≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการส่งท้าย:⊱ 30/8/62 P.6 -จบ-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการส่งท้าย:⊱ 30/8/62 P.6 -จบ-  (อ่าน 35321 ครั้ง)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับ

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น 

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้   

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว  ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


**********************************************



สวัสดีนะคะนักอ่านทุกท่าน

วันนี้มาเปิดนิยายเรื่องใหม่

หลายคนคงจะพอคุ้นหน้าคุ้นตากับเรากันมาบ้างแล้ว

ดีใจที่ทุกคนเปิดเข้ามาอ่านเรื่องนี้กัน

สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของนิยายได้ในเพจนะคะ>>nicedog<<


สำหรับเรื่อง ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ เป็นนิยายแนวแฟนตาซีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากลองแต่งแต่ไม่มีโอกาสได้แต่งสักที ในที่สุดวันนี้ก็ได้แต่งตามที่ตั้งใจแล้ว นายเอกของเรื่องจะมีความซุ่มซ่ามเป็นเพื่อนสนิทที่แยกกันไม่ขากส่วนพระเอกนั้นคือราชาของโลกปิศาจที่มีนิสัยเป็นราชาอย่างแท้จริง ความสัมพันธุ์ของทั้งคู่จะเริ่มต้นและสิ้นสุดในทิศทางใดต้องตามลุ้นกันค่ะ

หวังว่าทุกคนจะหลงรักความซุ่มซ่ามและความเป๋อของวิณณ์กันนะคะ

ขอฝากนิยายเรื่องใหม่ไว้ในอ้อมอกด้วยค่าาา


สารบัญ

⊰:ปฐมบท:⊱⊰:บงการ:วันที่1:⊱
⊰:บงการ:วันที่2:⊱⊰:บงการ:วันที่3:⊱
⊰:บงการ:วันที่4:⊱⊰:บงการ:วันที่5:⊱
⊰:บงการ:วันที่6:⊱⊰:บงการ:วันที่7:⊱
⊰:บงการ:วันที่8:⊱⊰:บงการ:วันที่9:⊱
⊰:บงการ:วันที่10:⊱⊰:บงการ:วันที่11:⊱
⊰:บงการ:วันที่12:⊱⊰:บงการ:วันที่13:⊱
⊰:บงการ:วันที่14:⊱⊰:บงการ:วันที่15:⊱
⊰:บงการ:วันที่16:⊱⊰:บงการ:วันที่17:⊱
⊰:บงการ:วันที่18:⊱⊰:บงการ:วันที่19:⊱
⊰:บงการ:วันที่20:⊱⊰:บงการ:วันที่21:⊱
⊰:⊰:บงการวันสุดท้าย:⊱:⊱



นิยายที่แต่ง

  ✉ CorrespondencE สื่อรักทางจดหมาย!✉

    ◣♥◥ Precinct ►◄ อาณาเขตรักของหัวใจ ◣♥◥

   ✥ Jurassic Heart ✥ดวงใจ กลายพันธุ์รัก


   ✣Jurassic Confidant✣ คู่หู กลายพันธุ์รัก


   ❣Secret heart❣ หัวใจ แอบรัก


    Find Love  ▪พบรัก▪


.。.:*・ ۩ Creative สรรค์สร้างรัก۩・*:.。.

♧♣Touch Love♣♧ สัมผัสรัก ด้วยหัวใจ

◈Jurassic Foster◈ กลายพันธุ์รัก ใต้ธารา

My Family 彡§ Secrets Ground §彡สืบลับเชื่อมใจรัก

«·´✖Defeated Heart✖`·» เสี่ยงรัก สยบหัวใจ


หากสนใจสามารถเข้าไปอ่านกันได้น้าาา

จะพัฒนาฝีมือในการแต่งต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ

ขอฝากผลงานกับทุกคนด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ


**นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่จริงใดๆ ทั้งสิ้น***



nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-08-2019 20:56:23 โดย nicedog »

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰:ปฐมบท:⊱



การเริ่มวันใหม่มักมาพร้อมกับแสงอาทิตย์แรกของวันเสมอแต่ดูเหมือนวันนี้จะเริ่มเร็วกว่าปกติเล็กน้อยเนื่องจากเสียงแปลกๆ คล้ายอะไรบางอย่างล่วงลงมากระทบพื้นดังขึ้นส่งผลให้ดวงตาสีน้ำตาลของผมค่อยๆ ลืมขึ้นทว่าภาพตรงหน้ากลับเบลอจนแทบมองไม่เห็น


จะให้มองเห็นก็คงแปลกเพราะผมเป็นคนสายตาสั้น และสั้นมากขนาดที่ถ้าไม่ใส่แว่นก็สามารถเดินขนของตรงหน้าได้ง่ายๆ แว่นทรงรีกรอบสีเงินถูกควานหาตั้งแต่บนเตียงยันหัวเตียงอย่างเร่งรีบถึงอย่างนั้นก็ยังหาไม่เจอ


“อยู่ไหนกัน” จำได้ว่าก่อนนอนวางไว้ไม่บนเตียงก็หัวเตียงนี่นา


แสงสว่างจากภายนอกมีส่องเข้ามารำไร ถ้าให้เดาเวลาในตอนนี้น่าจะอยู่ประมาณตี 5 หรือ 6 โมงเช้าเป็นแน่ ผมพยายามใช้มือคลำหาแว่นไปตามขอบเตียงจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ตามหา


“เจอแล้ว โอ๊ย!...” ยังไม่ทันได้ดีใจส่วนหัวก็กระทบกับผนังห้องอย่างแรงด้วยสาเหตุง่ายๆ คือสะดุดผ้าห่มตัวเอง เป็นโชคดีที่ไม่หงายหลังตกพื้นแต่เป็นบนเตียงนิ่มๆ ทำให้นอกจากหัวที่เจ็บแล้วส่วนอื่นก็ยังคงปลอดภัยดี


นี่เป็นกิจวัตรประจำวันปกติก่อนจะได้สวมแว่นในแต่ละวันของผม จะบอกว่าขี้ลืมก็ไม่ผิด ซุ่มซ่ามก็คงใช่และอาจบวกความเซ่อซ่าไปอีกหน่อยนี่แหละจึงเป็นตัวผม


เมื่อสวมแว่นเรียบร้อยผมไม่รอช้ารีบเดินไปเปิดประตูกระจกยังห้องรับแขกซึ่งเป็นประตูเชื่อมไปยังสวนขนาดเล็กของบ้าน เส้นผมสีน้ำตาลแดงของผมฟูฟ่องเพราะเพิ่งตื่นและฟูมากขึ้นไปอีกจากการลูบบริเวณที่เพิ่งโขกกำแพงไป ภาพตรงหน้าคือสวนขนาดเล็กที่มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาอยู่ประมาณ 3 ต้นส่วนที่เหลือเป็นต้นไม้เตี้ยๆ เกาะกลุ่มสลับกันไป


ควันสีเทาที่คละคลุ้งจนถึงเมื่อครู่ปลิวหายไปตามแรงลมพร้อมกับร่างสีดำของสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถระบุประเภทได้นอนจมกองเลือดอยู่ สนามหญ้าสีเขียวที่ผมเพิ่งลงทุนปลูกเมื่อวันก่อนบัดนี้ถูกย้อมด้วยสีแดงของเลือดซะแล้ว แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้านี่หรอก เส้นขนสีดำยาวปกคลุมทั้งตัวอาจคล้ายคลึงกับสุนัขทว่าสุนัขปกติไม่มีตัวใหญ่ได้ขนาดนี้แถมเขาสองข้างที่งอกออกมานั่นดูยังไงก็ไม่ใช่สัตว์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในสวนสัตว์


เสียงฝีเท้าของผมที่เดินเข้าไปใกล้เรียกดวงตาเรียวคมสีทองให้หันมาสบพร้อมเขี้ยวแหลมคมค่อยๆ เผยออกมาเช่นเดียวกับเสียงขู่รอดไรฟันนั่น ส่วนเท้าขนาดใหญ่จิกลงบนพื้นหญ้าคล้ายเป็นที่ยึดเกาะและพยายามยันตัวขึ้นในสภาพเลือดไหลอาบร่าง


“เดี๋ยว อย่าเพิ่งขยับนะ ใจเย็นๆ ก่อน” สถานการณ์ตรงหน้าทำเอาสมองที่คิดอะไรไม่ค่อยจะออกขาวโพลนจนแทบทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้แม้กระทั่งควรจะตกใจกับอะไรก่อนดีด้วยซ้ำ


สติ ใช่ ตอนนี้ผมต้องมีสติ


อย่าเพิ่งรนราน ถ้าค่อยๆ คิดละก็ต้องมีทางออกอย่างแน่นอน...


“จะทำหน้าเอ๋ออีกนานไหม ไปตามชารอนมาหาข้า!” เสียงตะโกนคล้ายตหวาดดังขึ้นจากปากที่ขยับอ้าออกของสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ตรงหน้า


“...” คนฟังอย่างผมถึงกับเบิกตากว้างระหว่างก้าวถอยหลังทีละก้าว


ไม่จริง!


หูฟาดแน่ๆ มันไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตตรงหน้าจะพูดภาษามนุษย์ออกมาและไม่มีทางที่ผมจะฟังภาษาสัตว์ออกด้วย ข้อสรุปเดียวที่คิดได้คือผมหูฝาด เมื่อครู่ต้องเป็นเสียงลมที่พัดผ่านประตูที่เปิดอ้าไว้จนเกิดเป็นเสียงแปลกๆ แน่นอน!


“เฮ้ย! หูหนวกรึไง บอกให้ไปตามชารอนมาหาข้า แค่ก!” พูดยังไม่ทันจบประโยคอีกฝ่ายก็กระอักเลือดออกมา


“...พูดได้?” นี่มันความฝันเหรอ


ที่จริงคือผมกำลังนอนหลับสนิทอยู่และเหตุการณ์ทั้งหมดนี่คือความฝันที่พอตื่นทุกอย่างก็จะกลับมาสู่สภาพปกติสินะ เป็นอย่างนั้นใช่ไหม?!


“ตกใจอะไรของเจ้า ชารอนอยู่ไหน”


“...คนรู้จักของคุณแม่เหรอ” ผมถามกลับอย่างไม่แน่ใจนัก ชื่อที่อีกฝ่ายเอ่ยหลายต่อหลายครั้งนั่นเป็นชื่อเดียวกับแม่ของผมที่เสียไปเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ความทรงจำเกี่ยวกับแม่ไม่ได้มีมากนักจำได้ว่าท่านเป็นผู้หญิงที่สวยมากแถมยังมีเส้นผมสีแดงดูโดดเด่นกว่าใครๆ ซึ่งทั้งผมและพ่อไม่รู้จักญาติทางฝ่ายแม่เลยสักคนเดียว จนมาถึงตอนนี้ผมก็ไม่เคยเจอคนรู้จักหรือแม้แต่ญาติของคุณแม่มาก่อน


ไม่สิ ตอนนี้ได้เจอแล้วคนนึง...แต่จะเรียกสรรพนามเป็นคนได้รึเปล่าล่ะ


“แม่? ยัยนั่นมีลูก? จะยังไงก็ช่างเรียกมาเร็วๆ” อีกฝ่ายเร่ง


“จะให้เรียกยังไง ก็แบบ...คุณแม่เสียไปตั้งนานแล้วครับ” ผมตัดสินใจบอกความจริงไป


“หา อย่าพูดเป็นเล่นข้าได้กลิ่นชารอน...ขยับเข้ามาใกล้ๆ นี่” อีกฝ่ายนิ่งพลางใช้ดวงตาสีทองมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า


“ฮะ?”


“ข้าสั่งให้เดินมาหาข้าไง”


“ครับ” ผมรีบก้าวยาวๆ เข้าไปใกล้สิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ทันที น้ำเสียงอันทรงอำนาจคล้ายจะฆ่าคนได้ของอีกฝ่ายทำเอาผมไม่กล้าแม้แต่จะปฏิเสธ พอเดินเข้าไปใกล้ในระยะที่มากขึ้นจมูกสีดำสนิทก็ขยับเข้ามาใกล้แล้วทำท่าเหมือนกำลังดมกลิ่นผมอยู่


“...เป็นกลิ่นเจ้างั้นสิ”


“...” ผมได้แต่ยืนกระพริบตาปริบๆ เพราะไม่รู้จะตอบไปว่ายังไงดี


“เจ้าน่ะเป็นลูกของชารอนสินะ”


“อืม ก็ใช่”


“ในเมื่อยัยนั่นไม่อยู่แล้วเจ้าก็มาทำหน้าที่แทนชารอนซะ” คำพูดแกมบังคับนั่นมาพร้อมกับดวงตาสีทองที่หรี่ลงคล้ายจะไม่ยอมรับคำปฎิเสธ


“เอ่อ...แล้ว คุณเป็นใครกัน” ผมกลั้นใจเอ่ยถามคำถามที่คาใจที่สุดออกไป


“เจ้าดูไม่ออกรึไงว่าข้าเป็นใคร”


“...” สุนัขตัวใหญ่มีเขาที่พูดภาษามนุษย์ได้


ถ้าผมตอบไปแบบนั้นเชื่อเถอะว่าต่อให้บาดเจ็บอยู่ผมก็อาจถูกขย้ำจมเขี้ยวได้ ในเมื่อพูดแบบนั้นออกไปไม่ได้ผมจึงส่ายหน้าเบาๆ กลับไปแทน


“ชิ ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่รู้ข้าจะยอมบอกสักครั้ง”


“...ครับ” ผมพยักหน้ารัวๆ


“ข้าคือราชาปิศาจ”


“ฮะ?!”


สรุปแล้วนี่ผมกำลังติดอยู่ในความฝันจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย?!

..........................................

มาประเดิมกับบทนำค่ะ

เรื่องนี้จะอัพอาทิตย์ละตอนเช่นเคยนะคะ

หวังว่าทุกคนจะหลงรักในความน่ารักและความซุ่มซ่ามของวิณณ์กัน

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
“ฮะ?!”  ด้วยคน  :a5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ราชาปีศาจก็มาาา

ออฟไลน์ Psycho

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 388
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ตกใจด้วยคน

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰บงการ:วันที่1:⊱



ราชาปิศาจคือผู้มีอำนาจอยู่เหนือสุดของเหล่าปิศาจและคอยปกครองปิศาจทุกตัวให้อยู่ในกฎ ซึ่งจากที่ได้อ่านในหนังสือส่วนมากจะเป็นปิศาจที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดจึงจะได้รับการยอมรับว่าเป็นราชา ในนิยายหรือละครหลายๆ เรื่องมีการพูดถึงราชาปิศาจเป็นเหมือนเรื่องปกติที่สามารถเจอได้ ทว่าทุกคนต่างรู้ดีว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่า เป็นเพียงจินตนาการที่ได้รับการเติมแต่งไม่ใช่ความจริงที่ผมเผชิญอยู่ตอนนี้


ไม่ใช่แค่ราชาธรรมดาแต่เป็นถึงราชาปิศาจ?!


เอาเข้าไปสิ ถ้าเป็นมุกตลกก็คงพอจะขำได้แต่ดูยังไงในสถานการณ์นี้ผมไม่สามารถมองเป็นมุกหรือเรื่องตลกได้ สัตว์ประหลาดตัวใหญ่ ขนดำและมีเขานี่ผมไม่สามารถมองเป็นสัตว์บนโลกได้จริงๆ


“เอ่อ...ช่วยอธิบายเพิ่มหน่อยได้รึเปล่า” ข้อมูลเดียวตอนนี้ที่มีคืออีกฝ่ายเป็นราชาปิศาจซึ่งมันน้อยเกินกว่าผมจะทำความเข้าใจได้


“สมองเจ้าไม่ดีรึไง”


“...ครับ” ผมคิดไม่นานก็พยักหน้ากลับไป สมองผมไม่ค่อยดีจริงๆ นั่นแหละ ตอนเรียนอยู่คะแนนก็ได้กลางๆ ไม่มีความโดดเด่นอะไรเป็นพิเศษนอกจากเส้นผมสีน้ำตาลแดงที่มักจะถูกอาจารย์บ่นว่าให้ไปย้อมเป็นสีดำกลับซะ แม้ผมจะบอกไปแทบทุกรอบแล้วว่านี่มันคือสีผมจริงๆ ของผมก็แทบจะไม่มีใครเชื่อ


“เป็นมนุษย์ที่แปลก ไม่สิ เจ้าไม่ใช่มนุษย์เต็มตัวนี่นะ” ยามถูกดวงตาสีทองนั่นประสานมาผมรู้สึกราวกับถูกล้วงความลับอยู่เลย


“ผมเป็นมนุษย์” ต่อให้ผมอาจไม่ฉลาดเท่าไหร่แต่ผมมั่นใจว่าตัวเองเป็นมนุษย์แน่นอน


“หึ ถ้าแม่เจ้าคือชารอนก็ไม่มีทางที่เจ้าจะเป็นมนุษย์ได้”


“...หมายถึงอะไร” ไม่นะ...ทำไมผมถึงรู้สึกว่ารู้คำตอบรางๆ แล้วล่ะ


“ชารอนเป็นปิศาจคนสนิทของข้า” คำว่าปิศาจถูกเน้นคล้ายกำลังบอกให้ผมเข้าใจได้สักที


“หมายความว่าผม...”


“เจ้าเป็นลูกครึ่งปิศาจ ดมจากกลิ่นก็รู้แล้ว” คำเฉลยที่ไม่ได้ผิดจากที่คิดไว้นั่นทำเอาผมถึงกับกุมขมับ


ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 30 ผมมีชีวิตธรรมดา มีเพื่อนธรรมดา จบจากมหาวิทยาลัยและทำงานธรรมดา เรียกว่าไม่ได้โดนเด่นตรงกันข้ามออกจะจืดชืดด้วยซ้ำ แล้วจะบอกเอาตอนนี้ว่าผมเป็นลูกครึ่งปิศาจงั้นเหรอ


“...คุณอาจเข้าใจผิด”


“เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร ข้าอาร์มาร์ก้า เบียทรีซ ตรีเชลโรณา ราชาปิศาจลำดับที่ 97 ของอาณาจักรปิศาจ เจ้าคิดว่าข้าจะแยกมนุษย์กับปิศาจไม่ออกงั้นสิ” ประโยคแนะนำตัวแสนยาวเหยียดทำเอาผมได้แต่ยืนเงียบปล่อยให้เสียงดังหูซ้ายทะลุหูขวา


ชื่อที่เพิ่งได้ยินไม่มีเคร้าโครงเหลืออยู่ในสมองเลยสักนิด


อะไรน่ะชื่อยาวๆ นั่น


“ขออีกรอบได้ไหมครับ” ผมคิดว่าจากนี้พวกเราต้องคุยกันอีกค่อนข้างยาวเพราะงั้นการจำชื่ออีกฝ่ายให้ได้เป็นสิ่งจำเป็น


“อาร์มาร์ก้า เบียทรีซ ตรีเชลโรณา”


“อาร์ก้าโรณา” ผมเอ่ยตามหลังอีกฝ่ายพูดจบ


“ไม่ใช่ อาร์มาร์ก้า เบียทรีซ ตรีเชลโรณา ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกว่าท่านเบียทรีซละกัน”


“เบียทรีซ” ผมทวนชื่อซ้ำ เป็นชื่อที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนควรจะบอกว่าสมแล้วกับที่เป็นชื่อของราชาปิศาจสินะ


“เติมท่านด้วย แล้วเจ้าล่ะ บอกนามของเจ้ามา”


“ผมชื่อวิณณ์ กวินทร์ ปริณญาณนันท์” ผมแนะนำตัวออกไปเช่นกัน


“วิณณ์...จากนี้เจ้าต้องมาเป็นทาสข้าแทนชารอน” เบียทรีซพูดเสียงเหี้ยม


“ทาส? ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำตามที่คุณพูดด้วย”


“เข้าใจอะไรยากจริง ในเมื่อชารอนเป็นทาสข้า เจ้าที่เป็นลูกก็ต้องเป็นทาสข้าเหมือนกัน” ราชาปิศาจคนนี้ดูเหมือนจะเอาแต่ใจกว่าที่คาด


นี่มันยุคไหนแล้ว


เลิกทาสไปตั้งแต่รัชกาลที่ 5 แล้วนะ


“ผมไม่ใช่ทาสคุณ ไม่รู้จักหรือเกี่ยวข้องกับปิศาจด้วย” พูดจบผมจึงก้าวถอยหลังเตรียมกลับเข้าไปในบ้าน


“นี่เจ้ากล้าเดินหนีข้า? แค่ก! หยุดเดี๋ยวนี้นะ ข้าบอกให้หยุดไง!” เสียงตะโกนไล่หลังของราชาปิศาจนามว่าเบียทรีซไม่สามารถหยุดผมที่กลับเข้ามาในบ้านได้


เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีทว่าเรื่องราวหลายๆ อย่างดันโถมเข้าใส่มากกว่าตอนทำงานมาทั้งปีซะอีก ร่างกายของอีกฝ่ายไม่น่าจะขยับได้ดูจากบาดแผลแล้วค่อนข้างสาหัส ดีไม่ดีอาจถึงแก่ชีวิตได้


“เฮ้อ” คิดไปคิดมาสุดท้ายก็จบลงด้วยการถอนหายใจยาวก่อนจะเดินกลับออกไปหาเบียทรีซที่ใช้ดวงตาคมๆ จับจ้องมา


“เจ้ากล้ามากนะที่หนีข้า”


“ผมจะพาคุณเข้าไปในบ้านเพื่อทำแผล อย่าเพิ่งดิ้นนะ” ด้วยขนาดตัวของผมแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอุ้มสัตว์ตัวยักษ์นี่เข้าบ้านผมจึงต้องจับสองขาหน้าแล้วออกแรงลากไปตามพื้นหน้า


“อย่ามาสั่งข้า โอ๊ย! หินมันโดนข้าเห็นไหม” เสียงบ่นของเบียทรีซดังขึ้นตลอดทาง ยังดีที่ดูเหมือนเขาจะขยับตัวไม่ได้เลยทำได้แค่บ่นขืนขยับตัวได้ผมจะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้


ร่างของเบียทรีซนอนแผ่อยู่บนเสื่อน้ำมันที่ผมปูวางรองไว้ล่วงหน้าระหว่างนั้นผมเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลซึ่งภายในมีทั้งขวดยาและอุปกรณ์ต่างๆ ครบครันเนื่องจากทุกๆ วันผมมักจะมีอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอดอย่างเมื่อเช้าก็เพิ่งหัวโขกผนังห้องไป


ผมเริ่มจากการใช้สำลีชุบน้ำเกลือล้างแผลบริเวณหน้าท้อง สีขาวของสำลีดูดซึมเลือดสีแดงซึ่งยังไหลออกมาจากบาดแผลไม่หยุดแม้จะใช้สำลีไปหลายสิบก้อนแล้วก็ตาม บาดแผลดูเหมือนจะลึกพอดูแถมยังกินวงกว้างลึกถึงเส้นเลือดพอดี


“ให้ผมพาไปหาหมอดีกว่าไหม” ผมไม่แน่ใจว่าแค่การล้างแผลและทายาแบบปกติจะเพียงพอรึเปล่า


“ข้าไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากมนุษย์” อีกฝ่ายบอกเสียงแข็ง


“เอ่อ...แต่ผมก็เป็นมนุษย์นะ”


“เจ้าไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นลูกครึ่งปิศาจ”


“ผมเป็นมนุษย์”


“ไม่ใช่”


“...” ผมเลือกที่จะเงียบเพราะดูแล้วว่าถึงจะเถียงยังไงก็คงไม่มีทางชนะ


หลังจากล้างแผลไปประมาณรอบที่สิบในที่สุดเลือดที่ไหลโชกก็ค่อยๆ หยุดไหลผมจึงเปลี่ยนมาใส่ยาเบตาบีนเพื่อสมานแผลตามด้วยการปิดผ้าก๊อตและพันผ้าพันแผลซ้ำอีกรอบ โชคดีที่ตลอดการพันแผลไม่ได้มีเลือดซึมออกมาเพราะถ้ามีผมคงต้องแกะออกมาใส่ยาทำแผลใหม่


“...เจ้า ดูชำนาญจังนะ”


“ฮะ? หมายถึงการทำแผลเหรอ” ผมถามกลับอย่างไม่เข้าใจนัก บริเวณหัวที่โขกพนักห้องไปเมื่อเช้าถูกนวดเบาๆ ด้วยยาในตลับที่ใกล้หมดเนื่องจากมีเรื่องให้ต้องได้ทาทุกวัน


“อื้อ” เบียทรีซทำเพียงพ่นลมหายใจออกมาคล้ายไม่ได้สนใจนัก


“ผมซุ่มซ่ามน่ะ เดินๆ อยู่บางทีก็สะดุดได้เลยค่อนข้างเก่งเรื่องการทำแผล”


“ก็เดาได้อยู่” ดวงตาคมๆ จับจ้องมาระหว่างเกยคางนอนบนขาหน้าทั้งสองข้างของตัวเอง


“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”


“ให้แค่คำถามเดียว”


“ทำไมราชาปิศาจอย่างคุณถึงได้บาดเจ็บและมาหาคุณแม่ที่นี่ล่ะครับ” ต้องใช้สมองไม่น้อยเลยที่จะรวบคำถามที่คาใจให้อยู่ในประโยคเดียว


“มันเกินหนึ่งคำถาม” เบียทรีซบอกเสียงนิ่งราวกับจะบอกว่ารู้ทันผมที่พยายามรวบคำถาม


“ผมต้องถามใหม่?”


“น่ารำคาญชะมัด ถ้าอยากรู้ก็จะบอกให้ มีใครสักคนมันกล้าวางยาข้าทำให้พลังปิศาจที่มีหายไปหมดจนต้องมาอยู่ในร่างแสนอ่อนแอแบบนี้แถมยังฉวยโอกาสตอนที่ข้าไร้พลังรอบทำร้ายข้าอีก หากไร้พลังก็มีทางเลือกแค่หนีหรือตายตรงนั้น”


“คุณเลยหนีสินะ”


“ไม่ได้หนีแค่ถอยมาตั้งหลักรอขย้ำมัน!” เบียทรีซเงยดวงตาสีทองขึ้นมาสบทันควัน


“...” ก็เป็นคนบอกเองนี่นาว่ามีแค่หนีหรือตาย การที่มาอยู่นี่ไม่ได้แปลว่าหนีมารึไง


อยากจะสวนกลับไปแต่ผมก็ตัดสินใจที่จะเงียบไว้ดีกว่า


“ชารอน แม่เจ้าเป็นคนสนิทข้าที่มาโลกมนุษย์เพื่อดูการเคลื่อนไหวพวกปิศาจในโลกมนุษย์” อาจเพราะห้องมันเงียบๆ มั้งอีกฝ่ายถึงได้พูดต่อโดยไม่มีใครถาม


“ในโลกมนุษย์มีปิศาจอยู่ด้วย?” ผมค่อนข้างตกใจเมื่อรู้ว่ามีโอกาสที่เราจะเดินสวนกับปิศาจได้ง่ายๆ


“มีสิ เยอะจะตายไป คิดว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่มีประชากรล้นโลกรึไง”


“...ผมไม่ได้คิดสักหน่อย”


“โลกมนุษย์ก็เหมือนสวนสนุกของปิศาจแหละ ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็มาแกล้งทำตัวกลมกลืนเป็นมนุษย์เข้าทำงานบริษัทจนได้ตำแหน่งใหญ่โตแล้วค่อยลาออกไปสมัครที่ใหม่ ยังไงชีวิตพวกข้าก็ยืนยาวกว่าไม่รู้กี่เท่า”


“คุณอายุเท่าไหร่เหรอ” ในเมื่อพูดเรื่องอายุแล้วผมคงปล่อยผ่านไปไม่ได้


“จะถามอายุใครต้องบอกอายุตัวเองก่อน ไม่มีคนบอกรึไง”


“ผมอายุ 30” ว่ากันตรงๆ ก็เข้าสู่รุ่นลุงแล้วทว่าหน้าตาของผมไม่ได้แก่ตามอายุเลย มีแต่คนบอกว่าผมหน้าเหมือนเดิมตั้งแต่เรียนมัธยมปลายยันปัจจุบัน


“หึ เด็กน้อยเพิ่งหัดคลานสินะ” แม้จะไม่ให้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดๆ เนื่องจากเส้นขนสีดำที่ปกคลุมอยู่แต่ฟังจากน้ำเสียงรู้ได้เลยว่าผมกำลังถูกแสยะยิ้มใส่อยู่


“เด็กที่ไหน ผมแก่แล้วนะ” ไม่มีใครเรียกคนอายุ 30 ว่าเด็กหรอก แถมยังเป็นเด็กน้อยเพิ่งหัดคลานอีก


อายุ 30 นะไม่ใช่ 3 ขวบ


“สำหรับปิศาจถือว่าเป็นเด็กน้อยเพิ่งหัดคลาน”


“แล้วคุณล่ะอายุเท่าไหร่” ผมรีบถามกลับด้วยความอยากรู้ ฟังจากเสียงแถมยังเป็นเพื่อนของแม่อย่างน้อยๆ ก็ต้องมากกว่า 60 ปี แต่ถ้าเป็นถึงราชาปิศาจอายุน่าจะมากหน่อยสัก 150 ปีละมั้ง


“230” คำตอบนั่นเท่าเอาผมดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นของผมถึงกับเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ให้ 150 ก็นับว่ามากแล้วแต่นี่...230 ปี อายุเทียบเท่ากับวัฎจักรของมนุษย์เกือบถึง 3 คนเลย


ถ้าเป็นมนุษย์คงแก่ง่อมจนคุยไม่รู้เรื่องแล้วละมั้ง


“...ผมต้องเรียกว่าทวดไหม” ดูจากอายุที่ต่างกันเกือบ 10 รอบแล้วก็รู้สึกถึงมารยาทขึ้นมาทันที


“ข้ายังหนุ่มยังแน่น ขืนเรียกข้าจะขย้ำคอเจ้าซะ”


“ถ้างั้นสำหรับปิศาจอายุมากนี่ประมาณเท่าไหร่กัน” ถ้า 230 ยังถือว่าหนุ่มต้องอายุเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าแก่ล่ะ


“ถามแปลกๆ เกิน 800 ปีนั่นแหละถึงเรียกว่าแก่”


หมายความว่าอายุของปิศาจก็เหมือนกับมนุษย์เพียงแต่ตัดเลข 0 ต่อท้ายไปอีกตัวเท่านั้นเอง อย่างผมที่อายุ 30 พอตัดเลข 0 ออกก็...3 ขวบ เข้าใจเลยว่าทำไมเบียทรีซถึงบอกว่าเป็นเด็กน้อยเพิ่งหัดคลาน


“แต่ผมเป็นมนุษย์ อายุก็น่าจะนับแบบมนุษย์สิ” จะให้ยอมรับว่าตัวเองอายุ3ขวบเมื่อเทียบกับปิศาจรึไงในเมื่อผมมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมาร่วม 30 ปีเลยนะ


“จะให้ข้าบอกอีกกี่ครั้งว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ ต่อให้มีเลือดของมนุษย์ไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่งแต่ด้วยเลือดของเผ่าปิศาจอีกครึ่งก็มาพอแล้วที่มอบอายุไขอันยาวนานของปิศาจให้ เพราะงั้นทำใจซะเจ้าต้องมาเป็นทาสข้า” ประโยคแรกๆ ก็ฟังดูมีสาระดีแต่ประโยคสุดท้ายนั่นเป็นความเอาแต่ใจของเจ้าตัวชัดๆ


“ผมไม่ใช่ทาสคุณ”


“คิดจะหือกับราชาอย่างข้ารึไงเด็กน้อยเพิ่งหัดคลาน”


“ผมไม่ใช่เด็กแล้ว” ลองออกไปถามคนอื่นดูสิว่าคนอายุ 30 มันเรียกเด็กได้รึเปล่า


“ข้าไม่สนใจคิดตามวิธีของมนุษย์หรอกนะ เอาเป็นว่าเจ้าต้องทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง” ไม่รู้ทำไมประโยคถึงวกกลับมาเรื่องนี้ได้


“นี่เป็นคำขอร้องที่คุณจะให้คนอื่นช่วยเหรอ”


“ขอร้อง? อย่าเข้าใจผิดไปนี่ไม่ใช่คำขอร้องแต่เป็นคำสั่งและเจ้าไม่มีสิทธิ์ขัดข้าวิณณ์” น้ำเสียงสุดแสนเอาแต่ใจของเบียทรีซทำเอาผมรู้สึกว่าหัวตัวเองมันเริ่มจะร้อนขึ้นๆ แล้วสิ


“คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาสั่งผมเหมือนกันเบียทรีซ”


ถ้าคิดว่าผมจะกลัวละก็...ก็คิดถูกแล้ว ใครจะไม่กลัวสัตว์หน้าขนตัวใหญ่ ขนดำมีเขาบ้างเล่า แต่ถึงจะกลัวแต่ผมก็ไม่ยอมง่ายๆ หรอกนะ เรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงเสรีภาพของผมนับจากนี้ด้วย


“ข้าเป็นราชาปิศาจ...”


“ตอนนี้คุณเป็นแค่คนบาดเจ็บและไม่มีที่ไป!!” ผมใช้พลังทั้งหมดไปกับการสวนกลับอีกฝ่าย ไม่บ่อยนักที่ผมจะสวนกลับใครแบบนี้


“...เจ้าขึ้นเสียงใส่ข้า”


“ผมก็แค่...แบบว่า เอ่อ ขอโทษ” ไม่รู้ว่าในหัวกำลังคิดอะไรอยู่ถึงจบลงด้วยการขอโทษแบบนี้


“...เจ้ามันแปลก” อีกฝ่ายมองผมที่เพิ่งขึ้นเสียงใส่แต่ดันปิดท้ายด้วยคำขอโทษซะอย่างนั้น


“เรามาทำข้อตกลงกันดีไหม” ผมลองเสนอ


“ข้อตกลง?”


“ผมไม่ใช่แม่ที่รู้จักคุณมาก่อน เพราะงั้นผมจึงไม่มีความจำเป็นต้องเป็นทั้งทาสหรือทำตามคำสั่งคุณ แต่ยังไงคุณก็เป็นเพื่อนของแม่จะให้ปล่อยไว้คงไม่ได้อีก ที่บอกว่าพลังหายไปจะสามารถกลับคืนมาได้ไหม”


“ได้สิ แต่อาจต้องใช้เวลาสักระยะ ถ้าข้าได้พลังกลับมาเจ้าพวกนั้นเตรียมโดนขย้ำได้เลย” น้ำเสียงอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความโกรธจนผมยังขนลุกตาม


“ถ้าอย่างนั้นจนกว่าพลังของคุณจะฟื้นก็พักอยู่ที่นี่ก่อน แต่ผมไม่ใช่ทาสหรือคนใช้คุณ”


“ข้าบาดเจ็บอยู่ เจ้าจะให้ข้าที่เจ็บดูแลตัวเอง?” เบียทรีซถามกลับ


“เอ่อ...งั้นผมจะช่วยดูแลจนกว่าแผลจะหายละกัน”


“แล้วมันต่างกับทาสหรือคนใช้ยังไงกัน”


“ต่างกันตรงความรู้สึก” ระหว่าคำว่าทาส คนรับใช้กับคนดูแลนี่ให้ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง


“จะยังไงก็ช่าง ข้าหิวแล้ว” ผมไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเข้าใจที่ผมพูดจริงไหมเพราะน้ำเสียงนั่นดูยังไงก็เหมือนสั่งคนใช้ให้ทำตามชัดๆ
เอาเถอะ ถือว่าดูแลคนป่วย อีกอย่างผมยังไม่ได้กินมื้อเช้าด้วย


“ในตู้มีคะน้ากับแครอทอยู่ ทำผัดคะน้าละกัน” ผมพูดพลางลุกขึ้นเตรียมเดินไปห้องครัว


“ผัก? เจ้าคิดจะใช้ราชาปิศาจกินผัก?!”


“...แล้วไม่ได้?” มันมีกฎบอกเหรอว่าห้ามให้ราชาปิศาจกินผักน่ะ


“ข้าจะกินเนื้อ และต้องเป็นเนื้อของเทอร์โรซอไมเนสสัตว์ปิศาจที่มีเนื้อรสเลิศที่สุด”


“ผมมีให้ 3 ทางเลือก ผัดคะน้า อาหารเม็ดหมาหรือจะไม่กิน” ระหว่างพูดแต่ละข้อผมชูนิ้วตามลำดับ


“เจ้าขู่ข้า”


“เปล่า” ผมส่ายหัวดิ๊กๆ ตอบ ผมไม่กล้าทำอะไรอย่างการขู่หรอกนะ


“ไม่มีเนื้อเลยรึไง” เบียทรีซถามต่ออีก


“เนื้อ...ไม่มีเลย มีเป็นไข่พอจะแทนได้รึเปล่า”


“ก็ยังดีกว่าผัก” ความหมายคือจะกินไข่สินะ


หลังจากรู้รายการอาหารที่ต้องทำผมก็ไม่รอช้าเดินไปยังห้องครัวซึ่งอยู่ถัดไปจากห้องรับแขกนี่เอง บ้านเดี่ยวชั้นเดียวหลังนี้เป็นมรดกเพียงอย่างเดียวที่พ่อและแม่หลงเหลือไว้ให้ ตั้งแต่แม่เสียไปเมื่อ 20 ปีก่อนพ่อก็เลี้ยงดูผมมาตามลำพังจนกระทั่งผมได้ทำงานในบริษัทถึงได้รู้ว่าตลอดมาพ่อปิดบังอาการป่วยของตัวมาตลอด กว่าจะได้รับการรักษาก็ช้าไปซะแล้ว ผมอาศัยอยู่คนเดียวมาได้ประมาณ 5 ปีแล้ว จะว่ายาวนานก็คงไม่ผิดแต่คิดอีกแง่ก็ถือว่าเร็ว


อาหารเมนูไข่ที่ผมทำเป็นเมนูแสนธรรมดาอย่างไข่ต้ม ดูจากโครงสร้างของร่างกายอีกฝ่ายคงไม่ได้กินน้อยเหมือนมนุษย์ดังนั้นผมจึงต้มไปให้ถึง 10 ฟอง ส่วนมื้อเช้าของตัวเองก็เป็นผัดคะน้าราดข้าวกินคู่กับไข่ต้มง่ายๆ ตามปะสาคนใช้ชีวิตคนเดียว ผมถือจานใส่ไข่ต้ม 10 ฟองวางตรงหน้าของเบียทรีซที่หลับตานอนนิ่งอยู่บนพื้น ดวงตาสีทองสว่างนั่นลืมขึ้นพร้อมจับจ้องมายังจานที่มีไข่ต้มอยู่จนเกือบล้นจานใบน้อยๆ นี่


“น้อยไป”


“...ในตู้ผมมีแค่นี้ มีของผมอีกฟองจะเอารึเปล่า” ผมมองไข่ต้มในจานตัวเองก่อนจะเอ่ยออกไป


“ข้าไม่คิดจะแย่งอาหารเจ้าหรอกนะ ผอมขนาดนั้นกินแต่ผักรึไง” อีกฝ่ายถามกลับพลางจัดการไข่ต้มใจจานทีละฟอง


“อืม ผมชอบกินผัก” ถ้าให้เทียบระหว่างเนื้อกับผักผมคงเลือกผักเพราะกินแล้วไม่หนักหรืออืดท้องเท่าเนื้อ


“เลยขาดสารอาหารสินะ”


“ผมไม่ได้ขาดสารอาหารสักหน่อย” รูปร่างของผมไม่ได้ผอมกร่องแต่ก็ไม่ได้อ้วนหรือกำยำ เรียกว่าเป็นรูปร่างมาตรฐานของผู้ชายทั่วๆ ไป


“เถียงข้า?”


“...” ผมใช้ความเงียบเป็นคำตอบ


ไม่ได้เถียงแต่พูดความจริงต่างหาก


เบียทรีซจัดการไข่ต้ม 10 ฟองหมดในพริบตาในขณะที่ผมใช้เวลาไปเกือบ 20 นาทีในการกินอาหารบนจานตัวเองก่อนจะเก็บทุกอย่างไปล้างในห้องครัวตามเดิม เนื่องจากเป็นวันหยุดผมจึงไม่ต้องออกไปทำงานแถมไม่มีธุระต้องออกไปไหนเลยเดินมาเปิดโทรทัศน์ยังห้องรับแขกซึ่งร่างสีดำสนิทของเบียทรีซเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสนใจ


“ไม่ดูข่าว” เบียทรีซเอ่ยทั้งที่ควรจะเป็นผมที่เลือกช่องไม่ใช่อีกฝ่าย


“ผมอยากดูข่าว” ตอนเช้าๆ แบบนี้ต้องรับข้อมูลข่าวสารเข้าสมองถึงจะดี


“ข้าไม่ดู”


“คุณก็นอนพักไปสิ” ผมไม่ได้บอกให้ดูสักหน่อย


“ร้อนขนาดนี้จะให้ข้าหลับได้ยังไง เหนอะหนะไปทั้งตัวแล้ว” ไม่พูดเปล่าอีกฝ่ายยังทำท่าแสดงอาการร้อนอบอ้าวออกมา


“ผมหันพัดลมไปทางคุณแล้วไม่น่าจะร้อนนะ” พัดลมเพียงตัวเดียวของห้องรับแขกนี้ถูกเปิดเบอร์สองและหันเข้าใส่ร่างของเบียทรีซเต็มๆ ตัวผมโดนแค่ครึ่งตัวเองมั้ง


เปิดให้ขนาดนี้ยังจะร้อนอีก?


“ร้อน ร้อนมาก...นี่ข้าอยู่ในประเทศทะเลทรายรึไงกัน”


“ประเทศไทยเป็นประเทศเขตร้อนชื้น คุณแค่ยังไม่ชินเท่านั้นเอง” ถ้าเป็นทะเลทรายต่อให้เปิดพัดลมเบอร์แรงสุดก็คงได้แต่ลมร้อนๆ อยู่ดี



(มีต่อ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


“ร้อน...แอร์ล่ะ ที่โลกมนุษย์มีแอร์ใช่ไหม รีบเปิดสิ” ร่างสีดำสนิทขยับยืดตัวเล็กน้อยเพื่อคลายความร้อน เสียงหอบหายใจหนักๆ เป็นตัวบอกอย่างดีว่าอีกฝ่ายพูดจริง


“ห้องนี้ไม่มีหรอก”


“แล้วมีห้องไหน”


“ห้องผม...”


“พาข้าไปเดี๋ยวนี้”


“...ผมไม่ใช้คนใช้คุณนะ” รูปประโยคขอร้องมันจะแปลกเกินไปหน่อยแล้ว


“ข้าร้อน ข้าร้อน ข้าร้อนมาก” อีกฝ่ายพูดย้ำคำพูดเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับจะบอกว่าถ้าไม่พาไปก็จะไม่หยุดพูด


“เฮ้อ...ก็ได้ๆ”


สุดท้ายผมเลยจำต้องออกแรงลากเสื่อน้ำมันที่มีร่างของปิศาจขนาดใหญ่นอนบาดเจ็บอยู่เข้าไปในห้องนอนตัวเองด้วยความยากลำบาก ความจริงตอนนี้ยังลำบากน้อยกว่าตอนลากมาจากสวนเยอะ อย่างน้องเสื่อน้ำมันก็ช่วยทุ่นแรงได้ไม่น้อยทีเดียว


ห้องนอนของผมมีขนาดปานกลาง เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาจะเห็นเตียงตั้งอยู่กลางห้องโดยสองข้างของเตียงมีโต๊ะตัวเล็กสำหรับตั้งขนาบข้างอยู่ถัดไปอีกนิดเป็นตู้เสื้อผ้า  ด้านในสุดของห้องเป็นห้องน้ำ นี่แหละคือทั้งหมดของห้องนอนผม เฟอร์นิเจอร์อะไรก็ไม่มีเพราะถ้าจะดูโทรทัศน์ก็จะออกไปดูห้องรับแขก โต๊ะคอมก็ไม่จำเป็นในเมื่อผมใช้โน๊ตบุ๊คที่สามารถเปิดวางบนเตียงได้


“นี่เจ้าเพิ่งย้ายบ้าน?” นี่เป็นคำถามแรกที่เบียทรีซถามยามถูกผมลากมาอยู่บริเวณพื้นว่างข้างเตียง


“เปล่า ผมอยู่บ้านนี้มาทั้งชีวิต” รีโมทแอร์ถูกหยิบเปิดก่อนจะนั่งลงบนพื้นด้านข้างเบียทรีซ บาดแผลที่เพิ่งพันผ้าไปไม่กี่ชั่วโมงบัดนี้เริ่มมีสีแดงจางๆ ซึมออกมา


“ของน้อยไป”


“ผมชอบให้ห้องโล่งๆ” พูดจบผมก็เอื้อมมือไปยังลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง อุปกรณ์ปฐมพยาบาลแบบพกพามีอยู่แทบทุกที่ของบ้านโดยเฉพาะในห้องนอนหรือห้องน้ำที่ผมมักจะเกิดอุบัติเหตุนิดๆ หน่อยๆ เสมอ


“โล่งไป...ทำอะไรน่ะ” สายตาของเบียทรีซเปลี่ยนจากสำรวจรอบห้องมาเป็นผมที่กำลังเปิดกล่องปฐมพยาบาลแบบพกพาด้วยสายตาสงสัย


“ผมจะใส่ยากับเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ให้” ระหว่างบอกผมค่อยๆ คลายผ้าพัดแผลเปื้อนเลือดออกอย่างเบามือ


“เจ้าบอกว่าตัวเองไม่ใช่ทาสข้าแต่รู้ไหมว่าทาสข้ายังไม่ทำขนาดเจ้าเลย”


“ผมไม่เคยเจอทาสคุณนี่ไม่รู้หรอก ผมแค่ไม่อยากให้ผ้าพัดแผลชุ่มเลือดไปมากกว่านี้ก็แค่นั้นเอง ตอนนี้คุณยังร้อนอยู่อีกไหม” ผมถามต่อ เปิดแอร์มาได้สักระยะภายในห้องจึงเริ่มเย็นขึ้น อาจเพราะเป็นห้องโล่งๆ แอร์เลยเย็นค่อนข้างเร็ว


“ก็เย็นอยู่แต่มันเหนอะหนะตัว” เบียทรีซตอบพลางขยับตัวให้นอบราบไปกับพื้นโดยไม่สนใจว่าแผลตัวเองครูดไปกับเสื่อน้ำมันจนเป็นคราบเลือดทางยาว


“งั้นให้ผมเช็ดตัวให้ไหม น่าจะสบายตัว” สาเหตุที่รู้สึกเหนอะหนะคงเป็นเพราะไปคลุกกับหญ้าตรงสวนมาแถมยังตากแดดอีก เหงื่อคงออกภายในเส้นขนหนาๆ อยู่เป็นแน่


คำตอบที่ผมได้รับมีเพียงสายตาที่บอกว่าจะทำอะไรก็เชิญ ผมเลยไม่รอช้าลุกขึ้นเดินเข้าไปเอากะละมังใส่น้ำใบเล็กกับผ้าสะอาดอีกสองสามผืนเดินกลับมาหาเบียทรีซที่ยังคงหลับตาอยู่นิ่งๆ เสียงของลมหายใจไม่ได้หอบหนักเหมือนก่อนหน้านี้แล้วแปลว่าเขาอาจไม่ถูกกับที่ร้อนก็เป็นได้


ระหว่างกำลังคิดอะไรเพลินๆ ขาผมก็พลันสะดุดบนพื้นโล่ง กะละมังใส่น้ำกระเด็นออกจากมือและร่วงลงใส่ร่างขนสีดำของเบียทรีซจนเปียกโชกราวกับกำลังอาบน้ำอยู่ก็ไม่ปาน ดวงตาสีทองสว่างลืมขึ้นพร้อมจับจ้องมายังผมที่กองราบอยู่บนพื้นในสภาพไถลหน้าไปกับกระเบื้อง


“...ข้าควรจะโกรธที่เจ้าสาดน้ำใส่ข้าหรือควรจะสงสารที่เจ้าสะดุดล้มบนพื้นราบแถมยังไถลมาซะไกลดีล่ะ”


“ขะ...ขอโทษครับ” ผมรีบพาตัวเองลุกขึ้นมาคลานเข่าเข้าไปก้มหัวขอโทษอีกฝ่ายรัวๆ บาดแผลไม่ควรที่จะโดนน้ำเพราะอาจทำให้ชื้นและเป็นหนองได้ง่ายแต่ผมกลับทำน้ำหกใส่จนชุ่มโชก ไม่เพียงแค่บนเสื่อน้ำมันแต่บนพื้นห้องเองก็เจ่อนองไปด้วยน้ำทว่าพื้นห้องจะเปียกหรืออะไรก็ช่างในตอนนี้ต้องรีบเช็ดน้ำออกจากแผลโดยเร็วที่สุด


ผ้าหลายผืนที่กระจายไปตามพื้นถูกเก็บมาใช้ซับน้ำออกจากปากแผลซึ่งผมพยายามทำอย่างเบามือแต่ด้วยความรีบร้อนหรือรนเลยเผลอออกแรงกดมากเกินไปจนได้ยินเสียงซี๊ดปากเบาๆ ดังมาจากเจ้าของแผล ความสำนึกผิดเข้าจู่โจ่มฉับพลัน


“ขอโทษนะเบียทรีซ...ขอโทษ...” ระหว่างเอ่ยขอโทษมือผมก็ใช้น้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดแผลก่อนจะใส่ยาตามไปอีกรอบ แม้กระทั่งพันผ้าพันแผลเสร็จผมก็ยังคงพึมพำประโยคเดิมซ้ำๆ ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนซุ่มซ่ามแต่ก็ยังไม่ระวังถือทั้งกะละมังทั้งผ้า ถ้าผมเลือกที่จะหยิบมาทีละอย่างอาจไม่จบลงแบบนี้ก็เป็นได้


“หยุดขอโทษได้แล้ว แค่โดนน้ำข้าไม่เป็นไรหรอกน่า เอาเวลาขอโทษไปจัดการตัวเองไป” คำพูดของเบียทรีซทำเอาคิ้วสองข้างของผมขมวดเข้าหากันแน่นด้วยความไม่เข้าใจ


“จัดการอะไร”


“เจ้าไม่รู้สึกอะไรเลย?” อีกฝ่ายถามกลับ


“ไม่...โอ๊ย!” ผมถึงกับส่งเสียงร้องออกมาเมื่อปลายจมูกเย็นๆ เงยขึ้นมาสัมผัสยังแก้มข้างซ้าย ความเจ็บแปล๊บแล่นทั่วร่าง พอลองใช้สันมือแตะดูก็พบว่าแก้มซ้ายผมมีรอยเลือดจางๆ อยู่ คงมาจากเหตุการณ์เมื่อครู่แน่


“ความรู้สึกช้าเหรอวิณณ์”


“...ทำไมเพิ่งมาเจ็บเนี่ย” ผมพึมพำกับตัวเอง ก่อนหน้านี้ตั้งนานไม่เห็นรู้สึกว่าเจ็บเลยสักนิดแต่พอรู้ตัวกลับเจ็บไม่หายขนาดจะล้างแผลด้วยน้ำเกลือยังเผลอสะดุ้งไปไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว


“ยังทายาไม่ทั่วเลย ด้านบนน่ะทาให้โดนสิ” เบียทรีซบอกโดยใช้ดวงตาคู่สวยนั่นจับจ้องมายังบริเวณแก้มซ้ายองผมอยู่ไม่ห่าง


“ตรงนี้?” ผมทำตามโดยการขยับสำลีชุบยาเลื่อนขึ้นไปอีกนิด


“ไม่ใช่ ทางขวาอีก”


“นี่ใช่ไหม”


“นั่นมันทางซ้าย ทางขวาของข้าสิ” อีกฝ่ายบ่นเมื่อผมไม่สามารถทายาได้ตรงจุดสักที


“ก็คุณไม่ได้บอกนี่ว่าขวาของใคร”


“บอกแล้วไงเมื่อกี๊”


“บอกช้าไป”


“อย่าเรื่องมาก แค่ข้ายอมบอกก็ดีเท่าไหร่แล้ว” เป็นอย่างที่ว่าแหละ เบียทรีซสามารถนอนมองผมเฉยๆ ได้แต่เขากลับเลือกที่จะช่วยบอกทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด


“ขอบคุณเบียทรีซ”


“ข้าบอกให้เจ้าเรียกว่าท่านเบียทรีซไง”


“...มันไม่ชินนี่” ถ้าให้เรียกคุณเบียทรีซก็ยังพอได้แต่ถ้าเป็นท่านให้ความรู้สึกแปลกๆ ในยุคนี้ มีแค่ไม่กี่คนหรอกที่เราจะใช้คำนามเรียกว่าท่าน นอกจากจะมีตำแหน่งสูงแล้วยังต้องมีหน้าตาทางสังคมด้วย แต่พูดถึงตำแหน่งคงไม่มีตำแหน่งไหนใหญ่ไปกว่าราชาปิศาจแล้วมั้งเนี่ย


กล่องปฐมพยาบาลแบบพกพาถูกเก็บเข้าที่เช่นเดียวกับกะละมังและผ้าสามสี่ผืนที่เปียกซกไปด้วยน้ำ ในจังหวะที่เปิดประตูแล้วเตรียมจะเดินเข้าห้องน้ำผมสะดุดเข้ากับมีพื้นต่างระดับจนหน้าทิ่มเข้าไปในห้องน้ำ โชคดีที่น้ำจากกะละมังหกลงในห้องน้ำไม่งั้นผมคงต้องเช็ดทำความสะอาดพื้นอีกรอบ แต่ในความโชคดีก็มีความโชคร้ายอยู่หน่อยๆ รอยถากบนแก้มซ้ายยังไม่ทันแห้งแผลใหม่บนหน้าผากก็ตามมาติดๆ แถมยังซ้ำรอยเดิมกับที่โขกผนังห้องเมื่อเช้าเลย


“ยาแก้ปวม...” ผมเปิดลิ้นชักหยิบกล่องปฐมพยาบาลแบบพกพาออกมาอีกรอบนึง


“ข้าว่าไม่ต้องเก็บก็ได้มั้งไอ้กล่องนี่น่ะ เดี๋ยวก็ได้ใช้อีก” เบียทรีซลืมตาข้างนึงมองผมที่กำลังนวดยาแก้บวมบริเวณหน้าผากไปมา


“คุณรู้ได้ยังไง”


“...แล้วเจ้าจะไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาตัวเองเจ็บตัวไปกี่ครั้งแล้ว”


“รู้สิ ผมเลยซื้อกล่องปฐมพยายาบาลมาวางไว้หลายๆ ที่เผื่อใช้ยามฉุกเฉินแบบนี้” อีกฝ่ายคงพูดถึงนิสัยซุ่มซ่ามปนเป๋อๆ ของผมที่ทำตัวเองเจ็บตัวถึงสองครั้งในเวลาไม่ถึงชั่วโมง


“ข้าชักสงสัยแล้วว่าเจ้าใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไง”


“ฮะ?”


ที่พูดหมายถึงอะไรน่ะ

............................................

สวัสดีค่ะ

มาต่อแล้วกันตอนแรก

อ่านแล้วเป็นยังไงกันบ้างคะ หวังว่าทุกคนจะเอ็นดูวิณณ์กัน

วิณณ์เป็นตัวละครที่เราวางคาแรกเตอร์ไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มคิดชื่อเรื่องหรือแม้แต่เนื้อหาหลักๆ

เราค่อนข้างชอบความน่ารักและความซุ่มซ่ามของวิณณ์มาก

ส่วนพระเอก...ก็เอาแต่ใจสมเป็นราชาล่ะน ถึงเราจะชอบความเอาแต่ใจนี้ก็ตาม 555

ขอฝากทั้งวิณณ์และเบียทรีซด้วยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ท่านปิศาจอยู่ในร่างนี้เป็นเรื่อย ๆ นะ จะย้ายไปไหน ลากไป ลากมา ดูแลง่ายดี  :katai3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อ๊องทั้งคู่เลยอ่ะ 55555

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰บงการ:วันที่2:⊱



กริ๋งงง~ กริ๋งงง~


เสียงแรกของวันดังขึ้นพร้อมผมที่ปรือตาด้วยความงัวเงียอย่างถึงขีดสุด แม้จะอยากหลับตาและจมอยู่ในความฝันต่ออีกสักชั่วโมงทว่าเสียงนาฬิกาที่ตั้งไว้กลับไม่ยอมหยุดผมจึงไม่เหลือทางเลือกนอกจากใช้มือควานหานาฬิปลุกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียง ด้วยสายตาที่ไม่ดีเป็นทุนเดิมทำให้นอกจากจะมองไม่ชัดแล้วยังกะระยะไม่ค่อยถูกด้วย นั่นส่งผลให้ร่างผมร่วงลงจากเตียงเนื่องจากการกะระยะในการคว้านาฬิกาปลุกพลาด


“โอ๊ย!...” ความงัวเงียที่มีสลายไปในพริบตา ความเจ็บบริเวณคางแล่นไปทั่วร่าง


“วิณณ์ เจ้าคิดจะเจ็บตัวทุกเช้าเลยรึไง” เสียงจากคน ไม่สิ ต้องบอกว่าเสียงจากสัตว์สีดำขนาดใหญ่ซึ่งเป็นถึงราชาปิศาจหรือเบียทรีซเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ สาเหตุของท่าทางแบบนั้นเป็นเพราะได้เห็นเหตุการคล้ายเดิมซ้ำๆ อยู่แทบทุกเช้า


อย่างตอนเช้าของเมื่อวานผมไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกเนื่องจากเป็นวันหยุดทว่าผมดันอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาเลยเดินไปยังห้องน้ำตามปกติแต่ใครจะคิดล่ะว่าจะลื่นล้มลงใส่เบียทรีซที่หลับสนิทอยู่ บริเวณที่โดนนั้นคือท้องซึ่งได้รับบาดเจ็บอยู่ การกระทำของผมส่งผลให้มีเลือดซึมออกจากปากแผลแทบจะทันที อาจเพราะเดาทางได้วันนี้เบียทรีซเลยขยับนอนห่างออกจากเตียงกว่าเดิมมาก


“...ผมก็ไม่ได้อยากเจ็บตัวสักหน่อย” ใครจะอยากตื่นเต็มตาด้วยความเจ็บปวดทุกวันกันล่ะ


“ทำไมวันนี้ต้องตั้งปลุก” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องถาม


“วันนี้ผมต้องออกไปทำงาน” เช้าวันจันทร์เป็นการทำงานวันแรกของสัปดาห์


“ทำงาน? เจ้าจะให้ข้าอยู่บ้านโดยไม่ใครดูแล?”


“คนเจ็บต้องพักผ่อนเยอะๆ คงไม่ต้องดูแลอะไรมากนอกจากทำแผลกับทำอาหารหรอกมั้ง เรื่องแผลอาบน้ำเสร็จผมจะเปลี่ยนผาพันแผลให้ส่วนอาหารเองก็จะทำเตรียมไว้ให้ด้วย” ผมบอกเบียทรีซระหว่างหยิบแว่นมาสวมพร้อมกับปิดนาฬิกาปลุกที่ยังดังไม่หยุด


“หยุดซะ” เบียทรีซบอกพลางใช้ดวงตาสีทองสว่างเงยขึ้นมาสบ สายตานั้นราวกับจะสื่อให้ทำตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ


“ไม่ได้ ผมมีงานค้างอยู่” ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธทว่าผมไม่สามารถหยุดได้ในช่วงใกล้สิ้นปีแบบนี้ งานในบริษัทหนักมาในช่วงนี้และผมเองก็ไม่ใช่คนที่มีความสามารถที่จะจัดการทุกอย่างให้เสร็จในวันสองวันด้วย


“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้า?”


“ผมไม่ใช่คนใช้คุณ” ไม่รู้ว่าผมบอกประโยคนี้ไปกี่ร้อยรอบแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันผมให้เขาอยู่นี่ได้จนกว่าจะหายดีแต่ผมไม่ใช่ทาสหรือคนใช้เขา พูดแบบนั้นแต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม


“เปลี่ยนผ้าพันแผลด้วย”


“รอผมอาบน้ำเสร็จก่อนนะ”


“มื้อเช้าด้วย” อีกฝ่ายบอกต่อ


“อื้มๆ จะต้มไข่ไว้ระหว่างเปลี่ยนผ้าพันแผลนะ”


“...เจ้าลองพูดประโยคก่อนหน้านี้อีกทีซิ”


“...จะต้มไข่ไว้ระหว่างเปลี่ยนผ้าพันแผลนะ” ผมนึกก่อนเอ่ยประโยคเดิมซ้ำ


“ไม่ใช่ ประโยคที่เจ้าตอบตอนข้าถามว่า เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้า” เบียทรีซถอนหายใจยาวใส่ผมพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ คล้ายเอือมละอาเต็มทน


“ผมไม่ใช่คนใช้คุณ”


“และที่เจ้าทั้งเปลี่ยนผ้าพันแผลทั้งทำอาหารให้นี่มันไม่ใช่หน้าที่ของคนใช้รึไง” คำพูดของเบียทรีซทำเอาดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นของผมเบิกกว้างขึ้นด้วยความคาดไม่ถึง


“...จริงด้วย” การกระทำของผมที่ผ่านๆ มาพอลองมาย้อนนึกดูนี่มันหน้าที่ของคนใช้ชัดๆ


“เจ้านี่นะ...ไม่รีบอาบน้ำไปเดี๋ยวก็สายหรอก” อีกฝ่ายถอนหายใจอีกรอบก่อนจะไล่ผมให้ไปอาบน้ำ


“ปิศาจอย่างพวกคุณก็ทำงานด้วยเหรอ” ผมถามเพราะเบียทรีซดูเหมือนจะรู้เวลาเข้างานของมนุษย์เลยเร่งให้ผมรีบก่อนที่จะสาย


“ทำสิ ระบบหลักๆ ก็เหมือนพวกมนุษย์แต่พวกข้ามีดีกว่าเยอะ”


“ดีกว่า?”


“รีบไปอาบน้ำซะแล้วมาเปลี่ยนผ้าพันแผลกับทำมื้อเช้าให้ข้า” เบียทรีซตัดบทการสนทนาด้วยสายตาคมๆ ทำเอาผมต้องเด้งตัวลุกขึ้นคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำทันควัน


เมื่ออาบน้ำเสร็จผมจัดการต้มไข่ระหว่างรอไข่สุกก็มาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เบียทรีซ บาดแผลของเขาดีขึ้นเร็วมาก ความจริงควรจะใช้คำว่าเร็วสุดๆ จะถูกกว่า เลือดที่ไหลไม่หยุดพอผ่านไปสองวันปากแผลกลับสมานตัวแล้วมีเหลือเพียงลอยจ้ำสีแดงคล้ายอาการช้ำเท่านั้น


“ไข่ต้มผมวางไว้บนโต๊ะในห้องรับแขกนะ...แล้วถ้าหิวน้ำก็เหมือนกันผมเทใส่ชามวางไว้ข้างโต๊ะ อย่าทำหกจนพื้นเปียกหรือนอนทับน้ำพวกนั้น...”


“รู้แล้วน่า อย่ามาสั่งข้า จะไปก็รีบๆ ไป” น้ำเสียงกึ่งรำคาญดังขัดประโยคที่ผมยังพูดไม่จบดี


“ก็ผม...เป็นห่วงนี่” ถึงจะต้องไปทำงานแต่ใช่ว่าผมจะไม่ห่วงอีกฝ่าย ต่อให้มีอายุกี่ร้อยปีแต่การให้อยู่บ้านตามลำพังในช่วงบาดเจ็บนี่ทำให้ผมกังวลพอสมควร


“...ข้าอยู่ได้ รีบไปซะก่อนจะสาย” ผมไม่รู้ว่าความเงียบในชั่วขณะหนึ่งคืออะไรแต่น้ำเสียงต่อมาดูอ่อนลงอย่างบอกไม่ถูก


“อืม ผมจะกลับมาตอน 5 โมงเย็นนะ” พูดจบผมจึงเดินออกไปขึ้นรถยนต์คันสีขาวซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านแล่นออกไปยังถนนใหญ่
บ้านของผมเป็นหมู่บ้านแบบเปิดใจกลางตัวเมือง การจราจรเลยค่อนข้างสะดวกเพียงแค่ขับตรงไปสุดซอยก็สามารถออกมายังถนนเส้นหลักได้ในเวลาไม่นาน สำหรับบริษัทหรือที่ทำงานของผมนั้นตั้งอยู่ติดถนนเส้นหลักนี่เลยจากบ้านผมไปเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น หากรถไม่ติดต่อให้ผมออกจากบ้าน 7.50 ก็ยังไปถึงที่ทำงานทันก่อน 8 โมงได้สบายๆ


ตึก 6 ชั้นขนาดกลางถูกรายล้อมไปด้วยรถขนส่งจำนวนหลายสิบคันที่เตรียมมารอรับสิ้นค้าไปกระจายต่อ บริษัทที่ผมอยู่นี้เป็นบริษัทเกี่ยวกับการแพ็คเกจตัวสินค้าตามความต้องการของลูกค้าหรือบริษัทที่มาติดต่อนั่นเอง ผมทำงานอยู่ในส่วนบัญชี เห็นแบบนี้แต่ผมจบบัญชีมาด้วยเกรดค่อนข้างดีทีเดียวแม้จะมีปัญหาหลักอยู่ที่ความซุ่มซ่ามหรือเป๋อๆ ทว่าพอเป็นตัวเลขแทบจะนับครั้งได้เลยที่ผมจะทำพลาด


ห้องทำงานบนชั้น 4 นอกจากฝ่ายบัญชีแล้วยังมีฝ่ายการตลาดอยู่ในห้องติดๆ กัน โต๊ะนั่งของผมอยู่ตรงกลางห้องที่มีพนักงานในฝ่ายอยู่ประมาณ 20 คน ตั้งแต่ผมเรียนจบมาใหม่ๆ ได้ไปสมัครเข้าทำงานในหลายๆ บริษัทแต่ด้วยเศรษฐกิจในตอนนั้นทำให้ไม่ค่อยมีบริษัทไหนเปิดรับพนักงานเพิ่มมากนักบวกกับเป็นช่วงที่รู้ว่าพ่อป่วยผมจึงไม่มีสมาธิกับการสัมภาษณ์เท่าที่ควร โชคยังดีที่บริษัทนี้ตอบรับให้ผมเข้ามาทำงานเนื่องจากตำแหน่งขาดกะทันหัน ผมในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรแถมยังดีใจด้วยซ้ำที่มีงานทำสักที แต่ความดีใจกลับสลายไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอ...


“วิณณ์! รายการบัญชีนี่มันอะไรทำไมยังไม่เสร็จอีกผ่านมาตั้งสองวันแล้ว ทำงานช้าขนาดนี้คิดจะให้ฉันถูกบ่นรึไง!” เสียงตวาดดังขึ้นคล้ายคำทักทายจากหัวหน้าฝ่ายบัญชีของบริษัท เธอชื่อคุณเตยเป็นผู้หญิงอายุ 40 กว่าที่มีใบหน้าและน้ำเสียงอันแข็งกร้าวเป็นเอกลักษณ์ ทุกคนในบริษัทต่างไม่กล้าฮือกับเธอเนื่องจากเป็นน้องสาวของรองประธานบริษัท


“สองวัน? ไหนหัวหน้าบอกว่าไว้ค่อยมาต่อวันจันทร์ไงครับ” เมื่อศุกร์ที่แล้วผมได้ข้อมูลมาจัดทำบัญชีแต่ตอนที่ได้มานั้นก็ปาเข้าไปตอนบ่าย 3 แล้ว ผมจึงทำไปได้แค่นิดเดียว ตอนแรกผมกะจะเอากลับไปทำที่บ้านแต่หัวหน้าบอกว่าไม่ได้รีบให้มาทำต่อวันจันทร์ยังทัน แต่พอมาวันนี้กลับพูดไปอีกอย่าง


“ฉันไปบอกแบบนั้นตอนไหนกัน คนทำบัญชีน่ะถ้าแค่เวลายังบริหารให้เรียบร้อยไม่ได้ก็อย่ามาทำ ฉันให้เวลาอีกแค่ 2 วันถ้ายังไม่เสร็จก็ไปยื่นใบลาออกซะ!” พูดเสร็จคุณเตยก็สะบัดหน้าเดินออกไปนอกห้องทันที


“ไม่รู้ไปอารมณ์เสียอะไรมา ไม่เป็นไรนะวิณณ์” พี่เจที่นั่งอยู่โต๊ะติดกันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงๆ เนื่องจากเลยเวลาเข้างานมาแล้วในห้องจึงมีพนักงานของฝ่ายบัญชีอยู่กับพร้อมหน้า


“ครับ” ผมตอบ


“ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องเล็งแต่วิณณ์ด้วย” พี่โยซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้นบ้าง


“...ความผิดผมเองแหละที่ยังทำไม่เสร็จ”


“ใช่ความผิดวิณณ์ที่ไหนล่ะ ไม่มีใครเอางานบริษัทกลับไปทำบ้านทั้งที่ยังมีเวลาเหลือขนาดนี้หรอก ตั้งแต่วิณณ์เข้ามาก็เอาแต่ชักสีหน้า ขึ้นเสียงแถมยังหาเรื่องด่าได้ตลอด” พี่โยพูดต่อ


“คนก่อนหน้านี้ก็โดนนี่ครับ” เรื่องนี้ผมได้ยินหลังจากเข้ามาทำงานได้ประมาณ 3 วันว่าคนก่อนที่ลาออกไปก็เพราะโดนคุณเตยไม่ชอบหน้าเลยทั้งหาเรื่องแกล้งให้ทำงานยาก และพอไม่ดั่งใจก็ด่าต่อหน้าทุกคนจนอีกฝ่ายทนไม่ไหวและลาออกไปในที่สุด


“อาจหาที่ละบายก็ได้นะ” พี่เจออกความเห็น


“นั่นสิ ถ้าเป็นเด็กใหม่คงไม่กล้าฮืออะไรอยู่แล้ว” พี่โยพยักหน้าเห็นด้วย


“คนก่อนทนได้แค่ 3 เดือนแต่วิณณ์ทนมาตั้งหลายปีแล้วสุดยอดไปเลยนะ”


“ผมไม่อยากเปลี่ยนงานครับ” ผมบอกไปตามตรง ตัวผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงนักเพราะการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ต่างกับการเริ่มต้นใหม่ซึ่งผมค่อนข้างกังวลว่าจะทำสิ่งใหม่นั่นออกมาไม่ดี เคยคิดจะลาออกแล้วหางานใหม่แต่สุดท้ายก็ยังทำงานที่นี่มากว่า 5 ปีแล้ว


“ถ้าไม่ทันเอามาให้พี่ช่วยได้นะ” พี่เจบอกผมด้วยรอยยิ้ม


พี่คนอื่นๆ ในฝ่ายเป็นคนดีมากทั้งคอยดูแลทั้งคอยปลอบเวลาผมโดนตวาดหรือบ่น การที่พวกเขาไม่เข้ามาช่วยไม่ได้แปลว่าจะไม่ห่วง ก่อนหน้านี้เคยมีพวกพี่ๆ เข้ามาช่วยผมที่กำลังโดนบ่นเชื่อไหมว่าหัวหน้าถึงกับตบหน้าอีกฝ่ายจนแดงเถือกปิดท้ายด้วยการตบผมอีกคนข้อหาทำตัวให้คนอื่นมาสงสาร ตั้งแต่วันนั้นผมเลยบอกให้พี่ๆ ทุกคนไม่ต้องการเข้ามาช่วยผม ถ้าแค่โดนบ่นผมยังทำเป็นไม่ได้ยินได้แต่หากมีคนต้องมาโดนไปด้วยคงทำให้ผมรู้สึกแย่เอามากๆ


“ไหวครับ ของพี่เจเถอะข้อมูลจากประเทศเนปานจัดการยากกว่าของผมอีก” บริษัทนี้ไม่ได้มีแค่ลูกค้าในประเทศแต่ยังมีต่างประเทศเข้ามาใช้บริการด้วย ข้อมูลหลายๆ ตัวจึงไม่ใช่ภาษาไทย


“พี่ต้องถูกปาดคอคอแน่ถ้าทำเสร็จไม่ทันกำหนด”


“แฮะๆ” ใจจริงผมก็อยากบอกว่าไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่มาคิดอีกทีถ้าเป็นคุณเตยก็มีสิทธิ์ที่จะทำจริง


คุยกันไม่นานพวกเราต่างก็แยกกลับไปจัดการงานของตัวเอง บนโต๊ะผมมีคอมพิวเตอร์ประจำอยู่ซึ่งทั้งวันผมนั่งพิมพ์ของมูลลงบัญชีโดยไม่แม้จะไปพักกินข้าวกลางวัน การฝืนทำงานไม่ใช่เรื่องดีผมรู้แต่มันเป็นเหมือนนิสัยที่หากมีสมาธิกับอะไรมากๆ ก็อยากจะทำต่อจนกว่าจะเสร็จ แน่นอนว่าการทำบัญชี 1 ฉบับไม่สามารถสำเร็จได้ในวันเดียว


ความคืบหน้าของงานที่มากกว่าครึ่งทำให้ผมรู้สึกภูมิใจอยู่นิดๆ ที่สามารถทำได้ขนาดนี้ในเวลา 1 วัน พอเลิกงานผมไม่รอช้าขับรถยนต์คันสีขาวของตัวเองกลับบ้านทันที เมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้านทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิมไม่ว่าจะเป็นจานใส่อาหาร ชามใส่น้ำหรือแม้แต่ร่างของเบียทรีซที่นอนหมอบอยู่บนพื้นข้างโซฟาตัวยาวในท่าเดิมตั้งแต่เมื่อเช้า


ที่แตกต่างไปจากเดิมมีเพียงไข่ต้มกว่า 10 ฟองบนจานหายไปเช่นเดียวกับน้ำที่พร่องไปกว่าครึ่ง บ่งบอกได้ว่าอีกฝ่ายได้ลุกขึ้นมาขยับร่างกายบ้างในช่วงที่ผมออกไปทำงาน


เสียงฝีเท้าของผมเรียกวงตาสีทองสว่างที่ปิดอยู่ให้ลืมขึ้นทีละนิดพร้อมส่วนหัวซึ่งถูกปกคลุมด้วยขนสีดำสนิทจะเงยขึ้นมามอง เป้าหมายของสายตานั่นไม่ใช่ตัวผมแต่เป็นบริเวณจมูกที่แดงกว่าปกติด้วยเหตุผลง่ายๆ คือผมเดินชนเสาตรงหน้าบ้าน


“เดินชนหรือสะดุดล้มอีกล่ะ” อีกฝ่ายถามพลางขยับตัวลุกขึ้น


“ชนเสาหน้าบ้านน่ะ”


“ความซุ่มซ่ามนั่นโยนไปให้คนอื่นบ้างเถอะจะเก็บไว้คนเดียวเลยรึไง”


“ถ้าโยนได้ผมคงโยนไปนานแล้ว” พูดเหมือนความซุ่มซ่ามมันสามารถหยิบจับและโยนมันทิ้งได้ทุกเมื่องั้นแหละ


“หัดใช้ประสาทสัมผัสซะบ้างสิ! ปิศาจอย่างพวกเราสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้จากสัญชาตญาณอยู่แล้ว แค่เสายังเดินชนมันเสียชื่อปิศาจหมด!” เบียทรีซไม่บ่นเปล่ายังยกเท้าหน้าขึ้นแล้วกวักเล็กน้อยคล้ายกำลังชี้หน้าผม


“ให้มือผมเหรอ” ผมก้มลงไปนั่งบนพื้นจับมือข้างที่ยกขึ้นพร้อมเขย่าเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม


“ใครให้มือเจ้ากัน! ข้าไม่ใส่หมานะ รู้ไหมว่ากำลังลามปามกับราชาปิศาจลำดับที่ 97 อย่างอาร์ชีมาร์ก้า เบียทรีซ ตรีเชลโรณาอยู่น่ะ...”


“ขนนุ่มจังเลย” ผมเพิ่งสังเกตอย่างจริงจังก็ตอนนี้เองว่าเส้นขนสีดำนี่นุ่มสลวยเหมือนขนแมวราคาแพงเลย ความรู้สึกยามสัมผัสนั้นช่วยทำให้ผ่อนคลายได้ ขนาดแค่จับมือยังรู้สึกดีขนาดนี้ถ้ามากกว่านี้จะฟินน่าดู


“เจ้าอยากถูกขย้ำนักสินะ เฮ้ย!” เบียทรีซถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อถูกโผลเข้ากอดซุกใบหน้าลงยังแผงขนบริเวณลำคอที่ฟูฟ่องอย่างอดใจไม่อยู่


“นุ่มจัง รู้สึกดีสุดๆ” เวลาเส้นขนนุ่มๆ นี่ขยับไปมาตามแรงขยับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหนุนก้อนเมฆอยู่เลย


“ทำอะไรของเจ้าเนี่ย”


“เพิ่งรู้ว่าขนคุณนุ่มขนาดนี้” ตอนทำแผลมัวแต่สนใจเลือดกับบาดแผลเลยไม่ได้สนใจส่วนนี้นัก


“แน่นอนสิ ข้าเป็นถึงราชาปิศาจจะให้มีขนหยาบกระด้างเหมือนพวกสามัญชนได้ที่ไหนกันล่ะ” น้ำเสียงของเบียทรีซดูจะภูมิใจกับความนุ่มของขนตัวเองอยู่ไม่น้อย


“อ่า...ขอบคุณนะ” ผมซุกแผงคอนนั่นสักพักจึงผละออกมาพร้อมเอ่ยขอบคุณ อะไรหนักๆ ในหัวปลิวหายไปหมดเลย


“ขอบคุณเพื่อ?”


“...ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมล่ะ?” ผมเอียงคอถามกลับ จะบอกว่าขอบคุณที่ให้ซุกขนนุ่มๆ มันก็ออกจะแปลกเกินไปหน่อยละมั้ง


“แล้วข้าจะไปรู้กับเจ้าไหม”


“ไม่รู้เหรอ”


“ก็ไม่รู้น่ะสิ เลิกทำหน้าเอ๋อแล้วทำมื้อเย็นได้แล้ว ข้าหิว”


“ได้ๆ โอ๊ะ...ผมลืมซื้อของนี่นา” ขาที่กำลังก้าวไปยังห้องครัวถึงกับชะงักเมื่อนึกได้ว่าตัวเองลืมอะไรไป ตอนเช้าผมใช้วัตถุดิบทั้งหมดในตู้เย็นทำมื้อกลางวันของเบียทรีซไปแล้วตอนนี้ในตู้เลยไม่เหลือแม้แต่ไข่สักใบ


ผมตั้งใจไว้แล้วว่าขากลับจะแวะห้างไม่ก็ซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อวัตถุดิบต่างๆ มาตุนไว้แต่พอถึงเวลาจริงกลับลืมเรื่องนี้สนิทเรียกว่าไม่มีอยู่ในหัวเลยก็ไม่ผิด


“ลืมซื้อก็ไปซื้อสิ”


“จริงด้วย ออกไปซื้อ...ห้างก็ไกลไป งั้นไปตลาดแถวนี้แก้ขัดไปก่อนละกัน” ผมพยายามนึกว่าแถวนี้มีห้างหรือที่ซื้อของแถวไหนบ้างซึ่งที่ที่ใกล้ที่สุดเป็นตลาดสดขนาดใหญ่อยู่ถัดจากบ้านผมไปประมาณ 5 ซอย เดินไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว


“เนื้อ ข้าจะกินเนื้อ” เบียทรีซพูดทันที


“ได้ๆ ผมจะซื้อเนื้อมาทำอาหารให้...หว๋า~!” ด้วยความที่รีบร้อนยืนเท้าจึงพันกันจนร่างเซล้มลงไปบนพื้นกระเบื้อง โชคดีที่เบียทรีซใช้ตัวเป็นเบาะรองรับผมไม่ให้ร่างผมกระแทกกับพื้นแข็งโดยตรง


“เจ้า! จะล้มบนพื้นราบอีกกี่ครั้งถึงจะพอใจฮะ” น้ำเสียงบ่นๆ นั่นแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย


“แฮะๆ”


“ไม่ต้องมายิ้ม”


“ขอบคุณที่ช่วยนะเบียทรีซ”


“ขืนหัวเจ้ากระแทกได้เป๋อกว่าเดิมแน่ แค่นี้ก็มากพอแล้ว”


“...ก็จริง” ผมคิดสักพักก่อนพยักหน้ายอมรับตรงๆ


“ข้าจะไปด้วย”


“ฮะ?” ไปไหน?


“ไปตลาดไง ข้าจะไปด้วย” เบียทรีซขยายความ


“ไม่ได้ ไม่มีทางแน่นอน ห้าม!” ผมใช้มือสองข้างทำรูปกากบาทรัวๆ ด้วยรูปลักษณ์ของเบียทรีซไม่สามารถทำเนียนกลมกลืนเป็นสุนัขตามท้องถนนได้แน่นอน แค่ขนาดตัวก็เรียกทุกสายตาให้มาจับจ้องแล้ว นี่ยังไม่รวมเขาสีดำสองข้างกับดวงตาสีทองสว่างอีก ประเด็นสำคัญคือไม่มีสุนัขที่ไหนพูดได้


ลองพาไปตลาดสิได้มีคนโทรแจ้งตำรวจชัวร์!


“ทำหน้าประหลาด”


“หน้าผมก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ตลาดผมจะไปคนเดียวเองไม่ต้องห่วงจะรีบกลับมา”


“ใครห่วงเจ้ากัน ให้ไปคนเดียวเกิดสะดุดทำเนื้อข้าตกถังขยะจะทำยังไง”


“ผมไม่ได้ซุ่มซ่ามขนาดนั้น...”


“ซุ่มซ่ามมากกว่านั้นน่ะสิ!” อีกฝ่ายสวนขณะผมยังเอ่ยไม่จบประโยค


“ยังไงคุณก็ไปไม่ได้ รูปลักษณ์เตะตามากเกินไป” ผมยืนกราน


“งั้นต้องแบบไหนถึงจะไม่แตะตา”


“ก็...ตัวเล็กกว่านี้ ไม่มีเขาแล้วก็ไม่พูด ประมาณนั้น” ถ้าทำได้ก็คงเหมือนเป็นสุนัขปกติ


“น่ารำคาญชะมัด แบบนี้พอใจรึยัง” ระหว่างพูดร่างกายของเบียทรีซก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เขาสองข้างบนหัวอยู่ๆ ก็หายไปแถมขนาดของร่างยังเล็กลงจนเหมือนสุนัขปกติที่ขนออกจะยาวรุงรังไปสักหน่อย


“...คุณแปลงร่างได้?”


“แค่ปรับให้อยู่ในรูปร่างที่อ่อนแอลงก็เท่านั้น”


“ไหนคุณบอกว่าพลังไม่มีไม่ใช่เหรอ” ผมถามต่อเพราะจำได้ว่าวันแรกที่เจอกันอีกฝ่ายบอกว่าพลังปิศาจหายไปหมดแล้วเลยจำต้องอยู่ในร่างนี้


“ยิ่งร่างเล็กท่าไหร่ก็ยิ่งใช้พลังน้อยลงเท่านั้น เจ้าคิดว่าราชาอย่างข้าอยากมาอยู่ในรูปลักษณ์อ่อนแอที่แค่โดนลมก็แทบปลิวนี่รึไง” อีกฝ่ายบ่นสลับกับเดินไปรอบๆ ผ้าพันแผลที่พันไว้ร่วงลงไปกองอยู่บนพื้นเนื่องจากขนาดของร่างที่เล็กลงกว่าเดิมมาก


“โดนลมไม่ปลิวหรอก” ต่อให้มีขนาดเท่าสุนัขแต่ก็เป็นสุนัขพันธ์ใหญ่โดนลมยังไงไม่มีทางปลิวแน่นอน


“ข้าแค่เปรียบเทียบ!” อีกฝ่ายสวนกลับด้วยน้ำเสียงปลงๆ คงไม่คิดละมั้งว่าผมจะตอบกลับไปด้วยประโยคจริงจังแบบนั้น


“อืม ผมจะพันแผลให้ใหม่ละกัน” ผมเดินไปหยิบผ้าพันแผลใหม่ใรกล่องปฐมพยาบาลมา


“เอาอันเดิมก็ได้นี่”


“มันตกพื้นแล้ว ไม่สะอาด”


“พันๆ ไปก็จบแล้วอย่าเรื่องมาก” ถึงเบียทรีซจะบ่นแต่ก็ยอมยืนอยู่นิ่งๆ ให้ผมพันผ้าพันแผลใหม่จนเสร็จ


หลังจากนั้นผมเดินไปหยิบกระเป๋าเงินพร้อมดูหลายๆ อย่างในตู้เย็นว่ามีอะไรที่ต้องซื้อไว้อีกนอกจากพวกของสด เมื่อทุกอย่างพร้อมจึงเดินจากบ้านโดยมีเบียทรีซเดินนำหน้าไป


“คุณจะไปด้วยจริงๆ น่ะเหรอ” ผมถามย้ำระหว่างล๊อคกุญแจบ้าน


“อื้อ” น้ำเสียงกึ่งรำคาญนั่นคงเพราะผมถามคำถามเดิมมาเป็นรอบที่ 10 ได้ตั้งแต่พันผ้าพันแผลเสร็จ


“คุณห้ามเดินห่างจากผมหรือไปกัดใครนะ เป็นไปได้ก็อยู่นิ่งๆ ด้วย”


“ข้าไม่ใช่หมาที่จะต้องฟังคำสั่งเจ้า อีกอย่างข้าไม่กัดหรอกแต่จะขย้ำให้หมดลมในครั้งเดียวเลย” สายตาเอาจริงของเบียทรีซทำเอาผมรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา


“คุณอยู่บ้านเถอะ” ผมไม่อยากเสี่ยงให้เขาไปด้วยเลย


มันอันตรายเกินไป


“รีบๆ ไปสักที” นอกจากไม่ฟังแล้วยังเดินนำผมออกไปอีกต่างหาก


“เดี๋ยว...”


“อะไรอีกเล่า!”


“...คุณไปผิดทาง” ผมบอกเสียงอ่อย


“ก็บอกแต่แรกสิ!” ทันทีที่ได้ยินเบียทรีซรีบหันหลังกลับไปอีกฝั่ง


สงสัยคงจะอายที่ไปผิดทางละมั้ง แต่มันไม่ใช่ความผิดผมนะ ก็ผมกำลังจะบอกทางอยู่หรอกแต่เจ้าตัวเล่นเดินนำด้วยใบหน้ามั่นใจแบบนั้นมันพูดลำบาก


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


พวกเราเดินผ่านซอยไปจนถึงสนามโล่งกว้างซึ่งบัดนี้มีร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่จนเกือบเต็มพื้นที่ ก่อนจะเดินเข้าตลาดผมย้ำกับเบียทรีซเป็นรอบที่ยี่สิบว่าห้ามหลุดปากพูดเด็ดขาด แค่มาเดินตลาดแล้วมีสุนัขที่ไม่ได้ใส่สายจูงตามก็เรียกว่าเป็นจุดเด่นมากพอแล้ว


เสียงเจี๊ยวจ๊าวด้านในของตลาดดังขึ้นมาเป็นระลอก ได้ชื่อว่าเป็นตลาดนอกจากมีแม่ค้าและเหล่าแม่บ้านที่เดินซื้อของกันอย่างแออัดแล้วยังมีพวกสุนัขจรจัดเดินอยู่ด้วย แน่นอนว่าพวกมันไม่ปล่อยเบียทรีซที่เข้ามาในอาณาเขตของตัวเองพากันเดินเข้ามาใกล้พร้อมยกหางตั้งขึ้น เหล่าแม่ค้าและลูกค้าต่างหลีกทางไปอีกฝั่งเพราะกลัวจะโดนลูกหลง


“พ่อหนุ่ม! ไม่มีใครบอกเหรอว่าพาหมาเข้ามาเดินในนี้ เดี๋ยวก็ถูกรุมเอาหรอก” แม่ค้าคนหนึ่งตะโกนบอกผมที่ทำเพียงหันซ้ายหันขวาพยายามคิดหาทางออก


“ผมไม่...”


“กรรร~!” ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงขู่จากเบียทรีซก็ทำเอาสุนัขที่กำลังวิ่งเข้ามาถึงกับหยุดชะงัก หางที่ตั้งขึ้นแสดงถึงอำนาจค่อยๆ ตกลงจนกระทั้งม้วนเข้าไปอยู่ใต้ท้องในเวลาไม่กี่วินาทีหลังได้ยินเสียงขู่ พอเบียทรีซก้าวเข้าไปใกล้กลุ่มของสุนัขกว่า 10 ตัวก็วิ่งหางจุกตูดกระจายกันไปคนละทาง


สงสัยพวกมันจะรับรู้ได้ว่าสุนัขตรงหน้าไม่ใช่สุนัขธรรมดาจึงรีบวิ่งหนีกันไปแบบนั้น


“ใจเย็นๆ นะ” ผมก้มลงไปลูบแผงขนสีดำสนิทเพื่อบรรเทาอารมณ์หงุดหงิดปนรำคาญที่แผ่ออกมรอบตัว


“กล้ามานะที่มาแสดงอำนาจต่อหน้าข้า...”


“ชู่!” ผมรีบตะครุบปากอีกฝ่ายไม่ให้พูดไปมากกว่า เหล่าแม่บ้านที่กลับมาเดินตามปกติหันมามองทางผมเล็กน้อย


ดวงตาสีทองของเบียทรีซหรี่ลงแทนคำพูดบอกให้ปล่อย ผมจึงปล่อยมือที่ตะครุบปากอีกฝ่ายออก ราชาปิศาจในร่างสุนัขตัวสีดำไม่ได้พูดอะไรอีกแต่เดินนำไปยังร้านขายเนื้อวัวที่ดูหรูหรากว่าร้านอื่นที่เดินผ่านมา ร้านอื่นมีเนื้อวางให้เลือกอยู่ในถาดทว่าร้านนี้กลับเป็นกระจกอย่างดีแสดงถึงระดับราคาที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง


“รับอะไรดีครับ” เจ้าของร้านเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ผมส่งยิ้มบางๆ ให้พร้อมกับมองปลายจมูกของเบียทรีซที่ชี้ไปทางเนื้อสันในที่อยู่ตรงกลางของตู้กระตก


“เนื้อสันใน...” เสียงผมเบาลงเรื่อยๆ เนื่องจากสายตาหันไปเห็นป้ายราคาของเนื้อที่ตกกิโลกรัมละ 2,500 บาท


2,500 บาท?


บ้าไปแล้ว แพงขนาดนั้นผม...


“เนื้อสันในนำเข้าจากประเทศออสเตรเรียเลยนะครับ รับเท่าไหร่ดีครับ” เจ้าของร้านถามต่อ


“คะ...ครึ่งโลครับ” ในเมื่อเอ่ยสั่งไปแล้วคงทำอะไรไม่ได้ จะสั่งแค่ขีดเดียวเบียทรีซที่มองอยู่คงเอ่ยสั่งแทนผมแน่


“รอสักครู่ครับ” พูดจบเจ้าของร้านจึงเปิดตู้กระจกหยิบชิ้นเนื้อสันใจไปหั่นชั่งกิโลให้


“เอามาทั้งชิ้นเลยสิ” เบียทรีซบอกเมื่อผมก้มหน้าลงไปหาตามเท้าหน้าที่กวักเรียก


“ทั้งชิ้น? ผมไม่ได้พกเงินมามากขนาดนั้น” เนื้อทั้งชิ้นนั่นดูยังไงคงไม่ต่ำกว่า 5 กิโล ผมพกเงินมาไม่ถึงหรอกนะ ในกระเป๋ามีแค่ 3,000 บาทเท่านั้นเอง แถมเงินนี่ผมต้องใช้ทั้งอาทิตย์ไม่ใช่หมดในวันเดียว เพิ่งเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ผมก็ประเดิมเนื้อไปเป็นพันแล้วอีกหกวันที่เหลือผมจะทำยังไงล่ะ


“ชิ แค่นี้ก็ได้” อีกฝ่ายบอกพลางเชิดจมูกขึ้นเพื่อดมกลิ่นสิ่งต่างๆ รอบตัว


ใช้เวลาไม่นานเนื้อสันในครึ่งกิโลก็ถูกยื่นมาพร้อมกับแบงค์พันที่จากกระเป๋าผมไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นผมเดินซื้อพวกผักและไข่โดยในหัวก็คิดเมนูอาหารที่จะทำในแต่ละวันไว้ มาตลาดทั้งทีก็อยากซื้อของไปให้ครบจะได้ไม่ต้องออกมาหลายรอบ เพราะคิดแบบนั้นละมั้งสองมือผมเลยเต็มไปด้วยถุงผัก เนื้อและไข่


เมื่อได้ของทุกอย่างมาครบแล้วผมจึงเดินออกจากตลาดตรงกลับบ้าน แต่แล้วก่อนจะหลุดออกจากเขตตลาดร่างของผมก็ถูกชายคนหนึ่งชนอย่างแรงจนเซเกือบล้ม


“โอ้ย! เดินไม่ดูทางเลยรึไง!” เสียงนี้ไม่ใช่ผมที่กำลังปวดบริเวณไหล่ซึ่งถูกกระแทกอย่างแรงแต่เป็นชายร่างใหญ่ตรงหน้าที่ยกมือขึ้นมากุมไหล่ขวาของตัวเองไหว


“ขอโทษครับ” ผมเอ่ยขอโทษแม้จะคิดว่าไม่ใช่ความผิดของตัวเองก็ตาม


“ขอโทษแล้วมันหายเจ็บรึไง! ชนแรงขนาดนี้แขนต้องหักแน่ๆ รับผิดชอบมาซะ!” อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่พลางใช้ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องมาคล้ายกำลังข่มขู่


“แต่คุณเป็นคนเดินชนผม”


“ฮะ! คนที่เดินชนมันแกต่างหาก รับผิดชอบค่ารักษามาเดี๋ยวนี้ สองหมื่น!” พูดจบก็แบมือขอเงินจากผมตรงๆ


“...ผมไม่มีขนาดนั้น” แล้วก็ไม่ใช่ความผิดผมสักหน่อย


“เอามาให้หมด!” เสียงตวานนั่นทำเอาผมถึงกับสะดุ้ง


“กรรร~!”


“อะไรไอ้หมาบ้า ไปไกลๆ เลย!” ไม่เพียงแค่ตะหวาดผมแต่ยังขึ้นเสียงใส่เบียทรีซที่คำรามออกมาด้วย


“กรรรร~!!” เสียงขู่ดังขึ้นพร้อมร่างของชายตัวใหญ่ที่ถูกเบียทรีซกัดบริเวณชายเสื้อแล้วลากออกจากตลาดท่ามกลางความตกตะลึงของผม


พอรู้ตัวผมเลยรีบวิ่งตามไป ขนาดชายตัวใหญ่พยายามขัดขืนพร้อมส่งเสียงด่ายังไม่สามารถหยุดแรงลากนั่นได้เลย แปลว่าต้องมีพละกำลังที่เหนือกว่ามากแม้จะอยู่ในร่างของสุนัขก็ตาม เบียทรีซลากตัวอีกฝ่ายมาจนถึงซอยตันอันไร้ซึ่งผู้คนแล้วเหวี่ยงแรงๆ จนชายคนเดิมไถลไปกับพื้นปู


“ไอ้หมานี่มันบ้าอะไร!” อีกฝ่ายดูจะตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย ความจริงถ้าไม่ตกใจก็คงแปลกล่ะสุนัขธรรมดาไม่มีแรงพอที่จะลากมนุษย์ตัวใหญ่ที่ขัดขืนสุดแรงแบบนี้ได้หรอก


“ลองพูดว่าอีกประโยคเดียวลิ้นนั่นได้ขาดกระจุยแน่”


“บะ...เบียทรีซ” ผมหันควับไปมองสุนัขขนสีดำที่อ้าปากเอ่ยภาษามนุษย์คล่องปรื๋ออย่างร้อนรน


ย้ำไปตั้งขนาดแล้วแท้ๆ ว่าห้ามพูด


“มะ...หมาพูดได้?!”


“พูดได้แล้วทำไม เล่นมาหาเรื่องคนใช้ข้าแบบนี้คงอยู่เฉยไม่ได้” ทั้งน้ำเสียงและสายตาที่จับจ้องไปดูทรงอำนาจจนร่างที่อยู่ตรงหน้าสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว


“แก...แกเป็นตัวอะไร”


“หึ...ไม่จำเป็นต้องบอก รู้แต่แกมาหาเรื่องผิดคนแล้ว อย่าอาจหาญมาหือกับข้าและคนของข้า” พูดจบเบียทรีซก็เดินเข้าไปร่างที่ตะกายหนีไปจนสุดของผนัง แววตาร้องขอที่ส่งมาให้ผมนั้นผมไม่รู้จะช่วยยังไงเพราะเบียทรีซในตอนนี้น่ากลัวจนผมเองยังไม่กล้าเอ่ยคำใดๆ ออกไปเลย


ตัวผมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำอะไร รู้แค่เบียทรีซไม่ได้กัดหรือขย้ำด้วยเขี้ยวแต่อย่างใดกับร่างนั้นอยู่ๆ ก็ล้มลงกองอยู่บนพื้นคล้ายคนหมดสติ ทว่าเหงื่อที่ไหลซึมออกมาบริเวณขมับดูจะมากกว่าปกติอยู่พอสมควร


“คุณทำอะไรน่ะ” ผมถามอีกฝ่ายออกไปตามตรง


“ก็แค่ให้จมอยู่ในฝันร้ายสักระยะไม่ถึงตายหรอกน่า เจ้าเองเถอะจะเป๋อเหรอหรือเซ่อซ่าก็ให้มันมีขอบเขตหน่อย แค่ดูก็รู้แล้วว่าไอ้มนุษย์นี่หลอกลวงเจ้า แต่ก็ดันไปคล้อยตามมันอีก น่าโมโห น่าหงุดหงิดด้วย!”


“ขอบคุณนะ” ผมนั่งคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มกว้าง


“มาขอบคุณทำไม นี่ข้ากำลังบ่นเจ้าอยู่นะอย่ามาทำเป็นไม่ได้ยิน!”


“เพราะได้ยินผมเลยขอบคุณไง”


“เจ้านี่ท่าจะประสาท มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาขอบคุณ?” แม้จะอยู่ในร่างสุนัขแต่ผมก็สัมผัสได้ถึงคิ้วสองข้างที่กำลังขมวดเข้ากันแน่นของอีกฝ่าย


“ก็คุณเป็นห่วงผมนี่ ขอบคุณที่เป็นห่วงและก็ขอบคุณที่ช่วยผมนะเบียทรีซ” ผมอธิบายพร้อมรอยยิ้มกว้าง หากฟังเผินๆ ก็คงเป็นคำบ่นแสนยาวเหยียดแต่หากลองฟังดูดีๆ จะเห็นได้ว่ามันแฝงไปด้วยความเป็นห่วง


“จะ...เจ้า มโนเอาเอง ข้าไม่ได้ห่วงเจ้าสักนิด ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว เลิกยิ้มได้แล้วมันน่ารำคาญ!” คำบ่นมากมายดังขึ้นระหว่างการเดินกลับบ้านซึ่งผมก็ทำได้แค่รับฟังคำบ่นนั้นจนถึงบ้าน


ถือเป็นโชคดีที่ไม่มีคนเดินสวนเลยไม่มีคนเห็นสุนัขที่พูดไม่หยุดตลอดทางแบบนี้


มื้อเย็นของวันผมย่างเนื้อกับต้มไข่ให้เบียทรีซกิน แน่นอนว่าไม่ได้ให้หมดทั้งชิ้นแต่ตัดแบ่งออกเป็นสามส่วนไว้ทำในมื้อต่อๆ ไป ตอนที่อีกฝ่ายเห็นเนื้อที่ผมยกไปวางคำพูดแรกที่เอ่ยคือ...


“เจ้าแอบกินระหว่างทำรึไงมันถึงเหลือชิ้นแค่นี้”


“ผมแบ่งเอาไว้ทำมื้ออื่น” ผมบอกตามตรง ในมือผมนอกจากจานเนื้อของเบียทรีซแล้วยังมีข้าวราดผัดผักบุ้งของตัวเองด้วย บ้านผมแม้จะมีโต๊ะอาหารให้นั่งแต่ผมไม่ค่อยชอบนัก ทุกครั้งที่จะกินข้าวเลยนั่งพื้นแล้ววางจานบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยๆ ในห้องรับแขกหน้าทีวีแทน


มันง่ายที่จะกินตรงนี้ไปดูทีวีไป จานของเบียทรีซเองก็ไม่ได้อยู่บนพื้นแต่เป็นบนโต๊ะเดียวกับผม


“เจ้ากินแค่ผัก?” อีกฝ่ายมองจานผมด้วยสายตานิ่งๆ


“อืม ผมอยากกินผัดผักบุ้ง”


“เป็นสัตว์กินพืชรึไง แบ่งเนื้อข้าไป” เบียทรีซใช้เรียวปากของตัวเองดันจานเนื้อย่างและไข่ต้มที่ยังไม่ได้กินมาทางผม


“ไม่เป็นไรคุณกินเถอะ”


“นี่ไม่ใช่คำบอกแต่เป็นคำสั่ง”


“...” ผมเลือกที่จะเงียบเพราะรู้ดีว่าต่อให้ส่ายหัวปฏิเสธไม่เอายังไงผลก็คงไม่เปลี่ยนอยู่ดี ในเมื่อเขาต้องการแบ่งเนื้อให้ผมก็ไม่ขัดแบ่งเนื้อนั้นมาเสี้ยวนึงแล้วเลื่อนจานกลับไปตรงหน้าเบียทรีซ


“กินแค่นั้น?” สายตาของเบียทรีซมองมายังเนื้อชิ้นบางที่ผมแบ่งมาใส่จานตัวเอง


“กินเนื้อเยอะๆ มันหนักท้องผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเนื้อปลาก็ได้อยู่” คนอื่นเป็นรึเปล่าไม่รู้แต่สำหรับผมเวลากินเนื้อมากๆ จะรู้สึกว่าหนักท้องเกินไป ไม่ใช่ไม่กินนะแค่กินน้อยเท่านั้นเอง


“เพิ่งเคยเจอปิศาจที่บอกว่าการกินเนื้อมันหนักท้องก็วันนี้”


“ผมไม่ใช่ปิศาจ”


“ได้ ครึ่งปิศาจ”


“นั่นมันก็...” อยากจะปฏิเสธว่าไม่ใช่แต่ก็รู้ดีว่าคำพูดของเบียทรีซเป็นความจริง แม่ของผมเป็นปิศาจและมีพ่อเป็นมนุษย์ผมเลยมีเลือดของทั้งมนุษย์และปิศาจไหลเวียนอยู่ในร่าง จะเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่จะเป็นปิศาจก็ไม่เชิง


เป็นแค่พวกครึ่งๆ กลางๆ


พอจบมื้อเย็นทั้งผมและเบียทรีซต่างก็พากันเข้ามาอยู่ในห้องนอน รีโมทแอร์ถูกกดเปิดเพิ่มลดอุณหภูมิภายในห้องให้ต่ำลง ระหว่างรอให้ห้องเย็นผมเข้าไปอาบน้ำและออกมาในชุดนอนเสื้อแขนสั้นกับกางเกงขาสามส่วน ปกติเบียทรีซจะนอนอยู่บนเสื่อน้ำมันข้างเตียงผมทว่าวันนี้ร่างนั้นกลับขึ้นไปอยู่บนเตียงแทน


“คุณจะนอนบนนี้?” ผมเอ่ยถาม


“เจ้าจะให้ราชาอย่างข้านอนพื้น?” อีกฝ่ายถามกลับ


“ก็เห็นก่อนหน้านี้ก็นอนพื้นนี่”


“นั่นเพราะข้าลุกไม่ไหวต่างหากเลยจำต้องนอนบนพื้นแข็งๆ”


“แล้วแผลเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นเยอะแล้วใช่ไหม ผมต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลให้อีกนี่” ตอนแรกกะจะเปลี่ยนให้หลังมื้อเย็นแต่ดันลืมไปซะสนิทเลย


“แกะออกเลยไม่ต้องพันแล้ว”


“แต่แผล...”


“หายแล้ว” คำพูดนั้นผมไม่เชื่อนักแต่เมื่อเอาผ้าที่พันแผลไว้ออก รอยถลอกแดงๆ เมื่อเช้ากลับหายวับไป จะว่าไปการรักษาตัวของแผลดูเหมือนจะเร็วกว่ามนุษย์อยู่หลายเท่า ถ้าเป็นคนปกติคงไม่สามารถเดินได้ทั้งที่เลือดยังไหลไม่หยุดเมื่อสามวันก่อนหรอก


“หายเร็วจัง ปิศาจนี่หายเร็วแบบนี้หมดเลยรึเปล่า” ถึงบาดแผลจะหายแต่ขนยังคงไม่ขึ้น คิดว่าวันสองวันน่าจะกลับสู่สภาพสมบูรณ์


“เป็นปกติ พวกเรามีพลังในการฟื้นตัวสูงมาก นั่นทำให้เวลาอยากจะจัดการใครสักคนต้องใช้พลังในระดับที่ต่อให้มีพลังฟื้นตัวก็ไม่มีทางรอด”


“...” น่ากลัวเกินไปแล้ว สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นปิศาจ


“เจ้าเถอะ รอยแดงตรงมือนั่นโดนอะไรมาอีกล่ะ” สายตาของเบียทรีซมองมายังสันมือผมที่เห่อแดงขึ้น


“มือไปกระแทกกับผนังตอนสระผม”


“ซุ่มซ่าม”


“แฮะๆ” ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะก็เป็นความจริงนี่


“ยืนเฉยทำไม”


“ฮือ?”


“ไปทายาสิ!” พอได้ยินเสียงแข็งๆ นั่นผมก็นึกได้ว่าต้องใส่ยาก่อนรอยแดงจะกลายเป็นรอยช้ำ


“อืม” ผมพยักหน้าแล้วจัดการทายาบนมือตัวเอง


นาฬิกาข้างเตียงบอกเวลา 11 นาฬิกาหรือ 5 ทุ่มซึ่งเรียกว่าเป็นเวลาค่อนข้างดึกสำหรับคนที่ต้องตื่นไปทำงานในช่วงเช้าของวันต่อไป เมื่อดับไฟในห้องเหลือเพียงแต่โคมไฟข้างเตียงส่องสว่างไม่ให้ผมเดินชนหรือสะดุดอะไร ต่อให้ในห้องแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าเดินในความมืดโดยไม่มีแสงสว่างมีความเป็นไปได้สูงที่ผมจะเจออุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ


“เอาผ้าห่มไหม” ผมถามเบียทรีซระหว่างถอดแว่นวางบนหัวเตียง


“ไม่ ข้าร้อน”


“นี่อุณหภูมิ 24 องค์ศาแล้วนะ”


“ก็ยังร้อนอยู่ดี”


“เพราะมีขนยาวๆ แบบนี้รึเปล่าเลยร้อน” ผมพลิกตัวไปหาพร้อมเอื้อมมือไปลูบเส้นขนสีดำยาวของอีกฝ่ายอย่างเบามือ ภายในห้องตอนนี้มืดสนิทเพราะผมเพิ่งปิดโคมไฟไป หน้าต่างเพียงบานเดียวมีผ้าม่านปิดไว้ทำให้แสงจากด้านนอกส่องเข้ามาได้ไม่มาก


ขนของเบียทรีซนุ่มมากหากเทียบกับขนของสุนัข ความนุ่มระดับนี้เหมือนขนแมวมากกว่า แต่คงไม่มีแมวตัวไหนใหญ่ขนาดนี้ ความรู้สึกเวลาลูบเหมือนเส้นขนปุยนุ่มลากผ่านฝ่ามือของเราอย่างอ่อนโยน...รู้สึกดีจนไม่อยากหยุด


ในเมื่อยังไม่มีเสียงบ่นหรือบอกให้หยุดผมจึงค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ขึ้นจนกระทั่งซุกหน้าลงบนเส้นขนนุ่มๆ ได้สำเร็จ จากการสัมผัสน่าจะเป็นบริเวณต้นคอด้านหลังละมั้ง บอกตามตรงว่าผมชอบมากเลยความรู้สึกเหมือนนอนอยู่บนปุ่ยเมฆนี่ แต่การซุกหน้าลงไปย่อมมีขีดจำกัดอยู่นั่นคือการกลั้นหายใจ พอลมหายใจจะหยุดผมต้องเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยสูดลมหายใจเข้าและซุกหน้าลงไปต่ออีกรอบ


“...สนุกมากไหม” ความอดทนของเบียทรีซคงหมดลงถึงได้เอ่ยถาม


“รู้สึกดีสุดๆ เลย ขนคุณนุ่มมาก...ขออยู่แบบนี้อีกสักพักได้รึเปล่า” ผมเอียงหน้าหนุนขนสีดำแทนหมอนระหว่างขอกับเจ้าตัว


“สักพักนี่นานแค่ไหน”


“เอ่อ...5 ไม่ ขอสัก 10 นาที” พูดจบผมก็หลับตาลงเพื่อซึบซับความนุ่ม ทุกครั้งที่ขยับหัวเล็กน้อยขนนุ่มๆ จะเกลี่ยใบหน้าคล้ายฟองเนื้อนุ่มของสบู่ล้างหน้า


การหลับตานอกจากจะช่วยให้สัมผัสถึงขนนุ่มๆ ได้ชัดเจนขึ้นแล้วยังทำให้ความง่วงที่มีเข้าจู่โจมทันควันอย่างไม่รู้ตัว ทั้งที่คิดว่าพอถึงเวลาต้องถูกอีกฝ่ายสะบัดหลุดให้ไปนอนที่หมอนแน่แต่ความจริงไม่ใช่เลย นอกจากจะไม่ปลุกผมแล้วยังปล่อยให้ผมนอนซุกขนนุ่มๆ ไปจนถึงเช้าของวันต่อไปด้วย

............................................

เนื้อเรื่องในตอนแรกค่อนข้างเรื่อยๆ

แต่เดี๋ยวอีกสักพักจะเริ่มเข้มข้นขึ้น

ความซุ่มซ่าม เอ๋อๆ และซื่อๆ ของวิณณ์จะค่อยๆ ทำลายกำแพงหัวใจของเบียทรีซทีละน้อย

โดยส่วนตัวเราชอบฉากที่วิณณ์ซุกขนเบียทรีซมาก อาจเพราะชอบซุกขนน้องหมาที่บ้านเป็นทุนเดิมพอแต่งให้เบียทรีซอยู่ในร่างนี้เลยขอให้มีฉากนี้สักหน่อย 555

ขอฝากติดตามเรื่องนี้ด้วยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กินเก่งแบบนี้ เงินเดือนพอค่ากินไหมเนี่ย  :hao4:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰บงการ:วันที่3:⊱



หลังจากผ่านการทำงานอย่างหนักมาตลอด 5 วันในที่สุดก็มาถึงวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของผม หากเป็นวันหยุดผมมักจะตื่นสายกว่าปกติอยู่เล็กน้อย นาฬิกาปลุกเองก็ไม่มีตั้งปลุกไว้ทำให้สามารถนอนพักผ่อนได้อย่างเต็มที่โดยเฉพาะในตอนนี้ที่นอกจากจะนอนเต็มอิ่มแล้วยังรู้สึกฟินสุดๆ ยามลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วสัมผัสถึงเส้นขนแสนนุ่มแทนหมอนใบเดิม


จากวันแรกที่ผมขอซุกตัวกับขนนี่ก็ผ่านมาหลายวัน ผมมักจะเริ่มโดยการขอซุกสักพักก่อนจะหลับยาวไปจนเช้าวันต่อไปเป็นแบบเดิมมาตลอด เบียทรีซเองก็มักจะบ่นว่าผมหนักบ้างหรืออึดอัดบ้างซึ่งผมก็ทำใจว่าคืนต่อไปคงไม่ได้นอนซุกแล้ว ทว่าในความเป็นจริงนอกจากจะยอมให้หนุนแล้วอีกฝ่ายยังขยับตัวมานอนอยู่ติดหัวเตียง ด้วยขนาดตัวของเขาทำให้เหมือนมีหมอนขนาดใหญ่วางไว้ผมจึงหนุนบริเวณท้องแล้วนอนมาจนถึงทุกวันนี้


ภาพแรกของการลืมตาตื่นไม่เพียงแค่ความพล่ามัวแต่ยังเห็นเส้นขนสีดำสนิทอยู่ในระยะใกล้ ผมขยับตัวเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมลุกขึ้นซุกใบหน้าลงยังหน้าท้องที่ขยับขึ้นลงจากการหายใจ ผมอยู่คนเดียวมาหลายปีและด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้ไม่ได้ออกไปเข้าสังคมเท่าที่ควร การจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นในระยะใกล้แบบนี้เพิ่งเคยมีเป็นครั้งแรก


“ตื่นแล้วก็เอาหัวออกไป” เสียงทุ้มจากเบียทรีซดังขึ้น เขาคงสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของผมละมั้ง


“ขออีกแป๊บ”


“เมื่อคืนก็บอกว่าแป๊บ แป๊บของเจ้านี่มันนาน 10 ชั่วโมงเลย?”


“...ก็รู้สึกดีนี่นา” ผมบอกไปตามตรง


“พูดบ้าๆ ก็แค่ขน”


“ขนนุ่มๆ แบบนี้หาไม่ได้หรอกนะ ถึงหาได้ก็ต้องเป็นขนของแมวระดับไฮโซผมไม่มีโอกาสได้สัมผัสหรอก แถมต่อให้มีแมวตัวเล็กๆ ไม่ทำให้ฟินขนาดนี้ด้วย” ไม่พูดเปล่าผมถูไถใบหน้าไปกับเส้นขนของเบียทรีซ


“เจ้ามันโรคจิต”


“เปล่าสักหน่อย” แค่ชอบเวลาซุกหน้าลงบนขนเท่านั้นเอง


“รีบๆ ลุกออกไปเลย” อีกฝ่ายบอกพลางขยับตัวลุกขึ้น


“เดี๋ยวสิ ของอีกแค่ 2 นาทีก็ได้...ฮืม นี่ตัวคุณเริ่มเหม็นๆ แล้วนะ” ผมบอกเมื่อสูดอากาศบริเวณใกล้ๆ ขน กลิ่นหอมๆ ในวันวานเริ่มหายไปแล้ว สงสัยเพราะไม่ได้อาบน้ำมาเป็นอาทิตย์แน่เลย


“เจ้า! กล้าบอกว่าข้าสกปรกเหรอ!”


“ผมไม่ได้บอกแบบนั้น” ใครบอกว่าสกปรกกันผมแค่บอกว่าเริ่มเหม็นเองนะ ยังไม่เหม็นสักหน่อย


“เงียบไปเลย!” ร่างสีดำสนิทกระโดดลงจากเตียงก่อนจะสะบัดขนแรงๆ สองสามครั้ง


“เอ่อ...”


“เปลี่ยนผ้าปูเตียงซะ ใช้มาเป็นอาทิตย์ยังไม่เปลี่ยนอีก” ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรก็ถูกเบียทรีซพูดแทรก


“ปกติผมจะเปลี่ยนเดือนละครั้ง...”


“ซกมก!” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำว่าซกมก ความจริงการเปลี่ยนผ้าปูเดือนละครั้งไม่เรียกว่าซกมกหรอกนะ ถ้าไม่เปลี่ยนสักครึ่งปีสิถึงเรียกว่าซกมก


ผมอยากจะเถียงแต่สุดท้ายก็ได้แต่เงียบแล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเปิดเอาผ้าปูที่นอนออกมา ในห้องนี้มีตู้เสื้อผ้าขนาดไม่ใหญ่มากวางอยู่ใกล้กับประตูห้องน้ำเพื่อให้ง่ายต่อการหยิบใส่


“เอาสีทอง” เบียทรีซพูดหลังจากเห็นผมถือผ้าปูสีฟ้าเดินกลับมายังเตียง


“ผมไม่มีสีนั้นหรอก ถ้าสีเหลืองก็เหมือนจะมีอยู่”


“งั้นก็เอาสีเหลือง” ผมไม่ได้แปลกใจที่อีกฝ่ายสั่งการณ์ทุกอย่าง ที่แปลกใจคือตัวผมที่เดินไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนตามคำสั่งนั่นต่างหาก ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาผมเผลอทำตามคำสั่งนั่นทั้งที่ปากบอกว่าไม่ใช่ทาสหรือคนใช้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ซึ่งบางครั้งก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องทำตามด้วย


ผ้าปูที่นอนสีเหลืองเข้มลายสุนัขตัวเล็กถูกปูท่ามกลางดวงตาสีทองที่จับจ้องมาจนกระทั่งปูเสร็จ ห้องผมเป็นเตียงใหญ่ขนาด 6 ฟุตซึ่งสาเหตุที่ต้องเป็นเตียงใหญ่ก็เพราะเหตุผลง่ายๆ คือถ้าเตียงเล็กผมมีโอกาสจะกลิ้งตกเตียง ฟังดูน่าขำแต่มันก็เป็นความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้


“เสร็จแล้วก็มาอาบน้ำให้ข้า” คำพูดต่อมาทำเอาผมหันไปมองด้วยสายตางงๆ


“อาบน้ำ?”


“ข้าจะอาบในอ่างน้ำอุ่น”


“น้ำอุ่นน่ะมี แต่บ้านผมแค่กะละมัง อาบฝักบัวธรรมดาไม่ได้เหรอ” ผมถามต่อ ที่บ้านไม่มีหรอกนะอ่างอาบน้ำเหมือนในหนังน่ะ


“อย่างกับข้ามีทางเลือกอื่นงั้นแหละ”


“ผมเอากะละมังมาให้แช่ได้นะ”


“เจ้าคิดจะให้ราชาปิศาจอย่างข้าอาบน้ำในกะละมัง?!” อีกฝ่ายถามเสียงแข็ง


“ไม่ได้เหรอ” มันไม่มีบัญญัติไว้สักหน่อยนี่


“เฮ้อ...รีบมาอาบให้ข้า” ถอนหายใจเสร็จเบียทรีซก็เดินนำเข้าไปในห้องน้ำ


ด้วยความที่ร่างของอีกฝ่ายค่อนข้างใหญ่ทำให้เนื้อที่ภายในห้องน้ำดูแคบลงทันตา ยิ่งมีผมเดินตามเข้ามาอีกคนความอึดอัดก็ปรากฏขึ้น


“อยู่ในร่างเหมือนตอนไปตลาดได้ไหม” ถ้าเป็นร่างนั้นกินพื้นที่ห้องน้ำน้อยกว่าครึ่งนึงได้


เบียทรีซไม่ตอบแต่ไม่นานร่างขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ หดเล็กลงจนเหลือขนาดเท่าสุนัขปกติ เมื่อพื้นที่ในห้องน้ำมีมากพอผมไม่รอช้าเตรียมสบู่และปรับสายของฝักบัวอยู่อยู่ในระดับที่เหมาะสมแก่การอาบน้ำ


“ใช้สบู่คนได้รึเปล่า” เพิ่งนึกได้ว่าบ้านผมไม่ได้เลี้ยงสัตว์ดังนั้นแชมพูของสุนัขหรือสัตว์อื่นๆ เลยไม่มีติดบ้านไว้สักขวดเดียว


“อะไรก็ได้ ข้าไม่เรื่องมาก”


“...” ผมเงียบเมื่อได้ยิน มือข้างนึงเอื้อมไปหยิบสบู่เหลวขวดสีน้ำเงินด้านข้างมาเปิดฝา


“ไม่เอากลิ่นนั้น เอาขวดสีเหลือง”


“ได้” ผมพยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนขวดสบู่เป็นสีเหลืองโดยในหัวกำลังคิดถึงคำพูด ‘ข้าไม่เรื่องมาก’ เมื่อไม่กี่วินาทีก่อน


นี่คือไม่เรื่องมาก?


น้ำอุ่นจากฝักบัวไหลลงผ่านชั้นขนสีดำสนิทตั้งแต่ส่วนหัวมาจนถึงหาง เรียวปากสีดำนั่นเชิดขึ้นยามผมเลื่อนฝั่งบัวไปยังส่วนหัว เมื่อขนทั่วร่างเปียกน้ำแล้วจึงกดสบู่ขวดสีเหลืองละลายในขัดน้ำแล้วค่อยๆ เทใส่ขนพร้อมใช้มือเกาเบาๆ ให้เกิดฟอง ภาพของสุนัขขนสีดำก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยฟองสีขาวขุ่นตั้งแต่บนหัวไปจนถึงหาง ราวกับเป็นหมาป่าในคราบของแกะ


“คิก...” ผมถึงกับหลุดขำออกมาเมื่อได้สภาพของเบียทรีซในตอนนี้ ปากเรียวยาวสีดำกับดวงตาสีทองดูตลกเมื่อมีฟองสีขาวกระจายอยู่ทั่วตัว


“ตลกมากไหม”


“อื้อ ตลกมาก เฮ้ย!” ผมถึงกับยกแขนขึ้นตั้งการ์ดเพราะเบียทรีซสะบัดขนอันเต็มไปด้วยฟองแรงๆ จนกระจายไปทั่วห้อง ตัวผมที่อยู่ในชุดลำลองเองก็เปรอะฟองแทบทั้งตัว


“หึ ตลกมากจริงด้วย” ดวงตาสีทองเงยขึ้นมามองสภาพผมซึ่งเต็มไปด้วยฟองโดยเฉพาะใบหน้าที่เลอะบริเวณจมูกและหน้าผาก เรียกว่ายกแขนขึ้นมากันไม่ทันเลยเป็นแบบนี้


“แกล้งผมนี่” ระหว่างพูดก็ใช้แขนที่ไม่เปื้อนเช็ดฟองบนใบหน้าออก


“แล้วยังไง จะสะบัดคืน?”


“รอตัวแห้งก่อนเถอะ”


“ทำไม จะทำอะไรข้าล่ะเจ้าลูกครึ่ง” สายตาที่มองมาคล้ายกำลังสนใจว่าผมจะเอาคืนด้วยวิธีไหน


“ผมจะซุกขนคุณจนร่วงหมดตัวเลย”


“ท่าจะบ้าจริงแฮะ”


“ว่าผม?”


“ว่าจิ้งจกแถวนี้มั้ง” อีกฝ่ายสวนกลับด้วยน้ำเสียงกึ่งขบขัน


จากนั้นการอาบน้ำก็ดำเนินต่อ ผมไม่ได้อาบให้เบียทรีซแค่ครั้งเดียวแต่เป็นสองครั้งตามความต้องการของฝ่ายนั้น เมื่อเสร็จผมใช้ผ้าขนหนูถึงสามผืนในการเช็ดขนอีกฝ่ายจนเริ่มหมาด จะให้ออกไปทั้งตัวเปียกก็ไม่ได้เพราะเดี๋ยวจะเลอะพื้น ผมไม่อยากถูบ้านต่อจากนี้หรอกนะ


แค่อาบน้ำก็ถือว่าสูบพลังงานไปเกือบหมดตัวแล้ว


“นั่งอยู่บนเสื่อนี่ก่อนนะ ผมจะเป่าขนให้” ระหว่างบอกผมเดินไปเปิดตู้ควานหาไดร์เป่าผมที่คาดว่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในตู้ ผมไม่ค่อยชอบใช้ไดร์เลยไม่มีวางไว้ให้หยิบสะดวก


“เร็วๆ ข้าหิวแล้ว” เบียทรีซเร่งผมที่เปิดไดร์เป่าขนสลับกับใช้ผ้าขนหนูช่วยซับน้ำตามเส้นขนสีดำนั่น


“ผมก็พยายามเร็วอยู่ แต่ขนคุณมันหนานี่ ตัดให้สั้นน่าจะแห้งเร็ว...”


“ถ้ากล้ามาตัดสิ่งต่อไปที่จะขาดคือหัวเจ้า”


“...ผมแค่พูดเล่น” ทำน้ำเสียงจริงจังซะผมกลัวเลย


“แต่ข้าเอาจริง”


“คุณไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับผมตัวเองสินะ”


“ใช่ ส่วนหัวข้าไม่ยอมให้ใครแตะง่ายๆ หรอก” เบียทรีซบอก


“แต่ตอนที่อาบน้ำเมื่อกี๊ผมแตะหัวคุณแล้วนะ” ตอนฟอกสบู่บนส่วนหัวอีกฝ่ายก็ไม่ได้หลีกหนีหรือสะบัดอะไรนี่


“นั่นถือเป็นข้อยกเว้น”


“ยกเว้นยังไง” ผมถามต่ออีก


“เจ้าคิดว่าข้าในร่างนี้สามารถสระผมเองได้?”


“ไม่ได้” ผมส่ายหัวไปมา จะว่าไปก็ใช่อยู่ในร่างนี้ไม่ว่าจะอาบน้ำหรือสระผมก็ทำไม่ได้ทั้งนั้นแหละ


“เพราะงั้นข้าเลยบอกว่ายกเว้นไง”


“อืม วันนี้กินข้าวผัดไข่ดาวไหม” เสนอไปมือสองข้างก็กำลังทำหน้าที่อยู่ไม่ขาด ขนของเบียทรีซแห้งยากมากดูแล้วไม่ได้มีแค่สองหรือสามชั้นแต่มากกว่านั้นอีก เพราะแบบนั้นเลยทำให้ขนนุ่มละมั้ง


“เนื้อไม่มีรึไง” น้ำเสียงของเบียทรีซคล้ายจะเอือมไข่เต็มทีแล้ว


“เพิ่งหมดไปเมื่อวันก่อน”


“ก็ออกไปซื้อสิ”


“มันแพง ผมไม่มีเงินขนาดนั้น”


“เจ้าก็ทำงานนี่เอาเงินไปทำอะไรหมด” อีกฝ่ายก่อนจะสะบัดขน เมื่อเห็นว่าแทบไม่มีน้ำกระเซนออกมาผมจึงเก็บทั้งไดร์และผ้าเข้าที่


“เอาไปใช้หนี้น่ะ” ผมบอกโดยไม่ปิดบัง


“เจ้าเป็นหนี้?”


“ประมาณนั้น จะพูดให้ถูกคือถูกขอให้ช่วยเซ็นต์ค้ำแล้วสุดท้ายก็ต้องมาตามใช้” เรื่องนี้ผมไม่ได้โทษใครนอกจากตัวเองที่รู้ไม่เท่าทันจนต้องมาใช้หนี้จนกว่าจะหมด


“เจ้าถูกหลอกง่ายไปแล้ว” เบียทรีซบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก


“ก็คงงั้น” ตัวผมเองยังคิดเลยว่าทำไมถึงถูกหลอกง่ายขนาดนี้นะ


“น่ารำคาญ รีบไปอาบน้ำแล้วมาทำอาหารให้ข้า”


“ผมจะไปทำอาหารให้ก่อนค่อยไปอาบน้ำ”


“ข้าไม่ได้บอกแต่สั่ง เข้าใจนะ” ความหมายของประโยคนั้นคือผมต้องรีบไปอาบน้ำแล้วค่อยออกไปทำอาหาให้อีกฝ่ายโดยไม่มีข้อแม้นั่นเอง


หลังจบมื้อเช้าในช่วงสายผมนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่ห้องรับแขก ด้างข้างมีร่างของเบียทรีซนอนหลับอยู่ พัดลมเพียงหนึ่งเดียวของห้องเปิดจ่อมาให้โดนพวกเราทั้งคู่ ผมนอนราบหัวไปกับโต๊ะญี่ปุ่นด้วยความงัวเงีย การออกกำลังกายตั้งแต่เช้าส่งผลให้ความง่วงเข้าจู่โจมทั้งที่เพิ่งตื่นได้ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น


“เบียทรีซ”


“อะไร” เจ้าของชื่อเอ่ยเสียงเบาขณะดวงตาสองข้างยังปิดสนิท


“ขอนอนซุกหน่อยได้รึเปล่า” ผมเอียงหน้าที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะไปหาอีกฝ่าย


“ไม่ได้”


“ทำไมล่ะ”


“มันร้อน” เหตุผลง่ายๆ ถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ต่อให้เพิ่งอาบน้ำเสร็จแต่พอมาเจอเข้ากับความร้อนของประเทศประเทศก็ต้องมีเหงื่อออกกันบ้างแหละ


“ขอนิดนึงนะ” ผมลองขออีกรอบ


“นิดนึงที่ว่านานแค่ไหน” ดวงตาสีทองลืมขึ้นข้างนึงระหว่างถาม


“5 นาที”


“หึ...5 นาทีหรือ 5 ชั่วโมง”


“แฮะๆ”


“ให้แค่ 5 วิ” อีกฝ่ายยื่นคำขาด


“ได้” ผมไม่พยักหน้าตกลงก่อนจะพุ่งตัวไปซุกบริเวณท้องอันแสนคุ้นเคย


จะ 5 วิ 5 นาทีหรือ 5 ชั่วโมงผมไม่รู้หรอก แต่ถ้าไม่ไล่ผมคงไม่ยอมลุกออกจากสัมผัสแสนนุ่มนี่แน่



หลายวันผ่านไปผมยังคงมีกิจวัตรประจำวันเดิมๆ คือการออกไปทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุร์ เวลาในการทำงานของผมคือ 8 โมงจนถึง 5 โมงเย็นของทุกวัน การทำบัญชีเป็นสิ่งละเอียดอ่อนซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาในการทำมากเป็นเศษต่างจากหลายๆ งานเพราะหากตัวเลยผิดไปแม้แต่ตัวเดียวได้มีเรื่องใหญ่เกิดตามมาอีก ดังนั้นจึงควรมีระยะเวลาที่เหมาะสมไม่ใช่มาเร่งแบบตอนนี้...


“พรุ่งนี้! ฉันให้เวลาไม่เกินพรุ่งนี้งบบัญชีนี่ต้องเสร็จพร้อมส่ง!” เสียงคำสั่งจากหัวหน้าหรือคุณเตยดังขึ้นพร้อมชี้นิ้วใส่หน้าผมเป็นรอบที่สิบ


“ผมเพิ่งเริ่มทำไปได้แค่ 2 วันเองนะครับ อย่างน้อยต้องให้เวลาผมอีกสัก 3 วัน”


“ฉันบอกว่าให้แค่พรุ่งนี้ก็ต้องพรุ่งนี้ ถ้าไม่เสร็จเตรียมยื่นใบลาออกได้เลย!” พูดจบอีกฝ่ายก็จ้ำอ้าวเดินออกจากห้องไปด้วยใบหน้าหงุดหงิด


“มาลงที่วิณณ์อีกแล้ว” พี่โยเลื่อนเก้าอี้มาหาผมระหว่างพูด


“เห็นว่าตัวเองไปตบปากรับคำว่าจะทำบัญชีนี้ให้เสร็จในเวลา 3 วันทั้งที่คนอื่นไม่ได้บังคับแท้ๆ” พี่เจพูดต่อ


“คงอยากแสดงว่าตัวเองมีความสามารถละมั้ง”


“แสดงความสามารถโดยการให้วิณณ์ทำเนี่ยนะ วิณณ์ถ้าทนไม่ไหวพวกเรารวมตัวกันไปฟ้องท่านประธานดีไหม เด้งเธอออกจากตำแหน่งไปเลย” พี่เจหันมาถามความเห็นผมที่นั่งฟังเงียบๆ คนอื่นในแผนกเมื่อได้ยินก็เบนสายตามาหาคล้ายจะบอกว่าพร้อมให้ความร่วมมือเสมอ


ทุกคนในฝ่ายบัญชีไม่ได้ชอบคุณเตยนัก ไม่ใช่แค่ผมที่โดยบ่นหรือโยนงานใกล้เส้นตายมาให้แต่มีอีกหลายคนที่ถูกตวาดใส่หรือออกคำสั่งในเรื่องไม่เป็นเรื่อง นั่นทำให้แทบทุกคนในฝ่ายอยากเปลี่ยนหัวหน้าคนใหม่แต่เพราะผมที่โดนหนักสุดยังทนได้พวกเขาเลยยังไม่ลุกขึ้นทำอะไร


“ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกครับ ผมไม่เป็นไร”


“วิณณ์นี่จะว่าเป็นคนใจดีหรือใจเย็นดีล่ะ” พี่โตหยุดอยู่ข้างโต๊ะผมพร้อมเอ่ยถาม


“น่าจะทั้งสองอย่างเลยนะ” พี่โยตอบแทน


“นั่นสิ ข้อนี้เห็นด้วย” พี่เจพยักหน้าตาม


“ผมไม่ได้ขนาดนั้น...”


“แล้วจะทำยังไงกับงานล่ะ ต่อให้เร่งยังไงไม่มีทางเสร็จทันภายในพรุ่งนี้หรอกนะ” พี่โตถามต่อ


“ผมคิดว่าจะอยู่โอน่ะครับ” เป็นทางออกง่ายๆ ถ้าไม่สามารถทำเสร็จทันในเวลาทำงานก็มีทางเลือกแค่ต้องทำงานนอกเวลา ทางบริษัทไม่ได้มีกฎห้ามทำโอ จะทำก็ได้แต่ถ้าไม่ใช่เคสใหญ่จริงๆ ก็จะไม่มีค่าแรงเพิ่มให้


“วันนี้?”


“ครับ คิดว่าจะอยู่วันนี้กับพรุ่งนี้” ถ้ามีเวลาทำขนาดนี้ผมคิดว่าสามารถทำทันได้แค่ผมต้องมีสมาธิอย่างมากในระหว่างทำ


“ให้พวกพี่ช่วยได้นะ”


“ไม่เป็นไรครับ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ผมน้อมรับความหวังดีเพียงแต่การทำบัญชียิ่งมีหลายคนจะยิ่งทำงานยากซะเปล่าๆ


“กลับดึกแบบนั้นคนที่บ้านไม่เป็นห่วงเอาเหรอ” พี่เจถามด้วยรอยยิ้มหวาน


“...เดี๋ยวผมจะโทรไปบอกครับ” ดีที่พี่เจพูดเพราะสมองผมเบลอจนลืมไปเลยว่าในบ้านตัวเองมีเบียทรีซรออยู่ ถ้าผมรู้ว่าวันนี้ต้องทำโอคงทำอาหารมื้อเย็นเตรียมไว้ให้ด้วยแล้ว


“คนรักสินะ” พี่โยมองผมด้วยสายตาแพรวพราว


“เปล่าครับ”


“อย่ามาโกหกเลย แหม...การที่มีคนรักรออยู่ที่บ้านนี่สุดยอดไปเลยเนอะ”


“นั่นสิ เวลาเหนื่อยก็ช่วยให้เราหายเหนื่อยได้ ใช่ไหมวิณณ์” พี่โตยังไม่เดินไปยังโต๊ะตัวเองแต่ปักหลักคุยอยู่โต๊ะผมมากว่า 10 นาทีได้


“ครับ ผมรู้ดีสุดๆ” ถ้าพูดถึงเรื่องหายเหนื่อยนี่ผมไม่เถียง ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนแค่ได้ซุกหน้าลงบนขนนุ่มๆ นั่นความเหนื่อยล้าที่มีก็ลอยหายไปอย่างรวดเร็ว


“แล้วก็มาบอกว่ายังไม่มีคนรัก”


“ผมยังไม่มีจริงๆ”


“ยังจะปิดอีก พวกเรารีบแยกไปทำงานต่อเถอะวิณณ์จะได้มีสมาธิในการทำงาน” พี่โตเป็นคนแยกให้พวกเรากลับไปทำงานตามเดิม


ผมตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนมาถึงช่วงเวลาเลิกงาน โดยปกติผมคงจะรีบตรงกลับบ้านทว่าวันนี้ยังไม่ได้ งานที่มีต้องใช้เวลาทำอีกนาน อย่างน้อยวันนี้ผมก็อยากให้ทำให้ได้มากที่สุดเพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องเร่งมาก แต่ก่อนจะลงมือทำต่อผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรเข้าเบอร์บ้านของตัวเอง


นี่เป็นครั้งแรกที่ผมโทรไปเลยไม่แน่ใจว่าเบียทรีซจะรับไหม ไม่สิ จะรับเป็นรึเปล่านี่ผมก็ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำ จะให้ขับรถกลับไปบอกแล้วขับวนมาใหม่ก็ดูจะเสียเวลา แล้วจะให้หอบงานไปทำที่บ้านก็ไม่เหมาะอีก


“...เบียทรีซ?” ผมลองเรียกดูเมื่อปลายสายมีคนรับ


(ข้าหิวแล้ว มาถึงรึยัง)


“เอ่อ คือว่ามื้อเย็นคงต้องให้คุณหากินเอง บนโต๊ะมีขนมปังอยู่จะกินให้หมดเลยก็ได้นะ” อย่างน้อยก็ยังสามารถติดต่อกันได้ถือว่าดีทีเดียว


(ทำไม) ปลายสายถามเสียงแข็ง


“งานผมเร่งเลยต้องอยู่โออีกสักพักใหญ่ ถ้าคุณร้อนก็เปิดแอร์ได้เลยนะ”  รีโมทแอร์ผมวางไว้บนโต๊ะในห้องนอนซึ่งเบียทรีซสามารถกดปุ่มเปิดได้อยู่แล้ว


(อื้อ)


และแล้วบทสนทนาครั้งแรกก็จบลงทั้งๆ แบบนี้ เมื่อวางสายจากเบียทรีซผมกลับมานั่งโต๊ะพร้อมหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อตั้งสมาธิ และทันทีที่ลืมตาขึ้นผมเปิดแฟ้มข้อมูลสลับกับคีย์ข้อมูลลงคอมด้วยความรอบคอบจนกระทั่งบัญชีเสร็จไปถึ 3 ใน 4 ของทั้งหมด



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


ผมแทบจะทิ้งตัวลงกับพื้น การทำงานติดต่อกันแถมยังเป็นบัญชีทำเอาพลังงานลดฮวบจนติดลบ ภายในหัวก็เริ่มปวดบวกกับมื้อเย็นที่กินเพียงขนมปังจากร้านสะดวกซื้อเลยส่งผลให้เสียงท้องร้องดังตลอดทาง ผมไขกุญแจเปิดเข้าไปในตัวบ้านในเวลา 5 ทุ่มกว่า ด้วยความที่ไฟในบ้านปิดสนิทผมเลยค่อยๆ ย่องให้เกิดเสียงเบาที่สุดแต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไกลก็ดันสะดุดกับขอบทางขึ้นจนหน้าทิ่มลงพื้นด้านล่างอย่างหมดทางป้องกัน


ความแข็งของพื้นปูกระเบื่องผมรู้จักดีเนื่องจากนี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งที่สองที่เจอเหตุการณ์แบบนี้เพราะงั้นผมจึงหลับตาแน่นเตรียมตัวรับความเจ็บปวดทว่าสัมผัสยามกระทบพื้นไม่ได้แข็งอย่างที่คาด นอกจากความเจ็บนิดๆ ของลำตัวที่กระแทกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอีก


ความนุ่มแบบนี้ผมรู้จักดี


จะไม่ให้รู้จักคงไม่ได้ล่ะก็ผมหนุนอยู่ทุกคืนนี่นา


“นี่เจ้าคิดว่าการสะดุดล้มมันถือเป็นกิจวัตรที่ต้องทำทุกวันรึไง” น้ำเสียงกึ่งปลงกึ่งรำคาญดังขึ้นพร้อมขยับตัวเล็กน้อยให้ผมลุกขึ้นมานั่งบนพื้นดีๆ


“เบียทรีซ?”


“ทำเสียงงงอะไรของเจ้า”


“ยังไม่นอนเหรอ นี่มันดึกแล้วนะ” ผมนึกว่าอีกฝ่ายจะนอนหลับสนิทเปิดแอร์อยู่ในห้องแล้วซะอีก


“หิวเลยเดินมาดักเผื่อจะมีมนุษย์หลงเข้ามา”


“แฮะๆ ขอโทษที่คงไม่อร่อย...” พอรู้ว่าถึงบ้านแถมยังได้สัมผัสนุ่มๆ เมื่อครู่ด้วย ดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นก็ปิดลงพร้อมทรุดตัวลงไปกองกับพื้นอย่างหมดสภาพโดยมือข้างนึงเอื้อมไปเกาะเส้นขนสีดำแสนนุ่มนั่น ความจริงอยากจะหนุนแต่ไม่มีแรงจะขยับตัวแล้ว


สงสัยคืนนี้ผมคงต้องนอนหน้าประตูบ้านแล้วละมั้ง


“อย่ามานอนตากแห้งตรงนี้แดดมันมาไม่ถึงหรอก”


“...อื้อ” ผมทำได้เพียงครางตอบโดยเปลือกตาทั้งสองข้างช่างหนักเหลือเกิน...ลืมไม่ขึ้น


ด้วยสติอันแสนเลือนรางทำให้ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนัก รู้แค่ร่างผมถูกลากไปกับพื้นผ่านปกเสื้อที่ถูกดึง ห้องที่มาน่าจะเป็นห้องนอนเพราะสัมผัสได้ถึงความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ไม่ต้องถามก็เดาได้ว่าเบียทรีซคงจะลากผมมา จังหวะนั้นเองร่างกายผมรู้สึกคล้ายถูกเหวี่ยงรู้ตัวอีกทีก็ขึ้นมาอยู่บนเตียงแล้ว


ความนุ่มของหมอนแม้จะไม่ดีเท่าเบียทรีซแต่ผมในตอนนี้ไม่มีเวลามาเรื่องมาก เพียงแค่นี้ก็ทำให้ผมหลับฝันดีได้แล้ว


“เฮ้ เอาหัวขึ้น” เสียงเรียกแกมสั่งนั่นทำเอาผมค่อยๆ ผงกหัวขึ้นอย่างยากลำบาก ดูเหมือนคนเรียกจะรอจังหวะนี้อยู่ พอระยะห่างมากพอขนนุ่มๆ ก็ลอดผ่านหัวผมทำให้เมื่อทิ้งหัวลงตามเดิมสัมผัสนุ่มๆ แสนคุ้นเคยก็กลับมา


“...เบียทรีซ...”


“เงียบแล้วนอนไป”  แม้น้ำเสียงจะติดหงุดหงิดแต่มันก็ทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก


“...ขอบคุณนะ”


อาจเพราะความเหนื่อยล้าบวกกับอาการปวดหัวจากการทำงานในคืนนั้นผมจึงหลับสนิทมากกว่าที่เคย ซึ่งผมฝัน...ฝันว่าตัวเองที่นอนอยู่บนปุยเมฆถูกอะไรบางอย่างขยับเข้ามาใกล้ เกลี่ยเส้นผมและใบหน้าผมคล้ายจะช่วยให้ความเหนื่อยล้าทั้งหมดหายไปซึ่งผมคิดว่ามันได้ผลทีเดียว


ช่วงเช้าของวันต่อมาผมตื่นขึ้นด้วยอารมณ์แจ่มใสราวกับความล้าเมื่อคืนเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น ที่แปลกไปกว่านั้นคือผมสวมแว่นนอน โดยปกติก่อนนอนผมจะถอนแว่นวางไว้ต่อให้ง่วงแค่ไหนก็ไม่เคยใส่หลับไปด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ลืมตามาโดยมีแว่นอยู่


“เบียทรีซ” ผมงึมงำเรียกหมอนหนุนมีชีวิตระหว่างถอดแว่นออกมาเช็ดเนื่องจากแว่นมัวเกินกว่าจะมองเห็นได้


“อะไร ตื่นแล้วก็ไปทำมื้อเช้าสักที” เสียงแรกของวันดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเหมือนอย่างเคยซึ่งผมชินแล้ว


“ทำไมไม่ถอดแว่นผมให้ด้วยล่ะ” ไหนๆ ก็ลากผมมานอนแล้วน่าจะถอดแว่นไปวางให้หน่อย ถ้าผมพลิกตัวทับแว่นหักขึ้นมาวันนี้งานไม่เสร็จแน่


“ข้าไม่มีเหตุผลต้องทำนี่”


“ก็ใช่แหละ...เจ็ดโมงแล้ว? ผมไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมค่อนข้างตกใจที่นาฬิกาบอกเวลา 7 โมงตรง


เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสร็จผมใช้เวลาที่เหลือไม่มากทำมื้อเช้าของตัวเองกับเบียทรีซรวมไปถึงมื้อกลางวันและมื้อเย็นรวดเดียวเลย ถุงขนมปังบนโต๊ะไม่อยู่แล้วแสดงว่าอีกฝ่ายคงกินเป็นมื้อเย็น ถ้าวันนี้ผมไม่ทำอะไรไว้ให้เบียทรีซอาจต้องกินไข่ดิบก็เป็นได้


“ทำไมทำเยอะ” เบียทรีซมองมายังอาหารหลายอย่างที่ผมยกมาวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่น


“คืนนี้ผมต้องอยู่ดึกอีกเพราะงั้นคุณก็กินข้าวแล้วนอนก่อนได้เลย” ผมบอกไปตามตรง


“งานยังไม่เสร็จอีก?”


“อืม เหลืออีกพอสมควรเลย ผมถูกสั่งให้ต้องส่งภายในวันนี้ด้วย”


“ไม่เห็นต้องทำ ถ้าอยากให้เสร็จเร็วก็ให้มาทำเองสิ” เบียทรีซบอกพลางหันมามองหน้าผม


“หน้าผมมีอะไรเหรอ” ผมยกมือขึ้นแตะหน้าตัวเองเผื่อมีเศษอาหารอะไรติดอยู่


“ดำ”


“ฮะ? อะไรดำ?”


“ขอบตาดำ” อีกฝ่ายเฉลย


“อ่า...เป็นปกติน่ะ” ร่างกายผมค่อนข้างแสดงอาการออกมาง่าย คงเพราะผิวที่ค่อนข้างขาวนี่ทำให้เวลานอนน้อยแล้วขอบตาดำก็จะเป็นที่สังเกตได้ง่าย


หลังจากจัดการมื้อเช้าเสร็จผมเตรียมจะออกไปทำงานเหมือนอย่างปกติทว่ารถที่ขับประจำกลับสตาร์ทไม่ติดขึ้นมาซะอย่างงั้น ด้วยความที่ผมไม่มีเวลาเช็คเลยจำต้องใช้การเดินเท้าไปทำงานแทน ถือเป็นโชคดีที่บริษัทอยู่ไม่ไกลถ้าเดินไปประมาณ 15 นาทีน่าจะถึง


“วิณณ์” ตอนกำลังจะเดินออกนอกรั้วเสียงของคนในบ้านก็ดังขึ้น


“มีอะไรรึเปล่า ผมเตรียมน้ำวางไว้ให้แล้วเผื่อคุณจะดื่ม”


“ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นสักหน่อย บอกว่ากลับดึกสินะ”


“อื้อ” ผมพยักหน้าตอบ


“กี่โมง” อีกฝ่ายต่อ


“ไม่แน่ใจ น่าจะสี่ห้าทุ่มมั้ง” ผมไม่รู้เวลาชัดเจนเนื่องจากมันขึ้นอยู่กับความเร็วในการทำงานของแต่ละวันด้วย วันไหนผมมีสมาธิหรือสติดีก็จะพลอยให้ทำงานเร็วขึ้น


“ไปได้แล้ว” เบียทรีซนิ่งไปสักพักก่อนจะเร่งให้ผมรีบไป


การเดินทางด้วยเท้าใช้เวลาไปตามคาดคือประมาณ 15 นาที โชคดีที่ผมออกมาก่อนเวลาพอสมควรทำให้มาทันเวลารูดบัตรตอน 8 โมง พอขึ้นไปถึงห้องผมทักทายคนอื่นพอเป็นพิธีแล้วเริ่มลงมือทำงานของตัวเองที่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืนอีกครั้งนึง ด้วยความที่นอนเต็มอิ่มเลยส่งผลต่อสมองช่วยให้ประมวลอะไรได้เร็ว


ถ้าเป็นแบบนี้ผมคงทำเสร็จได้เร็วกว่าที่คาด


“วิณณ์!” เสียงแหลมปรี๊ดตะโกนเรียกชื่อผมมาตั้งแต่ปากประตู


“หัวหน้า” ทำไมหัวหน้าถึงมาหาอีกล่ะ


“วันนี้หวังว่างานที่ให้ไปจะเสร็จนะ”


“ครับ ผมจะส่งให้ภายในวันนี้” ดูจากตอนนี้ยังไงก็สามารถส่งทันแน่นอน


“หวังว่าคงไม่ได้เอาข้อมูลมาลงผิดฉบับหรอกนะ”


“ก็เป็นฉบับที่หัวหน้าเอามาให้...” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ผมเริ่มกังวล


“ฉบับนั้นไม่ใช่ฉบับอัพเดทล่าสุด ทำงานนี่ไม่รอบคอบตรวจสอบข้อมูลก่อนทำรึไง”


“...ขอโทษครับ” ข้อมูลของการทำบัญชีนอกจากที่หัวหน้าเอามาให้แล้วยังมีส่งเป็นไฟล์มาทางเมลล์ด้วยแต่ผมไม่ได้เปิดตรวจสอบดูเพราะไม่คิดว่าสองฉบับจะไม่เหมือนกัน


“ฉันต้องการภายในวันนี้ หวังว่าคงเข้าในนะ”


“...ครับ” เป็นอีกครั้งที่ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องพยักหน้ารับคำ


ถ้าให้คิดในแง่ว่าถูกแกล้งก็คงได้แต่ผมคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเพราะผมไม่ละเอียดรอบคอบพอเลยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลก่อนลงมือทำบัญชี แต่ในเมื่อมันเกิดความผิดพลาดขึ้นแล้วผมก็ต้องแก้ไขมันให้ได้โดยเร็วที่สุด


ผมเริ่มโดยการเปิดไฟล์ของมูลในเมลล์แล้วปริ้นออกมานั่งอ่านเปรียบเทียบดูว่าตรงไหนที่มีการปรับเปลี่ยนซึ่งกว่าจะเสร็จเวลาได้ล่วงเลยไปถึงช่วยบ่ายแล้ว ตัวเลขที่ต้องปรับแก้มีอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกับข้อมูลบางตัวที่เพิ่มขึ้นมา เวลาที่คาดว่าจะทันเริ่มมีแววว่าจะไม่ทัน


หลังเวลาเลิกงานภายในห้องของฝ่ายมีอีกหลายคนนั่งทำงานอยู่ต่อแต่เมื่อเลยสามทุ่มไปก็เหลือเพียงผมคนเดียว ดวงตาสีน้ำตายภายใต้เลนส์แว่นมองข้อมูลในเอกสารสลับกับหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยมือทั้งสองข้างนั้นกรอกข้อมูลลงไปไม่หยุดมาตั้งแต่ช่วงเลิกงาน


โปรแกรมที่ช่วยในการสร้างบัญชีช่วยประหยัดเวลาในการทำตารางและคำนวณ เพียงแค่ใส่ข้อมูลให้ถูกช่องก็สามารถทำงบต่างๆ ออกมาได้ไม่ยากซึ่งความยากอยู่ที่การแยกแต่ละรายการว่าจะอยู่ในหมวดอะไรซึ่งทุกอย่างต้องออกมาดุลจึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ เมื่อปุ่มเอ็นเทอร์ถูกกดลงแล้วผลปรากฎว่าตัวเลขสุดท้ายเป็นเลยเดียวกันผมก็แทบทรุดลงไปกองหน้าคอมพิวเตอร์ให้รู้แล้วรูรอด


“...เสร็จแล้ว!” ในที่สุดก็เสร็จ


ผมใช้เวลาพักเหนื่อยไม่กี่วินาทีก็รีบจัดการส่งไฟล์ที่เสร็จเรียบร้อยไปให้กับหัวหน้าในระหว่างนั้นก็ปริ้นแบบเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะในห้องส่วนตัวที่ไม่ได้ล๊อคกลอนไว้


แม้จะอยากรีบกลับไปนอนแทบขาดใจแต่รถเพียงคันเดียวที่มีดันมาเสียผมจึงจำต้องเดินเท้ากลับบ้านท่ามกลางความงัวเงีย ตอนนี้ขาผมแทบจะก้าวไม่ไปด้วยซ้ำ ถ้ามีรถป่านนี้คงถึงบ้านแล้วไม่ต้องมาเดินดึกๆ คนเดียวแบบนี้ ช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่าบนท้องถนนมีรถประปรายแต่ไม่มากเช่นเดียวกับทางเดินในนี้ เรียกว่าแทบไม่มีคนเลยก็ว่าได้


อยากรีบก้าวยาวๆ แต่ร่างกายกลับไม่ยอมเชื่อฟัง


“นี่ มาทำอะไรดึกๆ แถวนี้คนเดียวเหรอ” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมวางผ่ามือลงบนไหล่จนผมสะดุ้งแล้วเบี่ยงตัวหนีทันควัน


“...” ผมไม่ตอบแต่ก้าวเท้าเร็วๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ทว่าชายคนนั้นกลับก้าวยาวๆ ตามมา เพียงพริบตาเดียวก็มาดักหน้าจนผมไปต่อไม่ได้


“กลิ่นเด็กแบเบาะนี่สุดยอดเลยแฮะ ไม่คิดว่าจะเจอของดีในเวลาแบบนี้” ดวงตาสีน้ำตาลของอีกฝ่ายจับจ้องมายังผมพร้อมรอยยิ้มดูไม่น่าไว้ใจ


 “คุณต้องการอะไร” แม้รูปร่างหน้าตาจะไม่มีอะไรผิดแปลกแต่บางอย่างมันแปลกจากคนปกติ


อันตราย


คนตรงหน้าอันตราย


“ความหวาดกลัวช่างน่ารื่นรมย์นัก อยากจะลิ้มลองจนไม่เหลือแม้แต่เลือดสักหยอด” บรรยากาศอันตรายแผ่ซ่านออกมาจนผมต้องก้าวถอยหลังทว่าก้าวได้ไม่กี่ก้าวกลับติดกำแพงซะแล้ว


“...คุณไม่ใช่มนุษย์” ผมบอกไปตามความรู้สึก มีบรรยากาศคล้ายกับเบียทรีซตอนเจอกันวันแรก แถมประโยคพวกนั้นมนุษย์ปกติคงไม่พูด


“รู้แล้วเหรอ แกเองก็ไม่ใช่นี่”


“ผมเป็นมนุษย์”


“มนุษย์ไม่ส่งกลิ่นแบบนี้ออกมาหรอกนะ”


“...” ผมไม่ตอบแต่หันซ้ายขวาพยายามหาทางออก ก่อนจะตัดสินใจเบี่ยงตัวไปด้านข้างแล้ววิ่งสุดแรงทว่าอีกฝ่ายกลับคว้าแขนผมแล้วเหวี่ยงกลับจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับผนังเต็มแรง ผมทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมความชาบริเวณแผ่นหลัง


“อยู่เฉยๆ ดีกว่านะถ้าไม่อยากเจ็บตัวมากไปกว่านี้” น้ำเสียงเย็นๆ ของอีกฝ่ายทำเอาความกลัวเริ่มเข้ามาจู่โจม


เบียทรีซเองก็มักจะพูดด้วยน้ำเสียงแข็งๆ หรือหงุดหงิดแต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ผมฟังแล้วรู้สึกหวาดกลัวเหมือนชายคนนี้


“แกสิที่ต้องอยู่เฉยถ้าไม่อยากตาย!” คำพูดนั้นมาพร้อมกับร่างสีดำสนิทที่ก้าวออกมาท่ามกลางความมืดของซอยด้านข้างผม


“...เบียทรีซ” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงอ่อย ความกลัวเมื่อครู่ปลิวหายไปเพียงแค่เห็นเขาปรากฏตัวขึ้น


“เจ้านี่จะกลับถึงบ้านโดยไม่มีแผลสักวันไม่ได้รึไงกัน” เบียทรีซก้าวเข้ามายืนตรงหน้าผมเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ การกระทำของเขาคล้ายกำลังปกป้องผมที่ลุกไม่ขึ้น


“ขอโทษ...”


“อะไรกัน ปิศาจชั้นต่ำอยู่ด้วยเหรอ คิดว่ามันจะช่วยให้แกรอดได้รึไง” ชายตรงหน้าหัวเราะเสียงแหลมพลางจับจ้องไปยังเบียทรีซที่ทำเพียงยืนนิ่งๆ


ปิศาจชั้นต่ำ?


หมายถึงอะไร


“ที่ไม่รอดมันแกมากกว่า” เบียทรีซกดเสียงต่ำใส่ฝ่ายตรงข้าม


“พวกกระจอกแถมไม่เจียมตัวนี่มีเยอะเหมือนกันแฮะ”


“พูดถึงตัวเองอยู่รึไง”


“ว่าไงนะ!”


“แกมันก็แค่ปิศาจระดับกลางที่ไร้อำนาจและพลังเมื่ออยู่โลกปิศาจเลยมาโลกมนุษย์เพื่อแสดงพลังอันแสนกระจ้อยร่อยงั้นสิ” ผมพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของเบียทรีซแต่ก็ยากเกินกว่าจะเข้าใจได้


“แก! แกคิดงว่าตัวเองเก่งนักรึไง!” ความโกรธและโมโหแผ่ออกมาพร้อมมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายที่มีเล็บยาวงอกออกมา


“เก่งสิ ต่อให้อยู่ในร่างนี้ปิศาจระดับเจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า!” การโจมตีด้วยกรงเล็บอันแหลมคมถูกเบี่ยงหลบได้อย่างง่ายดาย ร่างสีดำของเบียทรีซแผ่พลังบางอย่างออกมาในความมืด ผมยังเห็นถึงคลื่นพลังสีดำซึ่งปกคลุมตัวเบียทรีซและกำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ


ปิศาจที่เป็นคู่ต่อสู้ถึงกับเบิกตากว้าง ทั้งร่างเริ่มเกิดอาการสั่นเมื่อรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของพลังอย่างชัดเจน เบียทรีซก้าวตรงไปยังร่างอันสั่นเทิ้ม และเพียงการโจมตีเดียวร่างของปิศาจตนนั้นก็หายวับไปกับตา ผมได้แต่นั่งนิ่งมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ


“...เบียทรีซ”


“จะอึ้งอีกนานไหม รีบลุกขึ้นได้แล้ว” บรรยากาศน่ากลัวเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยเบียทรีซในยามปกติ


“เจ็บ...ลุกไม่ไหว” ผมบอกไปตามจริง อยากจะลุกแต่ขยับไม่ไหว


ดูเหมือนแรงกระแทกจะส่งผลหนักกว่าที่คิดไว้


“อ่อนแอ” แม้จะบ่นแต่อีกฝ่ายก็ก้าวเข้ามาใกล้ให้ผมจับเขาพยุงตัวขึ้นทีละนิด


“ทำไมถึงมาอยู่นี่ล่ะ” มีหลายคำถามที่ยังคาใจ...ซึ่งคำถามเหล่านั้นไว้ค่อยถามก็ได้ มีแค่คำถามนี้ที่ผมอยากฟังคำตอบเลย


“แค่ว่างเลยออกมาเดินเล่น”


“...คุณโกหก” ต่อให้เป็นผมก็รู้ว่าคำพูดนั้นคือคำโกหกแน่นอน เวลา 4 ทุ่มกว่าแบบนี้ต่อให้เป็นปิศาจก็คงไม่ออกมาเดินเล่นหรอก ถึงแม้จะออกมาเดินเล่นจริงการจะมาเจอผมในจังหวะพอดิบพอดีแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้


ถ้างั้นทำไมเบียทรีซถึงมาอยู่นี่ได้...คำตอบมีแค่อย่างเดียวคือเขาตั้งใจมาหาผม


“แล้วแต่เจ้าจะคิด ขึ้นหลังข้า” ไม่พูดเปล่าเบียทรีซจัดการเอาร่างผมขึ้นไปอยู่บนหลังเรียบร้อยโดยผมยังไม่ได้บอกเลยว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้น


เบียทรีซเดินเข้าไปในซอยตามเส้นทางกลับบ้านแบบไม่รีบร้อน สีขนของเขากลืนกับความมืดถ้าไม่สังเกตดีๆ ไม่มีทางเห็นหรอกว่ามีสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่แบกมนุษย์ไว้บนหลังเดินอยู่ตามถนนแบบนี้


เมื่อรู้สึกปลอดภัยความง่วงก็เริ่มเข้าจู่โจมอีกครั้งหนึ่ง ผมซุกใบหน้าลงกับขนของเบียทรีซบริเวณแผงคอที่มีขนฟูฟ่องมากกว่าบริเวณอื่น เป็นส่วนที่ผมชอบมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง


“...เบียทรีซ” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา


“ง่วงก็นอนไป” น้ำเสียงแข็งกร้าวปนรำคาญนั่นทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมา ความห่วงใยที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นแผ่ออกมาโดยไม่ต้องพูดคำว่าห่วงด้วยซ้ำ


“ขอบคุณที่มาหาผม...”


“บอกแล้วไงว่าไม่ได้มาหา”


“ขอบคุณที่มาช่วยผม...”


“ข้าก็แค่ผ่านมา”


“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะเบียทรีซ” ผมเอ่ยขอบคุณพร้อมใช้มือสองข้างโอบกอดแผงคอนั่นแน่นขึ้นซึบซับไออุ่นที่ส่งผ่านมายามร่างกายแนบชิดกัน ทั้งที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โอบกอดเส้นขนนี่แต่ทำไมครั้งนี้หัวใจมันถึงเต้นรัวขึ้นกันนะ


เป็นเพราะกลัวกับเหตุการณ์เมื่อครู่


หรือจะเป็นเพียงแค่ตัวตนของอีกฝ่ายที่เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กัน

..................................................

มาต่อกันค่ะ

บทเกริ่นนำจะจบลงในตอนนี้แล้ว

ในตอนหน้าจะเริ่มเข้าสู่เนื้อหาหลักกันแล้ว

แฟนตาซีเป็นแนวที่เราชอบแต่งมากเพราะมันไม่ต้องคำนึงถึงหลักความเป็นจริงอะไรมากมายนัก

หวังว่าทุกคนจะชอบน้าา

ขอฝากวิณณ์และเบียทรีซไว้ในอ้อมอกด้วยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เฮียหมา ว่างๆ ไปถอนกอใบเตยที่ทำงานให้ด้วยจะดีมากๆ  o18

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หูยยยยยย มีออกมารอรับหน้าปากซอยนะท่านน

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰บงการ:วันที่4:⊱



“นี่เบียทรีซ” ผมส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายระหว่างนั่งเปิดโทรทัศน์ดูรายการสารคดีเรื่อยเปื่อยมาตั้งแต่ช่วงเช้า วันนี้เป็นวันหยุดของบริษัทซึ่งติดกับวันเสาร์อาทิตย์ทำให้ผมมีวันหยุดถึง 3 วันติด ในวันแรกของการหยุดยาวผมทำความสะอาดบ้านตั้งแต่เช้ายันเย็นภายในบ้านเลยสะอาดเอี่ยม


วันนี้เป็นวันที่สองของวันหยุดซึ่งก็เป็นอย่างที่เห็นว่าพวกเราค่อนข้างว่าง ผมเลยนึกขึ้นเรื่องที่สงสัยขึ้นมาได้หลายๆ อย่าง เหตุการณ์ที่ผมถูกปิศาจเข้ามาเร่งงานในช่วงดึกและได้เบียทรีซมาช่วยก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้ว


“ว่ามา”


“มีเรื่องอยากถามได้ไหม”


“ลองว่ามาก่อน” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองผมเล็กน้อยระหว่างตอบ เบียทรีซนอนอยู่บนโซฟาโดยมีผมนั่งพิงโซฟาอยู่ด้านล่าง


“คุณรู้ไหมว่าทำไมปิศาจถึงได้เข้ามาทำร้ายผม”


“รู้สิ เพราะเจ้าเป็นเด็กน้อยเพิ่งหัดคลานไง”


“ผมไม่ได้เด็กขนาดนั้น” ฟังกี่ทีก็รู้สึกเหมือนถูกว่าอยู่เลย


เด็กน้อยเพิ่งหัดคลาน?


ผมที่อายุ 30 ปีแล้วเนี่ยนะ ฟังแล้วน่าอายจะตาย


“สำหรับมนุษย์คงไม่เด็กแต่สำหรับปิศาจอย่างพวกข้าถือว่าเป็นวัยเด็กซึ่งมีกลิ่นเย้ายวนและน่าลิ้มลองมากที่สุด” เบียทรีซบอกพลางใช้ดวงตาสีทองสว่างจับจ้องมา


“...หมายถึงพวกคุณกินพวกเดียวกัน?” ผมถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ความหมายของประโยคนั้นผมคงแปลไม่ผิดใช่ไหม


“เรื่องปกตินี่ บางทีแค่พวกสัตว์มันไม่พอหรอกนะ”


“...” นอกจากความเงียบที่มอบให้ผมยังค่อยๆ ขยับตัวออกห่างจากโซฟามากขึ้นทีละนิด


ตอนนี้ผมสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่างที่ไม่ควรเข้าใกล้


“ทำหน้าตลก”


“คุณ...คงไม่กินผมหรอกนะ”


“...ไม่รู้สินะ”


“ต้องบอกว่าไม่กินผมสิ” พูดว่าไม่รู้มันดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้


“หึ...ก็ดูน่าอร่อยไม่เลว”


“เบียทรีซ” ผมถอยหลังจนติดกับโต๊ะญี่ปุ่น


คงไม่ได้พูดจริงใช่ไหม


“ไม่ต้องกลัวไป ตอนนี้ข้าอิ่มอยู่”


“พูดแบบนั้นจะไม่ให้กลัวได้ยังไงล่ะ”


“สำหรับปิศาจในวัย 30-50 ปีจะเป็นช่วงวัยที่ส่งกลิ่นหอมออกมาเป็นพิเศษ ในโลกปิศาจเองมีการล่าพวกเดียวกันในวัยนี้อยู่มาก กลิ่นของเจ้าคงไปเตะตาพวกมันเข้า” เบียทรีซอธิบายเพิ่ม


“แล้วคุณไม่เป็นอะไรเหรอ” ผมถามกลับ


“ไม่เป็นไรคือ?”


“ก็กลิ่นผมไง” ในเมื่อบอกว่าที่ผมถูกปิศาจโจมตีครั้งก่อนเป็นเพราะกลิ่นถ้างั้นกลิ่นของผมก็ต้องมีผลต่ออีกฝ่ายที่เป็นปิศาจด้วย


“ข้าไม่ใช่พวกปิศาจระดับกลางแบบนั้น”


“ปิศาจระดับกลาง?”


“ทำหน้างง”


“ก็ผมไม่รู้นี่” จะว่าไปเหมือนจะมีทั้งต่ำ กลางและสูงเลยนี่นา


หมายถึงอะไรกันนะ


“ปิศาจน่ะแบ่งง่ายๆ ออกเป็นปิศาจระดับต่ำหรือปิศาจระดับล่าง ปิศาจระดับกลางและปิศาจระดับสูง ทำหน้าแบบนั้นอยากให้อธิบายเพิ่มล่ะสิ” สมกับเป็นเบียทรีซแค่เห็นหน้าผมก็รู้ทันทีว่าผมต้องการอะไร


“อืม” ผมพยักหน้าขึ้นลงอย่างไม่เขินอาย


ก็คนมันไม่รู้จริงๆ นี่นา


“ปิศาจระดับต่ำคือปิศาจที่ไม่มีรูปลักษณ์แบบมนุษย์ส่วนมากจะมีรูปร่างคล้ายสัตว์และมีพลังปิศาจ ปิศาจรับดับกลางว่าง่ายๆ คือส่วนใหญ่มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงมนุษย์หรืออาจเป็นที่ยืนสองขาได้ พูดได้รวมไปถึงมีพลังปิศาจมากกว่าพวกระดับต่ำ สุดท้ายคือปิศาจระดับสูงนั่นก็คือข้า!” พูดจบอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืนบนโซฟาโดยใช้ขาทั้งสี่ข้างจัดทำมุมพร้อมเชิดหน้าขึ้นคล้ายกับจะให้ผมดูรูปลักษณ์อันแสนงาดงามนั่น


“เอ่อ...คุณเป็นปิศาจระดับสูง?”


“แน่นอนสิ เจ้าคิดว่าข้าควรอยู่ในระดับไหนถ้าไม่ใช่ระดับสูงล่ะ” เบียทรีซหันควับมาถามผมด้วยน้ำเสียจริงจัง


เป็นปิศาจในระดับไหนงั้นเหรอ


ถ้าดูจากรูปลักษณ์คล้ายสัตว์ป่าขนยาว ขนาดยักษ์ประกอบกับคำอธิบายจากอีกฝ่ายเมื่อครู่คำตอบก็มีเพียงอย่างเดียวนั่นคือ...


“ระดับต่ำ...”


“เจ้านี่ใจกล้าดีนี่! อยากถูกกลืนลงท้องขนาดนั้นเลยสินะ บอกข้าดีๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องมายั่วโมโหกันเลย!” เบียทรีซกระโดดลงมาจากโซฟาพร้อมก้าวเข้ามาประชิดผมที่ถอยหลังไปจนสุดทาง สายตาที่จับจ้องมานั่นช่างน่ากลัวจนผมแทบขยับหนีไม่ได้


“...คุณโกรธอะไรน่ะ”


“บอกว่าข้าเป็นปิศาจระดับต่ำจะให้ข้าปรบมือดีใจแล้วขอบคุณเจ้ารึไงวิณณ์”


“ผมพูดผิด?” ผมถามกลับตามตรง


“ข้าเหมือนพวกปิศาจระดับต่ำตรงไหนกัน!” เสียงตะหวาดกร้าวดังขึ้นในระยะประชิด ผมถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้าง ดูเหมือนจะทำให้เบียทรีซมีน้ำโหซะแล้ว


“ก็คุณเป็นคนบอกเองว่าปิศาจระดับต่ำส่วนมากมีรูปร่างเหมือนสัตว์ คุณเองก็รูปร่างเหมือนสัตว์นี่” ผมอธิบายผิดตรงไหนกัน ทุกอย่างผมฟังและตอบตามเนื้อผ้าชัดๆ


“นี่มันเป็นร่างชั่วคราว ข้าไม่ได้อยากอยู่ในร่างแสนอ่อนแอแบบนี้หรอกนะ”


“ร่างชั่วคราว?”


“ปิศาจระดับสูงมีความสามารถในการควบคุมพลังปิศาจได้ มีไม่น้อยที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ตัวเองในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินที่พัวพันต่อชีวิต อย่างข้าเองตอนพลังปิศาจไหลออกไปจากร่างเกือบหมดก็มาอยู่ในร่างนี้เพื่อถนอมพลังปิศาจของตัวเองไว้” เบียทรีซอธิบายเพิ่ม


“คุณเป็นปิศาจระดับสูง” ผมสรุปเสียงเบา


“แน่นอน ข้าที่เป็นถึงราชาปิศาจอยู่เหนือสุดของเหล่าปิศาจทั้งปวง ปิศาจระดับสูงเพียงแค่มองด้วยตาก็สามารถแยกแยะได้ง่าย ตัวตนอันสูงส่งของข้ามาพร้อมกับพลังปิศาจอันมหาศาลอีกทั้งรูปลักษณ์ยังเหนือกว่ามนุษย์อย่างเทียบไม่ติด”


“หมายถึงหน้าตาดีมากสินะ” ผมสรุปให้เป็นภาษาของตัวเอง คำอธิบายของเบียทรีซบางครั้งก็ดูทำความเข้าใจยากเกินไป


“เข้าใจถูกแล้ว ยิ่งตัวข้ายิ่งหล่อเหลากว่าใคร”


“...” ระหว่างเงียบผมไล่มองยังโครงหน้าของเบียทรีซ เรียวปากยาวสีดำขลับตัดกับดวงตาสีทองสว่างอย่างลงตัว อีกทั้งเส้นขนอันอ่อนนุ่มคล้ากำมะหยี่แม้จะไม่ได้สัมผัสก็รรับรู้ได้ถึงความนุ่มที่แผ่ออกมา ถ้าทั้งหมดนั่นเรียกว่าหล่อก็คงใช่


“พยักหน้านั่นหมายถึงอะไร” เพราะมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยอยู่ในหัวเลยไม่ทนรู้ตัวว่าเผลอพยักหน้าออกไป


“อืม คุณหล่อ”


“...ไม่ได้โกหก” คำพึมพำเบาๆ ดังขึ้นหลังจากถูกอีกฝ่ายใช้ดวงตาคมๆ จับจ้องมาคล้ายกำลังเค้นหาคำตอบผ่านการสบตา


“ฮืม?” หมายถึงอะไร


“รูปลักษณ์ดำๆ นี่มันหล่อตรงไหน” เบียทรีซถามต่อ


“ขนนุ่มสุดๆ” ผมตอบพลางโผลร่างเข้ากอดแผงคอนุ่มนิ่มนั่น


“มันเกี่ยวกับหล่อตรงไหนวิณณ์”


“แค่มองหน้าคุณก็รู้แล้วว่าหล่อ อย่างเวลาเรามองสุนัขหรือแมวให้ดีๆ เราจะสามารถแยกเพศได้โดยใช้เพียงการมองเท่านั้นว่าสวยหรือหล่อ” ไม่เกี่ยวว่าเป็นเป็นสัตว์แล้วจะหล่อหรือสวยไม่ได้


“หึ ข้าจะบอกให้ว่าตัวจริงของข้าหล่อกว่านี้อีก 300 เท่า นึกไม่ถึงเลยใช่ไหมล่ะ”


“...อืม นึกภาพไม่ออกเลยว่าเป็นยังไง” ถึงจะบอกว่าหล่อกว่านี้อีก 300 เท่าผมก็นึกภาพไม่ออกหรอก ถ้าแค่เท่าหรือสองเท่าอาจพอนึกภาพได้อยู่


“เจ้ามันซื่อ เติมคำว่าบื้อให้อีกคำละกัน” ไม่พูเปล่าเบียทรีซใช้ปากยาวๆ ดันหัวผมเล็กน้อย


“อื้อ! เจ็บ” พอถูกดันแรงๆ ความรู้สึกเจ็บจึงแล่นเข้ามาถึงอย่างนั้นผมก็ไม่คิดจะปล่อยมือสองข้างที่กอดแผงคอนั่นไว้แน่น


“เจ็บก็ปล่อย ข้าร้อน”


“ไม่เอา ขออีกแป๊บ”


“แป๊บของเจ้ามันเชื่อไม่ได้”


“งั้นขออีกชั่วโมง”


“นานไป ข้าร้อน”


“ผมเปิดพัดลมจ่อให้อยู่นะ” พัดลมเพียงตัวเดียวในห้องรับแขกเปิดจ่อร่างของเบียทรีซด้วยแรงลมเบอร์สอง เรียกว่าแรงมาจนผมที่อยู่ใกล้ๆ ยังรู้สึกถึงแรงลม


“แค่ลมไม่ทำให้หายร้อนหรอก ประเทศนี้มันร้อนเกินไปแล้ว” อีกฝ่ายบ่น


“เป็นปกตินะ” ด้วยอากาศเหมือนในตอนนี้ไม่เรียกว่าร้อนหรอก ถ้าร้อนของจริงต้องรอช่วงเมษายน เชื่อเถอะว่าถ้าเบียทรีซได้สัมผัสถึงความร้อนในเดือนนั้นขนคงร่วงหมดตัวหมดหล่อกันเลยทีเดียว


“โลกข้าไม่ได้ร้อนแบบนี้”


“โลก? เอ่อ ที่ที่คุณมานี่คือที่ไหนเหรอ” แม้จะพอเดาๆ ได้แต่ผมไม่ค่อยอยากคิดว่าตัวเองเดาถูกเลยถามเอาตรงๆ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด


“ก็โลกปิศาจน่ะสิ เป็นเหมือนโลกคู่ขนาดกับโลกมนุษย์เรียกว่าเป็นมิติที่อยู่กันคงละฝั่งก็ไม่ผิด การจะไปโลกปิศาจหรือมาโลกมนุษย์จำเป็นต้องเปิดทางเชื่อมโลกทั้งสองก่อนจึงจะสามารถทำได้ แต่บางครั้งก็มีช่วงเวลาที่เกิดการบิดตัวของมิติทำให้อยู่ๆ ทางเชื่อมปรากฏขึ้นมาเองก็มีอยู่ไม่น้อย”


“แล้วโลกปิศาจเป็นยังไงเหรอ” อยู่ๆ ผมก็เกิดความสนใจขึ้นมา สิ่งที่ได้ฟังอาจเข้าข่ายนิยายแฟนตาซีเข้าไปทุกทีแต่ผมรู้ว่ามันเป็นความจริงเพราะไม่งั้นจะอธิบายตัวตนของเบียทรีซว่ายังไงล่ะจริงไหม


“เกิดสนใจโลกปิศาจขึ้นมาแบบนี้อยากไปอยู่ทางนั้นเหรอเจ้าลูกครึ่ง” เบียทรีซถามกลับพลางลอบสังเกตมองปฏิกิริยาผม


“แค่อยากรู้เท่านั้นเอง” บอกตรงๆ ว่าเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว ตัวผมนั้นทำความเข้าใจและตามสถานการณ์ยังไม่ค่อยทันนัก รู้ตัวแค่ผมนั้นไม่ใช่มนุษย์ปกติ


“ถ้าเจ้าไปอยู่นั่นได้โดนหลอกไปกินในสามวันแน่”


“หลอกไปกิน?”


“เด็กวัยหัดคลานแบบเจ้าเป็นที่ต้องตาอยู่แล้วยิ่งนิสัยเชื่อคนง่ายกับความซุ่มซ่ามนี่ข้าว่าลดเหลือสักสองวันก็พอ” เบียทรีซพูดต่อ


“ผมก็ไม่ได้เชื่อคนง่ายหรือซุ่มซ่ามขนาดนั้นสักหน่อย” ผมพยายามเอ่ยค้าน


“หน้าผากแดงๆ นั่นมาจากอะไร”


“...เดินชนประตู” ใจจริงผมไม่อยากพูดแต่พอถูกสายตานั่นประสานมาผมเลยจำใจต้องบอกความจริงไป หน้าผากผมแดงเนื่องจากเมื่อเช้าดันเหม่อเผลอเดินชนประตูกระจกเข้า


จะโทษว่าผมซุ่มซ่ามไม่ได้นะเพราะกระจกมันโปร่งใสผมก็นึกว่าเปิดอยู่น่ะสิ


“เฮ้อ จะมีวันไหนที่เจ้าไม่เจ็บตัวบ้างฮะวิณณ์” เสียงถอนหายใจมาพร้อมกับสายตาปลงๆ


“เท่าที่รู้...ไม่มีนะ” ผมพยายามนึกย้อนหาวันที่ไม่เจ็บตัวแต่เหมือนจะไม่มี การเจ็บตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้ว


“ข้ารู้อยู่แล้วไม่ต้องทำหน้าพยายามนึกเลย”


“ก็เผื่อจะนึกได้”


“คงมีหรอก”


“จะว่าไปเบียทรีซบอกว่าต้องฟื้นฟูพลังปิศาจสินะ” มีเรื่องนี้อีกเรื่องที่อยากถาม


“อืม แล้ว?”


“ตอนนี้พอจะฟื้นฟูได้บ้างรึยัง”


“เพราะใครก็ไม่รู้ดันโดนปิศาจเร่งงานพลังที่ฟื้นขึ้นมานิดหน่อยเลยถูกใช้ไปจนเกลี้ยง” คำพูดของเบียทรีซทำเอาผมที่เป็นต้นเหตุถึงกับทำหน้าสลด


“...ขอโทษนะ” เพราะตอนนั้นผมไม่สามารถหนีได้เขาเลยต้องเข้ามาช่วย


“น่ารำคาญ มื้อเที่ยงข้าจะกินเนื้อ” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องพร้อมใช้ส่วนหัวดันตัวผมที่กอดเขาอยู่ในขยับออกไป พอเป็นอิสระก็กระโดดกลับขึ้นไปนอนบนโซฟาต่อตามเดิม


“ได้ ผมจะย่างเนื้อให้”


กริ๋งง~ กริ๋งง~


ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นจากพื้นเสียงกริ่งหน้าประตูบานก็ดังขึ้นหลายครั้งติดต่อกัน ผมที่เป็นเจ้าของบ้านถึงกับขมวดคิ้วแน่นเพราะนึกไม่ออกว่าจะมีใครมาหาตัวเองได้ ผมไม่ได้มีเพื่อนที่สนิทอะไรมากมาย ครอบครัวเองก็ไม่มีเหลืออีกแล้วด้วย


หรือว่าจะเป็นคนมาขายของ?


“กว่าจะมาได้นะ”


“อะไรมาเหรอ” ผมหันไปถามเมื่อได้ยินเบียทรีซเอ่ยบางอย่าง


“คนของข้าเอง” อีกฝ่ายบอกเสียงเรียบ


“...หมายถึงคนที่อยู่หน้าประตูเป็นปิศาจ?”


“ใช่”


“...” ดวงตาสีน้ำตาลของผมถึงกับเบิกกว้างเมื่อได้รับคำตอบ


มีปิศาจมากดกริ่งหน้าบ้านผม?!


“ไม่ใช่พวกใช้กำลัง บ้านเจ้าไม่พังหรอก”


“เขาน่ากลัวไหม” การเผชิญหน้ากับปิศาจครั้งล่าสุดไม่ใช่ความทรงจำที่ดีเท่าไหร่สำหรับผม เรียกว่าทำให้กลัวก็ไม่ผิด


“ด้วยรูปลักษณ์ไม่น่ากลัวหรอก ที่น่ากลัวคือสิ่งที่อยู่ภายใต้รูปลักษณ์นั่นต่างหาก” เบียทรีซบอก


“แล้วผมต้องทำอะไรบ้าง” ผมถามต่อ อย่างน้อยถ้ารูปลักษณ์ไม่น่ากลัวก็ค่อยดีหน่อยขืนเปิดประตูออกไปแล้วเจอสัตว์ตัวใหญ่ยืนสองขาแถมยังพูดได้ผมอาจเป็นลมอยู่หน้าประตูก็เป็นได้


“แค่ให้เข้ามา”


“อืม” ผมพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูหน้าบ้าน เสียงกริ่งดังขึ้นเพียงสองครั้งตามมารยาทราวกับเป็นการกดเรียกที่รู้ว่าอีกเดี๋ยวต้องมีคนมาเปิดประดูให้


เมื่อประตูหน้าบ้านถูกเปิดออกภาพของชายหนุ่มในชุดสูทนั่นไม่ได้ทำให้ผมตกใจเท่าใบหน้าตรงๆ ของเขา ใบหน้าเรียวผิวขาวจมูกโด่งเป็นสันเข้ากับดวงตาเรียวสีฟ้าอ่อนกับเส้นผมสีทองเข้มได้อย่างลงตัว อีกทั้งรอยยิ้มที่เผยออกมาดูราวกับเทพบุตรที่หลอมละลายหัวใจของคนที่พบเห็น ทว่าที่ผมตกใจไม่ใช่เพราะรู้ลักษณ์อันหล่อเหล่าผิดมนุษย์แต่เป็นเพราะผมเคยเห็นใบหน้านี่มาก่อน


บริษัทที่ผมทำงานอยู่นั้นเป็นที่รู้กันว่าทำเกี่ยวกับการแพ็คสินค้าในรูปแบบต่างๆ ตามความต้องการซึ่งบริษัทนี้เป็นหนึ่งในบริษัทอีกหลายสิบแห่งที่ถูกบริหารโดยเจ้าของคนเดียวกันซึ่งก็คือ จาร์ม สก๊อต นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่สร้างบริษัทหลายสิบแห่งในหลายสิบประเทศ อธิบายง่ายๆ คือคนตรงหน้าผมคือเจ้าของบริษัทที่ผมทำงานอยู่นั่นเอง


อยากจะถอดแว่นออกมาเช็ดเผื่อว่าสิ่งที่สะท้อนจากเลนส์จะมาจากการหักเหของแสงที่ผิดเพี้ยนไป ใครจะเชื่อล่ะว่าคนดังระดับนั้นจะมากดกริ่งอยู่หน้าบ้านผมแบบนี้


เดี๋ยวนะ!


จากที่เบียทรีซบอกคนที่อยู่หน้าประตูเป็นคนของเขาแถมยังเป็นปิศาจด้วย จะบอกว่าจาร์ม สก๊อตคนนี้เป็นปิศาจงั้นเหรอ?!


ไม่สิ ถ้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ทั้งสง่าและหล่อเหลากว่าคนทั่วไปหลายสิบเท่าก็พอจะบอกได้ถึงความแตกต่างตามที่เบียทรีซเคยบอก ก็เคยสงสัยอยู่ว่ามีอะไรแปลกๆ ผมเคยได้ยินเรื่องของจาร์ม สก๊อตมาตั้งแต่อยู่มัธยมจนกระทั่งจบและเข้าทำงานรูปถ่ายของเขาที่ติดอยู่ตามบอร์ดภายในบริษัทไม่ได้ดูแก่ขึ้นเลยสักนิด


ถ้าอธิบายว่าไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นปิศาจที่มีอายุยืนนานข้อสงสัยทั้งหมดเป็นอันไขกระจ่าง


“เอ่อ...คุณ จาร์ม สก๊อต?” ใช้ความพยายามมากกว่าผมจะเอ่ยจนจบประโยคได้


“ฮืม? รู้จักฉันด้วย” อีกฝ่ายมีท่าทีตกใจไม่น้อยที่ผมเอ่ยชื่อของเขาออกไป


“...ครับ” ไม่ให้รู้จักคงแปลกชื่อเสียงของเขาดังมาก


“รู้จักฉันผ่านทางไหนล่ะ ทางสื่อหรือว่าทางท่านเบียทรีซ” คุณสก๊อตกดเสียงต่ำเน้นย้ำคำสุดท้ายนานเป็นพิเศษ


ท่านเบียทรีซ?


ขนาดคนดังระดับโลกยังใช้สรรพนามเรียกเบียทรีซว่าท่าน หมายความว่าเขาต้องเป็นคนที่มีอำนาจสูงกว่าไม่ก็แสดงถึงความเคารพคนคนนั้น


“...ทั้งสองทางครับ” ผมรู้จักอีกฝ่ายมาก่อนหน้าที่เบียทรีซจะบอกแล้วเพียงแต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนเดียวกัน อีกอย่างเบียทรีซบอกแค่ว่าเป็นปิศาจเท่านั้นเอง


“ท่านเบียทรีซอยู่ข้างในสินะ”


“ครับ เชิญเข้ามาก่อนครับ” พยักหน้าเสร็จผมหลีกทางให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาด้านในได้สะดวก ก่อนจะปิดประตูบ้านผมสังเกตเห็นคนหลายคนที่ยืนอยู่หน้ารั้วบ้านพ่วงด้วยรถอีกสองสามคันแต่นั่นไม่ใช่เรื่องหน้าแปลกสำหรับคนระดับนี้ ที่น่าแปลกคือสัมผัสแปลกๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวของพวกเขาต่างหาก


แม้จะสงสัยแค่ไหนผมก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากปิดประตูแล้วเดินตามคุณสก๊อตเข้ามาถึงห้องรับแขกของบ้าน คุณสก๊อตเดินตรงเข้าไปยังห้องที่เบียทรีซอยู่โดยที่ผมไม่ได้บอกราวกับเขาสามารถสัมผัสได้ว่าเบียทรีซอยู่ที่ไหนจึงเข้าไปหาได้ถูก ร่างของเบียทรีซที่นอนอยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย ทันใดนั้นคุณสก๊อตก็ก้าวยาวๆ เข้าไปใกล้พร้อมคุกเข่าลงตรงหน้า ศีรษะเองก็ก้มลงคล้ายจะสื่อถึงความเคารพที่มีต่อเบียทรีซ


“ขออภัยที่ข้ามาช้าองค์ราชา” น้ำเสียงของคุณสก๊อตดูนอบน้อมกว่าตอนที่ได้ยินปกติมาก ผมใช้นิ้วดันแว่นที่ไหลลงมาขึ้นเพื่อสังเกตสถานณ์ตรงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อ


“ข้าก็คิดอยู่ว่าการที่เจ้าไม่มาสักทีแปลว่าเจ้าแปรพรรคไปแล้วรึเปล่า” ดวงตาสีทองสว่างหรี่ลงระหว่างสบดวงตาสีฟ้าอ่อนนิ่งๆ ราวกับกำลังพิสูจน์บางอย่าง


“นายเหนือหัวของข้าคือท่านเบียทรีซ” คุณสก๊อตบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแถมดวงตายังคงประสานกับเบียทรีซทั้งที่ร่างกายเริ่มสั่นหน่อยๆ


บรรยากาศแปลกๆ แผ่ออกมาจากตัวของเบียทรีซ มันคล้ายคลึงกับความหนาวเย็นที่กรีดผิวหนังจนรู้สึกเจ็บได้โดยไม่ต้องมีอาวุธ ขนาดผมที่ไม่ได้สบดวงตาสีทองนั่นตรงๆ นั่นเริ่มสั่นไปด้วยเลย ไม่เพียงแค่ความหนาวเย็นแต่มันแฝงไปด้วยความกดดันที่รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าตัวเองนั้นไม่อาจเอาชนะอีกฝ่ายได้


สัมผัสถึงความหนังอึ้งนั่นได้ไม่นานร่างผมก็ทรุดลงไปกองอยู่บนพื้น รู้สึกเหมือนร่างกายมันสั่น เรี่ยวแรงเองก็คล้ายจะถูกสูบออกไปจนหมด


ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน


ตอนเจอกับปิศาจครั้งก่อนมันคือความรู้สึกคล้ายๆ กันทว่าตอนนี้ไม่ใช่แค่นั้น ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นพลังปิศาจของเบียทรีซ


 “...เบียทรีซ” ดวงตาสีทองสว่างหันมาทางผมตามเสียงเรียกและเสียงทรุดตัวลงเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าเพราะเขาเห็นว่าผมนั่งกองอยู่บนพื้นด้วยร่างกายสั่นๆ หรือว่าอะไรแต่บรรยากาศแปลกๆ ที่แผ่ออกมาเริ่มจางหายไปจนกระทั่งกลับมาสู่สภาวะปกติ ร่างกายที่กำลังสั่นเองก็กลับมาเหมือนเดิมแล้ว


“เจ้า เจียมตัวหน่อย กล้าเรียกชื่อท่านเบียทรีซเฉยๆ ได้ยังไง” คุณสก๊อตก้าวยาวๆ เข้ามาหาผมพร้อมดวงตาคมๆ ที่จับจ้องมา ถ้าดวงตานั่นเป็นมีดผมคงเลือดสาดไปแล้ว


“เอ่อ...คือ...”


“พอแค่นั้นสก๊อต” เบียทรีซบอกเสียงนิ่ง


“แต่ลูกครึ่งนี่กำลังหยามเกรียติท่าน”


“หึ หยามเหรอ ถ้าทำเป็นจริงก็ดีสิ วิณณ์...ข้าหิว” พูดกับคุณสก๊อตเสร็จก็หันมาบอกผม


“อืม ผมจะไปย่างเนื้อให้” ผมกระพริบตาใต้เลนส์แว่นสองสามครั้งเพื่อตั้งสติก่อนจะพาร่างตัวเองเดินเข้าไปในห้องครัว จัดการเปิดเตาแล้วย่างเนื้อที่หมักไว้ตั้งแต่ช่วงเช้าลงบนกระทะแบน


ด้วยความที่ห้องครัวและห้องรับแขกอยู่ติดกันแถมยังไม่มีผนังหรือประตูกั้นทำให้เสียงพูดคุยดังมาเข้าหูผมเป็นระยะ ถึงจะได้ยินแต่บทสนทนาส่วนมากก็ถามถึงว่าเบียทรีซเป็นยังไงหรือบอกเหตุผลที่มาหาช้าประมาณนั้น ใช้เวลาไม่กี่นาทีเนื้อย่างก็เสร็จเรียบร้อนผมจึงยกจานนั่นไปวางบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กแล้วนั่งลงข้างๆ โซฟาที่เบียทรีซยังคงนอนอยู่


“สถานการณ์ที่โลกปิศาจเป็นยังไง” เบียทรีซถามก่อนจะกระโดดลงมาโซฟาค่อยๆ กินเนื้อบนจานระหว่างรอฟังคำตอบ เนื้อที่ย่างเสร็จผมตัดให้เป็นชิ้นพอดีคำจะได้ไม่ร้อนหรือคำใหญ่เกินไปสำหรับอีกฝ่ายที่จับมีดตัดเองไม่ได้


“ตอนนี้สถานการณ์นับว่าวุ่นวายทีเดียว เจ้าบักเก็ตพยายามหาพรรคพวกและเสนอตัวขึ้นปกครองโลกปิศาจแทนท่านเบียทรีซที่หายตัวไป มีเพียงแค่ข้ากับคนของท่านอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าท่านมาพักฟื้นพลังที่โลกมนุษย์”


บักเก็ต?


เป็นชื่อของคนที่ทำร้ายเบียทรีซจนต้องหนีมาอยู่นี่สินะ จะว่าไปคุณสก๊อตนี่ถือว่าสุดยอดใช้คำว่า ‘พักฟื้น’ แทนคำว่า ‘หนี’ ได้อย่างเหมาะเจาะ ขืนใช้คำว่าหนีได้เกิดบรรยากาศแปลกๆ ขึ้นอีกแน่ ครั้งก่อนที่ผมพูดว่าหนีก็ถูกสายตาคมๆ นั่นจ้องมาซะน่ากลัว


“เจ้าคงไม่ได้บอกหรอกใช่ไหมว่าข้ายังมีชีวิต”


“แน่นอนครับ ท่านเบียทรีซอยากฟื้นพลังและกลับไปจัดการด้วยตนเอง อีกอย่างถ้าบอกทางเจ้านั่นอาจส่งปิศาจมาทำร้ายท่านได้” คุณสก๊อตตอบ


ผมฟังเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันโดยไม่พูดอะไร น้ำชาในครัวถูกยกมาเสิร์ฟคุณสก๊อตที่นั่งอยู่ถัดออกจากเบียทรีซไปหน่อยซึ่งทางคุณสก๊อตเหล่มองผมเล็กน้อยก่อนจะยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบพอเป็นพิธี


“ดี รอให้พลังข้ากลับมาก่อนเถอะ จะทำให้รู้เองว่ากล้ามาลองดีผิดคนแล้ว” น้ำเสียงเย็นๆ จากเบียทรีซทำเอาผมถึงกับขนลุก ไม่รู้ว่าทางฝ่ายนั้นเป็นใครหรอกนะแต่รู้สึกสงสารชอบกล


“ความจริงท่านพักรักษาตัวมาเป็นเดือนแล้วพลังน่าจะฟื้นกลับมา หรือว่า...” คุณสก๊อตพึมพำกับตัวเองไม่นานก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก


“หึ เจ้านั่นคงใช้ยาพิษที่ชะลอการฟื้นตัวของพลังปิศาจ คงคิดว่าพอข้าอยู่ในร่างนี้แล้วเดี๋ยวคงถูกปิศาจสักตนจัดการเองสินะ น่าขำ!” ปากบอกว่าน่าขำแต่เห็นหน้าเบียทรีซแล้วบอกตรงๆ ว่าคงขำไม่ออก


“ถ้าเป็นเรื่องพิษท่านปู่วาเกนต้องแก้พิษได้แน่”


“เห็นว่าหายตัวไปตั้งหลายร้อยปีแล้ว ไม่ใช่ตายแล้ว?”


“ข้าไม่คิดว่าบุคคลระดับนั้นจะจากไปง่ายๆ มีข่าวลือว่าท่านปู่วาเกนเข้ามาอยู่ในโลกมนุษย์แต่ด้วยนิสัยชอบความสงบกับรักสันโดดมีความเป็นไปได้ว่าจะอยู่ในป่าที่ไหนสักแห่ง”


“เรื่องหาที่อยู่เจ้าเก่งนี่สก๊อต คงไม่ต้องให้ข้ารอนานหรอกนะ” เนื้อชิ้นสุดท้ายถูกกลืนลงคอไปก่อนจะพูดต่อ


“ครับ ข้าขอเวลา 20 นาทีจะมาให้คำตอบท่าน” อีกฝ่ายก้มหัวเล็กน้อยแล้วจึงลุกขึ้นก้าวยาวๆ ออกไปด้านนอก


“เอ่อ ให้ผมไปส่ง...”


“ไม่ต้อง เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” ยังไม่ทันที่ผมจะลุกขึ้นเบียทรีซก็ห้ามไปซะก่อน


“...อือ” ที่ว่าเดี๋ยวนี่คือ 20 นาทีที่บอกสินะ แต่นี่คิดจะใช้เวลาแค่ 20 นาทีในการหาปิศาจที่ไม่แน่ว่าจะอยู่ในโลกมนุษย์รึเปล่าเนี่ยนะ


“มีอะไรจะถามก็ว่ามา”


“คุณรู้ได้ไงว่าผมมีอะไรจะถาม”


“คิ้วผูกกันเป็นเงื่อนตายขนาดนั้นจะไม่รู้ก็แปลกแล้ว” ไม่พูดเปล่าเบียทรีซยกขาหน้าขึ้นมาวางฝ่าเท้าลงบนหน้าผากผม


“...อุ้งเท้าก็นุ่ม” ถึงจะจับขนบ่อยแต่ไม่เคยจับอุ้งเท้าเลยนี่นา นุ่มเหมือนเท้าแมวเลย ความจริงถ้าบอกว่าเป็นแมวตัวใหญ่น่าจะเข้าเคร้ากว่ามั้งเนี่ย


“...เจ้า ข้าไม่รู้จะพูดอะไรกับนิสัยแบบนี้ของเจ้าเลย”


“แฮะๆ งั้นผมถามได้เนอะ”


“ถามมา แต่จะตอบรึเปล่าอีกเรื่อง”


“คุณสก๊อตนี่เป็นใครเหรอ” คำถามแรกที่คาใจที่สุดถูกเอ่ยไป


“รู้สึกว่าจะหยามกันเป็นแล้วนี่วิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก


“หยามอะไร” ผมไม่ได้พูดหยามเลยนะ


“เจ้าเรียกข้าด้วยชื่อเฉยๆ แต่กลับเติมคุณหน้าชื่อสก๊อตที่เป็นลูกน้องข้า แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าหยามจะให้ข้าเรียกว่าอะไร”


“นั่นมันเพราะ...”


“เพราะอะไร” อีกฝ่ายเร่ง


“ก็คุณสก๊อตเขาเป็นคนดังนี่นา แถมยังเป็นเจ้าของบริษัทที่ผมทำงานอยู่ด้วย” ผมอธิบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป


“งั้นข้าที่เป็นเจ้านายของสก๊อตอีกทีเจ้าก็ควรต้องเติมท่านตอนเรียก” คิดไปในทางไหนก็ไม่รู้ถึงได้คำตอบแบบนี้กลับมา


“ผมไม่ชิน” เรียกเบียทรีซมาตลอดจะให้มาเปลี่ยนมันก็...


“ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีเรียกข้าก็ไม่ต้องเติมคุณให้สก๊อตเหมือนกัน”


“จะให้ผมเรียกแค่ชื่อ?”


ไม่เหมาะสมอย่างรุนแรง


ใครได้ยินเข้าผมถูกประณามแน่!


“ตามนั้น จบเรื่องนี้”


“เดี๋ยว...”


“ถ้าว่าสก๊อตเป็นใครสินะ เจ้านั่นเป็นลูกน้องคนสนิทข้าเอง ข้าให้มาอยู่โลกมนุษย์คอยจัดการพวกปิศาจที่หนีมาและก่อความเดือดร้อนที่เสี่ยงต่อการเปิดเผยตัวตนของพวกเรา” เบียทรีซไม่ฟังคำค้านใดๆ อธิบายต่อหน้าตาเฉย


นี่สรุปว่าผมต้องเรียกคุณสก๊อตด้วยชื่อเฉยๆ สินะ?


“...ที่ว่าเสี่ยงต่อการเปิดเผยตัวตนคืออะไร” อยากจะวกกลับไปเรื่องเดิมอยู่หรอกแต่พอได้ยินคำอธิบายเมื่อครู่ก็เกิดสงสัยขึ้นมา


“แค่นี้ยังต้องให้ข้าบอกเหรอวิณณ์” สายตาเอือมๆ ที่ส่วมานั้นทำให้ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ให้ไป


“แฮะๆ” ก็ผมมันหัวช้านี่นา


“ตัวตนของพวกเราจะให้มนุษย์รู้ไม่ได้ ขืนรู้เรื่องได้มีเรื่องวุ่นวายมากมายตามมา ข้าขี้เกียจมาลงมือกวาดล้างมนุษย์ทุกคนบนโลก”


“เอ่อ...เจรจาแบบสันติก็ได้มั้ง” ใช้คำว่ากวาดล้างแบบนั้นรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย


“ข้าไม่ชอบเรื่องน่ารำคาญแบบนั้น ถ้ารู้เรื่องก็ต้องปิดปากเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด”


“อึก...” ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก


ราชาปิศาจช่างน่ากลัว


หวังว่าจะปิดเรื่องนี้ไม่ให้มนุษย์รู้ได้นะไม่ได้งั้นมนุษย์ได้สูญพันธ์ด้วยฝีมือเบียทรีซชัวร์


“กี่นาทีแล้ว” อีกฝ่ายถามต่อ


“ประมาณ 15 นาที” ผมคิดว่าคงถามเวลาที่คุณ...ไม่สิ เวลาที่สก๊อตออกไป


“อีก 5 นาทีสินะ”


“ผมขอถามอีกอย่างได้รึเปล่า” ยังมีเรื่องที่สงสัยอยู่อีก


“ว่ามา”


“คุณปู่วาเกนคือใครเหรอ”


“ไม่รู้สิ”


“ไม่รู้?” หมายความว่ายังไงที่ว่าไม่รู้น่ะ ก็เห็นคุยกันออกจะยืดยาว


“ที่โลกปิศาจมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการรักษามาตั้งแต่ราชาองค์ก่อน เห็นว่าเป็นคนสนิทแต่เมื่อราชาองค์ก่อนตายไปและข้าขึ้นมาเป็นราชาแทนอีกฝ่ายก็หายไป มีข่าวลืออยู่มากมายทั้งตายไปแล้ว ทั้งมาโลกมนุษย์หรือแม้แต่กำลังออกเดินทางไปมาทั้งสองโลก”


“แปลว่าคุณเองก็ไม่เคยเจอ?”



(มีต่อนะคะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อค่ะ)


“ใช่ ไม่เคยเลยสักครั้งแต่ถ้าผ่านๆ ก็เคยเห็นอยู่”


“แล้วแบบนี้จะหาเจอเหรอ” ถ้าเบียทรีซยังไม่เคยเจอคนหาอย่างสก๊อตคงเป็นเรื่องยากที่จะรู้รูปร่างหน้าตา


“เจอสิ ถ้ามีชีวิตอยู่น่ะนะ สก๊อตเป็นปิศาจที่มีความสามารถในการค้นหามากที่สุดต่อให้หลบอยู่ใต้ทะเลหรือใต้ดินก็ไม่อาจเล็ดลอดไปได้” เบียทรีซขยายความเพิ่ม


“เจอแล้วครับท่านเบียทรีซ” สก๊อตกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมนั่งลงตรงหน้าเบียทรีซ


“อยู่ไหน”


“อยู่ทางตอนเหนือของป่าอเมซอนครับ”


“ป่าอเมซอน?!” ผมถึงกับหลุดปากเบิกตากว้างเมื่อได้ยิน ป่าดงดิบที่อยู่ในอเมริกาใต้ ว่ากันว่าเป็นป่าที่ทั้งกว้างใหญ่และมีสัตว์ดุร้ายนับพันสายพันธ์ คนปกติ ไม่สิ ต่อให้เป็นปิศาจแต่จะไปอยู่ในป่าอเมซอนเนี่ยนะ


มันจะอันตรายเกินไปแล้ว!


“เจ้าเคยไป?” เบียทรีซหันมาถาม


“ไม่เคย ให้ผมไปคงไม่รอดกลับมาหรอก” ถ้าให้ไปก็เท่ากับส่งผมไปตายชัดๆ แค่แว่นหายผมคงเดินตกแม่น้ำก่อนจะโดนงาบภายในพริบตาเดียว


“อันตรายสินะ”


“ใช่ครับ เป็นป่าดงดิบที่กว้างและอันตรายแต่ถ้าเป็นปิศาจอย่างพวกเราความอันตรายนั่นไม่เท่าไหร่หรอกครับ” สก๊อตบอกกับเบียทรีซ


“ฮืม ก็ดี...เปิดมิติให้พวกข้าไปที่นั่น” ผมสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มบางๆ จากเบียทรีซได้ระหว่างพูด


“ให้ข้าตามไปสินะท่านเบียทรีซ”


“เจ้าไม่ต้องไป ข้าจะไปกับวิณณ์” คนถูกพาดพิงอย่างผมสะดุ้งตัวโยนก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ จนคอแทบหลุด


“ไม่ๆ ผมไม่ไปหรอกนะ” จะให้ไปที่อันตรายแบบนั้นผมไม่เอาด้วยหรอก


“อย่าให้เขาไปเลยท่านเบียทรีซ ดูแล้วไม่น่าจะปกป้องท่านได้ด้วยซ้ำ” ผมพยักหน้ารัวๆ อย่างไม่กลัวอายกับคำพูดของสก๊อต
อย่าว่าแต่ปกป้องเบียทรีซเลยแค่จะปกป้องตัวเองผมยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ


“ปกป้อง? เจ้าคิดว่าข้าต้องใช้เด็กน้อยเพิ่งหัดคลานมาปกป้องเหรอสก๊อต”


“หามิได้ ข้าแค่เกรงว่าเขาจะทำให้ท่านอยู่ในอันตราย”


“ไม่เป็นไร ถ้าเกิดอะไรขึ้นข้าจะได้มีตัวตายตัวแทน”


“เบียทรีซ!” นี่เห็นผมเป็นอะไรเนี่ย


“หึ ทำหน้าตลก” คนถูกเรียกหันมามองใบหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ผ่านน้ำเสียง


“ตลกที่ไหนกัน” ใบหน้าผมตอนนี้มันไม่ตลกแต่กำลังหวาดกลัวอยู่ต่างหาก


“เจ้า อย่าเสียมารยาท” ฝ่ายคนสนิททักผมเป็นรอบที่สอง


“...ขอโทษครับคะ...สก๊อต” ตอนผมจะเอ่ยคำว่าคุณก็ถูกดวงตาสีทองของเบียทรีซเบนมาสบจนต้องกลืนคำว่าคุณลงคอแล้วเอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกไปเสียงเบา


หวังว่าจะไม่ถูกโกรธที่เรียกชื่อเฉยๆ หรอกนะ


“ให้ข้าไปช่วยคุ้มกันไม่ก็มีผู้ติดตามไปสัก 4-5 คนเถอะท่านเบียทรีซ” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจที่ผมเรียกชื่อตรงๆ แฮะ


“ไม่จำเป็น ไว้ค่อยมาเปิดมิติพรุ่งนี้เช้าละกัน” เบียทรีซสรุปให้


“ถ้าท่านต้องการเช่นนั้นข้าก็ไม่ขัด” สก๊อตพยักหน้าตกลง


อยู่คุยกันได้อีกสักพักใหญ่เขาก็ขอตัวกลับโดยมีผมเดินออกไปส่งที่หน้าประตู ก่อนจะจากไปสก๊อตหันมามองหน้าผมอีกครั้งแต่ไม่เอ่ยอะไรผมเลยได้แต่ก้มหัวลาเล็กน้อยและเดินกลับเข้าบ้านไป


ในวันต่อมาผมค่อนข้างแปลกใจที่ได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นตอน 7 โมง เรียกว่าผมพาร่างอันแสนงัวเงียของตัวเองออกมาพบหน้ากับสก๊อตที่แต่งตัวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าแถมยังแผ่รังสีหนุ่มหล่อออกมาอีกต่างหาก ตอนนี้ผมไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะเป็นปิศาจ ด้วยอะไรหลายๆ อย่างก็น่าจะเดาได้ไม่ยากว่าจาร์ม สก๊อตไม่ใช่มนุษย์หรือถ้าใช่คงไม่ใช่มนุษย์ปกติ


แค่รูปร่างหน้าตาที่ไม่เปลี่ยนเลยตลอด 20 ปีที่ผ่านมาก็มาพอให้สงสัย ยิ่งบวกทักษะการบริหารงานซึ่งเป็นถึงประธานบริษัทกว่า 10 แห่งทั่วโลกยิ่งแล้วใหญ่


“เอ่อ...สวัสดีครับ คุณมาเช้าไปรึเปล่าครับ” ผมเปิดฉากเอ่ยทักทายด้วยภาพมัวๆ เนื่องจากไม่มีเวลาได้เช็ดแว่นก่อนจะสวมใส่


“ไม่ต้องพูดเพราะกับฉันหรอกนะ เพราะถ้าจะพูดเพราะก็เติมท่านนำหน้าชื่อท่านเบียทรีซด้วย” อีกฝ่ายบอก


“เข้าใจแล้ว” ผมพยักหน้าตอบ


“ท่านเบียทรีซสั่งว่าให้มาตอนเช้า”


“...” ที่เงียบเป็นเพราะผมกำลังนึกย้อนกลับไปและดูจะเป็นอย่างที่สก๊อตบอก เบียทรีซพูดว่าให้มาพรุ่งนี้เช้าจริงๆ


แต่ 7 โมงนี่มันเช้าไปนะ เบียทรีซยังหลับอยู่เลย


ผมเชิญสก๊อตเข้ามารอในห้องรับแขกแล้วเตรียมจะไปปลุกเบียทรีซทว่าถูกห้ามไว้ เขาบอกว่ารอให้เบียทรีซตื่นขึ้นมาเองอย่าเพิ่งไปปลุกผมเลยได้แต่พยักหน้าตกลงไปตามนั้น ระหว่างรอผมเดินเข้าไปยังครัวเพื่อเตรียมอาหารง่ายๆ ให้เป็นมื้อเช้า


“เอาเนื้อนี่ไปย่าง” สก๊อตที่เดินตามผมเข้ามาในครัววางถุงเนื้อขนาดใหญ่ที่ดยังมีเลือดซิปๆ ไว้บนเขียง


“เนื้อวัวเหรอครับ” แค่ใช้ตามมองผ่านถุงยังรู้เลยว่าเป็นเนื้อชั้นดีราคาแพง


“ไม่ใช่วัวแต่เป็นเทอร์โรซอไมเนส สัตว์ที่มีเนื้ออร่อยที่สุดในโลกปิศาจ” คำตอบที่ได้ยินทำเอาผมก้มมองเนื้อในมือด้วยความตกใจ


นี่น่ะเหรอเนื้อที่เบียทรีซบอกว่าอยากกิน


เหมือนเนื้อวัวเลย


นึกภาพไม่ออกว่าตอนมีชีวิตจะมีรูปร่างยังไงกันแน่


“กลิ่นแบบนี้เนื้อของไมเนสสินะ” เสียงจากเบียทรีซดังขึ้นก่อนร่างสีดำจะปรากฏตัวตามมาซะอีก


“ครับ ข้าไปล่าจากโลกปิศาจมาให้ท่าน” น้ำเสียงสบายๆ นั่นราวกับจะบอกว่าการล่าถือเป็นเรื่องปกติที่ทำอยู่ทุกวันงั้นแหละ


“ดีมาก”


“ท่านเบียทรีซย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์ของข้าเถอะ ที่นั่นมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไม่ว่าจะเป็นห้องหรืออาหารอีกทั้งยังมีปิศาจคอยรับใช้จนกว่าพลังของท่านจะฟื้นขึ้นมาเต็มที่ ตอนแรกที่ข้าไม่มานี่เพราะนึกว่าชารอน มาเจก้าจะคอยดูแลท่านแต่ไม่คิดว่าเธอจะตายแล้วเหลือเพียงลูกครึ่งอย่างเขาไว้” แม้ผมจะกำลังย่างเนื้อสัตว์ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนแต่หูผมก็ยังคงได้ยินบทสนทนาอยู่ไม่ขาด


จริงตามสก๊อตพูด ในตอนแรกที่เบียทรีซมานี่เพราะแม่ของผม แต่เมื่อแม่ไม่อยู่แล้วเลยเป็นผมที่ทำหน้าที่ดูแลชั่วคราว แค่ฟังก็รู้ว่าระหว่างบ้านหลังเล็กๆ ไม่มีแม้เงินที่จะย่างเนื้อให้ได้ทุกวันกับคฤหาสน์ที่มีพร้อมทั้งอาหารและปิศาจรับใช้ ไม่ว่าใครก็ต้องเลือกอย่างหลังโดยไม่ลังเล


จะบอกว่าโล่งก็ไม่ใช่ซะทีเดียว การได้นอนซุกขนนุ่มๆ นั่นทุกคืนมันทำให้ไม่อยากกลับไปนอนบนหมอน อีกอย่างการมีคน ไม่สิ ต้องพูดว่าการมีเบียทรีซเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันมันไม่ใช่เรื่องแย่ ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นนี่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุข ผมไม่เคยได้ใกล้ชิดหรือสนิทกับใครมากเท่านี้มาก่อน


ใจจริงอยากจะบอกว่าผมจะคอยดูแลเบียทรีซจนกว่าพลังจะฟื้นเองแต่ก็รู้ตัวดีกว่าผมไม่มีทั้งเวลาหรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้อีกฝ่ายเหมือนสก๊อต


“ไม่ล่ะ ข้าอยู่นี่ดีอยู่แล้ว” เบียทรีซเอ่ยปฏิเสธแทบจะทันทีหลังสก๊อตพูดจบ ราวกับไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้ความคิดนานอะไร


“ดีอยู่แล้ว? ขออภัยแต่ข้าไม่คิดว่าที่นี่จะมีทุกอย่างที่ท่านต้องการ”


“เจ้าพูดถูกผ้าปูสีทองก็ไม่มี เนื้อไมเนสก็ไม่มี อ่างแช่น้ำก็ไม่มี ห้องรับแขกนี่ก็ไม่มีแอร์ ข้าต้องทนร้อนทั้งวันจึงจะเปิดแอร์ตอนค่ำได้” ข้อเสียมากมายถูกเอ่ยออกไปข้อแล้วข้อเล่า


“ถ้าเป็นที่คฤหาสน์ข้าจะสั่งให้ลูกน้องไปล่าเนื้อไมเนสมาแล้วก็เปิดแอร์ทั้งวันด้วย”


“ข้าบอกแล้วไงว่าอยู่นี่ดีอยู่แล้ว เนื้อเจ้าก็เอามาให้ข้าที่นี่สิ”


“ไม่มีปัญหาครับเรื่องนั้นเพียงแต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านเบียทรีซถึงอยากอยู่ที่นี่นัก” สก๊อตเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้ และไม่ใช่แค่เขาที่อยากรู้ผมเองก็อยากรู้ไม่ต่างกัน


“หึ ข้าก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน”


ไม่มีข้อสักถามอะไรมากไปกว่านี้ ผมยกอาหารเช้าซึ่งเป็นเนื้อจานใหญ่มาตั้งไว้ก่อนจะยกข้าวเช้าง่ายๆ ของตัวเองออกมากินบ้าง หลังจากนั้นผมกลับไปอาบน้ำและออกมายังสวนหย่อมข้างตัวบ้านก็พบเข้ากับช่องว่างสีเทาหม่นทอประกายเป็นสีสันอันหลากหลายปรากฏขึ้นตรงหน้า


ผมยังไม่ทันได้อ้าปากถามถึงความสงสัยเบียทรีซที่รออยู่ก็ใช้ปากงับเบาๆ ยังชายเสื้อผมก่อนจะเหวี่ยงเข้าไปด้านในช่องว่างนั่นสุดแรง ดวงตาสีน้ำตาลของผมเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะตามมาด้วยความกลัว เพียงพริบตาหลังถูกเหวี่ยงเข้ามากลิ่นของป่าพ่วงด้วยกลิ่นคาวแปลกๆ ก็ลอยมาตามลมเช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมตรงหน้าซึ่งเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง


ความเปียกชื้นบริเวณเท้าเป็นเพราะผมกำลังเหยียบอยู่ในโคลนข้างแม่น้ำอันเต็มไปด้วยสีเขียวของต้นไม้อยู่ตลอดสองฝั่งของแม่น้ำ ป่ารกทึบเต็มไปด้วยต้นไม้หลายสายพันธ์เติบโตขึ้นซ้อนทับกันจนแทบมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ด้านในของป่า


บรรยากาศเย็นๆ ที่ปะทะร่างยังไม่ทำให้ผมสะดุ้งเท่ากับร่างของสัตว์เลื้อยคลายสีดำขนาดยักษ์ที่ชูคอขึ้นมา ดวงตาสีทองของมันทอประกายคล้ายกำลังดีใจที่เจอเหยื่อ ทั้งร่างของผมเกร็งและสั่นด้วยความกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับงูอนาคอนด้าตัวใหญ่ยักษ์ตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบป่าอเมซอนแห่งนี้ ปลายลิ้นสองแฉกของมันแล่บออกมาพร้อมเสียงซู่เบาๆ


ถ้าขยับผมถูกงาบลงคอในคำเดียวแน่


“ทำอะไรอยู่วิณณ์ เดินมาทางนี้” ร่างของเบียทรีซปรากฏออกมาจากช่องว่างของมิติก่อนจะใช้ความคล่องแคล่วกระโดดไปอยู่บนชายฝั่งอย่างรวดเร็ว


“...” ผมอ้าปากอยากจะพูดหลายๆ อย่างทว่ากลับไม่มีเสียงออกมาเลย งูอนาคอนด้าตัวยักษ์ละสายตาจากผมไปจ้องเบียทรีซแทน สัตว์สองสายพันธ์ใช้ดวงตาสีทองจับจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ด้านของเบียทรีซทำเพียงประสานดวงตาไปตรงๆ แต่งูอนาคอนด้ากลับอ้าปากขนาดยักษ์หมายจะกลืนสิ่งมีชีวิตสีดำตรงหน้าในคำเดียว


ยังไม่ทันได้เข้าใกล้เบียทรีซแผ่บรรยากาศแปลกๆ เหมือนตอนเจอสก๊อตเมื่อวานออกมา แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่ากรามขนาดยักษ์นั่นหยุดชะงักกลางกลางอากาศและเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้นร่างของสัตว์เลื้อยคลานตัวยักษ์ก็ร่วงลงนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น


“วิณณ์!” เสียงเรียกอีกรอบทำให้ผมได้สติแล้วรีบก้าวยาวๆ ไปหาเบียทรีซที่เดินนำเข้าไปในป่า


“เมื่อกี๊ทำอะไรเหรอ”


“แค่แผ่พลังปิศาจออกไปแค่นั้น ปิศาจอย่างพวกเราน่ะมีทั้งพลังและอำนาจเพียงแค่เอามันออกมาก็สามารถล้มอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องสู้ด้วยซ้ำ แรงกดดันจากพลังปิศาจไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ต้านไม่อยู่หรอก เจ้าเองที่เป็นลูกครึ่งยังถึงกับทรุดเลยนี่” ที่เบียทรีซพูดถึงคงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน


“เพราะผมมีเลือดของมนุษย์เลยทนพลังปิศาจของคุณไม่ได้ใช่ไหม” ผมพูดตามที่ตัวเองเข้าใจ


“เจ้ายังไม่เคยสัมผัสถึงพลังปิศาจตรงๆ ไม่แปลกที่จะมีปฏิกิริยาแบบนั้นยิ่งกับพลังของข้าที่เป็นถึงราชายิ่งแล้วใหญ่ แค่ไม่สลบก็นับว่าเก่งแล้ว”


“ผมเก่ง?” ผมเอียงคอถาม


“ได้เลือดชารอนมาเยอะหรอก”


“เลือดของคุณแม่เหรอ”


“ชารอนเป็นปิศาจระดับสูง ความสามารถของเธอทำให้ปิศาจแทบทุกตนต้องยอมสวามิภักเจ้าที่สืบสายเลือดเองก็ย่อมได้พลังอันมหาศาลนั่นมาเลยทนแรงกดดันจากพลังข้าได้” เบียทรีซอธิบายระหว่างเดินนำเข้าไปในป่าลึกขึ้น


“...ผมไม่มีพลังแบบนั้น”


“เจ้ามีเพียงแค่มันยังไม่ตื่นขึ้นเท่านั้นเอง”


“ทำไม่ได้หรอก” จะให้แผ่พลังปิศาจออกมาเหมือนเบียทรีซผมทำไม่ได้


“ไม่ใช่ทำไม่ได้ ต้องพูดว่าทำไม่เป็นมากกว่ามั้ง”


“...ก็คงใช่ ว่าแต่พวกเราเดินกันมานานแล้วนะ ที่ที่จะไปอีกไกลไหม” ผมเปลี่ยนเรื่องถามเพราะคิดว่าพวกเราเดินกันมานานพอสมควรแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นอะไรนอกจากต้นไม้รกทึบ


“แถวนี้แหละ สก๊อตพาพวกเรามายังจุดที่ใกล้ที่สุดที่ทำได้ แต่ดูเหมือนทางนั้นจะไม่ยอมให้เจอตัวง่ายๆ”


“หมายถึงอะไร” ผมไม่เห็นเข้าใจเลย


“อธิบายง่ายๆ คือพวกเราตอนนี้อยู่ในพลังของวาเกน”


“คุณปู่วาเกน?”


“ชิ...ถ้าข้ามีพลังละก็กะไอ้แค่ภาพลวงตาง่ายๆ แบบนี้แค่วิเดียวก็ปลิวแล้ว” เบียทรีซดูจะเริ่มอารมณ์เสียเมื่อไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ตอนนี้ได้


“ภาพลวงตา?” จะบอกว่าที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือภาพลวงตาเหรอ


“ต้องหาจุดที่จะออกไป ถ้าเดินมั่วๆ มีแต่จะหลงมากขึ้น”


“แล้วจุดที่จะออกไปเป็นยังไง” ถ้ารู้ผมจะได้ช่วยหา


“ถ้าข้ารู้ก็เดินออกไปแล้วสิ มันเป็นจุดที่แปลกกว่าบริเวณอื่นละมั้ง” อีกฝ่ายพยายามอธิบายให้ผมที่ทำหน้างงฟัง


“จุดที่แปลก...หมายถึงทางนั้นรึเปล่า” ผมชี้นิ้วไปทางซ้ายมือของตัวเองอย่างไม่แน่ใจ แต่ถ้าถามหาจุดที่แปลกตั้งแต่เดินเข้าป่าไม่นานผมก็รู้สึกแปลกกับทางนั้นอยู่ตลอด จะว่าไงดีล่ะไม่รู้จะอธิบายยังไงรู้แค่มันแปลก


“...เจ้า มองออกตั้งแต่เมื่อไหร่” เบียทรีซหันไปมองทางทิศที่ผมชี้


“เดินเข้ามาได้สักระยะ...”


“สายเลือดเจ้านี่มันจะน่าโมโหเกินไปแล้ว พาข้าออกไปจากนี่สักที!” จากนั้นผมจึงทำหน้าที่เดินนำทางเบียทรีซมาเรื่อยๆ จนกระทั่งวูบนึงผมสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่สลายหรือหายไป


ตรงหน้าของพวกเราที่เดินออกมามีบ้านไม้หลังเล็กถูกสร้างขึ้นอยู่ตรงกลางระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น ป่ารกทึบที่น่าจะไม่มีส่วนของทุ่งราบกลับมีบริเวณหน้าบ้านเป็นทางเรียบยาวปูด้วยหญ้าต้นเตี้ยๆ สำรวจยังไม่หมดประตูไม้ด้านหน้าก็เปิดอ้าออกก่อนร่างของชายแก่ไว้หนวดยาวเดินออกมาโดยใช้ไม้เท้าช่วยพยุง


“ไหวไหมครับ” ผมเข้าไปช่วยประคองไม่ให้อีกฝ่ายล้ม


“เจ้าเองรึที่มองภาพลวงตาของข้าออก” ชายชราเอ่ยเสียงแฮบพลางเอื้อมมือข้างนึงขึ้นมาแตะใบหน้าผม ดวงตาสีขาวขุ่นที่ปรือขึ้นมานั่นทำให้ผมใจหายเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายตาบอดสนิทไปแล้ว


“คุณปู่...”


“ช่างเป็นลูกครึ่งที่งดงามอะไรแบบนี้ ชื่ออะไรงั้นหรือเจ้าน่ะ”


“ผมชื่อวิณณ์”


“วิณณ์...”


“การแนะนำตัวเอาไว้ต่อจากนี้เถอะวาเกน ข้าต้องการยาถอนพิษที่ทำให้พลังปิศาจข้าไม่ฟื้นขึ้นมาสักที” เบียทรีซก้าวเข้ามาใกล้ระหว่างพูด


“ราชาปิศาจลำดับที่97 อาร์ชีมาร์ก้า เบียทรีซ ตรีเซลโรณา เป็นเกรียติยิ่งนักที่มาเยือนยังป่าห่างไกลผู้คนแบบนี้ด้วยตนเอง” คุณปู่วาเกนพูดต่อโดยไม่สนใจว่าเบียทรีซมีทีท่าหงุดหงิดหน่อยๆ


“ทำยาให้ข้า”


“ข้าไม่ได้เป็นลูกน้องหรือบริวารของท่าน”


“เจ้าอยากจบชีวิตลงตรงนี้สินะ” น้ำเสียงของเบียทรีซกำลังเอาจริง


“เอาสิราชา ข้ามีชีวิตมานานพอแล้ว” ฝ่ายคุณปู่วาเกนเองก็ไม่มีทีท่าจะเกรงกลัวต่อคำพูดนั่นเลยสักนิด


“เบียทรีซอย่างขู่คุณปู่สิ” ผมบอกกับอีกฝ่ายที่ทำท่าหงุดหงิดอยู่


“เจ้าน่ะคิดยังไงกับราชาองค์ปัจจุบันงั้นเหรอวิณณ์”


“คิดยังไง...ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมไม่ได้เกิดหรือโตมาที่โลกปิศาจเพิ่งได้เจอเบียทรีซเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาแค่นั้นเอง” ช่างเป็นคำถามที่ตอบยาก


“ไม่กี่เดือนก็มากพอให้รู้แล้ว เจ้าว่าเขาเหมาะที่จะเป็นราชารึเปล่าล่ะ” คุณปูวาเกนเปลี่ยนคำถาม


“เจ้า...” คำถามน้ำทำให้เบียทรีซที่ฟังมีน้ำโหอย่างเห็นได้ชัด


“อย่ามาขัดตอนข้ากำลังสนทนาราชาหน้าใหม่” ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพตรงหน้าผมคือเบียทรีซที่หยุดนิ่งอยู่กับที่พร้อมสีหน้าเหมือนกำลังโกรธส่วนคุณปู่วาเกนทำเพียงเคาะไม้เท้าลงกับพื้นหญ้าเท่านั้น


“คุณปู่ทำอะไรกับเบียทรีซครับ” ผมถาม


“ก็แค่ให้หยุดอยู่เฉยๆ จนกว่าพวกเราจะคุยกับเสร็จ”


“แปลว่าคุณปู่เองก็เป็นปิศาจระดับสูงสินะ” ขนาดเบียทรีซยังขยับไม่ได้แปลว่าต้องเป็นคนที่มีพลังทัดเทียมกัน


“ก็ไม่ผิดหรอกนะวิณณ์ แต่ข้าอยากให้เจ้าจำไว้ต่อให้เป็นปิศาจระดับสูงแต่ก็มีสิ่งที่พวกเราไม่อาจเทียบได้นั่นคือพลังของราชาที่ปกครองดินแดนของเหล่าปิศาจ ต่อให้ปิศาจระดับสูงมีพลังมากสักแค่ไหนก็ไม่อาจต้านทานพลังของราชาได้โดยตรง ถ้าตอนนี้เขามีพลังคืนมาเพียงแค่ 1 ใน 4 ก็สามารถหลุดจากการจำกุมของข้าได้ง่ายๆ”


“คุณปู่...”


“เอาล่ะ ตอบข้าสิวิณณ์ เจ้าคิดว่าเขาเหมาะที่จะเป็นราชาปิศาจรึเปล่า”


“ทำไมคุณปู่ถึงถามแบบนั้นล่ะครับ คนที่บอกว่าต่อให้เป็นปิศาจระดับสูงก็ไม่สามารถทานพลังของราชาได้คือคุณปู่เองนี่” ประโยคนั้นไม่ได้หมายถึงว่าเบียทรีซเหมาะที่จะเป็นราชาหรอกเหรอ


“ในรอบ 800 ปีจะมีราชาองค์ใหม่ถือกำเนิดขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าจากที่ใดรู้แค่ว่าเมื่อถึงเวลาราชาคนต่อไปจะปรากฏขึ้นมาเอง ราวกับถูกตั้งกฎไว้ให้ต้องยอมอยู่ใต้อำนาจของราชาที่ถูกเลือกไม่ใช่เพราะพวกเราเอง เจ้าไม่คิดเหรอว่าเพราะได้พลังอำนาจของราชาเขาจึงไร้การนอบน้อม เอาตนเองเป็นใหญ่และวางตัวอยู่เหนือทุกคน ในเมื่อตอนนี้เขาโดนพิษทำให้หมดซึ่งพลังของราชาก็เป็นเวลาอันดีที่จะให้โลกปิศาจได้มีการปกครองในแบบใหม่รอจนกว่าเวลาจะเวียนมาบรรจบและถือกำเนิดราชาองค์ใหม่ขึ้นมาอีกครั้งนึง” คำพูดมากมายจากปู่วาเกนผมไม่สามารถเข้าใจมันได้ทั้งหมด


ไม่รู้ว่าเพราะสมองผมช้าหรือว่าเนื้อหาหนักและซับซ้อนเกินไปกันแน่


แต่ความหมายโดยรวมของคำถามคือเบียทรีซคู่ควรกับการเป็นราชาปิศาจรึเปล่า...สินะ


“อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้อยู่โลกปิศาจ ผมไม่รู้หรอกว่าเบียทรีซปกครองเหล่าปิศาจยังไงหรือด้วยวิธีไหนแต่ถ้าถามผมว่าอยากอยู่ในโลกที่มีเขาเป็นคนปกครองรึเปล่าผมคงไม่ลังเลเลยที่จะบอกว่าอยาก” คำตอบของผมสร้างความเงียบเข้ามาปกคลุมทั่วทั้งบริเวณไม่เว้นแม้แต่เบียทรีซที่เงียบลงเมื่อได้ยินคำตอบของผม


“ทำไมถึงอยาก” คุณปู่วาเกนถามต่อ


“เบียทรีซอาจมีอารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่าย ชอบออกคำสั่งหรือกระทั่งเอาแต่ใจตัวเองทว่าเขามีความอ่อนโยนแฝงไปด้วยความใจดีที่อาจต้องใช้เวลาคลุกคลีจึงจะได้เห็น สำหรับผมคนที่จะปกครองคนได้ไม่ใช่แค่พลังหรือความคิดแต่เป็นความรู้สึกที่อยากจะช่วยคนที่อยู่ด้านล่าง ผมเคยถูกปิศาจเร่งงานแล้วก็ได้เขาช่วย...ทั้งที่จะบอกว่าตั้งใจมาช่วยก็ได้แต่กลับบอกว่าแค่เดินเล่นผ่านมา”


“นั่นคือคำตอบหรือวิณณ์” คุณปู่วาเกนถามอีกครั้ง


“ครับ เบื้องหลังอารมณ์และนิสัยเหล่านั้นมันมีหลายๆ มุมที่เขาไม่ได้แสดงออกมาให้คนอื่นเห็น ผมเชื่อว่าเบียทรีซเป็นราชาที่ดี” ถ้าไม่ติดนิสัยหลายๆ อย่างละก็นะ สก๊อตเองก็ให้ความเคารพต่อเบียทรีซมาก มันไม่ใช่แค่เคารพในตำแหน่งแต่เป็นตัวของเบียทรีซ


“เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงจริงๆ” รอยยิ้มบางๆ จากผิวหนังอันเหยี่ยวย่นนั่นดูมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก


“เบียทรีซเป็นไงบ้าง” ผมเข้าไปหาเบียทรีซที่กลับมาขยับได้อีกครั้ง


“...ปกติ นี่วิณณ์” อีกฝ่ายเรียกผมเสียงเบา


“ฮืม”


“เจ้ามันแปลก”


“ฮะ?” ผมถึงกับทำหน้างงเมื่อได้ยิน


แปลก?


ผมเนี่ยนะ?


นี่ผมควรดีใจที่ถูกราชาปิศาจชมว่าแปลกใช่ไหม


“ราชาเบียทรีซ” เสียงแหบพล่าของคุณปู่เรียก


“ครับคุณปู่” ผมที่เห็นเบียทรีซทำเพียงมองอีกฝ่ายเลยขานกลับให้


“เจ้าโชคที่พาเขามาด้วย ข้าจะทำยาถอนพิษให้...จะมาดูวิธีทำไหม” ประโยคสุดท้ายคุณปู่วาเกนหันมาถามผม


“ได้เหรอครับ”


“ได้สิ ตามมา”


“ขอบคุณครับ เบียทรีซจะมาด้วยไหม” ผมหันไปถามอีกฝ่ายที่นอนหมอบลงกับพื้นคล้ายคนหมดแรง


“ไปเถอะ ข้าจะนอน”


“อืม”


“ราชาเบียทรีซ” เสียงเรียกเดิมดังขึ้นอีกครั้ง


“...อะไร” ดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซลืมขึ้นเมื่อถูกเรียก


“อย่าปล่อยไปเชียวล่ะ”


“หึ...ข้าไม่คิดจะปล่อยไปอยู่แล้ว” ตอบเสร็จเบียทรีซก็หลับตาลงแล้วนอนต่อส่วนผมเดินตามหลังคุณปู่วาเกนเข้าไปด้านในบ้านด้วยความสงสัยว่าความหมายของประโยคเมื่อครู่มันคืออะไรกัน


อย่าปล่อย?


ไม่คิดจะปล่อย?


สรุปมีผมแค่คนเดียวที่ไม่เข้าใจใช่ไหมว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่น่ะ

..................................................

จบไปกับอีกตอน

ตอนนี้มีตัวละครใหม่เพิ่มมาซึ่งเป็นเหมือนผู้ช่วยที่จะมีบทในตอนต่อๆ ไป

ฉากเองก็เปลี่ยนจากบ้านเป็นป่าบ้างถึงจะไม่นานก็ตาม

บทหน้าถือเป็นตอนที่เป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนของเรื่องซึ่งบอกเลยว่าไม่ธรรมดา

หวังว่าทุกคนจะชอบทั้งวิณณ์และเบียทรีซกันนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เอ็นดู พอเจอคุณปู่เบียทรีซกลายเป็นเด็กน้อยไปเลย 55555

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไม่อยากให้ท่านปีศาจกลายเป็นคนเลย เป็นโฮ่งโฮ่งเหมือนเดิมดีกว่า  :hao3:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰บงการ:วันที่5:⊱



คุณปู่วาเกนใช้เวลาในการทำยาถอนพิษอยู่นานหลายชั่วโมงโดยมีผมคอยมองการนำพืชแปลกๆ มาผสมกันรวมไปถึงขั้นตอนการผสมตั้งแต่ต้นยันเสร็จออกมาเป็นน้ำสีดำซึ่งถ้าเป็นผมคงไม่กล้าดื่มมันลงคอแน่ทว่าเบียทรีซกลับกินมันจนหมดในพริบตาเดียว


พวกเราไม่ได้อยู่คุยกับคุณปู่นานนัก ทางสก๊อตเหมือนจะรู้ว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเปิดประตูทางเชื่อมมิติให้พวกเรากลับไป ก่อนกลับผมหันไปมองคุณปู่วาเกนที่ยืนส่งพร้อมรอยยิ้มบางๆ ตอนทำยาแก้พิษเขาบอกว่าถ้าผมต้องการจะมาหาอีกก็ได้ ดูเหมือนคุณปู่จะเหงาอยู่พอสมควรที่ต้องมาอยู่คนเดียวท่ามกลางป่ารกทึบแบบนี้ผมจึกพยักหน้าตกลงไป


ถ้าวันไหนว่างผมอาจรบกวนสก๊อตให้ช่วยเปิดทางเชื่อมพาผมมาหาคุณปู่หน่อย


วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจากวันเป็นสัปดาห์ ทุกๆ อย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่สิ...ความจริงมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ผมเพิ่งมารู้สึกเอาจะๆ ก็วันนี้เอง


“เบียทรีซ...คุณอ้วนขึ้นรึเปล่า” ผมถามอีกฝ่ายที่กระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงในระหว่างผมกำลังเช็ดเส้นผมสีน้ำตาลแดงที่เพิ่งสระของตนเองให้แห้ง


เกือบสัปดาห์ที่ผ่านมาสก๊อตให้คนเอ่อ...จะพูดให้ถูกคือเปิดมิติให้ปิศาจตัวเล็กๆ หอบเนื้อมาส่งให้เกือบทุกวัน ด้วยปริมาณของมันที่มากเกินกว่าจะเข้าตู้เย็นได้หมดผมเลยเอาไปทำอาหารจานใหญ่ให้เบียทรีซ


สงสัยจะอ้วนเพราะผมให้กินเยอะไปแน่เลย


“เจ้านี่หยาบคายขึ้นนะ” ดวงตาสีทองเบนมาสบพร้อมคมเขี้ยวภายในที่เผยออกมาให้เห็น


“...ผมเปล่าสักหน่อย ก็เดี๋ยวนี้ผมทำอาหารให้คุณกินเยอะนี่นาถ้าเริ่มอ้วนผมจะได้ทำน้อยลงไง”


“ถ้ากล้าพูดคำว่าอ้วนอีกครั้งข้าจะจับเจ้ากิน”


“...ไม่พูดแล้ว” มือสองข้างยกมือขึ้นมาปิดปากเผื่อตัวเองจะเผลอหลุดปากออกไป


“นี่ไม่ได้เรียกอ้วน...”


“อ้อ แค่ขนฟูใช่ไหม” ผมพูดแทรกเพราะนึกได้ว่าเคยเห็นคนขึ้นรูปแมวบนเฟสพร้อมเขียวว่าไม่ได้อ้วนแค่ขนฟู


น่ารักดีผมเลยแคปเก็บไว้ด้วย


“เจ้าคิดว่าข้าเป็นหมารึไง!”


“เปล่า แมวต่างหาก”


“เฮ้อ ข้าเบื่อที่จะเถียงกับเจ้าแล้ว” พูดจบอีกฝ่ายก็เกยคางบนเท้าหน้าของตัวเองแล้วหลับตาลง


“อย่าเพิ่งนอนสิ ไม่ได้อ้วนแล้วคืออะไร” ผมขึ้นไปเตียงใช้มือข้างนึงสัมผัสบริเวณแผงคอแล้วเขย่าเบาๆ ให้ปิศาจที่หลับตื่นขึ้นมาไขข้อข้องใจกันก่อน ไฟบนเพดานถูกปิดจนเหลือเพียงโคมไฟเล็กๆ ข้างเตียงเท่านั้น เวลาในตอนนี้เป็นช่วงสี่ทุ่มของคืนวันอังคาร


“เลิกเขย่า”


“ตอบผมก่อนสิ”


“รีบนอนได้แล้ว กลับมาก็ดึกเดี๋ยวก็ตื่นสายหรอก” เบียทรีซบอกพลางงับมือผมเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เลิกดึงสักที เป็นอย่างที่เบียทรีซพูดเหละวันนี้ผมกลับดึกเนื่องจากงานที่ทำนั้นถูกเร่งให้ต้องทำเสร็จเร็วกว่าเดิมครึ่งนึง ถ้าไม่อยู่ทำโอคงทำเสร็จไม่ทันกำหนด


“ไม่สายหรอกผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้ว อีกอย่างเดี๋ยวคุณก็ช่วยปลุกผมนี่”


“หึ ข้าไม่ได้ปลุกแค่เขี่ยให้ตกเตียงเพราะรำคาญเสียงนาฬิกาดังแค่นั้นเอง”


“เป็นห่วงกลัวผมสายก็บอกมา” มีหลายวันที่ผมตั้งนาฬิกาปลุกแล้วไม่ตื่นก็จะถูกเบียทรีซเขี่ยจนกลิ้งตกเตียงแทนการทักทายต้อนรับเช้าวันใหม่ ต่อให้บอกว่าเพราะรำคาญแต่ผมไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ ถ้ารำคาญแค่จัดการนาฬิกาปลุกไม่ให้ส่งเสียงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย


“ไม่ได้ห่วงสักนิด”


“คิก...คนโกหก” ผมตอบพร้อมซุกหน้าลงกับเส้นขนสีดำสนิทโดยปราศจากแว่นตา การซุกขนนุ่มๆ นี่โดยไม่มีแว่นให้ความรู้สึกต่างจากตอนมีแว่นลิบลับ


“วิณณ์” น้ำเสียงแบบนั้นเหมือนเป็นการเตือนให้ผมเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว


“เปลี่ยนเรื่องก็ได้ บอกหน่อยว่าถ้าไม่ได้อ้วนขึ้นแล้วเป็นอะไรเหรอ” ร่างกายของเบียทรีซใหญ่ขึ้นมา เมื่อก่อนสามารถนอนแนวขวางให้ผมหนุนได้โดยไม่เลยขอบเตียงทว่าตอนนี้กลับเลยออกมาพอสมควร


“กลับมาเรื่องนี้จนได้นะ”


“ก็อยากรู้นี่”


“เป็นเด็กที่ต้องฟังนิทานกล่อมก่อนนอนรึไง”


“คงงั้นมั้ง...ขอสนุกๆ นะ”


“อ่านเองเถอะ”


“บอกหน่อย” ผมย้ำอีกรอบ


“ไม่ได้มีอะไรแค่พลังกลับมาแล้ว” เบียทรีซบอกเสียงนิ่ง


“พลังกลับมาแล้ว?!” ผมถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินคำตอบนั่น กินยาแก้พิษมาได้แค่อาทิตย์เดียวพลังก็ฟื้นกลับมาแล้วเหรอ


...เร็วจัง


“เสียงดัง นอนดีๆ” พูดจบเบียทรีซก็ใช้เรียวปากยาวๆ นั่นดันตัวผมให้ล้มลงนอนซุกเส้นขนสีดำสนิทนั่นอีกรอบ แถมยังใช้เท้าหน้าตะปบเข้าที่โคมไฟทำให้ทั้งห้องมืดสนิทลงทันตา


“เพราะพลังกลับมาเลยตัวใหญ่เหรอ”


“ยังกลับมาไม่เต็มร้อย แต่ร่างนี้มันรับพลังที่มากเกินไปไม่ไหวร่างกายเลยค่อยๆ ขยายขึ้น”


“...นี่เบียทรีซ โลกปิศาจน่ะเป็นยังไงเหรอเหมือนโลกมนุษย์ไหม” ระหว่างถามผมก็ขยับตัวเล็กน้อยเข้าหากลุ่มขนตรงหน้ามากขึ้น


“ใกล้เคียงแต่ไม่เหมือน”


“นึกภาพไม่ออกแฮะ”


“ไม่ต้องนึก นอนได้แล้ว”


“อีกแป๊บ...ผมยังมีเรื่องอยากถามอยู่” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็แทบยกหนังตาไม่ขึ้นแล้ว


“รีบๆ ว่ามา”


“...ถ้าพลังคุณกลับมาก็จะกลับไปโลกปิศาจใช่ไหม” ผมไม่รู้ว่าตัวเองพูดประโยคนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงแบบไหนแต่มันค่อนข้างสั่นอยู่ไม่น้อยเมื่อคิดว่าอีกไม่นานภายในบ้านจะไม่มีอีกฝ่ายอยู่อีกแล้ว ต้องกลับมาอยู่เพียงลำพังเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ ใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ผ่านไปเรื่อยๆ


“อืม” คำตอบเบาๆ นั่นเรียกผมให้ขยับตัวเข้าไปซุกอีกฝ่ายมากขึ้น มือข้างนึงขยุ้มเส้นขนของเบียทรีซไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว


“...จะกลับเมื่อไหร่เหรอ”


ผมยังมีเวลาที่จะได้อยู่แบบนี้อีกเท่าไหร่กัน


“ไม่รู้สิ อีกไม่กี่วันมั้ง”


“เร็วขนาดนั้นเลย”


“ยาถอนพิษได้ผลดีพลังที่หายไปฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว พลังของข้าไม่เหมาะจะอยู่ในโลกมนุษย์เป็นเวลานานมันจะส่งผลให้เกิดความวุ่นวายได้”


“คุณเป็นห่วงโลกมนุษย์?” ผมแปลความหมายตามที่ได้ยิน


“ข้าแค่ขี้เกียจมานั่งจัดการปัญหา ยังมีอะไรสงสัยอีกข้าจะนอนแล้ว” เบียทรีซบ่นพลางใช้ปลายจมูกมาสัมผัสบริเวณลำคอผมคล้ายกำลังขดตัวเข้ามานอนใกล้ๆ


“...มีอีกอย่าง”


“รีบๆ ว่ามา”


“ถ้ากลับไปแล้ว...”


“อะไร” อีกฝ่ายเร่งเมื่อเห็นว่าอยู่ๆ ผมก็เงียบไปซะอย่างงั้น


“...ถ้ากลับไปโลกปิศาจแล้วจะมาหาผมที่นี่บ้างไหม” ความจริงอยากจะถามว่าเราจะได้เจอกันอีกรึเปล่า แต่ความหมายก็ใกล้เคียงกันน่ะนะ


“ไม่มา...”


“...งั้นเหรอ” แบบนี้ผมก็จะไม่ได้เจอกับเบียทรีซอีกแล้วสินะ


รู้สึกเหงาจังทั้งที่อีกฝ่ายยังอยู่ใกล้ขนาดนี้


มีคำถามอยากถามต่ออีกอีกแต่ดูเหมือนว่าร่างกายผมจะไม่ไหวแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลที่พยายามลืมค่อยๆ ปิดลงพร้อมกับเสียงลมหายใจที่ดังเข้าออกสม่ำเสมอ เสียงสุดท้ายที่ได้ยินเป็นเสียงของเบียทรีซที่บอกอะไรสักอย่างซึ่งสติอันเรือนรางไม่สามารถจับใจความได้...


“ข้าจะไม่มาหาเจ้าหรอก เพราะข้าจะพาเจ้าไปด้วย...วิณณ์”




รุ่งเช้าของวันต่อมามาพร้อมกับเสียงนาฬิกาปลุกซึ่งแผดเสียงดังลั่นห้อง ผมได้ยินเสียงนั่นและรู้ดีว่าต้องเอื้อมมือไปปิดแต่ด้วยความที่ยังง่วงอยู่ผมเลยทำเพียงซุกหน้าลงกับหมอนอุ่นๆ ส่วนตัว หวังให้ช่วยกันเสียงนาฬิกาแสนน่ารำคาญนี้ได้บ้าง


“เฮ้...ตื่นได้แล้ว”


“...อื้อ” อีกแป๊บ


“รีบไปปิดเสียงมันดังน่ารำคาญ” เสียงเดิมยังคงดังขึ้นแถมครั้งนี้ความเย็นจากปลายจมูกยังมาสัมผัสโดนแก้มผมจนสะดุ้งเล็กน้อย


“อื้อ...” ผมครางตอบในลำคอพลางเอื้อมมือไปยังโต๊ะข้างเตียงโดยที่ตายังลืมไม่ขึ้น มือผมปัดป่ายแตะไปทั่วไม่ว่าจะเป็นผ้าห่ม เรียวปากยาวๆ หรือแม้แต่ขอบโต๊ะ ทันทีที่จับขอบโต๊ะได้ผมก็ใช้แรงทั้งหมดเอื้อมไปหานาฬิกาปลุกที่อยู่ถัดออกไปแต่แล้วความว่างเปล่าที่เจอนั่นทำเอาทั้งร่างผมลื่นตกลงไปยังพื้นด้านล่าง


ความงัวเงียที่มีสลายไปอย่างรวดเร็ว


เส้นผมสีน้ำตาลแดงพลิ้วไปมาตามแรงขยับตัว เมื่อลุกขึ้นมานั่งได้ผมจึงเงยหน้ามองเบียทรีซที่กำลังใช้ดวงตาสีทองสว่างจับจ้องมาด้วยประกายขบขันแถมยังใช้ปลายจมูกเขี่ยนาฬิกาปลุกที่ยังคงแผดเสียงดังให้ตกลงมาบนตักผมด้วย


ก็ว่าอยู่ทำไมถึงเอื้อมไม่เจอ ที่แท้ก็ไปอยู่บนหัวเตียงนี่เอง


“เจ็บตัวได้ทุกเช้า เจ้าไม่เบื่อบ้างรึไง” เบียทรีซถามระหว่างลุกขึ้นสะบัดเส้นขนสีดำยาวๆ นั่นไปมาก่อนกระโดดลงมาบนพื้น


“ถ้าคุณรู้ว่านาฬิกาปลุกอยู่บนหัวเตียงก็บอกผมสิ” เขาตื่นก่อนผมแล้วแน่ๆ และคงเห็นการเคลื่อนไหวของผมแล้วชัวร์


ถ้าเห็นว่าผมไปผิดทางก็น่าจะบอกสิไม่ใช่ปล่อยให้กลิ้งตกเตียงแบบนี้


“เจ้าเป็นคนพูดเองนี่ว่าจะย้ายนาฬิกาไปไว้บนหัวเตียงจะได้เอื้อมไปปิดได้ง่ายๆ เพิ่งบอกเมื่อคืนตอนเช้ามาก็ลืมแล้ว?”


“...ก็ผมงัวเงียอยู่นี่” พออีกฝ่ายพูดผมก็นึกได้ว่าก่อนอาบน้ำผมเป็นคนเปลี่ยนที่วางนาฬิกาปลุกเองนั่นแหละ


“แล้วตอนนี้ตื่นเต็มตารึยัง”


“ตื่นเต็มตาเลย ถ้าผมกระดูกหักขึ้นมารับผิดชอบค่ารักษาด้วยล่ะ” ช่วงนี้ตกเตียงบ่อยเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่จากถูกเบียทรีซเขี่ยตกก็เป็นการตกลงมาเอง ถึงเตียงจะไม่ได้สูงมาแต่ตกบ่อยๆ มันก็อันตราย


“ไม่หักหรอก ตกบ่อยขนาดนี้กระดูกคงชินแล้ว”


“กระดูกจะชินได้ยังไง!”


“ถ้าไม่รีบเดี๋ยวก็สายหรอก” อีกฝ่ายบอกพลางทำท่าเป็นเชิงให้ผมหันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลา 7 โมงครึ่ง


ผมไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับเบียทรีซอีกรีบคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว และเมื่อออกมาก็ต้องทำมื้อเช้าควบกลางวัน ไม่สิ...วันนี้ผมต้องทำงานอยู่ดึกอีกนี่นา


“เบียทรีซ” ผมชะโงกหน้าเรียกเจ้าของชื่อที่นอนราบอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องรับแขก


“ข้าวเสร็จแล้ว?”


“เสร็จแล้ว ผมกำลังยกไปให้” เนื้อย่างชิ้นโตถูกตัดแบ่งออกเป็นชิ้นๆ วางเรียงไว้บนจานยาวก่อนจะยกมาวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเดิม


“มีอะไร” เบียทรีซนั่งลงบนพื้นโดยเหล่มองมาทางผม


“ฮืม?” มีอะไรนี่คือ


“ก็เรียกข้าไม่ใช่ มีอะไร”


“อ้อ ใช่ๆ ผมลืมไปเลย” เพราะถูกอีกฝ่ายทักถึงนึกออกว่ามีเรื่องต้องบอกนี่นา


“เจ้านี่นะ เป็นแบบนี้ก็ยังอุตส่าทำงานได้อีกนะ” ดูเบียทรีซจะปลงกับนิสัยเอ๋อๆ ของผมอยู่ไม่น้อย


“ถ้าเป็นเรื่องงานผมรอบคอบนะ” ผมค่อนข้างมั่นใจในประสิทธิภาพการทำงานของตัวเอง ถึงจะทั้งขี้ลืมหรือเอ๋อไปบ้างแต่ถ้าเป็นการทำงานผมรอบคอบใช้ได้ทีเดียว


“ไม่ค่อยอยากเชื่อ”


“ผมพูดจริงนะ”


“ฮืม แล้วที่มีเรื่องจะบอกคืออะไร” เขาถามผมพลางจัดการชิ้นเนื้อตรงหน้า


“วันนี้ผมก็ต้องกลับดึกอีก มื้อกลางวันกับเย็นผมทำให้แล้วถ้าไม่อิ่มเดี๋ยวมาจะทำเพิ่มให้”


“งาน?”


“อืม ต้องทำให้เสร็จทันกำหนดน่ะ” ผมพยักหน้าตอบ


“เอื่อยเฉื่อยอยู่นานรึไงถึงได้มาเร่งเอาตอนนี้”


“ถูกหัวหน้าเร่งมาต่างหากล่ะ” ถ้าเป็นกำหนดเดิมผมสามารถทำทันได้สบายๆ เลย


“ทั้งนิสัยและหน้าตาคงไปสะกิดต่อมอยากแกล้งของใครเข้าละมั้ง” เบียทรีซบอกด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก


“ไม่รู้สิ แต่คงเป็นงั้นมั้ง”


“ไม่รีบเดี๋ยวก็สายหรอก”


“โอ๊ะ! 7 โมงห้าสิบ” ผมถึงกับอึ้งเมื่อรู้ว่าตอนนี้ใกล้สายแล้ว ต้องรีบเหยียบไปให้ทัน 8 โมง


มื้อเช้าของผมเป็นข้าวหน้าเนื้อย่างซึ่งแบ่งมาจากเบียทรีซนิดหน่อย เนื้อของสัตว์จากโลกปิศาจในตอนแรกผมไม่กล้ากินหรอกแต่พอถูกอีกฝ่ายบังคับให้ลองรสชาติของเนื้อเหมือนเนื้อวัวไม่มีผิดเพียงแค่หวานและอร่อยกว่า ถ้าเอามาขายที่โลกมนุษย์ต้องเป็นที่นิยมแน่


การทำงานในช่วงเช้าของผมเป็นไปตามปกติ เหล่าเอกสารและแฟ้มของมูลถูกเปิดอ้าใช้อ้างอิงซ้อนทับกันอยู่บนโต๊ะจนแทบไม่มีที่วางคีย์บอร์ด ข้อมูลในการทำบัญชีไม่ได้มาจากที่เดียวแต่เป็นหลายๆ ที่ประกอบเข้าด้วยกันซึ่งหากมีการลงข้อมูลที่ให้มาผิดงานก็จะล่าช้าไปด้วย อย่างช่วงก่อนพักเที่ยงมีการแจ้งมาว่าข้อมูลที่ให้มานั้นผิดและจะส่งข้อมูลที่ถูกต้องมาให้ในช่วงเย็นทำเอาการทำงานในช่วงบ่ายหยุดชะงักไปค่อนข้างมาก


ถึงอย่างนั้นผมก็พยายามทำส่วนที่ทำได้ไปก่อน หวังแค่ว่าจะไม่มีส่วนอื่นผิดพลาดจนต้องแก้ไขอีกไม่งั้นคงไม่ทันกำหนดส่งแน่
ช่วงหลังเลิกงานวันนี้ไม่ได้มีผมเพียงแค่คนเดียวแต่คนแทบทั้งฝ่ายก็อยู่ล่วงเวลาด้วย สำหรับเหตุผลก็เหมือนๆ ผมที่ถูกเร่งให้จัดการงานให้เสร็จ ระหว่างทำงานไปผมได้ยินเสียงบ่นหัวหน้าหรือคุณเตยดังมาไม่ขาด ถึงจะบ่นยังไงแต่มือผมก็ยังคงขยับทำงาน


“กวินทร์ ปริณญาณนันท์!” เสียงเรียกจากทางประตูเข้าออกเรียกผมที่กำลังคร่ำเคร่งกับการพิมพ์ข้อมูลให้หันไปหาก่อนจะรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปหาชายร่างท้วมอายุประมาณ 50 ปี คนคนนี้คือคุณเชฏฤทธิ์ รองประธานบริษัทซึ่งคอยดูแลบริษัทในตอนนี้รับหน้าที่แทนสก๊อตผู้เป็นเจ้าของออกเดินทางไปต่างประเทศ แน่นอนว่าเขาเป็นพี่ชายของคุณเตย


เรียกผมแบบนี้มีเรื่องอะไรกันนะ


“ครับ” ผมขานรับระหว่างก้าวเข้าไปหา


“เธอยักยอกเงินบริษัทสินะ” ประโยคแรกที่อีกฝ่ายพูดทำเอาพนักงานทั้งฝ่ายหันมามองผมเป็นตาเดียว


“ยักยอก? ผมไม่ทำนะครับ” ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ แค่งานในแต่ละวันก็ไม่รู้จะเสร็จทันกำหนดรึเปล่าแล้วจะมีเวลาไปยักยอกเงินได้ยังไงล่ะ


“บัญชีนี่เธอเป็นใส่ตัวเลขสินะ” บัญชีทางการเงินของบริษัทในไตรมาสแรกถูกยื่นมาตรงหน้าผม


“ใช่ครับ ผมเป็นคนทำเอง” ไม่ต้องเปิดดูข้างในผมก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนจัดการทำบัญชีนี้เอง ผมจำได้แม่นเพราะมีตัวเลขจำนวนหนึ่งที่ผิดแปลกไปซึ่งผมได้เข้าไปถามคุณเตยที่เป็นคนให้ข้อมูลแล้วเผื่อว่าจะใส่ตัวเลขผิดทว่าอีกฝ่ายบอกว่าถูกแล้วผมเลยทำบัญชีต่อทั้งแบบนั้น


“ตัวเลขนี่มันมากเกินปกติ หวังว่าเธอจะอธิบายได้นะ” ตัวเลขที่อีกฝ่ายหมายถึงเป็นจุดเดียวกับที่ผมสงสัยเมื่อตอนทำ


“ผมถามหัวหน้าแล้วครับ หัวหน้าบอกว่าตัวเลขถูกแล้ว...”


“นี่คิดจะโยนความผิดให้ฉันเหรอ!” คุณเตยถึงกับเท้าเอวทำหน้าเคืองเมื่อได้ยิน


“ผมแค่พูดความจริง” ไม่ได้จะโยนความผิดให้สักหน่อย


“ความจริงบ้าอะไร! แกคิดจะยักยอกบริษัทโดยการใส่ตัวเลขเพิ่มเข้าไปสินะ คงจะทำครั้งแรกล่ะสิเลยไม่รู้ว่ามันสามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ พี่ชายฉันไม่ปล่อยให้รอดสายตาไปได้อยู่แล้ว” เธอบอกพร้อมกับผลักไหล่ผมแรงๆ


“ผมไม่ได้ทำ ตัวเลขนั่นผมได้มาจากคุณ...”


“เงียบไปเลยนะ คิดว่าจะใส่ร้ายฉันรึไงวิณณ์!” ยังไม่ทันพูดจบประโยคก็ถูกอีกฝ่ายพูดแทรกอีกรอบ


“ใส่ร้ายอะไร” รองประธานหันไปถามคุณเตยที่จ้องหน้าผมเขม็ง


“เขาไม่ชอบฉันน่ะสิ คงเพราะฉันให้งานไปพอทำเสร็จช้าก็เลยต้องบ่นกันหน่อย”


“เรื่องนั้นมัน...”


“ไม่ต้องพูดแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แล้ว! แค่หลักฐานว่าเธอเป็นคนทำบัญชีนี้ขึ้นก็มาพอที่จะรับโทษแล้ว” แม้จะอยากแก้ตัวแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้เวลาผมได้พูด


“รับโทษ?” ผมยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะแล้วทำไมต้องโดนรับโทษด้วย


“เอายังไงดีเตย น้องถูกใส่ร้ายแบบนี้อยากทำยังไง” ฝ่ายพี่ชายหันไปถามน้องสาว


“นั่นสิพี่ ฉันว่าไล่ๆ ออกไปเถอะ อยู่ไปก็แกะกะ โอ๊ะ! ทำงานไม่ได้เรื่องด้วย”


“...” ผมได้แต่เม้มปากแน่นแล้วเตรียมยอมรับชะตากรรม


ต่อให้พูดยังไงสถาการณ์ก็คงไม่เปลี่ยนกลับมาหาผมหรอก อีกอย่างมันเหมือนเป็นความผิดผมที่ปล่อยให้ตัวเลขแปลกๆ นั่นผ่านตาไปได้ถึงหัวหน้าจะบอกว่าถูกแต่ถ้าผมทำอะไรสักอย่างเรื่องอาจไม่จบลงแบบนี้


“กำลังคุยเรื่องอะไรกันดึกดื่นแบบนี้” เสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้นก่อนประตูห้องทำงานจะถูกเปิดอ้าด้วยฝีมือของผู้ติดตาม ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก้าวเข้ามาพร้อมกับดวงตาสีฟ้าอ่อนซึ่งไล่มองพวกเราแต่ละคนในห้องไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าฝ่ายบัญชีหรือรองประธานบริษัท ไม่ว่าใครที่เห็นใบหน้านั่นเป็นต้องชะงักไม่เว้นแม้แต่ผม



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


“สะ...สก๊อต?” ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ในเวลาแบบนี้ได้ ที่ผมสงสัยคือเวลาดึกดื่นแบบนี้คงไม่มีประธานบริษัทไหนเข้าบริษัทหรอก


“หยาบคาย! กล้าเรียกท่านประธานด้วยชื่อเฉยๆ ได้ยังไง!” เสียงของผมดูเหมือนจะทำให้หลายคนที่ตกใจกลับมามีสติ คุณเตยที่ได้ยินผมเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อเฉยๆ ก็รีบหันมาบ่น


“เอ่อ...” เผลอหลุดปากไปจนได้ ทั้งที่กะไว้แล้วว่าถ้าเจอสก๊อตข้างนอกผมจะเรียกเขานำหน้าว่าคุณ


“ลูกน้องฉันหยาบคายกับท่านประธานแบบนี้ต้องขอโทษด้วยนะคะ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันจะจัดการสั่งสอนให้รู้จักมารายาทเองค่ะ” คุณเตยรีบหันไปส่งยิ้มหวานให้สก๊อตที่ใช้สายตานิ่งๆ จับจ้องมา


“หยาบคาย? เรียกชื่อฉันตรงๆ คงไม่หยาบคายเท่าคนที่ใช้วิธีตื้นๆ เพื่อยักยอกเงินบริษัทหรอกนะ” น้ำเสียงสบายๆ ประกอบกับรอยยิ้มดุจเทพบุตรทำให้ผู้ถูกกล่าวถึงกับทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก


“เรื่องยักยอกเงินพวกเรากำลังจัดการอยู่เลยครับ ชายคนนั้นเป็นคนยักยอกเงินของบริษัทโดยการปลอมแปลงตัวเลขในบัญชีแต่ผมตรวจเจอซะก่อนครับ” รองประธานอธิบายเรื่องราวด้วยเหงื่อที่เริ่มไหลบริเวณขมับ


“ฮืม...ฝีมือนายเหรอ” สก๊อตเลิกคิ้วขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปาก


“เปล่าครับ ผมไม่ได้ทำ” ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธ


“อย่าเชื่อเขาค่ะท่านสก๊อต วิณณ์น่ะมีหนี้สินอยู่เยอะเลยต้องการเงินไปใช้หนี้ การยักยอกเงินบริษัทคงเป็นทางเลือกในการหาเงินแน่ๆ ค่ะ” คุณเตยไม่ปล่อยให้สก๊อตได้คล้อยตาผมรีบพูดต่อทันที


“มีหนี้ด้วย?”


“ครับ...มีอยู่ค่อนข้างเยอะ” ไม่มีความจำเป็นที่ต้องโกหกหรือปิดบังในเมื่อมันเป็นความจริง


“ฮืม...เพราะแบบนี้สินะ” ใบหน้าของสก๊อตดูจะคลายความสงสัยในเรื่องอะไรสักอย่าง


“ใช่ค่ะ ตอนนี้พวกเราเลยกำลังจะไล่เขาออกจากบริษัทค่ะ”


“เขาเป็นคนยังไง” สก๊อตเมินคำพูดของคุณเตยหันไปหาพี่โยที่ยืนอยู่ไม่ไกล ตอนนี้ทุกคนในฝ่ายต่างยืนขึ้นให้ความเคารพประธานบริษัทที่เพิ่งจะเคยเห็นตัวเป็นๆ ครั้งแรก


“ถามถึงวิณณ์ใช่ไหมคะ” พี่โยถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ


“อืม”


“เป็นคนดี มีน้ำใจและเอาการเอางานมากค่ะ แม้จะมีนิสัยซุ่มซ่ามนิดหน่อยแต่เวลาทำงานจะรอบคอบมาก” ผมอยากจะเดินเข้าไปกอดขอบคุณพี่โยซะเดียวนี้เลยแม้จะพูดเกินจริงกับคำว่าซุ่มซ่ามนิดหน่อยก็ตาม


เมื่อเดือนก่อนผมเคยสะดุดสายทำเอาคอมพิวเตอร์ของพี่โยดับทั้งที่ยังไม่ได้เซฟงาน ผมแทบก้มกราบขออภัยแต่พี่โยกลับให้อภัยง่ายๆ แถมยังบอกว่าไม่เป็นไรเพิ่งทำไปนิดเดียวด้วย


“ถ้าบอกว่าเขายักยอกเงินมีความเห็นยังไง” สก๊อตถามต่อ


“ไม่จริงค่ะ วิณณ์บอกว่าไม่ให้พวกเราทำอะไรแต่ฉันก็ไม่อยากเห็เขาถูกใส่ร้ายไปมากกว่านี้แล้ว หัวหน้าเอ่อ...คุณเตยน่ะไม่ชอบวิณณ์เลยมักจะให้แต่งานยากๆ มาทำแล้วเร่งให้ทำเสร็จกว่ากำหนดเดิมจนต้องอยู่ทำโอเพิ่มมาหลายรอบแล้ว” พี่โยพูดต่อ


“นี่เธอ...”


“เงียบ! คนอื่นคิดเหมือนเธอคนนี้ไหม” เสียงตวาดสูงของคุณเตยถูกหยุดไว้ด้วยน้ำเสียงอันทรงอำนาจของประธานบริษัทอย่างสก๊อตก่อนเขาจะหันไปมองพนักหน้าทุกคนที่ค่อยๆ พยักหน้าแทนคำตอบกลับมา


“พวกแก!” คุณเตยถึงกับหน้าเสียเมื่อเห็นลูกน้องลงความเห็นเข้าข้างผม


“มีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม ฉันมีเวลาไม่มากหรอกนะ” น้ำเสียงของสก๊อตดุดันขึ้นระหว่างถาม


“ฉันถูกใส่ร้าย!”


“ท่านประธานอย่าฟังความข้างเดียวเลยครับ น้องสาวผมไม่ได้ทำ” รองประธานซึ่งเป็นพี่ชายออกตัวปกป้องน้องสาว


“ก็พูดถูก น้องสาวคุณไม่ได้ทำคนเดียวแต่มีคนหนุนใช่ไหมเชฏฤทธิ์ เก่งดีนี่พยายามแต่งตัวเลขให้ดูออกง่ายๆ เพื่อจะได้ให้คนทำบัญชีรับเคราะห์แทน ด้วยตำแหน่งที่มีแค่ไล่ออกแล้วหาคนใหม่มาแทนก่อนจะยักยอกเงินต่ออีกครั้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ นอกจากจะได้เงินใช้แล้วยังโยนความผิดให้คนอื่นรับแทนด้วย ฉันต้องปรบมือให้สินะ” เสียงตบมือจากสก๊อตทำเอาคู่พี่น้องถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม


“...” เรื่องเป็นแบบนี้เองเหรอ นี่แปลว่าสก๊อตรู้เรื่องนี้อยู่แล้วสินะ


“พวกเราไม่ได้ทำ!” ฝ่ายถูกกล่าวหายังคงปฏิเสธ


“ฉันไม่มีเวลามาสนว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับหรอกนะ จะไม่แจ้งตำรวจด้วยแค่เงินไม่กี่ล้านนาทีเดียวก็หามาเพิ่มได้แล้ว”


หาเงินเป็นล้านโดยใช้หน่วยเวลาเป็นนาที?!


ถ้าจะให้สอนผมบ้างจะได้ไหมนะเผื่อจะใช้หนี้ให้หมดๆ ไปสักที


“เอาเป็นว่าทั้งสามคนโดนไล่ออก” น้ำเสียงสบายๆ นั่นไล่มองตั้งแต่รองประธาน หัวหน้าฝ่ายบัญชีคุณเตยมาจนถึงผม เดี๋ยวนะ...


“ผมด้วยเหรอ?” ที่ต้องโดนไล่ออกน่ะ


“ใช่”


“แต่วิณณ์แค่ถูกใส่ร้ายนะคะ” พี่เจพูดขึ้น


“ฉันรู้”


“ถ้ารู้แล้วทำไมถึง...”


“เป็นคำสั่งจากองค์ราชา” คำพูดของสก๊อตยังไม่ทันได้สร้างความฉงนเสียงแปลกๆ ก็เกิดเสียงดังขึ้นตรงกลางห้องพร้อมช่องว่างมิติที่เปิดอ้าออก เพียงแค่ช่องว่านั้นก็สร้างความตกใจให้กับผู้คนโดยรอบได้แล้วทว่ากลับมีร่างของชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากช่องว่างมิตินั่น บรรยากาศรอบตัวเขาไม่ใช่คนธรรมาดาแต่เป็นมากกว่านั้น


ใบหน้าเรียวคมได้รูปดึงดูดทุกสายตาให้จับจ้องไป เส้นผมสีดำสนิทยาวประบ่ากับดวงตาสีทองสว่างนั่นราวกับเทพลงมาจุติ ณ โลกมนุษย์ก็ไม่ปาน ความหล่อเหลานั่นทำเอาสก๊อตดูหน้าตาธรรมดาลงทันตา ทุกก้าวที่สัมผัสพื้นเสียงของมันจะสะท้อนและดังก้องให้คนที่มองและได้ยินตกอยู่ในมนต์สะกด กว่าจะรู้ตัวผมก็ถูกรวบไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียวก่อนจะถูกดึงเข้าไปประชิด


ดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นของผมเงยขึ้นเพื่อมองใบหน้าคมคายด้วยความสงสัย แต่เมื่อดวงตาสีทองสว่างก้มลงมาสบความคุ้นเคยบางอย่างก็ทำเอาผมถึงกับเบิกตากว้าง สีทองสว่างแบบนั้นผมจำได้...จะจำไม่ได้คงแปลกเพราะผมมองดวงตานั้นมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา


แต่ว่า...ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี


“บะ...เบียทรีซ?” ผมเอ่ยเรียกทั้งที่ยังสับสนและไม่แน่ใจอยู่พอสมควร


“อะไร ทำหน้าตลกอีกแล้ว” เสียงทุ้มยังคงเป็นเสียงเดิมที่คุ้นเคย ที่ต่างไปคงเป็นรอยยิ้มมุมปากที่เผยออกนั่นเรียกปริมาณเลือดให้สูบฉีดไปทั่วทั้งร่าง


“มะ...ไม่จริง”


“อะไรไม่จริง” คิ้วสีดำทั้งของข้างของคนตรงหน้าเริ่มขมวดเข้าหากันแน่น


“เบียทรีซจริงเหรอ”


“อะไรของเจ้าเนี่ย ถ้าไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครได้”


“ก็...ก็คุณ...” แค่จะพูดยังติดขัดเลย ขนาดผมเป็นผู้ชายนะเนี่ย ถ้าเป็นผู้หญิงคงได้ละลายกลายเป็นไอลอยขึ้นฟ้าไปแล้วถ้าถูกใบหน้านั่นขยับเข้ามาใกล้


“ข้าทำไม หล่อล่ะสิ” อีกฝ่ายพูดพลางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย


“อืม หล่อมาก...ใจเต้นเลย” ผมบอกไปตามตรงพร้อมใช้มือข้างนึงยกขึ้นสัมผัสบริเวณหัวใจที่ยังเต้นรัวไม่มีทีท่าจะเบาลงแม้แต่น้อย ทางเบียทรีซที่ได้ยินก็นิ่งไปพักนึงคล้ายกำลังคิดอะไรหลายๆ อย่างแต่ถึงจะนิ่งไปเขาก็ยังคงมองมายังผมที่ทำตัวไม่ถูก


ไม่ชินเลยกับเบียทรีซแบบนี้


“เจ้านี่นะ ข้าควรทำยังไงกับเจ้าดีบอกหน่อยสิ” เบียทรีซพูดจบก็อาศัยจังหวะตอนผมเผลอจับผมอุ้มขึ้นแนบอก


“อ๊ะ!...ทำอะไรน่ะ” ผมดิ้นทันทีเมื่อรู้ว่าสภาพตัวเองเป็นยังไง


“มารับ”


“มารับ? หมายถึงกลับบ้าน?”


“จะว่าบ้านก็ไม่ผิด”


“หมายถึงอะไร”


“ข้าจะพาเจ้าไปปราสาทข้า” จบประโยคเขาก็หันหลังกลับก้าวขาตรงไปยังช่องว่างของมิติที่เปิดอ้าอยู่


“ปราสาท? เดี๋ยวนะ! ผมต้องกลับบ้านแล้วพรุ่งนี้ต้องมาทำงาน...” ถึงในหัวจะว่างเปล่าแต่ผมจำเป็นต้องพูดออกไปไม่งั้นคงได้ไปโลกปิศาจทั้งแบบนี้แน่


“เจ้าโดนไล่ออกแล้วนี่ยังต้องมาทำงานอะไรอีก” พอเบียทรีซพูดคำว่าลาออกจากสก๊อตก็ลอยขึ้นมาและคำพูดที่ว่าเป็นคำสั่งขององค์ราชาก็ผุดตามมาเช่นกัน


“คะ...คุณเป็นคนสั่งเหรอ” ดูจากรูปการคงคิดเป็นอื่นไม่ได้


“ฉลาดขึ้นมาหน่อยแล้วนี่”


“เบียทรีซ...”


“ไปกับข้า” น้ำเสียงของเบีทรีซทรีซไม่ใช่ประโยคคำถามหรือขอร้องแต่เป็นประโยคคำสั่งที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม


“...ผม...”


“ต่อให้ตอบว่าไม่ข้าก็จะพาเจ้าไปอยู่ดี”


“...” เผด็จการ


ผมขอมอบคำว่าเผด็จการให้กับเบียทรีซเลย


“สก๊อต” เบียทรีซหันไปหาสก๊อตที่เดินมาหา


“ครับ”


“ฝากจัดการที่เหลือที”


“รับทราบ จัดการทุกอย่างเสร็จข้าจะไปหาท่าน” สก๊อตก้มหัวลงเล็กน้อยน้อมรับคำสั่งด้วยความยินดี


เบียทรีซไม่ได้พูดอะไรอีกหันหลังเดินเข้าไปในประตูมิติที่เปิดอ้าไว้โดยมีผมถูกอุ้มอยู่ ยามแสงสว่างจากมิติจางหายไปความมืดของบรรยากาศโดยรอบนั้นมาพร้อมความเย็นที่กรีดผิวหนังจนต้องขยุ้มเสื้ออีกฝ่ายแน่น ความหนาวเย็นนี้มากกว่าหน้าหนาวของประเทศไทยอีก


ผมหันไปมองภาพด้านหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นแต่ใครจะคิดล่ะว่าภาพแรกที่เห็นโลกปิศาจนั้นจะเป็นมุมสูงซึ่งพอมองลงไปจะเห็นแสงไฟส่องสว่างอยู่เป็นหย่อมๆ กระจายกันไป มีอยู่กลุ่มหนึ่งที่แสงสว่างนั่นใหญ่เป็นพิเศษ ในความมืดการมองเห็นเป็นเรื่องลำบากถึงอย่างนั้นผมกลับรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าที่นี่มีหลายอย่างแตกต่างกับโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิง


“เบียทรีซ...” ผมเรียกคนอุ้มเสียงแผ่วเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่กางสยายอยู่ด้านหลังเบียทรีซ ดูจากรูปร่างคงเป็นปีก


“หนาวเหรอ” อีกฝ่ายมองผมที่ร่างกายสั่นๆ


“นิดหน่อยแต่...ปีกเหรอ” สายตาผมยังคงมองไปยังปีกคู่ใหญ่ด้านหลัง


“ใช่ เป็นพลังปิศาจที่ควบแน่นจนเป็นรูปร่าง ถ้าควบคุมได้ก็สามารลอยบนอากาศได้”


“ลอยบนอากาศ? นี่เราอยู่บนฟ้า?!” ผมสะดุ้งตัวโยนใช้แขนสองข้าโอบคอเบียทรีซด้วยความกลัวทันควัน ผมน่าจะนึกออกได้ตั้งแต่เห็นภาพวิวในมุมสูงแล้วว่าพวกเราไม่ได้อยู่บนพื้นดิน


“เพิ่งจะรู้ตัวรึไง”


“นี่มันเรื่องอะไร...พาผมมานี่ทำไม”


“เจ้าเคยถามว่าโลกปิศาจเป็นยังไงข้าเลยพามาให้เห็นกับตา” ระหว่างพูดร่างของเบียทรีซที่กำลังอุ้มผมอยู่ก็เคลื่อนที่ลงต่ำ ภาพแสงไฟเป็นหย่อมๆ มีขนาดใหญ่ขึ้นและปรากฏเป็นรูปร่างของสิ่งก่อสร้างคล้ายตึกในโลกมนุษย์แต่มีความงดงามมากกว่า ดูแล้วคล้ายตึกแถบยุโรปเลย


แม้จะเป็นช่วงกลางคืนทว่าผมยังเห็นเงาของคน ไม่สิต้องบอกว่าเห็นเงาของปิศาจที่เดินกันขวักไขว่อยู่ตามถนนอย่างคึกคักไม่แพ้ตลาดมืดเลย


“ผมเห็นแล้ว...พาผมกลับเถอะ”


“นั่นคือปราสาทข้า” นอกจากจะไม่ฟังคำพูดผมแล้วยังแนะนำสิ่งก่อสร้างด้านหน้าให้รู้จักอีก


ถ้าถามว่าสนใจไหม ผมคงตอบว่าสนใจโดยไม่ลังเล ดวงตาสีน้ำตาลใต้เลนส์แว่นของผมหันไปตามทางที่เบียทรีซบอกก่อนจะพบกับปราสาทหลังใหญ่ยักษ์ยิ่งกว่าในหนังหลายเรื่องๆ นอกจากใหญ่แล้วยังมีจำนวนชั้นที่นับคร่าวๆ ก็ร่วม 10 ชั้นได้ แต่เพราะความมืดเลยไม่เห็นรูปร่างจริงๆ ของปราสาท เบียทรีซพาผมเข้ามาด้านในตัวปราสาทที่ดูโล่งกว่าที่คิดไว้มาก


ตรงนี้น่าจะเป็นห้องโถง


“องค์ราชาเสด็จ!”


“องค์ราชาเสด็จ!”


เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นจากรอบทิศทาง เบียทรีซหยุดเคลื่อนไหวแล้วอยู่นิ่งๆ ตรงกลางห้องโถงท่ามกลางเสียงเรียกแสดงความนอบน้อมและเคารพ ผมค่อยๆ พยุงตัวเองให้ยืนตรงยามถูกอีกฝ่ายปล่อยตัวอย่างกะทันหัน แต่แล้วเสียงฝีเท้าหลายสิบคู่ที่เดินตีวงล้อมเข้ามาเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง


ทั้งที่คิดว่าต้องปิศาจที่มีรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับสก๊อตทว่าในความเป็นจริงปิศาจตรงหน้าผมกลับมีใบหน้าและลำตัวเป็นตะขาบยักษ์ ส่วนขานับร้อยที่ขยับไปมายามเรียกองค์ราชานั้นพาสติทั้งหมดของผมให้ดับลงทันควัน

.....................................................

ขอไว้อาลัยแด่วิณณ์ที่สลบไป

ถ้าเป็นเราก็คงสลบไม่ต่างกัน 555

ตอนหน้าจะเป็นตอนที่หลายคนอาจรอคอยนั่นคือพาทของเบียทรีซ

แถมด้วยฉากในในโลกปิศาจ

จะสนุกแค่ไหนต้องรอติดตามกันต่อในตอนต่อไปนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามเสมอน้าา

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบายค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
พาเค้ากลับวังเฉยยยยย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แล้วคนที่ออฟฟิศล่ะ อยากรู้ๆ  :serius2:

ออฟไลน์ kaokorn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 903
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
ชอบ สนุกดีฮะ รออ่านตอนต่อไปนะคร้าบบบ

Merry Christmas ^_^

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
พามาแล้ว สลบเลย555

รอนะคะ

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
สติคนอ่านก็จะดับค่ะ กลัวตะขาบขาเยอะ :katai3: :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด