พิมพ์หน้านี้ - เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 24 เชลย 100% 24/2/62]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: AlittleStarWr ที่ 30-10-2018 23:44:35

หัวข้อ: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 24 เชลย 100% 24/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 30-10-2018 23:44:35
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

:mew3: :mew3: :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:

♥ เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ ♥

 

♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦ ♥ ♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦

 

หนึ่งคนหัวใจรักอิสระ ไม่ยอมคุกเข่าก้มหัวให้ใคร

หนึ่งคน หยิบยื่นเสนอโอกาสให้ เพียงเพราะอยากเอาชนะ

วันที่มีโอกาสอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องเขาปฏิเสธ

วันที่ถูกปฏิเสธกลับอยากอยู่เคียงข้าง แม้จะอยู่ในฐานะต้อยต่ำเพียงใดก็ยอม

 
จูเลียนยกยิ้มสมใจ “ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไรดี เจ้าคนอวดดี”

ทุกคนเงียบ ฮานส์ไม่ตอบแต่สายตาที่มองกลับมาสบตากับจูเลียนนั้น เหมือนกำลังบอกอะไรบางอย่าง สายตาที่มีอำนาจในการสื่อความคิด บังคับจูเลียนให้จ้องมองลึกเข้าไปข้างใน จากระยะที่ยืนห่างกัน พอได้ประสานสายตาตรง ๆ อะไรบางอย่างที่มาพร้อมแววตาคู่นั้น สะกดให้จูเลียนมองนิ่ง จนความดุดันในดวงเนตรสีเขียวมรกตหายไป เหลือเพียงความสงสัยใคร่รู้จากสิ่งที่ได้เห็น ดวงตาสีดำมืดราวกับราตรีในคืนไร้แสงจันทร์สิ้นแสงดาว หลุบต่ำลงมองริมฝีปาก จูเลียนรู้ตัวแต่ยังยืนนิ่ง ครั้นพอทำตามเจ้าของร่างสูงด้วยการหลุบสายตาลงมองริมฝีปากอิ่มที่ล้อมไปด้วยหนวด เห็นลิ้นสีชมพูเกือบแดงแลบออกมาเลียจึงได้เข้าใจ

“เจ้า! “ ยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้ารกเคราของชายพเนจร ยิ่งจูเลียนเกรี้ยวกราดหงุดหงิดมากเท่าไหร่ฮานส์ยิ่งสนุก สนุกทั้งที่ยังมีคมดาบจ่อคอหอยอย่างหมิ่นเหม่

ฮานส์กำลังเย้ยหยันว่าเคยฉวยโอกาสจูบจูเลียน!

 

 

♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣

 

จูลีเดียส เฟรเดอริก ออสติน (จูเลียน) ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทียผู้หลงใหลในบทกวีและความงดงามของการละคร จิตใจของเขาอ่อนโยนและอ่อนไหว ในขณะที่บ้านเมืองกำลังต้องการผู้นำที่แข็งแกร่ง ยุวกษัตริย์วัยเพียง 19 ชันษากลับทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการรังสรรค์ปราสาทราชวังอันวิจิตรสวยงาม ตามอย่างที่กวีผู้เป็นคนรักของพระองค์ได้บรรยายเอาไว้เป็นฉากในบทละคร จากความหลงใหลกลายเป็นความคลั่งไคล้ ที่ทำให้หลายฝ่ายไม่เห็นด้วย ความหลงใหลของจูเลียนนำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างรุนแรง และการลอบปลงพระชนม์!

 

โรฮานส์ อัลเลน วัลเดอราส (ฮานส์) หนุ่มรักอิสระผู้หลงใหลในการเดินทาง เพื่อท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ วันหนึ่งเขานึกอยากเข้าเมืองหลวง ที่นั่นมีการประลองการต่อสู้บนหลังม้าประจำปี และมีเหตุให้เขาต้องเข้าร่วมประลอง เมื่อคืนแรกที่มาถึงเขาแพ้พนัน จึงต้องตกปากรับคำเพื่อนรัก ฝ่ายนั้นต้องการให้เขาเข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้เข้าประลองฝีมือ และด้วยฝีมืออันเหนือชั้นกว่าผู้เข้าประลองทุกคน ทำให้เขาชนะการประลองได้ชัยมา และชัยชนะครั้งนั้นได้กระชากเอาหัวใจที่อิสรเสรีของเขาไปตลอดกาล!

 

** เหตุการณ์ทั้งหมดในนิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องสมมุติขึ้นตามความฝันเฟื่องของผู้เขียนเอง ไม่ได้อิงประวัติศาสตร์ยุคไหนสมัยใด สรรพสิ่งและชื่อของสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ พืช คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ เป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นเพื่ออรรถรสของนิยาย เพราะนี่คือโลกของนิยายเรื่องนี้เท่านั้น และนิยายเรื่องนี้ตัวเอกเป็นกษัตริย์เป็นเจ้าหญิงเจ้าชาย แต่จะไม่เน้นราชาศัพท์ โดยจะมีคำราชาศัพท์ในเนื้อเรื่องบ้างตามความเหมาะสมและอรรถรสเท่านั้น

นิยายเรื่องอื่นขอ ดาว ณ แดนดิน
ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69140.msg3922467#msg3922467)
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3905592#msg3905592)




ตอนที่ 1 ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย 50% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3906166#msg3906166)
ตอนที่ 1 ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3906263#msg3906263)
ตอนที่ 2 ชายพเนจร 50% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3906388#msg3906388)
ตอนที่ 2 ชายพเนจร 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3906817#msg3906817)
ตอนที่ 3 เพื่อนเก่า 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3907098#msg3907098)
ตอนที่ 4 อัศวินผู้เฝ้ามอง 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3908208#msg3908208)
ตอนที่ 5 แขกบ้านแขกเมือง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3908815#msg3908815)
ตอนที่ 6 ลอร์ดหนุ่มผู้เร่าร้อน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3909146#msg3909146)
ตอนที่ 7 งานประลองประจำปี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3909952#msg3909952)
ตอนที่ 8 ลีโอกับยอดอัศวิน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3910770#msg3910770)
ตอนที่ 9 แผนสลับตัวง่ายกว่าที่คิด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3911186#msg3911186)
ตอนที่ 10 อัศวินหนุ่มผู้ร้อนแรง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3911949#msg3911949)
ตอนที่ 11 คุกเข่ากล่าวคำสาบานตน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3912638#msg3912638)
ตอนที่ 12 สวาเนียร์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3920665#msg3920665)
ตอนที่ 13 หิมะสีเลือด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3921529#msg3921529)
ตอนที่ 14 โรฮานส์ผู้ใจร้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3922271#msg3922271)
ตอนที่ 15 เมียของฮานส์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3922998#msg3922998)
ตอนที่ 16 สถานการณ์ย่ำแย่ของจูเลียน 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3924156#msg3924156)
ตอนที่ 17 ใต้โพรงต้นไม้ที่อบอุ่น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3926924#msg3926924)


 :katai4: :katai5:

หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 1 ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย 50%]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 30-10-2018 23:51:16
เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 1 ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย


“เมื่อไหร่จะถึงสักทีนะ ข้าเบื่อรถม้านี่เต็มทีแล้วลีโอ”

“เซอร์เฮนริชบอกว่าเราจะถึงเมืองหลวงก่อนตะวันตกดินฝ่าบาท หากไม่อยากนั่งอยู่ในนี้ทำไมฝ่าบาทไม่ออกไปทรงม้ากับเซอร์เลนนี่ล่ะ” ลีโอเด็กรับใช้ใกล้ชิดตอบเบา ๆ แม้ว่าคนชวนคุยจะไม่ได้หันหน้ามาสนใจคู่สนทนาอย่างเขาเลยก็ตาม

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบขี่ม้า”

“ลีโอรู้ว่าฝ่าบาทไม่โปรดการเดินทางไกล”

“รู้ดีมากไปแล้วนะลีโอ” เนตรสีมรกตสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของลีโอ เมื่อผู้เป็นนายหันกลับมาคุยด้วย ลีโอเห็นถึงความเบื่อหน่าย ที่เผยออกมาทางตาสวยคู่นั้น วงหน้าเรียวล้อมกรอบด้วยผมเส้นเล็กสีน้ำตาลอ่อนราวเส้นไหม ส่วนประกอบต่าง ๆ เข้ากันได้อย่างลงตัว ตั้งแต่คิ้วโก่งได้รูปรับกับดวงตาสีเขียวสุกใสปานลูกแก้ว สันจมูกโด่งเชิดไปจนถึงริมฝีปากอวบอิ่มรูปกระจับ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเหมือนมีรอยยิ้มบาง ๆ อยู่เสมอ กระทั่งในยามไม่สบอารมณ์ ยามแย้มยิ้มเผยให้เห็นฟันซี่เล็กเรียงตัวเป็นระเบียบ องค์ประกอบโดยรวมทั้งหมด ส่งให้สิริโฉมเจ้าเหนือหัวของลีโอน่าหลงใหล จนมองเพลินไม่มีเบื่อ

“ถึงไม่โปรดแต่ฝ่าบาทก็เลี่ยงไม่ได้” สีหน้าเห็นใจของลีโอ ทำให้ผู้เป็นนายหันออกไปมองนอกรถม้า เพราะเลี่ยงภารกิจเหล่านี้ไม่ได้ ถึงได้มานั่งบ่นอยู่ตรงนี้กับลีโอผู้น่าเบื่อ

“เราไม่ชอบล่าสัตว์ คอยดูนะกลับไปเราจะสั่งให้สภากับรัฐมนตรียกเลิกประเพณีบ้า ๆ พวกนี้ให้หมด”

“แล้วมันจะเหลืออะไรให้ชาวออสเซนเทียได้มีความบันเทิง และตื่นเต้นล่ะฝ่าบาท”

“มีเรื่องราวมากมายที่ทำให้เราตื่นเต้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องออกมาล่าสัตว์คร่าชีวิตเขาแบบนี้นะลีโอ”

“แต่มันเป็นประเพณีของเรามาแต่โบราณฝ่าบาทจะยกเลิกได้อย่างไร”

“เราไม่ชอบเราก็จะสั่งยกเลิกให้หมด รวมทั้งการประลองบนหลังม้าประจำปีที่จะถึงนี้ด้วย”

“แต่นั่นมันเป็นงานประจำปี ที่ชาวออสเซนเทียทุกคนต่างเฝ้ารอนะฝ่าบาท ถ้าทรงยกเลิกลีโอเกรงว่า..”

“เจ้าไม่ต้องเกรงอะไรหรอกลีโอ เราไม่ชอบที่ต้องไปนั่งดูคนฆ่ากัน งานอะไรที่มันรุนแรงเราจะสั่งยกเลิกให้หมดเลยคอยดูสิ” ผู้มีศักดิ์เหนือกว่าบอกอย่างเอาแต่ใจ ด้วยว่าตัวเขานั้นไม่ชอบเรื่องการต่อสู้รบราฆ่าฟัน หรือแม้กระทั่งเรื่องการเมือง คนผู้นี้ไม่ชอบอะไรสักอย่าง นอกจากบทกวีและการละครชวนฝัน

“แล้วฝ่าบาทจะให้ชาวเมืองทำอะไรกันล่ะ การประลองเป็นความบันเทิงหนึ่งเดียวที่มีแค่ปีละครั้งเองนะฝ่าบาท”

“ก็เปลี่ยนไปทำอย่าอื่นสิ เดี๋ยวเราจะสั่งให้สร้างโรงละครไว้กลางเมือง เท่านี้ชาวเมืองก็มีสิ่งบันเทิงเริงใจแล้ว” ลีโอได้แต่เงียบ ไม่รู้จะยกเหตุผลอันใดมากล่าวอ้างต่อ จูลีเดียส เฟรเดอริค ออสติน หรือ จูเลียน ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทียผู้เย่อหยิ่งเอาแต่ใจ จูเลียนไม่ชื่นชอบในประเพณีเก่าแก่ที่กล่าวมานี้ ไม่ชอบจนถึงขั้นเกลียด สิ่งที่ลีโอทำได้ตอนนี้คือนั่งรอรับคำสั่งเงียบ ๆ และคอยพูดคุยตอบคำถามบ้าง

จูเลียนหยุดการสนทนากับลีโอเอาไว้เพียงเท่านั้น กษัตริย์หนุ่มน้อยวัย 19 ชันษา ผินพักตร์นวลมองออกไปดูสภาพความหนาวเย็นข้างนอกผ่านหน้าต่างรถม้า แม้ยังไม่มีหิมะตกลงมา แต่บรรยากาศก็เริ่มหนาวเย็นขึ้นมาก จนไม่คิดอยากออกไปขี่ม้าเล่นกินลม

“ข้างนอกนั่นคงหนาวน่าดูเลยนะ” จูเลียนก็เปรยขึ้นเบา ๆ แนบแก้มนวลแดงระเรื่อเพราะความเย็นเข้ากับขอบหน้าต่าง มันอำพรางสายตาจากภายนอกด้วยลูกกรงไม้ซี่เล็ก ที่เหลือช่องให้พอส่องออกไปข้างนอกได้ หนุ่มน้อยสูงศักดิ์มักทำเป็นประจำยามเดินทางไกล เพื่อฆ่าเวลาและบรรเทาความเบื่อหน่าย

ข้างทางเลียบเขาที่ขบวนเสด็จของจูเลียนกำลังเคลื่อนผ่าน ฝั่งหนึ่งเป็นป่าสนมีไม้ใบสีแดงสีเหลืองขึ้นแซมเป็นระยะ ส่วนฝั่งที่กษัตริย์หนุ่มน้อยนั่งมองออกไป เป็นทุ่งหญ้าบนเนินสูงต่ำสลับกัน ภาพทุ่งหญ้าถูกแต่งเติมความสวยงามตระการตาของดอกไม้ดอกหญ้าหลากสีสันจนมองเพลิน

“ถ้ากรอสเซ่ได้มาเห็น เจ้าคิดว่าเขาจะแต่งเป็นบทกวีออกมายังไงลีโอ”

“กระหม่อมเป็นเพียงเด็กรับใช้ของพระองค์ คงเดาใจกวีไม่ถูกหรอกฝ่าบาท”

“นั่นสินะ เจ้าเป็นแค่เด็กรับใช้คงไม่เข้าใจความงดงามของบทกวีหรอก ข้าอยากให้กรอสเซ่มาด้วยจัง เจ้าว่าเขากำลังคิดถึงข้าอยู่ไหมลีโอ”

“แน่นอนฝ่าบาท” จูเลียนพอใจและปลาบปลื้ม ขยับตัวจัดเสื้อคลุมกระชับให้เข้าที่ หันไปมองเด็กรับใช้ประจำตัว ถึงท่าทางของลีโอจะไม่ได้ดูประจบประแจงอย่าพวกคนชอบเสแสร้งทำ แต่ก็เลือกคำตอบได้ถูกใจจูเลียนที่สุด เพราะในเวลาที่น่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ ลีโอเองก็ไม่อยากขัดใจเจ้านายให้มันน่าเบื่อกว่าที่เป็น ถึงในใจลีโอจะไม่ค่อยชอบกวีผู้นั้นเท่าไหร่นัก

“ข้าคิดถึงเขาจังลีโอ” น้ำเสียงของจูเลียนอ่อนโยนเมื่อเอ่ยถึงกวีหนุ่มผู้เป็นคนรัก นัยน์ตาสีเขียวมรกตดูหวานซึ้งชวนฝัน แต่จูเลียนก็อยู่ในห้วงความรู้สึกถวิลหาได้ไม่นาน เมื่อลีโอเผลอเอ่ยคำที่ขัดใจจนได้

“ฝ่าบาทอย่าทรงลืมว่ามีคู่หมาย...”

“ไม่ต้องย้ำ! ข้าไม่สนใจอนาสตาเซียหรอก ข้าจะรักเพียงกรอสเซ่คนเดียวเท่านั้น” จูเลียนตวาดอย่างขัดใจ เมื่อเด็กรับใช้รุ่นราวคราวเดียวกัน กล้าเอื้อนเอ่ยถึงสิ่งไม่อยากได้ยิน พักตร์นวลบึ้งตึงเพราะคำพูดไม่เข้าหู ขัดใจจนไม่อยากเสวนาด้วย

โครม!

แต่ขณะที่จูเลียนกำลังเหม่อลอยคิดถึงคนรัก เกิดเสียงดันสนั่นขึ้น รถม้าเสียหลักเพราะแรงกระแทก คนที่นั่งเหม่อไม่ทันตั้งตัวจึงถูกแรงเหวี่ยงจนร่างกระเด็นไปอีกมุม

ปกป้องกษัตริย์!

ปกป้องกษัตริย์!

“เกิดอะไรขึ้นลีโอ” จูเลียนถามเสียงร้อนรนขณะตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง ยิ่งได้ยินเสียงตะโกนโวยวายดังมาจากข้างนอก ยิ่งทำให้กษัตริย์หนุ่มน้อยตื่นตระหนก

“ลีโอก็ไม่รู้ฝ่าบาท ระวังพระองค์ด้วย” แต่คนที่ตระหนกมากกว่าจนตัวสั่นคือลีโอ ที่ขยับเข้าไปบังร่างเจ้านายหันหน้าออกไปทางประตูรถม้า ชักดาบออกมาจากฝักด้วยมือสั่นเทาจนแทบควบคุมไม่ได้ ลีโอยกดาบปลายแหลมด้ามเล็กเหมาะกับตัวเองขึ้นป้องกันภัย ถึงจะสั่นกลัวแค่ไหน หากมีผู้บุกรุกเข้ามาลีโอจะสู้ถวายชีวิต

ปัง!

“ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง” ประตูรถม้าถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง ร่างสูงใหญ่ของอัศวินประจำตัวแทรกเข้ามาพร้อมคำถาม

“เซอร์เฮนริชเกิดอะไรขึ้น”

“เราถูกโจมตี ฝ่าบาทลงมาก่อน” เฮนริชบอกแล้วหันไปต่อสู้กับศัตรูหลายคนที่ตามมา มีทหารของเขาช่วยด้วย จัดการเสร็จหันกลับมาก็พอดีกับจูเลียนกระโดดมาที่ประตูรถ ไม่ลืมคว้าข้อมือของลีโอมาด้วย พอลงจากรถม้าลีโอได้เห็นการต่อสู้จริง ๆ ก็ยิ่งตกใจ เพราะขบวนเสด็จของจูเลียนถูกโจมตีอย่างหนัก โดยเฉพาะรถม้าพระที่นั่งที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด

“เฮนริช!”

“เลนนี่ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”

“พวกมันมีราวห้าสิบคน เดรทิชกับราเชลจัดการได้”

“ข้างหลัง” เลนนี่หันกลับต่อสู้อย่างคล่องแคล่ว ด้วยฝีมืออันฉกาจที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จึงสามารถจัดการกับศัตรูได้อย่างรวดเร็ว

“เจ้าพาฝ่าบาทหลบไปก่อน ข้าจะไปช่วยพวกนั้นเอง” เฮนริชบอก

“ฝ่าบาทเชิญเสด็จ” เลนนี่ไม่รอช้ารีบพาจูเลียนและลีโอหลบไปอีกทาง โดยมีเฮนริชและทหารติดตามคอยสกัดกั้นไม่ให้ศัตรูตามไปได้ ทั้งสองเป็นอัศวินประจำตัวของจูเลียน จากทั้งหมดที่มีสี่คน อีกสองคือ เดรทิชกับราเชล แต่ละคนฝีไม้ลายมือล้วนเป็นหนึ่ง เพราะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี รูปร่างหรือก็สูงใหญ่ทะมัดทะแมงเต็มไปด้วยพละกำลัง สมกับเป็นอัศวินผู้พิทักษ์ปกป้อง

“ทางนี้ฝ่าบาท มาเร็วลีโอ” เลนนี่ดึงแขนจูเลียนพาวิ่งไปทางหน้าขบวน ม้าหลายตัวหันรีหันขวางเพราะตกใจ อัศวินหนุ่มคว้าบังเหียนม้ามาให้นายเหนือหัว ที่กระโดดขึ้นหลังมันและควบออกไปทันที เลนนี่ขึ้นม้าอีกตัวตามไปติด ๆ และลีโอที่แม้จะตกใจแต่ก็ควบคุมตัวเองได้แล้ว ม้าที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีทะยานไปด้วยความเร็ว จูเลียนแม้ไม่ชอบการขี่ม้า แต่ก็ต้องฝึกให้ชำนาญ เพราะม้าเป็นพาหนะหนึ่งเดียวที่มีความจำเป็นที่สุด จึงถูกบังคับให้ฝึกขี่มันตั้งแต่เริ่มจำความได้

“เร็วลีโอ” จูเลียนหันไปเร่งลีโอที่รั้งท้ายห่างออกไป

“ฝ่าบาทล่วงหน้าไปกับเซอร์เลนนี่ก่อนเลยไม่ต้องห่วงข้า”

“ตามให้ทันนะ” เพราะที่มาด้วยกันคนขี่ม้าได้แย่ที่สุดคือลีโอ จูเลียนจึงอดหันกลับไปดูไม่ได้ ตะโกนกำชับมั่นใจว่าคนรับใช้จะตามมาทัน จึงหันกลับมาเร่งควบม้าให้เร็วขึ้น แต่พอพ้นโค้งมาเท่านั้นแหละ

ต่อ....
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 1 ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 31-10-2018 09:59:05
ต่อค่ะ....

“ฝ่าบาทระวัง!! ” ลีโอตะโกนบอกสุดเสียง

“เฮ้ย!”

“ฝ่าบาท!” เลนนี่ควบม้าตีคู่ทัน จึงกระโดดจากม้าตัวเองรวบร่างจูเลียน รั้งให้ลงจากหลังม้าที่กำลังควบทะยานไปหาคมดาบ อาชาทรงตัวใหญ่พ่วงพีมีอันต้องเสียหลัก เพราะคมดาบของคนบนหลังม้าอีกตัวที่ขี่มาดักทาง ฟันลงที่คอของมันพอดี

“โอ๊ย!”

“ฝ่าบาทเจ็บตรงไหน!”

“ไม่ เราไม่เป็นไรท่านล่ะ”

“อึก”

“เซอร์เลนนี่ท่านเจ็บตรงไหน!” แน่นอนว่าจูเลียนไม่เป็นอะไรเลย เพราะมีร่างหนาของเลนนี่รองรับเอาไว้

“ข้าไม่เป็นไรฝ่าบาท” เลนนี่บอกพยายามลุกขึ้น รู้สึกเจ็บแปลบข้อเท้าแต่ยังพอทน เพราะส่วนที่เจ็บกว่าคือหัวไหล่ข้างซ้าย ที่รับแรงกระแทกโดยตรง ยังดีที่ไม่ใช่ข้างขวา เพราะนั่นจะทำให้เขาไม่สามารถถือดาบต่อสู้ได้

“ฝ่าบาทเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ข้าไม่เป็นไร”

“ลีโอพาฝ่าบาทหนีไป ข้าจะต้านพวกมันเอาไว้เอง”

“ฝ่าบาททางนี้”

“เลนนี่ไปด้วยกัน”

“รีบไป” เลนนี่บอกได้เท่านั้น เพราะศัตรูกำลังบังคับม้าเดินเข้าหา คมดาบที่พวกมันชูขึ้นต้องแสงอาทิตย์วาววับน่ากลัว แต่อัศวินผู้สูงเกียรติหาได้หวั่นเกรง เขาจะสู้จนตัวตายปกป้องนายเหนือหัว ที่สาบานตนจะรับใช้จนกว่าชีวิตจะหาไม่

อัศวินหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง กัดฟันข่มความเจ็บแปลบที่หัวไหล่ ดาบคู่ใจถูกยกขึ้นในท่าเตรียมพร้อม เมื่อศัตรูขี่ม้าดาหน้าเข้าหา เขาตวัดคมดาบเข้าฟาดฟัน แม้ร่างกายจะไม่สมบูรณ์เต็มที่ เลนนี่ก็ต่อสู้ด้วยศักดิ์ศรี ตัดกำลังและความได้เปรียบของศัตรูบนหลังม้า ให้ลงมาต่อสู้บนดินอย่างเท่าเทียม เขาฆ่าศัตรูตายไปไม่น้อย แต่เพราะได้รับบาดเจ็บมาก่อน และการจู่โจมพร้อมกันหลายทิศทาง อัศวินหนุ่มเสียหลักถูกฟันเข้าหน้าท้อง ถึงไม่ลึกมากแต่ก็ทำให้เสียเปรียบจนถูกถีบหงายหลัง หนึ่งในนั้นเดินเข้าหาอย่างใจเย็น เลนนี่สบตากับศัตรูนิ่งไม่มีแววหวาดหวั่น เมื่อมันเงื้อดาบขึ้นหวังจะฟาดฟันปลิดชีพให้ตาย

ฉับ!

ร่างที่กำลังเงื้อดาบขึ้นสูงชะงักนิ่ง เพราะถูกลูกธนูปักเข้ากลางอกตรงตำแหน่งหัวใจพอดี คนอื่นที่เหลือมองซ้ายมองขวา หาที่มาของลูกดอกปริศนา แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกโจมตี บุรุษลึกลับในชุดคลุมดำปิดบังใบหน้า ควบม้าเข้ามา ดาบในมือตวัดอย่างมีชั้นเชิง สำเร็จโทษพวกมันจนตายดับดิ้นทุกคน โดยไม่ทันได้เห็นว่าเขาออกมาจากทางไหนของป่า

“ขอบใจท่าน” อัศวินหนุ่มได้รับบาดเจ็บหนัก เห็นได้จากเลือดที่ไหลทะลักจากช่วงท้อง แต่กระนั้นก็ยังไม่ลืมขอบใจผู้ที่มาช่วยเหลือ

ชายในชุดดำบนหลังม้าเพียงนั่งนิ่งไม่ตอบคำ จากการประเมินด้วยสายตา คนผู้นี้เป็นชายร่างสูงใหญ่ไม่แพ้ตัวเขาเลย ภายใต้เสื้อคลุมหนานั่นคงเป็นร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำ ไม่ต้องพูดถึงฝีมือการต่อสู้ที่เล่นนี่ได้เห็นแล้ว ว่าคนผู้นี้มีฝีมือที่เหนือชั้นมากทีเดียว

ตุบ! ห่อผ้าสีดำถูกโยนลงตรงหน้าอัศวินหนุ่ม ก่อนบุรุษปริศนาจะควบม้าจากไปไม่พูดอะไรสักคำ

“เลนนี่!”

“ฝ่าบาทกลับมาทำไม ลีโอข้าบอกให้เจ้าพาฝ่าบาทหนีไปไง”

“ก็ฝ่าบาทจะกลับมาดูท่านให้ได้ ข้าหรือจะกล้าขัดเซอร์เลนนี่”

“ไม่ต้องเถียงกัน เจ้าเป็นยังไงบ้างแล้วพวกมัน”

“ข้าไม่เป็นไร พวกมันตายหมดแล้ว”

“เจ้าได้รับบาดเจ็บนี่ เลือดออกเต็มเลย ลีโอมาดูหน่อย”

“ฝ่าบาทข้าไม่เป็นไรมาก”

“เลือดออกขนาดนี้ยังจะว่าไม่เป็นไรอีก ลีโอช่วยเลนนี่ห้ามเลือดเร็ว พาเขาไปนั่งที่โคนต้นไม้นั่นก่อน” ทั้งสองช่วยกันพยุงเลนนี่เข้าไปนั่งใต้ต้นไม้ เพื่อให้ลีโอช่วยห้ามเลือดที่กำลังไหลทะลัก ก่อนที่เลนนี่จะเลือดออกหมดตัวตายไปเสียก่อน

“นี่ห่ออะไร” พอจูเลียนหยิบห่อผ้าสีดำขึ้นมา เลนนี่จึงเพิ่งนึกได้ สิ่งที่ใครคนนั้นทิ้งให้ก่อนไป

“ข้าก็ไม่รู้ฝ่าบาทเปิดดูที”

“ผ้าพันแผลสมุนไพรแห้ง นี่มันยาใส่แผลนี่ลีโอ” จูเลียนยื่นของที่อยู่ในมือให้ลีโอ เพราะความตกใจที่อัศวินฝีมือดีของตัวเองได้รับบาดเจ็บ จึงลืมถามไถ่ว่าของแบบนี้มาตกอยู่ตรงนี้พอดิบพอดีได้อย่างไร

ฟิ้ว

“เสียงอะไร”

“นั่นเดรทิช” จูเลียนบอกลีโอที่ทำหน้าตื่นเป็นกังวล เมื่อได้ยินเสียงแว่วดังเป็นจังหวะแปลก เหมือนเสียงนกป่าลอยมากับลม เป็นเสียงสัญญาณที่รู้กันเฉพาะระหว่างจูเลียนกับอัศวินทั้งสี่ โดยแต่ละคนจะมีเสียงเป็นของตัวเองแตกต่างกัน เพื่อจะได้แยกออกว่าใครเป็นใคร หากเป็นอัศวินทั้งสี่คนจะต้องตอบกลับด้วยเสียงของตัวเอง แต่หากเป็นจูเลียนจะตอบกลับด้วยเสียงของอัศวินคนที่ให้สัญญาณมา เพื่อให้รู้กันว่าใครเป็นใคร หากอยู่ในเวลาคับขันก็ใช้เพื่อให้สัญญาส่งหากันไม่ต้องเห็นตัว

เลนนี่ทำเสียงตอบกลับไป ไม่นานอัศวินของจูเลียนอีกสามคนก็ปรากฏตัว

“ฝ่าบาทปลอดภัยหรือไม่”

“เราปลอดภัยดี” จูเลียนตอบเฮนริช

“เซอร์เลนนี่ได้รับบาดเจ็บ” ลีโอรีบรายงาน ด้วยหวังว่าจะมีคนมารับช่วงทำแผลให้เลนนี่ต่อ จากคนไม่ชอบเลือดอย่างตัวเอง

“หึ สารรูปดูไม่จืดเลยนะ” ราเชลทักขึ้นเมื่อเห็นสภาพเลนนี่ ที่นอนถอดเสื้อเกราะเปลือยท่อนบนอวดกล้ามเนื้อเป็นมัด เอนหลังพิงต้นไม้อย่างหมดสภาพ ช่วงท้องมีแผลยาวที่เลือดหยุดไหลแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดแผล เฮนริชจึงเข้าไปรับช่วงต่อ เมื่อเห็นว่าลีโอท่าทางจะไม่ไหว จนทำแผลให้เลนนี่เสร็จเขาจึงบอก

“เราคงต้องขี่ม้าเข้าเมืองแล้วล่ะฝ่าบาท”

“แล้วคนของเราล่ะ”

“เราเสียคนไปไม่เยอะแต่รถม้าได้รับความเสียหายมาก กว่าจะซ่อมเสร็จก็คงเป็นพรุ่งนี้ซึ่งเรารอไม่ได้” เดรทิชรายงาน

“แล้วเขาล่ะ” พอลีโอถามจูเลียนจึงหันไปทางเลนนี่ที่ยังนั่งหมดสภาพอยู่ที่เดิม ทุกคนหันไปทางอัศวินหนุ่มเป็นตาเดียว

“ข้าไหว”

“ถ้าไหวก็เดินทางกันเลยเดี๋ยวข้าจะไปเอาม้ามา” ราเชลบอก

“ข้าไปด้วย”

“จะไปไหนไม่ต้องไปเกะกะเขา”

“ท่าน” ลีโอขัดใจเพราะกำลังจะวิ่งตามราเชลไปเอาม้า แต่ถูกเฮนริชรั้งเอาไว้ ด้วยการคว้าต้นคอแล้วกอดไว้ไม่ปล่อยจนต้องหันไปมองค้อน เดรทิชจึงตามไปแทน ไม่นานอัศวินทั้งสองก็กลับมาพร้อมม้าห้าตัว

“ทำไมท่านเอาม้ามาแค่ห้าตัวล่ะ” ลีโอตั้งคำถามอย่างสงสัยเพราะมีกันทั้งหมดหกคน

“เจ้าจะให้อัศวินบาดเจ็บอย่างเซอร์เลนนี่ควบม้าเข้าเมืองหลวงคนเดียวหรือไง”

“อัศวินบาดเจ็บอย่างข้าก็มีปัญญาขี่ม้าน่าราเชล” เลนนี่ที่ถูกสบประมาทจึงพิสูจน์ความแกร่งของตัวเอง ด้วยการกระโดดขึ้นม้าท่าทางคล่องแคล่ว เห็นอย่างนั้นคนอื่น ๆ จึงพากันขึ้นม้าบ้าง

“อ้าวแล้วข้าล่ะ” ลีโอมองคนนั้นทีคนนี้ที ท่าทางน่าสงสารเมื่อทุกคนทำท่าจะควบม้าจากไป “ฝ่าบาท” เมื่อไม่มีใครพูดอะไรจึงหันไปทางกษัตริย์ผู้เป็นนาย แต่จูเลียนเพียงยิ้มขำแล้วควบม้านำออกไปตามด้วยเลนนี่

“ท่านแล้วข้าล่ะ" ไม่มีใครตอบลีโอสักคน! "เซอร์เดรทิช เซอร์ราเชล" ลีโอหันไปหาราเชลกับเดรทิชที่ยืนม้าอยู่ข้างกัน อัศวินทั้งสองเพียงยิ้มให้แล้วควบม้าจากไป

“มานี่”

“เฮ้ย!” ร่างผอมของลีโอถูกรวบช่วงเอว ด้วยวงแขนแข็งแรงของอัศวินคนสุดท้ายที่รออยู่ เฮนริชรั้งให้ลีโอขึ้นมานั่งข้างหน้า แล้วควบม้าออกจากตรงนั้นทันที คนตัวผอมนั่งเกร็งในอ้อมแขนแข็งแกร่งของอัศวินร่างใหญ่ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ไม่กล้าแม้กระทั่งกระดิกตัวหรือหันไปประท้วง กลัวว่าปฏิเสธคงได้วิ่งกลับเมืองเองแน่

บนหน้าผาเหนือป่าโปร่ง ชายปริศนาในชุดดำทอดสายตาว่างเปล่ามองเหตุการณ์ จนคนกลุ่มนั้นขี่ม้าออกไปแล้ว จึงหันม้ากลับไปตามทางของตัวเอง

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑



หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 2 ชายพเนจร 50%]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 31-10-2018 18:02:51


เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 2 ชายพเนจร



“ข้าเหนื่อยจังเลยลีโอ”

“ฝ่าบาทพักสักครู่ก็ได้ เดี๋ยวข้าจะไปบอกสาวใช้เตรียมน้ำอุ่น ๆ ให้แล้วจะได้แต่งองค์”

“เจ้าจะให้ข้าอาบน้ำแต่งตัวไปไหนอีก”

“เย็นนี้มีงานเลี้ยงที่ฝ่าบาทให้จัดเตรียมละครโอเปร่าไว้ หรือว่าลืมไปแล้ว”

“ข้าชอบงานเลี้ยงนะละครก็ชอบ แต่ตอนนี้ข้าเหนื่อยลีโอสั่งยกเลิกไปเถอะ”

“ไม่ได้หรอกฝ่าบาท อย่าลืมสิว่าฝ่าบาทเชิญใครไว้บ้าง”

“ใครบ้างล่ะ ข้าลืมแล้วนี่” ลีโอแอบถอนหายใจเบา ๆ มันเบามากจนคิดว่าไม่ได้ทำอย่างนั้นด้วยซ้ำ แต่ใครจะกล้าทำออกมาตรง ๆ อย่างที่คิดกันล่ะ ในเมื่อคนที่ถอนหายใจให้นี้เป็นถึงเจ้าเหนือชีวิต

“ก็นอกจากพระญาติหลายคน ที่สำคัญก็คือทูตจากต่างประเทศยังไงล่ะฝ่าบาท”

“แค่นี้ข้ายกเลิกงานไม่ได้หรือไง ข้าไม่อยากไปแล้ว ข้าเหนื่อย ข้าต้องขี่ม้ามาทั้งวันเลยนะ”

“ไหนฝ่าบาทบอกว่าอยากอวดละครเรื่องโปรดกับแขกต่างเมือง ลีโอว่าฝ่าบาทคงไม่อยากให้ใครมองว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโตหรอกใช่ไหม”

“แต่เจ้าก็กำลังว่าเราเป็นเด็กไม่รู้จักโตอยู่นะลีโอ” พักตร์นวลบึ้งตึงไม่สบอารมณ์ เมื่อทิ้งร่างลงบนฟูกหอมกรุ่น เพราะเครื่องนอนทุกชิ้นถูกนำไปอบกับไม้หอม และดอกไม้นานาชนิดที่มีกลิ่นช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจนหลับสบาย หมอนนุ่มถูกดึงมารองไว้ใต้พักตร์เรียวงามเกินชาย หนุ่มน้อยสูงศักดิ์นอนคว่ำหน้าลงกับหมอน ด้วยท่าทางที่บ่งบอกถึงความเมื่อยล้าล้นเหลือ เหตุผลที่ต้องรีบกลับเมืองหลวงก่อนขบวนเดินทางขบวนใหญ่ เพราะมีงานเลี้ยงที่โปรดปรานรออยู่ แต่พอมาถึงกลับเหน็ดเหนื่อย จนความชอบส่วนตัวก็ยังถูกลดความสำคัญลง

“ข้าแค่เปรียบเทียบให้ฝ่าบาทเห็นภาพ” เป็นคราวที่จูเลียนต้องถอนหายใจบ้าง เพราะคงเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากตัวเองเป็นคนสั่งให้จัดงานนี้ขึ้น เชิญแขกมาร่วมงานมากมาย ซึ่งแขกจำนวนกว่าครึ่งถือเป็นแขกบ้านแขกเมือง ที่สำคัญไม่น้อย

พอลีโอถอยออกไปแล้ว จูเลียนจึงพลิกตัวกลับมานอนหงาย ตาสวยมองขึ้นไปยังม่านบังตาของแท่นบรรทม ที่ถูกรวบเก็บอย่างเป็นระเบียบ ผืนผ้าม่านสีน้ำตาลแดงเหลือบทอง ทอลวดลายสลับดิ้นทองด้วยฝีมือประณีตจากไหมเนื้อดี ประดับด้วยระบายด้วยลูกไม้ขลิบทองดูหรูหราเข้ากันทั้งชุด แต่ความสวยงามน่านอนของแท่นบรรทม ก็ยังไม่สามารถบรรเทาเรื่องราวในหัว ที่ขบวนเสด็จของกษัตริย์หนุ่มน้อยถูกลอบโจมตี!

“กรอสเซ่” เสียงกระซิบแผ่วผ่านริมฝีปากสวย เมื่อคิดถึงกวีหนุ่มชู้รัก ในหัวของยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย มีแค่กรอสเซ่ผู้เป็นเจ้าหัวใจ พอคิดถึงคนรักรอยยิ้มบางก็เผยออก ราวกับความเหน็ดเหนื่อยถูกปัดเป่าจนหายไปหมดในพริบตา

“ลีโอ” เสียงเรียกดังพอให้คนที่อยู่นอกห้องได้ยิน ไม่นานเจ้าของชื่อก็พาร่างผอมบางเข้ามาในห้องรอรับบัญชา

“ฝ่าบาทลีโอมาแล้ว”

“สั่งลงไปให้คนไปเชิญกรอสเซ่มา ข้าจะพากรอสเซ่ไปงานเลี้ยงด้วย เขาต้องแปลกใจแน่”

“ฝ่าบาทข้าเกรงว่า..”

“ข้าสั่งเจ้าอยู่นะลีโอ ยังจะต้องเกรงสิ่งใดอีก”

“เกรงว่าคงไม่เหมาะ” ลีโอบอกเสียงเบา เมื่อจูเลียนตวัดมองด้วยตาไม่พอใจ

“ทำไมจะไม่เหมาะ ข้าจะให้กรอสเซ่ไปในฐานะสหายคนสำคัญของข้า ให้คนไปเชิญเขามาเดี๋ยวนี้!”

“รับทราบแล้วฝ่าบาท” ใคร ๆ ในวังหลวงต่างรู้กันดี ว่าจูเลียนนั้นเอาแต่ใจมากแค่ไหน ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครขัดใจได้สักคน เพราะฐานันดรที่ติดตัว ถือกำเนิดมาพร้อมความสำคัญ ที่ข้าแผ่นดินทุกคนต้องถวายชีวิต ถูกสอนให้อยู่เหนือผู้คน ถูกสอนให้รู้จักการใช้อำนาจตั้งแต่จำความได้ จูเลียนได้รับการศึกษาเล่าเรียนอย่างดี สมกับเป็นผู้ที่จะมาปกครองอาณาจักร แต่กลับมุ่งความสนใจไปที่งานศิลปะและบทกวี ไม่มีฝ่ายไหนเห็นชอบ ด้วยว่าบทบาทที่จูเลียนถูกสวมให้ ต้องรับผิดชอบต่อความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฎร์ และมันหนักเกินไหล่เด็กหนุ่มอายุ 19 จะแบกได้

ภาพลักษณ์จูเลียนนั้นคือหนุ่มน้อยจิตใจอ่อนไหว ที่หลงใหลในบทกวีและการละครชวนฝัน แต่สำหรับทาร์เทียน่า พระขนิษฐาคู่แฝดที่เกิดหลังจูเลียนไม่กี่อึดใจ กลับเป็นสาวน้อยผู้เข้มแข็งเด็ดขาด ความเป็นผู้นำและฝีมือในการต่อสู้ที่หมั่นฝึกฝน ถือได้ว่าไม่เป็นที่สองรองใคร ขณะที่จูเลียนเพลิดเพลินกับนิยายและบทกวี ทาร์เทียน่าจะใช้เวลาไปกับการฝึกฝนการต่อสู้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นฟันดาบ ยิงธนู การต่อสู้ตัวต่อตัวในระยะประชิด นอกจากนั้นยังสนใจศึกษาด้านการเมืองการปกครอง การบริหาร เป็นความแตกต่างระหว่างคู่แฝด ราวกับพระเป็นเจ้าหยิบสมอง หัวใจและความรู้สึกนึกคิดใส่ผิดร่าง พระเป็นเจ้าให้ทาร์เทียน่ามีแต่ความเข้มแข็งและแกร่งเกินหญิง แต่จูเลียนกลับอ่อนไหวและอ่อนโยน แม้บางครั้งความอ่อนโยนจะถูกบดบังด้วยความเอาแต่ใจจนแทบมองไม่เห็น แต่นี่คือจุดที่ทำให้ใครต่อใครก็หลงรักจูเลียนได้ไม่ยาก

หลังจากให้กำเนิดคู่แฝดได้เพียงวันเดียวพระมารดาก็จากไป ด้วยอาการตกเลือดหลังคลอด กษัตริย์เฟรเดอริคพระบิดาแม้จะได้ลูกแฝดมาเชยชม แต่เมื่อต้องนั่งมองลมหายใจและพลังชีวิตของคนที่รักยิ่งค่อย ๆ อ่อนลงเรื่อย ๆ จนจากไปในที่สุด พระองค์ก็แทบจะขาดใจตายไปพร้อมกัน ความหมองเศร้าด้วยตรอมตรมในอก เกาะกินเฟรเดอริคอยู่หลายปี จนสุดท้ายวรกายก็รับไม่ไหว และจากไปก่อนวัยอันควรในที่สุด

หลังสิ้นพระบิดาจูเลียนจำต้องขึ้นครองราชย์ต่อด้วยวัยขณะนั้นเพียง 14 ปี แม้จะมีพี่ชายต่างมารดาอย่างนิโคลัส หรือ นิโคล แต่ด้วยชาติกำเนิดจากมารดาสามัญชนที่เป็นเพียงหญิงรับใช้ ทำให้เจ้าชายจูเลียนที่ถือกำเนิดจากราชินีมีสิทธิ์ในบัลลังก์ตั้งแต่แรกคลอด ในฐานะองค์รัชทายาทอันดับที่หนึ่ง รองลงมาคือเจ้าหญิงทาร์เทียน่า และเจ้าชายนิโคลัสเป็นลำดับสุดท้าย พี่น้องทั้งสามรักใคร่ปรองดอง แม้จูเลียนจะปล่อยปละภารกิจถึงขั้นที่เรียกได้ว่าละเลยต่อบ้านเมือง แต่ยังมีพี่ชายแสนดีอย่างนิโคลช่วยเหลือดูแล หรือจะพูดกันตามจริงก็คือ นิโคลคอยทำงานแทนจูเลียนแทบทุกอย่าง และคอยเคี่ยวเข็ญให้น้องหันมาสนใจหน้าที่ของตัวเองอยู่เสมอ

‘ข้ามขั้นตอนนี้ไปดูละครเลยได้ไหมนะ’ จูเลียนแอบคิดอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเดินเข้ามาภายในบริเวณงานเลี้ยง ที่มีบรรดาแขกเหรื่อยืนคอยต้อนรับกษัตริย์เป็นแถวยาว แล้วไหนยังจะต้องกล่าวคำทักทายทีละคนนั้นอีก แค่เห็นแถวที่ยาวเหยียดจูเลียนก็แทบจะวิ่งกลับปราสาทตัวเองไปเดี๋ยวนี้ หากไม่ติดที่ว่าอยากดูละครเรื่องโปรดและหิวจนแสบท้อง

“ถวายพระพรฝ่าบาท ทรงพระเจริญ” เสียงหวานดังขึ้นเมื่อจูเลียนเดินเข้ามาถึง แต่ที่ทำให้หนุ่มน้อยนึกขำก็ตรงแววตาซุกซนขี้เล่นของคนถวายพระพรให้เขานั่นต่างหาก

“นึกยังไงถึงมาล่ะเทียน่า ข้าคิดว่าเจ้าไม่ชอบงานเลี้ยงหรือการละครไม่ใช่หรือไง”

“เจ้าเชิญทั้งทีนี่จูเลียน ข้าจะพลาดได้ยังไงใช่ไหมท่านพี่” เจ้าหญิงทาร์เทียน่าขนิษฐาแฝดของจูเลียนหันไปถามนิโคล ซึ่งยืนรอต้อนรับอยู่ข้างกัน เจ้าของร่างสูงพี่ชายต่างมารดาทำเพียงยิ้มบางให้น้อง ๆ อย่างเอ็นดู เพราะสองคนนี้เจอกันเมื่อไหร่ ก็ไม่วายมีเรื่องให้พูดกระทบกันเป็นที่หอมปากหอมคอ ทั้งที่จริงแล้วสายสัมพันธ์พี่น้องนั้นรักและห่วงใยกันเหนียวแน่น

หลังจากนั้น กษัตริย์หนุ่มน้อยก็ได้ยินประโยคถวายพระพรดังขึ้นอีกหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน และจูเลียนไม่สนใจมันเลยด้วยซ้ำ บางคนก็ถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบด้วย แต่ไม่มีใครถามถึงเหตุการณ์โจมตีขบวนเสด็จวันนี้สักคน ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะข่าวถูกปิดให้เงียบที่สุด และถึงแม้จะรู้แต่ก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากถามออกมาตรง ๆ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องรักษาท่าที ขืนพูดอะไรไม่ระวังออกไปอาจตกเป็นผู้ต้องสงสัยเอาได้ง่าย ๆ

“ถวายพระพรฝ่าบาท หวังว่าพระองค์จะทรงสำราญกับประเพณีล่าสัตว์ที่ผ่านมา ว่าแต่ลอร์ดท่านนี้คือ...” จูเลียนมองหน้าชายวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยอาภรณ์หรูหราชั้นดี แต่พระพักตร์นวลบ่งบอกถึงความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะถวายพระพรให้แล้วยังกล้าถามถึงชายหนุ่มอีกคนที่ตามเสด็จ ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเกินพอดี

พอเห็นท่าทางของเจ้านายเหมือนจะจำชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้ ลีโอที่รั้งตำแหน่งเด็กรับใช้ใกล้ชิด และผู้คอยช่วยเหลือส่วนพระองค์จึงขยับเข้ามากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู

“นี่คือลอร์ดเอ็ดมัวร์ ราชทูตจากมอนทาร์น่า”

“สวัสดีลอร์ดเอ็ดมัวร์ เราขอแนะนำให้ท่านรู้จักกับกรอสเซ่” จูเลียนเพียงทักทายราชทูตจากมอนทาร์น่าตามมารยาท แล้วแนะนำกวีหนุ่มข้างกาย

“ลอร์ดกรอสเซ่” เอ็ดมัวร์ค้อมตัวคำนับกรอสเซ่ตามมารยาทเช่นกัน แต่จูเลียนไม่แน่ใจว่าฟังผิดไปหรือเปล่า ที่ลอร์ดเอ็ดมัวร์ดูเหมือนจะเน้นเรียกกรอสเซ่ด้วยคำว่า 'ลอร์ด' อย่างตั้งใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่จูเลียนเองก็ไม่ได้แนะนำว่ากรอสเซ่เป็นลอร์ดเลยสักคำ ส่วนกวีหนุ่มที่ถูกเรียกเพียงยิ้มรับบาง ๆ ด้วยวางตัวไม่ถูก เพราะจะว่าไปแล้วเขาก็เป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ที่บังเอิญได้เข้ามาในวังกับครูของเขา ซึ่งเป็นกวีที่ทำงานอยู่ในราชสำนักเท่านั้น

งานเลี้ยงเริ่มน่าเบื่อ เพราะมีแต่คนพูดคุยเรื่องที่อยู่นอกเหนือความสนใจของจูเลียน ยิ่งมองไปทางรัฐมนตรีกับราชทูตจากประเทศต่าง ๆ ที่คุยกันแต่เรื่องการเมือง ก็ยิ่งเบื่อมากขึ้นไปอีก กระนั้นจูเลียนก็ยังพอทนนั่งได้อยู่ เพราะใกล้ถึงช่วงเวลาของการแสดงละครที่เฝ้ารอแล้ว จูเลียนรวบรัดขั้นตอนน่าเบื่อ โดยสั่งให้เริ่มการแสดงตั้งแต่การเลี้ยงมื้อค่ำยังไม่เสร็จสิ้นดีด้วยซ้ำ

“เราว่ากินไปดูละครไปก็สนุกดีเหมือนกันนะ” หลังจากนั้นข้าราชบริพารผู้ประจบสอพลอบางคน ก็สนองความประสงค์ของจูเลียน ด้วยการสั่งให้เริ่มการแสดงทันที คนได้ดังใจยิ้มหน้าบาน ไวน์แก้วแล้วแก้วเล่าหมดไป เพราะความสำราญที่ได้ชมสิ่งโปรดปรานข้างคนรัก ยิ่งตัวละครแสดงบทพระนางกำลังพลอดรัก หลังฝ่าฟันอุปสรรคยากลำบากมาด้วยกันเพื่อพิสูจน์รักแท้ ยิ่งทำให้จูเลียนเคลิบเคลิ้มเพ้อฝัน ด้วยว่าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พระองค์นั้น คือกรอสเซ่ยอดรักนั่นเอง ยิ่งในละครแสดงความหวานของคู่รักออกมาเท่าไหร่ หนุ่มน้อยสูงศักดิ์ก็ยิ่งขยับเข้าใกล้ชู้รักมากขึ้นเท่านั้น ด้วยหวังจะถ่ายทอดความรู้สึกที่เอ่อล้นในใจให้อีกคนได้รับรู้ด้วย

“ข้าชอบฉากนี้ที่สุด” จูเลียนกระซิบข้างหูกวีหนุ่ม รอยยิ้มหวานกับนัยน์ตาซึ้งชวนฝันจากฤทธิ์ของไวน์เลิศรส มีไว้ให้กรอสเซ่ผู้นี้เพียงผู้เดียว คำที่บอกว่าชอบที่สุดนอกจากหมายถึงชอบมากแล้ว สำหรับจูเลียนมันยังบอกได้อีกว่า กษัตริย์หนุ่มน้อยโปรดปรานมาก จนมีรับสั่งให้จัดการแสดงมาแล้วหลายรอบ เพื่อเฝ้าดูฉากสุดท้ายที่สมหวัง และหวังว่ารักของพระองค์ก็จะสมหวังอย่างนี้เช่นกัน

จูเลียนน้อยผู้เพ้อฝันยังไม่รู้ว่ารักแท้นั้นหายากนักในชีวิตจริง

“ข้าก็ชอบฝ่าบาท”

“ความรู้สึกนี้คงเหมือนตอนแรกที่ข้าได้พบเจ้า คิดอย่างนั้นไหมยอดรัก”

“ฝ่าบาท” กรอสเซ่ก้มหัวน้อมรับ

“แล้วสุดท้ายข้าก็ตกหลุมรักเจ้า และเราได้รักกัน ข้ามีความสุขจังเลย” กรอสเซ่ขยับตัวอย่างอึดอัด ไม่รู้เป็นเพราะนั่งไม่สบายหรือเพราะสายตาหลายคู่ที่แอบมองมา แน่นอนว่าไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เมื่อเห็นเขาได้รับความสนิทสนมจากจูเลียนขนาดนี้ มันย่อมมีทั้งคนที่มองในแง่ดีและแง่ร้าย หลายคนรู้อยู่แล้วถึงสถานภาพพิเศษนี้ ด้วยจูเลียนเองก็ไม่ใคร่จะปิดบังนัก แต่ก็มีหลายคนยังไม่รู้ หลายคนมองแล้วกระซิบกระซาบยากจะเดาความคิด แต่รวม ๆ แล้วการกระทำของคนเหล่านั้น ทำให้กรอสเซ่ผู้ไม่คุ้นชินกับการวางตัวในราชสำนักอึดอัดไม่น้อย โดยเฉพาะสายตาของโจเซฟรัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจของออสเซนเทีย!

“ฝ่าบาทการแสดงจบลงแล้วจะกลับเลยหรือไม่”

“เจ้าจะให้ข้ารีบกลับทำไมลีโอ ก็เห็นอยู่ว่าข้าอยู่กับกรอสเซ่”

“แต่ฝ่าบาทมีประชุมสภาตอนเช้า”

“เจ้าจะสั่งให้ข้ากลับหรือไงล่ะ”

“ข้ามิบังอาจถึงขนาดนั้น เพียงแค่เตือนความจำเผื่อฝ่าบาทลืม”

“งั้นก็เงียบเลยลีโอ ไปตามเฮนริชมาเดี๋ยวข้าจะไปแล้ว”

“รับทราบฝ่าบาท”

“มีอะไรหรือฝ่าบาท” กรอสเซ่ถามขึ้นเพราะเห็นลีโอกระซิบกระซาบกับจูเลียนอยู่เป็นครู่

“เจ้าอยากกลับแล้วหรือยังล่ะกรอสเซ่”

“ละครจบแล้วฝ่าบาท พระองค์ไม่อยากกลับไปพักผ่อนหรอกหรือ ข้าได้ยินว่าท่านขี่ม้ามาทั้งวัน”

“แล้วเจ้าล่ะ จะไปกับข้าหรือไม่”

“ข้า..”

“ไปกันเถอะ” จูเลียนผู้เอาแต่ใจไม่ได้ฟังว่ากรอสเซ่จะพูดว่าอะไรอีก เพราะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปเลย ผู้ที่นั่งอยู่ด้วยเมื่อเห็นองค์กษัตริย์ลุกขึ้นทั้งหมดก็ลุกตาม

ด้านนอกโถงจัดงานเลี้ยงนั้นเป็นสวนร่มรื่น แต่เวลาที่ดึกมากแล้ว จึงยากจะชื่นชมความสวยงามของสวนที่จัดอย่างตระการตา สมกับเป็นสวนในปราสาทราชวังอันกว้างใหญ่ ลีโอเดินไปตามระเบียงที่สว่างด้วยคบไฟติดไว้เป็นระยะ แขกที่มาร่วมงานเลี้ยงกำลังพากันทยอยกลับไปอีกทาง และสุดระเบียงทางเดินนั่น ลีโอมองเห็นร่างสูงใหญ่ของอัศวินผู้แข็งแกร่งของกษัตริย์ เจ้าของร่างสูงยืนเกยไหล่พิงเสามือกอดอก สายตาคมทอดมองออกไปยังสวนท่ามกลางความสลัวเบื้องหน้า ตรงกลางสวนนั้นมีสิ่งสวยงามอย่างน้ำพุ ที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบอลังการ เป็นจุดเด่นของสวนแห่งนี้

ลีโอเดินเข้าไปหาเงียบ ๆ สายตาจับจ้องแผ่นหลังกว้าง ที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของชายชาตินักรบ ชุดเกราะสีทองอันเป็นเครื่องแบบยศของอัศวินแห่งวังหลวง ยิ่งส่งให้ร่างสูงดูสง่างามน่าหลงใหล และลีโอก็มองอย่างหลงใหลล่องลอย นึกสงสัยว่าทำไมอัศวินอย่างเขา ถึงได้มาชมสวนยามดึกเช่นนี้ พอเดินเข้ามาใกล้ได้เห็นสายตา ลีโอจึงมองตาม

อัศวินหนุ่มกำลังมอบความสนใจทั้งหมด ให้กับร่างระหงในชุดคลุมกำมะหยี่สีแดงเลือดนก ลวดลายสีทองที่ปักบนเนื้อผ้า บ่งบอกความสูงศักดิ์ของผู้สวมใส่ ตัวชุดดูหนาหนักยาวกรอมเท้า เปิดช่วงไหล่ขับผิวขาวชวนมองให้ดูผ่องแผ้ว ไหล่กลมกลึงที่โผล่พ้นเนื้อผ้านวลเนียนน่าสัมผัส มวยผมถูกกลัดเกล้าขึ้นสูง เผยให้เห็นท้ายทอยที่คลอเคลียด้วยปอยผมเส้นเล็กเย้ายวนยามต้องลม

ภาพเบื้องหน้าดูสว่างนวลตาเพราะแสงจันทร์ และคบไฟที่จุดไว้รอบ ๆ เกิดเป็นความงามราวภาพฝัน ลีโอมองตามสายตาอัศวินหนุ่ม ให้เกิดสะท้อนสะท้านขึ้นในอก เมื่อเขาเอาแต่เหม่อมองภาพความงามตรงหน้า ราวกับดำดิ่งสู่ห้วงฝันจนไม่รู้ตัว ทั้งที่ลีโอเดินเข้ามาใกล้ในระยะประชิดขนาดดนี้แล้ว

“อุ้ย! อุบ” แต่ลีโอคงคิดผิด เพราะพอก้าวเท้าเข้ามาได้ระยะช่วงแขน ร่างผอมบางก็ถูกกระชากไปกอดแน่น ไม่พอปากที่กำลังจะร้องโวยวายขอความช่วยเหลือ ยังถูกมือใหญ่ปิดทันที หลังจากที่รู้ว่าตัวเองคิดผิด เข้าใจไปเองว่าอัศวินผู้แข็งแกร่งเหม่อลอย เอาแต่มองของสวย ๆ งาม ๆ จนไม่ทันระวังตัว ลีโอก็ทำได้เพียงร้องอู้อี้ไม่เป็นภาษา การดิ้นรนออกจากอ้อมกอดที่รัดแน่นไร้ผล เพราะเรี่ยวแรงที่ต่างกันนั้นมันบอกอยู่แล้ว ว่าลีโอเป็นรองจนยากต่อกร

“ข้าจะปล่อย แต่เจ้าต้องไม่ทำเสียงดัง” เสียงกระซิบที่ดังขึ้นข้างหู เล่นเอาลีโอผู้อ่อนไหวไม่แพ้เจ้านายขนลุกเกรียว พอพยักหน้าตกลงร่างบอบบางก็เป็นอิสระ หนุ่มน้อยหายใจหอบด้วยว่าทั้งออกแรงดิ้น ทั้งเกร็ง ทั้งตกใจ

ลีโอเอ๋ยเจ้าตกอยู่ในอ้อมกอดของอัศวินผู้นี่อีกครั้งแล้วสินะ ใจเจ้าเป็นเช่นไรระวังมันเอาไว้ให้ดี ระวังมันจะเต้นผิดจังหวะจนเจ้าหัวใจวายตาย

พอเป็นอิสระลีโอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เด็กรับใช้ประจำตัวของกษัตริย์จูเลียนเอาแต่ยืนก้มหน้า แต่ดวงตากลับเหลือบขึ้นมองร่างสูงอย่างไม่มั่นใจ ในสายตาคมของอัศวินหนุ่ม ดูก็รู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้ากำลังประหม่า

“มีอะไร”

“กษัตริย์จะเสด็จแล้ว”

“งานเลี้ยงเลิกแล้วหรือไง” ลีโอเพียงพยักหน้ารับ เฮนริชก็เดินจากไปโดยไม่ต้องเสียเวลาถามไถ่ให้มากความ เพราะรู้หน้าที่ของตัวเองดีอยู่แล้ว

“เดี๋ยวสิรอข้าด้วย” ลีโอร้องตามหลังแล้วรีบสาวเท้าเร็ว ๆ เพื่อให้ตามร่างสูงทัน ไม่ลืมเหลือบตามองไปทางน้ำพุอีกครั้ง แต่ร่างระหงที่ยืนดื่มด่ำกับความงามของสวนในแสงสลัวหายไปแล้ว ลีโอวิ่งตามเฮนริชมาทัน ก็ตอนอัศวินตัวสูงเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องโถงกว้างใหญ่ที่ใช้จัดงานเลี้ยงแล้ว

“ฝ่าบาทอยู่ไหน”

“ข้าไม่รู้”

“เจ้าไม่รู้ได้ยังไงลีโอ เจ้าต้องตามเสด็จไปทุกที่นะ”

“ก็เพราะข้ามัวแต่มาตามท่านไงล่ะ”

“แล้วไงล่ะ” เฮนริชกอดอกยืนพิงกรอบประตูท่าทางไม่ทุกข์ร้อน แต่ลีโอกลับร้อนใจ เพราะเจ้านายหายไปแต่อัศวินประจำตัวกลับยังเฉย

“ไปตามหาฝ่าบาทกันเถอะท่าน”

“ป่านนี้กลับถึงปราสาทแล้วล่ะ”

“ท่านรู้ได้ยังไงหลังจากที่ละเลยหน้าที่ของตัวเองไป..”

“พูดต่อให้จบสิ ข้าไปไหน”

“ก็ท่านทำอะไรล่ะเมื่อกี้น่ะ”

“อย่ายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ลีโอ”

“แต่ท่านละเลยหน้าที่อารักขาฝ่าบาท!” เรื่องเดียวที่ลีโอยอมไม่ได้ และถือเป็นเรื่องใหญ่มาก

“เจ้าคิดว่าราเชลกับเดรทิชทำอะไรอยู่ล่ะ”

“ก็..” นั่นสิ! ลีโอเพิ่งนึกได้ว่ายังมีราเชลกับเดรทิชจึงหน้าเสีย ที่ตัวเองบังอาจตำหนิอัศวินมือหนึ่งของกษัตริย์จูเลียน เพียงเพราะลืมว่ายังมีอัศวินอีกสองคนคอยอารักขาอยู่แล้ว ส่วนเลนนี่นั้น เพราะได้รับบาดเจ็บจึงมีคำสั่งให้กลับไปรักษาตัวยังที่พักของตัวเอง อัศวินทั้งสี่จะมีที่พักส่วนตัวเป็นป้อม ที่ตั้งอยู่รอบปราสาทของจูเลียนทั้งสี่ทิศ แต่ก็จะได้กลับไปที่ป้อมของตัวเองเฉพาะบางวันเท่านั้น เพราะปกติจะต้องอยู่เคียงข้างกษัตริย์ตลอดเวลา!

“หึ”

“ท่านกินแรงคนอื่น”

“ข้ากำลังอยู่ในช่วงพักต่างหาก”

“เอ่อท่านเดี๋ยวสิ เซอร์เฮนริช รอข้าด้วย” ลีโอต้องวิ่งตามให้ทันเฮนริชอีกแล้ว เมื่ออัศวินหนุ่มสาวเท้ายาว ๆ เดินไปตามทางปูด้วยแผ่นหิน พาไปสู่ปราสาทหลังงามอันเป็นพระราชฐานที่พำนักของกษัตริย์จูเลียน

“หลายวันมานี้ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกินกรอสเซ่ เจ้าคิดถึงข้าบ้างไหม”

“ฝ่าบาท ข้า..เอ่อ”

“ทำไมล่ะยอดรัก ข้าไม่อยากออกจากวังไปไหนเลย หากไม่มีเจ้าไปด้วย คราวหน้าเจ้าต้องไปกับข้านะสัญญาสิ” จูเลียนโถมตัวเข้าหาร่างสะโอดสะองของกรอสเซ่ เพราะหวังจะแสดงความรักกับกวีหนุ่ม ด้วยการมอบจูบเสน่หาให้ แต่เป็นคนต่ำศักดิ์กว่าที่พยายามหลบเลี่ยง เพราะความเมาจากไวน์หลายแก้ว หรือเพราะความรักที่บังตาก็ไม่อาจรู้ได้ แต่จูเลียนผู้เอาแต่ใจกลับไม่ถือสาที่ถูกชู้รักขัดใจ

“ฝ่าบาทข้าเกรงว่านี่คงดึกมากแล้วสำหรับพระองค์”

“แล้วไงล่ะ จูบข้าหน่อยสิกรอสเซ่”

“ฝ่าบาทควรพักผ่อน”

“นี่เจ้าห่วงอย่างนั้นหรือ”

“แน่นอนยอดรักของข้า เพราะฝ่าบาทสำคัญที่สุด”

“ถ้าอย่างนั้น..” จูเลียนโน้มตัวเข้าหาแต่อีกคนก็ยังย่อตัวถอยห่าง

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท”

“ทำไมล่ะกรอสเซ่ หรือว่าเจ้ารังเกียจจูบของข้า” พยายามจะจูบแต่กวีหนุ่มกลับจับต้นแขนดันไว้ไม่ยอมรับ จูเลียนจึงเอ่ยถามอย่างข้องใจ แต่ก็พร้อมจะเชื่อในคำอธิบายเสมอ

“มันดึกมากแล้วจูเลียนของข้า พรุ่งนี้ท่านมีภารกิจแต่เช้าไม่ใช่หรือ”

“เจ้าไม่อยากอยู่กับข้าหรือไงกรอสเซ่”

“นั่นคือสิ่งที่ข้าปรารถนาที่สุดฝ่าบาท แต่ก็อยากให้ฝ่าบาทได้พักผ่อนเช่นกัน” กรอสเซ่สบตาจูเลียนด้วยแววตาสื่อความหมาย และประดับใบหน้าใสซื่อด้วยรอยยิ้มอ่อนยามทูลคำ “ข้าเพียงแค่กลัวถูกตำหนิ”

“ใครกล้าตำหนิเจ้ากัน!”

“ผู้คนมากมายในงานเลี้ยง มองข้าด้วยสายตาที่เห็นแล้วน่าวิตกนักฝ่าบาท ข้ารู้สึกต้อยต่ำเหลือเกิน”

“ตอนข้าแต่งตั้งให้เจ้าเป็นกวีประจำราชสำนัก พวกนั้นจะไม่กล้าแม้แต่เงยหน้าขึ้นมองเจ้ายอดรักของข้า”

“ฝ่าบาท!”

“ข้าจะประกาศแต่งตั้งเจ้าเอง คราวนี้สบายใจหรือยังล่ะ”

“จูเลียนกรุณาต่อข้าเหลือเกิน” โดยไม่ต้องเรียกร้อง ท้ายทอยของจูเลียนถูกรั้งให้เข้าไปรับจูบ เป็นรางวัลสำหรับความกรุณาที่มีให้คนรัก แต่ยังไม่ทันได้ซาบซึ้งกับจูบแสนหวาน กรอสเซ่ก็ผละออกอย่างรวดเร็วแล้วถอยห่าง จูเลียนปลื้มปริ่มกับการแสดงความรู้สึกของคนรัก จนไม่ได้สนใจ ว่าจูบนั้นมันช่วงฉาบฉวยเหลือเกิน นี่ถือเป็นครั้งแรกที่คนรักมอบจูบให้ หลังจากที่จูเลียนเป็นฝ่ายเสนอเองมาตลอด

“ข้าทูลลา”

“ฝันดีนะยอดรักของข้า” พอกรอสเซ่หันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น จูเลียนก็หันหลังเดินเข้าไปในปราสาท คล้อยหลังคู่รักคนอีกสองคนที่หลบอยู่ในมุมมืดก็ปรากฏตัว

“เจ้าตามฝ่าบาทไป เดี๋ยวข้าจะไปเดินตรวจดูความเรียบร้อยรอบปราสาทก่อน”

“ได้” เดรทิชผละไปแล้ว ราเชลจึงเดินตรวจเวรยามรอบปราสาทอย่างที่บอก อัศวินหนุ่มสั่งงานเล็กน้อยกับทหารเฝ้ายามแล้วขึ้นปราสาทตามเจ้านายไป เพราะเมื่อจูเลียนเข้าห้องบรรทมเพื่อพักผ่อน ก็เป็นเวลาของอัศวินที่ไม่ต้องเข้าเวรได้พักผ่อนเช่นกัน และคืนนี้หน้าที่เข้าเวรเป็นของเฮนริช จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาไม่ต้องคอยอยู่อารักขาใกล้ ๆ จูเลียนที่งานเลี้ยงนั่นเอง

ปราสาทใหญ่โตโอ่อ่าแบ่งพื้นที่ส่วนต่าง ๆ อย่างลงตัว ประกอบด้วยห้องหับมากมาย โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนตัวของกษัตริย์อย่างห้องนอน ที่ออกแบบมาให้หรูหราน่าอยู่ และสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องปลอดภัย ส่วนห้องพักของอัศวินประจำพระองค์จึงอยู่ติดห้องบรรทม ที่มีเตียงให้สี่เตียงสำหรับอัศวินทั้งสี่ กษัตริย์จึงสามารถเรียกหาได้ตลอดเวลา

***************
 :katai5: NC เรื่องนี้ค่อนข้างจะ  :haun4: ถามเจ้าถิ่นหน่อยค่ะว่าลิมิตได้มาน้อยแค่ไหน

หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 2 ชายพเนจร 50% อัพ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 31-10-2018 19:29:41
น่าติดตามมมม
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 2 ชายพเนจร 100% อัพ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 01-11-2018 21:33:32


“นี่เจ้ายังไม่ตื่นอีกหรือไงจูเลียน”

“นิโคล พี่มาทำไมแต่เช้าเนี่ย” จูเลียนปรือตาขึ้นมองร่างงามสง่าของบุรุษที่ยืนอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นว่าเป็นพี่ชายต่างมารดาก็หลับตาลงและบ่นออกมาอย่างเกียจคร้าน

“เพราะวันนี้เจ้ามีประชุมสภาแต่เช้าไง”

“ไม่เอา ข้าไม่ไปได้ไหม ข้ายังเหนื่อยกับการเดินทางอยู่เลย ไหนเมื่อคืนที่กว่าจะได้นอนก็ตั้งดึกดื่น”

“เจ้าเองไม่ใช่หรือไงที่อยากกลับมาเพื่องานเลี้ยงนี่โดยเฉพาะ”

“ข้าไม่คิดว่ามันเหนื่อยขนาดนี้นี่” จูเลียนพลิกตัวหันหน้าไปอีกทาง แต่เท่านั้นคงยังไม่เพียงพอต่อความเกียจคร้าน ยุวกษัตริย์ผู้บ่ายเบี่ยงภารกิจจึงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวไว้ด้วย เหมือนบอกว่าการสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น แน่นอนว่านิโคลไม่ยอม

“ยังมีเรื่องนั้นอีกนะจูเลียน”

“เรื่องไหนอีก เมื่อไหร่พี่จะปล่อยให้ข้านอนต่อสักที” หมอนนุ่มถูกนำมาเป็นตัวช่วยเมื่อจูเลียนดึงมันมาปิดหูทั้งสองข้าง

“เรื่องลอบโจมตีกลางทางไง พี่บอกเจ้าแล้วว่ามันไม่ปลอดภัยที่จะเดินทางมากับทหารเพียงหยิบมืออย่างนั้น”

“ข้ามากับอัศวินฝีมือดีตั้งสี่คนนะท่านพี่”

“แล้วเป็นยังไงล่ะเกือบพลาดใช่ไหม เลนนี่ก็ได้รับบาดเจ็บด้วย”

“ก็ข้า..” จูเลียนพูดไม่ออก ยิ่งคิดถึงร่างโชกเลือดของอัศวินประจำตัว หนุ่มน้อยก็ยิ่งเงียบเพราะจนด้วยข้อโต้แย้ง ได้แต่บอกแก้ตัวด้วยเสียงอ่อย เพราะจูเลียนหงอมากทีเดียวเมื่ออยู่กับพี่ชาย “เลนนี่ก็ไม่เป็นอะไรมากนี่”

“แต่ก็คงต้องพักอีกหลายวัน แล้วถึงจะมีฝีมือชั้นยอดแค่ไหนหากเจ้าไม่ระวังตัวเองบ้าง สักวันก็พลาดได้เหมือนกัน”

“พี่ห่วงเลนนี่ใช่ไหมล่ะ”

“ข้าห่วงเจ้าต่างหาก” ฝ่ายพี่ชายยืนกอดอกจังก้ามองด้วยสายตาจริงจังแล้วสั่ง “เอาล่ะ ลุกขึ้นเตรียมตัวเข้าประชุมสภาซะ”

“ข้าไม่ไปได้ไหมนิโคล” พอนิโคลสีหน้าจริงจังขึ้น จูเลียนก็เปลี่ยนเสียงเป็นกระเง้ากระงอดออดอ้อนพี่ชายทันที เรือนร่างผอมโปร่งภายใต้ชุดนอนผ้าลินินเนื้อบางลุกขึ้นนั่ง เอนหลังพิงหมอนท่าทางเหมือนคนหมดแรง

“วันนี้ต้องประชุมวางแผนเกี่ยวกับงานประลองประจำปีที่จะมีขึ้นอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า และเจ้าต้องเข้าประชุมนะจูเลียน”

“แค่นี้ไม่ต้องถึงมือข้าก็ได้หรอกนิโคล พี่คนเดียวก็จัดการได้”

“ข้าจัดการให้เจ้าจนชาวเมืองคิดว่าข้าเป็นกษัตริย์อยู่แล้วนะ”

“นั่นสิ ทำไมพวกนั้นไม่แต่งตั้งพี่ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ ทำไมต้องให้ข้าเป็นด้วย”

“เพราะเจ้าเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ไง”

“ข้าไม่เหมาะ ข้าบอกพี่แล้ว”

“เหมาะหรือไม่เหมาะ มันก็เป็นภาระที่ติดตัวมาตั้งแต่เจ้าลืมตาดูโลกแล้วนะจูเลียน เมื่อได้เป็นแล้วเจ้าควรทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด” ด้วยรู้ว่าน้องชายไม่มีใจที่ฝักใฝ่ด้านนี้เอาเสียเลย ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้จูเลียนก็ฝืนตัวเองมากอยู่แล้ว และนั่นทำให้นิโคลสงสารน้องน้อยของเขานัก จึงได้แต่ช่วยประคับประคอง ให้จูเลียนก้าวไปพร้อมภาระหนักอึ้งบนบ่า

“นิโคลพี่กำลังจะอบรมอะไรข้าอีกล่ะเนี่ย พอเลยนะข้าจะนอน”

“เจ้านอนตอนนี้ไม่ได้นะจูเลียนลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ลีโอไปไหน”

“ลีโออยู่นี่แล้วฝ่าบาท” ลีโอที่แอบดูอยู่นานปรากฏตัวขึ้น ให้เห็นว่าไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ไปไหน แต่ยังคอยรับใช้ใกล้ชิดอยู่เสมอ ทั้งที่อยากเข้ามาปลุกผู้เป็นนายตั้งแต่ฟ้าสาง แต่ลีโอก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนที่คอยตามใจจูเลียน และผ่อนผันให้อยู่เสมอ เมื่อเห็นว่าเจ้านายกำลังหลับสบาย เลยทำเป็นลืมภารกิจช่วงเช้าของจูเลียนไปนิดหน่อย แต่ดูเหมือนว่าลีโอคงทำเป็นลืมนานเกินเวลาจนนิโคลมาถึงก่อน และนี่อาจจะทำให้เด็กน้อยลีโอโดนดุเอาได้ง่าย ๆ

“ไปเตรียมตัวให้นายของเจ้าซะ”

“ฝ่าบาท”

“ถ้าเจ้าเข้ามาข้าจะสั่งปลดเจ้าเดี๋ยวนี้ลีโอ”

“แต่ฝ่าบาท” ลีโอสองจิตสองใจ แม้จะรู้ว่าเจ้าเหนือหัวไม่จริงจังกับคำขู่ กระนั้นเด็กรับใช้ที่รู้ใจนายอย่างลีโอ ก็ไม่อยากทำอะไรให้ขุ่นข้องหมองอารมณ์แต่เช้าเช่นนี้ ลีโอจึงหันไปทางนิโคลขอความช่วยเหลือ

“ลอร์ดนิโคล”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าจัดการเอง ไปเตรียมมื้อเช้าให้นายเจ้าเถอะ”

“ฝ่าบาท” น้ำเสียงนั้นช่างเป็นจังหวะน่าฟังยิ่งนัก เมื่อนิโคลบอกคนรับใช้ประจำตัวของน้อง และมอบความเป็นกันเองให้ด้วยการวางมือใหญ่ลงกลางศีรษะของลีโอ หนุ่มน้อยต่ำศักดิ์ก้มหน้าคำนับ แล้วเดินออกจากตรงนั้นมาด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ เพราะนิโคลัสนั้นมักจะเป็นกันเองกับเขาเสมอ เป็นกันเองมากจนลีโอนึกกลัว

“จริง ๆ แล้วลีโอก็น่ารักนะหรือพี่คิดว่าไง” สายตาที่มองตามหลังลีโอตวัดกลับมามองน้องชาย ที่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่บนที่นอน นิโคลัสยิ้มออกมาบาง ๆ ด้วยว่ารู้ทันในสิ่งที่น้องกำลังบอก

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง ย้ายตัวเจ้าลงมาจากที่นอนจูลีเดียสเจ้าจะสายแล้ว”

“โธ่นิโคล ถ้าพี่สนใจลีโอข้าพร้อมจะหาเด็กรับใช้คนใหม่นะ”

“คิดว่าจะมีใครรู้ใจและทนเจ้าได้เหมือนลีโออีกไหมล่ะ ย้ายก้นของเจ้าลงมาจากที่นอนซะ! “

เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าและเซื่องซึม จนจูเลียนอยากฟุบหลับลงเสียตรงนี้ให้ได้ บ่อยครั้งที่นิโคลต้องสะกิดเมื่อหนุ่มน้อยทำท่าจะหาวหรือทำหน้าเบื่อหน่าย และในที่สุดช่วงเวลาแสนทรมานก็จบสิ้นลงสักที เมื่อนิโคลกล่าวปิดการประชุม

//*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*///

ร้านเหล้าข้างทางถือเป็นศูนย์รวมของผู้คน นักเดินทางมากหน้าหลายตา แวะเวียนเข้ามาเพื่อสังสรรค์ดื่มกิน พักเหนื่อยระหว่างทาง รวมไปถึงที่พักแรมของนักเดินทางไกลที่ต้องการค้างคืน และเขาก็เป็นนักเดินทางอีกคนหนึ่งที่บังเอิญผ่านเข้ามา ร้านนี้อยู่ไกลสุดกู่เกือบติดชายแดนของออสเซนเทีย เมืองใหญ่ที่ผู้คนต่างมุ่งหน้าเข้าไปสู่ศูนย์รวมอย่างเมืองหลวง เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าให้กับตัวเอง แต่คงไม่ใช่สำหรับเขา ชายร่างสูงในชุดคลุมดำที่กำลังเดินเข้ามาในร้าน

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือนักเดินทางหลายกลุ่มจับจองโต๊ะนั่งและดื่มกิน แต่ละคนดูตะกละมูมมาม เหมือนไม่ได้นำมารยาทติดตัวมาด้วย เจ้าของร่างสูงสวมชุดคลุมดำตัวยาวปิดคลุมตั้งแต่ศีรษะจนถึงช่วงขา รองเท้าหนังเก่า ๆ ที่เขาสวมเต็มไปด้วยดินโคลนคู่นั้น บ่งบอกว่าผ่านการเดินทางมายาวนาน บุรุษในชุดดำตกเป็นเป้าสายตาทันที เมื่อเขามายืนอยู่กลางร้านเพื่อมองหาที่นั่ง

“เจ้ามองหาอะไรอยู่หรือไอ้คนพเนจร” ชายชุดดำปรายตามองอย่างเบื่อหน่าย เมื่อชายร่างท้วมหนึ่งในลูกค้าถามขึ้น ท่าทางแสดงออกว่าต้องการหาเรื่องเต็มที่ เขาแค่แวะเข้ามาเพราะต้องการอาหารและที่พัก ก่อนจะเดินทางต่อไปเมืองอื่น ไม่ต้องการมีเรื่องกับใคร

“ที่ที่ข้าสามารถนั่งและสั่งอาหารมากินหรือสั่งเบียร์อุ่น ๆ มาดื่มคลายหนาวได้” เขาตอบเสียงนิ่ง

“เกรงว่าร้านจะเต็มแล้วไสหัวไปซะ!”

“ข้าต้องการห้องพักด้วย”

“ห้องพักก็เต็มหมดแล้วไสหัวไปเดี๋ยวนี้”

“ข้าต้องการอาหารกับที่พัก” เขาย้ำมองข้ามหัวชายร่างท้วมไปทั่วร้าน จนคนถูกเมินชักไม่พอใจ

“ก็บอกว่าไม่มีไงวะออกไป!”

“เดี๋ยว ๆ ท่านทั้งสองอย่ามีเรื่องกันเลยเห็นใจคนทำมาหากินอย่างข้าด้วยเถอะ ข้ามีอาหารเพียงพอสำหรับพวกท่านทุกคน มีห้องว่างด้วยเชิญทางนี้” เจ้าของร้านเป็นชายสูงอายุแทรกขึ้น เมื่อดูท่าทีแล้วอาจจะถูกไล่ลูกค้าทำให้เสียผลประโยชน์ แต่พอพูดจบร่างชายสูงวัยกลับถูกผลักจนเซล้มหงายหลัง

“ถอยไปไอ้แก่ ส่วนเจ้าจะออกไปดี ๆ หรือให้ข้าช่วยพาออกไป”

“ที่นี่ไม่ใช่ร้านของเจ้านี่ เจ้าของร้านยังบอกอยู่เลยว่ามีอาหารกับที่พักสำหรับข้า” ชายในชุดดำปรายตาไปมองทางเจ้าของร้าน ที่มีผู้ใจดีช่วยพยุงให้ลุกขึ้นพาถอยออกไปด้วยเกรงภัยจะถึงตัว เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ลูกค้าต่างที่มาย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี วันนี้คงเป็นวันซวยของเขาที่ได้ลูกค้าชั้นเลวอย่างไอ้อ้วนนี่

“แต่ข้าไม่ให้ ถ้าไม่อยากตายก็ไปซะ” ดาบถูกถอดออกมาเพียงครึ่งเพื่อข่มขู่ แต่คู่กรณีในชุดดำที่ร่างกายสูงใหญ่กว่ายังนิ่งและยืนเฉย นั่นยิ่งทำให้ชายร่างท้วมเริ่มไม่สบอารมณ์ ด้วยว่าต้องการแสดงความเป็นเจ้าถิ่นต่อคนแปลกหน้าที่หลงเข้ามา

“ข้าควรจะกลัวหรือไง”

“งั้นก็เตรียมตัวตายเลย” ชายร่างท้วมถอดดาบเล่มยาวออก แต่ยังไม่ทันได้เงื้อดาบขึ้นฟาดฟันดังใจหมาย ร่างอันหนาเทอะทะรุ่มร่ามก็ถูกถีบจนหงายกระเด็น พอตั้งตัวได้ยังไม่ทันลุกขึ้น พบว่าหน้าอกถูกใช้เป็นที่รองรับเท้าข้างหนึ่ง และดาบเล่มใหญ่จ่อคอหอยอย่างน่าหวาดเสียว

“คราวนี้มีอาหารกับที่พักให้ข้าหรือยัง”

“อะ เอ่อ..”

“มีหรือยัง!” เจ้าของร่างสูงกดเสียงถาม

“มะ มี มีแล้วนายท่าน เชิญนายท่านตามสบาย” ท่าทางโอหังถูกเปลี่ยนเป็นประจบสอพลอทันที เมื่อคมดาบถูกกดลงบนลูกกระเดือก ชายชุดดำเก็บดาบของเขาไว้ที่เดิม ภายใต้เสื้อคลุมตัวหนามิดชิด จึงไม่มีผู้ใดเห็นมันในคราแรก และคิดว่าเขาเดินเข้ามาตัวเปล่า

พอเจ้าของร่างสูงเดินไปนั่งลงตรงที่ว่างมุมหนึ่งของร้าน เบียร์พื้นเมืองอุ่น ๆ สำหรับดื่มแก้หนาวก็วางลงตรงหน้า ทันที ทั้งที่ยังไม่ทันได้สั่ง

“ข้ากุสตาฟขอเป็นคนเลี้ยงเอง เจ้าชื่ออะไร” เขาเพียงยกเบียร์แก้วใหญ่ขึ้นดื่ม ไม่ได้สนใจคนที่พยายามเข้ามาตีสนิท ไม่แม้แต่จะละสายตาจากน้ำอำพันอุ่น ๆ และฟองนุ่มในแก้วดินเผาด้วยซ้ำ

“ให้ข้าเลี้ยงสักมื้อเพื่อนยาก นอกจากเบียร์อุ่น ๆ อาหารเลิศรสแล้วข้ายังมีของสวย ๆ งาม ๆ มานำเสนอให้เจ้าด้วย”

“...”

“ไปกับข้าสิบนนั้น ห้องของข้ามีสาว ๆ รออยู่” แต่ชายชุดดำก็ยังนิ่งและเฉย เมื่อเจ้าของร้านนำซุปเนื้อร้อน ๆ กับขนมปังมาวางตรงหน้า เขากินมันอย่างเอร็ดอร่อย ปล่อยให้คนที่พยายามผูกมิตรพูดไปเรื่อยเปื่อย

“เจ้าจะเดินทางไปไหน มาถึงชายแดนอย่างนี้จะออกไปเมืองอื่นหรือไง” ชายร่างท้วมไม่ละความพยายามในการผูกมิตร แม้ไม่มีการโต้ตอบยังพูดคนเดียว “ตอนนี้ผู้คนมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงกันทั้งนั้น มากับข้าสิรถม้าของข้าพอมีที่ว่างนะเพื่อน”

“ทำไมข้าต้องอยากไปกับเจ้า” ว่าจะนั่งกินเงียบ ๆ แล้วแต่ก็อดสงสัยไม่ได้

“หึหึหึ” ชายร่างท้วมหัวเราะชอบใจ ดวงตาเล็กรีหรี่มองใบหน้าใต้ผ้าคลุม ในที่สุดชายชุดดำผู้ลึกลับในความคิดของเขา ก็ยอมอ้าปากพูดด้วยสักที “เพราะขบวนรถม้าของข้าเต็มไปด้วยสาวงามยังไงล่ะ ข้าจะคิดราคาพิเศษสำหรับเจ้าเลยเพื่อนยาก รีบกินเข้าสิเดี๋ยวข้าจะพาไปดู”

“ข้าไม่สนใจของสวย ๆ งาม ๆ ที่เจ้าว่าหรอกข้าจะขึ้นเหนือ”

“การขึ้นเหนือตอนกำลังจะเข้าฤดูหนาวแบบนี้เป็นความคิดที่โง่มากเลยเพื่อน และที่น่าเสียดายยิ่งกว่านั้น คือเจ้าจะไปทั้งที่เมืองหลวงกำลังจะจัดงานประจำปีที่ยิ่งใหญ่ขึ้น”

“งานอะไร”

“นี่เจ้าไปอยู่ไหนมาเพื่อนยาก ไม่รู้หรือไงว่าทางราชสำนักประกาศวันงานประลองบนหลังม้าประจำปีนี้ออกมาแล้ว” กุสตาฟมองชายในชุดดำ ราวกับว่าเขานั้นเป็นคนที่โง่เง่าที่สุดเท่าที่เคยพบมา ประกาศติดกันให้ทั่วชายคนนี้อ่านหนังสือไม่ออกหรือถึงไม่รู้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ประชากรส่วนใหญ่ก็ใช่ว่าจะอ่านหนังสือออกกันทุกคนเสียเมื่อไหร่

“งานจัดขึ้นเมื่อไหร่” กุสตาฟตุ้ยนุ้ยยิ้มกว้างสมใจกว่าเดิม เมื่อจับน้ำเสียงบ่งบอกความสนใจจากคู่สนทนาได้ ไม่รอช้ารีบอวดในสิ่งที่ตัวเองรู้มา

“อีกราว ๆ ยี่สิบวันนี่แหละ เขาประกาศมาตั้งนานแล้วเจ้าน่าจะรู้นะ ตอนนี้ใคร ๆ ก็ต่างมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงกันทั้งนั้น รวมทั้งข้าและเหล่าสินค้าสวย ๆ งาม ๆ ของข้าด้วย ที่นั่นจะทำเงินให้ข้าไม่น้อยเลยล่ะ”

“ที่แท้เจ้ามันก็พวกหากินกับผู้หญิงสินะ”

“นี่ล่ะการทำธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากเพื่อนเอ๋ย พวกนางเต็มใจรับใช้พวกมีไอ้นั่นอย่างเรา ๆ อยู่แล้ว เจ้าจะคิดมากทำไม แค่ส่งมันเข้าไปอยู่ในตัวพวกนาง แค่นี้สาว ๆ ก็อ่อนระทวยกันทั้งนั้นล่ะ ถ้าเจ้าไปกับข้า ข้าจะสั่งให้พวกนางบริการเจ้าเป็นพิเศษ อ้อหรือว่าเจ้าชอบหนุ่มน้อยร่างบาง ๆ ข้าก็มีบริการเหมือนกันนะ” ชายชุดดำเงียบปล่อยให้กุสตาฟพล่ามถึงความดีงามของสินค้า ไม่ได้ขัดหรือแย้ง เพราะถึงอย่างไรถ้าผู้หญิงเหล่านั้นเต็มใจที่จะทำงานนี้ มันก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว ที่ไหน ๆ ก็มีโสเภณีทั้งนั้น นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งความบันเทิงที่ทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่ยังยิ้มได้อยู่

“ว่ายังไงล่ะจะเปลี่ยนใจไปกับข้าไหม” ชายชุดดำลุกขึ้นเต็มความสูง เขาไม่มองหน้าคู่สนทนาด้วยซ้ำ เมื่อเดินเข้าไปหาเจ้าของร้านและถูกพาไปยังที่พัก กุสตาฟมองตามไม่พอใจแต่ทำอะไรไม่ได้ ท่าทางชายแปลกหน้าในชุดคลุมดำคงฝีมือดีอยู่ไม่น้อย ถึงได้ซัดเขาหงายชักดาบออกมาว่องไวจนไม่มีใครมองทัน ที่ชวนให้ร่วมเดินทางด้วย ก็เผื่อต้องการความช่วยเหลือระหว่างทาง หากเกิดการดักปล้นขึ้นมา เพราะถึงจะเป็นธุรกิจเล็ก ๆ แต่ก็ทำเงินให้เขาไม่น้อย และเขาไม่อยากเสียเงินจ้างคนคุ้มกัน

กุสตาฟดื่มกินจนอิ่มหนำสำราญแล้ว จึงพาร่างท้วมตุ้ยนุ้ยลุกจากโต๊ะ ร่างที่อ้วนท้วมอยู่แล้วดูเทอะทะยิ่งขึ้น เพราะสวมชุดคลุมหนา เขาเซเล็กน้อยเมื่อพยายามทรงตัวยืน แต่ถึงจะเมาอยู่ไม่น้อยก็ยังพอมีสติ เดินขึ้นชั้นสองมาถึงห้องพักเรียกหาคนโปรด หนึ่งในบรรดาสินค้าที่สวยที่สุดของตัวเองทันที





“มาเรียตต้า มาเรียตต้าอยู่ไหน ไอ้จ้อนของข้ามันคิดถึงเจ้าแล้ว รีบมาปลอบมันซะดี ๆ อีหนู “ดวงตาเล็กรีกวาดมองไปทั่วห้องที่ไม่กว้างมากนัก ปากพ่นคำหยาบเรียกหาคนสนอง หญิงสาวหน้าตาใช้ได้หลายคนนั่งมองตาปริบ ๆ แต่ไม่มีใครตอบคำถามของเขาสักคน ผู้หญิงพวกนี้มันของน่าเบื่อสำหรับกุสตาฟ มีแต่มาเรียตต้าของเขาเท่านั้น ที่สวยน่ารักเอาใจเก่ง ที่สำคัญคือนางเก่งเรื่องบนเตียงและมากไปด้วยประสบการณ์ เรียกง่าย ๆ ว่าลีลาดีจนลูกค้าส่วนใหญ่ติดใจรวมทั้งเขาด้วย มาเรียตต้าสามารถสนองความต้องการได้ถึงใจที่สุด เขาจึงให้นางเป็นคนสาธิตกับตัวเขาเอง เพื่อให้สินค้าคนอื่น ๆ ได้ศึกษาไว้ใช้เมื่อทำงานจริง

“ทำไมไม่มีใครตอบว่ามาเรียตต้าไปไหนหา เงียบอยู่ทำไมตอบข้ามาถ้าไม่อยากเจ็บตัว!” แน่นอนว่าเมื่อเรียกหาคนโปรดแต่คนโปรดมาไม่ทันใจ ชายร่างท้วมย่อมไม่สบอารมณ์เป็นธรรมดา และสาว ๆ ที่นั่งอยู่ในนั้นก็ขยาดกับความร้ายกาจที่เคยเจอ จึงไม่มีใครกล้าปริปากพูด นอกจากพากันชี้มือไปที่ประตู แต่นั่นก็ไม่สามารถบอกอะไรกุสตาฟได้ เขาจึงกระชากหนึ่งในสินค้าที่นั่งอยู่ใกล้มือที่สุดออกมาถาม จนเสื้อผ้าที่มีอยู่เพียงน้อยชิ้นของนางหลุดลุ่ย เห็นเรือนร่างงามขาวผ่องลออตา

“บอกข้ามานางหายไปไหน”

“นาง นางอยู่ห้องตรงข้ามเจ้าค่ะนายท่าน” ร่างผอมบางถูกสะบัดทิ้งไปอีกทาง เมื่อกุสตาฟที่อยู่ในอารมณ์หงุดหงิดขัดใจออกจากห้องไปอีกครั้ง เขาผลักประตูห้องตรงข้ามให้เปิดออกอย่างไร้มารยาท และภาพที่เห็นก็ทำให้เขาแทบคลั่ง

ปัง!!

"อะ อ๊ะ ซี๊ด โอว ท่าน สุดยอดเหลือเกินเจ้าค่ะ" กุสตาฟกัดฟันกรอด เมื่อเห็นร่างเปลือยเปล่าเย้ายวนขาวโพลนของหญิงสาว กำลังขยับโยกตัวขึ้นลง นางนั่งอยู่บนร่างของชายที่นอนหลับตาพริ้มรับความสุขสม สองเต้าเต่งตึงกระเด้งขึ้นลงตามจังหวะส่ายสะโพกอย่างเร่าร้อน บั้นท้ายกลมกลึงถูกบังคับให้ร่อนส่ายด้วยมือใหญ่ของชายที่ถูกควบขี่ เห็นแล้วกุสตาฟอยากฆ่านางให้ตายมันเดี๋ยวนี้นัก ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางราวกับทรมานไม่หยุดนั่น ยิ่งทำให้เขาอยากเอาดาบมาตัดหัวทั้งสองคนให้ขาดกระเด็นมันตอนนี้เลย ขนาดเขาเปิดประตูเข้ามาอย่างแรง ชายหญิงที่กำลังเสพสมยังไม่หันมาสนใจ และที่ทำให้กุสตาฟเจ็บใจที่สุดก็ตรงบทรักที่เห็น มันช่างเร่าร้อนอย่างที่เขาไม่เป็นมาก่อน

“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะมาเรียตต้า เจ้าออกจากห้องมาทำไม” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่ามาเรียตต้าเพียงผินใบหน้าสวยเย้ายวนมาทางเจ้าของร่างท้วม แต่สะโพกผายของนางไม่ได้เสียจังหวะในการควบขี่ชายหนุ่มที่กำลังปรนเปรอเลยสักนิด

“นายท่านมาพอดี ข้ากำลังสนุกกับชายหนุ่มรูปงามท่านรอก่อนนะ”

“นี่เจ้า เจ้ามาทำให้มันฟรี ๆ หรือยังไงกันหยุดเลยนะ ข้าต้องการเจ้าตอนนี้มาเรียตต้า!”

“ขอให้ข้าได้สนุกกับเขาก่อนเถอะนายท่าน เขา อ๊ะ! ซี๊ด ข้าไม่เคยเจอชายใดที่องอาจราวกับม้าศึกพันธ์ุดีอย่างนี้มาก่อน ทั้งแข็งแรง ทั้งดุดันเร่าร้อนตรงนั้นของเขา อา.. ทำให้ข้ารู้สึกถึงความคับแน่น อ๊ะ!” เพียงชั่วเสี้ยวอึดใจที่กุสตาฟกะพริบตา หญิงสาวถูกเปลี่ยนให้ลงนอนใต้ร่างกายสูงใหญ่ ดูคล่องแคล่วทะมัดทะแมง กุสตาฟอ้าปากค้างตาเหลือกเมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างดูแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อต้นแขนนั่นไม่ได้เป็นมัด ๆ น่าเกลียด แต่มันสมส่วนได้รูปสวยงามสมความเป็นชาย แบบที่คนร่างท้วมอย่างเขาต้องอิจฉา ช่วงตัวยาวบ่งบอกว่าชายผู้นี้ตัวสูงไม่น้อย สะโพกสอบหนั่นแน่นเข้าประจำที่ ท่อนแขนแกร่งเกี่ยวข้อพับขาหญิงสาวขึ้นในท่าเหมาะ แล้วความเร่าร้อนก็ระเบิดขึ้น จนเสียงเสียวสะท้านของมาเรียตต้าดังระงม

เจ้าของร่างแกร่งสมชายชาตรีเร่งควบเอว กระหน่ำตอกอัดร่างกายเข้าใส่ หญิงสาวนอนหงายใบหน้าหลับตาพริ้ม ริมฝีปากเจ่อเผยออ้าครวญคราง กุสตาฟได้เห็นลีลาร่วมรักแสนเร่าร้อนดุดันน่าอิจฉา เกิดความรู้สึกร่วมจนลืมว่ามาทำไม ได้แต่ยืนฟังเสียงมาเรียตต้าร้องครางราวกับถูกทรมาน จนบทรักร้อนแรงจบลงแล้ว นางยังบิดกายที่กระตุกเร่า ๆ เพราะความสุขสมอยู่ตั้งนาน

“เอาล่ะเสร็จแล้วก็จ่ายราคามา” กุสตาฟบอกเมื่อชายผู้นั้นถอดถอนตัวเองออกจากร่างงาม ผละไปนอนพิงหลังกับหัวเตียง เจ้าของร่างท้วมตาโตเมื่อเห็นท่อนรักกลางกายของชายหนุ่ม ที่กำลังตั้งลำตระหง่านไม่ทันสงบดี ทำเอาชายที่ใช้ความเป็นชายฟาดฟันหญิงนับไม่ถ้วนอย่างเขา มองค้างอย่างตะลึง นั่นมันของม้าชัด ๆ

“ข้านึกว่าเจ้าตกหลุมรักข้าซะอีกแม่สาวน้อย” ถ้อยคำหยอกล้อมีให้หญิงสาวที่นอนหอบหายใจอยู่ข้าง ๆ เล่นเอากุสตาฟกำมือแน่น แต่ด้วยอะไรบางอย่างในตัวของชายหนุ่มคนนี้ ทำให้เขาได้แต่ยืนกัดฟันไม่พอใจ และมองภาพสินค้าสวย ๆ งาม ๆ ของเขาถูกใช้ไม่บันยะบันยัง

“ใช่ ข้าตกหลุมรักท่านแล้วยอดรัก ท่านยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมา”

“มาเรียตต้า!”

“อ้อนายท่านยังอยู่อีกหรือ ข้าบอกแล้วไงว่าให้รอก่อน” ดูเหมือนมาเรียตต้าเพิ่งนึกได้ ว่านายท่านของนางยังยืนอยู่ตรงนี้ จึงทักด้วยน้ำเสียงขี้เล่น แต่นั่นทำเอาอารมณ์ที่เดือดดาลอยู่แล้วของกุสตาฟเดือดมากขึ้นกว่าเก่า

“กลับห้องเดี๋ยวนี้! ส่วนเจ้าก็จ่ายค่าตัวนางมา”

“ไหนบอกว่าจะให้บริการเป็นพิเศษ นี่ข้ากำลังทดลองสินค้าของเจ้าอยู่นะ”

“เจ้า นี่เจ้าคือ...” คือชายในชุดดำที่เขาเจอข้างล่างนั้นเอง แต่เพราะไม่เห็นหน้าในตอนแรก กุสตาฟจึงไม่รู้ว่าเป็นเขา

“หึ เจ้าควรกลับไปกับนายของเจ้าได้แล้วนะสาวน้อย”

“แต่ข้ายังอยากอยู่กับท่านอยู่นะ” นางบอกเสียงออดอ้อนคลอเคลียใบหน้าสวยซบลงอกแกร่งกำยำ

“ไปเถอะนายของเจ้ารออยู่”

“ก็ได้ แต่ข้าจะได้เจอท่านอีกไหม”

“ข้าไม่รู้”

“หวังว่าคงได้เจอท่านอีก แต่วันนี้ข้าขอสั่งลาท่านสักหน่อยได้ไหม”

“ได้สิ” สิ้นคำอนุญาต มาเรียตต้าเลื้อยร่างเปลือยเปล่ายั่วกามาน่าเคล้นคลึง ลงไปยังกลางกายของเขา แม้ว่ามันจะสงบลงมากแล้ว แต่ขนาดของมันยังเรียกความสนใจได้ไม่น้อย หญิงสาวจับแท่งรักที่ตื่นตัวทันทีเมื่อถูกสัมผัสให้ตั้งขึ้น ก้มลงจูบส่วนปลายป้านบานฉ่ำเบา ๆ สายตายั่วยวนเหลือบมองร่างท้วมข้างเตียงท้าทาย เรียวลิ้นตวัดรอบส่วนป้านที่บานออก ครอบโพรงปากอุ่นลงสุดลำ ดูดกลืนกินประหนึ่งเป็นอาหารรสโอชา

ซี้ดดดด

ลมหายใจของกุสตาฟสะดุด เมื่อได้ยินเสียงสูดปากของชายบนเตียง เสียงนั้นเหมือนเป็นตัวกระตุ้นอย่างดี ให้มาเรียตต้าเร่งเคล็ดวิชาพัวพันชิวหาสั่งลากัน กุสตาฟมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาตื่นตะลึง ความกำหนัดในตัวก่อเกิด มองนิ่งนานจนค้าง เวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนร่างชายบนเตียงกระตุกปลดปล่อย หญิงสาวยังอ้อยอิ่งทำความสะอาดส่วนนั้นให้เขา ตวัดสายตามามองนายตัวอย่างท้าทาย

//*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*//

บนทางสามแพร่งเลียบชายป่า บุรุษหนุ่มในชุดคลุมดำนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่พ่วงพี ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กึ่งกลางของทาง เขากับกำลังตัดสินใจว่าจะไปทางไหนดี ซ้ายคือทางขึ้นเหนือสู่พื้นที่หนาวเหน็บ ความหนาวยิ่งเพิ่มพูนยิ่งขึ้นกว่าหนาว เพราะฤดูกาลที่กำลังมาเยือน ขวาลงใต้ไปบนเส้นทางพาสู่เมืองหลวง บางครั้งความตั้งใจกับสิ่งที่สนใจก็อยู่คนละทาง และเขาคงต้องตัดสินใจ กลับบ้านสักทีหรือแสวงหาสิ่งที่ชอบ และสิ่งที่ชอบก็เอาชนะเขาได้ทุกที อาชาพ่วงพีจึงถูกสั่งให้ไปทางขวา จุดหมายปลายทางคือโชคชะตาที่รออยู่

*******
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 3 เพื่อนเก่า 50% อัพ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 02-11-2018 20:30:35
เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 3 เพื่อนเก่า



ร้านเหล้าในเมืองหลวงนั้นย่อมคึกคักอยู่แล้ว ยิ่งยามเย็นอย่างนี้ความคึกคักยิ่งมากขึ้นกว่าตอนกลางวันมาก เพราะใคร ๆ ก็ต่างมุ่งหน้าเข้ามาหาความสำราญและพักผ่อนหย่อนใจกันทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่นอกจากมีเหล้ารสแรงให้เลือกดื่มแล้ว ยังมีเบียร์ชนิดต่าง ๆ และไวน์เลิศรสอีกหลายแบบ อย่างที่เรียกได้ว่าไวน์หมักไว้ดื่มเองที่บ้านกลายเป็นน้ำล้างเท้าไปเลย ร้านเหล้าแห่งนี้ไม่เคยเงียบเหงาและวันนี้ก็เช่นกัน ที่ผู้คนพลุกพล่านทั้งขาจรและขาประจำ โดยจะมีกลุ่มลูกค้าชายเป็นหลัก เพราะที่นี่ไม่ได้มีแค่อาหารเลิศรสและเครื่องดื่มรสชาติดี แต่ยังมีสาว ๆ หนุ่ม ๆ ไว้คอยเอาอกเอาใจและบริการอย่างถึงใจอีกด้วย





ประตูร้านทำจากไม้เนื้อแข็งพอเปิดเข้ามาจะพบว่ามีห้องเล็ก ๆ อีกห้องหนึ่ง มีช่องประตูเชื่อมภายในร้านกั้นเอาไว้ด้วยม่านทำจากผ้าหนาและหนัก เพราะอากาศข้างนอกที่เริ่มหนาวเย็น การทำประตูสองชั้นเช่นนี้ จะช่วยกันไม่ให้ความหนาวจากข้างนอกเข้ามาภายในร้านได้ และเมื่อม่านที่กั้นประตูถูกเปิดออก ชายที่เดินเข้ามาก็ได้รับความสนใจจากผู้คนที่ดื่มกินกันอยู่ภายในร้านไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะสาว ๆ ทั้งสาวที่กำลังนำอาหารนำเครื่องดื่มมาให้ลูกค้า และสาวที่กำลังให้บริการ พวกนางต่างหันมามองที่ประตูเป็นตาเดียวเมื่อเขาปรากฏตัว





พอเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากชายหนุ่มแต่งตัวดีคนหนึ่ง กลุ่มผู้ชายที่เป็นลูกค้าส่วนใหญ่ของร้านก็ละสายตาไปจากเขา เพราะมีสาวงามนั่งอยู่เคียงข้างที่น่ามองมากกว่า แต่สำหรับสาว ๆ ในร้านแล้ว ชายหนุ่มกลายเป็นจุดสนใจจนพวกนางจ้องตาไม่กะพริบ ขนาดว่าผู้ชายข้างกายยังต้องค้อนอย่างนึกเคือง เพราะชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านนั้น นอกจากจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้ดีมีฐานะแล้ว หน้าตาของเขายังตราตรึงสายตา และน่ามองกว่าพวกหมูอ้วนสกปรกส่วนใหญ่ที่นั่งดื่มกินอยู่ในร้าน รูปร่างที่สูงสง่าของเขา เล่นเอาบรรดาผู้หญิงที่ทำงานในร้านเหล้าแห่งนี้แทบระทวยไปตามกัน และต่างแอบลุ้นว่าใครจะถูกเรียกไปให้บริการ





ชายหนุ่มไม่ได้สนใจสายตาเชิญชวนของสาว ๆ เหล่านั้น ที่กำลังจ้องมองอยู่อย่างยั่วยวนและเชิญชวน เพราะเขากำลังใช้สายตาคมดุจเหยี่ยวกวาดมองไปรอบร้าน มันสะดุดเข้ากับใครบางคนที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งเงียบ ๆ มุมที่ดูสลัวเพราะใครคนนั้นเลือกจุดที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน และมุมนั้นมีคนเพียงคนเดียวนั่งอยู่กับเหยือกดินเผาใบใหญ่ ภายในเหยือกนั้นก็คงจะเป็นเบียร์พื้นเมืองรสชาติดี สำหรับการละเลียดดื่มแก้คอแห้งแก้หนาว





“ดื่มคนเดียวคงเหงาแย่ ทำไมไม่เรียกสาว ๆ มานั่งเป็นเพื่อนสักคนล่ะ” คำแรกของชายที่เพิ่งมาถึงเอ่ยทัก พร้อมกับทิ้งร่างลงบนเบาะนุ่มท่าทางสบาย ๆ โดยพาดท่อนแขนทั้งสองข้างกางออกนาบไปตามความยาวของพนักเก้าอี้ ยกข้าข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้างอย่างมีเสน่ห์ “ถ้าไม่มีปัญญาจ่ายข้าเลี้ยงก็ได้นะ”

“ข้าไม่ได้ต้องการสาว ๆ นี่”

“ต้องการหนุ่มหรือไง ผู้ชายร้านนี้ก็มีไว้บริการนี่ทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เลย เจ้าจะได้ตามต้องการเพียงแค่กระดิกนิ้ว” ชายที่นั่งในมุมมืดเพียงแค่นยิ้มออกมา เขายกเหยือกดินเผาขึ้นจ่อปากกรอกน้ำเมารสอ่อนฟองฟูลงคอ ใบหน้าในความสลัวของเขายังเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ ไม่แม้แต่จะมองคู่สนทนาที่นั่งยิ้มร่าอย่างคนอารมณ์ดี

“เจ้ามาช้านะ”

ได้ยินอย่างนั้นชายผู้มาใหม่ผายมือทั้งสองข้างออก เขายักไหล่เหมือนกำลังบอกว่าช่วยไม่ได้แล้วจึงพูดต่อ “ข้าไม่ใช่คนพเนจรอย่างเจ้านี่ ที่จะไปไหนมาไหนเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจตัวเอง”

“นั่นสิ เจ้าเป็นถึงอัศวินแห่งราชสำนัก ไปไหนมาไหนโดยไม่มีเจ้านายคงยาก” ชายหนุ่มผู้มาใหม่แค่โครงหัวไม่ถือสาในคำพูดหยอกเย้าของเพื่อนสนิท ทั้งสองนัดมาเจอกันในร้านเหล้าแห่งนี้ แต่เขาคงมาช้าไปจริง ๆ ดูจากเหยือกดินเผาว่างเปล่าข้างกายชายพเนจรที่วางอยู่นับได้หลายใบ

“ว่ายังไงล่ะ ดูท่าเจ้าจะต้องการผู้หญิงนะ”

“ถ้าต้องการผู้หญิงข้าจะเรียกเจ้าออกมาทำไมล่ะ”

“หึ ที่แท้เจ้าก็ต้องการเด็กหนุ่มนั่นเอง แต่เสียใจนะข้าก็คงเป็นประเภทเดียวกันกับเจ้า เราสองคนคงต้องเรียกเด็กมาแล้วล่ะ” ขณะที่พูดกันนั้น ชายผู้มาใหม่มีรอยยิ้มประดับใบหน้าขี้เล่นของเขาตลอด สองหนุ่มที่รูปร่างพอกันยืนขึ้นประจันหน้าจับมือและกอดทักทายกันอย่างสนิทสนม

“สาว ๆ มาบริการพ่อหนุ่มพเนจรคนนี้หน่อยเร็ว” พอชายที่นั่งอยู่ตวัดสายตามอง ชายผู้มาใหม่ก็หันมาพูดกับเขาอย่างคนมีน้ำใจ “ไม่ต้องห่วงน่าวันนี้ข้าเลี้ยงเจ้าเอง”

“หึ หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าเถอะเลนนี่ถ้าจะมาพูดแค่นี้”

“เพื่อนแวะมาหาทั้งที ข้าก็แค่อยากเลี้ยงต้อนรับ” เลนนี่ยักไหล่แล้วนั่งลง และพอก้นขอเขาแตะเก้าอี้อีกครั้ง เหยือกดินเผาบรรจุเบียร์ไว้เต็มก็ถูกนำมาวางลงตรงหน้า สาวงามในชุดผ้าแพรน้อยชิ้นขยับมานั่งเบียดข้างตัว

“จะเลี้ยงโสเภณีข้าหรือไง”

“แววตาเจ้าบอกว่าต้องการปลดปล่อยนะฮานส์ หรือว่าไม่จริงล่ะ” โรฮานส์ อัลเลน วัลเดอราส เลิกคิ้วขึ้นเหมือนถามว่าจริงหรือ เหมือนกับว่าตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการอย่างที่เพื่อนบอก และเมื่อเลนนี่กระดิกนิ้วอีกครั้ง หญิงสาวที่รอท่าอยู่ก็ปรี่เข้ามานั่งลงที่ตักของฮานส์ ซึ่งเจ้าของตักเองก็อ้าแขนรับนางอย่างเต็มใจ

“เจ้าหัดดูคนตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ข้าก็ต้องหัดดูบ้างนั่นแหละ หน้าที่อย่างข้าต้องรู้จักสังเกตไม่อย่างนั้นก็อายุสั้น”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สมควรตาย เพราะข้าว่าเจ้าคงดูผิดแล้วล่ะ”

“เจ้าคงต้องการเด็กผู้ชายสินะ” แค่ส่งสายตาหนุ่มน้อยน่ารักก็มานั่งแทนที่หญิงสาวที่ไม่ได้ลุกไปไหน แต่นั่งลงข้างกายแกร่งของฮานส์นั่นเอง “เจ้ามาที่นี่ทำไม”

“มาไม่ได้หรือไง หรือว่าเมืองหลวงห้ามคนพเนจรอย่างข้าเข้ามา”

“ก็ไม่ ข้าแค่อยากรู้ว่าคนรักสันโดษรักอิสระและรักธรรมชาติอย่างเจ้า จะเข้ามาเมืองใหญ่ ๆ ที่ผู้คนยั้วเยี้ยเหมือนมดปลวกอย่างนี้ทำไมกัน”

“หึ ดูสิ พวกเจ้ากลายเป็นมดปลวกไปแล้วรวมทั้งเขาด้วย” ฮานส์หันมาพูดกับหนุ่มน้อยบนตักและสาวที่คลอเคลียอยู่ข้าง ๆ อย่างหยอกเย้า และยังแหย่ไปถึงเพื่อนรักด้วย เมื่อเลนนี่เปรียบเทียบคนในเมืองหลวงเป็นมดปลวก โสเภณีทั้งสองยิ้มขำราวกับว่ากำลังคุยเรื่องตลกนักหนา ซึ่งเป็นอีกหน้าที่หนึ่งในการมอบความสำราญ แต่ลูกค้าทั้งสองกลับยังนั่งมองตากันนิ่ง จนในที่สุดเลนนี่ก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

“งั้นเรามาดื่มให้มดปลวกกันเถอะ”

“ก็ดี”

“แด่มดและปลวก” สองหนุ่มลูกค้าและสามโสเภณียกเหยือกดินเผาชู้ขึ้น แล้วดื่มกันอึกใหญ่จนหมดเหยือก

“นั่นเจ้ากำลังจิบนะไม่ใช่ดื่ม” ฮานส์ทักขึ้นทันที เมื่อเห็นเลนนี่ยกเหยือกดินเผาขึ้นจิบเพียงนิดเดียวแล้ววางลง ซึ่งผิดวิสัยของเพื่อนคนนี้เป็นอย่างมาก สำหรับคนที่เคยเมามาด้วยกัน

“พอดีข้าเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา เลยไม่อยากดื่มมาก”

“ก็ยังไม่ตายนี่ แผลของเจ้านะรอยเล็บนางข่วนยามเจ้าทำอะไรกับร่างกายนางยังลึกกว่าด้วยซ้ำ” ฮานส์หรี่ตามองไปที่หญิงสาวข้างกายของเลนนี่แฝงความหมาย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้เพื่อนอย่างรู้กัน

“รู้ดี ถ้าอย่างนั้นมาดวดกัน วันนี้ใครเมาก่อนแพ้ต้องทำตามคำสั่งของอีกคน”

“นี่สิถึงสมกับเป็นเซอร์เลนนี่แห่งวังหลวง” เบียร์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกยกมาวางและหมดลงไป บุรุษองอาจทั้งสองมีคนข้างกายคอยป้อนดื่ม จนเวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ได้ แต่ที่แน่ ๆ คือ ถังไม้โอ๊คที่ใช้ในการหมักและบรรจุเบียร์นั้น ถูกนำมาวางไว้ข้างโต๊ะของสองหนุ่มที่กำลังดวดกันเลยทีเดียว









ปึง!!

“ไงล่ะ” ฮานส์ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนรัก ตอนนี้หนุ่มพเนจรสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย มันเหมือนจะไม่มีแรงแต่ก็ไม่ได้อ่อนเปลี้ยจนทำอะไรไม่ได้ มันเหมือนจะเมาแต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

“เลนนี่” ! ฮานส์ทำได้เพียงกัดฟันกรอดจ้องตาเพื่อนเขม็ง เขาเปล่งเสียงเรียกและพบว่าเสียงของเขามันสั่นจนน่ากลัว แต่เพื่อนรักกลับยังยิ้มร่าอยู่เหมือนเดิม เลนนี่หัวเราะชอบใจที่เห็นฮานส์นั่งตัวสั่น

“ยอมแพ้ไหมล่ะ”

“นี่ มันเบียร์อะไร ทำไมมัน..” ฮานส์นิ่วหน้าและหลับตาลงแน่น

“มันทำให้เจ้าต้องยอมรับว่าการดวดครั้งนี้เจ้าแพ้นะสิ”

“หึ เจ้าคงอยากชนะมากสินะ” เลนนี่ยิ้มร้ายพร้อมกับคิ้วข้างหนึ่งที่ยกขึ้นสูง เพราะนี่เป็นการดื่มที่ไม่มีกติกาอะไรนอกจากคนแพ้ต้องทำตามคำสั่งคนชนะเท่านั้น พวกเขาเคยเล่นกันอยู่บ่อย ๆ สมัยตอนเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม

“หึหึหึ รู้อยู่แล้วนี่”

“ก็ได้ข้ายอมให้เจ้า ตกลงข้าต้องทำอะไร” กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำช่างยากลำบากนัก ฮานส์รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังถูกอำนาจบางอย่างเข้าครอบงำ และเขาต้านทานมันไม่ได้

“อีกเจ็ดวันจะมีการประลองบนหลังม้าประจำปี และข้าอยากให้เจ้าเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประลอง”

“หึ” ฮานส์แค่นหัวเราะออกมา ถึงจะรู้ว่าถูกวางยาแต่ก็ยังยกเหยือกเบียร์ขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ “งานประลองที่ต้องสังเวยด้วยชีวิตถ้าแพ้ข้าก็ตาย นี่เจ้ายังคิดว่าข้าเป็นเพื่อนอยู่ไหมถึงอยากให้ข้าเข้าประลอง”

“ข้าจะห่วงเจ้าทำไมล่ะ ในเมื่อเจ้าตั้งใจมาร่วมงานนี้อยู่แล้ว”

“ข้ามาเพื่อเป็นผู้ชมต่างหาก ไม่ใช่หนึ่งในผู้เข้าร่วมต่อสู้”

“เจ้าไม่ตายหรอกน่า”

“เจ้ามั่นใจขนาดนั้นได้ยังไงล่ะเลนนี่”

“เพราะเจ้าจะชนะไง”

“อย่ามั่นใจในตัวข้าขนาดนั้น เอาล่ะข้าตกลง แต่จะบอกได้หรือยังว่าผสมอะไรลงไปในเบียร์ให้ข้าดื่ม”

“วิโอเลีย” !

“หึ” ฮานส์พยายามแค่นหัวเราะออกมาอีกจนได้ คิดไม่ผิดจริง ๆ “เจ้าโกงข้านี่นา”

“แล้วเจ้าก็โง่ดื่มทั้งที่รู้ว่าข้าโกง ดูเหมือนเจ้าเองก็คงอยากถูกโกงมากเลยนะ หรือว่าอยากเข้าร่วมประลอง แต่เอ๊ะ เจ้าไม่รู้มาก่อนนี่ว่าข้าจะให้เจ้าเข้าประลอง หรือว่าอยากให้สองคนนี้ช่วยผ่อนคลายเจ้ากันแน่ล่ะ”

“เลนนี่!” ฮานส์กัดฟันกรอดเพราะเขาเริ่มจะควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้แล้ว บางสิ่งบางอย่างที่เรียกว่าวิโอเลียถูกนำมาผสมในเบียร์ให้เขาดื่ม มันกำลังเริ่มควบคุมเขาให้ทำอะไรต่อมิอะไรเหมือนคนไร้สติ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรลงไปแต่ก็หยุดไม่ได้

“พวกเจ้าพาเขาไปผ่อนคลายได้แล้ว ดูแลเพื่อนข้าให้ดีแล้วพรุ่งนี้ข้าจะมารับตัวเขาเอง”

“เจ้าค่ะนายท่าน / ขอรับนายท่าน” พอโสเภณีชายหญิงทั้งสองรับคำ เลนนี่โยนเหรียญทองให้คนละเหรียญ ซึ่งมูลค่าของมันมากกว่าที่ทั้งสองทำงานมาทั้งเดือนเสียอีก ร่างสูงใหญ่ของฮานส์ถูกประคองปีกคนล่ะข้างขึ้น เพื่อพาไปผ่อนคลายยังห้องพักที่มีความเป็นส่วนตัวกว่า ห้องที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดีสำหรับต้อนรับเพื่อนของเซอร์เลนนี่โดยเฉพาะ!





“แล้วท่านล่ะ ต้องการให้ข้าผ่อนคลายท่านแบบไหนดีเจ้าคะนายท่าน” โสเภณีข้างกายเลนนี่เอ่ยถามขึ้น หลังจากที่นั่งคลอเคลียสัมผัสลูบไล้ร่างแกร่งกำยำของเขาอยู่นาน และนางอยากสัมผัสให้ลึกซึ้งมากกว่านี้

“อภัยข้าด้วยท่านหญิงวันนี้ข้าไม่ต้องการผ่อนคลาย” วาจาหยอกเย้าขี้เล่นของเลนนี่ทำเอานางยิ้มหวานให้เขาด้วยความปลาบปลื้มใจ เพราะน้อยนักน้อยหน้าที่ชายนักเที่ยว จะใช้วาจาให้เกียรติโสเภณีอย่างนางเช่นนี้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาเพียงแกล้งเย้า แต่นางก็แอบใจเต้นอย่างห้ามไม่อยู่ นี่นางตกหลุมรักเขาเข้าแล้วหรืออย่างไร!

“น่าเสียดายจัง คืนนี้ท่านน่าจะใช้วิโอเลียสักหน่อยนะ”

“หึ” เลนนี่ลุกขึ้น ช่วงขาแข็งแรงก้าวออกไปได้เพียงสองก้าว เขาก็หันกลับยิ้มให้หญิงคณิกาที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม อาภรณ์ของนางที่มีอยู่น้อยชิ้น เพื่อทำหน้าที่ปกปิดร่างกายบางส่วนหลุดลุ่ยอย่างตั้งใจ และก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากตรงนั้น เหรียญทองอีกเหรียญถูกโยนให้ และนางรับมันไว้ได้อย่างชำนาญ

“เป็นรางวัลของเจ้าสาวน้อย”

“ขอบคุณเจ้าค่ะนายท่าน” เล่นนี่หันหลังเดินจากไปอีกครั้ง แต่พอนึกอะไรบางอย่างได้เข้าก็หยุดเท้าที่กำลังก้าวเดิน “ท่านเปลี่ยนใจ” ??

“เจ้าชื่ออะไร”

“เอลิชเจ้าค่ะ” นางได้แต่มองตามร่างสูงสง่าของเซอร์เลนนี่ไปอย่างแสนเสียดาย ด้วยรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยที่จะได้ใกล้ชิดปรนนิบัติคนระดับนี้ รู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นใครแต่ก็ได้แค่เฝ้ามองและรอความเมตตา





วิโอเลีย ได้ชื่อว่าเป็นพืชที่มีทั้งคุณและโทษ ในทางการแพทย์ถือว่าเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์หลายอย่าง โดยเฉพาะใบของมันที่นำมาบดใช้ในการสมานแผล ช่วยลดความปวด ลดบวม ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลำต้นและกิ่งก้านของมันหากนำมาตากแห้งแล้วจุดไฟ ไฟจะค่อย ๆ ไหม้ทำให้เกิดควันจาง ๆ ที่มีกลิ่นหอมช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ดอกสีเหลืองสดที่สวยงามนั้น เกสรของมันกลับมีพิษที่อาจจะเรียกว่าเป็นพิษร้ายได้ไม่เต็มปากนัก แต่ก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อยอย่างที่ฮานส์ได้รับ มันคือผงเกสรของดอกวิโอเลียที่มีวิธีการทำง่าย ๆ ก็คือ นำดอกวิโอเลียที่บานเต็มที่มาตากแดดให้แห้ง แล้วเคาะเอาแต่เกสรและกลีบดอกตรงกลางให้ตกลงไปบนผ้ารอง ก่อนนำมาใช้ต้องอบให้แห้งอีกครั้งแล้วบดจนเป็นผงละเอียด เวลาจะใช้ต้องตวงให้พอดี หากผสมในเครื่องดื่มจะใช้เพียงเล็กน้อยเพื่อให้เกิดความมืนและเมา มันช่วยให้รสชาติของเครื่องดื่มร้อนแรงขึ้น และอาการเมาจะมากขึ้นตามปริมาณที่ใช้ ส่วนที่ฮานส์เป็นนั้น เพราะเขาได้รับในปริมาณที่มากเกินไปมันทำให้เขาเมาง่ายขึ้น และนอกจากทำให้มึนเมามันยังมีมีฤทธิ์ที่ทำให้เกิดความกำหนัด แต่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะยิ่งใช้มากก็ยิ่งอันตรายมาก นั่นเองจึงอธิบายได้ว่า ทำไมเลนนี่จึงต้องเรียกโสเภณีให้ฮานส์ถึงสองคน!



วิโอเลียดูเหมือนว่าจะเป็นพืชที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย มันควรจะได้รับความนิยมในการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย แต่กลับไม่ใช่ เพราะวิโอเลียถือเป็นพืชที่ปลูกยากและให้ดอกน้อยมาก ปีหนึ่งจะออกดอกเพียงครั้งเดียวกลางฤดูร้อน และมันจะออกดอกเพียงต้นละดอกเท่านั้น พอเก็บดอกแล้วก็ต้องรอไปอีกหนึ่งปี มันจึงหายากและมีราคาแพง

ต่อข้างล่างจ้า
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 2 ชายพเนจร 100% อัพ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 02-11-2018 20:32:29

บนระเบียงของปราสาทที่หันหน้าออกไปยังสวนด้านนอก เจ้าของร่างสูงเพรียวยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย กำลังทอดสายตามองไปยังเหล่าเทวดาและนางฟ้าตัวน้อยสีทอง ที่ถูกปั้นแต่งขึ้นให้นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ กลางสระน้ำ และตรงกลางวงของร่างเล็ก ๆ กลุ่มนั้น จะมีน้ำพุพุ่งขึ้นมาเป็นช่วงอย่างสวยงาม สายน้ำใสสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ และจูเลียนกำลังเฝ้ารอดูมัน แต่ยังไม่ทันได้เห็นสายน้ำที่ใช้วิธีการผันน้ำให้พุ่งขึ้นตรงใจกลางของสระ ก็มีอย่างอื่นมาเรียกความสนใจหนุ่มน้อยไปเสียก่อน

“ฝ่าบาท” พอหันกลับมาเห็นว่าเป็นใคร จูเลียนก็แทบจะปรี่เข้าหาเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ข้างหลังทันที

“กรอสเซ่ ข้าให้คนไปตามเจ้ามาแต่เช้าคงไม่ว่าข้านะ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”

“หม่อมฉันมิบังอาจหรอก ว่าแต่ฝ่าบาท..”

“ไม่ต้องลำบากพูดแบบคนอื่นกับข้าหรอก ข้าแค่คิดถึงเจ้ายอดรักของข้า”

“ข้าก็คิดถึงจูเลียนเหลือเกิน คิดถึงจนแทบจะรอไม่ไหว” มีแต่กรอสเซ่เท่านั้นรู้ว่าสายตาของเขาที่มองจูเลียนมันเสแสร้ง แต่สายตาหวานหยาดเยิ้มของจูเลียนที่มองตอบนั้น มันเปิดเผยความในใจอย่างไม่ปิดบัง ไม่มีอะไรซ่อนเร้นในดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้น ที่บอกว่ารักและหลงใหลเขามากขนาดไหน

“ก่อนอื่นข้าต้องขอแสดงความยินดีกับกวีประจำราชสำนักคนใหม่ ข้ามีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าไปแล้ว”

“ฝ่าบาทกรุณาต่อข้าเหลือเกิดยอดรัก” กรอสเซ่ทำท่าจะคุกเข่าลงตรงหน้าจูเลียน แต่ก็ถูกรั้งเอาไว้ก่อนจากคนที่เขาตั้งใจคุกเข่าขอบคุณ จูเลียนประคองกรอสเซ่ขึ้นสายตาไม่ละไปจากใบหน้าขาวของกวีหนุ่ม

“ไม่ต้องหรอก”

“ฝ่าบาท”

“ไหนล่ะรางวัลของข้า ข้าจะเอารางวัลนะกรอสเซ่และข้าต้องได้เดี๋ยวนี้” กรอสเซ่แย้มยิ้มแต่ภายใต้รอยยิ้มนั้น นอกจากตัวเขาเองก็หาได้มีผู้ใดล่วงรู้ไม่ ว่ามันคือฟันที่ขบกันแน่น ชายหนุ่มเพียงขยับริมฝีปากออกโดยที่ริมปากทั้งบนและล่างไม่ได้เผยออ้าจากกัน ซึ่งใคร ๆ ได้เห็นก็คงจะดูออกว่ามันเป็นยิ้มที่ฝืดฝืนมากเพียงใด แต่คงไม่ใช่จูเลียนผู้ที่กำลังถูกความรักบังตา จึงยากจะมองเห็น!

“ข้าต้องให้รางวัลยอดรักของข้าอยู่แล้ว” จูเลียนหลับตาพริ้มรอรับรางวัลที่คนรักกำลังจะมอบให้ ความตื่นเต้นที่กรอสเซ่จะแสดงความรักอีกครั้ง ทำให้ก้อนเนื้อในอกเต้นรัว ยิ่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดผิวเนื้อ จูเลียนยิ่งตื่นเต้นจนร่างเพรียวสั่นไหว ยิ่งรู้สึกได้ถึงมือใหญ่ที่สัมผัสท้ายทอยเพื่อกดให้ใบหน้าเขาหากัน จูเลียนยิ่งแทบอยากกระโจนเข้าหาเสียเองให้ทันใจตัว

“อยู่นี่เอง” ! กรอสเซ่ผลักจูเลียนออกห่างแทบไม่ทัน เมื่อเสียงใส ๆ ดังขึ้นข้างหลังของกษัตริย์หนุ่มน้อยและชายคนรัก

“ทาร์เทียนา เจ้ามาทำไม”

“นี่มันยามเช้าที่สดใสมากนะแต่ดูเหมือนเจ้าจะอารมณ์เสียแล้วสิจูเลียน”

“ข้าไม่ได้อารมณ์เสีย ว่าแต่เจ้าเถอะมาทำไมแต่เช้า” ถึงจะบอกว่าไม่ได้อารมณ์เสียแต่พักตร์ที่บูดบึ้งก็ประกาศชัดเจน ว่าตอนนี้จูเลียนหงุดหงิดมากขนาดไหน แต่กระนั้นแฝดน้องก็ยังยิ้มหวานลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่รับรู้เช่นเดิม

“เด็กรับใช้ประจำตัวไปไหนแล้วล่ะ ทำไมไม่มาติดตามเจ้า” ถามเพราะเห็นว่าไม่มีใครอยู่ข้างกายกับจูเลียนเลยนอกจากคนที่นางไม่ชอบหน้า

“ข้าให้ลีโอไปทำธุระ ว่าแต่เจ้าเถอะมาทำไม”

“เจ้าอารมณ์เสียจริง ๆ นะจูเลียนข้าแค่มาชวนเจ้าไปดูการซ้อมดาบ นะไปด้วยกัน”

“ข้าไม่ไป ข้าไม่ชอบ” จูเลียนถอนหายใจแล้วบอกอย่างไม่สบอารมณ์ ยิ่งเห็นรอยยิ้มซุกซนที่ประดับใบหน้าของขนิษฐาแฝด ก็ยิ่งไม่พอใจ เพราะคิดว่าทาร์เทียน่าเพียงต้องการเข้ามาขัดจังหวะพลอดรักของตัวเอง

“ไปเถอะน่าข้าอุตส่าห์มาชวนนะกรอสเซ่เจ้าไปด้วยกันสิ” จูเลียนหันมาทางกรอสเซ่เมื่อทาร์เทียน่าถือโอกาสชวนกวีหนุ่มไปด้วย ขนิษฐาแฝดยิ้มหวานให้เขาที่หากเป็นคนอื่นจูเลียนคงนึกเคือง เพราะนางยิ้มจนเห็นฟันขาวสะอาดแทบทุกซี่ แต่สายตาของนางนั้นกลับไม่ยิ้มตาม เพราะมันดูแข็งกร้าวจนน่ากลัว กวีผู้อ่อนไหวอย่างกรอสเซ่ยังยากที่จะกล้าสบตาได้

“เจ้าอยากไปดูการซ้อมดาบหรือไม่กรอสเซ่”

“แล้วแต่ฝ่าบาทจะทรงโปรด”

“ไปเถอะน่า ผู้ชายน่าจะชอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงเรื่องการต่อสู้” แต่อาจจะเว้นผู้ชายสองคนนี้ที่ชอบจินตนาการชวนฝันมากกว่า

“ข้าไม่ชอบ” จูเลียนตอบทั้งขัดใจ

“เจ้าควรฝึกการต่อสู้เอาไว้ป้องกันตัวบ้างนะจูเลียน ไปเถอะข้าจะสอนเจ้าเอง”

“เจ้าเก่งแล้วหรือไงถึงจะคิดมาสอนคนอื่น”

“หึ เก่งกว่าเจ้าก็แล้วกันมาสิ” ทาร์เทียน่าในชุดทะมัดทะแมงคล้องแขนจูเลียนให้เดินไปด้วยกัน โดยไม่แม้แต่จะปรายตามาทางกวีประจำราชสำนักที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งหมาด ๆ เพราะนางไม่พอใจนิโคลเองก็เช่นกัน แต่ด้วยเห็นว่าเป็นตำแหน่งที่ไม่มีความหมายหรือความสำคัญอะไรมากนักทุกคนจึงปล่อยผ่าน





ลานฝึกซ้อมของทาร์เทียน่าก็คือสนามหญ้าภายในบริเวณปราสาทของนาง ที่มีอาวุธชนิดต่าง ๆ ตั้งเรียงรายรอให้หยิบใช้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนอีกด้านเห็นอยู่ไกล ๆ เป็นเป้ายิงธนูที่ยังมีลูกธนูปักคาเอาไว้ ซึ่งทาร์เทียน่าคงซ้อมมันก่อนที่จะเดินไปหาจูเลียนนั่นเอง ทั้งสองเดินมานั่งลงยังชุดเก้าอี้ที่จัดเอาไว้พร้อมชุดน้ำชา กรอสเซ่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหลังของจูเลียน พอนั่งลงจิบเครื่องดื่มร้อน ๆ ให้สดชื่นแล้ว ทาร์เทียน่าจึงลุกขึ้นพร้อมกับดาบของนาง





“จะให้เกียรติเป็นคู่ซ้อมข้าได้หรือไม่ เซอร์เฮนริช” ไม่มียามใดที่จูเลียนจะเสด็จโดยไร้อัศวินประจำตัวเช้านี้ก็เช่นกัน เพราะเพียงกษัตริย์หนุ่มน้อยก้าวเดิน อัศวินผู้เฝ้าดูเพื่อปกป้องก็ก้าวออกมาปรากฏตัว

“ถือเป็นเกียรติของข้าท่านหญิง”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจเกราะของท่านหรอกนะ”

“ตามประสงค์ของท่านหญิงเลยฝ่าบาท” เฮนริชแสดงความเคารพหญิงสาวด้วยการคำนับให้นาง โดยที่สายตาของเขาไม่อาจละไปจากใบหน้างดงามนั้นได้เลย ใบหน้างดงามที่มีส่วนคล้ายคลึงกันกับจูเลียนอยู่มาก แต่รอยยิ้มนั้นกลับตราตรึงใจอัศวินหนุ่มมากยิ่งกว่า

“จับตาดูฝีมือของข้าให้ดีนะจูเลียน”

“คงน่าดูสู้ละครของข้าไม่ได้หรอกทาร์เทียน่า เจ้ารีบไปซ้อมเถอะจะได้เสร็จ ๆ ไปสักที” ทาร์เทียน่ายิ้มร่าให้แฝดพี่ นางซ้อมดาบอย่างอารมณ์ดีเมื่อมีจูเลียนมานั่งทำหน้าตึงอยู่ข้างสนาม คู่ซ้อมทั้งสองเหมือนผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ในความเป็นจริงบุรุษผู้มากกว่าด้วยแรงกำลังและประสบการณ์ย่อมได้เปรียบ เฮนริชที่ดูเหมือนจะต่อสู้อย่างเต็มที่ แอบอ่อนข้อให้นางอย่างแนบเนียน ส่วนจูเลียนที่ดูเหมือนจะสนใจในคราแรก ตอนนี้กลับมองสองคนที่ฟาดฟันดาบเข้าหากันด้วยความเบื่อหน่าย เพราะไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้แต่ก็จำใจฝืน หันไปหาคนรักเชิญชวนให้นั่งลงคุยกัน จากนั้นหนุ่มน้อยก็หันหลังให้การต่อสู้อย่างไม่ไยดี

---------------

“ท่านจะปล่อยให้มันลอยหน้าลอยตาในวังแห่งนี้ไปอีกนานแค่ไหน” ชายวัยกลางคนร่างท้วมถามชายรุ่นราวคราวเดียวกันที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ บ่งบอกตำแหน่งในการประชุมนี้ว่านั่นคือหัวหน้าผู้มีอำนาจสูงสุดที่นี่

“ใจเย็นสิ เจ้าก็รู้ว่าเราทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้” ชายอีกคนพูดขึ้น ตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ด้านขวาของหัวโต๊ะ เขาพูดแทนคนเป็นหัวหน้าในฐานะผู้ช่วย แต่ชายวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขามที่นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำกลุ่ม กลับยังนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้นิ่ง ด้วยใบหน้าที่ยากจะเดาความรู้สึกอยู่เช่นเดิม

“แล้วต้องให้รออีกนานแค่ไหนกันล่ะ แผนของเราถึงจะได้เริ่มจริง ๆ จัง ๆ สักที” คำถามนี้เป็นของชายหนุ่มอายุราวสามสิบ เขาสวมชุดอัศวินดูสง่างามมากทีเดียว แต่ท่าทางใจร้อนและลนลานนั่นกลบความน่าเชื่อถือของเขาลงไปแทบหมด

“ถ้าเจ้ายังไม่ลืมวันที่มันกลับจากล่าสัตว์ก็น่าจะเห็นว่าแผนของเราเริ่มแล้ว” ชายผู้ช่วยยังคงทำหน้าที่ตอบคำถามแทนผู้เป็นหัวหน้าอยู่เหมือนเดิม และพอได้ยินคำตอบชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้างอัศวินก็เยาะหยันขึ้นทันที

“แต่ก็ล้มเหลวตั้งแต่เริ่มใช่ไหมล่ะ หึ”

“เจ้าจะรีบร้อนไปไหนเรามีเวลาอีกนาน” ชายผู้ช่วยบอกแล้วกวาดตามองทุกคนที่นั่งรอบโต๊ะอย่างมีความนัย

“ใช่ นานพอให้มันผลาญเงินในคลังจนหมดเลยเชียวล่ะ” ชายวัยกลางคนร่างท้วมสวนขึ้นทันที แววตาของเขาไม่ปิดบังความอิจฉาเลยสักนิด เขาไม่ชอบใจที่เงินแผ่นดินในคลังหลวงถูกใช้ไปกับสิ่งที่มองไม่เห็นประโยชน์กับใคร นอกจากตัวคนที่สั่งให้เอาเงินออกมาใช้เอง

“ปล่อยให้มันหลงระเริงไปเถอะ ดีสิมันจะได้ตายใจจากนั้นเราค่อยกำจัดมันให้พ้นทาง”

“เตรียมคนของเจ้าเอาไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน”

“คนของข้าพร้อมอยู่ตลอดเวลา ส่วนเจ้าล่ะทำอะไร”

“ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบมากกว่าเจ้าก็แล้วกัน”

“อย่าคิดว่าจะรับเอาความดีความชอบเป็นของตัวเองทั้งหมดล่ะ”

“ข้าไม่ได้หวังสิ่งใดมากไปกว่าอยากให้บ้านเมืองได้คนดี ๆ มาปกครอง และนั่งบนบัลลังก์อย่างสมเกียรติ”

“แล้วใครจะคู่ควร”

“อย่ามัวแต่เถียงกันให้เสียเวลา” ! ชายที่นั่งหัวโต๊ะพูดขึ้นอย่างรำคาญ เมื่อสมาชิกที่นั่งอยู่รอบโต๊ะเอาแต่เถียงกันไปเถียงกันมากอย่างไร้สาระ “งานนี้เราจะต้องวางแผนให้รอบคอบ พวกเจ้าอย่าลืมสิว่านี่มันไม่ใช่แค่การกำจัดจูเลียน แต่เราต้องทำให้ชาวเมืองเห็นด้วยว่ามันสมควรถูกกำจัดจริง ๆ และต้องจัดการให้แนบเนียนที่สุด”

“ชาวเมืองส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รักจูเลียนเท่าไหร่หรอกน่า พวกที่หนุนมันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะรักเฟรเดอริคพ่อของมันต่างหาก”

“ข้าว่าถ้าใช้คนของเราไม่ได้ก็ต้องใช้คนนอก”

“นั่นมันเสี่ยงเกินไป”

“ไม่เสี่ยงหรอกถ้าหาคนฝีมือดีสักหน่อย ทางมอนทาร์น่าว่ายังไง”

“หรือเราจะยืมมือมอนทาร์น่าให้จัดการแทน”

“ไม่ต้องยืมหรอก แค่มันปล้นขบวนสินค้าของออสเซนเทียก็รู้แล้วว่ามันคิดยังไง”

“แต่มอนทาร์น่าตอบรับคำเชิญมาร่วมงานประจำปี”

“ใช่ และเราอาจจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างบ้างก็ได้หากพวกนั้นยอมมาจริง”

“ข้าได้ข่าวว่ากษัตริย์แห่งมอนทาร์น่าเป็นคนเด็ดขาดมาก”

“อเล็กซิสน่ะหรือ แล้วยังไงล่ะ”

“ถ้าทางนั้นมาร่วมงานประจำปีของเราจริง แสดงว่ามันต้องวางแผนอะไรบางอย่างเอาไว้แล้วแน่นอน”

“แล้วทางสวาเนียร์ล่ะ”

“มีข่าวออกมาว่าสวาเนียร์อยากเร่งให้จูเลียนแต่งงานกับเจ้าหญิงอนาสตาเซียเร็ว ๆ”

“ทำไม”

“คงอยากเชื่อมสัมพันธ์กับเราเพื่อความแข็งแกร่งของประเทศตัวเอง”

“แต่ข้าว่ายังไงจูเลียนก็ไม่ยอม ดีไม่ดีอาจจะโยนไปให้นิโคลัสก็ได้”

“ไม่ว่าจะแต่งกับใครมันก็ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย เราต้องดึงมอนทาร์น่ามาเป็นพวกให้ได้ก่อน”

“นั่นไม่ใช่เรื่องยากหรอกข้าขออาสาไปเจรจากับมอนทาร์น่าเอง”

“พวกเจ้าจะรีบร้อนอะไรกันนักหนา” ชายที่นั่งอยู่หัวโต๊ะขัดขึ้น ขณะที่คนอื่น ๆ กำลังปรึกษากันอย่างออกรส ทำให้ทุกคนหันไปมองเขาเป็นตาเดียว

“หรือท่านไม่รีบล่ะ หากกำจัดจูเลียนกับพี่น้องของมันได้ คนที่จะได้นั่งบัลลังก์ก็คือท่านไม่ใช่หรือไง”

“หึ..” ชายที่นั่งหัวโต๊ะตรงตำแหน่งผู้นำเพียงแค่นยิ้มออกมา แต่สายตาของเขานั้นหาได้ยิ้มด้วยไม่ เพราะมันแข็งกร้าวน่ากลัวจนหลายคนต้องหลบไม่กล้ามอง

“ท่านมีแผนอะไรอยู่กันแน่” ชายอีกคนที่เงียบมาตั้งแต่นั่งลงที่เก้าอี้ถามขึ้นอย่างคลางแคลงใจ

“ที่ท่านยังไม่ลงมือทำอะไรให้เด็ดขาด เพราะกำลังหวังอะไรอยู่หรือไง” อัศวินหนุ่มปรายตามองชายที่นั่งหัวโต๊ะ

“แล้วเจ้าคิดว่าข้าหวังอะไรอยู่ล่ะ พูดออกมาสิ” และถูกถามกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น หลังจากชายในชุดอัศวินถามแล้วปรายตาไปมองหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในที่ประชุมอย่างออกตัวว่ารู้เท่าทัน

นี่คือบรรยากาศภายในห้องลับห้องหนึ่ง การประชุมลับเกิดขึ้นหลายครั้งเพราะต้องวางแผนให้รัดกุม เพื่อบรรลุตามจุดประสงค์ของกลุ่มอย่างที่ตั้งเอาไว้ พอการประชุมเลิกต่างคนก็ต่างแยกย้ายออกไปกันคนละทางเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ

********* 50%*******
แจกันวันพรุ่งจ้า
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 3 เพื่อนเก่า 100% อัพ]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-11-2018 15:09:11
“ฝ่าบาท รัฐมนตรีโจเซฟและลูกสาวขอเข้าเฝ้า” จูเลียนขมวดคิ้วมุ่น เพราะสงสัยว่าทำไมรัฐมนตรีถึงได้มาขอเข้าเฝ้าในเวลาเช่นนี้ ซึ่งเป็นเวลาพักผ่อนส่วนตัวของเขา “หรือว่ามิทรงโปรด”

“ให้เขาเข้ามา” ลีโอน้อมคำนับแล้วออกไป ไม่นานคนที่ขอเข้าเฝ้าก็เข้ามาในห้องนั่งเล่น ซึ่งจูเลียนกำลังจิบชายามบ่ายและอ่านบทกวีอย่างที่ทำทุกวัน

“ฝ่าบาทอภัยด้วยที่ข้ามารบกวน ถวายพระพร”

“ถวายพระพรฝ่าบาท”

“สวัสดีท่านรัฐมนตรีและนี่คงจะเป็นลีอานนาสินะ” ลีอานนาถอนสายบัวด้วยกิริยามารยาทที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี หากเป็นชายอื่นก็คงมองความสวยน่ารักของนางอย่างหลงใหล แต่ไม่ใช่จูเลียนผู้ไม่ได้มีสายตาไว้มองหญิงใดทั้งนั้น

“ไม่ได้รบกวนหรอก ท่านมีอะไรทำไมถึงได้อยากพบข้าตอนนี้”

“ฝ่าบาทหม่อมฉันเกรงว่า...” โจเซฟเหลือบมองไปทางลีโอคล้ายกับกำลังบอกว่า เรื่องที่จะพูดนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อยากให้ ใครอื่นรับรู้ด้วย

“ข้ารับรองว่าลีโอจะปิดปากเงียบ” ถึงจะไม่ค่อยพอใจแต่โจเซฟก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เป็นอย่างดี ชายวัยกลางคนสวมบทผู้ใหญ่ใจดียิ้มอ่อนให้กษัตริย์หนุ่มน้อย หากจูเลียนบอกมาแบบนั้น ถึงเป็นรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพลอย่างโจเซฟแต่มีหรือจะกล้าแย้ง เขากระแอมไอเบา ๆ ไม่ใช่เพราะความประหม่า แค่อยากถ่วงเวลาให้ใจเย็นลง แล้วจึงเริ่มเข้าสู่จุดประสงค์ที่มา

“ข้าเพียงอยากมาปรึกษาเรื่องสวาเนียร์ฝ่าบาท” โจเซฟเข้าเรื่องทันที

“สวาเนียร์ทำไมหรือ”

“เจ้าหญิงอนาสตาเซียคู่หมาย”

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะข้ายังไม่ได้คิด”

“แน่นอนฝ่าบาท และงานประจำปีที่จะถึงนี้ฝ่าบาทกับเจ้าหญิงจะมีโอกาสพบกันเป็นครั้งแรก ข้าได้ยินข่าวลือมาว่านางช่างงดงามยิ่งนัก”

“เท่านั้นหรือท่านรัฐมนตรี”

“ข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะ”

“พูดมาเถอะ” โจเซฟหันไปมองลีอานนาที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังเขา ท่าทาเอียงอายของสาวน้อยใครเห็นก็คงหลงรักเอ็นดูนางได้ไม่อยาก แต่สายตาของจูเลียนกลับยังคงนิ่งและรอฟังสิ่งที่โจเซฟกำลังจะบอก

“ข้ามาตรองดูแล้ว หากฝ่าบาทไม่โปรดเจ้าหญิงต่างเมืองลีอานนาพร้อมจะถวายตัว” แม้จูเลียนจะรู้สึกเหมือนถูกกดดัน แต่พักตร์ที่อ่อนเยาว์นั้นก็ยังเรียบนิ่ง ดวงตาสีเขียวมรกตมองตรงอย่างมุ่งมั่น และจับอยู่กับใบหน้าที่เริ่มชราของชายวัยกลางคน ผู้รั้งตำแหน่งรัฐมนตรีของประเทศ จูเลียนไม่มีความวอกแวกสมเป็นกษัตริย์ ไม่แม้สักนิดที่จะชายตาแลสาวน้อยหน้าตาน่ารักที่ยืนเยื้องอยู่ข้างหลังพ่อ ทั้งที่ได้รับข้อเสนอ

“ขอบใจท่านรัฐมนตรี แต่เกรงว่าข้าคงยังไม่ได้คิดเรื่องราชินีตอนนี้ แม้ท่านจะเห็นว่ามันสมควรแก่เวลาแล้วก็ตาม”

“สุดแต่จะโปรดฝ่าบาทข้าแค่บังอาจเสนอความคิดเห็น และคิดว่าคงเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับฝ่าบาทไม่น้อย” จูเลียนรู้ว่ามันเหมาะทีเดียวสำหรับโจเซฟที่จะเพิ่มพูนอำนาจให้แก่ตัวเอง แต่คงไม่ใช่สำหรับกษัตริย์ผู้อ่อนเยาว์เช่นเขา โจเซฟก้มหัวลงอย่างเจียมตัว แต่แท้ที่จริงแล้วเขาเพียงอยากปิดบังดวงตาแข็งกร้าวที่วาววับขึ้น เมื่อจูเลียนไม่ยอมเห็นชอบตามข้อเสนอ ไม่แม้แต่จะเกรงต่ออำนาจในมือเขาสักนิด!

“ความคิดเห็นของท่านเป็นประโยชน์ และจำเป็นต่อข้ามากท่านรัฐมนตรี ถ้าอย่างนั้นท่านคงไม่ว่าหากข้าอยากจะปรึกษาท่านเรื่องการสร้างปราสาทฤดูร้อนอีกหลัง”

“ถือเป็นเกียรติของข้าแล้วฝ่าบาท” แล้วจากนั้นเรื่องที่โจเซฟตั้งใจมาพูดและโน้มน้าวก็ถูกมองข้ามไป เพราะจูเลียนเอาแต่เฝ้าพรรณนาถึงความยิ่งใหญ่อลังการของปราสาทฤดูร้อนบนเขา ที่กำลังทำการออกแบบ และอีกไม่นานจะถูกสร้างขึ้นมา จูเลียนปรึกษาเรื่องการสร้างปราสาทหลังใหม่และงบประมาณที่จะต้องใช้อยู่นาน จนลีโอที่ยืนเฝ้าเจ้านายแทบจะยืนหลับ

“เย็นนี้อย่าลืมมาชมละครกับข้านะท่านรัฐมนตรี เจ้าด้วยนะลีอานนา”

“ฝ่าบาทกรุณาขนาดนี้ข้าจะพลาดได้อย่างไร” พอสองพ่อลูกออกไปแล้วจูเลียนจึงหันมาทางลีโอที่ยืนทำหน้าตาแปลก ๆ อยู่ในมุมเดิม

“เจ้าเป็นอะไรหรือลีโอ”

“ขา ขาลีโอแข็งไปแล้วฝ่าบาท”

“ก็แล้วเจ้าทำไมไม่หาเก้าอีกมานั่งเล่า”

“ก็ข้าไม่อยากออกจากห้องแล้วปล่อยให้ฝ่าบาทอยู่กับสองพ่อลูกนั่นเพียงลำพัง” แน่นอนว่าลีโอนั้นไม่มีสิทธิ์นั่งเก้าอี้ตัวใดที่อยู่ในห้องนี้ทั้งสิ้น และเด็กหนุ่มก็ไม่เคยปรารถนาอยากจะนั่ง แม้จูเลียนจะมีคำสั่งมาหลายครั้งลีโอก็ไม่เคยทำตาม

“เก้าอี้ในห้องก็มีเจ้าทำไมไม่ไปนั่งเล่า”

“..หม่อมฉันไม่คู่ควรฝ่าบาท”

“สมน้ำหน้าเถอะ” ในยามที่อยู่ด้วยกับเพียงลำพังนั้น จูเลียนปฏิบัติกับลีโอไม่ต่างจากเพื่อนคนหนึ่ง แม้จะมีข่มอยู่บ้างก็ด้วยนิสัยเอาแต่ใจตัวหาได้มาจากชาติกำเนิดที่สูงกว่าไม่ แต่เป็นลีโอเองที่เจียมตัวอยู่เสมอและครั้งนี้ก็เช่นกัน

“ไปเตรียมตัวให้ข้าสำหรับงานเย็นนี้เลยไป”

“รับทราบฝ่าบาท”









ห้องจัดแสดงละครภายในปราสาทของจูเลียน แม้จะไม่กว้างใหญ่เท่าห้องแสดงในงานจัดเลี้ยงวันก่อน แต่ก็ยังสามารถจุผู้ชมได้กว่า 50 ชีวิต ซึ่งมีทั้งข้าราชบริพารและคนที่จูเลียนเชิญมา พวกเขาเหล่านั้นมีทั้งมาด้วยความเต็มใจและไม่เต็มใจแต่ขัดไม่ได้ จูเลียนั่งเป็นประธานตรงกลางหันหน้าสู่เวทีใจจดใจจ่อ หนุ่มน้อยยิ้มร่าอารมณ์ดีเพราะวันนี้สั่งให้แสดงละครเรื่องโปรดอีกเรื่อง ซึ่งประพันธ์เอาไว้โดยกวีชื่อดังในอดีต นั่งข้างซ้ายของยุวกษัตริย์คือกรอสเซ่ยอดรัก ข้างขวาคือพี่ชายอย่างนิโคล ถัดไปจากนั้นเป็นรัฐมนตรีโจเซฟและลูกสาว รัฐมนตรีหันหน้ามาคุยปรึกษากันกับนิโคลเป็นระยะ นอกจากนั้นก็ใครอีกหลายคน จะขาดก็แต่ทาร์เทียน่าเพราะไม่ชอบและมักจะขัดใจจูเลียนด้วยการไม่มาร่วมอยู่เสมอ





เสียงพูดคุยภายในห้องเงียบลงทันทีเมื่อการแสดงเริ่มขึ้น ทุกคนสวมบทบาทผู้ดีนั่งหลังตรง สายตามองไปยังเวทีเล็กด้านหน้าที่กำลังมีการเคลื่อนไหว จูเลียนแทบไม่กะพริบตาตั้งแต่การแสดงเริ่มขึ้น เขาเฝ้าจับตามองทุกบททุกตอน ทุกอากัปกิริยาของตัวละครที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นตัวพระหรือตัวนาง คนแก่ เด็ก ผู้ใหญ่ ด้วยใจรักจูเลียนจะให้ความสนใจเพื่อดื่มด่ำกับงานศิลปะที่ชื่นชอบ หนุ่มน้อยเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง โลกแห่งความฝันและฝันนั้นช่างแสนหวาน แต่ไม่รู้ว่าทำไมตัวนางที่กำลังแสดงอยู่นั้นชอบส่งสายตามาทางนี้นัก เหมือนไม่ได้จดจ่ออยู่กับบทบาทของตัวเอง จูเลียนรู้ว่านางไม่ได้มองที่เขา ครั้งแล้วครั้งเล่าที่สายตาหวานเชื่อมคู่นั้นถูกส่งมา และมันทำให้จูเลียนไม่สบอารมณ์จนเริ่มขัดใจ เนตรเขียวมรกตเป็นประกายใสเหลือบมองคนนั่งข้าง ๆ ก็เห็นยังดื่มด่ำกับการแสดงเหมือนไม่รู้ตัวสักนิด ว่ากำลังถูกหญิงสาวจ้องมอง ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินั้นนอกจากจูเลียนเพียงคนเดียวจนกระทั่ง





“หยุด!” ทุกอย่างหยุดนิ่งชะงักค้างเมื่อจูเลียนสั่งเสียงกร้าวและยืนขึ้น เพราะขัดใจจนทนไม่ได้

“มีอะไรหรือจูเลียน” มีเพียงนิโคลเท่านั้นที่กล้าเอ่ยถามยามจูเลียนอยู่ในอารมณ์เช่นนี้ ส่วนคนอื่นได้ยินคำสั่งเสียงดังก็ได้แต่มองและเงียบอย่างไม่เข้าใจ

“วันนี้การแสดงจบแล้ว”

“ฝ่าบาทแต่ละครเพิ่งแสดงไปยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเลย” กรอสเซ่เอ่ยแย้งเบา ๆ แน่ล่ะเพราะเขากำลังดื่มด่ำกับการแสดง แม้ว่าบางทีสายตาจะละไปมองอีกทาง แต่ละครบนเวทีก็น่าชมอยู่ไม่น้อยเลย

“เจ้าอยากดูต่ออย่างนั้นหรือกรอสเซ่”

“สุดแท้แต่ฝ่าบาท แต่..”

“แต่อะไรล่ะ หรือเจ้าชอบมัน” จูเลียนชี้ไปยังนางเอกละครที่ยืนหน้าซีดอยู่บนเวทีกับนักแสดงคนอื่น ๆ

“ข้า..”

“ข้าปลดเจ้าออกจากคณะละคร” เป็นเพราะคำตอบที่ลังเลของกวีหนุ่มแท้ ๆ ทำให้จูเลียนสั่งอย่างคนเอาแต่ใจท่ามกลางความงงงันของทุกคนในห้องละคร โดยเฉพาะเหล่านักแสดงที่ยืนตัวสั่นเพราะไม่รู้ว่าได้เผลอทำอะไรขัดใจกษัตริย์ อยู่ดี ๆ นางเอกก็ถูกปลดออกไม่มีปี่มีขลุ่ย

“การแสดงจบแล้ว” จูเลียนเดินออกไปโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น ไม่สนใจแม้กระทั่งเสียงเรียกของกรอสเซ่ยอดรักที่ดังขึ้นตามหลัง

“ฝ่าบาท” !





ทุกคนทยอยออกจากห้องละคร จูเลียนเจ้าของปราสาทเดินหายไปพร้อมกับอัศวินประจำตัวและเด็กรับใช้ ไม่สนใจแม้กระทั่งคนรักของตัวเองที่บอกว่ารักนักรักหนา กรอสเซ่ทำตัวไม่ถูกเพราะดูเหมือนจูเลียนจะโกรธเขาเข้าให้แล้ว เขารอให้คนอื่น ๆ เดินออกจากห้องนั้นหมดก่อนแล้วจึงเดินออกไปเป็นคนสุดท้าย โดยไม่คิดจะตามจูเลียนไป เพราะถึงอย่างไรหากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่มีสิทธิเข้าไปถึงส่วนในของปราสาทอยู่ดี





“ไปทำอะไรให้กษัตริย์โกรธเข้าล่ะ” กรอสเซ่หยุดเท้าเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นตามหลัง พอหันกลับมาเห็นเจ้าของเสียงก็ต้องแปลกใจ

“ท่านรัฐมนตรี” !

“เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือไง”

“ในเมืองนี้จะมีใครที่ไม่รู้จักท่านโจเซฟ รัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจบ้างล่ะ”

“รู้จักข้าก็ดีแล้ว”

“มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือท่านรัฐมนตรี”

“ข้าแค่อยากทักทายสหายคนสนิทของกษัตริย์ และแสดงความยินดีกับกวีประจำราชสำนัก”

“ข้าว่านั่นคงไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการพูดหรอกใช่ไหม”

“ดูเหมือนเจ้าจะมองข้าออกเพียงคุยกันครั้งแรก”

“แค่ลองเดา”

“กษัตริย์โกรธเพราะนางละครคนนั้นจ้องมองเจ้า” กรอสเซ่มีสีหน้าฉงนเขาไม่ได้สังเกตเลยว่านางมองเขา

“ข้าไม่เห็นรู้”

“ก็เพราะนอกจากชมละครสายตาของเจ้ายังเอาแต่มองไปทางอื่น แล้วจะรู้ได้อย่างไรล่ะ เอ่อ..”

“กรอสเซ่คือชื่อของข้า” กรอสเซ่ยินดีที่ได้รับความสนใจจากคนระดับรัฐมนตรีจึงรีบแนะนำตัว เมื่อโจเซฟเว้นช่วงเหมือนจะเอ่ยชื่อเขาออกมา เพราะเอาแต่คิดว่าตัวเองมีความสำคัญ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งกวีประราชสำนัก แต่กลับลืมนึกไปว่าทำไมคนระดับนั้นถึงต้องการเสวนาด้วย

“อ่า กรอสเซ่ นางงดงามและน่ารักมากใช่ไหมล่ะ”

“ท่านรัฐมนตรีหมายถึง..”

“เจ้าแอบมองนางอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“ท่านเห็น” ! กรอสเซ่ตกใจมาก เพราะหากเรื่องนี้ถึงหูจูเลียนคงไม่เกิดผลดีต่อเขาเป็นแน่ และท่าทางตกใจนั่นก็อยู่ในสายตาของชายแก่วัยที่แสยะยิ้มอย่างเหนือกว่า

“แลกกับการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ข้า เรื่องของนางข้าช่วยเจ้าได้นะ”

“หืม..” กวีหนุ่มครางเบา ๆ ออกมาจากลำคอเขาไม่อยากเชื่อ รัฐมนตรีหมายความว่าอย่างไรที่จะช่วยเขาเรื่องนาง ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงได้มาเสนอตัวช่วยเหลือกันอย่างนี้

“แต่ข้าไม่ได้มอง..”

“ข้าชอบดูคน และข้าก็เห็นเจ้าเอาแต่เฝ้ามองนาง สัญญาสิว่าจะทำงานให้ข้าแล้วเจ้าจะสมหวัง แต่หากเจ้าไม่ได้ชอบนาง..”

“นางที่ท่านหมายถึงคือ..”

“คืนนี้เจ้าไม่ได้สนใจนางละครเลยสักนิดกรอสเซ่ ไม่สนใจแม้กระทั่งจูเลียนที่นั่งอยู่ข้างกายเจ้า ทั้งที่เขาให้เกียรติเจ้าขนาดนั้น เพราะสายตาเจ้าเอาแต่มองสาวน้อยคนหนึ่ง”

“ท่าน” ! กรอสเซ่ค่อนข้างตกใจ เขากวาดตามองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว เพราะกลัวจะมีใครมาได้ยินเข้า แม้ว่าทั้งสองจะคุยกันเบา ๆ เพียงสองคนก็ยังอดระแวงไม่ได้ และตอนนี้กรอสเซ่ก็เริ่มระแวงมากขึ้น เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าเขาอยู่ในฐานะอะไร จูเลียนเคยปิดบังเสียที่ไหนกัน โจเซฟเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของกรอสเซ่ก็รู้ว่าเขากำลังกลัวอะไร จึงขยับเขาไปกระซิบข้างหูของกวีหนุ่ม

“ว่าอย่างไรล่ะ สัญญาสิว่าจะทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ข้า แล้วข้าจะทำให้เจ้าสมหวังกับนาง เรื่องนี้จะรู้กันแค่เราสองคน” กรอสเซ่เชื่อจนสนิทใจ เพราะระดับรัฐมนตรีแค่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นของผู้ชายคนหนึ่งคงไม่ยาก แต่เขาไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนั้นเป็นใคร

“ท่านหมายความว่ายังไงหรือท่านรัฐมนตรี” กรอสเซ่ยังมีความคิดพอที่จะไม่ไว้วางใจ เพราะอยู่ดี ๆ คนที่เป็นถึงรัฐมนตรีมีอำนาจล้นเหลือ จะมาเสนอตัวเพื่อช่วยเขาเพียงแค่แลกกับการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ มันเลยน่าสงสัยทีเดียว

“นางชื่อลีอานนา”

“ลีอานนา” กรอสเซ่ครางชื่อนางเสียงแผ่ว ดวงตาเปล่งประกายแสงบางอย่างออกมา ที่คนแก่วัยกว่ามองออกได้ไม่ยาก เขาตกหลุมรักนางเข้าแล้ว!

“ใช่ ลีอานนา ลูกสาวข้าเอง” ! กรอสเซ่อึ้งจนดูเหมือนกับว่าตัวของเขาแข็งค้างไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวที่เขาเฝ้าแอบมองแท้จริงแล้วเป็นถึงลูกสาวของรัฐมนตรี

“โปรดอภัยข้าด้วย”

“เจ้าเป็นถึงกวีประจำราชสำนักไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องขออภัย หากรักนางจริงก็ถือเป็นเกียรติของนางมากทีเดียว” ความลำพองในใจที่มีอยู่แล้วนั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก เมื่อได้ยินวาจายกยอปอปั้น กรอสเซ่โค้งคำนับแล้วยืดอกยิ้มรับ ในใจหมายมาดว่าสักวันหนึ่งต้องได้คุยทำความรู้จักกับนางให้ได้





ความปลื้มปีติของกวีหนุ่มอยู่ในสายตาเสือเฒ่าอย่างรัฐมนตรีโจเซฟ เขาลอบยิ้มอย่างสมใจเตรียมแผนขั้นต่อไปในหัว แม้จะมองตำแหน่งกวีประจำราชนักเป็นเพียงแค่ตำแหน่งไร้อำนาจ แต่คนที่อยู่ในตำแหน่งนั้นกลับมีประโยชน์ไม่น้อยเลย ช่างบังเอิญจริง ๆ

“อย่าลืมเสียล่ะ”





--------------------------------





ประตูที่เปิดออกนั้นไม่ได้หยุดความเร่าร้อนบนเตียงได้เลย เพราะร่างที่กำลังขับเคี่ยวเข้าหากันอย่างเมามันของชายหนุ่มสองคน ไม่แม้แต่จะหันมาสนใจผู้มาใหม่ที่เดินเข้ามานั่งรอบนเก้าอี้ สีหน้าและแววตาของผู้ที่เพิ่งมาถึงเแสดงความเบื่อหน่ายออกมาอย่างไม่ปัดบังแม้ไม่มีใครเห็น และราวกับว่าคู่ร่วมรักที่อยู่บนเตียงกำลังยั่วโมโหคนรอ เพราะไม่มีทีท่าว่าความเร่าร้อนนั้นจะจบลงง่าย ๆ ร่างเพรียวบางของหนุ่มน้อยที่กำลังควบขี่อยู่บนร่างหนาหนั่นแน่นกล้ามเนื้อ ยังส่ายร่อนสะโพกด้วยจังหวะเสพสมที่ร้อนแรง ปากก็ปล่อยเสียงครางดังก้องห้องอย่างหน้าไม่อาย

“อ้า ท่าน อะ โอ้วววว”

“..”

“อ๊ะ มี มีคนมา”

“ช่างเขาสิ” ผู้ชมได้แต่ส่ายหัวเมื่อรู้ว่าตัวเองเดินมานั่งผิดมุม เพราะภาพตรงหน้าคือท่อนลำขนาดใหญ่ที่ผลุบเข้าออกช่องทางสวาทจากการขยับโยกตัว โสเภณีชายร่างกายเพรียวบางเร่งชักนำแก่นกายช่วยตัวเอง ให้เข้ากับจังหวะกระแทกตอกอัดสวนขึ้น ความเสียวซ่านที่แผ่กำจายไปทั้งตัว มันมัวเมาให้หลงวนเวียนอยู่ในรสคาวของโลกีย์เสน่หารัญจวนใจ เจ้าของร่างหนาที่อยู่เบื้องล่างทำตัวเป็นเหมือนที่ระบายชั้นดี ที่โสเภณีชายจะควบขี่เขาอย่างไรก็ได้ จนความเร่าร้อนได้เดินทางเกือบถึงจุดหมายปลายทาง ร่างเพรียวจึงถูกจับพลิกให้อยู่ในท่าคลานเข่า เจ้าของร่างหนาไม่รอช้าให้เสียงจังหวะ เขาสอดแทรกตัวเองเข้าข้างหลังร่างเพรียว เร่งกระแทกแทงกระหน่ำจนร่างนั้นหัวสั่นหัวคลอน ความเป็นชายรัวกระหน่ำเข้าใส่ราวกับว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนคนถูกกระทำอ้าปากครางเสียว พร้อมกับปลดปล่อยธารอารมณ์ออกมาเป็นสาย เจ้าของร่างใหญ่แหงนหน้าเชิดมือกระชับมั่นที่บั้นท้ายคนรองรับ สะโพกสอบแข็งแกร่งเร่งกระหน่ำตัวเองเขาใส่ จนสุดท้ายและท้ายที่สุด เขากดตัวเองเน้น ๆ เข้ากับสะโพกขาวนวล ลำกายใหญ่โตสอดใส่เข้าลึกที่สุด เน้นย้ำลึกให้ลึกเท่าลึกยามปลดปล่อยสายธารแห่งอารมณ์ออกมา





“สวัสดี” เจ้าของร่างหนาบนเตียงทักทาย เมื่อถอดถอนตัวเองออกจากช่องทางกลวงโบ๋ เพราะขนาดใหญ่โตของเขาที่เข้าออกตรงนั้นอยู่นานค่อนวัน มันจึงยากจะหุบลงได้ในทันทีที่สิ่งเติมเต็มหลุดออก

“ข้ามาตั้งนานแล้วเพิ่งนึกได้หรือไงว่าต้องทักทาย”

“เจ้าก็เห็นอยู่ว่าข้าไม่ว่าง”

“สองวันแล้วนะฮานส์ วิโอเลียยังไม่สิ้นฤทธิ์หรือไง หึ”

“อย่างข้าไม่ต้องใช้วิโอเลียก็สามารถทำต่อเนื่องได้เป็นเดือน” ฮานส์ตอบทีเล่นทีจริงแล้วตบเข้าที่บั้นท้ายของโสเภณีชาย คนข้างกายที่ยังเปลือยเปล่าจึงลุกขึ้นจากเตียงเก็บเสื้อผ้ามาใส่ลวก ๆ แล้วออกจากห้องไป

“หึ เจ้าพูดเกินไปแล้ว”

“เจ้ามาทำไมเลนนี่” ฮานส์ถามเสียงแผ่วเพราะร่างกายยังคงหอบจากความเร่าร้อนของบทรักยาวนาน เขาขยับตัวนั่งพิงหัวเตียงหันมามองเพื่อนรักรอคำตอบ

“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าจะมารับ”

“นั่นมันเมื่อสองวันก่อนที่เจ้าต้องมารับข้า”

“ข้าเพิ่งว่างนี่”

“เป็นเพราะเจ้าไม่ว่างละมั้ง ข้าเลยอาจจะโดนวิโอเลียเข้าให้อีกรอบ”

“เจ้ามันบ้าตัณหาต่างหากล่ะ”

“หึ..” ฮานส์หลุดยิ้มออกมาที่เลนนี่ว่าเขาบ้าตัณหาทั้งที่สองคนก็คงพอ ๆ กัน

“ไปเถอะป้อมของข้ารอต้อนรับเจ้าอยู่”

“ใครบอกว่าข้าจะพักที่ป้อมของเจ้าล่ะเลนนี่”

“หรือเจ้าจะพักที่นี่กับโสเภณีพวกนี้ล่ะ ข้าจะได้จ่ายค่าบริการไว้ให้ทั้งเดือนเลย”

“ก็น่าจะดีกว่าอยู่กับเจ้าล่ะ เพราะข้าคง...” ฮานส์ลากสายตามองเลนนี่ที่อยู่ในชุดธรรมดา แต่เป็นชุดธรรมดาในแบบที่เรียกได้ว่าหรูหราสมฐานะ และบรรดาศักดิ์ของเขามากทีเดียว ชายหนุ่มหรี่ตาเบ้ปากให้เพื่อน “ถึงเจ้าจะคิดว่าข้าบ้าตัณหา แต่ข้าคงกินเจ้าไม่ลงหรอกเลนนี่”

“..” เลนนี่ได้แต่ส่ายหัวเพราะตัวเขาเองนึกภาพไม่ออกเลย ว่าระหว่างเขากับฮานส์หากเกิดได้ร่วมเตียงกันแบบที่ฮานส์ทำกับโสเภณีชายเมื่อสักครู่ เขาหรือเพื่อนใครจะเป็นฝ่ายกระทำหรือถูกกระทำ หรือจะสลับผลัดเปลี่ยนกัน แต่คงไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะแค่คิดเล่น ๆ เลนนี่ก็รู้สึกคลื่นเหียนเข้าให้แล้ว “ข้าก็กินเจ้าไม่ลงเหมือนกันนั่นแหละ แค่คิดก็..”

“ข้านึกภาพไม่ออกเลยจริง ๆ พอเถอะ” ฮานส์ทำท่าเหมือนจะคายของเก่า เขาลุกจากเตียงเดินเปลือยเปล่าโทง ๆ เข้าไปชำระร่างกายในมุมหนึ่งของห้องที่กั้นเอาไว้ด้วยบังตา ตรงนั้นมีอ่างน้ำสำหรับนอนแช่ล้างตัว เลนนี่มองตามหลังฮานส์สายตาของเขาหยุดที่รอยสักสีดำข้างหลังที่น้อยคนนักจะได้เห็น

“จนกว่าจะถึงวันประลองข้าคงเที่ยวเล่นแถวนอกเมือง” ล้างตัวเสร็จฮานส์เดินออกมาด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่าเช่นเดิม หยิบเสื้อผ้าของตัวเองมาใส่ทีล่ะชิ้น ปากก็คุยกับเพื่อนไปด้วยจนแต่งตัวเสร็จ โดยมีสายตาของเลนนี่มองเรือนร่างงดงามสมความเป็นชายของเขาอย่างเฉยชา

“เจ้าก็ยังเหมือนเดิมที่ไม่ชอบความวุ่นวาย ต้องการเพื่อนไหมล่ะเด็กนั่นน่าจะอยากไปกับเจ้านะ”

“ของเก่ากินแล้วเบื่อ หาของใหม่กินก็ไม่เสียเวลามากนักหรอก”

“ถ้าอย่างนั้นก็เจอกันวันประลอง”

“หึ”


%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

วันประลองใกล้เข้ามาแแล้ว ช่วงนี้เรื่อย ๆ ดาวขอนำเสนอความเสเพลของหนุ่มพเนจรสักหน่อย ก่อนที่จะต้องปวดหัวเมื่อเจอกับจูเลียนน้อย ส่วนวิโอเลียเป็นสมุนไพรที่หายากมาก เราเลยสมมุติมันขึ้นมาเอง ไม่รู้ว่ามีพืชแบบนี้อยู่จริงบนโลกนี้มั้ย



ดาว ณ แดนดิน 6-11-2560
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 4 อัศวินผู้เฝ้ามอง 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 05-11-2018 18:57:14
เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 4 อัศวินผู้เฝ้ามอง





ยามเช้าที่อึมครึมของต้นฤดูหนาว ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกหดหู่จูเลียนเองก็เช่นกัน เพราะความขุ่นข้องหมองใจที่ได้รับตั้งแต่เมื่อคืนยังคงมีอยู่จนถึงตอนนี้ มันยากมากที่จะทำเป็นอารมณ์ดีได้หลังจากที่หงุดหงิดจนไม่อยากหลับไม่อยากนอน จูเลียนไม่โปรดทุกสายตาที่มองมายังคนที่เขารักอย่างเปิดเผยเชิญชวนเช่นนั้น ไหนจะท่าทางลังเลที่แสดงออกมาของกรอสเซ่ นั่นยิ่งทำให้ใจหนุ่มน้อยขุ่นมัวจนหมองไป ใคร ๆ ก็เข้าหน้าไม่ติด ขนาดคนสนิทอย่างลีโอยังทำได้เพียงนั่งเฝ้าเงียบ ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากเอ่ยพูดคุยเสียด้วยซ้ำ





หลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาและนอนนิ่ง ๆ คิดอะไรอยู่เป็นครู่ ร่างบนเตียงนุ่มก็เริ่มขยับ ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด เพราะกว่าจูเลียนจะหลับลงได้จริงก็ดึกมากจนคิดว่าเกือบเช้า ขนาดลีโอที่นั่งเฝ้ายังชิงหลับไปก่อน

“ลีโอ” พอคิดถึงคนรับใช้ประจำตัวก็ให้เพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ จูเลียนมองไปรอบ ๆ ห้องไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่ตัวเองเรียกหา ซึ่งผิดวิสัยที่ปกติลีโอจะต้องมารอรับใช้อยู่ใกล้ ๆ แล้วขยับตัวลงจากเตียงเดินทะลุไปยังอีกส่วนของห้อง ซึ่งจะเป็นห้องอาบน้ำ และห้องแต่งตัวกว้างขวางสำหรับจูเลียน ธุระส่วนตัวหลายอย่างที่มีลีโอคอยช่วย วันนี้จูเลียนต้องทำเองทุกอย่าง เพราะคนละเลยหน้าที่ที่ควรจะมารอ หรือปลุกให้เขาตื่นตามเวลาไม่มาให้เห็นหน้า แต่งตัวเสร็จจูเลียนจึงออกจากห้อง

“อรุณสวัสดิ์ฝ่าบาท”

“เห็นลีโอหรือไม่เดรทิช”

“ยังไม่เห็นเลยฝ่าบาท”

“เหลวไหลจริง” จูเลียนบ่นแล้วเดินผ่านเดรทิชไป จุดหมายปลายทางไม่ใช่ห้องเสวยเหมือนทุกวัน แต่เป็นห้องเล็กห้องหนึ่งภายในปราสาท ที่เขาเองก็ไม่ค่อยได้เข้ามาหากไม่จำเป็น และดูเหมือนว่าวันนี้คงถึงคราจำเป็นแล้ว เพราะเด็กรับใช้ประจำตัวไม่มาทำงานตามหน้าที่ ส่วนอัศวินหนุ่มเดินตามไปเงียบ ๆ และยืนรอเจ้านายอยู่หน้าห้อง

“ลีโอ” ภายในห้องนั้นดูสลัวเพราะเจ้าของห้องปิดม่านหน้าต่างทุกบานเอาไว้ จูเลียนสาวเท้าเข้าไปปากก็เรียกหาคนสนิทไปด้วย แต่ก็ได้เพียงความเงียบกลับมา

“ลีโอ” ! เสียงเรียกเพิ่มความดังขึ้น ในแบบที่เจ้าของเสียงพยายามเก็บอารมณ์ตัวเองให้มากที่สุด เมื่อเดินมาถึงเตียงขนาดคนตัวใหญ่ ๆ นอนได้คนเดียว พบว่าเด็กรับใช้ประจำตัวยังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ขนาดเรียกเสียงดังตั้งหลายครั้ง ร่างนั้นยังนอนนิ่งหลับตาพริ้มเฉยอยู่อย่างมีความสุข

นิทราแสนสุขบนเตียงทำให้ดวงเนตรเขียวมรกตแข็งกร้าว ริมฝีปากบางได้รูปแดงฉ่ำเพราะความเย็นเม้มเข้าหากันแน่น จูเลียนกำลังหักห้ามตัวเองไม่ให้กระชากร่างผอมบางของลีโอลงจากเตียง พักตร์นวลแดงระเรื่ออาจจะไม่ใช่เพราะไอหนาว แต่เป็นเพราะความกริ้วโกรธจนต้องสะบัดไปทางอื่น ถอนหายใจทิ้งท้ายแล้วเดินออกจากห้องไป

ตื่นมาต้องโดนลงโทษเสียบ้างนะลีโอเจ้าจะได้เข็ดหลาบ*! *





ส่วนคนที่นอนอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงเรียกดังแว่ว ๆ แต่ก็ยังนอนเฉย เพราะกำลังอยู่ในห้วงฝันหวานคล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่น เสียงที่ได้ยินเลยกลายเป็นเสียงเพลงขับกล่อม ให้หลงระเริงอยู่ในโลกของความสุขจนแทบไม่อยากลืมตา แต่โลกแห่งความเป็นจริงมันก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา ลีโอจึงมัวนอนฝันหวานอยู่นานไม่ได้

“ลีโอ” !

“...”

“ลีโอ” !!

“ตื่นแล้วฝ่าบาทลีโอตื่นแล้ว” ลีโอสะดุ้งตื่นดีดตัวลุกขึ้นจากที่นอน เพราะตกใจกับเสียงเรียกที่ดังปานฟ้าผ่า หันซ้ายหันขวาพลางปัดผ้าห่มออกจากตัว และพบว่าเป็นใครอีกคนที่เรียก ใครอีกคนที่ไม่ใช่จูเลียนอย่างที่เขาเข้าใจ “อะ อ้าว เซอร์เดรทิชท่านเข้ามาทำไมนี่ แล้วฝ่าบาทล่ะ”

“ฝ่าบาทไปห้องเสวยแล้ว เจ้าตื่นได้แล้วลีโอ”

“แย่แล้วข้ายังไม่ได้เตรียมของให้ฝ่าบาทเลย แล้วท่านเข้ามาในห้องบรรทมทำไมนี่”

“ก็มาปลุกเจ้าไง แล้วนี่ก็ไม่ใช่ห้องบรรทม ดูให้ดี ๆ ก่อน” ลีโอกวาดตามมองไปรอบห้องสลัวที่คุ้นเคย แล้วจึงพบว่าตัวเองไม่ได้นอนเฝ้าเจ้าเหนือหัวอยู่ในห้องบรรทมอย่างที่เข้าใจ

“อะ อ้าว นี่มันห้องของข้านี่เซอร์เดรทิช”

“แล้วแปลกตรงไหน” ร่างสูงของอัศวินหนุ่มดูสง่างามสมกับชุดเกราะสีทองที่สวมอยู่ เมื่อเขาถามลีโอกลับแล้วกอดอกมองคนเพิ่งตื่นนอนอย่างไม่เข้าใจ เดรทิชสงสัยว่ามันจะแปลกตรงไหนที่นอนอยู่ในห้องของตัวเอง ทั้งที่ก็นอนอยู่ทุกคืน

“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ก็เมื่อคืนข้านั่งเฝ้าฝ่าบาทอยู่ที่ห้องบรรทม”

“หึหึ”

“ท่านหัวเราะทำไมเซอร์เดรทิช หัวเราะเยาะข้าคิดว่าข้าละเมอเดินกลับมาห้องตัวเองหรือไงเล่า” ลีโอทำหน้ายุ่งอย่างขัดใจซึ่งเป็นอาการที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว จนเรียกสายตาเอ็นดูจากอัศวินหนุ่มได้เลยทีเดียว

“..” เดรทิชส่ายหัวให้เด็กน้อยลีโอ ที่ถึงแม้จะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับจูเลียน แต่ลีโอก็ดูเด็กกว่ามากในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการวางตัวที่จูเลียนจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่า ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าในฐานะกษัตริย์ มีหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบมากกว่า แม้ว่าจูเลียนจะไม่ได้สนใจมันสักเท่าไหร่นักก็ตาม ส่วนเรื่องความหัวอ่อนและความอ่อนไหวสองคนนี้พอกัน

“อะไรของท่านล่ะ ยืนอมยิ้มอยู่ได้” ลีโอเกาหัวยุ่ง ๆ ฟู ๆ ของตัวเอง ผมยาวเส้นเล็กสีน้ำตาลอ่อนนุ่มนั้นพันกันจนไม่เป็นทรง เพราะเจ้าตัวนอนเอาหัวมุดหมอนอุ่นทั้งคืน

“หรือว่า..หรือว่าข้าละเมอเดินมาเองจริง ๆ ล่ะท่าน ข้าจำได้ว่านั่งเฝ้าฝ่าบาทอยู่นี่นา”

“เจ้าไม่ได้ละเมอเดินมาเองหรอกลีโอ”

“แล้วข้าจะมาอยู่ห้องตัวเองได้อย่างไร”

“มีคนอุ้มมาส่งไง”

“หา อุ้มข้ามาส่ง ทำไม ทำไมข้าไม่รู้ตัวเลยสักนิด”

“ก็เจ้ามันขี้เซานี่ ไปเตรียมตัวได้แล้วฝ่าบาทรอลงโทษเจ้าอยู่”

“ตายแล้วเซอร์เดรทิช ลีโอตายแน่งานนี้ ฝ่าบาทคงโกรธมากแน่ ๆ ข้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะ” แล้วลีโอก็กระโดดลงจากเตียงล้างหน้าล้างตาอย่างรีบร้อน ลนลานหยิบเสื้อคลุมมาสวมแทบจะติดกระดุมไม่ถูก เรียบร้อยแล้วก็รีบกระวีกระวาดออกจากห้องไป ลืมสนิทเลยที่คิดจะถามเดรทิชว่าใครเป็นคนอุ้มตัวเองมาส่งถึงเตียง!

“ฝ่าบาท ฝ่าอภัยให้ลีโอด้วย” ลีโอรีบกระวีกระวาดมาหาจูเลียนที่นั่งจิบชาอยู่ในสวน หลังจากที่วิ่งไปที่ห้องเสวยแล้วกลับไม่พบใครสักคน นอกจากหญิงรับใช้ที่กรุณาช่วยบอกทางลีโอ ว่าตอนนี้เจ้านายอยู่ที่ไหน และเมื่อมาถึงก็ดูเหมือนว่าลีโอคงเข้ามาผิดจังหวะ เพราะจูเลียนกำลังอยู่กับกรอสเซ่ที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่ตอนไหน ถึงได้มานั่งเชิดหน้าชูคอได้อย่างนี้ เมื่อคืนจูเลียนยังโกรธกวีหนุ่มอยู่เลยไม่ใช่หรือไง ตอนนี้หายโกรธแล้วหรือ

“เจ้ามันน่าลงโทษให้เข็ดหลาบนักลีโอที่ละเลยหน้าที่”

“อภัยให้ลีโอด้วยฝ่าบาทลีโอผิดไปแล้ว” ใบหน้าเรียวสวยเหมือนเด็กน้อยของลีโอหม่นลงเมื่อโดนดุ เจ้าตัวหลุบสายตามองต่ำอย่างสำนึกผิด ไม่มีเลย ไม่มีสักครั้งที่จะบกพร่องต่อหน้าที่ได้ถึงขนาดนี้ ลีโอไม่เคยนอนหลับฝันดีฝันหวาน ฝันว่ามีใครบางคนมากล่อมนอน แถมยังมอบจูบอุ่น ๆ ส่งเข้านอนและบอกให้หลับฝันดีอีกด้วย

“ไปเตรียมตัว วันนี้ข้าจะไปตรวจงานที่ปราสาทเอวาเลียน” เอวาเลียนเป็นปราสาทที่จูเลียนสั่งให้สร้างขึ้น โดยถอดแบบออกมาจากลักษณะปราสาทในบทละครของกรอสเซ่ บนเชิงเขาที่ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่อย่างทะเลสาบเอวาเลีย ซึ่งถูกนำมาตั้งเป็นชื่อของปราสาทด้วย เพื่อจะเอาไว้เป็นที่พักส่วนตัว

“ไปตรวจงานเหรอฝ่าบาท แต่..”

“แต่อะไรอีกล่ะ”

“ลีโอคิดว่าลอร์ดนิโคลคงไม่เห็นด้วยหรอก ที่ฝ่าบาทจะออกจากวังตอนนี้” ลีโอรู้จักเอาพี่ชายของจูเลียนมาอ้าง เพื่อให้สิ่งที่ตัวเองไม่เห็นด้วยมีน้ำหนักขึ้น ด้วยหวังว่าจูเลียนอาจจะรับฟังบ้างแต่กลับไม่ใช่

“ข้าไม่ได้ถามความเห็นใคร เพราะยังไงข้าก็จะไป เจ้ามีหน้าที่ไปเตรียมตัวก็ไปได้แล้ว”

“แต่ฝ่าบาท..” ลีโอหันไปทางเดรทิชและราเชลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อัศวินทั้งสองได้แต่มองตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ขัดไม่ได้ห้าม เพราะเจ้าเหนือหัวต้องการเสด็จพวกเขาก็มีหน้าที่อารักขาอย่างเต็มที่เท่านั้น

“หรือข้าควรลงโทษเจ้าก่อนดี”

“มีอะไรกันแต่เช้าหรือ” !

“ลอร์ดนิโคลมาพอดี” ความลิงโลดในใจของลีโอแสดงออกมาผ่านรอยยิ้มยินดี เมื่อคนที่เขาอยากให้มาอยู่ตรงนี้ที่สุด มาปรากฏตัวโดยไม่คาดหมาย ลีโอใบแหงนหน้ามองนิโคลด้วยดวงตาเปี่ยมความหวัง และสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือรอยยิ้มเช่นกัน

“เจ้าไม่ต้องยิ้มไปหรอกลีโอยังไงวันนี้เจ้าก็ต้องโดนลงโทษอยู่ดีนั่นและ”

“ลีโอยอมถูกลงโทษฝ่าบาท ขอเพียงประองค์อย่าเสด็จออกจากวังก็พอ” ลีโอคุกเข่าลงต่อหน้าจูเลียนรอรับโทษ นิโคลจึงได้แต่หันไปมองจูเลียนด้วยสีหน้ามีคำถาม คิ้วหนาได้รูปยกขึ้นด้วยความสงสัย

“มีอะไรกันหรือ เจ้าจะไปไหนจูเลียน” นิโคลถามพลางเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างจูเลียน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับกรอสเซ่พอดี

“ข้าว่าจะไปดูการก่อสร้างเอวาเลียนสักหน่อย ทางโน้นเพิ่งส่งข่าวมาว่าการก่อสร้างรุดหน้าไปมาก เลยอยากไปดูให้เห็นกับตา ข้าจะไปกับกรอสเซ่พี่อย่ามาห้ามนะ”

“ไหนเมื่อคืน..”

“เรื่องเมื่อคืนข้าเข้าใจแล้ว มันไม่มีอะไรแล้วล่ะเพราะข้าเข้าใจผิดไปเอง” จูเลียนรีบออกตัวแทนคนรัก เพราะเพียงแค่กรอสเซ่รีบมาขอเข้าเฝ้าแต่เช้า และอธิบายอย่างคนร้อนตัว หนุ่มน้อยหัวอ่อนก็พร้อมจะรับฟังและลืมความขุ่นมัวในใจทันที

“แต่ช่วงนี้เจ้าไม่ควรออกจากวังนะจูเลียน อย่าลืมสิว่าขบวนเสด็จของเจ้าเพิ่งถูกลอบโจมตีมาไม่นานนี่เอง แล้วอีกสามวันก็เป็นงานประจำปีแล้ว เจ้ายิ่งไม่ควรไปไหนเพราะยังไงเจ้าก็กลับมาไม่ทัน”

“พี่ก็จัดการไปสิ” นิโคลถอนหายใจออกมาเบา ๆ ซึ่งก็คงจะมีเพียงเขาคนเดียว ที่กล้าทำต่อหน้ายุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทียเช่นนี้ หากไม่นับรวมทาร์เทียน่าที่คงจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ และเปิดเผยกว่าแบบไม่เกรงใจกันเลย

“แต่มันเป็นประเพณีที่กษัตริย์จะต้องเสด็จออกเป็นประธานด้วยตัวเอง และชมการต่อสู้จนจบเพื่อมอบรางวัล ถือเป็นงานอันทรงเกียรติ และที่สำคัญคือ ประชาชนรอชื่นชมกษัตริย์ของเขา”

“ข้ากลับมาทันแน่นอนน่า หรือหากไม่ทันประชาชนก็ชื่นชมพี่ไม่น้อยไปกว่าข้าหรอก” นิโคลอยากถอนหายใจออกมาอีกครั้งแต่ก็ไม่ทำ ชายหนุ่มจึงได้แต่ส่ายศีรษะแล้วมองน้องชายด้วยสายตานิ่ง

“แล้วพรุ่งนี้แขกบ้านแขกเมืองที่เชิญเอาไว้น่าจะมาถึงกันแล้ว มีคนสำคัญที่เจ้าต้องออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง”

“นิโคล”

“นี่มันเป็นหน้าของเจ้าที่เลี่ยงไม่ได้จูเลียน วางนิยายลงก่อนแล้วไปจัดการมันให้เรียบร้อย” นิโคลบอกเสียงเรียบแต่เต็มไปด้วยความจริงจังในน้ำเสียงและแววตา เพราะเขาได้รับแจ้งมาว่าแขกจากทั้งสวาเนียร์ และมอนทาร์น่าใกล้เดินทางมาถึงแล้ว





พักตร์นวลผ่องที่พวงปรางทั้งสองข้างอมแดงระเรื่อเริ่มบูดบึ้ง เมื่อพี่ชายที่นอกจากจะไม่ยอมตามใจแล้ว ยังบังคับกลาย ๆ ให้ออกงาน จูเลียนไม่สบอารมณ์ที่สุดกับสีหน้าและน้ำเสียงอันจริงจังของนิโคล เพราะนั่นมันบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาจะไม่มีทางเลี่ยงได้เลย แม้จะบ่ายเบี่ยงขนาดไหนก็ตาม จูเลียนวางหนังสือที่อยู่ในมือลงนั่งกอดอกเงียบ บ่งบอกว่ากำลังประท้วง แต่นิโคลผู้วันนี้มีแต่ความเด็ดขาดหรือจะสนใจ ด้วยรู้ดีว่าการกำราบคนน้องต้องทำอย่างไร เขาจึงไม่ควรใจอ่อนให้ตั้งแต่แรกเริ่ม

“ถ้าเจ้าเบื่อวังอยากออกไปข้างนอกบ้างก็ไปที่ลินเดนฮิลล์สักวัน" ลินเดนฮิลล์เป็นปราสาทขนาดเล็กอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ที่จูเลียนสั่งให้สร้างขึ้น เพื่อเอาไว้เป็นที่พักแรมเวลาออกไปล่าสัตว์ใกล้ ๆ ทั้งที่ไม่ชอบล่าสัตว์ เพราะกระโจมที่แม้จะกว้างขวาง และสะดวกสบายน่าอยู่ไม่ต่างจากห้องภายในปราสาท สมเป็นที่พักของกษัตริย์ แต่จูเลียนก็ไม่ชอบเอาเสียเลย จึงสั่งให้สร้างปราสาทลินเดนฮิลล์ขึ้นมา

“แต่ข้าอยากไปเอวาเลียนนะนิโคล พี่ไม่เขาหรือไง”

“มันอันตรายพี่ไม่เห็นด้วยเลย เอาละมาพูดถึงเรื่องงานประจำปีดีกว่า เจ้าควรจะเตรียมตัวได้แล้ว ลีโอเตรียมนายของเข้าให้พร้อมด้วย” ในขณะที่จูเลียนขัดใจแต่กลับมีใครอีกคนหนึ่งลอบยิ้มออกมาอย่างสมใจ ทั้งที่นั่งก้มหน้าไม่กล้าเงย แต่คงจะยิ้มกริ่มมากเกินไปจนคนไม่พอใจสังเกตเห็น

“เจ้ายิ้มอะไรลีโอ” !

“หม่อมฉันเปล่ายิ้มฝ่าบาท”

“แต่ข้าเห็นนะว่าเจ้ากำลังยิ้ม วันนี้ข้าจะลงโทษเจ้าห้ามเข้าใกล้ข้า”

“ฝ่าบาท ไม่ให้ลีโอเขาใกล้แล้วใครจะรับใช้”

“ข้าไม่ได้มีเด็กรับใช้คนเดียวนี่”

“ฝ่าบาทลีโอผิดไปแล้วโปรดอภัยให้ลีโอเถิด” ลีโอหน้าเสียเพราะนี่ถือเป็นบทลงโทษที่รุนแรงมาก สำหรับเด็กน้อยลีโอผู้รักเจ้านายเหนือชีวิต นอกจากนั้นมันยังบ่งบอกถึงความบกพร่องในหน้าที่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียมากสำหรับคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์อย่างลีโอ

“ออกไป” ถึงจะแอบสงสารแต่นิโคลก็อดยิ้มกับสีหน้าท่าทางของลีโอไม่ได้ เมื่อถูกเจ้านายไล่ไม่ให้เข้าใกล้เพื่อเป็นการลงโทษ ลีโอออกไปแล้วชายหนุ่มจึงหันมาหาคู่สนทนาทั้งสองบนโต๊ะ

“เจ้ามาแต่เช้าเลยนะ มาก่อนข้าซึ่งเป็นพี่ชายเสียอีก” กรอสเซ่ได้แต่ยิ้มฝืด เมื่อได้รับคำทักทายคล้ายเหน็บแนมจากนิโคล แต่จูเลียนผู้ไม่รู้อะไรก็เมตตาแก้ต่างแทน

“ก็เขาเป็นคนรักของข้าไงนิโคลมาก่อนพี่ไม่เห็นแปลกเลยนะ”

“ในฐานะกวีประจำราชสำนัก งานของเจ้าเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“เอ่อ ข้า..”

“นี่ไงบทละครเรื่องใหม่ที่กรอสเซ่แต่งขึ้น ข้าลองอ่านดูคร่าว ๆ แล้วสนุกทีเดียว” จูเลียนรีบออกตัวแทนคนรัก เพราะเขากำลังตื่นเต้นกับละครเรื่องใหม่ที่กรอสเซ่เพิ่งนำมาให้อ่าน มันเป็นนิยายรักเพ้อฝันในแบบที่จูเลียนชื่นชอบ เลยถูกใจเป็นพิเศษ แต่เป็นตัวกวีหนุ่มเองที่ไม่รู้จะตอบคำถามของนิโคลอย่างไรดี ด้วยรู้ว่าตำแหน่งกวีประจำราชสำนักที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น แม้มันจะทำให้หลายคนเกรงใจเขามากขึ้น แต่มันไม่มีอะไรให้ทำเลยนอกจากเขียนงานของตัวเอง และผู้ที่ชื่นชอบชื่นชมก็มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นคือจูเลียน

“ข้าจะให้ฝ่ายละครเอาไปทำบทเพื่อแสดงคืนนี้เลย ให้ใครไปตามหัวหน้าคณะละครมาพบข้าด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เรามาคุยเรื่องงานก่อน”

“โธ่นิโคล”





๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑





“ไง ซึมมาเลยนะ”

“..” ลีโอเงียบแต่ใบหน้าน่ารักน่ามองนั่นหงอยลงอย่างน่าสงสาร ราเชลหันไปสบตากับเดรทิชที่ยืนอยู่อีกมุมของสนาม แล้วจึงหันกลับมาแหย่ลีโออย่างนึกสนุก ด้วยรู้ว่าถูกดุและโดนทำโทษมา แต่เรื่องแค่นี้อัศวินหนุ่มไม่เห็นเป็นเรื่องน่าหนักใจ เพราะรู้ว่าจูเลียนเองก็ไม่สามารถใจแข็งลงโทษคนสนิทได้นานหรอก

“อ้าว เป็นเด็กเป็นเล็กผู้ใหญ่พูดด้วยทำเฉยได้ยังไงลีโอ”

“ข้าอายุสิบเก้าไม่ใช่เด็กแล้วนะเซอร์ราเชล!” เพราะอารมณ์ที่ไม่คงที่ลีโอจึงหันมาแหงนหน้าเถียงราเชลคอเป็นเอ็น ซึ่งหากเป็นยามปกติเด็กน้อยของเหล่าอัศวิน จะไม่ทำท่าทางก้าวร้าวอย่างนี้เด็ดขาด แต่ตอนนี้ลักษณะอ่อนน้อมอันเป็นความน่ารักของลีโอคนเก่าหายไปเลย จนราเชลอมยิ้มขำ

“หึ เหรอเจ้าแน่ใจเหรอว่าตัวเจ้าไม่เด็ก” ราเชลมองลีโอตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาคมมีแววล้อเลียนที่ลีโอเห็นแล้วยิ่งไม่พอใจมากกว่าเก่า ใบหน้าน่ารักในตอนแรกจึงเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงไม่พอใจ

“ท่านยิ้มแบบนี้หมายความว่ายังไง”

“เด็กน้อยเอ๊ย”

“ก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่เด็ก”

“ไม่เด็กอะไร เมื่อคืนยังนอนอุตุไม่รู้สึกตัวอยู่เลย”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับการนอนของข้า”

“หึ เด็กน้อยหลับไม่รู้เรื่องจน..”

“มีอะไรกัน” เสียงเรียบนิ่งดังแทรกขึ้นระหว่างการโต้เถียงของลีโอกับราเชล เสียงที่ทำให้ลีโอชะงักนิ่ง และใจสั่นทุกครั้งที่ได้ยิน และเสียงนี้มัน มันคล้าย ๆ กับเสียงของใครบางคนที่อยู่ในฝันหวานกับลีโอเมื่อคืนที่ผ่านมา

ลีโอเอ๋ยใจเจ้าจะสั่นไปทำไมนักหนา



“ข้ากำลังเถียงกับเด็กน้อยอยู่”

“ถ้าว่าง ก็เอาเวลาไปทำงานดีกว่านะราเชล”

“มาถึงก็พูดเรื่องงานเลยนะเฮนริช เจ้าเคยคิดอยากผ่อนคลายเหมือนคนอื่นเขาบ้างไหม ถ้าไม่รู้จะผ่อนคลายอย่างไรเลนนี่ช่วยเจ้าได้นะ”

“เกี่ยวอะไรกับข้า” เลนนี่ที่เดินมาได้ยินชื่อตัวเองเข้าพอดีถามขึ้น เด็กน้อยลีโอได้แต่มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีสลับกันไปมา ตอนนี้ดูเหมือนคนสนิทของจูเลียนจะกลายเป็นเด็กไปแล้วจริง ๆ เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางร่างสูงสง่าของอัศวินทั้งสาม เกราะสีทองอันทรงเกียรติขับให้บุรุษหนุ่มฉกรรจ์ทั้งสามยิ่งน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น จนร่างเพรียวบางหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้นตัวเล็กลีบลงไปอีกมากเลยทีเดียว

“หึหึ ข้ากำลังแนะนำให้เฮนริชผ่อนคลายตัวเองบ้าง ไม่ใช่คร่ำเคร่งแต่เรื่องงาน หนุ่มสำราญอย่างเจ้าน่าจะช่วยแนะนำได้นะเลนนี่” เลนนี่ส่ายหัวไปมาพลางส่งสายตามองราเชล เหมือนจะบอกว่าเดี๋ยวก็โดนดีเข้าให้หรอก ที่ไปแหย่เสือยิ้มยากอย่างเฮนริช ซึ่งในบรรดาอัศวินประจำตัวจูเลียนทั้งสี่คน มีเฮนริชที่พูดน้อยและนิ่งที่สุด สุขุมเยือกเย็นที่สุด เขาจึงได้รับเกียรติจากเพื่อนยกให้เป็นเหมือนหัวหน้ากลาย ๆ แม้ว่าตำแหน่งของอัศวินทั้งสี่จะมีอำนาจเท่ากัน และไม่มีใครได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าอย่างเป็นทางการ แต่เฮนริชก็เหมือนถูกยกให้เป็นหัวไปโดยปริยายจากเพื่อทั้งสามคน

“ของอย่างนี้ตัวใครตัวมันสิ ข้าไม่ยุ่งด้วยหรอก” เลนนี่ตอบแล้วหันมาหลิ่วตาให้เฮนริช ที่ถอนหายใจตอบเหมือนกำลังเบื่อความขี้เล่นของราเชล ซึ่งแน่นอนว่าหากอยู่ต่อหน้าคนอื่น ๆ อัศวินเหล่านี้ต้องแสดงออกให้ดูน่าเกรงขาม แต่เวลาที่อยู่ด้วยกันเองก็มักจะทำตัวสบาย ๆ ตามลักษณะนิสัยเดิมของแต่ละคน เฮนริชเหลือบไปมองเดรทิชที่ไม่ได้เข้ามาร่วมวงด้วยแล้วจึงหันไปถามลีโอที่ยืนตัวลีบอยู่ข้าง ๆ

“แล้วเจ้าล่ะ ทำไมมาอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่ไปรอรับใช้ฝ่าบาท”

“ก็..” พอถูกเฮนริชถามลีโอก็หน้าสลดลงอีกครั้ง ดวงตาสวยที่ดูไร้เดียงสา และเปล่งประกายสดใสในยามปกติหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด จะให้ลีโอบอกได้อย่างไรว่าถูกลงโทษด้วยการไม่ให้ไปรับใช้ ไม่ให้เข้าใกล้ รู้ถึงไหนเสื่อมเสียไปถึงนั่น

“เจ้าเป็นอะไรไปหรือลีโอ” เลนนี่ขยับเข้ามาใกล้ ลีโอแทบเซเสียหลักเพราะเขาวางท่อนแขนหนัก ๆ พาดลงบนไหล่ผอมบางนั้นด้วย เด็กน้อยช้อนตาเหลือบขึ้นมองใบหน้าหล่อขี้เล่น เผลอทำตาค้อนให้โดยไม่รู้ตัว

“เซอร์เลนนี่ ท่านอย่าถามข้าตอนนี้ได้ไหม ข้าไม่อยากพูดถึงมัน ข้าขออภัย” บอกแล้วลีโอก็ปัดมือของเลนนี่บนไหล่ออก เดินไปหาเดรทิชที่ยังยืนอยู่มุมเดิม ไม่ได้มาร่วมวงอวดความสง่างามสมความเป็นอัศวินข่มลีโอด้วยเลย

“หึ เด็กน้อยของเจ้าไปโน่นแล้ว”

“เด็กน้อยของข้าที่ไหนกัน” เฮนริชทำตามดุเมื่อเลนนี่หันมาบอกเขา ทั้งที่ก็ยืนอยู่ด้วยกันย่อมเห็นอยู่แล้วว่าลีโอเดินหนีไป

“โดนฝ่าบาทดุมาหรือไง” แหย่เพื่อพอหอมปากหอมคอแล้ว เลนนี่จึงหันไปถามราเชล จากนั้นอัศวินผู้รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑



บนถนนที่ทอดตัวยาวเชื่อมเมืองต่อเมือง สองข้างทางเป็นป่าทึบสลับป่าโปร่ง บางช่วงเป็นทุ่งหญ้า บางช่วงต้องขึ้นเขาลงเขา เส้นทางอันยาวไกลมีทุกรูปแบบ รถม้าขนาดใหญ่ที่ถูกลากด้วยม้าสิบตัวกำลังเคลื่อนไปด้วยความเร็วสูงเท่าที่มันสามารถวิ่งไปได้ตามแรงม้าที่ชักนำ ด้านหน้าสุดของขบวนเป็นกองทหารเพียงยี่สิบนายขี่ม้านำรถม้าของสองหนุ่มจากแดนไกล

“พี่ยังไม่ได้บอกข้าเลยนะ ว่าทำไมเราต้องรอนแรมมาถึงที่นี่ด้วย” ชายหนุ่มท่าทางเจ้าสำราญเอยถามคนที่เขาเรียกว่าพี่ ด้วยท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่เพราะยังไม่ได้คำตอบที่พอใจจากพี่ชาย จึงเฝ้าถามเป็นรอบที่สามแล้วตั้งแต่ร่วมเดินทางด้วยกันมา

“ก็เขามีราชสาส์นมาถึงข้าเชิญให้ไปร่วมงานประจำปี ข้าเห็นเราไม่ได้มาเยือนประเทศนี้เสียนาน ก็เลยถือโอกาสออกมาเที่ยวเล่นหน่อย หรือเจ้าไม่อยากเปิดหูเปิดตาต่างเมือง” ผู้เป็นพี่ชายตอบ ตอนนี้ทั้งสองอยู่ในรถม้าอันโอ่อ่าหรูหราสมฐานะ ที่ภายในตกแต่งเอาไว้อย่างวิจิตรบรรจง ทั้งที่นั่งรองด้วยเบาะนวมหนานุ่ม ทำขึ้นมาจากวัสดุชั้นดี ที่มอบความสบายและอบอุ่นให้ทั้งสำหรับการนั่งและการนอน ผนังบุด้วยผ้าเนื้อดีลวดลายปักดิ้นทองเสริมให้ความหรูหราดูอลังการยิ่งขึ้น ช่องหน้าต่างปิดด้วยลูกกรงเหล็กลายทองเล็ก ๆ ดูสวยงามเข้ากัน ม่านประดับเป็นแพรเนื้อบางไหวไปตามแรงเคลื่อนของรถ บ่งบอกถึงความมั่งคั่งของผู้ครอบครองได้เป็นอย่างดี



เจ้าของร่างกายสูงใหญ่ดูน่าเกรงขามผู้เป็นพี่ คือ อเล็กซิส กษัตริย์หนุ่มเต็มวัยฉกรรจ์แห่งมอนทาร์น่า ผู้ที่ใคร ๆ ก็สมญานามให้เขาว่าเป็นกษัตริย์ที่เก่งกาจ และเฉียบขาดดุดันสมกับใบหน้าหล่อคมคายที่ดูจริงจังกับทุกเรื่อง ยามนี้กษัตริย์หนุ่มนั่งเอนหลัง ด้วยท่าทางสบายท่ามกลางเบาะนุ่มและหมอนหนุน เข่าข้างหนึ่งชันขึ้นเพื่อรองรับท่อนแขนหนาหนักที่เกยวาง มือถือแก้วก้านยาวทำด้วยโลหะสีทอง ภายในแก้วบรรจุไวน์ชั้นดีรสชาติกลมกล่อม ที่ถูกยกขึ้นจิบฆ่าเวลา ขายาวอีกข้างของอเล็กซิสเหยียดตรง แขนวางพาดไปกับพนักพิงดูผ่อนคลาย เบื้องหน้ากษัตริย์หนุ่มคือ แอนดีส น้องชายผู้เป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งมอนทาร์น่า ที่อยู่ในท่าทางสบายไม่แพ้ผู้เป็นพี่ ใบหน้าที่อ่อนวัยกว่าบ่งบอกถึงความรักสนุกผ่านสายตาเจ้าชู้ขี้เล่น ในมือมีแก้วแบบเดียวกันที่ไวน์ชั้นดีพร่องไปเกือบหมดแก้ว

ต่อครึ่งหลังข้ามไป 1 เม้น นะคะ
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 4 อัศวินผู้เฝ้ามอง 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 05-11-2018 18:59:13
“ดูเหมือนว่าเรากำลังมีปัญหากับออสเซนเทียอยู่ไม่ใช่หรือไง” แอนดีสเอ่ยถามพลางรินไวน์ให้ตัวเอง เพราะเวลานี้คนรับใช้หรือสนมนางในของเขา ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาบนรถม้าเพราะบัญชาของอเล็กซิส ซึ่งนั่นทำให้แอนดีสขัดใจอยู่ไม่น้อย แต่ขัดคำสั่งพี่ชายไม่ได้

“นั่นก็อีกเรื่องที่ข้าอยากมาดูด้วยตัวเอง”

“ทำไมหรือท่านพี่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่”

“มีเรื่องแปลก ๆ หลายเรื่อง”

“เรื่องอะไรบ้างล่ะ”

“นี่ข้าให้เจ้าไปช่วยงานราชการ เจ้าได้ทำจริงหรือเปล่าทำไมไม่รู้อะไรเลยแอนดีส” !

“กะ ก็ ข้าก็ทำ”

“ถ้าทำเจ้าคงเดาได้บ้างว่าทำไมข้าตกลงมาตามคำเชิญ ไม่ใช่เอาแต่ถามคำถามไร้สาระอย่างนี้”

“แล้วมีอะไรอย่างอื่นอีกไหมล่ะ” กษัตริย์หนุ่มระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ มองน้องชายที่ไม่หยุดตั้งคำถามกับเขาสักที “ว่าไงล่ะท่านพี่”

“...” เจ้าของร่างกายสูงใหญ่ไม่ได้ตอบคำถามน้องชายในทันที เขาทอดสายตาคมดุดูน่าหลงใหล มองผ่านช่องลูกกรงออกไปนอกห้องโดยสาร ใบหน้าคมคายนิ่งสนิทจนยากจะคาดเดาว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในหัว แต่คนตั้งคำถามมีหรือจะยอมลดละ เพราะยังมีหลายอย่างที่อยากรู้ และต้องการคำตอบ

“เงียบอย่างนี้ หรือว่า..”

“ว่าอะไร” แอนดีสสบสายตากับพี่ชายนิ่ง ทั้งสองจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ไม่นานก็เป็นน้องชายจอมขี้เล่นนั่นเอง ที่เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เมื่อคิดอะไรบางออกมาอย่างได้

“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่า เจ้าหญิงทาร์เทียน่าแห่งออสเซนเทียงดงามยิ่งนัก พี่เองก็คงรู้แล้ว”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ” แก้วก้านยาวในมือถูกวางลงบนตั่งเล็กข้าง ๆ เมื่ออเล็กซิสเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งเอนหลังกอดอกอย่างไว้ตัว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมกริบจ้องมองน้องชายนิ่งรอคำตอบ

“พี่ก็แก่แล้วนะอเล็กสมควรมีราชินีได้แล้ว แต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีก็ไม่เลวนะ”

“ได้ข่าวว่านางเพิ่งสิบเก้าเองคงเด็กไปสำหรับข้า แต่ถ้าเป็นเจ้าน่าจะเหมาะกว่านะ คิดเรื่องนี้เอาไว้ด้วยล่ะ”

“ไหนพี่บอกไม่เกี่ยวแต่ทำไมรู้ว่านางอายุสิบเก้า “คำพูดเหมือนรู้ทันทำให้คนพี่ชะงักไป แต่เพียงเสี้ยวลมหายใจก็สามารถกลบเกลื่อน และทำหน้านิ่งได้เหมือนเดิม “ข้ารู้หรอกน่าว่าหูตาของพี่มีอยู่เต็มไปหมด อย่าบอกนะว่าพี่ตกหลุมรักนางตั้งแต่ยังไม่เคยเจอตัวกัน”

“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าข้าแก่แล้วนี่ แล้วข้าก็เพิ่งบอกเจ้าไปว่าหากเป็นเจ้าดูจะเหมาะกว่านะ”

“พี่แค่สามสิบเองนะแก่ที่ไหนเล่า กษัตริย์หนุ่มเนื้อหอมอย่างพี่ ข้าว่าผู้หญิงที่ไหนก็ต้องตกหลุมรักทั้งนั้นรวมทั้งนางด้วย” อ่อนอกอ่อนใจกับน้องชาย ทั้งที่เขาเพิ่งจะบอกไปว่าเป็นตัวแอนดีสเองท่าจะเหมาะกว่า แต่ดูเหมือนว่าคนน้องจะไม่รับฟัง และยังพยายามยัดเยียดนางมาให้เขาอยู่เหมือนเดิม แน่ล่ะว่าเขารู้เรื่องของนางมาพอสมควร ด้วยว่าหูตาสายสืบก็มีอยู่ทุกที่ รายงานบอกถึงความงดงามน่ารักสมความสูงศักดิ์ และยังมีความน่าสนใจอีกลหายอย่าง ที่ทำให้กษัตริย์หนุ่มยอมรับว่านางคู่ควร...กับแอนดีส!

“เจ้าจะพูดมากให้ได้อะไร”

“เพราะเดาว่านี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ท่านตอบรับคำเชิญ นอกจากปัญหาเกี่ยวกับเรื่องอะไรแปลก ๆ ที่ว่า เราก็ไม่มีธุระอะไรกับออสเซนเทียเลยนี่” กษัตริย์หนุ่มได้แต่มองหน้าน้องชายโดยไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเอาจริง ๆ แอนดีสก็ใช่ว่าจะทำตัวเหลวไหลจนไว้ใจไม่ได้ แม้จะไม่ค่อยจริงจังจนดูเหมือนเล่นเกินไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยทิ้งงานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ทั้งสองปล่อยให้บรรยากาศภายในรถม้าเงียบไปเป็นครู่ กษัตริย์หนุ่มจึงเปลี่ยนอิริยาบถอีกครั้งเพื่อลุกขึ้น

“พี่จะไปไหน”

“ข้าจะออกไปขี่ม้าเล่น เบื่อในนี้เต็มที”

“ข้าไปด้วย”





๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑





“พวกเจ้ามาชุมนุมอะไรกันอยู่ตรงนี้ไม่ชวนข้าเลยนะ” น้ำเสียงสดใสดังมาก่อนตัวทักขึ้นคล้ายต่อว่าแต่ไม่จริงจังนัก ทาร์เทียน่าเดินหน้าระรื่นเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส นางอยู่ในชุดกางเกงทะมัดทะแมงที่เดาได้ไม่ยาก ว่าคงเพิ่งจะผ่านการซ้อมการต่อสู้มา หรือไม่อย่างนั้นก็กำลังเดินหาคู่ซ้อมที่สามารถรับมือกับนางได้ แต่เท่าที่เห็นน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะใบหน้าสวยหวานยังนวลผ่องไร้สีสันที่บ่งบอกว่าออกแรงสู้มา ไร้แม้กระทั่งหยดเหงื่ออย่างที่ควรจะมี

“เจ้าไปไหนมาล่ะเทียน่า เรากำลังคุยเรื่องการบ้านการเมืองอยู่เจ้าสนใจจะร่วมวงด้วยหรือเปล่า” ได้ยินคำตอบของจูเลียนนิโคลก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ยิ่งเมื่อน้องชายผู้สูงศักดิ์หันมาทำสายตาค้อนให้ ยิ่งรู้ได้ในทันทีว่าคำตอบที่จูเลียนให้ทาร์เทียน่านั้นมันกระทบถึงเขาโดยตรง!

“แปลกมาก แปลกยิ่งกว่าออสเซนเทียมีหน้าร้อนยาวนานกว่ากว่าหน้าหนาวเสียอีก” เพราะฤดูร้อนของออสเซนเทียในแต่ละปีจะมีอย่างมากก็ไม่เกินสองหรือสามเดือน นอกจากนั้นก็จะอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็น ทั้งฝนทั้งหนาวจนดูเหมือนหน้าฝนกับหน้าหนาวถูกรวมเข้าด้วยกัน และพอถึงฤดูหนาวจริง ๆ จะหนาวมากและยาวนานกว่า ซ้ำหิมะยังตกจนเมืองทั้งเมืองขาวโพลนไปหมด

“ทำไม”

“ก็เจ้าสนใจคุยเรื่องการบ้านการเมืองตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ”

“ตอนที่นิโคลมานั่งคุมข้าอยู่นี่ยังไงล่ะ” นิโคลกับทาร์เทียน่าหัวเราะประสานเสียงกัน โดยที่จูเลียนได้แต่นั่งนิ่งพักตร์บึ้งตึง กรอสเซ่เหลือบมองใบหน้าบึ้งตึงของจูเลียนเล็กน้อย เมื่อยุวกษัตริย์เบนสายตามาทางเขา กวีหนุ่มจึงยิ้มให้อย่างเอาใจ เขารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องให้กำลังใจ เมื่อกษัตริย์หนุ่มน้อยเหมือนจะถูกทุกคนรุมแกล้ง

“เจ้าก็อยู่นี่หรือกรอสเซ่” กวีหนุ่มลุกขึ้นยืน เขาค้อมหัวให้ทาร์เทียน่าแสดงความเคารพ เมื่อหญิงสาวเอ่ยทักเหมือนเพิ่งจะเห็นว่าเขาก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย

“ท่านหญิง”

“เจ้าต่อสู้เป็นไหมกรอสเซ่ ข้ากำลังหาคู่ซ้อมมือช่วยมาซ้อมกับข้าหน่อยสิ”

“เกรงว่าข้าคงทำให้ท่านหญิงผิดหวัง เพราะข้าไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้สักเท่าไหร่” ทาร์เทียน่ามองท่าทางอ่อนน้อมของกรอสเซ่ไม่วางตา ยิ่งเมื่อกวีหนุ่มพูดจบแล้วโค้งร่างสูงเพรียวลงคำนับ นางยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจอย่างไม่มีสาเหตุ

“ถ้าเป็นเรื่องนิยายเพ้อฝันคงสู้ไม่ถอยสินะ แล้วข้าจะซ้อมมือกับใครล่ะทีนี้”

“เซอร์เดรทิชน่าจะเป็นคู่ซ้อมให้เจ้าได้นะเทียน่า เรียกเขาสิข้าอนุญาต” จูเลียนเอ่ยขัดขึ้นเมื่อเห็นท่าทางอึดอัดของคนรัก

“แหม ขอบใจเจ้าจริง ๆ จูเลียน แต่ว่าเจ้าไม่อยากให้กรอสเซ่ฝึกการต่อสู้เอาไว้บ้างหรือไงจะได้ป้องกันตัวเองได้”

“แล้วเจ้าจะให้กรอสเซ่ไปสู้กับใครล่ะ เขาเป็นกวีนะ”

“ไม่รู้สิ อย่างน้อยก็น่าจะปกป้องเจ้าได้บ้างในยามที่มีภัย” รอยยิ้มหวานของทาร์เทียนาไม่ทำให้พี่ชายทั้งสองแปลกใจ แต่กลับทำให้กวีหนุ่มรู้สึกแปลกไป เพราะมันดูเหมือนว่านางกำลังส่งรอยยิ้มเคลือบอะไรบางอย่างมาให้เขาอึดอัดใจเล่น กรอสเซ่เริ่มจะไม่ค่อยชอบขนิษฐาแฝดของจูเลียนเข้าให้แล้ว แต่ก็ยังจำต้องตีหน้าซื่ออยู่เช่นเดิมตามแบบกวีผู้เพ้อฝันไร้พิษสง!

เซอร์เดรทิชถูกเรียกตัวมาเป็นคู่ซ้อมให้ทาร์เทียนาอย่างที่จูเลียนเสนอ เพราะนางเองก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าวันนี้คงต้องซ้อมกับอัศวินคนใดคนหนึ่งสักคนที่ต้องฝีมือดีด้วย นั่นเองจึงทำให้นางเดินมาที่สนามหน้าปราสาทของจูเลียนแห่งนี้ยังไงล่ะ

“คิดว่าอยากจะเปลี่ยนกับเดรทิชหรือไง” เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังปลุกให้อัศวินหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างพุ่มไม้รู้ตัว เมื่อเขาเอาแต่ทอดสายตามองไปยังกลางสนามหญ้า ที่มีหนึ่งร่างบอบบางแต่ดูเข้มแข็งของทาร์เทียน่า กำลังต่อสู้อยู่กับหนึ่งร่างสูงสง่าผ่าเผยของอัศวินฝีมือดีผู้ได้รับการแต่งตั้ง ร่างบอบบางต่อสู้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ถึงแม้คู่ต่อสู้จะตัวใหญ่แต่ก็รวดเร็วไม่แพ้กัน การเคลื่อนไหวของนาง การตวัดกวัดแกว่งดาบเล่มใหญ่อย่างมีชั้นเชิง บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าฝีมือของทาร์เทียน่า ก็อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าดีมากทีเดียว

“ทำไมข้าต้องอยากเปลี่ยนด้วยล่ะ” นั่นสิ คำถามกลับแบบนี้ทำให้เลนนี่เหลือบตามองเฮนริช ที่ตอบโต้พูดคุยกับเขา แต่สายตากลับหาได้ละจากการต่อสู้ในสนามไม่ เขารู้ว่าเฮนริชมองด้วยความรู้สึกอย่างไร สิ่งที่ทำได้ก็แค่เตือนในฐานะเพื่อนผู้หวังดี

“สิ่งที่เจ้าทำได้คือการปกป้องนาง แต่ไม่ใช่การอยู่เคียงข้างนาง” เขารู้ เฮนริชรู้มาตลอดแต่ก็ไม่เคยทำได้สักที ที่จะไม่แอบมองยามนางเผลอ ไม่ตามคุ้มครองห่าง ๆ ยามนางแอบหนีออกจากปราสาทไปเที่ยวเล่น เขาทำไม่ได้ที่จะไม่แอบมองยามเห็นนางอยู่ในที่ต่าง ๆ โดยที่นางเองก็ไม่เคยรู้ตัวเลย

“..” เฮนริชเงียบ เขาไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธเพื่อน อยากคิดอย่างไรเขาจะไม่สนใจ แม้ว่าสิ่งที่เลนนี่พูดจะแสดงให้เห็นว่ามองความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งที่เขาก็ไม่เคยพูดหรือยอมรับออกมา เพราะคำพูดของเขาอาจจะทำร้ายทาร์เทียน่าให้เสื่อมเสียได้

“อย่าโง่ไปหน่อยเลย เจ้าอาจจะไม่ได้รักนางอย่างที่เจ้าคิดก็ได้”

“เจ้ารู้หรือไงว่าข้าคิดอะไรอยู่”

“นี่เจ้ารู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่เฮนริช มันก็ดูออกได้ไม่ยากนี่” เฮนริชหันกลับมามองเลนนี่เต็มตา นึกย้อนถามตัวเองว่าเขาแสดงออกมามากมายขนาดเพื่อนยังสังเกตได้เลยหรือ

“อย่าพูดเพ้อเจ้อจะทำให้นางเสื่อมเสียเอาได้”

“งั้นเจ้าก็เลิกแอบมองนางได้แล้ว” เฮนริชได้แต่กัดฟันกรอด เพราะที่เลนนี่พูดมามันถูกต้องทั้งหมด เขาควรหยุด หยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำ ทั้งตอนนี้และต่อไปด้วย สายตาคมจ้องกลับไปที่ร่างบอบบางในชุดทะมัดทะแมงของทาร์เทียน่า ที่กำลังเพลิดเพลินกับการใช้ทักษะการต่อสู้ด้วยดาบ อัศวินหนุ่มถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเหลือบตาขึ้นมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนแทน นางอยู่สูงราวกับอยู่บนนั้น และใครที่คู่ควรจะอยู่เคียงข้างแน่นอนว่ามันไม่ใช่คนอย่างเขา!

“ไปเถอะ หลอดนิโคลเรียกเรา” เลนนี่กระซิบบอกแล้วออกเดินไปก่อน เฮนริชจึงละสายตาจากท้องฟ้าแล้วเดินตามไปเงียบ ๆ พยายามบังคับสายตาไม่ให้มองไปที่กลางสนาม แม้จะเป็นสิ่งที่ทำได้อยากยิ่งเพราะเคยทำมาตลอด แต่เขาต้องทำให้ได้





คล้อยหลังสองอัศวินหนุ่มหลังพุ่มไม้นั่น เด็กน้อยที่ถูกลงโทษนั่งหงอยเพียงลำพัง ลีโอได้ยินทุกอย่างที่เลนนี่คุยกับเฮนริช คิดถึงคืนที่อัศวินหนุ่มเอาแต่ทอดสายตาเหม่อมองไปยังร่างระหงในชุดคลุมยาวกรุยกราย ท่ามกลางสวนสวยสลัวในแสงคบไฟช่างดูชวนฝัน สิ่งที่ได้ยินอาจจะฟังดูคลุมเครือ แต่คนที่ใคร ๆ มองว่าเป็นเด็กน้อยไม่ยอมโตอย่างลีโอก็ยังเข้าใจ อัศวินหนุ่มหลงรักเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ กลายเป็นรักต่างชนชั้นต้องห้ามที่น่าขำสิ้นดี แล้วลีโอล่ะ ลีโอก็เคยเผลอแอบมองใครบางคนยามเขาไม่รู้ตัว แอบใจเต้นยามได้อยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ถือว่าเป็นการหลงรักได้หรือเปล่า

“เจ้าควรเตรียมตัวต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ที่จะมาเข้ารวมงานประจำปีกับเราได้แล้วนะ พรุ่งนี้น่าจะมาถึงกันแล้ว”

“พี่ก็ต้อนรับแทนข้าไปสิ”

“งานนี้เป็นราชพิธีเจ้าต้องออกเอง แล้วก็สวาเนียร์”

“สวาเนียร์ทำไม”

“เรื่องของเจ้ากับเจ้าหญิงอานาสตาเซียร์ไง”

“ข้าไม่..”

“หน้าที่ของกษัตริย์คือเสียสละตัวเองเพื่อประเทศชาติ การเชื่อมสัมพันธไมตรีกับสวาเนียร์จะให้ประโยชน์หลายอย่างแก่เรา” การแต่งงานเพื่อผลประโยชน์นั้นมีมานานแล้วจนดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา สองพี่น้องคุยโต้ตอบกัน ไม่ได้สนใจท่าทางอึดอัดของผู้ร่วมโต๊ะอีกคนเลยสักนิด นอกจากสีหน้าและสายตาหวานซึ้งชวนฝัน ยามจูเลียนเสพตัวอักษรจากบทกวีหรือนิยาย กรอสเซ่เองก็เพิ่งจะได้เห็นท่าทางจริงจังที่สุดของยุวกษัตริย์ก็วันนี้นี่เอง

“พี่ก็รู้นี่นิโคลว่าใจของข้า...” จูเลียนเอื้อมมือมากุมมือกวีหนุ่มยอดรักใต้โต๊ะ เมื่อเถียงพี่ชายอย่างดื้อดึงและเอาแต่ใจ แต่มือเย็น ๆ ของกวีหนุ่มก็ไม่ได้ตอบสนอง นอกจากวางนิ่ง ๆ ให้จูเลียนกอบกุมเอาเองอยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องที่ทั้งสองกำลังคุยกันเลยสักนิด! “ถึงยังไงก็คงไม่มีวันนั้น”

“ก็ลองดูว่าสภาเล็กจะว่ายังไง” สภาเล็ก ประกอบไปด้วย กษัตริย์ ที่เป็นประธานสภา รัชทายาททั้งสอง รัฐมนตรี และที่ปรึกษาอีกสามคน ซึ่งอำนาจตัดสินใจสำคัญทุกอย่างในการปกครองประเทศ ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากสภาเล็กกลุ่มนี้ก่อน แต่หลายอย่างก็มักจะอ่อนให้กับความเอาแต่ใจของจูเลียนเสียเป็นส่วนใหญ่





๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑





“เจ้าตื่นเต้นไหมที่ใกล้ได้เจอว่าที่คู่หมั้นแล้ว” น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นทุ้มนุ่มน่าฟัง เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มผิวขาวราวน้ำนม ใบหน้าเรียวประดับด้วยส่วนประกอบที่เขากันได้อย่างลงตัวพอดี ตั้งแต่คิ้วสีน้ำตาลอ่อนตัดกับดวงตาสีฟ้าสดใสที่มีแววหวานแต่ดูมุ่งมั่น จมูกโด่งปลายหยดน้ำดูมีเสน่ห์ เข้ากับรูปปากอวบอิ่มที่หยักสวยเป็นกระจับ ยามแย้มยิ้มจึงยิ่งดูหวานจับใจ ล้อมกรอบใบหน้าชวนมองด้วยเส้นผมสีเงินยาวเคลียไหล่ที่ถูกมัดรวบเอาไว้ครึ่งเดียว ส่งให้ยิ่งดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลยิ่งขึ้น

“พี่พูดอะไรออกมานะลอเรน ก็รู้อยู่ว่าข้าไม่ได้ปรารถนาเลยสักนิด”

“เราต้องพึ่งออสเซนเทียเจ้าอย่าลืมสิ และนี่เป็นหน้าที่ของเจ้า”

“ข้าได้ข่าวกษัตริย์ออสเซนเทียไม่เอาไหนสักอย่าง นอกจากเพ้อฝันกับบทกวีและละครโอเปร่าไปวัน ๆ ”

“นั่นแหละยิ่งดี เจ้าจะได้ไม่ต้องปวดหัว และเราจะได้คุมเขาได้ง่าย ๆ ไงอนาสตาเซีย”

“อย่าลืมคนรอบข้างเขาด้วยล่ะ อะไรมันก็ไม่ง่ายอย่างที่พี่กับท่านพ่อคิดหรอกนะ” เป็นบทสนทนาของสองพี่น้องจากดินแดนสวาเนียร์ ที่เดินทางมาเข้าร่วมงานประจำปีของออสเซนเทียตามคำเชิญ และที่มากกว่านั้นก็คือ เจ้าหญิงอนาสตาเซีย ที่ได้รับทาบทามให้เป็นคู่หมายของกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย ด้วยเห็นว่าทั้งสองคู่ควรกัน

“กว่าเราจะเดินทางถึงก็ตั้งพรุ่งนี้ เจ้าจะวิตกกังวลไปทำไม”

“พี่จะเข้าใจอะไร ไม่ได้เป็นคนถูกจับแต่งกับใครนี่”

“เป็นเกียรติของเจ้าแล้วที่ได้ทำเพื่อสวาเนียร์”

“แต่..” หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก เพราะมันเป็นสิ่งที่นางไม่อาจปฏิเสธได้ ด้วยว่าเกิดมาพร้อมความสูงศักดิ์ และต้องรับผิดชอบต่อชาติกำเนิดของตัวเอง นั่นคือการเสียสละเพื่อบ้านเมือง

“อย่าพูดถึงเรื่องอื่น ทำตามหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด ทำให้จูเลียนเห็นว่าเจ้ารักเขามากแค่ไหน ทำให้เข้าตกหลุมรักเจ้าจนโงหัวไม่ขึ้น”

“พี่ไม่เคยมีความรักพี่คงไม่เข้าใจหรอกลอเรน” อนาสตาเซียบอกเสียงเศร้า ตลอดหลายวันของการเดินทางนางพยายามทำใจให้เข้มแข็ง เพื่อยอมรับสิ่งที่กำลังจะได้เผชิญ แต่ดูเหมือนว่าความพยายามมันจะไม่เป็นผลเลยสักนิด เพราะจิตใจก็ยังอ่อนแอเจ็บปวด และฝืนตัวเองอยู่เช่นเดิมเมื่อคิดว่าต้องแต่งงานกับคนที่ไม่มีใจ พยายามจะอธิบายให้พี่ชายฟัง แต่คนไร้หัวใจไม่เคยรักใครอย่างลอเรนมีหรือจะเข้าใจ

“เพราะหน้าที่ต้องมาก่อนข้าถึงได้ไม่มีความรักให้ใคร คนอย่างเรามันเลือกทางตัวเองไม่ได้หรอก เราเกิดมาพร้อมกับภาระและหน้าที่ต่อบ้านเมือง”

“สักวันพี่ต้องถูกจับให้แต่งานกับผู้หญิงแปลกหน้าที่เขาคิดว่าคู่ควร พี่จะทำตามไหมล่ะ”

“ถ้าเพื่อบ้านเมืองข้าก็ต้องทำ”

“ทำไมต้องเป็นข้า ทำไมพี่ไม่แต่งกับน้องสาวฝาแฝดจูเลียนบ้างล่ะ มันก็แต่งระหว่างสองประเทศเหมือนกัน” ยิ่งพูดยิ่งคุยอนาสตาเซียก็ยิ่งใส่อารมณ์ และอยากขัดขืนไม่ยอมทำตามสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่เพื่อบ้านเมือง หน้าที่นี้เป็นหน้าที่เดียวที่นางอยากปฏิเสธถ้าทำได้

“เด็กโง่ มันจะเหมือนกันได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าแต่งกับกษัตริย์และเจ้าจะได้เป็นราชินีมีอำนาจล้นฟ้า หากให้ข้าแต่งกับทาร์เทียน่าก็ทำอะไรไม่ได้เลย เจ้าเข้าใจหรือยัง” ลอเรนสบตาน้องสาวนิ่งริมฝีปากหยักของเขาแย้มออกเล็กน้อย ตามแบบผู้ชายใจดีใจเย็น รอฟังว่าน้องสาวจะพูดอย่างไรต่อ แต่อนาสตาเซียกลับเมินมองออกไปด้านนอกผ่านช่องหน้าต่าง ตอนนี้ทั้งสองอยู่บนรถม้าที่กำลังพาไปสู่ดินแดนแปลกหน้า และอีกคนหนึ่งอาจจะต้องใจชีวิตที่นั่นตลอดไป





๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑





“ฝ่าบาท”

“ท่านโจเชฟ”

“อีกเดี๋ยวขบวนเสด็จของมอนทาร์น่ากับสวาเนียร์ก็จะมาถึงแล้ว”

“ที่พักรับรองเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“ข้าให้กรมวังจัดการเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว รับรองว่าแขกบ้านแขกเมืองจะต้องประทับใจในการต้อนรับของฝ่าบาทแน่นอน”

“ขอบใจมากท่านโจเซฟ”

“ถือเป็นเกียรติของข้าที่ได้ถวายงานฝ่าบาท” รอยยิ้มไร้ความเป็นมิตรถูกซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียน ยามที่รัฐมนตรีโจเซฟก้มถวายคำนับให้กับจูเลียนศีรษะแทบจรดพื้น และปรับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนฉาบฉายบนหน้ากากทาสรับใช้ ที่สวมไว้บนใบหน้าซื่อสัตย์ยามยืดตัวขึ้นเสนอหน้าสนทนาต่อ





“ทำไมเราถึงได้เชิญมอนทาร์น่ามาล่ะ เรากำลังมีปัญหากับทางนั้นอยู่ไม่ใช่หรือไง” ปัญหาที่จูเลียนหมายถึงนั้น ไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อยเลยสักนิด เมื่อขบวนสินค้าสำคัญของออสเซนเทียหลายขบวนถูกปล้นกลางทาง ระหว่างการขนส่งไปยังท่าเรือในอ่าวของมอนทาร์น่า ทั้งที่มีการเจรจาและทำสัญญาขอใช้เส้นทางกันแล้ว และโจรที่ปล้นก็เป็นคนของฝ่ายนั้นนั่นเอง ออสเซนเทียอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย รวมถึงพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลก็จริง แต่กลับไม่มีส่วนไหนที่ติดกับทะเลเลย ดังนั้นการค้าขายหรือส่งสินค้าออกไปขายต่างแดนทางเรือ จึงต้องอาศัยส่งผ่านทางมอนทาร์น่าที่มีท่าเรือใหญ่ ส่วนสวาเนียร์แม้จะติดทะเลแต่อ่าวเป็นเพียงช่องแคบขนาดเล็ก มอนทาร์น่าจึงได้เปรียบด้านนี้มากกว่า

“นี่คือโอกาสที่เราจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับทางนั้นฝ่าบาท”

“ควรจะเป็นฝ่ายนั้นไม่ใช่หรือไง ที่ต้องเป็นผู้เริ่มฟื้นความสัมพันธ์เขาทำผิดต่อเรานะ”

“แต่ข้าเห็นว่าใครเริ่มก่อนไม่สำคัญหรอกฝ่าบาท สำคัญที่ว่าผลตอบแทนที่จะได้รับเราได้เปรียบหรือเปล่า”

“แล้วเราจะได้เปรียบหรือเปล่าล่ะ ท่านรัฐมนตรี”

“แน่นอนฝ่าบาท” เพียงเท่านั้นการสนทนาก็สิ้นสุดลง หากเป็นนิโคลคงถามต่อว่าเราจะได้เปรียบอย่างไร ด้วยวิธีไหน คุ้มค่าหรือไม่ แต่นี่เป็นจูเลียนแค่รู้ว่าได้ผลประโยชน์ก็เพียงพอแล้ว กษัตริย์หนุ่มน้อยไม่สนวิธีการ เพราะเท่าที่พูดคุยกันอยู่นี้ก็เบื่อเต็มที

“จูเลียน ขบวนเสด็จของมอนทาร์น่ามาถึงหน้าประตูเมืองแล้ว” ทาร์เทียน่าในชุดคลุมยาวเป็นทางการเช่นเดียวกับจูเลียนเข้ามากระซิบบอก โจเชฟค้อมหัวเพื่อทำความเคารพนางในฐานะรัชทายาทอันดับหนึ่ง แล้วจึงถอยไปยืนยังมุมของตัวเองกับข้าราชบริพารคนอื่น ๆ ที่ยืนตามลำดับขั้น ปล่อยให้สองพี่น้องยืนรอต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ที่นิโคลเป็นฝ่ายลงไปรับถึงหน้าประตู ทุกคนมีสีหน้าที่แสดงออกมาตามอารมณ์ของตัวเอง แต่พอเจอกันหน้ากากก็ถูกหยิบขึ้นมาสวม วันที่ชาวออสเซนเทียและชาวต่างเมืองเฝ้ารอใกล้มาถึง วันที่ไม่มีผู้ใดร่วงรู้มาก่อนว่ามันจะนำพาสิ่งใดมาให้บ้าง วันนั้นมันอาจจะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็เป็นวันที่ต่างคนก็ต่างเฝ้ารอเพราะหนึ่งปีมีแค่ครั้งเดียว





๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เป็นอะไรที่มาช้าอยู่หน่อยนึงนะ เรื่องไปแบบเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ หลังวันงานประจำปีน่าจะมีอะไร ๆ ดีขึ้น ดาวอยากให้ถึงตอนนั้นแล้ว (ตอนไหนจ้างก็ไม่บอก) แต่ตอนนี้พระเอกหายหัวเลย อย่าสงสัยว่ามันไปไหน อย่าคิดว่ามันยังอยู่ในซ่อง เพราะตอนที่แล้วมันบอกเลนนี่แล้วว่าจะออกไปนอกเมือง ถึงวันงานค่อยเข้ามา งั้นวันงานค่อยเจอกับพระเอกก็แล้วกัน แหะ ๆ
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 5 แขกบ้านแขกเมือง 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-11-2018 19:22:56



เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 5 แขกบ้านแขกเมือง



หลังประตูบานใหญ่ที่เปิดต้อนรับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนทั้งชาวพื้นเมือง และคนต่างถิ่นผสมปนเปกันไปหมดไม่รู้ใครเป็นใคร เพราะต่างคนก็ต่างมุ่งหน้าหวังจะมาร่วมงานประจำปีอันยิ่งใหญ่ ที่นอกจากการประลองแล้วยังมีงานเทศกาลซึ่งจัดขึ้นเพียงปีละครั้ง จึงทำให้ประชาชนตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก

ขบวนต้อนรับตั้งแถวยาวรอ เพราะมีการแจ้งมาก่อนว่ากษัตริย์แห่งมอนทาร์นาเดินทางมาถึงแล้วตามหมายกำหนดการ ผู้แทนพระองค์ยืนรออยู่ด้านหน้าสุดเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอย่างสมเกียรติ

“ข้านิโคลัส ตัวแทนของกษัตริย์จูลีเดียส ยินดีต้อนรับฝ่าบาทและคณะสู่ออสเซนเทีย”

“ขอบคุณที่มาต้อนรับ นี่คือแอนดีสน้องชายของข้าเอง” นิโคลโค้งให้อเล็กซิสเมื่อกษัตริย์หนุ่มลงจากหลังม้า มายืนสง่าผ่าเผยอยู่ตรงหน้า และหันไปค้อมศีรษะให้แอนดีสเล็กน้อยเป็นการทักทาย เมื่อได้รับการแนะนำ

“กษัตริย์ของเรารอต้อนรับท่านอยู่ข้างในเชิญเสด็จ” อเล็กซิสเพียงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินขึ้นบันไดไปยังท้องพระโรงส่วนที่จัดเอาไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอย่างเป็นทางการ นิโคลยังยืนอยู่ที่เดิม และหลังจากนั้นไม่นานก็มีขบวนใหญ่อีกหนึ่งขบวนเคลื่อนเข้ามา คนที่ขี่ม้านำหน้าขบวนดูสะดุดตากว่าทหารทั่วไป ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกอย่างโครงหน้าที่โดดเด่นและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่แตกต่างดูเลอค่า ซึ่งนั่นก็คงเดาได้ไม่ยากว่าคือใคร เมื่อขบวนหยุดลงชายหนุ่มจึงเข้าไปต้อนรับ

“ยินดีต้อนรับสู่ออสเซนเทีย”

“..”

“ข้าคือนิโคลัส เป็นตัวแทนของกษัตริย์จูลีเดียสมารอต้อนรับทุกท่าน” เมื่อนิโคลแนะนำตัวเองเรียบร้อย ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าจึงเหมือนกับเพิ่งรู้สึกตัว หลังจากเผลอพินิจใบหน้าคมคายที่ตราตรึงสายตาของนิโคลอยู่เป็นครู่

“ขอบคุณ ที่มาต้อนรับลอร์ดนิโคลัส” ลอเรนดูเหมือนว่าจะรู้สึกตัวช้าไปสักหน่อยสำหรับคำทักทาย ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงเล็กน้อยให้นิโคล เพราะทั้งสองต่างอยู่ในฐานะเจ้าชายเช่นเดียวกัน “ข้าคือลอเรน และนี่คืออนาสตาเซีย” นิโคลค้อมศีรษะให้หญิงสาวด้วยท่วงท่าที่ดูสง่างาม โดยชายหนุ่มเอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มเปิดเผย เมื่อรับมือเรียวของอนาสตาเซียที่ยื่นให้มาจูบลงบนหลังมือเบา ๆ แล้วจึงเชื้อเชิญสองพี่น้องเดินเข้าไปในท้องพระโรงพร้อมกัน โดยที่นิโคลแสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการยกแขนขึ้นให้อนาสตาเซียได้คล้องเดินขึ้นบันได หญิงสาวก้าวเท้าขึ้นช้า ๆ ด้วยท่วงท่าสง่างามสมเป็นเจ้าหญิง มือข้างหนึ่งคล้องเข้าที่ท่อนแขนแข็งแรงของเจ้าบ้าน ส่วนอีกข้างดึงชายกระโปรงยาวเพื่อให้ก้าวขึ้นบันไดได้สะดวก





พอก้าวพ้นบันไดขึ้นมาก็เป็นประตูบานใหญ่สองบานที่เปิดเอาไว้ต้อนรับ เผยให้เห็นท้องพระโรงกว้างขวางหลังคาโค้งสูงที่ถูกสร้างให้ใหญ่โตสมเกียรติ โถงกว้างที่สุดความยาวเป็นแท่นบันไดสูง 5 ขั้น บนนั้นคือบัลลังก์ทองที่ดูยิ่งใหญ่ ผนังแบ่งช่องออกด้วยเสาค้ำหินอ่อน ประดับช่องแต่ละช่องของผนังทั้งสองด้าน ด้วยภาพวาดฝีมือจิตรกรเอกแห่งออสเซนเทีย งานปั้นและงานสลักหินอ่อนฝีมือประณีตตั้งวางประดับตามจุดต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ห้องโถงกว้างที่จุกคนได้นับร้อยนับพันถูกจัดเอาไว้อย่างตระการตา เพื่อรอรับแขกบ้านแขกเมือง ทั้งดอกไม้ประดับเพื่อความสดใส ทั้งผ้าม่านผ้าแพรถูกนำออกมาตกแต่งเอาไว้ได้อย่างสวยงาม เสริมความหรูหราด้วยเครื่องเรือนชุดเก้าอี้บุนวมนุ่มหุ้มผ้ากำมะหยี่สีแดงสด ปักลวดลายเดินเส้นไหมสีทองหรูหรา เชิงเทียนทองเหลืองประดับคริสทัลที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากช่างฝีมือ เน้นความประณีตในศิลปะแบบอ่อนช้อย แต่กลับดูมีพลังเข้ากันกับชุดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารทำด้วยทองเหลืองเป็นอย่างดี ด้านบนติดโคมไฟชุดใหญ่ระย้าประดับคริสทัลและแก้วเจียระไน ที่เล่นแสงส่องประกายระยิบระยับโยงลงมาจากส่วนโค้งของหลังคาดูอลังการและตระการตาเหลือเกิน





จูเลียนไม่โปรดนักที่ต้องมาปั้นหน้ารับแขกอย่างนี้ แต่เพราะเป็นภารกิจที่เลี่ยงไปไหนไม่ได้ จึงจำต้องนั่งทำหน้าเหมือนใกล้จะร้องไห้เข้าไปทุกที ต่างจากทาร์เทียน่าที่ยังนิ่งทำหน้าระรื่นและชวนคุยหน้าตาเฉย ทั้งที่จูเลียนก็ได้ยินนางบ่นว่าไม่ชอบเหมือนกัน และยิ่งแขกเมืองเริ่มทยอยมาถึงจูเลียนก็ยิ่งเหมือนใจจะขาด เพราะต้องปั้นสีหน้ายินดีออกไปต้อนรับอย่างไม่เต็มใจ

“ฝ่าบาท”

“อะไรเล่า”

“กษัตริย์อเล็กซิสแห่งมอนทาร์น่า” ลีโอที่ได้รับอภัยโทษจากจูเลียนอย่างจำใจเพราะงานเข้า ขยับมากระซิบเบา ๆ ข้างหลัง เมื่อเห็นร่างสูงสง่าในชุดผ้าไหมสีน้ำตาลเข้มพร้อมเครื่องประดับยศ บ่งบอกถึงความสูงศักดิ์ของชายหนุ่มที่เดินเข้ามาในท้องพระโรง เพื่อให้จูเลียนลุกออกไปต้อนรับ เพราะหนุ่มน้อยเอาแต่นั่งทำหน้างอไม่อยากรับแขก และเฝ้าแต่ถามหาคนรัก ไม่ได้สนใจพิธีการอะไรเลย หากขาดลีโอไปสักคนจูเลียนก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง





“ยินดีต้อนรับสู่ออสเซนเทีย ท่านอเล็กซิส” เป็นคำพูดที่ลีโอซักซ้อมให้จูเลียนเอาไว้พูด เมื่อลุกขึ้นมาต้อนรับแขก โดยมีทาร์เทียน่ายืนอยู่ข้างหลัง ซึ่งจูเลียนคงลืมอะไรบางอย่างไปลีโอจึงต้องสะกิดยิก ๆ จนกษัตริย์หนุ่มน้อยเผยยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจ นั่นแหละแรงสะกิดนั้นมันถึงได้หายไป ลีโอถอยกลับไปยืนอยู่ตำแหน่งเดิม กษัตริย์ต่างวัยต่างความสูงทั้งสองยื่นมือมาจับกัน เห็นได้ชัดว่าจูเลียนตัวเล็กลงไปมากเมื่อยืนอยู่ใกล้อเล็กซิสผู้สูงสง่าสมชายชาตรี แม้ตัวจูเลียนจะสูงอยู่ไม่น้อย แต่ความแกร่งของอเล็กซิสก็ข่มจนจูเลียนดูบอบบางน่าทะนุถนอมไปเลยทีเดียว





“หวังว่าท่านคงสบายดีนะ จูลีเดียส” อเล็กซิสทักตอบ ในฐานะกษัตริย์ผู้ครองเมืองเช่นกัน แต่อเล็กซิสนั้นอายุมากกว่าจึงเรียกเพียงชื่อของจูเลียน

“เราสบายดีเรียกเราว่าจูเลียนก็ได้ ท่านละการเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งจูเลียนถ้าอย่างนั้นก็เรียกข้าว่าอเล็กเถิด การเดินทางก็สนุกดี ขอแนะนำ นี่แอนดีสน้องชายของข้าเอง”

“ยินดีต้อนรับลอร์ดแอนดีส และนี่คือทาร์เทียน่าน้องสาวฝาแฝดของข้า”

“ท่านหญิง” อเล็กซิสมองใบหน้าสวยหวานงดงามด้วยสายตานิ่ง มุมปากของเขาขยับออกจากกันเล็กน้อย ทาร์เทียน่าทิ้งสายตามองต่ำเมื่อถอนสายบัวให้เขา พอหญิงสาวยืดตัวขึ้นและยื่นมือมาให้ กษัตริย์หนุ่มก็คว้ามือเรียวสวยในถุงมือขนสัตว์นั้นมาประทับจูบเบา ๆ ลงที่หลังมือ เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตา อเล็กซิสต้องหรี่ตามองด้วยความฉงน เพราะแววตาของนางที่แม้จะดูสุกใสแต่ก็มีแววท้าทายในแบบสาวน้อยซุกซนเหลือเกิน





“ท่านหญิงช่างงดงามเหลือเกิน”

“ขอบใจลอร์ดแอนดีส ท่านก็รูปงามไม่น้อยเลยนะ” ตามด้วยแอนดีสที่เบียดพี่ชายเข้ามาทักทายหญิงสาว และส่งยิ้มขี้เล่นมาให้ ทาร์เทียน่าเพียงยิ้มน้อย ๆ ยามโต้ตอบกลับ สองกษัตริย์หนึ่งเจ้าหญิงหนึ่งเจ้าชายพูดคุยกันอยู่เพียงครู่ จูเลียนจึงเชิญให้ไปพักยังส่วนที่จัดเอาไว้ เพราะยังมีแขกอื่นที่เขาต้องต้อนรับ





“ทำหน้าอะไรของเจ้า”

“ข้าเหนื่อย”

“เจ้าแค่ยืนเฉย ๆ นะ”

“ก็ใครจะไปแกร่งเหมือนเจ้ากันล่ะเทียน่า”

“นั่นลอเรนกับอานาสตาเซียคู่หมายของเจ้า”

“เจ้ารู้จักสองคนนั้นได้ยังไง” จูเลียนถามเมื่อหันไปตามสายตาของทาร์เทียน่า และเห็นชายหนุ่มท่าทางสง่าผ่าเผยเดินเข้ามาพร้อมกับนิโคล และข้างนิโคลก็มีสาวน้อยคนหนึ่งคล้องแขนเดินเข้ามาด้วย ซึ่งมันเดาได้ไม่ยากว่าสองคนนี้เป็นใคร

“ข้ารู้ก็แล้วกันน่า ยิ้มสิแขกบ้านแขกเมืองเชียวนะ” ยุวกษัตริย์ไม่พอใจที่ทาร์เทียนาพูดเหมือนกำลังเย้าแหย่ ก็รู้อยู่ว่านอกจากรับเชิญมาร่วมงานประจำปีแล้ว ยังมีเรื่องของการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างออสเซนเทียกับสวาเนียร์แฝงเอาไว้ด้วย และนั่นล่ะคือสิ่งที่จูเลียนไม่โปรดเป็นที่สุด!

“ลอร์ดลอเรนยินดีต้อนรับสู่ออสเซนเทีย”

“ถือเป็นเกียรติยิ่งนัก และนี่อานาสตาเซียน้องสาวของข้าเอง” หญิงสาวสบตาและยิ้มหวานให้จูเลียน นางเอียงคอค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเมื่อย่อตัวถอนสายบัวถวายความเคารพ ยื่นมือให้กษัตริย์หนุ่มน้อยได้รับไปจุมพิตเมื่อยืดตัวขึ้นยืนตรง

“สวัสดีอนาสตาเซีย”

“ฝ่าบาท”

“และนี่คงเป็นท่านหญิงทาร์เทียน่า ช่างงดงามน่ารักอย่างที่ได้ยินข่าวจริง ๆ ” ลอเรนทักทายด้วยการค้อมศีรษะให้ทาร์เทียน่าเล็กน้อย แล้วรับมือของหญิงสาวขึ้นจุมพิตตามธรรมเนียมเช่นกัน

“ข้าตกเป็นข่าวเสียแล้วหรือ แต่ก็ขอบคุณที่ชมลอร์ดลอเรน”

“เชิญทางนี้ดีกว่า กษัตริย์มอนทาร์น่าก็เพิ่งเดินทางมาถึงเช่นกัน” จูเลียนเดินคู่ไปกับลอเรน และตามด้วยทาร์เทียน่ากับอนาสตาเซีย ที่เดินคุยกันไปด้วย





เมื่อแขกทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว งานเลี้ยงต้อนรับก็เริ่มขึ้น โต๊ะยาวกลางห้องโถงใหญ่จัดเอาไว้อย่างสวยหรู พรั่งพร้อมไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มมากมาย ในฐานะเจ้าภาพจูเลียนนั่งตรงกลาง ข้างขวาคืออเล็กซิสส่วนข้างซ้ายคือลอเรน และอนาสตาเซีย ถัดจากนั้นก็เป็นคนอื่น ๆ ที่นั่งสลับกันไป ทั้งนิโคล ทาร์เทียน่า รัฐมนตรีโจเซฟ ที่พาลูกสาวมาด้วย และข้าราชบริพารคนสำคัญอีกหลายคน การสนทนาบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างออกรส ซึ่งจูเลียนก็ทำได้ดีทีเดียวสำหรับคนไม่ชอบความวุ่นวาย





“ท่านมีอะไรอยากจะถามข้าหรือเปล่า” ทาร์เทียน่าถามขึ้น เพราะนางสังเกตหลายครั้งแล้วว่าอเล็กซิสที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แอบหันมามอง และบางครั้งก็เหมือนกับว่าจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่เห็นพูดออกมาสักคำ

“หากข้าทำอะไรให้ไม่พอใจโปรดอภัยข้าด้วยท่านหญิง ข้าเพียงแต่สงสัยอะไรบางอย่างที่ไม่สำคัญเท่าไหร่นัก”

“อะไรล่ะที่ท่านกำลังสงสัย”

“อาหารนี้เป็นอาหารพื้นเมืองของออสเซนเทียหรือท่านหญิง”

“ใช่แล้ว ไม่ถูกปากท่านหรือไง”

“มันออกจะรสชาติแปลก ๆ สำหรับข้าแต่ก็อร่อยมากทีเดียว” ทาร์เทียน่ายิ้มน้อย ๆ กับคำชมที่เดาว่ากษัตริย์หนุ่มคงเพียงแค่พูดออกมาตามมารยาทเท่านั้น แต่นางก็ไม่ได้แปลกใจเพราะอาหารพื้นเมืองของแต่ละแห่ง ย่อมมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป และอาจจะแปลกสำหรับลิ้นไม่คุ้นชิน

“แน่ใจนะว่าท่านอยากถามข้าเกี่ยวกับเรื่องอาหารจริง ๆ ” ริมฝีปากบางสวยที่เคลือบเอาไว้ด้วยขี้ผึ้งผสมเปลือกไม้เพื่อให้สีแดงระเรื่อแย้มสรวลออก เผยให้เห็นรอยยิ้มซุกซนตามแบบสาวน้อยขี้เล่น ทาร์เทียน่าถามตรง ๆ ตามนิสัยตรงไปตรงมาของนาง เล่นเอากษัตริย์หนุ่มแทบไปไม่เป็น เขาเผลอมองและนางก็จับได้ ดีที่ยังสามารถเอาความสุขุมนุ่มลึกอันเป็นนิสัยส่วนตัวออกมาบดบังความประหม่าไว้ได้ทัน ตั้งแต่เกิดมาจนเติบโตพร้อมภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่เมื่อครองราชย์ จนถึงตอนนี้อายุเข้า 30 ปี ก็เพิ่งจะมีวันนี้ล่ะที่เขาเกือบหลุดต่อหน้าอิสตรี นางมีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดจนเขาเผลอตัว





อันว่าผู้หญิงนั้นอเล็กซิสก็ใช่ว่าจะไม่เคยเข้าใกล้ เพราะเขาเองก็มีทั้งสนมนางในหลายสิบคน แต่กับทาร์เทียน่านางไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาหรือนางสนมที่เข้าถวายตัว นางเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์ที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปโฉมน่ารักงดงาม การวางตัวคำพูดคำจาของนางบ่งบอกว่าเจ้าตัวฉลาดอยู่ไม่น้อยเลย





“แล้วอนาสตาเซียล่ะ อาหารถูกปากเจ้าหรือไม่”

“ข้าชอบมาก อาหารจานนี้เรียกว่าอะไร” แล้วทาร์เทียน่าก็นำเสนออาหารพื้นเมือง และวัฒนธรรมการกินให้คนที่นั่งข้างนางทั้งสองฟัง กษัตริย์หนุ่มตั้งใจฟังและสังเกตทุกอิริยาบถของนางอย่างละเอียด และเขาก็ได้พบว่าตัวเองคิดถูก เพราะทาร์เทียน่าเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากทีเดียว แต่พอหันไปสนทนากับจูเลียนที่นั่งอยู่อีกข้าง เขากลับได้พบกับอีกขั้วหนึ่งที่ดูแตกต่าง จูเลียนดูออกง่าย ค่อนข้างเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองและมองโลกในแง่ดี ที่สำคัญคือคงจะเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนไหวและอ่อนโยนมากทีเดียว





หลังจากงานเลี้ยงจูเลียนประกาศเชิญชวนให้แขก และผู้ร่วมงานมาดูการแสดงละครที่ถูกจัดขึ้นภายในห้องโถงใหญ่อีกห้อง ทุกคนนั่งประจำที่ จูเลียนถูกจัดให้นั่งคู่กับอนาสตาเซียในฐานะคู่หมายอย่างเปิดเผย ทาร์เทียน่ารับหน้าที่ดูแลแขกจากมอนทาร์น่า ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับนางเพราะเข้ากับทุกคนได้อยู่แล้ว ส่วนแขกจากสวาเนียร์เป็นหน้าที่ดูแลของนิโคล เมื่อการแสดงเริ่มขึ้นทุกสายตาก็จับจ้องไปที่เดียวกันนั่นก็คือบนเวที แต่กระนั้นก็ยังมีคนแอบลักลอบออกมานัดแนะกันในที่ลับตา





“เจ้ารออะไรอยู่ ทำไมไม่ทำตามที่ข้าบอก”

“ท่านจะให้ข้าทำยังไงล่ะ คนตั้งมากมาย ไหนจะนังนั่นที่มันประกบจูเลียนอยู่ตลอดเวลา จนข้าเข้าไม่ถึงเลย”

“นิโคลไง สองคนนี้เจ้าต้องได้ใครคนใดคนหนึ่งมาครอง”

“มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะท่านพ่อ”

“ลีแอนฟังพ่อนะเพื่อความมั่นคงของเรา เจ้าต้องทำให้คนใดคนหนึ่งระหว่างจูเลียนกับนิโคลตกหลุมรักเจ้าให้ได้” ลีอานนาถอนหายใจ เพราะแผนตื้น ๆ ที่นางและพ่อวางเอาไว้มันดูเหมือนจะเป็นแผนง่าย แต่จนป่านนี้นางก็ยังไม่สามารถที่จะทำตามแผนได้สักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าหานิโคลหรือเข้าหาจูเลียน อย่าว่าแต่เข้าหาจูเลียนซึ่งเป็นกษัตริย์เลย แม้แต่ลอร์ดนิโคลนางยังไม่ได้แม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้เขา

“ใช้ความเป็นลูกสาวข้าให้มีประโยชน์”

“ท่านพ่อ”

“เจ้าต้องทำให้ได้” สั่งสอนลูกสาวจบโจเซฟก็เดินเข้าไปในงาน ทิ้งให้ลีอานนายืนว้าวุ่นอยู่เพียงลำพัง แน่ล่ะสิ่งที่ผู้เป็นพ่อเสี้ยมเอาไว้ทำให้นางสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะตำแหน่งราชินีแห่งอาณาจักรออสเซนเทีย หากนางทำให้จูเลียนตกหลุมรักได้ แต่หากพลาดจากจูเลียนนางก็ยังมีนิโคลเป็นจุดมุ่งหมายต่อไป เพราะถึงอย่างไรนิโคลก็มีอิทธิพลต่อจูเลียนและออสเซนเทียอยู่ไม่น้อย แต่จะทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงคนใดคนหนึ่งได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่พอคิดถึงคำที่พ่อเสี้ยมสอนหญิงสาวก็เกิดความฮึกเหิม เพราะความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมรออยู่ที่นั่น และนางจะต้องทำให้ได้ โดยก่อนอื่นนางต้องพาตัวเองเข้าไปให้เป็นจุดสนใจเสียก่อน เป็นถึงลูกสาวรัฐมนตรี เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่ท่านพ่อของนางได้บอกเอาไว้นั่นแหละ ลีอานนาจัดแต่งชุดของนางใหม่ให้ดูดีเข้าที่ ใบหน้าสวยหวานเชิดขึ้นพร้อมกับหลังที่ยืดตรง เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับก้าวเข้าไปในงาน





“ท่านหญิงลีอานน่า” ร่างหญิงสาวในชุดคลุมเปิดไหล่กระโปรงยาวสีแดงเลือดนกหยุดชะงัก เมื่อมีใครบางคนเรียกและก้าวเข้ามาขวาง ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มพราวราวกับดีใจนักหนาที่ได้เจอกัน

“เรารู้จักกันหรือ”

“ท่านคงยังไม่รู้จักข้า” หลังจากถามเพราะความฉงน ลีอานนากวาดตาสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่ใบหน้าขาวผ่อง รูปร่างสูงเพรียวดูสะโอดสะอง ไปจนถึงการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างดีบ่งบอกถึงฐานะที่น่าจะดีอยู่ไม่น้อย

“โปรดอภัยด้วยข้าไม่รู้จักท่านจริง ๆ “ลีอานนาเปลี่ยนกิริยาเมื่อเห็นว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในแขกที่มาร่วมงานเลี้ยง

“ข้าชื่อกรอสเซ่ ข้าเพิ่งได้คุยกับท่านรัฐมนตรีไปเมื่อหลายวันก่อน”

“ท่านรู้จักกับพ่อของข้านี่เอง อภัยด้วยที่ข้าไม่รู้จักท่านจริง ๆ”

“ตอนนี้ก็รู้จักแล้ว ท่านจะเข้าไปชมละครหรือ”

“ใช่ข้าขอตัวก่อน” ลีอานนารีบผละไปจากตรงนั้น เพราะถึงแม้ว่านางจะไม่เคยเจอเขามาก่อน แต่หากเอ่ยชื่อกรอสเซ่ทุกคนย่อมรู้ว่าชายผู้นี้เป็นใคร เสียงซุบซิบที่เกิดขึ้นแม้จะไม่ดังมากนัก แต่ก็แผ่ไปในวงกว้างน้อยเสียเมื่อไหร่ กับเรื่องนินทาลับ ๆ ในวังที่นางได้ยินอยู่เป็นประจำ





กรอสเซ่ได้แต่ยืนยิ้มส่งสายตาเชื่อมมองตามร่างสาวงามในชุดกระโปรงยาวลากพื้น ที่เดินหลบเลี่ยงไปด้วยสายตาหวานซึ้ง แม้นางจะไม่เห็นไมตรีของเขาวันนี้ แต่อีกไม่นานเมื่อเขาทำงานให้พ่อของนางสำเร็จ สิ่งที่เขาเฝ้าหวังคงใกล้ความเป็นจริง

“เจ้าชอบไหม อนาสตาเซีย”

“เอ่อ ฝ่าบาทข้าไม่ค่อยถนัดชมละครเท่าไหร่นักหรอก”

“ที่สวาเนียร์ไม่มีการละครหรือไง”

“ก็มีบ้างฝ่าบาท”

“แต่คงเป็นเพราะตัวเจ้าไม่ค่อยชอบสินะ” อนาสตาเซียเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ทั้งที่จริงแล้วนางไม่ชอบเอาเสียเลยจนแทบจะบอกว่าเกลียดได้ ทั้งที่การละครเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วทุกราชสำนัก แต่ที่ต้องนั่งอยู่ตรงนี้ก็เพราะต้องใกล้ชิดจูเลียนเอาไว้ตามหน้าที่เท่านั้น “เจ้ารู้ไหมละครช่วยให้เราผ่อนคลายจากเรื่องราวน่าปวดหัวได้”

“ฝ่าบาทคงมีราชกิจมากมาย การทำในสิ่งที่ชอบก็คงช่วยให้ผ่อนคลายลงได้บ้าง” นางรีบประจบ

“ใช่ เจ้าฉลาดคิดดีนะอนาสตาเซีย ดูสิใกล้ถึงฉากสำคัญแล้ว เจ้าอาจจะชอบก็ได้”

“..” จูเลียนไม่ได้สนใจว่าอนาสตาเซียจะตอบโต้มาว่าอย่างไร เพราะเขาหันไปสนใจฉากในละครที่กำลังแสดงก่อน เจ้าหญิงจากสวาเนียร์ได้แต่นั่งเงียบ ทั้งสองต่างคนต่างเงียบ จูเลียนดื่มด่ำกับสิ่งที่โปรดปราน อนาสตาเซียหลงหลุดเข้าไปในความคิดของตัวเองทั้งที่ตายังจับอยู่ที่การแสดงเบื้องหน้า แต่นางกลับไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยสักนิด ไม่รู้แม้กระทั่งใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ปลีกตัวออกไปจากตรงนั้นแล้วเงียบ ๆ





“ไม่ชอบละครหรือไง” เสียงทักดังขึ้นใกล้มากจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ที่เป่ารดผิวเนื้ออ่อนหลังคอ คนถูกทักหันไปอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณเมื่อตกใจ จึงได้เจอเข้ากับใบหน้าเกลี้ยงเกลาขาวนวลในระยะประชิด มันชิดมากจนเห็นไรหนวดสีเขียวครึ้มที่ส่งให้ใบหน้าขาวนวลนั้นมีเสน่ห์มากขึ้น มันชิดมากจนแทบจะผละออกไม่ทัน

“ลอร์ดนิโคลัส” !

“ทำไมออกมายืนตากลมหนาวอยู่ตรงนี้ล่ะ สวาเนียร์อยู่ติดทะเลและเป็นเมืองร้อนเจ้าชอบอากาศเย็นๆ หรือไง หรือว่าไม่ชอบละคร”

“ข้าแค่อยากออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์” ลอเรนหันมองไปรอบๆ ราวกับว่ามองหาอากาศบริสุทธิ์อย่างที่ต้องการ ตอนนี้ทั้งสองยืนอยู่มุมเงียบมุมหนึ่งบนระเบียงด้านนอกท้องพระโรงที่ใช้จัดงานเลี้ยงต้อนรับ

“อากาศข้างในไม่ดีพอสำหรับเจ้าหรือไง”

“ท่านตามข้ามาทำไม” ถึงแม้เสียงของลอเรนในยามปกติจะกังวานไพเราะน่าฟัง แต่ยามนี้กลับสั่นและห้วนเมื่อเอ่ยคำถาม เพราะเจ้าตัวเกิดความประหม่าทั้งไม่รู้จะวางตัวอย่างไร ด้วยว่าไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองนั่นอีกเหตุผลหนึ่ง ตั้งแต่ตอนที่มาถึงประตูเมืองนั่นแล้ว อยู่ดี ๆ หัวใจก็เต้นผิดจังหวะและสั่นไหว ระบบการหายใจเหมือนจะขัดข้องและสะดุด ยิ่งได้อยู่ใกล้ได้พูดคุย ก็ยิ่งดูเหมือนว่าหัวใจของเจ้าชายแห่งสวาเนียร์จะเต้นแปลกไปจนน่ากลัว คิดว่าหากออกมาจากตรงนั้น และได้สูดอากาศในที่โล่งสักหน่อยน่าจะดีขึ้น อุตส่าห์เลี่ยงออกมาแล้วทำไมยังตามมาอีกก็ไม่รู้

“ข้าก็อยากออกมาสูดอากาศข้างนอกเหมือนกัน ไม่ได้ตามเจ้ามาสักหน่อย” ดวงตาสีฟ้าสดใสวูบไหวและหลุกหลิก ปรางนวลที่ขาวราวน้ำนมจับสีเลือดจนแดงปลั่ง ลามไปถึงปลายจมูกโด่งและริมฝีปากอิ่มที่หยักสวย จะเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็นจนแสบผิว หรือเพราะดวงตาสีน้ำตาลสุกใสของคนร่างสูงสง่า ที่กำลังจ้องมองมาก็ไม่อาจรู้ได้ แต่มันทำให้ลอเรนทำตัวไม่ถูก

ท่าทางของลอร์ดนิโคลัสดูผ่อนคลาย ส่วนดวงตาคู่นั้นก็ดู..ดูจะซุกซนขี้เล่นเกินไป แตกต่างจากเจ้าชายผู้สุภาพสง่างามที่มารอรับตรงหน้าประตูเมืองราวกับคนละคน

“มีใครทำอะไรให้เจ้าขัดข้องใจหรือไง”

“ไม่ได้มีใครทำอะไรให้ขัดข้องใจทั้งนั้น” ลอเรนยืดอกเชิดหน้าขึ้นพลางขยับตัวถอยห่างอย่างไว้ท่า เพราะดูเหมือนว่านิโคลจะไม่พูดเฉยๆ แต่ร่างสูงสง่านั้นยังค่อยๆ ขยับก้าวเข้ามาใกล้ ใบหน้าหล่อเหลาเอียงหาองศาที่พอเหมาะ เพื่อจะได้เห็นใบหน้าเรียวนวลที่เอาแต่หันหนีให้ถนัดขึ้น นิโคลขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงไออุ่นของกันและกัน และมาถึงตรงนี้ลอเรนก็ได้รู้สาเหตุที่แท้จริงของอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองและ “ท่านจะขยับเข้ามาใกล้ข้าทำไมเนี่ย”

“ที่นี่หนาวกว่าสวาเนียร์อยู่มากนะ เสื้อคลุมที่เจ้าใส่คงให้ความอบอุ่นได้ไม่เท่าไหร่หรอก”

“มันก็อุ่นดี”

“จริงเหรอ อุ่นแล้วทำไมปากเจ้าสั่นนักล่ะ” ได้ยินอย่างนั้นก็เผลอยกมือขึ้นลูบริมฝีปากอวบอิ่มเย็นชืดของตัวเอง ลอเรนสัมผัสได้ถึงแรงสั่นเบา ๆ ที่มีต้นตอมาจากคางมนเพราะความหนาว และต้องยอมรับว่าตอนนี้เขาหนาวมากทีเดียวโดยเฉพาะยามที่มีลมพัดมา “เจ้าหนาวหรือไง”

“ไม่ๆ ท่านจะทำอะไร” เจ้าของร่างเพรียวถอยกรูดจนติดราวระเบียง เมื่อร่างสูงสง่าของนิโคลขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับเสื้อคลุมในมือที่เขาถอดออกจากตัวอย่างรวดเร็ว แล้วคลุมลงบนร่างสูงเพรียวที่สั่นสะท้านของลอเรน รู้สึกเหมือนถูกโอบกอดกลายๆ พลันไออบอุ่นที่ติดมากับเสื้อก็กระจายไล่ความเย็นไปหมด

“เสื้อคลุมข้ามันอุ่นกว่าใส่ไว้เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบาย”

“ลอร์ดนิโคล ข้าเกรงว่าคงไม่เหมาะ”

“ไม่เหมาะตรงไหนล่ะ เจ้าเป็นแขกบ้านแขกเมืองข้าไม่ใจร้ายพอที่จะยืนดูแขกหนาวตายหรอกนะ”

“อีกเดี๋ยวข้าก็เข้าไปข้างในแล้ว ท่านเอามันคืนไปเถอะ”

“ใส่มันเอาไว้ก่อนที่เจ้าจะไม่สบาย” มือที่กำลังจะปลดเสื้อคลุมตัวหนาออกจากไหล่ชะงัก ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าบ้านยังดูอ่อนโยนแถมยังอมยิ้มน้อย ๆ แต่ดวงเนตรสีน้ำตาลเข้มคมกริบคู่นั้น กับน้ำเสียงที่เรียบนิ่งจริงจังทำให้ลอเรนแทบไม่กล้าขยับตัว

“แต่..ท่านไม่หนาวหรือไง”

“ข้าเกิดมาก็อยู่ท่ามกลางหิมะแล้ว ความหนาวแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

“หมายความว่าท่านแม่ของท่านคลอดท่านอยู่บนกองหิมะหรือไง” คำถามที่ดูใสซื่อบวกกับหน้าตาอ่อนเยาว์เหมือน..เด็กขี้สงสัย ทำให้นิโคลหลุดยิ้มออกมาแต่ก็เพียงเล็กน้อย และคู่สนทนาก็ไม่เห็นเพราะถามแล้วก็เอาแต่หันไปมองทางอื่น ลอเรนกำลังจะเสียการความเป็นตัวของตัวเอง กับการกระทำแปลก ๆ หน้าตาเฉยของนิโคล “ขออภัยข้าไม่ควรถาม ขอตัวก่อน”

“จะรีบไปไหนข้ายังเล่าไม่จบเลย”

“ข้าควรเข้าไปข้างในเพราะทิ้งอนาสตาเซียมานานแล้ว”

“นางอยู่กับจูเลียนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” นั่นแหละสิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับลอเรน เพราะอนาสตาเซียอยู่กับจูเลียนโดยไม่มีเขาอยู่ข้างๆ มันน่าเป็นห่วงที่สุด ไม่รู้ว่าอนาสตาเซียจะทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรออกมาเมื่อไหร่ ลอเรนไม่ลืมว่านางถูกบังคับให้เข้าหาจูเลียนหรอกนะ

“แต่ข้าออกมานานแล้วและควรกลับเข้าไปสักที นี่เสื้อคลุมของท่าน” มือเรียวที่กำลังจะปลดเสื้อคลุมตัวหนาออกจากร่างเพรียวบางของตัวเองเป็นต้องชะงักอีกครั้ง เมื่อนิโคลหยุดมันด้วยการจับมือเล็กไว้แน่น

“ลอร์ดนิโคล” !

 ต่อจ้า.....
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 5 แขกบ้านแขกเมือง 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-11-2018 19:24:24


“ลอร์ดนิโคล” !

“เก็บมันเอาไว้ เจ้าต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน”

“แต่..” ลอเรนค้านออกมาเสียงแผ่ว ไม่ใช่จำนนยอมเก็บเสื้อคลุมเอาไว้โดยดี แต่เป็นเพราะเจ้าของเสื้อที่บอกแล้วก็ไม่รอให้เขาได้คัดค้าน นิโคลเดินเร็ว ๆ ออกไปจนลอเรนเรียกเอาไว้ไม่ทัน ทิ้งไว้เพียงไออุ่นบนหลังมือที่ถูกเกาะกุมและเสื้อคลุมตัวหนาที่ทำให้เจ้าชายจากสวาเนียร์อุ่นไปทั้งตัว “ขอบคุณ”





*********************





“ฝ่าบาทมองหาใครหรือ”

“ลีโอ เจ้าเห็นกรอสเซ่บ้างไหม”

“ไม่เห็นเลยฝ่าบาท แล้วเจ้าหญิงอนาสตาเซียล่ะ ทำไมพระองค์ปล่อยให้นางนั่งอยู่คนเดียว”

“ช่างนางเถอะน่า เจ้าช่วยข้ามองหากรอสเซ่หน่อยสิ” จูเลียนกวาดสายตามองฝ่าความสลัวไปทั่วห้องโถงใหญ่เพื่อมองหาชู้รัก วันนี้ทั้งวันก็ยังไม่ได้เห็นหน้ากันเลย เพราะยุ่งจนแทบจะปลีกตัวออกไปไหนไม่ได้

“วันนี้ทั้งวันข้าไม่เห็นท่านกรอสเซ่เลยนะฝ่าบาท เขาอาจจะไม่มาก็ได้”

“เขาต้องมาสิ ข้าบอกแล้วว่าให้เขามา แต่ทำไมเขาไม่ไปหาข้าเลย”

“ข้าว่าฝ่าบาทกลับไปนั่งดูละครต่อเถอะ”

“นี่เจ้ากำลังสั่งข้านะลีโอ” พักตร์อ่อนเยาว์เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง รับกับดวงเนตรเขียวมรกตที่ตวัดมองคนสนิทอย่างขัดใจ ลีโอตัวสั่น แต่ด้วยเกรงว่าจะไม่เหมาะหากจูเลียนผู้เป็นเจ้าของงานหายออกมาจากงานเองแบบนี้

“ฝ่าบาทโปรดอภัย แต่ลีโอจะไปตามหาท่านกรอสเซ่ให้เอง”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ ถ้าเจ้าเจอเขาบอกให้เขารีบไปหาข้าด้วยนะ”

“ลีโอทราบแล้วฝ่าบาท เอ๊ะ นั่นลอร์ดนิโคลนี่”

“นิโคลพี่ไปไหนมา” จูเลียนทักขึ้นเมื่อหันไปตามสายตาของลีโอก็เห็นพี่ชายเดินเข้ามาถึงตัวพอดี

“เดินสูดอากาศแถวนี้ล่ะ เจ้าออกมาทำไมจูเลียน”

“ข้ามาตามหากรอสเซ่”

“กลับเข้าไปข้างในก่อนไปออกมาอย่างนี้ไม่เหมาะหรอก”

“แต่นิโคล”

“เดี๋ยวลีโอจะไปตามหาให้เองฝ่าบาท” จูเลียนมองหน้าลีโอแล้วจึงหันไปหาพี่ชาย แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของนิโคลก็จำต้องหันหลังกลับแล้วเดินออกไป จุดหมายคือห้องโถงใหญ่ที่ใช้ต้อนรับแขก

“แล้วเจ้าล่ะไม่เข้าไปหรือไง” ลีโอหดตัวจนร่างผอมบางเหลือตัวเล็กนิดเดียว เพราะนอกจากจะถามแล้วท่อนแขนแข็งแกร่งนั่นยังวางพาดไว้บนไหล่ รั้งให้ออกตัวเดินไปด้วยกันตามทางที่จูเลียนเพิ่งเดินไปก่อนหน้า

“ข้าคงต้องไปตามหาท่านกรอสเซ่ก่อน”

“มาเถอะ” นิโคลส่ายหน้าพลางบอกเบาๆ รั้งให้ลีโอเดินไปด้วยกัน ไม่สนใจงานที่คนสนิทของจูเลียนได้รับมอบหมาย เพราะนิโคลมองไม่เห็นความสำคัญของกรอสเซ่เลยสักนิด





คล้อยหลังคนทั้งสอง ใครอีกคนที่เดินตามนิโคลมาก็ปรากฏตัว ร่างสูงเพรียวยืนมองนิ่งมือยังกระชับเสื้อคลุมบนไหล่เอาไว้แน่น ลอเรนหยุดคิดถึงบทสนทนาที่เพิ่งได้ยินอยู่เพียงครู่เดียวก็เดินตามไปอีกคน คนที่ยืนอยู่ในมุมมืดมาตั้งแต่แรกจึงปรากฏตัว แต่กลับเดินไปอีกทาง

จูเลียนเข้ามานั่งในห้องโถงได้ไม่นานการแสดงละครก็จบลง และถึงเวลาที่งานเลี้ยงต้องเลิกราพอดี แขกเหรื่อล่ำลาและพากันทยอยกลับจนเกือบหมดแล้ว

“หวังว่างานงานเลี้ยงต้อนรับคงถูกใจท่านนะ” จูเลียนถามอเล็กซิสที่เดินเข้ามาหาพร้อมกับแอนดีสน้องชาย

“ข้าชอบมาก ละครสนุกทีเดียว”

“แล้วท่านละลอร์ดลอเรนชอบหรือไม่”

“หม่อมฉันเพลิดเพลินทีเดียวฝ่าบาท แต่คืนนี้คงต้องขอตัวก่อน”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ลอร์ดนิโคลพาท่านกับท่านหญิงอนาสตาเซียไปที่ปราสาทรับรอง ขอบคุณที่ตอบรับคำเชิญของเรา”

“ถือเป็นเกียรติของสวาเนียร์อย่างยิ่ง ทูลลา” สองพี่น้องจากสวาเนียร์ออกไปแล้วพร้อมกับนิโคล จูเลียนจึงหันมาทางกษัตริย์อเล็กซิสที่ยังยืนคุยกับทาร์เทียน่าอยู่

“เชิญท่านพักผ่อนให้สบาย แล้วค่อยมาสนุกกับงานประจำปีอันยิ่งใหญ่ของเรา”

“ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน ขอบพระทัยที่ยังคิดถึงมอนทาร์น่า”

“ขอบพระทัยเช่นกันที่ตอบรับคำเชิญของเรา”

“เจ้าจะไปพร้อมข้าหรือไม่ทาร์เทียน่า”

“ไปสิ” อเล็กซิสกับแอนดีสออกไปแล้ว จูเลียนและทาร์เทียน่าจึงเดินออกไปอีกทางบ้าง ตามด้วยลีโอ เฮนริชและเลนนี่ที่รับหน้าที่อารักขาจูเลียนในคืนนี้

“เซอร์เฮนริชไปส่งทาร์เทียน่าด้วย”

“ปราสาทของข้าอยู่แค่นี้เองน่า ข้าไม่หลงทางหรอกนะจูเลียน”

“..” จูเลียนเหนื่อยเต็มทีเลยไม่ได้พูดอะไร แต่ใช้สายตามองไปที่อัศวินประจำตัวหนึ่งในสองที่เดินตามเขามา เป็นการบอกกลายๆ ว่าให้ไปส่งน้องสาวจนถึงปราสาทอย่างปลอดภัย แล้วจึงเดินแยกออกไปพร้อมกับเลนนี่และลีโอ และเพราะต้องปฏิบัติราชกิจมาทั้งวันต่อด้วยงานเลี้ยงจนดึก จูเลียนเหนื่อยจนเกินกว่าจะคิดเรื่องใด ๆ ได้อีก จบงานเลี้ยงจึงตรงกลับปราสาทและหลับเป็นตาย ลืมแม้กระทั่งเรื่องที่ตัวเองให้ลีโอไปทำ





*********************************





“อภัยด้วยที่ข้ามารบกวนกลางดึกเช่นนี้”

“ท่านมีธุระอะไรหรือท่านรัฐมนตรี”

“เรียกข้าว่าโจเซฟเถอะหากฝ่าบาทจะทรงกรุณา”

“ท่านโจเซฟ มีอะไรจะแนะนำข้าหรือไง”

“หามิได้ฝ่าบาท เพียงแต่ข้ามีข้อเสนอมาให้ เพราะคิดว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจสำหรับฝ่าบาทไม่น้อย”

“ขนาดนั้นเลยหรือ ว่าแต่มันคืออะไรล่ะ” สายตาของเสือเฒ่าปิดบังความกระหายในผลประโยชน์เอาไว้อย่างแนบเนียน เมื่อเขากระซิบบอกถึงข้อเสนอและแผนการของตัวเองที่วางไว้ ท่ามกลางความมืดในสวนข้างปราสาทที่ใช้รับรองแขกต่างเมือง สองชายต่างวัยต่างสถานะปรึกษาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทำข้อตกลง

“นับว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจมากทีเดียว แต่ว่าท่านแน่ใจแล้วหรือไง” อเล็กซิสยกมุมปากขึ้นเหมือนจะยิ้ม แต่ก็เพียงเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็นในความมืดสลัว

“ข้าเชื่อมั่นในตัวท่าน”

“แล้วข้าล่ะจะเชื่อมั่นในตัวท่านได้แค่ไหนท่านโจเซฟ”

“สิ่งที่ท่านจะได้รับตอบแทนมันคุ้มค่าอยู่ไม่น้อยฝ่าบาทโปรดทบทวนดูดี ๆ ว่าท่านควรเชื่อข้าหรือไม่ ข้าแค่นำเสนอเพราะคิดว่าฝ่าบาทน่าจะสนใจธุรกิจนี้เหมือนกัน”

“แน่นอนว่ามันน่าสนใจมาก แต่เราต่างก็รู้กันอยู่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่คลี่คลายเลย ข้าเองก็ไม่อยากเป็นคนถูกใส่ร้ายอยู่ฝ่ายเดียว แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดใครได้” อเล็กซิสหมายถึงเรื่องขบวนสินค้าของออสเซนเทียที่ถูกปล้นกลางทางในดินแดนของมอนทาร์น่า

“เรื่องนั้นข้าสั่งให้คนสืบอย่างเต็มที่แล้วฝ่าบาท และคิดว่าทางมอนทาร์น่าก็คงเช่นกัน อีกไม่นานเราน่าจะรู้ตัวการ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก แต่คืนนี้ข้าคงต้องทูลลา”

“ราตรีสวัสดิ์ท่านโจเซฟ” เสือเฒ่าเจ้าเล่ห์แห่งออสเซนเทียออกไปแล้ว แต่กษัตริย์หนุ่มยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขายกมือขึ้นมากอดอกไม่ใช่เพราะอากาศที่หนาวเย็นของกลางดึก แต่เพราะกำลังครุ่นคิดทบทวนอะไรบางอย่าง ดวงตาคมดุไม่ได้จับจ้องตรงจุดไหนเป็นพิเศษ เพราะเบื้องหน้ามีแต่ความมืดดำของเงาตะคุ่ม บนฟ้าไร้แสงดาวและเงาจันทร์เพราะถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆและหมอกของฤดูหนาว จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ร่างสูงที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดและน้ำค้างก็เดินออกไปจากตรงนั้น ทิ้งเสียงกระซิบและแผนการเอาไว้กับสายลม





****************************





“พรุ่งนี้ก็เป็นงานประจำปีแล้วนะจูเลียนเจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง”

“ไม่เห็นต้องเตรียมอะไรเลย ว่าแต่เจ้าเถอะ”

“ข้าทำไม”

“พร้อมแล้วหรือไง เจ้าชอบไม่ใช่หรืองานแบบนี้”

“ข้ารอให้ถึงพรุ่งนี้แทบไม่ไหวเลยล่ะ” เนตรเขียวมรกตมองค้อนให้รอยยิ้มของขนิษฐาแฝด ที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นจนดวงตาสวยสีเดียวกันกับจูเลียนเป็นประกายระยับ เพราะตั้งแต่เช้าที่ทาร์เทียน่าแวะมาหา นางก็เอาแต่พูดเรื่องงานประจำปีกับการแข่งขันการประลองอยู่ทั้งเช้า แล้วยังรบเร้าให้มาเดินเล่นในสวนด้วยกันอีก ซึ่งถ้าให้เดาจากการแต่งตัวของนางที่ดูทะมัดทะแมงในชุดเสื้อกางเกงขายาว สวมทับด้วยรองเท้าบูตยาวเกือบถึงเข่า คลุมไหล่เอาไว้ด้วยเสื้อคลุมตัวหนาอีกชั้นเหมือนทุกวัน มันเดาได้ไม่ยากว่านางกำลังหาคู่ซ้อมมืออยู่ ซึ่งก็คงไม่พ้นไปจากอัศวินประจำตัวคนใดคนหนึ่งของจูเลียนนั่นเอง

“แล้ววันนี้เจ้าจะทำอะไรล่ะ ทำไมไม่ไปดูการเตรียมงาน ยังจะซ้อมดาบอยู่อีกหรือไง”

“แล้วทำไมข้าถึงจะไม่ซ้อมล่ะ วันนี้ยืมตัวเซอร์เลนนี่หน่อยก็แล้วกันนะ มาเซอร์เลนนี่มาซ้อมมือกับข้าหน่อย” จูเลียนคิดผิดเสียที่ไหน เมื่อทาร์เทียน่าหันไปเรียกเลนนี่ที่เดินตามมาพร้อมกับราเชลให้เป็นคู่ซ้อมของนาง จูเลียนแม้จะไม่ชอบอะไรแบบนี้ แต่นั่งสูดอากาศดี ๆ ยามเช้าในสวนก็ไม่แย่เท่าไหร่นัก บางทีอาจจะทำใจให้ดูเพลิน ๆ ได้หากอัศวินของจูเลียนไม่อ่อนข้อและเอาชนะขาดทาร์เทียน่าให้สะใจเสียบ้าง

“คิดไม่ถึงว่าท่านหญิงทาร์เทียน่าจะเก่งการต่อสู้ด้วย” จูเลียนหันไปทางเจ้าของเสียงที่ไม่รู้ว่าเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ กษัตริย์หนุ่มน้อยยิ้มบางแล้วลุกขึ้นต้อนรับตามมารยาท

“อรุณสวัสดิ์กษัตริย์อเล็กซิส ลอร์ดแอนดีส”

“ขออภัยที่มารบกวนแต่เช้า แต่พอดีว่าสวนของท่านสวยเสียจนข้าเดินเพลินไปหน่อย” อเล็กซิสบอกแล้วผินสายตาไปมองการต่อสู้ในสนามที่กำลังผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใคร

“ไม่เป็นไรหรอกท่าน เชิญนั่งดื่มชาด้วยกันก่อนสิ” สองพี่น้องนั่งลงตามคำเชิญ อเล็กซิสคุยกับจูเลียนแต่ตาเขาก็ยังแอบสังเกตคู่ต่อสู้ในสนามอยู่ตลอด ต่างจากแอนดีสที่ไม่ได้สนใจเรื่องที่กษัตริย์ทั้งสองคุยกันเลย เพราะเอาแต่มองคู่ต่อสู้ที่กำลังสู้กันอย่างจริงจัง อัศวินที่เป็นคู่ซ้อมท่าทางฝีมือใช้ได้อยู่ไม่น้อย

“โอ๊ย” !

“เซอร์เลนนี่ท่านเป็นอะไร” ทาร์เทียน่าวิ่งเข้าไปประคองเลนนี่ให้ลุกขึ้น เพราะนางถีบเขาเข้าจนล้มหงายหลัง แต่ไม่คิดว่าจะทำให้เลนนี่เจ็บจนร้องเสียงดังออกมาขนาดนี้

“ข้าไม่เป็นไรท่านหญิง” เลนนี่นิ่วหน้าเพราะเขาพลาดเองตอนที่ทาร์เทียน่าตวัดดาบมา อัศวินหนุ่มเอี้ยวตัวหลบไปอีกทางและรุกกลับ ซึ่งเป็นจังหวะที่นางหมุนตัวตั้งหลักได้และถีบสวนมาอย่างรวดเร็ว เขาหลบไม่ทันเท้าของนางจึงยันเข้าเต็ม ๆ ตรงแผลที่ยังไม่หายสนิทดี

“ท่านหญิงต่อสู้ได้เก่งจริง ๆ “อเล็กซิสกล่าวชมพร้อมกับปรบมือให้เมื่อทาร์เทียน่าเดินเข้ามานั่งพัก โดยมีเลนนี่เดินกุมสีข้างตัวเองตามมา ดูก็รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว

“เพราะข้าได้คู่ซ้อมฝีมือดีอย่างเซอร์เลนนี่ต่างหาก”

“ซ้อมกับคนของตัวเองแถมยังบาดเจ็บด้วยมันจะไปสนุกอะไรล่ะท่านหญิง ดีไม่ดีเซอร์เลนนี่อาจจะกำลังต่อให้ท่านอยู่ก็เป็นได้นะ” แอนดีสพูดทีเล่นทีจริงแต่ตาเหลือบมองประเมินอัศวินหนุ่มเหมือนกำลังท้าทาย

“ข้าคิดว่าเซอร์เลนนี่หายดีแล้วนี่” ทาร์เทียน่าหันไปทางเลนนี่ ยิ้มให้อย่างขอโทษ “แต่เห็นได้ชัดว่ายังบาดเจ็บอยู่ ว่าแต่ท่านต่อให้ข้าจริงหรือเซอร์เลนนี่ ข้าบอกแล้วไงว่าให้สู้เต็มที่”

“อภัยข้าด้วยท่านหญิงข้าสู้เต็มที่แล้ว แต่หากลอร์ดแอนดีสสงสัยว่าสนุกหรือไม่ก็คงต้องลองมาสู้กันดูสักยก”

“ว่ายังล่ะลอร์ดแอนดีสท่านเห็นด้วยหรือไม่” ทาร์เทียน่าหันมาถามแอนดีสอย่างนึกสนุก ถึงริมฝีปากสีเชอร์รี่สุกของนางจะแย้มยิ้มออกมาในแบบสาวน้อยขี้เล่นที่ดูสดใสร่าเริง แต่น้ำเสียงฟังแล้วกลับทำให้รู้สึกถึงความท้าทายอยู่ไม่น้อย เพราะทาร์เทียน่าเองก็อยากเห็นเหมือนกัน ว่าแอนดีสที่มีท่าทางอวดเก่งถือตัวจะเก่งจริงสักแค่ไหนกัน ถึงได้กล้ามาสบประมาทหนึ่งในสี่อัศวินฝีมือดีของออสเซนเทีย

พอได้ยินคำถามของทาร์เทียน่า ทุกคนหันมามองที่แอนดีสอย่างรอคำตอบ อเล็กซิสนั่งเงียบไม่ออกความเห็นใด ๆ แต่แอบพิจารณาทุกคน กษัตริย์หนุ่มมองออกว่าทาร์เทียน่าต้องการอะไร

“ได้สิ ข้าเองก็ไม่ได้ซ้อมมือมานานแล้ว”

“เป็นเกียรติของข้าที่จะได้เห็นฝีมือของท่าน” ทาร์เทียน่าตบมืออย่างชอบใจ นางหันไปยิ้มพยักหน้าให้เลนนี่ อัศวินหนุ่มจึงทำความเคารพด้วยการคำนับแล้วเดินลงสนามไปก่อน ตามด้วยแอนดีสที่ถอดดาบของเขาออกมาด้วยท่าทางสวยงาม





หนึ่งเจ้าชายกับหนึ่งอัศวินยืนประจันหน้ากันอยู่กลางสนาม แอนดีสยิ้มเยาะอัศวินบาดเจ็บ เขากระชับดาบในมือมั่นแล้วเข้าจู่โจมก่อนอย่างรวดเร็ว เลนนี่หลบซ้ายหลบขวามีตอบโต้กลับบ้างในบางครั้ง แต่ดูเหมือนว่าฝีมือจะเป็นรองอยู่ไม่น้อยจนเกือบเสียทีอยู่ก็หลายครั้ง ทำให้แอนดีสยิ้มออกมาอย่างย่ามใจ

“ข้าไม่ใช่ท่านหญิงทาร์เทียน่าเจ้าไม่ต้องออมมือให้ข้าหรอกเซอร์เลนนี่” แอนดีสบอกยิ้ม ๆ ขณะที่มือก็ตวัดดาบใส่เลนนี่ไปด้วย

“ข้าสู้สุดฝีมือแล้วท่านลอร์ด”

“นี่หรือสู้สุดฝีมือของยอดอัศวินแห่งออสเซนเทีย”

“นี่ล่ะ เฮ้ย! ท่าน” เลนนี่เกือบหลบไม่ทัน เมื่อแอนดีสควงดาบเข้าหาอย่างรวดเร็ว อัศวินหนุ่มถอยเหมือนกำลังหาทางตั้งหลัก แต่ยิ่งถอยก็ดูเหมือนว่าแอนดีสยิ่งได้ใจ แขกต่างเมืองรีบกระโจนเข้าจู่โจมในระยะประชิด ท่าทางที่อัศวินหนุ่มทั้งถอยและพยายามตั้งรับ ทำให้แอนดีสมองข้ามท่วงท่าหลบหลีกที่คล่องตัวและลื่นไหล เขาลำพองใจว่าเลนนี่กำลังตกเป็นรองและเสียเปรียบ จึงตวัดดาบเข้าจู่โจมอย่างฮึกเหิม แต่เพียงแค่กะพริบตาเท่านั้น อัศวินหนุ่มหมุนตัวหันกลับมาอย่างรวดเร็วจนแอนดีสหยุดตัวเองไม่ทัน คมดาบของเลนนี่ก็จ่ออยู่ที่คอ ในแบบที่คนเสียท่าไม่สามารถขยับตัวได้เลย





“สนุกหรือไม่ลอร์ดแอนดีส” เสียงถามที่ดังพอให้ได้ยินสองคนทำให้แอนดีสกัดฟันกรอด คนอื่นที่กำลังนั่งชมอยู่มองมาก็คงเห็นแค่ว่าทั้งสองคนกำลังคุยกันเฉย ๆ เพราะมีเพียงแอนดีสเท่านั้นที่เห็นแววตาสนุกในระยะใกล้ ยิ่งเลนนี่เอียงคอถามทำสีหน้าเหมือนเด็กกำลังสนุกกับการเล่นเกมอะไรสักอย่าง ยิ่งทำให้แอนดีสเจ็บใจ

“สนุกเชียวล่ะ ถอยออกไปก่อนสิ” แอนดีสบอกให้ถอยออกซึ่งหมายความว่าให้อัศวินหนุ่มลดดาบลงด้วย จะได้เริ่มการต่อสู้ใหม่ แต่เกมนี้ถือว่าเลนนี่ชนะขาดไปแล้ว เขาจึงยิ้มหล่อค้อมศีรษะให้อย่างน่ามอง “ก็ ข้าขอแก้มือไงเจ้าจะยิ้มทำไมหรือไม่เข้าใจ”

“ข้าเข้าใจ หากท่านอยากแก้มือข้าก็ยินดี แต่เกรงว่าวันนี้คงจะไม่เหมาะ”

“เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ก่อน ข้าเพิ่งนึกได้ว่าอยากออกไปเดินชมเมืองสักหน่อย” ขณะที่เลนนี่ขยับตัวถอยห่าง เสียงนิ่ง ๆ ก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน เป็นเสียงของอเล็กซิสนั่นเอง

“ท่านอยากออกไปเดินชมเมืองอย่างนั้นหรือ” จูเลียนที่เงียบอยู่นานหันมาถามอเล็กซิส

“คงเสียดายมากหากมาถึงนี่แล้วไม่ออกไปดูวิถีชีวิตของชาวออสเซนเทียสักหน่อย ข้าได้ยินมาว่าวิหารที่จัตุรัสกลางเมืองสวยงามอลังการไม่น้อย”

“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญท่านตามสบาย” อเล็กซิสก้มศีรษะให้จูเลียนเล็กน้อยแล้วหันไปยิ้มให้ทาร์เทียนา

“แล้วเจอกันใหม่ท่านหญิง” กล่าวลาแล้วเดินเร็ว ๆ ออกไปจากตรงนั้น โดยมีแอนดีสตามไปติด ๆ แพราะอเล็กซิสเหลือบมองตาดุ

“พี่จะไปดูวิถีชีวิตของชาวเมืองจริง ๆ หรือไง” แอนดีสถามขึ้น เมื่อเดินตามพี่ชายเข้ามาถึงห้องรับรองภายในปราสาท

“ทำไมล่ะ”

“ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย”

“มันน่าสนใจกว่าการไปทำตัวโง่ ๆ ให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะนะ”

“พี่หมายความว่ายังไง ใครหัวเราะเยาะ”

“เจ้าทำอะไรลงไปล่ะ ไปสบประมาทคนอื่นไม่พอ ยังดูไม่ออกอีกว่าถูกเขาหลอกล่อ”

“ทำไมข้าจะดูไม่ออก ข้าแค่เผลอไปหน่อย”

“อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่าเผลอไปหน่อยหรอกแอนดีส”

“..”

“เขาเรียกว่าหลงกลหรือไม่ก็ติดกับที่เขาวางล่อเอาไว้ อัศวินนั่นฝีมือเหนือกว่าเจ้ามากนะถ้าเจ้าดูไม่ออกจริง ๆ ”

“แต่..มันก็แค่การซ้อม”

“ไม่ต้องพูดแล้ว แค่กลลวงเท่านี้เจ้าดูไม่ออกหากเป็นศัตรูจริง ๆ เจ้าคงตายไปแล้ว”

“ก็ข้าคิดว่าแค่ซ้อมมือเฉย ๆ เลยไม่ทันได้ดูนี่ “น้ำเสียงของแอนดีสแผ่วลงไปมากเมื่อถูกพี่ชายต้อนจนมุม แต่กระนั้นใบหน้าของเจ้าชายก็ยังถือดีและอวดเก่งอยู่เหมือนเดิม

“ไม่ว่าจะซ้อมหรือสู้จริง สิ่งที่เจ้าต้องจำเอาไว้เสมอคือระวังตัว” อเล็กซิสบอกเสียงเย็นแววตาแข็งกร้าว ท่าทางของกษัตริย์หนุ่มที่ดูนิ่ง ๆ นั้น แอนดีสรู้ดีว่าพี่ชายกำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก และเขาก็ขัดใจเช่นเดียวกันที่พี่ทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่โต รู้ว่าตัวเองพลาดไปแต่ก็ไม่น่าจะต่อว่ากันถึงขนาดนี้ แอนดีสได้แต่ต่อต้านในใจเพราะพูดหรือเถียงออกมาไม่ได้ ยิ่งพอได้ยินคำสั่งต่อมาของพี่ชายเขายิ่งขัดใจกว่าเก่า “เอาเวลาเล่นสนุกของเจ้าไปฝึกซ้อมซะ”

“มัวแต่ซ้อมก็หมดสนุกนะสิ” อเล็กซิสออกไปแล้วแอนดีสจึงเอ่ยถ้อยคำอวดเก่งออกมา ชายหนุ่มผู้รักสนุกยักไหล่ไม่สนใจคำสั่งเดินออกจากปราสาทรับรองไป จุดหมายปลายทางก็ชมเมืองเหมือนกันแต่ชมคนละแบบกับพี่ชาย





งานประจำปีของออสเซนเทียซึ่งเป็นอาณาจักรใหญ่ ก็ย่อมต้องจัดให้ยิ่งใหญ่สมเกียรติ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจึงหลั่งไหลมาเพื่อร่วมงานอันทรงเกียรตินี้ ทั้งชาวออสเซนเทียที่อยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ นอกเมืองหลวง และชาวเมืองอื่นจากอาณาจักรอื่น ค่ำคืนก่อนวันงานจึงค่อนข้างคึกคักมากเป็นพิเศษ เพราะชาวเมืองส่วนใหญ่ก็เริ่มฉลองกันตั้งแต่คืนก่อนวันงานอย่างนี้แล้ว ยิ่งที่พักสำหรับคนเดินทาง ที่เป็นทั้งแหล่งกินแหล่งเที่ยวผู้คนก็ยิ่งพลุกพล่าน ทำให้เศรษฐกิจคึกคักเป็นพิเศษ





“คิดว่าจะได้ออกไปลากคอเจ้ากลับมาซะแล้ว”

“ทำไมไม่ไปล่ะ ข้ารอจนเบื่อ”

“แต่คืนนี้เจ้าไม่ควรดื่มมากนะ”

“ดื่มมากดื่มน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้าหรอก ว่าแต่เจ้าเถอะคืนนี้ไม่ต้องอารักขาใครหรือไง” สองหนุ่มเพื่อนรักกลับมาเจอกันอีกครั้งในคืนก่อนวันงาน คำถามของฮานส์หากฟังดูดี ๆ จะเห็นว่าแฝงไปด้วยอคติต่อใครบางคนที่กล่าวถึงแม้ไม่เอ่ยชื่อ

“ทำไมเหรอ” เลนนี่ถามกลับพลางโบกมือปฏิเสธโสเภณีที่กำลังจะเข้ามาเสนอตัวให้

“ถึงได้ว่างมานั่งดื่มกับคนพเนจรอย่างข้าไง”

“เจ้าไม่ชอบเขาหรือไง”

“ชอบไม่ชอบก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้านี่” หนุ่มพเนจรยักไหล่พลางยกเหยือกดินเผาขึ้นจ่อปากแล้วกรอกเบียร์รสนุ่มลงคออึกใหญ่ “เจ้ารู้จักหรือไง” ฮานส์ถามเพราะเห็นสายตาของเลนนี่กำลังจับจ้องไปยังใครคนหนึ่ง ที่กำลังเดินเข้ามาในร้านเหมือนสนใจ จากผู้คนมากหน้าหลายตาคลาคล่ำเต็มร้านไปหมด ใครคนนั้นเดินแทรกฝูงชนเข้ามาแล้วนั่งลงในมุมหนึ่ง ซึ่งมุมนั้นอยู่ตรงหน้าเลนนี่ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนพอดี แต่ดูเหมือนใครคนนั้นจะไม่สนใจใครเลยไม่สังเกตเห็น ว่ามีคนกำลังจับตามอง

“หึ” เลนนี่แค่นเสียงออกมาจากลำคอเบา ๆ พลางยกเบียร์ขึ้นดื่ม อัศวินหนุ่มไม่ได้ละสายตาไปจากชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน แม้จะยังคุยกับเพื่อนรักอยู่ก็ตาม

“เจ้าสนใจหรือไง”

“น่าสนไหมล่ะ”

“ก็ไม่เลวนี่ ถ้าเจ้าเบื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางอ้อนแอ้นแล้วละก็นะ”

“หึ” เลนนี่ยกยิ้มมุมปาก เขาส่วยหัวเบา ๆ เมื่อคิดถึงท่าทางอวดเก่งยามที่ใครคนนั้นเงื้อดาบขึ้นฟาดฟัน แววตาสมใจเมื่อเห็นเขาพลาดท่าเสียที แต่ไม่นานก็ต้องทำสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเขาพลิกเกมกลับมาเป็นต่อและเอาชนะได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดูท่าทางแอนดีสจะอ่อนกว่าเขาแค่ไม่กี่ปีหรืออาจจะอายุเท่ากัน แต่ก็อวดดีเสียเหลือเกิน เลนนี่ละสายตาจากเจ้าชายแห่งมอนทาร์น่าและเหล่าโสเภณีที่เขาเรียกมาบริการหันกลับมาหาเพื่อนรัก “นั่นลอร์ดแอนดีส จากมอนทาร์น่า”

“ก็ว่าอยู่ว่าคงไม่ธรรมดา เจ้าจะเล่นของสูงหรือไง”

“เจ้ามันจอมเพ้อเจ้อจริง ๆ ฮานส์”

“หรือไม่ใช่ล่ะ ก็เห็นอยู่ว่าจ้องตาเป็นมัน”

“หึ ไม่มีอะไรหรอก แค่เพิ่งประลองฝีมือกันมา”

“เดาว่าเจ้าแพ้เลยพาล”

“เจ้านี่มีอารมณ์ขันดีจริง ๆ ”

“สรุปว่าเจ้าแพ้จริงหรือไง”

“คิดว่ายังไงล่ะ” สองหนุ่มนั่งคุยกันอยู่นาน ดื่มเบียร์หมดไปก็หลายเหยือกพอ ๆ กับคนที่เลนนี่เฝ้าจับตามอง ที่ตอนนี้ท่าทางคงเมาไม่น้อย เพราะโสเภณีชายหญิงที่เรียกมานั่งเป็นเพื่อนก็ขยันป้อนเสียเหลือเกิน

“ท่าทางไม่ไหวแล้วนะนั่น” พอฮานส์ทักขึ้นเลนนี่จึงหันไปมองแอนดีส ที่ตอนนี้สภาพบ่งบอกว่าเมาไม่น้อย

“ก็ไม่เกี่ยวกับข้านี่ ว่าแต่เจ้าเถอะคืนนี้จะเข้าไปนอนที่ป้อมกับข้าหรือนอนกกโสเภณีแถวนี้” ได้ยินคำถามฮานส์ยักไหล่ ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักยกขาขึ้นพาดโต๊ะตรงหน้าท่าทางสบายแล้วจึงตอบ

“คงไม่เหมาะหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าชนะค่อยเข้าไปทีเดียว”

“อย่าหักโหมนักล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่มีแรงสู้” ฮานส์ได้แต่ยิ้มขำและส่ายหัวให้เลนนี่ที่พูดดักทาง ราวกับคิดว่าเขาเป็นพวกบ้าตัณหาที่ขาดเรื่องอย่างว่าไม่ได้ แต่ขณะที่สองหนุ่มกำลังคุยและดื่มกันเพลิน ๆ เสียงเอะอะโวยวายและเสียงข้าวของถูกทำลายก็ดังขึ้น

ปัง! โครม!

“อยากตายนักหรือไง” !!



******************************************



 ต้องขอโทษด้วยที่นิยายไม่ค่อยสนุก ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงแนะนำความเป็นมาเป็นไปของตัวละคร (ตัวละครเยอะเหลือเกิน อย่างน้อยก็เยอะกว่าทุกเรื่องที่เขียนมา) ห้าตอนแล้วพระเอกนายเอกมันยังไม่ได้เจอกันเลย แล้วจะได้เจอกันตอนหนาย 555 ตอนหน้าเจอกันแน่นอนฮับ *ถ้าพื้นที่ไม่หมดไปกับ NC ซะก่อน 555 เอะ!! ว่าแต่ NC ของใครวะ คึๆ ๆ ๆ

รอติดตามตอนต่อไปก็แล้วกันเด้อ

ดาว ณ แดนดิน

27-11-2560
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 5 แขกบ้านแขกเมือง 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 08-11-2018 09:56:29
อยากรู้แล้วใครพระเอกมาเยอะๆเลยเถอะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 6 ลอร์ดหนุ่มผู้เร่าร้อน 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 08-11-2018 19:50:28


เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 6



“เกิดอะไรขึ้น” เลนนี่ถามขึ้นท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายของคนเมาทั้งสองฝ่ายที่กำลังยื้อแย่งผู้หญิงกัน

“ไม่เกี่ยวกับเจ้าถอยไป ส่วนเจ้าปล่อยนางมาซะข้าเจอนางก่อน นางต้องเป็นของข้า”

“เจอก่อนแล้วไงข้าพอใจนาง คืนนี้นางต้องเป็นของข้า” เป็นการโต้เถียงแย่งโสเภณีของชายนักเที่ยวสองคน ฝ่ายที่ไปแย่งของเขาก็เถียงจะเอาอย่างไม่ยอมลดละ ทั้งที่ข้างกายก็มีคนของตัวเองอยู่แล้วทั้งหญิงและชาย อีกฝ่ายหนึ่งก็ถือว่าตัวเองมาก่อนและแสดงความเป็นเจ้าของอย่างไม่ยอมเสียหน้า เลนนี่เห็นอย่างนั้นกลัวว่าเรื่องจะไปกันใหญ่จึงรีบห้าม

“พอเถอะ ท่านควรกลับได้แล้วนะ”

“เจ้านั่นเอง อย่ามายุ่งเรื่องของข้าถอยไป” ถ้าไม่เห็นว่าเมาจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่เลนนี่ก็คงไม่สนใจ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยุ่งจริง ๆ นั่นแหละ ส่วนแอนดีสก็ยังอวดดีไม่เลิก

“ปล่อยนางกลับมาให้ข้าซะถ้าเจ้ายังไม่อยากตาย” คู่กรณีที่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของโสเภณีขู่ มือจับด้ามดาบที่แขวนไว้ข้างตัวกระชับมั่นในท่าเตรียมพร้อม เพราะคิดว่าคนเจอก่อนย่อมมีสิทธิ์ เขาขู่อย่างเป็นต่อเพราะเห็นอีกฝ่ายเป็นแค่ชายขี้เมาแต่งตัวดีคนหนึ่ง ที่อาวุธติดตัวก็ไม่มี

“เก่งนักก็เข้ามา” แอนดีสรับคำท้าทั้งที่ตัวเองเมาจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว เลนนี่ได้แต่ส่ายหัวเริ่มอ่อนใจ จะทิ้งเอาไว้อย่างนี้ก็ได้แต่เขากลับทำไม่ลง เพราะอย่างน้อยแอนดีสก็เป็นแขกบ้านแขกเมือง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นคงไม่ดีเป็นแน่แท้ อัศวินหนุ่มหันไปส่งสายตาปรามคู่กรณีที่ถอดดาบออกมาเตรียมพร้อมแล้ว แต่ฝ่ายนั้นไม่สนใจและฮึดฮัดพร้อมสู้เต็มที่

“มาเถอะข้าจะพาท่านกลับ”

“ไม่กลับ ข้าไม่กลับ มาอยากได้ผู้หญิงก็เขามาเอา เฮ้ยปล่อยข้าสิเซอร์เลนนี่” แอนดีสร้องโวยวายเมื่ออัศวินหนุ่มรั้งต้นแขนเอาไว้ และยิ่งทั้งโวยวายดิ้นจนสุดแรง เมื่อถูกเลนนี่ตวัดขึ้นพาดบ่าอย่างรวดเร็ว เจ้าชายจากมอนทาร์น่าร้องเสียงดังฟังแทบไม่ได้ศัพท์ มือเท้าปัดป่ายสะเปะสะปะไปตลอดทางที่เจ้าของร่างสูงพาเดินออกไปจากที่แห่งนี้ ทิ้งความสำราญและความโกลาหนเอาไว้เบื้องหลัง

พอคนทั้งสองออกไปแล้วทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ นั่นก็คือฝ่ายที่เป็นลูกค้าก็หาความสำราญให้ตัวเองด้วยการดื่มกิน ปรนเปรอความสุขทางกายให้ตัวเองอย่างที่ต้องการ ฝ่ายที่มีหน้าที่บริการก็ทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งคนที่คอยนำอาหารและเครื่องดื่มออกมาต้อนรับ และคนที่ต้องทำงานโดยใช้ร่างกายของตัวเอง เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างถึงใจและสร้างความพึงพอใจให้ที่สุด เพื่อแลกกับค่าตอบแทน ส่วนชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ในมุมมืด ต้องยอมรับว่าเขาถูกเพื่อนทิ้งแบบไม่ลากันสักคำ ยกเหยือกดินเผาของตัวเองขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแล้วจึงลุกขึ้น เพราะได้เวลาที่ควรจะพักผ่อนเอาแรงไว้สำหรับงานวันพรุ่งนี้แล้ว

“ดูเหมือนท่านต้องการคนข้างกายนะ” ท่อนแขนแกร่งถูกรั้งเอาไว้พร้อมกับเสียงทักทาย เขาดูแปลกใจเล็กน้อยเมื่อหันไปตามเสียง แล้วเห็นว่าใครที่เป็นคนรั้งไว้ หญิงสาวนั่งอยู่บนตักของลูกค้าชายคนหนึ่ง ที่หันมามองเขาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

“วันนี้ข้าอยากอยู่คนเดียว” น้ำเสียงของชายหนุ่มเยือกเย็นเข้ากับสีหน้าไร้อารมณ์ ฮานส์ทิ้งสายตามองหญิงสาวเล็กน้อย แล้วจึงหันไปทางเดิมเพื่อก้าวเดินต่อไป

“ในคืนที่ทุกคนกำลังสนุกกันนี่นะ ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าอยากอยู่คนเดียวจริง ๆ ท่านจำข้าไม่ได้หรือไง” ฮานส์เพียงแค่ยิ้มออกมาน้อย ๆ เขาจำนางได้ตั้งแต่เห็นคราแรก ชายหนุ่มไม่สนใจและเพียงมองผ่าน เมืองใหญ่ขนาดนี้ก็ยังเจอกันจนได้ แต่เขาก็ไม่แปลกใจหรอก เพราะที่นี่ถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียง และขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของเมืองหลวง ผู้คนมากหน้าหลายตาแทบจะทุกระดับอาชีพต่างก็พากันมาเที่ยว นายของนางย่อมต้องพามาหากินในแหล่งที่คลาคล่ำไปด้วยลูกค้า เพราะหวังทำกำไรอยู่แล้ว

“คืนนี้ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านสิ” ข้อเสนอถูกเอ่ยขึ้นพร้อมแววตาเชิญชวน ที่กวาดมองตั้งแต่ใบหน้าหล่อคมคายไล่ลงไปตามร่างกายกำยำภายใต้อาภรณ์สีดำมืดที่ห่อหุ้มร่างสูง นั่นทำให้ฮานส์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนเปลือยเปล่าต่อหน้านางไม่มีผิด และหากเขารับข้อเสนอแน่นอนว่าคืนนี้คงไม่ต้องเสียเหรียญเงิน ให้เป็นค่าบริการแม้แต่เหรียญเดียว เขาจำได้ว่านางชื่อมาเรียตต้า เป็นหญิงสาวที่สวยน่ารักไปทั้งตัว และแน่นอนว่าลีลาบทรักของนางก็เร่าร้อนถึงใจ แต่สำหรับเขาโสเภณีก็คือโสเภณี หากบอกว่าไม่ต้องการก็คือไม่เอา ถึงไม่มีเขา ถึงเขาปฏิเสธนางก็หันไปหาลูกค้าคนใหม่อยู่ดี

“อภัยด้วย แต่คืนนี้ข้าคิดว่าจะนอนเอาแรงให้เต็มอิ่ม”

“ให้ข้าช่วยเพิ่มแรงให้สิ ข้าทำได้นะท่านแค่นอนเฉย ๆ ก็พอ”

“..” ชายหนุ่มเพียงยิ้มมุมปากแต่ไม่ได้ต่อคำ

“วันไหนที่ท่านไม่ง่วงมาหาข้าได้นะนายท่าน ข้าจะรอ” มาเรียตต้ายังยิ้มหวานมองตามร่างสูงที่เดินผละออกไปจากตรงนั้นโดยไม่มีแม้แต่คำลา ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ความลึกลับน่าสนใจในตัวชายหนุ่มทำให้สายตาของนางไม่อาจละไปจากเขาได้ ซึ่งโสเภณีคนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนั้นก็ไม่ต่างกัน ความชินชากับการใช้ร่างกายมานักต่อนักทำให้พวกเขาสนใจในตัวชายหนุ่ม และวาดหวังถึงรสชาติที่แปลกใหม่

ทั้งที่ร่างสูงใหญ่เดินลับมุมไปแล้ว แต่มือของมาเรียตต้าที่รั้งลำแขนแกร่งยังค้างอยู่ในอากาศ นัยน์ตาโสเภณีสาวมีแววเสียดาย แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังต้องทำงานตามหน้าที่ต่อเพื่อแลกกับค่าตอบแทน อย่างน้อยคืนนี้ก็มีลูกค้าแล้วหลายคน

“มาสนุกกันต่อเถอะค่ะ นายท่าน”



*******************



ตุบ!!!

“โอ๊ย อึก วางเบา ๆ ไม่เป็นหรือไงวะ”

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะวางนี่”

“แล้วทำไม..”

“เพราะข้าตั้งใจโยนลงจริง ๆ เลยล่ะ” สีหน้าของคนเมาแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างเปิดเผย เมื่อคนที่แบกตัวเองมาพูดตรง ๆ ว่าตั้งใจโยนเขาลงแบบนี้ เตียงกว้างที่รองเอาไว้ด้วยฟูกหนานุ่ม แต่พอถูกโยนลงแรง ๆ เหมือนไม่ไยดี มันก็เล่นเอาจุกอยู่ไม่น้อย จะว่าไปแล้วเลนนี่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะมาไยดีคนบนเตียง ที่กำลังจ้องมองเขาตาขวางและคาดโทษ

“ที่นี่ที่ไหน เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม” ถามพลางปัดป่ายมือเพื่อคลานลงมาจากเตียง ท่วงท่าที่เคยดูสง่างามในแบบเจ้าชาย บัดนี้เลนนี่บอกได้คำเดียวว่าหมดสภาพ

“ที่พักของข้าเอง”

“บ้าเอ๊ย” แอนดีสสบถออกมาอย่างหัวเสีย พอลุกขึ้นยืนร่างสูงก็โงนเงนเหมือนจะล้ม แต่สุดท้ายก็ทรงตัวยืนได้ในที่สุด โดยอีกคนที่ยืนดูอยู่ไม่แม้แต่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ลอร์ดหนุ่มกัดฟันมือกำแน่น ใบหน้าแดงก่ำเพราะความเมาเงยขึ้นมอง เมื่อยืนประจันหน้ากับอัศวินหนุ่ม แอนดีสเตี้ยกว่าเลนนี่เพียงนิดเดียว

“ท่านจะไปไหน” ท่อนแขนที่มีมัดกล้ามเล็กน้อยแต่พองามถูกรั้งเอาไว้ ก่อนที่เจ้าชายจากมอนทาร์น่าจะเดินออกไปจากห้องนั้น แอนดีสค่อย ๆ หันกลับมามองคนที่รั้งแขนไม่ปล่อยช้า ๆ ด้วยสายตาที่ฝืนความเมาเพราะพยายามทำให้ดุที่สุด

“กลับสิ”

“ข้าว่าคงไม่เหมาะหรอกที่จะกลับเข้าวังในสภาพแบบนี้” ดวงตาคมของอัศวินหนุ่มกวาดมองคนตรงหน้าอย่างจาบจ้วง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่แอนดีสกลับขมวดคิ้วมุ่นถามกลับอย่างฉงน

“แล้วที่นี่ไม่ได้อยู่ในวังหรือไง เจ้าเองก็ควรอยู่ในนั้นด้วยไม่ใช่หรือ”

“วันนี้ข้าเป็นอิสระ จะไปไหนก็ได้ตามที่ต้องการ”

“แล้วเจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไมปล่อยเลยข้าจะกลับไปดื่ม” แอนดีสสะบัดแขนตัวเองออกจากมือใหญ่ ที่บีบท่อนแขนเอาไว้แน่น แต่นอกจากมันจะไม่หลุดจากการจับกุมแล้ว ยังทำให้รู้สึกเจ็บยิ่งกว่าเก่าเพราะแรงบีบที่เพิ่มขึ้น

“ข้าว่าพอได้แล้วมั้ง ท่านจะไปเมาแล้วหาเรื่องคนอื่นให้เสื่อมเสียเกียรติตัวเองทำไม เจ้าชายแห่งมอนทาร์น่าแย่งโสเภณีกันในร้านเหล้า พี่ชายของท่านรู้เข้าคงไม่โปรดนักหรอกว่าไหม” เลนนี่เลิกคิ้วถาม อัศวินหนุ่มไม่มีความเคารพให้แอนดีสในฐานะเจ้าชายเลยสักนิด เมื่ออยู่กันสองต่อสองในที่รโหฐานเช่นนี้ คำพูดของเขาเตือนสติได้ดีแต่ท่าทางกวน ๆ นั่นทำให้แอนดีสมองหน้าเลนนี่เขม็งแล้วเหยียดยิ้มให้

“อเล็กซิสก็ไม่เคยชอบอะไรที่ข้าทำสักอย่างหรอก และข้าก็ไม่สนใจ”

“ท่านไม่มีอะไรดีสักอย่างเลยหรือไง พี่ชายถึงได้ไม่ชอบสิ่งที่ท่านทำ เป็นถึงเจ้าชายผู้สูงศักดิ์อย่าทำตัวเหมือนเด็กสิ” แอนดีสนึกฉุนในสิ่งที่เลนนี่พูด แน่ล่ะอัศวินหนุ่มพูดถูกในหลายเรื่อง และคำพูดนี้ก็คล้ายจะเคยได้ยินจากปากของอเล็กซิสพี่ชายมาก่อน หรือเลนนี่จะบังอาจมาทำตัวเป็นพี่ชายขี้บ่นของเขาอีกคน ทั้งที่เพิ่งจะเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง คิดอย่างไม่ชอบใจเพราะเขาโตแล้วจะทำอะไรก็ย่อมได้ และวันนี้แอนดีสก็เพิ่งจะถูกพี่ชายตัวเองด่าว่าโง่มา เพราะมีคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นต้นเหตุ เขาเลยจะโง่ให้สมกับที่พี่ต้องการ ยิ่งอเล็กซิสบ่นว่ามากเท่าไหร่ แอนดีสก็ยิ่งจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามมากเท่านั้น เพื่อความสะใจล้วน ๆ

เจ้าชายแห่งมอนทาร์น่ามองใบหน้าหล่อขี้เล่น ที่แฝงความใจดีของเลนนี่ด้วยสายตาท้าทายแล้วเหลือบมองบน เขายักไหล่ให้อัศวินหนุ่มเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่สนใจสิ่งที่เลนนี่พูดเตือนสติสักนิด

“ปล่อยข้า”

“อย่าออกไปอีกเลยน่าลอร์ดแอนดีส ที่นั่นไม่เหมาะกับท่านหรอก” เลนนี่พยายามใช้ไม่อ่อนเข้าหา เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากให้เจ้าชายผู้ซ่อนความไร้เดียงสา ไว้ภายใต้ใบหน้าเย่อหยิ่งอวดดีพระองค์นี้ไปเที่ยวในสถานที่แบบนั้น โดยเฉพาะตอนอยู่ท่ามกลางโสเภณีชายหญิงหิวเงิน ดูยังไงเลนนี่ก็คิดว่าแอนดีสไม่ควรจะอยู่ในที่แบบนั้นเอาเสียเลย

“ทำไมจะไม่เหมาะข้าจะเที่ยวจะกินให้เมา แล้วก็เอากับโสเภณีพวกนั้นยันสว่างไปเลย ข้าจะเรียกโสเภณีมาให้หมดทั้งชายและหญิง แล้วให้พวกมันเรียงแถวเข้ามาอ้าขาให้ข้ากระแทกให้หนำใจ ปล่อยข้า” คำพูดของคนเมาทำให้เลนนี่นึกฉุน จึงกระชากแขนที่เขาจับเอาไว้แน่นอย่างแรง คนเมามายเสียหลักเซลงปะทะอกแกร่ง หัวที่มึนอยู่แล้วเลยยิ่งมึนมากขึ้นกว่าเก่า มือปัดป่ายเพื่อหาหลักยึด จนได้ไหล่กว้างของอัศวินหนุ่มเป็นที่เกาะเพื่อประคองตัวให้ยืนดี ๆ ส่วนเลนนี่ยืนนิ่งมองใบหน้าแดงก่ำในระยะใกล้เงียบ ๆ

“ทำบ้าอะไรของเจ้าเซอร์เลนนี่ อย่าลืมว่าเจ้าเป็นใครข้าเป็นใครเจ้าควรจะเจียมตัวเอาไว้และให้เกียรติข้า ปล่อยสักที”

“ตอนนี้ท่านก็เป็นแค่คนเมาคนหนึ่งที่อยากออกไปเสพสุขเท่านั้น ถามหน่อยเถอะว่าทำไมข้าต้องเจียมตัวและให้เกียรติ อย่าลืมนะว่าข้าเองเป็นถึงหนึ่งในอัศวินของกษัตริย์แห่งอาณาจักรออสเซนเทียอันยิ่งใหญ่”

“เหอะ ลำพองเสียจริง คิดว่าตัวเองสำคัญนักหรือไง”

“แน่นอนสำคัญมากด้วย และตอนนี้ท่านก็อยู่ในความดูแลของข้าในฐานะแขกบ้านแขกเมือง”

“อืม ข้าอยู่ในความดูแลของเจ้าแล้วสินะ” รอยยิ้มหยันเผยขึ้นบนใบหน้าที่ดูเหยียดและเย้ยหยันเลนนี่ ที่บังอาจแต่งตั้งตำแหน่งให้ตัวเองมาเป็นคนดูแล ลอร์ดหนุ่มพยายามยืนให้นิ่งทั้งที่มือยังเกาะอยู่บนไหล่แกร่งแน่น “หึ แล้วถ้าไม่ให้ไป เจ้าจะให้ข้าเอาเหมือนโสเภณีพวกนั้นไหมล่ะ มาสิหันหลังมาแล้วทำหน้าที่นี้แทนพวกนั้นซะ”

แอนดีสเปลี่ยนมาขยุ้มปกเสื้อของเลนนี่เอาไว้แน่น ทั้งสองจ้องกันด้วยสายตาคมดุอย่างไม่มีใครยอมใคร ลอร์ดหนุ่มหงุดหงิดโมโหจนดูงุ่นง่าน ไม่ชอบใจการกระทำเหมือนตัวเองเหนือกว่าของเลนนี่ ทั้งที่แอนดีสเป็นถึงเจ้าชาย แม้จะต่างบ้านต่างเมือง แต่ก็ถือว่าอยู่ในฐานะแขกสูงศักดิ์ที่อัศวินหนุ่มต้องให้ความเคารพ

“หึ” เสียงที่แค่นออกมาจากลำคอของเลนนี่ ทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนโดนสบประมาท เจ้าชายขี้เมากัดฟันกรอดตาจ้องเขม็งที่ใบหน้าหล่อขี้เล่นอย่างมาดร้าย และขณะที่เลนนี่ไม่ทันตั้งตัว แอนดีสก็กระชากปกเสื้อที่กำอยู่อย่างแรงจนร่างสูงเซถลา แอนดีสละมือออกจากปกเสื้อ ไปรั้งคออัศวินหนุ่มให้เข้ามาหาตัวเองอย่างรวดเร็ว ประกบปากลงบนปากของเลนนี่อย่างแรงจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บ เพราะผนังภายในปากถูกกระแทกเข้ากับฟันแข็งจัง ๆ จนได้กลิ่นเลือดขึ้นจมูก

เลนนี่ยืนนิ่งไม่ยอมเปิดปากตัวเองออกให้แต่โดยดี แม้แอนดีสจะพยายามบดเบียดริมฝีปาก พยายามสอดแทรกลิ้นเรียวเขาไปภายใน แต่เขาก็ยังยืนเม้มปากนิ่ง ราวกับว่าการกระทำนั้นไม่ได้สะกิดความรู้สึกเลยสักนิด คนที่จู่โจมก่อนนึกฉุนเพราะไม่ได้รับการตอบสนองและความร่วมมือ เขากัดฟันกรอดแล้วผละออกมาต่อว่าเสียงต่ำ

“เป็นแค่อัศวินอย่าเย่อหยิ่งให้มันมากนัก” มือที่รั้งต้นคอทั้งสองข้างจิกกรงเล็บลงแน่นเพื่อระบายความโกรธ แอนดีสขบฟันลงบนริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างหงุดหงิด เพราะเลนนี่ยิ่งยืนนิ่งไม่ทุกข์ไม่ร้อนอยู่เช่นเดิม

“หึ ข้าไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะลอร์ดแอนดีส”

“เจ้าคิดว่าปฏิเสธข้าได้หรือไง” แอนดีสขยุ้มเส้นผมของเลนนี่แน่น เมื่อกระชากอัศวินหนุ่มเข้ามาบังคับจูบอีกรอบ แต่ผลก็ยังเหมือนเดิมคือเลนนี่ไม่ได้ผลักออกทั้งที่ทำได้ แต่ก็ไม่ให้ความร่วมมือทั้งแอนดีสนึกฉุนจนความโกรธพุ่งถึงขีดสูงสุด ยิ่งคิดว่าตอนนี้อีกคนคงแอบยิ้มเยาะอยู่ เจ้าชายแห่งมอนทาร์น่ายิ่งเจ็บใจและอยากเอาชนะ

“ตอบรับสัมผัสข้าเดี๋ยวนี้” สั่งเสียงเข้มอย่างลุแก่อำนาจ คราวนี้แอนดีสไม่ได้ผละออกแต่ทิ้งหน้าผากของตัวเองกดแนบหน้าผากของอัศวินหนุ่มเอาไว้ หากมือของแอนดีสโอบประคองใบหน้าของเลนนี่ แทนที่จะใช้มันขยุ้มอยู่บนเส้นผมของเขาบังคับดึงเข้าหาตัว ภาพนี้คงเป็นภาพของคู่รักที่คงจะแสนหวานไม่น้อย แต่เมื่อในสถานการณ์จริงมันไม่ใช่ ทั้งสองจึงได้แต่จ้องตากันในระยะใกล้อย่างไม่ลดละ คนหนึ่งต้องการให้ทำตามใจ แต่อีกคนเหมือนแค่ต้องการก่อกวนให้ตัวเองสำราญใจ!

“ท่านรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่” เสียงที่เหมือนเจ้าตัวไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรยิ่งทำให้คนฟังโกรธ เลนนี่ได้ยินเสียงแอนดีสกัดฟันจนดังกรอด ก่อนที่จะบอกเสียงลอดไรฟันออกมา

ต่อไปจ้า เลื่อนๆๆ ลง
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 6 ลอร์ดหนุ่มผู้เร่าร้อน 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 08-11-2018 19:51:14


“ข้ากำลังจะสั่งสอนและกำราบความเย่อหยิ่งของเจ้าไงล่ะ เซอร์เลนนี่”

“อึก” เลนนี่เหมือนจะสำลักอากาศ เมื่อมือหนาทั้งสองข้างที่ขยุ้มจิกเส้นผมของเขาอยู่ เลื่อนลงมาบีบที่ลำคอแกร่งอย่างแรงราวกับหมายเอาชีวิต แอนดีสประกบจูบอีกครั้งแต่เลนนี่ยังต่อต้าน แม้จะถูกขบกัดริมฝีปากก็ยังไม่ยอมตามใจแต่โดยดี

“หึ แข็งแกร่งนักใช่ไหม ถ้าไม่อยากตายคามือก็ตอบรับสัมผัสข้าเดี๋ยวนี้”

“ถ้าท่านต้องการมันจริง ๆ ไม่ใช่แค่อยากเอาชนะ “

“....”

“และจะไม่เสียใจภายหลัง ลอร์ดแอนดีส” ไม่รู้ว่าเพราะความเมาที่ยังมีอยู่หรือเพราะความอยากเอาชนะ แอนดีสไม่เห็นแววบางอย่างที่มันวาวโรจน์ขึ้นมาในดวงตาของอัศวินหนุ่ม หรืออาจจะเป็นเพราะว่ามันวาบขึ้นมาและหายไปอย่างรวดเร็ว จนไม่อาจมีใครสังเกตทัน

“ข้าแค่ต้องการปลดปล่อย”

“อยากให้ข้าช่วยว่าอย่างนั้นเถอะ”

“เจ้าต่างหากที่ต้องร้องขอความเมตตาจากข้า” เลนนี่รู้สึกถึงแรงบีบที่เพิ่มขึ้น อัศวินหนุ่มกัดฟันแน่นเกร็งต้าน แต่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ดูซุกซนทั้งที่สายตาจริงจัง ส่วนแอนดีสแม้จะเห็นว่าอัศวินหนุ่มเกร็งต้านแรงบีบแค่ไหน แต่ใบหน้าของคนถูกกระทำยังดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน จนคนที่เป็นฝ่ายกระทำฉุนขาดเอง “ข้าจะลดตัวลงมาให้ก็แล้วกัน”

“หึ ถ้าท่านต้องการแบบนั้นจริง ๆ ก็..” มือที่นิ่งเฉยต่อการจู่โจมบังคับเอาสัมผัสในคราแรก รั้งใบหน้าของเจ้าชายแห่งมอนทาร์น่าเข้ามาป้อนจูบด้วยตัวเอง จนคนที่ต้องการการตอบสนองและจู่โจมก่อนตั้งตัวไม่ทัน จูบจาบจ้วงดิบเถื่อนทำให้แอนดีสที่มีความเมาควบคุมสติหลุดเข้าไปสู่โลกใหม่ได้ง่าย ๆ แบบที่รั้งยังไงก็เอาไม่อยู่

“อื้อ” ลิ้นร้อนที่กวาดต้อนหยอกเย้าอยู่ภายใน เรียกเสียงครางพอใจออกมาจากลำคอของแอนดีสได้ทันที แม้จะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แม้จะเป็นฝ่ายที่บังคับเอาสัมผัสในคราแรก แม้จะเป็นคนบังคับอย่างเอาแต่ใจตัวเอง แต่ตอนนี้จูบดิบเถื่อนจากอัศวินหนุ่มที่แฝงไปด้วยความยั่วยวนชวนถลำตัว กลับมอมเมาเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ให้กระโจนรับเอาอย่างตะกละตะกลามราวกับคนอดอยาก ทั้งสองแลกลิ้นกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เพราะต่างฝ่ายต่างก็ผ่านประสบการณ์มามิใช่น้อย

ตุบ!!

อึก!! เสียงคนเมาสะอึกออกมาเบา ๆ เมื่อร่างถูกผลักให้ล้มลงไปบนที่นอนอย่างไม่ปรานี แต่แทนที่จะประท้วงแอนดีสกลับยิ่งชอบใจ ลอร์ดหนุ่มดันร่างตัวเองขึ้นใช้ข้อศอกยันฟูกนอนนุ่มไว้ข้างหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างวางไว้บนเข่าที่ชันขึ้นรองรับ

“อยากรู้จังว่าหนึ่งในยอดอัศวินของออสเซนเทียจะลีลาดีสักแค่ไหน” วาจาที่เอื้อนเอ่ยออกมาเพราะความเมานั้นท้าทาย คนที่ยืนประจันหน้ายกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างชอบใจ เลนนี่มองเห็นความลำพองของคนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าอยู่ในแววตาของแอนดีส ที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ไม่วางตา อัศวินหนุ่มเปลื้องอาภรณ์หนาที่ห่อหุ้มร่างกายของตัวเองออกช้า ๆ ทีละชิ้นอย่างใจเย็น โดยสายตาไม่ได้ละไปจากร่างที่นอนยั่วอยู่บนเตียงพร้อมเสื้อผ้าครบชุดเลยสักนิด



แอนดีสไม่ได้ถอดเสื้อผ้าของตัวเองเหมือนที่เลนนี่กำลังทำ ทั้งที่ความกำหนัดนั้นก่อเกิด ลมหายใจของลอร์ดหนุ่มสะดุดและถี่กระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาเจ้าชู้จ้องร่างกายกำยำสมชายชาติทหารที่เปิดเปลือยอยู่ตรงหน้าไม่วางตา ช่วงไหล่กว้างแข็งแกร่งราวหินผาดูเกร็งเครียดรับกับกล้ามเนื้อต้นแขนเป็นมัด ช่วงอกแน่นตึงทั้งสองข้างประดับด้วยเม็ดเล็กสีน้ำตาลอ่อนจางอมชมพู และทั้งที่สายตาก็ยังสบมองอยู่กับแอนดีสไม่ได้ละไปไหน แต่มือแกร่งกลับทำงานไม่หยุด อัศวินหนุ่มรองมือข้างหนึ่งไว้ใต้พวงรักของตัวเอง ใช้นิ้วสะกิดเกาข้างล่างด้วยเบา ๆ ส่วนอีกข้างกอบกำรอบท่อนลำรักที่กำลังเริ่มตื่นตัวจากการชักนำ แรงขยับของท่อนแขนทำให้ลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เห็นเป็นลูกคลื่นอยู่แล้ว ยิ่งปรากฏต่อสายตาชัดเจนมากขึ้น จนแอนดีสนึกอยากสัมผัสมันดูสักครั้ง

เจ้าชายแห่งมอนทาร์น่าจ้องมองร่างแกร่งสมชายอย่างเผลอไผล ในหัวคิดถึงตอนที่เจ้าของร่างนั้นขึ้นส่ายร่อนอยู่บนตัวของตัวเองอย่างเร่าร้อน จินตนาการแค่นั้นก็ทำให้แก่นความเป็นชาย ที่ซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์เริ่มขยายตัวพร้อมสู้อย่างไม่ต้องสัมผัสมันเลยด้วยซ้ำ

“หึ” ลอร์ดหนุ่มยิ้มเยาะพร้อมกับแค่นเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอเบา ๆ ท่าทางดูเหมือนจะเริ่มรำคาญความชักช้าเสียเวลาของอัศวินหนุ่ม ที่มัวแต่เตรียมพร้อมร่างกายของตัวเองราวกับคิดว่าจะได้ใช้มัน ภาพยั่วตาตรงหน้าบวกกับความมึนจากรสน้ำเมา ผสมกับแรงปรารถนาต้องการที่ก่อเกิดขึ้นในร่างกาย ทำให้แอนดีสดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ชายสูงศักดิ์ปัดมือใหญ่สากกร้านเพราะถือหอกดาบของอัศวินต่ำต้อยในสายตาของเขาออก แล้วขยุ้มกำแท่งรักที่แข็งตัวพร้อมรบแน่น เพื่อดึงกระชากเข้าหาตัวเอง

“มานี่”

“ท่านใจร้อนเป็นบ้าเลย ลอร์ดแอนดีส”

“อย่าใช้คำพูดแบบนี้กับข้า อื้ม” เมื่อไม่ให้เลนนี่พูดเขาเลยปิดปากเย่อหยิ่งนั้นด้วยจูบร้อนแรงเสียเลย และนั่นทำเอาเจ้าชายแห่งมอนทาร์น่าแทบดิ้นเร่า มือปัดป่ายไปทั่วเมื่อถูกเรียวลิ้นเข้าชอนไชภายในปาก จูบดิบเถื่อนจากอัศวินที่เขามองว่าต่ำศักดิ์ ก่อเกิดความร้อนรุ่มจนหวามหวานซ่านไปทั้งตัว เพราะนอกจากลิ้นที่รุกรานแล้ว มือหนาก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้กัน มันจู่โจมแท่งเนื้อแข็งร้อนผ่านอาภรณ์ที่ยังสวมใส่ไปด้วย

ทั้งที่ความต้องการเอ่อล้นท่วมท้นมากไม่แพ้กัน ร่างแกร่งเกร็งเครียดความเป็นชายขึ้นลำแข็งจนแทบจะปริแตก แต่ดูเหมือนว่าเลนนี่จะยังใจเย็นเล่นกับร่างกายของแอนดีสได้ไม่มีเบื่อ อัศวินหนุ่มค่อย ๆ ใช้มือเล้าโลมปลุกเร้าราวกับปลอบประโลม แต่ความเร่าร้อนกลับเพิ่มพูนทวีขึ้นเรื่อย ๆ จากจูบจาบจ้วงรุนแรง เลนนี่ยกยิ้มเมื่อเขากวาดลิ้นยาวเข้าไปในโพรงปากเหมือนหยอกล้อ แล้วถอยถอนออกมาราวกับว่าเบื่อรสเสน่หาข้างในนั้น ทำให้คนที่กำลังเพลิดเพลินกับจูบหวานล้ำร้อนฉ่าตวัดลิ้นตามออกมาอย่างไม่ยอม เลนนี่ถือโอกาสดูดเรียวลิ้นของแอนดีสเอาไว้ และดูดดึงคลึงเล่นด้วยลิ้นของตัวเองอยู่อย่างนั้นจนเจ้าของมันต้องครางประท้วง

“อื้ออออ”

“หึ” กลิ่นคาวเลือดและรสปะแล่มในปากเรียกรอยยิ้มบาง ๆ ของอัศวินหนุ่มได้ทันที เพราะมันทำให้เขาได้รู้ว่า แม้แอนดีสจะประท้วงเมื่อถูกกระทำรุนแรง แต่ก็ประท้วงเพราะความพอใจ ยิ่งเมื่อเขาขบกัดดูดเม้มลงมาตามลำคอขาว มือที่จิกเส้นผมของเขายิ่งเพิ่มแรงจิกเกร็งแน่นขึ้น พร้อมกับกดศีรษะเขาให้แนบเน้นลงกับเนื้อตัวเองแรงขึ้นอย่างได้อารมณ์

แบบนี้ไม่เรียกว่าชอบก็ไม่รู้จะเรียงว่าอย่างไร แค่ลิ้นของเขาไล้เลียตวัดไปตามผิวเนื้อและรอยกัด เจ้าชายสูงศักดิ์ที่กำลังถูกความต้องการครอบงำก็ครางกระสันสั่นไปทั้งตัว

“อื้มมม” แอนดีสส่งเสียงออกมาจากลำคอเบา ๆ เหมือนขัดใจอะไรสักอย่าง มือที่กอดรัดกดดันใบหน้าของอัศวินหนุ่มให้ซุกซบลงกับซอกคอตัวเอง ละออกมาปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่ยังเหลือติดกายโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี ความต้องการล้นปรี่บ่งบอกด้วยแท่งรักตั้งลำแข็งที่ดีดตัวออกมาสู่อิสรภาพ เมื่อลอร์ดหนุ่มถอดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายโยนทิ้งไป

เลนนี่มองภาพตรงหน้าด้วยสายตากระหายอยาก ร่างเปลือยเปล่าขาวลออตาประดับด้วยกล้ามเนื้อสวยสมความเป็นชาย แม้จะไม่ได้เป็นมัดแน่นเหมือนเขา แต่หากสาว ๆ ได้ยลโฉมเรือนร่างนี้คงระทวยไปตามกัน



อัศวินหนุ่มยืดตัวขึ้นกวาดสายตาสำรวจร่างที่นอนยั่วอยู่ตรงหน้า แต่พอแอนดีสส่งสายตาเชิญชวนเขาก็ไม่รอช้า รีบลงมาคร่อมทับร่างที่นอนระทวยอยู่ทันที ริมฝีปากร้อนเริ่มต้นจูบอีกครั้งอย่างกระหาย ต่างคนต่างก็ปัดป่ายมือเพื่อสัมผัสร่างของกันและกันอย่างไม่มีใครยอม ต่างคนต่างก็ตื่นเต้นจนใจกระตุก เมื่อได้สัมผัสกล้ามเนื้อหนั่นแน่นชื้นเหงื่อ ร่างสองร่างกอดกลิ้งผลัดกันอยู่บนผลัดกันอยู่ล่าง และในจังหวะที่แอนดีสอยู่ข้างล่าง เจ้าชายก็ยังวางอำนาจเหมือนเดิม โดยขยับดันตัวลุกขึ้นนั่ง และจับให้เลนนี่นั่งทับลงบนตักหันหน้าเข้าหากัน มือหนาตะปบบั้นท้ายแน่นบังคับให้อัศวินหนุ่มบดเบียดท่อนรักเข้ากับแท่งเนื้อของตัวเอง ที่แข็งขืนราวกำลังแข่งประชันความแข็งแกร่ง ปากก็ยังแลกลิ้นกันอย่างเร่าร้อน แต่เพียงไม่นานร่างของเจ้าชายก็ถูกผลักให้นอนลงที่เดิม มือทั้งสองข้างถูกสอดประสานด้วยมือสากกดลงบนฟูก เลนนี่ละจูบจากริมฝีปากบางไล้ลิ้นชิมลงมาตั้งแต่ลำคอที่ปรากฏรอยแดงเต็มไปหมด จนถึงหน้าอกที่ปลายลิ้นร้อนทักทายติ่งเนื้อเป็นเม็ดแข็งทั้งสองข้างสลับกันอย่างเร้าอารมณ์

“อ่าส์” ยามปลายลิ้นร้อนสัมผัสเข้ากับยอดอก ร่างระทวยด้วยแรงกระสันของแอนดีสสั่นสะท้าน เสียงครางผะแผ่วผ่านลำคอออกมาฟังเสนาะหู ดวงตาลอร์ดหนุ่มหลับพริ้มเพราะกำลังรับสัมผัสด้วยความลุ่มหลง

ลิ้นเรียวยังคงปรนเปรอไม่มีหยุด เมื่อสนุกกับยอดอกจนพอใจแล้ว เลนนี่ก็ไล้ต่ำลงผ่านลอนกล้ามเนื้อเป็นคลื่นบนหน้าท้อง แต่พอผิวเนื้อถูกปลายลิ้นสัมผัสเจ้าของร่างจึงเกร็งตัว ลูกคลื่นจึงดูชัดเจนยิ่งขึ้นอีก อัศวินหนุ่มไล้ลิ้นรอบแอ่งสะดือจนร่างระทวยเริ่มบิดเร่า ยิ่งลิ้นร้อนซอกซอนลงไปภายในหลุมตื้นยิ่งทำให้แอนดีสครางต่ำ อารมณ์รักพุ่งสูงสุดเท้าจิกฟูกนอนแน่น

“เซอร์ อะ เลน นี่ อื้อออ อ่า” แอนดีสถึงกับครางเรียกชื่ออัศวินหนุ่ม เมื่อถูกปากร้อน ๆ ครอบครองแท่งรักโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เลนนี่แกล้งครอบปากลงสุดความยาวแล้วถอนออกช้า ๆ เพราะกำลังตวัดลิ้นไล้อยู่ภายใน อัศวินหนุ่มเพิ่มแรงดูดขณะถอนออกให้ท่อนรักหลุดจากปากทั้งลำ ปล่อยน้ำลายที่ตั้งใจให้ไหลย้อยลงเปรอะเปื้อนมือ เหลือบมองเจ้าชายผู้ลำพองที่กำลังระทวยเพราะแรงกระสันอย่างพอใจ เขาใช้ปากเล่นกับแท่งรักของแอนดีสที่พริ้มดวงตาหลับรับการปรนเปรอ ปากร้อนครอบครองส่วนปลายป้านอีกครั้ง ทั้งส่งลิ้นตวัดไล้รอบหัว ทั้งครอบครองด้วยโพรงปากอุ่นและดูดแรง มันเข้ากับจังหวะของมือที่กอบกำชักรูดอยู่ช่วงล่าง ส่วนมืออีกข้างที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายลูบไล้ลงสู่ทางรักเบื้องหลัง

“อื้อออ อ่าส์” ไม่รู้ว่าลืมตัวหรือกำลังมัวเมากับรสกามาอารมณ์ เมื่อมีสิ่งรุกล้ำสอดแทรกเข้ามาในตัวแอนดีสถึงไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับครางรับอย่างเป็นใจ คนที่เคยจินตนาการถึงร่างใหญ่โตของอัศวินหนุ่ม ยามร่อนส่ายสะโพกอยู่บนตัวเอง บัดนี้ได้แต่นอนครางเสียวเสียงกระเส่า เพราะนิ้วยาวกระตุ้นโดนจุดกระสันภายใน พร้อมความเป็นชายได้รับการกระตุ้นหนัก จนหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งว่าตอนนี้ร่างกายของตัวเองถูกจับพลิกให้นอนคว่ำ ท่อนขาแข็งแรงถูกจับแยกออกทั้งสองข้าง มีอัศวินหนุ่มแทรกตัวเข้าคุกเข่าอยู่ตรงกลาง เลนนี่จับสะโพกแน่นให้เชิดขึ้นจนบั้นท้ายเปิดเผยช่องทางรักอย่างเชิญชวน

“ประตูนี้ให้ข้าผ่านเข้าไปเป็นคนแรกนะ”

“อ๊ะ” แอนดีสไม่ทันฟังว่าเลนนี่กระซิบบอกว่าอะไร เขาหลุดเสียงร้องออกมาเพราะอัศวินหนุ่มโน้มตัวลงไปกัดท้ายทอย แล้วดูดเม้มจนขึ้นรอยรักสีแดงตัดกับผิวเนื้อขาวเนียน แต่เพียงเท่านั้นยังไม่พอ ลิ้นร้ายยังไล้ลงต่ำตามแนวกระดูกสันหลัง สลับกับการจูบและขบเม้มครูดฟัน เจ้าของร่างรู้สึกถึงความเจ็บแทรกความเสียวซ่าน ยามแผ่นหลังถูกทั้งกัดและดูดไปพร้อมกับแท่งรักได้รับการปรนเปรอ นิ้วยาวในช่องทางรักขยับเข้าออกช้าเนิบ

ร่างของลอร์ดแอนดีสขมวดเกร็งเมื่ออารมณ์อยากเข้าขั้นสูงสุด ยิ่งปากของเลนนี่เคลื่อนลงต่ำถึงก้อนเนื้อบั้นท้าย แล้วเล่นปลายลิ้นกับก้นกบ ยิ่งสร้างความกระสันให้ทวีความต้องการมากขึ้น ขณะที่มือใหญ่ยังนวดคลึงกลางกายของลอร์ดหนุ่ม นิ้วที่อยู่ในช่องทางรักกลับถูกถอดถอนออก เพื่อหลีกทางให้สิ่งที่ใหญ่โตและแข็งขืนได้อารมณ์กว่าเข้ามาทดแทน

“อ๊ากก อึก เจ็บ” แอนดีสร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บที่ช่องทางถูกชำแรก รู้สึกเหมือนร่างกายถูกกระชากออกจากกันด้วยแรงมหาศาล ช่องรักข้างหลังถูกความใหญ่โตสอดแทรกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว กลิ่นคาวของเลือดสัมผัสเข้ากับนาสิกประสาทของทั้งสองทันที ความเจ็บที่แทรกเข้ามาในความเสียวกระสันเล่นเอาแอนดีสตัวสั่นสะท้าน ลมหายใจของลอร์ดหนุ่มหอบกระเส่า เขากัดฟันแน่นเพื่อข่มความเจ็บ แต่คนกระทำกลับเชิดหน้าสูดปากอย่างสุขสม ขณะที่สอดแทรกความแข็งผงาดเข้ามาเรื่อย ๆ อย่างไม่ปรานี

“ซี้ดดดด ลอร์ดแอนดีส” เลนนี่สอดใส่ตัวเองเข้าไปจนสุดลำแล้วแช่ค้าง ความคับแน่นเพราะเป็นการถูกรุกล้ำครั้งแรกบีบรัด จนอัศวินหนุ่มครางเสียงสั่นราวกับจะขาดใจ เขาตอบรับความเสียวซ่านด้วยการค่อย ๆ ถอดถอนตัวเองออกมาช้า ๆ ครึ่งลำแล้วเสือกไสเข้าไปใหม่ จังหวะการกระทำช้าเนิบเพื่อให้ความเสียวสยิวค่อย ๆ แทรกซึมแล้วกระจายไปทั่วทุกอณูเนื้อของตัวเอง

“เจ็บ มันเจ็บ อึก ออกไป” แอนดีสบอกเสียงแหบเหมือนคนหมดแรง แต่ความหมายของถ้อยคำที่บอกกลับตรงข้ามกับความต้องการของร่างกายที่กลับรู้สึกเสียดาย หากอัศวินหนุ่มทำตามคำสั่ง เจ้าชายแห่งมอนทาร์น่าหายใจหอบกระเส่าและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งได้กลิ่นคาวของเลือดลอยมาจาง ๆ ยิ่งทำให้ต้องการอากาศมากยิ่งขึ้น เพราะเหมือนมันเข้ามากระตุ้นบางสิ่งบางอย่างในตัวจนลอร์ดหนุ่มใจเต้นแปลก ๆ

“เดี๋ยวมันจะดีเอง อ่า”

“เอาออก เอามันออกไป เซอร์..อึก”

“มาบอกตอนนี้ไม่สายไปหน่อยแล้วหรือฝ่าบาท ข้าถอยไม่เป็นหรอกนะ” น้ำเสียงของเลนนี่หยอกเย้า

“อ๊ะ มะ ไม่ อ่าส์” ! แอนดีสร้องเสียงสั่น เพราะเลนนี่พูดจบก็เป็นจังหวะที่เขาถอนตัวเองออกไปจนเกือบหมด แล้วกระแทกเข้ามาใหม่อย่างแรงสุดลึก ส่วนปลายโดนเข้ากับจุดเร้าที่อยู่ภายใน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับแท่งรักถูกมือใหญ่ชักรูดและบีบแน่น ส่งอารมณ์ให้เจ้าของร่างที่ถูกรุกรานซ่านไปทั้งตัวจนแทบลืมความเมาและความโกรธ ลืมแม้กระทั่งการผลักไสอีกคนออกห่าง ความเสียวที่แทรกความเจ็บขึ้นมามันเร้าอารมณ์จนลอร์ดแอนดีสสับสนในตัวเอง “อ่า ซี๊ดดด ข้าจะสั่งลงโทษเจ้า เซอร์เลนนี่” !

“หึ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ อืม อ่าส์” เพียงแค่อัศวินหนุ่มเริ่มขยับเอวตัวเองพร้อมกับเสียงครางอย่างได้อารมณ์ ก็ทำให้เลือดในกายของลอร์ดผู้สูงศักดิ์ฉีดพล่านร้อนรุ่มราวถูกไฟนรกแผดเผา เลนนี่ถอนตัวเองออกแล้วกระแทกเข้าหาหนัก ๆ เน้น ๆ ลึก ๆ ในจังหวะเนิบนาบ เหมือนกำลังส่งสัญญาณเตือนแอนดีสให้เตรียมพร้อมรับอะไรที่หนักหน่วง และรุนแรงยิ่งกว่า

“จะ เจ้า อ๊ะ” !

“หากลีลาของข้าไม่ถึงใจท่านก็จงประหารข้าเสียด้วยมือท่านเองเถอะ ลอร์ดแอนดีส”

“อะ อ๊ะ เซอร์ เลนนี่ ข้า ข้าไม่ ปล่อย เจ้าไว้ แน่” อัศวินหนุ่มเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น โดยไม่สนใจแล้วว่าช่องทางรักของคนรองรับจะพร้อมสำหรับความใหญ่โตของเขาหรือไม่ ช่วงขายาวที่คุกเข่าลงกับฟูกนอนตั้งมั่น มือข้างหนึ่งกระชับไว้ที่ขอบเอวเพื่อบังคับให้แอนดีสสวนบั้นท้ายเข้าหาในจังหวะพอดีกัน ส่วนมืออีกข้างขยุ้มเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวประบ่าดึงรั้งมาข้างหลัง จนใบหน้าลอร์ดหนุ่มหงายเชิดอ้าปากครางกระเส่า



ความเจ็บจากเส้นผมที่ถูกขยุ้มดึง ทำให้แอนดีสพยายามผ่อนแรงของมันให้มากที่สุด ด้วยการแหงนหงายใบหน้าขึ้นจนแผ่นหลังแอ่นโค้ง และนั่นส่งให้บั้นท้ายของท่านลอร์ดเชิดขึ้นอย่างน่ามอง เลนนี่กัดปากล่างแน่น ตาจับอยู่กับภาพความผงาดกล้าของตัวเองกำลังทะลวงเข้าออกช่องทางเปื้อนเลือด ที่กระตุ้นให้เลือดในกายฉีดพล่านปั่นป่วนได้ดียิ่งนัก เขาเร่งอัดความแข็งแกร่งเข้าใส่จนร่างของแอนดีสโยกคลอน ทั้งมึนทั้งถูกความแรงกระแทกรัว ๆ จนท่อนแขนที่ใช้รองรับน้ำหนักตัวเองอ่อนล้า

ลอร์ดหนุ่มฟุบหน้าลงบนที่นอน ทั้งที่ร่างกายส่วนล่างยังถูกรั้งไว้รองรับอารมณ์ ความเจ็บของแอนดีสเริ่มเปลี่ยนเป็นความรู้สึกใหม่ เมื่อจุดกระสันที่อยู่ภายในถูกกระตุ้นเสียดสีหนัก ความใหญ่โตที่คับแน่นช่องทางก่อเกิดความซาบซ่านจนอดไม่ได้ที่จะปล่อยเสียงครางสั่นหวานหูออกมา

แอนดีสตอบรับความเจ็บปนเสียวด้วยการแอ่นสะโพกให้บั้นท้ายเชิดสูงขึ้น มือละจากผ้าปูที่นอนที่ขยุ้มแน่นมาชักรูดท่อนรักของตัวเองให้เข้ากับจังหวะที่กำลังถูกกระทำ ใบหน้าหล่อแดงก่ำแนบแก้มซีกหนึ่งฝังลงไปบนฟูกหนานุ่ม สายตาที่เคยมีแต่แววเจ้าชู้บัดนี้เปลี่ยนเป็นประกายของความปรารถนาเร่าร้อนจนเอ่อล้น

ส่วนเลนนี่เองก็หอบกระเส่าไม่แพ้กัน แต่แรงกำหนัดที่ครอบงำทำให้อัศวินหนุ่มไม่อาจหยุดตัวเองได้ แม้จังหวะสอดใส่จะชะลอเมื่อโน้มตัวไปข้างหน้า แต่มันยังไม่ได้หยุดลงเสียทีเดียว อกแกร่งที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อทาบทับแผ่นหลังแน่นของลอร์ดหนุ่ม เม็ดเหงื่อผสมกันจนร่างทั้งสองมันเลื่อม

“อาส์ เลนนี่” อัศวินหนุ่มคลอเคลียริมฝีปากและลิ้นร้อนอยู่หลังใบหู สร้างความสยิวให้แอนดีสจนต้องระบายออกมาผ่านเสียงครางแหบสั่น เลนนี่สูดรับเอากลิ่นสาบชายด้วยกันเข้าเต็มปอด และเหมือนกับว่ากลิ่นนั้นมันทำให้ทุกส่วนในร่างกายตอบสนองความต้องการขึ้นมาทันที สะโพกที่ทำรักช้าเนิบเริ่มเร่งตัวเองขึ้น แต่ดูเหมือนจะยังไม่ถึงใจและอารมณ์ของท่านลอร์ด เสียงร้องขอสั่นกระเส่าจึงเล็ดลอดออกมาให้เขาได้ยิน

“อ๊ะ เร็ว เร็วหน่อย”

“ตามประสงค์ฝ่าบาท” เลนนี่กัดฟันกรอดเมื่อรู้สึกถึงความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทุกอณูเนื้อ ลมหายใจของอัศวินหนุ่มถี่กระชั้นขึ้น เมื่อสะโพกสอบเร่งความเร็วตามแรงปรารถนาต้องการที่ตรงกัน ร่างลอร์ดหนุ่มถูกจับให้นอนหงาย ช่องทางรักที่ยังมีท่อนลำเสียบคาอยู่ลอยเด่น เพราะใต้ข้อพับขาทั้งสองข้างถูกเกี่ยวรองไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรง ที่รองรับแล้วยกขึ้นให้พอดี

“ถูกใจท่านหรือไม่ อา ฮึ่ม” สิ้นเสียงถามที่ตามมาด้วยเสียงคำรามอย่างสุขสม ทำให้แอนดีสแทบลืมหายใจ ลืมแม้กระทั่งให้คำตอบ ทำไมแค่เสียงที่ก้องออกมาจากลำคอหนาเหมือนกำลังพอใจ สามารถทำให้ลอร์ดหนุ่มรู้สึกซาบซ่านในอารมณ์ได้ถึงเพียงนี้

“อะ ซี๊ด เจ็บ อา” และดูเหมือนเลนนี่จะไม่ได้ต้องการคำตอบเช่นกัน เพราะอัศวินหนุ่มเอาแต่เร่งตัวเองให้ทันใจตามที่ถูกร้องขอ ยิ่งร่างที่นอนระทวยพยายามตอบสนองด้วยการสวนช่องทางเข้าหา เลนนี่ก็ยิ่งได้ใจ ปากบอกเจ็บแต่ร่างกายกลับไม่ปฏิเสธ หรือนี่คือตัวตนที่แท้จริงของแอนดีสแห่งมอนทาร์น่ากัน!

“อ่า เลนนี่ เจ้า อ๊ะ ซี๊ดดด” ได้ยินแบบนี้แม้อยากจะไปถึงฝั่งฝันที่การปลดปล่อยมากเพียงใด แต่เลนนี่ก็ยังยั้งไว้ เพราะร่างที่บิดเร่ามือข้างหนึ่งขยุ้มกระชากดึงที่นอน ส่วนอีกข้างชักรูดกลางกายช่วยเหลือตัวเอง ในจังหวะเดียวกันกับการเสือกไสตัวตนเข้าใส่ของเขา ทำให้อัศวินหนุ่มยกยิ้มมุมปากอย่างย่ามใจ ภายนอกที่ดูร้อนแรงยังไม่เท่ากับภายในของเขา ที่คงไหม้เกรียมไปแล้วจากความเร่าร้อนของรสเสน่หา

แอนดีสสบสายตาเข้ากับดวงตาร้อนแรงของเลนนี่ ลอร์ดหนุ่มเกิดสะท้านจนความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั้งตัว แววตาที่มีแต่ความปรารถนาต้องการ ทำให้ร่างกายทุกส่วนตอบสนองทุกอย่างที่อัศวินหนุ่มปรนเปรอมา รู้สึกได้ถึงความปรารถนาอัดแน่นที่กำลังจะถึงขีดสุด อย่างที่ไม่เคยรู้สึกถึงมันได้มากเท่านี้มาก่อน ความพึงใจแสดงออกมาผ่านสีหน้าสุขสม จนดวงตาปรือปรอย และริมฝีปากเจ่อที่เผยออ้าปล่อยเสียงครวญคราง



ยิ่งบทรักยืดเยื้อยาวนาน แอนดีสยิ่งเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงฝันท่ามกลางหิมะขาวโพลน ที่เร่าร้อนราวกับไฟนรกโลกันตร์ ร่างกายบิดเร่าเหมือนทรมานแต่ไม่อาจหยุดยั้ง นอกจากโลดแล่นไปตามทางที่อัศวินหนุ่มนำพา จนในที่สุดก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ไม่รู้เป็นเพราะความเมาหรือเพราะถูกความปรารถนาเข้าครอบงำสติ แอนดีสรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ รู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่อาจห้ามใจได้ รสชาติของเสน่หากามารมณ์มันยั่วยวนใจจนอ่อนระทวย

“ท่านดูพอใจมากนะ”

“เจ้า..อ่าส์” แอนดีสพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น เพราะตอนนี้แค่หายใจเฉย ๆ ยังยากสำหรับลอร์ดหนุ่ม ไหนจะเวลาพูดยังเผลอหลุดเสียงครางน่าอายออกมาอีก

“หึ อยากด่าข้าก็ได้นะ”

“งะ เงียบเถอะน่า”

“ถ้าไม่ให้ข้าพูด แล้วท่านอยากให้ข้าทำยังไงล่ะ อย่างน้อยอนุญาตให้ข้าครางเหมือนท่านได้หรือไม่ อ่าส์ ซี๊ดดดด”

“อ๊ะ เจ้า อื้มมม”

“หรืออยากให้ข้าหยุด ทำไมเสียงตะคอกของท่านมันไม่น่ากลัวเลย”

“.อ๊ะ อื้ออออ” เลนนี่พูดไปแต่จังหวะในการเล่นรักยังคงความร้อนแรงเหมือนเดิม วาจาหยอกเย้าราวอยากจะทำให้อีกฝ่ายโกรธแต่ก็เหมือนไม่ใช่ แอนดีสต้องยอมรับกับตัวเองว่าบทรักที่เลนนี่กำลังปรนเปรอ มันเร่าร้อนถึงใจเขามากจริง ๆ มากจนแทบจะต้านทานไม่อยู่แล้ว “อื้ออออ”

“ข้าคงเดาผิด”

“เจ้า...”

“หึ เพราะตาของท่านบอกข้าอีกอย่าง”

“หุบปากสักที! อ่าาาส์”

“แล้วรีบพาท่านไปให้ถึงสวรรค์เร็ว ๆ ใช่ไหม หืม ซี๊ดดด”

“เจ้ามัน..อึก อา”

“หึ หึ หึ”

“พูด มาก อ๊ะ แรง ๆ หน่อย ข้า...”

“หืม?”

“อ่าาส์”

“ท่านทำไม พูดให้จบสิ”

“ไม่ไหว ข้าไม่ไหวแล้ว เซอร์เลนนี่ ซี๊ดดดด เร็ว ๆ ”

“หึ ตามที่ท่านปรารถนาเลยฝ่าบาท” เลนนี่วางมือจับที่ขอบเอวทั้งสองข้างของแอนดีสเอาไว้มั่น สะโพกเกร็งตอกอัดความต้องการเข้าใส่ช่องทางรัว ๆ จนร่างที่มีขนาดไม่ต่างกันมากของแอนดีสสั่นคลอน ขาสองข้างแยกออกกว้างเปิดทางให้เต็มที่ ความเร่าร้อนยืนยันด้วยเสียงครางประสานกันระงม เหงื่อกาฬไหลออกมาชโลมร่างทั้งสองจนเปียกไปหมด ความร้อนแรงจนเพลิงอารมณ์แทบลุกไหม้ของสองชายบนเตียง ช่างสวนทางกับความเย็นเยือกภายนอก จนหิมะแรกของฤดูหนาวแทบละลาย



******************************



“ถึงคืนนี้เจ้าไม่ต้องถวายการอารักขาก็ไม่น่ากลับมาเกือบเช้าอย่างนี้นะ” เลนนี่หยุดเท้าเมื่อเสียงหนึ่งดังออกมาจากความมืดขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปในปราสาทอันเป็นที่ประทับของจูเลียน โดยใช้ทางขึ้นด้านหลังเพื่อไปยังที่พักของอัศวิน

“หึ..แล้วไงล่ะ ราเชล”

“มีเรื่องสนุกหรือไง” ราเชลไม่ตอบแต่ถามกลับ

“ก็ไม่มีอะไรนี่ทำไมเจ้าคิดอย่างนั้นล่ะ”

“ถึงแม้เจ้าจะยิ้มเหมือนบ้าอยู่ตลอด แต่ยิ้มแบบนี้มันผิดปกตินะ” ราเชลยิ้มร้ายสมใจเมื่อจับผิดเพื่อนได้ เลนนี่ส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับเพื่อนคนนี้ เพราะหากเป็นเฮนริชกับเดรทิช สองคนนั้นคงไม่สนใจรายละเอียดรอยยิ้มของเขามากขนาดนี้แน่

“หึ ข้าแค่อารมณ์ดี”

“เจ้าก็อารมณ์ดีอยู่ตลอดนั่นแหละ”

“วันนี้คงดีกว่าทุกวันล่ะมั้ง”

“ไปทำอะไรมาล่ะ”

เลนนี่ยิ้มขี้เล่นในแบบของตัวเองพร้อมกับยักไหล่ “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกแค่เพิ่งกำราบเด็กอวดดีมาเท่านั้นเอง”

“ท่าทางน่าสนุกนี่ วันหลังชวนข้าบ้างนะ”

“เจ้าคงต้องหาเด็กของเจ้าเองแล้วล่ะ เพราะเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา” เลนนี่ตอบเพื่อนแต่ในหัวกลับคิดถึงใครบางคนที่กำลังนอนอยู่ที่พักนอกวังของเขา อัศวินหนุ่มไม่อยากคิดเลยว่าตอนตื่นขึ้นมาแอนดีสจะโวยวายมากขนาดไหน ดีไม่ดีเขาอาจจะถูกจับประหารทันทีที่ลอร์ดหนุ่มกลับมาก็ได้ ตัวเขาเองก็ไม่อยากทิ้งเจ้าชายเอาไว้อย่างนั้น แต่ภาระหน้าที่ต้องมาก่อน ถึงอย่างไรเด็กรับใช้ที่สั่งให้คอยดูแลเป็นอย่างดีก็เฝ้าอยู่หน้าห้องตั้งสองคนอยู่แล้ว

“เจ้าทำให้ข้าอยากรู้แล้วสิว่าเด็กอวดดีของเจ้าเป็นใคร”

“เจ้าไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอกราเชลไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวก็ต้องตื่นขึ้นมาอีก” สองอัศวินเดินผ่านทหารยามเข้าไปยังปราสาท ทั้งที่อีกไม่นานก็เช้าแล้วแต่มันคงดีมากหากได้หลับพักสักงีบ



*************************************

มาช้า ๆๆๆๆๆ

ดาว ณ แดนดิน
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 6 ลอร์ดหนุ่มผู้เร่าร้อน 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-11-2018 22:18:47
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 7 งานประลองประจำปี 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 10-11-2018 19:59:32
เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 7 งานประลองประจำปี



เงารัตติกาล เป็นชื่อที่ไม่มีใครอยากได้ยิน ชาวบ้านไม่อยากพูดถึง หากมีใครพูดคำนี้ออกมาแค่ได้ยินก็ขนลุกด้วยความหวาดกลัวกันถ้วนหน้า เพราะนี่คือชื่อเรียกของโจรใจเหี้ยมโหด เป็นนักฆ่าที่ลงมือกับเหยื่ออย่างรวดเร็ว โดยที่เหยื่อยังไม่ทันมีโอกาสได้ร้องขอชีวิต ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าหากเงารัตติกาลย่างเท้าไปที่ใดที่นั่นต้องมีคนตาย ไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเงารัตติกาลเป็นใครมาจากไหน เพราะคนที่เคยเห็นใบหน้าภายใต้ความมืดดำนั้นล้วนไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว ข่าวลือบอกต่อ ๆ กันมาว่าใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีดำมืดที่ปิดบังไว้ น่ากลัวราวกับสัตว์ป่าดุร้ายที่ดุร้ายที่สุด มันออกล่าเหยื่อตอนกลางคืน คนที่อ้างว่าตัวเองเคยได้เจอจัง ๆ มาแล้วแต่รอดมาได้ บอกว่าจะเห็นเพียงดวงตาแข็งกร้าวทรงอำนาจของเงา ก็เหมือนกับว่าร่างกายสิ้นไร้เรี่ยวแรง และต้องคุกเข่าลงสยบแทบเท้าของเงาทุกคน เงารัตติกาลจะปรากฏตัวในเวลากลางคืนราวกับผีร้าย เคลื่อนที่รวดเร็วประหนึ่งเหยี่ยวเพเรกวินที่โฉบลงมาหาเหยื่อราวกับพายุ และหายไปในเงามืดดำทันทีเหมือนไม่เคยปรากฏกายขึ้นมาก่อน

ข่าวลือการมาของเงารัตติกาลในเมืองหลวงแห่งออสเซนเทียถูกหลงลืมไปชั่วขณะ เมื่อถึงวันเฉลิมฉลองต้อนรับฤดูหนาว วันที่ชาวเมืองกำลังดื่มด่ำกับความรื่นเริงบันเทิงใจ

ยามเช้าที่ขมุกขมัวอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่ แต่ไม่ใช่ยามเช้าตรู่ภายใต้ความอึมครึมของท้องฟ้าสีเทาที่ออสเซนเทีย เพราะวันนี้คือวันที่ทุกคนเฝ้าตั้งตารอ ไม่ว่าฟ้าจะหดหู่หรือหิมะแรกของปีจะโปรยปรายลงมา ก็ไม่อาจหยุดความเบิกบานใจของทุกคนไปได้ โชคดีที่เช้านี้ออสเซนเทียแม้จะอากาศจะหนาวเย็น และมีเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาบ้าง แต่ก็เป็นบางช่วงเท่านั้น หิมะแรกของปีนี้ก็เหมือนทุกปีที่ดูจะเป็นใจ เพราะไม่เทกระหน่ำลงมาก่อนให้เสียงาน มองไปทางไหนจึงเห็นแต่รอยยิ้มแห่งความสุข ทุกตรอกทุกซอยภายในเมืองคลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรอยยิ้ม พ่อค้าแม่ค้าทั้งเจ้าถิ่นและต่างเมือง ต่างตะโกนร้องอวดขายของสินค้าตัวเอง ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างมุ่งมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ยิ่งใหญ่นี้กันทั้งนั้น

งานประจำปีที่จัดขึ้นในต้นฤดูหนาวของทุกปี นอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองวันแห่งความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ชาวเมืองตั้งตารอ ยังเหมือนเป็นการประกาศว่าฤดูหนาวได้มาเยือนแล้ว แม้อากาศของออสเซนเทียจะเย็นสบายทั้งปี แต่พอเข้าหน้าหนาวจริง ๆ มันหนาวเหน็บมากยิ่งกว่า วันนี้ถนนที่ตัดผ่านกลางเมืองประดับประดาด้วยธงหลากสีสัน ลานกว้างหน้าจัตุรัสมีการแสดงมากมายที่เรียกเสียงฮือฮาให้ผู้คนได้ตลอด บรรยากาศครึกครื้นทำให้อารมณ์แจ่มใสตัดกับท้องฟ้าเบื้องบน ผู้คนแต่งตัวสวยงามด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองมี เพื่อออกมาร่วมงานฉลองและรอที่จะได้ชื่นชมกษัตริย์ของพวกเขา ที่จะออกจากปราสาทมาเพื่อรวมงาน และที่ขาดไม่ได้คือการประลองประจำปีอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ดึงดูดผู้คนส่วนใหญ่ที่ชื่นชอบการต่อสู้และการพนัน

ถนนกลางเมืองเต็มไปด้วยผู้คนทั้งหญิงชาย เด็ก ผู้ใหญ่ หนุ่มสาว คนเฒ่า คนแก่ คนทุกเพศวัยทุกวัยต่างออกมารวมตัวกันเพื่อรอต้อนรับและชื่นชมยุวกษัตริย์ของพวกเขา เมื่อทหารยามหน้าวังประกาศว่าใกล้ได้เวลาเสด็จ ชาวเมืองผู้ภักดีต่างพากันโห่ร้องสรรเสริญจนดังกึกก้องไปทั้งเมือง

“ฝ่าบาทเป็นอะไรไปหรือ”

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” ทั้งที่อยู่ในความไม่สบอารมณ์แต่พอหันไปเห็นใบหน้าใสซื่อของเด็กรับใช้ประจำตัว จูเลียนเลยได้แต่ตอบปัดเสียงเรียบ

“แล้วทรงถอนหายใจทำไมล่ะ”

“เจ้าจะถามเอาอะไรลีโอ ไปอยู่กับเซอร์เฮนริชโน่นไป” ลีโอมองไปทางเฮนริชที่ยืนคุยอยู่กับเลนนี่แล้วหันกลับมาหาจูเลียน

“หม่อมฉันต้องคอยถวายการดูแลฝ่าบาทตามคำสั่งของลอร์ดนิโคล”

“ตกลงเจ้าเป็นคนของข้าหรือของท่านพี่กันแน่ลีโอ” ด้วยไม่ชอบใจอะไรหลายอย่างทำให้จูเลียนหันไปพูดเสียงดังใส่ลีโอ ที่ยังถามราวกับว่าต้องเอาคำตอบให้ได้ เช้านี้จูเลียนขัดใจที่อะไร ๆ ก็ไม่เป็นอย่างต้องการ ตั้งแต่ชุดที่ต้องใส่ออกงานหนาหนักเต็มยศรวมทั้งเครื่องประดับ และมงกุฎทองประดับอัญมณีที่ลีโอย้ำนักย้ำหนาว่าวันนี้เขาต้องใส่มันด้วย ไหนจะคนรักที่ไม่ได้ร่วมขบวนอย่างใกล้ชิด ซึ่งจูเลียนถามแล้วพบว่ากรอสเซ่นั้น ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มท้ายสุดของขบวนที่จูเลียนแทบจะมองหาเขาไม่เห็น

“ชีวิตของลีโอเป็นของจูลีเดียสแต่เพียงผู้เดียวฝ่าบาท”

“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าทำให้ข้าอยากปลดเจ้าไปเป็นเด็กเลี้ยงม้า”

“หม่อมฉันแค่..”

“แค่อะไร”

“แค่ไม่อยากให้ฝ่าบาทหนักพระทัย”

“ทำไมข้าต้องหนักใจด้วย”

“ก็ลีโอเห็นฝ่าบาททรงถอนหายใจหลายครั้งแล้ว ลีโอแค่เป็นห่วง”

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่อยากไปดูการประลอง”

“แต่วันนี้เป็นวันสำคัญของฝ่าบาท เซอร์ราเชลบอกว่าชาวเมืองมารอต้อนรับฝ่าบาทเต็มถนนกลางเมืองไปถึงลานประลองเลยทีเดียว” ลีโอพยายามยกเห็นผลมาอ้างหวังให้จูเลียนใจเย็นลงสักนิด แต่คนเอาแต่ใจก็คือคนเอาแต่ใจ จูเลียนจึงหาข้ออ้างมาอ้างได้ตลอด

“เพราะเป็นวันสำคัญไง ข้าถึงอยากใช้เวลาอยู่กับคนสำคัญของข้าที่สุด”

“ใช้หลังจากเสร็จงานแล้วก็ได้นี่ฝ่าบาท”

“แต่วันนี้เป็นวันสำคัญของฝ่าบาท เซอร์ราเชลบอกว่าชาวเมืองมารอต้อนรับฝ่าบาทเต็มถนนกลางเมืองไปถึงลานประลองเลยทีเดียว” ลีโอพยายามยกเห็นผลมาอ้างหวังให้จูเลียนใจเย็นลงสักนิด แต่คนเอาแต่ใจก็คือคนเอาแต่ใจ จูเลียนจึงหาข้ออ้างมาอ้างได้ตลอด

“เป็นไปไม่ได้หรอกฝ่าบาท”

“ไม่ต้องมาย้ำหรอก วันนี้วันเกิดเรานะทำไมต้องมาจัดงานตรงกับวันนี้ด้วยก็ไม่รู้” จูเลียนขัดใจอย่างถึงที่สุดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ภาพฝันที่วาดไว้ว่าจะได้อยู่กับคนรักสองต่อสองพังทลายลง จึงได้แต่มาระบายอารมณ์ใส่ลีโอที่แอบโล่งอกเมื่อเห็นเดรทิชเดินเข้าเมา

“ฝ่าบาทได้เวลาเสด็จแล้ว”

“แล้วแขกบ้านแขกเมืองของเราล่ะ”

“ทางสวาเนียร์ลอร์ดนิโคลเป็นคนรับรอง ส่วนมอนทาร์น่าท่านหญิงทาร์เทียน่าเป็นคนดูแล ตอนนี้แขกไปถึงลานพิธีแล้วฝ่าบาท”

“เราไปกันเถอะ”

จูเลียนเดินหน้าดุออกจากปราสาท ตรงไปยังม้าทรงตัวใหญ่สูงสง่าที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามสมพระเกียรติ ขบวนเสด็จเริ่มเคลื่อนที่ ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทียดูโดดเด่นเมื่อทรงม้านำขบวน ตามด้วยอัศวินประจำตัวอย่างเฮนริชและราเชลอยู่ในแถวที่สอง ส่วนแถวที่สามคือเลนนี่และเดรทิชรั้งท้ายด้วยลีโอและทหารรักษาพระองค์อีก 20 นาย จากนั้นก็เป็นกลุ่มของรัฐมนตรีและข้าราชบริพาร



พอพ้นประตูใหญ่หน้าปราสาทออกมาได้ จูเลียนก็ต้องตื่นตะลึงกับฝูงชนมากมายที่มารอต้อนรับ เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ และเรียกชื่อจูเลียนดังขึ้นตลอดทางพร้อมกับกลีบดอกไม้หลากสี ที่ถูกโปรยปรายลงมายังท้องถนนเมื่อขบวนเสด็จผ่าน สองข้างทางมีแต่รอยยิ้มจนจูเลียนเองยังอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ แต่คนเราใช่ว่าจะถูกรักเพียงอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ ด้วยว่าดำริที่มีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทำให้คนเกลียดยุวกษัตริย์ของอาณาจักรก็มีอยู่ไม่น้อย จูเลียนหันกลับไปมองเฮนริชกับราเชลที่ขี่ม้าตามหลัง แต่พอหันกลับมาก็มีบางสิ่งบางอย่างลอยแทรกกลีบดอกไม้มาปะทะที่หน้าอกตรง ๆ

ตุบ!

เศษขนมปังขึ้นราก้อนเท่ากำปั้นเด็กที่ตกลงบนพื้นอาจจะไม่มีใครทันได้สังเกตเห็น แต่มันไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาคมดุจเหยี่ยวของอัศวินทั้งสองที่คอยปกป้องไปได้ เฮนริชเร่งม้าขึ้นมาตีคู่จูเลียนขณะที่ราเชลกวาดตาไปรอบ ๆ มองหาที่มาของมัน

“ฝ่าบาท”

“แค่นี้ไม่เป็นไร เร่งขบวนให้เร็วกว่านี้” สั่งเพียงเท่านั้นจูเลียนก็เร่งมาทรงให้เร็วขึ้น เฮนริชส่งสัญญาณเร่งขบวนและตามประกบจูเลียนไม่ห่าง จนไม่นานก็ถึงลานประลอง

จูเลียนก้าวขึ้นไปยังที่ประทับยกขึ้นสูงจากลานประลอง ด้วยท่าทางที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี กษัตริย์หนุ่มน้อยจึงดูงามสง่าสมความสูงศักดิ์ จูเลียนทักทายแขกจากมอนทาร์น่าและสวาเนียร์ แล้วจึงหันกลับไปหาประชาชนที่โห่ร้องสรรเสริญจนเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่เพียงแค่กษัตริย์หนุ่มน้อยยกมือขึ้นทุกสรรพเสียงก็พร้อมใจกันเงียบลงทันที

“ประชาชนที่รักของข้า ข้ารู้ว่าทุกคนตั้งตารอที่จะให้ถึงวันนี้มาทั้งปี วันที่พวกเราจะได้ร่วมเฉลิมฉลองด้วยกัน ข้าหวังว่าพวกท่านทุกคนคงจะมีความสุขกับงานวันนี้ที่สุด และต่อไปนี้คือสิ่งที่ทุกคนตั้งตารอ การประลองบนหลังม้าที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า แต่ในโอกาสที่วันนี้เป็นวันเกิดของข้าด้วย คงไม่เหมาะนักหากจะมีคนตาย ดังนั้น ขอให้การประลองสิ้นสุดลงเมื่อรู้ผลแพ้ชนะก็พอ” จบการกล่าวยืดยาวของจูเลียนเสียงโห่ร้องของประชาชนก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง บ้างก็เห็นด้วย บ้างก็คัดค้าน เพราะประเพณีดั้งเดิมนั้น การประลองจะเป็นไปอย่างดุเดือดหมายเอาชีวิตเพื่อชัยชนะ การประลองจบสิ้นลงทันทีเมื่อสามารถใช้ทักษะในการต่อสู้ และทำให้คู่แข่งตกจากหลังม้าได้ นั่นทำให้ผู้เข้าแข่งขันมักจะเล็งที่จุดตายของคู่ต่อสู้ เพื่อหวังได้เปรียบคู่แข่ง คนที่เสียทีในการประลองจึงมักได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงตายก็เคยมีมาแล้วทุกปี ซึ่งนี่เองคือสิ่งที่จูเลียนไม่โปรดเอาเสียเลย เพราะคิดว่าแค่ประลองให้รู้ผลแพ้ชนะก็น่าจะพอ



จูเลียนยกมือขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณให้ประชาชนเงียบเสียงก่อนที่เขาจะกล่าวต่อ

“ท่านทั้งหลาย ใครจะได้รางวัล 10,000 เหรียญทองไปครอง เรามาเริ่มการประลองกันเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า” สิ้นเสียงประกาศของจูเลียนเสียงปรบมือโห่ร้องก็ดังกึกก้องขึ้นมาอีกรอบ แต่พอคู่ต่อสู้คู่แรกออกมา เสียงต่าง ๆ ก็เงียบลงทันทีอย่างพร้อมใจ เพื่อเป็นมารยาทที่ดีและจะได้ไม่เป็นการรบกวนสมาธิของผู้เข้าประลอง

สนามประลองด้านหน้าที่ประทับนั้นเป็นลานดินกว้าง ตรงกลางทำเป็นราวไม้สูงประมาณหน้าอกปักไว้เพื่อแบ่งสนามประลองออกเป็นสองฝั่ง สำหรับคู่ต่อสู้รอบละ 2 คนที่จะต้องอยู่คนละฝั่ง โดยจะใช้วิธีจับสลากแบ่งสายการต่อสู้ออกเป็น 2 สาย ซึ่งสลากแต่ละใบจะมีเลขบอกสายและลำดับที่ได้รับ และเลขลำดับนี้เองที่จะบอกลำดับในการเข้าประลองกับคู่ต่อสู้จากอีกสายที่จับได้ลำดับเดียวกันด้วย จนแข่งรอบแรกหมดได้ผู้ชนะมา รอบที่สองก็เริ่มสู้ใหม่โดยยังใช้ลำดับของนักสู้แต่ละคนที่จับได้ในครั้งแรกมาเรียงใหม่ จนเหลือคู่ต่อสู้สองคนสุดท้ายเพื่อชิงชนะเลิศ ซึ่งปีนี้มีผู้เข้าร่วมประลองทั้งหมด 50 คู่ และพอคู่ต่อสู้คู่แรกไสม้าเข้ามาในสนาม การพนันขันต่อของชาวเมืองและเจ้ามือก็เริ่มขึ้น



&&&&&&&&&&&&&&&&&



ยามสายของต้นฤดูหนาว แม้จะมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมา แต่อากาศก็เย็นสบายท่ามกลางแดดอ่อนๆ การประลองผ่านไปแล้วหลายคู่แต่ก็ยังไม่หมดรอบแรก จนต้องมีการพักครึ่งเวลา คนที่ได้นอนไปไม่เท่าไหร่เพราะมัวแต่เมาและทำกิจกรรมรอบดึกนึกเบื่อ จึงปลีกตัวจากการรับรองของเจ้าบ้านมาเดินเล่นเรียกความสดชื่นให้ตัวเอง

“ไม่คิดว่าจะได้เจอท่านแถวนี้นะ” แอนดีสชะงักเท้าเมื่อเดินผ่านกระโจมที่จัดเอาไว้สำหรับผู้เข้าร่วมประลอง แล้วได้ยินเสียงที่เขาไม่อยากได้ยินทักขึ้น เสียงของคนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปจำมันได้ตั้งแต่ตอนไหน อัศวินหนุ่มแสดงความเคารพเขาด้วยการค้อมศีรษะลงเพียงเล็กน้อย แต่สายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าหล่อเจ้าชู้ที่ยังเหลือเค้าของความอิดโรยอยู่เลย

“ข้าแค่มาเดินเล่น” แอนดีสเชิดหน้าตอบแล้วหันไปทางอื่น

“คุยกับข้าไม่คิดจะมองหน้ากันเลยหรือท่าน”

“ทำไมข้าต้องอยากมองหน้าเจ้าด้วยล่ะ เซอร์เลนนี่”

“นั่นสินะอภัยข้าด้วยก็แล้วกัน แต่ท่านน่าจะพักอยู่ในกระโจมรับรองนะลอร์ดแอนดีส” สายตาของอัศวินหนุ่มไม่ปิดบังความรู้สึก เมื่อกวาดมองวงหน้าที่มีเค้าของความอิดโรยเหลืออยู่ไม่น้อย อันที่จริงเลนนี่ไม่คิดว่าแอนดีสจะมีแรงลุกขึ้นจากเตียงมาร่วมงานได้ด้วยซ้ำ แต่ลอร์ดหนุ่มก็มาร่วมตั้งแต่เปิดงาน คิดว่าที่สั่งให้คนรับใช้ปลุกจะไม่ยอมตื่นเสียอีก

“นี่ข้าไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนมาไหนได้แล้วหรือไง” แอนดีสหันกลับมามองอัศวินหนุ่มที่ยังลอยหน้าลอยตาพูดกับเขา สายตาเจ้าชู้มองเลยไปยังชายร่างกายสูงใหญ่ในชุดเกราะเหล็กแวววาวที่ยืนอยู่ข้างหลัง และนั่นคงจะเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประลอง ลอร์ดแอนดีสมองผ่านเพราะเริ่มรู้สึกขุ่นมัวในใจ กับท่าทางและคำพูดของเลนนี่ ที่ทำเหมือนกับว่าเขาเป็นเจ้าชายน้อย ๆ ที่ไม่ควรเดินเพ่นพ่านออกไปไหนมาไหนเสียอย่างนั้น

“ถ้าท่านอยากเดินเล่นข้าจะว่าอะไรได้ล่ะ”

“ใช่เจ้าว่าอะไรข้าไม่ได้หรอก” สายตาอวดดีจ้องมองอัศวินหนุ่ม ที่ยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้าอยู่ตลอดเวลาจนแอนดีสนึกขัดใจ ไม่รู้ว่าจะอารมณ์ดีอะไรนักหนา เห็นหน้าเมื่อไหร่เป็นได้อมยิ้มอยู่ตลอด หรือว่าจะตั้งใจล้อเลียนเขาก็ไม่รู้

“แล้วนี่เจ้าไม่คิดจะเข้าร่วมประลองกับเขาหรือไง น่าจะลองดูนะถึงจูเลียนจะห้ามไม่ให้มีการตายเกิดขึ้น ข้าว่าเจ้าคงไม่รอดหรอก” เลนนี่ยิ้มขี้เล่นในแบบของเขาให้ลอร์ดหนุ่ม เมื่อเดินเข้ามาใกล้โดยที่แอนดีสเองก็ไม่ได้ถอยหนี จนร่างสูงสง่าที่สูงกว่าเพียงเล็กน้อยเดินเข้ามาอยู่ในระยะประชิด ทั้งสองสบตากันนิ่งอย่างไม่ยอมลดละ

“ข้าไม่มีสิทธิ์เข้าประลองสนามนี้หรอก แต่หากเป็นการประลองบนเตียงกับท่านข้าไม่พลาดแน่”

“เจ้า..” !

“เชิญกลับไปพักที่กระโจมรับรองเถอะลอร์ดแอนดีส ท่านดูเหนื่อย ๆ นะ”

“ข้าบอกแล้วไงว่าจะไปเดินเล่น”

“หรืออยากให้ข้าไปส่ง” แอนดีสไม่พอใจ ยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสนั่น ลอร์ดหนุ่มยิ่งขัดใจจนคันยุบยิบอยู่ในก้อนเนื้อกลางอก รอยยิ้มขี้เล่นมันดูเหมือนจะล้อเลียน แต่แววตาคู่นั้นก็ดูจริงจังเกินกว่าจะคิดว่าเจ้าตัวกำลังเยาะเย้ยเรื่องเมื่อคืน

“..” เมื่ออยู่ตรงนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นที่ขบขันของอัศวินหนุ่ม แอนดีสจึงทิ้งสายตาดุไว้ให้แล้วเดินจากไปอย่าหงุดหงิด เลนนี่ได้แต่มองตามคนที่เดินด้วยท่าทางไม่ค่อยปกตินั้นไป ด้วยสายตานิ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดขัดกับรอยยิ้มบนใบหน้าตัวเอง



“นี่เหรอลอร์ดแอนดีสแห่งมอนทาร์น่า”

“อืม”

“ท่าทาอวดดีไม่เลว”

“หึ ใช่ดีทีเดียว”

“เอ๊ะ ดีของข้ากับดีของเจ้านี่มันความหมายเดียวกันหรือเปล่าวะเลนนี่” ฮานส์วางมือหนัก ๆ ของเขาลงบนไหล่ของเลนนี่ ถามคำถามมีความนัยที่อัศวินหนุ่มเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้หันกลับมามองหน้าเพื่อนตัวเอง เพราะดวงตายังจับจ้องอยู่กับแผ่นหลังของลอร์ดหนุ่มที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ

เลนนี่ยักไหล่แล้วจึงตอบ “แล้วแต่เจ้าจะคิดสิ”

“แล้วจูเลียนของเจ้าล่ะเป็นยังไง” ฮานส์ชวนคุย

“กษัตริย์ไม่ได้เป็นของข้า พูดดี ๆ ถ้ายังไม่อยากให้หัวของเจ้าไปประดับอยู่บนกำแพง” หนุ่มพเนจรเพียงยกยิ้มและเบ้ปากออกน้อย ๆ เขายักไหล่เหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญเมื่อพูดถึงจูเลียน กษัตริย์ที่เขาไม่เคยเจอสักครั้ง นอกจากจะได้ยินข่าวลือและกิตติศัพท์ต่าง ๆ นานา พอได้ยินบ่อย ๆ ก็ทำให้สงสัยว่ามันอาจจะเป็นจริงหรือคนเขาถึงได้พูดกัน

“ข้าได้ข่าวมาว่าจูเลียนของเจ้านี่ยังเด็กอยู่ใช่ไหม”

“ใครก็รู้ทั้งนั้นแหละว่าจูเลียนอายุแค่ 19 “

“และบ้าอำนาจ”

“หืม?” เลนนี่ขมวดคิ้วมองหน้าฮานส์

“หรือไม่จริง”

“ได้ยินกลุ่มที่ต่อต้านกษัตริย์พูดมาสินะ”

“จริงหรือเปล่าล่ะ บ้าอำนาจเอาแต่ใจ ใช้เงินจากภาษีของประชาชนอย่างฟุ่มเฟือย แอบซ่อนชู้รักเอาไว้ในปราสาท ใครอยากก้าวหน้าในราชสำนักเร็ว ๆ แค่ขึ้นเตียงกับกษัตริย์ก็ได้เป็นใหญ่แล้ว”

“ฮานส์” ! มันมีบางส่วนถูกที่เลนนี่เองก็ยอมรับแต่ไม่ใช่ทั้งหมด และเขาไม่อยู่ในฐานะที่จะนำเรื่องของเจ้านายมาวิจารณ์ เพราะหน้าที่ของเขาคือปกป้องและรักษาเกียรติของจูเลียน อัศวินหนุ่มตะคอกเพื่อนเสียงดังใบหน้าเปลี่ยนเป็นดุดันราวกับคนละคน แต่ฮานส์กลับยิ่งยิ้มกริ่มพอใจที่สามารถทำให้เพื่อนรัก เผยตัวต้นที่แท้จริงภายใต้รอยยิ้มของหนุ่มขี้เล่นออกมาได้

“หึหึ เจ้าคงรักจูเลียนมากสินะเลนนี่ ข้าแค่ถามตามข่าวที่เขาลือกันมาจะโกรธข้าทำไมเนี่ย”

“อย่าพูดล่วงเกินจูเลียนแบบนั้นอีก”

“โวะ เจ้านี่ ข้าไม่เคยรู้จักกษัตริย์ของเจ้านะ ก็แค่ถามจากข่าวที่ได้ยินมา เจ้าถือเป็นคนใกล้ชิดไม่ใช่หรือไงน่าจะตอบได้”

“ถ้าอยากรู้เจ้าก็เข้ามาเป็นอัศวินฝึกหัดสิ ฝีมืออย่างเจ้าไม่นานก้าวหน้าแน่” ฮานส์รู้ว่ากำลังถูกเพื่อนท้าทายเหมือนหลายครั้งที่เลนนี่พยายามโน้มน้าวให้เขาละทิ้งการเดินทางร่อนเร่ พเนจร แต่การเป็นอัศวินสำหรับเขามันหมายถึงคำสาบานที่จะมอบชีวิตของตัวเองให้ผู้เป็นนาย และหมายถึงความอิสรเสรีที่ต้องเสียไป เพื่อผูกมัดตัวเองไว้กับใครบางคนชั่วชีวิต แต่คนอย่างฮานส์ไม่มีวันยอม ไม่เช่นนั้นก็คงเลือกเชื่อเพื่อนตั้งแต่ทีแรกแล้ว

“ในฐานะลูกชายคนโตพี่ของเจ้ามีหน้าที่สืบทอดตระกูล ดูแลเดอะเมาเทนนัสเฮ้าส์และประชาชนของเรา ดังนั้นหน้าที่ฝึกฝนฝีมือให้แข็งแกร่งเพื่อเป็นตัวแทนของตระกูลในการถวายตัวรับใช้กษัตริย์จึงเป็นของเจ้า”

“ทำไมเราต้องรับใช้กษัตริย์ด้วยล่ะท่านพ่อ ตระกูลของเราเป็นตระกูลเก่าแก่ เราไม่จำเป็นต้องขึ้นตรงต่อเขาก็ได้”

“มันเป็นคำสาบานที่บรรพบุรุษของเราทำเอาไว้ คำสัญญาที่ผูกมัดเรากับตระกูลออสติน ทุกสามรุ่นหนึ่งในทายาทชายของเราต้องเป็นอัศวินคู่บัลลังก์” !

“ข้าไม่ยอมเด็ดขาด”

“แต่มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องรักษาสัจจะ!”

“ไม่มีวัน ข้าไม่มีวันหาห่วงมาคล้องคออย่างเจ้าหรอกเลนนี่เลิกพูดเลย แค่คิดว่าต้องเดินตามหลังเด็กต้อย ๆ ข้าคงอยากตายวันละหลาย ๆ รอบ”

“เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้” เลนนี่ส่ายหน้าอย่างจำยอม แม้ทั้งสองจะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่จำความได้ ชื่นชอบการต่อสู้เหมือนกัน ฝึกฝนจนเก่งกาจและแข็งแกร่งมาด้วยกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือฮานส์ชอบที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี เลนนี่ถูกสอนให้ยึดมั่นต่อหน้าที่และเขาชอบที่จะได้รับการยอมรับในแบบที่เป็นทางการ เมื่ออายุถึงเกณฑ์ก็ถูกส่งตัวเข้ามาเป็นอัศวินฝึกหัดในเมืองหลวง แต่ถึงแม้จะมาจากตระกูลใหญ่เขาก็ต้องผ่านการฝึกฝนและทดสอบ จนในที่สุดได้เป็นอัศวินสมกับที่ได้ตั้งใจไว้

ต่อค่ะ ลงๆๆๆๆ เลื่อนลงๆ
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 7 งานประลองประจำปี 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 10-11-2018 20:00:50

“อภัยข้าด้วย” ฮานส์บอกพลางกระชับชุดเกราะที่ใส่อยู่ให้แน่นขึ้น เพราะคงใกล้หมดเวลาพักแล้ว แต่อยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาลอย ๆ แบบนี้เลนนี่จึงตามไม่ทัน

“เรื่องอะไร”

“ที่พูดไปไง ข้าแค่พูดตามที่ข่าวได้ยินมา แต่ได้ยินบ่อย ๆ ก็ชักจะเชื่อแล้วสิ”

“มีคนรักมันก็ย่อมต้องมีคนเกลียดเป็นเรื่องธรรมดานั่นแหละ”

“โดนเกลียดเยอะอยู่เหมือนกันนะข้าว่า”

“เจ้าพร้อมหรือยัง”

“ถึงยังไม่พร้อมก็ต้องไปไม่ใช่หรือไง”

“โชคดี หวังว่าป้อมของข้าคงได้ต้อนรับเจ้าในฐานะผู้ชนะการประลองประจำปีนี้” ฮานส์ยิ้มแบบที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่ามันจืดชืดมากแค่ไหน หากไม่เสียทีให้กับเลนนี่ในการท้าดวดวันนั้น เขาก็อยากเป็นเพียงแค่ชายพเนจรธรรมดาที่บังเอิญมาร่วมงานและเป็นผู้ชม ไม่ใช่หนึ่งในผู้เข้าร่วมประลองฝีมือ

หนุ่มพเนจรมองเพื่อนรักในชุดเกราะทองเหลืองของอัศวินหลวงเต็มยศที่เดินจากไป ด้วยดวงตาที่คาดเดาความรู้สึกไม่ถูก ความทรงจำเก่า ๆ ผุดเข้ามาในหัว แต่ก็ต้องรีบปัดมันทิ้งไปเมื่อถูกเรียกให้ไปเตรียมตัว

“รอบต่อไปเป็นคู่ของเจ้า ไปเตรียมตัวและเตรียมม้าของเจ้าได้แล้ว”



********************************



การประลองผ่านไปคู่แล้วคู่เล่าจนตอนนี้มาถึงคู่สุดท้ายเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง ริมฝีปากของอัศวินหนุ่มผู้ผลักดันให้เพื่อนเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประลองยกขึ้นยิ้มอย่างสมใจ เพราะคิดอยู่แล้วว่าฝีมือระดับโรฮานส์ วัลเดอราส หากได้เข้าร่วมต่อสู้ต้องไม่เป็นสองรองใครอย่างแน่นอน

“ดูเจ้าอารมณ์ดีนะ” เสียงกระซิบที่พอได้ยินกันเพียงสองคนดังมาจากเดรทิชที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ในขณะที่อัศวินหนุ่มทั้งสองยืนอยู่ข้างหลังจูเลียนบนที่ประทับยกสูงขึ้นจากสนามประลอง มีแขกบ้านแขกเมืองคนอื่น ๆ ที่นั่งชมอยู่ด้วยกัน ส่วนอัศวินอีกสองคนคือราเชลกับเฮนริช แยกกันอยู่ข้างที่ประทับอีกคนละจุด

“พอดีข้ากำลังจะได้เงินพนันก้อนใหญ่น่ะ”

“อย่างนี้นี่เองคงทุ่มหนักสิท่า”

“หึ แค่สนุกเล็ก ๆ น้อย ๆ ” เลนนี่ยิ้มออกมาขณะที่กระซิบกระซาบกัน ตาของอัศวินหนุ่มก็ลอบมองแขกบ้านแขกเมืองที่นั่งถัดทาร์เทียน่าไปไม่ไกลจากที่เขายืนอยู่มากนัก และดูเหมือนว่าคนที่ถูกลอบมองจะรู้สึกตัวเสียด้วย จึงหันกลับมาเจอเข้ากับสายตาขี้เล่นที่จับจ้องอยู่พอดี เลนนี่ค้อมศีรษะให้แอนดีสเล็กน้อย แต่อาจจะเป็นเพราะมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นมานั่นมันดูกวนใจเกินไป ลอร์ดหนุ่มจึงสะบัดหน้าหนีแทบจะทันที

“ดูท่าเจ้าจะเป็นที่สนใจของลอร์ดแห่งมอนทาร์น่านะ”

“เพ้อเจ้อหรือไง โน่นการประลองรอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”

กลางสนามประลอง คู่ต่อสู้รอบสุดท้ายซึ่งเป็นรอบชิงชนะเลิศไสม้าลงมาที่สนาม ยืนม้ากันอยู่คนละฝั่งในท่าเตรียมพร้อมเพื่อรอสัญญาณ สายบังเหียนและทวนในมืออีกข้างถูกกระชับแน่น นี่เป็นการประลองที่มุ่งเอาชนะกันอย่างจริงจังเพื่อเงินรางวัลสูงลิบ แม้กษัตริย์จะประกาศว่าห้ามมิให้มีการตายเกิดขึ้น แต่เรื่องสุดวิสัยไม่มีใครห้ามมันได้ เพราะรอบที่ผ่านมาแม้จะยังไม่มีใครตาย แต่ก็พากันได้รับได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย ส่วนรอบนี้เป็นรอบชิงชนะเลิศทั้งสองต่างก็ย่อมอยากเป็นผู้ชนะเพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรี พอกรรมการทิ้งธงลงเป็นสัญญาณให้เริ่มการโจมตีทั้งสองฝ่ายก็ควบม้าเข้าหากัน

ม้าของคู่ต่อสู้ทั้งสองถูกควบให้วิ่งเร็วเลียบราวกั้นมา ทวนถูกลดระดับลงให้ขนานกับพื้นเพื่อเล็งคู่ต่อสู้อย่างเตรียมพร้อม และเมื่อมาถึงจังหวะที่กำลังจะสวนกัน ในความรวดเร็วแทบดูไม่ทันนั้น ทวนของนักสู้ทั้งสองปะทะกันอย่างแรง และจากแรงปะทะทำให้ทวนอันหนึ่งแตกออกจนคนถือผงะเกือบหงาย แต่ก็ทรงตัวเอาไว้ได้ทันอย่างรวดเร็ว และพลิกกลับมาหวังจะรุกเพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่กลายเป็นว่าทวนที่แตกหักนั้นสั้นเกินไป ร่างของเขาจึงถูกทวนของอีกฝ่ายที่เหลือยาวกว่ากระแทกจนหงายตกจากหลังม้าไป

เสียงโห่ร้องของชาวเมืองดังกึกก้องขึ้นมาทันทีที่ได้ผู้ชนะการประลอง บางคนกระโดดโลดเต้น บางคนลุกขึ้นกระโดดตบไม้ตบมือดีใจเมื่อเห็นว่าฝ่ายที่ตัวเองลงพนันได้รับชัยชนะ ดีใจเพราะเงินเดิมพันที่ลงไว้ได้กลับมาเป็นเท่าตัว และท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีที่ดังกึกก้องอยู่นั้น ผู้ชนะไสม้าเดินเข้าไปอยู่ต่อหน้ากษัตริย์ที่ลุกขึ้นปรบมือให้อย่างสมเกียรติ ผู้ชนะก้มศีรษะให้จูเลียนเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ



“ท่านจะไม่ถอดหมวกให้ชาวเมืองได้เห็นใบหน้าของผู้ชนะสักหน่อยหรือไง”

“..” ผู้ชนะที่อยู่บนหลังม้ายังนิ่งเงียบไม่ตอบคำ จนกระทั่งจูเลียนถามขึ้นมาอีกนั่นแหละ คนในชุดเกราะเหล็กจึงเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ว่าตอนนี้เขาอยู่ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรออสเซนเทีย

“ว่ายังไงล่ะทำไมเงียบ ถอดหมวกของท่านออกให้ชาวเมืองได้เห็นโฉมหน้าผู้ชนะหน่อยสิ”

“อภัยด้วยฝ่าบาทแต่ข้าคิดว่ามันไม่จำเป็น”

“ถอดมันออก!”

“..”

“ข้าสั่งให้เจ้าถอดหมวกออก!”

“..” ท่ามกลางเสียงกู่ร้องของชาวเมืองที่ยังดังอยู่ไม่หยุด แต่บริเวณที่ประทับยกขึ้นสูงนั้นกลับเงียบเหมือนทุกอย่างหยุดชะงัก เมื่อจูเลียนสั่งให้ผู้ชนะถอดหมวกเหล็กที่ปิดบังใบหน้าออกแต่กลับถูกปฏิเสธ จูเลียนขัดใจจึงเผลอตะคอกสั่งเสียงดัง แต่นั่นก็ยังไม่สามารถกลบเสียงยินดีของชาวเมืองที่ยังร้องสรรเสริญก้องสนามประลองได้ การถูกขัดใจของจูเลียนจึงมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่บริเวณนั้นรู้เห็น



“หรือเจ้ากลัว”

“ทำไมข้าต้องกลัว”

“กว่าจะผ่านมาถึงรอบสุดท้ายจนได้เป็นผู้ชนะ เจ้าก็สร้างศัตรูไว้ไม่น้อยนี่” ริมฝีปากบางสีสดแย้มยิ้มเยาะออกมาอย่างเปิดเผย แต่คำตอบที่ได้รับก็ทำให้จูเลียนหุบยิ้มลงได้ทัน

“แล้วจะกลัวทำไมในเมื่อข้าชนะทุกคนมาแล้วก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือสิ”

“หึ จองหอง” เนตรสีเขียวมรกตมองผู้ชนะที่อยู่บนหลังม้าด้วยแววตาแข็งกร้าวอย่างไม่ชอบใจ จูเลียนสบสายตากับเจ้าของร่างผ่านช่องว่างของหมวกเกราะ ที่ซุกซ่อนดวงตาคมกริบสีดำมืดราวกับรัตติกาลในคืนไร้จันทร์ ที่ดวงดาวถูกบดบังด้วยม่านเมฆหนา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าพักตร์อ่อนเยาว์ถูกจ้องมองราวกับกำลังซึมซับเอาความตราตรึงไว้เป็นที่จดจำ!

ถุงเหรียญทองในมือถูกโยนไปให้ผู้ชนะที่รับมันเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ ชายบนหลังม้าค้อมศีรษะให้ยุวกษัตริย์เป็นการแสดงความเคารพ แล้วไสม้าออกจากตรงนั้นไป ทิ้งเอาไว้เพียงความขุ่นข้องในพระทัยของกษัตริย์หนุ่มน้อย ที่มองตามแผ่นหลังกว้างของคนจองหองที่พระองค์ตราหน้าให้อย่างขัดเคือง



 ปึง!

“เจ็บใจ” จูเลียนทุบกำปั้นลงที่โต๊ะอย่างแรงเพราะยังโกรธที่ถูกขัดใจ เป็นแค่ผู้ชนะการประลองแต่จูเลียนเป็นถึงกษัตริย์กล้าดียังไงถึงได้มาขัดคำสั่ง

“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป”

“เจ้าไปไหนมาลีโอ”

“เอ่อ ฝ่าบาทไม่พอใจที่หม่อมฉันหายไปหรือ”

“แล้วเจ้าไปไหนมาล่ะ”

“คือ ข้าแค่ไปคุยกับเซอร์เลนนี่มาฝ่าบาท แล้วก็ได้คุย...”

“ทีหลังอย่าให้ข้าต้องตามหาอีก”

“ลีโอทราบแล้วฝ่าบาท” ยังไม่ทันได้อวดว่าตัวเองได้คุยกับผู้ชนะการประลองด้วย ลีโอก็ถูกจูเลียนตัดบทเอาเสียก่อน คนสนิทน้อมรับเมื่อโดนดุ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้ทำไมจูเลียนต้องโกรธขนาดนี้ เพราะใช่ว่าลีโอจะไม่เคยหายไปอย่างนี้มาก่อน แล้วไหนจะยังหายไปแค่ไม่นานเอง ลีโอครุ่นคิดเพราะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าเหนือหัวกำลังโกรธคนที่ลีโอกำลังจะมาพูดอวดว่าได้คุยด้วยต่างหาก

“ฝ่าบาทจะทรงพักก่อนหรือไม่”

“พักสิข้าเหนื่อยจะแย่แล้ว อยากนอนแช่น้ำอุ่น ๆ “

“น้ำอุ่นรอฝ่าบาทพร้อมอยู่แล้ว เสด็จเถอะ” ได้ยินแบบนี้จูเลียนให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง หลังจากที่เหนื่อยกับการนั่งปั้นหน้ามาทั้งวัน การนอนแช่น้ำอุ่นช่วยให้ผ่อนคลายได้อยู่ไม่น้อย จูเลียนชอบเหมือน ๆ กับชาวออสเซนเทียส่วนใหญ่ที่ชื่นชอบการนอนแช่น้ำอุ่น ๆ เพราะอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี วัฒนธรรมการแช่น้ำอุ่นจึงเป็นที่นิยมมาก



“แต่ฝ่าบาทอย่าลืมงานเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับคืนนี้นะ” ลีโอท้วงขึ้นขณะเดินตามจูเลียนไปยังห้องสรงส่วนตัวภายในปราสาท

“ข้าไม่ลืมหรอกลีโอและหลังจากมื้อค่ำข้าจะออกไปเที่ยวข้างนอกสักหน่อย”

“ฝ่าบาท! “

“เจ้าไม่ต้องตกใจมากขนาดนี้หรอกน่าลีโอข้าแค่ออกไปเที่ยวงานฉลองเหมือนชาวเมืองคนอื่น ๆ นะ”

“แต่ข้าเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยสำหรับฝ่าบาท”

“ปลอดภัยสิ เพราะนอกจากเจ้าก็จะไม่มีใครรู้ ข้าจะปลอมตัวออกไป” คำว่าปลอมตัวออกไปยิ่งทำให้ลีโอหนักใจยิ่งกว่าเก่า เพราะมันหมายความว่านอกจากลีโอแล้วจูเลียนจะไม่มีอัศวินคอยตามอารักขา

เจ้าของแผนการยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายซุกซนที่ทำเอาลีโอคิดหนักใจขึ้นมาได้ทันทีเลยทีเดียว เพราะการแอบออกไปเที่ยวนอกวังนั้นมันหมายถึงจูเลียนกำลังพาตัวเองออกไปเสี่ยงกับอันตรายไม่มีผิด

“แต่ฝ่าบาทหม่อมฉันเกรงว่า...”

“ห้ามบอกใคร” จูเลียนสั่งเสียงเด็ดขาดทั้งที่รอยยิ้มสนุกยังประดับอยู่บนพักตร์นวลผ่อง เนตรเขียวมรกตที่ชวนหลงใหลหรือก็ทอประกายอย่างน่ามอง แต่เวลานี้ลีโอหนักใจเกินกว่าจะมาชื่นชมความงามตรงหน้า เจ้าเหนือหัวของลีโอคิดอะไรอยู่ถึงได้อยากออกไปเสี่ยงกับอันตรายอย่างนี้



**************************



เมื่อแรกก้าวเข้ามาภายในสิ่งที่สัมผัสเข้ากับประสาทรับรู้คือกลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่อบอวลไปทั่วห้อง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ในแสงสลัวนั้นยังพอเห็นได้ว่าที่นี่เป็นห้องกว้างมีหลังคาโค้งสูง ที่รองรับเอาไว้ด้วยเสาหินทรงกลม พื้นห้องปูด้วยหินอ่อนสีดำเงา ทำเป็นหลุมอ่างน้ำทรงสี่เหลี่ยมขนาดนอนแช่ได้สักสิบคนจำนวนสี่อ่าง เรียงไปตามความลึกของห้อง แบ่งกั้นพื้นที่ของอ่างน้ำแต่ละอ่างเอาไว้ด้วยการตกแต่งของม่านบังตาสีขาวเนื้อบางเบาและมวลดอกไม้เครือเถาให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เทียนหอมดวงเล็กติดเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ ให้พอมองเห็นเป็นแสงสลัว ผนังห้องตกแต่งด้วยลายสลักที่ดูอ่อนหวานสร้างบรรยากาศให้รู้สึกถึงความผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

ห้องอาบน้ำแร่ภายในพระราชวังแห่งนี้มีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ที่สามารถเข้ามาใช้ได้ แต่สำหรับผู้ที่กำลังก้าวเข้ามาถือว่าเป็นข้อยกเว้น ร่างสูงโปร่งภายใต้อาภรณ์หนาแต่ดูทะมัดทะแมง เดินลึกเข้าไปภายในจนถึงอ่างแช่น้ำอุ่นสุดท้ายที่อยู่ลึกสุด เพื่อหลีกหนีสายตาที่อาจจะมีใครเข้ามาใช้งานห้องนี้หรือผ่านมาเห็น อาภรณ์ที่สวมใส่ถูกปลดออกทีละชิ้นช้า ๆ จนในที่สุดร่างโปร่งที่ประดับไปด้วยกล้ามเนื้อเล็กน้อยแบบผู้ชายตัวบางก็เหลือแค่ความเปลือยเปล่า เปิดเผยผิวขาวราวน้ำนมให้ต้องแสงเทียนดูนวลตาจนน่าหลงใหล

ร่างสูงโปร่งดูระหงที่เปลือยเปล่าค่อย ๆ ก้าวลงบันไดที่พาลงไปในอ่างน้ำอุ่น ผิวน้ำแยกออกจากกันทันทีที่ปลายเท้าจุ่มลงไปท่ามกลางไออุ่นที่ลอยขึ้นมาบาง ๆ และระอยู่เหนือผิวน้ำ อุณหภูมิของน้ำภายในอ่างถูกจำกัดเอาไว้ได้อย่างพอดีสำหรับการนอนแช่เพื่อความผ่อนคลาย ความลึกในอ่างจะกินพื้นที่ลงไปในพื้นหินอ่อน เวลานั่งลงแช่ตัวน้ำจะอยู่ในระดับหน้าอกพอดี อ่างแต่ละอ่างบรรจุน้ำอุ่น ๆ ซึ่งเป็นน้ำแร่จากธรรมชาติที่ได้รับการผันเข้ามาใช้งานจากภายนอก และทำให้มีความร้อนในอุณหภูมิที่พอดีอยู่ตลอด ไอน้ำลอยระเหนือผิวน้ำเหมือนมือขาวๆ กำลังกวักเรียกให้ลงไปแช่ตัวเพื่อความผ่อนคลาย และเจ้าของร่างขาวราวน้ำนมก็ไม่รอช้า พอก้าวลงมาก็ทิ้งตัวปล่อยให้สายน้ำอุ่นจนเกือบร้อนโอบอุ้มร่างกายจนรู้สึกถึงความเบาไปทั้งตัว

ดวงตาที่หลับพริ้มนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหลุดเข้าสู่การพักผ่อนอย่างแท้จริง และคนที่จับตามองอยู่ตั้งแต่เจ้าของร่างขาวเดินเข้ามาถึงอ่างลึกสุดก็ยังจ้องมองอยู่เงียบ ๆ อยากทักให้คนมาใหม่รู้ตัวแต่ภาพความสวยงามของกายขาวผิวเนื้อเนียนละเอียดที่ปรากฏต่อสายตา เหมือนจะทำให้ปากของเขาทำงานบกพร่องไปชั่วขณะ จนกระทั่งเจ้าของร่างขาวราวน้ำนมลืมตาขึ้น และสายตาปรับเข้ากับความสลัวจนสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน บุรุษในเงามืออย่างเขาจึงได้เวลาเปิดเผยตัว

ต่อๆๆ ค่ะ ลงๆๆ เลื่อนลงๆๆ
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 7 งานประลองประจำปี 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 10-11-2018 20:02:57


“ท่าน” !

“สวัสดียามเย็นลอเรน”

“ลอร์ดนิโคล” !! ลอร์ดหนุ่มในเงาสลัวเพียงยิ้มบาง ๆ ให้กับความตกใจ ที่ดูเหมือนจะมากเกินไปของคนตรงหน้า ก็ที่นี่เป็นอ่างแช่น้ำรวมมันย่อมเป็นไปได้ว่าต้องมีใครเข้ามาใช้งานเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องตกใจจนตาโตเสียขนาดนี้ “ท่านเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก่อนหน้าเจ้าไม่นานหรอก”

“แต่ทำไม..” คนที่คิดว่าจะเข้ามานานแช่น้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายเงียบ ๆ คนเดียวหยุดคำพูดเอาไว้เพียงเท่านั้น แล้วนึกตำหนิตัวเองในใจที่ไม่ตรวจดูให้ดี ๆ ก่อน เพราะเป็นห้องรวมที่ถึงแม้จะมีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถเข้ามาใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครมาใช้เลย โดยเฉพาะคนที่ลอเรนไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดในตอนนี้ คนที่กระซิบบอกเขาเมื่อบ่ายถึงห้องแช่น้ำแร่แห่งนี้

“เจ้าดูเหนื่อยนะ ปีกตะวันตกของปราสาทรับรองจะมีทางเชื่อมต่อไปยังห้องอาบน้ำที่นั่นมีน้ำแร่อุ่น ๆ ให้นอนแช่ได้สบาย”

ลอเรนคิดตำหนิตัวเองที่พอได้ยินอย่างนั้นก็รีบปลีกตัวมาที่นี่ทันทีที่ทำได้ โดยไม่คิดเอะใจอะไรเลยว่าคนที่กระซิบบอกก็อาจจะมาดักรออยู่ที่นี่แล้วเหมือนกัน แต่ทำไมต้องมาดักรอ หรืออาจจะแค่บังเอิญ หรือนิโคลต้องการให้เขามาเจอกันที่นี่จริง ๆ แล้วจะต้องการให้มาเจอทำไม แต่ถ้าไม่ได้ต้องการให้มาจะบอกให้รู้ทำไม แล้วรู้ได้อย่างไรว่าลอเรนชอบนอนแช่น้ำอุ่น ยิ่งคิดลอร์ดหนุ่มแห่งสวาเนียร์ก็ยิ่งสับสน ยิ่งคิดก็ยิ่งหาข้อสรุปการกระทำของอีกคนไม่ได้ คิดเท่าไหร่ก็ไม่มีคำตอบเลยได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองแน่น แล้วสะบัดหน้าเหมือนจะให้การกระทำนี้ไล่ความฟุ้งซ่านออกไปจากหัว

“เจ้าไปเป็นอะไรไปลอเรน”

“ท่าน” !! ลอเรนผงะเพราะไม่รู้เลยว่านิโคลขยับเข้ามาประชิดจนใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน การเคลื่อนไหวของอีกคนมันเงียบเหลือเกิน ทั้งที่อย่างน้อยน่าจะได้ยินเสียงน้ำกระเพื่อมบ้าง

“เจ้าเป็นอะไรทำไมกัดปากตัวเองเสียแน่นอย่างนี้เดี๋ยวก็เจ็บแย่หรอก” ไม่พูดเปล่ามือใหญ่เปียก ๆ ยังยกขึ้นมาลูบไล้เบา ๆ ที่ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดของลอเรนเหมือนมันจะช่วยให้คลายออก แต่นอกจากปากของลอเรนจะไม่คลายออกจากกันแล้วยังเม้มเข้าหากันแน่นยิ่งกว่าเก่า “บอกว่าอย่ากัดปากตัวเองไง แบบนี้เจ้าจะเจ็บจริง ๆ แล้วนะ”

“ช่างปากข้าเถอะ ท่านถอยออกไปอีกหน่อยได้ไหมเล่า” ลอเรนเงยหน้ามองใบหน้าคมคายที่อยู่ใกล้เหลือเกิน เจ้าของร่างขาวอยากจะถอยแต่ดูเหมือนว่าเขาได้ปิดทางตัวเองตั้งแต่แรกที่ลงมานอนชิดขอบอ่างแล้ว จึงได้แต่ร้องขอให้อีกคนถอยออกก่อนที่เจ้าตัวจะแสดงความประหม่าออกมาให้เห็นมากกว่านี้ เท่านี้ลอเรนก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว

“เจ้ากลัวข้าหรือลอเรน”

“ทำไมข้าต้องกลัวทาน”

“หึ”

“ท่าน” !! ปฏิเสธเสียงแผ่วและไม่ได้มองหน้า คนที่อยากแกล้งเลยนึกสนุกเกี่ยวเอวบางรั้งเข้าหาตัวจนลอเรนร้องเสียงหลงเพราะตกใจ ไม่คิดว่าลอร์ดสูงศักดิ์อย่างนิโคลจะจู่โจมจาบจ้วงแบบนี้กับตัวเอง “ปล่อยข้า ทำแบบนี้ทำไม”

“แล้วทำไมไม่มองหน้าข้าตรง ๆ ล่ะหรือว่าข้ามันขี้เหร่จนเจ้าทนมองไม่ได้”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ท่านปล่อยข้าก่อนเถอะ อ๊ะท่าน!” ท่ามกลางไอน้ำที่ลอยคลุ้งระใบหน้าของทั้งสองที่อยู่ห่างกันไม่มาก แต่ร่างกายช่วงล่างที่อยู่ใต้น้ำกลับกำลังอยู่ในสภาวะล่อแหลม เพราะร่างเพรียวที่ถูกเกี่ยวเข้าที่เอวบาง ถูกนิโคลรั้งเข้าหาตัวอย่างแรงและเร็วจนลอเรนแทบถลาเข้าปะทะอกแกร่ง ดีที่เอาฝ่ามือทั้งสองข้างดันไว้ได้ทัน แต่ข้างล่างนั่นกลับต้องนั่งทับลงที่ตักของลอร์ดแห่งออสเซนเทียอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เจ้าเป็นอะไรไปลอเรน” นิโคลทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้และเอียงคอถามเหมือนห่วงใยจริง ๆ จนลอเรนทำตัวไม่ถูก

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรปล่อยข้านะ”

“อยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”

“..” ดีสำหรับท่านแต่ไม่ได้ดีสำหรับข้าเลยสักนิด ลอเรนได้แต่ประท้วงในใจกับคนที่พูดเองเออเอง สองมือยังดันอยู่บนอกกว้างเพราะดูเหมือนว่าอ้อมแขนแข็งแรงของนิโคล จะไม่คลายแรงบังคับให้เข้าแนบชิดลงเลย



“เจ้าพอใจกับการต้อนรับของเราหรือไม่ลอเรน” อยู่ดี ๆ นิโคลก็เปลี่ยนเรื่องคุยหน้าตาเฉย

“ออสเซนเทียต้อนรับเราได้อย่างอบอุ่นถือเป็นเกียรติของสวาเนียร์มาก แต่ท่านปล่อยข้าสักทีเถอะ”

“ที่สวาเนียร์เวลาคุยกันเขาไม่มองหน้ากันหรือไง” ดวงตาสีฟ้าสุกใสที่มีประกายหวานซ่อนอยู่ เหลือบขึ้นมองใบหน้าคมคายของลอร์ดหนุ่มแห่งออสเซนเทีย วันแรกที่ได้เห็นพักตร์คมคายชวนหลงใหลก็เล่นเอาลมหายใจของลอเรนสะดุด ตอนนี้ได้มาอยู่ในระยะใกล้ขนาดนี้ จะให้ลอเรนวางตัวอย่างไรถึงจะไม่แสดงอะไรขายหน้าออกมา

“อภัยข้าด้วยเถอะลอร์ดนิโคลัส แต่ที่ออสเซนเทียเวลาคุยกันต้องบังคับให้คู่สนทนาแนบชิดกันขนาดนี้หรือไง” คำยอกย้อนเรียกรอยยิ้มของนิโคลขึ้นมาได้ทันที และดูเหมือนว่าอ้อมแขนที่กอดแน่นจะคลายตัวลงบ้าง เมื่อลอเรนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังคล้ายตำหนิ

“หึ เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วลอเรน”

“คงน้อยกว่าท่านไม่กี่ปีหรอก”

“นั่นสินะ แล้วตอนนี้เจ้ามีสนมกี่คน” เป็นเรื่องปกติที่บุรุษสูงศักดิ์จะมีสนมนางในบ้างแต่มันควรถามกันตรง ๆ แบบนี้หรืออย่างไร หรือนี่อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาของชาวออสเซนเทีย แต่สำหรับชาวสวาเนียร์อย่างลอเรนถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการถามเจ้าชายลอเรนแห่งสวาเนียร์ผู้ไม่มีสนมสักคน ไม่ว่าจะเป็นสนมหญิงหรือสนมชาย แม้กระทั่ง....

“ทำไมเงียบล่ะ”

“ท่านไม่ควรถามข้าแบบนี้นะ”

นิโคลเลิกคิ้วขึ้นเหมือนกับไม่เชื่อว่าลอร์ดหนุ่มตรงหน้าจะกล้าตำหนิออกมาตรง ๆ แต่รอยยิ้มขี้เล่นก็ยังประดับใบหน้าเจ้าชายแห่งออสเซนเทียอยู่เหมือนเดิม “หรือว่าเจ้าไม่มี”

“มีแต่ก็คงไม่มากไปกว่าท่านหรอก” ตอบแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นแบบนี้ แก้มขาวนวลราวน้ำนมขึ้นสีแดงเรื่ออย่างนี้ แล้วไหนจะริมฝีปากที่สั่นระริกนี่อีก ที่มันทำให้นิโคลเดาได้ไม่ยากเลย ว่าเจ้าชายหน้าสวยแห่งสวาเนียร์มีสนมมากหรือน้อยกว่าเขา เพราะคำตอบที่นิโคลเดาถูกคือลอเรนไม่มีสนมเลยสักคนเดียว

“ท่านยิ้มทำไม”

“เจ้าเขินข้าอยู่หรือไง”

“ทำไมข้าต้องเขิน”

“นั่นสิ” คำตอบของนิโคลเป็นไปอย่างที่ลอเรนอยากให้เป็นคือคล้อยตามแม้ว่าความจริงจะขัดเขิน แต่การกวาดสายตามองไปทั่ววงหน้าขาวราวน้ำนมที่พวงปรางซับสีแดงจนสุกปลั่ง แล้วมาหยุดลงที่ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดนี่ต่างหาก ที่ทำให้เจ้าของปากไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อนเอ่ยคำประท้วง

ลอเรนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเมื่อใบหน้าคมคายค่อย ๆ โน้มเข้ามาหา จมูกโด่งแตะสัมผัสกันจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นของลมหายใจ และในที่สุดนิโคลก็แตะริมฝีปากเย็นชืดลงที่กลีบปากสีแดงสดของลอเรนอย่าง่ายดาย

เจ้าชายแห่งสวาเนียร์สัมผัสได้ถึงการแตะเม้มที่กดลงเพียงเบา ๆ แล้วถอยออก แต่ก็เพียงเล็กน้อยเพราะเมื่อนิโคลเห็นว่ามือที่ดันหน้าอกแกร่งของเขาอยู่ไม่ได้ผลักไสให้ห่าง ก็ประทับจูบหนัก ๆ ลงอย่างที่ใจต้องการ

ริมฝีปากเย็นชืดที่เผยออกทักทายกลีบปากบาง กลับให้สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ภายใน เมื่อนิโคลเผยออ้าออกเพื่อใช้ริมฝีปากครอบคลอเคลียเสมือนเชิญชวนให้ลอเรนตอบรับสัมผัสที่กำลังเรียกร้อง และคนไม่มีสนมอย่างลอเรนก็เผลอใจจนได้ เมื่อความอุ่นจนเกือบร้อนของริมฝีปากที่ครอบลงกลีบปากตัวเอง มาพร้อมกับลิ้นที่ตวัดเพื่อสอดแทรกผ่านกลีบปากอิ่มเข้าสู่ความหวานละมุนภายใน

ลอเรนเผลอรับสัมผัสนั้นราวกับเต็มใจ ยิ่งเรียวลิ้นที่มาพร้อมความหวานล้ำ และความรู้สึกซาบซ่านอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนจากการถูกสัมผัสเช่นนี้ ยิ่งทำให้เหมือนกับหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง โลกที่ลอเรนไม่เคยได้สัมผัส และก่อนที่ทุกอย่างจะเกินเลยถลำตัวไปมากกว่านี้ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ต้องหยุดมัน

มือที่ทาบอยู่กับอกกว้างออกแรงดันร่างหนากว่าออกห่าง ริมฝีปากจึงเป็นอิสระเพราะอีกคนก็ยอมปล่อยแต่โดยดี

“ท่าน”

“เจ้าชอบจูบของข้าหรือไม่ลอเรน”

“ข้า..เอ่อ”

“นี่เป็นจูบแรกของเจ้า” ลอเรนตาโตไม่คิดว่านิโคลจะรู้ และยิ่งอีกคนบอกออกมาตรง ๆ แบบนี้มันยิ่งยากที่ลอเรนจะกล้าสบตา อยู่มาจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยจูบกับใครขายหน้าชะมัด “เจ้าไม่เคยจูบกับใครมาก่อน ไม่มีแม้กระทั่งสนมทั้งหญิงหรือชาย”

“แล้วมันจะแปลกตรงไหนล่ะในเมื่อข้าไม่ต้องการ”

“แล้วทำไมถึงยอมให้ข้าจูบล่ะ”

“ท่าน..”

“แต่ดีแล้วล่ะ”

“อะไรดี ท่านหมายความว่ายังไง”

“ดีแล้วที่เจ้าไม่มีสนม และดีที่สุดที่ข้าได้เป็นจูบแรกของเจ้า”

“แต่ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมสำหรับข้าเท่าไหร่นะ” นิโคลยิ้มอย่างรู้เท่าทันความคิด

“อภัยด้วย หากรู้มาก่อนว่าข้าจะต้องแลกจูบแรกกับเจ้า สาบานว่าข้าจะไม่จูบกับใครเลย แต่เจ้าต้องเข้าใจข้านะลอเรนว่านั่นมันนานมาแล้ว นานมากจนข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเสียจูบแรกให้ใคร”

“เพราะท่านมันมักมากต่างหากลอร์ดนิโคล แล้วจูบแรกของข้าที่ท่านได้ไปมันก็ไม่มีความหมายอะไร”

“มีสิสำหรับข้ามันมีค่ามาก”

“ท่าน...”

“หืม..?”

“ข้า..” ลอเรนกัดปากตัวเองอีกแล้วเพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกปั่นป่วนในใจอย่างไรดี “ข้าขอตัว” นิโคลยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและไม่ได้รั้งไว้ เมื่อร่างสูงโปร่งผิวขาวราวน้ำนมทำท่าจะลุกขึ้น แต่จนแล้วจนรอดลอเรนก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นเต็มความสูงของตัวเองสักที

“เปลี่ยนใจจะนอนแช่น้ำต่อหรือไง”

“ไม่ แต่..ท่านช่วยหันไปทางอื่นก่อนได้หรือไม่ลอร์ดนิโคล”

“ทำไมล่ะ”

“คือ..”

“เจ้าอายอย่างนั้นหรือ”

“ก็..”

“หึ เอาสิข้าหลับตาก็ได้ถ้าเจ้าอายทั้งที่ตอนเดินลงมาข้าก็เห็นหมดแล้ว”

“ท่าน!! ..” ลอเรนยอมรับว่าอายมากเพราะนิโคลเอาแต่มองด้วยสายตาที่ดูหยอกเย้าอยู่อย่างนั้น จนต้องเอ่ยปากขอออกมาเอง และพอเห็นว่านิโคลหลับตาลงแล้วเจ้าชายแห่งสวาเนียร์ก็รีบลุกขึ้นจากอ่างน้ำไปใส่เสื้อผ้าที่ทั้งที่ตัวยังเปียก นิโคลอยากบอกให้เช็ดตัวให้สะอาดก่อน แต่ก็กลัวว่าลอเรนจะรู้ว่าเขาแอบดูร่างโปร่งระหงจึงได้แต่เงียบ หวังว่าเมื่อถึงห้องพักรับรองอีกคนจะรีบเปลี่ยนชุดใหม่ให้อุ่น ๆ หาไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะไม่สบายเอาได้



**************************



ทางเดินเล็ก ๆ ภายในสวนของปราสาทอันกว้างใหญ่ เป็นทางที่เลือกใช้ในการหลบหลีกจากสายตาของเหล่าอัศวิน และทหารยามที่เดินตรวจ เพื่อพากันออกไปยังนอกวังโดยที่ไม่โดนจับได้เสียก่อน ตอนนี้เด็กหนุ่มซุกซนสองคนกำลังอาศัยความมืดและความชำนาญ ในการหลบออกไปโดยคิดว่าไม่มีใครเห็น เมื่อต้องหลบในพุ่มไม้หนาตอนทหารยามเดินผ่าน ชายเสื้อคลุมของจูเลียนถูกกระตุกเบา ๆ เมื่อเจ้าตัวหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าลีโอกับสีหน้าของคนที่กำลังไม่สบายใจจ้องมองอยู่

“ข้าว่าเรากลับไปที่ปราสาทเถอะฝ่าบาท”

“เจ้าจะกลัวอะไรลีโอ มาถึงขนาดนี้แล้ว”

“ข้ากลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทต่างหาก”

“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ดูสิเราปลอมตัวแล้วนะ ไม่มีใครจำข้าได้หรอกตามมาเร็ว” พอพูดจบจูเลียนก็เร่งฝีเท้าออกจากที่ซ่อนมีร่างเล็ก ๆ ของลีโอวิ่งตามอย่างทุลักทุเล เพราะชุดคลุมที่หนาหนักในการปลอมตัวให้ดูเหมือนชาวเมืองทั่วไป ที่มักจะสวมใส่เสื้อผ้าทับหลายชั้นเพื่อความอบอุ่น

สองสหายเดินลัดเลาะไม่นานก็มาถึงประตูด้านหลังของสวน จูเลียนอาศัยตอนที่ทหารยามเผลอดึงมือลีโอวิ่งไปภายใต้เงามืดจนเล็ดลอดออกไปได้อย่างหวุดหวิด วิ่งมายืนอยู่ท่ามกลางความมืดในตรอกของชุมชนแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง จูเลียนจึงได้โล่งใจ ลีโอนั้นโล่งจนต้องถอนหายใจออกมา

“เฮ้อออ”

“ไปกันเถอะความสนุกรอเราอยู่”



*****************************************

พระนายเจอกันสักที ตอนนี้คงพอรู้แล้วเนอะว่าใครคู่ใครบ้าง แต่!! ยังมีอีกคู่ หรือหลายคู่ เอ๊ะยังไง มี 3P มั้ย..? 555

อยากบอกว่าเหงาๆ ไม่มีคนคุยด้วย หรือนิยายมันน่าเบื่อบอกกันบ้างสิ จะได้เลิกเขียน ฮือออออออ

ดาว ณ แดนดิน (คนเดิม)
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 8 ลีโอกับยอดอัศวิน 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 12-11-2018 19:49:55


เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 8 ลีโอกับยอดอัศวิน.

“ไปกันเถอะความสนุกรอเราอยู่”

“เดี๋ยวสิฝ่าบาทรอลีโอด้วย”

“เจ้าจะมาเรียกข้าแบบนี้ไม่ได้นะลีโอ เดี๋ยวคนก็รู้กันหมดหรอกว่าเราเป็นใคร” ลีโอหน้าเสียเพราะไม่ให้เรียกอย่างนี้ เด็กน้อยก็ไม่รู้จะเรียกกันว่าอย่างไร แต่ยังไม่ทันได้ปรึกษาว่าความอะไรจูเลียนก็เดินนำออกไปก่อนแล้ว

ในตรอกมืดแห่งนี้เป็นย่านชุมชน ที่บ้านเรือนถูกสร้างเป็นตึกขึ้นมาจากหินปูนเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ที่มีตั้งแต่สองชั้นสูงสุดสามชั้นเรียงสลับลดหลั่นกันไป แต่ตอนนี้มันเงียบสงบเพราะผู้คนต่างออกไปที่ถนนใหญ่ศูนย์กลางของงาน จูเลียนเดินนำลีโอด้วยหัวใจลิงโลดที่ลอยไปถึงงานเฉลิมฉลองที่รออยู่ข้างหน้า จุดหมายปลายทางคือแสงสว่างจากคบไฟและโคมไฟรูปร่างต่างๆ ที่เห็นลิบๆ อยู่หน้าตรอก ซึ่งเป็นถนนใหญ่กลางเมืองอันเป็นที่ชุมนุม

เมื่อลับตาสองสหายที่ลักลอบออกจากวังมาแล้ว ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมปิดตั้งแต่ศีรษะจนถึงข้อเท้าที่ตามมาจึงได้ปรากฏตัวขึ้นเพื่อคอยอารักขาอยู่ห่างๆ

“ท่านพี่รอข้าด้วยสิ เดินเร็วอย่างนี้เดี๋ยวก็หลงกันหรอก”

“หืม เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”

“กะ ก็ท่านพี่ไง ท่านไม่ให้ข้าเรียกฝ่..อุบ” จูเลียนเอามือปิดปากลีโอแทบไม่ทัน หนุ่มน้อยในชุดชาวบ้านดูธรรมดากวาดตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจจึงยอมปล่อยมือที่ปิดปากลีโอออก

“ใช่ๆ ดีแล้วน้องชายตอนนี้เจ้ากับพี่กำลังจะไปเที่ยวสนุกด้วยกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะพี่ชาย” เพราะผู้คนมากหน้าหลายที่เดินเบียดเสียดจนกลัวว่าจะหลงไปคนละทิศ จูเลียนจึงจับมือลีโอแล้วพากันเดินดูงานด้วยความตื่นตาตื่นใจ

ภายในงานส่วนมากก็เหมือนกับช่วงกลางวันที่มีข้าวของต่าง ๆ มากมายวางขาย รวมไปถึงการแสดงหลายอย่างทั้งกายกรรม การแสดงความสามารถด้านต่างๆ ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ไม่น้อย รวมไปถึงการแสดงละคร ซึ่งการแสดงเหล่านี้จะได้รับค่าตอบแทนเป็นเหรียญเงิน หรือเหรียญทองที่ผู้ชมโยนลงในโถใบใหญ่ ที่ตั้งเอาไว้ด้านหน้า ยิ่งสร้างความพอใจให้ผู้ชมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะได้เหรียญเป็นรางวัลเยอะ จูเลียนหยุดดูการแสดงละครที่เขาชื่นชอบอยู่เป็นนาน จนกระทั่งลีโอชี้ให้ดูการแสดงโคมไฟที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจกว่า เพราะจูเลียนไม่เคยเห็นมาก่อน สองสหายจึงผละออกจากหน้าเวทีละครตามแสงจากโคมไฟไป จากนั้นก็เดินดูส่วนต่าง ๆ ภายในงานกันเสียเพลิน

“พี่หยุดทำไม” ลีโอมองหน้าจูเลียนที่จูงมือกันฝ่าฝูงชนเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่ง แล้วมองเข้าไปอย่างสนใจ แต่พอลีโอมองตามและเห็นว่าเป็นร้านอะไรก็ต้องรีบท้วงทันที “อย่าบอกนะว่าพี่สนใจร้านนี้”

“มันน่าสนออกไม่ใช่หรือไง เราเข้าไปกันเถอะ”

“แต่ฝ่า..แต่มันไม่เหมาะกับท่านพี่นะอย่าไปเลย เซอร์เลนนี่เล่าให้ข้าฟังว่ามันมีแต่พวกขี้เมากับโสเภณี”

“นี่แหละร้านของลูกผู้ชาย เจ้าไม่คิดอยากจะลองอะไรใหม่ ๆ ดูบ้างหรือไง ข้าเบื่อรสชาติไวน์ในปราสาทเต็มทีแล้วนะ”

“โธ่ท่านพี่ น้องขอร้องเถอะ”

“มาเถอะน่าสนุกออก” ลีโอถูกดึงเข้าไปในร้านอย่างไม่เต็มใจ และก็เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด เพราะภายในร้านเต็มไปด้วยผู้คนที่ดื่มกินเมามาย และโสเภณีที่กำลังบริการให้ความสำราญแก่ลูกค้า บ้างก็ทำงานกันตรงนั้นเลยอย่างหน้าไม่อาย จูเลียนมองผ่านความวุ่นวายตรงหน้า เพราะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของร้านเหล้าที่ต้องมีเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว จูงมือน้องน้อยเดินเข้าไปในร้านจนได้ที่นั่งมุมเงียบที่ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่าน พอนั่งลงกันแล้วก็ไม่พลาดที่จะสั่งเครื่องดื่มรสแรงกว่าที่เคยมาดื่มกัน

“พี่จะดื่มเบียร์เชียวหรือ”

“ข้าดื่มไม่ได้หรือไงล่ะ”

“ข้าได้ยินมาว่ารสมันแรงกว่าไวน์เสียอีกนะท่านพี่”

“นั่นแหละที่ข้าอยากลอง” รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ขาวนวล ในแบบที่ทำให้ลีโอหนักใจครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งจูเลียนจะดื่มเครื่องดื่มที่รสร้อนแรงกว่าที่เคยดื่มคุ้นลิ้น ลีโอยิ่งกังวล เพราะไวน์ที่ดื่มปกติก็เป็นเพียงน้ำองุ่นที่หมักพอให้ได้รสนุ่มกลมกล่อมและมีกลิ่นหอม ระยะเวลาในการหมักบ่มก็ยังไม่นานพอที่จะทำให้เกิดดีกรีที่ร้อนแรงทำให้มึนเมา เพื่อนำมาเป็นเครื่องดื่มประจำวัน ที่แม้จะดื่มมากแค่ไหนก็แค่มึนๆ ไม่ถึงกับทำให้เมาได้ แต่เครื่องดื่มที่จูเลียนเล็งเอาไว้ตอนนี้มันแตกต่างกันมาก

“ลองชิมดูสิกำลังอุ่นได้ที่จะได้คลายหนาว ข้างนอกนั่นยิ่งดึกยิ่งหนาว” จูเลียนบอกเมื่อเหยือกดินเผาสองใบใหญ่ถูกนำมาวางตรงหน้า ในเหยือกบรรจุเบียร์อุ่นๆ ไว้เต็มจนฟองของมันล้นหกลงบนโต๊ะ

“ข้าไม่..”

“ไม่เอาน่าลีโอ มาด้วยกันก็ต้องลองด้วยกันสิ” ดวงเนตรสีเขียวมรกตฉายแววความสนุกและความสุขในแบบที่ลีโอไม่เคยเห็นมาก่อน มันปนมาด้วยความตื่นเต้นระคนอยากรู้อยากเห็น และอยากลองในสิ่งใหม่แบบที่คนอย่างจูเลียนไม่เคยได้ทำมาก่อน ทำให้เด็กน้อยในสายตาของเหล่าอัศวินจำต้องยกเหยือกเบียร์ชูขึ้นตรงหน้า ตามเจ้านายที่ยกขึ้นมารอท่าแล้ว เมื่อผิวของเหยือกดินเผาทั้งสองกระทบกันทำให้เกิดเสียงดังจนกลัวว่าเหยือกมันจะแตกแต่ก็ไม่ เพราะมันถูกยกขึ้นมาจ่อที่ปาก และแล้วสหายทั้งสองก็กรอกเครื่องดื่มรสหนักที่ไม่เคยลองลงคอพร้อมกัน

“แหวะยี้..” ลีโอนิ่วหน้าจนบิดเบี้ยวเหยเกหลังจากกลืนเบียร์ลงไปอึกใหญ่ ส่วนใบหน้าของจูเลียนเองก็ไม่ต่างกันมากนักเพียงแต่ว่ากษัตริย์หนุ่มน้อยไม่แหวะออกมาเหมือนที่ลีโอทำ

“อ่าส์..แรงเฝื่อนบาดคอกว่าไวน์ทีเดียว กลิ่นใช้ได้แต่รสชาติ...” จูเลียนดูดปากตัวเองค้างเอาไว้อย่างนั้นขณะที่กำลังคิดหาคำจำกัดความให้รสชาติใหม่ที่เพิ่งได้ลิ้มลอง

“รสชาติไม่ไหวเลย”

“รสชาติต้องลองให้คุ้นลิ้นต่างหากล่ะ”

“ข้าว่าพอเถอะท่านพี่ไม่เห็นจะอร่อยเลย”

“ไม่อร่อยนะสิ ลิ้นของเจ้ายังไม่คุ้นกับมันนี่นา ต้องดื่มอีก ดื่มสิเร็ว”

“แค่นี้ข้าก็จะเมาแล้ว”

“นั่นแหละยิ่งต้องดื่มให้คุ้นเคยลิ้น”

“ไม่เอาข้าไม่ดื่ม”

“ดื่มเถอะน่า” จูเลียนเซ้าซี้ให้ลีโอดื่มเป็นเพื่อนกัน ขณะที่ตัวเองก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่ราวกับคนกระหายน้ำ ยิ่งดื่มลิ้นก็ยิ่งเริ่มคุ้นชินเลยรับเอารสชาติใหม่ที่แสนกลมกล่อมเข้าอย่างพอใจ จูเลียนชอบจึงมีเหยือกที่สองตามมา

“ข้าว่าเราไปดูอย่างอื่นต่อบ้างเถอะ”

“ก็ได้ แต่เจ้าต้องดื่มนี่ให้หมดก่อน” แม้จะลำบากใจแต่ลีโออยากออกไปจากที่นี่มากกว่า เมื่อจูเลียนเสนอให้ดื่มจึงไม่รอช้ายกเบียร์ขึ้นกรอกปากจนหมดทั้งเหยือก เบียร์บางส่วนล้นปากเล็กไหลเปื้อนลงมาตามคางเป็นทางจนเปียกชุดที่สวมใส่

“ไปกันเถอะ” ทั้งสองลุกจากที่นั่งแต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปถึงไหนข้อมือของจูเลียนก็ถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน

“ดื่มแล้วก็ควรจะหาความสุขให้ร่างกายด้วยนะหนุ่มน้อย”

“ปล่อยมือเดี๋ยวนี้” ลีโอหันมาบอกเสียงดุเพื่อปกป้องเจ้านาย

“ข้าควบสองก็ได้นะถ้าพวกเจ้าต้องการ สิบข้ายังเคยมาแล้วแต่ต้องจ่ายเพิ่ม”

“ข้าบอกให้ปล่อยมือไงเจ้าอย่า...”

“ไม่หรอกข้าไม่ต้องการถ้าเจ้าอยากได้ค่าตอบแทนก็เอานี่ไป” จูเลียนดึงถุงเงินที่เหน็บไว้อย่างดีออกมา แล้วหยิบเหรียญที่อยู่ข้างในส่งให้หญิงโสเภณีที่ดูท่าทางช่ำชองงาน และผ่านประสบการณ์มาไม่น้อย สีหน้าและแววตาของนางบ่งบอกถึงความชาชิน อายุคงยังไม่มากเท่าไหร่แต่เพราะร่างกายที่ใช้งานมาอย่างหนักเลยทำให้นางดูทรุดโทรมไม่น้อย

ดวงตาที่ขอบตาดำคล้ำเบิกกว้างเพราะอยู่ดีๆ หมูชิ้นงามก็ลอยเข้าปาก หญิงโสเภณียิ้มพอใจคลึงเหรียญเงินในมือที่ได้มาโดยไม่ต้องออกแรงเล่น ใจนางอยากให้บริการสองหนุ่มน้อย เพราะคงได้รับค่าตอบแทนมากกว่านี้เป็นแน่

“พวกเจ้าสองคนเป็นคู่รักกันหรือไงหนุ่มน้อย เจ้าเด็กนั่นดูท่าจะหวงเจ้ามากนะ”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” จูเลียนบอกพลางสะบัดข้อมือออกแล้วลากลีโอไปจากตรงนั้น แต่หูก็ยังได้ยินเสียงตะโกนตามหลังมา

“ถ้าเปลี่ยนใจก็กลับมาหาข้านะ จะคิดราคาพิเศษให้” นางบอกพร้อมกับชูเหรียญในมือที่จูเลียนให้นางขึ้น ดวงตาเฉยชามองตามจนหนุ่มน้อยทั้งสองลากกันออกจากร้านลับตาไป

จูเลียนดึงลีโอออกมาจากร้านอย่างทุลักทุเล ทั้งที่ยังไม่ทันได้เก็บถุงเงินให้เรียบร้อยด้วยซ้ำ ทำให้มีเหรียญบางส่วนหล่นจากปากถุงที่เปิดอ้าออกแต่ก็ไม่ได้สนใจมัน คล้องสายถุงไว้ที่ข้อมือแล้วประคองลีโอที่ดูเหมือนว่ากำลังถูกเบียร์สองเหยือกเล่นงานเข้าให้แล้ว จูเลียนเองก็มึนไม่น้อยจนไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคน ที่คอยมองตั้งแต่อยู่ในร้านเดินตามออกมาด้วย มันตามเหรียญเงินบางเหรียญที่หล่นอยู่บนพื้นมานั่นเอง

ปึก!!

“โอ๊ย! “

“เดินให้มันดีๆ หน่อยสิไอ้เด็กขี้เมา” หนึ่งในสองชายแปลกหน้าที่เดินมาด้วยกันแสร้งต่อว่า เมื่อทำเป็นเดินนำขึ้นไปก่อนแล้วทำให้เหมือนกับตัวเองถูกเดินมาชน

“ขออภัย”

“เจ้าต่างหากที่เดินมาชนข้า” ขณะที่ลีโอคิดว่าตัวเองเดินชนคนอื่นจริงๆ จูเลียนกลับต่อว่ากลับไปเพราะเห็นว่าชายแปลกหน้าตั้งใจเดินเข้ามาชนจังๆ เอง

“แล้วไง” ชายแปลกหน้าหันไปมองเพื่อนที่เดินมาด้วยกันแล้วหันกลับมาหาจูเลียน ขาก้าวเข้าหาเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างประสงค์ร้าย สายตาเหลือบมองถุงเงินที่ยังเปิดอ้าอวดเหรียญทองให้ต้องแสงไฟเข้าพอดี ความโลภผุดขึ้นมาทางสายตาที่เบิกกว้างอย่างไม่ปิดบัง

“หึหึหึ ท่าทางแกสองคนไม่ธรรมดาเลยนี่หว่า” จูเลียนรั้งลีโอเดินถอยหลังเมื่อชายแปลกหน้าย่างสามขุมเข้ามาหา ปากของมันพูดแต่ตากลับมองถุงเงินของจูเลียนไม่กะพริบ ท่าทางคุกคามทำให้หนุ่มน้อยถอยโดยไม่ได้ดูเลย ว่าตัวเองกำลังพากันถอยเข้ามาในตรอกมืดที่ร้างผู้คน

“เจ้าต้องการอะไร”

“ต้องการนี่ไง” มันกระชากถุงเงินที่อยู่ในมือของจูเลียน แต่เพราะสายถุงคล้องอยู่กับข้อมือจึงทำให้แขนจูเลียนถูกกระชากติดไปด้วย

“โอ๊ย เจ็บปล่อยนะ” แขนที่ถูกกระชากอย่างแรงจนหน้าหงายนั้น ทำให้ผ้าคลุมที่คลุมเอาไว้บนศีรษะหลุดออก เปิดเผยใบหน้านวลผ่องและพวงปรางแดงระเรื่อยเพราะความหนาวเย็นให้เห็น และนั่นก็นำภัยมาให้เจ้าตัวทันที ชายแปลกหน้าจ้องมองใบหน้าขาวเนียนด้วยแววตาที่ไม่น่าไว้ใจ

“ปล่อยพี่ข้านะ เจ้าอยากตายหรือไง”

“หึตัวแค่นี้กล้ามาขู่ข้าหรือไอ้เด็กน้อยถอยไป”

เพียะ!!

“โอ๊ย!”

“ลีโอ!” ลีโอเข้ามาแกะมือสกปรกของชายแปลกหน้าออกจากข้อมือของจูเลียน จึงถูกตบเข้าไปหนึ่งทีจนหน้าหัน พอชายแปลกหน้าหันกลับมาทางจูเลียนก็ต้องพูดออกมาอย่างแปลกใจ

“เฮ้ย นี่เจ้าผู้ชายจริงเหรอวะ”

“ใช่สิ ปล่อยข้านะ”

“ปล่อยก็โง่สิวะ พอดีเลยข้ากำลังหาที่ระบายอยู่เจอเจ้าแล้วจะได้ไม่ต้องจ้างอีตัวหิวเงินพวกนั้น” บอกแล้วก็กระชากแขนจูเลียนให้ตามไป มันไม่ลืมหันไปบอกชายอีกคนที่มาด้วยกัน “เจ้าไปเอาไอ้ตัวเล็กนั่นมาด้วย”

“ได้ มานี่เลยแก”

“ไม่ไปปล่อยข้านะ”

“ตามข้ามาดีๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”

“ปล่อยพี่ข้าเดี๋ยวนี้”

“โว้ยไอ้เด็กนี่..” ชายแปลกหน้ามองใบหน้าลีโอที่ดิ้นออกจากคนที่จับเอาไว้นิ่งแล้วแสยะยิ้มออกมา “หน้าตาก็ใช้ได้นี่หว่างั้นให้ข้าเสร็จกับมัน เจ้าก็เอากับเพื่อนข้าไปก่อนก็แล้วกัน ถ้ายังไม่อิ่มข้าจะเอาเจ้าต่อ ผู้ชายก็ผู้ชายเถอะว่ะน่าเอาแบบนี้ข้าจะทำเป็นมองข้ามไอ้นั่นของเจ้าก็แล้วกัน”

“เลวมาก ปล่อยพี่ข้าเดี๋ยวนี้ไอ้คนสกปรก”

“อะไรวะพูดไม่รู้เรื่องแกอยากโดนเอาก่อนหรือไง เจ้ามาดึงมันออกไปสิ ส่วนแกมานี่” มันหันไปบอกเพื่อนแล้วกลับมากระชากจูเลียนให้ตามไป แต่หนุ่มน้อยยังขืนตัวเอาไว้ไม่ยอมแต่โดยดี ส่วนลีโอก็ดิ้นหนีจะไปช่วยจูเลียนให้ได้

“ปล่อยข้า”

“ปล่อยสิ นี่”

“โอ๊ย หน็อยไอ้เด็กนี่” ลีโอสะบัดตัวออกจากชายอีกคนที่จับเอาไว้ แล้วกระโดดเข้ามากัดเข้าที่มือของชายแปลกหน้าที่จับข้อมือจูเลียน เมื่อคมเขี้ยวงับเข้ากับผิวเนื้อจนได้เลือดจึงถูกสะบัดออกอย่างแรง มันตบเข้าที่แก้มซีกเดิมของลีโอแล้วถีบจนร่างเล็กปลิวถลาออกไปไกล

อึก!

“ลีโอ! เจ้าทำเขา“ จูเลียนร้องตามลีโอที่ถูกถีบจนล้มกลิ้ง แล้วหันกลับมาตวาดใส่ชายแปลกหน้าที่แสยะยิ้มมองผลงานของตัวเองอย่างพอใจ

“ก็มันกัดข้า”

“ข้าว่าเรารีบไปกันเถอะ” ชายแปลกหน้าอีกคนบอกก่อนที่จะมีใครผ่านมาเห็น

“ปล่อย”

“ปล่อยได้ไงไปหาความสุขกันดีกว่า ส่วนเจ้านั่นทิ้งเอาไว้อย่างนี้แหละ คืนนี้เจ้าสนุกกับพวกข้าสองคนก็แล้วกัน ไป”

“ปล่อยข้านะ ลีโอ”

“จะร้องให้มีคนมาเพิ่มหรือไง ไม่ต้องห่วงหรอกไปถึงที่พักข้ามีพี่น้องข้ารอเอาเจ้าอีกหลายคน”

“ปล่อยข้านะ”

“หึหึ ปล่อยทำไมเรากำลังจะไปมีความสุขด้วยกัน โอ๊ย! ฤทธิ์เยอะนักนะ”

อุก!!

จูเลียนฟาดกำปั้นเข้าที่ใบหน้าของชายที่บังคับลากให้ไปด้วยกัน จนมันร้องเสียงหลง จึงโดนหมัดของมันสวนเข้าท้องสุดแรงจุกจนพูดไม่ออก ร่างเพรียวทรุดลงกับพื้นดินเย็นๆ ทันที

“คราวนี้จะยอมไปดีๆ ได้หรือยัง”

“ไม่ข้าไม่ไป ปล่อยข้าอยากได้ถุงนี่ก็เอาไป” จูเลียนปาถุงเงินใส่หน้ามันจนเหรียญที่อยู่ข้างในหล่นกระจาย

“ตอนนี้ข้าอยากได้เจ้าเป็นของแถมด้วย”

“ไม่มีทาง” ขณะที่พูดมือก็คลำได้หินก้อนเหมาะมือพอดี และจูเลียนไม่รอช้าที่จะใช้มันป้องกันตัว เมื่อชายแปลกหน้าก้มลงมาหมายจะรวบร่างของจูเลียนขึ้น หินในมือจึงฟาดที่ใบหน้าของมันเข้าเต็มๆ โหนกแก้มที่เปื้อนไปด้วยคราบเหงื่อไคลปริแตกเลือดสีแดงฉานไหลอาบลงมาทันที

“แก กล้าทำร้ายข้าเหรอ ดีถ้าไม่อยากเสพสุขด้วยกันก็ตายซะเถอะ” ขณะที่พูดอย่างเดือดดาลมันก็ถอดมีดที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา สีหน้าบ่งบอกถึงความโกรธแค้นและเกรี้ยวกราด เพราะไม่คิดว่าคนที่ดูเหมือนไม่มีทางสู้จะทำร้ายตัวเองได้ขนาดนี้ ชายแปลกหน้ามองตาจูเลียนอย่างอาฆาต เด็กหนุ่มในคราบชาวบ้านจากการปลอมตัวถอยห่าง ร่างเพรียวบางสั่นสะท้านด้วยความกลัว เพราะหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ แต่คนอย่างจูลีเดียส เฟรเดอริก ออสติน สมควรแล้วหรือที่ต้องพบจุดจบแบบนี้ ยังไงหากต้องตายก็จะไม่ยอมให้มันย่ำยีได้เด็ดขาด

จูเลียนมองหาทางหนีทีไล่ทั้งที่ท้องก็ยังจุกไม่หาย ยุวกษัตริย์ในคราบหนุ่มชาวบ้านมือข้างหนึ่งกุมท้อง ส่วนมืออีกข้างรองรับน้ำหนักตัวเมื่อกระถดรา่งถอยห่างคมมีด มันดูไม่ค่อยจะน่ามองสักเท่าไหร่ แต่นั่นยิ่งทำให้คนหมายเอาชีวิตที่มีแต่ความโกรธแค้นได้ใจ ยิ่งเห็นความหวาดกลัวที่แสดงออกมายิ่งฮึกเหิม มันแสยะยิ้มเหี้ยมให้แล้วเงื้อมีดที่ถืออยู่ขึ้นสุดแขน หวังจ้วงแทงให้ตายตกในครั้งเดียว ดวงตาของมันเบิกโพลงขึ้นเมื่อรวบรวมแรงทั้งหมดที่มี จูเลียนเห็นอย่างนั้นได้แต่ยกมือขึ้นมาปิดหัวตัวเองเอาไว้เหมือนคนสิ้นคิด

“ตายซะเถอะไอ้เด็กเวร”

“ไม่! “

ฟิ้ววว

ฉึก!!

“อ๊ากกก” แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรมือสกปรกของมันก็ถูกหยุดด้วยลูกธนู ที่แทงทะลุข้อมืออย่างน่าหวาดเสียว ชายแปลกหน้าท่าทางเหมือนหนูสกปรกสองคนได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก และมองหาที่มาของลูกธนูปริศนา แต่ความสงสัยก็เกิดได้เพียงไม่นาน เพราะเจ้าของลูกธนูก็ไม่ได้คิดจะปิดบังตัวเอง

“ใครเข้ามาแส่วะ” ชายแปลกหน้าคนที่สองพูดขึ้น พลางกวาดตามองไปรอบๆ

“ถ้ายังอยากมีลมหายใจอยู่ต่อก็ไปซะ” เสียงเย็นเยือกไม่แพ้อากาศที่หนาวเย็นตอนนี้ ดังออกมาจากมุมมืดข้างตึก ก่อนที่เจ้าของเสียงในชุดคลุมสีดำมืดจะปรากฏตัว จูเลียนเอามือออกจากการบังตัวเองเงยหน้ามองผู้มาช่วย ใบหน้าที่อยู่ในความสลัวยังพอให้มองเห็นเค้าโครงของความจริงจังน่าเกรงขาม หนวดเคราที่ขึ้นจนรกครึ้มส่งให้ใบหน้าของเขายิ่งดูคมเข้มและดุดันขึ้นไปอีก

ชายแปลกหน้าสองคนมองตากัน แล้วหันไปหาชายหนุ่มจากมุมมืด มือก็ถอดดาบออกมาอย่างไม่กลัวเกรง “มาคนเดียวอย่ามาทำเก่ง”

“คนเดียวก็ฆ่าพวกเจ้าสองคนได้ด้วยมือเปล่า” คันธนูในมือถูกโยนทิ้งอย่างไม่เสียดายเมื่อเขาเดินเข้ามาเรื่อยๆ สายตาคมดุแข็งกร้าวจ้องอยู่ที่ใบหน้าสกปรกของชายแปลกหน้าคนที่สอง ที่พูดท้าทายอย่างอวดดี มันเตรียมตัวเข้าจู่โจมอย่างลำพองเพราะเห็นว่าชายหนุ่มเดินเข้ามาหาด้วยมือเปล่าไร้อาวุธ

การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อชายแปลกหน้าคนที่สองเงื้อดาบเข้าจู่โจม แต่แทนที่ชายหนุ่มที่ต่อสู่ด้วยมือเปล่าจะเสียเปรียบ กลับดูเหมือนว่านั่นทำให้เขาได้เปรียบกว่า ทั้งการหลบหลีกและโต้กลับด้วยท่าทางคล่องตัว คนต่อสู้ไม่เป็นเห็นยังรู้เลยว่าฝีมือคู่ต่อสู้ทั้งสองต่างชั้นกัน ไม่นานคนที่ลำพองว่าตัวมีอาวุธต้องเหนือกว่าก็เสียท่าถูกซัดจนน่วมไปทั้งตัว

อุก!!

“อย่า!! โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย” ชายหนุ่มกำลังจะเข้ามาซ้ำ คนเสียทีที่ลำพองใจในตอนแรกรีบเปลี่ยนเป็นร้องขอชีวิตแทน เมื่อประจักษ์แล้วว่าตัวเองเพลี่ยงพล้ำ เขาหยุดอยู่แค่นั้นแล้วจ้องมองชายแปลกหน้าทั้งสองที่กำลังช่วยกันประคองกันหนีตาย

เวลายิ่งดึกก็ยิ่งหนาวเหน็บ เกล็ดหิมะโปรยลงมาบางๆ เป็นระยะเพื่อยืนยันว่าบรรยากาศรอบตัวเป็นบรรยากาศที่ไม่ควรอยู่นอกชายคา

“เจ้าเป็นยังไงบ้าง ลุกขึ้นก่อนสิ” ไออุ่นลอยออกมาจากปากเมื่อเขาเอ่ยขึ้นอย่างอาทร จนคนอยู่ใกล้ในระยะประชิดสัมผัสได้

“ข้าไม่เป็นไร” แต่พอเงยหน้าขึ้นได้เห็นว่าชายที่เข้ามาช่วยเหลือ กำลังมองจ้องที่ใบหน้าตัวเองเขม็ง จูเลียนก็รีบถอยห่าง เอาผ้าคลุมขึ้นมาคลุมหัวไว้ให้เงามืดปิดบังใบหน้า แต่นั่นมันไม่ทันเสียแล้ว เพราะเขาได้เห็นพักตร์ขาวนวลที่ซีดเผือด และเนตรสีเขียวมรกตที่สั่นไหวเพราะความกลัวอย่างไม่ปิดบัง

ต่อข้างล่างเลยจ้า...
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 8 ลีโอกับยอดอัศวิน 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 12-11-2018 19:51:06


เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นคนคนนี้ในสภาพแบบนี้ ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีดำมืดราวค่ำคืนร้างดวงดาวและแสงจันทร์ยิ้มเยาะในใจ เขายืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง แต่นั่นมันกลับทำให้จูเลียนร้องโวยวายออกมา เพราะเขาคว้าร่างเพรียวของหนุ่มน้อยติดมือขึ้นมาด้วย

“อะไรกันนี่ปล่อยข้านะ”

“คำที่เจ้าควรจะพูดคือขอบคุณไม่ใช่มาตะคอกให้ข้าปล่อย”

“อย่ามาแตะต้องตัวข้า”

“ก็ได้”

ตุบ!

“โอ๊ย” พอบอกไม่ให้แตะต้องชายหนุ่มจึงยอมปล่อยแต่โดยดี ทำให้คนที่ยังยืนได้ไม่มั่นคงเสียหลักล้มลงไปนั่งที่พื้นเหมือนเดิม จูเลียนตวัดสายตามองใบหน้าคมเข้ม ที่รกครึ้มด้วยหนวดเคราของชายร่างสูงที่มาช่วยเหลืออย่างไม่พอใจ คิดว่าจะเอ่ยขอบคุณในคราแรกแต่จากการกระทำนี้คงไม่จำเป็นแล้ว เพราะมันทำให้เจ้าของนัยน์ตาสวยทั้งเจ็บก้นที่กระแทกพื้น และท้องที่ถูกต่อยก็ยังจุกไม่หาย

ชายลึกลับหรี่ตามองร่างที่นั่งจุกบนพื้น อยู่ดีๆ เขาก็นึกอยากจะยิ้มออกมากับนัยน์ตาสวยหวานที่ดุเอาเรื่อง เมื่อเช้าตอนอยู่ลานประลองก็ครั้งหนึ่งแล้วที่เขาได้เห็นนัยน์ตาดุไม่พอใจแบบนี้ ไม่คิดว่ายังไม่ทันข้ามวันจะได้เห็นมันอีก นัยน์ตาที่ไม่คิดว่าตัวเองก็จดจำมันได้ขึ้นใจ “หึ เจ้าหนีออกมาเที่ยวหรือไง”

“..” จูเลียนตาโตเพราะสิ่งที่ได้ยินนั้นมันหมายถึงชายลึกลับคนนี้..รู้ว่าเขาคือใคร

“กลับไปอยู่ในที่ที่เจ้าควรอยู่ซะ หรือว่าอยากเจอเหมือนไอ้หนูสกปรกสองตัวเมื่อกี้อีก เจ้าชอบหรือไงถึงได้ไม่ร้องขอความช่วยเหลือเลย แต่บอกไว้ก่อนนะว่าข้าไม่ได้ว่างมาตามช่วยคนตลอดหรอก” พอได้พูดก็พูดเสียยาวยืด คนคนนี้เป็นใครมาจากไหน ทั้งที่พูดเหมือนรู้ว่าจูเลียนเป็นใครแต่ทำไมยังกล้าพูดให้กันอย่างนี้อีก จูเลียนกัดฟันแน่นนึกหงุดหงิด เพราะวันนี้เจอคนที่ทำให้รู้สึกขัดใจสองคนแล้วนับตั้งแต่ไอ้คนที่มันชนะการประลองเมื่อเช้านั่นไง

“ข้าไม่ได้ชอบแต่ก็จริงที่ข้าก็ไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลืออย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ เจ้าเสนอหน้าเข้ามาช่วยข้าเองนะ” เพราะเกียรติอันสูงส่ง มันคงจะดูน่าขบขันมากหากจูเลียนจะร้องขอความช่วยเหลืออย่างงน่าสมเพชเช่นนั้น

“ดีเหมือนกัน ครั้งหน้าข้าจะได้นั่งดูเฉยๆ ดูคนไม่มีทางสู้ถูกรังแกมันก็สนุกดีเหมือนกัน“ จูเลียนมองใบหน้าคนเข้มที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเคราผ่านละอองหิมะที่ตกลงมาอย่างไม่พอใจ นัยน์ตาคมดุสีดำมืดคู่นั้นเหมือนมีอำนาจบางอย่าง ที่ทำให้ยิ่งมองยิ่งรู้สึกถึงความน่าเกรงขาม หนุ่มน้อยเม้มปากแน่นตาขวางอย่างไม่รู้ตัว เพราะเป็นกิริยาที่มักจะแสดงออกมาเฉพาะตอนโกรธที่สุด ตอนนี้จูเลียนไม่สนแล้วว่าจะต้องปิดบังใบหน้าของตัวเองหรือไม่ เพราะชายลึกลับคนนี้คงรู้แล้วว่าเขาเป็นใครถึงได้พูดแบบนี้

ร่างใหญ่โตในชุดคลุมสีดำที่กำลังยืนทอดสายตามองร่างเพรียวบางบนพื้น ท่ามกลางละอองหิมะสีขาวที่โปรยปรายรอบตัวราวกำลังอยู่ในห้วงฝัน คงจะเป็นภาพที่งดงามน่าประทับใจ หากทั้งสองเป็นคู่รักที่กำลังส่งยิ้มแสนหวานให้แก่กัน เพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาความสุขที่ได้ใช้ร่วมกัน แต่คงไม่ใช่ภาพของจูเลียนและชายชุดดำในตอนนี้ ที่กำลังต่อปากต่อคำอย่างไม่มีใครยอม และเพราะเหนื่อยที่จะต่อปากต่อคำไร้สาระ รอบกายที่หนาวอยู่แล้วก็ยิ่งหนาวเหน็บมากขึ้นอีกหลายเท่า เพราะละอองหิมะยามดึกเริ่มโปรยปรายลงมาหนาเม็ด จูเลียนพยายามดันตัวลุกขึ้น และพลันความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในหัวจนร่างเพรียวชะงักไป

“ลีโอ! “เนตรเขียวมรกตตวัดมองกลับไปยังทางเดิมที่ถูกลากมา ทางนั้นมันมีแต่ความมืด และลีโอที่ถูกทำร้ายจนสลบถูกทิ้งไว้ตรงนั้น จูเลียนต้องรีบกลับไปดู

“เดี๋ยวยังไปไหนไม่ได้”

“ปล่อยข้าจะไปหาลีโอ” จูเลียนพยายามบิดข้อมือของตัวเองออกจากมือใหญ่ที่จับเอาไว้แน่น แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นผลเพราะยิ่งบิดยิ่งต่อต้านมันก็ยิ่งแน่น เหมือนยิ่งทำให้เจ็บตัวเสียเองเปล่าๆ

“จะไม่ขอบคุณหน่อยหรือไงที่ข้าช่วยเจ้าไว้”

“เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าข้าไม่ได้ร้องขอ เมื่อไม่ได้ร้องขอก็ไม่ต้องขอบคุณหรอก”

“หึ คิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ หรือไงมานี่เลย” เจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมดำบอกอย่างนึกสนุก พลางฉุดร่างเพรียวให้เดินไปด้วยกัน

“ไม่ไป ปล่อยข้านะ” ชายหนุ่มดึงแขนจูเลียนให้เดินตามไปอีกทาง พลางดึงผ้าคลุมขึ้นมาคลุมหัวตัวเองเอาไว้ด้วย เพราะละอองหิมะที่ตกลงมาเริ่มหนาแน่นขึ้นแล้ว ข้อมือเล็กที่ถูกจับแน่นถูกกระชากอย่างแรงจนร่างเพรียวแทบเซถลา สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากความสากกร้าน เมื่อมือใหญ่เลือนจากข้อมือมากุมอุ้งมือเย็นๆ ของจูเลียนเอาไว้แน่น แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้เดินไปถึงไหนก็ถูกอะไรบางอย่างขวางไว้เสียก่อน

ฟิ้ววววว

ฉับ!!! ลูกธนูดอกยาวปักลงที่พื้นตรงหน้าของชายลึกลับได้อย่างพอดิบพอดี บ่งบอกว่าเจ้าของลูกดอกเป็นมือยิงที่แม่นทีเดียว

“หยุดอยู่ตรงนั้นแล้วปล่อยมือซะ”

“เซอร์เฮนริช ปล่อยข้าสิ” จูเลียนใจชื้นขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าเจ้าของลูกธนูที่มาขวางทางไว้คืออัศวินของตัวเอง หนุ่มน้อยหันไปบอกคนที่กระชับฝ่ามือกันอยู่ให้ปล่อยออกด้วยเสียงดุ ชายหนุ่มจำได้ว่าเจ้าของลูกธนูคือหนึ่งในสี่ของอัศวินประจำตัวจูเลียนก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี

จูเลียนวิ่งกลับไปหาเฮนริชก็ถูกอัศวินหนุ่มดันให้ไปอยู่ข้างหลัง พลางถอดดาบคู่ใจออกมาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ แต่เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นก็หยุดความคิดของเขาเอาไว้เสียก่อน

“เขาช่วยข้าจากผู้ร้าย”

“แล้วที่ข้าเห็นเขากำลังฉุดลากฝ่าบาทไปล่ะ” เฮนริชได้ยินอย่างนั้นก็หันกลับมาถามจูเลียนอย่างข้องใจ เพราะเขาเห็นกับตาตัวเองว่าคนในชุดคลุมดำมืดกำลังฉุดกระชากร่างเพรียวให้ตามกันไป

“ข้าไม่รู้ว่าเขาจะพาไปไหนแต่ช่างเถอะเขามาช่วยไว้ ลีโอ! เซอร์เฮนริชลีโอถูกทำร้าย”

“ข้าเจอลีโอแล้วเราไปกันเถอะ”

“แต่..อ้าวหายไปไหนแล้วล่ะ” จูเลียนหันไปทางชายลึกลับแต่ที่ที่ชายหนุ่มยืนอยู่ในตอนแรกกลับว่างเปล่าไร้เงาเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ควรจะยืนอยู่ตรงนั้น

“เขาคงไปแล้ว เรากลับเถอะฝ่าบาท” เฮนริชพาจูเลียนเดินย้อนกลับไปตามเดินมืดๆ ที่เขาซ่อนร่างไร้สติของลีโอเอาไว้ และพาทั้งสองกลับเข้าปราสาท หลังจากนี้คือการสอบสวนและลงโทษผู้ทำความผิดที่ลักลอบออกจากปราสาทมา ซึ่งเขาเองก็ต้องถูกลงโทษเช่นกัน เพราะทั้งที่ตามมาอยู่ตลอดแท้ๆ ยังพลัดหลงกันได้ ถ้าเขาไม่เสียเวลาเพราะถูกหญิงชราขอความช่วยเหลือจนกลายเป็นกับดักพาไปหาโสเภณีแม่ลูกที่รั้งเอาไว้หวังเงินค่าตัว ก็คงไม่คลาดกันจนจูเลียนถูกปองร้าย และลีโอถูกทำร้ายจนไม่ได้สติเช่นนี้



@@@@@@@@@@@@@@@@@@



“อืม โอย” เมื่อร่างบอบบางบนเตียงเริ่มขยับตัว สิ่งที่บ่งบอกว่าเจ้าของร่างยังบอบช้ำและเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายก็คืออาการนิ่วหน้า และเสียงครางแหบแห้งที่ดังออกมาจากลำคอเหมือนกำลังทรมาน

“ลีโอ” เสียงเรียกช่างให้ความรู้สึกอบอุ่น ลีโออยากลืมตาขึ้นเพื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงที่คุ้นเคยนี้ กำลังมองกลับมาด้วยสายตาเอื้ออาทรและห่วงใยมากแค่ไหน แต่เหมือนกับว่าหนังตาไม่เป็นใจเพราะมันหนักเหลือเกิน คนที่เฝ้ามองอยู่จึงเห็นเพียงแค่ลูกตาของลีโอที่กลอกไปมาอยู่ภายใต้เปลือกตาปิดสนิท แต่คนป่วยกลับไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นคืนสติ หรือลืมตาขึ้นมานอกจากครางละเมอเสียงผะแผ่ว

“พี่..”

“ลีโอ ตื่นได้แล้วเจ้าละเมอหาใครเนี่ย” เสียงนี้แตกต่างออกไป แต่แม้จะแตกต่างก็ยังให้ความรู้สึกอบอุ่นมากทีเดียว แต่ลีโออยากได้ยินเสียงแรกมากกว่า

“เจ้าจะไปเร่งอะไรกับคนป่วยเลนนี่”

“ลีโอนอนนานแล้วต้องปลุกสิวะราเชล หรือเจ้าไม่อยากรู้เรื่อง..”

“พอเถอะพวกเจ้าสองคนจะไปไหนก็ไปเลยไป”

“ไล่ข้าแล้วเจ้าล่ะเฮนริช เฝ้าไข้เหรอ ไปเถอะราเชล เฮนริชคงอยากให้เด็กน้อยลีโอเห็นหน้ามันคนเดียวเป็นคนแรกหลังจากตื่นจากนิทรายาวนาน”

“เจ้านี่เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะเลนนี่” เฮนริชหน้านิ่งเมื่อหันไปต่อว่าเลนนี่ที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ตอบกลับมา

“หึหึ” เลนนี่ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มร้ายแล้วกอดคอราเชลเดินออกจากห้องนอนที่อบอุ่นของลีโอที่ยังนอนละเมอไม่ได้สติไป

“พี่..ช่วย”

“..”

“ช่วยด้วย พี่”

“ลีโอ”

“ไม่ ไม่ ช่วยด้วย ได้โปรด”

“ลีโอ ตื่นสักที” เฮนริชทิ้งตัวลงบนเตียงข้างร่างบอบบางของลีโอ ที่เอาแต่เพ้อเรียกพี่ที่อัศวินหนุ่มไม่รู้ว่าเป็นใคร ริมฝีปากบางแห้งแตกขยับขมุบขมิบร้องขอความช่วยเหลือ อัศวินหนุ่มเฝ้ามองด้วยความสงสาร มือใหญ่ลูบเรือนผมนิ่มสีน้ำตาลเพื่อปลอบอย่างแผ่วเบา ส่วนมืออีกข้างเกลี่ยลงบนพวงแก้มซีกที่ไม่มีรอยช้ำเพื่อเรียกคืนสติ

“ไม่นะ ฝ่าบาท ฝ่าบาท”

เฮือก!!

“เซอร์เฮนริช ช่วยข้าด้วย ช่วยฝ่าบาทด้วย ลีโอผิดไปแล้วช่วยด้วยได้โปรด“ เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นใบหน้าคุ้นเคยอยู่ใกล้แค่คืบ ลีโอก็โผเข้ากอดร่างใหญ่เอาไว้แน่น ปากพร่ำร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร ดูเหมือนเด็กน้อยจะยังก้ำกึ่งอยู่กับความกลัว และความฝันที่ยังเป็นฝันน่ากลัว ทำให้อ้อมกอดของอัศวินหนุ่มที่รั้งร่างบอบบางเข้าแนบอกแน่นขึ้น พลางลูบหลังปลอบโยน ขณะที่มือใหญ่อีกข้างกดศีรษะเล็กซบเข้าหาไออุ่นของตัวเอง

“เจ้าไม่เป็นไรแล้วลีโอ” ถึงจะได้ยินแบบนั้นนอกจากลีโอจะไม่คลายสะอื้นแล้ว เฮนริชกลับได้ยินเสียงสะอื้นแรงขึ้นกว่าเดิม อัศวินหนุ่มไม่รู้จะทำยังไง จึงได้แต่ปล่อยให้ลีโอร้องไห้อยู่อย่างนั้น ด้วยหวังว่าเมื่อลีโอร้องจนพอใจแล้วคงเงียบไปเอง เพราะเอาจริงๆ นอกจากฝึกปรือซ้อมฝีมือการต่อสู้ ซ้อมอาวุธ เฮนริชก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน

เฮนเริชนั่งเงียบปล่อยให้เด็กน้อยใช้อกกว้างเป็นที่พึ่งพิงหลังฝันร้าย ครู่ใหญ่ร่างบอบบางที่ซบอยู่กลางอกอุ่นจึงเริ่มสงบลง ทำให้อัศวินหนุ่มค่อยเบาใจขึ้นมาได้บ้าง ว่าสติของลีโอคงกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว แต่ชั่วครู่เดียวร่างแน่งน้อยกลับกระตุกและชะงักไปเหมือนคนเพิ่งคิดถึงอะไรบางอย่างออก ลีโอผละออกจากอกกว้างมองเฮนริชด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“เซอร์เฮนริช ฝ่าบาท ฝ่าบาทจูเลียนกำลังตกอยู่ในอันตราย ท่านต้องรีบไปช่วยฝ่าบาทเดี๋ยวนี้” ลีโอใช้แรงเพียงน้อยนิดที่มีเขย่าร่างกำยำที่สามารถทำให้ร่างของอัศวินหนุ่มสั่นคลอนได้เพียงเล็กน้อย ละล่ำละลักบอกอย่างไม่คลายขวัญเสีย “เร็วสิเซอร์เฮนริช ท่านมัวนิ่งเฉยอยู่ทำไม”

“ลีโอเงียบก่อน”

“ฝ่าบาทกำลังตกอยู่ในอันตรายเซอร์เฮนริช ไปช่วยฝ่าบาทก่อนแล้วค่อยกลับมาลงโทษลีโอ ได้โปรดไปช่วย ฮือ”

“ลีโอ ฝ่าบาทปลอดภัยแล้ว” เฮนริชบอกเสียงขรึมในแบบของเขา แต่ดูเหมือนว่าลีโอที่ห่วงจูเลียนมากจะไม่รับฟังอะไรแล้ว

“ไม่รอไม่ได้ มันทำร้ายข้าแล้วเอาตัวฝ่าบาทไปท่านต้องรีบไปช่วย เรียกเซอร์เลนนี่ เรียกราเชล เดรทิช เรียกทหาร ได้โปรดรีบไปช่วยจูเลียน”

“เงียบก่อนลีโอ” มือใหญ่ประคองใบหน้านวลที่น้ำตาอาบสองข้างแก้มอย่างน่าสงสาร ริมฝีปากอุ่นของอัศวินหนุ่มประทับลงกลางหน้าผากเด็กน้อย ที่ยังละล่ำละลักออกมาอย่างหวาดกลัว จุ๊บ

“ท่าน! “ ลีโอนิ่งไม่ใช่เพราะตั้งสติรับรู้ได้แล้วว่าเจ้าเหนือหัวปลอดภัย แต่เป็นเพราะริมฝีปากอุ่นที่แตะอย่างอ่อนโยนบนหน้าผากไล่ลงไปตามแก้มทั้งสองข้างเหมือนกำลังปลอบประโลม จนสุดท้ายทิ้งความอบอุ่นเอาไว้ที่ริมฝีปากนุ่ม แม้จะชั่วเสี้ยวของเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นการสัมผัสเพียงแผ่วเบาที่ผิวเนื้ออ่อนนิ่ม แต่ความอบอุ่นนั้นมันเหมือนกับว่าได้ช่วยเยียวยา ให้หัวใจดวงน้อยที่ร้อนรุ่มเพราะความเป็นห่วงสงบลงได้ทันที

“ฟังข้านะเด็กน้อย”

“..”

“ฝ่าบาทปลอดภัยแล้ว ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้วลีโอ”

“ท่าน”

“ข้าตามเจ้าสองคนตั้งแต่ลักลอบออกจากปราสาทไปทางสวนด้านหลังแล้ว”

“เซอร์เฮนริช ท่าน..”

“หืม..?”

“ท่านจูบข้า ท่านจูบลีโอ!” เจ้าของร่างใหญ่กำยำชะงัก เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็เมื่อตอนที่ได้ยินเสียงเล็กๆ ของลีโอประท้วงขึ้นมา สิ่งที่เพิ่งทำลงไปเขาไม่เข้าใจว่าตัวเองเผลอทำไปได้อย่างไร อัศวินหนุ่มไม่ทันได้ฉุกคิดเสียด้วยซ้ำ เพราะแค่เห็นว่าลีโอขวัญเสียและหวาดกลัวมากแค่ไหน คนที่ปลอบโยนใครไม่เป็นอย่างเฮนริช คิดแค่ว่าต้องทำอะไรสักอย่างให้เด็กน้อยสงบลงบ้างแค่นั้น ก็อย่างที่รู้กันอยู่ว่าเขานั้นพูดน้อยแต่ทำจริง แต่ไม่รู้ทำไมต้องเอาริมฝีปากอุ่นๆ ไปปลอบให้ลีโอคลายขวัญเสียด้วย ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ทำลงไปอย่างนั้น เขาไม่รู้ตัว ไม่รู้จริงๆ

อัศวินหนุ่มหลบตาลีโอที่กำลังเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง ปรับสีหน้าโดยเอาความเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์มาใส่ไว้เหมือนเดิม แล้วจึงอธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจให้ลีโอเสียใหม่

“แบบนั้นเขายังไม่เรียกจูบหรอกลีโอ เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิดข้าแค่อยากจะปลอบเจ้า”

“ก็ท่านเอาปากของท่านมากดลงที่หน้าผากข้า สองแก้มด้วย แล้วก็ตรงปากตรงนี้” นิ้วเรียวเล็กชี้ลงที่ริมฝีปากสีแดงสดฉ่ำวาวของตัวเอง ลีโอคงกลัวเฮนริชไม่เข้าใจเลยทำปากยื่นออกมาประกอบด้วย ทำให้อัศวินหนุ่มเผลอมองตาม

“ข้าแค่ปลอบเจ้า..”

“ท่านจูบ”

“มันไม่ใช่จูบ” เฮนริชมองไปทางประตูที่เลนนี่กับราเชลเพิ่งจะเดินออกไปไม่นาน เมื่อเห็นว่าประตูยังปิดดีอยู่เหมือนเดิมก็หันกลับมาอธิบายทำความเข้าใจกับลีโอใหม่ “ข้าแค่..ไม่รู้จะพูดปลอบยังไงเจ้าถึงจะหยุดร้องไห้ เห็นไหมพอข้ากดปากลงที่หน้าผากกับแก้มของเจ้า เจ้าก็เริ่มหยุดร้องไห้แล้ว”

“แล้วทำไมท่านยังกดมันลงที่ปากของข้าอีกล่ะ”

“ก็เจ้ายังสะอื้นอยู่ ข้าเลย...”

“ท่านเลยจูบปากข้า” ดวงตาใสแจ๋วจ้องมองใบหน้าคมที่ประดับด้วยหนวดเคราเป็นเงาเขียวครึ้ม ตามช่วงสันกรามของเฮนริชอย่างต้องการคำตอบ อัศวินหนุ่มต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ เริ่มเหนื่อยกับการอธิบาย ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวกำลังคิด

“เด็กโง่ จูบเขาไม่ทำแค่นี้หรอก”

“แล้วต้องทำแค่ไหนล่ะถึงเรียกว่าจูบ ท่านทำให้ข้าดูหน่อยได้ไหม” เป็นอีกครั้งที่เฮนริชต้องแอบปล่อยลมหายใจออกมาเบาๆ จะว่าลีโอแกล้งถามก็คงไม่ใช่ เพราะดวงตาคู่นั้นมันดูไร้เดียงสาและช่างอย่างรู้อยากเห็นเหลือเกิน ซ้อมการต่อสู้ซ้อมดาบซ้อมอาวุธว่าเหนื่อยแล้ว การตอบคำถามของลีโอทำให้เขาเหนื่อยยิ่งกว่า

“ไว้เจ้าโตกว่านี้ค่อยไปทำกับคนรักของเจ้าเถอะ ข้าไปล่ะ”

“อ้าวเดี๋ยวสิเซอร์เฮนริช แล้ว..”

“อะไรอีก”

“ถ้าข้า...” ลีโอกัดปากตัวเองไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาดีหรือไม่ เซอร์เฮนริชจะให้ลีโอไปทำกับคนรักได้อย่างไรในเมื่อคนที่ลีโอรัก... “ฝ่าบาทอยู่ไหนตอนนี้ ท่านจะลงโทษข้าหรือไม่ที่หนีออกไปเที่ยว”

เฮนริชส่ายหัวให้กับคนที่นั่งก้มหน้าสำนึกผิด ลืมเรื่องจูบไปแล้วสินะ  เขาจะลงโทษลีโอได้อย่างไรในเมื่อรู้อยู่เต็มอก ว่าเด็กน้อยถูกเจ้านายบังคับให้ออกไปด้วย

“ไม่หรอกเจ้าพักผ่อนเถอะ”

เฮนริชออกไปแล้วทิ้งเอาไว้เพียงความรู้สึกอุ่นบริเวณที่ถูกริมฝีปากหยักสัมผัส และเจ้าของร่างบอบบางที่นั่งอยู่บนเตียงท่ามกลางหมอนใบใหญ่ และผ้าห่มผืนหนานุ่มที่ถูกมือเล็กบิดจนยับย่นไปหมด

“ข้ารู้มันคงไม่มีวันนั้นหรอก" ให้ไปทำกับคนรักขอข้าอย่างนั้นเหรอ



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

แหมเด็กน้อย ท่านเซอร์เขาไม่ได้จูบจริงๆ นะ เขาแค่ปลอบบบบบบ

พระนายเจอกันนิดเดียวอย่าเพิ่งเบื่อล่ะ ตอนมันอยู่ด้วยกันจริงๆ จะเอาให้อยู่จนเบื่อเลยเถอะ
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 9 แผนสลับตัวง่ายกว่าที่คิด 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-11-2018 19:36:11
เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 9



หลังจากเหตุร้ายผ่านไปแล้ว จูเลียนก็เหมือนกับว่าถูกจับตามองยิ่งขึ้นกว่าเดิม และไม่ใช่ใครที่ไหนที่สามารถสั่งกษัตริย์หนุ่มน้อยได้นอกจากนิโคล ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งสูงกว่า แต่ความเคารพที่มีต่อพี่ชายต่างแม่ ทำให้จูเลียนจำต้องเชื่อฟัง และดูเหมือนตอนนี้ยุวกษัตริย์จะถูกลงโทษกลายๆ ด้วยการกักบริเวณ และแน่นอนว่าคนอย่างจูเลียนมีหรือจะทนยอมได้นาน

“นิโคล พี่จะห้ามไม่ให้ข้าออกจากปราสาทเลยก็ไม่ได้นะ ข้าต้องออกว่าราชการ ไหนจะประชุมสภา มีตัวแทนจากฝ่ายสร้างปราสาทเอวาเลียนมารายงานความคืบหน้าด้วย ข้าต้องให้เขาเข้าเฝ้านะ” เกิดเสียงโอดครวญขึ้นเพราะทนไม่ได้ในวันที่สามหลังจากเกิดเรื่อง ที่นิโคลให้คนคอยเฝ้าจูเลียนแบบไม่ให้คลาดสายตา

ได้ยินเสียงโอดครวญของจูเลียน ลอร์ดหนุ่มพี่ชายต่างมารดาได้แต่เม้มปากมองน้องชายด้วยสายตานิ่งดุระคนคาดโทษ จูเลียนจึงหันไปหาขนิษฐาแฝดไหว้วานให้ช่วยพูด

“เทียน่า ดูนิโคลทำกับข้าสิเจ้าต้องช่วยข้านะ ยังไงเจ้าก็ต้องการผู้ชมตอนเจ้าซ้อมดาบไม่ใช่หรือไง ไม่มีใครจะทนนั่งดูเจ้าซ้อมได้นานเท่าข้าหรอก”

“เจ้าออกไปทำเรื่องสนุกไม่ชวนข้าสักคำ เรื่องอะไรข้าต้องช่วย”

“โธ่เทียน่าเดี๋ยววันหลังเจ้าค่อยไปก็ได้”

“ยังคิดว่าจะมีวันหลังอีกหรือไง” เสียงดุที่ดังแทรกขึ้นทำให้จูเลียนนึกได้ว่าพลั้งปากออกมา พอมองไปทางต้นเสียงเจอเข้ากับใบหน้าถมึงทึงของนิโคล ร่างเพรียวของจูเลียนยิ่งดูเหมือนว่าจะหดเล็กลงกว่าเดิมอีกหลายเท่า

“ก็ ไม่หรอกต่อไปข้าจะระวังตัวกว่านี้” เพราะจูเลียนแอบออกไปกับลีโอเพียงสองคนโดยไม่มีทหารติดตาม ไม่มีแม้กระทั่งอัศวินประจำตัวคอยอารักขาสักคน ทำให้นิโคลโกรธมาก หากเฮนริชที่ไม่บังเอิญได้ยินทั้งสองคุยกันและแอบตามไป จูเลียนอาจจะถูกลงโทษหนักกว่านี้ และยังดีที่มีไม่กี่คนรู้เรื่อง

“แต่อย่างน้อยพี่ก็น่าจะอนุญาตให้ข้าออกไปเดินเล่นในส่วนใหญ่บ้างนะ”

“ได้สิ แต่ก่อนออกไปวันนี้เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องไปคุยกับทางสวาเนียร์ก่อน ทางนั้นจะเดินทางกลับพรุ่งนี้เจ้าพร้อมหรือยัง”

“เรื่องอะไรที่ว่าสำคัญ”

“อยากรู้ก็ตามมาสิ อ้อ..แล้วเจ้าล่ะทางมอนทาร์น่าเป็นไงบ้าง” นิโคลหันไปถามทาร์เทียน่าเพราะนางดูแลอยู่

“เรียบร้อยดี ทางนั้นจะเดินทางกลับพรุ่งนี้เหมือน ค่ำนี้อย่าลืมงานเลี้ยงนะ” ทาร์เทียน่ามองพี่ชายและคู่แฝดเป็นการบอกว่างานเลี้ยงส่งแขกค่ำนี้สำคัญมาก และทั้งสองคนไม่ควรพลาด นิโคลพยักหน้ารับเพราะรู้อยู่แล้ว ส่วนจูเลียนทำหน้าเบื่อหน่ายพรูลมหายใจออกมาอย่างไม่ระวังกิริยา เพราะเรื่องถูกกักบริเวณทำให้อะไรๆ ก็ไม่น่าอภิรมย์อีกแล้ว

จูเลียนเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ กษัตริย์หนุ่มน้อยหันกลับมามองพักตร์นวลผ่องของขนิษฐาแฝดตรงๆ แล้วเอ่ยถาม “เจ้าอยากไปเที่ยวต่างเมืองบ้างไหมล่ะเทียน่า”

“ทำไมข้าต้องอยากไป”

จูเลียนเลิกคิ้วขึ้นเหมือนกำลังใช้ความคิด “ไม่รู้สิท่องเที่ยวชายทะเลของมอนทาร์น่าคงสนุกทีเดียวนะ”

“ทำไมต้องชายทะเลของมอนทาร์น่า” ใบหน้าสวยหวานบ่งบอกถึงความไม่เข้าใจและสงสัยในสิ่งที่แฝดพี่ต้องการจะบอก

“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะอยากไปสวาเนียร์นี่เพราะที่นั่น..”

“ที่นั่นทำไม”

“หึ” จูเลียนทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก็เดินตามนิโคลไป แต่หูก็ยังได้ยินเสียงของทาร์เทียน่าดังตามหลังมา

“ที่นั่นทำไมจูเลียน บอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะ เจ้าหมายความว่ายังไง”

“ที่นั่นไม่มีกษัตริย์หนุ่มรูปงามไง”

...

...

“อรุณสวัสดิ์ลอร์ดลอเรน ท่านสนุกกับงานประจำปีของเราหรือไม่”

“เป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลยฝ่าบาท”

“แล้วเจ้าล่ะอนาสตาเซีย”

“หม่อมฉันชอบงานประจำปีฝ่าบาท”

“ขอบใจนะที่มา อ้อ ท่านรัฐมนตรีเช้านี้ท่านดูสดใสนะ”

“ฝ่าบาท”

“สวัสดีท่านเฮมาน” ห้องที่เรียกว่าห้องประชุมเล็กนั้น มีขนาดกว้างขวางอยู่มากทีเดียว เมื่อจูเลียนเดินเข้ามากล่าวทักทายผู้ที่รอการประชุมอยู่แล้ว ทุกคนตั้งแต่แขกสำคัญจากสวาเนียร์ทั้งสอง รัฐมนตรีโจเซฟและเฮมาน ที่ปรึกษาตัวแทนจากสภาแห่งออสเซนเทีย

“ดูเหมือนว่าวันนี้ลอร์ดนิโคลมีเรื่องจะคุยกับพวกเราทุกคนนะ” ที่ปรึกษาอาวุโสอย่างเฮมานเปิดประเด็น ทุกคนจึงหันไปมองนิโคลและรอฟัง

“หวังว่าคงเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ข้ารอฟังอยู่นะฝ่าบาท” โจเซฟยิ้มเหมือนยินดีในสิ่งที่เขากำลังรอฟัง ทั้งที่ความจริงไม่เลยสักนิด

“แน่นอนท่านโจเซฟ ว่ายังไงล่ะลอร์ดนิโคลเข้าเรื่องที่ต้องการพูดเลยสิ” พอจูเลียนหันไปทางนิโคลทุกคนก็หันตามและรอฟังอย่างตั้งใจ แต่ความรู้สึกกลับแตกต่าง

“ฝ่าบาท ลอร์ดลอเรน ท่านหญิงอนาสตาเซีย ตามที่เราได้คุยกันมาก่อนหน้านี้เรื่องการเชื่อมสัมพันธไมตรี ทุกฝ่ายเห็นด้วยหากความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสองจะแนบแน่นขึ้น เมื่อฝ่าบาทกับท่านหญิงได้อภิเษกกัน”

“ใช่ เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธ์ของสองประเทศให้แนบแน่นขึ้น ทางสภาเห็นด้วยอย่างยิ่ง” เฮมานตัวแทนสภากล่าวเสริม

ลอเรนยิ้มรับเพราะเป็นเรื่องที่มีการพูดคุยกันมาก่อนแล้ว การพบปะกันวันนี้ก็เพื่อตกลงอย่างเป็นทางการ “แน่นอนว่าทางสวาเนียร์เห็นด้วยอย่างยิ่งเพราะถือเป็นเกียรติของเรา และอนาสตาเซียก็ยินดีมากเช่นกัน”

“เอาล่ะ ถ้าทุกท่านพอใจในการเจริญสัมพันธไมตรีนี้ ข้าก็ขอพูดบ้าง” ทุกคนหันมามองจูเลียนที่พูดขึ้นยิ้มๆ ยุวกษัตริย์หนุ่มน้อยกวาดตามองสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมทีละคนช้าๆ แล้วจึงพูดต่อ “อภัยด้วยท่านหญิง ไม่ใช่ว่าข้ารังเกียจหรือท่านมีสิ่งใดไม่ต้องใจข้า ตรงกันข้ามท่านช่างงดงามเหลือเกิน แต่เรื่องการหมั้นหมายระหว่างเราคงเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะผู้ที่จะแต่งงานกับท่านหญิงคือลอร์ดนิโคลต่างหาก!”

“ฝ่าบาท!!” จูเลียนยกมือขึ้นห้ามพี่ชายแล้วรีบพูดต่อก่อนที่จะมีใครได้ขัด

“เพราะข้าทบทวนและตัดสินใจแล้ว ว่าลอร์ดนิโคลเหมาะสมกับเจ้าหญิงที่สวยงามน่ารักอย่างท่านมากกว่าข้า ลอร์ดนิโคลเป็นพี่ชาย และยังเป็นผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดในการดูแลบริหารออสเซนเทีย นี่ข้าเปิดเผยอย่างจริงใจเลยนะลอร์ดลอเรน การแต่งงานระหว่างลอร์ดนิโคลกับท่านหญิงอานาสตาเซีย จะช่วยให้การกระชับสัมพันธ์ระหว่างออสเซนเทียกับสวาเนียร์ราบรื่นยิ่งกว่าแต่งกับข้า”

“แต่จูเลียน..”

“ช่างเป็นแนวคิดที่ชาญฉลาดและข้าเห็นด้วยกับฝ่าบาทอย่างยิ่ง” ยังไม่ทันที่นิโคลจะได้ท้วงติงหรือคัดค้าน โจเซฟก็ขัดขึ้นมาก่อน ด้วยว่าตัวรัฐมนตรีเองก็ไม่เห็นด้วยนักที่จูเลียนจะแต่งกับอานาสตาเซีย เพราะอสรพิษเฒ่ายังหวังตำแหน่งราชินีของอาณาจักรไว้ให้ลูกสาวตัวเอง

สองพี่น้องจากต่างเมืองได้แต่เงียบนิ่งอยู่ในความตกใจ อันมีสาเหตุเดียวกันจากสิ่งที่จูเลียนประกาศ แต่กลับต่างกันในความรู้สึก อนาสตาเซียแม้จะไม่ได้ปรารถนาในตัวกษัตริย์หนุ่มน้อย แต่นางก็ยังรู้สึกเหมือนกำลังถูกหยามเกียรติ ด้วยว่าจูเลียนปฏิเสธออกมาตรงๆ แล้วยังโยนนางไปให้พี่ชายหน้าตาเฉยราวกับสิ่งของไร้ค่า ส่วนลอเรนรัชทายาทแห่งสวาเนียร์กลับตกอยู่ในความรู้สึกเสียดเสียวเจ็บแปลบที่กลางอก ความรู้สึกดีๆ ที่ฟูฟ่องล่องลอยอยู่ในหัวใจหลังกลับมาจากการแช่น้ำแร่อุ่นๆ เหมือนถูกกระชากออกไปอย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัว

“อภัยด้วยหากข้าทำให้ท่านหญิงไม่พอใจ แต่ข้าตัดสินใจแล้วและท่านตกลงใช่ไหมลอร์ดนิโคล”

“หม่อมฉันยินดีฝ่าบาท..” นิโคลเพียงน้อมรับคำตามที่จูเลียนตัดสินใจ จูเลียนยิ้มน้อยๆ มองหน้าพี่ชายอย่างพอใจ ทั้งที่คิดหาสารพัดคำพูดเพื่อเอาไว้กล่อมให้นิโคลยอมทำตาม ไม่คิดว่าพี่ชายจะยอมตกลงง่ายดายอย่างนี้ แต่ในขณะที่จูเลียนยินดีจนแทบจะลุกขึ้นโห่ร้องไปทั่วห้องประชุม กลับมีใครอีกคนที่กำลังปั้นหน้าไม่ถูกกับความผิดหวังที่ก่อเกิด ตั้งแต่อะไรยังไม่ทันได้เริ่มต้นแต่เพราะภาระหน้าที่ ผลประโยชน์ของบ้านเมืองจึงต้องมาก่อน

ด้วยว่าออสเซนเทียนั้นแม้จะเป็นอาณาจักรใหญ่แต่ก็ไม่มีพื้นที่ติดกับทะเล การติดต่อค้าขายทางทะเลจึงต้องผ่านออกไปทางมมอนทาร์น่าเป็นส่วนใหญ่ มีภูมิประเทศที่ดีที่สุดจึงเอื้ออำนวยให้เป็นประเทศที่ค่อนข้างมั่งคั่ง และอุดมไปด้วยอาหาร มีภูเขา ที่ราบสูง ที่ราบลุ่ม เหมืองเหล็ก เหมืองทอง มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน จึงเหมาะสำหรับทำการเกษตรและปศุสัตว์ ทำให้ได้เปรียบประเทศเพื่อนบ้านอย่างสวาเนียร์และมอนทาร์น่า ที่ถึงแม้จะมีพื้นที่ติดทะเลทั้งสองประเทศ แต่ก็ขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นหลายอย่าง

“หม่อมฉันเห็นด้วยกับฝ่าบาทอย่างยิ่ง อนาสตาเซียเองอายุยังน้อยหากได้ผู้ใหญ่อย่างลอร์ดนิโคลคอยดูแลสั่งสอนนาง ก็คงจะดีไม่น้อยเลย” ลอเรนแอบซ่อนแววตาหวั่นไหวอย่างมิดชิด ดวงเนตรสีฟ้าทอประกายแววหวานจดจ้องแน่วแน่อยู่ที่พักตร์นวลปลั่งอมชมพูของจูเลียน โดยไม่ไขว้เขวมองคนที่นั่งอยู่ข้างยุวกษัตริย์เลยแม้หางตา

“ขอบคุณลอร์ดลอเรนที่เข้าใจ ถ้าตกลงตามนี้ข้าคิดว่าท่านรัฐมนตรีคงช่วยดูแลเรื่องระหว่างเรากับสวาเนียร์ ในการจัดงานให้เร็วที่สุดนะ” จูเลียนหันไปพูดกับโจเซฟ

“แน่นอนฝ่าบาทข้าคิดว่าลอร์ดนิโคลคงพร้อมที่จะเดินทางตามท่านหญิงไปที่สวาเนียร์เร็วๆ นี้” โจเซฟหันไปมองหน้านิโคลคล้ายกับบอกกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องขอทูลลา” รัฐมนตรีกับที่ปรึกษาสภาออกไปแล้ว จึงเหลือเพียงพี่น้องจากสองเมืองที่ยังนั่งมองตากันเงียบ แต่เพราะยากจะทนความอึดอัดในการอยู่ตรงนี้ต่อไปได้ไหว ลอเรนจึงต้องเอ่ยลา

“ข้ากับอนาสตาเซียเองก็คงต้องขอตัวก่อนฝ่าบาท”

“เชิญท่านหญิงกับลอร์ดลอเรนพักผ่อนกับตามสบายเลยนะ พรุ่งนี้ก็เดินทางกลับแล้วนี่แต่อย่าลืมงานเลี้ยงคืนนี้ล่ะ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

....

....

“พี่จะไม่พูดอะไรหน่อยหรือไง” จูเลียนถามขึ้นเมื่อสองพี่น้องจากสวาเนียร์ออกไปแล้ว

นิโคลยักไหล่ใบหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่รู้สึกรู้สมอะไรกับการถูกจับแต่งงาน “แล้วข้าจะพูดอะไรได้ล่ะ”

“ท่านไม่ชอบนางหรือไง”

“นางก็..น่ารักดี”

“แค่นี้หรอกหรือนิโคล นางเป็นว่าที่คู่หมั้นของพี่นะ”

“แล้วข้าเลือกได้ไหมล่ะ หรือต้องมาเถียงกันต่อหน้าแขกบ้านแขกเมืองเป็นเด็กๆ เจ้าตัดสินใจอะไรไม่ปรึกษาข้าเลยนะ “จูเลียนอมยิ้มแอบสะใจอยู่ลึกๆ ที่ได้เอาคืนพี่ชาย

“พี่ไม่ได้ชอบใครอยู่ก่อนหรอกใช่ไหมล่ะ พี่ไม่เหมือนข้าที่มีคนรักอยู่แล้วใช่ไหม” นิโคลเพียงแค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ มีหรือไม่มีสำหรับเขาตอนนี้มันจะสำคัญอะไร ในเมื่อหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อบ้านเมืองต้องมาก่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างที่ถูกสอนมาตั้งแต่เล็กจนโต

“ต่อไปเราคงทำการค้ากับนานาประเทศฝั่งโพ้นทะเลได้ง่ายขึ้น นี่เป็นเพราะความดีความชอบของพี่ทั้งนั้นเลยนะ”

“ก็คงดี แต่ข้าไปล่ะ”

“อ้าวนิโคลพี่จะไปไหน อยู่คุยกันก่อนสิ ข้าอยากคุยเรื่องปราสาทเอวาเลียนนะ”

“วันนี้เจ้าอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ข้าจะปล่อยเจ้าสักวันก็แล้วกัน” จูเลียนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้จนนิโคลชะงัก “มีอะไร”

“ข้าดูอะไรผิดไปหรือเปล่านิโคล แต่ดูตาพี่แล้วเหมือนคนกำลังจะทำเรื่องอะไรสนุกๆ เลยนะ”

“ข้าไม่มีความคิดอะไรแบบเด็กๆ เหมือนเจ้าหรอกนะจูเลียน ที่จะคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุกทุกเรื่อง”

“แต่ข้าว่ายกเว้นเรื่องที่พี่กำลังจะทำอยู่ตอนนี้แน่ๆ ละ” ดูก็รู้ว่านิโคลกำลังพยายามกลั้นยิ้มและกลบเกลื่อนด้วยการตีสีหน้าขรึมเข้าไว้ คนที่คิดว่าตัวเองรู้ทันพี่ชายจะได้ไขว้เขว และไม่มัวแต่มาคาดเดาว่าเขากำลังคิดทำอะไร

“ไม่มีอะไรหรอกน่าข้าไปล่ะ”

“รีบไปไหนของเขานะ” จูเลียนบ่นตามหลังพี่ชายแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก และในที่สุดกษัตริย์หนุ่มน้อยก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุมไปเป็นคนสุดท้าย

งานเลี้ยงอาหารค่ำอันหรูหราที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรส และเครื่องดื่มอย่างไวน์ชั้นดีที่หาดื่มไม่ได้ง่ายๆ ทั่วไป จัดขึ้นภายในปราสาทกลางอันกว้างใหญ่ที่สร้างขึ้นมาสำหรับเอาไว้จัดงานพิเศษต่างๆ โดยเฉพาะ ห้องจัดงานเลี้ยงคืนนี้เป็นห้องโถงใหญ่ที่กว้างขวาง ตรงกลางห้องนั้นเป็นโต๊ะยาวสุดตามความยาวของห้องมีเก้าอี้ตั้งเรียงไว้ในระยะพอดี ที่มีเครื่องใช้จัดวางเอาไว้อย่างสวยงามเป็นระเบียบ จานเซรามิกเนื้อดีเดินลายทองหรูหราจัดไว้ตรงกับตำแหน่งของเก้าอี้แต่ละตัว วางบนจานนั้นเป็นผ้าลินินเนื้อนิ่มขลิบขอบทองพับแต่งเป็นรูปทรงมงกุฎ รอการหยิบออกไปใช้งาน ชุดเครื่องใช้เนื้อเงาวาวประดับด้ามทองลวดลายเข้ากันทั้งมีด ช้อน และส้อมขนาดต่างๆ แก้วทรงสูงก้านทองยาวของมันทำออกมาเป็นลายเดียวกัน จนดูวิจิตรบรรจงเข้ากับชุดเชิงเทียนทองที่ตั้งเอาไว้เป็นระยะ แต่งความหรูหราด้วยแท่งเทียนไขสีขาว ตัวเทียนสลักลายกุหลาบอย่างสวยงามและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เสริมความอลังการสมเกียรติด้วยโคมไฟคริสตัลระย้าด้านบนอีกหลายชุด อันเป็นจุดให้แสงสว่างนวลตาภายในห้อง ทำให้บรรยากาศคืนนี้ดีราวกับกำลังอยู่ในห้วงฝัน

ท่ามกลางสายลมต้นฤดูหนาวภายในบริเวณพระราชวัง ห้องจัดเลี้ยงได้รับความอบอุ่นที่ส่งออกมาจากเตาผิงหลายจุดรอบห้อง เมื่อถึงเวลาแขกรับเชิญทยอยเข้าสู่งานจนที่นั่งเต็ม อาหารเลิศรสก็ถูกนำออกมาพร้อมไวน์ชั้นเลิศรสชาตินุ่ม ที่ถูกรินลงสู่แก้วให้น้ำสีม่วงเข้มอมแดงต้องแสงสะท้อนล่อลิ้นมาดื่มชิม

เมื่อดื่มกินกันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็มาถึงช่วงเวลาแห่งความสนุกของงานเต้นรำ จูเลียนเฝ้ามองคู่เต้นรำในชุดแต่งกายหรูหรา ที่เต้นคลอเคลียอยู่กลางงานด้วยสายตาเบื่อหน่าย ด้วยว่าใครๆ ก็ยิ้มหัวเราะกันอย่างมีความสุขทั้งนั้น ที่ฟลอร์เต้นรำกลางงานเลี้ยง นิโคลกำลังเต้นรำกับอานาสตาเซียว่าที่คู่หมั้นที่ดูจะเป็นจุดสนใจที่สุดของงาน เพราะข่าวที่ถูกประกาศออกไป ส่วนทาร์เทียน่าตั้งแต่เปิดงานก็ดูเหมือนว่านางจะเปลี่ยนคู่เต้นมาแล้วหลายคน เหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และตอนนี้ก็กำลังเต้นรำอยู่กับกษัตริย์อเล็กซิสจากมอนทาร์น่า ที่ดูจะคุยกันอย่างถูกคอเสียเหลือเกิน ระหว่างเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์กับกษัตริย์หนุ่มโสดนับว่าเป็นคู่ที่หลายคนจับตามองอยู่เหมือนกัน

ดวงเนตรสีเขียวมองรอยยิ้มของขนิษฐาแฝดอย่างดูแคลน แล้วกวาดตามองไปรอบๆ งานผ่านคู่เต้นรำอีกหลายคู่และหนึ่งในนั้นก็สะดุดตาจูเลียนเข้าเต็มๆ

หญิงสาวคนนั้นนางชื่อลีอานน่า เป็นลูกสาวของรัฐมนตรีโจเซฟ นางสวยน่ารักในชุดคลุมยาวกรุยกรายสีแดงกลีบกุหลาบเปิดไหล่ ตามแบบสมัยนิยม ลำคอระหงประดับด้วยสร้อยอัญมณีเม็ดเล็กๆ เรียงสวยต่อกันมาถึงจี้ตรงกลางระหว่างเนินเนื้ออวบอัด ซึ่งเป็นอัญมณีเม็ดใหญ่เม็ดเดียวดูโดดเด่น หน้าอกล้นจนแทบทะลักแต่ช่วงเอวคอดเล็กด้วยโครงรัดอย่างดีนั่นส่งให้เนินอกอวบเด่นขึ้น รูปร่างของนางดูอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอมจนชายหนุ่มหลายคนในงานมองเคลิ้ม หลังจากกรอสเซ่ยอดรักเต้นรำกับจูเลียนแค่เพลงเดียวก็พากันมานั่งพัก แต่นั่งคุยกันได้ไม่นานกวีหนุ่มก็แสดงความเป็นสุภาพบุรุษ ด้วยการบอกว่าลีอานน่าช่างน่าสงสารนัก เพราะไม่มีหนุ่มคนไหนมาขอนางออกไปเต้นรำเลย ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าอายสำหรับหญิงสาวในสังคมชั้นสูงของออสเซนเทีย ที่อยู่ในงานเต้นรำรื่นเริงแท้ๆ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ กรอสเซ่เลยขออาสากู้หน้าให้นางด้วยการเชิญออกไปเต้นรำด้วยกัน จนจูเลียนได้แต่นั่งมองอย่างไม่ชอบใจพอๆ กับโจเซฟพ่อของนาง ที่อุตส่าห์กันชายหนุ่มหลายคนที่ทำท่าจะเข้ามาขอนางเต้นรำไว้ เพื่อจะหาทางส่งเสริมชี้ชวนให้จูเลียนชวนนางออกไปเต้นด้วยกัน แต่โอกาสยังไม่ทันได้มาถึง กวีหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายยุวกษัตริย์ก็เสนอหน้าขึ้นมาก่อน โดยมองข้ามสายตาไม่พอใจของโจเซฟไปอย่างไม่ไยดี

แม้กรอสเซ่จะบอกว่าช่วยลีอานน่ากู้หน้า แต่จูเลียนก็ไม่พอใจที่คนรักของตัวเองไปเต้นรำกับหญิงอื่นหน้าระรื่นแบบนั้น กษัตริย์หนุ่มน้อยฝืนเฝ้ามองด้วยเนตรขวางขุ่น การพูดคุยสนทนากับเหล่าขุนนางและแขกที่นั่งอยู่ด้วยกันเริ่มน่าเบื่อ แต่ถึงแม้ว่าจะไม่โปรดจูเลียนก็ไม่อาจละสายตาจากฟลอร์เต้นรำได้ พออะไรๆ ก็ดูเหมือนจะขัดตาขัดใจไปเสียหมดเพราะรอยยิ้มของยอดรักที่ยิ้มให้คู่เต้นรำ กษัตริย์หนุ่มน้อยจึงลุกออกมาจากตรงนั้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด จูเลียนหงุดหงิดจนอยากฟาดงวงฟาดงาใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทาง หงุดหงิดจนทำเป็นไม่เห็นยามมีคนทักทายหรือทำความเคารพระหว่างเดินออกมา หงุดหงิดจนอยากจะกรีดร้องดังๆ เพื่อระบาย หงุดหงิดจนไม่อยากสนทนาปราศรัยกับใครแล้วแม้กระทั่งลีโอที่ปรี่เข้ามาหาจูเลียนทันที ที่เห็นเจ้านายกำลังจะเดินออกไปจากห้องจัดงาน

ต่อค่ะ...
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 9 แผนสลับตัวง่ายกว่าที่คิด 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-11-2018 19:38:11


“ฝ่าบาท จะเสด็จไหน”

“ข้าเบื่อจะออกไปเดินเล่น”

“ปกติก็โปรดงานเต้นรำทำไมวันนี้ฝ่าบาทถึงเบื่อล่ะ”

“ก็ข้าเบื่อมันก็คือเบื่อนั่นแหละ เจ้าไม่เข้าใจหรือไงล่ะลีโอ” ลีโอเงียบปากด้วยว่ายิ่งถามตัวเองยิ่งจะกลายเป็นคนที่โดนเบื่อเสียเอง จึงได้แต่ก้มหน้าเดินตามเจ้านาย ที่เดินฝ่าความหนาวเย็นออกไปยังสวนด้านหลังปราสาทจัดงานเงียบๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงจูเลียนทักจึงได้เงยหน้าขึ้นดู

“นั่นใคร”

“ไหนเหรอฝ่าบาท”

“ที่ยืนอยู่ข้างพุ่มไม้นั่นไง ออกมาเดี๋ยวนี้” จูเลียนเห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างพุ่มไม้จึงสาวเท้าเร็วๆ เดินเข้าไปดูใกล้ๆ และทักออกมาทันทีที่เห็นใบหน้าคมคายนั้นชัดเจนแม้จะอยู่ในแสงสลัว ใบหน้ากวนอารมณ์ที่จูเลียนจำได้เป็นอย่างดีแม้จะเจอกันเพียงครั้งเดียว “เอ๊ะ..เจ้านั่นเอง”

“ทำไมล่ะ” เจ้าของร่างข้างพุ่มไม้ถามกลับด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์ ในแบบที่จูเลียนได้ยินแล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม กษัตริย์หนุ่มน้อยเอียงคอพลางขมวดคิ้ว ดวงเนตรสีเขียวมรกตหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อจ้องมองเจ้าของร่างสูงในชุดแปลกตาอย่างพินิจ

“เจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”

“ไม่เห็นแปลกในเมื่อข้าก็ได้รับเชิญมางานเลี้ยงเต้นรำ” จูเลียนมองบุรุษหนุ่มร่างสูงตรงหน้าด้วยสายตาสำรวจ แม้ตรงนั้นจะมีแสงส่องให้เห็นเพียงสลัว แต่กษัตริย์หนุ่มน้อยก็จำชายที่อยู่ตรงหน้าได้ทันที แม้เขาจะแต่งกายผิดไปจากที่เคยเห็น แม้มันจะดูดีแปลกตาด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่บ่งบอกถึงความมั่งคั่งของผู้สวมใส่ ก็ไม่ทำให้จูเลียนลืมภาพชายหนุ่มใบหน้ารกครึ้มด้วยหนวดเคราและชุดคลุมดำมืด ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่คนคนเดียวกันกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ต่อหน้าของจูเลียนตอนนี้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว

“เจ้าโกหก ข้าไม่ได้เชิญเจ้ามางาน”

“ข้าได้รับเชิญ แต่ถ้าเจ้ายืนยันว่าไม่ได้เชิญข้ามา ข้าขอตัวกลับเลยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มกำลังจะก้าวออกไปจากตรงนั้น แต่น้ำเสียงเอาเรื่องขัดขึ้นเสียก่อน

“เดี๋ยวลักลอบเข้ามาถึงในวัง คิดหรือว่าจะกลับออกไปได้ง่ายๆ เหมือนเข้ามาเดินเล่น ทหารมีผู้บุกรุก ใครอยู่แถวนี้มีผู้บุกรุก”

“ท่านโรฮานส์!” ลีโอที่เพิ่งเดินตามมาทันทักขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จนจูเลียนต้องหันไปมองคนสนิทอย่างแปลกใจ

“ลีโอ เจ้ารู้จักชายผู้นี้หรือไง”

“ฝ่าบาทนี่คือท่านโรฮานส์ผู้ชนะการประลองประจำปีนี้ไง” น้ำเสียงของลีโอนั้นบ่งบอกว่ากำลังตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด และไม่รักษากิริยาเอาเสียเลย เมื่อได้เจอยอดฝีมือที่เจ้าตัวปลาบปลื้มตั้งแต่วันที่ได้คุยกัน หลังจากชายหนุ่มชนะการประลอง

“อะไรนะลีโอ เขาคือผู้ชนะการประลองประจำปีนี้อย่างนั้นหรือ” ฮานส์แยกขาออกเล็กน้อยเพื่อยืนด้วยท่าทางที่มั่นคง กล้ามเนื้อต้นแขนแน่นๆ เบียดตัวขึ้นเป็นลอนสวยภายใต้เสื้อตัวหนา เมื่อเขายกสองแขนขึ้นมากอดอกและเชิดหน้ารับด้วยท่าทางกวนอารมณ์ แต่พอจูเลียนหันมามองหน้าชายหนุ่มก็ยักไหล่อย่างอวดดีให้หงุดหงิดเล่นเสียอย่างนั้น

“ใช่แล้วฝ่าบาท นี่คือท่านโรฮานส์ยอดฝีมือที่ชนะการประลองปีนี้” และนั่นยิ่งทำให้จูเลียนเกิดความเดือดดาลมากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งที่ลีโอบอกมันเป็นเหมือนตอกย้ำว่าชายหนุ่มร่างสูงคนนี้ คือผู้ที่อวดดีต่อหน้ากษัตริย์แห่งออสเซนเทีย คือชายที่ท้าทายและไม่ทำตามคำสั่ง คือชายที่หยามน้ำหน้าและเมินอำนาจของยุวกษัตริย์ คือเขาคนนี้ที่ชื่อโรฮานส์!

“เหอะ ท่านโรฮานส์ยอดฝีมือเหรอลีโอ ทหาร!”

“เดี๋ยวๆ ฝ่าบาทจะเรียกทหารมาทำไม”

“ข้าก็จะให้ทหารมาจับยอดฝีมือของเจ้าไงลีโอ”

“ด้วยความผิดอะไรล่ะฝ่าบาท ท่านโรฮานส์เป็นผู้ชนะการประลองซึ่งก็ได้รับเชิญมางานด้วยอยู่แล้วนี่”

“ข้าไม่สนใจ แต่ผู้ชนะการประลองของเจ้าอวดดีใส่ข้าและเขาต้องถูกลงโทษ..ข้าจะลงโทษเขา” เพราะวันนั้น วันที่ฮานส์ชนะการประลองแต่กลับปฏิเสธที่จะถอดหมวกเกราะปิดบังใบหน้าออก ซึ่งมันขัดคำสั่งและขัดใจจูเลียนเป็นอย่างมากจนจำได้ขึ้นใจมาถึงตอนนี้ ไหนจะค่ำคืนหนีเที่ยวที่ถึงแม้ว่าจูเลียนจะได้รับความช่วยเหลือจากฮานส์ แต่ชายหนุ่มชุดดำในค่ำคืนนั้นก็ทำให้เจ็บตัวกลับมาอยู่ไม่น้อย

“ทำไมล่ะฝ่าบาท”

“นั่นสิข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรผิดทำไมต้องถูกลงโทษ งานเลี้ยงนี่ก็ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนข้าไปดีกว่า” แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่รู้แก่ใจ ฮานส์ขำความเจ้าคิดเจ้าแค้นของกษัตริย์หนุ่มน้อยตรงหน้า ที่ยังคงขุ่นข้องไม่พอใจกับเรื่องวันนั้นอยู่ แค่ผู้ชนะการประลองไม่ยอมถอดหมวกเกราะออกตามคำสั่งให้เห็นใบหน้าเท่านั้นเอง แต่ก็นั่นแหละ จูเลียนโกรธเพราะเขาขัดคำสั่งต่างหาก ใช่ว่าอยากจะเห็นหน้ารกไปด้วยหนวดเคราเสียเมื่อไหร่

“เดี๋ยวเจ้ายังไปไหนไม่ได้ วันนั้นเจ้าขัดคำสั่งข้ายังไงข้าก็ต้องลงโทษเจ้า” นั่นปะไร

“ข้าไม่ได้เป็นทาสของเจ้านะจูเลียน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า”

“มากไปแล้วนะ ลืมแล้วหรือไงว่าข้าเป็นกษัตริย์ของเมืองนี้ เจ้าอยู่ในเมืองนี้ก็ถือว่าอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของข้า แล้วยังจะมาทำอวดดีก็ถือว่ามีความผิด ลีโอไปตามเซอร์เฮนริชกับเซอร์เลนนี่มา”

“เดี๋ยวๆ ฝ่าบาท” ลีโอเหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าทั้งสองกำลังทะเลาะกันใหญ่โตจึงพยายามเรียกไว้

“ไปเดี๋ยวนี้ลีโอ” ดูท่าว่าเรื่องจะบานปลายและจูเลียนคงไม่ยอมจบง่ายๆ ลีโอจึงรีบวิ่งไปตามอัศวินทั้งสองของจูเลียนมา และพอลีโอวิ่งหายไปในความมืดของสวนแล้ว จูเลียนก็หันกลับมาหาชายหนุ่มที่ยังยืนกอดอกมองตอบ ด้วยท่าทางกวนอารมณ์อยู่เช่นเดิม



@@@@@@@@@@@@@@



ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นท่ามกลางความหนาวเหน็บนอกปราสาท เพราะจูเลียนเพิ่งได้รู้ว่าผู้ชนะการประลองที่แสนอวดดีคือคนที่ช่วยเหลือในค่ำคืนนั้น แต่ความโกรธที่ถูกขัดใจมันมีมากกว่า จึงหมายจะให้อัศวินฝีมือดีของตัวเองมาจับชายหนุ่มไปลงโทษ ทั้งที่ภายในห้องจัดเลี้ยงงานเต้นรำก็ยังดำเนินไปท่ามกลางเสียงหัวเราะ และความสนุกสนานของผู้มาร่วมงาน คู่เต้นรำหลายคู่ยังก้าวเดินตามจังหวะเพลงอยู่กลางฟลอร์เต้นรำ แขกหลายคนนั่งดูจนเพลิน แต่ที่ไม่เพลินก็คงจะเป็นลอร์ดหนุ่มจากต่างเมือง ที่กำลังนั่งดูคู่เต้นรำว่าที่คู่หมั้นด้วยหัวใจเจ็บแปลบ ความหม่นเศร้าฉายชัดบนพักตร์ขาวนวลราวน้ำนมและนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่าง ที่มักจะสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลของคนที่กำลังเต้นรำกับว่าที่คู่หมั้น ยามที่ใครคนนั้นเหลือบมองมา แต่ยังต้องพยายามฝืนตัวเองเอาไว้เพื่อจะได้อยู่ร่วมจนจบงาน

“เจ้าไม่อยากออกไปเต้นรำสักหน่อยหรือลอร์ดลอเรน” เสียงที่ดังขึ้นข้างๆ ทำให้ลอเรนต้องหันไปมอง และพบเข้ากับนัยน์ตาเจ้าชู้รักสนุกที่จ้องมองมาพร้อมกับรอยยิ้มหวานโปรยเสน่ห์

“ข้า..คงไม่ได้เต้นรำหรอกเพราะคืนนี้คงไม่มีคู่เต้นเหมือนคนอื่นเขา”

“สาวๆ เหล่านั้นสวยๆ ทั้งนั้นนะเจ้าไม่สนใจใครสักคนเลยหรือไง” ถามแล้วกวาดสายตามองไปยังเหล่าสาวสวยที่มาร่วมงาน ซึ่งส่วนมากก็เป็นลูกสาวของขุนนางหรือลูกสาวของคหบดีในสังคมชั้นสูงที่ได้รับเชิญ “หรือเจ้าหวงน้องสาวที่กำลังเต้นรำกับว่าที่คู่หมั้นของนาง"

ลอเรนยิ้มบางๆ ให้กับสายตาซุกซนของคนถาม “ข้าคงต้องยอมสารภาพแล้วล่ะว่าไม่ถนัดเรื่องการเต้นรำจริงๆ”

“อยากถนัดขึ้นไหมล่ะ ข้าเป็นครูสอนเต้นรำที่เก่งมากนะ”

“สาวๆ ที่มอนทาร์น่าคงเต้นรำเก่งกันทั้งนั้นสินะเพราะได้ครูดีอย่างท่าน และท่านก็ช่างใจดีเหลือเกินลอร์ดแอนดีส ขอบคุณแต่ข้าต้องขอผ่านเพราะคงไม่ไหวจริงๆ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าขออนุญาตพาลอร์ดแอนดีสไปเต้นรำก่อนนะ” เสียงของผู้มาใหม่แทรกขึ้นพร้อมกับรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่ช่วงเอวเหมือนกำลังถูกโอบ แอนดีสหันไปมองด้านข้างที่มีร่างสูงเข้ามายืนประกบชิด และลูบแผ่นหลังของเขาด้วยการสอดมือผ่านเสื้อคลุมตัวใหญ่เข้ามาอย่างแนบเนียน

“เซอร์เลนนี่” แอนดีสกัดฟันเรียกทั้งที่ใบหน้ายังไม่เปลี่ยนไปจากรอยยิ้มหวานละมุน ลอเรนเผยยิ้มกว้างแววตาเป็นประกายอย่างไม่ปิดบังว่ากำลังตื่นเต้น ที่จะได้เห็นเรื่องสนุก ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ไม่ได้รู้เรื่องราวความสัมพันธ์ฉาบฉวยของหนึ่งเจ้าชายกับหนึ่งอัศวินหลวง เพียงแต่กำลังคิดว่าหากชายหนุ่มสองคนที่ขนาดตัวสูงใหญ่พอๆ กันมาเต้นรำคู่กัน ภาพมันจะออกมาเป็นเช่นไร แค่คิดลอเรนก็แทบจะเก็บกิริยาอันสุขุมต่อหน้าธารกำนัลเอาไว้ไม่อยู่ “เชิญท่านทั้งสองตามสบายนะข้าขอเป็นแค่ผู้ชมก็พอ”

“แต่ข้า..”

“แสดงให้ข้าดูหน่อยสิลอร์ดแอนดีส ว่าท่านเป็นครูสอนเต้นรำที่เก่งจริงหรือเปล่า เผื่อข้าจะได้ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์บ้าง” เลนนี่นึกขอบคุณลอเรนในใจพลางค้อมศีรษะให้ลอร์ดทั้งสอง

“เชิญท่านลอร์ด” อัศวินหนุ่มผายมือเชื้อเชิญ แต่นั่นมันเล่นเอาแอนดีสกัดฟันกรอดทีเดียว จนความรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจปรากฏขึ้นผ่านแววตาขวางขุ่น แต่สองขาก็จำต้องก้าวตามคำเชื้อเชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่เกลียดสายตาของเลนนี่ที่กำลังมองมาพร้อมรอยยิ้มซุกซนนั้นยิ่งนัก

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”

“เจ้าไม่รู้สึกว่ามันน่าขำไปหรอกหรือไงที่ผู้ชายตัวโตๆ สองคนมาเต้นรำคู่กันแบบนี้”

“ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าขำตรงไหนเลยสมัยก่อนโรงเรียนสอนเต้นรำก็รับแต่ผู้ชาย จะว่าไปขนาดผู้ชายตัวโตๆ สองคนร่วมรักกันบนเตียงท่านก็เคยเห็นมาแล้วนี่ แล้วมันน่าขำหรือไม่ล่ะ”

“เจ้า..!”

“ทำหน้าตาอะไรของท่านเนี่ยลอร์ดแอนดีส เคยมีหรือไม่ที่คิดอยากจะยิ้มสวยๆ ให้ข้าบ้าง”

“...” แอนดีสกัดริมฝีปากตัวเองและเงียบ ดวงตาเจ้าชู้มีประกายแข็งกร้าวเมื่อหันไปมองทางอื่น

“ไม่มีสักครั้งเลยสินะ”

“ใช่ไม่มี และจะไม่มีวันมีหรอกข้ามั่นใจ ปล่อยข้าสักที!”

“ชู่ว อย่าทำเสียงดังสิ”

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่เซอร์เลนนี่”

“ข้าต่างหากที่ต้องถามท่านลอร์ดแอนดีส”

“ข้าไม่ได้ต้องการอะไรจากอัศวินชั้นต่ำอย่างเจ้าหรอกนะ” ถึงรอยยิ้มเหยียดนั่นไม่ใช่แบบที่เลนนี่ต้องการ แต่อัศวินหนุ่มก็ไม่ได้ละสายตาไปจากมัน

“แล้วที่แอบมองข้านี่หมายความว่าอย่างไรล่ะ” แอนดีสชะงักไปเพียงนิดเดียวในเสี้ยวเวลาที่ได้ยินคำพูดดักทาง แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจรอดพ้นสายตาคมของอัศวินหนุ่มที่เฝ้าสังเกตอยู่ไปได้ เป็นความจริงว่าคืนนี้ ตั้งแต่เข้ามาในงานเลี้ยงจนถึงช่วงเวลาของงานเต้นรำ แอนดีสแอบมองเลนนี่อยู่หลายครั้ง ทั้งที่รู้ตัวและเผลอหันไปมอง จนบางทีก็ถูกจับได้เมื่อเลนนี่หันมาสบตากันเข้าพอดี

“ใครว่าข้าแอบมองเจ้า ข้าแค่มองดูผู้คนรอบๆ งาน”

“ก็คงวนมองกลับทางที่ข้ายืนอยู่บ่อยเกินไปแล้วล่ะ ตอนนี้ท่านดูทั่วหรือยังล่ะ”

“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย เจ้าไม่มีอะไรคู่ควรที่จะได้รับความสนใจของข้าหรอกนะ เซอร์เลนนี่”

“หึ”

“ยิ้มทำไม”

“ยิ้มให้ความต้อยต่ำของตัวเองกระมัง ท่านทำข้าเศร้ามากเลยนะ”

ความเศร้าที่แสดงออกมาผ่านรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เล่นเอาคนมองที่หงุดหงิดอยู่แล้วยิ่งทวีความหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม แอนดีสกัดฟันกรอดแล้วบอกเสียงลอดไรฟันออกมา “เจียมตัวของเจ้าไว้บ้างเถอะ”

“ท่านอย่าเย็นชากับข้านักสิ..” เลนนี่กวาดตามองไปทั่วพักตร์บึ้งตึงด้วยสายตาหยอกเย้า อัศวินหนุ่มใช้เวลาชั่งใจเพียงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าไม่ตอบโต้เขาจึงพูดต่อ “เพราะนั่นน่ะ..ยิ่งจะทำให้ความพยายามอยากเอาชนะของข้าที่มีต่อท่าน มันพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิมมากเลยนะ”

ได้ยินแบบนั้นก็เป็นทีของคนจอมหยิ่งและถือตัวแค่นยิ้มออกมาบ้าง “หึ เจ้าหวังอะไรอยู่ข้าไม่รู้หรอกนะ แต่อย่าหวังให้มันสูงมากนัก ข้าไม่อยากย้ำบ่อยๆ หรอกว่าให้เจ้าเจียมตัว”

“ขอบคุณที่ท่านจะไม่ย้ำบ่อยๆ ลอร์ดแอนดีสท่านช่างน้ำใจงามจนน่า..”

“..”

“น่าหลง..ข้าเป็นอย่างนั้นจนจะแย่อยู่แล้ว”

“หึเจ้ามันก็แค่..”

“ไหนท่านบอกจะไม่ย้ำข้าไง”

“ทีหลังข้าจะเมตตาเจ้าบ้างก็แล้วกัน” แอนดีสแสยะยิ้มอย่างคนที่เหนือกว่า “หลังจาก...”

“เซอร์เลนนี่!”

“ว่าไงลีโอ”

“ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้ว”

“ที่ไหน”

“ตามข้ามา”

“เดี๋ยวสิ..” อยู่ดีๆ ก็เกิดความรู้สึกเย็นวูบเมื่อร่างสูงของอัศวินหนุ่มผละออกไปทันที ที่คนสนิทของจูเลียนวิ่งเข้ามาหา แอนดีสยืนงงอยู่คนเดียวเมื่อถูกทิ้งเอาไว้กลางฟลอร์เต้นรำ เลนนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้ทิ้งกันไปหน้าตาเฉยเช่นนี้ ไปโดยไม่หันมาบอกกล่าวสักคำ เหมือนเดินข้ามหัวกันไปเสียดื้อๆ ทั้งที่แอนดีสเป็นถึงลอร์ด เป็นถึงเจ้าชาย นึกอยากจะเข้าหาก็เดินมาหา นึกอยากจะไปก็ไปเสียง่ายๆ กันอย่างนี้หรือ แอนดีสหงุดหงิดไม่พอใจและต้องการที่ระบาย เมื่อคนต้นเหตุไม่อยู่ให้ระบายจึงหันไปคว้าเอวบางของสาวน้อยนางหนึ่ง ที่กำลังเดินตามคู่เต้นรำของนางจากฟลอร์มาไว้ในอ้อมกอด หญิงสาวดูเหมือนจะพอใจอยู่ไม่น้อยที่หันมาเห็นว่าคนที่กระชากร่างนางไว้เป็นใคร ผิดกับชายหนุ่มคู่เต้นรำของนางที่มองมาอย่างไม่พอใจ กับการเสียมารยาทของลอร์ดหนุ่ม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะคู่กรณีเป็นถึงเจ้าชายซึ่งเป็นแขกบ้านแขกเมือง



@@@@@@@@@@@@@@@@



“เจ้ามันอวดดีข้าจะลงโทษให้หนักคอยดู” จูเลียนบอกแล้วกวาดตามองชายหนุ่มอีกครั้งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยสายตาดูแคลน “เจ้าไปขโมยเสื้อผ้าใครมาใส่”

“คิดว่าข้าไม่มีปัญญาหามาใส่เองหรือไง” ฮานส์ตอบแล้วเริ่มออกเดิน ทำให้จูเลียนเดินตามประกบ ด้วยจะไม่ยอมให้ชายหนุ่มคลาดสายตา

“ชุดนี้มันดีเกินไปสำหรับเจ้า” ใช่มันดีเกินไปสำหรับชายพเนจรอย่างโรฮานส์ กับชุดที่ตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อดีบุผ้าขนสัตว์ข้างในเพื่อให้ความอบอุ่น ตัวเสื้อเข้ารูปแบบคอตั้ง ด้านนอกเป็นผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มปล่อยชายยาวเหนือเข่า รัดช่วงเอวเอาไว้ด้วยเข็มขัดหนังสีดำขึ้นเงา กางเกงขายาวเนื้อผ้าและสีเดียวกันกับเสื้อ ซ่อนปลายขาเอาไว้ภายในรองเท้าขี่ม้าหนังสีดำ ที่ขัดจนเงาวาววับสูงเกือบถึงเข่า ห่มด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์อีกชั้นเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ระหว่างอกรั้งชายเสื้อคลุมทั้งสองด้านด้วยเข็มกลัดทองบ่งบอกถึงความมีฐานะ ใบหน้าคมคายนั้นแม้จะยังคงมีหนวดเคราขึ้นรกครึ้ม แต่ก็ดูเหมือนจะได้รับการขลิบแต่งมาเป็นอย่างดี ผิวพรรณหรือก็สะอาดสะอ้านไร้คราบเหงื่อไคล

“จะมองอีกนานไหม แต่บอกไว้ก่อนว่าข้าไม่ใช้คนขี้อายหรอกนะ” ฮานส์เลิกคิ้วทำท่าทางกวนอารมณ์ แต่แทนที่จะหงุดหงิดหรือเกรี้ยวกราดกับท่าทางอวดดีนั้น จูเลียนกลับเผลอยิ้มขำให้กับวาจามั่นใจในตัวเองของชายหนุ่ม ความขุ่นใจก่อนหน้านี้ไม่รู้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตอนนี้ทั้งรอยยิ้มและเนตรเขียวมรกตสุกใสดูเป็นธรรมชาติมากจริงๆ จนมองเพลิน

จูเลียนพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเพื่อจะบอก “ใช่ว่าข้าอยากมองนักนี่”

“ไม่เหรอ แต่ยิ้มอย่างนี้สายตาแบบนี้ของเจ้ามันเหมือนกำลังตกหลุมรักข้านะ” รอยยิ้มกับนัยน์ตาเป็นประกายหายไปทันที และถูกแทนที่ด้วยความถมึงทึง

“สำคัญตัวผิดไปแล้ว ข้ากำลังนึกดูแคลนเจ้าอยู่ต่างหาก”

“แต่สายตาเจ้าไม่ได้บอกข้าอย่างนั้นเลยนะฝ่าบาท” แม้จะเรียกด้วยคำที่ยกย่องแต่จูเลียนฟังยังไงก็รู้สึกว่าชายหนุ่มกำลังสนุกกับการปั่นหัวให้หงุดหงิด

“แล้วมันบอกว่ายังไง บอกว่าข้าตกหลุมรักเจ้าเข้าแล้วสินะ ข้าไม่อยากหยาบคายหรอกแต่มันไม่เพ้อเจ้อไปหน่อยหรือไงท่านโรฮานส์!” เมื่อฮานส์ใช้คำเรียกและน้ำเสียงที่ล้อเลียนได้จูเลียนก็ทำบ้าง โดยเรียกชื่อชายหนุ่มเต็มๆ เหมือนที่ลีโอเรียกด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์ ริมฝีปากอิ่มจิ้มลิ้มสีแดงสดแบะออกเล็กน้อย ให้กับความมั่นใจของคนร่างสูง ที่ไม่รู้ว่าไปเอาความคิดนี้มาจากไหน จูเลียนหรือจะตกหลุมรักชายแปลกหน้าคนนี้บ้าไปแล้ว “เผื่อเจ้าจะยังไม่รู้นะ เอ่อ ฮานส์ ไม่ได้อยากจะเรียกแบบสนิทสนมอะไรหรอกนะ แต่ชื่อเจ้ามันเรียกยากเลยขอเรียกสั้นๆ ก็แล้วกัน คือข้ามีคนรักของข้าอยู่แล้ว และเราก็รักกันมากด้วย”

“หึ แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ไหนเสียล่ะฝ่าบาท”

คำถามนี้ทำเอาจูเลียนชะงักไป “ก็..ในงานเลี้ยงนั่นไง”

“แล้วปล่อยให้คนรักของตัวเองออกมาเดินตากลมหนาวคนเดียวอย่างนี้หรือไง หิมะจะตกอีกแล้วนะเห็นไหม” ไม่รู้ว่าเดินมาถึงตรงนี้กันได้อย่างไร แต่พอพูดจบฮานส์ก็หยุดเดินแล้วหันมาจ้องตาจูเลียนตรงๆ ดวงตาสีดำมืดมีประกายเจิดจ้าเมื่อสะท้อนแสงดาวแต่กลับเดาความคิดไม่ถูก กษัตริย์หนุ่มน้อยกวาดตามองไปรอบๆ พบว่าตอนนี้ตัวเองเดินตามเจ้าของร่างสูงมาจนถึงอีกมุมหนึ่งของสวน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจุดที่เขาเจอฮานส์ตอนแรกคนละฝั่ง แต่พอหันกลับมาอีกทีก็แทบผงะ เมื่อใบหน้าเกือบชนเข้ากับอกกว้างๆ ของคนที่ขยับเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“อ๊ะ เจ้า!”

“ทำไมเงียบไปล่ะ” ลมหายใจอุ่นที่รดรินบนหน้าผาก ทำให้จูเลียนเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าคมคายที่ก้มลงมองอยู่ก่อนแล้ว เนตรเขียวสุกใสสบเข้ากับลูกแก้วสีดำมืดนิ่งค้างราวกับถูกสะกดให้หยุดการเคลื่อนไหว รู้สึกถึงสัมผัสที่แผ่นหลังและการกระชับกุมฝ่ามือ ที่ยังคงให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนวันที่ได้รับการช่วยเหลือจากมือสากคู่นี้ไม่มีผิด แต่ก่อนที่จูเลียนจะได้เหม่อลอยไปมากกว่านี้ ร่างเพรียวก็ถูกนำพาให้ขยับขาก้าวเข้ากับจังหวะของเสียงเพลงหวาน ที่ดังแว่วออกมาจากห้องจัดงานเลี้ยงภายในปราสาท

เขากำลังพาจูเลียนเต้นรำ! และเขายิ้ม เป็นยิ้มที่ไม่ใช่การยิ้มเยาะหรือยิ้มขำเหมือนที่ชอบทำยามได้แกล้งให้จูเลียนหงุดหงิด ชายหนุ่มกำลังยิ้มอ่อนเอ็นดูให้กับอะไรบางอย่างที่กำลังปรากฏต่อสายตา อะไรบางอย่างที่เหมือนความอึ้งและแปลกใจ ใช่แล้ว ตอนนี้จูเลียนกำลังอึ้งและแปลกใจกับสัมผัสอ่อนโยน ที่จู่โจมเข้ามาหาโดยไม่รู้ตัว อึ้งเพราะไม่คิดว่าอยู่ดีๆ คนจอมกวนอารมณ์ก็พากันเต้นรำเสียอย่างนั้น

ต่ออีก 1 ค่ะ ลงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 9 แผนสลับตัวง่ายกว่าที่คิด 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-11-2018 19:41:45

จูเลียนไม่ได้ต่อต้านหรือผลักไสร่างสูงให้ถอยห่าง ทั้งที่เหมือนจะไม่ค่อยพอใจในคราแรก แต่กลับขยับขาตามจังหวะที่ได้รับการนำพาอย่างนึกสนุก การเต้นรำท่ามกลางเกล็ดหิมะสีขาวโปรยปราย เหมือนกำลังเต้นรำท่ามกลางปุยนุ่นที่เยือกเย็น

“เจ้าเต้นรำเป็นกับเขาด้วยหรือไง” จูเลียนอดแปลกใจไม่ได้ที่ฮานส์เต้นรำได้ดีมากทีเดียว และยังยิ้มขำออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อคิดถึงบุรุษหนุ่มในความมืด ผู้มาพร้อมใบหน้ารกไปด้วยหนวดเคราและคราบเหงื่อ ราวกับโจรป่าในชุดคลุมดำ มันช่างผิดแผกกับชายหนุ่มในวันนี้ ที่ทำตัวราวกับลูกผู้ดีหรือเป็นขุนนางในวังก็มิปาน

“เจ้าชอบไหมล่ะ”

“ท่ามกลางหิมะนี่นะ”

“หนาวหรือไง”

จูเลียนรู้สึกถึงอ้อมแขนที่โอบกระชับ คิ้วคู่โก่งสวยจึงเลิกขึ้นอย่างซุกซนให้กับความบังอาจแบบห่ามๆ ของเจ้าของร่างสูง ที่ทั้งกวนอารมณ์ทั้งดูจะเอาแต่ใจตัวเองไม่น้อยไปกว่าจูเลียนเลย ไหนจะยังเดินหนีให้จูเลียนต้องเดินตาม ไหนจะยังพาเต้นรำท่ามกลางละอองหิมะที่กำลังโปรยปราย ไม่เคยมีใครพากษัตริย์หนุ่มน้อยทำอย่างนี้มาก่อน และนั่นมันทำให้จูเลียนลืมเรื่องราวต่างๆ ไปได้ชั่วขณะ ลืมความหยิ่งความถือตัว ลืมแม้กระทั่งความไม่พอใจที่มีก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น

“ก็ไม่เท่าไหร่” ถึงจะบอกว่าไม่เท่าไหร่แต่ความหนาวเย็นรอบตัวก็ทำให้เกิดไออุ่นเมื่อพูดออกมาเลยทีเดียว

“หลับตาสิ”

“หลับทำไม”

“หลับเถอะน่า”

“จะเชื่อสักครั้งก็แล้วกันเจ้าคนลึกลับ” ทั้งที่รอบข้างมีแต่คนคิดปองร้าย ไม่รู้ว่าจูเลียนไว้วางใจคนตรงหน้าได้อย่างไร ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน แต่จูเลียนก็ทำตามที่เจ้าของร่างสูงบอกอย่างว่าง่าย อย่างน้อยคนที่จูเลียนตราหน้าว่าเป็นเจ้าคนลึกลับ ก็เคยช่วยเหลือเอาไว้ครั้งหนึ่ง หากคิดประสงค์ร้ายจูเลียนคงไม่รอดตั้งแต่คืนนั้น

ท่ามกลางความหนาวเย็น และละอองหิมะที่โปรยปรายลงมาบางๆ ร่างสองร่างในความสลัวใกล้ชิดกันด้วยการก้าวเท้าให้เข้ากับจังหวะเพลง จูเลียนหลับตาโยกย้ายตัวไปตามทำนองที่มีเจ้าของร่างกายสูงใหญ่เป็นผู้นำพา รู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงฝันอันหนาวเหน็บ แต่ยังมีความอบอุ่นของการโอบกอดจากท่าเต้นรำ ความอบอุ่นแผ่ออกมาจากทั้งสองผ่านร่างที่เกือบแนบชิด จูเลียนรู้สึกสบายใจและเป็นตัวของตัวเองจนกระทั่ง….

“อื้ออออ เจ้า!”

“อะไร”

“เจ้าจูบข้า!”

“ก็มันอดใจไม่ไหวนี่”

“อะไรอดใจไม่ไหว นี่เจ้าหลอกให้ข้าหลับตาแล้วฉวยโอกาสจูบข้าใช่ไหม”

“ข้า..เอ่อ ช่างเถอะ”

“อะไรนะ นี่เจ้าบังอาจมาจูบข้าแล้วจะพูดว่าช่างเถอะออกมาง่าย ๆ นี่นะ”

“แล้ว แล้วจะให้ข้าทำยังไงล่ะ อยากให้ข้ารับผิดชอบหรือไง”

“เจ้ามันบ้าไปแล้วบ้าที่สุดข้าไม่น่าเชื่อเจ้าแต่แรกเลย” ฮานส์กัดปากด้วยจำนนต่อความผิดและความเผลอของตัวเอง ตั้งแต่อยู่ดีๆ ก็นึกอย่างพาเจ้าของร่างเพรียวเต้นรำ หลังจากที่แอบเห็นว่าจูเลียนนั่งมองคู่เต้นรำในงานตาละห้อย ลืมความกังขาที่เคยมีในใจจากข่าวลือ เมื่อเขาบอกให้จูเลียนหลับตา ในคราแรกตัวเขาเองก็หลับลงไปด้วย แล้วนำพาให้ก้าวขาไปตามจังหวะแว่วหวาน ที่ดังออกมาจากห้องจัดงานเลี้ยง แต่อยู่ดีๆ กลับนึกอยากเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาชัดๆ เสียอย่างนั้น ตาคมจึงเปิดขึ้นและเฝ้ามองพักตร์นวลผ่องในระยะประชิด หลังจากที่เห็นไกลๆ ในวันประลอง และไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นระยะใกล้อีกครั้งในคืนที่จูเลียนหนีเที่ยว จนเผลอมองอย่างลืมตัว แต่เหมือนกับว่าเพียงเท่านั้นมันยังไม่พอ เหมือนเขาหลุดเข้าไปในห้วงของอะไรบางอย่างที่หลอกล่อ จนมารู้สึกตัวก็เมื่อตอนที่อกกว้างถูกผลักไสออก และพบว่าตัวเองเผลอประทับจูบลงที่ริมฝีปากจิ้มลิ้มแดงฉ่ำเพราะความหนาวนั่นเข้าให้แล้ว แต่คนอย่างฮานส์ไม่มีเสียหรอกที่จะยอมรับว่าตัวเองเผลอไป

“หึ ก็แค่จูบเบาๆ ทำเหมือนไม่เคยจูบไปได้” นั่นล่ะฮานส์แทนที่จะยอมรับผิดกลับกวนอารมณ์

“ข้าเคยจูบแต่เป็นเพราะเจ้าไม่มีสิทธิ์จูบข้าต่างหาก”

“แล้วใครจะมีสิทธิ์ล่ะ”

“คนรักของข้าคนเดียวเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์จูบข้าดะ อื้ออออ” ยังไม่ทันได้พูดออกมาจนจบความอย่างที่ตั้งใจ ริมฝีปากสีสดก็ถูกครอบครองด้วยความเย็นชืด และตามมาด้วยเรียวลิ้นอุ่นที่กระหวัดเกี่ยวสร้างความดูดดื่มร้อนแรง จนหิมะที่ตกลงมาแทบละลาย จูบนี้นอกจากจะหยุดปากที่กำลังบริภาษสิ่งไม่น่าฟังออกมาแล้ว ยังทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง มีเพียงสองร่างที่ขยับเคลื่อนไหว จูเลียนพยายามผลักไสให้ฮานส์ออกห่าง แต่ดูเหมือนแรงที่มีจะน้อยนิดเสียเหลือเกิน ยิ่งผลักเลยเหมือนยิ่งเร่งเร้าให้ร่างเพรียวถูกกอดรัดเข้าสู้อ้อมอกแกร่งแน่นขึ้น เล่นเอาจูเลียนแทบเผลอตัว

“อื้อออออ” แบบนี้มันถึงสมเป็นโรฮานส์ อัลเลน วัลเดอราส บุรุษหนุ่มผู้เร่าร้อนที่ผ่านมาแล้วทุกสมรภูมิรัก หาใช่ฮานส์ผู้ชนะการประลอง ที่เผลอมองคนที่เคยคิดว่าไม่ชอบเสียนานยามได้เห็นพักตร์นวลผ่องเป็นครั้งแรก “ปล่อยข้านะ”

“ไหนว่าเคยจูบกับคนรักมาแล้ว”

“ทำไม”

“คนรักของเจ้าคงอ่อนหัดน่าดูเลยสินะเจ้าถึงได้จูบไม่เป็นอย่างนี้”

“เป็นเพราะว่าข้าไม่อยากจูบกับเจ้าต่างหากเล่า” ให้ตายดับดิ้นสิ้นชีพลงตรงนี้จูเลียนก็ไม่ยอมรับหรอก ว่าทุกครั้งที่จูบกับกรอสเซ่ ไม่เคยมีสักครั้งที่จะจูบกันลึกซึ้งถึงขนาดนี้

“หึหึ แล้วใครกันที่ตวัดลิ้นหวานๆ ตามข้าเมื่อกี้” พูดจบก็เลียริมฝีปากตัวเองราวกับเพิ่งได้ลิ้มรสอาหารชั้นเลิศแสนอร่อย

“มากไปแล้วนะ ทะ อื้ออออ” ยังไม่ทันได้ตะโกนเรียกทหารอย่างที่ตั้งใจ ก็ถูกมือใหญ่ประคองแก้มทั้งสองข้างกระชากไปบังคับจูบ ริมฝีปากอิ่มถูกครอบครองอีกครั้ง และเท่านั้นดูเหมือนจะยังไม่พอ หลังจากที่ตวัดเกี่ยวเอาลิ้นเรียวมาชิมจนหนำใจ เล่นเอาหนุ่มน้อยแทบหมดลม ฮานส์ยังกดจูบหนักๆ เน้นๆ ลงอีกหลายครั้งที่ริมฝีปากนิ่มจนพอใจแล้วจึงผละออก

“เจ้า” จูเลียนขัดใจจนดวงเนตรสีเขียวแข็งกร้าว เพราะถูกกระชากเข้าไปจูบราวกับเป็นโสเภณีชั้นต่ำ “ทหาร ใครอยู่แถวนี้บ้างมานี่เดี๋ยวนี้” หันไปเรียกทหารแต่พอหันกลับมาอีกทีก็ “เอ๊ะ! “ข้างกายเหลือแค่ความว่างเปล่าราวกับว่าคนที่ปล้นจูบไม่เคยมีตัวตนอยู่ตรงนี้ ฮานส์หายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย หายไปโดยที่จูเลียนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงก้าวเดิน หายไปแล้วเหลือทิ้งไว้เพียงไออุ่นที่ยังสัมผัสได้พอให้รู้ว่าใครคนนั้นเคยยืนอยู่ตรงนี้

“ฝ่าบาท! เซอร์เฮนริชฝ่าบาทอยู่ทางนี้” ลีโอที่เดินตามหาจูเลียนมาทางนี้พอดีรีบวิ่งเข้ามา เมื่อได้ยินเสียงของกษัตริย์หนุ่มน้อยดังขึ้น “ฝ่าบาททำไมมายืนอยู่ตรงนี้คนเดียว”

“ข้ามาเดินเล่น”

“เอ๊ะนั่น..ฝ่าบาทเป็นอะไรไป ทำไมริมฝีปากถึงได้บวมเจ่อแดงน่ากลัวอย่างนั้น”

“ข้า..”

“ฝ่าบาท” เฮนริชเข้ามาสมทบพร้อมกับสีหน้าโล่งใจที่เห็นจูเลียนยังอยู่ดี และการมาของอัศวินหนุ่มทำให้คนกำลังถูกต้อนด้วยคำถามซื่อๆ ของลีโอถอนหายใจออกมาเลยทีเดียว

“ข้าได้ยินเสียงท่านเรียกทหาร”

“ไม่มีอะไรหรอกเซอร์เลนนี่ ข้าจะกลับปราสาทแล้ว” จูเลียนบอกเลนนี่ที่เพิ่งจะวิ่งมาถึง ตามด้วยราเชลและเดรทิชที่ยืนรออยู่ห่างๆ เมื่อเห็นว่าจูเลียนปลอดภัย

“แล้วฝ่าบาทไม่อยากกลับไปที่งานเลี้ยงอีกหรือ แล้ว...ท่าน” ลีโอกำลังจะถามถึงฮานส์แต่จูเลียนขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ข้าไม่อยากไปแล้ว”

“แล้วทางนั้นล่ะฝ่าบาท”

“เซอร์เลนนี่ไปบอกนิโคลให้ดูแลแทนข้าก็แล้วกัน ไปเถอะเซอร์เฮนริชข้าอยากพักผ่อนเต็มทีแล้ว” จูเลียนหงุดหงิดคนจอมกวนจนไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว ขนาดงานเลี้ยงที่เคยโปรดปรานก็ยังไม่สามารถรั้งให้ยุวกษัตริย์อยู่ต่อได้ คิดถึงคนปล้นจูบแล้วให้เกิดความหงุดหงิดขัดใจจนลืมทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งยอดรักของตัวเองที่ยังอยู่ในงานเต้นรำ!



@@@@@@@@@@@@@@@



“อย่าเข้าใกล้ลูกสาวข้าให้มันมากนัก”

“ทำไมล่ะท่าน ข้าจริงใจกับนางจริงๆ นะ”

“เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอกจนกว่าเจ้าจะพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเจ้ารักนางจริง”

“บัญชามาเถอะท่านรัฐมนตรี เวลานี้หัวใจของข้ามันร่ำร้องหาแต่ท่านหญิงลีอานน่าจนไม่อยากรออะไรอีกต่อไปแล้ว” กรอสเซ่ที่ความรักบังตาบอกอย่างมุ่งมั่น ยิ่งเขาได้ใกล้ชิดลีอานน่าเท่าไหร่ ความต้องการที่จะได้รักได้ครอบครองยิ่งมากขึ้นเท่านั้นจนต้องเอ่ยปากขอ “ท่านจะให้ข้าทำอะไรข้าพร้อมและยินดีทำให้ทุกอย่างตามที่ท่านต้องการ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อนาง เพราะข้ารักนางเหลือเกิน”

“หึ อีกไม่นานหรอก”

“ข้าจะรอวันนั้น”

“ใช่วันนั้นอีกไม่นาน” โจเซฟยิ้มให้กับหมากบนกระดานของเขาที่ดูเหมือนจะว่าง่ายเสียเหลือเกิน อสรพิษเฒ่าที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์และอำนาจของตัวเอง ทอดสายตามองไปยังฟลอร์เต้นรำกลางงานเลี้ยง ที่ลูกสาวของเขากำลังเต้นรำอยู่กับชายหนุ่มลูกขุนนางในราชสำนักคนหนึ่ง เพราะกรอสเซ่เอาแต่ผูกขาดการเต้นกับนางอยู่คนเดียวนานเกินไปจนดูจะไม่เหมาะ เขาจึงส่งชายหนุ่มคนนั้นมากันให้ออกห่างบ้าง

แม้งานเลี้ยงยังไม่ทันเลิกแต่แขกส่วนใหญ่ก็ทยอยกลับกันบ้างแล้ว ภายในงานจึงเหลือแขกรักสนุกอยู่ไม่มาก ซึ่งคนที่ยุวกษัตริย์คิดว่าควรอยู่ดูแลความเรียบร้อยก็ไม่ได้อยู่ในงานด้วย เพราะพอเห็นใครบางคนเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไปเงียบๆ ชายหนุ่มที่คอยจับตามองอยู่ตลอดก็ตามออกมาเช่นกัน

“ฝากดูแลความเรียบร้อยของงานด้วย” นิโคลกระซิบบอกเบาๆ เมื่อเลนนี่เดินสวนเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง ซึ่งอัศวินหนุ่มเพียงตอบรับด้วยการค้อมศีรษะให้เล็กน้อย จากนั้นนิโคลก็รีบสาวเท้ายาวๆ เพื่อจะเดินให้ทันร่างสูงเพรียวที่กำลังจะเดินลับมุมระเบียงปราสาทไป

“จะไม่ยอมมองหน้าข้าจริงๆ หรือไง”

“ข้ามองหน้าทุกคน”

“วันนี้ที่งานเลี้ยงเจ้าไม่มองหน้าข้าเลยนะ”

“คงเพราะข้าไม่รู้จะมองทำไม” ลอเรนเบือนหน้าไปอีกทางที่ไม่มีใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาให้เห็น “แล้วนี่ท่านจะตามข้ามาทำไม”

“ข้าอยากคุยกับเจ้า อยาก..” นิโคลลดสายตาลงต่ำมองที่ริมฝีปากอิ่มเป็นกระจับ นั่นทำให้คนที่หันมาสนทนาด้วยเผลอเม้มปากตัวเองทันที ด้วยรู้ว่าที่คนตัวสูงหยุดเอาไว้นั้นหมายถึงสิ่งใด

“ถ้าท่านไม่มีธุระอะไรข้าขอตัวไปพักผ่อน”

“เดี๋ยวสิข้าไม่มีธุระแต่อยากมาหาเจ้าบางไม่ได้หรือไง”

“ท่านจะมาหาข้าทำไมล่ะ”

“ก็แค่อยากมาหา วันนี้ข้ารอเจ้าอยู่ที่ห้องอาบน้ำตั้งนาน”

“แล้วข้าบอกหรือไงว่าจะไป ข้าไม่ได้บอกให้ท่านรอสักหน่อย”

“นั่นสินะ ข้าแค่คิดว่าอย่างน้อยหากเจ้าไม่ชอบนอนแช่น้ำอุ่นก็น่าจะชอบจูบของข้าบ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าข้าคงแปลสายตาของเจ้าหลังจากจูบกับข้าผิดไป”

แม้วันนั้นสายตาของลอเรนจะบอกอะไรไปก็ตาม แต่วันนี้ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ต้องหยุดมัน “ได้โปรดอย่าพูดถึงมันอีก”

“ทำไมล่ะ ทำไมข้าจะพูดถึงไม่ได้ในเมื่อข้าชอบ”

“แต่ข้าไม่ชอบและมันก็ไม่เหมาะด้วย!”

“ทำไม” ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างของลอเรนมีแววขุ่นเคืองให้กับคำถามที่ทำเหมือนแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ ยิ่งนิโคลทำหน้าซื่อเหมือนเด็กไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องใดๆ ยิ่งทำให้ลอร์ดแห่งสวาเนียร์มองด้วยสายตาเจ็บปวด แต่ไม่นานพักตร์ขาวราวน้ำนมก็เชิดขึ้นอย่างถือตัว

“ท่านเป็นว่าที่คู่หมั้นของอานาสตาเซียลอร์ดนิโคล และหากท่านยังมีสติดีอยู่คงไม่ลืมว่านางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า” รอยยิ้มนั้นมันช่างดูอ่อนโยน อ่อนโยนจนลอเรนส่ายหน้าไปมาช้าๆ อย่างเจ็บปวด ที่ได้เห็นแววตาใสซื่อราวกับไม่ยอมรับรู้ว่าเขากำลังคิดอย่างไร แต่ก็ดีแล้วล่ะ แม้ลอเรนจะพึงใจในตัวนิโคลตั้งแต่ได้ประสบพักตร์กันครั้งแรก แต่เวลาเพียงเท่านี้ก็คงไม่สามารถทำให้ปักใจจนถอนตัวไม่ขึ้นได้หรอก..ใช่ไหม รักแรกพบมันไม่เคยมีอยู่จริง

นิโคลขยับเข้ามาใกล้ในขณะที่ลอเรนถอยห่าง แต่หลังที่ติดกำแพงหินพอดีทำให้ถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้ว “เจ้าเป็นอะไรลอเรน”

“อย่าเข้ามา” ยิ่งบอกว่าอย่าเข้ามาใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของนิโคลยิ่งโน้มเข้ามาใกล้ และเป็นลอเรนเองที่ไม่มีทางหนีไปไหนได้อีกแล้ว เมื่อร่างสูงโปร่งถูกกักเอาไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรง วรกายหนาในชุดคลุมตัวใหญ่แนบชิดจนรู้สึกได้ถึงไออุ่น และสุดท้ายริมฝีปากอิ่มก็ถูกครอบครองจากคนแกล้งทำหน้าตาซื่ออย่างเลี่ยงไม่ได้

ลอเรนปล่อยใจไปกับจูบหวานละมุนระคนปลอบประโลม ความอ่อนโยนของจูบดูดดื่มมันช่างหวานล้ำจนรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงฝัน เรียวลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดรัดหยอกเล่น จนแทบลืมความขุ่นมัวในใจ และเมื่อเห็นว่าลอร์ดแห่งสวาเนียร์ยอมรับและจูบตอบ นิโคลยิ่งได้ใจเผลอไผลไปจนจูบเริ่มร้อนแรงตามที่ปรารถนา จนกระทั่ง...

กึก!!

“ลอเรน!”

“ถอยออกไปจากตัวข้า”

“เอาสิแทงข้าให้ตายตรงนี้เลย”

“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้านะ ถอยออกไป” นิโคลยอมถอยแต่โดยดีเมื่อมีดพกปลายแหลมคมเล่มเล็ก กดแน่นลงกลางอกตรงตำแหน่งหัวใจเข้าพอดี

“ก็ได้ข้ายอมแล้วก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างมันจะจบลงแบบนี้หรอกนะลอเรน”

“ไม่มีอะไรที่ต้องจบหรอกเพราะไม่ได้เริ่มต้นอะไรตั้งแต่แรก หวังว่าเจอกันคราวหน้าท่านคงให้เกียรติข้ากว่านี้ ลอร์ดนิโคลัส!”

“ข้าคงรับปากเจ้าไม่ได้หรอกลอเรน เพราะทุกอย่างมัน...กำลังจะเริ่มต้นต่างหาก” ทั้งสองมองสบตากันนิ่งคนหนึ่งหวั่นไหว แต่อีกคนกลับมีแต่ความท้าทาย

“อย่าลืมว่า..”

“ข้าไม่เคยลืมหรอกว่าข้ากำลังจะหมั้นกับท่านหญิงอานาสตาเซีย แต่ตอนนี้ยังไม่มีการหมั้นเกิดขึ้นข้าจะทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งหมั้นแล้วข้าก็ทำได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา”

“ท่านก็เลยจะทำตามใจตัวเองด้วยการหยามเกียรติว่าที่คู่หมั้นอย่างนั้นสิ อภัยด้วยที่ต้องหยาบคายแต่โปรดอย่ามาทำกับข้า!” ความขุ่นมัวในใจแสดงออกมาทางสีหน้าจริงจัง และดวงเนตรกลมโตสีฟ้ากระจ่างไม่มีปิดบัง ลอเรนจ้องมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาด้วยสายตาดุ เมื่อเห็นว่านิโคลไม่พูดอะไรออกมาอีกจึงผละไปจากตรงนั้น เดินจากไปเงียบๆ ทั้งที่หัวใจดวงน้อยร้าวรานจนกลัวว่ามันจะแหลกสลาย ความเจ็บปวดก็เริ่มตั้งเค้าทั้งที่อะไรยังไม่ทันได้เริ่มขึ้นด้วยซ้ำ



@@@@@@@@@@@@@@@@@@



ภายในงานเลี้ยงยังคงครึกครื้นอยู่ไม่น้อย แม้ว่าแขกที่มาร่วมงานจะบางตากว่าตอนแรกลงไปมาก กลางฟลอร์มีคู่เต้นรำอยู่หลายคู่ ที่กำลังสนุกกับการเคลื่อนไหวร่างกายไปตามจังหวะของเสียงเพลงขับกล่อม ท่วงทำนองและลีลาการเต้นรำที่บ่งบอกถึงความมีรสนิยมอย่างชนชั้นสูง คู่ที่ดูโดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นคู่ของลอร์ดหนุ่มแขกบ้านแขกเมืองจากมอนทาร์น่า ที่กำลังเต้นรำกับสตรีในสังคมชั้นสูงนางหนึ่งราวกับเป็นคู่รัก การสบตาหวานซึ้ง รอยยิ้มและท่าทางกระซิบกระซาบต่อกันอยู่ในสายตาคู่คมที่เฝ้ามอง และเมื่อได้โอกาสที่ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าพาคู่เต้นรำหมุนตัวเข้ามาใกล้มุมที่เขาแอบยืมมอง ร่างสูงของเจ้าชายต่างเมืองก็ถูกกระชากเขาไปอยู่ในมุมมืด ทิ้งสาวน้อยคู่เต้นรำเอาไว้กับความงุนงงและเสียงสั่งลาก่อนไป

“อภัยด้วยท่านหญิง แต่ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าต้องไปแล้ว”



ตึง!! อุก!!

“เจ้า..เซอร์เลนนี่ เจ้าทำอะไรลงไป!”





@@@@@@@@@@@@@

ถึงตรงนี้คงเดาได้แล้วว่า NC เป็นคู่ไหน เลือดสาดกระจายมั้ย ต้องมาลุ้นกัน 555

 :oo1: :haun4:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 10 อัศวินหนุ่มผู้ร้อนแรง 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 15-11-2018 20:57:24


เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 10 อัศวินหนุ่มผู้ร้อนแรง

อุก!!

“เจ้า..เซอร์เลนนี่เจ้าทำอะไรลงไป” แอนดีสถามเสียงเข้มสีหน้ายังไม่คลายความจุก หลังจากที่เต้นรำอยู่ดีๆ ก็ถูกกระชากออกมาจากฟลอร์เต้นรำอย่างไม่ให้เกียรติ ไม่รู้จะมีใครเห็นบ้างหรือเปล่า กระทั่งออกมาด้านนอกและถูกผลักอย่างแรงจนร่างกระแทกเข้ากับกำแพงหินเต็มๆ

“เจ้าทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างหรือเปล่า เจ้าอัศวินชั้นต่ำ!” เมื่อเลนนี่ยังเงียบเฉยไม่ตอบคำ แอนดีสจึงตะเบ็งเสียงถามอย่างขัดใจ

“ข้าแค่คิดว่าท่านเต้นรำมากเกินไปแล้วเลยพาท่านออกมา นี่ดูเหมือนท่านจะเมาแล้วด้วยนะ”

“ข้าไม่ได้เมา เจ้ามันบังอาจและจองหองมากที่ทำกับข้าอย่างนี้” เพราะอยู่ดีๆ ก็ถูกดึงตัวออกมาอย่างอุกอาจ ไม่รู้จะทันได้มีใครทันสังเกตเห็นบ้างหรือเปล่า เพราะนั่นคงไม่น่าดูเท่าไหร่ และมันทำให้แอนดีสโกรธมาก ทั้งโกรธและไม่พอใจจนหงุดหงิดใจ

“จะสั่งประหารข้าหรือไงล่ะลอร์ดแอนดีส” รอยยิ้มกวนอารมณ์นั้นเรียกความเกรี้ยวโกรธของแอนดีสได้เป็นอย่างดี ลอร์ดหนุ่มโกรธจนมือที่กำแน่นสั่น กัดฟันจนกรามเป็นสันนูนแต่สุดท้ายก็คลายออก และทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ข้าจะประหารเจ้าด้วยมือของข้าเองต่างหาก!” เลนนี่รู้อยู่แล้วว่าสักวันอาวุธประจำกายที่พกพาติดตัวมาตลอด จะหวนกลับมาปลิดชีพตัวเองเข้าให้เหมือนเช่นตอนนี้ ที่มันถูกยืดไปอย่างรวดเร็วจากคนที่ประกาศกร้าวเสียงแข็ง ว่าจะประหารเขาด้วยมือของตัวเอง แต่อัศวินหนุ่มยังยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิมกับแววตาสนุกซุกซน หาได้สลดกับคำประกาศก้องอย่างลุแก่โทสะไม่ ใบหน้าหล่อขี้เล่นยังคงรอยยิ้มหวานละมุนชวนฝัน ทั้งที่ปลายแหลมคมของดาบจ่อคอหอยอย่างน่ากลัว

“ตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมาข้าไม่เคยคิดกลัวความตาย” เลนนี่ยิ้มนัยน์ตาพราว “วันที่ข้ากล่าวคำสาบานต่อกษัตริย์ชีวิตข้าก็พร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ”

“หึ อย่างเจ้าไม่น่าจะอยู่มาได้นานขนาดนี้นะ...”

“นั่นสิ แต่มีอย่างหนึ่งที่ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลย”

“..”

“ที่ผ่านมาข้าเอาแต่คิดว่าสักวันคงต้องตายด้วยน้ำมือของศัตรู ไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าต้องตายด้วยฝีมือเมียของตัวเอง”

“เจ้า..!! หยุดปากอวดดีจองหองของเจ้าเดี๋ยวนี้”

ทั้งที่คมดาบยังจ่ออยู่ที่คอหอยแต่คนจองหองก็ยังกล้าเอื้อนเอ่ยคำพูดก่อกวน ริ้วความกริ้วโกรธบนพักตร์บึ้งตึงของลอร์ดหนุ่มสร้างความพึงพอใจให้เลนนี่ได้ไม่น้อย สายตาคมจึงจ้องมองอย่างไม่ลดละ แม้ว่าอีกคนจะโกรธจนแทบตวัดดาบเชือดคอเขาอยู่แล้ว “เอาสิข้ายอมตาย...ด้วยน้ำมือเมีย”

“เจ้าจะได้ตายสมใจเดี๋ยวนี้” ขวับ!! วืด “หลบทำไม”

เลนนี่ยิ้มทรงเสน่ห์นัยน์ตาฉ่ำวาวตามแบบหนุ่มขี้เล่น “ข้าดีใจนะที่ท่านยอมรับว่าเป็นเมียข้า”

“เจ้า..! อย่าหลงตัวเองให้มากนัก สนมที่รอให้ข้าเอามีเป็นร้อยทั้งชายหญิง ได้แค่นั้นอย่าคิดว่าเจ้าจะ..ฮึ่ย “ลอร์ดหนุ่มหงุดหงิดและเจ็บใจที่สุด เพราะไม่สามารถพูดคำบางคำออกมาได้เต็มปากเต็มคำง่ายๆ

“ความจริงข้าเป็นแล้วนะถึงได้คิดจะพูด เป็นได้ง่ายๆ ด้วย ส่วนท่านก็สุดยอดจริงๆ ลอร์ดแอนดีส ผู้ชายมอนทาร์น่าร้อนแรงอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า”

“พูดไปเถอะก่อนที่เจ้าจะไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีก เตรียมตัวตายได้แล้วเซอร์เลนนี่” แอนดีสตวัดดาบเข้าฟาดฟันอย่างลุแก่โทสะ ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อขี้เล่นกับดวงตาฉายแววสนุกเหมือนล้อเลียนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้เลือดในกายเดือดพล่านเพราะความโกรธ

อัศวินหนุ่มก้าวถอยพลางมองไปรอบๆ ตัว มือทั้งสองข้างผายออกและเอียงคอมองพักตร์บึ้งตึงของลอร์ดต่างเมืองด้วยสายตาเว้าวอน เหมือนกำลังร้องขอความเมตตาเห็นใจ “แต่ท่านไม่คิดว่ามันน่าสมเพชเกินไปหน่อยหรือไงที่จะให้ข้าตายตรงนี้ ข้างระเบียงนี่นะ”

“คนอย่างเจ้าตายอย่างหมาข้างถนนนั้นคู่ควรแล้ว”

“อ้าวเหรอ เอาเป็นว่ายังไงก็จะตายด้วยน้ำมือของเมียแล้ว โปรดเมตตามอบความตายให้ข้าหลังจากที่เรามีความสุขด้วยกันเถอะนะ มาสิตามมาฆ่าข้า”

“วันนี้ล่ะเจ้าจะได้ตายสมใจจริงๆ เซอร์เลนนี่ “

“หึ” เลนนี่ทิ้งเอาไว้เพียงเสียงหัวเราะท้าทาย แต่ตัวเขาวิ่งไปตามระเบียงแล้ว เพราะเป็นเจ้าถิ่นจึงลัดเลี้ยวไปอย่างคล่องแคล่ว แต่ก็ยังมีเสียงย่ำเท้าหนักๆ ลงบนพื้น เพื่อนำพาอีกคนให้ตามมาได้ถูกทาง จนกระทั่งแอนดีสเห็นหลังของอัศวินหนุ่มวิ่งตรงไปส่วนหลังของปราสาท ลอร์ดหนุ่มจึงวิ่งลัดไปอีกทาง และสุดท้ายไม่รู้ว่าโชคช่วยหรือเพราะเดาใจเลนนี่ได้ถูก หรือเพราะนี่เป็นหลุมพรางที่เจ้าคนจองหองอวดดีวางเอาไว้ล่อ แอนดีสโผล่มาอยู่ตรงหน้าเลนนี่ และดาบในมือก็ถูกตวัดเข้าฟาดฟันทันที

ขวับ! วืด และเลนนี่ก็หลบได้แบบฉิวเฉียด แต่กระนั้นข้างสันกรามก็ยังมีเลือดซึมออกมาเห็น เพราะโดนคมดาบข่วนอย่างน่าหวาดเสียว นั่นทำให้ใบหน้าหล่อขี้เล่นฉายแววสนุกและตื่นเต้นออกมาทันที แอนดีสตวัดดาบอีกครั้งผ่านหน้าท้อง และอัศวินหนุ่มหลบได้แต่ก็เกือบไม่พ้น เพราะเสื้อตัวสวยที่ตัดเย็บมาอย่างดีต้องสังเวยให้กับความโกรธเกรี้ยว ด้วยรอยขาดจากคมดาบเป็นทางยาวแทน

เลนนี่ก้มลงมองผลงานของแอนดีสที่หน้าท้องตัวเองแล้วยิ้มกว้าง รอยคมดาบข่วนที่ข้างแก้มแสบนิดๆ แต่อัศวินหนุ่มหาได้สนใจไม่ “เคยมีใครบอกท่านหรือไม่ลอร์ดแอนดีส ว่าฝีมือการต่อสู้ของท่านนี่ร้อนแรงไม่แพ้ตอนอยู่บนเตียงเลยนะ”

“หุบปากเน่าๆ ของเจ้าแล้วชักดาบออกมาสู้กันสักทีสิ” แอนดีสบอกมือก็ตวัดดาบฟันโดยไม่รอให้เลนนี่ได้ตั้งตัว คนถือดาบรุกไม่ถอย ส่วนคนมือเปล่าทั้งที่มีอาวุธซ่อนอยู่ในตัวแต่ก็ไม่ยอมเอาออกมาใช้

“ท่านก็เห็นว่าข้ามีดาบอยู่ด้ามเดียวที่ท่านยืดไปแล้ว แต่ใจจริงข้าอยากชักอย่าอื่นมากกว่า”

“อัศวินโง่เท่านั้นที่จะมีดาบติดตัวเพียงด้ามเดียว”

“ที่จริงข้าก็มีอีกด้ามแหละแต่เอาไว้สู้กับท่านบนเตียง ข้าคงโง่อย่างที่ท่านว่าจริงๆ ”

“วันนี้ล่ะ ข้าจะเอาเลือดชั่วๆ ของเจ้าออกมาให้ได้เลนนี่”

“ทำยังไงล่ะ” เคร้ง! ดาบพลาดเป้าหมายจากส่วนใดส่วนหนึ่งบนร่างกายกำยำของอัศวินหนุ่ม ไปถูกกำแพงหินเสียงดังสนั่น “เฮ้ย! อย่ารุนแรงสิ” เลนนี่เกือบหลบไม่ทัน หลังจากที่แอนดีสพลาดเมื่อเหวี่ยงดาบเล็งมาที่ลำคอของเขา จึงแทงตรงเข้ากลางลำตัวทำให้อัศวินหนุ่มเสียหลักเซถอยหลัง

“จะตายอยู่แล้วอย่ามาทำปากดี อย่าแม้แต่จะร้องขอความเมตตา” เลนนี่คว้าคบไฟมาถือไว้และสู้พลางถอยพลาง แต่ดูเหมือนว่าอัศวินหนุ่มจะไม่ตั้งใจสู้อย่างจริงจังสักเท่าไหร่ แอนดีสเห็นอีกคนเอาแต่ถอยก็ยิ่งได้ใจ แรงมีเท่าไหร่ใส่ลงไปพร้อมกับดาบหนักๆ ในมือที่ฟาดฟัน จนสุดท้ายมารู้ตัวก็เมื่อเริ่มมองเห็นรอบกายได้ไม่ค่อยชัด เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้ทั้งสองเข้ามาอยู่ในห้องห้องหนึ่งที่มืดสนิท รอบกายพอมองเห็นไม่ไกลเกินกว่ารัศมีของแสงจากคบไฟในมือเลนนี่

รอบข้างที่เปลี่ยนไปไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจของคนที่กำลังถือดาบหมายเอาชีวิต ทั้งสองดูเหนื่อยพอกัน แต่ยิ่งแอนดีสรุกหนักเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนว่าจะหลุดเข้าไปในห้องมืดลึกขึ้นเรื่อยๆ จนพบว่าตัวเองกำลังก้าวลงบันไดทีละขั้น พร้อมกับเหวี่ยงดาบใส่ร่างที่ตั้งรับพลางถอย ในที่สุดลอร์ดหนุ่มก็ได้ที เมื่อเลนนี่ยกคบไฟขึ้นมารับดาบที่ตั้งใจฟาดฟันลงตรงกลางศีรษะ อัศวินหนุ่มจึงเปิดช่องว่างช่วงกลางลำตัวให้แอนดีสได้ถีบเข้าเต็มเท้า

เลนนี่เสียหลักหงายหลังตกบันไดขั้นสุดท้าย คบไฟหลุดจากมือกระเด็นไปอีกทาง

โครม! ตุบ! อุก!

“แอนดีส! “

“หึ จะร้องขอความเมตตาตอนนี้คงไม่มีประโยชน์แล้วนะ ข้าไม่มีให้เจ้าหรอก”

“เมียข้าท่านเล่นแรงไปแล้วนะ”

“ข้าไม่ได้เล่น อยากเรียกข้าว่าเมียก่อนตายก็เรียกให้พอใจเถอะ เผื่อเจ้าจะได้ตายตาหลับ” แอนดีสกระชับดาบในมือท่าเตรียมพร้อม ย่างสามขุมเข้าหาร่างที่นั่งแหมะอยู่บนพื้นหินแข็งๆ

“ข้าบอกแล้วไงว่ายอมตายด้วยมือของท่านแต่หลังจากที่เรามีความสุขด้วยกันก่อน”

“อย่างนั้นหรือ ได้สิ” ขวับ! พร้อมกับคำถามแอนดีสก็ตวัดดาบอีกครั้ง และเลนนี่ที่ดูเหมือนกำลังจนมุม ก็หลบได้อย่างหวุดหวิด ชายหนุ่มเอนตัวไปข้างหลังชนเข้ากับผนังพอดี ปลายคมดาบพลาดเป้าเฉียดลำคอไปเพียงนิดเดียว แล้วฟันลงพื้นตรงกลางระหว่างขาของอัศวินหนุ่มจนหินแตกกระจาย และเมื่อแอนดีสเงื้อดาบขึ้นหมายจะฟันลงมาใหม่อีกครั้งสุดแรง อะไรๆ ก็กลับตาลปัตรไปหมด เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วในชั่วพริบตา

โครม!!

“โอ๊ย เลนนี่!”

“หึ คราวนี้เราคงมีความสุขกันได้สักทีนะ ข้าเหนื่อยซ้อมหลบดาบท่านจนอยากทำอย่างอื่นเต็มทีแล้ว” ทันทีที่เลนนี่พลิกตัวใช้ขาเกี่ยวข้อเท้าของแอนดีส ที่กำลังจะฟันดาบใส่เขาจนเสียหลักล้มลง อัศวินหนุ่มก็กักกันพันธนาการร่างของลอร์ดแห่งมอนทาร์น่า ที่มีขนาดไม่ต่างกันมากด้วยร่างกำยำของตัวเอง ข้อมือแอนดีสทั้งสองข้างถูกจับกดลงกับพื้นหินแข็งๆ ข้างที่ยังกำดาบแน่นไม่ปล่อย ถูกจับทุบลงพื้นอย่างแรงจนดาบหลุดมือ และนั่นทำให้เกิดแผลถลอกจนเลือดไหลซึมออกมา

“ปล่อยข้านะเจ้าอัศวินชั้นต่ำ” ในแสงสลัวจากคบไฟที่ถูกทิ้งไว้บนพื้นไม่ไกลกันมาก แอนดีสสามารถมองเห็นใบหน้าหล่อขี้เล่นของเลนนี่ ที่ยังคงยิ้มพรายได้อย่างชัดเจน แต่ถึงแม้ว่าจะมีรอยยิ้มประดับใบหน้า ดวงตาของอัศวินหนุ่มกลับดูจริงจังเมื่อกวาดมองไปทั่ววงหน้าของลอร์ดหนุ่ม ที่ประดับด้วยความกริ้วโกรธ ร่างกายหรือก็เจ็บร้าวเพราะล้มลงบนพื้นหินแข็งๆ อย่างแรงแบบที่ไม่ทันได้ระวังตัว

“ทำไมท่านพยศกับข้าจังเลยลอร์ดแอนดีส หรือว่าข้าไม่ถูกใจท่าน” ปากถามแต่ช่วงกลางลำตัวกลับกดบดเบียดลงเน้นๆ จนอวัยวะส่วนนั้นได้สัมผัสกัน แม้จะมีผ้าเนื้อหนาของอาภรณ์ที่สวมใส่ขวางกั้น แต่ทั้งสองยังรู้สึกได้ถึงร่างกายที่เสียดสีอย่างล่อแหลม

“เจ้ามันอวดดีท้าทายข้า ทุกอย่างที่ทำเจ้าตั้งใจหยามเกียรติข้า”

“ไม่จริง ข้าจะทำไปทำไม ข้าแค่อยากให้เราสนุกกันแบบวันนั้น”

“สนุกของเจ้าไปคนเดียวเถอะ ทำไมต้องลากข้าออกมาต่อหน้าคนมากมายอย่างนั้น”

ได้ยินเสียงลอร์ดหนุ่มกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ เลนนี่ยิ่งร่นระยะห่างของใบหน้าลง จนตอนนี้เกิดความชิดใกล้ในแบบที่ลมหายใจแสนอบอุ่นเป่ารดผิวเนื้อกันและกันได้ ร่างกายหรือก็บดเบียดอย่างตั้งใจปลุกเร้า ทั้งเชิญชวน ทั้งหลอกล่อ ด้วยว่าอัศวินหนุ่มนั้นมองออกว่าร่างกายของลอร์ดต่างเมืองพระองค์นี้ ช่างตอบสนองเขาได้อย่างรวดเร็วและถึงใจเหลือเกิน

“ไม่มีใครสนใจท่านหรอก”

“แต่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ และตอนนี้ก็ปล่อยข้าได้แล้ว” เพราะแอนดีสเองก็เริ่มจะเมื่อยแล้วที่ต้องเกร็งร่างเพื่อขืนแรงของคนที่กำลังคุกคามคร่อมทับ

“ข้าไม่อยากเดาหรอกนะ แต่ท่านช่วยบอกข้าหน่อยสิแอนดีส ว่าปล่อยแล้วท่านจะฆ่าข้าหรือเราจะมีความสุขด้วยกันก่อน”

“เลิกหวังสูงสักทีเลนนี่ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ โอ๊ยข้าเจ็บนะอัศวินสวะ” แอนดีสร้องเสียงดังเพราะเมื่อบอกให้ปล่อย ลอร์ดหนุ่มก็ดิ้นและยังพยายามจะถีบเลนนี่ให้ถอยห่าง ขายาวจึงถูกเข่าของอัศวินหนุ่มกดลงอย่างแรง

“อยู่ที่มอนทาร์น่าท่านเป็นทหารหรือเปล่าเนี่ย”

“ทำไม”

“แค่นี้ก็เจ็บ”

“ก็เจ้าเล่นทิ้งน้ำหนักทับข้าลงมาทั้งตัวแล้วยังบีบข้อมือข้าเสียแน่น ต้นขาของข้ายังโดนเจ้าใช้เข่าแข็งๆ ของเจ้ากดไว้ด้วยนะอย่าลืม จะไม่ให้เจ็บได้ยังไง”

“หึ ข้ามีอย่างอื่นที่แข็งเหมือนกันแต่ท่านต้องชอบแน่ๆ ถ้าข้าใช้มันกดเข้าไปในตัวท่าน”

“เจ้า! ..”

“ท่านเคยออกรบไหมลอร์ดแอนดีส” มันใช่เรื่องที่ต้องมาคุยกันตอนนี้หรืออย่างไรแอนดีสไม่เข้าใจเลย จึงได้แต่มองด้วยดวงเนตรขวางขุ่น เลนนี่เห็นหลังมือที่มีรอยถลอกของแอนดีส จึงปล่อยข้อมือคู่นั้นแล้วเปลี่ยนมาใช้สองมือประคองแก้มของลอร์ดหนุ่มแทน นิ้วหัวแม่มือหยาบกร้านไล้ไปตามพวงแก้มสากเคราราวกำลังพิจารณา ปากก็ถามคำถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เคยไหม”

“ทำไม” ลมหายใจของแอนดีสสะดุด เพราะเจ้าตัวกำลังแปลกใจที่เลนนี่ดูจะอ่อนโยนขึ้น น้ำหนักที่ทับลงบนร่างกายก็เหมือนจะลดลงไปด้วย

“ท่านเคยได้แผลจากการต่อสู้กับศัตรูบ้างไหม”

“..”

“หรือว่าท่านแค่ซ้อมมือซ้อมดาบตามคนอื่นๆ แต่ไม่เคยได้ใช้มันจริงๆ จังๆ สักที”

“นี่เจ้ากำลังจะบอกอะไรข้าเลนนี่อยู่ดีๆ ก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา”

“เพราะเท่าที่ดูท่านก็มีฝีมืออยู่ไม่น้อยนะ...ในแบบของคนที่เรียนการต่อสู้มาแต่ไม่เคยได้เอามาใช้ต่อสู้จริงๆ “

“เจ้า! ..จะไม่ดูถูกข้าไปหน่อยหรือไง”

“ถ้าท่านไม่เคยต่อสู้แบบจริงๆ จังๆ ก็ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะข้าจะปกป้องท่านเอง”

“หึปกป้องหรือ ปกป้องกษัตริย์น้อยๆ ของเจ้าให้รอดปลอดภัยก่อนดีกว่า” สายตาคมที่ตวัดมองทำให้แอนดีสได้ใจว่าจี้ตรงจุด ลอร์ดหนุ่มแสยะยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทั้งสองพบหน้ากัน แต่ที่จริงแล้วนั่นเป็นเพราะเลนนี่คิดถึงข่าวลือต่างๆ ที่ได้รับมาจากสายข่าวเรื่องการลอบปลงพระชนม์จูเลียน ทั้งการจ้างกลุ่มนักฆ่าจากผู้มีอำนาจกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจในการปกครองบ้านเมือง ทั้งทางมอนทาร์น่าเองก็อยู่ในข่ายผู้ต้องสงสัย แต่ยังมั่นใจอะไรไม่ได้ แม้จะพยายามปิดไม่ให้ข่าวการลอบปลงพระชนม์รั่วไหลออกไปสู่ภายนอก แต่เลนนี่ก็ไม่แปลกใจหากแอนดีสและทางมอนทาร์น่า หรือแม้แต่สวาเนียร์เองจะรู้ แค่ได้ยินแอนดีสพูดแบบนี้อัศวินหนุ่มเลยคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเท่านั้น



“นั่นมันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ตอนนี้แค่มีท่านเพิ่มเข้ามาให้ข้าปกป้องอีกคนจะเป็นไรไป” ผลัวะ!!

“หึ ปกป้องตัวเองก่อนดีไหมล่ะท่านอัศวินผู้กล้า” ผลัก!! ครั้งแรกหมัดลุ่นๆ ต่อยเข้าที่ปลายคางเต็มๆ เล่นเอาเลนนี่งงเล็กน้อย แต่พอตามมาด้วยฝ่าเท้าหนักๆ ถีบเข้าตรงหน้าท้องจนต้องผงะถอย จึงสร้างความจุกให้มากทีเดียว

อัศวินหนุ่มนั่งพิงผนังหินกุมท้องบรรเทาความจุก ส่ายหน้าน้อยๆ กับแววตาเจ้าชู้ที่กำลังมองมาอย่างเยาะหยัน “เล่นแรงอีกแล้วนะแอนดีส”

“เจ้าต้องเรียกข้าว่าลอร์ดแอนดีส”

“เมียข้า” ผลัวะ!! คำเรียกขัดใจทำให้แอนดีสตวัดเท้าที่สวมด้วยรองเท้าขี่ม้าหนังอย่างดีพื้นแข็ง เสยเข้าที่สันกรามข้างที่โดนคมดาบข่วนจนเลนนี่หน้าหันตามแรงฟุบลงแทบพื้นหิน แอนดีสไม่รอให้อีกคนได้ทันตั้งตัว กระโจนเข้ากระชากร่างกำยำขึ้นมาซ้ำทันที

ปึก!! อุก!

“หึ เจ้าเองก็ไม่เท่าไหร่หรอกเลนนี่” แอนดีสประเคนให้ทั้งหมัดทั้งเท้าจนเลนนี่สะบักสะบอม เสื้อผ้าที่เคยดูดีมอมแมมเปื้อนไปด้วยฝุ่น ใบหน้าหล่อเร้าใจแต่ดูขี้เล่นอย่างคนอารมณ์ดีปูดบวม และเต็มไปด้วยเลือดจากรอยแตกตั้งแต่หางคิ้ว จมูกและมุมปาก ดูเหมือนอัศวินหนุ่มจะไม่ไหวแล้วแอนดีสจึงถีบเข้าที่ท้องอีกครั้ง ร่างกำยำเซถอยลงไปกองกับพื้น มีดพกประจำตัวเล่มเล็กถูกดึงออกมาใช้งาน

ร่างกำยำที่สะบักสะบอมถูกประคองราวกับว่าจะได้รีบความเมตตา ด้วยการกระชากคอเสื้อรั้งให้ลุกขึ้นพิงผนังหิน ทั้งที่มีดคมวาววับยังอยู่ในมือ และมันถูกดึงออกมาเพื่อปลิดชีพ แอนดีสขยุ้มคอเสื้อเลนนี่ด้วยมือข้างเดียวออกแรงกดหน้าอกแกร่งของอัศวินหนุ่มให้พิงหลังกับผนังหิน รอยยิ้มแสยะออกมาอย่างคนเหนือกว่า เมื่อขยับเข้ามากระซิบใกล้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน “เสียใจด้วยนะเจ้าอัศวินชั้นต่ำ แต่เวลาของเจ้ามันหมดลงแล้ว”

เลนนี่ยิ้มมุมปากเบี่ยงหน้าหลบไปด้านข้างแล้วถุยน้ำลายปนเลือดออกมา “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่เสียดายชีวิตเลย ถ้าต้องตายด้วยฝีมือเมีย...”

“เลนนี่! จะตายอยู่แล้วยังอวดดี”

“แต่หลังจากที่เรามีความสุขถึงสวรรค์ด้วยกันแล้วนะเมีย หึหึ”

“เจ้า!! ..อุก!! “แอนดีสจุกจนตัวงอเมื่อคนที่คิดว่าสิ้นฤทธิ์แล้วต่อยเข้าที่ท้องหนักๆ เน้นๆ ข้อมือถูกกระชากบิดไขว้จนเจ็บ มีดเล่มเล็กที่ถืออยู่ในมือถูกแย่งไปโดยไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ และมันก็ถูกนำมาใช้กับเจ้าของของมันเอง เมื่อเลนนี่รุกกลับมาทั้งหมัดที่เสยเข้าปลายคาง และเท้าที่เตะตัดต้นขาจนแทบสิ้นแรงยืน มีดคมเล่มเล็กตวัดผ่านร่างหนั่นแน่นกล้ามเนื้อของลอร์ดหนุ่ม แต่ไม่ใช่เพื่อการทำร้ายให้บาดเจ็บ เพราะเลนนี่แม้จะโต้กลับ ก็ใช้เพียงหมัดและเท้า ส่วนมีดคมในมือเขาใช้มันเฉือนอาภรณ์ที่ลอร์ดหนุ่มสวมใส่จนเนื้อผ้าหลุดออกจากร่างทีละชิ้น

“เจ้า ไอ้อัศวินชั้นต่ำ!” แอนดีสก้มมองร่างกายช่วงบนของตัวเองก็สบถด่าเสียงดังลั่น ร่างหนั่นแน่นกล้ามเนื้อสมชายชาตรีน่ามองนั้น ช่วงบนประดับด้วยอดีตของอาภรณ์หรูหราสมฐานะเจ้าชาย ที่ตอนนี้มันกลายเป็นเศษผ้าพาดเกะกะอยู่บนร่างกาย แอนดีสกระชากมันออกอย่างหงุดหงิด แต่เลนนี่เพียงยิ้มพรายให้เหมือนคนกำลังมีความสุข ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยเลือดสำหรับคนอื่นอาจจะคิดว่ามันน่าสยดสยอง แต่ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่ากลับสะใจที่สุด

ในความกรุ่นโกรธมีความสะใจระคนตื่นเต้น ความรู้สึกแปลกๆ ก่อเกิดขึ้นมาในร่างกายที่เจ็บซ้ำจากการต่อสู้ แต่ลึกๆ ในใจลอร์ดหนุ่มรู้ว่ามันแตกต่าง และเขาต้องสลัดความรู้สึกนั้นออกไปจากตัวเอง เมื่อเลนนี่โยนมีดในมือทิ้งแล้วก้าวเข้ามาหาช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนเลือด และมือที่ปลดเปลื้องอาภรณ์ให้ตัวเองออกทีละชิ้น โดยสายตาไม่ได้ละไปจากการสบตากับแอนดีส สายตาที่เชิญชวนหลอกล่อ สายตาที่เหมือนจะมีอำนาจบางอย่างสะกดให้ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าไม่สามารถหลบ หรือเบี่ยงเบนไปมองทางอื่น นอกจากจำต้องสบตากับดวงตาคู่คม

ร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มฉกรรจ์ที่ยืนสง่าอยู่ตรงหน้า มันดูน่ามองเมื่อถูกโลมเลียด้วยแสงวับแวมจากคบไฟ ที่ถึงแม้มันจะถูกทิ้งไว้บนพื้นอย่างไม่ไยดี แต่ก็ยังทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยม แม้แสงของมันจะวูบไหว แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ภาพที่เห็นดูน่ามอง มันดึงดูดสายตาจนลอร์ดหนุ่มมองเพลิน ทุกองค์ประกอบของร่างกายสมบูรณ์แบบ สวยงามราวกับรูปปติมากรรมของเทพเจ้าที่สลักขึ้นมาจากช่างฝีมือเอก ไหล่กว้างดูผึ่งผายรับกับหน้าอกแกร่งที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ หน้าท้องดูเกร็งจนขึ้นเป็นลูกคลื่น ต่ำลงจากแอ่งสะดือตื้นคือหน้าท้องแบนราบอันเป็นส่วนประกอบที่เข้ากัน จนถึงกลางลำตัวที่มีสัญลักษณ์แห่งความเป็นชายอวดเด่นเป็นสง่า และมันส่งผลต่อการหมุนเวียนเลือดภายในร่างกาย ภาพที่เห็นกระตุ้นให้เกิดการสูบฉีดเดือนพล่านราวกับลาวาร้อนที่กำลังปะทุ ไออุ่นของผิวเนื้อที่เพิ่งร้างจากเสื้อผ้าอุ่นจนรู้สึกได้ เมื่อร่างกายกำยำเข้ามาประชิดจนเนื้อแนบกัน

แอนดีสเหมือนหลงอยู่ในมนต์สะกดของดวงตาคู่คม มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ริมฝีปากถูกครอบครองอย่างเร่าร้อน นาสิกประสาทรับกลิ่นคาวเลือดคลุ้งอยู่ในปากและรอบตัวเข้าเต็มๆ

ต่อ.....
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 10 อัศวินหนุ่มผู้ร้อนแรง 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 15-11-2018 20:59:48
“อื้อออ” แต่อะไรก็ไม่น่าเจ็บใจเท่าร่างกายตัวเองและก้อนเนื้อในอก ที่มันเต้นกระหน่ำเมื่อได้รับสัมผัสแรก แม้สมองสั่งให้ผลักไสตอบโต้กลับไปให้หนัก แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำอะไรนอกจากรอรับสัมผัสอันคุ้นเคย ที่พอรู้ว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น แอนดีสก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกตื่นเต้นที่ก่อเกิดขึ้นมาจากส่วนลึกในใจได้ ยิ่งเมื่อเห็นร่างกายกำยำสวยงามตามแบบผู้ชายฉกรรจ์ ที่เจริญเติบโตเต็มวัยหนุ่มเปลือยเปล่า มันเร้าใจจนไม่อยากแม้แต่จะละสายตาหรือขยับตัวหนี

“ไม่ต้องกลัวหนาว อีกเดี๋ยวท่านจะร้อนเป็นไฟไปทั้งตัว” ถ้าให้แอนดีสเป็นไฟเลนนี่ก็เป็นเชื้อไฟอย่างดี พอมาเจอกันมันก็คือไฟราคะที่ลุกโชนแผดเผา และการจะทำให้มันมอดดับลงก็ต้องเสร็จสมกันไปทั้งสองฝ่าย ร่างหนั่นแน่นถูกสัมผัสด้วยมือหยาบกร้านเพราะจับแต่อาวุธของอัศวินหนุ่ม ที่เข้าประชิดแนบเนื้อและลูบไล้ไปตามแผ่นหลังกว้าง ริมฝีปากร้อนผละจากจูบดูดดื่มลึกซึ้งขบกัดลงมาตามลำคอ ทิ้งรอยคมเขี้ยวที่บ่งบอกถึงความร้อนแรงไว้เป็นทาง มือที่ลูบไล้แผ่นหลังเหมือนกำลังสำรวจ ตอนนี้ลงไปวุ่นวายอยู่กับกางเกงของลอร์ดหนุ่ม และเลนนี่ก็ถอดมันออกจากสะโพกแน่นอย่างง่ายดาย

แอนดีสกำลังอ่อนระทวยเพราะถูกปากที่อ้ากว้างครอบครองพื้นที่รอบยอดอกเม็ดเล็ก แล้วใช้ฟันครูดนวลเนื้อรอบบริเวณเข้ามาขบกัดเอาไว้ให้เจ็บปนเสียว แต่ที่ทำให้แอนดีสแทบกรีดร้องครวญครางออกมา ก็ตอนที่ปลายลิ้นเรียวตวัดเลียเม็ดสีชมพูอ่อนอย่างหยอกเย้าอยู่ภายใน เลนนี่ทำแบบนั้นสลับกันทั้งสองข้างอย่างทั่วถึง จนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายทั่วบริเวณที่ประดับรอยฟัน

“ยะ อย่า..”

“ท่านไม่ได้ตั้งใจจะห้ามจริงๆ หรอกใช่ไหม ลอร์ดแอนดีส”

“ออกไป ถอยออกไป ปล่อยข้า” ตรงกันข้ามเลนนี่เดินหน้าดันให้แอนดีสถอยหลัง จนร่างสูงสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่สูงพอดีต้นขา แอนดีสจึงได้โอกาสทิ้งน้ำหนักนั่งลงไปอย่างหมดทางหนี

“หึ” เลนนี่หลุบสายตาลงต่ำมองสิ่งที่อยู่ในมือที่กำลังพองขยายตัวอย่างรวดเร็ว และที่บ่งบอกว่าเจ้าของมันกำลังมีความต้องการมากแค่ไหน ก็ตรงส่วนปลายป้านที่ร่องกลางเยิ้มฉ่ำไปด้วยน้ำใสไหลปริ่มยอด “เมื่อไหร่ปากกับใจท่านจะตรงกันลอร์ดแอนดีส”

ท้ายเสียงสั่นพร่าทำให้เจ้าของชื่อใจเต้นกระหน่ำอย่างควบคุมไม่ได้ ยิ่งเมื่อพูดจบอัศวินหนุ่มก้มลงมาดูดปากสอดลิ้นกวาดต้อนแล้วกัดอย่างแรง ยิ่งทำให้เลือดในกายลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าเดือดพล่านปั่นป่วน จนเจ้าตัวกลัวว่ามันจะระเบิดออกมา แต่จะให้สมยอมง่ายๆ ก็ดูจะไม่ใช่คนอย่างแอนดีสสักเท่าไหร่ “ปล่อยข้า เจ้าอัศวินชั้นต่ำ!”

“ปล่อยข้า หรือปลดปล่อยข้าพูดให้ถูกด้วยเมีย”

“เจ้า! ..” แม้จะไม่ยอมรับว่าต้องการสัมผัสจนแทบจะห้ามร่างกายของตัวเองไม่อยู่ แม้ปากจะไม่ตรงกับความต้องการของหัวใจ แม้มือจะตอบสนองด้วยการขยุ้มเส้นผมหนานุ่มเอาไว้แน่น และเรียวลิ้นที่ตวัดเกี่ยวรัดเอาลิ้นของอัศวินหนุ่มมาดูดดึงขบกัด ไม่ยอมรับแม้ว่าเลนนี่จะพูดอย่างรู้เท่าทันความต้องการ แต่เพราะแอนดีสยังขัดใจที่ถูกเรียกว่าเมีย จึงตวาดกลับเสียงแหบพร่า ยังไงก็ไม่ยอมรับแต่โดยดีจนกระทั่ง..

“อ๊ะ! เลนนี่! ซี้ดด อ่า” เสียงเหมือนตกใจหลุดออกมาตามด้วยเสียงครางกระเส่า แอนดีสยังขัดใจกับคำเรียกขานของอัศวินหนุ่ม แต่ยังไม่ทันได้ต่อต้านประท้วงหรือต่อว่า ความแข็งแกร่งก็ถูกครอบครอง เลนนี่นั่งคุกเข่าลงตรงหน้าแอนดีส เพื่อครอบครองแท่งรักที่แข็งผงาดให้ด้วยปาก ลิ้นร้อนไล้เลียทั้งดูดกินราวกับหิวโหยมาแรมปี

“อืม”

“ซี้ดด เจ้ามันสารเลว อ๊ะ” สิ้นเสียงบริภาษสั่นๆ แอนดีสถึงกับหลุดเสียงร้องดังลั่นออกมา เพราะดูเหมือนว่าจะถูกลงโทษในทันที เลนนี่คำรามอยู่ในลำคอเบาๆ อย่างพอใจ คำพูดประท้วงหาได้มีความสำคัญไม่ เพราะมือของแอนดีสทำในสิ่งตรงข้าม นอกจากจะไม่ผลักไสแล้วยังกดให้เลนนี่ครอบปากอมส่วนแข็งตั้งลงลึกจนสุดโคน ส่วนปลายป้านทิ่มแทงลึกแทบทะลุลำคอ

ขณะที่ปากของเลนนี่เรียกความสนใจทั้งหมดของแอนดีสไปยังกลางกายของตัวเอง ที่กำลังได้รับการปรนเปรออย่างถึงใจ มือของอัศวินหนุ่มก็ไม่อยู่สุข เพราะช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ยังเหลือติดกายออกให้จนหมด ตอนนี้แอนดีสจึงร่างกายเปลือยเปล่าล่อนจ้อนท้าลมหนาวภายนอก

“อื้อออ อ่าส์” แอนดีสเด้งสะโพกตามจนตัวแอ่นออกมาข้างหน้า เมื่อส่วนที่ถูกครอบครองถูกดูด ขณะที่เลนนี่ยืนขึ้นเต็มความสูงและปล่อยแท่งรักหลุดจากปากในที่สุด อัศวินหนุ่มถอยห่างพลางกวาดตามองร่างหนั่นแน่นกล้ามเนื้อ ที่ประดับด้วยรอยขบกัดกระจายไปทั่วตั้งแต่ลำคอ หน้าอก ไปจนถึงหน้าท้อง และต้นขาด้านใน ร่างหนั่นแน่นเกร็งเพราะแรงปรารถนากำลังลุกโชนจนขึ้นรูปสวยงาม สรีระที่ไม่ถึงกับกำยำล่ำสันแต่ก็น่ามองตามแบบชายหนุ่มเต็มวัยฉกรรจ์ ยิ่งถูกโลมเลียด้วยแสงสีส้มอ่อนจากคบไฟ ยิ่งส่งให้ร่างนั้นน่าขย้ำให้แหลกคามือ

ตอนนี้ทั้งสองเปลือยเปล่าเท่ากัน อัศวินหนุ่มยืนหอบด้วยความตื่นเต้นสายตาจับจ้องร่างงามตรงหน้า ส่วนแอนดีสเองก็ไม่แพ้กัน ทั้งสองต่างคนมองร่างกายของกันและกันอย่างไม่รู้ตัว ว่าถูกสรีระของอีกคนตรึงสายตาไว้อย่างสิ้นเชิง มันเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างหยุด แต่ความกระสันที่อยู่ภายในกำลังสร้างความปั่นป่วน

“เจ้าต้องการอะไร” แอนดีสถูกความปรารถนากระตุ้นอย่างหนักจนต้องเอ่ยปากถามก่อน เพราะยิ่งมองร่างกำยำในแสงสลัวสีส้มที่โลมเลียไปตามมัดกล้าม อารมณ์เสน่หาต้องการจากส่วนลึกยิ่งเรียกร้องให้รีบสนองความอยาก คำถามเหมือนหาเรื่องแต่คนฟังยังจับความสั่นพร่าเสนาะหูได้ดี

เลนนี่ยกยิ้มกรุ้มกริ่มหลุบสายตาลงมองส่วนกลางกาย ที่กำลังนวดเฟ้นสลับกับการสาวมืออย่างเป็นจังหวะให้ตัวเอง มันแข็งผงาดเต็มที่อวดปลายป้านบานเบ่งไม่น้อยหน้ากัน ความแข็งตระหง่านของเลนนี่กำลังชี้หน้าลอร์ดหนุ่มอย่างท้าทาย และนั่นทำเอาเจ้าของร่างหนั่นแน่นที่กำลังจ้องมองตามมือที่สาวรูด เผลอกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่

เลนนี่สบตาแอนดีสด้วยแววตาโชนแสงปรารถนา แต่ที่ทำให้ลมหายใจแทบสะดุดก็คงเป็นเสียงแหบพร่าที่เอ่ยบอกอย่างเว้าวอน “หากท่านจะเมตตาข้าบ้าง”

“หึ ได้สิ” แอนดีสแย้มยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย กระดิกนิ้วชี้เรียกให้เลนนี่ขยับเข้ามาใกล้ และอัศวินหนุ่มก็ก้าวเข้าหาตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

กึก! เท้าใหญ่ยกขึ้นดันไว้บนหน้าอกกว้างของอัศวินหนุ่ม ที่เดินเข้าหายังไม่ถึงรัศมีที่สัมผัสกันได้ด้วยซ้ำ ดวงตาขี้เล่นของเลนนี่เบิกกว้างแต่ไม่ใช่เพราะความตกใจ เขากำลังลิงโลดในความตื่นเต้น เพราะเดาไม่ถูกเลยว่าแอนดีสกำลังจะทำอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือลอร์ดหนุ่มกำลังสนุกที่ได้ท้าทายและตื่นเต้นไม่แพ้กัน

ภาพชายหนุ่มร่างกายหนั่นแน่นนั่งเอนหลัง มือสองข้างยันพื้นรับน้ำหนักตัว โดยขาข้างหนึ่งยกขึ้นยันที่หน้าอกช่างน่ามองยิ่งนักในความคิดของเลนนี่ และอัศวินหนุ่มก็มองภาพนั้นด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความหิวกระหายขึ้นทุกขณะ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เคยมีแววขี้เล่นอยู่เป็นนิจทอแสงบางอย่าง ในแบบที่แอนดีสเห็นแล้วต้องขนลุกเกรียว ความรู้สึกกระสันอยากแล่นวูบวาบไปทั้งตัว ยิ่งดวงตาคู่นั้นไล่มองตั้งแต่ฝ่าเท้าที่ทาบยันอยู่กลางอก ลงไปตามท่อนขาแข็งแรงเรียวยาวจนถึงกลางลำตัว ที่มีแท่งรักขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอวดส่วนปลายป้านที่บานเบ่งอย่างน่ามอง เห็นสายตาเลนนี่มองจุดนั้นอย่างคนหิวกระหาย แอนดีสยิ่งได้ใจ ลอร์ดหนุ่มแสยะยิ้มเมื่อแยกขาอีกข้างที่ยันพื้นออกกว้าง เผยให้เห็นพวงถุงที่ห้อยย้อย และช่องทางรักที่เชิญชวน จนเลนนี่ไม่อาจละสายตาไปมองส่วนอื่น

“หึ” แอนดีสแค่นเสียงหัวเราะเมื่อเลนนี่พยายามก้าวเข้าหา ทั้งที่ยังมีฝ่าเท้ายันอยู่บนแผ่นอก อัศวินหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเมื่อมองหน้าเจ้าของเท้าอย่างแปลกใจ แต่ความสงสัยก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อเท้าข้างนั้นลดต่ำลงเรื่อยๆ ตั้งแต่แผ่นอกกว้างแกร่งผ่านหน้าท้องที่เกร็งจนเป็นลอนคลื่น ลงไปจนถึงส่วนแข็งขืนของแท่งรักที่ตั้งโด่ ฝ่าเท้าข้างนั้นบดลงกับท่อนลำใหญ่แข็งแกร่งเหมือนกำลังลงโทษที่มันบังอาจชี้หน้า แอนดีสใช้ฝ่าเท้ายันแท่งรักกดแนบผิวเนื้อที่ปกคลุมด้วยเส้นโลมาสีน้ำตาลอ่อน ความแข็งร้อนที่อยู่ใต้ใจกลางฝ่าเท้าให้ความรู้สึกแปลกใหม่จนลอร์ดหนุ่มเนื้อเต้น ฝ่าเท้าบดคลึงไม่ออมแรง แต่กลับเรียกเสียงครางสั่นที่ไม่ค่อยจะได้ยินดังออกมาจากปากยอดอัศวินได้ทันที

“ซี้ดด เมียข้าไม่คิดว่าท่านจะร้อนแรงขนาดนี้”

“หึ”

“อ่าส์” เลนนี่จับข้อเท้าแอนดีสไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง อัศวินหนุ่มเชิดหน้าร้องครางรับความเสียวซ่านจากการบดคลึง สายตาจับจ้องอยู่กับสรีระเย้ายวนอารมณ์ ของชายที่ปรารถนา

ยิ่งถูกนวดคลึงด้วยฝ่าเท้านุ่มแท่งรักของเลนนี่ยิ่งแข็งและร้อน และก่อนที่มันจะปริแตกออกเป็นเสี่ยง เจ้าของเท้าก็เปลี่ยนเป้าหมายลงมาคลึงที่พวงรักด้านล่าง ข้อเท้าหมุนให้ปลายเท้าสัมผัสกับพวงรักเล่นราวกำลังหยอกล้อ แอนดีสกัดริมฝีปากล่างของตัวเองทั้งที่ยังยิ้มยั่ว นัยน์ตาพราวที่จิกมองเห็นว่าเลนนี่กำลังทำหน้าราวกับทรมาน ความทรมานที่เสียวซ่านแต่ร่ำร้องต้องการ

“หึ ชอบหรือไง”

“เมียข้า ท่านกรุณาข้าเหลือเกิน อืมม”

“หึ อ๊ะ” ดูเหมือนเลนนี่จะทนไม่ได้แล้ว ข้อเท้าที่เขากำลังจับอยู่จึงถูกยกขึ้นมาพาดไว้บนไหล่ อัศวินหนุ่มจูบและตวัดลิ้นเลียฝ่าเท้านั้นราวกับทาสผู้หลงใหล ไล้ลิ้นเลียจนพอใจแล้วจึงไล่จูบลงไปตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงส่วนกลางลำตัว

“ซี้ดดด อ่าส์” แอนดีสเชิดหน้าปล่อยเสียงครางสมใจ เมื่อเลนนี่ไล้ลิ้นเรียวตวัดไปทั่วไม่เว้นแม้แต่ช่องทางลึกลับด้านหลัง และกลับมาอ้าปากครอบส่วนปลายป้านของลอร์ดหนุ่มอีกครั้ง ไล้ลิ้นวนรอบๆ แล้วครอบปากลงที่ส่วนหัว ดูดหนักๆ ไปทีแล้วจึงยืดตัวขึ้นมอบจูบร้อนแรง ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าตอบรับราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงฝันและ

“อ๊ะ เลนนี่! “

“แน่นจังเลยเลยเมียข้า” อัศวินหนุ่มสอดใส่ตัวเองเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว เล่นเอาแอนดีสเบิกตากว้างตวาดเสียงดัง แต่มือสองข้างกลับรั้งต้นคอหนาไว้แน่น สะโพกสอบที่รองรับส่ายหามุมเหมาะ

“ซี้ด จะ เจ็บ มันเจ็บ อ่าส์”

“อืม ก็ท่านชอบ อย่าเพิ่งรัดสิข้ายังเข้าไปได้ไม่หมดเลย” เลนนี่ถอนความแข็งผงาดของตัวเองออกมาเพียงเล็กน้อยก็ดันเข้าไปใหม่ แต่เพราะความคับแน่นอัศวินหนุ่มจึงต้องทำช้าๆ ให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“เซอร์เลนนี่”

“ฝ่าบาท” เลนนี่ขานรับพลางถอนตัวเองถอยออกไป และครั้งนี้มันเรียกเสียงร้องดังลั่นจากปากลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าได้ทันที เพราะอัศวินหนุ่มเสือกไสตัวเองเข้ามาเกือบมิดลำ

“อ๊ะ โอ๊ย เซอร์เลนนี่ เจ้า เจ้ามันสารเลว ทำไมไม่บอกข้าก่อน อึก อ้าส์”

“ท่านชอบหรือไม่ ท่านลอร์ด”

“..” แอนดีสไม่ตอบว่าชอบหรือไม่ชอบ เพราะเขากดท้ายทอยของเลนนี่เข้ามาจูบอย่างร้อนแรงไม่แพ้กัน ทั้งจูบทั้งดูดสลับกับการขบกัดจนต่างคนต่างก็ต้องสูดปากอย่างเสียวกระสัน จูบปนเลือดที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเลือดใครเป็นเลือดใคร เพราะต่างคนต่างก็ไม่ได้สนใจมันมากไปกว่าการตอบสนอง ที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าต้องการในสิ่งเดียวกัน

เพราะยังประสานร่างกายใส่กันไม่สุดลำ เลนนี่ถูกความคับแน่นบีบรัดจนแทบขาดใจ เจ้าของร่างกำยำถอดถอนตัวเองออกไปอีกครั้งจนเกือบสุดความยาว แต่กระนั้นก็ไม่ยอมให้ร่างกายหลุดจากกันไปเสียทีเดียว อัศวินหนุ่มแช่ค้างตัวเองเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ ไม่ยอมเสือกไสกลับเข้าที่ไปสักที เป็นแอนดีสเองที่ทนรอต่อไปไม่ไหว ลดมือทั้งสองข้างจากการเกี่ยวรั้งต้นคอลงมาวางที่บั้นท้าย และไม่ทันที่เลนนี่จะได้ทำอะไรต่อ สะโพกของเขาก็ถูกกดดันบังคับให้ส่วนแข็งขืนด้านหน้าแทงทะลวงเข้าไปในร่างของลอร์ดหนุ่มจนสุดลำ

“ข้า อะ อื้ออออ”

“ซี้ดดด ท่านทำไม หึหึ แอนดีสนอกจากจะร้อนแรงแล้วท่านยังใจร้อนเป็นบ้า”

“สักทีเถอะน่าเลนนี่หยุดพูดมาก”

“ตามประสงค์เมียข้า”

“อะ เลนนี่ ซี้ดดด เจ้า.. อ่าสสส์”

อัศวินหนุ่มโจนจ้วงท่วงทำนองและลีลารัก ใส่เข้าไปในตัวเจ้าชายแห่งมอนทาร์น่ารัวเร็วไม่ยั้งแรง เสียงเนื้อกระทบกันดังแข่งกับเสียงครางหอบ เรียกความฮึกเหิมลำพองใจ เร่งให้ตอกอัดตัวตนแข็งผงาดเข้าใส่ช่องทางรักที่เปิดรับ แอนดีสครางหอบเสียงดังอย่างไม่เก็บอารมณ์ ด้วยว่าความสุขสมจากความเสียวกระสันกำลังพาไปสู่จุดหมายปลายทางของอารมณ์อยากรุนแรงยากจะฉุดอยู่ ช่องทางรักเสียดสีแสบร้อนผะผ่าวเมื่อผสมกับความเสียวซ่านจากภายใน ทำให้แอนดีสยิ่งเหมือนได้ใจและหลงระเริงในอารมณ์ กลิ่นคาวเลือดที่ยังคละคลุ้งผสมกลิ่นเหงื่อที่ปะปนกัน กระตุ้นความกำหนัดในร่างกายให้หลุดลอย

ร่างลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าโยกคลอนไปตามแรงกระแทกที่อัศวินหนุ่มส่งเข้าหา ขาข้างหนึ่งที่เหยียดตรงมีท่อนแขนกำยำกอดประคองไว้ให้พาดอยู่บนไหล่แกร่ง ส่วนอีกข้างถูกจับแยกออกให้อ้ากว้าง เลนนี่จึงสามารถส่งท่อนลำเข้าไปได้ลึกขึ้น ยิ่งลึกยิ่งรัวแรงกระแทกเร็ว เสียงครวญครางสุขสมก็ยิ่งดังถี่ ระดับความดังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนดังก้องกังวานแข่งกันอยู่ในห้องใต้ดินแห่งนี้ ที่มีเพียงคบไฟเป็นพยานความเร่าร้อน คบไฟที่ยังทำหน้าที่ให้แสงสว่างสีส้มภายในรัศมีได้เป็นอย่างดี เพราะทำมาจากส่วนผสมของยางไม้ชนิดพิเศษ ที่ช่วยให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น ตั้งแต่แรกจนมาถึงตอนนี้ที่แสงไฟเริ่มอ่อนลง แต่นั่นกลับทำให้ภาพของร่างกายกำยำที่กำลังควบแรงรักถาโถมเข้าใส่ร่างหนั่นแน่น ดูเป็นภาพที่สวยงามราวกับกำลังอยู่ในม่านเมฆบางเบา แสงสีส้มอ่อนนวลตาตกกระทบสองร่างที่กำลังฟาดฟันเข้าใส่กัน ด้วยบทรักเร่าร้อนจึงน่ามองยิ่งขึ้น

“เลนนี่”

“ซี๊ดด แอนดีส สวนมาแรงๆ “

“เจ้า..อ๊ะ” ฟังจากเสียงเหมือนจะไม่พอใจ แต่แอนดีสทำตามที่เลนนี่บอกทุกอย่าง ยิ่งตอนอัศวินหนุ่มลดจังหวะลงถอนตัวเองออกช้าๆ จนเกือบสุด แล้วกระแทกเข้ามาเน้นๆ สลับกันอยู่หลายครั้ง ยิ่งเรียกเสียงขัดใจจากแอนดีสไอ้ทุกครั้ง เสียงขัดใจ..? ใช่ เสียงของแอนดีสเหมือนขัดใจ แต่ก็เด้งตัวสวนรับเหมือนชอบใจจนเลนนี่แสยะยิ้มสมใจ

“ท่าน ชอบแบบนี้สินะ” เลนนี่พูดทีละคำช้าๆ เมื่อถอดถอนตัวเอง และกระแทกกลับเข้ามาใหม่เน้นๆ เหมือนย้ำว่าเขารู้ทันรสนิยมของแอนดีสเข้าแล้ว และลอร์ดหนุ่มก็ไม่ปฏิเสธเพราะครางรับเสียงสั่นเสียว

“อืมม เลนนี่ อยะ อย่า อย่าเพิ่งหยุด อ่าส์”

“อยากให้ข้าทำแบบไหนละ” แววตาและรอยยิ้มของเลนนี่มันกรุ้มกริ่มยั่วเย้า และบ่งบอกความต้องการเสียจนแอนดีสใจเต้นแรง ความกระสันสั่นคลอนความรู้สึกจนเสียวซ่านไปทั้งตัว

“สารเลว เจ้า มันสารเลว”

“หืม?” เลนนี่ถอนความใหญ่โตออกจากช่องทางช้าๆ และกดเข้าไปใหม่เน้นๆ

“อ๊ะ! เจ้า..แกล้งข้าทำไม”

ความใหญ่โตถูกถอดถอนออกไปอีกครั้งแต่ยังไม่หลุดจากกัน “แค่อยากได้ยินเสียงเมียร้องขอ”

“ข้าไม่..อึก” ก็ถูกกดกระแทกเข้ามาใหม่ในแบบเน้นๆ เช่นเดิม แอนดีสได้แต่ตอบเสียงกระท่อนกระแท่นเหมือนคนมีปัญหากับการพูด ไหนจะยังต้องครางจนปากสั่นเพราะถูกความเสียวจู่โจมตลอด ทั้งจากช่องทางลึกลับข้างหลังและความเป็นชายแข็งขืนที่อยู่ในมือหยาบกร้านของอัศวินหนุ่ม

“บอกสิท่านชอบแบบนี้ใช่ไหม” ถามอย่างใส่ใจส่วนล่างก็ถอนออกจากช่องทางช้าๆ จนเกือบหลุดแต่ก็ไม่หลุด เลนนี่เว้นช่วงให้เสียวซ่าน แล้วกระแทกตัวเองเขาไปเน้นๆ อย่างแรง จนแอนดีสแหงนหน้าอ้าปากครางเสียงสั่น

“อ๊ะ! ซี้ดดด อ่าส์ อืม เลนนี่!”

“ฝ่าบาท”

“ข้าไม่ไหวแล้ว!”

“ต้องการให้ข้าทำยังไง”

“เอาเข้ามา อึก อ่าส์ เข้ามาอีก เร็วๆ ”

“รับบัญชาฝ่าบาท”

“แรงอีกเลนนี่!”

“ซี๊ดดด อ่าส์”

“แรงกว่านี้!”

“อืมมม”

“เร็วๆ ด้วย ข้าใกล้แล้ว อ่าาาาส์” ภาพที่แอนดีสนั่งอ้าขาเอนหลังมือข้างหนึ่งยันพื้นรองรับน้ำหนัก ส่วนมืออีกข้างกระชับมั่นอยู่กับแท่งรักของตัวเอง และชักนำไปตามแรงกระแทกว่าเร่าร้อนมากแล้ว ริมฝีปากบางที่สั่งการอัศวินหนุ่มให้ทำให้ถูกใจนั้นกระตุ้นความปรารถนาได้ดียิ่งกว่า เพราะการร้องขอสลับกับการสูดปากครางเสียวมันเร้าใจน้อยเสียเมื่อไหร่ และเลนนี่ก็รับบัญชามาทำให้อย่างถึงใจ ขาข้างที่พาดไหล่ตกห้อยมีท่อนแขนแกร่งกำยำรองรับไว้ใต้ข้อพับเช่นเดียวกันกับขาอีกข้าง ที่ได้มุมเหมาะแล้วเลนนี่ก็เร่งกระแทกตอกอัดตัวเองเข้าใส่ จนสะโพกแอ่นหยัดไปด้านหน้า ลอร์ดหนุ่มเกร็งตัวสวนรับอย่างเร่าร้อนในอารมณ์

ทุกจังหวะตั้งแต่แรงกระแทกเข้าหาที่สัมพันธ์กับท่าตั้งรับและมือที่ชักรูด หลอมรวมสองร่างที่ขนาดไล่เลี่ยกันให้เป็นหนึ่ง บิดเกรียวจนเหมือนเป็นก้อนเดียวกัน สองร่างเสพสุขเสน่หาถึงคราล่องลอย อารมณ์รักถึงจุดสิ้นสุดที่กล้ามเนื้อขมวดเกร็งกระตุก เหงื่อกาฬซึมผิวสวนทางกับความหนาวภายนอก ลมหายใจหอบราวกับเหนื่อยแสนเหนื่อย แต่บทรักใกล้ถึงฝั่งฝันยังดำเนินไป จนถึงจุดสุดท้ายที่ร่างกายเหมือนถูกดีดขึ้นสู่กลางอากาศ สัมผัสรสรักซาบซ่านเบาหวิวราวกับล่องลอยอยู่ในสายลมอ่อนกลางฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม

“อ่าาาาาส์ เลนนี่ เจ้า...”

“แอนดีส ซี้ดดดด”

บทรักเร่าร้อนจบลงที่จูบปลอบประโลมหวานละมุน ท่อนขาทั้งสองข้างถูกวางลงเป็นอิสระ เลนนี่เปลี่ยนมาประคองที่แผ่นหลังกว้างผลักดันให้ลอร์ดหนุ่มนอนราบไปกับพื้น ส่วนแข็งขืนที่ยังอยู่ในตัวแทงเข้าลึกขึ้นจนเจ้าของช่องทางลับครางเสียวเสียงสั่น ตรงนี้เป็นโต๊ะหินขนาดกว้างที่เคยเอาไว้ทำอะไรสักอย่าง แต่ตอนมันใช้เป็นที่รองรับร่างกายหนั่นแน่นของแอนดีส ที่ดูเหมือนว่าจะหมดแรงหลังจากที่ใช้พลังงานกับบทรักร้อนแรงเต็มที่ ลอร์ดหนุ่มว่าง่ายด้วยการยอมนอนลง หลังที่คิดว่าจะได้สัมผัสกับกับความเย็นของแผ่นหินมีผ้าหนานุ่มรองเอาไว้แทน มันเป็นเสื้อคลุมตัวใหญ่ของเลนนี่ที่แอนดีสไม่ทันสังเกตว่าอัศวินหนุ่มเอามันปูไว้ตั้งแต่ตอนไหน ความอบอุ่นที่ได้รับทำให้แอนดีสผ่อนคลาย ความอิ่มเอมเพราะได้รับการเติมเต็มอย่างเต็มที่เรียกร้องให้หลับตาลง แอนดีสคงเพลียเกินไป หูได้ยินเสียงกระซิบอะไรบางอย่าง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ความมืดเข้าครอบครองสติและดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา



@@@@@@@@@@@@@@@@@@e@



ป้อมปราการทางทิศตะวันออกของวังนั้น เป็นที่พำนักอย่างเป็นทางการของหนึ่งในสี่อัศวินประจำตัวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย ที่เจ้าของป้อมมักจะแวะเวียนมาพักเสมอยามที่ไม่ต้องเข้าเวรอารักขา วันนี้ป้อมตะวันออกได้รับเกียรติจากผู้ชนะการประลองประจำปีในการมาพำนักชั่วคราว เพราะถูกบังคับกลายๆ จากอัศวินเจ้าของป้อมที่กำลังหัวเสีย เพราะแขกที่เชิญมาดันหายหัวออกไปทำเรื่อง หลังจากเสร็จธุระกับลอร์ดแห่งมอนทาร์น่า เลนนี่จำต้องรีบกลับเพราะต้องมาสะสางตัวต้นเรื่องที่ทำให้จูเลียนเรียกตัวด่วน

พอกลับมาถึงป้อมก็เจอเข้ากับตัวต้นเรื่อง กำลังนั่งจิบไวน์อย่างสบายอารมณ์ เลนนี่ถอนหายใจโล่งออกมาเบาๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อัศวินหนุ่มโล่งใจไปทั้งหมดเสียทีเดียว เมื่อเห็นการแต่ตัวของชายพเนจรในชุดของเขาเอง ก็แทบจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้

“นี่เจ้านึกบ้าอะไรไปเอาเสื้อผ้าข้ามาใส่ฮานส์”

“หึหล่อไหมล่ะ ข้าก็อยากเป็นผู้รากมากดีแบบขุนน้ำขุนนางกับเขาบ้างสักครั้ง”

“ที่เจ้าเป็นอยู่นี้ก็เลือกเองทั้งนั้นนี่” เลนนี่หมายถึงคนพเนจร

“แล้วไงล่ะ”

“เจ้าเข้าไปป่วนในวังทำไม” เลนนี่ถามเข้าประเด็นที่ต้องการทันที แต่คำตอบที่ได้รับก็สมเป็นฮานส์เพื่อนรักของเขาจริงๆ

“แค่นึกสนุก”

“หึ ความสนุกของเจ้าเกือบทำให้ตัวเองเดือดร้อนแล้วนะ”

“ทำไมล่ะ ข้าไม่ได้ทำร้ายใครนี่ ส่วนเจ้า...” ฮานส์กวาดตามองไปทั่วใบหน้าฟกซ้ำ ที่ผิวบางส่วนปริแตกเลือดแห้งกรังเหมือนถูกทำร้าย แต่รอยกัดและรอยแดงเป็นจ้ำตามลำคอลงมาจนถึงหน้าอกนั้นดูแตกต่าง เพื่อนรักสวมเพียงเสื้อตัวในไร้เสื้อคลุมหนาใส่ทับ ด้านหน้าสาบเสื้อแยกออกจนเห็นแผ่นอกรำไรเปิดเผยร่องรอย “ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะ”

“ช่างข้าเถอะ แต่คืนนี้เจ้าทำให้จูเลียนไม่พอใจ”

“ข้าทำอะไรไม่ทราบ” ฮานส์คิดถึงจูบที่เขามอบให้ยุวกษัตริย์แล้วก็ต้องหลุดขำออกมาเบาๆ เมื่อคิดไปว่าเขาอาจจะจูบได้ไม่ร้อนแรงถึงใจพอ

“ยิ้มอะไร”

“เปล่า”

“หน้าเจ้ามันไม่บอกอย่างนั้นฮานส์ เจ้าอยากทำอะไรก็ทำแต่อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน จูเลียนไม่เหมือนใคร”

นัยน์ตาของฮานส์แปลกไป รอยยิ้มขำของเขากว้างขึ้น “ใช่..นายของเจ้าไม่เหมือนใคร”

“จูเลียนไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิดหรอกฮานส์ แค่เด็กคนหนึ่ง”

“เด็กเหรอ..” เด็กมากเลยล่ะ

“เจ้าหมายความว่ายังไงฮานส์”

“เปล่าไม่มีอะไร” เลนนี่ถอนหายใจออกมาสุดแรงแล้วหันหลัง เดินกลับออกไปทางเดิม “เพิ่งกลับมาเจ้าจะไปไหนอีกล่ะนั่น”

“เรื่องของข้าสิ”

“เอ๊ะ เจ้าชวนข้ามาพักที่นี่แล้วจะทิ้งให้แขกอยู่กับคนรับใช้หรือไง”

“แขกบ้าๆ อย่างเจ้าอยู่กับคนรับใช้ไปเถอะ”

“เลนนี่เจ้าจะไปไหน”

“ข้ายังมีงาน เจ้าเองก็พักผ่อนซะพรุ่งนี้ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเจ้าอาจจะถูกเรียกตัวเข้าเฝ้า”

“หืม..?”

“..”

“ทำไมต้องเรียกตัวข้าเข้าเฝ้า” อัศวินหนุ่มไม่ตอบคำถามเพื่อน แต่หยิบเสื้อคลุมของตัวเองที่เลนนี่วิสาสะเอาไปใช้แล้วเดินออกจากป้อมไปทันที จุดหมายปลายทางคือห้องใต้ดินที่เขาทิ้งร่างหลับใหลเอาไว้เพียงลำพัง แต่พอมาถึงกลับเจอเพียงความว่างเปล่าและเศษผ้าขาดวิ่น ที่อดีตเคยเป็นอาภรณ์หรูหราของลอร์ดหนุ่ม ส่วนเจ้าของมันหายไปแล้ว เลนนี่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เดินถอยหลังออกไปทางเก่า ตอนนี้ดึกเกินกว่าที่จะกลับป้อมพัก จึงไปนอนยังห้องพักของอัศวินในปราสาทหลวงของจูเลียนแทน



@@@@@@@@@@@@@@@@@

 แบบนี้ไม่รู้ว่าเรียกอะไร ท่านลอร์ดปากบอกไม่ ทำไมกอดแน่นไม่ปล่อย ส่วนท่านเซอร์ก็นะ สำคัญตัวเองซะจริงๆ ยังไงดีล่ะคู่นี้ มาเยอะมาบ่อยเกินไปแล้ว NC ดุๆ มีเลือดตกยางออก แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกดุเดือดเลือดพล่านได้มั้ย! แต่หลังจากตอนนี้ พระนายของเรามันคงจะได้เจอกันบ่อยขึ้น(หรือเปล่า) 5555 นี่อาจจะเป็น NC ส่งท้ายช่วงต้นสำหรับคู่นี้แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเด้อ เพื่อเปิดโอกาสให้คู่อื่นเขาได้ปฏิสัมพัทธ์กันบ้าง เรื่องนี้ไม่ได้ขาย NC นะจริง จริ้งงงงงง แต่คงจะมีมาบ่อยๆ เรื่อยๆ ตามความเหมาะสม และสมใจคนหื่นแน่บอกเลย เพราะมันมีหลายคู่ เรียกว่ามันเป็นวิถีของคนในยุคออสเซนเทีย ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางก็แล้วกัน ที่เซ็กเป็นอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับคนรักกัน แม้ไม่รักก็ยังสำคัญ โถว่าไปนั่น (ตามประสาคนชอบเอาใจคนอ่านหื่น) แต่ในชีวิตจริงคนเรานั้น

'Sex is something improtant but sex not everything' 
จ้าาา
เจอกันตอนหน้าเด่อ

ดาว ณ แดนดิน
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 10 อัศวินหนุ่มผู้ร้อนแรง 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 16-11-2018 13:27:54
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 11 คุกเข่ากล่าวคำสาบานตน 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 17-11-2018 19:36:44



เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 11 คุกเข่ากล่าวคำสาบานตน



ท่ามกลางเกล็ดหิมะที่โปรยปราย ราวกับปุยนุ่นกำลังตกลงมาปกคลุมเมืองให้ขาวโพลนไปทั่ว และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องจากลา เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน ขบวนเสด็จของแขกบ้านแขกเมืองก็เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองของตัวเอง

“ข้าจะตามไปให้เร็วที่สุดท่านหญิง” นิโคลเหลือบตามองร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ข้างอนาสตาเซีย ลอร์ดหนุ่มทำหน้าที่ส่งแขกจากสวาเนียร์หน้าประตูเมือง ซึ่งไม่ไกลจากตรงนี้ ขบวนเสด็จของมอนทาร์น่าก็กำลังจะเดินทางเช่นกัน โดยมีทาร์เทียน่ารับหน้าที่ดูแล ส่วนจูเลียนเช้านี้หงุดหงิดเกินกว่าจะมีอารมณ์มาส่งใคร

นิโคลรับมือของอนาสตาเซียมาประทับจูบลงที่หลังมือของนาง ช่วยส่งนางขึ้นบนรถม้าแล้วจึงหันมาทางลอเรนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

“หวังว่าจะได้เจอกันเร็วๆ นี้นะ”

“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น และข้าก็หวังว่าท่านคงรู้หน้าที่ตัวเอง”

“ข้าไม่ลืมหน้าที่ตัวเองหรอก เดินทางปลอดภัยนะ”

“ขอบคุณ”

ลอเรนเตรียมจะขึ้นม้าแต่เจ้าของร่างสูงที่ออกมาส่งรั้งแขนไว้ก่อน “ข้าว่าเจ้ายังไม่ควรขี่ม้านะ อย่างน้อยก็จนกว่าจะพ้นเขตหนาวของออสเซนเทีย”

“ข้าขี่ม้าได้สบาย” ลอเรนถอยออกมาจากความใกล้ชิดกับนิโคลอย่างถือตัว ลอร์ดเจ้าบ้านได้แต่อมยิ้มกับระยะห่างที่ถูกสร้างขึ้น แต่ยังเอ่ยทีเล่นทีจริงแสดงความห่วงใย

“อากาศมันหนาวข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่สบายไปซะก่อนจะถึงบ้านนะสิ”

“ข้าสบายดี อากาศหนาวแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

นิโคลยกยิ้มขยับเข้ามาหาคนดื้อกระซิบบอกหยอกเย้า “อย่าดื้อนักสิลอเรน”

“..”

“หากข้าห้ามเจ้าไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเสื้อคลุมอย่าลืมใส่มันด้วย”

“..”

“อ้อ ข้าหมายถึงเสื้อคลุมตัวนั้นนะ ที่ข้าสวมให้เจ้าวันนั้นถึงจะอุ่นพอ”

“ข้ามีเสื้อของข้า ส่วนเสื้อตัวนั้นข้าทิ้งมันไปแล้ว” ลอเรนก็ยิ้มบางๆ ให้เช่นกัน ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ไม่ยอมจำนนและไม่ยอมรับว่าครั้งหนึ่งเคยรับเอาความอบอุ่นของร่างสูงตรงหน้ามา

“ใจร้ายมากนะที่ทิ้งของมีค่าขนาดนั้นได้ลงคอ” นิโคลขยับเข้ามาใกล้ลอเรน และยังไม่ทันที่ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ได้ทันระวังตัว ร่างสูงโปร่งภายใต้อาภรณ์หนาหนักก็ถูกรวบเอวแน่น ลอเรนสั่นไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะสิ่งที่นิโคลกระซิบบอกต่างหาก “ดวงตาสีฟ้าสวยๆ ของเจ้ามันบอกข้าว่าเสื้อคลุมตัวนั้นได้รับการเก็บรักษาและดูแลไว้เป็นอย่างดี”

“ก็แค่เสื้อตัวหนึ่งจะไปมีค่าอะไรข้าทิ้งมันไปแล้ว”

นิโคลผละออกแต่อ้อมแขนแกร่งยังเกี่ยวเอวบางให้ร่างกายแนบชิดกัน ทั้งที่ลอเรนพยายามจะดันตัวเองออก แต่เหมือนว่าเจ้าของร่างกายสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะมากไปด้วยพละกำลังที่เหนือกว่า

ลอร์ดแห่งออสเซนเทียยิ้มร้าย “มีสิเพราะมันแทนความอบอุ่นของข้าที่มีให้เจ้า”

“นั่นแหละข้าเลยต้องรีบทิ้งมันไป”

“เดินทางปลอดภัย ลอร์ดลอเรน”

“...” แทนคำเอ่ยลาลอเรนเพียงมองตานิโคลเงียบๆ ด้วยสายตาเย็นชา หวังจะให้มันเป็นการสบตากันครั้งสุดท้าย แล้วขึ้นม้านำขบวนเดินทางจากไป ด้วยว่าตอนนี้สถานะที่เปลี่ยนทำให้ต้องวางตัวต่อกันเสียใหม่ ลอเรนไม่ควรให้ความสนิทสนมกับนิโคลในแบบที่เคยเกิดขึ้น เพราะนิโคลอยู่ในฐานะว่าที่คู่หมั้นของน้องสาวไปแล้ว

***********************

“ทำไมวันนี้กรอสเซ่ไม่มาหาข้าลีโอ” บทกวีในมือถูกวางไว้บนตัก จูเลียนเพิ่งนึกได้ว่าคนรักไม่ได้มาหาเหมือนทุกวัน จึงคาดคั้นเอากับคนรับใช้ประจำตัว

“ลีโอไม่ทราบฝ่าบาท”

“เจ้ารู้อะไรบ้าง” ลีโอหลบสายตาดุของเจ้านาย เพราะไม่มีคำตอบในแบบที่พอใจให้ เมื่อคืนจูเลียนโกรธจนไม่สนใจใครแม้กระทั่งคนรักของตัวเอง “แล้วท่านล่ะเซอร์เลนนี่”

“ฝ่าบาท” เลนนี่ที่ยืนเงียบอยู่นานขานรับ

“ท่านรู้จักเขาหรือไง เจ้าคนลึกลับที่ชนะการประลองนั่น”

“ฝ่าบาทหมายถึงท่านโรฮานส์หรือ” ได้ยินจูเลียนถามถึงคนที่ตัวเองชื่นชมลีโอเลยถามหน้าซื่อ ดวงตาไร้เดียงสาบ่งบอกความตื่นเต้นยินดี

“รู้ดีนะลีโอ”

“ก็ท่านโรฮานส์เป็นผู้ชนะการประลอง เป็นคนมีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ลีโอเพียงชื่นชมเขา”

“แล้วไง ผู้ชนะการประลองของเจ้าอวดดีท้าทายข้า วันนี้ข้าสั่งให้เขามารับโทษ แล้วทำไมข้ายังไม่เห็นเขาอีกเซอร์เลนนี่ เขาอยู่กับท่านไม่ใช่หรือไง”

“ฝ่าบาทโปรดอภัย ข้ากับโรฮานส์รู้จักกันเพราะเรามาจากทางเหนือด้วยกัน และเมื่อคืนข้าเชิญเขาไปพักที่ป้อม แต่ข้ายังไม่ทันได้แจ้งถึงคำสั่งของฝ่าบาท เขาก็จากไปแล้ว” เลนนี่นั้นมาจากตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่งทางตอนเหนือของออสเซนเทีย ที่ถวายความจงรักภักดีต่อราชวงศ์มาโดยตลอด จูเลียนจึงไม่ได้สงสัยอะไร หากอัศวินประจำตัวจะเอ่ยถึงคนที่มาจากถิ่นกำเนิดเดียวกัน

“จากไปแล้วอย่างนั้นหรือ” จูเลียนมองเลนนี่สีหน้าไม่พอใจ “ท่านบอกว่าคนที่ข้าสั่งให้มารับโทษจากไปแล้วอย่างนั้นหรือ เขาขัดคำสั่งข้า” ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะที่คนคนนั้นขัดใจจูเลียน ขัดใจไม่พอยังทำอะไรแปลกๆ ให้จูเลียนนึกสนุกด้วยจนหลงเชื่อใจแล้วยัง..

จูเลียนถอนหายใจหนัก ด้วยว่าเป็นถึงกษัตริย์แต่ดูเหมือนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านี้ก็ยังไม่ได้ดั่งใจ ทั้งคนรักที่รอให้มาหาแต่ก็ไม่มา ทั้งคนอวดทีที่สั่งให้มารับโทษและก็ไม่มาอีกเช่นกัน

“เป็นเช่นนั้นฝ่าบาท” ทำไมคนคนนี้ไม่ได้เกรงกลัวต่ออำนาจกษัตริย์ของจูเลียนเอาเสียเลย ตั้งแต่เมื่อคืนที่ไม่ยอมอยู่รับโทษแต่โดยดี แต่จูเลียนยังไม่ทันได้ไล่เบี้ยมากไปกว่านี้ ก็ต้องหันไปทางใครอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาหา

“สีหน้าพี่ดูไม่ดีเลยนะ” แม้เรื่องที่คุยกันจะทำให้จูเลียนหงุดหงิดจนลืมบทกวีที่ถืออยู่ และถ้วยชาร้อนตรงหน้าก็ถูกเมินจนเย็นชืด แต่พอพี่ชายต่างมารดาเดินเข้ามาก็ทักขึ้นอย่างเป็นกันเอง นิโคลยังเงียบยุวกษัตริย์มองข้ามใบหน้าเรียบเฉยชวนคุยต่อ “หรือว่าไม่พอใจที่แขกบ้าแขกเมืองพากันกลับไปหมดล่ะ”

“ข้าไม่พอใจเพราะเจ้าบกพร่องต่อหน้าที่อีกแล้วต่างหาก”

“ไม่เอาน่านิโคล เมื่อคืนข้าออกตัวกับพวกนั้นแล้วว่าตอนเช้าอาจจะไม่ได้ไปส่ง”

“แต่ยังไงมันก็ดูไม่เหมาะ ถึงยังไงกษัตริย์แห่งมอนทาร์น่าก็ให้เกียรติมา ส่วนสวาเนียร์ถึงตัวกษัตริย์จะไม่ได้มาเอง แต่ผู้แทนก็เปรียบเสมือนตัวกษัตริย์ เจ้าควรให้เกียรติคนที่เจ้าเชิญมา” ท่าทางของนิโคลดูเหนื่อยกับกษัตริย์เด็กไม่เอาไหน

“สภาต่างหากที่เชิญมา”

“ก็เชิญมาในนามเจ้านั่นแหละ”

“ข้าล่ะอยากยุบสภาทิ้งจริงเชียว”

“เจ้าจะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้หรอกนะ”

“ข้าถึงบอกไงล่ะว่าข้าไม่เหมาะที่จะเป็นกษัตริย์ ข้าบอกพี่กี่ครั้งแล้วว่าพี่ต่างหากที่ควรนั่งบัลลังก์” นิโคลถอนหายใจหนักกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่จูเลียนมักยกมาอ้างยามถูกตำหนิว่าละเลยต่อหน้าที่ “แล้วอีกอย่างเช้านี้ข้ามีเรื่องไม่พอใจอยู่ คงไม่เหมาะที่จะออกไปส่งแขกในอารมณ์เช่นนี้หรอก”

“แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรไม่พอใจล่ะ” พี่ชายต่างมารดาถามกลับ สายตามองต่ำที่หนังสือในมือจูเลียน เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงบอกว่ากำลังรอคำตอบอยู่

“กะ ก็”

“ลีโอ” ลีโอค้อมตัวลงเล็กน้อยแทนการขานรับ “นายของเจ้ามีเรื่องอะไรให้ไม่พอใจแต่เช้า จนไม่มีอารมณ์ออกไปส่งแขก” นิโคลถามลีโอแต่ไม่ได้รอคำตอบ ลอร์ดหนุ่มหันกลับมาหาจูเลียน “หรือเมื่อคืนเจ้าอยู่ดึก แต่ก็ไม่นี่ข้าเห็นเจ้าออกมาจากงานเลี้ยงก่อนข้าตั้งนาน”

“ก็..”

“ก็อะไรล่ะ”

“นิโคลพี่จะกดดันข้าทำไมนักหนาเนี่ย ยังไงพวกนั้นก็กลับไปแล้วไม่ใช่หรือไง” นั่นสิพี่ชายที่ใจดีของจูเลียนหายไปไหนเสียแล้ว ทำไมคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าถึงได้เข้มงวดขึ้นอย่างที่ไม่เคยเข้มงวดมากขนาดนี้มาก่อน

“ผิดเพราะข้าเองที่ปล่อยเจ้าเกินไปจนได้ใจ” นิโคลตำหนิตัวเอง

“ก็ข้าบอกแล้วไงนิโคล..”

“พอข้าไม่อยากฟัง!”

“พี่ต้องไม่พอใจอะไรอยู่แน่ๆ “นิโคลสูดลมหายใจยาวเข้าปอด ดูเหมือนว่าเขามีเรื่องให้กังวลใจมากเกินไปเหมือนที่น้องชายตั้งข้อสังเกต “หรือพี่ไม่พอใจที่ว่าที่คู่หมั้นต้องเดินทางกลับ แต่พี่จะตามไปแต่งกับนางเร็วๆ นี้นี่ ทำไมต้องไม่พอใจด้วยล่ะ”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก” นิโคลตัดบท เขาไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นเลยสักนิด

“แล้วพี่จะไปสวาเนียร์เมื่อไหร่” จูเลียนเปลี่ยนเรื่องออกห่างจากตัวเอง แต่คำตอบที่ต้องการยังเกี่ยวกับผลประโยชน์ และแผนการบางอย่างที่วางไว้ในหัวอยู่ดี

“เร็วๆ นี้แหละ”

“เร็วๆ นี้มันวันไหนกันล่ะ ถึงสิบวันไหม” คำตอบของพี่ชายต่างมารดาทำให้พักตร์เรียวผ่องมุ่ยลงอย่างขัดใจ จูเลียนต้องการคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้

“ทำไมเจ้าถึงอยากรู้นัก อยากให้ข้าไปเร็วๆ หรือไง” จูเลียนต้องพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าบางอย่าง เพื่อไม่ให้นิโคลสงสัยว่าตัวเองอาจจะวางแผนทำอะไรบางอย่างลับหลังพี่ชาย แต่มันก็เป็นความจริง

“การไปครั้งนี้ของพี่มันสำคัญนะนิโคล พี่ทำเพื่อบ้านเมืองข้าต้องขอบคุณพี่ไง”

“ไม่ต้องหรอก เจ้าก็รู้ว่าข้าทำตามหน้าที่เท่านั้น ที่ถามนี่คงไม่ใช่วางแผนจะทำอะไรลับหลังข้าอยู่หรอกนะ”

“ข้าจะทำอะไรได้เล่า” ถึงจะตกใจอยู่ไม่น้อยที่พี่ชายเหมือนจะรู้ทัน แต่เรื่องกลบเกลื่อนความคลางแคลงจูเลียนก็ทำมันได้ดีอยู่ไม่น้อยหรอกนะ

“เจ้ามันชอบก่อเรื่อง”

“ข้าเปล่านะนิโคล แล้วนั่นพี่จะไปไหนอีก” จูเลียนร้องถามตามหลัง เพราะพูดจบนิโคลก็เดินออกจากห้องไปไม่บอกกล่าวกันสักคำ นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป “นิโคลยิ่งแก่ยิ่งขี้บ่นนะ เจ้าว่าไหมลีโอ”

ลีโอเพียงยิ้มรับไม่ออกความเห็น ใจแอบค้านว่าลอร์ดนิโคลนั้นยังหนุ่มแน่นแถมยังหล่ออีกต่างหาก แต่ก็รู้ๆ กันอยู่ หากลีโอเอ่ยอะไรที่ขัดใจออกมาตอนนี้ คงโดนจูเลียนเคืองเอาเสียเปล่าๆ เลยทำเพียงยิ้มรับไม่ตอบความ แต่ลีโอก็ต้องร้องถามแทบไม่ทัน เมื่อเห็นจูเลียนวางหนังสือในมือลงลุกจากเก้าอี้ วิ่งตามหลังนิโคลไปหยุดทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างประตู

ลีโอหันไปมองหน้าเลนนี่ แต่อัศวินหนุ่มทำเพื่อยักไหล่คล้ายบอกว่าไม่มีความเห็น “ฝ่าบาท เสด็จไหน”

“ข้าจะออกไปเดินเล่น”

“เดินเล่นแล้วทำไมฝ่าบาทไม่เดินดีๆ ทำไมต้องแอบส่องประตู”

“ก็ต้องดูก่อนสิว่านิโคลไปแล้วจริงๆ “

“ฝ่าบาทหมายความว่า...” จูเลียนยิ้มร้ายนั่นทำให้เด็กรับใช้ผู้รู้ใจอย่างลีโอตาโต “ฝ่าบาทจะออกไปนอกวัง!”

“เก่งมาก ข้าจะออกไปเดินเล่นในเมืองสักหน่อย เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าอารมณ์เสียแต่เช้า ไปกันเถอะเซอร์เลนนี่” จูเลียนยิ้มกว้างพอใจ แต่ลีโอกลับแสดงสีหน้าหนักใจ ที่ได้รู้จุดประสงค์ของเจ้านายเหนือหัว

“ฝ่าบาท หม่อมฉันเกรงว่า...”

“มาเถอะน่าลีโอเจ้าไม่ต้องเกรงอะไรหรอกเพราะเลนนี่กับเฮนริชก็ไปด้วย”

“แต่..” ลีโอหันมาทางเลนนี่ที่เพียงแต่ยืนอมยิ้มเงียบไม่ออกความเห็นอยู่เหมือนเดิม “เซอร์เลนนี่”

“หรือเจ้าไม่อยากไปเดินเล่นกับเซอร์เฮนริชล่ะ” ท่าทางเอียงคอน้อยๆ คิ้วขมวดเพราะหนักใจ ทำให้ลีโอดูเหมือนเด็กไร้เดียงสา แต่ในสายตาของทุกคนลีโอก็ไร้เดียงสาจริงๆ นั่นแหละ

“ทำไมลีโอต้องอยากไปเดินเล่นกับเซอร์เฮนริชด้วยเล่าฝ่าบาท”

“ถ้าเจ้าไม่อยากไปก็อยู่ในปราสาทนี่แหละ”

“ไปสิ หม่อมฉันจะไป” ลีโอไม่รีรอที่จะให้คำตอบเพราะต้องตามติดเจ้านายไปทุกที่อยู่แล้ว แต่จูเลียนกลับเข้าใจไปคนละทาง

“นั่นแน่ แสดงว่าเจ้าก็อยากไปเดินเล่นกับเซอร์เฮนริชใช่ไหมล่ะ”

ลีโอก้มหน้าหลบสายตาจูเลียนที่ทำเหมือนรู้ทัน “ลีโอเปล่า”

“ข้าแค่ล้อเล่นเจ้าทำไมต้องเขินด้วย”

“เปล่านะฝ่าบาท ลีโอเปล่าเขิน”

“เจ้าหน้าแดงนะ”

“ข้าหนาวหรอก”

“เหรอ” น้ำเสียงหยอกเย้าทำให้ลีโอต้องเงยหน้าขึ้นมองจูเลียน และพอเห็นสายตาที่มองมาเหมือนบอกว่ารู้ทัน ลีโอยิ่งพูดไม่ออก ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร พอๆ กับไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องแก้ตัว ลีโออยากพูดอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้จูเลียนเข้าใจผิด แต่ก็ไม่รู้ว่าจูเลียนจะเข้าใจผิดตัวเองด้วยเรื่องอันใด นี่ลีโอกำลังสับสนอะไรอยู่ใช่ไหม

“ทำไมฝ่าบาทคิดว่าลีโอต้องอยากเดินกับเซอร์เฮนริชด้วยก็ไม่รู้” สีหน้าของเด็กน้อยหม่นลงอย่างน่าสงสาร อยากเดินกับเซอร์เฮนริชลีโอก็อยากเดินอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าไปด้วยกันยังไงก็ต้องเดินด้วยกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ลีโอเลยไม่เข้าใจว่าทำไมจูเลียนต้องพูดให้ลีโอไม่เข้าใจด้วย

“ก็ข้าเห็นเจ้าเอาแต่แอบมองเซอร์เฮนริชนี่” ลีโอใจหายวาบที่จูเลียนสังเกตเห็น “อยากเก่งเหมือนเขาใช่ไหมล่ะ เจ้าอยากเป็นอัศวินหรือไงลีโอ เซอร์เลนนี่ก็สอนเจ้าได้นี่” แล้วก็ต้องแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ที่จูเลียนไม่ได้คิดอย่างที่ลีโอกังวล ทั้งสองเดินคุยกันออกมาถึงหน้าปราสาท เลนนี่เดินยิ้มบางๆ ตามมาเงียบๆ เจอกับเฮนริชและราเชลยืนรออยู่พอดี

“ข้าจะไปเดินเล่นสักหน่อย” จูเลียนบอกเพียงเท่านั้นก็เดินนำออกไปเลย เพราะอัศวินมีหน้าที่เดินตามคอยอารักขาอยู่แล้ว เช้านี้มีสามคน ส่วนเดรทิชเข้าเวรยามตรวจตราทั้งคืน ตอนนี้จึงเป็นเวลาพักผ่อนของเขา ลีโอรีบวิ่งตามหลังเจ้านายไปไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเฮนริช ราเชลที่กำลังจะทักทายลีโออ้าปากค้างเพราะเด็กน้อยเมิน อัศวินหนุ่มจึงทำได้แค่ยักไหล่แล้วเดินตามเจ้านายไปเงียบๆ

พอก้าวออกจากประตูวังจะเป็นลานกว้างหน้าจัตุรัสกลางเมือง และถนนสายหลักเส้นนั้นถือเป็นศูนย์กลางของเมืองหลวง แม้เทศกาลและงานประจำปีจะผ่านไปแล้ว แต่ในเมืองก็ยังคงความคึกคัก และคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาอยู่เช่นเดิม ทั้งชาวพื้นเมือง นักเดินทาง คนต่างถิ่น พ่อค้าแม่ค้า ทั้งที่เดินอยู่ตามถนน รถม้า รถลากที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางขนส่ง ข้างทางมีร้านรวงและแผงขายของพื้นเมืองวางขายกันไปตลอดทาง ที่อยู่อาศัยทั่วไปถูกสร้างขึ้นเป็นตึกสูงสองหรือสามชั้นด้วยหินปูน ตามแบบศิลปะของออสเซนเทียที่ดูสวยแปลกตา และมันยังแบ่งพื้นที่ออกเป็นสัดส่วน ระหว่างช่วงตึกด้วยตรอกซอกซอยที่มีผู้คนอยู่กันหนาแน่น เพราะเป็นทั้งที่พักอาศัย ร้านเหล้า และที่ดูเหมือนจะขาดไม่ได้ก็คือซ่องโสเภณี ที่มีสำหรับคนทุกระดับตั้งอยู่ทั่วไป

จูเลียนก้าวเร็วๆ ผ่านร้านรวงต่างๆ โดยไม่ได้สนใจหรือแวะซื้อของอะไรสักอย่าง กษัตริย์หนุ่มน้อยเพียงแค่อยากออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง แต่ในขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางชุมชนสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับใครบางคนที่จำได้ดี กษัตริย์หนุ่มน้อยรีบสาวเท้าเร็วๆ เดินเข้าไปหา แต่ใครคนนั้นเดินห่างออกไปแล้ว จูเลียนเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างหายเข้าไปในตรอกสายหนึ่ง เพราะกลัวจะตามใครคนนั้นไม่ทัน จึงรีบวิ่งโดยไม่สนใจแม้กระทั่งเสียงของลีโอที่ร้องเรียก

“เจ้า หยุดอยู่ตรงนั้นนะ” จูเลียนตะโกนฝ่าเสียงดังของฝูงชน แต่ใครคนนั้นก็หาได้หยุดเท้าไม่ จะว่าไปแล้วเสียงจอแจในตรอกแคบ ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงของจูเลียนเสียด้วยซ้ำ

“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ ฮานส์!” จูเลียนไม่สนใจผู้คนที่มองมาอย่างสงสัย รีบวิ่งตามเจ้าของแผ่นหลังกว้างนั้นไป จนเห็นใครคนนั้นเดินหายเข้าไปในร้านแห่งหนึ่ง และจูเลียนไม่รอช้าที่จะรีบตามไปให้ทัน

“หยุดนะ” ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมดำมืดหยุดชะงักเหมือนไม่แน่ใจ ค่อยๆ หันกลับมาทางต้นเสียงช้าๆ จึงได้เห็นว่าเสียงนั้นเรียกตัวเขาเอง เพราะเจ้าของเสียงจ้องเขม็งไม่วางตา

“เรียกข้า?” ฮานส์เลิกคิ้วขึ้นสูง และเสียงสั่งอย่างเอาแต่ใจที่ดังตามมา ยิ่งทำให้คิ้วเข้มค้างอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากที่โอบล้อมไปด้วยหนวดเคราเป็นตอสั้นแบะออกอย่างกวนอารมณ์

“ใช่ ข้าเรียกเจ้า ตามข้าออกมาเดี๋ยวนี้”

“ทำไมข้าต้องตาม” นั่นสิทำไมต้องตาม ฮานส์ยกมือขึ้นมากอดอกตัวเองทำท่าใช้ความคิด ดวงตาคู่คมจับอยู่กับพักตร์นวลผ่อง ที่ดวงเนตรเขียวจัดจ้องตอบกลับมาอย่างดุดัน แต่คนถูกเรียกยังยืนเฉยอยู่ จูเลียนจึงตรงเข้าไปกระชากข้อมือ หวังจะดึงให้เจ้าของร่างสูงใหญ่ตามออกมานอกร้านให้ได้

“ออกมาซะก่อนที่โทษของเจ้าจะมากไปกว่านี้”

“ข้าทำผิดอะไรมิทราบ แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงจะมาลงโทษข้า...แบบถึงเนื้อถึงตัวอย่างนี้” สายตาของฮานส์ไล่มองตั้งแต่ใบหน้าเรียว ที่พวงแก้มแดงปลั่งเพราะลมหนาวต่ำลงไปเรื่อยๆ จนถึงข้อมือที่ถูกยืดไว้ด้วยมือของจูเลียนในถุงมือหนังอบอุ่น ชายพเนจรไม่ยอมเดินตาม เขาแค่ยืนนิ่งๆ แทบไม่ได้ออกแรงขืนตัวแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ ทั้งที่จูเลียนต้องออกแรงฉุดเขาด้วยมือทั้งสองข้าง

“เซอร์เฮนริชจับเขาไว้” สิ้นคำสั่งยังไม่มีใครขยับตัว

“ไหนล่ะเซอร์เฮนริชของเจ้า ข้าเห็นแต่เจ้าวิ่งตามข้าต้อยๆ มาคนเดียวนะ” แสดงว่าเขารู้ว่ามีคนตามหรืออย่างไร จูเลียนหันไปมองรอบตัว ผู้คนที่นั่งอยู่ในร้านมากหน้าหลายตา หันมาให้ความสนใจสองหนุ่มต่างรูปร่างที่ยืนประจันหน้าอยู่กลางร้าน แต่ไม่มีใครที่ดูเหมือนจะเป็นอัศวินประจำตัวของจูเลียนเลยสักคน เพราะมัวแต่รีบวิ่งให้ทันจนลืมผู้ติดตาม “หึ เจ้าจะมาจับข้าไปลงโทษถูกไหม”

“ใช่” พอไม่เห็นอัศวินประจำตัวตามมาจึงถอยห่าง จูเลียนประกาศก้องมือเรียวชี้หน้าฮานส์อย่างเอาเรื่อง “ใครก็ได้ที่ช่วยจับชายคนนี้ ข้ามีรางวัลให้อย่างงาม จับเขา!” คนที่นั่งอยู่ในร้านหันมองหน้ากัน ไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่ บ้างก็ซุบซิบนินทา แต่ก็มีบางคนที่รู้ว่าจูเลียนเป็นใครลุกขึ้นจากที่นั่งหวังจะจับชายหนุ่มในชุดคลุมดำเพื่อรางวัลตอบแทน

“ฝ่าบาท”

“เซอร์เลนนี่จับเขาไว้เร็ว” เลนนี่หันไปตามคำสั่งของจูเลียน ก็เห็นเพื่อนรักยืนทำหน้าตายจนน่าจับมาลงโทษมันเสียเดี๋ยวนี้จริงๆ เดรทิชที่วิ่งเข้ามาพร้อมกันยืนอยู่อีกข้างคอยระวังให้จูเลียน

“อะไรกันฮานส์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

“ข้าไม่ได้เป็นนักโทษของใครทำไมจะมาเที่ยวบ้างไม่ได้ล่ะ”

“ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษของข้า จับเขาไว้เซอร์เดรทิช”

“ฝ่าบาทข้าขอล่ะ” เลนนี่ที่ไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายไปกันใหญ่หันกลับมาขอร้องจูเลียน

“ท่านหมายความว่ายังไงเซอร์เลนนี่”

“ข้าว่าเราออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”

“ไม่ออก ข้าสั่งให้ท่านจับเขาไว้ไง”

“ไม่ต้องจับหรอกฝ่าบาท” เลนนี่หันมาทำตาดุให้เพื่อนรักที่ยังยืนนิ่ง แต่แววตาของฮานส์เห็นแล้วรู้เลยว่ากำลังสนุก “เขาจะตามเรามาเอง”

“ใครบอกว่าข้าจะไป”

“ฝ่าบาทเสด็จเถอะ ส่วนเจ้าตามมา “เลนนี่บอกฮานส์เสียงเข้มจริงจัง ทั้งที่จูเลียนยังจ้องหน้าเขาอยู่อย่างไม่พอใจ แต่พออัศวินหนุ่มพยักหน้าให้จึงยอมเดินออกจากร้าน ไม่วายหันกลับไปมองฮานส์ตาขวาง ด้วยกลัวว่าชายหนุ่มจะไม่ตามมา เลนนี่เดินตามจูเลียนและเดรทิชออกไปแล้ว ฮานส์ก็เดินตามมาด้วยเงียบๆ ท่าทางไม่ได้ทุกข์ร้อน จนทั้งหมดพากันเดินมาถึงท้ายตรอกแคบ

“เซอร์เฮนริชกับลีโอล่ะ”

“ตอนเราหลงกัน สองคนนั้นแยกไปตามหาฝ่าบาทอีกทาง ข้ามากับเดรทิช”

“จับเขาไว้ก่อนที่จะหนีไป ข้าจะลงโทษคนอวดดี”

“ข้าว่าต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ๆ เลยฝ่าบาท”

“ไม่มีเรื่องอะไรเข้าใจผิดหรอกเซอร์เลนนี่ เขาถือว่าตัวเองชนะการประลองแล้วอวดดีกับข้า ขัดคำสั่งข้ามันก็สมควรแล้วต้องถูกลงโทษท่านก็เห็น” ฮานส์ยืนกอดอกยักไหล่ท้าทายความเกรี้ยวกราดของจูเลียน และเห็นท่าทางแบบนี้จูเลียนยิ่งหงุดหงิดขึ้นอีกกว่าเก่า “คุกเข่า!”

“ข้าไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งเจ้านี่”

“ข้าเป็นใครเจ้าเป็นใคร ต่อหน้าข้าอย่ามาอวดดี”

“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้น” ลีโอวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาพร้อมด้วยเฮนริชที่วิ่งตามกันมาติดๆ ปากก็ร้องถามอย่างเป็นห่วง “ท่านโรฮานส์!”

ต่อจ้า.....
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 11 คุกเข่ากล่าวคำสาบานตน 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 17-11-2018 19:37:57


ลีโอมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจ จูเลียนสีหน้าถมึงทึงเพราะความกริ้วโกรธ เลนนี่สีหน้าเรียบนิ่งแต่ดวงตาขี้เล่นคู่นั้นดูท่าจะหนักใจอยู่ไม่น้อย ส่วนชายในชุดดำที่ลีโอชื่นชมในความเก่งฉกาจ ยืนกอดอกนิ่งสีหน้าไม่ได้ทุกข์ร้อน กับดวงตาสีเขียวมรกตที่กำลังจิกจ้องมองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แถมชายหนุ่มยังดูเหมือนจะอมยิ้มเสียด้วยซ้ำ

“ถ้าไม่มีธุระอะไรข้าคงต้องขอตัวนะเสียเวลาหาความสำราญ”

“เจ้ายังไปไหนไม่ได้ ข้ายังไม่อนุญาต”

“ข้าต้องสนหรือไง” ฮานส์ทำสีหน้าเบื่อหน่ายที่ดูยังไงก็ไม่เห็นความจริงจัง นอกจากต้องการก่อกวนจูเลียนให้เกรี้ยวกราดสนุกๆ

“เซอร์เฮนริชจับตัวเขาไว้” สิ้นเสียงสั่งเด็ดขาดของจูเลียน คมดาบของอัศวินประจำตัวก็จ่ออยู่ที่ลำคอของร่างสูงในชุดดำอย่างน่าหวาดเสียว ทุกอย่างมันรวดเร็วมากแทบมองไม่ทัน จนลีโอที่ยืนอยู่ไม่ไกลยังตัวสั่นไม่กล้าขยับ ฮานส์ยกมือทั้งสองข้างขึ้นโดยไม่มีท่าทีว่าจะโต้กลับ คมดาบที่พร้อมจะตวัดเฉือนผ่านผิวเนื้อทุกเมื่ออย่างนี้ ถ้าฉลาดพอก็อยู่นิ่งๆ เสียดีกว่า

จูเลียนยกยิ้มสมใจ “ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไรดี เจ้าคนอวดดี”

ทุกคนเงียบ ฮานส์ไม่ตอบแต่สายตาที่มองกลับมาสบตากับจูเลียนนั้น มันเหมือนกำลังบอกอะไรบางอย่าง สายตาที่เหมือนมีอำนาจในการสื่อความคิด และบังคับจูเลียนให้จ้องมองลึกเข้าไปข้างใน จากระยะที่ยืนห่างกันพอได้สบตาตรงๆ อะไรบางอย่างที่มาพร้อมแววตาคู่นั้น สะกดให้จูเลียนมองนิ่งจนความดุดันในดวงเนตรสีเขียวมรกตลดลง เหลือเพียงความสงสัยจากสิ่งที่ได้เห็น ดวงตาสีดำมืดราวกับราตรีในคืนไร้แสงจันทร์และสิ้นแสงดาวหลุบต่ำลงมองที่ริมฝีปาก จูเลียนรู้ตัวแต่ยังยืนนิ่ง ครั้นเมื่อทำตามเจ้าของร่างสูงด้วยการหลุบสายตาลงมองริมฝีปากอิ่มที่ล้อมไปด้วยตอหนวด เห็นลิ้นสีชมพูเกือบแดงแลบออกมาเลียจึงได้เข้าใจ

“เจ้า! “ยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้ารกเคราของชายพเนจร ยิ่งจูเลียนเกรี้ยวกราดหงุดหงิดมากเท่าไหร่ฮานส์ยิ่งสนุก สนุกทั้งที่ยังมีคมดาบจ่ออยู่ที่คอหอยอย่างหมิ่นเหม่

“ฝ่าบาท ฮานส์ฝีมือดีหม่อมฉันขอเสนอให้รับเขาเข้ามาเป็นอัศวินฝึกหัดแทนการลงโทษ” เลนนี่กระซิบบอกในสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง จากนักโทษจะให้เป็นถึงอัศวินผู้ทรงเกียรติเชียวหรือ

“ข้าไม่มีวันรับคนอวดดีแบบนี้เข้ามาเป็นอัศวินหรอก”

“ใครบอกว่าข้าอยากเป็นล่ะ ไม่มีทางหรอก” ฮานส์ค้านออกมาทันทีเช่นกัน แต่นั่นทำให้จูเลียนก็คิดอะไรบางอย่างได้ และเพราะอยากเอาชนะอยู่แล้วพอได้ยินฮานส์ปฏิเสธจึงเปลี่ยนใจ

“ไม่อยากเป็นอัศวินหรือโอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ใช่ใครก็ได้หรอกนะไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอก ข้าเปลี่ยนใจก็ได้คุกเข่าลงซะแล้วจะละเว้นโทษให้”

“ไม่มีวัน!” ฮานส์ถอยห่างปฏิเสธเสียงแข็ง

“เซอร์เฮนริช” แต่คมดาบก็ตามมาพาดอยู่ที่คอของเขา กดแน่นลงกว่าเดิมอย่างทันใจหลังสิ้นเสียงตวาดของจูเลียน

“ฝ่าบาท”

“เจ้าไม่ต้องพูดเลยลีโอ”

“แต่..”

“คุกเข่าลงสิฮานส์เจ้าเป็นถึงผู้ชนะการประลองคงมีฝีมือไม่น้อย ข้าไม่ให้เจ้าเป็นอัศวินฝึกหัดก็ได้ คุกเข่าลงสาบานว่าจะปกป้องข้า แล้วข้าจะอภัยโทษทุกอย่างให้ จงถอดดาบของเจ้าออกมาวางแทบเท้าข้า” จูเลียนบอกพลางโบกมือให้เฮนริชลดดาบลงจากคอของฮานส์ด้วย

“หึ ไม่มีวัน”

“ฝ่าบาท” คราวนี้เป็นเสียงของอัศวินผู้เงียบขรึมอย่างเฮนริชเรียกขึ้นเพื่อเตือนสติ เพราะคงไม่เหมาะนักที่อยู่ดีๆ จะให้ใครก็ไม่รู้มาเป็นอัศวินมีโอกาสการรับใช้ใกล้ชิด โดยไม่รู้ว่าคนคนนั้นไว้ใจได้หรือเปล่า แม้จะเป็นยอดฝีมือที่ชนะการประลอง แต่ก็แค่ประลองสนุกๆ บนหลังม้า ที่ใช้แค่ไหวพริบและความแข็งแกร่งของร่างกาย การประลองนั่นไม่ได้แสดงให้เห็นถึงทักษะการต่อสู้ที่เป็นคุณสมบัติของอัศวินทั้งหมดด้วยซ้ำ

การคัดเลือกอัศวินประจำตัวกษัตริย์นั้น นอกจากจะต้องมีฝีมือการต่อสู้ที่เก่งกาจและแข็งแกร่ง สามารถต่อสู้ได้ทุกรูปแบบ รวมไปถึงร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์แล้ว สมองต้องฉลาดเป็นคนมีไหวพริบ ต้องมาจากตระกูลขุนนาง หรืออยู่ในตระกูลสูงศักดิ์มีเกียรติเป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตา หาใช่ชายพเนจรอย่างที่เห็นอยู่นี้ไม่ ที่สำคัญยังต้องผ่านบททดสอบอีกมากมาย ไม่ใช่อยู่ดีๆ นึกอยากแต่งตั้งก็แต่งตั้งขึ้นมาเลยตามใจแบบนี้

“ฝ่าบาท ข้าเกรงว่าคงไม่เหมาะนัก”

“ใช่ไม่ค่อยเหมาะหรอก และท่านคงช่วยข้าจับตาดูเขาได้ใช่ไหมเซอร์เฮนริช” เฮนริชหันไปทางเลนนี่คนต้นคิดให้ชายพเนจรมาเป็นอัศวิน แต่เลนนี่ยังเงียบ “ทีนี้เจ้าก็คุกเข่าลงสาบานต่อหน้าข้าได้แล้ว”

“เรื่องอะไร ข้าเดินทางท่องเที่ยวอยู่ดีๆ ไม่เอาเจ้ามาเป็นภาระหรอก”

ขวับ!!

คมดาบของเฮนริชพาดอยู่บนคอของฮานส์อีกครั้ง “อย่าพูดจาล่วงเกินกษัตริย์”

“อภัยด้วยท่านอัศวิน แต่ก่อนที่จะให้ใครสาบานตัวรับใช้นี่ไม่ควรถามความสมัครใจเขาหรือไง”

“ที่เจ้าได้รับนี่ก็ดีที่สุดสำหรับชีวิตพเนจรของเจ้าแล้ว ยังไม่รีบคุกเข่าลงอีก”

“ไม่มีวัน ข้าไม่มีวันคุกเข่าสาบานจะปกป้องใคร ไม่มีวันเป็นอัศวินของใคร ชีวิตข้าเป็นอิสระ”

“อวดดี ถ้าไม่อยากเป็นเจ้ามีทางเลือกเดียวเท่านั้นแหละ” ฮานส์ยักไหล่ “เซอร์เฮนริชเอาเขาไปขังไว้!”

“ฝ่าบาท ไปกันใหญ่แล้วพอเถอะ เฮนริชเก็บดาบของเจ้าซะ” เลนนี่เข้ามาขวาง

“เซอร์เลนนี่ ท่านจะขัดคำสั่งข้าหรือไง”

“ฝ่าบาทโปรดอภัยแต่ข้าเกรงว่าสาเหตุของเรื่องทั้งหมดมาจากเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ “

“เพราะเขาอวดดีไง แล้ว..” แล้วยังมีสิ่งที่ค้างคาใจจูเลียนอยู่ นั่นก็คือการกระทำจาบจ้วงที่ฮานส์ทำในสวนเมื่อคืนก่อน แต่จูเลียนจะพูดถึงมันออกมาได้อย่างไร

“เอาล่ะ ข้าเสียเวลากับพวกเจ้ามามากแล้วคงต้องขอตัวสักที”

“เจ้ายังไปไหนไม่ได้” เดรทิชกระชับดาบมั่นเขาอยู่ข้างหลังฮานส์ ชายพเนจรเพียงยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าด้วยท่าทางอ่อนอกอ่อนใจ

“คุยกันดีๆ เถอะ” เลนนี่พยายามไกล่เกลี่ยเพราะตัวเขาเองไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้ ส่วนเพื่อนตัวดีต้องมีการจัดการกันทีหลังอย่างแน่นอน ที่บังอาจมาก่อนเรื่องให้เขาปวดหัว

“อะไรกันเซอร์เลนนี่”

"ถ้าไม่มีอะไรข้าคงต้องทูลลาฝ่าบาท” ฮานส์ค้อมตัวลงราวกับแสดงความเคารพ แต่จูเลียนดูยังไงมันก็คือการล้อเลียนหน้าตาเฉยที่ทำให้แทบทนไม่ได้ “ข้าจะเดินออกไปดีๆ “

“จับเขาไว้สิ” สิ้นคำสั่งจูเลียนเดรทิชจะเข้ามาจับฮานส์ แต่เขาเพียงเบี่ยงตัวหลบและผลักเดรทิชจนเซมาทางเฮนริช ทำให้อัศวินทั้งสองเสียหลัก คนที่คิดว่าตัวเองเสียเวลาหาความสำราญมากเกินไปแล้วไม่อยู่รอต่อปากต่อคำ หันหลังเดินออกจากตรงนั้น จูเลียนเห็นเลนนี่ยืนมองเฉยก็โกรธจนลืมตัวจะเข้ามาจับฮานส์เอง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้าหา มีดเล่มเล็กก็ปักลงตรงพื้นหินข้างหน้า เหมือนบอกว่าห้ามตามไป

“ฮานส์!” เลนนี่เรียกเสียงดังกับการกระทำของชายพเนจร ที่ทิ้งความตื่นตลึงไว้ให้ลีโอแล้วหายไปจากตรงนั้นทันที เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ฮานส์หายไปจากตรงนั้นราวกับว่าเขาไม่เคยยืนอยู่ เหลือทิ้งหลักฐานเอาไว้เพียงมีดเล่มเล็ก ที่จูเลียนเห็นแล้วยิ่งเจ็บใจ

“ฝ่าบาท”

“กลับ!”

ยามดึกของค่ำคืนกลางฤดูหนาว เป็นช่วงเวลาที่ควรซุกตัวหลับสบายอยู่ในเตียงอุ่นๆ แต่ไม่ใช่สำหรับคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดในห้องลับ เพราะนี่คือการประชุมลับที่ไม่อาจแพร่งพรายให้ใครรู้ได้ ว่ามีการประชุมนี้เกิดขึ้น

“อีกสามวันข้าต้องไปสวาเนียร์แล้ว”

“อะไรกันนิโคล พี่ให้ข้าอดหลับอดนอนเพื่อจะมาบอกเท่านี้หรือไง” ทันทีที่เปิดประเด็นขึ้นก็มีเสียงโอดครวญ พี่ชายต่างมารดาเพียงเหลือบตามองเจ้าของเสียงประท้วง ที่ตาปรือทำท่าจะปิดอยู่แล้ว

นิโคลไม่สนใจคำประท้วงของจูเลียน “ระหว่างนี้พวกนั้นอาจจะมีการเคลื่อนไหว”

“พวกไหนเหรอนิโคล”

“พวกที่มันอยากเอาชีวิตเจ้าไงจูเลียน นี่เจ้าคิดจะสนใจอะไรกับเขาบ้างไหม” จูเลียนหน้ามุ่ยลงที่ถูกพี่ชายดุ ที่นี่ไม่ได้มีเพียงกษัตริย์หนุ่มน้อยกับพี่ชายต่างมารดาเท่านั้น จูเลียนถูกลากออกมาจากเตียงอุ่นๆ คนที่นั่งข้างขวาคือนิโคลัสพี่ชายต่างมารดาที่พักหลังมานี้เข้มงวดกับจูเลียนเหลือเกิน ส่วนข้างซ้ายคือทาร์เทียน่าขนิษฐาแฝด ที่นั่งดูจูเลียนโดนดุเงียบๆ แต่นางกำลังสนุกอยู่แน่นอน จูเลียนเห็นมันได้จากแววตาซุกซนของนาง ถัดจากพี่น้องทั้งสองคืออัศวินทั้งสี่คนของจูเลียน ที่ทุกคนต่างนั่งรอฟังนิโคลเงียบ เพราะยังไม่ถึงเวลาแสดงความคิดเห็นออกมา

“เรามีอีกเรื่องที่ปล่อยผ่านไม่ได้” นิโคลเอ่ยแทรกความเงียบของทุกคนขึ้นมา ลอร์ดหนุ่มกวาดตามองไปรอบโต๊ะสี่เหลี่ยม “ข้าได้รับรายงานมาว่ามีการพบกันลับๆ ระหว่างอเล็กซิสกับโจเซฟ”

“แปลว่าเราไว้ใจมอนทาร์น่าไม่ได้เลยใช่ไหม” ทาร์เทียน่าถามขึ้น ตอนอเล็กซิสมาเป็นแขกบ้านแขกเมืองนางได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแล

“เป็นไปได้ว่าโจเซฟอาจจะกำลังวางแผนอะไรบางอย่างกับทางนั้น ส่วนสวาเนียร์ข้ากำลังจะไปอยู่แล้ว จะดูท่าทีของทางนั้นเงียบๆ เอง “

“แล้วมอนทาร์น่าละท่านมีแผนไว้หรือยัง” เฮนริชถามขึ้นเป็นคนแรกหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน

“ข้าว่าเราน่าจะส่งคนที่ไว้ใจได้สักคนเข้าไปดูความเคลื่อนไหวของมอนทาร์น่าบ้างนะ” ราเชลออกความเห็น

“ถ้าหมายถึงคนที่ไว้ใจได้จริงๆ ก็คงไม่พ้นหนึ่งในสี่จากพวกท่านหรอกนะเซอร์ราเชล” จูเลียนบอกเพราะนอกจากพี่น้องของตัวเอง ก็มีแต่อัศวินทั้งสี่นี่แหละที่จูเลียนไว้ใจมากที่สุด ไม่รวมลีโอที่ถวายชีวิตให้จูเลียน ลีโอไว้ใจได้อยู่แล้วแต่เด็กน้อยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุม

“พูดได้ดีนี่จูเลียน”

เหมือนเป็นเสียงชมจากพี่ชายแต่จูเลียนรู้ดีกว่านั้นว่ามันไม่ใช่ “ข้าก็คิดเป็นนะนิโคล”

“แล้วเจ้าคิดว่าใครเหมาะกับงานนี้ล่ะ” คำถามของนิโคลคล้ายลองหยั่งเชิงความคิดของจูเลียน

“ใครก็ได้ในสี่คนนี้ข้าว่าเหมาะทั้งนั้นแหละ”

“แต่อัศวินทั้งสี่ต้องอารักขาเจ้านะจูเลียน” ทาร์เทียน่าขัดขึ้น

“ไปแค่คนเดียวจะเป็นไรไปเล่า เหลืออยู่กับข้าตั้งสามคน วันๆ ข้าอยู่แต่ในปราสาทจะอารักขาอะไรมากมาย”

“ใช่ถ้าวันนั้นเจ้าไม่แอบหนีออกไปเดินเล่นนอกวังนะ”

“โธ่เทียน่า เจ้ายังโกรธที่ข้าไปไม่ชวนอยู่หรือไง” จูเลียนที่กำลังสนุกกับการแสดงความคิดเห็นหน้างอลงทันทีที่ทาร์เทียน่ารู้ทัน

“เอาล่ะ พอก่อน อย่างที่จูเลียนบอกนั่นแหละ ว่าเราต้องการคนที่ไว้ใจได้ แต่นอกจากนั้นก็ต้องการคนฉลาดและมีฝีมือด้วย”

“นั่นไง หนึ่งในสี่อัศวินของข้าเลยเหมาะสมที่สุด พวกท่านว่าไง” จูเลียนบอกแล้วเหมือนเพิ่งนึกได้ ว่าต้องถามความเห็นของเหล่าอัศวินประจำตัวของตัวเอง

“พวกเขาเหมาะสมและเราจำเป็นต้องใช้คนของเรา พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งไปมอนทาร์น่าก็แล้วกัน”

อัศวินทั้งสี่มองหน้ากันราเชลยิ้มมุมปากนัยน์ตาเป็นประกาย ทุกคนจึงหันไปมองเขา “ข้าว่างานนี้เลนนี่เหมาะสมที่สุดนะ”

“ทำไมถึงคิดว่าเป็นเซอร์เลนนี่ล่ะเซอร์ราเชล” ทาร์เทียน่าสงสัย

“ข้าคิดว่าเขารู้จักชาวมอนทาร์น่าดีทีเดียว” รอยยิ้มมีเลศนัยโปรยมาทางเลนนี่ที่นั่งหน้าตึงขึ้นมาทันที ราเชลทำท่าทางเหมือนรู้ทันอะไรบางอย่าง

“ว่ายังไงเซอร์เลนนี่ ท่านรู้จักชาวมอนทาร์น่าดีหรือไง” จูเลียนดูเหมือนจะสนใจด้วย

“ก็พอรู้จักบ้างฝ่าบาทแต่เฉพาะบางคนเท่านั้นแหละ”

“เอาเป็นว่าเจ้าไปมอนทาร์น่าก็แล้วกันเลนนี่” อัศวินหนุ่มผู้ได้รับมอบหมายเพียงคำนับเป็นการรับคำสั่งเท่านั้น เพราะหน้าที่ก็คือหน้าที่ ได้รับมอบหมายแล้วต้องทำตาม

“แค่นี้หรือนิโคล พี่มีอะไรอีกไหมข้าง่วงแล้วนะ” จูเลียนเริ่มต้นโอดครวญ

“มีสิ ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ เจ้าห้ามทำตัวเกเร”

“พี่ไม่อยู่ข้าก็มีราชกิจต้องทำนะ จะเอาเวลาไหนไปเกเรอย่างที่พี่ว่าเล่า”

“แน่ใจเหรอว่าเจ้าจะทำงาน” ทาร์เทียน่าแหย่อย่างนึกสนุก แน่ล่ะว่าความเป็นไปได้ที่จูเลียนจะทำงานนั้นมีน้อยมาก

“แล้วข่าวเรื่องเงามรณะล่ะ” เฮนริชเป็นคนถามขึ้น เพราะมีข่าวเกี่ยวกับโจรรับจ้างที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเงามรณะเข้ามาในเมืองหลวง แต่ยังไม่มีอะไรชัดเจน เป็นแค่ข่าวลือที่เข้ามาพร้อมกับงานฉลองที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง แต่ก็ยังไม่มีข่าวออกมาว่ามีใครถูกปล้นหรือถูกโจรกรรมเช่นกัน อัศวินทั้งสี่สบตากับลอร์ดหนุ่มแบบรู้ความหมาย แต่คนที่ไม่รู้เริ่มหาวเพราะง่วงเต็มที

“เรื่องนั้นคงไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เรากำลังห่วง แต่ให้คนหาข่าวนี้ไว้ด้วยก็ดี” เหล่าอัศวินเพียงพยักหน้ารับรู้ ส่วนหน้าที่ต่างๆ จะแบ่งกันรับผิดชอบทีหลัง

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าว่าเราควรจะแยกย้ายกันไปนอนได้แล้วนะ”

“ก็ไปสิ”

“ไปกันเถอะ อ้อเซอร์เฮนริชท่านช่วยไปส่งทาร์เทียน่าที่ปราสาทของนางด้วย”

“รับทราบฝ่าบาท”

“ข้าโตแล้วน่าจูเลียนไม่ใช่เด็กๆ ที่จะหลงทางกลับปราสาทของตัวเอง”

“ไปเถอะน่า” แล้วจูเลียนก็เดินล่องลอยออกไปจากห้องนั้นเพราะง่วงจนตาแทบจะปิดอยู่แล้ว จนราเชลกับเดรทิชต้องเดินประกบ เฮนริชตามไปส่งทาร์เทียน่าตามคำสั่งของจูเลียน จึงเหลือนิโคลกับเลนนี่ที่รั้งท้าย

“เจ้าจะเดินทางเมื่อไหร่เลนนี่” นิโคลเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่คนอื่นๆ ออกไปกันหมดแล้ว

“คงพร้อมท่านเดินทางไปสวาเนียร์ หรืออาจจะเร็วกว่านั้น”

“ข้าไม่ไว้ใจจูเลียนเลย” พอนิโคลพูดออกมาแบบนี้ทั้งสองต่างเข้าก็ใจตรงกัน ว่าลอร์ดหนุ่มกำลังกังวลใจด้วยเรื่องอันใด ถึงจูเลียนจะเป็นกษัตริย์แต่ในสายตาของพี่ๆ จูเลียนก็ยังเป็นเพียงน้องน้อยอยู่ดี และพี่ในที่นี้รวมไปถึงอัศวินทั้งสี่ด้วย

“ท่านไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงก็มีสามคนนั้นคอยดูฝ่าบาทอยู่ จูเลียนเกรงใจเฮนริช”

“หึ ข้าพบว่าเป็นเฮนริชนั่นแหละที่มักจะตามใจจูเลียนมากที่สุด”

“ก็เฉพาะเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นแหละ”

“ข้ากลัวแต่จะดื้อดึงจนห้ามไม่ฟังนะสิ” ทั้งลอร์ดหนุ่มและอัศวินต่างเงียบ ด้วยอายุที่ไล่เลี่ยกันและร่ำเรียนฝึกฝนวิชาความรู้มาด้วยกัน เวลาอยู่ในที่ส่วนตัวจึงคุยกันได้เหมือนเพื่อนมากกว่า

“เอาเถอะข้าว่าเราควรไปพักผ่อนได้แล้ว”

“ราตรีสวัสดิ์”

/*/*/*/*/*/*/

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 11 คุกเข่ากล่าวคำสาบานตน 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 06-12-2018 06:45:38
 :L2:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 12 สวาเนียร์ 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-12-2018 23:04:18



เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 12 สวาเนียร์

อารมณ์กรุ่นโกรธของจูเลียนนั้นยังไม่บรรเทา แม้จะผ่านมาหลายวัน แต่คิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ต้องกัดฟันกรอดกระฟัดกระเฟียดเกรี้ยวกราดขึ้นทุกที กับความอวดดีและท้าทายที่ชายพเนจรทำไว้ อย่าให้ได้เจออีกก็แล้วกัน จูเลียนจะให้ทหารจับมาขังคุกใต้ดินเสียให้เข็ด หลังพี่ชายเดินทางจูเลียนต้องคร่ำเคร่ง และเครียดกับงานอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ก่อนหน้านั้นจะไม่ค่อยสนใจด้วยว่ามีพี่ชายต่างมารดาคอยช่วย แต่พอพี่ชายไม่อยู่หลายอย่างจึงถูกส่งมาให้จูเลียนดูแลเอง

ภายในห้องทรงงานนั้นประดับตกแต่งอย่างหรูหราตามประสงค์ของผู้ใช้ ในห้องอบอวนไปด้วยไออุ่นจากเตาผิงและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำมันหอมระเหย ที่ช่วยให้สมองปลอดโปร่งได้อยู่ไม่น้อย แต่ไม่ว่าบรรยากาศภายในห้องจะดีเพียงใด พอคิดถึงเรื่องค้างคาใจที่จูเลียนปัดทิ้งไม่ได้สักที อารมณ์และความขุ่นมัวมักจะกลับมาเสมอ ทั้งต้องทรงงาน ทั้งหงุดหงิดยามเผลอคิดแค้นใจลอย แต่กระนั้นยังมีสิ่งหนึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียว ที่ทำให้จูเลียนอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง แม้ต้องทรงงานหนักหรือมีเรื่องของคนกวนประสาทให้หงุดหงิดเกรี้ยวกราด

“ฝ่าบาท...”

“กรอสเซ่ ทำไมวันนี้เจ้าเพิ่งมาหาข้า” ยังไม่ทันที่ผู้มาเข้าเฝ้าจะได้พูดจบ ร่างเพรียวก็ลุกจากเก้าอี้โผเข้าหาชายคนรักที่แสนคิดถึง ปากถามเหมือนตำหนิที่กวีหนุ่มมาช้า แต่ก็เพียงอ้อนไม่จริงจังจะเอาผิด แม้ว่าช่วงหลังมานี้จะมีเรื่องค้างคาใจหลายเรื่อง แต่ยามอยู่กับยอดรัก ดูเหมือนจูเลียนจะอารมณ์ดีขึ้นมาได้อย่างผิดหูผิดตา จนลีโอแอบภาวนาอยากให้กวีหนุ่มมาทุกครั้ง ยามจูเลียนเกรี้ยวกราดใส่

“ฝ่าบาทโปรดอภัย ข้าแค่ติดธุระนิดหน่อย”

“เจ้ามีธุระอะไรที่สำคัญกว่าข้าหรือกรอสเซ่” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดกับพักตร์นวลผ่องบึ้งตึงขึ้นทันที ยามคิดว่าคนรักจะมีสิ่งอื่นใดสำคัญกว่าตัวเอง มันก็อดน้อยใจไม่ได้อย่างที่จูเลียนกำลังเป็น

“ไม่มีธุระอันใดสำคัญไปกว่าฝ่าบาท มีเพียงเรื่องน่าเบื่อที่ข้าอยากหนีมันให้ไกล แล้วรีบมาหายอดรักของข้าให้เร็วที่สุด” กรอสเซ่เอาใจ

“มานั่งตรงนี้เถอะ”

ดูเหมือนจูเลียนจะคิดว่าโลกนี้มีกันอยู่เพียงสองคน แต่ทุกอย่างกำลังตกอยู่ในสายตาของคนสนิท ที่ยืนดูเงียบๆ จากมุมหนึ่งหลังโต๊ะทรงงาน กษัตริย์หนุ่มน้อยรั้งคนรักพากันไปนั่งยังมุมพักผ่อน ที่มีเก้าอี้บุนวมอุ่นสบายน่านอน แต่ด้วยเพราะห่วงกลัวว่างานที่ทำจะถูกเมินจนทำไม่เสร็จ ลีโอเลยจำต้องแสดงตัวออกมา

“ฝ่าบาท”

“ยังอยู่หรือไงลีโอ ข้านึกว่าเจ้าออกไปตั้งนานแล้วนะ”

“ลีโอยังอยู่กับฝ่าบาท”

“ออกไปข้าจะอยู่กับกรอสเซ่สองคน”

“แต่งาน..”

“ข้าบอกว่าออกไปไงลีโอ” ลีโอก้มหน้างุด ลึกๆ แอบน้อยใจที่นายเหนือหัวเอ่ยปากไล่ ถึงมันจะเคยเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ครั้งนี้ความรู้สึกทำไมมันถึงได้แตกต่างลีโอก็ไม่รู้ เด็กน้อยกะพริบตาปริบๆ เก็บความอัดอั้นแล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ อย่างน้อยใจ “ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกินกรอสเซ่”

“ฝ่าบาท ข้าก็คิดถึงท่านเช่นกัน” มือเรียวที่ถูกกวีหนุ่มกอบกุมไว้ถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากเย็นชืด กรอสเซ่กดแนบสัมผัสเพียงผิวแผ่วก็ผละออก แล้วปล่อยมือเรียวทันที แต่ความฉาบฉวยจากสัมผัสของกวีหนุ่ม กลับซาบซ่านแทรกลึกเข้าไปในความรู้สึกของจูเลียน เกิดความปลื้มปริ่มจนยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด รอยยิ้มหวานหยดย้อยประดับพักตร์นวลผ่อง พวงปรางอิ่มแดงระเรื่อขึ้นอย่างน่ามอง “ยอดรักของข้า”

“วันนี้ทำไมเจ้าปากหวานนะกรอสเซ่” จูเลียนจ้องมองใบหน้าขาวซีดของกรอสเซ่อย่างหลงใหล ปลาบปลื้มกับคำรักที่ได้ยินจนเต็มตื้นอิ่มเอมใจ

รอยยิ้มของกรอสเซ่เลือนหายไป เหลือเพียงสีหน้าปั้นแต่งให้คนมองรู้สึกว่าเขากำลังน้อยเนื้อต่ำใจในความคลางแคลง “ก็เฉพาะแต่กับฝ่าบาทเท่านั้น ท่านสงสัยในความรักของข้าหรือ”

“อย่าน้อยใจไปเลย ยังไงเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียวในใจของข้าเสมอ ข้ารักเจ้าเหลือเกินกรอสเซ่” จูเลียนขยับเข้าหากรอสเซ่ให้ใกล้ชิดกันขึ้น เพราะคนรักดูเหมือนจะนั่งห่างเหลือเกินจนไม่รู้สึกถึงไออุ่นที่ควรได้รับ

“ฝ่าบาททรงงานอยู่ข้าคงมากวน”

“ไม่หรอก เพราะงานพวกนั้นต่างหากที่ทำให้ข้าแทบจะไม่ได้มีเวลาอยู่กับเจ้า” ดวงเนตรสวยสีเขียวนั้นดูเหมือนจะเปลี่ยนสีได้อยู่ตลอดเวลา ตามอารมณ์ของเจ้าตัว ยามโกรธมันจะเป็นสีเขียวเข้มมีประกายรั้นน่ากลัว แต่ยามนี้ที่รักบังตามันกลายเป็นสีเขียวกระจ่างวาววับปานลูกแก้วใสน่ามอง

“ข้าก็อยู่ตรงนี้แล้วไง ข้างๆ ฝ่าบาทตลอดเวลา”

“อย่าทิ้งให้ข้าอยู่คนเดียวอีกนะกรอสเซ่” จูเลียนออดอ้อนเอนร่างโปร่งระหงเข้าหา โดยฝังซีกแก้มข้างหนึ่งซบลงไปกลางอกของกวีหนุ่ม ดวงตาหลับพริ้มซาบซึ้ง เจ้าของอกแอบถ่ายถอนลมหายใจออกมาเบาๆ กรอสเซ่นั่งนิ่งปล่อยให้จูเลียนได้ออดอ้อนอิงแอบอกอุ่นโดยที่มือทั้งสองข้างยังวางอยู่ข้างตัวกำแน่น ทั้งสองเงียบ กวีหนุ่มกำลังพยายามเก็บงำความรู้สึกซ่อนให้ลึกสุด ส่วนหนุ่มน้อยผู้เป็นกษัตริย์เงียบ เพราะกำลังซึมซับเอาทุกความรู้สึกยามอยู่กับคนรักไว้ในใจอย่างซาบซึ้ง

กรอสเซ่กำลังคิดหาเรื่องมาคุยหวังให้จูเลียนผละออกห่างบ้าง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากสักคำ คนที่ต้องการให้ออกห่างก็ยืดขึ้นจากอกเขาเอง

ใบหน้าของจูเลียนบึ้งตึงกระเง้ากระงอด ดวงเนตรสีเขียวมีแววตัดพ้อน้อยใจยามเอ่ยคำถาม “ทำไม”

“ทำไมอะไรหรือฝ่าบาท”

“ก็เจ้านะสิ ทำไมไม่กอดข้าบ้างเลย หรือไม่คิดถึงจริงๆ ” กรอสเซ่คิดถึง! ตอนนี้ยิ่งคิดถึงมาก แต่คนในความคิดกลับไม่ใช่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้า เพราะในหัวของเขานั้นมีแต่สาวน้อยในชุดออกงานยาวกรุยกรายสีแดงกลีบกุหลาบ เนื้อผ้ากำมะหยี่เงางามตัดกับผิวเนื้อนวลผ่องน่าลูบไล้ นางสวยไปทั้งร่างอรชรอ้อนแอ้นที่เขาเคยได้ตระกองกอดพาเต้นรำ

“ข้าแทบรอไม่ไหวแล้ว ถ้าฝ่าบาทจะทรงอนุญาต” กรอสเซ่รีบตีสีหน้าซื่อป้อนคำหวานอย่างที่จูเลียนชอบฟัง ไม่วายหยิบเอานัยแอบแฝงในคำพูด ให้คนฟังรู้สึกว่าที่เขาไม่กระทำล่วงเกินก็เพราะความเจียมตัว และนั่นยิ่งทำให้คนฟังเกิดความหลงใหลได้ปลื้ม อยากกอดอยากออดอ้อนเอาอกเอาใจ

“เราเป็นคนรักกันนะกรอสเซ่ทำไมต้องรอให้ข้าอนุญาตด้วยเล่า”

“เพราะข้ารู้ว่าตัวเองต้อยต่ำเพียงใด แค่จูเลียนเมตตารักข้าเท่านี้ชีวิตก็ไม่ต้องการสิ่งใดแล้วยอดรัก” จูเลียนยิ้มกว้างโถมเข้าหาอ้อมอกของกวีหนุ่ม พักตร์นวลปลั่งแหงนเงยเหมือนไม่อยากละจากอก แต่ก็อยากมองหน้าคนรักให้เต็มตา ละมือข้างหนึ่งจากการโอบกอดลำตัวขึ้นมารั้งต้นคอคนรักให้โน้มลงหา กรอสเซ่ไม่ขัดใจทั้งที่ในใจเขานั้นมันอยากขัดเต็มที

กลีบปากนิ่มเผยอรอรับสัมผัสจากคนรัก กรอสเซ่แนบริมฝีปากตัวเองลงเพียงผะแผ่วแต่ยังผละออกไม่ได้ ด้วยว่าท่อนแขนที่รั้งต้นคอยังไม่ราแรง เขาจำต้องกดเม้มแตะริมฝีปากลงไปบนกลีบปากนุ่มละมุนอย่างเสียไม่ได้ จูเลียนหลับตาพริ้มเลยไม่ได้เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วน ด้วยว่ากรอสเซ่นั้นหาได้มีจิตพิศวาสในตัวชายตั้งแต่แรกไม่ ทุกครั้งที่ริมฝีปากสัมผัสกันก็เพราะจำเป็น ยามต้องแสดงความรู้สึกฉันท์คนรัก แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่จะลึกซึ้งมากไปกว่านี้ ในหัวเอาแต่จินตนาการว่ามันเป็นริมฝีปากอวบอิ่ม ที่แวววาวด้วยขี้ผึ้งกลิ่นหอมสีแดงเรื่อของหญิงสาวหนึ่งเดียวในใจ หาใช่หนุ่มน้อยสูงศักดิ์ที่เขาหวังพึ่งในอำนาจคนนี้ไม่

จูเลียนเม้มกลีบปากนุ่มนิ่มหยอกเย้ากับริมฝีปากของคนรัก ในอกพองโตอิ่มเอมวาดฝัน ความต้องการของร่างกายบอกว่ามันยังไม่เพียงพอ ร่างเพรียวบางขยับเปลี่ยนท่าจนขึ้นนั่งบนตัก เนตรสวยสบกับดวงตาของกวีหนุ่มไม่ปิดบังความต้องการ ระยะห่างของใบหน้าลดลงเรื่อยๆ ตามความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้น จูเลียนตื่นเต้นที่ได้สัมผัสชิดใกล้ หนุ่มน้อยอยากได้รับมากกว่านี้ อยากให้เหมือนวันนั้น วันที่ใครบางคนได้สอนให้รู้จักกับรสชาติใหม่ของสัมผัสที่ลึกซึ้งกว่า จูเลียนอยากเอามาทำกับกรอสเซ่ อยากให้คนรักรู้สึกดีเหมือนที่จูเลียนรู้สึก แม้นั่นมันจะเกิดขึ้นเพราะเผลอไผลไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนรักของตัวเอง

จูเลียนที่กำลังจะมอบจูบหวานล้ำลึกซึ้งชะงักไป ทำไมต้องคิดถึงคนอื่น ทำไมต้องคิดถึงเจ้าคนลึกลับนั่น ทำไมต้องคิดถึงคนที่ทำให้หงุดหงิดเกรี้ยวกราดทุกครั้งที่เจอกัน ทั้งที่คนรักอยู่ตรงหน้า จูเลียนปัดใครบางคนและความรู้สึกที่ได้รับคืนนั้นทิ้งไป ตรงหน้าคือคนรักที่จูเลียนไม่อาจจะละสายตาไปมองคนอื่นได้ คนนี้ต่างหากเป็นหนึ่งเดียวที่ใจปรารถนา จูเลียนสบตาหวานซึ้งสื่อความหมาย แล้วจึงค่อยๆ หลับตาพริ้มลงอีกครั้ง เพื่อมอบจูบหวานล้ำลึกซึ้งกว่าที่เคยทำด้วยกันมา

“จูเลียน!”

“อะไรกรอสเซ่” จูเลียนตกใจจนสะดุ้งที่ต้นแขนทั้งสองข้างถูกยึดไว้แน่นด้วยมือของคนรัก และเสียงเรียกหยุดสัมผัสที่กำลังจะได้แตะต้องกันของริมฝีปาก กษัตริย์หนุ่มน้อยมองหน้าคนรักอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไม เจ้าไม่อยากจูบข้าหรือไง”

“อภัยด้วยยอดรัก ข้า...” กรอสเซ่หายใจหอบเพราะเขาเกือบจะคุมตัวเองไม่ได้ เกือบผลักจูเลียนออกอย่างแรง ดีที่ยั้งมือได้ทัน

“ทำไมกรอสเซ่”

“ข้า..แค่มีเรื่องกังวลใจ และกลัว” ใครบางคนบอกว่าการพูดควรมองตากันเพื่อแสดงถึงความจริงใจ แต่แม้กรอสเซ่จะไม่มีความจริงใจสักนิด ก็ยังคงสบตาจูเลียนเหมือนกำลังต้องการสื่อความหมายบางอย่าง ขณะที่ในหัวสรรหาคำพูดสวยหรูให้ฟังดูน่าเชื่อถือ

“เจ้ามีเรื่องอะไรให้กังวลใจบอกข้ามาสิ เจ้ากลัวอะไรอยู่ใครมันกล้าทำอะไรเจ้า”

“ข้ากลัวว่าจะทำให้ฝ่าบาทเสียเวลาทรงงาน คนอื่นจะตำหนิเอาได้แล้วก็..”

“แล้วก็อะไร หืม..”

“เรื่องการสร้างปราสาทไงฝ่าบาท ปราสาทบนเชิงเขาใกล้ทะเลสาบของฝ่าบาท ท่านไม่อยากไปดูความคืบหน้าของมันหรอกหรือ”

“ปราสาทของเราต่างหากกรอสเซ่” กวีหนุ่มเอารอยยิ้มอ่อนโยนใสซื่อมาประดับใบหน้า สายตาหวานเชื่อมราวกับกำลังซาบซึ้งหัวใจในสิ่งที่ได้ยิน มือที่เปื้อนคราบหมึกกอบกุมกระชับมือเรียวอย่างทะนุถนอม

“จูเลียนของข้าช่างกรุณาเหลือเกิน”

“อย่าลืมสิว่าเราเป็นเจ้าของร่วมกัน เจ้าเป็นคนคิดออกแบบมันออกมาจากจินตนาการ ข้าเป็นคนสั่งให้ลงมือสร้าง มันจะเป็นปราสาทของเรา เอวาเลียนจะเป็นรังรักของเราสองคน” จูเลียนฝังซีกแก้มข้างหนึ่งลงที่กลางอกของกวีหนุ่มอีกครั้ง และครั้งนี้ได้รับความอบอุ่นตอบกลับมาจากอ้อมกอดที่เคยเรียกร้อง หนุ่มน้อยยิ้มละไมหลับตาลงรับความสุขล้นปรี่

“เราไปดูกันเถอะจูเลียน ข้าอยากเห็นมันเหลือเกิน”

“แต่..” จูเลียนผละออกจากอกอุ่นคิดหนัก ด้วยว่ารับปากพี่ชายแล้วว่าจะไม่ออกไปไหนไกลจากปราสาทและเมืองหลวง

“ทำไมล่ะ หรือฝ่าบาทไม่อยากเห็นกับตาว่ามันสวยมากแค่ไหน”

“ข้าอยากเห็น”

“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ ข้าก็อยากเห็นมันเหลือเกินอยากเห็นพร้อมๆ กัน พาข้าไปดูมันหน่อยได้หรือไม่ยอดรักของข้า” กวีหนุ่มยกสองมือของจูเลียนที่กำลังกอบกุมขึ้นมาจรดริมฝีปากอีกครั้ง เพียงเท่านี้ใจดวงน้อยก็อ่อนยวบลงราวกับขี้ผึ้งยามถูกไฟลน คำหวานที่เว้าวอน สายตาที่ออดอ้อน จูเลียนไม่อาจต้านทาน ไม่อาจนิ่งดูดายต่อคำร้องขอ

“แน่นอนเราจะไปด้วยกัน ข้าจะให้เซอร์เลนนี่จัดการให้ ไม่สิเซอร์เลนนี่ไม่อยู่นี่นา” กรอสเซ่ตาวาวกับสิ่งที่จูเลียนพลั้งปากออกมาโดยไม่รู้ตัว ว่าได้เผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดให้คนอื่นได้ยิน ด้วยไว้ใจในตัวคนรักจูเลียนไม่ได้เอะใจหรือคิดอะไรมากไปกว่าการคุยกันธรรมดา เพราะไม่เคยคิดว่ากรอสเซ่เป็นคนอื่น คนรักสำหรับจูเลียนก็คือคนรักจะเป็นอื่นไปได้อย่างไร

“ข้าจะให้เซอร์เฮนริชเตรียมทุกอย่าง เราจะเดินทางทันทีที่พร้อม เจ้าพอใจหรือไม่กรอสเซ่”

“ข้าพอใจที่สุดยอดรักของข้า” กวีหนุ่มยิ้มสมใจรั้งจูเลียนเข้ามากอดแนบอก ยกมือขึ้นลูบเส้นผมยาวสีน้ำตาลอ่อนนุ่มอย่างเอาใจ ใครจะมีความสุขได้เท่าเขาไม่มีอีกแล้ว เพราะเขากำลังจะสมหวัง กรอสเซ่กำลังจะสมหวัง



*******************



“ลีโอ”

“...” ราเชลขมวดคิ้วสงสัยที่เห็นลีโอเดินหน้างอออกมาจากห้องทรงงานของจูเลียน พอเหลือบตาไปมองเดรทิชที่ยืนอยู่อีกมุม เพื่อนรักก็ทำเพียงยักไหล่เหมือนจะบอกว่า ลีโอก็หน้างอแบบนี้อยู่บ่อยๆ นั่นแหละ

“โดนฝ่าบาทดุมาอีกแล้วหรือไง”

“เซอร์ราเชลฝ่าบาทไล่ข้าออกมา ยามท่านกรอสเซ่มาทีไร ฝ่าบาทก็ไม่อยากให้ลีโออยู่ด้วยทุกที” พูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่งอง้ำอยู่แล้วยิ่งงอไปกันใหญ่ ลีโอหน้างอไม่ใช่เพราะความโกรธแต่เป็นเพราะน้อยใจ เป็นความน้อยใจแบบเด็กๆ ที่กลัวจะไม่ได้อยู่ดูแลรับใช้ใกล้ชิดเจ้านายที่รัก ลีโอน้อยใจมากจนส่งสายตาค้อนให้อัศวินทั้งสอง ราวกับว่าได้ส่งไปให้จูเลียนโดยตรง แม้กระทั่งเฮนริชที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ยังได้รับ

“กรอสเซ่เป็นคนรัก ฝ่าบาทก็ต้องอย่างอยู่กับคนรักตามลำพังบ้างเจ้าจะน้อยใจทำไมล่ะลีโอ”

“ข้าไม่ได้น้อยใจนะเซอร์เดรทิช” ลีโอเถียงเสียงขุ่นแต่ไม่ยอมมองหน้าใคร “ข้าแค่ไม่อยากให้ฝ่าบาทอยู่กับท่านกรอสเซ่ลำพัง”

“ใครเจ้าก็ไม่อยากให้อยู่ลำพังกับฝ่าบาทโดยไม่มีเจ้าอยู่ด้วยทั้งนั้นแหละลีโอ” ราเชลตั้งข้อสังเกตอย่างนึกสนุก เพราะมีนิสัยขี้เล่นคล้ายเลนนี่ ส่วนเดรทิชแม้จะไม่ค่อยพูดมาก แต่ก็ไม่ได้เงียบขรึมเท่าเฮนริช

“มันไม่เหมือนกันนี่ กับพวกท่านข้าไม่เห็นเคยรู้สึกแบบนั้น แต่...”

“แต่อะไร”

“แต่กับท่านกรอสเซ่ข้า...” ลีโอถอนหายใจท่าทางเหมือนคนกำลังคิดไม่ตก

“หืม เจ้าทำไมละลีโอ” ราเชลเดินมาโอบเด็กน้อยด้วยการวางท่อนแขนพาดไหล่ ทิ้งมือใหญ่ไว้บนศีรษะเล็กโยกเบาๆ อย่างนึกเอ็นดู

ลีโอถอนหายใจอีกครั้งตัดสินใจพูดอย่างที่ตัวเองรู้สึก “ข้ารู้สึกเหมือนเขาไว้ใจไม่ได้ ไม่รู้ล่ะข้าไม่อยากให้ฝ่าบาทอยู่กับท่านกรอสเซ่สองต่อสอง”

“เดี๋ยวเจ้ามีคนรักเจ้าจะรู้เองนั่นแหละ ว่าทำไมฝ่าบาทถึงได้อยากอยู่กับกรอสเซ่สองต่อสอง” ลีโอฟังราเชลพูดแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองเฮนริชที่ยืนฟังเงียบๆ แต่ลีโอก็ต้องรีบก้มหน้าหลบอย่างรวดเร็ว เพราะสายตาคมดุของเฮนริชก็กำลังจ้องมองมาที่ลีโออยู่พอดี

“หึ อย่าคิดมากน่าลีโอ”

“ข้าไม่ได้คิดมาก ข้าแค่รู้สึก แล้วเมื่อไหร่ท่านจะปล่อยข้าสักทีเซอร์ราเชลมันหนักนะ” ลีโอหมายถึงท่อนแขนที่พาดบนไหล่และฝ่ามือที่วางบนหัว บางทีราเชลก็ขยับมือเบาๆ แต่นั่นเล่นเอาลีโอหัวสั่นหัวคลอนเลยทีเดียว

ราเชลยอมปล่อยไม่ใช่เพราะคำประท้วงของเจ้าตัว แต่เพราะสายตาดุที่ได้รับต่างหาก ลีโอหันมามองราเชลตาขวางไม่พอใจ แล้วจึงเดินไปนั่งหน้างอคนเดียวที่บันไดทางขึ้นปราสาท หันหน้าออกไปทางสวนดูต้นไม้ดอกไม้ เผื่อความน้อยเนื้อต่ำใจมันจะลดลงได้บ้าง เฮนริชมองราเชลส่ายหน้าให้น้อยๆ แล้วเดินเข้าไปหาเดรทิช ราเชลจึงตามมาคุยด้วยอีกคน แต่คุยกันได้ไม่นานจูเลียนก็มาขัดเสียก่อน

“เซอร์เดรทิชข้ามีงานให้ท่านทำ”

“ฝ่าบาท” เดรทิชแสดงความเคารพรอรับคำสั่ง

“นิโคลไปสวาเนียร์กับทหารไม่กี่คน ข้าอยากให้ท่านตามไป”

“ข้าจะเดินทางเร็วที่สุดฝ่าบาท”

“อ้อ อย่าให้นิโคลรู้ล่ะ คอยดูห่างๆ ก็พอ แล้วอย่าลืมจับตาดูความเคลื่อนไหวของทางนั้นด้วย ท่านเข้าใจไหมเซอร์เดรทิช เหมือนที่เซอร์เลนนี่ไปมอนทาร์น่า”

“รับทราบฝ่าบาท ถึงแม้ข้าจะไม่รู้จักชาวสวาเนียร์ดีเหมือนที่เลนนี่รู้จักชาวมอนทาร์น่า แต่จะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง” ทุกคนอมยิ้ม ไม่เว้นแม้กระทั่งเฮนริชคนพูดน้อยยังอดยิ้มตามไม่ได้ กับคำพูดกระแนะกระแหนของเดรทิช แม้คนที่พาดพิงถึงจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย เพราะเลนนี่กำลังเตรียมตัวเดินทาง

“ขอบใจท่าน แล้วนี่ลีโอหายไปไหน” ดวงตาสามคู่ของเหล่าอัศวินมองไปยังบันไดที่ลีโอนั่งเหงาอยู่คนเดียว จูเลียนยิ้มขำรู้ดีว่าลีโอเป็นอะไร

“ฝ่าบาทข้าขอถามได้หรือไม่”

“ถามอะไรเหรอเซอร์เฮนริช”

“ทำไมฝ่าบาทถึงอยากให้เดรทิชไปสวาเนียร์” เป็นคำถามที่ราเชลกับเดรทิชกำลังสงสัยอยู่เช่นกัน

“ข้าเป็นห่วงพี่ชายข้านี่ อีกอย่างหากเราจับตาดูมอนทาร์น่าทำไมเราไม่ดูสวาเนียร์ด้วยล่ะ เวลานี้เราไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง” แต่จูเลียนกลับไว้ใจกรอสเซ่

เพราะนิโคลไปอย่างเปิดเผย แถมยังต้องแต่งงานกับอานาสตาเซีย อาจจะทำอะไรได้ไม่สะดวก ซึ่งข้อนี้เฮนริชคิดไว้แล้ว เขาอยากให้มีใครที่ไว้ใจได้ไปหาข่าวที่สวาเนียร์ เหมือนที่ให้เลนนี่ไปมอนทาร์น่า คิดว่าจะส่งใครสักคนไปทีหลัง ไม่คิดว่าจูเลียนจะอยากให้เดรทิชเป็นคนไป จริงๆ เขาไม่คิดว่าจูเลียนจะคิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

“อ้อเกือบลืม เซอร์เฮนริช เตรียมคนของเราให้พร้อมข้าจะไปเอวาเลีย”

“ฝ่าบาทจะไปทำไม” ราเชลถามหลังจากสบตากับเพื่อนอัศวินทั้งสองที่มีสีหน้าหนักใจไม่แพ้กัน

“ทางนั้นรายงานมาว่าการสร้างปราสาทเอวาเลียนคืบหน้าไปมากแล้ว ข้ากับกรอสเซ่เลยอยากไปดู”

“แต่ฝ่าบาท ข้าเกรงว่าคงไม่เหมาะที่จะไปตอนนี้” เฮนริชแย้ง

“ทำไมจะไม่เหมาะ ไปตอนนี้ล่ะดีที่สุด ข้าจะไปพักแรมที่นั่นด้วย เตรียมการไว้ข้าจะเดินทางทันทีที่พร้อม”

“ฝ่าบาทข้าไม่เห็นด้วย” ราเชลแย้งอีกเสียง

“ข้าไม่ได้ถามความเห็นท่านนะเซอร์ราเชล พวกท่านรีบไปเตรียมคนเลย”

“แต่..”

“ไม่ต้องมีแต่อะไรทั้งนั้นข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไป! “จูเลียนบอกเสียงเด็ดขาด ความดื้อดึงเอาแต่ใจฉายชัดผ่านพักตร์เชิดหยิ่งและดวงเนตรมุ่งมั่น พูดจบก็เดินกลับเข้าไปในห้องทรงงานโดยไม่รอฟังคำคัดค้านใดๆ จากใครทั้งนั้น เพราะคนรักรอฟังคำตอบอยู่





ป้อมปราการทิศตะวันออก

“เจ้ายังไม่เดินทางอีกหรือไง” เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังเรียกความสนใจจากคนที่กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมของใช้จำเป็นใส่ลงในถุงหนัง ที่มัดติดเข้ากับอานม้าให้หันมามอง

“ทำไมล่ะ” เลนนี่หันมาจ้องหน้าเจ้าของเสียง ใบหน้าหล่อขี้เล่นเปลี่ยนเป็นสงสัยทันที “สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเท่าไหร่นะเฮนริช”

“จูเลียนจะไปเอวาเลีย” เฮนริชเข้าประเด็นทันทีจนมือที่กำลังเร่งจัดของหยุดชะงัก

“เมื่อไหร่”

“เร็วๆ นี้แหละ”

“ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่ พวกเจ้าทั้งสามคนรับมือไหวอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

“เดรทิชถูกสั่งให้ตามนิโคลไปสวาเนียร์”

“หืม ใครสั่ง”

“จูเลียนนั่นแหละ”

ได้ยินอย่างนี้ความหนักใจก็ฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าหล่อขี้เล่นของเลนนี่ทันที “ใครวางแผนนี้วะ”

“ข้าไม่รู้จูเลียนเพิ่งสั่งลงมา” ทั้งสองต่างรู้ดีพอกัน ว่าการเดินทางของจูเลียนครั้งนี้เสี่ยงมากขนาดไหน ถึงจะพยายามคัดค้านแต่ลองจูเลียนได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ก็ไม่มีใครห้ามไว้ได้ “ข้าไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ จูเลียนนึกอยากไปเอวาเลีย”

“ปราสาทนั่นก็สร้างใกล้เสร็จแล้วไม่ใช่หรือไง จูเลียนอาจจะอยากไปดูจริงๆ ก็ได้”

“แต่ก็ไม่น่าจะรีบไปแบบนี้ไม่ใช่หรือไง”

อัศวินทั้งสองยืนมองตากันเงียบๆ เพราะกำลังใช้ความคิด จนผ่านไปเป็นครู่เลนนี่จึงตัดสินใจพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ฮานส์ร่วมขบวนเสด็จไปเอวาเลียด้วย”

“คนพเนจรคนนั้นหรือเลนนี่ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” เฮนริชหน้าเครียด “คนที่บังอาจปักมีดลงต่อหน้ากษัตริย์ต้องโทษถึงชีวิต แต่เพื่อนของเจ้าก็ยังเดินลอยชายหนีหน้าตาเฉย ดีแล้วที่จูเลียนไม่ให้ตามไปจับตัวมา แล้วเจ้ายังจะให้มาร่วมขบวนเสด็จอีกหรือไง เจ้าคิดว่ามันง่ายหรือไงเลนนี่ ข้าไม่ไว้ใจเขาหรอก”

“เจ้าเชื่อใจฮานส์ได้เฮนริช เขา..” สีหน้าของเลนนี่ก็เคร่งเครียดไม่น้อยไปกว่ากัน แต่ตัดสินใจไม่พูดต่อ

“เขาปักมีดลงตรงหน้ากษัตริย์ที่เจ้าสาบานจะปกป้อง!” เฮนริชบอกเสียงแข็งดวงตาวาวโรจน์เหมือนมีไฟลุกโชนอยู่ในนั้น เขายังโกรธเรื่องที่ฮานส์เคยปักมีดลงต่อหน้าจูเลียน เพียงแต่จูเลียนบอกว่าไม่ยอมเขาจะตามล่าฮานส์ด้วยตัวเอง แต่วันนั้นจูเลียนกลับเฉยและปล่อยผ่าน เฮนริชจึงทำได้เพียงเก็บความไม่พอใจการกระทำของฮานส์ไว้รอเวลาชำระคืน

เรื่องฝีมือไหวพริบด้านการต่อสู้อัศวินทั้งสี่ไม่เป็นรองใคร แต่ก็ไม่เคยประมาท เพราะความปลอดภัยของจูเลียนต้องมาก่อนทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรหรือไปไหน สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก คือความปลอดภัยของจูเลียนเท่านั้น

“เฮนริชถ้าเจ้าไว้ใจข้า เจ้าก็ไว้ใจฮานส์ได้ข้ารับรอง” เฮนริชเงียบ ระหว่างเขากับเลนนี่ เดรทิช และราเชล ผ่านสมรภูมิเสี่ยงตายมาด้วยกันเกือบจะทั้งชีวิต ตั้งแต่ถูกส่งตัวเข้ามาเป็นอัศวินฝึกหัดจนถึงวันนี้ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นให้พิสูจน์น้ำใจกันนับครั้งไม่ถ้วน ว่าทั้งสี่สามารถตายแทนกันได้โดยไม่เสียดายชีวิต กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ช่วยชีวิตกันไม่เคยทวงถาม อยู่ด้วยกันมาเป็นเหมือนเพื่อนเหมือนคนในครอบครัว จึงไม่ต้องสงสัยในความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อกันและกัน

“พูดถึงข้าทำไม” เสียงที่ดังขึ้นไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใคร

“เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วยสักหน่อย”

“ข้าไม่ช่วย” ฮานส์ให้คำตอบโดยไม่หยุดคิดด้วยซ้ำ เพราะเขาได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วอย่างไม่ตั้งใจ แค่จะเดินมาหาเลนนี่แต่เห็นทั้งสองคุยกันเคร่งเครียดฮานส์ยืนรอ ไม่ได้ตั้งใจแอบฟังแต่มันบังเอิญได้ยิน

“มันจำเป็นฮานส์ ข้าขอร้องเจ้า” เลนนี่บอกจริงจัง อัศวินหนุ่มสบตาเพื่อนรักบอกความนัยบางอย่างมากับแววตาคมคู่นั้น ที่ฮานส์เห็นแล้วต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ ไม่ปิดบังท่าทางเหนื่อยหน่าย ฮานส์รักอิสระจึงเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดไม่น้อยหากเขาจะต้องตามดูแลปกป้องใครสักคน

“ไม่ต้องหรอกเลนนี่ เราไม่ต้องการความช่วยเหลือของเขา”

“เป็นถึงอัศวินผู้ทรงเกียรติของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ คงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนต้อยต่ำอย่างข้าหรอก”

“พอเถอะน่าทั้งสองคนนั่นแหละ” เลนนี่ตัดบท “จูเลียนจะเดินทางวันไหน”

เฮนริชใช้หางตามองฮานส์อย่างระแวงเพราะยังไม่ไว้ใจ แต่ก็ตอบคำถามของเลนนี่ ซึ่งนั่นแสดงว่าเขายอมรับ “น่าจะพรุ่งนี้”

“เอาเป็นว่าเจ้าปลอมตัวเป็นทหารคอยช่วยเฮนริชก็แล้วกัน ส่วนเจ้าหาชุดทหารให้เขาด้วย”

“ใครบอกว่าข้าจะปลอมเป็นทหาร ข้าจะไปของข้าเอง”

“แต่เจ้าจะไปกับจูเลียนใช่ไหมฮานส์” ฮานส์ไม่ตอบในทันทีเพราะกำลังทำสงครามทางสายตากับเฮนริช ที่มองตอบเขาไม่ลดละ ชายพเนจรผู้ไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องอันใดแสยะยิ้มให้อัศวินหนุ่มผู้เงียบขรึม แค่เห็นแววตาลุกโชนร้อนรนภายใต้ท่าทางที่ดูนิ่งขรึมฮานส์ก็ชักสนุกแล้ว

“ข้าไปก็ได้ แต่ไม่สัญญาหรอกนะว่าจูเลียนของเจ้าจะปลอดภัย”

“แต่เจ้าจะปกป้องใช่ไหมหากมีภัย” คำถามนั้นดังเข้ามาในหัวและก้องกังวานอยู่ในนั้น ปกป้อง เจ้าจะปกป้องใช่ไหม..? ปกป้องยามมีภัย...

ชายพเนจรหันไปมองเพื่อนรัก ตอนนี้แววตาของเลนนี่มีแต่ความจริงจัง ฮานส์เพียงยักไหล่ แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเลนนี่ เขารู้ว่าฮานส์ไม่มีวันผิดคำพูด เลนนี่รู้ดีว่าฮานส์จะช่วยสุดความสามารถหากจูเลียนมีภัย แต่ที่เพื่อนรักไม่สัญญาว่าจะปลอดภัย เพราะใครๆ ก็มีโอกาสทำผิดพลาดกันได้ทุกคน เลนนี่รู้ว่าฮานส์จะทำให้ดีที่สุด เขาไว้ใจและเฮนริชก็รู้สึกถึงมันได้ แม้สิ่งที่ฮานส์พูดจะทำให้เกิดความคลางแคลงอยู่ไม่น้อยก็ตาม

“เลนนี่ที่จริงเราไม่ต้อง...”

“เฮนริชเชื่อข้าเถอะ อย่างน้อยให้ฮานส์คอยดูอยู่ห่างๆ ก็ยังดี ไม่อย่างนั้นข้าคงไปมอนทาร์น่าไม่ได้” สองอัศวินสบตากันนิ่ง “ข้าไม่จำเป็นต้องไปสักนิดเจ้าก็รู้”

“แต่มีคำสั่งมาแล้ว และนิโคลเห็นด้วย” เฮนริชค้าน

“ทำให้เราต้องการฮานส์” ยามนี้แววตาขี้เล่นของเลนนี่ที่เห็นอยู่เป็นนิตย์ไม่มีอีกแล้ว นอกจากความจริงจังเคร่งเครียด “ข้าว่ามันต้องรู้และมันต้องเกิดขึ้นแน่ และข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้ายังไม่วางใจ”

เฮนริชคิดหนัก ถึงอัศวินทั้งสองจะไม่ได้พูดกันออกมาตรงๆ แต่สิ่งที่กำลังสงสัยตรงกันตอนนี้ก็คือ ฝ่ายตรงข้ามที่กำลังปองร้ายกษัตริย์รู้เรื่องนี้หรือยัง แต่ต่อให้ยังไม่รู้การเดินทางไปเอวาเลีย ที่จูเลียนเลือกให้เป็นสถานที่สร้างปราสาทเอวาเลียน ก็ต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะเดินทางถึง แค่จูเลียนเตรียมออกเดินทางยังไงก็ต้องรู้กันทั่วอยู่แล้ว การวางแผนเร่งด่วนทีหลังไม่ใช่เรื่องยาก

เลื่อนลงต่อ ค่ะ...
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 12 สวาเนียร์ 100% อัพแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 07-12-2018 23:08:16

“คลาอัส อ๊ะ”

“ยอดรัก ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”

“ข้าก็คิดถึงท่านเช่นกันคลาอัส อื้อ อ่า” ริมฝีปากสวยของนางถูกปิดไว้ด้วยจูบดูดดื่มของชายหนุ่ม ที่ประกบจูบลงมาราวกับคนหิวกระหาย ร่างเพรียวระหงมีกำแพงหินเป็นที่พิงหลัง และร่างแกร่งสมชายเป็นที่ยึดเหนี่ยวโอบกอด ตัวนางโยกคลอนขึ้นลงไปตามจังหวะกระแทกกระทั้นอย่างเร่าร้อน อาภรณ์เนื้อดีที่สวมใส่หลุดลุ่ยเปิดเปลือยนวลเนื้อบางส่วนอย่างน่ามอง ขาข้างหนึ่งของนางเขย่งยืนปักหลักบนพื้นมั่น ส่วนอีกข้างถูกรั้งขึ้นด้วยท่อนแขนแข็งแรง จนกระโปรงร่นลงเผยให้เห็นต้นขาขาวเนียน และส่วนลึกลับของร่างกายที่ความเป็นชายกำลังรุกรานระเริงรัก ร่างกายแข็งแกร่งของชายหนุ่ม ยังมีเสื้อผ้าอยู่บนร่างครบทุกชิ้น แต่เชือกหนังที่ร้อยสาบเสื้อหลุดลุ่ยไม่เป็นระเบียบ กางเกงถูกรั้งลงไว้ใต้สะโพกปล่อยร่างกายให้ออกมาเพียงส่วนที่ต้องใช้ ทำให้หญิงสาวครางกระเส่าปากสั่น

ท่ามกลางดอกไม้ในสวนเป็นพยานความเร่าร้อน คู่หญิงชายลักลอบเล่นรักในที่ลับตา อำพรางด้วยต้นไม้ประดับ และชั้นหินสกัดรูปร่างต่างๆ ให้เป็นน้ำตกจำลองฝังเข้าไปในกำแพงได้อย่างกลมกลืน แต่กระนั้นเสียงแห่งความหฤหรรษ์ปนหอบที่ดังออกมา ก็ดังจนเรียกใครบางคนที่บังเอิญเดินผ่านให้หยุดฟัง เสียงพร่ำบอกคำรักของหญิงสาวคุ้นหู จนต้องรีบพรางตัวให้เนียนไปกับพุ่มไม้ ดวงตาสวยกวาดมองอย่างระวังจนเจอที่มาของเสียงครางสุขสม ภาพที่เห็นเล่นเอาเจ้าของดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างนิ่งอึ้ง รู้สึกถึงความเย็นเฉียบกระจายไปทั่วร่างเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็นๆ

“อานาส...” เสียงแผ่วหลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มรูปกระจับได้เพียงเท่านั้น ราวกับว่าเจ้าตัวสิ้นไร้เรี่ยวแรง ไม่มีแม้แต่พลังจะเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูด แต่ก็ดีแล้ว หากคู่ชายหญิงที่กำลังร่วมรักเห็นว่ามีบุคคลที่สามร่วมรับรู้คงไม่เหมาะนัก

เหมือนร่างกายถูกบีบให้อึดอัดกดดันจนสั่นออกมาจากข้างใน เหมือนกับว่าตัวเองสะท้านไปทั้งตัว ภาพความเร่าร้อนจากการกอดรัดสัมผัสลึกซึ้งที่ประจักษ์ต่อสายตา เล่นเอาลอเรนอึ้งจนพูดไม่ออก สองขาก้าวถอยหลังให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ห่างออกมาจากตรงนั้น สวนแห่งนี้อยู่ภายในปราสาทที่สร้างขึ้นบนหน้าผาสามารถเข้าออกได้ทางเดียว และนั่นคือจุดหมายปลายทาง ลอเรนต้องมั่นใจว่าจะไม่มีใครได้ผ่านเข้ามาเห็นสิ่งที่ไม่ควรมีใครเห็นนี้ ลอร์ดหนุ่มตั้งใจจะเดินไปเฝ้าที่ประตูทางเข้าไว้

ทางออกจากสวนอยู่ตรงหน้าเดินไม่ถึงสิบก้าว แต่ขาทั้งสองข้างพลันต้องหยุดชะงักลง ราวกับมีลูกตุ้มเหล็กหนักๆ ถ่วงไว้ เพราะคนที่กำลังก้าวเดินเข้ามาในบริเวณสวน เป็นบุคคลที่ไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้มากที่สุด

“ลอร์ดนิโคล! “ลอเรนตกใจแทบสิ้นสติ ริมฝีปากอิ่มอ้าค้างตาเบิกโพลง

“เจ้ามาเดินเล่นชมสวนหรือลอเรน” นิโคลถามยิ้มๆ นัยน์ตาเป็นประกาย เขาเดินทางมาถึงสวาเนียร์ได้สามวันแล้ว และนับตั้งแต่มาถึงลอเรนก็เอาแต่หลบหน้ากันอยู่ตลอด

“ใช่ ข้า เอ่อ ใช่มาชมสวน ท่านล่ะจะมาชมสวนเหมือนกันหรือไง แต่...” ลอเรนกัดปากตัวเองแน่นจนคนที่จับตามองอยู่ชักห่วง กลัวว่ากลีบปากอิ่มสีสดเป็นกระจับสวยจะได้เลือด

“แต่อะไร”

“ข้าว่า...ตอนนี้ เอ่อ ข้า..คิดว่า” ลอเรนพูดไม่ออกเพราะคิดหาคำพูดไม่ทัน แน่นอนว่ามันต้องเป็นคำพูดโกหกที่ลอเรนก็ไม่ถนัดด้วย

นิโคลยิ้มให้กับท่าทางร้อนรนของคนตรงหน้า ปากสั่นมือสั่นไปหมด จนดูแล้วคงสั่นไปทั้งตัว “เจ้าเป็นอะไรไปหรือลอเรนไหนพูดดีๆ สิ”

“ข้าไม่เป็นไร แล้วท่านล่ะจะไปไหน”

“หืม” นิโคลกวาดตามองไปรอบๆ เดินเข้ามาในสวนจะให้ไปไหนได้ “ท่าทางเจ้าดูแปลกๆ นะลอเรน”

“ท่านอยากดูทะเลไหมลอร์ดนิโคล อยากให้ข้าพาไปไหม” ลอเรนเดินเข้าไปหาร่างสูงที่ยืนสง่าอยู่ตรงหน้าเม้มปากแน่น สายตาจับอยู่ที่ข้อมือของอีกฝ่ายเหมือนกำลังชั่งใจ นิโคลแปลกใจกับการกระทำของลอเรน แต่ก็ยังยืนเงียบรอดูว่าเจ้าของดวงตาสีฟ้ากระจ่างกำลังจะทำอะไรแน่ ความแปลกใจอยู่ได้ไม่นาน เมื่อลอเรนทำท่าเหมือนตัดสินใจได้แล้ว ด้วยการถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเดินเข้ามาประชิดจับข้อมือของนิโคล ดึงให้เดินออกไปจากบริเวณสวน แต่เจ้าของร่างสูงกลับไม่ยอมตามออกไปแต่โดยดี

“เดี๋ยวก่อนเจ้าจะรีบไปไหนลอเรน” นิโคลขืนตัวเองไว้ถามยิ้มๆ แววตาใสซื่อที่ดูร้อนรนของเจ้าชายผู้อ่อนไหวน่าแกล้งน้อยเสียเมื่อไหร่ แม้ในบางครั้งลอเรนจะดูเด็ดขาดแต่ก็แค่ภายนอก อย่างตอนที่เอามีดจ่อกลางอกตรงตำแหน่งหัวใจเขานั่นไง ที่ทำไปก็คงแค่ขู่ จะให้แทงจริงๆ คงไม่กล้า

“ดูทะเล”

“ข้าบอกเจ้าแล้วหรือไงว่าอยากไปดูทะเล”

“เอ่อ..” แก้มขาวราวน้ำนมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ ลอเรนหลบสายตาที่มองอย่างรอคำตอบ ท่าทางทำตัวไม่ถูกเรียกรอยยิ้มและสายตาเอ็นดูได้ทันที แต่พอคนทำตัวไม่ถูกเงยหน้าขึ้นรอยยิ้มนั้นก็พลันหายไปทันทีเช่นกัน

นิโคลแกล้งทำสีหน้าจริงจัง “ทำไมอยู่ดีๆ อยากพาข้าไปดูทะเล ดูสวนไม่ได้หรือลอเรน”

“ก็..ท่านเป็นแขกบ้านแขกเมือง”

“แล้วไง”

“ข้าต้องดูแล”

“หลังจากที่เจ้าพยายามหลบหน้าข้ามาหลายวันนี่นะ”

“ข้า..” ลอเรนก้มหน้าไม่กล้าสบตาด้วยรู้สึกผิด เพราะเป็นความจริงอย่างที่นิโคลบอก ตั้งแต่ลอร์ดแห่งออสเซนเทียเดินทางมาถึง ลอเรนก็คอยหลบหน้าอยู่ตลอด นอกจากเวลาที่ต้องคุยปรึกษาเรื่องงานแต่งงานของนิโคลกับอานาสตาเซีย ทั้งสองก็แทบไม่ได้เจอกันเลย

“อภัยข้าด้วยถ้าทำให้ท่านไม่พอใจ”

“ถ้าอย่างนั้นสัญญามาก่อนสิว่าจะไม่หลบหน้ากันอีก อย่าใจร้ายกับข้านักสิลอเรน” นิโคลก้มลงมองตาลอเรนที่พยายามหลบไม่มองตอบ ลอร์ดแห่งออสเซนเทียยิ้มมุมปากน้อยๆ เอ่ยต่อ “ข้าเดินทางมาไกลนอกจากคนของข้าแล้ว ที่นี่ข้าไม่ก็รู้จะพูดคุยกับใครอีกแล้วนะ เจ้ายังจะหลบหน้าข้าอีกหรือ”

ลอเรนรู้สึกผิดจนอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่ตัวสูงกว่าไม่มาก แววตาตัดพ้อกับสีหน้าหม่นๆ ของนิโคล เล่นเอาใจดวงน้อยอ่อนยวบลงไปมากทีเดียว จากที่ว่าจะไม่สนใจ จากที่ว่าจะเว้นระยะห่างให้ดูเหมาะสม จากที่คิดว่าแบบนี้มันดีมากแล้วกับหัวใจของตัวเอง แต่กลายเป็นว่า นั่นทำให้รู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเก่า ตอนลอเรนไปออสเซนเทียนิโคลดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีในทุกเรื่อง พาเที่ยว พาไปดูงาน ดูวิถีชีวิตหลายอย่างที่น่าสนใจ ที่ลอเรนสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในงานที่บ้านเมืองของตัวเอง คิดมาถึงตรงนี้ลอเรนรู้สึกผิด ภาพความเร่าร้อนในสวนที่เพิ่งได้ประจักษ์ผุดขึ้นมาในหัว ยิ่งทำให้รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น นิโคลกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานเร็วๆ นี้แท้ๆ แต่ว่าที่เจ้าสาวกลับไประเริงรักอยู่กับชายอื่น ลอเรนสงสารนิโคลแต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ นอกจากคิดว่าจะพยายามดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี หวังให้เป็นการชดเชยได้

“ข้าสัญญา”

ลมยามบ่ายที่หอบเอากลิ่นทะเลชื้นๆ ปนเค็มตีเข้าสู่ชายฝั่ง ให้ความรู้สึกสดชื่นอยู่ไม่น้อย หาดทรายสีขาวสะอาดทอดตัวยาวไปจนสุดที่โขดหินกลุ่มใหญ่ริมฝั่ง เหนือขึ้นไปเป็นภูเขาหิน หน้าผาสูงชันตระหง่านต้านลมมาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย และบนนั้นคือที่ตั้งของปราสาทบนชะง่อนผาที่ดูยิ่งใหญ่ตระการตา ขอบหน้าผาถูกสร้างต่อเติมขึ้นเป็นกำแพงสูงระดับเอวกั้นเป็นระเบียง มองลงไปเบื้องล่างคือโขดหินและคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ร่างสูงสง่าของลอร์ดหนุ่มยืนท้าลมจนเสื้อคลุมปลิวสะบัด เบื้องหน้าของเขาคือท้องละเลกว้างใหญ่ สายตามุ่งมั่นจับอยู่กับลำเรือขนาดต่างๆ ที่จอดเทียบท่าในอ่าว ฝั่งตะวันออกของหาดเป็นท่าเรือใหญ่แห่งเดียวของเมือง

“ท่านชอบทะเลหรือไม่ ลอร์ดนิโคล” เสียงทักดังขึ้นเรียกลอร์ดหนุ่มให้หลุดออกมาจากภวังค์ความคิด รอยยิ้มประดับใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลายามเอ่ยตอบ ขณะที่คนถามก้าวเข้ามาหา

“แน่นอนว่าข้าชอบทะเลมากท่านหญิง แล้วท่านล่ะคิดถึงหิมะที่ออสเซนเทียหรือไม่” นิโคลถามกลับ สายตาจับอยู่พักตร์นวลปลั่งของเจ้าหญิงอานาสตาเซีย ลอร์ดหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนสะดุดอะไรบางอย่าง ที่ได้เห็นใบหน้านวลปลั่งของนางใกล้ๆ รอยยิ้มของนางดูฝืดฝืนเต็มที

“ถึงจะชอบหิมะอยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับว่าอากาศที่หนาวเย็น ไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกสบายตัวเท่าไหร่เลย” นิโคลรู้ว่าความหมายของนางคือไม่ชอบหิมะและอากาศเย็นๆ เอาเสียเลย

“ทะเลก็สวยเหมือนกันนะ”

“ทะเลคือชีวิตของชาวสวาเนียร์”

“เสียดายที่ออสเซนเทียไม่มีพื้นที่ติดทะเล แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะมันทำให้ข้าได้มาที่นี่แทน” ทั้งสองพูดคุยและยิ้มให้กัน แต่ต่างก็รู้ว่ามันไม่ได้แฝงนัยที่มีความหมายลึกซึ้งอะไรต่อกันสักนิด อานาสตาเซียมาเพราะหน้าที่ ในฐานะคู่หมั้นที่จะแต่งงานกัน นางต้องรับรองว่าที่สวามีของตัวเอง และทำความคุ้นเคย แต่เท่าที่สังเกตจากสีหน้าของนาง นิโคลรู้ว่านางไม่ได้ยินดีนัก และองครักษ์ที่ตามนางมาห่างๆ นั้นก็คงเช่นกัน

ภาพหนึ่งเจ้าหญิงกับหนึ่งเจ้าชายบนระเบียงชมวิวของปราสาท อยู่ในสายตาของใครบางคนที่กำลังเฝ้ามองมาจากมุมหนึ่งของชั้นที่อยู่สูงกว่า ความใกล้ชิดที่เห็นไกลๆ ทำให้ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างสั่นไหว แม้ใบหน้าเนียนขาวราวน้ำนมจะยังคงเรียบนิ่ง แต่การทอดสายตามองความใกล้ชิดของคนคู่นั้น ก็เล่นเอาก้อนเนื้อในอกเหมือนถูกบีบแน่นจนเจ็บหน่วง เจ้าของร่างสมส่วนเม้มปากแน่น แล้วจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างยอมรับ สองขาก้าวถอยช้าๆ แล้วหันหลังเดินไปจากตรงนั้น

ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นบนหน้าผาหินแข็งแกร่งหันหน้าสู่ทะเล แบ่งชั้นต่างๆ ออกเป็นหลายส่วน ส่วนสูงสุดคือที่พำนักของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ ชั้นต่างๆ ที่ลดหลั่นลงมาแบ่งเป็นส่วนใช้งานทั้งห้องรับรอง ห้องจัดเลี้ยง ท้องพระโรง และห้องสำคัญอื่นๆ อีกมากมาย ภายในปราสาทยังมีพื้นที่โล่งสร้างสวนไว้ตรงกลางได้อย่างวิจิตร มันสวยงามด้วยไม้ดอกไม้ประประดับ และธรรมชาติจำลองที่มีทั้งแม่น้ำสายเล็กๆ และน้ำตก จนแขกต่างเมืองมาเห็นยังอดชื่นชมไม่ได้

เจ้าของร่างสูงเพรียวสมส่วนเดินเร็วๆ ไปตามทางเดินปูด้วยหิน หวังจะทิ้งห่างจากความรู้สึกรวดร้าวที่ก่อตัวขึ้นในอก ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอหน้า เกิดความรู้สึกหวั่นไหวในยามแรกพบ จนได้รู้จักใกล้ชิดระยะหนึ่ง ใจดวงน้อยเอนเอียงเข้าหา แต่พอได้รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องแต่งงานกับน้องสาวของตัวเอง ก็ตั้งใจจะหยุดความรู้สึกและลืม ลอเรนรู้ตัวอยู่แล้วว่าควรเก็บมันไว้กับตัวเอง แต่กระนั้นก็ไม่คิดว่ามันจะมากมายจนเอ่อล้น ไม่เคยคิดเลยว่ารักแรกพบความรู้สึกมันจะรุนแรงและลืมยากเพียงนี้

ตั้งแต่วันที่เผลอปากสัญญาว่าจะไม่หลบหน้า ก็แทบจะไม่มีวันไหนที่ไม่ได้เจอหน้ากัน เพราะดูเหมือนว่าอยู่ที่นี่นิโคลจะมีเวลาว่างมาก จนกระทั่งมาดักเจอลอเรนได้ทุกวัน และคนที่เลี่ยงไม่ได้ก็ต้องยอมตามใจ อยากให้พาไปที่ไหนลอเรนก็ไม่กล้าพอที่จะขัด เพราะคำสัญญาที่ให้ไว้

“เจ้าเป็นอะไรไปหรือลอเรน”

“ไม่มีอะไรหรอกท่านอยากพักก่อนไหม”

“เจ้าพูดกับข้าแต่ไม่มองหน้าข้าเลยนะ” ร่างสูงสง่าขยับเข้ามาใกล้ๆ แต่ดูเหมือนว่าแค่ใกล้กัน มันจะยังไม่พอสำหรับลอร์ดหนุ่มจากออสเซนเทีย จึงได้ยกมือขึ้นมาเชยคางเรียวของคนที่เอาแต่ก้มหลบ ให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา ทั้งสองขี่ม้าออกมานอกเมืองแวะพักริมแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่ง น้ำในแม่น้ำไม่ลึกมาก และใสจนเห็นตัวปลาที่แหวกว่ายทวนกระแสน้ำเล่น

“ก็ข้าดูปลาอยู่”

“เจ้าสนใจปลามากกว่าข้าได้ยังไงลอเรน” น้ำเสียงตัดพ้อมีผลกับใจ ทำให้ลอเรนเผลอกวาดตามองใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาราวกับกำลังละเมอ จนรอยยิ้มละมุนของนิโคลเผยขึ้นพร้อมแววตาซุกซนนั่นล่ะ ลอเรนจึงได้รู้สึกตัว

“เพราะปลาไม่คุกคามข้าไงลอร์ดนิโคล ปล่อยข้านะ” ใช่..ปลาแค่ว่ายทวนกระแสน้ำเล่น แต่ลอร์ดร่างสูงนั้นมือซุกซน ขยับเข้ามาใกล้ไม่พอยังเชยคางให้ลอเรนเงยหน้าขึ้นสบตา มืออีกข้างโอบเอวรั้งร่างสูงเพรียวเข้าหาตัวอย่างไม่เกรงใจ

เจ้าของร่างสูงเพรียวถอยห่างเบือนหน้าหนี ด้วยว่าไม่รู้จะวางตัวอย่างไรไม่ให้ใจหวั่นไหวไปมากกว่านี้ นิโคลเป็นคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกับน้องสาว ข้อนั้นลอเรนไม่เคยลืม แต่แค่ได้เห็นลอร์ดร่างสูงไกลๆ หัวใจดวงน้อยก็ตื่นจนเต้นไม่เป็นจังหวะ อย่าว่าแต่จะให้มาอยู่ชิดใกล้กันอย่างนี้เลย ก้อนเนื้อก้อนเล็กๆ นี้จะทำงานหนักมากแค่ไหน ลอเรนนึกโกรธตัวเอง ที่เผลอไปรับปากสัญญาว่าจะไม่หลบหน้ากัน จนต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์ที่อยากอยู่แต่ไม่ควรอยู่เช่นนี้

“มานั่งตรงนี้เถอะ”

“ท่านไม่ขี่ม้าเล่นต่อหรือไง”

“มานี่ก่อน” แม้จะพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุม แต่นิโคลก็บังคับจับมือเรียวดึงให้เดินไปนั่งลงใต้ต้นไม้ด้วยกันจนได้

“ลอร์ดนิโคล! “

“ทำไม”

“ท่านไม่ควร..”

“ข้าไม่ควรอะไร” ลอเรนพูดไม่ออกเอาแต่มองไปยังผืนผ้าที่นิโคลใช้ปูลงบนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้ ลอร์ดหนุ่มกระตุกมันออกจากไหล่อย่างง่ายดาย โดยไม่ได้สนใจความสำคัญของมันเลยสักนิด นิโคลปูเสื้อคลุมลงบนพื้นหญ้าเสร็จแล้วจึงหันหน้ามาหาลอเรน สองมือกระชับต้นแขนคนตัวเล็กแววตาจริงจัง “สำหรับเจ้าไม่มีอะไรไม่ควรทั้งนั้นลอเรน”

“แต่นั่นมันเป็นเสื้อคลุมของท่าน”

“แล้วไงก็แค่เสื้อคลุม ข้าไม่อยากให้ชุดสวยๆ ของเจ้าเปื้อนนี่”

“แต่..”

“นั่งลงเถอะน่า” ลอเรนจะไม่คิดมากเลย หากเสื้อคลุมตัวนี้จะไม่ใช่เสื้อคลุมที่แสดงถึงฐานันดรของนิโคล เนื้อผ้าทอมาอย่างดีปักตราสัญลักษณ์ประจำตัวรัชทายาท มันไม่ใช่เสื้อคลุมธรรมดาแต่เป็นเสื้อคลุมที่บ่งบอกความสำคัญของผู้สวมใส่ และไม่ควรนำมันมาใช้ปูลงบนพื้นหญ้ารองนั่ง ราวกับเป็นเศษผ้าไร้ความสำคัญอย่างนี้

“ลอร์ดนิโคล โอ๊ย! “

“หึๆ “นิโคลหัวเราชอบใจที่ร่างสูงเพรียวเซถลาเข้าหาอกกว้างของเขาได้พอดิบพอดี แค่กระชากเบาๆ เพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนไม่ระวังตัวเสียหลัก ร่างสูงสง่านั่งเอนกายทิ้งแผ่นหลังแข็งแกร่งพิงไว้กับโคนต้นไม้ เข่าทั้งสองข้างชันขึ้นอ้าออกให้เป็นที่รองรับร่างสมส่วน

“ท่านทำแบบนี้ไม่ได้นะลอร์ดนิโคล” สถานการณ์ล่อแหลมน่าอายทำให้ลอเรนต้องประท้วง

“เจ้าก็เห็นอยู่ว่าข้าทำไปแล้ว”

“ทำแล้วก็ปล่อยข้าสิ”

“ไหนเรียกข้าว่านิโคลเฉยๆ ซิ ไม่สิเรียกท่านพี่ดีกว่า”

“นี่ท่านเข้าใจที่ข้าบอกบ้างไหมลอร์ดนิโคล ข้าบอกให้ท่านปล่อยข้านะ ไม่ใช่ให้ท่านมาสนใจว่าข้าจะเรียกท่านว่าอย่างไร ข้าเรียกท่านว่าลอร์ดนิโคลมันถูกแล้ว ลอร์ดนิโคลัส! “

“แต่ข้าไม่ชอบนี่ เร็วเรียกข้าว่านิโคลเฉยๆ หรือท่านพี่ก็ได้” นิโคลแกล้งรัดร่างเพรียวบางกว่าแน่นขึ้นหน้าตาเฉย แต่คนอยู่ในอ้อมแขนกลับทุกข์ร้อนจนหายใจสะดุด

“ท่านปล่อยข้าก่อนสิ”

“ไม่เรียกก็ไม่ปล่อย” คนในอ้อมกอดที่เกยอยู่บนอกถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง แต่มีหรือที่คนเอาแต่ใจจะสะทกสะท้าน หากยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็ไม่ยอม จนลอเรนต้องเม้มปากเข้าหากันแน่น เป็นอันเข้าใจตรงกันว่าเจ้าตัวกำลังคิดหนัก และตัดสินใจได้เมื่อปล่อยปากริมฝีออกจากกัน

“นิโคล ป..ปล่อยข้า”

“หึๆ เจ้าน่ารักจังเรียกพี่ด้วยสิ”

“ไม่ ข้าเรียกแล้วนะปล่อยได้แล้ว”

“ใครบอกว่าข้าจะปล่อย”

“ก็ท่านพูด..”

“หึ”

“ลอร์ดนิโคล!” ลอเรนหน้างอขัดใจ ยิ่งเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ที่จ้องมองตอบ ยิ่งขัดใจจนอยากร้องออกมาดังๆ อยากเอาดาบมากระหน่ำฟันอกแกร่งให้หนำใจหากตัวเองใจแข็งพอที่จะทำ

“ข้าอยากจูบเจ้าจังลอเรน” ทำไมต้องมาพูดตรงๆ แบบนี้ลอเรนไม่ชอบเลย เพราะมันทำให้เจ้าตัวชะงักนิ่งและเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก สองมือที่ดันอกกว้างไว้ก็เหมือนจะลดแรงลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร่างที่ขืนเกร็งราแรงลง อาจจะเป็นเพราะคำที่บอกออกมาตรงๆ หรือเป็นเพราะร่างกายที่ค้างอยู่อย่างนั้นนานจึงเริ่มเมื่อย ยิ่งใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาขยับเข้ามาหาช้าๆ ร่างที่ขัดขืนยิ่งอ่อนลง จนสุดท้ายลอเรนนั่งแหมะอยู่ตรงกลางระหว่างท่อนขาแข็งแรงแบบงงๆ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลีบปากอิ่มถูกแตะซับเบาๆ และร่างที่ถูกรั้งให้ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงบนอกกว้างนั่นเอง

เป็นความต้องการที่ไม่อาจต้านทาน แม้จะขัดขืนก็ใช่ว่าลอเรนจะไม่ต้องการ ตั้งแต่จูบแรกที่ห้องอาบน้ำแร่จนกระทั่งถึงวันนี้ ไม่มีเวลาไหนเลยที่ลอเรนจะไม่คิดถึงความหวานล้ำละมุนละไม ที่นิโคลเป็นคนสอน

“ลอร์ดนิโคล ท่านอย่าทำอย่างนี้เลยข้าขอร้องล่ะ”

“ทำไมล่ะในเมื่อเจ้าเองก็ต้องการข้าไม่ใช่หรือ”

“ข้าไม่..” นิ้วชี้ที่แตะลงบนกลีบปากทำให้ลอเรนไม่อาจพูดต่อได้จนจบ แววตาเปี่ยมความปรารถนาจ้องมองอย่างสื่อความหมาย ใจดวงน้อยที่พยายามจะเข้มแข็งอ่อนยวบลงทันที เพราะไม่เคยปฏิเสธตาคมคู่นี้ยามจ้องมองอย่างร้องขอได้เลย

เจ้าของร่างสูงค่อยๆ โน้มตัวขยับใบหน้าเข้าหา ลอเรนหลับตาพริ้มรอรับสัมผัส ของเสียงเรียกร้องที่ดังออกมาจากส่วนลึก เพื่อลิ้มรสจูบหวานล้ำจากคนที่ใจปรารถนา เวลานี้นิโคลกลายเป็นผู้ชายต้องห้ามสำหรับลอเรนไปแล้ว และนี่จะเป็นจูบครั้งสุดท้าย ที่ลอเรนจะยอมให้ทั้งสองแลกความหวานละมุนของกันและกัน

ลอเรนหายใจหนัก และเพียงรู้สึกได้ถึงริมฝีปากของอีกคนที่แนบชิด ความต้องการจากส่วนลึกก็เหมือนกับว่ามันเอ่อล้นจนท่วมท้นออกมารอบตัว ลอเรนเผยอปากรอรับสัมผัสของเรียวลิ้นที่สอดแทรกอย่างนุ่มนวล เกี่ยวกระหวัดรัดรึงอย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังหยอกเย้าอย่างแสนรัก ลิ้นร้ายของลอร์ดแห่งออสเซนเทียทำลอเรนหลงลืมเวลา ลืมความเป็นตัวของตัวเอง ร่างกายอ่อนระทวยจนต้องทิ้งน้ำหนักทั้งหมดฝากไว้ที่อกแกร่ง และนั่นเลยทำให้ร่างเพรียวบางแทบจะจมหายลงไปในกล้ามเนื้อแน่น ยามถูกกอดรัดไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรง

“อื้อ” ยิ่งได้ยินเสียงประท้วงออกมาจากลำคอระหง จูบของนิโคลยิ่งเพิ่มความร้อนแรงขึ้นอย่างเอาแต่ใจ ไม่สนเสียงครางประท้วง ไม่สนมือเรียวที่ขยุ้มดึงทึ้งเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ ปากและลิ้นของนิโคลยังรุกรานอย่างถึงใจ มือข้างหนึ่งกดท้ายทอยส่วนอีกข้างโอบรัดรอบแผ่นหลัง ลอเรนทำได้แค่ดิ้นขลุกขลักและครางประท้วง แต่ทำไปเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลจนแทบจะขาดใจตายกับจูบร้อนแรงนี้

“ลอร์ดนิโคล” ลอเรนเรียกเสียงสั่นหายใจหอบหลังจากได้รับอิสระ อยากผละออกแต่อีกคนไม่ยอมปล่อย จึงได้แต่ขืนตัวดันหน้าอกแกร่งไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง นิโคลยังไม่ยอมง่ายๆ กดบังคับท้ายทอยให้ลอเรนเข้ามารับจูบอีกรอบ แต่คนที่มุ่งมั่นว่าจะให้มันเป็นจูบสุดท้ายยังไงก็ไม่ยอม ทั้งสองเลยได้แต่นั่งอยู่ในท่าล่อแหลมที่ดูตลก

“อย่าลืมว่าท่านมาสวาเนียร์ในฐานะอะไร”

“ข้าไม่ลืมหรอกว่ามาในฐานะอะไร แล้วชาวสวาเนียร์ล่ะยังจำได้อยู่หรือไม่ว่าข้ามาในฐานะอะไร” รอยยิ้มและแววตาซุกซนยามมองพักตร์ขาวนวลราวน้ำนมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความจริงจังที่ลอเรนไม่คิดว่าจะได้เห็นมาก่อน  เนตรสีฟ้ากระจ่างจ้องมองลอร์ดต่างเมืองด้วยความฉงน ไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่อีกคนต้องการบอก แต่รู้ว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแฝงมาด้วย

“ทำถึงได้ถามแบบนั้นล่ะ”

“หึ ไม่มีอะไรหรอก”

“ถ้าไม่มีท่านก็ควรปล่อยข้าได้แล้วนะ” เห็นสีหน้าเอาเรื่องของลอเรน นิโคลเลยยอมปล่อยแต่โดยดี ด้วยการค่อยๆ ลดแรงกอดลงช้าๆ ลอเรนดีใจที่ได้หลุดจากอ้อมกอดที่ทำให้รู้สึกผิดนี่เสียที แต่ยังไม่ทันได้ผละห่างจากไปไหน นิโคลก็จับร่างเพรียวบางให้หันหน้าออกไปทางแม่น้ำและสวมกอดไว้จากข้างหลัง

“ลอร์ดนิโคลปล่อยข้า! “นอกจากนิโคลจะไม่ยอมปล่อยแล้วยังดูเหมือนว่าอ้อมแขนที่สวมกอดจะแนบแน่นขึ้น แต่เท่านั้นดูเหมือนจะทำให้ลอเรนรู้สึกอึดอัดใจไม่พอ ลอร์ดแห่งออสเซนเทียถึงได้ทิ้งปลายคางวางเกยไว้บนไหล่ คลอเคลียริมฝีปากกับพวงแก้มนวล

“ข้า ขออยู่อย่างนี้สักครู่ได้หรือไม่ลอเรน”

“ไม่ได้ ปล่อยข้า”

“ข้ารู้เจ้าไม่ใจร้ายหรอก”

“ไม่ข้าไม่ใช่คนใจดีอย่างที่ท่านคิดหรอก ปล่อยเถอะ”

“ถ้าเจ้าใจร้ายทำไมวันนั้นไม่แทงข้าให้ตายเลยล่ะ เจ้ามีโอกาสเอามีดปักกลางอกข้าแล้วนี่”

“ท่านอยากกลับหรือยัง”

“ยัง”

ลอเรนหันหน้ากลับมามองสีหน้าลำบากใจ “แต่มันเย็นแล้วนะลอร์ดนิโคล”

“แล้วเจ้าไม่อยากอยู่กับข้านานๆ หรือไง”

“ก็...”

“หืมว่าไง”

“ไม่”

“มองตาข้าสิ แล้วตอบใหม่” กลีบกระจับอิ่มของลอเรนเม้มเข้าหากินแน่น ซึ่งเจ้าตัวมักจะเผลอทำทุกทียามที่ต้องใช้ความคิดหรือตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอาอย่างไรดี

“ทำไมข้าต้องอยากอยู่กับท่านนานๆ ด้วยเล่า”

“หึ แล้วเจ้าไม่ชอบหรือไง” ลอเรนหลบสายตาจับผิดที่จ้องมองอย่างรู้ทัน ยิ่งเห็นแบบนั้นนิโคลก็ยิ่งนึกอยากแกล้ง เพราะถึงจะพยายามวางเฉยและกลบเกลื่อนมากแต่ไหน แต่ลอเรนก็ไม่เคยที่จะปิดบังความรู้สึกยามอยู่ต่อหน้าเขาได้เลยสักครั้ง แววตาเว้าวอนที่ดูโหยหานั่นทำไมนิโคลจะดูไม่ออก คำพูดที่เหมือนผลักไสอยากให้อยู่ห่างๆ ยามเอ่ยถึงสถานะของเขากับน้องสาวนั่นอีก ที่นิโคลไม่เข้าใจว่าทำไมลอเรนต้องฝืนตัวเอง

“ไม่ข้าไม่ชอบและไม่ต้องการ”

“หึ”







รถม้าคันนั้นจอดนิ่งเพราะกำลังแวะพักกลางทาง เหล่าทหารที่เดินทางมาด้วยต่างแยกย้ายกันทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง บ้างจัดเวรยามรักษาการณ์ห่างออกไป บ้างตั้งค่ายสร้างที่พักแรมและจัดเตรียมอาหาร บ้างให้อาหารม้า ทุกคนทำงานตามหน้าที่ แต่ภายในรถม้าอันเป็นพาหนะเดินทางที่จัดแต่งอย่างหรูหรานั้น กลับแตกต่างจากภายนอกอย่าสิ้นเชิง ในรถม้ามองเห็นเพียงสลัวด้วยว่าม่านถูกดึงปิดไว้หมิ่นเหม่ เหลือช่องพอให้แสงลอดเข้ามาได้เพียงวับแวม มันอบอวนไปด้วยกลิ่นกามคาวราคะจากคนกลุ่มหนึ่ง ที่ส่งเสียงครางกระเส่าอันเกิดจากร่วมรักร้อนแรงออกมาเป็นระยะ

บนร่างกายหนั่นแน่นที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อสมวัยหนุ่มฉกรรจ์ มีร่างอรชรของหญิงสาวควบส่ายเอวร่อนรักอยู่บนตัวอย่างถึงใจ ร่างของนางเปลือยเปล่าเปิดเผยสรีระเย้ายวนอย่างหน้าไม่อาย โนมเนื้ออวบอิ่มกระเพื่อมไหวขึ้นลงตามจังหวะขยับโยก เอวคอดกิ่วส่ายร่อน สะโพกผายถูกควบคุมด้วยมือใหญ่ให้กดดันตัวเองลงเน้นๆ แรงๆ ราวกับจะหาความสะใจ แต่กระนั้นยังเหมือนว่ามันไม่ถึงใจพออย่างผู้เป็นนายเหนือหัวต้องการ ร่างบอบบางของนางจึงถูกผลักออกจากการคร่อมขี่ เผยให้เห็นความใหญ่โตตั้งตระหง่านที่ถูกนั่งทับมานาน แต่นางไม่ได้จากไปไหนก้มลงดูดดื่มตวัดเรียวลิ้นเล่นที่หน้าอกของผู้เป็นนายนั่นเอง

เครื่องสนองตัณหาอีกคนถูกดึงเข้ามาแทน คราวนี้เป็นชายหนุ่มร่างบางที่ยิ้มเย้ายวนรอปรนเปรอให้อยู่แล้ว ร่างบางถูกจับหันหลังในขณะที่ทิ้งตัวลงบนความแข็งตระหง่าน ให้ทางลับครอบครองลงกับแท่งรักร้อนระอุเบ่งบาน พอได้ที่เครื่องสนองตัณหาหนุ่มก็เริ่มเร่งแรงขยับโยก จนแท่งเนื้อแข็งขืนของตัวเองกระดกขึ้นลงเข้าจังหวะ เอวบางส่ายร่อนจนบั้นท้ายเชิด เครื่องสนองตัณหาหญิงอีกคนถูกกระชากผมเข้ามารับจูบจาบจ้างหงุดหงิด เพราะความต้องการล้นปรี่แต่ปรนเปรอเท่าไหร่ก็เหมือนไม่เคยถูกเติมเต็ม

ปัง!!

“หมดเวลาสนุกแล้วฝ่าบาท”

**************
มาแล้วนะะคะ ขอโทษด้วยที่มาช้าค่ะ ดาวมัวยุ่งๆ อยู่กับต้นฉบับและการพรีออเดอร์ นิยาย กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก เป็นอีกเรื่อง ที่ดาวเอามาลงด้วย สนใจอ่านก็ตามไปเลยนะคะ กด ==>  กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.0)
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 13 หิมะสีเลือด 9/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 09-12-2018 22:12:29

เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 13 หิมะสีเลือด
[/b]


“หมดเวลาสนุกแล้วฝ่าบาท!” อยู่ดีๆ ก็มีทหารองครักษ์บังอาจเข้ามาในรถม้า ทำให้หนึ่งเจ้านายกับสามเครื่องสนองความใคร่ที่กำลังเล่นสวาทหมู่อยู่หยุดชะงักไปตามกัน

“เจ้า!”

“บอกพวกนี้ออกไปก่อนเรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้า”

“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว บอกทหารข้างนอกด้วยว่าห้ามใครรบกวน”

“เจ้า..มีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่ง” ปากถามอย่างเกรี้ยวกราดมือควานหาดาบประจำตัวแต่ก็ไม่เจอ ได้แต่นอนกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด

“หรือจะให้ข้าคุยเรื่องของเราต่อหน้าพวกนี้ล่ะ ยังไงก็ได้ข้าไม่เกี่ยงอยู่แล้ว” ทั้งสองกำลังฟาดฟันกันด้วยสายตา ที่คนหนึ่งมีแต่ความเกรี้ยวกราด ส่วนคนมาใหม่เพียงจ้องมองนิ่งๆ แต่แววตาคู่นั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังสนุกมาก มุมปากก็ดูเหมือนจะยกขึ้นน้อยๆ ด้วย จะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะนิ่งก็ไม่นิ่ง เหมือนแค่ต้องการให้คนที่กำลังจ้องมองเดือดดาลเล่นเฉยๆ จนผ่านไปเป็นครู่คนอารมณ์ค้างโบกมือเพียงเบาๆ เหล่าสนมชายหญิงจึงลงจากรถม้าไป



แอนดีสหยิบแก้วที่วางอยู่บนตั่งเล็กๆ ข้างตัวมากรอกไวน์ลงคออึกใหญ่แล้วถาม “ตามข้ามาทำไม เจ้าอัศวินชั้นต่ำ!”


“ข้าบังเอิญมาราชการแถวนี้” เลนนี่บอกพลางเดินไปนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม หันหน้าเข้าหาร่างเปลือยเปล่าที่ยังนอนเอนตัวพิงหมอนอิงใบใหญ่ เข่าข้างหนึ่งชันขึ้นรองข้อมือข้างที่กำลังถือแก้วไวน์ ร่างเปลือยกับท่านั่งเปิดเผยดูยั่วยวน แต่สีหน้ากลับต่างไปยามเจ้าตัวขมวดคิ้วมองตอบด้วยสายตาสงสัย

“เจ้ามีราชการอะไรที่ชายแดนมอนทาร์น่ากัน”

“หึ”

“หรือเจ้ามาสอดแนม”

“สอดแนมอะไรล่ะ สอดแนมเมียมักมากกำลังเอากับโสเภณีหรือไง”

“เจ้า! อย่ามาปากดี ข้าไม่ใช่..”

“ชู่..ปฏิเสธทั้งที่ท่านก็รู้ตัวเองดี” แววตาขี้เล่นอยู่ตลอดเวลาแบบนี้แอนดีสเกลียดยิ่งนัก เกลียดแต่ก็ยังมอง มองแล้วก็ได้แต่ฮึดฮัดอยู่คนเดียว “แล้วนี่หงุดหงิดอะไรล่ะ หรือพวกนั้นปรนเปรอให้ไม่ถึงใจพอ ทำท่านค้างคาหรือไง” ค้างคาเพราะมีคนมาขัดจังหวะนั่นแหละ

ลอร์ดหนุ่มชะงักนิ่งไปเหมือนใจโดนจี้ตรงจุด ตั้งแต่ออกเดินทางก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในรถม้า เรียกสนมมาบำเรอทั้งชายหญิง แต่ไม่ว่าจะเสพสมหรือเสร็จสมไปแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็ยังไม่เต็มอิ่มเหมือนไม่ได้รับการเติมเต็มในสิ่งที่ต้องการ

“หึ” เสียงหัวเราะของเลนนี่เรียกแอนดีสให้หลุดออกมาสู่ความจริง ท่าทางแบบนี้มันบ่งบอกผู้ที่กำลังจับตามองได้เป็นอย่างดี ว่าสิ่งที่คิดคือสิ่งที่ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่ากำลังเป็น แอนดีสไม่เคยปิดบังความต้องการของตัวเองได้สักครั้ง ยามอยู่ต่อหน้าอัศวินผู้สวมภาพหนุ่มขี้เล่นไว้ภายนอก แต่ภายในทั้งฉลาดและมีไหวพริบรอบตัว แถมยังเร่าร้อนโดนใจจนใครได้ลิ้มลองยังต้องโหยหา

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่”

“พี่ชายท่านไปไหนแล้วล่ะ” เลนนี่เอ่ยถามเหมือนชวนคุย เล่นเอาสายตาของแอนดีสแข็งกร้าวขึ้นทันที พอรู้ตัวเลยรีบกลบเกลื่อน แต่อัศวินหนุ่มยังเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

แอนดีสพยายามใจเย็นถามเสียงแข็ง “เจ้าถามหาอเล็กซิสทำไม”

“ข้าไม่ได้พิศวาสพี่ชายท่านหรอกน่า ไม่ต้องหึง”

“หึ ไม่เจียมตัวเลยนะ”

“เพราะท่านคนเดียวข้าก็รับมือไม่ไหวแล้ว” แอนดีสกัดฟันกรอด นึกอยากได้ดาบสักเล่มจะเอามาฟันใบหน้าหล่อทะเล้นให้เสียโฉมให้ดู

“เจ้า...” ได้แต่ข่มความกริ้วโกรธ เพราะยิ่งเกรี้ยวกราดยิ่งทำให้อีกคนได้ใจ เห็นแววตาสนุกของเลนนี่แล้วแอนดีสมีแต่ความหงุดหงิด “เจ้าปลอมตัวเข้ามาทำไม”

“หาเมีย”

“เซอร์เลนนี่! “เลนนี่ตอบรับเสียงตะคอกเรียกดุๆ ของแอนดีสด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ และสายตาพราวระยับที่ท้าทายปนเรียกร้อง ในแบบหนุ่มขี้เล่นของเขา หันไปหยิบเหยือกแก้วเจียระไนที่บรรจุไวน์ชั้นดีไว้กว่าครึ่งมารินใส่แก้ว ยกขึ้นละเลียดจิบด้วยท่าทางสบายอารมณ์ กับการลิ้มรสไวน์ชั้นดีรสชาติกลมกล่อมเคล้าความเกรี้ยวกราดของคนที่เรียกว่าเมีย


“หึ คิดว่าข้าโง่นักหรือไงเจ้าอัศวินชั้นต่ำ” แอนดีสเหยียดยิ้มมองอัศวินหนุ่มด้วยสายตาดูแคลนปนท้าทาย “เจ้าคงไม่เดินทางออกมาจากออสเซนเทียเพราะคิดถึงข้าหรอกมั้ง”

“ทำไมไม่คิดอะไรที่มันเข้าข้างตัวเองหน่อยล่ะแอนดีส ข้าอาจจะคิดถึงท่านจริงๆ ก็ได้นี่ อันที่จริงก็คิดถึงนั่นแหละข้ายอมรับก็ได้” แอนดีสต้องแค่นยิ้มออกมาอีกครั้ง แค่ได้ยินว่าเจ้านายเรียกตัวเลนนี่ก็ผละออกไปทันทีแล้ว นี่ต้องเดินทางมาตั้งไกลจะบอกว่ามาเพราะคิดถึง ใครเชื่อก็โง่ที่สุด

“ตกลงคิดถึง หรือแค่อาจจะคิดถึง แต่บอกไว้ก่อนว่าข้าไม่ยินดีหรอกนะที่มีคนคิดถึงโดยเฉพาะคนอย่างเจ้า บอกมาดีกว่าว่าเจ้ามาสอดแนมเรื่องอะไร”

เลนนี่ยิ้มน้อยๆ ให้คนขี้ระแวง แววตาอัศวินหนุ่มดูอ่อนโยนราวกับกำลังมองลีโอ “หึ แล้วทางนี้มีอะไรให้ข้าสอดแนมล่ะ”

“ถ้าไม่มีเจ้าก็คงไม่เดินทางดั้นด้นมาถึงนี่หรอกถูกไหม” ฉลาดที่คิดได้และถูกทีเดียว แต่เลนนี่มีหรือจะยอมรับ

“ก็บอกแล้วไงว่าข้าคิดถึง มาเพราะคิดถึงอย่าเดียวเลย” ดูยังไงก็รู้ว่าโกหกและแอนดีสไม่มีทางเชื่อ ยังไงก็ไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าคนที่เขาตราหน้าว่าเป็นอัศวินชั้นต่ำไร้เกียรติคนนี้ จะเดินทางมาถึงชายแดนเพราะว่าคิดถึงกันจริงๆ ถึงได้ยินแล้วมันจะทำให้รู้สึกแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันแปลกจนต้องแอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เบาๆ เพราะไม่ต้องการให้อีกคนสังเกตเห็น ว่าตัวเองผิดปกติไป แอนดีสไม่อยากยอมรับว่าตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน ที่รู้สึกอย่างนั้นก็คงเป็นเพราะไม่เคยมีใครบอกว่าคิดถึงเขามาก่อน พอได้ยินลมหายใจมันเลยแค่สะดุด


แอนดีสเงียบเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร ยิ่งเลนนี่เอาแต่นั่งมองนิ่ง ลอร์ดหนุ่มยิ่งเหมือนจะทำตัวไม่ถูก เลยหาอย่างอื่นทำแทน และไวน์ในแก้วที่ถืออยู่หมดพอดี เลยทำเป็นหยิบเหยือกแก้วเจียระไนที่มีไวน์เหลืออยู่ไม่มากมารินดื่ม

“ถ้าเจ้ายังไม่เลิกจ้อง ข้าจะสั่งให้ทหารจับเจ้าไปควักลูกตาออกซะ”

“ให้ข้าทำอย่างอื่นได้ไหมล่ะ” แอนดีสถลึงตาใส่เลนนี่ รู้ว่าอย่างอื่นที่หมายถึงคงไม่พ้นเรื่องทะลึ่งลามก เพราะสายตาอัศวินหนุ่มมันไม่ปิดบังสิ่งที่กำลังคิดเลยสักนิด “ข้ารู้นะว่าท่านคิดอะไรอยู่ลอร์ดแอนดีส”

“ข้าคิดอะไร”

“คิดว่าวันนี้ข้าจะจัดท่าไหนให้ท่านอยู่ใช่ไหมล่ะ”

แอนดีสส่ายหน้าน้อยๆ ริมฝีปากแสยะออกเหยียดหยัน “เจ้ามันหลงตัวเองจริงๆ “

“หรือไม่จริง ที่หงุดหงิดอยู่ก่อนหน้านี้ เพราะท่านนอนกับโสเภณีพวกนั้น แต่ไม่เต็มอิ่มได้เท่านอนกับข้าไม่ใช่หรือไง”

“เลนนี่!” ไม่ทันที่เลนนี่จะได้พูดจบดี คนถูกจี้ใจดำก็ตวาดเสียงดังผุดลุกขึ้นยืน หลายเรื่องทำให้แอนดีสโมโหรวมทั้งเรื่องที่เลนนี่เพิ่งพูดถึง ที่พอโดนจี้ตรงจุดเลยควบคุมตัวเองไม่ได้


สายตาคมมีแววขี้เล่นไล่มองร่างเปลือย ที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าอย่างเต็มตา ตั้งแต่เท้าสองข้างที่แยกออกเล็กน้อยยืนปักหลักมั่น ขึ้นไปตามเรียวขาที่มีเส้นขนสีน้ำตาลอ่อนขึ้นบางๆ ไม่ปิดบังความเนียนละเอียดของผิวเนื้อ ท่อนขายาวดูแข็งแรงปราดเปรียวไปจนถึงอวัยวะกลางลำตัวที่ยังสงบนิ่ง เลนนี่รู้ว่ามันจะตื่นขึ้นทันทียามเขาสะกิดเรียก หน้าท้องแบนราบประดับด้วยไรขนจากช่วงกลางลำตัวขึ้นไปจนถึงแผงอก ลูกคลื่นตื้นๆ จะเกิดขึ้นตรงหน้าท้องช่วงบนยามเจ้าตัวเกร็งกล้ามเนื้อ สูงขึ้นไปเป็นหน้าอกหนั่นแน่นน่าสัมผัสประดับด้วยไรขนบางๆ ที่ขึ้นเป็นกลุ่มสวย ช่วงไหล่กว้างพอดีรับกับกล้ามเนื้อต้นแขน ที่ถึงไม่ดูกำยำเท่าเลนนี่ แต่แบบนี้ก็เล่นเอาอัศวินหนุ่มจ้องมองด้วยสายตาพราว จนเจ้าของร่างกายแสยะยิ้มสมเพช ดูแคลนสายตาที่ไล่ไปตามเรือนร่างราวกับหลงใหล


“เจ้าควรหายใจนะเลนนี่ อย่ามาขาดใจตายในรถม้าของข้า อื้ออออ”

“หึ” เลนนี่ปล่อยเสียงหัวเราะดังออกมาจากลำคอ ขณะที่เขากำลังสูบเอาลมหายใจของแอนดีสมาเป็นของตัวเอง ด้วยจูบดูดดื่มร้อนแรงที่จู่โจมอย่างรวดเร็ว ทั้งดูดทั้งเผลอกัดอย่างห้ามใจไหว จนแอนดีสที่ย่ามใจว่าอีกคนกำลังมองร่างกายตัวเองเพลิน ตั้งตัวไม่ทันเกือบล้มหงายหลัง ดีที่ยังมีอ้อมแขนแข็งแรงรั้งไว้ แต่พอตั้งตัวได้ก็จูบตอบอย่างไม่ยอมเช่นกัน


ลอร์ดหนุ่มและอัศวินต่างฝ่ายต่างป้อนจูบเร่าร้อนเรียกร้อง ราวกับคนหิวโซที่กำลังตะกละตะกลามยามเห็นอาหารวางล่อ ร่างเปลือยเปล่าถูกลูบไล้สัมผัสไปทั่ว เท่าที่มือสากจากการจับอาวุธของอัศวินหนุ่มจะปัดป่ายไปถึง ทั้งสองต่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งดูดดึงทั้งเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นแลกความหวานฉ่ำ ร้อนแรงลิ้นแทบไหม้ แอนดีสขยุ้มเส้นผสมดกหนาระบายอารมณ์ไปพร้อมกับมืออีกข้าง ดึงทึ้งชุดทหารที่เลนนี่สวมใส่ หวังให้มันหลุดจากร่างกายกำยำ


ราวกับว่าไม่เคยได้จูบกันมาก่อน ราวกับว่านี่มันจะเป็นจูบครั้งสุดท้ายในชีวิต ลอร์ดหนุ่มหลับตาพริ้มหลงลืมความเกรี้ยวกราดหงุดหงิด ร่างกายทุกส่วนเกิดวาบหวามเกินควบคุม ราวกับเลือดในกายเปลี่ยนเป็นลาวาร้อนแรงไหลพล่านไปทั่วร่าง ยินยอมโอนอ่อนตามแต่อัศวินหนุ่มจะนำพาด้วยจูบเรียกร้องลึกซึ้ง เลนนี่ครอบปากตวัดลิ้นอยู่ภายในแล้วดูดหนักๆ จนแอนดีสเจ็บแปลบ ความเจ็บแปลบที่มาพร้อมกับความเสียวสยิวแผ่ซ่านไปทั้งตัว


แต่..

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”

“อะไรนะ! “

“ทูลลาฝ่าบาท” แอนดีสมองตามหลังเลนนี่ที่เปิดประตูราชรถออกไปแบบงงๆ กระทั่งประตูปิดลงแล้วลอร์ดหนุ่มยังไม่รู้ตัว จนทิ้งร่างหนั่นแน่นลงบนเบาะนุ่มนั่นแหละ ถึงได้รู้สึกตัวว่าถูกทิ้งให้คั่งค้างอยู่บนปากเหวที่ว่างเปล่า ทั้งที่ความต้องการล้นหลาก ร่างกายตื่นตัวเตรียมพร้อมรับการปรนเปรอเหยียดตรง ความปรารถนาฉายชัดบนส่วนปลายที่ฉ่ำเยิ้ม ลมหายใจหอบกระเส่าไม่เป็นจังหวะ

ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยๆ เป็นปกติ เหมือนจะควบคุมอารมณ์ได้แล้วแต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด

“โว้ย เลนนี่” เคร้ง!!!

********************


ขุนเขาเบื้องหน้า เหมือนปราการธรรมชาติที่โอบล้อมพื้นที่กว้างใหญ่ อันประกอบไปด้วยเนินเขาต่างขนาดสลับกัน เกิดแอ่งตรงกลางกลายเป็นทะเลสาบรองรับน้ำที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งไหลลงมาจากยอดเขา น้ำในทะเลสาบเป็นสีฟ้าใสสวยงามราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ ผู้คนขนานนามขุนเขาและทะเลสาบที่เสกสรรขึ้นมาโดยธรรมชาติแห่งนี้ว่า เอวาเลีย ฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนไปทั่ว แต่พอเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนที่อบอุ่น หิมะเริ่มละลาย จะเห็นธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ที่ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น หลังจากถูกหิมะปกคลุมมานาน ต้นไม้แตกใบหลากสีขึ้นแซมสลับกันทั้งเขียว ส้ม เหลือง แดง ราวกับถูกแต่งแต้มสีสันลงไปอย่างสะเปะสะปะโดยจิตรกรขี้เมา แต่กลับสวยงามวิจิตรอย่างเป็นธรรมชาติ ที่นี่คือสถานที่ที่ จูเลียน ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย เลือกใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างปราสาท หวังเอาไว้ว่าจะใช้เป็นที่พำนักเพื่อการพักผ่อนให้ห่างไกลจากความวุ่นวายของผู้คน ที่ให้ชื่อว่า เอวาเลียน


ปราสาทเอวาเลียน เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ท่ามกลางกลางภูเขาและทะเลสาบ ที่ความยิ่งใหญ่อลังการนั้นไม่ได้น้อยหน้าปราสาทในเมืองหลวงเลย เพราะตั้งอยู่บนเนินเขาลูกใหญ่ที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาอีกหลายลูก มองจากข้างล่างเหมือนกับว่าอยู่ดีๆ ก็มีปราสาทหินขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมากลางป่า ทิศเหนือเป็นหน้าผาหิน มีน้ำตกสองสายไหลคู่กันลงมา ส่วนทิศใต้กับทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ลุ่มของทุ่งกว้างและทะเลสาบ ที่กินพื้นที่ไปถึงทิศตะวันออก ติดหมู่บ้านเล็กๆ มีชาวเมืองอาศัยอยู่ไม่มาก แต่ก็ให้ความรู้สึกไม่โดดเดี่ยวจนเกินไป


“เจ้าชอบไหม” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นท่ามกลางปุยหิมะที่ตกลงมาเอื่อยๆ ขณะที่คนถามแหงนพักตร์นวลปลั่งขึ้นมองไปยังยอดปราสาท ที่การก่อสร้างรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว และกำลังจะแล้วเสร็จในอีกไม่นาน ด้วยว่างบประมาณนั้นได้รับการถ่ายเทมาให้เกือบเกลี้ยงคลัง


“ข้าชอบที่สุดเลยฝ่าบาท” คนที่ยืนอยู่ข้างหลังบอกเอาใจ

“ข้าก็เหมือนกันแต่พรุ่งนี้คงต้องกลับจริงๆ แล้วสินะ”

“ข้าก็ชวนฝ่าบาทกลับตั้งหลายวันแล้ว ทำไมท่านไม่ยอมกลับล่ะจูเลียน”

“เจ้านี่ก็แปลกนะกรอสเซ่ ตอนอยากมาก็เร่งเร้าจะมาให้ได้ มาถึงแล้วทั้งทียังจะรีบกลับอีก” กรอสเซ่แสดงสีหน้าขัดใจอย่างไม่ปิดบัง แต่สำหรับจูเลียนแล้วช่างเป็นภาพที่ดูกระเง้ากระงอด จนอดเดินเข้ามาเกาะแขนออดอ้อนไม่ได้ “ก็ข้าอยากอยู่ที่นี่กับเจ้านานๆ นี่นา”

“แต่เราควรจะกลับเมืองหลวงตั้งแต่หลายวันก่อนแล้วนะจูเลียน ไว้ค่อยมาใหม่ก็ได้” จูเลียนทำท่าคิด หันกลับไปมองยังตัวปราสาทที่ตั้งตระหง่านอีกครั้งอย่างแสนรัก สองขาเดินไปหยุดอยู่ใต้ซุ้มประตูที่ตกแต่งด้วยแผ่นหินสลักรูปเทวดาตัวน้อย ที่กำลังล่องลอยอยู่ในอากาศด้วยปีกเล็กๆ แสนน่ารัก

“นั่นสิ ไว้สร้างเสร็จเมื่อไหร่เรามาอยู่ที่นี่ด้วยกันนะกรอสเซ่” กวีหนุ่มชะงักไป แต่ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว มองแผ่นหลังของหนุ่มน้อยที่กำลังชื่นชมปราสาทเบื้องหน้า ที่แม้การก่อสร้างยังไม่ทันเสร็จดี ก็เห็นถึงความสวยงามยิ่งใหญ่และอลังการ ปราสาทกลางเทือกเขาที่ฤดูหนาวจะปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนตามยอดไม้ ถึงฤดูร้อนก็คงจะอบอุ่นและสวยงามด้วยสีสันของใบไม้ที่ดูมีชีวิตชีวาไปอีกแบบ หากได้มาอยู่กับคนรักคงให้ความรู้สึกหวานซึ้งชวนฝันไม่น้อย ถ้าเป็นนางคนนั้นที่เขามีใจหมายปอง กวีหนุ่มคงมีความสุขยิ่งกว่าใคร


“กรอสเซ่” ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นแผ่วเบา กรอสเซ่จึงมองไปทางต้นเสียงด้วยแววตานิ่งแต่ไม่ขานรับ จนคนเรียกขมวดคิ้วสงสัย “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”

“ฝ่าบาท” เหมือนกรอสเซ่เพิ่งหลุดออกมาจากจินตนาการชวนฝันของตัวเอง กับสาวน้อยที่เขาหมายปอง ตรงหน้าคือหนุ่มน้อยผู้เป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจดลบันดาลให้เขาได้ทุกอย่าง แต่หาได้มีจิตพิศวาสด้วยไม่ เพราะไม่อาจบันดาลให้นางมาอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างที่หวัง หากอยากได้กวีหนุ่มต้องพยายามเอาชนะใจนางเอง

“ว่ายังไงล่ะ เจ้ารอไหวไหม รอวันที่เอวาเลียนสร้างเสร็จสมบูรณ์ในอีกไม่นานหรอก”

กวีหนุ่มยิ้มโดยแยกริมฝีปากออกเพียงเล็กน้อย จนแทบจะเรียกว่ายิ้มไม่ได้ “ข้าอยากให้มันเสร็จวันนี้เดี๋ยวนี้เลยจูเลียน เราจะได้อยู่ด้วยกันสักที”

“ตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันได้ แต่เป็นเจ้าเองต่างหากที่ไม่ยอมมาอยู่กับข้า” พักตร์นวลปลั่งบูดบึ้งขึ้นทันที กรอสเซ่บ่ายเบี่ยงการค้างแรมที่กระโจมเดียวกันกับจูเลียนมาตลอด นับตั้งแต่เดินทางมาถึงหลายวันก่อน นั่นทำให้จูเลียนน้อยอกน้อยใจ และมักจะพูดต่อว่าคนรักทุกครั้งที่มีโอกาส แต่กระนั้นจูเลียนก็ไม่ได้โกรธกรอสเซ่จริงจังเลย เมื่อที่ได้ยินคำปลอบใจ


“ยอดรักของข้า” เพียงคำแรกกษัตริย์หนุ่มน้อยก็แทบอ่อนระทวย “โปรดอภัยด้วย ข้าเพียงแต่อยากรอเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันตอนเอวาเลียนสร้างเสร็จสมบูรณ์” กรอสเซ่จับไหล่จูเลียนทั้งสองข้างหมุนให้หันไปมองทางปราสาทที่อยู่ตรงหน้า “ท่านก็เห็นข้างนอกที่ว่าสวยงามแล้ว การตกแต่งข้างในยิ่งสวยงามน่าประทับใจมากกว่า ข้าอยากอดใจรอที่จะได้ชื่นชมมันไปพร้อมกับฝ่าบาทในรังรักของเรา” และนั่นก็ทำให้ใจดวงน้อยของยุวกษัตริย์โอนอ่อนตามทุกอย่างที่คนรักกล่าวอ้าง จูเลียนปลื้มปริ่มยิ้มหวานทั้งวัน


“เราไปดูข้างในกันเถอะ” จูเลียนเดินนำเข้าไปภายในปราสาท ที่เริ่มมีการตกแต่งบางส่วนที่สร้างเสร็จแล้ว โดยเฉพาะห้องนอน ที่ได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถันหรูหราน่าอยู่ ตามคำสั่งของจูเลียนที่อยากให้ห้องนี้เสร็จก่อนห้องอื่นๆ ภายในห้องคัดสรรของตกแต่งมาอย่างดีที่สุดตั้งแต่พรมปูพื้นจรดเพดาน ที่ตกแต่งด้วยภาพวาดและโคมไฟคริสทัลระย้า แท่นบรรทมยกสูงรองฟูกหน้านุ่ม ปูข้างในด้วยผ้าไหมเนื้อนุ่มละเอียด คลุมทับอีกชั้นด้วยผ้าเนื้อหนาแต่นุ่มและอุ่น ลวดลายที่ถักทอเดินดิ้นทอง บ่งบอกถึงความหรูหราและรสนิยมผู้เป็นเจ้าของ นอกจากนั้นยังมีห้องสำหรับอัศวินประจำตัวที่อยู่ติดกัน ห้องเสวย ห้องบัลลังก์ ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง ห้องสมุด ห้องอื่นๆ ที่จำเป็นต้องมีอีกหลายห้อง และที่ขาดไม่ได้คือห้องละคร ที่จูเลียนสั่งให้ใช้ชั้นบนสุดใต้หลังคาปราสาททั้งชั้น สร้างเป็นห้องสำหรับการละครโดยเฉพาะ


******************


“เจ้ามาทำอะไรตรงนี้” เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังเรียกให้คนที่กำลังเดินท่อมๆ ไปตามทางมืดหยุดชะงัก หันมาทางต้นเสียงอย่างตกใจแทบจะทันที และพอเห็นว่าใครคือเจ้าของเสียงกลับยิ่งตกใจจนตัวสั่น

“เอ่อ ท่านนั่นเอง คือข้าเปล่า..มาทำอะไร ข้าแค่มาเดินเล่น”

สายตาคมกวาดมองฝ่าความมืดรอบตัว แม้ตอนนี้หิมะจะหยุดตก แต่พื้นดินก็ปกคลุมด้วยหิมะหนาและหนาวจนไม่เหมาะที่จะออกมาเดินเล่นสักนิด “มืดๆ นี่นะ”

“นอนไม่หลับ ข้านอนไม่หลับ แล้วท่านล่ะ”

“กลับที่พักของเจ้าไปซะ”

“ใช่ข้าควรกลับที่พัก ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้แหละ” บอกพลางทำท่ารีบร้อนก้าวออกไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักอีก

“เดี๋ยว” เจ้าของเสียงเข้มเรียกไว้พลางเดินเข้ามาใกล้ สายตาคมดุเพ่งมองฝ่าความมืดหาพิรุธ

คนที่เรียกไว้ยังเงียบเลยทำตัวไม่ถูกว่าจะไปหรืออยู่ ตัดสินใจถามออกมาแบบกล้าๆ กลัวๆ เพราะสายตาคมที่กำลังมองอย่างสำรวจ ไม่มีความเป็นมิตรเอาเสียเลย “ท่านเรียกข้าไว้ทำไมหรือเซอร์ราเชล”

“เจ้าออกมาทำไมมืดๆ อย่างนี้ “

“ท่านถามข้าไปแล้วนะ”

“แล้วเจ้าตอบหรือยังล่ะ”

“เอ่อ คือ..”

“บอกมา!” กรอสเซ่ตกใจเข่าแทบทรุด ราเชลไม่ตะคอกถามเปล่าแต่ยังกระชากคอเสื้อขึ้นจนเขาต้องเขย่งยืน เห็นได้ชัดว่าอัศวินหนุ่มไม่ได้เกรงใจเขาในฐานะคนรักของกษัตริย์เลยสักนิด รูปร่างหรือก็ต่างกันลิบลับจนเห็นถึงความได้เปรียบเสียเปรียบอย่างชัดเจน อัศวินหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ดูกำยำล่ำสันแข็งแรง พอกวีประจำราชสำนักมายืนเทียบใกล้ๆ จึงมองเห็นความบอบบางสะโอดสะองขึ้นมาทันที

“ข้า ข้ามาเดินเล่นจริงๆ เซอร์ราเชล”

“มันไม่หนาวเกินไปที่จะออกมาเดินเล่นกลางดึกหรอกหรือไง”

“ข้าก็กำลังจะกลับเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มอุ่นๆ เดี๋ยวนี้ไง ปล่อยข้าสิ”

“หึ” ราเชลปล่อยคอเสื้อกรอสเซ่จนร่างสะโอดสะองเซเกือบเสียหลัก อัศวินหนุ่มนึกสมเพชในความปวกเปียก ถูกตะคอกแค่นี้ยังตัวสั่นงันงก แต่ความลุกลี้ลุกลนจนเกินเหตุนั่นราเชลก็ไม่ได้มองข้ามมันหรอกนะ “ไปสิเดี๋ยวข้าเดินไปส่ง”

“เอ่อ..คือ ไม่เป็นไรข้าเดินไปเองได้”

“ไป” กรอสเซ่หลบสายตาคมที่จ้องมองผ่านความมืดสลัว แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงยอมเดินออกไปจากตรงนั้นเงียบๆ มีราเชลก็เดินตามไปเงียบๆ เช่นกัน จนถึงกระโจมที่พัก กวีหนุ่มรีบเข้าไปในกระโจมตัวเอง และถอนหายใจเสียงดังออกมาทันทีอย่างโล่งอก

“ทำไมต้องถอนหายใจแรงขนาดนั้น”

“ท่าน! “กรอสเซ่หันมาทางต้นเสียงพบว่าราเชลเดินตามเข้ามาก็ตกใจจนตาโต ร่างกายสั่นเทาก่อนหน้านั้นที่เริ่มดีขึ้นกลับมาสั่นอีก จนกวีหนุ่มต้องกำมือทั้งสองข้างแน่น เพราะเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าอัศวินหนุ่มตามเข้ามาถึงข้างใน ไม่ได้ยินเสียงไม่ได้รู้สึกเลยด้วยซ้ำถึงการมีอยู่ของใครอีกคน กรอสเซ่นึกว่าราเชลยังอยู่ข้างนอกด้วยซ้ำ

“ท่านตามข้าเข้ามาในนี้ทำไม” กรอสเซ่ถามพลางก้าวถอยหลังเพราะราเชลเองก็ก้าวเข้ามาหาช้าๆ แต่ละก้าวหนักแน่นมั่นคง สายตาหรือก็จริงจังจนแทบไม่กล้าสบตา

“ท่าทางเจ้ามันน่าสงสัย”

“ท่านสงสัยอะไรข้าล่ะ”

ตุบ! ร่างสะโอดสะองถอยไปสะดุดกับอะไรบางอย่างจึงหงายหลังล้มลง พอก้นกระแทกพื้นจึงรู้ว่ามันเป็นที่นอนนุ่ม แต่อะไรก็ไม่ทำให้กวีหนุ่มตกใจได้เท่ากับร่างกายกำยำ ที่ขึ้นมายืนจังก้าคร่อมทับร่างของเขาอย่างคุกคาม

อัศวินหนุ่มคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนที่นอน ส่วนอีกข้างชันขึ้นวางท่อนแขนทั้งที่ยังคร่อมร่างกรอสเซ่อยู่ ราเชลกระชากคอเสื้อจนร่างกวีหนุ่มปลิวติดมือขึ้นมา “จะบอกดีๆ หรือให้ข้าใช้วิธีเค้นเอาคำตอบ ว่าเจ้าออกไปทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ ในที่มืดๆ คนเดียว”

“ข้า ข้าไปธุระส่วนตัวนิดหน่อย อยู่ดีๆ ก็ปวด ท่านก็รู้นี่ว่ามันจำเป็น”

“แล้วทำไมไม่บอกข้าดีๆ แต่ทีแรก”

“ข้า ข้าก็อายเป็นนะ”

“หึ เรื่องแค่นี้อายทำไม”

“ท่านจะตามมาถามข้าแค่นี้หรือไง” ราเชลตวัดสายตามองดุๆ จนกรอสเซ่หลบตาแทบไม่ทัน สายตาของราเชลจริงจังจนน่ากลัว แตกต่างจากหนุ่มอารมณ์ดีที่กรอสเซ่เคยเห็น

“ข้ามีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของทุกคนที่นี่ แค่อยากเตือนเจ้าว่าออกไปค่ำๆ มืดๆ แบบนั้นอีกมันไม่ปลอดภัย” กรอสเซ่มองราเชลอีกครั้งรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดและน้ำเสียง แต่แววตาที่มองตอบมาเรียบนิ่ง ราวกับไร้ความรู้สึก เดาอารมณ์และความคิดไม่ได้

“ข้า ข้ารู้แล้วท่านจะลุกออกจากตัวข้าได้หรือยัง” ไม่เพียงแต่ราเชลจะไม่ยอมลุก แต่คอเสื้อที่ถูกขย้ำกำยังเหมือนมีแรงเพิ่มขึ้น จนร่างกรอสเซ่ลอยเข้าไปไกลใบหน้าอัศวินหนุ่ม ลมหายใจกรอสเซ่สะดุด

“ระวังตัวเจ้าไว้ดีๆ ด้วย”

อุก! ร่างของกรอสเซ่ถูกปล่อยทิ้งลงอย่างแรง แม้จะเป็นที่นอนนุ่มแต่ก็เล่นเอาจุกไม่น้อยจากแรงที่ส่งมา ราเชลลุกขึ้นยืนหลังตรง ทิ้งสายตาน่ากลัวไว้ให้กรอสเซ่แล้วเดินออกไปจากกระโจม เหลือไว้เพียงความรู้สึกหวาดหวั่นในใจของกวีหนุ่ม ที่ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก แม้จะเพียงแค่ตอนนี้ แต่ก็รู้ดีว่ารอดจากสถานการณ์อันตรายมาได้อย่างหงุดหงิดแล้ว


ราเชลยืนอยู่หน้ากระโจมที่พักของกวีประจำราชสำนัก ห่างออกมาจากกระโจมของจูเลียนที่ตั้งอยู่ตรงกลางของกระโจมทั้งหมดพอสมควร อัศวินหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณ ที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาจากเวรยามที่วางไว้ทั้งคืน แสงสว่างสลัวมาจากไฟกองใหญ่ตรงจุดศูนย์กลาง และคบไฟที่ตั้งไว้เป็นระยะ อัศวินหนุ่มมองซ้ายมองขวาแล้วเดินออกจากตรงนั้นไป

“มีอะไรผิดปกติไหม” ราเชลยิ้มบางๆ ตามแบบคนอารมณ์ดี สาวเท้าเดินเข้าไปหาเฮนริชที่นั่งอยู่บนขอนไม้หน้ากระโจมที่พักของจูเลียน เบื้องหน้าเพื่อนรักคือกองไฟที่กำลังลุกโชน ราเชลพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ ที่ทำให้เฮนริชขมวดคิ้ว หันมองหน้าอย่างต้องการคำอธิบาย แต่ก็มีเพียงความเงียบ ทั้งสองคุยกันทางสายตาก็เข้าใจตรงกันในสิ่งที่กำลังสงสัย

ราเชลเป็นคนเบนสายตามองไปทางอื่นก่อน “ทำไมเจ้าไม่นอน”

“ข้ายังไม่ง่วง”

“หึ หรือเจ้าชอบนอนคนเดียวมากกว่าล่ะ”

“ไม่เกี่ยว”

“เจ้าน่าจะนอนพักนะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้าด้วย” แต่ไม่ทันที่เฮนริชจะได้ตอบอะไร บุคคลที่สามก็เดินล่องลอยเข้ามา ราเชลหันไปถามคนที่มาใหม่ “เจ้าออกมาทำไมลีโอ”

“ข้าตื่นก็ออกมานะสิ” ลีโอตอบเสียงเนือยขณะเดินมาทรุดตัวลงนั่งระหว่างเฮนริชกับราเชล ร่างผอมบางห่มคลุมด้วยผ้าคลุมขนสัตว์ผืนหนา

“พวกข้าทำเจ้าตื่นหรือไง” ราเชลถามเสียงอ่อนพลางจับหมวกที่ติดกับเสื้อคลุมขึ้นคลุมหัวให้ลีโอ ที่ตอนนี้กลายเป็นเหมือนก้อนผ้ากลมๆ เพราะเจ้าตัวนั่งกอดเข่าตัวเองแน่น ถึงบริเวณที่พักแรมจะกวาดหิมะออกไปกองไว้รอบๆ แต่ความหนาวก็ยังหนาวเย็นจนยะเยือกไม่ต่างกันเลย

ลีโอหาวยาวๆ แล้วตอบ “เปล่า ข้าตื่นเอง แล้วพวกท่านไม่นอนหรือไง”

“กลับไปนอนไป” เฮนริชบอกเสียงดุเมื่อเห็นลีโอทั้งหาว ทั้งกอดตัวเองแน่นวางคางเกยลงบนเข่า แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจหรือยังไม่ทันได้ตื่นดีก็ไม่รู้ เด็กน้อยของเหล่าอัศวินจึงไม่ตอบคำถามแต่ถามกลับเสียงเนือย

“ใกล้เช้าหรือยังล่ะ”

เฮนริชยังนั่งมองลีโอเงียบๆ ราเชลจึงตอบคำถามแทน “อีกนาน เจ้ากลับเข้าไปนอนได้แล้วไป”

“ข้าไม่อยากนอนคนเดียวนี่”

“ทำไมล่ะ ปกติตอนอยู่เมืองหลวงเจ้าก็นอนคนเดียวไม่ใช่หรือไง”

“แต่นี่มันไม่ปกติไงเซอร์ราเชล”

“หรือเจ้ากลัวอะไร”

“มีพวกท่านอยู่ด้วยข้าไม่กลัวหรอก” ลีโอขยับหาที่เหมาะแล้วฟุบหน้าลงกับเข่าของตัวเองอีกรอบ ได้ยินเสียงเฮนริชปรามเบาๆ แต่เด็กน้อยไม่สนใจ

“ระวังไฟด้วย”

“ตรงนี้อุ่นจัง อุ่นกว่าในกระโจมอีก” เสียงของลีโอแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ราเชลก้มลงมาดูก็พบว่าเด็กน้อยหลับไปแล้วในท่านั่งกอดตัวเอง ราเชลอมยิ้มมองลีโอด้วยสวยตาอ่อนโยนปนเอ็นดู จนหันมามองหน้าเฮนริชก็ยังยิ้มอยู่อย่างนั้น

“เจ้ายิ้มทำไม”

“หึ เด็กน้อยของเจ้าหลับไปแล้ว”

“เมื่อไหร่พวกเจ้าจะเลิกเรียกว่าลีโอเป็นเด็กน้อยของข้าสักที”

“หรือไม่ใช่”

“แล้วพวกเจ้าไม่ได้เอ็นดูลีโออยู่เหมือนกันหรอกหรือไง” เป็นความจริงที่เหล่าอัศวินต่างให้ความรักและเอ็นดูลีโอเหมือนเป็นน้องน้อยๆ ของพวกเขา แต่หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หรือไปไหนมาไหนทำอะไร ส่วนมากคนที่ทำหน้าที่ดูแลลีโอมากกว่าคนอื่นๆ จะเป็นเฮนริช ราเชลยิ้มแปลกๆ ให้เพื่อนที่มองตอบอย่างเข้าใจ

“ก็ใช่ แต่ตอนนี้เจ้าพาลีโอเข้าไปนอนข้างในก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวข้าจะไปเดินตรวจรอบๆ อีกสักหน่อย” ราเชลบอกพลางลุกขึ้นยืนเหล่มองเพื่อนทางหางตา เห็นเฮนริชยังนั่งเงียบและถอนหายใจออกมาเบาๆ สายตายังจับอยู่ที่ลีโอ จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มร้ายของราเชลที่ยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป เฮนริชเข้าเวรยามช่วงหัวค่ำไปแล้วตอนนี้จึงเป็นเวลาพักผ่อน



ต่อถัดไปจ้า...
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 13 หิมะสีเลือด 9/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 09-12-2018 22:13:18


“ลีโอ”

“..”

“ลีโอตื่นก่อน” เฮนริชเขย่าตัวลีโอเบาๆ

“อือ”

“ตื่นก่อนเข้าไปนอนข้างในดีๆ “

“..” เฮนริชส่ายหน้า เพราะคำตอบที่ได้กลับมาคือความเงียบ ดูเหมือนลีโอจะหลับไปแล้วจริงๆ อัศวินหนุ่มขยับเข้ามาหาจับร่างผอมบางของลีโอให้ซบลงที่อกกว้างแล้วช้อนอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย ราวกับร่างในห่อผ้านั้นไร้น้ำหนัก หากลีโอไม่ขยับเข้าซบอกอุ่นเฮนริชคงคิดว่าตัวเองหอบเอาห่อผ้าขึ้นมาอุ้มไว้แน่ๆ

สองขายาวก้าวอย่างมั่นคงเข้าไปในกระโจมที่พัก ซึ่งกว้างขวางพอสมควร ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่ายเพราะเป็นเพียงที่พักชั่วคราว แต่มีที่นอนวางเรียงไว้สำหรับสามคน คือที่นอนสำหรับเฮนริชและราเชลนอนขนาบข้างทั้งสองฝั่ง ตรงกลางเป็นที่นอนของลีโอ นั่นจึงพออธิบายได้ว่า ทำไมราเชลถึงได้ถามเฮนริชว่าชอบนอนคนเดียวมากกว่าหรือ

อัศวินหนุ่มอุ้มร่างแน่งน้อยเดินตรงไปยังที่นอนที่จัดไว้ตรงกลาง ค่อยๆ บรรจงวางร่างบอบบางลงอย่างเบามือที่สุด เท่าที่มือของอัศวินผู้จับแต่อาวุธจะทำได้ นั่นจึงทำให้ร่างกายสูงใหญ่ของเขาต้องโน้มลงจนแทบจะนอนไปบนที่นอนด้วยกัน ใบหน้าอ่อนเยาว์นวลเนียนในกรอบของหมวกคลุมหัวขนสัตว์ดูน่ามอง เฮนริชมองเพลินตั้งแต่คิ้วโก่งได้รูปลงมาตามสันจมูก และริมฝีปากจิ้มลิ้ม จนถึงพวงแก้มอิ่มสีแดงเรื่อ ทุกองค์ประกอบรวมกันเป็นใบหน้าไร้เดียงสาที่ดู..น่ารัก

ร่างสูงใหญ่ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนฟูกชะงัก ท่อนแขนข้างหนึ่งยังรองอยู่ใต้ท้ายทอยให้ลีโอหนุน มืออีกข้างดึงผ้ามาห่มให้ความอบอุ่น ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าลีโอไม่น่ารัก แต่ทำไมเฮนริชถึงได้มาคิดว่าลีโอน่ารักเอาตอนนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะปกติก็เอ็นดูลีโออยู่แล้วกันทุกคน แล้วตอนนี้มันไม่ปกติหรืออย่างไร

เฮนริชถอนหายใจออกมาเบาๆ นึกสงสัยว่าทำไมวันนี้ตัวเองถึงได้ถอนหายใจบ่อยเหลือเกิน พรุ่งนี้เช้ายังต้องเดินทางไกล อัศวินหนุ่มรู้สึกง่วงและบอกตัวเองว่าควรนอน แต่พอจะดึงท่อนแขนออกเพื่อลุกขึ้น คนหลับที่ดูเหมือนจะหลับลึกไปแล้วกลับพลิกตัวเข้าหา กอดท่อนแขนกำยำไว้แน่น

“หนาว”

“ปล่อยข้าก่อนลีโอ” บอกให้ปล่อยเหมือนบอกให้กอดแน่นขึ้น ลีโอซุกตัวเข้าหาอกกว้างราวกับเด็กขาดความอบอุ่น ดวงตาหลับพริ้มปากพึมพำละเมอฟังไม่ได้ศัพท์

“อือ หนาวจัง”

“ลีโอนอนดีๆ “

“อุ่นจัง” เฮนริชรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองแข็งทื่อไปแล้ว เขาไม่กล้าขยับเมื่อลีโอซุกใบหน้าอ่อนเยาว์เข้าที่ซอกคออุ่น อัศวินหนุ่มกลัวเด็กน้อยจะตื่น จึงทิ้งหัวลงบนหมอบนอนหลับตานิ่ง ตั้งใจว่าจะให้ลีโอหลับสนิทก่อนแล้วถึงจะลุกออกไป แต่เพราะความง่วงบวกกับร่างกายที่ทำงานมาทั้งวัน คิดว่าจะพักสายตาไม่นาน แต่เฮนริชก็หลับยาวถึงเช้ากับร่างอุ่นๆ ที่อยู่ในอ้อมกอด

**************

“เราพร้อมออกเดินทางแล้วฝ่าบาท” จูเลียนละสายตาจากความยิ่งใหญ่อลังการของปราสาท หันหน้ามาหาราเชลที่ยืนระวังอยู่ข้างหลัง แล้วหันกลับไปมองบนยอดโดมของปราสาทอีกครั้งอย่างอาลัย ความรู้สึกผูกพันที่มีอยู่แล้วยิ่งเอ่อล้นมากขึ้น ตั้งแต่ครั้งตัดสินใจเลือกที่นี่เป็นที่สร้างปราสาทไว้อยู่กับคนรัก ยามต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองหลวง

“ท่านควรพักสักหน่อยนะเซอร์ราเชล”

“ข้าหลับบนหลังม้าได้ฝ่าบาท”

“ข้าจะกลับมาอีก” ราเชลเพียงก้มหัวลงเล็กน้อยแสดงการยอมรับสิ่งที่เจ้านายเหนือหัวบอก

จูเลียนสูดลมหายใจเข้าปอดยาวๆ เหมือนต้องการให้กลิ่นอายของเอวาเลียนซึมซับเข้าไปถึงใจ แล้วจึงหันหลังกลับ “ไปกันเถอะ”

“เชิญเสด็จ”

ขบวนเสด็จของจูเลียนเริ่มออกเดินทางกลับเมืองหลวง นำขบวนโดยทหารที่ได้รับการฝึกฝนการต่อสู้มาอย่างดีจำนวนหนึ่ง จูเลียนเลือกขี่ม้าแทนที่จะนั่งเบื่ออยู่ในรถม้า เพราะอยากมองเห็นปราสาทเอวาเลียนท่ามกลางขุนเขาจนลับสายตา และที่สำคัญคืออยากขี่ม้าเคียงคู่ไปกับคนรัก ขบวนเสด็จเดินทางอย่างราบรื่นตามเส้นทางที่มีการวางแผนเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตามพื้นดินยังมีหิมะปกคลุมไปทั่ว แต่ไม่หนามากจนเป็นอุปสรรคของการเดินทาง และวันนี้อากาศก็ปลอดโปร่ง ถึงจะยังคงความหนาวเหน็บแต่หิมะไม่ตก จึงเป็นวันที่เหมาะมากสำหรับการเดินทางที่สุด

“เมื่อคืนเจ้าหลับสบายหรือไม่เฮนริช” เฮนริชเหลือบตามองราเชลที่ขี่ม้าตีคู่ขึ้นมา เอ่ยปากถามไถ่เหมือนสนใจสารทุกข์สุกดิบ แต่รอยยิ้มแบบนั้นเฮนริชรู้ดีว่ามันไม่ใช่อย่างที่แสดงออก ราเชลยิ้มเหมือนกำลังทำเรื่องสนุก

“คงฝันดีสินะ”

“ใกล้ถึงแล้วจุดนั้นแล้ว”

“เจ้าเปลี่ยนเรื่อง”

“ข้าเตรียมพร้อมต่างหากล่ะ เจ้าก็เหมือนกันนะราเชล”

“เดี๋ยวข้าจะขึ้นไปที่หัวขบวน เจ้าดูแลจูเลียนก็แล้วกัน”

"อืม” ราเชลเร่งม้าให้วิ่งแซงคนอื่นขึ้นยังหัวขบวน ที่นำโดยทหารม้ารักษาพระองค์ พอถึงทางแยกซึ่งเป็นทางลัดตรงเข้าสู่เมืองหลวง อัศวินหนุ่มกลับสั่งให้แยกไปอีกทาง ซึ่งเป็นคนละทางกับที่วางแผนไว้ในตอนแรก และการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้คนที่แอบจับตามองอยู่มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“เจ้าเป็นอะไรกรอสเซ่”

“ข้าไม่เป็นไรฝ่าบาท แต่ทำไมขบวนเสด็จเปลี่ยนเส้นทางล่ะ” พอได้ยินกรอสเซ่บอกจูเลียนจึงมองไปทางหัวขบวน เห็นราเชลขี่ม้านำไปอีกทางจึงหันมายิ้มบางๆ ให้คนรัก

“เรื่องธรรมดานั่นแหละ เวลาเดินทางอัศวินของข้ามีหน้าที่นำทาง ที่เราเชลสั่งให้เปลี่ยนเส้นทางกลับ ก็คงเพื่อความปลอดภัยของเรา ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก”

“อย่างนี้นี่เอง”

“เจ้าดูสิ เอวาเลียนของเราบนเนินเขานั่นสวยเหลือเกิน”

“สวยจริงๆ ฝ่าบาท” แม้กรอสเซ่จะคุยกับจูเลียน แต่ก็หาได้จดจ่ออยู่กับเรื่องที่กำลังพูดคุยกันอยู่ไม่ เพราะใจของเขากำลังกังวลกับสิ่งที่ผิดพลาด ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งข้อตำหนิแก่ตัวเขาได้ กวีหนุ่มมองปราสาทเอวาเลียนที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหันกลับไปมองทางเงียบๆ

การเดินทางผ่านไปอย่างราบรื่น หยุดพักครั้งแรกตอนเกือบเที่ยงที่ริมแม่น้ำสายหนึ่ง ไม่นานก็ออกเดินทางกันต่อ การเดินทางที่เจ้าเหนือหัวเพลิดเพลินกับธรรมชาติ และคนรักที่ขี่ม้าเคียงคู่ จนกระทั่งตกเย็นขบวนเสด็จเป็นอันต้องหยุดพักอีกครั้ง ตอนนี้มาถึงครึ่งทางกันแล้ว เฮนริชเลือกที่ตั้งสำหรับพักแรมในพื้นที่ที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด จัดวางกระโจมที่พักเหมือนเดิม คือกระโจมของจูเลียนอยู่ตรงกลาง โอบล้อมด้วยกระโจมของอัศวินและทหาร มีเวรยามเดินตรวจตราตลอดทั้งคืน

“เจ้าควรเข้านอนได้แล้วนะลีโอ” ราเชลทักลีโอที่นั่งเฝ้ากองไฟอยู่กับเฮนริช ตอนนี้ยังไม่ดึกมากแต่จูเลียนก็เข้านอนแล้ว

“ข้ายังไม่ง่วงเลยนะเซอร์ราเชล”

“แล้วเจ้าล่ะเฮนริช ทำไมไม่รีบเข้านอนก่อน”

“เจ้าจะอยู่เวรหัวค่ำหรือไง”

“หรือไม่ได้”

“ดูด้วย” เฮนริชบอกเพียงเท่านั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในกระโจมที่พักทันที สองคนที่ยังนั่งอยู่ข้างกองไฟได้แต่มองตามต่างความรู้สึก

“เซอร์เฮนริชเป็นอะไรไปเหรอเซอร์ราเชล” ราเชลยังมองไปทางเฮนริชอยู่ เห็นหลังเพื่อนมุดเข้าไปในกระโจมแล้วจึงหันกลับมามองหน้าลีโอที่นั่งตาใสรอคำตอบด้วยสีหน้าอยากรู้

“ข้าไม่รู้ ว่าแต่เจ้าเถอะไปทำอะไรให้เฮนริชไม่พอใจหรือเปล่า”

“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่ถามไม่กี่คำเขายังไม่อยากคุยด้วยเลย แล้วยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีกล่ะ” ลีโอหน้างอแต่ไม่ใช่เพราะโกรธ มันเป็นความหน้างอที่มาพร้อมความหม่นเศร้าไม่เข้าใจ

“คงเขินล่ะมั้ง”

“เขินเหรอ ทำไมต้องเขินด้วย แล้วเซอร์เฮนริชจะเขินให้ใคร” ราเชลมองหน้าลีโอยิ้มให้บางๆ ยิ่งทำให้เด็กน้อยงงและอยากรู้เข้าไปใหญ่ “ท่านจะแกล้งอะไรข้าอีกล่ะเซอร์ราเชล ข้าจะฟ้องเซอร์เลนนี่”

ราเชลหลุดยิ้มจนได้ ขำเด็กน้อยขี้ฟ้อง “เมื่อไหร่ล่ะ ข้าแทบรอไม่ไหวเลย”

“นั่นสิเมื่อไหร่เซอร์เลนนี่จะกลับมา ข้าคิดถึงจัง”

“แล้วพวกข้าล่ะเจ้าไม่คิดถึงหรือไง”

“เดินทางมาด้วยกันยังต้องคิดถึงอีกหรือ” ลีโอถามหน้าซื่อ

“หึ”

“เซอร์เดรทิชด้วย ไม่รู้ป่านนี้เดินทางไปถึงสวาเนียร์ทันลอร์ดนิโคลแล้วหรือยัง”

“เจ้าอย่าพูดไป เรื่องนี้ไม่ควรพูดมาก”

“ข้ารู้แล้ว แค่พูดเบาๆ เองนะ ก็ข้าคิดถึงนี่” ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูเหงาหงอยลงไปถนัดตา “เออ เซอร์ราเชล ท่านรู้จักท่านโรฮานส์เพื่อนเซอร์เลนนี่หรือเปล่าที่ชนะการประลอง”

“ก็เคยเห็นมากับเลนนี่อยู่บ้างเหมือนกัน ทำไมเหรอ”

“เขาเก่ง ข้าชื่นชมเขา”

ราเชลเหลือบมองเลยไปยังข้างหลังของลีโอ ใครบางคนที่กำลังจะเดินกลับออกมาชะงักไปที่ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของลีโอ “หึ เจ้าชอบเขาหรือไง”

“ใช่ ข้าชอบท่านโรฮานส์เพราะเขาต่อสู้เก่งมาก ข้าเห็นเขาซ้อมดาบกับเซอร์เลนนี่ด้วย แต่ตอนนี้เขาเดินทางไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาใจดีกับลีโอเหมือนพวกท่านเลย” รอยยิ้มของลีโอจางหายไปเหลือเพียงใบหน้าหงอยๆ ผิดกับความตื่นเต้นในคราแรกที่เอ่ยถึงคนที่ตัวเองชื่นชม จนราเชลยิ้มเอ็นดูในความใสซื่อไร้พิษสงของเด็กน้อยตรงหน้า

“ข้าว่าเจ้าควรไปนอนได้แล้วนะ”

“ข้าขอผิงไฟอีกนิดไม่ได้หรือไง” อัศวินหนุ่มเหลือบไปมองทางกระโจมที่พักอีกครั้ง ยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนรักที่ยืนอยู่หน้ากระโจม พอเฮนริชหันหลังกลับไปทางเดิม ราเชลจึงหันกลับมาหาเด็กน้อยที่กำลังเขี่ยไฟและเติมฟืน มือหยาบกร้านวางลงบนกลุ่มผมนุ่มยีเบาๆ กระซิบบอกเสียงอ่อนโยน

“ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้เดินทางต่อแต่เช้า เจ้าจะได้ไม่เหนื่อยมาก”

“ก็ได้ ท่านก็เหมือนกันนะเซอร์ราเชลพักผ่อนบ้าง” พอลีโอไปนอนราเชลก็ลุกจากกองไฟ เดินตรวจตราตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติอาจจะเป็นสถานการณ์ภายในกระโจมที่ลีโอเพิ่งเดินเข้าไป เพราะคงมีใครบางคนนอนไม่หลับแน่คืนนี้

อากาศยามเช้ายังคงความหนาวเหน็บ และมีหิมะตกลงมาบางๆ แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถหยุดการเดินทางได้ เพราะจูเลียนเร่งอยากให้กลับถึงเมืองหลวงเร็วๆ กษัตริย์หนุ่มน้อยเลือกขี่ม้านำขบวนไปก่อน พร้อมทหารกลุ่มใหญ่ รั้งท้ายด้วยรถม้าขนของและทหารบางส่วน สองข้างทางเป็นป่าทึบ บางช่วงเป็นทุ่งหญ้าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ สลับกันอยู่อย่างนั้นจนเข้าเขตป่าอีกกครั้ง หิมะก็เริ่มตกลงมาอย่างหนัก ลมแรงขึ้นราวกับจะเกิดพายุ ต้นสนสูงชะลูดมีหิมะเกาะอยู่ตามกิ่ง ดูเป็นความสวยงามที่ถูกธรรมชาติแต่งเติมขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ

“หิมะตกหนักอย่างนี้ ท่านไม่คิดว่าเราควรพักก่อนหรือเซอร์เฮนริช” จูเลียนถามเฮนริชที่ขี่ม้าตีคู่ขึ้นมา เมื่อเห็นว่าหิมะเริ่มจะตกหนักกว่าตอนแรก ถึงจะสวมเสื้อผ้าเนื้อหนาสำหรับฤดูหนาว และมีเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวใหญ่กับหมวกสวมทับอีกชั้น ก็ยังหนาวมากจนตัวสั่นปากสั่นไปกันหมด

“อีกไม่ไกลก็จะถึงหมูบ้านแล้วฝ่าบาท ข้าว่าเราไปพักใกล้ๆ หมูบ้านข้างหน้าดีกว่า น่าจะพอมีร้านหรือที่พักให้หลบหนาวได้”

“ถ้าอย่างั้นก็รีบไปกันเถอะ” เฮนริชหันไปส่งสัญญาณบอกราเชลว่าจะล่วงหน้าไปก่อน แล้วขี่ม้าพาจูเลียนออกไป ตามด้วยกรอสเซ่ ลีโอ และทหารกลุ่มหนึ่ง ราเชลสั่งงานเสร็จก็รีบควบม้าตามไปทันที

ต่อข้างล่างจ้า...
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 13 หิมะสีเลือด 9/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 09-12-2018 22:14:02



หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนคนบนหลังม้าต้องนั่งห่อตัว ม้าก็เดินเร็วมากไม่ได้เพราะนอกจากหิมะหนาๆ บนพื้นแล้ว ถนนข้างหนึ่งยังเป็นป่าสนส่วนอีกข้างเป็นพื้นลาดลงเนินเขาที่ค่อนข้างชัน ราเชลหยุดม้าแล้วกวาดตาไปรอบๆ เหมือนมองหาสิ่งผิดสังเกต

“มีอะไรเหรอเซอร์ราเชล”

“ไม่มีอะไรฝ่าบาทไปกันต่อเถอะ” ราเชลบอกจูเลียนแล้วเร่งให้ม้าเดินต่อ ลีโอเร่งม้าคู่ไปกับเจ้านายไปติดๆ ตามด้วยกรอสเซ่ที่หนาวจนพูดไม่ออก เฮนริชสบตากับราเชลสองอัศวินไม่พูดอะไร แต่ส่งสัญญาณให้ทหารตามประกบจูเลียนเงียบๆ

“เจ้าไปอยู่กับจูเลียน”

“ระวังตัวด้วย” บทสนทนาสั้นๆ ระหว่างสองอัศวินเพียงเท่านั้นก็เข้าใจกัน เฮนริชเร่งม้าขึ้นไปอยู่ข้างๆ จูเลียนที่พอเห็นว่าเป็นเฮนริชก็ไม่ได้พูดอะไร ก้มหน้าก้มตาขี่ม้าไปเรื่อยๆ ไม่ลืมหันไปมองคนรักที่ขี่ม้าตามหลังมาเป็นระยะ จนกระทั่งพ้นเขตป่าออกมาสู่ที่โล่ง ทางข้างหน้าเป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่ทำขึ้นมาจากไม้

“ข้ามสะพานไปอีกไม่ไกลก็ถึงหมู่บ้านแล้วฝ่าบาท” เฮนริชบอก

“รีบไปกันเถอะ”

น้ำในแม่น้ำเป็นกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งเกาะเป็นฝ้าหนา แต่ลึกลงไปข้างล่างนั้นยังคงเป็นน้ำที่คงจะเย็นจนบรรยายไม่ถูก จูเลียนขี่ม้าคู่ไปกับเฮนริช แต่ก็หนาวเกินไปที่จะสังเกตเห็นท่าทางระแวงระวังของอัศวินหนุ่ม ที่ดูเหมือนจะเร่งให้ข้ามสะพานไปเร็วๆ เฮนริชไสม้าเบียดม้าของจูเลียนบังคับให้มันรีบเดิน แต่อีกไม่กี่ก้าวจะถึงตัวสะพานอยู่แล้ว สิ่งที่คาดไว้ก็เกิดขึ้นจนได้

ฟิ้วววว

“ระวัง!”

“เฮนริช! “ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างของจูเลียนถูกคว้าไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรงของเฮนริช ให้หลบจากวิถีของลูกธนู ที่ถูกยิ่งออกมาจากป่าได้อย่างหวุดหวิด ทหารที่ตามมารีบตีวงล้อมเพื่อปกป้องกษัตริย์หนุ่มน้อย ดาบทุกเล่มถูกถอดออกจากฝักเพื่อคุ้มกัน

“ฝ่าบาทเป็นอะไรหรือเปล่า” ลีโอรีบเข้ามาถาม

“ข้าไม่เป็นไร”

“ตรงนั้น” เฮนริชชี้บอกตำแหน่งที่มาของลูกธนูปริศนา ทุกคนหันไปมองแต่ราเชลยังกวาดตามองไปรอบๆ ทุกอย่างรอบตัวยังเงียบ แต่หลังจากความเงียบมักจะมีสิ่งที่น่าสะพรึงตามมาเสมอ จนอึดใจใหญ่หิมะที่ปกคลุมพื้นดินก็ค่อยๆ เคลื่อนเผยให้เห็นศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้น มันพากันลุกขึ้นเดินตีวงล้อมเข้ามาช้าๆ ราวกับซากผีดิบที่กำลังจะเข้าจู่โจมเหยื่อ

“ราเชล”

“พวกมันมีมากเกินไป เจ้าพาจูเลียนหนีไปข้าจะต้านมันไว้เอง ข้ามสะพานไปให้ได้” เฮนริชหันกลับมาหาจูเลียนจะพาหนี แต่ฝั่งที่คิดว่าจะใช้เป็นทางหนีหลับเต็มไปด้วยศัตรูที่โอบล้อมเข้ามาไม่ต่างจากทิศทางอื่น

“พวกมันเยอะเกินไป”

“ลีโอมาอยู่กับข้า” จูเลียนเรียกลีโอที่ตื่นตระหนกนั่งหันหันรีหันขวางอยู่บนหลังม้า ยุวกษัตริย์ถอดดาบออกมาเตรียมพร้อมสู้ “กรอสเซ่ระวังตัวด้วย”

“ฝ่าบาทไม่ต้องห่วงข้า”

“จูเลียน” ราเชลจับข้อมือจูเลียนข้างที่ถือดาบไว้แน่น “หนีเมื่อมีโอกาสไม่ต้องห่วงทางนี้เฮนริชจะไปกับท่าน” ราเชลพูดจบก็พอดีกับศัตรูเริ่มวิ่งกรูกันเข้ามา ทหารตีวงล้อมเป็นเกราะป้องกันให้จูเลียนหันหน้าออกไปยังศัตรู ราเชลสบตาเฮนริชเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขี่ม้าออกไปทางที่เห็นศัตรูกำลังขี่ม้าเข้ามา นั่นน่าจะเป็นหัวหน้าของพวกมัน

เกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาทันที เพราะศัตรูที่มีมากกว่าโจมตีเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ถึงตอนนี้ยังไม่มีศัตรูคนไหนสามารถฝ่าด่านป้องกันของเหล่าทหาร และอัศวินทั้งสองอย่างเฮนริชกับราเชลเข้ามาถึงตัวจูเลียนได้ แต่อีกไม่นานคงต้องเสียทีเป็นแน่ถ้ายังไม่ทำอะไรสักอย่าง

“เจ้าพาจูเลียนหนีไปเดี๋ยวนี้!” ทุกครั้งที่อัศวินหนุ่มตวัดดาบหมายถึงชีวิตของศัตรูที่หลุดลอยไป แต่กระนั้นก็เหมือนกับว่ามันจะไม่มีวันหมด คนหนึ่งตายคนที่เหลือก็กรูกันเข้ามา

“จูเลียนระวัง! “ราเชลเห็นจูเลียนกำลังจะถูกโจมตี มีดพกเล่มเล็กที่เหน็บอยู่ข้างเอวถูกขว้างออกไปโดนจุดตายอย่างแม่นยำ ก่อนจะรีบขี่ม้าฝ่าวงล้อมเข้ามาหาจูเลียน ลีโอตกจากหลังมาแต่ก็ลุกขึ้นกวัดแกว่งดาบฟาดใส่ศัตรูคอยปกป้องจูเลียนอยู่ใกล้ๆ ทั้งที่ก็ไม่ได้ต่อสู้เก่งอะไรเลยสักนิด แต่ใจที่แข็งแกร่งหวังปกป้องเจ้านายทำให้ลีโอไม่ยอมถอย กรอสเซ่ยังนั่งอยู่บนหลังม้าแต่ไม่ได้ต่อสู้กับใครเลย นอกจากระวังความปลอดภัยของตัวเอง

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ข้าไม่เป็นไร ลีโอม้าของเจ้า”

“ช่างมันฝ่าบาท” ม้าของลีโอถูกฟันจนเป็นแผลเหวอะหวะนอนดิ้นอย่างน่าสงสารอยู่ไม่ไกล ตอนนี้ใครเป็นใครแทบจะดูไม่ทัน ศัตรูที่วิ่งเข้ามาหมายจะทำร้ายจูเลียนถูกหยุดไว้ด้วยคมดาบของราเชลกับเฮนริช ที่ต่อสู้อยู่ใกล้ๆ กับทหารคนอื่นๆ ลีโอแม้จะไม่เก่งการต่อสู้แต่ก็จัดการศัตรูไปได้หลายคน จนเนื้อตัวของเด็กน้อยเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แต่กระนั้นดูเหมือนว่าจะมีศัตรูมีเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกับว่าตายไปเท่าไหร่ก็ยังไม่หมด ทุกคนต่อสู้ปกป้องจูเลียนเต็มที่จนเริ่มพากันอ่อนล้า ศัตรูโอบล้อมเขามามากจนแทบจะฝ่าออกไปไม่ได้

“มันล้อมเราไว้ทุกทิศแล้วฝ่าบาท” กรอสเซ่ตะโกนบอกอย่างตื่นตระหนก คราแรกกวีหนุ่มไม่นึกกลัวด้วยคิดว่าคงไม่มีใครทำอะไรตัวเอง เพราะเห็นเป็นพวกเดียวกัน แต่พอเห็นศัตรูฟาดดาบเข้ามาโดยไม่สนใจว่าใครเป็นใคร ก็เริ่มชักไม่แน่ใจว่าตัวเองจะปลอดภัยเหมือนอย่างที่พูดกันไว้แล้ว

“กรอสเซ่ระวังตัวนะ ราเชลคุ้มกันกรอสเซ่ด้วย” จูเลียนบอกแต่ไม่ได้ดูว่าราเชลจะทำตามหรือไม่ เพราะศัตรูที่ดาหน้าเข้ามามากมายไม่เอื้อให้มีเวลาใส่ใจพอ และราเชลเองก็หาได้สนใจในคำสั่งนั้นไม่เช่นกัน คนเดียวที่ต้องปลอดภัยก่อนคือจูเลียนกับลีโอเท่านั้น

ศัตรูเหลือไม่มากเท่าตอนแรก เพราะถูกฆ่าตายไปเกินกว่าครึ่ง จนเลือดย้อมหิมะขาวๆ ให้เป็นสีแดงฉานไปทั่ว การต่อสู้หยุดลงชั่วขณะเหมือนดูท่าทีกันและกัน แต่ไม่นานมันก็ตีวงล้อมเข้ามาช้าๆ เหยียบข้ามศพทั้งของทหารและของเพื่อนตัวเอง บางคนที่ยังไม่ตายนอนร้องโอดโอย บางคนที่พอจะสู้ได้ก็ยังไม่ยอมวางดาบ เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นทหารรับจ้าง แต่นั่นไม่น่าหนักใจเท่ายังมีคนของพวกมัน วิ่งฝ่าหิมะmujpy'9dsoydออกมาจากชายป่า จูเลียนหวาดกลัวแต่ในมือยังกำด้ามดาบแน่น ข้างขวาคือราเชล ข้างซ้ายคือลีโอที่ตอนนี้ขึ้นบนหลังม้าได้แล้วด้วยความช่วยเหลือของเฮนริชที่นั่งอยู่บนม้าอีกตัวหนึ่งข้างกัน

“ลีโอพาจูเลียนข้ามสะพานหนีออกไปทางเหนือของหมูบ้าน” เฮนริชบอก

จูเลียนมองหน้าอัศวินทั้งสองสลับกัน แม้จะหวาดกลัวมากแค่ไหนก็ยังควบคุมความกลัวของตัวเองได้สมเป็นกษัตริย์ “แล้วพวกท่านล่ะเซอร์เฮนริช”

“พวกข้าจะรีบตามไปให้เร็วที่สุด”

“เจ้าทำได้ใช่ไหมลีโอ” ราเชลถาม

“ข้า..”

“เจ้าทำได้ลีโอ” ราเชลย้ำกับลีโอแล้วหันไปบอกจูเลียน “ขี่ม้าไปทางเหนือของหมู่บ้าน พวกข้าจะรีบตามไปให้เร็วที่สุด”

“ตกลง”

“ดีมากฝ่าบาท ระวังตัวด้วย” แต่ยังไม่ทันที่จูเลียนจะได้ตอบรับ ศัตรูที่ออกมาจากชายป่าก็วิ่งกรูเข้ามาถึง ทุกคนต่อสู้อย่างกล้าหาญ แต่เพราะจำนวนคนที่มีน้อยกว่าจึงเสียเปรียบ ราเชลได้แผลตามตัวมาพอสมควรไม่ต่างจากเฮนริช จูเลียนกับลีโอก็ยังไม่สามารถฝ่าศัตรูออกไปได้ แม้อัศวินทั้งสองจะพยายามเปิดทางให้แล้ว แต่เหมือนกับว่าพวกทหารรับจ้างที่ตายไป จะมีกลุ่มใหม่กรูเข้ามาแทนกันอยู่ตลอด

“แบบนี้ไม่ไหวแน่” เฮนริชพูดพลางต่อสู้คอยระวังให้จูเลียนกับลีโอ ทหารคนอื่นๆ ก็ต่อสู้อยู่รอบๆ อย่างกล้าหาญ

“เจ้าพาจูเลียนออกไปเลยเฮนริชไม่ต้องรอแล้ว”

“ไปเถอะฝ่าบาท”

“เฮนริช!! “อัก! เฮนริชบอกแล้วหันกลับมาทางจูเลียนจึงไม่ทันเห็น เลยถูกแส้ของศัตรูที่ตวัดเข้าใส่เต็มแรงจนตกลงจากหลังม้า จูเลียนกับลีโอร้องเรียกเสียงหลง แต่ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บอัศวินหนุ่มก็ยังรีบลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้

ขณะที่กำลังตกเป็นรองเพราะฝ่ายโจมตีมีกำลังมากกว่า อีกฝั่งหนึ่งของสนามต่อสู้ก็เกิดเรื่องน่าประหลาดขึ้น เมื่อมีม้าสีดำตัวใหญ่พ่วงพีแต่ดูปราดเปรียวควบฝ่าเข้ามา ราวกับว่าพายุหิมะและหิมะที่ปกคลุมบนพื้นจนหนาไม่ได้เป็นอุปสรรค ทั้งที่ม้าตัวอื่นยังเดินลำบาก บนหลังม้าตัวนั้นควบคุมโดยชายชุดดำที่กวัดแกว่งโซ่เหล็กในมือ ปลายโซ่เป็นลูกตุ้มเหล็กที่มีหนามแหลมอยู่รอบๆ และยิ่งไปกว่านั้น ส่วนที่เป็นลูกตุ้มและโซ่บางช่วงยังลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ มันจะสร้างความเสียหายให้กับศัตรูทุกครั้งยามถูกเหวี่ยงออกทำลายล้าง บ้างกลายเป็นแผลน่ากลัว บ้างถึงตาย บางคนไฟติดเสื้อผ้าจนไหม้ไปทั้งตัว

เขาฆ่าศัตรูไปได้ไม่น้อย ม้าตัวใหญ่ปราดเปรียวพาวิ่งไปทั่วอย่างคล่องแคล่ว ทุกครั้งที่โซ่เหล็กถูกเหวี่ยงออกไปนั่นหมายถึงหลายสิบชีวิตที่ต้องสังเวย จนไฟที่ถูกจุดด้วยยางอย่างดีเริ่มราแรงเหลือแต่ลูกตุ้มเหล็กหนามแหลมหนักๆ แต่มันก็ยังสามารถปลิดชีวิตศัตรูไปได้อีกเยอะ ตั้งแต่ปรากฏตัวจนกระทั่งฝ่าลงล้อมเข้ามา ชายชุดดำสามารถกำจัดศัตรูของจูเลียนไปได้ไม่น้อย ตอนนี้จุดหมายของชายปริศนาคือเข้าหายุวกษัตริย์ ที่อยู่ท่ามกลางการอารักขาของอัศวินและทหารที่เหลือ

“เดี๋ยว เจ้าเป็นใคร” ราเชลขวางไว้ด้วยดาบของเขา ก่อนที่ชายชุดดำจะเข้าถึงตัวจูเลียน คนชุดดำบนหลังม้าไม่ตอบแต่มือยังช่วยตวัดดาบฟาดฟันศัตรู ที่ถึงแม้ว่าจะเห็นอยู่ว่ามาช่วยแต่ราเชลกันเฮนริชก็ไม่ได้วางใจ จนกระทั่งผ้าคลุมหน้าของชายปริศนาหลุดออก

“ท่านโรฮานส์!” ลีโอที่เห็นหน้าฮานส์ก่อนใครเรียกขึ้นอย่างดีใจ ที่เห็นว่าคนมาช่วยหาใช่ใครอื่นไม่ แต่เป็นคนที่ลีโอให้ความชื่นชมและพูดถึงอยู่บ่อยๆ นั่นเอง

“จูเลียนมาทางนี้” ฮานส์เรียกจูเลียนที่กำลังงงและสงสัยว่าเขามาได้อย่างไร แต่ราเชลเข้ามาขวางไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวเจ้าจะพาจูเลียนไปไหนไม่ได้”

“ราเชลไม่เป็นไร” มีเพียงเฮนริชที่ได้คุยกับเลนนี่และรู้ว่าฮานส์มาช่วย เขาไม่ได้บอกราเชลเพราะไม่เชื่อว่าฮานส์จะมาจริง

“รีบหนีไป พวกมันกำลังมาอีกเยอะ” ฮานส์พูดขึ้นเป็นประโยคแรกตั้งแต่เข้ามา ชายหนุ่มประกบจูเลียนไม่ห่าง ราเชลไม่มีเวลามากกว่านี้อีกแล้ว เพราะต้องสู้ไปด้วยคุยไปด้วย และยังมีพวกมันวิ่งออกมาจากชายป่าอีกเรื่อยๆ เกิดความชุลมุนวุ่นวายอีกครั้ง ฮานส์คว้าสายบังเหียนม้าของจูเลียนมาจับไว้แน่นด้วยมือข้างที่ถือสายบังเหียนม้าของตัวเอง เขาเก็บโซ่เหล็กเปลี่ยนมาใช้ดาบเล่มใหญ่แทน สู้พลางดึงม้าจูเลียนมาด้วยกัน จนฝ่าวงล้อมออกไปได้

ฮานส์พาจูเลียนขี่ม้าข้ามสะพานไปได้แล้ว แม้จะมีคนของศัตรูตามมาแต่ก็สามารถฆ่าทิ้งได้หมด ม้าของจูเลียนดูเหมือนจะว่าง่ายเมื่อฮานส์เป็นผู้ควบคุม จนในที่สุดชายชุดดำก็จัดการกับศัตรูที่ตามมาได้หมด พาจูเลียนขี่ม้าหายไปในป่าท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักแทบมองไม่เห็นทาง

“ฮานส์! “

“เขาจะพาจูเลียนไหน”

“รีบตามไปเร็ว”

“เซอร์เฮนริชขึ้นมา” ลีโอขี่ม้ามารับเฮนริชแล้วทั้งสองก็ควบม้าข้ามสะพานไปตามทางที่ฮานส์พาจูเลียนไป ราเชลสู้พลางถอยพลางตะโกนบอกทหารให้ถอยด้วย

“ตามข้ามา” เราเชลบอกกรอสเซ่ที่กำลังงงแต่ไม่ได้สนใจรอว่ากวีหนุ่มจะตามมาหรือไม่ เพราะควบม้าตามเฮนริชกับลีโอไปอีกคน ทิ้งศัตรูและซากศพไว้เบื้องหลังกับหิมะที่ถูกย้อมด้วยเลือดจนเป็นสีแดง

************************

ตอนนี้ ไม่มันเหมือนอย่างที่คิดไว้เลย ฉากโจมตี ประเดี๋ยวค่อยรีไรท์ใหม่ละกัน อย่าว่าเค้าเน้อ 

ใคร #ทีมลีโอเด็กขี้เซา ขอเสียงๆๆๆ

55555
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 13 หิมะสีเลือด 9/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Sky ที่ 10-12-2018 09:13:07
 :fire:  :fire:  NC ไฟรุกมากรอตอนต่อไปรัวๆๆๆๆ
มาต่อยาวๆคู่รองยังขนาดนี้คู่กลักจะขนาดไหน
รักเรื่องนี้นะฮ้าาาาาา
 :impress2:  :man1:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 14 โรฮานส์ผู้ใจร้าย 11/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 11-12-2018 21:35:24



เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 14 โรฮานส์ผู้ใจร้าย



“ลอร์ดนิโคล” นิโคลหันไปทางต้นเสียงพบว่าเป็นทหารคนสนิทของเขาเอง จึงหันกลับมาพยักหน้าให้อานาสตาเซียที่กำลังยืนคุยปรึกษากันอยู่เล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาต แล้วเดินออกไปหาคนสนิท ที่ขยับเข้ามากระซิบบอกอะไรบางอย่างข้างหู ทำให้นิโคลหน้าเครียดขึ้นมาทันที กระซิบสั่งงานอะไรบางอย่างแล้วเดินกลับมาหาอานาสตาเซีย

ท่าทางของลอร์ดหนุ่มดูเครียดไปจนผิดตา “ท่านหญิง”

“มีอะไรหรือลอร์ดนิโคล”

“ข้ามีเรื่องด่วนต้องกลับออสเซนเทียวันนี้” สายตาของนิโคลจริงจังรับกับน้ำเสียงเข้มๆ ทำให้รอยยิ้มของอานาสตาเซียค่อยๆ จางลง

“มันด่วนมากจนท่านต้องทิ้งงานแต่งงานของเราไปเลยหรือไง”

“ใช่”

“แต่ลอร์ดนิโคล พรุ่งนี้เราจะแต่งงานกันแล้วนะ”

นิโคลเหมือนจะแสยะยิ้มทั้งที่พยายามข่มความร้อนใจ ทำสีหน้าให้ดูนิ่งเหมือนไม่มีเรื่องให้กังวล “อภัยด้วย แต่เราคงต้องเลื่อนงานออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด”

“ทำไมล่ะ”

“ข้ามีเรื่องด่วนต้องกลับไปทำ“

“เรื่องด่วนของท่านมันเรื่องอะไรกัน ถึงขนาดต้องเลื่อนงานแต่ง แค่เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวออสเซนเทียยังดูถูกสวาเนียร์ไม่พอหรือไง” ถึงอานาสตาเซียจะไม่ยินดีกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่นางก็ยังไม่ลืมศักดิ์ศรีของตัวเอง

“ข้าจะรีบกลับมาทันทีที่จัดการเรื่องทางนั้นเสร็จ “

“หึ..”

“ข้าต้องเดินทางเดี๋ยวนี้ท่านหญิง แล้วเจอกัน”

“ลอร์ดนิโคล!” นิโคลเดินเร็วๆ ออกไปแล้ว ทิ้งให้อานาสตาเซียยืนหงุดหงิดไม่พอใจอยู่คนเดียว มันดีที่งานแต่งเลื่อนออกไปเพราะนางก็ไม่ได้อยากแต่งกับเขา แต่การเลื่อนงานแต่งงานโดยไม่มีกำหนด ทั้งที่ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว เท่ากับว่านิโคลกำลังดูถูกนาง ดูถูกประเทศของนาง ไม่รู้ว่าจะกลับมาแต่งเมื่อไหร่ เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวว่าแย่แล้วยังจะมาเลื่อนงานแต่งนั้นแย่ยิ่งกว่า กำหนดการก็ประกาศออกไปจนรู้กันทั่ว อะไรก็จัดเตรียมไว้หมด ถึงจะไม่มีใจและไม่เต็มใจแต่ง แต่เรื่องนี้ก็ทำให้อานาสตาเซียรู้สึกโกรธ เพราะนี่มันคือการหักหน้ากันชัดๆ

“เกิดอะไรขึ้นอานาสตาเซีย” คลาอัสวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา เพราะได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของอานาสตาเซีย

“คลาอัสพรุ่งนี้ข้าไม่ต้องแต่งกับลอร์ดนิโคลแล้ว”

“ทำไมล่ะเกิดอะไรขึ้น”

“เขาไม่แต่งกับข้าเอง” ทั้งพูดทั้งกัดฟันแววตาหรือก็แข็งกร้าวจนน่ากลัว

“แล้วทำไมยังทำหน้าไม่พอใจอยู่อีก หรือท่านเสียดาย” นายทหารหนุ่มถามลองเชิง เพราะสีหน้าของอานาสตาเซียดูไม่พอใจอยู่มาก มือทั้งสองข้างยังกำแน่นราวกับเคียดแค้นให้ลอร์ดว่าที่เจ้าบ่าวจนอยากฆ่าให้ตาย!

ดูเหมือนว่านางจะระงับโทสะได้แล้ว ความตึงเครียดรอบตัวจึงคลายลง “ข้าไม่ได้เสียดายหรอก”

“ตกลงว่าจะไม่มีงานแต่งงานเกิดขึ้นใช่ไหมท่านหญิงของข้า” คลาอัสขยับเข้าใกล้รวบเอวบางของอานาสตาเซียเข้ามาในอ้อมแขน ยามร่างกายชายหญิงแนบชิดเหมือนก่อเกิดประจุเร่าร้อนขึ้นทันที

อานาสตาเซียแหงนเงยใบหน้าเพื่อสบตาเขาด้วยแววตาร้อนแรงปรารถนา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับใบหน้าสวยหวานของนางอย่างคนที่รู้กัน “แค่เลื่อนไปแบบไม่มีกำหนด”

“แบบนี้ก็หมายความว่าอาจจะไม่มีงานแต่งระหว่างท่านกับลอร์ดนิโคลใช่ไหม” นายทหารหนุ่มบอกเสียงพร่า ก้มลงซุกไซ้ไปตามซอกคอหอม ปากพูดไปเรื่อยสลับกับการพรมจูบไปทั่วอย่างห้ามอารมณ์และความต้องการของตัวเองไม่อยู่

“ก็ไม่แน่หรอก แต่ที่แน่ๆ งานแต่งจะไม่ถูกจัดขึ้นเร็วๆ นี้แน่นอน อ๊ะ คลาอัสใจเย็นๆ สิ ที่นี่มัน”

“แล้วยังไงต่อหรือท่านหญิง”

“ลอร์ดนิโคลอื้อ กลับออสเซนเทียไปแล้ว” นางบอกเสียงกระเส่า ร่างกายนอกจากถูกแทะเล็มด้วยริมฝีปากสากเคราแล้ว มือใหญ่กร้านของนายทหารหนุ่ม ยังบีบเคล้นไปทั่วทุกที่ที่มันไปถึงได้ จนอานาสตาเซียเจ็บปนซ่าน ร่างกายถูกปลุกเร้าเริ่มตอบสนอง

“ท่านยังเป็นของข้าคนเดียวอยู่ใช่ไหมท่านหญิง” เขาผละออกมองนางด้วยดวงตาหวานฉ่ำ รอยยิ้มมุมปากยกขึ้นจนกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นสายตาที่มองตอบกลับมา เต็มไปด้วยความปรารถนาเหมือนเปลวไฟลุกโชน

“แน่นอนไม่ว่าจะแต่งกับใครใจข้ามีแค่เจ้าคนเดียว” คลาอัสตอบแทนความรักความภักดีของนาง ด้วยการกระชากร่างอรชรเข้ามาจูบปากอย่างร้อนแรง ทั้งสองแลกจูบดูดดื่มราวกับฉลองการได้ปลดเปลื้องพันธะทิ้ง



จูบแลกจูบระหว่างเจ้าหญิงกับทหารองครักษ์หนุ่ม ช่างร้อนแรงจนเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ไม่ได้สนใจว่าสถานที่แห่งนี้เป็นห้องโถงใหญ่ ที่นางเพิ่งจะพูดคุยปรึกษากับว่าที่เจ้าบ่าวเรื่องงานแต่ง ตอนนี้ว่าที่เจ้าบ่าวไม่อยู่ และงานแต่งถูกเลื่อนออกไปแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าอาจจะไม่มีงานแต่งเกิดขึ้น ยามได้อยู่กับชายที่รักเป็นชายคนเดียวที่ต้องการ นางจึงไม่ยอมพลาดโอกาสแสดงความรักที่มีต่อกัน ทั้งสองแลกจูบดูดดื่มไม่สนใจสถานที่และสิ่งรอบกาย จูบแลกจูบมือปัดป่ายเพื่อปลดเปลื้องอาภรณ์ สองร่างกอดรัดฟัดเหวี่ยงพลางขยับเข้ามุมลับตา

“นี่มันอะไรกัน! “ชายหญิงที่กำลังนัวเนียผละออกจากกันแทบไม่ทัน อานาสตาเซียจำเสียงได้นางจึงตกใจจนตาโต ค่อยๆ หันกลับมาทางต้นเสียงทำหน้าไม่ถูก

“ลอเรน! “

“พวกเจ้า..” แม้จะรู้เห็นถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองอยู่ก่อนแล้ว แต่มันก็ช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับลอร์ดลอเรน ที่จะทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา นางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขา และจะแต่งงานอยู่พรุ่งนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่ละเว้นที่จะแสดงความรักต่อชายอื่น หนำซ้ำยังไม่ระวังตัว ที่นี่เป็นห้องโถงกลางเป็นท้องพระโรงสำหรับจัดงานแต่ง ที่ใครอาจจะเข้ามาได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะว่าที่เจ้าบ่าวของนาง

“ทำไมเจ้าถึงได้ทำตัวไร้เกียรติอย่างนี้อานาสตาเซีย”

“พี่อย่าทำเป็นดุไปหน่อยเลยน่า” อานาสตาเซียบอกหน้าตาเฉย ยิ่งทำให้ลอเรนไม่พอใจนาง และนึกเห็นใจลอร์ดหนุ่มว่าที่เจ้าบ่าว ลอเรนเจ็บปวดแทนเขา มันเป็นความเจ็บที่ไม่สามารถระบายหรือพูดกับใครได้

“พอสักทีเถอะอานาสตาเซีย เจ้าต้องพอได้แล้ว” ลอเรนบอกน้องสาวเสียงอ่อนราวกับเหนื่อยล้า ดวงตาสีฟ้ากระจ่างสั่นไหวช่วงขอบตาสีขาวเริ่มแดงก่ำ คิดถึงหลายครั้งต่อหลายครั้งที่เห็นทั้งสองแสดงความรักลึกซึ้งที่ไม่สมควร ทำมันทุกครั้งหากมีโอกาส โดยไม่สนใจว่าจะมีใครผ่านมาเห็น และเป็นลอเรนเองที่เห็นมาหลายครั้งหลายครา แต่ไม่เคยพูดหรือบอกอะไร เป็นลอเรนเองที่ผิดเพราะไม่เอ่ยปากเตือนและครั้งนี้มันเกินไป “ข้าว่าเจ้าควรจะอยู่ห่างๆ นางไว้นะคลาอัส”

“ลอเรน” อานาสตาเซียพยายามจะประท้วง แต่สีหน้าของลอเรนเด็ดขาดจนนางไม่กล้าพูดต่อ จึงได้แต่ยืนเงียบขบกรามแน่นอย่างระงับอารมณ์ไม่ให้หงุดหงิดใส่พี่ชาย ที่เอาแต่สั่งให้นางทำนั่นทำนี่ โดยอ้างว่าเป็นหน้าที่ทั้งที่นางไม่เต็มใจ

“พรุ่งนี้เจ้าจะแต่งงานกับชายอีกคนนะอานาสตาเซีย ไม่ให้เกียรติว่าที่เจ้าบ่าวของเจ้าก็ควรจะให้เกียรติตัวเองด้วย” ลอเรนไม่รู้ว่าสายตาของเขาที่กำลังจ้องมองน้องสาว มันดูเจ็บปวดมากแค่ไหน เพราะในใจคิดถึงแต่ใครอีกคนที่คงจะคิดแค้นไม่น้อย หากได้รู้ว่าเจ้าสาวทำตัวไม่คู่ควร

“ลอเรน!” อานาสตาเซียตะคอกเรียกพี่ชายเสียงดังอย่างไม่พอใจ สุดท้ายนางก็หลุดโทสะออกมาจนได้ ปกติอานาสตาเซียไม่ค่อยมีปากมีเสียง เพราะลอเรนเองก็ไม่ได้ใส่อารมณ์หรือดุด่านางขนาดนี้มาก่อน นอกจากพูดนิ่มๆ นิ่งๆ ตามแบบของเจ้าชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยความเป็นผู้ดี จนอานาสตาเซียได้แต่เก็บความคับข้องใจ และความอึดอัดไว้ในอก หาทางระบายออกโดยการขัดคำสั่งพี่ชายลับหลังให้ตัวเองสะใจเล่น

“ข้าไม่ได้อยากแต่งกับลอร์ดนิโคลสักหน่อย พี่ก็รู้”

“ยังไงเจ้าก็ปฏิเสธหน้าที่นี้ไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยนะ” ลอเรนเห็นใจน้องสาว แต่ก็ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศก่อน

“แล้วพี่ทำไมไม่แต่งเสียเองล่ะลอเรน” อานาสตาเซียสวนกลับทันทีจนลอเรนได้แต่เม้มปากแน่น นางแสดงความเอาแต่ใจตัวเองออกมาด้วยการยอกย้อน ทั้งที่ตอนแรกไม่คัดค้านปฏิเสธ

ลอเรนหลับตาลงถอนหายใจออกมาหนักๆ เป็นการระบาย “เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับงานแต่งพรุ่งนี้ด้วย”

“พรุ่งนี้ไม่มีงานแต่งหรอกเพราะไม่มีเจ้าบ่าว” เห็นพี่ชายหันมาขมวดคิ้วมองด้วยความฉงน อานาสตาเซียก็ยิ้มเยาะให้ราวกับว่าลอเรนเป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักอย่าง

“หมายความว่ายังไง”

“ลอร์ดนิโคลขอเลื่อนงานแต่งออกไปไม่มีกำหนด”

“ไม่จริงเป็นไปไม่ได้ เจ้าทำอะไรให้ลอร์ดนิโคลไม่พอใจ” ลอเรนมองหน้าน้องสาวแล้วตวัดสายตาไปมองคลาอัสที่ยืนอยู่ข้างๆ อนาสตาเซียเห็นแบบนั้นก็รีบเอาตัวเองเข้าไปบังร่างนายทหารหนุ่มทันที

“เรื่องนี้คลาอัสไม่เกี่ยว”

“แล้วทำไมลอร์ดนิโคลถึงได้เลื่อนงานแต่ง หรือว่าเขารู้..” อนาสตาเซียยักไหล่แทนการบอกว่านางไม่ได้สนใจ หากนิโคลจะรู้หรือไม่รู้เรื่องของนาง ลอเรนไม่อยากเชื่อสิ่งที่อานาสตาเซียบอก แต่ท่าทางที่ดูมั่นใจและจริงจังบอกได้เป็นอย่างดี ว่านางไม่ได้โกหก และทางเดียวที่เขาจะมั่นใจได้ ทางเดียวที่จะรู้ถึงสาเหตุแท้จริงของการเลื่อนงานแต่ง คือต้องไปถามเอากับนิโคลด้วยตัวเอง

“เดี๋ยวลอเรน นั่นพี่จะไปไหน”

“ข้าจะไปถามลอร์ดนิโคล”

“เขาเป็นคนอยากไปเองนะลอเรน พี่ไม่ต้องถามไปหรอก แบบนี้มันดีแล้ว”

“นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะอานาสตาเซีย มันเป็นเรื่องของบ้านเมืองเจ้าอย่าคิดอะไรตื้นๆ “ลอเรนทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกไปไม่หันหลังกลับ ไม่สนใจแล้วว่านางจะพลอดรักพร่ำเพรื่อกับชู้รักที่ไหน เพราะนอกจากห่วงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่อาจจะสั่นคลอนแล้ว ใจลึกๆ ของลอเรนก็อดที่จะห่วงความรู้สึกของนิโคลไม่ได้ หากเขารู้เรื่องที่อานาสตาเซียทำลงไป เขารู้เขาจะโกรธเกลียดหรือเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้ หรือคิดอย่างไรลอเรนเดาไม่ถูกเลย

“นิโคล” ลอเรนวิ่งเขามาในส่วนรับรอง เห็นคนรับใช้ที่ส่งมาดูแลจึงปรี่เข้าไปถาม “ลอร์ดออสเซนเทียไปไหน นิโคลเขาไปไหนเจ้าเห็นเขาไหม”

“นายท่านข้าได้ยินว่าลอร์ดนิโคลจะกลับออสเซนเทีย ตอนนี้คงน่าจะออกเดินทางแล้ว”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้ายังไม่เห็นลอร์ดนิโคลที่นี่ ถ้าท่านลงไปที่คอกม้าน่าจะทัน”

“ขอบใจ” ลอเรนบอกขอบใจคนรับใช้ที่ยืนตัวสั่นโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้า รีบวิ่งลงจากปราสาทที่กว้างใหญ่กินพื้นที่ของเนินเขาทั้งลูก ลงไปยังคอกม้าส่วนที่จัดไว้สำหรับม้าของแขกจากออสเซนเทียทันที



ตั้งแต่เกิดมาลอเรนก็อาศัยอยู่ในปราสาทแห่งนี้แล้ว แต่ละวันหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจและการเรียน เจ้าชายน้อยจะแอบออกจากเขตพระราชฐานวิ่งเล่นลัดเลาะไปทั่ว จนรู้จักทุกซอกทุกมุมของปราสาทเป็นอย่างดี แต่วันนี้ที่ต้องวิ่งไปให้ทันใครบางคน ลอเรนเพิ่งจะคิดได้และถามตัวเอง ว่าทำไมปราสาทแห่งนี้มันถึงได้กว้างใหญ่กว่าที่เคยเห็นนัก แต่แม้จะต้องวิ่งจนเหนื่อยและหอบ ไปตามตามเส้นทางที่พาลัดเลาะลงสู่จุดหมาย ร่างสูงเพรียวก็แทบไม่ได้หยุดพักเลย นอกจากตอนหยุดเพื่อมองหาทางลัด ที่จะพาไปถึงคอกม้าให้เร็วที่สุด บางช่วงลอเรนต้องกระโดดลงจากบันไดทีล่ะสามขั้นเพื่อให้ทันใจตัวเอง จนในที่สุดก็ลงมาถึงชั้นแรกด้านหลังของตัวปราสาท มองเห็นคอกม้าอยู่ตรงหน้า



ลอเรนยังมีอาการหอบและเหนื่อยอยู่มาก แต่ก็รีบสาวเท้าเข้าไปหาทหารของออสเซนเทียนายหนึ่ง ที่กำลังดูแลให้น้ำให้อาหารม้าอยู่ในคอก

“เจ้าเห็นลอร์ดนิโคลไหม” คนดูแลม้าหันกลับมาพร้อมสีหน้างงงวย ด้วยว่าอยู่แต่กับม้าและเป็นเพียงทหารระดับล่างสุด จึงไม่ได้รู้ความเป็นมาเป็นไปของเจ้านาย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่ถามเป็นใคร ทำไมถึงได้มาถามหาเจ้านายของเขา แต่ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างดีที่สามใส่ คงเป็นคนสำคัญพอสมควร

“ข้า ข้ายังไม่เห็นลอร์ดนิโคลมาที่นี่เลยนายท่าน” ได้คำตอบไม่เป็นที่น่าพอใจทำให้ลอเรนกระวนกระวายใจกว่าเก่า ผละจากทหารดูแลม้ากวาดตามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครที่มีท่าทางเหมือนลอร์ดแห่งออสเซนเทียคนนั้นสักคน



เพียงก้าวไปตามทางแคบในคอกม้าได้ไม่กี่ก้าว ลอเรนเริ่มรู้สึกเหมือนขาทั้งสองข้างอ่อนแรงเพราะความล้า การเร่งวิ่งมาให้ทันใจตัวเองไม่เป็นผลดีนัก สำหรับคนที่อยู่แต่กับตำราและการว่าราชการไม่ค่อยออกกำลัง ตอนนี้ขาทั้งสองข้างเริ่มแสดงความล้าแทบยืนไม่อยู่ ทั้งเหนื่อยกับอะไรต่างๆ ที่รุมเร้าในอก รู้สึกก้าวได้ไม่มั่นคงจึงจับราวกั้นคอกไว้แน่น ลมหายใจยังหอบเพราะความเหนื่อยแทบไม่มีแรงก้าวขาต่อ และลอเรนคงทรุดลงพื้นอย่างน่าอายไปแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มหูกระซิบอยู่ใกล้ๆ พร้อมช่วงเอวที่ถูกรวบกอด

“มาทำอะไรที่นี่”

ลอเรนรีบหันหลังกลับไปทางต้นเสียทันที แล้วก็ต้องนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น “ลอร์ดนิโคล! “

“มาหาข้าหรือกวางน้อย” เนตรสีฟ้ากระจ่างกับพักตร์ขาวนวลที่ตื่นตระหนก ทำให้นิโคลคิดถึงกวางตัวน้อยๆ ยามสะดุ้งตกใจแล้วยืนนิ่งค้างตาเบิกโต เพราะนั่นคือสีหน้าของลอเรนตอนนี้เลย

“ท่าน ลอร์ดนิโคล ท่านจริงๆ ด้วย” ลอเรนกวาดตาสำรวจไปทั่วใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาของคนที่คิดว่าออกเดินทางทิ้งกันไปแล้วอย่างไม่เชื่อสายตา แต่พออ้อมแขนที่ยังโอบรัดรอบตัวเพิ่มแรงกอดมากขึ้น ถึงมั่นใจได้ว่าตรงหน้าคือมนุษย์มีเลือดเนื้อที่กำลังตามหาจริงๆ

“ใช่สิทำไมจะไม่ใช่ข้าล่ะ”

“ข้า เอ่อ” พยายามดันตัวออกจากอ้อมกอด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของอ้อมกอดจะไม่อนุญาต กวางน้อยจึงถูกรัดรั้งเข้ามาเสียจนลำตัวแนบชิดกัน ลอเรนใจเต้นแรง “ข้าได้ยินมาว่าท่านจะกลับออสเซนเทียลอร์ดนิโคล”

“ข่าวเร็วจัง”

“อานาสตาเซียบอกว่าท่านยกเลิกงานแต่งงาน”

“ข้าไม่ได้ยกเลิก แค่เลื่อนวันงานออกไป”

“ไม่มีกำหนด!” ลอเรนต่อให้อย่างที่ใจกำลังเป็นห่วง ทำไมทั้งอานาสตาเซียและนิโคลยังทำสีหน้าเรียบเฉยอยู่ได้ ทั้งที่การเลื่อนงานแต่งก่อนวันงานเพียงวันเดียวไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย

“ใช่ ข้ามีเรื่องด่วนและคงต้องรีบไปแล้ว”

“ไม่นะท่าน เอ่อ..ปล่อยข้าก่อนสิ” ลอเรนเพิ่งรู้สึกตัวหลังจากที่เผลอปล่อยให้อีกคนโอบกอดอยู่ตั้งนานสองนาน เรื่องด่วนเรื่องร้อนใจทำให้ลอร์ดหนุ่มแห่งสวาเนียร์ร้อนรนไปหมด ทั้งในใจที่ยังห่วงแต่ความรู้สึกของคนตรงหน้า ทั้งความสับสนของตัวเอง ลอเรนเหมือนบ้าที่ไม่รู้จะทำตัววางตัวอย่างไรดี

“ทำไมล่ะลอเรน” นิโคลจับไหล่ทั้งสองข้างของลอเรนดันออกเพื่อดูหน้าชัดๆ “เจ้าเป็นอะไรไป”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

“ถ้าไม่มีจริงๆ เจ้าคงไม่วิ่งหน้าตั้งตามหาข้าอย่างนี้หรอก” สายตาคมที่มีแววของความอ่อนโยนจ้องมองพักตร์ขาวราวน้ำนมเหมือนรู้ทัน แต่นิโคลก็ยังคงเป็นนิโคลคนเดิมที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเอง และเขามักจะคิดถูกเสมอถ้าเกี่ยวกับลอเรน “หรือเจ้าไม่อยากให้ข้าไป”

ลอเรนส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน จนเส้นผมยาวสีเงินยวงปลิวกระจาย ถึงนิโคลจะเดาถูกแต่ก็เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น “ไม่ๆ ข้าเพียงแต่กลัวว่าทานจะยกเลิกการแต่งงานจริงๆ “

“เจ้าห่วงผลประโยชน์ของบ้านเมืองมากกว่าตัวเองก่อนตลอด”

“มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วนี่” ลอเรนเงยหน้าขึ้นมองนิโคล แววตาอาวรณ์เจ็บปวดสะท้อนออกมาอย่างเปิดเผยจนคนมองหัวใจกระตุก แต่กระนั้นลอเรนก็ยังไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง

“ที่วิ่งตามข้ามานี่เพราะอะไร เพราะแค่ห่วงบ้านเมืองใช่ไหมลอเรน!” นิโคลบอกพลางปล่อยต้นแขนทั้งสองข้างของลอเรน คนถูกปล่อยรู้สึกได้ถึงแรงผลักออกเบาๆ เล่นเอาใจเสียไม่น้อย เพราะนิโคลไม่เคยทำแบบนี้กับลอเรนมาก่อน

“ข้า..”

“เจ้าไม่ได้ร้อนใจที่ข้าจะจากไปสักนิด” หากลอเรนเงยหน้าขึ้นมองนิโคลจะเห็นว่าแววตาของลอร์ดแห่งออสเซนเทียเปลี่ยนไปจนดูแข็งกร้าว

ลอเรนก้มหน้าหลบตาพยายามหาคำตอบ แต่ก็พูดออกมาได้เพียงเสียงแผ่วๆ “ข้า...”

“เจ้ากลัวบ้านเมืองเสียผลประโยชน์ แต่ความรู้สึกของเจ้าจะเป็นยังไงก็ช่างใช่ไหม” เป็นเรื่องจริงที่ลอเรนจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของบ้านเมือง ก่อนความรู้สึกของตัวเอง หากนิโคลแต่งงานกับอานาสตาเซีย ต่อไปก็ต้องมีทายาท ซึ่งนั่นมันจะเป็นหลักประกันที่มั่นคงที่สุด สำหรับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ส่วนความรู้สึกของตัวเอง ลอเรนต้องมองข้ามมันไปอย่างเจ็บปวด

“ลอร์ดนิโคล” ลอเรนหันหน้าไปมองทางอื่นที่ไม่มีใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา กับแววตานิ่งๆ แต่เห็นแล้วรู้สึกเหมือนถูกมีดกรีด ปากที่เม้มแน่นคลายออกก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ทำไมท่านพูดแบบนั้น”

“ถ้าเจ้าไม่ได้วิ่งมาเพราะห่วงข้าก็จงกลับไปเถอะ ข้ามีภารกิจด่วนต้องรีบเดินทางเดี๋ยวนี้ คงอยู่คุยกับเจ้าไม่ได้หรอก” นิโคลหันหลังกำลังจะเดินออกไปจากคอกม้า เพราะทหารคนสนิทเตรียมการเดินทางรออยู่ข้างนอก ตอนแรกลอร์ดหนุ่มกำลังจะขึ้นม้าควบกลับออสเซนเทียแล้วด้วยซ้ำ หากไม่มีทหารดูแลม้าวิ่งเข้ามาขวาง และบอกว่ามีคนมาถามหา

“ท่านจะกลับออสเซนเทียจริงๆ หรือ มีเรื่องอะไรให้ต้องรีบกลับ พอจะบอกข้าได้ไหม”

“ที่ถามนี่เพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง หรือถามเพราะอะไรล่ะ”

“ข้า..”

“ว่า..” แค่สักคำที่นิโคลอยากได้ยิน แต่ดูเหมือนว่าลอเรนจะไม่ยอมพูดถึง แค่เพียงคำเดียวหากลอเรนจะพูดมันออกมาจากความรู้สึกของตัวเองจริงๆ นิโคลพร้อมจะใช้อำนาจทั้งหมดที่อยู่ในมือทำให้ลอเรนมีความสุข สายตาอาวรณ์ปนห่วงใยโหยหา แต่ปากกลับพูดแต่เรื่องที่เขาไม่อยากจะฟัง

“..” ลอเรนยังเงียบยืนเม้มปากแน่น ไม่ยอมพูดในสิ่งที่ควรจะพูด นิโคลได้แต่ถอนหายใจหนักๆ แทนการระบาย

“เสร็จเรื่องทางนั้นข้าจะกลับมาแต่งกับอานาสตาเซียอย่างที่เจ้าต้องการ” ทั้งที่อยากให้เป็นแบบนั้นแต่ทำไมได้ยินแล้ว ลอเรนกลับไม่ดีใจสักนิด “หวังว่าตอนข้ากลับมานางคงจะ..” นิโคลหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้นรอดูลอเรนจะว่าอย่างไร และก็เป็นไปดังคาด ลอร์ดแห่งสวาเนียร์คิดไปไกลแสดงออกมาผ่านท่าทางตกใจ จนนิโคลแทบจะหลุดขำ หากไม่มีเรื่องกังวลใจรออยู่ เขาคงยิ้มออกมาได้บ้าง แต่กระนั้นมุมปากหยักก็ยกขึ้นมาเล็กน้อย ในความหนักอึ้ง ในความกังวล ยังดีที่มีเรื่องให้ผ่อนคลายบ้าง

“นางจะ อะไร ท่านหมายความว่ายังไง”

“ไม่มีอะไรหรอก ข้าต้องไปแล้ว”

“ท่าน เอ่อ..”

“หือ ข้าทำไม”

“ดูแลตัวเองด้วย” ลอเรนก้มหน้าบอกเบาๆ มือที่ประสานกันบีบแน่นอย่างประหม่า คนฟังที่เดินกลับมาหาได้ยินพอดี รอยยิ้มอบอุ่นเผยขึ้นมาบนใบหน้า ยามก้มลงกระซิบถามชิดใกล้จนได้กลิ่นนวลเนื้อหอมละมุน

“เจ้าห่วงข้าใช่ไหม”

“ข้า..!!” ลอเรนแทบผงะ

“ข้าดีใจนะ ที่อย่างน้อยเจ้าก็ยังห่วงข้า”

“ข้าไม่ได้พูดว่าเป็นห่วงท่านสักหน่อย”

“จริงเหรอ ที่พูดว่าให้ข้าดูแลตัวเองคนละความหมายสินะ อภัยด้วยที่ข้าแปลผิด” ลอเรนเม้มปากหลบสายตาอีกแล้ว เป็นปฏิกิริยาที่มักจะทำยามคิดหนักกังวล หรือตัดสินใจอะไรไม่ได้รวมทั้งเวลาเขินอายด้วยนิโคลรู้ดี “ใช่สินะ ถ้าเจ้าเป็นห่วงข้าจริงๆ คงบอกในสิ่งที่ข้าควรรู้แล้ว”

“ลอร์ดนิโคล “ลอเรนเรียกเสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง เพราะกำลังคิดหนักกับคำพูดของนิโคล แบบนี้มันจะหมายความอย่างไรได้นอกจาก...

“ท่าน...อื้อออ!! “พอลอเรนตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมาถามเรื่องที่คาใจ ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับนิโคลก้มลงมาประกบปากจูบอย่างดูดดื่มลึกซึ้งด้วยอดใจไม่ไหว เพราะไม่มีเวลามากไปกว่านี้แล้ว นายทหารคนสนิทจะเข้ามาเรียกก็ได้แต่โบกมือตอบ ลอเรนเอาแต่ก้มหน้าเลยไม่เห็น

“ข้าต้องไปจริงๆ แล้ว จูเลียนกับทาร์เทียน่ารออยู่ พวกเขากำลังต้องการข้า” นิโคลบอกได้เท่านี้

“นิโคล..” ลอเรนพูดไม่ออกเลยได้แต่แหงนมองพักตร์เกลี้ยงเกลาอยู่อย่างนั้น รู้สึกได้ถึงความอุ่นที่ประทับลงกลางหน้าผากเลยเผลอหลับตามซึมซับไว้อก หูได้ยินเสียงบอกเบาๆ ที่ดังไปถึงหัวใจ

“ทบทวนความรู้สึกของเจ้าให้ดี แล้วข้าจะกลับมาเอาคำตอบ”



**********************



อาชาพ่วงพีแข็งแรงสองตัวยังวิ่งฝ่าพายุหิมะที่ตกลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาจนแทบมองไม่เห็นทาง แต่กระนั้นมันยังวิ่งไปข้างหน้า ราวกับว่าหิมะที่ตกหนักไม่ได้เป็นอุปสรรค ราวกับว่าอากาศที่หนาวเหน็บเย็นจับใจไม่ใช่ปัญหา ราวกับว่ามันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผ่านเนินเขาผ่านป่ามาจนจำไม่ได้ ว่าพาเจ้านายมาไกลแค่ไหน จนคิดว่าหลุดจากการถูกไล่ล่าแล้วนั่นล่ะ ชายชุดดำผู้บังคับควบคุมม้าทั้งสองตัวจึงได้ลดความเร็วลง ให้มันเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน

“ที่นี่ไหน” จูเลียนเงยหน้าขึ้นถามทันทีที่รู้สึกว่าม้าวิ่งช้าลงจนตอนนี้เดินเอื่อยๆ ไปบนผืนหิมะ ซึ่งก่อนที่ฤดูหนาวสุดหฤโหดและพายุหิมะจะมาเยือน บริเวณนี้น่าจะเป็นบึงขนาดใหญ่ รอบตัวมีแต่หิมะขาวโพลนไปหมด ส่วนที่เห็นว่าเป็นป่า ต้นไม้ถูกคลุมด้วยหิมะเป็นก้อนสูงต่ำสลับกัน “แล้วคนอื่นๆ ไปไหนกันหมด”

ฮานส์ตวัดสายตาดุมองจูเลียน ราวกับกษัตริย์หนุ่มน้อยถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม “ใครจะไปรู้”

“เอ๊ะฮานส์ เจ้าเป็นคนพาข้ามานะ”

“แล้วเจ้ายอมมากับข้าทำไมล่ะ”

“ก็..” จูเลียนพูดไม่ออก เพราะคิดว่าทุกคนคงตามมา ตอนนั้นหิมะก็ตกหนักจนแทบมองไม่เห็นอะไร พอฝ่าวงล้อมออกมาได้ก็ตั้งหน้าตั้งตาหนีอย่างเดียว สายบังเหียนม้ายังถูกฮานส์แย่งไปถืออีก ถึงจูเลียนจะขี่ม้าเก่ง แต่ถ้าสายบังเหียนไม่ได้อยู่ในมือมันก็ต้องระวังมากกว่าเดิมอยู่แล้ว ตอนนั้นใครจะทันได้สนใจว่าใครจะตามมาบ้าง

“ถึงไม่เห็นว่ามีพวกมันตามมา ก็ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย ไปได้แล้ว” ฮานส์บอกเสียงดุ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราในหมวกคลุมหนาดูบึ้งตึง ราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง

“ไปไหน” หรืออาจจะไม่พอใจที่จูเลียนยังถามหน้าซื่อ ทั้งที่กำลังถูกตามล่าเอาชีวิต

“หนีต่อไง”

“ไปทางเหนือของหมู่บ้าน”

“ไปทำไม”

“ราเชลบอกให้ข้าไปทางเหนือของหมู่บ้าน พวกเขาจะตามไป”

“ไม่คิดว่าอัศวินของเจ้าจะหลอกให้ไปติดกับหรือไง ทางเหนือของหมู่บ้านมีพวกมันเต็มไปหมด” เพราะฮานส์เพิ่งผ่านมาจากทางนั้น เห็นกลุ่มทหารรับจ้างกระจายอยู่เต็ม

“เซอร์ราเชลไม่มีวันทรยศข้า! ”

มันก็จะหนาว ๆ หน่อย ต่อเลยค่ะ.....
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 14 โรฮานส์ผู้ใจร้าย 11/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 11-12-2018 21:36:02



“คิดว่าคนอย่างเจ้าจะเชื่อใจใครได้บ้างล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็เชื่อใจคนที่เคยปักมีดลงต่อหน้าข้าไม่ได้เหมือนกันฮานส์ เอาคืนมา” จูเลียนกระชากสายบังเหียนม้าที่อยู่ในมือฮานส์มาถือไว้เอง ไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่ชายพเนจรบอกสักนิด พอได้สิ่งที่ต้องการมาถือไว้ในมือก็บังคับม้าให้หันไปอีกทาง แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุด เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน

“หยุดทำไม ไปต่อสิอยากไปให้มันฆ่าตายก็เชิญ” ฮานส์ถามขึ้นเมื่อเห็นจูเลียนหยุดม้าและกวาดตามองฝ่าหิมะที่ยังตกไปรอบๆ พลางขี่ม้าเข้ามาใกล้จนเบียดกัน

“อยู่กับเจ้าก็ใช่ว่าข้าจะปลอดภัยฮานส์!” จูเลียนไม่ยอมอ่อนข้อ แถมยังเชิดหน้าบอกเสียงดัง

“คิดอย่างนั้นก็ดี ข้าน่าจะปล่อยให้เจ้าถูกฆ่าตายอยู่ในวงล้อมนั่นซะ”

“ใครขอให้ช่วยล่ะ”

“อย่าปากเก่ง” ฮานส์กระชากเสื้อคลุมจนร่างของกษัตริย์หนุ่มน้อยแทบปลิวติดมือ จูเลียนมองตาขวางเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ใช่เพราะฮานส์ตะคอกดุไม่ให้ปากเก่ง หากแต่เป็นเพราะชายพเนจรบอกแล้วยังเอาแต่จดจ้องสายตาคมอยู่กับริมฝีปากของจูเลียนต่างหากที่ทำให้ต้องระวังตัว หนุ่มน้อยจะเผลอเหมือนคืนที่อยู่ในสวนท่ามกลางละอองหิมะที่โปรยปรายลงมาบางๆ ไม่ได้

จูเลียนเงียบและยังนิ่งเหมือนว่าง่าย ทำให้ฮานส์ถึงกับยกยิ้ม “ดีมากไอ้หนู”

“อะไรไอ้หนู มากไปแล้วนะ” จูเลียนโวยวายแต่คนที่กำลังสนุกมีหรือจะสนใจ

“มานี่เลย”

“เฮ้ยอะไรกันนี่ฮานส์เจ้าจะทำอะไร”

“อย่าโวยวายสิวะ อยากตายหรือไง” แต่ก็ดีด้วยได้ไม่นาน พอจูเลียนโวยวายเสียงดังก็อดไม่ได้ที่จะตะคอกกลับอย่างไม่รู้ตัววันนี้เขาอารมณ์ไม่ดีไม่รู้ทำไม ตั้งแต่ที่เกือบมาช่วยจูเลียนไว้ไม่ทัน

“จะฆ่าก็ฆ่าเลย” จูเลียนกัดฟันบอก

“ถ้าจะฆ่าเจ้าทิ้ง ข้าไม่ไปช่วยให้เหนื่อยหรอกเสียเวลา แต่เสียงแว้ดๆ ของเจ้านี่สิจะเรียกพวกนั้นมา”

“แล้วทำไมต้องดึงข้ามาขี่ม้ากับเจ้าด้วย”

“มันจำเป็น” ฮานส์ตอบหน้าตาย น้ำเสียงกลับมากวนอารมณ์เหมือนเดิม เหมือนคนกำลังอารมณ์ดี

“จำเป็นยังไง”

“เงียบปาก นั่งเฉยๆ “

“ทำไมต้องนั่งให้เจ้ากอดเฉยๆ ด้วย ปล่อยนะข้าจะไปขี่ม้าของข้าเจ้าคนอวดดี “ฮานส์ไม่ได้สนใจคำประท้วง รีบควบม้าออกไปจากตรงนั้น เพราะไม่รู้ว่าศัตรูของจูเลียนจะตามมาทันเมื่อไหร่ ถึงจะหนีมาได้ไกลพอสมควรแล้ว ฮานส์ต้องแน่ใจที่สุดว่าไม่มีใครตามมาทำร้ายได้ ส่วนม้าของจูเลียนมันคงจะไปต่อได้อีกไม่ไกล เลยตัดสินใจทิ้งมันไว้ตอนนี้จะดีกว่า เดี๋ยวมันก็เอาตัวรอดได้เองตามสัญชาตญาณ



อาชาสีดำงามสง่าวิ่งฝ่าหิมะหนาราวกับมันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ด้วยถิ่นกำเนิดจากเทือกเขาสูงที่หนาวจัดตลอดทั้งปี และการฝึกหนักมาตั้งแต่เกิด ทำให้มันแข็งแกร่งและทนต่อสภาพอากาศที่ม้าพื้นเมืองพันธุ์อื่นไม่สามารถทานทนได้ แม้จะวิ่งฝ่าสภาพอากาศเลวร้ายมาพักใหญ่ มันยังวิ่งมาได้เรื่อยๆ แรงไม่ตก ทั้งที่บนหลังบรรทุกคนตั้งสองคน รอบข้างตอนนี้มีแต่หิมะขาวโพลนไปหมด พายุหิมะหยุดไปแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพากันมาไกลจากบริเวณที่มีพายุก็ไม่อาจรู้ได้ แต่สิ่งเดียวที่จูเลียนต้องการรู้มากที่สุดตอนนี้ก็คือ



“ทางนี้พาไปไหน เจ้าจะพาข้าไปไหนฮานส์” กษัตริย์หนุ่มน้อยหันมาถามอย่างเอาเรื่อง ตอนนี้จูเลียนยังนั่งอยู่ที่เดิมท่าเดิมคือบนหลังม้า ที่มีฮานส์นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังโอบวงแขนแข็งแรงรอบตัวและสองแขนของจูเลียน เพราะต้องถือสายบังเหียนบังคับม้า

“เจ้าจะถามให้มันได้อะไร นั่งเฉยๆ เป็นบ้างไหมข้ารำคาญ”

“ไม่เคยมีใครกล้าพูดกับข้าแบบนี้เลยนะ”

“หึ ถือเป็นเกียรติของข้าจริงๆ ที่ได้เป็นคนแรกของเจ้า”

“เอ๊ะ..”

“งงอะไร ข้าหมายถึงได้เป็นคนแรกที่กล้าพูดแบบนี้กับเจ้าไง ถูกไหมล่ะหึ” จูเลียนนั่งเงียบนึกเข่นเขี้ยวฮานส์ในใจ เพราะพูดอะไรออกไปก็โดนกวนอารมณ์กลับตลอด ต่างคนต่างเงียบ มองไปทางไหนก็มีแต่หิมะกับหิมะ

“เจ้ามาช่วยข้าทำไม ในเมื่อเจ้าไม่ยอมคุกเข่าสาบานเป็นอัศวินของข้า” อยู่ดีๆ จูเลียนก็นึกอย่างรู้เหตุผลว่าฮานส์ต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่วันนั้นจูเลียนสั่งให้ฮานส์คุกเข่าสาบานตนต่อหน้าแล้ว แต่อีกคนกลับปฏิเสธข้อเสนออันทรงเกียรตินี้

“ช่วยก็คือช่วย ทำไมต้องมีเหตุผล”

“ก็ข้าอยากรู้..”

“เงียบแล้วนั่งดีๆ อย่าดิ้น”

“แต่เจ้ากอดข้าแน่นเกินไปแล้วฮานส์ข้าอึดอัดนะ”

“กอดกันอุ่นจะตายหรือเจ้าไม่หนาว” รู้สึกถึงอ้อมกอดที่แน่นขึ้นหลังจากที่ฮานส์พูดจบ จูเลียนเลยเงียบ เพราะยิ่งดิ้นก็ยิ่งถูกกอดแน่นขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก มองไปยังทางข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าที่ไหนเป็นที่ไหน เพราะมีแต่หิมะขาวโพลนเต็มไปหมด ต้นสนสูงต่ำยืนต้นหนาแน่นและปกคลุมไปด้วยหิมะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่พากันขี่ม้าเดินไปนี้เป็นทางสัญจรหรือเปล่า



แดดอ่อนๆ ส่องมาจากทางทิศตะวันตก บ่งบอกว่าเวลาผ่านไปเกือบทั้งวันแล้ว แสงสีส้มสว่างที่สาดส่องแม้จะไม่สามารถช่วยไล่ความหนาวเย็นได้ แต่ก็ช่วยให้รู้สึกถึงความอบอุ่นมีชีวิตชีวาขึ้น พระอาทิตย์ที่เพิ่งหลุดพ้นออกมาจากกลุ่มเมฆหนาบอกว่ายามเย็นใกล้มาเยือน และอีกไม่นานเวลาของวันนี้จะหมดไป จูเลียนร้อนใจ เพราะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีวี่แววคนของตัวเอง เริ่มรนเริ่มห่วงไปหมดทุกอย่าง ตั้งแต่ขนิษฐาแฝดที่จูเลียนทิ้งให้อยู่เมืองหลวงคนเดียว อัศวินและคนสนิทอย่างลีโอ โดยเฉพาะคนรักอย่างกรอสเซ่ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“นี่ใช่ทางไปเมืองหลวงไหม”

“เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดถามจูเลียน”

“ก็ตอบมาดีๆ สิ ข้าต้องกลับเมืองหลวงนะไม่มีเวลามาโอ้เอ้ขี่ม้าชมหิมะอย่างเจ้าหรอก”

“หึ” คิดถึงเรื่องเกี่ยวกับยุวกษัตริย์ที่เคยได้ยินมาก่อน ฮานส์ได้แต่แค่นหัวเราะออกมา

“ขำอะไร ข้าขอสั่งเจ้าพาข้ากลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้” จูเลียนบอกเสียงเข้ม ใจเริ่มคุกรุ่นกับท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของฮานส์

“อย่าลืมสิว่าเจ้าไม่ใช่เจ้านายข้า ข้าไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของเจ้าหรอกจูเลียน ข้าเป็นอิสระไม่มีนาย” ฮานส์ย้ำทีละคำช้าๆ ชัดๆ ตอกย้ำจูเลียนอย่างสะใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้ ข้าไม่ไปกับเจ้า”

“จะลงเดินเองหรือไงได้สิ” ฮานส์ปล่อยอ้อมแขนเปลี่ยนมากระชับสองมือที่ข้างลำตัวจูเลียนแทนและ

“โอ๊ย!! ฮานส์ เจ้าผลักข้าลงมาทำไม “จูเลียนร้องเสียงดังทั้งตกใจทั้งจุกเพราะโดนอีกคนจับโยนลงจากหลังม้าแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว หันกลับไปต่อว่าแล้วก็ได้แต่กัดปากแน่น เพราะคำพูดของตัวเองก่อนหน้านี้มันย้อนเข้าให้

“ก็ไหนเจ้าบอกให้ข้าปล่อยลง ข้าก็แค่ช่วยให้ลงเร็วๆ ข้ายังผิดอีกหรือไง”

“ฮานส์ เจ้าคนเลว” จูเลียนกำหิมะขว้างใส่ฮานส์ไม่ยั้ง ตอนนี้กษัตริย์หนุ่มน้อยหงุดหงิดจนควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้จะเพิ่งผ่านสมรภูมิเฉียดตายมาไม่นาน แม้จะห่วงคนอื่นๆ ที่คงกำลังตามหา แม้จะห่วงคนรัก แต่พอถูกฮานส์กวนอารมณ์ก็ดูเหมือนว่าจูเลียนจะลืมสิ่งเหล่านั้นไปหมด คิดแค่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะจัดการกับเจ้าคนพเนจรให้สาสม ที่บังอาจผลักจูเลียนจนตกม้า แม้จะตกลงบนปุยหิมะหนาแต่ก็เจ็บและจุก ทำให้จูเลียนตกใจไม่คิดว่าฮานส์จะกล้าทำกับตัวเองที่เป็นถึงกษัตริย์ได้ขนาดนี้

“แค่นี้ยังไม่เลวพอหรอกเจ้าอย่ามองโลกสวยงามขนาดนั้น”

“แล้วเจ้าจะเอายังไง เจ้าปล่อยม้าข้าไปลงจากม้ามาเดี๋ยวนี้ เอาม้าให้ข้าขี่กลับเมืองหลวง”

“ขนาดที่นี่ที่ไหนเจ้ายังไม่รู้ ยังคิดว่าจะไปเมืองหลวงถูกหรือไง”

“แล้วเจ้าพาข้ามาทำไมเล่า” จูเลียนตะโกนออกมาเสียงดังมือก็ขว้างหิมะใส่ฮานส์ไปด้วย แต่พอนึกได้ว่าศัตรูที่กำลังตามล่าอาจจะได้ยินจึงเอามือปิดปากตัวเองแน่น เนตรสีเขียวสดใสกวาดมองลอกแลกไปทั่วอย่างระแวดระวัง

ฮานส์เห็นท่าทางจูเลียนแล้วก็ได้แต่มองไปทางอื่น ริมฝีปากยกยิ้มขำขึ้นมาน้อยๆ ดีที่จูเลียนไม่ทันเห็นไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องอีกแน่

“ยังไม่ต้องกลับเมืองหลวงหรอก เดี๋ยวข้าจะพาไปเที่ยว” ชายพเนจรนึกสนุก

“ข้าไม่ไปกับเจ้าหรอก คนรักของข้ารออยู่”

“ข้ารู้จักที่สวยๆ เยอะเลย เจ้าต้องไม่เคยเห็นและชอบแน่ “

“ข้าไม่ไป ข้าจะกลับเมืองหลวง”

“มีสิ่งแปลกๆ มากมายที่ข้าเคยเห็นรับรองเจ้าจะชอบที่สุด”

“ข้าจะเป็นบ้าเพราะเจ้าแล้วนะฮานส์ นี่เจ้าฟังบ้างไหมว่าข้าไม่ไป ข้าไม่ไป เจ้าคนลึกลับ”

“หึหึ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หาทางกลับเมืองหลวงไปคนเดียวก็แล้วกัน” ฮานส์กระตุกม้าให้หันหลังเดินออกไปโดยไม่สนใจกษัตริย์หนุ่มน้อยที่ยังนั่งแหมะอยู่บนพื้น มือทั้งสองข้างกำหิมะแน่นอย่าโกรธแค้น นึกจะมาช่วยก็มา นึกจะทิ้งก็ทิ้งอย่างนี้ได้ยังไง

“เดี๋ยวสิ เจ้าจะไปไหนฮานส์ เจ้าพาข้ามาแล้วจะทิ้งข้าไว้อย่างนี้หรือไง เจ้ามันคนไร้เกียรติ” และหิมะที่ถูกปั้นจนแน่นก็ถูกขว้างไปโดนหัวฮานส์ได้อย่างพอดิบพอดี

ฮานส์หันขวับกลับมาอย่างเอาเรื่อง แต่จูเลียนที่กำลังโกรธไม่ได้สนใจสักนิดแม้จะถูกดวงตาสีดำคมดุจ้องมองอย่างน่ากลัว “ข้าไม่สนใจเกียรติยศอะไรที่เจ้าพูดถึงหรอกนะจูเลียน”

“แต่เจ้าต้องกลับมารับข้า เจ้าจะทิ้งข้าไว้อย่างนี้ไม่ได้”

“อยากไปด้วยก็ตามมาเอง”

“ฮานส์!! “ฮานส์ไสม้าให้เดินจากไปโดยไม่สนใจเลยว่าอีกคนจะตามไปหรือไม่ จูเลียนจึงทำได้แค่ขว้างก้อนหิมะใส่ เป้าหมายคือแผ่นหลังกว้าง และมันเข้าเป้าทุกที แต่บางครั้งก็โดนม้า ระยะห่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจูเลียนก็ปาก้อนหิมะไม่โดนอะไรสักอย่าง นอกจากเสียแรงเปล่า และนั่งมองแผ่นหลังกว้างสีดำตัดกับสีขาวของหิมะที่ค่อยๆ เล็กลง



จูเลียนกัดริมฝีปากแน่นอย่างนึกแค้น ไม่เคยเลยตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครที่จะขัดใจและเมินเฉยต่อกษัตริย์หนุ่มน้อยได้ขนาดนี้ มือที่อยู่ภายในถุงมือขนสัตว์คู่หนากำแน่นทุบรัวๆ ลงบนหิมะระบายความโกรธ ทุบจนเหนื่อยจนหยุดไปเอง ยิ่งนั่งนานก็ให้ยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยว ท้องเริ่มหิวเพราะเสวยตั้งแต่เช้าและยังไม่มีอะไรตกถึงท้องอีกเลยจนถึงตอนนี้ แผ่นหลังกว้างที่เห็นในคราแรกเหลือเพียงจุดเล็กๆ สีดำ และมันกำลังจะหายไปท่ามกลางหิมะที่กองเป็นเนินสูงต่ำสลับกับต้นสนยืนต้นท้าความเหน็บหนาว ความอ้างว้างแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเข้าครอบครองพื้นที่ในความรู้สึก สองเนตรแดงก่ำแข็งกร้าว พอทำอะไรไม่ได้และดูเหมือนฮานส์จะไม่กลับมา จูเลียนลุกขึ้นเดินไปตามทางอย่างไม่ยอมแพ้ ปากก็ด่าไปด้วยอย่างเกรี้ยวกราด จูเลียนจะไม่ยอมถูกทิ้งไว้อย่างนี้



*******************************



“ท่านหญิงทาร์เทียน่า”

“รัฐมนตรีโจเซฟท่านมาก็ดีแล้ว ตอบข้าหน่อยทำไมทหารพวกนี้ไม่ยอมให้ข้าออกไปข้างนอก”

“เพื่อความปลอดภัยของท่านหญิง ข้าขอแนะนำให้อยู่แต่ในปราสาทจะดีที่สุด” ท่าทางองอาจจองหองทำให้ทาร์เทียน่าเดาได้ไม่ยากว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น คำพูดที่เหมือนหวังดีแต่แท้ที่จริงแล้วมันคือคำขู่ดีๆ นี่เอง

“ทำไม” ทาร์เทียน่าจ้องใบหน้าโจเซฟเขม็ง เห็นได้ชัดจากใบหน้าเรียบนิ่งของอสรพิษเฒ่า ว่าไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับสิ่งที่นางกำลังประท้วง

“มีนกส่งสารมาจากเอวาเลียท่านหญิง” โจเซฟทำท่าทางเหมือนหนักใจในสิ่งที่กำลังจะพูด มันดูเสแสร้งจนทาร์เทียน่านึกรังเกียจ แต่เท่าที่นางทำได้ก็แค่จ้องใบหน้าที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์เขม็ง

“นกมาส่งข่าวอะไร”

“เมื่อเช้า” โจเซฟถอนหายใจราวกับเจ็บปวดแสนสาหัสที่ต้องเป็นคนแจ้งข่าว “ขบวนเสด็จของฝ่าบาทถูกโจมตี ท่านหญิงข้าขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ต้องทูลว่า เราเสียฝ่าบาทไปแล้ว”

“ไม่จริง ท่านพูดถึงจูเลียนแบบนี้ได้ยังไงรัฐมนตรีโจเซฟ!” ทาร์เทียน่าถอยห่างโจเซฟออกไปสองสามก้าว พักตร์สวยหวานส่ายน้อยๆ ดวงเนตรสีเขียวมรกตสั่นไหวจ้องมองรัฐมนตรีด้วยความดุดันคาดคั้น นางไม่เชื่อเขา

“เป็นความจริงท่านหญิง ข้าเสียใจด้วยจริงๆ ”

“ข้าไม่เชื่อไม่มีวันเชื่อ” โจเซฟมองทาร์เทียน่าด้วยแววตาที่แสดงความรู้สึกสงสารเห็นใจได้เสแสร้งที่สุด อสรพิษเฒ่าก้าวเข้าหานางวางมือลงบนต้นแขนเอ่ยคำปลอบใจ

“ข้ารู้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยท่านหญิง”

“ไม่จริง” ทาร์เทียน่าบอกโจเซฟคล้ายจะย้ำกับตัวเองด้วย นางผละออกห่างจากชายสูงวัยหันหน้าไปอีกทาง ปิดบังสีหน้ารังเกียจด้วยความเศร้าจากข่าวที่ได้ยิน

“ข้าเข้าใจท่าน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของโจเซฟเผยให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง ยามเจ้าหญิงผู้ไร้เดียงสาหันหน้าหนีจากความเศร้าที่เขาเป็นคนหยิบยื่นให้

“เจ้าบอกว่าเราเสียจูเลียน แล้วศพล่ะ” ทาร์เทียน่าอยากเอามีดพกที่ซ่อนไว้ภายใต้ชุดสวยๆ ของนาง ออกมาคว้านดวงตาเศร้าสร้อยที่มีแต่แววเสแสร้งคู่นั้น แต่ก็ได้แค่คิด เพราะตอนนี้นางจะทำอะไรวู่วามไม่ได้ ในเมื่อยังไม่เห็นศพจูเลียนนางไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด

“ศพอาจจะถูกฝังแช่แข็งไว้ใต้หิมะที่ไหนสักแห่งท่านหญิง ข่าวว่าตอนนั้นเกิดพายุพอดี” ทาร์เทียน่าหันหลังราวกับรับสิ่งที่ได้ยินไม่ได้ ยกมือสองข้างขึ้นปิดหน้าทำท่าราวกับกำลังร่ำไห้ปริ่มใจขาด ร่างระหงสั่นไหวรุนแรงจนเจ้าของสายตาที่กำลังจับจ้องแผ่นหลังนางยังแสยะยิ้มพอใจ

“เรียกประชุมด่วน” บอกเสียงสั่นเครือทั้งที่มือยังปิดหน้า

“ข้าเกรงว่าท่านหญิงคงไม่มีอำนาจพอที่จะเข้าร่วมประชุมแล้ว เรื่องนั้นข้าจะจัดการแทนท่านเอง”

“นั่นมันหน้าที่ของข้าท่านรัฐมนตรี”

“ข้าเพิ่งบอกไปว่าท่านหญิงไม่มีอำนาจพอที่จะเข้าร่วมประชุมไง แต่ไม่ต้องห่วงข้าจะช่วยจัดการแทนท่านเอง”

ทาร์เทียน่ายังยืนหันหลังให้โจเซฟเหมือนไม่อยากเห็นหน้า แต่สองมือลดลงกำแน่นอยู่ข้างตัว “ข้าถูกกักบริเวณใช่ไหม”

“เพื่อความปลอดภัยของท่านหญิงโปรดอยู่ที่นี่เถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่น”

“ออกไป ออกให้หมด เรียกออกัสกับเฟรมาหาข้า”

“ข้าเสียใจที่ต้องบอกว่าราชองครักษ์ของท่านหญิงติดภารกิจ ส่วนคนอื่นๆ ข้าไม่รู้ แต่คิดว่าพวกเขาคงจะมาหาท่านหญิงไม่ได้” เป็นไปไม่ได้ที่คนของนางจะติดภารกิจโดยที่นางไม่รู้ แต่ตอนนี้ตกเป็นรองทาร์เทียน่าต้องฉลาดกว่านั้น

“ข้าขออยู่คนเดียวท่านรัฐมนตรี”

“หากท่านหญิงต้องการสิ่งใดโปรดบอกข้า” หลังจากที่โจเซฟออกไปแล้วประตูห้องของทาร์เทียน่าก็ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนาแบบที่เรียกได้ว่าคนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า พอสิ้นเสียงลงดาลประตูจากภายนอก ท่าทางอ่อนแอที่ทาร์เทียน่าหยิบมาสวมหลอกตาก็ถูกสลัดทิ้งไป กลายเป็นสาวน้อยผู้มีแต่ความเข้มแข็งและแววตามุ่งมั่นไม่ยอม



ทาร์เทียน่าเดินกลับไปกลับมาเพราะกำลังวางแผนอะไรบางอย่างในหัว นางไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน และคนอื่นๆ จะเป็นอย่างไร ทาร์เทียน่าไม่กล้าเดาและไม่กล้าคาดหวังอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย

ตุบ!!

“เฟร! “ทาร์เทียน่ารีบวิ่งเข้าไปพยุงร่างในชุดยาวรุ่มร่าม ที่ตกลงมาจากช่องหน้าต่างของสาวใช้คนสนิท

“อภัยด้วยที่ข้ามาช้าท่านหญิง พวกมันเต็มไปหมดเลย”

“เจ้าไม่เป็นไรนะ” ทาร์เทียน่าไม่ได้สนใจอะไรมาไปกว่าความปลอดภัยของคนของนาง

“ข้าไม่เป็นแต่ออกัส”

“ทำไม”

“ตอนนี้ออกัสกับทหารของเราถูกต้อนไปขังในคุกใต้ปราสาท” ทาร์เทียน่ากำมือแน่น ไม่เคยนึกโกรธอะไรเท่านี้มาก่อน จนควบคุมอารมณ์ได้นางจึงเอ่ยถามเสียงแผ่ว

“พวกเขาไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ทหารคนอื่นๆ ไม่เป็นไรท่านหญิงแต่ออกัส” สีหน้าของเฟรสลดลง ดวงตาสีน้ำตาลเอ่อคลอไปด้วยน้ำใสๆ จนในที่สุดมันก็หยดลงมาอาบสองแก้ม แม้จะไม่มีคำปลอบแต่ทาร์เทียน่าก็เช็ดน้ำตาออกให้คนสนิท และรอฟัง

“ออกัสรู้ความเคลื่อนไหวของพวกมันก่อน กำลังจะมาบอกท่านหญิงแต่ถูกพวกมันขวางไว้เลยต่อสู้กัน เขาเสียท่าพวกนั้นได้รับบาดเจ็บ”

“ข้าจะไปช่วยออกัสกับคนของเราออกมาเอง”

“แต่มันอันตรายมากนะท่านหญิง พวกมันเดินอยู่รอบวังเต็มไปหมด กว่าข้าจะลอบเข้ามาหาท่านหญิงได้ก็ต้องหลบอยู่ตั้งนาน”

“ตอนนี้เราเชื่อใจใครไม่ได้เฟร จะทำอะไรต้องวางแผนให้รอบคอบ แต่ก่อนอื่นต้องหาทางส่งข่าวไปให้นิโคลก่อน”

“แล้วใครจะเป็นคนไปบอกลอร์ดนิโคลล่ะท่านหญิง ใช้นกไม่ได้แน่” คำถามนี้ทำให้ทาร์เทียน่าคิดหนัก ถ้าคนของนางถูกจับตัวไว้หมดแล้วนางก็แทบจะทำอะไรไม่ได้ แต่ขณะที่กำลังปรึกษากันอยู่ก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับประตูห้อง

“ท่านหญิง” เฟรเรียกเสียงสั่น

“เงียบ”

ปัง!

“ทาร์เทียน่า”

“อเล็กซิส ท่านมาได้ยังไง”

“อย่าเพิ่งถามตามข้ามา” อเล็กซิสบอกพลางโยนดาบเล่มใหญ่มาให้ทาร์เทียน่าที่นางรับไว้อย่างแม่นยำ และโยนมันคืนกลับไปให้เจ้าของเดิมทันที

“ข้ามี ไปเถอะเฟร” ทาร์เทียน่าวิ่งไปหยิบดาบของตัวเอง คว้าข้อมือสาวใช้คนสนิทดึงให้วิ่งตามกษัตริย์แห่งมอนทาร์น่า ที่ไม่รู้ว่ากลับมาได้อย่างไรไป ตอนนี้นางไม่มีเวลาสงสัย ทั้งสามวิ่งหลบลัดเลาะไปตามทางภายในปราสาท แต่ยังพากันวิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ ทหารก็กรูเข้ามาล้อมไว้ทุกทาง



เกิดการต่อสู้ขึ้นจนชุลมุนวุ่นวายไปหมด ทหารดาหน้าเข้ามาพร้อมกันเพื่อจับตัวทาร์เทียน่า ด้วยฝีมือที่ฝึกฝนอยู่ตลอด และคนที่มาช่วยอย่างอเล็กซิสก็อยู่ในระดับยอดฝีมือ การจะจับนางจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยกำลังคนที่มากกว่า คนสู้เป็นเพียงสองคนจึงเกือบพลาดท่าเสียทีก็หลายครั้ง ทั้งอเล็กซิสและทาร์เทียน่าต้องต่อสู้แบบหนึ่งต่อสิบหรือมากกว่านั้นเพราะพวกมันมาเพิ่มเรื่อยๆ เฟรคอยหลบหลีกอยู่ไม่ไกล เพราะเป็นห่วงเจ้านายของนาง จนทาร์เทียน่าเสียท่าให้ศัตรู



“ท่านหญิง! อึก” มันเกิดขึ้นเร็วมากจนแทบดูไม่ทัน เมื่อทาร์เทียน่าหลบดาบแล้วเสียหลัก ทหารที่รอลอบกัดอยู่ข้างหลังเงื้อดาบขึ้นหวังฟันลงทีเผลอ เฟรโผเข้ารับดาบแทนเจ้านายด้วยร่างของนาง ที่ชะงักค้างดวงตาเบิกโพลงขึ้นทันทีที่ถูกคมดาบฟาดลงมากลางหลังเต็มๆ

“เฟร!”

“หนีไป” เฟรกระอักเลือดเป็นลิ่มจนเปื้อนไปหมด ปากก็พึมพำออกมาได้เพียงแผ่วๆ แต่แววตาของนางยังมุ่งมั่น ไม่ได้หวั่นกลัวต่อความตาย

“แต่เจ้า”

“ข้าไม่รอดหรอกท่านหนีไปเลย”

“เฟร”

“ไปเถอะ” อเล็กซิสกระชากแขนทาร์เทียน่าให้ลุกขึ้น ทั้งสู้ทั้งถอย ทั้งสองต่างคนต่างสู้ด้วยมือข้างเดียวที่ถือดาบ ส่วนมืออีกข้างต่างจับประสานกันอยู่อย่างแนบแน่น ทุกครั้งของการกวัดแกว่งดาบหมายถึงชีวิตของศัตรูที่ถูกปลิดทิ้ง โดยไม่มีแม้แต่โอกาสจะร้องขอ ซากศพเกลื่อนพื้น เสื้อผ้าเปื้อนไปด้วยเลือด แต่ยังต้องมีคนตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนพานางหลุดออกมาจากตรงนั้นได้ ทั้งสองพากันวิ่งหลบเข้าไปในปราสาทกลาง เลี้ยวลัดเลาะไปตามทางเดินมืดๆ จนลงมาถึงใต้ปราสาท



ขวับ!! อเล็กซิสทิ้งดาบที่ถืออยู่ยกมือสองข้างขึ้นช้าๆ เพราะอยู่ดีๆ ทาร์เทียน่าที่วิ่งนำหน้า ก็หันกลับมาตวัดดาบพาดไว้ที่คออย่างหมิ่นเหม่ แววตาดุเคลือบแคลงระคนสงสัยจ้องมองเขม็ง

“ท่านกลับมาที่นี่ทำไมอเล็กซิส”

********************************

ฮานส์ทิ้งน้องทำไมเนี่ย
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 14 โรฮานส์ผู้ใจร้าย 11/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 13-12-2018 15:14:59
 :L2:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 15 เมียของฮาน์ 13/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-12-2018 21:38:36


เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 15 เมียของฮานส์

“ท่านกลับมาทำไมอเล็กซิส” !! ทาร์เทียน่าถามเสียงเข้มเนตรเขียวมรกตของนางดุดันแข็งกร้าว แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้กษัตริย์หนุ่มเกิดความหวั่นเกรง เขายังยิ้มอ่อนให้นางเหมือนเดิม ไม่สนใจคมดาบที่จ่อคอตัวเองเลยด้วยซ้ำ

“ข้ามันน่าสงสัยจริงๆ นั่นแหละสาวน้อยที่โผล่มาตอนนี้เข้าพอดี” อเล็กซิสนิ่วหน้าทั้งที่ยังอมยิ้ม เขาเอนตัวออกห่างจากคมดาบเล็กน้อย เมื่อรู้สึกได้ว่ามันถูกเพิ่มน้ำหนักกดลงไปบนผิวเนื้อมากขึ้น เหมือนเจ้าของดาบกำลังบอกกลายๆ ว่าให้พูดแต่ความจริง

“แต่ในเมื่อข้าทิ้งหัวใจไว้ออสเซนเทีย กลับบ้านเมืองไปก็คงไปแต่ตัว สู้อยู่ตามหาหัวใจตัวเองไม่ดีกว่าหรือ”

“หาเจอหรือยังล่ะ”

“อยู่ตรงหน้าข้านี่ไง” อเล็กซิสปัดดาบทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ และนั่นเหมือนเป็นสัญญาณให้ทั้งสองโผเข้าหากันแลกจูบลึกซึ้ง ที่จริงเขาไม่ได้กลัวเลยสักนิดหากนางคิดจะตวัดดาบเชือดลงบนคอ กษัตริย์หนุ่มยอมวัดใจ และผลตอบแทนที่ได้รับก็คุ้มค่าคู่ควร

“ไปกันเถอะ ข้าให้คนส่งข่าวไปบอกลอร์ดนิโคลแล้ว ป่านนี้คงกำลังเดินทางมา” อเล็กซิสบอกหลังจากต้องตัดใจถอนจูบอย่างแสนเสียดาย

“ข้ายังไปไหนไม่ได้ คนของข้าถูกขังอยู่ในคุกใต้ปราสาท”

“ตอนนี้คนของรัฐมนตรีโจเซฟคงกระจายอยู่ทั่ววัง แค่เราสองคนอาจจะไม่ไหวแต่เราจะกลับมาช่วยพวกเขาแน่ ข้าสัญญา”

“ถ้าอย่างนั้นก็มาทางนี้เถอะ” ทาร์เทียน่าดึงอเล็กซิสพาเดินคลำไปตามทางมืดๆ เดินไปไม่ไกลก็หยุดเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ไม่นานเปลวไฟก็สว่างขึ้นจากคบไฟสองอันที่นางยื่นมาให้เขาหนึ่งอัน แล้วพาเดินต่อ

“เดี๋ยวนี่มัน...”

“อย่างที่ท่านคิด”

“แล้วทำไมพาข้ามาล่ะ”

“จะจำทางไว้ใช้ตอนกลับมายึดปราสาทแย่งเอาออสเซนเทียเป็นของท่านก็ได้นะ”

“น่าสนใจทีเดียว”

“ตามมาสิ” ทั้งสองยิ้มขำให้กัน ทาร์เทียน่ากำลังพาอเล็กซิสเดินเข้าไปยังเส้นทางลับใต้ปราสาท ที่มีเส้นทางคดเคี้ยวแยกกันออกไปมากมายหลายสาย หากคนที่ไม่รู้จริงๆ จะไม่สามารถหาทางออกได้ง่ายๆ และต้องตายเป็นผีเฝ้าอยู่ใต้ปราสาทแห่งนี้ในที่สุด ส่วนคนที่จะผ่านออกไปได้ต้องเป็นคนที่รู้จักเส้นทาง และรู้วิธีหาทางออกได้เป็นอย่างดี ถึงจะสามารถใช้เส้นทางที่วกวนเป็นเขาวงกตพาไปยังส่วนต่างๆ ที่สำคัญๆ ของปราสาทได้ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เส้นทางลับ และวิธีหาทางออกไปจากที่นี่



************************



ร่างเพรียวระหงเดินโซซัดโซเซ บางครั้งก็ล้มลุกคลุกคลาน นอกจากอากาศที่หนาวเย็นแล้ว ยังต้องเดินไปบนหิมะหนาที่ปกคลุมพื้นดินจนไม่เห็นทางเดิน ถึงขาจะล้าแต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมล้มลงอย่างคนท้อแท้สิ้นหวัง ทั้งที่ไม่เคยต้องตรากตรำลำบากขนาดนี้มาก่อน แต่เป็นถึงกษัตริย์จะมายอมตายกลางป่าท่ามกลางหิมะคงน่าสมเพชสิ้นดี จูเลียนกัดฟันเดินหน้าต่อไป แม้ต้องสู้ต้องฝืนกับความเหนื่อยล้าของร่างกาย ท่ามกลางความหนาวเหน็บ แต่หิมะที่ปกคลุมหนาก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เสียทีเดียว เพราะรอยเท้าม้าที่ย่ำไปบนนั้นมันเป็นสิ่งนำทางเดียว ที่ช่วยให้จูเลียนยังมีความหวัง แม้รอยจะเลือนรางในบางช่วง แต่ถ้าสังเกตดีๆ ก็ตามไปได้ไม่ยาก



ร่างของกษัตริย์หนุ่มน้อยล้มลุกคลุกคลาน เพราะทางที่ต้องผ่านมีทั้งขึ้นลงเนินสลับกันอยู่ตลอด ขาล้าจนแทบทรงตัวไม่อยู่ แต่กระนั้นจูเลียนก็ยังกอดเสื้อคลุมตัวหนาที่ห่มร่างไว้แน่น สองขาก้าวเดินไปข้างหน้าไม่หยุด หูแว่วได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่จูเลียนยังเดินไปเรื่อยๆ ไม่สนใจ พอรู้สึกถึงเสียงที่ใกล้เข้ามาจึงหยุดฟัง จนแน่ใจว่ามันคือเสียงอะไรก็ตอนที่หลบไม่พ้นเสียแล้ว



“หยุด!” หนึ่งในกลุ่มคนที่ขี่ม้าผ่านมาเรียกคนที่กำลังหันรีหันขวางไว้ จูเลียนเงยหน้าขึ้นดูคนที่เรียกให้หยุด แต่ก็ต้องใจหายวาบรีบก้มลงหลบหน้า

“เจ้าจะไปไหนทำไมมาเดินท่อมๆ คนเดียวอยู่กลางป่าท่ามกลางหิมะหนาวๆ อย่างนี้วะ” ทั้งที่กลัวแสนกลัวแต่จูเลียนยังก้มหน้าเงียบ ตอบคำถามด้วยการส่ายหัวเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาให้ได้ยิน จากเสื้อผ้าสกปรกที่สวมใส่ บ่งบอกว่าพวกมันเป็นทหารรับจ้างที่คงกำลังตามล่าจูเลียนอยู่ หากพวกมันจำได้ว่าจูเลียนเป็นใคร คงจบชีวิตกลางป่าท่ามกลางความหนาวเย็นอยู่ตรงนี้เป็นแน่

“ถามทำไมไม่ตอบวะ!”

“ถามทำไมให้เสียเวลาวะ ฆ่าทิ้งแม่งเลยดีกว่า”

“ว่าไง เจ้ามาทำอะไรอยู่กลางป่าคนเดียว” ถึงพวกมันจะพากันตั้งคำถาม จูเลียนก็ยังเอาแต่ก้มหน้าส่ายหัวอยู่เหมือนเดิม จนหนึ่งในนั้นรำคาญเลยลงมาจากหลังม้า ขยุ้มคอเสื้อคลุมกระชากจูเลียนให้เดินไปข้างหน้า พอถูกกระชากอย่างแรงจนร่างเพรียวถลา หมวกคลุมหัวก็หลุดออกเผยให้เห็นใบหน้านวลผ่อง ที่พวงปรางทั้งสองข้างซับสีแดงระเรื่อจากความหนาว ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดราวกับผลเชอรี่สุกสั่นระริก ไม่รู้เพราะความหนาวเย็นรอบกาย หรือเพราะความกลัวจากการถูกคุกคาม จูเลียนสั่นไปทั้งตัว

“เฮ้ย หน้าตามันสวยใช้ได้เลยนี่หว่า” คนที่ลงมากระชากตัวจูเลียนพูดขึ้น เพราะมองเห็นใกล้ที่สุด พอมันพูดจบคนอื่นๆ ที่ยังอยู่บนหลังม้าก็พาหันหันมาสนใจหน้าตาของเชลยกันทุกคน

“อย่าทำเป็นเล่นเอาตัวมันมานี่” เจ้าของเสียงสั่งเด็ดขาดยังนั่งอยู่บนหลังม้า ด้วยท่าทางที่บ่งบอกได้ว่านี่คือหัวหน้ากลุ่มของพวกมัน คนที่ยืนอยู่ข้างจูเลียนได้ยินอย่างนั้นเลยผลักร่างเพรียวอย่างแรง จนจูเลียนไปล้มลงตรงหน้ามันพอดี

ชายผู้เป็นหัวหน้ากวาดตามองลูกน้องของตัวเองเงียบๆ ทุกคนต่างก็จ้องกลับมาด้วยสีหน้าฉงน จนสายตามาหยุดอยู่กับใบหน้าของจูเลียนที่นั่งอยู่กลางวงล้อม มันแสยะยิ้มน่าเกลียดแล้วบอกเสียเย็น

“จับมันเงยหน้าขึ้นซิ” ใบหน้าของจูเลียนแหงนหงายขึ้นทันที แต่ไม่ใช่เพราะถูกจับดีๆ เหมือนที่ชายผู้เป็นหัวหน้าสั่ง จูเลียนถูกขยุ้มเส้นผมกระตุกให้เงยหน้าขึ้นอย่างแรงจนเจ็บไปทั้งศีรษะ

“ไอ้พวกสวะโง่!”

“อ้าวหัวหน้าทำไมว่าพวกข้าอย่างนี้ล่ะ” หนึ่งในทหารเลวใจกล้าประท้วงเมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกหัวหน้าด่าว่าโง่

“พวกแกไม่รู้หรือไงว่ามันเป็นใคร”

“แล้วนี่มันใครล่ะหัวหน้า”

“หึๆ ข้ามีข่าวดีจะบอกพวกเจ้า ข้าขอประกาศว่าเราจับจูเลียนกษัตริย์เด็กเสียสติได้แล้ว” จูเลียนใจหายวาบไม่คิดว่าพวกมันจะรู้จักและจำได้ ส่วนทหารรับจ้างลูกน้องของมันต่างพากันมองหน้ากันลอกแลกเหมือนไม่อยากเชื่อ

“เจ้าเคยเจอมันหรือไง ถึงได้รู้ว่ามันเป็นใคร”

“นั่นสิ จะเป็นไปได้ยังไง กษัตริย์มันจะมาเดินเป็นขอทานกลางป่าคนเดียวได้ยังไงวะหัวหน้า”

“หมาอัศวินพวกนั้นคงไม่ปล่อยมันมาเดินคนเดียวอย่างนี้หรอก เจ้าอย่าคิดว่าเป็นหัวหน้าแล้วจะหลอกพวกข้าได้นะ” คนพูดท่าทางดูโผงผางกว่าคนอื่นๆ มันอยู่ข้างๆ หัวหน้าจึงถูกตีหัวไปหนึ่งที

ผลั๊วะ!!

“ถ้ายังเรียกข้าว่าหัวหน้าก็อย่าลามปาม นี่คือกษัตริย์เด็กข้าจำมันได้ ข้าเคยเห็นหน้ามันชัดเจนเลยตอนงานประลอง” พวกลูกน้องพากันจ้องมาทางจูเลียนกันทุกคน และต่างพยักหน้าคล้อยตาม

ใครคนหนึ่งถามขึ้น “แล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“มาอยู่ได้ยังไงก็ช่างหัวมันสิ ว่าแต่เราจะจัดการกับมันยังไงดีหัวหน้า”

“ตัดหัวเอาไปแลกรางวัลเลย” ลูกน้องอีกคนบอก

“เดี๋ยวๆ ก่อนจะตัดหัวมันข้าว่าเรามาสนุกกับมันก่อนไม่ดีกว่าเหรอวะ” คนที่โดนตบหัวบอกอย่างนึกสนุก แววตาของมันเป็นประกายที่จูเลียนเห็นแล้วเสียวสันหลังวาบ ขนลุกจนสั่นไปทั้งตัว

“นั่นสิ ถ้าเอาแค่หัวยังไงตัวมันก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว ข้าว่าเราเอามาทำอะไรสนุกๆ ดีกว่า” ปากพูดมือมันก็คลำลงไปที่เป้ากลางลำตัวของตัวเองด้วย สีหน้าท่าทางของพวกทหารรับจ้าง ที่ล้อมจูเลียนอย่างคุกคามอยู่ตอนนี้ แต่ละคนมีแต่ความหื่นกระหาย แต่ละคนต่างจับจ้องมาที่จูเลียนราวกับพวกมันเป็นหมาป่าหิวโซ กำลังจ้องมองลูกแกะตัวน้อยน่าขย้ำ รสชาติคงเป็นเลิศกลิ่นก็คงหอมยั่วน้ำลาย

“ข้าไม่ใช่คนที่พวกเจ้าพูดถึง” สิ้นเสียงบอกของจูเลียน ตามมาด้วยเสียงหัวเราะจนดังลั่นป่าของหัวหน้ากลุ่ม และนั่นทำให้คนอื่นๆ พลอยหัวเราะไปด้วย ราวกับกำลังขบขันเสียเต็มประดา เป็นครู่หัวหน้าของพวกมันจึงพูดขึ้นกลั้วเสียงหัวเราะ

“ใช่หรือไม่ใช่เอาหัวไปให้พวกทหารวังดูก็รู้แล้วน่า ถ้าใช่ข้าก็ได้รางวัล ไม่ใช่ข้าก็โยนหัวแกทิ้งแค่นั้นพวกข้าไม่คิดอะไรมากหรอกนะ”

“ตกลงใช่หรือเปล่าล่ะ เจ้าคือกษัตริย์เด็กบ้าอำนาจคนนั้นใช่ไหม” จูเลียนไม่เคยได้คิดมาก่อนเลย ว่าจะได้ยินคนเรียกตัวเองว่าเป็นกษัตริย์เด็กบ้าอำนาจอย่างนี้ และมั่นใจด้วยว่าตัวเองห่างไกลจากคำนี้มากที่สุด จูเลียนหรือบ้าอำนาจ แต่ละวันก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องสมุดภายในปราสาท หรือไม่อย่างนั้นก็จิบชาอยู่ในห้องนั่งเล่นเพลิดเพลินกับการอ่านบทละคร ไม่เคยทำอะไรในแบบที่เรียกว่าบ้าอำนาจเลยสักครั้ง ไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำแต่ละวันจะใกล้กับคำว่าบ้าอำนาจสักนิด จูเลียนไม่รู้ว่ามีข่าวลือ และข่าวลือก็มักจะมาคู่กับข่าวลวงอยู่เสมอ

“ชักช้าเสียเวลาน่าหัวหน้า ข้าอยากจนจะทนไม่ไหวแล้วนะ ดูสิ” หนึ่งในลูกน้องใจกล้าของกลุ่มบอกพลางลงจากหลังม้า มันรีบถอดกางเกงควักเอาท่อนเนื้อออกมารูดให้ชายผู้เป็นหัวหน้า กับเพื่อนในกลุ่มดูอย่างหยาบคาย มันหัวเราะลั่นราวกับกำลังสนุกสนาน และนั่นทำให้คนอื่นๆ เริ่มตามลงมาด้วย แต่ละคนอยู่ภายใต้เสื้อผ้าป้องกันหนาวหนาหนักรุ่มร่าม และมันดูสกปรกจนจูเลียนรู้สึกสะอิดสะเอียน

“ใจเย็นๆ สิวะได้กันทุกคนนั่นแหละ”

“ใครก่อนวะ”

“ก็ต้องให้ข้าก่อนสิข้าเป็นหัวหน้านะโว้ย” แล้วพวกมันก็หัวเราะประสานเสียงกันดังลั่น บางคนสบถหยาบคายอย่างชอบใจด้วยภาษาหยาบโลน จูเลียนอยากวิ่งหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ แต่ตอนนี้ที่ทำได้ก็แค่ถดตัวถอยหนีเท่าที่ร่างกายอ่อนแรงจะทำได้

หัวหน้าของพวกมันคุกเข่าลงตรงหน้าจูเลียน แต่เพราะอากาศที่หนาวเย็นมันจึงควักเอาแค่สิ่งที่จำเป็นต้องใช้งานออกมาเท่านั้น

“ถอดเสื้อผ้ามันออกสิวะ”

“อย่านะ”

“ฮาๆ “

“ปล่อยข้าไอ้พวกทหารเลว” หลายคนกรูเข้ามาดึงทึ้งเสื้อผ้าที่จูเลียนใส่ แม้แรงจะน้อยแต่จูเลียนก็ยังพยายามปกป้องตัวเองจากมือสกปรกเหล่านั้น พวกมันหัวเราะชอบใจราวกับกำลังทำเรื่องสนุกสนาน แต่จูเลียนกลัวจนใจแทบขาด กรีดร้องก่นด่าสุดเสียง ทั้งแขนและขาถูกจับให้กางออกกดลงกับพื้นหิมะแน่น

“ปล่อย ไอ้พวกชั้นต่ำ คนเลว” แต่ดูเหมือนว่าคำด่าของจูเลียนจะฟังสุภาพสำหรับพวกมันด้วยซ้ำจึงไม่มีใครสนใจ

“ชุดแกนี่มันถอดยากฉิบหายเลยว่ะ” หนึ่งในคนที่กำลังพยายามถอดเสื้อผ้าจูเลียนพูดขึ้น

“ฉีกเลยสิวะ” พอไม่ทันใจมันก็พากันกระชากเสื้อผ้าหนาๆ ออก จนเนื้อผ้าบาดผิวขาวเป็นรอยแดงช้ำไปทั่ว

“โอ๊ย อย่านะไอ้พวกบ้า เลว ปล่อยข้า” แล้วพวกมันก็หัวเราะประสานเสียงกันอีก ไม่สนใจร่างเพรียวบางที่ดิ้นรนขัดขืน แม้ข้อมือจะถูกตรึงกดลงจนจมหิมะ แม้ขาทั้งสองข้างจะถูกจับแยกออกจากกัน ตัวของจูเลียนยังดิ้นจนหัวหน้าของมันรำคาญ

“ดีดดิ้นอะไรนักหนาวะ มีผัวทีเดียวหลายคนออกจะดีไม่ชอบหรือไง” เพี๊ยะ!

“อึก” พักตร์แดงก่ำถูกตบจนหันเพราะความรำคาญ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมุมปากที่แตก เพราะมือกักขฬะหยาบกร้าน อากาศเย็นทำให้เลือดแข็งตัวเร็วจึงคลอขังอยู่มุมปาก จูเลียนทั้งเจ็บทั้งมึนทั้งหนาวร่างกายเริ่มปวดร้าวไปหมด

ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดว่าจะได้มาเจอฝันร้ายอย่างนี้มาก่อน จูเลียนพยายามขืนตัวไว้ ไม่ยอมให้เสื้อผ้าหลุดออกจากร่างกาย แต่ก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน เพราะทุกอย่างของพวกมันเหนือกว่าทั้งหมด ตั้งแต่แรงกายและจำนวนคน แม้จะรู้ว่าสู้ไปก็ไม่ชนะแต่จูเลียนก็ไม่ยอมแพ้ ฮึดสู้ขืนตัวเองไว้ให้ถึงที่สุด ดิ้นรนขัดขืนหาทางรอดให้ถึงที่สุด ใจคิดถึงแต่พี่ชายกับน้องสาวที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะรู้หรือยัง ว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับจูเลียน ไม่รู้ว่าทั้งสองจะเป็นห่วงมากแค่ไหนหากรู้ว่าจูเลียนกำลังตกอยู่ในอันตราย คิดถึงอัศวินประจำตัวทั้งสี่ที่คอยปกป้องดูแล ไม่เคยปล่อยให้จูเลียนต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ อย่าว่าแต่มือสกปรกพวกนี้จะได้สัมผัสผิวเนื้อของจูเลียนเลย แค่คิดจะเดินเข้าหายังต้องถูกสกัดกั้นไว้ทันที

จูเลียนคิดถึงคนรักไม่รู้ว่าจะหนีฝ่าวงล้อมออกมาได้ทันหรือไม่ พายุหิมะที่ตกหนักทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปหมด จูเลียนกัดริมฝีปากแน่นนึกโกรธฮานส์ ทุกอย่างที่เลวร้ายกว่าเก่ามันเป็นเพราะฮานส์คนเดียวที่พาแยกจากคนอื่นๆ มา จูเลียนจะโทษฮานส์!

“ปล่อยข้า”

“หึๆ ยังมีแรงพูดอีกหรือวะ เก็บเสียงไว้ครางดังๆ ยามพวกข้าเรียงแถวเอาแกดีกว่าเด็กน้อย”

“ปล่อย ข้าเป็นกษัตริย์นะ” เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหลังจากจูเลียนพูดจบ หัวหน้าของพวกมันที่คร่อมอยู่บนตัวจูเลียนเงยหน้ามองลูกน้องที่ยืนล้อมวงอยู่ทีล่ะคน แต่ละคนมีสีหน้าฉงนราวกับสมองทำงานช้าคิดตามคำพูดของจูเลียนไม่ทัน แต่พอหัวหน้าของพวกมันระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นดังๆ คนอื่นๆ ก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย มันกวนอารมณ์จนจูเลียนกัดฟันแน่น

“แล้วไงวะ เป็นกษัตริย์แล้วยังไงบอกข้าหน่อยไอ้หนู เป็นกษัตริย์แล้วตอนนี้แกทำอะไรได้วะ ข้าสิแน่กว่า เป็นทหารรับจ้างที่กำลังจะเอากษัตริย์มาเป็นอีตัวไว้เอาเล่นๆ ข้าจะแหกขาเจ้าให้อ้าออกกว้างๆ แล้วค่อยๆ เสียบไอ้จ้อนเข้าไปในตัวเจ้า ค่อยๆ ลิ้มรสชาติของเจ้า ไม่ต้องกลัวอีหนูข้าสัญญาจะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี กระแทกเน้นๆ ให้เจ้าติดใจจนครางปากสั่น แค่คิดก็เสียวแล้วโว้ย” มันบอกพลางมือก็สาวท่อนเนื้อของตัวเองแอ่นสะโพกให้ดูอย่างน่าเกลียด พวกที่ยืนล้อมวงหัวเราะชอบใจ และพากันสาวกลางกายอวด ราวกำลังแข่งว่าใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน

“ข้าทำอะไรไม่ได้ถ้าพวกเจ้าไม่ปล่อยข้า ปล่อยข้าพวกทหารเลว”

“ถ้าปล่อยเจ้าข้าจะได้อะไรตอบแทนวะ”

“เจ้าได้ค่าหัวเท่าไหร่ ข้าจะให้เจ้ามากกว่านั้นสิบเท่า” จูเลียนเริ่มการต่อรอง

มันแสยะยิ้มจนเห็นฟันเหลืองน่ารังเกียจ “ไหนล่ะ จ่ายมาก่อนสิแล้วแกจะเป็นอิสระ”

“เจ้าต้องพาข้าไปเมืองหลวงก่อนสิ”

“แล้วข้าจะแน่ใจได้ยังไง ว่าพาแกดั้นด้นไปถึงเมืองหลวงแล้วจะได้รางวัลจริงๆ ”

“เพราะข้าเป็นกษัตริย์ไงเจ้าก็รู้จักข้านี่ ไปถึงก่อนเถอะข้าจ่ายเจ้าอย่างงามแน่ ข้าสัญญา” หัวหน้ากลุ่มจ้องตาจูเลียนเหมือนชั่งใจ ราวกับว่าข้อเสนอนี้ทำให้มันต้องตริตรองใคร่ครวญใช้สมองอันเชื่องช้าให้รอบคอบ จูเลียนใจชื้นขึ้นคิดว่ามันคงสนใจข้อเสนอง่ายๆ แต่พอมันหัวเราะเสียงดังขึ้นถึงรู้ว่าการต่อรองไม่เป็นผล

“ข้าจะบอกอะไรให้นะไอ้หนู ไม่มีเมืองหลวงของแกอีกต่อไปแล้ว กลับไปแกก็ต้องถูกฆ่าอยู่ดี ทหารยึดเมืองไว้แล้ว พวกนั้นไม่ใช่ทหารของเจ้าด้วย”

“ไม่จริง”

“น่าสงสารเด็กน้อยหลอกตัวเอง”

“ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก”

“พูดมากเสียเวลา ดูสิข้ามัวแต่คุยกับเจ้าจนไอ้จ้อนข้ามันอ่อนไปหมดแล้วเนี่ย อ้าปากแดงๆ ของเจ้าออกปลุกมันให้ข้าสิ ฮาๆ “

“ปล่อยข้านะ”

ตุบ! เพราะหัวหน้าของมันคุยกับจูเลียนอยู่นาน คนที่จับข้อมือตรึงไว้จึงเผลอลดแรงกด จูเลียนได้ทีสะบัดจนแขนหลุดจากการถูกกด กำหิมะขว้างใส่หน้าของคนที่คร่อมตัวเองเต็มๆ จนมันลุกออกจากตัวจูเลียนเพราะหิมะเข้าตาจนแสบ

“ไอ้เด็กเวร จัดการมัน” พอได้รับคำสั่งจากหัวหน้า พวกที่เหลือก็กรูกันเข้ามารุมจูเลียน แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่อย่างแน่นหนายังเป็นอุปสรรคอยู่ไม่น้อย แม้จะถูกดึงทิ้งจนผิวนวลเนียนเขียวช้ำไปหมด

“ปล่อยข้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! “

“พวกเจ้าจะทำกับร่างกายของมันยังไงก็ได้ แต่อย่าทำให้หน้ามันเสียโฉมก็พอ ข้าจะเอาหน้าสวยๆ ของมันไปแลกรางวัล หึๆ ”

“อย่านะ”

“แหกปากร้องเข้าไปเถอะเจ้าไม่...” ฉับ! หอกแหลมพุ่งเข้าเสียบท้ายทอยจนทะลุปากอย่างน่าหวาดเสียว ร่างหัวหน้าของพวกมันที่ขาดใจตายทันทีล้มตึงลงอย่างสิ้นท่า พวกที่เหลือพากันแตกตื่นมองหาที่มาของหอกปริศนา ซึ่งหาได้ไม่ยากเพราะเจ้าของหอกนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำมืดตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนี่เอง

“มันอยู่นั่น” ใครคนหนึ่งบอก

“ฆ่ามัน” พวกมันพากันกรูเข้าสู้ราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่ไม่ว่ามันจะวิ่งเข้ามาเท่าไหร่ก็ตายเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้ฟาดฟันดาบ ด้วยฤทธิ์ของลูกตุ้มเหล็กหนักๆ ที่เหวี่ยงออกมาแต่ละครั้ง หมายถึงชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับความเกรี้ยวโกรธ ไม่นานพวกมันก็ตายเกลื่อนพื้น มีบางคนที่เห็นเพื่อนตายไปต่อหน้าต่อตา รู้ว่าไม่มีทางสู้ได้เลยวิ่งหนี แต่เพชฌฆาตในชุดดำที่กำลังเกรี้ยวกราด มีหรือจะยอมปล่อยให้มันหนีไปมีชีวิตรอด คันธนูพร้อมลูกศรถูกดึงออกมาขึ้นสายเล็ง ลูกดอกทุกลูกที่ถูกปล่อยออกจากแล่งไม่เคยพลาดเป้า ตรงตำแหน่งที่ตัดขั้วหัวใจพอดี

“จูเลียน!”

“ฮานส์! เจ้าคนเลวทำไมเพิ่งมา เจ้าทิ้งข้าทำไม เจ้ามันเลว เจ้ามันสมควรตาย ข้าจะฆ่าเจ้า พวกมันเกือบข่มขืนข้าเพราะเจ้าทิ้งข้าไป เจ้ามันคนเลว เลวที่สุด อึก ฮือ” จูเลียนรัวกำปั้นลงบนตัวฮานส์ไม่สนใจว่าจะโดนตรงไหนบ้าง เพราะทั้งร้องไห้ทั้งด่าทั้งกอบเอาหิมะมาทุ่มใส่ร่างกายใหญ่โตไม่ยั้ง เป็นการลงโทษให้สาสมกับสิ่งที่ฮานส์ทำไว้ ฮานส์ปล่อยให้จูเลียนทำทุกอย่างจนพอใจยอมรับความผิด

“ชู่ววว พอก่อนๆ ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว” วรกายเพรียวบางที่หยุดชะงัก หาได้เกิดจากคำปลอบโยนไม่ หากแต่เป็นเพราะอ้อมกอดอุ่นๆ ที่กอดรัดจูเลียนเอาไว้แน่น ความหนาวเย็นจนกายสั่นสะท้านถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นจากอ้อมแขนกอดรัด และมือหนาที่ลูบเบาๆ อยู่กับเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนราวกำลังปลอบเด็กทารก จูเลียนถูกฮานส์รั้งเข้ามาซบไหล่และกอดไว้แน่น แม้ร่างกายจะยังสั่นทั้งจากความหนาวเย็นและความกลัว แต่กษัตริย์หนุ่มน้อยกลับรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยขึ้นมาอย่างประหลาด ถึงปากจะต่อว่าด่าทอ ถึงมือจะทุบตีประทุษร้าย แต่ก็สัมผัสได้ว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยแล้วจริงๆ

“เจ้ากลับมา” จูเลียนที่กำลังเสียขวัญโอบกอดรอบคอฮานส์พูดเสียงสั่น ราวกับจะย้ำบอกตัวเองอีกครั้ง ว่าคนที่กำลังกอดอยู่นี้คือคนที่มีตัวตนจริงๆ ไม่ใช่ภาพฝัน

“ข้าไม่ได้ไปไหนเลย” มือที่กำลังลูบหลังลูบผมยืนยันได้เป็นอย่างดี ว่าฮานส์ไม่ได้ไปไหนอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่จูเลียนไม่เห็นเขาเอง

“แต่เจ้ามาช้า” เรื่องจริงที่ฮานส์มาช้าอย่างจูเลียนต่อว่า แต่ก็อยู่ไม่ไกลเกินกว่าจะมาช่วยได้ทันเวลา เพราะความชะล่าใจของฮานส์ที่อยากเห็นว่าจูเลียนจะแก้ปัญหาอย่างไร คิดว่าได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือเมื่อไหร่ ค่อยปรากฏตัวขึ้น แต่เรื่องกลับกลายเป็นว่า รอแล้วรอเล่าก็ไม่ได้ยินคำนั้นจากปากจูเลียนสักที ทำให้ฮานส์ได้รู้ว่าจูเลียนยอมตายแต่ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีร้องขอความช่วยเหลือจากใครเด็ดขาด

“ข้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง” อันที่จริงฮานส์ตามดูจูเลียนอยู่ตลอด แม้จะเห็นว่าชายพเนจรทิ้งไป แต่ก็เพียงแกล้งให้จูเลียนเข้าใจผิด แกล้งลบรอยเท้าม้าในบางช่วง ตอนจูเลียนตกอยู่ในอันตรายฮานส์จะมาถึงตั้งนานแล้ว หากเนินหิมะที่เขาซ่อนตัวอยู่ไม่พังลงมาเสียก่อน ทำให้ต้องขี่ม้าอ้อมไปอีกทาง ฮานส์ยอมรับผิดอย่างจำนนที่เขาเล่นเกินไปจนเกือบเกิดเรื่องไม่ดี ทำให้จูเลียนต้องเจ็บตัว

จูเลียนผละออกจากอ้อมกอดราวกับเพิ่งรู้ตัว พอเห็นหน้าฮานส์ที่กำลังอมยิ้มมองอยู่ เลยผลักด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนชายหนุ่มหงายหลัง

“เจ้ากลับมาทำไม จะไปไหนก็ไปเลยข้าเกลียดเจ้า”

“อ้าว แล้วใครที่ต่อว่าหาว่ามาช้านั่นน่ะ เจ้าไม่ใช่หรือไง” ฮานส์พูดจบฝูงหิมะก็ถูกกระหน่ำขว้างลงมาตามใบหน้าและลำตัวด้วยฝีมือของจูเลียนไม่ยั้ง ชายหนุ่มได้แต่ยกมือปัดป้องเป็นพัลวัน

“เจ้ามันเลว เจ้ามันใจร้าย ไอ้คนเลว เลวที่สุดเจ้าทิ้งข้า ฮานส์ใจร้าย คนใจดำ”

“เอาเข้าไป ๆ ” จูเลียนโกรธจนลืมร้องไห้ ปากด่ามือขว้างหิมะใส่ฮานส์ที่นั่งรับการลงทัณฑ์ จนจูเลียนจะพอใจและหยุดไปเองเพราะความเหนื่อย

“พอใจเจ้าหรือยัง” ฮานส์ถามยิ้มๆ นั่งมองจูเลียนที่ระบายความโกรธด้วยการประทุษร้ายร่างกายเขาจนเหนื่อยหอบ

“พอใจอะไร”

“พอใจกับการลงโทษข้าหรือยัง”

“เจ้ามันสมควรตายที่สุด”

“ถึงเวลานั้นจะสั่งประหารข้าก็เชิญ แต่ตอนนี้ข้าต้องพาเจ้าหนีก่อน ดูสิร้องไห้จนหน้าตามอมแมมหมดแล้ว” ฮานส์ถอดถุงมือหนังออก ไล้นิ้วปาดเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ ร่างเพรียวสะดุ้งยามนิ้วหยาบกร้านไล้ไปตามพวงแก้มขึ้นรอยแดง และคราบเลือดแห้งที่มุมปาก ทำให้นัยน์ตาสีดำขลับของฮานส์แข็งกร้าว แต่เขาก็จัดการคนทำอย่างสาสมไปแล้ว จะเหลือก็แต่ตัวเขาเองที่ไม่รู้จะจัดการยังไง ให้สาสมกับความผิดที่ปล่อยให้จูเลียนถูกทำร้าย ทั้งที่เป็นคนไปช่วยมาแท้ๆ

“ลุกขึ้นเถอะ เราต้องรีบไปแล้ว” ฮานส์ลุกขึ้นพลางดึงข้อมือจูเลียนให้ลุกตาม แต่กลับถูกปัดออกอย่างไม่ไยดี

“ข้าไม่ไปกับเจ้าหรอก เจ้าทิ้งข้าแล้วนี่”

“ข้ากลับมาแล้วนี่ไง ไปเถอะน่านะ” ได้ยินคำตะล่อมยิ่งทำให้จูเลียนเม้มปากแน่น คิดว่าตัวเองคงหูฝาดหูผิดปกติไปแล้ว ที่ได้ยินน้ำเสียงเหมือนฮานส์กำลังออดอ้อน ถึงยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ที่คนใจร้ายอย่างฮานส์ จะทำเสียงแบบนี้ยามพูดกับจูเลียน ไหนจะยังมีรอยยิ้มนั่นอีก ฮานส์กำลังยิ้มเยาะจูเลียนอยู่แน่ๆ เพราะสายตาไม่ยอมมองไปทางอื่นเลยนอกจากใบหน้าของจูเลียน ที่คงมองแล้วนึกสมเพช

จูเลียนคิดเองเออเองแล้วสะบัดหน้าหนี “ข้าไม่ไป”

“จะรอให้พวกมันแห่มาฆ่าอีกหรือไง” ความดื้อดึงของจูเลียนทำให้ฮานส์ต้องพูดขู่เสียงดัง

“ยังมีพวกมันอยู่แถวนี้อีกหรือไง”

“มีสิ เดี๋ยวก็แห่กันมาอีกเป็นโขยง”

“มันจะรู้ได้ยังไงพวกมันตายหมดแล้วนะ”

“เจ้าเห็นม้าบางตัวที่วิ่งเตลิดหนีไปไหมจูเลียน" ฮานส์คุกเข่าลงตรงหน้าจูเลียน "ถึงม้ามันพูดไม่ได้แต่นั้นนั่นล่ะสัญญาณเรียกพวกมันดี ๆ นี่เอง คราวนี้เจ้าจะลุกได้หรือยัง” จูเลียนจำต้องลุกขึ้นอย่างที่ฮานส์บอกพลางขยับเสื้อผ้าให้กระชับ รอดมาได้ขนาดนี้จะยอมมานั่งรอความตายอีกทำไม

“ใส่ไว้” ฮานส์ถอดเสื้อคลุมของตัวเองจะห่มให้ แต่จูเลียนเบี่ยงออกอย่างถือตัวจึงถูกสายตาคมจ้องดุ

“แล้ว..”

“แล้วอะไร”

“เจ้าไม่หนาวหรือไง”

“ช่างข้าเถอะมานี่มา”

“เฮ้ย!! ฮานส์!! “จูเลียนร้องเสียงหลงตกใจ เพราะพอฮานส์ดึงข้อมือลากมาจนถึงม้าตัวใหญ่สีดำที่ยืนรอ ชายหนุ่มก็อุ้มจูเลียนให้ขึ้นขี่ม้าโดยไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ ด้วยการจับตัวจูเลียนยกขึ้นได้อย่างง่ายดาย แต่คนที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวนี่สิถึงกับร้องเสียงหลงอ้าปากค้าง

ต่อจ้ะ....
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 15 เมียของฮาน์ 13/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 13-12-2018 21:39:53



“จะร้องทำไม” ฮานส์ถามพลางขึ้นมานั่งข้างหลังจูเลียนที่ดิ้นขลุกขลัก เพราะโดนโอบอีกแล้วตอนที่ฮานส์จับสายบังเหียนกระตุกสั่งให้ม้าออกเดิน

จูเลียนหายใจเข้าลึกๆ อ้อมแอ้มตอบ “ก็..ข้าตกใจนี่ เจ้าทำอะไรไม่บอกก่อนเลย”

“หึ”

“ขำอะไร”

“เสียงเจ้าสั่นนะ ยังหนาวอยู่หรือไง” คำถามมาพร้อมกับอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้น ทำให้จูเลียนยิ่งไม่กล้าพูด เพราะกลัวว่าเสียงที่เปล่งออกมาจะสั่นกว่าเก่า เรื่องหนาวมันก็หนาวอยู่แล้วนั่นแหละ แต่นอกจากนั้นมันยังเป็นเพราะการกระทำบ้า ๆ บอ ๆ ของฮานส์ด้วย ที่ทำให้จูเลียนรู้สึกแปลก ๆ จนพูดเสียงสั่น จะว่าง่าย ๆ คือมันทำให้จูเลียนสั่นไปหมดแต่ไม่ใช่เพราะกลัว แต่จะเป็นเพราะสาเหตุอะไรจูเลียนไม่รู้จริง ๆ หรือจูเลียนจะบ้า ๆ บอ ๆ ตามฮานส์ไปแล้ว

พอพ้นจากป่าช่วงที่หิมะกองเป็นเนินสูงๆ ต่ำๆ ฮานส์เหลือบมองไปข้างหลังตามทางที่เพิ่งพากันผ่านมา เขาสั่งให้ม้าเริ่มออกวิ่งและความเร็วของมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนจูเลียนนึกสงสัยแต่ไม่ถาม เพราะถามยังไงฮานส์ก็คงไม่ยอมตอบดีๆ จนกระทั่งม้าพามาไกลจากจุดที่จูเลียนถูกจับมากพอสมควร ม้าจึงลดความเร็วลงจนเดินช้าๆ จูเลียนมองไปข้างหน้าพบว่ามาถึงชายป่าอีกแห่งหนึ่งแล้ว

“ลงมา” จูเลียนยอมลงจากหลังม้าอย่างว่าง่ายด้วยความช่วยเหลือของฮานส์ แต่คราวนี้ไม่ยอมให้เจ้าของร่างกายสูงใหญ่อุ้มอย่างน่าอายอีก

“เราต้องแยกกันชั่วคราวแล้วนะเพื่อนยาก”

“เจ้าพูดกับม้าหรือฮานส์” จูเลียนถามขึ้นเมื่อเห็นฮานส์ลูบแผงคอม้าพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ แต่ไม่ได้คำตอบ จึงได้แต่ยืนมองเงียบๆ ขณะที่ฮานส์ขยับไปแนบหน้าผากตัวเองลงกับหน้าผากกว้างของม้าตัวใหญ่ที่ก้มลงมาหา

“แล้วเจอกันใหม่นะเพื่อนอีกไม่นานหรอก ระหว่างนี้ดูแลตัวเองให้ดีๆ “ จูเลียนคิดว่าฮานส์คงเสียสติไปแล้ว เพราะเอาแต่ซบใบหน้าตัวเองกับใบหน้าของม้าพึมพำบ่นฟังไม่รู้เรื่อง หูทั้งสองข้างของเจ้าม้าตัวใหญ่ลู่ไปข้างหลัง บ่งบอกว่ามันกำลังโกรธ และหากฮานส์ยังไม่ถอยออกมา อาจจะโดนม้าดีดจนเจ็บตัวแน่

“ฮานส์..ม้า”

“ไม่เป็นไรจูเลียน ข้าขออยู่กับโกสต์แบบสักครู่” ฮานส์บอกทั้งที่ไม่ได้หันมาทางจูเลียนเลยด้วยซ้ำ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าม้าคู่ใจกำลังโกรธ เขารู้ว่ามันไม่พอใจที่ต้องแยกทางกันอีกแล้ว แต่โกสต์จะไม่มีวันทำร้ายฮานส์แน่นอน

“แล้วเจอกันเพื่อน” ฮานส์จูบลงตรงสันกระดูกข้างหน้าเหนือจมูกของโกสต์ จนจูเลียนที่มองอยู่ยังสัมผัสได้ถึงความรักและความผูกพัน ที่คนและม้าทั้งคู่มีต่อกัน ฮานส์ผละออกแล้วถอดสายบังเหียนเก็บไว้กับตัว ถอดอานและถุงใส่ของที่ผูกติดอยู่ทิ้งลงไว้ที่พื้น ตบเบาๆ ไปตามลำตัวที่มีแต่กล้ามเนื้อแข็งแกร่ง ขณะเดินกลับไปลูบใบหน้าบริเวณกรามของมัน

“ไป” เพียงสั่งคำเดียวม้าหนุ่มก็หันหลังควบออกจากตรงนั้น วิ่งไปตามทางที่จูเลียนคิดว่าฮานส์จะพามุ่งหน้าไปในตอนแรก อาชาสีดำทะมึนดูแข็งแกร่งวิ่งอย่างสง่างามตัดไปบนหิมะสีขาวโพลน เป็นภาพที่ดูมีพลังอย่างน่าประหลาด มีสายตาอาวรณ์ของฮานส์มองตามจนมันวิ่งลับตาไป

“เจ้า..” จูเลียนกำลังจะต่อว่าที่ฮานส์ปล่อยพาหนะในการเดินทางหนึ่งเดียวที่มีไป แต่พอเห็นสายตาของชายหนุ่ม คำต่อว่าด่าทอก็จุกตันอยู่แค่ในลำคอ ฮานส์ดูเศร้าจนจูเลียนพูดไม่ออก เลยเผลอเศร้าตามไปด้วย

“ไปกันเถอะ” ฮานส์ถอดถุงออกจากอานม้าขึ้นมาพาดบ่า โยนส่วนที่เป็นอานม้าทิ้งไปไว้อีกทางให้พ้นสายตา แล้วจึงดึงข้อมือให้จูเลียนเดินเข้าไปในป่าด้วยกัน โดยไม่ลืมพรางรอยเท้าที่อาจจะทำให้คนที่กำลังตามล่าตามมาได้ถูก

“ฮานส์”

“อะไร”

“เราต้องเดินอีกไกลไหม”

“ไม่รู้”

“อ้าว ทำไมไม่รู้ล่ะ”

“แล้วเจ้าจะถามทำไม”

“ก็ข้าเหนื่อย หิวแล้วด้วย” ฮานส์หันกลับไปมองคนที่เดินตัวเปล่าตามหลังช้า ๆ ชายหนุ่มค้นหาอะไรบางอย่างในถุงที่แบกมาด้วย ไม่นานก็เจอของที่ต้องการ จึงยื่นมันให้จูเลียน “อะไร”

“ของกินไง กินไปก่อนอีกไม่ไกลจะมีหมู่บ้าน เดี๋ยวค่อยแวะหาอะไรดีๆ กินอีกที”

“ขนมปังแห้งนี่นะ ไม่เอาหรอกข้าไม่กิน ข้าจะรอไปกินตอนถึงหมู่บ้าน” จูเลียนบอกอย่างเอาแต่ใจ แถมยังเชิดใส่ขนมปังที่ฮานส์ถือว่าเป็นของดีวิเศษที่สุดแล้วสำหรับนักเดินทางอย่างเขา

“กินรองท้องก่อน เดี๋ยวเป็นลมขึ้นมาข้าไม่อุ้มเจ้าไปหรอกนะ”

“ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย”

“อาหารมื้อแรกตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่หรือไง อย่าดื้อ! ”

ถึงจูเลียนจะแปลกใจว่าทำไมฮานส์รู้ แต่ความไม่พอใจที่ถูกด่าว่าดื้อมีมากกว่า “มากไปแล้วนะฮานส์”

“จะกินไม่กิน”

“ไม่กิน ข้าบอกจะไปกินที่หมู่บ้านไง” ฮานส์มองใบหน้างอง้ำแบบคนเอาแต่ใจของจูเลียน ได้แต่ส่ายหัวถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ตามใจ หวังว่าคงไม่มีพวกทหารรับจ้างรออยู่ที่หมู่บ้านหรอกนะ” สิ่งที่ฮานส์บอกเล่นเอาจูเลียนหน้าเสียขึ้นมาทันที ถึงจะทั้งหิวทั้งเหนื่อย พอเห็นอาหารที่ฮานส์เอามาให้ก็พาลกินไม่ลง จูเลียนหรือจะเคยได้ลิ้มรสอาหารแบบนี้ ขนมปังแห้งที่รสชาติคงจะจืดชืดแทบไม่อยากเคี้ยว อย่าว่าแต่จะกลืนมันลงท้องเลย แค่คิดจะหยิบมาใส่ปากมือก็ไม่ขยับแล้ว กินเข้าไปมีหวังติดคอตายก่อนได้กลับบ้านเป็นแน่แท้

จูเลียนกระชับเสื้อคลุมที่ใส่ให้แน่นขึ้น ดวงเนตรสีเขียวมรกตจ้องใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเคราอย่างเอาเรื่อง ฮานส์ไม่สนใจหันหลังออกเดินต่อเงียบๆ จนจูเลียนต้องรีบสาวเท้าเดินตามให้ทัน แต่ถึงจะเร่งยังไงก็ไม่ทันสักที จึงได้แต่ก้มหน้ารีบจ้ำเดิน บางทีก็เงยหน้ามองทางมองแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินนำ ฮานส์คงใส่ชุดกันหนาวหลายชั้น ทำให้ร่างกายที่สูงใหญ่ ดูสูงใหญ่และหนาขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่มีเสื้อคลุมเพราะถอดมันให้จูเลียนใส่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าจูเลียนมีผ้าคลุมสองผืน ซึ่งผืนที่เป็นของฮานส์ดูเหมือนเนื้อผ้าจะถักทอมาแบบพิเศษ เพราะแม้จะหนักไปสักหน่อยแต่ก็หนานุ่มและอุ่นมาก ตอนแรกจูเลียนก็นึกสงสัยว่าฮานส์เองไม่หนาวบ้างหรือไง แต่เดินมาตั้งนานไม่เห็นบ่นสักคำ จูเลียนจะเข้าใจว่าฮานส์คงไม่หนาวเหมือนชาวบ้านคนอื่นเขาก็แล้วกัน

กึก!!

“หยุดทำไม” จูเลียนถามขึ้นเสียงดังเพราะเดินนำอยู่ดีๆ ฮานส์ก็หยุดเท้าเอาเสียดื้อๆ จนคนที่เดินก้มหน้าตามหลังมาชนเข้าเต็มๆ

“เงียบก่อนมาทางนี้”

“นั่นพวกมันใช่ไหม”

“ใช่ เจ้าจะเงียบได้หรือยัง” จูเลียนเงียบลงทันทีโดยที่ฮานส์ไม่ต้องเตือนอีก มือเรียวที่อยู่ภายในถุงมือหนังถูกกุมกระชับรั้งให้เดินแยกไปอีกทาง อย่างระมัดระวัง ทั้งสองเดินอ้อมเลยทางเข้าหมู่บ้านที่มีทหารรับจ้างตั้งที่พักขวางไว้ จนไปเจอทางเดินสายเล็กๆ จึงพากันเข้าไป มันเป็นทางที่พาไปยังด้านหลังของตึกที่ก่อสร้างขึ้นด้วยหินปูน ดูเหมือนจะเป็นที่พักและร้านอาหารสำหรับคนเดินทางผ่าน ฮานส์รีบพาจูเลียนไปด้านหน้าของตึกและแทรกตัวเข้าไปในร้าน แต่ยังไม่ทันพ้นประตูก็ต้องหยุดเท้าอยู่เพียงเท่านั้น เพราะในร้านเต็มไปด้วยพวกทหารวังและทหารรับจ้างที่กำลังดื่มกิน มีโสเภณีคอยบริการทั้งชายหญิง แต่จำนวนก็น้อยอยู่มากเมื่อเทียบกับจำนวนของทหารทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ซึ่งมันเดาได้ไม่อยากเลยว่าทหารเหล่านั้นเป็นพวกของใคร

“ทำไมไม่เข้าไป” จูเลียนถามขึ้นทันทีที่ฮานส์พาหันหลังเดินออกจากตรงนั้น

“เข้าไปให้พวกมันฆ่าหรือไง มีแต่ทหารเต็มไปหมด” ฮานส์ตอบทั้งที่มือยังลากจูเลียนให้เดินออกมานอกร้าน พาอ้อมกลับไปทางเก่าที่ลับตาคน

“แล้วเราจะไปไหนต่อละ ข้าหิวจนจะกินม้าได้ทั้งตัวแล้วนะฮานส์”

“เงียบก่อนได้ไหมเล่า”

“ก็ข้าหิว”

“ข้าบอกให้เงียบ!” ฮานส์ตวาดเสียงดัง

และจูเลียนก็ตอบกลับเสียงดังอย่างไม่ยอมเช่นกัน “ข้าหิวนะฮานส์ เจ้าฟังไม่รู้เรื่องหรือไง เหนื่อยด้วย”

“ถ้าหิวทำไมไม่แวะเข้าไปหาอะไรกินก่อนล่ะ ข้างในมีขนมปังหอมๆ กับซุบร้อนๆ เจ้าต้องชอบแน่” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น ทั้งสองมองไปยังต้นเสียงพบว่าเป็นหญิงชราท่าทางใจดี ในมือของนางถือตะกร้าใบใหญ่ ในนั้นบรรจุขนมปังที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ จูเลียนแน่ใจเพราะกลิ่นหอมของมันโชยเข้าจมูก

จูเลียนทำเหมือนกลืนน้ำลายลงคอ แต่ความเป็นจริงคอของกษัตริย์หนุ่มน้อยแห้งผากจนจะกลายเป็นผงได้อยู่แล้ว “ข้าอยากได้ขนมปังหอมๆ กับซุบร้อนๆ ที่นอนอุ่นๆ สำหรับคืนนี้ด้วย”

“อ่า นั่นเจ้ายิ่งต้องรีบเข้าไปจองก่อนที่ทหารพวกนั้นจะเอาไปหมดนะมาทางนี้สิ”

“ได้เลยท่านป้า ท่านใจดีจัง”

“จูเลียน!”

“มาเถอะน่าเจ้ากลัวอะไรนักหนา” ไม่รู้เป็นเพราะจูเลียนไม่ได้นึกกลัวจริงๆ หรือเพราะหิวจนไม่กลัวอะไรอีกแล้ว จึงเดินตามหญิงชราไปอย่างว่าง่าย มีฮานส์เดินตามไปอย่างเสียไม่ได้ แต่พอจะเข้าไปข้างในเห็นจูเลียนเดินเชิดหน้าดูระรื่น ฮานส์เลยต้องรีบคว้าวรกายเพรียวบางเอาไว้ก่อน

“อะไรกันฮานส์ปล่อยข้านะ”

“อยู่นิ่งๆ ก่อนสิวะ เจ้าจะเดินลอยหน้าลอยตาเข้าไปแบบนั้นไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

“ลืมไปแล้วหรือไง ขนาดพวกทหารรับจ้างกระจอกยังรู้จักเจ้า ในนั้นมีพวกทหารวังด้วยเจ้าคิดว่าจะรอดหรือไง ใส่หมวกคลุมหน้าไว้ดีๆ ” ฮานส์กระซิบบอกเสียงเย็นจนจูเลียนเสียวสันหลังวาบ ยอมให้ฮานส์แต่งตัวแต่โดยดี แต่ก็ยังไม่วายมีเสียงบ่นออกมาเบาๆ ให้ได้ยิน

“ก็ทำไมไม่บอกข้าดีๆ แต่แรกเล่า”

“เจ้าอยู่ฟังไหม ดื้อก็เท่านั้น”

“อย่ามาว่าข้าดื้อนะ”

“เจ้ามันดื้อ! “ จูเลียนได้แต่กัดปากตัวเองจ้องหน้าที่รกไปด้วยหนวดเคราของฮานส์เขม็ง ราวกับจะจับมากินเลือดกินเนื้อแทนอาหารมื้อนี้ให้รู้แล้วรู้รอด หากยังมัวยืนเถียงกันอยู่อย่างนี้ ฮานส์อาจจะได้กลายเป็นอาหารของคนหิวจัดอย่างจูเลียนจริงๆ ก็เป็นได้ ฮานส์เอาผ้าขึ้นมาคลุมหัวตัวเองแล้วจึงพาจูเลียนเดินเข้าไปข้างใน “ตามมา”

จูเลียนเดินตามฮานส์ไปเงียบๆ ชายพเนจรผู้รับหน้าที่อัศวินจำเป็นประจำตัวกษัตริย์เดินก้มหน้าไม่สนใจใคร จูเลียนเห็นฮานส์ทำแบบนั้นก็ทำตามบ้าง ทั้งที่บนหัวมีหมวกคลุมที่ติดกับเสื้อคลุมตัวใหญ่ของฮานส์คลุมไว้ จนแทบไม่เห็นใบหน้าแล้ว ฮานส์พาจูเลียนนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งข้างหน้าต่างที่ถูกปิดไว้ป้องกันลมหนาว และไม่ไกลจากทางออกมานัก สั่งอาหารแล้วนั่งรอเงียบๆ ไม่นานซุบเนื้อร้อนๆ กับขนมปังก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า ฮานส์ผลักอาหารทั้งหมดมาให้จูเลียนที่รีบกินจนลืมบ่น

“เจ้าไม่กินหรือไง” จูเลียนถามทั้งที่อาหารยังเต็มปาก แต่ฮานส์ยังนั่งมองกลับมาเงียบๆ ไม่ตอบคำ ในความคิดของฮานส์ คนตรงหน้าก็ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ยิ่งตอนนี้กำลังจ้วงตักอาหารเข้าปากเหมือนเด็กน้อยหิวโซ ไม่บอกแทบไม่อยากเชื่อเลย ว่านี่คือกษัตริย์ของอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้ “ฮานส์เจ้าไม่กินหรือไง อร่อยนะ เสียดายไม่มีไวน์อุ่นๆ ”

“..”

“ฮานส์! “

“อะไร” ฮานส์หลุดออกมาจากความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอมองเด็กน้อยตรงหน้าเพลิน เด็กน้อยที่ใบหน้ามอมแมมใส่เสื้อผ้าหนาเตอะ แถมยังสวมทับด้วยเสื้อคลุมของเขาเองด้วย

“ทำไมเจ้านั่งเฉย “

“รีบกินเถอะน่า” ท่าทางของฮานส์เหมือนกำลังอึดอัดหรือวางตัวไม่ถูก เขาบอกพลางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างระวังตัว พอสายตาวนกลับมาที่จูเลียนอีกครั้ง หนุ่มน้อยยังนั่งจ้องหน้าเขาอยู่เหมือนเดิม ปากเคี้ยวอาหารไปด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย “อะไร”

“เจ้าไม่กินหรือไง” ขนมปังก้อนใหญ่ในมือถูกบิออกครึ่งหนึ่งยื่นมาตรงหน้าฮานส์ และคำตอบของคนที่จูเลียนอุตส่าห์มีน้ำใจแบ่งของกินให้ เล่นเอาพักตร์มอมแมมบึ้งตึงขึ้นทันที

“ข้าไม่กิน เจ้ากินเลย” จูเลียนทำปากยื่นเพราะขัดใจ “รีบกินเร็วๆ ข้ารู้สึกไม่ชอบมาพากลเท่าไหร่” เพราะตอนจะออกจากป่ามีทหารอีกกลุ่มหนึ่งตามมา ฮานส์จึงต้องเร่งโกสต์ให้วิ่งทิ้งระยะห่าง จนคิดว่าทิ้งห่างมาได้ไกลมากพอแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นการเดินเท้าแทน ให้โกสต์วิ่งล่อพวกที่กำลังตามไปอีกทาง

“ทำไมเหรอ” ปากถามมือก็ทำงานไปด้วย จูเลียนรีบจัดการกับอาหารตรงหน้า ทั้งที่จ้องฮานส์ตาแป๋ว

“หลังจากนี้อาจจะไม่ได้กินอะไรดีๆ อย่างนี้อีก”

“ทำไมล่ะ แค่เจ้าพาข้ามุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง ไปถึงนั่นก็ได้กินอาหารดีๆ แล้วนี่”

“เจ้าอย่าพูดเสียงดังไปสิ เรายังไปเมืองหลวงตอนนี้ไม่ได้เจ้าไม่เข้าใจหรือไงวะ”

“ทำไมจะไปไม่ได้”

“เห็นไหมเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”

“ก็ใช่นะสิ ถ้าเข้าใจข้าคงไม่เอาแต่ถามอยู่อย่างนี้หรอก เจ้านี่มัน..” ฮานส์ถอนหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกเหมือนจูเลียนกำลังพูดกวนอารมณ์ให้หงุดหงิด แต่ท่าทางเอาจริงเอาจังตั้งใจเถียง เล่นเอาฮานส์ยอมใจกษัตริย์เด็กพระองค์นี้จริงๆ

ชายหนุ่มโน้มตัวข้ามโต๊ะเข้ามากระซิบ “ข้าไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นยังไง ข้าต้องพาเจ้าซ่อนตัวจนกว่าเลนนี่หรือเฮนริชจะส่งข่าวมา คราวนี้เจ้าจะเงียบปากแล้วรีบกินให้อิ่มได้หรือยัง”

เป็นแผนที่วางไว้ระหว่างฮานส์ เลนนี่และเฮนริช ตั้งแต่ก่อนเดินทาง หากจูเลียนอยู่กับใครให้พาซ่อนตัวจนกว่าจะแน่ใจว่าจูเลียนปลอดภัย หรือได้รับสัญญาณส่งข่าวให้พากลับเมืองหลวง ส่วนราเชลไม่รู้เพราะเฮนริชไม่เชื่อว่าฮานส์จะมาช่วยจริงๆ จึงไม่ได้เล่าแผนการให้ฟัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเหล่าอัศวินของจูเลียนไม่มีแผนอื่นรองรับ

พอได้ยินชื่อคนที่ตัวเองไว้ใจ จูเลียนจึงยอมทำตามที่ฮานส์บอก นั่งกินเงียบๆ แอบมองฮานส์เป็นระยะ เพราะอีกคนก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน แต่ฮานส์ไม่มีท่าทางที่บ่งบอกว่าหิวเลยสักนิด คำเดียวจูเลียนก็ไม่ได้ยินฮานส์บ่นออกมา

“อะไร” จูเลียนที่คอยสังเกตฮานส์อยู่เรื่อยๆ ถามขึ้น เมื่อเห็นชายหนุ่มเอาถุงของขึ้นพาดไหล่ พอมองตามสายตาของฮานส์ที่กำลังจ้องไปยังประตูทางเข้าร้าน เห็นทหารกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามา

“เจ้าอิ่มหรือยัง” ฮานส์ไม่ตอบแต่ถามกลับมาแทน

“อิ่มแล้ว”

“ดี ไปได้แล้ว” ฮานส์วางเหรียญเงินไว้เป็นค่าอาหารพลางลุกขึ้น พอจูเลียนเดินออกมาจากโต๊ะเขาก็ดึงหมวกคลุมให้จนปิดใบหน้า ฮานส์กอดคอกษัตริย์หนุ่มน้อยเดินก้มหน้าไปยังทางออก จูเลียนเข้าใจสถานการณ์ดีเลยยอมให้ฮานส์กอดอย่างว่าง่ายไม่บ่นสักคำ

“เดี๋ยว” หนึ่งในกลุ่มของทหารจากเมืองหลวงที่กำลังเดินสวนเข้ามาในร้านหยุดฮานส์ไว้

“อะไร”

“แกจะไปไหน”

“ข้าเป็นแค่คนเดินทางผ่านมาและกำลังจะเดินทางต่อ” ฮานส์ค้อมตัวลงก้มหน้าตอบเสียงเบาให้แค่พอได้ยิน เพราะหากยืนเต็มความสูง รูปร่างท่าทางที่ดูสง่าผ่าเผยอาจจะเรียกความสนใจของมันเกินไป เป็นไปได้เขาไม่อยากมีเรื่องกับพวกมัน

“เจ้าเคยเห็นคนคนนี้หรือคนที่มีลักษณะอย่างนี้ผ่านทางบ้างไหม” มันพูดพลางคลี่กระดาษแผ่นหนาที่มีรูปวาดของใครคนหนึ่งอยู่ในนั้นให้ดู ซึ่งพอเห็นฮานส์ก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่อยู่ในภาพวาด คือคนที่เขากำลังกอดคออยู่ตอนนี้ คนวาดต้องรู้จักและเคยเห็นหน้าจูเลียน และต้องมีฝีมือดีมากทีเดียว ถึงได้วาดออกมาได้เหมือนจริงขนาดนั้น เหมือนแม้กระทั่งพวงปรางที่จับสีแดงระเรื่อและดวงเนตรสีเขียวมรกตเป็นประกายน่าหลงใหล

จูเลียนตัวสั่นจนฮานส์ที่กอดคออยู่รู้สึกได้ แต่ชายหนุ่มยังเฉยและตอบคำถามด้วยท่าทางนิ่งไม่สะทกสะท้าน แต่ก็ไม่ดูอวดดีจนทำให้พวกมันเกิดความหมั่นไส้อยากหาเรื่อง

“ข้าไม่เคยเห็นคนในภาพวาดเลยนายท่าน ข้าเดินทางอย่างเดียวไม่ได้สนใจใคร” ฮานส์เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นยกยอปอปั้นเรียกให้มันเหลิง จะได้ละความสนใจไปจากตัวเขา 

“แล้วนั่นน่ะมันเป็นอะไรทำไมกอดไม่ปล่อยขนาดนั้น” มันทำปากบุ้ยใบ้ไปทางจูเลียนที่ฮานส์กอดคอให้ซุกอยู่ในอกแกร่ง และคำตอบของฮานส์ ก็เล่นเอาคนที่อยู่ในอ้อมกอดสะดุ้งเลยทีเดียว

“เมียข้าเอง กำลังไม่สบาย เจ้าก็เห็นข้างนอกมีแต่หิมะกับความหนาวเย็น”

“ไม่เคยเห็นจริงๆ หรือไง” มันชูภาพวาดให้ฮานส์ดูอีกครั้ง สายตาที่มองมาอย่างเอาเรื่องเหมือนบอกว่าคิดทบทวนให้ดีๆ

“ไม่ ข้าไม่เคยเห็น” ฮานส์ตอบหนักแน่น เขาอยากพาจูเลียนออกไปจากตรงนี้เต็มทีแล้ว เพราะคนอื่นๆ ที่อยู่ในร้านกำลังหันมาสนใจพวกเขาเป็นจุดเดียว ตัวมันเองก็จ้องตาฮานส์ราวกับจะข่มขู่และคาดคั้น

“งั้นก็แล้วไป ดูแลเมียเจ้าดีๆ ล่ะ ป่วยตายกลางทางนึกอยากขึ้นมาคงได้เอากับม้าแน่ๆ “ แล้วมันก็หัวเราะออกมาเสียงดัง คนที่ได้ยินก็พลอยหัวเราตามไปด้วย

ฮานส์รีบพาจูเลียนเดินออกไปจากตรงนั้น จนพ้นประตูทางเข้าร้านออกมาได้จูเลียนพรูลมหายใจอย่างโล่งอก ทั้งสองเดินเลี่ยงถนนกลางหมู่บ้านเข้าไปในตรอกแคบๆ หวังจะหาที่พักสำหรับคืนนี้ แต่...

“เดี๋ยว” ยังพากันเดินไปได้ไม่ถึงไหน ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นข้างหลัง ฮานส์จำได้ว่าเป็นเสียงของทหารที่เพิ่งจะถามเขาตอนอยู่ในร้าน จึงค่อยๆ หันกลับมา

“มีอะไรอีกหรือนายท่าน”

“ขอดูหน้าเมียแกหน่อยสิ” มันบอกพลางเดินส่ายอาดๆ เข้าไปหาฮานส์อย่างวางมาด มือจับด้ามดาบที่ห้อยอยู่ข้างเอวอวดเบ่ง ยิ่งได้ยินฮานส์เรียกว่านายท่านมันยิ่งชูคอ

“เมียข้าไม่สบายคงไม่มีอะไรน่าดูหรอก”

“อย่าให้ข้าคาใจน่า เปิดใบหน้านางให้ข้าดู” ท่าทางของมันคุกคามจนจูเลียนนึกกลัว สองมือกอดเอวฮานส์แน่นเมื่อถูกดันให้ไปอยู่ข้างหลัง “หรือเมียแกสวยจนไม่อยากให้ใครเห็นวะเจ้าหนวด แต่เอาเถอะข้าไม่สนใจเมียเจ้าหรอกแค่ต้องตรวจให้แน่ใจ หรือกลัวว่าข้าอยากได้นาง ถ้านางทำให้ข้าอยากได้จริงๆ ข้าจะตอบแทนให้เจ้าอย่างงามเลย จะขายนางให้ข้าสักคืนสองคืนไหมล่ะ” ฮานส์กัดฟันแน่นตามองต่ำ

“เมียข้าเป็นผู้ชาย” บอกเสียงเรียบทั้งที่ความจริงกำลังข่มโทสะ เพราะมันตามตอแยเขาไม่เลิก ไหนจะวาจาหยาบคายที่พูดถึงเมียที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วย แม้จะไม่ใช่เมียจริงๆ อย่างที่กล่าวอ้าง แต่มันก็หมายถึงจูเลียน คำพูดของมันก็ทำให้ฮานส์หงุดหงิดขึ้นมาทันที

“ผู้ชายข้าก็ชอบว่ะ ไหนเปิดหน้าให้ดูหน่อย”

“อย่าเลย”

“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าหรือไง”

“อย่ายุ่งกับพวกข้า”

“อยากถูกจับใช่ไหม..เปิดหน้ามัน! ”

ฉับ!!

กึก!

ตุบ!!

“ฮานส์” จูเลียนเรียกฮานส์เสียงสั่นเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ขณะที่มันกำลังยื่นมือเข้ามาเปิดดูใบหน้าของจูเลียน ฮานส์ก็แทงเข้ากลางหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจของมันพอดี ไม่พอยังดันมีดกรีดกลางอกสูงขึ้นมาจนถึงต้นคอเป็นแผลเหวอะหวะ เลือดพุ่งกระฉูดอย่างน่าหวาดเสียว จูเลียนตาเหลือกอ้าปากค้างเมื่อเห็นซากศพที่อยู่ตรงหน้าเต็มๆ จนฮานส์ต้องเอามือปิดตากดศีรษะให้จูเลียนซบลงตรงหน้าอกหนีภาพน่ากลัว

“ทำไมถึงได้โหดร้ายอย่างนี้” จูเลียนถามเสียงสั่นยังไม่ยอมผละออกจากอกกว้างของฮานส์ ซ้ำยังกอดแน่น

“ไม่ฆ่ามันเดี๋ยวมันก็ไปตามคนมาฆ่าเจ้า”

“เจ้าทำข้ากลัวนะฮานส์”

“เด็กน้อย ข้ากำลังปกป้องเจ้าอยู่นะ ยืนดีๆ ก่อน” ฮานส์ดันจูเลียนออกจากอกแต่หนุ่มน้อยกลับกอดร่างหนาไว้แน่น จูเลียนส่ายหัวปฏิเสธเอาเป็นเอาตายไม่ยอมปล่อย ทั้งที่บอกว่าฮานส์ทำให้กลัว จนเจ้าของอกอุ่นต้องยอมให้กอดอยู่อย่างนั้น แต่ศพของมันเขาก็ต้องซ่อน ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงดึงขาของมัน ลากไปทิ้งไว้มุมหนึ่งข้างตึกกลบด้วยหิมะ จากนั้นจึงตามกลบหิมะที่เปื้อนเลือดให้หมดจนไม่เหลืออะไรให้ผิดสังเกต ฮานส์ทำทุกอย่างด้วยความทุลักทุเล เพราะจูเลียนกอดไม่ปล่อยจริงๆ เขารู้ว่าจูเลียนยังตกใจเพราะวรกายเพรียวระหงยังสั่นจนรู้สึกได้ ใบหน้าขาวนวลที่เคยซับสีเลือดฝาดระเรื่อ บัดนี้ซีดเซียวจนน่าเป็นห่วง

“ไหวไหม”

“คงไหว” จูเลียนปรือตาขึ้นตอบคำถามด้วยท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าจนฮานส์นึกสงสาร วันนี้คงเป็นวันที่หนักที่สุดแล้วในชีวิตของยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย ทั้งถูกไล่ล่าต้องหนีตาย ทั้งถูกฮานส์แกล้งให้เดินตั้งไกล คิดแล้วชายหนุ่มก็รู้สึกผิด

“ดีๆ สิจูเลียน ข้า..” รู้สึกผิดจนพูดไม่ออก ฮานส์ถอนหายใจหยิบถุงสัมภาระขึ้นพาดบ่า มืออีกข้างกอดคอจูเลียนรั้งให้เดินไปด้วยกัน ทั้งสองเดินไปเงียบๆ ในตรอกที่ร้างผู้คน เพราะอากาศหนาวเย็นเกินกว่าจะออกมาเดินเพ่นพ่าน บนพื้นยังปกคลุมไปด้วยหิมะ สองข้างทางเป็นบ้านที่ก่อขึ้นมาจากหิน หลังคามีแต่หิมะเกาะจนหนา ประตูหน้าต่างปิดเงียบราวกับไม่มีคนอาศัยอยู่ แต่ควันที่ลอยออกมาทางปล่องไฟยืนยันว่าที่นี่ยังไม่เป็นเมืองร้าง

“ฮานส์”

“อะไร”

“ข้ากลัว”

“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ให้ใครมาทำอะไรเจ้าได้” ฮานส์บอกพลางลูบเรือนผมจูเลียนเบา ๆ ผ่านหมวกคลุมศีรษะ

“ข้ากลัวเจ้า” ฮานส์หลุดขำ เขายอมรับว่าพึ่งจะฆ่าคนไปอย่างโหดเหี้ยมเลือดเย็น ตั้งแต่การแทงทะลุหัวใจ ลากคมมีดกรีดผ่ากลางอกขึ้นไปถึงคอ ตัดการมีชีวิตรอดอย่างเด็ดขาดรวดเร็ว ถ้าไม่ทำตัวเขาเองและจูเลียนจะเป็นฝ่ายถูกฆ่าแทน เขาต้องโจมตีแบบไม่ให้โอกาสมันได้ทำแม้กระทั่งเปล่งเสียงร้องออกมา แต่กลายเป็นว่าได้สร้างภาพติดตาน่ากลัวให้จูเลียนไปแล้ว ฮานส์ยิ้มขำทั้งที่ไม่เข้าใจ ปากจูเลียนบอกว่ากลัวเขาแต่มือทำไมกอดแน่นไม่ยอมปล่อย

เด็กหนอเด็กน้อย

**********************

นะแหม เด็กน้อยของฮานส์ เมียข้าๆๆๆๆๆๆ

การเดินทางเริ่มแล้ว สงสัยหนูจูกลัวมากจนลืมไปเลย ว่าถูก อตฮ (อีตาฮานส์)

เรียกเมียตั้งหลายครั้งไม่ยักกะโวยวาย แถมยังกอดกันซะจน...แหมๆๆ เดี๋ยวๆ เดี๋ยวตอนหน้าจะรู้สึก

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้น ดาวถือเป็นกำลังใจนะคะ ตอนไหนที่ตันๆ เขียนไม่ออก ดาวมานั่งอ่านเม้น แล้ว

มันก็ได้ฟีลไปอีกแบบ จะเม้นยังไง จะสงสัยอะไรเม้นได้ทุกรูปแบบ อยากรู้สึกว่าคนอ่านก็มีส่วนร่วม ดาวเปิดค่ะเม้นยังไงก็รับได้

ไม่เคยวีนคนอ่าน จะติ จะด่า ไม่ว่ากัน คนอ่านน่ารักทุกคนเลย แต่ใครไม่สะดวกเม้นก็ไม่ว่ากันอีกนั่นแหละค่ะ 

เจอกันตอนหน้านะนายท่าน

ดาว ณ แดนดิน 

5-3-2561

หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 16 สถานการณ์ย่ำแย่ของจูเลียน 17/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 17-12-2018 09:10:54
เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 16 สถานการณ์ย่ำแย่ของจูเลียน








หน้าต่างที่ปิดตายมาตั้งแต่ต้นฤดูหนาวถูกเปิดออกช้าๆ ด้วยมือเหี่ยวย่น บ่งบอกอายุเจ้าของมือได้เป็นอย่างดี ว่าผ่านช่วงชีวิตมายาวนานจนเข้าสู่วัยชรา บานหน้าต่างทำจากไม้เก่าคร่ำคร่าจนเริ่มผุกร่อนตามกาลเวลา ค่อยๆ แง้มจนอ้าออกกว้างด้วยแรงดันจากมือเหี่ยว เสียงความฝืดฝืนของบานพับเหล็กขึ้นสนิมดังประท้วงเบาๆ ราวกับไม่ต้องการเปิดรับความหนาวเย็นเบื้องนอก ที่พรูเข้ามาทันทียามบานหน้าต่างถูกดันอ้าออกเหมือนรอท่าอยู่แล้ว ความเย็นยะเยือกกระทบผิวหน้าจนชายชราสั่นสะท้าน แต่กระนั้นมือเหี่ยวย่นยังทำงานของตัวเองต่อไป

กลางดึกในคืนหนาวช่างดูมืดมนหดหู่ มองไปทางไหนเห็นแต่เงาตะคุ่มของบ้านเรือนไร้ชีวิตชีวา ชวนให้เกิดความรู้สึกอ้างว้าง เวลานี้เป็นเวลาที่ควรจะนอนซุกกายในเตียงอุ่นๆ แล้วหลับให้สบายถึงเช้า แต่ไม่ใช่ชายชราที่ยืนเกาะขอบหน้าต่าง ทอดสายตาฝ้าฟางมองผ่านความมืดกลางดึกออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย เทียนเล่มน้อยในมือถูกชูขึ้นสูงโบกไปมาเบาๆ ลมหนาวทำให้เปลวไฟวูบไหวจนเกือบดับ

ชายชราดับไฟที่ปลายเทียน บานหน้าต่างถูกปิดไว้ป้องกันลมหนาวดังเดิม ถอยจากหน้าต่างหันไปทางบันไดที่จะพาลงไปยังชั้นล่าง บ้านหลังนี้ก่อขึ้นจากหินสกัดที่ชายชราได้รับเป็นมรดกตกทอด ชายแก่ค่อยๆ หย่อนเท้าลงไปตามขั้นบันไดหินทีละขั้น รักษาน้ำหนักให้เบาที่สุด เพื่อจะได้ไม่เป็นการรบกวนคนที่นอนอยู่ชั้นล่างหน้าเตาผิง ตอนหัวค่ำชายชราใจดีรับผัวเมียเร่ร่อนคู่หนึ่งให้มาร่วมชายคาชั่วคราว แลกกับค่าตอบแทนเป็นเงินถึงหนึ่งเหรียญทองสำหรับการค้างแรมเพียงคืนเดียว นี่ถือว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม กับการสละพื้นที่หน้าเตาผิงที่กลางคืนชายชราไม่ได้ใช้งาน

ไฟในเตาผิงมอดไปแล้วเพราะไม่มีคนเติมฟืน บัดนี้จึงเหลือเพียงเถ้าถ่านและควันอ่อนๆ ลอยขึ้นมาบางๆ ให้เห็นว่ามันยังไม่ได้ดับมอดเสียทีเดียว ชายชราหยุดยืนดูเงาตะคุ่มของก้อนผ้าห่มหน้าเตา ในก้อนผ้าห่มนั้นเป็นร่างของสองผัวเมียที่เขาเอื้อเฟื้อให้พักแรม แลกกับค่าตอบแทนแสนคุ้ม แต่สิ่งที่เขาจะได้มากกว่านั้นกำลังมา ชายชราทิ้งสายตาว่างเปล่ามองกองผ้าห่ม ผละจากตรงนั้นเดินให้เงียบที่สุดไปที่ประตูหน้าบ้าน เขาเปิดให้สองผัวเมียผ่านเข้ามาตอนหัวค่ำอย่างมีน้ำใจ และตอนนี้เขากำลังเปิดรับคนอีกกลุ่ม ที่จะมาพาสองผัวเมียนี้ไปและทิ้งเงินรางวัลมากมายให้เป็นค่าตอบแทน

“พวกมันอยู่ไหน”

“ข้างในตามข้ามาสิ” กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดทหารทะมัดทะแมงราวสิบคน เดินเข้ามาภายในบ้านเงียบๆ หลังจากที่ชายชราเจ้าของบ้านเปิดทางให้ และเดินนำไปยังหน้าเตาผิง มือเหี่ยวย่นชี้ไปยังก้อนผ้าห่มที่กองอยู่หน้าเตา รูปร่างที่เห็นบ่งบอกว่าภายใต้ผ้าห่มผืนหนา คือมนุษย์ที่กำลังหลับไม่รู้ตัว และกำลังจะถูกปลุกขึ้นมาจากนิทราแสนสุข

กลุ่มชายฉกรรจ์กระจายตัวล้อมหน้าเตาผิง ดาบที่เก็บไว้ในฝักถูกถอดออกมาถือเตรียมพร้อม ใครคนหนึ่งในกลุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ใช้เท้าเตะที่กองผ้าแรงๆ เพื่อปลุกหลายครั้ง แต่ทุกอย่างกลับยังเงียบ มันเงียบมากจนทุกคนมองหน้ากันอย่างสงสัย มันเงียบมากราวกับว่าไม่มีใครอยู่ในนั้น หรือถ้ามีคงตายใต้ผ้าห่มไปแล้ว ถ้าเตะแรงขนาดนี้ยังไม่ตื่นไม่รู้สึกตัว

“เฮ้ย ตื่นสิวะ “ใครคนหนึ่งที่ดูท่าทางจะใจร้อนกว่าเพื่อนเรียกขึ้น เท้าก็เตะซ้ำไปด้วยแรงๆ แต่ทุกอย่างที่อยู่ภายใต้กองผ้ายังเงียบและนิ่งอยู่เหมือนเดิม

“เหมือนไม่มีคนอยู่เลยว่ะ”

“นั่นสิ ทำไมมันเงียบอย่างนี้วะไอ้แก่แกกล้าหลอกพวกข้าหรือ” มันหันมาตะคอกถามชายชรา ที่ยังยืนกระหยิ่มยิ้มย่องกับผลงานของตัวเอง

“ข้าไม่ได้หลอกนะ นี่คือคนที่เจ้ากำลังต้องการตัวจริงๆ “

“แล้วทำไมเงียบนักวะ เตะไปขนาดนี้ยังไม่ตื่นไม่ใช่มันตายแล้วหรือไง”

ชายชรายกยิ้มอ่อนแต่ดูเจ้าเล่ห์ “ก็ต้องเงียบสิ เพราะข้าผสมยานอนหลับในอาหารให้มันกิน”

“อ่า อย่างนี้นี่เอง เปิดผ้าออกสิวะ” ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกกระชากออกอย่างแรงตามคำสั่ง

“ไม่มีคน!”

“เป็นไปไม่ได้!” ชายชราเจ้าของบ้านตกใจจนเข่าอ่อนทรุดลงกับกองผ้า มือเหี่ยวย่นตบแรงๆ ไปตามหมอน ที่นอนและผ้าห่ม ที่เขาเป็นคนหามาให้สองผัวเมียคู่นั้นเองกับมือ ราวกับว่าคนที่กำลังถูกตามหาจะสามารถเข้าไปซ่อนตัวในหมอนได้

“เป็นไปได้ยังไง ข้าให้มันพาเมียมันนอนอยู่ตรงนี้ตั้งตอนหัวค่ำ”

“แกโกหก”

“ข้าไม่ได้โกหกนายท่าน จริงๆ ผัวมันตัวใหญ่ๆ พาเมียมันมาขอนอนค้างคืน ส่วนเมียมันถึงจะหน้าตามอมแมมไปหน่อย ข้าก็มั่นใจว่ามันคือคนในภาพวาดที่พวกเจ้าเอาให้ข้าดู”

“มันไม่ใช่ผัวเมียกันเจ้าโง่! ตอนนี้มันหายไปไหน เจ้ากล้าแต่งเรื่องหลอกทหารวังรึ” ชายชราตัวสั่นยกมือทาบอก เมื่อดาบเงาวับจ่อเข้าที่คออย่างคุกคาม ทหารกว่าสิบนายหันมายืนล้อมชายแก่อย่างเอาเรื่อง

“ข้าไม่ได้โกหก ได้โปรดเชื่อข้าเถอะนายท่าน ข้าไม่ได้โกหกจริงๆ นี่ไงเหรียญทองที่มันจ่ายเป็นค่าที่พัก” เพราะถือว่าตัวเองบริสุทธิ์ใจ จึงล้วงเอาเหรียญที่ได้เป็นค่าตอบแทนสำหรับที่พักออกมาเป็นหลักฐาน

เหรียญทองในมือเหี่ยวย่นถูกแย่งไปส่องดูกับแสงไฟ รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นบนใบหน้านายทหารนอกคอกอย่างเจ้าเล่ห์

“มันจ่ายเงินนี่เป็นค่าที่พักให้แกถูกไหมไอ้แก่”

“ถูกแล้วนายท่าน” ชายชรารีบตอบเพื่อเอาตัวรอด เหรียญมูลค่าสูงขนาดนี้ชาวบ้านจนๆ อย่างชายแก่ไม่มีโอกาสครอบครองมันได้ง่ายๆ หรอก

“หึ แล้วตอนนี้มันหายหัวไปไหนวะ ทำไมพวกข้ามาแล้วไม่เจอ”

“ข้า ข้าไม่รู้ แต่ข้าไม่ได้โกหกนะ”

“ข้าจะยอมเชื่อว่าเจ้าไม่โกหก” ชายชรายิ้มโล่งใจแต่ก็ต้องหุบยิ้มลงทันที “จะไม่เอาผิดเจ้าก็ได้ที่ปล่อยมันหนีไป พวกเรากลับ”

“เดี๋ยวสินายท่านเหรียญทองของข้า” ชายชรายื่นมือทั้งสองข้างออกมาตรงหน้า หวังขอเหรียญทองของตัวเองคืน แต่กลับได้รอยยิ้มเย็นที่ดูเสแสร้งให้หวานหยาดเยิ้มกลับมาแทน

“นี่มันของข้าต่างหาก”

“อะไรนะ! นั่นมันเงินที่พวกนั้นจ่ายเป็นค่าที่พักให้ข้านะ”

“ถือว่านี่เป็นค่าชดเชยที่แกทำให้พวกข้าเสียเวลาก็แล้วกัน”

“ไม่ได้นะนั่นมันเงินข้าเอาคืนม..” ฉึก!! ชายชรากำลังจะลุกขึ้นยื้อแย่งเอาเงินของตัวเองคืน แต่ถูกแทงสวนกลับมาด้วยดาบเข้าที่กลางท้องทะลุออกหลัง เลือดสีแดงฉานพุ่งกระฉูดออกมาอย่างน่ากลัว

ร่างสูงอายุถูกถีบออกจากคมดาบเหมือนก้อนเนื้อไร้ค่า และถูกใช้เป็นที่เช็ดคราบเลือดให้อาวุธที่ปลิดชีพ ก่อนจะถูกเก็บเข้าฝักเหมือนเดิม เหล่าทหารเดินข้ามศพออกไปหน้าตาเฉย

มุมหนึ่งในตรอกมืดที่สามารถมองเห็นบ้านสองชั้นก่อด้วยหินอยู่เกือบอยู่ท้ายหมู่บ้านได้พอดี คนที่ซ่อนตัวอยู่รีบผละเดินออกไปจากตรงนั้นไปทันที ที่เห็นทหารกลุ่มหนึ่งพากันเข้าไปในบ้าน ประตูเปิดรับโดยชายชราผู้เป็นเจ้าของ ที่รับเงินค่าพักแรมจากเขาไปในจำนวนที่มากกว่าบริการที่ได้รับหลายเท่า แต่ชายชรากลับโลภมากอยากได้มากกว่านั้นจากค่าหัวของจูเลียน ดีที่ฮานส์ไหวตัวทัน

หนึ่งชายร่างกายสูงใหญ่กับอีกหนึ่งหนุ่มน้อยที่เดินกอดเอวแน่นไม่ยอมปล่อย เพราะความกลัวและความหนาว ทั้งสองเดินมาจนเกือบจะถึงท้ายหมู่บ้าน แต่ก็ยังไม่เห็นว่ามีที่ไหนเหมือนจะเป็นที่พักเปิดไว้คอยให้บริการ ฮานส์ก้มลงดูสภาพของคนในอ้อมกอด คิดว่าหากยังไม่ได้ที่พักเร็วๆ นี้จูเลียนคงไม่ไหวแน่ จากท่าทางที่ดูอ่อนล้า ดวงตาหรือก็กำลังจะปิดมิปิดแหล่ดูน่าสงสาร ที่จูเลียนยังไม่หลับไปคงเป็นเพราะฮานส์ยังพาก้าวไปข้างหน้าไม่หยุด เดินจนถึงท้ายหมู่บ้านชายหนุ่มตัดสินใจเคาะประตูบ้านหลังหนึ่ง

“ข้าต้องการที่พัก ท่านพอจะแบ่งที่แถวหน้าเตาผิงให้พวกเราค้างด้วยสักคืนได้ไหมท่านลุง” ชายเจ้าของบ้านบ้านเงียบ แต่ฮานส์รอไม่ไหวจึงได้ยื่นข้อเสนอที่คิดว่าเจ้าของบ้านคงไม่ปฏิเสธ “ข้ายินดีจ่ายสำหรับคืนนี้หนึ่งเหรียญทอง” ชายชรามองใบหน้าที่รกไปด้วยหนวดเคราของฮานส์เงียบๆ สายตาฝ้าฟางไล่ไปตามโครงหน้าคมคายจนมาหยุดอยู่กับร่างปวกเปียก ที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา

“เมียข้าเอง กำลังไม่สบายข้าขอที่พักแค่คืนเดียว พรุ่งนี้เช้าเราจะเดินทางแต่เช้า และนี่เป็นของท่านลุงสำหรับค่าที่พัก” ฮานส์บอกพลางขยับผ้าคลุมหัวปิดใบหน้าให้จูเลียนไปด้วย แล้วจึงหยิบเหรียญที่มูลค่าของมันนั้นสามารถจ่ายค่าที่พักดีๆ ได้หลายวันให้ชายชราที่รับไปตรวจดูอย่างละเอียด ก่อนจะหลีกทางให้เขาพาจูเลียนเข้าไปข้างในที่อบอุ่นกว่า ส่วนชายชราเดินหายไปอีกทางขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน

“ถึงไหนแล้ว”

“ถึงที่พักแล้ว เจ้าง่วงมากหรือไง”

“ข้าอยากนอน” จูเลียนอ้าปากหาวกว้างจนฮานส์อยากหัวเราะขำ ก็พอดีชายชราเจ้าของบ้านกลับลงมาพร้อมกับผ้าห่มในอ้อมแขน

“พวกเจ้านอนตรงนี้ก็แล้วกัน” ชายเจ้าของบ้านบอกพลางยื่นผ้าห่มมาให้ ใบหน้าเหี่ยวย่นยังเรียบนิ่ง “ต้องการอาหารไหม”

“หากไม่ทำให้ท่านลุงลำบากเกินไป ข้าขอขนมปังสักก้อนกันซุบร้อนๆ ได้ไหม”

“ข้าพอมีอาหารของวันนี้เหลือ เดี๋ยวจะไปเอามาให้”

“ขอบคุณ”

“ฮานส์เจ้าคุยกับใคร” จูเลียนถามขึ้นเหมือนเพิ่งนึกได้ หลังจากที่เจ้าของบ้านเดินออกไปแล้ว

“ข้าคุยกับเจ้าของบ้าน เจ้าอยากกินอะไรอีกไหม”

“ไม่เอาไม่กินแล้วข้าจะนอน ข้านอนได้หรือยัง” จูเลียนแทบจะหลับทั้งยืนอยู่แล้ว ขณะที่ถามคำถามเด็กๆ ออกมาเหมือนไม่รู้ตัว แต่มันก็เรียกรอยยิ้มจากเจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิทได้ทันที

“มานอนตรงนี้มา” ฮานส์ปูที่นอนหน้าเตาผิงให้จูเลียน ที่ดูเหมือนจะหลับไปทันทีที่ทรุดตัวลงบนกองผ้า ชายหนุ่มจัดท่านอนให้จูเลียนดีๆ ดึงผ้าขึ้นห่มให้จนถึงคอ ไม่ลืมกระชับผ้าปิดใบหูให้เพื่อความอบอุ่นด้วย

ฮานส์นั่งมองพักตร์มอมแมมของกษัตริย์หนุ่มน้อยด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เขาค่อยๆ ปล่อยลมหายใจออกมาเบาๆ ขณะที่เช็ดคราบสกปรกออกจากใบหน้านวลอย่างเบามือ จูเลียนไม่รู้ตัวและเหมือนจะหลับไปทันทีที่หัวถึงหมอนยิ่งกว่าเด็กขี้เซา ไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าความตายกำลังคืบคลานตามมาทุกฝีก้าว

“นี่อาหารที่เจ้าต้องการ ข้านอนอยู่ชั้นบนกับเมียข้า มีอะไรเรียกก็แล้วกัน”

“เท่านี้ก็รบกวนท่านลุงมากแล้ว ข้าขอบคุณท่านจริงๆ “ชายเจ้าของบ้านพูดกับฮานส์ไม่กี่คำก็เลี่ยงขึ้นไปยังชั้นสอง ทิ้งให้แขกที่มาขออาศัยพักด้วยอยู่กันตามลำพัง

ฮานส์วางถาดอาหารลงบนพื้นตรงมุมหนึ่งใกล้ๆ เตาผิง ได้ยินเสียงชายชราเจ้าของบ้านเข้าห้องไปแล้ว เขาจึงเดินดูรอบๆ บ้าน ตรวจจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดสังเกตแล้วจึงกลับมาที่เตาผิง ล้มตัวลงนอนคั่นระหว่างจูเลียนกับเตาผิงไว้ เผื่อเด็กน้อยนอนดิ้นจะได้ไม่เป็นอันตราย ฮานส์หลับไปทันทีจนกระทั่งได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ

ต่อ...
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 16 สถานการณ์ย่ำแย่ของจูเลียน 17/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 17-12-2018 09:12:43


บรรยากาศรอบตัวยังถือว่าแย่อยู่มาก ถึงแม้ตอนนี้หิมะจะหยุดตกแล้ว แต่ความหนาวเย็นยังจับขั้วหัวใจจนปากสั่น ฮานส์เดินฝ่าความมืดและความหนาวห่างจากบ้านหลังนั้นออกมาเงียบๆ แต่ก็เดินเร็วมากไม่ได้เพราะแบกคนขี้เซาไว้บนหลัง เขาพยายามแล้วที่จะปลุกจูเลียน แต่หนุ่มน้อยเพียงขยับตัวแล้วหลับต่อไม่มีทีท่าว่าจะตื่น กับสิ่งที่จูเลียนเจอมาวันนี้ฮานส์ไม่สงสัยเลยถ้าจูเลียนจะหลับเป็นตาย แต่เขาก็รอไม่ได้จึงต้องแบกคนขี้เซาออกมา ชายหนุ่มในชุดคลุมดำสบถเบาๆ ขณะกระชับคนบนหลังเพื่อแบกให้ถนัดขึ้น คนหลับที่หลับลึก หลับใหล หลับสนิท หลับไม่รู้เรื่องจนฮานส์กลัวว่าจะตก

“กอดคอดีๆ “ฮานส์บอกเสียงดุแต่นอกจากจูเลียนจะไม่ทำตามแล้ว มือที่ฮานส์จับมาพาดไว้รอบคอยังตกลงข้างตัว เวลาเดินเร็วๆ คนขี้เซาก็เหมือนจะหงายหลัง จนต้องหยุดจับให้จูเลียนกอดคอใหม่อยู่หลายครั้ง

“กอดดีๆ สิวะ”

“งึ่มๆ “เรียกก็แล้วบอกก็แล้วแต่คนหลับก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น จนฮานส์นึกอยากโยนร่างหลับใหลทิ้งลงกลางหิมะให้รู้แล้วรู้รอด แต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ลงอยู่ดี คนบนหลังน้ำหนักไม่มาก แต่ให้แบกนานๆ มันก็เมื่อยก็ล้าได้เหมือนกัน และในที่สุดความอดทนของฮานส์ก็หมดลง เมื่อมือทั้งสองข้างของจูเลียนที่ถูกจับมาพาดไหล่ให้กอดคอตกออกจากที่ที่ควรอยู่ ตัวจูเลียนหรือก็คอยแต่จะโงนเงนไปมาทำท่าเหมือนจะตก ฮานส์เลยหมดความอดทน และ

ป้าบ!!!

“อือ อะไรลีโอ”

“หือ ว่าไงนะ”

“เจ้าตีก้นข้าทำไมลีโอ งืมมมม” ฮานส์ได้แต่ส่ายหัว ทั้งที่ฟาดก้นไปแรงขนาดนั้นอย่างมันเขี้ยว แต่แทนที่จะทำให้จูเลียนตกใจตื่น กลับทำได้แค่เรียกเสียงละเมอแหบๆ ออกมา แล้วเจ้าตัวก็หลับต่อไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม หนำซ้ำยังคิดว่าเขาเป็นเด็กรับใช้ประจำตัวคนนั้น จูเลียนบ่นอะไรพึมพำอีกสองสามคำ พลางกระชับท่อนแขนกอดคอฮานส์แน่นขึ้น ซุกใบหน้าบดบี้แก้มลงกับซอกคออุ่นๆ ของคนแบกแล้วหลับต่อ

ฮานส์เร่งฝีเท้าไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเขาจะเดินได้ จนมาถึงทางเข้าหมู่บ้านใกล้ๆ กับร้านที่เขากับจูเลียนพากันเข้าไปตอนมาถึง ชายพเนจรไม่ได้ตั้งใจมาที่ร้านนั้น เพราะจุดหมายของเขาคือขบวนรถม้าเดินทางที่จอดอยู่ข้างร้านต่างหาก ฮานส์แบกจูเลียนตรงไปยังรถม้าคันใหญ่สุดที่จอดอยู่กลางขบวน เปิดประตูออกพาจูเลียนขึ้นไปอย่างไม่ลังเล

“ข้าจะไม่รบกวนเวลาเสพสุขของเจ้า แค่อยากขอโดยสารไปด้วย” สิ้นคำขอของชายหนุ่มสองร่างที่กำลังร่วมรักกันอย่างเร่าร้อนพลันหยุดชะงักหันมาทางต้นเสียง หญิงสาวอีกสองคนที่กำลังปรนเปรอให้ชายหนึ่งเดียวในนั้นก็หันไปมองด้วย

“ที่นี่ไม่รับผู้โดยสาร ลงไปจากรถม้าของข้าซะก่อนที่จะเรียกคนมาลากตัวเจ้าลงไป” ชายร่างท้วมเจ้าของรถม้าทิ้งท้ายอย่างข่มขู่ แล้วหันไปสนใจกับร่างอรชรยั่วตัณหาที่กำลังคร่อมอยู่บนตัว กดสะโพกให้นางเริ่มส่ายร่อนเอวปรนเปรอไม่ให้ขาดตอน

“ท่านนั่นเอง” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกมุมในรถม้า ฮานส์หันไปมองก็จำนางได้ทันที เขาสบตากับหญิงสาวที่กำลังเดินนวยนาดเข้ามาหา “ข้าจำท่านได้” นางพูดกับเขาแล้วหันไปทางชายร่างท้วมที่กำลังมัวเมากับกลิ่นคาวกาม “นายท่านนี่เพื่อนเก่าของท่านไม่ใช่หรือกุสตราฟ”

“เจ้า! “ชายเจ้าของชื่อกุสตราฟเงยหน้าขึ้นมองฮานส์เต็มๆ ตาก็จำได้ สายตาเจ้าเล่ห์โลภมากจึงถึงกับอึ้งค้าง หญิงที่กำลังขยับโยกตัวส่ายสะโพกร่อนเป็นวงบนร่างท้วมยังทำงานดีไม่มีบกพร่อง

“ยินดีต้อนรับนายท่าน เชิญนั่งลงก่อนสิ” เจ้าของเสียงหวานนี้ ฮานส์จำได้ว่าชื่อมาเรียตต้า นางต้อนรับเขาอย่างมีไมตรีขณะที่เจ้านายของนางยังนั่งหน้าตึงไม่พอใจ

“ข้ายังไม่ได้อนุญาตนะมาเรียตต้า” กุสตราฟบอกเสียงเข้ม เขาเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ

“นี่เพื่อนเก่าเราไม่ใช่หรือนายท่าน เราน่าจะต้อนรับเขาอย่างดีนะ เดี๋ยวข้าจะดูแลเอง” นั่นยิ่งทำให้กุสตราฟไม่พอใจ เพราะฮานส์เคยแย่งมาเรียตต้าไปกกอย่างเร่าร้อนต่อหน้าต่อตาตอนเจอกันคราวก่อน

“เจ้าออกมาไกลๆ เลยมาเรียตต้าอย่าเข้าไปใกล้มัน ซี้ด อ่า” กุสตราฟหลุดเสียงคราง เพราะทั้งพูดไปมือก็ขย้ำก้อนเนื้อบั้นท้ายของคนที่กำลังเร่งควบขี่บนตัวไปด้วย

“ตกลงจะให้ข้าโดยสารไปด้วยได้หรือไม่”

“ข้า..” กุสตราฟเงียบเสียงเพียงเท่านั้นเมื่อฮานส์ดีดเหรียญทองมาให้ และเขาก็รับมันไว้ได้พอดี การเป็นผู้ชนะการประลองมันก็ดีตรงที่ทำให้ฮานส์มีเหรียญใช้จ่ายได้ไม่ขาดมือ แม้การจ่ายแต่ละครั้งจะแพงแสนแพงไปสักหน่อย

ฮานส์พาร่างหลับใหลของจูเลียนไปนั่งลงยังมุมหนึ่งของรถม้า ในนี้กว้างขวางมากพอที่จะอยู่ได้ถึงสิบคน ขณะที่กุสตราฟมองตามพูดอะไรไม่ออก ด้วยว่ายังเกรงใจดาบด้ามยาวที่เคยพาดบนคอ สายตาคมกริบเชือดเฉือนของฮานส์ในวันก่อนยังติดตา กุสตราฟไม่กล้าหือ แม้จะไม่พอใจที่มาเรียตต้าคนโปรดดูกระตือรือร้นที่ได้เจอฮานส์อีกครั้ง



***********************





เซอร์เฮนริช  ลีโอน้อย



“เจ้าไหวไหมลีโอ ทำไมไม่นอนลงดีๆ ”

“ไหว แต่ข้าเป็นห่วงฝ่าบาทจังเลยเซอร์ราเชล” ราเชลเงียบไม่รู้จะปลอบลีโอที่นั่งสัปหงกข้างกองไฟอย่างน่าสงสารว่ายังไง ดี ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าปานนี้จูเลียนจะเป็นตายร้ายดียังไงเหมือนกัน ได้แต่นั่งมองตากับเฮนริชที่นั่งเงียบอยู่ถัดไปจากลีโอ ส่วนกรอสเซ่ที่ราเชลลากมาด้วยนอนอยู่อีกมุมไม่ไกลจากกองไฟ ทหารคนอื่นที่รอดมาได้ประมาณยี่สิบกว่าคนกระจายตัวกันอยู่รอบๆ บ้างนอนพักข้างกองไฟ บ้างนั่งคุยกัน

พอฝ่าวงล้อมออกมาได้ราเชลกับเฮนริชก็พาทุกคนมุ่งไปทางเหนือของหมู่บ้านตามที่นัดไว้ แต่ปรากฏว่าที่นั่นเต็มไปด้วยพวกทหารวังและทหารรับจ้าง เฮนริชแบ่งทหารฝีมือดีที่หนีรอดมาด้วยกันออกตรวจดู ว่าฮานส์ไม่ได้พาจูเลียนมาทางนี้จริงๆ จึงพากันหนีไปอีกทาง ถึงเฮนริชจะไม่พอใจที่ฮานส์พาจูเลียนหนีไปคนละทาง แต่ก็เล่าเรื่องที่เลนนี่ขอให้ฮานส์มาช่วยคุ้มครองจูเลียนให้ราเชลฟัง

“นอนเถอะ ข้าจะดูเอง” ราเชลบอกพลางพยักพเยิดใบหน้าไปทางลีโอที่นั่งหลับๆ ตื่นๆ เหมือนบอกให้เฮนริชทำอะไรสักอย่างให้ลีโอยอมนอนดีๆ แล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไปจากตรงนั้นเพื่อเดินตรวจเวรยามรอบๆ

“ลีโอ”

“อื้อ”

“มานอนดีๆ “

“ลีโอจะรอฝ่าบาท” เสียงของลีโอพึมพำเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ดูท่าทางว่าจะหลับมากกว่าตื่น กระทั่งตอนที่เฮนริชรั้งร่างผอมบางให้เอนตัวมาซบลงที่กลางอก เด็กน้อยยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ พอซุกตัวเข้าหาความอบอุ่นได้ลีโอก็หลับสนิทไปทันที

ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นข้างกองไฟ อัศวินหนุ่มพินิจใบหน้าอ่อนเยาว์ ของคนที่เขาให้อาศัยไออุ่นจากอ้อมอก ในแสงไฟสีส้มส่องให้เห็นใบหน้านวลผ่อง ความหนาวทำให้ช่วงปลายจมูกและพวงแก้มซับสีแดงระเรื่ออย่างน่ามอง และเฮนริชก็มองอย่างที่เขาอยากมอง ไม่รู้ทำไมต้องอยากมอง แต่ก็มองอยู่อย่างนั้นเป็นครู่จึงค่อยๆ หลับตาลงพักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับอะไรอีกหลายอย่าง ที่ไม่รู้จะพาไปสู่ความตายหรือพากลับบ้าน แต่เหมือนอัศวินหนุ่มจะหลับลงจริงๆ ได้ไม่นาน ตอนที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเหมือนมีคนกำลังต่อสู้กัน

“เฮนริช เราถูกโจมตีพาลีโอหนีไป” เสียงราเชลดังแทรกเสียงกระทบกันของอาวุธ ทำให้เฮนริชตื่นตัวขึ้นมาทันที เขย่าปลุกคนในอ้อมกอด ลีโอสะลึมสะลือเห็นว่าทหารกำลังสู้กันก็ตื่นเต็มตา

“เกิดอะไรขึ้นเซอร์เฮนริช”

“เราถูกโจมตี” เฮนริชบอกพลางกระชากดาบออกจากฝัก เขาลุกขึ้นไม่ลืมคว้าข้อมือผอมๆ ของลีโอให้ลุกตามด้วย “อยู่กับข้าไม่ต้องกลัว”

“ข้าไม่กลัว ลีโอจะไม่กลัว” เฮนริชขยับปากเหมือนจะยิ้มที่ได้ยินคำตอบของลีโอ แต่ก็ให้ความสนใจได้ไม่นาน เพราะศัตรูกำลังกรูกันเข้ามาจากทุกทาง

“ลีโอเจ้าตื่นหรือยัง” ราเชลตะโกนถามพลางสู้อยู่ไม่ไกลจากกองไฟอีกด้าน กรอสเซ่ที่นอนอยู่อีกฝั่งค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ แต่พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรก็สะดุ้งตกใจถอยหนีแทบไม่ทัน

“พวกมันมาเท่าไหร่” เฮนริชหันไปถามราเชล

“ใครจะทันได้นับมาอย่างกับมดปลวก เจ้าพาลีโอหนีไปก่อนเลยข้ากับทหารที่เหลือจะต้านพวกมันไว้เอง”

“เราต้องไปด้วยกันสิเซอร์ราเชล” ลีโอบอกอย่างกล้าหาญในมือถือดาบไว้มั่น แต่ไม่ทันได้ฟาดฟันใส่ใครหรอก เพราะเฮนริชที่แขนยาวกว่าจัดการให้ก่อน จนไม่มีศัตรูหน้าไหนเข้าถึงตัวลีโอได้

“ไม่ได้ลีโอเจ้ารีบหนีไปเดี๋ยวนี้เลย” ราเชลบอกเพียงเท่านั้นก็วิ่งออกไปสู้กับทหารกลุ่มใหญ่ ที่กรูเข้ามาจนทะลักถึงกองไฟด้านใน เฮนริชจับข้อมือลีโอไว้แน่นสู้ไปพลางถอยไปพลาง แต่มือไม่ยอมปล่อย การต่อสู้ชุลมุนวุ่นวายจนไม่รู้ใครเป็นใคร ตอนนี้เฮนริชไม่เห็นราเชลกับกรอสเซ่แล้ว

ฉับ!!

“เซอร์เฮนริช! “ลีโอร้องเรียกเสียงหลงเมื่อเห็นเฮนริชถูกฟันเข้าที่ต้นแขน เด็กน้อยไม่ทันคิดอะไรมากกว่าความเป็นห่วง เห็นศัตรูกำลังจะเข้ามาฟันซ้ำ รีบถลาเอาตัวเข้าบังร่างสูงใหญ่รับดาบแทน

ฉับ!!

“ลีโอ!” เฮนริชกอดลีโอแน่นพลิกตัวกลิ้งหลบไปอีกทาง ศัตรูที่กำลังได้เปรียบตามกัดไม่ปล่อย จนกระทั่งอัศวินหนุ่มคว้าได้หอกที่ตกอยู่ใกล้ๆ จึงแทงสวนกลับ ปลายหอกที่แทงเข้ากลางอกทะลุหลังหยุดการโจมตีได้ทันที แต่พวกที่เหลือก็เข้ามาแทนอย่างไม่กลัวตาย เฮนริชผลักลีโอที่กำลังอึ้งออก ดันร่างผอมบางให้ซุกเข้าไปใต้กองหิมะ แล้วหันกลับไปจัดการกับพวกที่เหลือจนหมด จึงกลับมาหาลีโอที่นอนคุดคู้อย่างน่าสงสาร

“ลีโอเจ้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“เซอร์เฮนริช ท่าน ท่านปลอดภัยใช่ไหม” ลีโอไม่ตอบแต่ละล่ำละลักถามอย่างเป็นห่วง มือหรือก็ลูบคลำไปตามเสื้อผ้าหนาที่ห่อหุ้มร่างกายกำยำหาสิ่งผิดปกติ

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าเจ็บตรงไหนบ้าง” เฮนริชจับลีโอหมุนไปหมุนมาตรวจหาบาดแผล ลีโอไม่รับบาดเจ็บเพราะเฮนริชกอดลีโอพลิกตัวหลบได้ทันพอดี คมดาบของศัตรูจึงพลาดเป้า แต่ร่างแน่งน้อยผอมบางก็ยังสั่นไปทั้งตัว

“เฮนริช” ราเชลขี่ม้าฝ่าการต่อสู้ที่กำลังชุลมุนเข้ามาหา โยนสายบังเหียนม้าอีกตัวที่วิ่งตามมาให้เฮนริชแล้วขี่ออกไป

“ลีโอมา” เฮนริชกระโดดขึ้นม้าคว้าร่างผอมๆ ของลีโอติดมือขึ้นไปนั่งข้างหลังด้วย พอรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนของเด็กน้อยที่รัดรอบเอว อัศวินหนุ่มก็ควบม้าหนีจากตรงนั้นไปทันที

ม้าศึกตัวใหญ่ทะยานไปข้างหน้าราวกับรู้ใจว่าคนขี่อยากไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ลีโอกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นรู้สึกและสัมผัสได้ถึงความปลอดภัย แต่เด็กน้อยก็ยังไม่วายห่วงคนที่อยู่ข้างหลัง

“ไม่มีใครตามเรามาเลยเซอร์เฮนริช” ลีโอบอกหลังจากหันกลับไปเพ่งมองฝ่าความมืดข้างหลัง แต่ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรสักอย่าง นอกจากเงาตะคุ่มของต้นไม้ที่ถูกคลุมด้วยหิมะ ยิ่งทิ้งระยะห่างออกมาไกล ก็ยิ่งดูเหมือนว่าข้างหลังจะมืดขึ้นเรื่อยๆ จนมองอะไรแทบไม่เห็น เหมือนถูกปิดตา เหมือนถูกความมืดที่มืดดำอยู่แล้วของรัตติกาลกลืนกินจนน่ากลัว

“เซอร์เฮนริช” พอเฮนริชเงียบลีโอเลยลองเรียกเบาๆ อีก แต่เสียงเด็กน้อยก็สั่นจนน่าเป็นห่วง “เซอร์ราเชลจะปลอดภัยใช่ไหม” เพราะความเป็นห่วงลีโอจึงถาม คำถามนั้นไม่ได้ต้องการแต่เหมือนเด็กน้อยปลอบใจตัวเองมากกว่า เพราะความรักความผูกพันที่อัศวินทั้งสี่คอยดูแลลีโอมาตลอด ทำให้เด็กน้อยอดเป็นห่วงไม่ได้

เฮนริชควบม้าฝ่าความมืดพาลีโอหนีไปอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง จนกระทั่งเบื้องหน้ามีแสงรำไรโผล่แทรกกลุ่มเมฆออกมาจากขอบฟ้า ความสว่างไล่ความมืดดำของรัตติกาลออกไปอย่างยากลำบาก เพราะกลุ่มเมฆหนาที่คอยกีดกันบดบัง เหมือนไม่ต้องการให้แสงแห่งอรุณรุ่งได้มาเยือนพื้นพิภพ ม้าศึกตัวใหญ่ยังวิ่งควบไปข้างหน้า ฝีเท้าที่ช้าลงบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าเพราะวิ่งมาเกือบทั้งคืน ลีโอหลับๆ ตื่นๆ ไปตลอดทาง แต่มือทิ้งสองข้างยังกอดเอวหนาไว้แน่น จนในที่สุดความเร็วของม้าก็ลดลงจนเดินช้าๆ และได้เวลาหยุดพักสักที

“ลีโอตื่นได้แล้ว”

“อือ”

“เจ้าตื่นหรือยัง”

“ตื่นแล้วๆ “

“ตื่นแล้วก็ลง” เฮนริชบอกลีโอแล้วกระดดลงจากม้าไปก่อน รอรับร่างที่บอกว่าตื่นแล้วแต่ยังไม่ยอมลืมตา ร่างผอมบางถูกรั้งลงมาจากหลังมานั่นแหละ ลีโอจึงได้เวลาตื่นจริงๆ

“เซอร์เฮนริชท่าน! “ใบหน้าของเฮนริชซีดเผือดจนลีโอตกใจ จากที่สะลึมสะลือตอนนี้เลยตื่นเต็มตาจริงๆ เด็กน้อยรีบประคองอัศวินหนุ่มพาเดินมานั่งพิงลงข้างต้นไม้ใหญ่ ปล่อยม้าให้ยืนอยู่ไม่ไกลกัน “ข้าขอดูแผลท่านหน่อย”

“ไม่ต้องลีโอ เดี๋ยวข้าทำเอง”

“แต่ท่านจะไม่ไหวเอานะ ให้ข้าดูให้ดีกว่า” ลีโอไม่ฟังรีบถอดเสื้อออกจากร่างกำยำของเฮนริช จนได้เห็นแผลที่ต้นแขนพาดข้ามมาเกือบถึงหน้าอกเท่านั้นล่ะ เด็กน้อยถึงกับมืออ่อนเข่าอ่อน จากที่นั่งคุกเข่าท่าทางทะมัดทะแมงในตอนแรก เห็นผลแล้วลีโอเลยนั่งแปะลงกับหิมะทั้งตัว

“ข้าบอกเจ้าแล้ว” รู้ว่าลีโอกลัวเลือดกลัวบาดแผลใหญ่ๆ อย่างนี้เฮนริชจึงไม่อยากให้เห็น แม้เลือดจะหยุดไหลออกมาแล้ว แต่ก็ยังมีส่วนที่เอ่อขังอยู่ปากแผลและเปียกชุ่มอยู่ตามเสื้อผ้าเต็มไปหมด

“ข้า ข้าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะทำแผลให้ท่านเอง” ลีโอหายใจเข้าลึกๆ บอกทั้งที่ไม่กล้ามองแผลตรงๆ มือเช็ดคราบเลือดรอบแผลไปด้วย แต่ก็สั่นจนเฮนริชต้องถอนหายใจ แผลแค่นี้ทำอะไรอัศวินที่ได้รับการฝึกฝนมาจนแข็งแกร่ง และเจอความสมบุกสมบันมาแล้วทุกรูปแบบอย่างเฮนริชไม่ได้ก็จริง แต่ก็เล่นเอาเพลียไม่น้อยเพราะเสียเลือดไปเยอะ

“เจ้าอย่าฝืนลีโอ”

“ข้าทำได้ ตอนต่อสู้กันน่ากลัวกว่านี้ข้ายังไม่เป็นไรเลย” ใช่นะสิเพราะตอนต่อสู้กันลีโอไม่ได้ตั้งใจมองตรงๆ เลยไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้ต้องนั่งอยู่ใกล้ๆ แค่ได้เห็นแผลเห็นเลือดสดๆ เต็มตา มือก็สั่นตัวสั่นขึ้นมาเสียเฉยๆ แล้ว แต่เพราะความห่วงใยในตัวอัศวินหนุ่มนั้นมีมากกว่า ลีโอข่มความกลัวพยายามทำใจแข็งเช็ดเลือดรอบแผลออกจนสะอาด

“ข้าจะไปเก็บหญ้าสมุนไพรแถวนี้มาใส่แผลให้ท่านนะ”

“ไม่ต้อง!”

“ท่าน อย่าดื้อสิเซอร์เฮนริช ข้า..ข้าเป็นห่วงท่านนะ” เฮนริชหลับตาลงหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มความปวดจากบาดแผลที่เริ่มบวม พอลืมตาขึ้นมาเห็นแววตาสั่นๆ เพราะความห่วงใยของลีโอ จึงได้แต่พยักหน้าพึมพำบอกเบาๆ

“อย่าไปไกล”

ลีโอยิ้มกว้าง “ท่านก็ว่าง่ายเหมือนกันนะเซอร์เฮนริช”

“หือ?”

“เดี๋ยวข้ามานะ ไม่ต้องห่วงข้าจะอยู่แถวนี้ล่ะ” ลีโอวิ่งออกไปหาของที่ต้องการแล้วเฮนริชจึงหลับตาลง ชายหนุ่มหายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ ให้เป็นจังหวะเพื่อบรรเทาความปวดและมันได้ผล จนผ่านไปเป็นครู่ลีโอจึงกลับมาพร้อมหญ้าในกำมือ เป็นสมุนไพรสำหรับใส่แผลที่เด็กน้อยพอจะรู้จัก

“เซอร์เฮนริช” ลีโอเรียกเบาๆ แต่เจ้าของร่างกำยำที่นั่งพิงต้นสนยังนิ่ง พอเข้ามาดูใกล้ๆ ปรากฏว่าเฮนริชหลับไปแล้ว ลีโอจึงทำความสะอาดแผลให้อีกครั้ง ขยำหญ้าสมุนไพรโปะปิดปากแผลพันทับด้วยผ้า ซึ่งก็เป็นผ้าจากเสื้อตัวในของลีโอนั่นแหละที่พอจะใช้ได้

50% จ้า
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 16 สถานการณ์ย่ำแย่ของจูเลียน 100% 17/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 17-12-2018 20:38:51



ใบหน้าคมคายของคนหลับยังมีเค้าความเคร่งเครียด ลีโอไล่มองโครงหน้าที่แอบหลงใหลตรงๆ หลังจากที่ได้แต่แอบมองมานาน ผ้าชุบน้ำในมือถูกเช็ดเบาๆ ไปตามความคมสันที่เปื้อนไปด้วยคราบเลือดและเหงื่อไคลจนสะอาด เผยให้เห็นใบหน้าหล่อคมคายที่ครึ้มไปด้วยไรหนวด และเคราแข็งขึ้นเป็นตอสั้นส่งให้เฮนริชยิ่งดูมีเสน่ห์ชวนหลงใหลจนลีโอมองเพลิน รอยยิ้มไร้เดียงสาประดับใบหน้า แววตาลีโอเปล่งประกายอย่างคนที่กำลังมีความสุข เฮนริชและเพื่อนอัศวินทั้งสามดูแลลีโอมาตลอด ถึงวันนี้ลีโอได้ตอบแทนบ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

“เวลาท่านนอนนิ่งๆ ไม่เอาแต่ทำตาดุใส่ข้าก็น่ารักเหมือนกันนะเซอร์เฮนริช” ลีโออมยิ้มขณะมือยังไล่เช็ดทำความสะอาดลงมาตามลำคอหนาและแผงอกกว้าง ปากพึมพำพูดคนเดียวไปเรื่อย แต่พอพูดจบก็ต้องสะดุ้งเฮือกจนผ้าแทบหลุดมือเพราะเสียงดุๆ ที่ดังขึ้น

“เจ้าว่าอะไรข้านะลีโอ”

“เซอร์เฮนริช!” เปลือกตาที่ค่อยๆ เปิดขึ้นเผยให้เห็นดวงตาดุที่ลีโอไม่ค่อยกล้ามองตรงๆ แต่ก็มักจะแอบมองอยู่บ่อยๆ ยามอัศวินหนุ่มเผลอ

“ว่าไง” เฮนริชถามเสียงเข้มพลางดึงเสื้อขึ้นจัดให้เข้าที่เพราะเริ่มหนาว ลีโอเกร็งไปหมดทั้งตัวได้แต่ก้มหน้าถามกลับไม่เต็มเสียง

“อะ อะไรล่ะ”

“เจ้าพูดอะไร”

“ลีโอเปล่าพูด”

“แต่ข้าได้ยิน “ลีโอถึงกับสะดุ้งทั้งที่เฮนริชไม่ได้ตะคอกด้วยซ้ำ แค่ถามด้วยระดับเสียงที่ดังขึ้นกว่าเก่าเด็กน้อยก็สั่นแล้ว

“ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะท่านอย่ามากล่าวหากันสิ” ลีโอปากแข็ง

“จะพูดดีๆ หรือต้องให้ข้าบังคับ เจ้าหัดเป็นเด็กชอบโกหกตั้งแต่เมื่อไหร่” เฮนริชถามเสียงเข้มขึ้น มือตะปบเข้าต้นแขนลีโอบีบแน่นอย่างลืมตัว

“โอ๊ย! ข้าแค่บอกว่า...”

“ว่าอะไร”

“ถ้าบอกแล้วท่านห้ามโกรธข้านะ” เสียงลีโอสั่นจนเฮนริชอยากยิ้ม สีหน้าที่อิดโรยดูดีขึ้นยามเห็นลีโอหน้างอ ดวงตาคมจ้องใบหน้าอ่อนเยาว์นิ่ง ปากก็ถามเสียงเย็นเยือก

“เจ้าพูดไม่ดีหรือไงข้าถึงต้องโกรธ”

“ก็ไม่ใช่ไม่ดี ข้าแค่บอกว่าท่าน...” ลีโอลากเสียงอย่างคนไม่มั่นใจที่จะพูด จนเสียงหายไปในที่สุดก็ยังไม่กล้าพูดออกมา เฮนริชยังจ้องเขม็งเพิ่มความกดดันมากับสายตาดุ ลีโอที่สั่นจนทำตัวไม่ถูกอยู่แล้วเลยสั่นเข้าไปใหญ่ ใจมันหวิวๆ ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก กลัวพูดไปแล้วอีกคนจะโกรธแต่อีกใจก็นึกอยากพูดเล่นๆ ให้ผ่อนคลายบ้าง สองวันมานี้เครียดกันเหลือเกิน

“อือ ว่า..?”

“ท่าน..” ลีโอหลบตาริมฝีปากบางสั่นระริก ขณะที่อีกคนก็เอาแต่จ้องเขม็งรอฟัง อยากยิ้มลีโอเลยไม่กล้ายิ้ม

“อือ ข้า...ทำไม?”

“น่ารัก” ในที่สุดเด็กน้อยก็พูดออกมาเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ แต่คนที่กำลังตั้งใจฟังก็ยังได้ยินชัดเจน และนั่นมันทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าคมสัน แต่เพียงไม่นานก็หายไปเมื่ออัศวินหนุ่มแกล้งถามเสียงเข้ม

“ข้านี่นะน่ารัก ตาเจ้าเป็นอะไรไปแล้ว”

“ก็..ข้าไม่รู้ ลีโอไม่รู้ท่านอย่าถามสิ” ลีโอหน้างออมลมจนแก้มป่อง ปากเม้มแน่นจ้องหน้าเฮนริชเผลอมองด้วยสายตาค้อนไม่รู้ตัว “แต่..เอ๊ะ ท่านบอกว่าได้ยินแล้วทำไมยังบังคับให้ข้าพูดอยู่อีก”

“หึ”

“เซอร์เฮนริชท่านแกล้งข้า ท่านแกล้งลีโออีกแล้วนะ” ลีโออยากทุบกำปั้นลงกลางหน้าอกแกร่งแรงๆ สักครั้ง แต่นึกได้ว่าคงไม่สมควรจึงยั้งมือ เฮนริชเป็นถึงอัศวินประจำตัวกษัตริย์ผู้สูงเกียรติและยังบาดเจ็บอยู่ จึงได้แค่ทำหน้างอ ดวงตาไร้เดียงสาช้อนขึ้นมองใบหน้าคมสันที่ยังดูนิ่งอย่างตัดพ้อ เฮนริชต่อปากต่อคำกับลีโอเพลินเสียจนลืมปวดแผล

“ข้าไม่ใช่คนน่ารักอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะลีโอ ข้าไม่มานั่งเอาใจหรือทำอะไรให้เจ้าเหมือนที่สามคนนั้นทำหรอก” เฮนริชหมายถึงอัศวินอีกสามคนที่รักและเอ็นดูลีโอไม่ต่างกัน เด็กน้อยหน้าตึงไม่ใช่เพราะขัดใจในสิ่งที่เฮนริชพูด แต่เพราะไม่เข้าใจที่อีกคนบอกว่า ไม่มานั่งเอาใจหรือทำอะไรต่อมิอะไรให้ลีโอ แล้วการกระทำที่เจ้าของร่างกำยำเคยทำให้ลีโออยู่บ่อยๆ นั้นมันคืออะไร ทำไมต้องพูดให้ลีโอสับสนด้วย

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ”

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร”

“ก็ดี เจ้าพักซะหายเหนื่อยจะได้เดินทางต่อ” เฮนริชบอกพลางขยับตัวจะลุกขึ้น แต่ลีโอดึงชายผ้าคลุมของเขาไว้ก่อน

“ท่านจะไปไหน”

“ข้าจะไปหาฟืนมาก่อไฟ เจ้าไม่หนาวหรือไง” สภาพของลีโอตอนนี้ถึงเจ้าตัวไม่บอก เฮนริชก็รู้ว่าลีโอหนาวมากขนาดไหน ปากสั่นตัวสั่นเสียขนาดนี้

“หนาว แต่เดี๋ยวข้าไปหาเองไง”

“เจ้ารออยู่นี่เดี๋ยวข้ามา”

“เซอร์เฮนริช แต่ท่านบาดเจ็บอยู่นะ”

“บาดเจ็บแล้วข้าไปไม่ได้หรือไง แค่ไปหาฟืน” พอเฮนริชเริ่มเสียงเข้มขึ้น ลีโอก็ได้แต่นั่งก้มหน้าอยากเถียงด้วย อยากดื้อรั้นแต่เห็นสายตาคมๆ ที่มองมาดุๆ นั่นทีไรก็ไปไม่เป็นทุกที

“ข้าแค่อยากให้ท่านพักผ่อน” เฮนริชส่ายหัวให้เด็กน้อยที่นั่งก้มหน้าก้มตาพึมพำพูดอะไรเบาๆ อยู่คนเดียว ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเลยไม่สนใจ ลุกขึ้นไปหาฟืนมาก่อไฟให้ความอบอุ่น แสงยามเช้าหายไปเพราะเมฆบัง ละอองหิมะเริ่มโปรยลงมาอีกแล้ว รอบตัวเงียบสงบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในบริเวณนี้เลย ไม่มีแม้กระทั่งสายลมพัดมาซ้ำเติมความหนาว ม้าตัวใหญ่ยืนนิ่งเพราะกำลังหลับ มองไปทางไหนก็ให้รู้สึกหดหู่ไปหมด ลีโอขดตัวนั่งซึมอยู่กับโคนต้นไม้ ไม่นานเฮนริชก็กลับมาพร้อมกิ่งไม้แห้งหอบใหญ่เต็มอ้อมแขน เขาก่อไฟเงียบๆ

“ที่นี่ที่ไหนท่านรู้ไหม” เสียงหงอยๆ ของลีโอทำให้เฮนริชถึงกับเงยหน้าขึ้นมอง

“จากที่พักของเราเมื่อคืนมาทางนี้เป็นทิศตะวันออก คิดว่าเดินทางอีกไม่ไกลเราน่าจะเจอทางไปเมืองหลวง”

“เราจะกลับเมืองหลวงแล้วหรือเซอร์เฮนริช แล้วฝ่าบาทล่ะ เราไม่ต้องตามหาฝ่าบาทหรือไงเราทิ้งฝ่าบาทไม่ได้นะ”

“ตามสิแต่รอราเชลมาก่อน” เฮนริชตอบเหมือนไม่ใส่ใจ ทั้งที่ข้างในก็หนักใจอยู่ไม่น้อย เพราะเดาไม่ถูกว่าฮานส์จะพาจูเลียนหนีไปทางไหน เขานึกหงุดหงิด ยิ่งเห็นแววตาที่เป็นประกายของลีโอ ยามได้ยินว่าราเชลจะตามมา เขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาเสียเฉยๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ

“เซอร์ราเชลรู้เหรอว่าเรามาทางนี้”

“เดี๋ยวก็ตามมา เจ้าจะดีใจอะไรนักหนาพักผ่อนได้แล้วมานั่งตรงนี้” เฮนริชตบลงบนพื้นข้างตัว แต่ลีโอกลับมองเมินดูก็รู้ว่ายังเคือง

“ไม่ข้าจะนั่งตรงนี้”

“มีอยู่แค่สองคนอย่านั่งไกลกัน” เพราะต้องระวังตัวอยู่ตลอดเฮนริชจึงไม่อยากให้ลีโออยู่ห่าง

“ข้าไม่อยากนั่งกับคนไม่น่ารักหรอก ท่านบอกเอง” เฮนริชส่ายหัวบทจะว่าง่ายเข้าใจอะไรง่ายๆ บอกเพียงคำเดียวลีโอก็ยอมฟัง แต่บทจะดื้อขึ้นมาก็เล่นเอาปวดหัวได้เลย

“ตามใจเจ้าเถอะ แต่ถ้าพวกมันโจมตีเข้ามาข้าช่วยไม่ทันอย่ามาว่ากันล่ะ”

“...” ลีโอหลบสายตาทำเป็นมองไปทางอื่น เฮนริชที่ปกติเงียบขรึมยังต้องเม้มปากกลั้นขำ ดูก็รู้ว่าลีโอแกล้งทำเป็นไม่สนใจแต่ก็คิดตามที่บอกทุกคำ

“ระวังสัตว์ป่าด้วย เขาว่าแถวนี้สัตว์ร้ายเยอะเลย”

“มันจะกล้าเข้ามาทำร้ายเราเหรอ”

“สัตว์ป่ามันจะไปรู้อะไรล่ะ”

“ไม่มีสัตว์ร้ายหรอกท่านไม่ต้องมาขู่ข้าเลยเซอร์เฮนริช”

“นี่เจ้าไม่ได้ยินเสียงหมาป่าหอนหรือไงลีโอ ไม่ได้ยินเสียงมันล่าเหยื่อฉีกเนื้อกินหรือไง” ลีโอทำเก่งแต่ตากวาดมองไปรอบตัวอย่างระแวง พยายามเงี่ยหูฟังหาเสียงที่ผิดปกติ แม้ทุกอย่างรอบตัวจะยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม

“อะ เอ่อ ตอนไหน ท่านได้ยินตอนไหน”

“ก่อนหน้านี้ไม่นาน เจ้าไม่กลัวก็นอนพักซะ” เฮนริชหลับตาลงทำเหมือนกับว่าหากลีโอไม่กลัวก็ดีแล้ว อยากนั่งอยากนอนตรงไหนก็ตามใจ แต่ท่าทางเฉยๆ แบบนี้ล่ะยิ่งทำให้ลีโอเริ่มคิด ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมีแววไร้เดียงสากวาดมองไปรอบตัวอีกครั้ง ความเงียบทำให้รู้สึกวังเวง เรื่องเล่าขานเก่าๆ เกี่ยวกับคนเดินทางที่ถูกหมาป่ารุมกัดกินจนตายเริ่มหลอกหลอน จนขยับเข้าไปใกล้ร่างใหญ่กำยำไม่รู้ตัว

“อะไรของเจ้าลีโอ ข้าจะพักผ่อนอย่ากวน” เฮนริชว่าทั้งที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นดูร่างผอมบางในชุดเทอะทะ ที่ขยับเข้ามาจนเบียดกันสักนิด

“ท่านก็พักไปสิ ข้าแค่อยากนั่งตรงนี้ใกล้ๆ กองไฟ” มุมปากของอัศวินหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อยแต่ยังหลับตา รู้สึกว่าลีโอขยับเข้ามาหาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เฮนริชเลยกอดคอรั้งร่างผอมบางให้ซบลงมากลางอกแน่น ทิ้งตัวเอนหลังพิงร่างกับโคนต้นไม้ท่าทางสบายใจ

“เอ่อ..เซอร์เฮนริชท่านกอดข้าทำไม”

“เงียบน่าลีโอ ข้าจะพักผ่อน” ลีโอขัดใจคนที่บอกว่าตัวเองไม่น่ารัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะถูกกอดแน่น ในความแน่นมีความอบอุ่นที่ลีโอต้องการเลยปล่อยให้เฮนริชกอดอยู่อย่างนั้น เด็กน้อยหลับตาลงไม่นานก็หลับไปจริงๆ ในความอบอุ่นของคนไม่น่ารักนั่นเอง

************************

เปลือกตาบางค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาสีเขียวมรกตที่ยังดูสะลึมสะลือ เพราะเจ้าตัวยังไม่ทันได้ตื่นเต็มตา แต่ไม่นานหลังจากนั้นหรอก เมื่อเจ้าของนัยน์ตาสีสวยมองไปรอบๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความสดชื่นหลังตื่นนอน แต่จมูกกลับได้รับแต่กลิ่นหวานเอียนจนอยากยกมือขึ้นปิด พอเห็นว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แปลกตาจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่ง รอบกายเต็มไปด้วยกองผ้าเนื้อหนา ความมืดสลัวรอบตัวและสายตาที่เพิ่งตื่นทำให้มองเห็นอะไรได้ไม่ค่อยชัดนัก

“ฮานส์” คำแรกที่ออกจากปากจูเลียนเรียกหาคนที่เดินทางร่วมกันด้วยเสียงแหบแห้ง กวาดตามองฝ่าความสลัวไปรอบๆ ในใจนึกหวั่น เพราะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและมาได้อย่างไร

“ตื่นได้สักทีนะหนุ่มน้อย” จูเลียนหันขวับไปมองทันที ต้นเสียงเป็นสาวสวยที่อยู่ในอาภรณ์น้อยชิ้นเปิดเผยเนื้อหนัง ราวกับว่านางไม่รู้จักความเหน็บหนาว แต่จูเลียนก็ไม่แปลกใจเพราะในนี้อุ่นกำลังดี

“ฮานส์ เพื่อนข้าเขาอยู่ไหน”

“ไม่ใช่สามีเจ้าหรอกหรือไง” จูเลียนตาโตอ้าปากค้างกับคำถามของหญิงแปลกหน้า ความทรงจำเมื่อวานไหลเข้ามาในหัว เมียข้าเอง !! เมียข้า!! แล้วริมฝีปากบางก็เริ่มบิดเบี้ยว ยามนึกได้ว่าเมื่อวานตัวเองถูกฮานส์เรียกว่าเมียตั้งหลายครั้ง แถมยังกอดไม่ปล่อยอีก

“ว่าไง”

“ไม่ใช่ ตอนนี้เขาอยู่ไหน” เหมือนหญิงสาวจะไม่ได้สนใจคำถามของจูเลียนสักนิด แต่ถามกลับด้วยคำถามที่ทำเอาจูเลียนหงุดหงิดใจจนอยากเกรี้ยวกราด

“ไม่ใช่สามีเจ้าจริงๆ ใช่ไหม แสดงว่าข้าก็นอนกับเขาได้สิ แต่ถึงจะใช่ไม่ใช่ก็นอนได้อยู่ดีนั่นแหละใช่ว่าจะไม่เคย ข้าไม่สนหรอก ข้าอยากได้เขาอีกเวลาที่เขาอยู่ในตัวข้า เวลาที่เขาเคลื่อนไหวรุนแรงเร่าร้อนมัน..” หญิงสาวกัดปากหลับตาพริ้ม ราวกับว่าตอนนี้ความแข็งแกร่งของฮานส์กำลังขับเคลื่อนอยู่ในตัวนางจริงๆ ก็ไม่ปาน “เจ้าไม่มีวันรู้หรอกหนุ่มน้อย”

“..”

“ทำไมเจ้าต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วยล่ะ หรือเจ้าไม่พอใจ” จูเลียนไม่สนใจว่าทำไมนางถึงได้คิดว่าเขาไม่พอใจ ตอนนี้กษัตริย์หนุ่มน้อยอยากเจอฮานส์มากที่สุด อย่างน้อยๆ ก็ในฐานะคนที่เดินทางด้วยกันมา

“เขาไปไหน ฮานส์อยู่ไหนตอนนี้”

“อยู่ข้างนอกเดี๋ยวเขาก็มา”

“ข้าอยากเจอเขาตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เรียกเขาเข้ามาเดี๋ยวนี้!” ไม่รู้ว่าไม่พอใจอะไรแต่จูเลียนก็เริ่มเอาแต่ใจ

“ชู่..เบาๆ สิเจ้าอย่าทำเสียงดังนายข้าตื่นมาเดี๋ยวก็มีเรื่องอีกหรอก” นางปรายตาไปยังมุมหนึ่งซึ่งจูเลียนคิดว่าเป็นกองผ้า แต่พอเพ่งมองดีๆ จึงเห็นว่าเป็นผ้าห่มที่คลุมร่างชายคนหนึ่งอยู่ ร่างที่ดูท้วมเห็นถึงความตุ๊ต๊ะแม้ขณะนอนราบ สองข้างขนาบด้วยหญิงสาวข้างละคน

ก่อนหน้านี้ที่ฮานส์พาจูเลียนมาหลบนั้นเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เพราะเจ้าของรถม้าไม่ยอมให้ชายหนุ่มและคนหลับใหลที่อ้างว่าเป็นเมียร่วมเดินทางด้วย แต่ฮานส์เพียงแค่ขู่เล็กๆ น้อยๆ ร่วมกับคำกล่อมของหญิงสาวและเหรียญทอง เจ้าของรถม้าถึงได้ยอมใจอ่อนอย่างปฏิเสธไม่ได้

“แล้วที่นี่คือ..”

“รถม้าที่ดีที่สุดของนายข้าไง เราเดินทางให้บริการมาทั่วราชอาณาจักร”

“ให้บริการอะไร” นางมองตอบกลับมาราวกับว่าจูเลียนเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสา

“ซ่องโสเภณีเคลื่อนที่ไง นี่เจ้าไม่รู้หรอกหรือ”

“หา..!!” จูเลียนพูดไม่ออกนึกโกรธฮานส์จนอยากทุบให้ตายคามือ พาไปอยู่ที่ไหนก็ไม่พาไป ทำไมต้องพามาอยู่ในซ่อง เมื่อคืนก็บอกว่าได้ที่พักแล้ว แต่ทำไมตอนตื่นจูเลียนถึงมาอยู่ในซ่องโสเภณีเคลื่อนที่นี้ได้

“ชู่..” นางหันไปทางกองผ้าที่บอกว่าเป็นเจ้านายของนางอีกครั้ง และหันมาต่อว่าจูเลียนที่ลุกขึ้นยืนทำหน้าถมึงทึงไม่พอใจ “เจ้าจะเสียงดังทำไม”

“เจ้าตื่นแล้วหรือ”

“ฮานส์!” ยังไม่ทันที่จูเลียนจะได้พูดอะไรอีก คนที่กำลังอยากเจอหน้าก็โผล่มาพอดี

“อะไร”

“เจ้าพาข้ามาอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง” จบคำถามร่างของจูเลียนเซไปเล็กน้อย รู้สึกเหมือนรถม้ากำลังเริ่มเคลื่อนที่

“มันจำเป็น” ฮานส์ตอบหน้าตาเฉยพลางเดินเข้ามานั่งลงไม่ไกลจากจูเลียนที่ยังมองตาขวาง มันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ที่กษัตริย์ผู้สูงส่งจะมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ แต่นอกจากฮานส์จะไม่ทุกข์ไม่ร้อนด้วยแล้ว ยังกระตุกข้อมือจูเลียนดึงให้นั่งลงข้างกันอีกด้วย

“ใช่แล้วหนุ่มน้อยมันจำเป็นมาก” หญิงสาวหนึ่งเดียวที่เอาแต่จ้องมองฮานส์ไม่วางตาบอก พลางขยับเข้ามาประชิดร่างสูงใหญ่กำยำ มือลูบไล้ลวนลามไปตามแผ่นอกกว้างของชายหนุ่ม “เรามาหาอะไรทำฆ่าเวลาดีกว่านายท่าน”

“เมียข...”

“เด็กน้อยของท่านบอกข้าแล้วว่าเขาไม่ใช่เมียท่าน ถึงจะเป็นเมียจริงๆ ข้าก็ไม่สนใจหรอก ใครบอกให้ท่านร้อนแรง จนทำให้ข้าไม่อยากเกรงใจทั้งต่อหน้าและลับหลังกันล่ะ” จูเลียนแบะปากสะบัดหน้าหันไปทางอื่นทันทีที่ฮานส์เหลือบไปมอง ชายหนุ่มจึงหันกลับมาหาหญิงสาว จับมือซุกซนของนางที่กำลังสำรวจร่างกายเขาไปทุกส่วนให้หยุดนิ่ง

“เดี๋ยวก่อนมาเรียตต้า”

“ข้าดีใจนะที่ท่านจำชื่อข้าได้”

“ข้ายังไม่ต้องการ”

“นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก ข้าทำให้ท่านต้องการได้” ริมฝีปากนางเหยียดยิ้มหวานหยดให้ มาเรียตต้าบอกพลางเคลื่อนตัวนวยนาดขึ้นมานั่งตัก คร่อมทับร่างกายใหญ่โตหันหน้าเข้าหากัน สายตาหยาดเยิ้มที่จ้องมองอาจจะทำให้ชายอื่นหลงเสน่ห์นางได้ไม่ยาก แต่ไม่ใช่ดวงตาคมสีดำสนิททรงอำนาจคู่นี้ ที่ความยั่วยวนของนางไม่ได้มีอำนาจเหนือสติของเขาเลย

“มารื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ ของเราดีกว่านายท่าน” เสียงนางสั่นกระเส่า ปากพูดมือเริ่มแกะกระดุมตามเสื้อผ้าของเขาออกด้วยมือเพียงข้างเดียว เพราะมืออีกข้างเลื้อยลงต่ำสัมผัสนวดคลึงอยู่กับแท่งเนื้อกลางกาย เพื่อปลุกให้มันตื่นจากการหลับใหล ริมฝีปากสวยน่าลิ้มรสเปล่งวาจารื้อฟื้นความหลังอันเร่าร้อน ที่เคยมีร่วมกันด้วยน้ำเสียงกังวานน่าฟัง “ข้าจำได้ว่าท่านร้อนแรงถึงใจกว่าชายใดๆ ที่ข้าเคยผ่านมา”

“หึ” ฮานส์ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอเบาๆ ราวกับพอใจในเสียงชื่นชมของนาง แอบชำเลืองมองใครอีกคนที่กำลังนั่งฟังเงียบ เห็นท่าทางของจูเลียนแล้วฮานส์นึกสนุก

“มือเจ้าซุกซนไปแล้วนะสาวน้อย”

“ข้ารู้ว่าท่านชอบน่า”

“ข้าอาจจะไม่ชอบหรอก แต่ก็ไม่อยากขัดใจเจ้าไง”

“เห็นไหมล่ะ ท่านใจดีกับข้าเสมอเลยนะนายท่าน” มาเรียตต้าจูบซับไปตามสันกรามไล่ลงมาตาลำคอหนา เอวนางส่ายวนช้าเนิบ ทำท่าโยกตัวเหมือนกำลังขี่ม้า เพื่อให้ร่างกายของนางได้บดเบียดทับความแข็งแกร่งที่เริ่มตื่นตัว หากเพียงแต่มันไม่ถูกกักกันไว้ภายใต้ร่มผ้า นางแน่ใจว่ามันจะชูชันผงาดกล้าท้าทายให้นางได้ประเคนความเร่าร้อนปรนเปรอ

“ข้าจะได้อะไรตอบแทนล่ะ” ทั้งที่ความต้องการเอ่อท้นจนอึดอัด แต่ใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเครากลับเรียบนิ่งไร้อารมณ์ และก่อนที่นางจะได้ปลดเปลื้องอาภรณ์ปล่อยความใหญ่โตของฮานส์ออกมา มือซุกซนก็ถูกเจ้าของความแข็งแกร่งที่นางปรารถนาหยุดไว้ก่อน

“ใจเย็นหน่อยสิคนสวย” ได้ยินเสียงสั่นกระเส่าของฮานส์ จูเลียนนึกอยากไปจากตรงนี้ ไม่รู้เกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้มีความต้องการตอนที่กำลังหนีตาย ฮานส์ไม่ได้ทุกข์ร้อนเลยว่าจูเลียนต้องการกลับไปสะสางปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างน้อยไปตามหาคนอื่นๆ ก็ยังดี

กึก!! พอนึกอยากไป รถม้าก็หยุดลงพอดีเหมือนรู้ว่าจูเลียนต้องการอะไร กษัตริย์หนุ่มน้อยลุกขึ้นทันที

“เจ้าจะไปไหน”

“ไปไหนก็เรื่องของข้า อยากเสพสุขอยู่กับนางก็เชิญเลย ข้าจะไปตามหาคนของข้าเอง” จูเลียนสะบัดหน้าเดินหนีไปทางประตูรถม้าเปิดออก แต่ยังไม่ทันได้ก้าวลงบันไดก็ต้องรีบถอยกลับมาปิดประตูไว้เหมือนเดิม

“มีอะไร” กษัตริย์หนุ่มน้อยสะดุ้งกับเสียงกระซิบของฮานส์ ที่ลุกขึ้นทันทีตอนเห็นอาการชะงักของจูเลียน และก้าวมายืนข้างหลังด้วยฝีเท้าเบาและเงียบ ราวกับการเคลื่อนไหวของวิญญาณ

“ทหาร” เสียงตอบของจูเลียนเบาหวิวเหมือนคนไม่รู้สึกตัว และจูเลียนคงไม่รู้สึกตัวจริงๆ จนยอมให้ฮานส์รวบเอวบางรั้งไว้ ตอนเขาโน้มตัวส่องออกทางช่องเล็กๆ ของประตู เพื่อดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอก พอเห็นทหารกำลังตรวจคาราวานซ่องโสเภณีเคลื่อนที่ของกุสตราฟ ฮานส์รั้งตัวจูเลียนให้ถอยออกมาจากตรงนั้นกลับมานั่งลงที่เดิม จูเลียนก็ยังทำตามเงียบๆ อย่างว่าง่าย ไม่มีเสียงประท้วงไม่มีอาการขัดขืน ทั้งที่ตอนจะเดินออกไปยังทำท่าทางไม่พอใจฮานส์อยู่เลย

“ทหารคงตรวจตามปกติ” มาเรียตต้าบอกฮานส์เลยพยักหน้ารับเบาๆ พลางรั้งร่างจูเลียนจะกดให้ซบลงที่อกกว้างของตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าหนุ่มน้อยในอ้อมกอดจะรู้ตัวแล้วจึงขืนแรงไว้ ขยับจะไปนั่งข้างๆ แทน แต่ฮานส์ยังรั้งข้อมือไว้แน่น

“เจ้าจะทำอะไรฮานส์”

“เงียบก่อน” ฮานส์บอกจูเลียนเสียงเข้มแล้วหันไปทางมาเรียตต้า “อย่าให้ทหารขึ้นมาบนนี้”

นางยิ้มหวานให้เขา นัยน์ตาเปล่งประกายยั่วยวนโลมเลียไล่มองตั้งแต่ใบหน้ารกหนวดเครา ลงไปตามลำคอจนถึงร่างกายกำยำ “ได้สินายท่าน แต่สัญญาณมาก่อนว่าข้าจะได้รางวัล”

“ตามที่เจ้าต้องการเลยสาวน้อย” พอฮานส์รับคำมาเรียตต้าก็ทิ้งรอยยิ้มหยาดเยิ้มไว้ให้เขา แล้วลุกขึ้นเดินออกจากตรงนั้น เปิดประตูรถม้าลงไปทั้งที่อาภรณ์ติดกายมีอยู่แค่ไม่กี่ชิ้น อากาศยังเหน็บหนาวอยู่มาก หิมะก็ยังปกคลุมพื้นดินไปทั่ว

ข้างนอกมีการพูดคุยเจรจาที่คนในรถม้าจับใจความไม่ค่อยได้ จนประตูรถม้าเปิดออกอีกครั้ง มาเรียตต้ากลับขึ้นมาพร้อมทหารสองคน ฮานส์รีบพลิกตัวคร่อมทับกดจูเลียนให้นอนราบลงกับเบาะนุ่ม พร้อมกับคว้าผ้าห่มคลุมตัวไว้อย่างรวดเร็ว ร่างเพรียวของจูเลียนถูกกอดแน่น แต่นั่นไม่เท่ากับริมฝีปากอิ่มที่ถูกกดจูบลงมาอย่างจาบจ้วง ลิ้นร้ายชอนไชหาควานหาความหวานละมุน จูเลียนพยายามสะบัดหน้าหนีขัดขืน แต่พอได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ จึงมองข้ามไหล่ฮานส์ไป เห็นทหารสองคนที่ตามมาเรียตต้าขึ้นมาก็หยุดต่อต้าน เผลอปล่อยให้ฮานส์จูบเอาๆ ตามใจชอบ

“นายของข้ากำลังพักผ่อน แต่พวกเจ้าก็เห็นว่าสาวๆ ของเราอยู่บนรถม้าอีกคัน เชิญตรวจได้ตามสบาย แต่ห้ามทำให้นายข้าตื่นเป็นอันขาดนะ” นางกำชับเสียงเข้มปรายตาไปทางฮานส์เล็กน้อย แล้วจึงหันไปทางทหารสองคนที่เดินขึ้นมาตรวจ “พวกเจ้าก็รู้ว่าเขาสนิทกับพวกนายกองมากแค่ไหน เราส่งสาวๆ ไปที่นั่นทุกคืน” เสียงเจื้อยแจ้วของมาเรียตต้าเชิญชวนให้ทหารตรวจตราให้ละเอียดตามที่ต้องการ แต่ทุกคำพูดของนางหากไม่คิดตามดีๆ มีสิทธิ์พลาดและอาจจะถูกลงโทษเอาได้ง่ายๆ ซึ่งทหารชั้นผู้น้อยเหล้านี้ไม่ควรเสี่ยง แต่กระนั้นพวกมันก็ยังพากันกวาดตามองไปทั่ว

ฮานส์ได้ยินเสียงเท้าฝีหนักๆ เดินเข้ามาใกล้ เขายิ่งกดจูบลึกซึ้งเนิ่นนาน จูเลียนพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้น แต่ก็เป็นไปได้ยาก เพราะร่างใหญ่โตที่แตกต่างว่าเสียเปรียบแล้ว จูเลียนยังถูกนอนทับรวบกอดทั้งตัว ท้ายทอยถูกกักไว้แน่น มือสองข้างดันหน้าอกแกร่งของคนด้านบนแต่แรงสู้ก็น้อยนิดเหลือเกิน ยิ่งยามริมฝีปากสวยถูกบดขยี้ เรียวลิ้นหรือก็ถูกหยอกเย้าอย่างร้อนแรง ยิ่งทำให้จูเลียนแทบอ่อนระทวย ไหนจะยังมีทหารพวกนั้นที่กำลังเดินเข้ามาหา ทำให้กษัตริย์หนุ่มน้อยอยากจะขัดก็ขัดได้ไม่เต็มที่นัก ใครไม่มาเป็นจูเลียนตอนนี้ไม่มีวันเข้าใจ ว่ามันยากเย็นเพียงใดกับสถานการณ์ย่ำแย่นี้

จูเลียนเกร็งตัวจนเหนื่อยแต่ไม่นานจูบดิบเถื่อนบังคับ ก็เปลี่ยนเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้หลงลืมสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เผลอหลงระเริงไปกับรสชาติหวานละมุน เหมือนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เหมือนมึนงงเมื่อถูกชักนำให้ใช้เรียวลิ้นตอบโต้กลับอย่างที่ฮานส์ทำบ้าง จนได้ยินเสียงคำรามเบาๆ ดังออกมาจากลำคอของคนบนตัว ยิ่งทำให้จูเลียนได้ใจตอบโต้ไม่ลดละ

“มีอะไรที่เจ้ายังสงสัยอยู่หรือไง” เสียงมาเรียตต้าเข้มขึ้นเมื่อเห็นทหารให้ความสนใจกับกองผ้าห่มที่ขยับยุกยิก เพราะคนใต้ผ้าไม่ยอมอยู่นิ่งๆ ตรงนั้นนางจำได้ว่าเป็นฮานส์กับหนุ่มน้อยที่มาด้วยกัน

“นั่นมันทำอะไรกัน” ฮานส์ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่ากับความหอมหวานที่เขากำลังลิ้มรส

มาเรียตต้าทำหน้าตึงอย่างเสแสร้ง “คนเขากำลังมีความสุขกันเจ้าจะสงสัยอะไร”

“ใคร เรียกมันออกมาซิ”

“เจ้าอยากให้นายข้าตื่นมากหรือไง” ฐานะของโสเภณีก็ไม่ต่างอะไรกับทาสชั้นต่ำ ซึ่งถ้าเป็นโสเภณีคนอื่นคงกลัวทหารจนตัวสั่น แต่ไม่ใช่มาเรียตต้าที่นอกจากนางจะช่ำชองเรื่องบนเตียงเป็นที่หนึ่งแล้ว เรื่องความใจกล้าก็ไม่มีใครเกินหน้านางเช่นกัน มาเรียตต้าขยับเข้าไปกระซิบข้างหูทหารที่ยืนทำหน้าสงสัยจ้องกองผ้าห่มไม่ลดละ

“ถึงนี่จะเป็นรถม้าส่วนตัวนายของข้า แต่อย่าลืมสิว่าพวกเราคือกองคาราวานซ่อง มีคนกำลังร่วมรักกันเป็นเรื่องธรรมดา นั่นเพื่อนของนายข้าเชียวนะพวกเจ้ากล้าสงสัยหรือ” พอมาเรียตต้าพูดจบฮานส์แกล้งครางออกมาเสียงดังราวกำลังสุขสม จนทหารที่มาตรวจหายใจติดขัด มันมองหน้าหญิงสาวเคืองๆ แต่ทำอะไรไม่ได้

“เจ้าอยากละสิ” นางไม่ได้พูดเปล่าแต่มือยังตะปบเข้าที่กลางลำตัวของทหารยามที่สะดุ้งทันทีเมื่อถูกสัมผัส มาเรียตต้ายิ้มร้ายอย่างเป็นต่อหูตาแพรวพราว สิ่งที่อยู่ในกำมือนางกำลังตื่นตัวสู้มือ เป็นเรื่องธรรมดาของทหารในกองทัพที่ห่างบ้านห่างเมีย ย่อมต้องห่างเรื่องอย่างว่าด้วยเหมือนกัน นางบีบเคล้นสิ่งที่อยู่ในมือแล้วกระซิบบอกเสียงพร่า “ลงไปที่รถม้าคันสุดท้ายสิ แล้วเจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ เดินทางปลอดภัยก็แล้วกัน” แล้วมันก็ผลุนผลันลากทหารอีกคนลงจากรถไป โดยไม่ได้อะไรติดมือลงไปด้วยสักอย่าง

“อื้ออ” เพียะ!!

“โอ๊ย เจ้าตบข้าทำไม”

"ยังจะมีหน้ามาถามอีก” สายตาไม่พอใจที่ถูกตบของฮานส์ในตอนแรก เปลี่ยนเป็นแววตาแปลกๆ ขึ้นทันทีที่เห็นริมฝีอิ่มขึ้นสีแดงฉ่ำ และดูเหมือนจะบวมนิดๆ ก่อนที่จูเลียนจะรู้สึกตัวแล้วเม้มปากเอาไว้แน่น ดวงเนตรสีเขียวมรกตเป็นประกายสวยจิกมองฮานส์ด้วยความโกรธจนตาขวาง “มากเกินไปแล้วนะฮานส์”

แต่ฮานส์เพียงอมยิ้ม นิยน์ตาสีดำสนิทเป็นประกาย

“หนุ่มน้อยคนนี้คงสำคัญกับท่านมากสินะ”

*********
เจอกันตอนหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 16 สถานการณ์ย่ำแย่ของจูเลียน 100% 17/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 20-12-2018 09:03:12
 :mew6:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 17 ใต้โพรงต้นไม้ที่อบอุ่น 50% 20/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 20-12-2018 13:43:21





เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 17 โพรงใต้ต้นไม้ที่อบอุ่น



“จูเลียน!”

“...”

“รอข้าด้วยสิ”

“...”

“อย่าเพิ่งไป จูเลียนหยุดก่อน” ฮานส์ทั้งเรียกทั้งหอบของวิ่งตามจูเลียนที่เดินหน้าตั้งฝ่าหิมะ ฝ่าความหนาวเย็นไม่สนใจคนที่ตะโกนเรียกตามหลังมาอย่างทุลักทุเล ทั้งถุงสัมภาระทั้งเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย ไหนจะยังมีหิมะที่ปกคลุมพื้นดินหนาเกินเข่า อย่าว่าแต่วิ่งตามคนโกรธให้ทันเลย แค่เดินดีๆ ยังยาก

“หยุดก่อนจูเลียนรอข้าด้วย เจ้าไปคนเดียวไม่รอดแน่”

“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะฮานส์ เจ้าไม่ต้องตามข้ามา อยากไปเสพสุขกับนางก็เชิญตามสบายเลย” จูเลียนหันมาชี้หน้าด่าฮานส์แล้วหันไปตะเกียกตะกายเดินต่อ ฮานส์เองก็ตะเกียกตะกายตามไม่ลดละเหมือนกัน ความเลวร้ายทั้งสภาพอากาศและพื้นที่แบบนี้ปล่อยให้จูเลียนไปคนเดียว ไม่ถึงวันหนุ่มน้อยจะแข็งตายอยู่กลางป่า

“พูดเหมือนเจ้าหึงนะ”

“หึงอะไร”

“เจ้าหึงข้ากับนางหรือไง มาเรียตต้าน่ะ” จูเลียนหันกลับมามองหน้าฮานส์อย่างเอาเรื่อง ใบหน้าที่รกไปด้วยหนวดและเครายิ้มยียวนเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะ ที่ทำให้จูเลียนหยุดเดินและหันมาต่อปากต่อคำด้วยได้

กษัตริย์หนุ่มน้อยแบะปากออกแสยะยิ้มเหยียด “เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า”

“อะไรล่ะ” ฮานส์เลิกคิ้วขึ้นทำสีหน้าไร้เดียงสาถามกลับ แต่นั่นมันยิ่งทำให้จูเลียนเดือดดาลจนอยากเอาหิมะมาปาใส่ใบหน้ายียวนนั้นสักทีสองที

“ก่อนจะพูดอะไรออกมาเจ้าถามตัวเองก่อนหรือยัง”

“ถามเรื่องอะไร ทำไมข้าต้องถามมิทราบฝ่าบาท”

“ก็ถามว่าเจ้ากับข้าเป็นอะไรกันไง ทำไมข้าต้องหึงด้วย เจ้าไม่ใช่กรอสเซ่คนรักของข้าสักหน่อย เจ้าคือฮานส์ไอ้คนบ้าตัณหาทำตัวเกเรฉวยโอกาสจูบข้า เจ้าจูบคนรักของคนอื่นหน้าตาเฉยนะฮานส์” รอยยิ้มยียวนชวนหงุดหงิดหายไปจากใบหน้ารกหนวด ตั้งแต่จูเลียนยังไม่ทันได้พูดจบด้วยซ้ำ ชายพเนจรเม้มปากแน่นกลอกตามองบน ฮานส์อาจจะขัดหูที่ได้ยินชื่อบุคคลอื่น

เจ้าของร่างสูงกำยำในชุดดำยืนเท้าเอวถอนหายใจออกมาแรงๆ “ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่ามันจำเป็น”

“จำเป็นต้องจูบข้า?”

“ใช่จำเป็นมากด้วย เจ้าเองก็ฉวยโอกาสเหมือนกันนั่นแหละ อย่าปฏิเสธนะว่าเจ้าไม่ได้จูบตอบมา”

“เจ้ามัน...” จูเลียนได้แต่กัดปากตัวเองเพราะพูดไม่ออก ยิ่งพูดยิ่งทำให้นึกถึงความเร่าร้อนดิบเถื่อน จูบบังคับในคราแรกเปลี่ยนเป็นความวาบหวามหวานละมุนของเรียวลิ้นหยอกเย้า ทั้งเชิญชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล จูเลียนไม่เคยจูบใครได้ดูดดื่มซาบซ่านอย่างนี้มาก่อน จะว่าตามจริงนี่เป็นจูบลึกซึ้งที่สุดที่เคยมีมา ไม่นับการแตะริมฝีปากกับคนรัก และการจูบกันครั้งแรกในสวนกับคนคนนี้



ยิ่งพูดเลยยิ่งโกรธ โกรธฮานส์แล้วพาลโกรธให้ตัวเองที่เผลอรู้สึกดีแล้วจูบตอบ จูเลียนโกรธมากยิ่งขึ้นที่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันก็ยังคงอยู่ ไม่ได้จางหายไปไหน ความอบอุ่นยามริมฝีปากถูกสัมผัสบดเบียด เรียวลิ้นที่ถูกกระหวัดเกี่ยวรัด ความอบอุ่นที่ทำให้ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ทุกอย่างเหมือนติดตรึงอยู่ในความรู้สึก แทรกลึกเข้าไปในความทรงจำจนจูเลียนหงุดหงิด

“มันอะไรล่ะ เมื่อวานเจ้ายังเป็นเมียข้าอยู่เลยนะ”

“เจ้า..เจ้ามันขี้ตู่ไปเองต่างหากล่ะ กลับไปหานางเลยไป โน่นนางรอเจ้าอยู่” จูเลียนตวาดเสียงดังแล้วสะบัดหน้าไปทางหญิงสาวที่ยืนรออยู่ข้างรถม้า ห่างไปจากตรงที่ทั้งสองยืนทะเลาะกันพอสมควร ละอองหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาหนักขึ้น



หลังจากทหารตรวจรถม้าเรียบร้อย ขบวนคาราวานก็ได้เวลาเคลื่อนที่อีกครั้ง จูเลียนไม่พอใจที่ฮานส์ฉวยโอกาสจูบโดยพลการ ถึงจะอ้างว่าเพื่อความสมจริงเพราะไม่อยากให้ทหารจับได้ แต่ทั้งสองก็ทะเลาะกันมาตลอดทาง ด้วยถือในความสูงศักดิ์ของตัวเอง จูเลียนไม่อยากร่วมทางไปกับคาราวานซ่องโสเภณีเคลื่อนที่ให้แปดเปื้อน อยากไปตามหาคนของตัวเองมากกว่า แต่คนหน้าหนวดยังเฉย เลยคิดว่าฮานส์ไม่สนใจและอยากกลั่นแกล้ง ยิ่งนานยิ่งไม่รู้ว่าตัวเองเดินทางไปถึงไหนแล้ว และจูเลียนก็รอไม่ได้ ไหนจะมาเรียตต้าที่คอยแต่จะหาโอกาสแทะโลมเข้าหาฮานส์อยู่ตลอด ส่วนกุสตราฟเจ้าของซ่องหลับเป็นตายไม่รู้เรื่องรู้ราว จนผ่านไปครึ่งค่อนวันฮานส์กับจูเลียนยังทะเลาะกันไม่หยุดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง กษัตริย์หนุ่มน้อยไม่ยอมให้ฮานส์เข้าใกล้ มาเรียตต้าเริ่มรุกฮานส์หนักขึ้น และพอเห็นว่าชายพเนจรเหมือนจะเล่นกับนางด้วย จูเลียนเลยหมดความอดทน สั่งให้รถม้าหยุดวิ่งกะทันหัน แล้วกระโจนลงจากรถตัวเปล่าให้ฮานส์วิ่งตามตะครุบแทบไม่ทัน



“เจ้าทำตัวเหมือนภรรยาที่กำลังหึงสามีจริงๆ นั่นแหละ” ฮานส์ว่าขึ้น ทั้งสองเหนื่อยจนหอบทั้งจากการปะทะคารมกัน และเดินฝ่าหิมะ

“ข้าไม่ใช่ภรรยาของเจ้าก็แล้วกันฮานส์ จะให้ข้าย้ำไหมล่ะว่ามีคนรักอยู่แล้ว เขาชื่อกรอสเซ่ และข้าจะรีบกลับไปหาเขา” จูเลียนทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็หันหลังจะเดินต่อ แต่พอเห็นฮานส์ทำท่าจะเดินตามมาด้วยจึงหันกลับมาชี้หน้า “ไม่ต้องตามมาเราแยกทางกันตรงนี้!”

ฮานส์ได้แต่กลอกตายืนถอนหายใจมองตามจูเลียน ที่เดินจ้ำไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล เป็นความจริงที่เขาเล่นกับมาเรียตต้ายามที่นางเชิญชวน แต่ก็เพียงแค่อยากแกล้งจูเลียนสนุกๆ เขารู้ว่ากษัตริย์หนุ่มน้อยกำลังร้อนใจเรื่องอะไร แต่เขาปล่อยให้จูเลียนทำอะไรวู่วามตอนนี้ไม่ได้ ถ้ายังไม่รู้ว่าสถานการณ์ในเมืองหลวงเป็นอย่างไร ฮานส์ก็ต้องพาจูเลียนซ่อนตัวจากใครก็ตามที่ปองร้ายอยู่ แต่เขาคงเล่นมากเกินไปจนจูเลียนไม่พอใจ กระโดดลงจากรถม้าประกาศจะเดินทางคนเดียว



ฮานส์ยืนมองแผ่นหลังของจูเลียน ที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินห่างออกไปอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง เขาหันกลับไปทางเก่าที่มาเรียตต้าและขบวนรถม้าของกุสตราฟจอดรออยู่ ชายหนุ่มเดินกลับไปหานาง



ละอองสีขาวที่โปรยปรายลงมาเริ่มหนาตา จนแทบมองไม่เห็นอะไรไกลเกินกว่าช่วงตัวที่ก้าวเดิน ทำให้การเดินที่ทุลักทุเลอยู่แล้วยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย หิมะเทลงมาราวกับว่าพื้นดินยังไม่ถูกปกคลุมหนาพอ แต่กระนั้นคนที่เดินท่อม ๆ ท่ามกลางหิมะตกหนัก ยังเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จุดหมาย จูเลียนกระชับผ้าคลุมห่อร่างให้แน่นขึ้น ความหนาวเย็นแทรกเข้าไปในผิวเนื้อจนแทบจะแข็งไปทั้งตัว สองเท้ายังก้าวไปข้างหน้าแม้ไม่รู้จุดหมายปลายทาง ปากสั่น ๆ ก่นด่าให้กับความโง่เขลาและทิฐิของตัวเอง แต่ใจที่มุ่งมั่นยังไม่ยอมสั่งให้ขาหยุดเดิน ตอนนี้จูเลียนเหนื่อย ทั้งเหนื่อยทั้งหนาว และหิว หันกลับไปมองข้างหลังไม่เห็นอะไรนอกจากหิมะ ก็ตัดใจแล้วก้าวเดินต่อ

“ไม่ตามมาก็ช่าง ข้าจะไม่ง้อเจ้าหรอกนะฮานส์”



ร่างของหนุ่มน้อยสั่นสะท้าน เพราะความหนาวเย็นและละอองหิมะที่โปรยปรายไม่ขาดสาย ทำให้ต้องเดินก้มหน้า สลับกับการเงยหน้าขึ้นมองทางเป็นระยะ จูเลียนทั้งเหนื่อยทั้งหิว คิดว่าจะหาที่พักเหนื่อยสักหน่อย แต่มองไปทางไหนก็เห็นแต่หิมะขาวโพลนเต็มไปหมด ไม่เห็นที่ไหนพอจะใช้เป็นที่หลบหนาวพักให้หายเหนื่อยได้เลย จึงก้มหน้าเดินต่อ แต่พอเงยหน้าขึ้นมองทางอีกครั้ง เหมือนภาพเบื้องหน้าปรากฏขึ้นโดยฉับพลัน จูเลียนใจหายวูบ ขาสั่น ๆ ที่กำลังก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงักงัน ร่างเพรียวนิ่งค้างราวกับกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้วทั้งตัว มันกระชั้นชิดจนหลบไม่ทัน จึงเกือบปะทะกับอะไรบางอย่างที่ยืนตระหง่านประจันหน้าอยู่บนก้อนหิน อะไรบางอย่างที่แฝงตัวกลมกลืนไปกับสีขาวของปุยหิมะ จนยากจะแยกออก



ความหวาดกลัวค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาในใจ จนจูเลียนแทบคุมสติไม่อยู่ สัตว์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของกษัตริย์หนุ่มน้อย มีขนาดใหญ่เกือบเท่าม้าศึกพันธุ์ดี แต่ขาทั้งสี่ของมันสั้นกว่า ใบหน้าของมันแหลมยาว จมูกสีดำเปียกแฉะบานออกยามส่งเสียงคำราม น้ำลายเหนียวหนืดน่าสะอิดสะเอียน ไหลย้อยลงมาตามความกว้างของปากยามแสยะขู่ เขี้ยวแหลมคมทั้งสี่ยาวยื่นออกมาอย่างน่ากลัว ลำตัวใหญ่ของมันปกคลุมไปด้วยขนหนาปุกปุย ที่มีสีขาวปลอดไปทั้งตัวจนถึงหางยาวเป็นพวง เหมาะแก่การอำพรางกายไปกับหิมะขาวโพลนได้อย่างกลมกลืน แต่สิ่งที่ทำให้จูเลียนแทบลืมหายใจ ราวกับว่าทุกส่วนในร่างกายหยุดทำงาน คือดวงตาสีแดงก่ำที่กำลังจ้องมองอย่างคุกคาม จูเลียนเคยได้ยินเรื่องเล่าถึงความดุร้ายของมันมาก่อน ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกับสัตว์พันธุ์ดุในตำนาน อย่าง หมาป่าหิมะ ด้วยตัวเอง



ขนาดของหมาป่าหิมะใหญ่กว่าจูเลียนเท่าตัวหรือมากกว่านั้น มันจ้องมองราวกับเคยโกรธแค้นกันมาก่อน ร่างเพรียวที่สั่นอยู่แล้วจึงยิ่งสั่นมากขึ้นเพราะความกลัว เนตรเขียวมรกตสบนิ่งอยู่กับดวงตาแดงก่ำราวถูกมนต์สะกดให้หยุดนิ่ง จูเลียนไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา หนุ่มน้อยอยู่ในสายตาของมันและกลายเป็นเป้าโจมตี เมื่อร่างใหญ่สี่ขาบนก้อนหินค่อย ๆ ย่อตัวลง พร้อมกับจูเลียนที่รู้สึกตัวว่าภัยกำลังคุกคาม จึงพยายามขยับขาช้า ๆ ก้าวถอยหลังให้เบาและดูนิ่งที่สุด แต่นั่นทำให้จูเลียนพบว่าไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ จูเลียนกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ทำไม่ได้แม้กระทั่งสั่งให้ตัวเองถอยหนี



เหมือนมัจจุราชสี่ขาจะรู้ว่าหนุ่มน้อยตรงหน้ากำลังกลัว มันจึงยิ่งจ้องดุด้วยดวงตาแดงก่ำ แสยะปากแยกเขี้ยวคำรามขู่ใส่เหยื่อตัวน้อย เสียงคำรามที่ได้ยินแล้วทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ เสียงที่ทำให้รู้สึกหนาวยะเยือกแม้จะหนาวอยู่มากแล้ว จูเลียนพยายามขยับขาจะถอย แต่พบว่าขาคงแข็งไปแล้วจึงก้าวไม่ออก ร่างเพรียวที่สั่นเพราะความหนาวเลยยิ่งสั่นมากขึ้นเมื่อเกิดความกลัว บอกตัวเองว่าต้องหนีแม้รู้ว่าคงหนีไม่พ้น เพราะร่างกายขยับไม่ได้ ก้อนสะอื้นตีขึ้นมาจุกแน่นกลางอก มันอัดแน่นจนถึงลำคอ ริมฝีปากรูปกระจับสวยที่เคยแย้มยิ้มสดใส บัดนี้บิดเบี้ยวเพราะกำลังกลั้นเสียงร้องไห้โฮ จูเลียนกลัวจับใจแต่จะหนียังไงในเมื่อก้าวขาไม่ออก จึงได้แต่พยายามอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ



“ฮะ ฮานส์” ตอนนี้คนเดียวที่จูเลียนคิดถึงคือฮานส์จึงเรียกเสียงดัง แต่กลับพบว่าเสียงที่เปล่งออกมามันดังเพียงแผ่วเบา ราวเสียงกระซิบ เหมือนเสียงที่เคยมีหายไปแล้วพร้อมความกลัวที่เข้ามาแทน



“ฮานส์ เจ้าอยู่ไหน โรฮานส์!” จูเลียนกะพริบตาถี่บังคับฝืนไม่ให้หยดน้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลริน ริมฝีปากสวยสั่นระริก ร่างที่กำลังเตรียมกระโจนเข้าใส่บังคับให้จูเลียนพยายามถอยจนสะดุดล้มก้นกระแทก จูเลียนตกใจเปล่งเสียงร้องเรียกหาความช่วยเหลือ และคำที่หลุดออกมาจากปากมีเพียงชื่อของบุรุษหนุ่มชุดดำหน้าหนวด ที่ตอนนี้คงเสพสุขอยู่กับนางคณิการูปงาม แต่กระนั้นจูเลียนก็ยังเรียกหา แม้รู้ว่าเจ้าของชื่อไม่ได้อยู่ตรงนี้ เรียกแม้จะรู้ว่าอีกคนไม่มา...!!



“ฮานส์! ช่วยด้วย!” จูเลียนตะโกนร้องเสียงดัง แต่มีเพียงเสียงคำรามก้องของหมาป่าหิมะขานรับ พร้อมกับร่างใหญ่โตน่ากลัวของมันกระโจนลงมาจากก้อนหิน เป้าหมายการจู่โจมนั่งอยู่บนพื้นเบื้องหน้า จูเลียนหลับตาแน่นยอมรับชะตากรรม รู้สึกถึงแรงกระชากจนร่างกายกลิ้งไปหลายตลบ!!





“จูเลียน!”

“อึก!! ..ฮือ”

“จูเลียน” เสียงที่เคยนึกหงุดหงิดยามได้ยิน บัดนี้กลับทำกษัตริย์หนุ่มน้อยใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง จูเลียนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นดูภาพตรงหน้ารู้สึกราวกับฝัน ใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเคราอยู่ไม่ไกลเกินคืบ พวงปรางเย็นชืดถูกประคองด้วยสองมือกร้านในถุงมือหนังอบอุ่น ดวงตาสีดำสนิทดุจรัตติกาลที่จ้องมองมีแววหวาดหวั่น คิดว่าวิญญาณของตัวเองคงเพ้อฝันหลังความตาย เพราะถูกมัจจุราชสี่ขาตาแดงขย้ำ จูเลียนจึงหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า แต่พอลืมตาขึ้นอีกครั้งภาพนั้นยังไม่หายไป



“ฮานส์ เจ้ามา...”

“ชู่ ลุกขึ้นดี ๆ ก่อน” ฮานส์พยุงร่างจูเลียนให้ลุกขึ้นนั่ง เขาไม่มีเวลาปลอบมากไปกว่านี้ เพราะหมาป่าตัวใหญ่กำลังย่างสามขุมเข้าหาอย่างใจเย็น ราวกับมันรู้ว่าเหยื่อไม่มีทางหนีรอด ราวกับรู้ว่าเหยื่ออยู่ใต้อำนาจของมัน ดวงตาสีแดงก่ำเปล่งแสงเป็นประกายย่ามใจที่ได้เหยื่อมาเพิ่ม มันเดินเข้าหาร่างที่กอดกันแน่นช้า ๆ แต่ละก้าวของมันสร้างความระทึกปนหวาดกลัว จูเลียนตัวสั่นจนฮานส์รู้สึกได้ เขาดันให้หนุ่มน้อยอยู่ข้างหลังทั้งที่เจ้าตัวขืนร่างไว้ไม่ยอมห่างจากอ้อมกอด

“หลบอยู่ข้างหลังข้า”

“ฮานส์” ฮานส์ผลักจูเลียนออกห่างยืนขึ้นเต็มความสูง ดาบเล่มยาวที่ปกติมันถูกเก็บไว้มิดชิดถูกถอดออกมา เผยให้เห็นคมที่เงาวับยามฮานส์ชูขึ้นในท่าพร้อมปกป้อง ดวงตาแดงก่ำให้ความสนใจกับเหยื่อใหม่ที่เข้ามาขัด มันมองฮานส์เหมือนไม่พอใจและต้องจัดการก่อน โทษฐานที่เข้ามาขัดจังหวะขย้ำเหยื่อตัวน้อย ฮานส์ก้าวช้า ๆ ออกไปด้านข้างเบี่ยงความสนใจ ให้ไกลจากจุดที่จูเลียนนั่งหลบ กระชับดาบในมือแน่น



ดวงตาสีดำสนิทแข็งกร้าวสบนิ่งอยู่กับดวงตาแดงก่ำ ฮานส์ก้าวออกห่างจากจูเลียนมากพอสมควรแล้ว ก็เป็นจังหวะที่มัจจุราชสี่ขาตาแดงได้โอกาสกระโจนเข้าใส่ เขาเอี้ยวตัวหลบและตวัดดาบสวน คมดาบเฉือนเข้าตรงสีข้างของมันจัง ๆ เรียกเลือดพุ่งกระฉูดอาบย้อมหิมะจนแดงฉาน และเหมือนมันจะรู้ว่าฮานส์เองก็เสียหลักจึงรีบหันกลับมาจู่โจม ฮานส์แทงสวนเข้าตรงกลางระหว่างขาหน้าทั้งสองข้างของมัน แต่เขากลับถอดดาบออกมาไม่ได้ และยังไม่ทันได้ปล่อยมือจากด้ามดาบ ร่างใหญ่โตกว่าเท่าตัวก็ทิ้งน้ำหนักทับลงมาบนตัวเขาทั้งตัว



“ฮานส์ระวัง!” ร่างหมาป่าสีขาวตัวใหญ่ที่อาบชโลมไปด้วยเลือดสด ๆ ดิ้นเร่าทับอยู่บนตัวฮานส์ มันดิ้นเพื่อหาทางรอด คมดาบที่แทงเข้ากลางลำตัวโดนตำแหน่งหัวใจยังไม่อาจทำให้มันสิ้นฤทธิ์ จึงตะเกียกตะกายดิ้นรน จูเลียนลืมกลัววิ่งออกมาหวังดึงฮานส์จากร่างหมาป่า แต่แรงกระแทกจากการทิ้งน้ำหนักของสัตว์ตัวใหญ่ ทำให้แผ่นน้ำแข็งที่ถูกกระแทกแยกออกจนเกิดเป็นแอ่ง การตะเกียกตะกายของสัตว์ใกล้ตายไม่สิ้นฤทธิ์ ทำให้ร่างสองร่างที่ยังทับกันตกลงไปในแอ่งน้ำเย็นเฉียบเบื้องล่าง หายไปจากสายตาจูเลียนทันที



“ฮานส์!!!! “ อัสสุชลเอ่อคลอสองเนตรที่เคยอดกลั้นไว้ไหลนองอาบสองแก้ม จูเลียนยื่นมือค้างเมื่อร่างของฮานส์ถูกรั้งตกลงไปในแอ่งน้ำต่อหน้าต่อตา เดิมทีบริเวณนี้เป็นบึงกว้างที่พื้นผิวน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็ง แต่ไม่หนาและไม่แข็งแรงพอจะรองรับน้ำหนักยามถูกกระแทกแรง ๆ ได้ อีกทั้งแผ่นน้ำแข็งยังลื่นจนร่างหนัก ๆ ที่กำลังดิ้นเร่าเสียการทรงตัว



“โรฮานส์! กลับมา! ได้โปรดกลับมา” จูเลียนไม่สนใจแล้วว่ากำลังร้องไห้ฟูมฟาย ไม่ใช่ว่ากลัวที่ต้องอยู่คนเดียว แต่เป็นเพราะเสียใจที่ใครคนหนึ่งต้องมาตาย เพราะความโง่เขลาของตัวเอง ใครคนหนึ่งที่เคยช่วยชีวิตจูเลียนหลายครั้ง ใครคนหนึ่งที่โผล่เข้ามาสร้างความไม่พอใจและความปั่นป่วน ใครคนหนึ่งที่แอบอ้างว่าจูเลียนเป็นเมียหน้าตาเฉย ใครคนหนึ่งที่เย่อหยิ่งทะนงตน ไม่ยอมก้มหัวให้จูเลียนที่เป็นถึงองค์กษัตริย์

ใครคนหนึ่งที่ต้องตายอย่างไร้ศักดิ์ศรีเพราะความโง่เขลาของจูเลียน!



“ฮานส์...กลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้” จูเลียนไม่ทิ้งความเอาแต่ใจ แต่ก็ได้กลับมาเพียงความเงียบ ทุกอย่างเงียบราวกับไม่เคยมีการต่อสู้เกิดขึ้นมาก่อน หากไม่มีเลือดสีแดงสดเปื้อนหิมะเป็นหลักฐานให้เห็นคาตา

“ถ้าข้าไม่ดื้อรั้นกับเจ้า มันคงไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหมฮานส์” จูเลียนฟุบหน้าลงกับพื้นน้ำแข็งเย็น ๆ แก้มขาวที่ซับสีแดงปลั่งเพราะความหนาวอาบไปด้วยน้ำตาเป็นสาย ร่างเพรียวสิ้นไร้เรี่ยวแรงราวกับคนสิ้นหวัง จูเลียนกำลังสำนึกผิดและโทษความดื้อรั้นของตัวเอง หิมะที่ตกลงมาอย่างบ้าคลั่งในคราแรก เหลือเพียงละอองบาง ๆ โปรยลงมา ราวกับร่วมไว้อาลัยให้คนที่เพิ่งจากไป ราวกับแสดงความเสียใจกับคนที่กำลังฟุบหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวด ไม่มีอีกแล้ว ยามนี้จูเลียนไม่มีใครจริง ๆ แล้ว



“ฮานส์..ข้าเสียใจ ข้า...”

“จู เลียน” เสียงแผ่ว ๆ ที่แว่วมาให้ได้ยินยังไม่อาจเรียกสติของคนที่กำลังเสียใจกลับมาได้ จูเลียนยังฟุบหน้าร้องไห้ฟูมฟาย ที่เห็นฮานส์ตกลงไปในแอ่งน้ำเย็น ๆ ต่อหน้าต่อตา จนกระทั่งเสียงเรียกดังขึ้นมาอีกครั้งร่างที่ฟุบฟูมฟายอยู่จึงถึงกับชะงัก

“จูเลียน”

“ฮานส์!” จูเลียนเงยหน้าขึ้นเห็นเพียงใบหน้าของฮานส์ แต่ตัวชายหนุ่มยังอยู่ใต้น้ำ เขาเกาะอยู่กับขอบรอยแตกของแผ่นน้ำแข็ง กษัตริย์หนุ่มน้อยมองภาพนั้นเอย่างไม่เชื่อสายตา แต่ใบหน้าที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเครา และนัยน์ตาสีดำสนิทกวนอารมณ์คู่นั้น จะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่คนที่จูเลียนกำลังร้องไห้หาปานใจจะขาด

“มะ มาดึงข้าขึ้นไปหน่อย” ฮานส์บอกด้วยเสียงที่สั่นมากจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง จูเลียนรีบปัดมือเช็ดน้ำตาออกลวก ๆ จึงพอมองเห็นอะไรได้ชัดขึ้น ร่างที่เกาะอยู่กับแผ่นน้ำแข็งสั่นจนน่าตกใจ แต่เสียงของฮานส์เรียกสติจูเลียนกลับมา

“ระ เร็วสิวะ ข้า จะแข็งตายอยู่แล้ว” ฮานส์บอกพลางโยนดาบในมือขึ้นมาก่อน ตามด้วยร่างสั่น ๆ ของเขาที่พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมา จูเลียนจึงผวาเข้าช่วยดึงร่างสูงใหญ่อย่างยากลำบาก เพราะฮานส์เริ่มสั่นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ และเกือบจะตกลงไปในน้ำเย็น ๆ อยู่หลายครั้ง

“ฮานส์ขึ้นมา เจ้าต้องขึ้นมาให้ได้นะ”

“ก็ดึงสิ เร็ว”

“ขึ้นมา” จูเลียนสอดมือเข้าใต้รักแร้ของคนหน้าหนวด รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกลั้นใจดึงร่างสั่นเทาขึ้นมารวดเดียว จนฮานส์ขึ้นมานอนสั่นอยู่บนแผ่นน้ำแข็งได้ทั้งตัว

จูเลียนเหนื่อยจนหอบแทบหายใจไม่ทัน แต่ก็พักไม่ได้ เพราะตอนนี้ฮานส์สั่นไปทั้งตัวจนน่าเป็นห่วง คนหน้าหนวดกอดตัวเองแน่นเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น แต่นั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะร่างทั้งร่างเปียกโชก จูเลียนก็ได้แต่หันรีหันขวางเพราะไม่รู้จะช่วยยังไง

“ฮานส์” ยิ่งเห็นฮานส์สั่นหนักจูเลียนยิ่งทำอะไรไม่ถูก แต่ถ้ายังไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง ฮานส์คงได้หนาวตายตรงนี้แน่ “ไหวไหมลุกขึ้นก่อน”

“..” จูเลียนประคองร่างที่สั่นเทาให้ลุกขึ้นพาเดินไปอย่างทุลักทุเล หิมะที่ตกหนักหยุดลงตั้งแต่ตอนไหนจูเลียนไม่รู้ ตอนนี้สิ่งที่หนุ่มน้อยต้องการมากที่สุดคือที่ไหนสักแห่ง ที่สามารถพาฮานส์เข้าไปหลบหนาวได้ และเหมือนกับว่าโชคชะตายังไม่โหดร้ายกับยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทียมากเกินไป เดินมาได้ไม่ไกลจูเลียนก็เห็นโพรงลึกเข้าไปใต้ดินที่พอจะเข้าไปหลบหนาว หนุ่มน้อยไม่รอช้ารีบพาร่างสั่นเทาเข้าไปทันที

“เข้าไปก่อน” พอพากันเดินลอดเข้าไป จึงพบว่ามันเป็นโพรงที่เกิดจากต้นไม้ขนาดใหญ่ล้มลง คงจะเป็นเพราะพายุหิมะหรืออะไรจูเลียนก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ตอนนี้มันคือที่พักที่ดีที่สุดสำหรับหลบหนาว รากที่แผ่สาขาออกยามต้นโค่นลงทำให้เกิดโพรงขนาดใหญ่ที่พออาศัยอยู่สองคนได้สบาย พื้นข้างล่างเป็นหินนั่นจึงพออธิบายได้ว่าทำไมต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้มันถึงได้ล้มลงง่าย ๆ หิมะที่ตกไหลเข้ามาไม่ถึง แม้พื้นหินจะเย็นอยู่มากแต่ก็ยังดีกว่าต้องนอนอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นข้างนอก

“เจ้าไหวไหมฮานส์” ได้ยินเสียงจูเลียนถามฮานส์ที่ยังตัวสั่นหนักจึงพยายามปรือตาขึ้นมอง

เขาบอกตะกุกตะกัก “กะ ก่อ ฟ ไฟ”

“ก่อไฟ” ถ้าฮานส์ได้เห็นสีหน้าของจูเลียนตอนนี้จะรู้ทันทีว่าอีกคนทำไม่เป็น จูเลียนมองไปรอบตัวที่มืดสลัวเพราะไม่รู้จะทำอะไรตรงไหนก่อน แล้วจึงหันกลับมาหาฮานส์ “ข้า ต้องทำยังไง”

“ถุง”

“ถุงหรือ ถุงอะไร ถุงที่เจ้าถือมาหรือฮานส์” จูเลียนหันซ้ายหันขวาหาสิ่งที่ฮานส์ต้องการ แต่ข้างกายไม่มีจึงจำได้ว่าชายหนุ่มทิ้งมันไว้ตอนสู้กับหมาป่า

“ในถุง” เห็นฮานส์กำลังจะหมดสติอยู่แล้วจูเลียนเลยยิ่งอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อฮานส์ต้องการถุงหนุ่มน้อยจึงต้องรีบไปหามาให้

“เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวข้าจะไปเอาถุงมาให้” จูเลียนวิ่งกลับไปทางเก่าที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น เห็นถุงหนังที่ฮานส์มักจะสะพายติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอดถูกทิ้งไว้ จึงวิ่งไปเก็บมันมา จูเลียนคว้าถุงหยิบขึ้นมาพาดไหล่ เพิ่งได้รู้ว่ามันหนักมากทีเดียว พอได้ถุงแล้วจึงหันหลังจะวิ่งกลับ แต่สายตาสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างเสียก่อน จึงวิ่งไปหยิบมันมาด้วย

ดาบของฮานส์!



“ฮานส์ ถุงของเจ้า”

“ไปหากิ่งไม้แห้งมา” ฮานส์กระชากถุงไปค้นหาของด้วยมือที่สั่นจนแทบควบคุมไม่ได้ ปากก็บอกจูเลียนไปด้วยจนอีกคนต้องวิ่งออกไปหากิ่งไม้มาให้ตามสั่ง ซึ่งมันหาได้ไม่ยากเพราะอยู่ใต้โพรงของต้นไม้ใหญ่ที่ล้มแห้งตาย แค่วิ่งออกไปก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว



จูเลียนกลับมาพร้อมกิ่งไม้แห้งหอบใหญ่ในมือ ฮานส์เลยรีบก่อไฟทั้งที่มือและเนื้อตัวของเขายังสั่นอยู่มาก ปากของเขาเริ่มเขียวคล้ำ ดีที่ยังไม่หมดสติไปเสียก่อน จนไฟเริ่มติดแต่ก็ยังไม่ร้อนพอที่จะให้ความอบอุ่น ฮานส์ที่ทนมาจนถึงขีดสุดก็หมดสติลงตรงข้างกองฟืนนั่นเอง

“เจ้าจะนอนตรงนี้ไม่ได้นะฮานส์”

“...”

“ฮานส์” จูเลียนเขย่าตัวปลุกแต่ฮานส์หมดสติไปแล้วทั้งที่ร่างกายยังสั่นแรง หันซ้ายหันขวาเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดี ระหว่างทำให้ไฟลุกติดมากกว่านี้หรือดูแลฮานส์

“ขยับออกมาอีก” พอจับตัวฮานส์จะดึงออกให้ห่างจากกองไฟ จูเลียนถึงได้รู้ว่าอีกคนตัวเย็นมากแค่ไหน ร่างกำยำยังสั่นสะท้านเพราะเสื้อผ้ายังเปียกชุ่ม และก่อนที่ฮานส์จะเป็นอะไรไปมากกว่านี้หนุ่มน้อยก็ตัดสินใจได้



จูเลียนรีบถอดเสื้อผ้าเปียกของฮานส์ออกจนหมด สละผ้าคลุมของตัวเองปูพื้นให้ฮานส์นอน แล้วห่มร่างกำยำด้วยเสื้อคลุมตัวหนาของฮานส์เอง ที่ถอดมันให้จูเลียนตั้งแต่วันก่อน ห่มให้ทั้งตัวจนถึงเท้า จูเลียนรู้ว่ามันเป็นผ้าเนื้อดีที่ทอขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อกันหนาว จึงสามารถให้ความอบอุ่นได้มากกว่า เสื้อตัวนอกของจูเลียนถูกถอดออกมาอังไฟที่กำลังลุกโชน พออุ่นได้ที่ก็เอามาคลุมหัวคลุมตัวให้ฮานส์อีกชั้น แต่ดูเหมือนว่าอาการยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ แม้ไฟที่ก่อไว้จะให้ความอบอุ่นได้พอสมควรแล้ว ร่างกำยำยังไม่คลายอาการสั่นเท่าที่ควร จูเลียนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่กอดฮานส์แน่น หวังแบ่งปั่นความอบอุ่นจากร่างกายให้แก่กัน

ผ่านไปเป็นครู่อาการของฮานส์จึงดีขึ้น แต่ร่างกำยำก็ยังสั่นสะท้านขึ้นมาเป็นพักๆ ทุกครั้งจูเลียนจะคอยกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น มืออุ่นนุ่มถูไปตามกล้ามเนื้อแข็งแกร่งทั้งหลังและไหล่ให้เกิดความร้อน หวังว่ามันจะช่วยได้บ้าง จนในที่สุดจูเลียนก็รั้งร่างของฮานส์ซบแนบอก มีผ้าผืนหนาห่มคลุมร่างของทั้งสองไว้ ไฟกองใหญ่ให้ความอบอุ่น จูเลียนทนความเหนื่อยความเพลียไม่ไหวจึงหลับไปด้วยกัน



**************************** 50%

ขอรับบริจาคฮีทเตอร์ให้ฮานส์ น่าสงสารจูเลียนน้องต้องกอดว่าที่สามีให้ความอบอุ่น 



หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 17 ใต้โพรงต้นไม้ที่อบอุ่น 100% 25/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 25-12-2018 07:04:01
บทที่ 17 ใต้โพรงต้นไม้ที่อบอุ่น.. 100%


ก่อนหน้าที่ฮานส์จะตามมาช่วยจูเลียนทัน

“ข้ารู้ว่าหนุ่มน้อยเป็นใคร ไม่ตามไปจะดีหรือเจ้าคะนายท่าน” ดูก็รู้ว่าคงไปคนเดียวไม่รอด มาเรียตต้าถามแต่ไม่ได้รับคำตอบ ฮานส์จับมือนางขึ้นมาวางถุงผ้าเล็ก ๆ ลงที่กลางฝ่ามือ

“ในนี้มีเหรียญทองจำนวนหนึ่ง ใช้มันไถ่ตัวเจ้าให้เป็นอิสระซะ”

“แต่..” ดวงตาสีดำสนิทดุจรัตติกาลจ้องมองนางจริงจัง หญิงสาวนิ่งราวกับถูกสะกด จ้องกลับด้วยแววตาอ่อนซื่อภักดี

“เจ้าสมควรได้รับมัน ไถ่ตัวแล้วคงเหลือมากพอให้ลงทุนทำอะไรสักอย่างเลี้ยงตัว” ฮานส์บอกเพียงเท่านั้นก็ทำท่าจะหันหลังกลับ แต่มาเรียตต้าไม่ยอมปล่อยมือ

“ข้าจะอยู่ที่นั่น เมืองชายแดนที่เราเจอกันครั้งแรก ถ้าผ่านไปขอให้ข้าได้เจอท่านอีก” ฮานส์เพียงยิ้มบาง ๆ ให้นางแต่ไม่ได้รับปาก ชายหนุ่มเดินจากไป มีสายตาของมาเรียตต้ามองตามจนลับตา



ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่ไฟที่ลุกโชนในตอนแรกเริ่มอ่อนลงเหลือเพียงถ่านแดง ๆ ที่ยังให้ความร้อนได้ดีพอสมควร ร่างกายที่ได้รับความอบอุ่นเริ่มฟื้นตัว ฮานส์ลืมตาขึ้นช้า ๆ พบว่าตัวเองนอนซบอยู่บนแผ่นอกบางของจูเลียน หนุ่มน้อยกำลังหลับสนิท รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหน้าจึงเงยขึ้น เจ้าของใบหน้านวลผ่องหลับตาพริ้มแต่ไม่ยอมคลายวงแขนที่กอดร่างเขา ชายพเนจรยิ้มบาง ๆ ค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้น รู้สึกถึงความโล่งของร่างกายจึงได้รู้อีกอย่างหนึ่ง ว่าตัวเองกำลังเปลือยเปล่า มองหาเสื้อพบว่ามันกองอยู่ข้างกองไฟและยังชื้นอยู่มาก จึงกระชับผ้าคลุมห่มให้จูเลียนแล้วลุกขึ้นไปเติมฟืน ปักกิ่งไม้ทำราวพาดเสื้อผ้าอังไฟให้แห้ง ค่อยกลับมานอนข้างกัน รั้งร่างเพรียวเข้ามากอดไว้แนบอกหลับไปอีกรอบ



แม้จะเป็นเช้าวันใหม่ แต่สภาพอากาศยังย่ำแย่มืดครึ้ม เลยทำให้ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างมากนัก บรรยากาศรอบตัวที่หนาวก็ยังคงความหนาวอยู่เช่นเดิม ดีหน่อยที่ตอนนี้หิมะไม่ตก คนที่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วถึงเวลาตื่น เปลือกตาบางกะพริบสองสามครั้งจึงค่อย ๆ ลืมขึ้นช้า ๆ ภาพตรงหน้ายังพร่ามัว ยกมือขึ้นมาขยี้เบา ๆ แล้วหลับลงไปอีก บดบี้ใบหน้าแนบลงกับความอบอุ่นทำท่าจะหลับต่อ แต่พอรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่เต้นเป็นจังหวะแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตรงที่แนบซีกแก้มซบลงไปจึงลืมตาขึ้นใหม่ ความงัวเงียค่อย ๆ จางหายไปแทนที่ด้วยสติและตื่นเต็มตา พอตื่นเต็มตาจูเลียนจึงเพิ่งนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร



“ฮานส์!”

“ชู่ อย่าเพิ่งลุกขึ้นสิ ข้ากำลังหลับสบายอยู่เลย เจ้าจะรีบตื่นมาทำไม” เสียงดุของฮานส์ยิ่งเร่งให้จูเลียนรีบขืนตัวออกจากอ้อมแขนของเขา แต่มีหรือคนที่อ้างว่ากำลังหลับสบายจะยอมปล่อยร่างอุ่นง่าย ๆ

“ปล่อยข้า”

“ปล่อยทำไมกำลังอุ่นพอดีเลย”

“เจ้ามากอดข้าตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย ก็เมื่อคืน..”

“เมื่อคืนทำไม?”

“ก็...” ก็เมื่อคืนข้าเป็นคนกอดเจ้าไว้ไม่ใช่หรือ? จูเลียนอยากถามออกมาแบบนี้ แต่อยู่ดี ๆ ก็พูดไม่ออก มันรู้สึกกระดากปากแปลก ๆ ทั้งยังไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นคนกอดฮานส์ไว้ก่อนจะหลับไป

“หือ ว่าไง?”

“ไม่มีอะไร”

“นอนต่อเถอะน่า” บอกพลางรั้งจูเลียนที่ขืนตัวไว้กระชับกอดให้แน่นขึ้นอีก ใช่ที่มันอุ่น แต่ตอนนี้จูเลียนรู้สึกตัวแล้วเรื่องอะไรจะยอมนอนเฉย ๆ ให้ฮานส์กอดอย่างสบายใจ

“ปล่อยข้านะ” ฮานส์ทำเสียงเหมือนรำคาญ ขยับนอนตะแคงหันหน้ามาหาจูเลียน และพอได้สัมผัสร่างกายกำยำแนบชิด หนุ่มน้อยจึงเพิ่งนึกได้อีกอย่างว่า...

“ฮานส์! “

“อะไรอีกวะ!?”

“เจ้า..”

“ข้าทำไมนักหนา?”

“เจ้าไม่ได้ใส่เสื้อผ้า! ปล่อยข้าเลยเจ้ามันคนลามก” เพราะร่างกายที่แนบชิด และอะไรบางอย่างของฮานส์กำลังทิ่มแทงอยู่ตรงหน้าขาของจูเลียน ทำให้หนุ่มน้อยเผลอด่าออกมาตรง ๆ คนลามกได้แต่กลั้นเสียงหัวเราะขำ ใจนึกอยากแกล้ง

“เอ๊ะ แล้วเมื่อคืนใครล่ะที่ถอดเสื้อผ้าข้าออกจนหมด ไม่ใช่เจ้าหรือไง”

“ก็..ใช่ล่ะข้าถอดออกเองแต่เพื่อช่วยเจ้านี่ ตื่นแล้วเจ้าก็ควรไปแต่งตัวให้เรียบร้อยสิ”

“มันเปียกอยู่ เจ้าจะให้ข้าใส่ทั้งที่เปียกคงได้ป่วยตายก่อนพอดี” จูเลียนจนด้วยเหตุผลแต่ยังจ้องหน้าฮานส์เงียบ พอเห็นจูเลียนเงียบฮานส์เลยยิ่งขยับตัวเข้าเบียดให้แนบชิดมากขึ้นอีก จนกษัตริย์หนุ่มน้อยร้องโวยวาย

“เจ้าจะทำอะไรเนี่ยฮานส์ ปล่อยข้าเลยนะห่มผ้าของเจ้าไปเลย” แกล้งจนพอใจแล้วฮานส์ก็ยอมปล่อยแต่โดยดี จูเลียนเลยทุบลงตรงอกแกร่งกำยำไปอย่างแรงหนึ่งทีหนัก ๆ แต่เหมือนเจ้าของอกจะไม่สะทกสะท้านสักนิด จูเลียนขยับไปนั่งข้างกองไฟ จึงเห็นว่าเสื้อผ้าของฮานส์พาดตากอยู่บนกิ่งไม้ และมันแห้งแล้ว

“ผ้าคลุมกับเสื้อตัวนอกของเจ้าไปไหน?” จูเลียนไม่ตอบแต่หันกลับมามองฮานส์ตาขวาง ชายหนุ่มนอนเอามือทั้งสองข้างหนุนหัว จนกล้ามแขนแน่น ๆ ขึ้นเป็นก้อน แผ่นอกกว้างประดับด้วยไรขนที่พ้นขอบผ้าคลุมดูแข็งแกร่ง จูเลียนมองต่ำที่พื้นก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น ฮานส์มองต่ำตามสายตาของจูเลียนจึงได้เห็น ว่าพื้นอุ่น ๆ นั้นปูรองด้วยผ้าคลุมอีกผืน ซึ่งจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากของจูเลียน

เขายิ้มออกมาบาง ๆ ในความรั้นเอาแต่ใจของกษัตริย์หนุ่มน้อย ยังแฝงไปด้วยความมีน้ำใจและไม่ถือตัว ผ้าคลุมผืนนี้ถ้าจะว่ากันตามจริง แม้มันจะเป็นเพียงฉลองพระองค์ลำลอง แต่ยังปักตราประจำตัวเล็ก ๆ ไว้ใต้ปก ตราที่บ่งบอกถึงความสำคัญและสูงศักดิ์ แต่จูเลียนก็สละมันเพื่อปูรองให้ฮานส์ได้นอนอย่างอบอุ่น



“แทนที่จะนอนยิ้มเหมือนบ้า ข้าว่าเจ้าควรลุกมาแต่งตัวได้แล้วนะฮานส์” เนตรเขียวมรกตมองขวาง เพราะหันมาเห็นฮานส์ยังนอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่เหมือนเดิม ไม่รู้จะยิ้มทำไมนักหนาจูเลียนเห็นแล้วนึกหงุดหงิด

“ดูให้หน่อยสิ เสื้อผ้าข้าแห้งหรือยัง”

“ข้าเป็นเด็กรับใช้ของเจ้าหรือไง อยากรู้ก็ดูเองสิ”

“ก็ได้” ฮานส์ตอบลากเสียงยาวจึงได้รับสายตาค้อนทันที แต่อะไรก็ไม่ทำให้จูเลียนตกใจได้เท่ากับอยู่ดี ๆ ฮานส์ก็ลุกขึ้นทั้งที่ร่างกายยังเปลือยเปล่า แล้วเดินโทง ๆ มายืนข้างกองไฟตรวจดูเสื้อผ้าที่ผึ่งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

“ฮานส์! เจ้าบ้าไปแล้วหรือไงเจ้าคนลามก ยี้” จูเลียนรีบเอามือปิดตาหันหน้าไปทางอื่น ปากบริภาษให้ฮานส์ที่หน้าไม่อาย เสื้อผ้าไม่ใส่ยังลุกขึ้นเดินหน้าตาเฉย จูเลียนที่นั่งอยู่ข้างกองไฟใกล้ ๆ กับเสื้อผ้าของฮานส์เลยแทบปิดตาหันหนีไม่ทัน

“หึ เจ้าอายหรือไง นึกว่าแอบดูตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

“ใครแอบดูเจ้า อย่ามากล่าวหาข้าเชียวนะ”

“แล้วใครจับข้าแก้ผ้าล่ะ” ฮานส์ชะโงกตัวส่องดูหน้าจูเลียนที่ยังหันไปทางอื่น เขาหัวเราะขำทำให้จูเลียนที่ได้ยินยิ่งขัดใจ จะหันกลับมาจะต่อว่าให้สักที แต่กลับต้องอ้าปากค้างตาโต เพราะฮานส์มายืนประชิดตัวขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ส่วนสงวนที่ควรปิดบังชี้หน้าจูเลียนพอดีแทบจะทิ่มตา!

“อ้ากกกก ฮานส์!!!!” ฮานส์ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างสะใจที่ได้แกล้ง จูเลียนรีบเอามือปิดหน้าหันไปทางอื่น พักตร์นวลผ่องที่ซับสีแดงระเรื่อเพราะความหนาวอยู่แล้ว ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ เพราะได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นต่อหน้าต่อตาอย่างชัดเจน แบบใกล้ชิดอย่างที่ไม่เคยมาก่อน

“เป็นอะไรของเจ้าเนี่ย” ไม่พูดเปล่า ฮานส์ยังคุกเข่าข้างหนึ่งลงข้าง ๆ จับไหล่จูเลียนรั้งให้หันหน้ากลับมาหา เสื้อผ้าในมือแห้งแล้วแต่ไม่ยอมใส่ดี ๆ ให้เรียบร้อยก่อน

“เจ้ามันหน้าไม่อาย หน้าไม่อายจริง ๆ เจ้ามันคนลามกฮานส์ ไปไกล ๆ ข้าเลย”

“หึหึ อายอะไรล่ะ เจ้าเองก็มีเหมือนกันนี่ แล้วตอนที่เจ้าถอดเสื้อผ้าข้าออกก็เห็นหมดแล้วใช่หรือไง”

“ข้าก็แค่ถอดออกไม่ได้มองตรงนั้นสักหน่อย” จูเลียนบอกเสียงอ่อย แต่ยังไงก็ยังไม่ยอมหันหน้ามาคุยกันดี ๆ ตอนถอดเสื้อผ้าให้มือทำงานแต่ตามองไปทางอื่น ไม่รู้ทำไมแต่จูเลียนไม่กล้ามองร่างกายแกร่งกำยำของฮานส์ แค่ต้องถอดเสื้อผ้าให้ก็ใจสั่นมือสั่นจนเกือบทำไม่อะไรไม่ถูกแล้ว

“หึ”

“ไม่ต้องมาหัวเราะเยาะข้านะ” พักตร์นวลแดงก่ำที่พวงปรางซ้ำยังบึ้งตึง เพราะขัดใจเสียงหัวเราะขำของฮานส์ ยิ่งได้ยินยิ่งทำให้หงุดหงิด “ถ้าข้าไม่จับเจ้าแก้ผ้าป่านนี้คงหนาวตายไปแล้ว”

“จูเลียนทรงกรุณาต่อข้าเหลือเกินฝ่าบาท” ฮานส์บอกแล้วค้อมตัวลงคำนับจูเลียนอย่างอ่อนน้อม

“เจ้า..ไม่ต้องเลยนะ”

“เอ้าเดี๋ยวจะหาว่าข้าไม่รู้จักขอบคุณอีก” จูเลียนหน้าตูม ตั้งแต่ได้เจอหน้ากันมา มีหรือที่ฮานส์จะเคยใช้คำราชาศัพท์พูดด้วยอย่างนี้ นอกจากเวลาที่อยากกวนอารมณ์ให้หงุดหงิดเล่น และตอนนี้ก็คงไม่ต่างกัน เห็นได้จากรอยยิ้มทะเล้นกับสายตายียวนที่มองมา แค่นี้จูเลียนก็รู้แล้ว

“เจ้าไม่ต้องมาพูดเลยฮานส์ รีบใส่เสื้อผ้าข้าหิวจะตายอยู่แล้ว” ฮานส์เพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น จูเลียนคงยังไม่ได้กินอะไร รวมถึงตัวเขาเองด้วย พอพูดถึงก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเหมือนกัน ฮานส์จึงรีบใส่เสื้อผ้าแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วลุกขึ้น

“รออยู่นี่ก็แล้วกันข้าจะไปหาอะไรมาให้กิน”

“หาอะไรล่ะ เจ้าไม่ได้เตรียมของกินมาด้วยหรือไง”

“ถ้าไม่อยากกินขนมปังแห้งก็นั่งรออยู่นี่ อย่าออกไปไหน” ฮานส์ลุกขึ้นหยิบดาบเสียบเข้าฝักของมันเหมือนเดิม แล้วหันไปกำชับจูเลียน “อย่ามัวแต่นั่งอยู่เฉย ๆ ล่ะ เอาฟืนมาเติมไฟไว้ด้วย”

“รู้หรอกน่า” จูเลียนบอกทั้งที่ไม่ได้หันมาทางฮานส์ หนุ่มน้อยจึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ ที่ผุดขึ้นมาประดับใบหน้ารกหนวดรกเครา ยามที่ฮานส์มองจูเลียน บัดนี้เขาไม่ได้เห็นกษัตริย์ผู้เย่อหยิ่งเอาแต่ใจตัวเอง คนที่เคยอยากเอาชนะเขา แต่เห็นเพียงหนุ่มน้อยไร้เดียงสาธรรมดาคนหนึ่ง ที่กำลังนั่งเขี่ยไฟและเติมกิ่งไม้เข้าไป ซ้ำยังหน้าแดงหูแดงเพราะความเขินอาย จูเลียนที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่เคยชินต่อการเห็นร่างกายของคนอื่น



ผ่านไปครู่ใหญ่ฮานส์จึงกลับเข้ามาในโพรงใต้ต้นไม้ พร้อมกับอะไรบางอย่างในมือ ที่บอกจูเลียนว่ามันจะเป็นอาหารที่ดีที่สุดที่เขาหาได้ พอจูเลียนเห็นเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือฮานส์ก็ทำตาโตตกใจ

“กระต่าย! ”

กระต่ายตัวน้อยขนปุยสีขาวราวหิมะที่อยู่ในมือฮานส์ดิ้นกระแด่วๆ เพราะถูกเขาจับหูชูขึ้นสูง คนหน้าหนวดมองสิ่งที่อยู่ในมือสลับกับจูเลียนบอกหน้าตาย “กระต่ายที่ไหน นี่มันอาหารเช้าของเราชัด ๆ “

“เจ้าอย่าบอกนะว่า...”

“อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ อย่าพูดมากเสียเวลาเจ้าหิวไม่ใช่หรือไง”

“อย่านะฮานส์! ” จูเลียนร้องตามเสียงหลงโผเข้ากอดแขนฮานส์ไว้แน่น ขณะที่เขากำลังเงื้อมือขึ้นจะฟาดกระต่ายลงกับก้อนหิน

“อะไรของเจ้า ไหนบอกหิว”

“แต่เจ้ากำลังจะทำอะไรล่ะ”

“ทำอาหารเช้าให้เจ้ากินไง” จูเลียนส่ายหน้ารับไม่ได้ กอดท่อนแขนแกร่งแน่น ดวงเนตรเขียวมรกตมีแววหวาดหวั่นมองฮานส์นิ่ง แต่สีหน้ากลับดูดื้อรั้นไม่ยอม เหมือนฮานส์เองจะไม่ยอมเช่นกัน จูเลียนจึงตัดสินใจแย่งกระต่ายตัวน้อยขนปุยมาอุ้มไว้เองอย่างทะนุถนอม

“เอามานี่”

“อ๋อ เจ้าอยากทำเองหรือ ได้สิ”

“ไม่ ข้าจะปล่อยมันไป!”

“ปล่อยไม่ได้ ปล่อยแล้วจะเอาอะไรกิน” ความหิวทำให้จูเลียนหน้าเสียทั้งลังเลแต่ความสงสารมีมากกว่า

“แล้ว..เจ้ากินมันหลงหรือฮานส์ ดูสิมันน่ารักออกขนฟูเชียว” จูเลียนไล้ฝ่ามือเบา ๆ ไปตามขนนุ่มของกระต่ายตัวน้อย

“ถลกหนังมันออกก็ไม่น่ารักแล้ว หรือเจ้าอยากกินสัตว์น่าเกลียดข้าจะได้ไปจับงูมาย่างให้เจ้ากินแทน”

“ยี้..ไม่เอาข้าไม่กินงู”

“ไม่กินก็เอามันคืนมาข้าจะทำเป็นอาหารเช้าให้กิน”

“ไม่ได้นะ ดูสิฮานส์มันกลัวเจ้าแล้ว ชู่..ไม่ต้องกลัวนะอยู่กับข้าเจ้าจะปลอดภัย” จูเลียนก้มลงดูกระต่ายตัวน้อยในอ้อมแขน ดวงเนตรสีเขียวสดใสมีแววอ่อนโยนยามลูบมือเบา ๆ ไปบนปุยขนนุ่มสีขาวราวหิมะ กระต่ายตัวน้อยดูเชื่องทั้งที่จะถูกนำมาเป็นอาหาร ยอมให้จูเลียนอุ้มไว้อย่างว่าง่าย ราวกับรู้ว่าตัวเองจะปลอดภัยยามอยู่ในมือคู่นี้ แต่สายตาเจ้าของใบหน้ารกหนวด หาได้จับจ้องอยู่กับกระต่ายตัวน้อยขนฟูอย่างที่จูเลียนบอก เพราะสายตาเขากำลังถูกพักตร์อ่อนเยาว์ และดวงเนตรสีเขียวมรกตใสซื่อ ที่กำลังมองกระต่ายตัวน้อยด้วยความเมตตาสะกดเอาไว้จนนิ่ง

“ปล่อยมัน ปล่อยมันเถอะนะฮานส์ ข้าขอร้อง”

ฮานส์ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “ปล่อยมันไปก็ไม่รอดหรอก เราไม่กินมัน มันก็อาจจะกลายเป็นอาหารของหมาป่าหรือไม่ก็สัตว์อื่นอยู่ดี”

“ต้องรอดสิ ก็มันอยู่รอดมาได้ตั้งขนาดนี้”

“ขนาดนี้อะไรนี่มันลูกกระต่ายเองนะ แม่มันก็หนีไปไหนแล้วไม่รู้”

“ข้า..จะดูแลมันเอง” ฮานส์ถอนหายใจหนักกว่าเก่า ต้องเดินทางหนีตายว่าแย่แล้วยังจะมาเลี้ยงลูกกระต่ายอีก ได้ยินประโยคต่อมาของจูเลียน ฮานส์ก็แทบจะเอาหัวมุดหิมะตายให้รู้แล้วรู้รอดมันตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย “ข้าจะเรียกเจ้าว่าอะไรดีเจ้ากระต่ายน้อย ตัวเล็ก ๆ อย่างนี้ข้าเรียกเจ้าว่าเจ้าหนูก็แล้วกันนะ” ฮานส์กลอกตา จูเลียนเรียกกระต่ายว่าหนูเสียอย่างนั้น

“จูเลียน นั่นมันอาหารเช้าเอาคืนมา!” จูเลียนมองฮานส์ตาขวางแค่นี้เขาก็รู้แล้วล่ะว่าอีกคนกำลังโกรธ

“อย่ามาจ้องจะกินเจ้าหนูของข้านะ ตอนนี้มันเป็นของข้าแล้ว” กลายเป็นฮานส์ที่จ้องจูเลียนตาขวางแทน จูเลียนก็จ้องตอบไม่ลดละ เหมือนต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลงให้กัน จนในที่สุด..

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ทนหิวต่อไปเถอะ หรือไม่ก็กินขนมปังแห้ง ๆ นั่นไปเลย” ฮานส์บอกเสียงดุเล่นเอาจูเลียนหน้าเสีย แต่เพราะความอยากเอาชนะเลยเชิดหน้าขึ้น มือกอดกระต่ายตัวน้อยแน่น

“ไม่ ข้าไม่กินขนมปังแห้ง”

“แล้วเจ้าจะกินอะไร ที่นี่ไม่ได้มีโรงครัวที่เจ้าจะสั่งพ่อครัวทำอาหารทุกอย่างมาให้กินได้ตามต้องการหรอกนะ”

“เจ้า..เจ้าก็ออกไปหามาใหม่สิ”

“หามาใหม่แล้วเกิดเจ้าสงสารมันอีก ข้าไม่ต้องออกไปหาของกินทั้งวันหรือไง” ฮานส์ฉุนหนักยืนเท้าเอวเตรียมปะทะกับจูเลียนเต็มที่

“ก็ข้าสงสารมันนี่นา” สีหน้าจูเลียนเปลี่ยนเป็นสลดอย่างน่าสงสาร จนฮานส์ได้แต่หลับตาข่มอะไรบางอย่างร้อน ๆ ที่มันกำลังเดือดปุด ๆ ขึ้นมาได้เอง

“ข้าจะทำยังไงกับเจ้าดีจูเลียน” ฮานส์สบถออกมาอีกหลายคำอย่างหัวเสีย นอกจากคนตาสีเขียวจะไม่ยอมให้เขาจัดการกับกระต่ายตัวน้อย เพื่อทำเป็นอาหารเช้า ยังจะให้เขาออกไปหาอย่างอื่นมาทำให้กินแทน เกิดเขาหาสัตว์อะไรมาแล้วจูเลียนสงสารมันขึ้นมาอีก วันนี้คงไม่ต้องกินอะไรกินกันแล้ว



**********************



“ท่านรัฐมนตรี” เสียงหนึ่งดังแทรกการประชุมที่กำลังเคร่งเครียดขึ้น ยิ่งทำให้รัฐมนตรีโจเซฟประธานในที่ประชุมเครียดกว่าเก่า เพราะไม่คิดว่าเจ้าของเสียงจะเดินทางมาถึงได้เร็วขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นคนตีสองหน้าก็ยังสามารถทำตัวให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนในที่ประชุมต่างลุกขึ้นยืนเมื่อร่างสูงสง่าเดินเข้ามาถึง

“อ่า ลอร์ดนิโคลท่านกลับมาแล้ว ยินดีต้อนรับกลับบ้าน สวาเนียร์เป็นอย่างไรบ้าง..”

“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ การแต่งงานของข้าหรือผลประโยชน์ที่เราจะได้จากฝ่ายนั้น”

“ข้าหมายถึงทั้งสองเรื่องนั่นแหละ”

“ข้าดีใจนะที่ท่านห่วงผลประโยชน์ของบ้านเมือง แต่ข้าเสียใจจริง ๆ ที่ต้องบอกว่า การแต่งงานถูกเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด แล้วชีวิตกษัตริย์ไม่สำคัญหรอกหรือท่านรัฐมนตรี”

“แน่นอนว่าชีวิตกษัตริย์ย่อมสำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้ข้าก็ส่งคนออกไปช่วยฝ่าบาทแล้ว”

“แล้วได้ข่าวคืบหน้าอะไรบ้างหรือยัง”

“ยังไม่มีใครพบเห็นฝ่าบาทกับคนสนิทเลย ข้าเสีย..”

ยังไม่ทันที่โจเซฟจะได้พูดแสดงความเสียใจอย่างเสแสร้งจบ นิโคลก็ถามขึ้นมาก่อน “ข้าเชื่อว่าท่านพยายามที่สุดแล้ว”

“แน่นอนลอร์ดนิโคลข้าส่งทหารออกไปแล้ว เชิญท่านนั่งก่อนดีกว่า เรากำลังปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่พอดี” โจเซฟผายมือไปยังเก้าอี้ข้างตัว ทั้งที่ความจริงเขาต้องสละเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งให้นิโคลแต่ก็ไม่ทำ นิโคลเดินไปนั่งลงตามคำเชิญท่าทางนิ่งสุขุมรอฟัง

“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกท่านก่อนลอร์ดนิโคล”

“ว่ามา”

“ท่านหญิงทาร์เทียน่า” ท่าทางเครียด ๆ ของโจเซฟจุดสีหน้ากังวลขึ้นมาบนใบหน้าของนิโคล ที่อสรพิษเฒ่านึกพอใจอยู่ลึก ๆ “ท่านหญิงทาร์เทียน่าหายไปจากปราสาทตั้งแต่วันที่ได้ข่าวแล้ว”

ตึง!! นิโคลทุบกำปั้นหนัก ๆ ลงบนโต๊ะเสียงดัง ทำท่าทางไม่พอใจสิ่งที่โจเซฟบอก “ท่านพูดว่านางหายไปหรือท่านรัฐมนตรี”

“นางไปพร้อมกับคนของนางจำนวนหนึ่ง ข้าคิดว่านางคงออกไปช่วยฝ่าบาท”

“นั่นไม่น่าจะรอดหูรอดตารัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจอย่างท่านไปได้นะ” ดวงตาคมสองคู่จ้องมองกันอย่างไม่ลดละ ต่างฝ่ายต่างก็กำลังแสร้งว่าไม่ได้กำลังประเมินกัน นิโคลพยายามใจเย็นแต่ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากเหลือเกิน น้องชายถูกลอบทำร้ายป่านนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร น้องสาวที่คิดว่ายังปลอดภัยดีอยู่ในปราสาทกลับหนีออกไปโดยไม่มีใครรู้อีก

“เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ถวายการดูแลนางให้ดี รวมทั้งเรื่องของฝ่าบาทด้วย หากข้ากล้าเสนอหน้าห้ามฝ่าบาทไม่ให้ไปสักหน่อยก็คง...”

“ใครก็ห้ามความเอาแต่ใจของจูเลียนไม่ได้หรอกท่านรัฐมนตรี เรื่องนี้คงโทษท่านโดยตรงไม่ได้” เพราะนิโคลรู้ว่าคนอย่างโจเซฟไม่คิดจะห้ามปรามอย่างจริงใจด้วยซ้ำ ยามจูเลียนคิดจะออกจากวัง

“ขอบคุณที่ท่านเข้าใจข้าลอร์ดนิโคล แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าคงต้องส่งคนออกตามหาฝ่าบาทเพิ่มอีก” นิโคลยังจ้องตาอสรพิษเฒ่านิ่ง ๆ เพราะเดาไม่ถูกว่าโจเซฟกำลังวางแผนอย่างไรต่อไป ทั้งเรื่องที่บอกว่าทาร์เทียน่าลอบออกจากวังเอง ทั้งเรื่องจะส่งคนออกตามหาจูเลียนเพิ่ม ไม่รู้ว่าจะตามไปช่วยหรือไปทำอย่างอื่น

“ถ้ามีอะไรคืบหน้าบอกข้าด้วยก็แล้วกันท่านรัฐมนตรี วันนี้ข้าคงต้องขอตัวก่อน เชิญพวกท่านประชุมต่อตามสบาย” คล้อยหลังนิโคลและคนติดตามออกจากห้องประชุมเล็กไปแล้ว เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของหลายคนที่นั่งฟังอยู่ด้วยก็ดังขึ้น และนั่นทำให้ได้รับสายตาดุมาจากโจเซฟที่นั่งอยู่หัวโต๊ะทันที

“พวกเจ้าดูโล่งใจนะ”

“บางทีข้าคิดว่า คนที่น่ากลัวที่สุดก็ลอร์ดนิโคลนี่ล่ะ”

“แล้วความน่ากลัวของข้ามันไม่มีแล้วหรือไง ท่านเฮมาน” โจเซฟถามชายอาวุโสที่สุดอย่างเฮมานที่ปรึกษาสภา ที่มีท่าทางหงอขึ้นมาทันทีที่ถูกตั้งคำถาม “อย่าลืมว่าเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าหวังว่าทุกคนคงไม่เปลี่ยนใจ” โจเซฟกวาดตามองสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมทีละคน ซึ่งประกอบด้วยขุนนางและสมาชิกรัฐสภาที่นับว่ามีอำนาจในการบริหารประเทศ ช่วยคานอำนาจกษัตริย์ได้ไม่น้อย และหากโจเซฟสามารถยึดอำนาจมาจากจูเลียนได้อีกทาง เขาก็จะกลายเป็นคนเดียวที่กุมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ เพราะสมาชิกเหล่านี้นอกจากปวกเปียก และต้องพึ่งพารัฐมนตรีอย่างเขาแล้ว เบื้องหลังยังถูกข่มขู่ให้จำยอมร่วมมืออย่างไม่มีทางเลี่ยง

“ตอนนี้มาคิดกันดีกว่า ว่าจะจัดการกับนิโคลยังไง” โจเซฟเอ่ยขึ้นเสียงเย็น

“ท่านมีแผนหรือยัง”

“นั่นสิ ข้าว่าเรารีบลงมือกับลอร์ดนิโคลก่อนที่มันจะรู้ตัวดีกว่า”

“เจ้ามีแผนหรือไง”

“ข้าคิดว่าท่านคงเตรียมแผนไว้แล้ว”

“ใช่ ตอนนี้เราจับตาดูไว้ก่อน มันคงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ”

“ถ้าลอร์ดนิโคลรู้เรื่องแผนการของเราล่ะ ถ้ามันรู้ว่าเรากักตัวทาร์เทียน่าเลยหนีไปล่ะ”

“คนที่รู้แผนการก็นั่งอยู่ในนี้ทั้งหมดแล้ว ถ้ามันจะรู้ก็คงรู้จากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่ง และพวกเจ้าคงจะรู้นะว่าใครที่มันหักหลังข้าจะเจอกับอะไร” ต่างคนต่างแสดงความคิดเห็น แต่พอได้ยินโจเซฟบอกอย่างนั้นทุกคนก็เงียบกริบ พากันก้มหน้าหลบสายตาดุที่กวาดมองไปรอบ ๆ อย่างเอาเรื่อง “ให้คนของเราจับตาดูลอร์ดนิโคลไว้”



********************



ปราสาทใหญ่โตโอ่อ่าอันเป็นที่ประทับของกษัตริย์ ดูเงียบเหงาไปถนัดตาเมื่อกลับมาอีกครั้ง พบว่าคนที่เคยอยู่กลับไม่อยู่ นิโคลเดินผ่านปราสาทของจูเลียน ผ่านสวนที่จัดไว้เป็นทางเชื่อมระหว่างตัวปราสาทแต่ละหลังไปเงียบ ๆ พร้อมผู้ติดตามที่กระจายตัวออกประจำตามจุดต่าง ๆ ทันทีที่ลอร์ดหนุ่มเดินมาถึงปราสาทส่วนที่พักของตัวเอง แม้จะมีขนาดเล็กกว่าปราสาทของกษัตริย์ แต่ความหรูหราโอ่อ่าสมเกียรติไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย นิโคลก้าวช้า ๆ เข้าไปภายใน สถานการณ์แบบนี้ไม่น่ารื่นรมย์เอาเสียเลย แต่ลอร์ดหนุ่มก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเดินเข้ามาถึงห้องนอนของตัวเอง

ภายในห้องเงียบและมืดสลัว เพราะไม่มีใครคิดว่านิโคลจะเดินทางกลับมาถึงได้เร็วขนาดนี้ จึงยังไม่มีใครเข้ามาเตรียมห้อง นอกจากทำความสะอาดปกติแล้วปิดไว้เหมือนเดิม ร่างสูงสง่าเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ กระดาษเปล่าสองสามแผ่นวางอยู่บนนั้นพร้อมกระปุกหมึกและแท่งปากกา

“โจเซฟคิดว่าเจ้าหนีออกจากวังไปแล้วนะ ทำไมยังอยู่” ลอร์ดหนุ่มพูดทำลายความเงียบ ยิ้มกว้างขึ้น

“น้ำหน้าอย่างรัฐมนตรีโจเซฟจะไปรู้อะไร” ใครบางคนที่แอบอยู่ในมุมมืดมุมหนึ่ง ข้างผ้าม่านหนาหนักอำพรางตัวก้าวเดินออกมา แผ่นหลังกว้างของเจ้าของห้องอยู่ในสายตาที่จับจ้อง

“เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ากำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าเจ้าหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกวังถึงไหนแล้ว”

“นิโคล ข้าคิดถึงพี่” ร่างระหงของเจ้าหญิงทาร์เทียน่าโผเข้าหาพี่ชายกอดไว้แน่น นิโคลอ้าแขนรับน้องสาวและกอดเอาไว้อย่างคิดถึงไม่แพ้กัน

“ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นสีหน้าแบบนี้ของเจ้านะเทียน่า”

“อย่ามาล้อข้านะ พี่ได้ข่าวจากจูเลียนหรือยัง”

“ยัง แต่คนที่ส่งข่าวให้ข้าก็ไม่ใช่คนของเรา” ทาร์เทียน่ายิ้มออกมาบาง ๆ “และถ้าไม่ได้ข่าวจากเขา ข้าคงอาจจะเชื่อคำพูดของโจเซฟทุกอย่าง”



******************



“ฮานส์”

“..”

“เจ้าทำอะไรอยู่ หอมจังเลย”

“...”

“นั่นอะไรน่ะ แบ่งข้ากินบ้างได้ไหมฮานส์..นะ” จูเลียนซ่อนกระต่ายไว้ในกองผ้าที่อยู่อีกมุมหนึ่ง แล้วขยับเข้ามาหาฮานส์ที่กำลังย่างอะไรบางอย่างอยู่ข้างกองไฟ กลิ่นหอมของมันบังคับให้หนุ่มน้อยขยับเข้ามาใกล้ ๆ จูเลียนก้มตัวลงใช้มือทั้งสองข้างยันไว้ที่หัวเข่า ความแตกต่างของร่างที่เพรียวบางกับร่างใหญ่กำยำ จูเลียนจึงทำได้เพียงชะโงกตัวผ่านไหล่กว้าง

“หอมจังฮานส์” ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ กับเสียงที่ดังอยู่ข้างหู ฮานส์ก็ยังนั่งเฉยไม่สนใจ ไม่สนใจแม้กระทั่งเสียงกลืนน้ำลายสลับกับเสียงสูดกลิ่นหอม ๆ เข้าจมูก “อู้หู น่ากินจังเลยฮานส์”

หลังจากทะเลาะกันเรื่องกระต่าย ฮานส์หายออกไปจากโพรงใต้ต้นไม้ครู่ใหญ่ก็กลับมา คนหน้าหนวดนั่งก้มหน้าก้มตาทำอะไรบางอย่างอยู่ข้างกองไฟ จูเลียนพยายามชวนคุย แต่เหมือนกับว่าอีกคนจะไม่เห็นหนุ่มน้อยอยู่ในสายตา จนต้องละความพยายามหันไปพูดกับเจ้าหนูแทน แต่กลิ่นหอม ๆ ที่โชยไปทั่วโพรงใต้ดินแห่งนี้ มันเรียกร้องให้ท้องของจูเลียนประท้วง ความหิวบังคับให้ขยับเข้ามาใกล้สะกิดเรียกและเอ่ยถาม

“เจ้าจะกินไอ้นั่นคนเดียวหรือไง”

“..” ฮานส์ทำหูทวนลมพลิกไม้ที่เสียบอาหารย่างไฟกลับไปกลับมา บางครั้งก็ยกขึ้นมาดมกลิ่นทั้งที่กลิ่นหอมโชยกระจายไปทั่ว ไม่สนใจเสียงที่ดังอยู่ข้างหู จนสุกได้ที่เขาก็ดึงขาข้างหนึ่งของอาหารที่เสียบอยู่กับไม้ย่างออกมาแทะกินคำใหญ่ ส่วนที่เหลือเสียบไว้ข้างกองไฟล่อตาเหมือนเดิม

“ก็ถ้าเจ้าจะใจร้ายขนาดนั้นก็ตามใจนะ” จูเลียนถอยกลับไปนั่งที่เดิม มือคว้ากระต่ายตัวน้อยขนฟูนุ่มมากอดไว้ ดวงเนตรเขียวสุกใสจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังกว้าง ส่งสายตาค้อนให้คนที่ทำปากหายไม่พูดไม่จา

จูเลียนกลืนน้ำลายเสียงดังจนฮานส์นึกขำ เขายกไม้เสียบอาหารที่ย่างสุกแล้วมาฉีกกินท่าทางเอร็ดอร่อย รู้ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนหิวโซ แต่อยากสอนให้จูเลียนรู้สำนึกเสียบ้าง ฮานส์ลุกขึ้นเดินมานั่งลงไม่ไกลจากจูเลียน มือข้างหนึ่งถือของกินแทะอย่างเมามัน ส่วนมืออีกข้างถือไม้ที่มีอาหารน่ากินเสียบอยู่

“นั่นคืออะไรเหรอฮานส์น่าอร่อยนะ แบ่งกันบ้างสิ ไหน ๆ ก็เดินทางมาด้วยกันแล้วนะ”

“กระต่าย”

“อ้าว”

ต่อ...ข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 17 ใต้โพรงต้นไม้ที่อบอุ่น 100% 25/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 25-12-2018 07:04:31



“ยังจะกินอยู่ไหมล่ะ กินก็มาเอา” ฮานส์ยื่นของกินให้ พักตร์นวลผ่องที่หงอยอยู่แล้วเลยยิ่งหงอยเข้าไปใหญ่ นึกโกรธที่ฮานส์ยังดึงดันจะกินกระต่ายให้ได้ แม้จะไม่เท่าตอนแรกที่เขาจับเจ้าหนูมา เพราะตัวนี้ฮานส์ชำแหละมาจากข้างนอก จูเลียนเลยไม่เห็นมัน แต่พอบอกว่าเป็นกระต่ายหนุ่มน้อยก็กินไม่ลงอยู่ดี

“เจ้ามันใจร้ายจริง ๆ เลยนะฮานส์ ข้า..จะไม่กินของเจ้าก็ได้” ฮานส์ไม่ตอบแต่รอยยิ้มยียวนนั่นบอกจูเลียนได้เป็นอย่างดี ว่ากำลังถูกอีกคนยิ้มเยาะอย่างสะใจ จูเลียนสะบัดหน้าไปทางอื่น มือยังลูบเจ้าหนูกระต่ายตัวน้อยเบา ๆ

“หึ เอาไปกินสิ หิวจะตายอยู่แล้วเจ้าอย่ามาทำเป็นใจดีมีเมตตา”

“...”

“ยังอีก ไม่เอาข้าจะกินทั้งหมดนี้คนเดียวนะ”

“ข้าไม่กินของคนใจร้ายอย่างเจ้าหรอกฮานส์!”

“แน่ใจนะ อย่ามาบ่นเสียดายทีหลังล่ะ นกนี่เนื้อนุ่มอร่อยเสียด้วย หอมมากด้วยเจ้าก็ได้กลิ่น” จูเลียนหันขวับมาทางฮานส์ตั้งแต่ได้ยินว่าสิ่งที่คนหน้าหนวดกำลังกินอยู่คือนกแล้ว ยิ่งเห็นชิ้นที่อยู่ในมือฮานส์จูเลียนยิ่งตาโต เพราะมันคือส่วนที่เป็นปีก ทั้งที่มันก็เสียบไม้ย่างไฟอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ ทำไมไม่ดูให้ดี จูเลียนนึกโกรธตัวเองที่เสียรู้ฮานส์เข้าจนได้อีกแล้ว

“นกหรือ?”

“อือ นกเจ้าก็ไม่กินหรือไง”

“ก็นะ ก็ถ้าข้าไม่เห็นตัวมันก่อนก็น่าจะไม่เป็นไร”

“ชิ้นสุดท้ายแล้ว บังเอิญข้าไม่อิ่มด้วยสิ เจ้ารอกินคราวหน้าก็...”

“เอามานะ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว” ยังไม่ทันที่ฮานส์จะได้พูดจบ จูเลียนก็วางกระต่ายตัวน้อยไว้ในกองผ้า แล้วกระโจนเข้าแย่งอาหารที่อยู่ในมือฮานส์ทันที ฮานส์ต้องชูของกินหลบการโจมตีจากจูเลียนเป็นพัลวัน

“เอามา!” ฮานส์หัวเราะเสียงดัง ตอนนี้กษัตริย์ผู้เย่อหยิ่งเอาแต่ใจหายไปไหนไม่รู้ เหลือเพียงเด็กน้อยหิวโซที่กำลังแย่งเอาอาหารจากมือเขา ฮานส์แกล้งชูอาหารขึ้นสูง จูเลียนที่ตัวเล็กกว่าก็กระโดดตาม แกล้งเอาไปซ่อนไว้ข้างหลัง สองมือของจูเลียนสอดเข้ามาทางสีข้าง โอบรอบตัวหวังจะคว้าเอาสิ่งที่ต้องการ แกล้งเอามาไว้ข้างหน้า เปลี่ยนมือข้างที่ถือเดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา เจ้าของร่างเพรียวก็ตามแย่งไม่ลดละ แกล้งจนเหนื่อยจนพอใจ ในที่สุดจูเลียนก็แย่งมันไปได้ ด้วยตามความยินยอมของฮานส์ นกย่างทั้งตัวที่คาอยู่กับไม้เสียบจึงไปอยู่ในมือจูเลียน ที่กัดกินอย่างเอร็ดอร่อย

“อร่อยไหมล่ะ”

“อือ ก็ดี “ ตอบแล้วเคี้ยวกร้วม ๆ ดูเจริญอาหาร

“กินแล้วก็เป็นเด็กดีด้วย อย่าหาเรื่องให้ข้าปวดหัวอีก”

“อือได้สิ ง่ำ ๆ เอ๊ะ! ข้าโตแล้วฮานส์ สิบเก้าแล้ว เป็นกษัตริย์ด้วย ไม่เด็ก ง่ำ ๆ ” เด็กน้อยในสายตาฮานส์กินอย่างเมามัน ไม่ได้สนใจสายตาอ่อนโยนที่กำลังจับจ้องเลย และเหมือนเจ้าของสายตาเองก็คงไม่รู้ตัวถึงได้มองเพลิน ไม่นานนกย่างตัวใหญ่ก็เหลือแต่กองกระดูก

“เออ ฮานส์ ข้ากินนกหมดแล้วเจ้าหนูจะกินอะไรล่ะ”

“จูเลียน! “

“ว่าไง เจ้าหนูของข้าจะกินอะไร มันคงหิวแย่แล้วล่ะ”

“เจ้าเพิ่งบอกว่าไม่หาเรื่องให้ข้าปวดหัว”

“แล้วทำไมต้องปวดหัว ข้าแค่ถามหาของกินให้เจ้าหนูเองนะ” ดวงเนตรสีเขียวดูใสซื่อ แต่ฮานส์กลับมองจูเลียนตาขวาง แบบที่จูเลียนชอบมองเขาด้วยสายตาแบบนี้บ่อย ๆ จนจูเลียนหน้าเสีย “ก็ข้าสงสารมันนี่ แล้วข้าก็กินนกหมดแล้วด้วย เลยไม่รู้จะเอาอะไรให้มันกิน”

“กระต่ายมันกินนกที่ไหนเล่า”

“แล้วเราจะเอาอะไรให้มันกินล่ะ”

“เราที่ไหน เจ้าคนเดียวต่างหากที่อยากเลี้ยงมัน”

“แต่ตอนนี้เราน่าจะเลี้ยงด้วยกันได้นะ ข้าไม่รู้ว่าจะเอาอะไรให้มันกินนี่นา”

“เจ้านี่มัน...”

“ข้าทำไมเหรอ”

“เจ้ามันไม่รู้อะไรสักอย่าง!”


*********************

ตอนหน้าจะเป็นยังไง ยังจะกัดกัน เอ๊ย! ขัดกันอยู่มั้ย รอดูเด้อ นายท่าน
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 18 บ่น้ำพุร้อนมีอะไร 50% 26/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 26-12-2018 21:37:58


เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 18



ออสเซนเทีย แม้จะดูยิ่งใหญ่สมกับเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร แต่สิ่งที่ไม่ต่างจากหัวเมืองเล็ก ๆ รอบนอกก็คือความหนาวเย็น และหิมะที่ยังปกคลุมไปทั่ว ฤดูหนาวที่ยาวนานกว่าฤดูอื่น ชาวเมืองย่อมคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ความหดหู่กำลังเข้าครอบครองเมืองกว่าครึ่ง จากการที่กษัตริย์ถูกปลอบปลงพระชนม์ครั้งแล้วครั้งเล่า จนครั้งล่าสุดที่สร้างความสูญเสียให้ฝ่ายที่รักชื่นชมในตัวกษัตริย์ของพวกเขา ข่าวลือมากมายที่หลุดออกมาให้ชาวเมืองได้รับรู้ ส่วนมากไปในทางที่ไม่ดี ทั้งข่าวยุวกษัตริย์ของพวกเขาหายตัวไปท่ามกลางพายุหิมะ บ้างก็ว่าสิ้นพระชนม์แล้วในการถูกโจมตีครั้งล่าสุดนี้ แต่ไม่มีใครเห็นพระศพของจูเลียน เพราะสมรภูมิมันเละจนแยกไม่ออกว่าศพใครเป็นศพใคร กษัตริย์อาจจะเป็นหนึ่งในศพเละ ๆ ที่กองรวมกันอยู่ใต้ภูเขาหิมะนั้น รวมไปถึงอัศวินประจำพระองค์ ที่ข่าวออกมาว่าตามเสด็จไปเพียงสองคน อีกสองคนหายไปไหน ยังเป็นข้อกังขาที่น่าสงสัย



อัศวินทั้งสี่มีหน้าที่ต้องอยู่ข้างกายกษัตริย์หายไปไหน บ้างก็ว่าสองในสี่ที่ไม่ตามเสด็จด้วยทรยศ บ้างก็ว่าอัศวินหนีหน้าที่ ข่าวลือมากมายถูกปล่อยออกมาสร้างความปั่นป่วนไปทั่ว ข่าวเจ้าหญิงทาร์เทียน่าหนีออกจากวัง ซ้ำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ข่าวลือแปลก ๆ ถูกปล่อยออกมาทุกวัน แต่ข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุด คือ ข่าวรัฐมนตรีส่งทหารออกช่วยเหลือ และตามหาตัวกษัตริย์ เพราะมีการส่งทหารออกไปมากมาย แต่ยังไม่มีข่าวว่าพบตัวกษัตริย์ของพวกเขาเลย



ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของชาวเมืองส่วนใหญ่ กลับมีบางกลุ่มที่แอบฉลองความยินดี ฝ่ายต่อต้านจูเลียนมีจำนวนเพิ่มขึ้น เพราะจูเลียนสั่งให้ก่อสร้างสถานที่ต่าง ๆ ตามใจตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งทำให้มีการนำเงินแผ่นดินออกมาใช้จ่ายมากขึ้นเท่านั้น เหมือนยิ่งกดดันให้ชาวเมืองแปรพักตร์ ไปเข้ากับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย มีคนปล่อยข่าวเสียหายเกี่ยวกับกษัตริย์ออกมาทุกวัน คนเริ่มไขว้เขว หลายฝ่ายเรียกร้องให้รัฐมนตรีและรัฐสภา เป็นผู้รักษาการในการดูแลบ้านเมืองที่มีอำนาจเต็มทุกอย่างแทน แต่ข่าวการกลับมาของลอร์ดนิโคลัส รัชทายาทอันดับสอง ก็สร้างความอุ่นใจสร้างขวัญและกำลังให้ชาวเมืองผู้จงรักภักดีได้ไม่น้อย



“ลอร์ดนิโคลัส” โจเซฟเดินนำหน้าสมาชิกรัฐสภาอาวุโสคนอื่น ๆ เข้ามาเสนอหน้าก่อนใคร นิโคลกวาดตามองกลุ่มคนที่เพิ่งเข้ามาในห้องประชุมที่เขานั่งรออยู่ทีละคน “ข้าจำเป็นต้องเรียกประชุมด่วน”

“ไม่เป็นไรพวกเรายินดี” เฮมานที่ปรึกษารัฐสภาอาวุโสเอ่ยขึ้น

“ลอร์ดนิโคล นี่คือโทมัสน้องชายข้าเอง”

“ลอร์ดนิโคลัส” โทมัสค้อมตัวคำนับ นิโคลเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย สายตามองหน้าชายที่ยืนอยู่ข้างรัฐมนตรี อายุน่าจะอ่อนกว่าโจเซฟไม่มาก

“ไม่เคยได้ยินว่าท่านรัฐมนตรีก็มีน้องชายด้วย”

“โทมัสเป็นน้องชายต่างมารดาข้าเอง จะให้เขามาช่วยงาน เราวางใจเข้าได้”

“ขอบใจที่มาช่วย”

“ด้วยความยินดี ถือเป็นเกียรติของข้าที่ได้รับใช้”

ทุกคนนั่งประจำที่แล้วลอร์ดหนุ่มจึงถาม “มีข่าวอะไรคืบหน้าหรือเปล่า”

“ไม่มีเลย คนที่เราส่งออกไปรายงานเข้ามา ว่าฝ่าบาทถูกโจมตีใกล้หมู่บ้านเล็ก ๆ ทางตะวันตกของปราสาทเอวาเลียน” หนึ่งในสมาชิกคณะรัฐมนตรีตอบ

“ทำไมจูเลียนถึงไปทางนั้น” เพราะมันไม่ใช่ทั้งทางหลักและทางลัด แต่เป็นทางอ้อมที่ทำให้เสียเวลาเดินทางมากขึ้น

“ข่าวว่าอัศวินประจำตัวเป็นคนเปลี่ยนเส้นทางให้ฝ่าบาท นี่จึงทำให้ข่าวลือมีมูลความจริง”

“ท่านเชื่อข่าวลือหรือไม่ท่านรัฐมนตรี” นิโคลหันมาถามโจเซฟที่นั่งเงียบตั้งแต่เริ่มประชุม

“ตอนนี้มีข่าวลือออกมามากมาย ข้าเลยไม่รู้ว่าข่าวไหนจริงข่าวไหนเท็จ ข่าวไหนน่าเชื่อได้หรือเชื่อไม่ได้”

“แต่ข่าวอัศวินประจำพระองค์ทรยศน่าจะมีมูลความจริงนะ”

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะท่านเฮมาน” โทมัสถาม

“แล้วมีเหตุผลอะไรที่ขบวนเสด็จต้องเปลี่ยนเส้นทาง ถ้าไม่อยากให้ฝ่าบาทไปทางที่มีทหารรับจ้างดักรออยู่”

“นั่นสิ” หลายคนเริ่มเห็นด้วย

“ท่านคิดว่ายังไงลอร์ดนิโคล” โจเซฟหันมาถามนิโคล สีหน้าของรัฐมนตรีวัยกลางคนเรียบนิ่งยากเดาความคิด

“ข้าคงมีแค่คำถามว่าทำไมอัศวินประจำตัวที่สาบานตนถึงได้ทำในสิ่งที่หยามเกียรติตัวเอง” การรักษาสัจจะถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของชายชาตินักรบ ผู้ที่คุกเข่าสาบานตนต้องรักษาสัจจะของตัว

“ถึงจะสาบานตนก็ไม่ได้แปลว่าอัศวินทุกคนจะจงรักภักดีไปตลอดชีวิต”

“ข่าวว่ามีอัศวินประตัวกษัตริย์ร่วมทางแค่สองคนไม่ใช่หรือ” สมาชิกอีกคนถามขึ้น นิโคลหันมาสนใจทันที เซอร์เลนนี่ได้รับคำสั่งให้ไปสืบข่าวที่มอนทาร์น่านั่นเขารู้อยู่แล้ว ดังนั้นจูเลียนต้องเหลืออัศวินประจำตัวสามคน แต่ทำไมมีอัศวินแค่สองคนตามไปอารักขา

“เป็นความจริงหรือ สองคนที่อารักขาจูเลียนคือใคร แล้วอัศวินอีกสองไปไหน” เสียงของลอร์ดหนุ่มเครียดจนมุมปากของรัฐมนตรีโจเซฟกระตุกเหมือนจะยิ้ม แต่เขาก็ไม่ยิ้ม ไม่ทันมีใครได้สังเกตเห็น

โจเซฟยืนยัน “เป็นความจริงลอร์ดนิโคล”

“มีแค่เซอร์เฮนริชกับเซอร์ราเชล” หนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุมบอก

“แล้วเซอร์เลนนี่กับเซอร์เดรทิชไปไหน” ใครคนหนึ่งถามขึ้น นิโคลกวาดตามองไปรอบโต๊ะประชุม สมาชิกร่วมประชุมกำลังมองตอบมา ไม่ว่าจะตีสีหน้าเสแสร้งอย่างไร สิ่งหนึ่งที่โกหกกันไม่ได้คือสายตา และสิ่งที่สายตาของแต่คนบอกนิโคลคล้าย ๆ กันคือความสงสัย มีเพียงสายตาโจเซฟที่เห็นแล้วรู้สึกว่ามันแตกต่าง สายตาของชายวัยกลางคนผู้นี้บอกว่ารู้อะไรบางอย่างมากว่านิโคลรู้ อย่างน้อยก็อาจจะเป็นเรื่องที่มีอัศวินอารักขาแค่สองคน แทนที่จะเป็นสามคนอย่างที่นิโคลเข้าใจ ส่วนโทมัสนั่งฟังเงียบ ๆ



“เขาว่าสองคนนี้แหละที่พาทหารรับจ้างตลบหลังโจมตีขบวนเสด็จของฝ่าบาท”

“มันจะทำเพื่ออะไร แล้วอัศวินคนไหนที่บอกให้เปลี่ยนเส้นทาง”

“ถ้าเรารู้ลึกขนาดนั้นเรื่องอื่นคงง่ายขึ้น”

“แล้วทหารที่ตามเสด็จละ”

“ข่าวว่าหนีไปคนละทิศละทาง”

“เดี๋ยว ข้าว่าเรื่องอัศวินของฝ่าบาทมีอะไรแปลก ๆ นะ” คนที่นั่งเงียบมาตลอดอย่างโทมัสขัดขึ้น ทุกคนหันไปมองเขา

“แปลกยังไง” นิโคลตั้งคำถาม

“..” โทมัสนั่งมองตานิโคลนิ่งไม่ตอบคำ ใครคนหนึ่งเลยวิเคราะห์แทน

“อัศวินที่อยู่กับฝ่าบาทมีสองคน หนึ่งในสองคนนั้นเป็นคนสั่งให้เปลี่ยนเส้นทาง แต่อัศวินอีกสองคนหายไป นั่นเป็นไปได้ว่าทั้งสี่ร่วมมือกันหักหลัง ให้สองคนพาฝ่าบาทไปอีกทาง ที่มีทหารรับจ้างรออยู่ ทหารรับจ้างนั่นอาจจะพามาโดยอัศวินอีกสองคนที่หายไปก็ได้” เรื่องมันจึงแย่กว่าที่คิด และท่าทางคิดหนักของนิโคล ก็อยู่ในสายตาของอสรพิษเฒ่าที่จ้องมองไม่วางตา

“ก็อาจเป็นไปได้” ลอร์ดหนุ่มพึมพำออกมาเหมือนพูดคนเดียว

“แต่เราก็สรุปแบบนั้นเลยยังไม่ได้”

“ถ้าอัศวินทรยศหรือจะลอบปลงพระชนม์ ตอนอยู่ในวังมีโอกาสตั้งมากมาย ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยาก” นิโคลแอบยิ้มในใจแต่ยังนั่งเงียบ คงสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนคนคิดอะไรไม่ออกอยู่เช่นเดิม เขารู้ว่าสมาชิกบางคนร่วมมือกับโจเซฟทำเรื่องนี้ แต่อสรพิษเฒ่าก็ไม่ได้ไว้วางใจเปิดเผยแผนทุกอย่างให้รู้ เขาเองก็คงไม่ทำเหมือนกัน

“เจ้าอย่าถามโง่ ๆ สิ ถ้ามันสังหารฝ่าบาทในวัง มันจะหนีรอดไปง่าย ๆ ได้ยังไง สู้รอออกไปนอกวังเอาทหารรับจ้างมาบังหน้า แล้วสังหารฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือ เกิดพลาดมายังไงมันก็มีข้อแก้ตัว”

นิโคลหันไปถามชายที่ข้างกายรัฐมนตรี “ท่านคิดว่ายังไงโทมัส”

“เป็นข้าคงจัดการตั้งแต่อยู่ในวังแล้ว” นิโคลยกยิ้ม เป็นยิ้มจริง ๆ ครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาในห้องประชุม

“ท่านคงไม่ชอบเรื่องยุ่งยากสินะ” โทมัสยกยิ้มท่าทางถ่อมตัว เขาเพียงค้อมหัวลงเล็กน้อยตอบรับนิโคล

รัฐมนตรีโจเซฟส่ายหน้า “ความเป็นไปได้กับเป็นไปไม่ได้มีน้ำหนักพอกัน เรายังสรุปอะไรออกมาตอนนี้ไม่ได้หรอก”

“ข้าเห็นด้วยกับท่านนะ” นิโคลบอก การประชุมผ่านไปอย่างเคร่งเครียด และจบลงที่ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรชัดเจน จนทุกคนออกไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงรัฐมนตรีโจเซฟที่รั้งท้าย รอจังหวะที่ได้อยู่กับนิโคลสองคน ชายวัยกลางคนจึงเอ่ยขึ้น

“ลอร์ดนิโคลข้ามีอะไรบางอย่างอยากพูดกับท่าน” นิโคลมองหน้าโจเซฟ ทั้งที่อยากกระชากหน้ากากนั้นออก แต่ลอร์ดหนุ่มยังทำไม่ได้ โจเซฟเป็นขุนนางที่รับใช้ใกล้ชิดมาตั้งแต่กษัตริย์เฟรเดอริกพ่อของเขา และเป็นที่โปรดปรานไม่น้อย มาจากตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจบารมี จากหัวเมืองเอกของอาณาจักร ค่อนข้างมีอิทธิพลไม่แพ้เมืองหลวง

“ว่ามาเลยท่านรัฐมนตรี”

“ข้าเสียใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับฝ่าบาท แต่บ้านเมืองก็ต้องการผู้นำที่เข้มแข็งมาแทน”

“ข้าเข้าใจท่านรัฐมนตรี”

“ข้ายินดีสนับสนุนท่านลอร์ดนิโคล เพราะท่านเหมาะสมที่สุด”

“ท่านอยากบอกอะไรข้าหรือโจเซฟ” นิโคลสบตาโจเซฟนิ่ง อสรพิษเฒ่าเดาไม่ถูกว่าเจ้าของแววตาสีน้ำตาลคู่นี้กำลังคิดอะไรอยู่ ภายใต้ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา และแววตาอ่อนโยนอบอุ่น เหมือนถูกจ้องมองด้วยความรักอยู่เสมอนั้น นิโคลแฝงความน่ากลัวไว้ในตัวเหมือนหลายคนบอก แต่ความน่ากลัวกับการหาผลประโยชน์มันอยู่คนล่ะเรื่องกัน

“ท่านคือคนที่คู่ควรนั่งอยู่บนบัลลังก์ต่อจากพ่อของท่าน เป็นท่านคนเดียวที่เหมาะสมที่สุด ทวงทุกอย่างที่ควรจะเป็นของตัวเองคืนสิ”

“แล้วจูเลียนล่ะ”

“ข่าวที่คนของข้าส่งมาล่าสุดคือเราเสียจูเลียนไปแล้ว ช่วงที่ถูกโจมตีเกิดพายุหิมะรุนแรง ศพคงถูกฝังที่ใดที่หนึ่งใต้ภูเขาหิมะ ตอนนี้ท่านเหมาะสมที่สุด ที่จริงควรเป็นท่านตั้งแต่แรกมากกว่าที่จะเป็นจูเลียนด้วยซ้ำ” โจเซฟหยุดดูปฏิกิริยาของนิโคล เมื่อลอร์ดหนุ่มยังนั่งฟังนิ่งเขาจึงพูดต่อ

“ข้าอยู่กับนาง” สายตาของนิโคลเป็นประกาย เขาสนใจสิ่งที่ชายวัยกลางคนกำลังจะพูด “ท่านก็รู้ลอร์ดนิโคล ว่านางไม่ใช่สาวชาวบ้านธรรมดา ที่ถวายตัวมาเป็นหญิงรับใช้ กษัตริย์เฟรเดอริกจะแต่งตั้งนางเป็นพระชายาก็ได้แต่ไม่ทำ ข้าจำได้ว่าวันนั้นหิมะตก ท่านเกิดมาท่ามกลางหิมะ ข้ารับตัวท่านที่อยู่ในห่อผ้ามาจากแม่นม”

ต่อค่ะ....
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 18 บ่น้ำพุร้อนมีอะไร 50% 26/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 26-12-2018 21:38:37


นิโคลคิดไม่ออกว่าตอนนั้นตัวเขาเป็นอย่างไร แต่ก็ยกยิ้มน้อย ๆ พยักหน้าให้โจเซฟเล่าต่อ “ในขณะที่แม่ของท่านต้องการคนอยู่เคียงข้าง กษัตริย์เฟรเดอริคกลับเอาแต่สนใจงานของตัวเอง และว่าที่ราชินีคนสวยของเขา ทิ้งให้แม่ท่านเดียวดายในวันที่ท่านเกิด”

“..” ในสายตาของโจเซฟ สีหน้าของลอร์ดหนุ่มเปลี่ยนไป

“ท่านต้องรู้ว่านางไม่มีใครเลย แต่ข้าก็อยู่ตรงนั้นคอยเป็นกำลังใจให้นาง”

“ท่านหลงรักนาง? “

“ลอร์ดนิโคล! “โจเซฟอึ้งเหมือนถูกแช่แข็ง แต่ก็ปรับสีหน้าได้เร็ว

นิโคลทำเหมือนไม่ใส่กับเรื่องเก่า ๆ ถามขึ้น “แล้วคิดว่าข้าควรทำยังไงดีล่ะท่านรัฐมนตรี”

“ข้าอยากให้ท่านได้รับสิ่งที่ควรได้ตั้งแต่แรก ในฐานะลูกชายคนโต เราสองคนเหมือนกันมากลอร์ดนิโคล เหมือนกันตรงที่เป็นพี่ชายที่มีน้องต่างแม่”

“แต่ท่านก็ไม่ต้องแย่งของกับน้องนี่”

“เพราะข้าไม่ยอมให้สิ่งที่ควรจะเป็นของข้า กลายเป็นของคนอื่นต่างหาก”

“คนอื่นที่เป็นน้องคนละแม่” ชายวัยกลางคนแค่นยิ้ม นิโคลจึงพูดต่อ “มันควรจะเป็นของข้าสินะ ทุกอย่างเลย”

“ถูกต้องแล้วนายท่าน” สายตาของโจเซฟดูตื่นเต้นเชิญชวนให้รู้สึกฮึกเหิม แต่นิโคลเพียงมองตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง พักตร์เกลี้ยงเกลาของลอร์ดหนุ่มประดับรอยยิ้มน้อย ๆ ยากจะคาดเดาว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งสองจ้องตากันอยู่เป็นครู่ นิโคลยกยิ้ม เมื่อโจเซฟว่าต่อ “มันควรเป็นของท่านแต่แรกลอร์ดนิโคล”

“ควรเป็นของข้ามาแต่แรก” นิโคลพยักหน้าทวนคำเสียงนิ่ง พอกับสายตานิ่งที่จ้องตอบ

“แน่นอน และตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว ถ้าเราร่วมมือกัน”

“ถ้าสำเร็จข้าควรตอบแทนท่านอย่างไรหรือท่านรัฐมนตรี”

“เพียงท่านเมตตาต่อลีอานน่า ข้าคงหมดห่วงในตัวนาง” โจเซฟเอ่ยถึงเครื่องมือในการต่อรองที่เขามีหน้าตาเฉย นิโคลคิดว่านางเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร เพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้พ่อได้ในสิ่งที่ต้องการตลอด

“นางงดงามชายใดกล้าปฏิเสธคงโง่เต็มที”

“หากท่านไม่รังเกียจนาง”

“ผู้ชายสักกี่คนกันจะกล้ารังเกียจของสวย ๆ งาม ๆ อย่างท่านหญิงลีอานน่าล่ะ ข้าเรียกนางว่าลีแอนได้สินะ” นิโคลถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ตอนนี้เรื่องบ้านเมืองมันวุ่นวายเกินไป ถ้าท่านใจเย็นสักหน่อย”

“แน่นอนว่าถ้าเราตกลงร่วมมือกัน ข้ารอได้”

“ท่านคิดว่ามันจะดีใช่ไหม ท่านรัฐมนตรี ข้าต้องทำอย่างไรล่ะ”

“เรื่องนั้นไม่ยากหรอกข้ามีแผน แต่ตอนนี้ข้าอยากให้ท่านลงนามมอบอำนาจทุกอย่าง ให้ข้าจัดการเรื่องจูเลียนก่อน ท่านก็รู้ว่าชาวเมืองรอฟังข่าวจากเราอยู่”

“เรื่องนั้นข้าว่าชาวเมืองรอได้น่า” ชาวเมืองรอได้แต่โจเซฟรอไม่ได้ เพราะจะว่าตามจริง อำนาจในมือรัฐมนตรีวัยกลางคนยังไม่มั่นคงพอจะจัดการทุกอย่างได้ตามต้องการ ยังมีสมาชิกสภาอีกหลายคนที่ไม่ยอมตามที่เขาชักชวน ทำให้โจเซฟหงุดหงิดไม่น้อย

การพูดคุยกับโจเซฟจบลง ในแบบที่นิโคลไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ ลอร์ดหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องประชุมลับแห่งนี้เป็นคนสุดท้าย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเรียบเฉยไร้อารมณ์

“จูเลียนส่งเซอร์เดรทิชตามข้าไปสวาเนียร์? “นิโคลถามสาวน้อย ที่มานั่งครอบครองโต๊ะทำงานภายในห้องของเขาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ออกจากห้องประชุมกลับมาถึง ก็เห็นนางนั่งวางท่าระหงคอเชิดอยู่แล้ว ทาร์เทียน่ายักไหล่สีหน้าไม่ทุกข์ร้อน ท่าทางก๋ากั่นที่แสดงออกมา อาจทำให้แม่นมที่สอนมารยาทกุลสตรีของนางลมจับได้

“คำสั่งจูเลียน ข้ารู้หลังจากนั้นไม่นาน”

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราคุยกันแต่แรก” ทาร์เทียน่าเหลือบตามองใบหน้าเกลี้ยงเกลาบึ้งตึงของพี่ชาย ที่น้อยคนนักจะได้เห็น

“แน่นอนรวมทั้งการที่จูเลียนขัดคำสั่งออกจากเมืองหลวงด้วย กลับมาพี่ต้องลงโทษ”

“เจ้าไม่คิดว่าจูเลียจะนอนอยู่ใต้หิมะอย่างที่พวกนั้นบอกหรือไง”

นางยักไหล่อีกครั้ง ริมฝีปากสวยที่แต่งแต้มด้วยขี้ผึ้งจนมันวาวแบะออกน้อย ๆ ดูน่าหยิก “ข้ารู้สึกว่าจูเลียนอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ใช่เป็นศพอยู่ใต้หิมะเหมือนที่พวกนั้นเข้าใจแน่ ๆ ล่ะ”

“แยกความรู้สึกกับความจริงออกจากกันซะ”

“เหมือนเป็นสัญชาตญาณของคู่แฝดล่ะมั้ง แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่ข้าตั้งใจมาบอกพี่”

“ว่า..”

“ข้าจะออกไปตามหาจูเลียน” นิโคลถอนหายใจ

“ไม่ต้องไปหรอก เลนนี่กับเดรทิชกำลังจะตามไปสมทบกับเฮนริช”

“แล้วเซอร์ราเชลล่ะ ลีโอด้วย”

“ราเชลข้ายังไม่รู้ แต่ลีโออยู่กับเฮนริช”

ทาร์เทียน่าถอนหายใจเบา ๆ นางโล่งอกกับข่าวใหม่ที่ได้รับ “ข้าจะตามไปด้วย”

“เจ้าควรกลับปราสาทของตัวเอง แต่งตัวสวย ๆ ออกว่าราชการแทนจูเลียน” ทาร์เทียน่าทำหน้างอใส่พี่ชาย แม้นั่นจะเป็นหน้าที่ของนางโดยตรง “ข้าจะส่งคนไปอารักขาเพิ่ม”

“ประชุมเป็นไงบ้าง”

“ไม่ต่างจากที่คาดไว้เท่าไหร่หรอก”



*******************



หิมะที่โปรยปรายลงมาแต่เช้าเพิ่งหยุดได้ไม่นาน รอบนอกยังปกคลุมด้วยความขาวโพลน และหนาวเย็นจับใจ ขณะที่รอให้หิมะหยุดตก ฮานส์หาอาหารเช้ามาไว้ให้จูเลียน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่กระต่าย หรือสัตว์ขนฟูตัวน้อยน่ารัก ที่จะทำให้เขาต้องปวดหัวในภายหลัง แต่เป็นสัตว์ที่จูเลียนไม่มีแม้แต่โอกาสได้เห็นตัวมันตอนมีชีวิต เพราะฮานส์จัดการเชือดชำแหละก่อนที่จะนำเข้ามาย่างในโพรงใต้ต้นไม้ ย่างไปตาก็มองคนที่กำลังหลับอุตุไปด้วย จูเลียนตื่นอาหารเช้าก็สุกพอดี ไม่รู้ตื่นเพราะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ หรือตื่นเพราะได้กลิ่นอาหารยั่วจมูก พอรู้สึกตัวก็ตะเกียกตะกายออกจากกองฝ้ามานั่งข้างกองไฟ ทำจมูกฟุตฟิตให้ฮานส์แอบขำทั้งที่ยังทำหน้านิ่ง แกล้งกันเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นพิธีแล้วแบ่งอาหารให้กัน



“เสร็จหรือยังจะได้ไปสักที” ฮานส์ถามขึ้นเสียงเข้ม หลังจากอาหารบนไม้เสียบเหลือแต่กระดูกกองอยู่ข้างกองไฟ จูเลียนมองฮานส์สีหน้างง คนที่อารมณ์ดีทั้งวันเมื่อวานหายไปไหนแล้ว

“อ้าว ไปไหนอีก”

“นี่เจ้าคิดว่าเราจะอยู่ใต้โพรงต้นไม้อย่างนี้ไปตลอดไปหรือไง”

“ก็ไม่หรอก ข้าต้องกลับเมืองหลวงเจ้าก็รู้ หรือเจ้าจะพาข้ากลับวันนี้ล่ะ”

“ยังหรอก”

จูเลียนมีสีหน้าผิดหวังทันที ถามเสียงอ่อย “แล้วจะไปไหน”

“ไปที่ที่ปลอดภัยกว่านี้”

“ที่นี่ไม่ปลอดภัยหรือไง ข้ายังไม่เห็นว่ามันจะมีอันตรายอะไรเลย”

“วันก่อนเจ้าเจออะไร” ฮานส์ถามเสียงดุขึ้นมาทันที สายตาดุจ้องมองจนสีหน้าหนุ่มน้อยหงอยลงไปถนัดตา

จูเลียนตอบเสียงอ่อยเหมือนเด็กน้อยทำผิดกำลังสอบสวน “หมาป่าหิมะตัวใหญ่”

“ใช่ นั่นก็หนึ่งตัวอันตรายที่สุดในแถบนี้ มันอาจจะมีตัวอื่นในฝูงตามมาอีกได้ ถึงแม้บางตัวมันจะไม่อยู่รวมฝูงก็ตามเถอะ” จูเลียนพยักหน้าหงึก ๆ ท่าทางเข้าใจ “แล้วรู้อะไรไหม หมาป่าที่อยู่เดียวนี่ล่ะที่ดุร้ายนัก เหมือนตัวที่เจ้าเจอวันก่อนนั่นไง”

“แล้วอะไรอีกละ”

“ที่นี่ใกล้พวกมันเกินไป มันจะตามมาเมื่อไหร่ก็ได้ เราต้องการที่ปลอดภัยมากกว่านี้”

“ไหนเจ้าบอกไม่มีเรา”

“จูเลียน! “ฮานส์นึกหงุดหงิด แต่ก็เหมือนหงุดหงิดได้ไม่สุด ยามเห็นแววตาใสซื่อของคนตั้งคำถาม

“..”

“ข้าหมายถึงแค่การเลี้ยงกระต่ายของเจ้าต่างหากเล่า”

“อย่ามาพาลเจ้าหนูนะ มันอยู่ของมันดี ๆ “จูเลียนกระชับกอดกระต่ายตัวน้อยที่วางบนตัก ห่อด้วยผ้าคลุมตัวอีกชั้นท่าทางหวงแหน

“ดูแลมันดี ๆ ด้วยล่ะ ระวังหนูของเจ้าจะกลายมาเป็นอาหารข้าสักวัน”

“มันคือกระต่ายไม่ใช่หนู” ฮานส์อยากถอนหายใจออกมาแรง ๆ เขากำลังคิดว่าตัวเองทะเลาะกับเด็กสามขวบ! พยายามใจเย็นโดยหันไปเก็บของ พรางร่องรอยเหมือนว่าไม่เคยมีคนเข้ามาอยู่ใต้โพรงแห่งนี้ ถ้าการที่จูเลียนเถียงฮานส์หน้าซื่อตาใส เป็นการเอาคืนที่ถูกฮานส์แกล้ง ก็ถือว่าเป็นการเอาคืนที่สูสีกันดีทีเดียว คิดถึงตรงนี้เขากัดฟันกรอดทั้งรู้สึกขำ

“ลุกขึ้นได้แล้ว ไปรอข้าข้างนอก”

“ทำไมไม่ออกมาพร้อมกันล่ะ?”

“ว่าง่าย ๆ สักเรื่องเถอะฝ่าบาท” จูเลียนเปลี่ยนสีหน้าแต่ตายังจ้องฮานส์ พอถูกจ้องตอบด้วยสายตาดุดันจริงจัง เลยเดินอมยิ้มออกไปตามที่คนหน้าหนวดบอก แบบที่ตั้งใจให้ฮานส์เห็นว่าตัวเองกำลังขบขัน ไม่เคยมีใครที่หาญกล้าสบตากับเขาแล้วไม่หลบ แถมยังแสดงออกว่าขบขันเหมือนจูเลียน หรือเขาจะหลุดต่อหน้ากษัตริย์หนุ่มน้อยเกินไป

ฮานส์ส่ายหน้า เขาเพิ่งนึกได้ว่าทำไมการเดินทางคนเดียวมันเงียบเหงาในบางครั้ง เพราะไม่มีสีสันให้ปวดหัวแบบนี้นี่เอง

50% จ้า.......
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 18 บ่น้ำพุร้อนมีอะไร 100% 30/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 30-12-2018 12:41:29


เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 18 บ่อน้ำพุร้อน (มีอะไร) 100%



“เราจะเดินไปถึงไหนหรือ?”

“...”

“ฮานส์เจ้าจะพาข้าเดินไปถึงไหน” เดินเงียบมาครู่ใหญ่จูเลียนจึงถามขึ้นเหมือนชวนคุย แต่ฮานส์ก็ยังเดินนำไปแบบเงียบ ๆ สะพายถุงหนังคาดหลัง จูเลียนอุ้มเจ้าหนูเดินตาม

“ฮานส์”

“อะไรของเจ้าอีก จะเดินไปเงียบ ๆ บ้างได้ไหม”

“ข้าอยากรู้นี่”

“อยากรู้อะไร”

จูเลียนกวาดตามองไปรอบตัว “จะมีตาแดงเหมือนวันก่อนออกมาอีกไหม”

“มีแน่ ๆ ล่ะ ถ้าเจ้ายังมัวแต่ถามนั่นถามนี่อยู่อย่างนี้ วันนี้คงไม่ได้เดินไปถึงไหนสักที”

“แล้วเจ้าทำไมไม่หาม้ามาสักตัวล่ะ ไม่สิสองตัวดีกว่า” จูเลียนรีบเปลี่ยน เพราะหากมีม้าตัวเดียวคงต้องขี่มันด้วยกัน และคงไม่พ้นต้องนั่งให้ฮานส์โอบกอดอีกเป็นแน่แท้

ฮานส์จ้องพักตร์นวลผ่องของกษัตริย์หนุ่มน้อย ที่มองตอบดวงตาใสแจ๋ว พวงปรางกับปลายจมูกแดงระเรื่อยเพราะความหนาวเย็น ทำให้พักตร์อ่อนเยาว์ดื้อรั้นมีสีสันดูน่ามอง ยังไม่ทันที่จูเลียนจะได้ถามอะไรให้ฮานส์รำคาญใจอีก ร่างเพรียวบางในชุดคลุมหนาก็ถูกตะปบเข้าตรงต้นแขน ฮานส์จับจูเลียนให้หมุนรอบตัวหนึ่งรอบ แล้วประคองแก้มนวลด้วยมือทั้งสองข้าง ดันให้หันซ้ายหันขวาไม่เบาแรง แล้วจ้องตานิ่ง

“ทำอะไรของเจ้าเนี่ยข้าเวียนหัวนะ”

“ให้เจ้าดูรอบ ๆ ตัวไง ว่าตอนนี้เราอยู่ในป่า มองไปทางไหนก็มีแต่หิมะกับหิมะ และอาจจะมีตาแดงของเจ้า กระโจนออกมาขย้ำคอเมื่อไหร่ก็ได้ เผื่อเจ้าลืม” พักตร์นวลยังถูกจับให้ส่ายไปมา ตามจังหวะการพูดทุกคำของฮานส์ จูเลียนตาปรือเริ่มเวียนหัวจริง ๆ ใจหายวูบเสียงสันหลัง ยามได้ยินคนหน้าหนวดพูดถึงตาแดง อันหมายถึงหมาป่าหิมะดุร้ายที่จูเลียนเจอมาวันก่อน

“แล้วบอกดี ๆ ไม่ได้หรือไงเล่า” จูเลียนปัดมือใหญ่ออกจากใบหน้า ฮานส์จ้องตานิ่ง ใบหน้ารกหนวดว่าดูดิบเถื่อนน่ากลัวอยู่แล้ว พอทำตาดุเลยยิ่งน่ากลัวกว่าเก่า

ฮานส์วางมือลงที่ศีรษะของกษัตริย์หนุ่มน้อยผลักเบา ๆ พร้อมกับบอก “หัวช้าอย่างนี้เดี๋ยวเจ้าก็ไม่เข้าใจอีก”

“..” จูเลียนทำหน้าบึ้งตึงปากยื่น ต่างฝ่ายต่างมองกันนิ่ง ฮานส์นิ่งเพราะรอให้จูเลียนทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่จูเลียนนิ่งเพราะกำลังรั้นเอาแต่ใจ ไม่ยอมรับอะไรก็ตามที่ฮาส์กำลังบอก ถึงแม้ยังไงก็ต้องทำตามอยู่ดี

“เข้าใจหรือยัง”

“เข้าใจแล้ว”

“เข้าใจแล้วก็เดินต่อ” ทั้งสองเดินทางต่อ ฮานส์เดินนำหน้า จูเลียนเดินอุ้มเจ้าหนูกระต่ายตัวน้อยตามหลัง ไม่วายทำปากขมุบขมิบล้อเลียนคนหน้าหนวดที่วันนี้ดุผิดปกติลับหลังไปด้วย ทั้งสองเดินไปเงียบ ๆ แต่คนขี้สงสัยอย่างจูเลียนมีหรือจะเงียบได้นาน

“ฮานส์ แล้วม้าของเจ้าล่ะ ตอนนี้มันไปอยู่ไหนแล้ว” จูเลียนชวนคุย “สวยนะ เจ้าปล่อยไปแบบนั้นไม่เสียดายหรือไง ชื่อโกสต์ใช่ไหม อุตส่าห์ตั้งชื่อให้ทำไมเจ้าปล่อยมันไปง่าย ๆ ล่ะ” จูเลียนพูดไปตั้งยาว แต่เหมือนคุยคนเดียว เพราะนอกจากฮานส์จะไม่คุยด้วยแล้ว ดูเหมือนคนหน้าหนวดจะเดินเร็วขึ้นอีก จนจูเลียนสาวเท้าตามแทบไม่ทัน

ตอนนี้หิมะไม่ตก ซ้ำยังมีแดดอ่อน ๆ ที่ช่วยให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น แสงแดดสีส้มอ่อนทอเป็นลำ ตัดกับหิมะขาว ๆ บนยอดไม้ เป็นประกายระยับสวยแปลกตา ท่ามกลางอากาศที่ยังหนาวเหน็บจนจับขั้วหัวใจ หิมะยังปกคลุมพื้นดินหนา ตามต้นไม่มีน้ำแข็งเกาะเห็นเป็นสีขาวตัดกับสีเขียวคล้ำเกือบดำของกิ่งไม้ใบไม้ ที่อาบไปด้วยแสงแดดอ่อน ๆ ดูงดงามราวกับฉากในเทพนิยาย ถ้าไม่มีแผ่นหลังกว้างของคนที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดิน ไม่สนใจที่จะสนทนาปราศรัย ในฐานะคนที่เดินทางด้วยกัน จูเลียนคงมองความงามของธรรมชาติได้เพลินกว่านี้ หนุ่มน้อยมองแผ่นหลังฮานส์แล้วให้นึกขัดใจ คนอะไรบทจะดีก็ดี บทจะร้ายก็ร้าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจนตามไม่ทัน

“เดินช้าอย่างนั้นเมื่อไหร่จะถึง”

“แล้วจะรีบไปไหนเล่า แค่นี้ข้าก็แทบจะวิ่งให้ทันเจ้าแล้วนะ” จูเลียนบ่นกระปอดกระแปดอีกสองสามคำ ที่ฮานส์จับใจความไม่ได้ อันที่จริงจูเลียนก็บ่นให้ฮานส์นั่นแหละเลยไม่อยากเสียงดัง

“ข้าเหนื่อยแล้วนะฮานส์พักก่อนเถอะ ทั้งชีวิตข้าไม่เคยต้องเดินไกลขนาดนี้เลย” จูเลียนหยุดเดินฮานส์ก็หยุดเช่นกัน แต่ไม่ได้หันกลับมา ชายหนุ่มเพียงหยุดพูดแล้วเดินต่อ

“ทนอีกนิด ใกล้ถึงแล้ว”

“ถึงไหนล่ะ”

“ที่ปลอดภัย”

“พักก่อนได้ไหมเล่า”

“ถึงค่อยพัก”

“แต่ข้าจะพักตอนนี้นะฮานส์! ข้าเดินไม่ไหวแล้วปวดขาไปหมดแล้วด้วย” แล้วจูเลียนก็ทิ้งตัวนั่งลงบนหิมะมันเสียดื้อ ๆ แต่คนหน้าหนวดกลับยังเดินไปข้างหน้าไม่รอ ไม่สนใจ ฮานส์ไม่แม้แต่หันกลับมาดูจูเลียนด้วยซ้ำ

“ฮานส์! “จูเลียนตะโกนเรียก ได้ยินฮานส์ตอบกลับมาเพียงให้รีบเดินตามไปให้ทัน ราวกับรู้ว่าจูเลียนกำลังงอแงอยากเอาชนะให้ได้อย่างไม่มีเหตุผล และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในที่สุดจูเลียนก็ได้แต่นั่งมองแผ่นหลังกว้าง จนฮานส์เดินลับสายตาไป จูเลียนไม่นึกกลัว เพราะร่องรอยที่อีกคนทิ้งไว้นั้นมันเด่นชัด จากที่ต้องเดินทางมากับฮานส์ จูเลียนมั่นใจว่าตามไปได้ถูกทางแน่ ๆ

รอยเท้าที่ย่ำไปบนหิมะลึกเป็นทาง พาจูเลียนมาจนถึงที่แห่งหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะเป็นหน้าผาสูง พื้นเบื้องล่างใกล้ ๆ กันเต็มไปด้วยก้อนหินขนาดต่าง ๆ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ รอยเท้าคู่นั้นเดินหายเข้าไปในกำแพงหินที่น้ำแข็งเกาะเต็มไปหมด จูเลียนนึกสงสัยว่าเจ้าของรอยเท้าเดินผ่านไปได้อย่างไร พอเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ จึงพบว่ามันเป็นทางเข้าถ้ำ ที่พรางตาด้วยชั้นหินถูกหิมะปกคลุมหนา ถ้าไม่สังเกตดี ๆ จะไม่เห็นช่องที่พอให้ผู้ชายตัวใหญ่ ๆ อย่างฮานส์ลอดผ่านเข้าไปได้ และจูเลียนที่มีแต่ความสงสัยก็สังเกตเห็นมันเข้าพอดี กษัตริย์หนุ่มน้อยเดินเข้าไปไม่มีลังเล

พอหลุดเข้ามาได้จูเลียนพบว่ามันเป็นถ้ำ ที่แตกต่างจากข้างนอกราวกับเข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่งที่อบอุ่นขึ้น ภายในถ้ำสว่างด้วยกองไฟที่ถูกก่อไว้ตรงมุมหนึ่งลึกเข้าไป ถุงหนังของฮานส์วางอยู่ข้างกองไฟ จูเลียนกวาดตามองไปรอบ ๆ หวังได้เจอคนที่เดินตามมานั่งรออยู่มุมใดมุมหนึ่ง แต่ไล่สายตามองหาจนทั่ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอยู่ในนี้ นอกจากตัวจูเลียนและเจ้าหนู กระต่ายน้อยที่อุ้มอย่างทะนุถนอมในห่อผ้า

มนุษย์ตัวใหญ่หน้าหนวดหายไป!

“ฮานส์” จูเลียนส่งเสียงเรียกให้พอแค่ได้ยิน เพราะหากอีกคนอยู่ในนี้ก็น่าจะเห็นตัวแล้ว แต่สิ้นเสียงเรียกมีเพียงเสียงที่สะท้อนกลับ หลังจากนั้นทุกอย่างรอบกายก็เงียบสนิท เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นทางหางตา พอหันไปก็พบว่าเป็นเพียงเงาของเปลวไฟ ภายในถ้ำเงียบมาก จูเลียนไม่ไว้ใจความเงียบแบบนี้ ค่อย ๆ ก้าวถอยหลังให้เบาที่สุด สองแขนกอดกระต่ายน้อยเตรียมวิ่งออกมาจากตรงนั้น และ

“โอ๊ย!” จูเลียนนึกว่าตัวเองชนเข้ากับกำแพงหินจนเซ ดีที่ไม่ล้มลงไป เพราะร่างกายถูกรั้งไว้ด้วยอ้อมแขนของคนที่กำลังเรียกหา

“อะไรของเจ้า”

“ทำไมมาเงียบ ๆ “

“ข้าต้องตะโกนมาก่อนหรือไง”

“เจ้าไปไหนมาฮานส์ ข้าเห็นรอยเท้าเจ้าเข้ามาในนี้แล้วเจ้าออกไปทางไหน ทำไมมาอยู่ข้างหลังข้าได้” จูเลียนแหงนหน้าขึ้นถามฮานส์อย่างสงสัย หรือฮานส์จะออกไปทางอื่นแล้วย้อนกลับมาอยู่ข้างหลังจูเลียน

“เจ้านี่มันขี้ลืมนะ”

“ลืมอะไรล่ะ ข้าจำได้ว่าเจ้าเดินอยู่ข้างหน้าข้านะ”

“ลืมว่ามีคนกำลังต้องการชีวิตเจ้าอยู่ไง” จูเลียนหายใจผิดจังหวะ ขนลุกขึ้นมาเสียเฉย ๆ ที่ได้ยิน แต่ก็ไม่เคยลืมว่าตัวเองกำลังหนีจากการตามล่าหมายเอาชีวิต

“ใครจะไปลืมลงล่ะ แล้วเจ้าไปไหนมา” ง

“กลบรอยเจ้าไง หรือจะทิ้งรอยไว้ให้พวกมันตามมาฆ่าถึงที่” ฮานส์เดินเข้าไปนั่งข้างกองไฟ แต่จูเลียนกลับคิดตามคำพูดของเขาแล้วนึกกลัว รีบหันหลังจะเดินออกไปทางเก่า คิดว่าจะออกไปกลบรอยเท้าของตัวเอง เหมือนที่เห็นฮานส์เคยทำให้ดู แต่พอเดินออกไปยังทางที่เพิ่งผ่านเข้ามากลับพบว่า

“ฮานส์! “

“อะไรอีกวะ”

“ทาง ทางออก”

“..”

“ทางออกหายไปไหน”

“มันไม่ได้หายไปไหนมันแค่ถูกปิด” จูเลียนมองหน้าฮานส์แล้วหันกลับไปยังทางออก ที่เมื่อสักครู่นี้เพิ่งเดินผ่านเข้ามา แต่ไม่แน่ใจแล้วว่าช่องที่ลอดเข้ามามันอยู่ตรงไหน เพราะเห็นมีแต่หินก้อนใหญ่ ราวกับว่ามันไม่เคยมีทางเข้าออกตรงนี้มาก่อน

“ถูกปิดเหรอ” จูเลียนพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง แต่ฮานส์ก็ยังได้ยิน

“เออ จะเข้ามาได้หรือยัง หรือจะอยู่ตรงนั้นก็ตามใจเจ้าก็แล้วกัน”

“แต่ฮานส์ เจ้าทำได้ยังไงหินแต่ละก้อนไม่ใช่เล็ก ๆ แล้วเราจะออกไปยังไง” จูเลียนเดินกลับมานั่งลงใกล้ ๆ ฮานส์ข้างกองไฟ วางกระต่ายตัวน้อยบนตักอย่างทะนุถนอม พอดีกับที่คนหน้าหนวดเสียบไม้ลงข้างกองไฟ บนไม้มีสัตว์ที่ถูกชำแหละมาเรียบร้อยแล้วเสียบอยู่

“เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดพูดสักที ไหนบอกเหนื่อยอยากพัก”

“ก็ข้าอยากรู้” ดวงเนตรสีเขียวช้อนมองคนหน้าหนวด ฮานส์เข้ามาก่อนหน้านี้ ก่อไฟไว้แล้วออกไปทางเก่า กลบรอยที่เดินออกไปด้วย เหลือไว้เพียงรอยที่จูเลียนเห็นว่าฮานส์เดินเข้ามารอบแรก ให้จูเลียนตามมารอ เขาย้อนกลับไปพรางรอยทั้งหมดแล้วรีบกลับมา ปิดทางเข้าไว้อย่างแนบเนียน

“ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นมากก็ได้” น้ำเสียงของคนหน้าหนวดอ่อนลง แต่ที่ทำให้จูเลียนเผลอสูดลมหายใจเข้าปอดเสียยาว ก็ตอนที่มือใหญ่ ๆ วางลงบนศีรษะแล้วโยกเบา ๆ แม้ตอนท้ายจะผลักด้วย และมือใหญ่ข้างนั้นแค่วางบนหมวกคลุมหัว แต่ก็สร้างความรู้สึกแปลก ๆ ให้จูเลียนได้ไม่น้อย คนเดียวที่ทำแบบนี้กับจูเลียนก็มีเพียงนิโคลเท่านั้น แต่ทำไมไม่เคยทำให้จูเลียนใจเต้นโครมครามได้มากขนาดนี้ ฮานส์เป็นใครถึงได้บังอาจกล้าทำกับจูเลียนอย่างนี้

กษัตริย์หนุ่มน้อยปัดมือฮานส์ออก มองไปทางอื่นพึมพำบอกเบา ๆ “พอข้าไม่ถามเดี๋ยวเจ้าก็หาว่าข้าไม่สนใจอะไรอีกหรอก ว่าข้าไม่รู้เรื่องรู้ราวบ้างล่ะ เจ้าจะเอายังไงกันแน่”

“เท่าที่จำเป็นก็พอ” รอยยิ้มบาง ๆ ไม่ได้ลดความดุของนัยน์ตาสีดำสนิท ที่กำลังจ้องหน้าจูเลียนเขม็ง จนคนที่ค่อย ๆ หันมามองแทบสะดุ้ง

“ก็ได้”

“นั่นนะ” ฮานส์พยักพเยิดใบหน้าที่รกหนวดเคราไปที่ตัก จูเลียนก้มลงดู “วางมันลงบ้างเดี๋ยวก็เฉาตายคามือกันพอดี”

“ข้ากลัวมันหนาวนี่” ฮานส์โยนบางอย่างมาตรงหน้าจูเลียน “อะไรอีกละ”

“เอาให้มันกิน ก่อนที่มันจะอดตายเพราะเจ้าไม่รู้อะไรไปเสียก่อน”

“บอกดี ๆ ก็ได้นี่” ถึงจะดูไม่พอใจแต่จูเลียนก็หยิบของที่ฮานส์โยนให้ขึ้นมา มันเป็นกิ่งไม้กับหญ้าแห้งที่ใช้เป็นอาหารของกระต่ายป่า จูเลียนยิ้มกว้างเมื่อยื่นของกินมาตรงหน้าเจ้าหนู และมันรีบแทะกินทันที

“ไปทางนั้นมีบ่อน้ำ เผื่อเจ้าอยากอาบ”

“หนาวขนาดนี้ใครจะไปอยากอาบ” จูเลียนตอบสายตาไม่ละไปจากกระต่ายตัวน้อยบนตัก และคนบอกก็ไม่ได้ละสายตาไปจากจูเลียนเลย

“เหม็นจนจะเน่าอยู่แล้ว”

จูเลียนหันขวับไปมองฮานส์ทันทีที่ได้ยิน ริมฝีปากอิ่มได้รูปอมยิ้มแบะออกเล็กน้อย เนตรสีเขียวเป็นประกายวาวล้อเลียน “ยังกับเจ้าอาบนะฮานส์ ข้าไม่อาบหรอก ขืนอาบได้หนาวตายกันพอดี”

“มันเป็นบ่อน้ำพุร้อน”

“จริงหรือ? แล้วก็ไม่บอกแต่แรกละ” ฮานส์หลับตาลงไม่สนใจจูเลียนที่ท่าทางตื่นเต้น ยามได้รู้ว่ามีบ่อน้ำพุร้อนให้นอนแช่ จูเลียนเหลือบตามองค้อน หันไปสนใจกระต่ายตัวน้อยที่กำลังกินหญ้าแห้ง แต่ชายหนุ่มก็พักสายตาได้ไม่นาน “แล้วเจ้ารู้จักที่ได้ยังไง เคยมาหรือ”

“เออ”

“ไม่อยากคุยก็ไม่ต้องคุย” จูเลียนจะค้อนให้อีกที แต่คนหน้าหนวดเหมือนจะหลับไปแล้ว จึงวางเจ้าหนูไว้มุมหนึ่งให้ลับสายตา คนที่มองเจ้าหนูเป็นอาหารตลอดเวลาอย่างฮานส์ ได้ที่ให้เจ้าหนูแล้วย่องออกจากตรงนั้นเงียบ ๆ เดินไปตามทางที่ฮานส์บอกว่ามีบ่อน้ำพุร้อน ถึงอากาศภายนอกจะหนาวเย็นจนแทบแข็งไปถึงกระดูก แต่คนที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมาตลอดอย่างจูเลียน ก็คิดถึงการนอนแช่น้ำอุ่น ๆ อันเป็นกิจวัตรประจำของชาวออสเซนเทียอยู่ไม่น้อย หากอยู่ในวังป่านนี้จูเลียนคงนอนแช่น้ำอุ่นอยู่ในปราสาท หรืออาจจะไปแช่น้ำแร่ในห้องอาบน้ำรวม สำหรับเจ้านายที่กว้างขวางกว่าก็เป็นได้

จูเลียนเดินลึกเข้าไปไม่ไกล ก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นของอากาศแผ่มาจากข้างหน้า พอหลุดเข้ามาถึงห้องด้านใน ภาพเบื้องหน้าก็เล่นเอากษัตริย์หนุ่มน้อยตะลึงยืนอึ้งค้างไปเลย ไม่คิดว่าท่ามกลางความหนาวเย็นขนาดนี้ จะมีสถานที่แบบนี้ซ่อนตัวอยู่ สองเท้าเดินไปข้างหน้าช้า ๆ สายตาจับอยู่ที่บ่อขนาดไม่กว้างมาก ไอน้ำที่เห็นลอยระอยู่เนื้อผิวน้ำกระตุ้นให้รีบสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ ห้องทั้งห้องได้รับแสงสว่างมาจากช่องแตกหลายช่องของแผ่นหินด้านบน ซึ่งอยู่สูงพอสมควร ลำแสงลอดผ่านเข้ามาเป็นลำเล็ก ๆ แต่ก็สว่างมากพอให้มองเห็นได้จนทั่ว

ดวงเนตรสีเขียวมรกตเป็นประกาย จูเลียนเดินเข้าไปใกล้บ่อน้ำพุ ก้มลงวักน้ำลูบหน้าเล่น น้ำในบ่อใสแจ๋ว ความร้อนของน้ำกำลังพอดี เหมาะแก่การนอนแช่ให้ผ่อนคลาย จูเลียนไม่รอช้า รีบถอยออกมาจากขอบบ่อ ปลดเปลื้องอาภรณ์กันหนาวออกทีล่ะชิ้น

วรกายเพรียวบางไร้อาภรณ์ปกปิดดูน่ามอง ตั้งแต่ลำคอระหงลงมาตามช่วงไหล่ลาด ที่ไม่ได้กว้างมากจนส่งให้ส่วนอื่นของร่างกายดูเก้งก้าง กล้ามเนื้อแผ่นอกบางประดับด้วยตุ่มเม็ดเล็กสีชมพู ช่วงลำตัวเพรียวเข้ารูปลงมาถึงช่วงเอวคอด ที่สะโพกผายออกเล็กน้อย ยามเยื้องย่างกายลงบ่อน้ำร้อน เรียวขาขาวทำให้ร่างเพรียวดูระหง ก้อนเนื้อบั้นท้ายบดเบียดตามจังหวะก้าวเดิน พาร่างอรชรค่อย ๆ จมหายลงไปในน้ำทั้งตัว เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวเคลียไหล ถูกรวบไว้ครึ่งหัว ลูกผมบางส่วนตกระลงคลอเคลียตามแก้มนวลดูไร้เดียงสา

จูเลียนทิ้งร่างเอนลงพิงกับโขดหิน ปล่อยให้ผิวเนื้ออ่อนนุ่มสัมผัสกับความอุ่นของน้ำพุที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน วักน้ำอุ่น ๆ ขึ้นมาลูบพักตร์นวลจนเปียก ดวงตาสวยหลับพริ้มผ่อนคลาย ขนตางอนยาวเป็นแพชุ่มน้ำ ท่ามกลางไอน้ำที่ลอยขึ้นตัดกับลำแสงอ่อนที่ส่องลงมา พักตร์ขาวนวลดูผ่องพิสุทธิ์ จูเลียนรู้สึกผ่อนคลาย ริมฝีปากอิ่มได้รูปแย้มยิ้มออกมาน้อย ๆ ยามได้รับการโอบกอดจากความอุ่นของสายน้ำ สูดลมหายใจยาวเข้าปอดอย่างดื่มด่ำ หูแว่วได้ยินเสียงอะไรบางอย่างคล้ายเสียงฝีเท้า เหยียบย่ำแผ่วเบาลงบนก้อนหิน ตามด้วยเสียงของผิวหน้าน้ำที่ถูกรุกล้ำ แต่ความรู้สึกผ่อนคลายทำให้จูเลียนไม่สนใจ ร่างเพรียวนอนหลับตานิ่งรับความสบาย ปล่อยตัวให้สายน้ำอุ่นโอบกอด

“หึ”

“เจ้า!”

“โอ๊ย! จูเลียน!” ฮานส์กัดฟันเรียกชื่อคนที่กำลังหัวเราะเสียงดัง เมื่อจูเลียนลืมตาขึ้นมา พบว่าใบหน้าที่รกไปด้วยหนวดเคราอยู่ห่างไม่ถึงคืบ จึงผลักร่างหนาออกอย่างแรง ผลคือฮานส์หงายหลังทิ้งตัวลงกลางบ่อน้ำพุ จนน้ำในบ่อแตกกระจาย

“สมน้ำหน้า” ฮานส์มองจูเลียนตาดุคาดโทษ ทำปากขมุบขมิบบอกว่าให้ระวังตัวดี ๆ แต่แทนที่จะกลัวเกรง จูเลียนกลับยิ้มเยาะแทน “ทำไม”

“เปล่า” ฮานส์ปฏิเสธเสียงสูง ถึงยังไงก็ไม่ยอมรับหรอกว่าอยากดูหน้าจูเลียนใกล้ ๆ ถึงได้ก้มลงไปหา ฮานส์ลุกขึ้นเต็มความสูง เดินไปนั่งอีกมุม จูเลียนมองตาม เห็นอะไรเป็นอะไรรีบมองไปทางอื่น

“ทำไมถึงได้ชอบเดินเปลือยกายต่อหน้าคนอื่นนักนะ”

“บ่นอะไร”

“ไม่มีอะไร ข้าไม่ได้บ่นสักหน่อย”

“แล้วไป” ฮานส์เอนร่างทิ้งตัวลงกับหินอีกก้อน ตรงข้ามจูเลียนแล้วหลับตาลง เรือนกายใหญ่กำยำที่โผล่พ้นน้ำระด้วยไอน้ำที่ลอยกรุ่น แต่ก็ยังไม่สามารถปิดบังความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ เรียกให้จูเลียนจับจ้องอยู่ที่มัน

ฮานส์คงหลับไปแล้ว จูเลียนค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นช้า ๆ ขยับเข้าไปหา ดวงเนตรสีเขียวจับที่ใบหน้ารกหนวดดูสะอาดตาขึ้นเมื่อได้เจอน้ำ

“เจ้าเป็นใครมาจากไหนกันแน่นะฮานส์” จูเลียนคิดขณะถูกใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเคราดึงดูดให้ขยับเข้าไปใกล้ ดวงเนตรเขียวกระจ่างพินิจใบหน้าคม ล้อมกรอบด้วยเส้นผมหยักศกสีดำสนิท หน้าผากกว้างพอดีประดับด้วยคิ้วเข้มพาดขวาง สันจมูกคมโด่งคมตรงได้รูป เสริมให้ใบหน้ารกหนวดดูเข้มขึ้น ใบหน้ายามไม่เห็นสายตากวนอารมณ์ดูน่ามอง จูเลียนภาวนาอย่าให้ฮานส์ลืมตาขึ้นมาตอนนี้ ขณะที่ก้มลงไปหาอย่างไม่รู้ตัวและ..

“อะไรของเจ้า!”

“อุ๊ย! โอ๊ย ฮานส์ “จูเลียนไอเพราะสำลักน้ำ อยู่ดี ๆ ฮานส์ก็ลืมตาขึ้นมากะทันหัน จูเลียนตกใจจนผงะ เลยถูกฮานส์เอาคืนด้วยการแกล้งผลัก ถึงจะไม่แรงมากแต่ก็เล่นเอาจูเลียนหงายหลังจมน้ำ ผลคือสำลักน้ำจนไอ จูเลียนเผลอกลืนน้ำเข้าไปอึกใหญ่

“อะไรของเจ้า”

“เปล่า”

“อยากดูหน้าข้าใกล้ ๆ ก็บอกสิ”

“เหมือนที่เจ้าทำตอนแรกก็เพราะอยากดูหน้าข้าใกล้ ๆ ใช่ไหม”

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม” จูเลียนชะงักไม่คิดว่าฮานส์จะยอมรับออกมาตรง ๆ ทั้งที่ตอนแรกปฏิเสธแล้ว แต่ก็ต้องนึกขัดใจกับท่าทางกวนอารมณ์ไม่น้อย

“เจ้า..”

“อะไรอีกล่ะ”

“ไม่มีอะไร ถอยออกไปเลยถอยไปไกล ๆ “จูเลียนวิดน้ำไล่ฮานส์ที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ขณะที่ถาม เลยกลายเป็นว่าทั้งสองเล่นวิดน้ำใส่กันจนน้ำกระจายเปียกไปหมด แทนที่จะได้ผ่อนคลายจริง ๆ เลยเหนื่อยกว่าเดิม เสียงหัวเราะของจูเลียนดังกังวานไปทั้งถ้ำ พอประสานกันกับฮานส์ กลายเป็นเสียงที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน จากคนไม่ค่อยถูกกันที่ต้องเดินทางมาด้วยกัน

“เจ้าเล่นอะไรเป็นเด็กไปได้ฮานส์”

“เล่นกับเด็กอย่างเจ้าไง”

“ว่าข้าเป็นเด็กอีกแล้วนะ นี่ ๆ เป็นไงยอมจำนนหรือยัง” จูเลียนวิดน้ำใส่ฮานส์เร็ว ๆ จนฮานส์เอาคืนไม่ทัน ได้แต่ยกมือกั้นไว้ เสียงหัวเราะดังขึ้นไม่หยุด ทั้งสองคงลืมไปแล้วว่ากำลังหนีตาย ลืมไปแล้วว่าข้างนอกอากาศเย็นมากแค่ไหน ลืมไปแล้วว่ามีคนกำลังตามล่าหมายเอาชีวิต จนกระทั่งต่างคนต่างเหนื่อยและหยุดไปเอง จูเลียนนั่งหายใจหอบ ผิวขาวนวลแช่น้ำอุ่นซับสีแดงระเรื่อไปทั้งตัว

“ข้าว่าเล่นพอแล้วนะ ขึ้นได้แล้วเดี๋ยวไม่สบาย” จูเลียนกำลังสนุกเลยแอบเสียดาย แต่พอนึกอะไรบางอย่างได้ก็ชะงัก

“เอ่อ..”

“อะไรของเจ้าอีก”

“เจ้าขึ้นไปก่อนข้าสิ”

“อย่ามางอแงเอาแต่ใจตอนนี้นะ ถึงน้ำจะอุ่นจนเกือบร้อนอย่างนี้ ก็ทำเจ้าไม่สบายได้ขึ้นเดี๋ยวนี้” คำสั่งของฮานส์ทำให้จูเลียนหน้างอ

“ข้าไม่ใช่เด็กนะ จะได้มานั่งงอแงอยากเล่นน้ำ บอกให้ขึ้นไปก่อนก็ขึ้นไปก่อนสิ”

“อะไรของเจ้าอีกวะจูเลียน”

“ไปสิ ไป ๆ “จูเลียนวิดน้ำไล่ฮานส์ที่จ้องตาดุกลับ คนหน้าหนวดยอมลุกขึ้นจากน้ำแต่โดยดี แต่นั่นกลับทำให้จูเลียนโวยวายกว่าเก่า “ฮานส์! เจ้านี้มัน..”

“อะไรของเจ้าอีก ให้ขึ้นจากน้ำก่อนข้าก็ขึ้นแล้ว ยังจะเรื่องมากอะไรอีก” ฮานส์หันกลับมายืนจังก้าจะเอาเรื่อง แต่พอเห็นจูเลียนนั่งเอามือปิดหน้าตัวเองเท่านั้นแหละ คนหน้าหนวดก็อดหัวเราะขำออกมาไม่ได้ เขาเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก

“เห็นมาจนป่านนี้แล้วเจ้ายังเขินข้าอยู่หรือไง” เจ้าของร่างกายสูงใหญ่กำยำก้มลงมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของตัวเอง “มันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรนี่หว่า ใคร ๆ ก็อยากเห็นเรือนร่างของข้าทั้งนั้น ข้าสิควรต้องอาย”

“คนอย่างเจ้ามันหน้าไม่อายไง แล้วข้าก็ไม่ได้เขินสักหน่อย แค่ไม่อยากมองไม่อยากเห็น”

“ไม่อยากมองก็หันไปทางอื่นสิ ทำไมต้องเอามือปิดหน้าด้วย หรือจะแอบดูข้า”

“เจ้าบ้าไปแล้ว ถ้าข้าอยากดูจะปิดหน้าไว้ทำไมเล่า”

“แน่ใจนะ”

“แน่ใจสิ” ฮานส์หัวเราะเสียงดังให้คำตอบของจูเลียน ชายหนุ่มก้มลงมากระซิบข้างหู

“ไม่อยากเห็นก็ปิดดี ๆ สิ อย่ากางนิ้วออก หรือช่องระหว่างนิ้วของเจ้าเอาไว้แอบดูข้าใช่ไหมล่ะ”

“ฮานส์! ตายซะเถอะ” จูเลียนฟาดมือโดนไหล่ฮานส์ พอคนหน้าหนวดถอยออกไป ยังวิดน้ำใส่เอาเป็นเอาตายไล่ให้ฮานส์รีบขึ้นจากน้ำไปก่อน คนแกล้งก็ได้แต่หัวเราะขำเสียงดัง

“ไปเลยจะไปไหนก็ไป” จูเลียนไล่ส่ง

ต่อนะคะ....
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 18 บ่น้ำพุร้อนมีอะไร 100% 30/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 30-12-2018 12:42:31


ฮานส์ขึ้นจากบ่อน้ำพุเดินไปหยิบผ้ามาเช็ดตัว จูเลียนสังเกตเห็นรอยสักรูปอะไรบางอย่างบนหลังของเขา แต่มองได้ไม่ชัดเท่าไหร่ เพราะอีกคนยู่ในเงาสลัว และมีสิ่งอื่นที่ดึงความสนใจของกษัตริย์หนุ่มน้อยไปเสียก่อน เรือนร่างกำยำสูงใหญ่เป็นสรีระที่สวยงามแข็งแกร่ง มันดูน่ามองตามแบบของบุรุษหนุ่มฉกรรจ์ที่เจริญเติบโตเต็มวัย ทุกองค์ประกอบของร่างกายสูงสง่าดูมีเสน่ห์ชวนมอง จูเลียนเผลอมองแต่ก็ต้องรีบหันหน้าหนีทันทีที่นึกได้ กลัวว่าอีกคนจะหัยนมาเห็นคงไม่วายโดนล้อเป็นแน่แท้

“ที่ไม่ยอมขึ้นมาก่อน เพราะอายที่จะเปลือยต่อหน้าข้าใช่ไหม?” จูเลียนแกล้งทำเป็นถูตัวไม่สนใจตอบคำถาม คนที่หัวเราะขำแล้วขำอีก เลยเหมือนจะหยุดเสียงหัวเราะของตัวเองไม่ได้ “ข้าไม่ได้อยากดูเจ้าหรอกน่าขึ้นมาได้แล้ว หรือจริง ๆ แล้วเพราะเจ้าไม่เคยเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น”

“ข้าเคย” จูเลียนหันมาแย้ง เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะเปลือยกายต่อหน้ากัน อย่างน้อยก็ตามอ่างอาบน้ำรวม สำหรับนอนแช่น้ำอุ่นยามอากาศหนาว แต่จูเลียนก็ไม่เคยออกไปใช้อ่างอาบน้ำสาธารณะแบบนั้นสักครั้ง

“ต่อหน้าใครละ คนรักของเจ้าหรือไง” พอพูดถึงคนรักสีหน้าของจูเลียนเปลี่ยนไปทันที ป่านนี้ไม่รู้ว่าคนรักจะเป็นอย่างไร ได้แต่ภาวนาให้เขาปลอดภัย

“ว่าไงล่ะ หรือไม่เคย” จูเลียนจะเคยได้อย่างไร แม้จะเป็นคนรักกัน แม้จูเลียนจะอยากใกล้ชิด แต่พอได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ ก็ไม่เคยมีสักครั้ง ที่จะทำอะไรถึงขั้นที่ว่าได้เปลือยกายต่อหน้า ไม่เคยแม้กระทั่งนอนแช่น้ำอุ่นด้วยกันเสียด้วยซ้ำ เพราะถึงเวลาจะทำจริง ๆ จูเลียนก็นึกเปลี่ยนใจทุกที หนุ่มน้อยรู้สึกหวงร่างกายของตัวเอง

“เคยสิ”

“หึ”

“เจ้าไม่เชื่อหรือไง” ฮานส์ยักไหล่แล้วเดินเปลือยท่อนบนออกไปยังห้องที่ก่อกองไฟไว้ ไม่สนใจจูเลียนที่ทำหน้าบึ้งมองตามหลัง ทำไมจูเลียนจะไม่เคยเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น ลีโอไงที่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา และฮานส์ก็เป็นคนที่สอง แต่เพราะไม่รู้ว่าตอนถอดเสื้อผ้าออกก่อนจะลงน้ำ เป็นตอนที่ฮานส์เดินเข้ามาพอดี เรือนร่างงดงามไร้อาภรณ์ปกปิดตรึงสายตา เขายืนมองนิ่งจนร่างเพรียวระหงค่อย ๆ หายลงไปในไออุ่นของน้ำ จูเลียนไม่รู้เลยไม่อาจนับได้

“ฮานส์เจ้าหนู!”

“อะไรของเจ้าอีก”

“เจ้าหนูหายไป! ข้าเอามันวางไว้ตรงนี้” จูเลียนสะบัดผ้าที่ปูรองให้กระต่าย แต่ไม่มีอะไรตกลงมาให้เห็น เจ้าหนูกระต่ายตัวน้อยของจูเลียนหายไปแล้ว!

“หึ”

“เจ้าขำอะไร” ฮานส์ไม่ตอบแต่เหลือบสายตาเจ้าเล่ห์ไปทางกองไฟ ที่มีตัวอะไรบางอย่างเสียบไม้ย่างอยู่ และมันกำลังเหลืองสุกได้ที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว “ฮานส์!”

“อือ”

“อย่าบอกนะว่าเจ้า”

“อือ ข้าทำไมล่ะ” ฮานส์หันมาฉีกยิ้มกว้างให้จูเลียน ดูก็รู้ว่าเสแสร้งทำไร้เดียงสา ดวงตาคมกะพริบปริบ ๆ เห็นแล้วจูเลียนนึกหงุดหงิด

“นั่น ที่เสียบอยู่กับไม้”

“อาหารของเราไง”

“มันคือ..” มันคืออะไร จูเลียนอยากถามออกมาแบบนี้ แต่เสียงที่เริ่มสั่นกับใจที่เริ่มเสีย ทำให้ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ จูเลียนเสียใจเข่าอ่อนจนแทบทรุด

“อย่างที่เจ้าคิด”

“ฮานส์ เจ้าทำไมใจร้ายอย่างนี้” จูเลียนโกรธจนลืมตัวตรงเข้ามาทุบกำปั้นหนัก ๆ ลงบนแผ่นอกกว้าง คนโดนทุบเพียงผงะถอยตั้งหลักแต่ไม่ได้ปัดป้อง จูเลียนทุบจนเหนื่อยคนหน้าหนวดถึงจับข้อมือเล็กทั้งสองข้างไว้

“คนใจร้าย เจ้าทำไมใจร้ายอย่างนี้ฮานส์ ข้าไม่น่าเชื่อใจเจ้าเลย อย่ามายิ้มเยาะนะ อยากกินนักก็เชิญเจ้ากินไปคนเดียวเถอะ” จูเลียนโกรธจนหน้าแดง สะบัดหน้าหนีเดินไปนั่งลงตรงกองผ้าคลุมที่เอาเจ้าหนูซ่อนไว้ ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะหยันของฮานส์ดังตามมา แต่เวลานี้กษัตริย์หนุ่มน้อยโกรธจนไม่อยากมองหน้า จูเลียนเสียใจ ในที่สุดก็ไม่สามารถปกป้องใครได้แม้แต่ชีวิตสัตว์เล็ก ๆ ตัวเดียว!

“มากินเถอะน่า จะได้มีแรงเดินทางต่อ ไหนว่าอยากกลับไปสะสางปัญหาที่เมืองหลวงไง” จูเลียนคิดตาม แต่สิ่งที่ฮานส์บอกไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากมีแรงกลับไปสะสางปัญหาอะไรอย่างที่ว่าเลย จูเลียนถามตัวเองว่าคู่ควรแล้วหรือที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมือง และคำตอบที่ได้ก็เหมือนเดิม เหมือนกับหลายครั้งที่เคยถามตัวเอง คือจูเลียนไม่คู่ควรเลยสักนิด คนที่คู่ควรที่สุดคือนิโคลพี่ชายของจูเลียนต่างหาก แต่เพราะชาติกำเนิดทำให้จูเลียนต้องแบกภาระหน้าที่นี้ คิดแล้วก็นึกโกรธคนออกกฎนี้ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

“คิดอะไรมากมายน่า”

“ข้าไม่ใช่คนไร้หัวใจอย่างเจ้านี่ฮานส์”

“ต่อให้มีหัวใจก็กินได้ทุกอย่างนั่นแหละ”

“แต่เจ้าหนูมันเป็นของข้า!”

“แล้วไง?”

“แล้วไงเหรอ ถามมาได้ ก็.... เจ้าหนู!” จูเลียนตาโต ไม่ไกลจากตรงหน้า กระต่ายตัวน้อยค่อย ๆ เดินทำจมูกฟุดฟิดแตะไปตามก้อนหิน เหมือนกำลังดมหาอะไรบางอย่าง

“หึ” เสียงแค่นหัวเราะทำให้จูเลียนเหลือบตามองไปยังต้นเสียง ดวงตาสีดำสนิทจ้องตอบกลับมาดุ ๆ ฮานส์แสยะยิ้ม อยู่ดี ๆ จูเลียนก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาเฉย ๆ แต่ก็ยังทำใจกล้ายิ้มหวานให้ จูเลียนไม่เคยคิดจะยิ้มแบบนี้ให้ใครมาก่อน

“เจ้าหนูมานี่เร็ว แกไปไหนมา” กระต่ายตัวน้อยเดินเข้ามาใกล้จูเลียน เพราะมันจะเดินมาทางนี้อยู่แล้ว จึงถูกจูเลียนอุ้มมาวางไว้บนตัก “ฮานส์ดูสิเจ้าหนูกลับมาหาข้าแล้ว” ฮานส์มองไปทางอื่น ที่ไม่มีดวงตาสีเขียวเป็นประกายกับรอยยิ้มสดใสให้เห็น จูเลียนก็เป็นเสียอย่างนี้ แล้วยังจะให้เขาฆ่ากระต่ายน้อยตัวนี้มาเป็นอาหารได้ลงคอหรือ ฮานส์อยากถามจูเลียนตรง ๆ แต่ตอนนี้เขาต้องบังคับตัวเองไม่ให้สนใจรอยยิ้มกว้าง กับดวงตาสีเขียวสดใสคู่นั้นให้ได้เสียก่อน ก่อนที่เขาจะหงุดหงิดให้ตัวเองมากไปกว่านี้

“ตกลงเจ้าจะไม่กินใช่ไหม”

“กินสิ กิน ๆ ข้าหิว”

“ไหนบอกไม่กิน”

“ก็ข้านึกว่าเป็นเจ้าหนู”

“เหอะ รีบกินข้ามีอะไรให้เจ้าทำ” จูเลียนเกือบรับอาหารที่ฮานส์โยนมาให้ไม่ทัน หากอยู่ท่ามกลางอัศวินและเด็กรับใช้ประจำตัว ฮานส์คงไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้แน่ แม้ตัวจูเลียนเองจะไม่สนใจพิธีเหล่านั้น แต่องครักษ์และเด็กรับใช้ไม่มีทางยอม

“จะให้ข้าทำอะไร คิดว่ามีสิทธิ์สั่งข้าหรือไง” จูเลียนถามทั้งที่ของกินเต็มปาก ริมฝีปากอิ่มได้รูปเป็นมันจนเงา

“ตอนนี้เจ้าก็แค่เด็กน้อยที่ข้าต้องดูแล ตัวภาระ” จูเลียนหน้าตึง

“ข้าเป็นกษัตริย์เจ้าอย่าลืมสิ” ฮานส์ถอนหายใจส่ายหน้า เห็นท่าทางของจูเลียนตอนนี้ หากเขาต่อปากต่อคำเรื่องยาวแน่ ฮานส์เงียบรอจนจูเลียนกินอิ่ม จึงโยนบางอย่างให้

“ดาบ? เอามาให้ข้าทำไม”

“ฝึกการต่อสู้เสียบ้าง จะได้เอาตัวรอดได้”

“ข้าไม่ฝึก ข้าไม่ชอบ”

“อย่าโง่จูเลียน เจ้าต้องรู้จักป้องกันตัว ไม่ใช่คอยแต่ให้คนอื่นมาปกป้องเจ้า”

“ก็มันหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว อัศวินของข้ามีตั้งสี่คน” ฮานส์มองไปรอบตัวแล้วหันกลับมาหาจูเลียน

“ไหนล่ะ อย่าโมเมตอบเหมือนเด็ก ๆ ความจริงเจ้าก็เห็น ที่นี่ไม่มีอัศวินตามมาปกป้องเจ้าด้วยซ้ำ”

“ถ้าอย่างนั้นก็คุกเข่าลงสิฮานส์ ชูดาบของเจ้าขึ้นเหนือหัวเอ่ยคำสาบาน จะได้เป็นอัศวินของกษัตริย์ไม่ใช่ง่าย ๆ ตอนนี้เจ้ามีโอกาสแล้ว”

“หึ เจ้าก็ยังมีความคิดแบบเด็ก ๆ อยู่เหมือนเดิม” จูเลียนหน้ามุ่ยลงจนฮานส์ส่ายหน้า “ถอดดาบออกมา”

“เจ้าจะสอนข้าต่อสู้หรือ”

“ข้าแค่อยู่ว่าง ๆ แล้วมันเบื่อเลยหาอะไรทำ ซ้อมมือกับเจ้าก็ดีเหมือนกัน ลุกขึ้นมา”

“แต่..ฮานส์!” จูเลียนยังไม่ทันได้ขยับตัว ดาบอีกเล่มในมือฮานส์ที่เขาใช้ประจำก็ถูกฟันฉับผ่านอากาศไม่ไกลจากตัว เล่นเอาจูเลียนสะดุ้งถอยหนีแทบไม่ทัน ไม่รู้ว่าฮานส์มีอำนาจอะไร แต่จูเลียนก็ยอมลุกขึ้นพร้อมดาบในมือ

“ลองจู่โจมข้าสิ”

“งั้นเจ้าก็เตรียมตัวตายได้เลยฮานส์” จูเลียนนึกสนุก เงื้อดาบขึ้นหวังจะฟันฮานส์เต็ม ๆ แต่คนหน้าหนวดเพียงเบี่ยงตัวหลบไปข้าง ๆ และเอาคืนด้วยการผลักเบา ๆ แต่จูเลียนเซ

“หึ เอาใหม่” จูเลียนจู่โจมโดยการฟาดดาบเข้าใส่ฮานส์สะเปะสะปะ คมดาบไม่แม้แต่จะเฉียดใกล้คนที่เอาแต่หัวเราะร่าสมใจ จูเลียนเหนื่อยจนหอบแต่ฮานส์กำลังสนุก มันเรื่องอะไรที่ต้องมาต่อสู้ทั้งที่ไม่เคยคิดทำ จูเลียนสู้ไม่เป็นและไม่เคยคิดจะเรียนรู้ด้วยซ้ำ

“ทำให้มันเหมือนคนมีแรงหน่อย ข้าจะเอาจริงแล้วนะ เข้ามา” ได้ยินอย่างนั้นจูเลียนเงื้อดาบขึ้นเตรียมฟัน ฮานส์ไม่หลบแต่ใช้ดาบที่ถืออยู่รับคมดาบที่จู่โจม เพียงคนหน้าหนวดหมุนตัวออกด้านข้าง แต่มันเร็วจนจูเลียนไม่ทันได้ทำอะไร ก็ถูกประชิดด้านหลัง ลำคอถูกรวบไว้ด้วยมือใหญ่ข้างเดียว ปลายดาบคมจิ้มหน้าท้อง

“หึ”

“เจ้าสนุกพอหรือยัง”

“กำลังได้ที่เลยล่ะ เอาอีกรอบ” ฮานส์แนบแก้มรกเคราเข้ากับพวงปรางเกลี้ยงเกลานุ่มนิ่ม ความเหนื่อยจากการออกแรงทำให้จูเลียนหายใจหอบ แต่ก้อนเนื้อในอกที่เต้นผิดจังหวะไม่รู้เป็นเพราะอะไร

“ปล่อย ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว” ฮานส์ยอมปล่อยจูเลียนแต่โดยดี พอร่างกายเป็นอิสระหนุ่มน้อยก้าวห่างออกไปได้สองก้าว หันขวับกลับมาพร้อมตวัดดาบฟันฮานส์อย่างรวดเร็ว คมดาบเฉียดปลายจมูกโด่งไปนิดเดียว ฮานส์ตาเหลือกพรูลมหายใจออกจากปากอย่างโล่งอก

“ใช้ได้” ฮานส์รู้ว่าตัวเองคาดเดาผิดและเสียรู้จูเลียน แต่แววตาของเขากลับบอกว่าพอใจ “แต่เจ้าต้องจับดาบให้มั่นคงกว่านั้น เวลาลงดาบอย่าลังเล” จะไม่ให้จูเลียนลังเลได้อย่างไร ขนาดคิดว่าฮานส์คงหลบได้ยังไม่กล้าที่จะฟันตรง ๆ

“อย่าหันตัวหันหน้าตรง ๆ มาแบบนี้ เจ้าจะกลายเป็นเป้าใหญ่ให้ศัตรูโจมตี” ร่างเพรียวถูกจับให้หันข้าง มือที่ถือดาบยกขึ้นชี้ตรง

“แล้วหันข้างแบบนี้มันจะไปถนัดได้ยังไง”

“ถ้าไม่อยากเป็นเป้าใหญ่ ๆ ให้ศัตรูเลือกจิ้มดาบลงตามตัวเจ้าได้ง่าย ๆ ก็ต้องฝึกให้ชิน” ฮานส์บอกพลางจัดท่าทางให้จูเลียนไปด้วย สอนไปด้วย แต่คนที่ไม่ชอบไม่เอาไม่มีหัวเรื่องการต่อสู้นิ่งฟังได้ไม่นาน

“พอแล้วฮานส์ ข้าเบื่อแล้ว”

“เบื่อก็ต้องฝึก”

“ไม่เอาข้าไม่ฝึก” จูเลียนโยนดาบในมือทิ้ง

“ฟังนะจูเลียน ไม่มีใครสามารถปกป้องเจ้าได้ตลอด ถ้าเจ้าไม่คิดจะปกป้องตัวเองก่อน”

“แล้วเจ้าล่ะฮานส์ ไม่คิดจะอยู่ปกป้องข้าหรือ คุกเข่าลงสิสาบานว่าจะปกป้องข้า เป็นอัศวินของข้า เจ้าก็รู้ตำแหน่งนี้ชายชาตรีทุกคนต้องการ” ทั้งสองมองตากันนิ่ง สายตาของจูเลียนดูเด็ดเดี่ยวสมเป็นกษัตริย์ แต่สายตาคมกล้าดุจเหยี่ยวที่มองตอบกลับมาก็ดูมีอำนาจ จูเลียนยิ่งมองยิ่งเหมือนหลุดเข้าไปสู่อะไรบางอย่างที่ลึกล้ำกว่า เหมือนถูกสะกดให้จ้องมองนิ่งเนิ่นนาน จนเสียงเยียบเย็นดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท ถึงได้รู้สึกตัว

“ไม่มีวัน! “



*****************

ครบ 100% แล้วอยากนอนแช่น้ำอุ่น ๆ จริมๆ

ที่นี่จะเป็นรังรักหรือเปล่า บอกเลยว่าไม่ อ้าว ไม่ได้สปอยด์นะ จริง 555

รอดูตอนหน้าก็แล้วกัน

นะนายท่าน

ดาว ณ แดนดิน

26-3-2561
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 19 วันเดียวกลับพลัดพราก 50% 3/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-01-2019 21:33:45


เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 19 วันเดียวกลับพลัดพราก



(http://i67.tinypic.com/2rwxi07.jpg)




“ส่งคนออกไปอีก เอาตัวมาให้ข้าให้ได้”

“ท่านจะอยากได้ตัวมาทำไม ฆ่าทิ้งซะเลยไม่ง่ายกว่าหรือ”

“จับเป็นเท่านั้น เอาตัวทุกคนมาให้ข้า คนที่จับตัวมาได้ข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม”



เพราะแสงขมุกขมัวยามฟ้าใกล้สางรอบกายจึงดูเลือนราง แต่ก็ยังพอมองเห็นได้ดี เมื่อเจ้าของร่างกำยำขยับตัว พร้อมเปิดเปลือกตาขึ้น เห็นได้ถึงความงัวเงีย แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่ได้รับการฝึกฝน ให้สามารถตื่นเต็มตาได้ทันที แม้ร่างกายยังคงอ่อนเพลีย พอถึงเวลาตื่นก็ต้องลุกขึ้น รอบกายยังคงความหนาวเย็นเข้ากระดูก แต่ไออุ่นที่นอกจากความอุ่นของกองไฟ ยังมีอุ่นไอที่ได้จากร่างบอบบางในอ้อมแขน เขาทิ้งสายตาเฝ้ามองคนที่นอนหลับราวเด็กไร้เดียงสา แต่จะว่าจริง ๆ นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยคนหนึ่ง



เด็กน้อยกำลังหลับสนิท แต่ไม่นานคงต้องตื่นขึ้นมาเอ่ยวาจาตัดพ้อ เพราะกำลังจะถูกเขาปลุก ทั้งความตายที่กำลังตามมาอย่างกระชั้นชิด และภาระหน้าที่ที่รออยู่ เขาไม่อาจตามใจให้เด็กน้อยหลับสบายนานกว่านี้ได้



“ลีโอ” ความเงียบและเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เป็นคำตอบที่ไม่ผิดจากที่คาดไว้ เสียงเรียกจึงเพิ่มระดับขึ้น แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความไร้เดียงสาของเด็กน้อยขี้เซา อัศวินหนุ่มพินิจใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดวงตาหลับพริ้มราวกำลังฝันดี ปอยผมเส้นเล็กสีน้ำตาลอ่อน ถูกปัดออกจากใบหน้านวลแผ่วเบา เผยให้เห็นผิวแก้มขาวละเอียดที่ประดับด้วยกระเม็ดเล็ก ๆ สีน้ำตาลอ่อนจางกระจายตัวห่าง ๆ อยู่ทั้งสองข้างแก้ม ความหนาวทำให้แก้มใสซับสีแดงระเรื่อน่ามอง รอยยิ้มจาง ๆ จุดขึ้นมาบนใบหน้าที่เริ่มรกครึ้มไปด้วยหนวดเครา ด้วยขาดการดูแลมาหลายวัน ภาพอัศวินผู้เงียบขรึมจึงดูดิบเถื่อนขึ้น

“ลีโอ”

“อือ..” ดีขึ้นนิดหน่อยที่ได้รับเสียงแหบ ๆ ตอบกลับมา แต่ยังไม่มากพอจะทำให้เจ้าของชื่อตื่นจากนิทราแสนอบอุ่นนี้ได้

“ตื่นได้แล้วลีโอ เราต้องเดินทางแล้ว”

“เงียบน่า...” อัศวินหนุ่มส่ายหน้าให้กับเสียงละเมอแผ่ว ๆ แค่พอจับใจความได้ หากเป็นยามตื่นเต็มตามีหรือลีโอจะกล้าเอ่ยปากพูดออกมาเช่นนี้ แต่นี่กำลังหลับไม่รู้ตัว ลีโอไม่พูดเปล่ายังซบแก้มซุกเข้าไปในอกกว้าง ให้ร่างกายแนบชิดหาไออุ่นยิ่งขึ้น

“ถ้าเจ้ายังทำตัวเป็นเด็กขี้เซา ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ที่นี่แล้วนะ”

“อือ คนใจร้าย เฮนริชใจร้าย”

“หือ..นี่กล้าต่อว่าข้าเชียวหรือลีโอ!”

“อะไร เซอร์เฮนริช เกิดอะไรขึ้นพวกมันตามมาทันหรือ”

“เจ้าตื่นหรือยัง”

“ตื่นแล้ว ลีโอตื่นแล้ว เกิดอะไรขึ้นเซอร์เฮนริช”

“..” เฮนริชไม่ตอบแต่นั่งจ้องหน้าลีโอนิ่ง สายตาคมของอัศวินหนุ่มมีแววตำหนิ ที่ลีโอเห็นแล้วต้องก้มหน้าหลบตา แต่ริมฝีปากบางที่ยื่นออกมานั่นมันช่างน่าหยิกนัก ลีโอเหมือนจะยอมแต่ดื้อเงียบไม่น้อยในบางครั้ง “เราต้องเดินทางต่อแล้ว หรือเจ้าจะอยู่นี่ให้พวกทหารรับจ้างตามมาฆ่าทิ้ง”

“ทำไมท่านชอบพูดอะไรน่ากลัวอย่างนี้ แผลท่านเป็นยังไงบ้าง”

“ข้าไม่เป็นไรแล้ว”

“ไม่เป็นได้ไง ท่านถูกฟันมานะ แผลกว้างขนาดนั้น ขอข้าดูแผลก่อนได้ไหม” ลีโอขยับเข้ามาคุกเข่าอยู่ข้างเฮนริช แต่อัศวินหนุ่มกลับขยับออก เด็กน้อยนึกขัดใจแต่ไม่ลดละที่จะตรวจดูแผล

“ทำไมท่านหน้าซีดอย่างนี้เซอร์เฮนริช ท่านมีไข้ด้วยนี่” ลีโอแตะหลังมือไปตามใบหน้าที่เริ่มรกครึ้มไปด้วยหนวดเครา และลำคอของอัศวินหนุ่ม จึงได้รู้ว่าเฮนริชมีไข้ แต่กลับถูกปัดออกอย่างไม่ไยดี เด็กน้อยหน้างอแต่ความห่วงใยมีมากกว่าจึงไม่ลดละที่จะดูแล

“ข้าไม่เป็นไร” เฮนริชจะลุกขึ้นยืน แต่เพราะร่างกายยังอ่อนเพลียทั้งเพราะพิษไข้จากบาดแผลที่อักเสบ และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ อัศวินหนุ่มเลยเซเสียหลัก ดีที่ลีโอกอดพยุงไว้ทัน เด็กน้อยเลยได้โอกาสกอดเอวอัศวินหนุ่มไว้แน่น

“ไม่เป็นไรได้ไง ไม่สบายขนาดนี้ท่านยังว่าไม่เป็นไรอีกหรือ” ลีโอบังอาจตำหนิอัศวิน แต่อีกคนกลับไม่สนใจ เป็นถึงอัศวินผู้แข็งแกร่ง จะมาล้มเพราะบาดแผลแค่นี้ถือเป็นเรื่องที่น่าอายยิ่งนัก ทั้งที่เฮนริชไม่ยอมรับการช่วยเหลือ แต่ลีโอก็พยายามพยุงให้นั่งลงข้างกองไฟ ปากก็ปรามเบา ๆ เมื่อเจ้าของร่างสูงใหญ่กำยำยังขืนตัวไว้

“ท่านอย่าดื้อสิ” ลีโอบังอาจนัก

“หึ คนแก่ดื้อหรือลีโอ เจ้าอย่าดุนักสิ” เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นข้างหลัง ทำลีโอชะงัก หัวใจเด็กน้อยเต้นแรง รอยยิ้มจางผุดขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ แล้วค่อย ๆ กว้างขึ้น ทั้งหมดนั่นอยู่ในสายตาของเฮนริชที่มองตาดุ ลีโอหันไปทางต้นเสียง แววตาขี้เล่นกับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่มองตอบกลับมา เป็นสิ่งยืนยันว่าลีโอไม่ได้ฝันไป

“เซอร์เลนนี่! “เพราะความดีใจลีโอผละจากเฮนริชโผเข้าไปหาเลนนี่ ที่กำลังเดินนำหน้าราเชลกับเดรทิชเข้ามา ลีโอกอดเลนนี่แน่น แล้วหันไปกอดเดรทิช “เซอร์เดรทิช ท่านมาแล้ว”

“ไง สนุกเลยสิเจ้า” เดรทิชทัก

“สนุกที่ไหนกัน ข้ากลัวแทบแย่ เซอร์ราเชล” ลีโอกอดอัศวินทั้งสามทีละคน คนสุดท้ายคือราเชลที่ลีโอกอดแน่นเป็นพิเศษ เพราะเพิ่งผ่านสมรภูมิเฉียดตายด้วยกันมาไม่นานนี้เอง

“พอแล้วลีโอ เดี๋ยวร่างเจ้าก็พรุนหมดหรอก” เลนนี่ดึงลีโอออกจากอ้อมกอดของราเชลให้มายืนข้างตัวเอง แถมยังวางท่อนแขนพาดโอบไหล่เด็กน้อยไว้ด้วย หันไปมองหน้าเฮนริชที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ ส่งรอยยิ้มมีเลศนัยยามมองตาเพื่อน แต่เฮนริชแค่ส่ายหน้าแล้วหันไปทางอื่น

ลีโอไม่เข้าใจเลยถาม “ทำไมต้องพรุนด้วยล่ะ”

“ถูกสายตาทิ่มแทงกระมัง” และยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เด็กน้อยมองหน้าคนนั้นทีคนนั้นที แล้วหันไปหาเฮนริชเหมือนขอความเห็น พอไม่มีใครให้คำตอบก็หันกลับมาถามเลนนี่เหมือนเดิม

“สายตาอะไรทิ่มแทงหรือเซอร์เลนนี่ ทิ่มแทงทำไม”

“หึ”

“อ้าว..ยิ้มอะไรของท่านขำอะไรข้าอีกล่ะ” ลีโอว่ายิ้ม ๆ เลนนี่เลยวางมือลงบนศีรษะเล็กยีเบา ๆ

“ไม่มีอะไรหรอก” เลนนี่บอกปัดแล้วหันไปทางเฮนริชที่นั่งมองตาดุ “ไง ถึงกับหมดแรงเลยหรือไง”

“ยังไม่ตาย”

“แล้วพวกท่านมาด้วยกันได้ยังไง” ลีโอยังไม่หมดความสงสัย

เลนนี่กับเดรทิชเงียบราเชลเลยเป็นคนตอบ “เจอกันอยู่กลางทางพอดี”

เดรทิชโยนห่อผ้ามาทางลีโอแล้วบอก “ข้าเอามาฝาก”

พอเปิดห่อดูเห็นเป็นขนมปังหอมกรุ่น ลีโอตาโตยิ้มกว้าง “เซอร์เดรทิชท่านใจดีที่สุดเลย”

ลีโอสนใจของกินมีแบ่งมาให้เฮนริชด้วย อัศวินทั้งสี่หันหน้าคุยปรึกษากันเคร่งเครียด

เฮนริชผู้นิ่งขรึมถามขึ้นก่อน “เจ้าได้ข่าวจากฮานส์หรือยัง”

“ข้าส่งนกไปหาเขาแล้ว” อัศวินทั้งสามมองหน้าเลนนี่รอฟัง “ยังไม่ตอบกลับมา ไม่รู้ว่าได้รับข่าวจากข้าหรือไม่”

ราเชลถาม “ถ้าไม่ได้ข่าวเราจะหาตัวเขาเจอได้ที่ไหน”

“ถ้าเขาไม่อยากให้เราเจอ เราก็ไม่มีวันหาเขาเจอ” ทุกคนสีหน้าเครียดขึ้นทันที แต่ท่าทางของเลนนี่กลับไม่ได้ทุกข์ร้อน ที่ฮานส์พาจูเลียนแยกออกจากกลุ่มอัศวิน

“แต่เขาพาจูเลียนไป” เดรทิชย้ำ

“อยู่กับฮานส์จูเลียนจะปลอดภัย ข้ารับรอง”

“ข้าไม่ไว้เขาแต่แรก” เฮนริชย้ำ

“อย่างที่ข้าบอกเจ้า เจ้าเชื่อใจข้า ข้าเชื่อใจฮานส์”

“เจ้ารู้จักเขาดีแค่ไหนเลนนี่” ราเชลถาม

“ตั้งแต่จำความได้ เราโตมาด้วยกันกินอยู่ด้วยกัน เรียนด้วยกัน ถูกฝึกมาด้วยกัน จนวันที่ข้าต้องเข้าวัง” สายตาของเลนนี่จริงจังไร้แววขี้เล่น ใจนึกไปไกลถึงวันที่ต้องเดินทางเข้าวัง ยามนั้นเขาเป็นเพียงเด็กชายที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม ทิ้งคำล่ำลาของคนที่เป็นทั้งญาติ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อนตาย และคำขอโทษไว้เบื้องหลัง!

เดรทิชว่า “เอาล่ะ ข้าว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาถามหาความไว้เนื้อเชื่อใจ แต่เราต้องมาว่ากันที่จะตามหาจูเลียนได้ยังไงดีกว่า”

“อย่างที่ข้าบอก ถ้าเขาไม่อยากให้เราเจอตัว เราไม่มีวันหาเขาเจอ”

“แต่เราต้องพาจูเลียนกลับเมืองหลวง” เฮนริชเสียงเข้มขึ้นเพราะความเป็นห่วง ยามคุยกันเฉพาะกลุ่มอัศวินจูเลียนก็เหมือนน้องชายเล็ก ๆ ที่พวกเขาให้ความรักและการดูแลปกป้องแบบถวายชีวิต อย่างที่ได้กล่าวคำสาบานตนไปแล้ว

“เราต้องรอ ข้าเพิ่งส่งข่าวไปหาเขาวันก่อน เราทำได้แค่รอ”

“เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือเลนนี่ ว่าจะหาเขาเจอได้ที่ไหน” เลนนี่ได้แต่ถอนหายใจ มีสถานที่มากมายที่เพื่อนผู้พเนจรของเขาจะไป แต่สถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับฮานส์แล้ว เลนนี่เดาไม่ถูกจริง ๆ หรือบบางทีก็อาจจะเป็นเพราะตัวเขาเองที่ไม่อยากเดา

“เจ้าก็รู้เรารอไม่ได้ จูเลียนควรอยู่กับเรา ฮานส์ไม่ใช่คนของเราด้วยซ้ำ” เฮนริชว่า

“เขาจะเป็นใครก็ช่าง แต่ถ้าเจ้ายืนยันว่าเชื่อใจเขา และจูเลียนอยู่กับเขาแล้วปลอดภัย ข้าเชื่อเจ้า” ราเชลบอกเลนนี่แล้วหันไปทางเดรทิชที่พยักหน้าเห็นด้วย เหลือเพียงเฮนริชที่ยังเงียบ

“แล้วเจ้าล่ะ”

“..” เฮนริชยักไหล่ไม่ตอบคำ

“เฮนริช ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ไว้ใจ เพราะฮานส์เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเจ้า ข้าเข้าใจ แต่ฮานส์จะพาจูเลียนกลับมาหาเราทันที ที่เขาแน่ใจว่าจูเลียนปลอดภัย” แม้อัศวินทั้งสองจะมีนิสัยต่างกันมาก คนหนึ่งขี้เล่นรักสนุกอารมณ์ดี ส่วนอีกคนเงียบขรึมเป็นผู้ใหญ่ จริงจังกับทุกเรื่อง แต่ทั้งเลนนี่และเฮนริชต่างเป็นเพื่อนตายที่รัก และไว้เนื้อเชื่อใจกันมานาน

ต่อจร้าาาาา
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 19 วันเดียวกลับพลัดพราก 50% 3/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-01-2019 21:35:45


“เพราะข้าเชื่อใจเจ้า นอกจากเราสี่คนข้าไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”

“ข้ารู้ เราจะรอที่จุดนัดพบ ถ้าภายในสามวันฮานส์ไม่พาจูเลียนมา ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาเขาเอง อาจจะที่ไหนสักที่ข้าจะลองสุ่มดู”

“ไม่รู้ว่าพวกท่านมองยังไงนะ แต่สำหรับข้า ลีโอคิดว่าท่านโรฮานส์เป็นคนดีคนหนึ่ง ข้าชื่นชมเขามากด้วย” เสียงเล็ก ๆ ที่ดังขึ้นเรียกสายตาของอัศวินทั้งสี่ให้หันไปมอง ลีโอบอกทั้งที่ของกินเต็มปาก พูดแล้วก็ส่งขนมปังก้อนใหญ่ใส่ปากไม่สนใจใคร สนุกกับการกิน

“เจ้าอิ่มหรือยังลีโอ เราต้องเดินทางต่อแล้ว” เพราะอาหารยังเต็มปากลีโอจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ เฮนริชที่ไม่สบายเพราะพิษไข้จากบาดแผล นั่งมองเพื่อนอัศวินทั้งสามช่วยกันเก็บของ และอำพรางร่องรอย จนไม่เหลือจุดให้สังเกตว่าเคยมีคนมาพักตรงนี้

“ลีโอ เจ้าขี่ม้าตัวนี้ก็แล้วกัน” เลนนี่จูงม้าของเขามาให้ลีโอ ยัดสายบังเหียนใส่มือเด็กน้อย แล้วแย่งเอาสายบังเหียนม้าตัวที่ลีโอขี่มากับเฮนริชไปถือไว้เอง สองมือใหญ่กระชับที่สีข้างร่างบอบบาง ยกลีโอขึ้นนั่งบนหลังม้าหน้าตาเฉย

ลีโอมองหน้าเลนนี่งง ๆ แล้วถาม “ขอบคุณเซอร์เลนนี่ แต่ทำไมล่ะ”

“มันตัวใหญ่และแข็งแรงที่สุด”

“แล้วทำไมลีโอจะต้องขี่ม้าตัวใหญ่ และแข็งแรงที่สุดด้วย ข้าตัวเล็กนิดเดียวขี่ตัวไหนก็ได้ พวกท่านมีแต่คนตัวโต ๆ ทั้งนั้นควรจะเลือกม้าที่แข็งแรงไม่ใช่หรือ” ตอนนี้ราเชลกับเดรทิชนั่งอยู่บนม้าคนละตัว เลนนี่เหวี่ยงตัวเองขึ้นหลังม้าตัวที่แย่งมาจากลีโอ อัศวินทั้งสามมองหน้ากันแล้วยิ้ม

“เพราะเจ้าต้องขี่กับคนป่วยไง” เฮนริชจิกตามองเลนนี่ที่อมยิ้มให้เขาหน้าตาเฉย ไม่พอยังเลิกคิ้วขึ้นเหมือนถามว่ามีปัญหาอะไรไหม เลนนี่หันไปยิ้มกว้างให้ลีโอแล้วกระตุกม้าควบออกไป ตามด้วยเดรทิชกับราเชลที่ยิ้มให้ แล้วหันไปทางอัศวินบาดเจ็บ เฮนริชไม่สนใจ เหวี่ยงตัวเองขึ้นนั่งซ้อนหลังลีโอบนม้าตัวใหญ่ กระซิบบอก

“ไปได้แล้ว”



*****************



เป็นครั้งที่สองที่จูเลียนถูกฮานส์ปฏิเสธ ตำแหน่งอันทรงเกียรติที่มีให้เฉพาะบุรุษที่คู่ควร แต่สำหรับฮานส์ จูเลียนมองไม่เห็นความสามารถที่อยู่ภายใต้ท่าทางกวนอารมณ์ แค่ต้องการเอาชนะให้ได้ กระทั่งยื่นข้อเสนอง่าย ๆ ให้จูเลียนก็ทำ ถึงจะรู้ว่ายังไงฮานส์ก็ไม่ยอมคุกเข่าสาบานตน จูเลียนไม่เข้าใจว่าทำไมฮานส์ถึงได้ไม่พอใจ อัศวินเป็นตำแหน่งทรงเกียรติที่ไม่ใช่ว่าจะเลือกใครมาเป็นก็ได้ แต่คนคนนี้กลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ไม่ได้คิดเกรงต่อความเป็นกษัตริย์ของจูเลียนเลยด้วยซ้ำ



จูเลียนผ่านวันเวลาในถ้ำที่อบอุ่นมาสองวันแล้ว ต่างคนต่างอยู่ ไม่พูดคุยกัน จูเลียนไม่พอใจที่ถูกปฏิเสธเหมือนถูกฮานส์หักหน้า เพื่อนคุยที่ดีที่สุดก็มีแต่เจ้าหนูกระต่ายตัวน้อย ที่ตอนนี้จูเลียนวางใจได้ ว่ามันจะไม่ถูกจับมาย่างเป็นอาหาร ทั้งสองมึนตึงไม่พูดคุยกันทั้งที่คนพูดได้มีกันอยู่แค่สองคน จูเลียนกลายเป็นกษัตริย์ไร้ประโยชน์ ที่ต้องมานั่งรอเวลาอยู่อย่างนี้ แต่จะให้ลดตัวไปพูดคุยกับคนโอหังอวดดีก่อน จูเลียนทำไม่ได้แน่ วันนี้หนุ่มน้อยจึงตัดสินใจทำอย่างที่คิดไว้



จูเลียนอุ้มเจ้าหนูเดินไปรอบถ้ำ เข้ามุมนั้นออกมุมนี้เหมือนกำลังสำรวจหาอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นทางเข้าออก มีสายตาคมสีดำมืดดุจรัตติกาลมองตามไปทุกที่เงียบ ๆ จูเลียนเดินสอดส่องไปรอบถ้ำ ฮานส์รู้ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอีกคนกำลังทำอะไร แค่อยากรู้ว่าจูเลียนจะทำมันได้นานแค่ไหน และจะทำสำเร็จหรือไม่ เพราะที่นี่เป็นที่ซ่อนตัวที่ฮานส์มั่นใจ ว่ามีเพียงเขาคนเดียว ที่รู้จักทางเข้าออกดี ยังไงจูเลียนก็ไม่มีวันหาทางออกเจอ ฮานส์เริ่มเก็บของที่จะเอาไปด้วย ขณะที่จูเลียนเดินคลำสะเปะสะปะไปรอบ ๆ จนวนกลับมาที่เดิม ฮานส์ก็เก็บของเสร็จเรียบร้อยพร้อมเดินทาง



“เจ้าจะไปไหน”

“เดินทางต่อ”

“อ้าว แล้วก็ไม่บอก”

“ไปได้แล้ว”

“เดี๋ยวสิฮานส์รอข้าก่อน ไปกันเจ้าหนู” จูเลียนวิ่งไปอุ้มกระต่ายตัวน้อย พร้อมผ้าที่ใช้ห่อตัวมันขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด แล้ววิ่งตามฮานส์ไป ทางออกเปิดอยู่ตรงหน้า จูเลียนไม่รู้ว่าฮานส์ทำได้อย่างไร พอเดินออกไปแล้วหันกลับมาทันได้เห็นหินก้อนใหญ่ขยับเข้ามาปิดปากทางไว้ช้า ๆ จนสนิท ฮานส์อำพรางร่องรอยต่าง ๆ แล้วเดินนำจูเลียนออกมาจากตรงนั้น จุดหมายปลายทางจูเลียนไม่รู้



เดินจนเหนื่อย แต่ไม่รู้ว่าพากันมาไกลมากแค่ไหน และเดินถึงไหนกันแล้ว แต่ระยะเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา จูเลียนคิดว่าตัวเองเดินไกลกว่าที่เคยเดินมาทั้งชีวิต ฮานส์เดินนำจูเลียนเพียงเดินตาม มีถามไถ่พูดคุยกันบ้าง แต่จูเลียนก็ไม่เคยเดินทันฮานส์เลยหากอีกคนไม่หยุดรอ รอบกายยังคงหนาวเย็น ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆหนา จนแสงอาทิตย์ไม่อาจส่องลอดลงมาสู่ผิวโลกได้ ไม่ต่างจากรอบตัวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มองไปทางไหนเห็นแต่สีขาวโพลนไปหมด ดีที่ตอนนี้หิมะไม่ตก ไม่อย่างนั้นอาจพากันเดินต่อไม่ได้ จูเลียนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่พอเดินขึ้นเนินมาเห็นภาพเบื้องหน้า ก็ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น



“ฮานส์ ข้างหน้ามีหมู่บ้าน!” น้ำเสียงของจูเลียนตื่นเต้น ชี้ชวนให้ฮานส์ดูหมู่บ้านเล็ก ๆ เบื้องหน้า ที่หมกตัวอยู่ท่ามกลางหิมะ บ้านแต่ละหลังปลูกห่างกันไม่มาก หลังคาบ้านปกคลุมด้วยหิมะหนาพอกับพื้นรอบบ้าน มองไปให้ความรู้สึกเงียบเหงาอึมครึม หากไม่มีควันลอยออกจากปล่องไฟคงคิดว่าเป็นหมู่บ้านร้าง

พออีกคนยังเฉยจูเลียนเลยหันมาบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ฮานส์ดูสิหมู่บ้าน”

“รู้แล้วน่า”

“เจ้ารู้จักเหรอ” ฮานส์ไม่ตอบ แต่รีบจ้ำเดินลงเนินไป จุดหมายปลายทางคือบ้านหลังเล็กที่ตั้งอยู่เดี่ยว ๆ ห่างออกมาจากบ้านหลังอื่น ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีคนอาศัยอยู่ไม่กี่ครัวเรือนอย่างสงบสุข

“ฮานส์!” เสียงเรียกดังมาจากบ้านหลังหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นจูเลียนต้องอึ้งค้างหยุดอยู่กับที่ หญิงสาวยืนอยู่หน้าบ้านเรียกฮานส์เสียงดัง แล้ววิ่งมากระโดดกอดชายหนุ่มอย่างดีใจ

“เจ้ากลับมา”

“ข้าต้องกลับมาอยู่แล้ว”

“เจ้าไปนานจนข้าคิดถึง”

“หึ ข้าไปไม่กี่วันเจ้าก็บ่นคิดถึงข้าเหมือนเดิมซูร่า”

“ก็เจ้าชอบทำตัวลึกลับ ที่จริงข้าเป็นห่วงเจ้าหรอก เข้าบ้านเถอะ” เหมือนกับว่าจูเลียนได้หายไปจากโลกนี้แล้ว ฮานส์ถูกหญิงสาวฉุดดึงเข้าบ้าน คงเป็นธรรมดาของชายหนุ่มอย่างเขา เจอสาวสวยจะลืมจูเลียนกับเจ้าหนูที่เดินทางมาด้วยกันก็ไม่แปลก เป็นอีกครั้ง กษัตริย์หนุ่มน้อยต้องยืนมองแผ่นหลังกว้างเดินจากไปไม่สนใจไยดี อย่าว่าแต่เรียกให้ไปด้วยกันเลย ฮานส์ไม่แม้แต่จะหันมาดู ว่ามีใครอีกหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวยืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ



จูเลียนเม้มปากแน่น สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ระบายลมหายใจออก กัดริมฝีปากแน่น คงถึงเวลาจริง ๆ แล้ว ที่จูเลียนต้องเดินทางคนเดียวด้วยตัวเอง นางอาจจะเป็นคนรักของเขา ภาพเบื้องหน้าคือฮานส์ถูกหญิงสาวดึงให้เข้าไปในบ้านด้วยกัน ทิ้งจูเลียนไว้เบื้องหลัง ให้ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะและความหนาวเหน็บ แต่สิ่งที่แย่ยิ่งกว่า คือความรู้สึกดี ๆ ของจูเลียนที่มีต่อฮานส์ ที่มันแอบก่อเกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว หากเป็นยามปกติก่อนหน้าที่จะได้เดินทางร่วมกัน จูเลียนคงโวยวายตามหลัง เรียกคนหน้าหนวดหันกลับมาให้ความสำคัญ ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ แต่ตอนนี้จูเลียนเพียงยืนนิ่ง และเงียบ ตามองบ้านหลังน้อยที่คงจะเป็นรังรักของฮานส์กับหญิงสาว ทิ้งจูเลียนไว้บนเนินเหน็บหนาวแห่งนี้



กี่ครั้งแล้วที่ถูกทิ้ง กี่ครั้งแล้วชายพเนจรที่จูเลียนเรียกขานว่าเจ้าคนลึกลับ ทิ้งไว้เหมือนไม่มีความสำคัญ ทั้งที่เป็นถึงกษัตริย์ ทั้งที่เป็นถึงเจ้าเหนือหัว ทั้งที่เป็นผู้ปกครองบ้านเมืองสูงศักดิ์สำคัญ แต่ความสูงศักดิ์ของจูเลียนไม่เคยมีความหมายกับชายพเนจรคนนี้เลยสักครั้ง ไม่เคยมีเลยจริง ๆ จูเลียนกอดเจ้าหนู มองบ้านหลังน้อยแล้วหันหลังกลับ



*********50% 50% 50%***********

โรฮานส์เจ้าทิ้งน้องอีกแล้วหรือ!! ทำไมเจ้ามีนิสัยเช่นนี้....

หึหึ เข้าใจจูเลียนะความรู้สึกนี้ ข้าเคยเจอมาแล้ว

แต่ในส่วนของเซอร์เดรทิชนั้น ไม่ต้องกังวลไป

อีกไม่กี่ตอนข้างหน้านี้ ท่านเซอร์จะมีบทมากขึ้นแน่นอน

และในส่วนของฉากอัศจรรย์นั้น เซอร์เดรทิชก็มีแน่นอนจ้ะ กับ...??

ขอบอกว่าร้อนแรงไม่แพ้เซอร์เลนนี่กับลอร์ดแอนดีสนะเออ แต่คงอีกหลายตอน รอกันนะ

ฮานส์จะเจอจูเลียนไหม เจอกันที่ไหน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อให้ อีกครึ่งที่เหลือจ้า เตรียมใจไว้ด้วย เรื่องมันเศร้า

 :hao5:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 19 วันเดียวกลับพลัดพราก 100% 4/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 04-01-2019 20:15:10



“เมืองหลวงเป็นไงบ้าง”

“วุ่นวายเหมือนเดิม”

“แล้วงานประลองที่เจ้าว่าจะไปดูล่ะ”

“ก็ดี”

“เจ้าได้เข้าประลองใช่ไหม เจ้าชนะไหมฮานส์”

“เจ้าคิดว่าข้าชนะไหมล่ะ” ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ฮานส์บอกนางว่าเขาจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อไปดูการประลองประจำปี แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประลองด้วยซ้ำ

“เจ้านี่นะจะยอมเขาร่วมประลอง ไม่น่าเชื่อเลย แต่ข้าเดาว่าเจ้าชนะด้วยใช่ไหม” ฮานส์ยิ้มอ่อนโยนให้ หญิงสาวมองตอบนัยน์เป็นประกาย

“อ้อ ข้าลืมไปนี่จูล อ้าว..!!”

“อะไร” ฮานส์หันไปข้างหลังจะแนะนำ พบว่ามันว่างเปล่า เขาคิดว่าจูเลียนเดินตามกันมาแต่ไม่ใช่

“จูเลียน! “

“อะไรจูล ใครคือจูเลียน”

“จูเลียน คนที่มากับข้า” ฮานส์ถลันไปที่ประตู เปิดออกแล้ววิ่งออกไปนอกบ้านแต่ไม่เห็นใคร วิ่งกลับไปที่เนิน กวาดตาไปรอบ ๆ แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นว่าจะมีวี่แววของคนที่เดินทางมาด้วยกัน กวาดสายตามองตามพื้นหวังจะหาร่องรอย แต่รอยที่ปรากฏกลับเป็นรอยเท้าของชาวบ้านย่ำทับมั่วไปหมดจนแยกไม่ออก

“เจ้ามีเพื่อนเดินทางมาด้วยหรือ”

“ใช่ เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นหรือไง”

“ขอโทษด้วย ข้ามัวแต่ดีใจที่เจ้ากลับมาเลยไม่ทันดู”

“ข้าก็นึกว่าเขาจะเดินตามมา เจ้าเข้าบ้านไปก่อน เดี๋ยวข้าจะลองตามหาแถวนี้”

“ให้ข้าช่วยดีกว่า เจ้าดูรอบ ๆ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูในหมู่บ้านให้” ฮานส์พยักหน้า บอกซูร่าเกี่ยวกับลักษณะของจูเลียน จากนั้นหญิงสาวก็วิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน เขากัดฟันกรอดสลับกับการถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา เป็นไปได้ว่าจูเลียนคงคิดว่าเขาไม่สนใจ คิดว่าตัวเองถูกทิ้งเหมือนทุกครั้งที่เคยแกล้ง และอาจจะเดินย้อนกลับไปทางเก่า หรืออาจจะเดินเข้าไปในหมู่บ้าน

ฮานส์ขอให้เป็นอย่างหลัง



ฮานส์วิ่งย้อนกลับไปทางเก่า เห็นรอยที่ตัวเองมากับจูเลียนบนหิมะชัดเจน แต่ไม่มีรอยที่บ่งบอกว่าอีกคนเดินย้อนกลับมา เขากวาดตามองไปรอบ ๆ คิดว่าหากตัวเองเป็นจูเลียนจะทำอย่างไร หรือเดินไปทางไหน แต่ก็เดาความคิดแบบเด็ก ๆ ของอีกคนไม่ถูก คนหน้าหนวดวิ่งพล่านไปทั่วจนย้อนกลับมายังเนินที่เดิม ที่เขากับจูเลียนหยุดยืนดูหมู่บ้าน ภาวนาให้อีกคนเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือจากใครสักคนที่นั่น



“ทางนั้นไม่เจอใช่ไหม” ซูร่าถามทันทีที่เห็นฮานส์ เขาส่ายใบหน้าเคร่งเครียดไปมาแทนคำตอบ ทั้งสองกวาดตามองรอบตัว หมู่บ้านเงียบเหงายังถูกปกคลุมด้วยความอึมครึม

“เอาไงดี”

“อีกเดี๋ยวทุกคนก็ออกมาที่ลานกลางหมู่บ้านแล้วใช่ไหม”

“ใช่”

“ข้าจะลองถามชาวบ้านดู ถ้าจูเลียนไม่ได้อยู่ที่นี่คงต้องรีบออกตามหา ปล่อยไปคนเดียวไม่รอดแน่”

“ข้าไปด้วย”

“คงไปไหนไม่ได้ไกล จูเลียนเดินป่าไม่เก่ง”

“ข้าเกือบลืม นี่ของเจ้า” ซูร่ายื่นของบางอย่างให้ฮานส์ เขารับไปดูแล้วเก็บไว้ในถุงที่ติดตัวตลอดเวลา “อ้อ..โกสต์ก็มารอเจ้าแล้วนะตอนนี้อยู่ในคอกหลังบ้าน” ฮานส์พยักหน้ารับคิดถึงเจ้าม้าแสนรู้คู่ใจ เพื่อนเดินทางของเขาที่ปล่อยให้มันล่วงหน้ามาก่อน



ลานกลางหมู่บ้านที่หิมะถูกกวาดออกไปกองไว้ข้าง ๆ เป็นศูนย์รวมของสมาชิกไม่กี่ครัวเรือน ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ตกเย็นทุกคนจะมารวมตัวกันที่นี่ เพื่อแลกเปลี่ยนอาหารกันกินและพูดคุย สมาชิกในหมู่บ้านทั้งผู้ใหญ่และเด็กมีอยู่ราวห้าสิบคน จึงรู้จักกันทั่วถึง มีพ่อเฒ่าอายุราวหกสิบเป็นผู้นำ ไฟกองใหญ่ถูกก่อขึ้นกลางลานเพื่อความอบอุ่น ชาวบ้านทยอยออกมาในมือถือของ ซึ่งเป็นอาหารเท่าที่หาได้ เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกินด้วยกัน ทุกคนรู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี หลายคนเห็นฮานส์ก็เข้ามาทักทาย ชายหนุ่มถือโอกาสถามหาจูเลียนด้วยแต่ไม่มีใครเห็นเลย



“คนที่มากับเจ้าเป็นใคร ทำไมดูสำคัญนัก” เขามองหน้าหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกาย ความเคร่งเครียดของฮานส์ผ่านออกมาทางสีหน้า และแววตาอย่างเปิดเผยจนนางสงสัย

“เป็นคนที่ข้าต้องจะดูแล”

“หึ เขาโชคดี” นางบอกยิ้ม ๆ แววตาที่มองฮานส์ดูซุกซนแกมล้อเลียน

“ส่วนข้าสิโชคร้าย” ฮานส์นึกถึงตลอดหลายวันที่เดินทางมาด้วยกัน บางครั้งจูเลียนทำให้เขายิ้ม บางครั้งทำให้หัวเราะ แต่ส่วนมากเป็นเขาเองที่ทำให้ตัวเองหัวเราะ จากการแกล้งกษัตริย์หนุ่มน้อย ฮานส์เพิ่งนึกได้ว่าความเป็นกษัตริย์ผู้สูงเกียรติของจูเลียน ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย ทุกวันเขามองเห็นเพียงเด็กหนุ่ม ที่ชอบทำอะไรเป็นเด็กกว่าที่ควรจะเป็น บางครั้งก็เอาแต่ใจ บางครั้งก็กวนอารมณ์ให้เขาหงุดหงิดไม่รู้ตัว บทจะว่าง่ายก็ง่ายเสียจนฮานส์นึกแปลกใจ ส่วนมากจะดื้อและรั้นเสียมากกว่า แต่รวม ๆ แล้วความไร้เดียงสา ความกวนแบบหน้าซื่อ ๆ ของจูเลียน ทำให้ชีวิตฮานส์มีสีสันขึ้นไม่น้อย

“ฮานส์”

“อะไร”

“เจ้าคิดอะไรอยู่”

“เปล่านี่”

“ทำไมอมยิ้มล่ะ”

“ยิ้มที่ไหน ข้าไม่มีอารมณ์มายิ้มตอนนี้หรอกซูร่า” ฮานส์ทำเป็นทักชาวบ้านครอบครัวหนึ่งที่เดินมาหา ไม่อยากบอกหญิงสาวว่าเผลอคิดเรื่องกษัตริย์หนุ่มน้อยเพลิน จนลืมความเคร่งเครียดที่จูเลียนหายตัวไป แต่พอรู้สึกตัวความเคร่งเครียดก็กลับมากดดันเขาเหมือนเดิม

“เพื่อนของเจ้าคงไม่เป็นไรหรอก”

“ใช่ไม่เป็นไร แต่หลังจากนี้ไม่แน่” ฮานส์บอกเสียงเข้ม ตาคมดุมีแววน่ากลัวจับจ้องไปยังจุดหนึ่งเบื้องหน้า ซูร่ามองตามสายตาของฮานส์ เห็นคนแปลกหน้าเดินมากับหญิงชายชราคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นผัวเมียกัน นางจึงเข้าใจ

“นั่นคือจูเลียนของเจ้าสินะ”

“ใช่” ฮานส์โกรธจนลืมแก้คำพูดที่ซูร่าบอกว่า ‘จูเลียนของเจ้า’ เขาเดินย่ำเท้าหนัก ๆ เข้าไปหาคนที่ทำเป็นไม่เห็น แล้วเดินผ่านกันไปหน้าตาเฉย

“จูเลียน! “

“ฮานส์เจ้ากลับมาแล้วหรือ” หญิงชราที่เดินมากับจูเลียนทัก ฮานส์จึงต้องหยุดคุยกับนาง แต่จ้องจูเลียนไม่วางตา

“ข้ากลับมาแล้วท่านป้า นั่น..”

“เจ้ารู้จักเขาหรือ ข้าเห็นยืนหนาวอยู่นอกหมู่บ้านเลยชวนมาด้วย”

“นั่นเพื่อนข้าเอง ขอบคุณท่านป้ามากที่ชวนเขามาด้วย ข้าคงต้องขอตัวเขาก่อนมีเรื่องต้องคุยกัน”

“เดี๋ยวสิ ไปกินอาหารค่ำด้วยกันก่อน พวกเจ้าเพิ่งเดินทางมาถึงไม่ใช่หรือไง” ฮานส์เหลือบตามองจูเลียนแล้วขบฟันแน่น ยิ่งอีกคนทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ฮานส์ยิ่งหงุดหงิด อยากสั่งสอนให้สมกับที่ทำให้เขาหัวเสีย แต่ที่มากกว่าความหัวเสียคือความเป็นห่วง

“ไปเถอะทุกคนคงมากันพร้อมแล้ว กินอาหารค่ำคุยกันไปด้วย เล่าเรื่องการเดินทางของเจ้าให้ข้าฟังหน่อย ข้าอยากฟัง” แล้วการพบปะแบ่งปันอาหาร อันเป็นธรรมเนียมประจำวันของหมู่บ้านก็เริ่มขึ้น ก่อนที่จะดึกและหนาวไปมากกว่านี้ จูเลียนยังทำไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาคมดุของฮานส์ ที่จ้องมองตามไปทุกที่ ไม่ว่าหญิงชราจะพาเดินไปทางไหน หรือทักทายใคร จูเลียนก็อยู่ในสายตาฮานส์ตลอด

“เจ้าทำอะไรให้ฮานส์ไม่พอใจหรือจูเลียน” เพราะสังเกตเห็นฮานส์มองจูเลียนตาขวาง หญิงชราจึงถามขึ้นอย่างสงสัย แววตาของนางมีความเอ็นดูยามมองหน้าหนุ่มน้อยข้างกาย

“ข้าเปล่านะท่านป้า แต่คนคนนี้เดาอารมณ์ไม่ได้หรอก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ท่านป้าอย่าไปสนใจเขาเลย” นางรู้จักฮานส์มานาน เจ้าหนุ่มนัยน์ตาสีดำสนิทนั่นเป็นคนอย่างไรนางย่อมรู้ดี

“เจ้าพูดเหมือนคนที่กำลังน้อยใจคนรักนะ” จูเลียนชะงักมือที่กำลังหยิบอาหารเข้าปาก ดวงตาสีเขียวสุกใสเหลือบมองหญิงชรา แล้วรีบหลบมองไปทางอื่น

“คนรัก..ท่านป้าหมายความว่ายังไง”

“เจ้าไง เจ้าเป็นคนรักของฮานส์หรือ” จูเลียนตาโตอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าหญิงชราจะคิดและเข้าใจไปทางนี้ได้ ฮานส์ก็มีคนรักแล้วไม่ใช่หรือไง กับผู้หญิงคนนั้น อยู่หมู่บ้านเดียวกันนางน่าจะรู้จัก

“ข้าเปล่านะท่านป้า ข้า..แค่บังเอิญเดินทางมากับเขา” นางจ้องตาจูเลียนจ้องตอบ ตาสวยมีแววตื่นจนดูหลุกหลิก จุดรอยยิ้มรู้ทันบนใบหน้าเหี่ยวย่นของนาง



หญิงชรายิ้มกว้างมองจูเลียนอย่างเอ็นดู “ข้าคงเข้าใจผิด แต่เห็นสายตาที่เจ้าสองคนมองกัน ทำให้ข้าคิดว่าพวกเจ้าเป็นคนรักกัน อย่าถือสาคนแก่เลยนะ หูตาข้าคงเริ่มไม่ดีเหมือนตาแก่ที่บ้านบ่นให้แล้วล่ะ” จูเลียนโล่งใจที่นางยอมเข้าใจสักที เพราะมันเป็นความจริง จูเลียนไม่ได้เป็นคนรักของฮานส์ และฮานส์ก็ไม่ได้เป็นคนรักของจูเลียน อยากบอกว่าตัวเองมีคนรักอยู่แล้ว แต่จูเลียนเลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า

“อิ่มหรือยัง” เสียงที่ดังขึ้นข้าง ๆ ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเจ้าของคำถามคือใคร จูเลียนนั่งเฉยไม่ตอบคำ ไม่แม้แต่จะหันไปสนใจเจ้าของคำถามที่ยืนตัวสูงอยู่ข้าง ๆ เลยด้วยซ้ำ จนอีกคนต้องถามย้ำ “ข้าถามว่าเจ้าอิ่มหรือยังจูเลียน”

“เห็นข้าหยุดกินหรือยังล่ะ”

“เราต้องคุยกัน”

“ข้าไม่มีอะไรต้องคุยกับเจ้า”

“แต่ข้ามี และต้องคุยกันเดี๋ยวนี้”

“ไม่”

“จูเลียน” ไม่ใช่เสียงของฮานส์ แต่เป็นเสียงของหญิงชราที่นั่งมองใบหน้ารกหนวด กับใบหน้าอ่อนเยาว์ขาวนวลผ่องสลับกันไปมา ตั้งแต่ฮานส์เดินเข้ามาเรียกจูเลียน และนางก็ได้ข้อสรุปแล้วจึงแทรกขึ้น สองคนหันมาทางหญิงชรา จูเลียนมองนางสีหน้ามีคำถาม

“ครับท่านป้า”

“เจ้าบอกข้าว่าไม่ได้เป็นคนรักของฮานส์” สองหนุ่มมองหน้าแทบจะทันที จูเลียนนึกว่านางไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว ทำไมยังถามอีก

“ข้าไม่...”

“ข้าดูแล้วเหมือนเจ้ากำลังงอน ส่วนเจ้า” นางหันไปทางฮานส์ที่ยืนงง “กำลังตามง้อจูเลียนหรือฮานส์ เจ้าสองคนไปปรับความเข้าใจกันเถอะไป มีอะไรก็พูดกันดี ๆ นะ” หญิงสูงวัยบอกยิ้ม ๆ ส่งเสริมให้ทำความเข้าใจกันดีกว่ามานั่งโกรธ ฮานส์ไม่สนใจแล้วว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ฉวยข้อมือเล็กของจูเลียนได้ก็ดึงออกมาจากตรงนั้นทันที

“ปล่อยข้านะฮานส์ ข้าไม่ไปกับเจ้า”

“อย่าเสียงดัง”

“ข้าไม่ไป ปล่อย ๆ “

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่จูเลียน”

“ข้าต้องการกลับเมืองหลวง”

“ข้าจะพาเจ้ากลับเร็วที่สุด”

“อยู่กับคนรักของเจ้าไปเถอะ ข้าไม่อยากรบกวน”

“คนรักของข้า?” ฮานส์ถามย้ำ คิ้วหนาขมวดมุ่นสงสัย “หมายถึงใคร ถ้าหมายถึงเจ้าอย่างที่ท่านป้าว่าละก็ น่าจะบอกว่าเมียของข้ามากกว่านะ”

“ฮานส์เจ้า..ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเจ้า” จูเลียนทำหน้าตาถมึงทึงให้ฮานส์ที่พูดทึกทักเอาเองเรื่องผัว ๆ เมีย ๆ อีกแล้ว 

“หึ”

“ไปอยู่กับนางสิมาสนใจข้าทำไม”

“ใคร..? “

“นี่เจ้าอย่ามากวนโทสะข้านะฮานส์” จูเลียนมองตาขวางเม้มปากแน่น เป็นอาการโกรธของจริง

ฮานส์ก็เริ่มเสียงดังพอกัน “ก็เจ้าบอกให้ข้าไปอยู่กับคนรักของข้า แล้วมันใครล่ะวะ”

“ก็ผู้หญิงคนนั้นไง นางสวยน่ารักดีนะ ที่มารับเจ้าน่ะ” ฮานส์อยากหัวเราะดัง ๆ ตอนแรกคิดว่าจูเลียนแค่โกรธที่เขาไม่สนใจ แต่นี่อีกคนกลับพาลคนอื่นด้วยเสียอย่างนั้น

“เจ้าหมายถึงซูร่าหรือ”

“นางชื่อซูร่าหรือ ชื่อเพราะดีนี่”

“อือ เพราะมากน่ารักด้วย”

จูเลียนแบะปาก “งั้นก็ไปหานางเถอะ ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอก”

ฮานส์เปลี่ยนสีหน้าถามเสียงเข้ม “ทำไมเจ้าไม่ตามข้าเข้าไปในบ้าน”

“ข้าไม่อยากเข้าไป” จูเลียนสะบัดหน้าหันหนีไปทางอื่น ที่ไม่มีใบหน้ารกหนวดให้เห็นแล้วหงุดหงิด ฮานส์จึงขยับตามเข้าไปใกล้ ๆ ก้มลงกระซิบแทบชิดใบหูที่อยู่ในหมวกคลุมหัว

ต่ออออออออออ ค่ะ
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 19 วันเดียวกลับพลัดพราก 100% 4/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 04-01-2019 20:15:50



“ไม่ใช่เพราะไม่มีใครชวนหรอกหรือ”

“เจ้าบ้านที่ดีก็ควรทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือไงล่ะ”

“งั้นก็มา” ฮานส์คว้าข้อมือจูเลียนดึงให้ไปด้วยกัน แต่จูเลียนขืนตัวไว้ไม่ยอม

“เจ้าจะพาข้าไปไหนข้าไม่ไป”

“เข้าบ้านด้วยกันไง เจ้าควรพักผ่อนอีกสองสามวันข้าจะพาเจ้ากลับ”

“ก็ดี แต่ข้าจะไปพักบ้านท่านป้า”

“ทำไมต้องไปพักบ้านคนอื่น เจ้ารู้จักเขาหรือไง”

“รู้สิ อย่างน้อยนางก็ไม่ปล่อยให้ข้ายืนตากลมหนาวอยู่คนเดียว”

“พูดให้รู้เรื่อง มา”

“ไม่ไปไง ข้าบอกว่าไม่ไป” จูเลียนสะบัดข้อมือออกสุดแรง พอข้อมือหลุดจากมือใหญ่ ก็รีบวิ่งกลับไปยังลานกลางหมู่บ้าน ตรงเข้าไปหาหญิงชราที่ชวนจูเลียนมาพักด้วย นางกำลังคุยกับหญิงสาวที่ฮานส์บอกว่าชื่อซูร่า



“เจ้าปรับความเข้าใจกับฮานส์แล้วหรือ” หญิงชราถามขึ้นทันทีที่เห็นจูเลียนเดินเข้ามา ซูร่ายิ้มให้แต่จูเลียนแกล้งทำไม่เห็น

“ข้าไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องปรับความเข้าใจกับเขาสักหน่อย ท่านป้าจะกลับหรือ”

“เจ้าอยากกลับหรือยังล่ะ” พอจูเลียนพยักหน้าตอบ หญิงชราจึงลุกขึ้นเก็บของ

“แล้วท่านลุง” นางหันไปทางสามีที่ยังพูดคุยกับชาวบ้านคนอื่น ๆ อย่างออกรส

“ตาแก่นั่นคงคุยอีกนานเรากลับก่อนก็ได้ ข้าไปก่อนนะซูร่า” หญิงสาวยิ้มรับโบกมือลาหญิงชรา ไม่ลืมเผื่อแผ่รอยยิ้มมาให้จูเลียนด้วย แต่หนุ่มน้อยทำเพียงพยักหน้ารับแกน ๆ ไม่ยิ้มตอบ



จูเลียนช่วยหญิงชราถือของ แต่ยังไม่ทันได้พากันเดินไปถึงไหน เกิดเสียงหวีดหวิวเหมือนอะไรบางอย่างพุ่งแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็วเสียก่อน ตามมาด้วยเสียงคนร้องโหยหวนเจ็บปวด มันเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อร่างที่ถูกลูกธนูปักกลางอกล้มลง ลูกธนูดอกอื่น ๆ ก็พุ่งตามเข้ามา จากนั้นทั้งคนทั้งม้าที่ไม่รู้มาจากทางไหนบ้าง ก็กรูเข้ามาโจมตี ไม่รู้ใครเป็นใครไม่มีใครทันได้ตั้งตัว ความโกลาหลก็เกิดขึ้นจนชุลมุนวุ่นวายไปหมด

“โจรหรือซูร่า”

“ข้าไม่รู้ท่านป้า มาทางนี้เร็ว” ซูร่าดึงแขนหญิงชรากับจูเลียนคนละข้าง พาวิ่งออกจากลานกลางหมู่บ้าน หญิงสูงวัยเรียกหาสามีของนางพลางวิ่งหนีอย่างทุลักทุเล

“ท่านป้าหลบอยู่ตรงนี้ก่อนอย่าเพิ่งออกไปไหน ข้าจะพาจูเลียนไปหาฮานส์” ซูร่าจับให้หญิงชราหลบเข้าไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่งไม่ไกลจากลานกลาง ปิดประตูให้อย่างดีแล้วดึงแขนจูเลียนพาวิ่งไปอีกทาง จูเลียนยอมตามนางไปแต่โดยดี

“มาทางนี้ นั่นไงฮานส์อยู่ตรงนั้น” จูเลียนเห็นฮานส์กำลังต่อสู้อยู่อีกฝั่งของลานกลางหมู่บ้าน ซูร่าบอกพลางทาบลูกดอกขึ้นสายธนู นางไม่แม้แต่จะเล็งก่อนที่จะปล่อยลูกธนูออกจากแล่งด้วยซ้ำ แต่ลูกดอกทุกลูกที่ถูกปล่อยออกไปหมายถึงชีวิตของศัตรู จูเลียนต้องยอมรับว่านางยิงแม่นราวจับวาง และเร็วจนไม่น่าเชื่อ

“ฮานส์ทางนี้ โอ๊ะ!”

“ซูร่า!” ทั้งจูเลียนและฮานส์ที่กำลังต่อสู้อยู่อีกฝั่งเรียกขึ้นพร้อมกัน เมื่อร่างของหญิงสาวถูกลูกธนูปักเข้ากลางอก ลานกลางหมู่บ้านยังมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด แทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ชาวบ้านที่สู้เป็นมีไม่กี่คน พวกที่จู่โจมเข้ามามีมากกว่า ทั้งพวกเดินเท้าและขี่ม้า แต่ถึงจะตกใจจูเลียนก็รับร่างปวกเปียกของซูร่าไว้ในอ้อมแขนทัน

“ซูร่า”

“ข้า ทิ้งข้าไว้ ไปหาฮานส์ซะ”

“ไม่ข้าจะพาเจ้าไปด้วย ลุกไหวไหม”

“อยู่ กับ ฮานส์ เจ้าจะปลอดภัย ไป” แล้วซูร่าก็จากไปในอ้อมแขนของจูเลียน ที่เพิ่งได้เจอและพูดคุยกันได้ไม่กี่ประโยค หยดน้ำใส ๆ หยดแล้วหยดเล่าไหลออกมา และตกลงไปบนพวงแก้มนวลปลั่งซับสีแดงระเรื่อ ซูร่าถือว่าเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน จูเลียนไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเสียใจ เพราะคนที่แทบไม่รู้จักกันตายได้ขนาดนี้ นางตายต่อหน้าต่อตา โดยมีจูเลียนเป็นสาเหตุ นางตายแต่ยังไม่ลืมคิดถึงความปลอดภัยของคนแปลกหน้าอย่างจูเลียน คนพวกนี้หาได้เป็นโจรป่าอย่างที่หญิงชราคิดไม่ แต่มันคือพวกทหารรับจ้างที่กำลังตามล่าจูเลียนมาต่างหาก!



“ซูร่า” ฮานส์ดึงร่างซูร่าจากอ้อมแขนของจูเลียน เขย่าเรียกนางทั้งที่รู้ว่าหญิงสาวจากไปแล้ว ราวกับคิดว่าเสียงของเขาจะสามารถเรียกนางให้ฟื้นขึ้นมาได้ จนเสียงเล็ก ๆ ปนสะอื้นของคนที่นั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ ดังขึ้น ฮานส์จึงยอมหยุดเรียกและกอดร่างไร้ลมหายใจแน่น

“ฮานส์ระวัง!” จูเลียนร้องเตือนแต่ไม่มีเวลาระวังอะไรอีกแล้ว มีทหารคนหนึ่งไม่รู้ว่าย่องมาอยู่ข้างหลังฮานส์ตั้งแต่ตอนไหน จูเลียนเงยหน้าขึ้นเห็นพอดี มันกำลังเงื้อดาบขึ้นจะฟันลงกลางหลังฮานส์ พลันดาบของฮานส์ที่วางทิ้งไว้ข้างตัวก็ถูกแทงสวนขึ้นอย่างแม่นยำ จูเลียนกัดฟันแทงสุดแรงจนดาบทะลุร่าง เลือดพุ่งกระฉูดกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วบริเวณน่าสะอิดสะเอียน

ปลายดาบที่แทงเข้าตรงตำแหน่งกลางหน้าอกพอดี ทำให้มันขาดใจตายตั้งแต่ยังไม่ทันล้มลงถึงพื้น และนั่นทำให้ฮานส์ได้สติกลับมาจากความเสียใจ หันกลับมาเห็นยิ่งโกรธแค้น นัยน์ตาสีดำมืดดุจรัตติกาลเปล่งแสงน่ากลัวจนจูเลียนผงะ ชายหนุ่มถอดดาบออกจากร่างไร้ชีวิต แล้วหันกลับไปต่อสู้กับศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาหา โดยไม่รู้ว่าตัวเองชะตาขาดแล้ว!



ถึงจะสู้เพราะโทสะ แต่ฮานส์ก็ตวัดดาบอย่างคล่องแคล่วและมีสติ ความเจ็บแค้นในอกทำให้ทุกครั้งที่คมดาบฟาดฟัน พรากชีวิตของศัตรูที่เข้ามาคุกคามโดยที่มันไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง ฮานส์ปลิดชีวิตศัตรูมากมายได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานพวกที่เข้ามาโจมตีกว่ายี่สิบคน ก็ถูกฮานส์และชาวบ้านผู้ชายที่ช่วยกันต่อสู้ฆ่าตายจนหมด ม้าที่พวกมันขี่มา บางตัวยังตื่นหันรีหันขวางท่ามกลางกองไฟ บางตัววิ่งหนี บางตัวถูกจับไว้ ทุกอย่างสงบลงกลับสู่ความปกติ หากแต่ซากศพเกลื่อนพื้นเป็นสิ่งยืนยันฉากความเป็นความตายที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดีว่าเกิดอะไรขึ้น!



“พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บไหม”

“ข้าไม่เป็นไร”

“แล้วเจ้าล่ะไอ้หนูไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม” คนถามอยู่ในวัยกลางคน ท่าทางเป็นผู้นำกลุ่ม เขาถามอย่างห่วงใยแต่จูเลียนยังนั่งนิ่ง สายตาไม่ละไปจากร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวที่นอนแน่นิ่ง ลูกธนูยังปักกลางอกเหมือนย้ำเตือน ว่าทุกสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่อึดใจที่ผ่านมาคือความจริงที่โหดร้าย

“ข้าเสียใจด้วย” ชายวัยกลางคนตบไหล่ฮานส์เบา ๆ หลายคนกำลังช่วยกันลากศพทั้งหมดมารวมกันเพื่อจุดไฟเผา สวนศพของชาวบ้านที่ตายจากการต่อสู้แยกเผาต่างหาก

“พวกมันเป็นทหารรับจ้าง” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากตรวจดูสภาพศพของพวกนั้นแล้ว

“ทหารรับจ้างมาทำอะไรแถวนี้ มันจะมาปล้นพวกเราหรือไง”

“นั่นสิ ทำอย่างกับว่าเรามีสมบัติให้มันปล้นอย่างนั้นแหละ”

“เจ้าจะไปเรียกมันว่าทหารทำไม ถ้ามาปล้นมันก็โจรดี ๆ นี่เอง”

“ดีแล้วที่ฆ่ามันได้หมด”

“แล้วทหารพวกนี้มาจากไหน”

“ใครจะไปรู้ล่ะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกมันจะมาเพ่นพ่านนะ”

“นั่นสิหมู่บ้านของเราไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลยนะ”

“คนของเราตายไปห้า แต่พวกมันตายเรียบทุกคน”

“จริง ๆ ก็ไม่ควรมีใครตาย”

“นั่นสิ”

“ทำไมต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นที่หมู่บ้านของเราด้วยวะ”

“พอเถอะ” จูเลียนขัดพลางลุกขึ้นยืนช้า ๆ ดวงตาเศร้าสร้อยยังจับอยู่กับศพของซูร่า คล้ายกำลังไว้อาลัย

“จูเลียน!” จูเลียนมองหน้าฮานส์ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป แล้วหันไปมองชาวบ้านที่ยืนล้อมวงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีละคน

ชายวัยกลางคนท่าทางเป็นผู้นำถาม “มีอะไร”

แต่ยังไม่ทันที่จูเลียนจะพูดอะไรฮานส์ก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน “ไม่มีอะไรหรอกไปเถอะ”

“ไม่ฮานส์ พวกนี้เป็นทหารรับจ้าง!” จูเลียนหันไปตะคอกใส่ฮานส์เสียงดัง

“เออ พวกข้ารู้แล้ว” ชาวบ้านคนหนึ่งบอก

“และมันตามข้ามา มันตามมาฆ่าข้า” จูเลียนประกาศเสียงกร้าว ราวกับว่าอยากให้ทุกคนได้รับรู้ความจริง ความจริงที่กำลังทำร้ายจูเลียนให้เสียใจเพราะสำนึกผิด ความจริงที่กำลังกรีดเข้ามาในหัวใจสับสน จูเลียนเป็นกษัตริย์แบบไหนกัน ถึงได้นำพาความเดือดร้อนและความตายมาให้ประชาชนของตัวเองเช่นนี้ เป็นจูเลียนเองที่นำภัยมาสู่หมู่บ้านแสนสงบแห่งนี้

“หมายความว่ายังไง เจ้าเป็นใครกันแน่ทำไมมีทหารรับจ้างมาตามฆ่า” จูเลียนคุกเข่าลงต่อหน้าทุกคน ข้างร่างไร้วิญญาณของซูร่า ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมองฮานส์สีหน้ามีคำถาม

“ข้าขออภัยด้วย ไปเถอะจูเลียน” ฮานส์รั้งจูเลียนให้ลุกขึ้นทั้งที่อีกคนขืนตัวไว้ไม่ยอม แต่พละกำลังที่มากกว่า ร่างเพรียวบางจึงแทบปลิวติดมือใหญ่ขึ้นมา

“เดี๋ยว ที่ไอ้หนูนี่มันพูด หมายความว่ายังไงฮานส์”

“ไม่..”

“ทหารพวกนี้ตามมาฆ่าข้าเอง ข้า...” จูเลียนพูดไม่ออก พักตร์มอมแมมสองข้างแก้มอาบด้วยน้ำตา ก้มลงมองพื้นอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อดี จูเลียนเสียใจรู้สึกผิด โทษตัวเองว่าเป็นคนพาเรื่องร้ายมาสู่หมู่บ้านที่แสนสงบสุข ในระยะเวลาเพียงไม่ถึงวันที่ได้มาคลุกคลี จูเลียนรู้สึกแปลกออกไป จูเลียนชอบที่นี่ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกผูกพัน ไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายอย่างนี้มาก่อน



ทุกสายตาที่มองมายังฮานส์และจูเลียนมีแต่คำถาม แต่เป็นฮานส์เองที่ตอบไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าทหารเหล่านี้มาได้อย่างไร เพราะคิดว่าสลัดทิ้งจนหลุดจากการติดตามแล้ว ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

“ข้าขอคุยด้วยหน่อย” ชายหัวหน้ากลุ่มเดินออกไปแล้ว ฮานส์จึงหันมาทางจูเลียน

“รอข้าอยู่นี่ห้ามไปไหน” จูเลียนเพียงพยักหน้าแทนคำตอบ ฮานส์เดินตามชายวัยกลางคนไป ทุกคนที่เหลือจ้องมองจูเลียนกดดัน แต่หนุ่มน้อยทำเพียงยืนนิ่ง สายตายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าไร้สีเลือดของซูร่า จนผ่านไปครู่ใหญ่ฮานส์ก็เดินกลับมา

“เจ้าควรไปพัก พรุ่งนี้รีบเดินทางแต่เช้ามืด” ฮานส์พยักหน้ารับเดินไปอุ้มร่างไร้วิญญาณของซูร่าขึ้นมา เรียกจูเลียนแล้วเดินจากตรงนั้นไป

ชายวัยกลางคนหันมาพูดกับจูเลียนที่ยังคงยืนเฉย “เจ้าไปได้แล้ว “

จูเลียนเงยหน้าขึ้น สายตาของชายวัยกลางคนหัวหน้ากลุ่มไม่มีแววตำหนิ แต่จ้องมองนิ่ง จูเลียนเดาไม่ถูกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ได้รู้สึกกดดันเหมือนคราแรก

“จงอยู่ข้างกายโรฮานส์อย่าห่างไปไหน เขาจะปกป้องจนกว่าเจ้าจะปลอดภัยจริง ๆ “ เป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้ยินอะไรแบบนี้ จูเลียนรู้สึกถึงมันได้ ยามมีภัยคนแรกที่คิดถึงก็คือฮานส์ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม ทั้งซูร่าและชายคนนี้ถึงได้บอกเหมือนกัน ราวกับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“ข้า...” 

“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก”

“ข้า..ข้าไม่น่ามาที่นี่”

“มันเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครโทษเจ้า” ไม่จริงหรอก จูเลียนนึกค้านในใจ แต่พอกวาดตามองทุกคนที่อยู่รอบตัว ก็ไม่รู้สึกถึงความกดดันเหมือนตอนแรก คนพวกนี้ตามผู้นำ ผู้นำว่าอย่างไรพวกเขาก็เชื่ออย่างนั้น โดยไม่ต้องหาเหตุผลให้มากความ จูเลียนหันหลังก้าวเดินตามฮานส์ที่อุ้มร่างหญิงสาวนำหน้าไปก่อน แต่ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงนิ่ง ๆ ของชายผู้นำกลุ่มก็ดังขึ้น

“วันหนึ่งเจ้าจะได้กลับมาที่นี่อีก”

“ข้าคงไม่มีหน้ากลับมาที่นี่อีกหรอก”

“โชคชะตาจะพาเจ้ามาเอง”

จูเลียนควรเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือไม่



******* 100% *******

ตอนเขียนมีน้ำตาซึมนิดหน่อย

ตอนอ่านทวนตรวจคำก็น้ำตาแทบไหล

ขนาดยังไม่ถึงตอนดราม่าจริง ๆ ยังขนาดนี้ ใจหนอใจ 555 ว่าไปนั่น

เอาเป็นว่าเจอกันตอนหน้า ก็แล้วกัน

ใครอยากหวาน เตรียมน้ำตาลมาเอง
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 20 วีรกรรมของโกสต์ 6/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 06-01-2019 22:19:28


เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 20 วีรกรรมของโกสต์



จูเลียนเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ยิ่งทุกคนไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของเขา นั่นยิ่งรู้สึกผิดกว่าเก่า เป็นครั้งแรกที่จูเลียนคิดว่าจะต้องรีบกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองที่รออยู่ จัดการปัญหาทุกอย่างให้หมดไปสักที



ตอนจูเลียนเดินมาถึงบ้านหลังนั้น ฮานส์กำลังเอาฟืนออกมากอง ท่อนไม้ท่อนใหญ่ถูกวางเรียงกันขึ้นเป็นชั้น ความสูงราวต้นข้า มีไม้แห้งที่ถูกทุบจนเป็นฝอยอัดเต็มอยู่ตามช่องว่างระหว่างไม้แต่ละท่อน ฮานส์อุ้มร่างซูร่าวางลงบนชั้นไม้อย่างทะนุถนอม ราดด้วยน้ำมันยางจนทั่ว เขาทำงานทุกอย่างเองคนเดียวเงียบ ๆ จูเลียนก็ยืนมองเงียบ ๆ บนฟ้าไม่มีดวงดาวเป็นพยาน จูเลียนมองไม่เห็นแม้แสงริบหรี่ อาจเป็นเพราะเมฆหนาที่อึมครึมอยู่ทั้งวันจนถึงตอนนี้ หากไม่ได้แสงจากคบไฟรอบตัวคงมืดสนิท บนพื้นมีแต่หิมะ ความหนาวโอบกอดรอบตัว ใจมีแต่ความเศร้า



คบไฟในมือพร้อมแล้ว ฮานส์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ข้างกายนาง สายตาคมทอดอาลัยจับอยู่กับใบหน้างดงาม ราวจะให้ตรึงตราลงในใจ ดวงตาที่หลับพริ้ม เหมือนนางแค่กำลังหลงทางอยู่ในนิทราแสนสุข รุ่งเช้านางจะตื่นขึ้นมาส่งเสียงเจื้อยแจ้วให้เขาบ่นรำคาญ เล่าเรื่องขบขันส่งเสียงหัวเราะใสกังวานปานระฆังแก้ว ยิ้มไปพร้อมกันจนโลกสดใส ฮานส์คิดถึงรอยยิ้มอ่อนหวานและดวงตาเป็นประกาย แต่เขากลับยิ้มไม่ออก เพราะความจริงที่ต้องยอมรับ คือใบหน้าไร้สีเลือดซีดเซียว ความเย็นที่เย็นอยู่แล้ว ยิ่งเย็นจับขั้วหัวใจ ลมหนาวพัดมาเบา ๆ แต่กลับบาดผิวราวของมีคม หิมะที่ไม่ตกมาทั้งวันเริ่มเห็นเป็นละอองโปรยลงมาบาง ๆ ราวกับร่วมไว้อาลัยให้การพลัดพรากนิรันดร์



จูเลียนมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหดหู่ยากบรรยาย ไม่เคยรู้สึกผูกพันกับคนแปลกหน้า แต่กลับเสียใจเจ็บปวดที่คนแปลกหน้าหลายคนต้องจากไปในค่ำคืนนี้



ฮานส์ก้มตัวลงเนื้อร่างหญิงสาว บรรจงจูบกลางหน้าผากเย็นชืด กดค้างนิ่งเนิ่นนานแล้วถอยออกมา บอกลานางเป็นครั้งสุดท้าย จ่อคบไฟเข้ากับกองฟืนชุ่มน้ำมันยาง เพียงเปลวไฟแลบเลียก็ลามไปถึงส่วนอื่น ความร้อนกระจายไปทั่วเมื่อไฟลุกพรึ่บขึ้นอย่างรวดเร็ว



ฮานส์ถอยมายืนข้างจูเลียน จนถึงตอนนี้ทั้งสองยังไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ ไฟกองใหญ่เบื้องหน้าแทนคำไว้อาลัย จูเลียนได้แต่พร่ำเอ่ยคำขอโทษต่อนางซ้ำไปซ้ำมาในใจ ไม่ยอมให้อภัยตัวเอง ละอองหิมะยังโปรยบาง ๆ อยู่รอบตัว ความหนาวเย็นยังโอบกอด แต่ไม่มีใครนึกอยากขยับไปจากตรงนี้ ที่ที่จะได้อำลากันเป็นครั้งสุดท้าย เสียงไฟแตกดังเปรี๊ยะ เปลวไฟลุกโชนชโลมลูบไล้เผาร่าง อีกไม่นานจะเหลือเพียงเถ้าถ่าน อีกไม่นานจะเหลือแค่เรื่องราวที่สลักไว้ในความทรงจำ



“ซูร่า นางเป็นเหมือนน้องสาวข้า” ฮานส์ทำลายความเงียบระหว่างเขากับจูเลียนลงด้วยเสียงสั่น ๆ ไออุ่นบาง ๆ พวยพุ่งออกมาจากปากพร้อมจังหวะการพูด ดวงตาดำขลับคมเข้มขอบตาแดงก่ำจับอยู่กับกองไฟ เจ้าของร่างกายสูงใหญ่ในชุดคลุมดำ จ้องมองกองไฟและร่างไร้วิญญาณที่กำลังถูกเผานิ่ง วันคืนเก่า ๆ ฉายชัดขึ้นมาในความคิด โรฮานส์ยามเยาว์วัยกว่านี้เริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวอย่างตั้งใจ จนวันที่มาถึงที่นี่เข้าก็แทบเอาตัวไม่รอด จากที่คิดว่าตัวเองทรหดอดทน เพราะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พอออกมาเผชิญโลกเด็กหนุ่มจึงได้รู้ ว่าโลกภายนอกจริง ๆ มันโหดร้ายกว่ามากแค่ไหน โรฮานส์เดินทางเรื่อย ๆ จนมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ที่อ้าแขนรับ และโอบกอดหนุ่มน้อยหลงทางไว้ด้วยความอารี พิษไข้และพิษบาดแผลต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากการเดินทางทรหด แทบพรากเอาลมหายใจของเขาไป แต่น้องสาวตัวน้อยและครอบครัวของนางก็ยื้อชีวิตเขาไว้ได้ในที่สุด พ่อแม่ของนางจากไปแล้ว ตอนนี้นางกำลังตามพวกเขาไป



“หลังจากพ่อแม่ของนางตายไป แม้ข้าจะไม่ค่อยได้อยู่ดูแล แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเป็นข้าเอง ที่พาความตายมาให้นาง” ฮานส์พูดจบก็หลับตาลง จูเลียนเหลือบมองเห็นเขาขบกรามแน่น จนข้างแก้มขึ้นเป็นสันนูน เหมือนกำลังสะกดกลั้นความรู้สึก จูเลียนไม่รู้จะเอ่ยคำใดเพื่อเยียวยาหัวใจที่เจ็บปวด ได้แต่รับรู้และเจ็บปวดไปด้วยกัน



มือใหญ่สากกร้านที่กำแน่นค่อย ๆ คลายออก เมื่อรู้สึกถึงความอุ่นนุ่มเกาะกุม เขากางมือออกเล็กน้อยยามมือเล็ก ๆ ของจูเลียนสอดแทรกนิ้วเรียวเข้ามาประสาน ฮานส์ยังยืนนิ่ง แต่บีบมือจูเลียนกลับเบา ๆ ส่งคำปลอบประโลมให้กันและกัน พอเขาลืมตาขึ้น นัยน์ตาสีดำมืดที่เคยมีแต่ความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น บัดนี้มันอ่อนแสงลงเหลือแค่ความเศร้า จูเลียนสัมผัสถึงอะไรบางอย่างที่บีบคั้นความรู้สึก คิดว่าฮานส์คงไม่ต่างกัน



“ข้า..ขอโทษ” สิ้นคำขอโทษร่างเพรียวสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากการโอบกอด ฮานส์ก็เป็นปุถุชนคนหนึ่งที่มีความรู้สึก มีช่วงเวลาของความอ่อนแอ เมื่อสูญเสียเขาจะอ่อนแอบ้างก็ไม่แปลก อ้อมแขนที่โอบกอดจูเลียนสั่นเทา หนุ่มน้อยกอดตอบ ทั้งสองยืนกอดกันนิ่งปล่อยให้แสงสีส้ม และความร้อนจากกองไฟอาบชโลมสองร่าง ร่วมไว้อาลัยให้คนที่จากไปไม่มีวันกลับ



“ขอบใจ” ฮานส์กระซิบบอกเบา ๆ คนในอ้อมกอดเงียบ คิดว่าจูเลียนคงยังรู้สึกผิดอยู่เลยยืนกอดไว้อย่างนั้น แต่ผ่านไปเป็นครู่อีกคนก็ยังไม่ขยับ ฮานส์ผละออกดูอย่างสงสัยปรากฏว่าจูเลียนหลับไปแล้ว



ร่างเพรียวระหงถูกช้อนอุ้มขึ้นอย่างนุ่มนวล โดยไม่รู้ตัวจูเลียนซุกหน้าแนบแก้มกับอกอุ่น มือข้างหนึ่งโอบรอบลำคอแกร่ง ฮานส์เดินเข้าไปในบ้าน วางร่างหลับใหลลงบนที่นอนนุ่ม เขาจัดผ้าห่มคลุมให้จูเลียนได้นอนอย่างอบอุ่น วันนี้กษัตริย์หนุ่มน้อยเหนื่อยมาทั้งวัน ตั้งแต่เช้าที่ออกเดินทางจนมาถึงเหตุการณ์เฉียดเป็นเฉียดตาย เจ้าของนัยน์สีเขียวสุกใสคงจะเหนื่อยและเพลียมาก จนหลับกลางอากาศอย่างนี้



ฮานส์จัดที่นอนให้จูเลียนได้นอนสบาย ๆ ตรวจดูทุกอย่างเรียบร้อยแล้วกลับออกมาอยู่เป็นเพื่อนซูร่า ชายหนุ่มนั่งนิ่งข้างไฟกองใหญ่ กว่าไฟจะเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน เวลาก็เข้าสู่วันใหม่จนเกือบเช้า ฮานส์เผลอหลับไปข้างกองไฟที่เผานางนั่นเอง



หลังจากได้พักผ่อนจนเต็มอิ่ม เจ้าของร่างเพรียวก็ได้เวลาตื่นขึ้นมาสักที ร่างระหงค่อย ๆ ขยับช้า ๆ ลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มขนสัตว์ผืนหนานุ่มและอุ่นร่นลงไปกองที่เอว จูเลียนหาวจนปากเล็กอ้ากว้าง บิดตัวไปมาสองสามครั้ง กวาดตามองรอบตัว ห้องไม่คุ้นตาอยู่ในความสลัว ข้าวของทุกอย่างมีไม่มากแต่ถูกจัดได้อย่างเป็นระเบียบ ความเงียบสั่งให้หย่อนเท้าลงจากที่นอน พอเท้าเปล่าสัมผัสพื้นเย็น ๆ จูเลียนก็แทบจะซุกตัวกลับเข้าในผ้าห่มอีกรอบ ไม่อยากขยับห่างจากที่นอนอุ่นเลยแม้สักก้าว



จูเลียนไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหน และที่นี่คงเป็นห้องภายในบ้านหลังนั้น ฮานส์คงพาเข้ามานอน แต่ตอนนี้คนพาจูเลียนมานอนหายไปไหน นั่นคือสิ่งที่เจ้าของนัยน์ตาสวยอยากรู้ที่สุด

“ฮานส์” จูเลียนเรียกเสียงแผ่ว เพราะเพิ่งตื่นลำคอจึงยังแหบแห้ง แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา บ้านทั้งหลังดูเงียบเหงา ความรู้สึกหดหู่สิ้นหวังเมื่อคืนหวนกลับมา จูเลียนใส่รองเท้า หยิบผ้ามาคลุมตัวอีกชั้น เดินไปที่ประตูเปิดออกจากห้องไป

“ฮานส์! “จูเลียนถลาเข้าไปหาร่างที่นอนนิ่งอยู่กลางหิมะ แม้อากาศรอบตัวจะหนาวเย็นอยู่มาก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นแผ่ออกมาจากกองไฟที่ยังไม่มอดดี ตอนนี้มันเหลือเพียงขี้เถ้ากับถ่านแดง ๆ ฮานส์นั่งส่งซูร่าทั้งคืนจนเผลอหลับไปตอนฟ้าใกล้สาง

“ฮานส์” พอเรียกครั้งที่สองเปลือกตาจึงค่อย ๆ ขยับกะพริบปริบ ๆ สองสามครั้ง ฮานส์ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในที่สุด “เจ้าทำไมไม่เข้าไปนอนในบ้านเดี๋ยวก็ป่วยหรอก”

“ข้า ไม่เป็นไร”

“ตัวเจ้าเย็นมากนะ หน้าซีดด้วยเข้าบ้านก่อน” จูเลียนพยายามดึงฮานส์ให้ลุกขึ้น แต่คนถูกดึงกลับหันไปมองกองไฟที่ยังหลงเหลือความอบอุ่นและควันจาง ๆ ลอยขึ้นมาให้เห็น บ่งบอกว่ามันเพิ่งจะแผดเผาบางสิ่งบางอย่างให้กลายเป็นจุณไป และยังไม่ทันดับมอดดี จูเลียนเห็นสายตาของฮานส์เลยได้แต่เงียบ สัมผัสได้ถึงความรักความอาลัยที่เขามีให้หญิงสาว



“เจ้าไปเตรียมตัว ข้าจะหาอะไรมาให้กิน”

“เจ้าเข้าไปพักในบ้านก่อนเถอะ ข้ายังไม่หิวเท่าไหร่”

“เราต้องไปแล้ว”

“ไปไหน” จูเลียนชะงักเงยหน้าขึ้นมองตาฮานส์ที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองต่างรู้ว่าความรู้สึกตอนนี้มันย่ำแย่มากแค่ไหน แต่สิ่งที่ควรทำก็รอไม่ได้ ฮานส์ได้รับข่าวจากเลนนี่แล้ว ถึงเวลาที่กษัตริย์หนุ่มน้อยจะกลับไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่ของตัวเองสักที

“ไหนเจ้าบอกอยากกลับ” เป็นจูเลียนเองที่เบือนหน้าหน้าจากดวงตาสีดำสนิท หันไปมองยังกองเถ้าถ่าน กษัตริย์หนุ่มน้อยถอนหลายใจหนัก ๆ ออกมา มันใช่ที่การกลับเมืองหลวงเป็นสิ่งที่จูเลียนอยากทำมากที่สุด แต่นั่นคือก่อนที่จะเกิดเรื่องราวร้าย ๆ แบบนี้ขึ้น “ว่าไง”

“ข้า..อยากกลับ”

“..”

“แต่ถ้าเจ้ายังไม่พร้อมเดินทาง..”

“เราจะเดินทางทันทีที่เจ้ากินอิ่มไปเถอะ”

“โอ๊ย ฮานส์”

“ชักช้าเสียเวลา”

“บอกดี ๆ ไม่ได้หรือไงเล่า” จูเลียนบ่นเบา ๆ เพราะยังอ้อยอิ่งลุกขึ้นไม่ทันใจ เลยถูกฮานส์คว้าต้นแขนกระชากให้ลุกขึ้นแล้วดึงเข้าบ้านด้วยกัน

“ฮานส์ นี่มัน..นี่มันเจ้าโกสต์ม้าของเจ้านี่” เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเรื่อง ที่ฮานส์ได้ยินเสียงที่แสดงถึงความตื่นเต้น และสีหน้าที่ดูมีชีวิตชีวาของจูเลียน เมื่อชายหนุ่มเดินจูงเจ้าโกสต์ม้าแสนรู้คู่ใจออกมาหน้าบ้าน ขณะที่ทั้งสองกำลังเตรียมตัวเดินทาง ฮานส์ไม่ตอบแต่จัดสัมภาระทุกอย่างที่ติดตัวขึ้นผูกไว้กับอานม้าเงียบ ๆ

Next....
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 20 วีรกรรมของโกสต์ 6/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 06-01-2019 22:20:06


“มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” พอฮานส์ไม่คุยด้วย จูเลียนเลยพูดคนเดียว พลางเดินเข้าไปใกล้ม้าสีดำสนิทตัวใหญ่ ที่ดูสูงสง่าองอาจ ช่วงใบหน้ายาวจนถึงลำคอและลำตัวเกร็งแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ ดูแข็งแกร่งไม่แพ้นายของมัน พักตร์นวลผ่องแหงนเงยขึ้นมองม้าหนุ่ม ทั้งที่ขี่ก็เคยขี่มันมาแล้ว แต่พอพินิจดูจริง ๆ จูเลียนจึงเพิ่งได้เห็นว่าม้าหนุ่มสีนิลตัวนี้ ตัวใหญ่มากแค่ไหน หรืออาจจะเป็นเพราะเขาที่ตัวเล็กเอง จูเลียนไล่สายตาสังเกตม้าตัวโตยิ้มออกมาบาง ๆ

“เสร็จหรือยัง”

“อะไรเสร็จ” จูเลียนสีหน้างงเมื่ออีกคนหันมาถาม เพราะไม่ได้ทำอะไรอยู่ อันที่จริงจูเลียนไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรด้วยซ้ำ ปกติก็มีแต่เด็กรับใช้และเหล่าอัศวินทำให้ทุกอย่าง ฮานส์กลอกตาขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบนถอนหายใจ

“เจ้าพร้อมเดินทางหรือยัง”

“พร้อมแล้ว”

“ขึ้นไป” จูเลียนว่าง่ายด้วยการเดินมาสอดเท้าเข้าไปในโกลน เขย่งตัวส่งแรงให้ตัวเองขึ้นไปบนหลังม้า แต่ม้าตัวสูงใหญ่กว่ามาก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จนกระทั่ง

“เฮ้ย อย่า ๆ ปล่อยข้าลงนะ “

“ขึ้นไปดี ๆ น่า” ฮานส์ถึงขั้นทำเสียงดุ เพราะจูเลียนดิ้นจะลงให้ได้ จากความพยายามขึ้นนั่งบนหลังม้าที่ไม่เป็นผล ฮานส์เห็นแล้วรำคาญตา จึงช่วยยกร่างเพรียวบางขึ้นวางบนอานอย่างง่ายดาย ราวกับร่างเพรียวระหงไร้น้ำหนัก

“อะไร” ฮานส์ถามอย่างสงสัยที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นจูเลียนนั่งมองนิ่ง ๆ เหมือนจะพูดอะไรก็ไม่พูด พอจูเลียนยังเงียบฮานส์เลยทำตาดุแทนคำสั่งให้พูดเสียเลย

“แล้ว ม้าเจ้าล่ะ เจ้าจะขี่ตัวไหนไป” ฮานส์ไม่ตอบแต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเหวี่ยงตัวเองขึ้นมานั่งซ้อนหลังจูเลีย โอบแขนรอบร่างระหงมาจับสายบังเหียน กระตุกให้ม้าเริ่มออกเดินแทนคำตอบที่คนในอ้อมแขนต้องการ

“เดี๋ยว ๆ ฮานส์ เจ้าอย่าบอกนะว่าเราจะขี่ม้าตัวเดียวไปด้วยกันสองคน”

“ทำไมล่ะ”

“ก็..เจ้าไม่สงสารมันหรือไง”

“ไม่น่าเชื่อนะว่าจะได้ยินคำนี้จากปากเจ้า ไม่กี่วันก่อนยังร้องแต่จะขี่ม้าไม่ยอมเดินอยู่เลย วันนี้เกิดนึกใจดีอะไรถึงได้ห่วง”

“ก็...” เพราะไม่ชอบสถานการณ์อึดอัด ที่เหมือนกับว่าต้องอยู่ในอ้อมกอดของฮานส์กลาย ๆ แม้จะถูกกอดจริง ๆ ก็ตามเถอะ ถ้าจะขี่ม้าตัวเดียวกัน ทำไมไม่ให้จูเลียนนั่งข้างหลัง จะไม่ง่ายกว่าหรือในการบังคับม้า แต่ก็เท่านั้นแหละ จูเลียนได้แต่คิดสงสัย ไม่อยากถามเพราะกลัวไม่ได้คำตอบดี ๆ



อาชาตัวใหญ่สีดำสนิทพาทั้งสองวิ่งฝ่าหิมะสีขาว ราวกับมันกำลังวิ่งไปบนปุยนุ่น ขนเงางามสีเดียวกันกับนัยน์ตาของฮานส์ ที่กลืนเข้ากันได้สนิทพอดีกับยามค่ำคืน แผงคอและพวงหางพลิ้วสะบัดไปตามจังหวะการวิ่งดูงามสง่า ทุกท่วงท่า ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ราวกับไม่ได้บรรทุกชายหนุ่มถึงสองคน แม้คนที่สองจะตัวเล็ก ผอมเพรียวและเบากว่าอีกคนมาก วันนี้ฟ้าเปิดจนความสดใสแผ่ไพศาลไปทั่ว แสงแดดอุ่นอ่อน ๆ อาบไล้พื้นดินที่ยังปกคลุมไปด้วยความขาวโพลนของหิมะ ราวกับบอกว่าชีวิตยังไม่สิ้นหวัง ความหดหู่ถูกแทนที่ด้วยความหวัง ที่มาพร้อมแสงแดดอ่อนดูมีพลัง



จูเลียนนั่งตัวลีบอยู่ในอ้อมแขนของฮานส์ ที่บังคับม้าให้วิ่งสุดฝีเท้า เร่งให้ทันใจ จูเลียนนั่งเงียบเหมือนจมอยู่กับอะไรบางอย่างในความคิด จนฮานส์เหลือบมองในบางครั้งยังไม่รู้ตัว มันเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป อะไรบางอย่างที่จูเลียนนึกไม่ออก อะไรบางอย่างที่ทำให้มือเรียวว่างเปล่า อะไรบางอย่างที่.....

“ฮานส์! “

“อะไร”

“ข้า...”

“อะไรล่ะ”

“หยุดก่อน” ไม่เพียงแต่ไม่หยุดม้าที่วิ่งมาด้วยความเร็ว ฮานส์ยังสั่งให้มันวิ่งเร็วขึ้นอีก เหมือนแกล้งให้จูเลียนหงุดหงิดเล่น และแน่นอนว่าจูเลียนก็ชักจะเริ่มหงุดหงิดเข้าจริง ๆ แล้ว

“ฮานส์หยุดม้าก่อนสิ”

“หยุดทำไม”

“เจ้าหนู! ข้าลืมเจ้าหนูไว้ที่บ้านท่านป้า!”

“หึ”

“หยุดม้านะฮานส์ พาข้าย้อนกลับไปรับเจ้าหนูก่อน”

“ไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้ หยุดม้าย้อนกลับไปเดี๋ยวนี้! “

“ไม่! “

“ฮานส์! หยุดนะหยุด ๆ “จูเลียนรู้ว่าฮานส์แกล้ง จึงคิดจะแย่งสายบังเหียนมาถือเอง แต่อีกคนก็ไม่ยอมเช่นกัน เกิดการยื้อยุดกันขึ้น ฮานส์รวบร่างเพรียวไว้ทั้งตัวเต็มอ้อมแขน จูเลียนเริ่มดิ้นแรงขึ้น ความเร็วลดลงเล็กน้อยราวกับเจ้าโกสต์รู้ ว่ากำลังเกิดความวุ่นวายบนหลังของมัน

“อย่าดิ้นเดี๋ยวก็ตกลงไป”

“ข้าจะดิ้น ข้าจะลงตรงนี้ถ้าเจ้าไม่พาข้ากลับไปรับเจ้าหนู ข้าจะโดด”

“จูเลียนพูดให้รู้เรื่อง!” ฮานส์ตะคอกเสียงดัง ความแน่นของอ้อมกอดที่แน่นอยู่แล้วยิ่งรัดขึ้นกว่าเดิม คางรกเคราถูกกดลงกับไหล่บอบบางหนัก ๆ เพราะจูเลียนดิ้นไม่ยอม จนใบหน้ารกหนวดรกเคราแนบชิดไปกับแก้มนวล เหมือนเจ้าโกสต์จะรู้มันจึงลดความเร็วฝีเท้าลง แต่กระนั้นก็ยังถือว่าเร็วและเป็นอันตรายอยู่มาก หากทั้งสองยังทะเลาะกันไม่หยุด คนหนึ่งจะไปคนหนึ่งจะย้อนกลับ และไม่ทันมีใครคาดคิด พอโกสต์พาฮานส์กับจูเลียนวิ่งมาถึงเนินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนา ม้าหนุ่มก็สะบัดหมุนตัวกะทันหัน เหวี่ยงสองคนบนหลังปลิวไปตกไม่ไกล แต่จมหายในกองหิมะด้วยท่าที่สวยงาม



“โกสต์! ฮานส์!” จูเลียนร้องเสียงหลงตกใจ เพราะอยู่ดี ๆ ก็ปลิวหลุดลอยจากหลังม้า มือกางขากางจนน่าขัน ดีที่ไม่เจ็บตัวเพราะตกลงไปในกองหิมะที่เกาะตัวกันยังไม่แน่นมาก หิมะช่วยทานแรงกระแทก แต่ร่างก็จมลึกเข้าไปในความเย็นแทบมองไม่เห็น กระนั้นยังไม่วายเจ็บตัวเพราะร่างกายใหญ่กำยำของฮานส์ ที่ตกลงมาด้วยกัน จูเลียนถูกทับไว้ทั้งตัวไม่พอ สองร่างยังกลิ้งหลุน ๆ ลงเนินอีกฝั่ง ฮานส์กอดจูเลียนไว้แน่น พยายามให้ร่างกายของตัวเองรองรับร่างกายจูเลียน กันไม่ให้ถูกกระแทกจากอะไรก็ตามที่อาจจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ



ร่างของฮานส์ที่มีจูเลียนในอ้อมกอด กลิ้งลงมาจนถึงตีนเนินจมอยู่ใต้หิมะเย็น ๆ แต่แทนที่จะหนาว ความใกล้ชิดกลับทำให้รู้สึกอุ่นแปลก ๆ จูเลียนเกยทับอยู่บนร่างกำยำ แรงกอดรัดแน่นจนเริ่มอึดอัด กำลังจะโวยวาย แต่พอมองดวงตาคมลึกล้ำคู่นั้น ทุกส่วนของร่างกายกลับเหมือนถูกสะกด ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนิ่งแทบหยุดหายใจท่านั้นนานแค่ไหน เหมือนไม่อาจละสายตาจากกันและกันไปมองทางอื่นได้ มารู้สึกตัวอีกที จูเลียนก็เปลี่ยนตำแหน่งลงมาอยู่ข้างล่าง ส่วนเจ้าของร่างกายใหญ่กำยำคร่อมทับอยู่ข้างบนแทน



ฮานส์พลิกตัวกลับเป็นฝ่ายคร่อมครอบครองร่างเพรียวอย่างรวดเร็ว จนดวงเนตรสีเขียวสุกใสเบิกกว้างด้วยตกใจ ปากเผยออ้าจะประท้วง แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น เพราะอะไรบางอย่างในลูกแก้วสีดำขลับแวววาวของฮานส์ ดึงดูดให้จูเลียนทำเพียงจ้องมองมันนิ่ง ราวกับหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง หรือดวงตาของฮานส์จะมีมนต์ ที่สามารถสะกดให้คนที่จ้องมอง ยอมทำตามทุกอย่างที่เจ้าของนัยน์ต้องการได้จริง ๆ



จูเลียนจ้องดวงตาคู่นั้นนิ่งเนิ่นนาน จนผ่านไปเท่าไหร่แล้วไม่รู้ เมื่อใบหน้ารกหนวดค่อย ๆ ลดระยะห่างกับพักตร์นวลผ่องลงเรื่อย ๆ จนจมูกโด่งของทั้งคู่คลอเคลียกันราวกำลังหยอกเย้า ใบหน้ารกหนวดเอียงเล็กน้อย เมื่อริมฝีปากแตะทักทายกลีบผกานุ่มนิ่มสีแดงสดของจูเลียนอย่างเรียกร้อง ความเย็นชืดของริมฝีปากหนาเชิญชวน ด้วยการแตะสัมผัสซับเบา ๆ ราวปลอบประโลม จนลึกซึ้งขึ้น ฮานส์ทาบริมฝีปากหยักใต้แนวหนวดแข็งลงบนกลีบปากนุ่ม บดเบียดสลับเม้มเน้นราวจะสร้างความคุ้นเคย ก่อนจะส่งปลายลิ้นร้ายมาทักทายเรียกร้องความลึกซึ้ง ให้จูเลียนตอบรับสัมผัสหวานล้ำ เรียวลิ้นอุ่นจัดที่สอดแทรกซ่านอยู่ในความรู้สึก จนก้อนเนื้อในอกเต้นกระหน่ำแข่งกัน



อาการแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับฮานส์มาก่อน เขาหายใจถี่ รับรู้ถึงความตื่นเต้นของตัวเอง ราวกับเป็นหนุ่มน้อยไร้เดียงสาแรกสัมผัสรัก พอกันกับจูเลียน ที่ก้อนเนื้อในอกกระหน่ำเต้นแรง แทบทะลุออกมาเต้นข้างนอก อยู่ดี ๆ ก็เหมือนกับว่าไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ แรงสั่นในอกมันส่งผลกับร่างกายทุกส่วน เหมือนร่างทั้งร่างมันสั่นสะท้านขึ้นมาเสียเฉย ๆ จูเลียนรู้ว่าไม่ใช่เพราะความหนาว หากแต่เป็นเพราะเรียวลิ้นอุ่นเกือบร้อน ที่กำลังหยอกเย้าเกี่ยวกระหวัดในโพรงปาก ยิ่งดูดดื่มยิ่งอบอุ่น ยิ่งลึกซึ้งยิ่งหวานล้ำ ความหวานซาบซ่านซึมลึกจนถึงก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ข้างใน



จูเลียนโอบรอบลำคอแกร่งราวกับกลัวอีกคนจะหายไป รสชาติหวานละมุนละไมช่างชวนให้หลงใหลเคลิบเคลิ้ม ฮานส์กระชับร่างเพรียวในอ้อมกอดขยับตัวแนบชิดขึ้น เสียงเรียกร้องจากส่วนลึกบอกว่าเท่านี้มันยังไม่เพียงพอ จูเลียนกำลังหลงระเริงกับความรู้สึกลึกซึ้ง ร่างกายเรียกร้องในสิ่งที่มากกว่า จนทั้งสองมาถึงจุดที่แทบจะหยุดไม่อยู่ ฮานส์จึงค่อย ๆ ลดจังหวะดูดดื่มที่แสนเร่าร้อน ในที่สุดก็หยุดลงอย่างอ้อยอิ่ง เขากดจูบหนัก ๆ ลงบนกลีบปากอิ่มนุ่มนิ่มสองสามครั้งราวกับสั่งลา ใบหน้ารกหนวดถอยห่าง แต่ไม่ไกลเกินกว่าไออุ่นของลมหายใจได้เป่ารดกัน



ฮานส์กวาดตามองทั่วพักตร์นวลผ่อง เก็บภาพหวามหวานของนัยน์สวยที่ปรือขึ้นมองตอบ เจ้าของนัยน์สีเขียวงามล้ำปานมรกต อยู่ในห่วงอารมณ์เสน่หาจนตาหวานฉ่ำ เป็นภาพที่น่ามองยิ่งนัก ประกายชวนฝันของดวงเนตรสุกใสราวเพชรน้ำงามล้ำค่า สะกดให้ดวงตาสีดำสนิทมองนิ่ง เหมือนความรู้สึกแปลก ๆ ที่ก่อเกิดมีอำนาจเหนือกว่า จนทั้งสองทำตัวไม่ถูก ฮานส์ยังมองอยู่อย่างนั้น ขณะที่จูเลียนก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แปลกไป ลดสายตาลงมองคางที่ประดับด้วยเคราหนาแทน หวังจะให้มันช่วยลดทอนความรู้สึกร้อน ๆ ที่ทำให้วูบวาบไปทั้งตัว

"เจ้า.."

“เอ่อ..” ฮานส์เผยอปากเหมือนจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น ราวกับไม่ต้องการให้คำพูดบางคำหลุดออกมา

“ปล่อยสิ ข้าหนักนะ” เสียงที่เปล่งออกมาทั้งสั่นและแผ่วเบา จนฮานส์เดาได้ไม่ยากเลย ว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดก็คงตื่นเต้นไม่แพ้กัน ก้อนเนื้อในอกหรือก็เต้นแรงจนชนกันเสียขนาดนั้น ไม่เคยมีสักครั้งที่จะอ่อนไหวได้ถึงเพียงนี้ แต่ฮานส์คงต้องยอมรับ ว่าครั้งนี้เขาเหมือนหนุ่มน้อยที่เพิ่งเรียนรู้การสัมผัสใกล้ชิด ทั้งที่ผ่านมาอย่างโชกโชนไม่น้อย แต่ตอนนี้ฮานส์กลับรู้สึกราวกับเป็นเด็กหนุ่มเพิ่งแตกพาน เขาอมยิ้มขำตัวเอง สายตาคมมีแววเอ็นดูจับอยู่ที่พวงปรางนวลผ่อง สีแดงระเรื่อยที่ซับอยู่กับผิวขาวใสเหมือนเรียกให้เขาเชยชิม ร่างกำยำยังทาบทับร่างเพรียวระหง แต่พอได้ยินอีกคนบอกหนัก ฮานส์ใช้ข้อศอกทั้งสองข้างยันพื้นรองน้ำหนักไว้



“กลับถึงเมืองหลวง เจ้าจะทำยังไงต่อ” สิ่งที่ฮานส์อยากถามไม่ใช่คำถามนี้ แต่มันก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ คำถามที่เขาควรจะถามยุวกษัตริย์ อย่างน้อยเพื่อให้จูเลียนใช้เวลาในเดินทางคิดไว้ก่อน

คำถามนี้ทำจูเลียนคิดหนัก “ข้า..ยังไม่รู้ คงต้องเรียกตัวพี่ข้ากลับมาจากสวาเนียร์ก่อน”

“ลอร์ดนิโคลหรือ ตอนนี้เขาอยู่ออสเซนเทียแล้ว” จูเลียนขมวดคิ้วหันกลับไปมองหน้าฮานส์

“เจ้ารู้ได้ไง?” นัยน์ตาเขียวมรกตมีแต่ความคลางแคลงในสิ่งที่คนหน้าหนวดบอก จูเลียนจ้องนิ่งอยากถามว่ามีอะไรที่จูเลียนควรรู้ และฮานส์ยังปิดบังไว้อีกไหม

“ช่างเถอะ แต่เจ้า...”

“ทำไม เจ้ารู้อะไรอีกฮานส์ ทำไมไม่บอกอะไรข้าบ้าง บอกมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ” ฮานส์เงียบไปหลังสิ้นเสียงเอาแต่ใจที่สั่ง สีหน้ารกหนวดดูเรียบนิ่งแต่จูเลียนรู้ว่าฮานส์กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ดูจากนัยน์ตาสีดำสนิทที่มีแววกังวล แต่ไม่นานก็หายไปเมื่อรู้ว่าจูเลียนกำลังจับตามองอยู่

“ถึงโน่นแล้ว...” ฮานส์เว้นไว้เพียงเท่านั้นไม่ยอมพูดต่อ จนจูเลียนต้องเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ไม่เคยเลยที่จูเลียนจะได้เห็นท่าทางอย่างนี้ของฮานส์ เหมือนอีกคนกำลังลังเล กังวล และไม่มั่นใจ นี่มันไม่น่าจะใช่ท่าทางของคนหยิ่งยโสที่เคยอวดดีต่อหน้ากษัตริย์ด้วยซ้ำ ความกังวลของฮานส์กระตุ้นให้จูเลียนยิ่งอยากรู้ จนอดเอ่ยปากถามไม่ได้

“เจ้ามีอะไรจะบอกข้าหรือ”

“ช่างเถอะ” ฮานส์บอกราวกับไม่ใช่เรื่องควรใส่ใจ พลิกตัวลงไปนอนหงายอยู่ข้างจูเลียน มองขึ้นไปบนท้องฟ้า วันนี้ท้องฟ้าสวย ทำให้ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวดูสดใสไปหมด ท้องฟ้าสีฟ้ากว้างใหญ่ประดับด้วยกลุ่มเมฆบาง ๆ รูปทรงต่างกัน ราวกับผ้าผืนใหญ่สีฟ้า ที่แต่งแต้มด้วยก้อนสำลีสีขาวนวล



เห็นฮานส์เหมือนจะดื่มด่ำกับธรรมชาติจูเลียนเลยทำตามบ้าง ทั้งสองนอนมองท้องฟ้า ปล่อยให้แสงแดดอ่อนๆ อาบร่าง เหมือนหลุดเข้าไปในความคิดของตัวเอง ต่างคนต่างเงียบ จนเจ้าโกสต์ที่วิ่งหายไปในตอนแรก วิ่งอ้อมเนินกลับมาหาพอดี

จูเลียนลุกขึ้นมองมันตาขวางอย่างคาดโทษจนฮานส์ยิ้มขำ

“อย่าบอกนะว่าเจ้าโกรธที่โกสต์สะบัดตกจากหลัง”

“แล้วมันน่าโกรธไหมล่ะ” จูเลียนบอกแล้วหันไปทำหน้าบึ้งใส่โกสต์ ราวกับอยากให้มันรับรู้ว่าถูกโกรธ จนยากจะได้รับการอภัยง่าย ๆ

“มันคงรำคาญที่เจ้าเอาแต่ดื้อรั้นจะกลับไปให้ได้”

“ข้าต้องกลับไป ข้าทิ้งเจ้าหนูไว้ที่นั่นไม่ได้ ข้าสัญญาแล้วว่าจะดูแลมัน”

“จะให้ข้าบอกอีกไหมว่ามันเป็นแค่กระต่าย เจ้าควรดูแลตัวเองให้รอดก่อน ลุกได้แล้วจะได้เดินทางต่อ”

“ข้าไม่ไป!” จูเลียนเชิดหน้า

“อย่าให้ข้าต้องย้ำนะว่ามีเด็กบางคนเคยบอกจะไม่ดื้อกับข้า” จูเลียนตาโตหันขวับไปมองฮานส์ทันทีจนคอแทบเคล็ด เลยถูกอีกคนกระชากแขนให้ยืนขึ้นจนได้

“เจ้าทวงหรือ เด็กที่ไหนพูดให้มันดี ๆ นะ ข้าไม่เด็กแล้ว” ใช่จูบจนฮานส์เคลิ้มแทบลืมตัวคงไม่เด็กแล้ว เขาได้แค่คิด กัดฟันแน่นไม่ให้ตัวเองหัวเราะขำความคิดแปลก ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัว



จูเลียนคิดถึงวันที่เจอกับหมาป่าหิมะตาแดง สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่จูเลียนเคยเห็นกับตา แต่ผ่านมาหลายวันแล้วความกลัวที่เข้ามาแทนความดื้อรั้นลดลง ความดื้อรั้นจึงกลับเข้ามาอยู่ที่เดิมหรืออาจจะเพิ่มขึ้น ฮานส์กลอกตาขึ้นลงมองวรกายเพรียวระหงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เขาแสยะยิ้มน่าเกลียด จนเห็นแล้วอยากเอาหิมะละเลงให้ทั่วใบหน้าหนวด จูเลียนผิดหรือที่เกิดมาตัวเล็กกว่า เล็กก็เล็กกว่าไม่มาก ใช่ว่าตัวเล็กจะเป็นเด็กเสมอไป



“ข้าบอกว่าเป็นเจ้าหรือไง หรือเจ้ามันเด็กจริงล่ะ มานี่” ฮานส์ยื่นมือจะดึงข้อมือเล็กให้เดินไปด้วยกัน แต่จูเลียนปัดทิ้งไม่ไยดี เดินเงียบ ๆ ไปทางเจ้าโกสต์ที่ยืนรออยู่ แต่พอจูเลียนเดินเข้ามาใกล้มันกลับหันหน้าไปทางอื่น หายใจฟึดฟัดแรง ๆ ไออุ่นพุ่งเป็นสายออกมาทางจมูก

“หึ อย่าเข้าไปใกล้ โกสต์มันโกรธเจ้าอยู่”

“เก่งนะรู้ใจม้าด้วย” ฮานส์ไม่ตอบแต่ยืนจังก้ากอดอกรอดู ว่าอีกคนจะทำอย่างไร จูเลียนแค่นเสียงเหอะออกมาจากลำคอ ไม่ฟังที่ฮานส์บอก เดินหน้าเข้าไปหาโกสต์อย่างท้าทาย เจ้าโกสต์ที่ยังอารมณ์ไม่ดี เห็นจูเลียนเดินเข้ามาใกล้มันยิ่งหายใจแรงจนหูลู่

“บอกไม่ฟัง”

“โอ๊ย ฮานส์! “ฮานส์คว้าคอจูเลียนไว้จากข้างหลังจนเจ้าตัวหน้าหงาย จะหันกลับมาต่อว่าสักหน่อย แต่ถูกคนหน้าหนวดที่ตัวสูงกว่ากอดคอไว้ พาเดินเข้าไปหาอาชาพันธ์ุดี ที่ยืนสง่าน่าเกรงขามไม่พอใจอยู่เบื้องหน้า

ฮานส์กระซิบบอก “เจ้าโกสต์ เวลาโกรธมันไม่ชอบให้คนอื่นเข้าใกล้นอกจากข้า”

“แล้ว แล้วเจ้าพาข้าเข้ามาหามันทำไม เดี๋ยวก็โดนมันดีดเอาหรอก”

“ดีดก็ดีดเจ้านั่นแหละไม่ได้ดีดข้าสักหน่อย หึหึ” เพราะจูเลียนอยู่ข้างหน้าฮานส์ และกำลังถูกดันให้เดินเข้าไปหาม้าตัวใหญ่ พอฮานส์พูดแบบนี้จูเลียนยิ่งใจเสีย

“ไม่เอา ปล่อยข้าเลยรอให้มันหายโกรธก่อนสิ”

“เดินเถอะน่า”

“ก็มันโกรธอยู่ ข้าไม่อยากโดนม้าดีด ปล่อยข้านะฮานส์เจ้าจะทำอะไร”

“ทำให้จูเลียนไม่เป็นคนอื่นสำหรับเจ้าโกสต์ไง”



**********50 %***********

งานนี้ต้องขอบคุณเจ้าโกสต์มั้ย 

โฮะ ๆๆๆ เจอกันตอนหน้าจ้า จูเลียนจะถึงไหน 

จะถึงเมืองหลวงหรือแวะเที่ยวไหนก่อน รอกันนะนายท่าน

ดาว ณ แดนดิน
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 20 วีรกรรมของโกสต์ 100% 6/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 11-01-2019 22:46:40


ตอนที่ 20 วีรกรรมของโกตส์ 100%

“ทำให้จูเลียนไม่เป็นคนอื่นสำหรับเจ้าโกสต์ไง”

“ทำอย่างนี้นี่นะ เจ้าจะหลอกให้ข้าถูกม้าดีดใช่ไหม!” จูเลียนไม่เชื่อสิ่งที่ฮานส์บอก เพราะเห็นม้ากำลังโกรธจริง ๆ แต่พอจะถอย ฮานส์กลับจับให้มายืนข้างหน้าแล้วตัวเองยืนซ้อนหลัง ทั้งที่บอกว่ามันกำลังโกรธและไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ ฮานส์ยังดันให้จูเลียนเดินเข้าไปหามัน แบบนี้ไม่บอกว่าแกล้งกันอีกแล้วจะบอกว่าอะไรได้ จูเลียนต้องโวยวายประท้วง

“อย่านะฮานส์! ”

“เงียบก่อน”

“แต่..” ฮานส์ทำเสียงชู่เบา ๆ จูเลียนเลยได้แต่เงียบ เขาใช้ท่อนแขนแข็งแกร่งกำยำโอบข้ามไหล่พาดด้านหน้าเกาะมือไว้ที่ไหล่ฝั่งตรงข้ามของจูเลียน จนเจ้าของร่างเพรียวแทบจมหายเข้าไปในอกกว้าง ฮานส์ยื่นมืออีกข้างออกไป พลางขยับเท้าใช้แผ่นอกดันหลังจูเลียนให้เดินเข้าไปใกล้ม้าหนุ่มที่ยังเมินอยู่ ใบหน้ารกหนวดทิ้งคางเกยลงกลางกระหม่อมกษัตริย์หนุ่มน้อย กั้นสัมผัสตรง ๆ ไว้เพียงหมวกคลุมหัวของคนตัวเล็ก

“ฮานส์”

“ก้าวเข้าไปช้า ๆ เรียกชื่อมันเบา ๆ ถอดถุงมือข้างนี้ออกด้วย” จูเลียนว่าง่ายยอมทำตามที่บอกทุกอย่าง ฮานส์ลดมือข้างที่ยื่นออกไปลงมาจับมือจูเลียน ยกขึ้นให้ยื่นไปหาโกสต์ด้วยกัน ม้าหนุ่มแสนรู้หันกลับมามองคนทั้งสองนิ่ง ราวกับว่ามันกำลังชั่งใจ จูเลียนเองก็แทบกลั้นหายใจรอ เมื่อเห็นโกสต์ยังนิ่ง ด้วยเดาอารมณ์สัตว์ไม่ถูก จนครู่หนึ่งผ่านไปจูเลียนถึงได้ค่อย ๆ เผยรอยิ้มบาง ๆ ออกมา เมื่อม้าหนุ่มเอียงใบหน้าเข้ากับฝ่ามือนิ่ม ที่ประกบซ้อนทับด้วยมือใหญ่ ๆ ของฮานส์ รอยยิ้มบาง ๆ ของจูเลียนกว้างขึ้น ดูเหมือนโกสต์จะหายโกรธลงบ้างแล้ว

“โกสต์”

“ลูบกรามมันสิ เบา ๆ นะแผงคอด้วย” ถึงจะบอกอย่างนั้น แต่มือใหญ่ยังประกบและพามือเรียวลูบไปตามส่วนต่าง ๆ ที่บอก จูเลียนทำตามทุกอย่าง รู้สึกตื่นเต้น แม้ไม่ชอบการขี่ม้าแต่จูเลียนถือได้ว่าเป็นคนที่ขี่ม้าเก่งมากคนหนึ่ง ความเชื่องของโกสต์ทำให้จูเลียนตื่นเต้นจนลืมไปเลย ว่าตอนนี้วรกายเพรียวระหงอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ยืนซ้อนหลังไม่ห่าง ฮานส์ลดท่อนแขนข้างที่กอดคอจูเลียนลงมารวบเอวบางไว้ มือข้างหนึ่งยังประกบพามือเรียวลูบแผงคอ จูเลียนหันมาแหงนหน้ายิ้มให้ฮานส์ดวงเนตรเป็นประกาย ความใกล้ชิดยิ่งชิดใกล้มากขึ้น ไออุ่นของลมหายใจผสมกันจนไม่รู้ของใครเป็นของใคร ความอบอุ่นมันอบอวลโอบกอดอยู่รอบตัว จนลืมไปเลยว่าอยู่ท่ามกลางหิมะและความหนาวเย็นกลางฤดูหนาว



อาชาหนุ่มแสนรู้ก้มหน้าลงมาหาใบหน้าของฮานส์และจูเลียนที่คลอเคลียอยู่ด้วยกัน ราวกับว่ามันยอมรับและเข้าใจในสิ่งที่เจ้านายของมันสื่อ ว่าต่อจากนี้เจ้าของร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดของฮานส์ หาใช่ใครคนอื่นอีกต่อไปไม่ แต่เป็นเจ้านายของมันอีกคน

“โกสต์” จูเลียนเรียก เมื่อรู้สึกว่าโกสต์เอาแก้มของมันถูกเบา ๆ กับแก้มนิ่ม ส่วนแก้มอีกข้างถูกขนาบด้วยใบหน้ารกหนวด ที่ฉวยโอกาสแนบชิดตอนจูเลียนตื่นเต้นกับการตอบรับของเจ้าม้าแสนรู้ แต่จริง ๆ แล้วฮานส์กำลังคุยกับโกสต์ หรือนั่นอาจจะเป็นคำประกาศของฮานส์ที่บอกให้มันรู้ ว่าเจ้าของใบหน้านวลที่อยู่ระหว่างใบหน้าของมันกับของฮานส์คือคนสำคัญ



ทั้งคนทั้งม้ายืนหลับตานิ่ง ฮานส์ขยับขึ้นมาทาบหน้าผากของตัวเองลงกับหน้าผากโกสต์ คางของเขาจึงวางอยู่บนกลางกระหม่อมของคนตัวเล็กพอดีอีกครั้ง จูเลียนยิ้มบาง ๆ มือยังลูบเบา ๆ ไปตามสันกรามของโกสต์ ส่วนมืออีกข้างวางทาบไว้ที่แก้มของมัน ใช้ความเมตตาที่มีต่อเพื่อนร่วมโลก ผ่านภาษากายที่สัมผัส



“พอหรือยัง” จนผ่านไปเป็นครู่ เสียงเล็ก ๆ ที่ดังขึ้นไม่เกินกว่าการกระซิบ แต่สามารถเรียกฮานส์ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน เจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิทผละออกช้า ๆ วางมือข้างหนึ่งลงบนหัวจูเลียนโยกเบา ๆ

“มันชอบเจ้านะ” จูเลียนอึ้ง ไม่ใช่เพราะฮานส์บอกว่าโกสต์ชอบ แต่เป็นเพราะรอยยิ้มของคนหน้าหนวด แบบที่จูเลียนไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ยืนอึ้งมองนิ่งจนลืมตัว รอยยิ้มน้อย ๆ ที่ค่อย ๆ แย้มออกมาจนกว้างขึ้น พร้อมกับนัยน์ตาเป็นประกาย เหมือนทำให้รอบตัวสว่างจ้าขึ้นมาได้เอง มันดูแตกต่างจากทุกครั้งที่จูเลียนเคยเห็น อยู่ดี ๆ ก็เกิดความอบอุ่นขึ้นมาในใจจนมันพองโต อุ่นวาบไปทั้งตัวราวกับยืนอยู่กลางทุ่งหญ้ากว้าง ที่อาบด้วยแสงอาทิตย์ยามเช้า ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มีความรู้สึกแบบนี้ มันแปลกมากสำหรับจูเลียน ชั่วชีวิตของกษัตริย์หนุ่มน้อยวัย 19 ชันษา ไม่เคยมีสักครั้งที่จะได้เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน



เห็นจูเลียนมองนิ่งฮานส์เลยเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม จูเลียนรู้สึกตัวว่าเผลอมองคนหน้าหนวดนานไปหน่อย เลยหันไปหาโกสต์ลูบกรามมันเบา ๆ

“ข้าก็..ชักจะชอบเจ้าแล้วสิโกสต์ แต่ห้ามสะบัดข้าตกจากหลังเจ้าอีกนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะลงโทษด้วยการไม่ขี่เจ้าอีกเลย” สิ้นคำขู่ของจูเลียน ฮานส์ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังก้องป่า จนเจ้าของคำขู่หันมามองตาขวาง

“เจ้าขำอะไร”

ฮานส์พยายามกลั้นขำ “เจ้าลงโทษด้วยการไม่ขี่มันนี่นะ คิดว่ามันสนหรือไง”

“ไม่รู้ล่ะ นี่คือวิธีการลงโทษของข้า” จูเลียนหันมาเถียงฮานส์ แล้วหันกลับไปพูดกับเจ้าโกสต์ “ถ้าทำข้าตกอีกข้าจะไม่ขี่เจ้า ถ้าดื้อข้าจะปล่อยให้เจ้าเหงาอยู่ตัวเดียวเป็นการลงโทษ” ฮานส์พยายามกลั้นขำแต่ก็ยากเหลือเกิน เขาไม่เคยเห็นใครมีวิธีการลงโทษที่ไม่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ส่ายหัวให้กับความคิดแบบเด็ก ๆ นึกสงสัยว่าจูเลียนใช้วิธีแบบนี้ ลงโทษคนในปกครองของตัวเองด้วยหรือไม่ หากมีคนต้องโทษหรือถูกลงอาญา ในฐานะกษัตริย์จูเลียนจะลงโทษอย่างไรฮานส์ชักอยากเห็น



ทั้งสองหัวเราะด้วยกันเป็นครู่ ฮานส์วางมือลงบนศีรษะใต้หมวกคลุมโยกเบา ๆ แล้วผลักจนจูเลียนแทบหน้าหงาย แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เสียงหัวเราะของทั้งสองดังขึ้นกว่าเก่า จูเลียนลืมเรื่องที่ฮานส์ทำให้หงุดหงิดใจเสียสนิท

“เดินทางต่อเถอะ” เจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมดำเดินไปเก็บถุงของที่ทำตกไว้ แล้วเดินกลับมาหาจูเลียนที่ยังยืนพูดกับโกสต์ ราวกับเจอเพื่อนคุยที่ถูกคอก็ไม่ปาน จนฮานส์ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าแล้วเรียกให้จูเลียนขึ้นมานั่งด้วยกัน

“ขึ้นมาได้แล้ว” เขาตบที่ว่างข้างหลังตัวเองจูเลียนมองตาม

“คราวนี้ให้ข้านั่งข้างหลังหรือ” ฮานส์แสยะยิ้มน่าเอาหิมะปาให้หน้าหงายสักทีสองทีจนจูเลียนมองตาขวาง

“อือ หรือจะนั่งข้างหน้าล่ะ ข้ายังไงก็ได้นะแล้วแต่เจ้า”

“ไม่”

“ไม่อะไร”

“ไม่นั่งข้างหน้า”

“ไม่นั่งก็ขึ้นมา จะไปไม่ไป”

“ไปสิ” จูเลียนกำลังจะเหวี่ยงตัวเองขึ้นนั่งข้างหลังฮานส์ แต่ยังไม่ทันได้ออกแรง ร่างเพรียวระหงก็ถูกฮานส์ ที่ก้มลงรวบเอวดึงขึ้นนั่งบนหลังของเจ้าโกสต์ได้อย่างง่ายดายก่อน ราวกับฮานส์ดึงถุงนุ่นน้ำหนักเบา ไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุสิบเก้าอย่างจูเลียน พอทุกอย่างพร้อมแล้ว เพียงฮานส์กระตุกสายบังเหียนเบา ๆ เจ้าโกสต์ก็เริ่มออกเดิน มันเดินช้า ๆ ฝ่าเกล็ดหิมะขึ้นเนินเพื่อข้ามไปยังเส้นทางเดิม



พอมานั่งข้างหลังแบบนี้ความรู้สึกมันแตกต่าง จูเลียนกลัวตกจึงจับเสื้อคลุมของฮานส์แน่น แต่หนุ่มน้อยกลับไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอยิ้มออกมาได้อย่างไร ตอนที่ฮานส์แกะมือที่กำชายเสื้อคลุมออก แล้วดึงให้จูเลียนกอดเอวเขาแทน ต่างคนต่างเงียบ แต่อะไรบางอย่างในความรู้สึกกำลังก่อตัว ฮานส์ยกมุมปากขึ้นยิ้มน้อย ๆ สายตาคมมองตรง จูเลียนแอบยิ้มพลางกวาดตามองรอบ ๆ เพลิดเพลินกับทัศนียภาพธรรมชาติรอบตัว ยิ่งพอขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดบนเนินธรรมชาติยิ่งสวย มองเห็นได้ชัดเจนทุกทาง



“ฮานส์ดูนั่นสิ” น้ำเสียงตื่นเต้น เรียกให้ฮานส์หันไปตามทิศทางที่จูเลียนชี้บอก ตรงนั้นเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน ปกคลุมด้วยหิมะเหมือนทุกที่ แต่สิ่งที่สะดุดตาจูเลียนไม่ใช่เทือกเขาทะมึนที่ซ้อนกันอยู่หลายลูก หรือหิมะขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่ว แต่เป็นกลุ่มปราสาทขนาดใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นมาบนเทือกเขาตรงสันเขา แม้จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะจนแทบจะมองไม่เห็นหากไม่สังเกตดี ๆ แต่วันนี้ท้องฟ้าสดใสเลยมองเห็นความยิ่งใหญ่โอฬารได้ไม่ยาก

ฮานส์เงียบ สายตาคมจับจ้องอยู่กับความยิ่งใหญ่อลังการ ความคิดจมดิ่งสู่แรงดึงดูดไร้ที่มา ใบหน้ารกหนวดเข้มขรึมขึ้น เขามองภาพเบื้องหน้านิ่ง ปล่อยความคิดความรู้สึกล่องลอย เสียงเจื้อยแจ้วที่ดังขึ้นข้างหู ยังไม่อาจดึงความสนใจของเขาให้กลับมาได้

“นั่นปราสาทของใครหรือตระกูลไหนฮานส์ เจ้ารู้จักไหม เอ ลักษณะปราสาทแบบนี้ข้าเหมือนจะเคยได้เรียนมาอยู่บ้างนะ ถ้ารู้ว่าแถวนี้เป็นที่ไหนข้าน่าจะเดาได้นะ ว่าที่นี่เป็นปราสาทของตระกูลไหนกันแน่”

“..” จูเลียนพูดไปตั้งยาวแต่ฮานส์ยังเงียบ สายตาคมมองไปยังปราสาทบนหน้าผาแห่งนั้น เหมือนจมดิ่งลงสู่อะไรบางอย่างที่จูเลียนไม่รู้ จึงได้แต่เรียกเบา ๆ ดึงให้อีกคนกลับมาสู่ปัจจุบัน

“ว่าไงฮานส์แถวนี้มันที่ไหน”

“...”

“โรฮานส์!” จูเลียนเรียกฮานส์หลายครั้ง แต่เจ้าของนัยน์สีนิลยังนิ่งเงียบ ทอดสายตามองออกไปยังปราสาทที่เห็นอยู่ไกล ๆ มองจากจุดนี้ว่ายิ่งใหญ่แล้ว หากได้เข้าไปดูใกล้ ๆ คงจะยิ่งใหญ่อลังการมาก จูเลียนกำลังคิดว่ามันน่าจะใหญ่พอ ๆ กับปราสาทของเขาที่เมืองหลวง หรืออาจจะใหญ่กว่า

“ไปเถอะ” ฮานส์บอกเบา ๆ ไสม้าหันหลังให้ความอลังการที่ตั้งตระหง่านอยู่บนสันเขา เขารู้ไม่ใช่ไม่รู้ ว่าพาจูเลียนหนีตายล่วงล้ำขึ้นมาถึงดินแดนที่เรียกได้ว่าหนาวเย็นสุดขั้วหัวใจ ดินแดนที่โอบล้อมไปด้วยน้ำแข็ง และความเหน็บหนาวตลอดปี ดินแดนที่เขาเองไม่คิดจะหวนกลับมาเสียนาน ดินแดนที่เรียกขานกันว่า แดนเหนือ ปราสาทใหญ่โตโอ่อ่า ไม่ได้สร้างขึ้นมาแบบสวยหรู อวดความมั่งคั่งของเจ้าของ แต่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของชนชาวเหนือ ที่ชีวิตต้องทรหดอดทนท่ามกลางความหนาวเย็น ที่อยู่ด้วยกันทั้งปีทั้งชาติ ปราสาทแห่งนั้นเรียกขานกันว่า เดอะ เมาเทนนัสเฮาส์ อันยิ่งใหญ่



*****************



“ท่านรัฐมนตรี ข้ากลับมาแล้ว”

“ดีใจด้วยที่เจ้ามีชีวิตรอดกลับมาได้”

“ข้าต้องมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้อยู่แล้วสิ”

“การเดินทางของเจ้าราบรื่นดีไหมกรอสเซ่”

“ราบรื่นหรือ ท่านก็รู้ข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะทำงานให้ท่าน แต่..ข้าหวังว่าท่านจะไม่ผิดสัญญานะท่านรัฐมนตรี” กรอสเซ่ขยับเข้ามากระซิบข้างหูโจเซฟ ทวงสัญญาที่เคยตกลงกันไว้ ถึงในนี้จะเป็นห้องในที่พักส่วนตัวของรัฐมนตรี แต่ก็ยังมีคนแปลกหน้าอยู่ด้วยอีกคน กรอสเซ่ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทวงหาสัญญาที่ตัวเองควรได้รับ

ต่อจ้ะ...
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 20 วีรกรรมของโกสต์ 100% 6/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 11-01-2019 22:47:23



รัฐมนตรีประจำราชสำนักยิ้มละมุน ราวกับผู้ใหญ่ใจดีกำลังพูดคุยกับเด็กน้อยที่เขาเอ็นดู “อ่า เรื่องนั้นหรือ ข้าจะลืมมันได้ยังไงล่ะท่านกวีประจำราชสำนัก ว่าแต่งานของเจ้าสำเร็จจริง ๆ แล้วหรือ”

“แน่นอนท่านรัฐมนตรี”

“แล้วไหนล่ะหัวของมันข้ายังไม่เห็นเลย จะเชื่อได้ยังไงว่าเจ้าทำงานสำเร็จ!” รอยยิ้มละมุนหายไปเหลือเพียงความเคร่งเครียดกดดัน โจเซฟไม่มีทางวางใจอะไรได้ หากทุกอย่างคลุมเครืออยู่แบบนี้

“ก็ไหน...” กรอสเซ่หันไปทางบุรุษที่ยืนอยู่อีกมุมของห้อง ดูท่าทางน่าจะอายุอ่อนกว่ารัฐมนตรีโจเซฟไม่กี่ปี จะทำอะไรกวีหนุ่มต้องระวังตัวจึงไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า

“นั่นโทมัส น้องชายข้าเอง”

“ไม่เคยได้ยินว่าท่านมีน้องชายมาก่อนเลยท่านรัฐมนตรี”

“เจ้าจะเคยได้ยินได้ยังไง ในเมื่อเขาเพิ่งเข้ามาช่วยงานข้า น้องชายต่างแม่ข้าเอง” โจเซฟให้คำตอบคล้ายจะเริ่มเบื่อหน่ายที่กรอสเซ่สนใจเรื่องที่ไม่ควร ชายผู้ยืนเงียบมานานก็ยังเงียบ และทำหน้านิ่งอยู่เหมือนเดิม แต่สันกรามที่นูนขึ้นบ่งบอกว่าเขากำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นคำถามสอดรู้ของกรอสเซ่ หรือคำว่าน้องชายต่างแม่จากปากพี่ชายต่างแม่ก็เป็นได้

“ว่าไง”

“ข้าทำตามที่ท่านสั่งแล้วท่านรัฐมนตรี ที่เหลือท่านบอกจะให้ทหารเป็นคนจัดการทั้งหมดไม่ใช่หรือ แต่มัน..มันตายแล้วแน่ ๆ โดนทหารรับจ้างล้อมไว้ทุกทาง ตอนนั้นมันหนาวมากมีพายุหิมะด้วย พายุแรงจนม้าแทบยืนไม่อยู่ รอบตัวมองเห็นได้ไม่เกินสามก้าวด้วยซ้ำ”

“แล้วเจ้าจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันตายไปแล้วจริง ๆ ”

“ไม่มีใครรอดในสถานการณ์อย่างนั้นหรอกเชื่อข้าเถอะ ข้าเองยังแทบเอาชีวิตไม่รอด”

“แต่เจ้าก็ยังรอดมาได้” แววตาโจเซฟน่ากลัวจนกรอสเซ่ยังต้องหลบมองต่ำ เขาเค้นเสียงลอดไรฟันพูดออกมา ยิ่งฟังกรอสเซ่เล่าโจเซฟยิ่งเจ็บใจ เหมือนกวีหนุ่มกำลังยืนยันความผิดหวังของเขา

กรอสเซ่พูดเสียงเบาราวแก้ต่างให้ตัวเอง “เซอร์ราเชลเป็นคนช่วยข้าไว้”

“หึ มันเลยมีบุญคุณกับเจ้าที่มันช่วยชีวิตไว้สินะ แล้วเซอร์เฮนริชกับคนอื่น ๆ ไปไหน”

“ข้าไม่รู้เราหนีออกมาได้ ข้ากับเซอร์ราเชลมาเจอเซอร์เฮนริชภายหลัง แต่ก็ถูกโจมตีอีกเลยทำให้ต้องหนีไปคนละทาง”

“รวมทั้งจูเลียนด้วยล่ะสิ”

“ข้าไม่เห็นจูเลียน แต่..”

“แต่อะไร”

“ข้าคิดว่าเขาตายแล้ว ตอนนี้ร่างคงจมอยู่ใต้ภูเขาหิมะหลังพายุกระหน่ำ โอ๊ย!!” พูดจบพลันใบหน้าซีดเผือดของกรอสเซ่ก็หันไปตามแรงตบของรัฐมนตรีเฒ่า ที่ฟาดฝ่ามือลงบนซีกแก้มสีซีดสุดแรง คำพูดของกรอสเซ่ทำให้รัฐมนตรีบันดาลโทสะ

กวีหนุ่มประจำราชสำนักกุมแก้มที่ถูกตบหันกลับมาถาม “รัฐมนตรีโจเซฟ ท่านตบข้าทำไม”

โจเซฟไม่ตอบแต่ถามกลับเสียงเข้ม “เจ้าบอกว่าคนที่ช่วยชีวิตเจ้าคือเซอร์ราเซล?”

“ใช่” กรอสเซ่ตัวสั่น เขากลัวโทสะและสายตาแข็งกร้าวของโจเซฟ แต่ก็ยังพยักหน้าตอบ ยืนยันว่าสิ่งที่รัฐมนตรีเข้าใจถูกต้องแล้ว

“แยกกันหนีแล้วไปเจอเซอร์เฮนริชอีกครั้งก่อนถูกโจมตีรอบที่สอง?”

“ใช่ เราตั้งที่พักกับทหารจำนวนหนึ่ง แต่ก็ถูกโจมตีอีกครั้งกลางดึก ข้ากับเซอร์ราเชลหนีออกมาได้ จากนั้นเราก็แยกกัน เขาให้ทหารพาข้ากลับมา โอ๊ยท่าน!!” ครั้งที่สองที่ฝ่ามือของรัฐมนตรีเฒ่าตบลงบนซีกแก้มข้างเดิม กรอสเซ่มองโจเซฟอย่างไม่เข้าใจ “ท่านตบข้าอีกทำไม”

“ตบล้างโง่ให้เจ้าไง” กรอสเซ่มองตอบงง ๆ “ยังไม่เข้าใจอีกหรือ ไปได้แล้วหมดธุระของเจ้าแล้ว”

“แต่.. แล้วข้อตกลงของเราล่ะ”

“เจ้าทำงานไม่สำเร็จยังจะกล้าทวงข้อตกลงกับข้าหรือ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันออกไปได้แล้ว”

“แต่..แต่ข้าทำตามที่ท่านบอกทุกอย่างแล้วนะ”

“แต่มันยังไม่ตาย!” กรอสเซ่กัดฟันกรอดเพราะทำอะไรได้ เขาเป็นเพียงกวีที่ถูกอุปโลกน์แต่งตั้งขึ้น เพราะจูเลียนแค่อยากเอาใจ และให้คนอื่นเกรงใจบ้างเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่ามันใช้ไม่ได้กับโจเซฟ ที่เป็นถึงรัฐมนตรีมีอำนาจในมือ กรอสเซ่จึงต้องยอมถอย

“พี่เชื่อว่าอัศวินพวกนั้นมันจะยอมตายไปพร้อมนายของมันหรือไง” โจเซฟได้ยินคำถามที่ถามขึ้นมาเสียงเรียบไม่ดังมากนัก แต่เขายังนั่งนิ่งสายตาจับอยู่กับเชิงเทียนหรูหราที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะ โทมัสถามพลางเดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามพี่ชาย

“เท่าที่ข้าเห็น มันจะเป็นอย่างนั้น สำหรับอัศวินทั้งสี่คนของจูเลียน” ฟังจากที่กรอสเซ่เล่า โจเซฟเชื่อได้ว่าจูเลียนยังมีชีวิตอยู่ เพราะหากจูเลียนหนีออกมาจากวงล้อมของศัตรูไม่ได้ อัศวินพวกนั้นก็จะไม่ทิ้งเจ้านาย แล้วหนีออกมาเช่นกัน แต่จะสู้จนถึงที่สุด แม้เจ้านายจะตายไปแล้ว ยังต้องสู้จนกว่าจะจัดการกับศัตรูได้ทั้งหมด เพื่อเป็นการแก้แค้นให้เจ้านาย และลงโทษด้วยชีวิตอย่างสาสม หรือสู้จนตัวตายตามเจ้านายเพื่อเกียรติยศ!

“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็รู้สิว่าอัศวินอีกสองคนหายไปไหน”

“หึ แล้วทำไมข้าจะไม่รู้ล่ะโทมัส คิดว่าพี่เจ้าโง่จนถูกตบตาง่าย ๆ หรือไง”

“อภัยข้าด้วยพี่ชายที่เคารพ แต่ข้าไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ข้ารู้ว่าท่านต้องจับตาดูพวกมันทุกคนอยู่แล้ว” โจเซฟยิ้มร้ายกับความคิดของตัวเอง คิดว่าตอนนี้เขาเหนือกว่าศัตรูมาก เพราะนิโคลก็มีท่าทางโอนอ่อนมาทางเขาไม่น้อย แม้โจเซฟจะถูกกดดันให้ตามหาจูเลียนและจับเป็นมาโดยไว แม้ตอนนี้จะยังไม่มีอะไรคืบหน้า แต่ถ้าหากเขาได้ลอร์ดนิโคลมาเข้าพวก ก็มองเห็นความเป็นไปได้ของความสำเร็จอยู่รำไรแล้ว

“ลูกสาวข้าล่ะ”

“นางได้รับเชิญให้ไปดื่มชายามบ่ายกับลอร์ดนิโคลัสท่านพี่”

“หึ ดีมาก”



*********************



หิมะกลางฤดูหนาวโปรยลงมาบาง ๆ และโปรยลงมาเรื่อย ๆ ราวกับกลัวว่าความหนาวเย็นจะไม่เพียงพอ พื้นดินจะไม่มีหิมะปกคลุมมากเท่าที่ควร วันเวลาของการเฝ้ารอผ่านไปแล้วสองวัน จุดนัดพบก็ยังไม่ได้ต้อนรับคนที่คิดว่าจะมาตามนัด แต่กลับได้รับข่าวที่ทำให้คนรอที่อารมณ์ดีอยู่เสมออย่างเลนนี่ เดือดแทบลุกเป็นไฟ

“สองวันแล้วนะเซอร์เลนนี่ ทำอะไรสักอย่างเถอะ”

“เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะลีโอ”

“ข้าอยากไปตามหาฝ่าบาท ไม่อยากรออยู่แบบนี้” ลีโอบอกแล้วก้มมองมือตัวเองที่วางอยู่บนตัก ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องจนถึงวันนี้ ไม่มีวันไหนที่เด็กน้อยของเหล่าอัศวินจะไม่กังวล แม้จะกินได้นอนหลับอยู่เช่นเดิม เพราะรู้ว่านายเหนือหัวปลอดภัยอยู่กับยอดฝีมือที่ตัวเองชื่นชม แต่ในความคิดของลีโอที่ถูกกันออกไม่ให้รู้ตื้นลึกหนาบางไปมากกว่านี้ การได้กลับไปอยู่ในวังหลวงที่คุ้นเคยน่าจะดีกว่า

“แล้วนั่นอะไรหรือ ท่านถืออะไรอยู่” เลนนี่มองสิ่งที่อยู่ในมือตัวเองแล้วกำแน่น จนเดรทิชเดินเข้ามาหาและแย่งไปดู เขาบอกลีโอเบา ๆ ว่าให้เตรียมตัวเดินทางแล้วเดินไปเก็บของ

“ฮานส์ส่งข่าวมาแล้วหรือ” เลนนี่เพียงพยักหน้าตอบคำถามราเชล เพราะโมโหให้ฮานส์จนไม่อยากอ้าปากพูดกับใคร คนที่ปกติอารมณ์ดีขี้เล่นอยู่เป็นนิตย์ หากโกรธหรือโมโหขึ้นมามันไม่ค่อยธรรมดาเท่าไหร่ เลนนี่จึงไม่ค่อยให้ใครได้เห็นอีกด้านของตัวเอง ดีไม่ดีอาจทำให้เด็กน้อยของพวกเขากลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้เขาอีกก็เป็นได้ เลนนี่เลือกจะเงียบ เพื่อนทั้งสามรู้ดีว่าเขากำลังโกรธ

เช้าตรู่ของวันต่อมา พอฟ้าสางเริ่มมองเห็น ทั้งห้าก็พากันออกเดินทางฝ่าความหนาวเย็นกลับเมืองหลวง ลีโอหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยกับคนอื่น ๆ ไปตลอดทาง ม้าสี่ตัวกับคนห้าคน ลีโอยังขี่ตัวเดียวกันกับเฮนริชเหมือนเดิม เพียงแต่วันนี้เด็กน้อยนั่งกอดเอวอัศวินหนุ่มอยู่ข้างหลัง บาดแผลของเฮนริชเริ่มดีขึ้นเพราะได้รับการดูแลอย่างดี แม้จะยังไม่หายสนิทแต่ร่างกายก็กลับมาแข็งแกร่งขึ้นมาก



ด้วยระยะทางที่ไกล เพราะหนีออกจากเส้นทางเดิมไปมาก การเดินทางให้ถึงเมืองหลวงภายในวันเดียวจึงเป็นไปไม่ได้ ค่ำวันนั้นทั้งห้าแวะพักแรมที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้ที่พักเป็นบ้านของสองผัวเมียคู่หนึ่งที่แบ่งห้องนอน และอาหารให้ทั้งคนและม้า ลีโอดีใจที่ได้อาบน้ำอุ่น ๆ หลังจากไม่ได้ทำมากกว่าล้างหน้ามาหลายวัน ได้อาหารและได้ที่นอนนุ่ม ๆ อบอุ่นก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาก ความเพลียทำให้เด็กน้อยเลยหลับไปตั้งแต่หัววัน แต่เหล่าอัศวินยังมีงานลับ ๆ ต้องทำ

“ได้เรื่องไหม” เลนนี่ถามขึ้นทันทีที่ราเชลเข้ามาในบ้าน ดึกปานนี้เจ้าของบ้านหลับไปแล้วรวมทั้งลีโอด้วย

“นิโคลควบคุมทุกอย่างได้แล้ว”

เดรทิชถาม “แล้วจูเลียนล่ะ”

“น่าจะถึงเมืองหลวงพรุ่งนี้ แต่ท่านหญิง..”

“อะไรทาร์เทียน่าทำไม” เสียงของเฮนริชมีแววกังวล กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับทาร์เทียน่า เพื่อนอัศวินทั้งสามหันมามองคนเขาคนเดียว

“ใจเย็นเฮนริช ข่าวว่าท่านหญิงหนีออกมาจากปราสาทตั้งแต่วันแรกที่ได้ข่าวจูเลียนถูกโจมตี”

“แล้ว..”

“ตอนนี้ยังไม่มีใครได้ข่าวของนางเลย”

“แม้แต่นิโคลหรือ” เฮนริชถามเสียงลอดไรฟัน เขากำลังขบกรามแน่น เพื่อระงับอะไรบางอย่างในความรู้สึก ทั้งเป็นห่วง ทั้งรู้สึกผิดที่ไม่อาจจะอยู่ดูแลนางได้ในเวลาที่นางต้องการ

“ข้าว่านางเอาตัวรอดได้” ราเชลบอก

“พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ถ้าออกเดินทางแต่เช้าเราน่าจะถึงก่อนตะวันตรงหัว” เดรทิชบอก

“พวกเจ้าไปพักก่อน เดี๋ยวข้าดูเวรยามให้” ราเชลกับเดรทิชมองเฮนริชนิ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองตบไหล่เพื่อนคนละที แล้วเดินไปพักผ่อนเงียบ ๆ

เลนนี่หันมาหาเฮนริช “เจ้าจะดูเวรยาม หรือเพราะคิดว่าคืนนี้ตัวเองคงนอนไม่หลับแน่ ๆ เลยจะไม่นอน”

“เจ้าจะพูดอะไร”

“ข้าว่านางเอาตัวรอดได้น่า อย่างน้อยนางก็เรียนการต่อสู้จากพวกเราไปเยอะ” เลนนี่พูดเหมือนจะปลอบแต่แววตากลับไม่ใช่เลย เฮนริชรู้ว่าเพื่อนก็เป็นห่วงนางไม่น้อยไปกว่ากัน

“นางก็แค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง” ถึงจะเชื่อในฝีมือของทาร์เทียน่า แต่เฮนริชก็อดแย้งออกมาอย่างเป็นห่วงไม่ได้

“หึ แต่นางกล้าหาญนะ”

“ใช่นางกล้าหาญมาก”

“ข้าเชื่อว่านางจะปลอดภัย”

“ข้าก็หวังเช่นนั้น”

“เราทุกคนก็เป็นห่วงนางกันทั้งนั้น เจ้าอย่าอยู่ให้ดึกนึกเดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงขี่ม้า จะได้นั่งให้ลีโอพากลับเมืองหลวงข้าจะขำให้” เฮนริชเพียงยกมุมปากขึ้นเหมือนจะยิ้มพลางส่ายหน้าน้อย ๆ ภาพอัศวินหนุ่มผู้เคร่งขรึมใบหน้าเรียบนิ่ง ดูดิบเถื่อนขึ้นเมื่อใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเครา เพราะขาดการดูแลหลายวัน ผิดกับเจ้าของใบหน้าหล่อขี้เล่นอย่างเลนนี่ ที่ยังดูสะอาดเกลี้ยงเกลาอยู่เหมือนเดิม

ต่อจ้ะ...
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 20 วีรกรรมของโกสต์ 100% 11/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 11-01-2019 22:49:54

เพราะออกเดินทางแต่เช้ามืด เร่งฝีเท้าม้าควบมาอย่างเต็มที่ สายของวันทั้งหมดก็พากันเดินทางเข้าถึงเขตเมืองหลวง แต่แทนที่จะใช้เส้นทางตรงตัดเข้ากลางเมือง ตรงไปยังเขตพระราชวังที่ประทับ เลนนี่กลับให้ทุกคนอ้อมไปอีกทาง ซึ่งไปโผล่ด้านหลังท้ายวัง ส่วนตัวเขาขี่ม้าอ้อมไปสังเกตการณ์ด้านหน้าแล้วจึงค่อยตามไปสมทบทีหลัง

“ทำไมเรามาทางนี้ล่ะ”

“ไปถึงเดี๋ยวเจ้าก็รู้เองนั่นแหละ”

“ข้าก็ไม่ได้ถามท่านนี่ ข้าแค่เปรยกับตัวเอง ทำไมต้องดุด้วย” ได้ยินอย่างนั้นเฮนริชเลยหันกลับไปมองลีโอตาดุกว่าเดิม แต่เด็กน้อยกำลังก้มมองต่ำเลยไม่เห็น หรือจะว่าให้ถูกคือลีโอไม่อยากสนใจคนผีเข้าผีออกเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแล้ว ไม่สนใจไม่พออ้อมแขนที่เคยกอดเอวเขาแน่น บัดนี้กลับคลายออก เฮนริชเงียบไม่พูดอะไรอีก เหมือนคนไม่มีอารมณ์จะพูดกับใคร เขามีเรื่องให้คิดและกังวลตั้งแต่เมื่อคืน เร่งม้าให้ทันราเชลกับเดรทิชที่ขี่ม้านำอยู่ข้างหน้า จนมาถึงจุดที่เลนนี่นัดพบกับฮานส์

“หยุดทำไมอีกล่ะ”

“ถึงแล้ว” วันนี้ทั้งวันที่เฮนริชเสียงดุตลอดเวลาพูดคุย เลยทำให้ลีโอไม่ชอบใจ แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าตั้งแต่เช้ามา เฮนริชหน้าตาเคร่งเครียดและเงียบขรึมผิดปกติ พอคุยกันลีโอที่มัวแต่น้อยใจเลยคิดไปว่าเฮนริชเอาแต่ดุตัวเอง แต่พอได้ยินว่าถึงแล้วเด็กน้อยเงยหน้าขึ้น จึงได้รู้ว่าตรงนี้เป็นท้ายวัง ที่จูเลียนเคยใช้เป็นทางออกตอนแอบพากันหนีไปเที่ยว

“ทำไมต้องมาทางนี้ด้วย” ลีโอพึมพำถามแต่ไม่ต้องการคำตอบ เงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ จนถึงประตูเล็ก ที่เปิดเข้าไปจะเป็นท้ายสวน มีทหารรักษาการณ์อยู่ไม่กี่คน เห็นคนที่ยืนอยู่ข้างประตูลีโอต้องตาโตอ้าปากค้างนิ่งอยู่เป็นครู่ ถึงสามารถเรียกสติกลับมาได้ พอสติกลับมาคำแรกที่หลุดออกจากปากอย่างตื่นเต้นก็คือ

“ฝ่าบาท! “และยังไม่ทันได้มีใครรู้ตัว ลีโอกระโดดลงจากหลังม้าวิ่งเข้าไปหาจูเลียนที่ยืนรออยู่ ท่าทางเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง เด็กน้อยยืนหายใจหอบจ้องมองเจ้าของร่างเพรียวระหงที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่วางตา

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทของลีโอจริง ๆ หรือ”

“แล้วเจ้าคิดว่าใครล่ะลีโอ” ความรู้สึกกังวลหนักอึ้ง ความห่วงหาอาวรณ์ ความกลัว ทุกความรู้สึกที่ลีโอแบกรับมาหลายวันตั้งแต่เกิดเรื่องกลายเป็นหยดน้ำใส ๆ ที่ไหลลงอาบสองข้างแก้ม ลีโอดีใจจนปากสั่น มือสั่น แม้ไม่อยากเชื่อสายตา แต่นี่คือสิ่งที่อยากเห็นไม่ใช่หรือ นี่คือสิ่งที่ลีโออ้อนวอนร้องขอทุกค่ำคืน ขอให้จูเลียนปลอดภัย และขอให้ได้กลับมาเจอกัน ขอให้จูเลียนกลับมาให้ลีโอได้รับใช้อีก

“เจ้าร้องไห้ทำไมลีโอ”

“ลีโอดีใจที่ได้เจอฝ่าบาท” เด็กน้อยสะอึกสะอื้นจนน่าสงสาร

“ข้าจะทำให้เจ้าดีใจยิ่งกว่านี้อีกคอยดูนะ มานี่สิ” จูเลียนรวบร่างบอบบางของลีโอไว้ในอ้อมกอดอย่างไม่ถือตัว และมันทำให้คนสนิทที่เทิดทูนจูเลียนเหนือชีวิตปลาบปลื้ม ลีโอเก็บความปีติไม่อยู่ ตอนแรกที่ร้องไห้เพราะดีใจที่เห็นจูเลียนปลอดภัย แม้จะรู้ว่ายังไงจูเลียนต้องปลอดภัยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เด็กน้อยร้องไห้เพราะความรัก และความเมตตาที่จูเลียนมอบให้ เพียงเท่านี้ แค่ความปรานีกับอ้อมกอดรับขวัญ ลีโอก็ปลาบปลื้มจนแทบระงับความดีใจไม่อยู่ ทั้งที่ก็ได้รับมาตลอด แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ลีโอหัวใจพองโตจนมีความสุขมากขนาดนี้



ขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในความยินดี ที่ได้กลับมาเจอกันอย่างปลอดภัยอยู่นั้น เลนนี่ที่ขี่ม้าไปสังเกตการณ์หน้าวังก็ขี่ม้าอ้อมมาสมทบพอดี และทันทีที่เห็นเจ้าของร่างกายสูงใหญ่กำยำในชุดสีดำสนิท ยืนอยู่มุมหนึ่งไม่ไกลจากจูเลียน เลนนี่กระโดดลงจากหลังม้าเดินเร็ว ๆ เข้ามากระชากคอเสื้อฮานส์อย่างโกรธจัด

“ฮานส์!! “เลนนี่ตะคอกเรียกฮานส์เสียงดังจนลีโอที่กอดจูเลียนอยู่สะดุ้ง ใบหน้าหล่อไม่เหลือเค้าของความขี้เล่น เพราะถูกทดแทนด้วยโทสะจนแดงก่ำ แต่คนที่ถูกกระชากคอเสื้อกลับยังยิ้มกริ่มอารมณ์ดี ฮานส์ไม่มีแม้แต่แววสะทกสะท้านกับโทสะของเพื่อน การได้แหย่ให้เลนนี่หลุดจากความเป็นสุภาพบุรุษเจ้าเสน่ห์ และคนขี้เล่นอารมณ์ดีได้ ถือเป็นภารกิจหนึ่งที่ฮานส์ไม่ยอมพลาดจะทำทุกครั้งถ้าเขามีโอกาส และครั้งนี้ก็เหนือความคาดหมายจริง ๆ ฮานส์ทำสำเร็จ ฮานส์ทำให้เลนนี่เดือดจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ เขายิ้มพอใจที่ได้เห็นโทสะของเพื่อนรัก

“นี่คือวิธีที่เจ้าทักทายเพื่อนรักหรือไงเลนนี่” ฮานส์อมยิ้มหรี่ตามองเพื่อนพลางส่ายหน้าน้อย ๆ เหมือนบอกว่าเลนนี่ไม่ได้เรื่อง ในเรื่องของการรักษามารยาท แต่ยังไม่ทันที่ฮานส์จะได้ยั่วโทสะเลนนี่มากไปกว่านี้ พลันกริชเล่มเล็กที่ปกติซ่อนไว้อย่างดี ก็จ่ออยู่ที่คอของฮานส์อย่าหมิ่นเหม่ รวดเร็วแทบมองตามไม่ทัน

“ข้าอยากทักทายเจ้าด้วยกริชของข้ามากกว่า”

“เลนนี่ใจเย็นหน่อย” เดรทิชปรามเบา ๆ วางมือข้างหนึ่งที่ไหล่เลนนี่คอยระวัง เผื่อเลนนี่จะเผลอแทงคอฮานส์จริง ๆ ส่วนเฮนริชกับราเชลยืนมองเงียบ ๆ จูเลียนกับลีโอตกใจนึกหวาดเสียวกับคมมีดเล่มเล็กที่จ่อคอ

“ข้ามีเรื่องต้องคุยกับฮานส์ พวกเจ้าพาฝ่าบาทเข้าไปก่อน ลอร์ดนิโคลรออยู่” สายตาของเลนนี่ไม่ได้ละไปจากฮานส์เลย ขณะที่พูดกับคนอื่น ๆ

“ข้าได้รับเกียรติให้เข้าไปด้วยหรือเปล่า” ฮานส์ถามยิ้ม ๆ บุ้ยใบ้ใบหน้าเข้าไปทางพระราชวังแกล้งยั่วความหงุดหงิดของเลนนี่

“หุบปากเจ้าซะฮานส์”

“อึก”

“เลนนี่ อย่า!! “



************************

ใครจะห้ามโทสะของเซอร์เลนนี่ได้

ใครจะรู้ว่าเฮนริชห่วงท่านหญิงมากกว่าใคร

มีใครรู้มั้ยว่าลีโอก็น้อยใจเป็น #ลีโอผู้เจียมตัว
เจอกันตอนหน้าจ้ะ
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 20 วีรกรรมของโกสต์ 100% 11/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 13-01-2019 16:57:19
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 21 แผนที่ผิดพลาด 50% 14/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 14-01-2019 21:50:55



เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 21 แผนที่ผิดพลาด



สวนกว้างที่ถูกจัดตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงามตระการตา แบ่งแต่ละส่วนออกสำหรับปลูกพืชพรรณไม้ที่ทนทานต่อสภาพอากาศและความหนาวเย็นหลายชนิด มีทางเดินเล็ก ๆ ภายในสวนแยกออกไปตามส่วนต่าง ๆ ไว้เดินทอดน่องชื่นชมบรรยากาศ ผ่านไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามลงตัว เข้ากันกับประติมากรรมหินอ่อนรูปทรงต่าง ๆ ที่ตั้งประดับกระจายอยู่ทั่วสวน บางช่วงเป็นไม้ประดับที่ถูกตัดแต่งกิ่งหลายรูปทรง ขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง บางช่วงเป็นไม้ดอกหลายสายพันธุ์ออกดอกชูช่อสวยงาม อย่างทิวลิปปลูกเป็นแถวเรียงขนาบทางเดิน รวมทั้งคอสมอสส์ เดซี่ ฮอนลี่ฮ็อค แอสเตอร์ คาร์เนชัน ดาห์เลีย และอีกหลายชนิดที่กำลังออกดอกอวดสีสันแข่งกันหลากสีจนละลานตา ที่ขาดไม่ได้คือลิลลี่สีขาวส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ ดอกไม้ที่ยุวกษัตริย์ทรงชื่นชอบเป็นพิเศษ จึงโปรดให้ปลูกไว้หลายแปลง รวมทั้งแถวข้างทางเดินปูแผ่นหินด้วย



ทางเดินแยกออกไปอีกทางนำไปสู่สนามหญ้ากว้าง เจ้าของปราสาทชอบใช้เป็นสถานที่นั่งจิบชายามบ่ายให้แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ที่ทอแสงส่องผ่านม่านหมอกและไอหนาวลงมาอาบร่าง คณะของกษัตริย์ที่แอบคืนสู่เมืองหลวงเดินผ่านสวนสวยไปเงียบ ๆ เพราะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ จูเลียนต้องไปให้ถึงปราสาทของตัวเองให้เร็วที่สุด ทางเดินสำหรับชมสวนคดเคี้ยว เพื่อในยามปกติสามารถเดินชมนกชมไม้ได้อย่างเพลิดเพลิน แต่เวลานี้ ความสวยงามที่ได้รับการดูแลอย่างดีรอให้เชยชม ถูกมองข้ามและเดินผ่านไม่อยู่ในสายตา ราวกับความสวยงามนั้นไม่มีค่าควรแก่การเสียเวลาหยุดชื่นชม



ทางเดินเล็กภายในสวนปูด้วยแผ่นหินสกัดเรียบ จูเลียนเดินนำ ตามด้วยเฮนริชและราเชล เดรทิชเดินตีคู่มาพร้อมลีโอ ไร้ทหารอื่นติดตาม เพราะยังไม่มีใครรู้ถึงการมาของจูเลียน สามอัศวินที่ยังไม่วางใจในสถานการณ์มีสีหน้าเคร่งเครียด จูเลียนเดินเงียบ ส่วนลีโอพอไม่ได้ยินใครเอ่ยอะไรออกมา รู้สึกถึงบรรยากาศที่เคร่งเครียดเลยพลอยเงียบไปด้วย ทุกคนรีบจ้ำเดินราวกับว่าธุระข้างหน้ารอไม่ได้ ต้องรีบไปสะสาง แต่พอพ้นหัวมุมเล็กที่สองข้างทางเป็นพุ่มไม้สูงเหนือหัว คณะคืนวังพลันต้องหยุดชะงัก เพราะหลุดเข้ามายืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของคมดาบ ที่กระจายล้อมทั้งหมดไว้ ถัดไปตามจุดต่าง ๆ มีพลธนูประจำการอีกชั้น อาวุธในมือพร้อมลูกดอกขึ้นสายเตรียมยิง เล็งมายังร่างของคนทั้งห้า ขยับเพียงนิดเดียวมีสิทธิ์โดนยิงร่างพรุนได้



“ถอยไปแล้วข้าจะไม่เอาผิดพวกเจ้า” จูเลียนเอ่ยขึ้นคำแรกด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ แต่คงไม่ทรงพลังมากพอที่ทหารแปรพักตร์พวกนี้จะกลัวเกรง

“ฝ่าบาท ยอมไปกับพวกข้าดี ๆ เถอะอย่าขัดขืน พวกข้าเพียงทำตามคำสั่ง” หัวหน้านายกองทหารกลุ่มนี้เอ่ยขึ้น ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าตัวเองเหนือกว่าทำให้จูเลียนยกมุมปากขึ้นเหมือนจะยิ้ม

“นี่หมายความว่ายังไง พวกเจ้าจะทำอะไร ใครสั่ง”

“ลอร์ดนิโคลัสสั่งให้พวกเรามาพาตัวฝ่าบาทไปพบ” จูเลียนหันไปมองเฮนริชที่ขยับมายืนประกบอยู่ข้าง ๆ สีหน้าของกษัตริย์หนุ่มน้อยบอกว่างงเต็มที่ เพราะยังไงก็ต้องไปหาอยู่แล้ว นิโคลไม่จำเป็นต้องให้ทหารมาคุมตัวไป นอกจากว่าทหารเหล่านี้แอบอ้างว่าเป็นคำสั่งของนิโคล!

จูเลียนสบตาอัศวินประจำตัวพยักหน้าให้บางเบา จนแทบไม่เห็นหากไม่สังเกตดี ๆ

“เป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าท่านพี่ของข้าใจร้อนอยากเจอหน้าน้องชายสุดที่รักเร็ว ๆ ข้าก็จะรีบไป นิโคลรอข้าอยู่ที่ไหนหรือ”

“สภาเล็กฝ่าบาท เชิญเสด็จ”

“ได้สิ”

“เดี๋ยวฝ่าบาท”

“มีอะไร” จูเลียนมองทหารต่ำศักดิ์กว่าด้วยหางตา ราวกับจะบอกกลาย ๆ ถึงสถานะที่ทหารชั้นต่ำไม่มีแม้แต่อำนาจจะมาสั่งให้จูเลียนไปไหนได้ไม่ได้ หรือกระทั่งสั่งให้หยุด

“อัศวินทิ้งสาม ไม่ได้รับอนุญาต”

“อัศวินประจำตัวกษัตริย์ก็ต้องอยู่ข้างกายข้าซึ่งเป็นกษัตริย์!” จูเลียนบอกอย่างไว้ตัวเพียงเท่านั้นก็เดินนำไป ตามด้วยเฮนริช ราเชล เดรทิชและลีโอที่เดินตัวลีบตามไปเงียบ ๆ คุมเข้มด้วยเหล่าทหารดูแตกจากการมาพาไปเป็นคุมตัวไปไม่มีผิด



จูเลียนเดินนำไปตามทางที่จะพาไปยังสภาเล็ก ซึ่งต้องเดินผ่านหอกลางอันเป็นรัฐสภา แต่เลี่ยงเดินออกมาอีกทาง เหลือบมองเฮนริชที่ทำสัญญาณบอกให้จูเลียนเดินไปเงียบ ๆ แต่อัศวินหนุ่มทั้งสามต่างกำลังคิดหาทางหนีทีไล่และระวังตัว เพราะมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่นอน จนเดินเข้ามาในหอกลางเพื่อจะเลี่ยงอ้อมออกไปยังห้องประชุมสภาเล็ก คนที่ได้รับการแอบอ้างคำสั่ง เดินออกจากมุมทางเดินมาประจันหน้ากันเข้าพอดี



เหล่าทหารที่เดินคุมคณะของจูเลียนมองอย่างแปลกใจ แต่จูเลียนยิ้มกว้างปรี่เข้าไปหาพี่ชาย

“จูเลียน เจ้ามาแล้วหรือ” นิโคลทักทายน้องทันที

“พี่ออกมารับข้าด้วยตัวเองเชียวหรือนิโคล ดีใจจังเลย”

“ใช่ไปเถอะ ขอบใจพวกเจ้า”

“ลอร์ดนิโคล!” นิโคลหยุด ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาหันไปทางหัวหน้านายกองทหารที่เรียกไว้ จูเลียนหันมายิ้มกว้างและไม่เปิดโอกาสให้ทหารได้พูดอะไรต่อ

“ขอบคุณ ที่พาข้ามาหาพี่ชาย ตอนนี้เราได้เจอกันแล้วคงหมดหน้าที่เจ้าล่ะ”

“แต่..” จูเลียนบอกเสียงเรียบอย่างถือตัวแต่สีหน้าสะใจ เกี่ยวแขนพี่ชายเดินย้อนกลับไปทางเดิมที่นิโคลเพิ่งเดินมา ตามด้วยอัศวินทั้งสามกับลีโอที่ถูกกันให้มาเดินตรงกลาง ทั้งหมดเดินผ่านหน้าเหล่าทหารที่ยืนมองอึ้ง เพราะหัวหน้าไม่ได้มีคำสั่งอะไร จึงพากันเงียบเหมือนเสียงกับคำพูดถูกกระชากออกจากตัว กว่าทหารพวกนั้นจะรู้ตัวคณะของจูเลียนก็เดินลับหายไปจากสายตาแล้ว

“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหมจูเลียน” นิโคลจับตัวจูเลียนให้หมุนไปรอบตัว เพื่อตรวจหาร่องรอยผิดปกติไปด้วย ตอนนี้สองพี่น้องกับคนอื่น ๆ ที่เดินตามมา อยู่ในปราสาทของจูเลียนเรียบร้อยแล้ว รอบปราสาทมีทหารของนิโคลคอยเฝ้าระวัง และตรวจตราความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

“ข้าไม่เป็นไรแต่พี่รู้ได้ยังไงว่าข้าจะถูกพาไปทางนั้น”

“เราอยู่ในสถานการณ์ที่ไว้ใจใครไม่ได้”

“มีคนของเราจับตาดูพวกมันอยู่ใช่ไหม ตกลงพวกนั้นเป็นใครกันแน่”

“เจ้าคิดว่าใครล่ะที่มีอำนาจมากพอจะทำเรื่องอย่างนี้ได้” นิโคลจ้องตาจูเลียนเขม็ง จนจูเลียนรู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่สั่นไหวขึ้นมาทันที เมื่อได้มองตอบสายตาที่เปลี่ยนไปของพี่ชาย จากที่เคยรู้สึกว่าถูกมองอย่างรักใคร่เอ็นดูอยู่เสมอ จนอบอุ่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้พี่ ตอนนี้กลับเปลี่ยนไป สายตานิโคลทั้งดุและแข็งกร้าวคุกคามน่ากลัว แต่ถึงจะกลัวจูเลียนก็ไม่ได้หลบตา ขาก้าวถอยห่างออกมาจากพี่ชายอีกสองสามก้าว นิโคลแสยะยิ้มในแบบที่จูเลียนไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ทำไมพี่ชายถึงได้เปลี่ยนไป แต่ความเปลี่ยนแปลงของนิโคลทำให้จูเลียนกลัว!

“คิดให้ดีนะ อย่าลืมว่าตัวเองเพิ่งผ่านอะไรมา”

“พี่..” จูเลียนส่ายหน้าเหมือนไม่ยอมรับ ไม่อยากเชื่อ นิโคลก้าวช้า ๆ เข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มที่จูเลียนไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น มันเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวที่สุด และไม่เหมาะจะอยู่บนใบหน้าของพี่ชายผู้ใจดีคนนี้เลยสักนิด ไม่เคยเห็นนิโคลยิ้มแบบนี้มาก่อน จูเลียนรู้สึกไม่ดี หันไปมองอัศวินประจำตัว ทั้งสามยังยืนนิ่ง สีหน้าเรียบนิ่งของเหล่าอัศวิน จูเลียนเดาไม่ถูกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พอหันไปทางลีโอเด็กน้อยก็เอาแต่ยืนมองนิโคลอึ้ง ๆ ท่าทางลีโอก็ดูแปลกไปเหมือนคนกำลังกลัว

“ว่าไงจูเลียน” รอยยิ้มนิโคลดูเหี้ยมเกรียม จูเลียนรู้สึกได้ถึงขนอ่อนในร่างกายลุกซู่ขึ้นมาทันที เหมือนมีอำนาจอะไรบางอย่างสะกดให้มองนิ่ง ในหัวคิดตามคำพูดพี่ชาย ทบทวนทีละคำจนเริ่มเห็นตาม คนที่มีอำนาจมากพอจะทำเรื่องอย่างนี้ คนที่มีอำนาจพอจะสั่งทหารพวกนี้ให้แปรพักตร์ แล้วหันคมดาบเข้าหากษัตริย์ได้ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน

และคนที่มีอำนาจมากที่สุดคือ..

คนที่ยืนอยู่ต่อหน้าจูเลียนนี่เอง!

ยิ่งคิดดวงเนตรสีมรกตยิ่งเบิกโตขึ้นเรื่อย ๆ “นิโคล พี่! “

“พอเถอะน่านิโคล พี่ทำให้กษัตริย์น้อยของเรากลัวนะ”

“เทียน่าเจ้า..ไหนว่า” จูเลียนดีใจกับการปรากฏตัวของทาร์เทียน่า และใครบางคนที่ยืนเงียบ ๆ อยู่ข้างหลังก็เช่นกัน เขาถึงกับรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเสียงของนาง เฮนริชแอบถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอกจนลีโอหันไปมอง ดวงตาเด็กน้อยที่เคยเป็นประกายกลับหม่นแสงลงโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองเห็นสีหน้าโล่งใจของอัศวินหนุ่ม ลีโอรักและเทิดทูนเจ้าหญิงทาร์เทียน่า เมื่อรู้ว่านางหนีไปก็ห่วงใยไม่น้อยกว่าใคร แต่ความดีใจที่เห็นนางปลอดภัย มันแฝงไปด้วยความหม่นเศร้าที่ก่อตัวเงียบ ๆ ขึ้นในอก



เจ้าหญิงทาร์เทียน่าพาร่างอรชรที่สง่างามสมความสูงศักดิ์ เดินเชิดระหงออกมาจากมุมหนึ่งของห้อง หลังจากที่แอบฟังทุกคนคุยกันอยู่ตั้งแต่แรก



“ข้าได้ยินว่าเจ้าหนีออกจากปราสาท แต่ดูท่าทางเจ้าจะสบายดีเกินสภาพคนหลบหนีนะเทียน่า แล้วหมายความว่ายังไงเรื่องที่นิโคลพูด”

“หึ พี่เล่าเถอะข้าขี้เกียจพูด เซอร์เฮนริช เซอร์ราเชลได้ข่าวว่าท่านทั้งสองเจอเรื่องสนุกมาใช่ไหม” ทาร์เทียน่าบอกปัดเรื่องเครียดหันไปหาอัศวินทั้งสองที่ยืนถัดจากจูเลียนไป

“สนุกมากท่านหญิง ข้าสนุกจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเลย” ราเชลตอบติดตลกพร้อมรอยยิ้มอารมณ์ดีพลางส่ายหน้าน้อย ๆ ให้กับเรื่องสนุกที่ทาร์เทียน่าพูดถึง มันตื่นเต้นเพราะเดิมพันด้วยชีวิต แต่พอผ่านไปแล้วและรอดชีวิตมาได้ ก็กลายเป็นแค่เรื่องสนุกที่ตื่นเต้นท้าทาย นางเข้าใจเปรียบเทียบจริง ๆ เฮนริชเพียงยิ้มให้นางบาง ๆ และค้อมหัวลงให้นางเล็กน้อยไม่พูดอะไร

“มันต้องท้าทายมากแน่ ๆ ล่ะใช่ไหมเซอร์เฮนริช ท่านเงียบไปนะ”

“ท่านหญิงโปรดอภัย ข้าเพียงแต่กำลังดีใจที่ทุกคนปลอดภัย”

“ไม่รู้จะปลอดภัยจริง ๆ กันหรือยังนะสิ เป็นยังไงลีโอ สนุกใหญ่เลยสิเจ้าน่ะ”

“ลีโอกลัวแทบตายท่านหญิง แต่ไม่รู้จะเรียกสนุกได้หรือเปล่า เซอร์เฮนริชก็ได้รับบาดเจ็บด้วย” ท้ายเสียงของลีโอแผ่วลงด้วยว่ายังเป็นห่วงอัศวินบาดเจ็บที่ลีโอรับหน้าที่ดูแลมาหลายวัน ร่วมสัมผัสถึงความทรมานของพิษบาดแผลอย่าเป็นห่วง และได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของอัศวินหนุ่ม ที่เข้มแข็งและต่อสู้จนผ่านช่วงเวลาอ่อนแอมาได้ ทาร์เทียน่าหันไปทางเฮนริช เลิกคิ้วโก่งสวยของนางขึ้น เหมือนจะถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง



เฮนริชค้อมหัวลงเล็กน้อย ในใจมีแต่ความปีติที่นางให้ความใส่ใจในสุขภาพ “ข้าไม่เป็นไรท่านหญิง ตอนนี้บาดแผลดีขึ้นมากแล้ว”

“ดีแล้วที่ท่านไม่เป็นไร ว่าแต่ท่านล่ะเซอร์เดรทิชไปทันเรื่องสนุกกับเขาไหม”

เดรทิชยิ้มบาง ๆ ให้นางพลางส่ายหน้า “ข้าพลาดไปอย่างน่าเสียดายท่านหญิง”

“แล้วเซอร์เลนนี่ล่ะ” ดวงเนตรสวยสีเดียวกันกับจูเลียนมองเลยไปด้านหลังของเดรทิชหาคนที่นางกำลังถามถึง

“เดี๋ยวก็ตามมา ว่าแต่เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะเทียน่า” จูเลียนขัดขึ้นเสียก่อนที่ทาร์เทียน่าจะได้ถามสารทุกข์สุกดิบครบทุกคน เพราะยังคาใจเรื่องที่นางพูดค้างไว้

“เรื่องอะไร”

“ที่เจ้าพูดกับนิโคลตอนเดินมา” จูเลียนหันกลับไปมองนิโคล สีหน้าเหี้ยมเกรียมกับแววตาดุโหดน่ากลัวหายไปแล้ว เหลือเพียงใบหน้าหล่อละมุนเกลี้ยงเกลาที่ดูใจดีเสมอ แบบที่จูเลียนจำได้มาตลอด กษัตริย์หนุ่มน้อยมองพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ กำลังสงสัยว่านิโคลอยากบอกอะไรกันแน่ หรือจะเป็นอย่างที่จูเลียนคิด พอนึกได้ว่าคิดอะไรตอนนิโคลถาม จูเลียนให้นึกโกรธตัวเองที่คิดกับพี่ชายแบบนั้น ถึงนิโคลจะกุมอำนาจมากมาย และมีกองทัพมากกว่าครึ่งอยู่ในมือ จูเลียนก็ไม่เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นคำสั่งของพี่ชายจริง!

“ให้นิโคลบอกเจ้าเองสิข้าบอกแล้วไงว่าขี้เกียจพูดอีก ตอนนี้ข้ากำลังซ่อนตัวอยู่ พวกเจ้าห้ามพูดไปนะว่าเจอข้าอยู่ที่นี่วันนี้ ข้าซ่อนตัวดีแล้ว”

“ทำไมล่ะ”

“ข้ายังอยากให้คนคิดว่าข้าหนีออกจากปราสาทไปแล้ว”

“เพื่อให้เจ้าได้แอบฟังคนอื่นคุยกันง่ายขึ้นใช่ไหม” จูเลียนรู้ทันทาร์เทียน่าว่านางคงใช้ทางลับที่รู้กันอยู่ไม่กี่คนในการหลบซ่อนตัว และทำราวกับว่านางไม่ได้กำลังอยู่ในวัง คอยลัดเลาะสอดส่องไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อสืบข่าว ความซุกซนของนางพาไปเจอเรื่องราวมากมาย จนเกือบจะเรียกได้ว่าสอดรู้สอดเห็น แต่นางก็ฟังเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์เท่านั้น

“นิโคล พี่จะไม่บอกอะไรข้าหน่อยหรือไง”

“เจ้าคิดว่ายังไงจูเลียน เอาความจริงที่เจ้าคิดเมื่อครู่นะ เจ้าคิดอะไรอยู่” จูเลียนชะงัก ความคิดชั่ววูบที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กลับมาอีกครั้ง กษัตริย์หนุ่มน้อยมองหน้าพี่ชายนิ่ง ในความอบอุ่นอ่อนโยนใจดีของนิโคล จูเลียนรู้ว่ามันแฝงไปด้วยความเข้มแข็ง แข็งแกร่ง ดุดันและเด็ดขาดจริงจัง พี่ชายใจดีอย่างนิโคลยามดีก็ดีที่สุด แต่ก็เด็ดขาดที่สุด เป็นผู้นำ เป็นคนที่จูเลียนเกรงใจและเชื่อฟังที่สุด แต่ก็ดื้อด้วยที่สุดเหมือนกัน

“นิโคลข้าขอโทษ” จูเลียนก้มหน้าหลบตาพี่ชายที่มองนิ่งรอคำสารภาพ

“เจ้าขอโทษพี่เรื่องอะไร”

“ข้า เผลอคิดไม่ดีกับพี่นะสิ คิดว่าพี่อาจจะ..”

“อาจจะอะไร” นิโคลจี้ถามอยากให้จูเลียนพูดสิ่งที่คิดออกมาตรง ๆ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจูเลียนเผลอคิดเรื่องอะไร มันเดาได้ไม่อยาก เพราะเขาตั้งใจให้จูเลียนคิดไปทางนั้นอยู่แล้ว

“อาจจะเป็นคนที่มีอำนาจคนนั้น” ดวงเนตรสวยช้อนขึ้นมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ที่จ้องตอบกลับมานิ่ง ๆ แววตาจูเลียนสั่นไหว ด้วยถูกความรู้สึกที่สับสนของตัวเองกดดัน

“ที่สามารถสั่งการทหารไปดักเอาตัวเจ้ามา” จูเลียนอมลมพยักหน้าน้อย ๆ ยอมรับ “แล้วไงต่อ”

“แต่ข้าไม่เชื่อว่านั่นเป็นคำสั่งของพี่”

“แล้วไงอีก”

“เพราะพี่คงไม่สั่งให้ทหารชี้ดาบเล็งธนูมาที่ข้าแน่ ข้าไม่มีวันเชื่อว่านิโคลจะหันคมดาบมาทางจูเลียน”

“เจ้าเชื่อใจข้าได้หรือไง” แววตาแบบนั้นกลับมาอีกแล้ว แววตาที่จูเลียนเห็นและรู้สึกสะท้านในอก มันหวิวแปลก ๆ จนไม่อยากเห็น จูเลียนอยากเห็นแค่แววตาอ่อนโยน จูเลียนเคยชินแค่สายตาอบอุ่นที่จ้องมอง ราวกับได้รับความรักจากพี่ชายอยู่ตลอดเวลามากกว่า

“เราเป็นพี่น้องกันนะนิโคล ถึงจะมีสายเลือดเพียงครึ่งเดียวในกายเพราะคนละแม่ แต่เราก็คือสายเลือดเดียวกัน ข้ารักพี่ และข้าก็ไม่เชื่อว่าพี่จะไม่รักข้าด้วย”

ต่อจ้าาาา
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 21 แผนที่ผิดพลาด 50% 14/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 14-01-2019 21:51:20


“ความรักในสายเลือดพี่น้องกับอำนาจมันไปด้วยกันไม่ได้หรอกนะจูเลียน ถ้าข้าต้องการอำนาจทั้งหมดของเจ้าซะอย่าง ความรักในสายเลือดมันจะไม่มีความหมายเลย” จูเลียนมองตานิโคลนิ่ง แต่ในความนิ่งนั้นหนุ่มน้อยกำลังค้นหาอะไรบางอย่างในส่วนลึกที่ลึกที่สุด จากคำพูดของพี่ชาย นิโคลยังมองตอบนิ่งไม่พูด ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา จนจูเลียนส่ายหน้าน้อย ๆ นึกขำสิ่งที่พี่ชายบอกอย่างไม่มีเหตุผล และมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นไม่รู้ตัว เป็นจูเลียนมาตลอดเสนอสิ่งที่ตัวเองมีและเป็นอยู่ทุกวันนี้ให้พี่ชาย แม้จะทำงานแทนจูเลียนทุกอย่าง แต่นิโคลก็ปฏิเสธตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้มาตลอดเช่นกัน และยอมอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าน้องอย่างยินดี ราวกับตำแหน่งกษัตริย์ไม่มีความหมายอะไรเลย กลิ่นของอำนาจอันหอมหวานไม่มีอิทธิพลกับนิโคลด้วยซ้ำ

“สำหรับคนอื่นข้าไม่รู้นิโคล แต่สำหรับเราระหว่างพี่กับข้าและทาร์เทียน่า เราไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้น พี่แค่ต้องการสอนอะไรบางอย่างให้ข้าใช่ไหม” นิโคลยิ้มอ่อนให้น้อง มันเป็นยิ้มที่สดใสอบอุ่นราวแสงแดดยามเช้าที่ส่องลงมาไล่ความหนาวเย็นของเหมันตฤดู รอยยิ้มที่จูเลียนชอบเห็นเพราะทำให้อุ่นใจได้เสมอ

“เจ้าก็รู้แล้วนี่จูเลียน ยังจะมาถามอีกทำไม” ทาร์เทียน่าที่เงียบไปนานแทรกขึ้น จูเลียนหันไปมองนาง รู้สึกว่ามีหลายอย่างที่ทาร์เทียน่ารู้แต่จูเลียนกลับเหมือนไม่รู้อะไรสักอย่าง

“เราต้องเชื่อใจกัน พอ ๆ กับต้องรู้ให้เท่าทันกัน วันนี้เจ้าทำได้ดีจูเลียน เพราะอย่างที่เจ้าบอกว่าพี่ไม่มีวันให้ใครหันอาวุธไปหาเจ้า แต่ถึงอย่างนั้นต่อจากนี้เจ้าก็ต้องระวังตัวเองเสมอ ศัตรูอาจจะอยู่บนเตียงข้างกายเจ้าก็ได้!”

“พี่จะบอกว่าข้าเชื่อใจใครไม่ได้เลยหรือไงนิโคล”

“เชื่อได้สิ แต่ในความเชื่อใจเจ้าต้องใช้ไหวพริบด้วย จริงที่ข้าสั่งทหารให้ไปพาเจ้ามาที่สภาเล็ก”

“นิโคล! แต่พวกนั้นไม่ได้พาไปเฉย ๆ พวกเขาบังคับข้า ทั้งถือดาบ ทั้งพลธนูยังเล็งลูกธนูมาทางข้าเต็ม ๆ เลย”

“เจ้ากลัวไหมล่ะ”

“ก็กลัว แต่ข้าจะหาทางเอาตัวรอดให้ได้” ผู้เป็นพี่ชายยิ้มราวกับกำลังสมใจ

“ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจ้าต้องบอกว่า มีอัศวินอยู่ด้วยตั้งสามคนแค่นี้เจ้าไม่กลัว” ฟังนะจูเลียนไม่มีใครสามารถปกป้องเจ้าได้ตลอด ถ้าเจ้าไม่คิดจะปกป้องตัวเองก่อน อยู่ดี ๆ คำพูดของฮานส์ก็ดังก้องขึ้นมาในหัว จูเลียนใส่ใจสิ่งที่ฮานส์บอกโดยไม่รู้ตัว

“ก็ ข้าก็ต้องหาวิธีปกป้องตัวด้วยสิ จะให้รอแต่คนอื่นปกป้องหรือไง”

“เจ้าคิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว ให้พาตัวเจ้าไปที่สภาเล็กเป็นคำสั่งของข้าก็จริง แต่คนรับคำสั่งต่อจากข้าไปสั่งทหารอีกทีต่างหากที่เป็นตัวการ”

“ข้ารู้ว่าพี่ไม่มีทางให้ไปหาที่สภาเล็กในเวลาอย่างนี้แน่นอน”

“แต่เจ้าก็ยังไป”

“ข้าจะหาทางหนีออกมาทีหลังต่างหาก พี่ก็เห็นมีทหารเต็มไปหมด ถ้าข้าไม่ยอม ทหารเยอะขนาดนั้นอัศวินสามคนของข้าคงต้านไม่ไหว ลีโอก็อาจจะเป็นอันตรายไปด้วย ข้าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงขนาดนั้นหรอก ที่นี่คือเมืองหลวง เมืองของข้าปราสาทของข้า ข้าย่อมรู้จักมันดี” นิโคลมองน้องชายผู้ไม่เคยสนใจคิดอะไรรอบคอบอย่างนี้มาก่อน ด้วยตาสายตาแปลกไป หายไปไม่กี่วันความคิดอ่านของจูเลียนเปลี่ยนไปมาก ฉลาดรู้ทันคนขึ้น รอบคอบขึ้น มีไหวพริบขึ้น หลายสิ่งอย่างอย่างที่นิโคลและคนรอบข้างที่หวังดีต่อจูเลียนจริง ๆ เคยเป็นห่วงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น นิโคลนึกถามตัวเองว่าเขาควรขอบคุณอะไรดี ระหว่างพวกที่คอยลอบทำร้ายจูเลียนหลายครั้ง หรือช่วงเวลาหลบหนีที่ลอร์ดหนุ่มยังไม่รู้รายละเอียด นิโคลชักอยากรู้เต็มทีแล้วว่าอะไรทำให้จูเลียนเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนเจ้าคงไม่สน”

“ตอนนี้ข้าสนแล้วไง สมใจพี่หรือยังนิโคล” จูเลียนชักไม่พอใจอย่างไม่มีเหตุผล ในความเปลี่ยนแปลงยังเป็นแค่บางส่วนไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย หนุ่มน้อยผู้ดื้อรั้นเอาแต่ใจคนเดิมก็ยังเหลือความเป็นตัวเองอยู่พอสมควร

“เจ้าทำได้ดีจูเลียน ไปพักผ่อนเถอะไป”

“เดี๋ยวลีโอจะไปเตรียมน้ำอุ่นให้ฝ่าบาทได้นอนแช่สบาย ๆ ” ลีโอได้โอกาสรีบเอาใจเจ้านาย เพราะถูกนิโคลอบรมสั่งสอนกลาย ๆ ตั้งแต่มาถึงนานเกินไป เด็กน้อยนึกเป็นห่วง

“เจ้าเองก็ควรพักก่อนเถอะลีโอ คงเหนื่อยมาพอกัน” นิโคลยังมีสายตาเอ็นดูให้ลีโอไม่เปลี่ยน เมื่อหันมาบอก

“แต่นั่นเป็นหน้าที่ของลีโอนี่นาลอร์ดนิโคล”

“แค่วันนี้วันเดียว เจ้าพักซะหน้าที่นี้มีคนมาทำแทนแล้ว” คำว่ามีคนมาทำแทนทำให้ลีโอใจหาย ไม่ว่าเหนื่อยหนักแค่ไหน หน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่ ที่ลีโอไม่มีวันเอาความเหนื่อยล้ามาอ้าง เพื่อไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง เด็กน้อยมองหน้าลอร์ดหนุ่มสีหน้าน่าสงสาร

“แต่ลีโอ..”

“นี่คำสั่งข้าไม่มีความหมายอะไรกับเจ้าเลยหรือไงเด็กน้อย แค่วันเดียวน่า” นิโคลเข้าใจความรู้สึกของลีโอดีจึงบอกยิ้ม ๆ

“แค่วันเดียวจริง ๆ นะขอรับลอร์ดนิโคล” ลอร์ดหนุ่มยิ้มใจดีให้เด็กน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า ลีโอหันไปทางจูเลียนสายตาหม่นลงทันทีที่เจ้านายเหนือหัวพยักหน้าเบา ๆ แทนการบอกให้ลีโอทำตามที่นิโคลสั่ง แต่เห็นลีโอยังยืนทำหน้าหงอยอยู่จูเลียนเลยต้องสั่งจริง ๆ

“เจ้าไปพักได้แล้วลีโอ”

“งั้นข้าก็ไปพักดีกว่า” ทาร์เทียน่าบอกแล้วเดินออกจากห้องนั้นไป ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่มองส่งนางต่างความรู้สึก เฮนริชมองอย่างเจียมตัว เจียมหัวใจ แค่ได้เห็นว่านางยังปลอดภัยอยู่ดีเท่านี้เขาก็สบายใจแล้ว นิโคลมองด้วยสายตาเป็นห่วงน้องสาว แม้จะรู้ว่านางเก่งและเอาตัวรอดได้ คนเป็นพี่ก็ไม่เคยวางใจ

“เจ้าก็พักผ่อนเถอะ” นิโคลบอกจูเลียนแล้วหันไปทางอัศวินทั้งสามที่ยืนเงียบอยู่ “ส่วนพวกเจ้าก็น่าจะพักได้แล้วนะ ไม่ต้องห่วงรอบปราสาทมีเวรยามแน่นหนาพอ ตามข้ามาสิ” นั่นหมายความว่าอัศวินทั้งสามและคนที่สี่อย่างเลนนี่ที่กำลังตามมาสมทบ อาจจะยังไม่ได้พักเร็ว ๆ นี้ จนกว่านิโคลจะรู้เรื่องทั้งหมดโดยละเอียด



***********************

50% จ้า
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 21 แผนที่ผิดพลาด 50% 14/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 21-01-2019 08:51:59
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 21 แผนที่ผิดพลาด 100% 21/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 21-01-2019 20:41:02


ต่อ...

*ทำใจก่อนอ่านนะ หรืออาจจะไม่ต้อง หุหุหุ



จูเลียนไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอหลับคาอ่างน้ำอุ่น ๆ ไปนานขนาดไหน ด้วยคำสั่งที่ห้ามใครรบกวน ตื่นมาอีกรอบร่างเพรียวระหงจึงยังนอนแช่อยู่ในอ่างหรูหราใบขนาดพอดี ภายในห้องอาบน้ำที่มิดชิดยังอบอวลไปด้วยไอน้ำอุ่น กรุ่นกลิ่นน้ำมันหอมระเหยขจรกำจายไปทั่วห้อง พาให้รู้สึกผ่อนคลาย อ่างอาบน้ำหรูหราทำจากไม้โอ๊คทรงยาวรีขนาดพอดีสำหรับคนตัวโต ๆ นอนแช่ได้สบายวางไว้กลางห้อง ในอ่างบรรจุน้ำอุ่นสีขาวนวล ลอยด้วยกลีบดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ที่ไม่ใช่แค่ของนำมาประดับในอ่าง หากแต่มันยังมีคุณสมบัติเป็นสมุนไพรที่ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เมื่อรับกลิ่นเข้าไปช่วยให้ความรู้สึกสบายตัวจนเผลอหลับไปอย่างที่จูเลียนเป็น



ร่างเพรียวระหงยังแช่ตัวจมอยู่ในสายน้ำอุ่น เอนหลังพิงขอบอ่างหลับตาพริ้ม เด็กรับใช้ถูกไล่ออกไปรอข้างนอกห้ามไม่ให้รบกวนโดยเด็ดขาด หากไม่ใช่ลีโอจูเลียนก็ไม่อนุญาตให้ใครอยู่ใกล้ยามอาบน้ำ



จูเลียนนอนหลับคาอ่างไปแล้ว ตื่นมาอีกรอบแต่ก็ยังไม่ยอมลืมตา ความอุ่นของน้ำยังคงที่ไม่คลายอุณหภูมิ จึงอยากนอนต่อไปเรื่อย ๆ ความอ่อนล้าความเพลียหมดไป เหลือเพียงความรู้สึกสบายตัว จึงนอนคิดอะไรเพลิน ๆ ตั้งแต่คิดถึงคนรักอย่างกรอสเซ่ ที่ได้อาศัยถามข่าวคราวจากอัศวินประจำตัวอย่างราเชล ที่ช่วยให้หลบหนีการปองร้ายไปด้วยกัน ได้ความว่าเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย เท่านั้นจูเลียนก็พอใจแล้ว คิดว่าเดี๋ยวคงให้ใครไปเรียกตัวมาเจอกัน คิดถึงการเดินทางตลอดหลายวันที่ต้องขี่ม้าเป็นระยะทางไกล ท่ามกลางความหนาวเย็น



ทั้งที่หลับตาจูเลียนยังเผยยิ้มบาง ๆ ออกมา เมื่อคิดถึงคนร่วมเดินทางที่คอยดูแลปกป้อง ทั้งที่ปากบอกว่าไม่ยอมปกป้องดูแลใคร แต่ใครคนนั้นก็ดูแลจูเลียนมาเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไร ภาพสุดท้ายที่จูเลียนเห็นคือใครคนนั้นถูกอัศวินของจูเลียน เอามีดจ่อคืออย่างหมิ่นเหม่ดูน่าหวาดเสียว จากที่เฮนริชบอก ว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนรักกัน คิดว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรงถึงชีวิต จูเลียนเองก็ต้องรีบเข้าวังเพื่อจัดการเรื่องของตัวเองเลยไม่ทันได้ทำอะไร อย่างน้อยจูเลียนก็น่าจะตอบแทนใครคนนั้นที่ช่วยดูแล ถึงแม้จะเป็นการดูแลที่ไม่อาจเรียกได้ว่าดีที่สุด เพราะนอกจากจะแกล้งให้จูเลียนลำบากโดยไม่จำเป็นแล้ว ใครคนนั้นยังแกล้งจูเลียนเล่น ๆ เอาสนุก ๆ ไม่สนด้วยซ้ำว่าจูเลียนเป็นถึงกษัตริย์ แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่ามีความดีความชอบ เพราะถ้าไม่มีเขา จูเลียนอาจจะกลายเป็นศพอยู่ใต้ภูเขาหิมะ หรือหนาวตายอยู่กลางป่า คงไม่มีชีวิตรอดกลับมานอนแช่น้ำอุ่น ๆ จนสบายตัวอยู่อย่างนี้



“ฮานส์! “ดวงเนตรสีเขียวกระจ่างเปล่งประกายแวววาวปานลูกแก้ว เปิดขึ้นทันทีที่คิดถึงใครบางคน ใครบางคนที่ร่วมทางร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาช่วงเวลาหนึ่ง ตอนนี้จูเลียนคืนสู่วัง ประทับในปราสาทโอ่อ่าท่ามกลางการคุ้มกันอารักขาเข้มงวดและปลอดภัย แต่กลับลืมใครบางคนที่ร่วมทางกันมาเสียสนิท



จูเลียนลุกพรวดขึ้นจากอ่างน้ำ ร่างระหงที่เปลือยเปล่าอวดสรีระสง่างามสมฐานันดร ความเพรียวกับกล้ามเนื้ออันน้อยนิด ที่ยังพอบ่งบอกได้ว่าเป็นชายทำให้ร่างระหงน่ามองน่าทะนุถนอมขึ้น หนุ่มน้อยเดินไปหยิบเสื้อคลุมแพรบุผ้าขนสัตว์สำหรับฤดูหนาวมาคลุมร่าง แล้วจึงเยื้องย่างเข้าชั้นบังตาเพื่อสวมใส่ฉลองพระองค์ ซึ่งทุกขั้นตอนเหล่านี้จูเลียนต้องทำเอง เพราะปล่อยให้คนสนิทไปพักผ่อน นอกจากลีโอจูเลียนไม่เคยอนุญาตให้ใครได้เข้าใกล้ในเวลาส่วนตัวเช่นนี้



แม้จะมีแสงแดดอ่อน ๆ ยามบ่ายให้ความอบอุ่นไปทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นก็ยังคงอยู่มิคลาย กษัตริย์หนุ่มน้อยในฉลองพระองค์ชุดใหม่ ภายในเป็นผ้าขนสัตว์เนื้อดีที่ให้ความรู้สึกอุ่นสบาย สวมทับอีกชั้นด้วยเสื้อตัวนอกที่ตัดเย็บจากหนังเนื้อนิ่มตอกลายประณีตขึ้นเงาสวย ฉลองพระองค์สีน้ำตาลอ่อนเหลือบทองเสริมให้จูเลียนดูสง่างาม มากกว่าหนุ่มน้อยที่เดินทางรอนแรมกลางป่าท่ามกลางหิมะและความหนาวเย็นเป็นไหน ๆ เจ้าของใบหน้านวลผ่องและนัยน์ตาสีสวยเดินเร็ว ๆ ออกจากห้อง กวาดตามองไปทั่วหวังจะมีใครสักคนตอบในสิ่งที่อยากรู้ ซึ่งก็คงจะเป็นหนึ่งในสี่ของอัศวินประจำตัว แต่ยังไม่ทันได้เจอหน้าอัศวินของตัวเอง ใครบางคนที่ไม่คิดว่าได้พบในเร็ววันนี้ ก็มาให้เห็นหน้ากันอย่างไม่คาดคิด



“ฝ่าบาท ยอดรักของข้า” ร่างสะโอดสะองที่เดินเร็ว ๆ เข้ามาให้ทำให้จูเลียนยิ้มกว้าง

“กรอสเซ่ เจ้ามาหาข้าหรือ”

“ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทกลับมาแล้ว ข้าดีใจจนทนรอไม่ไหวเลยรีบมาเข้าเฝ้า” จูเลียนโผเข้ากอดคนรัก ปากพร่ำบอกความคิดถึงถามไถ่ จนเป็นครู่กอดอุ่น ๆ จึงคลายออกด้วยสองมือของกวีหนุ่มที่ผลักร่างระหงให้ห่าง สายตาไร้แววตื่นเต้นที่จูเลียนมองไม่เห็นความเฉยชา กวาดมองพระวรกายเพรียวระหงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

รอยยิ้มไร้ความเสน่หาแย้มออกมายามกวีหนุ่มเอ่ยคำ “ฝ่าบาทปลอดภัยกลับมาข้าก็ดีใจที่สุดแล้ว”

“ข้าปลอดภัย ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้าอีกกรอสเซ่ ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่”

“กรอสเซ่ก็เป็นห่วงฝ่าบาทเหมือนกัน ข้ามันแย่ที่ไม่สามารถปกป้องฝ่าบาทได้”

“อย่าคิดมากเลย เจ้าเป็นคนรักของข้านะ หน้าที่ปกป้องเป็นของอัศวินต่างหากเล่า”

“จูเลียนทรงกรุณาต่อข้าตลอด อย่างนี้จะไม่ให้ข้าถวายหัวใจและความรักต่อฝ่าบาทได้อย่างไร” จูเลียนยิ้มพอใจคำหวานที่คนรักเอื้อนเอ่ย จนลืมเหตุผลที่ทำให้รีบลุกจากอ่างน้ำอุ่นที่กำลังแช่อย่างสบายใจ รีบแต่งตัวออกมาเสียสิ้น ทั้งสองเดินคุยกันลงไปที่สวน มีทหารอารักขาของนิโคลเดินตามไปเงียบ ๆ



*************************



“ลอร์ดนิโคล”

“ท่านรัฐมนตรีมาหาข้าถึงนี่เชียว” นิโคลทักทายโจเซฟเผื่อแผ่การทักทายด้วยการพยักหน้าไปให้โทมัสที่เดินตามหลังพี่ชายเข้ามาด้วย รัฐมนตรีวัยกลางคนมองบุรุษหนุ่มทั้งสี่ในชุดเกราะทองเงาวาวน่าเกรงขาม อันเป็นเครื่องประดับยศของอัศวินประจำตัวกษัตริย์แล้วหันไปทางนิโคล สายตาของชายวัยกลางคนส่งสัญญาณบอกว่าต้องการการพูดคุยที่เป็นส่วนตัว

นิโคลเพียงพยักหน้าเบา ๆ อัศวินประจำตัวจูเลียนทั้งสี่ก็ออกจากห้องไปเงียบ ๆ “ข้ากำลังสอบสวนเรื่องการเดินทางกับอัศวินประจำตัวกษัตริย์ แต่ท่านคงมีเรื่องด่วนกว่า”

“สอบสวนแล้วได้ความว่ายังไงบ้างล่ะ ถึงบรรยากาศมันจะไม่คล้ายการสอบสวนเท่าไหร่ก็เถอะ” อดไม่ได้ที่จะจับผิดท่าทีของลอร์ดหนุ่มที่หวังดึงมาเข้าพวก

“ก็อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่าจูเลียนถูกโจมตีโดยทหารรับจ้าง ที่ร่วมมือกับทหารจากเมืองหลวงจำนวนหนึ่ง ถ้าจะว่ากันจริง ๆ ทหารจำนวนนั้นก็ไม่น้อยเลย”

“แล้วท่านจะจัดการยังไงต่อไปลอร์ดนิโคล ข้าเผยหน้าตักตัวเองแล้วนะและข้ายืนยันจะอยู่ข้างท่าน ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าทหารจากเมืองหลวงนั่นก็เป็นทหารที่ข้าส่งออกไป” นิโคลเงียบ ดวงตาที่มีแววอ่อนโยนอยู่เสมอมองชายวัยกลางคนนิ่ง ดวงตาที่โจเซฟมองว่ามันอ่อนโยนมากเกินไป จนคิดว่าจะกลายเป็นความอ่อนไหวเข้าสักวันหากได้รับข้อเสนอดี ๆ ที่เขามอบให้ เพราะเขาเสนอในสิ่งที่ควรจะเป็นของนิโคลตั้งแต่แรก มากกว่าน้องชายต่างแม่อย่างจูเลียน

ราชบัลลังก์!

“เรื่องนั้น..”

“ข้าเลือกแล้วลอร์ดนิโคล หวังว่าท่านคงไม่ทำให้แม่ของท่านผิดหวัง” นิโคลยังคงมองตาชายวัยกลางคนนิ่ง รัศมีความอ่อนโยนเผื่อแผ่ออกมาทางใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาที่ดูใจดีอยู่เป็นนิตย์ คนที่คิดถึงแต่ความต้องการกลับมองว่ามันคือความลังเล

ลอร์ดหนุ่มยกยิ้มน้อย ๆ น้ำเสียงที่เปล่งออกมายังคงความเรียบนิ่ง บ่งบอกถึงความใจเย็นสุขุม “ข้าเข้าใจท่าน แต่เราไม่ควรให้มันค่อยเป็นค่อยไปหรอกหรือ”

“ทำไมต้องค่อยเป็นค่อยไป แค่เราร่วมมือกันแค่นี้อะไร ๆ ก็ง่ายขึ้นแล้ว”

“ชาวเมืองส่วนใหญ่รักจูเลียน”

“เพราะพวกเขารักกษัตริย์องค์ก่อนต่างหาก”

“ข้อนั้นก็มีส่วนถูก แต่สิ่งที่ท่านคิดมันไม่ง่ายหรอก ถ้าจูเลียนเป็นอะไรไปเราจะตอบคำถามพวกเขาว่ายังไง”

“แต่ชาวเมืองก็รักท่านไม่น้อยไปกว่ากันหรอกลอร์ดนิโคล เพียงแต่ท่านปล่อยให้ข้าจัดการทุกอย่างแทน เราไม่จำเป็นต้องจัดการจูเลียนที่นี่ มีหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับความฟุ่มเฟือยของจูเลียน และเห็นว่าเป็นท่านต่างหากที่ทำเพื่อบ้านเมืองจริง ๆ พวกเขาพร้อมจะให้การสนับสนุนท่านอย่างเต็มที่ เพียงแค่ท่านพยักหน้าน้อย ๆ ครั้งเดียว ข้าสัญญาว่าทุกอย่างจะกองอยู่แทบเท้าท่าน”

“ข้าเข้าใจว่าท่านหวังดี ท่านรัฐมนตรี ท่านก็รู้ว่าบางอย่างเราต้องใจเย็นถ้าอยากได้ใจของทุกฝ่าย”

“ถ้าท่านคิดอย่างนั้น ข้าคง..” ระหว่างคิ้วชายวัยกลางคนที่ย่นอยู่แล้วยิ่งย่นเข้าไปอีกเมื่อเจ้าตัวขมวดคิ้วคิดหนัก เขายอมเผยโฉมหน้าตัวเองแล้ว ยอมเผยจุดยืนและสิ่งที่ต้องการ ว่าคิดไม่ซื่อต่อราชบัลลังก์และตัวกษัตริย์ แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการมอบความหวังดีต่อผู้ที่ควรคู่กับบัลลังก์ตัวจริง ซึ่งมีเพียงผู้เดียวที่เขาเชื่อมั่น เพียงแค่ลอร์ดหนุ่มเห็นชอบคล้อยตาม และปล่อยให้เขาจัดการทุกอย่างให้ทั้งหมด สิ่งที่ควรจะเป็นของนิโคลก็จะเป็นไปได้ง่ายขึ้น สิ่งที่เขาต้องการก็เช่นกัน



แม้อำนาจของโจเซฟในฐานะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมานาน จะฝังรากหยั่งลึกทรงอิทธิพลต่อราชวงศ์ไม่น้อย แต่จะทำการใหญ่ขนาดนี้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย อะไร ๆ ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะถ้าจะพูดกันตรง ๆ การชิงบัลลังก์มานั่งกุมบังเหียนด้วยตัวเอง สำหรับโจเซฟแล้วไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้เขาจะได้นั่งชูคอบนบัลลังก์ทอง แต่สักวันอำนาจจะถูกสั่นคลอน เพราะไม่ได้ใจของประชาชน! นั่นไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน กษัตริย์องค์ก่อนเป็นที่รักของประชาชนมากเกินไป จนความภักดีฝังรากหยั่งลึกยากขุดถอน สิ่งที่คาดและหวังจะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป โจเซฟเฝ้าวางแผนและอดทนมาหลายปี



“ข้าคิดว่าท่านควรพักเรื่องนี้ไว้ให้ข้าจัดการเองทั้งหมด” นิโคลเอ่ยขึ้นหลังเงียบไปเป็นครู่

“มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าคงทำอะไรไม่ได้แล้วสินะ”

“ท่านคิดว่ายังไงล่ะ” ลอร์ดหนุ่มละสายตาจากใบหน้าเจ้าเล่ห์ ที่ไม่สามารถปิดบังแววกังวลของโจเซฟ ไปสบตาโทมัสที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พี่ชาย ทั้งสองมองตากันนิ่ง โทมัสเพียงค้อมศีรษะให้นิโคลสายตามองต่ำเจียมเนื้อเจียมตัว



*********************



“ทำงานไม่ได้เรื่อง!” สิ้นเสียงเกรี้ยวกราด ฝ่ามือหนาประดับด้วยริ้วรอยแห่งวัยยับย่น ตวัดลงบนใบหน้าของนายทหารที่ยืนนิ่งรอรับแรงโทสะ ด้วยว่าทำงานได้ไม่บรรลุเป้าหมายตามคำสั่ง นอกจากไม่บรรลุเป้าหมายแล้ว ยังทำให้ให้แผนการทุกอย่างผิดพลาดไปหมด

“ท่านรัฐมนตรี แต่ลอร์ดนิโคล..”

“เจ้าทำไมไม่รีบพาตัวมันมาให้ข้าก่อน มัวโอ้เอ้ทำอะไรอยู่”

“ข้าก็กำลังจะพามาแล้ว แต่ลอร์ดนิโคลมาขวางและพาตัวฝ่าบาทไปก่อน”

“แล้วพวกเจ้าก็ปล่อยไปอย่างนั้นรึ ทั้งที่คนก็มีมากกว่า” เพิ่งล่าถอยกลับมาพร้อมท่าทีไม่น่าพอใจของนิโคล มาได้ยินทหารแก้ตัวอย่างสิ้นท่า ยิ่งทำรัฐมนตรีเฒ่าเกรี้ยวกราด เพราะอะไรต่อมิอะไรก็ไม่ได้ดังใจไปเสียทุกอย่าง โจเซฟตัดสินใจเผยตัวและสิ่งที่ต้องการ หลังจากที่ได้เห็นท่าทีของนิโคลยามพูดคุยเรื่องในอดีต ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังจากนั้น นิโคลดูเหมือนจะเห็นดีเห็นงามด้วยทุกอย่าง แม้กระทั่งการให้ความใกล้ชิดกับลีอานน่าลูกสาวเขา เอ่ยคำราวเอ็นดูชอบพอนางเพื่อสานสัมพันธ์ นิโคลก็ทำมันได้ดีจนเขาไว้ใจ ว่าคงไม่พ้นคนที่อยู่ข้างเดียวกันเป็นแน่แท้ แต่วันนี้ที่กษัตริย์หนุ่มน้อยคืนวัง ท่าทีของลอร์ดหนุ่มกลับเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปมากจนโจเซฟรู้ได้เลย หากเขาไม่รีบทำอะไรสักอย่าง ไม่โดนโค่นอำนาจลงเสียงเองอาจจะต้องโทษทัณฑ์



นิโคลทำในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ ทั้งที่รู้ว่าโจเซฟกำลังคิดและทำอะไร ลอร์ดหนุ่มกลับยังนิ่งเฉย ไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง ถ้าตอนนี้เขาถูกควบคุมตัวหรือถูกจับไปลงโทษ รัฐมนตรีเฒ่าจะไม่สงสัยเลย แต่นิโคลกลับยังพูดคุยเหมือนคนหนุนหลังอยู่ข้างกัน ทั้งที่จริง ๆ แล้วคือลอร์ดหนุ่มยังปกป้องกษัตริย์ผู้เป็นน้อง หรือสายเลือดที่แม้จะมีเพียงครึ่งเดียวของพี่น้อง ผลประโยชน์หอมหวานที่โจเซฟใช้ล่อยังไม่อาจทำลายลงได้



“ไหนท่านบอกว่านี่คือคำสั่งลอร์ดนิโคล ท่านบอกว่าลอร์ดนิโคลร่วมมือกับเราแล้วไม่ใช่หรือไง” ชายวัยกลางคนคิดถึงท่าทีของนิโคลแล้วเจ็บใจ ทุกอย่างมันสะท้อนในความผิดพลาดของตัวเขาเอง หมากตานี้โจเซฟเดินพลาด หลายอย่างผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง เพราะบางสิ่งบางอย่างบังตา ทำให้ละเลยความละเอียดรอบคอบไปสิ้น

“มันจะดีที่สุดถ้าจูเลียนอยู่ในมือเราและเจ้าทำมันพลาด ปล่อยให้สิ่งที่เราควรมีไว้ต่อรองหลุดมือไป!”

“ข้าก็นึกว่า..”

“ออกไปให้หมด ไปเตรียมคนไว้ให้พร้อมรับคำสั่งจากข้าทุกเมื่อ”

“ทำไมข้ายังต้องรับคำสั่งจากท่านอีก” เพราะถูกกล่าวโทษนายทหารที่มีกำลังพลจำนวนหนึ่ง ซึ่งถือว่าเยอะพอสมควรจึงลำพอง เขาเกิดความไม่พอใจที่ถูกต่อว่า ทั้งที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อรัฐมนตรี แต่เพราะไม่เห็นด้วยกับการปกครองแบบจูเลียนที่ดูปวกเปียก ไม่สนใจบ้านเมืองนอกจากความชอบพอใจของตัวเอง จึงเป็นเหตุผลให้เข้าร่วมกับโจเซฟทันทีที่ได้รับการชักชวน แต่พอถูกกล่าวโทษก็ชักอยากเอาใจออกห่าง ด้วยไม่ชอบใจที่ต้องรับผิดชอบความผิดแต่เพียงผู้เดียว

ต่อ....
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 21 แผนที่ผิดพลาด 100% 21/1/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 21-01-2019 20:41:48



“เพราะเจ้าไม่อยากโดนข้อหากบฏ ถ้าจูเลียนยังอยู่ในอำนาจ อีกไม่นานเจ้ากับข้าไม่พ้นข้อหานี้หรอก” นัยน์ตาดุจ้องมองหน้านายทหารนิ่ง จนเป็นครู่ฝ่ายผู้น้อยกว่าจึงทำความเคารพแล้วบอก

“ข้าจะไปเตรียมทุกอย่างที่ท่านต้องการ”

คนอื่น ๆ ออกไปจากห้องทำงานส่วนตัวของรัฐมนตรีหมดแล้ว เหลือเพียงโจเซฟกับโทมัสน้องชายต่างมารดา ที่ติดตามคอยช่วยเหลืองานพี่ชายไปทุกที่ โทมัสได้รับความไว้วางในจากโจเซฟระดับหนึ่ง ในการพูดคุยปรึกษากัน แต่ก็ยังไม่ทั้งหมดทุกเรื่อง อสรพิษเฒ่าไม่เคยไว้วางใจใครจริง ๆ นอกจากนิโคล ที่โจเซฟกลับมองข้ามเหตุผลหลายอย่างไปอย่างง่ายดาย เพียงเพราะเห็นลอร์ดหนุ่มเป็นตัวแทนความคิดถึงของใครคนหนึ่ง ที่เคยเฝ้ารักเฝ้ามองมอบหัวใจและความรักให้หมดทั้งใจ และวันนี้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำพลาด ที่เอาความรู้สึกส่วนตัวมาปนกับงานใหญ่เดิมพันสูง



ความเงียบภายในห้องเงียบมาก เงียบจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกแผ่วเบา ที่บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าหนักใจ โจเซฟยืนคิดอะไรเงียบ ๆ และโทมัสเองก็ฉลาดพอ ที่จะไม่รบกวนเวลาพี่ชายใช้สมองระดมความคิดหนักหน่วง จนดูเหมือนว่าโจเซฟหลุดเข้าสู่ภวังค์ห้วงความคิดของตัวเอง แต่โทมัสก็ยังทำเพียงยืนมองเงียบ ๆ สายตาจับจ้องอยู่กับใบหน้าชายวัยกลางคนผู้เป็นพี่ชาย ที่ประดับด้วยริ้วรอยแห่งวัยยับย่น วันนี้ดูเหมือนริ้วรอยเหล่านั้นจะมีมากกว่าอายุจริงควรจะมี



“ข้าเดินหมากผิดแต่แรก” โจเซฟเอ่ยขึ้นพลางทรุดร่างที่ดูเหนื่อยล้าลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่นั่งทำงานประจำ เหลือบตาขึ้นมองน้องชายต่างแม่ที่เรียกตัวมาช่วยงาน นัยน์ตาคมมีแววอ่อนล้าให้เห็น แต่เพียงชั่วเสี้ยวเวลาของการสบตา แววความอ่อนล้าถูกเปลี่ยนไปทันที ใบหน้าที่อายุล่วงเข้าวัยกลางคนมาหลายปี ดูเหมือนจะมีรอยยับย่นเพิ่มมากขึ้นในชั่วข้ามคืน ตั้งแต่แผนการทุกอย่างผิดพลาด “ทางนั้นคงยังไม่เคลื่อนไหวอะไรมากไปกว่านี้ แต่ข้าคงต้องวางแผนใหม่”

“พี่รู้แต่แรกว่าไม่ควรวางใจลอร์ดนิโคล” โทมัสย้ำในสิ่งที่โจเซฟเผลอลืมมันไป ยามมีเรื่องของอดีตเข้ามารบกวนจิตใจ

ชายวัยกลางคนผู้พี่เบือนหน้ามองไปทางอื่นเอ่ยเสียงนิ่ง “ข้ารู้ ถึงได้บอกไงว่าเดินหมากผิด”

แต่ชายผู้เป็นน้องก็บอกเสียงนิ่งพอกัน “เพราะท่านอ่อนแอต่างหาก”

“โทมัส! “ ร่างชายวัยกลางคนทะลึ่งพรวดลุกขึ้นจากเก้าอี้ มือใหญ่ทั้งสองข้างตบลงบนโต๊ะทำงานอย่างแรง ตัวโต๊ะทำจากไม้เนื้อแข็งขัดจนขึ้นมันเงา กระนั้นแรงโทสะที่ทุบลงยังส่งผลให้เกิดเสียงดังก้อง บ่งบอกถึงความโกรธที่ถูกจุดให้ปะทุขึ้นมาเพียงคำพูดคำเดียว คำพูดเพียงประโยคเดียวที่กล่าวหาถึงความบกพร่องยากรับได้ ของคนระดับรัฐมนตรีที่ไม่เคยทำอะไรพลาดอย่างโจเซฟ!

คำพูดที่มาจากน้องชายต่างแม่ที่เขามองว่าต่ำชั้นกว่ามาตลอด!

“พี่ต้องมีสติกว่านี้ โจเซฟ”

“ไม่ต้องมาสั่งสอนข้า!” โจเซฟยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง ประจันหน้ากับน้องชายต่างมารดาที่ยืนด้วยท่าทางนอบน้อม แต่กลับเอ่ยวาจาจองหองบังอาจสั่งสอน

“ข้าไม่ได้พูดในฐานะผู้ช่วย แต่เตือนในฐานะน้องชาย” โจเซฟมองใบหน้าที่ไม่มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกันเลยสักนิดของน้องชาย ด้วยว่าเพราะเป็นน้องต่างมารดาที่มีสายเลือดเดียวกันเพียงครึ่ง ไร้ซึ่งความสำคัญและได้รับการยกย่องแต่เพียงในระดับรอง เมื่อมารดาของโจเซฟเป็นใหญ่กว่ามารดาของโทมัสที่เป็นเพียงอนุและเป็นหญิงรับใช้ ตัวโจเซฟเองก็แบ่งแยกเหยียดชั้นน้องครึ่งสายเลือดมาโดยตลอด



โทมัสมองข้ามสายตาเหยียดแคลนของพี่ชายต่างมารดาเอ่ยต่อ “ลอร์ดนิโคลโง่ในความภักดีเกินกว่าจะมาร่วมมือกับพี่นะโจเซฟ ถึงพี่จะบอกว่ามันเป็นไปได้ หึ แล้วยังไงล่ะ” โทมัสเว้นจังหวะพูดราวกับเผื่อว่าพี่ชายจะคิดตามไม่ทัน “วันนี้เห็นได้ชัดว่าพี่คิดผิด พี่มันโง่ที่คิดจะเอาบัลลังก์มามอบให้ลูกชายของนางแพศยาที่พี่แอบรัก ผู้หญิงที่พลีร่างทอดกายให้ชายอื่นที่สูงส่งกว่า แต่สุดท้ายก็ได้เป็นแค่สนมนางบำเรอ พี่ทำให้มันทั้งที่ตัวมันเองไม่ได้ต้องการในสิ่งที่พี่เสนอให้ด้วยซ้ำ!”

“ข้าไม่เชื่อว่า..”

“จริง ๆ พี่ก็แค่อยากทำเพื่อคนตายที่ไม่รับรู้อะไรแล้ว คนตายไปแล้วที่ไม่มีทางเห็นความรักที่พี่มอบให้ คนตายจากไปแล้วยังมีคนโง่ทำอะไรให้ และคนคนนั้นคิดผิด สิ่งที่พี่ต้องทำคือทำเพื่อตัวเอง ไม่ใช่ทำเพื่อคนที่ไม่มีวันอยู่กับท่าน ไม่ว่าจะตอนมีลมหายใจอยู่หรือตายไปแล้ว ถ้าตอนนี้นางยังอยู่นางก็ไม่มีวันรักท่าน จริง ๆ แล้วนางไม่เคยเสียสายตาในการมองหาท่านแม้แต่หางตา พี่หวังอะไรอยู่โจเซฟ ข้าจะตอบให้ หวังทำเพื่อแก้แค้นให้คนตายอย่างเปล่าประโยชน์สิ้นดี!”

“เจ้าคิดจริง ๆ หรือไงว่าข้าจะทำเพื่อคนตายมากกว่าตัวเอง” โจเซฟถามเสียงเข้ม นึกฉุนที่น้องต่างแม่พูดแทงใจ เพราะแม้จะเป็นความจริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

“ข้าแค่พูดตามที่เห็น”

“ข้ารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ หน้าที่ของเจ้าคือทำตามที่ข้าสั่ง เป็นเกียรติของเจ้าแล้วที่ข้าเรียกตัวมารับใช้!”

“ใช่ท่านพี่ เป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก” โทมัสก้มหัวคำนับแสดงความเคารพพี่ชายต่างแม่ ราวกับซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ได้มารับใช้ใกล้ชิด ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ อยู่เป็นนิตย์ยากคาดเดาความรู้สึก แต่สิ่งที่โจเซฟมองเห็นมีเพียงความใสซื่อหัวอ่อนจนดูโง่เง่า ที่ออกมาจากแววตาน้องชายต่างชั้น มันคงภูมิใจในตัวเองที่สุดแล้ว ที่เขาให้ความสำคัญมากถึงขนาดนี้

“ทั้งที่ข้าเปิดเผยตัวขนาดนี้พวกมันยังไม่เคลื่อนไหวอะไร เท่ากับเรายังมีโอกาส เพราะมันต้องเกรงบารมีของข้าอยู่บ้าง มันอาจจะระวังตัวขึ้น แต่อย่าลืมว่าเรายังมีมอนทาร์น่าเป็นพันธมิตรอยู่ ทางนั้นพร้อมหนุนหลังเราเต็มที่ ข้าต้องส่งข่าวไปให้อเล็กซิสโดยเร็ว” แววตารัฐมนตรีเฒ่าวาวโรจน์ มั่นใจในพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ความสัมพันธ์แนบแน่นจากเคยเกื้อกูลกันลับ ๆ มาแต่เก่าก่อน โจเซฟค่อนข้างมั่นใจว่ายังมีพันธมิตรที่เข้มแข็งคอหนุน

“ข้าก็หวังว่าทางนั้นจะไม่เปลี่ยนใจ” โทมัสคล้อยตามรู้หลบรู้หลีก

“แน่นอน เพราะนอกจากมันจะอยากทำการค้ากับออสเซนเทียเพื่อผลประโยชน์แล้ว การถูกปรักปรำในสิ่งที่ไม่ได้ลงมือกระทำเอง ก็ไม่เป็นผลดีต่อความรู้สึกเท่าไหร่หรอก นั่นทำให้ความสัมพันธ์สั่นคลอนไปไม่น้อยเลยนะเจ้ารู้ไหม”

“เพราะพี่เป็นคนบงการอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง พักหลังมานี้คนของพี่ทำงานได้ดี ปล้นทุกขบวนสินค้าของออสเซนเทีย แล้วโยนความเข้าใจผิดให้มอนทาร์น่า เก็บผลประโยชน์ทั้งหมดเป็นของตัวเองได้อย่างแนบเนียนและชาญฉลาด จนมีเงินเหลือเฟือไปจ้างทหารรับจ้าง” รอยยิ้มบาง ๆ ของโทมัสแย้มกว้างขึ้น แม้จะไม่มากแต่ก็ดูเป็นการยิ้มขึ้นกว่าเคย โจเซฟเห็นดวงตาไร้ความรู้สึกของน้องต่างชั้นมีประกายวาว ก่อนจะแสดงความประจบสอพลอด้วยการก้มหัวลงคำนับเขาอีกครั้ง

“ข้าขออนุญาตแสดงความชื่นชมพี่ชาย แต่พี่คิดว่าความเข้าใจผิดนี้มันมากพอถึงขั้นทำให้เกิดความแตกหักหรือไง เท่าที่เห็นไม่มีอะไรคล้าย ๆ อย่างนั้นเลยนะ ข้าว่าพี่ไม่ควร..”

“ลูกเมียน้อยชั้นต่ำ! ทารกที่เกิดจากหญิงแพศยาไร้เกียรตินางบำเรอต่ำศักดิ์อย่างเจ้า ได้รับใช้ข้าก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว อย่าริบังอาจมาบอกว่าข้าควรไม่ควรทำอะไร!” โจเซฟเดือดดาล ดวงตาแข็งกร้าวจ้องน้องครึ่งสายเลือดเขม็ง ความหยิ่งยโสในชาติกำเนิดสูงส่งของเขา กดเหยียดเหยียบย่ำคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องจนต่ำตมด้อยค่ากว่าเศษดิน เพราะตัวโจเซฟเกิดมามีบรรดาศักดิ์ติดตัว ได้รับการเลี้ยงดูอุ้มชูเหนือกว่า  เพราะเป็นทายาทโดยตรงที่รับช่วงทุกอย่างส่งต่อตกทอดมาจากบิดา ตั้งแต่อำนาจไปจนถึงทรัพย์สินศฤงคาร

“ท่านรัฐมนตรีโปรดอภัยข้าด้วย” โทมัสเสียงอ่อนขยับเข้ามาใกล้พี่ชายค้อมหัวลง ราวกับเจียมตัวเพียงเศษธุลีใต้ฝ่าเท้าพี่ “แค่ท่านยอมให้ข้าเรียกพี่ก็ถือว่ากรุณามากที่สุดแล้ว ท่านยังเมตตาให้ข้าติดตามช่วยงานอีก” ชายผู้ได้รับการตอกย้ำต่ำศักดิ์ยืดตัวขึ้น ใบหน้ายังมีรอยยิ้มอ่อนอยู่ตลอดเวลา แววตาใสซื่อที่โจเซฟเคยเห็นยามจ้องมองตอบก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน รับกับเสียงเนิบนาบอ่อนน้อมยามเอ่ยคำ



โทมัสขยับเข้าหาพี่ชายอีกก้าว “ข้ารู้ ข้ารู้ท่านพี่ ข้ารู้และซึ้งใจยิ่งที่ท่านเมตตา เป็นเกียรติของข้าเหลือเกิน เป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้เลย ขอบคุณที่ให้เกียรตินั้นแก่ข้า” โจเซฟยืนนิ่ง แต่ความเป็นจริงแล้วเพราะเขากำลังชะงัก เมื่อโทมัสขยับเข้ามาใกล้จนชิดและสวมกอด แต่แม้โจเซฟจะลดตัวลงมาให้น้องชายครึ่งสายเลือดได้กอด เขาก็ไม่คิดจะยกมือขึ้นกอดตอบเลยสักนิด โทมัสแอบแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมผิดแผกที่เคยเห็น นัยน์ตาวาวโรจน์ลับหลังปิดบังด้วยอ้อมแขนที่กำลังสอดเกี่ยวรอบตัว แสดงความรักของน้องที่พึงมีต่อพี่ จนป่านนี้พี่ชายผู้ถือตัวยังคงยึดถือความสูงส่งจอมปลอมของตัวเอง ที่พ่อของพวกเขาเคยตกแต่งให้ โจเซฟกอดมันเอาไว้อย่างเหนียวแน่นจนถึงบัดนี้ และจมปลักอยู่กับสิ่งจอมปลอมนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น จึงได้คิดว่าตัวเองสูงค่าและเหนือกว่าพี่น้องคนอื่นเสียเหลือเกิน



“โจเซฟ รู้อะไรไหมว่าพี่เข้าใจผิด ทางนั้นเคลื่อนไหวนานแล้ว เคลื่อนไหววางแผนอย่างแยบยลมาตลอด มีแผนบางแผนที่พี่ไม่รู้ และข้าไม่อยากเสียเวลาสำหรับการเล่าให้ฟัง” เสียงกระซิบที่ดังขึ้นทำให้สีหน้าและแววตาของโจเซฟฉงน ด้วยตามไม่ทันสิ่งที่น้องชายต่างแม่กระซิบบอก เขายืนนิ่ง ความสนใจทุกอย่างรวมอยู่ที่ความคิด และการทบทวนคำไม่กี่คำที่ก้องในหัว แต่ยังไม่ทันได้เข้าใจความหมายอะไรดีนัก ร่างสูงท้วมในชุดหรูหราพลันกระตุกเกร็ง ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวทรงอำนาจเบิกกว้าง บ่งบอกถึงความตกใจสุดขีด ร่างทั้งร่างชะงักกึก ทุกการเคลื่อนไหวถูกหยุดไว้เพียงเท่านั้น ความเจ็บหนึบปวดแปลบแทรกเข้ามาในความรู้สึกรับรู้ ใบหน้าที่ประดับด้วยริ้วรอยตามวัยนิ่วขมวด

สาเหตุของสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากปลายมีดแหลมคม ที่ถูกเสือกไสเข้ามาในร่างสุดแรงฝังลึกคาอกทะลุหลัง!



“อึก!! “ ไม่มีเสียงใด ๆ ผ่านออกมาจากลำคอของรัฐมนตรีเฒ่า เพราะความตกใจตื่นตระหนกตั้งตัวไม่ทัน ไม่คาดคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น นี่อาจจะทำให้เขาลืมวิธีพูดไปแล้ว แน่นอนว่าโจเซฟไม่เคยไว้ใจใคร ที่ผ่านมานอกจากอำนาจบารมีที่ฝังลึกหยั่งรากมานาน หากไม่แน่ไม่ฉลาดรู้คิดวางแผนจริง ก็ยากจะอยู่มาได้จนถึงขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีวันพลาด!



“ดูเหมือนพวกเขาจะล่วงหน้าไปก่อนท่านหลายก้าวเลยพี่ชาย” มีดแหลมคมถูกถอดออกแล้วแทงสวนกลับเข้าไปใหม่ ไร้การกะคะเนจุดหมาย แต่ปลายมีดอยู่กลางลำตัวแน่ ๆ ร่างโจเซฟกระตุกตามทุกการจ้วงแทงสุดแรง โดยน้องชายครึ่งสายเลือดที่มองว่าชั้นต่ำมาโดยตลอด และเป็นโจเซฟเองที่เหยียดหยามแบ่งชั้นทั้งที่เป็นน้อง มันเห็นได้ทั่วไปถือเป็นเรื่องธรรมดาแต่ไม่ใช่ทั้งหมด นี่เฉพาะสำหรับบางตระกูลที่ถือยศศักดิ์เกินกว่าคุณค่าความเป็นคน ที่บุตรอันเกิดนอกจากภรรยาหลวง จะต้อยต่ำด้อยค่าในสายตาพี่น้องด้วยกันอย่างอยุติธรรม และตระกูลขุนนางเก่าแก่ของโจเซฟคือหนึ่งในนั้น



“อึก!! ”

“ขอบคุณท่านพี่” กอดนั้นแทนคำขอบคุณ และรัฐมนตรีเฒ่ายังได้ยินคำขอบคุณดังขึ้นข้างหูอีก ก่อนความรู้สึกเจ็บแปลบจากการถูกชำแรกร่างกายจะบังเกิดขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง เพราะลำตัวถูกของมีคมแหลมชำแรกผ่าน แทงย้ำลึกสุดความยาวของมีดแล้วถอดออก แล้วแทงซ้ำใหม่อยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับคนแทงไม่เกิดความพอใจในการกระทำของตัวเองสักที ร่างรัฐมนตรีวัยกลางคนกระตุกสั่นและเกร็ง เขาไม่ทันได้ทำแม้กระทั่งป้องกันหรือปัดป้อง เขาไม่มีโอกาส ความเจ็บแปลบซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกิดขึ้นหลายครั้งจากการถูกแทงหลายแผล เปลี่ยนเป็นความชาหนึบ แล้วเปลี่ยนเป็นความเจ็บหน่วง เพิ่มเป็นเจ็บร้าวขึ้นเรื่อย ๆ ทรมานจนแทบขาดใจ แต่มีเพียงเสียงครางจากความเจ็บปวดหลุดออกมาจากลำคอเบา ๆ



“อึก!! โทมัส เจ้า! “โทมัสถอยห่างพี่ชายเพื่อยืนมองผลงานของตัวเอง บริเวณกลางอกส่วนที่มีก้อนเนื้อเต้นอยู่ในนั้น บัดนี้มันปักคาด้วยมีดสั้น ที่ความสั้นของมันไม่ได้สั้นจนไม่สามารถทำการทิ่มแทงปลายแหลมคม จนถึงก้อนเนื้อที่เต้นเป็นจังหวะแสดงถึงการมีชีวิต นอกจากนั้นบริเวณหน้าท้องยังเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสด ๆ ที่ไหลทะลักเป็นลิ่มออกมาราวกับเขื่อนแตก



โจเซฟยังไม่ขาดใจตายในทันที เขากัดฟันแน่ลมหายใจหอบถี่ ร่างกายที่สั่นสะท้านจากบาดแผลยากจะควบคุม จนมันทำงานผิดเพี้ยนไปหมดทุกอย่าง กระอักจนเลือดพุ่งออกมาทางปาก แรงที่เคยมีเริ่มอ่อนลงจนทรงตัวแทบไม่อยู่ ต้องอาศัยโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่ทำจากไม้เนื้อแข็งช่วยรองรับการพยุงตัว สายตาจับจ้องใบหน้าน้องชายครึ่งสายเลือด แววตาสับสนปนแข็งกร้าวโกรธแค้น ปากสั่น ๆ พยายามเผยออ้าออกเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างก่อนหมดลม

“โท มัส เจ้า..”

“หึ”

“หัก หลัง ข้า!” รอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าน้องชายครึ่งสายเลือด ส่งให้ใบหน้าธรรมดาและดวงตาใสซื่อดูเยือกเย็นขึ้น ในความเยือกเย็นแฝงไว้ด้วยความน่ากลัว ที่สามารถทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ รอบตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายความอำมหิต ดวงตาที่ยังคงความใสซื่อมองตามมือที่ยื่นออกไปข้างหน้า มือข้างนั้นเปื้อนเลือดแต่กลับนิ่งราวเจ้าตัวไร้ความตื่นเต้น ทั้งที่มือข้างนั้นเพิ่งจะใช้จับมีดปลิดชีพ จ้วงแทงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายหลายแผล เขายื่นมือออกไปจนสุดความยาวของช่วงแขน วางมือลงบนไหล่พี่ชายได้พอดี

แต่ไม่หรอก

มันไม่ได้ถูกยื่นออกมาเพื่อความเมตตาปรานีใดเลย นอกจากผลักให้ร่างที่กำลังจะสิ้นใจได้ทอดกายนอนลงบนพื้นแข็งอย่างที่ควรจะเป็น

“เพราะมันหมดเวลาของพี่แล้วต่างหาก”

!!



*********************

ดาวฆ่าคนอีกแล้ว ไปแล้วท่านรัฐมนตรีของเรา ในที่สุดท่านก็จากเราไปแล้ว ฮรือๆๆ

แต่นิยายยังไม่ถึงครึ่งเรื่อง ยังต้องมีคนตายอีกเยอะ อุ๊ป!!! 555 งานโหดก็มา

ไว้อาลัยให้รัฐมนตรีโจเซฟแปบ เดี๋ยวตอนหน้ามาปลอบใจ สัญญาๆ แหะๆๆ
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 22 50% 3/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-02-2019 22:45:26


เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 22 (50% ยังไม่มีชื่อตอน อ่านแล้วตั้งให้ด้วย555) 



ออสเซนเทียเข้าสู่ช่วงปลายของฤดูหนาว แต่ยังคงมีหิมะโปรยปลายลงมาอยู่ในบางช่วง แม้หิมะจะไม่ตกหนักมาก แต่พื้นที่บริเวณรอบปราสาทราชวัง ก็ยังถูกปกคลุมด้วยความขาวโพลนเต็มไปหมด หลังคาปราสาทยังถูกหิมะเกาะหนา รวมไปถึงยอดโดมสูงของวิหารและป้อมต่าง ๆ รวมทั้งต้นไม้ในสวนที่ถึงจะมีการเก็บกวาดอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนว่าทุกที่ก็ปกคลุมไปด้วยหิมะและความหนาวเย็นไปหมด บนทางเดินภายในหอกลางอันเป็นอาคารรัฐสภาของออสเซนเทีย ร่างเพรียวระหงเดินนำร่างสูงใหญ่ของอัศวินประจำตัวไปตามทางเดิน ทั้งสองคุยกันไปเงียบ ๆ





“เซอร์เลนนี่” จูเลียนหยุดเท้าที่กำลังจ้ำเดิน หันกลับไปหาอัศวินประจำตัวในชุดเกราะสีทองเรืองรอง

“ฝ่าบาท”

“คือ ข้า..” เพราะจูเลียนตัวเล็กกว่ามาก เลนนี่จึงต้องก้มลงเอียงคอมองนายเหนือหัวรอรับบัญชา

“ฝ่าบาทมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ”

“ข้าจะถามว่า ฮานส์” เลนนี่ยิ้มบาง ๆ ให้เจ้านายตัวน้อยที่มีท่าทางประหม่า ราวขัดเขินกับสิ่งที่กำลังจะพูด

เขาอมยิ้มถาม “ฮานส์ทำไมหรือฝ่าบาท”

“ตั้งแต่กลับมา...” จูเลียนหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วถอนหายใจหนัก ๆ ออกมาสีหน้าครุ่นคิด เลนนี่เข้าใจทันทีว่ากษัตริย์หนุ่มน้อยคงคิดถึงและอยากเจอฮานส์

“ฮานส์พักอยู่ที่ป้อมของข้าฝ่าบาท ถ้าทรงโปรดให้เขาเข้าเฝ้าหลังประชุมสภา ข้าจะตามตัวให้”

ไม่รู้จะโกรธให้กับอะไรดี แต่ก็รู้ว่าตัวเองกำลังไม่พอใจ จูเลียนเลยทำหน้างอมันเสียดื้อ ๆ “ไม่! ข้าแค่ถามดู เพราะเขาเคยช่วยเหลือข้าหรอกนะ”

“ข้าจะรับรองเขาเป็นอย่างดีฝ่าบาท”

“เรื่องของท่านสิ เพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” เลนนี่เพียงยิ้มบาง ๆ ให้นายเหนือหัวไม่ตอบคำ

“จูเลียนได้เวลาแล้ว” นิโคลบอกพลางเดินเข้ามาสมทบ ทั้งหมดจึงเดินเข้าห้องประชุมสภาที่สมาชิกทุกคนรออยู่แล้ว



การประชุมเคร่งเครียดเริ่มขึ้น หลังจากงานศพของรัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจของออสเซนเทียเสร็จสิ้นลงได้ไม่กี่วัน การตายของโจเซฟไม่ใช่เรื่องที่จะปิดบังกันได้ง่าย ๆ แม้จะจัดการกับงานศพกันเงียบ ๆ แต่ก็ใช่ว่าไม่มีผู้รู้เห็น ผู้คนรู้เพียงว่ารัฐมนตรีเฒ่าผู้อาวุโส จากตระกูลเก่าแก่ของออสเซนเทีย ถูกลอบสังหารอย่างเลือดเย็นในห้องทำงานของตัวเอง แต่ไม่สามารถจับฆาตกรโหดได้ ผู้พบศพคนแรกคือโทมัสน้องชายต่างแม่ผู้เกิดแต่อนุภรรยา ที่บางครอบครัวได้รับการเลี้ยงดูราวกับชนชั้นต่ำ แต่โจเซฟกลับให้ความเมตตาน้องชายครึ่งสายเลือดอย่างเท่าเทียมด้วยความรัก นั่นคือสิ่งที่ผู้คนต่างรับรู้ ภาพความเสียใจของโทมัสได้รับความเห็นอกเห็นใจจากทุกฝ่าย แต่แม้จะเป็นบุคคลสำคัญระดับรัฐมนตรีของประเทศ งานศพกลับจัดขึ้นเงียบ ๆ ด้วยว่าการถูกฆ่าตายถึงในเขตที่ได้รับการคุ้มกันความปลอดภัยอย่างแน่นหนา อาจจะสั่นคลอนไปถึงความเชื่อมั่นของชาวเมือง



หลังงานศพของโจเซฟ สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำกันเป็นการด่วนนั่นก็คือ การหาผู้ที่เหมาะสมเพื่อแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีทำหน้าที่แทน เพราะตำแหน่งนี้จะปล่อยทิ้งไว้ให้ว่างนานนักก็ไม่ได้ การประชุมใหญ่จึงจัดขึ้นในวันนี้ ทุกฝ่ายลงความเห็นเลือกเฟ้นหาคนที่เหมาะกับตำแหน่งนี้ที่สุด แต่เมื่อมีสมาชิกจากหลายฝ่ายเข้าร่วมประชุม ความเห็นก็แตกแยกออกเป็นหลายทาง



“เราไม่ควรให้เกียรติท่านโจเซฟ และตระกูลอันเก่าแก่ที่รับใช้ราชวงศ์มานานหรอกหรือ” สมาชิกคนหนึ่งเอ่ยแสดงความคิดเห็นขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขายังยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติ ในการสืบทอดอำนาจจากรุ่นสู่รุ่นแบบเก่าอย่างเคร่งครัด

“เรามีมติเป็นเอกฉันท์แล้ว ว่าลอร์ดนิโคลคือผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งรัฐมนตรีที่สุด” นั่นคือข้อสรุปของวุฒิสมาชิก กล่าวโดยเฮมานหัวหน้าที่ปรึกษาอาวุโสของสภา

“ข้าเห็นด้วย” จูเลียนเอ่ยขึ้นอย่างพอใจ แล้วจึงหันไปหาลอร์ดผู้พี่ “ท่านพร้อมรับตำแหน่งหรือไม่ลอร์ดนิโคลัส” แม้จะมีผู้ไม่เห็นด้วย ว่านิโคลควรรับตำแหน่งนี้ เพราะอาจจะเป็นการดึงอำนาจกลับคืนสู่ตระกูลออสติน ผ่านการแต่งตั้งให้นิโคลัส ออสตินเป็นรัฐมนตรี แต่ทุกคนก็หันไปมองลอร์ดหนุ่มเป็นตาเดียว รอฟังการตัดสินใจของเขา

“ฝ่าบาท ที่ปรึกษาและสมาชิกทุกท่าน” นิโคลเรียกทุกคนในที่ประชุม กวาดตามองไปรอบห้องด้วยท่าทางที่ดูสุขุมทรงอำนาจ “สำหรับตำแหน่งรัฐมนตรี มีการสืบทอดโดยตระกูลเก่าแก่ของอดีตรัฐมนตรีโจเซฟมายาวนาน โดยทางสภาจะเลือกเฟ้นจากผู้ที่มีความสามารถที่สุด และเหมาะสมที่สุดในตระกูล ซึ่งวันนี้เราไม่มีท่านโจเซฟแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งนี้อยู่”

“แต่ตามกฎมนเทียรบาล เราไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีมาจากการสืบทอดอำนาจเสมอไปนะลอร์ดนิโคล เราเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุดจากเหตุผลอื่นได้” หนึ่งในสมาชิกสภาเอ่ยขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาสนับสนุนการดึงอำนาจคืนสู่เจ้าของอำนาจเดิมเต็มที่

“ข้อนั้นข้ารู้ แต่ข้าก็ยังอยากขอเสนอไม่ให้เรามองข้าม ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากท่านโจเซฟมากที่สุด น้องชายของเขา” นิโคลหันไปทางโทมัสที่นั่งอยู่เกือบสุดปลายแถว

“ลอร์ดนิโคล ท่านหมายถึงโทมัสหรือ”

“แน่นอนข้าหมายถึงโทมัสท่านเฮมาน เขาเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด” นิโคลค้อมศีรษะลงช้า ๆ น้ำเสียงที่ตอบรับหนักแน่นมั่นใจ

“แต่เขา..”

“ข้าไม่เหมาะกับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะยังมีภารกิจที่จะต้องไปทำ” นิโคลปฏิเสธด้วยเหตุผลของภารกิจที่ยังทำไม่สำเร็จ อันเป็นหน้าที่ที่เขายังต้องรับผิดชอบ

“ข้าว่าเรายกเรายกเลิกภารกิจของท่านได้นะลอร์ดนิโคล” จูเลียนเสนอขึ้น เพราะเห็นว่าเป็นตัวเองที่ยัดเยียดภารกิจนี้ให้พี่ชาย โดยที่นิโคลไม่เต็มใจรับ

“ฝ่าบาท ภารกิจกับสวาเนียร์ไม่ใช่เรื่องขำขันที่เราคุยเล่นตอนจิบชายามบ่าย” เขาท้วงเสียงเรียบ แต่มีเพียงจูเลียนเท่านั้นที่รู้ว่าพี่ชายกำลังตำหนิ ทั้งที่นิโคลยังดูท่าทางใจดี และให้เกียรติน้องที่นั่งอยู่สูงกว่าในฐานะกษัตริย์

“ข้ารู้ แต่ท่านไม่จำเป็นต้องไปแล้วก็ได้นี่”

“นั่นไม่ใช่ภารกิจเพียงอย่างเดียวที่ข้าต้องทำ หากสมาชิกทุกท่านไว้วางใจยกตำแหน่งรัฐมนตรีให้ข้า ก็ควรจะมั่นใจว่าตัวเลือกที่ข้าเสนอมารับตำแหน่งแทน จะมีความสามารถไม่น้อยไปกว่าความสามารถของข้าที่พวกท่านมองเห็น” สมาชิกหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย

“ถ้าท่านต้องการอย่างนั้น พวกข้าก็คงไม่มีอะไรจะขัดแล้วลอร์ดนิโคล” เฮมานพูดขึ้นหลังจากที่สมาชิกในสภา หันไปถกเถียงปรึกษากันอยู่ครู่ใหญ่ โทมัสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นวาระอื่น ๆ ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเพื่อแก้ปัญหากัน จนเวลาของการประชุมในวันนี้ผ่านไปทั้งวัน การประชุมเสร็จสิ้นลงในที่สุด



/////////



“ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” จูเลียนบ่นขึ้นทันทีที่กลับมาถึงปราสาทของตัวเอง ลีโอที่เฝ้ารอการกลับมาของเจ้านายเหนือหัวอยู่แล้ว รีบเข้ามารับใช้ดูแล

“เจ้ายังต้องเหนื่อยกว่านี้อีกจูเลียน” นิโคลบอกเมื่อเดินเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าน้องชาย

“นี่ข้าก็ยอมนั่งประชุมมาทั้งวันแล้วนะ ยังต้องทำอะไรอีก”

“พรุ่งนี้เจ้ายังมีงานต้อนรับราชทูตจากต่างประเทศ ที่จะเข้าเฝ้าแสดงความยินดีที่เจ้าปลอดภัยกลับมา อย่าลืมว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เราปิดข่าวไม่ได้ พวกที่จับตาดูอยู่มันจะตามเราทุกฝีก้าว”

“ข้ารู้หรอกน่านิโคล” จูเลียนบอกแล้วเม้มปากแน่นขัดใจ ตอนนี้กลับมาถึงปราสาทของตัวเองแล้ว แต่ยังไม่ทันได้พักเลย เพราะพี่ชายยังตามมาด้วยเรื่องงานอีกหลายเรื่อง คนรักหรือก็ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่วันที่มาถึง อะไร ๆ ดูไม่ถูกใจจูเลียนไปหมดเสียทุกอย่าง

“ว่าแต่พี่เถอะ จะไปสวาเนียร์เมื่อไหร่”

“เมื่อข้ามั่นใจว่าเจ้าพร้อมบริหารบ้านเมืองอย่างเต็มที่ ตอนที่ข้าไม่อยู่ และเจ้าต้องปลอดภัยจริง ๆ “

“ขนาดนี้ข้ายังไม่ปลอดภัยอีกหรือไงนิโคล” จูเลียนมองออกไปทางช่องหน้าต่าง เบื้องหน้าคือด้านข้างของตัวปราสาทที่จัดเป็นส่วนหย่อมเล็ก ๆ ไว้ให้ชื่นชมทัศนียภาพยามมองออกไปโดยเฉพาะ แต่ดวงเนตรสีสวยกลับไม่ได้ให้ความสนใจต้นไม้ใบหญ้าในสวนนั้นเลยสักนิด แค่จูเลียนเห็นเหล่าทหารที่เดินเวรยามอยู่รอบ ๆ ก็ไม่มีอารมณ์ชื่นชมอะไรแล้ว

“ยังหรอก ตราบใดที่เจ้ายังเป็นจูเลียน เจ้าไม่มีวันปลอดภัย!”

“พี่พูดอย่างกับว่าข้าจะเป็นคนอื่นได้อย่างนั้นแหละ” หนุ่มน้อยค้อนพี่ชายตาคว่ำ จนลีโอต้องก้มหน้าลงกลั้นเสียงหัวเราะ เพราะอดขำท่าทางกระเง้ากระงอดของจูเลียนไม่ได้

“ใช่เจ้าเป็นคนอื่นไม่ได้จูเลียน” นิโคลบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง คล้ายจะย้ำว่านอกจากจูเลียนจะเป็นคนอื่นไม่ได้แล้ว ภาระหน้าที่ที่ติดตัวจูเลียนมา ก็ถ่ายเทไปให้คนอื่นรับผิดชอบแทนไม่ได้เช่นกัน ข้อนั้นจูเลียนเองก็รู้ดี

“เห็นไหมล่ะ”

“แต่เจ้าระวังตัวได้”

“ข้าระวังตัวเองดีที่สุด อัศวินทั้งสี่ก็อยู่ พี่น่าจะไปหาเจ้าสาวของพี่ได้แล้วนะ”

“ข้าจะไปเร็ว ๆ นี้ล่ะ”

“เดินทางพรุ่งนี้เลยเป็นไงนิโคล พี่ไปเถอะจะได้จบ ๆ ไปสักที เจ้าสาวของพี่คงรอจนเบื่อแล้ว”

“หึ” นิโคลเพียงแค่นหัวเราะอยู่ในลำคอ เมื่อจูเลียนพูดถึงเจ้าสาว ในใจลอร์ดหนุ่มกลับไม่ได้คิดถึงเจ้าหญิงแสนสวย ผู้ซ่อนความร่านราคะไว้ภายใต้ความอ่อนหวานเลยสักนิด นอกจากใบหน้านวลขาวราวน้ำนม กับนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างเป็นประกาย ที่เปิดเผยทุกความรู้สึกยามมองสบตากัน แม้เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสวยจะไม่รู้ตัวสักนิด



คนนั้นต่างหากที่อยากให้เป็นเจ้าสาวตัวจริง

ลอเรน กวางน้อยแห่งสวาเนียร์



“นิโคล”

“อะไร”

“พี่ยิ้มน่ากลัว”

“เปล่านี่”

“ข้าเห็น”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า” นิโคลเผยยิ้มอ่อนให้น้อง ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาส่ายน้อย ๆ ไม่ใช่เพื่อจูเลียน แต่เพื่อตัวเขาเองที่เผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปไกลถึงกวางน้อยตัวนั้น ทั้งที่ปกติก็คิดอยู่แล้ว พอถูกน้องชายถามถึงเลยเผลอคิดไปไกล จนลืมว่ากำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน และตอนนี้อยู่ห่างไกลกันมากขนาดไหน ไม่รู้ปานนี้กวางน้อยของเขาจะทำอะไรอยู่

“นั่นไงพี่ยิ้มแปลก ๆ ” จูเลียนจ้องหน้าพี่ชายเขม็งราวค้นหาพิรุธจับผิด นิโคลได้แต่ยิ้มอ่อนให้น้อง เกศานุ่มดุจเส้นไหมสีน้ำตาลอ่อนของจูเลียน ถูกนิโคลยีจนยุ่งพันกัน ลอร์ดผู้พี่รั้งร่างเพรียวระหงเข้ามากอดอย่างแสนรัก มอบจุมพิตกลางหน้าผากน้องน้อยหนัก ๆ แล้วจึงบอก

“ข้าต้องไปเตรียมตัวแล้ว”

“ข้ารักพี่จังนิโคล” จูเลียนแนบปรางนวลลงกับอกกว้างของพี่ชาย สองแขนกอดรัดร่างสูงสง่าไว้แน่น

“ข้าก็รักเจ้าจูเลียน เจ้าทั้งสองคนเลย ดูแลทาร์เทียน่าด้วย”

สองพี่น้องยิ้มให้อย่างรู้กัน “ถ้านางยอมนะ”

ต่อค่ะ...
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 22 50% 3/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 03-02-2019 22:46:50


เบื้องหน้าคือทะเลกว้างใหญ่ ส่งคลื่นสาดซัดกระหน่ำเข้าสู่ฝั่งลูกแล้วลูกเล่า ราวกำลังระบายโทสะและความพิโรธ เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ มาพร้อมลมทะเลที่พัดเข้าหาฝั่งรุนแรงจนยากจะต้านทาน แต่ร่างสูงโปร่งที่ยืนทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย กลับหาได้สนใจในความพิโรธของคลื่นและลมไม่ ยังยืนต้านแรงปะทะที่ตีเข้าหาอย่างไม่สะทกสะท้าน อาภรณ์เนื้อดีกับเส้นผมยาวสีเงินยวงปลิวสะบัดไปตามลม ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างทอดมองออกไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า ไม่จับจ้องนิ่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรือบรรทุกสินค้าสองลำ ที่ทอดสมอรอการขนถ่ายของลงจากเรือ เรือประมงลำเล็ก ๆ ที่กระจายตัวหาปลาอยู่ไกลออกไปอีกหลายลำ หรือแม้กระทั่งฝูงนกที่บินร่อนอยู่ในอากาศ มีฉากหลังเบื้องล่างเป็นน้ำทะเลสีฟ้าครามกว้างสุดสายตา ฉากหลังเบื้องบนเป็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ตัดกับปุยเมฆสีขาวที่ลอยประดับอยู่ประปราย ดูเป็นภาพความลงตัวของธรรมชาติที่สวยงามกลมกลืน



ทุกสรรพสิ่งที่ควรจะเป็นเป้าสายตาเพื่อความอภิรมย์ถูกหมางเมินไปสิ้น เพราะเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสวยเอาแต่ยืนนิ่ง ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไร้จุดหมาย ท่ามกลางก้อนหินขนาดต่าง ๆ ที่โผล่พ้นผิวน้ำ ร่างสูงโปร่งยืนอยู่บนโขดหินก้อนใหญ่ที่สุดกลางสายน้ำ โขดหินถูกกระหน่ำตีด้วยคลื่นลูกแล้วลูกเล่า น้ำที่กระเซ็นจากแรงปะทะเปื้อนอาภรณ์ที่สวมใส่เป็นด่างดวง แต่เจ้าของร่างสูงโปร่งยังคงเพิกเฉยต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ด้วยว่าในใจกำลังถูกตีด้วยคลื่นอารมณ์และความรู้สึก ปัญหาที่ถาโถมประเดประดังเข้ามาปะปนกันจนสับสนไปหมด



เจ้าของร่างสูงโปร่งถอนหายใจหนัก ๆ ออกมานับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ก้าวขาขึ้นมายืนโต้ลมทะเลบนโขดหินแห่งนี้ พร้อมหัวใจที่หนักอึ้งไปด้วยปัญหา หัวใจที่แบกรับภาระหน้าที่ติดตัวมาแต่เกิด ลอเรนเรียกร้องหาความเป็นอิสระ ทั้งที่รู้ว่าสิ่งนั้นมันไม่มีวันเป็นของเขา ใจลอเรนเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นของตัวเอง รวมถึงลอร์ดต่างเมืองพระองค์นั้น ที่ประทับในดวงฤทัยทันทีเมื่อแรกพบ แต่ทำได้เพียงเก็บงำไว้ในความรู้สึกซ่อนเร้น



จากหลายวันผ่านไปจนสุดท้ายกลายเป็นเดือน วันสุดท้ายใครคนนั้นแทนคำล่ำลาด้วยคำพูดประโยคหนึ่ง ที่ลอเรนเข้าใจแต่ไม่อาจทำตามได้



“ทบทวนความรู้สึกของเจ้าให้ดี แล้วข้าจะกลับมาเอาคำตอบ” คำสั่งถือดีที่ลอร์ดแห่งออสเซนเทียทิ้งไว้ให้ ยังดังก้องอยู่ในหูและกังวานไปถึงหัวใจ เรื่องความรู้สึกที่แอบซ่อนเร้นไว้นิโคลไม่รู้แน่ อย่างที่ลอเรนเข้าใจจริงหรือ หากไม่รู้แล้วไยเอ่ยเช่นนั้นออกมา คำสั่งถือดีที่บังอาจสั่งให้ลอเรนทบทวนความรู้สึกตัวเอง เพื่อให้คำตอบกับคนที่จะหวนคืน ราวนั่นเป็นคำข่มขู่เร่งรัดให้ตัดสินใจ คำตอบที่ลอเรนไม่มีให้ หรือถึงจะมีก็คงไม่อาจเอื้อนเอ่ยให้รับรู้ นอกจากเก็บงำมันไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียว มันจะไม่มีวันนั้น คือสิ่งที่ลอร์ดแห่งสวาเนียร์เฝ้าภาวนา



ลอเรนถอนหายใจอีกครั้ง เรื่องหนักใจภายในที่ยังไม่ทันได้คลี่คลาย ข่าวล่วงหน้ามาก่อนถึงกำหนดการของลอร์ดแห่งออสเซนเทีย ในการเยือนสวาเนียร์เพื่อทำภารกิจค้างคาให้เสร็จสิ้น จะมีขึ้นในเร็ววันนี้ ถึงตอนนั้นลอเรนคงเลี่ยงการเผชิญหน้าไม่ได้



ลอเรนที่ยืนอยู่ท่ามกลางภาระหนักอึ้งบนบ่า กำลังฝืนเสียงเรียกร้องของความรู้สึก เพราะสิ่งเดียวที่ต้องมาก่อน และคิดถึงเป็นอย่างแรกคือผลประโยชน์ของบ้านเมือง มีเรื่องราวหลายอย่างที่สลับซับซ้อน จนต้องค่อย ๆ เรียบเรียงคิดทีละอย่าง แต่ในเมื่อคนแก้ปัญหาไม่ใช่คนสร้างปัญหา จึงเดาผลลัพธ์ของมันได้ไม่ยาก โดยเฉพาะปัญหาใหม่ของอนาสตาเซียที่เพิ่งได้รับรู้มา ปัญหาที่ทำให้ลอเรนหลีกหนีมายืนปลดปล่อยอารมณ์อย่างเดียวดาย แม้จะหนีได้แค่เพียงชั่วคราวก็ยังดี



ลอร์ดหนุ่มถอนหายใจหนักออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้เหมือนเป็นการบอกตัวเองว่าต้องพร้อมแล้ว กับการกลับไปเผชิญอะไรก็ตามที่รออยู่ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะหันหลังให้ท้องทะเลกว้าง และธรรมชาติที่ประดับฉากทุกอย่าง แต่เพียงแค่หมุนตัวกลับ ร่างสูงโปร่งพลันชะงักงัน ลอเรนยืนนิ่งกับที่ราวถูกสาป ลูกแก้วสีฟ้ากระจ่างเบิกกว้างจับจ้องภาพเบื้องหน้า



ตรงนั้น โขดหินก้อนถัดกันไป ใครคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางเปลวแดด รอบตัวยังยินเสียงคลื่นซัดโขดหิน เสียงลมหวีดหวิว เส้นผมสีน้ำตาลเข้มปลิวไปตามแรงลม แต่ใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาที่เฝ้าคิดถึงทุกยาม กลับกระจ่างแจ่มชัดทั้งตอนอยู่ในความรู้สึก และภาพที่เห็นตอนนี้



“ท่าน! “เจ้าของใบหน้าเกลี้ยงเกลาเผยยิ้ม ลอเรนมองอย่างไม่เชื่อสายตา คิดว่าตัวเองกังวลจนเพ้อไป ได้แต่พยายามคลายความตะลึงกะพริบตาปริบ ๆ เพราะตามกำหนดการนั้นอีกหลายวัน ขบวนเสด็จของเจ้าชายจากออสเซนเทียจึงจะเดินทางมาถึง ไม่ใช่วันที่ลอเรนเพิ่งได้รับการแจ้งข่าวเช่นวันนี้



คนที่คิดว่าตัวเองฝันไปค่อย ๆ หลับตาลง ดวงเนตรสีฟ้าสวยถูกบดบังด้วยเปลือกตาบางที่ปิดลงช้า ๆ ราวกับเจ้าตัวอ่อนล้าเต็มที แต่เพียงไม่นานก็ค่อย ๆ เปิดขึ้นอีก คราวนี้ดูอ่อนแรงกว่าตอนปิดลงมากนัก แต่ภาพเบื้องหน้าที่เข้าใจว่าเป็นแค่ภาพฝันยังคงชัดเจนอยู่เช่นเดิม ภาพนั้นไม่ได้หายไปไหน แม้ใจดวงน้อยจะสั่นไหว ลอเรนก็ยังอยากภาวนาต่อทวยเทพแห่งท้องทะเล อยากขอให้สิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นเพียงภาพฝัน หรือตัวเขาเองละเมอเพ้อพกไป เป็นไปไม่ได้ที่ลอร์ดแห่งออสเซนเทียจะมาปรากฏกายตรงหน้าอย่างนี้ ในเวลานี้ เวลาที่ลอเรนยังไม่พร้อม!



“เจ้าดีใจที่ข้ากลับมาจึงอึ้งเลยหรือไงลอเรน” น้ำเสียงสดใสราวล้อเล่นอย่างอารมณ์ดี บอกชัดเจนแล้วว่าไม่ได้ฝัน แต่ลอเรนก็ยังไม่อยากจะเชื่อเสียทีเดียว เสียงที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับจิ้มลิ้ม จึงแผ่วเบาราวกระซิบ

“ลอร์ดนิโคล”

“แน่นอนข้าเอง” นิโคลกระโดดข้ามโขดหินก้าวยาว ๆ เข้ามาหาลอเรน ที่ยังยืนตะลึงค้างอยู่ที่เดิม จนร่างสูงสง่าก้าวช้า ๆ อย่างมั่นคงมายืนตรงหน้า ลอเรนก็ยังเรียกหาสติของตัวเองกลับมาไม่ได้ กระทั่งปรางนวลทั้งสองข้างถูกโอบประคองไว้ด้วยสองมือใหญ่อุ่น ๆ นั่นแล้ว ลอร์ดน้อยถึงได้รู้ตัว

ลอเรนผงะถอยห่าง “ลอร์ดนิโคล ท่าน! “

“ข้าทำไมหรือ” นิโคลรุกโดยการก้าวเท้าตาม คนที่เพียงถอยได้ไม่กี่ก้าวก็จำต้องหยุด ก่อนที่จะตกน้ำให้ได้อาย เพราะยังยืนอยู่บนโขดหิน ถึงแม้จะเป็นโขดหินก้อนใหญ่ที่สุดในบรรดาก้อนหินสูง ๆ ต่ำ ๆ รอบตัว แต่ก็ก้าวได้เต็มที่ไม่เกินห้าก้าวเท่านั้น

“ท่าน..”

“หืม ว่าไงลอเรน ท่าทางเจ้าดูตื่นเต้นมาเลยนะ ดีใจหรือที่ข้ากลับมาหา” พักตร์หล่อเหลาเกลี้ยงเกลากับแววตาอ่อนโยน และน้ำเสียงทุ้มกังวานน่าฟังเช่นนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคนที่ลอเรนเฝ้าคิดถึง เฝ้ารอ ทั้งที่ใจไม่ปรารถนาจะได้พบเจอ คนที่ทำให้ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ขัดแย้งกับตัวเอง

“ท่านอย่าพูดแบบนั้นสิ ข้าไม่ได้ดีใจสักหน่อย” เป็นความจริงที่ลอเรนไม่ได้ดีใจเลยสักนิด ที่เห็นนิโคลอยู่ตรงหน้า แม้คนผู้นี้จะเป็นคนที่เฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเช้าค่ำ แทบจะคิดถึงตลอดเวลา เป็นคนที่อยู่ในใจแบบไม่ทันตั้งตัวนับแต่แรกเจอ แต่ลอเรนกลับไม่ดีใจที่เห็นนิโคลมาถึงก่อนกำหนดการจริง

“ข่าวที่ล่วงหน้ามาก่อน แจ้งกำหนดการท่านจะมาถึงในอีกเจ็ดวันข้างหน้าไม่ใช่หรือ”

“ข้ามาถึงก่อนไม่ดีหรือไง”

“ก็..ไม่” ลอเรนตอบเสียงแผ่วหลบสายตา แม้จะดีใจที่ได้เห็นหน้า แต่กลับไม่ยินดีที่นิโคลมาเร็วกว่ากำหนด ด้วยว่าใจดวงน้อยนั้นยังไม่ทันได้เตรียมตัวกับการพบเจอ

“ทำไมไม่มองหน้าข้าล่ะ” ความผิดปกติที่ลอเรนแสดงออกมา มันมากเกินกว่าความตื่นเต้นหรือตกใจ ที่นิโคลปรากฏตัวต่อหน้าอย่างไม่คาดคิดเสียอีก ราวกับเจ้าของร่างโปร่งกำลังสับสนตัดสินใจอะไรบางอย่างไม่ได้ รวมถึงความตื่นตระหนกเกินควรจะเป็นเสียด้วยซ้ำ นิโคลกวาดตามองเจ้าของใบหน้าขาวนวลอย่างค้นหา รู้ว่าลอเรนมีสิ่งปิดบัง รู้ว่าเรื่องนั้นอาจจะร้ายแรง จนทำให้กวางน้อยตัวสั่นน่าสงสาร แต่จะเค้นคาดคั้นให้รู้เรื่องตอนนี้ก็ใช่ที่



“เจ้าตัวสั่น” อดไม่ได้ที่จะแหย่เล่น ยิ่งเห็นท่าทางประหม่านิโคลยิ่งอยากแกล้ง อยากเอ็นดู

“ข้าไม่ได้สั่น ข้าไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น ท่านถอยออกไปอีกสักหน่อยสิลอร์ดนิโคล”

“แน่ใจหรือลอเรน” ได้ยินอีกคนบอกว่าถอย แต่นิโคลกลับขยับเข้ามาใกล้อีกก้าว ลอเรนก็ถอยออกอีกก้าวจนกระทั่ง

“อ๊ะ! ท่าน เหวอ นิโคล!” เพราะมัวแต่กังวลในการรักษาระยะห่าง ลอเรนลืมไปว่าตัวเองยืนอยู่บนโขดหิน ที่แม้จะเป็นหินก้อนใหญ่ แต่เดินถอยมาหลายก้าวแล้วจึงเสียหลัก และก่อนที่จะหงายหลังตกน้ำ เอวบางใต้อาภรณ์เนื้อดีสวมใส่สบายก็ถูกรวบไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรง นิโคลตวัดคว้าร่างสูงโปร่งเข้าสู่อ้อมกอดรัดแน่น นัยน์เป็นประกายสมใจแกมเอ็นดู

“ท่านชอบแกล้งข้าจริงเชียว” ลอเรนก้มหน้างุดสองมือดันอกแกร่งออกห่าง แต่หากเจ้าของร่างกายใหญ่โตสูงสง่าไม่ยอมปล่อย มีหรือกวางน้อยนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างจะเป็นอิสระได้

“ข้าไม่ได้แกล้ง แต่เจ้านั่นล่ะถอยหลังไปเอง”

“ก็ถ้าท่านไม่ก้าวเข้ามา” ลอเรนเผลอแสดงความรั้นออกมาด้วยการต่อปากต่อคำ เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าใบหน้านวลขาวราวน้ำนมนั้น แดงปลั่งน่ามองจนไม่อาจละสายตาไปมองทางอื่นได้ แต่ในสถานการณ์ชวนใจสั่นเช่นนี้ ลอเรนทำได้เพียงหลบตามองต่ำ ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างเพียงจดจ้องอยู่กับอกกว้างอบอุ่น พอปลายคางเรียวถูกดันให้แหงนเงยขึ้น ลอร์ดแห่งสวาเนียร์จึงเลี่ยงการประสานสายตากันไม่ได้



ลอเรนนิ่งราวถูกดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มสะกด ให้มองอยู่แต่เพียงใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา ความใกล้มันชิดใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารด ลอเรนเหมือนลืมตัวลืมสิ่งรอบข้างไปชั่วขณะ ก้อนเนื้อในอกเต้นกระหน่ำ ราวกับเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างที่โหยหา แต่ยังไม่ทันได้รู้ตัวหลุดจากภาพดุจฝัน ริมฝีปากหยักสีชมพูจางก็ประทับลงมาบนกลีบปากบางรูปกระจับ ลอเรนหลงลืมกำแพงที่ตั้งขึ้น เผยอกลีบปากหวานละมุนต้อนรับรสชาติหวานละไม ที่ใจเฝ้าเรียกร้องปรารถนา



เรียวลิ้นร้ายกาจตักตวงความหวานหวามจนลอร์ดน้อยแทบขาดใจ ร่างโปร่งระหงแทบสิ้นไรเรี่ยวแรง ลอเรนคล้ายหลุดไปในห้วงฝันล่องลอย หากไม่มีอ้อมแขนแข็งแกร่งประคองรองรับ คงกองระทวยลงกับโขดหินแล้ว ความอ่อนโยนของสัมผัสทะนุถนอม ทำลอเรนแทบหลงลืมทุกสิ่งทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วไขว่คว้าร่างสูงมาครอบครองเป็นของตัวเองเพียงผู้เดียว แต่ในความเป็นจริงกลับตรงข้าม ความปรารถนาที่พาล่องลอยราวอยู่ในห้วงฝันเริ่มชัดเจน เพราะถูกความจริงที่ซ่อนไว้เข้าทดแทน ลอเรนเรียกสติตัวเองกลับมา พร้อมกับมือที่ผลักอกกว้างออกห่างจากตัวเองเบา ๆ



“เจ้าหวานเหลือเกินลอเรน” ลอเรนแทบหลอมละลายไปกับเสียงกระซิบออดอ้อนชิดกลีบปาก และสัมผัสอ่อนโยนของปลายจมูกโด่งที่แตะไต่เบา ๆ ไปตามพวงปรางขาวใส ความประหม่าตื่นเต้นเห็นได้จากเลือดฝาดสีระเรื่อ บนแก้มนวลทั้งสองข้าง จนคนมองในระยะประชิดยังยากจะอดใจไหว ลอร์ดออสเซนเทียกลายเป็นภมรหนุ่ม ที่กำลังไล่ชิมความหอมหวานละมุนของพวงปรางสุกปลั่งอย่างได้ใจ จนเจ้าของปรางนวลผละถอยห่างนั่นแล้ว ภมรหนุ่มจึงได้เลิกรา



“ลอร์ดนิโคล ได้โปรดอย่าทำอย่างนี้” ลอเรนพยายามขืนตัวออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผล ใบหน้านวลขาวดูเว้าวอนจนน่าสงสาร

“ทำไมหรือลอเรน” เสียงที่แหบพร่าของนิโคล ตัดกับเสียงคลื่นเสียงลมที่ดังขึ้นอยู่ตลอด แต่เสียงรบกวนเหล่านั้น ก็ไม่ได้ลดความวาบหวามในความรู้สึกลงได้เลย

“ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย เราต่างก็รู้ว่าอยู่ในฐานะไหน ระยะทางจากออสเซนเทียมาถึงนี่ไม่ใช่ใกล้ ๆ ท่านมาเหนื่อย ๆ ควรพักผ่อนก่อน” ลอเรนหาข้ออ้างให้ตัวเองพ้นจากสถานการณ์อันตราย ไม่ใช่นิโคลที่เป็นอันตราย หากแต่เป็นใจของลอเรนเอง ที่ช่างเรียกร้องหาอันตรายให้ตัวเอง เพราะใจดวงน้อยคอยร่ำร้องหาแต่สัมผัสจากลอร์ดตัวสูงอย่างดื้อดึง

“นี่แหละการพักผ่อนของข้า”

“ท่านอย่าพูดในสิ่งที่เข้าใจยากนักเลย เชิญท่านที่ห้องรับรองเถิด ข้าจะส่งคนไปดูแลปรนนิบัติท่านเอง”

“ดูแลปรนนิบัติแบบไหนกันลอเรน”

“ท่านต้องการแบบไหนล่ะลอร์ดนิโคล บอกข้าสิจะได้จัดหาให้ถูกใจ”

“แบบไหนก็ได้ที่เจ้าเป็นคนทำให้ข้าเอง” นอกจากคำพูดที่ทำให้ลอเรนสะท้านไปถึงหัวใจ แววตาที่นิโคลใช้มองก็ไม่ยิ่งหย่อนน้อยไปกว่ากัน ที่ช่างขยันทำให้ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ใจสั่นได้ตลอด ด้วยเพราะมีใจให้เขาอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แค่คำหวาน คำออดอ้อนวอนขอเพียงไม่กี่คำ ใจดวงน้อยมันก็คอยแต่จะเอนเอียงเข้าหา



“ท่านอย่าพูดเป็นเล่นไปเลย พรุ่งนี้ท่านพร้อมเข้าเฝ้ากษัตริย์ของเราหรือไม่”

“เข้าเฝ้าทำไม” นิโคลขมวดคิ้วมุ่น ด้วยว่าสงสัยจริง ๆ หมายที่ถูกกำหนดไว้นั้นคือหลังจากที่เขาเดินทางมาถึง ไม่ใช่วันพรุ่งนี้เพราะเขาเดินทางมาก่อนหมายกำหนดการจริง เพื่อธุระส่วนตัว

“อ้าว ก็ท่านมาถึงแล้วเราก็ควรจะเริ่มเรื่องที่เราตกลงกันไว้เลยไม่ใช่หรือ” เพราะความใจร้อน อยากทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นโดยไว ลอเรนจึงมีสีหน้าฉงนไม่เข้าใจที่นิโคลถามกลับมาเช่นนี้

“ข้ามาถึงก่อนกำหนดตั้งหลายวันนะลอเรน นี่ใจคอเจ้าจะไม่ให้ข้าพักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนหรือไง มาถึงก็จะใช้งานข้าทันที สวาเนียร์หรือข้าก็ยังเที่ยวไม่ทั่วเลย” นั่นแหละลอเรนจึงเพิ่งรู้ตัว ว่าตัวเองใจร้อนเกินไปจนเสียมารยาท ลอร์ดน้อยแห่งสวาเนียร์ถอยห่างอย่างเจียมตัว ค้อมหัวลงแทนการขออภัยก่อนเอยคำ

“อภัยด้วยที่ข้าเร่งรัด แต่หลังจากแต่งงานกับอานาสตาเซีย ท่านจะไปเที่ยวไหนก็ได้นี่” นิโคลแอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่เหมือนลอเรนเองก็คงได้ยิน ถึงได้แหงนหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาสวยแฝงแววเศร้าไม่รู้เกิดจากสาเหตุใด แต่เขาหวังอยากให้ลูกแก้วสีฟ้าสว่างใสคู่นั้น กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนครั้งแรกที่ได้เจอ

“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้ากลับมาเพื่อการแต่งงานกับท่านหญิงอานาสตาเซียโดยเฉพาะ” ลอเรนปวดแปลบในอก ดูเหมือนนิโคลจะเน้นน้ำหนักเสียงเหลือเกิน เมื่อเอ่ยชื่อน้องสาวของเขา “แต่ไหน ๆ ข้าก็มาถึงก่อนกำหนดการแล้ว ข้าอยากล่องเรือออกไปเที่ยวในทะเล เจ้าจะกรุณาเป็นคนพาข้าไปได้หรือไม่”

“ข้า..”



***************** 50% *****************

อาจจะมาช้าหน่อย แต่ก็มาแน่นวล 

สงสารลอเรนจังเลย โดนจูบทั้งที่อยากจูบ และไม่อยากจูบ อ้าว!!

แต่ครึ่งหลังใครจะโดนอะไร เดี๋ยวรู้กัน 

หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 22 50% 3/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 04-02-2019 15:56:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 22 100% 5/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 05-02-2019 20:55:19
  เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ ตอนที่ 22 (100%)



“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้ากลับมาเพื่อการแต่งงานกับท่านหญิงอานาสตาเซียโดยเฉพาะ” ลอเรนปวดแปลบในอก ดูเหมือนนิโคลจะเน้นน้ำหนักเสียงเหลือเกิน เมื่อเอ่ยชื่อน้องสาวของเขา “แต่ไหน ๆ ข้าก็มาถึงก่อนกำหนดการแล้ว ข้าอยากล่องเรือออกไปเที่ยวในทะเล เจ้าจะกรุณาเป็นคนพาข้าไปได้หรือไม่”

“ข้า..”

นิโคลมองข้ามท่าทางลำบากใจของลอเรน ส่งสายตาเว้าวอนรุกต่อ “ข้าไม่เคยไปเลยนะลอเรน เจ้าก็รู้ออสเซนเทียไม่มีอาณาเขตติดทะเล”

“แต่....” เจ้าของพักตร์หล่อเกลี้ยงเกลาขยับเข้าหาร่างสูงโปร่งอีกก้าว แต่ลอเรนยังนิ่งคิดหนัก เห็นได้จากท่าทางลังเลลำบากใจ นิโคลยกมุมปากเหมือนจะยิ้ม อยากขำคนตรงหน้า แต่ที่แสดงออกมาตอนนี้มีเพียงความนิ่ง เขาใช้ความนิ่งต้อนกวางตัวน้อยอย่างใจเย็น

เห็นลอเรนลังเลนิโคลเลยแกล้งสบประมาท “หรือเจ้าไม่เคยออกเรือกลางทะเลลอเรน”

“ชายชาวสวาเนียร์ต้องเคยออกเรือทุกคนอยู่แล้ว” น้ำเสียงถือดีของลอเรนยิ่งทำให้นิโคลสนุก เมื่อเจ้าตัวบอกแล้วสะบัดพักตร์นวล หันไปมองทางอื่นอย่างไม่พอใจ ท่าทางแง่งอนอย่างนั้น จุดรอยยิ้มบนใบหน้าของลอร์ดออสเซนเทียขึ้นมาได้ทันที นิโคลอมยิ้ม ตาจับอยู่กับซีกแก้มขาวนวลซับสีระเรื่อไม่วางตา ผิวขาวนวลราวน้ำนมอย่างนี้ยากจะเชื่อ ว่าเคยอยู่กับท้องทะเลและเปลวแดด แต่เหมาะจะอยู่ในปราสาทอบอุ่น ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาในฤดูหนาวของออสเซนเทียเสียมากกว่า นิโคลคิดไปถึงผิวขาวนวลยามต้องแสงเทียนสีส้มอ่อน ที่คงจะเป็นประกายน่ามอง และเนียนนุ่มน่าสัมผัส



นิโคลใช้น้ำเสียงหยอกเย้าเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้น ชายชาวสวาเนียร์อย่างเจ้าก็พาข้าไปเที่ยวได้สิ”

“ท่านล้อเลียนข้าหรือลอร์ดนิโคล!” ลอเรนถามกลับเสียงดุที่หันกลับมาเห็นนิโคลยิ้มกว้าง

“เจ้าน่าเอ็นดูออก ข้าจะล้อเลียนได้อย่างไร ตกลงนะ พาข้าออกเรือสักสองสามวัน”

“แต่...”

“ไม่ได้หรือกวางน้อย แค่ข้ากับเจ้า หรือเจ้ากลัวไม่อยากอยู่กับข้าเพียงลำพัง ข้าดูน่ากลัวมากหรือไง” นิโคลอาจจะอบอุ่นน่าอยู่ใกล้สำหรับคนอื่น แต่ลอเรนที่ในใจเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกที่มีให้ นิโคลถือเป็นบุคคลอันตรายที่สุด ด้วยว่ามีใจให้แต่ไม่อาจเผยใจว่ารัก จึงพยายามสร้างกำแพงกั้น ลอเรนไม่รู้ตัวเลยว่ากำแพงที่สร้างไว้มันไม่ได้แข็งแรงสักนิด และจะถูกทำลายลงได้ง่าย ๆ ทุกเมื่อ เพียงนิโคลเปล่าลมหายใจเบา ๆ ไล่มันออกไป

“ข้า ข้ามีราชการต้องดูแลคง..”

“เจ้าหายไปวันสองวันสวาเนียร์คงไม่ถึงกับล่มจมหรอกกระมัง”

“แต่..”

“หรือเจ้ารังเกียจว่าที่น้องเขยอย่าข้า ที่อยากไปหาประสบการณ์กลางทะเล นั่นสินะเจ้าคงคิดว่ามันไม่เหมาะสม อภัยด้วยก็แล้วกันข้าขอตัวก่อน” นิโคลทิ้งสายตาผิดหวังให้ลอเรนแล้วหันหลังกลับ แต่ยังไม่ทันได้กระโดดข้ามไปยังโขดหินอีกก้อน เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นข้างหลัง จุดรอยยิ้มร้ายบนใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา หากใครได้เห็นคงไม่เชื่อว่านี่คือรอยยิ้มของลอร์ดนิโคลผู้อบอุ่นละมุนละไม

“ก็ได้” เนตรสีฟ้ากระจ่างจับอยู่กับแผ่นหลังกว้าง ของคนที่เร่งเร้าอยากออกเรือเที่ยว นิโคลถือเป็นลอร์ดคนสำคัญ ทรงอำนาจพอที่จะช่วยให้สวาเนียร์เปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดีขึ้นหลายอย่าง หากได้รับการส่งเสริมหนุนหลังจากเขา ลอเรนจึงต้องหาทางทำทุกอย่าง เพื่อให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมั่นคง!



ด้วยสิ่งที่กำลังทำ ลอเรนต้องแน่ใจว่าความสัมพันธ์จะมั่นคง และมีหลักประกันว่ามันจะไม่ถูกสั่นคลอนง่าย ๆ และทางนั้นคือการแต่งงานระหว่างนิโคลกับอานาสตาเซีย แล้วมีทายาทนั่นเอง



***********************



“เจ้าหายไปไหนมาทั้งวัน”

“แถวนี้”

“ไม่น่าเชื่อว่าคนร่อนเร่หลีกหนีการอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งอย่างเจ้า จะให้เกียรติอยู่ที่ป้อมข้าเป็นนานสองนานขนาดนี้” เลนนี่อดไม่ได้ที่จะกระแนะกระแหนเพื่อนรักแกมประชด เพราะถึงแม้ฮานส์จะพักอยู่ที่ป้อมปราการของเขานานที่สุด เท่าที่เคยอยู่มา แต่ละวันเลนนี่กลับแทบจะไม่ได้เห็นหน้า ด้วยว่าเพื่อนรักออกไปนั่นมานี่อยู่ตลอด ราวกับคนมีธุระมากมาย ซึ่งธุระของฮานส์ก็คงจะไม่พ้นร้านเหล้า หรือหอคณิกานางโลมในเมือง

“หึ” ฮานส์แค่นเสียงออกมาจากลำคอเบา ๆ ใจคิดไปถึงบ้านหลังน้อยในหมู่บ้านทางเหนือ ที่สองผัวเมียเจ้าของบ้านให้การต้อนรับเขา ราวกับเป็นลูกชายคนหนึ่ง และน้องสาวตัวน้อยน่ารัก กระนั้นครอบครัวเล็ก ๆ ที่อบอุ่น ก็ยังไม่อาจรั้งหัวใจที่พร่ำเพรียกหาแต่อิสระของเขาได้ ฮานส์จากไปแต่ก็หวนกลับคืนสู่บ้านหลังน้อยทุกครั้งที่มีโอกาส จนสองผัวเมียจากไปทิ้งไว้แต่น้องสาวตัวน้อย ที่เติบโตขึ้นมาเป็นสาวน้อยสวยสะพรั่ง แต่การกลับไปของเขาครั้งสุดท้าย กลับทำให้นางต้องจากไปตลอดกาล ตอนนี้ฮานส์เหมือนอยู่ตัวคนเดียว ไม่เหลือใครที่เขาเรียกว่าเป็นครอบครัว ถ้าไม่นับเพื่อนรักอย่างเลนนี่

“เจ้าคิดจะเดินทางต่อหรือยัง” เลนนี่ถามพลางเดินมานั่งลงบนเบาะนุ่มหน้าเตาผิง ข้างฮานส์ที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่อย่างสบายอารมณ์ ในมือถือแก้วก้านยาวทรงสูง น้ำองุ่นหมักสีม่วงอมแดงเข้มคล้ำในแก้วพร่องไปเกือบหมด

“ไล่ข้า?” ฮานส์เลิกคิ้วขึ้นทำตาโต เสแสร้งแกล้งถามอย่างตกใจ ทั้งที่ความจริงเขาไม่ได้สะทกสะท้านเลยสักนิด

“หึ” คราวนี้เป็นทีของเลนนี่ที่ต้องแค่นเสียงหัวเราะออกมา ชายหนุ่มทั้งสองต่างรู้จักกันดีเกินไป เลนนี่รู้ว่าเพื่อนรักจะอยู่เมื่ออยากอยู่จริง ๆ ไล่ยังไงก็ไม่ไป และถ้าอยากจะไปเมื่อไหร่ ต่อให้เขารั้งยังไงฮานส์ก็ไม่อยู่ และใครก็รั้งไม่ได้

“เจ้าไม่คิดจะเข้าเฝ้าจูเลียนบ้างหรือไง” อยู่ดี ๆ เลนนี่ก็ถามคำถามนี้ออกมา เป็นคำถามที่ไม่คาดคิดจนคนถูกถามหัวคิ้วกระตุก

“มีคำสั่ง? “ในคำถามไม่มีแววของความตื่นเต้น ไม่มีแม้กระทั่งท่าทางสนใจมากไปกว่าแก้วไวน์ในมือ ที่ฮานส์กำลังเอาสายตาไปจับจ้องมัน ราวกับสนใจว่าช่างผลิตมันขึ้นมาได้อย่างไร ต้องใช้ความประณีตละเอียดลออมากแค่ไหน ถึงจะได้แก้วทรงสวยที่ดูอ่อนช้อยงดงาม และบอบบางน่าทะนุถนอมได้ขนาดนี้

“ไม่มี”

“แล้วเพื่ออะไรล่ะ?” เลนนี่เพียงยักไหล่เมื่อฮานส์ถามกลับ พลางยืดตัวขึ้นหยิบเหยือกที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ มาเติมไวน์ให้ตัวเอง แล้วยกขึ้นจิบในแบบของเขา หากเป็นเลนนี่ต้องเรียกว่าดื่ม หรืออะไรที่มากกว่าในกิริยาอย่างนั้น เพราะฮานส์อมไวน์ไว้เต็มสองกระพุ้งแก้ม ขยับไปมาเหมือนบ้วนปากอยู่หลายรอบ จึงค่อยกลืนลงคอไป พร้อมกับตาที่หลับพริ้มดื่มด่ำรสชาติกลมกล่อม

เลนนี่มองฮานส์ด้วยหางตา แอบขัดใจในความเฉยชาไม่ทุกข์ร้อนของเพื่อนรัก

“ข้าว่าเจ้าควรขอเข้าเฝ้าจูเลียนบ้างนะ ให้ข้าพาไปไหม”

“ข้าจะบังอาจเข้าเฝ้ากษัตริย์น้อยของเจ้าได้อย่างไร” เป็นอีกครั้งที่เลนนี่ต้องเหลือบมองฮานส์ ไม่ใช่เพราะความขัดใจ แต่เป็นเพราะอยากตรวจว่าฮานส์มีสีหน้าอย่างไร คำพูดถึงได้เหมือนกำลังน้อยใจอะไรบางอย่างแบบนั้น

“อย่างน้อยเจ้าก็คือคนที่เคยอยู่ข้างกายในวันที่จูเลียนลำบาก”

“ท่านลอร์ดอะไรนั่นคงไม่ชอบใจนักหรอก เพื่อนเจ้าอีกเฮนริชนั่นน่ะ ดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าข้าเท่าไหร่นะ ชู้รักของจูเลียนั่นก็ด้วย ชื่ออะไรล่ะกวีคนนั้น” ฮานส์ถูกนิโคลเรียกตัวเข้าพบเงียบ ๆ กลางดึกคืนหนึ่ง หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเหล่าอัศวิน ว่าคนที่คอยปกป้องและพาจูเลียนหนีไปคือชายชุดดำ ชายพเนจร และเป็นชายคนเดียวกันกับผู้ชนะการประลองประจำปีคนนั้น แต่เพียงครั้งแรกที่ได้เจอหน้ากันตรง ๆ ฮานส์ก็สัมผัสได้ทันทีว่าตัวเองไม่เป็นที่พอใจของลอร์ดหนุ่ม ที่มองเขาด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัย ฮานส์ไม่ได้สนใจต่อการพบปะ เขาไม่คิดจะไปด้วยซ้ำ แต่เป็นเลนนี่เองที่บังคับจนฮานส์ต้องตัดรำคาญ ด้วยการไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

เลนนี่กระตุกยิ้ม “เขาชื่อกรอสเซ่”

“เออ คนนั้นแหละท่าทางคงรักกันมากสินะ” เลนนี่ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า แต่เสียงเพื่อนรักที่เขาได้ยินมันฟังดูแข็งผิดปกติ

อัศวินหนุ่มมองข้ามเสียงพูดห้วน ๆ ของเพื่อนแล้วถาม “เจ้าเห็นหรือไง”

“แค่เคย”

“สนใจด้วยหรือ”

“ข้าจะสนใจทำไม”

“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงล่ะ”

“แค่เรื่องบังเอิญน่า”

“คงบังเอิญมากสินะ ตกลงเจ้าจะไปหาจูเลียนไหมล่ะ ข้าจะได้พาไป”

“ข้าไม่เป็นที่ต้อนรับเลนนี่เจ้ารู้ดี ใครจะอยากให้คนพเนจรอย่างข้าเข้าไปป้วนเปี้ยนในปราสาทราชวัง อันโออ่าหรูหราอย่างนั้นวะ”

เลนนี่ยิ้มกรุ้มกริ่ม นึกอยากหัวเราะดัง ๆ ให้กับน้ำเสียงประชดประชันของฮานส์ “เจ้าน้อยใจอะไรเนี่ย”

“เจ้าเพ้อเจ้อแล้ว”

“หัดทำตัวให้กลมกลืนกับเขาบ้างสิ เจ้าทำเป็นนี่ใช่ว่าไม่เคย” คำว่าไม่เคยของเลนนี่ มันมีความหมายมากกว่าการที่ฮานส์เคยแอบเอาเสื้อผ้าของเขามาใส่ แล้วลอบเข้าไปในงานเลี้ยงหรูหราของจูเลียน เลนนี่รู้ดีว่าฮานส์ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้นัก

“จูเลียนก็แค่เด็ก เด็กอยู่กับใครแล้วอุ่นใจก็ย่อมคิดถึงเป็นธรรมดา” เพราะฮานส์หันหน้าหนีไปมองทางอื่น เลนนี่จึงไม่ได้เห็นนัยน์ตาดำขลับของเขา ที่เป็นประกายเหมือนมีแสงสว่างจ้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว คำพูดลอย ๆ ที่พูดจากข้อสันนิษฐานของเลนนี่ กำลังทำให้ก้อนเนื้อในอกฮานส์เต้นผิดจังหวะ เขากัดฟันกรอดยามรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของตัวเอง และไม่ยอมหันกลับไปมองเพื่อนรัก ที่คงจับความผิดปกติของเขาได้ทันทีที่เห็นแน่นอน

“จูเลียนบอกเจ้าว่าคิดถึงข้าหรือไง”

“หึ ก็ไม่” ฮานส์รินไวน์ใส่แก้วเกือบเต็มแล้วยกขึ้นดื่ม เขารู้ดีว่าตอนนี้จูเลียนปลอดภัยแล้ว จึงไม่คิดว่าอีกคนจะอยากเจอหน้า ฮานส์นั่งดื่มเงียบ ๆ ราวกับตรงนี้มีเพียงเขาคนเดียว ที่นั่งให้ความอบอุ่นจากเปลวไฟในเตาผิงอาบร่าง เพราะตัวเลนนี่เองก็นั่งเงียบ ราวกับไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่สายตาคมกริบของเขา ที่จับสิ่งผิดสังเกตได้ทันทีที่มีอะไรเกิดขึ้น จ้องมองเสี้ยวหน้ารกไปด้วยหนวดเคราของเพื่อนรักอย่างคนหา พอ ๆ กับเมื่อเช้า ตอนที่จูเลียนเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามอะไรบางอย่าง ท่าทางที่แสดงออกมาเหมือนไม่รู้ตัว นั่นก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาคมกริบของอัศวินหนุ่มไปได้



ทั้งสองนั่งเงียบอยู่เป็นครู่ เลนนี่จึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบเสียเอง “ข้ามีงาน เจ้าก็รีบพักผ่อนซะ หรือต้องการใครมานอนเป็นเพื่อนข้าจะได้เรียกมาให้”

“ข้าไม่ใช่คนขี้เหงาเหมือนเจ้านะเลนนี่”

“ใครจะรู้วะ” เลนนี่ทิ้งรอยยิ้มแฝงเลศนัยให้เพื่อนรัก แล้วลุกจากเบาะนุ่มที่แสนอบอุ่นเดินออกไป จุดหมายปลายทางคือการเดินสำรวจตรวจตรารอบ ๆ ปราสาท อันเป็นหน้าที่ของเขาในค่ำคืนนี้



คล้อยหลังเพื่อนรักที่ลุกออกไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบที่เข้าปกคลุมรอบตัว เพราะคนที่จับจองพื้นที่หน้าเตาผิง ยังคงนอนนิ่งอยู่เช่นเดิม ฮานส์ไม่แม้แต่จะขยับตัวลุกขึ้นมาเติมไวน์ใส่แก้ว ทั้งที่แก้วในมือเหลือเพียงคราบน้ำหมักสีม่วงอมแดงติดก้น ให้เห็นว่ามันเคยบรรจุสิ่งใดมาก่อน ชายหนุ่มเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนนุ่มใบใหญ่ ขาข้างหนึ่งเหยียดตรง ส่วนอีกข้างยกเข่าตั้งขึ้นเพื่อรองรับท่อนแขนข้างที่ถือแก้วไวน์ ดวงตาปิดสนิทคล้ายดำดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา หากแต่มือข้างนั้นไม่คลึงแก้วไปมาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก็คงบอกได้ว่าหลับไปแล้ว



เวลาผ่านไปเป็นครู่ ก่อนทุกอย่างจะเกิดขึ้นรวดเร็วแทบมองไม่ทัน เมื่อแก้วไวน์ถูกโยนทิ้งไปอีกทาง ขณะที่ฮานส์ยืดลำตัวขึ้น ทั้งที่ส่วนล่างยังนั่งอยู่บนเบาะ เขาตวัดมือไปข้างหน้าอย่างว่องไว พลันร่างบอบบางในชุดเปิดไหล่กระโปรงยาวกรุยกรายรุ่มร่าม ก็หงายหลังลงมานอนแผ่อยู่บนอกกว้างแข็งแกร่ง



“นายท่านโปรดอภัย คิดว่าท่านเข้าห้องพักผ่อนแล้ว ข้าเลยจะมาเก็บกวาด” ฮานส์รู้ว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ แม้เสียงฝีเท้าจะแผ่วเบา แต่กลิ่นหอมที่นำมาก่อน เป็นสัญญาณบอกให้เขารู้ตัว ว่ากำลังมีคนเดินเข้ามาหาและเป็นผู้หญิง

“ไม่ใช่จะมาดูแลข้าหรอกหรือไง” เขาถามเสียงพร่าบ่งบอกความต้องการของร่างกายหนุ่ม ที่มีอิสตรีดีดดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอด เป็นการกระตุ้นแรงกำหนัดที่ดีทีเดียว

“ท่านต้องการอย่างนั้นหรือนายท่าน” นางถามกลับเสียงสั่น

“ก็ต้องถามก่อน ว่านายของเจ้าตั้งใจส่งเจ้ามาทำไม” ฮานส์บอกอย่างรู้เท่าทัน เมื่อนั้นท่าทางขัดขืนของหญิงสาวหายไป นางพลิกตัวหันมาเผชิญหน้า ใบหน้าของฮานส์ยังประดับด้วยหนวดเคราหนา ทำให้ดูดิบเถื่อนเร้าใจมากขึ้น หญิงสาวจ้องมองผ่านความสลัวอย่างหลงใหล นางแอบมองฮานส์ตั้งแต่วันที่มาถึงป้อมพร้อมเลนนี่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว

“เซอร์เลนนี่บอกให้ข้ามาปรนนิบัติท่านให้ดี” เสียงแปร่งพร่ากับลมหายใจหนัก ๆ ของนาง กระตุ้นความรู้สึกบางในร่างกายได้ดี ฮานส์รู้สึกได้ถึงความตื่นตัวไวไฟของตัวเองขึ้นมาครามครัน

“แล้วเจ้าจะปรนนิบัติข้ายังไงคนสวย”

“ข้าจะทำทุกอย่างที่นายท่านต้องการเจ้าค่ะ” หญิงสาวตวัดสายตามองเขา ด้วยแววตาที่มีแต่ความปรารถนายั่วยวน คำพูดฟังดูเหมือนนางกำลังรอให้ฮานส์บัญชาสิ่งที่ต้องการ แต่มือกลับซุกซนนำร่องไปก่อน นางลูบไล้วนเวียนอยู่กับความเป็นชายของเขาจนมันชักจะเริ่มตื่นตัว สายตาหรือก็ช่างยั่วยวนเชิญชวนให้กระโจนเข้าหา แล้วขย้ำระบายอารมณ์ดิบป่าเถื่อน

“ท่าทางเจ้าคงปรนนิบัติข้าได้ทุกอย่างจริง ๆ “มันรวดเร็วมากจนฮานส์แทบผละออกไม่ทัน ไม่รู้ว่านางเป็นเพียงหญิงรับใช้ในป้อมปราการแห่งนี้ หรือเป็นโสเภณีผู้ชำนาญงาน เพราะพอฮานส์บอกข้อสันนิษฐานของเขา ว่านางคงปรนนิบัติได้ทุกอย่าง หญิงสาวก็ไถลตัวลงไปวุ่นวายกับร่างกายส่วนล่าง ท่าทางราวกับคนหิวโหย ยามก้มหน้าลงเกลือกกลั้ว เสื้อเปิดไหล่คอกว้างของนาง อวดโฉมโนมเนื้ออวบอัดแน่นทะลัก ฮานส์มองเพลิน การมองส่งผลให้เลือดในกายสูบฉีด เขาไม่รู้ตัวเลย ว่ากางเกงผ้าเนื้อหนาของตัวเอง ถูกนางปลดออกอย่างง่ายดายตั้งแต่ตอนไหน มารู้ตัวจริง ๆ ก็ตอนโพรงปากอุ่นของนางครอบครองความแข็งผงาดของเขาแล้วสุดความยาว

“ท่านไม่อยากสัมผัสข้าหรือนายท่าน” เพราะเขายังนั่งเฉยปล่อยให้หญิงสาวทำตามต้องการ นางจึงหยุดปากที่กำลังดูดกลืนความแข็งตระหง่าน ราวกับเขาเป็นอาหารเลิศรส หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถาม ด้วยว่าฮานส์ยังทำหน้านิ่ง นั่งนิ่งราวไร้ความรู้สึก ไม่พอยังคว้าเหยือกไวน์มารินใส่แก้วใบใหม่ยกขึ้นจิบหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอารมณ์ร่วม ทั้งที่ความเป็นชายที่นางกำลังดูดกลืนกินรสชาติ มันแข็งผงาดตั้งลำเหยียดตึงจนแทบปริแตก ส่วนปลายป้านบานฉ่ำน้ำหยาดเยิ้มน่าลิ้มลอง

“หรือข้าทำให้ท่านไม่พอใจเจ้าคะ” ฮานส์ยกแก้วไวน์ขึ้นกรอกปาก ทั้งที่ตายังประสานกับนางนิ่ง มุมปากที่ประดับด้วยหนวดเครายกยิ้มหลังจากกลืนไวน์ลงคอ ในหัวคิดไปถึงใบหน้าเพื่อนรัก เลนนี่คงหัวเราะสมใจอยู่ที่ไหนสักแห่งข้างนอกนั่น ความผิดปกติของฮานส์ยามได้ยินว่าใครบางคนคิดถึง ไม่อาจรอดสายตาจ้องจับผิดของเพื่อนรักไปได้

“ถ้าทำให้ท่านพอใจไม่ได้ ข้าต้องถูกลงโทษนะเจ้าคะนายท่าน รีบขย้ำข้าสักทีเถอะ” เสื้อผ้าของนางหลุดลุ่ย ใบหน้าเศร้าสร้อยที่นางแสร้งทำ ไม่สามารถกลบเกลื่อนความปรารถนาของร่างกาย สายตานางเว้าวอนราวต้องการความเมตตา เมตตาด้วยการให้เขาขย้ำกลืนกินตัวนางเอง หาใช่ความปรานีอื่นใดไม่ ส่วนคำสั่งเสียงเข้มของเจ้านาย ให้ดูแลปรนนิบัติอย่างดี จนคืนนี้ชายหนุ่มตรงหน้าลุกจากเตียงไม่ได้ คือสิ่งที่ได้รับบัญชามา โดยไม่รู้ว่ามีความในของการกลั่นแกล้งระหว่างเพื่อน

“ทำสิ ทำให้ข้าอยากกินเจ้าหน่อยคนสวย”

“ท่านจะต้องอยากกลืนกินข้าทั้งตัวแน่เจ้าค่ะนายท่าน” ว่าแล้วนางก็ก้มลงใช้ปากจัดการฮานส์ต่ออย่างช่ำชอง เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่านางเก่งพอตัว ในการใช้ปากใช้ลิ้นปรนเปรอ ยิ่งเห็นเขายังนิ่งนางก็ยิ่งเร่งเรียวลิ้นที่ตวัดรัดรึง แม้ความใหญ่โตของฮานส์จะเป็นอุปสรรคในการกลืนกิน แต่เหมือนนางกลับยิ่งชอบใจ หญิงสาวงัดเอาวิชาการปรนเปรอปรนนิบัติ ออกมาเรียกร้องความปรารถนาให้เขา ทั้งไล้เลียไปตามความยาวจนสุดโคน ทั้งดูดดึงดื่มหนัก ๆ จนสุดปลาย แทบจะหลุดจากปาก แล้วจึงครอบโพรงปากอุ่นลงมาใหม่ ขณะที่ครอบปากลงมานางดูดกลืนสุดแรง จนสะโพกฮานส์ลอยขึ้นตามแรงดูด นั่นทำให้นางได้ใจ ตวัดเรียวลิ้นเกี่ยวรัดสลับการดูดดึงเม้มริมฝีปากแน่น ทุกจังหวะต่อเนื่องไม่ขาดตอน

ต่อจ่ะ..
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 22 100% 5/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 05-02-2019 20:57:12
ดูเหมือนนางจะชอบส่วนปลายของเขามากเป็นพิเศษ จึงหลอกล่อด้วยปลายลิ้นที่ทั้งไล้เลีย และตวัดเกี่ยวรัด สลับกับการดูดดื่มราวกับเขาเป็นเหล้าชั้นดีรสชาตินุ่มคอ จนได้ยินเสียงครางต่ำคำรามออกมาจากลำคอของเขาเบา ๆ นั่นแหละ นางจึงตวัดสายตาขึ้นมอง ทั้งที่ความใหญ่โตยังคาคับปาก สายตาเจ้าเล่ห์เชิญชวนสบมองฮานส์อย่างท้าทาย

“เก่งมากคนสวย” ฮานส์ชมเชยแล้วกรอกไวน์รสนุ่มลงคอจนหมดแก้ว เสียงกระเส่าของเขาเหมือนเป็นสิ่งกระตุ้น ให้นางเร่งการปรนเปรอให้สมใจ ทุกความช่ำชองที่นางมี ถูกนำมาใช้จนในที่สุด ร่างแกร่งกำยำเกร็งแน่น ฮานส์กดหัวหญิงสาวเข้าหาส่วนกลางลำตัว หนึ่งเรียวลิ้นหนึ่งมือที่ร่วมด้วยช่วยกันชักนำ ไม่นานร่างแกร่งกำยำที่เกร็งแน่นก็กระตุก ความปรารถนาทุกหยาดหยดปลดปล่อยออกมาให้นางได้กลืนกิน

“รสชาติของนายท่านช่างหวานกลมกล่อมเหลือเกินเจ้าค่ะ” นางแลบลิ้นเลียคราบที่ติดตามมุมปาก สายตาไม่ละไปจากดวงตาคมเข้มสีดำสนิท ประกายยั่วยวนนั้นยากนักที่ชายใดจะปฏิเสธ แต่ไม่ใช่กับชายเจ้าของใบหน้าดิบเถื่อนรกหนวดเคราคนนี้ แม้เขาจะมีอาการหายใจหนักและถี่ จากการไปถึงจุดสูงสุดของความใคร่ แต่ก็ยังนั่งเฉย พอเห็นฮานส์ยังนั่งเฉยหญิงสาวจึงยืนขึ้น ป่ายปัดมือไปตามร่างกายตัวเอง ปลดเปลื้องอาภรณ์บางเบาที่ยังปิดบังสิ่งเย้ายวนออก ให้ชายหนุ่มได้ยลโฉมเต็มตา



ร่างอรชรอ้อนแอ้นที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เรียกตัณหาและความกำหนัดให้กับชายที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ได้ดียิ่ง แต่นั่นคงสำหรับชายอื่น ละเว้นชายพเนจรเจ้าของตำแหน่งผู้ชนะการประลองคนนี้ เขานั่งนิ่งมองด้วยสายตาเฉยชายากเดาความคิด ใช่ที่เขากวาดตามองนาง ตั้งแต่ใบหน้าสวยหวานกับสายตายั่วยวน ไล่ลงมาจนถึงทรวงอกอวบอิ่ม สองเต้าเต่งตึงน่าเค้นคลึง เอวคอดกิ่วเล็กนิดเดียวเข้ากับหน้าท้องแบนราบ แต่สะโพกกลับผายออกได้รูปทรงน่ามอง ตรงกลางนั้นประดับด้วยไรขนอ่อนสีเดียวกับเส้นผมนาง บ่งบอกว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ของสตรี เป็นศูนย์รวมความปรารถนาต้องการ จนถึงขาเรียวยาวพอดีกับปลีน่องขาวเนียน



...ที่ฮานส์เพียงมองด้วยสายตาว่างเปล่า จนนางหวั่นใจ



“ไม่มีชายใดเมินเฉยต่อเรือนร่างของข้าอย่างนี้มาก่อนนายท่าน เซอร์เลนนี่ชมเสมอว่าข้าสวย” นางไม่ปิดบังความกังวลในน้ำเสียงที่สั่นกระเส่า ด้วยว่าหน้าที่ที่ได้รับคือเสนอสนองให้แขกของเจ้านายพอใจ หญิงสาวพูดพลางลูบไล้เรือนร่างเชิญชวนสัมผัส นิ้วเรียวกรีดกรายแหวกว่ายเข้าไปในกลีบเนื้อของตัวเอง ฮานส์เพียงกระตุกยิ้ม ใช่ว่าเขาไม่มีความรู้สึก ใช่ว่าเขาไม่มีความต้องการ ความเป็นชายที่ยังเหยียดเกร็งแข็งตระหง่านบอกได้ดี เรือนร่างของนางที่ปรากฏต่อสายตา ทำให้เลือดหนุ่มที่อยู่ในวัยฉกรรจ์อย่างเขาสูบฉีด แต่กระนั้นมันยังไม่ถึงกับเดือดพล่านเช่นแต่ก่อน หรืออาจจะเป็นเพราะเลนนี่ลืมให้วิโอเลียแก่เขาก็เป็นได้!



“ท่านไม่กระหายในตัวข้าหรือนายท่าน ข้า..ข้าต้องการท่าน ต้องการเหลือเกิน นอกจากเซอร์เลนนี่ ข้าก็ไม่เคยเห็นชายใดที่มีเครื่องเพศใหญ่โตเท่าท่านมาก่อน ข้าอยากได้ของท่านเข้ามาตรงนี้ โปรดมอบความสุขสมของการมีตัวท่านอยู่ในนี้ให้ข้าด้วยเถิดนายท่าน ข้าต้องการท่านเหลือเกิน” นางเว้าวอนแล้วกัดปากอย่างเสียวซ่าน เมื่อส่งนิ้วเรียวเข้าไปในกลีบเนื้อตัวเองถึงสามนิ้ว เพื่อเชิญชวนให้ชายหนุ่มมอบความปรารถนา และระบายอารมณ์ดิบกับร่างกายของนาง



แต่ฮานส์ยังคงความนิ่งและเฉยได้เหมือนเดิม!



เขาถอนหายใจหนัก ไม่รู้เพราะเสียดายหรือทำเพื่อไล่ความปรารถนาที่ก่อตัวขึ้น เมื่อเห็นร่างยั่วยวนตรงหน้ากำลังปรนเปรอ จนเกือบสำเร็จความใคร่ให้ตัวเอง ดวงตาสีดำดุจรัตติกาลจับที่การกระทำของหญิงสาว แต่มือเช็ดทำความสะอาดส่วนที่ถูกนางดูดกลืนแล้วเก็บเข้าที่ ทั้งที่มันยังผงาดกล้าอย่างองอาจแข็งแกร่ง แต่เขาไม่ยอมแพ้เลนนี่หรอก เพราะรู้ว่าเพื่อนรักส่งนางมาทำไม

“หึ”

“นายท่าน อย่าให้ข้าต้องถูกลงโทษเลย รีบจัดการข้าเสียสิ”

“ไม่ล่ะข้ามีเรื่องต้องไปทำ”

“นายท่าน! ” แล้วฮานส์ก็เดินจากไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้หญิงสาวค้างเติ่งอยู่บนขอบฟ้า



*****************



กลางดึกสงัดในคืนเดือนมืดเหมาะแก่การแฝงตัวซ่อนเร้น ปราสาทอันโออ่าหรูหรายังถูกปกคลุมด้วยความหนาวเย็นและความเงียบ ด้วยว่าเป็นเวลาพักผ่อนของเจ้าเหนือหัว รอบ ๆ ปราสาทวางเวรยามกวดขันความปลอดภัยอย่าเคร่งครัด แต่กระนั้นก็ยังไม่มากพอที่จะจับได้ถึงความผิดปกติของผู้ลักลอบเข้ามาเงียบ ๆ

ความเงียบ

ความว่องไว

การเคลื่อนไหวที่กลืนไปกับความมืดรอบตัว ราวกับเป็นเพียงเงาสีดำวูบไหว ค่ำคืนเดือนมืดเช่นนี้ สำหรับคนปกติต้องใช้แสงจากคบไฟนำทาง จึงจะสามารถเดินฝ่าสีดำรอบตัวไปได้ โดยไม่สะดุดหรือชนเข้ากับอะไรที่กีดขวางก่อน แต่ไม่ใช่เจ้าของดวงตาสีดำสนิท ที่กำลังมองผ่านราตรีมืดมิด ราวกับนั่นไม่ใช่ปัญหาในการมองเห็น ราวกับเขาเป็นส่วนหนึ่งของมัน สีดำแห่งราตรีกาล



ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมดำมืดกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับสภาพรอบตัว เดินผ่านทางลับภายในปราสาท ที่มีไม่กี่คนรู้ถึงการมีอยู่ของมัน ทางนี้ถูกใช้เป็นทางผ่านเพื่อเข้าไปสู่ราชฐานชั้นใน และใช้เป็นทางหนีหากเกิดเหตุร้าย ที่แบ่งแยกทางเดินออกไปสู่จุดหมายหลายที่ รวมไปถึงห้องบรรทมของกษัตริย์หนุ่มน้อยด้วยเช่นกัน



แต่กระนั้นทางลับนี้ก็ใช่ว่าจะหาเจอ และเดินผ่านไปผ่านมาได้ง่าย ๆ หากไม่รู้จักทางดี และเดินเข้ามาแบบสะเปะสะปะ ก็อาจจะเป็นการเอาชีวิตมาทิ้งไว้กับความมืด และกับดักที่มีอยู่ตลอดทาง



ภายในห้องที่ถูกความสลัวเลือนรางปกคลุม อบอวลไปด้วยไออุ่น หน้าต่างปิดไว้ด้วยผ้าม่านหนาหนัก ยาวตั้งแต่เพดานลงมาจรดพื้นปูพรมทอลายวิจิตร เครื่องเรือนหรูหราเข้ากับความชอบส่วนตัวเจ้าของห้อง ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบลงตัว ทั้งชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งเล่นหรือทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตั้งอยู่ชิดผนังด้านซ้ายของห้องตรงกึ่งกลางของผนังพอดี ส่วนผนังด้านขวาเป็นเตาผิง หน้าเตามีตั่งนั่งเล่นตัวยาว ความสูงเพียงเข่าหุ้มด้วยเบาะนุ่ม สำหรับนอนเอกเขนกเล่นเพื่อความผ่อนคลาย หมอนอิงและเบาะนั่งมากมายถูกนำมากองรวมกันไว้ตรงนี้ ไฟในเตาอ่อนแรงลงเพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว จึงไม่มีใครเติมฟืน แต่กระนั้นความสว่างที่กระจายราง ๆ อยู่ในห้อง ก็มาจากไฟในเตาผิงนี่เอง



เงาสีดำเคลื่อนไหวว่องไวเงียบเชียบ เงียบจนไม่ได้ยินกระทั่งเสียงฝีเท้า หรือเสียงเสียดสีของอาภรณ์ดำสนิทที่สวมใส่ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ ราวกับเขาเป็นร่างไร้ชีวิตที่เดินได้ ทั้งที่ยังมีเลือดเนื้อไหลเวียน ก้อนเนื้อในอกยังเต้นดีอยู่ ร่างสูงเร้นกายในความมืดเดินผ่านกลางห้องช้า ๆ จุดหมายคือเตียงนุ่มที่ตั้งหัวเตียงชิดผนัง แสงสลัวจากเตาผิง ส่องให้เห็นใบหน้านวลผ่องได้เลือนราง ดวงตาสีเขียวมรกตสวยเจิดจ้า บัดนี้ปิดสนิทเพราะเจ้าตัวกำลังดื่มด่ำอยู่ในห้วงนิทรา คงเป็นนิทราฝันหวาน เพราะริมฝีปากอิ่มสีเชอรี่แย้มออกน้อย ๆ เหมือนเจ้าตัวกำลังอมยิ้ม ช่างเป็นรอยยิ้มยามหลับที่น่าหลงใหล จนผู้บุกรุกยามวิกาลเผลอมองเสียเพลิน เมื่อก้าวเท้าอย่างมั่นคงมายืนอยู่ข้างเตียงอุ่น



เจ้าของร่างกายสูงใหญ่ในชุดคลุมดำสนิท ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างกษัตริย์หนุ่มน้อยที่กำลังหลับใหลอย่างแผ่วเบา สัมผัสได้ถึงความอุ่นแผ่ออกมาจากใต้ผ้าห่ม คนที่แฝงตัวในความมืดเพียงยิ้มบาง ๆ ให้ ยามโน้มตัวเหนือคนหลับวาดท่อนแขนแกร่งเหนือศีรษะเล็กรองน้ำหนักตัวเอง มืออีกข้างเกี่ยวปอยผมนุ่มหมุนเล่นเบา ๆ



“หลับสบายเลยนะ” เสียงกระซิบแผ่ว ๆ ดังขึ้นข้างแก้มนวล ไม่สามารถปลุกคนหลับให้ลืมตาตื่นได้ ความไร้เดียงสายามหลับของกษัตริย์หนุ่มน้อยช่างน่าเอ็นดู ตรึงคนในชุดคลุมดำที่ก้มตัวเหนือใบหน้านวลให้เฝ้ามองอยู่อย่างนั้น

จูเลียนขยับพลิกตัวหันหลังให้ อาจเป็นเพราะการเปลี่ยนท่าของคนหลับ หรือเป็นเพราะลมหายใจอุ่นที่เป่ารดข้างแก้มทำรำคาญ จึงหันหนี แต่กระนั้นภาพใบหน้าอ่อนเยาว์ยามหลับที่เห็นซีกแก้มเพียงข้างเดียว ก็ตราตรึงสายตาจนคนที่เฝ้ามองอยู่ ต้องเผยยิ้มหวานละมุน

“ข้าจะไม่อยู่หลาย หวังว่ากลับมาเจ้าคงยังอยู่ดีอยู่นะ” น้ำเสียงหยอกเย้ากระซิบชิดใบหูส่งไปไม่ถึงคนหลับ เพราะเจ้าตัวยังหลับตาพริ้มอย่างแสนสุข ไม่รู้ถึงการมาของใครบางคนที่คอยมองหา ไม่รู้แม้กระทั่งตอนที่ริมฝีปากอุ่นประทับจุมพิตลงข้างขมับ แทนการบอกลาชั่วคราว แทนการบอกกล่าวว่าอีกไม่นานจะกลับมา พอจูเลียนพลิกตัวนอนหงายอีกครั้ง เงาร่างดำมืดก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว


************
 เป็นไงบ้าคะเป็ดทั้งหลาย
เจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 22 100% 5/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 07-02-2019 12:48:44
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 23 เรือน้อยกลางทะเล 50% 11/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 11-02-2019 20:59:38



เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 23 เรือน้อยกลางทะเล ห่มรักด้วยแสงดาว 50%





ห้ามยากกว่ากิริยาอาการประหม่าหวั่นไหวภายนอก คือหัวใจดวงน้อยในอก ที่ลอเรนไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรดี อีกคนก็ขยันเหลือเกินกับการต้อนให้จนมุมจนไปไม่เป็น ขยันหาเรื่องมาทำให้ใจลอร์ดน้อยเต้นแรง ลอเรนแทบไม่เหลือทางเลือกให้ได้เลือกหรือปฏิเสธ นอกจากยอมทำตามทุกอย่างที่ลอร์ดแห่งออสเซนเทียต้องการ และตอนนี้ก็เช่นกัน ที่เจ้าของร่างสูงสง่าเอนกายลงนอนเอกเขนก อย่างสบายอารมณ์บนเบาะหนานุ่ม ที่ขนออกมาปูนอนรับสายลมและแสงแดดอยู่ข้างนอก ทิ้งให้ลอเรนควบคุมเรือเงียบ ๆ ด้วยหัวใจที่ล่องลอยไปไกล ตั้งแต่เรือลำน้อยเคลื่อนตัวออกจากท่า วันแรกลอเรนวางตัวแทบไม่ถูก เพราะอยู่กันแค่สองคนกลางทะเล มองไปทางไหนก็เห็นแค่น้ำกับฟ้า จนวันและคืนแรกผ่านไป ตอนนี้เข้าวันที่สองแล้ว ที่ถูกโอบอุ้มด้วยผืนน้ำ และโอบกอดด้วยผืนฟ้า ลอเรนพยายามรักษาระยะห่าง แต่ช่างเป็นไปได้ยากเหลือเกิน เมื่อต้องมาอยู่ในพื้นที่จำกัดด้วยกันเพียงสองคนอย่างนี้

หัวใจที่เรียกร้องยังไม่สามารถบังคับให้ลอเรนมาอยู่ตรงนี้ พาคนตัวสูงออกมาล่องลอยอยู่กลางมหาสมุทร ได้เท่าความรู้สึกผิดต่อกันที่เกาะแน่นในใจ ความผิดที่เกิดขึ้น แม้ตัวลอเรนจะไม่ได้เป็นคนก่อ แต่ก็ถือเอาเป็นความรับผิดชอบของตัวเองโดยตรง หวังจะปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้อีกฝ่ายได้รับรู้

ท้องฟ้ากว้างและผืนน้ำสีฟ้าคราม บางคราวมีคลื่นลมแรงก็ดูน่ากลัว แต่เวลาที่คลื่นสงบลมพัดมาเย็น ๆ อย่างตอนนี้ ก็ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของลอเรนได้ไม่น้อย กระนั้นลอร์ดหนุ่มผู้เกิดมากับผืนน้ำยังไม่เข้าใจ ว่ากลางทะเลกว้างที่มองเห็นแต่ผืนน้ำและผืนฟ้าดูโดดเดี่ยว มันจะมีสิ่งใดให้น่าอภิรมย์ นอกจากความอ้างว้างและคลื่นลมแรง

“เจ้าจะยืนจ้องข้าอีกนานไหม” ลอเรนนึกว่านิโคลกำลังหลับ จึงยืนเงียบอยู่ตั้งนานสองนาน ดวงเนตรสีฟ้าสวยจับอยู่กับพักตร์หล่อเกลี้ยงเกลาจนลืมตัว หากไม่ได้ยินเสียงทักของนิโคล ลอเรนคงเผลอมองอยู่จนเพลิน

“ท่านตื่นแล้วหรือลอร์ดนิโคล”

“ข้ากำลังหลับสบายอยู่ต่างหาก” คนหลับจะพูดได้อย่างไร นั่นคือสิ่งที่ลอเรนแอบคิด และค้อนให้คนที่ยังนอนหลับตานิ่ง แต่รู้ได้อย่างไร ว่ากำลังถูกจับตามองมอง ลอเรนเกือบยิ้มออกมาแล้ว แต่กระนั้นดวงพักตร์นวลขาวกลับยังคงสีหน้าเฉยชาอยู่เช่นเดิม ไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรให้เกิดความคุ้นเคยกว่านี้ ลอเรนเกร็งเพราะต้องรักษาระยะห่างไว้ให้มั่น ซ้ำยังต้องคอยยื้อยุดกับก้อนเนื้อในอก ที่มันเรียกร้องแต่จะเต้นเข้าไปหาคนที่นอนเอกเขนก

ทั้งสองแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก เพราะถึงแม้จะอยู่บนเรือที่ลำไม่ใหญ่มาก และอยู่กันเพียงสองคน ลอเรนก็ช่างขยันหาทางเลี่ยงการเผชิญหน้า หรือพูดคุยสนิทสนมเกินควร จนนิโคลได้แต่อ่อนใจในความพยายามของกวางน้อย ที่คอยแต่จะสร้างกำแพงกั้นระหว่างหัวใจสองดวง ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ลอเรนไม่ใช่คนใจแข็งขนาดนั้นนิโคลรู้ดี และลอร์ดหนุ่มกำลังรอให้เจ้าตัวทำลายกำแพงที่ตั้งไว้เอง

“ท่านหิวหรือยังลอร์ดนิโคล” เป็นประโยคคำถามที่จะมาก่อนอาหารแบบตรงเวลา เพื่อว่าหากนิโคลตอบว่าหิว ลอเรนจะได้มีเวลาเตรียมให้ และเป็นหนึ่งในไม่กี่ประโยคที่ลอร์ดน้อยพูดคุยด้วย นอกจากนั้นก็หาทางเลี่ยงตลอด

นิโคลเฉย นอนหลับตานิ่งให้แสงแดดอ่อนยามบ่ายตกอาบร่าง แต่ไม่สนใจตอบคำ!

“ลอร์ดนิโคล” ความเงียบคือสิ่งที่นิโคลให้ลอเรนกลับมา จนระยะห่างที่วางเอาไว้ ด้วยการยืนเสียไกลถูกลดลง ลอเรนขยับเข้าไปหานิโคลอีกสองสามก้าว แล้วยืนรอเงียบ ๆ ต่างคนต่างเงียบ แต่สุดท้ายเป็นลอเรนเองที่ทนความเงียบได้ไม่นาน ต้องขยับเข้าไปอีก แม้รู้ว่านี่อาจจะพาไปสู่สถานการณ์ล่อแหลมไม่ปลอดภัย เพราะใกล้กันเมื่อไหร่นิโคลก็คอยแต่จะหาทางรังแก แต่กระนั้นลอเรนก็ยังคุกเข่านั่งลงข้างฟูกนุ่ม ที่นิโคลกำลังทอดกายเหยียดยาวอย่างสบายใจ นั่งลงแล้วก็ได้แต่ปล่อยลมหายใจออกมายาว ๆ ที่คนอยากเที่ยวยังนอนนิ่ง และเฉยจนอดใจสั่นไม่ได้

อยากรักษาระยะห่าง ไม่อยากเข้าใกล้ นิโคลก็จะทำให้สมใจเสียเลย

“ลอร์ดนิโคล”

“จะเรียกอยู่แบบนี้อีกนานไหม” ลอเรนเผลอสะดุ้ง ดีที่นิโคลยังหลับตา จึงไม่ได้เห็นว่าท่าทางลองลอร์ดน้อยดูน่าขบขันแค่ไหน

“ท่านทำไมไม่ตอบคำถามข้าล่ะ”

“อย่าลำบากเลยลอเรน แค่เจ้าให้เกียรติพาข้าออกเรือมาก็รบกวนมากแล้ว ข้ารู้เจ้าลำบากใจ” ปากบอกมือก็ยกขึ้นมารองท้ายทอย ยามลืมตาขึ้นมองไปบนท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย แต่นั่นกลับทำลอเรนใจเสียได้อีกแล้ว เพราะนิโคลไม่ยอมมองหน้า ถ้าจะว่ากันตามจริงก็คือ ลอร์ดออสเซนเทียไม่หันมาทางที่ลอเรนนั่งอยู่ด้วยซ้ำ คนรู้สึกผิดเลยยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่

ลอเรนเปรียบเหมือนนาฬิกาทราย กระเปาะแก้วข้างหนึ่งคือภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนอีกข้างคือคนที่หัวใจปรารถนาเปี่ยมล้น ลอร์ดน้อยไม่อยากทิ้งฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แต่ก็เลือกเททรายไปทั้งสองฝั่งพร้อมกันไม่ได้

“ข้า ข้าไม่..”

“อย่าบอกว่าเจ้าไม่ลำบากใจที่มาเที่ยวกับข้า”

“ข้า..” หากลอเรนบอกว่าไม่ลำบากใจก็โกหก แต่ได้มาด้วยกันก็อดดีใจอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ แม้ว่ามาแล้วยังต้องหักห้ามความรู้สึกอย่างเจียมตัว

“หันเรือกลับฝั่งเถอะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งยิ่งบาดลึกลงไปในหัวใจดวงน้อยที่สับสน ลอเรนเลือกไม่ถูก แต่ตอนนี้สิ่งที่ห่วงที่สุดก็คงจะเป็นความรู้สึกของคนตรงหน้า

ลอเรนเอ่ยค้าน “แต่เราเพิ่งออกมาได้คืนเดียวเองนะ”

“ก็ในเมื่อเจ้าไม่สบายใจ ข้าคงบังคับเจ้ามากไปกว่านี้ไม่ได้หรอกลอเรน เจ้าไม่อยากอยู่กับข้าสักนิด”

“ลอร์ดนิโคล..” ลอเรนเรียกเสียงแผ่ว ใจอยากบอกเหลือเกิน ว่าการอยู่ด้วยกันในอ้อมกอดอบอุ่น คือสิ่งที่ลอเรนปรารถนาที่สุด แต่เสียงเรียกร้องของหัวใจก็ไม่หนักเท่าปาก จึงไม่ยอมเผยหรือเอื้อนเอ่ยความรู้สึกของตัวเองออกมาสักที

“ข้ารู้เจ้าไม่โง่ลอเรน เจ้ามองออกว่าข้าคิดยังไงกับเจ้า ข้าไม่เคยปิดบังความรู้สึกที่มีด้วยซ้ำ และข้าก็รู้ว่าเจ้าคิดยังไง ลืมมันไปได้ไหม เรื่องของคนบนฝั่งนั่น” ถึงน้ำเสียงจะจริงจัง แต่นิโคลก็ยังเอาแต่มองอย่างไร้จุดหมายขึ้นไปบนฟ้า ลอเรนอยากให้ดวงตาคมคู่นั้นหันมามองกันสักนิด นิดเดียวก็ยังดี เผื่อความรู้สึกอัดแน่นบีบคั้นในอก มันจะบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง

“ข้า.. “ลอเรนก้มหน้าไม่กล้าสบตา ความรู้สึกผิดที่ไม่รู้ว่าเกิดจากเรื่องไหนบ้างตีขึ้นในอก “อภัยด้วยเถอะลอร์ดนิโคลข้าทำไม่ได้จริง ๆ “

“ถ้าอย่างนั้นก็หันหัวเรือเข้าฝั่งเถอะ ข้าจะไม่รบกวนเจ้าอีก” คำสั่งเด็ดขาดนี้ แทนที่ลอเรนจะดีใจและรีบทำตาม แต่กลับไม่ ลอเรนไม่ได้ดีใจที่จะได้เข้าฝั่งทั้งที่ไม่อยากออกมา ลอร์ดน้อยแห่งสวาเนียร์ปฏิเสธไม่ได้ ว่าลึก ๆ แล้วนี่คือสิ่งที่ตัวเองปรารถนาเช่นกัน การได้อยู่ใกล้ ๆ โดยไม่ต้องสนใจสิ่งรอบข้าง การได้อยู่กับคนที่ใจปรารถนามันสุขล้น ลอเรนอยากทิ้งสถานะของนิโคลและตัวเองไว้เบื้องหลัง แล้วกอดร่างสูงสง่าแน่น ๆ ให้เต็มรัก แต่เพราะความจริงที่สลัดทิ้งอย่างไรก็ไม่มีวันหลุด ลอเรนจึงต้องค้างคาอยู่กับความเจ็บปวด และความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ อย่างคนสับสนแบบนี้ ทั้งที่สองใจตรงกัน

ใจลอเรนอยากบอกว่ายังไม่กลับ อยากบอกออกมาตรง ๆ ว่าอยากอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป แต่สิ่งที่ทำกลับตรงข้าม เจ้าของดวงตาสีฟ้าสวยค่อย ๆ ลุกขึ้น ริมฝีปากได้รูปเม้มแน่นข่มความรู้สึก ขอบตาหวานแดงก่ำ เพราะอดกลั้นความต้องการจากส่วนลึกอย่างเจ็บปวด พอยืนได้มั่นคงแล้วจึงก้มหน้าก้าวออกจากตรงนั้น จุดหมายคือห้องบังคับเพื่อหันหัวเรือกลับเข้าฝั่ง ทิ้งอีกคนไว้เบื้องหลังเดินซังกะตายราวไร้จิตวิญญาณ ลอเรนเหม่อลอยหม่นหมอง ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ว่าที่ทำอยู่นี้มันถูกต้องแล้วหรือ แต่ในความสับสน ลอเรนไม่มีคำตอบให้ตัวเอง จนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำแตกกระจาย คล้ายมีของหนักตกลงไปถึงได้รู้ตัว แต่พอหันกลับมาข้างหลัง นิโคลก็หายไปแล้ว!

“ลอร์ดนิโคล!” ลอเรนวิ่งไปเกาะขอบเรือ ฝั่งที่ได้ยินเสียงน้ำแตกกระจาย ทันได้เห็นร่างของนิโคลทะลึ่งพรวดขึ้นจากน้ำ ยกมือตะกายอากาศแล้วจมหาย ภาพนั้นทำใจดวงน้อยกระตุกวูบคล้ายตกจากที่สูง มือไม้สั่นจนควบคุมไม่ได้ ลอเรนสั่นไปทั้งตัว ไม่ทันได้คิดอะไรให้ดีนอกจากความปลอดภัยของคนตกน้ำ รีบปลดเสื้อคลุมกับรองเท้าที่หนาหนักออก แล้วกระโจนลงไปช่วยทันที

“นิโคล” ร่างโปร่งลอยคออยู่กลางมวลน้ำมหาศาล หันซ้ายหันขวาไม่เห็นคนที่ตั้งใจลงมาช่วยโผล่ขึ้นจากน้ำสักที ลอเรนดำผุดดำว่ายตะโกนเรียกนิโคลอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่มีวี่แววของลอร์ดหนุ่ม เหมือนอยู่ ๆ นิโคลก็หายไปเสียดื้อ ๆ

ลอเรนสูดหายใจยาวเข้าเก็บไว้จนเต็มปอด ก่อนจะดำดิ่งลงสู่ใต้น้ำใส ที่ลึกจนมองไม่เห็นพื้นเบื้องล่าง พยายามมองหาเท่าที่ตาจะมองเห็นในน้ำได้ แต่ไร้วี่แวว ลอร์ดน้อยคลั่งปานบ้า กู่ร้องเรียกหาจนคอแทบแตก โผล่ขึ้นเหนือน้ำกอบโกยอากาศ แล้วดำดิ่งกลับลงงมหา ทำอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบหมดแรง ร่างน้อยเปียกปอนเหมือนลูกนกตกลงมากลางมหาสมุทรกว้าง เส้นผมยาวสีเงินที่เคยเป็นประกายสวยยามต้องสายลม กระจายลอยในผิวน้ำ

ลอเรนเหนื่อยจนแทบไม่มีแรงประคองตัว ทั้งหอบทั้งสะอื้นจนน่าสงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำที่เปียกอยู่บนใบหน้า เป็นน้ำทะเลหรือน้ำที่ไหลออกมาจากเนตรสวยทั้งสองข้าง พักตร์ขาวดั่งน้ำนมซีดเผือด ดวงเนตรสีฟ้ามีแววเศร้า ส่วนที่เป็นตาขาวแซมด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดงจนน่ากลัว ลอร์ดน้อยดำผุดดำว่ายในน้ำนานสองนานจนสิ้นหวัง ได้แต่ลอยคอท่ามกลางมวลน้ำมหาศาล และคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าที่ตีเข้าหา ลอเรนไม่สนใจคลื่นน้ำที่ประดังเข้ามา จนร่างโครงเครงไปตามแรง ปล่อยให้น้ำอุ่น ๆ ที่ไหลลงมาจากสองตาอาบแก้มซีดเซียว

ลอเรนลอยคออยู่กลางน้ำ ริมฝีปากบางเป็นกระจับสวยเผยออ้า หายใจหอบเหนื่อยทั้งสั่นระริก มือเท้าเคลื่อนไหวอย่างอ่อนแรง แค่พอพยุงตัวให้ลอยน้ำได้ ทั้งที่แรงใจไม่มีเหลือเพื่ออยู่ต่อแล้ว ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างที่เคยมีประกายสุกใสน่ามอง บัดนี้เคลือบฉาบไว้ด้วยความตื่นปนตระหนก บนใบหน้าระทมทุกข์ขื่นขม ลอร์ดน้อยปล่อยสายตาทอดมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย หัวใจถูกความท้อแท้สิ้นหวังกลืนกิน อยากทิ้งร่างดำดิ่งสู้ก้นมหาสมุทร ดับลมหายใจชั่วนิรันดร์ตามเจ้าของร่างสูงสง่าไป

“นิโคล” เพียงกะพริบตา หยาดน้ำอุ่น ๆ ก็ตกลงอาบพวงปรางซีดเซียว รู้ว่าคนที่จมหายลงใต้สมุทรคงไม่ได้ยิน แต่ลอเรนยังเปล่งเสียงเรียกชื่อเจ้าของหัวใจอยู่อย่างนั้น พร้อมกับหยดน้ำตาที่ไม่อาจห้ามได้อีกต่อไป เสียงเรียกจึงปนเสียงสะอื้น และอ่อนแรงผะแผ่วลงเรื่อย ๆ ราวกำลังจะขาดใจ

เบื้องหลังลอเรนคือพาหนะ ที่ใช้พาลอร์ดแห่งออสเซนเทียออกเที่ยวกลางทะเล เบื้องหน้าคือมหาสมุทรกว้างจรดผืนฟ้า สีฟ้าครามของน้ำจรดสีฟ้าสดใสที่ประดับด้วยปุยเมฆ ราวไม่รับรู้ถึงจิตใจที่เจ็บปวดห่อเหี่ยว ราวกับจะตอกย้ำความอ้างว้างโดดเดี่ยว ด้วยคลื่นน้ำที่ซัดขึ้นลงลูกแล้วลูกเล่า จนลอเรนไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของบางอย่าง ที่เคลื่อนตัวเงียบ ๆ เข้ามาข้างหลัง เคลื่อนตัวเข้ามาช้า ๆ สายตาจับจ้องอยู่กับลอร์ดน้อยที่ลอยคออย่างสิ้นหวังเดียวดาย ไร้ซึ่งการระมัดระวังตัว ลอเรนอยากลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วปล่อยใจไปกับความสิ้นคิด เมื่อสิ่งนั้นเคลื่อนตัวเข้ามาถึง ก็เหมือนกับว่าร่างที่ลอยคอจะหมดแรงลง ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งสู่ใต้น้ำตามเจ้าของหัวใจไป

“ลอเรน! “ยังไม่ทันที่ร่างลอร์ดน้อยจะจมหายลงไปในน้ำ พลันเอวบางก็ถูกรวบกอดจากข้างหลัง โดยคนขี้แกล้งทำเป็นตกน้ำตกท่า ทั้งที่ตั้งใจกระโดดลงมาเอง ส่วนคนถูกหลอกก็เชื่อเสียสนิทใจ ด้วยว่าความห่วงใยมันมีมากกว่า จึงไม่ทันได้คิดตริตรองใคร่ครวญ ว่าคนที่นอนเอกเขนกกินลมอยู่ดี ๆ จะตกน้ำได้อย่างไร ลอเรนหันกลับมาหาเจ้าของท่อนแขนแกร่งที่รวบกอด

“นิโคล!”

“ว่าไงกวางน้อย”

“ท่าน ไม่เป็นไรใช่ไหม” ปากถามมือน้อยทั้งสองประคองพักตร์เกลี้ยงเกลาลูบไล้อย่างสำรวจ แววตาตื่นเป็นประกายเปิดเผยความรู้สึก ลอเรนไล้นิ้วหัวแม่มือไล่หยดน้ำที่เกาะอยู่บนผิวให้ ปอยผมที่เปียกลู่ระใบหน้า ถูกลอร์ดน้อยปัดเสยขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาที่อยู่ห่างกันไม่มาก ราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ว่าเจ้าของร่างสูงจะอยู่ตรงนี้จริง ราวกับลอเรนเชื่อว่านิโคลยังจมดับอยู่ใต้น้ำลึก

“เจ้าห่วงข้าหรือลอเรน”

“ท่านจริง ๆ ด้วยนิโคล ข้าคิดว่า..” นิโคลเพียงยิ้มให้บาง ๆ ในแบบของเขา ที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนทั้งรอยยิ้มและแววตา คนได้รับยิ้มจะสัมผัสและรู้สึกว่ากำลังได้รับความรักความอบอุ่น แม้นั่นจะเป็นรอยยิ้มประจำตัวของลอร์ดร่างสูง แต่สายตาแบบนี้ ก็มีให้เฉพาะคนสำคัญที่สมควรได้รับเท่านั้น

ต่อ...
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 23 เรือน้อยกลางทะเล 50% 11/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 11-02-2019 21:00:16



ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่าง กวาดมองจนทั่วใบหน้าของนิโคลอย่างค้นหา และเหมือนลอเรนเพิ่งจะคิดอะไรบางอย่างได้ เนตรสวยจึงค่อย ๆ เบิกกว้างขึ้น ริมฝีปากสั่นระริกเรียกนิโคลเสียงดัง

“ลอร์ดนิโคล! “ ลอเรนผละออกจากการกอดเกี่ยว ด้วยการผลักอกกว้างให้ถอยห่าง ทั้งมือทั้งเท้าช่วยกันตีน้ำ เพื่อพาตัวเองลอยหนีให้ไกลคนชอบแกล้ง เมื่อรู้เท่าทันแล้วว่าคนตรงหน้าเพียงแค่กระโดดลงเล่นน้ำ แต่เป็นลอเรนเองที่ตกใจเหมือนบ้า แต่เพราะความเป็นห่วงถึงได้ตกใจขนาดนี้

“ทำไมลอเรน ข้าทำไม”

“ท่านแกล้งกระโดดลงมาท่านไม่ได้ตกน้ำ”

“ทำไมต้องแกล้ง ข้าแค่อยากลงมาว่ายน้ำเล่นเหมือนเมื่อวาน แปลกตรงไหน” นั่นสิ เมื่อวานลอเรนก็เห็นอยู่ว่านิโคลลงเล่นน้ำ ทำไมต้องตกใจ แค่เห็นท่าทางตะเกียกตะกายเหมือนคนจะจม ความห่วงใยบังตาจนจึงลืมไป

นิโคลว่ายน้ำเป็น!

ลอเรนหน้าตึง ริมฝีปากอิ่มเป็นกระจับเม้มแน่นไม่พอใจ ปากบอกไม่ได้แกล้ง แต่ทำท่าทางให้คนเห็นเกิดความเป็นห่วง ปากบอกไม่ได้แกล้ง แต่แววตากลับปิดบังความสนุกไว้ไม่มิด ทำท่าตะเกียกตะกายเหมือนจะจมน้ำ ทั้งที่ว่ายน้ำเป็น แบบนี้จะให้ลอเรนเชื่อได้อย่างไร

“นี่เจ้าโกรธข้าหรือไง แล้วกระโดดลงมาทำไม เจ้าก็อยากว่ายน้ำหรือ เห็นดำผุดดำว่ายอยู่ตั้งนาน แต่.. เจ้าเรียกหาข้าด้วยนี่ลอเรน”

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้นสักหน่อย” ลอเรนบอกเสียงแข็ง ตีเท้าเคลื่อนตัวไปทางเรือหวังขึ้นจากน้ำ พยายามเลี่ยงห่างจากนิโคลให้มากที่สุด แต่เพียงเจ้าของร่างสูงพุ่งเข้าหาสุดช่วงตัว ร่างโปร่งของลอเรนก็กลับเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแกร่งเสียแล้ว “ปล่อยข้า”

“เล่นน้ำกันก่อนสิ อย่าดิ้นลอเรน”

“ไม่เล่น ข้าจะขึ้นเรือ ท่านบอกข้าหันหัวเรือกลับฝั่งไม่ใช่หรือ”

“ข้าพูดจริงที่ไหนกันล่ะ”

“ข้าไม่ควรเชื่อคำพูดท่านสินะ”

“ไม่หรอกลอเรน เจ้าเชื่อได้ทุกคำพูด”

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำสิ่งที่เราต้องทำเถอะ ความจริงเราไม่ควรออกเรือมาแต่แรกด้วยซ้ำ”

“แต่เราก็มาแล้วนี่” นิโคลกระซิบบอกพลางลูบปอยผมเปียก ที่ลู่แนบกับผิวข้างแก้มออกให้ สายตาแข็งกร้าวของลอเรนในคราแรก เปลี่ยนไปทันทีที่ประสานสายตากัน พลันลอร์ดน้อยต้องรีบหลบ เพราะกลัวใจตัวเองจะอ่อนไหว หันไปใช้ท้องฟ้าผืนน้ำเป็นเป้าหมายแทนการสบตา

ลอเรนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี ไม่อยากอยู่ในความชิดใกล้อย่างนี้ แต่ก็ไม่เคยจะเลี่ยงได้ ด้วยว่าใจมันเอาแต่เรียกร้องโหยหา เลยต้องสั่นอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง กระนั้นความรู้สึกอบอุ่นในใจมันมีมากกว่า อยากขืนตัวเองออกจากความชิดใกล้ แต่ร่างกายกลับปล่อยให้ถูกกอดนิ่ง ทิ้งให้การใช้ขาตีน้ำพยุงตัวเป็นหน้าที่ของนิโคล ต่างคนต่างเงียบ นิโคลเอาแต่กวาดตามองพักตร์ขาวซีดอยู่อย่างนั้น เพราะได้โอกาสพิศซีกแก้มซีดใกล้ ๆ ยามลอเรนเอาสายตาไปมองฟ้ามองน้ำ

จนในที่สุด

ลอร์ดออสเซนเทียเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบเสียเอง ด้วยคำถามที่ทำลอเรนแทบขาดใจเมื่อได้ยิน

“เจ้ารักข้าไหมลอเรน”

“ท่าน...” ลอเรนพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น เมื่อหันกลับมามองหน้าเจ้าของคำถามอย่างตื่นตะลึง ไม่คิดว่านิโคลจะถามออกมาตรง ๆ ถึงความในที่เก็บงำมานาน

“ว่ายังไงลอเรน เจ้ารักข้าหรือไม่”

“ลอร์ดนิโคล” เสียงที่เปล่งออกมามันแผ่วเบาราวสิ้นไร้เรี่ยวแรง จะให้ลอเรนตอบเหมือนใจคิดได้อย่างไร ในเมื่อนี่เป็นเรื่องเสื่อมเสียและไม่เหมาะยิ่ง ความรักที่ลอเรนมีอยู่เต็มเปี่ยมจนแทบล้นทะลักอก เป็นความรักที่ไม่อาจเผยใจออกมาได้

มันเป็นรักต้องห้าม!

“ถ้าเจ้าไม่รักก็พูดออกมาเลยว่าไม่รัก” ถึงการกระทำของลอเรน จะทรยศต่อความรู้สึกตัวเองมากแค่ไหน แต่ใจก็ไม่แข็งพอที่จะพูดออกมาว่าไม่รัก โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด ลอเรนไม่ตอบทั้งที่มีคำตอบ รักหรือไม่รักพูดออกไปก็เจ็บเจียนตายพอกัน ดวงตาสวยหลุบมองต่ำเฉพาะอกกว้าง ที่ลอเรนดันไว้ด้วยมือทั้งสอง หยดน้ำใสปริ่มขอบตาจนต้องกะพริบถี่ ให้มันกลับเข้าไปข้างในเหมือนเดิม

“เจ้ากลัวหรือ” ลอเรนเพียงส่ายหน้า แต่ไม่รู้ว่ากำลังปฏิเสธสิ่งที่นิโคลพูดหรือปฏิเสธตัวเอง หรือลอร์ดน้อยยังมีทางเลือก ความถูกต้องหรือหน้าที่ หรือความต้องการอย่างเห็นแก่ตัวของตัวเอง หรือบ้านเมือง

“ข้า...ปล่อยเถอะ”

“เจ้ากลัวที่จะบอกว่ารักข้าหรือลอเรน” นิโคลกระซิบถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จนลอเรนอุ่นวาบไปถึงหัวใจ รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่าง ทำก้อนเนื้อในอกเต้นในจังหวะแรงขึ้น “กวางน้อยบอกสิว่าเจ้ารักข้ามากแค่ไหน ใจของเจ้ามันเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว บอกออกมา แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข” เป็นไปไม่ได้! ลอเรนค้านเสียงแข็ง แต่ก็เพียงเสียงที่ดังอยู่ในใจ หาได้ปล่อยให้หลุดออกจากปาก ลอร์ดน้อยเพียงเม้มปากอย่างขื่นขม ฝืนใจเมินมองไปทางอื่น ทางที่ไม่มีใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลา ที่ตราตรึงหัวใจตั้งแต่ครั้งแรกพบ ทางที่ไม่ต้องประสานสายตา หรือมองหน้ากันให้เจ็บปวดไปมากกว่านี้ อย่าใจอ่อนไปลอเรน

นิโคลถอนหายใจหนัก เมื่อเห็นลอเรนยังใช้ความเงียบแทนคำตอบ “ข้าจะทำยังไงกับเจ้าดีนะลอเรน”

“ทำในสิ่งที่ถูกต้องที่เราควรทำลอร์ดนิโคล ท่านก็รู้”

“เด็กดื้อ”

“ท่านอย่ามาว่าข้า ข้ามีหน้าที่ต้องทำ “ลอเรนหันมาต่อว่า แต่นิโคลกลับเพียงยิ้มด้วยสีหน้าอ่อนใจ แววตาที่มองทำลอเรนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กลงอีกหลายปี ทั้งที่อ่อนกว่าคนที่อยากให้เขาเรียกท่านพี่อยู่ไม่เท่าไหร่

“แล้วจริงไหม เจ้ามันดื้อหลับหูหลับตาเชื่อแต่หน้าที่ของตัวเอง” ยิ่งเห็นสายตาที่นิโคลใช้มองลอเรนยิ่งหนักใจ กลางอกมันปวดหน่วงร้าวลึก ใจอยากกอดร่างแกร่งแน่น ๆ ให้สมรัก แต่กายกลับทำตรงข้ามด้วยการผลักไสให้ห่าง ความสับสนตีวนรวนเรจนทำตัวไม่ถูก นิโคลอยากได้ยินคำรัก แต่ลอเรนจะพูดออกไปได้อย่างไร หากไม่ได้ยิน...

“ข้า..รักเจ้ากวางน้อย” ยังไม่ทันที่ลอเรนจะได้คิดอะไรไปไกล คำรักก็ถูกเอ่ยออกมาจากปากของคนที่ถามหาความรักก่อน มันง่ายดายไปไหม แต่ทำไมดวงตาคู่นั้นถึงได้จริงจังนัก จริงจังจนลอเรนไม่อาจถอนสายตาตัวเอง แล้วหันไปมองทางอื่นได้ทั้งที่เป็นสิ่งที่อยากทำที่สุด ทำไมใจดวงน้อยคอยแต่จะโอนอ่อนผ่อนไปตามคำหวาน และการกระทำไม่ปิดบังความรู้สึกของเขา ทำไมลอเรนไม่เคยเข้มแข็งอย่างที่บอกตัวเอง ยามได้อยู่ชิดใกล้ได้สัมผัสไออุ่นของคนตัวสูง เพราะใจที่มันมีแต่เขาไปหมดแล้วทั้งใจ หรือเพราะลอเรนใจง่ายเอง

“ลืม”

“..”

“ทุกเรื่องที่อยู่บนฝั่งนั่นลืมมันไป” นิโคลโอบประคองแก้มนวลที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อ ไล้นิ้วหัวแม่มือเบา ๆ ไปตามพวงแก้มนิ่มที่ถูกเปลวแดดเลียจนซับสีแดงสุก ดวงตาคู่สวยขอบแดงช้ำเพราะเสียน้ำตาให้กับความห่วงหา แต่มันกลับทำให้เนตรสีฟ้าน่ามองไปอีกแบบ ทั้งสองประสานสายตากันนิ่ง ลอเรนตั้งใจฟังสิ่งที่นิโคลกำลังพูดราวเด็กว่าง่าย

“ตอนนี้มีแค่เจ้ากับข้า ดูสิโลกนี้มีแค่เราสองคน” สิ้นเสียงกระซิบ ริมฝีปากอุ่นประทับลงมาอย่างอ่อนโยน ใจดวงน้อยในอกเต้นกระหน่ำกับความแนบชิดบดเบียด รักที่เปี่ยมล้นใจเรียกร้องให้ลอเรนหลับตาลง เผยอปากอ้ารับสัมผัสที่โหยหา ลิ้นร้อนสอดแทรกความหวานละมุนเข้ามา พากวางน้อยล่องลอยเข้าสู่ห้วงฝัน

การได้อยู่กับคนที่รักหมดใจมันสุขล้น จนลอเรนอยากโยนภาระหนักอึ้งทุกสิ่งทุกอย่างทั้งไว้เบื้องหลัง แล้วกอบโกยเอาความสุขของการมีกันและกันเป็นของตัวเอง เจ้าของร่างโปร่งสนองตอบจูบหวามหวาน ด้วยการส่งเรียวลิ้นหยอกเย้าตอบโต้ เสียงคำรามอย่างพอใจดังมาจากลำคอ ของคนที่กำลังควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นไปในแบบที่ใจทั้งสองดวงต้องการ ลอเรนจะลืมอย่างที่นิโคลบอก จะยอมเชื่อว่าโลกนี้ ที่นี่ มีเราอยู่กันเพียงสองคน

แค่ลอร์ดนิโคลกับกวางน้อยของเขา

ลอเรนตัดสินใจกระโจนเข้าหาสิ่งที่ใจปรารถนามาตลอด เก็บเกี่ยวทุกความสุขสมในวันนี้ เพื่อวันหนึ่งอาจจะได้ใช้ความสุขที่เคยได้เคยมี มาเยียวยาตัวเองหากต้องเจ็บ ลอเรนรู้ดีวันข้างหน้ามีความเจ็บปวดรออยู่

“นิ นิโคล..” ลอเรนผละออกเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ได้แค่เรียกชื่อคนตัวสูง จากนั้นก็ไม่มีโอกาสได้พูดต่อ เพราะนิโคลไม่ยอมเสียเวลาในการเก็บเกี่ยวความหวานละมุน ของริมฝีปากบางรูปกระจับ ที่คอยแต่จะพูดในสิ่งที่เขาไม่อยากฟัง

“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้าจะไม่บังคับเจ้าลอเรน” น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนที่กระซิบบอก เป็นดังน้ำทิพย์ที่หยดลงมาชโลมหัวใจแห้งผาก ลอเรนรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่าง จึงตัดสินใจเปิดปากพูดความรู้สึกของตัวเอง

“ข้า..” แต่คำที่อยากเอ่ยกลับติดอยู่แค่ปลายลิ้น ไม่ได้เล็ดลอดออกจากปากอย่างที่ต้องการ ลอเรนเหมือนลำคอตีบตันไปเสียดื้อ ๆ ยิ่งเห็นสายตาที่มองมาอย่างมีความหวังและรอฟัง ลอเรนยิ่งเกิดความจุกจนแทบทนไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยนิโคลไว้แน่น แล้วยืดตัวขึ้นไปป้อนจูบเสียเอง

ริมฝีปากไร้เดียงสาที่กำลังป้อนจูบช่างน่าประทับใจ แต่ยังไม่เท่าความรู้สึกดี ๆ ที่สัมผัสได้ในรสจูบแสนหวาน ความสุขเอ่อล้นจนใจพองโตคับอก นิโคลตอบกลับด้วยจูบดูดดื่มแสนเร่าร้อน เพราะทุกความรู้สึกอัดแน่นถูกเก็บงำไว้ ถึงคราวได้ระบายออกมาสักที ความสุขล้นปรี่ที่ได้โอบกอดกระจายรอบตัว ราวกับสองร่างกำลังล่องลอย

“ลอเรน เจ้า” รอยยิ้มที่ค่อย ๆ จุดขึ้นมาประดับพักตร์เกลี้ยงเกลา มันมีทั้งความตื่นเต้นและยินดีจนปิดไม่มิด หากลอเรนจะใส่ใจบ้าง คงได้เห็นตั้งแต่แรกเจอกัน ว่านิโคลเองก็เปิดเผยความรู้สึกของตัวเองมาโดยตลอด ทั้งสองต่างเป็นรักแรกพบของกันและกัน แต่เพียงภาระหน้าที่ ทำให้ลอเรนไม่ยอมรับความรู้สึกที่มี และมองข้ามสิ่งที่ควรจะเป็นของตัวเองแต่แรกไป

สายตาหวานหยาดเยิ้มสื่อความหมายทำลอเรนเขิน จนต้องหลบมองต่ำ ริมฝีปากสีสดที่ถูกนิโคลดูดดื่มจนหนำใจ ขมุบขมิบถามเสียงเบา “ข้าทำไม”

“เจ้าจูบข้าก่อน” ทำไมต้องล้อเลียนด้วย ลอเรนคิดแล้วเผลอเหลือบตาขึ้นมองค้อน นิโคลยิ้มกว้างหยอกเย้าและเหมือนจะย้ำกับตัวเอง ว่านี่เป็นครั้งแรกที่คนตรงหน้าเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อกันมากที่สุด “นี่เป็นครั้งแรกเชียวนะ”

“ก็..”

“ข้าว่าข้าควรให้รางวัลกวางน้อยแล้วล่ะ ก็ออกจะน่ารักขนาดนี้”

“รางวัลอะ..อือออ” ยังไม่ทันได้พูดจบ ริมฝีปากสวยก็ถูกครอบครองด้วยความปรารถนาดูดดื่ม นิโคลแลกจูบเร่าร้อนด้วยเรียวลิ้นอุ่น ที่ชำแรกแทรกเข้ามามอบความหวานละมุนละไม ใจดวงน้อยในอกลอเรนเต้นไม่เป็นจังหวะ ร่างสูงมอมเมาด้วยจูบหลอกล่อเอาอกเอาใจ แขนข้างหนึ่งโอบประคองร่างโปร่งแนบชิดไม่คลาย ส่วนแขนอีกข้างตะกายน้ำเป็นจังหวะเดียวกันกับขาทั้งสอง เพื่อพาร่างในอ้อมแขนกลับเรือ





*\*\*\*\*\*\ 50 % *\*\*\*\*\*\*

แล้วเราก็ 555 ตัดซะเลยยย
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 23 ห่มรักด้วยแสงดาว 100% 14/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 14-02-2019 22:16:21


ต่อ 100%

“ข้าว่าข้าควรให้รางวัลกวางน้อยแล้วล่ะ ก็ออกจะน่ารักขนาดนี้”

“รางวัลอะ..อื้อออ” ยังไม่ทันได้พูดจบ ริมฝีปากสวยก็ถูกครอบครองด้วยความปรารถนาดูดดื่ม นิโคลแลกจูบเร่าร้อนด้วยเรียวลิ้นอุ่น ที่ชำแรกแทรกเข้ามามอบความหวานละมุนละไม ใจดวงน้อยในอกลอเรนเต้นไม่เป็นจังหวะ ร่างสูงมอมเมาด้วยจูบหลอกล่อเอาอกเอาใจ แขนข้างหนึ่งโอบประคองร่างโปร่งแนบชิดไม่คลาย ส่วนแขนอีกข้างตะกายน้ำเป็นจังหวะเดียวกันกับขาทั้งสอง เพื่อพาร่างในอ้อมแขนกลับเรือ

ยามนี้ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจไปมากกว่าอ้อมกอดของกันและกัน ร่างสูงโปร่งของลอร์ดแห่งสวาเนียร์ ถูกอุ้มมาวางลงยังฟูกหนานุ่มที่นิโคลใช้ปูนอน ลอร์ดหนุ่มตระกองกอดให้สองร่างแนบชิดไม่ห่าง แต่ดูเหมือนยังมีเสื้อผ้าเปียกที่ขวางกั้น นิโคลจึงจัดการถอดมันออกอย่างรวดเร็ว จนลอเรนแทบไม่รู้ว่าตัวเองเปลือยเปล่าต่อหน้า และสายตาคมสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นตั้งแต่ตอนไหน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนร่างขาวราวน้ำนม ถูกสายตาคมคู่นั้นสำรวจไปถ้วนทั่ว แววกระหายในดวงตาสีเข้มทำลอร์ดน้อยสั่นสะท้าน จนต้องย่อเข่าเข้ามากอดแน่น

“เจ้างดงามเหลือเกินกวางน้อย” ลอเรนได้แต่มองต่ำจับสายตาอยู่กับแผ่นฟูก ด้วยว่าต่างคนก็ต่างไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดบังร่างกาย แต่ลอเรนไม่เข้าใจว่าทำไมมีเพียงตัวเขาที่ขัดเขิน ไม่กล้ามองเจ้าของร่างสูงสง่าอยู่ฝ่ายเดียว

นิโคลเห็นกวางน้อยเขินอาย จนตามร่างกายขาวนวลขึ้นสีระเรื่อ ลอร์ดออสเซนเทียยกยิ้มกริ่ม ไล่สายตาสำรวจร่างขาวลอออย่างหลงใหล ลอเรนเองก็รู้ว่ากำลังถูกความเสน่หาโลมเลียไปทั้งร่าง จึงยิ่งก้มหน้าหลบเข้าไปใหญ่ แต่หลบยังไงคงไม่พ้น และเป็นอย่างที่คิด พอเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากก็ถูกครอบครองด้วยความหวานซ่านอารมณ์ที่รออยู่ทันที ครั้งนี้ดูเหมือนจะฉุดไม่อยู่ ร่างโปร่งเกร็งสะท้านเมื่อถูกอุ้มขึ้นนั่งบนตัก รับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่แข็งแกร่งเป็นแท่งลำทิ่มแทงต้นขา ลอเรนตัวสั่นราวลูกนกตัวน้อยที่เปียกน้ำจนน่าสงสาร แต่เวลานี้ นิโคลทำได้เพียงปลอบด้วยจูบดูดดื่มปนความเร่าร้อนของอารมณ์และปรารถนา



ลิ้นร้ายชอนไชเข้าหยอกล้อตวัดเกี่ยวรัดดูดดึง นิโคลจูบหนัก ๆ เน้น ๆ ลงบนกลีบปากกระจับสวย แล้วจึงไล่แตะไต่ริมฝีปากร้อนลงมาถามผิวเนื้อ ซอกคอขาวหอมอ่อน ๆ กลิ่นเป็นธรรมชาติ พาให้หลงใหลจนมัวเมา ลมหายใจหอบถี่ไม่เป็นจังหวะ พอกันกับกวางน้อยด้อยเดียงสา ที่ทุกความรู้สึกตีรวนประดังเข้ามาพร้อมกันจนสับสน แต่กระนั้นยังพยายามตอบรับทุกสัมผัสที่รับมา นิโคลจูบไล้ไล่ลงไปตามนวลเนื้อนิ่ม ถึงหน้าอกแบนราบที่ประดับด้วยยอดอกสีหวาน ปลายลิ้นร้อนทักทายด้วยการตวัดหยอกเย้าก่อนขบเม้ม จนเจ้าของอกบางสะดุ้งเฮือก ร่างน้อยสั่นสะท้านเกร็งตัวแน่น เมื่อยอดอกถูกขบเบา ๆ ส่งความเสียวซ่านพุ่งกระจายไปทั้งตัว

“ลอเรน” เสียงแหบพร่าที่กระซิบอยู่ข้างหูบอกได้เป็นอย่างดี ว่าเจ้าตัวต้องการสิ่งใด นิโคลถูกความเสน่หาครอบงำสติ ด้วยความรู้สึกดีที่มีต่อกัน ตัวลอเรนเองก็ไม่ต่าง ที่ความปรารถนาต้องการมันเอ่อล้นจนท่วมท้นแน่นอก ล้นทะลักผ่านแท่งรักกลางกายออกมา เป็นหยาดแห่งความปรารถนาใส ๆ ปริ่มปลายยอด ความต้องการจากความรู้สึกส่วนลึกพาให้หลงลืมตัว ดวงตาหยาดเยิ้มฉ่ำไปด้วยอารมณ์เสน่หาของนิโคล มองลอเรนที่ตัวอ่อนปวกเปียกอยู่บนตักด้วยความเอ็นดู



ลอร์ดน้อยกวาดตามองพักตร์เกลี้ยงเกลาด้วยแววตาฉ่ำรัก รักแสนรัก รักหมดใจ รักอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะรักใครได้เท่านี้มาก่อน รักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ประสบพักตร์หล่อเหลา ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น วงพักตร์นั้นขึ้นสีแดงเรื่อ มันช่างน่ามองนัก เมื่อมีความเขียวครึ้มของหนวดเครา ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมาประดับกรอบหน้า



ลอร์ดน้อยหลบสายตาชวนฝันที่จ้องมอง ด้วยการซบหน้าแนบลงกับอกอุ่น ยอมแล้วยอม ลอเรนยอมแล้วทุกอย่าง ร่างโปร่งที่อ่อนระทวยบนตัก ยอมซบพักตร์แดงเรื่อลงกับอกกว้าง ลอเรนไร้สิ้นแรงขัดขืน ด้วยเพราะใจตัวเรียกร้อง หาใช่เพราะไร้แรงต่อสู้ต้านทาน รู้อยู่ตลอดว่าใจทรยศ ที่เอาแต่ร่ำร้องโหยหาลอร์ดตัวสูงทุกวี่วัน วันนี้ลอเรนขอละทิ้งสิ้นทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ทิ้งไว้บนฝั่งนั่นทั้งภาระหน้าที่ ท่ามกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่เป็นพยาน กวางน้อยจะหลอมรวมรักที่ท่วมท้นใจให้กับลอร์ดนิโคลเพียงผู้เดียว



“เป็นของข้านะ ลอเรน” ริมฝีปากอุ่นประทับจูบหนัก ๆ ลงบนกลุ่มผมสีเงินยวง ที่ปลิวสยายไปตามสายลมอ่อน ลอร์ดหนุ่มเผยยิ้มเมื่อกวางน้อยขี้อายพยักหน้าเบา ๆ แทนการตอบรับคำขอ ทั้งที่ก้มหน้าซบอยู่กับอกแน่น นิโคลขยับตัวเปลี่ยนท่า ค่อย ๆ วางร่างโปร่งในอ้อมแขนลงนอนบนเบาะนุ่ม ทาบทับไว้ด้วยกายแกร่งอย่างปกป้อง ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความอ่อนโยนทะนุถนอม ลอเรนแม้จะดูเข้มแข็งแต่ก็เพียงภายนอก ข้างในนั้นอ่อนไหวจนน่าเป็นห่วง



เสียงลมเสียงคลื่นถูกเมินสิ้น ดวงอาทิตย์สีส้มอ่อนที่กำลังจะลับฟ้าไปเงียบ ๆ ไม่ได้รับความสนใจ เท่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ตาประสานตาก่อนที่ลอเรนจะหลับลงอย่างเป็นสุข เมื่อจูบอ่อนหวานประทับกลางหน้าผากมน มือประสานมือกระชับแน่น ความสุขกำซ่านผ่านมาทางนั้นสู่เนื้อก้อนน้อย ๆ ในอก ก่อนแตกกระจายไปทั่วตัว ร่างน้อยแสนบอบบางเมื่อถูกทาบทับไว้ด้วยร่างแกร่งของลอร์ดหนุ่ม ที่ซ่อนความกำยำไว้ภายใต้อาภรณ์สูงค่าสมฐานันดร ทุกการขยับเคลื่อนไหวเป็นไปด้วยความนุ่มนวลละมุนละไม จนลอเรนแทบรับความสุขสมปล้นปรี่ไม่ไหว ต้องระบายออกมาทางเสียงครางพร่าแหบสั่น



“ลอเรน” ยากเหลือเกินที่จะควบคุมร่างกายตัวเอง ยามได้ยินเสียงเรียกแสนหวาน และถูกกระตุ้นด้วยสัมผัสอุ่น ๆ ไปตามนวลเนื้อ ร่างน้อยบิดเร่าเรียกร้องในสิ่งที่ปรารถนา จูบเร่าร้อนแต่อ่อนหวานคือสิ่งที่นิโคลปรนเปรอไม่ขาด ความนุ่มนวลอ่อนหวานแตะไต่ไปตามร่าง แทบเรียกได้ว่านวลเนื้อทุกส่วนของลอเรน นิโคลได้สัมผัสมาแล้วด้วยริมฝีปากอุ่น และสองมือสาก จนขาเรียวถูกจับแยกกว้าง ให้ร่างกายแกร่งได้แทรกตัวเข้ามาแนบชิดสนิทกันยิ่งขึ้น

“อ๊ะ นิโคล”

“เจ้าเจ็บหรือลอเรน” ใบหน้าหวานเหยเกเพราะร่างกายถูกชำแรกแทรกเข้าหา ด้วยความแข็งร้อนใหญ่โตเกินกว่าจะรับไหว ลอเรนผวากอดร่างกายแกร่งแน่น ขาเรียวรัดรอบเอวสอบเกร็งร่างจนสะท้าน นิโคลเองก็ต้องปล่อยเสียงครางสั่นออกมา เพราะกลางกายที่สอดแทรกเข้าไปได้เพียงไม่ถึงครึ่ง ก็ถูกบีบรัดแน่น ความสุขสมมาพร้อมความคับแน่นโอบอุ้มจนอึดอัด อยากทะลุทะลวงให้สุดลำกาย แต่คนรับคงตายก่อนสุขสมเป็นแน่แท้

“นิโคล เจ็บ ข้าเจ็บ”

“ไหวไหมอีกนิดเดียว เจ้าอย่าเกร็งกวางน้อย ข้าจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” น้ำเสียงที่บอกถึงจะอ่อนโยนจนรู้สึกถึงความห่วงใย ไม่เท่ากับการกระทำที่สัมผัสรับรู้ได้ลึกซึ้งกว่า นิโคลลูบศีรษะแล้วก้มลงประทับจุมพิตปลอบเบา ๆ กลางหน้าผาก ไล่ลงมาตามสันจมูกจนถึงริมฝีปากนิ่ม พลางถอนถอยตัวเองออกช้า ๆ แล้วขยับเข้ามาใหม่ ขยับเข้าออกเป็นจังหวะสั้น ๆ อยู่อย่างนั้นจนลึกขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ลอร์ดน้อยคุ้นชิน ทุกจังหวะเป็นไปอย่างเนิบนาบอ่อนโยนใจเย็น ทั้งที่ภายในถูกแผดเผาด้วยลาวารักร้อนแรง จนแทบทนไม่ไหวแล้ว

“นิโคล ท่านพี่ จูบ..ข้า จูบน้อง” พอปล่อยตัวปล่อยใจลอเรนก็ออดอ้อนเสียขาดนี้ จะให้นิโคลทำใจแข็งต่อไปได้อย่างไร กวางน้อยอาจจะเมาน้ำทะเลก็เป็นได้ ถึงได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

“กวางน้อย” ความสุขที่กำซ่านอยู่ในใจ จะเรียกว่าสุขจนล้นก็คงไม่ผิดจากความเป็นจริงนัก ใจสองดวงที่แนบชิดผ่านสัมผัสของแผ่นอก พองโตขึ้นมาพร้อมกัน จูบหวาน ๆ ถวายให้ลอร์ดน้อยตามคำเรียกร้อง จนลอเรนหลงลืมความเจ็บปวด ความสุขสมสุดซาบซ่านเข้ามาแทนที่ นิโคลป้อนจูบพร้อมสัมผัสทะนุถนอมให้ความสำคัญ ลอเรนกอดรัดร่างกำยำแน่นเมื่อจังหวะรักจริง ๆ ได้เริ่มขึ้น ความเจ็บแปรเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ ที่เพิ่งเคยได้สัมผัสลิ้มลอง ความสุขสมซาบซ่านกระจายไปตามอณูเนื้อจนล้นทะลัก สองร่างกอดรัดแลกสัมผัสเร่าร้อน กายประสานกายลมหายใจประสานกัน รอบข้างมีแต่กลิ่นอายรักอบอวลโอบล้อม สองเจ้าชายหลับตาพริ้ม ปล่อยใจไปกับจังหวะรักร้อนแรงที่เริ่มเร่งเร้า ร่างกายล่องลอยราวหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงฝันหวาน ลมหายใจหอบได้จังหวะเมื่อประสานร่างเข้าด้วยกันแนบแน่น จนถึงที่สุดของอารมณ์และการปลดปล่อยตัวเอง ทุกความปรารถนาที่หลั่งรินเป็นพยานว่าสองหัวใจได้หลอมรวม



*/*/*/*/*/*/*



สิ่งแรกที่ลอเรนเห็นเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้น คือดวงดาวบนท้องฟ้าที่เปล่งแสงระยิบระยับ ตาสวยยังคงมีร่องรอยของความง่วงซึม จนต้องกะพริบถี่ปรับให้คุ้นชินกับความมืดรอบตัว ที่แค่พอมองเห็นสลัว ๆ จากแสงดาวบนฟ้า จำได้ว่าก่อนผล็อยหลับไปยังไม่มืดถึงเพียงนี้ ท้องฟ้าที่เคยสว่างตอนนี้เหมือนถูกห่มด้วยผืนผ้าสีดำ ที่ประดับด้วยดาวดวงเล็กดวงน้อยนับอสงไขย รู้สึกเหมือนกำลังถูกดวงตานับล้านเฝ้ามอง ลอเรนขยับตัวแต่ก็เป็นไปได้เพียงเล็กน้อย ร่างกายที่ผ่านความสุขสมจนล้นปรี่เตือนถึงอะไรบางอย่างไม่ปกติ และลอเรนเองก็รู้ตัวว่าคืออะไร ย้อนคิดกลับไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหลับ คิดถึงแววตาอ่อนโยนที่จ้องมอง คิดถึงสัมผัสทะนุถนอม จูบหวานละมุนที่ดูดดื่มเสียจนแทบหลงลืมตัวเอง ความรู้สึกสุขสมซาบซ่านยามรวมร่างเข้าด้วยกัน ทุกจังหวะรักที่เร่าร้อน ติดตรึงลงในความรู้สึก ฝังลึกลงในส่วนลึกของความทรงจำแสนหวาน



ลอเรนหลับตาลงอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อนอนหลับไปจริง ๆ แต่หลับเพื่อซึมซับความสุขให้ประทับลงในใจ ราวกับย้ำตัวเองว่าคือเรื่องจริง ท่อนแขนที่กำลังโอบกอดกระชับแน่นขึ้น ด้วยรู้ว่ากำลังกอดอะไรอยู่ รอยยิ้มบาง ๆ ประดับใบหน้าเปี่ยมสุข จนคนตื่นอีกคนที่แอบมองอยู่ ต้องยิ้มตามอย่างเอ็นดู



“ตื่นแล้วนอนยิ้ม คิดอะไรอยู่” ความรู้สึกว่าตัวเองถูกกอดแน่นขึ้น พร้อมเสียงกระซิบที่ดังข้างหูทำลอเรนสะดุ้งเบา ๆ รู้ว่ากำลังนอนเกยอยู่บนอกกว้างแกร่ง แต่ไม่รู้ว่าเผลอหลับท่านี้นานแค่ไหน ไม่คิดว่าอีกคนจะตื่นแล้วเหมือนกัน

“อะไรกันลอเรน ตื่นแล้วเจ้าทิ้งพี่ทันทีเลยหรือไง” พอรู้ตัวก็เหมือนลอเรนจะรีบผละออกห่าง แต่มีหรือนิโคลจะยอมปล่อยร่างอุ่น ๆ ที่ตระกองกอดมาเป็นนานสองนาน หลังจากบทรักหวานซึ้งตรึงใจจบลง กวางน้อยของเขานอนหอบอย่างหมดสภาพ ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็หลับไปหลังจากนั้น ลอเรนคงเหนื่อยจากการที่ต้องดำผุดดำว่ายในน้ำตอนงมหาเขา

“ข้าไม่ได้จะทิ้งท่านนะ แค่จะไปแต่งตัว” ลอเรนเพิ่งรู้ตัวว่าสองร่างยังไร้อาภรณ์ปกปิดร่างกาย ท่ามกลางสายลมอ่อนและแสงจากดวงดาว ตอนที่แผ่นหลังถูกลูบไล้เบา ๆ ด้วยมือเจ้าของอ้อมกอดอบอุ่นนี่เอง

“ดูบนฟ้าสิดาวสวยมากเลย ท้องฟ้าแบบนี้ไม่ค่อยได้เห็นที่ออสเซนเทียบ่อยนักหรอก” นิโคลไม่สนใจสิ่งที่ลอเรนบอก แต่ชักชวนดูดาวบนฟ้าแทน ลอเรนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสวยงามอย่างที่บอกจริง ๆ เลยยอมนอนอยู่ในอ้อมกอดอย่างว่าง่าย ด้วยการซบซีกแก้มลงกับแผงอกกว้างตามแรงของมือใหญ่ที่กดเบา ๆ ทั้งสองนอนเปลือยร่างให้สายลมโอบกอด อาบร่างด้วยแสงดาวบนฟ้าที่ส่องลงมาเพียงสลัว ลมทะเลยังพัดมาอยู่ตลอด แต่กลับอบอุ่นจนแทบไม่อยากขยับตัวออกห่างกัน นอนกอดกันเงียบ ๆ สายตาจับไปยังท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาวเต็มฟ้า ราวกับมีใครตักเอาเพชรเม็ดเล็ก ๆ ไปสาดกระจายลงบนผ้าสีดำผืนใหญ่

“นิโคล” คนถูกเรียกเงียบแต่ลอเรนรู้ว่านิโคลกำลังรอฟัง จากอ้อมแขนที่กระชับขึ้น แต่เท่านั้นมันไม่พอสำหรับนิโคล เพราะลอเรนเรียกแล้วยังเงียบไม่พูดต่อ คนที่นอนเคียงข้างพลิกตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ลอเรนยังไม่ทันได้รู้ตัวร่างก็ถูกทาบทับไว้ด้วยร่างใหญ่กำยำแล้ว

“เรียกพี่แล้วทำไมไม่พูดต่อ” ตาประสานตานิ่งนาน และเป็นกวางน้อยด้อยเดียงสาเองที่ต้องหลบ เพราะนอกจากการประสานสายตากันแล้ว พักตร์นวลขาวราวน้ำนมยังถูกกวาดมองจนถ้วนทั่ว ด้วยแววตาที่นิโคลไม่ปิดบังความปรารถนาสักนิด ลอเรนเห็นแล้วใจเต้นแรง ลมหายใจผิดจังหวะ แต่แม้ดวงตาคู่นั้นจะทำให้ลอเรนไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะแววปรารถนาลุกโชนอย่างเปิดเผย ก็ยังให้ความรู้สึกอุ่นใจอยู่ไม่คลาย สิ่งที่เห็นจากดวงตาคู่นั้น ความรู้สึกของลอเรนคงไม่หลอกตัวเอง ว่าถูกมองอย่างคนที่ได้รับความสำคัญ

“..พรุ่ง อื้ออ” เป็นคนบอกให้พูดต่อแท้ ๆ แต่พอลอเรนจะพูด นิโคลกลับเป็นฝ่ายปิดริมฝีปากสวยนั่นเสียเอง ด้วยจูบหนัก ๆ ตามด้วยเรียวลิ้นอุ่นที่สอดแทรกแลกความหวาน ก่อนสิ่งที่ไม่อยากได้ยินจะหลุดออกมา ลอเรนเอ่ยออกมาอย่างนั้นทำไมนิโคลจะไม่รู้ ว่ากวางน้อยของเขาจะพูดเรื่องใด จะมีอะไรให้ลอเรนกังวลใจได้อยู่ตลอดเท่ากับเรื่องของบ้านเมือง

“ท่าน..”

“ถ้าจะพูดเรื่องบนฝั่งพี่ไม่อยากฟัง”

“ถึงยังไงเราก็ต้องกลับฝั่งอยู่ดีไม่ใช่หรือท่านพี่” แววตากวางน้อยน่าสงสาร แต่นิโคลกลับยิ้มออกมาบาง ๆ เพราะคำที่ลอเรนเรียกเขาเองโดยไม่ต้องเรียกร้องบังคับ หรือใช่เล่ห์กลหลอกล่อแกล้งให้ต้องพูด

“แต่ตอนนี้เรายังไม่กลับ” นิโคลเว้นจังหวะพูด ใช้สายตาคมตรึงให้ดวงตาคู่สวย ที่ส่องประกายสุขล้อเล่นแสงดาวยังสบกันนิ่ง “นะลอเรนให้ที่นี่เป็นที่ของเรา มีแค่เราสองคน แค่พี่กับกวางน้อยของพี่เท่านั้น” ลอเรนหลับตาลง ไม่ใช่ไม่อยากเห็นแววหวานซึ้งจากดวงตาคมคู่นั้น แต่เพราะต้องการซึมซับเอาความรักความรู้สึกที่ได้รับ จารึกลงสู่ส่วนลึกของหัวใจ จากจูบหวานละมุนที่ประทับลงมา เหมือนแทนคำสัญญาว่าที่นี่จะเป็นที่ของสองคนจริง ๆ ด้วยต่างรู้ว่ามีอะไรรออยู่บนฝั่ง ทั้งตัวนิโคลเองก็รู้หน้าที่ที่คงจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้

ต่อ...
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 23 ห่มรักด้วยแสงดาว 100% 14/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 14-02-2019 22:17:24


กลางทะเลอบอวลไปด้วยความหวาน จนน้ำเค็ม ๆ จะกลายเป็นน้ำเชื่อม แต่ในเมืองกลับเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของเจ้าหญิงอานาสตาเซีย ที่อยู่ดี ๆ ก็ล้มป่วยลงกะทันหัน ในขณะที่กำลังมีการตระเตรียมงานแต่งงานกันอย่างวุ่นวาย อีกไม่กี่วันลอร์ดเจ้าบ่าวจากออสเซนเทียจะเดินทางมาถึง แต่การจัดงานที่เร่งรัดก็ยังดูเหมือนไม่ทันการณ์ จนกษัตริย์สวาเนียร์รู้เรื่อง และลงมาจัดการด้วยตัวเอง

“เจ้านายหายไปทั้งคนพวกเจ้าไม่มีใครรู้เลยหรืออย่างไร” เสียงตวาดกรรโชกที่ดังขึ้น ทำเอาเหล่าทหารยืนก้มหน้านิ่ง ด้วยรู้ว่าองค์กษัตริย์ที่เก็บตัวอยู่เพียงในเขตราชฐานส่วนพระองค์กำลังกริ้วโกรธ ที่อะไรต่อมิอะไรไม่เป็นไปตามรับสั่ง ซ้ำยังต้องมารู้ว่าลูกชายที่มอบหมายให้ดูแลภารกิจบ้านเมืองแทน หายตัวไปโดยไม่มีใครรู้เห็น

“ท่านพ่อ ข้าว่าลอเรนคงออกไปเที่ยวนอกเมืองไม่ไกล เดี๋ยวข้าจะให้คลาอัสพาทหารออกตามหาเอง” พอได้ยินเสียงอานาสตาเซีย กษัตริย์เฒ่าจึงคลายโทสะลงได้บ้าง เพราะคงมีแต่นางเท่านั้นที่กล้าทูลคำยามพระองค์ทรงพิโรธ

“จัดการให้พ่อด้วย ถ้ามันกลับมาให้ไปพบทันที” เห็นได้ชัดว่าลูกชายคนโตไม่เป็นที่โปรดปรานเท่าลูกสาว ทั้งที่ลอเรนเป็นถึงรัชทายาทอันดับหนึ่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของสวาเนียร์ “พ่อได้ยินว่าเจ้าไม่สบายไม่ใช่หรือ ทำไมไม่พักผ่อน”

“ลูกดีขึ้นแล้วท่านพ่อ ลอเรนไม่อยู่ลูกเลยต้องออกมาดูแลการเตรียมงาน”

“เห็นไหม มันไม่สนใจเลยว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องทำอะไร เจ้าไปพักเถอะ งานพวกนี้ให้คนอื่นดูก็ได้”

“ใกล้ถึงวันที่ลอร์ดนิโคลเดินทางมาถึงแล้วท่านพ่อ ลูกกลัวไม่ทัน”

“เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้ ถ้าลอเรนไม่ทิ้งหน้าที่ตัวเองไปเสียดื้อ ๆ ไม่บอกใคร เจ้าคงไม่ต้องลำบาก”

“ลูกไม่ได้ลำบากเลยท่านพ่อ มันเป็นงานแต่งของลูก ก็ต้องดูแลเอง”

“ลูกสาวพ่อ” กษัตริย์สวาเนียร์ดึงลูกสาวเข้ามากอดอย่างแสนรัก พอผละออกก็ประทับจูบกลางหน้าผากนางด้วย “มาเถอะพ่อจะพากลับห้อง หน้าเจ้าซีดมากนะ ไปพักก่อน” ความจริงอานาสตาเซียไม่ได้สนใจการเตรียมงานที่ว่านี้เลยสักนิด แต่ที่นางต้องออกจากห้องมา เพราะหญิงรับใช้วิ่งหน้าตื่นไปรายงาน ว่ากษัตริย์เฒ่าออกจากราชฐานส่วนพระองค์มาอาละวาด ด้วยเรียกหาไม่เห็นลอเรนที่หายไป และนั่นเป็นชนวนจุดโทสะ การหายไปของลอเรนโดยไม่มีใครรู้ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับเหล่าทหารข้าราชบริพารที่ไม่รู้ว่าเจ้านายหายไปไหน และเรื่องใหญ่สำหรับกษัตริย์เฒ่า เพราะไม่มีคนคอยรับบัญชา



“ได้เรื่องว่ายังไง” อานาสตาเซียถามขึ้นในเช้าวันต่อมา ตอนคลาอัสกลับมาจากตามหาลอเรน

“ลอร์ดลอเรนกลับมาแต่เช้าแล้ว ตอนนี้เข้าเฝ้ากษัตริย์อยู่”

“รู้หรือเปล่าว่าลอเรนไปไหนมา”

“คนของข้าบอกว่าลอร์ดลอเรนเอาเรือออกตั้งแต่สามวันก่อน คงไปกับลอร์ดนิโคลเพราะเห็นกลับมาด้วยกัน” ริมฝีปากบางของอานาสตาเซียแสยะออก เมื่อได้ยินว่าพี่ชายไปไหนกับใคร

แต่นางก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ “ท่านบอกว่าลอเรนออกเรือไปกับลอร์ดนิโคลหรือ”

“ใช่ลอร์ดลอเรนออกเรือไปกับคู่หมั้นว่าที่เจ้าบ่าวของท่าน ท่านหญิง”

“ไปด้วยกันได้ยังไง กำหนดเดินทางมาถึงของลอร์ดนิโคลมันอีกตั้งสามวันไม่ใช่หรือไง” อานาสตาเซียทำท่าครุ่นคิด นางอดแปลกใจไม่ได้ ที่ได้ยินว่าสองคนนั้นไปด้วยกัน แต่พอหันมาหาชู้รักนางก็เปลี่ยนเป็นอมยิ้ม มองนายทหารหนุ่มด้วยสายตาซุกซนแกมล้อเลียน เพราะคลาอัสเน้นคำว่าคู่หมั้นว่าที่เจ้าบ่าวเหมือนจงใจย้ำอะไรบางอย่าง “เจ้าประชดข้าหรือคลาอัส”

“ข้าจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ล่ะ คนรักของข้ากำลังจะแต่งงานกับชายอื่น ข้ากำลังจะสูญเสียทั้งเมียแล้วก็...”

ยังไม่ทันที่คลาอัสจะได้พูดจบอานาสตาเซียก็แทรกขึ้นมาก่อน “ชู้ววว เจ้าไม่ได้สูญเสียอะไรไปเลยยอดรักของข้า ถึงข้าจะแต่งกับลอร์ดนิโคล แต่ข้าก็ยังเป็นของท่านทั้งตัวและหัวใจ” นางกดจูบหนัก ๆ ลงบนริมฝีปากของเขาไปหนึ่งครั้งแทนคำสัญญา

“ข้าก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดีท่านหญิง แต่งแล้วท่านต้องไปอยู่ออสเซนเทียเราต้องห่างกัน” เขาบอกพลางเดินเข้ามาสวมกอดร่างระหง ที่ดูอวบอัดมีน้ำมีนวลขึ้นผิดตา นายทหารหนุ่มออดอ้อนแสดงความน้อยใจจนออกนอกหน้า

“ข้าจะไม่ไปคนเดียวหรอกที่รัก เจ้าต้องไปกับข้าด้วยในฐานะนายทหารผู้ติดตาม และ..” อานาสตาเซียยิ้มหวานให้คนรัก สองมือประคองใบหน้าลูบไล้ไปตามสันกราม ที่เต็มไปด้วยตอหนวดสากมืออย่างหลงใหล “คนรักของข้า”

คลาอัสส่ายหน้าเหมือนไม่ยอมรับอยู่ในที “อยู่นั่นข้าคงทำอะไรมากไม่ได้ มันจะไปมีความสุขอะไร ใครจะสุขได้ที่เห็นเมียอยู่กับชายอื่น แล้วยัง..”

“ไม่ต้องห่วงไปหรอก จะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม ข้าก็ยังจะเป็นของท่านเหมือนเดิม” อานาสตาเซียแทรกขึ้นทั้งที่คลาอัสยังพูดไม่จบ เพราะนางไม่อยากให้คนรักกังวลใจไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม

“ไม่จริง ข้าต้องสูญเสียทั้งเมียทั้ง..”

“ท่านหญิงลอร์ดลอเรนกำลังมาเจ้าค่ะ” เป็นอีกครั้งที่คลาอัสยังพูดไม่จบประโยค ก็ถูกขัดขึ้นมาก่อน คราวนี้คนขัดการระบายความน้อยเนื้อต่ำใจ เป็นหญิงรับใช้ที่เข้ามารายงาน ถึงการมาของท่านลอร์ดแห่งสวาเนียร์ และหลังจากนั้นไม่นานลอเรนก็ปรากฏตัว

“ได้ยินว่าเจ้าไม่สบายหรืออานาสตาเซีย” พอมาถึงลอเรนก็ถามน้องสาวทันทีอย่างเป็นห่วง

“ข้าไม่เป็นไร แต่เพราะการหายไปไม่บอกใครของพี่นี่แหละลอเรน ที่อาจจะเป็นเรื่องขึ้นมาได้” อานาสตาเซียตอบด้วยน้ำเสียงตำหนิพี่ชายอย่างไม่ปิดบัง

“ข้าแค่ไปพักผ่อน”

“ได้ยินว่าลอร์ดนิโคลเดินทางมาถึงแล้วไม่ใช่หรือไง” อานาสตาเซียเหยียดยิ้มแฝงความนัยให้ลอเรน นางเหลือบตาไปทางคนรักที่ยืนเงียบเจียมตัว ส่งยิ้มให้อย่างรู้กัน “พี่รับรองดูแลเขาดีไหมลอเรน” ลอเรนไม่รู้ว่าอานาสตาเซียมีอะไรแอบแฝงในคำถามด้วยหรือเปล่า แต่สายตาของนางมันดูเหนือกว่า ทำให้คนที่แอบทำสิ่งไม่สมควรรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมาทันที ใจเผลอนึกไปถึงค่ำคืนแสนหวานที่มีร่างกายแกร่งชิดใกล้ไม่ห่าง ให้สองร่างกกกอดแลกไออุ่นท่ามกลางสายลมและแสงดาว แต่ต้องรีบดึงความคิดล่องลอยกลับคืน เพราะอานาสตาเซียถามอะไรบางอย่าง

“เจ้าว่าอะไรนะข้าไม่ทันฟัง”

แทนที่จะตอบคำถาม อานาสตาเซียถามกลับแววตาจับผิด “พี่เหม่ออะไรลอเรน”

“เปล่าไม่มีอะไร”

“ข้าถามว่าพี่ไปเฝ้าท่านพ่อมาแล้วหรือ” ได้ยินน้องสาวถามถึงการเข้าเฝ้ากษัตริย์ผู้เป็นพระบิดา ลอเรนเผลอขยับยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นไม่รู้ตัว อานาสตาเซียที่มองพี่อยู่ตลอด เห็นท่าทางแปลกไปจึงได้สังเกต ว่าข้างแก้มซีกซ้ายของลอร์ดพี่ขึ้นรอยสีแดงจาง ๆ ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลย ว่าลอเรนคงถูกท่านพ่อลงโทษอย่างระบายโทสะมา

“ข้าเพิ่งกลับมาจากเฝ้าท่านพอ เลยแวะมาดูเจ้า ไม่เป็นไรก็ดีแล้วพักผ่อนเถอะ” ความห่วงใยของลอเรนไปไม่ถึงน้องสาว นางไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ไม่แม้แต่จะยิ้ม เพราะยิ่งงานแต่งงานกับนิโคลใกล้เข้ามาเท่าไหร่ อานาสตาเซียยิ่งดูเหมือนจะหงุดหงิดใจมากขึ้น แม้ว่านางยังยิ้มหัวเราะได้ แต่ก็เพียงกับคนรักของนางเองเท่านั้น

“แล้วเจ้าล่ะคลาอัส” ลอเรนหันมาทางนายทหารหนุ่ม ที่ยืนฟังสองพี่น้องพูดคุยถามไถ่กันเงียบ ๆ ราวกับไม่มีตัวตน “เจ้าไม่ควรอยู่แถวนี้นะ กลับไปทำหน้าที่ของเจ้าไม่ดีกว่าหรือ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน” นายทหารหนุ่มยอมถอย แสดงความเคารพผู้สูงศักดิ์กว่า แล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นเขตราชฐานที่พักส่วนตัวของอานาสตาเซียไป

“ช่วงนี้เจ้าควรระวังตัวเองนะอานาสตาเซีย เจ้าไม่ควรให้คลาอัสมาพบที่นี่”

“ได้สิ เดี๋ยวข้าไปหาเขาเองก็ได้”

“อานาสตาเซีย!” ลอเรนหันขวับไปมองน้องสาว “มันไม่เหมาะ ที่จริงจากนี้เจ้าไม่ควรเจอเขา อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะแต่งงานกับชายอื่นแล้ว”

“พี่ก็รู้..” ท่าทางของอานาสตาเซียเหมือนกล้ำกลืนก้อนอะไรบางอย่างลงคอ “ข้าไม่ได้ต้องการอย่างนั้น และพี่ก็ไม่มีวันเข้าใจ!”

“ทำไมข้าจะไม่เข้าใจ” น้ำเสียงลอเรนอ่อนลง ใจนึกสงสารน้องอยู่ไม่น้อย “เจ้าพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นอะไรไปก่อนวันงาน คราวนี้งานคงเลื่อนไม่ได้อีกแล้วนะ” ลอเรนทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นของอานาสตาเซียไป ทำไมเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกน้อง แต่เพราะเกิดมาพร้อมภาระหนักอึ้ง เป็นภาระของบ้านเมืองและส่วนรวม ลอเรนจึงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด

พอออกมาจากห้องนั่งเล่น ด้านหน้าจะเป็นสวนกลางภายในปราสาทบนเขา ที่กว้างขวางกินพื้นที่ส่วนกลางของตัวปราสาททั้งชั้น เชื่อมกับพระราชฐานส่วนอื่น ลอเรนเห็นหลังคลาอัสเดินอยู่ข้างหน้าไม่ไกล จึงไม่รอช้ารีบเดินตามให้ทันนายทหารหนุ่มทันที

“เจ้าหยุดก่อน”

“ลอร์ดลอเรน ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ” คลาอัสหันกลับมาทำความเคารพลอเรน ก่อนเอ่ยถามถึงจุดประสงค์ที่ถูกเรียกให้หยุด เขายืนนิ่งรอฟัง

“ข้าไม่มีอะไรให้เจ้ารับใช้หรอก แค่อยากบอกว่านับจากวันนี้ อยู่ให้ห่างนางเข้าไว้ เจ้าไม่มีความจำเป็นต้องเข้าใกล้นางเลยสักนิด”

ดวงตานายทหารวาวโรจน์ไม่พอใจ แต่ก็ปรับให้เป็นปกติได้ไวพอกัน “จะให้ห่างได้อย่างไรลอร์ดลอเรน ข้าเป็นทหารองครักษ์ของนาง ถ้าท่านยังไม่ลืม”

“ใช่ข้าไม่ลืม แต่นับจากวันนี้ข้าปลดเจ้าออก ไปได้แล้ว” น้ำเสียงของลอเรนทรงอำนาจ สมกับเป็นเจ้าชายผู้กุมอำนาจบริหารบ้านเมือง นายทหารหนุ่มผงะกับสิ่งที่ลอเรนประกาศ ตกใจจนเผลอตวาดหนุ่มน้อยสูงศักดิ์กว่าตรงหน้ากลับคืน

“ลอร์ดลอเรน! “ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างแข็งกร้าว กับท่าทางโอหังของนายทหารต่ำศักดิ์ ลอเรนขบฟันแน่นพยายามระงับความโกรธ

“เห็นว่าอานาสตาเซียหลงเจ้าก็อย่ากำแหงนัก” ลอเรนเชิดหน้ามองไปทางอื่น และเพียงปรายหางตามองนายทหารหนุ่มเมื่อเอ่ยประโยคต่อมา “ระวังจะไม่มีหัวของเจ้าวางไว้บนบ่า ไม่ใช่ไม่มีความผิดติดตัว ควรจะขอบคุณข้าด้วยซ้ำที่ทำเป็นมองไม่เห็น ข้าปล่อยให้พวกเจ้าสนุกพอแล้ว!” เป็นความจริงที่ความผิดของนายทหารราชองครักษ์ ที่ลอบเล่นรักกับเจ้าหญิงผู้เป็นนายมีความผิดถึงชีวิต แต่ที่ผ่านมาลอเรนเพียงกล่าวตักเตือน ด้วยหวังว่าทั้งสองจะแค่สนุก และหยุดความสัมพันธ์น่าอายลง ลอเรนไม่คิดว่าอานาสตาเซียกับคลาอัส จะก่อปัญหาให้แก้ไม่จบไม่สิ้นถึงเพียงนี้

“แค่ท่านพรากเมียกับลูกของข้าไปยังไม่พออีกหรือลอเรน!” คลาอัสตะคอกกลับ ตอนนี้นายทหารหนุ่มไม่สนใจแล้ว ว่าตัวเองจะต่ำต้อยไร้ศักดิ์เพียงใด และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นถึงเจ้าชายรัชทายาทผู้พี่ของคนรัก อำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ และความสุขสบายที่กำลังจะเป็นของเขาอยู่แค่เอื้อม กลับถูกทำลายลงเพียงเพราะคนตรงหน้า เอาคนรักของเขาไปถวายให้เจ้าชายจากต่างเมือง คลาอัสเก็บความรู้สึกและยอมก้มหัวให้มานาน วันนี้เลยถึงคราวที่เขาจะระบายออกมาอย่างดื้อดึงบ้าง และที่สำคัญ

อานาสตาเซียกำลังตั้งท้องลูกของเขา!

“ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเจ้าทั้งนั้น และคราวนี้เจ้าได้คอขาดจริงแน่หากยังไม่เงียบปาก นางมีภาระหน้าที่ต่อบ้านเมือง ไม่มีเมียไม่มีลูกของเจ้าอย่าเห็นแก่ตัว!” ลอเรนเองก็โกรธไม่น้อย ทั้งที่พยายามแล้วจะปิดบังเรื่องอื้อฉาว และจัดการให้อานาสตาเซียแต่งงานให้เสร็จ ๆ ไป หากแต่งงานแล้ว ลูกที่เกิดมาก็ยังพอบอกได้ว่าเป็นลูกของนิโคล ลอเรนต้องทำอย่างคนไร้ทางเลือกทั้งที่รู้สึกผิดต่อนิโคลไม่น้อย

“ท่านต่างหากที่เห็นแก่ตัวลอร์ดลอเรน”

“ข้าแค่ทำสิ่งที่ถูกต้องและจำเป็นต่อบ้านเมือง เจ้าไม่รู้อะไรก็อยู่แต่ในที่ของตัวเอง”

“หึ ถ้าไม่มีท่านสักคนลอเรน” นายทหารหนุ่มบอกพลางลูบมือไปบนเข็มขัดหนังที่รัดเอว ตรงนั้นห้อยอาวุธประจำกายไว้ พอด้ามดาบกระชับอยู่ในมือจึงค่อย ๆ ถอดมันออกมา สายตายังจับนิ่งอยู่กับใบหน้าของลอเรนไม่วางตา ลอเรนถอยห่าง ท่าทางของนายทหารหนุ่มมันทำให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากกำลังถูกหมายเอาชีวิต!

“เจ้าจะทำอะไรคลาอัส ทำอย่างนี้คิดว่าจะรอดหรือไง” ลอเรนเห็นท่าทางอย่างนั้นของคลาอัส ก็เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ปากยังถามนายทหารหนุ่มแต่ดาบถูกถอดออกมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมรับมือ ลอร์ดน้อยชักดาบออกมาว่องไว แต่เพียงไว้ใช้ป้องกันตัว หาใช่หมายเอาชีวิตเหมือนที่นายทหารหนุ่มกำลังคิดทำ “เจ้าคงคิดว่าถ้าข้าตายอะไรมันจะง่ายขึ้นสินะ”

“ใช่ ก็ถ้าไม่มีท่านสักคนนะลอเรน อะไรมันง่ายขึ้นแน่ ๆ ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามา”



*\*\*\*\*\*/*/*/*/*

 ให้ NC ลอร์ดนิโคลกับลอเรน กี่คะแนนคะ ไม่ยาวมาก เพราะ...(ไม่บอก) อิอิอิ 

 ท่านราชองครักษ์จะจัดการลอเรนได้ไหมหนอ รอตอนหน้านะนายท่าน
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 24 เชลย 50% 19/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 19-02-2019 14:32:37


เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 24 เชลย



ถึงการจู่โจมจะเป็นไปด้วยความชำนาญ ด้วยว่าเป็นถึงนายทหารราชองครักษ์ แต่คนที่ตั้งรับก็ใช่ว่าฝีมือจะด้อยไปกว่ากัน ลอเรนเองแม้จะไม่ค่อยชอบการต่อสู้นัก แต่ก็ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี กระนั้นคนดีที่สู้อย่างสมศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย มีหรือจะไม่พลาดท่าเสียที คนที่หวังเอาชนะเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนว่าจะต้องใช้เล่ห์กลใดมาช่วย ขอแค่มีชัยสามารถทำได้ทุกอย่าง คลาอัสก็เช่นกัน เมื่อลอเรนตั้งรับพลางถอย จนสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างเสียหลัก ลอร์ดหนุ่มข้าเท้าพลิก นั่นจึงเปิดโอกาสให้คลาอัสรีบจู่โจมทันที ปลายคมดาบฉวยโอกาสที่รีบตวัดมาอย่างสะเปะสะปะ เฉือนลงบนผิวเนื้อต้นแขนลอร์ดน้อย ลอเรนเซผงะไปด้านข้าง คลาอัสไม่รอช้ารีบเข้าจู่โจม ดาบในมือเงื้อขึ้นสูงหวังปลิดชีพฟาดลงมาสุดแรง



เครง!!



แต่ยังไม่ทันที่คมดาบได้ฟันลงบนร่างของลอเรน พลันเสียงของแข็งปะทะกันดังสนั่นก้องไปทั่ว เพราะมีดาบปรัศนาอีกเล่มเข้ามาขวาง การปะทะกันของดาบสองเล่มรุนแรง จนเสียงที่ดังบาดลึกเข้าไปในความรู้สึกของคนได้ยิน ทันทีที่สิ้นเสียงปะทะ ตามมาด้วยเสียงของท่อนเหล็กตกลงกระทบพื้นหิน เพราะดาบคู่กายของนายทหารหนุ่มหักออกเป็นสองท่อน ส่วนติดกับด้ามจับยังถืออยู่ในมือ แต่ส่วนปลายกระเด็นตกไปอีกทาง



มันเกิดขึ้นเร็วมาก จนลอเรนที่ดูเหตุการณ์อยู่ยังดูไม่ทัน เมื่อร่างของคลาอัสเซถอยหลังเพราะโดนถีบเข้าเต็มเท้า แต่เขาก็ตั้งตัวได้ไวพอกัน กำลังจะรุกกลับ ดาบปริศนาเล่มนั้นก็ตวัดเข้ามาอีก เขาหลบมันได้อย่างหวุดหวิดเฉียดฉิว แต่กระนั้นคมดาบยังกรีดผ่านใบหน้า เฉือนโดนซีกแก้มน่าหวาดเสียว เลือดสด ๆ ไหลทะลักออกจากปากแผลดูน่ากลัว นั่นทำให้นายทหารหนุ่มเสียโฉมทันที



คลาอัสกัดฟันกรอดแววตาแข็งกร้าวโกรธแค้น “ลอร์ดนิโคล!”

ดวงตานิโคลเหมือนมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ในนั้น ยามจ้องนายทหารราชองครักษ์อย่างดุดัน ดาบเล่มยาวที่ตีขึ้นมาจากเหล็กกล้าเนื้อดี ขึ้นชื่อในเรื่องความแข็งแกร่งทนทานและหายากที่สุด จึงมีใช้เฉพาะชนชั้นสูง ชี้ไปที่หน้าของคลาอัส นิโคลบอกด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ที่ได้ยินแล้วหนาวเข้าไปถึงกระดูก



“เจ้ามันไม่สมควรมีหัวประดับไว้บนบ่าจริง ๆ นั่นแหละ”

นิโคลได้ยินว่าว่าที่เจ้าสาวไม่สบาย ในฐานะที่ตัวเขาเองเป็นว่าที่เจ้าบ่าว จึงควรมาเยี่ยมเยือนถามไถ่บ้างแม้จะไม่อยากมา แต่ยังไม่ทันได้เดินไปถึงราชฐานชั้นในของนาง ก็ได้ยินการสนทนาของคนสองคนเข้าเสียก่อน นิโคลยืนฟังทั้งสองคุยกันอยู่หลังต้นไม้ ที่ตัดแต่งขึ้นมาเป็นกำแพงบังตาตั้งแต่ต้น ลอร์ดหนุ่มได้ยินเรื่องที่ลอเรนกับคลาอัสคุยกันทุกเรื่องอย่างชัดเจน!

“เรื่องนี้ท่านไม่เกี่ยวถอยไป”

“เรื่องนี้เกี่ยวกับข้าโดยตรงต่างหาก” นิโคลหมายถึงเรื่องน่าอับอายไร้เกียรติที่เขาเพิ่งได้รู้ ก่อนหน้านี้ที่คลาอัสกับอานาสตาเซียลอบมีสัมพันธ์กันเขารู้เห็นอยู่แล้ว แต่ที่ยอมแต่งงานกับนางเพราะเรื่องการเมือง ไม่คิดว่านางจะเอาไข่ที่ชายอื่นทิ้งไว้มาให้เขารับผิดชอบด้วย และคนอีกคนหนึ่งที่เขาต้องคิดบัญชีอย่างแน่นอน คนที่ช่วยปิดบังความจริง ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ถูกต้อง

กวางน้อยลอเรน!

“เกิดอะไรขึ้น! ลอเรนพี่เป็นอะไรไป ทหาร” เพราะหญิงรับใช้เห็นท่าทางไม่ดี ระหว่างลอเรนกับนายทหารหนุ่ม จึงรีบวิ่งไปบอกอานาสตาเซียที่กำลังจะนอนพัก นางวิ่งออกมาดู อานาสตาเซียถามเมื่อเห็นลอเรนนั่งแปะอยู่บนพื้น มือกุมต้นแขนที่มีเลือดไหลซึมออกมา นางเรียกทหารยาม แต่พอหันไปเห็นคนรักได้รับบาดเจ็บเช่นกัน จากที่จะเข้าไปดูพี่ชายจึงเมินและเดินเข้าไปหาคนรักแทน

“นี่มันอะไรกันลอร์ดนิโคล ทำไมท่านชี้ดาบมาที่ทหารของข้าเช่นนี้”

“เจ้าควรเป็นคนพูดนะท่านหญิงว่าเกิดอะไรขึ้น ชู้รักของเจ้าถึงได้คิดร้ายต่อลอร์ดลอเรนพี่ชายเจ้า” นิโคลยังคงความเยือกเย็นของน้ำเสียง ยามยอกย้อนหญิงสาวที่กำลังช่วยพยุงร่างคนรักให้ยืนดี ๆ



อานาสตาเซียเบิกตากว้างตกใจกับคำที่นิโคลเรียกคลาอัส นางหันมาทางนายทหารหนุ่มสายตามีคำถาม “มันเรื่องอะไรกันคลาอัส”

“ไม่มีอะไรท่านหญิง แค่เรื่องเข้าใจผิดระหว่างข้ากับลอร์ดลอเรน” คลาอัสสบตานิโคลอย่างท้าทาย เมื่อบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดระหว่างเขากับลอร์ดน้อย ราวกับบอกว่านิโคลเป็นคนอื่นที่ไม่ควรเข้ามายุ่ง แต่พอเห็นว่านิโคลกัดฟันมองด้วยสายตาแข็งกร้าว นายทหารหนุ่มก็อดยิ้มเยาะยั่วโทสะไม่ได้ นิโคลรู้ว่ามันมีความหมายมากกว่าการยิ้มเยาะธรรมดา

“เข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ เจ้าเปลี่ยนง่ายดีนี่คลาอัส” ลอเรนแย้งขณะพยุงตัวเองลุกขึ้นเดินมายืนอยู่ข้างนิโคล ที่จ้องคลาอัสไม่วางตา

“หึ ท่านคิดว่ายังไงล่ะลอร์ดลอเรน” สายตาคลาอัสไม่ปิดบังความรู้สึก ที่นิโคลเห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่านายทหารหนุ่มกำลังเหยียดหยาม นิโคลที่กำลังโกรธทั้งจากเรื่องที่เพิ่งได้ยิน และโกรธที่คลาอัสบังอาจทำร้ายลอเรน สติเลยดูเหมือนว่าจะลดลงอย่างรวดเร็ว

“เจ้านี่มันไร้เกียรติจริง ๆ “

“อย่างที่ข้าบอกเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านลอร์ดนิโคล ถอยไปซะ”

“ดูเหมือนสิ่งที่เจ้าทำเกี่ยวกับข้าทุกเรื่องนะ โดยเฉพาะเรื่องลักลอบเล่นรักกับว่าที่เจ้าสาวของข้า แต่เอาเถอะเรื่องนั้นข้าจะไม่ติดใจ แต่เรื่องที่เจ้าทำร้ายลอร์ดลอเรน ข้าคงปล่อยไม่ได้”

 "ลอร์ดนิโคล!! "

“ลอร์ดนิโคล ไม่เป็นไร เรื่องนี้แค่เข้าใจผิดจริง ๆ ” ลอเรนรีบไกล่เกลี่ยกลัวเรื่องบานปลาย

“เห็นไหม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน” นิโคลโมโหจนสติขาดผึง หากท่อนแขนไม่ถูกรั้งไว้ด้วยคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นายทหารสามหาวคงถูกจัดการไปแล้ว นิโคลหันกลับมามองลอเรนที่มองเขาอยู่แล้วด้วยแววตาขอร้อง

“ได้ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว แต่อย่าให้ข้าเจอเจ้าอีกก็แล้วกัน ส่วนเจ้ามานี่” นิโคลหันมากระชากแขนลอเรนไว้แน่น กำลังจะลากออกไปด้วยกัน แต่อานาสตาเซียขัดขึ้นมาก่อน

“เดี๋ยว ๆ ลอร์ดนิโคล ทานจะพาลอเรนไปไหน”

“กลับออสเซนเทีย!”

อานาสตาเซียตาโต ถึงจะไม่เต็มใจแต่งงานแต่หน้าที่ก็เป็นของนาง จึงอดถามไม่ได้ “แล้วงานแต่งของเราล่ะ”

“ไม่มีงานแต่งของเรา มันจะไม่มีวันเกิดขึ้น!”

“ไม่ได้นะ!” เสียงค้านเป็นของลอเรน พยายามสะบัดข้อมือออกจากมือใหญ่ที่ถูกกำไว้แน่น แต่พอนิโคลหันมามอง ลอเรนถึงกับชะงักนิ่งทันที แขนที่เคยสะบัดให้ข้อมือหลุดจากมือใหญ่หยุดนิ่ง มีเพียงการหายใจเข้าออกหอบ ๆ ที่บอกได้ว่าร่างกายยังทำงานอยู่ แววตาของนิโคลช่างดูเยียบเย็นน่ากลัวเหลือเกิน

“ตามมา” นิโคลตะคอกสั่ง เพราะลอเรนฝืนตัวไม่ยอมเดินตามแรงดึง อานาสตาเซียมองตามนิโคลอย่างเจ็บแค้น เพราะนางถูกหักหน้าเป็นครั้งที่สอง แต่สำหรับคลาอัสการปล่อยนิโคลกับลอเรนไป อาจทำมีภัยย้อนกลับมาหาตัวก็เป็นได้

“เจ้าสองคนยังไปไหนไม่ได้” คลาอัสคว้าดาบมาจากทหารคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ตวัดมาทางนิโคลท่าทางคุกคาม

“ปล่อยมันสองคนไปคลาอัส”

“ไม่ได้ท่านหญิงเราปล่อยสองคนนี้ไปไม่ได้!” คลาอัสค้าน เพราะลอเรนรู้แล้วว่าเขาคิดหวังสิ่งใดอยู่ นั่นหมายความว่าตัวเขาเองจะไม่ปลอดภัยอยู่ในเมืองนี้อีกต่อไป ส่วนนิโคลผู้ทำให้คลาอัสเสียโฉม ก็ต้องอยู่ชดใช้การกระทำของตัวเอง

“คิดว่าน้ำหน้าอย่างเจ้าจะหยุดข้าได้หรือไง” นิโคลตวัดสายตามองนายทหารหนุ่ม ที่ชี้ดาบเดินย่างสามขุมเข้ามาหา หลังจากที่ผลักอานาสตาเซียให้หลบไปอยู่ข้างหลัง เขาเองก็ดันให้ลอเรนหลบไปอีกทางด้วยเหมือนกัน



เสียงปะทะของอาวุธดังสนั่นก้องไปทั่วสวน คู่ต่อสู้ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับ แรก ๆ ยังดูไม่ออกว่าใครเหนือกว่าใคร ทหารเวรยามที่ถูกเรียกตัวมาเป็นคนของคลาอัส เขาจึงสั่งให้ทหารใต้บังคับบัญชาช่วยจู่โจมลอบกัด สร้างความได้เปรียบให้ตัวเอง แต่นิโคลที่ได้รับการฝึกฝนจนฝีมืออยู่ในระดับสูง การจัดการกับทหารเลวไร้ฝีมือไม่ใช่เรื่องยาก คลาอัสรู้ดี ว่าฝีมือการต่อสู้ของนิโคลเหนือชั้นกว่ามาก จึงเรียกทหารให้รุมเข้าโจมตีลอร์ดหนุ่มพร้อมกัน เป็นการตัดกำลัง



เสียงที่เกิดจากการปะทะกันของอาวุธ ดังแข่งกับเสียงร้องห้ามของลอเรน ที่ตะโกนให้ทุกคนหยุดสู้ แต่เหมือนจะไม่เป็นผล ลอเรนตะโกนจนคอแทบแตก แต่กลับไปไม่ถึงใครสักคน ไม่มีใครสนใจลอเรน อานาสตาเซียยืนดูเงียบ ๆ แต่ท่าทางเป็นห่วงชู้รักของนาง เพราะถึงจะไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการต่อสู้ แต่นางก็มองเห็นได้ว่าฝีมือของนิโคลนั้น เก่งกาจเหนือกว่าชู้รักของนางมากนัก



“ทำอะไรสักอย่างสิอานาสตาเซีย”

“จะให้ข้าทำอะไรล่ะ พี่ก็บอกลอร์ดนิโคลหยุดก่อนสิ”

“เจ้าก็เห็นว่าเขาไม่ฟังเลย”

“แล้วเขาจะฟังข้าหรือไง”

“บอกให้คลาอัสหยุดสิ!” นางเพียงแค่นยิ้ม ไม่ได้ทำตามที่ลอเรนบอก ด้วยเพราะเห็นว่าคนของคลาอัสมีมากกว่า คิดว่ายังไงนิโคลไม่แคล้วเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่ ๆ นางจึงยังเฉย ยืนยิ้มเยาะพี่ชายอย่างสาแก่ใจ



นิโคลจัดการกับทหารไปได้หลายคน แต่คนที่เขาสนใจไม่ใช่ทหารเลวเหล่านั้น นอกจากคลาอัสเพียงคนเดียว และเหตุผลเดียว เพราะคลาอัสทำให้ลอเรนต้องหลั่งเลือด มันต้องชดใช้ นิโคลตวัดดาบคร่าชีวิตทหารคนอื่น ๆ เพียงเพื่อผ่านเข้าไปหาคลาอัส ตอนนี้ทั้งสองต่อสู้กันตัวต่อตัว ทหารเวรยามที่เขามาสู้ต่างทอดร่างจมกองเลือดเกลื่อนพื้น ส่วนที่วิ่งเข้ามาใหม่ได้แต่ยืนดูการต่อสู้ดุเดือด เสียงดาบปะทะกันแทรกกับเสียงร้องห้ามของลอเรน



นิโคลโมโหจนใครก็ฉุดไม่อยู่ ลอเรนมองการต่อสู้ของทั้งสองอย่างสิ้นหวังว่ามันจะหยุดลง ภาพความอบอุ่นของนิโคลที่เคยเห็นในวันก่อน กลายเป็นภาพสวนทางกับวันนี้ราวคนล่ะคน ลอเรนไม่รู้ว่าตัวตนไหนกันแน่ เป็นตัวตนที่แท้จริงของลอร์ดแห่งออสเซนเทีย ความอบอุ่นของรอยยิ้ม ที่มาพร้อมแววตาอ่อนโยน จนรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งยามอยู่ใกล้และได้เฝ้ามอง หรือภาพของชายฉกรรจ์หน้าตาดุดันนัยน์ตาแข็งกร้าว ที่กำลังต่อสู้โรมรันอย่างดุเดือด นิโคลราวกับเป็นนักรบหนุ่มผู้เจนสงคราม และการต่อสู้ ท่วงท่ากวัดแกว่งตวัดอาวุธคล่องแคล่ว เป็นความสวยงามของศิลปะการต่อสู้ ที่ดูแข็งแกร่งจนน่าเกรงขาม มันตราตรึงน่ามองไม่ต่างกับนิโคลผู้อบอุ่นอ่อนโยน กระนั้นลอเรนยังไม่อยากเชื่อสายตา ว่านิโคลจะมีภาพความโหดร้ายเลือดเย็นได้ถึงเพียงนี้



คลาอัสดูเหมือนฝีมือสูสีกันในคราแรกต่อสู้ แต่กลับไม่ใช่ เพราะยิ่งสู้ไปยิ่งเห็นความด้อยกว่า ซ้ำกำลังยังอ่อนลงเรื่อย ๆ อย่างเห็นได้ชัด ต่างกับนิโคลที่ดูเหนื่อยแต่กำลังไม่ตกทั้งที่ถูกรุม คลาอัสต้องสู้พลางถอยพลาง เพราะคู่ต่อสู้เหนือกว่าทั้งฝีมือและความแข็งแกร่ง

“หึ ที่แท้เจ้ามันก็ดีแต่ปาก” นิโคลเย้ยหยัน

“ท่านก็ไม่ได้เก่งไปกว่าข้าเท่าไหร่หรอกลอร์ดนิโคล ถ้าท่านดีจริงว่าที่เจ้าสาวของท่าน คงไม่ยอมอ้าขาให้ข้าได้แหวกว่ายพ่นน้ำเชื้อใส่จนนางตั้งท้อง! ” พูดอย่างกับว่านิโคลจะสน! คลาอัสหาทางกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบด้วยคำพูดกวนโทสะ แต่นอกจากมันจะไม่ได้กระตุ้นให้นิโคลเกิดโทสะแล้ว คำพูดของคลาอัสยังทำให้นิโคลยิ้มออกมาอย่างเยาะหยัน ถ้าเพียงเขาสนใจนางสักนิด ถ้าเพียงเขาชายตาแลอานาสตาเซีย และมีใจให้นางแม้เพียงนิดเดียว นิโคลคงโกรธไม่น้อยที่ได้ยินอย่างนี้ แต่เพราะความคิดนั้นไม่เคยมีอยู่ในหัวของเขามาก่อน คลาอัสเลยได้เพียงรอยยิ้ม ที่เห็นแล้วรู้สึกถึงความโง่เขลาของตัวเองแทน



ในคำพูดหยามหมิ่นเกียรติอย่างไร้ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย เพื่อกระตุ้นให้คู่ต่อสู้โกรธจนลืมสติ แต่ไม่เป็นผล กลับมีใครอีกคนที่ได้ยินแล้วเจ็บจุกยิ่งนัก หญิงสาวหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้น หันขวับไปมองชู้รักของนางอย่างไม่พอใจ แต่เพราะทั้งสองยังต่อสู้โรมรัน นางจึงทำอะไรได้มากไปกว่ายืนหน้าตึงข่มความโกรธไม่ได้



“เจ้าอย่าพูดมากคลาอัส ฆ่ามันซะ ฆ่ามันให้หมด” คู่ต่อสู้ทั้งสองไม่ได้หันมามองคนออกคำสั่งด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นอีกคนที่ยืนดูเหตุการณ์อย่างร้อนรน ที่ต้องหันมองอานาสตาเซียตาโต

“เจ้าว่าอะไรนะอานาสตาเซีย”

“ข้าบอกให้คลาอัสฆ่าลอร์ดนิโคลไงชัดพอหรือยังลอเรน หรือพี่เสียดายเขา”

“เจ้าจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะอานาสตาเซีย นิโคลเป็นว่าที่สวามีเจ้า เป็นลอร์ดออสเซนเทีย ถ้าเขาตายเราจะตอบคำถามทางนั้นว่ายังไง”

“ก็ไม่ต้องตอบสิ”

“เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งที่เจ้าบอกให้คลาอัสทำ มันจะนำสงครามที่บอกได้ทันทีว่าใครจะแพ้มาให้! ” ลอเรนผิดหวังในตัวน้องสาวจนเสียงสั่น

“ข้าไม่สน!” เพราะอานาสตาเซียรู้ ว่านิโคลล่วงหน้ามาก่อนขบวนเดินทางของตัวเองเพียงลำพัง หากเขาหายไปและสวาเนียร์ปฏิเสธไม่รับรู้ ก็ไม่มีใครทำอะไรได้

“อานาสตาเซีย! คลาอัสหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

“หึ”

“ลอร์ดนิโคลหยุด ได้โปรดหยุดสักที” ลอเรนตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงดาบกระทบกัน แต่ไม่มีใครสักคนหันมาสนใจ

อานาสตาเซียไม่พลาดการหัวเราะเยาะเย้ยหยัน ความพยายามอย่างไร้ผลของพี่ชาย “ไม่มีใครฟังพี่หรอกลอเรน ตายไปซะได้ก็ดี”

“เราต่อกรกับออสเซนเทียไม่ไหวหรอก เจ้ารู้ดี บอกคลาอัสให้หยุดได้แล้ว” ขณะที่สองพี่น้องเกลี้ยกล่อมกัน การต่อสู้ยังเป็นไปอย่างดุเดือด คลาอัสที่ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ก็ฝากรอยแผลไว้กับนิโคลหลายแผล จนในที่สุด นายทหารเสียหลักเซถอยหลังติดกำแพง นิโคลเพียงยืนดูร่างอ่อนแรงของคลาอัสค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นยืนไม่ได้เข้าไปซ้ำ นั่นจึงเปิดโอกาสให้อานาสตาเซียวิ่งเข้าไปช่วยพยุงชู้รักของนางให้ลุกขึ้น

“ลอร์ดนิโคล พอเถอะข้าขอร้อง” ลอเรนกอดแขนกำยำแน่นรั้งให้นิโคลถอยออกมา

“เจ้าช่างกล้าขอร้องข้านะลอเรน เหมือนที่เจ้าบอก คนอย่างนี้มันไม่สมควรมีหัวไว้บนบ่า” น้ำเสียงดุดันที่ตอบกลับมาทำลอเรนขุนลุกซู่ แต่ยังไม่เท่ากับสายตาแข็งกร้าวที่เห็นแล้วสัมผัสได้ถึงความเลือดเย็น!

“พ พอแล้วไปกันเถอะ” ถือว่าขอร้อง ยังไงนิโคลก็รู้เรื่องราวที่ปิดบังไว้แล้ว ข้อตกลงทุกอย่างก็คงถูกยกเลิกทั้งหมด คงไม่มีงานแต่งงานเกิดขึ้น ลอเรนจึงไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะต่อสู้กันอีก มือกวางน้อยที่เปื้อนไปด้วยเลือดของตัวเอง เกี่ยวต้นแขนกำยำกอดไว้แน่น ออกแรงดึงให้เดินไปด้วยกัน

“จะเห็นแก่เจ้าก็ได้ แต่ความผิดของตัวเจ้าเองหาคนมาเห็นใจด้วยก็แล้วกัน!” ถึงแม้ดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น จะทำให้ลอเรนหวั่นใจ แต่ตอนนี้ทางที่ดีที่สุด คือพานิโคลออกไปจากที่นี่ ก่อนที่จะมีการสูญเสียไปมากกว่านี้

นิโคลจำต้องหันหลังเดินออกมาตามแรงดึง ที่จะเรียกได้ว่าเป็นการกระชากของลอเรนจะถูกต้องกว่า เพราะลอร์ดหนุ่มไม่ยอมเดินตามมาด้วยดี ๆ และนั่นเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่มีจิตริษยาเคียดแค้น ได้ฉวยโอกาสลอบกัดข้างหลัง คลาอัสสะบัดตัวออกจากอานาสตาเซีย ควงดาบเดินเข้าหานิโคลกับลอเรน หวังปลิดชีพทีเผลอให้ตายตกไปด้วยกัน

ต่อจ้า..
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 24 เชลย 50% 19/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 19-02-2019 14:33:23


นายทหารหนุ่มก้าวตามว่องไวก่อนจะไม่มีโอกาส เขาตั้งท่าเตรียมตวัดดาบเข้าใส่ร่างที่หันหลังให้เต็มกำลัง ท่ามกลางความตกตะลึงของอานาสตาเซีย ที่ถูกผลักให้ถอยห่าง นางหัวไวรู้ว่าคนรักจะทำอะไรจึงไม่ส่งเสียงเตือน แต่คลาอัสยังไม่ทันได้ฟันดาบลงใส่แผ่นหลังกว้าง พลันก็ถูกมีดสั้นปักเข้ากลางอกตรงตำแหน่งหัวใจพอดิบพอดี นิโคลหันกลับมาดูผลงานตัวเอง มุมปากข้างหนึ่งยกขึ้นยิ้มเยาะ ส่วนลอเรนอึ้งจนพูดไม่ออก ที่หันกลับมาเห็นคลาอัสยังอยู่ในท่าเงื้อดาบขึ้นเตรียมฟัน และค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น



!!!

“คลาอัส!! กรี้ดดดดด”

เสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับสัตว์ร้ายได้รับบาดเจ็บ จนได้ยินแล้วเสียวสันหลังเข้าไปถึงกระดูก อานาสตาเซียกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเห็นร่างชู้รักของนางชะงักนิ่ง ยามปลายมีดแหลมคมเสียบเข้าไปกลางอก ร่างสูงของนายทหารนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ตาเหลือกถลนชี้มือข้างที่ไม่ได้ถือดาบมาทางนิโคล ลอเรนยืนอึ้งปากอ้าค้าง ตาจับอยู่กับร่างที่คอย ๆ ร่วงลงพื้น ลอร์ดน้อยไม่อยากเชื่อสายตา ร่างคลาอัสทรุดตัวลงตามเรี่ยวแรงที่ค่อย ๆ หายไป พร้อมลมหายใจที่หลุดลอยออกจากร่างในที่สุด ท่ามกลางความตกตะลึงของคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น คลาอัสไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เอ่ยคำสั่งเสียล่ำลา



เพราะปลายมีดแทงเข้าสู่จุดตายอย่างแม่นยำ!



อานาสตาเซียกรีดร้องอยู่หลายครั้ง ก่อนจะวิ่งเข้ามากอดศพชู้รักร้องไห้คร่ำครวญ นิโคลมองภาพตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉย กระชากแขนกวางน้อยไว้อย่างแรง เมื่อลอเรนกำลังจะวิ่งเขาไปหาน้องสาว

“ลอร์ดนิโคลปล่อยข้าก่อน ข้าจะไปหาอานาสตาเซีย”

“ไปหาคนที่สั่งให้ฆ่าเจ้านะหรือ”

“แต่นางเป็นน้องสาวข้านะ”

“น้องสาวที่คิดร้ายต่อพี่ไม่นับเป็นน้อง ไปได้แล้ว” นิโคลกระชากแขนลอเรนออกไปจากตรงนั้น สีหน้าลอร์ดหนุ่มถมึงทึง คิดบัญชีกับคนอื่นแล้ว ต่อไปคนที่เขาต้องจัดการคือลอร์ดน้อย ผู้ริอ่านหลอกล่อหักหลังปิดบังเรื่องไม่สมควร!

“เดี๋ยว พวกเจ้ายังไปไหนไม่ได้ เจ้าสองคนต้องชดใช้ให้คนรักของข้า ทหารจับมันสองคน ใครอยู่แถวนี้มาจับคนร้าย มีคนร้ายลอบเข้ามา! มาจับมัน! ทหาร!” อนาสตาเซียตะโกนเรียกทหารสลับกับกรีดร้องปานเสียสติ แต่นิโคลไม่สนใจ กระชากแขนลอเรนพาออกไปจากตรงนั้น ท่ามกลางสายตาเคียดแค้นของอานาสตาเซียที่มองตาม

“คลาอัส เจ้าต้องไม่ตาย เจ้าต้องไม่ตาย เจ้าต้องอยู่กับข้า กรี้ดดดดดด”

ตลอดเส้นทางภายในปราสาทบนเขา ที่ลัดเลาะลดหลั่นเป็นชั้น ลอเรนถูกนิโคลลากมาตลอดทาง มีทหารวิ่งสวนเข้าไปข้างใน แต่ไม่มีใครสนใจหยุดลอร์ดหนุ่มทั้งสอง เพราะไม่รู้ว่าคนร้ายที่ถูกเรียกให้ไปจับ คือลอร์ดทั้งสองนี่เอง นิโคลจึงพาลอเรนออกมาได้อย่างง่ายดาย จนถึงด้านหลังของตัวปราสาทใหญ่ที่เป็นคอกม้า นิโคลหายเข้าไปไม่นานก็ขี่ม้าตัวใหญ่ดูแข็งแรงออกมา

“ขึ้นมา”

“ไม่”

“ลอเรน ข้าบอกให้ขึ้นมา”

"ท่านจะพาข้าไปไหน ลอร์ดนิโคล!” นิโคลขัดใจคำเรียกที่ลอเรนใช้เรียก แต่เวลานี้ลอร์ดหนุ่มรีบเร่งเกินกว่าจะใส่ใจ จึงเก็บไว้คิดบัญชีรวบยอดครั้งเดียวทีหลัง สายตาคมสบมองดุเหมือนบังคับกลาย ๆ ให้ลอเรนต้องทำตาม แต่ลอร์ดน้อยก็ยังยืนนิ่งไม่ยอมกระโดดขึ้นม้าสักที

“ขึ้นมา”

“ไม่ข้าไม่ไป”

“เจ้าต้องไปกับข้า ที่นี่อันตรายเกินไป”

“แต่ที่นี่เป็นบ้านเมืองของข้าลอร์ดนิโคล”

“เจ้าไม่ปลอดภัยหรอก เดี๋ยวน้องสาวของเจ้าก็วิ่งไปฟ้องพ่อเจ้าแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ข้าจะบอกเขาว่าคลาอัสปองร้ายข้าก่อน”

“คิดว่ากษัตริย์เฒ่าจะเชื่อเจ้าหรือเชื่อลูกสาวคนโปรดล่ะ อย่าลืมว่าถึงเจ้าจะทำงานช่วยบ้านเมืองมากขนาดไหน พ่อเจ้าก็ไม่เคยเห็นความดีความชอบ ที่เจ้าทำทุกอย่างให้อานาสตาเซียได้แต่งกับข้า ก็ทำเพื่ออยากเอาใจเขาทั้งนั้น เพราะเขาอยากให้นางได้คู่ครองดี ๆ ที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์กว่า เจ้าแค่อยากให้เขาพอใจหรือจะปฏิเสธ!” ลอเรนเพียงเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่บนหลังม้านิ่ง เนตรสีฟ้าร้อนผ่าวสั่นไหว ด้วยจำนนต่อสิ่งที่ลอร์ดหนุ่มบอกจนพูดไม่ออก นิโคลรู้ความจริงทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งเรื่องภายในที่มีไม่กี่คนรู้ นิโคลรู้ได้อย่างไร รู้มานานแค่ไหน ทำไมลอเรนไม่เคยระแคะระคายมาก่อน นิโคลรู้ได้อย่างไรทั้งที่ทุกอย่างที่ลอร์ดหนุ่มพูดออกมา มีคนรู้กันแค่ไม่กี่คน

“ขึ้นมา”

“ไม่”

“ตอนนี้เจ้าเป็นเชลยของข้าแล้วลอเรน หลอกให้ข้ามาแต่งงานกับเจ้าสาวที่มีสามีของนางอยู่แล้ว ซ้ำยังมีลูกด้วยกัน ถือเป็นการหยามเกียรติข้า เจ้าหยามเกียรติออสเซนเทีย สวาเนียร์ต้องชดใช้ เจ้าต้องชดใช้ลอร์ดลอเรน!”

“ลอร์ดนิโคล!” ลอเรนเข่าแทบทรุด ความเจ็บปวดรวดร้าวกัดกินเข้าไปในก้อนเนื้อหัวใจ จนเป็นแผลเหวอะแหว่ง ก้อนเนื้อน้อย ๆ ที่เต้นไม่เป็นจังหวะยามแรกเจอ บัดนี้เหมือนถูกใครคนนั้นกรีดด้วยคมมีดเป็นแผลฉกรรจ์กลัดหนอง คิดไว้อยู่แล้วหากความจริงปรากฏ โทษทัณฑ์ที่ได้รับคงไม่น้อย แต่คลื่นความกริ้วโกรธที่สัมผัสได้ตอนนี้ ลอเรนรู้ว่ามันไม่ใช่ความกริ้วโกรธธรรมดา แต่นิโคลอาจจะเกลียดกันไปแล้วก็ได้!



ลอเรนเหมือนสิ้นไร้เรี่ยวแรง แต่ยังไม่ทันทิ้งร่างทรุดลงกับพื้น ร่างสูงโปร่งก็ถูกรวบเอว แล้วรั้งให้ขึ้นไปนั่งอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงบนหลังมาตัวเดียวกัน นิโคลหันไปมองทางตัวปราสาท ที่ทหารจำนวนหนึ่งกำลังวิ่งตามมา ลอร์ดหนุ่มควบม้าหันหลังให้ปราสาทหินมหึมาที่ตั้งอยู่บนเขา กระชับคนในอ้อมแขนที่เอาแต่ดิ้นรนจะหนีแน่น แล้วควบม้าออกจากตรงนั้นไป ท่ามกลางสายตาหลายคู่ของทหารที่วิ่งตามมา พวกเขามาเพื่อช่วย เพราะเป็นทหารของลอร์ดลอเรน



*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*



“ฝ่าบาทเสด็จไหนต่อ”

“กลับปราสาทสิลีโอ ข้าทำงานมาทั้งวันเจ้ายังจะให้ข้าทำอะไรอีก”

“ฝ่าบาทเหนื่อยหรือเปล่า ลีโอให้คนเตรียมน้ำอุ่น ๆ ไว้รอแล้ว ถ้าฝ่าบาทอยากนอนแช่ให้ผ่อนคลาย”

“ก็ดีเหมือนกัน”

“ฝ่าบาทอย่าลืมงานเลี้ยงเย็นนี้นะ” ลีโอเตือนอีก เด็กน้อยเจื้อยแจ้วชวนคุยตั้งแต่เห็นหน้าเจ้านายเหนือหัว เดินออกมาจากห้องประชุมสภาพร้อมเฮนริช ที่ถือม้วนกระดาษเดินตามกษัตริย์หนุ่มน้อยเงียบ ๆ อัศวินหนุ่มพยายามมองหน้าลีโอ แต่เด็กน้อยของเขากลับเมินแล้วเอาแต่จ้อกับจูเลียนไม่หยุด

“ท่าทางลีโอคงยังโกรธเจ้าอยู่นะเฮนริช” เลนนี่กระซิบบอกน้ำเสียงหยอกเย้า ถึงความกรุ่นโกรธของลีโอที่มีต่อเฮนริช ยามเขาปฏิเสธความห่วงใยและการดูแลจากเด็กน้อย ตอนได้รับบาดเจ็บ

“ข้าไม่ได้ทำผิดอะไร” เฮนริชกระซิบตอบแล้วรีบเดินตามให้ทันจูเลียนกับลีโอ ที่เดินคุยกันล่วงหน้าไปก่อน เลนนี่จึงเดินยิ้มตามมาเงียบ ๆ

“อะไรลีโองานเลี้ยงอะไรอีก เมื่อวานก็งานเลี้ยงวันนี้ก็มีอีกหรือไง”

“อ้าว ก็ฝ่าบาทบอกงานเลี้ยงเมื่อวานน่าเบื่อ วันนี้เลยจะจัดใหม่ให้รู้ว่างานเลี้ยงสนุก ๆ มันเป็นยังไง ฝ่าบาทให้จัดละครกับเต้นรำด้วย เพราะงานเมื่อวานไม่มี”

“จริงด้วยสิข้าก็ลืมไป แต่ทำไมข้าเหนื่อยจังเลยลีโอ เมื่อไหร่นิโคลจะกลับมาก็ไม่รู้” จูเลียนไม่วายหันมาโอดครวญ เพราะไม่อาจเลี่ยงงานที่ตัวเองเป็นคนส่งให้จัดขึ้นได้ แต่งานของบ้านเมืองวันนี้ก็เยอะเสียจนจูเลียนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง

“ฝ่าบาทลอร์ดนิโคลไปแต่งงาน แต่งแล้วก็ย่อมต้องอยู่ที่สวาเนียร์กับชายา”

“ข้ารู้นิโคลต้องกลับมา แต่..” จูเลียนเพียงพูดออกมาตามความรู้สึกของตัวเอง เลยไม่ค่อยแน่ใจที่จะพูดต่อ เพราะเป็นความจริงอย่างที่ลีโอบอก แต่งงานแล้วนิโคลต้องอยู่กับชายาที่บ้านเมืองของนาง จะกลับมาก็เพียงแค่เยี่ยมเยือนกันบางครั้งเท่านั้น ยิ่งคิดว่าต้องห่างกับพี่น้องนาน ๆ พักตร์นวลของยุวกษัตริย์ก็ยิ่งหม่นหมองลงจนน่าสงสาร

“แต่อะไรหรือฝ่าบาท” จูเลียนยังไม่ตอบคำถามลีโอในทันที เพราะพอคิดถึงพี่ชายที่อาจจะไม่ได้กลับมาหาเร็ว ๆ นี้ ใจเลยไพล่คิดไปถึงใครอีกคน ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันเลยสักครั้งตั้งแต่กลับมา

“เซอร์เลนนี่!”

“ฝ่าบาท” จูเลียนเรียกอัศวินประจำตัวที่เดินตามหลังมาเงียบ ๆ ก็หยุดไว้เพียงเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เหมือนแค่เผลอหลุดปากออกมา คนคอยรับบัญชาคงยังยืนรอเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น ไม่ได้เร่งถามว่าเจ้าเหนือหัวมีพระประสงค์สิ่งใด จึงได้เรียกหา แต่จนแล้วจนรอดจูเลียนก็ทำเพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมาแล้วเดินต่อ มีลีโอที่หันมามองหน้าอัศวินทั้งสอง ก่อนจะเดินตามจูเลียนชวนคุยนั่นคุยนี่ไปตลอดทาง



“ฝ่าบาทคิดอะไรอยู่หรือ” ลีโอทำลายความเงียบ ขณะใช้ผ้าเนื้อนุ่มขัดถูไปตามแผ่นหลังให้เบา ๆ แต่จูเลียนยังนั่งเฉยไม่ตอบคำ สายตามองตรงไปข้างหน้าไม่จับที่จุดใดจุดหนึ่งอย่างเหม่อลอย ทิ้งความครุ่นคิดไปกับอะไรบางอย่างที่เดาไม่ถูก ทำให้ลีโอที่นั่งอยู่ข้างหลังต้องชะโงกหน้าไปดู เพราะจูเลียนไม่ยอมตอบคำถาม

“ฝ่าบาท”

“...” จูเลียนเพียงกะพริบตาแต่ไม่ขานรับ ลมหายใจอ่อน ๆ ถูกปล่อยออกมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ สลับกับการถอนหายใจหนัก ๆ ในบางครั้ง คล้ายตกอยู่ในภวังค์ที่คิดไม่ตกตัดสินไม่ได้ ลีโอเหมือนถูกลืมจึงลองเรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น

“ฝ่าบาท! “

“อะไรของเจ้าลีโอ ถูหลังให้ข้าเสร็จแล้วหรือไง”

“ลีโอกำลังเร่งมือ”

“แล้วเจ้าจะเรียกข้าทำไมล่ะ ยังทำไม่เสร็จก็รีบ ๆ ทำเข้าสิ”

“ก็ลีโอเห็นฝ่าบาทเอาแต่นั่งเงียบแล้วก็ถอนหายใจเฮือก ๆ เหมือนคนคิดไม่ตก ลีโอแค่เป็นห่วง” พอลีโอบอกอย่างนั้น เลยยิ่งทำให้จูเลียนคิดถึงเรื่องที่ยังติดค้างในใจ การงานนั้นราบรื่นหมดทุกอย่างไม่มีปัญหา เลยมีแค่เรื่องเดียวที่ติดใจจูเลียนอยู่ แค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่แม้จะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากมาย แต่หนุ่มน้อยก็ไม่เคยที่จะหยุดคิดถึงมันได้เลย



ตั้งแต่จูเลียนเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวง เจ้าคนลึกลับคนนั้นก็เหมือนกับหายเข้ากลีบเมฆไป หายไปจากชีวิตจูเลียนราวกับไม่มีเคยมีตัวตนมาก่อน เจ้าคนลึกลับที่ทำให้จูเลียนรู้สึกปลอดภัยยามได้อยู่ใกล้ ๆ หายเงียบไปเลย จนหลายครั้งเกือบ ๆ จะถามเอากับเลนนี่อยู่แล้ว ว่าเพื่อนรักหายไปไหน ดีที่ทุกครั้งจูเลียนยั้งปากทัน



“พอเถอะลีโอ ข้าจะแต่งตัวไปงานเลี้ยงแล้ว” ในที่สุดจูเลียนก็เอ่ยขึ้น บอกลีโอให้พอเหมือนจะบอกตัวเองด้วย ว่าควรพอได้แล้ว เลิกคิดถึงคนใจร้ายจอมลึกลับคนนั้นได้แล้ว



พอจูเลียนลุกขึ้นจากอ่างน้ำอุ่น ลีโอที่กางชุดคลุมไว้รออยู่แล้วก็ขยับเข้ามาใกล้ เพื่อให้จูเลียนสอดตัวเข้าในชุดคลุม เรือนร่างเพรียวระหงค่อย ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ เผยให้เห็นร่างกายที่ประดับด้วยกล้ามเนื้อเล็กน้อยแต่ยังดูโปร่งบางอรชร จูเลียนสอดแขนเข้าไปในเสื้อคลุมที่กางรอทีละข้าง แล้วรวบสาบเสื้อมาวางทับไขว้กันด้านหน้า ผูกทับด้วยเชือกที่ลีโอยื่นมาให้

“เจ้าเป็นอะไรลีโอ” จูเลียนอดถามไม่ได้ที่ลีโอเอาแต่ก้มหน้างุด ยืนหยุกหยิกไม่เป็นปกติ

“ลีโอเปล่านะฝ่าบาท” คนสนิทตอบทั้งที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองกันตรง ๆ

“แล้วทำไมเจ้าต้องหน้าแดงด้วยล่ะ”

“ก็ลีโอเปล่า” ยิ่งจูเลียนจี้ถาม ยิ่งดูเหมือนว่าผิวใสบนใบหน้าอ่อนเยาว์ที่แดงปลั่งจากลมหนาวอยู่แล้ว ยิ่งแดงระเรื่อขึ้นกว่าเดิม จูเลียนเห็นแล้วอมยิ้มล้อ

“เจ้าเขินหรือลีโอที่เห็นข้าเปลือย”

“ไม่จริงสักหน่อย ลีโอเคยเห็นฝ่าบาทเปลือยมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมลีโอต้องเขินด้วยเล่า” คนไม่เขินก้มหน้างุดคางแทบชิดอก แม้ลีโอจะตอบทั้งที่อมยิ้ม แต่สายตายังมองต่ำ แก้มสองข้างแดงสุกปลั่งน่ามอง น่าหยิก

“ก็เจ้าหน้าแดง”

“ลีโอหน้าแดงเพราะลมหนาวหรอก”

“ให้มันจริงเถอะ”

ลีโอตาตื่นเงยหน้าขึ้นยืนยัน “จริงสิฝ่าบาท”

“เจ้าไม่ได้เขินหรือไง ที่จริงเป็นข้าต่างหากล่ะที่ควรเขิน ก็เจ้าเอาแต่มองเรือนร่างของข้านี่”

“ลีโอไม่ได้...เขิน” จะบอกไม่ได้มองก็คงโกหก ลีโอแค่แอบมองนิดหน่อย

“ถ้าไม่ได้เขิน” เนตรสีมรกตมีแววเจ้าเล่ห์ จูเลียนเว้นคำพูดไว้เพียงเท่านั้นเมื่อหันมาจ้องตาลีโอ ก่อนที่รอยยิ้มร้ายจะค่อย ๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้านวลผ่องชื้นน้ำ แล้วจึงบอกในสิ่งที่ทำให้ลีโอตาโตยืนตัวแข็งทื่อ “พรุ่งนี้เจ้ากับข้าไปที่อ่างน้ำแร่รวม แล้วแช่น้ำแร่อุ่น ๆ ด้วยกันนะ”

ลีโอตาโตยิ่งกว่าเก่า “ฝ่าบาทไม่เอา ลีโอไม่แช่”

“ก็ข้าสั่ง”

“แต่...”

“ถ้าเจ้ายอมรับว่าเขินแต่แรกข้าจะไม่บังคับเจ้า”

“ก็ลีโอเปล่า..” เด็กน้อยยังปากแข็ง

“ตอนนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธแล้วลีโอ พรุ่งนี้ต้องไปนอนแช่น้ำแร่ที่อ่างน้ำรวมกับข้า ข้าจะให้เซอร์เฮนริชกับเซอร์เดรทิชมาแช่ด้วย”

“โอ้ว...ฝ่าบาทไม่นะ!” ดวงตาของลีโอที่เบิกโตอยู่แล้ว ยิ่งเบิกกว้างกว่าเดิมเข้าไปใหญ่ เมื่อได้ยินว่าเจ้านายเหนือหัวจะให้ผู้ใดมาแช่น้ำด้วย ลีโอยืนอ้าปากหวออยู่อย่างนั้นจนจูเลียนนึกขำ กษัตริย์หนุ่มน้อยได้แต่ส่ายพักตร์นวลไปมา อ่อนอกอ่อนใจในความใสซื่อของลีโอ ที่เพิ่งจะเริ่มสัมผัสได้ถึงความเป็นหนุ่มกับเขาสักทีทั้งที่อายุเท่ากัน



*/*/*/*/*

อย่าเพิ่งหมดรักลอร์ดนิโคลหนา แม่ยกทั้งหลาย อ้ายมีเหตุผล

ยังไม่ได้เกลาภาษานะคะ บางช่วงอาจจะแปร่งๆ ไปบ้างนะ

แต่ก็ยังดี ที่ผ่านวิกฤตมาได้ เล่นเอาใจหายใจคว่ำ เกือบๆ จะไม่ได้มาละเนี่ย

ใครที่ตามเพจ คงรู้แล้วว่าวิกฤตนั้นนั้นมันคืออะไร ปัญหาใหญ่หลวงแต่เราแก้ได้เสมอ

ดาวซะอย่าง อิอิอิ 
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 24 เชลย 100% 24/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 24-02-2019 21:35:47
ต่อ 100 %

การได้แกล้งคนสนิทเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พอจะช่วยให้จูเลียนลืมเลือนใครบางคน ที่เข้ามาอยู่ในความคิดตลอดเวลาไปได้บ้าง แม้จะชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี เพราะจูเลียนเริ่มสับสนไม่เข้าใจแล้ว ว่าทำไมตัวเองต้องเอาแต่คิดถึงใครคนนั้นขนาดนี้



งานเลี้ยงค่ำคืนนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความสนุกสนาน ภายในโถงกว้างสว่างไสวด้วยแสงจากโคมประดับคริสทัลหรู ส่องประกายล้อแสงเทียน บนโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัวยาว จัดวางด้วยถ้วยชามและจานทองหรูหรา ที่เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด ล้วนแล้วแต่รสชาติเป็นเลิศ เพราะได้รับการปรุงมาจากพ่อครัวฝีมือดี เชิงเทียนทองประดับด้วยคริสทัลตั้งอยู่ตรงกลางโต๊ะเป็นระยะ ทุกอย่างดูสวยงามหรูหรา และอลังการสมเป็นงานเลี้ยงของกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรใหญ่ ที่อยากแสดงให้แขกเหรื่อได้เห็นว่างานเลี้ยงที่ดีต้องสนุก และงานที่สุกจริง ๆ มันเป็นอย่างไร



โต๊ะตัวยาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า นั่งล้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติกว่าห้าสิบคน หัวโต๊ะด้านหนึ่งคือเวทีสำหรับการแสดงละครโอเปร่า ที่โปรดปรานขององค์กษัตริย์ ขนาบข้างรอบโต๊ะทั้งสองด้วยแขกรับเชิญมากหน้าหลายตา ทั้งขุนนาง คหบดี คนสำคัญ ๆ ที่ได้รับเกียรติเชิญมาร่วมงาน จนมาถึงหัวโต๊ะที่หันหน้าเข้าหาเวทีละคร ตรงนั้นจูเลียนนั่งอยู่ตรงกลาง ข้างซ้ายคือกวีประจำราชสำนักคนรัก ข้างขวาคือขนิษฐาแฝดที่ถูกบังคับให้มาร่วมงาน



อันที่จริงทาร์เทียน่าถูกจูเลียนบังคับ ให้ออกจากที่ซ่อนมาตั้งแต่มีการประชุมสภา หลังจากรัฐมนตรีคนเก่าถูกลอบสังหาร และประจวบเหมาะกับนิโคลต้องเดินทางไปสวาเนียร์ ทาร์เทียน่าเลยเหมือนถูกบังคับ ให้ออกมาช่วยงานจูเลียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ และตอนนี้นางก็มานั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ในงาน ที่จูเลียนเป็นผู้รับรองด้วยตัวเองว่าสนุกกว่าทุกงานเลี้ยงที่เคยมีนี่เอง



“ไหนเจ้าคุยนักคุยหนาว่างานเลี้ยงคืนนี้จะสนุกที่สุดจูเลียน ข้าว่ายังไงมันก็ยังน่าเบื่ออยู่ดี” ทาร์เทียน่าเปรยขึ้น เมื่องานเลี้ยงเริ่มไปได้ครู่ใหญ่ แต่พักตร์นวลผ่องน่ารักของนางยังดูเบื่อหน่ายอยู่เช่นเดิม สำหรับทาร์เทียน่าแล้ว งานเลี้ยงแบบนี้มีสิ่งที่ทำให้นางชอบได้อยู่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คืออาหารเลิศรสที่มีให้เลือกกินจนจุใจ

“เจ้าก็ดูสิไม่สนุกตรงไหนล่ะ” มือเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นมาตรงหน้าแล้วผายออก จูเลียนกวาดตาไปรอบ ๆ ท่ามกลางผู้คนกำลังดื่มกินพูดคุยกันอย่างสนุกสนานออกรส ไม่มีใครที่มีท่าทางแสดงออกว่าไม่ชอบงานเลี้ยงนี้เลยสักคน นอกจาก...

“ตรงที่เจ้าเอาแต่นั่งทำหน้าเหงา ๆ หงอย ๆ อยู่นี่ไง เจ้าเป็นอะไรไปจูเลียน ทั้งงานก็มีแต่เจ้านี่แหละที่ทำหน้าเหมือนไม่สนุก เหมือนคิดอะไรไม่ตก ขนาดกรอสเซ่ยังดูสนุกเลย ดูสิเขายิ้มไม่หุบเลยนะนั่น” จูเลียนหันไปมองกวีหนุ่มที่นั่งอยู่อีกข้าง เขากำลังยิ้มกับอะไรบางอย่างที่จูเลียนไม่ได้สนใจ และหันมาสนทนากับทาร์เทียน่าต่อ

“ข้าดูเหงาหรือเทียน่า” คำถามนั้นมาพร้อมสีหน้าของจูเลียน ที่บ่งบอกว่าไม่รู้ตัวเลยตัวเลยจริง ๆ ว่าตัวเองกำลังรู้สึกเช่นไร หรือเป็นอะไรไป

“เจ้าดูสับสนเหมือนคนตัดสินใจอะไรสักอย่างไม่ได้” การที่จูเลียนเพียงแค่คิดถึงใครบางคนที่ไม่อยากพูดถึง คงไม่ถึงขั้นว่าตัดสินใจอะไรไม่ได้หรอก



ทาร์เทียน่าแค่คาดเดา!



จูเลียนคิดขณะหันไปมองขนิษฐาแฝดผู้น้อง ทาร์เทียน่ามองตอบเงียบ ๆ เพียงเท่านั้นก็รู้ใจกันแล้ว ว่าต่างคนต่างมีเรื่องให้คิดอยู่ ถึงไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่มักจะจับความผิดปกติได้ทันที แม้จูเลียนจะไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองคิด สายใยของแฝดมีอะไรที่ลึกซึ้งเกินกว่าคนนอกจะเข้าใจ และนางก็จับสังเกตความผิดปกติได้ โดยที่จูเลียนไม่ต้องพูดออกมา



จูเลียนเมินพักตร์สวยน่ารัก ที่มีความคล้ายคลึงกับพักตร์นวลผ่องของตัวเอง หันไปทางเวทีละคร “ไม่ใช่หรอก ข้าไม่ได้เหงาหรือคิดถึงใครสักหน่อย” ทาร์เทียน่าเหลือบมองแฝดพี่ เพราะบางคำพูดสะดุดหู “แต่ข้ากำลังตั้งใจดูละครต่างหาก เจ้าดูสิกำลังเข้าพระเข้านางพอดีเลย”



บนเวทีเบื้องหน้าที่ตกแต่งประดับฉากเอาไว้อย่างสวยงามเข้ากับบทบาท พระนางกำลังตระกองกอดพลอดรักกันกะหนุงกะหนิง สองหนุ่มสาวยิ้มให้กันหวานหยดย้อย หลังฝ่าฟันอุปสรรครักระหว่างครอบครัว และสุดท้ายก็พิสูจน์รักแท้ ได้อยู่ด้วยกัน เพื่อสร้างครอบครัวเล็ก ๆ ของตัวเอง การแสดงดำเนินมาจนถึงท้ายเรื่อง และจบลงอย่างมีความสุข ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงชื่นชมของผู้ชมหน้าเวที แต่ในความสุขของแขกเหรื่อ ต่างมองไปยังเวทีที่กำลังมีการแสดงอย่างตั้งใจ จูเลียนกลับเผลอคิดถึงใครบางคนอีกแล้ว



หลายครั้งท่ามกลางสมาชิกในที่ประชุม หรืองานมากมายก่ายกอง จูเลียนไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง เพราะนอกจากปกติที่ไม่ค่อยสนใจการบ้านการเมืองอย่างนี้อยู่แล้ว ภาพเก่ายามเดินทางร่วมกับใครบางคน มักผุดเข้ามาอยู่ในห่วงความคิด เหมือนจูเลียนยังอยู่กับช่วงเวลานั้น ทั้งที่พยายามจะไม่สนใจ จูเลียนเผลอทำแม้กระทั่งถอนหายใจออกมากลางที่ประชุม ขณะประธานสภากำลังกล่าวสรุป จนเฮนริชในชุดขุนนางเต็มยศ ไร้เกราะทองของอัศวินที่เข้าประชุมด้วย ต้องเหลือบตามองด้วยสายตาที่มีเพียงจูเลียนเท่านั้นรู้ ว่าอัศวินหนุ่มกำลังดุเหมือนพี่ชายคนโตดุน้องชายตัวน้อย ยามทำอะไรไม่สมควร แต่กระนั้นภาพแบบนั้นจูเลียนก็ไม่ได้เห็นบ่อยนัก



การแสดงละครจบลงแล้ว ต่อจากละครก็เป็นช่วงที่คนรักสนุกทั้งหลายเฝ้ารอ โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ สาว ๆ เพราะเป็นช่วงของการเต้นรำ ที่จูเลียนสั่งให้มีคณะบรรเลงเพลงจากเครื่องดนตรีชุดใหญ่ ด้วยเหตุผลว่างานเลี้ยงที่สนุกต้องครึกครื้น



“กรอสเซ่ เจ้าอยากเต้นรำหรือไม่” จูเลียนละสายตาจากนักดนตรี ที่กำลังเดินเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงพร้อมเครื่องดนตรีในมือ หันไปถามความต้องการของคนรักที่นั่งอยู่เคียงข้าง

“กรอสเซ่” แต่กวีหนุ่มยังนั่งนิ่งเหม่อลอย สายตามองตรงที่จูเลียนมองตาม แต่ไม่รู้ว่าเขากำลังมองใคร เพราะจุดที่สายตากรอสเซ่กำลังมองอยู่ เป็นจุดที่มีคนนั่งรวมกันหลายคน

“กรอสเซ่! ”

“เอ่อ ฝ่าบาทเรียกข้ามีอะไรหรือ” กรอสเซ่ที่เพิ่งได้ยินว่าจูเลียนเรียกรีบละล่ำละลักถาม เพราะเขากำลังมองอะไรบางอย่างเพลินจนลืมว่านั่งอยู่ข้างใคร

“ข้าถามว่าเจ้าอยากเต้นรำไหม”

“ฝ่าบาทอยากเต้นรำหรือ” กวีหนุ่มถามกลับแทนคำตอบ เพราะเอาจริง ๆ แล้ว ถ้าถามว่าเขาอยากเต้นรำไหม แน่นอนคำตอบคืออยาก แค่ไม่ใช่เต้นกับเจ้าของคำถามที่นั่งอยู่ข้างกายตอนนี้

“ข้า..ไม่รู้สิ เต้นก็ได้ไม่เต้นก็ได้ แต่ถ้าเจ้าอยากเต้นก็ไปกัน”

“ท่าทางแบบนี้ฝ่าบาทคงไม่อยากเต้นแน่ ๆ ไม่เป็นไรถ้าจะเต้นเดี๋ยวข้าหาคู่เต้นเอง ไม่อยากรบกวนฝ่าบาท ที่ดูเหนื่อย ๆ หรืออยากพัก”

“เราคงปลีกตัวไปตอนนี้ไม่ได้หรอกกรอสเซ่ เจ้าก็รู้” จูเลียนได้แต่นั่งมองหนุ่มสาวที่เต้นรำกันอย่างมีความสุข ด้วยสีหน้าที่ดูเบื่อหน่าย แต่กรอสเซ่มองข้ามมัน เขาเอาสายตาไปทิ้งไว้กับการจ้องมองหญิงสาวผู้เป็นหนึ่งเดียวในใจ แม้จะยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปพูดคุยด้วยอีกเลย ตั้งแต่คืนนั้นที่เข้าไปทักทายนาง แต่คืนนี้เขาจะสร้างโอกาสให้ตัวเองอีกครั้ง และต่อจากนี้ด้วย



หากเป็นแต่ก่อนที่มีคนคอยส่งสายตาบังคับ สั่งให้เอาอกเอาใจกษัตริย์หนุ่มน้อย กรอสเซ่คงสวมใบหน้ายิ้มแย้มให้ตัวเอง คะยั้นคะยอจูเลียนออกไปเต้นรำด้วยแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ไม่มีใครสั่ง และเขาไม่ต้องทำงานให้ใครเพื่อแลกกับสิ่งใดอีก กวีหนุ่มจึงทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น เขานั่งอยู่ตรงนี้ ข้าง ๆ จูเลียนในตอนนี้ ก็เพื่อรักษาความสำคัญให้ตัวเอง ในฐานะคนรักของกษัตริย์ ทั้งที่สายตาจดจ่อจดจ้องอยู่แต่เพียงหญิงหนึ่งนางเดียว ที่เขาเห็นตั้งแต่นางเดินตามรัฐมนตรีโทมัสเข้ามาในงาน พร้อมแววตาเศร้าสร้อย เพราะเพิ่งสูญเสียบิดาอันเป็นที่รักไป และกรอสเซ่จะไม่พลาด ในการพาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้นาง เพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจ และถือโอกาสใกล้ชิด



งานเลี้ยงคืนนี้ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ หรือน่าตื่นเต้นสำหรับจูเลียนได้อีกแล้ว ทั้งการละครที่เคยชื่นชอบ ก็นั่งดูเหมือนแก้เบื่อไปอย่างนั้น แต่จนแล้วจนรอด จูเลียนก็ได้รู้ว่ามันไม่สามารถเยียวยาความเบื่อหน่ายในใจดวงน้อยได้เลย นั่งรอจนถึงเวลาเต้นรำ คิดว่าจะตื่นเต้นกับมันบ้างเหมือนทุกครั้ง ที่จูเลียนจะต้องออกไปเต้นรำกับกรอสเซ่ เพื่อเป็นการเปิดฟลอร์ แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ หนุ่มน้อยกลับไม่ได้ตื่นเต้น ไม่มีความตื่นตาตื่นใจอย่างที่คิดไว้



จูเลียนเหลือบไปมองคนรัก ที่กำลังมองไปยังคู่เต้นรำในฟลอร์อย่างเพลิดเพลิน กรอสเซ่ไม่ได้เอ่ยปากชวนเต้นรำสักคำ ถึงในใจจะหงุดหงิด แต่ก็ไม่มากพอที่จะเรียกร้องคนรักให้มาเอาใจ จูเลียนไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไรไป คนรักที่อยู่ข้างกายไม่นำพาให้รู้สึกอยากพูดคุยเอาอกเอาใจเหมือนเคย แม้จะเป็นคนที่บอกว่ารักนักรักหนา คิดถึงใจแทบขาดยามห่างไกลกัน แต่พอได้มานั่งอยู่ใกล้ ๆ อย่างนี้ จูเลียนกลับเฉยชา และที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น คือสิ่งที่จูเลียนกำลังคิด ไม่รู้ว่าคิดไปได้อย่างไร ว่าหากมีใครบางคนมางานนี้บ้าง มันจะมีสีสันขึ้นมามากกว่านี้แค่ไหน จูเลียนต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ ที่ไปเผลอคิดอะไรแบบนั้น แม้ใครคนนั้นจะเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาในระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตาม



หนุ่มน้อยทนนั่งดูบรรดาแขกเหรื่อเต้นรำอยู่เป็นครู่ใหญ่ จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว ใจมันเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก จูเลียนผุดลุกขึ้น จนทาร์เทียน่าและใครบางคนใต้หน้ากากปิดบัง ที่เข้ามาขอนางเต้นรำยังต้องหันมามอง

“ข้าขอตัวสักครู่ก็แล้วกัน”

“เจ้าจะไปเต้นรำหรือจูเลียน” ทาร์เทียน่าถามทั้งที่มือน้อยของนาง ยังวางอยู่บนมือของชายหนุ่มใต้หน้ากาก ขณะที่นางเองก็กำลังจะลุกขึ้น

“ข้าจะไปทำธุระส่วนตัวนิดหน่อย” แล้วจูเลียนก็เดินออกจากตรงนั้น มีสายตาของทาร์เทียน่ามองตามเงียบ ๆ ทำไมนางจะไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของแฝดพี่ จูเลียนเคยหรือที่จะสนใจการบ้านการเมือง หรือสนใจทำงาน จูเลียนเคยสนคนอื่นที่ไหนกัน นอกจากคนรักและบทกวีของเขา แต่เท่าที่ทาร์เทียน่าเห็นตอนนี้ ตั้งแต่แฝดพี่รอดกลับมาจากการตามล่าหมายชีวิต จูเลียนมีการเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง ที่เจ้าตัวเองคงไม่รู้ แต่จูเลียนกำลังคิดหรือเป็นอะไรนั้น ทาร์เทียน่าก็ยากจะคาดเดา แค่รู้ว่าแฝดพี่กำลังมีเรื่องในใจ นางจึงทำได้เพียงมองอย่างเป็นห่วง เพราะจูเลียนไม่พูดอะไรให้ฟัง นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แฝดพี่ผิดแผกไป ปกติเวลามีเรื่องอะไรในใจ จูเลียนมักจะพูดหรือถามออกมาตรง ๆ เสมอ



ส่วนใครอีกคนที่นั่งขนาบอยู่อีกข้างของจูเลียน ก็เอาแต่มองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่เกือบท้ายโต๊ะติดหน้าเวทีละคร ทาร์เทียน่าสังเกตเห็นว่าเขาเอาแต่จ้องมองหญิงสาวคนนั้นไม่วางตา ทำไมจูเลียนไม่เห็น ทาร์เทียน่าอดแปลกใจไม่ได้ ที่จูเลียนไม่ออเซาะเอาอกเอาใจกวีหนุ่มเหมือนเคย ทั้งที่ยังทำตัวติดกันไม่ห่างฉันท์คู่รัก สายตาคนนอกอย่างนางมองเห็นอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป



หลังจูเลียนลุกออกไปจากตรงนั้นไม่นาน กวีหนุ่มก็ลุกขึ้นบ้าง โดยไม่สนใจหันมาบอกกล่าวหญิงสาวที่นั่งอยู่อีกฟากโต๊ะ เหมือนเขาไม่สนใจใคร เพราะสายตาเอาแต่จ้องมองไปยังจุดที่หญิงสาวอีกคนนั่งอยู่ ทาร์เทียน่ามองตาม จนกวีหนุ่มเดินไปถึงเก้าอี้ที่อยู่เกือบท้ายโต๊ะติดเวทีละคร

เขาไปขอนางเต้นรำ



*/*/*/*/*/*/*/*



“ท่านจะอยู่เต้นรำในงานเลี้ยงก็ได้นะเซอร์ราเชล” จูเลียนทำลายความเงียบลงขณะที่เดินออกมาจากห้องจัดเลี้ยง โดยมีราเชลเดินตามมาเงียบ ๆ

“ข้าอยู่ในหน้าที่คงไม่เหมาะฝ่าบาท แต่ถ้าเป็นเลนนี่ก็ไม่แน่ เพราะเขาอยู่ในเวลาพักพอดี ตอนนี้คงกำลังเต้นกับลูกสาวขุนนางสักคนในงาน”

“เซอร์เลนนี่ก็ชอบสนุกไปอย่างนั้น “หนึ่งนายเหนือหัวหนึ่งอัศวินเดินคุยกันไปเบา ๆ จนมาถึงสวนที่มีการดูแลจัดแต่งไว้อย่างวิจิตรสวยงาม ในสวนได้รับแสงสว่างจากคบเพลิงที่ติดไว้ตามจุดต่าง ๆ หิมะที่เคยปกคลุมจนขาวโพลนไปหมดไม่มีเหลือแล้ว เพราะมีคนสวนมาคอยกวาดออกจนไม่เหลือ ตอนนี้กำลังจะพ้นฤดูหนาว ให้ออสเซนเทียได้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ กระนั้นอากาศก็ยังเย็นอยู่มาก



จูเลียนทอดสายตาผ่านต้นไม้ดอกไม้ยามค่ำ มองไปยังน้ำพุที่พวยพุ่งขึ้นมาเป็นสาย ด้วยการออกแบบของนายช่างฝีมือดี ที่นำกลไกบางอย่างมาใช้ในการผันน้ำ ทำให้เกิดแรงดันมากพอจนน้ำพวยพุ่งขึ้นฟ้า เลียนแบบน้ำพุธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน เป็นจุดเด่นของสวนแห่งนี้ที่จูเลียนโปรดปรานนัก จนสั่งให้นำไปสร้างไว้ที่ปราสาทเอวาเลียนอีกแห่งหนึ่ง ที่นั่นจูเลียนตั้งใจจะไปใช้ชีวิตยามบั้นปลาย

“เซอร์ราเชล ท่านเคย..” จูเลียนหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ด้วยว่าไม่รู้จะพูดคำไหนออกมาดี จึงจะเป็นคำพูดที่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ได้อย่างถูกต้อง ใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด

“เคยอะไรหรือฝ่าบาท” จูเลียนยังไม่ตอบออกมาในทันที กษัตริย์หนุ่มน้อยเงียบไป ดวงเนตรสีมรกตสวยมองไปยังสายน้ำที่พวงพุ่งขึ้นฟ้า เป็นครู่จึงถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ก่อนจะตอบไม่ตรงคำถาม

“ข้ารู้สึกอึดอัดจัง”

“อึดอัดเรื่องอะไรละฝ่าบาท”

“นั่นสิ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ราเชลอยากอุทานออกมาดัง ๆ ว่า “อ้าว! ” แต่ก็ได้เพียงแค่คิด ขณะที่สายตาคมของอัศวินหนุ่มจับอยู่กับพักตร์นวลของนายเหนือหัว ที่เต็มไปด้วยความสับสนไม่แน่ใจ เหมือนคนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามอะไรจูเลียนสักคำ พลันหางตาก็จับบางสิ่งบางอย่างผิดสังเกตได้ ราเชลพึมพำทำเสียงบางอย่างคล้ายเสียงแมลงกลางคืนผ่านริมฝีปาก ปรับสีหน้าให้เป็นปรกติ เดินเข้าประกบข้างจูเลียน

“มีอะไรหรือ” จูเลียนรู้สถานการณ์ดีกระซิบถาม

“ข้าเห็นเหมือนมีใครกำลังจับตาดูอยู่”

“เซอร์เดรทิชที่ตามเรามาหรือเปล่า”

“เดรทิชอยู่ในสวนทางซ้ายเราฝ่าบาท แต่คนที่ตามอยู่ข้างหลัง ระวังด้วย ตอนนี้เดรทิชคงอ้อมไปข้างหลังแล้ว”

“ทำเป็นไม่รู้ตัวไปก่อน” จูเลียนไม่ได้มีท่าทางตื่นตระหนกเลย เมื่อรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ใบหน้าหนุ่มน้อยยังคงเรียบเฉย เดินคุยไปกับราเชลเป็นปกติ จนผ่านไปเป็นครู่เดรทิชจึงเดินเข้ามาหา

“ว่าไงเซอร์เดรทิช”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีฝ่าบาท ทหารเดินเวรยามปกติ” เดรทิชตอบคำถามด้วยสีหน้านิ่งขรึมในแบบของเขา

“นั่นสินะ ข้าก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ”

“ฝ่าบาทน่าจะเข้าไปที่งานเลี้ยงได้แล้ว” ราเชลไม่ลืมเตือนในสิ่งที่จูเลียนควรทำ เพราะการอยู่ข้างนอกนานเกินไป แม้จะมีการอารักขาเป็นอย่างดี แต่อากาศที่ยังหนาวเย็นอยู่มาก กับเสื้อคลุมธรรมดาไม่ใช่เสื้อคลุมสำหรับกันหนาว ก็ทำให้เกิดความเจ็บไข้ที่อัศวินไม่อาจปกป้องได้เช่นกัน

ต่อ...
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 24 เชลย 100% 24/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AlittleStarWr ที่ 24-02-2019 21:36:11



“แต่ข้า...เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปเต้นรำกันดีกว่า” แล้วหนึ่งกษัตริย์กับสองอัศวินประจำตัว ก็เดินกลับเข้ามายังโถงกว้างภายในปราสาทที่ใช้จัดงานเลี้ยง ทันได้เห็นเฮนริชผู้เงียบขรึม กำลังยื้อยุดกับเด็กน้อยลีโอของเหล่าอัศวิน พาเข้าไปยังฟลอร์เต้นรำ

“ไม่เอานะเซอร์เฮนริชปล่อยข้า” ลีโอพยายามแกะมือใหญ่ที่เกาะกุมข้อมือเล็กไว้แน่นออก แต่เหมือนว่ามันจะไม่เป็นผลอะไรเลย เพราะเรี่ยวแรงที่แตกต่างกันลิบลับ แกะอย่างไรมือใหญ่ก็ไม่ขยับ หนำซ้ำยังถูกลากเข้ามาอยู่ท่ามกลางคู่เต้นรำมากมาย ที่กำลังเต้นกันอย่างสนุกสนาน “เซอร์เฮนริชปล่อยข้าได้แล้ว”

“เจ้าอยากเต้นรำไม่ใช่หรือ” เฮนริชบอกพลางกระชากข้อมือลีโอเข้าหาตัวเพียงเบา ๆ แต่ร่างเล็กจ้อยก็ถลาเข้ามาราวกับถูกลมพายุพัด ท่าทางแปลกไปของลีโอน้อยอยู่ในสายตาสังเกตของอัศวินหนุ่ม ทั้งการเดินและน้ำเสียงที่ไม่เหมือนเดิม



เพราะเห็นเฮนริชยืนเหม่อ สายตามองไปยังกลางฟลอร์เต้นรำอยู่นานสองนาน ลีโอรู้ว่าอัศวินหนุ่มกำลังจ้องมองใคร อยู่ดี ๆ ก็นึกขัดใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น เลยเผลอพูดสิ่งไม่เหมาะสมให้อัศวินหนุ่มระคายหู ลีโอได้แต่นึกก่นด่าตัวเองในใจ



“ไม่มีสาวไหนชวนเต้นรำหรือไง ท่านถึงได้ยืนมองตาละห้อยอย่างนี้ ข้าว่าท่านไม่เป็นที่หมายตาของสาว ๆ หรอกเซอร์เฮนริช” เพียงเท่านั้น สายตาคมที่ตวัดมองก็เล่นเอาลีโอแทบสะดุ้งโหยง และยังไม่ทันได้กล่าวคำขอโทษ ที่กล้าหาญชาญชัยพูดอะไรไม่คิด ข้อมือเล็กก็ถูกคว้าไว้แน่น ลีโอถูกคนตัวโตกว่าลากออกมายังฟลอร์เพื่อเต้นรำ

“เซอร์เฮนริช ไม่นะ ข้าไม่เต้นรำนะ”

“ข้าก็นึกว่าเจ้าอยากเต้นรำกับข้าเสียอีก”

“ข้าขอโทษ ลีโอขอโทษที่พูดไม่ดี ลีโอผิดไปแล้ว”

“ช่างเถอะ ยังไงก็ออกมาแล้ว มาเต้นกันสักเพลง” ลีโอแปลกใจไม่น้อย ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะเห็นอัศวินหนุ่มผู้นี้เต้นรำ จนลีโอคิดว่าเฮนริชนั้นเต้นรำไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าเป็นเรื่องรื่นเริง ต้องยกให้คนอารมณ์ดีขี้เล่นอย่างเลนนี่อันดับหนึ่ง อันดับรองลงมาคือราเชล เดรทิชก็สนุกบ้างเป็นบางครั้ง แต่เฮนริช ลีโอแทบจะไม่เคยเห็นเขาทำอะไรอย่างนี้มาก่อน วันนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่อัศวินหนุ่มจะมาเต้นรำกับลีโอ ที่เป็นเด็กน้อยในสายตาของเขาตลอดเวลา

“ข้า ข้าไม่เต้น เซอร์เฮนริชได้โปรดเถอะ ลีโอไม่อยากเต้นรำ” ปากบอกไม่เต้น แต่พอเฮนริชขยับเท้าพาก้าวไปตามจังหวะเพลง ลีโอจำต้องก้าวตาม เพราะนอกจากจะต้องรักษาจังหวะกับคู่เต้นของตัวเองแล้ว ยังต้องก้าวให้เข้ากับจังหวะของคู่อื่นด้วย หากลีโอยังยืนนิ่ง ก็อาจจะถูกคู่เต้นรำคู่อื่นที่ผ่านมาชนเอาได้ เลยกลายเป็นว่าปากปฏิเสธ แต่ขาต้องก้าวตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่ทรงตัวก็ยังแทบจะไม่อยู่ บางครั้งต้องทิ้งน้ำหนักลงกับอกกว้างของเฮนริชเพื่อช่วยพยุงตัวเอง

“เราเต้นออกไปแถวนอกหน่อยก็ได้ จะได้หลุดออกจากวงล้อมคนอื่น “เสียงของลีโออ้อแอ้และเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์ ทั้งที่เจ้าตัวพยายามแล้วที่จะพูดให้ชัดที่สุด

“เจ้าจะรีบไปไหนล่ะ ข้าก็นึกว่าเจ้าอยากเต้นรำเสียอีก”

“ข้าแค่ถามท่านต่างหาก ก็เห็นท่านยืนมองอยู่ตั้งนาน”

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบเต้นรำ”

“แล้วท่านพาข้ามาเต้นทำไมล่ะ พาข้าออกไปได้แล้วเซอร์เฮนริช” เสียงลีโอเริ่มพาล เพราะการที่ต้องเคลื่อนตัวไปรอบ ๆ ฟลอร์ว่าแย่แล้ว การต้องหมุนตัวยิ่งทำให้ลีโอรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ และเฮนริชรู้ดีว่าเด็กน้อยเป็นอะไร



ลีโอพยายามขืนตัวไว้



“เต้นเฉย ๆ เถอะน่า นี่เจ้าแอบดื่มมาใช่ไหม เมาหรือไง”

“ข้าเปล่า ลีโอเปล่านะ” แววตาเด็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าทำความผิด มันเผยออกมาอย่างไม่ปิดบังแม้จะปฏิเสธเสียงแข็ง นี่คงเป็นเหตุที่ทำให้ลีโอกล้าเอ่ยคำพูด ที่ในยามปกติไม่วันอ้าปากพูดอย่างนั้นออกมา

“เจ้าเมาแล้วแน่ ๆ ลีโอ”

“ไม่ได้เมาลีโอไม่ได้เมา ลีโอไม่ได้แอบดื่มเหล้า” แต่ก็ก้มหน้าหลบตา

“ข้าจับได้ขนาดนี้ยังปฏิเสธอีก เจ้าต้องถูกลงโทษ! ”

“ไม่นะลีโอไม่ได้ทำ ไม่ได้เมา ไม่ได้ดื่มเหล้าเลยจริง ๆ ” ยิ่งถูกจับได้ว่าเมายิ่งปฏิเสธ แต่ยิ่งปฏิเสธลีโอก็ยิ่งแสดงอาการออกมาให้เห็นชัดขึ้น ด้วยการหลับหูหลับตาเถียงเอาเป็นเอาตาย ใบหน้าเยาว์วัยที่งอง้ำแง่งอน บัดนี้แดงสุกปลั่งเกินธรรมชาติ

“เป็นเด็กเป็นเล็ก ริอ่านดื่มของมึนเมาหรือไง”

“ลีโอไม่เด็ก! ” ตาหรือก็จะปิดมันลงเดี๋ยวนี้เสียให้ได้ แต่ลีโอก็ยังพยายามปรือขึ้นยามเถียงไม่ลดละ

“หึ” ลีโอเถียงพลางขาก็ก้าวไปตามเสียงเพลงสะเปะสะปะ ตามการนำของเฮนริช จะถูกดุถูกว่าเรื่องอะไรไม่เคยเลยที่ลีโอจะโกรธจริงจัง นอกจากยามที่ถูกว่าเป็นเด็ก ลีโอมักจะค้านหัวชนฝาว่าตัวเองโตแล้ว แต่ในสายตาของทุกคนลีโอก็ยังเป็นเด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดูอยู่เช่นเดิม



เฮนริชพาลีโอเต้นรำวนมาจนถึงขอบฟลอร์ ก็พอดีเด็กน้อยสิ้นฤทธิ์หลับคอพับคออ่อน ทิ้งน้ำหนักของร่างเล็กจ้อยพิงอกอัศวินหนุ่มทั้งตัว

“เซอร์เฮนริช ลีโอเป็นอะไรไป” จูเลียนที่ยืนอยู่กับอัศวินอีกสามคนถามขึ้น เมื่อเห็นเฮนริชอุ้มลีโอเดินเข้ามาหาพร้อมสีหน้านิ่งขรึมเป็นปกติของเขา

“เมา”

จูเลียนอดขำไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นท่านรีบเอาลีโอไปเก็บเถอะ”

“ฝ่าบาท” เฮนริชก้มศีรษะทำความเคารพจูเลียนแล้วเดินออกไปจากงานเลี้ยง ในอ้อมแขนมีเด็กขี้เมาที่ตัวอ่อนปวกเปียกเป็นภาระให้เขาต้องอุ้มไปส่งถึงที่ เดินผ่านเลนนี่ยังถูกกำชับเสียงเข้มให้ดูแลดี ๆ แต่เฮนริชรู้ว่าเพื่อนกำลังขบขันเขา

“ฝ่าบาทจะเต้นรำหรือกลับไปพักผ่อน” เดรทิชเดินเข้ามากระซิบ แต่จูเลียนยังนิ่ง สายตาจับอยู่กับขนิษฐาแฝดที่กำลังเต้นรำอยู่กลางฟลอร์ กับชายหนุ่มร่างสูงที่จูเลียนไม่รู้จัก เพราะชายผู้นั้นซ่อนใบหน้าไว้ใต้หน้ากาก ทั้งที่งานนี้จูเลียนไม่ได้จัดแบบสวมหน้ากากด้วยซ้ำ เขาจึงเป็นคนเดียวในงานที่มีหน้ากากปิดบังหน้าตา จูเลียนเดาไม่ถูกว่าเป็นใคร แต่เห็นท่าทางของทาร์เทียน่าที่คุยไปเต้นไป และยิ้มไปด้วยอยู่ตลอด เลยคิดว่าคงเป็นใครสักคนที่นางคงรู้จักดี



จูเลียนละความสนจากแฝดน้อง กวาดตามองไปรอบฟลอร์เต้นรำ ทุกคนกำลังสนุกกับการได้ก้าวเดินไปรอบ ๆ ตามจังหวะของเพลงที่บรรเลง ใบหน้าของแต่ละคนแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข ไม่เว้นแม้กระทั่งกวีหนุ่มผู้เป็นคนรัก ที่กำลังเต้นอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่ง จูเลียนจำได้ว่านางคือลูกสาวของอดีตรัฐมนตรีผู้ถูกลอบสังหาร สีหน้าของนางยังคงความเศร้า ขณะที่กรอสเซ่ยังขยับปากคุยไปด้วยยิ้มไปด้วย จูเลียนนึกขัดใจกับภาพที่เห็น เลยหันหลังเดินออกจากงานทันที



“กลับ! ”

ความขัดใจฉายชัดขึ้นมาบนพักตร์นวลบึ้งตึง จูเลียนก้าวฉับ ๆ ตรงกลับปราสาท หงุดหงิดเกินกว่าจะพูดคุย อัศวินทั้งสามเดินตามไม่ห่าง จนถึงหน้าปราสาท เลนนี่กับราเชลจึงแยกกันออกเดินตรวจตรารอบ ๆ คนละทาง เหลือเดรทิชทำหน้าที่เดินไปส่งจูเลียนถึงห้องบรรทม

“เซอร์เดรทิช ท่าน..”

“ฝ่าบาทมีอะไรหรือ” เป็นอีกครั้งที่อัศวินหนุ่มได้เห็นเจ้านายตัวน้อยถอนหายใจ เขาเพียงยืนสบตานิ่ง รอให้จูเลียนพูดในสิ่งที่อยากพูด ดูจากสีหน้ารู้ว่านายเหนือหัวคงมีเรื่องหนักใจให้คิด แต่คงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย

พอจูเลียนยังเงียบ เดรทิชเลยเอียงหน้าแทนการบอกว่าเขารอฟังอยู่

“คือ..” เดรทิชพยักหน้าอีกครั้ง ถ้ามันช่วยให้จูเลียนมั่นใจจะพูดในสิ่งที่อยากพูดมากขึ้น เขาก็ยินดีจะทำแทนการเอ่ยปากถาม เพราะนั่นจะทำให้จูเลียนรู้สึกถูกกดดันมากเกินไป เลยพาลไม่กล้าพูดออกมา



...แต่จนแล้วจนรอดจูเลียนก็ยังอ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น



หลายวันมานี้เดรทิชสังเกตเห็น ว่าจูเลียนก็ทำท่าทางจะพูดอะไรบางอย่างทั้งกับเลนนี่และราเชลอยู่เหมือนกัน จะยกเว้นก็แต่เฮนริชผู้เงียบขรึมยิ่งกว่าใคร ที่เดรทิชไม่เห็นจูเลียนกระซิบกระซาบด้วยอย่างนี้



อัศวินหนุ่มยิ้มให้นายเหนือหัวอีกครั้งรอฟังอย่างอดทน ไม่เปล่งเสียงใด ๆ ออกมากดดัน ที่อาจจะทำให้จูเลียนเปลี่ยนใจ แต่พอเห็นจูเลียนถอนหายใจออกมาเบา ๆ เดรทิชเลยสร้างความมั่นใจให้ด้วยการเอ่ยคำสัญญา



“ข้าสาบานว่าจะไม่พูดเรื่องที่ฝ่าบาทกำลังจะพูดกับใคร”

“สัญญานะ”

“ด้วยเกียรติฝ่าบาท” ท่าทางลังเลของจูเลียนหายไปแทนด้วยรอยยิ้ม เหมือนเด็กที่ได้รับสัญญาว่าจะได้ของขวัญ

“เซอร์เดรทิชมีเหตุผลอะไร..มีเหตุผลอะไรที่คนเราจะคิดถึงกันได้บ้าง”

รอยยิ้มเอ็นดูเผยขึ้นมาบนใบหน้าคมคร้ามของอัศวินหนุ่ม แม้เดรทิชจะมีนิสัยเงียบขรึมอยู่ในอันดับสองรองจากเฮนริช แต่เขาก็ไม่ใช่ประเภทที่เข้าถึงยาก ความสุขุมกับท่าทางนิ่ง ๆ ดูน่าไว้ใจมากกว่า เมื่อจะพูดอะไรบางอย่างด้วย เขาดูพร้อมจะเข้าใจอะไรได้ง่าย ๆ ไม่เรื่องมาก

“มีเหตุผลมากมายที่คนเราจะคิดถึงกัน”

“จริงหรือ” จูเลียนตาโตท่าทางตื่นเต้น เหมือนเพิ่งได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดไม่ใช่เรื่องผิดแปลก แต่ก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ “แต่..ในเมื่อคิดถึงก็คือคิดถึง ทำไมต้องใช้เหตุผลด้วยล่ะ”

“นั่นสิ ข้าว่าฝ่าบาทต้องตอบคำถามนั้นให้ตัวเองแล้วล่ะ ถ้าฝ่าบาทจะคิดถึงใครสักคน ฝ่าบาทจะสนใจเหตุผลทำไม ถ้าใครคนนั้นควรค่ากับความคิดถึงของฝ่าบาท”

“เขาจะคู่ควรให้เราคิดถึงหรือเปล่านะ แล้ว..” จูเลียนเพียงพึมพำถามตัวเองเบา ๆ ยามหันหน้าไปอีกทาง เดรทิชได้ยินแต่เขาทำเป็นไม่สนใจเด็กน้อยขี้อายตรงหน้า ทั้งที่นั่นไม่ใช่จูเลียนที่มั่นใจในตัวเองมาตลอดเลย

“ฝ่าบาทมีอะไรจะถามข้าอีกหรือไม่”

“เอ่อ ไม่ ไม่มี”

“ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนเถอะ”

“อืม” จูเลียนหันหลังกำลังจะเดินเข้าห้องอยู่แล้ว “เดี๋ยว เซอร์เดรทิช”

“ฝ่าบาท” เดรทิชหันกลับมาก้มศีรษะให้จูเลียนยืนนิ่งรอฟัง

“ขอบใจท่านมาก” อัศวินหนุ่มเพียงยิ้มให้เจ้านายเหนือหัวแล้วเดินออกไปจากตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล เพราะคืนนี้เขารับหน้าที่เฝ้าเวรยาม นอกจากเฝ้าอยู่หน้าประตูก็คงแฝงตัวอยู่มุมใดมุมหนึ่ง ที่สามารถปรากฏตัวได้ทันทียามจูเลียนเรียกหา หรือมีเหตุเภทภัย



หลังจากได้คุยกับเดรทิช จูเลียนรู้สึกว่าอะไรบางอย่างที่ถ่วงอยู่ในใจมันคลายลง แต่ก็ใช่ว่าความรู้สึกจะดีขึ้นมาทันที เพราะมันยังปนอยู่กับความโกรธและความสับสน จูเลียนเพิ่งเข้าใจว่าการจะคิดถึงใครบางคน มันคงไม่ต้องใช้เหตุผลอะไรมากมาย คิดก็แค่คิด จะคิดถึงในฐานะอะไรก็ช่างมัน แม้จูเลียนคิดแล้วจะหงุดหงิดไปบ้าง แต่กระนั้นก็ยังอดคิดไม่ได้ พอห้ามความคิดตัวเองไม่ได้ เลยปล่อยใจคิดเสียให้พอ คิดแล้วก็โกรธอย่างไม่รู้สาเหตุ ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันคาดโทษ คนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกคิดถึงอยู่ทุกวัน



แสงสลัวภายในห้องมาจากเทียนไขที่จุดไว้ให้แค่พอมองเห็น เพราะความคุ้นชิน จูเลียนจึงสามารถทำอะไรต่อมิอะไรทุกอย่างได้โดยไม่ต้องจุดเทียนเพิ่ม กษัตริย์หนุ่มน้อยเดินไปยังบังตา ถอดชุดคลุมหนาหนักออกพาดไว้บนราว เหลือเพียงชุดชั้นในเนื้อผ้านุ่มบางเบา ที่เป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวสีขาวสะอาด พออยู่ในห้องนอนก็เหมือนจะง่วงขึ้นมาทันที จูเลียนเอามือปิดปากอย่างเคยชิน ขณะอ้าปากหาวยาว ๆ ตอนเดินไปที่เตียง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาขึ้นไปบนเตียงนุ่ม พลันร่างเพรียวระหงต้องหยุดชะงัก จูเลียนยืนนิ่งปากอ้าค้างตาจับอยู่กับเตียงนอนของตัวเอง



บนเตียงของจูเลียนดูเหมือนจะได้รับแสงสว่างกว่าทุกจุดภายในห้อง ด้วยเทียนไขเล่มใหญ่ที่ตั้งบนโต๊ะข้างเตียง และบนนั้นมีอะไรบางอย่างวางไว้ อะไรบางอย่างที่ทำให้ใจดวงน้อยเต้นแรง เพราะความเคยชินจูเลียนไม่ได้สนใจมันในคราแรก แต่สาเหตุที่ทำให้จูเลียนชะงักนิ่งยืนอ้าปากค้างอยู่แบบนั้น คืออะไรบางอย่างที่ปกคลุมไปด้วยขนนุ่มปุกปุย อะไรบางอย่างที่นอนขดเป็นก้อนเกือบกลืนไปกับผ้าห่มผืนหนา ถ้าเพียงแต่สีขาวราวหิมะของมัน จะไม่ตัดกับผ้าคลุมเตียงทอจากไหมสีฟ้าอ่อนปักลวดลายเดินดิ้นทอง

.....

.....

.....

“เจ้าหนู!! “



*/*/*/*/*/*/*/*/*/*

คิดถึงเจ้าหนู เจ้าหนูก็มา 

ปานนี้ กวางน้อยจะโดนปู้ยี่ปู้ยำ เอ้ย!!!

โดนทำโทษถึงไหนแล้วน้อ เจอกันตอนหน้าเด้อ
หัวข้อ: Re: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 24 เชลย 100% 24/2/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-10-2019 23:01:45
 :pig4:
 :katai2-1: