให้กำเนิดลูกโดยแลกกับชีวิต เพิ่งจะเคยเห็นตัวจริงครั้งแรก ตัวใหญ่กว่าที่เคยได้ยินอีก” อีกฝ่ายพูดพลางเดินเข้าไปใช้มือแตะร่างไร้วิญญาณของสัตว์ตรงหน้าก่อนพลังปิศาจจะค่อยๆ หลั่งไหลออกมา


“ทำอะไรน่ะเบียทรีซ”


“ทุกส่วนของราลามอสมีค่ามหาศาลหากมีใครมาเจอคงถูกแล่ออกเป็นชิ้นๆ เพราะงั้นเพื่อกันปัญหาก็จัดการไว้ก่อนดีกว่า” เบียทรีซพูดพร้อมกับพลังปิศาจห่อหุ้มทั้งร่างนั้น ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรแต่ในความคิดผมเหมือนร่างนั้นกำลังถูกเผาจะไม่เหลือแม้แต่กระดูกสักชิ้น


“คุณนี่ใจดีจังนะ” น้ำเสียงนิ่งๆ ไม่มีผลอะไรกับผมหรอก


การกระทำของเบียทรีซเหมือนกำลังส่งวิญญาณของราลามอสตัวนั้น แถมยังช่วยไม่ให้ใครที่เผลอผ่านเข้ามาแล้วนำร่างของราลามอสไปขายต่อ ทำขนาดนี้ไม่เรียกว่าใจดีจะเรียกว่าอะไรล่ะจริงไหม


“หึ...ข้าแค่ไม่อยากต้องมานั่งจัดการกับปัญหาในอนาคตต่างหาก”


“ไม่เห็นต้องพยายามแก้ตัวเลยนี่” ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยตรงกันข้ามออกจะทำสิ่งที่ถูกด้วยซ้ำ


“...คิดจะทำยังไงกับเจ้านั่น” เบียทรีซเปลี่ยนคำถามเอาดื้อๆ


ว่าแล้วเชียว...พอไม่รู้จะไปทางไหนก็จะเปลี่ยนเรื่องแทน


เอาเถอะ...นี่แหละคือเบียทรีซ


“คุณก็รู้อยู่แล้วนี่” สายตาที่ผมมองเขาหลังจากอุ้มเจ้าเล็กมาบอกกับเขาไปแล้วว่าอยากจะทำอะไร


“ราลามอสไม่ใช่สัตว์ที่จะเลี้ยงดูได้ง่ายๆ จากที่เคยอ่านเจอมันจะหาสถานที่ปลอดภัยอยู่จนกระทั่งโตขึ้นถึงวัยที่สามารถบินได้มันจะจากไป ถ้าเจ้าคิดจะเลี้ยงให้มันเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงก็หาตัวอื่นเถอะ” เบียทรีซอธิบายให้ผมฟัง


รู้ความคิดผมจริงๆ ด้วย แค่หันไปมองก็เดาออกแล้วว่าผมอยากเลี้ยงเจ้าตัวเล็กนี่


“ผมอยากดูแลจนกว่าเจ้าตัวเล็กจะกางบินแล้วบินจากไป”


“เจ้าจะไม่เสียใจรึไงตอนมันจากไปน่ะ” นี่อาจเป็นประเด็นหลักที่เบียทรีซไม่อยากให้ผมเลี้ยงละมั้ง


เขารู้ว่าผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงหากผมชินกับการมีอยู่ของราลามอสตอนมันจากไปผมอาจร้องไห้ก็ได้


“ผมไม่โกหกว่าไม่เสียใจหรอกนะ คงเสียใจแหละแต่ก็ดีใจด้วยที่สามารถเลี้ยงจนเจ้าตัวเล็กนี่ให้เติบใหญ่จนบินได้” ผมบอกตามจริง


“ตามใจ” คำอนุญาตจากเบียทรีซทำให้ผมเผยรอยยิ้มกว้างออกมา


จากนั้นเบียทรีซพาผมพ่วงด้วยสมาชิกใหม่กลับปราสาท ด้านในของตัวปราสาทไม่ได้มีการติดตั้งฮีทเตอร์หรือแอร์แต่กลับไม่หนาวเหมือนข้างนอก ตอนฤดูร้อนเองข้างในนี้ก็จะเย็นเหมือนกับเปิดแอร์อยู่ ผมเคยถามเรื่องนี้กับแกรน ดูเหมือนว่าวัสดุที่ใช้สร้างจะเป็นวัสดุพิเศษที่สามารถปรับเปลี่ยนอุณหภูมิได้เองซึ่งการปรับเปลี่ยนของมันจะตรงข้ามกับอุณหภูมิภายนอกโดยจะปรับให้เกิดสมดุลด้วยตัวเอง


น่าทึ่งจนผมถึงกับพูดไม่ออกเลย


ในช่วงบ่ายของวันผมง่วนอยู่กับการทำงานแต่ก็มีแอบหันไปมองลูกของราลามอสที่นอนหลับสนิทอยู่บนเบาะข้างโต๊ะทำงาน ตอนกินมื้อเที่ยงผมรวบกวนให้กาเนอร์หาของกินสำหรับสัตว์ปิศาจตัวน้อยนี่ซึ่งกาเนอร์แสดงท่าทางตกใจออกมาอย่างชัดเจนเมื่อเห็นสัตว์ปิศาจที่ว่า ใช้เวลาหาอาหารมาอยู่นานก็ได้นมใส่ถ้วยมาลองให้กินดูผลที่ออกมาคือกินเรียบไม่มีเหลือสักหยด


“วิณณ์”


“ฮะ? กำลังทำอยู่รอแป๊บนะ” ผมรีบหันหน้ากลับมายังเอกสารบนมือทันที


เผลอทีไรเป็นต้องหันไปมองทุกทีสิน่า


“ดูจะถูกใจนะ เจ้านั่นน่ะ”


“อืม คุณไม่คิดว่าน่ารักเหรอ โอ๊ะ...ผมต้องตั้งชื่อด้วยนี่นา” จะให้เรียกมันหรือเจ้าตัวเล็กคงไม่เหมาะ


“น่ารักตรงไหน” เบียทรีซมองมายังร่างสีดำขนฟูซึ่งกำลังหลับสนิทนิ่งๆ


“ทุกตรงเลย ชื่ออะไรดีเบียทรีซ”


“แล้วแต่เจ้าสิ”


“งั้นผมตั้งให้ว่าราสนะ”


“คิดไว้ก่อนรึไง” อีกฝ่ายเลิกคิ้วคล้ายแปลกใจที่ผมสามารถตั้งชื่อได้เร็ว


“ก็มีคิดๆ ไว้บ้าง ราลามอสพูดเร็วๆ มันก็จะออกมาเป็นราส ง่ายดีใช่ไหมล่ะ” ผมค่อนข้างชอบชื่อนี้มากทีเดียว


“ตามใจสิ”


“จากนี้คุณห้ามเรียกมันนะเพราะผมตั้งชื่อว่าราสแล้ว”


“นี่เจ้าคงไม่ลืมใช่ไหมว่าพอมันโตขึ้นก็จะบินจากไปน่ะ” เบียทรีซพูดต่อ


“ไม่ลืมหรอก” เรื่องนั้นไม่มีทางที่ลืมได้เลย


“ก็ดี”


การทำงานผ่านพ้นไปจนถึงช่วงค่ำ ราลามอสนามราสถูกผมอุ้มเข้ามาอยู่ในห้องนอนด้วย ฟูกนอนผมปูไว้ข้างเตียงก่อนจะเข้าไปอาบน้ำต่อจากเบียทรีซทว่าพอกลับออกมาอีกทีฟูกนั่นกลับถูกขยับออกไปไกลจากเดิม ในเมื่อไม่ใช่ฝีมือผมก็มีอยู่แค่คนเดียว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมหันไปสบกับดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซที่นอนอยู่บนเตียง


“จะวางไว้ให้เจ้าเผลอเหยียบตอนละเมอรึไง” ผมไม่ต้องถามคำถามอีกฝ่ายก็สามารถเดาได้แถมยังตอบกลับมาราวกับอ่านความคิดผมได้


“...ผมยังไม่ได้ถามสักหน่อย”


“แค่มองมาข้าก็รู้แล้ว จะถามว่าเลื่อนฟูกออกไปทำไม”


“คุณอ่านใจผมได้จริงๆ ใช่ไหมเบียทรีซ” ผมก้าวเข้าไปหาอีกบนเตียงระหว่างถามเสียจริงจัง


นี่ไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้งแต่มากจนนับไม่ถ้วนแล้วที่เบียทรีซเดาออกว่าผมจะพูดอะไร


“หึ...ใครก็อ่านเจ้าออกทั้งนั้นแหละ”


“จะบอกว่าผมอ่านง่าย?”


“ตามที่เข้าใจ คิดอะไรอยู่ก็แสดงออกทางสีหน้าหมด อย่างตอนนี้กำลังคิดในใจอยู่ว่าแสดงออกทางสีหน้ายังไง ถูกไหม” เบียทรีซบอกพร้อมรอยยิ้มมั่นใจมุมปาก


“อึก...” ตรงเผง


งี๊ดด~


เสียงร้องจากราสดังมาจากด้านล่างของเตียงพอก้มลงไปมองก็พบกับสัตว์ขนฟูสีดำบริเวณแผ่นหลังมีปีกคู่เล็กกำลังพยายามตะกายขึ้นมา สงสัยจะเห็นทั้งผมและเบียทรีซอยู่ข้างบนเลยอยากขึ้นมาบ้าง ผมยิ้มกับท่าทางนั่นก่อนจะอุ้มราสขึ้นมาบนเตียงด้วย


“เหงาเหรอราส” ผมถามสัตว์ขนฟูบนตักพลางลูบขนสีดำนั่นเล่น ความรู้สึกนุ่มนิ่มแบบนี้นึกถึงเบียทรีซในร่างสัตว์เลย


“วิณณ์” คำเรียกจากเบียทรีซไม่จำเป็นต้องมีคำขยายความไปมากกว่านี้ เพียงแค่ดวงตาคมๆ จับจ้องมาผมก็เข้าใจสิ่งที่ต้องการจะสื่อได้


“ผมไม่ให้ราสนอนบนเตียงด้วยหรอกน่า ขอแค่ระหว่างนี้ เอ้าราส นี่คือเบียทรีซนะ จำได้เนอะ” ผมอุ้มราสไปตรงหน้าเบียทรีซที่ผงะหนีเพราะผมขยับเข้าไปโดยไม่บอกกล่าว ดวงตาสีทองสองคู่จ้องประสานกับเงียบๆ โดยไม่มีทั้งเสียงพูดหรือเสียงร้อง


“เอามันออกไป” เบียทรีซเอ่ยเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ยอมเอาราสออกจากหน้าเขา


“สนิทกันไว้สิ จะว่าไปราสเนี่ยเหมือนกับเบียทรีซเลยนะ” บอกเสร็จผมก็อุ้มราสมามองหน้ากันตรงๆ ลิ้นสีชมพูแล่บออกมาเลียปลายจมูกผมพร้อมเสียงร้องเบาๆ เหมือนกำลังมีความสุข


“เหมือนข้า? ตรงไหนกัน” เบียทรีซหันควับมามองผมด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่พอใจเล็กๆ


“ก็มีทั้งดวงตาสีทอง ขนสีดำแสนนุ่มนิ่มแถมยัง...”


“แถมยังอะไร” อีกฝ่ายถามต่อ


“...แถมยังเหมือนกันตรงที่อยู่ต่อหน้าผมแล้วจะมีท่าทางต่างจากคนอื่น” ความจริงผมไม่ได้อยากจะพูดถึงข้อนี้หรอกแต่ไหนๆ ก็หลุดปากไปแล้วคงไม่เป็นไรล่ะมั้ง


“พูดอะไรของเจ้า”


“ก็ตอนคุณอยู่กับผมชอบแสดงด้านที่ปกติไม่ทำนี่นา ราสเองตอนอยู่กับกาเนอร์ก็ทำตัวนิ่งๆ แต่พอมาอยู่กับผมแล้วจะว่าไงดี...ทำตัวน่ารัก เนอะ” ผมส่งยิ้มหวานให้ราสแล้ววางร่างนั้นลงบนเตียง


“คิดไปเอง”


“ไม่ได้คิดไปเองสักหน่อย มองราสแล้วคิดถึงเบียทรีซขึ้นมาเลย”


“จะไปมองมันแล้วนึกถึงข้าทำไม ถ้าคิดถึงข้าก็มองข้าสิวิณณ์” พูดจบเบียทรีซก็ใช้มือจับหน้าผมให้หันไปหา ดวงตาสีทองสว่างที่สอดประสานมานั้นส่งผลต่อการเต้นของหัวใจในทันที


“...เบียทรีซ”


“ถ้าบอกว่าเหมือนกันแปลว่าเจ้าก็ต้องทำกับข้าแบบเดียวกับที่ทำกับราส” เพราะผมเงียบไปเบียทรีซเลยเปิดบทสนาขึ้นมาเอง


“หมายถึงอะไร”


“ยิ้มให้มันก็ต้องยิ้มให้ข้าด้วย”


“...อุ๊บ! คิก”มือทั้งสองข้างรีบตระครุบปากตัวเองทันทีที่เผลอหลุดขำออกมา ท่าทางและการกระทำของเบียทรีซในตอนนี้เหมือนกำลังเรียกร้องความสนใจเลย


“วิณณ์” น้ำเสียงกดต่ำนั่นไม่ได้ทำให้ผมเกรงกลัวสักนิดตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกเหมือนเขากำลังพยายามกลบเกลื่อนบางอย่างไว้


“เบียทรีซ แบบนี้พอไหม” ผมล้มตัวนอนบนเตียงโดยเกยคางบนขาเบียทรีซพร้อมกับส่งยิ้มกว้างให้เห็น ความสุขกำลังแผ่ออกมาปกคลุมหัวใจอย่างเชื่องช้าพานให้รู้สึกดีสุดๆ


“...วิณณ์” เสียงเรียกมาในจังหวะเดียวกับฝ่ามือที่สัมผัสใบหน้าผมแล้วเกลี่ยไปมาซึ่งผมยอมรับสัมผัสนั่นโดยดี เวลาถูกสัมผัสแบบนี้รู้สึกดี


“อันดับหนึ่งของผมคือเบียทรีซ” ไม่รู้อะไรที่ดลใจผมให้เอ่ยประโยคนั้นออกไป รู้แค่ว่าพอพูดออกไปแล้วรู้สึกเขินเอามากๆ เลย


“ใจกล้าดีนี่ที่พูดออกมา”


“ฮืม? อื้ออ~” ยังไม่ทันได้สงสัยอะไรริมฝีปากของคนด้านบนก็ประกบลงมา ด้วยความที่กำลังตกใจเลยลดการป้องกันตัวส่งผลให้อีกฝ่ายสามารถรุกล้ำเข้ามาภายในได้ ความร้อนของปลายลิ้นยามสัมผัสโดนกันสร้างความรู้สึกแปลกๆ พุ่งเข้าจู่โจมและแล่นไปทั่วทั้งร่าง


ร่างกายอ่อนแรงราวกับถูกสูบเอาพลังไป เบียทรีซรุกหนักขึ้นเรื่อยๆ กอบโกยด้วยความร้อนแรงปนดุดันจนผมแทบจะละลาย ยิ่งถูกดวงตาคู่งามสบมาร่างกายราวกับถูกดึงดูดให้เงยหน้าขึ้นเพื่อรับสัมผัสจากอีกฝ่ายที่กดจูดลงมาไม่ยอมปล่อย


จูบอันดูดดื่มครั้งแรงในชีวิตเกือบจะกลายเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเหตุผลแสนน่าอายคือขาดอากาศหายใจ เบียทรีซเอาแต่จูบโดยไม่ปล่อยให้ผมได้หยุดพักหายใจเลยสักนิด กว่าอีกฝ่ายจะยอมถอนจูบออกผมก็ใกล้หมดลมเต็มที


“แฮ่ก...” ไม่มีแรงกระทั่งจะบ่นด้วยซ้ำ


“อีกรอบ...”


“หยุดเลย!” ผมใช้แรงอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ยกมือขึ้นปิดปากไม่ยอมให้อีกฝ่ายก้มลงมาจูบได้อีก


“ทำไม”


“ไม่ต้องมาถามเลย ผมต่างหากที่อยากถาม”


“ถามอะไร”


“จะ...จูบผมทำไมกัน”


“เล่นพูดประโยคน่ารักๆ ออกมาจะไม่ให้จูบได้ยังไง” เบียทรีซตอบกลับอย่างรวดเร็วแถมยังดึงมือผมออกแล้วกดจูบลงมาอีกรอบนึง


“อื้ออ~...พอ เบียทรีซ” ผมหันหน้าหนีด้วยความยากลำบาก เพราะอยู่ในท่านอนหงายการจะขยับหรือเคลื่อนที่เลยไม่สะดวกเหมือนคนด้านบน แถมผมไม่ได้มีแรงขนาดนั้นด้วย


“วิณณ์” เสียงกระซิบข้างใบหูดังขึ้นหลังจากผมถูกดึงให้ไปอยู่ในอ้อมกอด


“...” สภาพผมในตอนนี้ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ขนาดแว่นยังพล่ามัวจากจูบเมื่อครู่อยู่เลย


“สำหรับข้า...เจ้าก็เป็นอันดับหนึ่ง” เพียงประโยคเดียวก็มีอิทธิพลมากพอต่อหัวใจ ความจริงไม่ใช่แค่หัวใจแต่รวมไปถึงความรู้สึกและทุกๆ อย่าง


โชคดีที่ถูกกอดอยู่เพราะถ้าสบตากันตรงๆ แล้วพูดคงต้องเรียกหน่วยแพทย์มาปั๊มหัวใจแล้วล่ะ


ตลอดหลายเดือนผมดูแลราสสัตว์ปิศาจแสนหายากอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นตอนฝึกการต่อสู้กับเตโชหรือทำอาหารกับกาเนอร์ผมก็พาราสไปด้วยเสมอ พัฒนาการของราสรวดเร็วมากถึงขนาดผมที่เห็นอยู่ตลอดยังรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลง ร่างขนาดประมาณแมวตัวเต็มวัยแถมขนยังฟูๆ แปรเปลี่ยนเป็นร่างอันปราดเปรียวคล้ายหมาป่า...เอกลักษณ์พิเศษคือบริเวณหลังมีปีกคู่ใหญ่งอกออกมาซึ่งปีกนั้นยาวมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้ใหญ่สมส่วนกับขนาดตัวประมาณม้า


แม้จะมีความผูกพันกันมากแค่ไหนแต่ผมก็รู้ดีว่าสักวันหนึ่งราสต้องจากไป โลกของสัตว์ก็เหมือนกับมนุษย์การจากไปจะช่วยให้เติบโตขึ้นไม่ใช่เอาแต่อยู่ในที่ของตัวเองตลอด เพียงแค่ผมไม่คิดว่าเวลานั้นจะมาเร็วขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องพูดภาษาเดียวกันแค่ผมเห็นดวงตาสีทองเช่นเดียวกับของเบียทรีซผมก็สามารถเดาได้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น


ร่างอันปราดเปรียวก้าวเข้ามาหาผมใช้เรียวปากกับใบหน้าคลอเคลียแทนการบอกลาก่อนจะกางปีกออกพาร่างนั้นขึ้นสู่ท้องฟ้าไปท่ามกลางรอยยิ้มตื้นตัน ผมจะไม่ร้องไห้หรอกเพราะมันไม่ใช่ว่าจะเป็นการจากกันตลอดไปสักหน่อย สักวันหนึ่งราสอาจจะกลับมาเยี่ยมผมบ้างก็ได้ใครจะรู้ล่ะจริงไหม



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


อาจเพราะคลุกคลีกับสัตว์ปิศาจมาหลายเดือนผมเลยมีประสาทสัมผัสต่อสัตว์ดีเป็นพิเศษ อย่างวันนี้เองผมได้ยินเสียงนกร้องอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนด้านหลังปราสาทเลยเดินออกไปดู และก็เป็นไปตามคาดตรงโคนของต้นไม้มีร่างของลูกนกขนสีฟ้าสดส่งเสียงร้องครวญครางอยู่ พอเงยหน้าขึ้นไปด้านบนก็เห็นรังนกขนาดใหญ่อยู่


คงจะตกลงมา


ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นลูกนกแต่ก็เป็นนกของโลกปิศาจดังนั้นขนาดของมันเลยเทียบเท่าแตงโมทั้งลูก จินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าโตเต็มวัยจะใหญ่ขนาดไหน ดีไม่ดีอาจใหญ่กว่าผมก็ได้


ระหว่างคิดอะไรเพลินๆ ผมก็ปีนต้นไม้ขึ้นไปก่อนวางลูกนกตัวยักษ์ลงในรังที่มีพี่น้องอยู่อีกสองตัวทว่าในจังหวะที่ผมกำลังจะลงแม่นกซึ่งเป็นเจ้าของรังบินกลับมาพอดีและดูเหมือนจะคิดว่าผมเป็นศัตรูที่คิดจะมาทำร้ายเลยบินโฉบใส่อย่างแรงจนร่างผมจะเด็นออกจากต้นไม้ ร่างกายกระแทรกพื้นสร้างความระบมในพริบตา


แม่นกเหมือนจะยังไม่หยุดแค่นั้น สายตาที่จับจ้องมาพร้อมกับเรียวปากแหลมอ้าออกกว้างหมายจะพุ่งโจมตีผมซึ่งไร้เกราะป้องกัน ทันใดนั้นพลังปิศาจจากด้านหลังอัดแน่นพุ่งปะทะกับร่างนก แรงปะทะทำให้นกตัวนั้นยอมล่าถอยไป ผมถอนหายใจที่เห็นแม่นกรอดแต่ดูเหมือนจะเป็นผมที่ไม่รอดซะเอง


“...มาเดินเล่นเหรอเบียทรีซ แฮะๆ” ผมส่งยิ้มให้เจ้าของพลังปิศาจอันมหาศาลเมื่อครู่ที่ก้าวยาวๆ ตรงมาหาผมด้วยใบหน้าตึงๆ


“ไม่ต้องมาแฮะๆ ทำอะไรของเจ้าถึงได้โดนแอมฟรีเบียซนั่นโจมตีมาฮะ” อีกฝ่ายมาถึงก็บ่นไม่หยุด


“...ก็ลูกนกตกลงมาผมเลยช่วยพามันกลับขึ้นไป...” น้ำเสียงที่ผมใช้พูดเริ่มหายไปทีละนิดเนื่องจากถูกดวงตาคมๆ จับจ้องมา


“แอมฟรีเบียซเป็นนกที่อันตรายที่สุดในช่วงเลี้ยงลูก ต่อให้ลูกมันตกลงไปเดี๋ยวพอมันกลับมาก็คาบลูกขึ้นไปเองได้อยู่แล้ว เข้าไปใกล้สุ่มสี่สุ่มห้าเดี๋ยวก็กลายเป็นอาหารลูกๆ มันหรอก”


“...ก็ผมไม่รู้นี่นา ขอโทษนะ โอ๊ย!” ผมถึงกับร้องลั่นเมื่อยันมือกับพื้นเพื่อใช้พยุงตัวให้ลุกขึ้น ความเจ็บแปล๊บจากมือที่ไม่ใช่หนึ่งแต่ถึงสองข้างทำเอาผมหงายหลังกองอยู่บนพื้นหญ้าอีกรอบ


“มือเป็นอะไร” เบียทรีซรีบเข้ามาพยุงพร้อมคว้ามือผมไปตรวจดูคร่าวๆ เขาค่อยๆ ออกแรงบีบตั้งแต่ปลายนิ้วและพอมาถึงบริเวณข้อมือ...


“โอ๊ย! เจ็บ!” เป็นอีกครั้งที่ผมร้องลั่น


“ไม่น่าหัก...เคร็ดสินะ”


“เจ็บ อย่าบีบ”


“เจ็บแล้วก็จำซะ อย่าทำอะไรเสี่ยงๆ อีก” อีกฝ่ายพูดก่อนจะช้อนตัวผมอุ้มขึ้นพาเดินไปยังห้องพยายามของกริซ อยากจะขัดขืนแต่ด้วยสภาพในตอนนี้ผมเลยทำได้แค่ซุกหน้าลงกับไหล่อีกฝ่ายหลบสายตาของปิศาจที่จับจ้องมาตลอดทาง


ห้องพยาบาลมีกริซกับทีมปิศาจอยู่อีกหลายสิบชีวิต เบียทรีซวางผมให้นั่งลงบนเตียงก่อนกริซจะเข้ามาดูอาการพร้อมสอบถามเรื่องราวคร่าวๆ ข้อมือทั้งสองข้างถูกนวดยาสักพักจึงพันผ้าทับไว้หลายชั้น


“อาการเป็นยังไง” เบียทรีซถามกริซ


“จากที่ตรวจกระดูยังไม่หัก แต่ข้อมือทั้งสองข้างมีการเคร็ดดังนั้นให้งดใช้การขยับข้อมือไปสักระยะจนกว่าจะหาย หากฝืนใช้อาการอาจแย่ลงได้” กริซอธิบายอาการ


“นานไหมครับ” ผมถามบ้าง เล่นมาเจ็บทั้งสองมือแบบนี้ก็ทำอะไรไม่ได้กันพอดี


“อาการเคร็ดไม่หนักมากประมาณสองอาทิตย์น่าจะหายสนิท”


“สองอาทิตย์?” จะนานเกินไปแล้ว


“อย่ามาบ่น เจ้าทำตัวเองแท้ๆ วิณณ์” เบียทรีซพูดเสียงนิ่ง


“...ไม่ได้บ่นสักหน่อย แค่คิดว่านานจังเฉยๆ”


“หึ” ทั้งรอยยิ้มและสีหน้านั่นแสดงออกว่าไม่เชื่อคำพูดผมสักนิด


ก็ได้...ผมยอมรับว่าแอบบ่นอยู่ในใจ


อาการบาดแจ็บแค่ข้อมือเคร็ดมันไม่ได้หนักเท่าเบียทรีซก่อนหน้านี้เพราะงั้นถ้าไม่ได้ใช้แรงมากก็น่าจะใช้มือได้ ผมคิดไว้แบบนั้นกระทั่งมื้อเย็นมาเยือนสถานการณ์เหมือนตอนเบียทรีซขยับแขนไม่ได้ก็กลับมา ผมนั่งอยู่ข้างอีกฝ่ายตรงหัวโต๊ะเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ทว่าผมที่เคยเป็นฝ่ายป้อนกลับเปลี่ยนเป็นถูกป้อนด้วยฝีมือของราชาของโลกปิศาจแทนซะงั้น


“อ้าปากวิณณ์” เบียทรีซบอกผมที่เม้มปากแน่น


“...ผมกินเองได้ มือขยับได้อยู่” ผมบอกเหตุผลพลางเอื้อมมือไปแย่งช้อนจากเบียทรีซแต่ถูกยกหนี


“อ้าปาก” อีกฝ่ายไม่สนใจเหตุผลที่ผมเอ่ยใช้น้ำเสียงกึ่งบังคับให้ผมทำตาม


“...” ผมเม้มปากแน่น ระหว่างนั้นก็ส่ายหน้ารัวเป็นเชิงปฏิเสธ


ให้ป้อนแบบนั้นน่าอายจะตาย


“วิณณ์”


“...” ผมยังคงใช้ความเงียบแทนคำตอบ


“ถ้าไม่ยอมฟังข้าจะบีบปากเจ้าแล้วยัดอาหารลงไป...”


“ยอมแล้ว” ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดโจบประโยคผมรีบอ้าปากรับชิ้นเนื้อเข้าไปทันที ด้วยขนาดชิ้นค่อนข้างใหญ่ผมเลยต้องใช้เวลาเคี้ยวอยู่นานกว่าจะกลืนลงไปได้


“ว่าง่ายๆ แต่แรกก็จบ” อีกฝ่ายพึมพำสลับกับตัดเนื้อชิ้นต่อไปมาจ่อตรงปากซึ่งผมก็ขัดขืนอะไรไม่ได้จำต้องอ้าปากกินตามที่ถูกป้อน


ผมพยายามยามฝืนกินอยู่พักใหญ่แต่แล้วความอดทนก็หมดลง...


“...เบียทรีซ”


“อะไร ถ้ากินไม่หมดอย่าหวังว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าลุก” เบียทรีซพูดดัก


“เปล่า คือ...ช่วยตักคำเล็กลงหน่อยได้ไหม” คำใหญ่ขนาดนั้นเต็มปากจนแทบไม่เหลือที่เคี้ยวเลย


“...ก็บอกให้เร็วกว่านี้สิ ข้าเคยป้อนคนอื่นที่ไหน” นิ่งไปไม่นานอาหารคำต่อไปก็มาจ่อที่ปากแต่คำนี้มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก


“ขอบคุณนะ ผมเป็นคนแรกที่คุณป้อนเหรอ” ผมกินไปถามไป


“...งั้นมั้ง”


“สรุปคือใช่หรือไม่ใช่น่ะ” ความหมายกำกวมชะมัด


“ไม่ต้องพูดมาก กินเข้าไป”


“อุก...ให้เวลาผมเคี้ยวก่อนสิ” ป้อนเอาๆ แบบนี้ผมจุกนะ


“รีบกินเดียวข้าจะได้พาเจ้าไปอาบน้ำต่อ”


“ฮะ? อาบน้ำเหรอ” ผมหันควับไปมองหน้าเบียทรีซทันทีที่ได้ยิน


“ใช่”


“ไม่เป็นไร ผมอาบเองได้”


“มือใช้ไม่ได้แล้วจะอาบน้ำยังไง” อีกฝ่ายถามต่อ


“เอ่อ ช่วงนี้อากาศยังเย็นอยู่แค่เช็ดตัวก็พอ” แต่ไม่ว่าจะเช็ดตัวหรืออาบน้ำก็น่าอายพอๆ กันนั่นแหละ ร่างกายผมไม่ได้น่าดูหรือสามารถเอาไปอวดใครได้อย่างเบียทรีซนี่


“...แค่เช็ดตัวก็ได้”


“...” ผมแอบถอนหายใจที่อีกฝ่ายยอมตกลง


“แต่ยังไงตอนเจ้าเข้าห้องน้ำข้าก็ต้องช่วยอยู่ดี”


“มะ...ไม่ ไม่เอานะ ผมเข้าเองได้อย่ามาช่วยผมเลย”


“ข้อมือยังเจ็บอยู่จะเข้าเองได้รึไง”


“ได้ มันไม่ได้ใช้แรงอะไรนี่ ผมขอเถอะแค่เรื่องนี้” แค่เช็ดตัวว่าทำใจยากแล้วถ้าขืนต้องให้พาเข้าห้องน้ำด้วยผมคงทนไม่ไว้


“อายข้า?” เบียทรีซนิ่งไปสักพักก่อนจะหันหน้ามาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


“...อืม”


“อะไรนะ” อีกฝ่ายขยับหน้าเข้ามาหมายจะแกล้งผมชัดๆ อยู่ใกล้กันแค่นี้จะไม่ได้ยินได้ยังไง


“อืม! ผมอาย” ตะโกนขนาดนี้ถ้ายังไม่ได้ยินอีกก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว


“หึ...หน้าแดงมากเลย”


“...” ผมรู้ตัวเองอยู่แล้วไม่ต้องพูดซ้ำก็ได้


“นี่วิณณ์”


“...อะไร”


“อย่าไปหน้าแดงกับใครนอกจากข้า เข้าใจนะ” ความจริงจังแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเบียทรีซ


“ทำไมล่ะ” ทั้งที่ไม่ได้อยากจะถามต่อแต่ไม่รู้ทำไมถึงได้เอ่ยออกไป


“เพราะเจ้าเป็นของข้า” คำพูดเพียงคำเดียวสามารถหลอมละลายหัวใจให้สลายกลายเป็นไอได้ทันที ความจริงไม่ใช่แค่หัวใจแต่เป็นทั้งร่างกาย ดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซสอดประสาทมายังดวงตาของผมพร้อมกับริมฝีปากที่กดลงมาช่วงชิงอิสระภาพโดยไม่ให้ผมตั้งตัว


ตะกอนบางอย่างที่อยู่ภายในหัวใจเริ่มตกตะกอนและแสดงรูปร่างออกมาให้เห็นทีละนิด ความรู้สึกที่มีต่อเบียทรีซมันมากว่าคำว่าสำคัญ มันเหนือกว่าคำว่าพิเศษ ความรู้สึกนี้...ผมไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อนแต่จากที่เคยดูพวกละครและอ่านนิยายมันคงเป็นอย่างไปไม่ได้นอกจากชอบ


ชอบเบียทรีซ


นี่ผมชอบเบียทรีซงั้นเหรอ?!

..........................................

วิณณ์เริ่มรู้ตัวแล้วว~

ตอนนี้ก็ยังคงความหวาน

หวานอะไรจะขนาดนี้นะ

เบียทรีซก็นิสัยแบบนั้นเวลาแสดงออกจึงกลายเป็นความหวานแนวกึ่งบังคับหน่อยๆ

หวังว่าทุกคนจะช่วยเอ็นดูเบียทรีซกับวิณณ์ด้วยนะคะ

สัตว์ปิศาจนามว่าราสนั้น ไม่ได้มาแค่ตอนนี้แล้วจากไป

บอกเลยว่าอนาคตจะมีบทอย่างแน่นอน

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่า

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
รุ้ตัวทีเถอะ555 สงสารเบียทริช

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เอ็นดู กว่าจะรู้ตัวได้นะวิน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ต่อไปจะเกิดศึกแย่งวิณหรือป่าวหนอ  :hao3:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
55555 ตลกวิณณ์ เอ็นดูด้วย
เห็นอะไรก็สงสาร เห็นอะไรก็เข้าหาหมด
คิดว่าอีกหน่อย ถ้าวิณณ์มีเหตุ ราสจะมาช่วย
แล้วตอนนี้ รู้ตัวบ้างละนะ เขินซะน่ารักเลย

เบียทริซก็สามารถมาก รุกหนักมาก
ชอบความห่วงใย ความดูแล และความปากแข็ง



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ minicabbage

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านรวดเดียวสิบสามตอนเลย สนุกมาก :L2:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰บงการ:วันที่14:⊱



“นี่เบียทรีซ การจะควบคุมพลังปิศาจได้ต้องทำยังไงเหรอ” ผมเปิดบทสนทนาหลังขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง มือสองข้างกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมที่เพิ่งสระของตัวเอง อาการบาดเจ็บบริเวณข้อมือทั้งสองข้างหายไปสักพักหนึ่งแล้วแต่เป็นช่วงเวลาที่ผมคงไม่มีทางจะลืมลงได้


ผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของโลกปิศาจอย่างเบียทรีซดูแลผมตั้งแต่กินข้าวยาวไปจนถึงการเข้านอน เรียกว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ของผมเลยก็ว่าได้ อย่างตอนนอนผมมักถูกบ่นตลอดว่าอย่านอนตะแคงเดี๋ยวจะเผลอนอนทับมือตัวเอง ผมนึกภาพตัวเองตอนกำลังบ่นอีกฝ่ายตอนแขนหักออกเลย คงเป็นความรู้สึกแบบเดียวกันแน่ๆ


“ทำไมอยู่ๆ อยากรู้ขึ้นมา” เบียทรีซละสายตาจากวิวของท้องฟ้ายามค่ำคืนซึ่งอยู่อีกฝากของกระจกมามองผม


“อยากรู้มานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ถามซะที ครั้งก่อนเตโชเคยบอกว่ามันต้องใช้เวลาสักร้อยปีกว่าผมจะสามารถควบคุมพลังได้”


“ก็ไม่ผิด”


“ร้อยปีมันนานไป พอจะมีทริกอะไรบอกได้ไหม” ผมถามพลางขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น


“มีเหตุผลที่ต้องรีบร้อน?” เบียทรีซถามกลับ


“...แค่อยากควบคุมพลังตัวเองให้ได้เหมือนอย่างเบียทรีซ”


“ข้า? ยังไง”


“ก็ปีกที่ใช้พลังปิศาจน่ะ ผมอยากทำได้บ้าง” ถ้าสามารถเปลี่ยนรูปแบบของพลังให้กลายเป็นปีกได้คงจะสะดวกในหลายๆ ด้าน อย่างน้อยๆ ถ้าจะแอบออกไปไหนจะได้กลับมาทัน


“ถ้าเป็นปีกนี่ก็ง่ายๆ” ระหว่างพูดเบียทรีซใช้พลังปิศาจแสดงปีกสีดำสนิทให้กางออกมา


“ง่ายจริงเหรอ” ผมถึงกับตาลุกวาวด้วยความดีใจ


แบบนี้ผมก็มีโอกาสที่จะทำสำเร็จน่ะสิ


“อืม แค่ในโลกปิศาจนี้มีปิศาจที่ทำได้ไม่ถึง 5 ตนแค่นั้นเอง” คำตอบที่ได้รับทำเอาความดีใจลดฮวบอย่างรวดเร็ว


“...แบบนั้นมันเรียกว่าง่ายตรงไหน” แกล้งแหย่ผมเล่นอีกแล้ว


“มันก็ไม่ได้ยาก ข้าทำได้ตั้งแต่เด็กด้วยซ้ำ”


“แต่ก็มีแค่ไม่กี่คนที่ทำได้นี่” หากมันไม่อยากก็น่าจะทำได้กันมากกว่านี้


“เจ้าลองทำดูสิ”


“ทำยังไง แค่พลังผมยังควบคุมไม่ได้เลย” ไม่รู้กระทั่งจะปล่อยพลังออกมายังไงด้วยซ้ำ


“ใช้ความคิดกับความรู้สึกสิวิณณ์ ตอนเจ้าเผลอปล่อยพลังออกมาก็อาจเป็นเพราะความตกใจหรือกลัวซึ่งมันไม่จำเป็นที่ต้องเป็นความรู้สึกด้านลบเสมอไปลองคิดว่าอยากให้พลังปรากฎออกมาดู”


“...” ผมพยักหน้ารับก่อนจะทำตามคำแนะนำของเบียทรีซ ให้ในหัวคิดว่าต้องการให้พลังออกมา


“มากกว่านี้ ความรู้สึกยังไม่มากพอ สมาธิด้วย” เบียทรีซบอก


“อืม” พยักหน้าเสร็จผมจึงหลับตาลงเพราะการหลับตาช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น


“ลองลืมตาแล้วมองรอบๆ ตัวดูสิ” เสียงของเบียทรีซเรียกดวงตาที่ปิดสนิทของผมให้ลืมขึ้นก่อนจะมองเห็นไอดำๆ ปกคลุมอยู่รอบตัว


“นี่มัน...” หรือว่าจะเป็นพลังปิศาจ


ตอนนี้ผมรับรู้ได้ถึงพลังที่กำลังแผ่ออกมาจากร่างไม่หยุด มันต่างจากครั้งก่อนๆ ที่พลังจะพุ่งออกไปอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้กลับค่อยๆ แผ่ออกมาอย่างเชื่องช้า


“ลองทำให้พลังนั่นเป็นรูปร่างดูสิ เริ่มจากง่ายๆ อย่างวงกลมก็ได้”


“...ทำยังไงล่ะ”


“นึกภาพให้พลังที่อยู่รอบๆ มารวมกันอยู่ในที่เดียวจากนั้นก็ให้พลังนั่นหมุนเวียนเป็นวงกลม” เบียทรีซแสดงตัวอย่างโดยแบมือข้างนึงมาตรงหน้าผม พลังปิศาจที่แผ่ออกมาบิดเกลียวและอัดแน่นจนเกิดเป็นรูปวงกลมลอยอยู่เหนือฝ่ามือ


ผมที่เห็นอีกฝ่ายทำตัวอย่างให้ดูโดยไม่ยากเย็นนักผมเลยลองทำดูบ้าง ใช้สมาธิควบคุมพลังให้มารวมกัน...ผมทำทุกอย่างตามที่เบียทรีซพูดแต่ผลที่ได้กลับไม่เป็นปตามที่คาดหวัง พลังปิศาจย้ายมารวมอยู่ที่เดียวก็จริงแต่ไม่ยอมเป็นรูปวงกลมเหมือนตัวอย่างที่เห็น


“ทำไม่ได้” ผมเงยหน้าบอกเบียทรีซเสียงแผ่ว


“ถ้าทำได้ข้าคงยกให้เจ้าเป็นราชาแทน”


“...หมายความว่ายังไง”


“เจ้าคิดว่าการจะควบคุมพลังได้มันสามารถทำได้ภายในไม่กี่นาทีรึไงวิณณ์ แค่เจ้าสามารถแสดงพลังออกมาได้ก็นับว่าเก่งแล้ว กว่าข้าจะทำพลังให้อยู่ในรูปของวงกลมได้ก็ใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี ถึงได้บอกว่าถ้าเจ้าทำได้ตอนนี้ข้ายกตำแหน่งราชาให้เลย” เบียทรีซอธิบายเพิ่ม


“ต้องฝึกฝนสินะ” ไม่มีอะไรได้มาโดยง่ายและไม่พยายาม


“ใช่ พอฝึกจนสามารถเปลี่ยนรูปพลังได้ดั่งใจจากนั้นก็ง่ายแค่เปลี่ยนรูปพลังให้อยู่ในรูปของปีกเท่านั้น”


“...ฟังดูยากจัง” จะให้นึกภาพปีกแล้วสร้างภาพนั้นออกมาด้วยพลัง ถ้าเป็นผมปีกสองข้างได้ไม่เท่ากันพอดี


“เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนนี่”


“ผมอยากบินได้แบบคุณบ้าง”


“อยากไปไหนก็บอกข้าจะให้สก๊อตเปิดทางเชื่อมไม่ก็ข้าจะพาเจ้าไปเอง” เบียทรีซพูดต่อ


“...คุณจะตามใจผมเหรอ” ผมถามต่อ


“หึ คิดเอาเองสิ”


“ผมคิดแล้ว คุณตามใจผม” คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอกในสถานการณ์แบบนี้ ความใจดีและความอ่อนโยนแม้จะอยู่ภายใต้ความแข็งกระด้างคล้ายไม่สนใจสิ่งรอบข้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความชอบที่ผมมีต่อเขาลดน้อยลงเลย


“คิดไปเอง” เบียทรีซบอกพลางทิ้งตัวลงนอนบนหมอน


“ไม่ได้คิดไปเองสักหน่อย”


“ปิดไฟ” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องแล้วหลับตาลง


“อืม” ถึงจะอยากคุยอีกนิดทว่าเวลาล่วงเลยมาดึกเกินกว่าจะคุย


ไฟในห้องสามารถเปิดปิดได้จากหลายจุดซึ่งสวิทที่ใกล้ที่สุดอยู่ติดผนังข้างเตียงนี่เอง พอไฟทั้งห้องดับลงความมืดก็เข้าปกคลุมอย่างรวดเร็วดวงตาของผมสามารถมองในความมืดได้ค่อนข้างดีหากยังใส่แว่นอยู่แต่ถ้าถอดแว่นเมื่อไหร่ก็มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะงั้นผมถึงเดินกลับมายังเตียงก่อนแล้วค่อยถอดแว่นวางไว้บนหัวเตียง


“ขยับมานี่” เสียงจากด้านข้างเรียกผมที่เพิ่งทิ้งหัวลงหมอนพลิกตัวหันไปหา


“ฮืม?”


“นอนชิดขอบเตียงเดี๋ยวก็ได้กลิ้งตกหรอก”


“ผมไม่เคย...” ประโยคต่อมาถูกกลืนลงคอแทบจะทันที จะบอกว่าตัวเองไม่เคยตกเตียงก็คงเรียกว่าโกหกเพราะไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ผมเพิ่งนอนกลิ้งตกเตียง


อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ไหนเลย


“พูดได้ไม่เต็มปากล่ะสิ” เบียทรีซบอกด้วยน้ำเสียงรู้ทัน


“อึก...แค่ขยับเข้าไปใช่ไหม” ผมไม่เถียงแต่เลือกที่จะขยับตามที่อีกฝ่ายต้องการ


“ขยับมาอีก...อีกนิด”


“ขยับไม่ได้แล้ว ขืนใกล้กว่านี้ให้ผมกอดคุณเลยดีกว่า” ผมเอ่ยเสียวแผ่ว สภาพผมในตอนนี้คือกำลังนอนหันหน้าเข้าหาเบียทรีซด้วยระห่างแทบจะเป็นศูนย์


“เอาสิ กอดเลย” อีกฝ่ายกลับเห็นด้วยกับคำพูดลอยๆ ของผมซะงั้น


“ผมพูดเล่น...”


“แต่ข้าเอาจริง” พูดจบผมก็ถูกเบียทรีซใช้มือคว้าตัวผมเข้าไปกอดแน่น


เสียงหัวใจเต้นรัวขึ้นทันทียามตกอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ชอบ...การยอมรับว่าชอบยิ่งพาลให้หัวใจเต้นแรงกว่าเดิมอีกหลายเท่า ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นซึ่งก็ใช้เวลานานเลยกว่าจะลดจังหวะหัวใจลงมาได้ น่าแปลกที่ผมกลับได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นแรงดังขึ้นมาแทนที่หากนี่ไม่ใช่เสียงหัวใจของผมก็คงเหลือแค่...


“เบียทรีซหัวใจคุณเต้นแรง...”


“เลิกคิดไปเองแล้วอยู่นิ่งๆ” นอกจากจะไม่ตอบแล้วยังแก้ตัวด้วยคำพูดที่ไม่ว่าใครก็ต้องเดาได้ว่าโกหก


“แต่...”


“เงียบ นอนหลับซะทีวิณณ์” เบียทรีซใช้มือจับหัวผมกดลงยังแผงอกตัวเองเพื่อไม่ให้ผมเปิดปากพูดมากไปกว่านี้ แม้จะมีขัดขืนในตอนแรกอยู่บ้างแต่ผ่านไปสักพักก็ต้องยอมแพ้


เบียทรีซก็เป็นซะแบบนี้ เอาแต่ใจหากต้องการอะไรก็ต้องได้และให้เป็นไปตามที่ต้องการ ในทางกลับกันหากเขาไม่คิดจะบอกต่อให้พยายามถามแค่ไหนก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี


เมื่อผ่านพ้นค่ำคืนอันมีดวงจันทร์ส่องสว่างมาก็เป็นดวงอาทิตย์ที่รับหน้าที่ส่องแสงสว่างแทน ช่วงเช้ากิจวัตรประจำวันของผมยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนคือการฝึกกับเตโช ช่วงนี้เตโชให้ลูกน้องมาสลับเป็นคู่ต่อสู้กับผมบ้างเห็นว่าอยากให้ได้รับประสบการณ์ในการต่อสู้หลายๆ รูปแบบ การต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นมือเปล่าหรืออาวุธผมล้วนแต่ไม่ชอบแต่ด้วยการฝึกทุกวันทำให้ฝีมือพัฒนาขึ้นตามลำดับ


นอกจากเรื่องการต่อสู้แล้วผมยังอยากฝึกการควบคุมพลังเลยปรึกษากับเตโชพร้อมลองควบคุมพลังให้แผ่ออกมาตามที่เบียทรีซสอนเมื่อคืนให้ดู เชื่อไหมว่าไม่ใช่แค่เตโชแต่ปิศาจตนอื่นๆ เองก็มีสีหน้าตกใจที่ผมสามารถทำได้ภายในเวลาแค่นั้นซึ่งผมก็ไม่สามารถบอกเหตุผลได้เหมือนกัน อาจเพราะเห็นความสามารถลึกๆ ของผมเตโชเลยให้ต่อจากนี้ครึ่งชั่วโมงก่อนเลิกฝึกให้ผมฝึกการควบคุมพลังปิศาจด้วยตัวเองได้


จบการฝึกในช่วงสายของวันผมก็พาร่างอันอ่อนล้าของตัวเองไปยังห้องอาหาร มื้อเที่ยงร่วมโต๊ะกับเบียทรีซผ่านไปตามปกติไม่มีอะไรพิเศษมาจนถึงการทำงานในช่วงบ่ายเองก็เช่นกัน แฟ้มข้อมูลประมาณ 5 แฟ้มถูกหอบมาวางไว้บนโต๊ะผมด้วยฝีมือของลูกน้องแกรนโดนมีแกรนถือเอกสารจำนวนหนึ่งไปวางให้เบียทรีซบนโต๊ะด้วยตัวเอง


“องค์ราชา ข้ามีเรื่องมาบอกท่าน” แกรนเปิดบทสนทนา


“ว่ามา” เบียทรีซที่ได้ยินแบบนั้นจึงละสายตาออกจากเอกสาร


“พวกผู้ใหญ่อยากให้ท่านไปเข้าร่วมงานดูตัว”


กึก!


คำพวกจากแกรนไม่ได้ทำให้แค่เบียทรีซที่ชะงักแต่รวมไปถึงตัวผมด้วย ไม่ได้ตั้งใจที่จะแอบฟังทว่ากลับได้ยินประโยคนั้นเต็มสองหูราวกับมาพูดอยู่ข้างๆ


ดูตัว?


หมายถึงการที่ชายหญิงได้มาพบปะพูดคุยกันและหากเป็นไปด้วยดีก็จะมีการสานสัมพันธ์กันไปถึงขั้นแต่งงานนั่นน่ะนะ นี่ยุค4.0นะ...ยังมีการดูตัวอยู่อีกเหรอ


จะว่าไปแกรนพูดว่าพวกผู้ใหญ่นี่นะเคยได้ยินเบียทรีซพูดถึงเหมือนกัน ถึงที่โลกปิศาจนั้นจะถูกปกครองด้วยราชาแต่ก็มีปิศาจซึ่งเป็นเหมือนรากฐานในการคอยดูแลตั้งแต่เศรษฐกิจไปจนถึงกฎหมายหรือการคมนาคมต่างๆ เปรียบง่ายๆ คงเหมือนขุนนางล่ะนะ ส่วนมากจะเป็นปิศาจที่มีอายุกว่า 800 ร้อยปีและมีลูกหลานคอยช่วยทำงาน เพราะงั้นคงไม่แปลกที่การดูตัวจะยังมีอยู่


หากเบียทรีซสนใจมีสิทธิ์ที่จะขยายอำนาจของตัวเองดีไม่ดีอาจเกิดการแย่งชิงอำนาจกันเกิดขึ้น เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดเองแต่ได้ยินแกรนพูดกับเบียทรีซอยู่ในตอนนี้...


“...ด้วยเหตุนั้นข้าไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้ท่านไปดูตัว” แกรนอธิบายสถานการณ์บวกกับความเป็นไปได้ของการจัดงานดูตัวให้เบียทรีซฟัง


“ข้าจะไป” เบียทรีซใช้เวลาคิดไม่นานก็ตัดสินใจได้ เพียงแต่การตัดสินใจนั่นส่งผลต่อคนฟังอย่างผมเต็มๆ ความรู้สึกหนักคล้ายมีตะกั่วถ่วงอยู่ภายในอกนี่...รู้สึกแย่มาก


จะว่าผิดหวังก็ไม่เชิง บอกตามตรงว่าผมค่อนข้างแปลกใจด้วยซ้ำที่ตลอดหลายปีที่มาอยู่กับเบียทรีซผมยังไม่เคยเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงเลยสักครั้งเดียว ด้วยหน้าตาและฐานะราชาแทบไม่ต้องทำอะไรสาวๆ ก็แทบจะวิ่งกรูกันเข้ามาหาแล้ว หรือว่าเพราะมีผมอยู่เลยทำให้ไม่สะดวกรึเปล่านะ


“...คิดใหม่ยังทันนะท่านเบียทรีซ” แกรนพูดต่อดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยนักที่เบียทรีซจะไปดูตัวแถมยังมีเหล่มองมาทางผมอีก ผมที่เผลอจ้องเลยรีบก้มหน้าลงมองเอกสารในมือตัวเองทันที


เสียมารยาทจริงเลยผม แอบฟังโต้งๆ แบบนี้


“ข้าตัดสินใจแล้ว จำนวนเท่าไหร่ที่ต้องดูตัวน่ะ” เบียทรีซถามกลับ


“ประมาณ 10 ครับ ท่านจะให้เวลาคนละชั่วโมง...”


“มาพร้อมกันเลยทั้งหมดเลย ข้าไม่อยากเสียเวลา” เบียทรีซเอ่ยแทรกประโยคที่แกรนยังพูดไม่จบ น้ำเสียงนั้นติดหงุดหงิดเล็กๆ


“รับด้วยเกล้า แล้วสำหรับวันนัดนี่จะเป็นวันไหนดีครับจากตารางงานมีช่วงวันศุกร์นี้ช่วงเย็นกับอังคารหน้าช่วงบ่าย” แกรนบอกตามรางว่างของเบียทรีซแม้จะไม่มีสมุดสำหรับจดบันทึกในมือ


เบียทรีซเคยบอกว่าแกรนมีความจำดีมากไม่จำเป็นต้องมีสมุดจดก็สามารถจดจำทุกอย่างได้ไม่มีพลาด ต่างกับผมคนละขั้วบางทีขนาดจดเอาไว้ยังลืมเลยประสาอะไรกับไม่ได้จดอะไรเลยอย่างแกรน


“อังคารบ่ายโมง เรื่องที่จะคุยมีเท่านี้ใช่ไหม”


“ครับ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว” แกรนกล่าวลาเบียทรีซก่อนจะหันมาก้มหัวเล็กๆ ให้ผมก่อนเดินออกจากห้องทำงานไป


“...” ในหัวมีคำถามหมุนวนอยู่นับพันแต่ผมไม่มีความกล้าพอที่จะถามออกไปได้เลยจำใจนั่งจัดการเอกสารบนโต๊ะของตัวเองต่อ


“วิณณ์”


“...ฮืม?” ผมหันไปตามเสียงเรียก


“มานี่” แม้จะไม่ได้ใช้น้ำเสียงเหมือนเวลาออกคำสั่งแต่ผมก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมให้มีการปฏิเสธเกิดขึ้นผมจึงวางงานทุกอย่างแล้วเดินไปทางโต๊ะเบียทรีซ


“มีอะไรเหรอ”


“เจ้าสิมีอะไร ทำหน้าเหนื่อยๆ” อีกฝ่ายถามพลางดึงตัวผมให้ไปนั่งอยู่บนตัก ดวงตาสีทองสว่างจับจ้องมาคล้ายจะสื่อความหมายว่าปิดไม่มิดหรอก


ผมอยากจะถามอีกฝ่ายเหลือเกินว่าดูออกได้ยังไง ไม่ใช่แค่ครั้งนี้แต่มีอีกหลายครั้งแค่ผมมีเรื่องคิดหนักอยู่ในหัวอีกฝ่ายก็มักจะมองออกทันที สีหน้าผมเหรอ หรือจะเป็นการกระทำแปลกๆ กัน


“...ผมง่วงนิดหน่อย” ในเมื่อรู้ดีว่าไม่สามารถโกหกได้ผมเลยเลือกที่จะบอกความจริงไป แต่ไม่ได้บอกความจริงทุกอย่างแค่นั้นเอง มันไม่ถือเป็นหารโกหกหรอกมั้ง


จะให้บอกว่าคิดเรื่องที่เขาต้องไปดูด้วยก็ไม่เหมาะเท่าไหร่ มันเหมือนผมไปละเมิดสิทธิ์ที่จะได้เจอคนอื่นของเบียทรีซ ต่อให้ผมจะชอบเขามากแค่ไหนแต่ผมไม่คิดที่จะบอกความรู้สึกนี้ออกไปหรอก...ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงมันมากจนผมไม่มีความกล้าที่จะแสดงความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองออกไป


ตัวตนของเบียทรีซในตอนนี้สำคัญมากสำหรับผมที่ไม่เหลือใคร ดังนั้นถ้าผมบอกความรู้สึกนี้ไปแล้วทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมผมก็จะเลือกที่จะเก็บความรู้สึกนี้ไว้ตลอดไป


“ง่วง? จะว่าไปพักหลังมานี่เจ้านอนดึกกว่าปกติ”


“ผมกำลังสนใจประวัติของโลกปิศาจอยู่ พอได้อ่านเลยยาวจนไม่อยากวาง” ผมตอบไปตามจริง ตอนแรกผมไม่ได้ติดหรอกแต่พอได้อ่านไปสองสามหน้าแรกมันก็หยุดไม่ได้ ต้นกำเนิดของโลกปิศาจตั้งแต่ยุคเริ่มมาจนถึงปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 10 เล่มหนาซึ่งผมเพิ่งอ่านเล่ม 3 จบไปเมื่อคืน


“ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหน ให้ข้าเล่าให้ฟังก็ได้” เบียทรีซพูดต่อ


“คุณจำได้ทั้ง 10 เล่มเลย?”


“ใครจะจำได้ ข้าสามารถเล่าคร่าวๆ ได้แค่นั้น”


“ก็ผมอยากรู้แบบลึกๆ เลยนี่นา ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมอ่านเองดีกว่า” ให้คนเล่าก็ให้ความรู้สึกแบบหนึ่ง อ่านเองก็ให้ความรู้สึกอีกแบบแต่ถ้าอยากรู้รายละเอียดการอ่านจากหนังสือถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด


“คิดจะนอนดึกจนกว่าจะอ่านครบทุกเล่มรึไง”


“อืม” ผมพยักหน้าแรงๆ


ถ้าทำได้อยากอ่านติดต่อกันจนจบด้วยซ้ำ มันก็เป็นได้แค่ความคิดล่ะนะ ในความเป็นจริงผมไม่มีเวลามากพอที่จะอ่านได้ตลอดเวลาหรอก ช่วงเช้าก็มีฝึก ช่วงบ่ายก็ทำงาน มีแค่ช่วงเย็นหลังมื้อค่ำที่พอจะมีเวลาให้อ่านอยู่บ้าง


“ข้าให้เจ้าอ่านได้แค่วันละ 2 ชั่วโมง” น้ำเสียงจริงจังดังมาจากเบียทรีซ


“น้อยไป 2 ชั่วโมงอ่านได้ไม่เท่าไหร่เอง” ผมรีบเอ่ยค้าน เวลาช่วงเย็นจนถึงเข้านอนอย่างต่ำๆ ก็ 4 ชั่วโมงเข้าไปแล้วแต่นี่จำกัดให้ผมอ่านแค่ 2 ชั่วโมง ครึ่งเล่มจะถึงรึเปล่ายังไม่รู้เลย


“เรื่องของเจ้าไปบริหารเวลาเอาเอง ถ้าเกิน 2 ชั่วโมงข้าจะโยนหนังสือนั่นทิ้ง”


“เบียทรีซ...” น้ำเสียงนั่นไม่ได้พูดเล่น


“เพราะเอาแต่ฝืนร่างกายนอนดึกจนพลังงานไม่พอเลยต้องมานั่งหน้าเหนื่อยอ่อนแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน แค่เห็นข้าก็พลอยง่วงไปด้วยแล้วเนี่ย” ระหว่างพูดอีกฝ่ายก็ใช้นิ้วจิ้มแก้มผมเล่นหลายๆ ที


“เจ็บ...ผมจะพยายามไม่ทำหน้าง่วงแล้ว”


“ข้าคงเชื่อหรอก”


“ผมทำได้...”


“ไปนอนพักที่โซฟา” เบียทรีซพูดแทรก


“แต่นี่มันเวลางาน”


“ข้าเป็นใครวิณณ์” อีกฝ่ายถามเสียงนิ่ง


“...ราชาของโลกนี้” ผมตอบกลับ


“ใช่ ข้าเป็นราชา เพราะงั้นสิ่งที่ข้าพูดเจ้าต้องทำตามโดยไม่มีข้อแม้”


“ผมเปล่ามีข้อแม้แต่...”


“ไม่มีแต่ด้วยวิณณ์” เบียทรีซพูดดักผมไม่ให้พูดมากไปกว่านี้


“แล้วงาน...ก็ได้ ผมไปนอนพักโซฟาก็ได้” ผมรีบเปลี่ยนคำพูดยามถูกดวงตาสีทองสว่างนั่นสอดประสานมา ทั้งที่จะผมจะลุกขึ้นไปนอนตามคำสั่งแต่กลับถูกแขนของเบียทรีซกอดรัดไว้แน่นจนไม่สามารถขยับตัวได้ดั่งใจ ดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นของผมเงยมองพร้อมเอ่ยคำถามผ่านทางสายตา


“ว่าง่ายแบบนี้สิค่อยน่ารักหน่อย”


“ผมเป็นผู้ชายไม่เหมาะกับคำว่าน่ารักหรอกนะ” ถ้าชมว่าหล่อค่อยโอเคหน่อย


“จะเหมาะหรือไม่เหมาะข้าจะเป็นคนตัดสินเอง”


“...ปล่อยผมด้วย จะให้ผมไปนอนพักไม่ใช่เหรอ”


“ข้ายังไม่อยากปล่อย”


เอาเข้าไปสิความเอาแต่ใจนี้ บอกให้ผมไปนอนพักแต่ยังไม่อยากปล่อยให้ผมไปสรุปต้องการให้ผมทำยังไงกันแน่เนี่ยเบียทรีซ


“ไหนคุณบอกว่าจะให้ผมพักไง”


“อืม ก็พักไปสิ”


“งั้นก็ปล่อยผม”


“ไม่ปล่อย”


“...” ผมควรจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดีนะ


“ข้าเองก็ชักง่วงแล้ว ไปนอนกลางวันด้วยกันเลยดีกว่า”


“แล้วงาน...”


“ถ้าพูดอีกคำเดียวข้าจะจูบเจ้าวิณณ์” ผมเงียบปากทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น


ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกันไม่ควรจะมาเขินอายกับแค่จูบแต่พออีกฝ่ายเป็นเบียทรีซมันทำให้ผมทั้งเขินและอายรวมทั้งทำตัวไม่ถูกยิ่งตอนนี้รู้ตัวแล้วว่ารู้สึกยังไงกับอีกฝ่ายการจูบมันเลยเป็นเหมือนระเบิดที่อาจทำให้ผมสิ้นชีพได้ในเวลาไม่กี่วินาทีหลังถูกจูบ


ในเมื่อไม่สามารถขัดอะไรได้เบียทรีซเลยพาผมกลับไปยังห้องนอนจากนั้นพวกเราก็หลับยาวไปจนถึงช่วงมื้อค่ำโดยมีปิศาจรับใช้ตนหนึ่งถูกกาเนอร์ใช้ให้มาปลุก การนอนกลางวันเต็มอิ่มทำให้รู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่งมาก ถ้าอยู่ในสภาพนี้ผมอาจอ่านทั้งเล่มจบในคืนเดียวก็ได้...คิดไว้แบบนั้นทว่าความจริงผมกลับต้องวางหนังสือลงทั้งที่อ่านได้ยังไม่ถึง 1 ใน 3 ของเล่มด้วยเหตุผลง่ายๆ คือถูกสายตาคมๆ ของเบียทรีซจ้องมาหลังผ่านไปแล้ว 2 ชั่วโมง



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)

วันเวลาได้ผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงวันสำคัญอย่างวัดนัดดูตัวของเบียทรีซ ผมทำทุกอย่างตามปกติเหมือนอย่างทุกๆ วัน ไม่สิ ผมควรจะบอกว่าพยายามทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ภายในอกกำลังสั่นไหวไปด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปนกันทั้งกงวัล ทั้งอยากรู้


ในช่วงเช้าผมฝึกทักษะการต่อสู้และไปหาแกรนเพื่อคุยเกี่ยวกับตัวเลขที่ดูจะคลาดเคลื่อนกว่าปกติจนถึงช่วงมื้อกลางวันพอดีผมเลยไม่ได้กลับไปห้องทำงานของเบียทรีซแต่ตรงไปยังห้องอาหารบนชั้น 5 ใกล้เวลาดูตัวแบบนี้เบียทรีซคงไม่ลงมากินข้าวหรอกมั้ง


“มื้อนี้คงต้องกินคนเดียวสินะ” ผมพึมพำขณะเปิดประตูเข้าไปด้านใน ทว่าความเงียบที่ควรมีกลับกลายเป็นเสียงพูดคุยของบรรดาสาวๆ กว่าสิบคนนั่งเรียงอยู่ขนาบทั้งซ้ายขวาของโต๊ะอาหารโดยมีเบียทรีซนั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ


ได้ชื่อว่าเป็นปิศาจรูปลักษณ์อาจดูน่ากลัวแต่มองผ่านเลนส์แว่นก็รู้ได้ทันทีเลยว่าต้องเป็นปิศาจระดับกลางขึ้นไปแน่ๆ รูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างอะไรกับมนุษย์วัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่งดงามที่สุด บวกกับบรรยากาศรอบตัวและเสน่ห์ดึงดูดนั่นทำเอาผมถูกดึงดูดโดยไม่รู้ตัว แต่นั่นก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นหลังจากสติกลับมาความรู้สึกหน่วงๆ ปนอึดอัดก็เข้ามาแทนที่


ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาห้องอาหารนี้ผมนั่งอยู่กับเบียทรีซ 2 คน ไม่เคยมีใครเข้ามาร่วมโต๊ะด้วยเปรียบเหมือนสถานที่ส่วนตัวระหว่างผมและเบียทรีซ พอมาวันนี้กลับมีสาวๆ มานั่งอยู่จนเต็มห้อง


...ไม่ชอบเลย


ที่ไม่ชอบนี่ไม่ใช่ไม่ชอบสาวๆ ที่นั่งอยู่แต่เป็นตัวเอง ผมไม่ชอบเลยที่ตัวเองคิดแบบนี้ เพราะความรู้สึกชอบที่ดังก้องอยู่ในอกนี่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สมควรขึ้นมา ทั้งหงุดหงิด ทั้งไม่ชอบ ทั้งอิจฉาและทั้งรู้สึกแย่ในเวลาเดียวกัน


นี่ผม...กลายเป็นคนนิสัยแย่ไปแล้วสินะ


อาจเพราะในตอนนี้ผมมีเบียทรีซเพียงคนเดียวความรู้สึกเหล่านั้นเลยยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ


“เจ้าไม่รู้มารยาทเคาะประตูก่อนเข้ามารึไง” ปิศาจสาวสวยในชุดเดรสสีฟ้าตรงหน้าหันมามองหน้าผมพร้อมเอ่ยพูดเสียงตึง ความจริงนอกจากเธอแล้วผู้ที่เหลือต่างจับจ้องมายังผมที่เปิดประตูเข้ามา


“เอ่อ...ขอโทษครับ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้” ในเมื่อเบียทรีซพาคู่ดูตัวมายังห้องอาหารนี่ผมก็ควรจะออกไปรอที่อื่น มื้อนี้ไปกินห้องครัวกับพวกกาเนอร์คงได้มั้ง


“...วิณณ์ ข้าบอกให้เจ้าหยุดไงวิณณ์!” เสียงเรียกชื่ออันแสนคุ้นเคยดังก้องห้อง ผมถึงกับชะงักขาและมือที่กำลังจะปิดประตู ฟังจากน้ำเสียงคงไม่ได้เรียกผมแค่ครั้งเดียว...สงสัยเพราะกำลังคิดหลายๆ อย่างในหัวเลยเพิ่งได้ยินเสียงเรียกของอีกฝ่าย


“เบียทรีซ...”


“มานี่” คำสั่งทั้งสั้นและง่าย แต่ผมกลับต้องใช้เวลาสักพักในการประมวลผลก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าไปในห้องอาหารตรงไปหาเบียทรีซท่ามกลางสายตาของคู่ดูตัวนับ 10 ที่จับจ้องมา


“...มีอะไรเหรอ” ผมเอ่ยถามเสียงเบา


“เข้ามาแล้วจะออกไปไหน”


“จะไปห้องครัว”


“ไปทำไม” อีกฝ่ายถามต่อ


“ก็จะไปกินมื้อกลางวันที่นั่น...”


“เปลี่ยนที่กินโดยไม่บอกข้า?” ดวงตาสีทองสว่างฉายแววไม่พอใจระหว่างเงยขึ้นมาสบ


“...คุณกำลังยุ่งอยู่ผมเลยคิดว่าไม่ควรกวน” จะให้ผมทำยังไงกับสถานการณ์นี้ล่ะ ในงานดูตัวผมที่เป็นคนนอกก็ควรไปอยู่ที่อื่นเป็นเรื่องสมควรแล้ว


“เมื่อไหร่จะเลิกสักที ไอ้นิสัยคิดเองเออเองเนี่ย” เบียทรีซถามกลับพลางดึงแขนผมให้ทรุดตัวลงนั่งเข้าอี้ข้างๆ ที่ผมเพิ่งสังเกตว่ามีวางไว้อยู่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว


หรือว่า...จะเตรียมให้ผมนั่ง?


“...ขอโทษ”


“เป็นอะไร”


“อะไร” ผมไม่เข้าใจคำถาม


“เป็นอะไรทำไมถึงทำหน้าเศร้าๆ แบบนี้” ไม่พูดเปล่าเบียทรีซยังขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ ฝ่ามือข้างนึงเอื้อมมาลูบแก้มซ้ายผมสื่อถึงความห่วงใย


“...ผมทำหน้าเศร้าเหรอ” ผมถามกลับ


ไม่เห็นรู้ตัวเลยว่าทำหน้าเศร้าออกไป


“อืม ใครทำอะไรเจ้าบอกมา” เบียทรีซถามย้ำ


“ผมไม่เป็นไร”


“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าถ้าโกหกไม่เป็นก็ไม่ต้องพยายาม”


“...” ผมเลือกที่จะเงียบ ลืมไปได้ยังไงว่าอีกฝ่ายอ่านสีหน้าผมเก่งขนาดไหน แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปิดความรู้ด้านลบที่กำลังค่อยๆ ปะทุขึ้นนี่


“วิณณ์”


“...ขอโทษ ผมขอโทษ” จะให้บอกเหตุผลให้เบียทรีซฟังเหรอ


ไม่มีทาง


ผมไม่กล้าที่จะบอกหรอก


“ข้าไม่ได้อยากฟังคำขอโทษ...น่ารำคาญเลิกมองสักที!” ประโยคสุดท้ายเบียทรีซหันไปตวาดให้บรรดาสาวสวยที่จับจ้องมายังผมพร้อมคำพูดซุบซิบมากมายซึ่งจับใจความแทบไม่ได้ คงจะสงสัยว่าผมเป็นใครถึงได้มานั่งหัวโต๊ะแถมยังพูดคุยเป็นกันเองกับเบียทรีซอีก


“ขะ...ขออภัยองค์ราชา”


“อย่าทรงกริ้วสิเพคะ วันนี้ถือเป็นวันที่ที่พวกเราได้มาพบกับพระองค์” หญิงสาวผมดำยาวที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของผมเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวานพร้อมใช้มือแตะบ่าเบียทรีซเบาๆ เป็นเชิงบอกให้ใจเย็น


“อย่ามาแตะตัวข้า” น้ำเสียงของเบียทรีซทำเอาสาวสวยคนนั้นรีบชักมือกลับทันควัน


“เบียทรีซ...” ผมเรียกอีกฝ่ายแต่ยังไม่ได้เริ่มพูดเจ้าตัวกลับพูดต่อ


“หมดเวลาสำหรับพวกเจ้าแล้ว ออกไปจากห้องนี้แล้วกลับไปบอกพ่อแม่พวกเจ้าซะว่าอย่าคิดจะใช้ลูกหลานมาเป็นใบเบิกทาง ข้าไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับใครทั้งนั้นนอกจากคนที่ข้าเลือกเอง!” พูดจบเบียทรีซใช้มือเพียงข้างเดียวโอบเอวผมรวบขึ้นนั่งอยู่บนตักพร้อมขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนแก้มของพวกเราแนบสนิทกัน


บรรยากาศทั้งหมดเงียบลงทันตาเห็นคล้ายทุกคนกำลังงุนงงและไม่เข้าใจคำพูดของเบียทรีซซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่กำลังงงอยู่ และเพราะความงงนั่นละมั้งเลยส่งผลให้ลืมขัดขืนตอนถูกรวบขึ้นมานั่งบนตักไปซะสนิท ถ้าผมมีสติอยู่ครบถ้วนผมไม่มีทางยอมนั่งบนตักเบียทรีซท่ามกลางสายตาของสาวสวยกว่า 10 คู่แน่นอน


ผ่านความเงียบไปได้สักพักใหญ่เสียงเลื่อนเก้าอี้ตัวแรกก็มาพร้อมกับร่างของสาวในชุดเดรสสีชมพูที่เดินออกจากห้องไป เมื่อมีคนแรกคนต่อๆ มาก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปจนกระทั่งภายในห้องเหลือเพียงผมและเบียทรีซนั่งกันอยู่ 2 คน


“เบียทรีซ...แบบนี้จะดีเหรอ” ผมเปิดบทสนทนาหลังจากเงียบมาสักระยะ


“อะไรดี”


“ก็...กำลังดูตัวกับพวกเธออยู่นี่”


“แล้ว?” เบียทรีซถามต่อคล้ายจะไม่เข้าถึงสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อ


“การที่ให้พวกเธอออกไปแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ ถ้ายังไงผมไปตามพวกเธอกลับมาให้ไหม” พูดเองก็เจ็บเอง เหมือนวิ่งเข้าไปให้โดนมีดด้วยตัวเองเลย


“เจ้าอยากให้ข้าดูตัว?”


“...คุณเป็นคนบอกเองว่าจะดูตัว...”


“ตอบไม่ตรงคำถามวิณณ์” เบียทรีซพูดแทรก


“คำถามอะไร” ในหัวตอนนี้เริ่มตื้อไปหมดแล้ว


“ข้าถามว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าไปดูตัวเหรอ ไม่ได้ถามเจ้าว่าข้าพูดอะไร ตอบใหม่”


“...ผมไม่มีสิทธิ์” ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าไม่อยาก ตัวผมก็เป็นเพียงคนคนนึงที่เผลอไปมีใจให้กับบุคคลที่ไม่สมควรอย่างเบียทรีซ


“วิณณ์”


“...ผมขอโทษ”


“อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำหลายรอบว่าเจ้าตอบไม่ตรงคำถาม”


“เบียทรีซ...”


“ตอบข้า” ดูเหมือนสายตาร้องขอของผมที่พยายามจะสื่อออกไปมันจะไม่ได้ผลเอาซะเลย นอกจากจะไม่เห็นใจแล้วยังเร่งรัดเอาคำตอบอีก


“...ผมไม่อยากให้คุณไปดูตัว” ในเมื่อไม่สามารถเบี่ยงประเด็นหรือหลีกหนีได้ผมก็มีทางเลือกแค่พูดความจริงออกไปเท่านั้น


“ก็แค่นี้ แค่คำว่าไม่อยากทำไมมันพูดยากนักฮื้อ” เบียทรีซขยี้เส้นผมสีน้ำตาลแดงของผมแรงๆ หากไม่สังเกตดีๆ ก็คงไม่เห็นรอยยิ้มมุมปากที่ดูจะมีความสุขได้ทัน


“ไม่โกรธเหรอที่ผมคิดแบบนั้น” ผมถามไปตามตรง


“ทำไมข้าต้องโกรธเจ้าด้วย”


“ก็เบียทรีซอยากดูตัว...”


“คิดเอาเองอีกแล้ว ข้าพูดตอนไหนว่าอยากดูตัว” อีกฝ่ายรีบพูดแทรกด้วยน้ำเสียงแข็งๆ


“เห็นพูดกับแกรนว่าจะดูตัวนี่” ประโยคนั้นผมจำได้แม่นเลย


ไม่มีทางผิดแน่


“ข้าบอกว่าจะดูตัวแต่ไม่ได้บอกว่าอยากดูตัวสักหน่อย”


“ความหมายมันก็เหมือนๆ กันนี่”


“เหมือนที่ไหน สาเหตุที่ข้าบอกจะดูตัวก็เพื่อตัดความรำคาญ ถึงจะปฏิเสธไปแต่อีกไม่นานก็ต้องมีเรื่องดูตัวนี้มาอีกอยู่ดี” เบียทรีซพูด


“อาจไม่ใช่แบบที่คุณคิดก็ได้” ถ้าเกิดปฏิเสธไปทางนั้นคงไม่ตื้อให้มาดูตัวหรอก...มั้ง


“เจ้าไม่รู้อะไร ข้าปฏิเสธมาจวนจะคบร้อยครั้งแล้ว”


“...” พูดเป็นเล่น ร้อยครั้ง?


นี่มันยิ่งกว่าการตามตื้ออีกมั้งเนี่ย


“ดังนั้นเพื่อตัดความรำคาญข้าเลยเรียกมาให้ดูตัวพร้อมกันให้หมดจะได้ปฏิเสธไปเลยรวดเดียวทั้งประหยัดเวลาทั้งประหยัดความรำคาญ”


“แบบนี้นี่เอง” ผมเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว เบียทรีซไม่ได้อยากจะดูตัวแต่แรกแต่วางแผนไว้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาพูดเรื่องดูตัวอีก พอรู้แบบนี้แล้วความรู้สึกด้านลบมากมายที่มีกลับหายวับไปราวกับความรู้สึกพวกนั้นไม่เคยมีอยู่แต่แรก


“จบเรื่องดูตัว มาเข้าเรื่องเจ้าดีกว่า” เบียทรีซบอกพลางใช้ดวงตาสีทองสว่างจับจ้องมา ด้วยแรงดึงดูดของดวงตาคู่นั้นทำให้ผมไม่สามารถละสายตาออกมาได้


แบบนี้แย่แน่...ถูกดวงตาคู่นั้นจ้องทีไรเป็นต้องเปิดเผยความรู้สึกออกไปหมดทุกที


“...เรื่องของผมไม่มีอะไรหรอก” ผมพยายามดิ้นรนครั้งสุดท้าย หวังว่าอีกฝ่ายจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป


“ข้าจะเป็นคนตัดสินเองว่ามีหรือไม่มี”


“ผมไม่บอกได้ไหม”


“ไม่ได้” เบียทรีซตอบทันที


“...เอ่อ...คือ...คุณถามอะไรนะ” ไม่ได้จะกวนนะแต่พอมีเรื่องเข้ามาเยอะๆ มันก็มีลืมบ้างเป็นเรื่องธรรมดานี่นา


“เฮ้อ...เจ้านี่นะ”


“แฮะๆ”


“ไม่ต้องมาแฮะเลย สีหน้าค่อยดีขึ้นมาหน่อย”


“สีหน้าเหรอ...” จะว่าไปก่อนหน้านี้เห็นบอกว่าผมทำหน้าเศร้าๆ สินะ ที่เศร้าเป็นเพราะเห็นเบียทรีซนั่งอยู่กับสาวๆ ด้วยความที่ผมชอบเขาเลยเกิดความรู้สึกแย่ๆ จนแสดงออกทางสายตาและถูกเบียทรีซจับได้


“ก่อนหน้านี้ทำไมถึงทำหน้าเศร้า”


“...เพราะผมหิว” คำตอบแสนจะสิ้นคิดทำเอาคิ้วข้างนึงของเบียทรีซเลิกขึ้น


“ได้ เดี๋ยวข้าจะให้กาเนอร์จัดมื้อใหญ่พิเศษสำหรับเจ้าชนิดที่ให้คนทั้งปราสาทกินได้เลย”


“อย่าทำแบบนั้นนะ” อยู่ด้วยกันมานานทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่าเขาพูดจริง ถ้าผมไม่รีบห้ามมื้อต่อไปคงได้เห็นผมท้องแตกกันพอดี


“ถ้างั้นก็รีบตอบมา”


“...ทำไมคุณถึงอยากรู้ล่ะ” ผมไม่ตอบแต่ถามกลับไปแทน


ไม่กล้าที่จะบอกก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมยังคงเงียบแต่ที่คาใจคือทำไมเบียทรีซถึงต้องการจะรู้มากขนาดนี้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยกับแค่ผมทำหน้าเศร้า เราทุกคนมีวันที่เศร้าได้ทั้งนั้นซึ่งเรื่องนั้นมันอาจเป็นเรื่องไร้สาระอย่างการยืนล้างมือก็ได้


“ข้าอยากรู้ทุกเรื่องของเจ้า...วิณณ์” คำตอบที่คาดไม่ถึงเรียกเสียงหัวใจให้เต้นรัวขึ้นทีละน้อย ทั้งคำพูด น้ำเสียงและสายตาของเบียทรีซเป็นเหมือนไฟที่กำลังหลอมละลายผมจนไม่เป็นอันทำอะไร


อยากจะปิดความรู้สึกนี่ไว้



ยังไม่อยากจะบอกออกไป


ผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเพราะผมกลัวสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม


แต่ในตอนนี้ ตอนที่ดวงตาของผมสอดประสานอยู่กับของเบียทรีซอยู่ๆ ความกล้าที่ไม่เคยมีกลับปรากฏขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่เอ่อล้นจนไม่สามารถปิดกั้นต่อไปได้อีก เบียทรีซกำลังบังคับผมผ่านทางสายตา


“...ผมขอโทษนะเบียทรีซ ทั้งที่คุณเป็นครอบครัวแต่ผมกลับ...รู้สึกชอบคุณขึ้นมาซะแล้ว” และผมก็ถูกอีกฝ่ายชักจูงให้เป็นไปตามที่ต้องการจนได้


“ทำไมต้องขอโทษ” ดวงตาสีทองสว่างทอประกายดีใจวูบนึงก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว


“เพราะผม...ชอบคุณ”


“คำว่าขอโทษมันเหมือนเจ้าเสียใจที่ชอบข้า”


“ไม่...ไม่ใช่นะ ผมไม่เสียใจที่ชอบคุณ” ผมส่ายหัวรัวๆ เพื่อปฏิเสธ ไม่คิดว่าจะมองไปในแง่นั้น


“ถ้าไม่ได้เสียใจก็อย่าพูดว่าขอโทษ”


“อืม”


“พูดอีกรอบสิวิณณ์”


“...พูดอะไร”


“พูดว่าชอบข้าอีกสิ” เบียทรีซบอกพร้อมขยับใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม


“...ผมชอบคุณ” ความกล้าแทบจะทั้งชีวิตหมดไปกับประโยคสั้นๆ แบบนี้


“...” อีกฝ่ายไม่พูดอะไรอีกแต่สีหน้าของเบียทรีซกลับดูพึงพอใจเมื่อได้ยินคำพูดของผมไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นดวงตาที่ทอประกายสุขสมหรือรอยยิ้มที่ไม่ใช่แค่มุมปากแต่เป็นการเผยรอยยิ้มกว้างซึ่งเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกหลากหลายทำให้คนมองอย่างผมแสดงอาการเขินหน้าแดงออกมา


ท่าทางแบบนั้น...ไม่ได้ปฏิเสธหรือมองว่าแปลก ไม่มีท่าทีรังเกียจด้วย


หรือว่าเบียทรีซเองก็...


“คุณเองก็ชอบผมเหรอ” ผมตัดสินใจถามอีกฝ่ายไปตามตรง รอยยิ้มบนใบหน้ายกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะโน้มตัวเข้ามเอ่ยกระซิบคำตอบที่พานเอาความเขินเมื่อครู่สลายไปในพริบตา...


“ลองคิดเองสิวิณณ์”

...........................................

แหมมมม

ท่านราชา...คนอ่านเค้ารู้กันตั้งแต่ตอนแรกแล้วมั้งความรู้สึกของท่านน่ะ

ถ้าไม่ใช่วิณณ์ไม่มีทางที่จะดูไม่ออก

พิเศษขนาดนี้คงไม่ชอบวิณณ์มั้งง

ขอบ่นราชาสุดซึนกันสักหน่อย

หลงรักเขาก่อนแท้ๆ ดันมาปากหนัก ปากแข็ง

ดีใจจนยิ้มไม่หุบแล้วนั่นนน

ใครรู้สึกยังไงกับเบียทรีซหลลังอ่านจบมาคอมเม้นท์กันได้นะคะ 555

ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอ๊ยยย วิณณ์ ทำไมซื่อแบบนี้นะ เป็นคนอื่นมีลูกไปแล้ว
คนอื่นบอกกัน แซวกันทางอ้อม ก็ยังงง ยังมึน
ตอนนี้รู้สึกเองแน่ชัดแล้ว บอกเบียทริซไปแล้วด้วย
แล้วจะไปไหนรอดอีก ขนาดไม่บอก เบียทริซยังยึดเลยน่ะ

วิณณ์น่ารัก ดูออกง่าย เศร้า ดีใจ ออกอาการหมด

เบียทริซทำปากแข็งนะ ในใจนี้คงเต้นระรัวยิ่งกว่ากลองศึกอีก
ยิ่งได้ฟังวิณณ์บอกชอบด้วยแล้ว แสดงออกกว่าเดิมชัวร์




ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อยากได้ยินกับหูตัวเองอ่ะ  :hao3:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ซึนทั้งคู่อ่ะ อิอิ

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ยังจะไปแกล้งวิณณ์อีกนะเบียทรีซ 

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ปากแข็งไม่มีใครเกิน :hao3:

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ปากกกกแข็ง รอให้น้องอ้อนรึเปล่าน้า

ออฟไลน์ q.tr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พ่อคนปากแข็งงงง  :angry2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด