⊰บงการ:วันที่11:⊱
การฝึกทักษะการต่อสู้เป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันที่ผมต้องทำทุกวันโดยมีอาจารย์มากฝีมืออย่างเตโชคอยฝึกให้ไม่ขาดแต่ด้วยความหวังดีหรืออะไรก็ไม่รู้แหละของเบียทรีซถึงได้บอกให้เตโชฝึกอาวุธผมเพิ่มอีกอย่าง แม้การเคลื่อนไหวของผมจะค่อนข้างดีทว่าการมีอาวุธอยู่ในมือค่อนข้างยากเกินไปสำหรับผม
ดาบยาวในมือยกขึ้นปะทะกับดาบอีกเล่มที่ฟาดฟันลงมาอย่างรุนแรงจนผมถึงกับทรุดเข่าลงไปกับพื้น แค่นั้นยังไม่พอเตโชเตะตรงเข้ายังกระบังลมแต่ด้วยสัญชาตญาณทำให้ผมหลบได้อย่างเฉียดฉิว ความหนักของอาวุธในช่วงแรกอาจไม่รู้สึกเท่าไรแต่เมื่อผ่านไปประมาณชั่วโมงหนึ่งกำลังแขนผมก็เริ่มหมดลง
แค่จะยกดาบขึ้นยังยากเลย
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมเงยหน้ามองการเคลื่อนไหวที่กำลังเข้ามาประชิด ในเมื่อไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะยกผมจึงปักดาบลงพื้นหญ้าให้ผืนดินช่วยเพิ่มหลักในการป้องกัน แน่นอนว่าระดับผู้คุมทับปิศาจกว่า 30,000 ตนอย่างเตโชสามารถอ่านออกได้ในพริบตา เขาใช้สันดาบปะทะกับดาบของผมจนดาบนั่นปลิวไปตกอยู่บริเวณทางเดินข้างปราสาท
ทั้งที่ควรจะหยุดการต่อสู้เพราะอาวุธผมลอยไปแต่ในความจริงเตโชกลับง้างดาบขึ้นแล้วเหวี่ยงเข้าใส่ผมที่นั่งทรุดอยู่บนพื้น ภายในสมองว่างเกิดว่างเปล่าเฉียบพลัน พลังปิศาจภายในร่างถูกปลดปล่อยออกมาคล้ายกำลังปกป้องตัวเองไม่ให้เกิดอันตรายโดยไม่รู้ตัว พอสติกลับมาร่างของเตโชก็ลอยไปกระแทรกกับต้นไม้ด้านหลังเช่นเดียวกับกองทัพปิศาจที่กำลังฝึกอยู่ไม่ไกลนั้นต่างพากันล้มลงไปกองบนพื้น
“...อะไร...” นี่มันคืออะไร
ผมเป็นคนทำ?
“แค่ก...” เตโชไอเล็กน้อยระหว่างเดินเข้ามาหา
เลือดมุมปากที่ไหลออกมาทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย
“เตโช เป็นอะไรรึเปล่า” ผมรีบก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร แค่ไม่ทันตั้งตัวเลยป้องกันตัวไม่ทัน”
“นี่ผมทำอะไรลงไป แล้วพวกเขาจะเป็นอะไรไหม” ระหว่างถามผมหันไปมองเหล่าปิศาจที่ล้มอยู่บนพื้น มีจำนวนไม่น้อยที่ยังยืนอยู่แต่ก็มีไม่น้อยที่สลบ
“แรงกดดันของพลังปิศาจที่เจ้าปล่อยออกมามันเข้มข้นจนปิศาจปกติรับไม่ไหว ผลเลยเป็นแบบนั้น ให้พักหน่อยก็ฟื้นเอง” เตโชอธิบายให้ฟัง
“ผมไม่ค่อยเข้าใจ” ต่อให้อธิบายให้ฟังแต่ด้วยความที่ผมนั้นค่อนข้างเข้าใจช้าเลยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“สรุปง่ายๆ คือพลังของเจ้ามีมากเกินกว่าปิศาจปกติจะทนไหว”
“...หมายถึงปิศาจระดับสูง?” ผมเคยได้ยินเบียทรีซบอกก่อนหน้านี้ เหมือนว่าผมจะผ่านช่วงเปลี่ยนถ่ายเลยกลายเป็นปิศาจระดับสูง ประมาณนั้น
“ใช่ พลังของปิศาจระดับสูงนั้นปิศาจระดับกลางลงไปต้านไม่ได้หรอกขนาดปิศาจระดับสูงอย่างข้ายังรับตรงๆ ไม่ไหวเลย ยิ่งเจ้ายังไม่สามารถควบคุมมันได้ด้วย” เตโชบอกพลางใช้ดวงตาสีเทาจับจ้องมาที่ผม
“...ทำไมผมถึงมีพลังระดับนั้นได้กัน”
“เพราะสายเลือดของชารอนละมั้ง”
“คุณก็รู้จักแม่ผมด้วยเหรอ” ผมถามกลับด้วยความสงสัย
“ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชารอนหรอก ปิศาจที่อยู่เคียงข้างองค์ราชามาตั้งแต่ก่อนขึ้นปกครองโลกปิศาจ ด้วยพลังอันมหาศาลอันหาใครเปรียบทำให้เธออยู่สูงยิ่งกว่าใคร มีเพียงราชาที่ชารอนยอมฟังคำสั่งเท่านั้น”
“...ผมไม่ได้เป็นเหมือนคุณแม่” ผมบอกเสียงเบา ต่อให้สืบเชื้อสายแต่ผมคงไม่สามารถทำได้แบบนั้น
“ไม่มีใครบอกให้เจ้าต้องเป็นชารอน พลังนี้เป็นของเจ้า จะเลือกใช้ยังไงก็อยู่ที่ตัวเจ้าเอง” เตโชพูดต่อ
“คุณจงใจโจมตีเพื่อให้ผมแสดงพลังออกมาใช่ไหม” นี่เป็นคำตอบเดียวที่คิดได้หลังจากได้ฟังหลายๆ อย่าง
“ประมาณนั้น ต้องขอโทษด้วยอาจทำให้ท่านบาดเจ็บ พลังที่ปลดปล่อยออกมาตอนช่วงเปลี่ยนถ่ายพวกข้าทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่ง เพียงแค่ข้าอยากรู้ว่าท่านจะสามารถควบคุมพลังนั่นได้หรือไม่”
“ผมควบคุมไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใช้ยังไง” มันเหมือนผมแสดงออกมาเพราะต้องการเอาชีวิตรอด ถ้าให้ทำอีกรอบคงไม่ได้แล้ว
“การควบคุมพลังนั้นทุกอย่างอยู่ที่จิตใจ ไม่สามารถสอนให้กันได้”
“แบบนั้นผมก็แย่สิ” ถ้าสอนไม่ได้แล้วผมจะทำยังไงต่อไปได้ล่ะ
“ท่านยังอายุน้อยนัก ประสบการณ์จะช่วยให้ท่านควบคุมพลังของตนเองได้ในสักวัน”
“ในสักวันนี่นานแค่ไหนกัน”
“อาจจะร้อยหรือสองร้อยปี” คำพูดของเตโชทำเอาตาผมแทบจะถลนออกมานอกแว่นตา
“นานไปนะ”
“สำหรับปิศาจแล้วมันไม่นานหรอก ว่าแต่เลย 11 โมงมาแล้ว ท่านควรรีบกลับไปก่อนองค์ราชาจะมาตามด้วยตนเอง” ประโยคของเตโชทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนที่ผมอยู่ฝึกซ้อมนานเกินกว่าเวลาที่กำหนดแล้วเบียทรีซลงมาตามด้วยตัวเอง แถมยังให้สายตาคมกริบมองมาราวกับผมทำผิดสถานหนัก
“ทำไมถึงชอบบังคับผมนักนะ” ได้ทีผมขอบ่นหน่อยเถอะ ต้องมาไม่เกินเท่านี้ ห้ามไปไหนโดยไม่บอกและอื่นๆ อีกมากมายจนผมไม่มีพื้นที่ส่วนตัวเลย
“เพราะท่านพิเศษ”
“พิเศษ?” หมายถึงน่าแกล้งเป็นพิเศษ?
“องค์ราชาเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่มีท่านเข้ามาอยู่ที่นี่ ข้า...ไม่สิ...ต้องบอกว่าปิศาจทุกคนสัมผัสถึงบรรยากาศที่อ่อนลงกว่าแต่เดิมมาก ทั้งหมดเป็นเพราะมีท่านอยู่ข้างกายองค์ราชา” เตโชบอกระหว่างเดินไปหยิบดาบที่ปลิวไปไกล
“อาจไม่ใช่เพราะผมก็ได้”
“แค่มองก็รู้แล้ว ท่านวิณณ์...โปรดอย่าโกรธเคืองกับการกระทำขององค์ราชาเลย ด้วยฐานะและตำแหน่งที่แบกรับทำให้ทุกสิ่งที่ต้องการนั้นต้องมาอยู่ในมือ เหมือนกับเด็กที่อยากได้ของเล่นที่ชอบมาอยู่ในมือตลอด พอให้ออกห่างก็ห่วง พอมีใครเข้าใกล้ก็หวง เป็นกังวลว่าสักวันของที่ชอบนั่นจะหายไป” คำอธิบายของเตโชผมฟังจนจบและพยายามคิดตามแต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี
สรุปคือผมเป็นของเล่นของเบียทรีซ?
ผมพาตัวเองขึ้นมาจนถึงห้องทำงานของเบียทรีซ การที่ภายในห้องว่างเปล่าทำให้ผมแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะทุกครั้งที่ผมเปิดประตูเข้ามาจะเห็นเบียทรีซนั่งอยู่เสมอ ถึงจะสงสัยแต่ก็ไม่รู้จะออกไปตามหรือหาที่ไหนจึงตัดสินใจนั่งคอยบนเก้าอี้ทำงานของตัวเอง
เส้นผมสีน้ำตาลแดงของผมนั้นไม่ใช่แค่เข้มขึ้นอย่างเดียวแต่ยังยาวประบ่าสร้างความรำคาญให้ผมมากตั้งแต่การกินข้าวที่พอก้มลงแล้วปลายผมก็มักจะจุ่มลงไปในจานทุกครั้งไป แถมตอนฝึกต่อสู้กับเตโชยังมีหลายครั้งปิดตาผมจนมองไม่เห็น
“ขอตัดคงได้มั้ง” ผมมองปลายผมตัวเองขณะพูด ในเมื่อมันเกะกะการจะตัดให้สั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลก สำหรับผมการไว้ผมซอยให้อยู่เหนือไหล่มันคล่องตัวกว่า ไม่ได้สั้นจนเกรียนแต่ยาวให้พอดีกับการใช้ชีวิต...ล่ะนะ
ระหว่างตัดสินใจผมมองหากรรไกรมาตัดผมแต่ไม่เจอเลยสักอัน ในตอนนั้นเองที่ในหัวผุดขึ้นมาว่ามีอุปกรณ์สำหรับตัดติดตัวอยู่นี่นา มีดสั้นความยาวประมาณสองคืบอยู่ในฟักอย่างดีซึ่งได้รับมาจากเบียทรีซและถูกย้ำอยู่หลายล้านครั้งว่าให้ใช้อย่างระวังและอย่าให้บาดเจ็บ
ในเมื่อไม่มีกรรไกรก็ขอใช้มีดสั้นแทนละกัน
ยังไงผมก็ไม่ได้แคร์เรื่องทรงเท่าไหร่แค่สั้นในระดับพอเหมาะก็โอเคแล้ว มีดสั้นสีเงินหันปลายมีคมเข้าหาเส้นผมที่ถูกกำเอาไว้ลวกๆ แต่ด้วยความที่จังหวะของการรวบผมทำให้มือไปอยู่ข้างหลังผมเลยต้องพยายามหันหน้าไปมองแล้วใช้เพียงสัมผัสของมือกะว่าจะสามารถตัดผมได้ถูกที่ตามที่ตั้งใจรึเปล่า
แกร็ก!
“วิณณ์!” เสียงเรียกจากเบียทรีซที่เปิดประตูเข้ามานั้นทำเอาปลายมีดที่กำลังจะโดนเส้นผมถึงกับชะงัก
“กลับมาแล้วเหรอ...อ๊ะ!” ยังไม่ทันได้เอ่ยทักทายจบประโยคอีกฝ่ายก็ก้าวยาวๆ มาตรงหน้าผมพร้อมดึงมีดในมือผมไปแถมยังทำหน้าโกรธๆ ด้วย
“คิดจะทำอะไรน่ะ”
“...ก็กำลังตัดผมไง” ผมตอบกลับตามจริง ท่าทางของผมนอกจากตัดผมแล้วยังมองเป็นอย่างอื่นได้อีกเหรอ
“ตัดผม? ใครสอนให้ใช้มีดตัดผมตัวเองฮะวิณณ์!” เบียทรีซทำหน้างงยามได้ยินคำตอบผมก่อนจะบ่นออกมาระลอกใหญ่
“ก็มันไม่มีกรรไกร...”
“ถ้าข้าไม่เข้ามาสิ่งแรกที่มีดจะโดนไม่ใช่ผมแต่เป็นมือเจ้า”
“...ผมมองไม่เห็นนี่นา ทำไมต้องดุด้วย” ผมถามเสียงแผ่ว
“จะให้ข้าชมที่เจ้าเกือบจะตัดมือตัวเองขาดรึไง”
“...แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่วิณณ์ เงียบแล้วฟังข้า นิสัยซุ่มซามของเจ้าน่ะช่วยรับรู้ถึงมันหน่อยเถอะแค่ถือดินสอก็ยังทำตัวเองบาดเจ็บได้เลยแต่นี่เป็นมีดนะ ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าให้ระวังอย่าให้ตัวเองบากเจ็บ...นี่เจ้ายิ้มอะไรน่ะ” คำบ่นมากมายหยุดลงกลางครันเมื่ออีกฝ่ายเห็นผมเผยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ
“คุณเป็นห่วงผมด้วย”
“...อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ข้ากำลังบ่นเจ้าอยู่”
“ผมไม่ได้เปลี่ยนสักหน่อย จริงอยู่คุณบ่นอยู่แต่ผมรู้ว่าคำบ่นนั้นเป็นเพราะคุณเป็นห่วงกลัวว่าผมจะบาดเจ็บ ใช่ไหมล่ะ” ผมถามกลับพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“คิดเองเออเอง”
“ขอบคุณนะเบียทรีซที่เป็นห่วงผมขนาดนี้”
“ข้าบอกว่าเป็นห่วงเจ้าตอนไหนกัน” อีกฝ่ายยังคงปากแข็งทำเป็นไม่รู้เรื่องเหมือนอย่างทุกครั้งซึ่งผมก็ชินแล้วล่ะ
“ไม่ต้องบอกผมก็รู้” ไม่จำเป็นต้องพูดว่าเป็นห่วงเพราะไม่ว่าจะเป็นการกระทำคือความหมายของประโยคมันสื่อออกมาอย่างชัดเจน ขนาดผมที่เข้าใจยากยังรับรู้ถึงความห่วงใยนั้นได้เลย
“...ชิ” เบียทรีซเลิกต่อการสนทนาเดินกลับไปนั่งโต๊ะทำงานตัวเองตามเดิม
“จะว่าไป คุณไปไหนมาเหรอ”
“ประชุม”
“อ้อ...นี่เบียทรีซ”
“อะไร”
“ผมอยากตัดผม ได้รึเปล่า” ผมถามต่อ
“มาถามข้าทำไม ผมเจ้าเองนี่” อีกฝ่ายหันมามองผมระหว่างถาม
“ก็อยากขอความเห็นหน่อย ผมไม่ชอบเวลาที่เส้นผมมันยาวเลยบ่ามามันรู้สึกรำคาญน่ะ ปกติผมจะไว้สั้นประบ่าประมาณนี้” ผมใช้มือบอกระดับผมที่ไว้ประจำ
“แล้วแต่เจ้าสิ”
“แล้วเบียทรีซชอบแบบไหน ยาวแบบนี้หรือสั้นหน่อย” ผมถามพลางก้าวไปหาเบียทรีซที่เกร็งร่างขึ้นเล็กน้อยหลังได้ยินผมพูดจบประโยค
“...ถ้าข้าบอกว่าชอบแบบนี้เจ้าจะไม่ตัดรึไง”
“อืม...ถ้าเบียทรีซชอบผมจะทำตาม” ปกติผมเป็นคนคิดเองว่าจะตัดทรงไหน ไม่มีใครคอยมาบอกว่าเหมาะหรือดีรึเปล่า แต่ตอนนี้มีเบียทรีซอยู่ถ้าเขาเห็นว่าผมไว้แบบนี้แล้วเหมาะกว่าผมก็ไม่ขัดอะไรแค่ต้องทำตัวให้ชินแค่นั้นเอง
“เจ้า...รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”
“ฮะ? ก็ถามว่าเบียทรีซชอบ อ๊ะ!” เป็นอีกครั้งที่ผมยังเอ่ยไม่จบประโยคก็ถูกอีกฝ่ายคว้าแขนพร้อมออกแรงดึงจนขึ้นมานั่งอยู่บนตักของเบียทรีซในสภาพที่หันหน้าเข้าหากัน
“ถ้าพูดโดยไม่รู้ความหมายแปลว่าเจ้า...นิสัยแย่นะวิณณ์”
“ฮะ?” ไม่รู้ว่าผมพูดคำว่าฮะไปกี่รอบแต่ผมในตอนนี้ไม่เข้าใจสิ่งที่เบียทรีซต้องการจะสื่อสักนิดเดียว
“ถามว่าข้าชอบแบบไหนใช่ไหม” อีกฝ่ายกระซิบถาม
“...อืม” ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นด้วยล่ะ
อยู่ๆ ก็รู้สึกเขินขึ้นมาซะอย่างงั้น
“ข้าชอบทุกแบบที่เป็นเจ้า” ดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซสอดประสานมายังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมคล้ายกำลังสื่อความนัยบางอย่าง จังหวะของหัวใจเริ่มเต้นเร็วขึ้นและเร็วมากเข้าไปอีกยามริมฝีปากนั้นแนบสนิทลงมาโดยไม่บอกกล่าว
ภายในหัวขาวโพลนทว่าหัวใจกลับเต้นถี่เร็วขึ้น ความร้อนจากทั่วทุกส่วนของร่างกายมาหลอมรวมอยู่บริเวณใบหน้า ต่อให้มองไม่เห็นหน้าตัวเองผมก็มั่นใจว่าหน้าผมตอนนี้กำลังเห่อแดงแบบสุดๆ ครั้งก่อนอยู่ๆ ก็ถูกจูบ...ครั้งนี้ก็ถูกจูบอีก
ถ้าถามว่าชินรึยังตอบได้เลยว่าไม่
ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดคล้ายกำลังจีบสาวอยู่นั่นคืออะไร แค่ใบหน้าหล่อเหลาก็เรียกว่ากินขาดแล้วแต่ตอนนี้ต้องเพิ่มเจ้าคารมเข้าไปอีก เชื่อเถอะว่าถ้าใครมาอยู่ในเหตุการณ์แบบเดียวกับผมต่อให้เป็นผู้ชายก็ต้องมีใจเต้นกันเป็นธรรมดา
ริมฝีปากที่แนบลงมานั้นบดเบียดเข้ามามากขึ้นในขณะที่ผมได้แต่เบิกตากว้างผ่านเลนส์แว่นด้วยความตกใจ มือทั้งสองข้างกำแน่นทุบเข้าบริเวณแผ่นอกของอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มี แน่นอนว่าผมในสภาพนี้นอกจากจะไม่มีกำลังมากพอที่จะหยุดแล้วยังถูกอีกฝ่ายจับปลายคางให้เชิดขึ้นเพื่อรับจูบนั้นมากกว่าเดิม ปลายลิ้นของเบียทรีซพยายามจะล่วงล้ำเข้ามาทว่าผมเม้มปากแน่นพลางขยับตัวหนี
“อื้อ!...แฮ่ก ทำอะไรของคุณน่ะ” ผลจากความพยายามในที่สุดริมฝีปากผมก็สามารถเป็นอิสระได้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมเงยขึ้นไปสบอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง โดนฉวยโอกาสเป็นครั้งที่สองผมคงจะยอมปล่อยไปได้หรอก
“นั่นเป็นข้าที่ต้องถามมากว่า”
“ทำไมถึงเป็นคุณที่ต้องถาม?” ผมสิที่ต้องถาม!
“เจ้านั่นแหละทำอะไร เม้มปากแน่นขนาดนั้นข้าก็จูบไม่ได้น่ะสิ”
“ที่เม้มปากแน่นก็เพราะไม่อยากให้จูบนั่นแหละ จูบผู้ชายด้วยกันรู้สึกดีรึไง”
“ก็ดีกว่าที่คิด อีกอย่างมันยังไม่เรียกว่าจูบ” เบียทรีซพูดเสียงนิ่ง
“ผมรู้น่า” แต่ยังไงสำหรับผมมันก็เรียกว่าจูบอยู่ดี
“เจ้ารู้? เคยจูบเหรอ”
“...ผมอยู่มาตั้ง 30 ปีมันก็มีบ้างสิ” ถึงจะอายที่ต้องมาบอกคนอื่นก็ตามที ความเงียบที่ตามมาหลังผมพูดจบเรียกให้ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่บัดนี้นอกจากจะขมวดคิ้วแน่นแล้วยังจ้องมาทางผมด้วยความไม่พอใจอีก
“เป็นเด็กน้อยเพิ่งหัดคลาดแท้ๆ มันยังเร็วไปสำหรับเจ้า ริอาจไปลองจูบแบบนี้น่าลงโทษนักวิณณ์” ขนทั้งร่างลุกตั้งชันเมื่อได้ยินคำพูดของเบียทรีซ
“...สำหรับมนุษย์มันไม่เรียกว่าเร็วหรอกนะ” อีกอย่างกว่าผมจะได้ลองจูบแรกก็อยู่ตั้งมหาลัยปี 3 เข้าไปแล้ว
“เจ้าไม่ใช่มนุษย์”
“สุดท้ายก็วกมาเรื่องนี้?” ไม่รู้กี่ร้อยครั้งแล้วที่พูดเรื่องนี้กัน ต่อให้ผมมีสายเลือดของปิศาจอยู่แต่ผมก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์อยู่ดี
“ฮึ้ย! เรื่องตอนเป็นทารกนั่นช่างมันก็ได้แต่จากนี้ห้ามเจ้าไปจูบใครอีก เข้าใจนะ”
“...ทำไมต้องห้ามผมเรื่องนี้ด้วย” เรื่องอื่นอย่างห้ามออกไปไหนคนเดียวหรือต้องมาตรงเวลายังพอเข้าใจแต่นี่มันเรื่องจูบ?
“ทำไม เจ้าอยากไปจูบใครรึไงวิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซต่ำลงทันทีที่ได้ยิน
“เปล่า แค่ผมไม่เข้าใจเฉยๆ” เรื่องจูบมันเป็นเหมือนเรื่องส่วนตัวจะมาห้ามแบบนี้มันออกจะแปลก
“เจ้ายังไม่จำเป็นต้องเข้าใจ”
“...ทีคุณเองยังจูบผมเลย” ถ้าห้ามไม่ให้ไปจูบใครคนแรกที่ควรห้ามก็ต้องเป็นเขานั่นแหละ
“ข้าเป็นข้อยกเว้น”
“ฮะ?” มีการยกเว้นตัวเองด้วย?
“ถ้าเข้าใจแล้วก็เลิกถาม”
“ผมยังไม่เข้าใจ...”
“งั้นก็ไม่ต้องเข้าใจต่อไปละกัน”
“...” ผมเงียบพลางขมวดคิ้วแน่นมองเบียทรีซที่จ้องผมกลับมาเช่นเดียวกัน
รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกแกล้งเลย
“ถ้าเจ้ารำคาญก็ตัดให้สั้นหน่อย” มองกันอยู่สักพักใหญ่เบียทรีซจึงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมาก่อน
“...หมายถึงผม?”
“แล้วยังหมายถึงอย่างอื่นได้อีกรึไง ประมาณนี้ก็พอ” เส้นผมสีน้ำตาลแดงถูกอีกฝ่ายสัมผัสเพื่อบอกความยาวที่เหมาะสม
“สั้นอีกนิดก็ได้นะ” ผมบอกเพราะจากบริเวณมือที่แตะโดนมันอยู่เกือบถึงไหล่ ทรงผมของเบียทรีซเองอยู่ในระดับที่ยาวกว่าผมหน่อย
“สไลด์ลงมาให้ยาวสุดอยู่ตรงนี้” เบียทรีซอธิบายเพิ่ม
“แบบนั้นก็ได้” ผมพยักหน้าตกลง เรื่องทรงผมพวกนี้ผมไม่ค่อยรู้หรอก
“ดี งั้นไปนั่งที่เก้าอี้นิ่งๆ ”
“คุณจะตัดให้?” ผมเอ่ยถามระหว่างเดินไปนั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง
“ดีกว่าให้เจ้าใช้มีดปาดคอตัวเองละกัน” อีกฝ่ายบอกพลางหยิบกรรไกรในลิ้นชักเดินมาหา
เส้นผมสีน้ำตาลแดงถูกเบียทรีซหวีสักพักแล้วจึงเริ่มลงมือตัดโดยเริ่มจากด้านหน้าที่สไลด์สั้นๆ ต่างจากด้านหลังที่ซอยระไปกับต้นคอ ผมทำเพียงนั่งอยู่นิ่งๆ ให้อีกฝ่ายตัดเล็มกินเวลาไปสักใหญ่ผมทรงใหม่ก็เสร็จสิ้น
“คุณเหมาะจะเป็นช่างตัดผมนะเนี่ย” ผมสะบัดเส้นผมสีน้ำตาลแดงไปมา พอตัดสั้นลงหน่อยแล้วรู้สึกเบาสบายกว่าเดิมเยอะเลย
“หึ เลิกหมุนตัวแล้วเริ่มทำงานสักที”
“อืม”
หลายวันผ่านไปการมีทรงผมใหม่นั้นช่วยให้การเคลื่อนไหวผมดีขึ้นเยอะแถมยังเพิ่มความมั่นใจให้อีก ทั้งแกรน ทั้งเตโชรวมไปถึงกาเนอร์ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าทรงนี้เหมาะกับผมมาก พอผมบอกต่อว่าเบียทรีซเป็นคนตัดให้ก็ได้เห็นปิศาจระดับแนวหน้าทำตาโตกันเป็นแถว พวกเขาบอกว่าเบียทรีซไม่เคยตัดผมให้ใครมาก่อนซึ่งผมก็เชื่อแบบนั้น ระดับราชาของโลกปิศาจจะไปตัดผมให้ใครได้มีแต่จะให้คนอื่นมาตัดให้ซะมากกว่า
วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสเหมาะแก่การออกไปข้างนอกมาก ผมแอบมองท้องฟ้าผ่านทางกระจกหน้าต่างในห้องทำงานซึ่งตอนนี้ผมอยู่คนเดียวในห้องเนื่องจากเบียทรีซออกไปประชุม ท่าทางเร่งรีบแบบนั้นผมเลยไม่กล้ารั้งไว้แม้วันนี้ผมจะอยากกลับไปบ้านสักหน่อย
ระหว่างคิดอะไรเรื่อยเปื่อยผมก็เหลือบไปเห็นชายผมสีทองเข้มซอยสั้นเดินอยู่ระเบียงด้านล่างสุดของปราสาท ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัวพร้อมกับสองขาที่วิ่งออกจากห้องไปในทันที เดาจากทิศที่อีกฝ่ายเดินไปคงเป็นหน้าปราสาทผมเลยลงไปดักรออยู่หน้าประตูซึ่งก็เป็นไปตามคาดปิศาจระดับสูงในคราบของนักธุรกิจระดับโลกอย่างจาร์ม สก๊อตเดินออกมาจากประตู พอเห็นผมยืนมองอยู่ก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะก้มหัวทักทาย
“สวัสดีสก๊อต” ผมปรี่เข้าไปหาอีกฝ่ายที่เริ่มขมวดคิ้วมองมา
“สวัสดีท่านวิณณ์ ไม่ได้เจอกันนานเลย” อีกฝ่ายทักทายด้วยรอยยิ้มเทพบุตร
“นั่นสิ ครึ่งปีได้มั้ง” เมื่อครึ่งปีก่อนผมมีโอกาสได้เจอกับสก๊อตในห้องทำงานของเบียทรีซ เห็นว่ามารายงานผลอะไรสักอย่างให้ฟังนี่แหละ
“มีเรื่องอะไรรึเปล่า” คุยกันแค่ประโยคเดียวก็ทำเอาผมสะดุ้ง ไม่คิดว่าจะรู้เร็วขนาดนี้
“คือผม...มีเรื่องอยากขอร้องหน่อยน่ะครับ”
“ขอร้องข้า?” สก๊อตทำหน้าแปลกใจ
“ใช่ครับ ผมรู้ว่ามันค่อนข้างรบกวนและเอาแต่ใจไปสักหน่อยแต่นอกจากคุณผมก็ไม่รู้จะไปขอร้องใคร”
“...ลองบอกมาก่อน”
“ช่วยเปิดทางเชื่อมมิติไปบ้านผมให้หน่อยได้ไหมครับ” ผมเอ่ยความต้องการของตัวเองออกไป
“ลืมของไว้?” สก๊อตถามต่อ
“เปล่าครับ คือวันนี้เป็นวันครอบรอบวันตายของคุณแม่ผมเลยอยากไปไหว้หลุมศพ ขอร้องล่ะครับ” ความจริงผมควรจะกลับไปวันตรุษจีนด้วยแต่ช่วงนั้นผมนอนซมเพราะช่วงเปลี่ยนถ่ายไปเป็นอาทิตย์
ไหนๆ วันนี้สภาพร่างกายผมก็พร้อมเลยอยากกลับไปไหว้
“เจ้าน่ะ...แปลกจริงๆ นะ” เงียบไปสักพักสก๊อตก็พึมพำออกมา สายตาที่ใช้มองผมดูอ่อนลงกว่าแต่ก่อน
“ครับ?” แปลกยังไง
“แค่สั่งว่าให้เปิดทางเชื่อมไปโลกมนุษย์ก็พอแล้วแท้ๆ”
“สั่ง? ไม่ๆ ๆ คือผมจะสั่งคุณได้ยังไงกัน” ผมส่ายหน้ารัวๆ แค่คิดยังไม่เคยเลย
“ด้วยฐานะของเจ้าไม่จำเป็นต้องมาขอร้องด้วยซ้ำ”
“ฐานะ...” ของผมเหรอ
“ท่านเบียทรีซยังไม่ได้บอกอะไรกับเจ้าเลย?”
“...บอกอะไรครับ” อีกฝ่ายทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้างงๆ ของผม
“เอาเถอะ เรื่องเปิดทางเชื่อมข้าไม่มีปัญหา แต่เจ้าควรไปบอกท่านเบียทรีซก่อน ขืนอยู่ๆ เจ้าหายไปเดี๋ยวได้กลายเป็นเรื่องใหญ่กันพอดี”
“เบียทรีซกำลังประชุมอยู่ผมไม่อยากเข้าไปขัด เห็นว่าจะประชุมประมาณ 4 ชั่วโมงเพราะงั้นผมจะกลับมาให้ทันก่อนจะเลิกประชุม” ผมบอกสก๊อตไปตามตรง ถ้ากลับมาทันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“เจ้าดูถูกองค์ราชาของพวกเราเกินไปแล้ว ถ้าสัมผัสถึงตัวตนเจ้าไม่ได้ต่อให้ประชุมหรือติดธุระสำคัญขนาดไหนก็ไม่เกี่ยว ตัวตนของเจ้าสำหรับท่านเบียทรีซน่ะยิ่งใหญ่มากนะรู้รึเปล่า”
“...ผมจะไปแค่แป๊บเดียว”
“นี่เจ้าไม่ได้ฟังข้าเลยสินะ”
“ผมฟังอยู่ แต่ผมรอจนเบียทรีซเลิกไม่ได้มันจะเย็นไป เพราะงั้นผมขอร้องล่ะครับ”
“จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ท่านเบียทรีซหาเจ้าไม่เจอข้าไม่รู้ด้วยนะ” อีกฝ่ายพูดต่อ
“ครับ?” หมายถึงเบียทรีซจะบ่นผมน่ะเหรอ
“ข้าจะเปิดทางเชื่อมให้” พูดจบสก๊อตก็ผายมือออกไปด้านข้างพร้อมพลังปิศาจที่หลั่งไหลออกมาผ่านทางปลายนิ้วทั้งห้า มิติโดยรอบเกิดอาการมิดเบี้ยวและแยกออกกว้างเป็นรูปประตู
“ขอบคุณนะครับ แล้ว...”
“ให้เวลาสามชั่วโมงข้าจะเปิดทางเชื่อมให้เจ้ากลับมาที่นี่อีกครั้ง” ไม่ต้องรอให้ผมพูดจบประโยคสก๊อตก็สามารถเข้าใจคำถามผมได้ในทันที
(มีต่อค่ะ)