เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 24 เชลย 100% 24/2/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 24 เชลย 100% 24/2/62]  (อ่าน 11919 ครั้ง)

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 12 สวาเนียร์

อารมณ์กรุ่นโกรธของจูเลียนนั้นยังไม่บรรเทา แม้จะผ่านมาหลายวัน แต่คิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ต้องกัดฟันกรอดกระฟัดกระเฟียดเกรี้ยวกราดขึ้นทุกที กับความอวดดีและท้าทายที่ชายพเนจรทำไว้ อย่าให้ได้เจออีกก็แล้วกัน จูเลียนจะให้ทหารจับมาขังคุกใต้ดินเสียให้เข็ด หลังพี่ชายเดินทางจูเลียนต้องคร่ำเคร่ง และเครียดกับงานอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ก่อนหน้านั้นจะไม่ค่อยสนใจด้วยว่ามีพี่ชายต่างมารดาคอยช่วย แต่พอพี่ชายไม่อยู่หลายอย่างจึงถูกส่งมาให้จูเลียนดูแลเอง

ภายในห้องทรงงานนั้นประดับตกแต่งอย่างหรูหราตามประสงค์ของผู้ใช้ ในห้องอบอวนไปด้วยไออุ่นจากเตาผิงและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำมันหอมระเหย ที่ช่วยให้สมองปลอดโปร่งได้อยู่ไม่น้อย แต่ไม่ว่าบรรยากาศภายในห้องจะดีเพียงใด พอคิดถึงเรื่องค้างคาใจที่จูเลียนปัดทิ้งไม่ได้สักที อารมณ์และความขุ่นมัวมักจะกลับมาเสมอ ทั้งต้องทรงงาน ทั้งหงุดหงิดยามเผลอคิดแค้นใจลอย แต่กระนั้นยังมีสิ่งหนึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียว ที่ทำให้จูเลียนอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง แม้ต้องทรงงานหนักหรือมีเรื่องของคนกวนประสาทให้หงุดหงิดเกรี้ยวกราด

“ฝ่าบาท...”

“กรอสเซ่ ทำไมวันนี้เจ้าเพิ่งมาหาข้า” ยังไม่ทันที่ผู้มาเข้าเฝ้าจะได้พูดจบ ร่างเพรียวก็ลุกจากเก้าอี้โผเข้าหาชายคนรักที่แสนคิดถึง ปากถามเหมือนตำหนิที่กวีหนุ่มมาช้า แต่ก็เพียงอ้อนไม่จริงจังจะเอาผิด แม้ว่าช่วงหลังมานี้จะมีเรื่องค้างคาใจหลายเรื่อง แต่ยามอยู่กับยอดรัก ดูเหมือนจูเลียนจะอารมณ์ดีขึ้นมาได้อย่างผิดหูผิดตา จนลีโอแอบภาวนาอยากให้กวีหนุ่มมาทุกครั้ง ยามจูเลียนเกรี้ยวกราดใส่

“ฝ่าบาทโปรดอภัย ข้าแค่ติดธุระนิดหน่อย”

“เจ้ามีธุระอะไรที่สำคัญกว่าข้าหรือกรอสเซ่” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดกับพักตร์นวลผ่องบึ้งตึงขึ้นทันที ยามคิดว่าคนรักจะมีสิ่งอื่นใดสำคัญกว่าตัวเอง มันก็อดน้อยใจไม่ได้อย่างที่จูเลียนกำลังเป็น

“ไม่มีธุระอันใดสำคัญไปกว่าฝ่าบาท มีเพียงเรื่องน่าเบื่อที่ข้าอยากหนีมันให้ไกล แล้วรีบมาหายอดรักของข้าให้เร็วที่สุด” กรอสเซ่เอาใจ

“มานั่งตรงนี้เถอะ”

ดูเหมือนจูเลียนจะคิดว่าโลกนี้มีกันอยู่เพียงสองคน แต่ทุกอย่างกำลังตกอยู่ในสายตาของคนสนิท ที่ยืนดูเงียบๆ จากมุมหนึ่งหลังโต๊ะทรงงาน กษัตริย์หนุ่มน้อยรั้งคนรักพากันไปนั่งยังมุมพักผ่อน ที่มีเก้าอี้บุนวมอุ่นสบายน่านอน แต่ด้วยเพราะห่วงกลัวว่างานที่ทำจะถูกเมินจนทำไม่เสร็จ ลีโอเลยจำต้องแสดงตัวออกมา

“ฝ่าบาท”

“ยังอยู่หรือไงลีโอ ข้านึกว่าเจ้าออกไปตั้งนานแล้วนะ”

“ลีโอยังอยู่กับฝ่าบาท”

“ออกไปข้าจะอยู่กับกรอสเซ่สองคน”

“แต่งาน..”

“ข้าบอกว่าออกไปไงลีโอ” ลีโอก้มหน้างุด ลึกๆ แอบน้อยใจที่นายเหนือหัวเอ่ยปากไล่ ถึงมันจะเคยเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ครั้งนี้ความรู้สึกทำไมมันถึงได้แตกต่างลีโอก็ไม่รู้ เด็กน้อยกะพริบตาปริบๆ เก็บความอัดอั้นแล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ อย่างน้อยใจ “ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกินกรอสเซ่”

“ฝ่าบาท ข้าก็คิดถึงท่านเช่นกัน” มือเรียวที่ถูกกวีหนุ่มกอบกุมไว้ถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากเย็นชืด กรอสเซ่กดแนบสัมผัสเพียงผิวแผ่วก็ผละออก แล้วปล่อยมือเรียวทันที แต่ความฉาบฉวยจากสัมผัสของกวีหนุ่ม กลับซาบซ่านแทรกลึกเข้าไปในความรู้สึกของจูเลียน เกิดความปลื้มปริ่มจนยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด รอยยิ้มหวานหยดย้อยประดับพักตร์นวลผ่อง พวงปรางอิ่มแดงระเรื่อขึ้นอย่างน่ามอง “ยอดรักของข้า”

“วันนี้ทำไมเจ้าปากหวานนะกรอสเซ่” จูเลียนจ้องมองใบหน้าขาวซีดของกรอสเซ่อย่างหลงใหล ปลาบปลื้มกับคำรักที่ได้ยินจนเต็มตื้นอิ่มเอมใจ

รอยยิ้มของกรอสเซ่เลือนหายไป เหลือเพียงสีหน้าปั้นแต่งให้คนมองรู้สึกว่าเขากำลังน้อยเนื้อต่ำใจในความคลางแคลง “ก็เฉพาะแต่กับฝ่าบาทเท่านั้น ท่านสงสัยในความรักของข้าหรือ”

“อย่าน้อยใจไปเลย ยังไงเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียวในใจของข้าเสมอ ข้ารักเจ้าเหลือเกินกรอสเซ่” จูเลียนขยับเข้าหากรอสเซ่ให้ใกล้ชิดกันขึ้น เพราะคนรักดูเหมือนจะนั่งห่างเหลือเกินจนไม่รู้สึกถึงไออุ่นที่ควรได้รับ

“ฝ่าบาททรงงานอยู่ข้าคงมากวน”

“ไม่หรอก เพราะงานพวกนั้นต่างหากที่ทำให้ข้าแทบจะไม่ได้มีเวลาอยู่กับเจ้า” ดวงเนตรสวยสีเขียวนั้นดูเหมือนจะเปลี่ยนสีได้อยู่ตลอดเวลา ตามอารมณ์ของเจ้าตัว ยามโกรธมันจะเป็นสีเขียวเข้มมีประกายรั้นน่ากลัว แต่ยามนี้ที่รักบังตามันกลายเป็นสีเขียวกระจ่างวาววับปานลูกแก้วใสน่ามอง

“ข้าก็อยู่ตรงนี้แล้วไง ข้างๆ ฝ่าบาทตลอดเวลา”

“อย่าทิ้งให้ข้าอยู่คนเดียวอีกนะกรอสเซ่” จูเลียนออดอ้อนเอนร่างโปร่งระหงเข้าหา โดยฝังซีกแก้มข้างหนึ่งซบลงไปกลางอกของกวีหนุ่ม ดวงตาหลับพริ้มซาบซึ้ง เจ้าของอกแอบถ่ายถอนลมหายใจออกมาเบาๆ กรอสเซ่นั่งนิ่งปล่อยให้จูเลียนได้ออดอ้อนอิงแอบอกอุ่นโดยที่มือทั้งสองข้างยังวางอยู่ข้างตัวกำแน่น ทั้งสองเงียบ กวีหนุ่มกำลังพยายามเก็บงำความรู้สึกซ่อนให้ลึกสุด ส่วนหนุ่มน้อยผู้เป็นกษัตริย์เงียบ เพราะกำลังซึมซับเอาทุกความรู้สึกยามอยู่กับคนรักไว้ในใจอย่างซาบซึ้ง

กรอสเซ่กำลังคิดหาเรื่องมาคุยหวังให้จูเลียนผละออกห่างบ้าง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากสักคำ คนที่ต้องการให้ออกห่างก็ยืดขึ้นจากอกเขาเอง

ใบหน้าของจูเลียนบึ้งตึงกระเง้ากระงอด ดวงเนตรสีเขียวมีแววตัดพ้อน้อยใจยามเอ่ยคำถาม “ทำไม”

“ทำไมอะไรหรือฝ่าบาท”

“ก็เจ้านะสิ ทำไมไม่กอดข้าบ้างเลย หรือไม่คิดถึงจริงๆ ” กรอสเซ่คิดถึง! ตอนนี้ยิ่งคิดถึงมาก แต่คนในความคิดกลับไม่ใช่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้า เพราะในหัวของเขานั้นมีแต่สาวน้อยในชุดออกงานยาวกรุยกรายสีแดงกลีบกุหลาบ เนื้อผ้ากำมะหยี่เงางามตัดกับผิวเนื้อนวลผ่องน่าลูบไล้ นางสวยไปทั้งร่างอรชรอ้อนแอ้นที่เขาเคยได้ตระกองกอดพาเต้นรำ

“ข้าแทบรอไม่ไหวแล้ว ถ้าฝ่าบาทจะทรงอนุญาต” กรอสเซ่รีบตีสีหน้าซื่อป้อนคำหวานอย่างที่จูเลียนชอบฟัง ไม่วายหยิบเอานัยแอบแฝงในคำพูด ให้คนฟังรู้สึกว่าที่เขาไม่กระทำล่วงเกินก็เพราะความเจียมตัว และนั่นยิ่งทำให้คนฟังเกิดความหลงใหลได้ปลื้ม อยากกอดอยากออดอ้อนเอาอกเอาใจ

“เราเป็นคนรักกันนะกรอสเซ่ทำไมต้องรอให้ข้าอนุญาตด้วยเล่า”

“เพราะข้ารู้ว่าตัวเองต้อยต่ำเพียงใด แค่จูเลียนเมตตารักข้าเท่านี้ชีวิตก็ไม่ต้องการสิ่งใดแล้วยอดรัก” จูเลียนยิ้มกว้างโถมเข้าหาอ้อมอกของกวีหนุ่ม พักตร์นวลปลั่งแหงนเงยเหมือนไม่อยากละจากอก แต่ก็อยากมองหน้าคนรักให้เต็มตา ละมือข้างหนึ่งจากการโอบกอดลำตัวขึ้นมารั้งต้นคอคนรักให้โน้มลงหา กรอสเซ่ไม่ขัดใจทั้งที่ในใจเขานั้นมันอยากขัดเต็มที

กลีบปากนิ่มเผยอรอรับสัมผัสจากคนรัก กรอสเซ่แนบริมฝีปากตัวเองลงเพียงผะแผ่วแต่ยังผละออกไม่ได้ ด้วยว่าท่อนแขนที่รั้งต้นคอยังไม่ราแรง เขาจำต้องกดเม้มแตะริมฝีปากลงไปบนกลีบปากนุ่มละมุนอย่างเสียไม่ได้ จูเลียนหลับตาพริ้มเลยไม่ได้เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วน ด้วยว่ากรอสเซ่นั้นหาได้มีจิตพิศวาสในตัวชายตั้งแต่แรกไม่ ทุกครั้งที่ริมฝีปากสัมผัสกันก็เพราะจำเป็น ยามต้องแสดงความรู้สึกฉันท์คนรัก แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่จะลึกซึ้งมากไปกว่านี้ ในหัวเอาแต่จินตนาการว่ามันเป็นริมฝีปากอวบอิ่ม ที่แวววาวด้วยขี้ผึ้งกลิ่นหอมสีแดงเรื่อของหญิงสาวหนึ่งเดียวในใจ หาใช่หนุ่มน้อยสูงศักดิ์ที่เขาหวังพึ่งในอำนาจคนนี้ไม่

จูเลียนเม้มกลีบปากนุ่มนิ่มหยอกเย้ากับริมฝีปากของคนรัก ในอกพองโตอิ่มเอมวาดฝัน ความต้องการของร่างกายบอกว่ามันยังไม่เพียงพอ ร่างเพรียวบางขยับเปลี่ยนท่าจนขึ้นนั่งบนตัก เนตรสวยสบกับดวงตาของกวีหนุ่มไม่ปิดบังความต้องการ ระยะห่างของใบหน้าลดลงเรื่อยๆ ตามความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้น จูเลียนตื่นเต้นที่ได้สัมผัสชิดใกล้ หนุ่มน้อยอยากได้รับมากกว่านี้ อยากให้เหมือนวันนั้น วันที่ใครบางคนได้สอนให้รู้จักกับรสชาติใหม่ของสัมผัสที่ลึกซึ้งกว่า จูเลียนอยากเอามาทำกับกรอสเซ่ อยากให้คนรักรู้สึกดีเหมือนที่จูเลียนรู้สึก แม้นั่นมันจะเกิดขึ้นเพราะเผลอไผลไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนรักของตัวเอง

จูเลียนที่กำลังจะมอบจูบหวานล้ำลึกซึ้งชะงักไป ทำไมต้องคิดถึงคนอื่น ทำไมต้องคิดถึงเจ้าคนลึกลับนั่น ทำไมต้องคิดถึงคนที่ทำให้หงุดหงิดเกรี้ยวกราดทุกครั้งที่เจอกัน ทั้งที่คนรักอยู่ตรงหน้า จูเลียนปัดใครบางคนและความรู้สึกที่ได้รับคืนนั้นทิ้งไป ตรงหน้าคือคนรักที่จูเลียนไม่อาจจะละสายตาไปมองคนอื่นได้ คนนี้ต่างหากเป็นหนึ่งเดียวที่ใจปรารถนา จูเลียนสบตาหวานซึ้งสื่อความหมาย แล้วจึงค่อยๆ หลับตาพริ้มลงอีกครั้ง เพื่อมอบจูบหวานล้ำลึกซึ้งกว่าที่เคยทำด้วยกันมา

“จูเลียน!”

“อะไรกรอสเซ่” จูเลียนตกใจจนสะดุ้งที่ต้นแขนทั้งสองข้างถูกยึดไว้แน่นด้วยมือของคนรัก และเสียงเรียกหยุดสัมผัสที่กำลังจะได้แตะต้องกันของริมฝีปาก กษัตริย์หนุ่มน้อยมองหน้าคนรักอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไม เจ้าไม่อยากจูบข้าหรือไง”

“อภัยด้วยยอดรัก ข้า...” กรอสเซ่หายใจหอบเพราะเขาเกือบจะคุมตัวเองไม่ได้ เกือบผลักจูเลียนออกอย่างแรง ดีที่ยั้งมือได้ทัน

“ทำไมกรอสเซ่”

“ข้า..แค่มีเรื่องกังวลใจ และกลัว” ใครบางคนบอกว่าการพูดควรมองตากันเพื่อแสดงถึงความจริงใจ แต่แม้กรอสเซ่จะไม่มีความจริงใจสักนิด ก็ยังคงสบตาจูเลียนเหมือนกำลังต้องการสื่อความหมายบางอย่าง ขณะที่ในหัวสรรหาคำพูดสวยหรูให้ฟังดูน่าเชื่อถือ

“เจ้ามีเรื่องอะไรให้กังวลใจบอกข้ามาสิ เจ้ากลัวอะไรอยู่ใครมันกล้าทำอะไรเจ้า”

“ข้ากลัวว่าจะทำให้ฝ่าบาทเสียเวลาทรงงาน คนอื่นจะตำหนิเอาได้แล้วก็..”

“แล้วก็อะไร หืม..”

“เรื่องการสร้างปราสาทไงฝ่าบาท ปราสาทบนเชิงเขาใกล้ทะเลสาบของฝ่าบาท ท่านไม่อยากไปดูความคืบหน้าของมันหรอกหรือ”

“ปราสาทของเราต่างหากกรอสเซ่” กวีหนุ่มเอารอยยิ้มอ่อนโยนใสซื่อมาประดับใบหน้า สายตาหวานเชื่อมราวกับกำลังซาบซึ้งหัวใจในสิ่งที่ได้ยิน มือที่เปื้อนคราบหมึกกอบกุมกระชับมือเรียวอย่างทะนุถนอม

“จูเลียนของข้าช่างกรุณาเหลือเกิน”

“อย่าลืมสิว่าเราเป็นเจ้าของร่วมกัน เจ้าเป็นคนคิดออกแบบมันออกมาจากจินตนาการ ข้าเป็นคนสั่งให้ลงมือสร้าง มันจะเป็นปราสาทของเรา เอวาเลียนจะเป็นรังรักของเราสองคน” จูเลียนฝังซีกแก้มข้างหนึ่งลงที่กลางอกของกวีหนุ่มอีกครั้ง และครั้งนี้ได้รับความอบอุ่นตอบกลับมาจากอ้อมกอดที่เคยเรียกร้อง หนุ่มน้อยยิ้มละไมหลับตาลงรับความสุขล้นปรี่

“เราไปดูกันเถอะจูเลียน ข้าอยากเห็นมันเหลือเกิน”

“แต่..” จูเลียนผละออกจากอกอุ่นคิดหนัก ด้วยว่ารับปากพี่ชายแล้วว่าจะไม่ออกไปไหนไกลจากปราสาทและเมืองหลวง

“ทำไมล่ะ หรือฝ่าบาทไม่อยากเห็นกับตาว่ามันสวยมากแค่ไหน”

“ข้าอยากเห็น”

“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ ข้าก็อยากเห็นมันเหลือเกินอยากเห็นพร้อมๆ กัน พาข้าไปดูมันหน่อยได้หรือไม่ยอดรักของข้า” กวีหนุ่มยกสองมือของจูเลียนที่กำลังกอบกุมขึ้นมาจรดริมฝีปากอีกครั้ง เพียงเท่านี้ใจดวงน้อยก็อ่อนยวบลงราวกับขี้ผึ้งยามถูกไฟลน คำหวานที่เว้าวอน สายตาที่ออดอ้อน จูเลียนไม่อาจต้านทาน ไม่อาจนิ่งดูดายต่อคำร้องขอ

“แน่นอนเราจะไปด้วยกัน ข้าจะให้เซอร์เลนนี่จัดการให้ ไม่สิเซอร์เลนนี่ไม่อยู่นี่นา” กรอสเซ่ตาวาวกับสิ่งที่จูเลียนพลั้งปากออกมาโดยไม่รู้ตัว ว่าได้เผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดให้คนอื่นได้ยิน ด้วยไว้ใจในตัวคนรักจูเลียนไม่ได้เอะใจหรือคิดอะไรมากไปกว่าการคุยกันธรรมดา เพราะไม่เคยคิดว่ากรอสเซ่เป็นคนอื่น คนรักสำหรับจูเลียนก็คือคนรักจะเป็นอื่นไปได้อย่างไร

“ข้าจะให้เซอร์เฮนริชเตรียมทุกอย่าง เราจะเดินทางทันทีที่พร้อม เจ้าพอใจหรือไม่กรอสเซ่”

“ข้าพอใจที่สุดยอดรักของข้า” กวีหนุ่มยิ้มสมใจรั้งจูเลียนเข้ามากอดแนบอก ยกมือขึ้นลูบเส้นผมยาวสีน้ำตาลอ่อนนุ่มอย่างเอาใจ ใครจะมีความสุขได้เท่าเขาไม่มีอีกแล้ว เพราะเขากำลังจะสมหวัง กรอสเซ่กำลังจะสมหวัง



*******************



“ลีโอ”

“...” ราเชลขมวดคิ้วสงสัยที่เห็นลีโอเดินหน้างอออกมาจากห้องทรงงานของจูเลียน พอเหลือบตาไปมองเดรทิชที่ยืนอยู่อีกมุม เพื่อนรักก็ทำเพียงยักไหล่เหมือนจะบอกว่า ลีโอก็หน้างอแบบนี้อยู่บ่อยๆ นั่นแหละ

“โดนฝ่าบาทดุมาอีกแล้วหรือไง”

“เซอร์ราเชลฝ่าบาทไล่ข้าออกมา ยามท่านกรอสเซ่มาทีไร ฝ่าบาทก็ไม่อยากให้ลีโออยู่ด้วยทุกที” พูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่งอง้ำอยู่แล้วยิ่งงอไปกันใหญ่ ลีโอหน้างอไม่ใช่เพราะความโกรธแต่เป็นเพราะน้อยใจ เป็นความน้อยใจแบบเด็กๆ ที่กลัวจะไม่ได้อยู่ดูแลรับใช้ใกล้ชิดเจ้านายที่รัก ลีโอน้อยใจมากจนส่งสายตาค้อนให้อัศวินทั้งสอง ราวกับว่าได้ส่งไปให้จูเลียนโดยตรง แม้กระทั่งเฮนริชที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ยังได้รับ

“กรอสเซ่เป็นคนรัก ฝ่าบาทก็ต้องอย่างอยู่กับคนรักตามลำพังบ้างเจ้าจะน้อยใจทำไมล่ะลีโอ”

“ข้าไม่ได้น้อยใจนะเซอร์เดรทิช” ลีโอเถียงเสียงขุ่นแต่ไม่ยอมมองหน้าใคร “ข้าแค่ไม่อยากให้ฝ่าบาทอยู่กับท่านกรอสเซ่ลำพัง”

“ใครเจ้าก็ไม่อยากให้อยู่ลำพังกับฝ่าบาทโดยไม่มีเจ้าอยู่ด้วยทั้งนั้นแหละลีโอ” ราเชลตั้งข้อสังเกตอย่างนึกสนุก เพราะมีนิสัยขี้เล่นคล้ายเลนนี่ ส่วนเดรทิชแม้จะไม่ค่อยพูดมาก แต่ก็ไม่ได้เงียบขรึมเท่าเฮนริช

“มันไม่เหมือนกันนี่ กับพวกท่านข้าไม่เห็นเคยรู้สึกแบบนั้น แต่...”

“แต่อะไร”

“แต่กับท่านกรอสเซ่ข้า...” ลีโอถอนหายใจท่าทางเหมือนคนกำลังคิดไม่ตก

“หืม เจ้าทำไมละลีโอ” ราเชลเดินมาโอบเด็กน้อยด้วยการวางท่อนแขนพาดไหล่ ทิ้งมือใหญ่ไว้บนศีรษะเล็กโยกเบาๆ อย่างนึกเอ็นดู

ลีโอถอนหายใจอีกครั้งตัดสินใจพูดอย่างที่ตัวเองรู้สึก “ข้ารู้สึกเหมือนเขาไว้ใจไม่ได้ ไม่รู้ล่ะข้าไม่อยากให้ฝ่าบาทอยู่กับท่านกรอสเซ่สองต่อสอง”

“เดี๋ยวเจ้ามีคนรักเจ้าจะรู้เองนั่นแหละ ว่าทำไมฝ่าบาทถึงได้อยากอยู่กับกรอสเซ่สองต่อสอง” ลีโอฟังราเชลพูดแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองเฮนริชที่ยืนฟังเงียบๆ แต่ลีโอก็ต้องรีบก้มหน้าหลบอย่างรวดเร็ว เพราะสายตาคมดุของเฮนริชก็กำลังจ้องมองมาที่ลีโออยู่พอดี

“หึ อย่าคิดมากน่าลีโอ”

“ข้าไม่ได้คิดมาก ข้าแค่รู้สึก แล้วเมื่อไหร่ท่านจะปล่อยข้าสักทีเซอร์ราเชลมันหนักนะ” ลีโอหมายถึงท่อนแขนที่พาดบนไหล่และฝ่ามือที่วางบนหัว บางทีราเชลก็ขยับมือเบาๆ แต่นั่นเล่นเอาลีโอหัวสั่นหัวคลอนเลยทีเดียว

ราเชลยอมปล่อยไม่ใช่เพราะคำประท้วงของเจ้าตัว แต่เพราะสายตาดุที่ได้รับต่างหาก ลีโอหันมามองราเชลตาขวางไม่พอใจ แล้วจึงเดินไปนั่งหน้างอคนเดียวที่บันไดทางขึ้นปราสาท หันหน้าออกไปทางสวนดูต้นไม้ดอกไม้ เผื่อความน้อยเนื้อต่ำใจมันจะลดลงได้บ้าง เฮนริชมองราเชลส่ายหน้าให้น้อยๆ แล้วเดินเข้าไปหาเดรทิช ราเชลจึงตามมาคุยด้วยอีกคน แต่คุยกันได้ไม่นานจูเลียนก็มาขัดเสียก่อน

“เซอร์เดรทิชข้ามีงานให้ท่านทำ”

“ฝ่าบาท” เดรทิชแสดงความเคารพรอรับคำสั่ง

“นิโคลไปสวาเนียร์กับทหารไม่กี่คน ข้าอยากให้ท่านตามไป”

“ข้าจะเดินทางเร็วที่สุดฝ่าบาท”

“อ้อ อย่าให้นิโคลรู้ล่ะ คอยดูห่างๆ ก็พอ แล้วอย่าลืมจับตาดูความเคลื่อนไหวของทางนั้นด้วย ท่านเข้าใจไหมเซอร์เดรทิช เหมือนที่เซอร์เลนนี่ไปมอนทาร์น่า”

“รับทราบฝ่าบาท ถึงแม้ข้าจะไม่รู้จักชาวสวาเนียร์ดีเหมือนที่เลนนี่รู้จักชาวมอนทาร์น่า แต่จะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง” ทุกคนอมยิ้ม ไม่เว้นแม้กระทั่งเฮนริชคนพูดน้อยยังอดยิ้มตามไม่ได้ กับคำพูดกระแนะกระแหนของเดรทิช แม้คนที่พาดพิงถึงจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย เพราะเลนนี่กำลังเตรียมตัวเดินทาง

“ขอบใจท่าน แล้วนี่ลีโอหายไปไหน” ดวงตาสามคู่ของเหล่าอัศวินมองไปยังบันไดที่ลีโอนั่งเหงาอยู่คนเดียว จูเลียนยิ้มขำรู้ดีว่าลีโอเป็นอะไร

“ฝ่าบาทข้าขอถามได้หรือไม่”

“ถามอะไรเหรอเซอร์เฮนริช”

“ทำไมฝ่าบาทถึงอยากให้เดรทิชไปสวาเนียร์” เป็นคำถามที่ราเชลกับเดรทิชกำลังสงสัยอยู่เช่นกัน

“ข้าเป็นห่วงพี่ชายข้านี่ อีกอย่างหากเราจับตาดูมอนทาร์น่าทำไมเราไม่ดูสวาเนียร์ด้วยล่ะ เวลานี้เราไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง” แต่จูเลียนกลับไว้ใจกรอสเซ่

เพราะนิโคลไปอย่างเปิดเผย แถมยังต้องแต่งงานกับอานาสตาเซีย อาจจะทำอะไรได้ไม่สะดวก ซึ่งข้อนี้เฮนริชคิดไว้แล้ว เขาอยากให้มีใครที่ไว้ใจได้ไปหาข่าวที่สวาเนียร์ เหมือนที่ให้เลนนี่ไปมอนทาร์น่า คิดว่าจะส่งใครสักคนไปทีหลัง ไม่คิดว่าจูเลียนจะอยากให้เดรทิชเป็นคนไป จริงๆ เขาไม่คิดว่าจูเลียนจะคิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

“อ้อเกือบลืม เซอร์เฮนริช เตรียมคนของเราให้พร้อมข้าจะไปเอวาเลีย”

“ฝ่าบาทจะไปทำไม” ราเชลถามหลังจากสบตากับเพื่อนอัศวินทั้งสองที่มีสีหน้าหนักใจไม่แพ้กัน

“ทางนั้นรายงานมาว่าการสร้างปราสาทเอวาเลียนคืบหน้าไปมากแล้ว ข้ากับกรอสเซ่เลยอยากไปดู”

“แต่ฝ่าบาท ข้าเกรงว่าคงไม่เหมาะที่จะไปตอนนี้” เฮนริชแย้ง

“ทำไมจะไม่เหมาะ ไปตอนนี้ล่ะดีที่สุด ข้าจะไปพักแรมที่นั่นด้วย เตรียมการไว้ข้าจะเดินทางทันทีที่พร้อม”

“ฝ่าบาทข้าไม่เห็นด้วย” ราเชลแย้งอีกเสียง

“ข้าไม่ได้ถามความเห็นท่านนะเซอร์ราเชล พวกท่านรีบไปเตรียมคนเลย”

“แต่..”

“ไม่ต้องมีแต่อะไรทั้งนั้นข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไป! “จูเลียนบอกเสียงเด็ดขาด ความดื้อดึงเอาแต่ใจฉายชัดผ่านพักตร์เชิดหยิ่งและดวงเนตรมุ่งมั่น พูดจบก็เดินกลับเข้าไปในห้องทรงงานโดยไม่รอฟังคำคัดค้านใดๆ จากใครทั้งนั้น เพราะคนรักรอฟังคำตอบอยู่





ป้อมปราการทิศตะวันออก

“เจ้ายังไม่เดินทางอีกหรือไง” เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังเรียกความสนใจจากคนที่กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมของใช้จำเป็นใส่ลงในถุงหนัง ที่มัดติดเข้ากับอานม้าให้หันมามอง

“ทำไมล่ะ” เลนนี่หันมาจ้องหน้าเจ้าของเสียง ใบหน้าหล่อขี้เล่นเปลี่ยนเป็นสงสัยทันที “สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเท่าไหร่นะเฮนริช”

“จูเลียนจะไปเอวาเลีย” เฮนริชเข้าประเด็นทันทีจนมือที่กำลังเร่งจัดของหยุดชะงัก

“เมื่อไหร่”

“เร็วๆ นี้แหละ”

“ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่ พวกเจ้าทั้งสามคนรับมือไหวอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

“เดรทิชถูกสั่งให้ตามนิโคลไปสวาเนียร์”

“หืม ใครสั่ง”

“จูเลียนนั่นแหละ”

ได้ยินอย่างนี้ความหนักใจก็ฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าหล่อขี้เล่นของเลนนี่ทันที “ใครวางแผนนี้วะ”

“ข้าไม่รู้จูเลียนเพิ่งสั่งลงมา” ทั้งสองต่างรู้ดีพอกัน ว่าการเดินทางของจูเลียนครั้งนี้เสี่ยงมากขนาดไหน ถึงจะพยายามคัดค้านแต่ลองจูเลียนได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ก็ไม่มีใครห้ามไว้ได้ “ข้าไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ จูเลียนนึกอยากไปเอวาเลีย”

“ปราสาทนั่นก็สร้างใกล้เสร็จแล้วไม่ใช่หรือไง จูเลียนอาจจะอยากไปดูจริงๆ ก็ได้”

“แต่ก็ไม่น่าจะรีบไปแบบนี้ไม่ใช่หรือไง”

อัศวินทั้งสองยืนมองตากันเงียบๆ เพราะกำลังใช้ความคิด จนผ่านไปเป็นครู่เลนนี่จึงตัดสินใจพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ฮานส์ร่วมขบวนเสด็จไปเอวาเลียด้วย”

“คนพเนจรคนนั้นหรือเลนนี่ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” เฮนริชหน้าเครียด “คนที่บังอาจปักมีดลงต่อหน้ากษัตริย์ต้องโทษถึงชีวิต แต่เพื่อนของเจ้าก็ยังเดินลอยชายหนีหน้าตาเฉย ดีแล้วที่จูเลียนไม่ให้ตามไปจับตัวมา แล้วเจ้ายังจะให้มาร่วมขบวนเสด็จอีกหรือไง เจ้าคิดว่ามันง่ายหรือไงเลนนี่ ข้าไม่ไว้ใจเขาหรอก”

“เจ้าเชื่อใจฮานส์ได้เฮนริช เขา..” สีหน้าของเลนนี่ก็เคร่งเครียดไม่น้อยไปกว่ากัน แต่ตัดสินใจไม่พูดต่อ

“เขาปักมีดลงตรงหน้ากษัตริย์ที่เจ้าสาบานจะปกป้อง!” เฮนริชบอกเสียงแข็งดวงตาวาวโรจน์เหมือนมีไฟลุกโชนอยู่ในนั้น เขายังโกรธเรื่องที่ฮานส์เคยปักมีดลงต่อหน้าจูเลียน เพียงแต่จูเลียนบอกว่าไม่ยอมเขาจะตามล่าฮานส์ด้วยตัวเอง แต่วันนั้นจูเลียนกลับเฉยและปล่อยผ่าน เฮนริชจึงทำได้เพียงเก็บความไม่พอใจการกระทำของฮานส์ไว้รอเวลาชำระคืน

เรื่องฝีมือไหวพริบด้านการต่อสู้อัศวินทั้งสี่ไม่เป็นรองใคร แต่ก็ไม่เคยประมาท เพราะความปลอดภัยของจูเลียนต้องมาก่อนทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรหรือไปไหน สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก คือความปลอดภัยของจูเลียนเท่านั้น

“เฮนริชถ้าเจ้าไว้ใจข้า เจ้าก็ไว้ใจฮานส์ได้ข้ารับรอง” เฮนริชเงียบ ระหว่างเขากับเลนนี่ เดรทิช และราเชล ผ่านสมรภูมิเสี่ยงตายมาด้วยกันเกือบจะทั้งชีวิต ตั้งแต่ถูกส่งตัวเข้ามาเป็นอัศวินฝึกหัดจนถึงวันนี้ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นให้พิสูจน์น้ำใจกันนับครั้งไม่ถ้วน ว่าทั้งสี่สามารถตายแทนกันได้โดยไม่เสียดายชีวิต กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ช่วยชีวิตกันไม่เคยทวงถาม อยู่ด้วยกันมาเป็นเหมือนเพื่อนเหมือนคนในครอบครัว จึงไม่ต้องสงสัยในความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อกันและกัน

“พูดถึงข้าทำไม” เสียงที่ดังขึ้นไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใคร

“เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วยสักหน่อย”

“ข้าไม่ช่วย” ฮานส์ให้คำตอบโดยไม่หยุดคิดด้วยซ้ำ เพราะเขาได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วอย่างไม่ตั้งใจ แค่จะเดินมาหาเลนนี่แต่เห็นทั้งสองคุยกันเคร่งเครียดฮานส์ยืนรอ ไม่ได้ตั้งใจแอบฟังแต่มันบังเอิญได้ยิน

“มันจำเป็นฮานส์ ข้าขอร้องเจ้า” เลนนี่บอกจริงจัง อัศวินหนุ่มสบตาเพื่อนรักบอกความนัยบางอย่างมากับแววตาคมคู่นั้น ที่ฮานส์เห็นแล้วต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ ไม่ปิดบังท่าทางเหนื่อยหน่าย ฮานส์รักอิสระจึงเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดไม่น้อยหากเขาจะต้องตามดูแลปกป้องใครสักคน

“ไม่ต้องหรอกเลนนี่ เราไม่ต้องการความช่วยเหลือของเขา”

“เป็นถึงอัศวินผู้ทรงเกียรติของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ คงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนต้อยต่ำอย่างข้าหรอก”

“พอเถอะน่าทั้งสองคนนั่นแหละ” เลนนี่ตัดบท “จูเลียนจะเดินทางวันไหน”

เฮนริชใช้หางตามองฮานส์อย่างระแวงเพราะยังไม่ไว้ใจ แต่ก็ตอบคำถามของเลนนี่ ซึ่งนั่นแสดงว่าเขายอมรับ “น่าจะพรุ่งนี้”

“เอาเป็นว่าเจ้าปลอมตัวเป็นทหารคอยช่วยเฮนริชก็แล้วกัน ส่วนเจ้าหาชุดทหารให้เขาด้วย”

“ใครบอกว่าข้าจะปลอมเป็นทหาร ข้าจะไปของข้าเอง”

“แต่เจ้าจะไปกับจูเลียนใช่ไหมฮานส์” ฮานส์ไม่ตอบในทันทีเพราะกำลังทำสงครามทางสายตากับเฮนริช ที่มองตอบเขาไม่ลดละ ชายพเนจรผู้ไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องอันใดแสยะยิ้มให้อัศวินหนุ่มผู้เงียบขรึม แค่เห็นแววตาลุกโชนร้อนรนภายใต้ท่าทางที่ดูนิ่งขรึมฮานส์ก็ชักสนุกแล้ว

“ข้าไปก็ได้ แต่ไม่สัญญาหรอกนะว่าจูเลียนของเจ้าจะปลอดภัย”

“แต่เจ้าจะปกป้องใช่ไหมหากมีภัย” คำถามนั้นดังเข้ามาในหัวและก้องกังวานอยู่ในนั้น ปกป้อง เจ้าจะปกป้องใช่ไหม..? ปกป้องยามมีภัย...

ชายพเนจรหันไปมองเพื่อนรัก ตอนนี้แววตาของเลนนี่มีแต่ความจริงจัง ฮานส์เพียงยักไหล่ แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเลนนี่ เขารู้ว่าฮานส์ไม่มีวันผิดคำพูด เลนนี่รู้ดีว่าฮานส์จะช่วยสุดความสามารถหากจูเลียนมีภัย แต่ที่เพื่อนรักไม่สัญญาว่าจะปลอดภัย เพราะใครๆ ก็มีโอกาสทำผิดพลาดกันได้ทุกคน เลนนี่รู้ว่าฮานส์จะทำให้ดีที่สุด เขาไว้ใจและเฮนริชก็รู้สึกถึงมันได้ แม้สิ่งที่ฮานส์พูดจะทำให้เกิดความคลางแคลงอยู่ไม่น้อยก็ตาม

“เลนนี่ที่จริงเราไม่ต้อง...”

“เฮนริชเชื่อข้าเถอะ อย่างน้อยให้ฮานส์คอยดูอยู่ห่างๆ ก็ยังดี ไม่อย่างนั้นข้าคงไปมอนทาร์น่าไม่ได้” สองอัศวินสบตากันนิ่ง “ข้าไม่จำเป็นต้องไปสักนิดเจ้าก็รู้”

“แต่มีคำสั่งมาแล้ว และนิโคลเห็นด้วย” เฮนริชค้าน

“ทำให้เราต้องการฮานส์” ยามนี้แววตาขี้เล่นของเลนนี่ที่เห็นอยู่เป็นนิตย์ไม่มีอีกแล้ว นอกจากความจริงจังเคร่งเครียด “ข้าว่ามันต้องรู้และมันต้องเกิดขึ้นแน่ และข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้ายังไม่วางใจ”

เฮนริชคิดหนัก ถึงอัศวินทั้งสองจะไม่ได้พูดกันออกมาตรงๆ แต่สิ่งที่กำลังสงสัยตรงกันตอนนี้ก็คือ ฝ่ายตรงข้ามที่กำลังปองร้ายกษัตริย์รู้เรื่องนี้หรือยัง แต่ต่อให้ยังไม่รู้การเดินทางไปเอวาเลีย ที่จูเลียนเลือกให้เป็นสถานที่สร้างปราสาทเอวาเลียน ก็ต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะเดินทางถึง แค่จูเลียนเตรียมออกเดินทางยังไงก็ต้องรู้กันทั่วอยู่แล้ว การวางแผนเร่งด่วนทีหลังไม่ใช่เรื่องยาก

เลื่อนลงต่อ ค่ะ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

“คลาอัส อ๊ะ”

“ยอดรัก ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”

“ข้าก็คิดถึงท่านเช่นกันคลาอัส อื้อ อ่า” ริมฝีปากสวยของนางถูกปิดไว้ด้วยจูบดูดดื่มของชายหนุ่ม ที่ประกบจูบลงมาราวกับคนหิวกระหาย ร่างเพรียวระหงมีกำแพงหินเป็นที่พิงหลัง และร่างแกร่งสมชายเป็นที่ยึดเหนี่ยวโอบกอด ตัวนางโยกคลอนขึ้นลงไปตามจังหวะกระแทกกระทั้นอย่างเร่าร้อน อาภรณ์เนื้อดีที่สวมใส่หลุดลุ่ยเปิดเปลือยนวลเนื้อบางส่วนอย่างน่ามอง ขาข้างหนึ่งของนางเขย่งยืนปักหลักบนพื้นมั่น ส่วนอีกข้างถูกรั้งขึ้นด้วยท่อนแขนแข็งแรง จนกระโปรงร่นลงเผยให้เห็นต้นขาขาวเนียน และส่วนลึกลับของร่างกายที่ความเป็นชายกำลังรุกรานระเริงรัก ร่างกายแข็งแกร่งของชายหนุ่ม ยังมีเสื้อผ้าอยู่บนร่างครบทุกชิ้น แต่เชือกหนังที่ร้อยสาบเสื้อหลุดลุ่ยไม่เป็นระเบียบ กางเกงถูกรั้งลงไว้ใต้สะโพกปล่อยร่างกายให้ออกมาเพียงส่วนที่ต้องใช้ ทำให้หญิงสาวครางกระเส่าปากสั่น

ท่ามกลางดอกไม้ในสวนเป็นพยานความเร่าร้อน คู่หญิงชายลักลอบเล่นรักในที่ลับตา อำพรางด้วยต้นไม้ประดับ และชั้นหินสกัดรูปร่างต่างๆ ให้เป็นน้ำตกจำลองฝังเข้าไปในกำแพงได้อย่างกลมกลืน แต่กระนั้นเสียงแห่งความหฤหรรษ์ปนหอบที่ดังออกมา ก็ดังจนเรียกใครบางคนที่บังเอิญเดินผ่านให้หยุดฟัง เสียงพร่ำบอกคำรักของหญิงสาวคุ้นหู จนต้องรีบพรางตัวให้เนียนไปกับพุ่มไม้ ดวงตาสวยกวาดมองอย่างระวังจนเจอที่มาของเสียงครางสุขสม ภาพที่เห็นเล่นเอาเจ้าของดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างนิ่งอึ้ง รู้สึกถึงความเย็นเฉียบกระจายไปทั่วร่างเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็นๆ

“อานาส...” เสียงแผ่วหลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มรูปกระจับได้เพียงเท่านั้น ราวกับว่าเจ้าตัวสิ้นไร้เรี่ยวแรง ไม่มีแม้แต่พลังจะเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูด แต่ก็ดีแล้ว หากคู่ชายหญิงที่กำลังร่วมรักเห็นว่ามีบุคคลที่สามร่วมรับรู้คงไม่เหมาะนัก

เหมือนร่างกายถูกบีบให้อึดอัดกดดันจนสั่นออกมาจากข้างใน เหมือนกับว่าตัวเองสะท้านไปทั้งตัว ภาพความเร่าร้อนจากการกอดรัดสัมผัสลึกซึ้งที่ประจักษ์ต่อสายตา เล่นเอาลอเรนอึ้งจนพูดไม่ออก สองขาก้าวถอยหลังให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ห่างออกมาจากตรงนั้น สวนแห่งนี้อยู่ภายในปราสาทที่สร้างขึ้นบนหน้าผาสามารถเข้าออกได้ทางเดียว และนั่นคือจุดหมายปลายทาง ลอเรนต้องมั่นใจว่าจะไม่มีใครได้ผ่านเข้ามาเห็นสิ่งที่ไม่ควรมีใครเห็นนี้ ลอร์ดหนุ่มตั้งใจจะเดินไปเฝ้าที่ประตูทางเข้าไว้

ทางออกจากสวนอยู่ตรงหน้าเดินไม่ถึงสิบก้าว แต่ขาทั้งสองข้างพลันต้องหยุดชะงักลง ราวกับมีลูกตุ้มเหล็กหนักๆ ถ่วงไว้ เพราะคนที่กำลังก้าวเดินเข้ามาในบริเวณสวน เป็นบุคคลที่ไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้มากที่สุด

“ลอร์ดนิโคล! “ลอเรนตกใจแทบสิ้นสติ ริมฝีปากอิ่มอ้าค้างตาเบิกโพลง

“เจ้ามาเดินเล่นชมสวนหรือลอเรน” นิโคลถามยิ้มๆ นัยน์ตาเป็นประกาย เขาเดินทางมาถึงสวาเนียร์ได้สามวันแล้ว และนับตั้งแต่มาถึงลอเรนก็เอาแต่หลบหน้ากันอยู่ตลอด

“ใช่ ข้า เอ่อ ใช่มาชมสวน ท่านล่ะจะมาชมสวนเหมือนกันหรือไง แต่...” ลอเรนกัดปากตัวเองแน่นจนคนที่จับตามองอยู่ชักห่วง กลัวว่ากลีบปากอิ่มสีสดเป็นกระจับสวยจะได้เลือด

“แต่อะไร”

“ข้าว่า...ตอนนี้ เอ่อ ข้า..คิดว่า” ลอเรนพูดไม่ออกเพราะคิดหาคำพูดไม่ทัน แน่นอนว่ามันต้องเป็นคำพูดโกหกที่ลอเรนก็ไม่ถนัดด้วย

นิโคลยิ้มให้กับท่าทางร้อนรนของคนตรงหน้า ปากสั่นมือสั่นไปหมด จนดูแล้วคงสั่นไปทั้งตัว “เจ้าเป็นอะไรไปหรือลอเรนไหนพูดดีๆ สิ”

“ข้าไม่เป็นไร แล้วท่านล่ะจะไปไหน”

“หืม” นิโคลกวาดตามองไปรอบๆ เดินเข้ามาในสวนจะให้ไปไหนได้ “ท่าทางเจ้าดูแปลกๆ นะลอเรน”

“ท่านอยากดูทะเลไหมลอร์ดนิโคล อยากให้ข้าพาไปไหม” ลอเรนเดินเข้าไปหาร่างสูงที่ยืนสง่าอยู่ตรงหน้าเม้มปากแน่น สายตาจับอยู่ที่ข้อมือของอีกฝ่ายเหมือนกำลังชั่งใจ นิโคลแปลกใจกับการกระทำของลอเรน แต่ก็ยังยืนเงียบรอดูว่าเจ้าของดวงตาสีฟ้ากระจ่างกำลังจะทำอะไรแน่ ความแปลกใจอยู่ได้ไม่นาน เมื่อลอเรนทำท่าเหมือนตัดสินใจได้แล้ว ด้วยการถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเดินเข้ามาประชิดจับข้อมือของนิโคล ดึงให้เดินออกไปจากบริเวณสวน แต่เจ้าของร่างสูงกลับไม่ยอมตามออกไปแต่โดยดี

“เดี๋ยวก่อนเจ้าจะรีบไปไหนลอเรน” นิโคลขืนตัวเองไว้ถามยิ้มๆ แววตาใสซื่อที่ดูร้อนรนของเจ้าชายผู้อ่อนไหวน่าแกล้งน้อยเสียเมื่อไหร่ แม้ในบางครั้งลอเรนจะดูเด็ดขาดแต่ก็แค่ภายนอก อย่างตอนที่เอามีดจ่อกลางอกตรงตำแหน่งหัวใจเขานั่นไง ที่ทำไปก็คงแค่ขู่ จะให้แทงจริงๆ คงไม่กล้า

“ดูทะเล”

“ข้าบอกเจ้าแล้วหรือไงว่าอยากไปดูทะเล”

“เอ่อ..” แก้มขาวราวน้ำนมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ ลอเรนหลบสายตาที่มองอย่างรอคำตอบ ท่าทางทำตัวไม่ถูกเรียกรอยยิ้มและสายตาเอ็นดูได้ทันที แต่พอคนทำตัวไม่ถูกเงยหน้าขึ้นรอยยิ้มนั้นก็พลันหายไปทันทีเช่นกัน

นิโคลแกล้งทำสีหน้าจริงจัง “ทำไมอยู่ดีๆ อยากพาข้าไปดูทะเล ดูสวนไม่ได้หรือลอเรน”

“ก็..ท่านเป็นแขกบ้านแขกเมือง”

“แล้วไง”

“ข้าต้องดูแล”

“หลังจากที่เจ้าพยายามหลบหน้าข้ามาหลายวันนี่นะ”

“ข้า..” ลอเรนก้มหน้าไม่กล้าสบตาด้วยรู้สึกผิด เพราะเป็นความจริงอย่างที่นิโคลบอก ตั้งแต่ลอร์ดแห่งออสเซนเทียเดินทางมาถึง ลอเรนก็คอยหลบหน้าอยู่ตลอด นอกจากเวลาที่ต้องคุยปรึกษาเรื่องงานแต่งงานของนิโคลกับอานาสตาเซีย ทั้งสองก็แทบไม่ได้เจอกันเลย

“อภัยข้าด้วยถ้าทำให้ท่านไม่พอใจ”

“ถ้าอย่างนั้นสัญญามาก่อนสิว่าจะไม่หลบหน้ากันอีก อย่าใจร้ายกับข้านักสิลอเรน” นิโคลก้มลงมองตาลอเรนที่พยายามหลบไม่มองตอบ ลอร์ดแห่งออสเซนเทียยิ้มมุมปากน้อยๆ เอ่ยต่อ “ข้าเดินทางมาไกลนอกจากคนของข้าแล้ว ที่นี่ข้าไม่ก็รู้จะพูดคุยกับใครอีกแล้วนะ เจ้ายังจะหลบหน้าข้าอีกหรือ”

ลอเรนรู้สึกผิดจนอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่ตัวสูงกว่าไม่มาก แววตาตัดพ้อกับสีหน้าหม่นๆ ของนิโคล เล่นเอาใจดวงน้อยอ่อนยวบลงไปมากทีเดียว จากที่ว่าจะไม่สนใจ จากที่ว่าจะเว้นระยะห่างให้ดูเหมาะสม จากที่คิดว่าแบบนี้มันดีมากแล้วกับหัวใจของตัวเอง แต่กลายเป็นว่า นั่นทำให้รู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเก่า ตอนลอเรนไปออสเซนเทียนิโคลดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีในทุกเรื่อง พาเที่ยว พาไปดูงาน ดูวิถีชีวิตหลายอย่างที่น่าสนใจ ที่ลอเรนสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในงานที่บ้านเมืองของตัวเอง คิดมาถึงตรงนี้ลอเรนรู้สึกผิด ภาพความเร่าร้อนในสวนที่เพิ่งได้ประจักษ์ผุดขึ้นมาในหัว ยิ่งทำให้รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น นิโคลกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานเร็วๆ นี้แท้ๆ แต่ว่าที่เจ้าสาวกลับไประเริงรักอยู่กับชายอื่น ลอเรนสงสารนิโคลแต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ นอกจากคิดว่าจะพยายามดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี หวังให้เป็นการชดเชยได้

“ข้าสัญญา”

ลมยามบ่ายที่หอบเอากลิ่นทะเลชื้นๆ ปนเค็มตีเข้าสู่ชายฝั่ง ให้ความรู้สึกสดชื่นอยู่ไม่น้อย หาดทรายสีขาวสะอาดทอดตัวยาวไปจนสุดที่โขดหินกลุ่มใหญ่ริมฝั่ง เหนือขึ้นไปเป็นภูเขาหิน หน้าผาสูงชันตระหง่านต้านลมมาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย และบนนั้นคือที่ตั้งของปราสาทบนชะง่อนผาที่ดูยิ่งใหญ่ตระการตา ขอบหน้าผาถูกสร้างต่อเติมขึ้นเป็นกำแพงสูงระดับเอวกั้นเป็นระเบียง มองลงไปเบื้องล่างคือโขดหินและคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ร่างสูงสง่าของลอร์ดหนุ่มยืนท้าลมจนเสื้อคลุมปลิวสะบัด เบื้องหน้าของเขาคือท้องละเลกว้างใหญ่ สายตามุ่งมั่นจับอยู่กับลำเรือขนาดต่างๆ ที่จอดเทียบท่าในอ่าว ฝั่งตะวันออกของหาดเป็นท่าเรือใหญ่แห่งเดียวของเมือง

“ท่านชอบทะเลหรือไม่ ลอร์ดนิโคล” เสียงทักดังขึ้นเรียกลอร์ดหนุ่มให้หลุดออกมาจากภวังค์ความคิด รอยยิ้มประดับใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลายามเอ่ยตอบ ขณะที่คนถามก้าวเข้ามาหา

“แน่นอนว่าข้าชอบทะเลมากท่านหญิง แล้วท่านล่ะคิดถึงหิมะที่ออสเซนเทียหรือไม่” นิโคลถามกลับ สายตาจับอยู่พักตร์นวลปลั่งของเจ้าหญิงอานาสตาเซีย ลอร์ดหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนสะดุดอะไรบางอย่าง ที่ได้เห็นใบหน้านวลปลั่งของนางใกล้ๆ รอยยิ้มของนางดูฝืดฝืนเต็มที

“ถึงจะชอบหิมะอยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับว่าอากาศที่หนาวเย็น ไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกสบายตัวเท่าไหร่เลย” นิโคลรู้ว่าความหมายของนางคือไม่ชอบหิมะและอากาศเย็นๆ เอาเสียเลย

“ทะเลก็สวยเหมือนกันนะ”

“ทะเลคือชีวิตของชาวสวาเนียร์”

“เสียดายที่ออสเซนเทียไม่มีพื้นที่ติดทะเล แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะมันทำให้ข้าได้มาที่นี่แทน” ทั้งสองพูดคุยและยิ้มให้กัน แต่ต่างก็รู้ว่ามันไม่ได้แฝงนัยที่มีความหมายลึกซึ้งอะไรต่อกันสักนิด อานาสตาเซียมาเพราะหน้าที่ ในฐานะคู่หมั้นที่จะแต่งงานกัน นางต้องรับรองว่าที่สวามีของตัวเอง และทำความคุ้นเคย แต่เท่าที่สังเกตจากสีหน้าของนาง นิโคลรู้ว่านางไม่ได้ยินดีนัก และองครักษ์ที่ตามนางมาห่างๆ นั้นก็คงเช่นกัน

ภาพหนึ่งเจ้าหญิงกับหนึ่งเจ้าชายบนระเบียงชมวิวของปราสาท อยู่ในสายตาของใครบางคนที่กำลังเฝ้ามองมาจากมุมหนึ่งของชั้นที่อยู่สูงกว่า ความใกล้ชิดที่เห็นไกลๆ ทำให้ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างสั่นไหว แม้ใบหน้าเนียนขาวราวน้ำนมจะยังคงเรียบนิ่ง แต่การทอดสายตามองความใกล้ชิดของคนคู่นั้น ก็เล่นเอาก้อนเนื้อในอกเหมือนถูกบีบแน่นจนเจ็บหน่วง เจ้าของร่างสมส่วนเม้มปากแน่น แล้วจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างยอมรับ สองขาก้าวถอยช้าๆ แล้วหันหลังเดินไปจากตรงนั้น

ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นบนหน้าผาหินแข็งแกร่งหันหน้าสู่ทะเล แบ่งชั้นต่างๆ ออกเป็นหลายส่วน ส่วนสูงสุดคือที่พำนักของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ ชั้นต่างๆ ที่ลดหลั่นลงมาแบ่งเป็นส่วนใช้งานทั้งห้องรับรอง ห้องจัดเลี้ยง ท้องพระโรง และห้องสำคัญอื่นๆ อีกมากมาย ภายในปราสาทยังมีพื้นที่โล่งสร้างสวนไว้ตรงกลางได้อย่างวิจิตร มันสวยงามด้วยไม้ดอกไม้ประประดับ และธรรมชาติจำลองที่มีทั้งแม่น้ำสายเล็กๆ และน้ำตก จนแขกต่างเมืองมาเห็นยังอดชื่นชมไม่ได้

เจ้าของร่างสูงเพรียวสมส่วนเดินเร็วๆ ไปตามทางเดินปูด้วยหิน หวังจะทิ้งห่างจากความรู้สึกรวดร้าวที่ก่อตัวขึ้นในอก ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอหน้า เกิดความรู้สึกหวั่นไหวในยามแรกพบ จนได้รู้จักใกล้ชิดระยะหนึ่ง ใจดวงน้อยเอนเอียงเข้าหา แต่พอได้รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องแต่งงานกับน้องสาวของตัวเอง ก็ตั้งใจจะหยุดความรู้สึกและลืม ลอเรนรู้ตัวอยู่แล้วว่าควรเก็บมันไว้กับตัวเอง แต่กระนั้นก็ไม่คิดว่ามันจะมากมายจนเอ่อล้น ไม่เคยคิดเลยว่ารักแรกพบความรู้สึกมันจะรุนแรงและลืมยากเพียงนี้

ตั้งแต่วันที่เผลอปากสัญญาว่าจะไม่หลบหน้า ก็แทบจะไม่มีวันไหนที่ไม่ได้เจอหน้ากัน เพราะดูเหมือนว่าอยู่ที่นี่นิโคลจะมีเวลาว่างมาก จนกระทั่งมาดักเจอลอเรนได้ทุกวัน และคนที่เลี่ยงไม่ได้ก็ต้องยอมตามใจ อยากให้พาไปที่ไหนลอเรนก็ไม่กล้าพอที่จะขัด เพราะคำสัญญาที่ให้ไว้

“เจ้าเป็นอะไรไปหรือลอเรน”

“ไม่มีอะไรหรอกท่านอยากพักก่อนไหม”

“เจ้าพูดกับข้าแต่ไม่มองหน้าข้าเลยนะ” ร่างสูงสง่าขยับเข้ามาใกล้ๆ แต่ดูเหมือนว่าแค่ใกล้กัน มันจะยังไม่พอสำหรับลอร์ดหนุ่มจากออสเซนเทีย จึงได้ยกมือขึ้นมาเชยคางเรียวของคนที่เอาแต่ก้มหลบ ให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา ทั้งสองขี่ม้าออกมานอกเมืองแวะพักริมแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่ง น้ำในแม่น้ำไม่ลึกมาก และใสจนเห็นตัวปลาที่แหวกว่ายทวนกระแสน้ำเล่น

“ก็ข้าดูปลาอยู่”

“เจ้าสนใจปลามากกว่าข้าได้ยังไงลอเรน” น้ำเสียงตัดพ้อมีผลกับใจ ทำให้ลอเรนเผลอกวาดตามองใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาราวกับกำลังละเมอ จนรอยยิ้มละมุนของนิโคลเผยขึ้นพร้อมแววตาซุกซนนั่นล่ะ ลอเรนจึงได้รู้สึกตัว

“เพราะปลาไม่คุกคามข้าไงลอร์ดนิโคล ปล่อยข้านะ” ใช่..ปลาแค่ว่ายทวนกระแสน้ำเล่น แต่ลอร์ดร่างสูงนั้นมือซุกซน ขยับเข้ามาใกล้ไม่พอยังเชยคางให้ลอเรนเงยหน้าขึ้นสบตา มืออีกข้างโอบเอวรั้งร่างสูงเพรียวเข้าหาตัวอย่างไม่เกรงใจ

เจ้าของร่างสูงเพรียวถอยห่างเบือนหน้าหนี ด้วยว่าไม่รู้จะวางตัวอย่างไรไม่ให้ใจหวั่นไหวไปมากกว่านี้ นิโคลเป็นคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกับน้องสาว ข้อนั้นลอเรนไม่เคยลืม แต่แค่ได้เห็นลอร์ดร่างสูงไกลๆ หัวใจดวงน้อยก็ตื่นจนเต้นไม่เป็นจังหวะ อย่าว่าแต่จะให้มาอยู่ชิดใกล้กันอย่างนี้เลย ก้อนเนื้อก้อนเล็กๆ นี้จะทำงานหนักมากแค่ไหน ลอเรนนึกโกรธตัวเอง ที่เผลอไปรับปากสัญญาว่าจะไม่หลบหน้ากัน จนต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์ที่อยากอยู่แต่ไม่ควรอยู่เช่นนี้

“มานั่งตรงนี้เถอะ”

“ท่านไม่ขี่ม้าเล่นต่อหรือไง”

“มานี่ก่อน” แม้จะพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุม แต่นิโคลก็บังคับจับมือเรียวดึงให้เดินไปนั่งลงใต้ต้นไม้ด้วยกันจนได้

“ลอร์ดนิโคล! “

“ทำไม”

“ท่านไม่ควร..”

“ข้าไม่ควรอะไร” ลอเรนพูดไม่ออกเอาแต่มองไปยังผืนผ้าที่นิโคลใช้ปูลงบนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้ ลอร์ดหนุ่มกระตุกมันออกจากไหล่อย่างง่ายดาย โดยไม่ได้สนใจความสำคัญของมันเลยสักนิด นิโคลปูเสื้อคลุมลงบนพื้นหญ้าเสร็จแล้วจึงหันหน้ามาหาลอเรน สองมือกระชับต้นแขนคนตัวเล็กแววตาจริงจัง “สำหรับเจ้าไม่มีอะไรไม่ควรทั้งนั้นลอเรน”

“แต่นั่นมันเป็นเสื้อคลุมของท่าน”

“แล้วไงก็แค่เสื้อคลุม ข้าไม่อยากให้ชุดสวยๆ ของเจ้าเปื้อนนี่”

“แต่..”

“นั่งลงเถอะน่า” ลอเรนจะไม่คิดมากเลย หากเสื้อคลุมตัวนี้จะไม่ใช่เสื้อคลุมที่แสดงถึงฐานันดรของนิโคล เนื้อผ้าทอมาอย่างดีปักตราสัญลักษณ์ประจำตัวรัชทายาท มันไม่ใช่เสื้อคลุมธรรมดาแต่เป็นเสื้อคลุมที่บ่งบอกความสำคัญของผู้สวมใส่ และไม่ควรนำมันมาใช้ปูลงบนพื้นหญ้ารองนั่ง ราวกับเป็นเศษผ้าไร้ความสำคัญอย่างนี้

“ลอร์ดนิโคล โอ๊ย! “

“หึๆ “นิโคลหัวเราชอบใจที่ร่างสูงเพรียวเซถลาเข้าหาอกกว้างของเขาได้พอดิบพอดี แค่กระชากเบาๆ เพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนไม่ระวังตัวเสียหลัก ร่างสูงสง่านั่งเอนกายทิ้งแผ่นหลังแข็งแกร่งพิงไว้กับโคนต้นไม้ เข่าทั้งสองข้างชันขึ้นอ้าออกให้เป็นที่รองรับร่างสมส่วน

“ท่านทำแบบนี้ไม่ได้นะลอร์ดนิโคล” สถานการณ์ล่อแหลมน่าอายทำให้ลอเรนต้องประท้วง

“เจ้าก็เห็นอยู่ว่าข้าทำไปแล้ว”

“ทำแล้วก็ปล่อยข้าสิ”

“ไหนเรียกข้าว่านิโคลเฉยๆ ซิ ไม่สิเรียกท่านพี่ดีกว่า”

“นี่ท่านเข้าใจที่ข้าบอกบ้างไหมลอร์ดนิโคล ข้าบอกให้ท่านปล่อยข้านะ ไม่ใช่ให้ท่านมาสนใจว่าข้าจะเรียกท่านว่าอย่างไร ข้าเรียกท่านว่าลอร์ดนิโคลมันถูกแล้ว ลอร์ดนิโคลัส! “

“แต่ข้าไม่ชอบนี่ เร็วเรียกข้าว่านิโคลเฉยๆ หรือท่านพี่ก็ได้” นิโคลแกล้งรัดร่างเพรียวบางกว่าแน่นขึ้นหน้าตาเฉย แต่คนอยู่ในอ้อมแขนกลับทุกข์ร้อนจนหายใจสะดุด

“ท่านปล่อยข้าก่อนสิ”

“ไม่เรียกก็ไม่ปล่อย” คนในอ้อมกอดที่เกยอยู่บนอกถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง แต่มีหรือที่คนเอาแต่ใจจะสะทกสะท้าน หากยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็ไม่ยอม จนลอเรนต้องเม้มปากเข้าหากันแน่น เป็นอันเข้าใจตรงกันว่าเจ้าตัวกำลังคิดหนัก และตัดสินใจได้เมื่อปล่อยปากริมฝีออกจากกัน

“นิโคล ป..ปล่อยข้า”

“หึๆ เจ้าน่ารักจังเรียกพี่ด้วยสิ”

“ไม่ ข้าเรียกแล้วนะปล่อยได้แล้ว”

“ใครบอกว่าข้าจะปล่อย”

“ก็ท่านพูด..”

“หึ”

“ลอร์ดนิโคล!” ลอเรนหน้างอขัดใจ ยิ่งเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ที่จ้องมองตอบ ยิ่งขัดใจจนอยากร้องออกมาดังๆ อยากเอาดาบมากระหน่ำฟันอกแกร่งให้หนำใจหากตัวเองใจแข็งพอที่จะทำ

“ข้าอยากจูบเจ้าจังลอเรน” ทำไมต้องมาพูดตรงๆ แบบนี้ลอเรนไม่ชอบเลย เพราะมันทำให้เจ้าตัวชะงักนิ่งและเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก สองมือที่ดันอกกว้างไว้ก็เหมือนจะลดแรงลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร่างที่ขืนเกร็งราแรงลง อาจจะเป็นเพราะคำที่บอกออกมาตรงๆ หรือเป็นเพราะร่างกายที่ค้างอยู่อย่างนั้นนานจึงเริ่มเมื่อย ยิ่งใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาขยับเข้ามาหาช้าๆ ร่างที่ขัดขืนยิ่งอ่อนลง จนสุดท้ายลอเรนนั่งแหมะอยู่ตรงกลางระหว่างท่อนขาแข็งแรงแบบงงๆ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลีบปากอิ่มถูกแตะซับเบาๆ และร่างที่ถูกรั้งให้ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงบนอกกว้างนั่นเอง

เป็นความต้องการที่ไม่อาจต้านทาน แม้จะขัดขืนก็ใช่ว่าลอเรนจะไม่ต้องการ ตั้งแต่จูบแรกที่ห้องอาบน้ำแร่จนกระทั่งถึงวันนี้ ไม่มีเวลาไหนเลยที่ลอเรนจะไม่คิดถึงความหวานล้ำละมุนละไม ที่นิโคลเป็นคนสอน

“ลอร์ดนิโคล ท่านอย่าทำอย่างนี้เลยข้าขอร้องล่ะ”

“ทำไมล่ะในเมื่อเจ้าเองก็ต้องการข้าไม่ใช่หรือ”

“ข้าไม่..” นิ้วชี้ที่แตะลงบนกลีบปากทำให้ลอเรนไม่อาจพูดต่อได้จนจบ แววตาเปี่ยมความปรารถนาจ้องมองอย่างสื่อความหมาย ใจดวงน้อยที่พยายามจะเข้มแข็งอ่อนยวบลงทันที เพราะไม่เคยปฏิเสธตาคมคู่นี้ยามจ้องมองอย่างร้องขอได้เลย

เจ้าของร่างสูงค่อยๆ โน้มตัวขยับใบหน้าเข้าหา ลอเรนหลับตาพริ้มรอรับสัมผัส ของเสียงเรียกร้องที่ดังออกมาจากส่วนลึก เพื่อลิ้มรสจูบหวานล้ำจากคนที่ใจปรารถนา เวลานี้นิโคลกลายเป็นผู้ชายต้องห้ามสำหรับลอเรนไปแล้ว และนี่จะเป็นจูบครั้งสุดท้าย ที่ลอเรนจะยอมให้ทั้งสองแลกความหวานละมุนของกันและกัน

ลอเรนหายใจหนัก และเพียงรู้สึกได้ถึงริมฝีปากของอีกคนที่แนบชิด ความต้องการจากส่วนลึกก็เหมือนกับว่ามันเอ่อล้นจนท่วมท้นออกมารอบตัว ลอเรนเผยอปากรอรับสัมผัสของเรียวลิ้นที่สอดแทรกอย่างนุ่มนวล เกี่ยวกระหวัดรัดรึงอย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังหยอกเย้าอย่างแสนรัก ลิ้นร้ายของลอร์ดแห่งออสเซนเทียทำลอเรนหลงลืมเวลา ลืมความเป็นตัวของตัวเอง ร่างกายอ่อนระทวยจนต้องทิ้งน้ำหนักทั้งหมดฝากไว้ที่อกแกร่ง และนั่นเลยทำให้ร่างเพรียวบางแทบจะจมหายลงไปในกล้ามเนื้อแน่น ยามถูกกอดรัดไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรง

“อื้อ” ยิ่งได้ยินเสียงประท้วงออกมาจากลำคอระหง จูบของนิโคลยิ่งเพิ่มความร้อนแรงขึ้นอย่างเอาแต่ใจ ไม่สนเสียงครางประท้วง ไม่สนมือเรียวที่ขยุ้มดึงทึ้งเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ ปากและลิ้นของนิโคลยังรุกรานอย่างถึงใจ มือข้างหนึ่งกดท้ายทอยส่วนอีกข้างโอบรัดรอบแผ่นหลัง ลอเรนทำได้แค่ดิ้นขลุกขลักและครางประท้วง แต่ทำไปเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลจนแทบจะขาดใจตายกับจูบร้อนแรงนี้

“ลอร์ดนิโคล” ลอเรนเรียกเสียงสั่นหายใจหอบหลังจากได้รับอิสระ อยากผละออกแต่อีกคนไม่ยอมปล่อย จึงได้แต่ขืนตัวดันหน้าอกแกร่งไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง นิโคลยังไม่ยอมง่ายๆ กดบังคับท้ายทอยให้ลอเรนเข้ามารับจูบอีกรอบ แต่คนที่มุ่งมั่นว่าจะให้มันเป็นจูบสุดท้ายยังไงก็ไม่ยอม ทั้งสองเลยได้แต่นั่งอยู่ในท่าล่อแหลมที่ดูตลก

“อย่าลืมว่าท่านมาสวาเนียร์ในฐานะอะไร”

“ข้าไม่ลืมหรอกว่ามาในฐานะอะไร แล้วชาวสวาเนียร์ล่ะยังจำได้อยู่หรือไม่ว่าข้ามาในฐานะอะไร” รอยยิ้มและแววตาซุกซนยามมองพักตร์ขาวนวลราวน้ำนมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความจริงจังที่ลอเรนไม่คิดว่าจะได้เห็นมาก่อน  เนตรสีฟ้ากระจ่างจ้องมองลอร์ดต่างเมืองด้วยความฉงน ไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่อีกคนต้องการบอก แต่รู้ว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแฝงมาด้วย

“ทำถึงได้ถามแบบนั้นล่ะ”

“หึ ไม่มีอะไรหรอก”

“ถ้าไม่มีท่านก็ควรปล่อยข้าได้แล้วนะ” เห็นสีหน้าเอาเรื่องของลอเรน นิโคลเลยยอมปล่อยแต่โดยดี ด้วยการค่อยๆ ลดแรงกอดลงช้าๆ ลอเรนดีใจที่ได้หลุดจากอ้อมกอดที่ทำให้รู้สึกผิดนี่เสียที แต่ยังไม่ทันได้ผละห่างจากไปไหน นิโคลก็จับร่างเพรียวบางให้หันหน้าออกไปทางแม่น้ำและสวมกอดไว้จากข้างหลัง

“ลอร์ดนิโคลปล่อยข้า! “นอกจากนิโคลจะไม่ยอมปล่อยแล้วยังดูเหมือนว่าอ้อมแขนที่สวมกอดจะแนบแน่นขึ้น แต่เท่านั้นดูเหมือนจะทำให้ลอเรนรู้สึกอึดอัดใจไม่พอ ลอร์ดแห่งออสเซนเทียถึงได้ทิ้งปลายคางวางเกยไว้บนไหล่ คลอเคลียริมฝีปากกับพวงแก้มนวล

“ข้า ขออยู่อย่างนี้สักครู่ได้หรือไม่ลอเรน”

“ไม่ได้ ปล่อยข้า”

“ข้ารู้เจ้าไม่ใจร้ายหรอก”

“ไม่ข้าไม่ใช่คนใจดีอย่างที่ท่านคิดหรอก ปล่อยเถอะ”

“ถ้าเจ้าใจร้ายทำไมวันนั้นไม่แทงข้าให้ตายเลยล่ะ เจ้ามีโอกาสเอามีดปักกลางอกข้าแล้วนี่”

“ท่านอยากกลับหรือยัง”

“ยัง”

ลอเรนหันหน้ากลับมามองสีหน้าลำบากใจ “แต่มันเย็นแล้วนะลอร์ดนิโคล”

“แล้วเจ้าไม่อยากอยู่กับข้านานๆ หรือไง”

“ก็...”

“หืมว่าไง”

“ไม่”

“มองตาข้าสิ แล้วตอบใหม่” กลีบกระจับอิ่มของลอเรนเม้มเข้าหากินแน่น ซึ่งเจ้าตัวมักจะเผลอทำทุกทียามที่ต้องใช้ความคิดหรือตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอาอย่างไรดี

“ทำไมข้าต้องอยากอยู่กับท่านนานๆ ด้วยเล่า”

“หึ แล้วเจ้าไม่ชอบหรือไง” ลอเรนหลบสายตาจับผิดที่จ้องมองอย่างรู้ทัน ยิ่งเห็นแบบนั้นนิโคลก็ยิ่งนึกอยากแกล้ง เพราะถึงจะพยายามวางเฉยและกลบเกลื่อนมากแต่ไหน แต่ลอเรนก็ไม่เคยที่จะปิดบังความรู้สึกยามอยู่ต่อหน้าเขาได้เลยสักครั้ง แววตาเว้าวอนที่ดูโหยหานั่นทำไมนิโคลจะดูไม่ออก คำพูดที่เหมือนผลักไสอยากให้อยู่ห่างๆ ยามเอ่ยถึงสถานะของเขากับน้องสาวนั่นอีก ที่นิโคลไม่เข้าใจว่าทำไมลอเรนต้องฝืนตัวเอง

“ไม่ข้าไม่ชอบและไม่ต้องการ”

“หึ”







รถม้าคันนั้นจอดนิ่งเพราะกำลังแวะพักกลางทาง เหล่าทหารที่เดินทางมาด้วยต่างแยกย้ายกันทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง บ้างจัดเวรยามรักษาการณ์ห่างออกไป บ้างตั้งค่ายสร้างที่พักแรมและจัดเตรียมอาหาร บ้างให้อาหารม้า ทุกคนทำงานตามหน้าที่ แต่ภายในรถม้าอันเป็นพาหนะเดินทางที่จัดแต่งอย่างหรูหรานั้น กลับแตกต่างจากภายนอกอย่าสิ้นเชิง ในรถม้ามองเห็นเพียงสลัวด้วยว่าม่านถูกดึงปิดไว้หมิ่นเหม่ เหลือช่องพอให้แสงลอดเข้ามาได้เพียงวับแวม มันอบอวนไปด้วยกลิ่นกามคาวราคะจากคนกลุ่มหนึ่ง ที่ส่งเสียงครางกระเส่าอันเกิดจากร่วมรักร้อนแรงออกมาเป็นระยะ

บนร่างกายหนั่นแน่นที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อสมวัยหนุ่มฉกรรจ์ มีร่างอรชรของหญิงสาวควบส่ายเอวร่อนรักอยู่บนตัวอย่างถึงใจ ร่างของนางเปลือยเปล่าเปิดเผยสรีระเย้ายวนอย่างหน้าไม่อาย โนมเนื้ออวบอิ่มกระเพื่อมไหวขึ้นลงตามจังหวะขยับโยก เอวคอดกิ่วส่ายร่อน สะโพกผายถูกควบคุมด้วยมือใหญ่ให้กดดันตัวเองลงเน้นๆ แรงๆ ราวกับจะหาความสะใจ แต่กระนั้นยังเหมือนว่ามันไม่ถึงใจพออย่างผู้เป็นนายเหนือหัวต้องการ ร่างบอบบางของนางจึงถูกผลักออกจากการคร่อมขี่ เผยให้เห็นความใหญ่โตตั้งตระหง่านที่ถูกนั่งทับมานาน แต่นางไม่ได้จากไปไหนก้มลงดูดดื่มตวัดเรียวลิ้นเล่นที่หน้าอกของผู้เป็นนายนั่นเอง

เครื่องสนองตัณหาอีกคนถูกดึงเข้ามาแทน คราวนี้เป็นชายหนุ่มร่างบางที่ยิ้มเย้ายวนรอปรนเปรอให้อยู่แล้ว ร่างบางถูกจับหันหลังในขณะที่ทิ้งตัวลงบนความแข็งตระหง่าน ให้ทางลับครอบครองลงกับแท่งรักร้อนระอุเบ่งบาน พอได้ที่เครื่องสนองตัณหาหนุ่มก็เริ่มเร่งแรงขยับโยก จนแท่งเนื้อแข็งขืนของตัวเองกระดกขึ้นลงเข้าจังหวะ เอวบางส่ายร่อนจนบั้นท้ายเชิด เครื่องสนองตัณหาหญิงอีกคนถูกกระชากผมเข้ามารับจูบจาบจ้างหงุดหงิด เพราะความต้องการล้นปรี่แต่ปรนเปรอเท่าไหร่ก็เหมือนไม่เคยถูกเติมเต็ม

ปัง!!

“หมดเวลาสนุกแล้วฝ่าบาท”

**************
มาแล้วนะะคะ ขอโทษด้วยที่มาช้าค่ะ ดาวมัวยุ่งๆ อยู่กับต้นฉบับและการพรีออเดอร์ นิยาย กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก เป็นอีกเรื่อง ที่ดาวเอามาลงด้วย สนใจอ่านก็ตามไปเลยนะคะ กด ==>  กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-12-2018 23:11:59 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 13 หิมะสีเลือด
[/b]


“หมดเวลาสนุกแล้วฝ่าบาท!” อยู่ดีๆ ก็มีทหารองครักษ์บังอาจเข้ามาในรถม้า ทำให้หนึ่งเจ้านายกับสามเครื่องสนองความใคร่ที่กำลังเล่นสวาทหมู่อยู่หยุดชะงักไปตามกัน

“เจ้า!”

“บอกพวกนี้ออกไปก่อนเรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้า”

“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว บอกทหารข้างนอกด้วยว่าห้ามใครรบกวน”

“เจ้า..มีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่ง” ปากถามอย่างเกรี้ยวกราดมือควานหาดาบประจำตัวแต่ก็ไม่เจอ ได้แต่นอนกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด

“หรือจะให้ข้าคุยเรื่องของเราต่อหน้าพวกนี้ล่ะ ยังไงก็ได้ข้าไม่เกี่ยงอยู่แล้ว” ทั้งสองกำลังฟาดฟันกันด้วยสายตา ที่คนหนึ่งมีแต่ความเกรี้ยวกราด ส่วนคนมาใหม่เพียงจ้องมองนิ่งๆ แต่แววตาคู่นั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังสนุกมาก มุมปากก็ดูเหมือนจะยกขึ้นน้อยๆ ด้วย จะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะนิ่งก็ไม่นิ่ง เหมือนแค่ต้องการให้คนที่กำลังจ้องมองเดือดดาลเล่นเฉยๆ จนผ่านไปเป็นครู่คนอารมณ์ค้างโบกมือเพียงเบาๆ เหล่าสนมชายหญิงจึงลงจากรถม้าไป



แอนดีสหยิบแก้วที่วางอยู่บนตั่งเล็กๆ ข้างตัวมากรอกไวน์ลงคออึกใหญ่แล้วถาม “ตามข้ามาทำไม เจ้าอัศวินชั้นต่ำ!”


“ข้าบังเอิญมาราชการแถวนี้” เลนนี่บอกพลางเดินไปนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม หันหน้าเข้าหาร่างเปลือยเปล่าที่ยังนอนเอนตัวพิงหมอนอิงใบใหญ่ เข่าข้างหนึ่งชันขึ้นรองข้อมือข้างที่กำลังถือแก้วไวน์ ร่างเปลือยกับท่านั่งเปิดเผยดูยั่วยวน แต่สีหน้ากลับต่างไปยามเจ้าตัวขมวดคิ้วมองตอบด้วยสายตาสงสัย

“เจ้ามีราชการอะไรที่ชายแดนมอนทาร์น่ากัน”

“หึ”

“หรือเจ้ามาสอดแนม”

“สอดแนมอะไรล่ะ สอดแนมเมียมักมากกำลังเอากับโสเภณีหรือไง”

“เจ้า! อย่ามาปากดี ข้าไม่ใช่..”

“ชู่..ปฏิเสธทั้งที่ท่านก็รู้ตัวเองดี” แววตาขี้เล่นอยู่ตลอดเวลาแบบนี้แอนดีสเกลียดยิ่งนัก เกลียดแต่ก็ยังมอง มองแล้วก็ได้แต่ฮึดฮัดอยู่คนเดียว “แล้วนี่หงุดหงิดอะไรล่ะ หรือพวกนั้นปรนเปรอให้ไม่ถึงใจพอ ทำท่านค้างคาหรือไง” ค้างคาเพราะมีคนมาขัดจังหวะนั่นแหละ

ลอร์ดหนุ่มชะงักนิ่งไปเหมือนใจโดนจี้ตรงจุด ตั้งแต่ออกเดินทางก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในรถม้า เรียกสนมมาบำเรอทั้งชายหญิง แต่ไม่ว่าจะเสพสมหรือเสร็จสมไปแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็ยังไม่เต็มอิ่มเหมือนไม่ได้รับการเติมเต็มในสิ่งที่ต้องการ

“หึ” เสียงหัวเราะของเลนนี่เรียกแอนดีสให้หลุดออกมาสู่ความจริง ท่าทางแบบนี้มันบ่งบอกผู้ที่กำลังจับตามองได้เป็นอย่างดี ว่าสิ่งที่คิดคือสิ่งที่ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่ากำลังเป็น แอนดีสไม่เคยปิดบังความต้องการของตัวเองได้สักครั้ง ยามอยู่ต่อหน้าอัศวินผู้สวมภาพหนุ่มขี้เล่นไว้ภายนอก แต่ภายในทั้งฉลาดและมีไหวพริบรอบตัว แถมยังเร่าร้อนโดนใจจนใครได้ลิ้มลองยังต้องโหยหา

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่”

“พี่ชายท่านไปไหนแล้วล่ะ” เลนนี่เอ่ยถามเหมือนชวนคุย เล่นเอาสายตาของแอนดีสแข็งกร้าวขึ้นทันที พอรู้ตัวเลยรีบกลบเกลื่อน แต่อัศวินหนุ่มยังเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

แอนดีสพยายามใจเย็นถามเสียงแข็ง “เจ้าถามหาอเล็กซิสทำไม”

“ข้าไม่ได้พิศวาสพี่ชายท่านหรอกน่า ไม่ต้องหึง”

“หึ ไม่เจียมตัวเลยนะ”

“เพราะท่านคนเดียวข้าก็รับมือไม่ไหวแล้ว” แอนดีสกัดฟันกรอด นึกอยากได้ดาบสักเล่มจะเอามาฟันใบหน้าหล่อทะเล้นให้เสียโฉมให้ดู

“เจ้า...” ได้แต่ข่มความกริ้วโกรธ เพราะยิ่งเกรี้ยวกราดยิ่งทำให้อีกคนได้ใจ เห็นแววตาสนุกของเลนนี่แล้วแอนดีสมีแต่ความหงุดหงิด “เจ้าปลอมตัวเข้ามาทำไม”

“หาเมีย”

“เซอร์เลนนี่! “เลนนี่ตอบรับเสียงตะคอกเรียกดุๆ ของแอนดีสด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ และสายตาพราวระยับที่ท้าทายปนเรียกร้อง ในแบบหนุ่มขี้เล่นของเขา หันไปหยิบเหยือกแก้วเจียระไนที่บรรจุไวน์ชั้นดีไว้กว่าครึ่งมารินใส่แก้ว ยกขึ้นละเลียดจิบด้วยท่าทางสบายอารมณ์ กับการลิ้มรสไวน์ชั้นดีรสชาติกลมกล่อมเคล้าความเกรี้ยวกราดของคนที่เรียกว่าเมีย


“หึ คิดว่าข้าโง่นักหรือไงเจ้าอัศวินชั้นต่ำ” แอนดีสเหยียดยิ้มมองอัศวินหนุ่มด้วยสายตาดูแคลนปนท้าทาย “เจ้าคงไม่เดินทางออกมาจากออสเซนเทียเพราะคิดถึงข้าหรอกมั้ง”

“ทำไมไม่คิดอะไรที่มันเข้าข้างตัวเองหน่อยล่ะแอนดีส ข้าอาจจะคิดถึงท่านจริงๆ ก็ได้นี่ อันที่จริงก็คิดถึงนั่นแหละข้ายอมรับก็ได้” แอนดีสต้องแค่นยิ้มออกมาอีกครั้ง แค่ได้ยินว่าเจ้านายเรียกตัวเลนนี่ก็ผละออกไปทันทีแล้ว นี่ต้องเดินทางมาตั้งไกลจะบอกว่ามาเพราะคิดถึง ใครเชื่อก็โง่ที่สุด

“ตกลงคิดถึง หรือแค่อาจจะคิดถึง แต่บอกไว้ก่อนว่าข้าไม่ยินดีหรอกนะที่มีคนคิดถึงโดยเฉพาะคนอย่างเจ้า บอกมาดีกว่าว่าเจ้ามาสอดแนมเรื่องอะไร”

เลนนี่ยิ้มน้อยๆ ให้คนขี้ระแวง แววตาอัศวินหนุ่มดูอ่อนโยนราวกับกำลังมองลีโอ “หึ แล้วทางนี้มีอะไรให้ข้าสอดแนมล่ะ”

“ถ้าไม่มีเจ้าก็คงไม่เดินทางดั้นด้นมาถึงนี่หรอกถูกไหม” ฉลาดที่คิดได้และถูกทีเดียว แต่เลนนี่มีหรือจะยอมรับ

“ก็บอกแล้วไงว่าข้าคิดถึง มาเพราะคิดถึงอย่าเดียวเลย” ดูยังไงก็รู้ว่าโกหกและแอนดีสไม่มีทางเชื่อ ยังไงก็ไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าคนที่เขาตราหน้าว่าเป็นอัศวินชั้นต่ำไร้เกียรติคนนี้ จะเดินทางมาถึงชายแดนเพราะว่าคิดถึงกันจริงๆ ถึงได้ยินแล้วมันจะทำให้รู้สึกแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันแปลกจนต้องแอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เบาๆ เพราะไม่ต้องการให้อีกคนสังเกตเห็น ว่าตัวเองผิดปกติไป แอนดีสไม่อยากยอมรับว่าตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน ที่รู้สึกอย่างนั้นก็คงเป็นเพราะไม่เคยมีใครบอกว่าคิดถึงเขามาก่อน พอได้ยินลมหายใจมันเลยแค่สะดุด


แอนดีสเงียบเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร ยิ่งเลนนี่เอาแต่นั่งมองนิ่ง ลอร์ดหนุ่มยิ่งเหมือนจะทำตัวไม่ถูก เลยหาอย่างอื่นทำแทน และไวน์ในแก้วที่ถืออยู่หมดพอดี เลยทำเป็นหยิบเหยือกแก้วเจียระไนที่มีไวน์เหลืออยู่ไม่มากมารินดื่ม

“ถ้าเจ้ายังไม่เลิกจ้อง ข้าจะสั่งให้ทหารจับเจ้าไปควักลูกตาออกซะ”

“ให้ข้าทำอย่างอื่นได้ไหมล่ะ” แอนดีสถลึงตาใส่เลนนี่ รู้ว่าอย่างอื่นที่หมายถึงคงไม่พ้นเรื่องทะลึ่งลามก เพราะสายตาอัศวินหนุ่มมันไม่ปิดบังสิ่งที่กำลังคิดเลยสักนิด “ข้ารู้นะว่าท่านคิดอะไรอยู่ลอร์ดแอนดีส”

“ข้าคิดอะไร”

“คิดว่าวันนี้ข้าจะจัดท่าไหนให้ท่านอยู่ใช่ไหมล่ะ”

แอนดีสส่ายหน้าน้อยๆ ริมฝีปากแสยะออกเหยียดหยัน “เจ้ามันหลงตัวเองจริงๆ “

“หรือไม่จริง ที่หงุดหงิดอยู่ก่อนหน้านี้ เพราะท่านนอนกับโสเภณีพวกนั้น แต่ไม่เต็มอิ่มได้เท่านอนกับข้าไม่ใช่หรือไง”

“เลนนี่!” ไม่ทันที่เลนนี่จะได้พูดจบดี คนถูกจี้ใจดำก็ตวาดเสียงดังผุดลุกขึ้นยืน หลายเรื่องทำให้แอนดีสโมโหรวมทั้งเรื่องที่เลนนี่เพิ่งพูดถึง ที่พอโดนจี้ตรงจุดเลยควบคุมตัวเองไม่ได้


สายตาคมมีแววขี้เล่นไล่มองร่างเปลือย ที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าอย่างเต็มตา ตั้งแต่เท้าสองข้างที่แยกออกเล็กน้อยยืนปักหลักมั่น ขึ้นไปตามเรียวขาที่มีเส้นขนสีน้ำตาลอ่อนขึ้นบางๆ ไม่ปิดบังความเนียนละเอียดของผิวเนื้อ ท่อนขายาวดูแข็งแรงปราดเปรียวไปจนถึงอวัยวะกลางลำตัวที่ยังสงบนิ่ง เลนนี่รู้ว่ามันจะตื่นขึ้นทันทียามเขาสะกิดเรียก หน้าท้องแบนราบประดับด้วยไรขนจากช่วงกลางลำตัวขึ้นไปจนถึงแผงอก ลูกคลื่นตื้นๆ จะเกิดขึ้นตรงหน้าท้องช่วงบนยามเจ้าตัวเกร็งกล้ามเนื้อ สูงขึ้นไปเป็นหน้าอกหนั่นแน่นน่าสัมผัสประดับด้วยไรขนบางๆ ที่ขึ้นเป็นกลุ่มสวย ช่วงไหล่กว้างพอดีรับกับกล้ามเนื้อต้นแขน ที่ถึงไม่ดูกำยำเท่าเลนนี่ แต่แบบนี้ก็เล่นเอาอัศวินหนุ่มจ้องมองด้วยสายตาพราว จนเจ้าของร่างกายแสยะยิ้มสมเพช ดูแคลนสายตาที่ไล่ไปตามเรือนร่างราวกับหลงใหล


“เจ้าควรหายใจนะเลนนี่ อย่ามาขาดใจตายในรถม้าของข้า อื้ออออ”

“หึ” เลนนี่ปล่อยเสียงหัวเราะดังออกมาจากลำคอ ขณะที่เขากำลังสูบเอาลมหายใจของแอนดีสมาเป็นของตัวเอง ด้วยจูบดูดดื่มร้อนแรงที่จู่โจมอย่างรวดเร็ว ทั้งดูดทั้งเผลอกัดอย่างห้ามใจไหว จนแอนดีสที่ย่ามใจว่าอีกคนกำลังมองร่างกายตัวเองเพลิน ตั้งตัวไม่ทันเกือบล้มหงายหลัง ดีที่ยังมีอ้อมแขนแข็งแรงรั้งไว้ แต่พอตั้งตัวได้ก็จูบตอบอย่างไม่ยอมเช่นกัน


ลอร์ดหนุ่มและอัศวินต่างฝ่ายต่างป้อนจูบเร่าร้อนเรียกร้อง ราวกับคนหิวโซที่กำลังตะกละตะกลามยามเห็นอาหารวางล่อ ร่างเปลือยเปล่าถูกลูบไล้สัมผัสไปทั่ว เท่าที่มือสากจากการจับอาวุธของอัศวินหนุ่มจะปัดป่ายไปถึง ทั้งสองต่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งดูดดึงทั้งเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นแลกความหวานฉ่ำ ร้อนแรงลิ้นแทบไหม้ แอนดีสขยุ้มเส้นผสมดกหนาระบายอารมณ์ไปพร้อมกับมืออีกข้าง ดึงทึ้งชุดทหารที่เลนนี่สวมใส่ หวังให้มันหลุดจากร่างกายกำยำ


ราวกับว่าไม่เคยได้จูบกันมาก่อน ราวกับว่านี่มันจะเป็นจูบครั้งสุดท้ายในชีวิต ลอร์ดหนุ่มหลับตาพริ้มหลงลืมความเกรี้ยวกราดหงุดหงิด ร่างกายทุกส่วนเกิดวาบหวามเกินควบคุม ราวกับเลือดในกายเปลี่ยนเป็นลาวาร้อนแรงไหลพล่านไปทั่วร่าง ยินยอมโอนอ่อนตามแต่อัศวินหนุ่มจะนำพาด้วยจูบเรียกร้องลึกซึ้ง เลนนี่ครอบปากตวัดลิ้นอยู่ภายในแล้วดูดหนักๆ จนแอนดีสเจ็บแปลบ ความเจ็บแปลบที่มาพร้อมกับความเสียวสยิวแผ่ซ่านไปทั้งตัว


แต่..

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”

“อะไรนะ! “

“ทูลลาฝ่าบาท” แอนดีสมองตามหลังเลนนี่ที่เปิดประตูราชรถออกไปแบบงงๆ กระทั่งประตูปิดลงแล้วลอร์ดหนุ่มยังไม่รู้ตัว จนทิ้งร่างหนั่นแน่นลงบนเบาะนุ่มนั่นแหละ ถึงได้รู้สึกตัวว่าถูกทิ้งให้คั่งค้างอยู่บนปากเหวที่ว่างเปล่า ทั้งที่ความต้องการล้นหลาก ร่างกายตื่นตัวเตรียมพร้อมรับการปรนเปรอเหยียดตรง ความปรารถนาฉายชัดบนส่วนปลายที่ฉ่ำเยิ้ม ลมหายใจหอบกระเส่าไม่เป็นจังหวะ

ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยๆ เป็นปกติ เหมือนจะควบคุมอารมณ์ได้แล้วแต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด

“โว้ย เลนนี่” เคร้ง!!!

********************


ขุนเขาเบื้องหน้า เหมือนปราการธรรมชาติที่โอบล้อมพื้นที่กว้างใหญ่ อันประกอบไปด้วยเนินเขาต่างขนาดสลับกัน เกิดแอ่งตรงกลางกลายเป็นทะเลสาบรองรับน้ำที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งไหลลงมาจากยอดเขา น้ำในทะเลสาบเป็นสีฟ้าใสสวยงามราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ ผู้คนขนานนามขุนเขาและทะเลสาบที่เสกสรรขึ้นมาโดยธรรมชาติแห่งนี้ว่า เอวาเลีย ฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนไปทั่ว แต่พอเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนที่อบอุ่น หิมะเริ่มละลาย จะเห็นธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ที่ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น หลังจากถูกหิมะปกคลุมมานาน ต้นไม้แตกใบหลากสีขึ้นแซมสลับกันทั้งเขียว ส้ม เหลือง แดง ราวกับถูกแต่งแต้มสีสันลงไปอย่างสะเปะสะปะโดยจิตรกรขี้เมา แต่กลับสวยงามวิจิตรอย่างเป็นธรรมชาติ ที่นี่คือสถานที่ที่ จูเลียน ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย เลือกใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างปราสาท หวังเอาไว้ว่าจะใช้เป็นที่พำนักเพื่อการพักผ่อนให้ห่างไกลจากความวุ่นวายของผู้คน ที่ให้ชื่อว่า เอวาเลียน


ปราสาทเอวาเลียน เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ท่ามกลางกลางภูเขาและทะเลสาบ ที่ความยิ่งใหญ่อลังการนั้นไม่ได้น้อยหน้าปราสาทในเมืองหลวงเลย เพราะตั้งอยู่บนเนินเขาลูกใหญ่ที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาอีกหลายลูก มองจากข้างล่างเหมือนกับว่าอยู่ดีๆ ก็มีปราสาทหินขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมากลางป่า ทิศเหนือเป็นหน้าผาหิน มีน้ำตกสองสายไหลคู่กันลงมา ส่วนทิศใต้กับทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ลุ่มของทุ่งกว้างและทะเลสาบ ที่กินพื้นที่ไปถึงทิศตะวันออก ติดหมู่บ้านเล็กๆ มีชาวเมืองอาศัยอยู่ไม่มาก แต่ก็ให้ความรู้สึกไม่โดดเดี่ยวจนเกินไป


“เจ้าชอบไหม” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นท่ามกลางปุยหิมะที่ตกลงมาเอื่อยๆ ขณะที่คนถามแหงนพักตร์นวลปลั่งขึ้นมองไปยังยอดปราสาท ที่การก่อสร้างรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว และกำลังจะแล้วเสร็จในอีกไม่นาน ด้วยว่างบประมาณนั้นได้รับการถ่ายเทมาให้เกือบเกลี้ยงคลัง


“ข้าชอบที่สุดเลยฝ่าบาท” คนที่ยืนอยู่ข้างหลังบอกเอาใจ

“ข้าก็เหมือนกันแต่พรุ่งนี้คงต้องกลับจริงๆ แล้วสินะ”

“ข้าก็ชวนฝ่าบาทกลับตั้งหลายวันแล้ว ทำไมท่านไม่ยอมกลับล่ะจูเลียน”

“เจ้านี่ก็แปลกนะกรอสเซ่ ตอนอยากมาก็เร่งเร้าจะมาให้ได้ มาถึงแล้วทั้งทียังจะรีบกลับอีก” กรอสเซ่แสดงสีหน้าขัดใจอย่างไม่ปิดบัง แต่สำหรับจูเลียนแล้วช่างเป็นภาพที่ดูกระเง้ากระงอด จนอดเดินเข้ามาเกาะแขนออดอ้อนไม่ได้ “ก็ข้าอยากอยู่ที่นี่กับเจ้านานๆ นี่นา”

“แต่เราควรจะกลับเมืองหลวงตั้งแต่หลายวันก่อนแล้วนะจูเลียน ไว้ค่อยมาใหม่ก็ได้” จูเลียนทำท่าคิด หันกลับไปมองยังตัวปราสาทที่ตั้งตระหง่านอีกครั้งอย่างแสนรัก สองขาเดินไปหยุดอยู่ใต้ซุ้มประตูที่ตกแต่งด้วยแผ่นหินสลักรูปเทวดาตัวน้อย ที่กำลังล่องลอยอยู่ในอากาศด้วยปีกเล็กๆ แสนน่ารัก

“นั่นสิ ไว้สร้างเสร็จเมื่อไหร่เรามาอยู่ที่นี่ด้วยกันนะกรอสเซ่” กวีหนุ่มชะงักไป แต่ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว มองแผ่นหลังของหนุ่มน้อยที่กำลังชื่นชมปราสาทเบื้องหน้า ที่แม้การก่อสร้างยังไม่ทันเสร็จดี ก็เห็นถึงความสวยงามยิ่งใหญ่และอลังการ ปราสาทกลางเทือกเขาที่ฤดูหนาวจะปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนตามยอดไม้ ถึงฤดูร้อนก็คงจะอบอุ่นและสวยงามด้วยสีสันของใบไม้ที่ดูมีชีวิตชีวาไปอีกแบบ หากได้มาอยู่กับคนรักคงให้ความรู้สึกหวานซึ้งชวนฝันไม่น้อย ถ้าเป็นนางคนนั้นที่เขามีใจหมายปอง กวีหนุ่มคงมีความสุขยิ่งกว่าใคร


“กรอสเซ่” ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นแผ่วเบา กรอสเซ่จึงมองไปทางต้นเสียงด้วยแววตานิ่งแต่ไม่ขานรับ จนคนเรียกขมวดคิ้วสงสัย “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”

“ฝ่าบาท” เหมือนกรอสเซ่เพิ่งหลุดออกมาจากจินตนาการชวนฝันของตัวเอง กับสาวน้อยที่เขาหมายปอง ตรงหน้าคือหนุ่มน้อยผู้เป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจดลบันดาลให้เขาได้ทุกอย่าง แต่หาได้มีจิตพิศวาสด้วยไม่ เพราะไม่อาจบันดาลให้นางมาอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างที่หวัง หากอยากได้กวีหนุ่มต้องพยายามเอาชนะใจนางเอง

“ว่ายังไงล่ะ เจ้ารอไหวไหม รอวันที่เอวาเลียนสร้างเสร็จสมบูรณ์ในอีกไม่นานหรอก”

กวีหนุ่มยิ้มโดยแยกริมฝีปากออกเพียงเล็กน้อย จนแทบจะเรียกว่ายิ้มไม่ได้ “ข้าอยากให้มันเสร็จวันนี้เดี๋ยวนี้เลยจูเลียน เราจะได้อยู่ด้วยกันสักที”

“ตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันได้ แต่เป็นเจ้าเองต่างหากที่ไม่ยอมมาอยู่กับข้า” พักตร์นวลปลั่งบูดบึ้งขึ้นทันที กรอสเซ่บ่ายเบี่ยงการค้างแรมที่กระโจมเดียวกันกับจูเลียนมาตลอด นับตั้งแต่เดินทางมาถึงหลายวันก่อน นั่นทำให้จูเลียนน้อยอกน้อยใจ และมักจะพูดต่อว่าคนรักทุกครั้งที่มีโอกาส แต่กระนั้นจูเลียนก็ไม่ได้โกรธกรอสเซ่จริงจังเลย เมื่อที่ได้ยินคำปลอบใจ


“ยอดรักของข้า” เพียงคำแรกกษัตริย์หนุ่มน้อยก็แทบอ่อนระทวย “โปรดอภัยด้วย ข้าเพียงแต่อยากรอเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันตอนเอวาเลียนสร้างเสร็จสมบูรณ์” กรอสเซ่จับไหล่จูเลียนทั้งสองข้างหมุนให้หันไปมองทางปราสาทที่อยู่ตรงหน้า “ท่านก็เห็นข้างนอกที่ว่าสวยงามแล้ว การตกแต่งข้างในยิ่งสวยงามน่าประทับใจมากกว่า ข้าอยากอดใจรอที่จะได้ชื่นชมมันไปพร้อมกับฝ่าบาทในรังรักของเรา” และนั่นก็ทำให้ใจดวงน้อยของยุวกษัตริย์โอนอ่อนตามทุกอย่างที่คนรักกล่าวอ้าง จูเลียนปลื้มปริ่มยิ้มหวานทั้งวัน


“เราไปดูข้างในกันเถอะ” จูเลียนเดินนำเข้าไปภายในปราสาท ที่เริ่มมีการตกแต่งบางส่วนที่สร้างเสร็จแล้ว โดยเฉพาะห้องนอน ที่ได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถันหรูหราน่าอยู่ ตามคำสั่งของจูเลียนที่อยากให้ห้องนี้เสร็จก่อนห้องอื่นๆ ภายในห้องคัดสรรของตกแต่งมาอย่างดีที่สุดตั้งแต่พรมปูพื้นจรดเพดาน ที่ตกแต่งด้วยภาพวาดและโคมไฟคริสทัลระย้า แท่นบรรทมยกสูงรองฟูกหน้านุ่ม ปูข้างในด้วยผ้าไหมเนื้อนุ่มละเอียด คลุมทับอีกชั้นด้วยผ้าเนื้อหนาแต่นุ่มและอุ่น ลวดลายที่ถักทอเดินดิ้นทอง บ่งบอกถึงความหรูหราและรสนิยมผู้เป็นเจ้าของ นอกจากนั้นยังมีห้องสำหรับอัศวินประจำตัวที่อยู่ติดกัน ห้องเสวย ห้องบัลลังก์ ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง ห้องสมุด ห้องอื่นๆ ที่จำเป็นต้องมีอีกหลายห้อง และที่ขาดไม่ได้คือห้องละคร ที่จูเลียนสั่งให้ใช้ชั้นบนสุดใต้หลังคาปราสาททั้งชั้น สร้างเป็นห้องสำหรับการละครโดยเฉพาะ


******************


“เจ้ามาทำอะไรตรงนี้” เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังเรียกให้คนที่กำลังเดินท่อมๆ ไปตามทางมืดหยุดชะงัก หันมาทางต้นเสียงอย่างตกใจแทบจะทันที และพอเห็นว่าใครคือเจ้าของเสียงกลับยิ่งตกใจจนตัวสั่น

“เอ่อ ท่านนั่นเอง คือข้าเปล่า..มาทำอะไร ข้าแค่มาเดินเล่น”

สายตาคมกวาดมองฝ่าความมืดรอบตัว แม้ตอนนี้หิมะจะหยุดตก แต่พื้นดินก็ปกคลุมด้วยหิมะหนาและหนาวจนไม่เหมาะที่จะออกมาเดินเล่นสักนิด “มืดๆ นี่นะ”

“นอนไม่หลับ ข้านอนไม่หลับ แล้วท่านล่ะ”

“กลับที่พักของเจ้าไปซะ”

“ใช่ข้าควรกลับที่พัก ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้แหละ” บอกพลางทำท่ารีบร้อนก้าวออกไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักอีก

“เดี๋ยว” เจ้าของเสียงเข้มเรียกไว้พลางเดินเข้ามาใกล้ สายตาคมดุเพ่งมองฝ่าความมืดหาพิรุธ

คนที่เรียกไว้ยังเงียบเลยทำตัวไม่ถูกว่าจะไปหรืออยู่ ตัดสินใจถามออกมาแบบกล้าๆ กลัวๆ เพราะสายตาคมที่กำลังมองอย่างสำรวจ ไม่มีความเป็นมิตรเอาเสียเลย “ท่านเรียกข้าไว้ทำไมหรือเซอร์ราเชล”

“เจ้าออกมาทำไมมืดๆ อย่างนี้ “

“ท่านถามข้าไปแล้วนะ”

“แล้วเจ้าตอบหรือยังล่ะ”

“เอ่อ คือ..”

“บอกมา!” กรอสเซ่ตกใจเข่าแทบทรุด ราเชลไม่ตะคอกถามเปล่าแต่ยังกระชากคอเสื้อขึ้นจนเขาต้องเขย่งยืน เห็นได้ชัดว่าอัศวินหนุ่มไม่ได้เกรงใจเขาในฐานะคนรักของกษัตริย์เลยสักนิด รูปร่างหรือก็ต่างกันลิบลับจนเห็นถึงความได้เปรียบเสียเปรียบอย่างชัดเจน อัศวินหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ดูกำยำล่ำสันแข็งแรง พอกวีประจำราชสำนักมายืนเทียบใกล้ๆ จึงมองเห็นความบอบบางสะโอดสะองขึ้นมาทันที

“ข้า ข้ามาเดินเล่นจริงๆ เซอร์ราเชล”

“มันไม่หนาวเกินไปที่จะออกมาเดินเล่นกลางดึกหรอกหรือไง”

“ข้าก็กำลังจะกลับเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มอุ่นๆ เดี๋ยวนี้ไง ปล่อยข้าสิ”

“หึ” ราเชลปล่อยคอเสื้อกรอสเซ่จนร่างสะโอดสะองเซเกือบเสียหลัก อัศวินหนุ่มนึกสมเพชในความปวกเปียก ถูกตะคอกแค่นี้ยังตัวสั่นงันงก แต่ความลุกลี้ลุกลนจนเกินเหตุนั่นราเชลก็ไม่ได้มองข้ามมันหรอกนะ “ไปสิเดี๋ยวข้าเดินไปส่ง”

“เอ่อ..คือ ไม่เป็นไรข้าเดินไปเองได้”

“ไป” กรอสเซ่หลบสายตาคมที่จ้องมองผ่านความมืดสลัว แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงยอมเดินออกไปจากตรงนั้นเงียบๆ มีราเชลก็เดินตามไปเงียบๆ เช่นกัน จนถึงกระโจมที่พัก กวีหนุ่มรีบเข้าไปในกระโจมตัวเอง และถอนหายใจเสียงดังออกมาทันทีอย่างโล่งอก

“ทำไมต้องถอนหายใจแรงขนาดนั้น”

“ท่าน! “กรอสเซ่หันมาทางต้นเสียงพบว่าราเชลเดินตามเข้ามาก็ตกใจจนตาโต ร่างกายสั่นเทาก่อนหน้านั้นที่เริ่มดีขึ้นกลับมาสั่นอีก จนกวีหนุ่มต้องกำมือทั้งสองข้างแน่น เพราะเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าอัศวินหนุ่มตามเข้ามาถึงข้างใน ไม่ได้ยินเสียงไม่ได้รู้สึกเลยด้วยซ้ำถึงการมีอยู่ของใครอีกคน กรอสเซ่นึกว่าราเชลยังอยู่ข้างนอกด้วยซ้ำ

“ท่านตามข้าเข้ามาในนี้ทำไม” กรอสเซ่ถามพลางก้าวถอยหลังเพราะราเชลเองก็ก้าวเข้ามาหาช้าๆ แต่ละก้าวหนักแน่นมั่นคง สายตาหรือก็จริงจังจนแทบไม่กล้าสบตา

“ท่าทางเจ้ามันน่าสงสัย”

“ท่านสงสัยอะไรข้าล่ะ”

ตุบ! ร่างสะโอดสะองถอยไปสะดุดกับอะไรบางอย่างจึงหงายหลังล้มลง พอก้นกระแทกพื้นจึงรู้ว่ามันเป็นที่นอนนุ่ม แต่อะไรก็ไม่ทำให้กวีหนุ่มตกใจได้เท่ากับร่างกายกำยำ ที่ขึ้นมายืนจังก้าคร่อมทับร่างของเขาอย่างคุกคาม

อัศวินหนุ่มคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนที่นอน ส่วนอีกข้างชันขึ้นวางท่อนแขนทั้งที่ยังคร่อมร่างกรอสเซ่อยู่ ราเชลกระชากคอเสื้อจนร่างกวีหนุ่มปลิวติดมือขึ้นมา “จะบอกดีๆ หรือให้ข้าใช้วิธีเค้นเอาคำตอบ ว่าเจ้าออกไปทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ ในที่มืดๆ คนเดียว”

“ข้า ข้าไปธุระส่วนตัวนิดหน่อย อยู่ดีๆ ก็ปวด ท่านก็รู้นี่ว่ามันจำเป็น”

“แล้วทำไมไม่บอกข้าดีๆ แต่ทีแรก”

“ข้า ข้าก็อายเป็นนะ”

“หึ เรื่องแค่นี้อายทำไม”

“ท่านจะตามมาถามข้าแค่นี้หรือไง” ราเชลตวัดสายตามองดุๆ จนกรอสเซ่หลบตาแทบไม่ทัน สายตาของราเชลจริงจังจนน่ากลัว แตกต่างจากหนุ่มอารมณ์ดีที่กรอสเซ่เคยเห็น

“ข้ามีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของทุกคนที่นี่ แค่อยากเตือนเจ้าว่าออกไปค่ำๆ มืดๆ แบบนั้นอีกมันไม่ปลอดภัย” กรอสเซ่มองราเชลอีกครั้งรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดและน้ำเสียง แต่แววตาที่มองตอบมาเรียบนิ่ง ราวกับไร้ความรู้สึก เดาอารมณ์และความคิดไม่ได้

“ข้า ข้ารู้แล้วท่านจะลุกออกจากตัวข้าได้หรือยัง” ไม่เพียงแต่ราเชลจะไม่ยอมลุก แต่คอเสื้อที่ถูกขย้ำกำยังเหมือนมีแรงเพิ่มขึ้น จนร่างกรอสเซ่ลอยเข้าไปไกลใบหน้าอัศวินหนุ่ม ลมหายใจกรอสเซ่สะดุด

“ระวังตัวเจ้าไว้ดีๆ ด้วย”

อุก! ร่างของกรอสเซ่ถูกปล่อยทิ้งลงอย่างแรง แม้จะเป็นที่นอนนุ่มแต่ก็เล่นเอาจุกไม่น้อยจากแรงที่ส่งมา ราเชลลุกขึ้นยืนหลังตรง ทิ้งสายตาน่ากลัวไว้ให้กรอสเซ่แล้วเดินออกไปจากกระโจม เหลือไว้เพียงความรู้สึกหวาดหวั่นในใจของกวีหนุ่ม ที่ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก แม้จะเพียงแค่ตอนนี้ แต่ก็รู้ดีว่ารอดจากสถานการณ์อันตรายมาได้อย่างหงุดหงิดแล้ว


ราเชลยืนอยู่หน้ากระโจมที่พักของกวีประจำราชสำนัก ห่างออกมาจากกระโจมของจูเลียนที่ตั้งอยู่ตรงกลางของกระโจมทั้งหมดพอสมควร อัศวินหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณ ที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาจากเวรยามที่วางไว้ทั้งคืน แสงสว่างสลัวมาจากไฟกองใหญ่ตรงจุดศูนย์กลาง และคบไฟที่ตั้งไว้เป็นระยะ อัศวินหนุ่มมองซ้ายมองขวาแล้วเดินออกจากตรงนั้นไป

“มีอะไรผิดปกติไหม” ราเชลยิ้มบางๆ ตามแบบคนอารมณ์ดี สาวเท้าเดินเข้าไปหาเฮนริชที่นั่งอยู่บนขอนไม้หน้ากระโจมที่พักของจูเลียน เบื้องหน้าเพื่อนรักคือกองไฟที่กำลังลุกโชน ราเชลพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ ที่ทำให้เฮนริชขมวดคิ้ว หันมองหน้าอย่างต้องการคำอธิบาย แต่ก็มีเพียงความเงียบ ทั้งสองคุยกันทางสายตาก็เข้าใจตรงกันในสิ่งที่กำลังสงสัย

ราเชลเป็นคนเบนสายตามองไปทางอื่นก่อน “ทำไมเจ้าไม่นอน”

“ข้ายังไม่ง่วง”

“หึ หรือเจ้าชอบนอนคนเดียวมากกว่าล่ะ”

“ไม่เกี่ยว”

“เจ้าน่าจะนอนพักนะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้าด้วย” แต่ไม่ทันที่เฮนริชจะได้ตอบอะไร บุคคลที่สามก็เดินล่องลอยเข้ามา ราเชลหันไปถามคนที่มาใหม่ “เจ้าออกมาทำไมลีโอ”

“ข้าตื่นก็ออกมานะสิ” ลีโอตอบเสียงเนือยขณะเดินมาทรุดตัวลงนั่งระหว่างเฮนริชกับราเชล ร่างผอมบางห่มคลุมด้วยผ้าคลุมขนสัตว์ผืนหนา

“พวกข้าทำเจ้าตื่นหรือไง” ราเชลถามเสียงอ่อนพลางจับหมวกที่ติดกับเสื้อคลุมขึ้นคลุมหัวให้ลีโอ ที่ตอนนี้กลายเป็นเหมือนก้อนผ้ากลมๆ เพราะเจ้าตัวนั่งกอดเข่าตัวเองแน่น ถึงบริเวณที่พักแรมจะกวาดหิมะออกไปกองไว้รอบๆ แต่ความหนาวก็ยังหนาวเย็นจนยะเยือกไม่ต่างกันเลย

ลีโอหาวยาวๆ แล้วตอบ “เปล่า ข้าตื่นเอง แล้วพวกท่านไม่นอนหรือไง”

“กลับไปนอนไป” เฮนริชบอกเสียงดุเมื่อเห็นลีโอทั้งหาว ทั้งกอดตัวเองแน่นวางคางเกยลงบนเข่า แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจหรือยังไม่ทันได้ตื่นดีก็ไม่รู้ เด็กน้อยของเหล่าอัศวินจึงไม่ตอบคำถามแต่ถามกลับเสียงเนือย

“ใกล้เช้าหรือยังล่ะ”

เฮนริชยังนั่งมองลีโอเงียบๆ ราเชลจึงตอบคำถามแทน “อีกนาน เจ้ากลับเข้าไปนอนได้แล้วไป”

“ข้าไม่อยากนอนคนเดียวนี่”

“ทำไมล่ะ ปกติตอนอยู่เมืองหลวงเจ้าก็นอนคนเดียวไม่ใช่หรือไง”

“แต่นี่มันไม่ปกติไงเซอร์ราเชล”

“หรือเจ้ากลัวอะไร”

“มีพวกท่านอยู่ด้วยข้าไม่กลัวหรอก” ลีโอขยับหาที่เหมาะแล้วฟุบหน้าลงกับเข่าของตัวเองอีกรอบ ได้ยินเสียงเฮนริชปรามเบาๆ แต่เด็กน้อยไม่สนใจ

“ระวังไฟด้วย”

“ตรงนี้อุ่นจัง อุ่นกว่าในกระโจมอีก” เสียงของลีโอแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ราเชลก้มลงมาดูก็พบว่าเด็กน้อยหลับไปแล้วในท่านั่งกอดตัวเอง ราเชลอมยิ้มมองลีโอด้วยสวยตาอ่อนโยนปนเอ็นดู จนหันมามองหน้าเฮนริชก็ยังยิ้มอยู่อย่างนั้น

“เจ้ายิ้มทำไม”

“หึ เด็กน้อยของเจ้าหลับไปแล้ว”

“เมื่อไหร่พวกเจ้าจะเลิกเรียกว่าลีโอเป็นเด็กน้อยของข้าสักที”

“หรือไม่ใช่”

“แล้วพวกเจ้าไม่ได้เอ็นดูลีโออยู่เหมือนกันหรอกหรือไง” เป็นความจริงที่เหล่าอัศวินต่างให้ความรักและเอ็นดูลีโอเหมือนเป็นน้องน้อยๆ ของพวกเขา แต่หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หรือไปไหนมาไหนทำอะไร ส่วนมากคนที่ทำหน้าที่ดูแลลีโอมากกว่าคนอื่นๆ จะเป็นเฮนริช ราเชลยิ้มแปลกๆ ให้เพื่อนที่มองตอบอย่างเข้าใจ

“ก็ใช่ แต่ตอนนี้เจ้าพาลีโอเข้าไปนอนข้างในก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวข้าจะไปเดินตรวจรอบๆ อีกสักหน่อย” ราเชลบอกพลางลุกขึ้นยืนเหล่มองเพื่อนทางหางตา เห็นเฮนริชยังนั่งเงียบและถอนหายใจออกมาเบาๆ สายตายังจับอยู่ที่ลีโอ จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มร้ายของราเชลที่ยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป เฮนริชเข้าเวรยามช่วงหัวค่ำไปแล้วตอนนี้จึงเป็นเวลาพักผ่อน



ต่อถัดไปจ้า...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“ลีโอ”

“..”

“ลีโอตื่นก่อน” เฮนริชเขย่าตัวลีโอเบาๆ

“อือ”

“ตื่นก่อนเข้าไปนอนข้างในดีๆ “

“..” เฮนริชส่ายหน้า เพราะคำตอบที่ได้กลับมาคือความเงียบ ดูเหมือนลีโอจะหลับไปแล้วจริงๆ อัศวินหนุ่มขยับเข้ามาหาจับร่างผอมบางของลีโอให้ซบลงที่อกกว้างแล้วช้อนอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย ราวกับร่างในห่อผ้านั้นไร้น้ำหนัก หากลีโอไม่ขยับเข้าซบอกอุ่นเฮนริชคงคิดว่าตัวเองหอบเอาห่อผ้าขึ้นมาอุ้มไว้แน่ๆ

สองขายาวก้าวอย่างมั่นคงเข้าไปในกระโจมที่พัก ซึ่งกว้างขวางพอสมควร ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่ายเพราะเป็นเพียงที่พักชั่วคราว แต่มีที่นอนวางเรียงไว้สำหรับสามคน คือที่นอนสำหรับเฮนริชและราเชลนอนขนาบข้างทั้งสองฝั่ง ตรงกลางเป็นที่นอนของลีโอ นั่นจึงพออธิบายได้ว่า ทำไมราเชลถึงได้ถามเฮนริชว่าชอบนอนคนเดียวมากกว่าหรือ

อัศวินหนุ่มอุ้มร่างแน่งน้อยเดินตรงไปยังที่นอนที่จัดไว้ตรงกลาง ค่อยๆ บรรจงวางร่างบอบบางลงอย่างเบามือที่สุด เท่าที่มือของอัศวินผู้จับแต่อาวุธจะทำได้ นั่นจึงทำให้ร่างกายสูงใหญ่ของเขาต้องโน้มลงจนแทบจะนอนไปบนที่นอนด้วยกัน ใบหน้าอ่อนเยาว์นวลเนียนในกรอบของหมวกคลุมหัวขนสัตว์ดูน่ามอง เฮนริชมองเพลินตั้งแต่คิ้วโก่งได้รูปลงมาตามสันจมูก และริมฝีปากจิ้มลิ้ม จนถึงพวงแก้มอิ่มสีแดงเรื่อ ทุกองค์ประกอบรวมกันเป็นใบหน้าไร้เดียงสาที่ดู..น่ารัก

ร่างสูงใหญ่ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนฟูกชะงัก ท่อนแขนข้างหนึ่งยังรองอยู่ใต้ท้ายทอยให้ลีโอหนุน มืออีกข้างดึงผ้ามาห่มให้ความอบอุ่น ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าลีโอไม่น่ารัก แต่ทำไมเฮนริชถึงได้มาคิดว่าลีโอน่ารักเอาตอนนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะปกติก็เอ็นดูลีโออยู่แล้วกันทุกคน แล้วตอนนี้มันไม่ปกติหรืออย่างไร

เฮนริชถอนหายใจออกมาเบาๆ นึกสงสัยว่าทำไมวันนี้ตัวเองถึงได้ถอนหายใจบ่อยเหลือเกิน พรุ่งนี้เช้ายังต้องเดินทางไกล อัศวินหนุ่มรู้สึกง่วงและบอกตัวเองว่าควรนอน แต่พอจะดึงท่อนแขนออกเพื่อลุกขึ้น คนหลับที่ดูเหมือนจะหลับลึกไปแล้วกลับพลิกตัวเข้าหา กอดท่อนแขนกำยำไว้แน่น

“หนาว”

“ปล่อยข้าก่อนลีโอ” บอกให้ปล่อยเหมือนบอกให้กอดแน่นขึ้น ลีโอซุกตัวเข้าหาอกกว้างราวกับเด็กขาดความอบอุ่น ดวงตาหลับพริ้มปากพึมพำละเมอฟังไม่ได้ศัพท์

“อือ หนาวจัง”

“ลีโอนอนดีๆ “

“อุ่นจัง” เฮนริชรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองแข็งทื่อไปแล้ว เขาไม่กล้าขยับเมื่อลีโอซุกใบหน้าอ่อนเยาว์เข้าที่ซอกคออุ่น อัศวินหนุ่มกลัวเด็กน้อยจะตื่น จึงทิ้งหัวลงบนหมอบนอนหลับตานิ่ง ตั้งใจว่าจะให้ลีโอหลับสนิทก่อนแล้วถึงจะลุกออกไป แต่เพราะความง่วงบวกกับร่างกายที่ทำงานมาทั้งวัน คิดว่าจะพักสายตาไม่นาน แต่เฮนริชก็หลับยาวถึงเช้ากับร่างอุ่นๆ ที่อยู่ในอ้อมกอด

**************

“เราพร้อมออกเดินทางแล้วฝ่าบาท” จูเลียนละสายตาจากความยิ่งใหญ่อลังการของปราสาท หันหน้ามาหาราเชลที่ยืนระวังอยู่ข้างหลัง แล้วหันกลับไปมองบนยอดโดมของปราสาทอีกครั้งอย่างอาลัย ความรู้สึกผูกพันที่มีอยู่แล้วยิ่งเอ่อล้นมากขึ้น ตั้งแต่ครั้งตัดสินใจเลือกที่นี่เป็นที่สร้างปราสาทไว้อยู่กับคนรัก ยามต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองหลวง

“ท่านควรพักสักหน่อยนะเซอร์ราเชล”

“ข้าหลับบนหลังม้าได้ฝ่าบาท”

“ข้าจะกลับมาอีก” ราเชลเพียงก้มหัวลงเล็กน้อยแสดงการยอมรับสิ่งที่เจ้านายเหนือหัวบอก

จูเลียนสูดลมหายใจเข้าปอดยาวๆ เหมือนต้องการให้กลิ่นอายของเอวาเลียนซึมซับเข้าไปถึงใจ แล้วจึงหันหลังกลับ “ไปกันเถอะ”

“เชิญเสด็จ”

ขบวนเสด็จของจูเลียนเริ่มออกเดินทางกลับเมืองหลวง นำขบวนโดยทหารที่ได้รับการฝึกฝนการต่อสู้มาอย่างดีจำนวนหนึ่ง จูเลียนเลือกขี่ม้าแทนที่จะนั่งเบื่ออยู่ในรถม้า เพราะอยากมองเห็นปราสาทเอวาเลียนท่ามกลางขุนเขาจนลับสายตา และที่สำคัญคืออยากขี่ม้าเคียงคู่ไปกับคนรัก ขบวนเสด็จเดินทางอย่างราบรื่นตามเส้นทางที่มีการวางแผนเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตามพื้นดินยังมีหิมะปกคลุมไปทั่ว แต่ไม่หนามากจนเป็นอุปสรรคของการเดินทาง และวันนี้อากาศก็ปลอดโปร่ง ถึงจะยังคงความหนาวเหน็บแต่หิมะไม่ตก จึงเป็นวันที่เหมาะมากสำหรับการเดินทางที่สุด

“เมื่อคืนเจ้าหลับสบายหรือไม่เฮนริช” เฮนริชเหลือบตามองราเชลที่ขี่ม้าตีคู่ขึ้นมา เอ่ยปากถามไถ่เหมือนสนใจสารทุกข์สุกดิบ แต่รอยยิ้มแบบนั้นเฮนริชรู้ดีว่ามันไม่ใช่อย่างที่แสดงออก ราเชลยิ้มเหมือนกำลังทำเรื่องสนุก

“คงฝันดีสินะ”

“ใกล้ถึงแล้วจุดนั้นแล้ว”

“เจ้าเปลี่ยนเรื่อง”

“ข้าเตรียมพร้อมต่างหากล่ะ เจ้าก็เหมือนกันนะราเชล”

“เดี๋ยวข้าจะขึ้นไปที่หัวขบวน เจ้าดูแลจูเลียนก็แล้วกัน”

"อืม” ราเชลเร่งม้าให้วิ่งแซงคนอื่นขึ้นยังหัวขบวน ที่นำโดยทหารม้ารักษาพระองค์ พอถึงทางแยกซึ่งเป็นทางลัดตรงเข้าสู่เมืองหลวง อัศวินหนุ่มกลับสั่งให้แยกไปอีกทาง ซึ่งเป็นคนละทางกับที่วางแผนไว้ในตอนแรก และการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้คนที่แอบจับตามองอยู่มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“เจ้าเป็นอะไรกรอสเซ่”

“ข้าไม่เป็นไรฝ่าบาท แต่ทำไมขบวนเสด็จเปลี่ยนเส้นทางล่ะ” พอได้ยินกรอสเซ่บอกจูเลียนจึงมองไปทางหัวขบวน เห็นราเชลขี่ม้านำไปอีกทางจึงหันมายิ้มบางๆ ให้คนรัก

“เรื่องธรรมดานั่นแหละ เวลาเดินทางอัศวินของข้ามีหน้าที่นำทาง ที่เราเชลสั่งให้เปลี่ยนเส้นทางกลับ ก็คงเพื่อความปลอดภัยของเรา ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก”

“อย่างนี้นี่เอง”

“เจ้าดูสิ เอวาเลียนของเราบนเนินเขานั่นสวยเหลือเกิน”

“สวยจริงๆ ฝ่าบาท” แม้กรอสเซ่จะคุยกับจูเลียน แต่ก็หาได้จดจ่ออยู่กับเรื่องที่กำลังพูดคุยกันอยู่ไม่ เพราะใจของเขากำลังกังวลกับสิ่งที่ผิดพลาด ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งข้อตำหนิแก่ตัวเขาได้ กวีหนุ่มมองปราสาทเอวาเลียนที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหันกลับไปมองทางเงียบๆ

การเดินทางผ่านไปอย่างราบรื่น หยุดพักครั้งแรกตอนเกือบเที่ยงที่ริมแม่น้ำสายหนึ่ง ไม่นานก็ออกเดินทางกันต่อ การเดินทางที่เจ้าเหนือหัวเพลิดเพลินกับธรรมชาติ และคนรักที่ขี่ม้าเคียงคู่ จนกระทั่งตกเย็นขบวนเสด็จเป็นอันต้องหยุดพักอีกครั้ง ตอนนี้มาถึงครึ่งทางกันแล้ว เฮนริชเลือกที่ตั้งสำหรับพักแรมในพื้นที่ที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด จัดวางกระโจมที่พักเหมือนเดิม คือกระโจมของจูเลียนอยู่ตรงกลาง โอบล้อมด้วยกระโจมของอัศวินและทหาร มีเวรยามเดินตรวจตราตลอดทั้งคืน

“เจ้าควรเข้านอนได้แล้วนะลีโอ” ราเชลทักลีโอที่นั่งเฝ้ากองไฟอยู่กับเฮนริช ตอนนี้ยังไม่ดึกมากแต่จูเลียนก็เข้านอนแล้ว

“ข้ายังไม่ง่วงเลยนะเซอร์ราเชล”

“แล้วเจ้าล่ะเฮนริช ทำไมไม่รีบเข้านอนก่อน”

“เจ้าจะอยู่เวรหัวค่ำหรือไง”

“หรือไม่ได้”

“ดูด้วย” เฮนริชบอกเพียงเท่านั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในกระโจมที่พักทันที สองคนที่ยังนั่งอยู่ข้างกองไฟได้แต่มองตามต่างความรู้สึก

“เซอร์เฮนริชเป็นอะไรไปเหรอเซอร์ราเชล” ราเชลยังมองไปทางเฮนริชอยู่ เห็นหลังเพื่อนมุดเข้าไปในกระโจมแล้วจึงหันกลับมามองหน้าลีโอที่นั่งตาใสรอคำตอบด้วยสีหน้าอยากรู้

“ข้าไม่รู้ ว่าแต่เจ้าเถอะไปทำอะไรให้เฮนริชไม่พอใจหรือเปล่า”

“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่ถามไม่กี่คำเขายังไม่อยากคุยด้วยเลย แล้วยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีกล่ะ” ลีโอหน้างอแต่ไม่ใช่เพราะโกรธ มันเป็นความหน้างอที่มาพร้อมความหม่นเศร้าไม่เข้าใจ

“คงเขินล่ะมั้ง”

“เขินเหรอ ทำไมต้องเขินด้วย แล้วเซอร์เฮนริชจะเขินให้ใคร” ราเชลมองหน้าลีโอยิ้มให้บางๆ ยิ่งทำให้เด็กน้อยงงและอยากรู้เข้าไปใหญ่ “ท่านจะแกล้งอะไรข้าอีกล่ะเซอร์ราเชล ข้าจะฟ้องเซอร์เลนนี่”

ราเชลหลุดยิ้มจนได้ ขำเด็กน้อยขี้ฟ้อง “เมื่อไหร่ล่ะ ข้าแทบรอไม่ไหวเลย”

“นั่นสิเมื่อไหร่เซอร์เลนนี่จะกลับมา ข้าคิดถึงจัง”

“แล้วพวกข้าล่ะเจ้าไม่คิดถึงหรือไง”

“เดินทางมาด้วยกันยังต้องคิดถึงอีกหรือ” ลีโอถามหน้าซื่อ

“หึ”

“เซอร์เดรทิชด้วย ไม่รู้ป่านนี้เดินทางไปถึงสวาเนียร์ทันลอร์ดนิโคลแล้วหรือยัง”

“เจ้าอย่าพูดไป เรื่องนี้ไม่ควรพูดมาก”

“ข้ารู้แล้ว แค่พูดเบาๆ เองนะ ก็ข้าคิดถึงนี่” ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูเหงาหงอยลงไปถนัดตา “เออ เซอร์ราเชล ท่านรู้จักท่านโรฮานส์เพื่อนเซอร์เลนนี่หรือเปล่าที่ชนะการประลอง”

“ก็เคยเห็นมากับเลนนี่อยู่บ้างเหมือนกัน ทำไมเหรอ”

“เขาเก่ง ข้าชื่นชมเขา”

ราเชลเหลือบมองเลยไปยังข้างหลังของลีโอ ใครบางคนที่กำลังจะเดินกลับออกมาชะงักไปที่ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของลีโอ “หึ เจ้าชอบเขาหรือไง”

“ใช่ ข้าชอบท่านโรฮานส์เพราะเขาต่อสู้เก่งมาก ข้าเห็นเขาซ้อมดาบกับเซอร์เลนนี่ด้วย แต่ตอนนี้เขาเดินทางไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาใจดีกับลีโอเหมือนพวกท่านเลย” รอยยิ้มของลีโอจางหายไปเหลือเพียงใบหน้าหงอยๆ ผิดกับความตื่นเต้นในคราแรกที่เอ่ยถึงคนที่ตัวเองชื่นชม จนราเชลยิ้มเอ็นดูในความใสซื่อไร้พิษสงของเด็กน้อยตรงหน้า

“ข้าว่าเจ้าควรไปนอนได้แล้วนะ”

“ข้าขอผิงไฟอีกนิดไม่ได้หรือไง” อัศวินหนุ่มเหลือบไปมองทางกระโจมที่พักอีกครั้ง ยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนรักที่ยืนอยู่หน้ากระโจม พอเฮนริชหันหลังกลับไปทางเดิม ราเชลจึงหันกลับมาหาเด็กน้อยที่กำลังเขี่ยไฟและเติมฟืน มือหยาบกร้านวางลงบนกลุ่มผมนุ่มยีเบาๆ กระซิบบอกเสียงอ่อนโยน

“ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้เดินทางต่อแต่เช้า เจ้าจะได้ไม่เหนื่อยมาก”

“ก็ได้ ท่านก็เหมือนกันนะเซอร์ราเชลพักผ่อนบ้าง” พอลีโอไปนอนราเชลก็ลุกจากกองไฟ เดินตรวจตราตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติอาจจะเป็นสถานการณ์ภายในกระโจมที่ลีโอเพิ่งเดินเข้าไป เพราะคงมีใครบางคนนอนไม่หลับแน่คืนนี้

อากาศยามเช้ายังคงความหนาวเหน็บ และมีหิมะตกลงมาบางๆ แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถหยุดการเดินทางได้ เพราะจูเลียนเร่งอยากให้กลับถึงเมืองหลวงเร็วๆ กษัตริย์หนุ่มน้อยเลือกขี่ม้านำขบวนไปก่อน พร้อมทหารกลุ่มใหญ่ รั้งท้ายด้วยรถม้าขนของและทหารบางส่วน สองข้างทางเป็นป่าทึบ บางช่วงเป็นทุ่งหญ้าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ สลับกันอยู่อย่างนั้นจนเข้าเขตป่าอีกกครั้ง หิมะก็เริ่มตกลงมาอย่างหนัก ลมแรงขึ้นราวกับจะเกิดพายุ ต้นสนสูงชะลูดมีหิมะเกาะอยู่ตามกิ่ง ดูเป็นความสวยงามที่ถูกธรรมชาติแต่งเติมขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ

“หิมะตกหนักอย่างนี้ ท่านไม่คิดว่าเราควรพักก่อนหรือเซอร์เฮนริช” จูเลียนถามเฮนริชที่ขี่ม้าตีคู่ขึ้นมา เมื่อเห็นว่าหิมะเริ่มจะตกหนักกว่าตอนแรก ถึงจะสวมเสื้อผ้าเนื้อหนาสำหรับฤดูหนาว และมีเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวใหญ่กับหมวกสวมทับอีกชั้น ก็ยังหนาวมากจนตัวสั่นปากสั่นไปกันหมด

“อีกไม่ไกลก็จะถึงหมูบ้านแล้วฝ่าบาท ข้าว่าเราไปพักใกล้ๆ หมูบ้านข้างหน้าดีกว่า น่าจะพอมีร้านหรือที่พักให้หลบหนาวได้”

“ถ้าอย่างั้นก็รีบไปกันเถอะ” เฮนริชหันไปส่งสัญญาณบอกราเชลว่าจะล่วงหน้าไปก่อน แล้วขี่ม้าพาจูเลียนออกไป ตามด้วยกรอสเซ่ ลีโอ และทหารกลุ่มหนึ่ง ราเชลสั่งงานเสร็จก็รีบควบม้าตามไปทันที

ต่อข้างล่างจ้า...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนคนบนหลังม้าต้องนั่งห่อตัว ม้าก็เดินเร็วมากไม่ได้เพราะนอกจากหิมะหนาๆ บนพื้นแล้ว ถนนข้างหนึ่งยังเป็นป่าสนส่วนอีกข้างเป็นพื้นลาดลงเนินเขาที่ค่อนข้างชัน ราเชลหยุดม้าแล้วกวาดตาไปรอบๆ เหมือนมองหาสิ่งผิดสังเกต

“มีอะไรเหรอเซอร์ราเชล”

“ไม่มีอะไรฝ่าบาทไปกันต่อเถอะ” ราเชลบอกจูเลียนแล้วเร่งให้ม้าเดินต่อ ลีโอเร่งม้าคู่ไปกับเจ้านายไปติดๆ ตามด้วยกรอสเซ่ที่หนาวจนพูดไม่ออก เฮนริชสบตากับราเชลสองอัศวินไม่พูดอะไร แต่ส่งสัญญาณให้ทหารตามประกบจูเลียนเงียบๆ

“เจ้าไปอยู่กับจูเลียน”

“ระวังตัวด้วย” บทสนทนาสั้นๆ ระหว่างสองอัศวินเพียงเท่านั้นก็เข้าใจกัน เฮนริชเร่งม้าขึ้นไปอยู่ข้างๆ จูเลียนที่พอเห็นว่าเป็นเฮนริชก็ไม่ได้พูดอะไร ก้มหน้าก้มตาขี่ม้าไปเรื่อยๆ ไม่ลืมหันไปมองคนรักที่ขี่ม้าตามหลังมาเป็นระยะ จนกระทั่งพ้นเขตป่าออกมาสู่ที่โล่ง ทางข้างหน้าเป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่ทำขึ้นมาจากไม้

“ข้ามสะพานไปอีกไม่ไกลก็ถึงหมู่บ้านแล้วฝ่าบาท” เฮนริชบอก

“รีบไปกันเถอะ”

น้ำในแม่น้ำเป็นกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งเกาะเป็นฝ้าหนา แต่ลึกลงไปข้างล่างนั้นยังคงเป็นน้ำที่คงจะเย็นจนบรรยายไม่ถูก จูเลียนขี่ม้าคู่ไปกับเฮนริช แต่ก็หนาวเกินไปที่จะสังเกตเห็นท่าทางระแวงระวังของอัศวินหนุ่ม ที่ดูเหมือนจะเร่งให้ข้ามสะพานไปเร็วๆ เฮนริชไสม้าเบียดม้าของจูเลียนบังคับให้มันรีบเดิน แต่อีกไม่กี่ก้าวจะถึงตัวสะพานอยู่แล้ว สิ่งที่คาดไว้ก็เกิดขึ้นจนได้

ฟิ้วววว

“ระวัง!”

“เฮนริช! “ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างของจูเลียนถูกคว้าไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรงของเฮนริช ให้หลบจากวิถีของลูกธนู ที่ถูกยิ่งออกมาจากป่าได้อย่างหวุดหวิด ทหารที่ตามมารีบตีวงล้อมเพื่อปกป้องกษัตริย์หนุ่มน้อย ดาบทุกเล่มถูกถอดออกจากฝักเพื่อคุ้มกัน

“ฝ่าบาทเป็นอะไรหรือเปล่า” ลีโอรีบเข้ามาถาม

“ข้าไม่เป็นไร”

“ตรงนั้น” เฮนริชชี้บอกตำแหน่งที่มาของลูกธนูปริศนา ทุกคนหันไปมองแต่ราเชลยังกวาดตามองไปรอบๆ ทุกอย่างรอบตัวยังเงียบ แต่หลังจากความเงียบมักจะมีสิ่งที่น่าสะพรึงตามมาเสมอ จนอึดใจใหญ่หิมะที่ปกคลุมพื้นดินก็ค่อยๆ เคลื่อนเผยให้เห็นศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้น มันพากันลุกขึ้นเดินตีวงล้อมเข้ามาช้าๆ ราวกับซากผีดิบที่กำลังจะเข้าจู่โจมเหยื่อ

“ราเชล”

“พวกมันมีมากเกินไป เจ้าพาจูเลียนหนีไปข้าจะต้านมันไว้เอง ข้ามสะพานไปให้ได้” เฮนริชหันกลับมาหาจูเลียนจะพาหนี แต่ฝั่งที่คิดว่าจะใช้เป็นทางหนีหลับเต็มไปด้วยศัตรูที่โอบล้อมเข้ามาไม่ต่างจากทิศทางอื่น

“พวกมันเยอะเกินไป”

“ลีโอมาอยู่กับข้า” จูเลียนเรียกลีโอที่ตื่นตระหนกนั่งหันหันรีหันขวางอยู่บนหลังม้า ยุวกษัตริย์ถอดดาบออกมาเตรียมพร้อมสู้ “กรอสเซ่ระวังตัวด้วย”

“ฝ่าบาทไม่ต้องห่วงข้า”

“จูเลียน” ราเชลจับข้อมือจูเลียนข้างที่ถือดาบไว้แน่น “หนีเมื่อมีโอกาสไม่ต้องห่วงทางนี้เฮนริชจะไปกับท่าน” ราเชลพูดจบก็พอดีกับศัตรูเริ่มวิ่งกรูกันเข้ามา ทหารตีวงล้อมเป็นเกราะป้องกันให้จูเลียนหันหน้าออกไปยังศัตรู ราเชลสบตาเฮนริชเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขี่ม้าออกไปทางที่เห็นศัตรูกำลังขี่ม้าเข้ามา นั่นน่าจะเป็นหัวหน้าของพวกมัน

เกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาทันที เพราะศัตรูที่มีมากกว่าโจมตีเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ถึงตอนนี้ยังไม่มีศัตรูคนไหนสามารถฝ่าด่านป้องกันของเหล่าทหาร และอัศวินทั้งสองอย่างเฮนริชกับราเชลเข้ามาถึงตัวจูเลียนได้ แต่อีกไม่นานคงต้องเสียทีเป็นแน่ถ้ายังไม่ทำอะไรสักอย่าง

“เจ้าพาจูเลียนหนีไปเดี๋ยวนี้!” ทุกครั้งที่อัศวินหนุ่มตวัดดาบหมายถึงชีวิตของศัตรูที่หลุดลอยไป แต่กระนั้นก็เหมือนกับว่ามันจะไม่มีวันหมด คนหนึ่งตายคนที่เหลือก็กรูกันเข้ามา

“จูเลียนระวัง! “ราเชลเห็นจูเลียนกำลังจะถูกโจมตี มีดพกเล่มเล็กที่เหน็บอยู่ข้างเอวถูกขว้างออกไปโดนจุดตายอย่างแม่นยำ ก่อนจะรีบขี่ม้าฝ่าวงล้อมเข้ามาหาจูเลียน ลีโอตกจากหลังมาแต่ก็ลุกขึ้นกวัดแกว่งดาบฟาดใส่ศัตรูคอยปกป้องจูเลียนอยู่ใกล้ๆ ทั้งที่ก็ไม่ได้ต่อสู้เก่งอะไรเลยสักนิด แต่ใจที่แข็งแกร่งหวังปกป้องเจ้านายทำให้ลีโอไม่ยอมถอย กรอสเซ่ยังนั่งอยู่บนหลังม้าแต่ไม่ได้ต่อสู้กับใครเลย นอกจากระวังความปลอดภัยของตัวเอง

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ข้าไม่เป็นไร ลีโอม้าของเจ้า”

“ช่างมันฝ่าบาท” ม้าของลีโอถูกฟันจนเป็นแผลเหวอะหวะนอนดิ้นอย่างน่าสงสารอยู่ไม่ไกล ตอนนี้ใครเป็นใครแทบจะดูไม่ทัน ศัตรูที่วิ่งเข้ามาหมายจะทำร้ายจูเลียนถูกหยุดไว้ด้วยคมดาบของราเชลกับเฮนริช ที่ต่อสู้อยู่ใกล้ๆ กับทหารคนอื่นๆ ลีโอแม้จะไม่เก่งการต่อสู้แต่ก็จัดการศัตรูไปได้หลายคน จนเนื้อตัวของเด็กน้อยเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แต่กระนั้นดูเหมือนว่าจะมีศัตรูมีเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกับว่าตายไปเท่าไหร่ก็ยังไม่หมด ทุกคนต่อสู้ปกป้องจูเลียนเต็มที่จนเริ่มพากันอ่อนล้า ศัตรูโอบล้อมเขามามากจนแทบจะฝ่าออกไปไม่ได้

“มันล้อมเราไว้ทุกทิศแล้วฝ่าบาท” กรอสเซ่ตะโกนบอกอย่างตื่นตระหนก คราแรกกวีหนุ่มไม่นึกกลัวด้วยคิดว่าคงไม่มีใครทำอะไรตัวเอง เพราะเห็นเป็นพวกเดียวกัน แต่พอเห็นศัตรูฟาดดาบเข้ามาโดยไม่สนใจว่าใครเป็นใคร ก็เริ่มชักไม่แน่ใจว่าตัวเองจะปลอดภัยเหมือนอย่างที่พูดกันไว้แล้ว

“กรอสเซ่ระวังตัวนะ ราเชลคุ้มกันกรอสเซ่ด้วย” จูเลียนบอกแต่ไม่ได้ดูว่าราเชลจะทำตามหรือไม่ เพราะศัตรูที่ดาหน้าเข้ามามากมายไม่เอื้อให้มีเวลาใส่ใจพอ และราเชลเองก็หาได้สนใจในคำสั่งนั้นไม่เช่นกัน คนเดียวที่ต้องปลอดภัยก่อนคือจูเลียนกับลีโอเท่านั้น

ศัตรูเหลือไม่มากเท่าตอนแรก เพราะถูกฆ่าตายไปเกินกว่าครึ่ง จนเลือดย้อมหิมะขาวๆ ให้เป็นสีแดงฉานไปทั่ว การต่อสู้หยุดลงชั่วขณะเหมือนดูท่าทีกันและกัน แต่ไม่นานมันก็ตีวงล้อมเข้ามาช้าๆ เหยียบข้ามศพทั้งของทหารและของเพื่อนตัวเอง บางคนที่ยังไม่ตายนอนร้องโอดโอย บางคนที่พอจะสู้ได้ก็ยังไม่ยอมวางดาบ เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นทหารรับจ้าง แต่นั่นไม่น่าหนักใจเท่ายังมีคนของพวกมัน วิ่งฝ่าหิมะmujpy'9dsoydออกมาจากชายป่า จูเลียนหวาดกลัวแต่ในมือยังกำด้ามดาบแน่น ข้างขวาคือราเชล ข้างซ้ายคือลีโอที่ตอนนี้ขึ้นบนหลังม้าได้แล้วด้วยความช่วยเหลือของเฮนริชที่นั่งอยู่บนม้าอีกตัวหนึ่งข้างกัน

“ลีโอพาจูเลียนข้ามสะพานหนีออกไปทางเหนือของหมูบ้าน” เฮนริชบอก

จูเลียนมองหน้าอัศวินทั้งสองสลับกัน แม้จะหวาดกลัวมากแค่ไหนก็ยังควบคุมความกลัวของตัวเองได้สมเป็นกษัตริย์ “แล้วพวกท่านล่ะเซอร์เฮนริช”

“พวกข้าจะรีบตามไปให้เร็วที่สุด”

“เจ้าทำได้ใช่ไหมลีโอ” ราเชลถาม

“ข้า..”

“เจ้าทำได้ลีโอ” ราเชลย้ำกับลีโอแล้วหันไปบอกจูเลียน “ขี่ม้าไปทางเหนือของหมู่บ้าน พวกข้าจะรีบตามไปให้เร็วที่สุด”

“ตกลง”

“ดีมากฝ่าบาท ระวังตัวด้วย” แต่ยังไม่ทันที่จูเลียนจะได้ตอบรับ ศัตรูที่ออกมาจากชายป่าก็วิ่งกรูเข้ามาถึง ทุกคนต่อสู้อย่างกล้าหาญ แต่เพราะจำนวนคนที่มีน้อยกว่าจึงเสียเปรียบ ราเชลได้แผลตามตัวมาพอสมควรไม่ต่างจากเฮนริช จูเลียนกับลีโอก็ยังไม่สามารถฝ่าศัตรูออกไปได้ แม้อัศวินทั้งสองจะพยายามเปิดทางให้แล้ว แต่เหมือนกับว่าพวกทหารรับจ้างที่ตายไป จะมีกลุ่มใหม่กรูเข้ามาแทนกันอยู่ตลอด

“แบบนี้ไม่ไหวแน่” เฮนริชพูดพลางต่อสู้คอยระวังให้จูเลียนกับลีโอ ทหารคนอื่นๆ ก็ต่อสู้อยู่รอบๆ อย่างกล้าหาญ

“เจ้าพาจูเลียนออกไปเลยเฮนริชไม่ต้องรอแล้ว”

“ไปเถอะฝ่าบาท”

“เฮนริช!! “อัก! เฮนริชบอกแล้วหันกลับมาทางจูเลียนจึงไม่ทันเห็น เลยถูกแส้ของศัตรูที่ตวัดเข้าใส่เต็มแรงจนตกลงจากหลังม้า จูเลียนกับลีโอร้องเรียกเสียงหลง แต่ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บอัศวินหนุ่มก็ยังรีบลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้

ขณะที่กำลังตกเป็นรองเพราะฝ่ายโจมตีมีกำลังมากกว่า อีกฝั่งหนึ่งของสนามต่อสู้ก็เกิดเรื่องน่าประหลาดขึ้น เมื่อมีม้าสีดำตัวใหญ่พ่วงพีแต่ดูปราดเปรียวควบฝ่าเข้ามา ราวกับว่าพายุหิมะและหิมะที่ปกคลุมบนพื้นจนหนาไม่ได้เป็นอุปสรรค ทั้งที่ม้าตัวอื่นยังเดินลำบาก บนหลังม้าตัวนั้นควบคุมโดยชายชุดดำที่กวัดแกว่งโซ่เหล็กในมือ ปลายโซ่เป็นลูกตุ้มเหล็กที่มีหนามแหลมอยู่รอบๆ และยิ่งไปกว่านั้น ส่วนที่เป็นลูกตุ้มและโซ่บางช่วงยังลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ มันจะสร้างความเสียหายให้กับศัตรูทุกครั้งยามถูกเหวี่ยงออกทำลายล้าง บ้างกลายเป็นแผลน่ากลัว บ้างถึงตาย บางคนไฟติดเสื้อผ้าจนไหม้ไปทั้งตัว

เขาฆ่าศัตรูไปได้ไม่น้อย ม้าตัวใหญ่ปราดเปรียวพาวิ่งไปทั่วอย่างคล่องแคล่ว ทุกครั้งที่โซ่เหล็กถูกเหวี่ยงออกไปนั่นหมายถึงหลายสิบชีวิตที่ต้องสังเวย จนไฟที่ถูกจุดด้วยยางอย่างดีเริ่มราแรงเหลือแต่ลูกตุ้มเหล็กหนามแหลมหนักๆ แต่มันก็ยังสามารถปลิดชีวิตศัตรูไปได้อีกเยอะ ตั้งแต่ปรากฏตัวจนกระทั่งฝ่าลงล้อมเข้ามา ชายชุดดำสามารถกำจัดศัตรูของจูเลียนไปได้ไม่น้อย ตอนนี้จุดหมายของชายปริศนาคือเข้าหายุวกษัตริย์ ที่อยู่ท่ามกลางการอารักขาของอัศวินและทหารที่เหลือ

“เดี๋ยว เจ้าเป็นใคร” ราเชลขวางไว้ด้วยดาบของเขา ก่อนที่ชายชุดดำจะเข้าถึงตัวจูเลียน คนชุดดำบนหลังม้าไม่ตอบแต่มือยังช่วยตวัดดาบฟาดฟันศัตรู ที่ถึงแม้ว่าจะเห็นอยู่ว่ามาช่วยแต่ราเชลกันเฮนริชก็ไม่ได้วางใจ จนกระทั่งผ้าคลุมหน้าของชายปริศนาหลุดออก

“ท่านโรฮานส์!” ลีโอที่เห็นหน้าฮานส์ก่อนใครเรียกขึ้นอย่างดีใจ ที่เห็นว่าคนมาช่วยหาใช่ใครอื่นไม่ แต่เป็นคนที่ลีโอให้ความชื่นชมและพูดถึงอยู่บ่อยๆ นั่นเอง

“จูเลียนมาทางนี้” ฮานส์เรียกจูเลียนที่กำลังงงและสงสัยว่าเขามาได้อย่างไร แต่ราเชลเข้ามาขวางไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวเจ้าจะพาจูเลียนไปไหนไม่ได้”

“ราเชลไม่เป็นไร” มีเพียงเฮนริชที่ได้คุยกับเลนนี่และรู้ว่าฮานส์มาช่วย เขาไม่ได้บอกราเชลเพราะไม่เชื่อว่าฮานส์จะมาจริง

“รีบหนีไป พวกมันกำลังมาอีกเยอะ” ฮานส์พูดขึ้นเป็นประโยคแรกตั้งแต่เข้ามา ชายหนุ่มประกบจูเลียนไม่ห่าง ราเชลไม่มีเวลามากกว่านี้อีกแล้ว เพราะต้องสู้ไปด้วยคุยไปด้วย และยังมีพวกมันวิ่งออกมาจากชายป่าอีกเรื่อยๆ เกิดความชุลมุนวุ่นวายอีกครั้ง ฮานส์คว้าสายบังเหียนม้าของจูเลียนมาจับไว้แน่นด้วยมือข้างที่ถือสายบังเหียนม้าของตัวเอง เขาเก็บโซ่เหล็กเปลี่ยนมาใช้ดาบเล่มใหญ่แทน สู้พลางดึงม้าจูเลียนมาด้วยกัน จนฝ่าวงล้อมออกไปได้

ฮานส์พาจูเลียนขี่ม้าข้ามสะพานไปได้แล้ว แม้จะมีคนของศัตรูตามมาแต่ก็สามารถฆ่าทิ้งได้หมด ม้าของจูเลียนดูเหมือนจะว่าง่ายเมื่อฮานส์เป็นผู้ควบคุม จนในที่สุดชายชุดดำก็จัดการกับศัตรูที่ตามมาได้หมด พาจูเลียนขี่ม้าหายไปในป่าท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักแทบมองไม่เห็นทาง

“ฮานส์! “

“เขาจะพาจูเลียนไหน”

“รีบตามไปเร็ว”

“เซอร์เฮนริชขึ้นมา” ลีโอขี่ม้ามารับเฮนริชแล้วทั้งสองก็ควบม้าข้ามสะพานไปตามทางที่ฮานส์พาจูเลียนไป ราเชลสู้พลางถอยพลางตะโกนบอกทหารให้ถอยด้วย

“ตามข้ามา” เราเชลบอกกรอสเซ่ที่กำลังงงแต่ไม่ได้สนใจรอว่ากวีหนุ่มจะตามมาหรือไม่ เพราะควบม้าตามเฮนริชกับลีโอไปอีกคน ทิ้งศัตรูและซากศพไว้เบื้องหลังกับหิมะที่ถูกย้อมด้วยเลือดจนเป็นสีแดง

************************

ตอนนี้ ไม่มันเหมือนอย่างที่คิดไว้เลย ฉากโจมตี ประเดี๋ยวค่อยรีไรท์ใหม่ละกัน อย่าว่าเค้าเน้อ 

ใคร #ทีมลีโอเด็กขี้เซา ขอเสียงๆๆๆ

55555

ออฟไลน์ Dark_Sky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :fire:  :fire:  NC ไฟรุกมากรอตอนต่อไปรัวๆๆๆๆ
มาต่อยาวๆคู่รองยังขนาดนี้คู่กลักจะขนาดไหน
รักเรื่องนี้นะฮ้าาาาาา
 :impress2:  :man1:

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 14 โรฮานส์ผู้ใจร้าย



“ลอร์ดนิโคล” นิโคลหันไปทางต้นเสียงพบว่าเป็นทหารคนสนิทของเขาเอง จึงหันกลับมาพยักหน้าให้อานาสตาเซียที่กำลังยืนคุยปรึกษากันอยู่เล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาต แล้วเดินออกไปหาคนสนิท ที่ขยับเข้ามากระซิบบอกอะไรบางอย่างข้างหู ทำให้นิโคลหน้าเครียดขึ้นมาทันที กระซิบสั่งงานอะไรบางอย่างแล้วเดินกลับมาหาอานาสตาเซีย

ท่าทางของลอร์ดหนุ่มดูเครียดไปจนผิดตา “ท่านหญิง”

“มีอะไรหรือลอร์ดนิโคล”

“ข้ามีเรื่องด่วนต้องกลับออสเซนเทียวันนี้” สายตาของนิโคลจริงจังรับกับน้ำเสียงเข้มๆ ทำให้รอยยิ้มของอานาสตาเซียค่อยๆ จางลง

“มันด่วนมากจนท่านต้องทิ้งงานแต่งงานของเราไปเลยหรือไง”

“ใช่”

“แต่ลอร์ดนิโคล พรุ่งนี้เราจะแต่งงานกันแล้วนะ”

นิโคลเหมือนจะแสยะยิ้มทั้งที่พยายามข่มความร้อนใจ ทำสีหน้าให้ดูนิ่งเหมือนไม่มีเรื่องให้กังวล “อภัยด้วย แต่เราคงต้องเลื่อนงานออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด”

“ทำไมล่ะ”

“ข้ามีเรื่องด่วนต้องกลับไปทำ“

“เรื่องด่วนของท่านมันเรื่องอะไรกัน ถึงขนาดต้องเลื่อนงานแต่ง แค่เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวออสเซนเทียยังดูถูกสวาเนียร์ไม่พอหรือไง” ถึงอานาสตาเซียจะไม่ยินดีกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่นางก็ยังไม่ลืมศักดิ์ศรีของตัวเอง

“ข้าจะรีบกลับมาทันทีที่จัดการเรื่องทางนั้นเสร็จ “

“หึ..”

“ข้าต้องเดินทางเดี๋ยวนี้ท่านหญิง แล้วเจอกัน”

“ลอร์ดนิโคล!” นิโคลเดินเร็วๆ ออกไปแล้ว ทิ้งให้อานาสตาเซียยืนหงุดหงิดไม่พอใจอยู่คนเดียว มันดีที่งานแต่งเลื่อนออกไปเพราะนางก็ไม่ได้อยากแต่งกับเขา แต่การเลื่อนงานแต่งงานโดยไม่มีกำหนด ทั้งที่ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว เท่ากับว่านิโคลกำลังดูถูกนาง ดูถูกประเทศของนาง ไม่รู้ว่าจะกลับมาแต่งเมื่อไหร่ เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวว่าแย่แล้วยังจะมาเลื่อนงานแต่งนั้นแย่ยิ่งกว่า กำหนดการก็ประกาศออกไปจนรู้กันทั่ว อะไรก็จัดเตรียมไว้หมด ถึงจะไม่มีใจและไม่เต็มใจแต่ง แต่เรื่องนี้ก็ทำให้อานาสตาเซียรู้สึกโกรธ เพราะนี่มันคือการหักหน้ากันชัดๆ

“เกิดอะไรขึ้นอานาสตาเซีย” คลาอัสวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา เพราะได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของอานาสตาเซีย

“คลาอัสพรุ่งนี้ข้าไม่ต้องแต่งกับลอร์ดนิโคลแล้ว”

“ทำไมล่ะเกิดอะไรขึ้น”

“เขาไม่แต่งกับข้าเอง” ทั้งพูดทั้งกัดฟันแววตาหรือก็แข็งกร้าวจนน่ากลัว

“แล้วทำไมยังทำหน้าไม่พอใจอยู่อีก หรือท่านเสียดาย” นายทหารหนุ่มถามลองเชิง เพราะสีหน้าของอานาสตาเซียดูไม่พอใจอยู่มาก มือทั้งสองข้างยังกำแน่นราวกับเคียดแค้นให้ลอร์ดว่าที่เจ้าบ่าวจนอยากฆ่าให้ตาย!

ดูเหมือนว่านางจะระงับโทสะได้แล้ว ความตึงเครียดรอบตัวจึงคลายลง “ข้าไม่ได้เสียดายหรอก”

“ตกลงว่าจะไม่มีงานแต่งงานเกิดขึ้นใช่ไหมท่านหญิงของข้า” คลาอัสขยับเข้าใกล้รวบเอวบางของอานาสตาเซียเข้ามาในอ้อมแขน ยามร่างกายชายหญิงแนบชิดเหมือนก่อเกิดประจุเร่าร้อนขึ้นทันที

อานาสตาเซียแหงนเงยใบหน้าเพื่อสบตาเขาด้วยแววตาร้อนแรงปรารถนา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับใบหน้าสวยหวานของนางอย่างคนที่รู้กัน “แค่เลื่อนไปแบบไม่มีกำหนด”

“แบบนี้ก็หมายความว่าอาจจะไม่มีงานแต่งระหว่างท่านกับลอร์ดนิโคลใช่ไหม” นายทหารหนุ่มบอกเสียงพร่า ก้มลงซุกไซ้ไปตามซอกคอหอม ปากพูดไปเรื่อยสลับกับการพรมจูบไปทั่วอย่างห้ามอารมณ์และความต้องการของตัวเองไม่อยู่

“ก็ไม่แน่หรอก แต่ที่แน่ๆ งานแต่งจะไม่ถูกจัดขึ้นเร็วๆ นี้แน่นอน อ๊ะ คลาอัสใจเย็นๆ สิ ที่นี่มัน”

“แล้วยังไงต่อหรือท่านหญิง”

“ลอร์ดนิโคลอื้อ กลับออสเซนเทียไปแล้ว” นางบอกเสียงกระเส่า ร่างกายนอกจากถูกแทะเล็มด้วยริมฝีปากสากเคราแล้ว มือใหญ่กร้านของนายทหารหนุ่ม ยังบีบเคล้นไปทั่วทุกที่ที่มันไปถึงได้ จนอานาสตาเซียเจ็บปนซ่าน ร่างกายถูกปลุกเร้าเริ่มตอบสนอง

“ท่านยังเป็นของข้าคนเดียวอยู่ใช่ไหมท่านหญิง” เขาผละออกมองนางด้วยดวงตาหวานฉ่ำ รอยยิ้มมุมปากยกขึ้นจนกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นสายตาที่มองตอบกลับมา เต็มไปด้วยความปรารถนาเหมือนเปลวไฟลุกโชน

“แน่นอนไม่ว่าจะแต่งกับใครใจข้ามีแค่เจ้าคนเดียว” คลาอัสตอบแทนความรักความภักดีของนาง ด้วยการกระชากร่างอรชรเข้ามาจูบปากอย่างร้อนแรง ทั้งสองแลกจูบดูดดื่มราวกับฉลองการได้ปลดเปลื้องพันธะทิ้ง



จูบแลกจูบระหว่างเจ้าหญิงกับทหารองครักษ์หนุ่ม ช่างร้อนแรงจนเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ไม่ได้สนใจว่าสถานที่แห่งนี้เป็นห้องโถงใหญ่ ที่นางเพิ่งจะพูดคุยปรึกษากับว่าที่เจ้าบ่าวเรื่องงานแต่ง ตอนนี้ว่าที่เจ้าบ่าวไม่อยู่ และงานแต่งถูกเลื่อนออกไปแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าอาจจะไม่มีงานแต่งเกิดขึ้น ยามได้อยู่กับชายที่รักเป็นชายคนเดียวที่ต้องการ นางจึงไม่ยอมพลาดโอกาสแสดงความรักที่มีต่อกัน ทั้งสองแลกจูบดูดดื่มไม่สนใจสถานที่และสิ่งรอบกาย จูบแลกจูบมือปัดป่ายเพื่อปลดเปลื้องอาภรณ์ สองร่างกอดรัดฟัดเหวี่ยงพลางขยับเข้ามุมลับตา

“นี่มันอะไรกัน! “ชายหญิงที่กำลังนัวเนียผละออกจากกันแทบไม่ทัน อานาสตาเซียจำเสียงได้นางจึงตกใจจนตาโต ค่อยๆ หันกลับมาทางต้นเสียงทำหน้าไม่ถูก

“ลอเรน! “

“พวกเจ้า..” แม้จะรู้เห็นถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองอยู่ก่อนแล้ว แต่มันก็ช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับลอร์ดลอเรน ที่จะทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา นางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขา และจะแต่งงานอยู่พรุ่งนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่ละเว้นที่จะแสดงความรักต่อชายอื่น หนำซ้ำยังไม่ระวังตัว ที่นี่เป็นห้องโถงกลางเป็นท้องพระโรงสำหรับจัดงานแต่ง ที่ใครอาจจะเข้ามาได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะว่าที่เจ้าบ่าวของนาง

“ทำไมเจ้าถึงได้ทำตัวไร้เกียรติอย่างนี้อานาสตาเซีย”

“พี่อย่าทำเป็นดุไปหน่อยเลยน่า” อานาสตาเซียบอกหน้าตาเฉย ยิ่งทำให้ลอเรนไม่พอใจนาง และนึกเห็นใจลอร์ดหนุ่มว่าที่เจ้าบ่าว ลอเรนเจ็บปวดแทนเขา มันเป็นความเจ็บที่ไม่สามารถระบายหรือพูดกับใครได้

“พอสักทีเถอะอานาสตาเซีย เจ้าต้องพอได้แล้ว” ลอเรนบอกน้องสาวเสียงอ่อนราวกับเหนื่อยล้า ดวงตาสีฟ้ากระจ่างสั่นไหวช่วงขอบตาสีขาวเริ่มแดงก่ำ คิดถึงหลายครั้งต่อหลายครั้งที่เห็นทั้งสองแสดงความรักลึกซึ้งที่ไม่สมควร ทำมันทุกครั้งหากมีโอกาส โดยไม่สนใจว่าจะมีใครผ่านมาเห็น และเป็นลอเรนเองที่เห็นมาหลายครั้งหลายครา แต่ไม่เคยพูดหรือบอกอะไร เป็นลอเรนเองที่ผิดเพราะไม่เอ่ยปากเตือนและครั้งนี้มันเกินไป “ข้าว่าเจ้าควรจะอยู่ห่างๆ นางไว้นะคลาอัส”

“ลอเรน” อานาสตาเซียพยายามจะประท้วง แต่สีหน้าของลอเรนเด็ดขาดจนนางไม่กล้าพูดต่อ จึงได้แต่ยืนเงียบขบกรามแน่นอย่างระงับอารมณ์ไม่ให้หงุดหงิดใส่พี่ชาย ที่เอาแต่สั่งให้นางทำนั่นทำนี่ โดยอ้างว่าเป็นหน้าที่ทั้งที่นางไม่เต็มใจ

“พรุ่งนี้เจ้าจะแต่งงานกับชายอีกคนนะอานาสตาเซีย ไม่ให้เกียรติว่าที่เจ้าบ่าวของเจ้าก็ควรจะให้เกียรติตัวเองด้วย” ลอเรนไม่รู้ว่าสายตาของเขาที่กำลังจ้องมองน้องสาว มันดูเจ็บปวดมากแค่ไหน เพราะในใจคิดถึงแต่ใครอีกคนที่คงจะคิดแค้นไม่น้อย หากได้รู้ว่าเจ้าสาวทำตัวไม่คู่ควร

“ลอเรน!” อานาสตาเซียตะคอกเรียกพี่ชายเสียงดังอย่างไม่พอใจ สุดท้ายนางก็หลุดโทสะออกมาจนได้ ปกติอานาสตาเซียไม่ค่อยมีปากมีเสียง เพราะลอเรนเองก็ไม่ได้ใส่อารมณ์หรือดุด่านางขนาดนี้มาก่อน นอกจากพูดนิ่มๆ นิ่งๆ ตามแบบของเจ้าชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยความเป็นผู้ดี จนอานาสตาเซียได้แต่เก็บความคับข้องใจ และความอึดอัดไว้ในอก หาทางระบายออกโดยการขัดคำสั่งพี่ชายลับหลังให้ตัวเองสะใจเล่น

“ข้าไม่ได้อยากแต่งกับลอร์ดนิโคลสักหน่อย พี่ก็รู้”

“ยังไงเจ้าก็ปฏิเสธหน้าที่นี้ไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยนะ” ลอเรนเห็นใจน้องสาว แต่ก็ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศก่อน

“แล้วพี่ทำไมไม่แต่งเสียเองล่ะลอเรน” อานาสตาเซียสวนกลับทันทีจนลอเรนได้แต่เม้มปากแน่น นางแสดงความเอาแต่ใจตัวเองออกมาด้วยการยอกย้อน ทั้งที่ตอนแรกไม่คัดค้านปฏิเสธ

ลอเรนหลับตาลงถอนหายใจออกมาหนักๆ เป็นการระบาย “เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับงานแต่งพรุ่งนี้ด้วย”

“พรุ่งนี้ไม่มีงานแต่งหรอกเพราะไม่มีเจ้าบ่าว” เห็นพี่ชายหันมาขมวดคิ้วมองด้วยความฉงน อานาสตาเซียก็ยิ้มเยาะให้ราวกับว่าลอเรนเป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักอย่าง

“หมายความว่ายังไง”

“ลอร์ดนิโคลขอเลื่อนงานแต่งออกไปไม่มีกำหนด”

“ไม่จริงเป็นไปไม่ได้ เจ้าทำอะไรให้ลอร์ดนิโคลไม่พอใจ” ลอเรนมองหน้าน้องสาวแล้วตวัดสายตาไปมองคลาอัสที่ยืนอยู่ข้างๆ อนาสตาเซียเห็นแบบนั้นก็รีบเอาตัวเองเข้าไปบังร่างนายทหารหนุ่มทันที

“เรื่องนี้คลาอัสไม่เกี่ยว”

“แล้วทำไมลอร์ดนิโคลถึงได้เลื่อนงานแต่ง หรือว่าเขารู้..” อนาสตาเซียยักไหล่แทนการบอกว่านางไม่ได้สนใจ หากนิโคลจะรู้หรือไม่รู้เรื่องของนาง ลอเรนไม่อยากเชื่อสิ่งที่อานาสตาเซียบอก แต่ท่าทางที่ดูมั่นใจและจริงจังบอกได้เป็นอย่างดี ว่านางไม่ได้โกหก และทางเดียวที่เขาจะมั่นใจได้ ทางเดียวที่จะรู้ถึงสาเหตุแท้จริงของการเลื่อนงานแต่ง คือต้องไปถามเอากับนิโคลด้วยตัวเอง

“เดี๋ยวลอเรน นั่นพี่จะไปไหน”

“ข้าจะไปถามลอร์ดนิโคล”

“เขาเป็นคนอยากไปเองนะลอเรน พี่ไม่ต้องถามไปหรอก แบบนี้มันดีแล้ว”

“นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะอานาสตาเซีย มันเป็นเรื่องของบ้านเมืองเจ้าอย่าคิดอะไรตื้นๆ “ลอเรนทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกไปไม่หันหลังกลับ ไม่สนใจแล้วว่านางจะพลอดรักพร่ำเพรื่อกับชู้รักที่ไหน เพราะนอกจากห่วงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่อาจจะสั่นคลอนแล้ว ใจลึกๆ ของลอเรนก็อดที่จะห่วงความรู้สึกของนิโคลไม่ได้ หากเขารู้เรื่องที่อานาสตาเซียทำลงไป เขารู้เขาจะโกรธเกลียดหรือเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้ หรือคิดอย่างไรลอเรนเดาไม่ถูกเลย

“นิโคล” ลอเรนวิ่งเขามาในส่วนรับรอง เห็นคนรับใช้ที่ส่งมาดูแลจึงปรี่เข้าไปถาม “ลอร์ดออสเซนเทียไปไหน นิโคลเขาไปไหนเจ้าเห็นเขาไหม”

“นายท่านข้าได้ยินว่าลอร์ดนิโคลจะกลับออสเซนเทีย ตอนนี้คงน่าจะออกเดินทางแล้ว”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้ายังไม่เห็นลอร์ดนิโคลที่นี่ ถ้าท่านลงไปที่คอกม้าน่าจะทัน”

“ขอบใจ” ลอเรนบอกขอบใจคนรับใช้ที่ยืนตัวสั่นโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้า รีบวิ่งลงจากปราสาทที่กว้างใหญ่กินพื้นที่ของเนินเขาทั้งลูก ลงไปยังคอกม้าส่วนที่จัดไว้สำหรับม้าของแขกจากออสเซนเทียทันที



ตั้งแต่เกิดมาลอเรนก็อาศัยอยู่ในปราสาทแห่งนี้แล้ว แต่ละวันหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจและการเรียน เจ้าชายน้อยจะแอบออกจากเขตพระราชฐานวิ่งเล่นลัดเลาะไปทั่ว จนรู้จักทุกซอกทุกมุมของปราสาทเป็นอย่างดี แต่วันนี้ที่ต้องวิ่งไปให้ทันใครบางคน ลอเรนเพิ่งจะคิดได้และถามตัวเอง ว่าทำไมปราสาทแห่งนี้มันถึงได้กว้างใหญ่กว่าที่เคยเห็นนัก แต่แม้จะต้องวิ่งจนเหนื่อยและหอบ ไปตามตามเส้นทางที่พาลัดเลาะลงสู่จุดหมาย ร่างสูงเพรียวก็แทบไม่ได้หยุดพักเลย นอกจากตอนหยุดเพื่อมองหาทางลัด ที่จะพาไปถึงคอกม้าให้เร็วที่สุด บางช่วงลอเรนต้องกระโดดลงจากบันไดทีล่ะสามขั้นเพื่อให้ทันใจตัวเอง จนในที่สุดก็ลงมาถึงชั้นแรกด้านหลังของตัวปราสาท มองเห็นคอกม้าอยู่ตรงหน้า



ลอเรนยังมีอาการหอบและเหนื่อยอยู่มาก แต่ก็รีบสาวเท้าเข้าไปหาทหารของออสเซนเทียนายหนึ่ง ที่กำลังดูแลให้น้ำให้อาหารม้าอยู่ในคอก

“เจ้าเห็นลอร์ดนิโคลไหม” คนดูแลม้าหันกลับมาพร้อมสีหน้างงงวย ด้วยว่าอยู่แต่กับม้าและเป็นเพียงทหารระดับล่างสุด จึงไม่ได้รู้ความเป็นมาเป็นไปของเจ้านาย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่ถามเป็นใคร ทำไมถึงได้มาถามหาเจ้านายของเขา แต่ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างดีที่สามใส่ คงเป็นคนสำคัญพอสมควร

“ข้า ข้ายังไม่เห็นลอร์ดนิโคลมาที่นี่เลยนายท่าน” ได้คำตอบไม่เป็นที่น่าพอใจทำให้ลอเรนกระวนกระวายใจกว่าเก่า ผละจากทหารดูแลม้ากวาดตามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครที่มีท่าทางเหมือนลอร์ดแห่งออสเซนเทียคนนั้นสักคน



เพียงก้าวไปตามทางแคบในคอกม้าได้ไม่กี่ก้าว ลอเรนเริ่มรู้สึกเหมือนขาทั้งสองข้างอ่อนแรงเพราะความล้า การเร่งวิ่งมาให้ทันใจตัวเองไม่เป็นผลดีนัก สำหรับคนที่อยู่แต่กับตำราและการว่าราชการไม่ค่อยออกกำลัง ตอนนี้ขาทั้งสองข้างเริ่มแสดงความล้าแทบยืนไม่อยู่ ทั้งเหนื่อยกับอะไรต่างๆ ที่รุมเร้าในอก รู้สึกก้าวได้ไม่มั่นคงจึงจับราวกั้นคอกไว้แน่น ลมหายใจยังหอบเพราะความเหนื่อยแทบไม่มีแรงก้าวขาต่อ และลอเรนคงทรุดลงพื้นอย่างน่าอายไปแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มหูกระซิบอยู่ใกล้ๆ พร้อมช่วงเอวที่ถูกรวบกอด

“มาทำอะไรที่นี่”

ลอเรนรีบหันหลังกลับไปทางต้นเสียทันที แล้วก็ต้องนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น “ลอร์ดนิโคล! “

“มาหาข้าหรือกวางน้อย” เนตรสีฟ้ากระจ่างกับพักตร์ขาวนวลที่ตื่นตระหนก ทำให้นิโคลคิดถึงกวางตัวน้อยๆ ยามสะดุ้งตกใจแล้วยืนนิ่งค้างตาเบิกโต เพราะนั่นคือสีหน้าของลอเรนตอนนี้เลย

“ท่าน ลอร์ดนิโคล ท่านจริงๆ ด้วย” ลอเรนกวาดตาสำรวจไปทั่วใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาของคนที่คิดว่าออกเดินทางทิ้งกันไปแล้วอย่างไม่เชื่อสายตา แต่พออ้อมแขนที่ยังโอบรัดรอบตัวเพิ่มแรงกอดมากขึ้น ถึงมั่นใจได้ว่าตรงหน้าคือมนุษย์มีเลือดเนื้อที่กำลังตามหาจริงๆ

“ใช่สิทำไมจะไม่ใช่ข้าล่ะ”

“ข้า เอ่อ” พยายามดันตัวออกจากอ้อมกอด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของอ้อมกอดจะไม่อนุญาต กวางน้อยจึงถูกรัดรั้งเข้ามาเสียจนลำตัวแนบชิดกัน ลอเรนใจเต้นแรง “ข้าได้ยินมาว่าท่านจะกลับออสเซนเทียลอร์ดนิโคล”

“ข่าวเร็วจัง”

“อานาสตาเซียบอกว่าท่านยกเลิกงานแต่งงาน”

“ข้าไม่ได้ยกเลิก แค่เลื่อนวันงานออกไป”

“ไม่มีกำหนด!” ลอเรนต่อให้อย่างที่ใจกำลังเป็นห่วง ทำไมทั้งอานาสตาเซียและนิโคลยังทำสีหน้าเรียบเฉยอยู่ได้ ทั้งที่การเลื่อนงานแต่งก่อนวันงานเพียงวันเดียวไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย

“ใช่ ข้ามีเรื่องด่วนและคงต้องรีบไปแล้ว”

“ไม่นะท่าน เอ่อ..ปล่อยข้าก่อนสิ” ลอเรนเพิ่งรู้สึกตัวหลังจากที่เผลอปล่อยให้อีกคนโอบกอดอยู่ตั้งนานสองนาน เรื่องด่วนเรื่องร้อนใจทำให้ลอร์ดหนุ่มแห่งสวาเนียร์ร้อนรนไปหมด ทั้งในใจที่ยังห่วงแต่ความรู้สึกของคนตรงหน้า ทั้งความสับสนของตัวเอง ลอเรนเหมือนบ้าที่ไม่รู้จะทำตัววางตัวอย่างไรดี

“ทำไมล่ะลอเรน” นิโคลจับไหล่ทั้งสองข้างของลอเรนดันออกเพื่อดูหน้าชัดๆ “เจ้าเป็นอะไรไป”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

“ถ้าไม่มีจริงๆ เจ้าคงไม่วิ่งหน้าตั้งตามหาข้าอย่างนี้หรอก” สายตาคมที่มีแววของความอ่อนโยนจ้องมองพักตร์ขาวราวน้ำนมเหมือนรู้ทัน แต่นิโคลก็ยังคงเป็นนิโคลคนเดิมที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเอง และเขามักจะคิดถูกเสมอถ้าเกี่ยวกับลอเรน “หรือเจ้าไม่อยากให้ข้าไป”

ลอเรนส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน จนเส้นผมยาวสีเงินยวงปลิวกระจาย ถึงนิโคลจะเดาถูกแต่ก็เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น “ไม่ๆ ข้าเพียงแต่กลัวว่าทานจะยกเลิกการแต่งงานจริงๆ “

“เจ้าห่วงผลประโยชน์ของบ้านเมืองมากกว่าตัวเองก่อนตลอด”

“มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วนี่” ลอเรนเงยหน้าขึ้นมองนิโคล แววตาอาวรณ์เจ็บปวดสะท้อนออกมาอย่างเปิดเผยจนคนมองหัวใจกระตุก แต่กระนั้นลอเรนก็ยังไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง

“ที่วิ่งตามข้ามานี่เพราะอะไร เพราะแค่ห่วงบ้านเมืองใช่ไหมลอเรน!” นิโคลบอกพลางปล่อยต้นแขนทั้งสองข้างของลอเรน คนถูกปล่อยรู้สึกได้ถึงแรงผลักออกเบาๆ เล่นเอาใจเสียไม่น้อย เพราะนิโคลไม่เคยทำแบบนี้กับลอเรนมาก่อน

“ข้า..”

“เจ้าไม่ได้ร้อนใจที่ข้าจะจากไปสักนิด” หากลอเรนเงยหน้าขึ้นมองนิโคลจะเห็นว่าแววตาของลอร์ดแห่งออสเซนเทียเปลี่ยนไปจนดูแข็งกร้าว

ลอเรนก้มหน้าหลบตาพยายามหาคำตอบ แต่ก็พูดออกมาได้เพียงเสียงแผ่วๆ “ข้า...”

“เจ้ากลัวบ้านเมืองเสียผลประโยชน์ แต่ความรู้สึกของเจ้าจะเป็นยังไงก็ช่างใช่ไหม” เป็นเรื่องจริงที่ลอเรนจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของบ้านเมือง ก่อนความรู้สึกของตัวเอง หากนิโคลแต่งงานกับอานาสตาเซีย ต่อไปก็ต้องมีทายาท ซึ่งนั่นมันจะเป็นหลักประกันที่มั่นคงที่สุด สำหรับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ส่วนความรู้สึกของตัวเอง ลอเรนต้องมองข้ามมันไปอย่างเจ็บปวด

“ลอร์ดนิโคล” ลอเรนหันหน้าไปมองทางอื่นที่ไม่มีใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา กับแววตานิ่งๆ แต่เห็นแล้วรู้สึกเหมือนถูกมีดกรีด ปากที่เม้มแน่นคลายออกก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ทำไมท่านพูดแบบนั้น”

“ถ้าเจ้าไม่ได้วิ่งมาเพราะห่วงข้าก็จงกลับไปเถอะ ข้ามีภารกิจด่วนต้องรีบเดินทางเดี๋ยวนี้ คงอยู่คุยกับเจ้าไม่ได้หรอก” นิโคลหันหลังกำลังจะเดินออกไปจากคอกม้า เพราะทหารคนสนิทเตรียมการเดินทางรออยู่ข้างนอก ตอนแรกลอร์ดหนุ่มกำลังจะขึ้นม้าควบกลับออสเซนเทียแล้วด้วยซ้ำ หากไม่มีทหารดูแลม้าวิ่งเข้ามาขวาง และบอกว่ามีคนมาถามหา

“ท่านจะกลับออสเซนเทียจริงๆ หรือ มีเรื่องอะไรให้ต้องรีบกลับ พอจะบอกข้าได้ไหม”

“ที่ถามนี่เพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง หรือถามเพราะอะไรล่ะ”

“ข้า..”

“ว่า..” แค่สักคำที่นิโคลอยากได้ยิน แต่ดูเหมือนว่าลอเรนจะไม่ยอมพูดถึง แค่เพียงคำเดียวหากลอเรนจะพูดมันออกมาจากความรู้สึกของตัวเองจริงๆ นิโคลพร้อมจะใช้อำนาจทั้งหมดที่อยู่ในมือทำให้ลอเรนมีความสุข สายตาอาวรณ์ปนห่วงใยโหยหา แต่ปากกลับพูดแต่เรื่องที่เขาไม่อยากจะฟัง

“..” ลอเรนยังเงียบยืนเม้มปากแน่น ไม่ยอมพูดในสิ่งที่ควรจะพูด นิโคลได้แต่ถอนหายใจหนักๆ แทนการระบาย

“เสร็จเรื่องทางนั้นข้าจะกลับมาแต่งกับอานาสตาเซียอย่างที่เจ้าต้องการ” ทั้งที่อยากให้เป็นแบบนั้นแต่ทำไมได้ยินแล้ว ลอเรนกลับไม่ดีใจสักนิด “หวังว่าตอนข้ากลับมานางคงจะ..” นิโคลหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้นรอดูลอเรนจะว่าอย่างไร และก็เป็นไปดังคาด ลอร์ดแห่งสวาเนียร์คิดไปไกลแสดงออกมาผ่านท่าทางตกใจ จนนิโคลแทบจะหลุดขำ หากไม่มีเรื่องกังวลใจรออยู่ เขาคงยิ้มออกมาได้บ้าง แต่กระนั้นมุมปากหยักก็ยกขึ้นมาเล็กน้อย ในความหนักอึ้ง ในความกังวล ยังดีที่มีเรื่องให้ผ่อนคลายบ้าง

“นางจะ อะไร ท่านหมายความว่ายังไง”

“ไม่มีอะไรหรอก ข้าต้องไปแล้ว”

“ท่าน เอ่อ..”

“หือ ข้าทำไม”

“ดูแลตัวเองด้วย” ลอเรนก้มหน้าบอกเบาๆ มือที่ประสานกันบีบแน่นอย่างประหม่า คนฟังที่เดินกลับมาหาได้ยินพอดี รอยยิ้มอบอุ่นเผยขึ้นมาบนใบหน้า ยามก้มลงกระซิบถามชิดใกล้จนได้กลิ่นนวลเนื้อหอมละมุน

“เจ้าห่วงข้าใช่ไหม”

“ข้า..!!” ลอเรนแทบผงะ

“ข้าดีใจนะ ที่อย่างน้อยเจ้าก็ยังห่วงข้า”

“ข้าไม่ได้พูดว่าเป็นห่วงท่านสักหน่อย”

“จริงเหรอ ที่พูดว่าให้ข้าดูแลตัวเองคนละความหมายสินะ อภัยด้วยที่ข้าแปลผิด” ลอเรนเม้มปากหลบสายตาอีกแล้ว เป็นปฏิกิริยาที่มักจะทำยามคิดหนักกังวล หรือตัดสินใจอะไรไม่ได้รวมทั้งเวลาเขินอายด้วยนิโคลรู้ดี “ใช่สินะ ถ้าเจ้าเป็นห่วงข้าจริงๆ คงบอกในสิ่งที่ข้าควรรู้แล้ว”

“ลอร์ดนิโคล “ลอเรนเรียกเสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง เพราะกำลังคิดหนักกับคำพูดของนิโคล แบบนี้มันจะหมายความอย่างไรได้นอกจาก...

“ท่าน...อื้อออ!! “พอลอเรนตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมาถามเรื่องที่คาใจ ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับนิโคลก้มลงมาประกบปากจูบอย่างดูดดื่มลึกซึ้งด้วยอดใจไม่ไหว เพราะไม่มีเวลามากไปกว่านี้แล้ว นายทหารคนสนิทจะเข้ามาเรียกก็ได้แต่โบกมือตอบ ลอเรนเอาแต่ก้มหน้าเลยไม่เห็น

“ข้าต้องไปจริงๆ แล้ว จูเลียนกับทาร์เทียน่ารออยู่ พวกเขากำลังต้องการข้า” นิโคลบอกได้เท่านี้

“นิโคล..” ลอเรนพูดไม่ออกเลยได้แต่แหงนมองพักตร์เกลี้ยงเกลาอยู่อย่างนั้น รู้สึกได้ถึงความอุ่นที่ประทับลงกลางหน้าผากเลยเผลอหลับตามซึมซับไว้อก หูได้ยินเสียงบอกเบาๆ ที่ดังไปถึงหัวใจ

“ทบทวนความรู้สึกของเจ้าให้ดี แล้วข้าจะกลับมาเอาคำตอบ”



**********************



อาชาพ่วงพีแข็งแรงสองตัวยังวิ่งฝ่าพายุหิมะที่ตกลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาจนแทบมองไม่เห็นทาง แต่กระนั้นมันยังวิ่งไปข้างหน้า ราวกับว่าหิมะที่ตกหนักไม่ได้เป็นอุปสรรค ราวกับว่าอากาศที่หนาวเหน็บเย็นจับใจไม่ใช่ปัญหา ราวกับว่ามันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผ่านเนินเขาผ่านป่ามาจนจำไม่ได้ ว่าพาเจ้านายมาไกลแค่ไหน จนคิดว่าหลุดจากการถูกไล่ล่าแล้วนั่นล่ะ ชายชุดดำผู้บังคับควบคุมม้าทั้งสองตัวจึงได้ลดความเร็วลง ให้มันเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน

“ที่นี่ไหน” จูเลียนเงยหน้าขึ้นถามทันทีที่รู้สึกว่าม้าวิ่งช้าลงจนตอนนี้เดินเอื่อยๆ ไปบนผืนหิมะ ซึ่งก่อนที่ฤดูหนาวสุดหฤโหดและพายุหิมะจะมาเยือน บริเวณนี้น่าจะเป็นบึงขนาดใหญ่ รอบตัวมีแต่หิมะขาวโพลนไปหมด ส่วนที่เห็นว่าเป็นป่า ต้นไม้ถูกคลุมด้วยหิมะเป็นก้อนสูงต่ำสลับกัน “แล้วคนอื่นๆ ไปไหนกันหมด”

ฮานส์ตวัดสายตาดุมองจูเลียน ราวกับกษัตริย์หนุ่มน้อยถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม “ใครจะไปรู้”

“เอ๊ะฮานส์ เจ้าเป็นคนพาข้ามานะ”

“แล้วเจ้ายอมมากับข้าทำไมล่ะ”

“ก็..” จูเลียนพูดไม่ออก เพราะคิดว่าทุกคนคงตามมา ตอนนั้นหิมะก็ตกหนักจนแทบมองไม่เห็นอะไร พอฝ่าวงล้อมออกมาได้ก็ตั้งหน้าตั้งตาหนีอย่างเดียว สายบังเหียนม้ายังถูกฮานส์แย่งไปถืออีก ถึงจูเลียนจะขี่ม้าเก่ง แต่ถ้าสายบังเหียนไม่ได้อยู่ในมือมันก็ต้องระวังมากกว่าเดิมอยู่แล้ว ตอนนั้นใครจะทันได้สนใจว่าใครจะตามมาบ้าง

“ถึงไม่เห็นว่ามีพวกมันตามมา ก็ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย ไปได้แล้ว” ฮานส์บอกเสียงดุ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราในหมวกคลุมหนาดูบึ้งตึง ราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง

“ไปไหน” หรืออาจจะไม่พอใจที่จูเลียนยังถามหน้าซื่อ ทั้งที่กำลังถูกตามล่าเอาชีวิต

“หนีต่อไง”

“ไปทางเหนือของหมู่บ้าน”

“ไปทำไม”

“ราเชลบอกให้ข้าไปทางเหนือของหมู่บ้าน พวกเขาจะตามไป”

“ไม่คิดว่าอัศวินของเจ้าจะหลอกให้ไปติดกับหรือไง ทางเหนือของหมู่บ้านมีพวกมันเต็มไปหมด” เพราะฮานส์เพิ่งผ่านมาจากทางนั้น เห็นกลุ่มทหารรับจ้างกระจายอยู่เต็ม

“เซอร์ราเชลไม่มีวันทรยศข้า! ”

มันก็จะหนาว ๆ หน่อย ต่อเลยค่ะ.....

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



“คิดว่าคนอย่างเจ้าจะเชื่อใจใครได้บ้างล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็เชื่อใจคนที่เคยปักมีดลงต่อหน้าข้าไม่ได้เหมือนกันฮานส์ เอาคืนมา” จูเลียนกระชากสายบังเหียนม้าที่อยู่ในมือฮานส์มาถือไว้เอง ไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่ชายพเนจรบอกสักนิด พอได้สิ่งที่ต้องการมาถือไว้ในมือก็บังคับม้าให้หันไปอีกทาง แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุด เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน

“หยุดทำไม ไปต่อสิอยากไปให้มันฆ่าตายก็เชิญ” ฮานส์ถามขึ้นเมื่อเห็นจูเลียนหยุดม้าและกวาดตามองฝ่าหิมะที่ยังตกไปรอบๆ พลางขี่ม้าเข้ามาใกล้จนเบียดกัน

“อยู่กับเจ้าก็ใช่ว่าข้าจะปลอดภัยฮานส์!” จูเลียนไม่ยอมอ่อนข้อ แถมยังเชิดหน้าบอกเสียงดัง

“คิดอย่างนั้นก็ดี ข้าน่าจะปล่อยให้เจ้าถูกฆ่าตายอยู่ในวงล้อมนั่นซะ”

“ใครขอให้ช่วยล่ะ”

“อย่าปากเก่ง” ฮานส์กระชากเสื้อคลุมจนร่างของกษัตริย์หนุ่มน้อยแทบปลิวติดมือ จูเลียนมองตาขวางเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ใช่เพราะฮานส์ตะคอกดุไม่ให้ปากเก่ง หากแต่เป็นเพราะชายพเนจรบอกแล้วยังเอาแต่จดจ้องสายตาคมอยู่กับริมฝีปากของจูเลียนต่างหากที่ทำให้ต้องระวังตัว หนุ่มน้อยจะเผลอเหมือนคืนที่อยู่ในสวนท่ามกลางละอองหิมะที่โปรยปรายลงมาบางๆ ไม่ได้

จูเลียนเงียบและยังนิ่งเหมือนว่าง่าย ทำให้ฮานส์ถึงกับยกยิ้ม “ดีมากไอ้หนู”

“อะไรไอ้หนู มากไปแล้วนะ” จูเลียนโวยวายแต่คนที่กำลังสนุกมีหรือจะสนใจ

“มานี่เลย”

“เฮ้ยอะไรกันนี่ฮานส์เจ้าจะทำอะไร”

“อย่าโวยวายสิวะ อยากตายหรือไง” แต่ก็ดีด้วยได้ไม่นาน พอจูเลียนโวยวายเสียงดังก็อดไม่ได้ที่จะตะคอกกลับอย่างไม่รู้ตัววันนี้เขาอารมณ์ไม่ดีไม่รู้ทำไม ตั้งแต่ที่เกือบมาช่วยจูเลียนไว้ไม่ทัน

“จะฆ่าก็ฆ่าเลย” จูเลียนกัดฟันบอก

“ถ้าจะฆ่าเจ้าทิ้ง ข้าไม่ไปช่วยให้เหนื่อยหรอกเสียเวลา แต่เสียงแว้ดๆ ของเจ้านี่สิจะเรียกพวกนั้นมา”

“แล้วทำไมต้องดึงข้ามาขี่ม้ากับเจ้าด้วย”

“มันจำเป็น” ฮานส์ตอบหน้าตาย น้ำเสียงกลับมากวนอารมณ์เหมือนเดิม เหมือนคนกำลังอารมณ์ดี

“จำเป็นยังไง”

“เงียบปาก นั่งเฉยๆ “

“ทำไมต้องนั่งให้เจ้ากอดเฉยๆ ด้วย ปล่อยนะข้าจะไปขี่ม้าของข้าเจ้าคนอวดดี “ฮานส์ไม่ได้สนใจคำประท้วง รีบควบม้าออกไปจากตรงนั้น เพราะไม่รู้ว่าศัตรูของจูเลียนจะตามมาทันเมื่อไหร่ ถึงจะหนีมาได้ไกลพอสมควรแล้ว ฮานส์ต้องแน่ใจที่สุดว่าไม่มีใครตามมาทำร้ายได้ ส่วนม้าของจูเลียนมันคงจะไปต่อได้อีกไม่ไกล เลยตัดสินใจทิ้งมันไว้ตอนนี้จะดีกว่า เดี๋ยวมันก็เอาตัวรอดได้เองตามสัญชาตญาณ



อาชาสีดำงามสง่าวิ่งฝ่าหิมะหนาราวกับมันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ด้วยถิ่นกำเนิดจากเทือกเขาสูงที่หนาวจัดตลอดทั้งปี และการฝึกหนักมาตั้งแต่เกิด ทำให้มันแข็งแกร่งและทนต่อสภาพอากาศที่ม้าพื้นเมืองพันธุ์อื่นไม่สามารถทานทนได้ แม้จะวิ่งฝ่าสภาพอากาศเลวร้ายมาพักใหญ่ มันยังวิ่งมาได้เรื่อยๆ แรงไม่ตก ทั้งที่บนหลังบรรทุกคนตั้งสองคน รอบข้างตอนนี้มีแต่หิมะขาวโพลนไปหมด พายุหิมะหยุดไปแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพากันมาไกลจากบริเวณที่มีพายุก็ไม่อาจรู้ได้ แต่สิ่งเดียวที่จูเลียนต้องการรู้มากที่สุดตอนนี้ก็คือ



“ทางนี้พาไปไหน เจ้าจะพาข้าไปไหนฮานส์” กษัตริย์หนุ่มน้อยหันมาถามอย่างเอาเรื่อง ตอนนี้จูเลียนยังนั่งอยู่ที่เดิมท่าเดิมคือบนหลังม้า ที่มีฮานส์นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังโอบวงแขนแข็งแรงรอบตัวและสองแขนของจูเลียน เพราะต้องถือสายบังเหียนบังคับม้า

“เจ้าจะถามให้มันได้อะไร นั่งเฉยๆ เป็นบ้างไหมข้ารำคาญ”

“ไม่เคยมีใครกล้าพูดกับข้าแบบนี้เลยนะ”

“หึ ถือเป็นเกียรติของข้าจริงๆ ที่ได้เป็นคนแรกของเจ้า”

“เอ๊ะ..”

“งงอะไร ข้าหมายถึงได้เป็นคนแรกที่กล้าพูดแบบนี้กับเจ้าไง ถูกไหมล่ะหึ” จูเลียนนั่งเงียบนึกเข่นเขี้ยวฮานส์ในใจ เพราะพูดอะไรออกไปก็โดนกวนอารมณ์กลับตลอด ต่างคนต่างเงียบ มองไปทางไหนก็มีแต่หิมะกับหิมะ

“เจ้ามาช่วยข้าทำไม ในเมื่อเจ้าไม่ยอมคุกเข่าสาบานเป็นอัศวินของข้า” อยู่ดีๆ จูเลียนก็นึกอย่างรู้เหตุผลว่าฮานส์ต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่วันนั้นจูเลียนสั่งให้ฮานส์คุกเข่าสาบานตนต่อหน้าแล้ว แต่อีกคนกลับปฏิเสธข้อเสนออันทรงเกียรตินี้

“ช่วยก็คือช่วย ทำไมต้องมีเหตุผล”

“ก็ข้าอยากรู้..”

“เงียบแล้วนั่งดีๆ อย่าดิ้น”

“แต่เจ้ากอดข้าแน่นเกินไปแล้วฮานส์ข้าอึดอัดนะ”

“กอดกันอุ่นจะตายหรือเจ้าไม่หนาว” รู้สึกถึงอ้อมกอดที่แน่นขึ้นหลังจากที่ฮานส์พูดจบ จูเลียนเลยเงียบ เพราะยิ่งดิ้นก็ยิ่งถูกกอดแน่นขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก มองไปยังทางข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าที่ไหนเป็นที่ไหน เพราะมีแต่หิมะขาวโพลนเต็มไปหมด ต้นสนสูงต่ำยืนต้นหนาแน่นและปกคลุมไปด้วยหิมะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่พากันขี่ม้าเดินไปนี้เป็นทางสัญจรหรือเปล่า



แดดอ่อนๆ ส่องมาจากทางทิศตะวันตก บ่งบอกว่าเวลาผ่านไปเกือบทั้งวันแล้ว แสงสีส้มสว่างที่สาดส่องแม้จะไม่สามารถช่วยไล่ความหนาวเย็นได้ แต่ก็ช่วยให้รู้สึกถึงความอบอุ่นมีชีวิตชีวาขึ้น พระอาทิตย์ที่เพิ่งหลุดพ้นออกมาจากกลุ่มเมฆหนาบอกว่ายามเย็นใกล้มาเยือน และอีกไม่นานเวลาของวันนี้จะหมดไป จูเลียนร้อนใจ เพราะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีวี่แววคนของตัวเอง เริ่มรนเริ่มห่วงไปหมดทุกอย่าง ตั้งแต่ขนิษฐาแฝดที่จูเลียนทิ้งให้อยู่เมืองหลวงคนเดียว อัศวินและคนสนิทอย่างลีโอ โดยเฉพาะคนรักอย่างกรอสเซ่ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“นี่ใช่ทางไปเมืองหลวงไหม”

“เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดถามจูเลียน”

“ก็ตอบมาดีๆ สิ ข้าต้องกลับเมืองหลวงนะไม่มีเวลามาโอ้เอ้ขี่ม้าชมหิมะอย่างเจ้าหรอก”

“หึ” คิดถึงเรื่องเกี่ยวกับยุวกษัตริย์ที่เคยได้ยินมาก่อน ฮานส์ได้แต่แค่นหัวเราะออกมา

“ขำอะไร ข้าขอสั่งเจ้าพาข้ากลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้” จูเลียนบอกเสียงเข้ม ใจเริ่มคุกรุ่นกับท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของฮานส์

“อย่าลืมสิว่าเจ้าไม่ใช่เจ้านายข้า ข้าไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของเจ้าหรอกจูเลียน ข้าเป็นอิสระไม่มีนาย” ฮานส์ย้ำทีละคำช้าๆ ชัดๆ ตอกย้ำจูเลียนอย่างสะใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้ ข้าไม่ไปกับเจ้า”

“จะลงเดินเองหรือไงได้สิ” ฮานส์ปล่อยอ้อมแขนเปลี่ยนมากระชับสองมือที่ข้างลำตัวจูเลียนแทนและ

“โอ๊ย!! ฮานส์ เจ้าผลักข้าลงมาทำไม “จูเลียนร้องเสียงดังทั้งตกใจทั้งจุกเพราะโดนอีกคนจับโยนลงจากหลังม้าแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว หันกลับไปต่อว่าแล้วก็ได้แต่กัดปากแน่น เพราะคำพูดของตัวเองก่อนหน้านี้มันย้อนเข้าให้

“ก็ไหนเจ้าบอกให้ข้าปล่อยลง ข้าก็แค่ช่วยให้ลงเร็วๆ ข้ายังผิดอีกหรือไง”

“ฮานส์ เจ้าคนเลว” จูเลียนกำหิมะขว้างใส่ฮานส์ไม่ยั้ง ตอนนี้กษัตริย์หนุ่มน้อยหงุดหงิดจนควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้จะเพิ่งผ่านสมรภูมิเฉียดตายมาไม่นาน แม้จะห่วงคนอื่นๆ ที่คงกำลังตามหา แม้จะห่วงคนรัก แต่พอถูกฮานส์กวนอารมณ์ก็ดูเหมือนว่าจูเลียนจะลืมสิ่งเหล่านั้นไปหมด คิดแค่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะจัดการกับเจ้าคนพเนจรให้สาสม ที่บังอาจผลักจูเลียนจนตกม้า แม้จะตกลงบนปุยหิมะหนาแต่ก็เจ็บและจุก ทำให้จูเลียนตกใจไม่คิดว่าฮานส์จะกล้าทำกับตัวเองที่เป็นถึงกษัตริย์ได้ขนาดนี้

“แค่นี้ยังไม่เลวพอหรอกเจ้าอย่ามองโลกสวยงามขนาดนั้น”

“แล้วเจ้าจะเอายังไง เจ้าปล่อยม้าข้าไปลงจากม้ามาเดี๋ยวนี้ เอาม้าให้ข้าขี่กลับเมืองหลวง”

“ขนาดที่นี่ที่ไหนเจ้ายังไม่รู้ ยังคิดว่าจะไปเมืองหลวงถูกหรือไง”

“แล้วเจ้าพาข้ามาทำไมเล่า” จูเลียนตะโกนออกมาเสียงดังมือก็ขว้างหิมะใส่ฮานส์ไปด้วย แต่พอนึกได้ว่าศัตรูที่กำลังตามล่าอาจจะได้ยินจึงเอามือปิดปากตัวเองแน่น เนตรสีเขียวสดใสกวาดมองลอกแลกไปทั่วอย่างระแวดระวัง

ฮานส์เห็นท่าทางจูเลียนแล้วก็ได้แต่มองไปทางอื่น ริมฝีปากยกยิ้มขำขึ้นมาน้อยๆ ดีที่จูเลียนไม่ทันเห็นไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องอีกแน่

“ยังไม่ต้องกลับเมืองหลวงหรอก เดี๋ยวข้าจะพาไปเที่ยว” ชายพเนจรนึกสนุก

“ข้าไม่ไปกับเจ้าหรอก คนรักของข้ารออยู่”

“ข้ารู้จักที่สวยๆ เยอะเลย เจ้าต้องไม่เคยเห็นและชอบแน่ “

“ข้าไม่ไป ข้าจะกลับเมืองหลวง”

“มีสิ่งแปลกๆ มากมายที่ข้าเคยเห็นรับรองเจ้าจะชอบที่สุด”

“ข้าจะเป็นบ้าเพราะเจ้าแล้วนะฮานส์ นี่เจ้าฟังบ้างไหมว่าข้าไม่ไป ข้าไม่ไป เจ้าคนลึกลับ”

“หึหึ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หาทางกลับเมืองหลวงไปคนเดียวก็แล้วกัน” ฮานส์กระตุกม้าให้หันหลังเดินออกไปโดยไม่สนใจกษัตริย์หนุ่มน้อยที่ยังนั่งแหมะอยู่บนพื้น มือทั้งสองข้างกำหิมะแน่นอย่าโกรธแค้น นึกจะมาช่วยก็มา นึกจะทิ้งก็ทิ้งอย่างนี้ได้ยังไง

“เดี๋ยวสิ เจ้าจะไปไหนฮานส์ เจ้าพาข้ามาแล้วจะทิ้งข้าไว้อย่างนี้หรือไง เจ้ามันคนไร้เกียรติ” และหิมะที่ถูกปั้นจนแน่นก็ถูกขว้างไปโดนหัวฮานส์ได้อย่างพอดิบพอดี

ฮานส์หันขวับกลับมาอย่างเอาเรื่อง แต่จูเลียนที่กำลังโกรธไม่ได้สนใจสักนิดแม้จะถูกดวงตาสีดำคมดุจ้องมองอย่างน่ากลัว “ข้าไม่สนใจเกียรติยศอะไรที่เจ้าพูดถึงหรอกนะจูเลียน”

“แต่เจ้าต้องกลับมารับข้า เจ้าจะทิ้งข้าไว้อย่างนี้ไม่ได้”

“อยากไปด้วยก็ตามมาเอง”

“ฮานส์!! “ฮานส์ไสม้าให้เดินจากไปโดยไม่สนใจเลยว่าอีกคนจะตามไปหรือไม่ จูเลียนจึงทำได้แค่ขว้างก้อนหิมะใส่ เป้าหมายคือแผ่นหลังกว้าง และมันเข้าเป้าทุกที แต่บางครั้งก็โดนม้า ระยะห่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจูเลียนก็ปาก้อนหิมะไม่โดนอะไรสักอย่าง นอกจากเสียแรงเปล่า และนั่งมองแผ่นหลังกว้างสีดำตัดกับสีขาวของหิมะที่ค่อยๆ เล็กลง



จูเลียนกัดริมฝีปากแน่นอย่างนึกแค้น ไม่เคยเลยตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครที่จะขัดใจและเมินเฉยต่อกษัตริย์หนุ่มน้อยได้ขนาดนี้ มือที่อยู่ภายในถุงมือขนสัตว์คู่หนากำแน่นทุบรัวๆ ลงบนหิมะระบายความโกรธ ทุบจนเหนื่อยจนหยุดไปเอง ยิ่งนั่งนานก็ให้ยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยว ท้องเริ่มหิวเพราะเสวยตั้งแต่เช้าและยังไม่มีอะไรตกถึงท้องอีกเลยจนถึงตอนนี้ แผ่นหลังกว้างที่เห็นในคราแรกเหลือเพียงจุดเล็กๆ สีดำ และมันกำลังจะหายไปท่ามกลางหิมะที่กองเป็นเนินสูงต่ำสลับกับต้นสนยืนต้นท้าความเหน็บหนาว ความอ้างว้างแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเข้าครอบครองพื้นที่ในความรู้สึก สองเนตรแดงก่ำแข็งกร้าว พอทำอะไรไม่ได้และดูเหมือนฮานส์จะไม่กลับมา จูเลียนลุกขึ้นเดินไปตามทางอย่างไม่ยอมแพ้ ปากก็ด่าไปด้วยอย่างเกรี้ยวกราด จูเลียนจะไม่ยอมถูกทิ้งไว้อย่างนี้



*******************************



“ท่านหญิงทาร์เทียน่า”

“รัฐมนตรีโจเซฟท่านมาก็ดีแล้ว ตอบข้าหน่อยทำไมทหารพวกนี้ไม่ยอมให้ข้าออกไปข้างนอก”

“เพื่อความปลอดภัยของท่านหญิง ข้าขอแนะนำให้อยู่แต่ในปราสาทจะดีที่สุด” ท่าทางองอาจจองหองทำให้ทาร์เทียน่าเดาได้ไม่ยากว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น คำพูดที่เหมือนหวังดีแต่แท้ที่จริงแล้วมันคือคำขู่ดีๆ นี่เอง

“ทำไม” ทาร์เทียน่าจ้องใบหน้าโจเซฟเขม็ง เห็นได้ชัดจากใบหน้าเรียบนิ่งของอสรพิษเฒ่า ว่าไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับสิ่งที่นางกำลังประท้วง

“มีนกส่งสารมาจากเอวาเลียท่านหญิง” โจเซฟทำท่าทางเหมือนหนักใจในสิ่งที่กำลังจะพูด มันดูเสแสร้งจนทาร์เทียน่านึกรังเกียจ แต่เท่าที่นางทำได้ก็แค่จ้องใบหน้าที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์เขม็ง

“นกมาส่งข่าวอะไร”

“เมื่อเช้า” โจเซฟถอนหายใจราวกับเจ็บปวดแสนสาหัสที่ต้องเป็นคนแจ้งข่าว “ขบวนเสด็จของฝ่าบาทถูกโจมตี ท่านหญิงข้าขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ต้องทูลว่า เราเสียฝ่าบาทไปแล้ว”

“ไม่จริง ท่านพูดถึงจูเลียนแบบนี้ได้ยังไงรัฐมนตรีโจเซฟ!” ทาร์เทียน่าถอยห่างโจเซฟออกไปสองสามก้าว พักตร์สวยหวานส่ายน้อยๆ ดวงเนตรสีเขียวมรกตสั่นไหวจ้องมองรัฐมนตรีด้วยความดุดันคาดคั้น นางไม่เชื่อเขา

“เป็นความจริงท่านหญิง ข้าเสียใจด้วยจริงๆ ”

“ข้าไม่เชื่อไม่มีวันเชื่อ” โจเซฟมองทาร์เทียน่าด้วยแววตาที่แสดงความรู้สึกสงสารเห็นใจได้เสแสร้งที่สุด อสรพิษเฒ่าก้าวเข้าหานางวางมือลงบนต้นแขนเอ่ยคำปลอบใจ

“ข้ารู้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยท่านหญิง”

“ไม่จริง” ทาร์เทียน่าบอกโจเซฟคล้ายจะย้ำกับตัวเองด้วย นางผละออกห่างจากชายสูงวัยหันหน้าไปอีกทาง ปิดบังสีหน้ารังเกียจด้วยความเศร้าจากข่าวที่ได้ยิน

“ข้าเข้าใจท่าน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของโจเซฟเผยให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง ยามเจ้าหญิงผู้ไร้เดียงสาหันหน้าหนีจากความเศร้าที่เขาเป็นคนหยิบยื่นให้

“เจ้าบอกว่าเราเสียจูเลียน แล้วศพล่ะ” ทาร์เทียน่าอยากเอามีดพกที่ซ่อนไว้ภายใต้ชุดสวยๆ ของนาง ออกมาคว้านดวงตาเศร้าสร้อยที่มีแต่แววเสแสร้งคู่นั้น แต่ก็ได้แค่คิด เพราะตอนนี้นางจะทำอะไรวู่วามไม่ได้ ในเมื่อยังไม่เห็นศพจูเลียนนางไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด

“ศพอาจจะถูกฝังแช่แข็งไว้ใต้หิมะที่ไหนสักแห่งท่านหญิง ข่าวว่าตอนนั้นเกิดพายุพอดี” ทาร์เทียน่าหันหลังราวกับรับสิ่งที่ได้ยินไม่ได้ ยกมือสองข้างขึ้นปิดหน้าทำท่าราวกับกำลังร่ำไห้ปริ่มใจขาด ร่างระหงสั่นไหวรุนแรงจนเจ้าของสายตาที่กำลังจับจ้องแผ่นหลังนางยังแสยะยิ้มพอใจ

“เรียกประชุมด่วน” บอกเสียงสั่นเครือทั้งที่มือยังปิดหน้า

“ข้าเกรงว่าท่านหญิงคงไม่มีอำนาจพอที่จะเข้าร่วมประชุมแล้ว เรื่องนั้นข้าจะจัดการแทนท่านเอง”

“นั่นมันหน้าที่ของข้าท่านรัฐมนตรี”

“ข้าเพิ่งบอกไปว่าท่านหญิงไม่มีอำนาจพอที่จะเข้าร่วมประชุมไง แต่ไม่ต้องห่วงข้าจะช่วยจัดการแทนท่านเอง”

ทาร์เทียน่ายังยืนหันหลังให้โจเซฟเหมือนไม่อยากเห็นหน้า แต่สองมือลดลงกำแน่นอยู่ข้างตัว “ข้าถูกกักบริเวณใช่ไหม”

“เพื่อความปลอดภัยของท่านหญิงโปรดอยู่ที่นี่เถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่น”

“ออกไป ออกให้หมด เรียกออกัสกับเฟรมาหาข้า”

“ข้าเสียใจที่ต้องบอกว่าราชองครักษ์ของท่านหญิงติดภารกิจ ส่วนคนอื่นๆ ข้าไม่รู้ แต่คิดว่าพวกเขาคงจะมาหาท่านหญิงไม่ได้” เป็นไปไม่ได้ที่คนของนางจะติดภารกิจโดยที่นางไม่รู้ แต่ตอนนี้ตกเป็นรองทาร์เทียน่าต้องฉลาดกว่านั้น

“ข้าขออยู่คนเดียวท่านรัฐมนตรี”

“หากท่านหญิงต้องการสิ่งใดโปรดบอกข้า” หลังจากที่โจเซฟออกไปแล้วประตูห้องของทาร์เทียน่าก็ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนาแบบที่เรียกได้ว่าคนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า พอสิ้นเสียงลงดาลประตูจากภายนอก ท่าทางอ่อนแอที่ทาร์เทียน่าหยิบมาสวมหลอกตาก็ถูกสลัดทิ้งไป กลายเป็นสาวน้อยผู้มีแต่ความเข้มแข็งและแววตามุ่งมั่นไม่ยอม



ทาร์เทียน่าเดินกลับไปกลับมาเพราะกำลังวางแผนอะไรบางอย่างในหัว นางไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน และคนอื่นๆ จะเป็นอย่างไร ทาร์เทียน่าไม่กล้าเดาและไม่กล้าคาดหวังอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย

ตุบ!!

“เฟร! “ทาร์เทียน่ารีบวิ่งเข้าไปพยุงร่างในชุดยาวรุ่มร่าม ที่ตกลงมาจากช่องหน้าต่างของสาวใช้คนสนิท

“อภัยด้วยที่ข้ามาช้าท่านหญิง พวกมันเต็มไปหมดเลย”

“เจ้าไม่เป็นไรนะ” ทาร์เทียน่าไม่ได้สนใจอะไรมาไปกว่าความปลอดภัยของคนของนาง

“ข้าไม่เป็นแต่ออกัส”

“ทำไม”

“ตอนนี้ออกัสกับทหารของเราถูกต้อนไปขังในคุกใต้ปราสาท” ทาร์เทียน่ากำมือแน่น ไม่เคยนึกโกรธอะไรเท่านี้มาก่อน จนควบคุมอารมณ์ได้นางจึงเอ่ยถามเสียงแผ่ว

“พวกเขาไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ทหารคนอื่นๆ ไม่เป็นไรท่านหญิงแต่ออกัส” สีหน้าของเฟรสลดลง ดวงตาสีน้ำตาลเอ่อคลอไปด้วยน้ำใสๆ จนในที่สุดมันก็หยดลงมาอาบสองแก้ม แม้จะไม่มีคำปลอบแต่ทาร์เทียน่าก็เช็ดน้ำตาออกให้คนสนิท และรอฟัง

“ออกัสรู้ความเคลื่อนไหวของพวกมันก่อน กำลังจะมาบอกท่านหญิงแต่ถูกพวกมันขวางไว้เลยต่อสู้กัน เขาเสียท่าพวกนั้นได้รับบาดเจ็บ”

“ข้าจะไปช่วยออกัสกับคนของเราออกมาเอง”

“แต่มันอันตรายมากนะท่านหญิง พวกมันเดินอยู่รอบวังเต็มไปหมด กว่าข้าจะลอบเข้ามาหาท่านหญิงได้ก็ต้องหลบอยู่ตั้งนาน”

“ตอนนี้เราเชื่อใจใครไม่ได้เฟร จะทำอะไรต้องวางแผนให้รอบคอบ แต่ก่อนอื่นต้องหาทางส่งข่าวไปให้นิโคลก่อน”

“แล้วใครจะเป็นคนไปบอกลอร์ดนิโคลล่ะท่านหญิง ใช้นกไม่ได้แน่” คำถามนี้ทำให้ทาร์เทียน่าคิดหนัก ถ้าคนของนางถูกจับตัวไว้หมดแล้วนางก็แทบจะทำอะไรไม่ได้ แต่ขณะที่กำลังปรึกษากันอยู่ก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับประตูห้อง

“ท่านหญิง” เฟรเรียกเสียงสั่น

“เงียบ”

ปัง!

“ทาร์เทียน่า”

“อเล็กซิส ท่านมาได้ยังไง”

“อย่าเพิ่งถามตามข้ามา” อเล็กซิสบอกพลางโยนดาบเล่มใหญ่มาให้ทาร์เทียน่าที่นางรับไว้อย่างแม่นยำ และโยนมันคืนกลับไปให้เจ้าของเดิมทันที

“ข้ามี ไปเถอะเฟร” ทาร์เทียน่าวิ่งไปหยิบดาบของตัวเอง คว้าข้อมือสาวใช้คนสนิทดึงให้วิ่งตามกษัตริย์แห่งมอนทาร์น่า ที่ไม่รู้ว่ากลับมาได้อย่างไรไป ตอนนี้นางไม่มีเวลาสงสัย ทั้งสามวิ่งหลบลัดเลาะไปตามทางภายในปราสาท แต่ยังพากันวิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ ทหารก็กรูเข้ามาล้อมไว้ทุกทาง



เกิดการต่อสู้ขึ้นจนชุลมุนวุ่นวายไปหมด ทหารดาหน้าเข้ามาพร้อมกันเพื่อจับตัวทาร์เทียน่า ด้วยฝีมือที่ฝึกฝนอยู่ตลอด และคนที่มาช่วยอย่างอเล็กซิสก็อยู่ในระดับยอดฝีมือ การจะจับนางจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยกำลังคนที่มากกว่า คนสู้เป็นเพียงสองคนจึงเกือบพลาดท่าเสียทีก็หลายครั้ง ทั้งอเล็กซิสและทาร์เทียน่าต้องต่อสู้แบบหนึ่งต่อสิบหรือมากกว่านั้นเพราะพวกมันมาเพิ่มเรื่อยๆ เฟรคอยหลบหลีกอยู่ไม่ไกล เพราะเป็นห่วงเจ้านายของนาง จนทาร์เทียน่าเสียท่าให้ศัตรู



“ท่านหญิง! อึก” มันเกิดขึ้นเร็วมากจนแทบดูไม่ทัน เมื่อทาร์เทียน่าหลบดาบแล้วเสียหลัก ทหารที่รอลอบกัดอยู่ข้างหลังเงื้อดาบขึ้นหวังฟันลงทีเผลอ เฟรโผเข้ารับดาบแทนเจ้านายด้วยร่างของนาง ที่ชะงักค้างดวงตาเบิกโพลงขึ้นทันทีที่ถูกคมดาบฟาดลงมากลางหลังเต็มๆ

“เฟร!”

“หนีไป” เฟรกระอักเลือดเป็นลิ่มจนเปื้อนไปหมด ปากก็พึมพำออกมาได้เพียงแผ่วๆ แต่แววตาของนางยังมุ่งมั่น ไม่ได้หวั่นกลัวต่อความตาย

“แต่เจ้า”

“ข้าไม่รอดหรอกท่านหนีไปเลย”

“เฟร”

“ไปเถอะ” อเล็กซิสกระชากแขนทาร์เทียน่าให้ลุกขึ้น ทั้งสู้ทั้งถอย ทั้งสองต่างคนต่างสู้ด้วยมือข้างเดียวที่ถือดาบ ส่วนมืออีกข้างต่างจับประสานกันอยู่อย่างแนบแน่น ทุกครั้งของการกวัดแกว่งดาบหมายถึงชีวิตของศัตรูที่ถูกปลิดทิ้ง โดยไม่มีแม้แต่โอกาสจะร้องขอ ซากศพเกลื่อนพื้น เสื้อผ้าเปื้อนไปด้วยเลือด แต่ยังต้องมีคนตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนพานางหลุดออกมาจากตรงนั้นได้ ทั้งสองพากันวิ่งหลบเข้าไปในปราสาทกลาง เลี้ยวลัดเลาะไปตามทางเดินมืดๆ จนลงมาถึงใต้ปราสาท



ขวับ!! อเล็กซิสทิ้งดาบที่ถืออยู่ยกมือสองข้างขึ้นช้าๆ เพราะอยู่ดีๆ ทาร์เทียน่าที่วิ่งนำหน้า ก็หันกลับมาตวัดดาบพาดไว้ที่คออย่างหมิ่นเหม่ แววตาดุเคลือบแคลงระคนสงสัยจ้องมองเขม็ง

“ท่านกลับมาที่นี่ทำไมอเล็กซิส”

********************************

ฮานส์ทิ้งน้องทำไมเนี่ย

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 15 เมียของฮานส์

“ท่านกลับมาทำไมอเล็กซิส” !! ทาร์เทียน่าถามเสียงเข้มเนตรเขียวมรกตของนางดุดันแข็งกร้าว แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้กษัตริย์หนุ่มเกิดความหวั่นเกรง เขายังยิ้มอ่อนให้นางเหมือนเดิม ไม่สนใจคมดาบที่จ่อคอตัวเองเลยด้วยซ้ำ

“ข้ามันน่าสงสัยจริงๆ นั่นแหละสาวน้อยที่โผล่มาตอนนี้เข้าพอดี” อเล็กซิสนิ่วหน้าทั้งที่ยังอมยิ้ม เขาเอนตัวออกห่างจากคมดาบเล็กน้อย เมื่อรู้สึกได้ว่ามันถูกเพิ่มน้ำหนักกดลงไปบนผิวเนื้อมากขึ้น เหมือนเจ้าของดาบกำลังบอกกลายๆ ว่าให้พูดแต่ความจริง

“แต่ในเมื่อข้าทิ้งหัวใจไว้ออสเซนเทีย กลับบ้านเมืองไปก็คงไปแต่ตัว สู้อยู่ตามหาหัวใจตัวเองไม่ดีกว่าหรือ”

“หาเจอหรือยังล่ะ”

“อยู่ตรงหน้าข้านี่ไง” อเล็กซิสปัดดาบทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ และนั่นเหมือนเป็นสัญญาณให้ทั้งสองโผเข้าหากันแลกจูบลึกซึ้ง ที่จริงเขาไม่ได้กลัวเลยสักนิดหากนางคิดจะตวัดดาบเชือดลงบนคอ กษัตริย์หนุ่มยอมวัดใจ และผลตอบแทนที่ได้รับก็คุ้มค่าคู่ควร

“ไปกันเถอะ ข้าให้คนส่งข่าวไปบอกลอร์ดนิโคลแล้ว ป่านนี้คงกำลังเดินทางมา” อเล็กซิสบอกหลังจากต้องตัดใจถอนจูบอย่างแสนเสียดาย

“ข้ายังไปไหนไม่ได้ คนของข้าถูกขังอยู่ในคุกใต้ปราสาท”

“ตอนนี้คนของรัฐมนตรีโจเซฟคงกระจายอยู่ทั่ววัง แค่เราสองคนอาจจะไม่ไหวแต่เราจะกลับมาช่วยพวกเขาแน่ ข้าสัญญา”

“ถ้าอย่างนั้นก็มาทางนี้เถอะ” ทาร์เทียน่าดึงอเล็กซิสพาเดินคลำไปตามทางมืดๆ เดินไปไม่ไกลก็หยุดเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ไม่นานเปลวไฟก็สว่างขึ้นจากคบไฟสองอันที่นางยื่นมาให้เขาหนึ่งอัน แล้วพาเดินต่อ

“เดี๋ยวนี่มัน...”

“อย่างที่ท่านคิด”

“แล้วทำไมพาข้ามาล่ะ”

“จะจำทางไว้ใช้ตอนกลับมายึดปราสาทแย่งเอาออสเซนเทียเป็นของท่านก็ได้นะ”

“น่าสนใจทีเดียว”

“ตามมาสิ” ทั้งสองยิ้มขำให้กัน ทาร์เทียน่ากำลังพาอเล็กซิสเดินเข้าไปยังเส้นทางลับใต้ปราสาท ที่มีเส้นทางคดเคี้ยวแยกกันออกไปมากมายหลายสาย หากคนที่ไม่รู้จริงๆ จะไม่สามารถหาทางออกได้ง่ายๆ และต้องตายเป็นผีเฝ้าอยู่ใต้ปราสาทแห่งนี้ในที่สุด ส่วนคนที่จะผ่านออกไปได้ต้องเป็นคนที่รู้จักเส้นทาง และรู้วิธีหาทางออกได้เป็นอย่างดี ถึงจะสามารถใช้เส้นทางที่วกวนเป็นเขาวงกตพาไปยังส่วนต่างๆ ที่สำคัญๆ ของปราสาทได้ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เส้นทางลับ และวิธีหาทางออกไปจากที่นี่



************************



ร่างเพรียวระหงเดินโซซัดโซเซ บางครั้งก็ล้มลุกคลุกคลาน นอกจากอากาศที่หนาวเย็นแล้ว ยังต้องเดินไปบนหิมะหนาที่ปกคลุมพื้นดินจนไม่เห็นทางเดิน ถึงขาจะล้าแต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมล้มลงอย่างคนท้อแท้สิ้นหวัง ทั้งที่ไม่เคยต้องตรากตรำลำบากขนาดนี้มาก่อน แต่เป็นถึงกษัตริย์จะมายอมตายกลางป่าท่ามกลางหิมะคงน่าสมเพชสิ้นดี จูเลียนกัดฟันเดินหน้าต่อไป แม้ต้องสู้ต้องฝืนกับความเหนื่อยล้าของร่างกาย ท่ามกลางความหนาวเหน็บ แต่หิมะที่ปกคลุมหนาก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เสียทีเดียว เพราะรอยเท้าม้าที่ย่ำไปบนนั้นมันเป็นสิ่งนำทางเดียว ที่ช่วยให้จูเลียนยังมีความหวัง แม้รอยจะเลือนรางในบางช่วง แต่ถ้าสังเกตดีๆ ก็ตามไปได้ไม่ยาก



ร่างของกษัตริย์หนุ่มน้อยล้มลุกคลุกคลาน เพราะทางที่ต้องผ่านมีทั้งขึ้นลงเนินสลับกันอยู่ตลอด ขาล้าจนแทบทรงตัวไม่อยู่ แต่กระนั้นจูเลียนก็ยังกอดเสื้อคลุมตัวหนาที่ห่มร่างไว้แน่น สองขาก้าวเดินไปข้างหน้าไม่หยุด หูแว่วได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่จูเลียนยังเดินไปเรื่อยๆ ไม่สนใจ พอรู้สึกถึงเสียงที่ใกล้เข้ามาจึงหยุดฟัง จนแน่ใจว่ามันคือเสียงอะไรก็ตอนที่หลบไม่พ้นเสียแล้ว



“หยุด!” หนึ่งในกลุ่มคนที่ขี่ม้าผ่านมาเรียกคนที่กำลังหันรีหันขวางไว้ จูเลียนเงยหน้าขึ้นดูคนที่เรียกให้หยุด แต่ก็ต้องใจหายวาบรีบก้มลงหลบหน้า

“เจ้าจะไปไหนทำไมมาเดินท่อมๆ คนเดียวอยู่กลางป่าท่ามกลางหิมะหนาวๆ อย่างนี้วะ” ทั้งที่กลัวแสนกลัวแต่จูเลียนยังก้มหน้าเงียบ ตอบคำถามด้วยการส่ายหัวเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาให้ได้ยิน จากเสื้อผ้าสกปรกที่สวมใส่ บ่งบอกว่าพวกมันเป็นทหารรับจ้างที่คงกำลังตามล่าจูเลียนอยู่ หากพวกมันจำได้ว่าจูเลียนเป็นใคร คงจบชีวิตกลางป่าท่ามกลางความหนาวเย็นอยู่ตรงนี้เป็นแน่

“ถามทำไมไม่ตอบวะ!”

“ถามทำไมให้เสียเวลาวะ ฆ่าทิ้งแม่งเลยดีกว่า”

“ว่าไง เจ้ามาทำอะไรอยู่กลางป่าคนเดียว” ถึงพวกมันจะพากันตั้งคำถาม จูเลียนก็ยังเอาแต่ก้มหน้าส่ายหัวอยู่เหมือนเดิม จนหนึ่งในนั้นรำคาญเลยลงมาจากหลังม้า ขยุ้มคอเสื้อคลุมกระชากจูเลียนให้เดินไปข้างหน้า พอถูกกระชากอย่างแรงจนร่างเพรียวถลา หมวกคลุมหัวก็หลุดออกเผยให้เห็นใบหน้านวลผ่อง ที่พวงปรางทั้งสองข้างซับสีแดงระเรื่อจากความหนาว ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดราวกับผลเชอรี่สุกสั่นระริก ไม่รู้เพราะความหนาวเย็นรอบกาย หรือเพราะความกลัวจากการถูกคุกคาม จูเลียนสั่นไปทั้งตัว

“เฮ้ย หน้าตามันสวยใช้ได้เลยนี่หว่า” คนที่ลงมากระชากตัวจูเลียนพูดขึ้น เพราะมองเห็นใกล้ที่สุด พอมันพูดจบคนอื่นๆ ที่ยังอยู่บนหลังม้าก็พาหันหันมาสนใจหน้าตาของเชลยกันทุกคน

“อย่าทำเป็นเล่นเอาตัวมันมานี่” เจ้าของเสียงสั่งเด็ดขาดยังนั่งอยู่บนหลังม้า ด้วยท่าทางที่บ่งบอกได้ว่านี่คือหัวหน้ากลุ่มของพวกมัน คนที่ยืนอยู่ข้างจูเลียนได้ยินอย่างนั้นเลยผลักร่างเพรียวอย่างแรง จนจูเลียนไปล้มลงตรงหน้ามันพอดี

ชายผู้เป็นหัวหน้ากวาดตามองลูกน้องของตัวเองเงียบๆ ทุกคนต่างก็จ้องกลับมาด้วยสีหน้าฉงน จนสายตามาหยุดอยู่กับใบหน้าของจูเลียนที่นั่งอยู่กลางวงล้อม มันแสยะยิ้มน่าเกลียดแล้วบอกเสียเย็น

“จับมันเงยหน้าขึ้นซิ” ใบหน้าของจูเลียนแหงนหงายขึ้นทันที แต่ไม่ใช่เพราะถูกจับดีๆ เหมือนที่ชายผู้เป็นหัวหน้าสั่ง จูเลียนถูกขยุ้มเส้นผมกระตุกให้เงยหน้าขึ้นอย่างแรงจนเจ็บไปทั้งศีรษะ

“ไอ้พวกสวะโง่!”

“อ้าวหัวหน้าทำไมว่าพวกข้าอย่างนี้ล่ะ” หนึ่งในทหารเลวใจกล้าประท้วงเมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกหัวหน้าด่าว่าโง่

“พวกแกไม่รู้หรือไงว่ามันเป็นใคร”

“แล้วนี่มันใครล่ะหัวหน้า”

“หึๆ ข้ามีข่าวดีจะบอกพวกเจ้า ข้าขอประกาศว่าเราจับจูเลียนกษัตริย์เด็กเสียสติได้แล้ว” จูเลียนใจหายวาบไม่คิดว่าพวกมันจะรู้จักและจำได้ ส่วนทหารรับจ้างลูกน้องของมันต่างพากันมองหน้ากันลอกแลกเหมือนไม่อยากเชื่อ

“เจ้าเคยเจอมันหรือไง ถึงได้รู้ว่ามันเป็นใคร”

“นั่นสิ จะเป็นไปได้ยังไง กษัตริย์มันจะมาเดินเป็นขอทานกลางป่าคนเดียวได้ยังไงวะหัวหน้า”

“หมาอัศวินพวกนั้นคงไม่ปล่อยมันมาเดินคนเดียวอย่างนี้หรอก เจ้าอย่าคิดว่าเป็นหัวหน้าแล้วจะหลอกพวกข้าได้นะ” คนพูดท่าทางดูโผงผางกว่าคนอื่นๆ มันอยู่ข้างๆ หัวหน้าจึงถูกตีหัวไปหนึ่งที

ผลั๊วะ!!

“ถ้ายังเรียกข้าว่าหัวหน้าก็อย่าลามปาม นี่คือกษัตริย์เด็กข้าจำมันได้ ข้าเคยเห็นหน้ามันชัดเจนเลยตอนงานประลอง” พวกลูกน้องพากันจ้องมาทางจูเลียนกันทุกคน และต่างพยักหน้าคล้อยตาม

ใครคนหนึ่งถามขึ้น “แล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“มาอยู่ได้ยังไงก็ช่างหัวมันสิ ว่าแต่เราจะจัดการกับมันยังไงดีหัวหน้า”

“ตัดหัวเอาไปแลกรางวัลเลย” ลูกน้องอีกคนบอก

“เดี๋ยวๆ ก่อนจะตัดหัวมันข้าว่าเรามาสนุกกับมันก่อนไม่ดีกว่าเหรอวะ” คนที่โดนตบหัวบอกอย่างนึกสนุก แววตาของมันเป็นประกายที่จูเลียนเห็นแล้วเสียวสันหลังวาบ ขนลุกจนสั่นไปทั้งตัว

“นั่นสิ ถ้าเอาแค่หัวยังไงตัวมันก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว ข้าว่าเราเอามาทำอะไรสนุกๆ ดีกว่า” ปากพูดมือมันก็คลำลงไปที่เป้ากลางลำตัวของตัวเองด้วย สีหน้าท่าทางของพวกทหารรับจ้าง ที่ล้อมจูเลียนอย่างคุกคามอยู่ตอนนี้ แต่ละคนมีแต่ความหื่นกระหาย แต่ละคนต่างจับจ้องมาที่จูเลียนราวกับพวกมันเป็นหมาป่าหิวโซ กำลังจ้องมองลูกแกะตัวน้อยน่าขย้ำ รสชาติคงเป็นเลิศกลิ่นก็คงหอมยั่วน้ำลาย

“ข้าไม่ใช่คนที่พวกเจ้าพูดถึง” สิ้นเสียงบอกของจูเลียน ตามมาด้วยเสียงหัวเราะจนดังลั่นป่าของหัวหน้ากลุ่ม และนั่นทำให้คนอื่นๆ พลอยหัวเราะไปด้วย ราวกับกำลังขบขันเสียเต็มประดา เป็นครู่หัวหน้าของพวกมันจึงพูดขึ้นกลั้วเสียงหัวเราะ

“ใช่หรือไม่ใช่เอาหัวไปให้พวกทหารวังดูก็รู้แล้วน่า ถ้าใช่ข้าก็ได้รางวัล ไม่ใช่ข้าก็โยนหัวแกทิ้งแค่นั้นพวกข้าไม่คิดอะไรมากหรอกนะ”

“ตกลงใช่หรือเปล่าล่ะ เจ้าคือกษัตริย์เด็กบ้าอำนาจคนนั้นใช่ไหม” จูเลียนไม่เคยได้คิดมาก่อนเลย ว่าจะได้ยินคนเรียกตัวเองว่าเป็นกษัตริย์เด็กบ้าอำนาจอย่างนี้ และมั่นใจด้วยว่าตัวเองห่างไกลจากคำนี้มากที่สุด จูเลียนหรือบ้าอำนาจ แต่ละวันก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องสมุดภายในปราสาท หรือไม่อย่างนั้นก็จิบชาอยู่ในห้องนั่งเล่นเพลิดเพลินกับการอ่านบทละคร ไม่เคยทำอะไรในแบบที่เรียกว่าบ้าอำนาจเลยสักครั้ง ไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำแต่ละวันจะใกล้กับคำว่าบ้าอำนาจสักนิด จูเลียนไม่รู้ว่ามีข่าวลือ และข่าวลือก็มักจะมาคู่กับข่าวลวงอยู่เสมอ

“ชักช้าเสียเวลาน่าหัวหน้า ข้าอยากจนจะทนไม่ไหวแล้วนะ ดูสิ” หนึ่งในลูกน้องใจกล้าของกลุ่มบอกพลางลงจากหลังม้า มันรีบถอดกางเกงควักเอาท่อนเนื้อออกมารูดให้ชายผู้เป็นหัวหน้า กับเพื่อนในกลุ่มดูอย่างหยาบคาย มันหัวเราะลั่นราวกับกำลังสนุกสนาน และนั่นทำให้คนอื่นๆ เริ่มตามลงมาด้วย แต่ละคนอยู่ภายใต้เสื้อผ้าป้องกันหนาวหนาหนักรุ่มร่าม และมันดูสกปรกจนจูเลียนรู้สึกสะอิดสะเอียน

“ใจเย็นๆ สิวะได้กันทุกคนนั่นแหละ”

“ใครก่อนวะ”

“ก็ต้องให้ข้าก่อนสิข้าเป็นหัวหน้านะโว้ย” แล้วพวกมันก็หัวเราะประสานเสียงกันดังลั่น บางคนสบถหยาบคายอย่างชอบใจด้วยภาษาหยาบโลน จูเลียนอยากวิ่งหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ แต่ตอนนี้ที่ทำได้ก็แค่ถดตัวถอยหนีเท่าที่ร่างกายอ่อนแรงจะทำได้

หัวหน้าของพวกมันคุกเข่าลงตรงหน้าจูเลียน แต่เพราะอากาศที่หนาวเย็นมันจึงควักเอาแค่สิ่งที่จำเป็นต้องใช้งานออกมาเท่านั้น

“ถอดเสื้อผ้ามันออกสิวะ”

“อย่านะ”

“ฮาๆ “

“ปล่อยข้าไอ้พวกทหารเลว” หลายคนกรูเข้ามาดึงทึ้งเสื้อผ้าที่จูเลียนใส่ แม้แรงจะน้อยแต่จูเลียนก็ยังพยายามปกป้องตัวเองจากมือสกปรกเหล่านั้น พวกมันหัวเราะชอบใจราวกับกำลังทำเรื่องสนุกสนาน แต่จูเลียนกลัวจนใจแทบขาด กรีดร้องก่นด่าสุดเสียง ทั้งแขนและขาถูกจับให้กางออกกดลงกับพื้นหิมะแน่น

“ปล่อย ไอ้พวกชั้นต่ำ คนเลว” แต่ดูเหมือนว่าคำด่าของจูเลียนจะฟังสุภาพสำหรับพวกมันด้วยซ้ำจึงไม่มีใครสนใจ

“ชุดแกนี่มันถอดยากฉิบหายเลยว่ะ” หนึ่งในคนที่กำลังพยายามถอดเสื้อผ้าจูเลียนพูดขึ้น

“ฉีกเลยสิวะ” พอไม่ทันใจมันก็พากันกระชากเสื้อผ้าหนาๆ ออก จนเนื้อผ้าบาดผิวขาวเป็นรอยแดงช้ำไปทั่ว

“โอ๊ย อย่านะไอ้พวกบ้า เลว ปล่อยข้า” แล้วพวกมันก็หัวเราะประสานเสียงกันอีก ไม่สนใจร่างเพรียวบางที่ดิ้นรนขัดขืน แม้ข้อมือจะถูกตรึงกดลงจนจมหิมะ แม้ขาทั้งสองข้างจะถูกจับแยกออกจากกัน ตัวของจูเลียนยังดิ้นจนหัวหน้าของมันรำคาญ

“ดีดดิ้นอะไรนักหนาวะ มีผัวทีเดียวหลายคนออกจะดีไม่ชอบหรือไง” เพี๊ยะ!

“อึก” พักตร์แดงก่ำถูกตบจนหันเพราะความรำคาญ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมุมปากที่แตก เพราะมือกักขฬะหยาบกร้าน อากาศเย็นทำให้เลือดแข็งตัวเร็วจึงคลอขังอยู่มุมปาก จูเลียนทั้งเจ็บทั้งมึนทั้งหนาวร่างกายเริ่มปวดร้าวไปหมด

ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดว่าจะได้มาเจอฝันร้ายอย่างนี้มาก่อน จูเลียนพยายามขืนตัวไว้ ไม่ยอมให้เสื้อผ้าหลุดออกจากร่างกาย แต่ก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน เพราะทุกอย่างของพวกมันเหนือกว่าทั้งหมด ตั้งแต่แรงกายและจำนวนคน แม้จะรู้ว่าสู้ไปก็ไม่ชนะแต่จูเลียนก็ไม่ยอมแพ้ ฮึดสู้ขืนตัวเองไว้ให้ถึงที่สุด ดิ้นรนขัดขืนหาทางรอดให้ถึงที่สุด ใจคิดถึงแต่พี่ชายกับน้องสาวที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะรู้หรือยัง ว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับจูเลียน ไม่รู้ว่าทั้งสองจะเป็นห่วงมากแค่ไหนหากรู้ว่าจูเลียนกำลังตกอยู่ในอันตราย คิดถึงอัศวินประจำตัวทั้งสี่ที่คอยปกป้องดูแล ไม่เคยปล่อยให้จูเลียนต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ อย่าว่าแต่มือสกปรกพวกนี้จะได้สัมผัสผิวเนื้อของจูเลียนเลย แค่คิดจะเดินเข้าหายังต้องถูกสกัดกั้นไว้ทันที

จูเลียนคิดถึงคนรักไม่รู้ว่าจะหนีฝ่าวงล้อมออกมาได้ทันหรือไม่ พายุหิมะที่ตกหนักทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปหมด จูเลียนกัดริมฝีปากแน่นนึกโกรธฮานส์ ทุกอย่างที่เลวร้ายกว่าเก่ามันเป็นเพราะฮานส์คนเดียวที่พาแยกจากคนอื่นๆ มา จูเลียนจะโทษฮานส์!

“ปล่อยข้า”

“หึๆ ยังมีแรงพูดอีกหรือวะ เก็บเสียงไว้ครางดังๆ ยามพวกข้าเรียงแถวเอาแกดีกว่าเด็กน้อย”

“ปล่อย ข้าเป็นกษัตริย์นะ” เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหลังจากจูเลียนพูดจบ หัวหน้าของพวกมันที่คร่อมอยู่บนตัวจูเลียนเงยหน้ามองลูกน้องที่ยืนล้อมวงอยู่ทีล่ะคน แต่ละคนมีสีหน้าฉงนราวกับสมองทำงานช้าคิดตามคำพูดของจูเลียนไม่ทัน แต่พอหัวหน้าของพวกมันระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นดังๆ คนอื่นๆ ก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย มันกวนอารมณ์จนจูเลียนกัดฟันแน่น

“แล้วไงวะ เป็นกษัตริย์แล้วยังไงบอกข้าหน่อยไอ้หนู เป็นกษัตริย์แล้วตอนนี้แกทำอะไรได้วะ ข้าสิแน่กว่า เป็นทหารรับจ้างที่กำลังจะเอากษัตริย์มาเป็นอีตัวไว้เอาเล่นๆ ข้าจะแหกขาเจ้าให้อ้าออกกว้างๆ แล้วค่อยๆ เสียบไอ้จ้อนเข้าไปในตัวเจ้า ค่อยๆ ลิ้มรสชาติของเจ้า ไม่ต้องกลัวอีหนูข้าสัญญาจะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี กระแทกเน้นๆ ให้เจ้าติดใจจนครางปากสั่น แค่คิดก็เสียวแล้วโว้ย” มันบอกพลางมือก็สาวท่อนเนื้อของตัวเองแอ่นสะโพกให้ดูอย่างน่าเกลียด พวกที่ยืนล้อมวงหัวเราะชอบใจ และพากันสาวกลางกายอวด ราวกำลังแข่งว่าใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน

“ข้าทำอะไรไม่ได้ถ้าพวกเจ้าไม่ปล่อยข้า ปล่อยข้าพวกทหารเลว”

“ถ้าปล่อยเจ้าข้าจะได้อะไรตอบแทนวะ”

“เจ้าได้ค่าหัวเท่าไหร่ ข้าจะให้เจ้ามากกว่านั้นสิบเท่า” จูเลียนเริ่มการต่อรอง

มันแสยะยิ้มจนเห็นฟันเหลืองน่ารังเกียจ “ไหนล่ะ จ่ายมาก่อนสิแล้วแกจะเป็นอิสระ”

“เจ้าต้องพาข้าไปเมืองหลวงก่อนสิ”

“แล้วข้าจะแน่ใจได้ยังไง ว่าพาแกดั้นด้นไปถึงเมืองหลวงแล้วจะได้รางวัลจริงๆ ”

“เพราะข้าเป็นกษัตริย์ไงเจ้าก็รู้จักข้านี่ ไปถึงก่อนเถอะข้าจ่ายเจ้าอย่างงามแน่ ข้าสัญญา” หัวหน้ากลุ่มจ้องตาจูเลียนเหมือนชั่งใจ ราวกับว่าข้อเสนอนี้ทำให้มันต้องตริตรองใคร่ครวญใช้สมองอันเชื่องช้าให้รอบคอบ จูเลียนใจชื้นขึ้นคิดว่ามันคงสนใจข้อเสนอง่ายๆ แต่พอมันหัวเราะเสียงดังขึ้นถึงรู้ว่าการต่อรองไม่เป็นผล

“ข้าจะบอกอะไรให้นะไอ้หนู ไม่มีเมืองหลวงของแกอีกต่อไปแล้ว กลับไปแกก็ต้องถูกฆ่าอยู่ดี ทหารยึดเมืองไว้แล้ว พวกนั้นไม่ใช่ทหารของเจ้าด้วย”

“ไม่จริง”

“น่าสงสารเด็กน้อยหลอกตัวเอง”

“ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก”

“พูดมากเสียเวลา ดูสิข้ามัวแต่คุยกับเจ้าจนไอ้จ้อนข้ามันอ่อนไปหมดแล้วเนี่ย อ้าปากแดงๆ ของเจ้าออกปลุกมันให้ข้าสิ ฮาๆ “

“ปล่อยข้านะ”

ตุบ! เพราะหัวหน้าของมันคุยกับจูเลียนอยู่นาน คนที่จับข้อมือตรึงไว้จึงเผลอลดแรงกด จูเลียนได้ทีสะบัดจนแขนหลุดจากการถูกกด กำหิมะขว้างใส่หน้าของคนที่คร่อมตัวเองเต็มๆ จนมันลุกออกจากตัวจูเลียนเพราะหิมะเข้าตาจนแสบ

“ไอ้เด็กเวร จัดการมัน” พอได้รับคำสั่งจากหัวหน้า พวกที่เหลือก็กรูกันเข้ามารุมจูเลียน แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่อย่างแน่นหนายังเป็นอุปสรรคอยู่ไม่น้อย แม้จะถูกดึงทิ้งจนผิวนวลเนียนเขียวช้ำไปหมด

“ปล่อยข้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! “

“พวกเจ้าจะทำกับร่างกายของมันยังไงก็ได้ แต่อย่าทำให้หน้ามันเสียโฉมก็พอ ข้าจะเอาหน้าสวยๆ ของมันไปแลกรางวัล หึๆ ”

“อย่านะ”

“แหกปากร้องเข้าไปเถอะเจ้าไม่...” ฉับ! หอกแหลมพุ่งเข้าเสียบท้ายทอยจนทะลุปากอย่างน่าหวาดเสียว ร่างหัวหน้าของพวกมันที่ขาดใจตายทันทีล้มตึงลงอย่างสิ้นท่า พวกที่เหลือพากันแตกตื่นมองหาที่มาของหอกปริศนา ซึ่งหาได้ไม่ยากเพราะเจ้าของหอกนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำมืดตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนี่เอง

“มันอยู่นั่น” ใครคนหนึ่งบอก

“ฆ่ามัน” พวกมันพากันกรูเข้าสู้ราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่ไม่ว่ามันจะวิ่งเข้ามาเท่าไหร่ก็ตายเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้ฟาดฟันดาบ ด้วยฤทธิ์ของลูกตุ้มเหล็กหนักๆ ที่เหวี่ยงออกมาแต่ละครั้ง หมายถึงชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับความเกรี้ยวโกรธ ไม่นานพวกมันก็ตายเกลื่อนพื้น มีบางคนที่เห็นเพื่อนตายไปต่อหน้าต่อตา รู้ว่าไม่มีทางสู้ได้เลยวิ่งหนี แต่เพชฌฆาตในชุดดำที่กำลังเกรี้ยวกราด มีหรือจะยอมปล่อยให้มันหนีไปมีชีวิตรอด คันธนูพร้อมลูกศรถูกดึงออกมาขึ้นสายเล็ง ลูกดอกทุกลูกที่ถูกปล่อยออกจากแล่งไม่เคยพลาดเป้า ตรงตำแหน่งที่ตัดขั้วหัวใจพอดี

“จูเลียน!”

“ฮานส์! เจ้าคนเลวทำไมเพิ่งมา เจ้าทิ้งข้าทำไม เจ้ามันเลว เจ้ามันสมควรตาย ข้าจะฆ่าเจ้า พวกมันเกือบข่มขืนข้าเพราะเจ้าทิ้งข้าไป เจ้ามันคนเลว เลวที่สุด อึก ฮือ” จูเลียนรัวกำปั้นลงบนตัวฮานส์ไม่สนใจว่าจะโดนตรงไหนบ้าง เพราะทั้งร้องไห้ทั้งด่าทั้งกอบเอาหิมะมาทุ่มใส่ร่างกายใหญ่โตไม่ยั้ง เป็นการลงโทษให้สาสมกับสิ่งที่ฮานส์ทำไว้ ฮานส์ปล่อยให้จูเลียนทำทุกอย่างจนพอใจยอมรับความผิด

“ชู่ววว พอก่อนๆ ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว” วรกายเพรียวบางที่หยุดชะงัก หาได้เกิดจากคำปลอบโยนไม่ หากแต่เป็นเพราะอ้อมกอดอุ่นๆ ที่กอดรัดจูเลียนเอาไว้แน่น ความหนาวเย็นจนกายสั่นสะท้านถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นจากอ้อมแขนกอดรัด และมือหนาที่ลูบเบาๆ อยู่กับเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนราวกำลังปลอบเด็กทารก จูเลียนถูกฮานส์รั้งเข้ามาซบไหล่และกอดไว้แน่น แม้ร่างกายจะยังสั่นทั้งจากความหนาวเย็นและความกลัว แต่กษัตริย์หนุ่มน้อยกลับรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยขึ้นมาอย่างประหลาด ถึงปากจะต่อว่าด่าทอ ถึงมือจะทุบตีประทุษร้าย แต่ก็สัมผัสได้ว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยแล้วจริงๆ

“เจ้ากลับมา” จูเลียนที่กำลังเสียขวัญโอบกอดรอบคอฮานส์พูดเสียงสั่น ราวกับจะย้ำบอกตัวเองอีกครั้ง ว่าคนที่กำลังกอดอยู่นี้คือคนที่มีตัวตนจริงๆ ไม่ใช่ภาพฝัน

“ข้าไม่ได้ไปไหนเลย” มือที่กำลังลูบหลังลูบผมยืนยันได้เป็นอย่างดี ว่าฮานส์ไม่ได้ไปไหนอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่จูเลียนไม่เห็นเขาเอง

“แต่เจ้ามาช้า” เรื่องจริงที่ฮานส์มาช้าอย่างจูเลียนต่อว่า แต่ก็อยู่ไม่ไกลเกินกว่าจะมาช่วยได้ทันเวลา เพราะความชะล่าใจของฮานส์ที่อยากเห็นว่าจูเลียนจะแก้ปัญหาอย่างไร คิดว่าได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือเมื่อไหร่ ค่อยปรากฏตัวขึ้น แต่เรื่องกลับกลายเป็นว่า รอแล้วรอเล่าก็ไม่ได้ยินคำนั้นจากปากจูเลียนสักที ทำให้ฮานส์ได้รู้ว่าจูเลียนยอมตายแต่ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีร้องขอความช่วยเหลือจากใครเด็ดขาด

“ข้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง” อันที่จริงฮานส์ตามดูจูเลียนอยู่ตลอด แม้จะเห็นว่าชายพเนจรทิ้งไป แต่ก็เพียงแกล้งให้จูเลียนเข้าใจผิด แกล้งลบรอยเท้าม้าในบางช่วง ตอนจูเลียนตกอยู่ในอันตรายฮานส์จะมาถึงตั้งนานแล้ว หากเนินหิมะที่เขาซ่อนตัวอยู่ไม่พังลงมาเสียก่อน ทำให้ต้องขี่ม้าอ้อมไปอีกทาง ฮานส์ยอมรับผิดอย่างจำนนที่เขาเล่นเกินไปจนเกือบเกิดเรื่องไม่ดี ทำให้จูเลียนต้องเจ็บตัว

จูเลียนผละออกจากอ้อมกอดราวกับเพิ่งรู้ตัว พอเห็นหน้าฮานส์ที่กำลังอมยิ้มมองอยู่ เลยผลักด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนชายหนุ่มหงายหลัง

“เจ้ากลับมาทำไม จะไปไหนก็ไปเลยข้าเกลียดเจ้า”

“อ้าว แล้วใครที่ต่อว่าหาว่ามาช้านั่นน่ะ เจ้าไม่ใช่หรือไง” ฮานส์พูดจบฝูงหิมะก็ถูกกระหน่ำขว้างลงมาตามใบหน้าและลำตัวด้วยฝีมือของจูเลียนไม่ยั้ง ชายหนุ่มได้แต่ยกมือปัดป้องเป็นพัลวัน

“เจ้ามันเลว เจ้ามันใจร้าย ไอ้คนเลว เลวที่สุดเจ้าทิ้งข้า ฮานส์ใจร้าย คนใจดำ”

“เอาเข้าไป ๆ ” จูเลียนโกรธจนลืมร้องไห้ ปากด่ามือขว้างหิมะใส่ฮานส์ที่นั่งรับการลงทัณฑ์ จนจูเลียนจะพอใจและหยุดไปเองเพราะความเหนื่อย

“พอใจเจ้าหรือยัง” ฮานส์ถามยิ้มๆ นั่งมองจูเลียนที่ระบายความโกรธด้วยการประทุษร้ายร่างกายเขาจนเหนื่อยหอบ

“พอใจอะไร”

“พอใจกับการลงโทษข้าหรือยัง”

“เจ้ามันสมควรตายที่สุด”

“ถึงเวลานั้นจะสั่งประหารข้าก็เชิญ แต่ตอนนี้ข้าต้องพาเจ้าหนีก่อน ดูสิร้องไห้จนหน้าตามอมแมมหมดแล้ว” ฮานส์ถอดถุงมือหนังออก ไล้นิ้วปาดเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ ร่างเพรียวสะดุ้งยามนิ้วหยาบกร้านไล้ไปตามพวงแก้มขึ้นรอยแดง และคราบเลือดแห้งที่มุมปาก ทำให้นัยน์ตาสีดำขลับของฮานส์แข็งกร้าว แต่เขาก็จัดการคนทำอย่างสาสมไปแล้ว จะเหลือก็แต่ตัวเขาเองที่ไม่รู้จะจัดการยังไง ให้สาสมกับความผิดที่ปล่อยให้จูเลียนถูกทำร้าย ทั้งที่เป็นคนไปช่วยมาแท้ๆ

“ลุกขึ้นเถอะ เราต้องรีบไปแล้ว” ฮานส์ลุกขึ้นพลางดึงข้อมือจูเลียนให้ลุกตาม แต่กลับถูกปัดออกอย่างไม่ไยดี

“ข้าไม่ไปกับเจ้าหรอก เจ้าทิ้งข้าแล้วนี่”

“ข้ากลับมาแล้วนี่ไง ไปเถอะน่านะ” ได้ยินคำตะล่อมยิ่งทำให้จูเลียนเม้มปากแน่น คิดว่าตัวเองคงหูฝาดหูผิดปกติไปแล้ว ที่ได้ยินน้ำเสียงเหมือนฮานส์กำลังออดอ้อน ถึงยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ที่คนใจร้ายอย่างฮานส์ จะทำเสียงแบบนี้ยามพูดกับจูเลียน ไหนจะยังมีรอยยิ้มนั่นอีก ฮานส์กำลังยิ้มเยาะจูเลียนอยู่แน่ๆ เพราะสายตาไม่ยอมมองไปทางอื่นเลยนอกจากใบหน้าของจูเลียน ที่คงมองแล้วนึกสมเพช

จูเลียนคิดเองเออเองแล้วสะบัดหน้าหนี “ข้าไม่ไป”

“จะรอให้พวกมันแห่มาฆ่าอีกหรือไง” ความดื้อดึงของจูเลียนทำให้ฮานส์ต้องพูดขู่เสียงดัง

“ยังมีพวกมันอยู่แถวนี้อีกหรือไง”

“มีสิ เดี๋ยวก็แห่กันมาอีกเป็นโขยง”

“มันจะรู้ได้ยังไงพวกมันตายหมดแล้วนะ”

“เจ้าเห็นม้าบางตัวที่วิ่งเตลิดหนีไปไหมจูเลียน" ฮานส์คุกเข่าลงตรงหน้าจูเลียน "ถึงม้ามันพูดไม่ได้แต่นั้นนั่นล่ะสัญญาณเรียกพวกมันดี ๆ นี่เอง คราวนี้เจ้าจะลุกได้หรือยัง” จูเลียนจำต้องลุกขึ้นอย่างที่ฮานส์บอกพลางขยับเสื้อผ้าให้กระชับ รอดมาได้ขนาดนี้จะยอมมานั่งรอความตายอีกทำไม

“ใส่ไว้” ฮานส์ถอดเสื้อคลุมของตัวเองจะห่มให้ แต่จูเลียนเบี่ยงออกอย่างถือตัวจึงถูกสายตาคมจ้องดุ

“แล้ว..”

“แล้วอะไร”

“เจ้าไม่หนาวหรือไง”

“ช่างข้าเถอะมานี่มา”

“เฮ้ย!! ฮานส์!! “จูเลียนร้องเสียงหลงตกใจ เพราะพอฮานส์ดึงข้อมือลากมาจนถึงม้าตัวใหญ่สีดำที่ยืนรอ ชายหนุ่มก็อุ้มจูเลียนให้ขึ้นขี่ม้าโดยไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ ด้วยการจับตัวจูเลียนยกขึ้นได้อย่างง่ายดาย แต่คนที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวนี่สิถึงกับร้องเสียงหลงอ้าปากค้าง

ต่อจ้ะ....

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



“จะร้องทำไม” ฮานส์ถามพลางขึ้นมานั่งข้างหลังจูเลียนที่ดิ้นขลุกขลัก เพราะโดนโอบอีกแล้วตอนที่ฮานส์จับสายบังเหียนกระตุกสั่งให้ม้าออกเดิน

จูเลียนหายใจเข้าลึกๆ อ้อมแอ้มตอบ “ก็..ข้าตกใจนี่ เจ้าทำอะไรไม่บอกก่อนเลย”

“หึ”

“ขำอะไร”

“เสียงเจ้าสั่นนะ ยังหนาวอยู่หรือไง” คำถามมาพร้อมกับอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้น ทำให้จูเลียนยิ่งไม่กล้าพูด เพราะกลัวว่าเสียงที่เปล่งออกมาจะสั่นกว่าเก่า เรื่องหนาวมันก็หนาวอยู่แล้วนั่นแหละ แต่นอกจากนั้นมันยังเป็นเพราะการกระทำบ้า ๆ บอ ๆ ของฮานส์ด้วย ที่ทำให้จูเลียนรู้สึกแปลก ๆ จนพูดเสียงสั่น จะว่าง่าย ๆ คือมันทำให้จูเลียนสั่นไปหมดแต่ไม่ใช่เพราะกลัว แต่จะเป็นเพราะสาเหตุอะไรจูเลียนไม่รู้จริง ๆ หรือจูเลียนจะบ้า ๆ บอ ๆ ตามฮานส์ไปแล้ว

พอพ้นจากป่าช่วงที่หิมะกองเป็นเนินสูงๆ ต่ำๆ ฮานส์เหลือบมองไปข้างหลังตามทางที่เพิ่งพากันผ่านมา เขาสั่งให้ม้าเริ่มออกวิ่งและความเร็วของมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนจูเลียนนึกสงสัยแต่ไม่ถาม เพราะถามยังไงฮานส์ก็คงไม่ยอมตอบดีๆ จนกระทั่งม้าพามาไกลจากจุดที่จูเลียนถูกจับมากพอสมควร ม้าจึงลดความเร็วลงจนเดินช้าๆ จูเลียนมองไปข้างหน้าพบว่ามาถึงชายป่าอีกแห่งหนึ่งแล้ว

“ลงมา” จูเลียนยอมลงจากหลังม้าอย่างว่าง่ายด้วยความช่วยเหลือของฮานส์ แต่คราวนี้ไม่ยอมให้เจ้าของร่างกายสูงใหญ่อุ้มอย่างน่าอายอีก

“เราต้องแยกกันชั่วคราวแล้วนะเพื่อนยาก”

“เจ้าพูดกับม้าหรือฮานส์” จูเลียนถามขึ้นเมื่อเห็นฮานส์ลูบแผงคอม้าพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ แต่ไม่ได้คำตอบ จึงได้แต่ยืนมองเงียบๆ ขณะที่ฮานส์ขยับไปแนบหน้าผากตัวเองลงกับหน้าผากกว้างของม้าตัวใหญ่ที่ก้มลงมาหา

“แล้วเจอกันใหม่นะเพื่อนอีกไม่นานหรอก ระหว่างนี้ดูแลตัวเองให้ดีๆ “ จูเลียนคิดว่าฮานส์คงเสียสติไปแล้ว เพราะเอาแต่ซบใบหน้าตัวเองกับใบหน้าของม้าพึมพำบ่นฟังไม่รู้เรื่อง หูทั้งสองข้างของเจ้าม้าตัวใหญ่ลู่ไปข้างหลัง บ่งบอกว่ามันกำลังโกรธ และหากฮานส์ยังไม่ถอยออกมา อาจจะโดนม้าดีดจนเจ็บตัวแน่

“ฮานส์..ม้า”

“ไม่เป็นไรจูเลียน ข้าขออยู่กับโกสต์แบบสักครู่” ฮานส์บอกทั้งที่ไม่ได้หันมาทางจูเลียนเลยด้วยซ้ำ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าม้าคู่ใจกำลังโกรธ เขารู้ว่ามันไม่พอใจที่ต้องแยกทางกันอีกแล้ว แต่โกสต์จะไม่มีวันทำร้ายฮานส์แน่นอน

“แล้วเจอกันเพื่อน” ฮานส์จูบลงตรงสันกระดูกข้างหน้าเหนือจมูกของโกสต์ จนจูเลียนที่มองอยู่ยังสัมผัสได้ถึงความรักและความผูกพัน ที่คนและม้าทั้งคู่มีต่อกัน ฮานส์ผละออกแล้วถอดสายบังเหียนเก็บไว้กับตัว ถอดอานและถุงใส่ของที่ผูกติดอยู่ทิ้งลงไว้ที่พื้น ตบเบาๆ ไปตามลำตัวที่มีแต่กล้ามเนื้อแข็งแกร่ง ขณะเดินกลับไปลูบใบหน้าบริเวณกรามของมัน

“ไป” เพียงสั่งคำเดียวม้าหนุ่มก็หันหลังควบออกจากตรงนั้น วิ่งไปตามทางที่จูเลียนคิดว่าฮานส์จะพามุ่งหน้าไปในตอนแรก อาชาสีดำทะมึนดูแข็งแกร่งวิ่งอย่างสง่างามตัดไปบนหิมะสีขาวโพลน เป็นภาพที่ดูมีพลังอย่างน่าประหลาด มีสายตาอาวรณ์ของฮานส์มองตามจนมันวิ่งลับตาไป

“เจ้า..” จูเลียนกำลังจะต่อว่าที่ฮานส์ปล่อยพาหนะในการเดินทางหนึ่งเดียวที่มีไป แต่พอเห็นสายตาของชายหนุ่ม คำต่อว่าด่าทอก็จุกตันอยู่แค่ในลำคอ ฮานส์ดูเศร้าจนจูเลียนพูดไม่ออก เลยเผลอเศร้าตามไปด้วย

“ไปกันเถอะ” ฮานส์ถอดถุงออกจากอานม้าขึ้นมาพาดบ่า โยนส่วนที่เป็นอานม้าทิ้งไปไว้อีกทางให้พ้นสายตา แล้วจึงดึงข้อมือให้จูเลียนเดินเข้าไปในป่าด้วยกัน โดยไม่ลืมพรางรอยเท้าที่อาจจะทำให้คนที่กำลังตามล่าตามมาได้ถูก

“ฮานส์”

“อะไร”

“เราต้องเดินอีกไกลไหม”

“ไม่รู้”

“อ้าว ทำไมไม่รู้ล่ะ”

“แล้วเจ้าจะถามทำไม”

“ก็ข้าเหนื่อย หิวแล้วด้วย” ฮานส์หันกลับไปมองคนที่เดินตัวเปล่าตามหลังช้า ๆ ชายหนุ่มค้นหาอะไรบางอย่างในถุงที่แบกมาด้วย ไม่นานก็เจอของที่ต้องการ จึงยื่นมันให้จูเลียน “อะไร”

“ของกินไง กินไปก่อนอีกไม่ไกลจะมีหมู่บ้าน เดี๋ยวค่อยแวะหาอะไรดีๆ กินอีกที”

“ขนมปังแห้งนี่นะ ไม่เอาหรอกข้าไม่กิน ข้าจะรอไปกินตอนถึงหมู่บ้าน” จูเลียนบอกอย่างเอาแต่ใจ แถมยังเชิดใส่ขนมปังที่ฮานส์ถือว่าเป็นของดีวิเศษที่สุดแล้วสำหรับนักเดินทางอย่างเขา

“กินรองท้องก่อน เดี๋ยวเป็นลมขึ้นมาข้าไม่อุ้มเจ้าไปหรอกนะ”

“ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย”

“อาหารมื้อแรกตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่หรือไง อย่าดื้อ! ”

ถึงจูเลียนจะแปลกใจว่าทำไมฮานส์รู้ แต่ความไม่พอใจที่ถูกด่าว่าดื้อมีมากกว่า “มากไปแล้วนะฮานส์”

“จะกินไม่กิน”

“ไม่กิน ข้าบอกจะไปกินที่หมู่บ้านไง” ฮานส์มองใบหน้างอง้ำแบบคนเอาแต่ใจของจูเลียน ได้แต่ส่ายหัวถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ตามใจ หวังว่าคงไม่มีพวกทหารรับจ้างรออยู่ที่หมู่บ้านหรอกนะ” สิ่งที่ฮานส์บอกเล่นเอาจูเลียนหน้าเสียขึ้นมาทันที ถึงจะทั้งหิวทั้งเหนื่อย พอเห็นอาหารที่ฮานส์เอามาให้ก็พาลกินไม่ลง จูเลียนหรือจะเคยได้ลิ้มรสอาหารแบบนี้ ขนมปังแห้งที่รสชาติคงจะจืดชืดแทบไม่อยากเคี้ยว อย่าว่าแต่จะกลืนมันลงท้องเลย แค่คิดจะหยิบมาใส่ปากมือก็ไม่ขยับแล้ว กินเข้าไปมีหวังติดคอตายก่อนได้กลับบ้านเป็นแน่แท้

จูเลียนกระชับเสื้อคลุมที่ใส่ให้แน่นขึ้น ดวงเนตรสีเขียวมรกตจ้องใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเคราอย่างเอาเรื่อง ฮานส์ไม่สนใจหันหลังออกเดินต่อเงียบๆ จนจูเลียนต้องรีบสาวเท้าเดินตามให้ทัน แต่ถึงจะเร่งยังไงก็ไม่ทันสักที จึงได้แต่ก้มหน้ารีบจ้ำเดิน บางทีก็เงยหน้ามองทางมองแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินนำ ฮานส์คงใส่ชุดกันหนาวหลายชั้น ทำให้ร่างกายที่สูงใหญ่ ดูสูงใหญ่และหนาขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่มีเสื้อคลุมเพราะถอดมันให้จูเลียนใส่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าจูเลียนมีผ้าคลุมสองผืน ซึ่งผืนที่เป็นของฮานส์ดูเหมือนเนื้อผ้าจะถักทอมาแบบพิเศษ เพราะแม้จะหนักไปสักหน่อยแต่ก็หนานุ่มและอุ่นมาก ตอนแรกจูเลียนก็นึกสงสัยว่าฮานส์เองไม่หนาวบ้างหรือไง แต่เดินมาตั้งนานไม่เห็นบ่นสักคำ จูเลียนจะเข้าใจว่าฮานส์คงไม่หนาวเหมือนชาวบ้านคนอื่นเขาก็แล้วกัน

กึก!!

“หยุดทำไม” จูเลียนถามขึ้นเสียงดังเพราะเดินนำอยู่ดีๆ ฮานส์ก็หยุดเท้าเอาเสียดื้อๆ จนคนที่เดินก้มหน้าตามหลังมาชนเข้าเต็มๆ

“เงียบก่อนมาทางนี้”

“นั่นพวกมันใช่ไหม”

“ใช่ เจ้าจะเงียบได้หรือยัง” จูเลียนเงียบลงทันทีโดยที่ฮานส์ไม่ต้องเตือนอีก มือเรียวที่อยู่ภายในถุงมือหนังถูกกุมกระชับรั้งให้เดินแยกไปอีกทาง อย่างระมัดระวัง ทั้งสองเดินอ้อมเลยทางเข้าหมู่บ้านที่มีทหารรับจ้างตั้งที่พักขวางไว้ จนไปเจอทางเดินสายเล็กๆ จึงพากันเข้าไป มันเป็นทางที่พาไปยังด้านหลังของตึกที่ก่อสร้างขึ้นด้วยหินปูน ดูเหมือนจะเป็นที่พักและร้านอาหารสำหรับคนเดินทางผ่าน ฮานส์รีบพาจูเลียนไปด้านหน้าของตึกและแทรกตัวเข้าไปในร้าน แต่ยังไม่ทันพ้นประตูก็ต้องหยุดเท้าอยู่เพียงเท่านั้น เพราะในร้านเต็มไปด้วยพวกทหารวังและทหารรับจ้างที่กำลังดื่มกิน มีโสเภณีคอยบริการทั้งชายหญิง แต่จำนวนก็น้อยอยู่มากเมื่อเทียบกับจำนวนของทหารทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ซึ่งมันเดาได้ไม่อยากเลยว่าทหารเหล่านั้นเป็นพวกของใคร

“ทำไมไม่เข้าไป” จูเลียนถามขึ้นทันทีที่ฮานส์พาหันหลังเดินออกจากตรงนั้น

“เข้าไปให้พวกมันฆ่าหรือไง มีแต่ทหารเต็มไปหมด” ฮานส์ตอบทั้งที่มือยังลากจูเลียนให้เดินออกมานอกร้าน พาอ้อมกลับไปทางเก่าที่ลับตาคน

“แล้วเราจะไปไหนต่อละ ข้าหิวจนจะกินม้าได้ทั้งตัวแล้วนะฮานส์”

“เงียบก่อนได้ไหมเล่า”

“ก็ข้าหิว”

“ข้าบอกให้เงียบ!” ฮานส์ตวาดเสียงดัง

และจูเลียนก็ตอบกลับเสียงดังอย่างไม่ยอมเช่นกัน “ข้าหิวนะฮานส์ เจ้าฟังไม่รู้เรื่องหรือไง เหนื่อยด้วย”

“ถ้าหิวทำไมไม่แวะเข้าไปหาอะไรกินก่อนล่ะ ข้างในมีขนมปังหอมๆ กับซุบร้อนๆ เจ้าต้องชอบแน่” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น ทั้งสองมองไปยังต้นเสียงพบว่าเป็นหญิงชราท่าทางใจดี ในมือของนางถือตะกร้าใบใหญ่ ในนั้นบรรจุขนมปังที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ จูเลียนแน่ใจเพราะกลิ่นหอมของมันโชยเข้าจมูก

จูเลียนทำเหมือนกลืนน้ำลายลงคอ แต่ความเป็นจริงคอของกษัตริย์หนุ่มน้อยแห้งผากจนจะกลายเป็นผงได้อยู่แล้ว “ข้าอยากได้ขนมปังหอมๆ กับซุบร้อนๆ ที่นอนอุ่นๆ สำหรับคืนนี้ด้วย”

“อ่า นั่นเจ้ายิ่งต้องรีบเข้าไปจองก่อนที่ทหารพวกนั้นจะเอาไปหมดนะมาทางนี้สิ”

“ได้เลยท่านป้า ท่านใจดีจัง”

“จูเลียน!”

“มาเถอะน่าเจ้ากลัวอะไรนักหนา” ไม่รู้เป็นเพราะจูเลียนไม่ได้นึกกลัวจริงๆ หรือเพราะหิวจนไม่กลัวอะไรอีกแล้ว จึงเดินตามหญิงชราไปอย่างว่าง่าย มีฮานส์เดินตามไปอย่างเสียไม่ได้ แต่พอจะเข้าไปข้างในเห็นจูเลียนเดินเชิดหน้าดูระรื่น ฮานส์เลยต้องรีบคว้าวรกายเพรียวบางเอาไว้ก่อน

“อะไรกันฮานส์ปล่อยข้านะ”

“อยู่นิ่งๆ ก่อนสิวะ เจ้าจะเดินลอยหน้าลอยตาเข้าไปแบบนั้นไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

“ลืมไปแล้วหรือไง ขนาดพวกทหารรับจ้างกระจอกยังรู้จักเจ้า ในนั้นมีพวกทหารวังด้วยเจ้าคิดว่าจะรอดหรือไง ใส่หมวกคลุมหน้าไว้ดีๆ ” ฮานส์กระซิบบอกเสียงเย็นจนจูเลียนเสียวสันหลังวาบ ยอมให้ฮานส์แต่งตัวแต่โดยดี แต่ก็ยังไม่วายมีเสียงบ่นออกมาเบาๆ ให้ได้ยิน

“ก็ทำไมไม่บอกข้าดีๆ แต่แรกเล่า”

“เจ้าอยู่ฟังไหม ดื้อก็เท่านั้น”

“อย่ามาว่าข้าดื้อนะ”

“เจ้ามันดื้อ! “ จูเลียนได้แต่กัดปากตัวเองจ้องหน้าที่รกไปด้วยหนวดเคราของฮานส์เขม็ง ราวกับจะจับมากินเลือดกินเนื้อแทนอาหารมื้อนี้ให้รู้แล้วรู้รอด หากยังมัวยืนเถียงกันอยู่อย่างนี้ ฮานส์อาจจะได้กลายเป็นอาหารของคนหิวจัดอย่างจูเลียนจริงๆ ก็เป็นได้ ฮานส์เอาผ้าขึ้นมาคลุมหัวตัวเองแล้วจึงพาจูเลียนเดินเข้าไปข้างใน “ตามมา”

จูเลียนเดินตามฮานส์ไปเงียบๆ ชายพเนจรผู้รับหน้าที่อัศวินจำเป็นประจำตัวกษัตริย์เดินก้มหน้าไม่สนใจใคร จูเลียนเห็นฮานส์ทำแบบนั้นก็ทำตามบ้าง ทั้งที่บนหัวมีหมวกคลุมที่ติดกับเสื้อคลุมตัวใหญ่ของฮานส์คลุมไว้ จนแทบไม่เห็นใบหน้าแล้ว ฮานส์พาจูเลียนนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งข้างหน้าต่างที่ถูกปิดไว้ป้องกันลมหนาว และไม่ไกลจากทางออกมานัก สั่งอาหารแล้วนั่งรอเงียบๆ ไม่นานซุบเนื้อร้อนๆ กับขนมปังก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า ฮานส์ผลักอาหารทั้งหมดมาให้จูเลียนที่รีบกินจนลืมบ่น

“เจ้าไม่กินหรือไง” จูเลียนถามทั้งที่อาหารยังเต็มปาก แต่ฮานส์ยังนั่งมองกลับมาเงียบๆ ไม่ตอบคำ ในความคิดของฮานส์ คนตรงหน้าก็ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ยิ่งตอนนี้กำลังจ้วงตักอาหารเข้าปากเหมือนเด็กน้อยหิวโซ ไม่บอกแทบไม่อยากเชื่อเลย ว่านี่คือกษัตริย์ของอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้ “ฮานส์เจ้าไม่กินหรือไง อร่อยนะ เสียดายไม่มีไวน์อุ่นๆ ”

“..”

“ฮานส์! “

“อะไร” ฮานส์หลุดออกมาจากความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอมองเด็กน้อยตรงหน้าเพลิน เด็กน้อยที่ใบหน้ามอมแมมใส่เสื้อผ้าหนาเตอะ แถมยังสวมทับด้วยเสื้อคลุมของเขาเองด้วย

“ทำไมเจ้านั่งเฉย “

“รีบกินเถอะน่า” ท่าทางของฮานส์เหมือนกำลังอึดอัดหรือวางตัวไม่ถูก เขาบอกพลางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างระวังตัว พอสายตาวนกลับมาที่จูเลียนอีกครั้ง หนุ่มน้อยยังนั่งจ้องหน้าเขาอยู่เหมือนเดิม ปากเคี้ยวอาหารไปด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย “อะไร”

“เจ้าไม่กินหรือไง” ขนมปังก้อนใหญ่ในมือถูกบิออกครึ่งหนึ่งยื่นมาตรงหน้าฮานส์ และคำตอบของคนที่จูเลียนอุตส่าห์มีน้ำใจแบ่งของกินให้ เล่นเอาพักตร์มอมแมมบึ้งตึงขึ้นทันที

“ข้าไม่กิน เจ้ากินเลย” จูเลียนทำปากยื่นเพราะขัดใจ “รีบกินเร็วๆ ข้ารู้สึกไม่ชอบมาพากลเท่าไหร่” เพราะตอนจะออกจากป่ามีทหารอีกกลุ่มหนึ่งตามมา ฮานส์จึงต้องเร่งโกสต์ให้วิ่งทิ้งระยะห่าง จนคิดว่าทิ้งห่างมาได้ไกลมากพอแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นการเดินเท้าแทน ให้โกสต์วิ่งล่อพวกที่กำลังตามไปอีกทาง

“ทำไมเหรอ” ปากถามมือก็ทำงานไปด้วย จูเลียนรีบจัดการกับอาหารตรงหน้า ทั้งที่จ้องฮานส์ตาแป๋ว

“หลังจากนี้อาจจะไม่ได้กินอะไรดีๆ อย่างนี้อีก”

“ทำไมล่ะ แค่เจ้าพาข้ามุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง ไปถึงนั่นก็ได้กินอาหารดีๆ แล้วนี่”

“เจ้าอย่าพูดเสียงดังไปสิ เรายังไปเมืองหลวงตอนนี้ไม่ได้เจ้าไม่เข้าใจหรือไงวะ”

“ทำไมจะไปไม่ได้”

“เห็นไหมเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”

“ก็ใช่นะสิ ถ้าเข้าใจข้าคงไม่เอาแต่ถามอยู่อย่างนี้หรอก เจ้านี่มัน..” ฮานส์ถอนหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกเหมือนจูเลียนกำลังพูดกวนอารมณ์ให้หงุดหงิด แต่ท่าทางเอาจริงเอาจังตั้งใจเถียง เล่นเอาฮานส์ยอมใจกษัตริย์เด็กพระองค์นี้จริงๆ

ชายหนุ่มโน้มตัวข้ามโต๊ะเข้ามากระซิบ “ข้าไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นยังไง ข้าต้องพาเจ้าซ่อนตัวจนกว่าเลนนี่หรือเฮนริชจะส่งข่าวมา คราวนี้เจ้าจะเงียบปากแล้วรีบกินให้อิ่มได้หรือยัง”

เป็นแผนที่วางไว้ระหว่างฮานส์ เลนนี่และเฮนริช ตั้งแต่ก่อนเดินทาง หากจูเลียนอยู่กับใครให้พาซ่อนตัวจนกว่าจะแน่ใจว่าจูเลียนปลอดภัย หรือได้รับสัญญาณส่งข่าวให้พากลับเมืองหลวง ส่วนราเชลไม่รู้เพราะเฮนริชไม่เชื่อว่าฮานส์จะมาช่วยจริงๆ จึงไม่ได้เล่าแผนการให้ฟัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเหล่าอัศวินของจูเลียนไม่มีแผนอื่นรองรับ

พอได้ยินชื่อคนที่ตัวเองไว้ใจ จูเลียนจึงยอมทำตามที่ฮานส์บอก นั่งกินเงียบๆ แอบมองฮานส์เป็นระยะ เพราะอีกคนก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน แต่ฮานส์ไม่มีท่าทางที่บ่งบอกว่าหิวเลยสักนิด คำเดียวจูเลียนก็ไม่ได้ยินฮานส์บ่นออกมา

“อะไร” จูเลียนที่คอยสังเกตฮานส์อยู่เรื่อยๆ ถามขึ้น เมื่อเห็นชายหนุ่มเอาถุงของขึ้นพาดไหล่ พอมองตามสายตาของฮานส์ที่กำลังจ้องไปยังประตูทางเข้าร้าน เห็นทหารกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามา

“เจ้าอิ่มหรือยัง” ฮานส์ไม่ตอบแต่ถามกลับมาแทน

“อิ่มแล้ว”

“ดี ไปได้แล้ว” ฮานส์วางเหรียญเงินไว้เป็นค่าอาหารพลางลุกขึ้น พอจูเลียนเดินออกมาจากโต๊ะเขาก็ดึงหมวกคลุมให้จนปิดใบหน้า ฮานส์กอดคอกษัตริย์หนุ่มน้อยเดินก้มหน้าไปยังทางออก จูเลียนเข้าใจสถานการณ์ดีเลยยอมให้ฮานส์กอดอย่างว่าง่ายไม่บ่นสักคำ

“เดี๋ยว” หนึ่งในกลุ่มของทหารจากเมืองหลวงที่กำลังเดินสวนเข้ามาในร้านหยุดฮานส์ไว้

“อะไร”

“แกจะไปไหน”

“ข้าเป็นแค่คนเดินทางผ่านมาและกำลังจะเดินทางต่อ” ฮานส์ค้อมตัวลงก้มหน้าตอบเสียงเบาให้แค่พอได้ยิน เพราะหากยืนเต็มความสูง รูปร่างท่าทางที่ดูสง่าผ่าเผยอาจจะเรียกความสนใจของมันเกินไป เป็นไปได้เขาไม่อยากมีเรื่องกับพวกมัน

“เจ้าเคยเห็นคนคนนี้หรือคนที่มีลักษณะอย่างนี้ผ่านทางบ้างไหม” มันพูดพลางคลี่กระดาษแผ่นหนาที่มีรูปวาดของใครคนหนึ่งอยู่ในนั้นให้ดู ซึ่งพอเห็นฮานส์ก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่อยู่ในภาพวาด คือคนที่เขากำลังกอดคออยู่ตอนนี้ คนวาดต้องรู้จักและเคยเห็นหน้าจูเลียน และต้องมีฝีมือดีมากทีเดียว ถึงได้วาดออกมาได้เหมือนจริงขนาดนั้น เหมือนแม้กระทั่งพวงปรางที่จับสีแดงระเรื่อและดวงเนตรสีเขียวมรกตเป็นประกายน่าหลงใหล

จูเลียนตัวสั่นจนฮานส์ที่กอดคออยู่รู้สึกได้ แต่ชายหนุ่มยังเฉยและตอบคำถามด้วยท่าทางนิ่งไม่สะทกสะท้าน แต่ก็ไม่ดูอวดดีจนทำให้พวกมันเกิดความหมั่นไส้อยากหาเรื่อง

“ข้าไม่เคยเห็นคนในภาพวาดเลยนายท่าน ข้าเดินทางอย่างเดียวไม่ได้สนใจใคร” ฮานส์เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นยกยอปอปั้นเรียกให้มันเหลิง จะได้ละความสนใจไปจากตัวเขา 

“แล้วนั่นน่ะมันเป็นอะไรทำไมกอดไม่ปล่อยขนาดนั้น” มันทำปากบุ้ยใบ้ไปทางจูเลียนที่ฮานส์กอดคอให้ซุกอยู่ในอกแกร่ง และคำตอบของฮานส์ ก็เล่นเอาคนที่อยู่ในอ้อมกอดสะดุ้งเลยทีเดียว

“เมียข้าเอง กำลังไม่สบาย เจ้าก็เห็นข้างนอกมีแต่หิมะกับความหนาวเย็น”

“ไม่เคยเห็นจริงๆ หรือไง” มันชูภาพวาดให้ฮานส์ดูอีกครั้ง สายตาที่มองมาอย่างเอาเรื่องเหมือนบอกว่าคิดทบทวนให้ดีๆ

“ไม่ ข้าไม่เคยเห็น” ฮานส์ตอบหนักแน่น เขาอยากพาจูเลียนออกไปจากตรงนี้เต็มทีแล้ว เพราะคนอื่นๆ ที่อยู่ในร้านกำลังหันมาสนใจพวกเขาเป็นจุดเดียว ตัวมันเองก็จ้องตาฮานส์ราวกับจะข่มขู่และคาดคั้น

“งั้นก็แล้วไป ดูแลเมียเจ้าดีๆ ล่ะ ป่วยตายกลางทางนึกอยากขึ้นมาคงได้เอากับม้าแน่ๆ “ แล้วมันก็หัวเราะออกมาเสียงดัง คนที่ได้ยินก็พลอยหัวเราตามไปด้วย

ฮานส์รีบพาจูเลียนเดินออกไปจากตรงนั้น จนพ้นประตูทางเข้าร้านออกมาได้จูเลียนพรูลมหายใจอย่างโล่งอก ทั้งสองเดินเลี่ยงถนนกลางหมู่บ้านเข้าไปในตรอกแคบๆ หวังจะหาที่พักสำหรับคืนนี้ แต่...

“เดี๋ยว” ยังพากันเดินไปได้ไม่ถึงไหน ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นข้างหลัง ฮานส์จำได้ว่าเป็นเสียงของทหารที่เพิ่งจะถามเขาตอนอยู่ในร้าน จึงค่อยๆ หันกลับมา

“มีอะไรอีกหรือนายท่าน”

“ขอดูหน้าเมียแกหน่อยสิ” มันบอกพลางเดินส่ายอาดๆ เข้าไปหาฮานส์อย่างวางมาด มือจับด้ามดาบที่ห้อยอยู่ข้างเอวอวดเบ่ง ยิ่งได้ยินฮานส์เรียกว่านายท่านมันยิ่งชูคอ

“เมียข้าไม่สบายคงไม่มีอะไรน่าดูหรอก”

“อย่าให้ข้าคาใจน่า เปิดใบหน้านางให้ข้าดู” ท่าทางของมันคุกคามจนจูเลียนนึกกลัว สองมือกอดเอวฮานส์แน่นเมื่อถูกดันให้ไปอยู่ข้างหลัง “หรือเมียแกสวยจนไม่อยากให้ใครเห็นวะเจ้าหนวด แต่เอาเถอะข้าไม่สนใจเมียเจ้าหรอกแค่ต้องตรวจให้แน่ใจ หรือกลัวว่าข้าอยากได้นาง ถ้านางทำให้ข้าอยากได้จริงๆ ข้าจะตอบแทนให้เจ้าอย่างงามเลย จะขายนางให้ข้าสักคืนสองคืนไหมล่ะ” ฮานส์กัดฟันแน่นตามองต่ำ

“เมียข้าเป็นผู้ชาย” บอกเสียงเรียบทั้งที่ความจริงกำลังข่มโทสะ เพราะมันตามตอแยเขาไม่เลิก ไหนจะวาจาหยาบคายที่พูดถึงเมียที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วย แม้จะไม่ใช่เมียจริงๆ อย่างที่กล่าวอ้าง แต่มันก็หมายถึงจูเลียน คำพูดของมันก็ทำให้ฮานส์หงุดหงิดขึ้นมาทันที

“ผู้ชายข้าก็ชอบว่ะ ไหนเปิดหน้าให้ดูหน่อย”

“อย่าเลย”

“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าหรือไง”

“อย่ายุ่งกับพวกข้า”

“อยากถูกจับใช่ไหม..เปิดหน้ามัน! ”

ฉับ!!

กึก!

ตุบ!!

“ฮานส์” จูเลียนเรียกฮานส์เสียงสั่นเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ขณะที่มันกำลังยื่นมือเข้ามาเปิดดูใบหน้าของจูเลียน ฮานส์ก็แทงเข้ากลางหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจของมันพอดี ไม่พอยังดันมีดกรีดกลางอกสูงขึ้นมาจนถึงต้นคอเป็นแผลเหวอะหวะ เลือดพุ่งกระฉูดอย่างน่าหวาดเสียว จูเลียนตาเหลือกอ้าปากค้างเมื่อเห็นซากศพที่อยู่ตรงหน้าเต็มๆ จนฮานส์ต้องเอามือปิดตากดศีรษะให้จูเลียนซบลงตรงหน้าอกหนีภาพน่ากลัว

“ทำไมถึงได้โหดร้ายอย่างนี้” จูเลียนถามเสียงสั่นยังไม่ยอมผละออกจากอกกว้างของฮานส์ ซ้ำยังกอดแน่น

“ไม่ฆ่ามันเดี๋ยวมันก็ไปตามคนมาฆ่าเจ้า”

“เจ้าทำข้ากลัวนะฮานส์”

“เด็กน้อย ข้ากำลังปกป้องเจ้าอยู่นะ ยืนดีๆ ก่อน” ฮานส์ดันจูเลียนออกจากอกแต่หนุ่มน้อยกลับกอดร่างหนาไว้แน่น จูเลียนส่ายหัวปฏิเสธเอาเป็นเอาตายไม่ยอมปล่อย ทั้งที่บอกว่าฮานส์ทำให้กลัว จนเจ้าของอกอุ่นต้องยอมให้กอดอยู่อย่างนั้น แต่ศพของมันเขาก็ต้องซ่อน ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงดึงขาของมัน ลากไปทิ้งไว้มุมหนึ่งข้างตึกกลบด้วยหิมะ จากนั้นจึงตามกลบหิมะที่เปื้อนเลือดให้หมดจนไม่เหลืออะไรให้ผิดสังเกต ฮานส์ทำทุกอย่างด้วยความทุลักทุเล เพราะจูเลียนกอดไม่ปล่อยจริงๆ เขารู้ว่าจูเลียนยังตกใจเพราะวรกายเพรียวระหงยังสั่นจนรู้สึกได้ ใบหน้าขาวนวลที่เคยซับสีเลือดฝาดระเรื่อ บัดนี้ซีดเซียวจนน่าเป็นห่วง

“ไหวไหม”

“คงไหว” จูเลียนปรือตาขึ้นตอบคำถามด้วยท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าจนฮานส์นึกสงสาร วันนี้คงเป็นวันที่หนักที่สุดแล้วในชีวิตของยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย ทั้งถูกไล่ล่าต้องหนีตาย ทั้งถูกฮานส์แกล้งให้เดินตั้งไกล คิดแล้วชายหนุ่มก็รู้สึกผิด

“ดีๆ สิจูเลียน ข้า..” รู้สึกผิดจนพูดไม่ออก ฮานส์ถอนหายใจหยิบถุงสัมภาระขึ้นพาดบ่า มืออีกข้างกอดคอจูเลียนรั้งให้เดินไปด้วยกัน ทั้งสองเดินไปเงียบๆ ในตรอกที่ร้างผู้คน เพราะอากาศหนาวเย็นเกินกว่าจะออกมาเดินเพ่นพ่าน บนพื้นยังปกคลุมไปด้วยหิมะ สองข้างทางเป็นบ้านที่ก่อขึ้นมาจากหิน หลังคามีแต่หิมะเกาะจนหนา ประตูหน้าต่างปิดเงียบราวกับไม่มีคนอาศัยอยู่ แต่ควันที่ลอยออกมาทางปล่องไฟยืนยันว่าที่นี่ยังไม่เป็นเมืองร้าง

“ฮานส์”

“อะไร”

“ข้ากลัว”

“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ให้ใครมาทำอะไรเจ้าได้” ฮานส์บอกพลางลูบเรือนผมจูเลียนเบา ๆ ผ่านหมวกคลุมศีรษะ

“ข้ากลัวเจ้า” ฮานส์หลุดขำ เขายอมรับว่าพึ่งจะฆ่าคนไปอย่างโหดเหี้ยมเลือดเย็น ตั้งแต่การแทงทะลุหัวใจ ลากคมมีดกรีดผ่ากลางอกขึ้นไปถึงคอ ตัดการมีชีวิตรอดอย่างเด็ดขาดรวดเร็ว ถ้าไม่ทำตัวเขาเองและจูเลียนจะเป็นฝ่ายถูกฆ่าแทน เขาต้องโจมตีแบบไม่ให้โอกาสมันได้ทำแม้กระทั่งเปล่งเสียงร้องออกมา แต่กลายเป็นว่าได้สร้างภาพติดตาน่ากลัวให้จูเลียนไปแล้ว ฮานส์ยิ้มขำทั้งที่ไม่เข้าใจ ปากจูเลียนบอกว่ากลัวเขาแต่มือทำไมกอดแน่นไม่ยอมปล่อย

เด็กหนอเด็กน้อย

**********************

นะแหม เด็กน้อยของฮานส์ เมียข้าๆๆๆๆๆๆ

การเดินทางเริ่มแล้ว สงสัยหนูจูกลัวมากจนลืมไปเลย ว่าถูก อตฮ (อีตาฮานส์)

เรียกเมียตั้งหลายครั้งไม่ยักกะโวยวาย แถมยังกอดกันซะจน...แหมๆๆ เดี๋ยวๆ เดี๋ยวตอนหน้าจะรู้สึก

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้น ดาวถือเป็นกำลังใจนะคะ ตอนไหนที่ตันๆ เขียนไม่ออก ดาวมานั่งอ่านเม้น แล้ว

มันก็ได้ฟีลไปอีกแบบ จะเม้นยังไง จะสงสัยอะไรเม้นได้ทุกรูปแบบ อยากรู้สึกว่าคนอ่านก็มีส่วนร่วม ดาวเปิดค่ะเม้นยังไงก็รับได้

ไม่เคยวีนคนอ่าน จะติ จะด่า ไม่ว่ากัน คนอ่านน่ารักทุกคนเลย แต่ใครไม่สะดวกเม้นก็ไม่ว่ากันอีกนั่นแหละค่ะ 

เจอกันตอนหน้านะนายท่าน

ดาว ณ แดนดิน 

5-3-2561


ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 16 สถานการณ์ย่ำแย่ของจูเลียน








หน้าต่างที่ปิดตายมาตั้งแต่ต้นฤดูหนาวถูกเปิดออกช้าๆ ด้วยมือเหี่ยวย่น บ่งบอกอายุเจ้าของมือได้เป็นอย่างดี ว่าผ่านช่วงชีวิตมายาวนานจนเข้าสู่วัยชรา บานหน้าต่างทำจากไม้เก่าคร่ำคร่าจนเริ่มผุกร่อนตามกาลเวลา ค่อยๆ แง้มจนอ้าออกกว้างด้วยแรงดันจากมือเหี่ยว เสียงความฝืดฝืนของบานพับเหล็กขึ้นสนิมดังประท้วงเบาๆ ราวกับไม่ต้องการเปิดรับความหนาวเย็นเบื้องนอก ที่พรูเข้ามาทันทียามบานหน้าต่างถูกดันอ้าออกเหมือนรอท่าอยู่แล้ว ความเย็นยะเยือกกระทบผิวหน้าจนชายชราสั่นสะท้าน แต่กระนั้นมือเหี่ยวย่นยังทำงานของตัวเองต่อไป

กลางดึกในคืนหนาวช่างดูมืดมนหดหู่ มองไปทางไหนเห็นแต่เงาตะคุ่มของบ้านเรือนไร้ชีวิตชีวา ชวนให้เกิดความรู้สึกอ้างว้าง เวลานี้เป็นเวลาที่ควรจะนอนซุกกายในเตียงอุ่นๆ แล้วหลับให้สบายถึงเช้า แต่ไม่ใช่ชายชราที่ยืนเกาะขอบหน้าต่าง ทอดสายตาฝ้าฟางมองผ่านความมืดกลางดึกออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย เทียนเล่มน้อยในมือถูกชูขึ้นสูงโบกไปมาเบาๆ ลมหนาวทำให้เปลวไฟวูบไหวจนเกือบดับ

ชายชราดับไฟที่ปลายเทียน บานหน้าต่างถูกปิดไว้ป้องกันลมหนาวดังเดิม ถอยจากหน้าต่างหันไปทางบันไดที่จะพาลงไปยังชั้นล่าง บ้านหลังนี้ก่อขึ้นจากหินสกัดที่ชายชราได้รับเป็นมรดกตกทอด ชายแก่ค่อยๆ หย่อนเท้าลงไปตามขั้นบันไดหินทีละขั้น รักษาน้ำหนักให้เบาที่สุด เพื่อจะได้ไม่เป็นการรบกวนคนที่นอนอยู่ชั้นล่างหน้าเตาผิง ตอนหัวค่ำชายชราใจดีรับผัวเมียเร่ร่อนคู่หนึ่งให้มาร่วมชายคาชั่วคราว แลกกับค่าตอบแทนเป็นเงินถึงหนึ่งเหรียญทองสำหรับการค้างแรมเพียงคืนเดียว นี่ถือว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม กับการสละพื้นที่หน้าเตาผิงที่กลางคืนชายชราไม่ได้ใช้งาน

ไฟในเตาผิงมอดไปแล้วเพราะไม่มีคนเติมฟืน บัดนี้จึงเหลือเพียงเถ้าถ่านและควันอ่อนๆ ลอยขึ้นมาบางๆ ให้เห็นว่ามันยังไม่ได้ดับมอดเสียทีเดียว ชายชราหยุดยืนดูเงาตะคุ่มของก้อนผ้าห่มหน้าเตา ในก้อนผ้าห่มนั้นเป็นร่างของสองผัวเมียที่เขาเอื้อเฟื้อให้พักแรม แลกกับค่าตอบแทนแสนคุ้ม แต่สิ่งที่เขาจะได้มากกว่านั้นกำลังมา ชายชราทิ้งสายตาว่างเปล่ามองกองผ้าห่ม ผละจากตรงนั้นเดินให้เงียบที่สุดไปที่ประตูหน้าบ้าน เขาเปิดให้สองผัวเมียผ่านเข้ามาตอนหัวค่ำอย่างมีน้ำใจ และตอนนี้เขากำลังเปิดรับคนอีกกลุ่ม ที่จะมาพาสองผัวเมียนี้ไปและทิ้งเงินรางวัลมากมายให้เป็นค่าตอบแทน

“พวกมันอยู่ไหน”

“ข้างในตามข้ามาสิ” กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดทหารทะมัดทะแมงราวสิบคน เดินเข้ามาภายในบ้านเงียบๆ หลังจากที่ชายชราเจ้าของบ้านเปิดทางให้ และเดินนำไปยังหน้าเตาผิง มือเหี่ยวย่นชี้ไปยังก้อนผ้าห่มที่กองอยู่หน้าเตา รูปร่างที่เห็นบ่งบอกว่าภายใต้ผ้าห่มผืนหนา คือมนุษย์ที่กำลังหลับไม่รู้ตัว และกำลังจะถูกปลุกขึ้นมาจากนิทราแสนสุข

กลุ่มชายฉกรรจ์กระจายตัวล้อมหน้าเตาผิง ดาบที่เก็บไว้ในฝักถูกถอดออกมาถือเตรียมพร้อม ใครคนหนึ่งในกลุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ใช้เท้าเตะที่กองผ้าแรงๆ เพื่อปลุกหลายครั้ง แต่ทุกอย่างกลับยังเงียบ มันเงียบมากจนทุกคนมองหน้ากันอย่างสงสัย มันเงียบมากราวกับว่าไม่มีใครอยู่ในนั้น หรือถ้ามีคงตายใต้ผ้าห่มไปแล้ว ถ้าเตะแรงขนาดนี้ยังไม่ตื่นไม่รู้สึกตัว

“เฮ้ย ตื่นสิวะ “ใครคนหนึ่งที่ดูท่าทางจะใจร้อนกว่าเพื่อนเรียกขึ้น เท้าก็เตะซ้ำไปด้วยแรงๆ แต่ทุกอย่างที่อยู่ภายใต้กองผ้ายังเงียบและนิ่งอยู่เหมือนเดิม

“เหมือนไม่มีคนอยู่เลยว่ะ”

“นั่นสิ ทำไมมันเงียบอย่างนี้วะไอ้แก่แกกล้าหลอกพวกข้าหรือ” มันหันมาตะคอกถามชายชรา ที่ยังยืนกระหยิ่มยิ้มย่องกับผลงานของตัวเอง

“ข้าไม่ได้หลอกนะ นี่คือคนที่เจ้ากำลังต้องการตัวจริงๆ “

“แล้วทำไมเงียบนักวะ เตะไปขนาดนี้ยังไม่ตื่นไม่ใช่มันตายแล้วหรือไง”

ชายชรายกยิ้มอ่อนแต่ดูเจ้าเล่ห์ “ก็ต้องเงียบสิ เพราะข้าผสมยานอนหลับในอาหารให้มันกิน”

“อ่า อย่างนี้นี่เอง เปิดผ้าออกสิวะ” ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกกระชากออกอย่างแรงตามคำสั่ง

“ไม่มีคน!”

“เป็นไปไม่ได้!” ชายชราเจ้าของบ้านตกใจจนเข่าอ่อนทรุดลงกับกองผ้า มือเหี่ยวย่นตบแรงๆ ไปตามหมอน ที่นอนและผ้าห่ม ที่เขาเป็นคนหามาให้สองผัวเมียคู่นั้นเองกับมือ ราวกับว่าคนที่กำลังถูกตามหาจะสามารถเข้าไปซ่อนตัวในหมอนได้

“เป็นไปได้ยังไง ข้าให้มันพาเมียมันนอนอยู่ตรงนี้ตั้งตอนหัวค่ำ”

“แกโกหก”

“ข้าไม่ได้โกหกนายท่าน จริงๆ ผัวมันตัวใหญ่ๆ พาเมียมันมาขอนอนค้างคืน ส่วนเมียมันถึงจะหน้าตามอมแมมไปหน่อย ข้าก็มั่นใจว่ามันคือคนในภาพวาดที่พวกเจ้าเอาให้ข้าดู”

“มันไม่ใช่ผัวเมียกันเจ้าโง่! ตอนนี้มันหายไปไหน เจ้ากล้าแต่งเรื่องหลอกทหารวังรึ” ชายชราตัวสั่นยกมือทาบอก เมื่อดาบเงาวับจ่อเข้าที่คออย่างคุกคาม ทหารกว่าสิบนายหันมายืนล้อมชายแก่อย่างเอาเรื่อง

“ข้าไม่ได้โกหก ได้โปรดเชื่อข้าเถอะนายท่าน ข้าไม่ได้โกหกจริงๆ นี่ไงเหรียญทองที่มันจ่ายเป็นค่าที่พัก” เพราะถือว่าตัวเองบริสุทธิ์ใจ จึงล้วงเอาเหรียญที่ได้เป็นค่าตอบแทนสำหรับที่พักออกมาเป็นหลักฐาน

เหรียญทองในมือเหี่ยวย่นถูกแย่งไปส่องดูกับแสงไฟ รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นบนใบหน้านายทหารนอกคอกอย่างเจ้าเล่ห์

“มันจ่ายเงินนี่เป็นค่าที่พักให้แกถูกไหมไอ้แก่”

“ถูกแล้วนายท่าน” ชายชรารีบตอบเพื่อเอาตัวรอด เหรียญมูลค่าสูงขนาดนี้ชาวบ้านจนๆ อย่างชายแก่ไม่มีโอกาสครอบครองมันได้ง่ายๆ หรอก

“หึ แล้วตอนนี้มันหายหัวไปไหนวะ ทำไมพวกข้ามาแล้วไม่เจอ”

“ข้า ข้าไม่รู้ แต่ข้าไม่ได้โกหกนะ”

“ข้าจะยอมเชื่อว่าเจ้าไม่โกหก” ชายชรายิ้มโล่งใจแต่ก็ต้องหุบยิ้มลงทันที “จะไม่เอาผิดเจ้าก็ได้ที่ปล่อยมันหนีไป พวกเรากลับ”

“เดี๋ยวสินายท่านเหรียญทองของข้า” ชายชรายื่นมือทั้งสองข้างออกมาตรงหน้า หวังขอเหรียญทองของตัวเองคืน แต่กลับได้รอยยิ้มเย็นที่ดูเสแสร้งให้หวานหยาดเยิ้มกลับมาแทน

“นี่มันของข้าต่างหาก”

“อะไรนะ! นั่นมันเงินที่พวกนั้นจ่ายเป็นค่าที่พักให้ข้านะ”

“ถือว่านี่เป็นค่าชดเชยที่แกทำให้พวกข้าเสียเวลาก็แล้วกัน”

“ไม่ได้นะนั่นมันเงินข้าเอาคืนม..” ฉึก!! ชายชรากำลังจะลุกขึ้นยื้อแย่งเอาเงินของตัวเองคืน แต่ถูกแทงสวนกลับมาด้วยดาบเข้าที่กลางท้องทะลุออกหลัง เลือดสีแดงฉานพุ่งกระฉูดออกมาอย่างน่ากลัว

ร่างสูงอายุถูกถีบออกจากคมดาบเหมือนก้อนเนื้อไร้ค่า และถูกใช้เป็นที่เช็ดคราบเลือดให้อาวุธที่ปลิดชีพ ก่อนจะถูกเก็บเข้าฝักเหมือนเดิม เหล่าทหารเดินข้ามศพออกไปหน้าตาเฉย

มุมหนึ่งในตรอกมืดที่สามารถมองเห็นบ้านสองชั้นก่อด้วยหินอยู่เกือบอยู่ท้ายหมู่บ้านได้พอดี คนที่ซ่อนตัวอยู่รีบผละเดินออกไปจากตรงนั้นไปทันที ที่เห็นทหารกลุ่มหนึ่งพากันเข้าไปในบ้าน ประตูเปิดรับโดยชายชราผู้เป็นเจ้าของ ที่รับเงินค่าพักแรมจากเขาไปในจำนวนที่มากกว่าบริการที่ได้รับหลายเท่า แต่ชายชรากลับโลภมากอยากได้มากกว่านั้นจากค่าหัวของจูเลียน ดีที่ฮานส์ไหวตัวทัน

หนึ่งชายร่างกายสูงใหญ่กับอีกหนึ่งหนุ่มน้อยที่เดินกอดเอวแน่นไม่ยอมปล่อย เพราะความกลัวและความหนาว ทั้งสองเดินมาจนเกือบจะถึงท้ายหมู่บ้าน แต่ก็ยังไม่เห็นว่ามีที่ไหนเหมือนจะเป็นที่พักเปิดไว้คอยให้บริการ ฮานส์ก้มลงดูสภาพของคนในอ้อมกอด คิดว่าหากยังไม่ได้ที่พักเร็วๆ นี้จูเลียนคงไม่ไหวแน่ จากท่าทางที่ดูอ่อนล้า ดวงตาหรือก็กำลังจะปิดมิปิดแหล่ดูน่าสงสาร ที่จูเลียนยังไม่หลับไปคงเป็นเพราะฮานส์ยังพาก้าวไปข้างหน้าไม่หยุด เดินจนถึงท้ายหมู่บ้านชายหนุ่มตัดสินใจเคาะประตูบ้านหลังหนึ่ง

“ข้าต้องการที่พัก ท่านพอจะแบ่งที่แถวหน้าเตาผิงให้พวกเราค้างด้วยสักคืนได้ไหมท่านลุง” ชายเจ้าของบ้านบ้านเงียบ แต่ฮานส์รอไม่ไหวจึงได้ยื่นข้อเสนอที่คิดว่าเจ้าของบ้านคงไม่ปฏิเสธ “ข้ายินดีจ่ายสำหรับคืนนี้หนึ่งเหรียญทอง” ชายชรามองใบหน้าที่รกไปด้วยหนวดเคราของฮานส์เงียบๆ สายตาฝ้าฟางไล่ไปตามโครงหน้าคมคายจนมาหยุดอยู่กับร่างปวกเปียก ที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา

“เมียข้าเอง กำลังไม่สบายข้าขอที่พักแค่คืนเดียว พรุ่งนี้เช้าเราจะเดินทางแต่เช้า และนี่เป็นของท่านลุงสำหรับค่าที่พัก” ฮานส์บอกพลางขยับผ้าคลุมหัวปิดใบหน้าให้จูเลียนไปด้วย แล้วจึงหยิบเหรียญที่มูลค่าของมันนั้นสามารถจ่ายค่าที่พักดีๆ ได้หลายวันให้ชายชราที่รับไปตรวจดูอย่างละเอียด ก่อนจะหลีกทางให้เขาพาจูเลียนเข้าไปข้างในที่อบอุ่นกว่า ส่วนชายชราเดินหายไปอีกทางขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน

“ถึงไหนแล้ว”

“ถึงที่พักแล้ว เจ้าง่วงมากหรือไง”

“ข้าอยากนอน” จูเลียนอ้าปากหาวกว้างจนฮานส์อยากหัวเราะขำ ก็พอดีชายชราเจ้าของบ้านกลับลงมาพร้อมกับผ้าห่มในอ้อมแขน

“พวกเจ้านอนตรงนี้ก็แล้วกัน” ชายเจ้าของบ้านบอกพลางยื่นผ้าห่มมาให้ ใบหน้าเหี่ยวย่นยังเรียบนิ่ง “ต้องการอาหารไหม”

“หากไม่ทำให้ท่านลุงลำบากเกินไป ข้าขอขนมปังสักก้อนกันซุบร้อนๆ ได้ไหม”

“ข้าพอมีอาหารของวันนี้เหลือ เดี๋ยวจะไปเอามาให้”

“ขอบคุณ”

“ฮานส์เจ้าคุยกับใคร” จูเลียนถามขึ้นเหมือนเพิ่งนึกได้ หลังจากที่เจ้าของบ้านเดินออกไปแล้ว

“ข้าคุยกับเจ้าของบ้าน เจ้าอยากกินอะไรอีกไหม”

“ไม่เอาไม่กินแล้วข้าจะนอน ข้านอนได้หรือยัง” จูเลียนแทบจะหลับทั้งยืนอยู่แล้ว ขณะที่ถามคำถามเด็กๆ ออกมาเหมือนไม่รู้ตัว แต่มันก็เรียกรอยยิ้มจากเจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิทได้ทันที

“มานอนตรงนี้มา” ฮานส์ปูที่นอนหน้าเตาผิงให้จูเลียน ที่ดูเหมือนจะหลับไปทันทีที่ทรุดตัวลงบนกองผ้า ชายหนุ่มจัดท่านอนให้จูเลียนดีๆ ดึงผ้าขึ้นห่มให้จนถึงคอ ไม่ลืมกระชับผ้าปิดใบหูให้เพื่อความอบอุ่นด้วย

ฮานส์นั่งมองพักตร์มอมแมมของกษัตริย์หนุ่มน้อยด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เขาค่อยๆ ปล่อยลมหายใจออกมาเบาๆ ขณะที่เช็ดคราบสกปรกออกจากใบหน้านวลอย่างเบามือ จูเลียนไม่รู้ตัวและเหมือนจะหลับไปทันทีที่หัวถึงหมอนยิ่งกว่าเด็กขี้เซา ไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าความตายกำลังคืบคลานตามมาทุกฝีก้าว

“นี่อาหารที่เจ้าต้องการ ข้านอนอยู่ชั้นบนกับเมียข้า มีอะไรเรียกก็แล้วกัน”

“เท่านี้ก็รบกวนท่านลุงมากแล้ว ข้าขอบคุณท่านจริงๆ “ชายเจ้าของบ้านพูดกับฮานส์ไม่กี่คำก็เลี่ยงขึ้นไปยังชั้นสอง ทิ้งให้แขกที่มาขออาศัยพักด้วยอยู่กันตามลำพัง

ฮานส์วางถาดอาหารลงบนพื้นตรงมุมหนึ่งใกล้ๆ เตาผิง ได้ยินเสียงชายชราเจ้าของบ้านเข้าห้องไปแล้ว เขาจึงเดินดูรอบๆ บ้าน ตรวจจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดสังเกตแล้วจึงกลับมาที่เตาผิง ล้มตัวลงนอนคั่นระหว่างจูเลียนกับเตาผิงไว้ เผื่อเด็กน้อยนอนดิ้นจะได้ไม่เป็นอันตราย ฮานส์หลับไปทันทีจนกระทั่งได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ

ต่อ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


บรรยากาศรอบตัวยังถือว่าแย่อยู่มาก ถึงแม้ตอนนี้หิมะจะหยุดตกแล้ว แต่ความหนาวเย็นยังจับขั้วหัวใจจนปากสั่น ฮานส์เดินฝ่าความมืดและความหนาวห่างจากบ้านหลังนั้นออกมาเงียบๆ แต่ก็เดินเร็วมากไม่ได้เพราะแบกคนขี้เซาไว้บนหลัง เขาพยายามแล้วที่จะปลุกจูเลียน แต่หนุ่มน้อยเพียงขยับตัวแล้วหลับต่อไม่มีทีท่าว่าจะตื่น กับสิ่งที่จูเลียนเจอมาวันนี้ฮานส์ไม่สงสัยเลยถ้าจูเลียนจะหลับเป็นตาย แต่เขาก็รอไม่ได้จึงต้องแบกคนขี้เซาออกมา ชายหนุ่มในชุดคลุมดำสบถเบาๆ ขณะกระชับคนบนหลังเพื่อแบกให้ถนัดขึ้น คนหลับที่หลับลึก หลับใหล หลับสนิท หลับไม่รู้เรื่องจนฮานส์กลัวว่าจะตก

“กอดคอดีๆ “ฮานส์บอกเสียงดุแต่นอกจากจูเลียนจะไม่ทำตามแล้ว มือที่ฮานส์จับมาพาดไว้รอบคอยังตกลงข้างตัว เวลาเดินเร็วๆ คนขี้เซาก็เหมือนจะหงายหลัง จนต้องหยุดจับให้จูเลียนกอดคอใหม่อยู่หลายครั้ง

“กอดดีๆ สิวะ”

“งึ่มๆ “เรียกก็แล้วบอกก็แล้วแต่คนหลับก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น จนฮานส์นึกอยากโยนร่างหลับใหลทิ้งลงกลางหิมะให้รู้แล้วรู้รอด แต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ลงอยู่ดี คนบนหลังน้ำหนักไม่มาก แต่ให้แบกนานๆ มันก็เมื่อยก็ล้าได้เหมือนกัน และในที่สุดความอดทนของฮานส์ก็หมดลง เมื่อมือทั้งสองข้างของจูเลียนที่ถูกจับมาพาดไหล่ให้กอดคอตกออกจากที่ที่ควรอยู่ ตัวจูเลียนหรือก็คอยแต่จะโงนเงนไปมาทำท่าเหมือนจะตก ฮานส์เลยหมดความอดทน และ

ป้าบ!!!

“อือ อะไรลีโอ”

“หือ ว่าไงนะ”

“เจ้าตีก้นข้าทำไมลีโอ งืมมมม” ฮานส์ได้แต่ส่ายหัว ทั้งที่ฟาดก้นไปแรงขนาดนั้นอย่างมันเขี้ยว แต่แทนที่จะทำให้จูเลียนตกใจตื่น กลับทำได้แค่เรียกเสียงละเมอแหบๆ ออกมา แล้วเจ้าตัวก็หลับต่อไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม หนำซ้ำยังคิดว่าเขาเป็นเด็กรับใช้ประจำตัวคนนั้น จูเลียนบ่นอะไรพึมพำอีกสองสามคำ พลางกระชับท่อนแขนกอดคอฮานส์แน่นขึ้น ซุกใบหน้าบดบี้แก้มลงกับซอกคออุ่นๆ ของคนแบกแล้วหลับต่อ

ฮานส์เร่งฝีเท้าไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเขาจะเดินได้ จนมาถึงทางเข้าหมู่บ้านใกล้ๆ กับร้านที่เขากับจูเลียนพากันเข้าไปตอนมาถึง ชายพเนจรไม่ได้ตั้งใจมาที่ร้านนั้น เพราะจุดหมายของเขาคือขบวนรถม้าเดินทางที่จอดอยู่ข้างร้านต่างหาก ฮานส์แบกจูเลียนตรงไปยังรถม้าคันใหญ่สุดที่จอดอยู่กลางขบวน เปิดประตูออกพาจูเลียนขึ้นไปอย่างไม่ลังเล

“ข้าจะไม่รบกวนเวลาเสพสุขของเจ้า แค่อยากขอโดยสารไปด้วย” สิ้นคำขอของชายหนุ่มสองร่างที่กำลังร่วมรักกันอย่างเร่าร้อนพลันหยุดชะงักหันมาทางต้นเสียง หญิงสาวอีกสองคนที่กำลังปรนเปรอให้ชายหนึ่งเดียวในนั้นก็หันไปมองด้วย

“ที่นี่ไม่รับผู้โดยสาร ลงไปจากรถม้าของข้าซะก่อนที่จะเรียกคนมาลากตัวเจ้าลงไป” ชายร่างท้วมเจ้าของรถม้าทิ้งท้ายอย่างข่มขู่ แล้วหันไปสนใจกับร่างอรชรยั่วตัณหาที่กำลังคร่อมอยู่บนตัว กดสะโพกให้นางเริ่มส่ายร่อนเอวปรนเปรอไม่ให้ขาดตอน

“ท่านนั่นเอง” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกมุมในรถม้า ฮานส์หันไปมองก็จำนางได้ทันที เขาสบตากับหญิงสาวที่กำลังเดินนวยนาดเข้ามาหา “ข้าจำท่านได้” นางพูดกับเขาแล้วหันไปทางชายร่างท้วมที่กำลังมัวเมากับกลิ่นคาวกาม “นายท่านนี่เพื่อนเก่าของท่านไม่ใช่หรือกุสตราฟ”

“เจ้า! “ชายเจ้าของชื่อกุสตราฟเงยหน้าขึ้นมองฮานส์เต็มๆ ตาก็จำได้ สายตาเจ้าเล่ห์โลภมากจึงถึงกับอึ้งค้าง หญิงที่กำลังขยับโยกตัวส่ายสะโพกร่อนเป็นวงบนร่างท้วมยังทำงานดีไม่มีบกพร่อง

“ยินดีต้อนรับนายท่าน เชิญนั่งลงก่อนสิ” เจ้าของเสียงหวานนี้ ฮานส์จำได้ว่าชื่อมาเรียตต้า นางต้อนรับเขาอย่างมีไมตรีขณะที่เจ้านายของนางยังนั่งหน้าตึงไม่พอใจ

“ข้ายังไม่ได้อนุญาตนะมาเรียตต้า” กุสตราฟบอกเสียงเข้ม เขาเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ

“นี่เพื่อนเก่าเราไม่ใช่หรือนายท่าน เราน่าจะต้อนรับเขาอย่างดีนะ เดี๋ยวข้าจะดูแลเอง” นั่นยิ่งทำให้กุสตราฟไม่พอใจ เพราะฮานส์เคยแย่งมาเรียตต้าไปกกอย่างเร่าร้อนต่อหน้าต่อตาตอนเจอกันคราวก่อน

“เจ้าออกมาไกลๆ เลยมาเรียตต้าอย่าเข้าไปใกล้มัน ซี้ด อ่า” กุสตราฟหลุดเสียงคราง เพราะทั้งพูดไปมือก็ขย้ำก้อนเนื้อบั้นท้ายของคนที่กำลังเร่งควบขี่บนตัวไปด้วย

“ตกลงจะให้ข้าโดยสารไปด้วยได้หรือไม่”

“ข้า..” กุสตราฟเงียบเสียงเพียงเท่านั้นเมื่อฮานส์ดีดเหรียญทองมาให้ และเขาก็รับมันไว้ได้พอดี การเป็นผู้ชนะการประลองมันก็ดีตรงที่ทำให้ฮานส์มีเหรียญใช้จ่ายได้ไม่ขาดมือ แม้การจ่ายแต่ละครั้งจะแพงแสนแพงไปสักหน่อย

ฮานส์พาร่างหลับใหลของจูเลียนไปนั่งลงยังมุมหนึ่งของรถม้า ในนี้กว้างขวางมากพอที่จะอยู่ได้ถึงสิบคน ขณะที่กุสตราฟมองตามพูดอะไรไม่ออก ด้วยว่ายังเกรงใจดาบด้ามยาวที่เคยพาดบนคอ สายตาคมกริบเชือดเฉือนของฮานส์ในวันก่อนยังติดตา กุสตราฟไม่กล้าหือ แม้จะไม่พอใจที่มาเรียตต้าคนโปรดดูกระตือรือร้นที่ได้เจอฮานส์อีกครั้ง



***********************





เซอร์เฮนริช  ลีโอน้อย



“เจ้าไหวไหมลีโอ ทำไมไม่นอนลงดีๆ ”

“ไหว แต่ข้าเป็นห่วงฝ่าบาทจังเลยเซอร์ราเชล” ราเชลเงียบไม่รู้จะปลอบลีโอที่นั่งสัปหงกข้างกองไฟอย่างน่าสงสารว่ายังไง ดี ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าปานนี้จูเลียนจะเป็นตายร้ายดียังไงเหมือนกัน ได้แต่นั่งมองตากับเฮนริชที่นั่งเงียบอยู่ถัดไปจากลีโอ ส่วนกรอสเซ่ที่ราเชลลากมาด้วยนอนอยู่อีกมุมไม่ไกลจากกองไฟ ทหารคนอื่นที่รอดมาได้ประมาณยี่สิบกว่าคนกระจายตัวกันอยู่รอบๆ บ้างนอนพักข้างกองไฟ บ้างนั่งคุยกัน

พอฝ่าวงล้อมออกมาได้ราเชลกับเฮนริชก็พาทุกคนมุ่งไปทางเหนือของหมู่บ้านตามที่นัดไว้ แต่ปรากฏว่าที่นั่นเต็มไปด้วยพวกทหารวังและทหารรับจ้าง เฮนริชแบ่งทหารฝีมือดีที่หนีรอดมาด้วยกันออกตรวจดู ว่าฮานส์ไม่ได้พาจูเลียนมาทางนี้จริงๆ จึงพากันหนีไปอีกทาง ถึงเฮนริชจะไม่พอใจที่ฮานส์พาจูเลียนหนีไปคนละทาง แต่ก็เล่าเรื่องที่เลนนี่ขอให้ฮานส์มาช่วยคุ้มครองจูเลียนให้ราเชลฟัง

“นอนเถอะ ข้าจะดูเอง” ราเชลบอกพลางพยักพเยิดใบหน้าไปทางลีโอที่นั่งหลับๆ ตื่นๆ เหมือนบอกให้เฮนริชทำอะไรสักอย่างให้ลีโอยอมนอนดีๆ แล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไปจากตรงนั้นเพื่อเดินตรวจเวรยามรอบๆ

“ลีโอ”

“อื้อ”

“มานอนดีๆ “

“ลีโอจะรอฝ่าบาท” เสียงของลีโอพึมพำเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ดูท่าทางว่าจะหลับมากกว่าตื่น กระทั่งตอนที่เฮนริชรั้งร่างผอมบางให้เอนตัวมาซบลงที่กลางอก เด็กน้อยยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ พอซุกตัวเข้าหาความอบอุ่นได้ลีโอก็หลับสนิทไปทันที

ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นข้างกองไฟ อัศวินหนุ่มพินิจใบหน้าอ่อนเยาว์ ของคนที่เขาให้อาศัยไออุ่นจากอ้อมอก ในแสงไฟสีส้มส่องให้เห็นใบหน้านวลผ่อง ความหนาวทำให้ช่วงปลายจมูกและพวงแก้มซับสีแดงระเรื่ออย่างน่ามอง และเฮนริชก็มองอย่างที่เขาอยากมอง ไม่รู้ทำไมต้องอยากมอง แต่ก็มองอยู่อย่างนั้นเป็นครู่จึงค่อยๆ หลับตาลงพักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับอะไรอีกหลายอย่าง ที่ไม่รู้จะพาไปสู่ความตายหรือพากลับบ้าน แต่เหมือนอัศวินหนุ่มจะหลับลงจริงๆ ได้ไม่นาน ตอนที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเหมือนมีคนกำลังต่อสู้กัน

“เฮนริช เราถูกโจมตีพาลีโอหนีไป” เสียงราเชลดังแทรกเสียงกระทบกันของอาวุธ ทำให้เฮนริชตื่นตัวขึ้นมาทันที เขย่าปลุกคนในอ้อมกอด ลีโอสะลึมสะลือเห็นว่าทหารกำลังสู้กันก็ตื่นเต็มตา

“เกิดอะไรขึ้นเซอร์เฮนริช”

“เราถูกโจมตี” เฮนริชบอกพลางกระชากดาบออกจากฝัก เขาลุกขึ้นไม่ลืมคว้าข้อมือผอมๆ ของลีโอให้ลุกตามด้วย “อยู่กับข้าไม่ต้องกลัว”

“ข้าไม่กลัว ลีโอจะไม่กลัว” เฮนริชขยับปากเหมือนจะยิ้มที่ได้ยินคำตอบของลีโอ แต่ก็ให้ความสนใจได้ไม่นาน เพราะศัตรูกำลังกรูกันเข้ามาจากทุกทาง

“ลีโอเจ้าตื่นหรือยัง” ราเชลตะโกนถามพลางสู้อยู่ไม่ไกลจากกองไฟอีกด้าน กรอสเซ่ที่นอนอยู่อีกฝั่งค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ แต่พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรก็สะดุ้งตกใจถอยหนีแทบไม่ทัน

“พวกมันมาเท่าไหร่” เฮนริชหันไปถามราเชล

“ใครจะทันได้นับมาอย่างกับมดปลวก เจ้าพาลีโอหนีไปก่อนเลยข้ากับทหารที่เหลือจะต้านพวกมันไว้เอง”

“เราต้องไปด้วยกันสิเซอร์ราเชล” ลีโอบอกอย่างกล้าหาญในมือถือดาบไว้มั่น แต่ไม่ทันได้ฟาดฟันใส่ใครหรอก เพราะเฮนริชที่แขนยาวกว่าจัดการให้ก่อน จนไม่มีศัตรูหน้าไหนเข้าถึงตัวลีโอได้

“ไม่ได้ลีโอเจ้ารีบหนีไปเดี๋ยวนี้เลย” ราเชลบอกเพียงเท่านั้นก็วิ่งออกไปสู้กับทหารกลุ่มใหญ่ ที่กรูเข้ามาจนทะลักถึงกองไฟด้านใน เฮนริชจับข้อมือลีโอไว้แน่นสู้ไปพลางถอยไปพลาง แต่มือไม่ยอมปล่อย การต่อสู้ชุลมุนวุ่นวายจนไม่รู้ใครเป็นใคร ตอนนี้เฮนริชไม่เห็นราเชลกับกรอสเซ่แล้ว

ฉับ!!

“เซอร์เฮนริช! “ลีโอร้องเรียกเสียงหลงเมื่อเห็นเฮนริชถูกฟันเข้าที่ต้นแขน เด็กน้อยไม่ทันคิดอะไรมากกว่าความเป็นห่วง เห็นศัตรูกำลังจะเข้ามาฟันซ้ำ รีบถลาเอาตัวเข้าบังร่างสูงใหญ่รับดาบแทน

ฉับ!!

“ลีโอ!” เฮนริชกอดลีโอแน่นพลิกตัวกลิ้งหลบไปอีกทาง ศัตรูที่กำลังได้เปรียบตามกัดไม่ปล่อย จนกระทั่งอัศวินหนุ่มคว้าได้หอกที่ตกอยู่ใกล้ๆ จึงแทงสวนกลับ ปลายหอกที่แทงเข้ากลางอกทะลุหลังหยุดการโจมตีได้ทันที แต่พวกที่เหลือก็เข้ามาแทนอย่างไม่กลัวตาย เฮนริชผลักลีโอที่กำลังอึ้งออก ดันร่างผอมบางให้ซุกเข้าไปใต้กองหิมะ แล้วหันกลับไปจัดการกับพวกที่เหลือจนหมด จึงกลับมาหาลีโอที่นอนคุดคู้อย่างน่าสงสาร

“ลีโอเจ้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“เซอร์เฮนริช ท่าน ท่านปลอดภัยใช่ไหม” ลีโอไม่ตอบแต่ละล่ำละลักถามอย่างเป็นห่วง มือหรือก็ลูบคลำไปตามเสื้อผ้าหนาที่ห่อหุ้มร่างกายกำยำหาสิ่งผิดปกติ

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าเจ็บตรงไหนบ้าง” เฮนริชจับลีโอหมุนไปหมุนมาตรวจหาบาดแผล ลีโอไม่รับบาดเจ็บเพราะเฮนริชกอดลีโอพลิกตัวหลบได้ทันพอดี คมดาบของศัตรูจึงพลาดเป้า แต่ร่างแน่งน้อยผอมบางก็ยังสั่นไปทั้งตัว

“เฮนริช” ราเชลขี่ม้าฝ่าการต่อสู้ที่กำลังชุลมุนเข้ามาหา โยนสายบังเหียนม้าอีกตัวที่วิ่งตามมาให้เฮนริชแล้วขี่ออกไป

“ลีโอมา” เฮนริชกระโดดขึ้นม้าคว้าร่างผอมๆ ของลีโอติดมือขึ้นไปนั่งข้างหลังด้วย พอรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนของเด็กน้อยที่รัดรอบเอว อัศวินหนุ่มก็ควบม้าหนีจากตรงนั้นไปทันที

ม้าศึกตัวใหญ่ทะยานไปข้างหน้าราวกับรู้ใจว่าคนขี่อยากไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ลีโอกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นรู้สึกและสัมผัสได้ถึงความปลอดภัย แต่เด็กน้อยก็ยังไม่วายห่วงคนที่อยู่ข้างหลัง

“ไม่มีใครตามเรามาเลยเซอร์เฮนริช” ลีโอบอกหลังจากหันกลับไปเพ่งมองฝ่าความมืดข้างหลัง แต่ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรสักอย่าง นอกจากเงาตะคุ่มของต้นไม้ที่ถูกคลุมด้วยหิมะ ยิ่งทิ้งระยะห่างออกมาไกล ก็ยิ่งดูเหมือนว่าข้างหลังจะมืดขึ้นเรื่อยๆ จนมองอะไรแทบไม่เห็น เหมือนถูกปิดตา เหมือนถูกความมืดที่มืดดำอยู่แล้วของรัตติกาลกลืนกินจนน่ากลัว

“เซอร์เฮนริช” พอเฮนริชเงียบลีโอเลยลองเรียกเบาๆ อีก แต่เสียงเด็กน้อยก็สั่นจนน่าเป็นห่วง “เซอร์ราเชลจะปลอดภัยใช่ไหม” เพราะความเป็นห่วงลีโอจึงถาม คำถามนั้นไม่ได้ต้องการแต่เหมือนเด็กน้อยปลอบใจตัวเองมากกว่า เพราะความรักความผูกพันที่อัศวินทั้งสี่คอยดูแลลีโอมาตลอด ทำให้เด็กน้อยอดเป็นห่วงไม่ได้

เฮนริชควบม้าฝ่าความมืดพาลีโอหนีไปอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง จนกระทั่งเบื้องหน้ามีแสงรำไรโผล่แทรกกลุ่มเมฆออกมาจากขอบฟ้า ความสว่างไล่ความมืดดำของรัตติกาลออกไปอย่างยากลำบาก เพราะกลุ่มเมฆหนาที่คอยกีดกันบดบัง เหมือนไม่ต้องการให้แสงแห่งอรุณรุ่งได้มาเยือนพื้นพิภพ ม้าศึกตัวใหญ่ยังวิ่งควบไปข้างหน้า ฝีเท้าที่ช้าลงบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าเพราะวิ่งมาเกือบทั้งคืน ลีโอหลับๆ ตื่นๆ ไปตลอดทาง แต่มือทิ้งสองข้างยังกอดเอวหนาไว้แน่น จนในที่สุดความเร็วของม้าก็ลดลงจนเดินช้าๆ และได้เวลาหยุดพักสักที

“ลีโอตื่นได้แล้ว”

“อือ”

“เจ้าตื่นหรือยัง”

“ตื่นแล้วๆ “

“ตื่นแล้วก็ลง” เฮนริชบอกลีโอแล้วกระดดลงจากม้าไปก่อน รอรับร่างที่บอกว่าตื่นแล้วแต่ยังไม่ยอมลืมตา ร่างผอมบางถูกรั้งลงมาจากหลังมานั่นแหละ ลีโอจึงได้เวลาตื่นจริงๆ

“เซอร์เฮนริชท่าน! “ใบหน้าของเฮนริชซีดเผือดจนลีโอตกใจ จากที่สะลึมสะลือตอนนี้เลยตื่นเต็มตาจริงๆ เด็กน้อยรีบประคองอัศวินหนุ่มพาเดินมานั่งพิงลงข้างต้นไม้ใหญ่ ปล่อยม้าให้ยืนอยู่ไม่ไกลกัน “ข้าขอดูแผลท่านหน่อย”

“ไม่ต้องลีโอ เดี๋ยวข้าทำเอง”

“แต่ท่านจะไม่ไหวเอานะ ให้ข้าดูให้ดีกว่า” ลีโอไม่ฟังรีบถอดเสื้อออกจากร่างกำยำของเฮนริช จนได้เห็นแผลที่ต้นแขนพาดข้ามมาเกือบถึงหน้าอกเท่านั้นล่ะ เด็กน้อยถึงกับมืออ่อนเข่าอ่อน จากที่นั่งคุกเข่าท่าทางทะมัดทะแมงในตอนแรก เห็นผลแล้วลีโอเลยนั่งแปะลงกับหิมะทั้งตัว

“ข้าบอกเจ้าแล้ว” รู้ว่าลีโอกลัวเลือดกลัวบาดแผลใหญ่ๆ อย่างนี้เฮนริชจึงไม่อยากให้เห็น แม้เลือดจะหยุดไหลออกมาแล้ว แต่ก็ยังมีส่วนที่เอ่อขังอยู่ปากแผลและเปียกชุ่มอยู่ตามเสื้อผ้าเต็มไปหมด

“ข้า ข้าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะทำแผลให้ท่านเอง” ลีโอหายใจเข้าลึกๆ บอกทั้งที่ไม่กล้ามองแผลตรงๆ มือเช็ดคราบเลือดรอบแผลไปด้วย แต่ก็สั่นจนเฮนริชต้องถอนหายใจ แผลแค่นี้ทำอะไรอัศวินที่ได้รับการฝึกฝนมาจนแข็งแกร่ง และเจอความสมบุกสมบันมาแล้วทุกรูปแบบอย่างเฮนริชไม่ได้ก็จริง แต่ก็เล่นเอาเพลียไม่น้อยเพราะเสียเลือดไปเยอะ

“เจ้าอย่าฝืนลีโอ”

“ข้าทำได้ ตอนต่อสู้กันน่ากลัวกว่านี้ข้ายังไม่เป็นไรเลย” ใช่นะสิเพราะตอนต่อสู้กันลีโอไม่ได้ตั้งใจมองตรงๆ เลยไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้ต้องนั่งอยู่ใกล้ๆ แค่ได้เห็นแผลเห็นเลือดสดๆ เต็มตา มือก็สั่นตัวสั่นขึ้นมาเสียเฉยๆ แล้ว แต่เพราะความห่วงใยในตัวอัศวินหนุ่มนั้นมีมากกว่า ลีโอข่มความกลัวพยายามทำใจแข็งเช็ดเลือดรอบแผลออกจนสะอาด

“ข้าจะไปเก็บหญ้าสมุนไพรแถวนี้มาใส่แผลให้ท่านนะ”

“ไม่ต้อง!”

“ท่าน อย่าดื้อสิเซอร์เฮนริช ข้า..ข้าเป็นห่วงท่านนะ” เฮนริชหลับตาลงหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มความปวดจากบาดแผลที่เริ่มบวม พอลืมตาขึ้นมาเห็นแววตาสั่นๆ เพราะความห่วงใยของลีโอ จึงได้แต่พยักหน้าพึมพำบอกเบาๆ

“อย่าไปไกล”

ลีโอยิ้มกว้าง “ท่านก็ว่าง่ายเหมือนกันนะเซอร์เฮนริช”

“หือ?”

“เดี๋ยวข้ามานะ ไม่ต้องห่วงข้าจะอยู่แถวนี้ล่ะ” ลีโอวิ่งออกไปหาของที่ต้องการแล้วเฮนริชจึงหลับตาลง ชายหนุ่มหายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ ให้เป็นจังหวะเพื่อบรรเทาความปวดและมันได้ผล จนผ่านไปเป็นครู่ลีโอจึงกลับมาพร้อมหญ้าในกำมือ เป็นสมุนไพรสำหรับใส่แผลที่เด็กน้อยพอจะรู้จัก

“เซอร์เฮนริช” ลีโอเรียกเบาๆ แต่เจ้าของร่างกำยำที่นั่งพิงต้นสนยังนิ่ง พอเข้ามาดูใกล้ๆ ปรากฏว่าเฮนริชหลับไปแล้ว ลีโอจึงทำความสะอาดแผลให้อีกครั้ง ขยำหญ้าสมุนไพรโปะปิดปากแผลพันทับด้วยผ้า ซึ่งก็เป็นผ้าจากเสื้อตัวในของลีโอนั่นแหละที่พอจะใช้ได้

50% จ้า

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



ใบหน้าคมคายของคนหลับยังมีเค้าความเคร่งเครียด ลีโอไล่มองโครงหน้าที่แอบหลงใหลตรงๆ หลังจากที่ได้แต่แอบมองมานาน ผ้าชุบน้ำในมือถูกเช็ดเบาๆ ไปตามความคมสันที่เปื้อนไปด้วยคราบเลือดและเหงื่อไคลจนสะอาด เผยให้เห็นใบหน้าหล่อคมคายที่ครึ้มไปด้วยไรหนวด และเคราแข็งขึ้นเป็นตอสั้นส่งให้เฮนริชยิ่งดูมีเสน่ห์ชวนหลงใหลจนลีโอมองเพลิน รอยยิ้มไร้เดียงสาประดับใบหน้า แววตาลีโอเปล่งประกายอย่างคนที่กำลังมีความสุข เฮนริชและเพื่อนอัศวินทั้งสามดูแลลีโอมาตลอด ถึงวันนี้ลีโอได้ตอบแทนบ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

“เวลาท่านนอนนิ่งๆ ไม่เอาแต่ทำตาดุใส่ข้าก็น่ารักเหมือนกันนะเซอร์เฮนริช” ลีโออมยิ้มขณะมือยังไล่เช็ดทำความสะอาดลงมาตามลำคอหนาและแผงอกกว้าง ปากพึมพำพูดคนเดียวไปเรื่อย แต่พอพูดจบก็ต้องสะดุ้งเฮือกจนผ้าแทบหลุดมือเพราะเสียงดุๆ ที่ดังขึ้น

“เจ้าว่าอะไรข้านะลีโอ”

“เซอร์เฮนริช!” เปลือกตาที่ค่อยๆ เปิดขึ้นเผยให้เห็นดวงตาดุที่ลีโอไม่ค่อยกล้ามองตรงๆ แต่ก็มักจะแอบมองอยู่บ่อยๆ ยามอัศวินหนุ่มเผลอ

“ว่าไง” เฮนริชถามเสียงเข้มพลางดึงเสื้อขึ้นจัดให้เข้าที่เพราะเริ่มหนาว ลีโอเกร็งไปหมดทั้งตัวได้แต่ก้มหน้าถามกลับไม่เต็มเสียง

“อะ อะไรล่ะ”

“เจ้าพูดอะไร”

“ลีโอเปล่าพูด”

“แต่ข้าได้ยิน “ลีโอถึงกับสะดุ้งทั้งที่เฮนริชไม่ได้ตะคอกด้วยซ้ำ แค่ถามด้วยระดับเสียงที่ดังขึ้นกว่าเก่าเด็กน้อยก็สั่นแล้ว

“ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะท่านอย่ามากล่าวหากันสิ” ลีโอปากแข็ง

“จะพูดดีๆ หรือต้องให้ข้าบังคับ เจ้าหัดเป็นเด็กชอบโกหกตั้งแต่เมื่อไหร่” เฮนริชถามเสียงเข้มขึ้น มือตะปบเข้าต้นแขนลีโอบีบแน่นอย่างลืมตัว

“โอ๊ย! ข้าแค่บอกว่า...”

“ว่าอะไร”

“ถ้าบอกแล้วท่านห้ามโกรธข้านะ” เสียงลีโอสั่นจนเฮนริชอยากยิ้ม สีหน้าที่อิดโรยดูดีขึ้นยามเห็นลีโอหน้างอ ดวงตาคมจ้องใบหน้าอ่อนเยาว์นิ่ง ปากก็ถามเสียงเย็นเยือก

“เจ้าพูดไม่ดีหรือไงข้าถึงต้องโกรธ”

“ก็ไม่ใช่ไม่ดี ข้าแค่บอกว่าท่าน...” ลีโอลากเสียงอย่างคนไม่มั่นใจที่จะพูด จนเสียงหายไปในที่สุดก็ยังไม่กล้าพูดออกมา เฮนริชยังจ้องเขม็งเพิ่มความกดดันมากับสายตาดุ ลีโอที่สั่นจนทำตัวไม่ถูกอยู่แล้วเลยสั่นเข้าไปใหญ่ ใจมันหวิวๆ ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก กลัวพูดไปแล้วอีกคนจะโกรธแต่อีกใจก็นึกอยากพูดเล่นๆ ให้ผ่อนคลายบ้าง สองวันมานี้เครียดกันเหลือเกิน

“อือ ว่า..?”

“ท่าน..” ลีโอหลบตาริมฝีปากบางสั่นระริก ขณะที่อีกคนก็เอาแต่จ้องเขม็งรอฟัง อยากยิ้มลีโอเลยไม่กล้ายิ้ม

“อือ ข้า...ทำไม?”

“น่ารัก” ในที่สุดเด็กน้อยก็พูดออกมาเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ แต่คนที่กำลังตั้งใจฟังก็ยังได้ยินชัดเจน และนั่นมันทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าคมสัน แต่เพียงไม่นานก็หายไปเมื่ออัศวินหนุ่มแกล้งถามเสียงเข้ม

“ข้านี่นะน่ารัก ตาเจ้าเป็นอะไรไปแล้ว”

“ก็..ข้าไม่รู้ ลีโอไม่รู้ท่านอย่าถามสิ” ลีโอหน้างออมลมจนแก้มป่อง ปากเม้มแน่นจ้องหน้าเฮนริชเผลอมองด้วยสายตาค้อนไม่รู้ตัว “แต่..เอ๊ะ ท่านบอกว่าได้ยินแล้วทำไมยังบังคับให้ข้าพูดอยู่อีก”

“หึ”

“เซอร์เฮนริชท่านแกล้งข้า ท่านแกล้งลีโออีกแล้วนะ” ลีโออยากทุบกำปั้นลงกลางหน้าอกแกร่งแรงๆ สักครั้ง แต่นึกได้ว่าคงไม่สมควรจึงยั้งมือ เฮนริชเป็นถึงอัศวินประจำตัวกษัตริย์ผู้สูงเกียรติและยังบาดเจ็บอยู่ จึงได้แค่ทำหน้างอ ดวงตาไร้เดียงสาช้อนขึ้นมองใบหน้าคมสันที่ยังดูนิ่งอย่างตัดพ้อ เฮนริชต่อปากต่อคำกับลีโอเพลินเสียจนลืมปวดแผล

“ข้าไม่ใช่คนน่ารักอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะลีโอ ข้าไม่มานั่งเอาใจหรือทำอะไรให้เจ้าเหมือนที่สามคนนั้นทำหรอก” เฮนริชหมายถึงอัศวินอีกสามคนที่รักและเอ็นดูลีโอไม่ต่างกัน เด็กน้อยหน้าตึงไม่ใช่เพราะขัดใจในสิ่งที่เฮนริชพูด แต่เพราะไม่เข้าใจที่อีกคนบอกว่า ไม่มานั่งเอาใจหรือทำอะไรต่อมิอะไรให้ลีโอ แล้วการกระทำที่เจ้าของร่างกำยำเคยทำให้ลีโออยู่บ่อยๆ นั้นมันคืออะไร ทำไมต้องพูดให้ลีโอสับสนด้วย

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ”

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร”

“ก็ดี เจ้าพักซะหายเหนื่อยจะได้เดินทางต่อ” เฮนริชบอกพลางขยับตัวจะลุกขึ้น แต่ลีโอดึงชายผ้าคลุมของเขาไว้ก่อน

“ท่านจะไปไหน”

“ข้าจะไปหาฟืนมาก่อไฟ เจ้าไม่หนาวหรือไง” สภาพของลีโอตอนนี้ถึงเจ้าตัวไม่บอก เฮนริชก็รู้ว่าลีโอหนาวมากขนาดไหน ปากสั่นตัวสั่นเสียขนาดนี้

“หนาว แต่เดี๋ยวข้าไปหาเองไง”

“เจ้ารออยู่นี่เดี๋ยวข้ามา”

“เซอร์เฮนริช แต่ท่านบาดเจ็บอยู่นะ”

“บาดเจ็บแล้วข้าไปไม่ได้หรือไง แค่ไปหาฟืน” พอเฮนริชเริ่มเสียงเข้มขึ้น ลีโอก็ได้แต่นั่งก้มหน้าอยากเถียงด้วย อยากดื้อรั้นแต่เห็นสายตาคมๆ ที่มองมาดุๆ นั่นทีไรก็ไปไม่เป็นทุกที

“ข้าแค่อยากให้ท่านพักผ่อน” เฮนริชส่ายหัวให้เด็กน้อยที่นั่งก้มหน้าก้มตาพึมพำพูดอะไรเบาๆ อยู่คนเดียว ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเลยไม่สนใจ ลุกขึ้นไปหาฟืนมาก่อไฟให้ความอบอุ่น แสงยามเช้าหายไปเพราะเมฆบัง ละอองหิมะเริ่มโปรยลงมาอีกแล้ว รอบตัวเงียบสงบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในบริเวณนี้เลย ไม่มีแม้กระทั่งสายลมพัดมาซ้ำเติมความหนาว ม้าตัวใหญ่ยืนนิ่งเพราะกำลังหลับ มองไปทางไหนก็ให้รู้สึกหดหู่ไปหมด ลีโอขดตัวนั่งซึมอยู่กับโคนต้นไม้ ไม่นานเฮนริชก็กลับมาพร้อมกิ่งไม้แห้งหอบใหญ่เต็มอ้อมแขน เขาก่อไฟเงียบๆ

“ที่นี่ที่ไหนท่านรู้ไหม” เสียงหงอยๆ ของลีโอทำให้เฮนริชถึงกับเงยหน้าขึ้นมอง

“จากที่พักของเราเมื่อคืนมาทางนี้เป็นทิศตะวันออก คิดว่าเดินทางอีกไม่ไกลเราน่าจะเจอทางไปเมืองหลวง”

“เราจะกลับเมืองหลวงแล้วหรือเซอร์เฮนริช แล้วฝ่าบาทล่ะ เราไม่ต้องตามหาฝ่าบาทหรือไงเราทิ้งฝ่าบาทไม่ได้นะ”

“ตามสิแต่รอราเชลมาก่อน” เฮนริชตอบเหมือนไม่ใส่ใจ ทั้งที่ข้างในก็หนักใจอยู่ไม่น้อย เพราะเดาไม่ถูกว่าฮานส์จะพาจูเลียนหนีไปทางไหน เขานึกหงุดหงิด ยิ่งเห็นแววตาที่เป็นประกายของลีโอ ยามได้ยินว่าราเชลจะตามมา เขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาเสียเฉยๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ

“เซอร์ราเชลรู้เหรอว่าเรามาทางนี้”

“เดี๋ยวก็ตามมา เจ้าจะดีใจอะไรนักหนาพักผ่อนได้แล้วมานั่งตรงนี้” เฮนริชตบลงบนพื้นข้างตัว แต่ลีโอกลับมองเมินดูก็รู้ว่ายังเคือง

“ไม่ข้าจะนั่งตรงนี้”

“มีอยู่แค่สองคนอย่านั่งไกลกัน” เพราะต้องระวังตัวอยู่ตลอดเฮนริชจึงไม่อยากให้ลีโออยู่ห่าง

“ข้าไม่อยากนั่งกับคนไม่น่ารักหรอก ท่านบอกเอง” เฮนริชส่ายหัวบทจะว่าง่ายเข้าใจอะไรง่ายๆ บอกเพียงคำเดียวลีโอก็ยอมฟัง แต่บทจะดื้อขึ้นมาก็เล่นเอาปวดหัวได้เลย

“ตามใจเจ้าเถอะ แต่ถ้าพวกมันโจมตีเข้ามาข้าช่วยไม่ทันอย่ามาว่ากันล่ะ”

“...” ลีโอหลบสายตาทำเป็นมองไปทางอื่น เฮนริชที่ปกติเงียบขรึมยังต้องเม้มปากกลั้นขำ ดูก็รู้ว่าลีโอแกล้งทำเป็นไม่สนใจแต่ก็คิดตามที่บอกทุกคำ

“ระวังสัตว์ป่าด้วย เขาว่าแถวนี้สัตว์ร้ายเยอะเลย”

“มันจะกล้าเข้ามาทำร้ายเราเหรอ”

“สัตว์ป่ามันจะไปรู้อะไรล่ะ”

“ไม่มีสัตว์ร้ายหรอกท่านไม่ต้องมาขู่ข้าเลยเซอร์เฮนริช”

“นี่เจ้าไม่ได้ยินเสียงหมาป่าหอนหรือไงลีโอ ไม่ได้ยินเสียงมันล่าเหยื่อฉีกเนื้อกินหรือไง” ลีโอทำเก่งแต่ตากวาดมองไปรอบตัวอย่างระแวง พยายามเงี่ยหูฟังหาเสียงที่ผิดปกติ แม้ทุกอย่างรอบตัวจะยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม

“อะ เอ่อ ตอนไหน ท่านได้ยินตอนไหน”

“ก่อนหน้านี้ไม่นาน เจ้าไม่กลัวก็นอนพักซะ” เฮนริชหลับตาลงทำเหมือนกับว่าหากลีโอไม่กลัวก็ดีแล้ว อยากนั่งอยากนอนตรงไหนก็ตามใจ แต่ท่าทางเฉยๆ แบบนี้ล่ะยิ่งทำให้ลีโอเริ่มคิด ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมีแววไร้เดียงสากวาดมองไปรอบตัวอีกครั้ง ความเงียบทำให้รู้สึกวังเวง เรื่องเล่าขานเก่าๆ เกี่ยวกับคนเดินทางที่ถูกหมาป่ารุมกัดกินจนตายเริ่มหลอกหลอน จนขยับเข้าไปใกล้ร่างใหญ่กำยำไม่รู้ตัว

“อะไรของเจ้าลีโอ ข้าจะพักผ่อนอย่ากวน” เฮนริชว่าทั้งที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นดูร่างผอมบางในชุดเทอะทะ ที่ขยับเข้ามาจนเบียดกันสักนิด

“ท่านก็พักไปสิ ข้าแค่อยากนั่งตรงนี้ใกล้ๆ กองไฟ” มุมปากของอัศวินหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อยแต่ยังหลับตา รู้สึกว่าลีโอขยับเข้ามาหาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เฮนริชเลยกอดคอรั้งร่างผอมบางให้ซบลงมากลางอกแน่น ทิ้งตัวเอนหลังพิงร่างกับโคนต้นไม้ท่าทางสบายใจ

“เอ่อ..เซอร์เฮนริชท่านกอดข้าทำไม”

“เงียบน่าลีโอ ข้าจะพักผ่อน” ลีโอขัดใจคนที่บอกว่าตัวเองไม่น่ารัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะถูกกอดแน่น ในความแน่นมีความอบอุ่นที่ลีโอต้องการเลยปล่อยให้เฮนริชกอดอยู่อย่างนั้น เด็กน้อยหลับตาลงไม่นานก็หลับไปจริงๆ ในความอบอุ่นของคนไม่น่ารักนั่นเอง

************************

เปลือกตาบางค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาสีเขียวมรกตที่ยังดูสะลึมสะลือ เพราะเจ้าตัวยังไม่ทันได้ตื่นเต็มตา แต่ไม่นานหลังจากนั้นหรอก เมื่อเจ้าของนัยน์ตาสีสวยมองไปรอบๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความสดชื่นหลังตื่นนอน แต่จมูกกลับได้รับแต่กลิ่นหวานเอียนจนอยากยกมือขึ้นปิด พอเห็นว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แปลกตาจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่ง รอบกายเต็มไปด้วยกองผ้าเนื้อหนา ความมืดสลัวรอบตัวและสายตาที่เพิ่งตื่นทำให้มองเห็นอะไรได้ไม่ค่อยชัดนัก

“ฮานส์” คำแรกที่ออกจากปากจูเลียนเรียกหาคนที่เดินทางร่วมกันด้วยเสียงแหบแห้ง กวาดตามองฝ่าความสลัวไปรอบๆ ในใจนึกหวั่น เพราะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและมาได้อย่างไร

“ตื่นได้สักทีนะหนุ่มน้อย” จูเลียนหันขวับไปมองทันที ต้นเสียงเป็นสาวสวยที่อยู่ในอาภรณ์น้อยชิ้นเปิดเผยเนื้อหนัง ราวกับว่านางไม่รู้จักความเหน็บหนาว แต่จูเลียนก็ไม่แปลกใจเพราะในนี้อุ่นกำลังดี

“ฮานส์ เพื่อนข้าเขาอยู่ไหน”

“ไม่ใช่สามีเจ้าหรอกหรือไง” จูเลียนตาโตอ้าปากค้างกับคำถามของหญิงแปลกหน้า ความทรงจำเมื่อวานไหลเข้ามาในหัว เมียข้าเอง !! เมียข้า!! แล้วริมฝีปากบางก็เริ่มบิดเบี้ยว ยามนึกได้ว่าเมื่อวานตัวเองถูกฮานส์เรียกว่าเมียตั้งหลายครั้ง แถมยังกอดไม่ปล่อยอีก

“ว่าไง”

“ไม่ใช่ ตอนนี้เขาอยู่ไหน” เหมือนหญิงสาวจะไม่ได้สนใจคำถามของจูเลียนสักนิด แต่ถามกลับด้วยคำถามที่ทำเอาจูเลียนหงุดหงิดใจจนอยากเกรี้ยวกราด

“ไม่ใช่สามีเจ้าจริงๆ ใช่ไหม แสดงว่าข้าก็นอนกับเขาได้สิ แต่ถึงจะใช่ไม่ใช่ก็นอนได้อยู่ดีนั่นแหละใช่ว่าจะไม่เคย ข้าไม่สนหรอก ข้าอยากได้เขาอีกเวลาที่เขาอยู่ในตัวข้า เวลาที่เขาเคลื่อนไหวรุนแรงเร่าร้อนมัน..” หญิงสาวกัดปากหลับตาพริ้ม ราวกับว่าตอนนี้ความแข็งแกร่งของฮานส์กำลังขับเคลื่อนอยู่ในตัวนางจริงๆ ก็ไม่ปาน “เจ้าไม่มีวันรู้หรอกหนุ่มน้อย”

“..”

“ทำไมเจ้าต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วยล่ะ หรือเจ้าไม่พอใจ” จูเลียนไม่สนใจว่าทำไมนางถึงได้คิดว่าเขาไม่พอใจ ตอนนี้กษัตริย์หนุ่มน้อยอยากเจอฮานส์มากที่สุด อย่างน้อยๆ ก็ในฐานะคนที่เดินทางด้วยกันมา

“เขาไปไหน ฮานส์อยู่ไหนตอนนี้”

“อยู่ข้างนอกเดี๋ยวเขาก็มา”

“ข้าอยากเจอเขาตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เรียกเขาเข้ามาเดี๋ยวนี้!” ไม่รู้ว่าไม่พอใจอะไรแต่จูเลียนก็เริ่มเอาแต่ใจ

“ชู่..เบาๆ สิเจ้าอย่าทำเสียงดังนายข้าตื่นมาเดี๋ยวก็มีเรื่องอีกหรอก” นางปรายตาไปยังมุมหนึ่งซึ่งจูเลียนคิดว่าเป็นกองผ้า แต่พอเพ่งมองดีๆ จึงเห็นว่าเป็นผ้าห่มที่คลุมร่างชายคนหนึ่งอยู่ ร่างที่ดูท้วมเห็นถึงความตุ๊ต๊ะแม้ขณะนอนราบ สองข้างขนาบด้วยหญิงสาวข้างละคน

ก่อนหน้านี้ที่ฮานส์พาจูเลียนมาหลบนั้นเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เพราะเจ้าของรถม้าไม่ยอมให้ชายหนุ่มและคนหลับใหลที่อ้างว่าเป็นเมียร่วมเดินทางด้วย แต่ฮานส์เพียงแค่ขู่เล็กๆ น้อยๆ ร่วมกับคำกล่อมของหญิงสาวและเหรียญทอง เจ้าของรถม้าถึงได้ยอมใจอ่อนอย่างปฏิเสธไม่ได้

“แล้วที่นี่คือ..”

“รถม้าที่ดีที่สุดของนายข้าไง เราเดินทางให้บริการมาทั่วราชอาณาจักร”

“ให้บริการอะไร” นางมองตอบกลับมาราวกับว่าจูเลียนเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสา

“ซ่องโสเภณีเคลื่อนที่ไง นี่เจ้าไม่รู้หรอกหรือ”

“หา..!!” จูเลียนพูดไม่ออกนึกโกรธฮานส์จนอยากทุบให้ตายคามือ พาไปอยู่ที่ไหนก็ไม่พาไป ทำไมต้องพามาอยู่ในซ่อง เมื่อคืนก็บอกว่าได้ที่พักแล้ว แต่ทำไมตอนตื่นจูเลียนถึงมาอยู่ในซ่องโสเภณีเคลื่อนที่นี้ได้

“ชู่..” นางหันไปทางกองผ้าที่บอกว่าเป็นเจ้านายของนางอีกครั้ง และหันมาต่อว่าจูเลียนที่ลุกขึ้นยืนทำหน้าถมึงทึงไม่พอใจ “เจ้าจะเสียงดังทำไม”

“เจ้าตื่นแล้วหรือ”

“ฮานส์!” ยังไม่ทันที่จูเลียนจะได้พูดอะไรอีก คนที่กำลังอยากเจอหน้าก็โผล่มาพอดี

“อะไร”

“เจ้าพาข้ามาอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง” จบคำถามร่างของจูเลียนเซไปเล็กน้อย รู้สึกเหมือนรถม้ากำลังเริ่มเคลื่อนที่

“มันจำเป็น” ฮานส์ตอบหน้าตาเฉยพลางเดินเข้ามานั่งลงไม่ไกลจากจูเลียนที่ยังมองตาขวาง มันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ที่กษัตริย์ผู้สูงส่งจะมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ แต่นอกจากฮานส์จะไม่ทุกข์ไม่ร้อนด้วยแล้ว ยังกระตุกข้อมือจูเลียนดึงให้นั่งลงข้างกันอีกด้วย

“ใช่แล้วหนุ่มน้อยมันจำเป็นมาก” หญิงสาวหนึ่งเดียวที่เอาแต่จ้องมองฮานส์ไม่วางตาบอก พลางขยับเข้ามาประชิดร่างสูงใหญ่กำยำ มือลูบไล้ลวนลามไปตามแผ่นอกกว้างของชายหนุ่ม “เรามาหาอะไรทำฆ่าเวลาดีกว่านายท่าน”

“เมียข...”

“เด็กน้อยของท่านบอกข้าแล้วว่าเขาไม่ใช่เมียท่าน ถึงจะเป็นเมียจริงๆ ข้าก็ไม่สนใจหรอก ใครบอกให้ท่านร้อนแรง จนทำให้ข้าไม่อยากเกรงใจทั้งต่อหน้าและลับหลังกันล่ะ” จูเลียนแบะปากสะบัดหน้าหันไปทางอื่นทันทีที่ฮานส์เหลือบไปมอง ชายหนุ่มจึงหันกลับมาหาหญิงสาว จับมือซุกซนของนางที่กำลังสำรวจร่างกายเขาไปทุกส่วนให้หยุดนิ่ง

“เดี๋ยวก่อนมาเรียตต้า”

“ข้าดีใจนะที่ท่านจำชื่อข้าได้”

“ข้ายังไม่ต้องการ”

“นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก ข้าทำให้ท่านต้องการได้” ริมฝีปากนางเหยียดยิ้มหวานหยดให้ มาเรียตต้าบอกพลางเคลื่อนตัวนวยนาดขึ้นมานั่งตัก คร่อมทับร่างกายใหญ่โตหันหน้าเข้าหากัน สายตาหยาดเยิ้มที่จ้องมองอาจจะทำให้ชายอื่นหลงเสน่ห์นางได้ไม่ยาก แต่ไม่ใช่ดวงตาคมสีดำสนิททรงอำนาจคู่นี้ ที่ความยั่วยวนของนางไม่ได้มีอำนาจเหนือสติของเขาเลย

“มารื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ ของเราดีกว่านายท่าน” เสียงนางสั่นกระเส่า ปากพูดมือเริ่มแกะกระดุมตามเสื้อผ้าของเขาออกด้วยมือเพียงข้างเดียว เพราะมืออีกข้างเลื้อยลงต่ำสัมผัสนวดคลึงอยู่กับแท่งเนื้อกลางกาย เพื่อปลุกให้มันตื่นจากการหลับใหล ริมฝีปากสวยน่าลิ้มรสเปล่งวาจารื้อฟื้นความหลังอันเร่าร้อน ที่เคยมีร่วมกันด้วยน้ำเสียงกังวานน่าฟัง “ข้าจำได้ว่าท่านร้อนแรงถึงใจกว่าชายใดๆ ที่ข้าเคยผ่านมา”

“หึ” ฮานส์ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอเบาๆ ราวกับพอใจในเสียงชื่นชมของนาง แอบชำเลืองมองใครอีกคนที่กำลังนั่งฟังเงียบ เห็นท่าทางของจูเลียนแล้วฮานส์นึกสนุก

“มือเจ้าซุกซนไปแล้วนะสาวน้อย”

“ข้ารู้ว่าท่านชอบน่า”

“ข้าอาจจะไม่ชอบหรอก แต่ก็ไม่อยากขัดใจเจ้าไง”

“เห็นไหมล่ะ ท่านใจดีกับข้าเสมอเลยนะนายท่าน” มาเรียตต้าจูบซับไปตามสันกรามไล่ลงมาตาลำคอหนา เอวนางส่ายวนช้าเนิบ ทำท่าโยกตัวเหมือนกำลังขี่ม้า เพื่อให้ร่างกายของนางได้บดเบียดทับความแข็งแกร่งที่เริ่มตื่นตัว หากเพียงแต่มันไม่ถูกกักกันไว้ภายใต้ร่มผ้า นางแน่ใจว่ามันจะชูชันผงาดกล้าท้าทายให้นางได้ประเคนความเร่าร้อนปรนเปรอ

“ข้าจะได้อะไรตอบแทนล่ะ” ทั้งที่ความต้องการเอ่อท้นจนอึดอัด แต่ใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเครากลับเรียบนิ่งไร้อารมณ์ และก่อนที่นางจะได้ปลดเปลื้องอาภรณ์ปล่อยความใหญ่โตของฮานส์ออกมา มือซุกซนก็ถูกเจ้าของความแข็งแกร่งที่นางปรารถนาหยุดไว้ก่อน

“ใจเย็นหน่อยสิคนสวย” ได้ยินเสียงสั่นกระเส่าของฮานส์ จูเลียนนึกอยากไปจากตรงนี้ ไม่รู้เกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้มีความต้องการตอนที่กำลังหนีตาย ฮานส์ไม่ได้ทุกข์ร้อนเลยว่าจูเลียนต้องการกลับไปสะสางปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างน้อยไปตามหาคนอื่นๆ ก็ยังดี

กึก!! พอนึกอยากไป รถม้าก็หยุดลงพอดีเหมือนรู้ว่าจูเลียนต้องการอะไร กษัตริย์หนุ่มน้อยลุกขึ้นทันที

“เจ้าจะไปไหน”

“ไปไหนก็เรื่องของข้า อยากเสพสุขอยู่กับนางก็เชิญเลย ข้าจะไปตามหาคนของข้าเอง” จูเลียนสะบัดหน้าเดินหนีไปทางประตูรถม้าเปิดออก แต่ยังไม่ทันได้ก้าวลงบันไดก็ต้องรีบถอยกลับมาปิดประตูไว้เหมือนเดิม

“มีอะไร” กษัตริย์หนุ่มน้อยสะดุ้งกับเสียงกระซิบของฮานส์ ที่ลุกขึ้นทันทีตอนเห็นอาการชะงักของจูเลียน และก้าวมายืนข้างหลังด้วยฝีเท้าเบาและเงียบ ราวกับการเคลื่อนไหวของวิญญาณ

“ทหาร” เสียงตอบของจูเลียนเบาหวิวเหมือนคนไม่รู้สึกตัว และจูเลียนคงไม่รู้สึกตัวจริงๆ จนยอมให้ฮานส์รวบเอวบางรั้งไว้ ตอนเขาโน้มตัวส่องออกทางช่องเล็กๆ ของประตู เพื่อดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอก พอเห็นทหารกำลังตรวจคาราวานซ่องโสเภณีเคลื่อนที่ของกุสตราฟ ฮานส์รั้งตัวจูเลียนให้ถอยออกมาจากตรงนั้นกลับมานั่งลงที่เดิม จูเลียนก็ยังทำตามเงียบๆ อย่างว่าง่าย ไม่มีเสียงประท้วงไม่มีอาการขัดขืน ทั้งที่ตอนจะเดินออกไปยังทำท่าทางไม่พอใจฮานส์อยู่เลย

“ทหารคงตรวจตามปกติ” มาเรียตต้าบอกฮานส์เลยพยักหน้ารับเบาๆ พลางรั้งร่างจูเลียนจะกดให้ซบลงที่อกกว้างของตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าหนุ่มน้อยในอ้อมกอดจะรู้ตัวแล้วจึงขืนแรงไว้ ขยับจะไปนั่งข้างๆ แทน แต่ฮานส์ยังรั้งข้อมือไว้แน่น

“เจ้าจะทำอะไรฮานส์”

“เงียบก่อน” ฮานส์บอกจูเลียนเสียงเข้มแล้วหันไปทางมาเรียตต้า “อย่าให้ทหารขึ้นมาบนนี้”

นางยิ้มหวานให้เขา นัยน์ตาเปล่งประกายยั่วยวนโลมเลียไล่มองตั้งแต่ใบหน้ารกหนวดเครา ลงไปตามลำคอจนถึงร่างกายกำยำ “ได้สินายท่าน แต่สัญญาณมาก่อนว่าข้าจะได้รางวัล”

“ตามที่เจ้าต้องการเลยสาวน้อย” พอฮานส์รับคำมาเรียตต้าก็ทิ้งรอยยิ้มหยาดเยิ้มไว้ให้เขา แล้วลุกขึ้นเดินออกจากตรงนั้น เปิดประตูรถม้าลงไปทั้งที่อาภรณ์ติดกายมีอยู่แค่ไม่กี่ชิ้น อากาศยังเหน็บหนาวอยู่มาก หิมะก็ยังปกคลุมพื้นดินไปทั่ว

ข้างนอกมีการพูดคุยเจรจาที่คนในรถม้าจับใจความไม่ค่อยได้ จนประตูรถม้าเปิดออกอีกครั้ง มาเรียตต้ากลับขึ้นมาพร้อมทหารสองคน ฮานส์รีบพลิกตัวคร่อมทับกดจูเลียนให้นอนราบลงกับเบาะนุ่ม พร้อมกับคว้าผ้าห่มคลุมตัวไว้อย่างรวดเร็ว ร่างเพรียวของจูเลียนถูกกอดแน่น แต่นั่นไม่เท่ากับริมฝีปากอิ่มที่ถูกกดจูบลงมาอย่างจาบจ้วง ลิ้นร้ายชอนไชหาควานหาความหวานละมุน จูเลียนพยายามสะบัดหน้าหนีขัดขืน แต่พอได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ จึงมองข้ามไหล่ฮานส์ไป เห็นทหารสองคนที่ตามมาเรียตต้าขึ้นมาก็หยุดต่อต้าน เผลอปล่อยให้ฮานส์จูบเอาๆ ตามใจชอบ

“นายของข้ากำลังพักผ่อน แต่พวกเจ้าก็เห็นว่าสาวๆ ของเราอยู่บนรถม้าอีกคัน เชิญตรวจได้ตามสบาย แต่ห้ามทำให้นายข้าตื่นเป็นอันขาดนะ” นางกำชับเสียงเข้มปรายตาไปทางฮานส์เล็กน้อย แล้วจึงหันไปทางทหารสองคนที่เดินขึ้นมาตรวจ “พวกเจ้าก็รู้ว่าเขาสนิทกับพวกนายกองมากแค่ไหน เราส่งสาวๆ ไปที่นั่นทุกคืน” เสียงเจื้อยแจ้วของมาเรียตต้าเชิญชวนให้ทหารตรวจตราให้ละเอียดตามที่ต้องการ แต่ทุกคำพูดของนางหากไม่คิดตามดีๆ มีสิทธิ์พลาดและอาจจะถูกลงโทษเอาได้ง่ายๆ ซึ่งทหารชั้นผู้น้อยเหล้านี้ไม่ควรเสี่ยง แต่กระนั้นพวกมันก็ยังพากันกวาดตามองไปทั่ว

ฮานส์ได้ยินเสียงเท้าฝีหนักๆ เดินเข้ามาใกล้ เขายิ่งกดจูบลึกซึ้งเนิ่นนาน จูเลียนพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้น แต่ก็เป็นไปได้ยาก เพราะร่างใหญ่โตที่แตกต่างว่าเสียเปรียบแล้ว จูเลียนยังถูกนอนทับรวบกอดทั้งตัว ท้ายทอยถูกกักไว้แน่น มือสองข้างดันหน้าอกแกร่งของคนด้านบนแต่แรงสู้ก็น้อยนิดเหลือเกิน ยิ่งยามริมฝีปากสวยถูกบดขยี้ เรียวลิ้นหรือก็ถูกหยอกเย้าอย่างร้อนแรง ยิ่งทำให้จูเลียนแทบอ่อนระทวย ไหนจะยังมีทหารพวกนั้นที่กำลังเดินเข้ามาหา ทำให้กษัตริย์หนุ่มน้อยอยากจะขัดก็ขัดได้ไม่เต็มที่นัก ใครไม่มาเป็นจูเลียนตอนนี้ไม่มีวันเข้าใจ ว่ามันยากเย็นเพียงใดกับสถานการณ์ย่ำแย่นี้

จูเลียนเกร็งตัวจนเหนื่อยแต่ไม่นานจูบดิบเถื่อนบังคับ ก็เปลี่ยนเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้หลงลืมสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เผลอหลงระเริงไปกับรสชาติหวานละมุน เหมือนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เหมือนมึนงงเมื่อถูกชักนำให้ใช้เรียวลิ้นตอบโต้กลับอย่างที่ฮานส์ทำบ้าง จนได้ยินเสียงคำรามเบาๆ ดังออกมาจากลำคอของคนบนตัว ยิ่งทำให้จูเลียนได้ใจตอบโต้ไม่ลดละ

“มีอะไรที่เจ้ายังสงสัยอยู่หรือไง” เสียงมาเรียตต้าเข้มขึ้นเมื่อเห็นทหารให้ความสนใจกับกองผ้าห่มที่ขยับยุกยิก เพราะคนใต้ผ้าไม่ยอมอยู่นิ่งๆ ตรงนั้นนางจำได้ว่าเป็นฮานส์กับหนุ่มน้อยที่มาด้วยกัน

“นั่นมันทำอะไรกัน” ฮานส์ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่ากับความหอมหวานที่เขากำลังลิ้มรส

มาเรียตต้าทำหน้าตึงอย่างเสแสร้ง “คนเขากำลังมีความสุขกันเจ้าจะสงสัยอะไร”

“ใคร เรียกมันออกมาซิ”

“เจ้าอยากให้นายข้าตื่นมากหรือไง” ฐานะของโสเภณีก็ไม่ต่างอะไรกับทาสชั้นต่ำ ซึ่งถ้าเป็นโสเภณีคนอื่นคงกลัวทหารจนตัวสั่น แต่ไม่ใช่มาเรียตต้าที่นอกจากนางจะช่ำชองเรื่องบนเตียงเป็นที่หนึ่งแล้ว เรื่องความใจกล้าก็ไม่มีใครเกินหน้านางเช่นกัน มาเรียตต้าขยับเข้าไปกระซิบข้างหูทหารที่ยืนทำหน้าสงสัยจ้องกองผ้าห่มไม่ลดละ

“ถึงนี่จะเป็นรถม้าส่วนตัวนายของข้า แต่อย่าลืมสิว่าพวกเราคือกองคาราวานซ่อง มีคนกำลังร่วมรักกันเป็นเรื่องธรรมดา นั่นเพื่อนของนายข้าเชียวนะพวกเจ้ากล้าสงสัยหรือ” พอมาเรียตต้าพูดจบฮานส์แกล้งครางออกมาเสียงดังราวกำลังสุขสม จนทหารที่มาตรวจหายใจติดขัด มันมองหน้าหญิงสาวเคืองๆ แต่ทำอะไรไม่ได้

“เจ้าอยากละสิ” นางไม่ได้พูดเปล่าแต่มือยังตะปบเข้าที่กลางลำตัวของทหารยามที่สะดุ้งทันทีเมื่อถูกสัมผัส มาเรียตต้ายิ้มร้ายอย่างเป็นต่อหูตาแพรวพราว สิ่งที่อยู่ในกำมือนางกำลังตื่นตัวสู้มือ เป็นเรื่องธรรมดาของทหารในกองทัพที่ห่างบ้านห่างเมีย ย่อมต้องห่างเรื่องอย่างว่าด้วยเหมือนกัน นางบีบเคล้นสิ่งที่อยู่ในมือแล้วกระซิบบอกเสียงพร่า “ลงไปที่รถม้าคันสุดท้ายสิ แล้วเจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ เดินทางปลอดภัยก็แล้วกัน” แล้วมันก็ผลุนผลันลากทหารอีกคนลงจากรถไป โดยไม่ได้อะไรติดมือลงไปด้วยสักอย่าง

“อื้ออ” เพียะ!!

“โอ๊ย เจ้าตบข้าทำไม”

"ยังจะมีหน้ามาถามอีก” สายตาไม่พอใจที่ถูกตบของฮานส์ในตอนแรก เปลี่ยนเป็นแววตาแปลกๆ ขึ้นทันทีที่เห็นริมฝีอิ่มขึ้นสีแดงฉ่ำ และดูเหมือนจะบวมนิดๆ ก่อนที่จูเลียนจะรู้สึกตัวแล้วเม้มปากเอาไว้แน่น ดวงเนตรสีเขียวมรกตเป็นประกายสวยจิกมองฮานส์ด้วยความโกรธจนตาขวาง “มากเกินไปแล้วนะฮานส์”

แต่ฮานส์เพียงอมยิ้ม นิยน์ตาสีดำสนิทเป็นประกาย

“หนุ่มน้อยคนนี้คงสำคัญกับท่านมากสินะ”

*********
เจอกันตอนหน้าจ้า

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo





เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 17 โพรงใต้ต้นไม้ที่อบอุ่น



“จูเลียน!”

“...”

“รอข้าด้วยสิ”

“...”

“อย่าเพิ่งไป จูเลียนหยุดก่อน” ฮานส์ทั้งเรียกทั้งหอบของวิ่งตามจูเลียนที่เดินหน้าตั้งฝ่าหิมะ ฝ่าความหนาวเย็นไม่สนใจคนที่ตะโกนเรียกตามหลังมาอย่างทุลักทุเล ทั้งถุงสัมภาระทั้งเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย ไหนจะยังมีหิมะที่ปกคลุมพื้นดินหนาเกินเข่า อย่าว่าแต่วิ่งตามคนโกรธให้ทันเลย แค่เดินดีๆ ยังยาก

“หยุดก่อนจูเลียนรอข้าด้วย เจ้าไปคนเดียวไม่รอดแน่”

“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะฮานส์ เจ้าไม่ต้องตามข้ามา อยากไปเสพสุขกับนางก็เชิญตามสบายเลย” จูเลียนหันมาชี้หน้าด่าฮานส์แล้วหันไปตะเกียกตะกายเดินต่อ ฮานส์เองก็ตะเกียกตะกายตามไม่ลดละเหมือนกัน ความเลวร้ายทั้งสภาพอากาศและพื้นที่แบบนี้ปล่อยให้จูเลียนไปคนเดียว ไม่ถึงวันหนุ่มน้อยจะแข็งตายอยู่กลางป่า

“พูดเหมือนเจ้าหึงนะ”

“หึงอะไร”

“เจ้าหึงข้ากับนางหรือไง มาเรียตต้าน่ะ” จูเลียนหันกลับมามองหน้าฮานส์อย่างเอาเรื่อง ใบหน้าที่รกไปด้วยหนวดและเครายิ้มยียวนเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะ ที่ทำให้จูเลียนหยุดเดินและหันมาต่อปากต่อคำด้วยได้

กษัตริย์หนุ่มน้อยแบะปากออกแสยะยิ้มเหยียด “เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า”

“อะไรล่ะ” ฮานส์เลิกคิ้วขึ้นทำสีหน้าไร้เดียงสาถามกลับ แต่นั่นมันยิ่งทำให้จูเลียนเดือดดาลจนอยากเอาหิมะมาปาใส่ใบหน้ายียวนนั้นสักทีสองที

“ก่อนจะพูดอะไรออกมาเจ้าถามตัวเองก่อนหรือยัง”

“ถามเรื่องอะไร ทำไมข้าต้องถามมิทราบฝ่าบาท”

“ก็ถามว่าเจ้ากับข้าเป็นอะไรกันไง ทำไมข้าต้องหึงด้วย เจ้าไม่ใช่กรอสเซ่คนรักของข้าสักหน่อย เจ้าคือฮานส์ไอ้คนบ้าตัณหาทำตัวเกเรฉวยโอกาสจูบข้า เจ้าจูบคนรักของคนอื่นหน้าตาเฉยนะฮานส์” รอยยิ้มยียวนชวนหงุดหงิดหายไปจากใบหน้ารกหนวด ตั้งแต่จูเลียนยังไม่ทันได้พูดจบด้วยซ้ำ ชายพเนจรเม้มปากแน่นกลอกตามองบน ฮานส์อาจจะขัดหูที่ได้ยินชื่อบุคคลอื่น

เจ้าของร่างสูงกำยำในชุดดำยืนเท้าเอวถอนหายใจออกมาแรงๆ “ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่ามันจำเป็น”

“จำเป็นต้องจูบข้า?”

“ใช่จำเป็นมากด้วย เจ้าเองก็ฉวยโอกาสเหมือนกันนั่นแหละ อย่าปฏิเสธนะว่าเจ้าไม่ได้จูบตอบมา”

“เจ้ามัน...” จูเลียนได้แต่กัดปากตัวเองเพราะพูดไม่ออก ยิ่งพูดยิ่งทำให้นึกถึงความเร่าร้อนดิบเถื่อน จูบบังคับในคราแรกเปลี่ยนเป็นความวาบหวามหวานละมุนของเรียวลิ้นหยอกเย้า ทั้งเชิญชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล จูเลียนไม่เคยจูบใครได้ดูดดื่มซาบซ่านอย่างนี้มาก่อน จะว่าตามจริงนี่เป็นจูบลึกซึ้งที่สุดที่เคยมีมา ไม่นับการแตะริมฝีปากกับคนรัก และการจูบกันครั้งแรกในสวนกับคนคนนี้



ยิ่งพูดเลยยิ่งโกรธ โกรธฮานส์แล้วพาลโกรธให้ตัวเองที่เผลอรู้สึกดีแล้วจูบตอบ จูเลียนโกรธมากยิ่งขึ้นที่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันก็ยังคงอยู่ ไม่ได้จางหายไปไหน ความอบอุ่นยามริมฝีปากถูกสัมผัสบดเบียด เรียวลิ้นที่ถูกกระหวัดเกี่ยวรัด ความอบอุ่นที่ทำให้ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ทุกอย่างเหมือนติดตรึงอยู่ในความรู้สึก แทรกลึกเข้าไปในความทรงจำจนจูเลียนหงุดหงิด

“มันอะไรล่ะ เมื่อวานเจ้ายังเป็นเมียข้าอยู่เลยนะ”

“เจ้า..เจ้ามันขี้ตู่ไปเองต่างหากล่ะ กลับไปหานางเลยไป โน่นนางรอเจ้าอยู่” จูเลียนตวาดเสียงดังแล้วสะบัดหน้าไปทางหญิงสาวที่ยืนรออยู่ข้างรถม้า ห่างไปจากตรงที่ทั้งสองยืนทะเลาะกันพอสมควร ละอองหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาหนักขึ้น



หลังจากทหารตรวจรถม้าเรียบร้อย ขบวนคาราวานก็ได้เวลาเคลื่อนที่อีกครั้ง จูเลียนไม่พอใจที่ฮานส์ฉวยโอกาสจูบโดยพลการ ถึงจะอ้างว่าเพื่อความสมจริงเพราะไม่อยากให้ทหารจับได้ แต่ทั้งสองก็ทะเลาะกันมาตลอดทาง ด้วยถือในความสูงศักดิ์ของตัวเอง จูเลียนไม่อยากร่วมทางไปกับคาราวานซ่องโสเภณีเคลื่อนที่ให้แปดเปื้อน อยากไปตามหาคนของตัวเองมากกว่า แต่คนหน้าหนวดยังเฉย เลยคิดว่าฮานส์ไม่สนใจและอยากกลั่นแกล้ง ยิ่งนานยิ่งไม่รู้ว่าตัวเองเดินทางไปถึงไหนแล้ว และจูเลียนก็รอไม่ได้ ไหนจะมาเรียตต้าที่คอยแต่จะหาโอกาสแทะโลมเข้าหาฮานส์อยู่ตลอด ส่วนกุสตราฟเจ้าของซ่องหลับเป็นตายไม่รู้เรื่องรู้ราว จนผ่านไปครึ่งค่อนวันฮานส์กับจูเลียนยังทะเลาะกันไม่หยุดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง กษัตริย์หนุ่มน้อยไม่ยอมให้ฮานส์เข้าใกล้ มาเรียตต้าเริ่มรุกฮานส์หนักขึ้น และพอเห็นว่าชายพเนจรเหมือนจะเล่นกับนางด้วย จูเลียนเลยหมดความอดทน สั่งให้รถม้าหยุดวิ่งกะทันหัน แล้วกระโจนลงจากรถตัวเปล่าให้ฮานส์วิ่งตามตะครุบแทบไม่ทัน



“เจ้าทำตัวเหมือนภรรยาที่กำลังหึงสามีจริงๆ นั่นแหละ” ฮานส์ว่าขึ้น ทั้งสองเหนื่อยจนหอบทั้งจากการปะทะคารมกัน และเดินฝ่าหิมะ

“ข้าไม่ใช่ภรรยาของเจ้าก็แล้วกันฮานส์ จะให้ข้าย้ำไหมล่ะว่ามีคนรักอยู่แล้ว เขาชื่อกรอสเซ่ และข้าจะรีบกลับไปหาเขา” จูเลียนทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็หันหลังจะเดินต่อ แต่พอเห็นฮานส์ทำท่าจะเดินตามมาด้วยจึงหันกลับมาชี้หน้า “ไม่ต้องตามมาเราแยกทางกันตรงนี้!”

ฮานส์ได้แต่กลอกตายืนถอนหายใจมองตามจูเลียน ที่เดินจ้ำไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล เป็นความจริงที่เขาเล่นกับมาเรียตต้ายามที่นางเชิญชวน แต่ก็เพียงแค่อยากแกล้งจูเลียนสนุกๆ เขารู้ว่ากษัตริย์หนุ่มน้อยกำลังร้อนใจเรื่องอะไร แต่เขาปล่อยให้จูเลียนทำอะไรวู่วามตอนนี้ไม่ได้ ถ้ายังไม่รู้ว่าสถานการณ์ในเมืองหลวงเป็นอย่างไร ฮานส์ก็ต้องพาจูเลียนซ่อนตัวจากใครก็ตามที่ปองร้ายอยู่ แต่เขาคงเล่นมากเกินไปจนจูเลียนไม่พอใจ กระโดดลงจากรถม้าประกาศจะเดินทางคนเดียว



ฮานส์ยืนมองแผ่นหลังของจูเลียน ที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินห่างออกไปอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง เขาหันกลับไปทางเก่าที่มาเรียตต้าและขบวนรถม้าของกุสตราฟจอดรออยู่ ชายหนุ่มเดินกลับไปหานาง



ละอองสีขาวที่โปรยปรายลงมาเริ่มหนาตา จนแทบมองไม่เห็นอะไรไกลเกินกว่าช่วงตัวที่ก้าวเดิน ทำให้การเดินที่ทุลักทุเลอยู่แล้วยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย หิมะเทลงมาราวกับว่าพื้นดินยังไม่ถูกปกคลุมหนาพอ แต่กระนั้นคนที่เดินท่อม ๆ ท่ามกลางหิมะตกหนัก ยังเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จุดหมาย จูเลียนกระชับผ้าคลุมห่อร่างให้แน่นขึ้น ความหนาวเย็นแทรกเข้าไปในผิวเนื้อจนแทบจะแข็งไปทั้งตัว สองเท้ายังก้าวไปข้างหน้าแม้ไม่รู้จุดหมายปลายทาง ปากสั่น ๆ ก่นด่าให้กับความโง่เขลาและทิฐิของตัวเอง แต่ใจที่มุ่งมั่นยังไม่ยอมสั่งให้ขาหยุดเดิน ตอนนี้จูเลียนเหนื่อย ทั้งเหนื่อยทั้งหนาว และหิว หันกลับไปมองข้างหลังไม่เห็นอะไรนอกจากหิมะ ก็ตัดใจแล้วก้าวเดินต่อ

“ไม่ตามมาก็ช่าง ข้าจะไม่ง้อเจ้าหรอกนะฮานส์”



ร่างของหนุ่มน้อยสั่นสะท้าน เพราะความหนาวเย็นและละอองหิมะที่โปรยปรายไม่ขาดสาย ทำให้ต้องเดินก้มหน้า สลับกับการเงยหน้าขึ้นมองทางเป็นระยะ จูเลียนทั้งเหนื่อยทั้งหิว คิดว่าจะหาที่พักเหนื่อยสักหน่อย แต่มองไปทางไหนก็เห็นแต่หิมะขาวโพลนเต็มไปหมด ไม่เห็นที่ไหนพอจะใช้เป็นที่หลบหนาวพักให้หายเหนื่อยได้เลย จึงก้มหน้าเดินต่อ แต่พอเงยหน้าขึ้นมองทางอีกครั้ง เหมือนภาพเบื้องหน้าปรากฏขึ้นโดยฉับพลัน จูเลียนใจหายวูบ ขาสั่น ๆ ที่กำลังก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงักงัน ร่างเพรียวนิ่งค้างราวกับกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้วทั้งตัว มันกระชั้นชิดจนหลบไม่ทัน จึงเกือบปะทะกับอะไรบางอย่างที่ยืนตระหง่านประจันหน้าอยู่บนก้อนหิน อะไรบางอย่างที่แฝงตัวกลมกลืนไปกับสีขาวของปุยหิมะ จนยากจะแยกออก



ความหวาดกลัวค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาในใจ จนจูเลียนแทบคุมสติไม่อยู่ สัตว์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของกษัตริย์หนุ่มน้อย มีขนาดใหญ่เกือบเท่าม้าศึกพันธุ์ดี แต่ขาทั้งสี่ของมันสั้นกว่า ใบหน้าของมันแหลมยาว จมูกสีดำเปียกแฉะบานออกยามส่งเสียงคำราม น้ำลายเหนียวหนืดน่าสะอิดสะเอียน ไหลย้อยลงมาตามความกว้างของปากยามแสยะขู่ เขี้ยวแหลมคมทั้งสี่ยาวยื่นออกมาอย่างน่ากลัว ลำตัวใหญ่ของมันปกคลุมไปด้วยขนหนาปุกปุย ที่มีสีขาวปลอดไปทั้งตัวจนถึงหางยาวเป็นพวง เหมาะแก่การอำพรางกายไปกับหิมะขาวโพลนได้อย่างกลมกลืน แต่สิ่งที่ทำให้จูเลียนแทบลืมหายใจ ราวกับว่าทุกส่วนในร่างกายหยุดทำงาน คือดวงตาสีแดงก่ำที่กำลังจ้องมองอย่างคุกคาม จูเลียนเคยได้ยินเรื่องเล่าถึงความดุร้ายของมันมาก่อน ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกับสัตว์พันธุ์ดุในตำนาน อย่าง หมาป่าหิมะ ด้วยตัวเอง



ขนาดของหมาป่าหิมะใหญ่กว่าจูเลียนเท่าตัวหรือมากกว่านั้น มันจ้องมองราวกับเคยโกรธแค้นกันมาก่อน ร่างเพรียวที่สั่นอยู่แล้วจึงยิ่งสั่นมากขึ้นเพราะความกลัว เนตรเขียวมรกตสบนิ่งอยู่กับดวงตาแดงก่ำราวถูกมนต์สะกดให้หยุดนิ่ง จูเลียนไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา หนุ่มน้อยอยู่ในสายตาของมันและกลายเป็นเป้าโจมตี เมื่อร่างใหญ่สี่ขาบนก้อนหินค่อย ๆ ย่อตัวลง พร้อมกับจูเลียนที่รู้สึกตัวว่าภัยกำลังคุกคาม จึงพยายามขยับขาช้า ๆ ก้าวถอยหลังให้เบาและดูนิ่งที่สุด แต่นั่นทำให้จูเลียนพบว่าไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ จูเลียนกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ทำไม่ได้แม้กระทั่งสั่งให้ตัวเองถอยหนี



เหมือนมัจจุราชสี่ขาจะรู้ว่าหนุ่มน้อยตรงหน้ากำลังกลัว มันจึงยิ่งจ้องดุด้วยดวงตาแดงก่ำ แสยะปากแยกเขี้ยวคำรามขู่ใส่เหยื่อตัวน้อย เสียงคำรามที่ได้ยินแล้วทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ เสียงที่ทำให้รู้สึกหนาวยะเยือกแม้จะหนาวอยู่มากแล้ว จูเลียนพยายามขยับขาจะถอย แต่พบว่าขาคงแข็งไปแล้วจึงก้าวไม่ออก ร่างเพรียวที่สั่นเพราะความหนาวเลยยิ่งสั่นมากขึ้นเมื่อเกิดความกลัว บอกตัวเองว่าต้องหนีแม้รู้ว่าคงหนีไม่พ้น เพราะร่างกายขยับไม่ได้ ก้อนสะอื้นตีขึ้นมาจุกแน่นกลางอก มันอัดแน่นจนถึงลำคอ ริมฝีปากรูปกระจับสวยที่เคยแย้มยิ้มสดใส บัดนี้บิดเบี้ยวเพราะกำลังกลั้นเสียงร้องไห้โฮ จูเลียนกลัวจับใจแต่จะหนียังไงในเมื่อก้าวขาไม่ออก จึงได้แต่พยายามอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ



“ฮะ ฮานส์” ตอนนี้คนเดียวที่จูเลียนคิดถึงคือฮานส์จึงเรียกเสียงดัง แต่กลับพบว่าเสียงที่เปล่งออกมามันดังเพียงแผ่วเบา ราวเสียงกระซิบ เหมือนเสียงที่เคยมีหายไปแล้วพร้อมความกลัวที่เข้ามาแทน



“ฮานส์ เจ้าอยู่ไหน โรฮานส์!” จูเลียนกะพริบตาถี่บังคับฝืนไม่ให้หยดน้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลริน ริมฝีปากสวยสั่นระริก ร่างที่กำลังเตรียมกระโจนเข้าใส่บังคับให้จูเลียนพยายามถอยจนสะดุดล้มก้นกระแทก จูเลียนตกใจเปล่งเสียงร้องเรียกหาความช่วยเหลือ และคำที่หลุดออกมาจากปากมีเพียงชื่อของบุรุษหนุ่มชุดดำหน้าหนวด ที่ตอนนี้คงเสพสุขอยู่กับนางคณิการูปงาม แต่กระนั้นจูเลียนก็ยังเรียกหา แม้รู้ว่าเจ้าของชื่อไม่ได้อยู่ตรงนี้ เรียกแม้จะรู้ว่าอีกคนไม่มา...!!



“ฮานส์! ช่วยด้วย!” จูเลียนตะโกนร้องเสียงดัง แต่มีเพียงเสียงคำรามก้องของหมาป่าหิมะขานรับ พร้อมกับร่างใหญ่โตน่ากลัวของมันกระโจนลงมาจากก้อนหิน เป้าหมายการจู่โจมนั่งอยู่บนพื้นเบื้องหน้า จูเลียนหลับตาแน่นยอมรับชะตากรรม รู้สึกถึงแรงกระชากจนร่างกายกลิ้งไปหลายตลบ!!





“จูเลียน!”

“อึก!! ..ฮือ”

“จูเลียน” เสียงที่เคยนึกหงุดหงิดยามได้ยิน บัดนี้กลับทำกษัตริย์หนุ่มน้อยใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง จูเลียนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นดูภาพตรงหน้ารู้สึกราวกับฝัน ใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเคราอยู่ไม่ไกลเกินคืบ พวงปรางเย็นชืดถูกประคองด้วยสองมือกร้านในถุงมือหนังอบอุ่น ดวงตาสีดำสนิทดุจรัตติกาลที่จ้องมองมีแววหวาดหวั่น คิดว่าวิญญาณของตัวเองคงเพ้อฝันหลังความตาย เพราะถูกมัจจุราชสี่ขาตาแดงขย้ำ จูเลียนจึงหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า แต่พอลืมตาขึ้นอีกครั้งภาพนั้นยังไม่หายไป



“ฮานส์ เจ้ามา...”

“ชู่ ลุกขึ้นดี ๆ ก่อน” ฮานส์พยุงร่างจูเลียนให้ลุกขึ้นนั่ง เขาไม่มีเวลาปลอบมากไปกว่านี้ เพราะหมาป่าตัวใหญ่กำลังย่างสามขุมเข้าหาอย่างใจเย็น ราวกับมันรู้ว่าเหยื่อไม่มีทางหนีรอด ราวกับรู้ว่าเหยื่ออยู่ใต้อำนาจของมัน ดวงตาสีแดงก่ำเปล่งแสงเป็นประกายย่ามใจที่ได้เหยื่อมาเพิ่ม มันเดินเข้าหาร่างที่กอดกันแน่นช้า ๆ แต่ละก้าวของมันสร้างความระทึกปนหวาดกลัว จูเลียนตัวสั่นจนฮานส์รู้สึกได้ เขาดันให้หนุ่มน้อยอยู่ข้างหลังทั้งที่เจ้าตัวขืนร่างไว้ไม่ยอมห่างจากอ้อมกอด

“หลบอยู่ข้างหลังข้า”

“ฮานส์” ฮานส์ผลักจูเลียนออกห่างยืนขึ้นเต็มความสูง ดาบเล่มยาวที่ปกติมันถูกเก็บไว้มิดชิดถูกถอดออกมา เผยให้เห็นคมที่เงาวับยามฮานส์ชูขึ้นในท่าพร้อมปกป้อง ดวงตาแดงก่ำให้ความสนใจกับเหยื่อใหม่ที่เข้ามาขัด มันมองฮานส์เหมือนไม่พอใจและต้องจัดการก่อน โทษฐานที่เข้ามาขัดจังหวะขย้ำเหยื่อตัวน้อย ฮานส์ก้าวช้า ๆ ออกไปด้านข้างเบี่ยงความสนใจ ให้ไกลจากจุดที่จูเลียนนั่งหลบ กระชับดาบในมือแน่น



ดวงตาสีดำสนิทแข็งกร้าวสบนิ่งอยู่กับดวงตาแดงก่ำ ฮานส์ก้าวออกห่างจากจูเลียนมากพอสมควรแล้ว ก็เป็นจังหวะที่มัจจุราชสี่ขาตาแดงได้โอกาสกระโจนเข้าใส่ เขาเอี้ยวตัวหลบและตวัดดาบสวน คมดาบเฉือนเข้าตรงสีข้างของมันจัง ๆ เรียกเลือดพุ่งกระฉูดอาบย้อมหิมะจนแดงฉาน และเหมือนมันจะรู้ว่าฮานส์เองก็เสียหลักจึงรีบหันกลับมาจู่โจม ฮานส์แทงสวนเข้าตรงกลางระหว่างขาหน้าทั้งสองข้างของมัน แต่เขากลับถอดดาบออกมาไม่ได้ และยังไม่ทันได้ปล่อยมือจากด้ามดาบ ร่างใหญ่โตกว่าเท่าตัวก็ทิ้งน้ำหนักทับลงมาบนตัวเขาทั้งตัว



“ฮานส์ระวัง!” ร่างหมาป่าสีขาวตัวใหญ่ที่อาบชโลมไปด้วยเลือดสด ๆ ดิ้นเร่าทับอยู่บนตัวฮานส์ มันดิ้นเพื่อหาทางรอด คมดาบที่แทงเข้ากลางลำตัวโดนตำแหน่งหัวใจยังไม่อาจทำให้มันสิ้นฤทธิ์ จึงตะเกียกตะกายดิ้นรน จูเลียนลืมกลัววิ่งออกมาหวังดึงฮานส์จากร่างหมาป่า แต่แรงกระแทกจากการทิ้งน้ำหนักของสัตว์ตัวใหญ่ ทำให้แผ่นน้ำแข็งที่ถูกกระแทกแยกออกจนเกิดเป็นแอ่ง การตะเกียกตะกายของสัตว์ใกล้ตายไม่สิ้นฤทธิ์ ทำให้ร่างสองร่างที่ยังทับกันตกลงไปในแอ่งน้ำเย็นเฉียบเบื้องล่าง หายไปจากสายตาจูเลียนทันที



“ฮานส์!!!! “ อัสสุชลเอ่อคลอสองเนตรที่เคยอดกลั้นไว้ไหลนองอาบสองแก้ม จูเลียนยื่นมือค้างเมื่อร่างของฮานส์ถูกรั้งตกลงไปในแอ่งน้ำต่อหน้าต่อตา เดิมทีบริเวณนี้เป็นบึงกว้างที่พื้นผิวน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็ง แต่ไม่หนาและไม่แข็งแรงพอจะรองรับน้ำหนักยามถูกกระแทกแรง ๆ ได้ อีกทั้งแผ่นน้ำแข็งยังลื่นจนร่างหนัก ๆ ที่กำลังดิ้นเร่าเสียการทรงตัว



“โรฮานส์! กลับมา! ได้โปรดกลับมา” จูเลียนไม่สนใจแล้วว่ากำลังร้องไห้ฟูมฟาย ไม่ใช่ว่ากลัวที่ต้องอยู่คนเดียว แต่เป็นเพราะเสียใจที่ใครคนหนึ่งต้องมาตาย เพราะความโง่เขลาของตัวเอง ใครคนหนึ่งที่เคยช่วยชีวิตจูเลียนหลายครั้ง ใครคนหนึ่งที่โผล่เข้ามาสร้างความไม่พอใจและความปั่นป่วน ใครคนหนึ่งที่แอบอ้างว่าจูเลียนเป็นเมียหน้าตาเฉย ใครคนหนึ่งที่เย่อหยิ่งทะนงตน ไม่ยอมก้มหัวให้จูเลียนที่เป็นถึงองค์กษัตริย์

ใครคนหนึ่งที่ต้องตายอย่างไร้ศักดิ์ศรีเพราะความโง่เขลาของจูเลียน!



“ฮานส์...กลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้” จูเลียนไม่ทิ้งความเอาแต่ใจ แต่ก็ได้กลับมาเพียงความเงียบ ทุกอย่างเงียบราวกับไม่เคยมีการต่อสู้เกิดขึ้นมาก่อน หากไม่มีเลือดสีแดงสดเปื้อนหิมะเป็นหลักฐานให้เห็นคาตา

“ถ้าข้าไม่ดื้อรั้นกับเจ้า มันคงไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหมฮานส์” จูเลียนฟุบหน้าลงกับพื้นน้ำแข็งเย็น ๆ แก้มขาวที่ซับสีแดงปลั่งเพราะความหนาวอาบไปด้วยน้ำตาเป็นสาย ร่างเพรียวสิ้นไร้เรี่ยวแรงราวกับคนสิ้นหวัง จูเลียนกำลังสำนึกผิดและโทษความดื้อรั้นของตัวเอง หิมะที่ตกลงมาอย่างบ้าคลั่งในคราแรก เหลือเพียงละอองบาง ๆ โปรยลงมา ราวกับร่วมไว้อาลัยให้คนที่เพิ่งจากไป ราวกับแสดงความเสียใจกับคนที่กำลังฟุบหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวด ไม่มีอีกแล้ว ยามนี้จูเลียนไม่มีใครจริง ๆ แล้ว



“ฮานส์..ข้าเสียใจ ข้า...”

“จู เลียน” เสียงแผ่ว ๆ ที่แว่วมาให้ได้ยินยังไม่อาจเรียกสติของคนที่กำลังเสียใจกลับมาได้ จูเลียนยังฟุบหน้าร้องไห้ฟูมฟาย ที่เห็นฮานส์ตกลงไปในแอ่งน้ำเย็น ๆ ต่อหน้าต่อตา จนกระทั่งเสียงเรียกดังขึ้นมาอีกครั้งร่างที่ฟุบฟูมฟายอยู่จึงถึงกับชะงัก

“จูเลียน”

“ฮานส์!” จูเลียนเงยหน้าขึ้นเห็นเพียงใบหน้าของฮานส์ แต่ตัวชายหนุ่มยังอยู่ใต้น้ำ เขาเกาะอยู่กับขอบรอยแตกของแผ่นน้ำแข็ง กษัตริย์หนุ่มน้อยมองภาพนั้นเอย่างไม่เชื่อสายตา แต่ใบหน้าที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเครา และนัยน์ตาสีดำสนิทกวนอารมณ์คู่นั้น จะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่คนที่จูเลียนกำลังร้องไห้หาปานใจจะขาด

“มะ มาดึงข้าขึ้นไปหน่อย” ฮานส์บอกด้วยเสียงที่สั่นมากจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง จูเลียนรีบปัดมือเช็ดน้ำตาออกลวก ๆ จึงพอมองเห็นอะไรได้ชัดขึ้น ร่างที่เกาะอยู่กับแผ่นน้ำแข็งสั่นจนน่าตกใจ แต่เสียงของฮานส์เรียกสติจูเลียนกลับมา

“ระ เร็วสิวะ ข้า จะแข็งตายอยู่แล้ว” ฮานส์บอกพลางโยนดาบในมือขึ้นมาก่อน ตามด้วยร่างสั่น ๆ ของเขาที่พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมา จูเลียนจึงผวาเข้าช่วยดึงร่างสูงใหญ่อย่างยากลำบาก เพราะฮานส์เริ่มสั่นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ และเกือบจะตกลงไปในน้ำเย็น ๆ อยู่หลายครั้ง

“ฮานส์ขึ้นมา เจ้าต้องขึ้นมาให้ได้นะ”

“ก็ดึงสิ เร็ว”

“ขึ้นมา” จูเลียนสอดมือเข้าใต้รักแร้ของคนหน้าหนวด รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกลั้นใจดึงร่างสั่นเทาขึ้นมารวดเดียว จนฮานส์ขึ้นมานอนสั่นอยู่บนแผ่นน้ำแข็งได้ทั้งตัว

จูเลียนเหนื่อยจนหอบแทบหายใจไม่ทัน แต่ก็พักไม่ได้ เพราะตอนนี้ฮานส์สั่นไปทั้งตัวจนน่าเป็นห่วง คนหน้าหนวดกอดตัวเองแน่นเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น แต่นั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะร่างทั้งร่างเปียกโชก จูเลียนก็ได้แต่หันรีหันขวางเพราะไม่รู้จะช่วยยังไง

“ฮานส์” ยิ่งเห็นฮานส์สั่นหนักจูเลียนยิ่งทำอะไรไม่ถูก แต่ถ้ายังไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง ฮานส์คงได้หนาวตายตรงนี้แน่ “ไหวไหมลุกขึ้นก่อน”

“..” จูเลียนประคองร่างที่สั่นเทาให้ลุกขึ้นพาเดินไปอย่างทุลักทุเล หิมะที่ตกหนักหยุดลงตั้งแต่ตอนไหนจูเลียนไม่รู้ ตอนนี้สิ่งที่หนุ่มน้อยต้องการมากที่สุดคือที่ไหนสักแห่ง ที่สามารถพาฮานส์เข้าไปหลบหนาวได้ และเหมือนกับว่าโชคชะตายังไม่โหดร้ายกับยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทียมากเกินไป เดินมาได้ไม่ไกลจูเลียนก็เห็นโพรงลึกเข้าไปใต้ดินที่พอจะเข้าไปหลบหนาว หนุ่มน้อยไม่รอช้ารีบพาร่างสั่นเทาเข้าไปทันที

“เข้าไปก่อน” พอพากันเดินลอดเข้าไป จึงพบว่ามันเป็นโพรงที่เกิดจากต้นไม้ขนาดใหญ่ล้มลง คงจะเป็นเพราะพายุหิมะหรืออะไรจูเลียนก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ตอนนี้มันคือที่พักที่ดีที่สุดสำหรับหลบหนาว รากที่แผ่สาขาออกยามต้นโค่นลงทำให้เกิดโพรงขนาดใหญ่ที่พออาศัยอยู่สองคนได้สบาย พื้นข้างล่างเป็นหินนั่นจึงพออธิบายได้ว่าทำไมต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้มันถึงได้ล้มลงง่าย ๆ หิมะที่ตกไหลเข้ามาไม่ถึง แม้พื้นหินจะเย็นอยู่มากแต่ก็ยังดีกว่าต้องนอนอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นข้างนอก

“เจ้าไหวไหมฮานส์” ได้ยินเสียงจูเลียนถามฮานส์ที่ยังตัวสั่นหนักจึงพยายามปรือตาขึ้นมอง

เขาบอกตะกุกตะกัก “กะ ก่อ ฟ ไฟ”

“ก่อไฟ” ถ้าฮานส์ได้เห็นสีหน้าของจูเลียนตอนนี้จะรู้ทันทีว่าอีกคนทำไม่เป็น จูเลียนมองไปรอบตัวที่มืดสลัวเพราะไม่รู้จะทำอะไรตรงไหนก่อน แล้วจึงหันกลับมาหาฮานส์ “ข้า ต้องทำยังไง”

“ถุง”

“ถุงหรือ ถุงอะไร ถุงที่เจ้าถือมาหรือฮานส์” จูเลียนหันซ้ายหันขวาหาสิ่งที่ฮานส์ต้องการ แต่ข้างกายไม่มีจึงจำได้ว่าชายหนุ่มทิ้งมันไว้ตอนสู้กับหมาป่า

“ในถุง” เห็นฮานส์กำลังจะหมดสติอยู่แล้วจูเลียนเลยยิ่งอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อฮานส์ต้องการถุงหนุ่มน้อยจึงต้องรีบไปหามาให้

“เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวข้าจะไปเอาถุงมาให้” จูเลียนวิ่งกลับไปทางเก่าที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น เห็นถุงหนังที่ฮานส์มักจะสะพายติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอดถูกทิ้งไว้ จึงวิ่งไปเก็บมันมา จูเลียนคว้าถุงหยิบขึ้นมาพาดไหล่ เพิ่งได้รู้ว่ามันหนักมากทีเดียว พอได้ถุงแล้วจึงหันหลังจะวิ่งกลับ แต่สายตาสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างเสียก่อน จึงวิ่งไปหยิบมันมาด้วย

ดาบของฮานส์!



“ฮานส์ ถุงของเจ้า”

“ไปหากิ่งไม้แห้งมา” ฮานส์กระชากถุงไปค้นหาของด้วยมือที่สั่นจนแทบควบคุมไม่ได้ ปากก็บอกจูเลียนไปด้วยจนอีกคนต้องวิ่งออกไปหากิ่งไม้มาให้ตามสั่ง ซึ่งมันหาได้ไม่ยากเพราะอยู่ใต้โพรงของต้นไม้ใหญ่ที่ล้มแห้งตาย แค่วิ่งออกไปก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว



จูเลียนกลับมาพร้อมกิ่งไม้แห้งหอบใหญ่ในมือ ฮานส์เลยรีบก่อไฟทั้งที่มือและเนื้อตัวของเขายังสั่นอยู่มาก ปากของเขาเริ่มเขียวคล้ำ ดีที่ยังไม่หมดสติไปเสียก่อน จนไฟเริ่มติดแต่ก็ยังไม่ร้อนพอที่จะให้ความอบอุ่น ฮานส์ที่ทนมาจนถึงขีดสุดก็หมดสติลงตรงข้างกองฟืนนั่นเอง

“เจ้าจะนอนตรงนี้ไม่ได้นะฮานส์”

“...”

“ฮานส์” จูเลียนเขย่าตัวปลุกแต่ฮานส์หมดสติไปแล้วทั้งที่ร่างกายยังสั่นแรง หันซ้ายหันขวาเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดี ระหว่างทำให้ไฟลุกติดมากกว่านี้หรือดูแลฮานส์

“ขยับออกมาอีก” พอจับตัวฮานส์จะดึงออกให้ห่างจากกองไฟ จูเลียนถึงได้รู้ว่าอีกคนตัวเย็นมากแค่ไหน ร่างกำยำยังสั่นสะท้านเพราะเสื้อผ้ายังเปียกชุ่ม และก่อนที่ฮานส์จะเป็นอะไรไปมากกว่านี้หนุ่มน้อยก็ตัดสินใจได้



จูเลียนรีบถอดเสื้อผ้าเปียกของฮานส์ออกจนหมด สละผ้าคลุมของตัวเองปูพื้นให้ฮานส์นอน แล้วห่มร่างกำยำด้วยเสื้อคลุมตัวหนาของฮานส์เอง ที่ถอดมันให้จูเลียนตั้งแต่วันก่อน ห่มให้ทั้งตัวจนถึงเท้า จูเลียนรู้ว่ามันเป็นผ้าเนื้อดีที่ทอขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อกันหนาว จึงสามารถให้ความอบอุ่นได้มากกว่า เสื้อตัวนอกของจูเลียนถูกถอดออกมาอังไฟที่กำลังลุกโชน พออุ่นได้ที่ก็เอามาคลุมหัวคลุมตัวให้ฮานส์อีกชั้น แต่ดูเหมือนว่าอาการยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ แม้ไฟที่ก่อไว้จะให้ความอบอุ่นได้พอสมควรแล้ว ร่างกำยำยังไม่คลายอาการสั่นเท่าที่ควร จูเลียนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่กอดฮานส์แน่น หวังแบ่งปั่นความอบอุ่นจากร่างกายให้แก่กัน

ผ่านไปเป็นครู่อาการของฮานส์จึงดีขึ้น แต่ร่างกำยำก็ยังสั่นสะท้านขึ้นมาเป็นพักๆ ทุกครั้งจูเลียนจะคอยกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น มืออุ่นนุ่มถูไปตามกล้ามเนื้อแข็งแกร่งทั้งหลังและไหล่ให้เกิดความร้อน หวังว่ามันจะช่วยได้บ้าง จนในที่สุดจูเลียนก็รั้งร่างของฮานส์ซบแนบอก มีผ้าผืนหนาห่มคลุมร่างของทั้งสองไว้ ไฟกองใหญ่ให้ความอบอุ่น จูเลียนทนความเหนื่อยความเพลียไม่ไหวจึงหลับไปด้วยกัน



**************************** 50%

ขอรับบริจาคฮีทเตอร์ให้ฮานส์ น่าสงสารจูเลียนน้องต้องกอดว่าที่สามีให้ความอบอุ่น 




ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
บทที่ 17 ใต้โพรงต้นไม้ที่อบอุ่น.. 100%


ก่อนหน้าที่ฮานส์จะตามมาช่วยจูเลียนทัน

“ข้ารู้ว่าหนุ่มน้อยเป็นใคร ไม่ตามไปจะดีหรือเจ้าคะนายท่าน” ดูก็รู้ว่าคงไปคนเดียวไม่รอด มาเรียตต้าถามแต่ไม่ได้รับคำตอบ ฮานส์จับมือนางขึ้นมาวางถุงผ้าเล็ก ๆ ลงที่กลางฝ่ามือ

“ในนี้มีเหรียญทองจำนวนหนึ่ง ใช้มันไถ่ตัวเจ้าให้เป็นอิสระซะ”

“แต่..” ดวงตาสีดำสนิทดุจรัตติกาลจ้องมองนางจริงจัง หญิงสาวนิ่งราวกับถูกสะกด จ้องกลับด้วยแววตาอ่อนซื่อภักดี

“เจ้าสมควรได้รับมัน ไถ่ตัวแล้วคงเหลือมากพอให้ลงทุนทำอะไรสักอย่างเลี้ยงตัว” ฮานส์บอกเพียงเท่านั้นก็ทำท่าจะหันหลังกลับ แต่มาเรียตต้าไม่ยอมปล่อยมือ

“ข้าจะอยู่ที่นั่น เมืองชายแดนที่เราเจอกันครั้งแรก ถ้าผ่านไปขอให้ข้าได้เจอท่านอีก” ฮานส์เพียงยิ้มบาง ๆ ให้นางแต่ไม่ได้รับปาก ชายหนุ่มเดินจากไป มีสายตาของมาเรียตต้ามองตามจนลับตา



ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่ไฟที่ลุกโชนในตอนแรกเริ่มอ่อนลงเหลือเพียงถ่านแดง ๆ ที่ยังให้ความร้อนได้ดีพอสมควร ร่างกายที่ได้รับความอบอุ่นเริ่มฟื้นตัว ฮานส์ลืมตาขึ้นช้า ๆ พบว่าตัวเองนอนซบอยู่บนแผ่นอกบางของจูเลียน หนุ่มน้อยกำลังหลับสนิท รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหน้าจึงเงยขึ้น เจ้าของใบหน้านวลผ่องหลับตาพริ้มแต่ไม่ยอมคลายวงแขนที่กอดร่างเขา ชายพเนจรยิ้มบาง ๆ ค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้น รู้สึกถึงความโล่งของร่างกายจึงได้รู้อีกอย่างหนึ่ง ว่าตัวเองกำลังเปลือยเปล่า มองหาเสื้อพบว่ามันกองอยู่ข้างกองไฟและยังชื้นอยู่มาก จึงกระชับผ้าคลุมห่มให้จูเลียนแล้วลุกขึ้นไปเติมฟืน ปักกิ่งไม้ทำราวพาดเสื้อผ้าอังไฟให้แห้ง ค่อยกลับมานอนข้างกัน รั้งร่างเพรียวเข้ามากอดไว้แนบอกหลับไปอีกรอบ



แม้จะเป็นเช้าวันใหม่ แต่สภาพอากาศยังย่ำแย่มืดครึ้ม เลยทำให้ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างมากนัก บรรยากาศรอบตัวที่หนาวก็ยังคงความหนาวอยู่เช่นเดิม ดีหน่อยที่ตอนนี้หิมะไม่ตก คนที่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วถึงเวลาตื่น เปลือกตาบางกะพริบสองสามครั้งจึงค่อย ๆ ลืมขึ้นช้า ๆ ภาพตรงหน้ายังพร่ามัว ยกมือขึ้นมาขยี้เบา ๆ แล้วหลับลงไปอีก บดบี้ใบหน้าแนบลงกับความอบอุ่นทำท่าจะหลับต่อ แต่พอรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่เต้นเป็นจังหวะแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตรงที่แนบซีกแก้มซบลงไปจึงลืมตาขึ้นใหม่ ความงัวเงียค่อย ๆ จางหายไปแทนที่ด้วยสติและตื่นเต็มตา พอตื่นเต็มตาจูเลียนจึงเพิ่งนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร



“ฮานส์!”

“ชู่ อย่าเพิ่งลุกขึ้นสิ ข้ากำลังหลับสบายอยู่เลย เจ้าจะรีบตื่นมาทำไม” เสียงดุของฮานส์ยิ่งเร่งให้จูเลียนรีบขืนตัวออกจากอ้อมแขนของเขา แต่มีหรือคนที่อ้างว่ากำลังหลับสบายจะยอมปล่อยร่างอุ่นง่าย ๆ

“ปล่อยข้า”

“ปล่อยทำไมกำลังอุ่นพอดีเลย”

“เจ้ามากอดข้าตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย ก็เมื่อคืน..”

“เมื่อคืนทำไม?”

“ก็...” ก็เมื่อคืนข้าเป็นคนกอดเจ้าไว้ไม่ใช่หรือ? จูเลียนอยากถามออกมาแบบนี้ แต่อยู่ดี ๆ ก็พูดไม่ออก มันรู้สึกกระดากปากแปลก ๆ ทั้งยังไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นคนกอดฮานส์ไว้ก่อนจะหลับไป

“หือ ว่าไง?”

“ไม่มีอะไร”

“นอนต่อเถอะน่า” บอกพลางรั้งจูเลียนที่ขืนตัวไว้กระชับกอดให้แน่นขึ้นอีก ใช่ที่มันอุ่น แต่ตอนนี้จูเลียนรู้สึกตัวแล้วเรื่องอะไรจะยอมนอนเฉย ๆ ให้ฮานส์กอดอย่างสบายใจ

“ปล่อยข้านะ” ฮานส์ทำเสียงเหมือนรำคาญ ขยับนอนตะแคงหันหน้ามาหาจูเลียน และพอได้สัมผัสร่างกายกำยำแนบชิด หนุ่มน้อยจึงเพิ่งนึกได้อีกอย่างว่า...

“ฮานส์! “

“อะไรอีกวะ!?”

“เจ้า..”

“ข้าทำไมนักหนา?”

“เจ้าไม่ได้ใส่เสื้อผ้า! ปล่อยข้าเลยเจ้ามันคนลามก” เพราะร่างกายที่แนบชิด และอะไรบางอย่างของฮานส์กำลังทิ่มแทงอยู่ตรงหน้าขาของจูเลียน ทำให้หนุ่มน้อยเผลอด่าออกมาตรง ๆ คนลามกได้แต่กลั้นเสียงหัวเราะขำ ใจนึกอยากแกล้ง

“เอ๊ะ แล้วเมื่อคืนใครล่ะที่ถอดเสื้อผ้าข้าออกจนหมด ไม่ใช่เจ้าหรือไง”

“ก็..ใช่ล่ะข้าถอดออกเองแต่เพื่อช่วยเจ้านี่ ตื่นแล้วเจ้าก็ควรไปแต่งตัวให้เรียบร้อยสิ”

“มันเปียกอยู่ เจ้าจะให้ข้าใส่ทั้งที่เปียกคงได้ป่วยตายก่อนพอดี” จูเลียนจนด้วยเหตุผลแต่ยังจ้องหน้าฮานส์เงียบ พอเห็นจูเลียนเงียบฮานส์เลยยิ่งขยับตัวเข้าเบียดให้แนบชิดมากขึ้นอีก จนกษัตริย์หนุ่มน้อยร้องโวยวาย

“เจ้าจะทำอะไรเนี่ยฮานส์ ปล่อยข้าเลยนะห่มผ้าของเจ้าไปเลย” แกล้งจนพอใจแล้วฮานส์ก็ยอมปล่อยแต่โดยดี จูเลียนเลยทุบลงตรงอกแกร่งกำยำไปอย่างแรงหนึ่งทีหนัก ๆ แต่เหมือนเจ้าของอกจะไม่สะทกสะท้านสักนิด จูเลียนขยับไปนั่งข้างกองไฟ จึงเห็นว่าเสื้อผ้าของฮานส์พาดตากอยู่บนกิ่งไม้ และมันแห้งแล้ว

“ผ้าคลุมกับเสื้อตัวนอกของเจ้าไปไหน?” จูเลียนไม่ตอบแต่หันกลับมามองฮานส์ตาขวาง ชายหนุ่มนอนเอามือทั้งสองข้างหนุนหัว จนกล้ามแขนแน่น ๆ ขึ้นเป็นก้อน แผ่นอกกว้างประดับด้วยไรขนที่พ้นขอบผ้าคลุมดูแข็งแกร่ง จูเลียนมองต่ำที่พื้นก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น ฮานส์มองต่ำตามสายตาของจูเลียนจึงได้เห็น ว่าพื้นอุ่น ๆ นั้นปูรองด้วยผ้าคลุมอีกผืน ซึ่งจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากของจูเลียน

เขายิ้มออกมาบาง ๆ ในความรั้นเอาแต่ใจของกษัตริย์หนุ่มน้อย ยังแฝงไปด้วยความมีน้ำใจและไม่ถือตัว ผ้าคลุมผืนนี้ถ้าจะว่ากันตามจริง แม้มันจะเป็นเพียงฉลองพระองค์ลำลอง แต่ยังปักตราประจำตัวเล็ก ๆ ไว้ใต้ปก ตราที่บ่งบอกถึงความสำคัญและสูงศักดิ์ แต่จูเลียนก็สละมันเพื่อปูรองให้ฮานส์ได้นอนอย่างอบอุ่น



“แทนที่จะนอนยิ้มเหมือนบ้า ข้าว่าเจ้าควรลุกมาแต่งตัวได้แล้วนะฮานส์” เนตรเขียวมรกตมองขวาง เพราะหันมาเห็นฮานส์ยังนอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่เหมือนเดิม ไม่รู้จะยิ้มทำไมนักหนาจูเลียนเห็นแล้วนึกหงุดหงิด

“ดูให้หน่อยสิ เสื้อผ้าข้าแห้งหรือยัง”

“ข้าเป็นเด็กรับใช้ของเจ้าหรือไง อยากรู้ก็ดูเองสิ”

“ก็ได้” ฮานส์ตอบลากเสียงยาวจึงได้รับสายตาค้อนทันที แต่อะไรก็ไม่ทำให้จูเลียนตกใจได้เท่ากับอยู่ดี ๆ ฮานส์ก็ลุกขึ้นทั้งที่ร่างกายยังเปลือยเปล่า แล้วเดินโทง ๆ มายืนข้างกองไฟตรวจดูเสื้อผ้าที่ผึ่งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

“ฮานส์! เจ้าบ้าไปแล้วหรือไงเจ้าคนลามก ยี้” จูเลียนรีบเอามือปิดตาหันหน้าไปทางอื่น ปากบริภาษให้ฮานส์ที่หน้าไม่อาย เสื้อผ้าไม่ใส่ยังลุกขึ้นเดินหน้าตาเฉย จูเลียนที่นั่งอยู่ข้างกองไฟใกล้ ๆ กับเสื้อผ้าของฮานส์เลยแทบปิดตาหันหนีไม่ทัน

“หึ เจ้าอายหรือไง นึกว่าแอบดูตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

“ใครแอบดูเจ้า อย่ามากล่าวหาข้าเชียวนะ”

“แล้วใครจับข้าแก้ผ้าล่ะ” ฮานส์ชะโงกตัวส่องดูหน้าจูเลียนที่ยังหันไปทางอื่น เขาหัวเราะขำทำให้จูเลียนที่ได้ยินยิ่งขัดใจ จะหันกลับมาจะต่อว่าให้สักที แต่กลับต้องอ้าปากค้างตาโต เพราะฮานส์มายืนประชิดตัวขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ส่วนสงวนที่ควรปิดบังชี้หน้าจูเลียนพอดีแทบจะทิ่มตา!

“อ้ากกกก ฮานส์!!!!” ฮานส์ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างสะใจที่ได้แกล้ง จูเลียนรีบเอามือปิดหน้าหันไปทางอื่น พักตร์นวลผ่องที่ซับสีแดงระเรื่อเพราะความหนาวอยู่แล้ว ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ เพราะได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นต่อหน้าต่อตาอย่างชัดเจน แบบใกล้ชิดอย่างที่ไม่เคยมาก่อน

“เป็นอะไรของเจ้าเนี่ย” ไม่พูดเปล่า ฮานส์ยังคุกเข่าข้างหนึ่งลงข้าง ๆ จับไหล่จูเลียนรั้งให้หันหน้ากลับมาหา เสื้อผ้าในมือแห้งแล้วแต่ไม่ยอมใส่ดี ๆ ให้เรียบร้อยก่อน

“เจ้ามันหน้าไม่อาย หน้าไม่อายจริง ๆ เจ้ามันคนลามกฮานส์ ไปไกล ๆ ข้าเลย”

“หึหึ อายอะไรล่ะ เจ้าเองก็มีเหมือนกันนี่ แล้วตอนที่เจ้าถอดเสื้อผ้าข้าออกก็เห็นหมดแล้วใช่หรือไง”

“ข้าก็แค่ถอดออกไม่ได้มองตรงนั้นสักหน่อย” จูเลียนบอกเสียงอ่อย แต่ยังไงก็ยังไม่ยอมหันหน้ามาคุยกันดี ๆ ตอนถอดเสื้อผ้าให้มือทำงานแต่ตามองไปทางอื่น ไม่รู้ทำไมแต่จูเลียนไม่กล้ามองร่างกายแกร่งกำยำของฮานส์ แค่ต้องถอดเสื้อผ้าให้ก็ใจสั่นมือสั่นจนเกือบทำไม่อะไรไม่ถูกแล้ว

“หึ”

“ไม่ต้องมาหัวเราะเยาะข้านะ” พักตร์นวลแดงก่ำที่พวงปรางซ้ำยังบึ้งตึง เพราะขัดใจเสียงหัวเราะขำของฮานส์ ยิ่งได้ยินยิ่งทำให้หงุดหงิด “ถ้าข้าไม่จับเจ้าแก้ผ้าป่านนี้คงหนาวตายไปแล้ว”

“จูเลียนทรงกรุณาต่อข้าเหลือเกินฝ่าบาท” ฮานส์บอกแล้วค้อมตัวลงคำนับจูเลียนอย่างอ่อนน้อม

“เจ้า..ไม่ต้องเลยนะ”

“เอ้าเดี๋ยวจะหาว่าข้าไม่รู้จักขอบคุณอีก” จูเลียนหน้าตูม ตั้งแต่ได้เจอหน้ากันมา มีหรือที่ฮานส์จะเคยใช้คำราชาศัพท์พูดด้วยอย่างนี้ นอกจากเวลาที่อยากกวนอารมณ์ให้หงุดหงิดเล่น และตอนนี้ก็คงไม่ต่างกัน เห็นได้จากรอยยิ้มทะเล้นกับสายตายียวนที่มองมา แค่นี้จูเลียนก็รู้แล้ว

“เจ้าไม่ต้องมาพูดเลยฮานส์ รีบใส่เสื้อผ้าข้าหิวจะตายอยู่แล้ว” ฮานส์เพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น จูเลียนคงยังไม่ได้กินอะไร รวมถึงตัวเขาเองด้วย พอพูดถึงก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเหมือนกัน ฮานส์จึงรีบใส่เสื้อผ้าแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วลุกขึ้น

“รออยู่นี่ก็แล้วกันข้าจะไปหาอะไรมาให้กิน”

“หาอะไรล่ะ เจ้าไม่ได้เตรียมของกินมาด้วยหรือไง”

“ถ้าไม่อยากกินขนมปังแห้งก็นั่งรออยู่นี่ อย่าออกไปไหน” ฮานส์ลุกขึ้นหยิบดาบเสียบเข้าฝักของมันเหมือนเดิม แล้วหันไปกำชับจูเลียน “อย่ามัวแต่นั่งอยู่เฉย ๆ ล่ะ เอาฟืนมาเติมไฟไว้ด้วย”

“รู้หรอกน่า” จูเลียนบอกทั้งที่ไม่ได้หันมาทางฮานส์ หนุ่มน้อยจึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ ที่ผุดขึ้นมาประดับใบหน้ารกหนวดรกเครา ยามที่ฮานส์มองจูเลียน บัดนี้เขาไม่ได้เห็นกษัตริย์ผู้เย่อหยิ่งเอาแต่ใจตัวเอง คนที่เคยอยากเอาชนะเขา แต่เห็นเพียงหนุ่มน้อยไร้เดียงสาธรรมดาคนหนึ่ง ที่กำลังนั่งเขี่ยไฟและเติมกิ่งไม้เข้าไป ซ้ำยังหน้าแดงหูแดงเพราะความเขินอาย จูเลียนที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่เคยชินต่อการเห็นร่างกายของคนอื่น



ผ่านไปครู่ใหญ่ฮานส์จึงกลับเข้ามาในโพรงใต้ต้นไม้ พร้อมกับอะไรบางอย่างในมือ ที่บอกจูเลียนว่ามันจะเป็นอาหารที่ดีที่สุดที่เขาหาได้ พอจูเลียนเห็นเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือฮานส์ก็ทำตาโตตกใจ

“กระต่าย! ”

กระต่ายตัวน้อยขนปุยสีขาวราวหิมะที่อยู่ในมือฮานส์ดิ้นกระแด่วๆ เพราะถูกเขาจับหูชูขึ้นสูง คนหน้าหนวดมองสิ่งที่อยู่ในมือสลับกับจูเลียนบอกหน้าตาย “กระต่ายที่ไหน นี่มันอาหารเช้าของเราชัด ๆ “

“เจ้าอย่าบอกนะว่า...”

“อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ อย่าพูดมากเสียเวลาเจ้าหิวไม่ใช่หรือไง”

“อย่านะฮานส์! ” จูเลียนร้องตามเสียงหลงโผเข้ากอดแขนฮานส์ไว้แน่น ขณะที่เขากำลังเงื้อมือขึ้นจะฟาดกระต่ายลงกับก้อนหิน

“อะไรของเจ้า ไหนบอกหิว”

“แต่เจ้ากำลังจะทำอะไรล่ะ”

“ทำอาหารเช้าให้เจ้ากินไง” จูเลียนส่ายหน้ารับไม่ได้ กอดท่อนแขนแกร่งแน่น ดวงเนตรเขียวมรกตมีแววหวาดหวั่นมองฮานส์นิ่ง แต่สีหน้ากลับดูดื้อรั้นไม่ยอม เหมือนฮานส์เองจะไม่ยอมเช่นกัน จูเลียนจึงตัดสินใจแย่งกระต่ายตัวน้อยขนปุยมาอุ้มไว้เองอย่างทะนุถนอม

“เอามานี่”

“อ๋อ เจ้าอยากทำเองหรือ ได้สิ”

“ไม่ ข้าจะปล่อยมันไป!”

“ปล่อยไม่ได้ ปล่อยแล้วจะเอาอะไรกิน” ความหิวทำให้จูเลียนหน้าเสียทั้งลังเลแต่ความสงสารมีมากกว่า

“แล้ว..เจ้ากินมันหลงหรือฮานส์ ดูสิมันน่ารักออกขนฟูเชียว” จูเลียนไล้ฝ่ามือเบา ๆ ไปตามขนนุ่มของกระต่ายตัวน้อย

“ถลกหนังมันออกก็ไม่น่ารักแล้ว หรือเจ้าอยากกินสัตว์น่าเกลียดข้าจะได้ไปจับงูมาย่างให้เจ้ากินแทน”

“ยี้..ไม่เอาข้าไม่กินงู”

“ไม่กินก็เอามันคืนมาข้าจะทำเป็นอาหารเช้าให้กิน”

“ไม่ได้นะ ดูสิฮานส์มันกลัวเจ้าแล้ว ชู่..ไม่ต้องกลัวนะอยู่กับข้าเจ้าจะปลอดภัย” จูเลียนก้มลงดูกระต่ายตัวน้อยในอ้อมแขน ดวงเนตรสีเขียวสดใสมีแววอ่อนโยนยามลูบมือเบา ๆ ไปบนปุยขนนุ่มสีขาวราวหิมะ กระต่ายตัวน้อยดูเชื่องทั้งที่จะถูกนำมาเป็นอาหาร ยอมให้จูเลียนอุ้มไว้อย่างว่าง่าย ราวกับรู้ว่าตัวเองจะปลอดภัยยามอยู่ในมือคู่นี้ แต่สายตาเจ้าของใบหน้ารกหนวด หาได้จับจ้องอยู่กับกระต่ายตัวน้อยขนฟูอย่างที่จูเลียนบอก เพราะสายตาเขากำลังถูกพักตร์อ่อนเยาว์ และดวงเนตรสีเขียวมรกตใสซื่อ ที่กำลังมองกระต่ายตัวน้อยด้วยความเมตตาสะกดเอาไว้จนนิ่ง

“ปล่อยมัน ปล่อยมันเถอะนะฮานส์ ข้าขอร้อง”

ฮานส์ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “ปล่อยมันไปก็ไม่รอดหรอก เราไม่กินมัน มันก็อาจจะกลายเป็นอาหารของหมาป่าหรือไม่ก็สัตว์อื่นอยู่ดี”

“ต้องรอดสิ ก็มันอยู่รอดมาได้ตั้งขนาดนี้”

“ขนาดนี้อะไรนี่มันลูกกระต่ายเองนะ แม่มันก็หนีไปไหนแล้วไม่รู้”

“ข้า..จะดูแลมันเอง” ฮานส์ถอนหายใจหนักกว่าเก่า ต้องเดินทางหนีตายว่าแย่แล้วยังจะมาเลี้ยงลูกกระต่ายอีก ได้ยินประโยคต่อมาของจูเลียน ฮานส์ก็แทบจะเอาหัวมุดหิมะตายให้รู้แล้วรู้รอดมันตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย “ข้าจะเรียกเจ้าว่าอะไรดีเจ้ากระต่ายน้อย ตัวเล็ก ๆ อย่างนี้ข้าเรียกเจ้าว่าเจ้าหนูก็แล้วกันนะ” ฮานส์กลอกตา จูเลียนเรียกกระต่ายว่าหนูเสียอย่างนั้น

“จูเลียน นั่นมันอาหารเช้าเอาคืนมา!” จูเลียนมองฮานส์ตาขวางแค่นี้เขาก็รู้แล้วล่ะว่าอีกคนกำลังโกรธ

“อย่ามาจ้องจะกินเจ้าหนูของข้านะ ตอนนี้มันเป็นของข้าแล้ว” กลายเป็นฮานส์ที่จ้องจูเลียนตาขวางแทน จูเลียนก็จ้องตอบไม่ลดละ เหมือนต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลงให้กัน จนในที่สุด..

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ทนหิวต่อไปเถอะ หรือไม่ก็กินขนมปังแห้ง ๆ นั่นไปเลย” ฮานส์บอกเสียงดุเล่นเอาจูเลียนหน้าเสีย แต่เพราะความอยากเอาชนะเลยเชิดหน้าขึ้น มือกอดกระต่ายตัวน้อยแน่น

“ไม่ ข้าไม่กินขนมปังแห้ง”

“แล้วเจ้าจะกินอะไร ที่นี่ไม่ได้มีโรงครัวที่เจ้าจะสั่งพ่อครัวทำอาหารทุกอย่างมาให้กินได้ตามต้องการหรอกนะ”

“เจ้า..เจ้าก็ออกไปหามาใหม่สิ”

“หามาใหม่แล้วเกิดเจ้าสงสารมันอีก ข้าไม่ต้องออกไปหาของกินทั้งวันหรือไง” ฮานส์ฉุนหนักยืนเท้าเอวเตรียมปะทะกับจูเลียนเต็มที่

“ก็ข้าสงสารมันนี่นา” สีหน้าจูเลียนเปลี่ยนเป็นสลดอย่างน่าสงสาร จนฮานส์ได้แต่หลับตาข่มอะไรบางอย่างร้อน ๆ ที่มันกำลังเดือดปุด ๆ ขึ้นมาได้เอง

“ข้าจะทำยังไงกับเจ้าดีจูเลียน” ฮานส์สบถออกมาอีกหลายคำอย่างหัวเสีย นอกจากคนตาสีเขียวจะไม่ยอมให้เขาจัดการกับกระต่ายตัวน้อย เพื่อทำเป็นอาหารเช้า ยังจะให้เขาออกไปหาอย่างอื่นมาทำให้กินแทน เกิดเขาหาสัตว์อะไรมาแล้วจูเลียนสงสารมันขึ้นมาอีก วันนี้คงไม่ต้องกินอะไรกินกันแล้ว



**********************



“ท่านรัฐมนตรี” เสียงหนึ่งดังแทรกการประชุมที่กำลังเคร่งเครียดขึ้น ยิ่งทำให้รัฐมนตรีโจเซฟประธานในที่ประชุมเครียดกว่าเก่า เพราะไม่คิดว่าเจ้าของเสียงจะเดินทางมาถึงได้เร็วขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นคนตีสองหน้าก็ยังสามารถทำตัวให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนในที่ประชุมต่างลุกขึ้นยืนเมื่อร่างสูงสง่าเดินเข้ามาถึง

“อ่า ลอร์ดนิโคลท่านกลับมาแล้ว ยินดีต้อนรับกลับบ้าน สวาเนียร์เป็นอย่างไรบ้าง..”

“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ การแต่งงานของข้าหรือผลประโยชน์ที่เราจะได้จากฝ่ายนั้น”

“ข้าหมายถึงทั้งสองเรื่องนั่นแหละ”

“ข้าดีใจนะที่ท่านห่วงผลประโยชน์ของบ้านเมือง แต่ข้าเสียใจจริง ๆ ที่ต้องบอกว่า การแต่งงานถูกเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด แล้วชีวิตกษัตริย์ไม่สำคัญหรอกหรือท่านรัฐมนตรี”

“แน่นอนว่าชีวิตกษัตริย์ย่อมสำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้ข้าก็ส่งคนออกไปช่วยฝ่าบาทแล้ว”

“แล้วได้ข่าวคืบหน้าอะไรบ้างหรือยัง”

“ยังไม่มีใครพบเห็นฝ่าบาทกับคนสนิทเลย ข้าเสีย..”

ยังไม่ทันที่โจเซฟจะได้พูดแสดงความเสียใจอย่างเสแสร้งจบ นิโคลก็ถามขึ้นมาก่อน “ข้าเชื่อว่าท่านพยายามที่สุดแล้ว”

“แน่นอนลอร์ดนิโคลข้าส่งทหารออกไปแล้ว เชิญท่านนั่งก่อนดีกว่า เรากำลังปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่พอดี” โจเซฟผายมือไปยังเก้าอี้ข้างตัว ทั้งที่ความจริงเขาต้องสละเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งให้นิโคลแต่ก็ไม่ทำ นิโคลเดินไปนั่งลงตามคำเชิญท่าทางนิ่งสุขุมรอฟัง

“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกท่านก่อนลอร์ดนิโคล”

“ว่ามา”

“ท่านหญิงทาร์เทียน่า” ท่าทางเครียด ๆ ของโจเซฟจุดสีหน้ากังวลขึ้นมาบนใบหน้าของนิโคล ที่อสรพิษเฒ่านึกพอใจอยู่ลึก ๆ “ท่านหญิงทาร์เทียน่าหายไปจากปราสาทตั้งแต่วันที่ได้ข่าวแล้ว”

ตึง!! นิโคลทุบกำปั้นหนัก ๆ ลงบนโต๊ะเสียงดัง ทำท่าทางไม่พอใจสิ่งที่โจเซฟบอก “ท่านพูดว่านางหายไปหรือท่านรัฐมนตรี”

“นางไปพร้อมกับคนของนางจำนวนหนึ่ง ข้าคิดว่านางคงออกไปช่วยฝ่าบาท”

“นั่นไม่น่าจะรอดหูรอดตารัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจอย่างท่านไปได้นะ” ดวงตาคมสองคู่จ้องมองกันอย่างไม่ลดละ ต่างฝ่ายต่างก็กำลังแสร้งว่าไม่ได้กำลังประเมินกัน นิโคลพยายามใจเย็นแต่ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากเหลือเกิน น้องชายถูกลอบทำร้ายป่านนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร น้องสาวที่คิดว่ายังปลอดภัยดีอยู่ในปราสาทกลับหนีออกไปโดยไม่มีใครรู้อีก

“เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ถวายการดูแลนางให้ดี รวมทั้งเรื่องของฝ่าบาทด้วย หากข้ากล้าเสนอหน้าห้ามฝ่าบาทไม่ให้ไปสักหน่อยก็คง...”

“ใครก็ห้ามความเอาแต่ใจของจูเลียนไม่ได้หรอกท่านรัฐมนตรี เรื่องนี้คงโทษท่านโดยตรงไม่ได้” เพราะนิโคลรู้ว่าคนอย่างโจเซฟไม่คิดจะห้ามปรามอย่างจริงใจด้วยซ้ำ ยามจูเลียนคิดจะออกจากวัง

“ขอบคุณที่ท่านเข้าใจข้าลอร์ดนิโคล แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าคงต้องส่งคนออกตามหาฝ่าบาทเพิ่มอีก” นิโคลยังจ้องตาอสรพิษเฒ่านิ่ง ๆ เพราะเดาไม่ถูกว่าโจเซฟกำลังวางแผนอย่างไรต่อไป ทั้งเรื่องที่บอกว่าทาร์เทียน่าลอบออกจากวังเอง ทั้งเรื่องจะส่งคนออกตามหาจูเลียนเพิ่ม ไม่รู้ว่าจะตามไปช่วยหรือไปทำอย่างอื่น

“ถ้ามีอะไรคืบหน้าบอกข้าด้วยก็แล้วกันท่านรัฐมนตรี วันนี้ข้าคงต้องขอตัวก่อน เชิญพวกท่านประชุมต่อตามสบาย” คล้อยหลังนิโคลและคนติดตามออกจากห้องประชุมเล็กไปแล้ว เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของหลายคนที่นั่งฟังอยู่ด้วยก็ดังขึ้น และนั่นทำให้ได้รับสายตาดุมาจากโจเซฟที่นั่งอยู่หัวโต๊ะทันที

“พวกเจ้าดูโล่งใจนะ”

“บางทีข้าคิดว่า คนที่น่ากลัวที่สุดก็ลอร์ดนิโคลนี่ล่ะ”

“แล้วความน่ากลัวของข้ามันไม่มีแล้วหรือไง ท่านเฮมาน” โจเซฟถามชายอาวุโสที่สุดอย่างเฮมานที่ปรึกษาสภา ที่มีท่าทางหงอขึ้นมาทันทีที่ถูกตั้งคำถาม “อย่าลืมว่าเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าหวังว่าทุกคนคงไม่เปลี่ยนใจ” โจเซฟกวาดตามองสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมทีละคน ซึ่งประกอบด้วยขุนนางและสมาชิกรัฐสภาที่นับว่ามีอำนาจในการบริหารประเทศ ช่วยคานอำนาจกษัตริย์ได้ไม่น้อย และหากโจเซฟสามารถยึดอำนาจมาจากจูเลียนได้อีกทาง เขาก็จะกลายเป็นคนเดียวที่กุมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ เพราะสมาชิกเหล่านี้นอกจากปวกเปียก และต้องพึ่งพารัฐมนตรีอย่างเขาแล้ว เบื้องหลังยังถูกข่มขู่ให้จำยอมร่วมมืออย่างไม่มีทางเลี่ยง

“ตอนนี้มาคิดกันดีกว่า ว่าจะจัดการกับนิโคลยังไง” โจเซฟเอ่ยขึ้นเสียงเย็น

“ท่านมีแผนหรือยัง”

“นั่นสิ ข้าว่าเรารีบลงมือกับลอร์ดนิโคลก่อนที่มันจะรู้ตัวดีกว่า”

“เจ้ามีแผนหรือไง”

“ข้าคิดว่าท่านคงเตรียมแผนไว้แล้ว”

“ใช่ ตอนนี้เราจับตาดูไว้ก่อน มันคงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ”

“ถ้าลอร์ดนิโคลรู้เรื่องแผนการของเราล่ะ ถ้ามันรู้ว่าเรากักตัวทาร์เทียน่าเลยหนีไปล่ะ”

“คนที่รู้แผนการก็นั่งอยู่ในนี้ทั้งหมดแล้ว ถ้ามันจะรู้ก็คงรู้จากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่ง และพวกเจ้าคงจะรู้นะว่าใครที่มันหักหลังข้าจะเจอกับอะไร” ต่างคนต่างแสดงความคิดเห็น แต่พอได้ยินโจเซฟบอกอย่างนั้นทุกคนก็เงียบกริบ พากันก้มหน้าหลบสายตาดุที่กวาดมองไปรอบ ๆ อย่างเอาเรื่อง “ให้คนของเราจับตาดูลอร์ดนิโคลไว้”



********************



ปราสาทใหญ่โตโอ่อ่าอันเป็นที่ประทับของกษัตริย์ ดูเงียบเหงาไปถนัดตาเมื่อกลับมาอีกครั้ง พบว่าคนที่เคยอยู่กลับไม่อยู่ นิโคลเดินผ่านปราสาทของจูเลียน ผ่านสวนที่จัดไว้เป็นทางเชื่อมระหว่างตัวปราสาทแต่ละหลังไปเงียบ ๆ พร้อมผู้ติดตามที่กระจายตัวออกประจำตามจุดต่าง ๆ ทันทีที่ลอร์ดหนุ่มเดินมาถึงปราสาทส่วนที่พักของตัวเอง แม้จะมีขนาดเล็กกว่าปราสาทของกษัตริย์ แต่ความหรูหราโอ่อ่าสมเกียรติไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย นิโคลก้าวช้า ๆ เข้าไปภายใน สถานการณ์แบบนี้ไม่น่ารื่นรมย์เอาเสียเลย แต่ลอร์ดหนุ่มก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเดินเข้ามาถึงห้องนอนของตัวเอง

ภายในห้องเงียบและมืดสลัว เพราะไม่มีใครคิดว่านิโคลจะเดินทางกลับมาถึงได้เร็วขนาดนี้ จึงยังไม่มีใครเข้ามาเตรียมห้อง นอกจากทำความสะอาดปกติแล้วปิดไว้เหมือนเดิม ร่างสูงสง่าเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ กระดาษเปล่าสองสามแผ่นวางอยู่บนนั้นพร้อมกระปุกหมึกและแท่งปากกา

“โจเซฟคิดว่าเจ้าหนีออกจากวังไปแล้วนะ ทำไมยังอยู่” ลอร์ดหนุ่มพูดทำลายความเงียบ ยิ้มกว้างขึ้น

“น้ำหน้าอย่างรัฐมนตรีโจเซฟจะไปรู้อะไร” ใครบางคนที่แอบอยู่ในมุมมืดมุมหนึ่ง ข้างผ้าม่านหนาหนักอำพรางตัวก้าวเดินออกมา แผ่นหลังกว้างของเจ้าของห้องอยู่ในสายตาที่จับจ้อง

“เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ากำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าเจ้าหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกวังถึงไหนแล้ว”

“นิโคล ข้าคิดถึงพี่” ร่างระหงของเจ้าหญิงทาร์เทียน่าโผเข้าหาพี่ชายกอดไว้แน่น นิโคลอ้าแขนรับน้องสาวและกอดเอาไว้อย่างคิดถึงไม่แพ้กัน

“ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นสีหน้าแบบนี้ของเจ้านะเทียน่า”

“อย่ามาล้อข้านะ พี่ได้ข่าวจากจูเลียนหรือยัง”

“ยัง แต่คนที่ส่งข่าวให้ข้าก็ไม่ใช่คนของเรา” ทาร์เทียน่ายิ้มออกมาบาง ๆ “และถ้าไม่ได้ข่าวจากเขา ข้าคงอาจจะเชื่อคำพูดของโจเซฟทุกอย่าง”



******************



“ฮานส์”

“..”

“เจ้าทำอะไรอยู่ หอมจังเลย”

“...”

“นั่นอะไรน่ะ แบ่งข้ากินบ้างได้ไหมฮานส์..นะ” จูเลียนซ่อนกระต่ายไว้ในกองผ้าที่อยู่อีกมุมหนึ่ง แล้วขยับเข้ามาหาฮานส์ที่กำลังย่างอะไรบางอย่างอยู่ข้างกองไฟ กลิ่นหอมของมันบังคับให้หนุ่มน้อยขยับเข้ามาใกล้ ๆ จูเลียนก้มตัวลงใช้มือทั้งสองข้างยันไว้ที่หัวเข่า ความแตกต่างของร่างที่เพรียวบางกับร่างใหญ่กำยำ จูเลียนจึงทำได้เพียงชะโงกตัวผ่านไหล่กว้าง

“หอมจังฮานส์” ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ กับเสียงที่ดังอยู่ข้างหู ฮานส์ก็ยังนั่งเฉยไม่สนใจ ไม่สนใจแม้กระทั่งเสียงกลืนน้ำลายสลับกับเสียงสูดกลิ่นหอม ๆ เข้าจมูก “อู้หู น่ากินจังเลยฮานส์”

หลังจากทะเลาะกันเรื่องกระต่าย ฮานส์หายออกไปจากโพรงใต้ต้นไม้ครู่ใหญ่ก็กลับมา คนหน้าหนวดนั่งก้มหน้าก้มตาทำอะไรบางอย่างอยู่ข้างกองไฟ จูเลียนพยายามชวนคุย แต่เหมือนกับว่าอีกคนจะไม่เห็นหนุ่มน้อยอยู่ในสายตา จนต้องละความพยายามหันไปพูดกับเจ้าหนูแทน แต่กลิ่นหอม ๆ ที่โชยไปทั่วโพรงใต้ดินแห่งนี้ มันเรียกร้องให้ท้องของจูเลียนประท้วง ความหิวบังคับให้ขยับเข้ามาใกล้สะกิดเรียกและเอ่ยถาม

“เจ้าจะกินไอ้นั่นคนเดียวหรือไง”

“..” ฮานส์ทำหูทวนลมพลิกไม้ที่เสียบอาหารย่างไฟกลับไปกลับมา บางครั้งก็ยกขึ้นมาดมกลิ่นทั้งที่กลิ่นหอมโชยกระจายไปทั่ว ไม่สนใจเสียงที่ดังอยู่ข้างหู จนสุกได้ที่เขาก็ดึงขาข้างหนึ่งของอาหารที่เสียบอยู่กับไม้ย่างออกมาแทะกินคำใหญ่ ส่วนที่เหลือเสียบไว้ข้างกองไฟล่อตาเหมือนเดิม

“ก็ถ้าเจ้าจะใจร้ายขนาดนั้นก็ตามใจนะ” จูเลียนถอยกลับไปนั่งที่เดิม มือคว้ากระต่ายตัวน้อยขนฟูนุ่มมากอดไว้ ดวงเนตรเขียวสุกใสจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังกว้าง ส่งสายตาค้อนให้คนที่ทำปากหายไม่พูดไม่จา

จูเลียนกลืนน้ำลายเสียงดังจนฮานส์นึกขำ เขายกไม้เสียบอาหารที่ย่างสุกแล้วมาฉีกกินท่าทางเอร็ดอร่อย รู้ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนหิวโซ แต่อยากสอนให้จูเลียนรู้สำนึกเสียบ้าง ฮานส์ลุกขึ้นเดินมานั่งลงไม่ไกลจากจูเลียน มือข้างหนึ่งถือของกินแทะอย่างเมามัน ส่วนมืออีกข้างถือไม้ที่มีอาหารน่ากินเสียบอยู่

“นั่นคืออะไรเหรอฮานส์น่าอร่อยนะ แบ่งกันบ้างสิ ไหน ๆ ก็เดินทางมาด้วยกันแล้วนะ”

“กระต่าย”

“อ้าว”

ต่อ...ข้างล่างค่ะ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



“ยังจะกินอยู่ไหมล่ะ กินก็มาเอา” ฮานส์ยื่นของกินให้ พักตร์นวลผ่องที่หงอยอยู่แล้วเลยยิ่งหงอยเข้าไปใหญ่ นึกโกรธที่ฮานส์ยังดึงดันจะกินกระต่ายให้ได้ แม้จะไม่เท่าตอนแรกที่เขาจับเจ้าหนูมา เพราะตัวนี้ฮานส์ชำแหละมาจากข้างนอก จูเลียนเลยไม่เห็นมัน แต่พอบอกว่าเป็นกระต่ายหนุ่มน้อยก็กินไม่ลงอยู่ดี

“เจ้ามันใจร้ายจริง ๆ เลยนะฮานส์ ข้า..จะไม่กินของเจ้าก็ได้” ฮานส์ไม่ตอบแต่รอยยิ้มยียวนนั่นบอกจูเลียนได้เป็นอย่างดี ว่ากำลังถูกอีกคนยิ้มเยาะอย่างสะใจ จูเลียนสะบัดหน้าไปทางอื่น มือยังลูบเจ้าหนูกระต่ายตัวน้อยเบา ๆ

“หึ เอาไปกินสิ หิวจะตายอยู่แล้วเจ้าอย่ามาทำเป็นใจดีมีเมตตา”

“...”

“ยังอีก ไม่เอาข้าจะกินทั้งหมดนี้คนเดียวนะ”

“ข้าไม่กินของคนใจร้ายอย่างเจ้าหรอกฮานส์!”

“แน่ใจนะ อย่ามาบ่นเสียดายทีหลังล่ะ นกนี่เนื้อนุ่มอร่อยเสียด้วย หอมมากด้วยเจ้าก็ได้กลิ่น” จูเลียนหันขวับมาทางฮานส์ตั้งแต่ได้ยินว่าสิ่งที่คนหน้าหนวดกำลังกินอยู่คือนกแล้ว ยิ่งเห็นชิ้นที่อยู่ในมือฮานส์จูเลียนยิ่งตาโต เพราะมันคือส่วนที่เป็นปีก ทั้งที่มันก็เสียบไม้ย่างไฟอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ ทำไมไม่ดูให้ดี จูเลียนนึกโกรธตัวเองที่เสียรู้ฮานส์เข้าจนได้อีกแล้ว

“นกหรือ?”

“อือ นกเจ้าก็ไม่กินหรือไง”

“ก็นะ ก็ถ้าข้าไม่เห็นตัวมันก่อนก็น่าจะไม่เป็นไร”

“ชิ้นสุดท้ายแล้ว บังเอิญข้าไม่อิ่มด้วยสิ เจ้ารอกินคราวหน้าก็...”

“เอามานะ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว” ยังไม่ทันที่ฮานส์จะได้พูดจบ จูเลียนก็วางกระต่ายตัวน้อยไว้ในกองผ้า แล้วกระโจนเข้าแย่งอาหารที่อยู่ในมือฮานส์ทันที ฮานส์ต้องชูของกินหลบการโจมตีจากจูเลียนเป็นพัลวัน

“เอามา!” ฮานส์หัวเราะเสียงดัง ตอนนี้กษัตริย์ผู้เย่อหยิ่งเอาแต่ใจหายไปไหนไม่รู้ เหลือเพียงเด็กน้อยหิวโซที่กำลังแย่งเอาอาหารจากมือเขา ฮานส์แกล้งชูอาหารขึ้นสูง จูเลียนที่ตัวเล็กกว่าก็กระโดดตาม แกล้งเอาไปซ่อนไว้ข้างหลัง สองมือของจูเลียนสอดเข้ามาทางสีข้าง โอบรอบตัวหวังจะคว้าเอาสิ่งที่ต้องการ แกล้งเอามาไว้ข้างหน้า เปลี่ยนมือข้างที่ถือเดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา เจ้าของร่างเพรียวก็ตามแย่งไม่ลดละ แกล้งจนเหนื่อยจนพอใจ ในที่สุดจูเลียนก็แย่งมันไปได้ ด้วยตามความยินยอมของฮานส์ นกย่างทั้งตัวที่คาอยู่กับไม้เสียบจึงไปอยู่ในมือจูเลียน ที่กัดกินอย่างเอร็ดอร่อย

“อร่อยไหมล่ะ”

“อือ ก็ดี “ ตอบแล้วเคี้ยวกร้วม ๆ ดูเจริญอาหาร

“กินแล้วก็เป็นเด็กดีด้วย อย่าหาเรื่องให้ข้าปวดหัวอีก”

“อือได้สิ ง่ำ ๆ เอ๊ะ! ข้าโตแล้วฮานส์ สิบเก้าแล้ว เป็นกษัตริย์ด้วย ไม่เด็ก ง่ำ ๆ ” เด็กน้อยในสายตาฮานส์กินอย่างเมามัน ไม่ได้สนใจสายตาอ่อนโยนที่กำลังจับจ้องเลย และเหมือนเจ้าของสายตาเองก็คงไม่รู้ตัวถึงได้มองเพลิน ไม่นานนกย่างตัวใหญ่ก็เหลือแต่กองกระดูก

“เออ ฮานส์ ข้ากินนกหมดแล้วเจ้าหนูจะกินอะไรล่ะ”

“จูเลียน! “

“ว่าไง เจ้าหนูของข้าจะกินอะไร มันคงหิวแย่แล้วล่ะ”

“เจ้าเพิ่งบอกว่าไม่หาเรื่องให้ข้าปวดหัว”

“แล้วทำไมต้องปวดหัว ข้าแค่ถามหาของกินให้เจ้าหนูเองนะ” ดวงเนตรสีเขียวดูใสซื่อ แต่ฮานส์กลับมองจูเลียนตาขวาง แบบที่จูเลียนชอบมองเขาด้วยสายตาแบบนี้บ่อย ๆ จนจูเลียนหน้าเสีย “ก็ข้าสงสารมันนี่ แล้วข้าก็กินนกหมดแล้วด้วย เลยไม่รู้จะเอาอะไรให้มันกิน”

“กระต่ายมันกินนกที่ไหนเล่า”

“แล้วเราจะเอาอะไรให้มันกินล่ะ”

“เราที่ไหน เจ้าคนเดียวต่างหากที่อยากเลี้ยงมัน”

“แต่ตอนนี้เราน่าจะเลี้ยงด้วยกันได้นะ ข้าไม่รู้ว่าจะเอาอะไรให้มันกินนี่นา”

“เจ้านี่มัน...”

“ข้าทำไมเหรอ”

“เจ้ามันไม่รู้อะไรสักอย่าง!”


*********************

ตอนหน้าจะเป็นยังไง ยังจะกัดกัน เอ๊ย! ขัดกันอยู่มั้ย รอดูเด้อ นายท่าน

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 18



ออสเซนเทีย แม้จะดูยิ่งใหญ่สมกับเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร แต่สิ่งที่ไม่ต่างจากหัวเมืองเล็ก ๆ รอบนอกก็คือความหนาวเย็น และหิมะที่ยังปกคลุมไปทั่ว ฤดูหนาวที่ยาวนานกว่าฤดูอื่น ชาวเมืองย่อมคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ความหดหู่กำลังเข้าครอบครองเมืองกว่าครึ่ง จากการที่กษัตริย์ถูกปลอบปลงพระชนม์ครั้งแล้วครั้งเล่า จนครั้งล่าสุดที่สร้างความสูญเสียให้ฝ่ายที่รักชื่นชมในตัวกษัตริย์ของพวกเขา ข่าวลือมากมายที่หลุดออกมาให้ชาวเมืองได้รับรู้ ส่วนมากไปในทางที่ไม่ดี ทั้งข่าวยุวกษัตริย์ของพวกเขาหายตัวไปท่ามกลางพายุหิมะ บ้างก็ว่าสิ้นพระชนม์แล้วในการถูกโจมตีครั้งล่าสุดนี้ แต่ไม่มีใครเห็นพระศพของจูเลียน เพราะสมรภูมิมันเละจนแยกไม่ออกว่าศพใครเป็นศพใคร กษัตริย์อาจจะเป็นหนึ่งในศพเละ ๆ ที่กองรวมกันอยู่ใต้ภูเขาหิมะนั้น รวมไปถึงอัศวินประจำพระองค์ ที่ข่าวออกมาว่าตามเสด็จไปเพียงสองคน อีกสองคนหายไปไหน ยังเป็นข้อกังขาที่น่าสงสัย



อัศวินทั้งสี่มีหน้าที่ต้องอยู่ข้างกายกษัตริย์หายไปไหน บ้างก็ว่าสองในสี่ที่ไม่ตามเสด็จด้วยทรยศ บ้างก็ว่าอัศวินหนีหน้าที่ ข่าวลือมากมายถูกปล่อยออกมาสร้างความปั่นป่วนไปทั่ว ข่าวเจ้าหญิงทาร์เทียน่าหนีออกจากวัง ซ้ำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ข่าวลือแปลก ๆ ถูกปล่อยออกมาทุกวัน แต่ข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุด คือ ข่าวรัฐมนตรีส่งทหารออกช่วยเหลือ และตามหาตัวกษัตริย์ เพราะมีการส่งทหารออกไปมากมาย แต่ยังไม่มีข่าวว่าพบตัวกษัตริย์ของพวกเขาเลย



ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของชาวเมืองส่วนใหญ่ กลับมีบางกลุ่มที่แอบฉลองความยินดี ฝ่ายต่อต้านจูเลียนมีจำนวนเพิ่มขึ้น เพราะจูเลียนสั่งให้ก่อสร้างสถานที่ต่าง ๆ ตามใจตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งทำให้มีการนำเงินแผ่นดินออกมาใช้จ่ายมากขึ้นเท่านั้น เหมือนยิ่งกดดันให้ชาวเมืองแปรพักตร์ ไปเข้ากับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย มีคนปล่อยข่าวเสียหายเกี่ยวกับกษัตริย์ออกมาทุกวัน คนเริ่มไขว้เขว หลายฝ่ายเรียกร้องให้รัฐมนตรีและรัฐสภา เป็นผู้รักษาการในการดูแลบ้านเมืองที่มีอำนาจเต็มทุกอย่างแทน แต่ข่าวการกลับมาของลอร์ดนิโคลัส รัชทายาทอันดับสอง ก็สร้างความอุ่นใจสร้างขวัญและกำลังให้ชาวเมืองผู้จงรักภักดีได้ไม่น้อย



“ลอร์ดนิโคลัส” โจเซฟเดินนำหน้าสมาชิกรัฐสภาอาวุโสคนอื่น ๆ เข้ามาเสนอหน้าก่อนใคร นิโคลกวาดตามองกลุ่มคนที่เพิ่งเข้ามาในห้องประชุมที่เขานั่งรออยู่ทีละคน “ข้าจำเป็นต้องเรียกประชุมด่วน”

“ไม่เป็นไรพวกเรายินดี” เฮมานที่ปรึกษารัฐสภาอาวุโสเอ่ยขึ้น

“ลอร์ดนิโคล นี่คือโทมัสน้องชายข้าเอง”

“ลอร์ดนิโคลัส” โทมัสค้อมตัวคำนับ นิโคลเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย สายตามองหน้าชายที่ยืนอยู่ข้างรัฐมนตรี อายุน่าจะอ่อนกว่าโจเซฟไม่มาก

“ไม่เคยได้ยินว่าท่านรัฐมนตรีก็มีน้องชายด้วย”

“โทมัสเป็นน้องชายต่างมารดาข้าเอง จะให้เขามาช่วยงาน เราวางใจเข้าได้”

“ขอบใจที่มาช่วย”

“ด้วยความยินดี ถือเป็นเกียรติของข้าที่ได้รับใช้”

ทุกคนนั่งประจำที่แล้วลอร์ดหนุ่มจึงถาม “มีข่าวอะไรคืบหน้าหรือเปล่า”

“ไม่มีเลย คนที่เราส่งออกไปรายงานเข้ามา ว่าฝ่าบาทถูกโจมตีใกล้หมู่บ้านเล็ก ๆ ทางตะวันตกของปราสาทเอวาเลียน” หนึ่งในสมาชิกคณะรัฐมนตรีตอบ

“ทำไมจูเลียนถึงไปทางนั้น” เพราะมันไม่ใช่ทั้งทางหลักและทางลัด แต่เป็นทางอ้อมที่ทำให้เสียเวลาเดินทางมากขึ้น

“ข่าวว่าอัศวินประจำตัวเป็นคนเปลี่ยนเส้นทางให้ฝ่าบาท นี่จึงทำให้ข่าวลือมีมูลความจริง”

“ท่านเชื่อข่าวลือหรือไม่ท่านรัฐมนตรี” นิโคลหันมาถามโจเซฟที่นั่งเงียบตั้งแต่เริ่มประชุม

“ตอนนี้มีข่าวลือออกมามากมาย ข้าเลยไม่รู้ว่าข่าวไหนจริงข่าวไหนเท็จ ข่าวไหนน่าเชื่อได้หรือเชื่อไม่ได้”

“แต่ข่าวอัศวินประจำพระองค์ทรยศน่าจะมีมูลความจริงนะ”

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะท่านเฮมาน” โทมัสถาม

“แล้วมีเหตุผลอะไรที่ขบวนเสด็จต้องเปลี่ยนเส้นทาง ถ้าไม่อยากให้ฝ่าบาทไปทางที่มีทหารรับจ้างดักรออยู่”

“นั่นสิ” หลายคนเริ่มเห็นด้วย

“ท่านคิดว่ายังไงลอร์ดนิโคล” โจเซฟหันมาถามนิโคล สีหน้าของรัฐมนตรีวัยกลางคนเรียบนิ่งยากเดาความคิด

“ข้าคงมีแค่คำถามว่าทำไมอัศวินประจำตัวที่สาบานตนถึงได้ทำในสิ่งที่หยามเกียรติตัวเอง” การรักษาสัจจะถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของชายชาตินักรบ ผู้ที่คุกเข่าสาบานตนต้องรักษาสัจจะของตัว

“ถึงจะสาบานตนก็ไม่ได้แปลว่าอัศวินทุกคนจะจงรักภักดีไปตลอดชีวิต”

“ข่าวว่ามีอัศวินประตัวกษัตริย์ร่วมทางแค่สองคนไม่ใช่หรือ” สมาชิกอีกคนถามขึ้น นิโคลหันมาสนใจทันที เซอร์เลนนี่ได้รับคำสั่งให้ไปสืบข่าวที่มอนทาร์น่านั่นเขารู้อยู่แล้ว ดังนั้นจูเลียนต้องเหลืออัศวินประจำตัวสามคน แต่ทำไมมีอัศวินแค่สองคนตามไปอารักขา

“เป็นความจริงหรือ สองคนที่อารักขาจูเลียนคือใคร แล้วอัศวินอีกสองไปไหน” เสียงของลอร์ดหนุ่มเครียดจนมุมปากของรัฐมนตรีโจเซฟกระตุกเหมือนจะยิ้ม แต่เขาก็ไม่ยิ้ม ไม่ทันมีใครได้สังเกตเห็น

โจเซฟยืนยัน “เป็นความจริงลอร์ดนิโคล”

“มีแค่เซอร์เฮนริชกับเซอร์ราเชล” หนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุมบอก

“แล้วเซอร์เลนนี่กับเซอร์เดรทิชไปไหน” ใครคนหนึ่งถามขึ้น นิโคลกวาดตามองไปรอบโต๊ะประชุม สมาชิกร่วมประชุมกำลังมองตอบมา ไม่ว่าจะตีสีหน้าเสแสร้งอย่างไร สิ่งหนึ่งที่โกหกกันไม่ได้คือสายตา และสิ่งที่สายตาของแต่คนบอกนิโคลคล้าย ๆ กันคือความสงสัย มีเพียงสายตาโจเซฟที่เห็นแล้วรู้สึกว่ามันแตกต่าง สายตาของชายวัยกลางคนผู้นี้บอกว่ารู้อะไรบางอย่างมากว่านิโคลรู้ อย่างน้อยก็อาจจะเป็นเรื่องที่มีอัศวินอารักขาแค่สองคน แทนที่จะเป็นสามคนอย่างที่นิโคลเข้าใจ ส่วนโทมัสนั่งฟังเงียบ ๆ



“เขาว่าสองคนนี้แหละที่พาทหารรับจ้างตลบหลังโจมตีขบวนเสด็จของฝ่าบาท”

“มันจะทำเพื่ออะไร แล้วอัศวินคนไหนที่บอกให้เปลี่ยนเส้นทาง”

“ถ้าเรารู้ลึกขนาดนั้นเรื่องอื่นคงง่ายขึ้น”

“แล้วทหารที่ตามเสด็จละ”

“ข่าวว่าหนีไปคนละทิศละทาง”

“เดี๋ยว ข้าว่าเรื่องอัศวินของฝ่าบาทมีอะไรแปลก ๆ นะ” คนที่นั่งเงียบมาตลอดอย่างโทมัสขัดขึ้น ทุกคนหันไปมองเขา

“แปลกยังไง” นิโคลตั้งคำถาม

“..” โทมัสนั่งมองตานิโคลนิ่งไม่ตอบคำ ใครคนหนึ่งเลยวิเคราะห์แทน

“อัศวินที่อยู่กับฝ่าบาทมีสองคน หนึ่งในสองคนนั้นเป็นคนสั่งให้เปลี่ยนเส้นทาง แต่อัศวินอีกสองคนหายไป นั่นเป็นไปได้ว่าทั้งสี่ร่วมมือกันหักหลัง ให้สองคนพาฝ่าบาทไปอีกทาง ที่มีทหารรับจ้างรออยู่ ทหารรับจ้างนั่นอาจจะพามาโดยอัศวินอีกสองคนที่หายไปก็ได้” เรื่องมันจึงแย่กว่าที่คิด และท่าทางคิดหนักของนิโคล ก็อยู่ในสายตาของอสรพิษเฒ่าที่จ้องมองไม่วางตา

“ก็อาจเป็นไปได้” ลอร์ดหนุ่มพึมพำออกมาเหมือนพูดคนเดียว

“แต่เราก็สรุปแบบนั้นเลยยังไม่ได้”

“ถ้าอัศวินทรยศหรือจะลอบปลงพระชนม์ ตอนอยู่ในวังมีโอกาสตั้งมากมาย ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยาก” นิโคลแอบยิ้มในใจแต่ยังนั่งเงียบ คงสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนคนคิดอะไรไม่ออกอยู่เช่นเดิม เขารู้ว่าสมาชิกบางคนร่วมมือกับโจเซฟทำเรื่องนี้ แต่อสรพิษเฒ่าก็ไม่ได้ไว้วางใจเปิดเผยแผนทุกอย่างให้รู้ เขาเองก็คงไม่ทำเหมือนกัน

“เจ้าอย่าถามโง่ ๆ สิ ถ้ามันสังหารฝ่าบาทในวัง มันจะหนีรอดไปง่าย ๆ ได้ยังไง สู้รอออกไปนอกวังเอาทหารรับจ้างมาบังหน้า แล้วสังหารฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือ เกิดพลาดมายังไงมันก็มีข้อแก้ตัว”

นิโคลหันไปถามชายที่ข้างกายรัฐมนตรี “ท่านคิดว่ายังไงโทมัส”

“เป็นข้าคงจัดการตั้งแต่อยู่ในวังแล้ว” นิโคลยกยิ้ม เป็นยิ้มจริง ๆ ครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาในห้องประชุม

“ท่านคงไม่ชอบเรื่องยุ่งยากสินะ” โทมัสยกยิ้มท่าทางถ่อมตัว เขาเพียงค้อมหัวลงเล็กน้อยตอบรับนิโคล

รัฐมนตรีโจเซฟส่ายหน้า “ความเป็นไปได้กับเป็นไปไม่ได้มีน้ำหนักพอกัน เรายังสรุปอะไรออกมาตอนนี้ไม่ได้หรอก”

“ข้าเห็นด้วยกับท่านนะ” นิโคลบอก การประชุมผ่านไปอย่างเคร่งเครียด และจบลงที่ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรชัดเจน จนทุกคนออกไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงรัฐมนตรีโจเซฟที่รั้งท้าย รอจังหวะที่ได้อยู่กับนิโคลสองคน ชายวัยกลางคนจึงเอ่ยขึ้น

“ลอร์ดนิโคลข้ามีอะไรบางอย่างอยากพูดกับท่าน” นิโคลมองหน้าโจเซฟ ทั้งที่อยากกระชากหน้ากากนั้นออก แต่ลอร์ดหนุ่มยังทำไม่ได้ โจเซฟเป็นขุนนางที่รับใช้ใกล้ชิดมาตั้งแต่กษัตริย์เฟรเดอริกพ่อของเขา และเป็นที่โปรดปรานไม่น้อย มาจากตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจบารมี จากหัวเมืองเอกของอาณาจักร ค่อนข้างมีอิทธิพลไม่แพ้เมืองหลวง

“ว่ามาเลยท่านรัฐมนตรี”

“ข้าเสียใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับฝ่าบาท แต่บ้านเมืองก็ต้องการผู้นำที่เข้มแข็งมาแทน”

“ข้าเข้าใจท่านรัฐมนตรี”

“ข้ายินดีสนับสนุนท่านลอร์ดนิโคล เพราะท่านเหมาะสมที่สุด”

“ท่านอยากบอกอะไรข้าหรือโจเซฟ” นิโคลสบตาโจเซฟนิ่ง อสรพิษเฒ่าเดาไม่ถูกว่าเจ้าของแววตาสีน้ำตาลคู่นี้กำลังคิดอะไรอยู่ ภายใต้ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา และแววตาอ่อนโยนอบอุ่น เหมือนถูกจ้องมองด้วยความรักอยู่เสมอนั้น นิโคลแฝงความน่ากลัวไว้ในตัวเหมือนหลายคนบอก แต่ความน่ากลัวกับการหาผลประโยชน์มันอยู่คนล่ะเรื่องกัน

“ท่านคือคนที่คู่ควรนั่งอยู่บนบัลลังก์ต่อจากพ่อของท่าน เป็นท่านคนเดียวที่เหมาะสมที่สุด ทวงทุกอย่างที่ควรจะเป็นของตัวเองคืนสิ”

“แล้วจูเลียนล่ะ”

“ข่าวที่คนของข้าส่งมาล่าสุดคือเราเสียจูเลียนไปแล้ว ช่วงที่ถูกโจมตีเกิดพายุหิมะรุนแรง ศพคงถูกฝังที่ใดที่หนึ่งใต้ภูเขาหิมะ ตอนนี้ท่านเหมาะสมที่สุด ที่จริงควรเป็นท่านตั้งแต่แรกมากกว่าที่จะเป็นจูเลียนด้วยซ้ำ” โจเซฟหยุดดูปฏิกิริยาของนิโคล เมื่อลอร์ดหนุ่มยังนั่งฟังนิ่งเขาจึงพูดต่อ

“ข้าอยู่กับนาง” สายตาของนิโคลเป็นประกาย เขาสนใจสิ่งที่ชายวัยกลางคนกำลังจะพูด “ท่านก็รู้ลอร์ดนิโคล ว่านางไม่ใช่สาวชาวบ้านธรรมดา ที่ถวายตัวมาเป็นหญิงรับใช้ กษัตริย์เฟรเดอริกจะแต่งตั้งนางเป็นพระชายาก็ได้แต่ไม่ทำ ข้าจำได้ว่าวันนั้นหิมะตก ท่านเกิดมาท่ามกลางหิมะ ข้ารับตัวท่านที่อยู่ในห่อผ้ามาจากแม่นม”

ต่อค่ะ....

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


นิโคลคิดไม่ออกว่าตอนนั้นตัวเขาเป็นอย่างไร แต่ก็ยกยิ้มน้อย ๆ พยักหน้าให้โจเซฟเล่าต่อ “ในขณะที่แม่ของท่านต้องการคนอยู่เคียงข้าง กษัตริย์เฟรเดอริคกลับเอาแต่สนใจงานของตัวเอง และว่าที่ราชินีคนสวยของเขา ทิ้งให้แม่ท่านเดียวดายในวันที่ท่านเกิด”

“..” ในสายตาของโจเซฟ สีหน้าของลอร์ดหนุ่มเปลี่ยนไป

“ท่านต้องรู้ว่านางไม่มีใครเลย แต่ข้าก็อยู่ตรงนั้นคอยเป็นกำลังใจให้นาง”

“ท่านหลงรักนาง? “

“ลอร์ดนิโคล! “โจเซฟอึ้งเหมือนถูกแช่แข็ง แต่ก็ปรับสีหน้าได้เร็ว

นิโคลทำเหมือนไม่ใส่กับเรื่องเก่า ๆ ถามขึ้น “แล้วคิดว่าข้าควรทำยังไงดีล่ะท่านรัฐมนตรี”

“ข้าอยากให้ท่านได้รับสิ่งที่ควรได้ตั้งแต่แรก ในฐานะลูกชายคนโต เราสองคนเหมือนกันมากลอร์ดนิโคล เหมือนกันตรงที่เป็นพี่ชายที่มีน้องต่างแม่”

“แต่ท่านก็ไม่ต้องแย่งของกับน้องนี่”

“เพราะข้าไม่ยอมให้สิ่งที่ควรจะเป็นของข้า กลายเป็นของคนอื่นต่างหาก”

“คนอื่นที่เป็นน้องคนละแม่” ชายวัยกลางคนแค่นยิ้ม นิโคลจึงพูดต่อ “มันควรจะเป็นของข้าสินะ ทุกอย่างเลย”

“ถูกต้องแล้วนายท่าน” สายตาของโจเซฟดูตื่นเต้นเชิญชวนให้รู้สึกฮึกเหิม แต่นิโคลเพียงมองตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง พักตร์เกลี้ยงเกลาของลอร์ดหนุ่มประดับรอยยิ้มน้อย ๆ ยากจะคาดเดาว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งสองจ้องตากันอยู่เป็นครู่ นิโคลยกยิ้ม เมื่อโจเซฟว่าต่อ “มันควรเป็นของท่านแต่แรกลอร์ดนิโคล”

“ควรเป็นของข้ามาแต่แรก” นิโคลพยักหน้าทวนคำเสียงนิ่ง พอกับสายตานิ่งที่จ้องตอบ

“แน่นอน และตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว ถ้าเราร่วมมือกัน”

“ถ้าสำเร็จข้าควรตอบแทนท่านอย่างไรหรือท่านรัฐมนตรี”

“เพียงท่านเมตตาต่อลีอานน่า ข้าคงหมดห่วงในตัวนาง” โจเซฟเอ่ยถึงเครื่องมือในการต่อรองที่เขามีหน้าตาเฉย นิโคลคิดว่านางเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร เพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้พ่อได้ในสิ่งที่ต้องการตลอด

“นางงดงามชายใดกล้าปฏิเสธคงโง่เต็มที”

“หากท่านไม่รังเกียจนาง”

“ผู้ชายสักกี่คนกันจะกล้ารังเกียจของสวย ๆ งาม ๆ อย่างท่านหญิงลีอานน่าล่ะ ข้าเรียกนางว่าลีแอนได้สินะ” นิโคลถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ตอนนี้เรื่องบ้านเมืองมันวุ่นวายเกินไป ถ้าท่านใจเย็นสักหน่อย”

“แน่นอนว่าถ้าเราตกลงร่วมมือกัน ข้ารอได้”

“ท่านคิดว่ามันจะดีใช่ไหม ท่านรัฐมนตรี ข้าต้องทำอย่างไรล่ะ”

“เรื่องนั้นไม่ยากหรอกข้ามีแผน แต่ตอนนี้ข้าอยากให้ท่านลงนามมอบอำนาจทุกอย่าง ให้ข้าจัดการเรื่องจูเลียนก่อน ท่านก็รู้ว่าชาวเมืองรอฟังข่าวจากเราอยู่”

“เรื่องนั้นข้าว่าชาวเมืองรอได้น่า” ชาวเมืองรอได้แต่โจเซฟรอไม่ได้ เพราะจะว่าตามจริง อำนาจในมือรัฐมนตรีวัยกลางคนยังไม่มั่นคงพอจะจัดการทุกอย่างได้ตามต้องการ ยังมีสมาชิกสภาอีกหลายคนที่ไม่ยอมตามที่เขาชักชวน ทำให้โจเซฟหงุดหงิดไม่น้อย

การพูดคุยกับโจเซฟจบลง ในแบบที่นิโคลไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ ลอร์ดหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องประชุมลับแห่งนี้เป็นคนสุดท้าย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเรียบเฉยไร้อารมณ์

“จูเลียนส่งเซอร์เดรทิชตามข้าไปสวาเนียร์? “นิโคลถามสาวน้อย ที่มานั่งครอบครองโต๊ะทำงานภายในห้องของเขาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ออกจากห้องประชุมกลับมาถึง ก็เห็นนางนั่งวางท่าระหงคอเชิดอยู่แล้ว ทาร์เทียน่ายักไหล่สีหน้าไม่ทุกข์ร้อน ท่าทางก๋ากั่นที่แสดงออกมา อาจทำให้แม่นมที่สอนมารยาทกุลสตรีของนางลมจับได้

“คำสั่งจูเลียน ข้ารู้หลังจากนั้นไม่นาน”

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราคุยกันแต่แรก” ทาร์เทียน่าเหลือบตามองใบหน้าเกลี้ยงเกลาบึ้งตึงของพี่ชาย ที่น้อยคนนักจะได้เห็น

“แน่นอนรวมทั้งการที่จูเลียนขัดคำสั่งออกจากเมืองหลวงด้วย กลับมาพี่ต้องลงโทษ”

“เจ้าไม่คิดว่าจูเลียจะนอนอยู่ใต้หิมะอย่างที่พวกนั้นบอกหรือไง”

นางยักไหล่อีกครั้ง ริมฝีปากสวยที่แต่งแต้มด้วยขี้ผึ้งจนมันวาวแบะออกน้อย ๆ ดูน่าหยิก “ข้ารู้สึกว่าจูเลียนอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ใช่เป็นศพอยู่ใต้หิมะเหมือนที่พวกนั้นเข้าใจแน่ ๆ ล่ะ”

“แยกความรู้สึกกับความจริงออกจากกันซะ”

“เหมือนเป็นสัญชาตญาณของคู่แฝดล่ะมั้ง แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่ข้าตั้งใจมาบอกพี่”

“ว่า..”

“ข้าจะออกไปตามหาจูเลียน” นิโคลถอนหายใจ

“ไม่ต้องไปหรอก เลนนี่กับเดรทิชกำลังจะตามไปสมทบกับเฮนริช”

“แล้วเซอร์ราเชลล่ะ ลีโอด้วย”

“ราเชลข้ายังไม่รู้ แต่ลีโออยู่กับเฮนริช”

ทาร์เทียน่าถอนหายใจเบา ๆ นางโล่งอกกับข่าวใหม่ที่ได้รับ “ข้าจะตามไปด้วย”

“เจ้าควรกลับปราสาทของตัวเอง แต่งตัวสวย ๆ ออกว่าราชการแทนจูเลียน” ทาร์เทียน่าทำหน้างอใส่พี่ชาย แม้นั่นจะเป็นหน้าที่ของนางโดยตรง “ข้าจะส่งคนไปอารักขาเพิ่ม”

“ประชุมเป็นไงบ้าง”

“ไม่ต่างจากที่คาดไว้เท่าไหร่หรอก”



*******************



หิมะที่โปรยปรายลงมาแต่เช้าเพิ่งหยุดได้ไม่นาน รอบนอกยังปกคลุมด้วยความขาวโพลน และหนาวเย็นจับใจ ขณะที่รอให้หิมะหยุดตก ฮานส์หาอาหารเช้ามาไว้ให้จูเลียน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่กระต่าย หรือสัตว์ขนฟูตัวน้อยน่ารัก ที่จะทำให้เขาต้องปวดหัวในภายหลัง แต่เป็นสัตว์ที่จูเลียนไม่มีแม้แต่โอกาสได้เห็นตัวมันตอนมีชีวิต เพราะฮานส์จัดการเชือดชำแหละก่อนที่จะนำเข้ามาย่างในโพรงใต้ต้นไม้ ย่างไปตาก็มองคนที่กำลังหลับอุตุไปด้วย จูเลียนตื่นอาหารเช้าก็สุกพอดี ไม่รู้ตื่นเพราะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ หรือตื่นเพราะได้กลิ่นอาหารยั่วจมูก พอรู้สึกตัวก็ตะเกียกตะกายออกจากกองฝ้ามานั่งข้างกองไฟ ทำจมูกฟุตฟิตให้ฮานส์แอบขำทั้งที่ยังทำหน้านิ่ง แกล้งกันเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นพิธีแล้วแบ่งอาหารให้กัน



“เสร็จหรือยังจะได้ไปสักที” ฮานส์ถามขึ้นเสียงเข้ม หลังจากอาหารบนไม้เสียบเหลือแต่กระดูกกองอยู่ข้างกองไฟ จูเลียนมองฮานส์สีหน้างง คนที่อารมณ์ดีทั้งวันเมื่อวานหายไปไหนแล้ว

“อ้าว ไปไหนอีก”

“นี่เจ้าคิดว่าเราจะอยู่ใต้โพรงต้นไม้อย่างนี้ไปตลอดไปหรือไง”

“ก็ไม่หรอก ข้าต้องกลับเมืองหลวงเจ้าก็รู้ หรือเจ้าจะพาข้ากลับวันนี้ล่ะ”

“ยังหรอก”

จูเลียนมีสีหน้าผิดหวังทันที ถามเสียงอ่อย “แล้วจะไปไหน”

“ไปที่ที่ปลอดภัยกว่านี้”

“ที่นี่ไม่ปลอดภัยหรือไง ข้ายังไม่เห็นว่ามันจะมีอันตรายอะไรเลย”

“วันก่อนเจ้าเจออะไร” ฮานส์ถามเสียงดุขึ้นมาทันที สายตาดุจ้องมองจนสีหน้าหนุ่มน้อยหงอยลงไปถนัดตา

จูเลียนตอบเสียงอ่อยเหมือนเด็กน้อยทำผิดกำลังสอบสวน “หมาป่าหิมะตัวใหญ่”

“ใช่ นั่นก็หนึ่งตัวอันตรายที่สุดในแถบนี้ มันอาจจะมีตัวอื่นในฝูงตามมาอีกได้ ถึงแม้บางตัวมันจะไม่อยู่รวมฝูงก็ตามเถอะ” จูเลียนพยักหน้าหงึก ๆ ท่าทางเข้าใจ “แล้วรู้อะไรไหม หมาป่าที่อยู่เดียวนี่ล่ะที่ดุร้ายนัก เหมือนตัวที่เจ้าเจอวันก่อนนั่นไง”

“แล้วอะไรอีกละ”

“ที่นี่ใกล้พวกมันเกินไป มันจะตามมาเมื่อไหร่ก็ได้ เราต้องการที่ปลอดภัยมากกว่านี้”

“ไหนเจ้าบอกไม่มีเรา”

“จูเลียน! “ฮานส์นึกหงุดหงิด แต่ก็เหมือนหงุดหงิดได้ไม่สุด ยามเห็นแววตาใสซื่อของคนตั้งคำถาม

“..”

“ข้าหมายถึงแค่การเลี้ยงกระต่ายของเจ้าต่างหากเล่า”

“อย่ามาพาลเจ้าหนูนะ มันอยู่ของมันดี ๆ “จูเลียนกระชับกอดกระต่ายตัวน้อยที่วางบนตัก ห่อด้วยผ้าคลุมตัวอีกชั้นท่าทางหวงแหน

“ดูแลมันดี ๆ ด้วยล่ะ ระวังหนูของเจ้าจะกลายมาเป็นอาหารข้าสักวัน”

“มันคือกระต่ายไม่ใช่หนู” ฮานส์อยากถอนหายใจออกมาแรง ๆ เขากำลังคิดว่าตัวเองทะเลาะกับเด็กสามขวบ! พยายามใจเย็นโดยหันไปเก็บของ พรางร่องรอยเหมือนว่าไม่เคยมีคนเข้ามาอยู่ใต้โพรงแห่งนี้ ถ้าการที่จูเลียนเถียงฮานส์หน้าซื่อตาใส เป็นการเอาคืนที่ถูกฮานส์แกล้ง ก็ถือว่าเป็นการเอาคืนที่สูสีกันดีทีเดียว คิดถึงตรงนี้เขากัดฟันกรอดทั้งรู้สึกขำ

“ลุกขึ้นได้แล้ว ไปรอข้าข้างนอก”

“ทำไมไม่ออกมาพร้อมกันล่ะ?”

“ว่าง่าย ๆ สักเรื่องเถอะฝ่าบาท” จูเลียนเปลี่ยนสีหน้าแต่ตายังจ้องฮานส์ พอถูกจ้องตอบด้วยสายตาดุดันจริงจัง เลยเดินอมยิ้มออกไปตามที่คนหน้าหนวดบอก แบบที่ตั้งใจให้ฮานส์เห็นว่าตัวเองกำลังขบขัน ไม่เคยมีใครที่หาญกล้าสบตากับเขาแล้วไม่หลบ แถมยังแสดงออกว่าขบขันเหมือนจูเลียน หรือเขาจะหลุดต่อหน้ากษัตริย์หนุ่มน้อยเกินไป

ฮานส์ส่ายหน้า เขาเพิ่งนึกได้ว่าทำไมการเดินทางคนเดียวมันเงียบเหงาในบางครั้ง เพราะไม่มีสีสันให้ปวดหัวแบบนี้นี่เอง

50% จ้า.......

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 18 บ่อน้ำพุร้อน (มีอะไร) 100%



“เราจะเดินไปถึงไหนหรือ?”

“...”

“ฮานส์เจ้าจะพาข้าเดินไปถึงไหน” เดินเงียบมาครู่ใหญ่จูเลียนจึงถามขึ้นเหมือนชวนคุย แต่ฮานส์ก็ยังเดินนำไปแบบเงียบ ๆ สะพายถุงหนังคาดหลัง จูเลียนอุ้มเจ้าหนูเดินตาม

“ฮานส์”

“อะไรของเจ้าอีก จะเดินไปเงียบ ๆ บ้างได้ไหม”

“ข้าอยากรู้นี่”

“อยากรู้อะไร”

จูเลียนกวาดตามองไปรอบตัว “จะมีตาแดงเหมือนวันก่อนออกมาอีกไหม”

“มีแน่ ๆ ล่ะ ถ้าเจ้ายังมัวแต่ถามนั่นถามนี่อยู่อย่างนี้ วันนี้คงไม่ได้เดินไปถึงไหนสักที”

“แล้วเจ้าทำไมไม่หาม้ามาสักตัวล่ะ ไม่สิสองตัวดีกว่า” จูเลียนรีบเปลี่ยน เพราะหากมีม้าตัวเดียวคงต้องขี่มันด้วยกัน และคงไม่พ้นต้องนั่งให้ฮานส์โอบกอดอีกเป็นแน่แท้

ฮานส์จ้องพักตร์นวลผ่องของกษัตริย์หนุ่มน้อย ที่มองตอบดวงตาใสแจ๋ว พวงปรางกับปลายจมูกแดงระเรื่อยเพราะความหนาวเย็น ทำให้พักตร์อ่อนเยาว์ดื้อรั้นมีสีสันดูน่ามอง ยังไม่ทันที่จูเลียนจะได้ถามอะไรให้ฮานส์รำคาญใจอีก ร่างเพรียวบางในชุดคลุมหนาก็ถูกตะปบเข้าตรงต้นแขน ฮานส์จับจูเลียนให้หมุนรอบตัวหนึ่งรอบ แล้วประคองแก้มนวลด้วยมือทั้งสองข้าง ดันให้หันซ้ายหันขวาไม่เบาแรง แล้วจ้องตานิ่ง

“ทำอะไรของเจ้าเนี่ยข้าเวียนหัวนะ”

“ให้เจ้าดูรอบ ๆ ตัวไง ว่าตอนนี้เราอยู่ในป่า มองไปทางไหนก็มีแต่หิมะกับหิมะ และอาจจะมีตาแดงของเจ้า กระโจนออกมาขย้ำคอเมื่อไหร่ก็ได้ เผื่อเจ้าลืม” พักตร์นวลยังถูกจับให้ส่ายไปมา ตามจังหวะการพูดทุกคำของฮานส์ จูเลียนตาปรือเริ่มเวียนหัวจริง ๆ ใจหายวูบเสียงสันหลัง ยามได้ยินคนหน้าหนวดพูดถึงตาแดง อันหมายถึงหมาป่าหิมะดุร้ายที่จูเลียนเจอมาวันก่อน

“แล้วบอกดี ๆ ไม่ได้หรือไงเล่า” จูเลียนปัดมือใหญ่ออกจากใบหน้า ฮานส์จ้องตานิ่ง ใบหน้ารกหนวดว่าดูดิบเถื่อนน่ากลัวอยู่แล้ว พอทำตาดุเลยยิ่งน่ากลัวกว่าเก่า

ฮานส์วางมือลงที่ศีรษะของกษัตริย์หนุ่มน้อยผลักเบา ๆ พร้อมกับบอก “หัวช้าอย่างนี้เดี๋ยวเจ้าก็ไม่เข้าใจอีก”

“..” จูเลียนทำหน้าบึ้งตึงปากยื่น ต่างฝ่ายต่างมองกันนิ่ง ฮานส์นิ่งเพราะรอให้จูเลียนทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่จูเลียนนิ่งเพราะกำลังรั้นเอาแต่ใจ ไม่ยอมรับอะไรก็ตามที่ฮาส์กำลังบอก ถึงแม้ยังไงก็ต้องทำตามอยู่ดี

“เข้าใจหรือยัง”

“เข้าใจแล้ว”

“เข้าใจแล้วก็เดินต่อ” ทั้งสองเดินทางต่อ ฮานส์เดินนำหน้า จูเลียนเดินอุ้มเจ้าหนูกระต่ายตัวน้อยตามหลัง ไม่วายทำปากขมุบขมิบล้อเลียนคนหน้าหนวดที่วันนี้ดุผิดปกติลับหลังไปด้วย ทั้งสองเดินไปเงียบ ๆ แต่คนขี้สงสัยอย่างจูเลียนมีหรือจะเงียบได้นาน

“ฮานส์ แล้วม้าของเจ้าล่ะ ตอนนี้มันไปอยู่ไหนแล้ว” จูเลียนชวนคุย “สวยนะ เจ้าปล่อยไปแบบนั้นไม่เสียดายหรือไง ชื่อโกสต์ใช่ไหม อุตส่าห์ตั้งชื่อให้ทำไมเจ้าปล่อยมันไปง่าย ๆ ล่ะ” จูเลียนพูดไปตั้งยาว แต่เหมือนคุยคนเดียว เพราะนอกจากฮานส์จะไม่คุยด้วยแล้ว ดูเหมือนคนหน้าหนวดจะเดินเร็วขึ้นอีก จนจูเลียนสาวเท้าตามแทบไม่ทัน

ตอนนี้หิมะไม่ตก ซ้ำยังมีแดดอ่อน ๆ ที่ช่วยให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น แสงแดดสีส้มอ่อนทอเป็นลำ ตัดกับหิมะขาว ๆ บนยอดไม้ เป็นประกายระยับสวยแปลกตา ท่ามกลางอากาศที่ยังหนาวเหน็บจนจับขั้วหัวใจ หิมะยังปกคลุมพื้นดินหนา ตามต้นไม่มีน้ำแข็งเกาะเห็นเป็นสีขาวตัดกับสีเขียวคล้ำเกือบดำของกิ่งไม้ใบไม้ ที่อาบไปด้วยแสงแดดอ่อน ๆ ดูงดงามราวกับฉากในเทพนิยาย ถ้าไม่มีแผ่นหลังกว้างของคนที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดิน ไม่สนใจที่จะสนทนาปราศรัย ในฐานะคนที่เดินทางด้วยกัน จูเลียนคงมองความงามของธรรมชาติได้เพลินกว่านี้ หนุ่มน้อยมองแผ่นหลังฮานส์แล้วให้นึกขัดใจ คนอะไรบทจะดีก็ดี บทจะร้ายก็ร้าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจนตามไม่ทัน

“เดินช้าอย่างนั้นเมื่อไหร่จะถึง”

“แล้วจะรีบไปไหนเล่า แค่นี้ข้าก็แทบจะวิ่งให้ทันเจ้าแล้วนะ” จูเลียนบ่นกระปอดกระแปดอีกสองสามคำ ที่ฮานส์จับใจความไม่ได้ อันที่จริงจูเลียนก็บ่นให้ฮานส์นั่นแหละเลยไม่อยากเสียงดัง

“ข้าเหนื่อยแล้วนะฮานส์พักก่อนเถอะ ทั้งชีวิตข้าไม่เคยต้องเดินไกลขนาดนี้เลย” จูเลียนหยุดเดินฮานส์ก็หยุดเช่นกัน แต่ไม่ได้หันกลับมา ชายหนุ่มเพียงหยุดพูดแล้วเดินต่อ

“ทนอีกนิด ใกล้ถึงแล้ว”

“ถึงไหนล่ะ”

“ที่ปลอดภัย”

“พักก่อนได้ไหมเล่า”

“ถึงค่อยพัก”

“แต่ข้าจะพักตอนนี้นะฮานส์! ข้าเดินไม่ไหวแล้วปวดขาไปหมดแล้วด้วย” แล้วจูเลียนก็ทิ้งตัวนั่งลงบนหิมะมันเสียดื้อ ๆ แต่คนหน้าหนวดกลับยังเดินไปข้างหน้าไม่รอ ไม่สนใจ ฮานส์ไม่แม้แต่หันกลับมาดูจูเลียนด้วยซ้ำ

“ฮานส์! “จูเลียนตะโกนเรียก ได้ยินฮานส์ตอบกลับมาเพียงให้รีบเดินตามไปให้ทัน ราวกับรู้ว่าจูเลียนกำลังงอแงอยากเอาชนะให้ได้อย่างไม่มีเหตุผล และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในที่สุดจูเลียนก็ได้แต่นั่งมองแผ่นหลังกว้าง จนฮานส์เดินลับสายตาไป จูเลียนไม่นึกกลัว เพราะร่องรอยที่อีกคนทิ้งไว้นั้นมันเด่นชัด จากที่ต้องเดินทางมากับฮานส์ จูเลียนมั่นใจว่าตามไปได้ถูกทางแน่ ๆ

รอยเท้าที่ย่ำไปบนหิมะลึกเป็นทาง พาจูเลียนมาจนถึงที่แห่งหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะเป็นหน้าผาสูง พื้นเบื้องล่างใกล้ ๆ กันเต็มไปด้วยก้อนหินขนาดต่าง ๆ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ รอยเท้าคู่นั้นเดินหายเข้าไปในกำแพงหินที่น้ำแข็งเกาะเต็มไปหมด จูเลียนนึกสงสัยว่าเจ้าของรอยเท้าเดินผ่านไปได้อย่างไร พอเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ จึงพบว่ามันเป็นทางเข้าถ้ำ ที่พรางตาด้วยชั้นหินถูกหิมะปกคลุมหนา ถ้าไม่สังเกตดี ๆ จะไม่เห็นช่องที่พอให้ผู้ชายตัวใหญ่ ๆ อย่างฮานส์ลอดผ่านเข้าไปได้ และจูเลียนที่มีแต่ความสงสัยก็สังเกตเห็นมันเข้าพอดี กษัตริย์หนุ่มน้อยเดินเข้าไปไม่มีลังเล

พอหลุดเข้ามาได้จูเลียนพบว่ามันเป็นถ้ำ ที่แตกต่างจากข้างนอกราวกับเข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่งที่อบอุ่นขึ้น ภายในถ้ำสว่างด้วยกองไฟที่ถูกก่อไว้ตรงมุมหนึ่งลึกเข้าไป ถุงหนังของฮานส์วางอยู่ข้างกองไฟ จูเลียนกวาดตามองไปรอบ ๆ หวังได้เจอคนที่เดินตามมานั่งรออยู่มุมใดมุมหนึ่ง แต่ไล่สายตามองหาจนทั่ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอยู่ในนี้ นอกจากตัวจูเลียนและเจ้าหนู กระต่ายน้อยที่อุ้มอย่างทะนุถนอมในห่อผ้า

มนุษย์ตัวใหญ่หน้าหนวดหายไป!

“ฮานส์” จูเลียนส่งเสียงเรียกให้พอแค่ได้ยิน เพราะหากอีกคนอยู่ในนี้ก็น่าจะเห็นตัวแล้ว แต่สิ้นเสียงเรียกมีเพียงเสียงที่สะท้อนกลับ หลังจากนั้นทุกอย่างรอบกายก็เงียบสนิท เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นทางหางตา พอหันไปก็พบว่าเป็นเพียงเงาของเปลวไฟ ภายในถ้ำเงียบมาก จูเลียนไม่ไว้ใจความเงียบแบบนี้ ค่อย ๆ ก้าวถอยหลังให้เบาที่สุด สองแขนกอดกระต่ายน้อยเตรียมวิ่งออกมาจากตรงนั้น และ

“โอ๊ย!” จูเลียนนึกว่าตัวเองชนเข้ากับกำแพงหินจนเซ ดีที่ไม่ล้มลงไป เพราะร่างกายถูกรั้งไว้ด้วยอ้อมแขนของคนที่กำลังเรียกหา

“อะไรของเจ้า”

“ทำไมมาเงียบ ๆ “

“ข้าต้องตะโกนมาก่อนหรือไง”

“เจ้าไปไหนมาฮานส์ ข้าเห็นรอยเท้าเจ้าเข้ามาในนี้แล้วเจ้าออกไปทางไหน ทำไมมาอยู่ข้างหลังข้าได้” จูเลียนแหงนหน้าขึ้นถามฮานส์อย่างสงสัย หรือฮานส์จะออกไปทางอื่นแล้วย้อนกลับมาอยู่ข้างหลังจูเลียน

“เจ้านี่มันขี้ลืมนะ”

“ลืมอะไรล่ะ ข้าจำได้ว่าเจ้าเดินอยู่ข้างหน้าข้านะ”

“ลืมว่ามีคนกำลังต้องการชีวิตเจ้าอยู่ไง” จูเลียนหายใจผิดจังหวะ ขนลุกขึ้นมาเสียเฉย ๆ ที่ได้ยิน แต่ก็ไม่เคยลืมว่าตัวเองกำลังหนีจากการตามล่าหมายเอาชีวิต

“ใครจะไปลืมลงล่ะ แล้วเจ้าไปไหนมา” ง

“กลบรอยเจ้าไง หรือจะทิ้งรอยไว้ให้พวกมันตามมาฆ่าถึงที่” ฮานส์เดินเข้าไปนั่งข้างกองไฟ แต่จูเลียนกลับคิดตามคำพูดของเขาแล้วนึกกลัว รีบหันหลังจะเดินออกไปทางเก่า คิดว่าจะออกไปกลบรอยเท้าของตัวเอง เหมือนที่เห็นฮานส์เคยทำให้ดู แต่พอเดินออกไปยังทางที่เพิ่งผ่านเข้ามากลับพบว่า

“ฮานส์! “

“อะไรอีกวะ”

“ทาง ทางออก”

“..”

“ทางออกหายไปไหน”

“มันไม่ได้หายไปไหนมันแค่ถูกปิด” จูเลียนมองหน้าฮานส์แล้วหันกลับไปยังทางออก ที่เมื่อสักครู่นี้เพิ่งเดินผ่านเข้ามา แต่ไม่แน่ใจแล้วว่าช่องที่ลอดเข้ามามันอยู่ตรงไหน เพราะเห็นมีแต่หินก้อนใหญ่ ราวกับว่ามันไม่เคยมีทางเข้าออกตรงนี้มาก่อน

“ถูกปิดเหรอ” จูเลียนพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง แต่ฮานส์ก็ยังได้ยิน

“เออ จะเข้ามาได้หรือยัง หรือจะอยู่ตรงนั้นก็ตามใจเจ้าก็แล้วกัน”

“แต่ฮานส์ เจ้าทำได้ยังไงหินแต่ละก้อนไม่ใช่เล็ก ๆ แล้วเราจะออกไปยังไง” จูเลียนเดินกลับมานั่งลงใกล้ ๆ ฮานส์ข้างกองไฟ วางกระต่ายตัวน้อยบนตักอย่างทะนุถนอม พอดีกับที่คนหน้าหนวดเสียบไม้ลงข้างกองไฟ บนไม้มีสัตว์ที่ถูกชำแหละมาเรียบร้อยแล้วเสียบอยู่

“เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดพูดสักที ไหนบอกเหนื่อยอยากพัก”

“ก็ข้าอยากรู้” ดวงเนตรสีเขียวช้อนมองคนหน้าหนวด ฮานส์เข้ามาก่อนหน้านี้ ก่อไฟไว้แล้วออกไปทางเก่า กลบรอยที่เดินออกไปด้วย เหลือไว้เพียงรอยที่จูเลียนเห็นว่าฮานส์เดินเข้ามารอบแรก ให้จูเลียนตามมารอ เขาย้อนกลับไปพรางรอยทั้งหมดแล้วรีบกลับมา ปิดทางเข้าไว้อย่างแนบเนียน

“ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นมากก็ได้” น้ำเสียงของคนหน้าหนวดอ่อนลง แต่ที่ทำให้จูเลียนเผลอสูดลมหายใจเข้าปอดเสียยาว ก็ตอนที่มือใหญ่ ๆ วางลงบนศีรษะแล้วโยกเบา ๆ แม้ตอนท้ายจะผลักด้วย และมือใหญ่ข้างนั้นแค่วางบนหมวกคลุมหัว แต่ก็สร้างความรู้สึกแปลก ๆ ให้จูเลียนได้ไม่น้อย คนเดียวที่ทำแบบนี้กับจูเลียนก็มีเพียงนิโคลเท่านั้น แต่ทำไมไม่เคยทำให้จูเลียนใจเต้นโครมครามได้มากขนาดนี้ ฮานส์เป็นใครถึงได้บังอาจกล้าทำกับจูเลียนอย่างนี้

กษัตริย์หนุ่มน้อยปัดมือฮานส์ออก มองไปทางอื่นพึมพำบอกเบา ๆ “พอข้าไม่ถามเดี๋ยวเจ้าก็หาว่าข้าไม่สนใจอะไรอีกหรอก ว่าข้าไม่รู้เรื่องรู้ราวบ้างล่ะ เจ้าจะเอายังไงกันแน่”

“เท่าที่จำเป็นก็พอ” รอยยิ้มบาง ๆ ไม่ได้ลดความดุของนัยน์ตาสีดำสนิท ที่กำลังจ้องหน้าจูเลียนเขม็ง จนคนที่ค่อย ๆ หันมามองแทบสะดุ้ง

“ก็ได้”

“นั่นนะ” ฮานส์พยักพเยิดใบหน้าที่รกหนวดเคราไปที่ตัก จูเลียนก้มลงดู “วางมันลงบ้างเดี๋ยวก็เฉาตายคามือกันพอดี”

“ข้ากลัวมันหนาวนี่” ฮานส์โยนบางอย่างมาตรงหน้าจูเลียน “อะไรอีกละ”

“เอาให้มันกิน ก่อนที่มันจะอดตายเพราะเจ้าไม่รู้อะไรไปเสียก่อน”

“บอกดี ๆ ก็ได้นี่” ถึงจะดูไม่พอใจแต่จูเลียนก็หยิบของที่ฮานส์โยนให้ขึ้นมา มันเป็นกิ่งไม้กับหญ้าแห้งที่ใช้เป็นอาหารของกระต่ายป่า จูเลียนยิ้มกว้างเมื่อยื่นของกินมาตรงหน้าเจ้าหนู และมันรีบแทะกินทันที

“ไปทางนั้นมีบ่อน้ำ เผื่อเจ้าอยากอาบ”

“หนาวขนาดนี้ใครจะไปอยากอาบ” จูเลียนตอบสายตาไม่ละไปจากกระต่ายตัวน้อยบนตัก และคนบอกก็ไม่ได้ละสายตาไปจากจูเลียนเลย

“เหม็นจนจะเน่าอยู่แล้ว”

จูเลียนหันขวับไปมองฮานส์ทันทีที่ได้ยิน ริมฝีปากอิ่มได้รูปอมยิ้มแบะออกเล็กน้อย เนตรสีเขียวเป็นประกายวาวล้อเลียน “ยังกับเจ้าอาบนะฮานส์ ข้าไม่อาบหรอก ขืนอาบได้หนาวตายกันพอดี”

“มันเป็นบ่อน้ำพุร้อน”

“จริงหรือ? แล้วก็ไม่บอกแต่แรกละ” ฮานส์หลับตาลงไม่สนใจจูเลียนที่ท่าทางตื่นเต้น ยามได้รู้ว่ามีบ่อน้ำพุร้อนให้นอนแช่ จูเลียนเหลือบตามองค้อน หันไปสนใจกระต่ายตัวน้อยที่กำลังกินหญ้าแห้ง แต่ชายหนุ่มก็พักสายตาได้ไม่นาน “แล้วเจ้ารู้จักที่ได้ยังไง เคยมาหรือ”

“เออ”

“ไม่อยากคุยก็ไม่ต้องคุย” จูเลียนจะค้อนให้อีกที แต่คนหน้าหนวดเหมือนจะหลับไปแล้ว จึงวางเจ้าหนูไว้มุมหนึ่งให้ลับสายตา คนที่มองเจ้าหนูเป็นอาหารตลอดเวลาอย่างฮานส์ ได้ที่ให้เจ้าหนูแล้วย่องออกจากตรงนั้นเงียบ ๆ เดินไปตามทางที่ฮานส์บอกว่ามีบ่อน้ำพุร้อน ถึงอากาศภายนอกจะหนาวเย็นจนแทบแข็งไปถึงกระดูก แต่คนที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมาตลอดอย่างจูเลียน ก็คิดถึงการนอนแช่น้ำอุ่น ๆ อันเป็นกิจวัตรประจำของชาวออสเซนเทียอยู่ไม่น้อย หากอยู่ในวังป่านนี้จูเลียนคงนอนแช่น้ำอุ่นอยู่ในปราสาท หรืออาจจะไปแช่น้ำแร่ในห้องอาบน้ำรวม สำหรับเจ้านายที่กว้างขวางกว่าก็เป็นได้

จูเลียนเดินลึกเข้าไปไม่ไกล ก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นของอากาศแผ่มาจากข้างหน้า พอหลุดเข้ามาถึงห้องด้านใน ภาพเบื้องหน้าก็เล่นเอากษัตริย์หนุ่มน้อยตะลึงยืนอึ้งค้างไปเลย ไม่คิดว่าท่ามกลางความหนาวเย็นขนาดนี้ จะมีสถานที่แบบนี้ซ่อนตัวอยู่ สองเท้าเดินไปข้างหน้าช้า ๆ สายตาจับอยู่ที่บ่อขนาดไม่กว้างมาก ไอน้ำที่เห็นลอยระอยู่เนื้อผิวน้ำกระตุ้นให้รีบสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ ห้องทั้งห้องได้รับแสงสว่างมาจากช่องแตกหลายช่องของแผ่นหินด้านบน ซึ่งอยู่สูงพอสมควร ลำแสงลอดผ่านเข้ามาเป็นลำเล็ก ๆ แต่ก็สว่างมากพอให้มองเห็นได้จนทั่ว

ดวงเนตรสีเขียวมรกตเป็นประกาย จูเลียนเดินเข้าไปใกล้บ่อน้ำพุ ก้มลงวักน้ำลูบหน้าเล่น น้ำในบ่อใสแจ๋ว ความร้อนของน้ำกำลังพอดี เหมาะแก่การนอนแช่ให้ผ่อนคลาย จูเลียนไม่รอช้า รีบถอยออกมาจากขอบบ่อ ปลดเปลื้องอาภรณ์กันหนาวออกทีล่ะชิ้น

วรกายเพรียวบางไร้อาภรณ์ปกปิดดูน่ามอง ตั้งแต่ลำคอระหงลงมาตามช่วงไหล่ลาด ที่ไม่ได้กว้างมากจนส่งให้ส่วนอื่นของร่างกายดูเก้งก้าง กล้ามเนื้อแผ่นอกบางประดับด้วยตุ่มเม็ดเล็กสีชมพู ช่วงลำตัวเพรียวเข้ารูปลงมาถึงช่วงเอวคอด ที่สะโพกผายออกเล็กน้อย ยามเยื้องย่างกายลงบ่อน้ำร้อน เรียวขาขาวทำให้ร่างเพรียวดูระหง ก้อนเนื้อบั้นท้ายบดเบียดตามจังหวะก้าวเดิน พาร่างอรชรค่อย ๆ จมหายลงไปในน้ำทั้งตัว เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวเคลียไหล ถูกรวบไว้ครึ่งหัว ลูกผมบางส่วนตกระลงคลอเคลียตามแก้มนวลดูไร้เดียงสา

จูเลียนทิ้งร่างเอนลงพิงกับโขดหิน ปล่อยให้ผิวเนื้ออ่อนนุ่มสัมผัสกับความอุ่นของน้ำพุที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน วักน้ำอุ่น ๆ ขึ้นมาลูบพักตร์นวลจนเปียก ดวงตาสวยหลับพริ้มผ่อนคลาย ขนตางอนยาวเป็นแพชุ่มน้ำ ท่ามกลางไอน้ำที่ลอยขึ้นตัดกับลำแสงอ่อนที่ส่องลงมา พักตร์ขาวนวลดูผ่องพิสุทธิ์ จูเลียนรู้สึกผ่อนคลาย ริมฝีปากอิ่มได้รูปแย้มยิ้มออกมาน้อย ๆ ยามได้รับการโอบกอดจากความอุ่นของสายน้ำ สูดลมหายใจยาวเข้าปอดอย่างดื่มด่ำ หูแว่วได้ยินเสียงอะไรบางอย่างคล้ายเสียงฝีเท้า เหยียบย่ำแผ่วเบาลงบนก้อนหิน ตามด้วยเสียงของผิวหน้าน้ำที่ถูกรุกล้ำ แต่ความรู้สึกผ่อนคลายทำให้จูเลียนไม่สนใจ ร่างเพรียวนอนหลับตานิ่งรับความสบาย ปล่อยตัวให้สายน้ำอุ่นโอบกอด

“หึ”

“เจ้า!”

“โอ๊ย! จูเลียน!” ฮานส์กัดฟันเรียกชื่อคนที่กำลังหัวเราะเสียงดัง เมื่อจูเลียนลืมตาขึ้นมา พบว่าใบหน้าที่รกไปด้วยหนวดเคราอยู่ห่างไม่ถึงคืบ จึงผลักร่างหนาออกอย่างแรง ผลคือฮานส์หงายหลังทิ้งตัวลงกลางบ่อน้ำพุ จนน้ำในบ่อแตกกระจาย

“สมน้ำหน้า” ฮานส์มองจูเลียนตาดุคาดโทษ ทำปากขมุบขมิบบอกว่าให้ระวังตัวดี ๆ แต่แทนที่จะกลัวเกรง จูเลียนกลับยิ้มเยาะแทน “ทำไม”

“เปล่า” ฮานส์ปฏิเสธเสียงสูง ถึงยังไงก็ไม่ยอมรับหรอกว่าอยากดูหน้าจูเลียนใกล้ ๆ ถึงได้ก้มลงไปหา ฮานส์ลุกขึ้นเต็มความสูง เดินไปนั่งอีกมุม จูเลียนมองตาม เห็นอะไรเป็นอะไรรีบมองไปทางอื่น

“ทำไมถึงได้ชอบเดินเปลือยกายต่อหน้าคนอื่นนักนะ”

“บ่นอะไร”

“ไม่มีอะไร ข้าไม่ได้บ่นสักหน่อย”

“แล้วไป” ฮานส์เอนร่างทิ้งตัวลงกับหินอีกก้อน ตรงข้ามจูเลียนแล้วหลับตาลง เรือนกายใหญ่กำยำที่โผล่พ้นน้ำระด้วยไอน้ำที่ลอยกรุ่น แต่ก็ยังไม่สามารถปิดบังความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ เรียกให้จูเลียนจับจ้องอยู่ที่มัน

ฮานส์คงหลับไปแล้ว จูเลียนค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นช้า ๆ ขยับเข้าไปหา ดวงเนตรสีเขียวจับที่ใบหน้ารกหนวดดูสะอาดตาขึ้นเมื่อได้เจอน้ำ

“เจ้าเป็นใครมาจากไหนกันแน่นะฮานส์” จูเลียนคิดขณะถูกใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเคราดึงดูดให้ขยับเข้าไปใกล้ ดวงเนตรเขียวกระจ่างพินิจใบหน้าคม ล้อมกรอบด้วยเส้นผมหยักศกสีดำสนิท หน้าผากกว้างพอดีประดับด้วยคิ้วเข้มพาดขวาง สันจมูกคมโด่งคมตรงได้รูป เสริมให้ใบหน้ารกหนวดดูเข้มขึ้น ใบหน้ายามไม่เห็นสายตากวนอารมณ์ดูน่ามอง จูเลียนภาวนาอย่าให้ฮานส์ลืมตาขึ้นมาตอนนี้ ขณะที่ก้มลงไปหาอย่างไม่รู้ตัวและ..

“อะไรของเจ้า!”

“อุ๊ย! โอ๊ย ฮานส์ “จูเลียนไอเพราะสำลักน้ำ อยู่ดี ๆ ฮานส์ก็ลืมตาขึ้นมากะทันหัน จูเลียนตกใจจนผงะ เลยถูกฮานส์เอาคืนด้วยการแกล้งผลัก ถึงจะไม่แรงมากแต่ก็เล่นเอาจูเลียนหงายหลังจมน้ำ ผลคือสำลักน้ำจนไอ จูเลียนเผลอกลืนน้ำเข้าไปอึกใหญ่

“อะไรของเจ้า”

“เปล่า”

“อยากดูหน้าข้าใกล้ ๆ ก็บอกสิ”

“เหมือนที่เจ้าทำตอนแรกก็เพราะอยากดูหน้าข้าใกล้ ๆ ใช่ไหม”

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม” จูเลียนชะงักไม่คิดว่าฮานส์จะยอมรับออกมาตรง ๆ ทั้งที่ตอนแรกปฏิเสธแล้ว แต่ก็ต้องนึกขัดใจกับท่าทางกวนอารมณ์ไม่น้อย

“เจ้า..”

“อะไรอีกล่ะ”

“ไม่มีอะไร ถอยออกไปเลยถอยไปไกล ๆ “จูเลียนวิดน้ำไล่ฮานส์ที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ขณะที่ถาม เลยกลายเป็นว่าทั้งสองเล่นวิดน้ำใส่กันจนน้ำกระจายเปียกไปหมด แทนที่จะได้ผ่อนคลายจริง ๆ เลยเหนื่อยกว่าเดิม เสียงหัวเราะของจูเลียนดังกังวานไปทั้งถ้ำ พอประสานกันกับฮานส์ กลายเป็นเสียงที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน จากคนไม่ค่อยถูกกันที่ต้องเดินทางมาด้วยกัน

“เจ้าเล่นอะไรเป็นเด็กไปได้ฮานส์”

“เล่นกับเด็กอย่างเจ้าไง”

“ว่าข้าเป็นเด็กอีกแล้วนะ นี่ ๆ เป็นไงยอมจำนนหรือยัง” จูเลียนวิดน้ำใส่ฮานส์เร็ว ๆ จนฮานส์เอาคืนไม่ทัน ได้แต่ยกมือกั้นไว้ เสียงหัวเราะดังขึ้นไม่หยุด ทั้งสองคงลืมไปแล้วว่ากำลังหนีตาย ลืมไปแล้วว่าข้างนอกอากาศเย็นมากแค่ไหน ลืมไปแล้วว่ามีคนกำลังตามล่าหมายเอาชีวิต จนกระทั่งต่างคนต่างเหนื่อยและหยุดไปเอง จูเลียนนั่งหายใจหอบ ผิวขาวนวลแช่น้ำอุ่นซับสีแดงระเรื่อไปทั้งตัว

“ข้าว่าเล่นพอแล้วนะ ขึ้นได้แล้วเดี๋ยวไม่สบาย” จูเลียนกำลังสนุกเลยแอบเสียดาย แต่พอนึกอะไรบางอย่างได้ก็ชะงัก

“เอ่อ..”

“อะไรของเจ้าอีก”

“เจ้าขึ้นไปก่อนข้าสิ”

“อย่ามางอแงเอาแต่ใจตอนนี้นะ ถึงน้ำจะอุ่นจนเกือบร้อนอย่างนี้ ก็ทำเจ้าไม่สบายได้ขึ้นเดี๋ยวนี้” คำสั่งของฮานส์ทำให้จูเลียนหน้างอ

“ข้าไม่ใช่เด็กนะ จะได้มานั่งงอแงอยากเล่นน้ำ บอกให้ขึ้นไปก่อนก็ขึ้นไปก่อนสิ”

“อะไรของเจ้าอีกวะจูเลียน”

“ไปสิ ไป ๆ “จูเลียนวิดน้ำไล่ฮานส์ที่จ้องตาดุกลับ คนหน้าหนวดยอมลุกขึ้นจากน้ำแต่โดยดี แต่นั่นกลับทำให้จูเลียนโวยวายกว่าเก่า “ฮานส์! เจ้านี้มัน..”

“อะไรของเจ้าอีก ให้ขึ้นจากน้ำก่อนข้าก็ขึ้นแล้ว ยังจะเรื่องมากอะไรอีก” ฮานส์หันกลับมายืนจังก้าจะเอาเรื่อง แต่พอเห็นจูเลียนนั่งเอามือปิดหน้าตัวเองเท่านั้นแหละ คนหน้าหนวดก็อดหัวเราะขำออกมาไม่ได้ เขาเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก

“เห็นมาจนป่านนี้แล้วเจ้ายังเขินข้าอยู่หรือไง” เจ้าของร่างกายสูงใหญ่กำยำก้มลงมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของตัวเอง “มันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรนี่หว่า ใคร ๆ ก็อยากเห็นเรือนร่างของข้าทั้งนั้น ข้าสิควรต้องอาย”

“คนอย่างเจ้ามันหน้าไม่อายไง แล้วข้าก็ไม่ได้เขินสักหน่อย แค่ไม่อยากมองไม่อยากเห็น”

“ไม่อยากมองก็หันไปทางอื่นสิ ทำไมต้องเอามือปิดหน้าด้วย หรือจะแอบดูข้า”

“เจ้าบ้าไปแล้ว ถ้าข้าอยากดูจะปิดหน้าไว้ทำไมเล่า”

“แน่ใจนะ”

“แน่ใจสิ” ฮานส์หัวเราะเสียงดังให้คำตอบของจูเลียน ชายหนุ่มก้มลงมากระซิบข้างหู

“ไม่อยากเห็นก็ปิดดี ๆ สิ อย่ากางนิ้วออก หรือช่องระหว่างนิ้วของเจ้าเอาไว้แอบดูข้าใช่ไหมล่ะ”

“ฮานส์! ตายซะเถอะ” จูเลียนฟาดมือโดนไหล่ฮานส์ พอคนหน้าหนวดถอยออกไป ยังวิดน้ำใส่เอาเป็นเอาตายไล่ให้ฮานส์รีบขึ้นจากน้ำไปก่อน คนแกล้งก็ได้แต่หัวเราะขำเสียงดัง

“ไปเลยจะไปไหนก็ไป” จูเลียนไล่ส่ง

ต่อนะคะ....

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


ฮานส์ขึ้นจากบ่อน้ำพุเดินไปหยิบผ้ามาเช็ดตัว จูเลียนสังเกตเห็นรอยสักรูปอะไรบางอย่างบนหลังของเขา แต่มองได้ไม่ชัดเท่าไหร่ เพราะอีกคนยู่ในเงาสลัว และมีสิ่งอื่นที่ดึงความสนใจของกษัตริย์หนุ่มน้อยไปเสียก่อน เรือนร่างกำยำสูงใหญ่เป็นสรีระที่สวยงามแข็งแกร่ง มันดูน่ามองตามแบบของบุรุษหนุ่มฉกรรจ์ที่เจริญเติบโตเต็มวัย ทุกองค์ประกอบของร่างกายสูงสง่าดูมีเสน่ห์ชวนมอง จูเลียนเผลอมองแต่ก็ต้องรีบหันหน้าหนีทันทีที่นึกได้ กลัวว่าอีกคนจะหัยนมาเห็นคงไม่วายโดนล้อเป็นแน่แท้

“ที่ไม่ยอมขึ้นมาก่อน เพราะอายที่จะเปลือยต่อหน้าข้าใช่ไหม?” จูเลียนแกล้งทำเป็นถูตัวไม่สนใจตอบคำถาม คนที่หัวเราะขำแล้วขำอีก เลยเหมือนจะหยุดเสียงหัวเราะของตัวเองไม่ได้ “ข้าไม่ได้อยากดูเจ้าหรอกน่าขึ้นมาได้แล้ว หรือจริง ๆ แล้วเพราะเจ้าไม่เคยเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น”

“ข้าเคย” จูเลียนหันมาแย้ง เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะเปลือยกายต่อหน้ากัน อย่างน้อยก็ตามอ่างอาบน้ำรวม สำหรับนอนแช่น้ำอุ่นยามอากาศหนาว แต่จูเลียนก็ไม่เคยออกไปใช้อ่างอาบน้ำสาธารณะแบบนั้นสักครั้ง

“ต่อหน้าใครละ คนรักของเจ้าหรือไง” พอพูดถึงคนรักสีหน้าของจูเลียนเปลี่ยนไปทันที ป่านนี้ไม่รู้ว่าคนรักจะเป็นอย่างไร ได้แต่ภาวนาให้เขาปลอดภัย

“ว่าไงล่ะ หรือไม่เคย” จูเลียนจะเคยได้อย่างไร แม้จะเป็นคนรักกัน แม้จูเลียนจะอยากใกล้ชิด แต่พอได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ ก็ไม่เคยมีสักครั้ง ที่จะทำอะไรถึงขั้นที่ว่าได้เปลือยกายต่อหน้า ไม่เคยแม้กระทั่งนอนแช่น้ำอุ่นด้วยกันเสียด้วยซ้ำ เพราะถึงเวลาจะทำจริง ๆ จูเลียนก็นึกเปลี่ยนใจทุกที หนุ่มน้อยรู้สึกหวงร่างกายของตัวเอง

“เคยสิ”

“หึ”

“เจ้าไม่เชื่อหรือไง” ฮานส์ยักไหล่แล้วเดินเปลือยท่อนบนออกไปยังห้องที่ก่อกองไฟไว้ ไม่สนใจจูเลียนที่ทำหน้าบึ้งมองตามหลัง ทำไมจูเลียนจะไม่เคยเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น ลีโอไงที่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา และฮานส์ก็เป็นคนที่สอง แต่เพราะไม่รู้ว่าตอนถอดเสื้อผ้าออกก่อนจะลงน้ำ เป็นตอนที่ฮานส์เดินเข้ามาพอดี เรือนร่างงดงามไร้อาภรณ์ปกปิดตรึงสายตา เขายืนมองนิ่งจนร่างเพรียวระหงค่อย ๆ หายลงไปในไออุ่นของน้ำ จูเลียนไม่รู้เลยไม่อาจนับได้

“ฮานส์เจ้าหนู!”

“อะไรของเจ้าอีก”

“เจ้าหนูหายไป! ข้าเอามันวางไว้ตรงนี้” จูเลียนสะบัดผ้าที่ปูรองให้กระต่าย แต่ไม่มีอะไรตกลงมาให้เห็น เจ้าหนูกระต่ายตัวน้อยของจูเลียนหายไปแล้ว!

“หึ”

“เจ้าขำอะไร” ฮานส์ไม่ตอบแต่เหลือบสายตาเจ้าเล่ห์ไปทางกองไฟ ที่มีตัวอะไรบางอย่างเสียบไม้ย่างอยู่ และมันกำลังเหลืองสุกได้ที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว “ฮานส์!”

“อือ”

“อย่าบอกนะว่าเจ้า”

“อือ ข้าทำไมล่ะ” ฮานส์หันมาฉีกยิ้มกว้างให้จูเลียน ดูก็รู้ว่าเสแสร้งทำไร้เดียงสา ดวงตาคมกะพริบปริบ ๆ เห็นแล้วจูเลียนนึกหงุดหงิด

“นั่น ที่เสียบอยู่กับไม้”

“อาหารของเราไง”

“มันคือ..” มันคืออะไร จูเลียนอยากถามออกมาแบบนี้ แต่เสียงที่เริ่มสั่นกับใจที่เริ่มเสีย ทำให้ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ จูเลียนเสียใจเข่าอ่อนจนแทบทรุด

“อย่างที่เจ้าคิด”

“ฮานส์ เจ้าทำไมใจร้ายอย่างนี้” จูเลียนโกรธจนลืมตัวตรงเข้ามาทุบกำปั้นหนัก ๆ ลงบนแผ่นอกกว้าง คนโดนทุบเพียงผงะถอยตั้งหลักแต่ไม่ได้ปัดป้อง จูเลียนทุบจนเหนื่อยคนหน้าหนวดถึงจับข้อมือเล็กทั้งสองข้างไว้

“คนใจร้าย เจ้าทำไมใจร้ายอย่างนี้ฮานส์ ข้าไม่น่าเชื่อใจเจ้าเลย อย่ามายิ้มเยาะนะ อยากกินนักก็เชิญเจ้ากินไปคนเดียวเถอะ” จูเลียนโกรธจนหน้าแดง สะบัดหน้าหนีเดินไปนั่งลงตรงกองผ้าคลุมที่เอาเจ้าหนูซ่อนไว้ ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะหยันของฮานส์ดังตามมา แต่เวลานี้กษัตริย์หนุ่มน้อยโกรธจนไม่อยากมองหน้า จูเลียนเสียใจ ในที่สุดก็ไม่สามารถปกป้องใครได้แม้แต่ชีวิตสัตว์เล็ก ๆ ตัวเดียว!

“มากินเถอะน่า จะได้มีแรงเดินทางต่อ ไหนว่าอยากกลับไปสะสางปัญหาที่เมืองหลวงไง” จูเลียนคิดตาม แต่สิ่งที่ฮานส์บอกไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากมีแรงกลับไปสะสางปัญหาอะไรอย่างที่ว่าเลย จูเลียนถามตัวเองว่าคู่ควรแล้วหรือที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมือง และคำตอบที่ได้ก็เหมือนเดิม เหมือนกับหลายครั้งที่เคยถามตัวเอง คือจูเลียนไม่คู่ควรเลยสักนิด คนที่คู่ควรที่สุดคือนิโคลพี่ชายของจูเลียนต่างหาก แต่เพราะชาติกำเนิดทำให้จูเลียนต้องแบกภาระหน้าที่นี้ คิดแล้วก็นึกโกรธคนออกกฎนี้ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

“คิดอะไรมากมายน่า”

“ข้าไม่ใช่คนไร้หัวใจอย่างเจ้านี่ฮานส์”

“ต่อให้มีหัวใจก็กินได้ทุกอย่างนั่นแหละ”

“แต่เจ้าหนูมันเป็นของข้า!”

“แล้วไง?”

“แล้วไงเหรอ ถามมาได้ ก็.... เจ้าหนู!” จูเลียนตาโต ไม่ไกลจากตรงหน้า กระต่ายตัวน้อยค่อย ๆ เดินทำจมูกฟุดฟิดแตะไปตามก้อนหิน เหมือนกำลังดมหาอะไรบางอย่าง

“หึ” เสียงแค่นหัวเราะทำให้จูเลียนเหลือบตามองไปยังต้นเสียง ดวงตาสีดำสนิทจ้องตอบกลับมาดุ ๆ ฮานส์แสยะยิ้ม อยู่ดี ๆ จูเลียนก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาเฉย ๆ แต่ก็ยังทำใจกล้ายิ้มหวานให้ จูเลียนไม่เคยคิดจะยิ้มแบบนี้ให้ใครมาก่อน

“เจ้าหนูมานี่เร็ว แกไปไหนมา” กระต่ายตัวน้อยเดินเข้ามาใกล้จูเลียน เพราะมันจะเดินมาทางนี้อยู่แล้ว จึงถูกจูเลียนอุ้มมาวางไว้บนตัก “ฮานส์ดูสิเจ้าหนูกลับมาหาข้าแล้ว” ฮานส์มองไปทางอื่น ที่ไม่มีดวงตาสีเขียวเป็นประกายกับรอยยิ้มสดใสให้เห็น จูเลียนก็เป็นเสียอย่างนี้ แล้วยังจะให้เขาฆ่ากระต่ายน้อยตัวนี้มาเป็นอาหารได้ลงคอหรือ ฮานส์อยากถามจูเลียนตรง ๆ แต่ตอนนี้เขาต้องบังคับตัวเองไม่ให้สนใจรอยยิ้มกว้าง กับดวงตาสีเขียวสดใสคู่นั้นให้ได้เสียก่อน ก่อนที่เขาจะหงุดหงิดให้ตัวเองมากไปกว่านี้

“ตกลงเจ้าจะไม่กินใช่ไหม”

“กินสิ กิน ๆ ข้าหิว”

“ไหนบอกไม่กิน”

“ก็ข้านึกว่าเป็นเจ้าหนู”

“เหอะ รีบกินข้ามีอะไรให้เจ้าทำ” จูเลียนเกือบรับอาหารที่ฮานส์โยนมาให้ไม่ทัน หากอยู่ท่ามกลางอัศวินและเด็กรับใช้ประจำตัว ฮานส์คงไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้แน่ แม้ตัวจูเลียนเองจะไม่สนใจพิธีเหล่านั้น แต่องครักษ์และเด็กรับใช้ไม่มีทางยอม

“จะให้ข้าทำอะไร คิดว่ามีสิทธิ์สั่งข้าหรือไง” จูเลียนถามทั้งที่ของกินเต็มปาก ริมฝีปากอิ่มได้รูปเป็นมันจนเงา

“ตอนนี้เจ้าก็แค่เด็กน้อยที่ข้าต้องดูแล ตัวภาระ” จูเลียนหน้าตึง

“ข้าเป็นกษัตริย์เจ้าอย่าลืมสิ” ฮานส์ถอนหายใจส่ายหน้า เห็นท่าทางของจูเลียนตอนนี้ หากเขาต่อปากต่อคำเรื่องยาวแน่ ฮานส์เงียบรอจนจูเลียนกินอิ่ม จึงโยนบางอย่างให้

“ดาบ? เอามาให้ข้าทำไม”

“ฝึกการต่อสู้เสียบ้าง จะได้เอาตัวรอดได้”

“ข้าไม่ฝึก ข้าไม่ชอบ”

“อย่าโง่จูเลียน เจ้าต้องรู้จักป้องกันตัว ไม่ใช่คอยแต่ให้คนอื่นมาปกป้องเจ้า”

“ก็มันหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว อัศวินของข้ามีตั้งสี่คน” ฮานส์มองไปรอบตัวแล้วหันกลับมาหาจูเลียน

“ไหนล่ะ อย่าโมเมตอบเหมือนเด็ก ๆ ความจริงเจ้าก็เห็น ที่นี่ไม่มีอัศวินตามมาปกป้องเจ้าด้วยซ้ำ”

“ถ้าอย่างนั้นก็คุกเข่าลงสิฮานส์ ชูดาบของเจ้าขึ้นเหนือหัวเอ่ยคำสาบาน จะได้เป็นอัศวินของกษัตริย์ไม่ใช่ง่าย ๆ ตอนนี้เจ้ามีโอกาสแล้ว”

“หึ เจ้าก็ยังมีความคิดแบบเด็ก ๆ อยู่เหมือนเดิม” จูเลียนหน้ามุ่ยลงจนฮานส์ส่ายหน้า “ถอดดาบออกมา”

“เจ้าจะสอนข้าต่อสู้หรือ”

“ข้าแค่อยู่ว่าง ๆ แล้วมันเบื่อเลยหาอะไรทำ ซ้อมมือกับเจ้าก็ดีเหมือนกัน ลุกขึ้นมา”

“แต่..ฮานส์!” จูเลียนยังไม่ทันได้ขยับตัว ดาบอีกเล่มในมือฮานส์ที่เขาใช้ประจำก็ถูกฟันฉับผ่านอากาศไม่ไกลจากตัว เล่นเอาจูเลียนสะดุ้งถอยหนีแทบไม่ทัน ไม่รู้ว่าฮานส์มีอำนาจอะไร แต่จูเลียนก็ยอมลุกขึ้นพร้อมดาบในมือ

“ลองจู่โจมข้าสิ”

“งั้นเจ้าก็เตรียมตัวตายได้เลยฮานส์” จูเลียนนึกสนุก เงื้อดาบขึ้นหวังจะฟันฮานส์เต็ม ๆ แต่คนหน้าหนวดเพียงเบี่ยงตัวหลบไปข้าง ๆ และเอาคืนด้วยการผลักเบา ๆ แต่จูเลียนเซ

“หึ เอาใหม่” จูเลียนจู่โจมโดยการฟาดดาบเข้าใส่ฮานส์สะเปะสะปะ คมดาบไม่แม้แต่จะเฉียดใกล้คนที่เอาแต่หัวเราะร่าสมใจ จูเลียนเหนื่อยจนหอบแต่ฮานส์กำลังสนุก มันเรื่องอะไรที่ต้องมาต่อสู้ทั้งที่ไม่เคยคิดทำ จูเลียนสู้ไม่เป็นและไม่เคยคิดจะเรียนรู้ด้วยซ้ำ

“ทำให้มันเหมือนคนมีแรงหน่อย ข้าจะเอาจริงแล้วนะ เข้ามา” ได้ยินอย่างนั้นจูเลียนเงื้อดาบขึ้นเตรียมฟัน ฮานส์ไม่หลบแต่ใช้ดาบที่ถืออยู่รับคมดาบที่จู่โจม เพียงคนหน้าหนวดหมุนตัวออกด้านข้าง แต่มันเร็วจนจูเลียนไม่ทันได้ทำอะไร ก็ถูกประชิดด้านหลัง ลำคอถูกรวบไว้ด้วยมือใหญ่ข้างเดียว ปลายดาบคมจิ้มหน้าท้อง

“หึ”

“เจ้าสนุกพอหรือยัง”

“กำลังได้ที่เลยล่ะ เอาอีกรอบ” ฮานส์แนบแก้มรกเคราเข้ากับพวงปรางเกลี้ยงเกลานุ่มนิ่ม ความเหนื่อยจากการออกแรงทำให้จูเลียนหายใจหอบ แต่ก้อนเนื้อในอกที่เต้นผิดจังหวะไม่รู้เป็นเพราะอะไร

“ปล่อย ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว” ฮานส์ยอมปล่อยจูเลียนแต่โดยดี พอร่างกายเป็นอิสระหนุ่มน้อยก้าวห่างออกไปได้สองก้าว หันขวับกลับมาพร้อมตวัดดาบฟันฮานส์อย่างรวดเร็ว คมดาบเฉียดปลายจมูกโด่งไปนิดเดียว ฮานส์ตาเหลือกพรูลมหายใจออกจากปากอย่างโล่งอก

“ใช้ได้” ฮานส์รู้ว่าตัวเองคาดเดาผิดและเสียรู้จูเลียน แต่แววตาของเขากลับบอกว่าพอใจ “แต่เจ้าต้องจับดาบให้มั่นคงกว่านั้น เวลาลงดาบอย่าลังเล” จะไม่ให้จูเลียนลังเลได้อย่างไร ขนาดคิดว่าฮานส์คงหลบได้ยังไม่กล้าที่จะฟันตรง ๆ

“อย่าหันตัวหันหน้าตรง ๆ มาแบบนี้ เจ้าจะกลายเป็นเป้าใหญ่ให้ศัตรูโจมตี” ร่างเพรียวถูกจับให้หันข้าง มือที่ถือดาบยกขึ้นชี้ตรง

“แล้วหันข้างแบบนี้มันจะไปถนัดได้ยังไง”

“ถ้าไม่อยากเป็นเป้าใหญ่ ๆ ให้ศัตรูเลือกจิ้มดาบลงตามตัวเจ้าได้ง่าย ๆ ก็ต้องฝึกให้ชิน” ฮานส์บอกพลางจัดท่าทางให้จูเลียนไปด้วย สอนไปด้วย แต่คนที่ไม่ชอบไม่เอาไม่มีหัวเรื่องการต่อสู้นิ่งฟังได้ไม่นาน

“พอแล้วฮานส์ ข้าเบื่อแล้ว”

“เบื่อก็ต้องฝึก”

“ไม่เอาข้าไม่ฝึก” จูเลียนโยนดาบในมือทิ้ง

“ฟังนะจูเลียน ไม่มีใครสามารถปกป้องเจ้าได้ตลอด ถ้าเจ้าไม่คิดจะปกป้องตัวเองก่อน”

“แล้วเจ้าล่ะฮานส์ ไม่คิดจะอยู่ปกป้องข้าหรือ คุกเข่าลงสิสาบานว่าจะปกป้องข้า เป็นอัศวินของข้า เจ้าก็รู้ตำแหน่งนี้ชายชาตรีทุกคนต้องการ” ทั้งสองมองตากันนิ่ง สายตาของจูเลียนดูเด็ดเดี่ยวสมเป็นกษัตริย์ แต่สายตาคมกล้าดุจเหยี่ยวที่มองตอบกลับมาก็ดูมีอำนาจ จูเลียนยิ่งมองยิ่งเหมือนหลุดเข้าไปสู่อะไรบางอย่างที่ลึกล้ำกว่า เหมือนถูกสะกดให้จ้องมองนิ่งเนิ่นนาน จนเสียงเยียบเย็นดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท ถึงได้รู้สึกตัว

“ไม่มีวัน! “



*****************

ครบ 100% แล้วอยากนอนแช่น้ำอุ่น ๆ จริมๆ

ที่นี่จะเป็นรังรักหรือเปล่า บอกเลยว่าไม่ อ้าว ไม่ได้สปอยด์นะ จริง 555

รอดูตอนหน้าก็แล้วกัน

นะนายท่าน

ดาว ณ แดนดิน

26-3-2561

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 19 วันเดียวกลับพลัดพราก








“ส่งคนออกไปอีก เอาตัวมาให้ข้าให้ได้”

“ท่านจะอยากได้ตัวมาทำไม ฆ่าทิ้งซะเลยไม่ง่ายกว่าหรือ”

“จับเป็นเท่านั้น เอาตัวทุกคนมาให้ข้า คนที่จับตัวมาได้ข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม”



เพราะแสงขมุกขมัวยามฟ้าใกล้สางรอบกายจึงดูเลือนราง แต่ก็ยังพอมองเห็นได้ดี เมื่อเจ้าของร่างกำยำขยับตัว พร้อมเปิดเปลือกตาขึ้น เห็นได้ถึงความงัวเงีย แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่ได้รับการฝึกฝน ให้สามารถตื่นเต็มตาได้ทันที แม้ร่างกายยังคงอ่อนเพลีย พอถึงเวลาตื่นก็ต้องลุกขึ้น รอบกายยังคงความหนาวเย็นเข้ากระดูก แต่ไออุ่นที่นอกจากความอุ่นของกองไฟ ยังมีอุ่นไอที่ได้จากร่างบอบบางในอ้อมแขน เขาทิ้งสายตาเฝ้ามองคนที่นอนหลับราวเด็กไร้เดียงสา แต่จะว่าจริง ๆ นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยคนหนึ่ง



เด็กน้อยกำลังหลับสนิท แต่ไม่นานคงต้องตื่นขึ้นมาเอ่ยวาจาตัดพ้อ เพราะกำลังจะถูกเขาปลุก ทั้งความตายที่กำลังตามมาอย่างกระชั้นชิด และภาระหน้าที่ที่รออยู่ เขาไม่อาจตามใจให้เด็กน้อยหลับสบายนานกว่านี้ได้



“ลีโอ” ความเงียบและเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เป็นคำตอบที่ไม่ผิดจากที่คาดไว้ เสียงเรียกจึงเพิ่มระดับขึ้น แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความไร้เดียงสาของเด็กน้อยขี้เซา อัศวินหนุ่มพินิจใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดวงตาหลับพริ้มราวกำลังฝันดี ปอยผมเส้นเล็กสีน้ำตาลอ่อน ถูกปัดออกจากใบหน้านวลแผ่วเบา เผยให้เห็นผิวแก้มขาวละเอียดที่ประดับด้วยกระเม็ดเล็ก ๆ สีน้ำตาลอ่อนจางกระจายตัวห่าง ๆ อยู่ทั้งสองข้างแก้ม ความหนาวทำให้แก้มใสซับสีแดงระเรื่อน่ามอง รอยยิ้มจาง ๆ จุดขึ้นมาบนใบหน้าที่เริ่มรกครึ้มไปด้วยหนวดเครา ด้วยขาดการดูแลมาหลายวัน ภาพอัศวินผู้เงียบขรึมจึงดูดิบเถื่อนขึ้น

“ลีโอ”

“อือ..” ดีขึ้นนิดหน่อยที่ได้รับเสียงแหบ ๆ ตอบกลับมา แต่ยังไม่มากพอจะทำให้เจ้าของชื่อตื่นจากนิทราแสนอบอุ่นนี้ได้

“ตื่นได้แล้วลีโอ เราต้องเดินทางแล้ว”

“เงียบน่า...” อัศวินหนุ่มส่ายหน้าให้กับเสียงละเมอแผ่ว ๆ แค่พอจับใจความได้ หากเป็นยามตื่นเต็มตามีหรือลีโอจะกล้าเอ่ยปากพูดออกมาเช่นนี้ แต่นี่กำลังหลับไม่รู้ตัว ลีโอไม่พูดเปล่ายังซบแก้มซุกเข้าไปในอกกว้าง ให้ร่างกายแนบชิดหาไออุ่นยิ่งขึ้น

“ถ้าเจ้ายังทำตัวเป็นเด็กขี้เซา ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ที่นี่แล้วนะ”

“อือ คนใจร้าย เฮนริชใจร้าย”

“หือ..นี่กล้าต่อว่าข้าเชียวหรือลีโอ!”

“อะไร เซอร์เฮนริช เกิดอะไรขึ้นพวกมันตามมาทันหรือ”

“เจ้าตื่นหรือยัง”

“ตื่นแล้ว ลีโอตื่นแล้ว เกิดอะไรขึ้นเซอร์เฮนริช”

“..” เฮนริชไม่ตอบแต่นั่งจ้องหน้าลีโอนิ่ง สายตาคมของอัศวินหนุ่มมีแววตำหนิ ที่ลีโอเห็นแล้วต้องก้มหน้าหลบตา แต่ริมฝีปากบางที่ยื่นออกมานั่นมันช่างน่าหยิกนัก ลีโอเหมือนจะยอมแต่ดื้อเงียบไม่น้อยในบางครั้ง “เราต้องเดินทางต่อแล้ว หรือเจ้าจะอยู่นี่ให้พวกทหารรับจ้างตามมาฆ่าทิ้ง”

“ทำไมท่านชอบพูดอะไรน่ากลัวอย่างนี้ แผลท่านเป็นยังไงบ้าง”

“ข้าไม่เป็นไรแล้ว”

“ไม่เป็นได้ไง ท่านถูกฟันมานะ แผลกว้างขนาดนั้น ขอข้าดูแผลก่อนได้ไหม” ลีโอขยับเข้ามาคุกเข่าอยู่ข้างเฮนริช แต่อัศวินหนุ่มกลับขยับออก เด็กน้อยนึกขัดใจแต่ไม่ลดละที่จะตรวจดูแผล

“ทำไมท่านหน้าซีดอย่างนี้เซอร์เฮนริช ท่านมีไข้ด้วยนี่” ลีโอแตะหลังมือไปตามใบหน้าที่เริ่มรกครึ้มไปด้วยหนวดเครา และลำคอของอัศวินหนุ่ม จึงได้รู้ว่าเฮนริชมีไข้ แต่กลับถูกปัดออกอย่างไม่ไยดี เด็กน้อยหน้างอแต่ความห่วงใยมีมากกว่าจึงไม่ลดละที่จะดูแล

“ข้าไม่เป็นไร” เฮนริชจะลุกขึ้นยืน แต่เพราะร่างกายยังอ่อนเพลียทั้งเพราะพิษไข้จากบาดแผลที่อักเสบ และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ อัศวินหนุ่มเลยเซเสียหลัก ดีที่ลีโอกอดพยุงไว้ทัน เด็กน้อยเลยได้โอกาสกอดเอวอัศวินหนุ่มไว้แน่น

“ไม่เป็นไรได้ไง ไม่สบายขนาดนี้ท่านยังว่าไม่เป็นไรอีกหรือ” ลีโอบังอาจตำหนิอัศวิน แต่อีกคนกลับไม่สนใจ เป็นถึงอัศวินผู้แข็งแกร่ง จะมาล้มเพราะบาดแผลแค่นี้ถือเป็นเรื่องที่น่าอายยิ่งนัก ทั้งที่เฮนริชไม่ยอมรับการช่วยเหลือ แต่ลีโอก็พยายามพยุงให้นั่งลงข้างกองไฟ ปากก็ปรามเบา ๆ เมื่อเจ้าของร่างสูงใหญ่กำยำยังขืนตัวไว้

“ท่านอย่าดื้อสิ” ลีโอบังอาจนัก

“หึ คนแก่ดื้อหรือลีโอ เจ้าอย่าดุนักสิ” เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นข้างหลัง ทำลีโอชะงัก หัวใจเด็กน้อยเต้นแรง รอยยิ้มจางผุดขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ แล้วค่อย ๆ กว้างขึ้น ทั้งหมดนั่นอยู่ในสายตาของเฮนริชที่มองตาดุ ลีโอหันไปทางต้นเสียง แววตาขี้เล่นกับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่มองตอบกลับมา เป็นสิ่งยืนยันว่าลีโอไม่ได้ฝันไป

“เซอร์เลนนี่! “เพราะความดีใจลีโอผละจากเฮนริชโผเข้าไปหาเลนนี่ ที่กำลังเดินนำหน้าราเชลกับเดรทิชเข้ามา ลีโอกอดเลนนี่แน่น แล้วหันไปกอดเดรทิช “เซอร์เดรทิช ท่านมาแล้ว”

“ไง สนุกเลยสิเจ้า” เดรทิชทัก

“สนุกที่ไหนกัน ข้ากลัวแทบแย่ เซอร์ราเชล” ลีโอกอดอัศวินทั้งสามทีละคน คนสุดท้ายคือราเชลที่ลีโอกอดแน่นเป็นพิเศษ เพราะเพิ่งผ่านสมรภูมิเฉียดตายด้วยกันมาไม่นานนี้เอง

“พอแล้วลีโอ เดี๋ยวร่างเจ้าก็พรุนหมดหรอก” เลนนี่ดึงลีโอออกจากอ้อมกอดของราเชลให้มายืนข้างตัวเอง แถมยังวางท่อนแขนพาดโอบไหล่เด็กน้อยไว้ด้วย หันไปมองหน้าเฮนริชที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ ส่งรอยยิ้มมีเลศนัยยามมองตาเพื่อน แต่เฮนริชแค่ส่ายหน้าแล้วหันไปทางอื่น

ลีโอไม่เข้าใจเลยถาม “ทำไมต้องพรุนด้วยล่ะ”

“ถูกสายตาทิ่มแทงกระมัง” และยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เด็กน้อยมองหน้าคนนั้นทีคนนั้นที แล้วหันไปหาเฮนริชเหมือนขอความเห็น พอไม่มีใครให้คำตอบก็หันกลับมาถามเลนนี่เหมือนเดิม

“สายตาอะไรทิ่มแทงหรือเซอร์เลนนี่ ทิ่มแทงทำไม”

“หึ”

“อ้าว..ยิ้มอะไรของท่านขำอะไรข้าอีกล่ะ” ลีโอว่ายิ้ม ๆ เลนนี่เลยวางมือลงบนศีรษะเล็กยีเบา ๆ

“ไม่มีอะไรหรอก” เลนนี่บอกปัดแล้วหันไปทางเฮนริชที่นั่งมองตาดุ “ไง ถึงกับหมดแรงเลยหรือไง”

“ยังไม่ตาย”

“แล้วพวกท่านมาด้วยกันได้ยังไง” ลีโอยังไม่หมดความสงสัย

เลนนี่กับเดรทิชเงียบราเชลเลยเป็นคนตอบ “เจอกันอยู่กลางทางพอดี”

เดรทิชโยนห่อผ้ามาทางลีโอแล้วบอก “ข้าเอามาฝาก”

พอเปิดห่อดูเห็นเป็นขนมปังหอมกรุ่น ลีโอตาโตยิ้มกว้าง “เซอร์เดรทิชท่านใจดีที่สุดเลย”

ลีโอสนใจของกินมีแบ่งมาให้เฮนริชด้วย อัศวินทั้งสี่หันหน้าคุยปรึกษากันเคร่งเครียด

เฮนริชผู้นิ่งขรึมถามขึ้นก่อน “เจ้าได้ข่าวจากฮานส์หรือยัง”

“ข้าส่งนกไปหาเขาแล้ว” อัศวินทั้งสามมองหน้าเลนนี่รอฟัง “ยังไม่ตอบกลับมา ไม่รู้ว่าได้รับข่าวจากข้าหรือไม่”

ราเชลถาม “ถ้าไม่ได้ข่าวเราจะหาตัวเขาเจอได้ที่ไหน”

“ถ้าเขาไม่อยากให้เราเจอ เราก็ไม่มีวันหาเขาเจอ” ทุกคนสีหน้าเครียดขึ้นทันที แต่ท่าทางของเลนนี่กลับไม่ได้ทุกข์ร้อน ที่ฮานส์พาจูเลียนแยกออกจากกลุ่มอัศวิน

“แต่เขาพาจูเลียนไป” เดรทิชย้ำ

“อยู่กับฮานส์จูเลียนจะปลอดภัย ข้ารับรอง”

“ข้าไม่ไว้เขาแต่แรก” เฮนริชย้ำ

“อย่างที่ข้าบอกเจ้า เจ้าเชื่อใจข้า ข้าเชื่อใจฮานส์”

“เจ้ารู้จักเขาดีแค่ไหนเลนนี่” ราเชลถาม

“ตั้งแต่จำความได้ เราโตมาด้วยกันกินอยู่ด้วยกัน เรียนด้วยกัน ถูกฝึกมาด้วยกัน จนวันที่ข้าต้องเข้าวัง” สายตาของเลนนี่จริงจังไร้แววขี้เล่น ใจนึกไปไกลถึงวันที่ต้องเดินทางเข้าวัง ยามนั้นเขาเป็นเพียงเด็กชายที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม ทิ้งคำล่ำลาของคนที่เป็นทั้งญาติ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อนตาย และคำขอโทษไว้เบื้องหลัง!

เดรทิชว่า “เอาล่ะ ข้าว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาถามหาความไว้เนื้อเชื่อใจ แต่เราต้องมาว่ากันที่จะตามหาจูเลียนได้ยังไงดีกว่า”

“อย่างที่ข้าบอก ถ้าเขาไม่อยากให้เราเจอตัว เราไม่มีวันหาเขาเจอ”

“แต่เราต้องพาจูเลียนกลับเมืองหลวง” เฮนริชเสียงเข้มขึ้นเพราะความเป็นห่วง ยามคุยกันเฉพาะกลุ่มอัศวินจูเลียนก็เหมือนน้องชายเล็ก ๆ ที่พวกเขาให้ความรักและการดูแลปกป้องแบบถวายชีวิต อย่างที่ได้กล่าวคำสาบานตนไปแล้ว

“เราต้องรอ ข้าเพิ่งส่งข่าวไปหาเขาวันก่อน เราทำได้แค่รอ”

“เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือเลนนี่ ว่าจะหาเขาเจอได้ที่ไหน” เลนนี่ได้แต่ถอนหายใจ มีสถานที่มากมายที่เพื่อนผู้พเนจรของเขาจะไป แต่สถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับฮานส์แล้ว เลนนี่เดาไม่ถูกจริง ๆ หรือบบางทีก็อาจจะเป็นเพราะตัวเขาเองที่ไม่อยากเดา

“เจ้าก็รู้เรารอไม่ได้ จูเลียนควรอยู่กับเรา ฮานส์ไม่ใช่คนของเราด้วยซ้ำ” เฮนริชว่า

“เขาจะเป็นใครก็ช่าง แต่ถ้าเจ้ายืนยันว่าเชื่อใจเขา และจูเลียนอยู่กับเขาแล้วปลอดภัย ข้าเชื่อเจ้า” ราเชลบอกเลนนี่แล้วหันไปทางเดรทิชที่พยักหน้าเห็นด้วย เหลือเพียงเฮนริชที่ยังเงียบ

“แล้วเจ้าล่ะ”

“..” เฮนริชยักไหล่ไม่ตอบคำ

“เฮนริช ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ไว้ใจ เพราะฮานส์เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเจ้า ข้าเข้าใจ แต่ฮานส์จะพาจูเลียนกลับมาหาเราทันที ที่เขาแน่ใจว่าจูเลียนปลอดภัย” แม้อัศวินทั้งสองจะมีนิสัยต่างกันมาก คนหนึ่งขี้เล่นรักสนุกอารมณ์ดี ส่วนอีกคนเงียบขรึมเป็นผู้ใหญ่ จริงจังกับทุกเรื่อง แต่ทั้งเลนนี่และเฮนริชต่างเป็นเพื่อนตายที่รัก และไว้เนื้อเชื่อใจกันมานาน

ต่อจร้าาาาา

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“เพราะข้าเชื่อใจเจ้า นอกจากเราสี่คนข้าไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”

“ข้ารู้ เราจะรอที่จุดนัดพบ ถ้าภายในสามวันฮานส์ไม่พาจูเลียนมา ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาเขาเอง อาจจะที่ไหนสักที่ข้าจะลองสุ่มดู”

“ไม่รู้ว่าพวกท่านมองยังไงนะ แต่สำหรับข้า ลีโอคิดว่าท่านโรฮานส์เป็นคนดีคนหนึ่ง ข้าชื่นชมเขามากด้วย” เสียงเล็ก ๆ ที่ดังขึ้นเรียกสายตาของอัศวินทั้งสี่ให้หันไปมอง ลีโอบอกทั้งที่ของกินเต็มปาก พูดแล้วก็ส่งขนมปังก้อนใหญ่ใส่ปากไม่สนใจใคร สนุกกับการกิน

“เจ้าอิ่มหรือยังลีโอ เราต้องเดินทางต่อแล้ว” เพราะอาหารยังเต็มปากลีโอจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ เฮนริชที่ไม่สบายเพราะพิษไข้จากบาดแผล นั่งมองเพื่อนอัศวินทั้งสามช่วยกันเก็บของ และอำพรางร่องรอย จนไม่เหลือจุดให้สังเกตว่าเคยมีคนมาพักตรงนี้

“ลีโอ เจ้าขี่ม้าตัวนี้ก็แล้วกัน” เลนนี่จูงม้าของเขามาให้ลีโอ ยัดสายบังเหียนใส่มือเด็กน้อย แล้วแย่งเอาสายบังเหียนม้าตัวที่ลีโอขี่มากับเฮนริชไปถือไว้เอง สองมือใหญ่กระชับที่สีข้างร่างบอบบาง ยกลีโอขึ้นนั่งบนหลังม้าหน้าตาเฉย

ลีโอมองหน้าเลนนี่งง ๆ แล้วถาม “ขอบคุณเซอร์เลนนี่ แต่ทำไมล่ะ”

“มันตัวใหญ่และแข็งแรงที่สุด”

“แล้วทำไมลีโอจะต้องขี่ม้าตัวใหญ่ และแข็งแรงที่สุดด้วย ข้าตัวเล็กนิดเดียวขี่ตัวไหนก็ได้ พวกท่านมีแต่คนตัวโต ๆ ทั้งนั้นควรจะเลือกม้าที่แข็งแรงไม่ใช่หรือ” ตอนนี้ราเชลกับเดรทิชนั่งอยู่บนม้าคนละตัว เลนนี่เหวี่ยงตัวเองขึ้นหลังม้าตัวที่แย่งมาจากลีโอ อัศวินทั้งสามมองหน้ากันแล้วยิ้ม

“เพราะเจ้าต้องขี่กับคนป่วยไง” เฮนริชจิกตามองเลนนี่ที่อมยิ้มให้เขาหน้าตาเฉย ไม่พอยังเลิกคิ้วขึ้นเหมือนถามว่ามีปัญหาอะไรไหม เลนนี่หันไปยิ้มกว้างให้ลีโอแล้วกระตุกม้าควบออกไป ตามด้วยเดรทิชกับราเชลที่ยิ้มให้ แล้วหันไปทางอัศวินบาดเจ็บ เฮนริชไม่สนใจ เหวี่ยงตัวเองขึ้นนั่งซ้อนหลังลีโอบนม้าตัวใหญ่ กระซิบบอก

“ไปได้แล้ว”



*****************



เป็นครั้งที่สองที่จูเลียนถูกฮานส์ปฏิเสธ ตำแหน่งอันทรงเกียรติที่มีให้เฉพาะบุรุษที่คู่ควร แต่สำหรับฮานส์ จูเลียนมองไม่เห็นความสามารถที่อยู่ภายใต้ท่าทางกวนอารมณ์ แค่ต้องการเอาชนะให้ได้ กระทั่งยื่นข้อเสนอง่าย ๆ ให้จูเลียนก็ทำ ถึงจะรู้ว่ายังไงฮานส์ก็ไม่ยอมคุกเข่าสาบานตน จูเลียนไม่เข้าใจว่าทำไมฮานส์ถึงได้ไม่พอใจ อัศวินเป็นตำแหน่งทรงเกียรติที่ไม่ใช่ว่าจะเลือกใครมาเป็นก็ได้ แต่คนคนนี้กลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ไม่ได้คิดเกรงต่อความเป็นกษัตริย์ของจูเลียนเลยด้วยซ้ำ



จูเลียนผ่านวันเวลาในถ้ำที่อบอุ่นมาสองวันแล้ว ต่างคนต่างอยู่ ไม่พูดคุยกัน จูเลียนไม่พอใจที่ถูกปฏิเสธเหมือนถูกฮานส์หักหน้า เพื่อนคุยที่ดีที่สุดก็มีแต่เจ้าหนูกระต่ายตัวน้อย ที่ตอนนี้จูเลียนวางใจได้ ว่ามันจะไม่ถูกจับมาย่างเป็นอาหาร ทั้งสองมึนตึงไม่พูดคุยกันทั้งที่คนพูดได้มีกันอยู่แค่สองคน จูเลียนกลายเป็นกษัตริย์ไร้ประโยชน์ ที่ต้องมานั่งรอเวลาอยู่อย่างนี้ แต่จะให้ลดตัวไปพูดคุยกับคนโอหังอวดดีก่อน จูเลียนทำไม่ได้แน่ วันนี้หนุ่มน้อยจึงตัดสินใจทำอย่างที่คิดไว้



จูเลียนอุ้มเจ้าหนูเดินไปรอบถ้ำ เข้ามุมนั้นออกมุมนี้เหมือนกำลังสำรวจหาอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นทางเข้าออก มีสายตาคมสีดำมืดดุจรัตติกาลมองตามไปทุกที่เงียบ ๆ จูเลียนเดินสอดส่องไปรอบถ้ำ ฮานส์รู้ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอีกคนกำลังทำอะไร แค่อยากรู้ว่าจูเลียนจะทำมันได้นานแค่ไหน และจะทำสำเร็จหรือไม่ เพราะที่นี่เป็นที่ซ่อนตัวที่ฮานส์มั่นใจ ว่ามีเพียงเขาคนเดียว ที่รู้จักทางเข้าออกดี ยังไงจูเลียนก็ไม่มีวันหาทางออกเจอ ฮานส์เริ่มเก็บของที่จะเอาไปด้วย ขณะที่จูเลียนเดินคลำสะเปะสะปะไปรอบ ๆ จนวนกลับมาที่เดิม ฮานส์ก็เก็บของเสร็จเรียบร้อยพร้อมเดินทาง



“เจ้าจะไปไหน”

“เดินทางต่อ”

“อ้าว แล้วก็ไม่บอก”

“ไปได้แล้ว”

“เดี๋ยวสิฮานส์รอข้าก่อน ไปกันเจ้าหนู” จูเลียนวิ่งไปอุ้มกระต่ายตัวน้อย พร้อมผ้าที่ใช้ห่อตัวมันขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด แล้ววิ่งตามฮานส์ไป ทางออกเปิดอยู่ตรงหน้า จูเลียนไม่รู้ว่าฮานส์ทำได้อย่างไร พอเดินออกไปแล้วหันกลับมาทันได้เห็นหินก้อนใหญ่ขยับเข้ามาปิดปากทางไว้ช้า ๆ จนสนิท ฮานส์อำพรางร่องรอยต่าง ๆ แล้วเดินนำจูเลียนออกมาจากตรงนั้น จุดหมายปลายทางจูเลียนไม่รู้



เดินจนเหนื่อย แต่ไม่รู้ว่าพากันมาไกลมากแค่ไหน และเดินถึงไหนกันแล้ว แต่ระยะเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา จูเลียนคิดว่าตัวเองเดินไกลกว่าที่เคยเดินมาทั้งชีวิต ฮานส์เดินนำจูเลียนเพียงเดินตาม มีถามไถ่พูดคุยกันบ้าง แต่จูเลียนก็ไม่เคยเดินทันฮานส์เลยหากอีกคนไม่หยุดรอ รอบกายยังคงหนาวเย็น ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆหนา จนแสงอาทิตย์ไม่อาจส่องลอดลงมาสู่ผิวโลกได้ ไม่ต่างจากรอบตัวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มองไปทางไหนเห็นแต่สีขาวโพลนไปหมด ดีที่ตอนนี้หิมะไม่ตก ไม่อย่างนั้นอาจพากันเดินต่อไม่ได้ จูเลียนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่พอเดินขึ้นเนินมาเห็นภาพเบื้องหน้า ก็ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น



“ฮานส์ ข้างหน้ามีหมู่บ้าน!” น้ำเสียงของจูเลียนตื่นเต้น ชี้ชวนให้ฮานส์ดูหมู่บ้านเล็ก ๆ เบื้องหน้า ที่หมกตัวอยู่ท่ามกลางหิมะ บ้านแต่ละหลังปลูกห่างกันไม่มาก หลังคาบ้านปกคลุมด้วยหิมะหนาพอกับพื้นรอบบ้าน มองไปให้ความรู้สึกเงียบเหงาอึมครึม หากไม่มีควันลอยออกจากปล่องไฟคงคิดว่าเป็นหมู่บ้านร้าง

พออีกคนยังเฉยจูเลียนเลยหันมาบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ฮานส์ดูสิหมู่บ้าน”

“รู้แล้วน่า”

“เจ้ารู้จักเหรอ” ฮานส์ไม่ตอบ แต่รีบจ้ำเดินลงเนินไป จุดหมายปลายทางคือบ้านหลังเล็กที่ตั้งอยู่เดี่ยว ๆ ห่างออกมาจากบ้านหลังอื่น ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีคนอาศัยอยู่ไม่กี่ครัวเรือนอย่างสงบสุข

“ฮานส์!” เสียงเรียกดังมาจากบ้านหลังหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นจูเลียนต้องอึ้งค้างหยุดอยู่กับที่ หญิงสาวยืนอยู่หน้าบ้านเรียกฮานส์เสียงดัง แล้ววิ่งมากระโดดกอดชายหนุ่มอย่างดีใจ

“เจ้ากลับมา”

“ข้าต้องกลับมาอยู่แล้ว”

“เจ้าไปนานจนข้าคิดถึง”

“หึ ข้าไปไม่กี่วันเจ้าก็บ่นคิดถึงข้าเหมือนเดิมซูร่า”

“ก็เจ้าชอบทำตัวลึกลับ ที่จริงข้าเป็นห่วงเจ้าหรอก เข้าบ้านเถอะ” เหมือนกับว่าจูเลียนได้หายไปจากโลกนี้แล้ว ฮานส์ถูกหญิงสาวฉุดดึงเข้าบ้าน คงเป็นธรรมดาของชายหนุ่มอย่างเขา เจอสาวสวยจะลืมจูเลียนกับเจ้าหนูที่เดินทางมาด้วยกันก็ไม่แปลก เป็นอีกครั้ง กษัตริย์หนุ่มน้อยต้องยืนมองแผ่นหลังกว้างเดินจากไปไม่สนใจไยดี อย่าว่าแต่เรียกให้ไปด้วยกันเลย ฮานส์ไม่แม้แต่จะหันมาดู ว่ามีใครอีกหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวยืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ



จูเลียนเม้มปากแน่น สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ระบายลมหายใจออก กัดริมฝีปากแน่น คงถึงเวลาจริง ๆ แล้ว ที่จูเลียนต้องเดินทางคนเดียวด้วยตัวเอง นางอาจจะเป็นคนรักของเขา ภาพเบื้องหน้าคือฮานส์ถูกหญิงสาวดึงให้เข้าไปในบ้านด้วยกัน ทิ้งจูเลียนไว้เบื้องหลัง ให้ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะและความหนาวเหน็บ แต่สิ่งที่แย่ยิ่งกว่า คือความรู้สึกดี ๆ ของจูเลียนที่มีต่อฮานส์ ที่มันแอบก่อเกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว หากเป็นยามปกติก่อนหน้าที่จะได้เดินทางร่วมกัน จูเลียนคงโวยวายตามหลัง เรียกคนหน้าหนวดหันกลับมาให้ความสำคัญ ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ แต่ตอนนี้จูเลียนเพียงยืนนิ่ง และเงียบ ตามองบ้านหลังน้อยที่คงจะเป็นรังรักของฮานส์กับหญิงสาว ทิ้งจูเลียนไว้บนเนินเหน็บหนาวแห่งนี้



กี่ครั้งแล้วที่ถูกทิ้ง กี่ครั้งแล้วชายพเนจรที่จูเลียนเรียกขานว่าเจ้าคนลึกลับ ทิ้งไว้เหมือนไม่มีความสำคัญ ทั้งที่เป็นถึงกษัตริย์ ทั้งที่เป็นถึงเจ้าเหนือหัว ทั้งที่เป็นผู้ปกครองบ้านเมืองสูงศักดิ์สำคัญ แต่ความสูงศักดิ์ของจูเลียนไม่เคยมีความหมายกับชายพเนจรคนนี้เลยสักครั้ง ไม่เคยมีเลยจริง ๆ จูเลียนกอดเจ้าหนู มองบ้านหลังน้อยแล้วหันหลังกลับ



*********50% 50% 50%***********

โรฮานส์เจ้าทิ้งน้องอีกแล้วหรือ!! ทำไมเจ้ามีนิสัยเช่นนี้....

หึหึ เข้าใจจูเลียนะความรู้สึกนี้ ข้าเคยเจอมาแล้ว

แต่ในส่วนของเซอร์เดรทิชนั้น ไม่ต้องกังวลไป

อีกไม่กี่ตอนข้างหน้านี้ ท่านเซอร์จะมีบทมากขึ้นแน่นอน

และในส่วนของฉากอัศจรรย์นั้น เซอร์เดรทิชก็มีแน่นอนจ้ะ กับ...??

ขอบอกว่าร้อนแรงไม่แพ้เซอร์เลนนี่กับลอร์ดแอนดีสนะเออ แต่คงอีกหลายตอน รอกันนะ

ฮานส์จะเจอจูเลียนไหม เจอกันที่ไหน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อให้ อีกครึ่งที่เหลือจ้า เตรียมใจไว้ด้วย เรื่องมันเศร้า

 :hao5:

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



“เมืองหลวงเป็นไงบ้าง”

“วุ่นวายเหมือนเดิม”

“แล้วงานประลองที่เจ้าว่าจะไปดูล่ะ”

“ก็ดี”

“เจ้าได้เข้าประลองใช่ไหม เจ้าชนะไหมฮานส์”

“เจ้าคิดว่าข้าชนะไหมล่ะ” ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ฮานส์บอกนางว่าเขาจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อไปดูการประลองประจำปี แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประลองด้วยซ้ำ

“เจ้านี่นะจะยอมเขาร่วมประลอง ไม่น่าเชื่อเลย แต่ข้าเดาว่าเจ้าชนะด้วยใช่ไหม” ฮานส์ยิ้มอ่อนโยนให้ หญิงสาวมองตอบนัยน์เป็นประกาย

“อ้อ ข้าลืมไปนี่จูล อ้าว..!!”

“อะไร” ฮานส์หันไปข้างหลังจะแนะนำ พบว่ามันว่างเปล่า เขาคิดว่าจูเลียนเดินตามกันมาแต่ไม่ใช่

“จูเลียน! “

“อะไรจูล ใครคือจูเลียน”

“จูเลียน คนที่มากับข้า” ฮานส์ถลันไปที่ประตู เปิดออกแล้ววิ่งออกไปนอกบ้านแต่ไม่เห็นใคร วิ่งกลับไปที่เนิน กวาดตาไปรอบ ๆ แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นว่าจะมีวี่แววของคนที่เดินทางมาด้วยกัน กวาดสายตามองตามพื้นหวังจะหาร่องรอย แต่รอยที่ปรากฏกลับเป็นรอยเท้าของชาวบ้านย่ำทับมั่วไปหมดจนแยกไม่ออก

“เจ้ามีเพื่อนเดินทางมาด้วยหรือ”

“ใช่ เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นหรือไง”

“ขอโทษด้วย ข้ามัวแต่ดีใจที่เจ้ากลับมาเลยไม่ทันดู”

“ข้าก็นึกว่าเขาจะเดินตามมา เจ้าเข้าบ้านไปก่อน เดี๋ยวข้าจะลองตามหาแถวนี้”

“ให้ข้าช่วยดีกว่า เจ้าดูรอบ ๆ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูในหมู่บ้านให้” ฮานส์พยักหน้า บอกซูร่าเกี่ยวกับลักษณะของจูเลียน จากนั้นหญิงสาวก็วิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน เขากัดฟันกรอดสลับกับการถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา เป็นไปได้ว่าจูเลียนคงคิดว่าเขาไม่สนใจ คิดว่าตัวเองถูกทิ้งเหมือนทุกครั้งที่เคยแกล้ง และอาจจะเดินย้อนกลับไปทางเก่า หรืออาจจะเดินเข้าไปในหมู่บ้าน

ฮานส์ขอให้เป็นอย่างหลัง



ฮานส์วิ่งย้อนกลับไปทางเก่า เห็นรอยที่ตัวเองมากับจูเลียนบนหิมะชัดเจน แต่ไม่มีรอยที่บ่งบอกว่าอีกคนเดินย้อนกลับมา เขากวาดตามองไปรอบ ๆ คิดว่าหากตัวเองเป็นจูเลียนจะทำอย่างไร หรือเดินไปทางไหน แต่ก็เดาความคิดแบบเด็ก ๆ ของอีกคนไม่ถูก คนหน้าหนวดวิ่งพล่านไปทั่วจนย้อนกลับมายังเนินที่เดิม ที่เขากับจูเลียนหยุดยืนดูหมู่บ้าน ภาวนาให้อีกคนเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือจากใครสักคนที่นั่น



“ทางนั้นไม่เจอใช่ไหม” ซูร่าถามทันทีที่เห็นฮานส์ เขาส่ายใบหน้าเคร่งเครียดไปมาแทนคำตอบ ทั้งสองกวาดตามองรอบตัว หมู่บ้านเงียบเหงายังถูกปกคลุมด้วยความอึมครึม

“เอาไงดี”

“อีกเดี๋ยวทุกคนก็ออกมาที่ลานกลางหมู่บ้านแล้วใช่ไหม”

“ใช่”

“ข้าจะลองถามชาวบ้านดู ถ้าจูเลียนไม่ได้อยู่ที่นี่คงต้องรีบออกตามหา ปล่อยไปคนเดียวไม่รอดแน่”

“ข้าไปด้วย”

“คงไปไหนไม่ได้ไกล จูเลียนเดินป่าไม่เก่ง”

“ข้าเกือบลืม นี่ของเจ้า” ซูร่ายื่นของบางอย่างให้ฮานส์ เขารับไปดูแล้วเก็บไว้ในถุงที่ติดตัวตลอดเวลา “อ้อ..โกสต์ก็มารอเจ้าแล้วนะตอนนี้อยู่ในคอกหลังบ้าน” ฮานส์พยักหน้ารับคิดถึงเจ้าม้าแสนรู้คู่ใจ เพื่อนเดินทางของเขาที่ปล่อยให้มันล่วงหน้ามาก่อน



ลานกลางหมู่บ้านที่หิมะถูกกวาดออกไปกองไว้ข้าง ๆ เป็นศูนย์รวมของสมาชิกไม่กี่ครัวเรือน ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ตกเย็นทุกคนจะมารวมตัวกันที่นี่ เพื่อแลกเปลี่ยนอาหารกันกินและพูดคุย สมาชิกในหมู่บ้านทั้งผู้ใหญ่และเด็กมีอยู่ราวห้าสิบคน จึงรู้จักกันทั่วถึง มีพ่อเฒ่าอายุราวหกสิบเป็นผู้นำ ไฟกองใหญ่ถูกก่อขึ้นกลางลานเพื่อความอบอุ่น ชาวบ้านทยอยออกมาในมือถือของ ซึ่งเป็นอาหารเท่าที่หาได้ เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกินด้วยกัน ทุกคนรู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี หลายคนเห็นฮานส์ก็เข้ามาทักทาย ชายหนุ่มถือโอกาสถามหาจูเลียนด้วยแต่ไม่มีใครเห็นเลย



“คนที่มากับเจ้าเป็นใคร ทำไมดูสำคัญนัก” เขามองหน้าหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกาย ความเคร่งเครียดของฮานส์ผ่านออกมาทางสีหน้า และแววตาอย่างเปิดเผยจนนางสงสัย

“เป็นคนที่ข้าต้องจะดูแล”

“หึ เขาโชคดี” นางบอกยิ้ม ๆ แววตาที่มองฮานส์ดูซุกซนแกมล้อเลียน

“ส่วนข้าสิโชคร้าย” ฮานส์นึกถึงตลอดหลายวันที่เดินทางมาด้วยกัน บางครั้งจูเลียนทำให้เขายิ้ม บางครั้งทำให้หัวเราะ แต่ส่วนมากเป็นเขาเองที่ทำให้ตัวเองหัวเราะ จากการแกล้งกษัตริย์หนุ่มน้อย ฮานส์เพิ่งนึกได้ว่าความเป็นกษัตริย์ผู้สูงเกียรติของจูเลียน ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย ทุกวันเขามองเห็นเพียงเด็กหนุ่ม ที่ชอบทำอะไรเป็นเด็กกว่าที่ควรจะเป็น บางครั้งก็เอาแต่ใจ บางครั้งก็กวนอารมณ์ให้เขาหงุดหงิดไม่รู้ตัว บทจะว่าง่ายก็ง่ายเสียจนฮานส์นึกแปลกใจ ส่วนมากจะดื้อและรั้นเสียมากกว่า แต่รวม ๆ แล้วความไร้เดียงสา ความกวนแบบหน้าซื่อ ๆ ของจูเลียน ทำให้ชีวิตฮานส์มีสีสันขึ้นไม่น้อย

“ฮานส์”

“อะไร”

“เจ้าคิดอะไรอยู่”

“เปล่านี่”

“ทำไมอมยิ้มล่ะ”

“ยิ้มที่ไหน ข้าไม่มีอารมณ์มายิ้มตอนนี้หรอกซูร่า” ฮานส์ทำเป็นทักชาวบ้านครอบครัวหนึ่งที่เดินมาหา ไม่อยากบอกหญิงสาวว่าเผลอคิดเรื่องกษัตริย์หนุ่มน้อยเพลิน จนลืมความเคร่งเครียดที่จูเลียนหายตัวไป แต่พอรู้สึกตัวความเคร่งเครียดก็กลับมากดดันเขาเหมือนเดิม

“เพื่อนของเจ้าคงไม่เป็นไรหรอก”

“ใช่ไม่เป็นไร แต่หลังจากนี้ไม่แน่” ฮานส์บอกเสียงเข้ม ตาคมดุมีแววน่ากลัวจับจ้องไปยังจุดหนึ่งเบื้องหน้า ซูร่ามองตามสายตาของฮานส์ เห็นคนแปลกหน้าเดินมากับหญิงชายชราคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นผัวเมียกัน นางจึงเข้าใจ

“นั่นคือจูเลียนของเจ้าสินะ”

“ใช่” ฮานส์โกรธจนลืมแก้คำพูดที่ซูร่าบอกว่า ‘จูเลียนของเจ้า’ เขาเดินย่ำเท้าหนัก ๆ เข้าไปหาคนที่ทำเป็นไม่เห็น แล้วเดินผ่านกันไปหน้าตาเฉย

“จูเลียน! “

“ฮานส์เจ้ากลับมาแล้วหรือ” หญิงชราที่เดินมากับจูเลียนทัก ฮานส์จึงต้องหยุดคุยกับนาง แต่จ้องจูเลียนไม่วางตา

“ข้ากลับมาแล้วท่านป้า นั่น..”

“เจ้ารู้จักเขาหรือ ข้าเห็นยืนหนาวอยู่นอกหมู่บ้านเลยชวนมาด้วย”

“นั่นเพื่อนข้าเอง ขอบคุณท่านป้ามากที่ชวนเขามาด้วย ข้าคงต้องขอตัวเขาก่อนมีเรื่องต้องคุยกัน”

“เดี๋ยวสิ ไปกินอาหารค่ำด้วยกันก่อน พวกเจ้าเพิ่งเดินทางมาถึงไม่ใช่หรือไง” ฮานส์เหลือบตามองจูเลียนแล้วขบฟันแน่น ยิ่งอีกคนทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ฮานส์ยิ่งหงุดหงิด อยากสั่งสอนให้สมกับที่ทำให้เขาหัวเสีย แต่ที่มากกว่าความหัวเสียคือความเป็นห่วง

“ไปเถอะทุกคนคงมากันพร้อมแล้ว กินอาหารค่ำคุยกันไปด้วย เล่าเรื่องการเดินทางของเจ้าให้ข้าฟังหน่อย ข้าอยากฟัง” แล้วการพบปะแบ่งปันอาหาร อันเป็นธรรมเนียมประจำวันของหมู่บ้านก็เริ่มขึ้น ก่อนที่จะดึกและหนาวไปมากกว่านี้ จูเลียนยังทำไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาคมดุของฮานส์ ที่จ้องมองตามไปทุกที่ ไม่ว่าหญิงชราจะพาเดินไปทางไหน หรือทักทายใคร จูเลียนก็อยู่ในสายตาฮานส์ตลอด

“เจ้าทำอะไรให้ฮานส์ไม่พอใจหรือจูเลียน” เพราะสังเกตเห็นฮานส์มองจูเลียนตาขวาง หญิงชราจึงถามขึ้นอย่างสงสัย แววตาของนางมีความเอ็นดูยามมองหน้าหนุ่มน้อยข้างกาย

“ข้าเปล่านะท่านป้า แต่คนคนนี้เดาอารมณ์ไม่ได้หรอก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ท่านป้าอย่าไปสนใจเขาเลย” นางรู้จักฮานส์มานาน เจ้าหนุ่มนัยน์ตาสีดำสนิทนั่นเป็นคนอย่างไรนางย่อมรู้ดี

“เจ้าพูดเหมือนคนที่กำลังน้อยใจคนรักนะ” จูเลียนชะงักมือที่กำลังหยิบอาหารเข้าปาก ดวงตาสีเขียวสุกใสเหลือบมองหญิงชรา แล้วรีบหลบมองไปทางอื่น

“คนรัก..ท่านป้าหมายความว่ายังไง”

“เจ้าไง เจ้าเป็นคนรักของฮานส์หรือ” จูเลียนตาโตอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าหญิงชราจะคิดและเข้าใจไปทางนี้ได้ ฮานส์ก็มีคนรักแล้วไม่ใช่หรือไง กับผู้หญิงคนนั้น อยู่หมู่บ้านเดียวกันนางน่าจะรู้จัก

“ข้าเปล่านะท่านป้า ข้า..แค่บังเอิญเดินทางมากับเขา” นางจ้องตาจูเลียนจ้องตอบ ตาสวยมีแววตื่นจนดูหลุกหลิก จุดรอยยิ้มรู้ทันบนใบหน้าเหี่ยวย่นของนาง



หญิงชรายิ้มกว้างมองจูเลียนอย่างเอ็นดู “ข้าคงเข้าใจผิด แต่เห็นสายตาที่เจ้าสองคนมองกัน ทำให้ข้าคิดว่าพวกเจ้าเป็นคนรักกัน อย่าถือสาคนแก่เลยนะ หูตาข้าคงเริ่มไม่ดีเหมือนตาแก่ที่บ้านบ่นให้แล้วล่ะ” จูเลียนโล่งใจที่นางยอมเข้าใจสักที เพราะมันเป็นความจริง จูเลียนไม่ได้เป็นคนรักของฮานส์ และฮานส์ก็ไม่ได้เป็นคนรักของจูเลียน อยากบอกว่าตัวเองมีคนรักอยู่แล้ว แต่จูเลียนเลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า

“อิ่มหรือยัง” เสียงที่ดังขึ้นข้าง ๆ ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเจ้าของคำถามคือใคร จูเลียนนั่งเฉยไม่ตอบคำ ไม่แม้แต่จะหันไปสนใจเจ้าของคำถามที่ยืนตัวสูงอยู่ข้าง ๆ เลยด้วยซ้ำ จนอีกคนต้องถามย้ำ “ข้าถามว่าเจ้าอิ่มหรือยังจูเลียน”

“เห็นข้าหยุดกินหรือยังล่ะ”

“เราต้องคุยกัน”

“ข้าไม่มีอะไรต้องคุยกับเจ้า”

“แต่ข้ามี และต้องคุยกันเดี๋ยวนี้”

“ไม่”

“จูเลียน” ไม่ใช่เสียงของฮานส์ แต่เป็นเสียงของหญิงชราที่นั่งมองใบหน้ารกหนวด กับใบหน้าอ่อนเยาว์ขาวนวลผ่องสลับกันไปมา ตั้งแต่ฮานส์เดินเข้ามาเรียกจูเลียน และนางก็ได้ข้อสรุปแล้วจึงแทรกขึ้น สองคนหันมาทางหญิงชรา จูเลียนมองนางสีหน้ามีคำถาม

“ครับท่านป้า”

“เจ้าบอกข้าว่าไม่ได้เป็นคนรักของฮานส์” สองหนุ่มมองหน้าแทบจะทันที จูเลียนนึกว่านางไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว ทำไมยังถามอีก

“ข้าไม่...”

“ข้าดูแล้วเหมือนเจ้ากำลังงอน ส่วนเจ้า” นางหันไปทางฮานส์ที่ยืนงง “กำลังตามง้อจูเลียนหรือฮานส์ เจ้าสองคนไปปรับความเข้าใจกันเถอะไป มีอะไรก็พูดกันดี ๆ นะ” หญิงสูงวัยบอกยิ้ม ๆ ส่งเสริมให้ทำความเข้าใจกันดีกว่ามานั่งโกรธ ฮานส์ไม่สนใจแล้วว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ฉวยข้อมือเล็กของจูเลียนได้ก็ดึงออกมาจากตรงนั้นทันที

“ปล่อยข้านะฮานส์ ข้าไม่ไปกับเจ้า”

“อย่าเสียงดัง”

“ข้าไม่ไป ปล่อย ๆ “

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่จูเลียน”

“ข้าต้องการกลับเมืองหลวง”

“ข้าจะพาเจ้ากลับเร็วที่สุด”

“อยู่กับคนรักของเจ้าไปเถอะ ข้าไม่อยากรบกวน”

“คนรักของข้า?” ฮานส์ถามย้ำ คิ้วหนาขมวดมุ่นสงสัย “หมายถึงใคร ถ้าหมายถึงเจ้าอย่างที่ท่านป้าว่าละก็ น่าจะบอกว่าเมียของข้ามากกว่านะ”

“ฮานส์เจ้า..ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเจ้า” จูเลียนทำหน้าตาถมึงทึงให้ฮานส์ที่พูดทึกทักเอาเองเรื่องผัว ๆ เมีย ๆ อีกแล้ว 

“หึ”

“ไปอยู่กับนางสิมาสนใจข้าทำไม”

“ใคร..? “

“นี่เจ้าอย่ามากวนโทสะข้านะฮานส์” จูเลียนมองตาขวางเม้มปากแน่น เป็นอาการโกรธของจริง

ฮานส์ก็เริ่มเสียงดังพอกัน “ก็เจ้าบอกให้ข้าไปอยู่กับคนรักของข้า แล้วมันใครล่ะวะ”

“ก็ผู้หญิงคนนั้นไง นางสวยน่ารักดีนะ ที่มารับเจ้าน่ะ” ฮานส์อยากหัวเราะดัง ๆ ตอนแรกคิดว่าจูเลียนแค่โกรธที่เขาไม่สนใจ แต่นี่อีกคนกลับพาลคนอื่นด้วยเสียอย่างนั้น

“เจ้าหมายถึงซูร่าหรือ”

“นางชื่อซูร่าหรือ ชื่อเพราะดีนี่”

“อือ เพราะมากน่ารักด้วย”

จูเลียนแบะปาก “งั้นก็ไปหานางเถอะ ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอก”

ฮานส์เปลี่ยนสีหน้าถามเสียงเข้ม “ทำไมเจ้าไม่ตามข้าเข้าไปในบ้าน”

“ข้าไม่อยากเข้าไป” จูเลียนสะบัดหน้าหันหนีไปทางอื่น ที่ไม่มีใบหน้ารกหนวดให้เห็นแล้วหงุดหงิด ฮานส์จึงขยับตามเข้าไปใกล้ ๆ ก้มลงกระซิบแทบชิดใบหูที่อยู่ในหมวกคลุมหัว

ต่ออออออออออ ค่ะ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



“ไม่ใช่เพราะไม่มีใครชวนหรอกหรือ”

“เจ้าบ้านที่ดีก็ควรทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือไงล่ะ”

“งั้นก็มา” ฮานส์คว้าข้อมือจูเลียนดึงให้ไปด้วยกัน แต่จูเลียนขืนตัวไว้ไม่ยอม

“เจ้าจะพาข้าไปไหนข้าไม่ไป”

“เข้าบ้านด้วยกันไง เจ้าควรพักผ่อนอีกสองสามวันข้าจะพาเจ้ากลับ”

“ก็ดี แต่ข้าจะไปพักบ้านท่านป้า”

“ทำไมต้องไปพักบ้านคนอื่น เจ้ารู้จักเขาหรือไง”

“รู้สิ อย่างน้อยนางก็ไม่ปล่อยให้ข้ายืนตากลมหนาวอยู่คนเดียว”

“พูดให้รู้เรื่อง มา”

“ไม่ไปไง ข้าบอกว่าไม่ไป” จูเลียนสะบัดข้อมือออกสุดแรง พอข้อมือหลุดจากมือใหญ่ ก็รีบวิ่งกลับไปยังลานกลางหมู่บ้าน ตรงเข้าไปหาหญิงชราที่ชวนจูเลียนมาพักด้วย นางกำลังคุยกับหญิงสาวที่ฮานส์บอกว่าชื่อซูร่า



“เจ้าปรับความเข้าใจกับฮานส์แล้วหรือ” หญิงชราถามขึ้นทันทีที่เห็นจูเลียนเดินเข้ามา ซูร่ายิ้มให้แต่จูเลียนแกล้งทำไม่เห็น

“ข้าไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องปรับความเข้าใจกับเขาสักหน่อย ท่านป้าจะกลับหรือ”

“เจ้าอยากกลับหรือยังล่ะ” พอจูเลียนพยักหน้าตอบ หญิงชราจึงลุกขึ้นเก็บของ

“แล้วท่านลุง” นางหันไปทางสามีที่ยังพูดคุยกับชาวบ้านคนอื่น ๆ อย่างออกรส

“ตาแก่นั่นคงคุยอีกนานเรากลับก่อนก็ได้ ข้าไปก่อนนะซูร่า” หญิงสาวยิ้มรับโบกมือลาหญิงชรา ไม่ลืมเผื่อแผ่รอยยิ้มมาให้จูเลียนด้วย แต่หนุ่มน้อยทำเพียงพยักหน้ารับแกน ๆ ไม่ยิ้มตอบ



จูเลียนช่วยหญิงชราถือของ แต่ยังไม่ทันได้พากันเดินไปถึงไหน เกิดเสียงหวีดหวิวเหมือนอะไรบางอย่างพุ่งแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็วเสียก่อน ตามมาด้วยเสียงคนร้องโหยหวนเจ็บปวด มันเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อร่างที่ถูกลูกธนูปักกลางอกล้มลง ลูกธนูดอกอื่น ๆ ก็พุ่งตามเข้ามา จากนั้นทั้งคนทั้งม้าที่ไม่รู้มาจากทางไหนบ้าง ก็กรูเข้ามาโจมตี ไม่รู้ใครเป็นใครไม่มีใครทันได้ตั้งตัว ความโกลาหลก็เกิดขึ้นจนชุลมุนวุ่นวายไปหมด

“โจรหรือซูร่า”

“ข้าไม่รู้ท่านป้า มาทางนี้เร็ว” ซูร่าดึงแขนหญิงชรากับจูเลียนคนละข้าง พาวิ่งออกจากลานกลางหมู่บ้าน หญิงสูงวัยเรียกหาสามีของนางพลางวิ่งหนีอย่างทุลักทุเล

“ท่านป้าหลบอยู่ตรงนี้ก่อนอย่าเพิ่งออกไปไหน ข้าจะพาจูเลียนไปหาฮานส์” ซูร่าจับให้หญิงชราหลบเข้าไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่งไม่ไกลจากลานกลาง ปิดประตูให้อย่างดีแล้วดึงแขนจูเลียนพาวิ่งไปอีกทาง จูเลียนยอมตามนางไปแต่โดยดี

“มาทางนี้ นั่นไงฮานส์อยู่ตรงนั้น” จูเลียนเห็นฮานส์กำลังต่อสู้อยู่อีกฝั่งของลานกลางหมู่บ้าน ซูร่าบอกพลางทาบลูกดอกขึ้นสายธนู นางไม่แม้แต่จะเล็งก่อนที่จะปล่อยลูกธนูออกจากแล่งด้วยซ้ำ แต่ลูกดอกทุกลูกที่ถูกปล่อยออกไปหมายถึงชีวิตของศัตรู จูเลียนต้องยอมรับว่านางยิงแม่นราวจับวาง และเร็วจนไม่น่าเชื่อ

“ฮานส์ทางนี้ โอ๊ะ!”

“ซูร่า!” ทั้งจูเลียนและฮานส์ที่กำลังต่อสู้อยู่อีกฝั่งเรียกขึ้นพร้อมกัน เมื่อร่างของหญิงสาวถูกลูกธนูปักเข้ากลางอก ลานกลางหมู่บ้านยังมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด แทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ชาวบ้านที่สู้เป็นมีไม่กี่คน พวกที่จู่โจมเข้ามามีมากกว่า ทั้งพวกเดินเท้าและขี่ม้า แต่ถึงจะตกใจจูเลียนก็รับร่างปวกเปียกของซูร่าไว้ในอ้อมแขนทัน

“ซูร่า”

“ข้า ทิ้งข้าไว้ ไปหาฮานส์ซะ”

“ไม่ข้าจะพาเจ้าไปด้วย ลุกไหวไหม”

“อยู่ กับ ฮานส์ เจ้าจะปลอดภัย ไป” แล้วซูร่าก็จากไปในอ้อมแขนของจูเลียน ที่เพิ่งได้เจอและพูดคุยกันได้ไม่กี่ประโยค หยดน้ำใส ๆ หยดแล้วหยดเล่าไหลออกมา และตกลงไปบนพวงแก้มนวลปลั่งซับสีแดงระเรื่อ ซูร่าถือว่าเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน จูเลียนไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเสียใจ เพราะคนที่แทบไม่รู้จักกันตายได้ขนาดนี้ นางตายต่อหน้าต่อตา โดยมีจูเลียนเป็นสาเหตุ นางตายแต่ยังไม่ลืมคิดถึงความปลอดภัยของคนแปลกหน้าอย่างจูเลียน คนพวกนี้หาได้เป็นโจรป่าอย่างที่หญิงชราคิดไม่ แต่มันคือพวกทหารรับจ้างที่กำลังตามล่าจูเลียนมาต่างหาก!



“ซูร่า” ฮานส์ดึงร่างซูร่าจากอ้อมแขนของจูเลียน เขย่าเรียกนางทั้งที่รู้ว่าหญิงสาวจากไปแล้ว ราวกับคิดว่าเสียงของเขาจะสามารถเรียกนางให้ฟื้นขึ้นมาได้ จนเสียงเล็ก ๆ ปนสะอื้นของคนที่นั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ ดังขึ้น ฮานส์จึงยอมหยุดเรียกและกอดร่างไร้ลมหายใจแน่น

“ฮานส์ระวัง!” จูเลียนร้องเตือนแต่ไม่มีเวลาระวังอะไรอีกแล้ว มีทหารคนหนึ่งไม่รู้ว่าย่องมาอยู่ข้างหลังฮานส์ตั้งแต่ตอนไหน จูเลียนเงยหน้าขึ้นเห็นพอดี มันกำลังเงื้อดาบขึ้นจะฟันลงกลางหลังฮานส์ พลันดาบของฮานส์ที่วางทิ้งไว้ข้างตัวก็ถูกแทงสวนขึ้นอย่างแม่นยำ จูเลียนกัดฟันแทงสุดแรงจนดาบทะลุร่าง เลือดพุ่งกระฉูดกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วบริเวณน่าสะอิดสะเอียน

ปลายดาบที่แทงเข้าตรงตำแหน่งกลางหน้าอกพอดี ทำให้มันขาดใจตายตั้งแต่ยังไม่ทันล้มลงถึงพื้น และนั่นทำให้ฮานส์ได้สติกลับมาจากความเสียใจ หันกลับมาเห็นยิ่งโกรธแค้น นัยน์ตาสีดำมืดดุจรัตติกาลเปล่งแสงน่ากลัวจนจูเลียนผงะ ชายหนุ่มถอดดาบออกจากร่างไร้ชีวิต แล้วหันกลับไปต่อสู้กับศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาหา โดยไม่รู้ว่าตัวเองชะตาขาดแล้ว!



ถึงจะสู้เพราะโทสะ แต่ฮานส์ก็ตวัดดาบอย่างคล่องแคล่วและมีสติ ความเจ็บแค้นในอกทำให้ทุกครั้งที่คมดาบฟาดฟัน พรากชีวิตของศัตรูที่เข้ามาคุกคามโดยที่มันไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง ฮานส์ปลิดชีวิตศัตรูมากมายได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานพวกที่เข้ามาโจมตีกว่ายี่สิบคน ก็ถูกฮานส์และชาวบ้านผู้ชายที่ช่วยกันต่อสู้ฆ่าตายจนหมด ม้าที่พวกมันขี่มา บางตัวยังตื่นหันรีหันขวางท่ามกลางกองไฟ บางตัววิ่งหนี บางตัวถูกจับไว้ ทุกอย่างสงบลงกลับสู่ความปกติ หากแต่ซากศพเกลื่อนพื้นเป็นสิ่งยืนยันฉากความเป็นความตายที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดีว่าเกิดอะไรขึ้น!



“พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บไหม”

“ข้าไม่เป็นไร”

“แล้วเจ้าล่ะไอ้หนูไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม” คนถามอยู่ในวัยกลางคน ท่าทางเป็นผู้นำกลุ่ม เขาถามอย่างห่วงใยแต่จูเลียนยังนั่งนิ่ง สายตาไม่ละไปจากร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวที่นอนแน่นิ่ง ลูกธนูยังปักกลางอกเหมือนย้ำเตือน ว่าทุกสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่อึดใจที่ผ่านมาคือความจริงที่โหดร้าย

“ข้าเสียใจด้วย” ชายวัยกลางคนตบไหล่ฮานส์เบา ๆ หลายคนกำลังช่วยกันลากศพทั้งหมดมารวมกันเพื่อจุดไฟเผา สวนศพของชาวบ้านที่ตายจากการต่อสู้แยกเผาต่างหาก

“พวกมันเป็นทหารรับจ้าง” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากตรวจดูสภาพศพของพวกนั้นแล้ว

“ทหารรับจ้างมาทำอะไรแถวนี้ มันจะมาปล้นพวกเราหรือไง”

“นั่นสิ ทำอย่างกับว่าเรามีสมบัติให้มันปล้นอย่างนั้นแหละ”

“เจ้าจะไปเรียกมันว่าทหารทำไม ถ้ามาปล้นมันก็โจรดี ๆ นี่เอง”

“ดีแล้วที่ฆ่ามันได้หมด”

“แล้วทหารพวกนี้มาจากไหน”

“ใครจะไปรู้ล่ะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกมันจะมาเพ่นพ่านนะ”

“นั่นสิหมู่บ้านของเราไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลยนะ”

“คนของเราตายไปห้า แต่พวกมันตายเรียบทุกคน”

“จริง ๆ ก็ไม่ควรมีใครตาย”

“นั่นสิ”

“ทำไมต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นที่หมู่บ้านของเราด้วยวะ”

“พอเถอะ” จูเลียนขัดพลางลุกขึ้นยืนช้า ๆ ดวงตาเศร้าสร้อยยังจับอยู่กับศพของซูร่า คล้ายกำลังไว้อาลัย

“จูเลียน!” จูเลียนมองหน้าฮานส์ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป แล้วหันไปมองชาวบ้านที่ยืนล้อมวงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีละคน

ชายวัยกลางคนท่าทางเป็นผู้นำถาม “มีอะไร”

แต่ยังไม่ทันที่จูเลียนจะพูดอะไรฮานส์ก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน “ไม่มีอะไรหรอกไปเถอะ”

“ไม่ฮานส์ พวกนี้เป็นทหารรับจ้าง!” จูเลียนหันไปตะคอกใส่ฮานส์เสียงดัง

“เออ พวกข้ารู้แล้ว” ชาวบ้านคนหนึ่งบอก

“และมันตามข้ามา มันตามมาฆ่าข้า” จูเลียนประกาศเสียงกร้าว ราวกับว่าอยากให้ทุกคนได้รับรู้ความจริง ความจริงที่กำลังทำร้ายจูเลียนให้เสียใจเพราะสำนึกผิด ความจริงที่กำลังกรีดเข้ามาในหัวใจสับสน จูเลียนเป็นกษัตริย์แบบไหนกัน ถึงได้นำพาความเดือดร้อนและความตายมาให้ประชาชนของตัวเองเช่นนี้ เป็นจูเลียนเองที่นำภัยมาสู่หมู่บ้านแสนสงบแห่งนี้

“หมายความว่ายังไง เจ้าเป็นใครกันแน่ทำไมมีทหารรับจ้างมาตามฆ่า” จูเลียนคุกเข่าลงต่อหน้าทุกคน ข้างร่างไร้วิญญาณของซูร่า ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมองฮานส์สีหน้ามีคำถาม

“ข้าขออภัยด้วย ไปเถอะจูเลียน” ฮานส์รั้งจูเลียนให้ลุกขึ้นทั้งที่อีกคนขืนตัวไว้ไม่ยอม แต่พละกำลังที่มากกว่า ร่างเพรียวบางจึงแทบปลิวติดมือใหญ่ขึ้นมา

“เดี๋ยว ที่ไอ้หนูนี่มันพูด หมายความว่ายังไงฮานส์”

“ไม่..”

“ทหารพวกนี้ตามมาฆ่าข้าเอง ข้า...” จูเลียนพูดไม่ออก พักตร์มอมแมมสองข้างแก้มอาบด้วยน้ำตา ก้มลงมองพื้นอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อดี จูเลียนเสียใจรู้สึกผิด โทษตัวเองว่าเป็นคนพาเรื่องร้ายมาสู่หมู่บ้านที่แสนสงบสุข ในระยะเวลาเพียงไม่ถึงวันที่ได้มาคลุกคลี จูเลียนรู้สึกแปลกออกไป จูเลียนชอบที่นี่ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกผูกพัน ไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายอย่างนี้มาก่อน



ทุกสายตาที่มองมายังฮานส์และจูเลียนมีแต่คำถาม แต่เป็นฮานส์เองที่ตอบไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าทหารเหล่านี้มาได้อย่างไร เพราะคิดว่าสลัดทิ้งจนหลุดจากการติดตามแล้ว ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

“ข้าขอคุยด้วยหน่อย” ชายหัวหน้ากลุ่มเดินออกไปแล้ว ฮานส์จึงหันมาทางจูเลียน

“รอข้าอยู่นี่ห้ามไปไหน” จูเลียนเพียงพยักหน้าแทนคำตอบ ฮานส์เดินตามชายวัยกลางคนไป ทุกคนที่เหลือจ้องมองจูเลียนกดดัน แต่หนุ่มน้อยทำเพียงยืนนิ่ง สายตายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าไร้สีเลือดของซูร่า จนผ่านไปครู่ใหญ่ฮานส์ก็เดินกลับมา

“เจ้าควรไปพัก พรุ่งนี้รีบเดินทางแต่เช้ามืด” ฮานส์พยักหน้ารับเดินไปอุ้มร่างไร้วิญญาณของซูร่าขึ้นมา เรียกจูเลียนแล้วเดินจากตรงนั้นไป

ชายวัยกลางคนหันมาพูดกับจูเลียนที่ยังคงยืนเฉย “เจ้าไปได้แล้ว “

จูเลียนเงยหน้าขึ้น สายตาของชายวัยกลางคนหัวหน้ากลุ่มไม่มีแววตำหนิ แต่จ้องมองนิ่ง จูเลียนเดาไม่ถูกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ได้รู้สึกกดดันเหมือนคราแรก

“จงอยู่ข้างกายโรฮานส์อย่าห่างไปไหน เขาจะปกป้องจนกว่าเจ้าจะปลอดภัยจริง ๆ “ เป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้ยินอะไรแบบนี้ จูเลียนรู้สึกถึงมันได้ ยามมีภัยคนแรกที่คิดถึงก็คือฮานส์ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม ทั้งซูร่าและชายคนนี้ถึงได้บอกเหมือนกัน ราวกับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“ข้า...” 

“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก”

“ข้า..ข้าไม่น่ามาที่นี่”

“มันเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครโทษเจ้า” ไม่จริงหรอก จูเลียนนึกค้านในใจ แต่พอกวาดตามองทุกคนที่อยู่รอบตัว ก็ไม่รู้สึกถึงความกดดันเหมือนตอนแรก คนพวกนี้ตามผู้นำ ผู้นำว่าอย่างไรพวกเขาก็เชื่ออย่างนั้น โดยไม่ต้องหาเหตุผลให้มากความ จูเลียนหันหลังก้าวเดินตามฮานส์ที่อุ้มร่างหญิงสาวนำหน้าไปก่อน แต่ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงนิ่ง ๆ ของชายผู้นำกลุ่มก็ดังขึ้น

“วันหนึ่งเจ้าจะได้กลับมาที่นี่อีก”

“ข้าคงไม่มีหน้ากลับมาที่นี่อีกหรอก”

“โชคชะตาจะพาเจ้ามาเอง”

จูเลียนควรเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือไม่



******* 100% *******

ตอนเขียนมีน้ำตาซึมนิดหน่อย

ตอนอ่านทวนตรวจคำก็น้ำตาแทบไหล

ขนาดยังไม่ถึงตอนดราม่าจริง ๆ ยังขนาดนี้ ใจหนอใจ 555 ว่าไปนั่น

เอาเป็นว่าเจอกันตอนหน้า ก็แล้วกัน

ใครอยากหวาน เตรียมน้ำตาลมาเอง

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 20 วีรกรรมของโกสต์



จูเลียนเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ยิ่งทุกคนไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของเขา นั่นยิ่งรู้สึกผิดกว่าเก่า เป็นครั้งแรกที่จูเลียนคิดว่าจะต้องรีบกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองที่รออยู่ จัดการปัญหาทุกอย่างให้หมดไปสักที



ตอนจูเลียนเดินมาถึงบ้านหลังนั้น ฮานส์กำลังเอาฟืนออกมากอง ท่อนไม้ท่อนใหญ่ถูกวางเรียงกันขึ้นเป็นชั้น ความสูงราวต้นข้า มีไม้แห้งที่ถูกทุบจนเป็นฝอยอัดเต็มอยู่ตามช่องว่างระหว่างไม้แต่ละท่อน ฮานส์อุ้มร่างซูร่าวางลงบนชั้นไม้อย่างทะนุถนอม ราดด้วยน้ำมันยางจนทั่ว เขาทำงานทุกอย่างเองคนเดียวเงียบ ๆ จูเลียนก็ยืนมองเงียบ ๆ บนฟ้าไม่มีดวงดาวเป็นพยาน จูเลียนมองไม่เห็นแม้แสงริบหรี่ อาจเป็นเพราะเมฆหนาที่อึมครึมอยู่ทั้งวันจนถึงตอนนี้ หากไม่ได้แสงจากคบไฟรอบตัวคงมืดสนิท บนพื้นมีแต่หิมะ ความหนาวโอบกอดรอบตัว ใจมีแต่ความเศร้า



คบไฟในมือพร้อมแล้ว ฮานส์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ข้างกายนาง สายตาคมทอดอาลัยจับอยู่กับใบหน้างดงาม ราวจะให้ตรึงตราลงในใจ ดวงตาที่หลับพริ้ม เหมือนนางแค่กำลังหลงทางอยู่ในนิทราแสนสุข รุ่งเช้านางจะตื่นขึ้นมาส่งเสียงเจื้อยแจ้วให้เขาบ่นรำคาญ เล่าเรื่องขบขันส่งเสียงหัวเราะใสกังวานปานระฆังแก้ว ยิ้มไปพร้อมกันจนโลกสดใส ฮานส์คิดถึงรอยยิ้มอ่อนหวานและดวงตาเป็นประกาย แต่เขากลับยิ้มไม่ออก เพราะความจริงที่ต้องยอมรับ คือใบหน้าไร้สีเลือดซีดเซียว ความเย็นที่เย็นอยู่แล้ว ยิ่งเย็นจับขั้วหัวใจ ลมหนาวพัดมาเบา ๆ แต่กลับบาดผิวราวของมีคม หิมะที่ไม่ตกมาทั้งวันเริ่มเห็นเป็นละอองโปรยลงมาบาง ๆ ราวกับร่วมไว้อาลัยให้การพลัดพรากนิรันดร์



จูเลียนมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหดหู่ยากบรรยาย ไม่เคยรู้สึกผูกพันกับคนแปลกหน้า แต่กลับเสียใจเจ็บปวดที่คนแปลกหน้าหลายคนต้องจากไปในค่ำคืนนี้



ฮานส์ก้มตัวลงเนื้อร่างหญิงสาว บรรจงจูบกลางหน้าผากเย็นชืด กดค้างนิ่งเนิ่นนานแล้วถอยออกมา บอกลานางเป็นครั้งสุดท้าย จ่อคบไฟเข้ากับกองฟืนชุ่มน้ำมันยาง เพียงเปลวไฟแลบเลียก็ลามไปถึงส่วนอื่น ความร้อนกระจายไปทั่วเมื่อไฟลุกพรึ่บขึ้นอย่างรวดเร็ว



ฮานส์ถอยมายืนข้างจูเลียน จนถึงตอนนี้ทั้งสองยังไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ ไฟกองใหญ่เบื้องหน้าแทนคำไว้อาลัย จูเลียนได้แต่พร่ำเอ่ยคำขอโทษต่อนางซ้ำไปซ้ำมาในใจ ไม่ยอมให้อภัยตัวเอง ละอองหิมะยังโปรยบาง ๆ อยู่รอบตัว ความหนาวเย็นยังโอบกอด แต่ไม่มีใครนึกอยากขยับไปจากตรงนี้ ที่ที่จะได้อำลากันเป็นครั้งสุดท้าย เสียงไฟแตกดังเปรี๊ยะ เปลวไฟลุกโชนชโลมลูบไล้เผาร่าง อีกไม่นานจะเหลือเพียงเถ้าถ่าน อีกไม่นานจะเหลือแค่เรื่องราวที่สลักไว้ในความทรงจำ



“ซูร่า นางเป็นเหมือนน้องสาวข้า” ฮานส์ทำลายความเงียบระหว่างเขากับจูเลียนลงด้วยเสียงสั่น ๆ ไออุ่นบาง ๆ พวยพุ่งออกมาจากปากพร้อมจังหวะการพูด ดวงตาดำขลับคมเข้มขอบตาแดงก่ำจับอยู่กับกองไฟ เจ้าของร่างกายสูงใหญ่ในชุดคลุมดำ จ้องมองกองไฟและร่างไร้วิญญาณที่กำลังถูกเผานิ่ง วันคืนเก่า ๆ ฉายชัดขึ้นมาในความคิด โรฮานส์ยามเยาว์วัยกว่านี้เริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวอย่างตั้งใจ จนวันที่มาถึงที่นี่เข้าก็แทบเอาตัวไม่รอด จากที่คิดว่าตัวเองทรหดอดทน เพราะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พอออกมาเผชิญโลกเด็กหนุ่มจึงได้รู้ ว่าโลกภายนอกจริง ๆ มันโหดร้ายกว่ามากแค่ไหน โรฮานส์เดินทางเรื่อย ๆ จนมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ที่อ้าแขนรับ และโอบกอดหนุ่มน้อยหลงทางไว้ด้วยความอารี พิษไข้และพิษบาดแผลต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากการเดินทางทรหด แทบพรากเอาลมหายใจของเขาไป แต่น้องสาวตัวน้อยและครอบครัวของนางก็ยื้อชีวิตเขาไว้ได้ในที่สุด พ่อแม่ของนางจากไปแล้ว ตอนนี้นางกำลังตามพวกเขาไป



“หลังจากพ่อแม่ของนางตายไป แม้ข้าจะไม่ค่อยได้อยู่ดูแล แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเป็นข้าเอง ที่พาความตายมาให้นาง” ฮานส์พูดจบก็หลับตาลง จูเลียนเหลือบมองเห็นเขาขบกรามแน่น จนข้างแก้มขึ้นเป็นสันนูน เหมือนกำลังสะกดกลั้นความรู้สึก จูเลียนไม่รู้จะเอ่ยคำใดเพื่อเยียวยาหัวใจที่เจ็บปวด ได้แต่รับรู้และเจ็บปวดไปด้วยกัน



มือใหญ่สากกร้านที่กำแน่นค่อย ๆ คลายออก เมื่อรู้สึกถึงความอุ่นนุ่มเกาะกุม เขากางมือออกเล็กน้อยยามมือเล็ก ๆ ของจูเลียนสอดแทรกนิ้วเรียวเข้ามาประสาน ฮานส์ยังยืนนิ่ง แต่บีบมือจูเลียนกลับเบา ๆ ส่งคำปลอบประโลมให้กันและกัน พอเขาลืมตาขึ้น นัยน์ตาสีดำมืดที่เคยมีแต่ความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น บัดนี้มันอ่อนแสงลงเหลือแค่ความเศร้า จูเลียนสัมผัสถึงอะไรบางอย่างที่บีบคั้นความรู้สึก คิดว่าฮานส์คงไม่ต่างกัน



“ข้า..ขอโทษ” สิ้นคำขอโทษร่างเพรียวสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากการโอบกอด ฮานส์ก็เป็นปุถุชนคนหนึ่งที่มีความรู้สึก มีช่วงเวลาของความอ่อนแอ เมื่อสูญเสียเขาจะอ่อนแอบ้างก็ไม่แปลก อ้อมแขนที่โอบกอดจูเลียนสั่นเทา หนุ่มน้อยกอดตอบ ทั้งสองยืนกอดกันนิ่งปล่อยให้แสงสีส้ม และความร้อนจากกองไฟอาบชโลมสองร่าง ร่วมไว้อาลัยให้คนที่จากไปไม่มีวันกลับ



“ขอบใจ” ฮานส์กระซิบบอกเบา ๆ คนในอ้อมกอดเงียบ คิดว่าจูเลียนคงยังรู้สึกผิดอยู่เลยยืนกอดไว้อย่างนั้น แต่ผ่านไปเป็นครู่อีกคนก็ยังไม่ขยับ ฮานส์ผละออกดูอย่างสงสัยปรากฏว่าจูเลียนหลับไปแล้ว



ร่างเพรียวระหงถูกช้อนอุ้มขึ้นอย่างนุ่มนวล โดยไม่รู้ตัวจูเลียนซุกหน้าแนบแก้มกับอกอุ่น มือข้างหนึ่งโอบรอบลำคอแกร่ง ฮานส์เดินเข้าไปในบ้าน วางร่างหลับใหลลงบนที่นอนนุ่ม เขาจัดผ้าห่มคลุมให้จูเลียนได้นอนอย่างอบอุ่น วันนี้กษัตริย์หนุ่มน้อยเหนื่อยมาทั้งวัน ตั้งแต่เช้าที่ออกเดินทางจนมาถึงเหตุการณ์เฉียดเป็นเฉียดตาย เจ้าของนัยน์สีเขียวสุกใสคงจะเหนื่อยและเพลียมาก จนหลับกลางอากาศอย่างนี้



ฮานส์จัดที่นอนให้จูเลียนได้นอนสบาย ๆ ตรวจดูทุกอย่างเรียบร้อยแล้วกลับออกมาอยู่เป็นเพื่อนซูร่า ชายหนุ่มนั่งนิ่งข้างไฟกองใหญ่ กว่าไฟจะเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน เวลาก็เข้าสู่วันใหม่จนเกือบเช้า ฮานส์เผลอหลับไปข้างกองไฟที่เผานางนั่นเอง



หลังจากได้พักผ่อนจนเต็มอิ่ม เจ้าของร่างเพรียวก็ได้เวลาตื่นขึ้นมาสักที ร่างระหงค่อย ๆ ขยับช้า ๆ ลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มขนสัตว์ผืนหนานุ่มและอุ่นร่นลงไปกองที่เอว จูเลียนหาวจนปากเล็กอ้ากว้าง บิดตัวไปมาสองสามครั้ง กวาดตามองรอบตัว ห้องไม่คุ้นตาอยู่ในความสลัว ข้าวของทุกอย่างมีไม่มากแต่ถูกจัดได้อย่างเป็นระเบียบ ความเงียบสั่งให้หย่อนเท้าลงจากที่นอน พอเท้าเปล่าสัมผัสพื้นเย็น ๆ จูเลียนก็แทบจะซุกตัวกลับเข้าในผ้าห่มอีกรอบ ไม่อยากขยับห่างจากที่นอนอุ่นเลยแม้สักก้าว



จูเลียนไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหน และที่นี่คงเป็นห้องภายในบ้านหลังนั้น ฮานส์คงพาเข้ามานอน แต่ตอนนี้คนพาจูเลียนมานอนหายไปไหน นั่นคือสิ่งที่เจ้าของนัยน์ตาสวยอยากรู้ที่สุด

“ฮานส์” จูเลียนเรียกเสียงแผ่ว เพราะเพิ่งตื่นลำคอจึงยังแหบแห้ง แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา บ้านทั้งหลังดูเงียบเหงา ความรู้สึกหดหู่สิ้นหวังเมื่อคืนหวนกลับมา จูเลียนใส่รองเท้า หยิบผ้ามาคลุมตัวอีกชั้น เดินไปที่ประตูเปิดออกจากห้องไป

“ฮานส์! “จูเลียนถลาเข้าไปหาร่างที่นอนนิ่งอยู่กลางหิมะ แม้อากาศรอบตัวจะหนาวเย็นอยู่มาก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นแผ่ออกมาจากกองไฟที่ยังไม่มอดดี ตอนนี้มันเหลือเพียงขี้เถ้ากับถ่านแดง ๆ ฮานส์นั่งส่งซูร่าทั้งคืนจนเผลอหลับไปตอนฟ้าใกล้สาง

“ฮานส์” พอเรียกครั้งที่สองเปลือกตาจึงค่อย ๆ ขยับกะพริบปริบ ๆ สองสามครั้ง ฮานส์ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในที่สุด “เจ้าทำไมไม่เข้าไปนอนในบ้านเดี๋ยวก็ป่วยหรอก”

“ข้า ไม่เป็นไร”

“ตัวเจ้าเย็นมากนะ หน้าซีดด้วยเข้าบ้านก่อน” จูเลียนพยายามดึงฮานส์ให้ลุกขึ้น แต่คนถูกดึงกลับหันไปมองกองไฟที่ยังหลงเหลือความอบอุ่นและควันจาง ๆ ลอยขึ้นมาให้เห็น บ่งบอกว่ามันเพิ่งจะแผดเผาบางสิ่งบางอย่างให้กลายเป็นจุณไป และยังไม่ทันดับมอดดี จูเลียนเห็นสายตาของฮานส์เลยได้แต่เงียบ สัมผัสได้ถึงความรักความอาลัยที่เขามีให้หญิงสาว



“เจ้าไปเตรียมตัว ข้าจะหาอะไรมาให้กิน”

“เจ้าเข้าไปพักในบ้านก่อนเถอะ ข้ายังไม่หิวเท่าไหร่”

“เราต้องไปแล้ว”

“ไปไหน” จูเลียนชะงักเงยหน้าขึ้นมองตาฮานส์ที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองต่างรู้ว่าความรู้สึกตอนนี้มันย่ำแย่มากแค่ไหน แต่สิ่งที่ควรทำก็รอไม่ได้ ฮานส์ได้รับข่าวจากเลนนี่แล้ว ถึงเวลาที่กษัตริย์หนุ่มน้อยจะกลับไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่ของตัวเองสักที

“ไหนเจ้าบอกอยากกลับ” เป็นจูเลียนเองที่เบือนหน้าหน้าจากดวงตาสีดำสนิท หันไปมองยังกองเถ้าถ่าน กษัตริย์หนุ่มน้อยถอนหลายใจหนัก ๆ ออกมา มันใช่ที่การกลับเมืองหลวงเป็นสิ่งที่จูเลียนอยากทำมากที่สุด แต่นั่นคือก่อนที่จะเกิดเรื่องราวร้าย ๆ แบบนี้ขึ้น “ว่าไง”

“ข้า..อยากกลับ”

“..”

“แต่ถ้าเจ้ายังไม่พร้อมเดินทาง..”

“เราจะเดินทางทันทีที่เจ้ากินอิ่มไปเถอะ”

“โอ๊ย ฮานส์”

“ชักช้าเสียเวลา”

“บอกดี ๆ ไม่ได้หรือไงเล่า” จูเลียนบ่นเบา ๆ เพราะยังอ้อยอิ่งลุกขึ้นไม่ทันใจ เลยถูกฮานส์คว้าต้นแขนกระชากให้ลุกขึ้นแล้วดึงเข้าบ้านด้วยกัน

“ฮานส์ นี่มัน..นี่มันเจ้าโกสต์ม้าของเจ้านี่” เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเรื่อง ที่ฮานส์ได้ยินเสียงที่แสดงถึงความตื่นเต้น และสีหน้าที่ดูมีชีวิตชีวาของจูเลียน เมื่อชายหนุ่มเดินจูงเจ้าโกสต์ม้าแสนรู้คู่ใจออกมาหน้าบ้าน ขณะที่ทั้งสองกำลังเตรียมตัวเดินทาง ฮานส์ไม่ตอบแต่จัดสัมภาระทุกอย่างที่ติดตัวขึ้นผูกไว้กับอานม้าเงียบ ๆ

Next....

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” พอฮานส์ไม่คุยด้วย จูเลียนเลยพูดคนเดียว พลางเดินเข้าไปใกล้ม้าสีดำสนิทตัวใหญ่ ที่ดูสูงสง่าองอาจ ช่วงใบหน้ายาวจนถึงลำคอและลำตัวเกร็งแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ ดูแข็งแกร่งไม่แพ้นายของมัน พักตร์นวลผ่องแหงนเงยขึ้นมองม้าหนุ่ม ทั้งที่ขี่ก็เคยขี่มันมาแล้ว แต่พอพินิจดูจริง ๆ จูเลียนจึงเพิ่งได้เห็นว่าม้าหนุ่มสีนิลตัวนี้ ตัวใหญ่มากแค่ไหน หรืออาจจะเป็นเพราะเขาที่ตัวเล็กเอง จูเลียนไล่สายตาสังเกตม้าตัวโตยิ้มออกมาบาง ๆ

“เสร็จหรือยัง”

“อะไรเสร็จ” จูเลียนสีหน้างงเมื่ออีกคนหันมาถาม เพราะไม่ได้ทำอะไรอยู่ อันที่จริงจูเลียนไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรด้วยซ้ำ ปกติก็มีแต่เด็กรับใช้และเหล่าอัศวินทำให้ทุกอย่าง ฮานส์กลอกตาขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบนถอนหายใจ

“เจ้าพร้อมเดินทางหรือยัง”

“พร้อมแล้ว”

“ขึ้นไป” จูเลียนว่าง่ายด้วยการเดินมาสอดเท้าเข้าไปในโกลน เขย่งตัวส่งแรงให้ตัวเองขึ้นไปบนหลังม้า แต่ม้าตัวสูงใหญ่กว่ามาก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จนกระทั่ง

“เฮ้ย อย่า ๆ ปล่อยข้าลงนะ “

“ขึ้นไปดี ๆ น่า” ฮานส์ถึงขั้นทำเสียงดุ เพราะจูเลียนดิ้นจะลงให้ได้ จากความพยายามขึ้นนั่งบนหลังม้าที่ไม่เป็นผล ฮานส์เห็นแล้วรำคาญตา จึงช่วยยกร่างเพรียวบางขึ้นวางบนอานอย่างง่ายดาย ราวกับร่างเพรียวระหงไร้น้ำหนัก

“อะไร” ฮานส์ถามอย่างสงสัยที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นจูเลียนนั่งมองนิ่ง ๆ เหมือนจะพูดอะไรก็ไม่พูด พอจูเลียนยังเงียบฮานส์เลยทำตาดุแทนคำสั่งให้พูดเสียเลย

“แล้ว ม้าเจ้าล่ะ เจ้าจะขี่ตัวไหนไป” ฮานส์ไม่ตอบแต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเหวี่ยงตัวเองขึ้นมานั่งซ้อนหลังจูเลีย โอบแขนรอบร่างระหงมาจับสายบังเหียน กระตุกให้ม้าเริ่มออกเดินแทนคำตอบที่คนในอ้อมแขนต้องการ

“เดี๋ยว ๆ ฮานส์ เจ้าอย่าบอกนะว่าเราจะขี่ม้าตัวเดียวไปด้วยกันสองคน”

“ทำไมล่ะ”

“ก็..เจ้าไม่สงสารมันหรือไง”

“ไม่น่าเชื่อนะว่าจะได้ยินคำนี้จากปากเจ้า ไม่กี่วันก่อนยังร้องแต่จะขี่ม้าไม่ยอมเดินอยู่เลย วันนี้เกิดนึกใจดีอะไรถึงได้ห่วง”

“ก็...” เพราะไม่ชอบสถานการณ์อึดอัด ที่เหมือนกับว่าต้องอยู่ในอ้อมกอดของฮานส์กลาย ๆ แม้จะถูกกอดจริง ๆ ก็ตามเถอะ ถ้าจะขี่ม้าตัวเดียวกัน ทำไมไม่ให้จูเลียนนั่งข้างหลัง จะไม่ง่ายกว่าหรือในการบังคับม้า แต่ก็เท่านั้นแหละ จูเลียนได้แต่คิดสงสัย ไม่อยากถามเพราะกลัวไม่ได้คำตอบดี ๆ



อาชาตัวใหญ่สีดำสนิทพาทั้งสองวิ่งฝ่าหิมะสีขาว ราวกับมันกำลังวิ่งไปบนปุยนุ่น ขนเงางามสีเดียวกันกับนัยน์ตาของฮานส์ ที่กลืนเข้ากันได้สนิทพอดีกับยามค่ำคืน แผงคอและพวงหางพลิ้วสะบัดไปตามจังหวะการวิ่งดูงามสง่า ทุกท่วงท่า ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ราวกับไม่ได้บรรทุกชายหนุ่มถึงสองคน แม้คนที่สองจะตัวเล็ก ผอมเพรียวและเบากว่าอีกคนมาก วันนี้ฟ้าเปิดจนความสดใสแผ่ไพศาลไปทั่ว แสงแดดอุ่นอ่อน ๆ อาบไล้พื้นดินที่ยังปกคลุมไปด้วยความขาวโพลนของหิมะ ราวกับบอกว่าชีวิตยังไม่สิ้นหวัง ความหดหู่ถูกแทนที่ด้วยความหวัง ที่มาพร้อมแสงแดดอ่อนดูมีพลัง



จูเลียนนั่งตัวลีบอยู่ในอ้อมแขนของฮานส์ ที่บังคับม้าให้วิ่งสุดฝีเท้า เร่งให้ทันใจ จูเลียนนั่งเงียบเหมือนจมอยู่กับอะไรบางอย่างในความคิด จนฮานส์เหลือบมองในบางครั้งยังไม่รู้ตัว มันเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป อะไรบางอย่างที่จูเลียนนึกไม่ออก อะไรบางอย่างที่ทำให้มือเรียวว่างเปล่า อะไรบางอย่างที่.....

“ฮานส์! “

“อะไร”

“ข้า...”

“อะไรล่ะ”

“หยุดก่อน” ไม่เพียงแต่ไม่หยุดม้าที่วิ่งมาด้วยความเร็ว ฮานส์ยังสั่งให้มันวิ่งเร็วขึ้นอีก เหมือนแกล้งให้จูเลียนหงุดหงิดเล่น และแน่นอนว่าจูเลียนก็ชักจะเริ่มหงุดหงิดเข้าจริง ๆ แล้ว

“ฮานส์หยุดม้าก่อนสิ”

“หยุดทำไม”

“เจ้าหนู! ข้าลืมเจ้าหนูไว้ที่บ้านท่านป้า!”

“หึ”

“หยุดม้านะฮานส์ พาข้าย้อนกลับไปรับเจ้าหนูก่อน”

“ไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้ หยุดม้าย้อนกลับไปเดี๋ยวนี้! “

“ไม่! “

“ฮานส์! หยุดนะหยุด ๆ “จูเลียนรู้ว่าฮานส์แกล้ง จึงคิดจะแย่งสายบังเหียนมาถือเอง แต่อีกคนก็ไม่ยอมเช่นกัน เกิดการยื้อยุดกันขึ้น ฮานส์รวบร่างเพรียวไว้ทั้งตัวเต็มอ้อมแขน จูเลียนเริ่มดิ้นแรงขึ้น ความเร็วลดลงเล็กน้อยราวกับเจ้าโกสต์รู้ ว่ากำลังเกิดความวุ่นวายบนหลังของมัน

“อย่าดิ้นเดี๋ยวก็ตกลงไป”

“ข้าจะดิ้น ข้าจะลงตรงนี้ถ้าเจ้าไม่พาข้ากลับไปรับเจ้าหนู ข้าจะโดด”

“จูเลียนพูดให้รู้เรื่อง!” ฮานส์ตะคอกเสียงดัง ความแน่นของอ้อมกอดที่แน่นอยู่แล้วยิ่งรัดขึ้นกว่าเดิม คางรกเคราถูกกดลงกับไหล่บอบบางหนัก ๆ เพราะจูเลียนดิ้นไม่ยอม จนใบหน้ารกหนวดรกเคราแนบชิดไปกับแก้มนวล เหมือนเจ้าโกสต์จะรู้มันจึงลดความเร็วฝีเท้าลง แต่กระนั้นก็ยังถือว่าเร็วและเป็นอันตรายอยู่มาก หากทั้งสองยังทะเลาะกันไม่หยุด คนหนึ่งจะไปคนหนึ่งจะย้อนกลับ และไม่ทันมีใครคาดคิด พอโกสต์พาฮานส์กับจูเลียนวิ่งมาถึงเนินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนา ม้าหนุ่มก็สะบัดหมุนตัวกะทันหัน เหวี่ยงสองคนบนหลังปลิวไปตกไม่ไกล แต่จมหายในกองหิมะด้วยท่าที่สวยงาม



“โกสต์! ฮานส์!” จูเลียนร้องเสียงหลงตกใจ เพราะอยู่ดี ๆ ก็ปลิวหลุดลอยจากหลังม้า มือกางขากางจนน่าขัน ดีที่ไม่เจ็บตัวเพราะตกลงไปในกองหิมะที่เกาะตัวกันยังไม่แน่นมาก หิมะช่วยทานแรงกระแทก แต่ร่างก็จมลึกเข้าไปในความเย็นแทบมองไม่เห็น กระนั้นยังไม่วายเจ็บตัวเพราะร่างกายใหญ่กำยำของฮานส์ ที่ตกลงมาด้วยกัน จูเลียนถูกทับไว้ทั้งตัวไม่พอ สองร่างยังกลิ้งหลุน ๆ ลงเนินอีกฝั่ง ฮานส์กอดจูเลียนไว้แน่น พยายามให้ร่างกายของตัวเองรองรับร่างกายจูเลียน กันไม่ให้ถูกกระแทกจากอะไรก็ตามที่อาจจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ



ร่างของฮานส์ที่มีจูเลียนในอ้อมกอด กลิ้งลงมาจนถึงตีนเนินจมอยู่ใต้หิมะเย็น ๆ แต่แทนที่จะหนาว ความใกล้ชิดกลับทำให้รู้สึกอุ่นแปลก ๆ จูเลียนเกยทับอยู่บนร่างกำยำ แรงกอดรัดแน่นจนเริ่มอึดอัด กำลังจะโวยวาย แต่พอมองดวงตาคมลึกล้ำคู่นั้น ทุกส่วนของร่างกายกลับเหมือนถูกสะกด ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนิ่งแทบหยุดหายใจท่านั้นนานแค่ไหน เหมือนไม่อาจละสายตาจากกันและกันไปมองทางอื่นได้ มารู้สึกตัวอีกที จูเลียนก็เปลี่ยนตำแหน่งลงมาอยู่ข้างล่าง ส่วนเจ้าของร่างกายใหญ่กำยำคร่อมทับอยู่ข้างบนแทน



ฮานส์พลิกตัวกลับเป็นฝ่ายคร่อมครอบครองร่างเพรียวอย่างรวดเร็ว จนดวงเนตรสีเขียวสุกใสเบิกกว้างด้วยตกใจ ปากเผยออ้าจะประท้วง แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น เพราะอะไรบางอย่างในลูกแก้วสีดำขลับแวววาวของฮานส์ ดึงดูดให้จูเลียนทำเพียงจ้องมองมันนิ่ง ราวกับหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง หรือดวงตาของฮานส์จะมีมนต์ ที่สามารถสะกดให้คนที่จ้องมอง ยอมทำตามทุกอย่างที่เจ้าของนัยน์ต้องการได้จริง ๆ



จูเลียนจ้องดวงตาคู่นั้นนิ่งเนิ่นนาน จนผ่านไปเท่าไหร่แล้วไม่รู้ เมื่อใบหน้ารกหนวดค่อย ๆ ลดระยะห่างกับพักตร์นวลผ่องลงเรื่อย ๆ จนจมูกโด่งของทั้งคู่คลอเคลียกันราวกำลังหยอกเย้า ใบหน้ารกหนวดเอียงเล็กน้อย เมื่อริมฝีปากแตะทักทายกลีบผกานุ่มนิ่มสีแดงสดของจูเลียนอย่างเรียกร้อง ความเย็นชืดของริมฝีปากหนาเชิญชวน ด้วยการแตะสัมผัสซับเบา ๆ ราวปลอบประโลม จนลึกซึ้งขึ้น ฮานส์ทาบริมฝีปากหยักใต้แนวหนวดแข็งลงบนกลีบปากนุ่ม บดเบียดสลับเม้มเน้นราวจะสร้างความคุ้นเคย ก่อนจะส่งปลายลิ้นร้ายมาทักทายเรียกร้องความลึกซึ้ง ให้จูเลียนตอบรับสัมผัสหวานล้ำ เรียวลิ้นอุ่นจัดที่สอดแทรกซ่านอยู่ในความรู้สึก จนก้อนเนื้อในอกเต้นกระหน่ำแข่งกัน



อาการแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับฮานส์มาก่อน เขาหายใจถี่ รับรู้ถึงความตื่นเต้นของตัวเอง ราวกับเป็นหนุ่มน้อยไร้เดียงสาแรกสัมผัสรัก พอกันกับจูเลียน ที่ก้อนเนื้อในอกกระหน่ำเต้นแรง แทบทะลุออกมาเต้นข้างนอก อยู่ดี ๆ ก็เหมือนกับว่าไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ แรงสั่นในอกมันส่งผลกับร่างกายทุกส่วน เหมือนร่างทั้งร่างมันสั่นสะท้านขึ้นมาเสียเฉย ๆ จูเลียนรู้ว่าไม่ใช่เพราะความหนาว หากแต่เป็นเพราะเรียวลิ้นอุ่นเกือบร้อน ที่กำลังหยอกเย้าเกี่ยวกระหวัดในโพรงปาก ยิ่งดูดดื่มยิ่งอบอุ่น ยิ่งลึกซึ้งยิ่งหวานล้ำ ความหวานซาบซ่านซึมลึกจนถึงก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ข้างใน



จูเลียนโอบรอบลำคอแกร่งราวกับกลัวอีกคนจะหายไป รสชาติหวานละมุนละไมช่างชวนให้หลงใหลเคลิบเคลิ้ม ฮานส์กระชับร่างเพรียวในอ้อมกอดขยับตัวแนบชิดขึ้น เสียงเรียกร้องจากส่วนลึกบอกว่าเท่านี้มันยังไม่เพียงพอ จูเลียนกำลังหลงระเริงกับความรู้สึกลึกซึ้ง ร่างกายเรียกร้องในสิ่งที่มากกว่า จนทั้งสองมาถึงจุดที่แทบจะหยุดไม่อยู่ ฮานส์จึงค่อย ๆ ลดจังหวะดูดดื่มที่แสนเร่าร้อน ในที่สุดก็หยุดลงอย่างอ้อยอิ่ง เขากดจูบหนัก ๆ ลงบนกลีบปากอิ่มนุ่มนิ่มสองสามครั้งราวกับสั่งลา ใบหน้ารกหนวดถอยห่าง แต่ไม่ไกลเกินกว่าไออุ่นของลมหายใจได้เป่ารดกัน



ฮานส์กวาดตามองทั่วพักตร์นวลผ่อง เก็บภาพหวามหวานของนัยน์สวยที่ปรือขึ้นมองตอบ เจ้าของนัยน์สีเขียวงามล้ำปานมรกต อยู่ในห่วงอารมณ์เสน่หาจนตาหวานฉ่ำ เป็นภาพที่น่ามองยิ่งนัก ประกายชวนฝันของดวงเนตรสุกใสราวเพชรน้ำงามล้ำค่า สะกดให้ดวงตาสีดำสนิทมองนิ่ง เหมือนความรู้สึกแปลก ๆ ที่ก่อเกิดมีอำนาจเหนือกว่า จนทั้งสองทำตัวไม่ถูก ฮานส์ยังมองอยู่อย่างนั้น ขณะที่จูเลียนก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แปลกไป ลดสายตาลงมองคางที่ประดับด้วยเคราหนาแทน หวังจะให้มันช่วยลดทอนความรู้สึกร้อน ๆ ที่ทำให้วูบวาบไปทั้งตัว

"เจ้า.."

“เอ่อ..” ฮานส์เผยอปากเหมือนจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น ราวกับไม่ต้องการให้คำพูดบางคำหลุดออกมา

“ปล่อยสิ ข้าหนักนะ” เสียงที่เปล่งออกมาทั้งสั่นและแผ่วเบา จนฮานส์เดาได้ไม่ยากเลย ว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดก็คงตื่นเต้นไม่แพ้กัน ก้อนเนื้อในอกหรือก็เต้นแรงจนชนกันเสียขนาดนั้น ไม่เคยมีสักครั้งที่จะอ่อนไหวได้ถึงเพียงนี้ แต่ฮานส์คงต้องยอมรับ ว่าครั้งนี้เขาเหมือนหนุ่มน้อยที่เพิ่งเรียนรู้การสัมผัสใกล้ชิด ทั้งที่ผ่านมาอย่างโชกโชนไม่น้อย แต่ตอนนี้ฮานส์กลับรู้สึกราวกับเป็นเด็กหนุ่มเพิ่งแตกพาน เขาอมยิ้มขำตัวเอง สายตาคมมีแววเอ็นดูจับอยู่ที่พวงปรางนวลผ่อง สีแดงระเรื่อยที่ซับอยู่กับผิวขาวใสเหมือนเรียกให้เขาเชยชิม ร่างกำยำยังทาบทับร่างเพรียวระหง แต่พอได้ยินอีกคนบอกหนัก ฮานส์ใช้ข้อศอกทั้งสองข้างยันพื้นรองน้ำหนักไว้



“กลับถึงเมืองหลวง เจ้าจะทำยังไงต่อ” สิ่งที่ฮานส์อยากถามไม่ใช่คำถามนี้ แต่มันก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ คำถามที่เขาควรจะถามยุวกษัตริย์ อย่างน้อยเพื่อให้จูเลียนใช้เวลาในเดินทางคิดไว้ก่อน

คำถามนี้ทำจูเลียนคิดหนัก “ข้า..ยังไม่รู้ คงต้องเรียกตัวพี่ข้ากลับมาจากสวาเนียร์ก่อน”

“ลอร์ดนิโคลหรือ ตอนนี้เขาอยู่ออสเซนเทียแล้ว” จูเลียนขมวดคิ้วหันกลับไปมองหน้าฮานส์

“เจ้ารู้ได้ไง?” นัยน์ตาเขียวมรกตมีแต่ความคลางแคลงในสิ่งที่คนหน้าหนวดบอก จูเลียนจ้องนิ่งอยากถามว่ามีอะไรที่จูเลียนควรรู้ และฮานส์ยังปิดบังไว้อีกไหม

“ช่างเถอะ แต่เจ้า...”

“ทำไม เจ้ารู้อะไรอีกฮานส์ ทำไมไม่บอกอะไรข้าบ้าง บอกมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ” ฮานส์เงียบไปหลังสิ้นเสียงเอาแต่ใจที่สั่ง สีหน้ารกหนวดดูเรียบนิ่งแต่จูเลียนรู้ว่าฮานส์กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ดูจากนัยน์ตาสีดำสนิทที่มีแววกังวล แต่ไม่นานก็หายไปเมื่อรู้ว่าจูเลียนกำลังจับตามองอยู่

“ถึงโน่นแล้ว...” ฮานส์เว้นไว้เพียงเท่านั้นไม่ยอมพูดต่อ จนจูเลียนต้องเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ไม่เคยเลยที่จูเลียนจะได้เห็นท่าทางอย่างนี้ของฮานส์ เหมือนอีกคนกำลังลังเล กังวล และไม่มั่นใจ นี่มันไม่น่าจะใช่ท่าทางของคนหยิ่งยโสที่เคยอวดดีต่อหน้ากษัตริย์ด้วยซ้ำ ความกังวลของฮานส์กระตุ้นให้จูเลียนยิ่งอยากรู้ จนอดเอ่ยปากถามไม่ได้

“เจ้ามีอะไรจะบอกข้าหรือ”

“ช่างเถอะ” ฮานส์บอกราวกับไม่ใช่เรื่องควรใส่ใจ พลิกตัวลงไปนอนหงายอยู่ข้างจูเลียน มองขึ้นไปบนท้องฟ้า วันนี้ท้องฟ้าสวย ทำให้ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวดูสดใสไปหมด ท้องฟ้าสีฟ้ากว้างใหญ่ประดับด้วยกลุ่มเมฆบาง ๆ รูปทรงต่างกัน ราวกับผ้าผืนใหญ่สีฟ้า ที่แต่งแต้มด้วยก้อนสำลีสีขาวนวล



เห็นฮานส์เหมือนจะดื่มด่ำกับธรรมชาติจูเลียนเลยทำตามบ้าง ทั้งสองนอนมองท้องฟ้า ปล่อยให้แสงแดดอ่อนๆ อาบร่าง เหมือนหลุดเข้าไปในความคิดของตัวเอง ต่างคนต่างเงียบ จนเจ้าโกสต์ที่วิ่งหายไปในตอนแรก วิ่งอ้อมเนินกลับมาหาพอดี

จูเลียนลุกขึ้นมองมันตาขวางอย่างคาดโทษจนฮานส์ยิ้มขำ

“อย่าบอกนะว่าเจ้าโกรธที่โกสต์สะบัดตกจากหลัง”

“แล้วมันน่าโกรธไหมล่ะ” จูเลียนบอกแล้วหันไปทำหน้าบึ้งใส่โกสต์ ราวกับอยากให้มันรับรู้ว่าถูกโกรธ จนยากจะได้รับการอภัยง่าย ๆ

“มันคงรำคาญที่เจ้าเอาแต่ดื้อรั้นจะกลับไปให้ได้”

“ข้าต้องกลับไป ข้าทิ้งเจ้าหนูไว้ที่นั่นไม่ได้ ข้าสัญญาแล้วว่าจะดูแลมัน”

“จะให้ข้าบอกอีกไหมว่ามันเป็นแค่กระต่าย เจ้าควรดูแลตัวเองให้รอดก่อน ลุกได้แล้วจะได้เดินทางต่อ”

“ข้าไม่ไป!” จูเลียนเชิดหน้า

“อย่าให้ข้าต้องย้ำนะว่ามีเด็กบางคนเคยบอกจะไม่ดื้อกับข้า” จูเลียนตาโตหันขวับไปมองฮานส์ทันทีจนคอแทบเคล็ด เลยถูกอีกคนกระชากแขนให้ยืนขึ้นจนได้

“เจ้าทวงหรือ เด็กที่ไหนพูดให้มันดี ๆ นะ ข้าไม่เด็กแล้ว” ใช่จูบจนฮานส์เคลิ้มแทบลืมตัวคงไม่เด็กแล้ว เขาได้แค่คิด กัดฟันแน่นไม่ให้ตัวเองหัวเราะขำความคิดแปลก ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัว



จูเลียนคิดถึงวันที่เจอกับหมาป่าหิมะตาแดง สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่จูเลียนเคยเห็นกับตา แต่ผ่านมาหลายวันแล้วความกลัวที่เข้ามาแทนความดื้อรั้นลดลง ความดื้อรั้นจึงกลับเข้ามาอยู่ที่เดิมหรืออาจจะเพิ่มขึ้น ฮานส์กลอกตาขึ้นลงมองวรกายเพรียวระหงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เขาแสยะยิ้มน่าเกลียด จนเห็นแล้วอยากเอาหิมะละเลงให้ทั่วใบหน้าหนวด จูเลียนผิดหรือที่เกิดมาตัวเล็กกว่า เล็กก็เล็กกว่าไม่มาก ใช่ว่าตัวเล็กจะเป็นเด็กเสมอไป



“ข้าบอกว่าเป็นเจ้าหรือไง หรือเจ้ามันเด็กจริงล่ะ มานี่” ฮานส์ยื่นมือจะดึงข้อมือเล็กให้เดินไปด้วยกัน แต่จูเลียนปัดทิ้งไม่ไยดี เดินเงียบ ๆ ไปทางเจ้าโกสต์ที่ยืนรออยู่ แต่พอจูเลียนเดินเข้ามาใกล้มันกลับหันหน้าไปทางอื่น หายใจฟึดฟัดแรง ๆ ไออุ่นพุ่งเป็นสายออกมาทางจมูก

“หึ อย่าเข้าไปใกล้ โกสต์มันโกรธเจ้าอยู่”

“เก่งนะรู้ใจม้าด้วย” ฮานส์ไม่ตอบแต่ยืนจังก้ากอดอกรอดู ว่าอีกคนจะทำอย่างไร จูเลียนแค่นเสียงเหอะออกมาจากลำคอ ไม่ฟังที่ฮานส์บอก เดินหน้าเข้าไปหาโกสต์อย่างท้าทาย เจ้าโกสต์ที่ยังอารมณ์ไม่ดี เห็นจูเลียนเดินเข้ามาใกล้มันยิ่งหายใจแรงจนหูลู่

“บอกไม่ฟัง”

“โอ๊ย ฮานส์! “ฮานส์คว้าคอจูเลียนไว้จากข้างหลังจนเจ้าตัวหน้าหงาย จะหันกลับมาต่อว่าสักหน่อย แต่ถูกคนหน้าหนวดที่ตัวสูงกว่ากอดคอไว้ พาเดินเข้าไปหาอาชาพันธ์ุดี ที่ยืนสง่าน่าเกรงขามไม่พอใจอยู่เบื้องหน้า

ฮานส์กระซิบบอก “เจ้าโกสต์ เวลาโกรธมันไม่ชอบให้คนอื่นเข้าใกล้นอกจากข้า”

“แล้ว แล้วเจ้าพาข้าเข้ามาหามันทำไม เดี๋ยวก็โดนมันดีดเอาหรอก”

“ดีดก็ดีดเจ้านั่นแหละไม่ได้ดีดข้าสักหน่อย หึหึ” เพราะจูเลียนอยู่ข้างหน้าฮานส์ และกำลังถูกดันให้เดินเข้าไปหาม้าตัวใหญ่ พอฮานส์พูดแบบนี้จูเลียนยิ่งใจเสีย

“ไม่เอา ปล่อยข้าเลยรอให้มันหายโกรธก่อนสิ”

“เดินเถอะน่า”

“ก็มันโกรธอยู่ ข้าไม่อยากโดนม้าดีด ปล่อยข้านะฮานส์เจ้าจะทำอะไร”

“ทำให้จูเลียนไม่เป็นคนอื่นสำหรับเจ้าโกสต์ไง”



**********50 %***********

งานนี้ต้องขอบคุณเจ้าโกสต์มั้ย 

โฮะ ๆๆๆ เจอกันตอนหน้าจ้า จูเลียนจะถึงไหน 

จะถึงเมืองหลวงหรือแวะเที่ยวไหนก่อน รอกันนะนายท่าน

ดาว ณ แดนดิน

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


ตอนที่ 20 วีรกรรมของโกตส์ 100%

“ทำให้จูเลียนไม่เป็นคนอื่นสำหรับเจ้าโกสต์ไง”

“ทำอย่างนี้นี่นะ เจ้าจะหลอกให้ข้าถูกม้าดีดใช่ไหม!” จูเลียนไม่เชื่อสิ่งที่ฮานส์บอก เพราะเห็นม้ากำลังโกรธจริง ๆ แต่พอจะถอย ฮานส์กลับจับให้มายืนข้างหน้าแล้วตัวเองยืนซ้อนหลัง ทั้งที่บอกว่ามันกำลังโกรธและไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ ฮานส์ยังดันให้จูเลียนเดินเข้าไปหามัน แบบนี้ไม่บอกว่าแกล้งกันอีกแล้วจะบอกว่าอะไรได้ จูเลียนต้องโวยวายประท้วง

“อย่านะฮานส์! ”

“เงียบก่อน”

“แต่..” ฮานส์ทำเสียงชู่เบา ๆ จูเลียนเลยได้แต่เงียบ เขาใช้ท่อนแขนแข็งแกร่งกำยำโอบข้ามไหล่พาดด้านหน้าเกาะมือไว้ที่ไหล่ฝั่งตรงข้ามของจูเลียน จนเจ้าของร่างเพรียวแทบจมหายเข้าไปในอกกว้าง ฮานส์ยื่นมืออีกข้างออกไป พลางขยับเท้าใช้แผ่นอกดันหลังจูเลียนให้เดินเข้าไปใกล้ม้าหนุ่มที่ยังเมินอยู่ ใบหน้ารกหนวดทิ้งคางเกยลงกลางกระหม่อมกษัตริย์หนุ่มน้อย กั้นสัมผัสตรง ๆ ไว้เพียงหมวกคลุมหัวของคนตัวเล็ก

“ฮานส์”

“ก้าวเข้าไปช้า ๆ เรียกชื่อมันเบา ๆ ถอดถุงมือข้างนี้ออกด้วย” จูเลียนว่าง่ายยอมทำตามที่บอกทุกอย่าง ฮานส์ลดมือข้างที่ยื่นออกไปลงมาจับมือจูเลียน ยกขึ้นให้ยื่นไปหาโกสต์ด้วยกัน ม้าหนุ่มแสนรู้หันกลับมามองคนทั้งสองนิ่ง ราวกับว่ามันกำลังชั่งใจ จูเลียนเองก็แทบกลั้นหายใจรอ เมื่อเห็นโกสต์ยังนิ่ง ด้วยเดาอารมณ์สัตว์ไม่ถูก จนครู่หนึ่งผ่านไปจูเลียนถึงได้ค่อย ๆ เผยรอยิ้มบาง ๆ ออกมา เมื่อม้าหนุ่มเอียงใบหน้าเข้ากับฝ่ามือนิ่ม ที่ประกบซ้อนทับด้วยมือใหญ่ ๆ ของฮานส์ รอยยิ้มบาง ๆ ของจูเลียนกว้างขึ้น ดูเหมือนโกสต์จะหายโกรธลงบ้างแล้ว

“โกสต์”

“ลูบกรามมันสิ เบา ๆ นะแผงคอด้วย” ถึงจะบอกอย่างนั้น แต่มือใหญ่ยังประกบและพามือเรียวลูบไปตามส่วนต่าง ๆ ที่บอก จูเลียนทำตามทุกอย่าง รู้สึกตื่นเต้น แม้ไม่ชอบการขี่ม้าแต่จูเลียนถือได้ว่าเป็นคนที่ขี่ม้าเก่งมากคนหนึ่ง ความเชื่องของโกสต์ทำให้จูเลียนตื่นเต้นจนลืมไปเลย ว่าตอนนี้วรกายเพรียวระหงอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ยืนซ้อนหลังไม่ห่าง ฮานส์ลดท่อนแขนข้างที่กอดคอจูเลียนลงมารวบเอวบางไว้ มือข้างหนึ่งยังประกบพามือเรียวลูบแผงคอ จูเลียนหันมาแหงนหน้ายิ้มให้ฮานส์ดวงเนตรเป็นประกาย ความใกล้ชิดยิ่งชิดใกล้มากขึ้น ไออุ่นของลมหายใจผสมกันจนไม่รู้ของใครเป็นของใคร ความอบอุ่นมันอบอวลโอบกอดอยู่รอบตัว จนลืมไปเลยว่าอยู่ท่ามกลางหิมะและความหนาวเย็นกลางฤดูหนาว



อาชาหนุ่มแสนรู้ก้มหน้าลงมาหาใบหน้าของฮานส์และจูเลียนที่คลอเคลียอยู่ด้วยกัน ราวกับว่ามันยอมรับและเข้าใจในสิ่งที่เจ้านายของมันสื่อ ว่าต่อจากนี้เจ้าของร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดของฮานส์ หาใช่ใครคนอื่นอีกต่อไปไม่ แต่เป็นเจ้านายของมันอีกคน

“โกสต์” จูเลียนเรียก เมื่อรู้สึกว่าโกสต์เอาแก้มของมันถูกเบา ๆ กับแก้มนิ่ม ส่วนแก้มอีกข้างถูกขนาบด้วยใบหน้ารกหนวด ที่ฉวยโอกาสแนบชิดตอนจูเลียนตื่นเต้นกับการตอบรับของเจ้าม้าแสนรู้ แต่จริง ๆ แล้วฮานส์กำลังคุยกับโกสต์ หรือนั่นอาจจะเป็นคำประกาศของฮานส์ที่บอกให้มันรู้ ว่าเจ้าของใบหน้านวลที่อยู่ระหว่างใบหน้าของมันกับของฮานส์คือคนสำคัญ



ทั้งคนทั้งม้ายืนหลับตานิ่ง ฮานส์ขยับขึ้นมาทาบหน้าผากของตัวเองลงกับหน้าผากโกสต์ คางของเขาจึงวางอยู่บนกลางกระหม่อมของคนตัวเล็กพอดีอีกครั้ง จูเลียนยิ้มบาง ๆ มือยังลูบเบา ๆ ไปตามสันกรามของโกสต์ ส่วนมืออีกข้างวางทาบไว้ที่แก้มของมัน ใช้ความเมตตาที่มีต่อเพื่อนร่วมโลก ผ่านภาษากายที่สัมผัส



“พอหรือยัง” จนผ่านไปเป็นครู่ เสียงเล็ก ๆ ที่ดังขึ้นไม่เกินกว่าการกระซิบ แต่สามารถเรียกฮานส์ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน เจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิทผละออกช้า ๆ วางมือข้างหนึ่งลงบนหัวจูเลียนโยกเบา ๆ

“มันชอบเจ้านะ” จูเลียนอึ้ง ไม่ใช่เพราะฮานส์บอกว่าโกสต์ชอบ แต่เป็นเพราะรอยยิ้มของคนหน้าหนวด แบบที่จูเลียนไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ยืนอึ้งมองนิ่งจนลืมตัว รอยยิ้มน้อย ๆ ที่ค่อย ๆ แย้มออกมาจนกว้างขึ้น พร้อมกับนัยน์ตาเป็นประกาย เหมือนทำให้รอบตัวสว่างจ้าขึ้นมาได้เอง มันดูแตกต่างจากทุกครั้งที่จูเลียนเคยเห็น อยู่ดี ๆ ก็เกิดความอบอุ่นขึ้นมาในใจจนมันพองโต อุ่นวาบไปทั้งตัวราวกับยืนอยู่กลางทุ่งหญ้ากว้าง ที่อาบด้วยแสงอาทิตย์ยามเช้า ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มีความรู้สึกแบบนี้ มันแปลกมากสำหรับจูเลียน ชั่วชีวิตของกษัตริย์หนุ่มน้อยวัย 19 ชันษา ไม่เคยมีสักครั้งที่จะได้เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน



เห็นจูเลียนมองนิ่งฮานส์เลยเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม จูเลียนรู้สึกตัวว่าเผลอมองคนหน้าหนวดนานไปหน่อย เลยหันไปหาโกสต์ลูบกรามมันเบา ๆ

“ข้าก็..ชักจะชอบเจ้าแล้วสิโกสต์ แต่ห้ามสะบัดข้าตกจากหลังเจ้าอีกนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะลงโทษด้วยการไม่ขี่เจ้าอีกเลย” สิ้นคำขู่ของจูเลียน ฮานส์ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังก้องป่า จนเจ้าของคำขู่หันมามองตาขวาง

“เจ้าขำอะไร”

ฮานส์พยายามกลั้นขำ “เจ้าลงโทษด้วยการไม่ขี่มันนี่นะ คิดว่ามันสนหรือไง”

“ไม่รู้ล่ะ นี่คือวิธีการลงโทษของข้า” จูเลียนหันมาเถียงฮานส์ แล้วหันกลับไปพูดกับเจ้าโกสต์ “ถ้าทำข้าตกอีกข้าจะไม่ขี่เจ้า ถ้าดื้อข้าจะปล่อยให้เจ้าเหงาอยู่ตัวเดียวเป็นการลงโทษ” ฮานส์พยายามกลั้นขำแต่ก็ยากเหลือเกิน เขาไม่เคยเห็นใครมีวิธีการลงโทษที่ไม่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ส่ายหัวให้กับความคิดแบบเด็ก ๆ นึกสงสัยว่าจูเลียนใช้วิธีแบบนี้ ลงโทษคนในปกครองของตัวเองด้วยหรือไม่ หากมีคนต้องโทษหรือถูกลงอาญา ในฐานะกษัตริย์จูเลียนจะลงโทษอย่างไรฮานส์ชักอยากเห็น



ทั้งสองหัวเราะด้วยกันเป็นครู่ ฮานส์วางมือลงบนศีรษะใต้หมวกคลุมโยกเบา ๆ แล้วผลักจนจูเลียนแทบหน้าหงาย แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เสียงหัวเราะของทั้งสองดังขึ้นกว่าเก่า จูเลียนลืมเรื่องที่ฮานส์ทำให้หงุดหงิดใจเสียสนิท

“เดินทางต่อเถอะ” เจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมดำเดินไปเก็บถุงของที่ทำตกไว้ แล้วเดินกลับมาหาจูเลียนที่ยังยืนพูดกับโกสต์ ราวกับเจอเพื่อนคุยที่ถูกคอก็ไม่ปาน จนฮานส์ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าแล้วเรียกให้จูเลียนขึ้นมานั่งด้วยกัน

“ขึ้นมาได้แล้ว” เขาตบที่ว่างข้างหลังตัวเองจูเลียนมองตาม

“คราวนี้ให้ข้านั่งข้างหลังหรือ” ฮานส์แสยะยิ้มน่าเอาหิมะปาให้หน้าหงายสักทีสองทีจนจูเลียนมองตาขวาง

“อือ หรือจะนั่งข้างหน้าล่ะ ข้ายังไงก็ได้นะแล้วแต่เจ้า”

“ไม่”

“ไม่อะไร”

“ไม่นั่งข้างหน้า”

“ไม่นั่งก็ขึ้นมา จะไปไม่ไป”

“ไปสิ” จูเลียนกำลังจะเหวี่ยงตัวเองขึ้นนั่งข้างหลังฮานส์ แต่ยังไม่ทันได้ออกแรง ร่างเพรียวระหงก็ถูกฮานส์ ที่ก้มลงรวบเอวดึงขึ้นนั่งบนหลังของเจ้าโกสต์ได้อย่างง่ายดายก่อน ราวกับฮานส์ดึงถุงนุ่นน้ำหนักเบา ไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุสิบเก้าอย่างจูเลียน พอทุกอย่างพร้อมแล้ว เพียงฮานส์กระตุกสายบังเหียนเบา ๆ เจ้าโกสต์ก็เริ่มออกเดิน มันเดินช้า ๆ ฝ่าเกล็ดหิมะขึ้นเนินเพื่อข้ามไปยังเส้นทางเดิม



พอมานั่งข้างหลังแบบนี้ความรู้สึกมันแตกต่าง จูเลียนกลัวตกจึงจับเสื้อคลุมของฮานส์แน่น แต่หนุ่มน้อยกลับไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอยิ้มออกมาได้อย่างไร ตอนที่ฮานส์แกะมือที่กำชายเสื้อคลุมออก แล้วดึงให้จูเลียนกอดเอวเขาแทน ต่างคนต่างเงียบ แต่อะไรบางอย่างในความรู้สึกกำลังก่อตัว ฮานส์ยกมุมปากขึ้นยิ้มน้อย ๆ สายตาคมมองตรง จูเลียนแอบยิ้มพลางกวาดตามองรอบ ๆ เพลิดเพลินกับทัศนียภาพธรรมชาติรอบตัว ยิ่งพอขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดบนเนินธรรมชาติยิ่งสวย มองเห็นได้ชัดเจนทุกทาง



“ฮานส์ดูนั่นสิ” น้ำเสียงตื่นเต้น เรียกให้ฮานส์หันไปตามทิศทางที่จูเลียนชี้บอก ตรงนั้นเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน ปกคลุมด้วยหิมะเหมือนทุกที่ แต่สิ่งที่สะดุดตาจูเลียนไม่ใช่เทือกเขาทะมึนที่ซ้อนกันอยู่หลายลูก หรือหิมะขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่ว แต่เป็นกลุ่มปราสาทขนาดใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นมาบนเทือกเขาตรงสันเขา แม้จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะจนแทบจะมองไม่เห็นหากไม่สังเกตดี ๆ แต่วันนี้ท้องฟ้าสดใสเลยมองเห็นความยิ่งใหญ่โอฬารได้ไม่ยาก

ฮานส์เงียบ สายตาคมจับจ้องอยู่กับความยิ่งใหญ่อลังการ ความคิดจมดิ่งสู่แรงดึงดูดไร้ที่มา ใบหน้ารกหนวดเข้มขรึมขึ้น เขามองภาพเบื้องหน้านิ่ง ปล่อยความคิดความรู้สึกล่องลอย เสียงเจื้อยแจ้วที่ดังขึ้นข้างหู ยังไม่อาจดึงความสนใจของเขาให้กลับมาได้

“นั่นปราสาทของใครหรือตระกูลไหนฮานส์ เจ้ารู้จักไหม เอ ลักษณะปราสาทแบบนี้ข้าเหมือนจะเคยได้เรียนมาอยู่บ้างนะ ถ้ารู้ว่าแถวนี้เป็นที่ไหนข้าน่าจะเดาได้นะ ว่าที่นี่เป็นปราสาทของตระกูลไหนกันแน่”

“..” จูเลียนพูดไปตั้งยาวแต่ฮานส์ยังเงียบ สายตาคมมองไปยังปราสาทบนหน้าผาแห่งนั้น เหมือนจมดิ่งลงสู่อะไรบางอย่างที่จูเลียนไม่รู้ จึงได้แต่เรียกเบา ๆ ดึงให้อีกคนกลับมาสู่ปัจจุบัน

“ว่าไงฮานส์แถวนี้มันที่ไหน”

“...”

“โรฮานส์!” จูเลียนเรียกฮานส์หลายครั้ง แต่เจ้าของนัยน์สีนิลยังนิ่งเงียบ ทอดสายตามองออกไปยังปราสาทที่เห็นอยู่ไกล ๆ มองจากจุดนี้ว่ายิ่งใหญ่แล้ว หากได้เข้าไปดูใกล้ ๆ คงจะยิ่งใหญ่อลังการมาก จูเลียนกำลังคิดว่ามันน่าจะใหญ่พอ ๆ กับปราสาทของเขาที่เมืองหลวง หรืออาจจะใหญ่กว่า

“ไปเถอะ” ฮานส์บอกเบา ๆ ไสม้าหันหลังให้ความอลังการที่ตั้งตระหง่านอยู่บนสันเขา เขารู้ไม่ใช่ไม่รู้ ว่าพาจูเลียนหนีตายล่วงล้ำขึ้นมาถึงดินแดนที่เรียกได้ว่าหนาวเย็นสุดขั้วหัวใจ ดินแดนที่โอบล้อมไปด้วยน้ำแข็ง และความเหน็บหนาวตลอดปี ดินแดนที่เขาเองไม่คิดจะหวนกลับมาเสียนาน ดินแดนที่เรียกขานกันว่า แดนเหนือ ปราสาทใหญ่โตโอ่อ่า ไม่ได้สร้างขึ้นมาแบบสวยหรู อวดความมั่งคั่งของเจ้าของ แต่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของชนชาวเหนือ ที่ชีวิตต้องทรหดอดทนท่ามกลางความหนาวเย็น ที่อยู่ด้วยกันทั้งปีทั้งชาติ ปราสาทแห่งนั้นเรียกขานกันว่า เดอะ เมาเทนนัสเฮาส์ อันยิ่งใหญ่



*****************



“ท่านรัฐมนตรี ข้ากลับมาแล้ว”

“ดีใจด้วยที่เจ้ามีชีวิตรอดกลับมาได้”

“ข้าต้องมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้อยู่แล้วสิ”

“การเดินทางของเจ้าราบรื่นดีไหมกรอสเซ่”

“ราบรื่นหรือ ท่านก็รู้ข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะทำงานให้ท่าน แต่..ข้าหวังว่าท่านจะไม่ผิดสัญญานะท่านรัฐมนตรี” กรอสเซ่ขยับเข้ามากระซิบข้างหูโจเซฟ ทวงสัญญาที่เคยตกลงกันไว้ ถึงในนี้จะเป็นห้องในที่พักส่วนตัวของรัฐมนตรี แต่ก็ยังมีคนแปลกหน้าอยู่ด้วยอีกคน กรอสเซ่ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทวงหาสัญญาที่ตัวเองควรได้รับ

ต่อจ้ะ...

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด