เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 24 เชลย 100% 24/2/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 24 เชลย 100% 24/2/62]  (อ่าน 11872 ครั้ง)

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



รัฐมนตรีประจำราชสำนักยิ้มละมุน ราวกับผู้ใหญ่ใจดีกำลังพูดคุยกับเด็กน้อยที่เขาเอ็นดู “อ่า เรื่องนั้นหรือ ข้าจะลืมมันได้ยังไงล่ะท่านกวีประจำราชสำนัก ว่าแต่งานของเจ้าสำเร็จจริง ๆ แล้วหรือ”

“แน่นอนท่านรัฐมนตรี”

“แล้วไหนล่ะหัวของมันข้ายังไม่เห็นเลย จะเชื่อได้ยังไงว่าเจ้าทำงานสำเร็จ!” รอยยิ้มละมุนหายไปเหลือเพียงความเคร่งเครียดกดดัน โจเซฟไม่มีทางวางใจอะไรได้ หากทุกอย่างคลุมเครืออยู่แบบนี้

“ก็ไหน...” กรอสเซ่หันไปทางบุรุษที่ยืนอยู่อีกมุมของห้อง ดูท่าทางน่าจะอายุอ่อนกว่ารัฐมนตรีโจเซฟไม่กี่ปี จะทำอะไรกวีหนุ่มต้องระวังตัวจึงไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า

“นั่นโทมัส น้องชายข้าเอง”

“ไม่เคยได้ยินว่าท่านมีน้องชายมาก่อนเลยท่านรัฐมนตรี”

“เจ้าจะเคยได้ยินได้ยังไง ในเมื่อเขาเพิ่งเข้ามาช่วยงานข้า น้องชายต่างแม่ข้าเอง” โจเซฟให้คำตอบคล้ายจะเริ่มเบื่อหน่ายที่กรอสเซ่สนใจเรื่องที่ไม่ควร ชายผู้ยืนเงียบมานานก็ยังเงียบ และทำหน้านิ่งอยู่เหมือนเดิม แต่สันกรามที่นูนขึ้นบ่งบอกว่าเขากำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นคำถามสอดรู้ของกรอสเซ่ หรือคำว่าน้องชายต่างแม่จากปากพี่ชายต่างแม่ก็เป็นได้

“ว่าไง”

“ข้าทำตามที่ท่านสั่งแล้วท่านรัฐมนตรี ที่เหลือท่านบอกจะให้ทหารเป็นคนจัดการทั้งหมดไม่ใช่หรือ แต่มัน..มันตายแล้วแน่ ๆ โดนทหารรับจ้างล้อมไว้ทุกทาง ตอนนั้นมันหนาวมากมีพายุหิมะด้วย พายุแรงจนม้าแทบยืนไม่อยู่ รอบตัวมองเห็นได้ไม่เกินสามก้าวด้วยซ้ำ”

“แล้วเจ้าจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันตายไปแล้วจริง ๆ ”

“ไม่มีใครรอดในสถานการณ์อย่างนั้นหรอกเชื่อข้าเถอะ ข้าเองยังแทบเอาชีวิตไม่รอด”

“แต่เจ้าก็ยังรอดมาได้” แววตาโจเซฟน่ากลัวจนกรอสเซ่ยังต้องหลบมองต่ำ เขาเค้นเสียงลอดไรฟันพูดออกมา ยิ่งฟังกรอสเซ่เล่าโจเซฟยิ่งเจ็บใจ เหมือนกวีหนุ่มกำลังยืนยันความผิดหวังของเขา

กรอสเซ่พูดเสียงเบาราวแก้ต่างให้ตัวเอง “เซอร์ราเชลเป็นคนช่วยข้าไว้”

“หึ มันเลยมีบุญคุณกับเจ้าที่มันช่วยชีวิตไว้สินะ แล้วเซอร์เฮนริชกับคนอื่น ๆ ไปไหน”

“ข้าไม่รู้เราหนีออกมาได้ ข้ากับเซอร์ราเชลมาเจอเซอร์เฮนริชภายหลัง แต่ก็ถูกโจมตีอีกเลยทำให้ต้องหนีไปคนละทาง”

“รวมทั้งจูเลียนด้วยล่ะสิ”

“ข้าไม่เห็นจูเลียน แต่..”

“แต่อะไร”

“ข้าคิดว่าเขาตายแล้ว ตอนนี้ร่างคงจมอยู่ใต้ภูเขาหิมะหลังพายุกระหน่ำ โอ๊ย!!” พูดจบพลันใบหน้าซีดเผือดของกรอสเซ่ก็หันไปตามแรงตบของรัฐมนตรีเฒ่า ที่ฟาดฝ่ามือลงบนซีกแก้มสีซีดสุดแรง คำพูดของกรอสเซ่ทำให้รัฐมนตรีบันดาลโทสะ

กวีหนุ่มประจำราชสำนักกุมแก้มที่ถูกตบหันกลับมาถาม “รัฐมนตรีโจเซฟ ท่านตบข้าทำไม”

โจเซฟไม่ตอบแต่ถามกลับเสียงเข้ม “เจ้าบอกว่าคนที่ช่วยชีวิตเจ้าคือเซอร์ราเซล?”

“ใช่” กรอสเซ่ตัวสั่น เขากลัวโทสะและสายตาแข็งกร้าวของโจเซฟ แต่ก็ยังพยักหน้าตอบ ยืนยันว่าสิ่งที่รัฐมนตรีเข้าใจถูกต้องแล้ว

“แยกกันหนีแล้วไปเจอเซอร์เฮนริชอีกครั้งก่อนถูกโจมตีรอบที่สอง?”

“ใช่ เราตั้งที่พักกับทหารจำนวนหนึ่ง แต่ก็ถูกโจมตีอีกครั้งกลางดึก ข้ากับเซอร์ราเชลหนีออกมาได้ จากนั้นเราก็แยกกัน เขาให้ทหารพาข้ากลับมา โอ๊ยท่าน!!” ครั้งที่สองที่ฝ่ามือของรัฐมนตรีเฒ่าตบลงบนซีกแก้มข้างเดิม กรอสเซ่มองโจเซฟอย่างไม่เข้าใจ “ท่านตบข้าอีกทำไม”

“ตบล้างโง่ให้เจ้าไง” กรอสเซ่มองตอบงง ๆ “ยังไม่เข้าใจอีกหรือ ไปได้แล้วหมดธุระของเจ้าแล้ว”

“แต่.. แล้วข้อตกลงของเราล่ะ”

“เจ้าทำงานไม่สำเร็จยังจะกล้าทวงข้อตกลงกับข้าหรือ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันออกไปได้แล้ว”

“แต่..แต่ข้าทำตามที่ท่านบอกทุกอย่างแล้วนะ”

“แต่มันยังไม่ตาย!” กรอสเซ่กัดฟันกรอดเพราะทำอะไรได้ เขาเป็นเพียงกวีที่ถูกอุปโลกน์แต่งตั้งขึ้น เพราะจูเลียนแค่อยากเอาใจ และให้คนอื่นเกรงใจบ้างเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่ามันใช้ไม่ได้กับโจเซฟ ที่เป็นถึงรัฐมนตรีมีอำนาจในมือ กรอสเซ่จึงต้องยอมถอย

“พี่เชื่อว่าอัศวินพวกนั้นมันจะยอมตายไปพร้อมนายของมันหรือไง” โจเซฟได้ยินคำถามที่ถามขึ้นมาเสียงเรียบไม่ดังมากนัก แต่เขายังนั่งนิ่งสายตาจับอยู่กับเชิงเทียนหรูหราที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะ โทมัสถามพลางเดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามพี่ชาย

“เท่าที่ข้าเห็น มันจะเป็นอย่างนั้น สำหรับอัศวินทั้งสี่คนของจูเลียน” ฟังจากที่กรอสเซ่เล่า โจเซฟเชื่อได้ว่าจูเลียนยังมีชีวิตอยู่ เพราะหากจูเลียนหนีออกมาจากวงล้อมของศัตรูไม่ได้ อัศวินพวกนั้นก็จะไม่ทิ้งเจ้านาย แล้วหนีออกมาเช่นกัน แต่จะสู้จนถึงที่สุด แม้เจ้านายจะตายไปแล้ว ยังต้องสู้จนกว่าจะจัดการกับศัตรูได้ทั้งหมด เพื่อเป็นการแก้แค้นให้เจ้านาย และลงโทษด้วยชีวิตอย่างสาสม หรือสู้จนตัวตายตามเจ้านายเพื่อเกียรติยศ!

“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็รู้สิว่าอัศวินอีกสองคนหายไปไหน”

“หึ แล้วทำไมข้าจะไม่รู้ล่ะโทมัส คิดว่าพี่เจ้าโง่จนถูกตบตาง่าย ๆ หรือไง”

“อภัยข้าด้วยพี่ชายที่เคารพ แต่ข้าไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ข้ารู้ว่าท่านต้องจับตาดูพวกมันทุกคนอยู่แล้ว” โจเซฟยิ้มร้ายกับความคิดของตัวเอง คิดว่าตอนนี้เขาเหนือกว่าศัตรูมาก เพราะนิโคลก็มีท่าทางโอนอ่อนมาทางเขาไม่น้อย แม้โจเซฟจะถูกกดดันให้ตามหาจูเลียนและจับเป็นมาโดยไว แม้ตอนนี้จะยังไม่มีอะไรคืบหน้า แต่ถ้าหากเขาได้ลอร์ดนิโคลมาเข้าพวก ก็มองเห็นความเป็นไปได้ของความสำเร็จอยู่รำไรแล้ว

“ลูกสาวข้าล่ะ”

“นางได้รับเชิญให้ไปดื่มชายามบ่ายกับลอร์ดนิโคลัสท่านพี่”

“หึ ดีมาก”



*********************



หิมะกลางฤดูหนาวโปรยลงมาบาง ๆ และโปรยลงมาเรื่อย ๆ ราวกับกลัวว่าความหนาวเย็นจะไม่เพียงพอ พื้นดินจะไม่มีหิมะปกคลุมมากเท่าที่ควร วันเวลาของการเฝ้ารอผ่านไปแล้วสองวัน จุดนัดพบก็ยังไม่ได้ต้อนรับคนที่คิดว่าจะมาตามนัด แต่กลับได้รับข่าวที่ทำให้คนรอที่อารมณ์ดีอยู่เสมออย่างเลนนี่ เดือดแทบลุกเป็นไฟ

“สองวันแล้วนะเซอร์เลนนี่ ทำอะไรสักอย่างเถอะ”

“เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะลีโอ”

“ข้าอยากไปตามหาฝ่าบาท ไม่อยากรออยู่แบบนี้” ลีโอบอกแล้วก้มมองมือตัวเองที่วางอยู่บนตัก ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องจนถึงวันนี้ ไม่มีวันไหนที่เด็กน้อยของเหล่าอัศวินจะไม่กังวล แม้จะกินได้นอนหลับอยู่เช่นเดิม เพราะรู้ว่านายเหนือหัวปลอดภัยอยู่กับยอดฝีมือที่ตัวเองชื่นชม แต่ในความคิดของลีโอที่ถูกกันออกไม่ให้รู้ตื้นลึกหนาบางไปมากกว่านี้ การได้กลับไปอยู่ในวังหลวงที่คุ้นเคยน่าจะดีกว่า

“แล้วนั่นอะไรหรือ ท่านถืออะไรอยู่” เลนนี่มองสิ่งที่อยู่ในมือตัวเองแล้วกำแน่น จนเดรทิชเดินเข้ามาหาและแย่งไปดู เขาบอกลีโอเบา ๆ ว่าให้เตรียมตัวเดินทางแล้วเดินไปเก็บของ

“ฮานส์ส่งข่าวมาแล้วหรือ” เลนนี่เพียงพยักหน้าตอบคำถามราเชล เพราะโมโหให้ฮานส์จนไม่อยากอ้าปากพูดกับใคร คนที่ปกติอารมณ์ดีขี้เล่นอยู่เป็นนิตย์ หากโกรธหรือโมโหขึ้นมามันไม่ค่อยธรรมดาเท่าไหร่ เลนนี่จึงไม่ค่อยให้ใครได้เห็นอีกด้านของตัวเอง ดีไม่ดีอาจทำให้เด็กน้อยของพวกเขากลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้เขาอีกก็เป็นได้ เลนนี่เลือกจะเงียบ เพื่อนทั้งสามรู้ดีว่าเขากำลังโกรธ

เช้าตรู่ของวันต่อมา พอฟ้าสางเริ่มมองเห็น ทั้งห้าก็พากันออกเดินทางฝ่าความหนาวเย็นกลับเมืองหลวง ลีโอหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยกับคนอื่น ๆ ไปตลอดทาง ม้าสี่ตัวกับคนห้าคน ลีโอยังขี่ตัวเดียวกันกับเฮนริชเหมือนเดิม เพียงแต่วันนี้เด็กน้อยนั่งกอดเอวอัศวินหนุ่มอยู่ข้างหลัง บาดแผลของเฮนริชเริ่มดีขึ้นเพราะได้รับการดูแลอย่างดี แม้จะยังไม่หายสนิทแต่ร่างกายก็กลับมาแข็งแกร่งขึ้นมาก



ด้วยระยะทางที่ไกล เพราะหนีออกจากเส้นทางเดิมไปมาก การเดินทางให้ถึงเมืองหลวงภายในวันเดียวจึงเป็นไปไม่ได้ ค่ำวันนั้นทั้งห้าแวะพักแรมที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้ที่พักเป็นบ้านของสองผัวเมียคู่หนึ่งที่แบ่งห้องนอน และอาหารให้ทั้งคนและม้า ลีโอดีใจที่ได้อาบน้ำอุ่น ๆ หลังจากไม่ได้ทำมากกว่าล้างหน้ามาหลายวัน ได้อาหารและได้ที่นอนนุ่ม ๆ อบอุ่นก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาก ความเพลียทำให้เด็กน้อยเลยหลับไปตั้งแต่หัววัน แต่เหล่าอัศวินยังมีงานลับ ๆ ต้องทำ

“ได้เรื่องไหม” เลนนี่ถามขึ้นทันทีที่ราเชลเข้ามาในบ้าน ดึกปานนี้เจ้าของบ้านหลับไปแล้วรวมทั้งลีโอด้วย

“นิโคลควบคุมทุกอย่างได้แล้ว”

เดรทิชถาม “แล้วจูเลียนล่ะ”

“น่าจะถึงเมืองหลวงพรุ่งนี้ แต่ท่านหญิง..”

“อะไรทาร์เทียน่าทำไม” เสียงของเฮนริชมีแววกังวล กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับทาร์เทียน่า เพื่อนอัศวินทั้งสามหันมามองคนเขาคนเดียว

“ใจเย็นเฮนริช ข่าวว่าท่านหญิงหนีออกมาจากปราสาทตั้งแต่วันแรกที่ได้ข่าวจูเลียนถูกโจมตี”

“แล้ว..”

“ตอนนี้ยังไม่มีใครได้ข่าวของนางเลย”

“แม้แต่นิโคลหรือ” เฮนริชถามเสียงลอดไรฟัน เขากำลังขบกรามแน่น เพื่อระงับอะไรบางอย่างในความรู้สึก ทั้งเป็นห่วง ทั้งรู้สึกผิดที่ไม่อาจจะอยู่ดูแลนางได้ในเวลาที่นางต้องการ

“ข้าว่านางเอาตัวรอดได้” ราเชลบอก

“พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ถ้าออกเดินทางแต่เช้าเราน่าจะถึงก่อนตะวันตรงหัว” เดรทิชบอก

“พวกเจ้าไปพักก่อน เดี๋ยวข้าดูเวรยามให้” ราเชลกับเดรทิชมองเฮนริชนิ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองตบไหล่เพื่อนคนละที แล้วเดินไปพักผ่อนเงียบ ๆ

เลนนี่หันมาหาเฮนริช “เจ้าจะดูเวรยาม หรือเพราะคิดว่าคืนนี้ตัวเองคงนอนไม่หลับแน่ ๆ เลยจะไม่นอน”

“เจ้าจะพูดอะไร”

“ข้าว่านางเอาตัวรอดได้น่า อย่างน้อยนางก็เรียนการต่อสู้จากพวกเราไปเยอะ” เลนนี่พูดเหมือนจะปลอบแต่แววตากลับไม่ใช่เลย เฮนริชรู้ว่าเพื่อนก็เป็นห่วงนางไม่น้อยไปกว่ากัน

“นางก็แค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง” ถึงจะเชื่อในฝีมือของทาร์เทียน่า แต่เฮนริชก็อดแย้งออกมาอย่างเป็นห่วงไม่ได้

“หึ แต่นางกล้าหาญนะ”

“ใช่นางกล้าหาญมาก”

“ข้าเชื่อว่านางจะปลอดภัย”

“ข้าก็หวังเช่นนั้น”

“เราทุกคนก็เป็นห่วงนางกันทั้งนั้น เจ้าอย่าอยู่ให้ดึกนึกเดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงขี่ม้า จะได้นั่งให้ลีโอพากลับเมืองหลวงข้าจะขำให้” เฮนริชเพียงยกมุมปากขึ้นเหมือนจะยิ้มพลางส่ายหน้าน้อย ๆ ภาพอัศวินหนุ่มผู้เคร่งขรึมใบหน้าเรียบนิ่ง ดูดิบเถื่อนขึ้นเมื่อใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเครา เพราะขาดการดูแลหลายวัน ผิดกับเจ้าของใบหน้าหล่อขี้เล่นอย่างเลนนี่ ที่ยังดูสะอาดเกลี้ยงเกลาอยู่เหมือนเดิม

ต่อจ้ะ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

เพราะออกเดินทางแต่เช้ามืด เร่งฝีเท้าม้าควบมาอย่างเต็มที่ สายของวันทั้งหมดก็พากันเดินทางเข้าถึงเขตเมืองหลวง แต่แทนที่จะใช้เส้นทางตรงตัดเข้ากลางเมือง ตรงไปยังเขตพระราชวังที่ประทับ เลนนี่กลับให้ทุกคนอ้อมไปอีกทาง ซึ่งไปโผล่ด้านหลังท้ายวัง ส่วนตัวเขาขี่ม้าอ้อมไปสังเกตการณ์ด้านหน้าแล้วจึงค่อยตามไปสมทบทีหลัง

“ทำไมเรามาทางนี้ล่ะ”

“ไปถึงเดี๋ยวเจ้าก็รู้เองนั่นแหละ”

“ข้าก็ไม่ได้ถามท่านนี่ ข้าแค่เปรยกับตัวเอง ทำไมต้องดุด้วย” ได้ยินอย่างนั้นเฮนริชเลยหันกลับไปมองลีโอตาดุกว่าเดิม แต่เด็กน้อยกำลังก้มมองต่ำเลยไม่เห็น หรือจะว่าให้ถูกคือลีโอไม่อยากสนใจคนผีเข้าผีออกเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแล้ว ไม่สนใจไม่พออ้อมแขนที่เคยกอดเอวเขาแน่น บัดนี้กลับคลายออก เฮนริชเงียบไม่พูดอะไรอีก เหมือนคนไม่มีอารมณ์จะพูดกับใคร เขามีเรื่องให้คิดและกังวลตั้งแต่เมื่อคืน เร่งม้าให้ทันราเชลกับเดรทิชที่ขี่ม้านำอยู่ข้างหน้า จนมาถึงจุดที่เลนนี่นัดพบกับฮานส์

“หยุดทำไมอีกล่ะ”

“ถึงแล้ว” วันนี้ทั้งวันที่เฮนริชเสียงดุตลอดเวลาพูดคุย เลยทำให้ลีโอไม่ชอบใจ แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าตั้งแต่เช้ามา เฮนริชหน้าตาเคร่งเครียดและเงียบขรึมผิดปกติ พอคุยกันลีโอที่มัวแต่น้อยใจเลยคิดไปว่าเฮนริชเอาแต่ดุตัวเอง แต่พอได้ยินว่าถึงแล้วเด็กน้อยเงยหน้าขึ้น จึงได้รู้ว่าตรงนี้เป็นท้ายวัง ที่จูเลียนเคยใช้เป็นทางออกตอนแอบพากันหนีไปเที่ยว

“ทำไมต้องมาทางนี้ด้วย” ลีโอพึมพำถามแต่ไม่ต้องการคำตอบ เงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ จนถึงประตูเล็ก ที่เปิดเข้าไปจะเป็นท้ายสวน มีทหารรักษาการณ์อยู่ไม่กี่คน เห็นคนที่ยืนอยู่ข้างประตูลีโอต้องตาโตอ้าปากค้างนิ่งอยู่เป็นครู่ ถึงสามารถเรียกสติกลับมาได้ พอสติกลับมาคำแรกที่หลุดออกจากปากอย่างตื่นเต้นก็คือ

“ฝ่าบาท! “และยังไม่ทันได้มีใครรู้ตัว ลีโอกระโดดลงจากหลังม้าวิ่งเข้าไปหาจูเลียนที่ยืนรออยู่ ท่าทางเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง เด็กน้อยยืนหายใจหอบจ้องมองเจ้าของร่างเพรียวระหงที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่วางตา

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทของลีโอจริง ๆ หรือ”

“แล้วเจ้าคิดว่าใครล่ะลีโอ” ความรู้สึกกังวลหนักอึ้ง ความห่วงหาอาวรณ์ ความกลัว ทุกความรู้สึกที่ลีโอแบกรับมาหลายวันตั้งแต่เกิดเรื่องกลายเป็นหยดน้ำใส ๆ ที่ไหลลงอาบสองข้างแก้ม ลีโอดีใจจนปากสั่น มือสั่น แม้ไม่อยากเชื่อสายตา แต่นี่คือสิ่งที่อยากเห็นไม่ใช่หรือ นี่คือสิ่งที่ลีโออ้อนวอนร้องขอทุกค่ำคืน ขอให้จูเลียนปลอดภัย และขอให้ได้กลับมาเจอกัน ขอให้จูเลียนกลับมาให้ลีโอได้รับใช้อีก

“เจ้าร้องไห้ทำไมลีโอ”

“ลีโอดีใจที่ได้เจอฝ่าบาท” เด็กน้อยสะอึกสะอื้นจนน่าสงสาร

“ข้าจะทำให้เจ้าดีใจยิ่งกว่านี้อีกคอยดูนะ มานี่สิ” จูเลียนรวบร่างบอบบางของลีโอไว้ในอ้อมกอดอย่างไม่ถือตัว และมันทำให้คนสนิทที่เทิดทูนจูเลียนเหนือชีวิตปลาบปลื้ม ลีโอเก็บความปีติไม่อยู่ ตอนแรกที่ร้องไห้เพราะดีใจที่เห็นจูเลียนปลอดภัย แม้จะรู้ว่ายังไงจูเลียนต้องปลอดภัยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เด็กน้อยร้องไห้เพราะความรัก และความเมตตาที่จูเลียนมอบให้ เพียงเท่านี้ แค่ความปรานีกับอ้อมกอดรับขวัญ ลีโอก็ปลาบปลื้มจนแทบระงับความดีใจไม่อยู่ ทั้งที่ก็ได้รับมาตลอด แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ลีโอหัวใจพองโตจนมีความสุขมากขนาดนี้



ขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในความยินดี ที่ได้กลับมาเจอกันอย่างปลอดภัยอยู่นั้น เลนนี่ที่ขี่ม้าไปสังเกตการณ์หน้าวังก็ขี่ม้าอ้อมมาสมทบพอดี และทันทีที่เห็นเจ้าของร่างกายสูงใหญ่กำยำในชุดสีดำสนิท ยืนอยู่มุมหนึ่งไม่ไกลจากจูเลียน เลนนี่กระโดดลงจากหลังม้าเดินเร็ว ๆ เข้ามากระชากคอเสื้อฮานส์อย่างโกรธจัด

“ฮานส์!! “เลนนี่ตะคอกเรียกฮานส์เสียงดังจนลีโอที่กอดจูเลียนอยู่สะดุ้ง ใบหน้าหล่อไม่เหลือเค้าของความขี้เล่น เพราะถูกทดแทนด้วยโทสะจนแดงก่ำ แต่คนที่ถูกกระชากคอเสื้อกลับยังยิ้มกริ่มอารมณ์ดี ฮานส์ไม่มีแม้แต่แววสะทกสะท้านกับโทสะของเพื่อน การได้แหย่ให้เลนนี่หลุดจากความเป็นสุภาพบุรุษเจ้าเสน่ห์ และคนขี้เล่นอารมณ์ดีได้ ถือเป็นภารกิจหนึ่งที่ฮานส์ไม่ยอมพลาดจะทำทุกครั้งถ้าเขามีโอกาส และครั้งนี้ก็เหนือความคาดหมายจริง ๆ ฮานส์ทำสำเร็จ ฮานส์ทำให้เลนนี่เดือดจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ เขายิ้มพอใจที่ได้เห็นโทสะของเพื่อนรัก

“นี่คือวิธีที่เจ้าทักทายเพื่อนรักหรือไงเลนนี่” ฮานส์อมยิ้มหรี่ตามองเพื่อนพลางส่ายหน้าน้อย ๆ เหมือนบอกว่าเลนนี่ไม่ได้เรื่อง ในเรื่องของการรักษามารยาท แต่ยังไม่ทันที่ฮานส์จะได้ยั่วโทสะเลนนี่มากไปกว่านี้ พลันกริชเล่มเล็กที่ปกติซ่อนไว้อย่างดี ก็จ่ออยู่ที่คอของฮานส์อย่าหมิ่นเหม่ รวดเร็วแทบมองตามไม่ทัน

“ข้าอยากทักทายเจ้าด้วยกริชของข้ามากกว่า”

“เลนนี่ใจเย็นหน่อย” เดรทิชปรามเบา ๆ วางมือข้างหนึ่งที่ไหล่เลนนี่คอยระวัง เผื่อเลนนี่จะเผลอแทงคอฮานส์จริง ๆ ส่วนเฮนริชกับราเชลยืนมองเงียบ ๆ จูเลียนกับลีโอตกใจนึกหวาดเสียวกับคมมีดเล่มเล็กที่จ่อคอ

“ข้ามีเรื่องต้องคุยกับฮานส์ พวกเจ้าพาฝ่าบาทเข้าไปก่อน ลอร์ดนิโคลรออยู่” สายตาของเลนนี่ไม่ได้ละไปจากฮานส์เลย ขณะที่พูดกับคนอื่น ๆ

“ข้าได้รับเกียรติให้เข้าไปด้วยหรือเปล่า” ฮานส์ถามยิ้ม ๆ บุ้ยใบ้ใบหน้าเข้าไปทางพระราชวังแกล้งยั่วความหงุดหงิดของเลนนี่

“หุบปากเจ้าซะฮานส์”

“อึก”

“เลนนี่ อย่า!! “



************************

ใครจะห้ามโทสะของเซอร์เลนนี่ได้

ใครจะรู้ว่าเฮนริชห่วงท่านหญิงมากกว่าใคร

มีใครรู้มั้ยว่าลีโอก็น้อยใจเป็น #ลีโอผู้เจียมตัว
เจอกันตอนหน้าจ้ะ

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 21 แผนที่ผิดพลาด



สวนกว้างที่ถูกจัดตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงามตระการตา แบ่งแต่ละส่วนออกสำหรับปลูกพืชพรรณไม้ที่ทนทานต่อสภาพอากาศและความหนาวเย็นหลายชนิด มีทางเดินเล็ก ๆ ภายในสวนแยกออกไปตามส่วนต่าง ๆ ไว้เดินทอดน่องชื่นชมบรรยากาศ ผ่านไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามลงตัว เข้ากันกับประติมากรรมหินอ่อนรูปทรงต่าง ๆ ที่ตั้งประดับกระจายอยู่ทั่วสวน บางช่วงเป็นไม้ประดับที่ถูกตัดแต่งกิ่งหลายรูปทรง ขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง บางช่วงเป็นไม้ดอกหลายสายพันธุ์ออกดอกชูช่อสวยงาม อย่างทิวลิปปลูกเป็นแถวเรียงขนาบทางเดิน รวมทั้งคอสมอสส์ เดซี่ ฮอนลี่ฮ็อค แอสเตอร์ คาร์เนชัน ดาห์เลีย และอีกหลายชนิดที่กำลังออกดอกอวดสีสันแข่งกันหลากสีจนละลานตา ที่ขาดไม่ได้คือลิลลี่สีขาวส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ ดอกไม้ที่ยุวกษัตริย์ทรงชื่นชอบเป็นพิเศษ จึงโปรดให้ปลูกไว้หลายแปลง รวมทั้งแถวข้างทางเดินปูแผ่นหินด้วย



ทางเดินแยกออกไปอีกทางนำไปสู่สนามหญ้ากว้าง เจ้าของปราสาทชอบใช้เป็นสถานที่นั่งจิบชายามบ่ายให้แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ที่ทอแสงส่องผ่านม่านหมอกและไอหนาวลงมาอาบร่าง คณะของกษัตริย์ที่แอบคืนสู่เมืองหลวงเดินผ่านสวนสวยไปเงียบ ๆ เพราะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ จูเลียนต้องไปให้ถึงปราสาทของตัวเองให้เร็วที่สุด ทางเดินสำหรับชมสวนคดเคี้ยว เพื่อในยามปกติสามารถเดินชมนกชมไม้ได้อย่างเพลิดเพลิน แต่เวลานี้ ความสวยงามที่ได้รับการดูแลอย่างดีรอให้เชยชม ถูกมองข้ามและเดินผ่านไม่อยู่ในสายตา ราวกับความสวยงามนั้นไม่มีค่าควรแก่การเสียเวลาหยุดชื่นชม



ทางเดินเล็กภายในสวนปูด้วยแผ่นหินสกัดเรียบ จูเลียนเดินนำ ตามด้วยเฮนริชและราเชล เดรทิชเดินตีคู่มาพร้อมลีโอ ไร้ทหารอื่นติดตาม เพราะยังไม่มีใครรู้ถึงการมาของจูเลียน สามอัศวินที่ยังไม่วางใจในสถานการณ์มีสีหน้าเคร่งเครียด จูเลียนเดินเงียบ ส่วนลีโอพอไม่ได้ยินใครเอ่ยอะไรออกมา รู้สึกถึงบรรยากาศที่เคร่งเครียดเลยพลอยเงียบไปด้วย ทุกคนรีบจ้ำเดินราวกับว่าธุระข้างหน้ารอไม่ได้ ต้องรีบไปสะสาง แต่พอพ้นหัวมุมเล็กที่สองข้างทางเป็นพุ่มไม้สูงเหนือหัว คณะคืนวังพลันต้องหยุดชะงัก เพราะหลุดเข้ามายืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของคมดาบ ที่กระจายล้อมทั้งหมดไว้ ถัดไปตามจุดต่าง ๆ มีพลธนูประจำการอีกชั้น อาวุธในมือพร้อมลูกดอกขึ้นสายเตรียมยิง เล็งมายังร่างของคนทั้งห้า ขยับเพียงนิดเดียวมีสิทธิ์โดนยิงร่างพรุนได้



“ถอยไปแล้วข้าจะไม่เอาผิดพวกเจ้า” จูเลียนเอ่ยขึ้นคำแรกด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ แต่คงไม่ทรงพลังมากพอที่ทหารแปรพักตร์พวกนี้จะกลัวเกรง

“ฝ่าบาท ยอมไปกับพวกข้าดี ๆ เถอะอย่าขัดขืน พวกข้าเพียงทำตามคำสั่ง” หัวหน้านายกองทหารกลุ่มนี้เอ่ยขึ้น ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าตัวเองเหนือกว่าทำให้จูเลียนยกมุมปากขึ้นเหมือนจะยิ้ม

“นี่หมายความว่ายังไง พวกเจ้าจะทำอะไร ใครสั่ง”

“ลอร์ดนิโคลัสสั่งให้พวกเรามาพาตัวฝ่าบาทไปพบ” จูเลียนหันไปมองเฮนริชที่ขยับมายืนประกบอยู่ข้าง ๆ สีหน้าของกษัตริย์หนุ่มน้อยบอกว่างงเต็มที่ เพราะยังไงก็ต้องไปหาอยู่แล้ว นิโคลไม่จำเป็นต้องให้ทหารมาคุมตัวไป นอกจากว่าทหารเหล่านี้แอบอ้างว่าเป็นคำสั่งของนิโคล!

จูเลียนสบตาอัศวินประจำตัวพยักหน้าให้บางเบา จนแทบไม่เห็นหากไม่สังเกตดี ๆ

“เป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าท่านพี่ของข้าใจร้อนอยากเจอหน้าน้องชายสุดที่รักเร็ว ๆ ข้าก็จะรีบไป นิโคลรอข้าอยู่ที่ไหนหรือ”

“สภาเล็กฝ่าบาท เชิญเสด็จ”

“ได้สิ”

“เดี๋ยวฝ่าบาท”

“มีอะไร” จูเลียนมองทหารต่ำศักดิ์กว่าด้วยหางตา ราวกับจะบอกกลาย ๆ ถึงสถานะที่ทหารชั้นต่ำไม่มีแม้แต่อำนาจจะมาสั่งให้จูเลียนไปไหนได้ไม่ได้ หรือกระทั่งสั่งให้หยุด

“อัศวินทิ้งสาม ไม่ได้รับอนุญาต”

“อัศวินประจำตัวกษัตริย์ก็ต้องอยู่ข้างกายข้าซึ่งเป็นกษัตริย์!” จูเลียนบอกอย่างไว้ตัวเพียงเท่านั้นก็เดินนำไป ตามด้วยเฮนริช ราเชล เดรทิชและลีโอที่เดินตัวลีบตามไปเงียบ ๆ คุมเข้มด้วยเหล่าทหารดูแตกจากการมาพาไปเป็นคุมตัวไปไม่มีผิด



จูเลียนเดินนำไปตามทางที่จะพาไปยังสภาเล็ก ซึ่งต้องเดินผ่านหอกลางอันเป็นรัฐสภา แต่เลี่ยงเดินออกมาอีกทาง เหลือบมองเฮนริชที่ทำสัญญาณบอกให้จูเลียนเดินไปเงียบ ๆ แต่อัศวินหนุ่มทั้งสามต่างกำลังคิดหาทางหนีทีไล่และระวังตัว เพราะมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่นอน จนเดินเข้ามาในหอกลางเพื่อจะเลี่ยงอ้อมออกไปยังห้องประชุมสภาเล็ก คนที่ได้รับการแอบอ้างคำสั่ง เดินออกจากมุมทางเดินมาประจันหน้ากันเข้าพอดี



เหล่าทหารที่เดินคุมคณะของจูเลียนมองอย่างแปลกใจ แต่จูเลียนยิ้มกว้างปรี่เข้าไปหาพี่ชาย

“จูเลียน เจ้ามาแล้วหรือ” นิโคลทักทายน้องทันที

“พี่ออกมารับข้าด้วยตัวเองเชียวหรือนิโคล ดีใจจังเลย”

“ใช่ไปเถอะ ขอบใจพวกเจ้า”

“ลอร์ดนิโคล!” นิโคลหยุด ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาหันไปทางหัวหน้านายกองทหารที่เรียกไว้ จูเลียนหันมายิ้มกว้างและไม่เปิดโอกาสให้ทหารได้พูดอะไรต่อ

“ขอบคุณ ที่พาข้ามาหาพี่ชาย ตอนนี้เราได้เจอกันแล้วคงหมดหน้าที่เจ้าล่ะ”

“แต่..” จูเลียนบอกเสียงเรียบอย่างถือตัวแต่สีหน้าสะใจ เกี่ยวแขนพี่ชายเดินย้อนกลับไปทางเดิมที่นิโคลเพิ่งเดินมา ตามด้วยอัศวินทั้งสามกับลีโอที่ถูกกันให้มาเดินตรงกลาง ทั้งหมดเดินผ่านหน้าเหล่าทหารที่ยืนมองอึ้ง เพราะหัวหน้าไม่ได้มีคำสั่งอะไร จึงพากันเงียบเหมือนเสียงกับคำพูดถูกกระชากออกจากตัว กว่าทหารพวกนั้นจะรู้ตัวคณะของจูเลียนก็เดินลับหายไปจากสายตาแล้ว

“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหมจูเลียน” นิโคลจับตัวจูเลียนให้หมุนไปรอบตัว เพื่อตรวจหาร่องรอยผิดปกติไปด้วย ตอนนี้สองพี่น้องกับคนอื่น ๆ ที่เดินตามมา อยู่ในปราสาทของจูเลียนเรียบร้อยแล้ว รอบปราสาทมีทหารของนิโคลคอยเฝ้าระวัง และตรวจตราความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

“ข้าไม่เป็นไรแต่พี่รู้ได้ยังไงว่าข้าจะถูกพาไปทางนั้น”

“เราอยู่ในสถานการณ์ที่ไว้ใจใครไม่ได้”

“มีคนของเราจับตาดูพวกมันอยู่ใช่ไหม ตกลงพวกนั้นเป็นใครกันแน่”

“เจ้าคิดว่าใครล่ะที่มีอำนาจมากพอจะทำเรื่องอย่างนี้ได้” นิโคลจ้องตาจูเลียนเขม็ง จนจูเลียนรู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่สั่นไหวขึ้นมาทันที เมื่อได้มองตอบสายตาที่เปลี่ยนไปของพี่ชาย จากที่เคยรู้สึกว่าถูกมองอย่างรักใคร่เอ็นดูอยู่เสมอ จนอบอุ่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้พี่ ตอนนี้กลับเปลี่ยนไป สายตานิโคลทั้งดุและแข็งกร้าวคุกคามน่ากลัว แต่ถึงจะกลัวจูเลียนก็ไม่ได้หลบตา ขาก้าวถอยห่างออกมาจากพี่ชายอีกสองสามก้าว นิโคลแสยะยิ้มในแบบที่จูเลียนไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ทำไมพี่ชายถึงได้เปลี่ยนไป แต่ความเปลี่ยนแปลงของนิโคลทำให้จูเลียนกลัว!

“คิดให้ดีนะ อย่าลืมว่าตัวเองเพิ่งผ่านอะไรมา”

“พี่..” จูเลียนส่ายหน้าเหมือนไม่ยอมรับ ไม่อยากเชื่อ นิโคลก้าวช้า ๆ เข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มที่จูเลียนไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น มันเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวที่สุด และไม่เหมาะจะอยู่บนใบหน้าของพี่ชายผู้ใจดีคนนี้เลยสักนิด ไม่เคยเห็นนิโคลยิ้มแบบนี้มาก่อน จูเลียนรู้สึกไม่ดี หันไปมองอัศวินประจำตัว ทั้งสามยังยืนนิ่ง สีหน้าเรียบนิ่งของเหล่าอัศวิน จูเลียนเดาไม่ถูกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พอหันไปทางลีโอเด็กน้อยก็เอาแต่ยืนมองนิโคลอึ้ง ๆ ท่าทางลีโอก็ดูแปลกไปเหมือนคนกำลังกลัว

“ว่าไงจูเลียน” รอยยิ้มนิโคลดูเหี้ยมเกรียม จูเลียนรู้สึกได้ถึงขนอ่อนในร่างกายลุกซู่ขึ้นมาทันที เหมือนมีอำนาจอะไรบางอย่างสะกดให้มองนิ่ง ในหัวคิดตามคำพูดพี่ชาย ทบทวนทีละคำจนเริ่มเห็นตาม คนที่มีอำนาจมากพอจะทำเรื่องอย่างนี้ คนที่มีอำนาจพอจะสั่งทหารพวกนี้ให้แปรพักตร์ แล้วหันคมดาบเข้าหากษัตริย์ได้ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน

และคนที่มีอำนาจมากที่สุดคือ..

คนที่ยืนอยู่ต่อหน้าจูเลียนนี่เอง!

ยิ่งคิดดวงเนตรสีมรกตยิ่งเบิกโตขึ้นเรื่อย ๆ “นิโคล พี่! “

“พอเถอะน่านิโคล พี่ทำให้กษัตริย์น้อยของเรากลัวนะ”

“เทียน่าเจ้า..ไหนว่า” จูเลียนดีใจกับการปรากฏตัวของทาร์เทียน่า และใครบางคนที่ยืนเงียบ ๆ อยู่ข้างหลังก็เช่นกัน เขาถึงกับรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเสียงของนาง เฮนริชแอบถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอกจนลีโอหันไปมอง ดวงตาเด็กน้อยที่เคยเป็นประกายกลับหม่นแสงลงโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองเห็นสีหน้าโล่งใจของอัศวินหนุ่ม ลีโอรักและเทิดทูนเจ้าหญิงทาร์เทียน่า เมื่อรู้ว่านางหนีไปก็ห่วงใยไม่น้อยกว่าใคร แต่ความดีใจที่เห็นนางปลอดภัย มันแฝงไปด้วยความหม่นเศร้าที่ก่อตัวเงียบ ๆ ขึ้นในอก



เจ้าหญิงทาร์เทียน่าพาร่างอรชรที่สง่างามสมความสูงศักดิ์ เดินเชิดระหงออกมาจากมุมหนึ่งของห้อง หลังจากที่แอบฟังทุกคนคุยกันอยู่ตั้งแต่แรก



“ข้าได้ยินว่าเจ้าหนีออกจากปราสาท แต่ดูท่าทางเจ้าจะสบายดีเกินสภาพคนหลบหนีนะเทียน่า แล้วหมายความว่ายังไงเรื่องที่นิโคลพูด”

“หึ พี่เล่าเถอะข้าขี้เกียจพูด เซอร์เฮนริช เซอร์ราเชลได้ข่าวว่าท่านทั้งสองเจอเรื่องสนุกมาใช่ไหม” ทาร์เทียน่าบอกปัดเรื่องเครียดหันไปหาอัศวินทั้งสองที่ยืนถัดจากจูเลียนไป

“สนุกมากท่านหญิง ข้าสนุกจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเลย” ราเชลตอบติดตลกพร้อมรอยยิ้มอารมณ์ดีพลางส่ายหน้าน้อย ๆ ให้กับเรื่องสนุกที่ทาร์เทียน่าพูดถึง มันตื่นเต้นเพราะเดิมพันด้วยชีวิต แต่พอผ่านไปแล้วและรอดชีวิตมาได้ ก็กลายเป็นแค่เรื่องสนุกที่ตื่นเต้นท้าทาย นางเข้าใจเปรียบเทียบจริง ๆ เฮนริชเพียงยิ้มให้นางบาง ๆ และค้อมหัวลงให้นางเล็กน้อยไม่พูดอะไร

“มันต้องท้าทายมากแน่ ๆ ล่ะใช่ไหมเซอร์เฮนริช ท่านเงียบไปนะ”

“ท่านหญิงโปรดอภัย ข้าเพียงแต่กำลังดีใจที่ทุกคนปลอดภัย”

“ไม่รู้จะปลอดภัยจริง ๆ กันหรือยังนะสิ เป็นยังไงลีโอ สนุกใหญ่เลยสิเจ้าน่ะ”

“ลีโอกลัวแทบตายท่านหญิง แต่ไม่รู้จะเรียกสนุกได้หรือเปล่า เซอร์เฮนริชก็ได้รับบาดเจ็บด้วย” ท้ายเสียงของลีโอแผ่วลงด้วยว่ายังเป็นห่วงอัศวินบาดเจ็บที่ลีโอรับหน้าที่ดูแลมาหลายวัน ร่วมสัมผัสถึงความทรมานของพิษบาดแผลอย่าเป็นห่วง และได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของอัศวินหนุ่ม ที่เข้มแข็งและต่อสู้จนผ่านช่วงเวลาอ่อนแอมาได้ ทาร์เทียน่าหันไปทางเฮนริช เลิกคิ้วโก่งสวยของนางขึ้น เหมือนจะถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง



เฮนริชค้อมหัวลงเล็กน้อย ในใจมีแต่ความปีติที่นางให้ความใส่ใจในสุขภาพ “ข้าไม่เป็นไรท่านหญิง ตอนนี้บาดแผลดีขึ้นมากแล้ว”

“ดีแล้วที่ท่านไม่เป็นไร ว่าแต่ท่านล่ะเซอร์เดรทิชไปทันเรื่องสนุกกับเขาไหม”

เดรทิชยิ้มบาง ๆ ให้นางพลางส่ายหน้า “ข้าพลาดไปอย่างน่าเสียดายท่านหญิง”

“แล้วเซอร์เลนนี่ล่ะ” ดวงเนตรสวยสีเดียวกันกับจูเลียนมองเลยไปด้านหลังของเดรทิชหาคนที่นางกำลังถามถึง

“เดี๋ยวก็ตามมา ว่าแต่เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะเทียน่า” จูเลียนขัดขึ้นเสียก่อนที่ทาร์เทียน่าจะได้ถามสารทุกข์สุกดิบครบทุกคน เพราะยังคาใจเรื่องที่นางพูดค้างไว้

“เรื่องอะไร”

“ที่เจ้าพูดกับนิโคลตอนเดินมา” จูเลียนหันกลับไปมองนิโคล สีหน้าเหี้ยมเกรียมกับแววตาดุโหดน่ากลัวหายไปแล้ว เหลือเพียงใบหน้าหล่อละมุนเกลี้ยงเกลาที่ดูใจดีเสมอ แบบที่จูเลียนจำได้มาตลอด กษัตริย์หนุ่มน้อยมองพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ กำลังสงสัยว่านิโคลอยากบอกอะไรกันแน่ หรือจะเป็นอย่างที่จูเลียนคิด พอนึกได้ว่าคิดอะไรตอนนิโคลถาม จูเลียนให้นึกโกรธตัวเองที่คิดกับพี่ชายแบบนั้น ถึงนิโคลจะกุมอำนาจมากมาย และมีกองทัพมากกว่าครึ่งอยู่ในมือ จูเลียนก็ไม่เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นคำสั่งของพี่ชายจริง!

“ให้นิโคลบอกเจ้าเองสิข้าบอกแล้วไงว่าขี้เกียจพูดอีก ตอนนี้ข้ากำลังซ่อนตัวอยู่ พวกเจ้าห้ามพูดไปนะว่าเจอข้าอยู่ที่นี่วันนี้ ข้าซ่อนตัวดีแล้ว”

“ทำไมล่ะ”

“ข้ายังอยากให้คนคิดว่าข้าหนีออกจากปราสาทไปแล้ว”

“เพื่อให้เจ้าได้แอบฟังคนอื่นคุยกันง่ายขึ้นใช่ไหม” จูเลียนรู้ทันทาร์เทียน่าว่านางคงใช้ทางลับที่รู้กันอยู่ไม่กี่คนในการหลบซ่อนตัว และทำราวกับว่านางไม่ได้กำลังอยู่ในวัง คอยลัดเลาะสอดส่องไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อสืบข่าว ความซุกซนของนางพาไปเจอเรื่องราวมากมาย จนเกือบจะเรียกได้ว่าสอดรู้สอดเห็น แต่นางก็ฟังเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์เท่านั้น

“นิโคล พี่จะไม่บอกอะไรข้าหน่อยหรือไง”

“เจ้าคิดว่ายังไงจูเลียน เอาความจริงที่เจ้าคิดเมื่อครู่นะ เจ้าคิดอะไรอยู่” จูเลียนชะงัก ความคิดชั่ววูบที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กลับมาอีกครั้ง กษัตริย์หนุ่มน้อยมองหน้าพี่ชายนิ่ง ในความอบอุ่นอ่อนโยนใจดีของนิโคล จูเลียนรู้ว่ามันแฝงไปด้วยความเข้มแข็ง แข็งแกร่ง ดุดันและเด็ดขาดจริงจัง พี่ชายใจดีอย่างนิโคลยามดีก็ดีที่สุด แต่ก็เด็ดขาดที่สุด เป็นผู้นำ เป็นคนที่จูเลียนเกรงใจและเชื่อฟังที่สุด แต่ก็ดื้อด้วยที่สุดเหมือนกัน

“นิโคลข้าขอโทษ” จูเลียนก้มหน้าหลบตาพี่ชายที่มองนิ่งรอคำสารภาพ

“เจ้าขอโทษพี่เรื่องอะไร”

“ข้า เผลอคิดไม่ดีกับพี่นะสิ คิดว่าพี่อาจจะ..”

“อาจจะอะไร” นิโคลจี้ถามอยากให้จูเลียนพูดสิ่งที่คิดออกมาตรง ๆ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจูเลียนเผลอคิดเรื่องอะไร มันเดาได้ไม่อยาก เพราะเขาตั้งใจให้จูเลียนคิดไปทางนั้นอยู่แล้ว

“อาจจะเป็นคนที่มีอำนาจคนนั้น” ดวงเนตรสวยช้อนขึ้นมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ที่จ้องตอบกลับมานิ่ง ๆ แววตาจูเลียนสั่นไหว ด้วยถูกความรู้สึกที่สับสนของตัวเองกดดัน

“ที่สามารถสั่งการทหารไปดักเอาตัวเจ้ามา” จูเลียนอมลมพยักหน้าน้อย ๆ ยอมรับ “แล้วไงต่อ”

“แต่ข้าไม่เชื่อว่านั่นเป็นคำสั่งของพี่”

“แล้วไงอีก”

“เพราะพี่คงไม่สั่งให้ทหารชี้ดาบเล็งธนูมาที่ข้าแน่ ข้าไม่มีวันเชื่อว่านิโคลจะหันคมดาบมาทางจูเลียน”

“เจ้าเชื่อใจข้าได้หรือไง” แววตาแบบนั้นกลับมาอีกแล้ว แววตาที่จูเลียนเห็นและรู้สึกสะท้านในอก มันหวิวแปลก ๆ จนไม่อยากเห็น จูเลียนอยากเห็นแค่แววตาอ่อนโยน จูเลียนเคยชินแค่สายตาอบอุ่นที่จ้องมอง ราวกับได้รับความรักจากพี่ชายอยู่ตลอดเวลามากกว่า

“เราเป็นพี่น้องกันนะนิโคล ถึงจะมีสายเลือดเพียงครึ่งเดียวในกายเพราะคนละแม่ แต่เราก็คือสายเลือดเดียวกัน ข้ารักพี่ และข้าก็ไม่เชื่อว่าพี่จะไม่รักข้าด้วย”

ต่อจ้าาาา

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“ความรักในสายเลือดพี่น้องกับอำนาจมันไปด้วยกันไม่ได้หรอกนะจูเลียน ถ้าข้าต้องการอำนาจทั้งหมดของเจ้าซะอย่าง ความรักในสายเลือดมันจะไม่มีความหมายเลย” จูเลียนมองตานิโคลนิ่ง แต่ในความนิ่งนั้นหนุ่มน้อยกำลังค้นหาอะไรบางอย่างในส่วนลึกที่ลึกที่สุด จากคำพูดของพี่ชาย นิโคลยังมองตอบนิ่งไม่พูด ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา จนจูเลียนส่ายหน้าน้อย ๆ นึกขำสิ่งที่พี่ชายบอกอย่างไม่มีเหตุผล และมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นไม่รู้ตัว เป็นจูเลียนมาตลอดเสนอสิ่งที่ตัวเองมีและเป็นอยู่ทุกวันนี้ให้พี่ชาย แม้จะทำงานแทนจูเลียนทุกอย่าง แต่นิโคลก็ปฏิเสธตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้มาตลอดเช่นกัน และยอมอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าน้องอย่างยินดี ราวกับตำแหน่งกษัตริย์ไม่มีความหมายอะไรเลย กลิ่นของอำนาจอันหอมหวานไม่มีอิทธิพลกับนิโคลด้วยซ้ำ

“สำหรับคนอื่นข้าไม่รู้นิโคล แต่สำหรับเราระหว่างพี่กับข้าและทาร์เทียน่า เราไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้น พี่แค่ต้องการสอนอะไรบางอย่างให้ข้าใช่ไหม” นิโคลยิ้มอ่อนให้น้อง มันเป็นยิ้มที่สดใสอบอุ่นราวแสงแดดยามเช้าที่ส่องลงมาไล่ความหนาวเย็นของเหมันตฤดู รอยยิ้มที่จูเลียนชอบเห็นเพราะทำให้อุ่นใจได้เสมอ

“เจ้าก็รู้แล้วนี่จูเลียน ยังจะมาถามอีกทำไม” ทาร์เทียน่าที่เงียบไปนานแทรกขึ้น จูเลียนหันไปมองนาง รู้สึกว่ามีหลายอย่างที่ทาร์เทียน่ารู้แต่จูเลียนกลับเหมือนไม่รู้อะไรสักอย่าง

“เราต้องเชื่อใจกัน พอ ๆ กับต้องรู้ให้เท่าทันกัน วันนี้เจ้าทำได้ดีจูเลียน เพราะอย่างที่เจ้าบอกว่าพี่ไม่มีวันให้ใครหันอาวุธไปหาเจ้า แต่ถึงอย่างนั้นต่อจากนี้เจ้าก็ต้องระวังตัวเองเสมอ ศัตรูอาจจะอยู่บนเตียงข้างกายเจ้าก็ได้!”

“พี่จะบอกว่าข้าเชื่อใจใครไม่ได้เลยหรือไงนิโคล”

“เชื่อได้สิ แต่ในความเชื่อใจเจ้าต้องใช้ไหวพริบด้วย จริงที่ข้าสั่งทหารให้ไปพาเจ้ามาที่สภาเล็ก”

“นิโคล! แต่พวกนั้นไม่ได้พาไปเฉย ๆ พวกเขาบังคับข้า ทั้งถือดาบ ทั้งพลธนูยังเล็งลูกธนูมาทางข้าเต็ม ๆ เลย”

“เจ้ากลัวไหมล่ะ”

“ก็กลัว แต่ข้าจะหาทางเอาตัวรอดให้ได้” ผู้เป็นพี่ชายยิ้มราวกับกำลังสมใจ

“ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจ้าต้องบอกว่า มีอัศวินอยู่ด้วยตั้งสามคนแค่นี้เจ้าไม่กลัว” ฟังนะจูเลียนไม่มีใครสามารถปกป้องเจ้าได้ตลอด ถ้าเจ้าไม่คิดจะปกป้องตัวเองก่อน อยู่ดี ๆ คำพูดของฮานส์ก็ดังก้องขึ้นมาในหัว จูเลียนใส่ใจสิ่งที่ฮานส์บอกโดยไม่รู้ตัว

“ก็ ข้าก็ต้องหาวิธีปกป้องตัวด้วยสิ จะให้รอแต่คนอื่นปกป้องหรือไง”

“เจ้าคิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว ให้พาตัวเจ้าไปที่สภาเล็กเป็นคำสั่งของข้าก็จริง แต่คนรับคำสั่งต่อจากข้าไปสั่งทหารอีกทีต่างหากที่เป็นตัวการ”

“ข้ารู้ว่าพี่ไม่มีทางให้ไปหาที่สภาเล็กในเวลาอย่างนี้แน่นอน”

“แต่เจ้าก็ยังไป”

“ข้าจะหาทางหนีออกมาทีหลังต่างหาก พี่ก็เห็นมีทหารเต็มไปหมด ถ้าข้าไม่ยอม ทหารเยอะขนาดนั้นอัศวินสามคนของข้าคงต้านไม่ไหว ลีโอก็อาจจะเป็นอันตรายไปด้วย ข้าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงขนาดนั้นหรอก ที่นี่คือเมืองหลวง เมืองของข้าปราสาทของข้า ข้าย่อมรู้จักมันดี” นิโคลมองน้องชายผู้ไม่เคยสนใจคิดอะไรรอบคอบอย่างนี้มาก่อน ด้วยตาสายตาแปลกไป หายไปไม่กี่วันความคิดอ่านของจูเลียนเปลี่ยนไปมาก ฉลาดรู้ทันคนขึ้น รอบคอบขึ้น มีไหวพริบขึ้น หลายสิ่งอย่างอย่างที่นิโคลและคนรอบข้างที่หวังดีต่อจูเลียนจริง ๆ เคยเป็นห่วงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น นิโคลนึกถามตัวเองว่าเขาควรขอบคุณอะไรดี ระหว่างพวกที่คอยลอบทำร้ายจูเลียนหลายครั้ง หรือช่วงเวลาหลบหนีที่ลอร์ดหนุ่มยังไม่รู้รายละเอียด นิโคลชักอยากรู้เต็มทีแล้วว่าอะไรทำให้จูเลียนเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนเจ้าคงไม่สน”

“ตอนนี้ข้าสนแล้วไง สมใจพี่หรือยังนิโคล” จูเลียนชักไม่พอใจอย่างไม่มีเหตุผล ในความเปลี่ยนแปลงยังเป็นแค่บางส่วนไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย หนุ่มน้อยผู้ดื้อรั้นเอาแต่ใจคนเดิมก็ยังเหลือความเป็นตัวเองอยู่พอสมควร

“เจ้าทำได้ดีจูเลียน ไปพักผ่อนเถอะไป”

“เดี๋ยวลีโอจะไปเตรียมน้ำอุ่นให้ฝ่าบาทได้นอนแช่สบาย ๆ ” ลีโอได้โอกาสรีบเอาใจเจ้านาย เพราะถูกนิโคลอบรมสั่งสอนกลาย ๆ ตั้งแต่มาถึงนานเกินไป เด็กน้อยนึกเป็นห่วง

“เจ้าเองก็ควรพักก่อนเถอะลีโอ คงเหนื่อยมาพอกัน” นิโคลยังมีสายตาเอ็นดูให้ลีโอไม่เปลี่ยน เมื่อหันมาบอก

“แต่นั่นเป็นหน้าที่ของลีโอนี่นาลอร์ดนิโคล”

“แค่วันนี้วันเดียว เจ้าพักซะหน้าที่นี้มีคนมาทำแทนแล้ว” คำว่ามีคนมาทำแทนทำให้ลีโอใจหาย ไม่ว่าเหนื่อยหนักแค่ไหน หน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่ ที่ลีโอไม่มีวันเอาความเหนื่อยล้ามาอ้าง เพื่อไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง เด็กน้อยมองหน้าลอร์ดหนุ่มสีหน้าน่าสงสาร

“แต่ลีโอ..”

“นี่คำสั่งข้าไม่มีความหมายอะไรกับเจ้าเลยหรือไงเด็กน้อย แค่วันเดียวน่า” นิโคลเข้าใจความรู้สึกของลีโอดีจึงบอกยิ้ม ๆ

“แค่วันเดียวจริง ๆ นะขอรับลอร์ดนิโคล” ลอร์ดหนุ่มยิ้มใจดีให้เด็กน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า ลีโอหันไปทางจูเลียนสายตาหม่นลงทันทีที่เจ้านายเหนือหัวพยักหน้าเบา ๆ แทนการบอกให้ลีโอทำตามที่นิโคลสั่ง แต่เห็นลีโอยังยืนทำหน้าหงอยอยู่จูเลียนเลยต้องสั่งจริง ๆ

“เจ้าไปพักได้แล้วลีโอ”

“งั้นข้าก็ไปพักดีกว่า” ทาร์เทียน่าบอกแล้วเดินออกจากห้องนั้นไป ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่มองส่งนางต่างความรู้สึก เฮนริชมองอย่างเจียมตัว เจียมหัวใจ แค่ได้เห็นว่านางยังปลอดภัยอยู่ดีเท่านี้เขาก็สบายใจแล้ว นิโคลมองด้วยสายตาเป็นห่วงน้องสาว แม้จะรู้ว่านางเก่งและเอาตัวรอดได้ คนเป็นพี่ก็ไม่เคยวางใจ

“เจ้าก็พักผ่อนเถอะ” นิโคลบอกจูเลียนแล้วหันไปทางอัศวินทั้งสามที่ยืนเงียบอยู่ “ส่วนพวกเจ้าก็น่าจะพักได้แล้วนะ ไม่ต้องห่วงรอบปราสาทมีเวรยามแน่นหนาพอ ตามข้ามาสิ” นั่นหมายความว่าอัศวินทั้งสามและคนที่สี่อย่างเลนนี่ที่กำลังตามมาสมทบ อาจจะยังไม่ได้พักเร็ว ๆ นี้ จนกว่านิโคลจะรู้เรื่องทั้งหมดโดยละเอียด



***********************

50% จ้า

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


ต่อ...

*ทำใจก่อนอ่านนะ หรืออาจจะไม่ต้อง หุหุหุ



จูเลียนไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอหลับคาอ่างน้ำอุ่น ๆ ไปนานขนาดไหน ด้วยคำสั่งที่ห้ามใครรบกวน ตื่นมาอีกรอบร่างเพรียวระหงจึงยังนอนแช่อยู่ในอ่างหรูหราใบขนาดพอดี ภายในห้องอาบน้ำที่มิดชิดยังอบอวลไปด้วยไอน้ำอุ่น กรุ่นกลิ่นน้ำมันหอมระเหยขจรกำจายไปทั่วห้อง พาให้รู้สึกผ่อนคลาย อ่างอาบน้ำหรูหราทำจากไม้โอ๊คทรงยาวรีขนาดพอดีสำหรับคนตัวโต ๆ นอนแช่ได้สบายวางไว้กลางห้อง ในอ่างบรรจุน้ำอุ่นสีขาวนวล ลอยด้วยกลีบดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ที่ไม่ใช่แค่ของนำมาประดับในอ่าง หากแต่มันยังมีคุณสมบัติเป็นสมุนไพรที่ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เมื่อรับกลิ่นเข้าไปช่วยให้ความรู้สึกสบายตัวจนเผลอหลับไปอย่างที่จูเลียนเป็น



ร่างเพรียวระหงยังแช่ตัวจมอยู่ในสายน้ำอุ่น เอนหลังพิงขอบอ่างหลับตาพริ้ม เด็กรับใช้ถูกไล่ออกไปรอข้างนอกห้ามไม่ให้รบกวนโดยเด็ดขาด หากไม่ใช่ลีโอจูเลียนก็ไม่อนุญาตให้ใครอยู่ใกล้ยามอาบน้ำ



จูเลียนนอนหลับคาอ่างไปแล้ว ตื่นมาอีกรอบแต่ก็ยังไม่ยอมลืมตา ความอุ่นของน้ำยังคงที่ไม่คลายอุณหภูมิ จึงอยากนอนต่อไปเรื่อย ๆ ความอ่อนล้าความเพลียหมดไป เหลือเพียงความรู้สึกสบายตัว จึงนอนคิดอะไรเพลิน ๆ ตั้งแต่คิดถึงคนรักอย่างกรอสเซ่ ที่ได้อาศัยถามข่าวคราวจากอัศวินประจำตัวอย่างราเชล ที่ช่วยให้หลบหนีการปองร้ายไปด้วยกัน ได้ความว่าเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย เท่านั้นจูเลียนก็พอใจแล้ว คิดว่าเดี๋ยวคงให้ใครไปเรียกตัวมาเจอกัน คิดถึงการเดินทางตลอดหลายวันที่ต้องขี่ม้าเป็นระยะทางไกล ท่ามกลางความหนาวเย็น



ทั้งที่หลับตาจูเลียนยังเผยยิ้มบาง ๆ ออกมา เมื่อคิดถึงคนร่วมเดินทางที่คอยดูแลปกป้อง ทั้งที่ปากบอกว่าไม่ยอมปกป้องดูแลใคร แต่ใครคนนั้นก็ดูแลจูเลียนมาเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไร ภาพสุดท้ายที่จูเลียนเห็นคือใครคนนั้นถูกอัศวินของจูเลียน เอามีดจ่อคืออย่างหมิ่นเหม่ดูน่าหวาดเสียว จากที่เฮนริชบอก ว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนรักกัน คิดว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรงถึงชีวิต จูเลียนเองก็ต้องรีบเข้าวังเพื่อจัดการเรื่องของตัวเองเลยไม่ทันได้ทำอะไร อย่างน้อยจูเลียนก็น่าจะตอบแทนใครคนนั้นที่ช่วยดูแล ถึงแม้จะเป็นการดูแลที่ไม่อาจเรียกได้ว่าดีที่สุด เพราะนอกจากจะแกล้งให้จูเลียนลำบากโดยไม่จำเป็นแล้ว ใครคนนั้นยังแกล้งจูเลียนเล่น ๆ เอาสนุก ๆ ไม่สนด้วยซ้ำว่าจูเลียนเป็นถึงกษัตริย์ แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่ามีความดีความชอบ เพราะถ้าไม่มีเขา จูเลียนอาจจะกลายเป็นศพอยู่ใต้ภูเขาหิมะ หรือหนาวตายอยู่กลางป่า คงไม่มีชีวิตรอดกลับมานอนแช่น้ำอุ่น ๆ จนสบายตัวอยู่อย่างนี้



“ฮานส์! “ดวงเนตรสีเขียวกระจ่างเปล่งประกายแวววาวปานลูกแก้ว เปิดขึ้นทันทีที่คิดถึงใครบางคน ใครบางคนที่ร่วมทางร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาช่วงเวลาหนึ่ง ตอนนี้จูเลียนคืนสู่วัง ประทับในปราสาทโอ่อ่าท่ามกลางการคุ้มกันอารักขาเข้มงวดและปลอดภัย แต่กลับลืมใครบางคนที่ร่วมทางกันมาเสียสนิท



จูเลียนลุกพรวดขึ้นจากอ่างน้ำ ร่างระหงที่เปลือยเปล่าอวดสรีระสง่างามสมฐานันดร ความเพรียวกับกล้ามเนื้ออันน้อยนิด ที่ยังพอบ่งบอกได้ว่าเป็นชายทำให้ร่างระหงน่ามองน่าทะนุถนอมขึ้น หนุ่มน้อยเดินไปหยิบเสื้อคลุมแพรบุผ้าขนสัตว์สำหรับฤดูหนาวมาคลุมร่าง แล้วจึงเยื้องย่างเข้าชั้นบังตาเพื่อสวมใส่ฉลองพระองค์ ซึ่งทุกขั้นตอนเหล่านี้จูเลียนต้องทำเอง เพราะปล่อยให้คนสนิทไปพักผ่อน นอกจากลีโอจูเลียนไม่เคยอนุญาตให้ใครได้เข้าใกล้ในเวลาส่วนตัวเช่นนี้



แม้จะมีแสงแดดอ่อน ๆ ยามบ่ายให้ความอบอุ่นไปทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นก็ยังคงอยู่มิคลาย กษัตริย์หนุ่มน้อยในฉลองพระองค์ชุดใหม่ ภายในเป็นผ้าขนสัตว์เนื้อดีที่ให้ความรู้สึกอุ่นสบาย สวมทับอีกชั้นด้วยเสื้อตัวนอกที่ตัดเย็บจากหนังเนื้อนิ่มตอกลายประณีตขึ้นเงาสวย ฉลองพระองค์สีน้ำตาลอ่อนเหลือบทองเสริมให้จูเลียนดูสง่างาม มากกว่าหนุ่มน้อยที่เดินทางรอนแรมกลางป่าท่ามกลางหิมะและความหนาวเย็นเป็นไหน ๆ เจ้าของใบหน้านวลผ่องและนัยน์ตาสีสวยเดินเร็ว ๆ ออกจากห้อง กวาดตามองไปทั่วหวังจะมีใครสักคนตอบในสิ่งที่อยากรู้ ซึ่งก็คงจะเป็นหนึ่งในสี่ของอัศวินประจำตัว แต่ยังไม่ทันได้เจอหน้าอัศวินของตัวเอง ใครบางคนที่ไม่คิดว่าได้พบในเร็ววันนี้ ก็มาให้เห็นหน้ากันอย่างไม่คาดคิด



“ฝ่าบาท ยอดรักของข้า” ร่างสะโอดสะองที่เดินเร็ว ๆ เข้ามาให้ทำให้จูเลียนยิ้มกว้าง

“กรอสเซ่ เจ้ามาหาข้าหรือ”

“ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทกลับมาแล้ว ข้าดีใจจนทนรอไม่ไหวเลยรีบมาเข้าเฝ้า” จูเลียนโผเข้ากอดคนรัก ปากพร่ำบอกความคิดถึงถามไถ่ จนเป็นครู่กอดอุ่น ๆ จึงคลายออกด้วยสองมือของกวีหนุ่มที่ผลักร่างระหงให้ห่าง สายตาไร้แววตื่นเต้นที่จูเลียนมองไม่เห็นความเฉยชา กวาดมองพระวรกายเพรียวระหงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

รอยยิ้มไร้ความเสน่หาแย้มออกมายามกวีหนุ่มเอ่ยคำ “ฝ่าบาทปลอดภัยกลับมาข้าก็ดีใจที่สุดแล้ว”

“ข้าปลอดภัย ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้าอีกกรอสเซ่ ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่”

“กรอสเซ่ก็เป็นห่วงฝ่าบาทเหมือนกัน ข้ามันแย่ที่ไม่สามารถปกป้องฝ่าบาทได้”

“อย่าคิดมากเลย เจ้าเป็นคนรักของข้านะ หน้าที่ปกป้องเป็นของอัศวินต่างหากเล่า”

“จูเลียนทรงกรุณาต่อข้าตลอด อย่างนี้จะไม่ให้ข้าถวายหัวใจและความรักต่อฝ่าบาทได้อย่างไร” จูเลียนยิ้มพอใจคำหวานที่คนรักเอื้อนเอ่ย จนลืมเหตุผลที่ทำให้รีบลุกจากอ่างน้ำอุ่นที่กำลังแช่อย่างสบายใจ รีบแต่งตัวออกมาเสียสิ้น ทั้งสองเดินคุยกันลงไปที่สวน มีทหารอารักขาของนิโคลเดินตามไปเงียบ ๆ



*************************



“ลอร์ดนิโคล”

“ท่านรัฐมนตรีมาหาข้าถึงนี่เชียว” นิโคลทักทายโจเซฟเผื่อแผ่การทักทายด้วยการพยักหน้าไปให้โทมัสที่เดินตามหลังพี่ชายเข้ามาด้วย รัฐมนตรีวัยกลางคนมองบุรุษหนุ่มทั้งสี่ในชุดเกราะทองเงาวาวน่าเกรงขาม อันเป็นเครื่องประดับยศของอัศวินประจำตัวกษัตริย์แล้วหันไปทางนิโคล สายตาของชายวัยกลางคนส่งสัญญาณบอกว่าต้องการการพูดคุยที่เป็นส่วนตัว

นิโคลเพียงพยักหน้าเบา ๆ อัศวินประจำตัวจูเลียนทั้งสี่ก็ออกจากห้องไปเงียบ ๆ “ข้ากำลังสอบสวนเรื่องการเดินทางกับอัศวินประจำตัวกษัตริย์ แต่ท่านคงมีเรื่องด่วนกว่า”

“สอบสวนแล้วได้ความว่ายังไงบ้างล่ะ ถึงบรรยากาศมันจะไม่คล้ายการสอบสวนเท่าไหร่ก็เถอะ” อดไม่ได้ที่จะจับผิดท่าทีของลอร์ดหนุ่มที่หวังดึงมาเข้าพวก

“ก็อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่าจูเลียนถูกโจมตีโดยทหารรับจ้าง ที่ร่วมมือกับทหารจากเมืองหลวงจำนวนหนึ่ง ถ้าจะว่ากันจริง ๆ ทหารจำนวนนั้นก็ไม่น้อยเลย”

“แล้วท่านจะจัดการยังไงต่อไปลอร์ดนิโคล ข้าเผยหน้าตักตัวเองแล้วนะและข้ายืนยันจะอยู่ข้างท่าน ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าทหารจากเมืองหลวงนั่นก็เป็นทหารที่ข้าส่งออกไป” นิโคลเงียบ ดวงตาที่มีแววอ่อนโยนอยู่เสมอมองชายวัยกลางคนนิ่ง ดวงตาที่โจเซฟมองว่ามันอ่อนโยนมากเกินไป จนคิดว่าจะกลายเป็นความอ่อนไหวเข้าสักวันหากได้รับข้อเสนอดี ๆ ที่เขามอบให้ เพราะเขาเสนอในสิ่งที่ควรจะเป็นของนิโคลตั้งแต่แรก มากกว่าน้องชายต่างแม่อย่างจูเลียน

ราชบัลลังก์!

“เรื่องนั้น..”

“ข้าเลือกแล้วลอร์ดนิโคล หวังว่าท่านคงไม่ทำให้แม่ของท่านผิดหวัง” นิโคลยังคงมองตาชายวัยกลางคนนิ่ง รัศมีความอ่อนโยนเผื่อแผ่ออกมาทางใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาที่ดูใจดีอยู่เป็นนิตย์ คนที่คิดถึงแต่ความต้องการกลับมองว่ามันคือความลังเล

ลอร์ดหนุ่มยกยิ้มน้อย ๆ น้ำเสียงที่เปล่งออกมายังคงความเรียบนิ่ง บ่งบอกถึงความใจเย็นสุขุม “ข้าเข้าใจท่าน แต่เราไม่ควรให้มันค่อยเป็นค่อยไปหรอกหรือ”

“ทำไมต้องค่อยเป็นค่อยไป แค่เราร่วมมือกันแค่นี้อะไร ๆ ก็ง่ายขึ้นแล้ว”

“ชาวเมืองส่วนใหญ่รักจูเลียน”

“เพราะพวกเขารักกษัตริย์องค์ก่อนต่างหาก”

“ข้อนั้นก็มีส่วนถูก แต่สิ่งที่ท่านคิดมันไม่ง่ายหรอก ถ้าจูเลียนเป็นอะไรไปเราจะตอบคำถามพวกเขาว่ายังไง”

“แต่ชาวเมืองก็รักท่านไม่น้อยไปกว่ากันหรอกลอร์ดนิโคล เพียงแต่ท่านปล่อยให้ข้าจัดการทุกอย่างแทน เราไม่จำเป็นต้องจัดการจูเลียนที่นี่ มีหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับความฟุ่มเฟือยของจูเลียน และเห็นว่าเป็นท่านต่างหากที่ทำเพื่อบ้านเมืองจริง ๆ พวกเขาพร้อมจะให้การสนับสนุนท่านอย่างเต็มที่ เพียงแค่ท่านพยักหน้าน้อย ๆ ครั้งเดียว ข้าสัญญาว่าทุกอย่างจะกองอยู่แทบเท้าท่าน”

“ข้าเข้าใจว่าท่านหวังดี ท่านรัฐมนตรี ท่านก็รู้ว่าบางอย่างเราต้องใจเย็นถ้าอยากได้ใจของทุกฝ่าย”

“ถ้าท่านคิดอย่างนั้น ข้าคง..” ระหว่างคิ้วชายวัยกลางคนที่ย่นอยู่แล้วยิ่งย่นเข้าไปอีกเมื่อเจ้าตัวขมวดคิ้วคิดหนัก เขายอมเผยโฉมหน้าตัวเองแล้ว ยอมเผยจุดยืนและสิ่งที่ต้องการ ว่าคิดไม่ซื่อต่อราชบัลลังก์และตัวกษัตริย์ แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการมอบความหวังดีต่อผู้ที่ควรคู่กับบัลลังก์ตัวจริง ซึ่งมีเพียงผู้เดียวที่เขาเชื่อมั่น เพียงแค่ลอร์ดหนุ่มเห็นชอบคล้อยตาม และปล่อยให้เขาจัดการทุกอย่างให้ทั้งหมด สิ่งที่ควรจะเป็นของนิโคลก็จะเป็นไปได้ง่ายขึ้น สิ่งที่เขาต้องการก็เช่นกัน



แม้อำนาจของโจเซฟในฐานะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมานาน จะฝังรากหยั่งลึกทรงอิทธิพลต่อราชวงศ์ไม่น้อย แต่จะทำการใหญ่ขนาดนี้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย อะไร ๆ ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะถ้าจะพูดกันตรง ๆ การชิงบัลลังก์มานั่งกุมบังเหียนด้วยตัวเอง สำหรับโจเซฟแล้วไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้เขาจะได้นั่งชูคอบนบัลลังก์ทอง แต่สักวันอำนาจจะถูกสั่นคลอน เพราะไม่ได้ใจของประชาชน! นั่นไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน กษัตริย์องค์ก่อนเป็นที่รักของประชาชนมากเกินไป จนความภักดีฝังรากหยั่งลึกยากขุดถอน สิ่งที่คาดและหวังจะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป โจเซฟเฝ้าวางแผนและอดทนมาหลายปี



“ข้าคิดว่าท่านควรพักเรื่องนี้ไว้ให้ข้าจัดการเองทั้งหมด” นิโคลเอ่ยขึ้นหลังเงียบไปเป็นครู่

“มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าคงทำอะไรไม่ได้แล้วสินะ”

“ท่านคิดว่ายังไงล่ะ” ลอร์ดหนุ่มละสายตาจากใบหน้าเจ้าเล่ห์ ที่ไม่สามารถปิดบังแววกังวลของโจเซฟ ไปสบตาโทมัสที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พี่ชาย ทั้งสองมองตากันนิ่ง โทมัสเพียงค้อมศีรษะให้นิโคลสายตามองต่ำเจียมเนื้อเจียมตัว



*********************



“ทำงานไม่ได้เรื่อง!” สิ้นเสียงเกรี้ยวกราด ฝ่ามือหนาประดับด้วยริ้วรอยแห่งวัยยับย่น ตวัดลงบนใบหน้าของนายทหารที่ยืนนิ่งรอรับแรงโทสะ ด้วยว่าทำงานได้ไม่บรรลุเป้าหมายตามคำสั่ง นอกจากไม่บรรลุเป้าหมายแล้ว ยังทำให้ให้แผนการทุกอย่างผิดพลาดไปหมด

“ท่านรัฐมนตรี แต่ลอร์ดนิโคล..”

“เจ้าทำไมไม่รีบพาตัวมันมาให้ข้าก่อน มัวโอ้เอ้ทำอะไรอยู่”

“ข้าก็กำลังจะพามาแล้ว แต่ลอร์ดนิโคลมาขวางและพาตัวฝ่าบาทไปก่อน”

“แล้วพวกเจ้าก็ปล่อยไปอย่างนั้นรึ ทั้งที่คนก็มีมากกว่า” เพิ่งล่าถอยกลับมาพร้อมท่าทีไม่น่าพอใจของนิโคล มาได้ยินทหารแก้ตัวอย่างสิ้นท่า ยิ่งทำรัฐมนตรีเฒ่าเกรี้ยวกราด เพราะอะไรต่อมิอะไรก็ไม่ได้ดังใจไปเสียทุกอย่าง โจเซฟตัดสินใจเผยตัวและสิ่งที่ต้องการ หลังจากที่ได้เห็นท่าทีของนิโคลยามพูดคุยเรื่องในอดีต ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังจากนั้น นิโคลดูเหมือนจะเห็นดีเห็นงามด้วยทุกอย่าง แม้กระทั่งการให้ความใกล้ชิดกับลีอานน่าลูกสาวเขา เอ่ยคำราวเอ็นดูชอบพอนางเพื่อสานสัมพันธ์ นิโคลก็ทำมันได้ดีจนเขาไว้ใจ ว่าคงไม่พ้นคนที่อยู่ข้างเดียวกันเป็นแน่แท้ แต่วันนี้ที่กษัตริย์หนุ่มน้อยคืนวัง ท่าทีของลอร์ดหนุ่มกลับเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปมากจนโจเซฟรู้ได้เลย หากเขาไม่รีบทำอะไรสักอย่าง ไม่โดนโค่นอำนาจลงเสียงเองอาจจะต้องโทษทัณฑ์



นิโคลทำในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ ทั้งที่รู้ว่าโจเซฟกำลังคิดและทำอะไร ลอร์ดหนุ่มกลับยังนิ่งเฉย ไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง ถ้าตอนนี้เขาถูกควบคุมตัวหรือถูกจับไปลงโทษ รัฐมนตรีเฒ่าจะไม่สงสัยเลย แต่นิโคลกลับยังพูดคุยเหมือนคนหนุนหลังอยู่ข้างกัน ทั้งที่จริง ๆ แล้วคือลอร์ดหนุ่มยังปกป้องกษัตริย์ผู้เป็นน้อง หรือสายเลือดที่แม้จะมีเพียงครึ่งเดียวของพี่น้อง ผลประโยชน์หอมหวานที่โจเซฟใช้ล่อยังไม่อาจทำลายลงได้



“ไหนท่านบอกว่านี่คือคำสั่งลอร์ดนิโคล ท่านบอกว่าลอร์ดนิโคลร่วมมือกับเราแล้วไม่ใช่หรือไง” ชายวัยกลางคนคิดถึงท่าทีของนิโคลแล้วเจ็บใจ ทุกอย่างมันสะท้อนในความผิดพลาดของตัวเขาเอง หมากตานี้โจเซฟเดินพลาด หลายอย่างผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง เพราะบางสิ่งบางอย่างบังตา ทำให้ละเลยความละเอียดรอบคอบไปสิ้น

“มันจะดีที่สุดถ้าจูเลียนอยู่ในมือเราและเจ้าทำมันพลาด ปล่อยให้สิ่งที่เราควรมีไว้ต่อรองหลุดมือไป!”

“ข้าก็นึกว่า..”

“ออกไปให้หมด ไปเตรียมคนไว้ให้พร้อมรับคำสั่งจากข้าทุกเมื่อ”

“ทำไมข้ายังต้องรับคำสั่งจากท่านอีก” เพราะถูกกล่าวโทษนายทหารที่มีกำลังพลจำนวนหนึ่ง ซึ่งถือว่าเยอะพอสมควรจึงลำพอง เขาเกิดความไม่พอใจที่ถูกต่อว่า ทั้งที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อรัฐมนตรี แต่เพราะไม่เห็นด้วยกับการปกครองแบบจูเลียนที่ดูปวกเปียก ไม่สนใจบ้านเมืองนอกจากความชอบพอใจของตัวเอง จึงเป็นเหตุผลให้เข้าร่วมกับโจเซฟทันทีที่ได้รับการชักชวน แต่พอถูกกล่าวโทษก็ชักอยากเอาใจออกห่าง ด้วยไม่ชอบใจที่ต้องรับผิดชอบความผิดแต่เพียงผู้เดียว

ต่อ....

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



“เพราะเจ้าไม่อยากโดนข้อหากบฏ ถ้าจูเลียนยังอยู่ในอำนาจ อีกไม่นานเจ้ากับข้าไม่พ้นข้อหานี้หรอก” นัยน์ตาดุจ้องมองหน้านายทหารนิ่ง จนเป็นครู่ฝ่ายผู้น้อยกว่าจึงทำความเคารพแล้วบอก

“ข้าจะไปเตรียมทุกอย่างที่ท่านต้องการ”

คนอื่น ๆ ออกไปจากห้องทำงานส่วนตัวของรัฐมนตรีหมดแล้ว เหลือเพียงโจเซฟกับโทมัสน้องชายต่างมารดา ที่ติดตามคอยช่วยเหลืองานพี่ชายไปทุกที่ โทมัสได้รับความไว้วางในจากโจเซฟระดับหนึ่ง ในการพูดคุยปรึกษากัน แต่ก็ยังไม่ทั้งหมดทุกเรื่อง อสรพิษเฒ่าไม่เคยไว้วางใจใครจริง ๆ นอกจากนิโคล ที่โจเซฟกลับมองข้ามเหตุผลหลายอย่างไปอย่างง่ายดาย เพียงเพราะเห็นลอร์ดหนุ่มเป็นตัวแทนความคิดถึงของใครคนหนึ่ง ที่เคยเฝ้ารักเฝ้ามองมอบหัวใจและความรักให้หมดทั้งใจ และวันนี้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำพลาด ที่เอาความรู้สึกส่วนตัวมาปนกับงานใหญ่เดิมพันสูง



ความเงียบภายในห้องเงียบมาก เงียบจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกแผ่วเบา ที่บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าหนักใจ โจเซฟยืนคิดอะไรเงียบ ๆ และโทมัสเองก็ฉลาดพอ ที่จะไม่รบกวนเวลาพี่ชายใช้สมองระดมความคิดหนักหน่วง จนดูเหมือนว่าโจเซฟหลุดเข้าสู่ภวังค์ห้วงความคิดของตัวเอง แต่โทมัสก็ยังทำเพียงยืนมองเงียบ ๆ สายตาจับจ้องอยู่กับใบหน้าชายวัยกลางคนผู้เป็นพี่ชาย ที่ประดับด้วยริ้วรอยแห่งวัยยับย่น วันนี้ดูเหมือนริ้วรอยเหล่านั้นจะมีมากกว่าอายุจริงควรจะมี



“ข้าเดินหมากผิดแต่แรก” โจเซฟเอ่ยขึ้นพลางทรุดร่างที่ดูเหนื่อยล้าลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่นั่งทำงานประจำ เหลือบตาขึ้นมองน้องชายต่างแม่ที่เรียกตัวมาช่วยงาน นัยน์ตาคมมีแววอ่อนล้าให้เห็น แต่เพียงชั่วเสี้ยวเวลาของการสบตา แววความอ่อนล้าถูกเปลี่ยนไปทันที ใบหน้าที่อายุล่วงเข้าวัยกลางคนมาหลายปี ดูเหมือนจะมีรอยยับย่นเพิ่มมากขึ้นในชั่วข้ามคืน ตั้งแต่แผนการทุกอย่างผิดพลาด “ทางนั้นคงยังไม่เคลื่อนไหวอะไรมากไปกว่านี้ แต่ข้าคงต้องวางแผนใหม่”

“พี่รู้แต่แรกว่าไม่ควรวางใจลอร์ดนิโคล” โทมัสย้ำในสิ่งที่โจเซฟเผลอลืมมันไป ยามมีเรื่องของอดีตเข้ามารบกวนจิตใจ

ชายวัยกลางคนผู้พี่เบือนหน้ามองไปทางอื่นเอ่ยเสียงนิ่ง “ข้ารู้ ถึงได้บอกไงว่าเดินหมากผิด”

แต่ชายผู้เป็นน้องก็บอกเสียงนิ่งพอกัน “เพราะท่านอ่อนแอต่างหาก”

“โทมัส! “ ร่างชายวัยกลางคนทะลึ่งพรวดลุกขึ้นจากเก้าอี้ มือใหญ่ทั้งสองข้างตบลงบนโต๊ะทำงานอย่างแรง ตัวโต๊ะทำจากไม้เนื้อแข็งขัดจนขึ้นมันเงา กระนั้นแรงโทสะที่ทุบลงยังส่งผลให้เกิดเสียงดังก้อง บ่งบอกถึงความโกรธที่ถูกจุดให้ปะทุขึ้นมาเพียงคำพูดคำเดียว คำพูดเพียงประโยคเดียวที่กล่าวหาถึงความบกพร่องยากรับได้ ของคนระดับรัฐมนตรีที่ไม่เคยทำอะไรพลาดอย่างโจเซฟ!

คำพูดที่มาจากน้องชายต่างแม่ที่เขามองว่าต่ำชั้นกว่ามาตลอด!

“พี่ต้องมีสติกว่านี้ โจเซฟ”

“ไม่ต้องมาสั่งสอนข้า!” โจเซฟยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง ประจันหน้ากับน้องชายต่างมารดาที่ยืนด้วยท่าทางนอบน้อม แต่กลับเอ่ยวาจาจองหองบังอาจสั่งสอน

“ข้าไม่ได้พูดในฐานะผู้ช่วย แต่เตือนในฐานะน้องชาย” โจเซฟมองใบหน้าที่ไม่มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกันเลยสักนิดของน้องชาย ด้วยว่าเพราะเป็นน้องต่างมารดาที่มีสายเลือดเดียวกันเพียงครึ่ง ไร้ซึ่งความสำคัญและได้รับการยกย่องแต่เพียงในระดับรอง เมื่อมารดาของโจเซฟเป็นใหญ่กว่ามารดาของโทมัสที่เป็นเพียงอนุและเป็นหญิงรับใช้ ตัวโจเซฟเองก็แบ่งแยกเหยียดชั้นน้องครึ่งสายเลือดมาโดยตลอด



โทมัสมองข้ามสายตาเหยียดแคลนของพี่ชายต่างมารดาเอ่ยต่อ “ลอร์ดนิโคลโง่ในความภักดีเกินกว่าจะมาร่วมมือกับพี่นะโจเซฟ ถึงพี่จะบอกว่ามันเป็นไปได้ หึ แล้วยังไงล่ะ” โทมัสเว้นจังหวะพูดราวกับเผื่อว่าพี่ชายจะคิดตามไม่ทัน “วันนี้เห็นได้ชัดว่าพี่คิดผิด พี่มันโง่ที่คิดจะเอาบัลลังก์มามอบให้ลูกชายของนางแพศยาที่พี่แอบรัก ผู้หญิงที่พลีร่างทอดกายให้ชายอื่นที่สูงส่งกว่า แต่สุดท้ายก็ได้เป็นแค่สนมนางบำเรอ พี่ทำให้มันทั้งที่ตัวมันเองไม่ได้ต้องการในสิ่งที่พี่เสนอให้ด้วยซ้ำ!”

“ข้าไม่เชื่อว่า..”

“จริง ๆ พี่ก็แค่อยากทำเพื่อคนตายที่ไม่รับรู้อะไรแล้ว คนตายไปแล้วที่ไม่มีทางเห็นความรักที่พี่มอบให้ คนตายจากไปแล้วยังมีคนโง่ทำอะไรให้ และคนคนนั้นคิดผิด สิ่งที่พี่ต้องทำคือทำเพื่อตัวเอง ไม่ใช่ทำเพื่อคนที่ไม่มีวันอยู่กับท่าน ไม่ว่าจะตอนมีลมหายใจอยู่หรือตายไปแล้ว ถ้าตอนนี้นางยังอยู่นางก็ไม่มีวันรักท่าน จริง ๆ แล้วนางไม่เคยเสียสายตาในการมองหาท่านแม้แต่หางตา พี่หวังอะไรอยู่โจเซฟ ข้าจะตอบให้ หวังทำเพื่อแก้แค้นให้คนตายอย่างเปล่าประโยชน์สิ้นดี!”

“เจ้าคิดจริง ๆ หรือไงว่าข้าจะทำเพื่อคนตายมากกว่าตัวเอง” โจเซฟถามเสียงเข้ม นึกฉุนที่น้องต่างแม่พูดแทงใจ เพราะแม้จะเป็นความจริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

“ข้าแค่พูดตามที่เห็น”

“ข้ารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ หน้าที่ของเจ้าคือทำตามที่ข้าสั่ง เป็นเกียรติของเจ้าแล้วที่ข้าเรียกตัวมารับใช้!”

“ใช่ท่านพี่ เป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก” โทมัสก้มหัวคำนับแสดงความเคารพพี่ชายต่างแม่ ราวกับซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ได้มารับใช้ใกล้ชิด ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ อยู่เป็นนิตย์ยากคาดเดาความรู้สึก แต่สิ่งที่โจเซฟมองเห็นมีเพียงความใสซื่อหัวอ่อนจนดูโง่เง่า ที่ออกมาจากแววตาน้องชายต่างชั้น มันคงภูมิใจในตัวเองที่สุดแล้ว ที่เขาให้ความสำคัญมากถึงขนาดนี้

“ทั้งที่ข้าเปิดเผยตัวขนาดนี้พวกมันยังไม่เคลื่อนไหวอะไร เท่ากับเรายังมีโอกาส เพราะมันต้องเกรงบารมีของข้าอยู่บ้าง มันอาจจะระวังตัวขึ้น แต่อย่าลืมว่าเรายังมีมอนทาร์น่าเป็นพันธมิตรอยู่ ทางนั้นพร้อมหนุนหลังเราเต็มที่ ข้าต้องส่งข่าวไปให้อเล็กซิสโดยเร็ว” แววตารัฐมนตรีเฒ่าวาวโรจน์ มั่นใจในพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ความสัมพันธ์แนบแน่นจากเคยเกื้อกูลกันลับ ๆ มาแต่เก่าก่อน โจเซฟค่อนข้างมั่นใจว่ายังมีพันธมิตรที่เข้มแข็งคอหนุน

“ข้าก็หวังว่าทางนั้นจะไม่เปลี่ยนใจ” โทมัสคล้อยตามรู้หลบรู้หลีก

“แน่นอน เพราะนอกจากมันจะอยากทำการค้ากับออสเซนเทียเพื่อผลประโยชน์แล้ว การถูกปรักปรำในสิ่งที่ไม่ได้ลงมือกระทำเอง ก็ไม่เป็นผลดีต่อความรู้สึกเท่าไหร่หรอก นั่นทำให้ความสัมพันธ์สั่นคลอนไปไม่น้อยเลยนะเจ้ารู้ไหม”

“เพราะพี่เป็นคนบงการอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง พักหลังมานี้คนของพี่ทำงานได้ดี ปล้นทุกขบวนสินค้าของออสเซนเทีย แล้วโยนความเข้าใจผิดให้มอนทาร์น่า เก็บผลประโยชน์ทั้งหมดเป็นของตัวเองได้อย่างแนบเนียนและชาญฉลาด จนมีเงินเหลือเฟือไปจ้างทหารรับจ้าง” รอยยิ้มบาง ๆ ของโทมัสแย้มกว้างขึ้น แม้จะไม่มากแต่ก็ดูเป็นการยิ้มขึ้นกว่าเคย โจเซฟเห็นดวงตาไร้ความรู้สึกของน้องต่างชั้นมีประกายวาว ก่อนจะแสดงความประจบสอพลอด้วยการก้มหัวลงคำนับเขาอีกครั้ง

“ข้าขออนุญาตแสดงความชื่นชมพี่ชาย แต่พี่คิดว่าความเข้าใจผิดนี้มันมากพอถึงขั้นทำให้เกิดความแตกหักหรือไง เท่าที่เห็นไม่มีอะไรคล้าย ๆ อย่างนั้นเลยนะ ข้าว่าพี่ไม่ควร..”

“ลูกเมียน้อยชั้นต่ำ! ทารกที่เกิดจากหญิงแพศยาไร้เกียรตินางบำเรอต่ำศักดิ์อย่างเจ้า ได้รับใช้ข้าก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว อย่าริบังอาจมาบอกว่าข้าควรไม่ควรทำอะไร!” โจเซฟเดือดดาล ดวงตาแข็งกร้าวจ้องน้องครึ่งสายเลือดเขม็ง ความหยิ่งยโสในชาติกำเนิดสูงส่งของเขา กดเหยียดเหยียบย่ำคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องจนต่ำตมด้อยค่ากว่าเศษดิน เพราะตัวโจเซฟเกิดมามีบรรดาศักดิ์ติดตัว ได้รับการเลี้ยงดูอุ้มชูเหนือกว่า  เพราะเป็นทายาทโดยตรงที่รับช่วงทุกอย่างส่งต่อตกทอดมาจากบิดา ตั้งแต่อำนาจไปจนถึงทรัพย์สินศฤงคาร

“ท่านรัฐมนตรีโปรดอภัยข้าด้วย” โทมัสเสียงอ่อนขยับเข้ามาใกล้พี่ชายค้อมหัวลง ราวกับเจียมตัวเพียงเศษธุลีใต้ฝ่าเท้าพี่ “แค่ท่านยอมให้ข้าเรียกพี่ก็ถือว่ากรุณามากที่สุดแล้ว ท่านยังเมตตาให้ข้าติดตามช่วยงานอีก” ชายผู้ได้รับการตอกย้ำต่ำศักดิ์ยืดตัวขึ้น ใบหน้ายังมีรอยยิ้มอ่อนอยู่ตลอดเวลา แววตาใสซื่อที่โจเซฟเคยเห็นยามจ้องมองตอบก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน รับกับเสียงเนิบนาบอ่อนน้อมยามเอ่ยคำ



โทมัสขยับเข้าหาพี่ชายอีกก้าว “ข้ารู้ ข้ารู้ท่านพี่ ข้ารู้และซึ้งใจยิ่งที่ท่านเมตตา เป็นเกียรติของข้าเหลือเกิน เป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้เลย ขอบคุณที่ให้เกียรตินั้นแก่ข้า” โจเซฟยืนนิ่ง แต่ความเป็นจริงแล้วเพราะเขากำลังชะงัก เมื่อโทมัสขยับเข้ามาใกล้จนชิดและสวมกอด แต่แม้โจเซฟจะลดตัวลงมาให้น้องชายครึ่งสายเลือดได้กอด เขาก็ไม่คิดจะยกมือขึ้นกอดตอบเลยสักนิด โทมัสแอบแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมผิดแผกที่เคยเห็น นัยน์ตาวาวโรจน์ลับหลังปิดบังด้วยอ้อมแขนที่กำลังสอดเกี่ยวรอบตัว แสดงความรักของน้องที่พึงมีต่อพี่ จนป่านนี้พี่ชายผู้ถือตัวยังคงยึดถือความสูงส่งจอมปลอมของตัวเอง ที่พ่อของพวกเขาเคยตกแต่งให้ โจเซฟกอดมันเอาไว้อย่างเหนียวแน่นจนถึงบัดนี้ และจมปลักอยู่กับสิ่งจอมปลอมนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น จึงได้คิดว่าตัวเองสูงค่าและเหนือกว่าพี่น้องคนอื่นเสียเหลือเกิน



“โจเซฟ รู้อะไรไหมว่าพี่เข้าใจผิด ทางนั้นเคลื่อนไหวนานแล้ว เคลื่อนไหววางแผนอย่างแยบยลมาตลอด มีแผนบางแผนที่พี่ไม่รู้ และข้าไม่อยากเสียเวลาสำหรับการเล่าให้ฟัง” เสียงกระซิบที่ดังขึ้นทำให้สีหน้าและแววตาของโจเซฟฉงน ด้วยตามไม่ทันสิ่งที่น้องชายต่างแม่กระซิบบอก เขายืนนิ่ง ความสนใจทุกอย่างรวมอยู่ที่ความคิด และการทบทวนคำไม่กี่คำที่ก้องในหัว แต่ยังไม่ทันได้เข้าใจความหมายอะไรดีนัก ร่างสูงท้วมในชุดหรูหราพลันกระตุกเกร็ง ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวทรงอำนาจเบิกกว้าง บ่งบอกถึงความตกใจสุดขีด ร่างทั้งร่างชะงักกึก ทุกการเคลื่อนไหวถูกหยุดไว้เพียงเท่านั้น ความเจ็บหนึบปวดแปลบแทรกเข้ามาในความรู้สึกรับรู้ ใบหน้าที่ประดับด้วยริ้วรอยตามวัยนิ่วขมวด

สาเหตุของสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากปลายมีดแหลมคม ที่ถูกเสือกไสเข้ามาในร่างสุดแรงฝังลึกคาอกทะลุหลัง!



“อึก!! “ ไม่มีเสียงใด ๆ ผ่านออกมาจากลำคอของรัฐมนตรีเฒ่า เพราะความตกใจตื่นตระหนกตั้งตัวไม่ทัน ไม่คาดคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น นี่อาจจะทำให้เขาลืมวิธีพูดไปแล้ว แน่นอนว่าโจเซฟไม่เคยไว้ใจใคร ที่ผ่านมานอกจากอำนาจบารมีที่ฝังลึกหยั่งรากมานาน หากไม่แน่ไม่ฉลาดรู้คิดวางแผนจริง ก็ยากจะอยู่มาได้จนถึงขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีวันพลาด!



“ดูเหมือนพวกเขาจะล่วงหน้าไปก่อนท่านหลายก้าวเลยพี่ชาย” มีดแหลมคมถูกถอดออกแล้วแทงสวนกลับเข้าไปใหม่ ไร้การกะคะเนจุดหมาย แต่ปลายมีดอยู่กลางลำตัวแน่ ๆ ร่างโจเซฟกระตุกตามทุกการจ้วงแทงสุดแรง โดยน้องชายครึ่งสายเลือดที่มองว่าชั้นต่ำมาโดยตลอด และเป็นโจเซฟเองที่เหยียดหยามแบ่งชั้นทั้งที่เป็นน้อง มันเห็นได้ทั่วไปถือเป็นเรื่องธรรมดาแต่ไม่ใช่ทั้งหมด นี่เฉพาะสำหรับบางตระกูลที่ถือยศศักดิ์เกินกว่าคุณค่าความเป็นคน ที่บุตรอันเกิดนอกจากภรรยาหลวง จะต้อยต่ำด้อยค่าในสายตาพี่น้องด้วยกันอย่างอยุติธรรม และตระกูลขุนนางเก่าแก่ของโจเซฟคือหนึ่งในนั้น



“อึก!! ”

“ขอบคุณท่านพี่” กอดนั้นแทนคำขอบคุณ และรัฐมนตรีเฒ่ายังได้ยินคำขอบคุณดังขึ้นข้างหูอีก ก่อนความรู้สึกเจ็บแปลบจากการถูกชำแรกร่างกายจะบังเกิดขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง เพราะลำตัวถูกของมีคมแหลมชำแรกผ่าน แทงย้ำลึกสุดความยาวของมีดแล้วถอดออก แล้วแทงซ้ำใหม่อยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับคนแทงไม่เกิดความพอใจในการกระทำของตัวเองสักที ร่างรัฐมนตรีวัยกลางคนกระตุกสั่นและเกร็ง เขาไม่ทันได้ทำแม้กระทั่งป้องกันหรือปัดป้อง เขาไม่มีโอกาส ความเจ็บแปลบซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกิดขึ้นหลายครั้งจากการถูกแทงหลายแผล เปลี่ยนเป็นความชาหนึบ แล้วเปลี่ยนเป็นความเจ็บหน่วง เพิ่มเป็นเจ็บร้าวขึ้นเรื่อย ๆ ทรมานจนแทบขาดใจ แต่มีเพียงเสียงครางจากความเจ็บปวดหลุดออกมาจากลำคอเบา ๆ



“อึก!! โทมัส เจ้า! “โทมัสถอยห่างพี่ชายเพื่อยืนมองผลงานของตัวเอง บริเวณกลางอกส่วนที่มีก้อนเนื้อเต้นอยู่ในนั้น บัดนี้มันปักคาด้วยมีดสั้น ที่ความสั้นของมันไม่ได้สั้นจนไม่สามารถทำการทิ่มแทงปลายแหลมคม จนถึงก้อนเนื้อที่เต้นเป็นจังหวะแสดงถึงการมีชีวิต นอกจากนั้นบริเวณหน้าท้องยังเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสด ๆ ที่ไหลทะลักเป็นลิ่มออกมาราวกับเขื่อนแตก



โจเซฟยังไม่ขาดใจตายในทันที เขากัดฟันแน่ลมหายใจหอบถี่ ร่างกายที่สั่นสะท้านจากบาดแผลยากจะควบคุม จนมันทำงานผิดเพี้ยนไปหมดทุกอย่าง กระอักจนเลือดพุ่งออกมาทางปาก แรงที่เคยมีเริ่มอ่อนลงจนทรงตัวแทบไม่อยู่ ต้องอาศัยโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่ทำจากไม้เนื้อแข็งช่วยรองรับการพยุงตัว สายตาจับจ้องใบหน้าน้องชายครึ่งสายเลือด แววตาสับสนปนแข็งกร้าวโกรธแค้น ปากสั่น ๆ พยายามเผยออ้าออกเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างก่อนหมดลม

“โท มัส เจ้า..”

“หึ”

“หัก หลัง ข้า!” รอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าน้องชายครึ่งสายเลือด ส่งให้ใบหน้าธรรมดาและดวงตาใสซื่อดูเยือกเย็นขึ้น ในความเยือกเย็นแฝงไว้ด้วยความน่ากลัว ที่สามารถทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ รอบตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายความอำมหิต ดวงตาที่ยังคงความใสซื่อมองตามมือที่ยื่นออกไปข้างหน้า มือข้างนั้นเปื้อนเลือดแต่กลับนิ่งราวเจ้าตัวไร้ความตื่นเต้น ทั้งที่มือข้างนั้นเพิ่งจะใช้จับมีดปลิดชีพ จ้วงแทงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายหลายแผล เขายื่นมือออกไปจนสุดความยาวของช่วงแขน วางมือลงบนไหล่พี่ชายได้พอดี

แต่ไม่หรอก

มันไม่ได้ถูกยื่นออกมาเพื่อความเมตตาปรานีใดเลย นอกจากผลักให้ร่างที่กำลังจะสิ้นใจได้ทอดกายนอนลงบนพื้นแข็งอย่างที่ควรจะเป็น

“เพราะมันหมดเวลาของพี่แล้วต่างหาก”

!!



*********************

ดาวฆ่าคนอีกแล้ว ไปแล้วท่านรัฐมนตรีของเรา ในที่สุดท่านก็จากเราไปแล้ว ฮรือๆๆ

แต่นิยายยังไม่ถึงครึ่งเรื่อง ยังต้องมีคนตายอีกเยอะ อุ๊ป!!! 555 งานโหดก็มา

ไว้อาลัยให้รัฐมนตรีโจเซฟแปบ เดี๋ยวตอนหน้ามาปลอบใจ สัญญาๆ แหะๆๆ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 22 (50% ยังไม่มีชื่อตอน อ่านแล้วตั้งให้ด้วย555) 



ออสเซนเทียเข้าสู่ช่วงปลายของฤดูหนาว แต่ยังคงมีหิมะโปรยปลายลงมาอยู่ในบางช่วง แม้หิมะจะไม่ตกหนักมาก แต่พื้นที่บริเวณรอบปราสาทราชวัง ก็ยังถูกปกคลุมด้วยความขาวโพลนเต็มไปหมด หลังคาปราสาทยังถูกหิมะเกาะหนา รวมไปถึงยอดโดมสูงของวิหารและป้อมต่าง ๆ รวมทั้งต้นไม้ในสวนที่ถึงจะมีการเก็บกวาดอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนว่าทุกที่ก็ปกคลุมไปด้วยหิมะและความหนาวเย็นไปหมด บนทางเดินภายในหอกลางอันเป็นอาคารรัฐสภาของออสเซนเทีย ร่างเพรียวระหงเดินนำร่างสูงใหญ่ของอัศวินประจำตัวไปตามทางเดิน ทั้งสองคุยกันไปเงียบ ๆ





“เซอร์เลนนี่” จูเลียนหยุดเท้าที่กำลังจ้ำเดิน หันกลับไปหาอัศวินประจำตัวในชุดเกราะสีทองเรืองรอง

“ฝ่าบาท”

“คือ ข้า..” เพราะจูเลียนตัวเล็กกว่ามาก เลนนี่จึงต้องก้มลงเอียงคอมองนายเหนือหัวรอรับบัญชา

“ฝ่าบาทมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ”

“ข้าจะถามว่า ฮานส์” เลนนี่ยิ้มบาง ๆ ให้เจ้านายตัวน้อยที่มีท่าทางประหม่า ราวขัดเขินกับสิ่งที่กำลังจะพูด

เขาอมยิ้มถาม “ฮานส์ทำไมหรือฝ่าบาท”

“ตั้งแต่กลับมา...” จูเลียนหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วถอนหายใจหนัก ๆ ออกมาสีหน้าครุ่นคิด เลนนี่เข้าใจทันทีว่ากษัตริย์หนุ่มน้อยคงคิดถึงและอยากเจอฮานส์

“ฮานส์พักอยู่ที่ป้อมของข้าฝ่าบาท ถ้าทรงโปรดให้เขาเข้าเฝ้าหลังประชุมสภา ข้าจะตามตัวให้”

ไม่รู้จะโกรธให้กับอะไรดี แต่ก็รู้ว่าตัวเองกำลังไม่พอใจ จูเลียนเลยทำหน้างอมันเสียดื้อ ๆ “ไม่! ข้าแค่ถามดู เพราะเขาเคยช่วยเหลือข้าหรอกนะ”

“ข้าจะรับรองเขาเป็นอย่างดีฝ่าบาท”

“เรื่องของท่านสิ เพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” เลนนี่เพียงยิ้มบาง ๆ ให้นายเหนือหัวไม่ตอบคำ

“จูเลียนได้เวลาแล้ว” นิโคลบอกพลางเดินเข้ามาสมทบ ทั้งหมดจึงเดินเข้าห้องประชุมสภาที่สมาชิกทุกคนรออยู่แล้ว



การประชุมเคร่งเครียดเริ่มขึ้น หลังจากงานศพของรัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจของออสเซนเทียเสร็จสิ้นลงได้ไม่กี่วัน การตายของโจเซฟไม่ใช่เรื่องที่จะปิดบังกันได้ง่าย ๆ แม้จะจัดการกับงานศพกันเงียบ ๆ แต่ก็ใช่ว่าไม่มีผู้รู้เห็น ผู้คนรู้เพียงว่ารัฐมนตรีเฒ่าผู้อาวุโส จากตระกูลเก่าแก่ของออสเซนเทีย ถูกลอบสังหารอย่างเลือดเย็นในห้องทำงานของตัวเอง แต่ไม่สามารถจับฆาตกรโหดได้ ผู้พบศพคนแรกคือโทมัสน้องชายต่างแม่ผู้เกิดแต่อนุภรรยา ที่บางครอบครัวได้รับการเลี้ยงดูราวกับชนชั้นต่ำ แต่โจเซฟกลับให้ความเมตตาน้องชายครึ่งสายเลือดอย่างเท่าเทียมด้วยความรัก นั่นคือสิ่งที่ผู้คนต่างรับรู้ ภาพความเสียใจของโทมัสได้รับความเห็นอกเห็นใจจากทุกฝ่าย แต่แม้จะเป็นบุคคลสำคัญระดับรัฐมนตรีของประเทศ งานศพกลับจัดขึ้นเงียบ ๆ ด้วยว่าการถูกฆ่าตายถึงในเขตที่ได้รับการคุ้มกันความปลอดภัยอย่างแน่นหนา อาจจะสั่นคลอนไปถึงความเชื่อมั่นของชาวเมือง



หลังงานศพของโจเซฟ สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำกันเป็นการด่วนนั่นก็คือ การหาผู้ที่เหมาะสมเพื่อแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีทำหน้าที่แทน เพราะตำแหน่งนี้จะปล่อยทิ้งไว้ให้ว่างนานนักก็ไม่ได้ การประชุมใหญ่จึงจัดขึ้นในวันนี้ ทุกฝ่ายลงความเห็นเลือกเฟ้นหาคนที่เหมาะกับตำแหน่งนี้ที่สุด แต่เมื่อมีสมาชิกจากหลายฝ่ายเข้าร่วมประชุม ความเห็นก็แตกแยกออกเป็นหลายทาง



“เราไม่ควรให้เกียรติท่านโจเซฟ และตระกูลอันเก่าแก่ที่รับใช้ราชวงศ์มานานหรอกหรือ” สมาชิกคนหนึ่งเอ่ยแสดงความคิดเห็นขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขายังยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติ ในการสืบทอดอำนาจจากรุ่นสู่รุ่นแบบเก่าอย่างเคร่งครัด

“เรามีมติเป็นเอกฉันท์แล้ว ว่าลอร์ดนิโคลคือผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งรัฐมนตรีที่สุด” นั่นคือข้อสรุปของวุฒิสมาชิก กล่าวโดยเฮมานหัวหน้าที่ปรึกษาอาวุโสของสภา

“ข้าเห็นด้วย” จูเลียนเอ่ยขึ้นอย่างพอใจ แล้วจึงหันไปหาลอร์ดผู้พี่ “ท่านพร้อมรับตำแหน่งหรือไม่ลอร์ดนิโคลัส” แม้จะมีผู้ไม่เห็นด้วย ว่านิโคลควรรับตำแหน่งนี้ เพราะอาจจะเป็นการดึงอำนาจกลับคืนสู่ตระกูลออสติน ผ่านการแต่งตั้งให้นิโคลัส ออสตินเป็นรัฐมนตรี แต่ทุกคนก็หันไปมองลอร์ดหนุ่มเป็นตาเดียว รอฟังการตัดสินใจของเขา

“ฝ่าบาท ที่ปรึกษาและสมาชิกทุกท่าน” นิโคลเรียกทุกคนในที่ประชุม กวาดตามองไปรอบห้องด้วยท่าทางที่ดูสุขุมทรงอำนาจ “สำหรับตำแหน่งรัฐมนตรี มีการสืบทอดโดยตระกูลเก่าแก่ของอดีตรัฐมนตรีโจเซฟมายาวนาน โดยทางสภาจะเลือกเฟ้นจากผู้ที่มีความสามารถที่สุด และเหมาะสมที่สุดในตระกูล ซึ่งวันนี้เราไม่มีท่านโจเซฟแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งนี้อยู่”

“แต่ตามกฎมนเทียรบาล เราไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีมาจากการสืบทอดอำนาจเสมอไปนะลอร์ดนิโคล เราเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุดจากเหตุผลอื่นได้” หนึ่งในสมาชิกสภาเอ่ยขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาสนับสนุนการดึงอำนาจคืนสู่เจ้าของอำนาจเดิมเต็มที่

“ข้อนั้นข้ารู้ แต่ข้าก็ยังอยากขอเสนอไม่ให้เรามองข้าม ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากท่านโจเซฟมากที่สุด น้องชายของเขา” นิโคลหันไปทางโทมัสที่นั่งอยู่เกือบสุดปลายแถว

“ลอร์ดนิโคล ท่านหมายถึงโทมัสหรือ”

“แน่นอนข้าหมายถึงโทมัสท่านเฮมาน เขาเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด” นิโคลค้อมศีรษะลงช้า ๆ น้ำเสียงที่ตอบรับหนักแน่นมั่นใจ

“แต่เขา..”

“ข้าไม่เหมาะกับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะยังมีภารกิจที่จะต้องไปทำ” นิโคลปฏิเสธด้วยเหตุผลของภารกิจที่ยังทำไม่สำเร็จ อันเป็นหน้าที่ที่เขายังต้องรับผิดชอบ

“ข้าว่าเรายกเรายกเลิกภารกิจของท่านได้นะลอร์ดนิโคล” จูเลียนเสนอขึ้น เพราะเห็นว่าเป็นตัวเองที่ยัดเยียดภารกิจนี้ให้พี่ชาย โดยที่นิโคลไม่เต็มใจรับ

“ฝ่าบาท ภารกิจกับสวาเนียร์ไม่ใช่เรื่องขำขันที่เราคุยเล่นตอนจิบชายามบ่าย” เขาท้วงเสียงเรียบ แต่มีเพียงจูเลียนเท่านั้นที่รู้ว่าพี่ชายกำลังตำหนิ ทั้งที่นิโคลยังดูท่าทางใจดี และให้เกียรติน้องที่นั่งอยู่สูงกว่าในฐานะกษัตริย์

“ข้ารู้ แต่ท่านไม่จำเป็นต้องไปแล้วก็ได้นี่”

“นั่นไม่ใช่ภารกิจเพียงอย่างเดียวที่ข้าต้องทำ หากสมาชิกทุกท่านไว้วางใจยกตำแหน่งรัฐมนตรีให้ข้า ก็ควรจะมั่นใจว่าตัวเลือกที่ข้าเสนอมารับตำแหน่งแทน จะมีความสามารถไม่น้อยไปกว่าความสามารถของข้าที่พวกท่านมองเห็น” สมาชิกหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย

“ถ้าท่านต้องการอย่างนั้น พวกข้าก็คงไม่มีอะไรจะขัดแล้วลอร์ดนิโคล” เฮมานพูดขึ้นหลังจากที่สมาชิกในสภา หันไปถกเถียงปรึกษากันอยู่ครู่ใหญ่ โทมัสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นวาระอื่น ๆ ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเพื่อแก้ปัญหากัน จนเวลาของการประชุมในวันนี้ผ่านไปทั้งวัน การประชุมเสร็จสิ้นลงในที่สุด



/////////



“ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” จูเลียนบ่นขึ้นทันทีที่กลับมาถึงปราสาทของตัวเอง ลีโอที่เฝ้ารอการกลับมาของเจ้านายเหนือหัวอยู่แล้ว รีบเข้ามารับใช้ดูแล

“เจ้ายังต้องเหนื่อยกว่านี้อีกจูเลียน” นิโคลบอกเมื่อเดินเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าน้องชาย

“นี่ข้าก็ยอมนั่งประชุมมาทั้งวันแล้วนะ ยังต้องทำอะไรอีก”

“พรุ่งนี้เจ้ายังมีงานต้อนรับราชทูตจากต่างประเทศ ที่จะเข้าเฝ้าแสดงความยินดีที่เจ้าปลอดภัยกลับมา อย่าลืมว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เราปิดข่าวไม่ได้ พวกที่จับตาดูอยู่มันจะตามเราทุกฝีก้าว”

“ข้ารู้หรอกน่านิโคล” จูเลียนบอกแล้วเม้มปากแน่นขัดใจ ตอนนี้กลับมาถึงปราสาทของตัวเองแล้ว แต่ยังไม่ทันได้พักเลย เพราะพี่ชายยังตามมาด้วยเรื่องงานอีกหลายเรื่อง คนรักหรือก็ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่วันที่มาถึง อะไร ๆ ดูไม่ถูกใจจูเลียนไปหมดเสียทุกอย่าง

“ว่าแต่พี่เถอะ จะไปสวาเนียร์เมื่อไหร่”

“เมื่อข้ามั่นใจว่าเจ้าพร้อมบริหารบ้านเมืองอย่างเต็มที่ ตอนที่ข้าไม่อยู่ และเจ้าต้องปลอดภัยจริง ๆ “

“ขนาดนี้ข้ายังไม่ปลอดภัยอีกหรือไงนิโคล” จูเลียนมองออกไปทางช่องหน้าต่าง เบื้องหน้าคือด้านข้างของตัวปราสาทที่จัดเป็นส่วนหย่อมเล็ก ๆ ไว้ให้ชื่นชมทัศนียภาพยามมองออกไปโดยเฉพาะ แต่ดวงเนตรสีสวยกลับไม่ได้ให้ความสนใจต้นไม้ใบหญ้าในสวนนั้นเลยสักนิด แค่จูเลียนเห็นเหล่าทหารที่เดินเวรยามอยู่รอบ ๆ ก็ไม่มีอารมณ์ชื่นชมอะไรแล้ว

“ยังหรอก ตราบใดที่เจ้ายังเป็นจูเลียน เจ้าไม่มีวันปลอดภัย!”

“พี่พูดอย่างกับว่าข้าจะเป็นคนอื่นได้อย่างนั้นแหละ” หนุ่มน้อยค้อนพี่ชายตาคว่ำ จนลีโอต้องก้มหน้าลงกลั้นเสียงหัวเราะ เพราะอดขำท่าทางกระเง้ากระงอดของจูเลียนไม่ได้

“ใช่เจ้าเป็นคนอื่นไม่ได้จูเลียน” นิโคลบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง คล้ายจะย้ำว่านอกจากจูเลียนจะเป็นคนอื่นไม่ได้แล้ว ภาระหน้าที่ที่ติดตัวจูเลียนมา ก็ถ่ายเทไปให้คนอื่นรับผิดชอบแทนไม่ได้เช่นกัน ข้อนั้นจูเลียนเองก็รู้ดี

“เห็นไหมล่ะ”

“แต่เจ้าระวังตัวได้”

“ข้าระวังตัวเองดีที่สุด อัศวินทั้งสี่ก็อยู่ พี่น่าจะไปหาเจ้าสาวของพี่ได้แล้วนะ”

“ข้าจะไปเร็ว ๆ นี้ล่ะ”

“เดินทางพรุ่งนี้เลยเป็นไงนิโคล พี่ไปเถอะจะได้จบ ๆ ไปสักที เจ้าสาวของพี่คงรอจนเบื่อแล้ว”

“หึ” นิโคลเพียงแค่นหัวเราะอยู่ในลำคอ เมื่อจูเลียนพูดถึงเจ้าสาว ในใจลอร์ดหนุ่มกลับไม่ได้คิดถึงเจ้าหญิงแสนสวย ผู้ซ่อนความร่านราคะไว้ภายใต้ความอ่อนหวานเลยสักนิด นอกจากใบหน้านวลขาวราวน้ำนม กับนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างเป็นประกาย ที่เปิดเผยทุกความรู้สึกยามมองสบตากัน แม้เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสวยจะไม่รู้ตัวสักนิด



คนนั้นต่างหากที่อยากให้เป็นเจ้าสาวตัวจริง

ลอเรน กวางน้อยแห่งสวาเนียร์



“นิโคล”

“อะไร”

“พี่ยิ้มน่ากลัว”

“เปล่านี่”

“ข้าเห็น”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า” นิโคลเผยยิ้มอ่อนให้น้อง ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาส่ายน้อย ๆ ไม่ใช่เพื่อจูเลียน แต่เพื่อตัวเขาเองที่เผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปไกลถึงกวางน้อยตัวนั้น ทั้งที่ปกติก็คิดอยู่แล้ว พอถูกน้องชายถามถึงเลยเผลอคิดไปไกล จนลืมว่ากำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน และตอนนี้อยู่ห่างไกลกันมากขนาดไหน ไม่รู้ปานนี้กวางน้อยของเขาจะทำอะไรอยู่

“นั่นไงพี่ยิ้มแปลก ๆ ” จูเลียนจ้องหน้าพี่ชายเขม็งราวค้นหาพิรุธจับผิด นิโคลได้แต่ยิ้มอ่อนให้น้อง เกศานุ่มดุจเส้นไหมสีน้ำตาลอ่อนของจูเลียน ถูกนิโคลยีจนยุ่งพันกัน ลอร์ดผู้พี่รั้งร่างเพรียวระหงเข้ามากอดอย่างแสนรัก มอบจุมพิตกลางหน้าผากน้องน้อยหนัก ๆ แล้วจึงบอก

“ข้าต้องไปเตรียมตัวแล้ว”

“ข้ารักพี่จังนิโคล” จูเลียนแนบปรางนวลลงกับอกกว้างของพี่ชาย สองแขนกอดรัดร่างสูงสง่าไว้แน่น

“ข้าก็รักเจ้าจูเลียน เจ้าทั้งสองคนเลย ดูแลทาร์เทียน่าด้วย”

สองพี่น้องยิ้มให้อย่างรู้กัน “ถ้านางยอมนะ”

ต่อค่ะ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เบื้องหน้าคือทะเลกว้างใหญ่ ส่งคลื่นสาดซัดกระหน่ำเข้าสู่ฝั่งลูกแล้วลูกเล่า ราวกำลังระบายโทสะและความพิโรธ เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ มาพร้อมลมทะเลที่พัดเข้าหาฝั่งรุนแรงจนยากจะต้านทาน แต่ร่างสูงโปร่งที่ยืนทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย กลับหาได้สนใจในความพิโรธของคลื่นและลมไม่ ยังยืนต้านแรงปะทะที่ตีเข้าหาอย่างไม่สะทกสะท้าน อาภรณ์เนื้อดีกับเส้นผมยาวสีเงินยวงปลิวสะบัดไปตามลม ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างทอดมองออกไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า ไม่จับจ้องนิ่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรือบรรทุกสินค้าสองลำ ที่ทอดสมอรอการขนถ่ายของลงจากเรือ เรือประมงลำเล็ก ๆ ที่กระจายตัวหาปลาอยู่ไกลออกไปอีกหลายลำ หรือแม้กระทั่งฝูงนกที่บินร่อนอยู่ในอากาศ มีฉากหลังเบื้องล่างเป็นน้ำทะเลสีฟ้าครามกว้างสุดสายตา ฉากหลังเบื้องบนเป็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ตัดกับปุยเมฆสีขาวที่ลอยประดับอยู่ประปราย ดูเป็นภาพความลงตัวของธรรมชาติที่สวยงามกลมกลืน



ทุกสรรพสิ่งที่ควรจะเป็นเป้าสายตาเพื่อความอภิรมย์ถูกหมางเมินไปสิ้น เพราะเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสวยเอาแต่ยืนนิ่ง ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไร้จุดหมาย ท่ามกลางก้อนหินขนาดต่าง ๆ ที่โผล่พ้นผิวน้ำ ร่างสูงโปร่งยืนอยู่บนโขดหินก้อนใหญ่ที่สุดกลางสายน้ำ โขดหินถูกกระหน่ำตีด้วยคลื่นลูกแล้วลูกเล่า น้ำที่กระเซ็นจากแรงปะทะเปื้อนอาภรณ์ที่สวมใส่เป็นด่างดวง แต่เจ้าของร่างสูงโปร่งยังคงเพิกเฉยต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ด้วยว่าในใจกำลังถูกตีด้วยคลื่นอารมณ์และความรู้สึก ปัญหาที่ถาโถมประเดประดังเข้ามาปะปนกันจนสับสนไปหมด



เจ้าของร่างสูงโปร่งถอนหายใจหนัก ๆ ออกมานับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ก้าวขาขึ้นมายืนโต้ลมทะเลบนโขดหินแห่งนี้ พร้อมหัวใจที่หนักอึ้งไปด้วยปัญหา หัวใจที่แบกรับภาระหน้าที่ติดตัวมาแต่เกิด ลอเรนเรียกร้องหาความเป็นอิสระ ทั้งที่รู้ว่าสิ่งนั้นมันไม่มีวันเป็นของเขา ใจลอเรนเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นของตัวเอง รวมถึงลอร์ดต่างเมืองพระองค์นั้น ที่ประทับในดวงฤทัยทันทีเมื่อแรกพบ แต่ทำได้เพียงเก็บงำไว้ในความรู้สึกซ่อนเร้น



จากหลายวันผ่านไปจนสุดท้ายกลายเป็นเดือน วันสุดท้ายใครคนนั้นแทนคำล่ำลาด้วยคำพูดประโยคหนึ่ง ที่ลอเรนเข้าใจแต่ไม่อาจทำตามได้



“ทบทวนความรู้สึกของเจ้าให้ดี แล้วข้าจะกลับมาเอาคำตอบ” คำสั่งถือดีที่ลอร์ดแห่งออสเซนเทียทิ้งไว้ให้ ยังดังก้องอยู่ในหูและกังวานไปถึงหัวใจ เรื่องความรู้สึกที่แอบซ่อนเร้นไว้นิโคลไม่รู้แน่ อย่างที่ลอเรนเข้าใจจริงหรือ หากไม่รู้แล้วไยเอ่ยเช่นนั้นออกมา คำสั่งถือดีที่บังอาจสั่งให้ลอเรนทบทวนความรู้สึกตัวเอง เพื่อให้คำตอบกับคนที่จะหวนคืน ราวนั่นเป็นคำข่มขู่เร่งรัดให้ตัดสินใจ คำตอบที่ลอเรนไม่มีให้ หรือถึงจะมีก็คงไม่อาจเอื้อนเอ่ยให้รับรู้ นอกจากเก็บงำมันไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียว มันจะไม่มีวันนั้น คือสิ่งที่ลอร์ดแห่งสวาเนียร์เฝ้าภาวนา



ลอเรนถอนหายใจอีกครั้ง เรื่องหนักใจภายในที่ยังไม่ทันได้คลี่คลาย ข่าวล่วงหน้ามาก่อนถึงกำหนดการของลอร์ดแห่งออสเซนเทีย ในการเยือนสวาเนียร์เพื่อทำภารกิจค้างคาให้เสร็จสิ้น จะมีขึ้นในเร็ววันนี้ ถึงตอนนั้นลอเรนคงเลี่ยงการเผชิญหน้าไม่ได้



ลอเรนที่ยืนอยู่ท่ามกลางภาระหนักอึ้งบนบ่า กำลังฝืนเสียงเรียกร้องของความรู้สึก เพราะสิ่งเดียวที่ต้องมาก่อน และคิดถึงเป็นอย่างแรกคือผลประโยชน์ของบ้านเมือง มีเรื่องราวหลายอย่างที่สลับซับซ้อน จนต้องค่อย ๆ เรียบเรียงคิดทีละอย่าง แต่ในเมื่อคนแก้ปัญหาไม่ใช่คนสร้างปัญหา จึงเดาผลลัพธ์ของมันได้ไม่ยาก โดยเฉพาะปัญหาใหม่ของอนาสตาเซียที่เพิ่งได้รับรู้มา ปัญหาที่ทำให้ลอเรนหลีกหนีมายืนปลดปล่อยอารมณ์อย่างเดียวดาย แม้จะหนีได้แค่เพียงชั่วคราวก็ยังดี



ลอร์ดหนุ่มถอนหายใจหนักออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้เหมือนเป็นการบอกตัวเองว่าต้องพร้อมแล้ว กับการกลับไปเผชิญอะไรก็ตามที่รออยู่ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะหันหลังให้ท้องทะเลกว้าง และธรรมชาติที่ประดับฉากทุกอย่าง แต่เพียงแค่หมุนตัวกลับ ร่างสูงโปร่งพลันชะงักงัน ลอเรนยืนนิ่งกับที่ราวถูกสาป ลูกแก้วสีฟ้ากระจ่างเบิกกว้างจับจ้องภาพเบื้องหน้า



ตรงนั้น โขดหินก้อนถัดกันไป ใครคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางเปลวแดด รอบตัวยังยินเสียงคลื่นซัดโขดหิน เสียงลมหวีดหวิว เส้นผมสีน้ำตาลเข้มปลิวไปตามแรงลม แต่ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาที่เฝ้าคิดถึงทุกยาม กลับกระจ่างแจ่มชัดทั้งตอนอยู่ในความรู้สึก และภาพที่เห็นตอนนี้



“ท่าน! “เจ้าของใบหน้าเกลี้ยงเกลาเผยยิ้ม ลอเรนมองอย่างไม่เชื่อสายตา คิดว่าตัวเองกังวลจนเพ้อไป ได้แต่พยายามคลายความตะลึงกะพริบตาปริบ ๆ เพราะตามกำหนดการนั้นอีกหลายวัน ขบวนเสด็จของเจ้าชายจากออสเซนเทียจึงจะเดินทางมาถึง ไม่ใช่วันที่ลอเรนเพิ่งได้รับการแจ้งข่าวเช่นวันนี้



คนที่คิดว่าตัวเองฝันไปค่อย ๆ หลับตาลง ดวงเนตรสีฟ้าสวยถูกบดบังด้วยเปลือกตาบางที่ปิดลงช้า ๆ ราวกับเจ้าตัวอ่อนล้าเต็มที แต่เพียงไม่นานก็ค่อย ๆ เปิดขึ้นอีก คราวนี้ดูอ่อนแรงกว่าตอนปิดลงมากนัก แต่ภาพเบื้องหน้าที่เข้าใจว่าเป็นแค่ภาพฝันยังคงชัดเจนอยู่เช่นเดิม ภาพนั้นไม่ได้หายไปไหน แม้ใจดวงน้อยจะสั่นไหว ลอเรนก็ยังอยากภาวนาต่อทวยเทพแห่งท้องทะเล อยากขอให้สิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นเพียงภาพฝัน หรือตัวเขาเองละเมอเพ้อพกไป เป็นไปไม่ได้ที่ลอร์ดแห่งออสเซนเทียจะมาปรากฏกายตรงหน้าอย่างนี้ ในเวลานี้ เวลาที่ลอเรนยังไม่พร้อม!



“เจ้าดีใจที่ข้ากลับมาจึงอึ้งเลยหรือไงลอเรน” น้ำเสียงสดใสราวล้อเล่นอย่างอารมณ์ดี บอกชัดเจนแล้วว่าไม่ได้ฝัน แต่ลอเรนก็ยังไม่อยากจะเชื่อเสียทีเดียว เสียงที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับจิ้มลิ้ม จึงแผ่วเบาราวกระซิบ

“ลอร์ดนิโคล”

“แน่นอนข้าเอง” นิโคลกระโดดข้ามโขดหินก้าวยาว ๆ เข้ามาหาลอเรน ที่ยังยืนตะลึงค้างอยู่ที่เดิม จนร่างสูงสง่าก้าวช้า ๆ อย่างมั่นคงมายืนตรงหน้า ลอเรนก็ยังเรียกหาสติของตัวเองกลับมาไม่ได้ กระทั่งปรางนวลทั้งสองข้างถูกโอบประคองไว้ด้วยสองมือใหญ่อุ่น ๆ นั่นแล้ว ลอร์ดน้อยถึงได้รู้ตัว

ลอเรนผงะถอยห่าง “ลอร์ดนิโคล ท่าน! “

“ข้าทำไมหรือ” นิโคลรุกโดยการก้าวเท้าตาม คนที่เพียงถอยได้ไม่กี่ก้าวก็จำต้องหยุด ก่อนที่จะตกน้ำให้ได้อาย เพราะยังยืนอยู่บนโขดหิน ถึงแม้จะเป็นโขดหินก้อนใหญ่ที่สุดในบรรดาก้อนหินสูง ๆ ต่ำ ๆ รอบตัว แต่ก็ก้าวได้เต็มที่ไม่เกินห้าก้าวเท่านั้น

“ท่าน..”

“หืม ว่าไงลอเรน ท่าทางเจ้าดูตื่นเต้นมาเลยนะ ดีใจหรือที่ข้ากลับมาหา” พักตร์หล่อเหลาเกลี้ยงเกลากับแววตาอ่อนโยน และน้ำเสียงทุ้มกังวานน่าฟังเช่นนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคนที่ลอเรนเฝ้าคิดถึง เฝ้ารอ ทั้งที่ใจไม่ปรารถนาจะได้พบเจอ คนที่ทำให้ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ขัดแย้งกับตัวเอง

“ท่านอย่าพูดแบบนั้นสิ ข้าไม่ได้ดีใจสักหน่อย” เป็นความจริงที่ลอเรนไม่ได้ดีใจเลยสักนิด ที่เห็นนิโคลอยู่ตรงหน้า แม้คนผู้นี้จะเป็นคนที่เฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเช้าค่ำ แทบจะคิดถึงตลอดเวลา เป็นคนที่อยู่ในใจแบบไม่ทันตั้งตัวนับแต่แรกเจอ แต่ลอเรนกลับไม่ดีใจที่เห็นนิโคลมาถึงก่อนกำหนดการจริง

“ข่าวที่ล่วงหน้ามาก่อน แจ้งกำหนดการท่านจะมาถึงในอีกเจ็ดวันข้างหน้าไม่ใช่หรือ”

“ข้ามาถึงก่อนไม่ดีหรือไง”

“ก็..ไม่” ลอเรนตอบเสียงแผ่วหลบสายตา แม้จะดีใจที่ได้เห็นหน้า แต่กลับไม่ยินดีที่นิโคลมาเร็วกว่ากำหนด ด้วยว่าใจดวงน้อยนั้นยังไม่ทันได้เตรียมตัวกับการพบเจอ

“ทำไมไม่มองหน้าข้าล่ะ” ความผิดปกติที่ลอเรนแสดงออกมา มันมากเกินกว่าความตื่นเต้นหรือตกใจ ที่นิโคลปรากฏตัวต่อหน้าอย่างไม่คาดคิดเสียอีก ราวกับเจ้าของร่างโปร่งกำลังสับสนตัดสินใจอะไรบางอย่างไม่ได้ รวมถึงความตื่นตระหนกเกินควรจะเป็นเสียด้วยซ้ำ นิโคลกวาดตามองเจ้าของใบหน้าขาวนวลอย่างค้นหา รู้ว่าลอเรนมีสิ่งปิดบัง รู้ว่าเรื่องนั้นอาจจะร้ายแรง จนทำให้กวางน้อยตัวสั่นน่าสงสาร แต่จะเค้นคาดคั้นให้รู้เรื่องตอนนี้ก็ใช่ที่



“เจ้าตัวสั่น” อดไม่ได้ที่จะแหย่เล่น ยิ่งเห็นท่าทางประหม่านิโคลยิ่งอยากแกล้ง อยากเอ็นดู

“ข้าไม่ได้สั่น ข้าไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น ท่านถอยออกไปอีกสักหน่อยสิลอร์ดนิโคล”

“แน่ใจหรือลอเรน” ได้ยินอีกคนบอกว่าถอย แต่นิโคลกลับขยับเข้ามาใกล้อีกก้าว ลอเรนก็ถอยออกอีกก้าวจนกระทั่ง

“อ๊ะ! ท่าน เหวอ นิโคล!” เพราะมัวแต่กังวลในการรักษาระยะห่าง ลอเรนลืมไปว่าตัวเองยืนอยู่บนโขดหิน ที่แม้จะเป็นหินก้อนใหญ่ แต่เดินถอยมาหลายก้าวแล้วจึงเสียหลัก และก่อนที่จะหงายหลังตกน้ำ เอวบางใต้อาภรณ์เนื้อดีสวมใส่สบายก็ถูกรวบไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรง นิโคลตวัดคว้าร่างสูงโปร่งเข้าสู่อ้อมกอดรัดแน่น นัยน์เป็นประกายสมใจแกมเอ็นดู

“ท่านชอบแกล้งข้าจริงเชียว” ลอเรนก้มหน้างุดสองมือดันอกแกร่งออกห่าง แต่หากเจ้าของร่างกายใหญ่โตสูงสง่าไม่ยอมปล่อย มีหรือกวางน้อยนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างจะเป็นอิสระได้

“ข้าไม่ได้แกล้ง แต่เจ้านั่นล่ะถอยหลังไปเอง”

“ก็ถ้าท่านไม่ก้าวเข้ามา” ลอเรนเผลอแสดงความรั้นออกมาด้วยการต่อปากต่อคำ เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าใบหน้านวลขาวราวน้ำนมนั้น แดงปลั่งน่ามองจนไม่อาจละสายตาไปมองทางอื่นได้ แต่ในสถานการณ์ชวนใจสั่นเช่นนี้ ลอเรนทำได้เพียงหลบตามองต่ำ ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างเพียงจดจ้องอยู่กับอกกว้างอบอุ่น พอปลายคางเรียวถูกดันให้แหงนเงยขึ้น ลอร์ดแห่งสวาเนียร์จึงเลี่ยงการประสานสายตากันไม่ได้



ลอเรนนิ่งราวถูกดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มสะกด ให้มองอยู่แต่เพียงใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา ความใกล้มันชิดใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารด ลอเรนเหมือนลืมตัวลืมสิ่งรอบข้างไปชั่วขณะ ก้อนเนื้อในอกเต้นกระหน่ำ ราวกับเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างที่โหยหา แต่ยังไม่ทันได้รู้ตัวหลุดจากภาพดุจฝัน ริมฝีปากหยักสีชมพูจางก็ประทับลงมาบนกลีบปากบางรูปกระจับ ลอเรนหลงลืมกำแพงที่ตั้งขึ้น เผยอกลีบปากหวานละมุนต้อนรับรสชาติหวานละไม ที่ใจเฝ้าเรียกร้องปรารถนา



เรียวลิ้นร้ายกาจตักตวงความหวานหวามจนลอร์ดน้อยแทบขาดใจ ร่างโปร่งระหงแทบสิ้นไรเรี่ยวแรง ลอเรนคล้ายหลุดไปในห้วงฝันล่องลอย หากไม่มีอ้อมแขนแข็งแกร่งประคองรองรับ คงกองระทวยลงกับโขดหินแล้ว ความอ่อนโยนของสัมผัสทะนุถนอม ทำลอเรนแทบหลงลืมทุกสิ่งทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วไขว่คว้าร่างสูงมาครอบครองเป็นของตัวเองเพียงผู้เดียว แต่ในความเป็นจริงกลับตรงข้าม ความปรารถนาที่พาล่องลอยราวอยู่ในห้วงฝันเริ่มชัดเจน เพราะถูกความจริงที่ซ่อนไว้เข้าทดแทน ลอเรนเรียกสติตัวเองกลับมา พร้อมกับมือที่ผลักอกกว้างออกห่างจากตัวเองเบา ๆ



“เจ้าหวานเหลือเกินลอเรน” ลอเรนแทบหลอมละลายไปกับเสียงกระซิบออดอ้อนชิดกลีบปาก และสัมผัสอ่อนโยนของปลายจมูกโด่งที่แตะไต่เบา ๆ ไปตามพวงปรางขาวใส ความประหม่าตื่นเต้นเห็นได้จากเลือดฝาดสีระเรื่อ บนแก้มนวลทั้งสองข้าง จนคนมองในระยะประชิดยังยากจะอดใจไหว ลอร์ดออสเซนเทียกลายเป็นภมรหนุ่ม ที่กำลังไล่ชิมความหอมหวานละมุนของพวงปรางสุกปลั่งอย่างได้ใจ จนเจ้าของปรางนวลผละถอยห่างนั่นแล้ว ภมรหนุ่มจึงได้เลิกรา



“ลอร์ดนิโคล ได้โปรดอย่าทำอย่างนี้” ลอเรนพยายามขืนตัวออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผล ใบหน้านวลขาวดูเว้าวอนจนน่าสงสาร

“ทำไมหรือลอเรน” เสียงที่แหบพร่าของนิโคล ตัดกับเสียงคลื่นเสียงลมที่ดังขึ้นอยู่ตลอด แต่เสียงรบกวนเหล่านั้น ก็ไม่ได้ลดความวาบหวามในความรู้สึกลงได้เลย

“ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย เราต่างก็รู้ว่าอยู่ในฐานะไหน ระยะทางจากออสเซนเทียมาถึงนี่ไม่ใช่ใกล้ ๆ ท่านมาเหนื่อย ๆ ควรพักผ่อนก่อน” ลอเรนหาข้ออ้างให้ตัวเองพ้นจากสถานการณ์อันตราย ไม่ใช่นิโคลที่เป็นอันตราย หากแต่เป็นใจของลอเรนเอง ที่ช่างเรียกร้องหาอันตรายให้ตัวเอง เพราะใจดวงน้อยคอยร่ำร้องหาแต่สัมผัสจากลอร์ดตัวสูงอย่างดื้อดึง

“นี่แหละการพักผ่อนของข้า”

“ท่านอย่าพูดในสิ่งที่เข้าใจยากนักเลย เชิญท่านที่ห้องรับรองเถิด ข้าจะส่งคนไปดูแลปรนนิบัติท่านเอง”

“ดูแลปรนนิบัติแบบไหนกันลอเรน”

“ท่านต้องการแบบไหนล่ะลอร์ดนิโคล บอกข้าสิจะได้จัดหาให้ถูกใจ”

“แบบไหนก็ได้ที่เจ้าเป็นคนทำให้ข้าเอง” นอกจากคำพูดที่ทำให้ลอเรนสะท้านไปถึงหัวใจ แววตาที่นิโคลใช้มองก็ไม่ยิ่งหย่อนน้อยไปกว่ากัน ที่ช่างขยันทำให้ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ใจสั่นได้ตลอด ด้วยเพราะมีใจให้เขาอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แค่คำหวาน คำออดอ้อนวอนขอเพียงไม่กี่คำ ใจดวงน้อยมันก็คอยแต่จะเอนเอียงเข้าหา



“ท่านอย่าพูดเป็นเล่นไปเลย พรุ่งนี้ท่านพร้อมเข้าเฝ้ากษัตริย์ของเราหรือไม่”

“เข้าเฝ้าทำไม” นิโคลขมวดคิ้วมุ่น ด้วยว่าสงสัยจริง ๆ หมายที่ถูกกำหนดไว้นั้นคือหลังจากที่เขาเดินทางมาถึง ไม่ใช่วันพรุ่งนี้เพราะเขาเดินทางมาก่อนหมายกำหนดการจริง เพื่อธุระส่วนตัว

“อ้าว ก็ท่านมาถึงแล้วเราก็ควรจะเริ่มเรื่องที่เราตกลงกันไว้เลยไม่ใช่หรือ” เพราะความใจร้อน อยากทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นโดยไว ลอเรนจึงมีสีหน้าฉงนไม่เข้าใจที่นิโคลถามกลับมาเช่นนี้

“ข้ามาถึงก่อนกำหนดตั้งหลายวันนะลอเรน นี่ใจคอเจ้าจะไม่ให้ข้าพักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนหรือไง มาถึงก็จะใช้งานข้าทันที สวาเนียร์หรือข้าก็ยังเที่ยวไม่ทั่วเลย” นั่นแหละลอเรนจึงเพิ่งรู้ตัว ว่าตัวเองใจร้อนเกินไปจนเสียมารยาท ลอร์ดน้อยแห่งสวาเนียร์ถอยห่างอย่างเจียมตัว ค้อมหัวลงแทนการขออภัยก่อนเอยคำ

“อภัยด้วยที่ข้าเร่งรัด แต่หลังจากแต่งงานกับอานาสตาเซีย ท่านจะไปเที่ยวไหนก็ได้นี่” นิโคลแอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่เหมือนลอเรนเองก็คงได้ยิน ถึงได้แหงนหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาสวยแฝงแววเศร้าไม่รู้เกิดจากสาเหตุใด แต่เขาหวังอยากให้ลูกแก้วสีฟ้าสว่างใสคู่นั้น กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนครั้งแรกที่ได้เจอ

“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้ากลับมาเพื่อการแต่งงานกับท่านหญิงอานาสตาเซียโดยเฉพาะ” ลอเรนปวดแปลบในอก ดูเหมือนนิโคลจะเน้นน้ำหนักเสียงเหลือเกิน เมื่อเอ่ยชื่อน้องสาวของเขา “แต่ไหน ๆ ข้าก็มาถึงก่อนกำหนดการแล้ว ข้าอยากล่องเรือออกไปเที่ยวในทะเล เจ้าจะกรุณาเป็นคนพาข้าไปได้หรือไม่”

“ข้า..”



***************** 50% *****************

อาจจะมาช้าหน่อย แต่ก็มาแน่นวล 

สงสารลอเรนจังเลย โดนจูบทั้งที่อยากจูบ และไม่อยากจูบ อ้าว!!

แต่ครึ่งหลังใครจะโดนอะไร เดี๋ยวรู้กัน 


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
  เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ ตอนที่ 22 (100%)



“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้ากลับมาเพื่อการแต่งงานกับท่านหญิงอานาสตาเซียโดยเฉพาะ” ลอเรนปวดแปลบในอก ดูเหมือนนิโคลจะเน้นน้ำหนักเสียงเหลือเกิน เมื่อเอ่ยชื่อน้องสาวของเขา “แต่ไหน ๆ ข้าก็มาถึงก่อนกำหนดการแล้ว ข้าอยากล่องเรือออกไปเที่ยวในทะเล เจ้าจะกรุณาเป็นคนพาข้าไปได้หรือไม่”

“ข้า..”

นิโคลมองข้ามท่าทางลำบากใจของลอเรน ส่งสายตาเว้าวอนรุกต่อ “ข้าไม่เคยไปเลยนะลอเรน เจ้าก็รู้ออสเซนเทียไม่มีอาณาเขตติดทะเล”

“แต่....” เจ้าของพักตร์หล่อเกลี้ยงเกลาขยับเข้าหาร่างสูงโปร่งอีกก้าว แต่ลอเรนยังนิ่งคิดหนัก เห็นได้จากท่าทางลังเลลำบากใจ นิโคลยกมุมปากเหมือนจะยิ้ม อยากขำคนตรงหน้า แต่ที่แสดงออกมาตอนนี้มีเพียงความนิ่ง เขาใช้ความนิ่งต้อนกวางตัวน้อยอย่างใจเย็น

เห็นลอเรนลังเลนิโคลเลยแกล้งสบประมาท “หรือเจ้าไม่เคยออกเรือกลางทะเลลอเรน”

“ชายชาวสวาเนียร์ต้องเคยออกเรือทุกคนอยู่แล้ว” น้ำเสียงถือดีของลอเรนยิ่งทำให้นิโคลสนุก เมื่อเจ้าตัวบอกแล้วสะบัดพักตร์นวล หันไปมองทางอื่นอย่างไม่พอใจ ท่าทางแง่งอนอย่างนั้น จุดรอยยิ้มบนใบหน้าของลอร์ดออสเซนเทียขึ้นมาได้ทันที นิโคลอมยิ้ม ตาจับอยู่กับซีกแก้มขาวนวลซับสีระเรื่อไม่วางตา ผิวขาวนวลราวน้ำนมอย่างนี้ยากจะเชื่อ ว่าเคยอยู่กับท้องทะเลและเปลวแดด แต่เหมาะจะอยู่ในปราสาทอบอุ่น ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาในฤดูหนาวของออสเซนเทียเสียมากกว่า นิโคลคิดไปถึงผิวขาวนวลยามต้องแสงเทียนสีส้มอ่อน ที่คงจะเป็นประกายน่ามอง และเนียนนุ่มน่าสัมผัส



นิโคลใช้น้ำเสียงหยอกเย้าเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้น ชายชาวสวาเนียร์อย่างเจ้าก็พาข้าไปเที่ยวได้สิ”

“ท่านล้อเลียนข้าหรือลอร์ดนิโคล!” ลอเรนถามกลับเสียงดุที่หันกลับมาเห็นนิโคลยิ้มกว้าง

“เจ้าน่าเอ็นดูออก ข้าจะล้อเลียนได้อย่างไร ตกลงนะ พาข้าออกเรือสักสองสามวัน”

“แต่...”

“ไม่ได้หรือกวางน้อย แค่ข้ากับเจ้า หรือเจ้ากลัวไม่อยากอยู่กับข้าเพียงลำพัง ข้าดูน่ากลัวมากหรือไง” นิโคลอาจจะอบอุ่นน่าอยู่ใกล้สำหรับคนอื่น แต่ลอเรนที่ในใจเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกที่มีให้ นิโคลถือเป็นบุคคลอันตรายที่สุด ด้วยว่ามีใจให้แต่ไม่อาจเผยใจว่ารัก จึงพยายามสร้างกำแพงกั้น ลอเรนไม่รู้ตัวเลยว่ากำแพงที่สร้างไว้มันไม่ได้แข็งแรงสักนิด และจะถูกทำลายลงได้ง่าย ๆ ทุกเมื่อ เพียงนิโคลเปล่าลมหายใจเบา ๆ ไล่มันออกไป

“ข้า ข้ามีราชการต้องดูแลคง..”

“เจ้าหายไปวันสองวันสวาเนียร์คงไม่ถึงกับล่มจมหรอกกระมัง”

“แต่..”

“หรือเจ้ารังเกียจว่าที่น้องเขยอย่าข้า ที่อยากไปหาประสบการณ์กลางทะเล นั่นสินะเจ้าคงคิดว่ามันไม่เหมาะสม อภัยด้วยก็แล้วกันข้าขอตัวก่อน” นิโคลทิ้งสายตาผิดหวังให้ลอเรนแล้วหันหลังกลับ แต่ยังไม่ทันได้กระโดดข้ามไปยังโขดหินอีกก้อน เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นข้างหลัง จุดรอยยิ้มร้ายบนใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา หากใครได้เห็นคงไม่เชื่อว่านี่คือรอยยิ้มของลอร์ดนิโคลผู้อบอุ่นละมุนละไม

“ก็ได้” เนตรสีฟ้ากระจ่างจับอยู่กับแผ่นหลังกว้าง ของคนที่เร่งเร้าอยากออกเรือเที่ยว นิโคลถือเป็นลอร์ดคนสำคัญ ทรงอำนาจพอที่จะช่วยให้สวาเนียร์เปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดีขึ้นหลายอย่าง หากได้รับการส่งเสริมหนุนหลังจากเขา ลอเรนจึงต้องหาทางทำทุกอย่าง เพื่อให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมั่นคง!



ด้วยสิ่งที่กำลังทำ ลอเรนต้องแน่ใจว่าความสัมพันธ์จะมั่นคง และมีหลักประกันว่ามันจะไม่ถูกสั่นคลอนง่าย ๆ และทางนั้นคือการแต่งงานระหว่างนิโคลกับอานาสตาเซีย แล้วมีทายาทนั่นเอง



***********************



“เจ้าหายไปไหนมาทั้งวัน”

“แถวนี้”

“ไม่น่าเชื่อว่าคนร่อนเร่หลีกหนีการอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งอย่างเจ้า จะให้เกียรติอยู่ที่ป้อมข้าเป็นนานสองนานขนาดนี้” เลนนี่อดไม่ได้ที่จะกระแนะกระแหนเพื่อนรักแกมประชด เพราะถึงแม้ฮานส์จะพักอยู่ที่ป้อมปราการของเขานานที่สุด เท่าที่เคยอยู่มา แต่ละวันเลนนี่กลับแทบจะไม่ได้เห็นหน้า ด้วยว่าเพื่อนรักออกไปนั่นมานี่อยู่ตลอด ราวกับคนมีธุระมากมาย ซึ่งธุระของฮานส์ก็คงจะไม่พ้นร้านเหล้า หรือหอคณิกานางโลมในเมือง

“หึ” ฮานส์แค่นเสียงออกมาจากลำคอเบา ๆ ใจคิดไปถึงบ้านหลังน้อยในหมู่บ้านทางเหนือ ที่สองผัวเมียเจ้าของบ้านให้การต้อนรับเขา ราวกับเป็นลูกชายคนหนึ่ง และน้องสาวตัวน้อยน่ารัก กระนั้นครอบครัวเล็ก ๆ ที่อบอุ่น ก็ยังไม่อาจรั้งหัวใจที่พร่ำเพรียกหาแต่อิสระของเขาได้ ฮานส์จากไปแต่ก็หวนกลับคืนสู่บ้านหลังน้อยทุกครั้งที่มีโอกาส จนสองผัวเมียจากไปทิ้งไว้แต่น้องสาวตัวน้อย ที่เติบโตขึ้นมาเป็นสาวน้อยสวยสะพรั่ง แต่การกลับไปของเขาครั้งสุดท้าย กลับทำให้นางต้องจากไปตลอดกาล ตอนนี้ฮานส์เหมือนอยู่ตัวคนเดียว ไม่เหลือใครที่เขาเรียกว่าเป็นครอบครัว ถ้าไม่นับเพื่อนรักอย่างเลนนี่

“เจ้าคิดจะเดินทางต่อหรือยัง” เลนนี่ถามพลางเดินมานั่งลงบนเบาะนุ่มหน้าเตาผิง ข้างฮานส์ที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่อย่างสบายอารมณ์ ในมือถือแก้วก้านยาวทรงสูง น้ำองุ่นหมักสีม่วงอมแดงเข้มคล้ำในแก้วพร่องไปเกือบหมด

“ไล่ข้า?” ฮานส์เลิกคิ้วขึ้นทำตาโต เสแสร้งแกล้งถามอย่างตกใจ ทั้งที่ความจริงเขาไม่ได้สะทกสะท้านเลยสักนิด

“หึ” คราวนี้เป็นทีของเลนนี่ที่ต้องแค่นเสียงหัวเราะออกมา ชายหนุ่มทั้งสองต่างรู้จักกันดีเกินไป เลนนี่รู้ว่าเพื่อนรักจะอยู่เมื่ออยากอยู่จริง ๆ ไล่ยังไงก็ไม่ไป และถ้าอยากจะไปเมื่อไหร่ ต่อให้เขารั้งยังไงฮานส์ก็ไม่อยู่ และใครก็รั้งไม่ได้

“เจ้าไม่คิดจะเข้าเฝ้าจูเลียนบ้างหรือไง” อยู่ดี ๆ เลนนี่ก็ถามคำถามนี้ออกมา เป็นคำถามที่ไม่คาดคิดจนคนถูกถามหัวคิ้วกระตุก

“มีคำสั่ง? “ในคำถามไม่มีแววของความตื่นเต้น ไม่มีแม้กระทั่งท่าทางสนใจมากไปกว่าแก้วไวน์ในมือ ที่ฮานส์กำลังเอาสายตาไปจับจ้องมัน ราวกับสนใจว่าช่างผลิตมันขึ้นมาได้อย่างไร ต้องใช้ความประณีตละเอียดลออมากแค่ไหน ถึงจะได้แก้วทรงสวยที่ดูอ่อนช้อยงดงาม และบอบบางน่าทะนุถนอมได้ขนาดนี้

“ไม่มี”

“แล้วเพื่ออะไรล่ะ?” เลนนี่เพียงยักไหล่เมื่อฮานส์ถามกลับ พลางยืดตัวขึ้นหยิบเหยือกที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ มาเติมไวน์ให้ตัวเอง แล้วยกขึ้นจิบในแบบของเขา หากเป็นเลนนี่ต้องเรียกว่าดื่ม หรืออะไรที่มากกว่าในกิริยาอย่างนั้น เพราะฮานส์อมไวน์ไว้เต็มสองกระพุ้งแก้ม ขยับไปมาเหมือนบ้วนปากอยู่หลายรอบ จึงค่อยกลืนลงคอไป พร้อมกับตาที่หลับพริ้มดื่มด่ำรสชาติกลมกล่อม

เลนนี่มองฮานส์ด้วยหางตา แอบขัดใจในความเฉยชาไม่ทุกข์ร้อนของเพื่อนรัก

“ข้าว่าเจ้าควรขอเข้าเฝ้าจูเลียนบ้างนะ ให้ข้าพาไปไหม”

“ข้าจะบังอาจเข้าเฝ้ากษัตริย์น้อยของเจ้าได้อย่างไร” เป็นอีกครั้งที่เลนนี่ต้องเหลือบมองฮานส์ ไม่ใช่เพราะความขัดใจ แต่เป็นเพราะอยากตรวจว่าฮานส์มีสีหน้าอย่างไร คำพูดถึงได้เหมือนกำลังน้อยใจอะไรบางอย่างแบบนั้น

“อย่างน้อยเจ้าก็คือคนที่เคยอยู่ข้างกายในวันที่จูเลียนลำบาก”

“ท่านลอร์ดอะไรนั่นคงไม่ชอบใจนักหรอก เพื่อนเจ้าอีกเฮนริชนั่นน่ะ ดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าข้าเท่าไหร่นะ ชู้รักของจูเลียนั่นก็ด้วย ชื่ออะไรล่ะกวีคนนั้น” ฮานส์ถูกนิโคลเรียกตัวเข้าพบเงียบ ๆ กลางดึกคืนหนึ่ง หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเหล่าอัศวิน ว่าคนที่คอยปกป้องและพาจูเลียนหนีไปคือชายชุดดำ ชายพเนจร และเป็นชายคนเดียวกันกับผู้ชนะการประลองประจำปีคนนั้น แต่เพียงครั้งแรกที่ได้เจอหน้ากันตรง ๆ ฮานส์ก็สัมผัสได้ทันทีว่าตัวเองไม่เป็นที่พอใจของลอร์ดหนุ่ม ที่มองเขาด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัย ฮานส์ไม่ได้สนใจต่อการพบปะ เขาไม่คิดจะไปด้วยซ้ำ แต่เป็นเลนนี่เองที่บังคับจนฮานส์ต้องตัดรำคาญ ด้วยการไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

เลนนี่กระตุกยิ้ม “เขาชื่อกรอสเซ่”

“เออ คนนั้นแหละท่าทางคงรักกันมากสินะ” เลนนี่ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า แต่เสียงเพื่อนรักที่เขาได้ยินมันฟังดูแข็งผิดปกติ

อัศวินหนุ่มมองข้ามเสียงพูดห้วน ๆ ของเพื่อนแล้วถาม “เจ้าเห็นหรือไง”

“แค่เคย”

“สนใจด้วยหรือ”

“ข้าจะสนใจทำไม”

“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงล่ะ”

“แค่เรื่องบังเอิญน่า”

“คงบังเอิญมากสินะ ตกลงเจ้าจะไปหาจูเลียนไหมล่ะ ข้าจะได้พาไป”

“ข้าไม่เป็นที่ต้อนรับเลนนี่เจ้ารู้ดี ใครจะอยากให้คนพเนจรอย่างข้าเข้าไปป้วนเปี้ยนในปราสาทราชวัง อันโออ่าหรูหราอย่างนั้นวะ”

เลนนี่ยิ้มกรุ้มกริ่ม นึกอยากหัวเราะดัง ๆ ให้กับน้ำเสียงประชดประชันของฮานส์ “เจ้าน้อยใจอะไรเนี่ย”

“เจ้าเพ้อเจ้อแล้ว”

“หัดทำตัวให้กลมกลืนกับเขาบ้างสิ เจ้าทำเป็นนี่ใช่ว่าไม่เคย” คำว่าไม่เคยของเลนนี่ มันมีความหมายมากกว่าการที่ฮานส์เคยแอบเอาเสื้อผ้าของเขามาใส่ แล้วลอบเข้าไปในงานเลี้ยงหรูหราของจูเลียน เลนนี่รู้ดีว่าฮานส์ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้นัก

“จูเลียนก็แค่เด็ก เด็กอยู่กับใครแล้วอุ่นใจก็ย่อมคิดถึงเป็นธรรมดา” เพราะฮานส์หันหน้าหนีไปมองทางอื่น เลนนี่จึงไม่ได้เห็นนัยน์ตาดำขลับของเขา ที่เป็นประกายเหมือนมีแสงสว่างจ้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว คำพูดลอย ๆ ที่พูดจากข้อสันนิษฐานของเลนนี่ กำลังทำให้ก้อนเนื้อในอกฮานส์เต้นผิดจังหวะ เขากัดฟันกรอดยามรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของตัวเอง และไม่ยอมหันกลับไปมองเพื่อนรัก ที่คงจับความผิดปกติของเขาได้ทันทีที่เห็นแน่นอน

“จูเลียนบอกเจ้าว่าคิดถึงข้าหรือไง”

“หึ ก็ไม่” ฮานส์รินไวน์ใส่แก้วเกือบเต็มแล้วยกขึ้นดื่ม เขารู้ดีว่าตอนนี้จูเลียนปลอดภัยแล้ว จึงไม่คิดว่าอีกคนจะอยากเจอหน้า ฮานส์นั่งดื่มเงียบ ๆ ราวกับตรงนี้มีเพียงเขาคนเดียว ที่นั่งให้ความอบอุ่นจากเปลวไฟในเตาผิงอาบร่าง เพราะตัวเลนนี่เองก็นั่งเงียบ ราวกับไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่สายตาคมกริบของเขา ที่จับสิ่งผิดสังเกตได้ทันทีที่มีอะไรเกิดขึ้น จ้องมองเสี้ยวหน้ารกไปด้วยหนวดเคราของเพื่อนรักอย่างคนหา พอ ๆ กับเมื่อเช้า ตอนที่จูเลียนเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามอะไรบางอย่าง ท่าทางที่แสดงออกมาเหมือนไม่รู้ตัว นั่นก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาคมกริบของอัศวินหนุ่มไปได้



ทั้งสองนั่งเงียบอยู่เป็นครู่ เลนนี่จึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบเสียเอง “ข้ามีงาน เจ้าก็รีบพักผ่อนซะ หรือต้องการใครมานอนเป็นเพื่อนข้าจะได้เรียกมาให้”

“ข้าไม่ใช่คนขี้เหงาเหมือนเจ้านะเลนนี่”

“ใครจะรู้วะ” เลนนี่ทิ้งรอยยิ้มแฝงเลศนัยให้เพื่อนรัก แล้วลุกจากเบาะนุ่มที่แสนอบอุ่นเดินออกไป จุดหมายปลายทางคือการเดินสำรวจตรวจตรารอบ ๆ ปราสาท อันเป็นหน้าที่ของเขาในค่ำคืนนี้



คล้อยหลังเพื่อนรักที่ลุกออกไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบที่เข้าปกคลุมรอบตัว เพราะคนที่จับจองพื้นที่หน้าเตาผิง ยังคงนอนนิ่งอยู่เช่นเดิม ฮานส์ไม่แม้แต่จะขยับตัวลุกขึ้นมาเติมไวน์ใส่แก้ว ทั้งที่แก้วในมือเหลือเพียงคราบน้ำหมักสีม่วงอมแดงติดก้น ให้เห็นว่ามันเคยบรรจุสิ่งใดมาก่อน ชายหนุ่มเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนนุ่มใบใหญ่ ขาข้างหนึ่งเหยียดตรง ส่วนอีกข้างยกเข่าตั้งขึ้นเพื่อรองรับท่อนแขนข้างที่ถือแก้วไวน์ ดวงตาปิดสนิทคล้ายดำดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา หากแต่มือข้างนั้นไม่คลึงแก้วไปมาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก็คงบอกได้ว่าหลับไปแล้ว



เวลาผ่านไปเป็นครู่ ก่อนทุกอย่างจะเกิดขึ้นรวดเร็วแทบมองไม่ทัน เมื่อแก้วไวน์ถูกโยนทิ้งไปอีกทาง ขณะที่ฮานส์ยืดลำตัวขึ้น ทั้งที่ส่วนล่างยังนั่งอยู่บนเบาะ เขาตวัดมือไปข้างหน้าอย่างว่องไว พลันร่างบอบบางในชุดเปิดไหล่กระโปรงยาวกรุยกรายรุ่มร่าม ก็หงายหลังลงมานอนแผ่อยู่บนอกกว้างแข็งแกร่ง



“นายท่านโปรดอภัย คิดว่าท่านเข้าห้องพักผ่อนแล้ว ข้าเลยจะมาเก็บกวาด” ฮานส์รู้ว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ แม้เสียงฝีเท้าจะแผ่วเบา แต่กลิ่นหอมที่นำมาก่อน เป็นสัญญาณบอกให้เขารู้ตัว ว่ากำลังมีคนเดินเข้ามาหาและเป็นผู้หญิง

“ไม่ใช่จะมาดูแลข้าหรอกหรือไง” เขาถามเสียงพร่าบ่งบอกความต้องการของร่างกายหนุ่ม ที่มีอิสตรีดีดดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอด เป็นการกระตุ้นแรงกำหนัดที่ดีทีเดียว

“ท่านต้องการอย่างนั้นหรือนายท่าน” นางถามกลับเสียงสั่น

“ก็ต้องถามก่อน ว่านายของเจ้าตั้งใจส่งเจ้ามาทำไม” ฮานส์บอกอย่างรู้เท่าทัน เมื่อนั้นท่าทางขัดขืนของหญิงสาวหายไป นางพลิกตัวหันมาเผชิญหน้า ใบหน้าของฮานส์ยังประดับด้วยหนวดเคราหนา ทำให้ดูดิบเถื่อนเร้าใจมากขึ้น หญิงสาวจ้องมองผ่านความสลัวอย่างหลงใหล นางแอบมองฮานส์ตั้งแต่วันที่มาถึงป้อมพร้อมเลนนี่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว

“เซอร์เลนนี่บอกให้ข้ามาปรนนิบัติท่านให้ดี” เสียงแปร่งพร่ากับลมหายใจหนัก ๆ ของนาง กระตุ้นความรู้สึกบางในร่างกายได้ดี ฮานส์รู้สึกได้ถึงความตื่นตัวไวไฟของตัวเองขึ้นมาครามครัน

“แล้วเจ้าจะปรนนิบัติข้ายังไงคนสวย”

“ข้าจะทำทุกอย่างที่นายท่านต้องการเจ้าค่ะ” หญิงสาวตวัดสายตามองเขา ด้วยแววตาที่มีแต่ความปรารถนายั่วยวน คำพูดฟังดูเหมือนนางกำลังรอให้ฮานส์บัญชาสิ่งที่ต้องการ แต่มือกลับซุกซนนำร่องไปก่อน นางลูบไล้วนเวียนอยู่กับความเป็นชายของเขาจนมันชักจะเริ่มตื่นตัว สายตาหรือก็ช่างยั่วยวนเชิญชวนให้กระโจนเข้าหา แล้วขย้ำระบายอารมณ์ดิบป่าเถื่อน

“ท่าทางเจ้าคงปรนนิบัติข้าได้ทุกอย่างจริง ๆ “มันรวดเร็วมากจนฮานส์แทบผละออกไม่ทัน ไม่รู้ว่านางเป็นเพียงหญิงรับใช้ในป้อมปราการแห่งนี้ หรือเป็นโสเภณีผู้ชำนาญงาน เพราะพอฮานส์บอกข้อสันนิษฐานของเขา ว่านางคงปรนนิบัติได้ทุกอย่าง หญิงสาวก็ไถลตัวลงไปวุ่นวายกับร่างกายส่วนล่าง ท่าทางราวกับคนหิวโหย ยามก้มหน้าลงเกลือกกลั้ว เสื้อเปิดไหล่คอกว้างของนาง อวดโฉมโนมเนื้ออวบอัดแน่นทะลัก ฮานส์มองเพลิน การมองส่งผลให้เลือดในกายสูบฉีด เขาไม่รู้ตัวเลย ว่ากางเกงผ้าเนื้อหนาของตัวเอง ถูกนางปลดออกอย่างง่ายดายตั้งแต่ตอนไหน มารู้ตัวจริง ๆ ก็ตอนโพรงปากอุ่นของนางครอบครองความแข็งผงาดของเขาแล้วสุดความยาว

“ท่านไม่อยากสัมผัสข้าหรือนายท่าน” เพราะเขายังนั่งเฉยปล่อยให้หญิงสาวทำตามต้องการ นางจึงหยุดปากที่กำลังดูดกลืนความแข็งตระหง่าน ราวกับเขาเป็นอาหารเลิศรส หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถาม ด้วยว่าฮานส์ยังทำหน้านิ่ง นั่งนิ่งราวไร้ความรู้สึก ไม่พอยังคว้าเหยือกไวน์มารินใส่แก้วใบใหม่ยกขึ้นจิบหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอารมณ์ร่วม ทั้งที่ความเป็นชายที่นางกำลังดูดกลืนกินรสชาติ มันแข็งผงาดตั้งลำเหยียดตึงจนแทบปริแตก ส่วนปลายป้านบานฉ่ำน้ำหยาดเยิ้มน่าลิ้มลอง

“หรือข้าทำให้ท่านไม่พอใจเจ้าคะ” ฮานส์ยกแก้วไวน์ขึ้นกรอกปาก ทั้งที่ตายังประสานกับนางนิ่ง มุมปากที่ประดับด้วยหนวดเครายกยิ้มหลังจากกลืนไวน์ลงคอ ในหัวคิดไปถึงใบหน้าเพื่อนรัก เลนนี่คงหัวเราะสมใจอยู่ที่ไหนสักแห่งข้างนอกนั่น ความผิดปกติของฮานส์ยามได้ยินว่าใครบางคนคิดถึง ไม่อาจรอดสายตาจ้องจับผิดของเพื่อนรักไปได้

“ถ้าทำให้ท่านพอใจไม่ได้ ข้าต้องถูกลงโทษนะเจ้าคะนายท่าน รีบขย้ำข้าสักทีเถอะ” เสื้อผ้าของนางหลุดลุ่ย ใบหน้าเศร้าสร้อยที่นางแสร้งทำ ไม่สามารถกลบเกลื่อนความปรารถนาของร่างกาย สายตานางเว้าวอนราวต้องการความเมตตา เมตตาด้วยการให้เขาขย้ำกลืนกินตัวนางเอง หาใช่ความปรานีอื่นใดไม่ ส่วนคำสั่งเสียงเข้มของเจ้านาย ให้ดูแลปรนนิบัติอย่างดี จนคืนนี้ชายหนุ่มตรงหน้าลุกจากเตียงไม่ได้ คือสิ่งที่ได้รับบัญชามา โดยไม่รู้ว่ามีความในของการกลั่นแกล้งระหว่างเพื่อน

“ทำสิ ทำให้ข้าอยากกินเจ้าหน่อยคนสวย”

“ท่านจะต้องอยากกลืนกินข้าทั้งตัวแน่เจ้าค่ะนายท่าน” ว่าแล้วนางก็ก้มลงใช้ปากจัดการฮานส์ต่ออย่างช่ำชอง เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่านางเก่งพอตัว ในการใช้ปากใช้ลิ้นปรนเปรอ ยิ่งเห็นเขายังนิ่งนางก็ยิ่งเร่งเรียวลิ้นที่ตวัดรัดรึง แม้ความใหญ่โตของฮานส์จะเป็นอุปสรรคในการกลืนกิน แต่เหมือนนางกลับยิ่งชอบใจ หญิงสาวงัดเอาวิชาการปรนเปรอปรนนิบัติ ออกมาเรียกร้องความปรารถนาให้เขา ทั้งไล้เลียไปตามความยาวจนสุดโคน ทั้งดูดดึงดื่มหนัก ๆ จนสุดปลาย แทบจะหลุดจากปาก แล้วจึงครอบโพรงปากอุ่นลงมาใหม่ ขณะที่ครอบปากลงมานางดูดกลืนสุดแรง จนสะโพกฮานส์ลอยขึ้นตามแรงดูด นั่นทำให้นางได้ใจ ตวัดเรียวลิ้นเกี่ยวรัดสลับการดูดดึงเม้มริมฝีปากแน่น ทุกจังหวะต่อเนื่องไม่ขาดตอน

ต่อจ่ะ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-02-2019 21:15:50 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
ดูเหมือนนางจะชอบส่วนปลายของเขามากเป็นพิเศษ จึงหลอกล่อด้วยปลายลิ้นที่ทั้งไล้เลีย และตวัดเกี่ยวรัด สลับกับการดูดดื่มราวกับเขาเป็นเหล้าชั้นดีรสชาตินุ่มคอ จนได้ยินเสียงครางต่ำคำรามออกมาจากลำคอของเขาเบา ๆ นั่นแหละ นางจึงตวัดสายตาขึ้นมอง ทั้งที่ความใหญ่โตยังคาคับปาก สายตาเจ้าเล่ห์เชิญชวนสบมองฮานส์อย่างท้าทาย

“เก่งมากคนสวย” ฮานส์ชมเชยแล้วกรอกไวน์รสนุ่มลงคอจนหมดแก้ว เสียงกระเส่าของเขาเหมือนเป็นสิ่งกระตุ้น ให้นางเร่งการปรนเปรอให้สมใจ ทุกความช่ำชองที่นางมี ถูกนำมาใช้จนในที่สุด ร่างแกร่งกำยำเกร็งแน่น ฮานส์กดหัวหญิงสาวเข้าหาส่วนกลางลำตัว หนึ่งเรียวลิ้นหนึ่งมือที่ร่วมด้วยช่วยกันชักนำ ไม่นานร่างแกร่งกำยำที่เกร็งแน่นก็กระตุก ความปรารถนาทุกหยาดหยดปลดปล่อยออกมาให้นางได้กลืนกิน

“รสชาติของนายท่านช่างหวานกลมกล่อมเหลือเกินเจ้าค่ะ” นางแลบลิ้นเลียคราบที่ติดตามมุมปาก สายตาไม่ละไปจากดวงตาคมเข้มสีดำสนิท ประกายยั่วยวนนั้นยากนักที่ชายใดจะปฏิเสธ แต่ไม่ใช่กับชายเจ้าของใบหน้าดิบเถื่อนรกหนวดเคราคนนี้ แม้เขาจะมีอาการหายใจหนักและถี่ จากการไปถึงจุดสูงสุดของความใคร่ แต่ก็ยังนั่งเฉย พอเห็นฮานส์ยังนั่งเฉยหญิงสาวจึงยืนขึ้น ป่ายปัดมือไปตามร่างกายตัวเอง ปลดเปลื้องอาภรณ์บางเบาที่ยังปิดบังสิ่งเย้ายวนออก ให้ชายหนุ่มได้ยลโฉมเต็มตา



ร่างอรชรอ้อนแอ้นที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เรียกตัณหาและความกำหนัดให้กับชายที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ได้ดียิ่ง แต่นั่นคงสำหรับชายอื่น ละเว้นชายพเนจรเจ้าของตำแหน่งผู้ชนะการประลองคนนี้ เขานั่งนิ่งมองด้วยสายตาเฉยชายากเดาความคิด ใช่ที่เขากวาดตามองนาง ตั้งแต่ใบหน้าสวยหวานกับสายตายั่วยวน ไล่ลงมาจนถึงทรวงอกอวบอิ่ม สองเต้าเต่งตึงน่าเค้นคลึง เอวคอดกิ่วเล็กนิดเดียวเข้ากับหน้าท้องแบนราบ แต่สะโพกกลับผายออกได้รูปทรงน่ามอง ตรงกลางนั้นประดับด้วยไรขนอ่อนสีเดียวกับเส้นผมนาง บ่งบอกว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ของสตรี เป็นศูนย์รวมความปรารถนาต้องการ จนถึงขาเรียวยาวพอดีกับปลีน่องขาวเนียน



...ที่ฮานส์เพียงมองด้วยสายตาว่างเปล่า จนนางหวั่นใจ



“ไม่มีชายใดเมินเฉยต่อเรือนร่างของข้าอย่างนี้มาก่อนนายท่าน เซอร์เลนนี่ชมเสมอว่าข้าสวย” นางไม่ปิดบังความกังวลในน้ำเสียงที่สั่นกระเส่า ด้วยว่าหน้าที่ที่ได้รับคือเสนอสนองให้แขกของเจ้านายพอใจ หญิงสาวพูดพลางลูบไล้เรือนร่างเชิญชวนสัมผัส นิ้วเรียวกรีดกรายแหวกว่ายเข้าไปในกลีบเนื้อของตัวเอง ฮานส์เพียงกระตุกยิ้ม ใช่ว่าเขาไม่มีความรู้สึก ใช่ว่าเขาไม่มีความต้องการ ความเป็นชายที่ยังเหยียดเกร็งแข็งตระหง่านบอกได้ดี เรือนร่างของนางที่ปรากฏต่อสายตา ทำให้เลือดหนุ่มที่อยู่ในวัยฉกรรจ์อย่างเขาสูบฉีด แต่กระนั้นมันยังไม่ถึงกับเดือดพล่านเช่นแต่ก่อน หรืออาจจะเป็นเพราะเลนนี่ลืมให้วิโอเลียแก่เขาก็เป็นได้!



“ท่านไม่กระหายในตัวข้าหรือนายท่าน ข้า..ข้าต้องการท่าน ต้องการเหลือเกิน นอกจากเซอร์เลนนี่ ข้าก็ไม่เคยเห็นชายใดที่มีเครื่องเพศใหญ่โตเท่าท่านมาก่อน ข้าอยากได้ของท่านเข้ามาตรงนี้ โปรดมอบความสุขสมของการมีตัวท่านอยู่ในนี้ให้ข้าด้วยเถิดนายท่าน ข้าต้องการท่านเหลือเกิน” นางเว้าวอนแล้วกัดปากอย่างเสียวซ่าน เมื่อส่งนิ้วเรียวเข้าไปในกลีบเนื้อตัวเองถึงสามนิ้ว เพื่อเชิญชวนให้ชายหนุ่มมอบความปรารถนา และระบายอารมณ์ดิบกับร่างกายของนาง



แต่ฮานส์ยังคงความนิ่งและเฉยได้เหมือนเดิม!



เขาถอนหายใจหนัก ไม่รู้เพราะเสียดายหรือทำเพื่อไล่ความปรารถนาที่ก่อตัวขึ้น เมื่อเห็นร่างยั่วยวนตรงหน้ากำลังปรนเปรอ จนเกือบสำเร็จความใคร่ให้ตัวเอง ดวงตาสีดำดุจรัตติกาลจับที่การกระทำของหญิงสาว แต่มือเช็ดทำความสะอาดส่วนที่ถูกนางดูดกลืนแล้วเก็บเข้าที่ ทั้งที่มันยังผงาดกล้าอย่างองอาจแข็งแกร่ง แต่เขาไม่ยอมแพ้เลนนี่หรอก เพราะรู้ว่าเพื่อนรักส่งนางมาทำไม

“หึ”

“นายท่าน อย่าให้ข้าต้องถูกลงโทษเลย รีบจัดการข้าเสียสิ”

“ไม่ล่ะข้ามีเรื่องต้องไปทำ”

“นายท่าน! ” แล้วฮานส์ก็เดินจากไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้หญิงสาวค้างเติ่งอยู่บนขอบฟ้า



*****************



กลางดึกสงัดในคืนเดือนมืดเหมาะแก่การแฝงตัวซ่อนเร้น ปราสาทอันโออ่าหรูหรายังถูกปกคลุมด้วยความหนาวเย็นและความเงียบ ด้วยว่าเป็นเวลาพักผ่อนของเจ้าเหนือหัว รอบ ๆ ปราสาทวางเวรยามกวดขันความปลอดภัยอย่าเคร่งครัด แต่กระนั้นก็ยังไม่มากพอที่จะจับได้ถึงความผิดปกติของผู้ลักลอบเข้ามาเงียบ ๆ

ความเงียบ

ความว่องไว

การเคลื่อนไหวที่กลืนไปกับความมืดรอบตัว ราวกับเป็นเพียงเงาสีดำวูบไหว ค่ำคืนเดือนมืดเช่นนี้ สำหรับคนปกติต้องใช้แสงจากคบไฟนำทาง จึงจะสามารถเดินฝ่าสีดำรอบตัวไปได้ โดยไม่สะดุดหรือชนเข้ากับอะไรที่กีดขวางก่อน แต่ไม่ใช่เจ้าของดวงตาสีดำสนิท ที่กำลังมองผ่านราตรีมืดมิด ราวกับนั่นไม่ใช่ปัญหาในการมองเห็น ราวกับเขาเป็นส่วนหนึ่งของมัน สีดำแห่งราตรีกาล



ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมดำมืดกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับสภาพรอบตัว เดินผ่านทางลับภายในปราสาท ที่มีไม่กี่คนรู้ถึงการมีอยู่ของมัน ทางนี้ถูกใช้เป็นทางผ่านเพื่อเข้าไปสู่ราชฐานชั้นใน และใช้เป็นทางหนีหากเกิดเหตุร้าย ที่แบ่งแยกทางเดินออกไปสู่จุดหมายหลายที่ รวมไปถึงห้องบรรทมของกษัตริย์หนุ่มน้อยด้วยเช่นกัน



แต่กระนั้นทางลับนี้ก็ใช่ว่าจะหาเจอ และเดินผ่านไปผ่านมาได้ง่าย ๆ หากไม่รู้จักทางดี และเดินเข้ามาแบบสะเปะสะปะ ก็อาจจะเป็นการเอาชีวิตมาทิ้งไว้กับความมืด และกับดักที่มีอยู่ตลอดทาง



ภายในห้องที่ถูกความสลัวเลือนรางปกคลุม อบอวลไปด้วยไออุ่น หน้าต่างปิดไว้ด้วยผ้าม่านหนาหนัก ยาวตั้งแต่เพดานลงมาจรดพื้นปูพรมทอลายวิจิตร เครื่องเรือนหรูหราเข้ากับความชอบส่วนตัวเจ้าของห้อง ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบลงตัว ทั้งชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งเล่นหรือทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตั้งอยู่ชิดผนังด้านซ้ายของห้องตรงกึ่งกลางของผนังพอดี ส่วนผนังด้านขวาเป็นเตาผิง หน้าเตามีตั่งนั่งเล่นตัวยาว ความสูงเพียงเข่าหุ้มด้วยเบาะนุ่ม สำหรับนอนเอกเขนกเล่นเพื่อความผ่อนคลาย หมอนอิงและเบาะนั่งมากมายถูกนำมากองรวมกันไว้ตรงนี้ ไฟในเตาอ่อนแรงลงเพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว จึงไม่มีใครเติมฟืน แต่กระนั้นความสว่างที่กระจายราง ๆ อยู่ในห้อง ก็มาจากไฟในเตาผิงนี่เอง



เงาสีดำเคลื่อนไหวว่องไวเงียบเชียบ เงียบจนไม่ได้ยินกระทั่งเสียงฝีเท้า หรือเสียงเสียดสีของอาภรณ์ดำสนิทที่สวมใส่ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ ราวกับเขาเป็นร่างไร้ชีวิตที่เดินได้ ทั้งที่ยังมีเลือดเนื้อไหลเวียน ก้อนเนื้อในอกยังเต้นดีอยู่ ร่างสูงเร้นกายในความมืดเดินผ่านกลางห้องช้า ๆ จุดหมายคือเตียงนุ่มที่ตั้งหัวเตียงชิดผนัง แสงสลัวจากเตาผิง ส่องให้เห็นใบหน้านวลผ่องได้เลือนราง ดวงตาสีเขียวมรกตสวยเจิดจ้า บัดนี้ปิดสนิทเพราะเจ้าตัวกำลังดื่มด่ำอยู่ในห้วงนิทรา คงเป็นนิทราฝันหวาน เพราะริมฝีปากอิ่มสีเชอรี่แย้มออกน้อย ๆ เหมือนเจ้าตัวกำลังอมยิ้ม ช่างเป็นรอยยิ้มยามหลับที่น่าหลงใหล จนผู้บุกรุกยามวิกาลเผลอมองเสียเพลิน เมื่อก้าวเท้าอย่างมั่นคงมายืนอยู่ข้างเตียงอุ่น



เจ้าของร่างกายสูงใหญ่ในชุดคลุมดำสนิท ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างกษัตริย์หนุ่มน้อยที่กำลังหลับใหลอย่างแผ่วเบา สัมผัสได้ถึงความอุ่นแผ่ออกมาจากใต้ผ้าห่ม คนที่แฝงตัวในความมืดเพียงยิ้มบาง ๆ ให้ ยามโน้มตัวเหนือคนหลับวาดท่อนแขนแกร่งเหนือศีรษะเล็กรองน้ำหนักตัวเอง มืออีกข้างเกี่ยวปอยผมนุ่มหมุนเล่นเบา ๆ



“หลับสบายเลยนะ” เสียงกระซิบแผ่ว ๆ ดังขึ้นข้างแก้มนวล ไม่สามารถปลุกคนหลับให้ลืมตาตื่นได้ ความไร้เดียงสายามหลับของกษัตริย์หนุ่มน้อยช่างน่าเอ็นดู ตรึงคนในชุดคลุมดำที่ก้มตัวเหนือใบหน้านวลให้เฝ้ามองอยู่อย่างนั้น

จูเลียนขยับพลิกตัวหันหลังให้ อาจเป็นเพราะการเปลี่ยนท่าของคนหลับ หรือเป็นเพราะลมหายใจอุ่นที่เป่ารดข้างแก้มทำรำคาญ จึงหันหนี แต่กระนั้นภาพใบหน้าอ่อนเยาว์ยามหลับที่เห็นซีกแก้มเพียงข้างเดียว ก็ตราตรึงสายตาจนคนที่เฝ้ามองอยู่ ต้องเผยยิ้มหวานละมุน

“ข้าจะไม่อยู่หลาย หวังว่ากลับมาเจ้าคงยังอยู่ดีอยู่นะ” น้ำเสียงหยอกเย้ากระซิบชิดใบหูส่งไปไม่ถึงคนหลับ เพราะเจ้าตัวยังหลับตาพริ้มอย่างแสนสุข ไม่รู้ถึงการมาของใครบางคนที่คอยมองหา ไม่รู้แม้กระทั่งตอนที่ริมฝีปากอุ่นประทับจุมพิตลงข้างขมับ แทนการบอกลาชั่วคราว แทนการบอกกล่าวว่าอีกไม่นานจะกลับมา พอจูเลียนพลิกตัวนอนหงายอีกครั้ง เงาร่างดำมืดก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว


************
 เป็นไงบ้าคะเป็ดทั้งหลาย
เจอกันตอนหน้าค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-02-2019 21:21:47 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 23 เรือน้อยกลางทะเล ห่มรักด้วยแสงดาว 50%





ห้ามยากกว่ากิริยาอาการประหม่าหวั่นไหวภายนอก คือหัวใจดวงน้อยในอก ที่ลอเรนไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรดี อีกคนก็ขยันเหลือเกินกับการต้อนให้จนมุมจนไปไม่เป็น ขยันหาเรื่องมาทำให้ใจลอร์ดน้อยเต้นแรง ลอเรนแทบไม่เหลือทางเลือกให้ได้เลือกหรือปฏิเสธ นอกจากยอมทำตามทุกอย่างที่ลอร์ดแห่งออสเซนเทียต้องการ และตอนนี้ก็เช่นกัน ที่เจ้าของร่างสูงสง่าเอนกายลงนอนเอกเขนก อย่างสบายอารมณ์บนเบาะหนานุ่ม ที่ขนออกมาปูนอนรับสายลมและแสงแดดอยู่ข้างนอก ทิ้งให้ลอเรนควบคุมเรือเงียบ ๆ ด้วยหัวใจที่ล่องลอยไปไกล ตั้งแต่เรือลำน้อยเคลื่อนตัวออกจากท่า วันแรกลอเรนวางตัวแทบไม่ถูก เพราะอยู่กันแค่สองคนกลางทะเล มองไปทางไหนก็เห็นแค่น้ำกับฟ้า จนวันและคืนแรกผ่านไป ตอนนี้เข้าวันที่สองแล้ว ที่ถูกโอบอุ้มด้วยผืนน้ำ และโอบกอดด้วยผืนฟ้า ลอเรนพยายามรักษาระยะห่าง แต่ช่างเป็นไปได้ยากเหลือเกิน เมื่อต้องมาอยู่ในพื้นที่จำกัดด้วยกันเพียงสองคนอย่างนี้

หัวใจที่เรียกร้องยังไม่สามารถบังคับให้ลอเรนมาอยู่ตรงนี้ พาคนตัวสูงออกมาล่องลอยอยู่กลางมหาสมุทร ได้เท่าความรู้สึกผิดต่อกันที่เกาะแน่นในใจ ความผิดที่เกิดขึ้น แม้ตัวลอเรนจะไม่ได้เป็นคนก่อ แต่ก็ถือเอาเป็นความรับผิดชอบของตัวเองโดยตรง หวังจะปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้อีกฝ่ายได้รับรู้

ท้องฟ้ากว้างและผืนน้ำสีฟ้าคราม บางคราวมีคลื่นลมแรงก็ดูน่ากลัว แต่เวลาที่คลื่นสงบลมพัดมาเย็น ๆ อย่างตอนนี้ ก็ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของลอเรนได้ไม่น้อย กระนั้นลอร์ดหนุ่มผู้เกิดมากับผืนน้ำยังไม่เข้าใจ ว่ากลางทะเลกว้างที่มองเห็นแต่ผืนน้ำและผืนฟ้าดูโดดเดี่ยว มันจะมีสิ่งใดให้น่าอภิรมย์ นอกจากความอ้างว้างและคลื่นลมแรง

“เจ้าจะยืนจ้องข้าอีกนานไหม” ลอเรนนึกว่านิโคลกำลังหลับ จึงยืนเงียบอยู่ตั้งนานสองนาน ดวงเนตรสีฟ้าสวยจับอยู่กับพักตร์หล่อเกลี้ยงเกลาจนลืมตัว หากไม่ได้ยินเสียงทักของนิโคล ลอเรนคงเผลอมองอยู่จนเพลิน

“ท่านตื่นแล้วหรือลอร์ดนิโคล”

“ข้ากำลังหลับสบายอยู่ต่างหาก” คนหลับจะพูดได้อย่างไร นั่นคือสิ่งที่ลอเรนแอบคิด และค้อนให้คนที่ยังนอนหลับตานิ่ง แต่รู้ได้อย่างไร ว่ากำลังถูกจับตามองมอง ลอเรนเกือบยิ้มออกมาแล้ว แต่กระนั้นดวงพักตร์นวลขาวกลับยังคงสีหน้าเฉยชาอยู่เช่นเดิม ไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรให้เกิดความคุ้นเคยกว่านี้ ลอเรนเกร็งเพราะต้องรักษาระยะห่างไว้ให้มั่น ซ้ำยังต้องคอยยื้อยุดกับก้อนเนื้อในอก ที่มันเรียกร้องแต่จะเต้นเข้าไปหาคนที่นอนเอกเขนก

ทั้งสองแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก เพราะถึงแม้จะอยู่บนเรือที่ลำไม่ใหญ่มาก และอยู่กันเพียงสองคน ลอเรนก็ช่างขยันหาทางเลี่ยงการเผชิญหน้า หรือพูดคุยสนิทสนมเกินควร จนนิโคลได้แต่อ่อนใจในความพยายามของกวางน้อย ที่คอยแต่จะสร้างกำแพงกั้นระหว่างหัวใจสองดวง ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ลอเรนไม่ใช่คนใจแข็งขนาดนั้นนิโคลรู้ดี และลอร์ดหนุ่มกำลังรอให้เจ้าตัวทำลายกำแพงที่ตั้งไว้เอง

“ท่านหิวหรือยังลอร์ดนิโคล” เป็นประโยคคำถามที่จะมาก่อนอาหารแบบตรงเวลา เพื่อว่าหากนิโคลตอบว่าหิว ลอเรนจะได้มีเวลาเตรียมให้ และเป็นหนึ่งในไม่กี่ประโยคที่ลอร์ดน้อยพูดคุยด้วย นอกจากนั้นก็หาทางเลี่ยงตลอด

นิโคลเฉย นอนหลับตานิ่งให้แสงแดดอ่อนยามบ่ายตกอาบร่าง แต่ไม่สนใจตอบคำ!

“ลอร์ดนิโคล” ความเงียบคือสิ่งที่นิโคลให้ลอเรนกลับมา จนระยะห่างที่วางเอาไว้ ด้วยการยืนเสียไกลถูกลดลง ลอเรนขยับเข้าไปหานิโคลอีกสองสามก้าว แล้วยืนรอเงียบ ๆ ต่างคนต่างเงียบ แต่สุดท้ายเป็นลอเรนเองที่ทนความเงียบได้ไม่นาน ต้องขยับเข้าไปอีก แม้รู้ว่านี่อาจจะพาไปสู่สถานการณ์ล่อแหลมไม่ปลอดภัย เพราะใกล้กันเมื่อไหร่นิโคลก็คอยแต่จะหาทางรังแก แต่กระนั้นลอเรนก็ยังคุกเข่านั่งลงข้างฟูกนุ่ม ที่นิโคลกำลังทอดกายเหยียดยาวอย่างสบายใจ นั่งลงแล้วก็ได้แต่ปล่อยลมหายใจออกมายาว ๆ ที่คนอยากเที่ยวยังนอนนิ่ง และเฉยจนอดใจสั่นไม่ได้

อยากรักษาระยะห่าง ไม่อยากเข้าใกล้ นิโคลก็จะทำให้สมใจเสียเลย

“ลอร์ดนิโคล”

“จะเรียกอยู่แบบนี้อีกนานไหม” ลอเรนเผลอสะดุ้ง ดีที่นิโคลยังหลับตา จึงไม่ได้เห็นว่าท่าทางลองลอร์ดน้อยดูน่าขบขันแค่ไหน

“ท่านทำไมไม่ตอบคำถามข้าล่ะ”

“อย่าลำบากเลยลอเรน แค่เจ้าให้เกียรติพาข้าออกเรือมาก็รบกวนมากแล้ว ข้ารู้เจ้าลำบากใจ” ปากบอกมือก็ยกขึ้นมารองท้ายทอย ยามลืมตาขึ้นมองไปบนท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย แต่นั่นกลับทำลอเรนใจเสียได้อีกแล้ว เพราะนิโคลไม่ยอมมองหน้า ถ้าจะว่ากันตามจริงก็คือ ลอร์ดออสเซนเทียไม่หันมาทางที่ลอเรนนั่งอยู่ด้วยซ้ำ คนรู้สึกผิดเลยยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่

ลอเรนเปรียบเหมือนนาฬิกาทราย กระเปาะแก้วข้างหนึ่งคือภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนอีกข้างคือคนที่หัวใจปรารถนาเปี่ยมล้น ลอร์ดน้อยไม่อยากทิ้งฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แต่ก็เลือกเททรายไปทั้งสองฝั่งพร้อมกันไม่ได้

“ข้า ข้าไม่..”

“อย่าบอกว่าเจ้าไม่ลำบากใจที่มาเที่ยวกับข้า”

“ข้า..” หากลอเรนบอกว่าไม่ลำบากใจก็โกหก แต่ได้มาด้วยกันก็อดดีใจอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ แม้ว่ามาแล้วยังต้องหักห้ามความรู้สึกอย่างเจียมตัว

“หันเรือกลับฝั่งเถอะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งยิ่งบาดลึกลงไปในหัวใจดวงน้อยที่สับสน ลอเรนเลือกไม่ถูก แต่ตอนนี้สิ่งที่ห่วงที่สุดก็คงจะเป็นความรู้สึกของคนตรงหน้า

ลอเรนเอ่ยค้าน “แต่เราเพิ่งออกมาได้คืนเดียวเองนะ”

“ก็ในเมื่อเจ้าไม่สบายใจ ข้าคงบังคับเจ้ามากไปกว่านี้ไม่ได้หรอกลอเรน เจ้าไม่อยากอยู่กับข้าสักนิด”

“ลอร์ดนิโคล..” ลอเรนเรียกเสียงแผ่ว ใจอยากบอกเหลือเกิน ว่าการอยู่ด้วยกันในอ้อมกอดอบอุ่น คือสิ่งที่ลอเรนปรารถนาที่สุด แต่เสียงเรียกร้องของหัวใจก็ไม่หนักเท่าปาก จึงไม่ยอมเผยหรือเอื้อนเอ่ยความรู้สึกของตัวเองออกมาสักที

“ข้ารู้เจ้าไม่โง่ลอเรน เจ้ามองออกว่าข้าคิดยังไงกับเจ้า ข้าไม่เคยปิดบังความรู้สึกที่มีด้วยซ้ำ และข้าก็รู้ว่าเจ้าคิดยังไง ลืมมันไปได้ไหม เรื่องของคนบนฝั่งนั่น” ถึงน้ำเสียงจะจริงจัง แต่นิโคลก็ยังเอาแต่มองอย่างไร้จุดหมายขึ้นไปบนฟ้า ลอเรนอยากให้ดวงตาคมคู่นั้นหันมามองกันสักนิด นิดเดียวก็ยังดี เผื่อความรู้สึกอัดแน่นบีบคั้นในอก มันจะบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง

“ข้า.. “ลอเรนก้มหน้าไม่กล้าสบตา ความรู้สึกผิดที่ไม่รู้ว่าเกิดจากเรื่องไหนบ้างตีขึ้นในอก “อภัยด้วยเถอะลอร์ดนิโคลข้าทำไม่ได้จริง ๆ “

“ถ้าอย่างนั้นก็หันหัวเรือเข้าฝั่งเถอะ ข้าจะไม่รบกวนเจ้าอีก” คำสั่งเด็ดขาดนี้ แทนที่ลอเรนจะดีใจและรีบทำตาม แต่กลับไม่ ลอเรนไม่ได้ดีใจที่จะได้เข้าฝั่งทั้งที่ไม่อยากออกมา ลอร์ดน้อยแห่งสวาเนียร์ปฏิเสธไม่ได้ ว่าลึก ๆ แล้วนี่คือสิ่งที่ตัวเองปรารถนาเช่นกัน การได้อยู่ใกล้ ๆ โดยไม่ต้องสนใจสิ่งรอบข้าง การได้อยู่กับคนที่ใจปรารถนามันสุขล้น ลอเรนอยากทิ้งสถานะของนิโคลและตัวเองไว้เบื้องหลัง แล้วกอดร่างสูงสง่าแน่น ๆ ให้เต็มรัก แต่เพราะความจริงที่สลัดทิ้งอย่างไรก็ไม่มีวันหลุด ลอเรนจึงต้องค้างคาอยู่กับความเจ็บปวด และความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ อย่างคนสับสนแบบนี้ ทั้งที่สองใจตรงกัน

ใจลอเรนอยากบอกว่ายังไม่กลับ อยากบอกออกมาตรง ๆ ว่าอยากอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป แต่สิ่งที่ทำกลับตรงข้าม เจ้าของดวงตาสีฟ้าสวยค่อย ๆ ลุกขึ้น ริมฝีปากได้รูปเม้มแน่นข่มความรู้สึก ขอบตาหวานแดงก่ำ เพราะอดกลั้นความต้องการจากส่วนลึกอย่างเจ็บปวด พอยืนได้มั่นคงแล้วจึงก้มหน้าก้าวออกจากตรงนั้น จุดหมายคือห้องบังคับเพื่อหันหัวเรือกลับเข้าฝั่ง ทิ้งอีกคนไว้เบื้องหลังเดินซังกะตายราวไร้จิตวิญญาณ ลอเรนเหม่อลอยหม่นหมอง ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ว่าที่ทำอยู่นี้มันถูกต้องแล้วหรือ แต่ในความสับสน ลอเรนไม่มีคำตอบให้ตัวเอง จนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำแตกกระจาย คล้ายมีของหนักตกลงไปถึงได้รู้ตัว แต่พอหันกลับมาข้างหลัง นิโคลก็หายไปแล้ว!

“ลอร์ดนิโคล!” ลอเรนวิ่งไปเกาะขอบเรือ ฝั่งที่ได้ยินเสียงน้ำแตกกระจาย ทันได้เห็นร่างของนิโคลทะลึ่งพรวดขึ้นจากน้ำ ยกมือตะกายอากาศแล้วจมหาย ภาพนั้นทำใจดวงน้อยกระตุกวูบคล้ายตกจากที่สูง มือไม้สั่นจนควบคุมไม่ได้ ลอเรนสั่นไปทั้งตัว ไม่ทันได้คิดอะไรให้ดีนอกจากความปลอดภัยของคนตกน้ำ รีบปลดเสื้อคลุมกับรองเท้าที่หนาหนักออก แล้วกระโจนลงไปช่วยทันที

“นิโคล” ร่างโปร่งลอยคออยู่กลางมวลน้ำมหาศาล หันซ้ายหันขวาไม่เห็นคนที่ตั้งใจลงมาช่วยโผล่ขึ้นจากน้ำสักที ลอเรนดำผุดดำว่ายตะโกนเรียกนิโคลอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่มีวี่แววของลอร์ดหนุ่ม เหมือนอยู่ ๆ นิโคลก็หายไปเสียดื้อ ๆ

ลอเรนสูดหายใจยาวเข้าเก็บไว้จนเต็มปอด ก่อนจะดำดิ่งลงสู่ใต้น้ำใส ที่ลึกจนมองไม่เห็นพื้นเบื้องล่าง พยายามมองหาเท่าที่ตาจะมองเห็นในน้ำได้ แต่ไร้วี่แวว ลอร์ดน้อยคลั่งปานบ้า กู่ร้องเรียกหาจนคอแทบแตก โผล่ขึ้นเหนือน้ำกอบโกยอากาศ แล้วดำดิ่งกลับลงงมหา ทำอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบหมดแรง ร่างน้อยเปียกปอนเหมือนลูกนกตกลงมากลางมหาสมุทรกว้าง เส้นผมยาวสีเงินที่เคยเป็นประกายสวยยามต้องสายลม กระจายลอยในผิวน้ำ

ลอเรนเหนื่อยจนแทบไม่มีแรงประคองตัว ทั้งหอบทั้งสะอื้นจนน่าสงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำที่เปียกอยู่บนใบหน้า เป็นน้ำทะเลหรือน้ำที่ไหลออกมาจากเนตรสวยทั้งสองข้าง พักตร์ขาวดั่งน้ำนมซีดเผือด ดวงเนตรสีฟ้ามีแววเศร้า ส่วนที่เป็นตาขาวแซมด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดงจนน่ากลัว ลอร์ดน้อยดำผุดดำว่ายในน้ำนานสองนานจนสิ้นหวัง ได้แต่ลอยคอท่ามกลางมวลน้ำมหาศาล และคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าที่ตีเข้าหา ลอเรนไม่สนใจคลื่นน้ำที่ประดังเข้ามา จนร่างโครงเครงไปตามแรง ปล่อยให้น้ำอุ่น ๆ ที่ไหลลงมาจากสองตาอาบแก้มซีดเซียว

ลอเรนลอยคออยู่กลางน้ำ ริมฝีปากบางเป็นกระจับสวยเผยออ้า หายใจหอบเหนื่อยทั้งสั่นระริก มือเท้าเคลื่อนไหวอย่างอ่อนแรง แค่พอพยุงตัวให้ลอยน้ำได้ ทั้งที่แรงใจไม่มีเหลือเพื่ออยู่ต่อแล้ว ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างที่เคยมีประกายสุกใสน่ามอง บัดนี้เคลือบฉาบไว้ด้วยความตื่นปนตระหนก บนใบหน้าระทมทุกข์ขื่นขม ลอร์ดน้อยปล่อยสายตาทอดมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย หัวใจถูกความท้อแท้สิ้นหวังกลืนกิน อยากทิ้งร่างดำดิ่งสู้ก้นมหาสมุทร ดับลมหายใจชั่วนิรันดร์ตามเจ้าของร่างสูงสง่าไป

“นิโคล” เพียงกะพริบตา หยาดน้ำอุ่น ๆ ก็ตกลงอาบพวงปรางซีดเซียว รู้ว่าคนที่จมหายลงใต้สมุทรคงไม่ได้ยิน แต่ลอเรนยังเปล่งเสียงเรียกชื่อเจ้าของหัวใจอยู่อย่างนั้น พร้อมกับหยดน้ำตาที่ไม่อาจห้ามได้อีกต่อไป เสียงเรียกจึงปนเสียงสะอื้น และอ่อนแรงผะแผ่วลงเรื่อย ๆ ราวกำลังจะขาดใจ

เบื้องหลังลอเรนคือพาหนะ ที่ใช้พาลอร์ดแห่งออสเซนเทียออกเที่ยวกลางทะเล เบื้องหน้าคือมหาสมุทรกว้างจรดผืนฟ้า สีฟ้าครามของน้ำจรดสีฟ้าสดใสที่ประดับด้วยปุยเมฆ ราวไม่รับรู้ถึงจิตใจที่เจ็บปวดห่อเหี่ยว ราวกับจะตอกย้ำความอ้างว้างโดดเดี่ยว ด้วยคลื่นน้ำที่ซัดขึ้นลงลูกแล้วลูกเล่า จนลอเรนไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของบางอย่าง ที่เคลื่อนตัวเงียบ ๆ เข้ามาข้างหลัง เคลื่อนตัวเข้ามาช้า ๆ สายตาจับจ้องอยู่กับลอร์ดน้อยที่ลอยคออย่างสิ้นหวังเดียวดาย ไร้ซึ่งการระมัดระวังตัว ลอเรนอยากลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วปล่อยใจไปกับความสิ้นคิด เมื่อสิ่งนั้นเคลื่อนตัวเข้ามาถึง ก็เหมือนกับว่าร่างที่ลอยคอจะหมดแรงลง ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งสู่ใต้น้ำตามเจ้าของหัวใจไป

“ลอเรน! “ยังไม่ทันที่ร่างลอร์ดน้อยจะจมหายลงไปในน้ำ พลันเอวบางก็ถูกรวบกอดจากข้างหลัง โดยคนขี้แกล้งทำเป็นตกน้ำตกท่า ทั้งที่ตั้งใจกระโดดลงมาเอง ส่วนคนถูกหลอกก็เชื่อเสียสนิทใจ ด้วยว่าความห่วงใยมันมีมากกว่า จึงไม่ทันได้คิดตริตรองใคร่ครวญ ว่าคนที่นอนเอกเขนกกินลมอยู่ดี ๆ จะตกน้ำได้อย่างไร ลอเรนหันกลับมาหาเจ้าของท่อนแขนแกร่งที่รวบกอด

“นิโคล!”

“ว่าไงกวางน้อย”

“ท่าน ไม่เป็นไรใช่ไหม” ปากถามมือน้อยทั้งสองประคองพักตร์เกลี้ยงเกลาลูบไล้อย่างสำรวจ แววตาตื่นเป็นประกายเปิดเผยความรู้สึก ลอเรนไล้นิ้วหัวแม่มือไล่หยดน้ำที่เกาะอยู่บนผิวให้ ปอยผมที่เปียกลู่ระใบหน้า ถูกลอร์ดน้อยปัดเสยขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาที่อยู่ห่างกันไม่มาก ราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ว่าเจ้าของร่างสูงจะอยู่ตรงนี้จริง ราวกับลอเรนเชื่อว่านิโคลยังจมดับอยู่ใต้น้ำลึก

“เจ้าห่วงข้าหรือลอเรน”

“ท่านจริง ๆ ด้วยนิโคล ข้าคิดว่า..” นิโคลเพียงยิ้มให้บาง ๆ ในแบบของเขา ที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนทั้งรอยยิ้มและแววตา คนได้รับยิ้มจะสัมผัสและรู้สึกว่ากำลังได้รับความรักความอบอุ่น แม้นั่นจะเป็นรอยยิ้มประจำตัวของลอร์ดร่างสูง แต่สายตาแบบนี้ ก็มีให้เฉพาะคนสำคัญที่สมควรได้รับเท่านั้น

ต่อ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่าง กวาดมองจนทั่วใบหน้าของนิโคลอย่างค้นหา และเหมือนลอเรนเพิ่งจะคิดอะไรบางอย่างได้ เนตรสวยจึงค่อย ๆ เบิกกว้างขึ้น ริมฝีปากสั่นระริกเรียกนิโคลเสียงดัง

“ลอร์ดนิโคล! “ ลอเรนผละออกจากการกอดเกี่ยว ด้วยการผลักอกกว้างให้ถอยห่าง ทั้งมือทั้งเท้าช่วยกันตีน้ำ เพื่อพาตัวเองลอยหนีให้ไกลคนชอบแกล้ง เมื่อรู้เท่าทันแล้วว่าคนตรงหน้าเพียงแค่กระโดดลงเล่นน้ำ แต่เป็นลอเรนเองที่ตกใจเหมือนบ้า แต่เพราะความเป็นห่วงถึงได้ตกใจขนาดนี้

“ทำไมลอเรน ข้าทำไม”

“ท่านแกล้งกระโดดลงมาท่านไม่ได้ตกน้ำ”

“ทำไมต้องแกล้ง ข้าแค่อยากลงมาว่ายน้ำเล่นเหมือนเมื่อวาน แปลกตรงไหน” นั่นสิ เมื่อวานลอเรนก็เห็นอยู่ว่านิโคลลงเล่นน้ำ ทำไมต้องตกใจ แค่เห็นท่าทางตะเกียกตะกายเหมือนคนจะจม ความห่วงใยบังตาจนจึงลืมไป

นิโคลว่ายน้ำเป็น!

ลอเรนหน้าตึง ริมฝีปากอิ่มเป็นกระจับเม้มแน่นไม่พอใจ ปากบอกไม่ได้แกล้ง แต่ทำท่าทางให้คนเห็นเกิดความเป็นห่วง ปากบอกไม่ได้แกล้ง แต่แววตากลับปิดบังความสนุกไว้ไม่มิด ทำท่าตะเกียกตะกายเหมือนจะจมน้ำ ทั้งที่ว่ายน้ำเป็น แบบนี้จะให้ลอเรนเชื่อได้อย่างไร

“นี่เจ้าโกรธข้าหรือไง แล้วกระโดดลงมาทำไม เจ้าก็อยากว่ายน้ำหรือ เห็นดำผุดดำว่ายอยู่ตั้งนาน แต่.. เจ้าเรียกหาข้าด้วยนี่ลอเรน”

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้นสักหน่อย” ลอเรนบอกเสียงแข็ง ตีเท้าเคลื่อนตัวไปทางเรือหวังขึ้นจากน้ำ พยายามเลี่ยงห่างจากนิโคลให้มากที่สุด แต่เพียงเจ้าของร่างสูงพุ่งเข้าหาสุดช่วงตัว ร่างโปร่งของลอเรนก็กลับเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแกร่งเสียแล้ว “ปล่อยข้า”

“เล่นน้ำกันก่อนสิ อย่าดิ้นลอเรน”

“ไม่เล่น ข้าจะขึ้นเรือ ท่านบอกข้าหันหัวเรือกลับฝั่งไม่ใช่หรือ”

“ข้าพูดจริงที่ไหนกันล่ะ”

“ข้าไม่ควรเชื่อคำพูดท่านสินะ”

“ไม่หรอกลอเรน เจ้าเชื่อได้ทุกคำพูด”

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำสิ่งที่เราต้องทำเถอะ ความจริงเราไม่ควรออกเรือมาแต่แรกด้วยซ้ำ”

“แต่เราก็มาแล้วนี่” นิโคลกระซิบบอกพลางลูบปอยผมเปียก ที่ลู่แนบกับผิวข้างแก้มออกให้ สายตาแข็งกร้าวของลอเรนในคราแรก เปลี่ยนไปทันทีที่ประสานสายตากัน พลันลอร์ดน้อยต้องรีบหลบ เพราะกลัวใจตัวเองจะอ่อนไหว หันไปใช้ท้องฟ้าผืนน้ำเป็นเป้าหมายแทนการสบตา

ลอเรนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี ไม่อยากอยู่ในความชิดใกล้อย่างนี้ แต่ก็ไม่เคยจะเลี่ยงได้ ด้วยว่าใจมันเอาแต่เรียกร้องโหยหา เลยต้องสั่นอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง กระนั้นความรู้สึกอบอุ่นในใจมันมีมากกว่า อยากขืนตัวเองออกจากความชิดใกล้ แต่ร่างกายกลับปล่อยให้ถูกกอดนิ่ง ทิ้งให้การใช้ขาตีน้ำพยุงตัวเป็นหน้าที่ของนิโคล ต่างคนต่างเงียบ นิโคลเอาแต่กวาดตามองพักตร์ขาวซีดอยู่อย่างนั้น เพราะได้โอกาสพิศซีกแก้มซีดใกล้ ๆ ยามลอเรนเอาสายตาไปมองฟ้ามองน้ำ

จนในที่สุด

ลอร์ดออสเซนเทียเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบเสียเอง ด้วยคำถามที่ทำลอเรนแทบขาดใจเมื่อได้ยิน

“เจ้ารักข้าไหมลอเรน”

“ท่าน...” ลอเรนพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น เมื่อหันกลับมามองหน้าเจ้าของคำถามอย่างตื่นตะลึง ไม่คิดว่านิโคลจะถามออกมาตรง ๆ ถึงความในที่เก็บงำมานาน

“ว่ายังไงลอเรน เจ้ารักข้าหรือไม่”

“ลอร์ดนิโคล” เสียงที่เปล่งออกมามันแผ่วเบาราวสิ้นไร้เรี่ยวแรง จะให้ลอเรนตอบเหมือนใจคิดได้อย่างไร ในเมื่อนี่เป็นเรื่องเสื่อมเสียและไม่เหมาะยิ่ง ความรักที่ลอเรนมีอยู่เต็มเปี่ยมจนแทบล้นทะลักอก เป็นความรักที่ไม่อาจเผยใจออกมาได้

มันเป็นรักต้องห้าม!

“ถ้าเจ้าไม่รักก็พูดออกมาเลยว่าไม่รัก” ถึงการกระทำของลอเรน จะทรยศต่อความรู้สึกตัวเองมากแค่ไหน แต่ใจก็ไม่แข็งพอที่จะพูดออกมาว่าไม่รัก โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด ลอเรนไม่ตอบทั้งที่มีคำตอบ รักหรือไม่รักพูดออกไปก็เจ็บเจียนตายพอกัน ดวงตาสวยหลุบมองต่ำเฉพาะอกกว้าง ที่ลอเรนดันไว้ด้วยมือทั้งสอง หยดน้ำใสปริ่มขอบตาจนต้องกะพริบถี่ ให้มันกลับเข้าไปข้างในเหมือนเดิม

“เจ้ากลัวหรือ” ลอเรนเพียงส่ายหน้า แต่ไม่รู้ว่ากำลังปฏิเสธสิ่งที่นิโคลพูดหรือปฏิเสธตัวเอง หรือลอร์ดน้อยยังมีทางเลือก ความถูกต้องหรือหน้าที่ หรือความต้องการอย่างเห็นแก่ตัวของตัวเอง หรือบ้านเมือง

“ข้า...ปล่อยเถอะ”

“เจ้ากลัวที่จะบอกว่ารักข้าหรือลอเรน” นิโคลกระซิบถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จนลอเรนอุ่นวาบไปถึงหัวใจ รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่าง ทำก้อนเนื้อในอกเต้นในจังหวะแรงขึ้น “กวางน้อยบอกสิว่าเจ้ารักข้ามากแค่ไหน ใจของเจ้ามันเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว บอกออกมา แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข” เป็นไปไม่ได้! ลอเรนค้านเสียงแข็ง แต่ก็เพียงเสียงที่ดังอยู่ในใจ หาได้ปล่อยให้หลุดออกจากปาก ลอร์ดน้อยเพียงเม้มปากอย่างขื่นขม ฝืนใจเมินมองไปทางอื่น ทางที่ไม่มีใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา ที่ตราตรึงหัวใจตั้งแต่ครั้งแรกพบ ทางที่ไม่ต้องประสานสายตา หรือมองหน้ากันให้เจ็บปวดไปมากกว่านี้ อย่าใจอ่อนไปลอเรน

นิโคลถอนหายใจหนัก เมื่อเห็นลอเรนยังใช้ความเงียบแทนคำตอบ “ข้าจะทำยังไงกับเจ้าดีนะลอเรน”

“ทำในสิ่งที่ถูกต้องที่เราควรทำลอร์ดนิโคล ท่านก็รู้”

“เด็กดื้อ”

“ท่านอย่ามาว่าข้า ข้ามีหน้าที่ต้องทำ “ลอเรนหันมาต่อว่า แต่นิโคลกลับเพียงยิ้มด้วยสีหน้าอ่อนใจ แววตาที่มองทำลอเรนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กลงอีกหลายปี ทั้งที่อ่อนกว่าคนที่อยากให้เขาเรียกท่านพี่อยู่ไม่เท่าไหร่

“แล้วจริงไหม เจ้ามันดื้อหลับหูหลับตาเชื่อแต่หน้าที่ของตัวเอง” ยิ่งเห็นสายตาที่นิโคลใช้มองลอเรนยิ่งหนักใจ กลางอกมันปวดหน่วงร้าวลึก ใจอยากกอดร่างแกร่งแน่น ๆ ให้สมรัก แต่กายกลับทำตรงข้ามด้วยการผลักไสให้ห่าง ความสับสนตีวนรวนเรจนทำตัวไม่ถูก นิโคลอยากได้ยินคำรัก แต่ลอเรนจะพูดออกไปได้อย่างไร หากไม่ได้ยิน...

“ข้า..รักเจ้ากวางน้อย” ยังไม่ทันที่ลอเรนจะได้คิดอะไรไปไกล คำรักก็ถูกเอ่ยออกมาจากปากของคนที่ถามหาความรักก่อน มันง่ายดายไปไหม แต่ทำไมดวงตาคู่นั้นถึงได้จริงจังนัก จริงจังจนลอเรนไม่อาจถอนสายตาตัวเอง แล้วหันไปมองทางอื่นได้ทั้งที่เป็นสิ่งที่อยากทำที่สุด ทำไมใจดวงน้อยคอยแต่จะโอนอ่อนผ่อนไปตามคำหวาน และการกระทำไม่ปิดบังความรู้สึกของเขา ทำไมลอเรนไม่เคยเข้มแข็งอย่างที่บอกตัวเอง ยามได้อยู่ชิดใกล้ได้สัมผัสไออุ่นของคนตัวสูง เพราะใจที่มันมีแต่เขาไปหมดแล้วทั้งใจ หรือเพราะลอเรนใจง่ายเอง

“ลืม”

“..”

“ทุกเรื่องที่อยู่บนฝั่งนั่นลืมมันไป” นิโคลโอบประคองแก้มนวลที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อ ไล้นิ้วหัวแม่มือเบา ๆ ไปตามพวงแก้มนิ่มที่ถูกเปลวแดดเลียจนซับสีแดงสุก ดวงตาคู่สวยขอบแดงช้ำเพราะเสียน้ำตาให้กับความห่วงหา แต่มันกลับทำให้เนตรสีฟ้าน่ามองไปอีกแบบ ทั้งสองประสานสายตากันนิ่ง ลอเรนตั้งใจฟังสิ่งที่นิโคลกำลังพูดราวเด็กว่าง่าย

“ตอนนี้มีแค่เจ้ากับข้า ดูสิโลกนี้มีแค่เราสองคน” สิ้นเสียงกระซิบ ริมฝีปากอุ่นประทับลงมาอย่างอ่อนโยน ใจดวงน้อยในอกเต้นกระหน่ำกับความแนบชิดบดเบียด รักที่เปี่ยมล้นใจเรียกร้องให้ลอเรนหลับตาลง เผยอปากอ้ารับสัมผัสที่โหยหา ลิ้นร้อนสอดแทรกความหวานละมุนเข้ามา พากวางน้อยล่องลอยเข้าสู่ห้วงฝัน

การได้อยู่กับคนที่รักหมดใจมันสุขล้น จนลอเรนอยากโยนภาระหนักอึ้งทุกสิ่งทุกอย่างทั้งไว้เบื้องหลัง แล้วกอบโกยเอาความสุขของการมีกันและกันเป็นของตัวเอง เจ้าของร่างโปร่งสนองตอบจูบหวามหวาน ด้วยการส่งเรียวลิ้นหยอกเย้าตอบโต้ เสียงคำรามอย่างพอใจดังมาจากลำคอ ของคนที่กำลังควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นไปในแบบที่ใจทั้งสองดวงต้องการ ลอเรนจะลืมอย่างที่นิโคลบอก จะยอมเชื่อว่าโลกนี้ ที่นี่ มีเราอยู่กันเพียงสองคน

แค่ลอร์ดนิโคลกับกวางน้อยของเขา

ลอเรนตัดสินใจกระโจนเข้าหาสิ่งที่ใจปรารถนามาตลอด เก็บเกี่ยวทุกความสุขสมในวันนี้ เพื่อวันหนึ่งอาจจะได้ใช้ความสุขที่เคยได้เคยมี มาเยียวยาตัวเองหากต้องเจ็บ ลอเรนรู้ดีวันข้างหน้ามีความเจ็บปวดรออยู่

“นิ นิโคล..” ลอเรนผละออกเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ได้แค่เรียกชื่อคนตัวสูง จากนั้นก็ไม่มีโอกาสได้พูดต่อ เพราะนิโคลไม่ยอมเสียเวลาในการเก็บเกี่ยวความหวานละมุน ของริมฝีปากบางรูปกระจับ ที่คอยแต่จะพูดในสิ่งที่เขาไม่อยากฟัง

“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้าจะไม่บังคับเจ้าลอเรน” น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนที่กระซิบบอก เป็นดังน้ำทิพย์ที่หยดลงมาชโลมหัวใจแห้งผาก ลอเรนรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่าง จึงตัดสินใจเปิดปากพูดความรู้สึกของตัวเอง

“ข้า..” แต่คำที่อยากเอ่ยกลับติดอยู่แค่ปลายลิ้น ไม่ได้เล็ดลอดออกจากปากอย่างที่ต้องการ ลอเรนเหมือนลำคอตีบตันไปเสียดื้อ ๆ ยิ่งเห็นสายตาที่มองมาอย่างมีความหวังและรอฟัง ลอเรนยิ่งเกิดความจุกจนแทบทนไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยนิโคลไว้แน่น แล้วยืดตัวขึ้นไปป้อนจูบเสียเอง

ริมฝีปากไร้เดียงสาที่กำลังป้อนจูบช่างน่าประทับใจ แต่ยังไม่เท่าความรู้สึกดี ๆ ที่สัมผัสได้ในรสจูบแสนหวาน ความสุขเอ่อล้นจนใจพองโตคับอก นิโคลตอบกลับด้วยจูบดูดดื่มแสนเร่าร้อน เพราะทุกความรู้สึกอัดแน่นถูกเก็บงำไว้ ถึงคราวได้ระบายออกมาสักที ความสุขล้นปรี่ที่ได้โอบกอดกระจายรอบตัว ราวกับสองร่างกำลังล่องลอย

“ลอเรน เจ้า” รอยยิ้มที่ค่อย ๆ จุดขึ้นมาประดับพักตร์เกลี้ยงเกลา มันมีทั้งความตื่นเต้นและยินดีจนปิดไม่มิด หากลอเรนจะใส่ใจบ้าง คงได้เห็นตั้งแต่แรกเจอกัน ว่านิโคลเองก็เปิดเผยความรู้สึกของตัวเองมาโดยตลอด ทั้งสองต่างเป็นรักแรกพบของกันและกัน แต่เพียงภาระหน้าที่ ทำให้ลอเรนไม่ยอมรับความรู้สึกที่มี และมองข้ามสิ่งที่ควรจะเป็นของตัวเองแต่แรกไป

สายตาหวานหยาดเยิ้มสื่อความหมายทำลอเรนเขิน จนต้องหลบมองต่ำ ริมฝีปากสีสดที่ถูกนิโคลดูดดื่มจนหนำใจ ขมุบขมิบถามเสียงเบา “ข้าทำไม”

“เจ้าจูบข้าก่อน” ทำไมต้องล้อเลียนด้วย ลอเรนคิดแล้วเผลอเหลือบตาขึ้นมองค้อน นิโคลยิ้มกว้างหยอกเย้าและเหมือนจะย้ำกับตัวเอง ว่านี่เป็นครั้งแรกที่คนตรงหน้าเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อกันมากที่สุด “นี่เป็นครั้งแรกเชียวนะ”

“ก็..”

“ข้าว่าข้าควรให้รางวัลกวางน้อยแล้วล่ะ ก็ออกจะน่ารักขนาดนี้”

“รางวัลอะ..อือออ” ยังไม่ทันได้พูดจบ ริมฝีปากสวยก็ถูกครอบครองด้วยความปรารถนาดูดดื่ม นิโคลแลกจูบเร่าร้อนด้วยเรียวลิ้นอุ่น ที่ชำแรกแทรกเข้ามามอบความหวานละมุนละไม ใจดวงน้อยในอกลอเรนเต้นไม่เป็นจังหวะ ร่างสูงมอมเมาด้วยจูบหลอกล่อเอาอกเอาใจ แขนข้างหนึ่งโอบประคองร่างโปร่งแนบชิดไม่คลาย ส่วนแขนอีกข้างตะกายน้ำเป็นจังหวะเดียวกันกับขาทั้งสอง เพื่อพาร่างในอ้อมแขนกลับเรือ





*\*\*\*\*\*\ 50 % *\*\*\*\*\*\*

แล้วเราก็ 555 ตัดซะเลยยย

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


ต่อ 100%

“ข้าว่าข้าควรให้รางวัลกวางน้อยแล้วล่ะ ก็ออกจะน่ารักขนาดนี้”

“รางวัลอะ..อื้อออ” ยังไม่ทันได้พูดจบ ริมฝีปากสวยก็ถูกครอบครองด้วยความปรารถนาดูดดื่ม นิโคลแลกจูบเร่าร้อนด้วยเรียวลิ้นอุ่น ที่ชำแรกแทรกเข้ามามอบความหวานละมุนละไม ใจดวงน้อยในอกลอเรนเต้นไม่เป็นจังหวะ ร่างสูงมอมเมาด้วยจูบหลอกล่อเอาอกเอาใจ แขนข้างหนึ่งโอบประคองร่างโปร่งแนบชิดไม่คลาย ส่วนแขนอีกข้างตะกายน้ำเป็นจังหวะเดียวกันกับขาทั้งสอง เพื่อพาร่างในอ้อมแขนกลับเรือ

ยามนี้ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจไปมากกว่าอ้อมกอดของกันและกัน ร่างสูงโปร่งของลอร์ดแห่งสวาเนียร์ ถูกอุ้มมาวางลงยังฟูกหนานุ่มที่นิโคลใช้ปูนอน ลอร์ดหนุ่มตระกองกอดให้สองร่างแนบชิดไม่ห่าง แต่ดูเหมือนยังมีเสื้อผ้าเปียกที่ขวางกั้น นิโคลจึงจัดการถอดมันออกอย่างรวดเร็ว จนลอเรนแทบไม่รู้ว่าตัวเองเปลือยเปล่าต่อหน้า และสายตาคมสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นตั้งแต่ตอนไหน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนร่างขาวราวน้ำนม ถูกสายตาคมคู่นั้นสำรวจไปถ้วนทั่ว แววกระหายในดวงตาสีเข้มทำลอร์ดน้อยสั่นสะท้าน จนต้องย่อเข่าเข้ามากอดแน่น

“เจ้างดงามเหลือเกินกวางน้อย” ลอเรนได้แต่มองต่ำจับสายตาอยู่กับแผ่นฟูก ด้วยว่าต่างคนก็ต่างไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดบังร่างกาย แต่ลอเรนไม่เข้าใจว่าทำไมมีเพียงตัวเขาที่ขัดเขิน ไม่กล้ามองเจ้าของร่างสูงสง่าอยู่ฝ่ายเดียว

นิโคลเห็นกวางน้อยเขินอาย จนตามร่างกายขาวนวลขึ้นสีระเรื่อ ลอร์ดออสเซนเทียยกยิ้มกริ่ม ไล่สายตาสำรวจร่างขาวลอออย่างหลงใหล ลอเรนเองก็รู้ว่ากำลังถูกความเสน่หาโลมเลียไปทั้งร่าง จึงยิ่งก้มหน้าหลบเข้าไปใหญ่ แต่หลบยังไงคงไม่พ้น และเป็นอย่างที่คิด พอเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากก็ถูกครอบครองด้วยความหวานซ่านอารมณ์ที่รออยู่ทันที ครั้งนี้ดูเหมือนจะฉุดไม่อยู่ ร่างโปร่งเกร็งสะท้านเมื่อถูกอุ้มขึ้นนั่งบนตัก รับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่แข็งแกร่งเป็นแท่งลำทิ่มแทงต้นขา ลอเรนตัวสั่นราวลูกนกตัวน้อยที่เปียกน้ำจนน่าสงสาร แต่เวลานี้ นิโคลทำได้เพียงปลอบด้วยจูบดูดดื่มปนความเร่าร้อนของอารมณ์และปรารถนา



ลิ้นร้ายชอนไชเข้าหยอกล้อตวัดเกี่ยวรัดดูดดึง นิโคลจูบหนัก ๆ เน้น ๆ ลงบนกลีบปากกระจับสวย แล้วจึงไล่แตะไต่ริมฝีปากร้อนลงมาถามผิวเนื้อ ซอกคอขาวหอมอ่อน ๆ กลิ่นเป็นธรรมชาติ พาให้หลงใหลจนมัวเมา ลมหายใจหอบถี่ไม่เป็นจังหวะ พอกันกับกวางน้อยด้อยเดียงสา ที่ทุกความรู้สึกตีรวนประดังเข้ามาพร้อมกันจนสับสน แต่กระนั้นยังพยายามตอบรับทุกสัมผัสที่รับมา นิโคลจูบไล้ไล่ลงไปตามนวลเนื้อนิ่ม ถึงหน้าอกแบนราบที่ประดับด้วยยอดอกสีหวาน ปลายลิ้นร้อนทักทายด้วยการตวัดหยอกเย้าก่อนขบเม้ม จนเจ้าของอกบางสะดุ้งเฮือก ร่างน้อยสั่นสะท้านเกร็งตัวแน่น เมื่อยอดอกถูกขบเบา ๆ ส่งความเสียวซ่านพุ่งกระจายไปทั้งตัว

“ลอเรน” เสียงแหบพร่าที่กระซิบอยู่ข้างหูบอกได้เป็นอย่างดี ว่าเจ้าตัวต้องการสิ่งใด นิโคลถูกความเสน่หาครอบงำสติ ด้วยความรู้สึกดีที่มีต่อกัน ตัวลอเรนเองก็ไม่ต่าง ที่ความปรารถนาต้องการมันเอ่อล้นจนท่วมท้นแน่นอก ล้นทะลักผ่านแท่งรักกลางกายออกมา เป็นหยาดแห่งความปรารถนาใส ๆ ปริ่มปลายยอด ความต้องการจากความรู้สึกส่วนลึกพาให้หลงลืมตัว ดวงตาหยาดเยิ้มฉ่ำไปด้วยอารมณ์เสน่หาของนิโคล มองลอเรนที่ตัวอ่อนปวกเปียกอยู่บนตักด้วยความเอ็นดู



ลอร์ดน้อยกวาดตามองพักตร์เกลี้ยงเกลาด้วยแววตาฉ่ำรัก รักแสนรัก รักหมดใจ รักอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะรักใครได้เท่านี้มาก่อน รักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ประสบพักตร์หล่อเหลา ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น วงพักตร์นั้นขึ้นสีแดงเรื่อ มันช่างน่ามองนัก เมื่อมีความเขียวครึ้มของหนวดเครา ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมาประดับกรอบหน้า



ลอร์ดน้อยหลบสายตาชวนฝันที่จ้องมอง ด้วยการซบหน้าแนบลงกับอกอุ่น ยอมแล้วยอม ลอเรนยอมแล้วทุกอย่าง ร่างโปร่งที่อ่อนระทวยบนตัก ยอมซบพักตร์แดงเรื่อลงกับอกกว้าง ลอเรนไร้สิ้นแรงขัดขืน ด้วยเพราะใจตัวเรียกร้อง หาใช่เพราะไร้แรงต่อสู้ต้านทาน รู้อยู่ตลอดว่าใจทรยศ ที่เอาแต่ร่ำร้องโหยหาลอร์ดตัวสูงทุกวี่วัน วันนี้ลอเรนขอละทิ้งสิ้นทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ทิ้งไว้บนฝั่งนั่นทั้งภาระหน้าที่ ท่ามกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่เป็นพยาน กวางน้อยจะหลอมรวมรักที่ท่วมท้นใจให้กับลอร์ดนิโคลเพียงผู้เดียว



“เป็นของข้านะ ลอเรน” ริมฝีปากอุ่นประทับจูบหนัก ๆ ลงบนกลุ่มผมสีเงินยวง ที่ปลิวสยายไปตามสายลมอ่อน ลอร์ดหนุ่มเผยยิ้มเมื่อกวางน้อยขี้อายพยักหน้าเบา ๆ แทนการตอบรับคำขอ ทั้งที่ก้มหน้าซบอยู่กับอกแน่น นิโคลขยับตัวเปลี่ยนท่า ค่อย ๆ วางร่างโปร่งในอ้อมแขนลงนอนบนเบาะนุ่ม ทาบทับไว้ด้วยกายแกร่งอย่างปกป้อง ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความอ่อนโยนทะนุถนอม ลอเรนแม้จะดูเข้มแข็งแต่ก็เพียงภายนอก ข้างในนั้นอ่อนไหวจนน่าเป็นห่วง



เสียงลมเสียงคลื่นถูกเมินสิ้น ดวงอาทิตย์สีส้มอ่อนที่กำลังจะลับฟ้าไปเงียบ ๆ ไม่ได้รับความสนใจ เท่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ตาประสานตาก่อนที่ลอเรนจะหลับลงอย่างเป็นสุข เมื่อจูบอ่อนหวานประทับกลางหน้าผากมน มือประสานมือกระชับแน่น ความสุขกำซ่านผ่านมาทางนั้นสู่เนื้อก้อนน้อย ๆ ในอก ก่อนแตกกระจายไปทั่วตัว ร่างน้อยแสนบอบบางเมื่อถูกทาบทับไว้ด้วยร่างแกร่งของลอร์ดหนุ่ม ที่ซ่อนความกำยำไว้ภายใต้อาภรณ์สูงค่าสมฐานันดร ทุกการขยับเคลื่อนไหวเป็นไปด้วยความนุ่มนวลละมุนละไม จนลอเรนแทบรับความสุขสมปล้นปรี่ไม่ไหว ต้องระบายออกมาทางเสียงครางพร่าแหบสั่น



“ลอเรน” ยากเหลือเกินที่จะควบคุมร่างกายตัวเอง ยามได้ยินเสียงเรียกแสนหวาน และถูกกระตุ้นด้วยสัมผัสอุ่น ๆ ไปตามนวลเนื้อ ร่างน้อยบิดเร่าเรียกร้องในสิ่งที่ปรารถนา จูบเร่าร้อนแต่อ่อนหวานคือสิ่งที่นิโคลปรนเปรอไม่ขาด ความนุ่มนวลอ่อนหวานแตะไต่ไปตามร่าง แทบเรียกได้ว่านวลเนื้อทุกส่วนของลอเรน นิโคลได้สัมผัสมาแล้วด้วยริมฝีปากอุ่น และสองมือสาก จนขาเรียวถูกจับแยกกว้าง ให้ร่างกายแกร่งได้แทรกตัวเข้ามาแนบชิดสนิทกันยิ่งขึ้น

“อ๊ะ นิโคล”

“เจ้าเจ็บหรือลอเรน” ใบหน้าหวานเหยเกเพราะร่างกายถูกชำแรกแทรกเข้าหา ด้วยความแข็งร้อนใหญ่โตเกินกว่าจะรับไหว ลอเรนผวากอดร่างกายแกร่งแน่น ขาเรียวรัดรอบเอวสอบเกร็งร่างจนสะท้าน นิโคลเองก็ต้องปล่อยเสียงครางสั่นออกมา เพราะกลางกายที่สอดแทรกเข้าไปได้เพียงไม่ถึงครึ่ง ก็ถูกบีบรัดแน่น ความสุขสมมาพร้อมความคับแน่นโอบอุ้มจนอึดอัด อยากทะลุทะลวงให้สุดลำกาย แต่คนรับคงตายก่อนสุขสมเป็นแน่แท้

“นิโคล เจ็บ ข้าเจ็บ”

“ไหวไหมอีกนิดเดียว เจ้าอย่าเกร็งกวางน้อย ข้าจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” น้ำเสียงที่บอกถึงจะอ่อนโยนจนรู้สึกถึงความห่วงใย ไม่เท่ากับการกระทำที่สัมผัสรับรู้ได้ลึกซึ้งกว่า นิโคลลูบศีรษะแล้วก้มลงประทับจุมพิตปลอบเบา ๆ กลางหน้าผาก ไล่ลงมาตามสันจมูกจนถึงริมฝีปากนิ่ม พลางถอนถอยตัวเองออกช้า ๆ แล้วขยับเข้ามาใหม่ ขยับเข้าออกเป็นจังหวะสั้น ๆ อยู่อย่างนั้นจนลึกขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ลอร์ดน้อยคุ้นชิน ทุกจังหวะเป็นไปอย่างเนิบนาบอ่อนโยนใจเย็น ทั้งที่ภายในถูกแผดเผาด้วยลาวารักร้อนแรง จนแทบทนไม่ไหวแล้ว

“นิโคล ท่านพี่ จูบ..ข้า จูบน้อง” พอปล่อยตัวปล่อยใจลอเรนก็ออดอ้อนเสียขาดนี้ จะให้นิโคลทำใจแข็งต่อไปได้อย่างไร กวางน้อยอาจจะเมาน้ำทะเลก็เป็นได้ ถึงได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

“กวางน้อย” ความสุขที่กำซ่านอยู่ในใจ จะเรียกว่าสุขจนล้นก็คงไม่ผิดจากความเป็นจริงนัก ใจสองดวงที่แนบชิดผ่านสัมผัสของแผ่นอก พองโตขึ้นมาพร้อมกัน จูบหวาน ๆ ถวายให้ลอร์ดน้อยตามคำเรียกร้อง จนลอเรนหลงลืมความเจ็บปวด ความสุขสมสุดซาบซ่านเข้ามาแทนที่ นิโคลป้อนจูบพร้อมสัมผัสทะนุถนอมให้ความสำคัญ ลอเรนกอดรัดร่างกำยำแน่นเมื่อจังหวะรักจริง ๆ ได้เริ่มขึ้น ความเจ็บแปรเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ ที่เพิ่งเคยได้สัมผัสลิ้มลอง ความสุขสมซาบซ่านกระจายไปตามอณูเนื้อจนล้นทะลัก สองร่างกอดรัดแลกสัมผัสเร่าร้อน กายประสานกายลมหายใจประสานกัน รอบข้างมีแต่กลิ่นอายรักอบอวลโอบล้อม สองเจ้าชายหลับตาพริ้ม ปล่อยใจไปกับจังหวะรักร้อนแรงที่เริ่มเร่งเร้า ร่างกายล่องลอยราวหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงฝันหวาน ลมหายใจหอบได้จังหวะเมื่อประสานร่างเข้าด้วยกันแนบแน่น จนถึงที่สุดของอารมณ์และการปลดปล่อยตัวเอง ทุกความปรารถนาที่หลั่งรินเป็นพยานว่าสองหัวใจได้หลอมรวม



*/*/*/*/*/*/*



สิ่งแรกที่ลอเรนเห็นเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้น คือดวงดาวบนท้องฟ้าที่เปล่งแสงระยิบระยับ ตาสวยยังคงมีร่องรอยของความง่วงซึม จนต้องกะพริบถี่ปรับให้คุ้นชินกับความมืดรอบตัว ที่แค่พอมองเห็นสลัว ๆ จากแสงดาวบนฟ้า จำได้ว่าก่อนผล็อยหลับไปยังไม่มืดถึงเพียงนี้ ท้องฟ้าที่เคยสว่างตอนนี้เหมือนถูกห่มด้วยผืนผ้าสีดำ ที่ประดับด้วยดาวดวงเล็กดวงน้อยนับอสงไขย รู้สึกเหมือนกำลังถูกดวงตานับล้านเฝ้ามอง ลอเรนขยับตัวแต่ก็เป็นไปได้เพียงเล็กน้อย ร่างกายที่ผ่านความสุขสมจนล้นปรี่เตือนถึงอะไรบางอย่างไม่ปกติ และลอเรนเองก็รู้ตัวว่าคืออะไร ย้อนคิดกลับไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหลับ คิดถึงแววตาอ่อนโยนที่จ้องมอง คิดถึงสัมผัสทะนุถนอม จูบหวานละมุนที่ดูดดื่มเสียจนแทบหลงลืมตัวเอง ความรู้สึกสุขสมซาบซ่านยามรวมร่างเข้าด้วยกัน ทุกจังหวะรักที่เร่าร้อน ติดตรึงลงในความรู้สึก ฝังลึกลงในส่วนลึกของความทรงจำแสนหวาน



ลอเรนหลับตาลงอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อนอนหลับไปจริง ๆ แต่หลับเพื่อซึมซับความสุขให้ประทับลงในใจ ราวกับย้ำตัวเองว่าคือเรื่องจริง ท่อนแขนที่กำลังโอบกอดกระชับแน่นขึ้น ด้วยรู้ว่ากำลังกอดอะไรอยู่ รอยยิ้มบาง ๆ ประดับใบหน้าเปี่ยมสุข จนคนตื่นอีกคนที่แอบมองอยู่ ต้องยิ้มตามอย่างเอ็นดู



“ตื่นแล้วนอนยิ้ม คิดอะไรอยู่” ความรู้สึกว่าตัวเองถูกกอดแน่นขึ้น พร้อมเสียงกระซิบที่ดังข้างหูทำลอเรนสะดุ้งเบา ๆ รู้ว่ากำลังนอนเกยอยู่บนอกกว้างแกร่ง แต่ไม่รู้ว่าเผลอหลับท่านี้นานแค่ไหน ไม่คิดว่าอีกคนจะตื่นแล้วเหมือนกัน

“อะไรกันลอเรน ตื่นแล้วเจ้าทิ้งพี่ทันทีเลยหรือไง” พอรู้ตัวก็เหมือนลอเรนจะรีบผละออกห่าง แต่มีหรือนิโคลจะยอมปล่อยร่างอุ่น ๆ ที่ตระกองกอดมาเป็นนานสองนาน หลังจากบทรักหวานซึ้งตรึงใจจบลง กวางน้อยของเขานอนหอบอย่างหมดสภาพ ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็หลับไปหลังจากนั้น ลอเรนคงเหนื่อยจากการที่ต้องดำผุดดำว่ายในน้ำตอนงมหาเขา

“ข้าไม่ได้จะทิ้งท่านนะ แค่จะไปแต่งตัว” ลอเรนเพิ่งรู้ตัวว่าสองร่างยังไร้อาภรณ์ปกปิดร่างกาย ท่ามกลางสายลมอ่อนและแสงจากดวงดาว ตอนที่แผ่นหลังถูกลูบไล้เบา ๆ ด้วยมือเจ้าของอ้อมกอดอบอุ่นนี่เอง

“ดูบนฟ้าสิดาวสวยมากเลย ท้องฟ้าแบบนี้ไม่ค่อยได้เห็นที่ออสเซนเทียบ่อยนักหรอก” นิโคลไม่สนใจสิ่งที่ลอเรนบอก แต่ชักชวนดูดาวบนฟ้าแทน ลอเรนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสวยงามอย่างที่บอกจริง ๆ เลยยอมนอนอยู่ในอ้อมกอดอย่างว่าง่าย ด้วยการซบซีกแก้มลงกับแผงอกกว้างตามแรงของมือใหญ่ที่กดเบา ๆ ทั้งสองนอนเปลือยร่างให้สายลมโอบกอด อาบร่างด้วยแสงดาวบนฟ้าที่ส่องลงมาเพียงสลัว ลมทะเลยังพัดมาอยู่ตลอด แต่กลับอบอุ่นจนแทบไม่อยากขยับตัวออกห่างกัน นอนกอดกันเงียบ ๆ สายตาจับไปยังท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาวเต็มฟ้า ราวกับมีใครตักเอาเพชรเม็ดเล็ก ๆ ไปสาดกระจายลงบนผ้าสีดำผืนใหญ่

“นิโคล” คนถูกเรียกเงียบแต่ลอเรนรู้ว่านิโคลกำลังรอฟัง จากอ้อมแขนที่กระชับขึ้น แต่เท่านั้นมันไม่พอสำหรับนิโคล เพราะลอเรนเรียกแล้วยังเงียบไม่พูดต่อ คนที่นอนเคียงข้างพลิกตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ลอเรนยังไม่ทันได้รู้ตัวร่างก็ถูกทาบทับไว้ด้วยร่างใหญ่กำยำแล้ว

“เรียกพี่แล้วทำไมไม่พูดต่อ” ตาประสานตานิ่งนาน และเป็นกวางน้อยด้อยเดียงสาเองที่ต้องหลบ เพราะนอกจากการประสานสายตากันแล้ว พักตร์นวลขาวราวน้ำนมยังถูกกวาดมองจนถ้วนทั่ว ด้วยแววตาที่นิโคลไม่ปิดบังความปรารถนาสักนิด ลอเรนเห็นแล้วใจเต้นแรง ลมหายใจผิดจังหวะ แต่แม้ดวงตาคู่นั้นจะทำให้ลอเรนไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะแววปรารถนาลุกโชนอย่างเปิดเผย ก็ยังให้ความรู้สึกอุ่นใจอยู่ไม่คลาย สิ่งที่เห็นจากดวงตาคู่นั้น ความรู้สึกของลอเรนคงไม่หลอกตัวเอง ว่าถูกมองอย่างคนที่ได้รับความสำคัญ

“..พรุ่ง อื้ออ” เป็นคนบอกให้พูดต่อแท้ ๆ แต่พอลอเรนจะพูด นิโคลกลับเป็นฝ่ายปิดริมฝีปากสวยนั่นเสียเอง ด้วยจูบหนัก ๆ ตามด้วยเรียวลิ้นอุ่นที่สอดแทรกแลกความหวาน ก่อนสิ่งที่ไม่อยากได้ยินจะหลุดออกมา ลอเรนเอ่ยออกมาอย่างนั้นทำไมนิโคลจะไม่รู้ ว่ากวางน้อยของเขาจะพูดเรื่องใด จะมีอะไรให้ลอเรนกังวลใจได้อยู่ตลอดเท่ากับเรื่องของบ้านเมือง

“ท่าน..”

“ถ้าจะพูดเรื่องบนฝั่งพี่ไม่อยากฟัง”

“ถึงยังไงเราก็ต้องกลับฝั่งอยู่ดีไม่ใช่หรือท่านพี่” แววตากวางน้อยน่าสงสาร แต่นิโคลกลับยิ้มออกมาบาง ๆ เพราะคำที่ลอเรนเรียกเขาเองโดยไม่ต้องเรียกร้องบังคับ หรือใช่เล่ห์กลหลอกล่อแกล้งให้ต้องพูด

“แต่ตอนนี้เรายังไม่กลับ” นิโคลเว้นจังหวะพูด ใช้สายตาคมตรึงให้ดวงตาคู่สวย ที่ส่องประกายสุขล้อเล่นแสงดาวยังสบกันนิ่ง “นะลอเรนให้ที่นี่เป็นที่ของเรา มีแค่เราสองคน แค่พี่กับกวางน้อยของพี่เท่านั้น” ลอเรนหลับตาลง ไม่ใช่ไม่อยากเห็นแววหวานซึ้งจากดวงตาคมคู่นั้น แต่เพราะต้องการซึมซับเอาความรักความรู้สึกที่ได้รับ จารึกลงสู่ส่วนลึกของหัวใจ จากจูบหวานละมุนที่ประทับลงมา เหมือนแทนคำสัญญาว่าที่นี่จะเป็นที่ของสองคนจริง ๆ ด้วยต่างรู้ว่ามีอะไรรออยู่บนฝั่ง ทั้งตัวนิโคลเองก็รู้หน้าที่ที่คงจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้

ต่อ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


กลางทะเลอบอวลไปด้วยความหวาน จนน้ำเค็ม ๆ จะกลายเป็นน้ำเชื่อม แต่ในเมืองกลับเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของเจ้าหญิงอานาสตาเซีย ที่อยู่ดี ๆ ก็ล้มป่วยลงกะทันหัน ในขณะที่กำลังมีการตระเตรียมงานแต่งงานกันอย่างวุ่นวาย อีกไม่กี่วันลอร์ดเจ้าบ่าวจากออสเซนเทียจะเดินทางมาถึง แต่การจัดงานที่เร่งรัดก็ยังดูเหมือนไม่ทันการณ์ จนกษัตริย์สวาเนียร์รู้เรื่อง และลงมาจัดการด้วยตัวเอง

“เจ้านายหายไปทั้งคนพวกเจ้าไม่มีใครรู้เลยหรืออย่างไร” เสียงตวาดกรรโชกที่ดังขึ้น ทำเอาเหล่าทหารยืนก้มหน้านิ่ง ด้วยรู้ว่าองค์กษัตริย์ที่เก็บตัวอยู่เพียงในเขตราชฐานส่วนพระองค์กำลังกริ้วโกรธ ที่อะไรต่อมิอะไรไม่เป็นไปตามรับสั่ง ซ้ำยังต้องมารู้ว่าลูกชายที่มอบหมายให้ดูแลภารกิจบ้านเมืองแทน หายตัวไปโดยไม่มีใครรู้เห็น

“ท่านพ่อ ข้าว่าลอเรนคงออกไปเที่ยวนอกเมืองไม่ไกล เดี๋ยวข้าจะให้คลาอัสพาทหารออกตามหาเอง” พอได้ยินเสียงอานาสตาเซีย กษัตริย์เฒ่าจึงคลายโทสะลงได้บ้าง เพราะคงมีแต่นางเท่านั้นที่กล้าทูลคำยามพระองค์ทรงพิโรธ

“จัดการให้พ่อด้วย ถ้ามันกลับมาให้ไปพบทันที” เห็นได้ชัดว่าลูกชายคนโตไม่เป็นที่โปรดปรานเท่าลูกสาว ทั้งที่ลอเรนเป็นถึงรัชทายาทอันดับหนึ่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของสวาเนียร์ “พ่อได้ยินว่าเจ้าไม่สบายไม่ใช่หรือ ทำไมไม่พักผ่อน”

“ลูกดีขึ้นแล้วท่านพ่อ ลอเรนไม่อยู่ลูกเลยต้องออกมาดูแลการเตรียมงาน”

“เห็นไหม มันไม่สนใจเลยว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องทำอะไร เจ้าไปพักเถอะ งานพวกนี้ให้คนอื่นดูก็ได้”

“ใกล้ถึงวันที่ลอร์ดนิโคลเดินทางมาถึงแล้วท่านพ่อ ลูกกลัวไม่ทัน”

“เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้ ถ้าลอเรนไม่ทิ้งหน้าที่ตัวเองไปเสียดื้อ ๆ ไม่บอกใคร เจ้าคงไม่ต้องลำบาก”

“ลูกไม่ได้ลำบากเลยท่านพ่อ มันเป็นงานแต่งของลูก ก็ต้องดูแลเอง”

“ลูกสาวพ่อ” กษัตริย์สวาเนียร์ดึงลูกสาวเข้ามากอดอย่างแสนรัก พอผละออกก็ประทับจูบกลางหน้าผากนางด้วย “มาเถอะพ่อจะพากลับห้อง หน้าเจ้าซีดมากนะ ไปพักก่อน” ความจริงอานาสตาเซียไม่ได้สนใจการเตรียมงานที่ว่านี้เลยสักนิด แต่ที่นางต้องออกจากห้องมา เพราะหญิงรับใช้วิ่งหน้าตื่นไปรายงาน ว่ากษัตริย์เฒ่าออกจากราชฐานส่วนพระองค์มาอาละวาด ด้วยเรียกหาไม่เห็นลอเรนที่หายไป และนั่นเป็นชนวนจุดโทสะ การหายไปของลอเรนโดยไม่มีใครรู้ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับเหล่าทหารข้าราชบริพารที่ไม่รู้ว่าเจ้านายหายไปไหน และเรื่องใหญ่สำหรับกษัตริย์เฒ่า เพราะไม่มีคนคอยรับบัญชา



“ได้เรื่องว่ายังไง” อานาสตาเซียถามขึ้นในเช้าวันต่อมา ตอนคลาอัสกลับมาจากตามหาลอเรน

“ลอร์ดลอเรนกลับมาแต่เช้าแล้ว ตอนนี้เข้าเฝ้ากษัตริย์อยู่”

“รู้หรือเปล่าว่าลอเรนไปไหนมา”

“คนของข้าบอกว่าลอร์ดลอเรนเอาเรือออกตั้งแต่สามวันก่อน คงไปกับลอร์ดนิโคลเพราะเห็นกลับมาด้วยกัน” ริมฝีปากบางของอานาสตาเซียแสยะออก เมื่อได้ยินว่าพี่ชายไปไหนกับใคร

แต่นางก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ “ท่านบอกว่าลอเรนออกเรือไปกับลอร์ดนิโคลหรือ”

“ใช่ลอร์ดลอเรนออกเรือไปกับคู่หมั้นว่าที่เจ้าบ่าวของท่าน ท่านหญิง”

“ไปด้วยกันได้ยังไง กำหนดเดินทางมาถึงของลอร์ดนิโคลมันอีกตั้งสามวันไม่ใช่หรือไง” อานาสตาเซียทำท่าครุ่นคิด นางอดแปลกใจไม่ได้ ที่ได้ยินว่าสองคนนั้นไปด้วยกัน แต่พอหันมาหาชู้รักนางก็เปลี่ยนเป็นอมยิ้ม มองนายทหารหนุ่มด้วยสายตาซุกซนแกมล้อเลียน เพราะคลาอัสเน้นคำว่าคู่หมั้นว่าที่เจ้าบ่าวเหมือนจงใจย้ำอะไรบางอย่าง “เจ้าประชดข้าหรือคลาอัส”

“ข้าจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ล่ะ คนรักของข้ากำลังจะแต่งงานกับชายอื่น ข้ากำลังจะสูญเสียทั้งเมียแล้วก็...”

ยังไม่ทันที่คลาอัสจะได้พูดจบอานาสตาเซียก็แทรกขึ้นมาก่อน “ชู้ววว เจ้าไม่ได้สูญเสียอะไรไปเลยยอดรักของข้า ถึงข้าจะแต่งกับลอร์ดนิโคล แต่ข้าก็ยังเป็นของท่านทั้งตัวและหัวใจ” นางกดจูบหนัก ๆ ลงบนริมฝีปากของเขาไปหนึ่งครั้งแทนคำสัญญา

“ข้าก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดีท่านหญิง แต่งแล้วท่านต้องไปอยู่ออสเซนเทียเราต้องห่างกัน” เขาบอกพลางเดินเข้ามาสวมกอดร่างระหง ที่ดูอวบอัดมีน้ำมีนวลขึ้นผิดตา นายทหารหนุ่มออดอ้อนแสดงความน้อยใจจนออกนอกหน้า

“ข้าจะไม่ไปคนเดียวหรอกที่รัก เจ้าต้องไปกับข้าด้วยในฐานะนายทหารผู้ติดตาม และ..” อานาสตาเซียยิ้มหวานให้คนรัก สองมือประคองใบหน้าลูบไล้ไปตามสันกราม ที่เต็มไปด้วยตอหนวดสากมืออย่างหลงใหล “คนรักของข้า”

คลาอัสส่ายหน้าเหมือนไม่ยอมรับอยู่ในที “อยู่นั่นข้าคงทำอะไรมากไม่ได้ มันจะไปมีความสุขอะไร ใครจะสุขได้ที่เห็นเมียอยู่กับชายอื่น แล้วยัง..”

“ไม่ต้องห่วงไปหรอก จะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม ข้าก็ยังจะเป็นของท่านเหมือนเดิม” อานาสตาเซียแทรกขึ้นทั้งที่คลาอัสยังพูดไม่จบ เพราะนางไม่อยากให้คนรักกังวลใจไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม

“ไม่จริง ข้าต้องสูญเสียทั้งเมียทั้ง..”

“ท่านหญิงลอร์ดลอเรนกำลังมาเจ้าค่ะ” เป็นอีกครั้งที่คลาอัสยังพูดไม่จบประโยค ก็ถูกขัดขึ้นมาก่อน คราวนี้คนขัดการระบายความน้อยเนื้อต่ำใจ เป็นหญิงรับใช้ที่เข้ามารายงาน ถึงการมาของท่านลอร์ดแห่งสวาเนียร์ และหลังจากนั้นไม่นานลอเรนก็ปรากฏตัว

“ได้ยินว่าเจ้าไม่สบายหรืออานาสตาเซีย” พอมาถึงลอเรนก็ถามน้องสาวทันทีอย่างเป็นห่วง

“ข้าไม่เป็นไร แต่เพราะการหายไปไม่บอกใครของพี่นี่แหละลอเรน ที่อาจจะเป็นเรื่องขึ้นมาได้” อานาสตาเซียตอบด้วยน้ำเสียงตำหนิพี่ชายอย่างไม่ปิดบัง

“ข้าแค่ไปพักผ่อน”

“ได้ยินว่าลอร์ดนิโคลเดินทางมาถึงแล้วไม่ใช่หรือไง” อานาสตาเซียเหยียดยิ้มแฝงความนัยให้ลอเรน นางเหลือบตาไปทางคนรักที่ยืนเงียบเจียมตัว ส่งยิ้มให้อย่างรู้กัน “พี่รับรองดูแลเขาดีไหมลอเรน” ลอเรนไม่รู้ว่าอานาสตาเซียมีอะไรแอบแฝงในคำถามด้วยหรือเปล่า แต่สายตาของนางมันดูเหนือกว่า ทำให้คนที่แอบทำสิ่งไม่สมควรรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมาทันที ใจเผลอนึกไปถึงค่ำคืนแสนหวานที่มีร่างกายแกร่งชิดใกล้ไม่ห่าง ให้สองร่างกกกอดแลกไออุ่นท่ามกลางสายลมและแสงดาว แต่ต้องรีบดึงความคิดล่องลอยกลับคืน เพราะอานาสตาเซียถามอะไรบางอย่าง

“เจ้าว่าอะไรนะข้าไม่ทันฟัง”

แทนที่จะตอบคำถาม อานาสตาเซียถามกลับแววตาจับผิด “พี่เหม่ออะไรลอเรน”

“เปล่าไม่มีอะไร”

“ข้าถามว่าพี่ไปเฝ้าท่านพ่อมาแล้วหรือ” ได้ยินน้องสาวถามถึงการเข้าเฝ้ากษัตริย์ผู้เป็นพระบิดา ลอเรนเผลอขยับยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นไม่รู้ตัว อานาสตาเซียที่มองพี่อยู่ตลอด เห็นท่าทางแปลกไปจึงได้สังเกต ว่าข้างแก้มซีกซ้ายของลอร์ดพี่ขึ้นรอยสีแดงจาง ๆ ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลย ว่าลอเรนคงถูกท่านพ่อลงโทษอย่างระบายโทสะมา

“ข้าเพิ่งกลับมาจากเฝ้าท่านพอ เลยแวะมาดูเจ้า ไม่เป็นไรก็ดีแล้วพักผ่อนเถอะ” ความห่วงใยของลอเรนไปไม่ถึงน้องสาว นางไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ไม่แม้แต่จะยิ้ม เพราะยิ่งงานแต่งงานกับนิโคลใกล้เข้ามาเท่าไหร่ อานาสตาเซียยิ่งดูเหมือนจะหงุดหงิดใจมากขึ้น แม้ว่านางยังยิ้มหัวเราะได้ แต่ก็เพียงกับคนรักของนางเองเท่านั้น

“แล้วเจ้าล่ะคลาอัส” ลอเรนหันมาทางนายทหารหนุ่ม ที่ยืนฟังสองพี่น้องพูดคุยถามไถ่กันเงียบ ๆ ราวกับไม่มีตัวตน “เจ้าไม่ควรอยู่แถวนี้นะ กลับไปทำหน้าที่ของเจ้าไม่ดีกว่าหรือ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน” นายทหารหนุ่มยอมถอย แสดงความเคารพผู้สูงศักดิ์กว่า แล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นเขตราชฐานที่พักส่วนตัวของอานาสตาเซียไป

“ช่วงนี้เจ้าควรระวังตัวเองนะอานาสตาเซีย เจ้าไม่ควรให้คลาอัสมาพบที่นี่”

“ได้สิ เดี๋ยวข้าไปหาเขาเองก็ได้”

“อานาสตาเซีย!” ลอเรนหันขวับไปมองน้องสาว “มันไม่เหมาะ ที่จริงจากนี้เจ้าไม่ควรเจอเขา อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะแต่งงานกับชายอื่นแล้ว”

“พี่ก็รู้..” ท่าทางของอานาสตาเซียเหมือนกล้ำกลืนก้อนอะไรบางอย่างลงคอ “ข้าไม่ได้ต้องการอย่างนั้น และพี่ก็ไม่มีวันเข้าใจ!”

“ทำไมข้าจะไม่เข้าใจ” น้ำเสียงลอเรนอ่อนลง ใจนึกสงสารน้องอยู่ไม่น้อย “เจ้าพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นอะไรไปก่อนวันงาน คราวนี้งานคงเลื่อนไม่ได้อีกแล้วนะ” ลอเรนทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นของอานาสตาเซียไป ทำไมเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกน้อง แต่เพราะเกิดมาพร้อมภาระหนักอึ้ง เป็นภาระของบ้านเมืองและส่วนรวม ลอเรนจึงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด

พอออกมาจากห้องนั่งเล่น ด้านหน้าจะเป็นสวนกลางภายในปราสาทบนเขา ที่กว้างขวางกินพื้นที่ส่วนกลางของตัวปราสาททั้งชั้น เชื่อมกับพระราชฐานส่วนอื่น ลอเรนเห็นหลังคลาอัสเดินอยู่ข้างหน้าไม่ไกล จึงไม่รอช้ารีบเดินตามให้ทันนายทหารหนุ่มทันที

“เจ้าหยุดก่อน”

“ลอร์ดลอเรน ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ” คลาอัสหันกลับมาทำความเคารพลอเรน ก่อนเอ่ยถามถึงจุดประสงค์ที่ถูกเรียกให้หยุด เขายืนนิ่งรอฟัง

“ข้าไม่มีอะไรให้เจ้ารับใช้หรอก แค่อยากบอกว่านับจากวันนี้ อยู่ให้ห่างนางเข้าไว้ เจ้าไม่มีความจำเป็นต้องเข้าใกล้นางเลยสักนิด”

ดวงตานายทหารวาวโรจน์ไม่พอใจ แต่ก็ปรับให้เป็นปกติได้ไวพอกัน “จะให้ห่างได้อย่างไรลอร์ดลอเรน ข้าเป็นทหารองครักษ์ของนาง ถ้าท่านยังไม่ลืม”

“ใช่ข้าไม่ลืม แต่นับจากวันนี้ข้าปลดเจ้าออก ไปได้แล้ว” น้ำเสียงของลอเรนทรงอำนาจ สมกับเป็นเจ้าชายผู้กุมอำนาจบริหารบ้านเมือง นายทหารหนุ่มผงะกับสิ่งที่ลอเรนประกาศ ตกใจจนเผลอตวาดหนุ่มน้อยสูงศักดิ์กว่าตรงหน้ากลับคืน

“ลอร์ดลอเรน! “ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างแข็งกร้าว กับท่าทางโอหังของนายทหารต่ำศักดิ์ ลอเรนขบฟันแน่นพยายามระงับความโกรธ

“เห็นว่าอานาสตาเซียหลงเจ้าก็อย่ากำแหงนัก” ลอเรนเชิดหน้ามองไปทางอื่น และเพียงปรายหางตามองนายทหารหนุ่มเมื่อเอ่ยประโยคต่อมา “ระวังจะไม่มีหัวของเจ้าวางไว้บนบ่า ไม่ใช่ไม่มีความผิดติดตัว ควรจะขอบคุณข้าด้วยซ้ำที่ทำเป็นมองไม่เห็น ข้าปล่อยให้พวกเจ้าสนุกพอแล้ว!” เป็นความจริงที่ความผิดของนายทหารราชองครักษ์ ที่ลอบเล่นรักกับเจ้าหญิงผู้เป็นนายมีความผิดถึงชีวิต แต่ที่ผ่านมาลอเรนเพียงกล่าวตักเตือน ด้วยหวังว่าทั้งสองจะแค่สนุก และหยุดความสัมพันธ์น่าอายลง ลอเรนไม่คิดว่าอานาสตาเซียกับคลาอัส จะก่อปัญหาให้แก้ไม่จบไม่สิ้นถึงเพียงนี้

“แค่ท่านพรากเมียกับลูกของข้าไปยังไม่พออีกหรือลอเรน!” คลาอัสตะคอกกลับ ตอนนี้นายทหารหนุ่มไม่สนใจแล้ว ว่าตัวเองจะต่ำต้อยไร้ศักดิ์เพียงใด และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นถึงเจ้าชายรัชทายาทผู้พี่ของคนรัก อำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ และความสุขสบายที่กำลังจะเป็นของเขาอยู่แค่เอื้อม กลับถูกทำลายลงเพียงเพราะคนตรงหน้า เอาคนรักของเขาไปถวายให้เจ้าชายจากต่างเมือง คลาอัสเก็บความรู้สึกและยอมก้มหัวให้มานาน วันนี้เลยถึงคราวที่เขาจะระบายออกมาอย่างดื้อดึงบ้าง และที่สำคัญ

อานาสตาเซียกำลังตั้งท้องลูกของเขา!

“ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเจ้าทั้งนั้น และคราวนี้เจ้าได้คอขาดจริงแน่หากยังไม่เงียบปาก นางมีภาระหน้าที่ต่อบ้านเมือง ไม่มีเมียไม่มีลูกของเจ้าอย่าเห็นแก่ตัว!” ลอเรนเองก็โกรธไม่น้อย ทั้งที่พยายามแล้วจะปิดบังเรื่องอื้อฉาว และจัดการให้อานาสตาเซียแต่งงานให้เสร็จ ๆ ไป หากแต่งงานแล้ว ลูกที่เกิดมาก็ยังพอบอกได้ว่าเป็นลูกของนิโคล ลอเรนต้องทำอย่างคนไร้ทางเลือกทั้งที่รู้สึกผิดต่อนิโคลไม่น้อย

“ท่านต่างหากที่เห็นแก่ตัวลอร์ดลอเรน”

“ข้าแค่ทำสิ่งที่ถูกต้องและจำเป็นต่อบ้านเมือง เจ้าไม่รู้อะไรก็อยู่แต่ในที่ของตัวเอง”

“หึ ถ้าไม่มีท่านสักคนลอเรน” นายทหารหนุ่มบอกพลางลูบมือไปบนเข็มขัดหนังที่รัดเอว ตรงนั้นห้อยอาวุธประจำกายไว้ พอด้ามดาบกระชับอยู่ในมือจึงค่อย ๆ ถอดมันออกมา สายตายังจับนิ่งอยู่กับใบหน้าของลอเรนไม่วางตา ลอเรนถอยห่าง ท่าทางของนายทหารหนุ่มมันทำให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากกำลังถูกหมายเอาชีวิต!

“เจ้าจะทำอะไรคลาอัส ทำอย่างนี้คิดว่าจะรอดหรือไง” ลอเรนเห็นท่าทางอย่างนั้นของคลาอัส ก็เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ปากยังถามนายทหารหนุ่มแต่ดาบถูกถอดออกมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมรับมือ ลอร์ดน้อยชักดาบออกมาว่องไว แต่เพียงไว้ใช้ป้องกันตัว หาใช่หมายเอาชีวิตเหมือนที่นายทหารหนุ่มกำลังคิดทำ “เจ้าคงคิดว่าถ้าข้าตายอะไรมันจะง่ายขึ้นสินะ”

“ใช่ ก็ถ้าไม่มีท่านสักคนนะลอเรน อะไรมันง่ายขึ้นแน่ ๆ ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามา”



*\*\*\*\*\*/*/*/*/*

 ให้ NC ลอร์ดนิโคลกับลอเรน กี่คะแนนคะ ไม่ยาวมาก เพราะ...(ไม่บอก) อิอิอิ 

 ท่านราชองครักษ์จะจัดการลอเรนได้ไหมหนอ รอตอนหน้านะนายท่าน

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 24 เชลย



ถึงการจู่โจมจะเป็นไปด้วยความชำนาญ ด้วยว่าเป็นถึงนายทหารราชองครักษ์ แต่คนที่ตั้งรับก็ใช่ว่าฝีมือจะด้อยไปกว่ากัน ลอเรนเองแม้จะไม่ค่อยชอบการต่อสู้นัก แต่ก็ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี กระนั้นคนดีที่สู้อย่างสมศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย มีหรือจะไม่พลาดท่าเสียที คนที่หวังเอาชนะเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนว่าจะต้องใช้เล่ห์กลใดมาช่วย ขอแค่มีชัยสามารถทำได้ทุกอย่าง คลาอัสก็เช่นกัน เมื่อลอเรนตั้งรับพลางถอย จนสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างเสียหลัก ลอร์ดหนุ่มข้าเท้าพลิก นั่นจึงเปิดโอกาสให้คลาอัสรีบจู่โจมทันที ปลายคมดาบฉวยโอกาสที่รีบตวัดมาอย่างสะเปะสะปะ เฉือนลงบนผิวเนื้อต้นแขนลอร์ดน้อย ลอเรนเซผงะไปด้านข้าง คลาอัสไม่รอช้ารีบเข้าจู่โจม ดาบในมือเงื้อขึ้นสูงหวังปลิดชีพฟาดลงมาสุดแรง



เครง!!



แต่ยังไม่ทันที่คมดาบได้ฟันลงบนร่างของลอเรน พลันเสียงของแข็งปะทะกันดังสนั่นก้องไปทั่ว เพราะมีดาบปรัศนาอีกเล่มเข้ามาขวาง การปะทะกันของดาบสองเล่มรุนแรง จนเสียงที่ดังบาดลึกเข้าไปในความรู้สึกของคนได้ยิน ทันทีที่สิ้นเสียงปะทะ ตามมาด้วยเสียงของท่อนเหล็กตกลงกระทบพื้นหิน เพราะดาบคู่กายของนายทหารหนุ่มหักออกเป็นสองท่อน ส่วนติดกับด้ามจับยังถืออยู่ในมือ แต่ส่วนปลายกระเด็นตกไปอีกทาง



มันเกิดขึ้นเร็วมาก จนลอเรนที่ดูเหตุการณ์อยู่ยังดูไม่ทัน เมื่อร่างของคลาอัสเซถอยหลังเพราะโดนถีบเข้าเต็มเท้า แต่เขาก็ตั้งตัวได้ไวพอกัน กำลังจะรุกกลับ ดาบปริศนาเล่มนั้นก็ตวัดเข้ามาอีก เขาหลบมันได้อย่างหวุดหวิดเฉียดฉิว แต่กระนั้นคมดาบยังกรีดผ่านใบหน้า เฉือนโดนซีกแก้มน่าหวาดเสียว เลือดสด ๆ ไหลทะลักออกจากปากแผลดูน่ากลัว นั่นทำให้นายทหารหนุ่มเสียโฉมทันที



คลาอัสกัดฟันกรอดแววตาแข็งกร้าวโกรธแค้น “ลอร์ดนิโคล!”

ดวงตานิโคลเหมือนมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ในนั้น ยามจ้องนายทหารราชองครักษ์อย่างดุดัน ดาบเล่มยาวที่ตีขึ้นมาจากเหล็กกล้าเนื้อดี ขึ้นชื่อในเรื่องความแข็งแกร่งทนทานและหายากที่สุด จึงมีใช้เฉพาะชนชั้นสูง ชี้ไปที่หน้าของคลาอัส นิโคลบอกด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ที่ได้ยินแล้วหนาวเข้าไปถึงกระดูก



“เจ้ามันไม่สมควรมีหัวประดับไว้บนบ่าจริง ๆ นั่นแหละ”

นิโคลได้ยินว่าว่าที่เจ้าสาวไม่สบาย ในฐานะที่ตัวเขาเองเป็นว่าที่เจ้าบ่าว จึงควรมาเยี่ยมเยือนถามไถ่บ้างแม้จะไม่อยากมา แต่ยังไม่ทันได้เดินไปถึงราชฐานชั้นในของนาง ก็ได้ยินการสนทนาของคนสองคนเข้าเสียก่อน นิโคลยืนฟังทั้งสองคุยกันอยู่หลังต้นไม้ ที่ตัดแต่งขึ้นมาเป็นกำแพงบังตาตั้งแต่ต้น ลอร์ดหนุ่มได้ยินเรื่องที่ลอเรนกับคลาอัสคุยกันทุกเรื่องอย่างชัดเจน!

“เรื่องนี้ท่านไม่เกี่ยวถอยไป”

“เรื่องนี้เกี่ยวกับข้าโดยตรงต่างหาก” นิโคลหมายถึงเรื่องน่าอับอายไร้เกียรติที่เขาเพิ่งได้รู้ ก่อนหน้านี้ที่คลาอัสกับอานาสตาเซียลอบมีสัมพันธ์กันเขารู้เห็นอยู่แล้ว แต่ที่ยอมแต่งงานกับนางเพราะเรื่องการเมือง ไม่คิดว่านางจะเอาไข่ที่ชายอื่นทิ้งไว้มาให้เขารับผิดชอบด้วย และคนอีกคนหนึ่งที่เขาต้องคิดบัญชีอย่างแน่นอน คนที่ช่วยปิดบังความจริง ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ถูกต้อง

กวางน้อยลอเรน!

“เกิดอะไรขึ้น! ลอเรนพี่เป็นอะไรไป ทหาร” เพราะหญิงรับใช้เห็นท่าทางไม่ดี ระหว่างลอเรนกับนายทหารหนุ่ม จึงรีบวิ่งไปบอกอานาสตาเซียที่กำลังจะนอนพัก นางวิ่งออกมาดู อานาสตาเซียถามเมื่อเห็นลอเรนนั่งแปะอยู่บนพื้น มือกุมต้นแขนที่มีเลือดไหลซึมออกมา นางเรียกทหารยาม แต่พอหันไปเห็นคนรักได้รับบาดเจ็บเช่นกัน จากที่จะเข้าไปดูพี่ชายจึงเมินและเดินเข้าไปหาคนรักแทน

“นี่มันอะไรกันลอร์ดนิโคล ทำไมท่านชี้ดาบมาที่ทหารของข้าเช่นนี้”

“เจ้าควรเป็นคนพูดนะท่านหญิงว่าเกิดอะไรขึ้น ชู้รักของเจ้าถึงได้คิดร้ายต่อลอร์ดลอเรนพี่ชายเจ้า” นิโคลยังคงความเยือกเย็นของน้ำเสียง ยามยอกย้อนหญิงสาวที่กำลังช่วยพยุงร่างคนรักให้ยืนดี ๆ



อานาสตาเซียเบิกตากว้างตกใจกับคำที่นิโคลเรียกคลาอัส นางหันมาทางนายทหารหนุ่มสายตามีคำถาม “มันเรื่องอะไรกันคลาอัส”

“ไม่มีอะไรท่านหญิง แค่เรื่องเข้าใจผิดระหว่างข้ากับลอร์ดลอเรน” คลาอัสสบตานิโคลอย่างท้าทาย เมื่อบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดระหว่างเขากับลอร์ดน้อย ราวกับบอกว่านิโคลเป็นคนอื่นที่ไม่ควรเข้ามายุ่ง แต่พอเห็นว่านิโคลกัดฟันมองด้วยสายตาแข็งกร้าว นายทหารหนุ่มก็อดยิ้มเยาะยั่วโทสะไม่ได้ นิโคลรู้ว่ามันมีความหมายมากกว่าการยิ้มเยาะธรรมดา

“เข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ เจ้าเปลี่ยนง่ายดีนี่คลาอัส” ลอเรนแย้งขณะพยุงตัวเองลุกขึ้นเดินมายืนอยู่ข้างนิโคล ที่จ้องคลาอัสไม่วางตา

“หึ ท่านคิดว่ายังไงล่ะลอร์ดลอเรน” สายตาคลาอัสไม่ปิดบังความรู้สึก ที่นิโคลเห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่านายทหารหนุ่มกำลังเหยียดหยาม นิโคลที่กำลังโกรธทั้งจากเรื่องที่เพิ่งได้ยิน และโกรธที่คลาอัสบังอาจทำร้ายลอเรน สติเลยดูเหมือนว่าจะลดลงอย่างรวดเร็ว

“เจ้านี่มันไร้เกียรติจริง ๆ “

“อย่างที่ข้าบอกเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านลอร์ดนิโคล ถอยไปซะ”

“ดูเหมือนสิ่งที่เจ้าทำเกี่ยวกับข้าทุกเรื่องนะ โดยเฉพาะเรื่องลักลอบเล่นรักกับว่าที่เจ้าสาวของข้า แต่เอาเถอะเรื่องนั้นข้าจะไม่ติดใจ แต่เรื่องที่เจ้าทำร้ายลอร์ดลอเรน ข้าคงปล่อยไม่ได้”

 "ลอร์ดนิโคล!! "

“ลอร์ดนิโคล ไม่เป็นไร เรื่องนี้แค่เข้าใจผิดจริง ๆ ” ลอเรนรีบไกล่เกลี่ยกลัวเรื่องบานปลาย

“เห็นไหม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน” นิโคลโมโหจนสติขาดผึง หากท่อนแขนไม่ถูกรั้งไว้ด้วยคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นายทหารสามหาวคงถูกจัดการไปแล้ว นิโคลหันกลับมามองลอเรนที่มองเขาอยู่แล้วด้วยแววตาขอร้อง

“ได้ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว แต่อย่าให้ข้าเจอเจ้าอีกก็แล้วกัน ส่วนเจ้ามานี่” นิโคลหันมากระชากแขนลอเรนไว้แน่น กำลังจะลากออกไปด้วยกัน แต่อานาสตาเซียขัดขึ้นมาก่อน

“เดี๋ยว ๆ ลอร์ดนิโคล ทานจะพาลอเรนไปไหน”

“กลับออสเซนเทีย!”

อานาสตาเซียตาโต ถึงจะไม่เต็มใจแต่งงานแต่หน้าที่ก็เป็นของนาง จึงอดถามไม่ได้ “แล้วงานแต่งของเราล่ะ”

“ไม่มีงานแต่งของเรา มันจะไม่มีวันเกิดขึ้น!”

“ไม่ได้นะ!” เสียงค้านเป็นของลอเรน พยายามสะบัดข้อมือออกจากมือใหญ่ที่ถูกกำไว้แน่น แต่พอนิโคลหันมามอง ลอเรนถึงกับชะงักนิ่งทันที แขนที่เคยสะบัดให้ข้อมือหลุดจากมือใหญ่หยุดนิ่ง มีเพียงการหายใจเข้าออกหอบ ๆ ที่บอกได้ว่าร่างกายยังทำงานอยู่ แววตาของนิโคลช่างดูเยียบเย็นน่ากลัวเหลือเกิน

“ตามมา” นิโคลตะคอกสั่ง เพราะลอเรนฝืนตัวไม่ยอมเดินตามแรงดึง อานาสตาเซียมองตามนิโคลอย่างเจ็บแค้น เพราะนางถูกหักหน้าเป็นครั้งที่สอง แต่สำหรับคลาอัสการปล่อยนิโคลกับลอเรนไป อาจทำมีภัยย้อนกลับมาหาตัวก็เป็นได้

“เจ้าสองคนยังไปไหนไม่ได้” คลาอัสคว้าดาบมาจากทหารคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ตวัดมาทางนิโคลท่าทางคุกคาม

“ปล่อยมันสองคนไปคลาอัส”

“ไม่ได้ท่านหญิงเราปล่อยสองคนนี้ไปไม่ได้!” คลาอัสค้าน เพราะลอเรนรู้แล้วว่าเขาคิดหวังสิ่งใดอยู่ นั่นหมายความว่าตัวเขาเองจะไม่ปลอดภัยอยู่ในเมืองนี้อีกต่อไป ส่วนนิโคลผู้ทำให้คลาอัสเสียโฉม ก็ต้องอยู่ชดใช้การกระทำของตัวเอง

“คิดว่าน้ำหน้าอย่างเจ้าจะหยุดข้าได้หรือไง” นิโคลตวัดสายตามองนายทหารหนุ่ม ที่ชี้ดาบเดินย่างสามขุมเข้ามาหา หลังจากที่ผลักอานาสตาเซียให้หลบไปอยู่ข้างหลัง เขาเองก็ดันให้ลอเรนหลบไปอีกทางด้วยเหมือนกัน



เสียงปะทะของอาวุธดังสนั่นก้องไปทั่วสวน คู่ต่อสู้ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับ แรก ๆ ยังดูไม่ออกว่าใครเหนือกว่าใคร ทหารเวรยามที่ถูกเรียกตัวมาเป็นคนของคลาอัส เขาจึงสั่งให้ทหารใต้บังคับบัญชาช่วยจู่โจมลอบกัด สร้างความได้เปรียบให้ตัวเอง แต่นิโคลที่ได้รับการฝึกฝนจนฝีมืออยู่ในระดับสูง การจัดการกับทหารเลวไร้ฝีมือไม่ใช่เรื่องยาก คลาอัสรู้ดี ว่าฝีมือการต่อสู้ของนิโคลเหนือชั้นกว่ามาก จึงเรียกทหารให้รุมเข้าโจมตีลอร์ดหนุ่มพร้อมกัน เป็นการตัดกำลัง



เสียงที่เกิดจากการปะทะกันของอาวุธ ดังแข่งกับเสียงร้องห้ามของลอเรน ที่ตะโกนให้ทุกคนหยุดสู้ แต่เหมือนจะไม่เป็นผล ลอเรนตะโกนจนคอแทบแตก แต่กลับไปไม่ถึงใครสักคน ไม่มีใครสนใจลอเรน อานาสตาเซียยืนดูเงียบ ๆ แต่ท่าทางเป็นห่วงชู้รักของนาง เพราะถึงจะไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการต่อสู้ แต่นางก็มองเห็นได้ว่าฝีมือของนิโคลนั้น เก่งกาจเหนือกว่าชู้รักของนางมากนัก



“ทำอะไรสักอย่างสิอานาสตาเซีย”

“จะให้ข้าทำอะไรล่ะ พี่ก็บอกลอร์ดนิโคลหยุดก่อนสิ”

“เจ้าก็เห็นว่าเขาไม่ฟังเลย”

“แล้วเขาจะฟังข้าหรือไง”

“บอกให้คลาอัสหยุดสิ!” นางเพียงแค่นยิ้ม ไม่ได้ทำตามที่ลอเรนบอก ด้วยเพราะเห็นว่าคนของคลาอัสมีมากกว่า คิดว่ายังไงนิโคลไม่แคล้วเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่ ๆ นางจึงยังเฉย ยืนยิ้มเยาะพี่ชายอย่างสาแก่ใจ



นิโคลจัดการกับทหารไปได้หลายคน แต่คนที่เขาสนใจไม่ใช่ทหารเลวเหล่านั้น นอกจากคลาอัสเพียงคนเดียว และเหตุผลเดียว เพราะคลาอัสทำให้ลอเรนต้องหลั่งเลือด มันต้องชดใช้ นิโคลตวัดดาบคร่าชีวิตทหารคนอื่น ๆ เพียงเพื่อผ่านเข้าไปหาคลาอัส ตอนนี้ทั้งสองต่อสู้กันตัวต่อตัว ทหารเวรยามที่เขามาสู้ต่างทอดร่างจมกองเลือดเกลื่อนพื้น ส่วนที่วิ่งเข้ามาใหม่ได้แต่ยืนดูการต่อสู้ดุเดือด เสียงดาบปะทะกันแทรกกับเสียงร้องห้ามของลอเรน



นิโคลโมโหจนใครก็ฉุดไม่อยู่ ลอเรนมองการต่อสู้ของทั้งสองอย่างสิ้นหวังว่ามันจะหยุดลง ภาพความอบอุ่นของนิโคลที่เคยเห็นในวันก่อน กลายเป็นภาพสวนทางกับวันนี้ราวคนล่ะคน ลอเรนไม่รู้ว่าตัวตนไหนกันแน่ เป็นตัวตนที่แท้จริงของลอร์ดแห่งออสเซนเทีย ความอบอุ่นของรอยยิ้ม ที่มาพร้อมแววตาอ่อนโยน จนรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งยามอยู่ใกล้และได้เฝ้ามอง หรือภาพของชายฉกรรจ์หน้าตาดุดันนัยน์ตาแข็งกร้าว ที่กำลังต่อสู้โรมรันอย่างดุเดือด นิโคลราวกับเป็นนักรบหนุ่มผู้เจนสงคราม และการต่อสู้ ท่วงท่ากวัดแกว่งตวัดอาวุธคล่องแคล่ว เป็นความสวยงามของศิลปะการต่อสู้ ที่ดูแข็งแกร่งจนน่าเกรงขาม มันตราตรึงน่ามองไม่ต่างกับนิโคลผู้อบอุ่นอ่อนโยน กระนั้นลอเรนยังไม่อยากเชื่อสายตา ว่านิโคลจะมีภาพความโหดร้ายเลือดเย็นได้ถึงเพียงนี้



คลาอัสดูเหมือนฝีมือสูสีกันในคราแรกต่อสู้ แต่กลับไม่ใช่ เพราะยิ่งสู้ไปยิ่งเห็นความด้อยกว่า ซ้ำกำลังยังอ่อนลงเรื่อย ๆ อย่างเห็นได้ชัด ต่างกับนิโคลที่ดูเหนื่อยแต่กำลังไม่ตกทั้งที่ถูกรุม คลาอัสต้องสู้พลางถอยพลาง เพราะคู่ต่อสู้เหนือกว่าทั้งฝีมือและความแข็งแกร่ง

“หึ ที่แท้เจ้ามันก็ดีแต่ปาก” นิโคลเย้ยหยัน

“ท่านก็ไม่ได้เก่งไปกว่าข้าเท่าไหร่หรอกลอร์ดนิโคล ถ้าท่านดีจริงว่าที่เจ้าสาวของท่าน คงไม่ยอมอ้าขาให้ข้าได้แหวกว่ายพ่นน้ำเชื้อใส่จนนางตั้งท้อง! ” พูดอย่างกับว่านิโคลจะสน! คลาอัสหาทางกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบด้วยคำพูดกวนโทสะ แต่นอกจากมันจะไม่ได้กระตุ้นให้นิโคลเกิดโทสะแล้ว คำพูดของคลาอัสยังทำให้นิโคลยิ้มออกมาอย่างเยาะหยัน ถ้าเพียงเขาสนใจนางสักนิด ถ้าเพียงเขาชายตาแลอานาสตาเซีย และมีใจให้นางแม้เพียงนิดเดียว นิโคลคงโกรธไม่น้อยที่ได้ยินอย่างนี้ แต่เพราะความคิดนั้นไม่เคยมีอยู่ในหัวของเขามาก่อน คลาอัสเลยได้เพียงรอยยิ้ม ที่เห็นแล้วรู้สึกถึงความโง่เขลาของตัวเองแทน



ในคำพูดหยามหมิ่นเกียรติอย่างไร้ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย เพื่อกระตุ้นให้คู่ต่อสู้โกรธจนลืมสติ แต่ไม่เป็นผล กลับมีใครอีกคนที่ได้ยินแล้วเจ็บจุกยิ่งนัก หญิงสาวหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้น หันขวับไปมองชู้รักของนางอย่างไม่พอใจ แต่เพราะทั้งสองยังต่อสู้โรมรัน นางจึงทำอะไรได้มากไปกว่ายืนหน้าตึงข่มความโกรธไม่ได้



“เจ้าอย่าพูดมากคลาอัส ฆ่ามันซะ ฆ่ามันให้หมด” คู่ต่อสู้ทั้งสองไม่ได้หันมามองคนออกคำสั่งด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นอีกคนที่ยืนดูเหตุการณ์อย่างร้อนรน ที่ต้องหันมองอานาสตาเซียตาโต

“เจ้าว่าอะไรนะอานาสตาเซีย”

“ข้าบอกให้คลาอัสฆ่าลอร์ดนิโคลไงชัดพอหรือยังลอเรน หรือพี่เสียดายเขา”

“เจ้าจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะอานาสตาเซีย นิโคลเป็นว่าที่สวามีเจ้า เป็นลอร์ดออสเซนเทีย ถ้าเขาตายเราจะตอบคำถามทางนั้นว่ายังไง”

“ก็ไม่ต้องตอบสิ”

“เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งที่เจ้าบอกให้คลาอัสทำ มันจะนำสงครามที่บอกได้ทันทีว่าใครจะแพ้มาให้! ” ลอเรนผิดหวังในตัวน้องสาวจนเสียงสั่น

“ข้าไม่สน!” เพราะอานาสตาเซียรู้ ว่านิโคลล่วงหน้ามาก่อนขบวนเดินทางของตัวเองเพียงลำพัง หากเขาหายไปและสวาเนียร์ปฏิเสธไม่รับรู้ ก็ไม่มีใครทำอะไรได้

“อานาสตาเซีย! คลาอัสหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

“หึ”

“ลอร์ดนิโคลหยุด ได้โปรดหยุดสักที” ลอเรนตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงดาบกระทบกัน แต่ไม่มีใครสักคนหันมาสนใจ

อานาสตาเซียไม่พลาดการหัวเราะเยาะเย้ยหยัน ความพยายามอย่างไร้ผลของพี่ชาย “ไม่มีใครฟังพี่หรอกลอเรน ตายไปซะได้ก็ดี”

“เราต่อกรกับออสเซนเทียไม่ไหวหรอก เจ้ารู้ดี บอกคลาอัสให้หยุดได้แล้ว” ขณะที่สองพี่น้องเกลี้ยกล่อมกัน การต่อสู้ยังเป็นไปอย่างดุเดือด คลาอัสที่ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ก็ฝากรอยแผลไว้กับนิโคลหลายแผล จนในที่สุด นายทหารเสียหลักเซถอยหลังติดกำแพง นิโคลเพียงยืนดูร่างอ่อนแรงของคลาอัสค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นยืนไม่ได้เข้าไปซ้ำ นั่นจึงเปิดโอกาสให้อานาสตาเซียวิ่งเข้าไปช่วยพยุงชู้รักของนางให้ลุกขึ้น

“ลอร์ดนิโคล พอเถอะข้าขอร้อง” ลอเรนกอดแขนกำยำแน่นรั้งให้นิโคลถอยออกมา

“เจ้าช่างกล้าขอร้องข้านะลอเรน เหมือนที่เจ้าบอก คนอย่างนี้มันไม่สมควรมีหัวไว้บนบ่า” น้ำเสียงดุดันที่ตอบกลับมาทำลอเรนขุนลุกซู่ แต่ยังไม่เท่ากับสายตาแข็งกร้าวที่เห็นแล้วสัมผัสได้ถึงความเลือดเย็น!

“พ พอแล้วไปกันเถอะ” ถือว่าขอร้อง ยังไงนิโคลก็รู้เรื่องราวที่ปิดบังไว้แล้ว ข้อตกลงทุกอย่างก็คงถูกยกเลิกทั้งหมด คงไม่มีงานแต่งงานเกิดขึ้น ลอเรนจึงไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะต่อสู้กันอีก มือกวางน้อยที่เปื้อนไปด้วยเลือดของตัวเอง เกี่ยวต้นแขนกำยำกอดไว้แน่น ออกแรงดึงให้เดินไปด้วยกัน

“จะเห็นแก่เจ้าก็ได้ แต่ความผิดของตัวเจ้าเองหาคนมาเห็นใจด้วยก็แล้วกัน!” ถึงแม้ดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น จะทำให้ลอเรนหวั่นใจ แต่ตอนนี้ทางที่ดีที่สุด คือพานิโคลออกไปจากที่นี่ ก่อนที่จะมีการสูญเสียไปมากกว่านี้

นิโคลจำต้องหันหลังเดินออกมาตามแรงดึง ที่จะเรียกได้ว่าเป็นการกระชากของลอเรนจะถูกต้องกว่า เพราะลอร์ดหนุ่มไม่ยอมเดินตามมาด้วยดี ๆ และนั่นเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่มีจิตริษยาเคียดแค้น ได้ฉวยโอกาสลอบกัดข้างหลัง คลาอัสสะบัดตัวออกจากอานาสตาเซีย ควงดาบเดินเข้าหานิโคลกับลอเรน หวังปลิดชีพทีเผลอให้ตายตกไปด้วยกัน

ต่อจ้า..

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


นายทหารหนุ่มก้าวตามว่องไวก่อนจะไม่มีโอกาส เขาตั้งท่าเตรียมตวัดดาบเข้าใส่ร่างที่หันหลังให้เต็มกำลัง ท่ามกลางความตกตะลึงของอานาสตาเซีย ที่ถูกผลักให้ถอยห่าง นางหัวไวรู้ว่าคนรักจะทำอะไรจึงไม่ส่งเสียงเตือน แต่คลาอัสยังไม่ทันได้ฟันดาบลงใส่แผ่นหลังกว้าง พลันก็ถูกมีดสั้นปักเข้ากลางอกตรงตำแหน่งหัวใจพอดิบพอดี นิโคลหันกลับมาดูผลงานตัวเอง มุมปากข้างหนึ่งยกขึ้นยิ้มเยาะ ส่วนลอเรนอึ้งจนพูดไม่ออก ที่หันกลับมาเห็นคลาอัสยังอยู่ในท่าเงื้อดาบขึ้นเตรียมฟัน และค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น



!!!

“คลาอัส!! กรี้ดดดดด”

เสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับสัตว์ร้ายได้รับบาดเจ็บ จนได้ยินแล้วเสียวสันหลังเข้าไปถึงกระดูก อานาสตาเซียกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเห็นร่างชู้รักของนางชะงักนิ่ง ยามปลายมีดแหลมคมเสียบเข้าไปกลางอก ร่างสูงของนายทหารนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ตาเหลือกถลนชี้มือข้างที่ไม่ได้ถือดาบมาทางนิโคล ลอเรนยืนอึ้งปากอ้าค้าง ตาจับอยู่กับร่างที่คอย ๆ ร่วงลงพื้น ลอร์ดน้อยไม่อยากเชื่อสายตา ร่างคลาอัสทรุดตัวลงตามเรี่ยวแรงที่ค่อย ๆ หายไป พร้อมลมหายใจที่หลุดลอยออกจากร่างในที่สุด ท่ามกลางความตกตะลึงของคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น คลาอัสไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เอ่ยคำสั่งเสียล่ำลา



เพราะปลายมีดแทงเข้าสู่จุดตายอย่างแม่นยำ!



อานาสตาเซียกรีดร้องอยู่หลายครั้ง ก่อนจะวิ่งเข้ามากอดศพชู้รักร้องไห้คร่ำครวญ นิโคลมองภาพตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉย กระชากแขนกวางน้อยไว้อย่างแรง เมื่อลอเรนกำลังจะวิ่งเขาไปหาน้องสาว

“ลอร์ดนิโคลปล่อยข้าก่อน ข้าจะไปหาอานาสตาเซีย”

“ไปหาคนที่สั่งให้ฆ่าเจ้านะหรือ”

“แต่นางเป็นน้องสาวข้านะ”

“น้องสาวที่คิดร้ายต่อพี่ไม่นับเป็นน้อง ไปได้แล้ว” นิโคลกระชากแขนลอเรนออกไปจากตรงนั้น สีหน้าลอร์ดหนุ่มถมึงทึง คิดบัญชีกับคนอื่นแล้ว ต่อไปคนที่เขาต้องจัดการคือลอร์ดน้อย ผู้ริอ่านหลอกล่อหักหลังปิดบังเรื่องไม่สมควร!

“เดี๋ยว พวกเจ้ายังไปไหนไม่ได้ เจ้าสองคนต้องชดใช้ให้คนรักของข้า ทหารจับมันสองคน ใครอยู่แถวนี้มาจับคนร้าย มีคนร้ายลอบเข้ามา! มาจับมัน! ทหาร!” อนาสตาเซียตะโกนเรียกทหารสลับกับกรีดร้องปานเสียสติ แต่นิโคลไม่สนใจ กระชากแขนลอเรนพาออกไปจากตรงนั้น ท่ามกลางสายตาเคียดแค้นของอานาสตาเซียที่มองตาม

“คลาอัส เจ้าต้องไม่ตาย เจ้าต้องไม่ตาย เจ้าต้องอยู่กับข้า กรี้ดดดดดด”

ตลอดเส้นทางภายในปราสาทบนเขา ที่ลัดเลาะลดหลั่นเป็นชั้น ลอเรนถูกนิโคลลากมาตลอดทาง มีทหารวิ่งสวนเข้าไปข้างใน แต่ไม่มีใครสนใจหยุดลอร์ดหนุ่มทั้งสอง เพราะไม่รู้ว่าคนร้ายที่ถูกเรียกให้ไปจับ คือลอร์ดทั้งสองนี่เอง นิโคลจึงพาลอเรนออกมาได้อย่างง่ายดาย จนถึงด้านหลังของตัวปราสาทใหญ่ที่เป็นคอกม้า นิโคลหายเข้าไปไม่นานก็ขี่ม้าตัวใหญ่ดูแข็งแรงออกมา

“ขึ้นมา”

“ไม่”

“ลอเรน ข้าบอกให้ขึ้นมา”

"ท่านจะพาข้าไปไหน ลอร์ดนิโคล!” นิโคลขัดใจคำเรียกที่ลอเรนใช้เรียก แต่เวลานี้ลอร์ดหนุ่มรีบเร่งเกินกว่าจะใส่ใจ จึงเก็บไว้คิดบัญชีรวบยอดครั้งเดียวทีหลัง สายตาคมสบมองดุเหมือนบังคับกลาย ๆ ให้ลอเรนต้องทำตาม แต่ลอร์ดน้อยก็ยังยืนนิ่งไม่ยอมกระโดดขึ้นม้าสักที

“ขึ้นมา”

“ไม่ข้าไม่ไป”

“เจ้าต้องไปกับข้า ที่นี่อันตรายเกินไป”

“แต่ที่นี่เป็นบ้านเมืองของข้าลอร์ดนิโคล”

“เจ้าไม่ปลอดภัยหรอก เดี๋ยวน้องสาวของเจ้าก็วิ่งไปฟ้องพ่อเจ้าแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ข้าจะบอกเขาว่าคลาอัสปองร้ายข้าก่อน”

“คิดว่ากษัตริย์เฒ่าจะเชื่อเจ้าหรือเชื่อลูกสาวคนโปรดล่ะ อย่าลืมว่าถึงเจ้าจะทำงานช่วยบ้านเมืองมากขนาดไหน พ่อเจ้าก็ไม่เคยเห็นความดีความชอบ ที่เจ้าทำทุกอย่างให้อานาสตาเซียได้แต่งกับข้า ก็ทำเพื่ออยากเอาใจเขาทั้งนั้น เพราะเขาอยากให้นางได้คู่ครองดี ๆ ที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์กว่า เจ้าแค่อยากให้เขาพอใจหรือจะปฏิเสธ!” ลอเรนเพียงเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่บนหลังม้านิ่ง เนตรสีฟ้าร้อนผ่าวสั่นไหว ด้วยจำนนต่อสิ่งที่ลอร์ดหนุ่มบอกจนพูดไม่ออก นิโคลรู้ความจริงทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งเรื่องภายในที่มีไม่กี่คนรู้ นิโคลรู้ได้อย่างไร รู้มานานแค่ไหน ทำไมลอเรนไม่เคยระแคะระคายมาก่อน นิโคลรู้ได้อย่างไรทั้งที่ทุกอย่างที่ลอร์ดหนุ่มพูดออกมา มีคนรู้กันแค่ไม่กี่คน

“ขึ้นมา”

“ไม่”

“ตอนนี้เจ้าเป็นเชลยของข้าแล้วลอเรน หลอกให้ข้ามาแต่งงานกับเจ้าสาวที่มีสามีของนางอยู่แล้ว ซ้ำยังมีลูกด้วยกัน ถือเป็นการหยามเกียรติข้า เจ้าหยามเกียรติออสเซนเทีย สวาเนียร์ต้องชดใช้ เจ้าต้องชดใช้ลอร์ดลอเรน!”

“ลอร์ดนิโคล!” ลอเรนเข่าแทบทรุด ความเจ็บปวดรวดร้าวกัดกินเข้าไปในก้อนเนื้อหัวใจ จนเป็นแผลเหวอะแหว่ง ก้อนเนื้อน้อย ๆ ที่เต้นไม่เป็นจังหวะยามแรกเจอ บัดนี้เหมือนถูกใครคนนั้นกรีดด้วยคมมีดเป็นแผลฉกรรจ์กลัดหนอง คิดไว้อยู่แล้วหากความจริงปรากฏ โทษทัณฑ์ที่ได้รับคงไม่น้อย แต่คลื่นความกริ้วโกรธที่สัมผัสได้ตอนนี้ ลอเรนรู้ว่ามันไม่ใช่ความกริ้วโกรธธรรมดา แต่นิโคลอาจจะเกลียดกันไปแล้วก็ได้!



ลอเรนเหมือนสิ้นไร้เรี่ยวแรง แต่ยังไม่ทันทิ้งร่างทรุดลงกับพื้น ร่างสูงโปร่งก็ถูกรวบเอว แล้วรั้งให้ขึ้นไปนั่งอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงบนหลังมาตัวเดียวกัน นิโคลหันไปมองทางตัวปราสาท ที่ทหารจำนวนหนึ่งกำลังวิ่งตามมา ลอร์ดหนุ่มควบม้าหันหลังให้ปราสาทหินมหึมาที่ตั้งอยู่บนเขา กระชับคนในอ้อมแขนที่เอาแต่ดิ้นรนจะหนีแน่น แล้วควบม้าออกจากตรงนั้นไป ท่ามกลางสายตาหลายคู่ของทหารที่วิ่งตามมา พวกเขามาเพื่อช่วย เพราะเป็นทหารของลอร์ดลอเรน



*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*



“ฝ่าบาทเสด็จไหนต่อ”

“กลับปราสาทสิลีโอ ข้าทำงานมาทั้งวันเจ้ายังจะให้ข้าทำอะไรอีก”

“ฝ่าบาทเหนื่อยหรือเปล่า ลีโอให้คนเตรียมน้ำอุ่น ๆ ไว้รอแล้ว ถ้าฝ่าบาทอยากนอนแช่ให้ผ่อนคลาย”

“ก็ดีเหมือนกัน”

“ฝ่าบาทอย่าลืมงานเลี้ยงเย็นนี้นะ” ลีโอเตือนอีก เด็กน้อยเจื้อยแจ้วชวนคุยตั้งแต่เห็นหน้าเจ้านายเหนือหัว เดินออกมาจากห้องประชุมสภาพร้อมเฮนริช ที่ถือม้วนกระดาษเดินตามกษัตริย์หนุ่มน้อยเงียบ ๆ อัศวินหนุ่มพยายามมองหน้าลีโอ แต่เด็กน้อยของเขากลับเมินแล้วเอาแต่จ้อกับจูเลียนไม่หยุด

“ท่าทางลีโอคงยังโกรธเจ้าอยู่นะเฮนริช” เลนนี่กระซิบบอกน้ำเสียงหยอกเย้า ถึงความกรุ่นโกรธของลีโอที่มีต่อเฮนริช ยามเขาปฏิเสธความห่วงใยและการดูแลจากเด็กน้อย ตอนได้รับบาดเจ็บ

“ข้าไม่ได้ทำผิดอะไร” เฮนริชกระซิบตอบแล้วรีบเดินตามให้ทันจูเลียนกับลีโอ ที่เดินคุยกันล่วงหน้าไปก่อน เลนนี่จึงเดินยิ้มตามมาเงียบ ๆ

“อะไรลีโองานเลี้ยงอะไรอีก เมื่อวานก็งานเลี้ยงวันนี้ก็มีอีกหรือไง”

“อ้าว ก็ฝ่าบาทบอกงานเลี้ยงเมื่อวานน่าเบื่อ วันนี้เลยจะจัดใหม่ให้รู้ว่างานเลี้ยงสนุก ๆ มันเป็นยังไง ฝ่าบาทให้จัดละครกับเต้นรำด้วย เพราะงานเมื่อวานไม่มี”

“จริงด้วยสิข้าก็ลืมไป แต่ทำไมข้าเหนื่อยจังเลยลีโอ เมื่อไหร่นิโคลจะกลับมาก็ไม่รู้” จูเลียนไม่วายหันมาโอดครวญ เพราะไม่อาจเลี่ยงงานที่ตัวเองเป็นคนส่งให้จัดขึ้นได้ แต่งานของบ้านเมืองวันนี้ก็เยอะเสียจนจูเลียนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง

“ฝ่าบาทลอร์ดนิโคลไปแต่งงาน แต่งแล้วก็ย่อมต้องอยู่ที่สวาเนียร์กับชายา”

“ข้ารู้นิโคลต้องกลับมา แต่..” จูเลียนเพียงพูดออกมาตามความรู้สึกของตัวเอง เลยไม่ค่อยแน่ใจที่จะพูดต่อ เพราะเป็นความจริงอย่างที่ลีโอบอก แต่งงานแล้วนิโคลต้องอยู่กับชายาที่บ้านเมืองของนาง จะกลับมาก็เพียงแค่เยี่ยมเยือนกันบางครั้งเท่านั้น ยิ่งคิดว่าต้องห่างกับพี่น้องนาน ๆ พักตร์นวลของยุวกษัตริย์ก็ยิ่งหม่นหมองลงจนน่าสงสาร

“แต่อะไรหรือฝ่าบาท” จูเลียนยังไม่ตอบคำถามลีโอในทันที เพราะพอคิดถึงพี่ชายที่อาจจะไม่ได้กลับมาหาเร็ว ๆ นี้ ใจเลยไพล่คิดไปถึงใครอีกคน ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันเลยสักครั้งตั้งแต่กลับมา

“เซอร์เลนนี่!”

“ฝ่าบาท” จูเลียนเรียกอัศวินประจำตัวที่เดินตามหลังมาเงียบ ๆ ก็หยุดไว้เพียงเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เหมือนแค่เผลอหลุดปากออกมา คนคอยรับบัญชาคงยังยืนรอเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น ไม่ได้เร่งถามว่าเจ้าเหนือหัวมีพระประสงค์สิ่งใด จึงได้เรียกหา แต่จนแล้วจนรอดจูเลียนก็ทำเพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมาแล้วเดินต่อ มีลีโอที่หันมามองหน้าอัศวินทั้งสอง ก่อนจะเดินตามจูเลียนชวนคุยนั่นคุยนี่ไปตลอดทาง



“ฝ่าบาทคิดอะไรอยู่หรือ” ลีโอทำลายความเงียบ ขณะใช้ผ้าเนื้อนุ่มขัดถูไปตามแผ่นหลังให้เบา ๆ แต่จูเลียนยังนั่งเฉยไม่ตอบคำ สายตามองตรงไปข้างหน้าไม่จับที่จุดใดจุดหนึ่งอย่างเหม่อลอย ทิ้งความครุ่นคิดไปกับอะไรบางอย่างที่เดาไม่ถูก ทำให้ลีโอที่นั่งอยู่ข้างหลังต้องชะโงกหน้าไปดู เพราะจูเลียนไม่ยอมตอบคำถาม

“ฝ่าบาท”

“...” จูเลียนเพียงกะพริบตาแต่ไม่ขานรับ ลมหายใจอ่อน ๆ ถูกปล่อยออกมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ สลับกับการถอนหายใจหนัก ๆ ในบางครั้ง คล้ายตกอยู่ในภวังค์ที่คิดไม่ตกตัดสินไม่ได้ ลีโอเหมือนถูกลืมจึงลองเรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น

“ฝ่าบาท! “

“อะไรของเจ้าลีโอ ถูหลังให้ข้าเสร็จแล้วหรือไง”

“ลีโอกำลังเร่งมือ”

“แล้วเจ้าจะเรียกข้าทำไมล่ะ ยังทำไม่เสร็จก็รีบ ๆ ทำเข้าสิ”

“ก็ลีโอเห็นฝ่าบาทเอาแต่นั่งเงียบแล้วก็ถอนหายใจเฮือก ๆ เหมือนคนคิดไม่ตก ลีโอแค่เป็นห่วง” พอลีโอบอกอย่างนั้น เลยยิ่งทำให้จูเลียนคิดถึงเรื่องที่ยังติดค้างในใจ การงานนั้นราบรื่นหมดทุกอย่างไม่มีปัญหา เลยมีแค่เรื่องเดียวที่ติดใจจูเลียนอยู่ แค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่แม้จะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากมาย แต่หนุ่มน้อยก็ไม่เคยที่จะหยุดคิดถึงมันได้เลย



ตั้งแต่จูเลียนเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวง เจ้าคนลึกลับคนนั้นก็เหมือนกับหายเข้ากลีบเมฆไป หายไปจากชีวิตจูเลียนราวกับไม่มีเคยมีตัวตนมาก่อน เจ้าคนลึกลับที่ทำให้จูเลียนรู้สึกปลอดภัยยามได้อยู่ใกล้ ๆ หายเงียบไปเลย จนหลายครั้งเกือบ ๆ จะถามเอากับเลนนี่อยู่แล้ว ว่าเพื่อนรักหายไปไหน ดีที่ทุกครั้งจูเลียนยั้งปากทัน



“พอเถอะลีโอ ข้าจะแต่งตัวไปงานเลี้ยงแล้ว” ในที่สุดจูเลียนก็เอ่ยขึ้น บอกลีโอให้พอเหมือนจะบอกตัวเองด้วย ว่าควรพอได้แล้ว เลิกคิดถึงคนใจร้ายจอมลึกลับคนนั้นได้แล้ว



พอจูเลียนลุกขึ้นจากอ่างน้ำอุ่น ลีโอที่กางชุดคลุมไว้รออยู่แล้วก็ขยับเข้ามาใกล้ เพื่อให้จูเลียนสอดตัวเข้าในชุดคลุม เรือนร่างเพรียวระหงค่อย ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ เผยให้เห็นร่างกายที่ประดับด้วยกล้ามเนื้อเล็กน้อยแต่ยังดูโปร่งบางอรชร จูเลียนสอดแขนเข้าไปในเสื้อคลุมที่กางรอทีละข้าง แล้วรวบสาบเสื้อมาวางทับไขว้กันด้านหน้า ผูกทับด้วยเชือกที่ลีโอยื่นมาให้

“เจ้าเป็นอะไรลีโอ” จูเลียนอดถามไม่ได้ที่ลีโอเอาแต่ก้มหน้างุด ยืนหยุกหยิกไม่เป็นปกติ

“ลีโอเปล่านะฝ่าบาท” คนสนิทตอบทั้งที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองกันตรง ๆ

“แล้วทำไมเจ้าต้องหน้าแดงด้วยล่ะ”

“ก็ลีโอเปล่า” ยิ่งจูเลียนจี้ถาม ยิ่งดูเหมือนว่าผิวใสบนใบหน้าอ่อนเยาว์ที่แดงปลั่งจากลมหนาวอยู่แล้ว ยิ่งแดงระเรื่อขึ้นกว่าเดิม จูเลียนเห็นแล้วอมยิ้มล้อ

“เจ้าเขินหรือลีโอที่เห็นข้าเปลือย”

“ไม่จริงสักหน่อย ลีโอเคยเห็นฝ่าบาทเปลือยมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมลีโอต้องเขินด้วยเล่า” คนไม่เขินก้มหน้างุดคางแทบชิดอก แม้ลีโอจะตอบทั้งที่อมยิ้ม แต่สายตายังมองต่ำ แก้มสองข้างแดงสุกปลั่งน่ามอง น่าหยิก

“ก็เจ้าหน้าแดง”

“ลีโอหน้าแดงเพราะลมหนาวหรอก”

“ให้มันจริงเถอะ”

ลีโอตาตื่นเงยหน้าขึ้นยืนยัน “จริงสิฝ่าบาท”

“เจ้าไม่ได้เขินหรือไง ที่จริงเป็นข้าต่างหากล่ะที่ควรเขิน ก็เจ้าเอาแต่มองเรือนร่างของข้านี่”

“ลีโอไม่ได้...เขิน” จะบอกไม่ได้มองก็คงโกหก ลีโอแค่แอบมองนิดหน่อย

“ถ้าไม่ได้เขิน” เนตรสีมรกตมีแววเจ้าเล่ห์ จูเลียนเว้นคำพูดไว้เพียงเท่านั้นเมื่อหันมาจ้องตาลีโอ ก่อนที่รอยยิ้มร้ายจะค่อย ๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้านวลผ่องชื้นน้ำ แล้วจึงบอกในสิ่งที่ทำให้ลีโอตาโตยืนตัวแข็งทื่อ “พรุ่งนี้เจ้ากับข้าไปที่อ่างน้ำแร่รวม แล้วแช่น้ำแร่อุ่น ๆ ด้วยกันนะ”

ลีโอตาโตยิ่งกว่าเก่า “ฝ่าบาทไม่เอา ลีโอไม่แช่”

“ก็ข้าสั่ง”

“แต่...”

“ถ้าเจ้ายอมรับว่าเขินแต่แรกข้าจะไม่บังคับเจ้า”

“ก็ลีโอเปล่า..” เด็กน้อยยังปากแข็ง

“ตอนนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธแล้วลีโอ พรุ่งนี้ต้องไปนอนแช่น้ำแร่ที่อ่างน้ำรวมกับข้า ข้าจะให้เซอร์เฮนริชกับเซอร์เดรทิชมาแช่ด้วย”

“โอ้ว...ฝ่าบาทไม่นะ!” ดวงตาของลีโอที่เบิกโตอยู่แล้ว ยิ่งเบิกกว้างกว่าเดิมเข้าไปใหญ่ เมื่อได้ยินว่าเจ้านายเหนือหัวจะให้ผู้ใดมาแช่น้ำด้วย ลีโอยืนอ้าปากหวออยู่อย่างนั้นจนจูเลียนนึกขำ กษัตริย์หนุ่มน้อยได้แต่ส่ายพักตร์นวลไปมา อ่อนอกอ่อนใจในความใสซื่อของลีโอ ที่เพิ่งจะเริ่มสัมผัสได้ถึงความเป็นหนุ่มกับเขาสักทีทั้งที่อายุเท่ากัน



*/*/*/*/*

อย่าเพิ่งหมดรักลอร์ดนิโคลหนา แม่ยกทั้งหลาย อ้ายมีเหตุผล

ยังไม่ได้เกลาภาษานะคะ บางช่วงอาจจะแปร่งๆ ไปบ้างนะ

แต่ก็ยังดี ที่ผ่านวิกฤตมาได้ เล่นเอาใจหายใจคว่ำ เกือบๆ จะไม่ได้มาละเนี่ย

ใครที่ตามเพจ คงรู้แล้วว่าวิกฤตนั้นนั้นมันคืออะไร ปัญหาใหญ่หลวงแต่เราแก้ได้เสมอ

ดาวซะอย่าง อิอิอิ 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
ต่อ 100 %

การได้แกล้งคนสนิทเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พอจะช่วยให้จูเลียนลืมเลือนใครบางคน ที่เข้ามาอยู่ในความคิดตลอดเวลาไปได้บ้าง แม้จะชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี เพราะจูเลียนเริ่มสับสนไม่เข้าใจแล้ว ว่าทำไมตัวเองต้องเอาแต่คิดถึงใครคนนั้นขนาดนี้



งานเลี้ยงค่ำคืนนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความสนุกสนาน ภายในโถงกว้างสว่างไสวด้วยแสงจากโคมประดับคริสทัลหรู ส่องประกายล้อแสงเทียน บนโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัวยาว จัดวางด้วยถ้วยชามและจานทองหรูหรา ที่เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด ล้วนแล้วแต่รสชาติเป็นเลิศ เพราะได้รับการปรุงมาจากพ่อครัวฝีมือดี เชิงเทียนทองประดับด้วยคริสทัลตั้งอยู่ตรงกลางโต๊ะเป็นระยะ ทุกอย่างดูสวยงามหรูหรา และอลังการสมเป็นงานเลี้ยงของกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรใหญ่ ที่อยากแสดงให้แขกเหรื่อได้เห็นว่างานเลี้ยงที่ดีต้องสนุก และงานที่สุกจริง ๆ มันเป็นอย่างไร



โต๊ะตัวยาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า นั่งล้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติกว่าห้าสิบคน หัวโต๊ะด้านหนึ่งคือเวทีสำหรับการแสดงละครโอเปร่า ที่โปรดปรานขององค์กษัตริย์ ขนาบข้างรอบโต๊ะทั้งสองด้วยแขกรับเชิญมากหน้าหลายตา ทั้งขุนนาง คหบดี คนสำคัญ ๆ ที่ได้รับเกียรติเชิญมาร่วมงาน จนมาถึงหัวโต๊ะที่หันหน้าเข้าหาเวทีละคร ตรงนั้นจูเลียนนั่งอยู่ตรงกลาง ข้างซ้ายคือกวีประจำราชสำนักคนรัก ข้างขวาคือขนิษฐาแฝดที่ถูกบังคับให้มาร่วมงาน



อันที่จริงทาร์เทียน่าถูกจูเลียนบังคับ ให้ออกจากที่ซ่อนมาตั้งแต่มีการประชุมสภา หลังจากรัฐมนตรีคนเก่าถูกลอบสังหาร และประจวบเหมาะกับนิโคลต้องเดินทางไปสวาเนียร์ ทาร์เทียน่าเลยเหมือนถูกบังคับ ให้ออกมาช่วยงานจูเลียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ และตอนนี้นางก็มานั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ในงาน ที่จูเลียนเป็นผู้รับรองด้วยตัวเองว่าสนุกกว่าทุกงานเลี้ยงที่เคยมีนี่เอง



“ไหนเจ้าคุยนักคุยหนาว่างานเลี้ยงคืนนี้จะสนุกที่สุดจูเลียน ข้าว่ายังไงมันก็ยังน่าเบื่ออยู่ดี” ทาร์เทียน่าเปรยขึ้น เมื่องานเลี้ยงเริ่มไปได้ครู่ใหญ่ แต่พักตร์นวลผ่องน่ารักของนางยังดูเบื่อหน่ายอยู่เช่นเดิม สำหรับทาร์เทียน่าแล้ว งานเลี้ยงแบบนี้มีสิ่งที่ทำให้นางชอบได้อยู่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คืออาหารเลิศรสที่มีให้เลือกกินจนจุใจ

“เจ้าก็ดูสิไม่สนุกตรงไหนล่ะ” มือเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นมาตรงหน้าแล้วผายออก จูเลียนกวาดตาไปรอบ ๆ ท่ามกลางผู้คนกำลังดื่มกินพูดคุยกันอย่างสนุกสนานออกรส ไม่มีใครที่มีท่าทางแสดงออกว่าไม่ชอบงานเลี้ยงนี้เลยสักคน นอกจาก...

“ตรงที่เจ้าเอาแต่นั่งทำหน้าเหงา ๆ หงอย ๆ อยู่นี่ไง เจ้าเป็นอะไรไปจูเลียน ทั้งงานก็มีแต่เจ้านี่แหละที่ทำหน้าเหมือนไม่สนุก เหมือนคิดอะไรไม่ตก ขนาดกรอสเซ่ยังดูสนุกเลย ดูสิเขายิ้มไม่หุบเลยนะนั่น” จูเลียนหันไปมองกวีหนุ่มที่นั่งอยู่อีกข้าง เขากำลังยิ้มกับอะไรบางอย่างที่จูเลียนไม่ได้สนใจ และหันมาสนทนากับทาร์เทียน่าต่อ

“ข้าดูเหงาหรือเทียน่า” คำถามนั้นมาพร้อมสีหน้าของจูเลียน ที่บ่งบอกว่าไม่รู้ตัวเลยตัวเลยจริง ๆ ว่าตัวเองกำลังรู้สึกเช่นไร หรือเป็นอะไรไป

“เจ้าดูสับสนเหมือนคนตัดสินใจอะไรสักอย่างไม่ได้” การที่จูเลียนเพียงแค่คิดถึงใครบางคนที่ไม่อยากพูดถึง คงไม่ถึงขั้นว่าตัดสินใจอะไรไม่ได้หรอก



ทาร์เทียน่าแค่คาดเดา!



จูเลียนคิดขณะหันไปมองขนิษฐาแฝดผู้น้อง ทาร์เทียน่ามองตอบเงียบ ๆ เพียงเท่านั้นก็รู้ใจกันแล้ว ว่าต่างคนต่างมีเรื่องให้คิดอยู่ ถึงไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่มักจะจับความผิดปกติได้ทันที แม้จูเลียนจะไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองคิด สายใยของแฝดมีอะไรที่ลึกซึ้งเกินกว่าคนนอกจะเข้าใจ และนางก็จับสังเกตความผิดปกติได้ โดยที่จูเลียนไม่ต้องพูดออกมา



จูเลียนเมินพักตร์สวยน่ารัก ที่มีความคล้ายคลึงกับพักตร์นวลผ่องของตัวเอง หันไปทางเวทีละคร “ไม่ใช่หรอก ข้าไม่ได้เหงาหรือคิดถึงใครสักหน่อย” ทาร์เทียน่าเหลือบมองแฝดพี่ เพราะบางคำพูดสะดุดหู “แต่ข้ากำลังตั้งใจดูละครต่างหาก เจ้าดูสิกำลังเข้าพระเข้านางพอดีเลย”



บนเวทีเบื้องหน้าที่ตกแต่งประดับฉากเอาไว้อย่างสวยงามเข้ากับบทบาท พระนางกำลังตระกองกอดพลอดรักกันกะหนุงกะหนิง สองหนุ่มสาวยิ้มให้กันหวานหยดย้อย หลังฝ่าฟันอุปสรรครักระหว่างครอบครัว และสุดท้ายก็พิสูจน์รักแท้ ได้อยู่ด้วยกัน เพื่อสร้างครอบครัวเล็ก ๆ ของตัวเอง การแสดงดำเนินมาจนถึงท้ายเรื่อง และจบลงอย่างมีความสุข ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงชื่นชมของผู้ชมหน้าเวที แต่ในความสุขของแขกเหรื่อ ต่างมองไปยังเวทีที่กำลังมีการแสดงอย่างตั้งใจ จูเลียนกลับเผลอคิดถึงใครบางคนอีกแล้ว



หลายครั้งท่ามกลางสมาชิกในที่ประชุม หรืองานมากมายก่ายกอง จูเลียนไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง เพราะนอกจากปกติที่ไม่ค่อยสนใจการบ้านการเมืองอย่างนี้อยู่แล้ว ภาพเก่ายามเดินทางร่วมกับใครบางคน มักผุดเข้ามาอยู่ในห่วงความคิด เหมือนจูเลียนยังอยู่กับช่วงเวลานั้น ทั้งที่พยายามจะไม่สนใจ จูเลียนเผลอทำแม้กระทั่งถอนหายใจออกมากลางที่ประชุม ขณะประธานสภากำลังกล่าวสรุป จนเฮนริชในชุดขุนนางเต็มยศ ไร้เกราะทองของอัศวินที่เข้าประชุมด้วย ต้องเหลือบตามองด้วยสายตาที่มีเพียงจูเลียนเท่านั้นรู้ ว่าอัศวินหนุ่มกำลังดุเหมือนพี่ชายคนโตดุน้องชายตัวน้อย ยามทำอะไรไม่สมควร แต่กระนั้นภาพแบบนั้นจูเลียนก็ไม่ได้เห็นบ่อยนัก



การแสดงละครจบลงแล้ว ต่อจากละครก็เป็นช่วงที่คนรักสนุกทั้งหลายเฝ้ารอ โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ สาว ๆ เพราะเป็นช่วงของการเต้นรำ ที่จูเลียนสั่งให้มีคณะบรรเลงเพลงจากเครื่องดนตรีชุดใหญ่ ด้วยเหตุผลว่างานเลี้ยงที่สนุกต้องครึกครื้น



“กรอสเซ่ เจ้าอยากเต้นรำหรือไม่” จูเลียนละสายตาจากนักดนตรี ที่กำลังเดินเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงพร้อมเครื่องดนตรีในมือ หันไปถามความต้องการของคนรักที่นั่งอยู่เคียงข้าง

“กรอสเซ่” แต่กวีหนุ่มยังนั่งนิ่งเหม่อลอย สายตามองตรงที่จูเลียนมองตาม แต่ไม่รู้ว่าเขากำลังมองใคร เพราะจุดที่สายตากรอสเซ่กำลังมองอยู่ เป็นจุดที่มีคนนั่งรวมกันหลายคน

“กรอสเซ่! ”

“เอ่อ ฝ่าบาทเรียกข้ามีอะไรหรือ” กรอสเซ่ที่เพิ่งได้ยินว่าจูเลียนเรียกรีบละล่ำละลักถาม เพราะเขากำลังมองอะไรบางอย่างเพลินจนลืมว่านั่งอยู่ข้างใคร

“ข้าถามว่าเจ้าอยากเต้นรำไหม”

“ฝ่าบาทอยากเต้นรำหรือ” กวีหนุ่มถามกลับแทนคำตอบ เพราะเอาจริง ๆ แล้ว ถ้าถามว่าเขาอยากเต้นรำไหม แน่นอนคำตอบคืออยาก แค่ไม่ใช่เต้นกับเจ้าของคำถามที่นั่งอยู่ข้างกายตอนนี้

“ข้า..ไม่รู้สิ เต้นก็ได้ไม่เต้นก็ได้ แต่ถ้าเจ้าอยากเต้นก็ไปกัน”

“ท่าทางแบบนี้ฝ่าบาทคงไม่อยากเต้นแน่ ๆ ไม่เป็นไรถ้าจะเต้นเดี๋ยวข้าหาคู่เต้นเอง ไม่อยากรบกวนฝ่าบาท ที่ดูเหนื่อย ๆ หรืออยากพัก”

“เราคงปลีกตัวไปตอนนี้ไม่ได้หรอกกรอสเซ่ เจ้าก็รู้” จูเลียนได้แต่นั่งมองหนุ่มสาวที่เต้นรำกันอย่างมีความสุข ด้วยสีหน้าที่ดูเบื่อหน่าย แต่กรอสเซ่มองข้ามมัน เขาเอาสายตาไปทิ้งไว้กับการจ้องมองหญิงสาวผู้เป็นหนึ่งเดียวในใจ แม้จะยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปพูดคุยด้วยอีกเลย ตั้งแต่คืนนั้นที่เข้าไปทักทายนาง แต่คืนนี้เขาจะสร้างโอกาสให้ตัวเองอีกครั้ง และต่อจากนี้ด้วย



หากเป็นแต่ก่อนที่มีคนคอยส่งสายตาบังคับ สั่งให้เอาอกเอาใจกษัตริย์หนุ่มน้อย กรอสเซ่คงสวมใบหน้ายิ้มแย้มให้ตัวเอง คะยั้นคะยอจูเลียนออกไปเต้นรำด้วยแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ไม่มีใครสั่ง และเขาไม่ต้องทำงานให้ใครเพื่อแลกกับสิ่งใดอีก กวีหนุ่มจึงทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น เขานั่งอยู่ตรงนี้ ข้าง ๆ จูเลียนในตอนนี้ ก็เพื่อรักษาความสำคัญให้ตัวเอง ในฐานะคนรักของกษัตริย์ ทั้งที่สายตาจดจ่อจดจ้องอยู่แต่เพียงหญิงหนึ่งนางเดียว ที่เขาเห็นตั้งแต่นางเดินตามรัฐมนตรีโทมัสเข้ามาในงาน พร้อมแววตาเศร้าสร้อย เพราะเพิ่งสูญเสียบิดาอันเป็นที่รักไป และกรอสเซ่จะไม่พลาด ในการพาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้นาง เพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจ และถือโอกาสใกล้ชิด



งานเลี้ยงคืนนี้ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ หรือน่าตื่นเต้นสำหรับจูเลียนได้อีกแล้ว ทั้งการละครที่เคยชื่นชอบ ก็นั่งดูเหมือนแก้เบื่อไปอย่างนั้น แต่จนแล้วจนรอด จูเลียนก็ได้รู้ว่ามันไม่สามารถเยียวยาความเบื่อหน่ายในใจดวงน้อยได้เลย นั่งรอจนถึงเวลาเต้นรำ คิดว่าจะตื่นเต้นกับมันบ้างเหมือนทุกครั้ง ที่จูเลียนจะต้องออกไปเต้นรำกับกรอสเซ่ เพื่อเป็นการเปิดฟลอร์ แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ หนุ่มน้อยกลับไม่ได้ตื่นเต้น ไม่มีความตื่นตาตื่นใจอย่างที่คิดไว้



จูเลียนเหลือบไปมองคนรัก ที่กำลังมองไปยังคู่เต้นรำในฟลอร์อย่างเพลิดเพลิน กรอสเซ่ไม่ได้เอ่ยปากชวนเต้นรำสักคำ ถึงในใจจะหงุดหงิด แต่ก็ไม่มากพอที่จะเรียกร้องคนรักให้มาเอาใจ จูเลียนไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไรไป คนรักที่อยู่ข้างกายไม่นำพาให้รู้สึกอยากพูดคุยเอาอกเอาใจเหมือนเคย แม้จะเป็นคนที่บอกว่ารักนักรักหนา คิดถึงใจแทบขาดยามห่างไกลกัน แต่พอได้มานั่งอยู่ใกล้ ๆ อย่างนี้ จูเลียนกลับเฉยชา และที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น คือสิ่งที่จูเลียนกำลังคิด ไม่รู้ว่าคิดไปได้อย่างไร ว่าหากมีใครบางคนมางานนี้บ้าง มันจะมีสีสันขึ้นมามากกว่านี้แค่ไหน จูเลียนต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ ที่ไปเผลอคิดอะไรแบบนั้น แม้ใครคนนั้นจะเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาในระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตาม



หนุ่มน้อยทนนั่งดูบรรดาแขกเหรื่อเต้นรำอยู่เป็นครู่ใหญ่ จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว ใจมันเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก จูเลียนผุดลุกขึ้น จนทาร์เทียน่าและใครบางคนใต้หน้ากากปิดบัง ที่เข้ามาขอนางเต้นรำยังต้องหันมามอง

“ข้าขอตัวสักครู่ก็แล้วกัน”

“เจ้าจะไปเต้นรำหรือจูเลียน” ทาร์เทียน่าถามทั้งที่มือน้อยของนาง ยังวางอยู่บนมือของชายหนุ่มใต้หน้ากาก ขณะที่นางเองก็กำลังจะลุกขึ้น

“ข้าจะไปทำธุระส่วนตัวนิดหน่อย” แล้วจูเลียนก็เดินออกจากตรงนั้น มีสายตาของทาร์เทียน่ามองตามเงียบ ๆ ทำไมนางจะไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของแฝดพี่ จูเลียนเคยหรือที่จะสนใจการบ้านการเมือง หรือสนใจทำงาน จูเลียนเคยสนคนอื่นที่ไหนกัน นอกจากคนรักและบทกวีของเขา แต่เท่าที่ทาร์เทียน่าเห็นตอนนี้ ตั้งแต่แฝดพี่รอดกลับมาจากการตามล่าหมายชีวิต จูเลียนมีการเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง ที่เจ้าตัวเองคงไม่รู้ แต่จูเลียนกำลังคิดหรือเป็นอะไรนั้น ทาร์เทียน่าก็ยากจะคาดเดา แค่รู้ว่าแฝดพี่กำลังมีเรื่องในใจ นางจึงทำได้เพียงมองอย่างเป็นห่วง เพราะจูเลียนไม่พูดอะไรให้ฟัง นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แฝดพี่ผิดแผกไป ปกติเวลามีเรื่องอะไรในใจ จูเลียนมักจะพูดหรือถามออกมาตรง ๆ เสมอ



ส่วนใครอีกคนที่นั่งขนาบอยู่อีกข้างของจูเลียน ก็เอาแต่มองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่เกือบท้ายโต๊ะติดหน้าเวทีละคร ทาร์เทียน่าสังเกตเห็นว่าเขาเอาแต่จ้องมองหญิงสาวคนนั้นไม่วางตา ทำไมจูเลียนไม่เห็น ทาร์เทียน่าอดแปลกใจไม่ได้ ที่จูเลียนไม่ออเซาะเอาอกเอาใจกวีหนุ่มเหมือนเคย ทั้งที่ยังทำตัวติดกันไม่ห่างฉันท์คู่รัก สายตาคนนอกอย่างนางมองเห็นอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป



หลังจูเลียนลุกออกไปจากตรงนั้นไม่นาน กวีหนุ่มก็ลุกขึ้นบ้าง โดยไม่สนใจหันมาบอกกล่าวหญิงสาวที่นั่งอยู่อีกฟากโต๊ะ เหมือนเขาไม่สนใจใคร เพราะสายตาเอาแต่จ้องมองไปยังจุดที่หญิงสาวอีกคนนั่งอยู่ ทาร์เทียน่ามองตาม จนกวีหนุ่มเดินไปถึงเก้าอี้ที่อยู่เกือบท้ายโต๊ะติดเวทีละคร

เขาไปขอนางเต้นรำ



*/*/*/*/*/*/*/*



“ท่านจะอยู่เต้นรำในงานเลี้ยงก็ได้นะเซอร์ราเชล” จูเลียนทำลายความเงียบลงขณะที่เดินออกมาจากห้องจัดเลี้ยง โดยมีราเชลเดินตามมาเงียบ ๆ

“ข้าอยู่ในหน้าที่คงไม่เหมาะฝ่าบาท แต่ถ้าเป็นเลนนี่ก็ไม่แน่ เพราะเขาอยู่ในเวลาพักพอดี ตอนนี้คงกำลังเต้นกับลูกสาวขุนนางสักคนในงาน”

“เซอร์เลนนี่ก็ชอบสนุกไปอย่างนั้น “หนึ่งนายเหนือหัวหนึ่งอัศวินเดินคุยกันไปเบา ๆ จนมาถึงสวนที่มีการดูแลจัดแต่งไว้อย่างวิจิตรสวยงาม ในสวนได้รับแสงสว่างจากคบเพลิงที่ติดไว้ตามจุดต่าง ๆ หิมะที่เคยปกคลุมจนขาวโพลนไปหมดไม่มีเหลือแล้ว เพราะมีคนสวนมาคอยกวาดออกจนไม่เหลือ ตอนนี้กำลังจะพ้นฤดูหนาว ให้ออสเซนเทียได้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ กระนั้นอากาศก็ยังเย็นอยู่มาก



จูเลียนทอดสายตาผ่านต้นไม้ดอกไม้ยามค่ำ มองไปยังน้ำพุที่พวยพุ่งขึ้นมาเป็นสาย ด้วยการออกแบบของนายช่างฝีมือดี ที่นำกลไกบางอย่างมาใช้ในการผันน้ำ ทำให้เกิดแรงดันมากพอจนน้ำพวยพุ่งขึ้นฟ้า เลียนแบบน้ำพุธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน เป็นจุดเด่นของสวนแห่งนี้ที่จูเลียนโปรดปรานนัก จนสั่งให้นำไปสร้างไว้ที่ปราสาทเอวาเลียนอีกแห่งหนึ่ง ที่นั่นจูเลียนตั้งใจจะไปใช้ชีวิตยามบั้นปลาย

“เซอร์ราเชล ท่านเคย..” จูเลียนหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ด้วยว่าไม่รู้จะพูดคำไหนออกมาดี จึงจะเป็นคำพูดที่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ได้อย่างถูกต้อง ใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด

“เคยอะไรหรือฝ่าบาท” จูเลียนยังไม่ตอบออกมาในทันที กษัตริย์หนุ่มน้อยเงียบไป ดวงเนตรสีมรกตสวยมองไปยังสายน้ำที่พวงพุ่งขึ้นฟ้า เป็นครู่จึงถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ก่อนจะตอบไม่ตรงคำถาม

“ข้ารู้สึกอึดอัดจัง”

“อึดอัดเรื่องอะไรละฝ่าบาท”

“นั่นสิ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ราเชลอยากอุทานออกมาดัง ๆ ว่า “อ้าว! ” แต่ก็ได้เพียงแค่คิด ขณะที่สายตาคมของอัศวินหนุ่มจับอยู่กับพักตร์นวลของนายเหนือหัว ที่เต็มไปด้วยความสับสนไม่แน่ใจ เหมือนคนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามอะไรจูเลียนสักคำ พลันหางตาก็จับบางสิ่งบางอย่างผิดสังเกตได้ ราเชลพึมพำทำเสียงบางอย่างคล้ายเสียงแมลงกลางคืนผ่านริมฝีปาก ปรับสีหน้าให้เป็นปรกติ เดินเข้าประกบข้างจูเลียน

“มีอะไรหรือ” จูเลียนรู้สถานการณ์ดีกระซิบถาม

“ข้าเห็นเหมือนมีใครกำลังจับตาดูอยู่”

“เซอร์เดรทิชที่ตามเรามาหรือเปล่า”

“เดรทิชอยู่ในสวนทางซ้ายเราฝ่าบาท แต่คนที่ตามอยู่ข้างหลัง ระวังด้วย ตอนนี้เดรทิชคงอ้อมไปข้างหลังแล้ว”

“ทำเป็นไม่รู้ตัวไปก่อน” จูเลียนไม่ได้มีท่าทางตื่นตระหนกเลย เมื่อรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ใบหน้าหนุ่มน้อยยังคงเรียบเฉย เดินคุยไปกับราเชลเป็นปกติ จนผ่านไปเป็นครู่เดรทิชจึงเดินเข้ามาหา

“ว่าไงเซอร์เดรทิช”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีฝ่าบาท ทหารเดินเวรยามปกติ” เดรทิชตอบคำถามด้วยสีหน้านิ่งขรึมในแบบของเขา

“นั่นสินะ ข้าก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ”

“ฝ่าบาทน่าจะเข้าไปที่งานเลี้ยงได้แล้ว” ราเชลไม่ลืมเตือนในสิ่งที่จูเลียนควรทำ เพราะการอยู่ข้างนอกนานเกินไป แม้จะมีการอารักขาเป็นอย่างดี แต่อากาศที่ยังหนาวเย็นอยู่มาก กับเสื้อคลุมธรรมดาไม่ใช่เสื้อคลุมสำหรับกันหนาว ก็ทำให้เกิดความเจ็บไข้ที่อัศวินไม่อาจปกป้องได้เช่นกัน

ต่อ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



“แต่ข้า...เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปเต้นรำกันดีกว่า” แล้วหนึ่งกษัตริย์กับสองอัศวินประจำตัว ก็เดินกลับเข้ามายังโถงกว้างภายในปราสาทที่ใช้จัดงานเลี้ยง ทันได้เห็นเฮนริชผู้เงียบขรึม กำลังยื้อยุดกับเด็กน้อยลีโอของเหล่าอัศวิน พาเข้าไปยังฟลอร์เต้นรำ

“ไม่เอานะเซอร์เฮนริชปล่อยข้า” ลีโอพยายามแกะมือใหญ่ที่เกาะกุมข้อมือเล็กไว้แน่นออก แต่เหมือนว่ามันจะไม่เป็นผลอะไรเลย เพราะเรี่ยวแรงที่แตกต่างกันลิบลับ แกะอย่างไรมือใหญ่ก็ไม่ขยับ หนำซ้ำยังถูกลากเข้ามาอยู่ท่ามกลางคู่เต้นรำมากมาย ที่กำลังเต้นกันอย่างสนุกสนาน “เซอร์เฮนริชปล่อยข้าได้แล้ว”

“เจ้าอยากเต้นรำไม่ใช่หรือ” เฮนริชบอกพลางกระชากข้อมือลีโอเข้าหาตัวเพียงเบา ๆ แต่ร่างเล็กจ้อยก็ถลาเข้ามาราวกับถูกลมพายุพัด ท่าทางแปลกไปของลีโอน้อยอยู่ในสายตาสังเกตของอัศวินหนุ่ม ทั้งการเดินและน้ำเสียงที่ไม่เหมือนเดิม



เพราะเห็นเฮนริชยืนเหม่อ สายตามองไปยังกลางฟลอร์เต้นรำอยู่นานสองนาน ลีโอรู้ว่าอัศวินหนุ่มกำลังจ้องมองใคร อยู่ดี ๆ ก็นึกขัดใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น เลยเผลอพูดสิ่งไม่เหมาะสมให้อัศวินหนุ่มระคายหู ลีโอได้แต่นึกก่นด่าตัวเองในใจ



“ไม่มีสาวไหนชวนเต้นรำหรือไง ท่านถึงได้ยืนมองตาละห้อยอย่างนี้ ข้าว่าท่านไม่เป็นที่หมายตาของสาว ๆ หรอกเซอร์เฮนริช” เพียงเท่านั้น สายตาคมที่ตวัดมองก็เล่นเอาลีโอแทบสะดุ้งโหยง และยังไม่ทันได้กล่าวคำขอโทษ ที่กล้าหาญชาญชัยพูดอะไรไม่คิด ข้อมือเล็กก็ถูกคว้าไว้แน่น ลีโอถูกคนตัวโตกว่าลากออกมายังฟลอร์เพื่อเต้นรำ

“เซอร์เฮนริช ไม่นะ ข้าไม่เต้นรำนะ”

“ข้าก็นึกว่าเจ้าอยากเต้นรำกับข้าเสียอีก”

“ข้าขอโทษ ลีโอขอโทษที่พูดไม่ดี ลีโอผิดไปแล้ว”

“ช่างเถอะ ยังไงก็ออกมาแล้ว มาเต้นกันสักเพลง” ลีโอแปลกใจไม่น้อย ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะเห็นอัศวินหนุ่มผู้นี้เต้นรำ จนลีโอคิดว่าเฮนริชนั้นเต้นรำไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าเป็นเรื่องรื่นเริง ต้องยกให้คนอารมณ์ดีขี้เล่นอย่างเลนนี่อันดับหนึ่ง อันดับรองลงมาคือราเชล เดรทิชก็สนุกบ้างเป็นบางครั้ง แต่เฮนริช ลีโอแทบจะไม่เคยเห็นเขาทำอะไรอย่างนี้มาก่อน วันนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่อัศวินหนุ่มจะมาเต้นรำกับลีโอ ที่เป็นเด็กน้อยในสายตาของเขาตลอดเวลา

“ข้า ข้าไม่เต้น เซอร์เฮนริชได้โปรดเถอะ ลีโอไม่อยากเต้นรำ” ปากบอกไม่เต้น แต่พอเฮนริชขยับเท้าพาก้าวไปตามจังหวะเพลง ลีโอจำต้องก้าวตาม เพราะนอกจากจะต้องรักษาจังหวะกับคู่เต้นของตัวเองแล้ว ยังต้องก้าวให้เข้ากับจังหวะของคู่อื่นด้วย หากลีโอยังยืนนิ่ง ก็อาจจะถูกคู่เต้นรำคู่อื่นที่ผ่านมาชนเอาได้ เลยกลายเป็นว่าปากปฏิเสธ แต่ขาต้องก้าวตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่ทรงตัวก็ยังแทบจะไม่อยู่ บางครั้งต้องทิ้งน้ำหนักลงกับอกกว้างของเฮนริชเพื่อช่วยพยุงตัวเอง

“เราเต้นออกไปแถวนอกหน่อยก็ได้ จะได้หลุดออกจากวงล้อมคนอื่น “เสียงของลีโออ้อแอ้และเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์ ทั้งที่เจ้าตัวพยายามแล้วที่จะพูดให้ชัดที่สุด

“เจ้าจะรีบไปไหนล่ะ ข้าก็นึกว่าเจ้าอยากเต้นรำเสียอีก”

“ข้าแค่ถามท่านต่างหาก ก็เห็นท่านยืนมองอยู่ตั้งนาน”

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบเต้นรำ”

“แล้วท่านพาข้ามาเต้นทำไมล่ะ พาข้าออกไปได้แล้วเซอร์เฮนริช” เสียงลีโอเริ่มพาล เพราะการที่ต้องเคลื่อนตัวไปรอบ ๆ ฟลอร์ว่าแย่แล้ว การต้องหมุนตัวยิ่งทำให้ลีโอรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ และเฮนริชรู้ดีว่าเด็กน้อยเป็นอะไร



ลีโอพยายามขืนตัวไว้



“เต้นเฉย ๆ เถอะน่า นี่เจ้าแอบดื่มมาใช่ไหม เมาหรือไง”

“ข้าเปล่า ลีโอเปล่านะ” แววตาเด็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าทำความผิด มันเผยออกมาอย่างไม่ปิดบังแม้จะปฏิเสธเสียงแข็ง นี่คงเป็นเหตุที่ทำให้ลีโอกล้าเอ่ยคำพูด ที่ในยามปกติไม่วันอ้าปากพูดอย่างนั้นออกมา

“เจ้าเมาแล้วแน่ ๆ ลีโอ”

“ไม่ได้เมาลีโอไม่ได้เมา ลีโอไม่ได้แอบดื่มเหล้า” แต่ก็ก้มหน้าหลบตา

“ข้าจับได้ขนาดนี้ยังปฏิเสธอีก เจ้าต้องถูกลงโทษ! ”

“ไม่นะลีโอไม่ได้ทำ ไม่ได้เมา ไม่ได้ดื่มเหล้าเลยจริง ๆ ” ยิ่งถูกจับได้ว่าเมายิ่งปฏิเสธ แต่ยิ่งปฏิเสธลีโอก็ยิ่งแสดงอาการออกมาให้เห็นชัดขึ้น ด้วยการหลับหูหลับตาเถียงเอาเป็นเอาตาย ใบหน้าเยาว์วัยที่งอง้ำแง่งอน บัดนี้แดงสุกปลั่งเกินธรรมชาติ

“เป็นเด็กเป็นเล็ก ริอ่านดื่มของมึนเมาหรือไง”

“ลีโอไม่เด็ก! ” ตาหรือก็จะปิดมันลงเดี๋ยวนี้เสียให้ได้ แต่ลีโอก็ยังพยายามปรือขึ้นยามเถียงไม่ลดละ

“หึ” ลีโอเถียงพลางขาก็ก้าวไปตามเสียงเพลงสะเปะสะปะ ตามการนำของเฮนริช จะถูกดุถูกว่าเรื่องอะไรไม่เคยเลยที่ลีโอจะโกรธจริงจัง นอกจากยามที่ถูกว่าเป็นเด็ก ลีโอมักจะค้านหัวชนฝาว่าตัวเองโตแล้ว แต่ในสายตาของทุกคนลีโอก็ยังเป็นเด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดูอยู่เช่นเดิม



เฮนริชพาลีโอเต้นรำวนมาจนถึงขอบฟลอร์ ก็พอดีเด็กน้อยสิ้นฤทธิ์หลับคอพับคออ่อน ทิ้งน้ำหนักของร่างเล็กจ้อยพิงอกอัศวินหนุ่มทั้งตัว

“เซอร์เฮนริช ลีโอเป็นอะไรไป” จูเลียนที่ยืนอยู่กับอัศวินอีกสามคนถามขึ้น เมื่อเห็นเฮนริชอุ้มลีโอเดินเข้ามาหาพร้อมสีหน้านิ่งขรึมเป็นปกติของเขา

“เมา”

จูเลียนอดขำไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นท่านรีบเอาลีโอไปเก็บเถอะ”

“ฝ่าบาท” เฮนริชก้มศีรษะทำความเคารพจูเลียนแล้วเดินออกไปจากงานเลี้ยง ในอ้อมแขนมีเด็กขี้เมาที่ตัวอ่อนปวกเปียกเป็นภาระให้เขาต้องอุ้มไปส่งถึงที่ เดินผ่านเลนนี่ยังถูกกำชับเสียงเข้มให้ดูแลดี ๆ แต่เฮนริชรู้ว่าเพื่อนกำลังขบขันเขา

“ฝ่าบาทจะเต้นรำหรือกลับไปพักผ่อน” เดรทิชเดินเข้ามากระซิบ แต่จูเลียนยังนิ่ง สายตาจับอยู่กับขนิษฐาแฝดที่กำลังเต้นรำอยู่กลางฟลอร์ กับชายหนุ่มร่างสูงที่จูเลียนไม่รู้จัก เพราะชายผู้นั้นซ่อนใบหน้าไว้ใต้หน้ากาก ทั้งที่งานนี้จูเลียนไม่ได้จัดแบบสวมหน้ากากด้วยซ้ำ เขาจึงเป็นคนเดียวในงานที่มีหน้ากากปิดบังหน้าตา จูเลียนเดาไม่ถูกว่าเป็นใคร แต่เห็นท่าทางของทาร์เทียน่าที่คุยไปเต้นไป และยิ้มไปด้วยอยู่ตลอด เลยคิดว่าคงเป็นใครสักคนที่นางคงรู้จักดี



จูเลียนละความสนจากแฝดน้อง กวาดตามองไปรอบฟลอร์เต้นรำ ทุกคนกำลังสนุกกับการได้ก้าวเดินไปรอบ ๆ ตามจังหวะของเพลงที่บรรเลง ใบหน้าของแต่ละคนแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข ไม่เว้นแม้กระทั่งกวีหนุ่มผู้เป็นคนรัก ที่กำลังเต้นอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่ง จูเลียนจำได้ว่านางคือลูกสาวของอดีตรัฐมนตรีผู้ถูกลอบสังหาร สีหน้าของนางยังคงความเศร้า ขณะที่กรอสเซ่ยังขยับปากคุยไปด้วยยิ้มไปด้วย จูเลียนนึกขัดใจกับภาพที่เห็น เลยหันหลังเดินออกจากงานทันที



“กลับ! ”

ความขัดใจฉายชัดขึ้นมาบนพักตร์นวลบึ้งตึง จูเลียนก้าวฉับ ๆ ตรงกลับปราสาท หงุดหงิดเกินกว่าจะพูดคุย อัศวินทั้งสามเดินตามไม่ห่าง จนถึงหน้าปราสาท เลนนี่กับราเชลจึงแยกกันออกเดินตรวจตรารอบ ๆ คนละทาง เหลือเดรทิชทำหน้าที่เดินไปส่งจูเลียนถึงห้องบรรทม

“เซอร์เดรทิช ท่าน..”

“ฝ่าบาทมีอะไรหรือ” เป็นอีกครั้งที่อัศวินหนุ่มได้เห็นเจ้านายตัวน้อยถอนหายใจ เขาเพียงยืนสบตานิ่ง รอให้จูเลียนพูดในสิ่งที่อยากพูด ดูจากสีหน้ารู้ว่านายเหนือหัวคงมีเรื่องหนักใจให้คิด แต่คงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย

พอจูเลียนยังเงียบ เดรทิชเลยเอียงหน้าแทนการบอกว่าเขารอฟังอยู่

“คือ..” เดรทิชพยักหน้าอีกครั้ง ถ้ามันช่วยให้จูเลียนมั่นใจจะพูดในสิ่งที่อยากพูดมากขึ้น เขาก็ยินดีจะทำแทนการเอ่ยปากถาม เพราะนั่นจะทำให้จูเลียนรู้สึกถูกกดดันมากเกินไป เลยพาลไม่กล้าพูดออกมา



...แต่จนแล้วจนรอดจูเลียนก็ยังอ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น



หลายวันมานี้เดรทิชสังเกตเห็น ว่าจูเลียนก็ทำท่าทางจะพูดอะไรบางอย่างทั้งกับเลนนี่และราเชลอยู่เหมือนกัน จะยกเว้นก็แต่เฮนริชผู้เงียบขรึมยิ่งกว่าใคร ที่เดรทิชไม่เห็นจูเลียนกระซิบกระซาบด้วยอย่างนี้



อัศวินหนุ่มยิ้มให้นายเหนือหัวอีกครั้งรอฟังอย่างอดทน ไม่เปล่งเสียงใด ๆ ออกมากดดัน ที่อาจจะทำให้จูเลียนเปลี่ยนใจ แต่พอเห็นจูเลียนถอนหายใจออกมาเบา ๆ เดรทิชเลยสร้างความมั่นใจให้ด้วยการเอ่ยคำสัญญา



“ข้าสาบานว่าจะไม่พูดเรื่องที่ฝ่าบาทกำลังจะพูดกับใคร”

“สัญญานะ”

“ด้วยเกียรติฝ่าบาท” ท่าทางลังเลของจูเลียนหายไปแทนด้วยรอยยิ้ม เหมือนเด็กที่ได้รับสัญญาว่าจะได้ของขวัญ

“เซอร์เดรทิชมีเหตุผลอะไร..มีเหตุผลอะไรที่คนเราจะคิดถึงกันได้บ้าง”

รอยยิ้มเอ็นดูเผยขึ้นมาบนใบหน้าคมคร้ามของอัศวินหนุ่ม แม้เดรทิชจะมีนิสัยเงียบขรึมอยู่ในอันดับสองรองจากเฮนริช แต่เขาก็ไม่ใช่ประเภทที่เข้าถึงยาก ความสุขุมกับท่าทางนิ่ง ๆ ดูน่าไว้ใจมากกว่า เมื่อจะพูดอะไรบางอย่างด้วย เขาดูพร้อมจะเข้าใจอะไรได้ง่าย ๆ ไม่เรื่องมาก

“มีเหตุผลมากมายที่คนเราจะคิดถึงกัน”

“จริงหรือ” จูเลียนตาโตท่าทางตื่นเต้น เหมือนเพิ่งได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดไม่ใช่เรื่องผิดแปลก แต่ก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ “แต่..ในเมื่อคิดถึงก็คือคิดถึง ทำไมต้องใช้เหตุผลด้วยล่ะ”

“นั่นสิ ข้าว่าฝ่าบาทต้องตอบคำถามนั้นให้ตัวเองแล้วล่ะ ถ้าฝ่าบาทจะคิดถึงใครสักคน ฝ่าบาทจะสนใจเหตุผลทำไม ถ้าใครคนนั้นควรค่ากับความคิดถึงของฝ่าบาท”

“เขาจะคู่ควรให้เราคิดถึงหรือเปล่านะ แล้ว..” จูเลียนเพียงพึมพำถามตัวเองเบา ๆ ยามหันหน้าไปอีกทาง เดรทิชได้ยินแต่เขาทำเป็นไม่สนใจเด็กน้อยขี้อายตรงหน้า ทั้งที่นั่นไม่ใช่จูเลียนที่มั่นใจในตัวเองมาตลอดเลย

“ฝ่าบาทมีอะไรจะถามข้าอีกหรือไม่”

“เอ่อ ไม่ ไม่มี”

“ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนเถอะ”

“อืม” จูเลียนหันหลังกำลังจะเดินเข้าห้องอยู่แล้ว “เดี๋ยว เซอร์เดรทิช”

“ฝ่าบาท” เดรทิชหันกลับมาก้มศีรษะให้จูเลียนยืนนิ่งรอฟัง

“ขอบใจท่านมาก” อัศวินหนุ่มเพียงยิ้มให้เจ้านายเหนือหัวแล้วเดินออกไปจากตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล เพราะคืนนี้เขารับหน้าที่เฝ้าเวรยาม นอกจากเฝ้าอยู่หน้าประตูก็คงแฝงตัวอยู่มุมใดมุมหนึ่ง ที่สามารถปรากฏตัวได้ทันทียามจูเลียนเรียกหา หรือมีเหตุเภทภัย



หลังจากได้คุยกับเดรทิช จูเลียนรู้สึกว่าอะไรบางอย่างที่ถ่วงอยู่ในใจมันคลายลง แต่ก็ใช่ว่าความรู้สึกจะดีขึ้นมาทันที เพราะมันยังปนอยู่กับความโกรธและความสับสน จูเลียนเพิ่งเข้าใจว่าการจะคิดถึงใครบางคน มันคงไม่ต้องใช้เหตุผลอะไรมากมาย คิดก็แค่คิด จะคิดถึงในฐานะอะไรก็ช่างมัน แม้จูเลียนคิดแล้วจะหงุดหงิดไปบ้าง แต่กระนั้นก็ยังอดคิดไม่ได้ พอห้ามความคิดตัวเองไม่ได้ เลยปล่อยใจคิดเสียให้พอ คิดแล้วก็โกรธอย่างไม่รู้สาเหตุ ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันคาดโทษ คนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกคิดถึงอยู่ทุกวัน



แสงสลัวภายในห้องมาจากเทียนไขที่จุดไว้ให้แค่พอมองเห็น เพราะความคุ้นชิน จูเลียนจึงสามารถทำอะไรต่อมิอะไรทุกอย่างได้โดยไม่ต้องจุดเทียนเพิ่ม กษัตริย์หนุ่มน้อยเดินไปยังบังตา ถอดชุดคลุมหนาหนักออกพาดไว้บนราว เหลือเพียงชุดชั้นในเนื้อผ้านุ่มบางเบา ที่เป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวสีขาวสะอาด พออยู่ในห้องนอนก็เหมือนจะง่วงขึ้นมาทันที จูเลียนเอามือปิดปากอย่างเคยชิน ขณะอ้าปากหาวยาว ๆ ตอนเดินไปที่เตียง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาขึ้นไปบนเตียงนุ่ม พลันร่างเพรียวระหงต้องหยุดชะงัก จูเลียนยืนนิ่งปากอ้าค้างตาจับอยู่กับเตียงนอนของตัวเอง



บนเตียงของจูเลียนดูเหมือนจะได้รับแสงสว่างกว่าทุกจุดภายในห้อง ด้วยเทียนไขเล่มใหญ่ที่ตั้งบนโต๊ะข้างเตียง และบนนั้นมีอะไรบางอย่างวางไว้ อะไรบางอย่างที่ทำให้ใจดวงน้อยเต้นแรง เพราะความเคยชินจูเลียนไม่ได้สนใจมันในคราแรก แต่สาเหตุที่ทำให้จูเลียนชะงักนิ่งยืนอ้าปากค้างอยู่แบบนั้น คืออะไรบางอย่างที่ปกคลุมไปด้วยขนนุ่มปุกปุย อะไรบางอย่างที่นอนขดเป็นก้อนเกือบกลืนไปกับผ้าห่มผืนหนา ถ้าเพียงแต่สีขาวราวหิมะของมัน จะไม่ตัดกับผ้าคลุมเตียงทอจากไหมสีฟ้าอ่อนปักลวดลายเดินดิ้นทอง

.....

.....

.....

“เจ้าหนู!! “



*/*/*/*/*/*/*/*/*/*

คิดถึงเจ้าหนู เจ้าหนูก็มา 

ปานนี้ กวางน้อยจะโดนปู้ยี่ปู้ยำ เอ้ย!!!

โดนทำโทษถึงไหนแล้วน้อ เจอกันตอนหน้าเด้อ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด