≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการส่งท้าย:⊱ 30/8/62 P.6 -จบ-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ≈⊰Not Dictate⊱≈ มิอาจบงการใจ ⊰:บงการส่งท้าย:⊱ 30/8/62 P.6 -จบ-  (อ่าน 35329 ครั้ง)

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
วิณณ์น่ารัก อยากช่วยแบ่งเบา
แต่ก็มีเรื่องให้ได้ตามดูแล ตามหึง หวงได้ตลอด 

ว้าววว สักทีนะเบียทริซ คนปากแข็งยอมเผยตัวแล้ว

เป็นคนรัก ไม่ใช่แค่คนรับใช้ เข้าใจนะวิณณ์

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ไม่ใช่แฟนแต่เป็นคนรัก :กอด1:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰บงการ:วันที่19:⊱



ในโลกปิศาจนั้นวันและเวลาเดินเหมือนกับโลกมนุษย์ ที่แตกต่างคงมีแค่วันสำคัญและงานเทศกาลที่ไม่เหมือนกัน หากเป็นโลกมนุษย์ในวันสำคัญหรือเทศกาลจะมีไม่น้อยเลยที่ประกาศให้หยุดเพื่อจะให้ทุกคนออกมาร่วมงานกันให้มาก คล้ายกับโลกปิศาจที่ในวันสำคัญจะมีประกาศแต่ไม่ได้หยุดงาน ตรงกันข้ามงานกลับมีมากขึ้นเพราะต้องจัดเตรียมงานเลี้ยงที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า


วันพิเศษนี้คือวันฉลองการขึ้นครองราชครบ 150 ปีของเบียทรีซนั่นเอง งานเฉลิมฉลองขนาดใหญ่ถูกจัดเตรียมให้เหมาะสมกับงานสำคัญเช่นนี้ตั้งแต่หลายอาทิตย์ก่อน จำได้ว่าแกรนเข้ามาถามถึงธีมงานว่าอยากได้แบบไหนหรือโทนสีอะไรซึ่งเบียทรีซรวบตอบคำถามนั่นในประโยคเดียว...


"สีทอง"


ผมที่ได้ยินยังเผลอขมวดคิ้วตามไปไม่รู้ว่าที่แกรนพยักหน้าเข้าใจแล้วขอตัวออกไปเริ่มงานนั่นเข้าใจความต้องการของเบียทรีซจริงๆ น่ะเหรอ


ความสงสัยถูกไขกระจ่างในไม่กี่วันต่อมาที่แกรนนำเอาแผนงานพร้อมรูปประกอบมาให้เบียทรีซดู ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือการใช้โทนสีทองตามที่เบียทรีซต้องการก็ทำออกมาได้อย่างลงตัว ขนาดผมเฉยๆ กับสีทองยังคิดว่าสวยมากเลย มองโดยรวมเหมือนอยู่ในพระราชวังที่ถูกประดับประดาไปด้วยทองคำ


ว่ากันตามจริงก็เหมาะกับเบียทรีซจริงล่ะนะ


ตลอดการเตรียมงานหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีคำถามหนึ่งที่ค้างคาใจมาตลอดแต่ไม่มีโอกาสได้ถามสักที ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันงานถ้าจะถามสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง


“นี่เบียทรีซ” ผมส่งเสียงเรียกเบียทรีซซึ่งนั่งทำหน้าเบื่ออยู่กับกองเอกสาร ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่เขาจะเบื่อผมเองที่เห็นอีกฝ่ายนั่งอ่านกองเอกสารอยู่ทุกวี่วันตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมายังรู้สึกเบื่อแทนเลย


หลายคนอาจมองว่าเป็นงานแสนสบายแค่นั่งอยู่โต๊ะอ่านเอกสารที่มีให้แล้วประทับตราอนุมัติกับไม่อนุมัติง่ายๆ แต่หากลองคิดดีๆ จะเห็นว่าในทุกๆ วันต้องนั่งก้นติดกับเก้าอี้มาเป็นเวลานับร้อยปี ร้อยปีนะไม่ใช่แค่ห้าสิบเหมือนมนุษย์ ใครจะไม่เบื่อบ้างล่ะแถมนิสัยของเบียทรีซไม่ชอบอะไรพวกนี้เท่าไหร่แค่ยอมทำจนเสร็จไปในแต่ละวันก็ดีเท่าไหร่แล้ว


“อะไร”


“มีเรื่องสงสัยนิดหน่อย ถามได้รึเปล่า” ผมเอ่ยถามทั้งที่มือและสายตายังคงถือเอกสารตัวเลขไว้ในมือ ตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ผมถูกมนุษย์รุมล้อมในงานที่สก๊อตพาไปร่วมผมก็ถูกสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่าไม่ให้ออกไปไหนอีก ไม่เพียงแค่ไม่ให้ไปงานแต่ยังรวมไปถึงการไปทำงานอยู่บนตึกด้วย


ถึงจะสั่งห้ามแทบทุกอย่างแต่ด้วยปัญหาด้านบุคลากรที่ไม่เพียงพอนั้นเป็นเรื่องสำคัญเบียทรีซเลยยอมให้สก๊อตส่งลูกน้องหอบงานมาให้ผมช่วยได้ซึ่งปัจจุบันแม้จะผ่านมาหลายเดือนลูกน้องของสก๊อตก็ยังเข้าออกห้องทำงานนี้อยู่สัปดาห์ละสองถึงสามวัน
“ลองว่ามาก่อน” น้ำเสียงเบื่อหน่ายนั่นดูเหมือนคนใกล้จะสัปปะหงกเลย


“เห็นว่าวันนี้เป็นงานฉลองการขึ้นครองราชครบ 150 ปีของคุณ”


“แล้ว?”


“คุณไม่ได้อายุ 250 ปีเหรอ” ผมถามไปตามตรง เหมือนวันแรกที่ได้เจอกันอีกฝ่ายจะบอกว่าอายุ 230 ปี ผ่านมาถึงตอนนี้ก็มากกว่า 20 ปีแล้วที่ผมได้มาอยู่กับเบียทรีซ เป็นช่วงเวลาที่เหมือนจะยาวนานแต่สำหรับผมยังรู้สึกเหมือนเพิ่งได้เจอเบียทรีซมาเมื่อไม่นานมานี้เอง


ยิ่งได้รู้ถึงความรู้สึกรักที่มีให้แถมยังได้รับความรู้สึกนั้นตอบก็ยิ่งทำให้รู้สึกเขินอายทุกครั้งที่มองหน้า ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ ไม่รู้ว่าผมจะเขินขนาดนี้ทำไมกัน


“ข้าอายุ 250 ปีแล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับที่เจ้าจะถามยังไง” อีกฝ่ายถามกลับ


“ถ้าแบบนั้นตัวเลขขึ้นครองราชก็น่าจะเป็น 250 ปีสิไม่ใช่ 150” นี่แหละที่ผมคาใจมาตลอด งานฉลองขึ้นครองราชา 150 ปีแต่อายุของเบียทรีซคือ 250 ปี น่าสงสัยออก


“ข้าไม่ได้เกิดมาแล้วขึ้นได้รับตำแหน่งราชาเลยสักหน่อย”


“อ้าว ไม่ใช่เหรอ” ผมเข้าใจว่าเป็นแบบนั้นมาตลอดนะ เพราะได้ยินมาตั้งแต่แรกๆ แล้วว่าราชาองค์ใหม่จะถือกำเนิดขึ้นทุก 800 ปี ด้วยพลังอันมหาศาลนั้นทำให้ปิศาจทุกตนสามารถรับรู้ได้ถึงความห่างชั้นและความแตกต่างของพลัง ผมเลยนึกว่าจะได้รับตำแหน่งราชามาตั้งแต่ตอนนั้นซะอีก


“ถึงปิศาจทุกตนจะรับรู้ว่าข้าเป็นราชาแต่การจะให้เด็กขึ้นรับตำแหน่งมันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย ดีไม่ดีจะถูกจัดการได้ง่ายๆ เพราะพลังยังตื่นไม่เต็มที่” เบียทรีซบอก


“แล้วระหว่างนั้นคุณทำอะไรเหรอ” มีคนดูแลหรือว่าอยู่ด้วยตัวเอง


“ราชาองค์ก่อนส่งข้ารับใช้มาดูแลและคอยรับใช้จนข้าอายุครบ 50 ก็เริ่มออกเดินทางไปทั่วโลกปิศาจเพื่อหาข้ารับใช้ของตัวเอง พอข้าอายุประมาณ 100 ราชาองค์ก่อนก็เสียชีวิตลงข้าจึงได้ขึ้นเป็นราชาองค์ต่อมา” คำอธิบายต่อมาสร้างความอยากรู้อันไม่มีที่สิ้นสุดให้แก่ผม


“การออกเดินทางเพื่อหาข้ารับใช้นี่หรือว่า...” ผมเริ่มเดาเหตุการณ์บางอย่างได้แต่ไม่รู้ว่าจะถูกตามที่คาดไว้หรือเปล่า


“ตามที่เจ้าคิดแหละ ทั้งชารอน เตโช แกรนหรือแม้แต่สก๊อตข้าก็เป็นคนเจอและพาพวกเขาเข้ามาปราสาทนี้ด้วยกัน”


“เจอกับแม่ผมได้ยังไงเหรอ” อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณแม่ให้มากกว่านี้ ตอนเด็กๆ เคยถามพ่ออยู่หลายครั้ง ในตอนนั้นจำได้ว่าคุณพ่อไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากบอกว่าเป็นคนที่ทั้งสวยและเท่มาก ญาติของแม่ก็ไม่มีเลยไม่เคยได้รู้อะไรอีก


ครั้งนี้มีโอกาสที่จะได้รู้ผมเลยไม่อยากพลาด


“ชารอนน่ะเหรอ เจอในสนามต่อสู้...ข้ายังจำภาพผู้หญิงร่างกายบอบบางกระแทกเข่าใส่ใบหน้าชายร่างยักษ์ได้ติดตาอยู่เลย ทั้งพลังและความแข็งแกร่งเป็นคำอธิบายถึงตัวชารอนได้ดีที่สุด” มุมปากของเบียทรีซยกขึ้นเล็กน้อยยามพูดถึงเรื่องของคุณแม่ คำว่าข้ารับใช้ที่เบียทรีซมักพูดผมรู้สึกนะว่ามันไม่ได้สื่อถึงระดับที่ต่ำกว่าแต่เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของครอบครัว


“งั้นผมล่ะ” ครั้งนี้ผมหันไปหาเบียทรีซบ้าง


“เจ้าทำไม” คนถูกถามวางเอกสารแสนน่าเบื่อลงบนโต๊ะแล้วเปลี่ยนความสนใจมาทางผมแทน


“ถ้าพลังและความแข็งแกร่งอธิบายถึงแม่ แล้วผมล่ะจะใช้คำไหนอธิบาย” ผมถามต่อด้วยความอยากรู้ คำที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเองเหรอ...เบียทรีซจะให้คำว่าอะไรกับผมนะ


“เจ้าน่ะเหรอ เยอะเลยล่ะ” รอยยิ้มมุมปากนั่นดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังอารมณ์ดี


“อะไรบ้างๆ” มีเยอะซะด้วย


“ซุ่มซ่าม เป๋อเหล๋อ หน้างง โกหกไม่เป็น นั่นแหละตัวเจ้าวิณณ์” เบียทรีซเอ่ยพร้อมอมรอยยิ้ม ประกายในดวงตานั้นเหมือนถูกใจประโยคที่พูดออกมาซะเต็มประดา


“...ไม่เห็นเท่เลย” ถึงจะไม่ปฏิเสธว่าเป็นความจริงทั้งหมดก็เถอะ


“เจ้าไม่เท่มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่”


“ก็ผมอยากได้คำที่มันดูเท่ๆ บ้างนี่” ของคุณแม่ยังเป็นพลังกับความแข็งแกร่งเลย


“งั้นเจ้าลองบอกคำที่อธิบายถึงตัวข้าดูหน่อยสิ” เบียทรีซถามกลับ


“...คำที่สื่อถึงเบียทรีซเหรอ...ก็เยอะเหมือนกันนะ”


“พูดมาให้หมด”


“เอาแต่ใจ ชอบบงการ เอาใจยาก ขี้รำคาญ เจ้ากี้เจ้าการ ขี้หงุดหงิด ไม่ค่อยมีเหตุผล ชอบปิดบังแถมยังเจ้าเล่ห์อีก...”


“วิณณ์!” เบียทรีซเรียกผมด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความไม่พอใจ


“ทั้งคอยห่วงและคอยดูแลแต่ก็ไม่เคยจะยอมรับสักที แต่ทุกการกระทำของคุณมันแฝงไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนยิ่งกว่าใครๆ ที่ผมเคยเจอมา” ผมพูดต่อพลางใช้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมประสานไปยังดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซ พริบตาเดียวที่ดวงตาประสานผมรีบเบนหน้าหนีไปอีกฝั่งด้วยความรู้สึกเก้อเขิน


เจอกันอยู่ทุกวันไม่รู้ทำไมถึงยังรู้สึกแบบนี้อยู่อีกเหมือนเด็กสาวแรกรักเลย


จะว่าไปก็ไม่ผิดซะทีเดียวถึงจะไม่ใช่เด็กสาวแต่แรกรักนี่ก็ตรงอยู่ แฟนผมเคยมีแต่ก็แค่นั้นความรู้สึกตอนอยู่กับเธอคนนั้นไม่ได้ทำให้ใจเต้นเหมือนอย่างเบียทรีซในตอนนี้


“หลบตาทำไมวิณณ์” เบียทรีซไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปตามคาด


“...เปล่า ไม่มีอะไร”


“ไม่มีอะไรที่ไหนล่ะ ตอบมา”


“ก็บอกว่าเปล่า”


“ข้าคงเชื่อเจ้าหรอก”


“...เชื่อหน่อยไม่ได้เหรอ”


“ไม่ได้” อีกฝ่ายพูดเสียงแข็ง


“ผมไม่พูดได้รึเปล่า” ผมลองขอแม้จะรู้คำตอบ


“ไม่ได้”


“...อย่าใจร้ายสิเบียทรีซ”


“ข้าจะใจร้ายกว่านี้ถ้าเจ้ายังไม่ตอบมา” คำพูดนั้นทำเอาผมหันควับไปหาเจ้าของเสียงทว่ายามดวงตาคมๆ สอดประสานผมก็รีบหันไปมองภาพวิวข้างนอกแทนอย่างรวดเร็ว


ไม่ไหว...หัวใจมันเต้นเร็วเกินกว่าจะควบคุมได้


“เอ่อ...”


“วิณณ์” ผมที่กำลังคิดว่าต้องเอ่ยอะไรออกไปสักอย่างกลับถูกเบียทรีซเรียก


“อะไรเหรอ”


“มานี่...ลุกมาหาข้า” ภายในหัวปฏิเสธคำพูดของเบียทรีซทว่าร่างกายกลับไม่ฟังลุกขึ้นก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายที่หมุนเก้าอี้มารอ ตลอดการก้าวผมมองเพียงพื้นกระเบื้องสีครีมบริเวณปลายเท้าเท่านั้น


“...มีอะไรล่ะ”


“คิดจะคุยกับข้าในสภาพนี้?” สภาพที่พูดถึงคงไม่พ้นผมที่ก้มหน้ามองพื้นอยู่เป็นแน่


“ไม่ได้เหรอ...อ๊ะ!” อีกฝ่ายไม่รอให้ผมพูดจบประโยคคว้าแขนผมแล้วดึงแรงๆ จนร่างกายเซล้มไปอยู่บนตักของเบียทรีซในสภาพหันหน้าเข้าหากัน


นี่ผมชักจะอยู่บนตักของเบียทรีซบ่อยเกินไปแล้วนะ!


“เงยหน้ามองข้า”


“...” ผมส่ายหัวดิ๊กๆ แทนคำตอบทั้งที่ก้มหน้าลง


“วิณณ์”


“...มีอะไรก็พูดมาเลยเถอะ” จะให้เงยหน้าขึ้นไปมองตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ


“เงยหน้าขึ้นมามองข้า...วิณณ์” เป็นอีกครั้งที่น้ำเสียงนั้นดึงดูดให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปหาเบียทรีซโดยไม่รู้ตัว ดวงตาสีทองสว่างที่จ้องมองอยู่ก่อนทว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนให้ทวีความรุนแรงขึ้นไม่อีก


ยิ่งกว่าเขินหรืออายอีก เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้


“อย่ามอง” ผมรีบใช้มือปิดใบหน้าของตัวเองที่บัดนี้คงแดงก่ำยิ่งกว่ามะเขือเทศเป็นแน่


น่าอายเกินไป


ขืนให้อยู่แบบนี้ต่อไปผมได้สลบคาที่ในไม่ช้าแน่


“จะเอามือปิดทำไม” เบียทรีซดึงมือที่ผมใช้ปิดหน้าอยู่ออกโดยไม่ต้องใช้พละกำลังมากมาย


“ผมอาย ไม่ไหวแล้ว”


“อายข้า?”


“ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใครเล่า!” ผมพพูดเสียงดัง รู้คำตอบอยู่แล้วยังจะแกล้งให้ผมตอบคำถามน่าอายนั่นอีก


“จะมาเขินอายอะไรเอาตอนนี้ล่ะวิณณ์ พูดให้ถูกเจ้าเริ่มหลบตาข้าตั้งแต่ได้รู้ฐานะของตัวเอง” เขาพูดไม่ผิดหรอก...เป็นแบบนั้นจริงๆ


ต้นเหตุของอาการนี้มาจากถ้อยคำที่กระซิบบอกพร้อมกับอ้อมแขนที่กระชับแน่นจนไม่เหลือช่องว่างใดๆ ยามคำว่า ‘คนรัก’ ถูกเอ่ยออกมาหัวใจก็ส่งเสียงอย่างหนักทำเอาคืนนั้นผมถึงกับหลับไม่ลง


ถ้าจะให้โทษว่าเป็นความผิดใครก็คงจะเป็นตัวเองที่ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกนี้จนทำตัวเป็นปกติไม่ได้


“มันห้ามได้ที่ไหนล่ะ” ใช่ว่าผมอยากจะเป็นแบบนี้สักหน่อย


“มองกันบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”


“ผมจะแย่ก่อนน่ะสิ” ก่อนจะชินผมคงได้หัวใจล้มเหลวก่อนพอดี


“นั่นสิ ขืนเจ้ายังเขินหน้าแดงแถมยังทำตัวแบบนี้ เจ้าได้แย่แน่วิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซเหมือนกำลังสื่อบางอย่างที่อันตรายต่อตัวผมเองเลย


“...เบียทรีซ”


“รีบกลับมาเป็นปกติก่อนที่เจ้าจะแย่ซะเอง” ไม่พูดเปล่าเบียทรีซขยับหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเราสัมผัสกับเบาๆ


“ทำไมถึงมีแต่ผมที่เขินกัน” ผมบ่นเสียงแผ่ว


“อะไร”


“ทำไมคุณไม่เห็นเขินหรือมีท่าทีอะไรเลยล่ะ ทั้งที่เราเป็นคะ...คนรักกัน” พอพูดเองแล้วรู้สึกใจสั่นแปลกๆ


“ก็ไม่มีเหตุผลให้เขินนี่” อีกฝ่ายตอบกลับ


“ไม่แฟร์เลย”


“ตรงไหนกัน”


“ผมจะทำให้คุณเขินบ้าง” ผมบอกด้วยน้ำเสียงฮึกเฮิม


“หึ จะทำให้ข้าเขิน?”


“ใช่”


“ไม่มีทาง” ใบหน้าอันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจนั่นทำเอาความฮึกเหิมที่มีในตอนแรกปลิวหายไปในเสี้ยววินาที ต้องใช้เวลาสักพักเลยกว่าจะเรียกความรู้สึกนั้นกลับมาได้


ก็จริงมันอาจยากเพราะผมแทบจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเขินอายเลย จะให้หาวิธีก็ได้อยู่แต่ในสภาพที่นั่งตักมองหน้าเบียทรีซอยู่แบบนี้หัวไม่แล่นเลย ถึงปกติหัวจะไม่แล่นอยู่แล้วก็เถอะ


อะไรที่ยากๆ ผมคงทำไม่ได้เพราะงั้นควรจะเลือกในสิ่งที่ตัวเองน่าจะทำได้ และถ้าให้ลองคิดหาวิธีก็คงต้องใช้เบียทรีซเป็นแบบอย่าง อะไรที่เบียทรีซทำแล้วผมเขิน อะไรที่ทำแล้วใจเต้น...


แค่ผมลองทำแบบเดียวกันก็น่าจะทำให้อีกฝ่ายเขินได้


ไม่รู้ว่าความคิดตื้นๆ แบบนี้จะใช้ได้ผลกับเบียทรีซรึเปล่า


“เบียทรีซ”


“อะไร...” คำพูดของคนถูกกเรียกขาดห้วงไปยามถูกผมโผลเข้ากอด ใช้แขนสองข้างกอดอีกฝ่ายสักพักก่อนจะโอบคอเบียทรีซให้โน้มลงมาโดยที่ผมเงยหน้าขึ้นไปแนบริมฝีปากลงไปยังปากของเบียทรีซ ดวงตาสีทองสว่างเบิกกว้างขึ้นเพียงเล็กน้อยทว่าดวงตานั่นเริ่มสั่นระริกเมื่อผมกลั้นใจรุกล้ำปลายลิ้นเข้าไปพัวพันกับอีกฝ่ายอย่างไม่ประสา


ผมไม่เก่งเรื่องจูบเพราะเคยทำแทบนับครั้งได้ ถึงตอนนี้จะมีประสบการณ์มากขึ้นจากการถูกเบียทรีซจูบอยู่บ่อยๆ แต่ก็มักจะถูกอีกฝ่ายรุกหนักและชักนำให้ผมคล้อยตามไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผมก็พยายามใช้ประสบการณ์เหล่านั้นมารุกจูบเบียทรีซให้หนักเท่าที่จะทำได้


อากาศภายในปอดเริ่มน้อยลงทุกที ก่อนจะสิ้นสุดการรุกอันแสนยาวนานผมกดย้ำปลายลิ้นพัวพันกับอีกฝ่ายแล้วผละออก ถึงจะอายจนอยากก้มหน้าหนีแต่ผมต้องกลั้นใจเงยหน้าขึ้นมองเบียทรีซซึ่งบัดนี้เป็นฝ่ายเบนหน้าหลบสายตาผมแทน ถึงจะหลบเลี่ยงไม่ให้มองใบหน้าตรงๆ แต่ผมก็ยังเห็นใบหน้าที่เห่อแดงขึ้นเล็กน้อยนั่นได้ชัดเจน


“...เบียทรีซ...เขินเหรอ” ผมถามตามภาพตรงหน้า


“พูดอะไรของเจ้า”


“แต่หน้าคุณแดงนะ” กลบเกลื่อนไปก็เท่านั้น ภาพมันฟ้องอยู่


“วิณณ์!” เสียงเรียกนั่นเหมือนจะสื่อให้ผมหยุดพูด


“สำเร็จแล้ว คุณเขินผมด้วย” ไม่คิดว่าวิธีนี้จะได้ผลนะเนี่ย


“เลิกพูดไร้สาระ”


“คุณเขินผม”


“หยุดพูดวิณณ์!”


“ฮิฮิ...คุณหน้าแดง อุ๊บ! อื้อออ~!” เบียทรีซจับปลายคางผมให้เชิดขึ้นก่อนจะกดจูบอันรุนแรงลงมาแนบสนิทเพื่อหยุดผมที่พูดล้อไม่หยุด ยามปลายลิ้นสัมผัสและเกี่ยวพันมันดุดันแล้วเปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากกว่าตอนที่ผมจูบก่อนหน้านี้ไม่รู้ตั้งกี่เท่า


ความรู้สึกดีแล่นเข้ามาไปทั่วทั้งร่างกาย สร้างความร้อนรุ่มให้เกิดและทยานขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ ผมพยามถอยหนีเพื่อลดความหนักหน่วงของจูบแต่เบียทรีซกลับไม่ยอมดึงตัวผมให้ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นโดยที่ริมฝีปากยังคงไม่แยกจาก


กว่าเขาจะยอมปล่อยให้ผมได้หายใจอากาศในปอดก็ลิบหรี่เต็มที ไม่เพียงแค่หัวใจเต้นดังจนจวนจะหลุดออกมานอกอกแต่ยังรวมไปถึงความร้อนจากทั่งร่างกายมารวมอยู่บนใบหน้า เพิ่งเคยรู้สึกทั้งเหนื่อยและเขินไปพร้อมๆ กันก็วันนี้เอง


“ข้าเตือนเจ้าแล้วว่าให้หยุด เจ้าไม่ยอมหยุดเองนะวิณณ์” เบียทรีซบอกพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น


“...คุณนี่” เอาคืนผมใช่ไหม


“ตอนนี้เจ้าหน้าแดงก่ำเลย”


“หยุดล้อผมนะ”


“เสียงหัวใจเองก็เต้นดังขนาดอยู่ตรงนี้ข้ายังได้ยินชัดเจนเลย” เบียทรีซยังคงพูดต่อโดยไม่สนใจว่าผมจะบอกให้หยุด


“เบียทรีซ!” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงดังลั่นด้วยความเขินอาย


“ถ้ายังไม่เลิกพูดกวนข้า เจ้าได้อายมากกว่านี้แน่”


“อึก...คุณเองก็อายเหมือนกันแหละน่า”


“ดูเหมือนแค่จูบครั้งเดียวจะไม่พอสำหรับเจ้าสินะ”


“...ไม่เอาแล้ว” ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะกำลังปิดปากตัวเองด้วยสองมือ


“หึ ไปเตรียมตัวได้แล้ว งานจะเริ่มในอีกไม่ถึง 3 ชั่วโมง” เบียทรีซเปลี่ยนเรื่องพูดพลางหันไปมองนาฬิกาเรือนสีทองบนโต๊ะ


“แต่เอกสารยังเหลืออีกเยอะเลยนะ” ผมเองก็ไม่อยากวกกลับไปเรื่องเดิมอีก ถูกจูบดูดดื่มขนาดนั้นขาผมยังยืนไม่อยู่ด้วยซ้ำ


“ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาจัดการต่อ”


“อืม งั้นไปแต่งตัวกันดีกว่า ชุดผมก็เป็นสีน้ำตาลตัวเดียวกับงานวันเกิดคุณเนอะ” ถ้าพูดถึงชุดเป็นทางการผมมีแค่ชุดนั้นชุดเดียวซึ่งแทบนับครั้งได้เลยที่ผมใส่ออกไปไหน หากไม่ใช่งานใหญ่ผมจะใส่แค่ชุดสูทธรรมดาแต่งานวันนี้ถือว่าใหญ่มากคงต้องใส่ตัวนี้แหละ


“ใครบอกให้เจ้าใส่ตัวนั้น” เบียทรีซเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยิน


“ไม่ใช่เหรอ”


“ข้าสั่งตัดชุดใหม่ให้เจ้าแล้ว”


“ตัดใหม่? แต่ชุดนั้นยังใส่ไปไม่กี่ครั้งเองนะ”


“ชุดนึงใส่แค่สองครั้งก็ถือว่าเยอะแล้ว รีบไปเตรียมตัว” อีกฝ่ายลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยให้ผมลงจากตักไปก่อน จุดหมายของเบียทรีซคือห้องแต่งตัวขนาดยักษ์ที่เชื่อมต่อกับห้องน้ำและห้องนอน


ห้องแต่งตัวของเบียทรีซไม่ใช่หรูแต่ต้องใช้คำว่าโครตหรู นอกจากจะใหญ่ทัดเทียมกับบ้านทั้งหลังแล้วยังแบ่งออกเป็นโซนตามวาระโอกาสต่างๆ ในตอนนี้ห้องแต่งตัวนี่มีโซนเสื้อผ้าของผมถูกทำขึ้นมาใหม่โดยจะมีชุดลำลองปกติ ชุดนอนและชุดสำหรับงานเลี้ยงจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ


ชุดใหม่ที่เบียทรีซบอกถูกแขวนอยู่ด้านหน้าสุดของราว เรียกว่าเด่นมากแต่ผมกลับเคยเห็นเอาวันนี้เอง มีความเป็นไปได้สูงที่จะเอามาแขวนไว้ได้ไม่นาน ชุดแบบทางการของโลกปิศาจไม่ต่างอะไรกับชุดออกงานของโลกมนุษย์นักเพียงแต่มีความแวววาวและให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเข้าฉากหนังโซนยุโรปสักเรื่อง


ตัวเสื้อสีครีมมีผ้าผูกคล้ายเนคไทค์สีฟ้าครามรวมกับเสื้อสูทสีฟ้าเข้มและกางเกงเข้าชุดกัน เป็นโทนสีสดใสซึ่งเหมาะกับงานเลี้ยงฉลองกว่าชุดสีน้ำตาลตัวก่อน สำหรับเบียทรีซด้วยใบหน้าและบรรยากาศรอบกายก็ทอประกายเจิดจ้าอยู่แล้วพอใส่ชุดเน้นสีทองมองเผินๆ นึกว่าเบียทรีซเรืองแสงได้


บรรยากาศของงานแทบจะเหมือนกับงานฉลองวันเกิดนอกจากในส่วนของการจัดโต๊ะสำหรับนั่งซึ่งจะจัดให้โต๊ะของเบียทรีซอยู่หัวโต๊ะโดยมีผมนั่งเยื้องไปทางซ้าย ฝั่งตรงข้ามผมคือแกรน ถัดไปอีกนิดคือสก๊อตและเตโชไปจนถึงบักเก็ตรวมไปถึงเหล่าปิศาจอีกหลายๆ ตนที่ทำงานอยู่ในปราสาท เรียกว่าการร่วมโต๊ะครั้งนี้มีเพียงผู้ที่ทรงอำนาจก็ไม่ผิดนัก


ช่วงแรกของงานเป็นการกล่าวเปิดงานโดยมีปิศาจตนหนึ่งทำหน้าที่เป็นพิธีกรแล้วส่งไมค์ต่อให้กับปิศาจหลายตนพูดแสดงความยินดีก่อนไมค์จะมาอยู่บนมือเบียทรีซ ประโยคที่เบียทรีซพูดค่อนข้างสั้นเป็นเชิงบอกขอบคุณที่มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ก็แค่นั้น


เมื่อผ่านช่วงแรกไปการแสดงร่ายรำก็แสดงเป็นชุดแรก ความอ่อนช้อยและงดงามนั่นตรึงสายตาผมให้จับจ้องไปตั้งแต่เริ่มยันจบเพลง แต่พอหันไปมองเบียทรีซอีกฝ่ายกลับไม่ได้สนใจการแสดงนั่นสักนิดแถมสายตายังหันมาทางผม ดูจากรูปการณ์คงไม่ได้เพิ่งมองมาด้วย ทันทีที่การแสดงที่ 2 เปิดฉากอาหารจานแรกก็ถูกเสิร์ฟเรียงตั้งแต่เบียทรีซ ผมและไปยังคนอื่นๆ เซ็ตอาหารถูกเสิร์ฟพร้อมกับเครื่องดื่มสีเขียวในแก้วสีทองใสทำให้เวลามองผ่านแก้วสีของมันจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำของต้นไคม์จะมีสีเขียวเข้มคล้ายสีของใบเตยคั้นสดทว่ารสชาติของมันกลับเหมือนน้ำผลไม้รวม



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


ผมมองน้ำในแก้วแล้วยกขึ้นจิบเล็กน้อย รสชาติของน้ำผลไม้ให้ความสดชื่นเหมาะจะจิบก่อนลงมือในมื้ออาหารซึ่งพอผมจิบเสร็จก็เตรียมจะหันไปคุยกับเบียทรีซแต่แล้วสีเขียวเข้มของน้ำไคม์ในมือของเบียทรีซเรียกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นของผมให้หรี่ลงเพื่อวิเคราะห์


“อย่าเพิ่งดื่มนะเบียทรีซ!” ผมเอ่ยเสียงค่อนข้างดังเพราะในหัวกำลังประมวลผลอยู่ และเพราะเสียงที่ค่อนข้างดังนั่นส่งผลให้ทุกสายตาจับจ้องมายังผม อีกทั้งการแสดงยังหยุดชะงักไปด้วย


“มีอะไรวิณณ์” เบียทรีซถามกลับ


“ผมว่าน้ำมันสีแปลกๆ”


“แปลก?” เบียทรีซก้มมองน้ำในแก้วพร้อมขมวดคิ้วแน่นคล้ายจะบอกว่าแปลกตรงไหน


“...ให้กาเนอร์มาดูดีไหม” ผมเสนอ ทั้งน้ำและอาหารกาเนอร์เป็นคนคิดเมนูและทำด้วยตัวเองในส่วนของเบียทรีซ ผมคิดว่าเขาต้องรู้ถึงความผิดปกตินี่แน่


“ทำไม เกิดอะไรขึ้น” อีกฝ่ายถามต่อ


“ผมว่ามันผิดปกติ”


“ตามกาเนอร์มา” เบียทรีซมองประสานมายังดวงตาผมเหมือนกำลังค้นหาบางอย่างก่อนจะหันไปบอกปิศาจรับใช้ให้เรียกกาเนอร์ออกมาพบ


ตอนนี้เริ่มมีเสียงซุบซิบดังขึ้นประมาณว่าผมก่อกวนงานเฉลิมฉลองครั้งนี้ทั้งที่เริ่มเปิดฉากมาได้ไม่นานในทางกลับกันพวกแกรนต่างขมวดคิ้วแน่นครุ่นคิดบางอย่างอยู่ เตโชกวักมือเรียกลูกน้องตนเองแล้วกระซิบบางอย่าง พอได้รับคำสั่งจากเตโชเขาพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากงานเลี้ยงไป


ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีกาเนอร์เดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงในชุดพ่อครัว ก้มศีรษะลงทักทักทายเบียทรีซและปิศาจโดยรอยก่อนจะเริ่มการสนทนา


“เรียกข้ามาด้วยเรื่องอันใดองค์ราชา” กาเนอร์เปิดประเด็ดทันที


“ไม่ใช่ข้าที่มี แต่เป็นวิณณ์” เบียทรีซหันมามองทางผมระหว่างตอบกาเนอร์


“ท่านวิณณ์?”


“ผมว่าน้ำในแก้วของเบียทรีซสีมันไม่ใช่น้ำจากต้นไคม์” ผมบอกกาเนอร์ไปตามที่คิด


“หมายความว่ายังไง...ไม่ใช่จริงๆ ด้วย” กาเนอร์ก้มมองน้ำในแก้วเพียงเสี้ยววินาทีก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทีตกใจ


“กาเนอร์” เสียงเรียกจากเบียทรีซดังขึ้น คงต้องการคำอธิบายละมั้ง


“ครับ สีของน้ำไคม์จะมีสีเสียวเข้ม ถึงจะเข้มแต่จะให้ความใสและแวววาวแต่น้ำในแก้วกลับมีความขุ่นข้น ขออภัยองค์ราชาน้ำในแก้วนี้ขอทรงอย่าดื่มเลย ให้กริซตรวจสอบดีกว่า” กาเนอร์สรุป


“ข้าให้คนไปตามกริซแล้ว” เตโชพูดบ้าง ก่อนหน้านี้คงสั่งลูกน้องเรื่องนี้ละมั้ง กริซเองก็เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยเพียงแต่เขาขอตัวลุกไปด้านนอกก่อนหน้านี้ไม่นาน สถานการณ์ในตอนนี้เริ่มตึงเครียดมากขึ้น กริซวิ่งเข้ามาภายในห้องก่อนจะได้รับคำสั่งให้ตรวจน้ำในแก้วทันที ในโลกปิศาจการจะตรวจสอบไม่ได้ใช้เวลานานเป็นวันเหมือนมนุษย์แค่ไม่กี่นาทีก็สามารถได้ผลลัพธ์ที่ต้องการได้แล้ว


“ผลเป็นยังไง” แกรนถามกริซที่กำลังอ่านค่าผลลัพธ์


“...น้ำนี่เป็นน้ำของต้นไคม์ แต่ในมีพิษใส่ผสมอยู่ครับ” พอกริซพูดจบเหล่าปิศาจที่นั่งอยู่เริ่มกระวนกระวายเพราะเดาได้ถึงเรื่องร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้น


“มียาพิษงั้นเหรอ กาเนอร์เจ้าตรวจสอบก่อนให้ข้ารับใช้ยกมาเสิร์ฟข้ารึเปล่า” เบียทรีซหันไปถามกาเนอร์


“แน่นอนครับ ข้ามั่นใจว่าตอนอยู่ในห้องครัวยังเป็นน้ำไคม์ปกติ”


“ยาพิษตัวนี้ต่อให้เป็นปิศาจที่มีพลังสูงแค่ไหนหากเข้าไปในร่างกายก็มีสิทธิ์ทำให้เสียชีวิตได้ แถมยังเป็นพิษที่หากผสมไปในของกินก็ไม่ทั้งรสหรือกลิ่นแม้แต่สีเองก็จะเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กับกาเนอร์เขาคลุกคลีอยู่กับวัตถุดิบมาหลายร้อยปีจึงสามารถแยกได้แต่ท่านวิณณ์ที่เพิ่งมาอยู่ในโลกปิศาจได้ไม่นานกลับสามารถรู้ได้ถือว่าประสาทสัมผัสนั้นสุดยอดมาก” คำพูดของกริซเหมือนจะเป็นคำชมผมนะ


“เจ้ารู้ได้ยังไง” เบียทรีซหันมาถามผม


“ก็มองแล้วสีมันแปลกผมเลยคิดว่ามันน่าจะมีอะไรผิดปกติ” ผมตอบไปตามจริง


“แกรน สก๊อต เตโช เจ้ามองรู้ไหมว่าสีมันแปลก” เบียทรีซเลื่อนแก้วที่ยังมีน้ำเหลือไปตรงหน้าทั้งสามคน


“ถ้ามองเผินๆ ไม่มีทางรู้ได้เลยครับ” แกรนตอบ ส่วนสก๊อตกับเตโชได้แต่ส่ายหน้า


“นี่เจ้ามีความซุ่มซ่ามเป็นข้อเสียเดียวรึไง”


“ฮืม?” หมายถึงยังไง


“บักเก็ต เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือใคร” เบียทรีซเลื่อนสายตาไปมองโต๊ะที่อยู่ถัดจากเตโชไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ


“ข้าเองก็อยากทราบเช่นกัน หากถามว่าใครน่าสงสัยท่านไม่คิดว่าเป็นคนที่อยู่ใกล้ตัวท่านหรอกหรือ” บักเก็ตยกแก้วน้ำขึ้นจิบเล็กน้อย ระหว่างตอบเขาชายตามามองทางผม


“เจ้าหมายถึงวิณณ์?”


“ตามที่ทรงเข้าใจ”


“บักเก็ต...” กาเนอร์เตรียมจะเดินเข้าไปหาบักเก็ตแต่กลับถูกแกรนและสก๊อตห้ามไว้ก่อน ผมก็เปรียบเหมือนลูกศิษย์ของกาเนอร์เขาสอนผมเรื่องวัตถุดิบโลกปิศาจ เรื่องน้ำของต้นไคม์เองที่ผมรู้ก็เพราะได้รับคำอธิบายตอนลงไปหากาเนอร์ที่กำลังคั้นน้ำอยู่


ผมไม่ได้เก่งแต่คำอธิบายของกาเนอร์ทำให้ผมเห็นภาพและจดจำไว้ พอสิ่งที่เห็นไม่เป็นไปตามคำอธิบายก็ไม่แปลกที่ผมจะรู้สึกเอะใจหรือสงสัย พอผมถูกกล่าวหากาเนอร์เลยอยู่เฉยไม่ได้


“เจ้าคงมีเหตุผลที่สงสัยวิณณ์สินะ” แม้เบียทรีซจะใช้น้ำเสียงเรียบๆ ถามแต่ผมสัมผัสได้ถึงไอปิศาจที่เริ่มแผ่ออกมา


“ท่านไม่สงสัยเหรอ ไม่สิ ทุกคนไม่สงสัยเลยรึไง ถ้าเป็นกาเนอร์ที่อยู่ในครัวมาหลายร้อยปีการแยกแยะความแตกต่างออกเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก แต่เขาไม่ใช่ ถ้านับรวมปีนี้เขาเพิ่งมาอยู่เพียงแค่ 20 ปีแค่นั้น...การจะแยกความแตกต่างได้นั้นเป็นไปไม่ได้นอกซะจากเขาเป็นคนใส่พิษแล้วจงใจพูดเรื่องความแตกต่างนี้เพื่อให้ท่านไว้ใจ” คำอธิบายนั่นทำเอาปิศาจตนอื่นๆ คล้อยตามหันมามองผมเป็นตาเดียว


อยู่ๆ ผมที่ช่วยเบียทรีซก็ถูกมองว่าเป็นคนร้ายซะอย่างงั้น


“หึ ฟังดูมีเหตุผลดี”


“เบียทรีซ...” ผมหันไปมองคนข้างกาย


นี่เขาเชื่อว่าผมทำเหรอ


“ข้าจะบอกอะไรให้นะบักเก็ต วิณณ์เป็นคนเดียวที่ข้าไม่มีแม้แค่ความคลาแคลงใจหรือสงสัย หยุดพยายามในเรื่องไม่เป็นเรื่องซะ” เบียทรีซบอกเสียงเรียบ


“ท่านเชื่อใจเขามากไป ระวังจะถูกหลอกเอาองค์ราชา”


“หลอก? แค่โกหกยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ การใช้คำพูดและปั้นหน้าก็ทำไม่เป็นศาสตร์ชั้นสูงอย่างการหลอกลวงหรือเอ่ยคำโกหกยิ่งไม่มีทาง วิณณ์ไม่ได้มีความสามารถสูงเหมือนเจ้านะบักเก็ต” เบียทรีซทิ้งระเบิดในประโยคสุดท้ายอย่างแนบเนียน


“ขอบพระทัยสำหรับคำชม ดูเหมือเขาจะสำคัญมากถ้าหายไปคงส่งผลต่อท่านไม่น้อย”


“ก็ลองดูสิบักเก็ต”


“แหมๆ ข้าแค่เตือนไว้เฉยๆ เท่านั้นเอง”


“หึ...งานเลี้ยงวันนี้เลิกแค่นี้ เตโช สก๊อตสืบหาคนที่ใส่ยาพิษให้เร็วที่สุด แกรนจัดการที่เหลือด้วย วิณณ์กลับห้อง” เบียทรีซสั่งการณ์ทุกอย่างก่อนจะคว้าแขนผมแล้วดึงให้เดินตามไป


จุดหมายของพวกเราคือห้องนอนของเบียทรีซ ทั้งผมและเบียทรีซต่างแยกกันอาบน้ำแล้วออกมานั่งเงียบๆ กันอยู่บนเตียง ผมใช้ผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมสีน้ำตาลแดงของตัวเองหลังจากสระผมเสร็จ ส่วนเบียทรีซทำเพียงนั่งเอาหลังพิงขอบเตียงเอียงหน้ามามองผม


“มีอะไรรึเปล่า” ผมถามเบียทรีซ เห็นจ้องมาได้สักพักใหญ่แล้ว


“ไม่ต้องไปสนใจคำพูดของบักเก็ต”


“อืม ผมไม่สนใจหรอก นี่เบียทรีซคุณเคยบอกว่าตอนเดินทางเจอกับพวกเตโชสินะ แล้วบักเก็ตก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเหรอ” ผมถามต่อ


“ไม่ใช่ บักเก็ตอยู่ในปราสาทมาก่อนแล้ว เหมือนจะเป็นลูกของปิศาจซึ่งเป็นข้ารับใช้ของราชาองค์ก่อนคอยดูแลในส่วนของการคลัง พอข้าเข้ามาเลยให้แกรนจัดการดูทุกอย่างแล้วแบ่งหน้าที่ของแต่ละคนออกไป” เบียทรีซอธิบายให้ฟัง


“...ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย” ว่ากันตามจริงคือรู้สึกอันตราย ชายที่ชื่อบักเก็ตผมสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปลอดภัย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะอยู่ห่างๆ ไว้


“ไม่สบายรึเปล่า” อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้พลางใช้หลังมือแนบลงบนหน้าผากเพื่อวัดไข้


“ไม่ได้ป่วยหรอก แค่รู้สึกว่าบักเก็ตดูอันตราย”


“เจ้ารู้สึกถูกแล้ว อย่าเข้าใกล้บักเก็ตตามลำพัง เข้าใจนะ”


“อืม” ผมพยักหน้ารับคำ ถ้าไม่ได้บังเอิญเจอกันผมคงไม่ไปอยู่ใกล้หรอก


“มีอะไรอีกรึเปล่า เจ้าทำหน้ากังวลอยู่น่ะ” เบียทรีซถามต่อ


“นิดหน่อย อยู่ๆ ก็รู้สึกสังหรไม่ดีเลย” เหมือนมีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น


แล้วเป็นบางอย่างที่อันตรายมากด้วย


“ข้าจะปกป้องเจ้าเองวิณณ์”


“ผมเองก็จะพยายามปกป้องตัวเองให้ได้เหมือนกัน” ไม่อยากพึ่งเบียทรีซฝ่ายเดียว ผมเองก็ต้องพยายามทำทุกอย่างให้ได้  อย่างแรกต้องดูแลตัวเองให้ปลอดภัยซะก่อน


“วิณณ์ เจ้าเป็นของข้า” เบียทรีซพูดพร้อมกับขยับใบหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น


“ผมรู้” เรื่องนี้ผมรู้อยู่แล้ว


“เป็นของข้าคนเดียว”


“อืม”


“ที่ที่ข้าอยู่ต้องมีเจ้าอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรเจ้าต้องกลับมาอยู่เคียงข้างข้า” ดวงตาสีทองสว่างที่สอดประสานมานั่นดึงดูดจนผมไม่อาจละสายตาออกมาได้ราวกับต้องอยู่ในมนต์สะกด เบียทรีซแนบริมฝีปากลงมากดย้ำจูบอันแสนดูดดื่มตามอำเภอใจ


ตัวผมสามารถขัดขืนได้แต่ก็รู้ว่าต่อให้ขัดขืนยังไงผลก็ต้องออกมาในรูปแบบเดิมอยู่ดี อีกอย่างคือผมยอมที่จะถูกอีกฝ่ายตักตวงทุกรสสัมผัสได้วยความเต็มใจปราศจากการขัดขืนใดๆ


“อ๊ะ!...เบียทรีซ” ผมถึงกับสะดุ้งยามริมฝีปากนั้นเลื่อนลงมาขบเม้มบริเวณลำคอพร้อมกับมือข้างนึงที่เลิกเสื้อผมขึ้นจนเห็นหน้าท้องและแผ่นอก


“ในเมื่อรู้ว่าเจ้าเป็นของข้าก็คงไม่ขัดขืนหรอกใช่ไหม” เบียทรีซกระซิบพลางใช้ฝ่ามือลูบไล้หน้าท้องผม


“อื้อ!...นี่คุณคิดจะ...” จะทำงั้นเหรอ


 “เจ้าเข้าใจความหมายสินะ”


“...อืม” ต่อให้ผมไร้ประสบกรณ์แต่ใช่ว่าจะซื่อจนไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย เบียทรีซในตอนนี้ไม่ได้อยากแค่ครอบครองหัวใจของผมแต่ต้องการร่างกายและหัวใจ


“คงไม่ได้ยอมให้ใครมาแตะหรอกนะ” อีกฝ่ายถามเสียงเข้ม


“ไม่มีหรอก เอ่อ...ผมขอเวลาเตรียมใจสักหน่อยได้รึเปล่า” จะให้เริ่มเลยผมคงไม่ไหว


“กี่นาทีล่ะ” คำพูดของเบียทรีซแปลความหมายออกมาได้ว่าเขาไม่สามารถรอได้นานนัก


“...วันอื่นได้ไหม”


“พรุ่งนี้?”


อ่า...ผมขอมอบคำว่าความอดทนต่ำให้เบียทรีซเลย อะไรคือคือให้เวลาเตรียมใจเป็นหลักนาทีแถมพอจะขอเป็นวันอื่นดันเป็นวันพรุ่งนี้ซะอีก


“นานกว่านั้น...นะ” ผมพยายามขอถึงจะคิดไว้แล้วว่าความหวังมันค่อนข้างริบหรี่ก็ตาม


“...ก็ได้ ข้าจะให้เวลาเจ้า แต่หากเจ้าใช้เวลานานก็อย่ามาบอกว่าข้าใจร้ายที่ทนรอไม่ไหว” เบียทรีซบอกก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ อ้อมแขนทั้งสองข้างกระชับร่างผมให้เข้าไปแนบชิด


“ขอบคุณนะเบียทรีซ” น่าแปลกที่ครั้งนี้อีกฝ่ายยอมถอยให้ง่ายๆ แบบนี้


“เพราะเป็นเจ้าข้าถึงยอมอดทนขนาดนี้หรอก”


“ฮืม?” ผมหันหน้าไปหาคนด้านหลังที่พึมพำบางอย่างขึ้นมา


“เปล่า นอนได้แล้ว”


“ราตรีสวัสดิ์เบียทรีซ”


ยามท้องฟ้ามืดสนิทเป็นสัญญาณของการเข้าสู่ห้วงนิทรา ผมที่จมดิ่งอยู่ในความฝันสัมผัสได้ถึงแรงลมบางอย่างและเพียงพริบตาเดียวร่างของผมกลับถูกดูดให้ตกลงไปที่ไหนสักแห่ง กระแสลมกับกลิ่นของต้นไม้ที่ลอยมาทำให้ผมรู้ว่านี่คือป่า ดวงตาอันปราศจากแว่นพร่ามัวมากจนมองไม่เห็นสภาพรอบกายกระทั่งฝ่ามืออันเย็นเฉียบคว้าเข้าบริเวณคอผมพร้อมกับออกแรงบีบ


“โอ๊ย! อึก...” ของเหลวบางอย่างถูกกรอกลงในคอและบังคับให้กลืนลงไป


“ทำท่าทรมานได้น่าดูดีนี่” ต่อให้ไม่สามารถใช้สายตามองได้ทว่าสัมผัสกับน้ำเสียงแบบนี้ผมรู้จักดี


“...บักเก็ต” ไม่ผิดแน่


“ดีใจที่จำกันได้นะ”


“คิดจะทำอะไร”


“ถ้ากำจัดเจ้าซะราชาคงจะร้อนรนน่าดู แบบนั้นข้าอาจสามารถเอาชนะได้ง่ายขึ้น เพราะงั้นช่วยตายหน่อยละกันนะ” ถ้อยคำเหล่านั้นดังก้องพร้อมร่างผมที่ถูกจับยกขึ้นแล้วลากไป


“ทำไมถึงต้องทำขึ้นขนาดนี้ด้วย” ทั้งวางยาพิษ ทั้งฆ่าคน


“คำถามโง่ๆ ข้าต้องเอาตำแหน่งราชาที่พ่อข้าเอาไม่ได้มาเป็นของตัวเองซะ”


“แค่เพราะตำแหน่งราชา ต้องทำร้ายผู้อื่นถึงขนาดนี้เลยเหรอ”


“หุบปาก! อย่าแกจะมาเจ้าใจอะไร เจตนารมณ์ที่สืบถอดมาจากพ่อข้าต้องทำมันให้สำเร็จไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม!”


“ตอนนี้คุณยังหยุดทัน อึก!” ความเจ็บแล่นไปทั่วบริเวณคอที่ถูกบีบแน่นขึ้น ผมพยายามรวบรวมพลังปิศาจแต่กลับไม่สามารถทำได้ถ้าให้เดาคงเป็นของเหลวที่ผมถูกกรอกลงคอไปก่อนหน้านี้แน่ๆ


“ข้าไม่คิดจะหยุด เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เท้าเจ้าไม่ได้ติดพื้นแล้ว”


“...” ผมถึงกับเงียบ สัมผัสได้ถึงแรงลมที่ตีขึ้นมาจากด้านล่างคล้ายกับร่างผมกำลังลอยอยู่กลางอากาศงั้นแหละ ถ้าไม่ใช่บนอากาศก็คงมีแค่...หน้าผา


“ที่นี่คือหน้าผาเหนือสุดของโลกปิศาจ เป็นผาที่ทั้งชันและสูง...จะเป็นยังไงนะถ้าข้าปล่อยเจ้าลงไป”


“...ต่อให้คุณทำแบบนั้นเบียทรีซก็ไม่มีวันแพ้คุณ” ผมกลั้นใจพูดแม้ว่าร่างกายจะเริ่มสั่นด้วยความหวาดกลัว


“แก อยากตายเร็วนักสินะ”


“ยังไงคุณก็ไม่คิดจะปล่อยผมอยู่แล้วนี่” เขาคงไม่ลงทุนพาผมมาเพื่อขู่แล้วปล่อยกลับไปหรอก


“ฉลาดขึ้นมาหน่อยแล้วนะ”


“บักเก็ต คุณไม่เหมาะที่จะปกครองใคร แน่นอนว่าไม่คู่ควรกับคำว่าราชาด้วย ต่อให้คุณปล่อยผมลงไปหรือต่อให้เบียทรีซร้อนรนสักแค่ไหน คุณไม่มีทางเอาชนะเบียทรีซได้”


“ข้าจะส่งมันตามเจ้าไปละกัน”


“คุณแพ้แน่บักเก็ต” ผมยังคงย้ำ


ผมเชื่อว่าเบียทรีซสามารถเอาชนะได้ต่อให้ไม่มีผมแล้วก็ตาม สังหรก่อนหน้านี้คงเป็นนี่แน่ น่าเสียดายถ้าผมรู้ว่าจะเร็วขนาดนี้ผมคงจะพูดคุยกับเบียทรีซให้มากกว่านี้ จะเข้าไปกอดแล้วซึบซับไออุ่นนั่นและจดจำไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่จะแยกพวกเราออกจากกัน


“ลาก่อน”


สิ้นคำพูดมือที่อยู่บริเวณคอผมก็คลายออกพร้อมกับร่างผมที่ถูกปล่อยลงมาจากหน้าผา ด้วยแรงดึงดูดของโลกส่งผลให้ความเร็วยามดิ่งลงนั้นเพิ่มขึ้น ภายในหัวผมไม่ได้ร้องขอให้มีปาฏิหารย์แต่อยากส่งประโยคนึงไปให้เบียทรีซฟัง...


“อย่าแพ้นะเบียทรีซ” ผมเอ่ยเสียงเบาก่อนความเจ็บจะแล่นเข้าสู่ทุกอนูของร่างกาย ความเจ็บปวดนั้นพานให้สติดับวูบลงในทันที

.............................................

ค้างงงง

หลายคนคงกำลังกรีดร้อนในใจที่เราตัดจบตรงนี้

ความจริงก็ไม่เรียกว่าตัดเพราะสติของวิณณ์ดับวูบไปแล้ว

คู่นี้มีฉากหวานเลี่ยนเยอะมากถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถข้ามพล๊อตเรื่องที่วางไว้ในตอนแรกได้

เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่วิณณ์ต้องเผชิญและเบียทรีซเองก็ต้องเผชิญด้วย

ไม่ชินกับการแต่งฉากดราม่าแต่เนื้อเรื่องช่วงนี้เอื้อให้แต่งก็ต้องแต่ง 555

หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
สงสัยว่าวิณณ์มาเจอกับบักเก็ตได้ยังนะ ทั้งที่นอนอยู่ข้างเบียทรีซ

ขอให้วิณณ์ปลอดภัยนะ เบียทรีซต้องปกป้องวิณณ์ได้แน่

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หนูเบียทำอะไรอยู่ วิณณ์นอนอยู่ข้าง ๆ แท้ ๆ  :hao4:

ออฟไลน์ minicabbage

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ค้าง หวังว่าสวิณณ์คงไม่เป็นอะไรนะ

ออฟไลน์ q.tr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰บงการ:วันที่20:⊱



'...เบียทรีซ นี่เบียทรีซ' นี่เสียงของวิณณ์เรียกดวงตาสีทองสว่างของผมให้ลืมขึ้น บรรยากาศรอยกายและวิวทิวทัศน์ที่เห็นนั้นทำให้รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่โลกของความเป็นจริงแต่เป็นเพียงความฝัน


ขนาดในความฝันยังเห็นวิณณ์อีกเหรอเนี่ย เรียกว่าวิณณ์เข้ามาอยู่ทั้งในโลกความจริงและความฝันเลย


มันไม่ใช่เพียงความรู้สึกรักแต่มีบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้หมด หากจะให้บรรยายออกมาเป็นประโยคก็คงไม่พ้นประโยคที่ว่า...


วิณณ์เป็นทุกอย่าง


'มาอยู่ในความฝันข้าแบบนี้คิดจะทำอะไรวิณณ์' ความจริงผมควรจะถามตัวเองมากกว่าว่าทำไมถึงได้ฝันถึงอีกฝ่ายแบบนี้


'ผมอยากคุยกับเบียทรีซ...อยากคุยด้วยเยอะๆ เลย' วิณณ์ตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้างซึ่งถ้าเป็นคนอื่นคงจะมองว่าเป็นรอยยิ้มดีใจปกติแต่ผมมองเขามาตลอดเพราะงั้นความรู้สึกแปลกๆ ที่แผ่ออกมาจากรอยยิ้มนั่นไม่สามารถเร็ดรอดสายตาผมไปได้


'ทำไมถึงทำหน้าเศร้าแบบนั้น' ผมถามกลับไปตามจริง มันไม่ใช่แค่ความเศร้าที่สื่อออกมาแต่รวมไปถึงความปลงหรือแม้แต่ความหม่นหมองบางอย่าง


'คุณชอบขนมอะไร' อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องพูดคล้ายไม่อยากตอบคำถามนั้น


'คำถามอะไรของเจ้าเนี่ย' มีคำถามเป็นพันเป็นแสนกลับถามเรื่องขนมที่ผมชอบซะอย่างงั้น


'ก็ผมอยากรู้นี่'


'ไว้ตื่นมาค่อยถามก็ได้มั้ง'


'...ก็ผมไม่มีโอกาสได้ถามแล้วนี่' เสียงพึมพำอันแผ่วเบาของวิณณ์ที่ผมได้ยินนั้นทำเอาผมต้องขมวดคิ้วแน่น


'หมายความว่ายังไง'


'...ตอบผมหน่อยสิว่าขนมที่คุณชอบคืออะไร' เป็นครั้งที่สองที่อีกฝ่ายเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม


'...ช็อคโกแลตละมั้ง' ถ้าเป็นปกติผมคงถามซ้ำจนกว่าจะได้คำตอบแต่ไม่รู้เพราะอะไรครั้งนี้ผมถึงเลือกที่จะตอบคำถามนั้นไป


'...'


'...อะไร ก็ตอบไปแล้วไง' ผมถามกลับเมื่อดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นเบิกกว้างขึ้นคล้ายกำลังจะตกใจกับคำตอบที่ได้ยิน


'แค่ตกใจ ไม่คิดว่าคุณจะชอบช็อคโกแลต'


'ข้าไม่ได้ชอบช็อคโกแลตทั้งหมดหรอกนะ แค่บางอันเท่านั้นแหละ' ถ้าคิดว่าผมชอบช็อคโกแลตทั้งหมดละก็ผิดแล้ว ตั้งแต่เมื่อก่อนผมไม่ค่อยชอบกินพวกขนมหรือของหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งโตมาก็ยิ่งไม่ค่อยชอบแต่ก็กินล้างปากหลังอาหารนิดหน่อยตลอด ที่บอกว่าบางอันก็ค่อนข้างผิดไปต้องพูดว่าที่ชอบมีแค่ช็อคโกแลตฝีมือวิณณ์


จะวันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรักอะไรก็ไม่รู้แหละ แต่ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในทุกคำที่ป้อนมันสื่อออกมาได้อย่างชัดเจน
ผมชอบเวลาที่รับรู้ความชอบหรือรักจากวิณณ์ ความเขินอายบวกกับใบหน้าเห่อแดงนั่นมองยังไงก็ไม่เคยเบื่อ


'ฮืม...งั้นคุณชอบสัตว์อะไร'


'ไม่ชอบ' แทบไม่ต้องคิดคำตอบเลย


'ชอบท้องฟ้าเวลาไหน'


'ตอนเย็น' ท้องฟ้าในช่วงเย็นจะมีไม่กี่นาทีที่ทั่วทุกพื้นที่จะเห็นท้องฟ้าเป็นสีทองอร่าม มองดูกี่ทีก็ไม่รู้สึกเบื่อเลย


'ผักที่ชอบล่ะ'


'แครอท' ผักหลายชนิดของโลกปิศาจจะเหมือนกับโลกมนุษย์ซึ่งแครอทก็เป็นหนึ่งในนั้น


'ผลไม้ล่ะชอบอะไร'


'ฟีปัส' ผลไม้ขนาดเล็กที่ไร้เมล็ดและด้านในไม่ใช่เนื้อผลไม้แต่เป็นน้ำผลไม้ พอกัดเข้าไปจะสัมผัสได้ถึงน้ำที่ไหลออกมาจากด้านใน สาเหตุที่ชอบไม่ใช่รสชาติที่อร่อยแต่เป็นกินง่ายดี


'แล้ว...'


'คิดจะถามให้หมดทุกอย่างเลยรึไง' ผมพูดแทรก


'...ไม่ได้เหรอ'


'รอตื่นข้าจะตอบเจ้าทุกคำถามเลย' ผมบอกพลางเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มของวิณณ์เบาๆ เจ้าตัวไม่ได้หลีกหนีตรงกันข้ามกลับขยับตัวเข้ามาใกล้พร้อมเอียงหน้าเล็กน้อยให้ผมสัมผัสได้มากขึ้น


'...เบียทรีซ...ผมรักคุณมากๆ เลยนะ' ทั้งน้ำเสียงและสายตาที่ส่งมาสร้างความรู้สึกหน่วงๆ ภายในอกให้เกิดขึ้น สำหรับผมฟังแล้วไม่รู้สึกว่าเป็นคำบอกรักแต่มันให้ความรู้สึกคล้ายคำบอกลาซะมากกว่า


‘รักข้าแล้วทำไมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนี้’


‘ผมมีความสุขที่สุดที่ได้อยู่กับคุณมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความเอาแต่ใจและความไม่ยอมใครของคุณมันทำให้ผมชอบเช่นเดียวกับความอ่อนโยนและอบอุ่นที่ทำให้ผมหลงใหล ทุกอย่างของเบียทรีซทำให้ผมรัก’


‘วิณณ์...’


‘นี่เบียทรีซ’


‘…อะไร’


‘อย่าแพ้นะ’ วิณณ์บอกก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้จนดวงตาของพวกเราประสานกันนิ่ง


‘แพ้อะไร’


‘คุณต้องชนะให้ได้นะ!’ วิณณ์ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างแนบมายังแก้มผมพร้อมรอยยิ้มกว้าง ในขณะนั้นเองที่ร่างกายของอีกฝ่ายค่อยๆ สลายไปราวกับเม็ดทรายยามถูกสายลมพัดพา


‘จะไปไหนวิณณ์’ ผมไม่ได้รับคำตอบของคำถามที่เอ่ยไป สิ่งที่อีกฝ่ายทำมีเพียงมอบจูบอันแผ่วเบาลงบนริมฝีปากก่อนทั้งร่างจะสลายหายไปจนหมดสิ้น


“วิณณ์!” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด ผนังของปราสาทถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุพิเศษช่วยในการควบคุมอุณหภูมิภายในปราสาทให้พอเหมาะอยู่เสมอ ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่ผมกลับรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลอาบเกือบทั้งร่าง


ความฝันเมื่อครู่คืออะไรกัน?!


ผมคิดพลางหันไปหาวิณณ์ที่น่าจะนอนหลับอยู่ด้านข้างทว่าร่างของวิณณ์กลับหายไปจากเตียง ความกังวลที่มีเริ่มเพิ่มขึ้นและเพิ่มเข้าไปอีกยามรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในห้องน้ำ ประสาทสัมผัสของปิศาจระดับสูงมีมากกว่าปิศาจระดับอื่นยิ่งกับผมที่เป็นถึงราชาสามารถขยายสัมผัสนั้นออกไปเพื่อหาคนที่ต้องการได้ เป็นการค้นหาพลังปิศาจที่ถูกปล่อยออกมาแบบเฉพาะของปิศาจแต่ละตน
เช่นเดียวกันกับวิณณ์ตลอดมาผมสามารถหาเขาเจอด้วยการตามกลิ่นไอของพลังปิศาจซึ่งแตกต่างจากปิศาจตนอื่นมาก ไม่ว่าจะอยู่ไกลสุดเขตแดนโลกปิศาจหรือแม้แต่บนยอดเหนือสุดของภูผาผมก็มั่นใจว่าสามารถหาเจอทว่าครั้งนี้ผมกลับสัมผัสถึงพลังของวิณณ์ไม่ได้เลย ราวกับหายไปอย่างสิ้นเชิง


เกิดอะไรขึ้น...วิณณ์!


ความรู้สึกภายในกำลังว้าววุ่นส่งผลต่อการควบคุมพลังปิศาจโดยตรง พลังปิศาจหนาแน่นระเบิดออกเป็นวงกว้างไปทั่วทั้งปราสาทและอาจไกลไปถึงหมู่บ้านที่อยู่ถัดไปไม่ไกลด้วย ผมในตอนนี้ไม่สนว่าพลังจะร่อยหรอไปมากเพียงใดก้าวเดินไปยังห้องประชุม พลังที่ผมแผ่ออกไปเรียกเหล่าปิศาจระดับสูงที่สามารถขยับตัวได้ให้มารวมกัน


พวกเขาต่างรู้ดีด้วยสัญชาตญาณว่าผมในตอนนี้ไม่อยู่ในอารมณ์ปกติ ทั้งแกรน เตโช สก๊อตหรือแม้แต่กาเนอร์ต่างก้าวเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าซึมเหงื่อ พลังของผมต่อให้เป็นปิศาจระดับสูงก็ยังมีผลเพราะงั้นอย่าพูดถึงปิศาจที่อยู่ระดับต่ำกว่านี้เลย นอกจากจะไม่สามารถขยับตัวได้แล้วยังจะสลบไม่รู้เรื่องอยู่ในห้อง


“องค์ราชา...เกิดอะไรขึ้น” แกรนเอ่ยถาม


“วิณณ์หายไป” ไม่จำเป็นต้องมีการเกริ่นใดๆ แค่ประโยคเดียวก็มากพอให้ข้ารับใช้คนสนิททั้งสี่ตนเข้าใจ


“ทรงสัมผัสถึงเขาไม่ได้?” กาเนอร์ถามต่อ


“ใช่ สก๊อต” ผมเบนสายตาไปทางสก๊อต ในเรื่องของการค้นหาไม่มีใครเก่งไปกว่าสก๊อต การค้นหาของสก๊อตก็ไม่ได้ต่างกับผมนักคือการใช้การจับกลิ่นไอหรือพลังของมนุษย์หรือปิศาจในการตามหา


“...สัมผัสถึงพลังของท่านวิณณ์ไม่ได้” สก๊อตเอ่ยบอกหลังจากใช้เวลาสักพักใหญ่ในการค้นหา


“หมายถึงเกิดอะไรขึ้นสินะ” เตโชหันไปถามสก็อต


“หากสัมผัสถึงพลังไม่ได้มีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือพลังปิศาจหมดไปหรือแผ่วมากซึ่งในกรณีของท่านวิณณ์แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจับสัมผัสไม่ได้ พลังปิศาจระดับนั้นไม่ว่าจะอยู่ในโลกปิศาจหรือโลกมนุษย์ข้ามั่นใจว่าสามารถหาเจอได้”


“อย่างที่ 2 คืออะไร” แกรนถามสก๊อตต่อ สีหน้ากังวลของสก๊อตทำให้บรรกาศเริ่มตรึงเครียดขึ้น ผมเองก็พอจะเดาอีกทางที่สก๊อตจะเอ่ยออกมาได้ และมันเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะฟังด้วย


“อย่างที่ 2 คือ...”


“ท่านวิณณ์ไม่มีชีวิตอยู่บนโลกอีกแล้ว อธิบายง่ายๆ ก็คือตาย” เสียงจากบานประตูที่เปิดอ้าออกนั่นมาพร้อมกับบักเก็ตที่ก้าวเข้ามาภายในห้องด้วย เพียงแค่เห็นใบหน้านั้นความโกรธและหยุดหงิดก็ปะทุขึ้นมาแทบจะทันที


“ฝีมือเจ้าใช่ไหมบักเก็ต!!” ผมตะหวาดกร้าวดึงพลังปิศาจที่แผ่อยู่รอบๆ กลับมาปกคลุมรอบห้อง


“ดูท่านจะรนมากสินะ”


“ตอบคำถามข้า!” พลังปิศาจถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของกริซพุ่งเข้าใส่บักก็ตที่ใช้พลังปิศาจของตัวเองป้องกัน


“ต่อให้เป็นราชาปิศาจที่อยู่เหนือสุดแต่ก็ใช่ว่าจะอยู่เหนือไปได้ตลอดไปนี่นะ พลังปิศาจอันมหาศาลของท่านลดลงขนาดที่ข้ายังสามารถป้องกันได้สบายๆ เลย” บักเก็ตยกยิ้มขึ้นระหว่างพูด


“องค์ราชาทรงพักก่อนเถิด” แกรนก้าวเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าปกติ พลังของผมที่ทำให้เหล่าปิศาจหวาดหวั่นลดน้อยลงเพราะการปลดปล่อยพลังออกไปแบบไม่ยั้งคิดก่อนหน้านี้


“เจ้าทำอะไรท่านวิณณ์บักเก็ต” เตโชก้าวขึ้นไปเผชิญหน้ากับบักเก็ตด้วยสายตาของสัตว์ร้าย เตโชเป็นคนสนิทของผมและก็เป็นอาจารย์ของวิณณ์ด้วย เขาใช้เวลาฝึกวิณณ์มากว่า 20 ปี ความผูกพันธ์น่ะไม่ต้องพูดถึงเตโชถือว่าวิณณ์เป็นลูกศิษย์คนสำคัญ ไม่แปลกที่เขาจะโกรธ


“หึ อย่ามาปรักปรำข้าเตโช” บักเก็ตจ้องไปยังเตโชอย่างไม่ยอมแพ้


“เจ้าต่างหากเลิกแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรสักที คนที่อยู่เบื้องหลังการใส่ยาพิษลงในแก้วขององค์ราชาก็คือเจ้า ปิศาจสารภาพมาหมดแล้ว” เตโชพูดต่อ


“แล้วไง? ข้าไม่สนหรอกนะว่าเจ้าจะรู้ความจริงหรือไม่เพราะยังไงข้าก็ไม่คิดจะปล่อยพวกเจ้าไปอยู่แล้ว ต้องกวาดล้างพวกที่จะมาขัดขวางการขึ้นเป็นราชาของข้าให้หมด”


“คิดว่าพวกเราจะยอมง่ายๆ รึไง” แกรนและสก๊อตรวมไปถึงกาเนอร์ก้าวขึ้นไปอยู่ขนาบข้างเตโช


“เหอะ นี่ราชา มาสู้กันโดยใช้ตำแหน่งราชาเป็นเดิมพันดีกว่าน่า” บักเก็ตไม่สนใจพวกเตโชแต่กลับเงยหน้าขึ้นมาท้าทายผมแทน
“วิณณ์อยู่ที่ไหน” เรื่องที่สำคัญในตอนนี้ไม่ใช่การสู้กับบักเก็ตแต่เป็นวิณณ์


“ถ้าชนะข้าได้อาจจะยอมบอกก็ได้นะ”


“บักเก็ต!”


“เอายังไงล่ะองค์ราชา จะหนีหรือสู้?!” อีกฝ่ายตะโกนถามต่ออีก


“องค์ราชา อย่าไปสนใจ”


“เดี๋ยวพวกข้าจะจัดการเอง” ทั้งเตโชและแกรนรวมไปถึงคนอื่นๆ พากันช่วยพูดเพื่อไม่ให้ผมหลงกล ต่อให้กำลังกังวลหรือว้าวุ่นเรื่องวิณณ์สักแค่ไหนแต่เรื่องง่ายๆ ทำไมผมจะดูไม่ออก บักเก็ตเล็งช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอที่สุดไว้เพราะนั่นอาจเป็นโอกาสเดียวที่อีกฝ่ายจะสามารถเอาชนะได้


“เอาสิบักเก็ต” ผมตอบตกลงพร้อมก้าวไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยมีพวกแกรนถอยไปยืนอยู่ข้างหลัง พวกเขาไม่ได้คัดค้านอะไรเพราะคำพูดของผมเป็นตัวบอกถึงการตัดสินใจ


“หึหึ ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง ข้าจะจัดการเจ้าซะแล้วจะขึ้นเป็นราชา!” สิ้นคำพูดบักเก็ตควบคุมพลังปิศาจมารวมกันตรงหน้าก่อนจะใช้พลังนั้นพุ่งเข้าโจมตีผมอย่างรวดเร็วซึ่งผมใช้พลังของตัวเองเป็นเกราะป้องกันหากเป็นในยามปกติแค่พลังของบักเก็ตระดับนี้ไม่สามารถทำอะรผมได้แต่เพราะเสียพลังไปโดยเปล่าประโยชน์นานหลายสิบนาทีตอนนี้พลังที่เหลือจึงไม่สามารถป้องกันการโจมตีนั้นได้ทั้งหมด


“อึก...” ร่างของผมถูกพลังนั่นพุ่งเข้าใส่จนล่าถอยไปหลายเมตร


“องค์ราชา!”


“อย่าเข้ามายุ่งเจ้าพวกตัวกวน การต่อสู้นี่เป็นของข้ากับราชาที่กำลังจะถูกโค่น!!” บักเก็ตตะโกนใส่พวกแกรนที่ทำท่าจะเข้ามาช่วยผม


“แก! บักเก็ต!”


“ว่าไงราชา จะยอมสละตำแหน่งโดยดีไหมล่ะแล้วข้าจะให้เจ้าตามเด็กนั่นไป”


“วิณณ์อยู่ที่ไหน” ผมกัดฟันข่มอาการบาดเจ็บถามบักเก็ตกลับไป


“ลองเดาไหมล่ะ”


“บักเก็ต!”


“ข้าไม่กลัวเจ้าในตอนนี้หรอกนะ อ่อนแอแบบนั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”


“วิณณ์อยู่ไหน” จะว่าผมยังไงก็ช่าง เรื่องสำคัญในตอนนี้คือต้องหาที่อยู่วิณณ์ ยังไงก็ต้องเป็นฝีมือของบักเก็ตแน่นอนอยู่แล้ว


“หึ รักมันมากขนาดนั้นเลย? ก็ได้ข้าจะบอกหลังจากจัดการเจ้า” กลุ่มของพลังปิศาจจับตัวกันเป็นก้อนขนาดมหึมาพุ่งเข้าใส่ผมที่พยายามรวบรวมพลังที่เหลือมาใช้แทนเกราะป้องกัน แน่นนอนว่าพลังที่เหลือเพียงแค่นี้ไม่พอที่จะต้านพลังของบักเก็ตได้


ร่างกายของผมลอยไปตามแรงปะทะ แผ่นหลังกระแทรกเข้ากับผนังพร้อมโลหิตสีแดงฉานหลั่งไหลออกมาจากจากบาดแผลทั่วร่าง ถึงจะเจ็บสักแค่ไหนแต่ผมก็ยังยืนอยู่ไม่ยอมทรุดลงไปกองบนพื้นแน่


“ตอบข้าบักเก็ต เจ้าทำอะไรวิณณ์”


“ใกล้ตายขนาดนั้นยังจะถามถึงมันอีกนะ ถือเป็นความใจดีของราชาองค์ใหม่ข้าจะบอกให้ละกันว่าข้าทำอะไรคนรักของเจ้า มันเป็นเรื่องง่ายๆ ข้าแค่ใช้พลังปิศาจเปิดทางเชื่อมพาร่างของมันมาในสภาพงัวเงียจับกรอกยาพิษบังคับให้กลืนลงไป...”


“บักเก็ต!” ไม่ต้องรอให้ฟังจบประโยคผมใช้พลังปิศาจของตัวเองโจมตีใส่บักเก็ตแต่ด้วยพละกำลังที่ด้อยกว่าการโจมตีผมเลยโดนปัดออกหมด


“จากนั้นข้าทำอะไรต่อน่ะเหรอ ข้าก็บีบคอมันแล้วลากไปยังหน้าผา เสียงร้องครวญครางยามขอชีวิตก่อนข้าจะปล่อยร่างมันให้ล่วงลงไปข้าอยากให้เจ้าได้ยินจริงๆ เลย!” พูดจบบักเก็ตก็หัวเราะออกมาท่ามกลางความเงียบของพวกเราในห้อง


ความเจ็บปวดจากบาดแผลยังมีอยู่และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงอย่างนั้นผมกลับไม่รู้สึกว่าพลังของตัวจะด้อยกว่าบักเก็ตเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้ว สิ่งที่บักเก็ตทำกับวิณณ์มันมากเกินกว่าผมจะสามารถให้อภัย พลังที่หายไปอยู่ๆ ก็กลับคืนมา คำพูดของบักเก็ตมีหลายส่วนที่ผมไม่เชื่อโดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่บอกว่าวิณณ์ร้องขอชีวิต


“เจ้าหลอกไม่ได้หรอกบักเก็ต...ต่อให้ทุกเรื่องที่เจ้าพูดมาจะเป็นจริงแต่มีแค่เรื่องเดียว วิณณ์ไม่มีทางร้องขอชีวิตกับเจ้า” ผมรู้จักวิณณ์ดี เขาอาจดูเหมือนอ่อนแอและอ่อนไหวไปกับทุกเรื่องแต่ภายใต้ความอ่อนแอนั่นกลับเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ เขาไม่มีทางจะร้องขอชีวิตกับบักเก็ต


ความฝันที่เห็นก่อนหน้านี้มันอาจไม่ใช่ความฝันก็ได้


‘อย่าแพ้นะ!’


เสียงของวิณณ์ที่เอ่ยก่อนหน้านี้ดังก้องอยู่ในหัว


“อืม...ข้าไม่แพ้หรอก”


‘คุณต้องชนะให้ได้นะ!’


“แน่นอน...คิดว่าจะแพ้เหรอวิณณ์”


พลังปิศาจที่ใกล้จะมอดดับกลับแผ่ขยายออกมาคละครุ้งไปทั่วห้องแถมไม่ใช่พลังอันน้อยนิดแต่เป็นพลังอันมหาศาลเฉกเช่นยามปกติ ไม่สิ พลังของผมในตอนนี้มากกว่าตอนปกติอีก ความเข้มข้นของพลังส่งผลต่อพวกแกรนที่อยู่ไม่ไกลให้ทรุดตัวลง ทางด้านบักเก็ตเองก็มีสภาพไม่ต่างกันทว่าเจ้าตัวกลับใช้มือทั้งสองข้างยันเข่าตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ทรุดลงไปอยุ่บนพื้น


“เจ้าไม่มีทางเอาชนะข้าได้บักเก็ต” ผมเอ่ยระหว่างก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ยิ่งเข้าไปใกล้มาเท่าไหร่ร่างกายนั้นก็ยิ่งสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวต่อระดับพลังที่ต่างชั้นกันเกินไป


“อึก...พลังเจ้าน่าจะหมดแล้วนี่ ทำไมถึง...”


“วิณณ์บอกข้าว่าอย่าแพ้ ต้องชนะให้ได้” นั่นเป็นเหตุผลที่ผมจะไม่ยอมมาแพ้อยู่ตรงนี้


“ทำไมถึงรู้ว่ามันพูดแบบนั้น” สิ่งที่หลุดออกมาจากปากบักเก็ตทำให้ผมรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ


ไม่ใช่ความฝันจริงๆ ด้วย


รู้สึดีได้ไม่นานความรู้สึกเศร้าจะเริ่มถาโถมเข้ามา


“คงไม่คิดว่าข้าจะปราณีเจ้าหรอกนะบักเก็ต” พลังปิศาจจากภายในร่างเคลื่อนไปปกคลุมร่างกายของบักเก็ตจนไม่สามารถมองเห็นร่างนั้นได้เนื่องจากพลังปิศาจอันเข้มข้นนั้นมีสีดำสนิทกำลังกัดกินผู้ที่อยู่ภายในอย่างทุกข์ทรมาน


“องค์ราชา!” พวกแกรนก้าวเข้าหาด้วยสีหน้าเป็นห่วง


“สก๊อตเปิดทางเชื่อม” ผมหันไปสั่ง


“ไปที่ไหนครับ”


“สถานที่ที่จะไม่มีใครสามารถเข้าไปได้”


“รับทราบ” สก๊อตเปิดทางเชื่อมก่อนผมจะเหวี่ยงบักเก็ตที่อยู่ภายใต้พลังผมไปยังอีกฝากโดยไม่ปราณี


อีกฝ่ายไม่มีทางทำอะไรได้แล้วในสภาพที่ถูกกักขังด้วยพลังระดับนี้ จงจมอยู่ในห้วงของความทรมานเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่เถอะ


“องค์ราชา...เรื่องท่านวิณณ์ให้ข้าจัดการออกตามหาเถอะ” เตโชเอ่ยหลังจากทางเชื่อมถูกปิด


“อืม ฝากด้วย ดูเหมือนจะเป็นหน้าผาที่ไหนสักแห่ง”


“ท่านวิณณ์ต้องปลอดภัยแน่องค์ราชา” กาเนอร์บอก


“ข้าจะหาทางโลกมนุษย์เอง” สก๊อตพูดต่อ


“หากได้ข่าว ข้าจะรีบไปรายงานให้พระองค์ทราบ” สุดท้ายที่เอ่ยคือแกรน แม้ทุกคนจะพยายามให้กำลังใจผมสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจปิดซ่อนความกังวลเหล่านั้นได้ วิณณ์มีอิทธิพลมากไม่เพียงแค่กับผมแต่รวมไปถึงปิศาจคนสนิทของผม เวลาเพียง 20 ปี สามารถสร้างความเชื่อใจและความผูกพันธ์ได้เทียบเท่าผมที่อยู่กับพวกเขามานับร้อยปี


สัปดาห์ต่อมาแกรนมารายงานถึงข้อมูลที่เตโชส่งปิศาจไปตรวจสอบและเสาะหาจากทั่วทั้งดินแดนโลกปิศาจจนในที่สุดก็พบสถานที่ที่บักเก็ตพาวิณณ์ไป หน้าผาบนเขตเหนือสุดของโลกปิศาจได้ชื่อว่าเป็นหน้าผาซึ่งสูงชันที่สุด ผมให้ปิศาจเปิดทางเชื่อมมายังหน้าผาพร้อมกับก้มลงไปดูด้านล่าง ความสูงขนาดนี้ต่อให้เป็นดวงตาของปิศาจยังไม่สามารถมองเห็นก้นเหวได้


หากถูกปล่อยลงไปจากตรงนี้ถึงจะเป็นปิศาจที่เก่งขนาดไหนโอกาสที่จะรอดก็...


“อึก...” ผมยกมือขึ้นมากุมบริเวณหัวใจที่แสดงอาการเจ็บแปล๊บออกมา ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมามีอาการเจ็บแบบนี้มาตลอด กริซเองก็ไม่สามารถรักษาได้ซึ่งผมรู้ดีอยู่ก่อนที่กริซจะมาตรวจแล้ว สาเหตุของความเจ็บนี้คือความเครียดและความเศร้ายามไม่มีวิณณ์อยู่


ห้องนอนขนาดยังเท่าเดิมแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันช่างใหญ่ยามไม่มีวิณณ์นอนกลิ้งไปมาอยู่ข้างๆ


ห้องอาหารที่มักจะเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกันของผมและวิณณ์บัดนี้กลับเงียบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่


ห้องทำงานผมมักจะใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการมองวิณณ์ซึ่งนั่งทำหน้าเคร่งเครียดทำงานยังโต๊ะด้านข้างโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวทว่าในตอนนี้แม้จะมองสักเท่าไหร่ก็พบเพียงความว่างเปล่า


น้ำตาของผมไม่ได้ไหลแต่ทั้งความเศร้า ขมขื่นและเสียใจกลับอัดแน่นอยู่ภายใน ไม่รู้ว่าวันที่จะปะทุออกมาจะเป็นเมื่อไหร่ ความสดใสรอบกายเริ่มมืดและมืดขึ้นเรื่อยๆ แม้หัวใจจะยังเต้นแต่ผมรับรู้ได้ถึงจังหวะที่ช้าลงจนคล้ายจะหยุดเต้นในไม่ช้า


ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะไม่มีวิณณ์เหมือนอย่างทุกที


ผมอยู่ตามลำพังมาได้กว่า 200 ปีแต่แค่ช่วงเวลา 20 ปีอันแสนสั้นมันกลับสร้างความรู้สึกบางอย่างให้เกิดขึ้นและไม่สามารถลบมันออกไปจากใจได้ ยิ่งนานวันยิ่งมีแต่จะมากขึ้น จนถึงตอนนี้วิณณ์กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้


“องค์ราชา” เสียงเรียกจากด้านหลังมาพร้อมกับเตโชและคนในกองทัพบางส่วน


“ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มไหม” ผมถามโดยที่สายตายังคงทอดยาวออกไปยังผืนฟ้าสีครามตรงหน้า


“ข้าให้คนไปตรวจสอบด้านล่างแล้วแต่ไม่พบร่างของท่านวิณณ์”


“ไม่พบ?” หัวใจผมเริ่มส่งเสียงเต้นแรงขึ้นทีละน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเตโช การที่ไม่พบอะไรทั้งที่เพิ่งเกิดเหตุได้ไม่นานมีโอกาสสูงมากที่วิณณ์จะยังไม่ตาย เพราะหากจบชีวิตลงต้องมีร่องรอยหรือร่างหลงเหลืออยู่


“ครับ ที่พบมีเพียงรอยเลือดแต่หากไม่เจอร่างนั่นมีความเป็นไปได้ว่าท่านวิณณ์จะยังมีชีวิตอยู่” เตโชเองก็สรุปออกมาในทิศทางเดียวกับผม


“ตามหาให้ทั่ว! ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด ทุกซอกทุกมุมในโลกปิศาจ ตามหาจนกว่าจะเจอ!” ผมหันไปสั่งเสียงก้อง


“น้อมรับคำสั่ง!”


ในเมื่อมีความหวังขนาดนี้ผมก็จะทำทุกอย่างเพื่อจะหาเขาให้เจอ!


กองทัพปิศาจกว่า 30,000 ตนกระจายออกไปทั่วทุกพื้นที่ของโลกปิศาจโดยเน้นบริเวณทางตอนเหนือโดยมีผู้นำคือเตโชและแกรนสลับกับสก๊อตที่เข้ามาช่วยในช่วงที่ไม่ติดจัดการปัญหาในโลกมนุษย์ การทุ่มกำลังเพื่อตามหาใช้เวลานานนับปีแต่กลับไม่พบเจอเบาะแสหรือร่องรอยอะไรเลย


ราวกับตัวตนของวิณณ์ไม่ปรากฎขึ้นที่ใดอีก


ผมไม่คิดจะจบทุกอย่างเพียงแค่การหาครั้งเดียวจึงออกคำสั่งให้ทำการค้นหาต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบเจอเบาะแสและไม่เพียงแค่โลกปิศาจแต่ยังขยายขอบเขตการค้นหาไปยังโลกมนุษย์เพิ่มเติม เพราะอาจมีความเป็นไปได้ที่วิณณ์จะอยู่โลกมนุษย์ถึงจะน้อยแต่ใช่ว่าจะไม่มี


เวลาได้ผ่านไปปีแล้วปีเล่า ผมก็ยังคงไม่ละความพยายามในการค้นหา ชีวิตในแต่ละวันผ่านพ้นไปได้เพราะผมคิดว่าวันพรุ่งนี้ต้องได้เจอกันวิณณ์ วันพรุ่งนี้แหละที่ผมจะได้เห็นรอยยิ้มพร้อมกับเสียงเรียกชื่อผมดังขึ้น แต่แล้วไม่ว่าจะ 5 ปี 10 ปี 20 ปี 30 ปีหรือ 40 ปีผมก็ไม่เคยได้พบกับวิณณ์อีกเลย


จบบริบูรณ์................

ล้อเล่นนะคะ 555

เคยคิดเหมือนกันว่าหรือจะให้จบไปแบบนี้เลยดีนะ หวานกันนัก//คนขี้อิจฉา

แต่ก็ทำใจไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นการแต่งดราม่าหรือจบแบบแบด หัวใจเราค่อนข้างบอบบางเวลาจะให้มีอะไรก็จะทำเป็นจุดดราม่าเล็กๆ ไม่ใหญ่โตหรือทะเลาะกันแบบร่ำไห้เสียน้ำตา

ที่กังวลอยู่คือนักอ่านจะค้างไปจนถึงวันอาทิตย์หน้าเลย

หรือเราจะขยับมาอัพวันเสาร์หน้าแทนวันอาทิตย์ดีนะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ขอให้วิณณ์ปลอดภัย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
วิณณ์หายไปไหนเอย อยากรู้ ๆๆๆๆๆๆๆๆ  :hao4:

ออฟไลน์ minicabbage

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
วิณณ์ต้องรอด

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ตัดจบแบบนี้บ้านไรท์ไฟไหม้แน่นอนจย้า  :angry2: :angry2:

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1586
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
เพิ่งเจอเรื่องนี้

สนุกมากกกกกกกกกก

ท่านวิณณ์ ต้องอยู่กับราสแน่ๆเลย

ราสมาช่วยท่ทนวิณณ์ใช่ใหม

ท่านราชาตามหาท่านวิณณ์

พาท่านวิณณ์กลับปราสาทเร็วๆนะ

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
วินต้องไม่ตาย ต้องมีใครมาช่วยไปแล้วแต่ทำไมหายไปนานจัง :hao5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
วิณณ์อยู่ที่หมู่บ้านคนแคระรึเปล่า ไปตามเร็ววววว

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰บงการ:วันที่21:⊱




‘...วิณณ์’


เสียงใครน่ะ


‘วิณณ์’


ช่างเป็นเสียงที่แสนคุ้นเคยและเต็มไปด้วยความโหยหาซึ่งพานให้รู้สึกอยากวิ่งเข้าไปหาและซึมซับไออุ่นนั้นเหมือนอย่างทุกทีแต่ความง่วงกลับมีมากเกินกว่าร่างกายจะทานทนไหว อยากจะหลับตาแล้วจมดิ่งลงไปให้ลึกกว่าเดิม


‘วิณณ์!’


เสียงนั้นเริ่มตะโกนดังขึ้นคล้ายจะเรียกให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมา...อย่าเพิ่งหลับใหลไปกับความง่วงที่กำลังถาโถมเข้ามา
ระหว่างความง่วงกับความโหยหาที่มีต่อน้ำเสียงนั้นภายในหัวผมกำลังชั่งน้ำหนัก น่าแปลกที่น้ำหนักนั้นกลับเทไปเพียงฝั่งเดียวเท่านั้น


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบากเพราะกำลังต่อต้านกับร่างกายที่ต้องการให้หลับพักผ่อนต่อ สติอันเรือนรางทยอยกลับเข้าร่างเช่นเดียวกับความพร่ามัวของสายตายามปราศจากแว่น


สัมผัสของกลุ่มขนซึ่งรองศีรษะอยู่นั้นราวกับกำลังนอนอยู่บนปุยเมฆ ความรู้สึกแบบนี้ช่างคล้ายเหลือเกิน...


“...” เสียงที่พยายามเปล่งออกมาจากลำคอไม่สามารถดังลอดออกมาได้เหมือนเคย ผมลองพยายามส่งเสียงออกมาอีกหลายครั้งทว่าผลก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน


ด้วยความที่สติกลับเข้ามาจนเกือบจะเป็นปกติทำให้ผมหยุดทุกการเคลื่อนไหวแล้วพยายามนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จำได้ว่าผมเข้าร่วมงานฉลองขค้นครองราชของเบียทรีซจากนัเนก็เข้านอนตามปกติ จริงสิ...ผมถูกบักเก็ตกรอกยาบางอย่างแล้วปล่อยร่างผมให้ตกลงมา


เบียทรีซตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง?!


เดี๋ยวก่อนนะ...แล้วกลุ่มขนสีดำนุ่มฟูที่ผมหนุนอยู่จนถึงก่อนหน้านี้ไม่ใช่เบียทรีซหรอกเหรอ


ผมรีบหันกลับไปแต่ยังไม่ทันได้หรี่ตามองหรือขยับเข้าใกล้ให้หายสงสัยปลายจมูกชื้นๆ ก็แตะบริเวณแก้มจนผมสะดุ้งด้วยความตกใจ


พอมองไม่ชัดแล้วรอบกายมันดูน่ากลัวไปหมด เหมือนอีกฝ่ายรู้ว่าผมกำลังตื่นกลัวและกังวลถึงได้ค่อยๆ ขยับใบหน้าเรียวเข้ามาคลอเคลียเพื่อคลายความรู้สึกเหล่านั้นลง มือทั้งสองข้างของผมเอื้อมไปสัมผัสกับกลุ่มขนนั้นพร้อมขยับหน้าเข้าไปใกล้ ยิ่งระยะใกล้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมองเห็นลักษณะเฉพาะอันแสนคุ้นเคยได้มากขึ้น


ลักษณะแบบนี้ผมจำได้ดี...


ราส


สัตว์ปิศาจนามราลามอสที่ผมเคยเลี้ยงดูอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะบินจากไปเผชิญโลกกว้าง ถ้าถามว่ามั่นใจได้ยังไงว่าเป็นราสคงบอกได้แค่ว่ารู้สึกแบบนั้น ผมลูบเส้นขนสีดำสนิทไปจนถึงกลางแผ่นหลังซึ่งมีปีกสีดำคู่ใหญ่กำลังพับเก็บอยู่ข้างลำตัว กะจากขนาดยามลูบไปทั่วแล้วใหญ่กว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันประมาณ 3 เท่าได้


ราส


ผมเรียกอีกฝ่ายในใจพลางมองประสานกับดวงตาสีทองนั้น เหมือนกับเบียทรีซจริงๆ ด้วย ด้านราสเองก็ยินยอมให้ผมลูบเส้นขนสีดำนั่นนิ่งๆ สลับกับใช้ปลายลิ้นเลียใบหน้าผม


“ตื่นแล้วล่ะ ทำไงดี” เสียงเล็กของสิ่งมีชีวิตดังขึ้นจากทางฝั่งซ้ายของผม


“จริงด้วย ตื่นแล้ว ตื่นแล้วล่ะ” เสียงประสานดังขึ้นต่อจากเสียงแรก ดูเหมือนว่าจำนวนจะไม่ใช่แค่ 2 หรือ 3 น่าจะมากกว่านั้นเพราะผมสัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าและไอปิศาจที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้


อยากจะมองทว่าในตอนนี้นอกจากสายตาจะมองไม่ชัดเพราะไม่มีแว่นแล้วยังไม่สามารถส่งเสียงได้อีก ช่างเป็นความลำบากที่ไม่อาจบรรยายได้


ในเมื่อผมยังไม่แน่ใจว่าฝ่ายนั้นต้องการหรือมีธุระอะไรผมจึงขยับตัวเข้าไปใกล้ราสมากขึ้น พลังปิศาจที่เคยรวมได้ง่ายๆ กลับหายไปอย่างสิ้นเชิงคล้ายภายในร่างไม่หลงเหลือพลังปิศาจอยู่อีกแล้ว


งี๊ดด~


เสียงครางเบาๆ จากราสคล้ายจะบอกว่าไม่ต้องกังวล นั่นช่วยให้ผมใจชื้นขึ้นเยอะเลย


พวกเขาเป็นใครกัน


“ถามพวกเราเหรอ” เสียงหนึ่งตอบคำถามที่ดังอยู่ในใจผมพร้อมกับร่างขนาดเล็กจิ๋วมีปีกสีใสอยู่กลางหลังกระโดดขึ้นมายืนบนตักผม


เหล่าคุณปู่คนแคระที่ว่าตัวเล็กแล้วยังเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งมีชีวิตตรงหน้าผมในตอนนี้ ด้วยขนาดตัวประมาณนกพิราบทำให้มีน้ำหนักน้อย ทั้งรูปร่างและหน้าตาไปต่างกับมนุษย์แถมยังชุดสีเขียวที่ใส่อยู่นี่ดูโดยรวมแล้วคล้ายกับพวกภูตในนวนิยายแฟนตาซีเลย


แต่เดี๋ยวนะ...ตอบผม?


แปลว่าได้ยินความคิดในใจของผมงั้นเหรอ


“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว” อีกฝ่ายพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม


“เข้าใจถูกแล้ว~” ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ตนเดียวแต่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กโผล่ออกมาจากไหนไม่รู้ล้อมรอบตัวผมเต็มไปหมด แต่ละคนมีใบหน้าและเพศแตกต่างกันไปแม้แต่ชุดยังมีหลายแบบแต่ทุกแบบล้วนใช้สีเขียวเป็นโทนเดียวกัน


พวกคุณเป็นใคร


“ไม่รู้จักพวกเราเหรอ”


“ไม่รู้จักเหรอ~” พอคนแรกพูดทีเหลือก็จะประสานกันพูดประโยคต่อมา


ขอโทษด้วยผมเพิ่งเคยเจอพวกคุณเป็นครั้งแรก


ถึงจะเคยเจอปิศาจมาหลายชนเผ่าทว่าที่เจอนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเผ่าปิศาจทั้งหมดในโลกนี้ เบียทรีซเคยบอกว่าต่อให้เป็นราชาแต่ใช่ว่าจะรู้จักปิศาจทั้งหมด ในทางกลับกันปิศาจทั้งหมดสามารถรับรู้ว่าเบียทรีซคือราชาได้ผ่านพลังปิศาจและรูปลักษณ์นอกซะจากจะอยู่ในร่างสัตว์เหมือนตอนอยู่โลกมนุษย์


“งั้นพวกเราขอแนะนำตัวให้เจ้ารู้จักนะ ผู้มาใหม่ พวกเราคือชนเผ่าภูตที่อาศัยอยู่ทางเหนือสุดของโลกปิศาจในดินแดนแห่งความลับแห่งนี้...เรียกแฟรี่ก็ได้”


“แฟรี่ไงล่ะ พวกเราคือแฟรี่~” แฟรี่นับสิบตนกางปีกเล็กๆ กลางหลังพร้อมบินไปมาตรงหน้าผมคล้ายกำลังแนะนำตัว


ผมชื่อวิณณ์


“พวกเรารู้ เจ้าเป็นคนขององค์ราชาเบียทรีซ”


“พวกเรารู้จักเจ้า”


เบียทรีซรู้ไหมว่าผมอยู่ที่นี่


“ไม่มีทางรู้หรอก”


“ใช่ๆ ไม่มีทาง ดินแดนแห่งนี้คือดินแดนแห่งความลับของพวกเราชาวแฟรี่~” ครั้งนี้แฟรี่หลายสินตนเอ่ยประโยคเดียวพร้อมกัน


“ต่อให้เป็นราชาก็ไม่สามารถหาที่นี่เจอได้หรอกหากพวกเราไม่ให้เข้ามา”


งั้นทำไมผมถึงเข้ามาได้ล่ะ


ในตอนนี้ผมก็อยู่ในดินแดนของแฟรี่นะ


“นั่นเพราะราสพาเจ้ามายังไงล่ะ”


ราส? พวกคุณเป็นเพื่อนราสเหรอ


“เผ่าแฟรี่กับราลามอสมีสัมพันธ์กันมานานมากแล้ว ราลามอสจะซ่อนตัวอยู่ในดินแดนแห่งความลับเพื่อหลีกหนีปิศาจเผ่าอื่นมักจะออกล่าราลามอสเพื่อทำเป็นยา”


“ปิศาจช่างน่ากลัว~”


เพราะราสพาผมมาเลยสามารถเข้ามาได้สินะ


“ใช่แล้ว พวกเราตกใจมากนะที่เห็นราสแบกเจ้าที่ตัวโชกเลือดมา แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าจะรอดแล้วฟื้นขึ้นมาได้แบบนี้”


“จริงด้วยๆ แถมพลังปิศาจก็ไม่มี ร่างกายไม่น่าจะทนพิษบาดแผลไหวทว่าเจ้ากลับค่อยๆ รักษาตัวเองแม้จะช้าแต่ก็มากพอให้เจ้าสามารถรอดชีวิตไก้ ราสเลยพาตัวเจ้ามานอนพักแล้วอยู่ข้างๆ มาตลอด 50 ปี” ผมพยักหน้าเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างยกเว้นแต่ตัวเลขในประโยคสุดท้ายที่เรียกคิ้วทั้งสองข้างของผมให้ขมวดเข้าหากันแน่


50 ปี?


หมายถึงผมนอนอยู่นี่มา 50 ปี?!


“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว”


"นอนหลับยาวมากว่า 50 ปี แบบนี้หิวไหมๆ"


โครกกกกก~!


คำว่าหิวทำปฏิกิริยาโดยตรงกับร่างกายทันทีที่ได้ยิน เหล่าแฟรี่พากันส่งเสียงหัวเราะพร้อมรอยยิ้มก่อนจะนำอาหารที่ใส่ไว้บนใบไม้มาให้ อาหารของแฟรี่เน้นหนักไปทางผักซึ่งผมชอบเลยจัดการไปหลายจาน ปกติผมไม่ใช่พวกกินจุแต่ครั้งนี้กลับกินคล้ายกำลังล้างผาน สงสัยเพราะหลับมานานร่างกายเลยต้องการพลังงานไปใช้ละมั้ง


ถึงอาหารจะอร่อยแต่วิวทิวทัศน์พร่ามัวแบบนี้แย่จังเลย


“เจ้ามองไม่เห็น?” แฟรี่ตนหนึ่งถาม


ผมสายตาสั้นน่ะ


“งั้นแบบนี้มองเห็นชัดรึยัง” แฟรี่สองตนบินขนานกันบริเวณดวงตาผมพร้อมโปรยบางสิ่งลงมา ความพร่ามัวที่มีเริ่มจางหายไปจนกระทั้งภาพตรงหน้าเด่นชัดขึ้นมาทันตา


มองเห็นแล้ว? พวกคุณทำอะไร


“เผ่าของพวกเรามีพลังในการสร้างภาพลวงตาถึงจะไม่เก่งกาจเท่าพวกคนแคระก็เถอะ ที่เจ้ามองเห็นก็เพราะพวกเราสร้างภาพลวงตาในระยะที่เจ้าสามารถมองเห็นชัดที่สุด”


“ความสามารถจริงๆ ของพวกเราคือการสร้างมิติล่ะ” เสียงแฟรี่อีกตนดังขึ้น


“ดินแดนนี้สร้างขึ้นจากพลังของพวกเรา~”


สุดยอดไปเลย ขอบคุณนะ


แบบนี้ช่วยได้เยอะเลย ผมหันไปมองภาพของป่าอันเรียงรายไปด้วยต้นไม้สูงยาวสุดสายตา ทั้งกลิ่นไอและบรรยากาศของธรรมชาติตรงหน้าเพียงแค่มองก็สามารถผ่อนคลายความกังวลในหลายๆ เรื่องให้ทุเลาลง แต่ก็ได้ชั่วครู่เท่านั้น


หากเรื่องที่พวกแฟรี่บอกว่าผมหลับมาตลอด 50 ปีเป็นความจริงละก็ ป่านนี้เบียทรีซจะเป็นยังไงบ้าง บักเก็ตจะทำอะไรเขาหรือเปล่า มีหลายคำถามผุดขึ้นมาในหัวอย่างต่อเนื่อง


ผมอยากรีบกลับไปหาเบียทรีซ


งี๊ดด~


เสียงครางจากด้านหลังมาพร้อมกับร่างขนาดใหญ่ของราสที่ลุกขึ้นยืนสะบัดเส้นขนสีดำยาวก่อนปีกคู่ใหญ่จะกางออกกว้างกินพื้นที่ไปประมาณ 2 เมตรได้ ราสใช้ปลายจมูกคลอเคลียบริเวณใบหน้าของผมคล้ายกำลังจะสื่ออะไรบางอย่างให้รับรู้


“ราสบอกว่าจะไปกับเจ้าด้วย” แฟรี่สาวผมยาวกระพือปีกสีใสวนรอบตัวราสระหว่างแปลความหมายให้


จะไปกับผมเหรอราส...ขอบคุณ


ผมยิ้มแล้วก้าวเข้าไปกอดอีกฝ่ายแน่น ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกับราสอีกครั้งหลังจากผ่านมาหลายสิบปี ที่ไม่น่าเชื่อกว่าคือเขาอยู่กับผมตอนไม่ได้สติมาตลอด 50 ปี บางทีแค่คำว่าขอบคุณยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ


“จะไปเลยเหรอ”


“อยู่ที่นี่ต่อเถอะ”


“อยู่ต่อเถอะ~” เหล่าแฟรี่บินตีวงล้อมรอบกายผมระหว่างประสานเสียงพูด เป็นภาพที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เห็น ภูตนับสิบตนกำลังบินอยู่รอบตัวแล้วขอให้ผมอยู่ต่อ


ผมก็อยากอยู่แต่ว่า...ผมอยากเจอเบียทรีซ


“เจ้าอยากเจอองค์ราชามากเหรอ”


“องค์ราชาเป็นคนสำคัญสำหรับเจ้าสินะ”


อืม...เบียทรีซสำคัญที่สุดสำหรับผม


“พวกเราว่าองค์ราชาเองก็คงคิดแบบเดียวกันกับเจ้า”


คิดแบบเดียวกัน?


“ตลอดเวลาหลายสิบปีที่เจ้านอนหลับไหลองค์ราชามาตามหาเจ้าทั้งด้วยตัวเองและส่งข้ารับใช้มาไม่ขาด เมื่อสองวันก่อนก็เพิ่งเห็น”


“จริงด้วย เพิ่งเห็นๆ” แฟรี่หนุ่มเอ่ยก่อนจะมีเสียงของเหล่าแฟรี่ประสานต่อ


ทำไมถึงไม่พาผมออกไปหาเบียทรีซล่ะ


“ร่างกายของเจ้าอ่อนแอมากหากขยับเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้พลังชีวิตของเจ้าดับลงได้ พลังอันน้อยนิดของเจ้าค่อยๆ ฟื้นร่างกายให้ดีขึ้นทีละน้อยซึ่งพวกเราองก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่สิบกี่ร้อยปี ถ้าพวกเราให้องค์ราชาเข้ามาเขาคงไม่ฟังแล้วตรงไปคว้าตัวเจ้าซึ่งนั่นอันตรายเกินไป อีกอย่างพวกเราเคยบอกไปแล้วว่าสถานที่นี่คือดินแดนแห่งความลับต่อให้เป็นองค์ราชาพวกเราก็ไม่สามารถเปิดเผยสถานที่นี้ได้ง่ายๆ”



แม้ผมอยากจะเถียงกลับว่าตัวเองไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นทว่าในตอนแรกแค่ผมลุกขึ้นนั่งก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าแล้ว เหมือนร่างกายไม่ได้ใช้งานมาหลายสิบปีส่งผลให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ดั่งใจ ไม่ใช่แค่ตอนนั่งแต่ทั้งตอนกินข้าวหรือแม้แต่ตอนยืนผมทำทุกอย่างด้วยความเชื่องช้าจนตัวเองยังไม่เข้าใจว่าแค่ก้าวเดินทำไมมันถึงยากแบบนี้


หมายความว่าถ้าผมออกไปจากดินแดนแห่งนี้...ก็ไม่สามารถกลับมาเจอกับพวกคุณได้อีกแล้วเหรอ ทั้งที่ผมยังอยากเจอแถมมีเรื่องที่อยากคุย อยากถามอีกตั้งเยอะ


“...ยังไงดี พวกเราจะทำยังไงกันดี” แฟรี่หนุ่มหันไปขอความเห็นเหล่าแฟรี่ที่เหลือ


“ยกเว้นสิ ให้เขาเข้ามาได้”


“จริงด้วยๆ ให้เขาเข้ามาหาพวกเรา~!” แฟรี่หลายสิบตนประชุมพูดคุยกันอยู่รอบตัวผม


“ได้ วิณณ์...พวกเรายอมให้เจ้าเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ได้เป็นกรณีพิเศษ หากเจ้าต้องการจะมาหาพวกเราก็ให้ราสพามานะ” บทสรุปถูกเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มสดใสของบรรดาแฟรี่


ราสไม่อยู่กับผมตลอดเวลานี่ เคยได้ยินว่าราลามอสจะบินจากไปเมื่อถึงเวลา


“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว แต่บินจากไปไม่ใช่ว่าจะไม่กลับมาอีกนี่ การออกจากบ้านเป็นเหมือนการออกไปหาประสบการณ์ชีวิตซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละตัวว่าจะทำยังไงต่อไป สำหรับราสที่นอนให้เจ้าหนุนมาตลอด 50 ปี เจ้าคิดว่าเขาจะยังจากไปอีกรึเปล่าล่ะ”


ผมถึงกับนิ่งไปเมื่อได้ยินคำพูดของแฟรี่ตนนั้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมหันไปประสานกับดวงตาสีทองของราสนิ่งๆ เพื่อสื่อถามออกไปว่าที่เหล่าแฟรี่พูดเป็นความจริงรึเปล่า ราสส่งเสียงครางเบาหวิวก่อนจะขยับเรียวปากสีดำสนิทมาคลอเคลียผม แม้จะไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาเกียวกันได้แต่ผมกลับเข้าใจความต้องการของราสในตอนนี้ดี


เอาสิ...มาอยู่ด้วยเถอะราส


“พวกเราจะเปิดจุดให้ออกไปนะ อย่าลืมกลับมาหาพวกเราล่ะ!”


พวกเราเพิ่งคุยกันได้ไม่นานทำไมถึงได้เชื่อใจแล้วให้ผมเข้ามาที่นี่ได้อีกล่ะ


ผมค่อนข้างคาใจเรื่องนี้อยู่พอสมควร ขนาดเบียทรีซซึ่งเป็นราชาพวกเขายังไม่ยอมให้เข้ามาแต่กลับผมที่คุยกันได้ไม่กี่ชั่วโมงกลับยินดีที่จะให้มาเยือนอีกครั้ง


“เพราะเจ้ามีกลิ่นไอที่บริสุทธิ์ไม่เหมือนกับปิศาจตนอื่น คำว่าอยากเจอของเจ้าพวกเราเชื่อ”


“กลับมาอีกนะ มาหาพวกเรา~”


“อย่าลืมนะวิณณ์!”


ราสให้ผมขึ้นขี่หลังก่อนจะสยายปีกออกกว้างทยายขึ้นสู่ท้องฟ้า สีฟ้าของท้องฟ้าเริ่มเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้น นั่นคงเป็นทางออกจากดินแดนแห่งนี้ เสียงของเหล่าแฟรี่บอกลาดังขึ้นตลอดจนกระทั่งผ่านช่องว่างนั้นไปเสียงจึงเงียบหายไป ด้านนอกดินแดนไม่ได้ต่างจากภายในเลยทั้งต้นไม้ สีของท้องฟ้าหรือแม้แต่ผืนหญ้า สิ่งเดียวที่แตกต่างคือกลิ่นไอของดินแดนแฟรี่มีความบริสุทธิ์มากกว่า


ระหว่างราสกำลังเพิ่มความเร็วผมกระชับเสื้อคลุมซึ่งคลุมตัวแต่หัวยาวลงมาถึงบริเวณเข่าเพื่อกันความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่ได้มาจากเผ่าแฟรี่ให้แน่นขึ้น หากไปเดินโลกมนุษย์คงถูกตำรวจเรียกไปคุยแน่เพราะสภาพตอนคลุมผ้าให้บรรยากาศเหมือนคนร้ายกำลังหนีคดี


การเคลื่อนที่ทางอากาศของราสนั้นรวดเร็ว ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังบินด้วยความเร็วประหนึ่งนั่งรถไฟเหาะ แรงเสียดสีรวมกับแรงปะทะของลมเริ่มมากขึ้นเมื่อเข้าสู่บริเวณสภาพอากาศไม่เป็นใจตรงหน้า นอกจากฟ้าจะมืดครึ้มแล้วสายฝนยังกระหน่ำลงมาจนเสื้อคลุมยังกันแทบไม่อยู่ มือทั้งสองข้างของผมขยุ้มกลุ่มขนสีดำของราสไว้แน่นทว่าด้วยความลื่นของฝนบวกกับกระแสลมที่พัดมาในจังหวะพอดีกันนั้นหอบร่างผมให้ปลิวไปกับแรงลมนั้นด้วย


ปีกซึ่งกำลังกระพือผ่านสายฝนหยุดชะงักพร้อมกับราสที่หันกลับมามอง พอเขาเห็นผมกำลังถูกกระแสลมพัดไปก็รีบพุ่งเข้ามาหา เรียวปากอันเต็มไปด้วยคมเขี้ยวอ้าออกงับเข้าบริเวณเสื้อคลุมแล้วพาผมพุ่งออกจากเขตแดนของพายุฝนด้วยความเร็วสูงสุด


เมื่อหยุดออกจากบริเวณฝนตกหนักราสจึงบินลงไปบนพื้น วางร่างผมลงแล้วค่อยให้ผมกลับขึ้นไปอยู่บนหลังอีกครั้ง การมุ่งหน้าสู่ปราสาทของเบียทรีซไม่ได้ถึงในไม่กี่นาที มีหลายครั้งผมลูบแผงขนสีดำของราสเพื่อบอกให้หยุดพัก ผมไม่อยากให้ราสฝืนเพราะเขาเองก็นอนอยู่ข้างผมมาตลอดหลายสิบปีเป็นไปได้ว่าร่างกายยังขยับไม่สะดวกนัก


เวลาในโลกปิศาจไม่ต่างจากโลกมนุษย์หากดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะก็แปลว่าเป็นเวลาเที่ยงหากพระอาทิตย์ตกก็บ่งบอกถึงเวลาเย็น ช่วงเย็นผมและราสพักค้างคืนกันบริเวณธารน้ำใสและนำปลาที่ราสกับผมจับได้มาย่างเป็นมื้อเย็น แม้การจราจรบนอากาศจะสามารถเร่งความเร็วได้แต่ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลทำให้กว่าจะมาถึงหน้าปราสาทได้ก็กินเวลาไปถึง 3 วันเต็ม


หากผมสามารถเปิดทางเชื่อมได้อย่างสก๊อตหรือปิศาจหลายๆ ตนคงไม่ต้องให้ราสเหนื่อยแบกผมบินมาจากทางตอนเหนือสุดของโลกปิศาจแบบนี้หรอก


บริเวณหน้าประตูปราสาทมีปิศาจเฝ้าอยู่ 2 คน ดูจากหน้าตาไม่ใช่คนเดิมกับครั้งล่างสุดที่ผมอยู่ คงมีการโยกย้ายไม่ก็ปรับเปลี่ยนละมั้ง ทันทีที่ราสร่อนลงมาด้านหน้าประตูปิศาจทั้งคู่มีสีหน้าตกใจแต่ไม่กี่วินาทีต่อมาพวกเขากลับชักดาบออกมาจ่อหน้าราสและผมที่อยู่บนแผ่นหลัง


“สัตว์ปิศาจนี่...ไม่จริงน่า”


“ราลามอส?!” ความตกใจยิ่งทวีขึ้นไปอีกหลายเท่าเมื่อได้เห็นร่างของราสแบบเต็มๆ ตา


“...” ผมพยายามใช้ภาษาพร้อมอ้าปากพะงาบๆ สื่อความหมายให้พวกเข้ารู้ว่าผมและราสไม่ได้มีอันตรายอะไรแค่ต้องการขอผ่านเข้าไปพบกับเบียทรีซแค่นั้นเอง


“เจ้ารีบไปติดต่อหัวหน้าเตโช ข้าจะต้านไว้เอง”


“เจ้าคนเดียวไม่ไหวหรอก” ปิศาจอีกคนค้าน


“รีบไปสิ!”


“อึก...ห้ามตายนะ!” ปิศาจผมดำเก็บดาบเข้าฝักก่อนจะวิ่งเข้าไปในปราสาทพร้อมน้ำตาลที่ไหลอาบแก้มคล้ายจะบอกลาเพื่อนร่วมทีมไปสนามรบอันไร้ทางรอด


“...” เอ่อ...ผมไม่ได้จะทำร้ายใครสักหน่อย


“เข้ามาเลยเจ้าปิศาจ ข้าจะเป็นคู่มือให้เอง”


กรรร~!


ความมั่นใจของปิศาจตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวอย่างรวดเร็วยามราสก้าวเข้าไปใกล้ส่งเสียงขู่คำรามเสียงดัง ผมรู้ว่าราสไม่ได้อยากสู้คงแค่ขู่ให้กลัวจะได้ไม่ต้องเกิดการต่อสู้ขึ้น ในขณะที่ผมกำลังจะใช้ฝ่ามือลูบแผงขนสีดำสนิทของราส ร่างสีดำนั้นกลับทยานเข้าสู้ตัวปราสาทจนผมหน้าทิ่มลงยังกลุ่มขนสีดำ


ถ้านี่ไม่ใช่ขนนุ่มๆ ผมคงได้เจ็บตัวไปแล้ว


ราสวิ่งกระแทรกประตูห้องโถงแรกของปราสาทมุ่งหน้าขึ้นบันไดซึ่งผมได้แต่จับขนของราสไว้แน่นกันไม่ให้ตัวเองตกลงไป ความแตกตื่นภายในปราสาทเริ่มมากขึ้นเพราะเหล่าปิศาจภายในตื่นตกใจกับการมาเยือนของสัตว์ปิศาจนามราลามอสมากทำให้ได้ยินเสียงกรีดร้องตลอดทางผ่าน



(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อค่ะ)


บานประตูสีครีมถูกส่วนหัวของราสกระแทกจนเปิดอ้าออกในการกระแทรกเพียงครั้งเดียว ด้านในห้องนั้นมีเหล่าปิศาจซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในแต่ละฝ่ายในการขับเคลื่อนงานของโลกปิศาจอย่างแกรน สก๊อตหรือแม้แต่เตโช แน่นอนว่าการประชุมย่อมขาดผู้นำอันมีอำนาจในการตัดสินใจไม่ได้ ร่างของเบียทรีซหรือราชาปิศาจนั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ แม้ใบหน้านั้นจะดูอิดโรยไปบ้างแต่ก็ยังคงมีรัศมีของความเป็นราชาแผ่ออกมารอบกายอยู่


“...” เบียทรีซ


ผมพยายามเรียกแล้วเตรียมจะลงไปจากหลังราสทว่าเสียงชักอาวุธไม่เพียงแค่จากเหล่ากองกำลังปิศาจที่ตามมาสมทบจากด้านหลังหรือเตโชที่อยู่ด้านข้างล้วนทำให้ผมชะงัก จะว่าไปสภาพผมในตอนนี้จะไม่ให้ระแวงก็คงแปลกทั้งสวมเสื้อคลุมมีหมวกปิดถึงปลายจมูกแถมเนื้อตัวยังเปียกและเลอะโคลนจากการโดนพายุฝนก่อนหน้ามาถึงหลายต่อหลายวัน


กรรร~!


ราสขู่คำรามก้าวเดินไปหาเบียทรีซอย่างไม่เกรงกลัวปลายดาบที่จ่อเข้ามาใกล้มากขึ้น เมื่อใกล้ถึงเบียทรีซราสใช้การสะบัดตัวเพียงครั้งเดียวเหวี่ยงร่างผมที่คลายมือซึ่งกำขนนั่นอยู่ไปหาเบียทรีซ ด้วยแรงลมที่เข้าปะทะส่งผลให้ผ้าคลุมเปิดออกจนเผยให้เห็นใบหน้าเลอะโคลนของผม


เสียงของความวุ่นวายเงียบลงในพริบตาเช่นเดียวกับดวงตาสีทองสว่างอันแสนคิดถึงที่เบิกกว้างขึ้นยามเห็นผม อีกฝ่ายอ้าแขนออกกว้างรับผมที่ถูกเหวี่ยงมาโดยไม่รู้ตัวนัก ดวงตาของเขายังคงจ้องมายังผมคล้ายกำลังประมวลความคิดหลายๆ อย่างอยู่ภายใน


“...วิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซดังขึ้นพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่สัมผัสตั้งแต่แขนขึ้นมาถึงใบหน้าของผม


“...” ผมเอื้อมมือไปลูบใบหน้าที่ดูอ่อนล้าของเบียทรีซ


“วิณณ์ ใช่เจ้าจริงๆ รึเปล่า” อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน


เขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความหวัง...หวังว่ามันไม่ใช่ความฝัน


“...” ผมเผยรอยยิ้มแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายเห็น


หมับ!


ร่างของผมถูกรวบเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเบียทรีซ วงแขนที่กระชับแน่นจนแทบหายใจไม่ออกนั่นสื่อถึงความโหยหาและความคิดถึงอย่างชัดเจน ระยะเวลา 50 ปีที่ผมหายไปสำหรับช่วงชีวิตของปิศาจมันไม่ได้มากมายอะไรเลยเพราะงั้นเบียทรีซคงไม่เป็นอะไรหรอก


ผมบอกตัวเองแบบนั้นตั้งแต่ตอนลืมตาตื่นขึ้นทว่าวันนี้ผมรู้ตัวแล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด ถึงจะไม่เห็นใบหน้าแต่ก็สัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบริเวณลำคอที่ถูกใบหน้านั้นซุกอยู่ ความเจ็บเริ่มแล่นเข้ามาเพราะวงแขนที่กอดรัดแน่นมากเกินจะทนไหว แทนที่จะบอกให้หยุดหรือผละออกแต่ผมกลับเลือกที่จะกอดตอบเบียทรีซให้เขารู้ว่านี่คือผม


ตัวผมจริงๆ ไม่ใช่ความฝันที่จะหายไป


“วิณณ์”


“...” อืม...เบียทรีซ


“วิณณ์”


“...” ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมอยู่ๆ น้ำตามันถึงไหลออกมา


เพราะดีใจที่เจอกันเหรอ...หรือเพราะได้ฟังน้ำเสียงของเบียทรีซในยามนี้กันแน่


“ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรเลยล่ะ” ใช้เวลาสักพักใหญ่เลยกว่าเบียทรีซจะสังเกตถึงความผิดปกตินี้ เขาคล้ายอ้อมกอดแต่ยังคงใช้มือข้างนึงโอบเอวผมไว้ ดวงตาคู่เดิมประสานมาเพื่อหาคำตอบ


“...” ผมชี้มายังคอของตัวเองแล้วส่ายหัว


“...ไม่มีเสียง?” เบียทรีซขมวดคิ้วคิดสักพัก


“...” การพยักหน้าแทนคำตอบทำให้คนฟังแผ่บรรยากาศตรึงเครียดออกมา


“เตโช”


“กลับไปประจำตำแหน่งของพวกเจ้าตามเดิม” สมกับเป็นคนสนิทของเบียทรีซแค่คำพูดเดียวก็สามารถเข้าใจความต้องการได้ เตโชหันไปสั่งลูกน้องที่ยังจ่อดาบมายังราสด้วยสีหน้างุนงงให้กลับไปประจำตำแหน่งตามเดิม


“ครับ” ปิศาจจำนวนหนึ่งที่คุ้นหน้าผมอยู่แล้วรับคำสั่งนั้นเต็มเสียงผิดกลับปิศาจหน้าใหม่ที่แม้จะมีท่าทีสงสัยแต่พวกเขาก็ยอมตามเพื่อนออกไปแต่โดยดี


“แกรน” เบียทรีซหันไปสบดวงตาสีฟ้าครามของแกรน


“ครับ ข้าจะจัดการเรื่องการประชุมต่อให้เอง” แกรนยิ้มมุมปากระหว่างโค้งศีรษะน้อมรับความต้องการที่เบียทรีซยังไม่ได้เอ่ย


“อืม นั่น...ราสสินะ” ดวงตาสีทองสว่างสองคู่ประสานกันอย่างดูท่าทีก่อนราสจะเป็นฝ่ายผงกหัวขึ้นลง ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจสำหรับราสที่เข้าใจภาษาได้ สัตว์ปิศาจไม่ใช่สัตว์ธรรมดายิ่งกับราลามอสถือเป็นสัตว์ที่มีพลังทัดเทียมกับปิศาจระดับสูงเพียงแค่มีรูปลักษณ์เป็นสัตว์เท่านั้น


ดังนั้นการที่ราสจะเข้าใจคำพูดของพวกเราไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าตื่นเต้นเลยสักนิดเดียว อีกอย่างราสน่ะฉลาดมากมาตั้งแต่ตอนเล็กๆ แล้ว  พูดอะไรก็ฟังแถมยังเรียนรู้ได้เร็วอีก


“...ขอบคุณ” เบียทรีซวางมือลงบนหัวของราสก่อนจะเอ่ยขอบคุณ แม้จะเป็นคำพูดที่แผ่วเบาแต่กลับเปลี่ยนไปด้วยความรู้สึกขอบคุณขนาดผมที่อยู่ข้างๆ ยังสามารถสัมผัสได้เลย


งี๊ดด~


เสียงครางของราสขานรับคำขอบคุณนั้นด้วยความยินดี และไม่กี่วินาทีต่อมาร่างขนาดค่อนข้างใหญ่ของราสกลับหดเล็กลงจนเหลือตัวเท่าเหยี่ยวแต่เป็นเหยี่ยวที่มีขนสีดำฟูฟ่องไปทั้งตัว บริเวณแผ่นหลังมีปีกสีดำหนึ่งคู่กางออกเช่นเดียวกับหางเรียวยาวที่ห้อยลงตามแรงโน้มถ่วง ราสกระพือขึ้นลงบินมาเกาะยังไหล่ผมแล้วเงยหน้าขึ้นมองเบียทรีซอีกรอบ


ราสกำลังบอกเบียทรีซว่าเขาจะอยู่กับผม ถ้าอยู่ในร่างเดิมคงมีเปอร์เซ็นต์มากทีเดียวที่เบียทรีซจะไม่ยอม แค่นอนก็เต็มห้องแล้วราสเลยปรับเปลี่ยนขนาดให้เล็กลง แค่คำว่าฉลาดยังน้อยเกินไปเลย...ต้องพูดว่าฉลาดมาก


“ก็ได้ ข้าให้เจ้าอยู่” คำตกลงจากเบียทรีซเรียกเสียงครางสูงจากราสแทนคำขอบคุณ


“องค์ราชาให้ข้าตามกริซไปที่ห้องดีไหม” แกรนถามเบียทรีซ


“อืม ตามมาให้เร็วที่สุด”


“ครับ”


“วิณณ์ไปห้องกัน” เบียทรีซไม่พูดเปล่าอุ้มร่างผมขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องท่ามกลางความตกใจของคนถูกอุ้มอย่างผม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างขึ้นแล้วพยายามออกแรงดิ้นเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยแต่ก็รู้ๆ กันอยู่ถึงนิสัยของเบียทรีซ ถ้าเขาจะอุ้มต่อให้ผมดิ้นยังไงเขาก็ยังจะอุ้มอยู่ดี


ประตูห้องนอนบนชั้น 10 ถูกเปิดอ้าออกโดยเบียทรีซวางร่างผมลงบนเตียง ราสเองก็บินตามเข้ามาก่อนบานประตูจะถูกปิด ผมและเบียทรีซพวกเราต่างจ้องมองกันอยู่เงียบๆ โดยไม่มีคำพูดอะไร ความจริงไม่ใช่ไม่มีแต่ผมเปล่งเสียงไม่ได้เลยพานให้ไม่สามารถสื่อสารได้ตามต้องการ แต่จะให้ถูกอีกฝ่ายจ้องแบบนี้ไปตลอดก็รู้สึกแปลกๆ เลยกวักมือพร้อมกับตบเบาๆ ยังเตียงด้านข้างสื่อให้เบียทรีซมานั่ง


“เจ็บตรงไหนไหม” อีกฝ่ายเดินมานั่งลงตามเสียงเรียกก่อนจะเปิดบทสนทนาขึ้น


“...” ผมตอบโดยการส่ายหัวแล้วเลื่อนมามาลูบบริเวณท้องตัวเอง


“ปวดท้อง?”


“...” เป็นอีกครั้งที่ผมส่ายหน้า


“หิว?” เบียทรีซทายต่อ


“...” ครั้งนี้ผมพยักหน้า สองสามวันมานี้กินแต่ปลาที่จับได้กับพวกผลไม้ในป่าผมเลยคิดถึงอาหารฝีมือกาเนอร์ขึ้นมาจับใจ


“กาเนอร์คงดีใจที่จะได้ทำอาหารให้เจ้าอีก”


“...” ผมฉีกยิ้มกว้างส่งไปให้อีกฝ่าย พอได้กลับมาที่ปราสาท...สถานที่ที่มีเบียทรีซอยู่ผมก็รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน ไม่สิ ที่นี่คือบ้านของผม


พวกเราพูดคุยกัน จะว่าพูดก็คงใช่แต่เป็นการพูดคุยที่ได้ยินแค่เสียงของเบียทรีซอยู่ฝ่ายเดียว คุยกันได้สักพักใหญ่ประตูห้องก็ถูกเคาะก่อนเบียทรีซจะอนุญาติให้เปิดประตูเข้ามาด้านในได้ กริซที่เข้ามานั้นมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นผมนั่งส่งยิ้มพร้อมโบกมือทักทาย กริซไม่ได้มาแค่คนเดียวมีลูกมืออีกประมาณ 2 คนรวมไปถึงคุณปู่วาเกนที่ก้าวเข้ามาในห้องเป็นคนสุดท้าย


“ปู่วาเกน ไม่ได้อยู่โลกมนุษย์หรอกเหรอ” เบียทรีซถาม


“สก็อตเปิดทางเชื่อมพาข้ามา เห็นว่าเจอตัววิณณ์แล้ว” คุณปู่วาเกนบอกพร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้เตียง


“ตอนนี้เขาพูดไม่ได้อีกอย่าง...”


“พลังปิศาจในกายหายไปจนหมดสิ้นสินะ” คุณปู่วาเกนต่อประโยคที่เบียทรีซยังพูดไม่จบ ผมรับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ตอนตื่นขึ้นมาได้สักพักแล้ว พลังปิศาจของผมมันไม่ได้อ่อนแต่หายไปโดยสิ้นเชิง


“ใช่ เพราะไม่มีพลังปิศาจข้าเลยไม่สามารถใช้การสัมผัสพลังปิศาจตามหาวิณณ์ได้ มันเกิดอะไรขึ้น”


“ข้าไม่ได้รอบรู้ทุกเรื่องนะองค์ราชา กริซตรวจแล้วลองวิเคราะห์อาการ” คุณปู่วาเกนสั่งลูกศิษย์ที่เป็นถึงหัวหน้าของหน่วยแพทย์


“ครับอาจารย์” กริซรับคำสั่งก่อนจะเข้ามาตรวจดูอาการผม


“ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้าอีกวิณณ์” คุณปู่วาเกนเอ่ยก่อนจะเอื้อมมืออีกข้างซึ่งไม่ได้ถือไม้เท้าเอื้อมมาลูบใบหน้าผม ความรู้สึกยินดีแผ่ซ่านออกมาทว่าหากสัมผัสดีๆ จะรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงที่อัดแน่นอยู่ภายใน


“...” ผมพยักหน้าระหว่างกุมมือข้างที่สัมผัสแก้มอยู่กลับ


“คงจะเจอเรื่องเหตุการณ์ที่เลวร้ายพอดูเลยใช่ไหม”


“...” ความเงียบถูกใช้แทนคำตอบให้อีกฝ่ายนำไปตีความเอาเอง จะว่าเลวร้ายก็คงใช่แต่ก็ไม่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เจอมาจะเลวร้าย เพราะผมถูกบักเก็ตทำให้ตกหน้าผาลงไปเลยได้กลับมาเจอกับราส ได้มาเจอพวกแฟรี่และได้กลับมาหาเบียทรีซอีกครั้ง


ผมไม่คิดว่านั่นจะเรียกว่าเหตุการณ์เลวร้ายได้ แต่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ดีเช่นกัน จนถึงตอนนี้ยังมีหลายครั้งเลยที่ผมฝันถึงเหตุการณ์ในวันนั้น


“ภายนอกไม่พบบาดแผลหรือสิ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุได้ดังนั้นข้าคิดว่าการที่ไม่สามารถพูดได้กับพลังปิศาจที่หมดไปนั้นมาจากภายใน” กริซบอกหลังจากใช้เวลาตรวจผมสักพัก


“วิณณ์ เจ้าได้กินอะไรแปลกๆ เข้าไปหรือไม่” ปู่วาเกนเอ่ยถาม


“...” ผมพยักหน้าตอบ นึกออกแค่อย่างเดียวเท่านั้นแหละ ยาที่บักเก็ตจับกรอกปากให้ผมกิน


“มีความเป็นไปได้สูงมาที่จะเป็นพิษชนิดร้ายแรงที่นอกจากจะมีฤทธิ์สยายพลังปิศาจไม่ให้กลับคืนแล้วยังทำลายกล่องเสียงจนไม่สามารถเอ่ยพูดได้”


“ทำยาแก้เดี๋ยวนี้” เบียทรีซออกคำสั่ง


“ข้าไม่ใช่คนของท่านองค์ราชาเบียทรีซ”


“เจ้า!”


“ข้าไม่ฟังคำสั่งท่าน ข้าจะทำเพราะถ้าต้องการช่วยหลานที่น่ารักของข้า” ปู่วาเกนยิ้มเล็กน้อยเหมือนกำลังสนุกที่ได้แกล้งราชาของโลกปิศาจ


“...จะหายเมื่อไหร่” เบียทรีซถามต่อไม่เอาเรื่องก่อนหน้านี้เพราะรู้อยู่แล้วว่ากำลังถูกแหย่เล่น


“เรื่องนั้นไม่สมารถตอบได้ หากเขาโดนพิษมาตั้งแต่เมื่อ 50 ปีก่อนแต่ฤทธิ์ของมันยังไม่คลายมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นการผสมพิษออกมาให้ออกฤทธิ์ในระยะยาวซึ่งไม่ง่ายเลยในการรักษาให้หาย”


“เจ้าจะบอกว่าวิณณ์จะไม่หาย?”


“ไม่ได้พูดเช่นนั้น แค่ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน”


“อีกนานไหมกว่าจะปรุงยาเสร็จ” เบียทรีซถามต่ออีก


“กริซ” ปู่วาเกนเรียกให้กริซเป็นคนตอบแทน


“ครับ องค์ราชา การจะปรุงยาที่เราไม่รู้ถึงชนิดของพิษที่ท่านวิณณ์ได้รับเข้าไปนั้นยากมากเพราะหากปรุงยาซึ่งให้ฤทธิ์การต้านพิษที่ผิดอาจส่งอันตรายให้แก่ตัวท่านวิณณ์ได้ พวกเราเลยจำเป็นต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ความเป็นไปได้และเริ่มจากการใช้ยาแบบอ่อนหากได้ผลจะเริ่มการใช้ยาซึ่งต้านพิษมากขึ้น” กริซอธิบายให้เบียทรีซฟัง


“ตามนั้น...พวกข้าขอตัวก่อน หากยาเสร็จจะนำมาให้” ปู่วาเกนโค้งศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไปตามด้วยกริซและคนอื่นๆ


เผลอเพียงพริบตาเดียวภายในห้องก็กลับมามีแค่ผมและเบียทรีซรวมไปถึงราสที่นอนแผ่อยู่ข้างเตียง การแบกผมขึ้นหลังบินมาจากทางเหนือสุดของโลกปิศาจต้องใช้พลังงานมากแน่ ถ้าผมสามารถพูดได้เมื่อไหร่จะขอบคุณราสเป็นอย่างแรก


ความเงียบซึ่งเข้าปกคลุมเรียกความตื่นเต้นแปลกๆ ให้เกิดขึ้น พอคิดว่าไม่ได้เจอกับเบียทรีซมาตั้ง 50 ปีอยู่ๆ ก็รู้สึกแบบ...ยังไงไม่รู้ พอหันไปมองว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมก็ประสานเข้ากับดวงตาสีทองสว่างซึ่งจ้องมองมาทางนี้อยู่ก่อนแล้ว


“...จะว่าไปเจ้ามองเห็นทั้งที่ไม่ได้ใส่แว่นด้วย?”


“...” เหมือนผมจะเจอเข้ากับคำถามที่อธิบายยากถ้าไม่ใช้คำพูดเข้าซะแล้ว


ใช้เวลาคิดอยู่นานผมก็ลุกขึ้นจากเตียงก้าวไปอยู่ตรงหน้าของเบียทรีซที่มองตามมา ผมใช้มือสองข้างปั้นอากาศให้เป็นรูปของแฟรี่โดยเพิ่มการขยับของปีกด้วยการกระพือแขนของตัวเอง จากนั้นก็ย้ายมีทั้งสองข้างมาลากผ่านดวงตาสื่อให้รู้ว่าได้เหล่าแฟรี่มาช่วยผมเลยสามารถมองเห็นได้โดยไม่ใส่แว่น แต่คงไม่นานนักหรอก...ก่อนจะออกจากแดนนั้นมาบอกว่าจะอยู่ได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น


“เจ้าไปเจอตุ๊กตาหิมะกับลูกเป็ดที่ตัวใหญ่มาก?” คำแปลของเบียทรีซไม่ได้เข้าเค้าเลยสักนิดเดียว


“...” ผมส่ายหน้ารัวๆ ส่งไปให้


ตุ๊กตาหิมะอะไร?


ลูกเป็ดอะไร?!


“เจ้าเล่าเรื่องได้แย่มาก” เบียทรีซถึงกับถอนหายใจเมื่อผมพยายามอธิบายโดยการใช้ร่างกายสื่อความหมายต่ออีกรอบหนึ่ง อย่าคิดว่าผมไม่เห็นรอยยิ้มมุมปากคล้ายกำลังเจอเรื่องตลกที่ปรากฎออกมานั่นนะ


เขากำลังกลั้นขำผมอยู่ชัดๆ


“...” คุณไม่เข้าใจเองต่างหาก!


ผมชี้หน้าพร้อมทำท่าหงุดหงิดใส่อีกฝ่ายที่ส่ายหน้าคล้ายเอือมละอากับท่าทางของผมเต็มทน ทว่าถัดไปไม่กี่วินาทีเบียทรีซกลับเงยหน้าขึ้นมาหาก่อนจะคว้าแขนผมให้เซลงไปหา พูดให้เข้าใจง่ายคือผมถูกดึงให้ขึ้นไปนั่งบนตักในสภาพที่หันหน้าเข้าหากัน


“ข้าไม่คิดว่าจะมีวันที่ได้ยิ้มและรู้สึกมีความสุขแบบนี้อีก”


“...” ผมเริ่มนิ่งยามได้ยินถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายคนกำลังอัดอั้น


“เจ้ารู้ไหมว่าตั้งแต่ที่ข้าลืมตาขึ้นมาแล้วไม่เจอเจ้าข้าไม่เคยที่จะยิ้มและมีความสุขอีก ทุกๆ วันข้าตามหาเจ้า...พยายามหาทุกหนทุกแห่งโดยไม่สนใจคำพูดของบักเก็ตที่บอกว่าเจ้าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ในทุกๆ วันข้าจะบอกกับตัวเองว่าพรุ่งนี้ต้องได้เจอเจ้า บอกมาตลอดจนข้าเริ่มกลัวว่าสิ่งที่บักเก็ตพูดจะเป็นความจริง...”


“...” เบียทรีซ


“แต่แล้วในวันนี้ เวลานี้ ตรงหน้าข้ามีเจ้า...ข้ากำลังสัมผัสเจ้าอยู่ นี่คงไม่ใช่ความฝันที่พอข้าตื่นแล้วเจ้าจะหายไปหรอกใช่ไหมวิณณ์ บอกข้าที...ทำให้ข้าแน่ใจว่าข้าไม่ได้ฝันไป” ดวงตาสีทองสว่างของเบียทรีซกำลังสั่นดวงความรู้สึกหวั่นไหว่อย่างรุนแรง


“...” ถึงจะอยากพูดแต่เสียงก็ไม่ยอมออกมา ผมจึงเลือกที่จะกอดคออีกฝ่ายไว้หลวมๆ แล้วแนบริมฝีปากของตัวเองลงไปยังปากของเบียทรีซ เป็นจูบที่แผ่วเบาและปราศจากการรุกร้ำใดๆ พร้อมกันนั้นผมคว้ามือของเบียทรีซขึ้นมาแนบบริเวณหน้าอกข้างซ้ายหรือก็คือบริเวณหัวใจ ให้เบียทรีซสัมผัสและรับรู้ถึงจังหวะของหัวใจที่กำลังเต้นแทนคำพูดที่อยากบอกเขาว่า...


นี่ไม่ใช่ความฝัน


“วิณณ์...หัวใจเจ้าเต้นดังไปไหม” เบียทรีซอยู่นิ่งๆ ได้ไม่นานตามคาด


เขาล้อผมที่หัวใจเต้นรัว จะไม่ให้เต้นดังได้ยังไงล่ะในเมื่อถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมาคล้ายกำลังกลืนกินตัวตนของผมเข้าไป


ผมไม่ยอมเป็นฝ่ายเดียวที่ถูกล้อจึงใช้มืออีกข้างแนบลงบริเวณหัวใจของเบียทรีซ สัมผัสของการเต้นของหัวใจนั้นไม่ได้ต่างจากของผมเลย แค่วางมือแนบลงไปก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน


“...” ว่าแต่ผมคุณก็หัวใจเต้นเร็วไม่แพ้กันหรอก


“วิณณ์ ไปอาบน้ำซะเจ้าเหม็นมากเลย” ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นผมไม่รอช้ารีบเด้งตัวออกจากตักของอีกฝ่ายทันที ดันลืมไปเลยว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมาเจอฝุ่นเลอะโคลนมานับไม่ถ้วน แถมก่อนหน้านั้นผมยังนอนหลับยาวมาตลอด 50 ปี นั่นหมายความว่าผม...


ไม่ได้อาบน้ำมา 50 ปี?!


อยากเป็นลม...ถ้าอยู่โลกมนุษย์ผมคงราขึ้นไปแล้ว


เบียทรีซก็ยังอุตส่าห์ทั้งกอดทั้งอุ้มผมได้อีกนะ


ด้วยความรีบร้อนในการลุกบวกกับความสามารถพิเศษที่มีมาตั้งแต่เกิดทำให้ขาผมสะดุดเข้ากับพื้นกระเบื้องเรียบๆ ก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นในวินาทีต่อมา แม้จะไม่ได้ยินเสียงร้องแต่ใช่ว่าผมจะไม่เจ็บ ความเจ็บและชาแล่นไปทั่วบริเวณสะโพก พอผมเงยหน้าขึ้นไปคิดจะขอความช่วยเหลือกลับเห็นรอยยิ้มของเบียทรีซที่ไม่ได้ยิ้มแค่ปากแต่เป็นทั้งใบหน้าสื่อถึงความสุขปนขบขันกับท่าทางของผมในขณะนี้


ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปความซุ่มซ่ามก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแถมนับวันดูจะมากขึ้นกว่าเดิมอีก


เบียทรีซยิ้มอยู่สักพักให้ก่อนจะส่งมือข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้าผม ซึ่งใช้เวลาช่างใจอยู่นานว่าจะยอมรับความช่วยเหลือนั้นหรือจะลุกขึ้นเองดี แน่นอนว่าเบียทรีซไม่เปิดโอกาสให้ผมได้เลือกเองไปนานกว่านี้ลุกขึ้นจากเตียงมาอุ้มผมที่ขยับหนีก่อนจะก้าวตรงไปยังห้องน้ำ


ตลอดทางผมได้แต่ส่ายหัวดิ๊กๆ ดิ้นไม่หยุด พยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมวางผมลง ความพยายามผมสำฤทธิ์ผลในเวลาต่อมาคือเบียทรีซยอมวางผมลงทว่าวางลงในอ่างน้ำอุ่นนะ หลังจากนั้นก็แน่นอนว่าผมทำได้แค่ยอมถูกเบียทรีซอาบน้ำให้จนกระทั้งตัวหอมฉุยแม้จะอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบก็ตาม

...............................................

ก่อนอื่นต้องขออภัยจากตอนที่อาจทำให้ทุกคนตกใจกัน

ปกติเราไม่ค่อยแต่ดราม่าซึ่งตอนที่แล้วก็ไม่นับว่าดราม่าเท่าไหร่ เราวางเหตุการณ์นี้มาตั้งแต่ช่วงคิดพล๊อตเรื่องและเป็นตอนที่เราค่อนข้างลำบากใจในการแต่งเพราะใจหนึ่งก็ไม่อยากให้ทั้งคู่แยกจากกัน อีกใจก็นะ...หวานกันเกินไปแล้วห่างกันหน่อยเถอะ 555

ตอนนี้เมื่อทุกคนอ่านจบหวังว่าคงยิ้มกันได้แล้วนะคะ ไม่ใช่แค่วิณณ์ที่กลับมาแต่ยังมีราสกลับมาด้วย

มีคนเดาถูกด้วยนะ รู้ใจเราจริงๆ ค่า

อยากบอกไว้ก่อนจะได้ไม่ตกใจ ตอนหน้าเป็นตอนจบของเรื่องแล้วนะคะ

อาจดูเหมือนไม่ยาวแต่ในแต่ละตอนเนื้อหาค่อนข้างเยอะ เราลังเลว่าจะแยกหนึ่งตอนแป่งเป็นสองดีไหมแต่สุดท้ายเราก็เลือกที่จะไม่ตัดเพื่อจะให้นักอ่านได้อ่านกันยาวๆ กันดีกว่า

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

ปล.ตอนนี้เรามีกิจกรรมอยู่หน้าเพจแจกเรื่องสั้นใครสนใจสามารถเข้าไปร่วมกิจกรรมกันได้นะคะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว ดีๆๆ

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ดีใจที่วิณณ์กลับมานะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1586
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
ราสมาช่วยวิณณ์จริงๆด้วย

ราสขอมาอยู่กับวิณณ์เพราะจะใช้เลือดตัวเองผสมยา

เพื่อรักษาวิณณ์ใช่ใหม

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เขากลับมาป่ะกันแล้วววววว  :hao3:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ราสช่วยวิณณ์จริงๆด้วย ดีใจที่ปลอดภัย  :กอด1:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
⊰บงการ:วันสุดท้าย:⊱



ความทรมานจากฝ่ามือสองข้างที่บีบรัดต้นคอของผมแน่นแล่นไปทั่วทุกอนูของร่างกายเช่นเดียวกับความหวาดกลัวที่กำลังแผ่ขยายออกมา การขัดขืนไม่สามารถหยุดเรี่ยวแรงอันมหาศาลนั่นได้ ร่างของผมถูกบีบคอในสภาพลอยตัวอยู่เหนือหน้าผาสูง
วินาทีที่อีกฝ่ายปล่อยมือที่บีบคออยู่ทั้งร่างก็ดำดิ่งสู่ก้นเหวด้วยความเร็วสูงพร้อมกับความเจ็บปวดยามเนื้อหนังกระแทรกลงสู่พื้น...


เฮือก!


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของผมเบิกกว้างขึ้นท่ามกลางความมืดมิดและความเงียบสงบของยามค่ำคืน ผมเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งพยายามตั้งสติแล้วหันไปมองข้างกายซึ่งมีร่างของเบียทรีซนอนหลับสนิทโดยแขนข้างนึงพาดอยู่บนตัวผม ภาพนั่นช่วยคลายความรู้สึกหวาดกลัวที่ปะทุขึ้นมาได้มากเลย


“แฮ่ก...” ผมพยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้กลับมาปกติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นผมฝันถึงเหตุการณ์ในวันที่ถูกปล่อยลงก้นเหวหลายต่อหลายครั้ง และทุกครั้งภาพมันสมจริงจนผมรู้สึกกลัว


มันเป็นแค่ความฝัน


มันเป็นแค่เหตุการณ์ในอดีต


เพราะงั้นผมไม่ความจะเก็บมาคิดแล้วฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้


“เป็นอะไรวิณณ์” เสียงทุ้มจากข้างกายมาพร้อมฝ่ามืออุ่นๆ ที่แนบมายังแก้มมอบไออุ่นให้กับผมที่ร่างกายยังคงสั่นอยู่เล็กน้อย


“...ผมฝัน”


“ฝัน? เดี๋ยวก่อนนะเสียงเจ้ากลับมาแล้ว?” เบียทรีซถึงกับเด้งตัวขึ้นมามองผมด้วยความประหลาดใจ พอได้ยินแบบนั้นผมเองก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองสามารถเปล่งเสียงออกมาได้แล้วจริงๆ


นับจากวันที่ผมกลับมายังปราสาทก็ผ่านมาประมาณครึ่งปีหรือ 6 เดือน ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งปีผมได้คุณปู่วาเกนและกริซรวมไปถึงปิศาจอีกหลายๆ ตนเข้ามาช่วยรักษาและดูแลด้วยการให้กินยารวมไปถึงการนวดเพื่อคลายพิษให้ออกจากร่าง


ดูเหมือว่าพิษที่ผมได้รับเข้าไปจะเป็นพิษชนิดร้ายแรง ฤทธิ์ของมันไม่เพียงแค่ทำลายเส้นเสียงในระยะยาวแต่ยังสลายพลังปิศาจภายในร่างจนหมดสิ้น เวลาในการรักษาจึงไม่สามารถระบุหรือกำหนดได้ชัดเจน อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาเป็นปี ปู่วาเกนบอกว่าจำเป็นต้องใช้เวลาในการถอดพิษเหล่านั้นซึ่งหากรีบร้อนหรือเร่งรัดจนเกินไปจะส่งผลต่อร่างกายผมในภายหลังได้


ความจริงการเปล่งเสียงไม่ได้ก็ไม่แย่อย่างที่คิด มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกสนุกเพราะได้สื่อสารกับคนอื่นๆ ด้วยภาษากายอย่างกาเนอร์ เขาเป็นคนสุดท้ายในหมู่คนสนิทที่รู้ว่าผมกลับมาแล้ว ยังจำใบหน้าของกาเนอร์ตอนเข้ามาหาในห้องได้อยู่เลย เบียทรีซไม่ได้อธิบายอะไรก่อนจะเรียกอีกฝ่ายมาแล้วบอกให้ทำอาหารให้ผมที กาเนอร์จ้องหน้าผมอยู่นานมากราวกับกำลังคิดเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมด และหลังจากเรียบเรียงได้เขาก็ส่งยิ้มกว้างพร้อมถอนหายใจโล่งอกก่อนจะก้าวเข้ามาหาผม


พอกาเนอร์รู้ถึงพิษภายในตัวเขาเลยพลิกแพลงอาหารในทุกๆ มื้อของผมให้มีสนุนไพรสำหรับล้างพิษ นอกจากจะอร่อยแล้วยังกินไม่เบื่ออีก คงเพราะได้ทั้งยาจากปู่วาเกนและอาหารล้างพิษจากกาเนอร์ผมเลยสามารถหายได้ในเวลาแค่ครึ่งปี


“บะ...” พอคิดว่าหายแล้วแต่พอลองพูดอีกครั้งปรากฎว่าเสียงออกมาแค่พยางค์แรกเท่านั้น


“อย่าเพิ่งฝืน พิษในตัวเจ้าอาจจะยังออกไม่หมด” เบียทรีซบอก


“อืม เหมือนจะมีเสียงแล้ว” ครั้งนี้พอลองพูดเสียงกลับออกมาเต็มทั้งประโยค


“อย่าเพิ่งพูดอะไรมากวิณณ์”


“คุณเป็นห่วงผมเหรอเบียทรีซ” ผมเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม ในความมืดแบบนี้ไม่ใช่อุปสรรคในการมองเห็นของปิศาจอย่างพวกเรา ยกเว้นแต่ผมที่สายตาสั้น


“เจ้ามันดื้อ”


“เปล่าดื้อนะ” ดื้อตรงไหนกัน


“แล้วตื่นขึ้นมากลางดึกแบบนี้มีอะไร ตัวเจ้าดูสั่นๆ ด้วย” เบียทรีซถามต่อ


“ไหนคุณบอกให้ผมพักเสียง?” ถ้าให้บอกเล่าก็ต้องใช้เสียงน่ะสิ


“อย่ามาย้อนข้าวิณณ์”


“ไม่ได้ย้อน”


“ที่เจ้าทำอยู่มันเรียกว่าย้อน”


“ผมจะพักแล้ว” ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแล้วล้มตัวนอนลง พอได้คุยกับเบียทรีซความรู้สึกหวาดกลัวและเจ็บทั่วร่างก็หายไป ผมไม่อยากบอกเรื่องนี้กับเบียทรีซเพราะหากบอกเขาต้องเป็นห่วงผมแน่ เรื่องของบักเก็ตเบียทรีซเล่าให้วันในวันที่สองหลังผมกลับมา


ผมอยากให้เรื่องนี้จบลงโดยไม่มีอะไรให้ต้องย้อนนึกถึงอีก


“คิดว่าข้าจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้รึไง” เบียทรีซพูดก่อนจะจับตัวผมพลิกให้หันมาเผชิญหน้ากันในสภาพที่นอนตะแคงข้างอยู่


“...ไม่มีอะไรสักหน่อย”


“ทั้งหอบเสียงดังทั้งตัวสั่นขนาดนั้น ข้าคงเชื่อเจ้าหรอกวิณณ์” อีกฝ่ายสวนกลับแทบจะทันที


“กะ...” คำตอบที่กำลังจะเอ่ยไม่สามารถเปล่งออกมาได้ดั่งใจ


“ข้าจะไปตามกริซ”


“ไม่ต้อง!” ผมคว้าแขนอีกฝ่ายไม่ให้ลุกขึ้นจากเตียง ดึกป่านนี้จะไปเรียกมันดูไม่เหมาะแถมผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก พูดอีกแง่คือดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย สามารถส่งเสียงได้แม้จะไม่ทุกครั้ง


“ลองให้มาตรวจดูก่อนจะดีกว่า”


“ไว้พรุ่งนี้ก็ได้” อีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว


“ตามใจเจ้า ในเมื่อเสียงกลับมาแล้วจะบอกได้รึยังว่าเป็นอะไร” สุดท้ายเบียทรีซก็วกกลับเข้าประเด็นเดิมจนได้ แถมสายตาที่ประสานมายังเร่งให้ผมรีบพูดออกมาอีก


“ก็แค่...ฝันร้ายนิดหน่อย” ผมตอบกลับไปตามจริง


“ฝันร้าย...เรื่องตอนอยู่ที่หน้าผาสินะ” เบียทรีซสามารถสรุปออกมาได้ทั้งที่ผมเอ่ยออกไปเพียงประโยคเดียว


“อืม” ในเมื่อรู้แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะปิดบังต่อไป


“เจ้าฝันร้ายบ่อยแค่ไหน”


“...สองสามครั้งในหนึ่งอาทิตย์” ผมนึกระหว่างตอบ


“นี่เจ้าไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับข้ารึไง!” น้ำเสียงโกรธปนโมโหนั่นทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย


“ผมไม่อยากให้คุณต้องมาเป็นห่วง” เสียงผมเบาหวิวลงเรื่อยๆ ยิ่งท้ายประโยคแทบจะไม่มีเสียงเร็ดรอดออกมา ไม่ใช่เพราะฤทธิ์ของพิษแต่เป็นสายตาของเบียทรีซที่มองมา


“ที่เจ้าไม่บอกข้ายิ่งทำให้ข้าห่วงมากกว่าเดิมอีก”


“...คุณยอมรับว่าห่วงผม?” ค่อนข้างตกใจทีเดียว ปกติอีกฝ่ายแทบจะไม่ยอมรับออกมาตรงๆ ว่าเป็นห่วงผม ส่วนมากจะเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น


“นั่นไม่ใช่ประเด็นวิณณ์ เจ้าฝันร้ายบ่อยขนาดนั้นมันไม่ปกติ”


“ผมคิดว่าคงเป็นเพราะจิตใต้สำนึกผมกำลังกลัว ความกลัวที่มีอยู่ภายในนี่ไม่สามารถลบหรือทำให้หายไปได้ง่ายๆ ซึ่งหากใช้เวลาสักหน่อยผมน่าจะลืมไปได้”


“ใช้เวลาสักหน่อยของเจ้านี่ยาวกว่า 6 เดือนเลย?” เบียทรีซถามกลับ


“...” ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ ออกมาจากปากผม


“ข้ามีวิธีเสนอ อยากจะลองหน่อยไหมล่ะ”


“วิธีอะไร” ผมถามแล้วขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพื่อรอฟัง


“เจ้าอยากลอง?”


“อืม” หากมีวิธีที่จะช่วยให้ผมไม่ต้องฝันถึงเรื่องเดิมซ้ำอีกผมก็พร้อมที่จะทำ


“งั้นก็ขยับเข้ามาอีก”


“...พอรึยัง” ผมขยับตัวเข้าไปใกล้เบียทรีซมากขึ้นตามที่บอก


“ยัง ใกล้อีก”


“ถ้าใกล้กว่านี้ก็ติดแล้วนะ” ตัวผมในตอนนี้เรียกว่าอยู่ใกล้กับเบียทรีซขนาดที่สามารถได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แผ่ออกมาได้อย่างชัดเจน ขืนใกล้กว่านี้จมูกผมคงติดกับแผงอกนั่นแล้ว


“ขยับมาให้ติดสิ”


“คิดจะทำอะไร อ๊ะ!” ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายดึงแขนจนหน้าผากกระแทรกเข้ากับแผ่นอกหนาตรงหน้า เพียงแค่นั้นยังไม่จบ เบียทรีซสอดมือลอดศีรษะผมแล้วใช้มือข้างนั้นลูบเส้นผมสีน้ำตาลแดงคล้ายกำลังจะขับกล่อม เช่นเดียวกับเสียงของหัวใจที่ได้ยินในระยะประชิดจากการที่ใบหน้าแนบอยู่บริเวณแผ่นอกนั้น


“ไม่ต้องนึกถึงอะไร ฟังแค่เสียงหัวใจข้าวิณณ์” เบียทรีซกระซิบก่อนจะจูบเบาๆ ลงยังเส้นผมสีน้ำตาลแดงอย่างอ่อนโยน


ความรู้สึกเขินอายกระจายไปทั่วร่างพร้อมกับอุณหภูมิของร่างกายที่พุ่งสูงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ อย่าว่าแต่ไม่ฝันร้ายเลยแค่จะข่มตาให้หลับลงยังยากจนต้องใช้เวลานานนับชั่วโมง


หลายเดือนต่อมาฤทธิ์ของพิษซึ่งอยู่ในร่างกายผมก็หมดลงโดยสมบูรณ์ผมจึงสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง เมื่อหายดีผมไม่รอช้าที่จะเริ่มกลับมาทำงานตามปกติ จริงอยู่ว่าหลายเดือนที่ผ่านมาผมมีช่วยทำงานบ้างแต่ก็แค่เล็กน้อยเพราะเบียทรีซอยากให้ผมพักจนกว่าจะหายแถมเจ้าตัวยังแทบไม่อยู่ติดห้องทำงานคอยมาดูผมที่มักออกไปเดินเล่นด้านนอกอยู่เป็นประจำแม้ผมจะมีปิศาจคอยตามอยู่ทุกฝีก้าวแล้วก็ตาม


ผมพอจะเดาความคิดของเบียทรีซออก พลังปิศาจในตัวผมยังไม่ฟื้นทำให้ไม่สามารถสัมผัสหาผมผ่านไอปิศาจได้เขาเลยกังวลว่าผมจะไปหลงอยู่ไหนอีกรึเปล่า


ก็คิดมาตั้งแต่ตอนได้เจอกันแรกๆ แล้วล่ะว่าเบียทรีซนี่เป็นพวกที่นอกจากจะทำอะไรตามใจตัวเองแล้วยังไม่ยอมให้ของของตัวเองอยู่นอกสายตา สำหรับผมคำว่าของของเบียทรีซไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนโดนดูถูก ในทางกลับกันผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้เป็นคนสำคัญ


สำหรับปิศาจพอพิษภายในร่างหายไปจนหมดพลังปิศาจภายในตัวก็ค่อยๆ กลับคืนมาทีละน้อยจนปัจจุบันผมมีพลังปิศาจเทียบเท่าแต่ก่อน ไม่สิ มีหลายๆ คนบอกว่าพลังปิศาจผมเพิ่มมากกว่าเมื่อก่อนอีก เพราะได้พลังกลับคืนมาเหล่าปิศาจที่คอยตามเฝ้าดูแลผมแทบจะ 24 ชั่วโมงก็กลับไปทำหน้าที่เดิมของตัวเองต่อ เบียทรีซเองก็เลยเบาใจที่จะให้ผมออกไปเดินได้ตามลำพังถึงส่วนมากเขามักจะไปกับผมก็ตามที


ส่วนราสนั้นกลายเป็นเหมือนครอบครัวของผมกับเบียทรีซไปแล้ว ด้วยร่างกายที่ลดขนาดลงจนสามารถเกาะไหล่ผมไปได้ทำให้ราสไปแทบทุกที่ด้วยกันกับผม บางครั้งก็จะบินตามเบียทรีซไม่ก็ไปหลับอยู่บนตักของเบียทรีซบ้างสลับกันไป


ด้วยความน่ารัก ฉลาดและแสนรู้ของราสเบียทรีซจึงยอมให้เลี้ยงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เอ่อ...ความจริงปัญหาก็มีอยู่นะต่อให้เบียทรีซจะบอกว่าเป็นปัญหาเล็กน้อยแต่ผมกลับมองว่าเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ ปัญหานั้นคือปริมาณอาหารในแต่ละวันของราส
ราลามอสเป็นสัตว์ปิศาจขนาดใหญ่ดังนั้นจึงต้องได้รับพลังงานให้เพียงพอกับรูปร่างแม้จะอยู่ในรูปลักษณ์ที่แสนกระทัดรัดทว่าร่างจริงก็เป็นสัตว์ปิศาจตัวใหญ่อยู่ดี ในแต่ละวันราสกินอาหารไปหลายร้อยกิโลกรัมเรียกว่าแทบล้างครัวเลยก็ไม่ผิดนัก ปริมาณอาหารขนาดนี้เหมือนกำลังเลี้ยงช้างอยู่สักตัว


กิจวัตรประจำวันเดิมๆ ของผมเริ่มกลับมาอีกครั้งไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการตื่นขึ้นมาบนเตียงพร้อมกับเบียทรีซ มื้อเช้าอันเปี่ยมไปด้วยสารอาหารจากกาเนอร์ก่อนจะไปฝึกทักษะการต่อสู้และการใช้พลังปิศาจกับเตโช ในช่วงสายและช่วงบ่ายช่วยแกรนทำงานส่งให้เบียทรีซสลับกับทำงานที่สก๊อตให้ปิศาจรับใช้นำมาให้ พอตกเย็นก็รับประทานมื้อค่ำและปิดท้ายด้วยการกลับห้องไปอาบน้ำและนอน


นี่เป็นกิจวัตรประจำวันปกติที่มีน้อยมากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทว่าในวันนี้กลับแตกต่างออกไป หลังจากจบมื้อค่ำเบียทรีซมักจะอาบน้ำแล้วนั่งเล่นบนเตียงกับราสสักพักรอผมอาบเสร็จแล้วปิดไฟนอนแต่วันนี้พอผมเปิดประตูห้องน้ำออกมาในชุดนอนเบียทรีซกลับยืนอยู่กลางห้องในชุดลำลองไม่ใช่ชุดนอนเหมือนทุกที


“มีประชุมเหรอ” ผมเอ่ยถาม อย่างเดียวที่คิดได้คือเบียทรีซมีประชุม


“เปล่า”


“...ทำไมใส่ชุดลำลองล่ะ” แบบนั้นก็เหมือนกับกำลังจะออกไปไหนสักแห่ง


“จะออกไปข้างนอก”


“...อืม กลับดึกรึเปล่า” ผมถามต่อ ถ้าไม่นานผมอาจจะอยู่รอได้ยังไงตอนนี้นาฬิกาก็เพิ่งบอกเวลาสองทุ่มเท่านั้นเอง


“คงดึกอยู่”


“งั้นก็ระวังตัวด้วย”


“เจ้าก็ต้องไปด้วย รีบเปลี่ยนชุดซะ” เบียทรีซบอกเสียงนิ่งพร้อมชี้นิ้วไปทางห้องแต่งตัว


“ฮะ? ผมไปด้วยเหรอ”


“ข้าไม่พูดซ้ำวิณณ์”


“จะไปไหนดึกดื่นป่านนี้”


“เดี๋ยวก็รู้เอง ไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว”


“...อืม” ผมมีสิทธิ์ขัดหรือปฏิเสธซะที่ไหนล่ะ


สุดท้ายผมก็จำต้องเดินเข้าไปยังห้องแต่งตัวเปลี่ยนจากชุดนอนมาเป็นชุดลำลอง สิ่งแรกที่เห็นหลังเปิดประตูกลับมาในห้องนอนคือทางเชื่อมมิติที่ถูกเปิดอยู่ ราสกระพือปีกมาหาแล้วใช้ขาหน้าทั้งสองข้างเกาะไหล่ผมทิ้งตัวให้ไปด้านหลังเหมือนทุกวัน


“เบียทรีซ...”


“ไปกันได้แล้ว” เบียทรีซไม่ปล่อยให้ผมได้ถามจบประโยคเดินมาคว้ามือผมไปจับก่อนจะดึงให้เดินเข้าไปในทางเชื่อมมิติที่เปิดอ้าอยู่


“เรากำลังจะไปไหนกัน” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเบียทรีซซึ่งเดินนำผมอยู่เล็กน้อย


“เดี๋ยวก็รู้”


“แล้วเดี๋ยวที่ว่ามันเมื่อไหร่ล่ะ”


“เดี๋ยวก็คือเดี๋ยว”


“...” ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีเลย


“เจ้าชอบพวกธรรมชาติสินะ” เบียทรีซเปลี่ยนเรื่องถามก่อนวิวทิวทัศน์ตรงหน้าจะแปรเปลี่ยนไป


ความเย็นของอากาศโดยรอบบวกกับกลิ่นอายของดิน หินและต้นไม้แถมยังความมืดกับเสียงก้องๆ แบบนี้หรือว่าจะอยู่ในถ้ำ?


“อืม...ผมชอบ นี่พวกเราอยู่ในถ้ำใช่รึเปล่า” ตอบเสร็จผมก็ถามกลับ


“เดาเก่งนี่”


“แปลว่าถูกเนอะ”


“คิดเองเออเอง”


“ไม่ถูกเหรอ” ผมค่อนข้างมั่นใจกับคำตอบอยู่ไม่น้อยเพราะทิวทัศน์ของสองข้างทางเป็นทางเดินอันเต็มไปด้วยหินและหยดน้ำที่หยดลงมาตามทางเดิน


“ก็ไม่ผิด ที่โลกมนุษย์เจ้าเคยดูดาวไหม” เบียทรีซถามต่อ มือข้างที่ถูกคว้าในตอนแรกเปลี่ยนมาประสานกันไว้หลวมๆ ระหว่างเดิน


“เคยนะ ปกติก็จะดูอยู่ที่บ้านแต่เพราะอยู่ในเขตตัวเมืองเลยมองแทบไม่เห็น จำได้ว่าตอนไปเข้าค่ายช่วงมหาลัยบนดอยเป็นการดูดาวที่งดงามที่สุดในชีวิตเลย”


“ดูบนฟ้า?”


“ก็บนฟ้าน่ะสิ...คุณไม่ได้ดูดาวบนฟ้า?” ผมขมวดคิ้วถามกลับเมื่อได้ยินคำถามแปลกๆ จากอีกฝ่าย


“ปกติก็ใช่”


“หมายถึงอะไร”


“ลองเดาสิ”


“เดาไม่ออกหรอก ขอเฉลยเลยเถอะ”


“ข้าพาเจ้ามาดูดาวที่สวยที่สุดในโลกปิศาจ”


“ดูดาว...” ทั้งที่ยังมีความสงสัยอยู่แต่พอเบียทรีซดึงมือผมให้หลุดออกจากทางเดินยาวมาเป็นพื้นที่โล่ง เสียงของผมก็ถูกกลืนหายไปเพราะความงดงามของวิวตรงหน้า


ผมคิดอยู่ว่าถ้าดูดาวในถ้ำคงไม่พ้นเป็นการดูผ่านช่องว่างด้านบนจุดใดจุดหนึ่งของถ้ำแต่ในความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น ด้านบนของผมเป็นเหมือนกระจกใสที่เพียงแค่เอื้อมมือขึ้นไปก็สามารถสัมผัสท้องฟ้าสีดำสนิทอันเต็มไปด้วยดวงดาวทอประกายเจิดจ้าในระยะประชิด


ไม่เพียงแค่ดวงดาว ท้องฟ้านี้ยังเห็นเหมือนระลอกคลื่นที่พัดพาสะเก็ดสีเงินส่องแสงเคลื่อนที่ระยิบระยับอยู่ตลอดเวลาราวกับกำลังดูดาวที่สามารถเคลื่อนไหวได้ เป็นภาพที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ทั้งหมด หากสามารถมอบคำคำนึงให้กับภาพนี้ได้ก็คงไม่พ้น...


งดงาม


เป็นความงดงามที่จะตรึงทุกดวงตาให้จับจ้องไปราวกับถูกเสน่ห์ของประกายท่ามกลางความมืดนั้นดึงดูดจนไม่อาจละสายตาออกมาได้ ดวงดาวบนยอดดอยที่ว่างดงามยังไม่อาจเทียบกับภาพตรงหน้านี้ได้เลย


ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นดวงดาวในระยะใกล้แค่นี้


ผมเอื้อมมือขึ้นไปด้านบนหมายจะสัมผัสดวงดาวซึ่งอยู่ใกล้เพียงระยะเอื้อม แต่ก่อนจะแตะถึงดวงดาวกลับสัมผัสโดนผนังสีใสคล้ายกับเป็นกระจกบานหนากั้นผมกับดวงดาวไว้อยู่ ผมเอียงคอหันไปมองคนข้างกายเบียทรีซเองก็เหมือนจะรู้ตัวเลยหันมามองตอบ


“สวยรึเปล่า”


“ยิ่งกว่าสวยอีก เนอะราส” ผมหันไปมองราสที่เงยหน้ามองท้องฟ้าด้านบนอยู่เช่นกัน


งี๊ดด~


เสียงครางสูงตอบรับคำถามที่ผมเอ่ยออกไป ผมยิ้มรับแล้วลูบเส้นขนสีดำสนิทของราสสักพักจึงหันกลับไปมองหน้าเบียทรีซต่อ ผมเห็นนะว่าอีกฝ่ายกำลังรอบยิ้มมุมปากอยู่


“สถานที่นี้ถูกเรียกว่าการดูดาวใต้น้ำ ด้านบนที่เจ้าเห็นเป็นทะเลสาบขนาดกลางซึ่งก้นของทะเลสาบมีแผ่นหินใสที่สามารถมองภาพจากด้านบนได้ใกล้ขึ้นและอีกด้าน(ล่าง)หรือก็คือด้านที่พวกเราอยู่ก็สามารถมองทะลุผ่านสายน้ำขึ้นไปมองท้องฟ้าซึ่งถูกซูมให้เห็นราวกับดวงดาวอยู่ใกล้เพียงหยิบมือ...”


“อีกทั้งก้นทะเลสาบมีแร่ชนิดหนึ่งที่เมื่อตกดึกจะส่องแสงสะท้อนกับแสงจันทร์ เวลามีกระแสลมพัดผ่านจนเกิดเป็นคลื่นด้านบนจะเห็นภาพราวกับดวงดาวนั้นสามารถเคลื่อนไหวได้” เบียทรีซอธิบายทุกอย่างให้ผมฟัคล้ายเขาอ่านออกว่าผมกำลังสงสัยแล้วต้องเอ่ยถามแน่


การดูดาวใต้น้ำเหรอ


ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีสถานที่นี้อยู่จริงในโลก ความงดงามที่เกิดจากธรรมชาติเป็นผู้สร้างมิใช่การลงมือทำของสิ่งมีชีวิต มองเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลย ยิ่งมองดูเหมือนยิ่งได้รับความสุขเข้ามาเติมเต็มมากขึ้น



(มีต่อ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


“เบียทรีซ ขอบคุณนะที่พาผมมา” ผมไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวนอกปราสาทสักเท่าไหร่ ส่วนมากจะอยู่แถวตลาดไม่ก็ไปหาพวกคุณปู่คนแคระ ตอนนี้มีเพิ่มที่ดินแดนของเหล่าแฟรี่ ยังมีสถานที่อีกมากมายนักที่ผมยังไม่เคยได้ไปเยือน


“ดูเหมือนเจ้าจะชอบ”


“ชอบมากเลยล่ะ”


“อืม...เจ้าชอบแต่ข้ารัก”


“ฮืม? รักที่นี่?” ผมเอียงคอใช้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นเงยขึ้นไปหาเบียทรีซ


“รักเจ้า...ข้ารักเจ้าวิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซเรียกอุณหภูมิภายในร่างกายให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมชักมือที่กุมกันไว้ออกทว่าเบียทรีซกลับกำแน่นพร้อมก้าวเข้ามาใกล้


“...อย่าเพิ่งเข้ามาตอนนี้” แม้จะเหลือมือแค่ข้างเดียวแต่ผมก็ใช้มันยันร่างเบียทรีซไม่ให้ขยับมามากกว่านี้ เสียงหัวใจมันเต้นรัวจนตัวเองยังสัมผัสได้


“วิณณ์”


“อึก...อย่าเรียกด้วย” เบียทรีซใช้น้ำเสียงที่ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าขึ้นสี


“หน้าแดงก่ำเลย ขนาดอยู่ในที่มืดข้ายังเห็นชัด”


“หยุดพูดนะ” แค่นี้ก็อายจะแย่อยู่แล้ว อย่ามาทำให้อายเพิ่มได้ไหม


“ข้ารักเจ้า” เป็นอีกครั้งที่คำว่ารักถูกเอ่ยออกมาด้วยโทนเสียงแสนนุ่มนวลพาคนฟังตกลงไปสู่หลุมที่หากตกลงไปแล้วก็ไม่อาจจะปืนขึ้นมาได้อีก สำหรับตัวผมตกหลุมนั่นไปตั้งนานแล้ว...ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองรักเบียทรีซนั่นแหละ


“...” เล่นพูดติดกันสองรอบแบบนี้ผมก็แย่น่ะสิ


เบียทรีซเป็นอะไรไป เขาไม่ใช่คนที่จะมาบอกรักซ้ำแบบนี้นี่แค่จะให้ยอมรับว่าห่วงยังต้องยกแม่น้ำมานับสิบสายแต่วันนี้กลับพูดคำว่ารักหลายครั้งติดๆ กัน


“ข้าไม่ใช่คนที่จะพูดคำว่ารักบ่อย แต่ตลอดระยะเวลาที่เจ้าหายไปข้าคิดและโทษตัวเองมาตลอดว่าทำไมวันที่เจ้าอยู่ถึงได้ไม่ยอมบอกออกไปให้เจ้าฟังทั้งที่ข้าแน่ใจในความรู้สึกนี้ของตัวเองมากพอแล้ว สำหรับข้าเจ้าเป็นทุกอย่างไม่ใช่แค่คนรักแต่เป็นมากกว่านั้น”


“เบียทรีซ...”


“เจ้าเป็นของข้าวิณณ์ เป็นของข้าคนเดียว”


“อืม...ผมเป็นของคุณ”


“วิณณ์” เบียทรีซเอ่ยเรียกพร้อมกับแนบริมฝีปากลงมาลงมาจูบ ผมไม่ได้ขัดขืนตรงกันข้ามผมกลับเงยหน้าขึ้นเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายรุกร้ำเข้ามามากขึ้น รสสัมผัสของจูบในคราแรกช่างอ่อนหวานและละมุลแต่พอเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นความเร่าร้อนและดุดันราวกับกำลังให้หมู่ดวงดาราเป็นพยานในการครองคู่ของพวกเรา


ยามดวงดาวทอประกายอยู่ท่ามกลางนภา ภายในห้องนอนของราชาเบียทรีซไม่ได้หลับใหลตามไปด้วย ริมฝีปากของผมกับเบียทรีซยังคงประกบเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่ากระทั่งแผ่นหลังผมแนบลงเตียงคนที่ขึ้นคร่อมก็ยังไม่ยอมละจูบออก


“อื้อออ~...อ๊ะ!” เสียงครางของผมดังขึ้นเมื่อถูกเบียทรีซเลิกเสื้อเหนือแผ่นอกแล้วใช้ปลายลิ้นไล้เลียแผ่นอกให้ชูชันขึ้น เรี่ยวแรงภายในกายเหมือนจะถูกสูบออกไปจากจูบมาราธอนเมื่อครู่ซะแล้ว


“วิณณ์” อีกฝ่ายเรียกชื่อผมสลับกับหยอกเย้าแผ่นอกทั้งสองข้าไปมา


“อ๊ะ! อึก...เบียทรีซนี่คุณอย่าบอกนะว่าจะทำ...อื้อ!” ผมถึงกับสะดุ้งยามเรียวลิ้นนั้นลากยาวลงมาจนถึงหน้าท้องแบนราบอันปราศจากอาภร


“เดาเก่งขึ้นแล้วนี่”


“เดี๋ยว อย่าเพิ่งผมยังไม่พร้อม...”


“เจ้าได้เวลาเตรียมตัวเตรียมใจไปกว่า 50 ปีแล้วยังไม่พออีก?” เบียทรีซถามกลับโดยมือข้างนึงเริ่มซุกซนปลดกางเกงผมออกไม่เหลือแม้แต่ชั้นใน


“นั่นมัน...” จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด แต่ตลอด 50 ปีที่ผ่านมาผมหลับสนิทไม่รู้สึกตัวแม้แต่นิดเดียวพอลืมตาขึ้นมาเวลาก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้วจะเอาเวลาไหนไปเตรียมใจกัน


“ข้าไม่คิดจะรอนานไปกว่านี้”


“อ๊าา!...เบียทรีซ” ความเจ็บเสียดบริเวณช่องทางด้านหลังที่ถูกรุกล้ำพร้อมของเหลวรุกรานอย่างไม่ทันตั้งตัวส่งผลให้ผมหลุดเสียงครางออกมาระลอกใหญ่


ร่างกายเหมือนกำลังโดนแยกแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ช่วงแรกเท่านั้น ยิ่งถูกทั้งพรหมจูบ ขบเม้มและหยกเย้ากระตุ้นร่างกายผมไปแทบทุกสัดส่วนความรู้สึกดีก็ยิ่งแล่นเข้ามา อารมณ์ภายในเริ่มเปิดเปิง ทุกการสัมผัสเรียกเสียงครางให้ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง


“ขนาดนี้แล้วข้าไม่หยุดหรอกนะ” เบียทรีซกระซิบพร้อมขบบริเวณลำคอผมแรงๆ


“อื้อ! ราส...ช่วยด้วย” ผมส่งเสียงเรียกตัวช่วยสุดท้าย


งี๊ดด~


ร่างของราสลอยขึ้นมาจากฟูกด้านล่าง ดวงตาสีทองสว่างของมันมองดูผมกับเบียทรีซเพียงชั่วครู่ก่อนจะบินมาเลียใบหน้าผมคล้ายกับให้กำลังใจแล้วบินกลับลงไปนอนด้านล่างต่อ


“หึ...ดูเหมือนราสจะเข้าข้างแล้วล่ะ”


“อึก...คุณมันคนเอาแต่ใจ” ดูเหมือนว่าผมคงไม่สามารถหนีจาดสถานการณ์นี้ได้แล้วล่ะ


“ก็รู้ดีนี่ ถ้าข้าอยากได้หรือต้องการอะไรข้าต้องได้ ทั้งหัวใจและร่างกายของเจ้า ข้าอยากได้วิณณ์” น้ำเสียงของเบียทรีซไม่ได้อ่อนโยน ไม่ได้สุภาพแต่เป็นน้ำเสียงคล้ายกำลังออกคำสั่งซึ่งนี่แหละคือเบียทรีซที่ผมรัก


แค่เขาบอกว่าต้องการผมก็ยินยอมที่จะมอบให้ด้วยความเต็มใจ


“...ผมให้คุณ เบียทรีซ” ผมเอ่ยประโยคนั้นด้วยรอยยิ้ม มือทั้งสองข้างเอื้อมไปคว้าคอเบียทรีซให้โน้มลงมาก่อนผมจะเป็นฝ่ายมอบจูบให้อีกฝ่ายบ้าง


เบียทรีซสัมผัสไปทั่วทั้งร่างกายผมจนไม่มีส่วนใดที่ไม่ถูกครอบครอง ช่องทางด้านหลังที่คลายตัวถูกตัวตนของเบียทรีซค่อยๆ รุกล้ำเข้ามาอย่างเชื่องช้า เสียงครางต่ำของเบียทรีซที่ผมได้ยินคล้ายกับกำลังสะกดกั้นอารมณ์ไม่ให้ทยานสูงไปมากกว่านี้


จังหวะเนิบนาบในช่วงแรกเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อผมเริ่มชินกับตัวตนภายใน ความรู้สึกดีแล่นเข้ามาพานให้ในหัวขาวโพนทุกครั้งยามร่างกายถูกโยกคลอน เสียงของเนื้อกระทบเนื้อดังก้องไปทั่วห้องช่างน่าอายแต่กลับปฏิเสธไม่ได้ว่ามันปลุกเร้าอารมณ์ให้เปิดเปิงจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้


“อ๊ะ!...อื้ออ~ เบียทรีซ อ๊า!”


“วิณณ์...ในตัวเจ้าช่าง...” เบียทรีซกระซิบข้างไปหูแล้วขยับกายเร็วขึ้น มือข้างนึงของเขากำลังปรนเปรอแก่นกายของผมที่ตื่นตัวใกล้จะปลดปล่อยออกมาตามจังหวะของการขยับตัว


“ผมไม่ อึก...ไม่ไหว อื้ออ~!” ไม่นานอารมณ์ภายในร่างก็ปะทุออกมาทว่าเบียทรีซกลับไม่ยอมให้ผมได้หยุดพักขยับร่างกายต่อด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น การเสียดสีภายในร่างบวกกับปลายลิ้นที่ไล้เลียกระตุ้นแผ่นอกนั่นส่งผลให้อารมณ์ที่เพิ่งปะทุเริ่มทยายขึ้นอีกครั้ง


เบียทรีซไม่มีความปราณีใดๆ เขาทำให้ผมรู้สึกดีจนร่างกายแทบรับไม่ไหว เช่นเดียวกันกับการเร่งจังหวะสะโพกให้รุกเร้าผมไม่หยุดจวบจนความต้องการถูกปลดปล่อยออกมาท่ามกลางเสียงครางลั่นของผม ร่างกายเหมือนไม่ใช่ของตัวเองตอบรับความรู้สึกดีที่เบียทรีซมอบให้อย่างไม่ขัดขืน


“...แฮ่ก...” ผมหอบหายใจแรง


“เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะพอแค่นี้หรอกนะ” เบียทรีซเอ่ยพร้อมกับรั้งสะโพกผมขึ้น


“ว่าไงนะ...เดี๋ยว อ๊าาาา~!” ไม่ทันจะได้ห้ามอีกฝ่ายกลับสอดใส่ความแข็งขืนเข้ามาภายในร่างผมอีกรอบ


ความร้อนของร่างกายยามถูกเหย้าแหย่และกระตุ้นให้เกิดความเสียวซ่านนั่นหลอมละลายสติอันน้อยนิดที่หลงเหลือให้ดับวูบลงโดยไม่รู้ตัว


ยามเช้าของวันใหม่ผมลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความปวดร้าวตามร่างกายที่แผ่ไปทั่วล่าง เพียงแค่จะขยับตัวลุกนั่งยังเซจะล้ม โชคดีที่เบียทรีซคว้าตัวผมไว้ไม่งั้นคงได้ตกเตียงไปแล้ว ดวงตาสีทองของเบียทรีซจ้องมายังผมพานให้รู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


“...มองทำไม” ผมพึมพำเสียงเบาให้อีกฝ่ายได้ยิน


“ข้าจะมองคนรักของตัวเองไม่ได้?”


“ก็...เปล่า”


“เจ็บมากไหม”


“มาก!” ผมตอบเสียงดัง


“ความผิดเจ้าเองนี่” เบียทรีซพูดก่อนจะหยิบแว่นผมยื่นมาให้ใส่


“ผม?” ตัวผมเองเนี่ยนะ


ผิดยังไงกัน


“เล่นทำตัวน่ารักแถมครางเสียงหวานขนาดนั้นจะให้ทนไหวได้ยังไง”


“หยุดพูดเลยเบียทรีซ” แค่นี้ก็อายจนแทบพลิกแผ่นดินหนีแล้ว


“ในที่สุดข้าก็ได้เจ้ามาครอบครองจริงๆ สักทีนะวิณณ์” เบียทรีซบอกก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างแนบลงยังแก้มของผม ไออุ่นที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือนั้นช่วยบรรเทาอารมณ์เคืองๆ ที่มีให้หายไป


“...คุณครอบครองผมมาตั้งนานแล้ว” ผมตัดสินใจเอ่ยสิ่งที่กำลังคิดอยู่ในหัวให้อีกฝ่ายฟังพลางเอียงคอรับสัมผัสของฝ่ามือซึ่งกำลังเกลี่ยแก้มผมมเล่นด้วยความยินดี


“วิณณ์...”


“ผมเป็นของคุณมาตลอดเบียทรีซ อาจเป็นมาตั้งแต่วันแรกที่ผมได้สบดวงตาสีทองสว่างของคุณแล้วก็เป็นได้” ภาพในวันแรกที่ผมและเบียเทียซได้เจอกันนั้นไม่คิดเลยว่าจะมีพวกเราได้อย่างในตอนนี้


ชีวิตของมนุษย์เงินเดือนปกติแสนธรรมดาของผมเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้เจอกับราชาของโลกปิศาจนอนจมกองเลือดอยู่ในสวน ความจริงอันน่าตื่นตกใจของแม่ตัวเองเป็นถึงคนสนิทของราชาปิศาจแถมผมที่เป็นลูกยังได้รับพลังนั้นมาเต็มๆ


การทะเลาะและไม่เข้าใจในวันแรกค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทีละน้อย ต่างฝ่ายต่างปรับตัวให้เข้ากับอีกฝ่ายมากขึ้นจนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความรู้สึกนี้ของพวกเราตรงกัน


อนาคตช่างเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน


เราไม่อาจรู้ถึงเรื่องราวในอนาคตได้ ดังนั้นพวกเราต้องทำวันนี้...ต้องทำปัจจุบันให้ดีและคุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง


สำหรับผมเองก็เหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าในอนาคตผมและเบียทรีซจะเป็นยังไง ความรู้สึกของพวกเราจะยังเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่เพราะช่วงชีวิตของปิศาจอย่างพวกเรามีมากนับร้อยๆ ปี ถึงจะไม่รู้แต่ผมไม่เคยกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิด
จะกลัวไปทำไมล่ะในเมื่อปัจจุบันพวกเรายังรักกันอยู่


เบียทรีซยังคงเป็นเบียทรีซ


และผมยังคงเป็นผม


พวกเรายังคงเป็นพวกเราอยู่เสมอ


และจะเป็นตลอดไปด้วย


“ผมรักคุณ...รักคุณมากๆ เลยเบียทรีซ”


“ข้าก็รักเจ้าวิณณ์ เพราะงั้นมาต่อรอบเช้ากันเถอะ”


“ฮะ?...ไม่เอานะ ผมไม่ไหว”


“ไหวสิ”


“ก็ผมบอกอยู่ว่าไม่ไหว”


“ข้าบอกว่าไหวก็ต้องไหวสิวิณณ์”


“คุณจะเอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ”


“แล้วเจ้าไม่รักข้าที่เป็นแบบนี้หรอกเหรอ”


“อึก...ผมรักทุกอย่างที่เป็นคุณนั่นแหละ”

...........................จบบริบูรณ์..............................

จบแล้วค่าา อันนี้จบจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่นนะคะ 555

หลายคนไม่อยากให้จบ อยากจะเห็นฉากหวานๆ ของทั้งคู่ต่อใช่ไหมล่ะะะะ

สำหรับเรื่องนี้บอกได้ว่าจะมีรวมเล่มค่ะแต่คงอีกสักพักใหญ่เลย

ใครสนใจเตรียมเก็บเงินไว้ได้น้าา

จะแต่งตอนพิเศษหวานๆ ให้มดไต่ให้ทุกคนได้อ่านกันแน่นอน

หากมีข่าวคืบหน้าจะมาแจ้งพร้อมอัพตอนส่งท้ายนะคะ

ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่คอยเม้นท์ คอยเป็นกำลังใจให้กับเรามาตลอดทำให้เราสามารถแต่งเรื่องนี้ออกมาจนจบได้

จากนี้ไปเราก็ยังแต่งนิยายต่อไป

ใครสนใจนิยายเรื่องอื่นๆ ของเราสามารถหาอ่านได้หลายเว็บเลยนะคะหรือจะเข้าไปในเพจเราก็ได้ เราสร้างโน้ตรวมนิยายที่แต่งไว้ค่ะ

สุดท้ายนี้หวังว่าทุกคนที่อ่านจะได้รับรอยยิ้มจากเรื่องราวของเบียทรีซและวิณณ์ไม่มากก็น้อยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ในเรื่องต่อไป

บ๊ายบายค่าา

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
โดนบงการจนถึงตอนสุดท้ายเลยนะ  :hao3:

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
สนุกดี เรื่องน่ารัก อ่านเพลินค่ะ
ชอบตอนวิณณ์ซุกขนหมาของเบียทริซ ฟินแบบนุ่มๆอ่ะ 555

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
น่ารักมากกกกกกกก

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

ออฟไลน์ HappyYaoi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากค่ะ ประทับใจ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด