เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 24 เชลย 100% 24/2/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ [ตอนที่ 24 เชลย 100% 24/2/62]  (อ่าน 11908 ครั้ง)

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

:mew3: :mew3: :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:

♥ เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ ♥

 

♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦ ♥ ♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦

 

หนึ่งคนหัวใจรักอิสระ ไม่ยอมคุกเข่าก้มหัวให้ใคร

หนึ่งคน หยิบยื่นเสนอโอกาสให้ เพียงเพราะอยากเอาชนะ

วันที่มีโอกาสอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องเขาปฏิเสธ

วันที่ถูกปฏิเสธกลับอยากอยู่เคียงข้าง แม้จะอยู่ในฐานะต้อยต่ำเพียงใดก็ยอม

 
จูเลียนยกยิ้มสมใจ “ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไรดี เจ้าคนอวดดี”

ทุกคนเงียบ ฮานส์ไม่ตอบแต่สายตาที่มองกลับมาสบตากับจูเลียนนั้น เหมือนกำลังบอกอะไรบางอย่าง สายตาที่มีอำนาจในการสื่อความคิด บังคับจูเลียนให้จ้องมองลึกเข้าไปข้างใน จากระยะที่ยืนห่างกัน พอได้ประสานสายตาตรง ๆ อะไรบางอย่างที่มาพร้อมแววตาคู่นั้น สะกดให้จูเลียนมองนิ่ง จนความดุดันในดวงเนตรสีเขียวมรกตหายไป เหลือเพียงความสงสัยใคร่รู้จากสิ่งที่ได้เห็น ดวงตาสีดำมืดราวกับราตรีในคืนไร้แสงจันทร์สิ้นแสงดาว หลุบต่ำลงมองริมฝีปาก จูเลียนรู้ตัวแต่ยังยืนนิ่ง ครั้นพอทำตามเจ้าของร่างสูงด้วยการหลุบสายตาลงมองริมฝีปากอิ่มที่ล้อมไปด้วยหนวด เห็นลิ้นสีชมพูเกือบแดงแลบออกมาเลียจึงได้เข้าใจ

“เจ้า! “ ยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้ารกเคราของชายพเนจร ยิ่งจูเลียนเกรี้ยวกราดหงุดหงิดมากเท่าไหร่ฮานส์ยิ่งสนุก สนุกทั้งที่ยังมีคมดาบจ่อคอหอยอย่างหมิ่นเหม่

ฮานส์กำลังเย้ยหยันว่าเคยฉวยโอกาสจูบจูเลียน!

 

 

♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣

 

จูลีเดียส เฟรเดอริก ออสติน (จูเลียน) ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทียผู้หลงใหลในบทกวีและความงดงามของการละคร จิตใจของเขาอ่อนโยนและอ่อนไหว ในขณะที่บ้านเมืองกำลังต้องการผู้นำที่แข็งแกร่ง ยุวกษัตริย์วัยเพียง 19 ชันษากลับทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการรังสรรค์ปราสาทราชวังอันวิจิตรสวยงาม ตามอย่างที่กวีผู้เป็นคนรักของพระองค์ได้บรรยายเอาไว้เป็นฉากในบทละคร จากความหลงใหลกลายเป็นความคลั่งไคล้ ที่ทำให้หลายฝ่ายไม่เห็นด้วย ความหลงใหลของจูเลียนนำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างรุนแรง และการลอบปลงพระชนม์!

 

โรฮานส์ อัลเลน วัลเดอราส (ฮานส์) หนุ่มรักอิสระผู้หลงใหลในการเดินทาง เพื่อท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ วันหนึ่งเขานึกอยากเข้าเมืองหลวง ที่นั่นมีการประลองการต่อสู้บนหลังม้าประจำปี และมีเหตุให้เขาต้องเข้าร่วมประลอง เมื่อคืนแรกที่มาถึงเขาแพ้พนัน จึงต้องตกปากรับคำเพื่อนรัก ฝ่ายนั้นต้องการให้เขาเข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้เข้าประลองฝีมือ และด้วยฝีมืออันเหนือชั้นกว่าผู้เข้าประลองทุกคน ทำให้เขาชนะการประลองได้ชัยมา และชัยชนะครั้งนั้นได้กระชากเอาหัวใจที่อิสรเสรีของเขาไปตลอดกาล!

 

** เหตุการณ์ทั้งหมดในนิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องสมมุติขึ้นตามความฝันเฟื่องของผู้เขียนเอง ไม่ได้อิงประวัติศาสตร์ยุคไหนสมัยใด สรรพสิ่งและชื่อของสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ พืช คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ เป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นเพื่ออรรถรสของนิยาย เพราะนี่คือโลกของนิยายเรื่องนี้เท่านั้น และนิยายเรื่องนี้ตัวเอกเป็นกษัตริย์เป็นเจ้าหญิงเจ้าชาย แต่จะไม่เน้นราชาศัพท์ โดยจะมีคำราชาศัพท์ในเนื้อเรื่องบ้างตามความเหมาะสมและอรรถรสเท่านั้น

นิยายเรื่องอื่นขอ ดาว ณ แดนดิน
ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก






 :katai4: :katai5:

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-02-2019 21:34:24 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 1 ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย


“เมื่อไหร่จะถึงสักทีนะ ข้าเบื่อรถม้านี่เต็มทีแล้วลีโอ”

“เซอร์เฮนริชบอกว่าเราจะถึงเมืองหลวงก่อนตะวันตกดินฝ่าบาท หากไม่อยากนั่งอยู่ในนี้ทำไมฝ่าบาทไม่ออกไปทรงม้ากับเซอร์เลนนี่ล่ะ” ลีโอเด็กรับใช้ใกล้ชิดตอบเบา ๆ แม้ว่าคนชวนคุยจะไม่ได้หันหน้ามาสนใจคู่สนทนาอย่างเขาเลยก็ตาม

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบขี่ม้า”

“ลีโอรู้ว่าฝ่าบาทไม่โปรดการเดินทางไกล”

“รู้ดีมากไปแล้วนะลีโอ” เนตรสีมรกตสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของลีโอ เมื่อผู้เป็นนายหันกลับมาคุยด้วย ลีโอเห็นถึงความเบื่อหน่าย ที่เผยออกมาทางตาสวยคู่นั้น วงหน้าเรียวล้อมกรอบด้วยผมเส้นเล็กสีน้ำตาลอ่อนราวเส้นไหม ส่วนประกอบต่าง ๆ เข้ากันได้อย่างลงตัว ตั้งแต่คิ้วโก่งได้รูปรับกับดวงตาสีเขียวสุกใสปานลูกแก้ว สันจมูกโด่งเชิดไปจนถึงริมฝีปากอวบอิ่มรูปกระจับ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเหมือนมีรอยยิ้มบาง ๆ อยู่เสมอ กระทั่งในยามไม่สบอารมณ์ ยามแย้มยิ้มเผยให้เห็นฟันซี่เล็กเรียงตัวเป็นระเบียบ องค์ประกอบโดยรวมทั้งหมด ส่งให้สิริโฉมเจ้าเหนือหัวของลีโอน่าหลงใหล จนมองเพลินไม่มีเบื่อ

“ถึงไม่โปรดแต่ฝ่าบาทก็เลี่ยงไม่ได้” สีหน้าเห็นใจของลีโอ ทำให้ผู้เป็นนายหันออกไปมองนอกรถม้า เพราะเลี่ยงภารกิจเหล่านี้ไม่ได้ ถึงได้มานั่งบ่นอยู่ตรงนี้กับลีโอผู้น่าเบื่อ

“เราไม่ชอบล่าสัตว์ คอยดูนะกลับไปเราจะสั่งให้สภากับรัฐมนตรียกเลิกประเพณีบ้า ๆ พวกนี้ให้หมด”

“แล้วมันจะเหลืออะไรให้ชาวออสเซนเทียได้มีความบันเทิง และตื่นเต้นล่ะฝ่าบาท”

“มีเรื่องราวมากมายที่ทำให้เราตื่นเต้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องออกมาล่าสัตว์คร่าชีวิตเขาแบบนี้นะลีโอ”

“แต่มันเป็นประเพณีของเรามาแต่โบราณฝ่าบาทจะยกเลิกได้อย่างไร”

“เราไม่ชอบเราก็จะสั่งยกเลิกให้หมด รวมทั้งการประลองบนหลังม้าประจำปีที่จะถึงนี้ด้วย”

“แต่นั่นมันเป็นงานประจำปี ที่ชาวออสเซนเทียทุกคนต่างเฝ้ารอนะฝ่าบาท ถ้าทรงยกเลิกลีโอเกรงว่า..”

“เจ้าไม่ต้องเกรงอะไรหรอกลีโอ เราไม่ชอบที่ต้องไปนั่งดูคนฆ่ากัน งานอะไรที่มันรุนแรงเราจะสั่งยกเลิกให้หมดเลยคอยดูสิ” ผู้มีศักดิ์เหนือกว่าบอกอย่างเอาแต่ใจ ด้วยว่าตัวเขานั้นไม่ชอบเรื่องการต่อสู้รบราฆ่าฟัน หรือแม้กระทั่งเรื่องการเมือง คนผู้นี้ไม่ชอบอะไรสักอย่าง นอกจากบทกวีและการละครชวนฝัน

“แล้วฝ่าบาทจะให้ชาวเมืองทำอะไรกันล่ะ การประลองเป็นความบันเทิงหนึ่งเดียวที่มีแค่ปีละครั้งเองนะฝ่าบาท”

“ก็เปลี่ยนไปทำอย่าอื่นสิ เดี๋ยวเราจะสั่งให้สร้างโรงละครไว้กลางเมือง เท่านี้ชาวเมืองก็มีสิ่งบันเทิงเริงใจแล้ว” ลีโอได้แต่เงียบ ไม่รู้จะยกเหตุผลอันใดมากล่าวอ้างต่อ จูลีเดียส เฟรเดอริค ออสติน หรือ จูเลียน ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทียผู้เย่อหยิ่งเอาแต่ใจ จูเลียนไม่ชื่นชอบในประเพณีเก่าแก่ที่กล่าวมานี้ ไม่ชอบจนถึงขั้นเกลียด สิ่งที่ลีโอทำได้ตอนนี้คือนั่งรอรับคำสั่งเงียบ ๆ และคอยพูดคุยตอบคำถามบ้าง

จูเลียนหยุดการสนทนากับลีโอเอาไว้เพียงเท่านั้น กษัตริย์หนุ่มน้อยวัย 19 ชันษา ผินพักตร์นวลมองออกไปดูสภาพความหนาวเย็นข้างนอกผ่านหน้าต่างรถม้า แม้ยังไม่มีหิมะตกลงมา แต่บรรยากาศก็เริ่มหนาวเย็นขึ้นมาก จนไม่คิดอยากออกไปขี่ม้าเล่นกินลม

“ข้างนอกนั่นคงหนาวน่าดูเลยนะ” จูเลียนก็เปรยขึ้นเบา ๆ แนบแก้มนวลแดงระเรื่อเพราะความเย็นเข้ากับขอบหน้าต่าง มันอำพรางสายตาจากภายนอกด้วยลูกกรงไม้ซี่เล็ก ที่เหลือช่องให้พอส่องออกไปข้างนอกได้ หนุ่มน้อยสูงศักดิ์มักทำเป็นประจำยามเดินทางไกล เพื่อฆ่าเวลาและบรรเทาความเบื่อหน่าย

ข้างทางเลียบเขาที่ขบวนเสด็จของจูเลียนกำลังเคลื่อนผ่าน ฝั่งหนึ่งเป็นป่าสนมีไม้ใบสีแดงสีเหลืองขึ้นแซมเป็นระยะ ส่วนฝั่งที่กษัตริย์หนุ่มน้อยนั่งมองออกไป เป็นทุ่งหญ้าบนเนินสูงต่ำสลับกัน ภาพทุ่งหญ้าถูกแต่งเติมความสวยงามตระการตาของดอกไม้ดอกหญ้าหลากสีสันจนมองเพลิน

“ถ้ากรอสเซ่ได้มาเห็น เจ้าคิดว่าเขาจะแต่งเป็นบทกวีออกมายังไงลีโอ”

“กระหม่อมเป็นเพียงเด็กรับใช้ของพระองค์ คงเดาใจกวีไม่ถูกหรอกฝ่าบาท”

“นั่นสินะ เจ้าเป็นแค่เด็กรับใช้คงไม่เข้าใจความงดงามของบทกวีหรอก ข้าอยากให้กรอสเซ่มาด้วยจัง เจ้าว่าเขากำลังคิดถึงข้าอยู่ไหมลีโอ”

“แน่นอนฝ่าบาท” จูเลียนพอใจและปลาบปลื้ม ขยับตัวจัดเสื้อคลุมกระชับให้เข้าที่ หันไปมองเด็กรับใช้ประจำตัว ถึงท่าทางของลีโอจะไม่ได้ดูประจบประแจงอย่าพวกคนชอบเสแสร้งทำ แต่ก็เลือกคำตอบได้ถูกใจจูเลียนที่สุด เพราะในเวลาที่น่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ ลีโอเองก็ไม่อยากขัดใจเจ้านายให้มันน่าเบื่อกว่าที่เป็น ถึงในใจลีโอจะไม่ค่อยชอบกวีผู้นั้นเท่าไหร่นัก

“ข้าคิดถึงเขาจังลีโอ” น้ำเสียงของจูเลียนอ่อนโยนเมื่อเอ่ยถึงกวีหนุ่มผู้เป็นคนรัก นัยน์ตาสีเขียวมรกตดูหวานซึ้งชวนฝัน แต่จูเลียนก็อยู่ในห้วงความรู้สึกถวิลหาได้ไม่นาน เมื่อลีโอเผลอเอ่ยคำที่ขัดใจจนได้

“ฝ่าบาทอย่าทรงลืมว่ามีคู่หมาย...”

“ไม่ต้องย้ำ! ข้าไม่สนใจอนาสตาเซียหรอก ข้าจะรักเพียงกรอสเซ่คนเดียวเท่านั้น” จูเลียนตวาดอย่างขัดใจ เมื่อเด็กรับใช้รุ่นราวคราวเดียวกัน กล้าเอื้อนเอ่ยถึงสิ่งไม่อยากได้ยิน พักตร์นวลบึ้งตึงเพราะคำพูดไม่เข้าหู ขัดใจจนไม่อยากเสวนาด้วย

โครม!

แต่ขณะที่จูเลียนกำลังเหม่อลอยคิดถึงคนรัก เกิดเสียงดันสนั่นขึ้น รถม้าเสียหลักเพราะแรงกระแทก คนที่นั่งเหม่อไม่ทันตั้งตัวจึงถูกแรงเหวี่ยงจนร่างกระเด็นไปอีกมุม

ปกป้องกษัตริย์!

ปกป้องกษัตริย์!

“เกิดอะไรขึ้นลีโอ” จูเลียนถามเสียงร้อนรนขณะตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง ยิ่งได้ยินเสียงตะโกนโวยวายดังมาจากข้างนอก ยิ่งทำให้กษัตริย์หนุ่มน้อยตื่นตระหนก

“ลีโอก็ไม่รู้ฝ่าบาท ระวังพระองค์ด้วย” แต่คนที่ตระหนกมากกว่าจนตัวสั่นคือลีโอ ที่ขยับเข้าไปบังร่างเจ้านายหันหน้าออกไปทางประตูรถม้า ชักดาบออกมาจากฝักด้วยมือสั่นเทาจนแทบควบคุมไม่ได้ ลีโอยกดาบปลายแหลมด้ามเล็กเหมาะกับตัวเองขึ้นป้องกันภัย ถึงจะสั่นกลัวแค่ไหน หากมีผู้บุกรุกเข้ามาลีโอจะสู้ถวายชีวิต

ปัง!

“ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง” ประตูรถม้าถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง ร่างสูงใหญ่ของอัศวินประจำตัวแทรกเข้ามาพร้อมคำถาม

“เซอร์เฮนริชเกิดอะไรขึ้น”

“เราถูกโจมตี ฝ่าบาทลงมาก่อน” เฮนริชบอกแล้วหันไปต่อสู้กับศัตรูหลายคนที่ตามมา มีทหารของเขาช่วยด้วย จัดการเสร็จหันกลับมาก็พอดีกับจูเลียนกระโดดมาที่ประตูรถ ไม่ลืมคว้าข้อมือของลีโอมาด้วย พอลงจากรถม้าลีโอได้เห็นการต่อสู้จริง ๆ ก็ยิ่งตกใจ เพราะขบวนเสด็จของจูเลียนถูกโจมตีอย่างหนัก โดยเฉพาะรถม้าพระที่นั่งที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด

“เฮนริช!”

“เลนนี่ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”

“พวกมันมีราวห้าสิบคน เดรทิชกับราเชลจัดการได้”

“ข้างหลัง” เลนนี่หันกลับต่อสู้อย่างคล่องแคล่ว ด้วยฝีมืออันฉกาจที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จึงสามารถจัดการกับศัตรูได้อย่างรวดเร็ว

“เจ้าพาฝ่าบาทหลบไปก่อน ข้าจะไปช่วยพวกนั้นเอง” เฮนริชบอก

“ฝ่าบาทเชิญเสด็จ” เลนนี่ไม่รอช้ารีบพาจูเลียนและลีโอหลบไปอีกทาง โดยมีเฮนริชและทหารติดตามคอยสกัดกั้นไม่ให้ศัตรูตามไปได้ ทั้งสองเป็นอัศวินประจำตัวของจูเลียน จากทั้งหมดที่มีสี่คน อีกสองคือ เดรทิชกับราเชล แต่ละคนฝีไม้ลายมือล้วนเป็นหนึ่ง เพราะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี รูปร่างหรือก็สูงใหญ่ทะมัดทะแมงเต็มไปด้วยพละกำลัง สมกับเป็นอัศวินผู้พิทักษ์ปกป้อง

“ทางนี้ฝ่าบาท มาเร็วลีโอ” เลนนี่ดึงแขนจูเลียนพาวิ่งไปทางหน้าขบวน ม้าหลายตัวหันรีหันขวางเพราะตกใจ อัศวินหนุ่มคว้าบังเหียนม้ามาให้นายเหนือหัว ที่กระโดดขึ้นหลังมันและควบออกไปทันที เลนนี่ขึ้นม้าอีกตัวตามไปติด ๆ และลีโอที่แม้จะตกใจแต่ก็ควบคุมตัวเองได้แล้ว ม้าที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีทะยานไปด้วยความเร็ว จูเลียนแม้ไม่ชอบการขี่ม้า แต่ก็ต้องฝึกให้ชำนาญ เพราะม้าเป็นพาหนะหนึ่งเดียวที่มีความจำเป็นที่สุด จึงถูกบังคับให้ฝึกขี่มันตั้งแต่เริ่มจำความได้

“เร็วลีโอ” จูเลียนหันไปเร่งลีโอที่รั้งท้ายห่างออกไป

“ฝ่าบาทล่วงหน้าไปกับเซอร์เลนนี่ก่อนเลยไม่ต้องห่วงข้า”

“ตามให้ทันนะ” เพราะที่มาด้วยกันคนขี่ม้าได้แย่ที่สุดคือลีโอ จูเลียนจึงอดหันกลับไปดูไม่ได้ ตะโกนกำชับมั่นใจว่าคนรับใช้จะตามมาทัน จึงหันกลับมาเร่งควบม้าให้เร็วขึ้น แต่พอพ้นโค้งมาเท่านั้นแหละ

ต่อ....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-10-2018 18:05:05 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
ต่อค่ะ....

“ฝ่าบาทระวัง!! ” ลีโอตะโกนบอกสุดเสียง

“เฮ้ย!”

“ฝ่าบาท!” เลนนี่ควบม้าตีคู่ทัน จึงกระโดดจากม้าตัวเองรวบร่างจูเลียน รั้งให้ลงจากหลังม้าที่กำลังควบทะยานไปหาคมดาบ อาชาทรงตัวใหญ่พ่วงพีมีอันต้องเสียหลัก เพราะคมดาบของคนบนหลังม้าอีกตัวที่ขี่มาดักทาง ฟันลงที่คอของมันพอดี

“โอ๊ย!”

“ฝ่าบาทเจ็บตรงไหน!”

“ไม่ เราไม่เป็นไรท่านล่ะ”

“อึก”

“เซอร์เลนนี่ท่านเจ็บตรงไหน!” แน่นอนว่าจูเลียนไม่เป็นอะไรเลย เพราะมีร่างหนาของเลนนี่รองรับเอาไว้

“ข้าไม่เป็นไรฝ่าบาท” เลนนี่บอกพยายามลุกขึ้น รู้สึกเจ็บแปลบข้อเท้าแต่ยังพอทน เพราะส่วนที่เจ็บกว่าคือหัวไหล่ข้างซ้าย ที่รับแรงกระแทกโดยตรง ยังดีที่ไม่ใช่ข้างขวา เพราะนั่นจะทำให้เขาไม่สามารถถือดาบต่อสู้ได้

“ฝ่าบาทเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ข้าไม่เป็นไร”

“ลีโอพาฝ่าบาทหนีไป ข้าจะต้านพวกมันเอาไว้เอง”

“ฝ่าบาททางนี้”

“เลนนี่ไปด้วยกัน”

“รีบไป” เลนนี่บอกได้เท่านั้น เพราะศัตรูกำลังบังคับม้าเดินเข้าหา คมดาบที่พวกมันชูขึ้นต้องแสงอาทิตย์วาววับน่ากลัว แต่อัศวินผู้สูงเกียรติหาได้หวั่นเกรง เขาจะสู้จนตัวตายปกป้องนายเหนือหัว ที่สาบานตนจะรับใช้จนกว่าชีวิตจะหาไม่

อัศวินหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง กัดฟันข่มความเจ็บแปลบที่หัวไหล่ ดาบคู่ใจถูกยกขึ้นในท่าเตรียมพร้อม เมื่อศัตรูขี่ม้าดาหน้าเข้าหา เขาตวัดคมดาบเข้าฟาดฟัน แม้ร่างกายจะไม่สมบูรณ์เต็มที่ เลนนี่ก็ต่อสู้ด้วยศักดิ์ศรี ตัดกำลังและความได้เปรียบของศัตรูบนหลังม้า ให้ลงมาต่อสู้บนดินอย่างเท่าเทียม เขาฆ่าศัตรูตายไปไม่น้อย แต่เพราะได้รับบาดเจ็บมาก่อน และการจู่โจมพร้อมกันหลายทิศทาง อัศวินหนุ่มเสียหลักถูกฟันเข้าหน้าท้อง ถึงไม่ลึกมากแต่ก็ทำให้เสียเปรียบจนถูกถีบหงายหลัง หนึ่งในนั้นเดินเข้าหาอย่างใจเย็น เลนนี่สบตากับศัตรูนิ่งไม่มีแววหวาดหวั่น เมื่อมันเงื้อดาบขึ้นหวังจะฟาดฟันปลิดชีพให้ตาย

ฉับ!

ร่างที่กำลังเงื้อดาบขึ้นสูงชะงักนิ่ง เพราะถูกลูกธนูปักเข้ากลางอกตรงตำแหน่งหัวใจพอดี คนอื่นที่เหลือมองซ้ายมองขวา หาที่มาของลูกดอกปริศนา แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกโจมตี บุรุษลึกลับในชุดคลุมดำปิดบังใบหน้า ควบม้าเข้ามา ดาบในมือตวัดอย่างมีชั้นเชิง สำเร็จโทษพวกมันจนตายดับดิ้นทุกคน โดยไม่ทันได้เห็นว่าเขาออกมาจากทางไหนของป่า

“ขอบใจท่าน” อัศวินหนุ่มได้รับบาดเจ็บหนัก เห็นได้จากเลือดที่ไหลทะลักจากช่วงท้อง แต่กระนั้นก็ยังไม่ลืมขอบใจผู้ที่มาช่วยเหลือ

ชายในชุดดำบนหลังม้าเพียงนั่งนิ่งไม่ตอบคำ จากการประเมินด้วยสายตา คนผู้นี้เป็นชายร่างสูงใหญ่ไม่แพ้ตัวเขาเลย ภายใต้เสื้อคลุมหนานั่นคงเป็นร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำ ไม่ต้องพูดถึงฝีมือการต่อสู้ที่เล่นนี่ได้เห็นแล้ว ว่าคนผู้นี้มีฝีมือที่เหนือชั้นมากทีเดียว

ตุบ! ห่อผ้าสีดำถูกโยนลงตรงหน้าอัศวินหนุ่ม ก่อนบุรุษปริศนาจะควบม้าจากไปไม่พูดอะไรสักคำ

“เลนนี่!”

“ฝ่าบาทกลับมาทำไม ลีโอข้าบอกให้เจ้าพาฝ่าบาทหนีไปไง”

“ก็ฝ่าบาทจะกลับมาดูท่านให้ได้ ข้าหรือจะกล้าขัดเซอร์เลนนี่”

“ไม่ต้องเถียงกัน เจ้าเป็นยังไงบ้างแล้วพวกมัน”

“ข้าไม่เป็นไร พวกมันตายหมดแล้ว”

“เจ้าได้รับบาดเจ็บนี่ เลือดออกเต็มเลย ลีโอมาดูหน่อย”

“ฝ่าบาทข้าไม่เป็นไรมาก”

“เลือดออกขนาดนี้ยังจะว่าไม่เป็นไรอีก ลีโอช่วยเลนนี่ห้ามเลือดเร็ว พาเขาไปนั่งที่โคนต้นไม้นั่นก่อน” ทั้งสองช่วยกันพยุงเลนนี่เข้าไปนั่งใต้ต้นไม้ เพื่อให้ลีโอช่วยห้ามเลือดที่กำลังไหลทะลัก ก่อนที่เลนนี่จะเลือดออกหมดตัวตายไปเสียก่อน

“นี่ห่ออะไร” พอจูเลียนหยิบห่อผ้าสีดำขึ้นมา เลนนี่จึงเพิ่งนึกได้ สิ่งที่ใครคนนั้นทิ้งให้ก่อนไป

“ข้าก็ไม่รู้ฝ่าบาทเปิดดูที”

“ผ้าพันแผลสมุนไพรแห้ง นี่มันยาใส่แผลนี่ลีโอ” จูเลียนยื่นของที่อยู่ในมือให้ลีโอ เพราะความตกใจที่อัศวินฝีมือดีของตัวเองได้รับบาดเจ็บ จึงลืมถามไถ่ว่าของแบบนี้มาตกอยู่ตรงนี้พอดิบพอดีได้อย่างไร

ฟิ้ว

“เสียงอะไร”

“นั่นเดรทิช” จูเลียนบอกลีโอที่ทำหน้าตื่นเป็นกังวล เมื่อได้ยินเสียงแว่วดังเป็นจังหวะแปลก เหมือนเสียงนกป่าลอยมากับลม เป็นเสียงสัญญาณที่รู้กันเฉพาะระหว่างจูเลียนกับอัศวินทั้งสี่ โดยแต่ละคนจะมีเสียงเป็นของตัวเองแตกต่างกัน เพื่อจะได้แยกออกว่าใครเป็นใคร หากเป็นอัศวินทั้งสี่คนจะต้องตอบกลับด้วยเสียงของตัวเอง แต่หากเป็นจูเลียนจะตอบกลับด้วยเสียงของอัศวินคนที่ให้สัญญาณมา เพื่อให้รู้กันว่าใครเป็นใคร หากอยู่ในเวลาคับขันก็ใช้เพื่อให้สัญญาส่งหากันไม่ต้องเห็นตัว

เลนนี่ทำเสียงตอบกลับไป ไม่นานอัศวินของจูเลียนอีกสามคนก็ปรากฏตัว

“ฝ่าบาทปลอดภัยหรือไม่”

“เราปลอดภัยดี” จูเลียนตอบเฮนริช

“เซอร์เลนนี่ได้รับบาดเจ็บ” ลีโอรีบรายงาน ด้วยหวังว่าจะมีคนมารับช่วงทำแผลให้เลนนี่ต่อ จากคนไม่ชอบเลือดอย่างตัวเอง

“หึ สารรูปดูไม่จืดเลยนะ” ราเชลทักขึ้นเมื่อเห็นสภาพเลนนี่ ที่นอนถอดเสื้อเกราะเปลือยท่อนบนอวดกล้ามเนื้อเป็นมัด เอนหลังพิงต้นไม้อย่างหมดสภาพ ช่วงท้องมีแผลยาวที่เลือดหยุดไหลแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดแผล เฮนริชจึงเข้าไปรับช่วงต่อ เมื่อเห็นว่าลีโอท่าทางจะไม่ไหว จนทำแผลให้เลนนี่เสร็จเขาจึงบอก

“เราคงต้องขี่ม้าเข้าเมืองแล้วล่ะฝ่าบาท”

“แล้วคนของเราล่ะ”

“เราเสียคนไปไม่เยอะแต่รถม้าได้รับความเสียหายมาก กว่าจะซ่อมเสร็จก็คงเป็นพรุ่งนี้ซึ่งเรารอไม่ได้” เดรทิชรายงาน

“แล้วเขาล่ะ” พอลีโอถามจูเลียนจึงหันไปทางเลนนี่ที่ยังนั่งหมดสภาพอยู่ที่เดิม ทุกคนหันไปทางอัศวินหนุ่มเป็นตาเดียว

“ข้าไหว”

“ถ้าไหวก็เดินทางกันเลยเดี๋ยวข้าจะไปเอาม้ามา” ราเชลบอก

“ข้าไปด้วย”

“จะไปไหนไม่ต้องไปเกะกะเขา”

“ท่าน” ลีโอขัดใจเพราะกำลังจะวิ่งตามราเชลไปเอาม้า แต่ถูกเฮนริชรั้งเอาไว้ ด้วยการคว้าต้นคอแล้วกอดไว้ไม่ปล่อยจนต้องหันไปมองค้อน เดรทิชจึงตามไปแทน ไม่นานอัศวินทั้งสองก็กลับมาพร้อมม้าห้าตัว

“ทำไมท่านเอาม้ามาแค่ห้าตัวล่ะ” ลีโอตั้งคำถามอย่างสงสัยเพราะมีกันทั้งหมดหกคน

“เจ้าจะให้อัศวินบาดเจ็บอย่างเซอร์เลนนี่ควบม้าเข้าเมืองหลวงคนเดียวหรือไง”

“อัศวินบาดเจ็บอย่างข้าก็มีปัญญาขี่ม้าน่าราเชล” เลนนี่ที่ถูกสบประมาทจึงพิสูจน์ความแกร่งของตัวเอง ด้วยการกระโดดขึ้นม้าท่าทางคล่องแคล่ว เห็นอย่างนั้นคนอื่น ๆ จึงพากันขึ้นม้าบ้าง

“อ้าวแล้วข้าล่ะ” ลีโอมองคนนั้นทีคนนี้ที ท่าทางน่าสงสารเมื่อทุกคนทำท่าจะควบม้าจากไป “ฝ่าบาท” เมื่อไม่มีใครพูดอะไรจึงหันไปทางกษัตริย์ผู้เป็นนาย แต่จูเลียนเพียงยิ้มขำแล้วควบม้านำออกไปตามด้วยเลนนี่

“ท่านแล้วข้าล่ะ" ไม่มีใครตอบลีโอสักคน! "เซอร์เดรทิช เซอร์ราเชล" ลีโอหันไปหาราเชลกับเดรทิชที่ยืนม้าอยู่ข้างกัน อัศวินทั้งสองเพียงยิ้มให้แล้วควบม้าจากไป

“มานี่”

“เฮ้ย!” ร่างผอมของลีโอถูกรวบช่วงเอว ด้วยวงแขนแข็งแรงของอัศวินคนสุดท้ายที่รออยู่ เฮนริชรั้งให้ลีโอขึ้นมานั่งข้างหน้า แล้วควบม้าออกจากตรงนั้นทันที คนตัวผอมนั่งเกร็งในอ้อมแขนแข็งแกร่งของอัศวินร่างใหญ่ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ไม่กล้าแม้กระทั่งกระดิกตัวหรือหันไปประท้วง กลัวว่าปฏิเสธคงได้วิ่งกลับเมืองเองแน่

บนหน้าผาเหนือป่าโปร่ง ชายปริศนาในชุดดำทอดสายตาว่างเปล่ามองเหตุการณ์ จนคนกลุ่มนั้นขี่ม้าออกไปแล้ว จึงหันม้ากลับไปตามทางของตัวเอง

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑




ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 2 ชายพเนจร



“ข้าเหนื่อยจังเลยลีโอ”

“ฝ่าบาทพักสักครู่ก็ได้ เดี๋ยวข้าจะไปบอกสาวใช้เตรียมน้ำอุ่น ๆ ให้แล้วจะได้แต่งองค์”

“เจ้าจะให้ข้าอาบน้ำแต่งตัวไปไหนอีก”

“เย็นนี้มีงานเลี้ยงที่ฝ่าบาทให้จัดเตรียมละครโอเปร่าไว้ หรือว่าลืมไปแล้ว”

“ข้าชอบงานเลี้ยงนะละครก็ชอบ แต่ตอนนี้ข้าเหนื่อยลีโอสั่งยกเลิกไปเถอะ”

“ไม่ได้หรอกฝ่าบาท อย่าลืมสิว่าฝ่าบาทเชิญใครไว้บ้าง”

“ใครบ้างล่ะ ข้าลืมแล้วนี่” ลีโอแอบถอนหายใจเบา ๆ มันเบามากจนคิดว่าไม่ได้ทำอย่างนั้นด้วยซ้ำ แต่ใครจะกล้าทำออกมาตรง ๆ อย่างที่คิดกันล่ะ ในเมื่อคนที่ถอนหายใจให้นี้เป็นถึงเจ้าเหนือชีวิต

“ก็นอกจากพระญาติหลายคน ที่สำคัญก็คือทูตจากต่างประเทศยังไงล่ะฝ่าบาท”

“แค่นี้ข้ายกเลิกงานไม่ได้หรือไง ข้าไม่อยากไปแล้ว ข้าเหนื่อย ข้าต้องขี่ม้ามาทั้งวันเลยนะ”

“ไหนฝ่าบาทบอกว่าอยากอวดละครเรื่องโปรดกับแขกต่างเมือง ลีโอว่าฝ่าบาทคงไม่อยากให้ใครมองว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโตหรอกใช่ไหม”

“แต่เจ้าก็กำลังว่าเราเป็นเด็กไม่รู้จักโตอยู่นะลีโอ” พักตร์นวลบึ้งตึงไม่สบอารมณ์ เมื่อทิ้งร่างลงบนฟูกหอมกรุ่น เพราะเครื่องนอนทุกชิ้นถูกนำไปอบกับไม้หอม และดอกไม้นานาชนิดที่มีกลิ่นช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจนหลับสบาย หมอนนุ่มถูกดึงมารองไว้ใต้พักตร์เรียวงามเกินชาย หนุ่มน้อยสูงศักดิ์นอนคว่ำหน้าลงกับหมอน ด้วยท่าทางที่บ่งบอกถึงความเมื่อยล้าล้นเหลือ เหตุผลที่ต้องรีบกลับเมืองหลวงก่อนขบวนเดินทางขบวนใหญ่ เพราะมีงานเลี้ยงที่โปรดปรานรออยู่ แต่พอมาถึงกลับเหน็ดเหนื่อย จนความชอบส่วนตัวก็ยังถูกลดความสำคัญลง

“ข้าแค่เปรียบเทียบให้ฝ่าบาทเห็นภาพ” เป็นคราวที่จูเลียนต้องถอนหายใจบ้าง เพราะคงเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากตัวเองเป็นคนสั่งให้จัดงานนี้ขึ้น เชิญแขกมาร่วมงานมากมาย ซึ่งแขกจำนวนกว่าครึ่งถือเป็นแขกบ้านแขกเมือง ที่สำคัญไม่น้อย

พอลีโอถอยออกไปแล้ว จูเลียนจึงพลิกตัวกลับมานอนหงาย ตาสวยมองขึ้นไปยังม่านบังตาของแท่นบรรทม ที่ถูกรวบเก็บอย่างเป็นระเบียบ ผืนผ้าม่านสีน้ำตาลแดงเหลือบทอง ทอลวดลายสลับดิ้นทองด้วยฝีมือประณีตจากไหมเนื้อดี ประดับด้วยระบายด้วยลูกไม้ขลิบทองดูหรูหราเข้ากันทั้งชุด แต่ความสวยงามน่านอนของแท่นบรรทม ก็ยังไม่สามารถบรรเทาเรื่องราวในหัว ที่ขบวนเสด็จของกษัตริย์หนุ่มน้อยถูกลอบโจมตี!

“กรอสเซ่” เสียงกระซิบแผ่วผ่านริมฝีปากสวย เมื่อคิดถึงกวีหนุ่มชู้รัก ในหัวของยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย มีแค่กรอสเซ่ผู้เป็นเจ้าหัวใจ พอคิดถึงคนรักรอยยิ้มบางก็เผยออก ราวกับความเหน็ดเหนื่อยถูกปัดเป่าจนหายไปหมดในพริบตา

“ลีโอ” เสียงเรียกดังพอให้คนที่อยู่นอกห้องได้ยิน ไม่นานเจ้าของชื่อก็พาร่างผอมบางเข้ามาในห้องรอรับบัญชา

“ฝ่าบาทลีโอมาแล้ว”

“สั่งลงไปให้คนไปเชิญกรอสเซ่มา ข้าจะพากรอสเซ่ไปงานเลี้ยงด้วย เขาต้องแปลกใจแน่”

“ฝ่าบาทข้าเกรงว่า..”

“ข้าสั่งเจ้าอยู่นะลีโอ ยังจะต้องเกรงสิ่งใดอีก”

“เกรงว่าคงไม่เหมาะ” ลีโอบอกเสียงเบา เมื่อจูเลียนตวัดมองด้วยตาไม่พอใจ

“ทำไมจะไม่เหมาะ ข้าจะให้กรอสเซ่ไปในฐานะสหายคนสำคัญของข้า ให้คนไปเชิญเขามาเดี๋ยวนี้!”

“รับทราบแล้วฝ่าบาท” ใคร ๆ ในวังหลวงต่างรู้กันดี ว่าจูเลียนนั้นเอาแต่ใจมากแค่ไหน ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครขัดใจได้สักคน เพราะฐานันดรที่ติดตัว ถือกำเนิดมาพร้อมความสำคัญ ที่ข้าแผ่นดินทุกคนต้องถวายชีวิต ถูกสอนให้อยู่เหนือผู้คน ถูกสอนให้รู้จักการใช้อำนาจตั้งแต่จำความได้ จูเลียนได้รับการศึกษาเล่าเรียนอย่างดี สมกับเป็นผู้ที่จะมาปกครองอาณาจักร แต่กลับมุ่งความสนใจไปที่งานศิลปะและบทกวี ไม่มีฝ่ายไหนเห็นชอบ ด้วยว่าบทบาทที่จูเลียนถูกสวมให้ ต้องรับผิดชอบต่อความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฎร์ และมันหนักเกินไหล่เด็กหนุ่มอายุ 19 จะแบกได้

ภาพลักษณ์จูเลียนนั้นคือหนุ่มน้อยจิตใจอ่อนไหว ที่หลงใหลในบทกวีและการละครชวนฝัน แต่สำหรับทาร์เทียน่า พระขนิษฐาคู่แฝดที่เกิดหลังจูเลียนไม่กี่อึดใจ กลับเป็นสาวน้อยผู้เข้มแข็งเด็ดขาด ความเป็นผู้นำและฝีมือในการต่อสู้ที่หมั่นฝึกฝน ถือได้ว่าไม่เป็นที่สองรองใคร ขณะที่จูเลียนเพลิดเพลินกับนิยายและบทกวี ทาร์เทียน่าจะใช้เวลาไปกับการฝึกฝนการต่อสู้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นฟันดาบ ยิงธนู การต่อสู้ตัวต่อตัวในระยะประชิด นอกจากนั้นยังสนใจศึกษาด้านการเมืองการปกครอง การบริหาร เป็นความแตกต่างระหว่างคู่แฝด ราวกับพระเป็นเจ้าหยิบสมอง หัวใจและความรู้สึกนึกคิดใส่ผิดร่าง พระเป็นเจ้าให้ทาร์เทียน่ามีแต่ความเข้มแข็งและแกร่งเกินหญิง แต่จูเลียนกลับอ่อนไหวและอ่อนโยน แม้บางครั้งความอ่อนโยนจะถูกบดบังด้วยความเอาแต่ใจจนแทบมองไม่เห็น แต่นี่คือจุดที่ทำให้ใครต่อใครก็หลงรักจูเลียนได้ไม่ยาก

หลังจากให้กำเนิดคู่แฝดได้เพียงวันเดียวพระมารดาก็จากไป ด้วยอาการตกเลือดหลังคลอด กษัตริย์เฟรเดอริคพระบิดาแม้จะได้ลูกแฝดมาเชยชม แต่เมื่อต้องนั่งมองลมหายใจและพลังชีวิตของคนที่รักยิ่งค่อย ๆ อ่อนลงเรื่อย ๆ จนจากไปในที่สุด พระองค์ก็แทบจะขาดใจตายไปพร้อมกัน ความหมองเศร้าด้วยตรอมตรมในอก เกาะกินเฟรเดอริคอยู่หลายปี จนสุดท้ายวรกายก็รับไม่ไหว และจากไปก่อนวัยอันควรในที่สุด

หลังสิ้นพระบิดาจูเลียนจำต้องขึ้นครองราชย์ต่อด้วยวัยขณะนั้นเพียง 14 ปี แม้จะมีพี่ชายต่างมารดาอย่างนิโคลัส หรือ นิโคล แต่ด้วยชาติกำเนิดจากมารดาสามัญชนที่เป็นเพียงหญิงรับใช้ ทำให้เจ้าชายจูเลียนที่ถือกำเนิดจากราชินีมีสิทธิ์ในบัลลังก์ตั้งแต่แรกคลอด ในฐานะองค์รัชทายาทอันดับที่หนึ่ง รองลงมาคือเจ้าหญิงทาร์เทียน่า และเจ้าชายนิโคลัสเป็นลำดับสุดท้าย พี่น้องทั้งสามรักใคร่ปรองดอง แม้จูเลียนจะปล่อยปละภารกิจถึงขั้นที่เรียกได้ว่าละเลยต่อบ้านเมือง แต่ยังมีพี่ชายแสนดีอย่างนิโคลช่วยเหลือดูแล หรือจะพูดกันตามจริงก็คือ นิโคลคอยทำงานแทนจูเลียนแทบทุกอย่าง และคอยเคี่ยวเข็ญให้น้องหันมาสนใจหน้าที่ของตัวเองอยู่เสมอ

‘ข้ามขั้นตอนนี้ไปดูละครเลยได้ไหมนะ’ จูเลียนแอบคิดอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเดินเข้ามาภายในบริเวณงานเลี้ยง ที่มีบรรดาแขกเหรื่อยืนคอยต้อนรับกษัตริย์เป็นแถวยาว แล้วไหนยังจะต้องกล่าวคำทักทายทีละคนนั้นอีก แค่เห็นแถวที่ยาวเหยียดจูเลียนก็แทบจะวิ่งกลับปราสาทตัวเองไปเดี๋ยวนี้ หากไม่ติดที่ว่าอยากดูละครเรื่องโปรดและหิวจนแสบท้อง

“ถวายพระพรฝ่าบาท ทรงพระเจริญ” เสียงหวานดังขึ้นเมื่อจูเลียนเดินเข้ามาถึง แต่ที่ทำให้หนุ่มน้อยนึกขำก็ตรงแววตาซุกซนขี้เล่นของคนถวายพระพรให้เขานั่นต่างหาก

“นึกยังไงถึงมาล่ะเทียน่า ข้าคิดว่าเจ้าไม่ชอบงานเลี้ยงหรือการละครไม่ใช่หรือไง”

“เจ้าเชิญทั้งทีนี่จูเลียน ข้าจะพลาดได้ยังไงใช่ไหมท่านพี่” เจ้าหญิงทาร์เทียน่าขนิษฐาแฝดของจูเลียนหันไปถามนิโคล ซึ่งยืนรอต้อนรับอยู่ข้างกัน เจ้าของร่างสูงพี่ชายต่างมารดาทำเพียงยิ้มบางให้น้อง ๆ อย่างเอ็นดู เพราะสองคนนี้เจอกันเมื่อไหร่ ก็ไม่วายมีเรื่องให้พูดกระทบกันเป็นที่หอมปากหอมคอ ทั้งที่จริงแล้วสายสัมพันธ์พี่น้องนั้นรักและห่วงใยกันเหนียวแน่น

หลังจากนั้น กษัตริย์หนุ่มน้อยก็ได้ยินประโยคถวายพระพรดังขึ้นอีกหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน และจูเลียนไม่สนใจมันเลยด้วยซ้ำ บางคนก็ถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบด้วย แต่ไม่มีใครถามถึงเหตุการณ์โจมตีขบวนเสด็จวันนี้สักคน ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะข่าวถูกปิดให้เงียบที่สุด และถึงแม้จะรู้แต่ก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากถามออกมาตรง ๆ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องรักษาท่าที ขืนพูดอะไรไม่ระวังออกไปอาจตกเป็นผู้ต้องสงสัยเอาได้ง่าย ๆ

“ถวายพระพรฝ่าบาท หวังว่าพระองค์จะทรงสำราญกับประเพณีล่าสัตว์ที่ผ่านมา ว่าแต่ลอร์ดท่านนี้คือ...” จูเลียนมองหน้าชายวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยอาภรณ์หรูหราชั้นดี แต่พระพักตร์นวลบ่งบอกถึงความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะถวายพระพรให้แล้วยังกล้าถามถึงชายหนุ่มอีกคนที่ตามเสด็จ ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเกินพอดี

พอเห็นท่าทางของเจ้านายเหมือนจะจำชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้ ลีโอที่รั้งตำแหน่งเด็กรับใช้ใกล้ชิด และผู้คอยช่วยเหลือส่วนพระองค์จึงขยับเข้ามากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู

“นี่คือลอร์ดเอ็ดมัวร์ ราชทูตจากมอนทาร์น่า”

“สวัสดีลอร์ดเอ็ดมัวร์ เราขอแนะนำให้ท่านรู้จักกับกรอสเซ่” จูเลียนเพียงทักทายราชทูตจากมอนทาร์น่าตามมารยาท แล้วแนะนำกวีหนุ่มข้างกาย

“ลอร์ดกรอสเซ่” เอ็ดมัวร์ค้อมตัวคำนับกรอสเซ่ตามมารยาทเช่นกัน แต่จูเลียนไม่แน่ใจว่าฟังผิดไปหรือเปล่า ที่ลอร์ดเอ็ดมัวร์ดูเหมือนจะเน้นเรียกกรอสเซ่ด้วยคำว่า 'ลอร์ด' อย่างตั้งใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่จูเลียนเองก็ไม่ได้แนะนำว่ากรอสเซ่เป็นลอร์ดเลยสักคำ ส่วนกวีหนุ่มที่ถูกเรียกเพียงยิ้มรับบาง ๆ ด้วยวางตัวไม่ถูก เพราะจะว่าไปแล้วเขาก็เป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ที่บังเอิญได้เข้ามาในวังกับครูของเขา ซึ่งเป็นกวีที่ทำงานอยู่ในราชสำนักเท่านั้น

งานเลี้ยงเริ่มน่าเบื่อ เพราะมีแต่คนพูดคุยเรื่องที่อยู่นอกเหนือความสนใจของจูเลียน ยิ่งมองไปทางรัฐมนตรีกับราชทูตจากประเทศต่าง ๆ ที่คุยกันแต่เรื่องการเมือง ก็ยิ่งเบื่อมากขึ้นไปอีก กระนั้นจูเลียนก็ยังพอทนนั่งได้อยู่ เพราะใกล้ถึงช่วงเวลาของการแสดงละครที่เฝ้ารอแล้ว จูเลียนรวบรัดขั้นตอนน่าเบื่อ โดยสั่งให้เริ่มการแสดงตั้งแต่การเลี้ยงมื้อค่ำยังไม่เสร็จสิ้นดีด้วยซ้ำ

“เราว่ากินไปดูละครไปก็สนุกดีเหมือนกันนะ” หลังจากนั้นข้าราชบริพารผู้ประจบสอพลอบางคน ก็สนองความประสงค์ของจูเลียน ด้วยการสั่งให้เริ่มการแสดงทันที คนได้ดังใจยิ้มหน้าบาน ไวน์แก้วแล้วแก้วเล่าหมดไป เพราะความสำราญที่ได้ชมสิ่งโปรดปรานข้างคนรัก ยิ่งตัวละครแสดงบทพระนางกำลังพลอดรัก หลังฝ่าฟันอุปสรรคยากลำบากมาด้วยกันเพื่อพิสูจน์รักแท้ ยิ่งทำให้จูเลียนเคลิบเคลิ้มเพ้อฝัน ด้วยว่าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พระองค์นั้น คือกรอสเซ่ยอดรักนั่นเอง ยิ่งในละครแสดงความหวานของคู่รักออกมาเท่าไหร่ หนุ่มน้อยสูงศักดิ์ก็ยิ่งขยับเข้าใกล้ชู้รักมากขึ้นเท่านั้น ด้วยหวังจะถ่ายทอดความรู้สึกที่เอ่อล้นในใจให้อีกคนได้รับรู้ด้วย

“ข้าชอบฉากนี้ที่สุด” จูเลียนกระซิบข้างหูกวีหนุ่ม รอยยิ้มหวานกับนัยน์ตาซึ้งชวนฝันจากฤทธิ์ของไวน์เลิศรส มีไว้ให้กรอสเซ่ผู้นี้เพียงผู้เดียว คำที่บอกว่าชอบที่สุดนอกจากหมายถึงชอบมากแล้ว สำหรับจูเลียนมันยังบอกได้อีกว่า กษัตริย์หนุ่มน้อยโปรดปรานมาก จนมีรับสั่งให้จัดการแสดงมาแล้วหลายรอบ เพื่อเฝ้าดูฉากสุดท้ายที่สมหวัง และหวังว่ารักของพระองค์ก็จะสมหวังอย่างนี้เช่นกัน

จูเลียนน้อยผู้เพ้อฝันยังไม่รู้ว่ารักแท้นั้นหายากนักในชีวิตจริง

“ข้าก็ชอบฝ่าบาท”

“ความรู้สึกนี้คงเหมือนตอนแรกที่ข้าได้พบเจ้า คิดอย่างนั้นไหมยอดรัก”

“ฝ่าบาท” กรอสเซ่ก้มหัวน้อมรับ

“แล้วสุดท้ายข้าก็ตกหลุมรักเจ้า และเราได้รักกัน ข้ามีความสุขจังเลย” กรอสเซ่ขยับตัวอย่างอึดอัด ไม่รู้เป็นเพราะนั่งไม่สบายหรือเพราะสายตาหลายคู่ที่แอบมองมา แน่นอนว่าไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เมื่อเห็นเขาได้รับความสนิทสนมจากจูเลียนขนาดนี้ มันย่อมมีทั้งคนที่มองในแง่ดีและแง่ร้าย หลายคนรู้อยู่แล้วถึงสถานภาพพิเศษนี้ ด้วยจูเลียนเองก็ไม่ใคร่จะปิดบังนัก แต่ก็มีหลายคนยังไม่รู้ หลายคนมองแล้วกระซิบกระซาบยากจะเดาความคิด แต่รวม ๆ แล้วการกระทำของคนเหล่านั้น ทำให้กรอสเซ่ผู้ไม่คุ้นชินกับการวางตัวในราชสำนักอึดอัดไม่น้อย โดยเฉพาะสายตาของโจเซฟรัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจของออสเซนเทีย!

“ฝ่าบาทการแสดงจบลงแล้วจะกลับเลยหรือไม่”

“เจ้าจะให้ข้ารีบกลับทำไมลีโอ ก็เห็นอยู่ว่าข้าอยู่กับกรอสเซ่”

“แต่ฝ่าบาทมีประชุมสภาตอนเช้า”

“เจ้าจะสั่งให้ข้ากลับหรือไงล่ะ”

“ข้ามิบังอาจถึงขนาดนั้น เพียงแค่เตือนความจำเผื่อฝ่าบาทลืม”

“งั้นก็เงียบเลยลีโอ ไปตามเฮนริชมาเดี๋ยวข้าจะไปแล้ว”

“รับทราบฝ่าบาท”

“มีอะไรหรือฝ่าบาท” กรอสเซ่ถามขึ้นเพราะเห็นลีโอกระซิบกระซาบกับจูเลียนอยู่เป็นครู่

“เจ้าอยากกลับแล้วหรือยังล่ะกรอสเซ่”

“ละครจบแล้วฝ่าบาท พระองค์ไม่อยากกลับไปพักผ่อนหรอกหรือ ข้าได้ยินว่าท่านขี่ม้ามาทั้งวัน”

“แล้วเจ้าล่ะ จะไปกับข้าหรือไม่”

“ข้า..”

“ไปกันเถอะ” จูเลียนผู้เอาแต่ใจไม่ได้ฟังว่ากรอสเซ่จะพูดว่าอะไรอีก เพราะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปเลย ผู้ที่นั่งอยู่ด้วยเมื่อเห็นองค์กษัตริย์ลุกขึ้นทั้งหมดก็ลุกตาม

ด้านนอกโถงจัดงานเลี้ยงนั้นเป็นสวนร่มรื่น แต่เวลาที่ดึกมากแล้ว จึงยากจะชื่นชมความสวยงามของสวนที่จัดอย่างตระการตา สมกับเป็นสวนในปราสาทราชวังอันกว้างใหญ่ ลีโอเดินไปตามระเบียงที่สว่างด้วยคบไฟติดไว้เป็นระยะ แขกที่มาร่วมงานเลี้ยงกำลังพากันทยอยกลับไปอีกทาง และสุดระเบียงทางเดินนั่น ลีโอมองเห็นร่างสูงใหญ่ของอัศวินผู้แข็งแกร่งของกษัตริย์ เจ้าของร่างสูงยืนเกยไหล่พิงเสามือกอดอก สายตาคมทอดมองออกไปยังสวนท่ามกลางความสลัวเบื้องหน้า ตรงกลางสวนนั้นมีสิ่งสวยงามอย่างน้ำพุ ที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบอลังการ เป็นจุดเด่นของสวนแห่งนี้

ลีโอเดินเข้าไปหาเงียบ ๆ สายตาจับจ้องแผ่นหลังกว้าง ที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของชายชาตินักรบ ชุดเกราะสีทองอันเป็นเครื่องแบบยศของอัศวินแห่งวังหลวง ยิ่งส่งให้ร่างสูงดูสง่างามน่าหลงใหล และลีโอก็มองอย่างหลงใหลล่องลอย นึกสงสัยว่าทำไมอัศวินอย่างเขา ถึงได้มาชมสวนยามดึกเช่นนี้ พอเดินเข้ามาใกล้ได้เห็นสายตา ลีโอจึงมองตาม

อัศวินหนุ่มกำลังมอบความสนใจทั้งหมด ให้กับร่างระหงในชุดคลุมกำมะหยี่สีแดงเลือดนก ลวดลายสีทองที่ปักบนเนื้อผ้า บ่งบอกความสูงศักดิ์ของผู้สวมใส่ ตัวชุดดูหนาหนักยาวกรอมเท้า เปิดช่วงไหล่ขับผิวขาวชวนมองให้ดูผ่องแผ้ว ไหล่กลมกลึงที่โผล่พ้นเนื้อผ้านวลเนียนน่าสัมผัส มวยผมถูกกลัดเกล้าขึ้นสูง เผยให้เห็นท้ายทอยที่คลอเคลียด้วยปอยผมเส้นเล็กเย้ายวนยามต้องลม

ภาพเบื้องหน้าดูสว่างนวลตาเพราะแสงจันทร์ และคบไฟที่จุดไว้รอบ ๆ เกิดเป็นความงามราวภาพฝัน ลีโอมองตามสายตาอัศวินหนุ่ม ให้เกิดสะท้อนสะท้านขึ้นในอก เมื่อเขาเอาแต่เหม่อมองภาพความงามตรงหน้า ราวกับดำดิ่งสู่ห้วงฝันจนไม่รู้ตัว ทั้งที่ลีโอเดินเข้ามาใกล้ในระยะประชิดขนาดดนี้แล้ว

“อุ้ย! อุบ” แต่ลีโอคงคิดผิด เพราะพอก้าวเท้าเข้ามาได้ระยะช่วงแขน ร่างผอมบางก็ถูกกระชากไปกอดแน่น ไม่พอปากที่กำลังจะร้องโวยวายขอความช่วยเหลือ ยังถูกมือใหญ่ปิดทันที หลังจากที่รู้ว่าตัวเองคิดผิด เข้าใจไปเองว่าอัศวินผู้แข็งแกร่งเหม่อลอย เอาแต่มองของสวย ๆ งาม ๆ จนไม่ทันระวังตัว ลีโอก็ทำได้เพียงร้องอู้อี้ไม่เป็นภาษา การดิ้นรนออกจากอ้อมกอดที่รัดแน่นไร้ผล เพราะเรี่ยวแรงที่ต่างกันนั้นมันบอกอยู่แล้ว ว่าลีโอเป็นรองจนยากต่อกร

“ข้าจะปล่อย แต่เจ้าต้องไม่ทำเสียงดัง” เสียงกระซิบที่ดังขึ้นข้างหู เล่นเอาลีโอผู้อ่อนไหวไม่แพ้เจ้านายขนลุกเกรียว พอพยักหน้าตกลงร่างบอบบางก็เป็นอิสระ หนุ่มน้อยหายใจหอบด้วยว่าทั้งออกแรงดิ้น ทั้งเกร็ง ทั้งตกใจ

ลีโอเอ๋ยเจ้าตกอยู่ในอ้อมกอดของอัศวินผู้นี่อีกครั้งแล้วสินะ ใจเจ้าเป็นเช่นไรระวังมันเอาไว้ให้ดี ระวังมันจะเต้นผิดจังหวะจนเจ้าหัวใจวายตาย

พอเป็นอิสระลีโอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เด็กรับใช้ประจำตัวของกษัตริย์จูเลียนเอาแต่ยืนก้มหน้า แต่ดวงตากลับเหลือบขึ้นมองร่างสูงอย่างไม่มั่นใจ ในสายตาคมของอัศวินหนุ่ม ดูก็รู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้ากำลังประหม่า

“มีอะไร”

“กษัตริย์จะเสด็จแล้ว”

“งานเลี้ยงเลิกแล้วหรือไง” ลีโอเพียงพยักหน้ารับ เฮนริชก็เดินจากไปโดยไม่ต้องเสียเวลาถามไถ่ให้มากความ เพราะรู้หน้าที่ของตัวเองดีอยู่แล้ว

“เดี๋ยวสิรอข้าด้วย” ลีโอร้องตามหลังแล้วรีบสาวเท้าเร็ว ๆ เพื่อให้ตามร่างสูงทัน ไม่ลืมเหลือบตามองไปทางน้ำพุอีกครั้ง แต่ร่างระหงที่ยืนดื่มด่ำกับความงามของสวนในแสงสลัวหายไปแล้ว ลีโอวิ่งตามเฮนริชมาทัน ก็ตอนอัศวินตัวสูงเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องโถงกว้างใหญ่ที่ใช้จัดงานเลี้ยงแล้ว

“ฝ่าบาทอยู่ไหน”

“ข้าไม่รู้”

“เจ้าไม่รู้ได้ยังไงลีโอ เจ้าต้องตามเสด็จไปทุกที่นะ”

“ก็เพราะข้ามัวแต่มาตามท่านไงล่ะ”

“แล้วไงล่ะ” เฮนริชกอดอกยืนพิงกรอบประตูท่าทางไม่ทุกข์ร้อน แต่ลีโอกลับร้อนใจ เพราะเจ้านายหายไปแต่อัศวินประจำตัวกลับยังเฉย

“ไปตามหาฝ่าบาทกันเถอะท่าน”

“ป่านนี้กลับถึงปราสาทแล้วล่ะ”

“ท่านรู้ได้ยังไงหลังจากที่ละเลยหน้าที่ของตัวเองไป..”

“พูดต่อให้จบสิ ข้าไปไหน”

“ก็ท่านทำอะไรล่ะเมื่อกี้น่ะ”

“อย่ายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ลีโอ”

“แต่ท่านละเลยหน้าที่อารักขาฝ่าบาท!” เรื่องเดียวที่ลีโอยอมไม่ได้ และถือเป็นเรื่องใหญ่มาก

“เจ้าคิดว่าราเชลกับเดรทิชทำอะไรอยู่ล่ะ”

“ก็..” นั่นสิ! ลีโอเพิ่งนึกได้ว่ายังมีราเชลกับเดรทิชจึงหน้าเสีย ที่ตัวเองบังอาจตำหนิอัศวินมือหนึ่งของกษัตริย์จูเลียน เพียงเพราะลืมว่ายังมีอัศวินอีกสองคนคอยอารักขาอยู่แล้ว ส่วนเลนนี่นั้น เพราะได้รับบาดเจ็บจึงมีคำสั่งให้กลับไปรักษาตัวยังที่พักของตัวเอง อัศวินทั้งสี่จะมีที่พักส่วนตัวเป็นป้อม ที่ตั้งอยู่รอบปราสาทของจูเลียนทั้งสี่ทิศ แต่ก็จะได้กลับไปที่ป้อมของตัวเองเฉพาะบางวันเท่านั้น เพราะปกติจะต้องอยู่เคียงข้างกษัตริย์ตลอดเวลา!

“หึ”

“ท่านกินแรงคนอื่น”

“ข้ากำลังอยู่ในช่วงพักต่างหาก”

“เอ่อท่านเดี๋ยวสิ เซอร์เฮนริช รอข้าด้วย” ลีโอต้องวิ่งตามให้ทันเฮนริชอีกแล้ว เมื่ออัศวินหนุ่มสาวเท้ายาว ๆ เดินไปตามทางปูด้วยแผ่นหิน พาไปสู่ปราสาทหลังงามอันเป็นพระราชฐานที่พำนักของกษัตริย์จูเลียน

“หลายวันมานี้ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกินกรอสเซ่ เจ้าคิดถึงข้าบ้างไหม”

“ฝ่าบาท ข้า..เอ่อ”

“ทำไมล่ะยอดรัก ข้าไม่อยากออกจากวังไปไหนเลย หากไม่มีเจ้าไปด้วย คราวหน้าเจ้าต้องไปกับข้านะสัญญาสิ” จูเลียนโถมตัวเข้าหาร่างสะโอดสะองของกรอสเซ่ เพราะหวังจะแสดงความรักกับกวีหนุ่ม ด้วยการมอบจูบเสน่หาให้ แต่เป็นคนต่ำศักดิ์กว่าที่พยายามหลบเลี่ยง เพราะความเมาจากไวน์หลายแก้ว หรือเพราะความรักที่บังตาก็ไม่อาจรู้ได้ แต่จูเลียนผู้เอาแต่ใจกลับไม่ถือสาที่ถูกชู้รักขัดใจ

“ฝ่าบาทข้าเกรงว่านี่คงดึกมากแล้วสำหรับพระองค์”

“แล้วไงล่ะ จูบข้าหน่อยสิกรอสเซ่”

“ฝ่าบาทควรพักผ่อน”

“นี่เจ้าห่วงอย่างนั้นหรือ”

“แน่นอนยอดรักของข้า เพราะฝ่าบาทสำคัญที่สุด”

“ถ้าอย่างนั้น..” จูเลียนโน้มตัวเข้าหาแต่อีกคนก็ยังย่อตัวถอยห่าง

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท”

“ทำไมล่ะกรอสเซ่ หรือว่าเจ้ารังเกียจจูบของข้า” พยายามจะจูบแต่กวีหนุ่มกลับจับต้นแขนดันไว้ไม่ยอมรับ จูเลียนจึงเอ่ยถามอย่างข้องใจ แต่ก็พร้อมจะเชื่อในคำอธิบายเสมอ

“มันดึกมากแล้วจูเลียนของข้า พรุ่งนี้ท่านมีภารกิจแต่เช้าไม่ใช่หรือ”

“เจ้าไม่อยากอยู่กับข้าหรือไงกรอสเซ่”

“นั่นคือสิ่งที่ข้าปรารถนาที่สุดฝ่าบาท แต่ก็อยากให้ฝ่าบาทได้พักผ่อนเช่นกัน” กรอสเซ่สบตาจูเลียนด้วยแววตาสื่อความหมาย และประดับใบหน้าใสซื่อด้วยรอยยิ้มอ่อนยามทูลคำ “ข้าเพียงแค่กลัวถูกตำหนิ”

“ใครกล้าตำหนิเจ้ากัน!”

“ผู้คนมากมายในงานเลี้ยง มองข้าด้วยสายตาที่เห็นแล้วน่าวิตกนักฝ่าบาท ข้ารู้สึกต้อยต่ำเหลือเกิน”

“ตอนข้าแต่งตั้งให้เจ้าเป็นกวีประจำราชสำนัก พวกนั้นจะไม่กล้าแม้แต่เงยหน้าขึ้นมองเจ้ายอดรักของข้า”

“ฝ่าบาท!”

“ข้าจะประกาศแต่งตั้งเจ้าเอง คราวนี้สบายใจหรือยังล่ะ”

“จูเลียนกรุณาต่อข้าเหลือเกิน” โดยไม่ต้องเรียกร้อง ท้ายทอยของจูเลียนถูกรั้งให้เข้าไปรับจูบ เป็นรางวัลสำหรับความกรุณาที่มีให้คนรัก แต่ยังไม่ทันได้ซาบซึ้งกับจูบแสนหวาน กรอสเซ่ก็ผละออกอย่างรวดเร็วแล้วถอยห่าง จูเลียนปลื้มปริ่มกับการแสดงความรู้สึกของคนรัก จนไม่ได้สนใจ ว่าจูบนั้นมันช่วงฉาบฉวยเหลือเกิน นี่ถือเป็นครั้งแรกที่คนรักมอบจูบให้ หลังจากที่จูเลียนเป็นฝ่ายเสนอเองมาตลอด

“ข้าทูลลา”

“ฝันดีนะยอดรักของข้า” พอกรอสเซ่หันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น จูเลียนก็หันหลังเดินเข้าไปในปราสาท คล้อยหลังคู่รักคนอีกสองคนที่หลบอยู่ในมุมมืดก็ปรากฏตัว

“เจ้าตามฝ่าบาทไป เดี๋ยวข้าจะไปเดินตรวจดูความเรียบร้อยรอบปราสาทก่อน”

“ได้” เดรทิชผละไปแล้ว ราเชลจึงเดินตรวจเวรยามรอบปราสาทอย่างที่บอก อัศวินหนุ่มสั่งงานเล็กน้อยกับทหารเฝ้ายามแล้วขึ้นปราสาทตามเจ้านายไป เพราะเมื่อจูเลียนเข้าห้องบรรทมเพื่อพักผ่อน ก็เป็นเวลาของอัศวินที่ไม่ต้องเข้าเวรได้พักผ่อนเช่นกัน และคืนนี้หน้าที่เข้าเวรเป็นของเฮนริช จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาไม่ต้องคอยอยู่อารักขาใกล้ ๆ จูเลียนที่งานเลี้ยงนั่นเอง

ปราสาทใหญ่โตโอ่อ่าแบ่งพื้นที่ส่วนต่าง ๆ อย่างลงตัว ประกอบด้วยห้องหับมากมาย โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนตัวของกษัตริย์อย่างห้องนอน ที่ออกแบบมาให้หรูหราน่าอยู่ และสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องปลอดภัย ส่วนห้องพักของอัศวินประจำพระองค์จึงอยู่ติดห้องบรรทม ที่มีเตียงให้สี่เตียงสำหรับอัศวินทั้งสี่ กษัตริย์จึงสามารถเรียกหาได้ตลอดเวลา

***************
 :katai5: NC เรื่องนี้ค่อนข้างจะ  :haun4: ถามเจ้าถิ่นหน่อยค่ะว่าลิมิตได้มาน้อยแค่ไหน


ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
น่าติดตามมมม

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“นี่เจ้ายังไม่ตื่นอีกหรือไงจูเลียน”

“นิโคล พี่มาทำไมแต่เช้าเนี่ย” จูเลียนปรือตาขึ้นมองร่างงามสง่าของบุรุษที่ยืนอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นว่าเป็นพี่ชายต่างมารดาก็หลับตาลงและบ่นออกมาอย่างเกียจคร้าน

“เพราะวันนี้เจ้ามีประชุมสภาแต่เช้าไง”

“ไม่เอา ข้าไม่ไปได้ไหม ข้ายังเหนื่อยกับการเดินทางอยู่เลย ไหนเมื่อคืนที่กว่าจะได้นอนก็ตั้งดึกดื่น”

“เจ้าเองไม่ใช่หรือไงที่อยากกลับมาเพื่องานเลี้ยงนี่โดยเฉพาะ”

“ข้าไม่คิดว่ามันเหนื่อยขนาดนี้นี่” จูเลียนพลิกตัวหันหน้าไปอีกทาง แต่เท่านั้นคงยังไม่เพียงพอต่อความเกียจคร้าน ยุวกษัตริย์ผู้บ่ายเบี่ยงภารกิจจึงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวไว้ด้วย เหมือนบอกว่าการสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น แน่นอนว่านิโคลไม่ยอม

“ยังมีเรื่องนั้นอีกนะจูเลียน”

“เรื่องไหนอีก เมื่อไหร่พี่จะปล่อยให้ข้านอนต่อสักที” หมอนนุ่มถูกนำมาเป็นตัวช่วยเมื่อจูเลียนดึงมันมาปิดหูทั้งสองข้าง

“เรื่องลอบโจมตีกลางทางไง พี่บอกเจ้าแล้วว่ามันไม่ปลอดภัยที่จะเดินทางมากับทหารเพียงหยิบมืออย่างนั้น”

“ข้ามากับอัศวินฝีมือดีตั้งสี่คนนะท่านพี่”

“แล้วเป็นยังไงล่ะเกือบพลาดใช่ไหม เลนนี่ก็ได้รับบาดเจ็บด้วย”

“ก็ข้า..” จูเลียนพูดไม่ออก ยิ่งคิดถึงร่างโชกเลือดของอัศวินประจำตัว หนุ่มน้อยก็ยิ่งเงียบเพราะจนด้วยข้อโต้แย้ง ได้แต่บอกแก้ตัวด้วยเสียงอ่อย เพราะจูเลียนหงอมากทีเดียวเมื่ออยู่กับพี่ชาย “เลนนี่ก็ไม่เป็นอะไรมากนี่”

“แต่ก็คงต้องพักอีกหลายวัน แล้วถึงจะมีฝีมือชั้นยอดแค่ไหนหากเจ้าไม่ระวังตัวเองบ้าง สักวันก็พลาดได้เหมือนกัน”

“พี่ห่วงเลนนี่ใช่ไหมล่ะ”

“ข้าห่วงเจ้าต่างหาก” ฝ่ายพี่ชายยืนกอดอกจังก้ามองด้วยสายตาจริงจังแล้วสั่ง “เอาล่ะ ลุกขึ้นเตรียมตัวเข้าประชุมสภาซะ”

“ข้าไม่ไปได้ไหมนิโคล” พอนิโคลสีหน้าจริงจังขึ้น จูเลียนก็เปลี่ยนเสียงเป็นกระเง้ากระงอดออดอ้อนพี่ชายทันที เรือนร่างผอมโปร่งภายใต้ชุดนอนผ้าลินินเนื้อบางลุกขึ้นนั่ง เอนหลังพิงหมอนท่าทางเหมือนคนหมดแรง

“วันนี้ต้องประชุมวางแผนเกี่ยวกับงานประลองประจำปีที่จะมีขึ้นอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า และเจ้าต้องเข้าประชุมนะจูเลียน”

“แค่นี้ไม่ต้องถึงมือข้าก็ได้หรอกนิโคล พี่คนเดียวก็จัดการได้”

“ข้าจัดการให้เจ้าจนชาวเมืองคิดว่าข้าเป็นกษัตริย์อยู่แล้วนะ”

“นั่นสิ ทำไมพวกนั้นไม่แต่งตั้งพี่ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ ทำไมต้องให้ข้าเป็นด้วย”

“เพราะเจ้าเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ไง”

“ข้าไม่เหมาะ ข้าบอกพี่แล้ว”

“เหมาะหรือไม่เหมาะ มันก็เป็นภาระที่ติดตัวมาตั้งแต่เจ้าลืมตาดูโลกแล้วนะจูเลียน เมื่อได้เป็นแล้วเจ้าควรทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด” ด้วยรู้ว่าน้องชายไม่มีใจที่ฝักใฝ่ด้านนี้เอาเสียเลย ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้จูเลียนก็ฝืนตัวเองมากอยู่แล้ว และนั่นทำให้นิโคลสงสารน้องน้อยของเขานัก จึงได้แต่ช่วยประคับประคอง ให้จูเลียนก้าวไปพร้อมภาระหนักอึ้งบนบ่า

“นิโคลพี่กำลังจะอบรมอะไรข้าอีกล่ะเนี่ย พอเลยนะข้าจะนอน”

“เจ้านอนตอนนี้ไม่ได้นะจูเลียนลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ลีโอไปไหน”

“ลีโออยู่นี่แล้วฝ่าบาท” ลีโอที่แอบดูอยู่นานปรากฏตัวขึ้น ให้เห็นว่าไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ไปไหน แต่ยังคอยรับใช้ใกล้ชิดอยู่เสมอ ทั้งที่อยากเข้ามาปลุกผู้เป็นนายตั้งแต่ฟ้าสาง แต่ลีโอก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนที่คอยตามใจจูเลียน และผ่อนผันให้อยู่เสมอ เมื่อเห็นว่าเจ้านายกำลังหลับสบาย เลยทำเป็นลืมภารกิจช่วงเช้าของจูเลียนไปนิดหน่อย แต่ดูเหมือนว่าลีโอคงทำเป็นลืมนานเกินเวลาจนนิโคลมาถึงก่อน และนี่อาจจะทำให้เด็กน้อยลีโอโดนดุเอาได้ง่าย ๆ

“ไปเตรียมตัวให้นายของเจ้าซะ”

“ฝ่าบาท”

“ถ้าเจ้าเข้ามาข้าจะสั่งปลดเจ้าเดี๋ยวนี้ลีโอ”

“แต่ฝ่าบาท” ลีโอสองจิตสองใจ แม้จะรู้ว่าเจ้าเหนือหัวไม่จริงจังกับคำขู่ กระนั้นเด็กรับใช้ที่รู้ใจนายอย่างลีโอ ก็ไม่อยากทำอะไรให้ขุ่นข้องหมองอารมณ์แต่เช้าเช่นนี้ ลีโอจึงหันไปทางนิโคลขอความช่วยเหลือ

“ลอร์ดนิโคล”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าจัดการเอง ไปเตรียมมื้อเช้าให้นายเจ้าเถอะ”

“ฝ่าบาท” น้ำเสียงนั้นช่างเป็นจังหวะน่าฟังยิ่งนัก เมื่อนิโคลบอกคนรับใช้ประจำตัวของน้อง และมอบความเป็นกันเองให้ด้วยการวางมือใหญ่ลงกลางศีรษะของลีโอ หนุ่มน้อยต่ำศักดิ์ก้มหน้าคำนับ แล้วเดินออกจากตรงนั้นมาด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ เพราะนิโคลัสนั้นมักจะเป็นกันเองกับเขาเสมอ เป็นกันเองมากจนลีโอนึกกลัว

“จริง ๆ แล้วลีโอก็น่ารักนะหรือพี่คิดว่าไง” สายตาที่มองตามหลังลีโอตวัดกลับมามองน้องชาย ที่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่บนที่นอน นิโคลัสยิ้มออกมาบาง ๆ ด้วยว่ารู้ทันในสิ่งที่น้องกำลังบอก

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง ย้ายตัวเจ้าลงมาจากที่นอนจูลีเดียสเจ้าจะสายแล้ว”

“โธ่นิโคล ถ้าพี่สนใจลีโอข้าพร้อมจะหาเด็กรับใช้คนใหม่นะ”

“คิดว่าจะมีใครรู้ใจและทนเจ้าได้เหมือนลีโออีกไหมล่ะ ย้ายก้นของเจ้าลงมาจากที่นอนซะ! “

เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าและเซื่องซึม จนจูเลียนอยากฟุบหลับลงเสียตรงนี้ให้ได้ บ่อยครั้งที่นิโคลต้องสะกิดเมื่อหนุ่มน้อยทำท่าจะหาวหรือทำหน้าเบื่อหน่าย และในที่สุดช่วงเวลาแสนทรมานก็จบสิ้นลงสักที เมื่อนิโคลกล่าวปิดการประชุม

//*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*///

ร้านเหล้าข้างทางถือเป็นศูนย์รวมของผู้คน นักเดินทางมากหน้าหลายตา แวะเวียนเข้ามาเพื่อสังสรรค์ดื่มกิน พักเหนื่อยระหว่างทาง รวมไปถึงที่พักแรมของนักเดินทางไกลที่ต้องการค้างคืน และเขาก็เป็นนักเดินทางอีกคนหนึ่งที่บังเอิญผ่านเข้ามา ร้านนี้อยู่ไกลสุดกู่เกือบติดชายแดนของออสเซนเทีย เมืองใหญ่ที่ผู้คนต่างมุ่งหน้าเข้าไปสู่ศูนย์รวมอย่างเมืองหลวง เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าให้กับตัวเอง แต่คงไม่ใช่สำหรับเขา ชายร่างสูงในชุดคลุมดำที่กำลังเดินเข้ามาในร้าน

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือนักเดินทางหลายกลุ่มจับจองโต๊ะนั่งและดื่มกิน แต่ละคนดูตะกละมูมมาม เหมือนไม่ได้นำมารยาทติดตัวมาด้วย เจ้าของร่างสูงสวมชุดคลุมดำตัวยาวปิดคลุมตั้งแต่ศีรษะจนถึงช่วงขา รองเท้าหนังเก่า ๆ ที่เขาสวมเต็มไปด้วยดินโคลนคู่นั้น บ่งบอกว่าผ่านการเดินทางมายาวนาน บุรุษในชุดดำตกเป็นเป้าสายตาทันที เมื่อเขามายืนอยู่กลางร้านเพื่อมองหาที่นั่ง

“เจ้ามองหาอะไรอยู่หรือไอ้คนพเนจร” ชายชุดดำปรายตามองอย่างเบื่อหน่าย เมื่อชายร่างท้วมหนึ่งในลูกค้าถามขึ้น ท่าทางแสดงออกว่าต้องการหาเรื่องเต็มที่ เขาแค่แวะเข้ามาเพราะต้องการอาหารและที่พัก ก่อนจะเดินทางต่อไปเมืองอื่น ไม่ต้องการมีเรื่องกับใคร

“ที่ที่ข้าสามารถนั่งและสั่งอาหารมากินหรือสั่งเบียร์อุ่น ๆ มาดื่มคลายหนาวได้” เขาตอบเสียงนิ่ง

“เกรงว่าร้านจะเต็มแล้วไสหัวไปซะ!”

“ข้าต้องการห้องพักด้วย”

“ห้องพักก็เต็มหมดแล้วไสหัวไปเดี๋ยวนี้”

“ข้าต้องการอาหารกับที่พัก” เขาย้ำมองข้ามหัวชายร่างท้วมไปทั่วร้าน จนคนถูกเมินชักไม่พอใจ

“ก็บอกว่าไม่มีไงวะออกไป!”

“เดี๋ยว ๆ ท่านทั้งสองอย่ามีเรื่องกันเลยเห็นใจคนทำมาหากินอย่างข้าด้วยเถอะ ข้ามีอาหารเพียงพอสำหรับพวกท่านทุกคน มีห้องว่างด้วยเชิญทางนี้” เจ้าของร้านเป็นชายสูงอายุแทรกขึ้น เมื่อดูท่าทีแล้วอาจจะถูกไล่ลูกค้าทำให้เสียผลประโยชน์ แต่พอพูดจบร่างชายสูงวัยกลับถูกผลักจนเซล้มหงายหลัง

“ถอยไปไอ้แก่ ส่วนเจ้าจะออกไปดี ๆ หรือให้ข้าช่วยพาออกไป”

“ที่นี่ไม่ใช่ร้านของเจ้านี่ เจ้าของร้านยังบอกอยู่เลยว่ามีอาหารกับที่พักสำหรับข้า” ชายในชุดดำปรายตาไปมองทางเจ้าของร้าน ที่มีผู้ใจดีช่วยพยุงให้ลุกขึ้นพาถอยออกไปด้วยเกรงภัยจะถึงตัว เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ลูกค้าต่างที่มาย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี วันนี้คงเป็นวันซวยของเขาที่ได้ลูกค้าชั้นเลวอย่างไอ้อ้วนนี่

“แต่ข้าไม่ให้ ถ้าไม่อยากตายก็ไปซะ” ดาบถูกถอดออกมาเพียงครึ่งเพื่อข่มขู่ แต่คู่กรณีในชุดดำที่ร่างกายสูงใหญ่กว่ายังนิ่งและยืนเฉย นั่นยิ่งทำให้ชายร่างท้วมเริ่มไม่สบอารมณ์ ด้วยว่าต้องการแสดงความเป็นเจ้าถิ่นต่อคนแปลกหน้าที่หลงเข้ามา

“ข้าควรจะกลัวหรือไง”

“งั้นก็เตรียมตัวตายเลย” ชายร่างท้วมถอดดาบเล่มยาวออก แต่ยังไม่ทันได้เงื้อดาบขึ้นฟาดฟันดังใจหมาย ร่างอันหนาเทอะทะรุ่มร่ามก็ถูกถีบจนหงายกระเด็น พอตั้งตัวได้ยังไม่ทันลุกขึ้น พบว่าหน้าอกถูกใช้เป็นที่รองรับเท้าข้างหนึ่ง และดาบเล่มใหญ่จ่อคอหอยอย่างน่าหวาดเสียว

“คราวนี้มีอาหารกับที่พักให้ข้าหรือยัง”

“อะ เอ่อ..”

“มีหรือยัง!” เจ้าของร่างสูงกดเสียงถาม

“มะ มี มีแล้วนายท่าน เชิญนายท่านตามสบาย” ท่าทางโอหังถูกเปลี่ยนเป็นประจบสอพลอทันที เมื่อคมดาบถูกกดลงบนลูกกระเดือก ชายชุดดำเก็บดาบของเขาไว้ที่เดิม ภายใต้เสื้อคลุมตัวหนามิดชิด จึงไม่มีผู้ใดเห็นมันในคราแรก และคิดว่าเขาเดินเข้ามาตัวเปล่า

พอเจ้าของร่างสูงเดินไปนั่งลงตรงที่ว่างมุมหนึ่งของร้าน เบียร์พื้นเมืองอุ่น ๆ สำหรับดื่มแก้หนาวก็วางลงตรงหน้า ทันที ทั้งที่ยังไม่ทันได้สั่ง

“ข้ากุสตาฟขอเป็นคนเลี้ยงเอง เจ้าชื่ออะไร” เขาเพียงยกเบียร์แก้วใหญ่ขึ้นดื่ม ไม่ได้สนใจคนที่พยายามเข้ามาตีสนิท ไม่แม้แต่จะละสายตาจากน้ำอำพันอุ่น ๆ และฟองนุ่มในแก้วดินเผาด้วยซ้ำ

“ให้ข้าเลี้ยงสักมื้อเพื่อนยาก นอกจากเบียร์อุ่น ๆ อาหารเลิศรสแล้วข้ายังมีของสวย ๆ งาม ๆ มานำเสนอให้เจ้าด้วย”

“...”

“ไปกับข้าสิบนนั้น ห้องของข้ามีสาว ๆ รออยู่” แต่ชายชุดดำก็ยังนิ่งและเฉย เมื่อเจ้าของร้านนำซุปเนื้อร้อน ๆ กับขนมปังมาวางตรงหน้า เขากินมันอย่างเอร็ดอร่อย ปล่อยให้คนที่พยายามผูกมิตรพูดไปเรื่อยเปื่อย

“เจ้าจะเดินทางไปไหน มาถึงชายแดนอย่างนี้จะออกไปเมืองอื่นหรือไง” ชายร่างท้วมไม่ละความพยายามในการผูกมิตร แม้ไม่มีการโต้ตอบยังพูดคนเดียว “ตอนนี้ผู้คนมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงกันทั้งนั้น มากับข้าสิรถม้าของข้าพอมีที่ว่างนะเพื่อน”

“ทำไมข้าต้องอยากไปกับเจ้า” ว่าจะนั่งกินเงียบ ๆ แล้วแต่ก็อดสงสัยไม่ได้

“หึหึหึ” ชายร่างท้วมหัวเราะชอบใจ ดวงตาเล็กรีหรี่มองใบหน้าใต้ผ้าคลุม ในที่สุดชายชุดดำผู้ลึกลับในความคิดของเขา ก็ยอมอ้าปากพูดด้วยสักที “เพราะขบวนรถม้าของข้าเต็มไปด้วยสาวงามยังไงล่ะ ข้าจะคิดราคาพิเศษสำหรับเจ้าเลยเพื่อนยาก รีบกินเข้าสิเดี๋ยวข้าจะพาไปดู”

“ข้าไม่สนใจของสวย ๆ งาม ๆ ที่เจ้าว่าหรอกข้าจะขึ้นเหนือ”

“การขึ้นเหนือตอนกำลังจะเข้าฤดูหนาวแบบนี้เป็นความคิดที่โง่มากเลยเพื่อน และที่น่าเสียดายยิ่งกว่านั้น คือเจ้าจะไปทั้งที่เมืองหลวงกำลังจะจัดงานประจำปีที่ยิ่งใหญ่ขึ้น”

“งานอะไร”

“นี่เจ้าไปอยู่ไหนมาเพื่อนยาก ไม่รู้หรือไงว่าทางราชสำนักประกาศวันงานประลองบนหลังม้าประจำปีนี้ออกมาแล้ว” กุสตาฟมองชายในชุดดำ ราวกับว่าเขานั้นเป็นคนที่โง่เง่าที่สุดเท่าที่เคยพบมา ประกาศติดกันให้ทั่วชายคนนี้อ่านหนังสือไม่ออกหรือถึงไม่รู้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ประชากรส่วนใหญ่ก็ใช่ว่าจะอ่านหนังสือออกกันทุกคนเสียเมื่อไหร่

“งานจัดขึ้นเมื่อไหร่” กุสตาฟตุ้ยนุ้ยยิ้มกว้างสมใจกว่าเดิม เมื่อจับน้ำเสียงบ่งบอกความสนใจจากคู่สนทนาได้ ไม่รอช้ารีบอวดในสิ่งที่ตัวเองรู้มา

“อีกราว ๆ ยี่สิบวันนี่แหละ เขาประกาศมาตั้งนานแล้วเจ้าน่าจะรู้นะ ตอนนี้ใคร ๆ ก็ต่างมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงกันทั้งนั้น รวมทั้งข้าและเหล่าสินค้าสวย ๆ งาม ๆ ของข้าด้วย ที่นั่นจะทำเงินให้ข้าไม่น้อยเลยล่ะ”

“ที่แท้เจ้ามันก็พวกหากินกับผู้หญิงสินะ”

“นี่ล่ะการทำธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากเพื่อนเอ๋ย พวกนางเต็มใจรับใช้พวกมีไอ้นั่นอย่างเรา ๆ อยู่แล้ว เจ้าจะคิดมากทำไม แค่ส่งมันเข้าไปอยู่ในตัวพวกนาง แค่นี้สาว ๆ ก็อ่อนระทวยกันทั้งนั้นล่ะ ถ้าเจ้าไปกับข้า ข้าจะสั่งให้พวกนางบริการเจ้าเป็นพิเศษ อ้อหรือว่าเจ้าชอบหนุ่มน้อยร่างบาง ๆ ข้าก็มีบริการเหมือนกันนะ” ชายชุดดำเงียบปล่อยให้กุสตาฟพล่ามถึงความดีงามของสินค้า ไม่ได้ขัดหรือแย้ง เพราะถึงอย่างไรถ้าผู้หญิงเหล่านั้นเต็มใจที่จะทำงานนี้ มันก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว ที่ไหน ๆ ก็มีโสเภณีทั้งนั้น นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งความบันเทิงที่ทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่ยังยิ้มได้อยู่

“ว่ายังไงล่ะจะเปลี่ยนใจไปกับข้าไหม” ชายชุดดำลุกขึ้นเต็มความสูง เขาไม่มองหน้าคู่สนทนาด้วยซ้ำ เมื่อเดินเข้าไปหาเจ้าของร้านและถูกพาไปยังที่พัก กุสตาฟมองตามไม่พอใจแต่ทำอะไรไม่ได้ ท่าทางชายแปลกหน้าในชุดคลุมดำคงฝีมือดีอยู่ไม่น้อย ถึงได้ซัดเขาหงายชักดาบออกมาว่องไวจนไม่มีใครมองทัน ที่ชวนให้ร่วมเดินทางด้วย ก็เผื่อต้องการความช่วยเหลือระหว่างทาง หากเกิดการดักปล้นขึ้นมา เพราะถึงจะเป็นธุรกิจเล็ก ๆ แต่ก็ทำเงินให้เขาไม่น้อย และเขาไม่อยากเสียเงินจ้างคนคุ้มกัน

กุสตาฟดื่มกินจนอิ่มหนำสำราญแล้ว จึงพาร่างท้วมตุ้ยนุ้ยลุกจากโต๊ะ ร่างที่อ้วนท้วมอยู่แล้วดูเทอะทะยิ่งขึ้น เพราะสวมชุดคลุมหนา เขาเซเล็กน้อยเมื่อพยายามทรงตัวยืน แต่ถึงจะเมาอยู่ไม่น้อยก็ยังพอมีสติ เดินขึ้นชั้นสองมาถึงห้องพักเรียกหาคนโปรด หนึ่งในบรรดาสินค้าที่สวยที่สุดของตัวเองทันที





“มาเรียตต้า มาเรียตต้าอยู่ไหน ไอ้จ้อนของข้ามันคิดถึงเจ้าแล้ว รีบมาปลอบมันซะดี ๆ อีหนู “ดวงตาเล็กรีกวาดมองไปทั่วห้องที่ไม่กว้างมากนัก ปากพ่นคำหยาบเรียกหาคนสนอง หญิงสาวหน้าตาใช้ได้หลายคนนั่งมองตาปริบ ๆ แต่ไม่มีใครตอบคำถามของเขาสักคน ผู้หญิงพวกนี้มันของน่าเบื่อสำหรับกุสตาฟ มีแต่มาเรียตต้าของเขาเท่านั้น ที่สวยน่ารักเอาใจเก่ง ที่สำคัญคือนางเก่งเรื่องบนเตียงและมากไปด้วยประสบการณ์ เรียกง่าย ๆ ว่าลีลาดีจนลูกค้าส่วนใหญ่ติดใจรวมทั้งเขาด้วย มาเรียตต้าสามารถสนองความต้องการได้ถึงใจที่สุด เขาจึงให้นางเป็นคนสาธิตกับตัวเขาเอง เพื่อให้สินค้าคนอื่น ๆ ได้ศึกษาไว้ใช้เมื่อทำงานจริง

“ทำไมไม่มีใครตอบว่ามาเรียตต้าไปไหนหา เงียบอยู่ทำไมตอบข้ามาถ้าไม่อยากเจ็บตัว!” แน่นอนว่าเมื่อเรียกหาคนโปรดแต่คนโปรดมาไม่ทันใจ ชายร่างท้วมย่อมไม่สบอารมณ์เป็นธรรมดา และสาว ๆ ที่นั่งอยู่ในนั้นก็ขยาดกับความร้ายกาจที่เคยเจอ จึงไม่มีใครกล้าปริปากพูด นอกจากพากันชี้มือไปที่ประตู แต่นั่นก็ไม่สามารถบอกอะไรกุสตาฟได้ เขาจึงกระชากหนึ่งในสินค้าที่นั่งอยู่ใกล้มือที่สุดออกมาถาม จนเสื้อผ้าที่มีอยู่เพียงน้อยชิ้นของนางหลุดลุ่ย เห็นเรือนร่างงามขาวผ่องลออตา

“บอกข้ามานางหายไปไหน”

“นาง นางอยู่ห้องตรงข้ามเจ้าค่ะนายท่าน” ร่างผอมบางถูกสะบัดทิ้งไปอีกทาง เมื่อกุสตาฟที่อยู่ในอารมณ์หงุดหงิดขัดใจออกจากห้องไปอีกครั้ง เขาผลักประตูห้องตรงข้ามให้เปิดออกอย่างไร้มารยาท และภาพที่เห็นก็ทำให้เขาแทบคลั่ง

ปัง!!

"อะ อ๊ะ ซี๊ด โอว ท่าน สุดยอดเหลือเกินเจ้าค่ะ" กุสตาฟกัดฟันกรอด เมื่อเห็นร่างเปลือยเปล่าเย้ายวนขาวโพลนของหญิงสาว กำลังขยับโยกตัวขึ้นลง นางนั่งอยู่บนร่างของชายที่นอนหลับตาพริ้มรับความสุขสม สองเต้าเต่งตึงกระเด้งขึ้นลงตามจังหวะส่ายสะโพกอย่างเร่าร้อน บั้นท้ายกลมกลึงถูกบังคับให้ร่อนส่ายด้วยมือใหญ่ของชายที่ถูกควบขี่ เห็นแล้วกุสตาฟอยากฆ่านางให้ตายมันเดี๋ยวนี้นัก ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางราวกับทรมานไม่หยุดนั่น ยิ่งทำให้เขาอยากเอาดาบมาตัดหัวทั้งสองคนให้ขาดกระเด็นมันตอนนี้เลย ขนาดเขาเปิดประตูเข้ามาอย่างแรง ชายหญิงที่กำลังเสพสมยังไม่หันมาสนใจ และที่ทำให้กุสตาฟเจ็บใจที่สุดก็ตรงบทรักที่เห็น มันช่างเร่าร้อนอย่างที่เขาไม่เป็นมาก่อน

“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะมาเรียตต้า เจ้าออกจากห้องมาทำไม” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่ามาเรียตต้าเพียงผินใบหน้าสวยเย้ายวนมาทางเจ้าของร่างท้วม แต่สะโพกผายของนางไม่ได้เสียจังหวะในการควบขี่ชายหนุ่มที่กำลังปรนเปรอเลยสักนิด

“นายท่านมาพอดี ข้ากำลังสนุกกับชายหนุ่มรูปงามท่านรอก่อนนะ”

“นี่เจ้า เจ้ามาทำให้มันฟรี ๆ หรือยังไงกันหยุดเลยนะ ข้าต้องการเจ้าตอนนี้มาเรียตต้า!”

“ขอให้ข้าได้สนุกกับเขาก่อนเถอะนายท่าน เขา อ๊ะ! ซี๊ด ข้าไม่เคยเจอชายใดที่องอาจราวกับม้าศึกพันธ์ุดีอย่างนี้มาก่อน ทั้งแข็งแรง ทั้งดุดันเร่าร้อนตรงนั้นของเขา อา.. ทำให้ข้ารู้สึกถึงความคับแน่น อ๊ะ!” เพียงชั่วเสี้ยวอึดใจที่กุสตาฟกะพริบตา หญิงสาวถูกเปลี่ยนให้ลงนอนใต้ร่างกายสูงใหญ่ ดูคล่องแคล่วทะมัดทะแมง กุสตาฟอ้าปากค้างตาเหลือกเมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างดูแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อต้นแขนนั่นไม่ได้เป็นมัด ๆ น่าเกลียด แต่มันสมส่วนได้รูปสวยงามสมความเป็นชาย แบบที่คนร่างท้วมอย่างเขาต้องอิจฉา ช่วงตัวยาวบ่งบอกว่าชายผู้นี้ตัวสูงไม่น้อย สะโพกสอบหนั่นแน่นเข้าประจำที่ ท่อนแขนแกร่งเกี่ยวข้อพับขาหญิงสาวขึ้นในท่าเหมาะ แล้วความเร่าร้อนก็ระเบิดขึ้น จนเสียงเสียวสะท้านของมาเรียตต้าดังระงม

เจ้าของร่างแกร่งสมชายชาตรีเร่งควบเอว กระหน่ำตอกอัดร่างกายเข้าใส่ หญิงสาวนอนหงายใบหน้าหลับตาพริ้ม ริมฝีปากเจ่อเผยออ้าครวญคราง กุสตาฟได้เห็นลีลาร่วมรักแสนเร่าร้อนดุดันน่าอิจฉา เกิดความรู้สึกร่วมจนลืมว่ามาทำไม ได้แต่ยืนฟังเสียงมาเรียตต้าร้องครางราวกับถูกทรมาน จนบทรักร้อนแรงจบลงแล้ว นางยังบิดกายที่กระตุกเร่า ๆ เพราะความสุขสมอยู่ตั้งนาน

“เอาล่ะเสร็จแล้วก็จ่ายราคามา” กุสตาฟบอกเมื่อชายผู้นั้นถอดถอนตัวเองออกจากร่างงาม ผละไปนอนพิงหลังกับหัวเตียง เจ้าของร่างท้วมตาโตเมื่อเห็นท่อนรักกลางกายของชายหนุ่ม ที่กำลังตั้งลำตระหง่านไม่ทันสงบดี ทำเอาชายที่ใช้ความเป็นชายฟาดฟันหญิงนับไม่ถ้วนอย่างเขา มองค้างอย่างตะลึง นั่นมันของม้าชัด ๆ

“ข้านึกว่าเจ้าตกหลุมรักข้าซะอีกแม่สาวน้อย” ถ้อยคำหยอกล้อมีให้หญิงสาวที่นอนหอบหายใจอยู่ข้าง ๆ เล่นเอากุสตาฟกำมือแน่น แต่ด้วยอะไรบางอย่างในตัวของชายหนุ่มคนนี้ ทำให้เขาได้แต่ยืนกัดฟันไม่พอใจ และมองภาพสินค้าสวย ๆ งาม ๆ ของเขาถูกใช้ไม่บันยะบันยัง

“ใช่ ข้าตกหลุมรักท่านแล้วยอดรัก ท่านยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมา”

“มาเรียตต้า!”

“อ้อนายท่านยังอยู่อีกหรือ ข้าบอกแล้วไงว่าให้รอก่อน” ดูเหมือนมาเรียตต้าเพิ่งนึกได้ ว่านายท่านของนางยังยืนอยู่ตรงนี้ จึงทักด้วยน้ำเสียงขี้เล่น แต่นั่นทำเอาอารมณ์ที่เดือดดาลอยู่แล้วของกุสตาฟเดือดมากขึ้นกว่าเก่า

“กลับห้องเดี๋ยวนี้! ส่วนเจ้าก็จ่ายค่าตัวนางมา”

“ไหนบอกว่าจะให้บริการเป็นพิเศษ นี่ข้ากำลังทดลองสินค้าของเจ้าอยู่นะ”

“เจ้า นี่เจ้าคือ...” คือชายในชุดดำที่เขาเจอข้างล่างนั้นเอง แต่เพราะไม่เห็นหน้าในตอนแรก กุสตาฟจึงไม่รู้ว่าเป็นเขา

“หึ เจ้าควรกลับไปกับนายของเจ้าได้แล้วนะสาวน้อย”

“แต่ข้ายังอยากอยู่กับท่านอยู่นะ” นางบอกเสียงออดอ้อนคลอเคลียใบหน้าสวยซบลงอกแกร่งกำยำ

“ไปเถอะนายของเจ้ารออยู่”

“ก็ได้ แต่ข้าจะได้เจอท่านอีกไหม”

“ข้าไม่รู้”

“หวังว่าคงได้เจอท่านอีก แต่วันนี้ข้าขอสั่งลาท่านสักหน่อยได้ไหม”

“ได้สิ” สิ้นคำอนุญาต มาเรียตต้าเลื้อยร่างเปลือยเปล่ายั่วกามาน่าเคล้นคลึง ลงไปยังกลางกายของเขา แม้ว่ามันจะสงบลงมากแล้ว แต่ขนาดของมันยังเรียกความสนใจได้ไม่น้อย หญิงสาวจับแท่งรักที่ตื่นตัวทันทีเมื่อถูกสัมผัสให้ตั้งขึ้น ก้มลงจูบส่วนปลายป้านบานฉ่ำเบา ๆ สายตายั่วยวนเหลือบมองร่างท้วมข้างเตียงท้าทาย เรียวลิ้นตวัดรอบส่วนป้านที่บานออก ครอบโพรงปากอุ่นลงสุดลำ ดูดกลืนกินประหนึ่งเป็นอาหารรสโอชา

ซี้ดดดด

ลมหายใจของกุสตาฟสะดุด เมื่อได้ยินเสียงสูดปากของชายบนเตียง เสียงนั้นเหมือนเป็นตัวกระตุ้นอย่างดี ให้มาเรียตต้าเร่งเคล็ดวิชาพัวพันชิวหาสั่งลากัน กุสตาฟมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาตื่นตะลึง ความกำหนัดในตัวก่อเกิด มองนิ่งนานจนค้าง เวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนร่างชายบนเตียงกระตุกปลดปล่อย หญิงสาวยังอ้อยอิ่งทำความสะอาดส่วนนั้นให้เขา ตวัดสายตามามองนายตัวอย่างท้าทาย

//*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*//

บนทางสามแพร่งเลียบชายป่า บุรุษหนุ่มในชุดคลุมดำนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่พ่วงพี ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กึ่งกลางของทาง เขากับกำลังตัดสินใจว่าจะไปทางไหนดี ซ้ายคือทางขึ้นเหนือสู่พื้นที่หนาวเหน็บ ความหนาวยิ่งเพิ่มพูนยิ่งขึ้นกว่าหนาว เพราะฤดูกาลที่กำลังมาเยือน ขวาลงใต้ไปบนเส้นทางพาสู่เมืองหลวง บางครั้งความตั้งใจกับสิ่งที่สนใจก็อยู่คนละทาง และเขาคงต้องตัดสินใจ กลับบ้านสักทีหรือแสวงหาสิ่งที่ชอบ และสิ่งที่ชอบก็เอาชนะเขาได้ทุกที อาชาพ่วงพีจึงถูกสั่งให้ไปทางขวา จุดหมายปลายทางคือโชคชะตาที่รออยู่

*******

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 3 เพื่อนเก่า



ร้านเหล้าในเมืองหลวงนั้นย่อมคึกคักอยู่แล้ว ยิ่งยามเย็นอย่างนี้ความคึกคักยิ่งมากขึ้นกว่าตอนกลางวันมาก เพราะใคร ๆ ก็ต่างมุ่งหน้าเข้ามาหาความสำราญและพักผ่อนหย่อนใจกันทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่นอกจากมีเหล้ารสแรงให้เลือกดื่มแล้ว ยังมีเบียร์ชนิดต่าง ๆ และไวน์เลิศรสอีกหลายแบบ อย่างที่เรียกได้ว่าไวน์หมักไว้ดื่มเองที่บ้านกลายเป็นน้ำล้างเท้าไปเลย ร้านเหล้าแห่งนี้ไม่เคยเงียบเหงาและวันนี้ก็เช่นกัน ที่ผู้คนพลุกพล่านทั้งขาจรและขาประจำ โดยจะมีกลุ่มลูกค้าชายเป็นหลัก เพราะที่นี่ไม่ได้มีแค่อาหารเลิศรสและเครื่องดื่มรสชาติดี แต่ยังมีสาว ๆ หนุ่ม ๆ ไว้คอยเอาอกเอาใจและบริการอย่างถึงใจอีกด้วย





ประตูร้านทำจากไม้เนื้อแข็งพอเปิดเข้ามาจะพบว่ามีห้องเล็ก ๆ อีกห้องหนึ่ง มีช่องประตูเชื่อมภายในร้านกั้นเอาไว้ด้วยม่านทำจากผ้าหนาและหนัก เพราะอากาศข้างนอกที่เริ่มหนาวเย็น การทำประตูสองชั้นเช่นนี้ จะช่วยกันไม่ให้ความหนาวจากข้างนอกเข้ามาภายในร้านได้ และเมื่อม่านที่กั้นประตูถูกเปิดออก ชายที่เดินเข้ามาก็ได้รับความสนใจจากผู้คนที่ดื่มกินกันอยู่ภายในร้านไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะสาว ๆ ทั้งสาวที่กำลังนำอาหารนำเครื่องดื่มมาให้ลูกค้า และสาวที่กำลังให้บริการ พวกนางต่างหันมามองที่ประตูเป็นตาเดียวเมื่อเขาปรากฏตัว





พอเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากชายหนุ่มแต่งตัวดีคนหนึ่ง กลุ่มผู้ชายที่เป็นลูกค้าส่วนใหญ่ของร้านก็ละสายตาไปจากเขา เพราะมีสาวงามนั่งอยู่เคียงข้างที่น่ามองมากกว่า แต่สำหรับสาว ๆ ในร้านแล้ว ชายหนุ่มกลายเป็นจุดสนใจจนพวกนางจ้องตาไม่กะพริบ ขนาดว่าผู้ชายข้างกายยังต้องค้อนอย่างนึกเคือง เพราะชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านนั้น นอกจากจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้ดีมีฐานะแล้ว หน้าตาของเขายังตราตรึงสายตา และน่ามองกว่าพวกหมูอ้วนสกปรกส่วนใหญ่ที่นั่งดื่มกินอยู่ในร้าน รูปร่างที่สูงสง่าของเขา เล่นเอาบรรดาผู้หญิงที่ทำงานในร้านเหล้าแห่งนี้แทบระทวยไปตามกัน และต่างแอบลุ้นว่าใครจะถูกเรียกไปให้บริการ





ชายหนุ่มไม่ได้สนใจสายตาเชิญชวนของสาว ๆ เหล่านั้น ที่กำลังจ้องมองอยู่อย่างยั่วยวนและเชิญชวน เพราะเขากำลังใช้สายตาคมดุจเหยี่ยวกวาดมองไปรอบร้าน มันสะดุดเข้ากับใครบางคนที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งเงียบ ๆ มุมที่ดูสลัวเพราะใครคนนั้นเลือกจุดที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน และมุมนั้นมีคนเพียงคนเดียวนั่งอยู่กับเหยือกดินเผาใบใหญ่ ภายในเหยือกนั้นก็คงจะเป็นเบียร์พื้นเมืองรสชาติดี สำหรับการละเลียดดื่มแก้คอแห้งแก้หนาว





“ดื่มคนเดียวคงเหงาแย่ ทำไมไม่เรียกสาว ๆ มานั่งเป็นเพื่อนสักคนล่ะ” คำแรกของชายที่เพิ่งมาถึงเอ่ยทัก พร้อมกับทิ้งร่างลงบนเบาะนุ่มท่าทางสบาย ๆ โดยพาดท่อนแขนทั้งสองข้างกางออกนาบไปตามความยาวของพนักเก้าอี้ ยกข้าข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้างอย่างมีเสน่ห์ “ถ้าไม่มีปัญญาจ่ายข้าเลี้ยงก็ได้นะ”

“ข้าไม่ได้ต้องการสาว ๆ นี่”

“ต้องการหนุ่มหรือไง ผู้ชายร้านนี้ก็มีไว้บริการนี่ทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เลย เจ้าจะได้ตามต้องการเพียงแค่กระดิกนิ้ว” ชายที่นั่งในมุมมืดเพียงแค่นยิ้มออกมา เขายกเหยือกดินเผาขึ้นจ่อปากกรอกน้ำเมารสอ่อนฟองฟูลงคอ ใบหน้าในความสลัวของเขายังเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ ไม่แม้แต่จะมองคู่สนทนาที่นั่งยิ้มร่าอย่างคนอารมณ์ดี

“เจ้ามาช้านะ”

ได้ยินอย่างนั้นชายผู้มาใหม่ผายมือทั้งสองข้างออก เขายักไหล่เหมือนกำลังบอกว่าช่วยไม่ได้แล้วจึงพูดต่อ “ข้าไม่ใช่คนพเนจรอย่างเจ้านี่ ที่จะไปไหนมาไหนเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจตัวเอง”

“นั่นสิ เจ้าเป็นถึงอัศวินแห่งราชสำนัก ไปไหนมาไหนโดยไม่มีเจ้านายคงยาก” ชายหนุ่มผู้มาใหม่แค่โครงหัวไม่ถือสาในคำพูดหยอกเย้าของเพื่อนสนิท ทั้งสองนัดมาเจอกันในร้านเหล้าแห่งนี้ แต่เขาคงมาช้าไปจริง ๆ ดูจากเหยือกดินเผาว่างเปล่าข้างกายชายพเนจรที่วางอยู่นับได้หลายใบ

“ว่ายังไงล่ะ ดูท่าเจ้าจะต้องการผู้หญิงนะ”

“ถ้าต้องการผู้หญิงข้าจะเรียกเจ้าออกมาทำไมล่ะ”

“หึ ที่แท้เจ้าก็ต้องการเด็กหนุ่มนั่นเอง แต่เสียใจนะข้าก็คงเป็นประเภทเดียวกันกับเจ้า เราสองคนคงต้องเรียกเด็กมาแล้วล่ะ” ขณะที่พูดกันนั้น ชายผู้มาใหม่มีรอยยิ้มประดับใบหน้าขี้เล่นของเขาตลอด สองหนุ่มที่รูปร่างพอกันยืนขึ้นประจันหน้าจับมือและกอดทักทายกันอย่างสนิทสนม

“สาว ๆ มาบริการพ่อหนุ่มพเนจรคนนี้หน่อยเร็ว” พอชายที่นั่งอยู่ตวัดสายตามอง ชายผู้มาใหม่ก็หันมาพูดกับเขาอย่างคนมีน้ำใจ “ไม่ต้องห่วงน่าวันนี้ข้าเลี้ยงเจ้าเอง”

“หึ หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าเถอะเลนนี่ถ้าจะมาพูดแค่นี้”

“เพื่อนแวะมาหาทั้งที ข้าก็แค่อยากเลี้ยงต้อนรับ” เลนนี่ยักไหล่แล้วนั่งลง และพอก้นขอเขาแตะเก้าอี้อีกครั้ง เหยือกดินเผาบรรจุเบียร์ไว้เต็มก็ถูกนำมาวางลงตรงหน้า สาวงามในชุดผ้าแพรน้อยชิ้นขยับมานั่งเบียดข้างตัว

“จะเลี้ยงโสเภณีข้าหรือไง”

“แววตาเจ้าบอกว่าต้องการปลดปล่อยนะฮานส์ หรือว่าไม่จริงล่ะ” โรฮานส์ อัลเลน วัลเดอราส เลิกคิ้วขึ้นเหมือนถามว่าจริงหรือ เหมือนกับว่าตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการอย่างที่เพื่อนบอก และเมื่อเลนนี่กระดิกนิ้วอีกครั้ง หญิงสาวที่รอท่าอยู่ก็ปรี่เข้ามานั่งลงที่ตักของฮานส์ ซึ่งเจ้าของตักเองก็อ้าแขนรับนางอย่างเต็มใจ

“เจ้าหัดดูคนตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ข้าก็ต้องหัดดูบ้างนั่นแหละ หน้าที่อย่างข้าต้องรู้จักสังเกตไม่อย่างนั้นก็อายุสั้น”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สมควรตาย เพราะข้าว่าเจ้าคงดูผิดแล้วล่ะ”

“เจ้าคงต้องการเด็กผู้ชายสินะ” แค่ส่งสายตาหนุ่มน้อยน่ารักก็มานั่งแทนที่หญิงสาวที่ไม่ได้ลุกไปไหน แต่นั่งลงข้างกายแกร่งของฮานส์นั่นเอง “เจ้ามาที่นี่ทำไม”

“มาไม่ได้หรือไง หรือว่าเมืองหลวงห้ามคนพเนจรอย่างข้าเข้ามา”

“ก็ไม่ ข้าแค่อยากรู้ว่าคนรักสันโดษรักอิสระและรักธรรมชาติอย่างเจ้า จะเข้ามาเมืองใหญ่ ๆ ที่ผู้คนยั้วเยี้ยเหมือนมดปลวกอย่างนี้ทำไมกัน”

“หึ ดูสิ พวกเจ้ากลายเป็นมดปลวกไปแล้วรวมทั้งเขาด้วย” ฮานส์หันมาพูดกับหนุ่มน้อยบนตักและสาวที่คลอเคลียอยู่ข้าง ๆ อย่างหยอกเย้า และยังแหย่ไปถึงเพื่อนรักด้วย เมื่อเลนนี่เปรียบเทียบคนในเมืองหลวงเป็นมดปลวก โสเภณีทั้งสองยิ้มขำราวกับว่ากำลังคุยเรื่องตลกนักหนา ซึ่งเป็นอีกหน้าที่หนึ่งในการมอบความสำราญ แต่ลูกค้าทั้งสองกลับยังนั่งมองตากันนิ่ง จนในที่สุดเลนนี่ก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

“งั้นเรามาดื่มให้มดปลวกกันเถอะ”

“ก็ดี”

“แด่มดและปลวก” สองหนุ่มลูกค้าและสามโสเภณียกเหยือกดินเผาชู้ขึ้น แล้วดื่มกันอึกใหญ่จนหมดเหยือก

“นั่นเจ้ากำลังจิบนะไม่ใช่ดื่ม” ฮานส์ทักขึ้นทันที เมื่อเห็นเลนนี่ยกเหยือกดินเผาขึ้นจิบเพียงนิดเดียวแล้ววางลง ซึ่งผิดวิสัยของเพื่อนคนนี้เป็นอย่างมาก สำหรับคนที่เคยเมามาด้วยกัน

“พอดีข้าเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา เลยไม่อยากดื่มมาก”

“ก็ยังไม่ตายนี่ แผลของเจ้านะรอยเล็บนางข่วนยามเจ้าทำอะไรกับร่างกายนางยังลึกกว่าด้วยซ้ำ” ฮานส์หรี่ตามองไปที่หญิงสาวข้างกายของเลนนี่แฝงความหมาย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้เพื่อนอย่างรู้กัน

“รู้ดี ถ้าอย่างนั้นมาดวดกัน วันนี้ใครเมาก่อนแพ้ต้องทำตามคำสั่งของอีกคน”

“นี่สิถึงสมกับเป็นเซอร์เลนนี่แห่งวังหลวง” เบียร์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกยกมาวางและหมดลงไป บุรุษองอาจทั้งสองมีคนข้างกายคอยป้อนดื่ม จนเวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ได้ แต่ที่แน่ ๆ คือ ถังไม้โอ๊คที่ใช้ในการหมักและบรรจุเบียร์นั้น ถูกนำมาวางไว้ข้างโต๊ะของสองหนุ่มที่กำลังดวดกันเลยทีเดียว









ปึง!!

“ไงล่ะ” ฮานส์ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนรัก ตอนนี้หนุ่มพเนจรสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย มันเหมือนจะไม่มีแรงแต่ก็ไม่ได้อ่อนเปลี้ยจนทำอะไรไม่ได้ มันเหมือนจะเมาแต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

“เลนนี่” ! ฮานส์ทำได้เพียงกัดฟันกรอดจ้องตาเพื่อนเขม็ง เขาเปล่งเสียงเรียกและพบว่าเสียงของเขามันสั่นจนน่ากลัว แต่เพื่อนรักกลับยังยิ้มร่าอยู่เหมือนเดิม เลนนี่หัวเราะชอบใจที่เห็นฮานส์นั่งตัวสั่น

“ยอมแพ้ไหมล่ะ”

“นี่ มันเบียร์อะไร ทำไมมัน..” ฮานส์นิ่วหน้าและหลับตาลงแน่น

“มันทำให้เจ้าต้องยอมรับว่าการดวดครั้งนี้เจ้าแพ้นะสิ”

“หึ เจ้าคงอยากชนะมากสินะ” เลนนี่ยิ้มร้ายพร้อมกับคิ้วข้างหนึ่งที่ยกขึ้นสูง เพราะนี่เป็นการดื่มที่ไม่มีกติกาอะไรนอกจากคนแพ้ต้องทำตามคำสั่งคนชนะเท่านั้น พวกเขาเคยเล่นกันอยู่บ่อย ๆ สมัยตอนเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม

“หึหึหึ รู้อยู่แล้วนี่”

“ก็ได้ข้ายอมให้เจ้า ตกลงข้าต้องทำอะไร” กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำช่างยากลำบากนัก ฮานส์รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังถูกอำนาจบางอย่างเข้าครอบงำ และเขาต้านทานมันไม่ได้

“อีกเจ็ดวันจะมีการประลองบนหลังม้าประจำปี และข้าอยากให้เจ้าเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประลอง”

“หึ” ฮานส์แค่นหัวเราะออกมา ถึงจะรู้ว่าถูกวางยาแต่ก็ยังยกเหยือกเบียร์ขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ “งานประลองที่ต้องสังเวยด้วยชีวิตถ้าแพ้ข้าก็ตาย นี่เจ้ายังคิดว่าข้าเป็นเพื่อนอยู่ไหมถึงอยากให้ข้าเข้าประลอง”

“ข้าจะห่วงเจ้าทำไมล่ะ ในเมื่อเจ้าตั้งใจมาร่วมงานนี้อยู่แล้ว”

“ข้ามาเพื่อเป็นผู้ชมต่างหาก ไม่ใช่หนึ่งในผู้เข้าร่วมต่อสู้”

“เจ้าไม่ตายหรอกน่า”

“เจ้ามั่นใจขนาดนั้นได้ยังไงล่ะเลนนี่”

“เพราะเจ้าจะชนะไง”

“อย่ามั่นใจในตัวข้าขนาดนั้น เอาล่ะข้าตกลง แต่จะบอกได้หรือยังว่าผสมอะไรลงไปในเบียร์ให้ข้าดื่ม”

“วิโอเลีย” !

“หึ” ฮานส์พยายามแค่นหัวเราะออกมาอีกจนได้ คิดไม่ผิดจริง ๆ “เจ้าโกงข้านี่นา”

“แล้วเจ้าก็โง่ดื่มทั้งที่รู้ว่าข้าโกง ดูเหมือนเจ้าเองก็คงอยากถูกโกงมากเลยนะ หรือว่าอยากเข้าร่วมประลอง แต่เอ๊ะ เจ้าไม่รู้มาก่อนนี่ว่าข้าจะให้เจ้าเข้าประลอง หรือว่าอยากให้สองคนนี้ช่วยผ่อนคลายเจ้ากันแน่ล่ะ”

“เลนนี่!” ฮานส์กัดฟันกรอดเพราะเขาเริ่มจะควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้แล้ว บางสิ่งบางอย่างที่เรียกว่าวิโอเลียถูกนำมาผสมในเบียร์ให้เขาดื่ม มันกำลังเริ่มควบคุมเขาให้ทำอะไรต่อมิอะไรเหมือนคนไร้สติ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรลงไปแต่ก็หยุดไม่ได้

“พวกเจ้าพาเขาไปผ่อนคลายได้แล้ว ดูแลเพื่อนข้าให้ดีแล้วพรุ่งนี้ข้าจะมารับตัวเขาเอง”

“เจ้าค่ะนายท่าน / ขอรับนายท่าน” พอโสเภณีชายหญิงทั้งสองรับคำ เลนนี่โยนเหรียญทองให้คนละเหรียญ ซึ่งมูลค่าของมันมากกว่าที่ทั้งสองทำงานมาทั้งเดือนเสียอีก ร่างสูงใหญ่ของฮานส์ถูกประคองปีกคนล่ะข้างขึ้น เพื่อพาไปผ่อนคลายยังห้องพักที่มีความเป็นส่วนตัวกว่า ห้องที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดีสำหรับต้อนรับเพื่อนของเซอร์เลนนี่โดยเฉพาะ!





“แล้วท่านล่ะ ต้องการให้ข้าผ่อนคลายท่านแบบไหนดีเจ้าคะนายท่าน” โสเภณีข้างกายเลนนี่เอ่ยถามขึ้น หลังจากที่นั่งคลอเคลียสัมผัสลูบไล้ร่างแกร่งกำยำของเขาอยู่นาน และนางอยากสัมผัสให้ลึกซึ้งมากกว่านี้

“อภัยข้าด้วยท่านหญิงวันนี้ข้าไม่ต้องการผ่อนคลาย” วาจาหยอกเย้าขี้เล่นของเลนนี่ทำเอานางยิ้มหวานให้เขาด้วยความปลาบปลื้มใจ เพราะน้อยนักน้อยหน้าที่ชายนักเที่ยว จะใช้วาจาให้เกียรติโสเภณีอย่างนางเช่นนี้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาเพียงแกล้งเย้า แต่นางก็แอบใจเต้นอย่างห้ามไม่อยู่ นี่นางตกหลุมรักเขาเข้าแล้วหรืออย่างไร!

“น่าเสียดายจัง คืนนี้ท่านน่าจะใช้วิโอเลียสักหน่อยนะ”

“หึ” เลนนี่ลุกขึ้น ช่วงขาแข็งแรงก้าวออกไปได้เพียงสองก้าว เขาก็หันกลับยิ้มให้หญิงคณิกาที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม อาภรณ์ของนางที่มีอยู่น้อยชิ้น เพื่อทำหน้าที่ปกปิดร่างกายบางส่วนหลุดลุ่ยอย่างตั้งใจ และก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากตรงนั้น เหรียญทองอีกเหรียญถูกโยนให้ และนางรับมันไว้ได้อย่างชำนาญ

“เป็นรางวัลของเจ้าสาวน้อย”

“ขอบคุณเจ้าค่ะนายท่าน” เล่นนี่หันหลังเดินจากไปอีกครั้ง แต่พอนึกอะไรบางอย่างได้เข้าก็หยุดเท้าที่กำลังก้าวเดิน “ท่านเปลี่ยนใจ” ??

“เจ้าชื่ออะไร”

“เอลิชเจ้าค่ะ” นางได้แต่มองตามร่างสูงสง่าของเซอร์เลนนี่ไปอย่างแสนเสียดาย ด้วยรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยที่จะได้ใกล้ชิดปรนนิบัติคนระดับนี้ รู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นใครแต่ก็ได้แค่เฝ้ามองและรอความเมตตา





วิโอเลีย ได้ชื่อว่าเป็นพืชที่มีทั้งคุณและโทษ ในทางการแพทย์ถือว่าเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์หลายอย่าง โดยเฉพาะใบของมันที่นำมาบดใช้ในการสมานแผล ช่วยลดความปวด ลดบวม ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลำต้นและกิ่งก้านของมันหากนำมาตากแห้งแล้วจุดไฟ ไฟจะค่อย ๆ ไหม้ทำให้เกิดควันจาง ๆ ที่มีกลิ่นหอมช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ดอกสีเหลืองสดที่สวยงามนั้น เกสรของมันกลับมีพิษที่อาจจะเรียกว่าเป็นพิษร้ายได้ไม่เต็มปากนัก แต่ก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อยอย่างที่ฮานส์ได้รับ มันคือผงเกสรของดอกวิโอเลียที่มีวิธีการทำง่าย ๆ ก็คือ นำดอกวิโอเลียที่บานเต็มที่มาตากแดดให้แห้ง แล้วเคาะเอาแต่เกสรและกลีบดอกตรงกลางให้ตกลงไปบนผ้ารอง ก่อนนำมาใช้ต้องอบให้แห้งอีกครั้งแล้วบดจนเป็นผงละเอียด เวลาจะใช้ต้องตวงให้พอดี หากผสมในเครื่องดื่มจะใช้เพียงเล็กน้อยเพื่อให้เกิดความมืนและเมา มันช่วยให้รสชาติของเครื่องดื่มร้อนแรงขึ้น และอาการเมาจะมากขึ้นตามปริมาณที่ใช้ ส่วนที่ฮานส์เป็นนั้น เพราะเขาได้รับในปริมาณที่มากเกินไปมันทำให้เขาเมาง่ายขึ้น และนอกจากทำให้มึนเมามันยังมีมีฤทธิ์ที่ทำให้เกิดความกำหนัด แต่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะยิ่งใช้มากก็ยิ่งอันตรายมาก นั่นเองจึงอธิบายได้ว่า ทำไมเลนนี่จึงต้องเรียกโสเภณีให้ฮานส์ถึงสองคน!



วิโอเลียดูเหมือนว่าจะเป็นพืชที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย มันควรจะได้รับความนิยมในการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย แต่กลับไม่ใช่ เพราะวิโอเลียถือเป็นพืชที่ปลูกยากและให้ดอกน้อยมาก ปีหนึ่งจะออกดอกเพียงครั้งเดียวกลางฤดูร้อน และมันจะออกดอกเพียงต้นละดอกเท่านั้น พอเก็บดอกแล้วก็ต้องรอไปอีกหนึ่งปี มันจึงหายากและมีราคาแพง

ต่อข้างล่างจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2018 21:41:30 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

บนระเบียงของปราสาทที่หันหน้าออกไปยังสวนด้านนอก เจ้าของร่างสูงเพรียวยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย กำลังทอดสายตามองไปยังเหล่าเทวดาและนางฟ้าตัวน้อยสีทอง ที่ถูกปั้นแต่งขึ้นให้นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ กลางสระน้ำ และตรงกลางวงของร่างเล็ก ๆ กลุ่มนั้น จะมีน้ำพุพุ่งขึ้นมาเป็นช่วงอย่างสวยงาม สายน้ำใสสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ และจูเลียนกำลังเฝ้ารอดูมัน แต่ยังไม่ทันได้เห็นสายน้ำที่ใช้วิธีการผันน้ำให้พุ่งขึ้นตรงใจกลางของสระ ก็มีอย่างอื่นมาเรียกความสนใจหนุ่มน้อยไปเสียก่อน

“ฝ่าบาท” พอหันกลับมาเห็นว่าเป็นใคร จูเลียนก็แทบจะปรี่เข้าหาเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ข้างหลังทันที

“กรอสเซ่ ข้าให้คนไปตามเจ้ามาแต่เช้าคงไม่ว่าข้านะ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”

“หม่อมฉันมิบังอาจหรอก ว่าแต่ฝ่าบาท..”

“ไม่ต้องลำบากพูดแบบคนอื่นกับข้าหรอก ข้าแค่คิดถึงเจ้ายอดรักของข้า”

“ข้าก็คิดถึงจูเลียนเหลือเกิน คิดถึงจนแทบจะรอไม่ไหว” มีแต่กรอสเซ่เท่านั้นรู้ว่าสายตาของเขาที่มองจูเลียนมันเสแสร้ง แต่สายตาหวานหยาดเยิ้มของจูเลียนที่มองตอบนั้น มันเปิดเผยความในใจอย่างไม่ปิดบัง ไม่มีอะไรซ่อนเร้นในดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้น ที่บอกว่ารักและหลงใหลเขามากขนาดไหน

“ก่อนอื่นข้าต้องขอแสดงความยินดีกับกวีประจำราชสำนักคนใหม่ ข้ามีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าไปแล้ว”

“ฝ่าบาทกรุณาต่อข้าเหลือเกิดยอดรัก” กรอสเซ่ทำท่าจะคุกเข่าลงตรงหน้าจูเลียน แต่ก็ถูกรั้งเอาไว้ก่อนจากคนที่เขาตั้งใจคุกเข่าขอบคุณ จูเลียนประคองกรอสเซ่ขึ้นสายตาไม่ละไปจากใบหน้าขาวของกวีหนุ่ม

“ไม่ต้องหรอก”

“ฝ่าบาท”

“ไหนล่ะรางวัลของข้า ข้าจะเอารางวัลนะกรอสเซ่และข้าต้องได้เดี๋ยวนี้” กรอสเซ่แย้มยิ้มแต่ภายใต้รอยยิ้มนั้น นอกจากตัวเขาเองก็หาได้มีผู้ใดล่วงรู้ไม่ ว่ามันคือฟันที่ขบกันแน่น ชายหนุ่มเพียงขยับริมฝีปากออกโดยที่ริมปากทั้งบนและล่างไม่ได้เผยออ้าจากกัน ซึ่งใคร ๆ ได้เห็นก็คงจะดูออกว่ามันเป็นยิ้มที่ฝืดฝืนมากเพียงใด แต่คงไม่ใช่จูเลียนผู้ที่กำลังถูกความรักบังตา จึงยากจะมองเห็น!

“ข้าต้องให้รางวัลยอดรักของข้าอยู่แล้ว” จูเลียนหลับตาพริ้มรอรับรางวัลที่คนรักกำลังจะมอบให้ ความตื่นเต้นที่กรอสเซ่จะแสดงความรักอีกครั้ง ทำให้ก้อนเนื้อในอกเต้นรัว ยิ่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดผิวเนื้อ จูเลียนยิ่งตื่นเต้นจนร่างเพรียวสั่นไหว ยิ่งรู้สึกได้ถึงมือใหญ่ที่สัมผัสท้ายทอยเพื่อกดให้ใบหน้าเขาหากัน จูเลียนยิ่งแทบอยากกระโจนเข้าหาเสียเองให้ทันใจตัว

“อยู่นี่เอง” ! กรอสเซ่ผลักจูเลียนออกห่างแทบไม่ทัน เมื่อเสียงใส ๆ ดังขึ้นข้างหลังของกษัตริย์หนุ่มน้อยและชายคนรัก

“ทาร์เทียนา เจ้ามาทำไม”

“นี่มันยามเช้าที่สดใสมากนะแต่ดูเหมือนเจ้าจะอารมณ์เสียแล้วสิจูเลียน”

“ข้าไม่ได้อารมณ์เสีย ว่าแต่เจ้าเถอะมาทำไมแต่เช้า” ถึงจะบอกว่าไม่ได้อารมณ์เสียแต่พักตร์ที่บูดบึ้งก็ประกาศชัดเจน ว่าตอนนี้จูเลียนหงุดหงิดมากขนาดไหน แต่กระนั้นแฝดน้องก็ยังยิ้มหวานลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่รับรู้เช่นเดิม

“เด็กรับใช้ประจำตัวไปไหนแล้วล่ะ ทำไมไม่มาติดตามเจ้า” ถามเพราะเห็นว่าไม่มีใครอยู่ข้างกายกับจูเลียนเลยนอกจากคนที่นางไม่ชอบหน้า

“ข้าให้ลีโอไปทำธุระ ว่าแต่เจ้าเถอะมาทำไม”

“เจ้าอารมณ์เสียจริง ๆ นะจูเลียนข้าแค่มาชวนเจ้าไปดูการซ้อมดาบ นะไปด้วยกัน”

“ข้าไม่ไป ข้าไม่ชอบ” จูเลียนถอนหายใจแล้วบอกอย่างไม่สบอารมณ์ ยิ่งเห็นรอยยิ้มซุกซนที่ประดับใบหน้าของขนิษฐาแฝด ก็ยิ่งไม่พอใจ เพราะคิดว่าทาร์เทียน่าเพียงต้องการเข้ามาขัดจังหวะพลอดรักของตัวเอง

“ไปเถอะน่าข้าอุตส่าห์มาชวนนะกรอสเซ่เจ้าไปด้วยกันสิ” จูเลียนหันมาทางกรอสเซ่เมื่อทาร์เทียน่าถือโอกาสชวนกวีหนุ่มไปด้วย ขนิษฐาแฝดยิ้มหวานให้เขาที่หากเป็นคนอื่นจูเลียนคงนึกเคือง เพราะนางยิ้มจนเห็นฟันขาวสะอาดแทบทุกซี่ แต่สายตาของนางนั้นกลับไม่ยิ้มตาม เพราะมันดูแข็งกร้าวจนน่ากลัว กวีผู้อ่อนไหวอย่างกรอสเซ่ยังยากที่จะกล้าสบตาได้

“เจ้าอยากไปดูการซ้อมดาบหรือไม่กรอสเซ่”

“แล้วแต่ฝ่าบาทจะทรงโปรด”

“ไปเถอะน่า ผู้ชายน่าจะชอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงเรื่องการต่อสู้” แต่อาจจะเว้นผู้ชายสองคนนี้ที่ชอบจินตนาการชวนฝันมากกว่า

“ข้าไม่ชอบ” จูเลียนตอบทั้งขัดใจ

“เจ้าควรฝึกการต่อสู้เอาไว้ป้องกันตัวบ้างนะจูเลียน ไปเถอะข้าจะสอนเจ้าเอง”

“เจ้าเก่งแล้วหรือไงถึงจะคิดมาสอนคนอื่น”

“หึ เก่งกว่าเจ้าก็แล้วกันมาสิ” ทาร์เทียน่าในชุดทะมัดทะแมงคล้องแขนจูเลียนให้เดินไปด้วยกัน โดยไม่แม้แต่จะปรายตามาทางกวีประจำราชสำนักที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งหมาด ๆ เพราะนางไม่พอใจนิโคลเองก็เช่นกัน แต่ด้วยเห็นว่าเป็นตำแหน่งที่ไม่มีความหมายหรือความสำคัญอะไรมากนักทุกคนจึงปล่อยผ่าน





ลานฝึกซ้อมของทาร์เทียน่าก็คือสนามหญ้าภายในบริเวณปราสาทของนาง ที่มีอาวุธชนิดต่าง ๆ ตั้งเรียงรายรอให้หยิบใช้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนอีกด้านเห็นอยู่ไกล ๆ เป็นเป้ายิงธนูที่ยังมีลูกธนูปักคาเอาไว้ ซึ่งทาร์เทียน่าคงซ้อมมันก่อนที่จะเดินไปหาจูเลียนนั่นเอง ทั้งสองเดินมานั่งลงยังชุดเก้าอี้ที่จัดเอาไว้พร้อมชุดน้ำชา กรอสเซ่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหลังของจูเลียน พอนั่งลงจิบเครื่องดื่มร้อน ๆ ให้สดชื่นแล้ว ทาร์เทียน่าจึงลุกขึ้นพร้อมกับดาบของนาง





“จะให้เกียรติเป็นคู่ซ้อมข้าได้หรือไม่ เซอร์เฮนริช” ไม่มียามใดที่จูเลียนจะเสด็จโดยไร้อัศวินประจำตัวเช้านี้ก็เช่นกัน เพราะเพียงกษัตริย์หนุ่มน้อยก้าวเดิน อัศวินผู้เฝ้าดูเพื่อปกป้องก็ก้าวออกมาปรากฏตัว

“ถือเป็นเกียรติของข้าท่านหญิง”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจเกราะของท่านหรอกนะ”

“ตามประสงค์ของท่านหญิงเลยฝ่าบาท” เฮนริชแสดงความเคารพหญิงสาวด้วยการคำนับให้นาง โดยที่สายตาของเขาไม่อาจละไปจากใบหน้างดงามนั้นได้เลย ใบหน้างดงามที่มีส่วนคล้ายคลึงกันกับจูเลียนอยู่มาก แต่รอยยิ้มนั้นกลับตราตรึงใจอัศวินหนุ่มมากยิ่งกว่า

“จับตาดูฝีมือของข้าให้ดีนะจูเลียน”

“คงน่าดูสู้ละครของข้าไม่ได้หรอกทาร์เทียน่า เจ้ารีบไปซ้อมเถอะจะได้เสร็จ ๆ ไปสักที” ทาร์เทียน่ายิ้มร่าให้แฝดพี่ นางซ้อมดาบอย่างอารมณ์ดีเมื่อมีจูเลียนมานั่งทำหน้าตึงอยู่ข้างสนาม คู่ซ้อมทั้งสองเหมือนผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ในความเป็นจริงบุรุษผู้มากกว่าด้วยแรงกำลังและประสบการณ์ย่อมได้เปรียบ เฮนริชที่ดูเหมือนจะต่อสู้อย่างเต็มที่ แอบอ่อนข้อให้นางอย่างแนบเนียน ส่วนจูเลียนที่ดูเหมือนจะสนใจในคราแรก ตอนนี้กลับมองสองคนที่ฟาดฟันดาบเข้าหากันด้วยความเบื่อหน่าย เพราะไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้แต่ก็จำใจฝืน หันไปหาคนรักเชิญชวนให้นั่งลงคุยกัน จากนั้นหนุ่มน้อยก็หันหลังให้การต่อสู้อย่างไม่ไยดี

---------------

“ท่านจะปล่อยให้มันลอยหน้าลอยตาในวังแห่งนี้ไปอีกนานแค่ไหน” ชายวัยกลางคนร่างท้วมถามชายรุ่นราวคราวเดียวกันที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ บ่งบอกตำแหน่งในการประชุมนี้ว่านั่นคือหัวหน้าผู้มีอำนาจสูงสุดที่นี่

“ใจเย็นสิ เจ้าก็รู้ว่าเราทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้” ชายอีกคนพูดขึ้น ตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ด้านขวาของหัวโต๊ะ เขาพูดแทนคนเป็นหัวหน้าในฐานะผู้ช่วย แต่ชายวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขามที่นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำกลุ่ม กลับยังนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้นิ่ง ด้วยใบหน้าที่ยากจะเดาความรู้สึกอยู่เช่นเดิม

“แล้วต้องให้รออีกนานแค่ไหนกันล่ะ แผนของเราถึงจะได้เริ่มจริง ๆ จัง ๆ สักที” คำถามนี้เป็นของชายหนุ่มอายุราวสามสิบ เขาสวมชุดอัศวินดูสง่างามมากทีเดียว แต่ท่าทางใจร้อนและลนลานนั่นกลบความน่าเชื่อถือของเขาลงไปแทบหมด

“ถ้าเจ้ายังไม่ลืมวันที่มันกลับจากล่าสัตว์ก็น่าจะเห็นว่าแผนของเราเริ่มแล้ว” ชายผู้ช่วยยังคงทำหน้าที่ตอบคำถามแทนผู้เป็นหัวหน้าอยู่เหมือนเดิม และพอได้ยินคำตอบชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้างอัศวินก็เยาะหยันขึ้นทันที

“แต่ก็ล้มเหลวตั้งแต่เริ่มใช่ไหมล่ะ หึ”

“เจ้าจะรีบร้อนไปไหนเรามีเวลาอีกนาน” ชายผู้ช่วยบอกแล้วกวาดตามองทุกคนที่นั่งรอบโต๊ะอย่างมีความนัย

“ใช่ นานพอให้มันผลาญเงินในคลังจนหมดเลยเชียวล่ะ” ชายวัยกลางคนร่างท้วมสวนขึ้นทันที แววตาของเขาไม่ปิดบังความอิจฉาเลยสักนิด เขาไม่ชอบใจที่เงินแผ่นดินในคลังหลวงถูกใช้ไปกับสิ่งที่มองไม่เห็นประโยชน์กับใคร นอกจากตัวคนที่สั่งให้เอาเงินออกมาใช้เอง

“ปล่อยให้มันหลงระเริงไปเถอะ ดีสิมันจะได้ตายใจจากนั้นเราค่อยกำจัดมันให้พ้นทาง”

“เตรียมคนของเจ้าเอาไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน”

“คนของข้าพร้อมอยู่ตลอดเวลา ส่วนเจ้าล่ะทำอะไร”

“ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบมากกว่าเจ้าก็แล้วกัน”

“อย่าคิดว่าจะรับเอาความดีความชอบเป็นของตัวเองทั้งหมดล่ะ”

“ข้าไม่ได้หวังสิ่งใดมากไปกว่าอยากให้บ้านเมืองได้คนดี ๆ มาปกครอง และนั่งบนบัลลังก์อย่างสมเกียรติ”

“แล้วใครจะคู่ควร”

“อย่ามัวแต่เถียงกันให้เสียเวลา” ! ชายที่นั่งหัวโต๊ะพูดขึ้นอย่างรำคาญ เมื่อสมาชิกที่นั่งอยู่รอบโต๊ะเอาแต่เถียงกันไปเถียงกันมากอย่างไร้สาระ “งานนี้เราจะต้องวางแผนให้รอบคอบ พวกเจ้าอย่าลืมสิว่านี่มันไม่ใช่แค่การกำจัดจูเลียน แต่เราต้องทำให้ชาวเมืองเห็นด้วยว่ามันสมควรถูกกำจัดจริง ๆ และต้องจัดการให้แนบเนียนที่สุด”

“ชาวเมืองส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รักจูเลียนเท่าไหร่หรอกน่า พวกที่หนุนมันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะรักเฟรเดอริคพ่อของมันต่างหาก”

“ข้าว่าถ้าใช้คนของเราไม่ได้ก็ต้องใช้คนนอก”

“นั่นมันเสี่ยงเกินไป”

“ไม่เสี่ยงหรอกถ้าหาคนฝีมือดีสักหน่อย ทางมอนทาร์น่าว่ายังไง”

“หรือเราจะยืมมือมอนทาร์น่าให้จัดการแทน”

“ไม่ต้องยืมหรอก แค่มันปล้นขบวนสินค้าของออสเซนเทียก็รู้แล้วว่ามันคิดยังไง”

“แต่มอนทาร์น่าตอบรับคำเชิญมาร่วมงานประจำปี”

“ใช่ และเราอาจจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างบ้างก็ได้หากพวกนั้นยอมมาจริง”

“ข้าได้ข่าวว่ากษัตริย์แห่งมอนทาร์น่าเป็นคนเด็ดขาดมาก”

“อเล็กซิสน่ะหรือ แล้วยังไงล่ะ”

“ถ้าทางนั้นมาร่วมงานประจำปีของเราจริง แสดงว่ามันต้องวางแผนอะไรบางอย่างเอาไว้แล้วแน่นอน”

“แล้วทางสวาเนียร์ล่ะ”

“มีข่าวออกมาว่าสวาเนียร์อยากเร่งให้จูเลียนแต่งงานกับเจ้าหญิงอนาสตาเซียเร็ว ๆ”

“ทำไม”

“คงอยากเชื่อมสัมพันธ์กับเราเพื่อความแข็งแกร่งของประเทศตัวเอง”

“แต่ข้าว่ายังไงจูเลียนก็ไม่ยอม ดีไม่ดีอาจจะโยนไปให้นิโคลัสก็ได้”

“ไม่ว่าจะแต่งกับใครมันก็ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย เราต้องดึงมอนทาร์น่ามาเป็นพวกให้ได้ก่อน”

“นั่นไม่ใช่เรื่องยากหรอกข้าขออาสาไปเจรจากับมอนทาร์น่าเอง”

“พวกเจ้าจะรีบร้อนอะไรกันนักหนา” ชายที่นั่งอยู่หัวโต๊ะขัดขึ้น ขณะที่คนอื่น ๆ กำลังปรึกษากันอย่างออกรส ทำให้ทุกคนหันไปมองเขาเป็นตาเดียว

“หรือท่านไม่รีบล่ะ หากกำจัดจูเลียนกับพี่น้องของมันได้ คนที่จะได้นั่งบัลลังก์ก็คือท่านไม่ใช่หรือไง”

“หึ..” ชายที่นั่งหัวโต๊ะตรงตำแหน่งผู้นำเพียงแค่นยิ้มออกมา แต่สายตาของเขานั้นหาได้ยิ้มด้วยไม่ เพราะมันแข็งกร้าวน่ากลัวจนหลายคนต้องหลบไม่กล้ามอง

“ท่านมีแผนอะไรอยู่กันแน่” ชายอีกคนที่เงียบมาตั้งแต่นั่งลงที่เก้าอี้ถามขึ้นอย่างคลางแคลงใจ

“ที่ท่านยังไม่ลงมือทำอะไรให้เด็ดขาด เพราะกำลังหวังอะไรอยู่หรือไง” อัศวินหนุ่มปรายตามองชายที่นั่งหัวโต๊ะ

“แล้วเจ้าคิดว่าข้าหวังอะไรอยู่ล่ะ พูดออกมาสิ” และถูกถามกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น หลังจากชายในชุดอัศวินถามแล้วปรายตาไปมองหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในที่ประชุมอย่างออกตัวว่ารู้เท่าทัน

นี่คือบรรยากาศภายในห้องลับห้องหนึ่ง การประชุมลับเกิดขึ้นหลายครั้งเพราะต้องวางแผนให้รัดกุม เพื่อบรรลุตามจุดประสงค์ของกลุ่มอย่างที่ตั้งเอาไว้ พอการประชุมเลิกต่างคนก็ต่างแยกย้ายออกไปกันคนละทางเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ

********* 50%*******
แจกันวันพรุ่งจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2018 21:41:54 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
“ฝ่าบาท รัฐมนตรีโจเซฟและลูกสาวขอเข้าเฝ้า” จูเลียนขมวดคิ้วมุ่น เพราะสงสัยว่าทำไมรัฐมนตรีถึงได้มาขอเข้าเฝ้าในเวลาเช่นนี้ ซึ่งเป็นเวลาพักผ่อนส่วนตัวของเขา “หรือว่ามิทรงโปรด”

“ให้เขาเข้ามา” ลีโอน้อมคำนับแล้วออกไป ไม่นานคนที่ขอเข้าเฝ้าก็เข้ามาในห้องนั่งเล่น ซึ่งจูเลียนกำลังจิบชายามบ่ายและอ่านบทกวีอย่างที่ทำทุกวัน

“ฝ่าบาทอภัยด้วยที่ข้ามารบกวน ถวายพระพร”

“ถวายพระพรฝ่าบาท”

“สวัสดีท่านรัฐมนตรีและนี่คงจะเป็นลีอานนาสินะ” ลีอานนาถอนสายบัวด้วยกิริยามารยาทที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี หากเป็นชายอื่นก็คงมองความสวยน่ารักของนางอย่างหลงใหล แต่ไม่ใช่จูเลียนผู้ไม่ได้มีสายตาไว้มองหญิงใดทั้งนั้น

“ไม่ได้รบกวนหรอก ท่านมีอะไรทำไมถึงได้อยากพบข้าตอนนี้”

“ฝ่าบาทหม่อมฉันเกรงว่า...” โจเซฟเหลือบมองไปทางลีโอคล้ายกับกำลังบอกว่า เรื่องที่จะพูดนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อยากให้ ใครอื่นรับรู้ด้วย

“ข้ารับรองว่าลีโอจะปิดปากเงียบ” ถึงจะไม่ค่อยพอใจแต่โจเซฟก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เป็นอย่างดี ชายวัยกลางคนสวมบทผู้ใหญ่ใจดียิ้มอ่อนให้กษัตริย์หนุ่มน้อย หากจูเลียนบอกมาแบบนั้น ถึงเป็นรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพลอย่างโจเซฟแต่มีหรือจะกล้าแย้ง เขากระแอมไอเบา ๆ ไม่ใช่เพราะความประหม่า แค่อยากถ่วงเวลาให้ใจเย็นลง แล้วจึงเริ่มเข้าสู่จุดประสงค์ที่มา

“ข้าเพียงอยากมาปรึกษาเรื่องสวาเนียร์ฝ่าบาท” โจเซฟเข้าเรื่องทันที

“สวาเนียร์ทำไมหรือ”

“เจ้าหญิงอนาสตาเซียคู่หมาย”

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะข้ายังไม่ได้คิด”

“แน่นอนฝ่าบาท และงานประจำปีที่จะถึงนี้ฝ่าบาทกับเจ้าหญิงจะมีโอกาสพบกันเป็นครั้งแรก ข้าได้ยินข่าวลือมาว่านางช่างงดงามยิ่งนัก”

“เท่านั้นหรือท่านรัฐมนตรี”

“ข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะ”

“พูดมาเถอะ” โจเซฟหันไปมองลีอานนาที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังเขา ท่าทาเอียงอายของสาวน้อยใครเห็นก็คงหลงรักเอ็นดูนางได้ไม่อยาก แต่สายตาของจูเลียนกลับยังคงนิ่งและรอฟังสิ่งที่โจเซฟกำลังจะบอก

“ข้ามาตรองดูแล้ว หากฝ่าบาทไม่โปรดเจ้าหญิงต่างเมืองลีอานนาพร้อมจะถวายตัว” แม้จูเลียนจะรู้สึกเหมือนถูกกดดัน แต่พักตร์ที่อ่อนเยาว์นั้นก็ยังเรียบนิ่ง ดวงตาสีเขียวมรกตมองตรงอย่างมุ่งมั่น และจับอยู่กับใบหน้าที่เริ่มชราของชายวัยกลางคน ผู้รั้งตำแหน่งรัฐมนตรีของประเทศ จูเลียนไม่มีความวอกแวกสมเป็นกษัตริย์ ไม่แม้สักนิดที่จะชายตาแลสาวน้อยหน้าตาน่ารักที่ยืนเยื้องอยู่ข้างหลังพ่อ ทั้งที่ได้รับข้อเสนอ

“ขอบใจท่านรัฐมนตรี แต่เกรงว่าข้าคงยังไม่ได้คิดเรื่องราชินีตอนนี้ แม้ท่านจะเห็นว่ามันสมควรแก่เวลาแล้วก็ตาม”

“สุดแต่จะโปรดฝ่าบาทข้าแค่บังอาจเสนอความคิดเห็น และคิดว่าคงเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับฝ่าบาทไม่น้อย” จูเลียนรู้ว่ามันเหมาะทีเดียวสำหรับโจเซฟที่จะเพิ่มพูนอำนาจให้แก่ตัวเอง แต่คงไม่ใช่สำหรับกษัตริย์ผู้อ่อนเยาว์เช่นเขา โจเซฟก้มหัวลงอย่างเจียมตัว แต่แท้ที่จริงแล้วเขาเพียงอยากปิดบังดวงตาแข็งกร้าวที่วาววับขึ้น เมื่อจูเลียนไม่ยอมเห็นชอบตามข้อเสนอ ไม่แม้แต่จะเกรงต่ออำนาจในมือเขาสักนิด!

“ความคิดเห็นของท่านเป็นประโยชน์ และจำเป็นต่อข้ามากท่านรัฐมนตรี ถ้าอย่างนั้นท่านคงไม่ว่าหากข้าอยากจะปรึกษาท่านเรื่องการสร้างปราสาทฤดูร้อนอีกหลัง”

“ถือเป็นเกียรติของข้าแล้วฝ่าบาท” แล้วจากนั้นเรื่องที่โจเซฟตั้งใจมาพูดและโน้มน้าวก็ถูกมองข้ามไป เพราะจูเลียนเอาแต่เฝ้าพรรณนาถึงความยิ่งใหญ่อลังการของปราสาทฤดูร้อนบนเขา ที่กำลังทำการออกแบบ และอีกไม่นานจะถูกสร้างขึ้นมา จูเลียนปรึกษาเรื่องการสร้างปราสาทหลังใหม่และงบประมาณที่จะต้องใช้อยู่นาน จนลีโอที่ยืนเฝ้าเจ้านายแทบจะยืนหลับ

“เย็นนี้อย่าลืมมาชมละครกับข้านะท่านรัฐมนตรี เจ้าด้วยนะลีอานนา”

“ฝ่าบาทกรุณาขนาดนี้ข้าจะพลาดได้อย่างไร” พอสองพ่อลูกออกไปแล้วจูเลียนจึงหันมาทางลีโอที่ยืนทำหน้าตาแปลก ๆ อยู่ในมุมเดิม

“เจ้าเป็นอะไรหรือลีโอ”

“ขา ขาลีโอแข็งไปแล้วฝ่าบาท”

“ก็แล้วเจ้าทำไมไม่หาเก้าอีกมานั่งเล่า”

“ก็ข้าไม่อยากออกจากห้องแล้วปล่อยให้ฝ่าบาทอยู่กับสองพ่อลูกนั่นเพียงลำพัง” แน่นอนว่าลีโอนั้นไม่มีสิทธิ์นั่งเก้าอี้ตัวใดที่อยู่ในห้องนี้ทั้งสิ้น และเด็กหนุ่มก็ไม่เคยปรารถนาอยากจะนั่ง แม้จูเลียนจะมีคำสั่งมาหลายครั้งลีโอก็ไม่เคยทำตาม

“เก้าอี้ในห้องก็มีเจ้าทำไมไม่ไปนั่งเล่า”

“..หม่อมฉันไม่คู่ควรฝ่าบาท”

“สมน้ำหน้าเถอะ” ในยามที่อยู่ด้วยกับเพียงลำพังนั้น จูเลียนปฏิบัติกับลีโอไม่ต่างจากเพื่อนคนหนึ่ง แม้จะมีข่มอยู่บ้างก็ด้วยนิสัยเอาแต่ใจตัวหาได้มาจากชาติกำเนิดที่สูงกว่าไม่ แต่เป็นลีโอเองที่เจียมตัวอยู่เสมอและครั้งนี้ก็เช่นกัน

“ไปเตรียมตัวให้ข้าสำหรับงานเย็นนี้เลยไป”

“รับทราบฝ่าบาท”









ห้องจัดแสดงละครภายในปราสาทของจูเลียน แม้จะไม่กว้างใหญ่เท่าห้องแสดงในงานจัดเลี้ยงวันก่อน แต่ก็ยังสามารถจุผู้ชมได้กว่า 50 ชีวิต ซึ่งมีทั้งข้าราชบริพารและคนที่จูเลียนเชิญมา พวกเขาเหล่านั้นมีทั้งมาด้วยความเต็มใจและไม่เต็มใจแต่ขัดไม่ได้ จูเลียนั่งเป็นประธานตรงกลางหันหน้าสู่เวทีใจจดใจจ่อ หนุ่มน้อยยิ้มร่าอารมณ์ดีเพราะวันนี้สั่งให้แสดงละครเรื่องโปรดอีกเรื่อง ซึ่งประพันธ์เอาไว้โดยกวีชื่อดังในอดีต นั่งข้างซ้ายของยุวกษัตริย์คือกรอสเซ่ยอดรัก ข้างขวาคือพี่ชายอย่างนิโคล ถัดไปจากนั้นเป็นรัฐมนตรีโจเซฟและลูกสาว รัฐมนตรีหันหน้ามาคุยปรึกษากันกับนิโคลเป็นระยะ นอกจากนั้นก็ใครอีกหลายคน จะขาดก็แต่ทาร์เทียน่าเพราะไม่ชอบและมักจะขัดใจจูเลียนด้วยการไม่มาร่วมอยู่เสมอ





เสียงพูดคุยภายในห้องเงียบลงทันทีเมื่อการแสดงเริ่มขึ้น ทุกคนสวมบทบาทผู้ดีนั่งหลังตรง สายตามองไปยังเวทีเล็กด้านหน้าที่กำลังมีการเคลื่อนไหว จูเลียนแทบไม่กะพริบตาตั้งแต่การแสดงเริ่มขึ้น เขาเฝ้าจับตามองทุกบททุกตอน ทุกอากัปกิริยาของตัวละครที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นตัวพระหรือตัวนาง คนแก่ เด็ก ผู้ใหญ่ ด้วยใจรักจูเลียนจะให้ความสนใจเพื่อดื่มด่ำกับงานศิลปะที่ชื่นชอบ หนุ่มน้อยเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง โลกแห่งความฝันและฝันนั้นช่างแสนหวาน แต่ไม่รู้ว่าทำไมตัวนางที่กำลังแสดงอยู่นั้นชอบส่งสายตามาทางนี้นัก เหมือนไม่ได้จดจ่ออยู่กับบทบาทของตัวเอง จูเลียนรู้ว่านางไม่ได้มองที่เขา ครั้งแล้วครั้งเล่าที่สายตาหวานเชื่อมคู่นั้นถูกส่งมา และมันทำให้จูเลียนไม่สบอารมณ์จนเริ่มขัดใจ เนตรเขียวมรกตเป็นประกายใสเหลือบมองคนนั่งข้าง ๆ ก็เห็นยังดื่มด่ำกับการแสดงเหมือนไม่รู้ตัวสักนิด ว่ากำลังถูกหญิงสาวจ้องมอง ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินั้นนอกจากจูเลียนเพียงคนเดียวจนกระทั่ง





“หยุด!” ทุกอย่างหยุดนิ่งชะงักค้างเมื่อจูเลียนสั่งเสียงกร้าวและยืนขึ้น เพราะขัดใจจนทนไม่ได้

“มีอะไรหรือจูเลียน” มีเพียงนิโคลเท่านั้นที่กล้าเอ่ยถามยามจูเลียนอยู่ในอารมณ์เช่นนี้ ส่วนคนอื่นได้ยินคำสั่งเสียงดังก็ได้แต่มองและเงียบอย่างไม่เข้าใจ

“วันนี้การแสดงจบแล้ว”

“ฝ่าบาทแต่ละครเพิ่งแสดงไปยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเลย” กรอสเซ่เอ่ยแย้งเบา ๆ แน่ล่ะเพราะเขากำลังดื่มด่ำกับการแสดง แม้ว่าบางทีสายตาจะละไปมองอีกทาง แต่ละครบนเวทีก็น่าชมอยู่ไม่น้อยเลย

“เจ้าอยากดูต่ออย่างนั้นหรือกรอสเซ่”

“สุดแท้แต่ฝ่าบาท แต่..”

“แต่อะไรล่ะ หรือเจ้าชอบมัน” จูเลียนชี้ไปยังนางเอกละครที่ยืนหน้าซีดอยู่บนเวทีกับนักแสดงคนอื่น ๆ

“ข้า..”

“ข้าปลดเจ้าออกจากคณะละคร” เป็นเพราะคำตอบที่ลังเลของกวีหนุ่มแท้ ๆ ทำให้จูเลียนสั่งอย่างคนเอาแต่ใจท่ามกลางความงงงันของทุกคนในห้องละคร โดยเฉพาะเหล่านักแสดงที่ยืนตัวสั่นเพราะไม่รู้ว่าได้เผลอทำอะไรขัดใจกษัตริย์ อยู่ดี ๆ นางเอกก็ถูกปลดออกไม่มีปี่มีขลุ่ย

“การแสดงจบแล้ว” จูเลียนเดินออกไปโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น ไม่สนใจแม้กระทั่งเสียงเรียกของกรอสเซ่ยอดรักที่ดังขึ้นตามหลัง

“ฝ่าบาท” !





ทุกคนทยอยออกจากห้องละคร จูเลียนเจ้าของปราสาทเดินหายไปพร้อมกับอัศวินประจำตัวและเด็กรับใช้ ไม่สนใจแม้กระทั่งคนรักของตัวเองที่บอกว่ารักนักรักหนา กรอสเซ่ทำตัวไม่ถูกเพราะดูเหมือนจูเลียนจะโกรธเขาเข้าให้แล้ว เขารอให้คนอื่น ๆ เดินออกจากห้องนั้นหมดก่อนแล้วจึงเดินออกไปเป็นคนสุดท้าย โดยไม่คิดจะตามจูเลียนไป เพราะถึงอย่างไรหากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่มีสิทธิเข้าไปถึงส่วนในของปราสาทอยู่ดี





“ไปทำอะไรให้กษัตริย์โกรธเข้าล่ะ” กรอสเซ่หยุดเท้าเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นตามหลัง พอหันกลับมาเห็นเจ้าของเสียงก็ต้องแปลกใจ

“ท่านรัฐมนตรี” !

“เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือไง”

“ในเมืองนี้จะมีใครที่ไม่รู้จักท่านโจเซฟ รัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจบ้างล่ะ”

“รู้จักข้าก็ดีแล้ว”

“มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือท่านรัฐมนตรี”

“ข้าแค่อยากทักทายสหายคนสนิทของกษัตริย์ และแสดงความยินดีกับกวีประจำราชสำนัก”

“ข้าว่านั่นคงไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการพูดหรอกใช่ไหม”

“ดูเหมือนเจ้าจะมองข้าออกเพียงคุยกันครั้งแรก”

“แค่ลองเดา”

“กษัตริย์โกรธเพราะนางละครคนนั้นจ้องมองเจ้า” กรอสเซ่มีสีหน้าฉงนเขาไม่ได้สังเกตเลยว่านางมองเขา

“ข้าไม่เห็นรู้”

“ก็เพราะนอกจากชมละครสายตาของเจ้ายังเอาแต่มองไปทางอื่น แล้วจะรู้ได้อย่างไรล่ะ เอ่อ..”

“กรอสเซ่คือชื่อของข้า” กรอสเซ่ยินดีที่ได้รับความสนใจจากคนระดับรัฐมนตรีจึงรีบแนะนำตัว เมื่อโจเซฟเว้นช่วงเหมือนจะเอ่ยชื่อเขาออกมา เพราะเอาแต่คิดว่าตัวเองมีความสำคัญ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งกวีประราชสำนัก แต่กลับลืมนึกไปว่าทำไมคนระดับนั้นถึงต้องการเสวนาด้วย

“อ่า กรอสเซ่ นางงดงามและน่ารักมากใช่ไหมล่ะ”

“ท่านรัฐมนตรีหมายถึง..”

“เจ้าแอบมองนางอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“ท่านเห็น” ! กรอสเซ่ตกใจมาก เพราะหากเรื่องนี้ถึงหูจูเลียนคงไม่เกิดผลดีต่อเขาเป็นแน่ และท่าทางตกใจนั่นก็อยู่ในสายตาของชายแก่วัยที่แสยะยิ้มอย่างเหนือกว่า

“แลกกับการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ข้า เรื่องของนางข้าช่วยเจ้าได้นะ”

“หืม..” กวีหนุ่มครางเบา ๆ ออกมาจากลำคอเขาไม่อยากเชื่อ รัฐมนตรีหมายความว่าอย่างไรที่จะช่วยเขาเรื่องนาง ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงได้มาเสนอตัวช่วยเหลือกันอย่างนี้

“แต่ข้าไม่ได้มอง..”

“ข้าชอบดูคน และข้าก็เห็นเจ้าเอาแต่เฝ้ามองนาง สัญญาสิว่าจะทำงานให้ข้าแล้วเจ้าจะสมหวัง แต่หากเจ้าไม่ได้ชอบนาง..”

“นางที่ท่านหมายถึงคือ..”

“คืนนี้เจ้าไม่ได้สนใจนางละครเลยสักนิดกรอสเซ่ ไม่สนใจแม้กระทั่งจูเลียนที่นั่งอยู่ข้างกายเจ้า ทั้งที่เขาให้เกียรติเจ้าขนาดนั้น เพราะสายตาเจ้าเอาแต่มองสาวน้อยคนหนึ่ง”

“ท่าน” ! กรอสเซ่ค่อนข้างตกใจ เขากวาดตามองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว เพราะกลัวจะมีใครมาได้ยินเข้า แม้ว่าทั้งสองจะคุยกันเบา ๆ เพียงสองคนก็ยังอดระแวงไม่ได้ และตอนนี้กรอสเซ่ก็เริ่มระแวงมากขึ้น เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าเขาอยู่ในฐานะอะไร จูเลียนเคยปิดบังเสียที่ไหนกัน โจเซฟเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของกรอสเซ่ก็รู้ว่าเขากำลังกลัวอะไร จึงขยับเขาไปกระซิบข้างหูของกวีหนุ่ม

“ว่าอย่างไรล่ะ สัญญาสิว่าจะทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ข้า แล้วข้าจะทำให้เจ้าสมหวังกับนาง เรื่องนี้จะรู้กันแค่เราสองคน” กรอสเซ่เชื่อจนสนิทใจ เพราะระดับรัฐมนตรีแค่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นของผู้ชายคนหนึ่งคงไม่ยาก แต่เขาไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนั้นเป็นใคร

“ท่านหมายความว่ายังไงหรือท่านรัฐมนตรี” กรอสเซ่ยังมีความคิดพอที่จะไม่ไว้วางใจ เพราะอยู่ดี ๆ คนที่เป็นถึงรัฐมนตรีมีอำนาจล้นเหลือ จะมาเสนอตัวเพื่อช่วยเขาเพียงแค่แลกกับการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ มันเลยน่าสงสัยทีเดียว

“นางชื่อลีอานนา”

“ลีอานนา” กรอสเซ่ครางชื่อนางเสียงแผ่ว ดวงตาเปล่งประกายแสงบางอย่างออกมา ที่คนแก่วัยกว่ามองออกได้ไม่ยาก เขาตกหลุมรักนางเข้าแล้ว!

“ใช่ ลีอานนา ลูกสาวข้าเอง” ! กรอสเซ่อึ้งจนดูเหมือนกับว่าตัวของเขาแข็งค้างไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวที่เขาเฝ้าแอบมองแท้จริงแล้วเป็นถึงลูกสาวของรัฐมนตรี

“โปรดอภัยข้าด้วย”

“เจ้าเป็นถึงกวีประจำราชสำนักไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องขออภัย หากรักนางจริงก็ถือเป็นเกียรติของนางมากทีเดียว” ความลำพองในใจที่มีอยู่แล้วนั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก เมื่อได้ยินวาจายกยอปอปั้น กรอสเซ่โค้งคำนับแล้วยืดอกยิ้มรับ ในใจหมายมาดว่าสักวันหนึ่งต้องได้คุยทำความรู้จักกับนางให้ได้





ความปลื้มปีติของกวีหนุ่มอยู่ในสายตาเสือเฒ่าอย่างรัฐมนตรีโจเซฟ เขาลอบยิ้มอย่างสมใจเตรียมแผนขั้นต่อไปในหัว แม้จะมองตำแหน่งกวีประจำราชนักเป็นเพียงแค่ตำแหน่งไร้อำนาจ แต่คนที่อยู่ในตำแหน่งนั้นกลับมีประโยชน์ไม่น้อยเลย ช่างบังเอิญจริง ๆ

“อย่าลืมเสียล่ะ”





--------------------------------





ประตูที่เปิดออกนั้นไม่ได้หยุดความเร่าร้อนบนเตียงได้เลย เพราะร่างที่กำลังขับเคี่ยวเข้าหากันอย่างเมามันของชายหนุ่มสองคน ไม่แม้แต่จะหันมาสนใจผู้มาใหม่ที่เดินเข้ามานั่งรอบนเก้าอี้ สีหน้าและแววตาของผู้ที่เพิ่งมาถึงเแสดงความเบื่อหน่ายออกมาอย่างไม่ปัดบังแม้ไม่มีใครเห็น และราวกับว่าคู่ร่วมรักที่อยู่บนเตียงกำลังยั่วโมโหคนรอ เพราะไม่มีทีท่าว่าความเร่าร้อนนั้นจะจบลงง่าย ๆ ร่างเพรียวบางของหนุ่มน้อยที่กำลังควบขี่อยู่บนร่างหนาหนั่นแน่นกล้ามเนื้อ ยังส่ายร่อนสะโพกด้วยจังหวะเสพสมที่ร้อนแรง ปากก็ปล่อยเสียงครางดังก้องห้องอย่างหน้าไม่อาย

“อ้า ท่าน อะ โอ้วววว”

“..”

“อ๊ะ มี มีคนมา”

“ช่างเขาสิ” ผู้ชมได้แต่ส่ายหัวเมื่อรู้ว่าตัวเองเดินมานั่งผิดมุม เพราะภาพตรงหน้าคือท่อนลำขนาดใหญ่ที่ผลุบเข้าออกช่องทางสวาทจากการขยับโยกตัว โสเภณีชายร่างกายเพรียวบางเร่งชักนำแก่นกายช่วยตัวเอง ให้เข้ากับจังหวะกระแทกตอกอัดสวนขึ้น ความเสียวซ่านที่แผ่กำจายไปทั้งตัว มันมัวเมาให้หลงวนเวียนอยู่ในรสคาวของโลกีย์เสน่หารัญจวนใจ เจ้าของร่างหนาที่อยู่เบื้องล่างทำตัวเป็นเหมือนที่ระบายชั้นดี ที่โสเภณีชายจะควบขี่เขาอย่างไรก็ได้ จนความเร่าร้อนได้เดินทางเกือบถึงจุดหมายปลายทาง ร่างเพรียวจึงถูกจับพลิกให้อยู่ในท่าคลานเข่า เจ้าของร่างหนาไม่รอช้าให้เสียงจังหวะ เขาสอดแทรกตัวเองเข้าข้างหลังร่างเพรียว เร่งกระแทกแทงกระหน่ำจนร่างนั้นหัวสั่นหัวคลอน ความเป็นชายรัวกระหน่ำเข้าใส่ราวกับว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนคนถูกกระทำอ้าปากครางเสียว พร้อมกับปลดปล่อยธารอารมณ์ออกมาเป็นสาย เจ้าของร่างใหญ่แหงนหน้าเชิดมือกระชับมั่นที่บั้นท้ายคนรองรับ สะโพกสอบแข็งแกร่งเร่งกระหน่ำตัวเองเขาใส่ จนสุดท้ายและท้ายที่สุด เขากดตัวเองเน้น ๆ เข้ากับสะโพกขาวนวล ลำกายใหญ่โตสอดใส่เข้าลึกที่สุด เน้นย้ำลึกให้ลึกเท่าลึกยามปลดปล่อยสายธารแห่งอารมณ์ออกมา





“สวัสดี” เจ้าของร่างหนาบนเตียงทักทาย เมื่อถอดถอนตัวเองออกจากช่องทางกลวงโบ๋ เพราะขนาดใหญ่โตของเขาที่เข้าออกตรงนั้นอยู่นานค่อนวัน มันจึงยากจะหุบลงได้ในทันทีที่สิ่งเติมเต็มหลุดออก

“ข้ามาตั้งนานแล้วเพิ่งนึกได้หรือไงว่าต้องทักทาย”

“เจ้าก็เห็นอยู่ว่าข้าไม่ว่าง”

“สองวันแล้วนะฮานส์ วิโอเลียยังไม่สิ้นฤทธิ์หรือไง หึ”

“อย่างข้าไม่ต้องใช้วิโอเลียก็สามารถทำต่อเนื่องได้เป็นเดือน” ฮานส์ตอบทีเล่นทีจริงแล้วตบเข้าที่บั้นท้ายของโสเภณีชาย คนข้างกายที่ยังเปลือยเปล่าจึงลุกขึ้นจากเตียงเก็บเสื้อผ้ามาใส่ลวก ๆ แล้วออกจากห้องไป

“หึ เจ้าพูดเกินไปแล้ว”

“เจ้ามาทำไมเลนนี่” ฮานส์ถามเสียงแผ่วเพราะร่างกายยังคงหอบจากความเร่าร้อนของบทรักยาวนาน เขาขยับตัวนั่งพิงหัวเตียงหันมามองเพื่อนรักรอคำตอบ

“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าจะมารับ”

“นั่นมันเมื่อสองวันก่อนที่เจ้าต้องมารับข้า”

“ข้าเพิ่งว่างนี่”

“เป็นเพราะเจ้าไม่ว่างละมั้ง ข้าเลยอาจจะโดนวิโอเลียเข้าให้อีกรอบ”

“เจ้ามันบ้าตัณหาต่างหากล่ะ”

“หึ..” ฮานส์หลุดยิ้มออกมาที่เลนนี่ว่าเขาบ้าตัณหาทั้งที่สองคนก็คงพอ ๆ กัน

“ไปเถอะป้อมของข้ารอต้อนรับเจ้าอยู่”

“ใครบอกว่าข้าจะพักที่ป้อมของเจ้าล่ะเลนนี่”

“หรือเจ้าจะพักที่นี่กับโสเภณีพวกนี้ล่ะ ข้าจะได้จ่ายค่าบริการไว้ให้ทั้งเดือนเลย”

“ก็น่าจะดีกว่าอยู่กับเจ้าล่ะ เพราะข้าคง...” ฮานส์ลากสายตามองเลนนี่ที่อยู่ในชุดธรรมดา แต่เป็นชุดธรรมดาในแบบที่เรียกได้ว่าหรูหราสมฐานะ และบรรดาศักดิ์ของเขามากทีเดียว ชายหนุ่มหรี่ตาเบ้ปากให้เพื่อน “ถึงเจ้าจะคิดว่าข้าบ้าตัณหา แต่ข้าคงกินเจ้าไม่ลงหรอกเลนนี่”

“..” เลนนี่ได้แต่ส่ายหัวเพราะตัวเขาเองนึกภาพไม่ออกเลย ว่าระหว่างเขากับฮานส์หากเกิดได้ร่วมเตียงกันแบบที่ฮานส์ทำกับโสเภณีชายเมื่อสักครู่ เขาหรือเพื่อนใครจะเป็นฝ่ายกระทำหรือถูกกระทำ หรือจะสลับผลัดเปลี่ยนกัน แต่คงไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะแค่คิดเล่น ๆ เลนนี่ก็รู้สึกคลื่นเหียนเข้าให้แล้ว “ข้าก็กินเจ้าไม่ลงเหมือนกันนั่นแหละ แค่คิดก็..”

“ข้านึกภาพไม่ออกเลยจริง ๆ พอเถอะ” ฮานส์ทำท่าเหมือนจะคายของเก่า เขาลุกจากเตียงเดินเปลือยเปล่าโทง ๆ เข้าไปชำระร่างกายในมุมหนึ่งของห้องที่กั้นเอาไว้ด้วยบังตา ตรงนั้นมีอ่างน้ำสำหรับนอนแช่ล้างตัว เลนนี่มองตามหลังฮานส์สายตาของเขาหยุดที่รอยสักสีดำข้างหลังที่น้อยคนนักจะได้เห็น

“จนกว่าจะถึงวันประลองข้าคงเที่ยวเล่นแถวนอกเมือง” ล้างตัวเสร็จฮานส์เดินออกมาด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่าเช่นเดิม หยิบเสื้อผ้าของตัวเองมาใส่ทีล่ะชิ้น ปากก็คุยกับเพื่อนไปด้วยจนแต่งตัวเสร็จ โดยมีสายตาของเลนนี่มองเรือนร่างงดงามสมความเป็นชายของเขาอย่างเฉยชา

“เจ้าก็ยังเหมือนเดิมที่ไม่ชอบความวุ่นวาย ต้องการเพื่อนไหมล่ะเด็กนั่นน่าจะอยากไปกับเจ้านะ”

“ของเก่ากินแล้วเบื่อ หาของใหม่กินก็ไม่เสียเวลามากนักหรอก”

“ถ้าอย่างนั้นก็เจอกันวันประลอง”

“หึ”


%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

วันประลองใกล้เข้ามาแแล้ว ช่วงนี้เรื่อย ๆ ดาวขอนำเสนอความเสเพลของหนุ่มพเนจรสักหน่อย ก่อนที่จะต้องปวดหัวเมื่อเจอกับจูเลียนน้อย ส่วนวิโอเลียเป็นสมุนไพรที่หายากมาก เราเลยสมมุติมันขึ้นมาเอง ไม่รู้ว่ามีพืชแบบนี้อยู่จริงบนโลกนี้มั้ย



ดาว ณ แดนดิน 6-11-2560
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2018 21:42:32 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 4 อัศวินผู้เฝ้ามอง





ยามเช้าที่อึมครึมของต้นฤดูหนาว ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกหดหู่จูเลียนเองก็เช่นกัน เพราะความขุ่นข้องหมองใจที่ได้รับตั้งแต่เมื่อคืนยังคงมีอยู่จนถึงตอนนี้ มันยากมากที่จะทำเป็นอารมณ์ดีได้หลังจากที่หงุดหงิดจนไม่อยากหลับไม่อยากนอน จูเลียนไม่โปรดทุกสายตาที่มองมายังคนที่เขารักอย่างเปิดเผยเชิญชวนเช่นนั้น ไหนจะท่าทางลังเลที่แสดงออกมาของกรอสเซ่ นั่นยิ่งทำให้ใจหนุ่มน้อยขุ่นมัวจนหมองไป ใคร ๆ ก็เข้าหน้าไม่ติด ขนาดคนสนิทอย่างลีโอยังทำได้เพียงนั่งเฝ้าเงียบ ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากเอ่ยพูดคุยเสียด้วยซ้ำ





หลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาและนอนนิ่ง ๆ คิดอะไรอยู่เป็นครู่ ร่างบนเตียงนุ่มก็เริ่มขยับ ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด เพราะกว่าจูเลียนจะหลับลงได้จริงก็ดึกมากจนคิดว่าเกือบเช้า ขนาดลีโอที่นั่งเฝ้ายังชิงหลับไปก่อน

“ลีโอ” พอคิดถึงคนรับใช้ประจำตัวก็ให้เพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ จูเลียนมองไปรอบ ๆ ห้องไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่ตัวเองเรียกหา ซึ่งผิดวิสัยที่ปกติลีโอจะต้องมารอรับใช้อยู่ใกล้ ๆ แล้วขยับตัวลงจากเตียงเดินทะลุไปยังอีกส่วนของห้อง ซึ่งจะเป็นห้องอาบน้ำ และห้องแต่งตัวกว้างขวางสำหรับจูเลียน ธุระส่วนตัวหลายอย่างที่มีลีโอคอยช่วย วันนี้จูเลียนต้องทำเองทุกอย่าง เพราะคนละเลยหน้าที่ที่ควรจะมารอ หรือปลุกให้เขาตื่นตามเวลาไม่มาให้เห็นหน้า แต่งตัวเสร็จจูเลียนจึงออกจากห้อง

“อรุณสวัสดิ์ฝ่าบาท”

“เห็นลีโอหรือไม่เดรทิช”

“ยังไม่เห็นเลยฝ่าบาท”

“เหลวไหลจริง” จูเลียนบ่นแล้วเดินผ่านเดรทิชไป จุดหมายปลายทางไม่ใช่ห้องเสวยเหมือนทุกวัน แต่เป็นห้องเล็กห้องหนึ่งภายในปราสาท ที่เขาเองก็ไม่ค่อยได้เข้ามาหากไม่จำเป็น และดูเหมือนว่าวันนี้คงถึงคราจำเป็นแล้ว เพราะเด็กรับใช้ประจำตัวไม่มาทำงานตามหน้าที่ ส่วนอัศวินหนุ่มเดินตามไปเงียบ ๆ และยืนรอเจ้านายอยู่หน้าห้อง

“ลีโอ” ภายในห้องนั้นดูสลัวเพราะเจ้าของห้องปิดม่านหน้าต่างทุกบานเอาไว้ จูเลียนสาวเท้าเข้าไปปากก็เรียกหาคนสนิทไปด้วย แต่ก็ได้เพียงความเงียบกลับมา

“ลีโอ” ! เสียงเรียกเพิ่มความดังขึ้น ในแบบที่เจ้าของเสียงพยายามเก็บอารมณ์ตัวเองให้มากที่สุด เมื่อเดินมาถึงเตียงขนาดคนตัวใหญ่ ๆ นอนได้คนเดียว พบว่าเด็กรับใช้ประจำตัวยังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ขนาดเรียกเสียงดังตั้งหลายครั้ง ร่างนั้นยังนอนนิ่งหลับตาพริ้มเฉยอยู่อย่างมีความสุข

นิทราแสนสุขบนเตียงทำให้ดวงเนตรเขียวมรกตแข็งกร้าว ริมฝีปากบางได้รูปแดงฉ่ำเพราะความเย็นเม้มเข้าหากันแน่น จูเลียนกำลังหักห้ามตัวเองไม่ให้กระชากร่างผอมบางของลีโอลงจากเตียง พักตร์นวลแดงระเรื่ออาจจะไม่ใช่เพราะไอหนาว แต่เป็นเพราะความกริ้วโกรธจนต้องสะบัดไปทางอื่น ถอนหายใจทิ้งท้ายแล้วเดินออกจากห้องไป

ตื่นมาต้องโดนลงโทษเสียบ้างนะลีโอเจ้าจะได้เข็ดหลาบ*! *





ส่วนคนที่นอนอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงเรียกดังแว่ว ๆ แต่ก็ยังนอนเฉย เพราะกำลังอยู่ในห้วงฝันหวานคล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่น เสียงที่ได้ยินเลยกลายเป็นเสียงเพลงขับกล่อม ให้หลงระเริงอยู่ในโลกของความสุขจนแทบไม่อยากลืมตา แต่โลกแห่งความเป็นจริงมันก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา ลีโอจึงมัวนอนฝันหวานอยู่นานไม่ได้

“ลีโอ” !

“...”

“ลีโอ” !!

“ตื่นแล้วฝ่าบาทลีโอตื่นแล้ว” ลีโอสะดุ้งตื่นดีดตัวลุกขึ้นจากที่นอน เพราะตกใจกับเสียงเรียกที่ดังปานฟ้าผ่า หันซ้ายหันขวาพลางปัดผ้าห่มออกจากตัว และพบว่าเป็นใครอีกคนที่เรียก ใครอีกคนที่ไม่ใช่จูเลียนอย่างที่เขาเข้าใจ “อะ อ้าว เซอร์เดรทิชท่านเข้ามาทำไมนี่ แล้วฝ่าบาทล่ะ”

“ฝ่าบาทไปห้องเสวยแล้ว เจ้าตื่นได้แล้วลีโอ”

“แย่แล้วข้ายังไม่ได้เตรียมของให้ฝ่าบาทเลย แล้วท่านเข้ามาในห้องบรรทมทำไมนี่”

“ก็มาปลุกเจ้าไง แล้วนี่ก็ไม่ใช่ห้องบรรทม ดูให้ดี ๆ ก่อน” ลีโอกวาดตามมองไปรอบห้องสลัวที่คุ้นเคย แล้วจึงพบว่าตัวเองไม่ได้นอนเฝ้าเจ้าเหนือหัวอยู่ในห้องบรรทมอย่างที่เข้าใจ

“อะ อ้าว นี่มันห้องของข้านี่เซอร์เดรทิช”

“แล้วแปลกตรงไหน” ร่างสูงของอัศวินหนุ่มดูสง่างามสมกับชุดเกราะสีทองที่สวมอยู่ เมื่อเขาถามลีโอกลับแล้วกอดอกมองคนเพิ่งตื่นนอนอย่างไม่เข้าใจ เดรทิชสงสัยว่ามันจะแปลกตรงไหนที่นอนอยู่ในห้องของตัวเอง ทั้งที่ก็นอนอยู่ทุกคืน

“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ก็เมื่อคืนข้านั่งเฝ้าฝ่าบาทอยู่ที่ห้องบรรทม”

“หึหึ”

“ท่านหัวเราะทำไมเซอร์เดรทิช หัวเราะเยาะข้าคิดว่าข้าละเมอเดินกลับมาห้องตัวเองหรือไงเล่า” ลีโอทำหน้ายุ่งอย่างขัดใจซึ่งเป็นอาการที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว จนเรียกสายตาเอ็นดูจากอัศวินหนุ่มได้เลยทีเดียว

“..” เดรทิชส่ายหัวให้เด็กน้อยลีโอ ที่ถึงแม้จะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับจูเลียน แต่ลีโอก็ดูเด็กกว่ามากในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการวางตัวที่จูเลียนจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่า ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าในฐานะกษัตริย์ มีหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบมากกว่า แม้ว่าจูเลียนจะไม่ได้สนใจมันสักเท่าไหร่นักก็ตาม ส่วนเรื่องความหัวอ่อนและความอ่อนไหวสองคนนี้พอกัน

“อะไรของท่านล่ะ ยืนอมยิ้มอยู่ได้” ลีโอเกาหัวยุ่ง ๆ ฟู ๆ ของตัวเอง ผมยาวเส้นเล็กสีน้ำตาลอ่อนนุ่มนั้นพันกันจนไม่เป็นทรง เพราะเจ้าตัวนอนเอาหัวมุดหมอนอุ่นทั้งคืน

“หรือว่า..หรือว่าข้าละเมอเดินมาเองจริง ๆ ล่ะท่าน ข้าจำได้ว่านั่งเฝ้าฝ่าบาทอยู่นี่นา”

“เจ้าไม่ได้ละเมอเดินมาเองหรอกลีโอ”

“แล้วข้าจะมาอยู่ห้องตัวเองได้อย่างไร”

“มีคนอุ้มมาส่งไง”

“หา อุ้มข้ามาส่ง ทำไม ทำไมข้าไม่รู้ตัวเลยสักนิด”

“ก็เจ้ามันขี้เซานี่ ไปเตรียมตัวได้แล้วฝ่าบาทรอลงโทษเจ้าอยู่”

“ตายแล้วเซอร์เดรทิช ลีโอตายแน่งานนี้ ฝ่าบาทคงโกรธมากแน่ ๆ ข้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะ” แล้วลีโอก็กระโดดลงจากเตียงล้างหน้าล้างตาอย่างรีบร้อน ลนลานหยิบเสื้อคลุมมาสวมแทบจะติดกระดุมไม่ถูก เรียบร้อยแล้วก็รีบกระวีกระวาดออกจากห้องไป ลืมสนิทเลยที่คิดจะถามเดรทิชว่าใครเป็นคนอุ้มตัวเองมาส่งถึงเตียง!

“ฝ่าบาท ฝ่าอภัยให้ลีโอด้วย” ลีโอรีบกระวีกระวาดมาหาจูเลียนที่นั่งจิบชาอยู่ในสวน หลังจากที่วิ่งไปที่ห้องเสวยแล้วกลับไม่พบใครสักคน นอกจากหญิงรับใช้ที่กรุณาช่วยบอกทางลีโอ ว่าตอนนี้เจ้านายอยู่ที่ไหน และเมื่อมาถึงก็ดูเหมือนว่าลีโอคงเข้ามาผิดจังหวะ เพราะจูเลียนกำลังอยู่กับกรอสเซ่ที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่ตอนไหน ถึงได้มานั่งเชิดหน้าชูคอได้อย่างนี้ เมื่อคืนจูเลียนยังโกรธกวีหนุ่มอยู่เลยไม่ใช่หรือไง ตอนนี้หายโกรธแล้วหรือ

“เจ้ามันน่าลงโทษให้เข็ดหลาบนักลีโอที่ละเลยหน้าที่”

“อภัยให้ลีโอด้วยฝ่าบาทลีโอผิดไปแล้ว” ใบหน้าเรียวสวยเหมือนเด็กน้อยของลีโอหม่นลงเมื่อโดนดุ เจ้าตัวหลุบสายตามองต่ำอย่างสำนึกผิด ไม่มีเลย ไม่มีสักครั้งที่จะบกพร่องต่อหน้าที่ได้ถึงขนาดนี้ ลีโอไม่เคยนอนหลับฝันดีฝันหวาน ฝันว่ามีใครบางคนมากล่อมนอน แถมยังมอบจูบอุ่น ๆ ส่งเข้านอนและบอกให้หลับฝันดีอีกด้วย

“ไปเตรียมตัว วันนี้ข้าจะไปตรวจงานที่ปราสาทเอวาเลียน” เอวาเลียนเป็นปราสาทที่จูเลียนสั่งให้สร้างขึ้น โดยถอดแบบออกมาจากลักษณะปราสาทในบทละครของกรอสเซ่ บนเชิงเขาที่ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่อย่างทะเลสาบเอวาเลีย ซึ่งถูกนำมาตั้งเป็นชื่อของปราสาทด้วย เพื่อจะเอาไว้เป็นที่พักส่วนตัว

“ไปตรวจงานเหรอฝ่าบาท แต่..”

“แต่อะไรอีกล่ะ”

“ลีโอคิดว่าลอร์ดนิโคลคงไม่เห็นด้วยหรอก ที่ฝ่าบาทจะออกจากวังตอนนี้” ลีโอรู้จักเอาพี่ชายของจูเลียนมาอ้าง เพื่อให้สิ่งที่ตัวเองไม่เห็นด้วยมีน้ำหนักขึ้น ด้วยหวังว่าจูเลียนอาจจะรับฟังบ้างแต่กลับไม่ใช่

“ข้าไม่ได้ถามความเห็นใคร เพราะยังไงข้าก็จะไป เจ้ามีหน้าที่ไปเตรียมตัวก็ไปได้แล้ว”

“แต่ฝ่าบาท..” ลีโอหันไปทางเดรทิชและราเชลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อัศวินทั้งสองได้แต่มองตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ขัดไม่ได้ห้าม เพราะเจ้าเหนือหัวต้องการเสด็จพวกเขาก็มีหน้าที่อารักขาอย่างเต็มที่เท่านั้น

“หรือข้าควรลงโทษเจ้าก่อนดี”

“มีอะไรกันแต่เช้าหรือ” !

“ลอร์ดนิโคลมาพอดี” ความลิงโลดในใจของลีโอแสดงออกมาผ่านรอยยิ้มยินดี เมื่อคนที่เขาอยากให้มาอยู่ตรงนี้ที่สุด มาปรากฏตัวโดยไม่คาดหมาย ลีโอใบแหงนหน้ามองนิโคลด้วยดวงตาเปี่ยมความหวัง และสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือรอยยิ้มเช่นกัน

“เจ้าไม่ต้องยิ้มไปหรอกลีโอยังไงวันนี้เจ้าก็ต้องโดนลงโทษอยู่ดีนั่นและ”

“ลีโอยอมถูกลงโทษฝ่าบาท ขอเพียงประองค์อย่าเสด็จออกจากวังก็พอ” ลีโอคุกเข่าลงต่อหน้าจูเลียนรอรับโทษ นิโคลจึงได้แต่หันไปมองจูเลียนด้วยสีหน้ามีคำถาม คิ้วหนาได้รูปยกขึ้นด้วยความสงสัย

“มีอะไรกันหรือ เจ้าจะไปไหนจูเลียน” นิโคลถามพลางเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างจูเลียน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับกรอสเซ่พอดี

“ข้าว่าจะไปดูการก่อสร้างเอวาเลียนสักหน่อย ทางโน้นเพิ่งส่งข่าวมาว่าการก่อสร้างรุดหน้าไปมาก เลยอยากไปดูให้เห็นกับตา ข้าจะไปกับกรอสเซ่พี่อย่ามาห้ามนะ”

“ไหนเมื่อคืน..”

“เรื่องเมื่อคืนข้าเข้าใจแล้ว มันไม่มีอะไรแล้วล่ะเพราะข้าเข้าใจผิดไปเอง” จูเลียนรีบออกตัวแทนคนรัก เพราะเพียงแค่กรอสเซ่รีบมาขอเข้าเฝ้าแต่เช้า และอธิบายอย่างคนร้อนตัว หนุ่มน้อยหัวอ่อนก็พร้อมจะรับฟังและลืมความขุ่นมัวในใจทันที

“แต่ช่วงนี้เจ้าไม่ควรออกจากวังนะจูเลียน อย่าลืมสิว่าขบวนเสด็จของเจ้าเพิ่งถูกลอบโจมตีมาไม่นานนี่เอง แล้วอีกสามวันก็เป็นงานประจำปีแล้ว เจ้ายิ่งไม่ควรไปไหนเพราะยังไงเจ้าก็กลับมาไม่ทัน”

“พี่ก็จัดการไปสิ” นิโคลถอนหายใจออกมาเบา ๆ ซึ่งก็คงจะมีเพียงเขาคนเดียว ที่กล้าทำต่อหน้ายุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทียเช่นนี้ หากไม่นับรวมทาร์เทียน่าที่คงจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ และเปิดเผยกว่าแบบไม่เกรงใจกันเลย

“แต่มันเป็นประเพณีที่กษัตริย์จะต้องเสด็จออกเป็นประธานด้วยตัวเอง และชมการต่อสู้จนจบเพื่อมอบรางวัล ถือเป็นงานอันทรงเกียรติ และที่สำคัญคือ ประชาชนรอชื่นชมกษัตริย์ของเขา”

“ข้ากลับมาทันแน่นอนน่า หรือหากไม่ทันประชาชนก็ชื่นชมพี่ไม่น้อยไปกว่าข้าหรอก” นิโคลอยากถอนหายใจออกมาอีกครั้งแต่ก็ไม่ทำ ชายหนุ่มจึงได้แต่ส่ายศีรษะแล้วมองน้องชายด้วยสายตานิ่ง

“แล้วพรุ่งนี้แขกบ้านแขกเมืองที่เชิญเอาไว้น่าจะมาถึงกันแล้ว มีคนสำคัญที่เจ้าต้องออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง”

“นิโคล”

“นี่มันเป็นหน้าของเจ้าที่เลี่ยงไม่ได้จูเลียน วางนิยายลงก่อนแล้วไปจัดการมันให้เรียบร้อย” นิโคลบอกเสียงเรียบแต่เต็มไปด้วยความจริงจังในน้ำเสียงและแววตา เพราะเขาได้รับแจ้งมาว่าแขกจากทั้งสวาเนียร์ และมอนทาร์น่าใกล้เดินทางมาถึงแล้ว





พักตร์นวลผ่องที่พวงปรางทั้งสองข้างอมแดงระเรื่อเริ่มบูดบึ้ง เมื่อพี่ชายที่นอกจากจะไม่ยอมตามใจแล้ว ยังบังคับกลาย ๆ ให้ออกงาน จูเลียนไม่สบอารมณ์ที่สุดกับสีหน้าและน้ำเสียงอันจริงจังของนิโคล เพราะนั่นมันบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาจะไม่มีทางเลี่ยงได้เลย แม้จะบ่ายเบี่ยงขนาดไหนก็ตาม จูเลียนวางหนังสือที่อยู่ในมือลงนั่งกอดอกเงียบ บ่งบอกว่ากำลังประท้วง แต่นิโคลผู้วันนี้มีแต่ความเด็ดขาดหรือจะสนใจ ด้วยรู้ดีว่าการกำราบคนน้องต้องทำอย่างไร เขาจึงไม่ควรใจอ่อนให้ตั้งแต่แรกเริ่ม

“ถ้าเจ้าเบื่อวังอยากออกไปข้างนอกบ้างก็ไปที่ลินเดนฮิลล์สักวัน" ลินเดนฮิลล์เป็นปราสาทขนาดเล็กอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ที่จูเลียนสั่งให้สร้างขึ้น เพื่อเอาไว้เป็นที่พักแรมเวลาออกไปล่าสัตว์ใกล้ ๆ ทั้งที่ไม่ชอบล่าสัตว์ เพราะกระโจมที่แม้จะกว้างขวาง และสะดวกสบายน่าอยู่ไม่ต่างจากห้องภายในปราสาท สมเป็นที่พักของกษัตริย์ แต่จูเลียนก็ไม่ชอบเอาเสียเลย จึงสั่งให้สร้างปราสาทลินเดนฮิลล์ขึ้นมา

“แต่ข้าอยากไปเอวาเลียนนะนิโคล พี่ไม่เขาหรือไง”

“มันอันตรายพี่ไม่เห็นด้วยเลย เอาละมาพูดถึงเรื่องงานประจำปีดีกว่า เจ้าควรจะเตรียมตัวได้แล้ว ลีโอเตรียมนายของเข้าให้พร้อมด้วย” ในขณะที่จูเลียนขัดใจแต่กลับมีใครอีกคนหนึ่งลอบยิ้มออกมาอย่างสมใจ ทั้งที่นั่งก้มหน้าไม่กล้าเงย แต่คงจะยิ้มกริ่มมากเกินไปจนคนไม่พอใจสังเกตเห็น

“เจ้ายิ้มอะไรลีโอ” !

“หม่อมฉันเปล่ายิ้มฝ่าบาท”

“แต่ข้าเห็นนะว่าเจ้ากำลังยิ้ม วันนี้ข้าจะลงโทษเจ้าห้ามเข้าใกล้ข้า”

“ฝ่าบาท ไม่ให้ลีโอเขาใกล้แล้วใครจะรับใช้”

“ข้าไม่ได้มีเด็กรับใช้คนเดียวนี่”

“ฝ่าบาทลีโอผิดไปแล้วโปรดอภัยให้ลีโอเถิด” ลีโอหน้าเสียเพราะนี่ถือเป็นบทลงโทษที่รุนแรงมาก สำหรับเด็กน้อยลีโอผู้รักเจ้านายเหนือชีวิต นอกจากนั้นมันยังบ่งบอกถึงความบกพร่องในหน้าที่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียมากสำหรับคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์อย่างลีโอ

“ออกไป” ถึงจะแอบสงสารแต่นิโคลก็อดยิ้มกับสีหน้าท่าทางของลีโอไม่ได้ เมื่อถูกเจ้านายไล่ไม่ให้เข้าใกล้เพื่อเป็นการลงโทษ ลีโอออกไปแล้วชายหนุ่มจึงหันมาหาคู่สนทนาทั้งสองบนโต๊ะ

“เจ้ามาแต่เช้าเลยนะ มาก่อนข้าซึ่งเป็นพี่ชายเสียอีก” กรอสเซ่ได้แต่ยิ้มฝืด เมื่อได้รับคำทักทายคล้ายเหน็บแนมจากนิโคล แต่จูเลียนผู้ไม่รู้อะไรก็เมตตาแก้ต่างแทน

“ก็เขาเป็นคนรักของข้าไงนิโคลมาก่อนพี่ไม่เห็นแปลกเลยนะ”

“ในฐานะกวีประจำราชสำนัก งานของเจ้าเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“เอ่อ ข้า..”

“นี่ไงบทละครเรื่องใหม่ที่กรอสเซ่แต่งขึ้น ข้าลองอ่านดูคร่าว ๆ แล้วสนุกทีเดียว” จูเลียนรีบออกตัวแทนคนรัก เพราะเขากำลังตื่นเต้นกับละครเรื่องใหม่ที่กรอสเซ่เพิ่งนำมาให้อ่าน มันเป็นนิยายรักเพ้อฝันในแบบที่จูเลียนชื่นชอบ เลยถูกใจเป็นพิเศษ แต่เป็นตัวกวีหนุ่มเองที่ไม่รู้จะตอบคำถามของนิโคลอย่างไรดี ด้วยรู้ว่าตำแหน่งกวีประจำราชสำนักที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น แม้มันจะทำให้หลายคนเกรงใจเขามากขึ้น แต่มันไม่มีอะไรให้ทำเลยนอกจากเขียนงานของตัวเอง และผู้ที่ชื่นชอบชื่นชมก็มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นคือจูเลียน

“ข้าจะให้ฝ่ายละครเอาไปทำบทเพื่อแสดงคืนนี้เลย ให้ใครไปตามหัวหน้าคณะละครมาพบข้าด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เรามาคุยเรื่องงานก่อน”

“โธ่นิโคล”





๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑





“ไง ซึมมาเลยนะ”

“..” ลีโอเงียบแต่ใบหน้าน่ารักน่ามองนั่นหงอยลงอย่างน่าสงสาร ราเชลหันไปสบตากับเดรทิชที่ยืนอยู่อีกมุมของสนาม แล้วจึงหันกลับมาแหย่ลีโออย่างนึกสนุก ด้วยรู้ว่าถูกดุและโดนทำโทษมา แต่เรื่องแค่นี้อัศวินหนุ่มไม่เห็นเป็นเรื่องน่าหนักใจ เพราะรู้ว่าจูเลียนเองก็ไม่สามารถใจแข็งลงโทษคนสนิทได้นานหรอก

“อ้าว เป็นเด็กเป็นเล็กผู้ใหญ่พูดด้วยทำเฉยได้ยังไงลีโอ”

“ข้าอายุสิบเก้าไม่ใช่เด็กแล้วนะเซอร์ราเชล!” เพราะอารมณ์ที่ไม่คงที่ลีโอจึงหันมาแหงนหน้าเถียงราเชลคอเป็นเอ็น ซึ่งหากเป็นยามปกติเด็กน้อยของเหล่าอัศวิน จะไม่ทำท่าทางก้าวร้าวอย่างนี้เด็ดขาด แต่ตอนนี้ลักษณะอ่อนน้อมอันเป็นความน่ารักของลีโอคนเก่าหายไปเลย จนราเชลอมยิ้มขำ

“หึ เหรอเจ้าแน่ใจเหรอว่าตัวเจ้าไม่เด็ก” ราเชลมองลีโอตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาคมมีแววล้อเลียนที่ลีโอเห็นแล้วยิ่งไม่พอใจมากกว่าเก่า ใบหน้าน่ารักในตอนแรกจึงเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงไม่พอใจ

“ท่านยิ้มแบบนี้หมายความว่ายังไง”

“เด็กน้อยเอ๊ย”

“ก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่เด็ก”

“ไม่เด็กอะไร เมื่อคืนยังนอนอุตุไม่รู้สึกตัวอยู่เลย”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับการนอนของข้า”

“หึ เด็กน้อยหลับไม่รู้เรื่องจน..”

“มีอะไรกัน” เสียงเรียบนิ่งดังแทรกขึ้นระหว่างการโต้เถียงของลีโอกับราเชล เสียงที่ทำให้ลีโอชะงักนิ่ง และใจสั่นทุกครั้งที่ได้ยิน และเสียงนี้มัน มันคล้าย ๆ กับเสียงของใครบางคนที่อยู่ในฝันหวานกับลีโอเมื่อคืนที่ผ่านมา

ลีโอเอ๋ยใจเจ้าจะสั่นไปทำไมนักหนา



“ข้ากำลังเถียงกับเด็กน้อยอยู่”

“ถ้าว่าง ก็เอาเวลาไปทำงานดีกว่านะราเชล”

“มาถึงก็พูดเรื่องงานเลยนะเฮนริช เจ้าเคยคิดอยากผ่อนคลายเหมือนคนอื่นเขาบ้างไหม ถ้าไม่รู้จะผ่อนคลายอย่างไรเลนนี่ช่วยเจ้าได้นะ”

“เกี่ยวอะไรกับข้า” เลนนี่ที่เดินมาได้ยินชื่อตัวเองเข้าพอดีถามขึ้น เด็กน้อยลีโอได้แต่มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีสลับกันไปมา ตอนนี้ดูเหมือนคนสนิทของจูเลียนจะกลายเป็นเด็กไปแล้วจริง ๆ เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางร่างสูงสง่าของอัศวินทั้งสาม เกราะสีทองอันทรงเกียรติขับให้บุรุษหนุ่มฉกรรจ์ทั้งสามยิ่งน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น จนร่างเพรียวบางหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้นตัวเล็กลีบลงไปอีกมากเลยทีเดียว

“หึหึ ข้ากำลังแนะนำให้เฮนริชผ่อนคลายตัวเองบ้าง ไม่ใช่คร่ำเคร่งแต่เรื่องงาน หนุ่มสำราญอย่างเจ้าน่าจะช่วยแนะนำได้นะเลนนี่” เลนนี่ส่ายหัวไปมาพลางส่งสายตามองราเชล เหมือนจะบอกว่าเดี๋ยวก็โดนดีเข้าให้หรอก ที่ไปแหย่เสือยิ้มยากอย่างเฮนริช ซึ่งในบรรดาอัศวินประจำตัวจูเลียนทั้งสี่คน มีเฮนริชที่พูดน้อยและนิ่งที่สุด สุขุมเยือกเย็นที่สุด เขาจึงได้รับเกียรติจากเพื่อนยกให้เป็นเหมือนหัวหน้ากลาย ๆ แม้ว่าตำแหน่งของอัศวินทั้งสี่จะมีอำนาจเท่ากัน และไม่มีใครได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าอย่างเป็นทางการ แต่เฮนริชก็เหมือนถูกยกให้เป็นหัวไปโดยปริยายจากเพื่อทั้งสามคน

“ของอย่างนี้ตัวใครตัวมันสิ ข้าไม่ยุ่งด้วยหรอก” เลนนี่ตอบแล้วหันมาหลิ่วตาให้เฮนริช ที่ถอนหายใจตอบเหมือนกำลังเบื่อความขี้เล่นของราเชล ซึ่งแน่นอนว่าหากอยู่ต่อหน้าคนอื่น ๆ อัศวินเหล่านี้ต้องแสดงออกให้ดูน่าเกรงขาม แต่เวลาที่อยู่ด้วยกันเองก็มักจะทำตัวสบาย ๆ ตามลักษณะนิสัยเดิมของแต่ละคน เฮนริชเหลือบไปมองเดรทิชที่ไม่ได้เข้ามาร่วมวงด้วยแล้วจึงหันไปถามลีโอที่ยืนตัวลีบอยู่ข้าง ๆ

“แล้วเจ้าล่ะ ทำไมมาอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่ไปรอรับใช้ฝ่าบาท”

“ก็..” พอถูกเฮนริชถามลีโอก็หน้าสลดลงอีกครั้ง ดวงตาสวยที่ดูไร้เดียงสา และเปล่งประกายสดใสในยามปกติหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด จะให้ลีโอบอกได้อย่างไรว่าถูกลงโทษด้วยการไม่ให้ไปรับใช้ ไม่ให้เข้าใกล้ รู้ถึงไหนเสื่อมเสียไปถึงนั่น

“เจ้าเป็นอะไรไปหรือลีโอ” เลนนี่ขยับเข้ามาใกล้ ลีโอแทบเซเสียหลักเพราะเขาวางท่อนแขนหนัก ๆ พาดลงบนไหล่ผอมบางนั้นด้วย เด็กน้อยช้อนตาเหลือบขึ้นมองใบหน้าหล่อขี้เล่น เผลอทำตาค้อนให้โดยไม่รู้ตัว

“เซอร์เลนนี่ ท่านอย่าถามข้าตอนนี้ได้ไหม ข้าไม่อยากพูดถึงมัน ข้าขออภัย” บอกแล้วลีโอก็ปัดมือของเลนนี่บนไหล่ออก เดินไปหาเดรทิชที่ยังยืนอยู่มุมเดิม ไม่ได้มาร่วมวงอวดความสง่างามสมความเป็นอัศวินข่มลีโอด้วยเลย

“หึ เด็กน้อยของเจ้าไปโน่นแล้ว”

“เด็กน้อยของข้าที่ไหนกัน” เฮนริชทำตามดุเมื่อเลนนี่หันมาบอกเขา ทั้งที่ก็ยืนอยู่ด้วยกันย่อมเห็นอยู่แล้วว่าลีโอเดินหนีไป

“โดนฝ่าบาทดุมาหรือไง” แหย่เพื่อพอหอมปากหอมคอแล้ว เลนนี่จึงหันไปถามราเชล จากนั้นอัศวินผู้รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑



บนถนนที่ทอดตัวยาวเชื่อมเมืองต่อเมือง สองข้างทางเป็นป่าทึบสลับป่าโปร่ง บางช่วงเป็นทุ่งหญ้า บางช่วงต้องขึ้นเขาลงเขา เส้นทางอันยาวไกลมีทุกรูปแบบ รถม้าขนาดใหญ่ที่ถูกลากด้วยม้าสิบตัวกำลังเคลื่อนไปด้วยความเร็วสูงเท่าที่มันสามารถวิ่งไปได้ตามแรงม้าที่ชักนำ ด้านหน้าสุดของขบวนเป็นกองทหารเพียงยี่สิบนายขี่ม้านำรถม้าของสองหนุ่มจากแดนไกล

“พี่ยังไม่ได้บอกข้าเลยนะ ว่าทำไมเราต้องรอนแรมมาถึงที่นี่ด้วย” ชายหนุ่มท่าทางเจ้าสำราญเอยถามคนที่เขาเรียกว่าพี่ ด้วยท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่เพราะยังไม่ได้คำตอบที่พอใจจากพี่ชาย จึงเฝ้าถามเป็นรอบที่สามแล้วตั้งแต่ร่วมเดินทางด้วยกันมา

“ก็เขามีราชสาส์นมาถึงข้าเชิญให้ไปร่วมงานประจำปี ข้าเห็นเราไม่ได้มาเยือนประเทศนี้เสียนาน ก็เลยถือโอกาสออกมาเที่ยวเล่นหน่อย หรือเจ้าไม่อยากเปิดหูเปิดตาต่างเมือง” ผู้เป็นพี่ชายตอบ ตอนนี้ทั้งสองอยู่ในรถม้าอันโอ่อ่าหรูหราสมฐานะ ที่ภายในตกแต่งเอาไว้อย่างวิจิตรบรรจง ทั้งที่นั่งรองด้วยเบาะนวมหนานุ่ม ทำขึ้นมาจากวัสดุชั้นดี ที่มอบความสบายและอบอุ่นให้ทั้งสำหรับการนั่งและการนอน ผนังบุด้วยผ้าเนื้อดีลวดลายปักดิ้นทองเสริมให้ความหรูหราดูอลังการยิ่งขึ้น ช่องหน้าต่างปิดด้วยลูกกรงเหล็กลายทองเล็ก ๆ ดูสวยงามเข้ากัน ม่านประดับเป็นแพรเนื้อบางไหวไปตามแรงเคลื่อนของรถ บ่งบอกถึงความมั่งคั่งของผู้ครอบครองได้เป็นอย่างดี



เจ้าของร่างกายสูงใหญ่ดูน่าเกรงขามผู้เป็นพี่ คือ อเล็กซิส กษัตริย์หนุ่มเต็มวัยฉกรรจ์แห่งมอนทาร์น่า ผู้ที่ใคร ๆ ก็สมญานามให้เขาว่าเป็นกษัตริย์ที่เก่งกาจ และเฉียบขาดดุดันสมกับใบหน้าหล่อคมคายที่ดูจริงจังกับทุกเรื่อง ยามนี้กษัตริย์หนุ่มนั่งเอนหลัง ด้วยท่าทางสบายท่ามกลางเบาะนุ่มและหมอนหนุน เข่าข้างหนึ่งชันขึ้นเพื่อรองรับท่อนแขนหนาหนักที่เกยวาง มือถือแก้วก้านยาวทำด้วยโลหะสีทอง ภายในแก้วบรรจุไวน์ชั้นดีรสชาติกลมกล่อม ที่ถูกยกขึ้นจิบฆ่าเวลา ขายาวอีกข้างของอเล็กซิสเหยียดตรง แขนวางพาดไปกับพนักพิงดูผ่อนคลาย เบื้องหน้ากษัตริย์หนุ่มคือ แอนดีส น้องชายผู้เป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งมอนทาร์น่า ที่อยู่ในท่าทางสบายไม่แพ้ผู้เป็นพี่ ใบหน้าที่อ่อนวัยกว่าบ่งบอกถึงความรักสนุกผ่านสายตาเจ้าชู้ขี้เล่น ในมือมีแก้วแบบเดียวกันที่ไวน์ชั้นดีพร่องไปเกือบหมดแก้ว

ต่อครึ่งหลังข้ามไป 1 เม้น นะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2018 19:01:40 โดย AlittleStarWr »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
“ดูเหมือนว่าเรากำลังมีปัญหากับออสเซนเทียอยู่ไม่ใช่หรือไง” แอนดีสเอ่ยถามพลางรินไวน์ให้ตัวเอง เพราะเวลานี้คนรับใช้หรือสนมนางในของเขา ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาบนรถม้าเพราะบัญชาของอเล็กซิส ซึ่งนั่นทำให้แอนดีสขัดใจอยู่ไม่น้อย แต่ขัดคำสั่งพี่ชายไม่ได้

“นั่นก็อีกเรื่องที่ข้าอยากมาดูด้วยตัวเอง”

“ทำไมหรือท่านพี่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่”

“มีเรื่องแปลก ๆ หลายเรื่อง”

“เรื่องอะไรบ้างล่ะ”

“นี่ข้าให้เจ้าไปช่วยงานราชการ เจ้าได้ทำจริงหรือเปล่าทำไมไม่รู้อะไรเลยแอนดีส” !

“กะ ก็ ข้าก็ทำ”

“ถ้าทำเจ้าคงเดาได้บ้างว่าทำไมข้าตกลงมาตามคำเชิญ ไม่ใช่เอาแต่ถามคำถามไร้สาระอย่างนี้”

“แล้วมีอะไรอย่างอื่นอีกไหมล่ะ” กษัตริย์หนุ่มระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ มองน้องชายที่ไม่หยุดตั้งคำถามกับเขาสักที “ว่าไงล่ะท่านพี่”

“...” เจ้าของร่างกายสูงใหญ่ไม่ได้ตอบคำถามน้องชายในทันที เขาทอดสายตาคมดุดูน่าหลงใหล มองผ่านช่องลูกกรงออกไปนอกห้องโดยสาร ใบหน้าคมคายนิ่งสนิทจนยากจะคาดเดาว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในหัว แต่คนตั้งคำถามมีหรือจะยอมลดละ เพราะยังมีหลายอย่างที่อยากรู้ และต้องการคำตอบ

“เงียบอย่างนี้ หรือว่า..”

“ว่าอะไร” แอนดีสสบสายตากับพี่ชายนิ่ง ทั้งสองจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ไม่นานก็เป็นน้องชายจอมขี้เล่นนั่นเอง ที่เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เมื่อคิดอะไรบางออกมาอย่างได้

“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่า เจ้าหญิงทาร์เทียน่าแห่งออสเซนเทียงดงามยิ่งนัก พี่เองก็คงรู้แล้ว”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ” แก้วก้านยาวในมือถูกวางลงบนตั่งเล็กข้าง ๆ เมื่ออเล็กซิสเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งเอนหลังกอดอกอย่างไว้ตัว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมกริบจ้องมองน้องชายนิ่งรอคำตอบ

“พี่ก็แก่แล้วนะอเล็กสมควรมีราชินีได้แล้ว แต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีก็ไม่เลวนะ”

“ได้ข่าวว่านางเพิ่งสิบเก้าเองคงเด็กไปสำหรับข้า แต่ถ้าเป็นเจ้าน่าจะเหมาะกว่านะ คิดเรื่องนี้เอาไว้ด้วยล่ะ”

“ไหนพี่บอกไม่เกี่ยวแต่ทำไมรู้ว่านางอายุสิบเก้า “คำพูดเหมือนรู้ทันทำให้คนพี่ชะงักไป แต่เพียงเสี้ยวลมหายใจก็สามารถกลบเกลื่อน และทำหน้านิ่งได้เหมือนเดิม “ข้ารู้หรอกน่าว่าหูตาของพี่มีอยู่เต็มไปหมด อย่าบอกนะว่าพี่ตกหลุมรักนางตั้งแต่ยังไม่เคยเจอตัวกัน”

“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าข้าแก่แล้วนี่ แล้วข้าก็เพิ่งบอกเจ้าไปว่าหากเป็นเจ้าดูจะเหมาะกว่านะ”

“พี่แค่สามสิบเองนะแก่ที่ไหนเล่า กษัตริย์หนุ่มเนื้อหอมอย่างพี่ ข้าว่าผู้หญิงที่ไหนก็ต้องตกหลุมรักทั้งนั้นรวมทั้งนางด้วย” อ่อนอกอ่อนใจกับน้องชาย ทั้งที่เขาเพิ่งจะบอกไปว่าเป็นตัวแอนดีสเองท่าจะเหมาะกว่า แต่ดูเหมือนว่าคนน้องจะไม่รับฟัง และยังพยายามยัดเยียดนางมาให้เขาอยู่เหมือนเดิม แน่ล่ะว่าเขารู้เรื่องของนางมาพอสมควร ด้วยว่าหูตาสายสืบก็มีอยู่ทุกที่ รายงานบอกถึงความงดงามน่ารักสมความสูงศักดิ์ และยังมีความน่าสนใจอีกลหายอย่าง ที่ทำให้กษัตริย์หนุ่มยอมรับว่านางคู่ควร...กับแอนดีส!

“เจ้าจะพูดมากให้ได้อะไร”

“เพราะเดาว่านี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ท่านตอบรับคำเชิญ นอกจากปัญหาเกี่ยวกับเรื่องอะไรแปลก ๆ ที่ว่า เราก็ไม่มีธุระอะไรกับออสเซนเทียเลยนี่” กษัตริย์หนุ่มได้แต่มองหน้าน้องชายโดยไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเอาจริง ๆ แอนดีสก็ใช่ว่าจะทำตัวเหลวไหลจนไว้ใจไม่ได้ แม้จะไม่ค่อยจริงจังจนดูเหมือนเล่นเกินไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยทิ้งงานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ทั้งสองปล่อยให้บรรยากาศภายในรถม้าเงียบไปเป็นครู่ กษัตริย์หนุ่มจึงเปลี่ยนอิริยาบถอีกครั้งเพื่อลุกขึ้น

“พี่จะไปไหน”

“ข้าจะออกไปขี่ม้าเล่น เบื่อในนี้เต็มที”

“ข้าไปด้วย”





๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑





“พวกเจ้ามาชุมนุมอะไรกันอยู่ตรงนี้ไม่ชวนข้าเลยนะ” น้ำเสียงสดใสดังมาก่อนตัวทักขึ้นคล้ายต่อว่าแต่ไม่จริงจังนัก ทาร์เทียน่าเดินหน้าระรื่นเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส นางอยู่ในชุดกางเกงทะมัดทะแมงที่เดาได้ไม่ยาก ว่าคงเพิ่งจะผ่านการซ้อมการต่อสู้มา หรือไม่อย่างนั้นก็กำลังเดินหาคู่ซ้อมที่สามารถรับมือกับนางได้ แต่เท่าที่เห็นน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะใบหน้าสวยหวานยังนวลผ่องไร้สีสันที่บ่งบอกว่าออกแรงสู้มา ไร้แม้กระทั่งหยดเหงื่ออย่างที่ควรจะมี

“เจ้าไปไหนมาล่ะเทียน่า เรากำลังคุยเรื่องการบ้านการเมืองอยู่เจ้าสนใจจะร่วมวงด้วยหรือเปล่า” ได้ยินคำตอบของจูเลียนนิโคลก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ยิ่งเมื่อน้องชายผู้สูงศักดิ์หันมาทำสายตาค้อนให้ ยิ่งรู้ได้ในทันทีว่าคำตอบที่จูเลียนให้ทาร์เทียน่านั้นมันกระทบถึงเขาโดยตรง!

“แปลกมาก แปลกยิ่งกว่าออสเซนเทียมีหน้าร้อนยาวนานกว่ากว่าหน้าหนาวเสียอีก” เพราะฤดูร้อนของออสเซนเทียในแต่ละปีจะมีอย่างมากก็ไม่เกินสองหรือสามเดือน นอกจากนั้นก็จะอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็น ทั้งฝนทั้งหนาวจนดูเหมือนหน้าฝนกับหน้าหนาวถูกรวมเข้าด้วยกัน และพอถึงฤดูหนาวจริง ๆ จะหนาวมากและยาวนานกว่า ซ้ำหิมะยังตกจนเมืองทั้งเมืองขาวโพลนไปหมด

“ทำไม”

“ก็เจ้าสนใจคุยเรื่องการบ้านการเมืองตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ”

“ตอนที่นิโคลมานั่งคุมข้าอยู่นี่ยังไงล่ะ” นิโคลกับทาร์เทียน่าหัวเราะประสานเสียงกัน โดยที่จูเลียนได้แต่นั่งนิ่งพักตร์บึ้งตึง กรอสเซ่เหลือบมองใบหน้าบึ้งตึงของจูเลียนเล็กน้อย เมื่อยุวกษัตริย์เบนสายตามาทางเขา กวีหนุ่มจึงยิ้มให้อย่างเอาใจ เขารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องให้กำลังใจ เมื่อกษัตริย์หนุ่มน้อยเหมือนจะถูกทุกคนรุมแกล้ง

“เจ้าก็อยู่นี่หรือกรอสเซ่” กวีหนุ่มลุกขึ้นยืน เขาค้อมหัวให้ทาร์เทียน่าแสดงความเคารพ เมื่อหญิงสาวเอ่ยทักเหมือนเพิ่งจะเห็นว่าเขาก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย

“ท่านหญิง”

“เจ้าต่อสู้เป็นไหมกรอสเซ่ ข้ากำลังหาคู่ซ้อมมือช่วยมาซ้อมกับข้าหน่อยสิ”

“เกรงว่าข้าคงทำให้ท่านหญิงผิดหวัง เพราะข้าไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้สักเท่าไหร่” ทาร์เทียน่ามองท่าทางอ่อนน้อมของกรอสเซ่ไม่วางตา ยิ่งเมื่อกวีหนุ่มพูดจบแล้วโค้งร่างสูงเพรียวลงคำนับ นางยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจอย่างไม่มีสาเหตุ

“ถ้าเป็นเรื่องนิยายเพ้อฝันคงสู้ไม่ถอยสินะ แล้วข้าจะซ้อมมือกับใครล่ะทีนี้”

“เซอร์เดรทิชน่าจะเป็นคู่ซ้อมให้เจ้าได้นะเทียน่า เรียกเขาสิข้าอนุญาต” จูเลียนเอ่ยขัดขึ้นเมื่อเห็นท่าทางอึดอัดของคนรัก

“แหม ขอบใจเจ้าจริง ๆ จูเลียน แต่ว่าเจ้าไม่อยากให้กรอสเซ่ฝึกการต่อสู้เอาไว้บ้างหรือไงจะได้ป้องกันตัวเองได้”

“แล้วเจ้าจะให้กรอสเซ่ไปสู้กับใครล่ะ เขาเป็นกวีนะ”

“ไม่รู้สิ อย่างน้อยก็น่าจะปกป้องเจ้าได้บ้างในยามที่มีภัย” รอยยิ้มหวานของทาร์เทียนาไม่ทำให้พี่ชายทั้งสองแปลกใจ แต่กลับทำให้กวีหนุ่มรู้สึกแปลกไป เพราะมันดูเหมือนว่านางกำลังส่งรอยยิ้มเคลือบอะไรบางอย่างมาให้เขาอึดอัดใจเล่น กรอสเซ่เริ่มจะไม่ค่อยชอบขนิษฐาแฝดของจูเลียนเข้าให้แล้ว แต่ก็ยังจำต้องตีหน้าซื่ออยู่เช่นเดิมตามแบบกวีผู้เพ้อฝันไร้พิษสง!

เซอร์เดรทิชถูกเรียกตัวมาเป็นคู่ซ้อมให้ทาร์เทียนาอย่างที่จูเลียนเสนอ เพราะนางเองก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าวันนี้คงต้องซ้อมกับอัศวินคนใดคนหนึ่งสักคนที่ต้องฝีมือดีด้วย นั่นเองจึงทำให้นางเดินมาที่สนามหน้าปราสาทของจูเลียนแห่งนี้ยังไงล่ะ

“คิดว่าอยากจะเปลี่ยนกับเดรทิชหรือไง” เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังปลุกให้อัศวินหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างพุ่มไม้รู้ตัว เมื่อเขาเอาแต่ทอดสายตามองไปยังกลางสนามหญ้า ที่มีหนึ่งร่างบอบบางแต่ดูเข้มแข็งของทาร์เทียน่า กำลังต่อสู้อยู่กับหนึ่งร่างสูงสง่าผ่าเผยของอัศวินฝีมือดีผู้ได้รับการแต่งตั้ง ร่างบอบบางต่อสู้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ถึงแม้คู่ต่อสู้จะตัวใหญ่แต่ก็รวดเร็วไม่แพ้กัน การเคลื่อนไหวของนาง การตวัดกวัดแกว่งดาบเล่มใหญ่อย่างมีชั้นเชิง บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าฝีมือของทาร์เทียน่า ก็อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าดีมากทีเดียว

“ทำไมข้าต้องอยากเปลี่ยนด้วยล่ะ” นั่นสิ คำถามกลับแบบนี้ทำให้เลนนี่เหลือบตามองเฮนริช ที่ตอบโต้พูดคุยกับเขา แต่สายตากลับหาได้ละจากการต่อสู้ในสนามไม่ เขารู้ว่าเฮนริชมองด้วยความรู้สึกอย่างไร สิ่งที่ทำได้ก็แค่เตือนในฐานะเพื่อนผู้หวังดี

“สิ่งที่เจ้าทำได้คือการปกป้องนาง แต่ไม่ใช่การอยู่เคียงข้างนาง” เขารู้ เฮนริชรู้มาตลอดแต่ก็ไม่เคยทำได้สักที ที่จะไม่แอบมองยามนางเผลอ ไม่ตามคุ้มครองห่าง ๆ ยามนางแอบหนีออกจากปราสาทไปเที่ยวเล่น เขาทำไม่ได้ที่จะไม่แอบมองยามเห็นนางอยู่ในที่ต่าง ๆ โดยที่นางเองก็ไม่เคยรู้ตัวเลย

“..” เฮนริชเงียบ เขาไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธเพื่อน อยากคิดอย่างไรเขาจะไม่สนใจ แม้ว่าสิ่งที่เลนนี่พูดจะแสดงให้เห็นว่ามองความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งที่เขาก็ไม่เคยพูดหรือยอมรับออกมา เพราะคำพูดของเขาอาจจะทำร้ายทาร์เทียน่าให้เสื่อมเสียได้

“อย่าโง่ไปหน่อยเลย เจ้าอาจจะไม่ได้รักนางอย่างที่เจ้าคิดก็ได้”

“เจ้ารู้หรือไงว่าข้าคิดอะไรอยู่”

“นี่เจ้ารู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่เฮนริช มันก็ดูออกได้ไม่ยากนี่” เฮนริชหันกลับมามองเลนนี่เต็มตา นึกย้อนถามตัวเองว่าเขาแสดงออกมามากมายขนาดเพื่อนยังสังเกตได้เลยหรือ

“อย่าพูดเพ้อเจ้อจะทำให้นางเสื่อมเสียเอาได้”

“งั้นเจ้าก็เลิกแอบมองนางได้แล้ว” เฮนริชได้แต่กัดฟันกรอด เพราะที่เลนนี่พูดมามันถูกต้องทั้งหมด เขาควรหยุด หยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำ ทั้งตอนนี้และต่อไปด้วย สายตาคมจ้องกลับไปที่ร่างบอบบางในชุดทะมัดทะแมงของทาร์เทียน่า ที่กำลังเพลิดเพลินกับการใช้ทักษะการต่อสู้ด้วยดาบ อัศวินหนุ่มถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเหลือบตาขึ้นมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนแทน นางอยู่สูงราวกับอยู่บนนั้น และใครที่คู่ควรจะอยู่เคียงข้างแน่นอนว่ามันไม่ใช่คนอย่างเขา!

“ไปเถอะ หลอดนิโคลเรียกเรา” เลนนี่กระซิบบอกแล้วออกเดินไปก่อน เฮนริชจึงละสายตาจากท้องฟ้าแล้วเดินตามไปเงียบ ๆ พยายามบังคับสายตาไม่ให้มองไปที่กลางสนาม แม้จะเป็นสิ่งที่ทำได้อยากยิ่งเพราะเคยทำมาตลอด แต่เขาต้องทำให้ได้





คล้อยหลังสองอัศวินหนุ่มหลังพุ่มไม้นั่น เด็กน้อยที่ถูกลงโทษนั่งหงอยเพียงลำพัง ลีโอได้ยินทุกอย่างที่เลนนี่คุยกับเฮนริช คิดถึงคืนที่อัศวินหนุ่มเอาแต่ทอดสายตาเหม่อมองไปยังร่างระหงในชุดคลุมยาวกรุยกราย ท่ามกลางสวนสวยสลัวในแสงคบไฟช่างดูชวนฝัน สิ่งที่ได้ยินอาจจะฟังดูคลุมเครือ แต่คนที่ใคร ๆ มองว่าเป็นเด็กน้อยไม่ยอมโตอย่างลีโอก็ยังเข้าใจ อัศวินหนุ่มหลงรักเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ กลายเป็นรักต่างชนชั้นต้องห้ามที่น่าขำสิ้นดี แล้วลีโอล่ะ ลีโอก็เคยเผลอแอบมองใครบางคนยามเขาไม่รู้ตัว แอบใจเต้นยามได้อยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ถือว่าเป็นการหลงรักได้หรือเปล่า

“เจ้าควรเตรียมตัวต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ที่จะมาเข้ารวมงานประจำปีกับเราได้แล้วนะ พรุ่งนี้น่าจะมาถึงกันแล้ว”

“พี่ก็ต้อนรับแทนข้าไปสิ”

“งานนี้เป็นราชพิธีเจ้าต้องออกเอง แล้วก็สวาเนียร์”

“สวาเนียร์ทำไม”

“เรื่องของเจ้ากับเจ้าหญิงอานาสตาเซียร์ไง”

“ข้าไม่..”

“หน้าที่ของกษัตริย์คือเสียสละตัวเองเพื่อประเทศชาติ การเชื่อมสัมพันธไมตรีกับสวาเนียร์จะให้ประโยชน์หลายอย่างแก่เรา” การแต่งงานเพื่อผลประโยชน์นั้นมีมานานแล้วจนดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา สองพี่น้องคุยโต้ตอบกัน ไม่ได้สนใจท่าทางอึดอัดของผู้ร่วมโต๊ะอีกคนเลยสักนิด นอกจากสีหน้าและสายตาหวานซึ้งชวนฝัน ยามจูเลียนเสพตัวอักษรจากบทกวีหรือนิยาย กรอสเซ่เองก็เพิ่งจะได้เห็นท่าทางจริงจังที่สุดของยุวกษัตริย์ก็วันนี้นี่เอง

“พี่ก็รู้นี่นิโคลว่าใจของข้า...” จูเลียนเอื้อมมือมากุมมือกวีหนุ่มยอดรักใต้โต๊ะ เมื่อเถียงพี่ชายอย่างดื้อดึงและเอาแต่ใจ แต่มือเย็น ๆ ของกวีหนุ่มก็ไม่ได้ตอบสนอง นอกจากวางนิ่ง ๆ ให้จูเลียนกอบกุมเอาเองอยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องที่ทั้งสองกำลังคุยกันเลยสักนิด! “ถึงยังไงก็คงไม่มีวันนั้น”

“ก็ลองดูว่าสภาเล็กจะว่ายังไง” สภาเล็ก ประกอบไปด้วย กษัตริย์ ที่เป็นประธานสภา รัชทายาททั้งสอง รัฐมนตรี และที่ปรึกษาอีกสามคน ซึ่งอำนาจตัดสินใจสำคัญทุกอย่างในการปกครองประเทศ ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากสภาเล็กกลุ่มนี้ก่อน แต่หลายอย่างก็มักจะอ่อนให้กับความเอาแต่ใจของจูเลียนเสียเป็นส่วนใหญ่





๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑





“เจ้าตื่นเต้นไหมที่ใกล้ได้เจอว่าที่คู่หมั้นแล้ว” น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นทุ้มนุ่มน่าฟัง เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มผิวขาวราวน้ำนม ใบหน้าเรียวประดับด้วยส่วนประกอบที่เขากันได้อย่างลงตัวพอดี ตั้งแต่คิ้วสีน้ำตาลอ่อนตัดกับดวงตาสีฟ้าสดใสที่มีแววหวานแต่ดูมุ่งมั่น จมูกโด่งปลายหยดน้ำดูมีเสน่ห์ เข้ากับรูปปากอวบอิ่มที่หยักสวยเป็นกระจับ ยามแย้มยิ้มจึงยิ่งดูหวานจับใจ ล้อมกรอบใบหน้าชวนมองด้วยเส้นผมสีเงินยาวเคลียไหล่ที่ถูกมัดรวบเอาไว้ครึ่งเดียว ส่งให้ยิ่งดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลยิ่งขึ้น

“พี่พูดอะไรออกมานะลอเรน ก็รู้อยู่ว่าข้าไม่ได้ปรารถนาเลยสักนิด”

“เราต้องพึ่งออสเซนเทียเจ้าอย่าลืมสิ และนี่เป็นหน้าที่ของเจ้า”

“ข้าได้ข่าวกษัตริย์ออสเซนเทียไม่เอาไหนสักอย่าง นอกจากเพ้อฝันกับบทกวีและละครโอเปร่าไปวัน ๆ ”

“นั่นแหละยิ่งดี เจ้าจะได้ไม่ต้องปวดหัว และเราจะได้คุมเขาได้ง่าย ๆ ไงอนาสตาเซีย”

“อย่าลืมคนรอบข้างเขาด้วยล่ะ อะไรมันก็ไม่ง่ายอย่างที่พี่กับท่านพ่อคิดหรอกนะ” เป็นบทสนทนาของสองพี่น้องจากดินแดนสวาเนียร์ ที่เดินทางมาเข้าร่วมงานประจำปีของออสเซนเทียตามคำเชิญ และที่มากกว่านั้นก็คือ เจ้าหญิงอนาสตาเซีย ที่ได้รับทาบทามให้เป็นคู่หมายของกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย ด้วยเห็นว่าทั้งสองคู่ควรกัน

“กว่าเราจะเดินทางถึงก็ตั้งพรุ่งนี้ เจ้าจะวิตกกังวลไปทำไม”

“พี่จะเข้าใจอะไร ไม่ได้เป็นคนถูกจับแต่งกับใครนี่”

“เป็นเกียรติของเจ้าแล้วที่ได้ทำเพื่อสวาเนียร์”

“แต่..” หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก เพราะมันเป็นสิ่งที่นางไม่อาจปฏิเสธได้ ด้วยว่าเกิดมาพร้อมความสูงศักดิ์ และต้องรับผิดชอบต่อชาติกำเนิดของตัวเอง นั่นคือการเสียสละเพื่อบ้านเมือง

“อย่าพูดถึงเรื่องอื่น ทำตามหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด ทำให้จูเลียนเห็นว่าเจ้ารักเขามากแค่ไหน ทำให้เข้าตกหลุมรักเจ้าจนโงหัวไม่ขึ้น”

“พี่ไม่เคยมีความรักพี่คงไม่เข้าใจหรอกลอเรน” อนาสตาเซียบอกเสียงเศร้า ตลอดหลายวันของการเดินทางนางพยายามทำใจให้เข้มแข็ง เพื่อยอมรับสิ่งที่กำลังจะได้เผชิญ แต่ดูเหมือนว่าความพยายามมันจะไม่เป็นผลเลยสักนิด เพราะจิตใจก็ยังอ่อนแอเจ็บปวด และฝืนตัวเองอยู่เช่นเดิมเมื่อคิดว่าต้องแต่งงานกับคนที่ไม่มีใจ พยายามจะอธิบายให้พี่ชายฟัง แต่คนไร้หัวใจไม่เคยรักใครอย่างลอเรนมีหรือจะเข้าใจ

“เพราะหน้าที่ต้องมาก่อนข้าถึงได้ไม่มีความรักให้ใคร คนอย่างเรามันเลือกทางตัวเองไม่ได้หรอก เราเกิดมาพร้อมกับภาระและหน้าที่ต่อบ้านเมือง”

“สักวันพี่ต้องถูกจับให้แต่งานกับผู้หญิงแปลกหน้าที่เขาคิดว่าคู่ควร พี่จะทำตามไหมล่ะ”

“ถ้าเพื่อบ้านเมืองข้าก็ต้องทำ”

“ทำไมต้องเป็นข้า ทำไมพี่ไม่แต่งกับน้องสาวฝาแฝดจูเลียนบ้างล่ะ มันก็แต่งระหว่างสองประเทศเหมือนกัน” ยิ่งพูดยิ่งคุยอนาสตาเซียก็ยิ่งใส่อารมณ์ และอยากขัดขืนไม่ยอมทำตามสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่เพื่อบ้านเมือง หน้าที่นี้เป็นหน้าที่เดียวที่นางอยากปฏิเสธถ้าทำได้

“เด็กโง่ มันจะเหมือนกันได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าแต่งกับกษัตริย์และเจ้าจะได้เป็นราชินีมีอำนาจล้นฟ้า หากให้ข้าแต่งกับทาร์เทียน่าก็ทำอะไรไม่ได้เลย เจ้าเข้าใจหรือยัง” ลอเรนสบตาน้องสาวนิ่งริมฝีปากหยักของเขาแย้มออกเล็กน้อย ตามแบบผู้ชายใจดีใจเย็น รอฟังว่าน้องสาวจะพูดอย่างไรต่อ แต่อนาสตาเซียกลับเมินมองออกไปด้านนอกผ่านช่องหน้าต่าง ตอนนี้ทั้งสองอยู่บนรถม้าที่กำลังพาไปสู่ดินแดนแปลกหน้า และอีกคนหนึ่งอาจจะต้องใจชีวิตที่นั่นตลอดไป





๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑





“ฝ่าบาท”

“ท่านโจเชฟ”

“อีกเดี๋ยวขบวนเสด็จของมอนทาร์น่ากับสวาเนียร์ก็จะมาถึงแล้ว”

“ที่พักรับรองเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“ข้าให้กรมวังจัดการเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว รับรองว่าแขกบ้านแขกเมืองจะต้องประทับใจในการต้อนรับของฝ่าบาทแน่นอน”

“ขอบใจมากท่านโจเซฟ”

“ถือเป็นเกียรติของข้าที่ได้ถวายงานฝ่าบาท” รอยยิ้มไร้ความเป็นมิตรถูกซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียน ยามที่รัฐมนตรีโจเซฟก้มถวายคำนับให้กับจูเลียนศีรษะแทบจรดพื้น และปรับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนฉาบฉายบนหน้ากากทาสรับใช้ ที่สวมไว้บนใบหน้าซื่อสัตย์ยามยืดตัวขึ้นเสนอหน้าสนทนาต่อ





“ทำไมเราถึงได้เชิญมอนทาร์น่ามาล่ะ เรากำลังมีปัญหากับทางนั้นอยู่ไม่ใช่หรือไง” ปัญหาที่จูเลียนหมายถึงนั้น ไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อยเลยสักนิด เมื่อขบวนสินค้าสำคัญของออสเซนเทียหลายขบวนถูกปล้นกลางทาง ระหว่างการขนส่งไปยังท่าเรือในอ่าวของมอนทาร์น่า ทั้งที่มีการเจรจาและทำสัญญาขอใช้เส้นทางกันแล้ว และโจรที่ปล้นก็เป็นคนของฝ่ายนั้นนั่นเอง ออสเซนเทียอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย รวมถึงพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลก็จริง แต่กลับไม่มีส่วนไหนที่ติดกับทะเลเลย ดังนั้นการค้าขายหรือส่งสินค้าออกไปขายต่างแดนทางเรือ จึงต้องอาศัยส่งผ่านทางมอนทาร์น่าที่มีท่าเรือใหญ่ ส่วนสวาเนียร์แม้จะติดทะเลแต่อ่าวเป็นเพียงช่องแคบขนาดเล็ก มอนทาร์น่าจึงได้เปรียบด้านนี้มากกว่า

“นี่คือโอกาสที่เราจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับทางนั้นฝ่าบาท”

“ควรจะเป็นฝ่ายนั้นไม่ใช่หรือไง ที่ต้องเป็นผู้เริ่มฟื้นความสัมพันธ์เขาทำผิดต่อเรานะ”

“แต่ข้าเห็นว่าใครเริ่มก่อนไม่สำคัญหรอกฝ่าบาท สำคัญที่ว่าผลตอบแทนที่จะได้รับเราได้เปรียบหรือเปล่า”

“แล้วเราจะได้เปรียบหรือเปล่าล่ะ ท่านรัฐมนตรี”

“แน่นอนฝ่าบาท” เพียงเท่านั้นการสนทนาก็สิ้นสุดลง หากเป็นนิโคลคงถามต่อว่าเราจะได้เปรียบอย่างไร ด้วยวิธีไหน คุ้มค่าหรือไม่ แต่นี่เป็นจูเลียนแค่รู้ว่าได้ผลประโยชน์ก็เพียงพอแล้ว กษัตริย์หนุ่มน้อยไม่สนวิธีการ เพราะเท่าที่พูดคุยกันอยู่นี้ก็เบื่อเต็มที

“จูเลียน ขบวนเสด็จของมอนทาร์น่ามาถึงหน้าประตูเมืองแล้ว” ทาร์เทียน่าในชุดคลุมยาวเป็นทางการเช่นเดียวกับจูเลียนเข้ามากระซิบบอก โจเชฟค้อมหัวเพื่อทำความเคารพนางในฐานะรัชทายาทอันดับหนึ่ง แล้วจึงถอยไปยืนยังมุมของตัวเองกับข้าราชบริพารคนอื่น ๆ ที่ยืนตามลำดับขั้น ปล่อยให้สองพี่น้องยืนรอต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ที่นิโคลเป็นฝ่ายลงไปรับถึงหน้าประตู ทุกคนมีสีหน้าที่แสดงออกมาตามอารมณ์ของตัวเอง แต่พอเจอกันหน้ากากก็ถูกหยิบขึ้นมาสวม วันที่ชาวออสเซนเทียและชาวต่างเมืองเฝ้ารอใกล้มาถึง วันที่ไม่มีผู้ใดร่วงรู้มาก่อนว่ามันจะนำพาสิ่งใดมาให้บ้าง วันนั้นมันอาจจะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็เป็นวันที่ต่างคนก็ต่างเฝ้ารอเพราะหนึ่งปีมีแค่ครั้งเดียว





๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เป็นอะไรที่มาช้าอยู่หน่อยนึงนะ เรื่องไปแบบเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ หลังวันงานประจำปีน่าจะมีอะไร ๆ ดีขึ้น ดาวอยากให้ถึงตอนนั้นแล้ว (ตอนไหนจ้างก็ไม่บอก) แต่ตอนนี้พระเอกหายหัวเลย อย่าสงสัยว่ามันไปไหน อย่าคิดว่ามันยังอยู่ในซ่อง เพราะตอนที่แล้วมันบอกเลนนี่แล้วว่าจะออกไปนอกเมือง ถึงวันงานค่อยเข้ามา งั้นวันงานค่อยเจอกับพระเอกก็แล้วกัน แหะ ๆ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 5 แขกบ้านแขกเมือง



หลังประตูบานใหญ่ที่เปิดต้อนรับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนทั้งชาวพื้นเมือง และคนต่างถิ่นผสมปนเปกันไปหมดไม่รู้ใครเป็นใคร เพราะต่างคนก็ต่างมุ่งหน้าหวังจะมาร่วมงานประจำปีอันยิ่งใหญ่ ที่นอกจากการประลองแล้วยังมีงานเทศกาลซึ่งจัดขึ้นเพียงปีละครั้ง จึงทำให้ประชาชนตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก

ขบวนต้อนรับตั้งแถวยาวรอ เพราะมีการแจ้งมาก่อนว่ากษัตริย์แห่งมอนทาร์นาเดินทางมาถึงแล้วตามหมายกำหนดการ ผู้แทนพระองค์ยืนรออยู่ด้านหน้าสุดเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอย่างสมเกียรติ

“ข้านิโคลัส ตัวแทนของกษัตริย์จูลีเดียส ยินดีต้อนรับฝ่าบาทและคณะสู่ออสเซนเทีย”

“ขอบคุณที่มาต้อนรับ นี่คือแอนดีสน้องชายของข้าเอง” นิโคลโค้งให้อเล็กซิสเมื่อกษัตริย์หนุ่มลงจากหลังม้า มายืนสง่าผ่าเผยอยู่ตรงหน้า และหันไปค้อมศีรษะให้แอนดีสเล็กน้อยเป็นการทักทาย เมื่อได้รับการแนะนำ

“กษัตริย์ของเรารอต้อนรับท่านอยู่ข้างในเชิญเสด็จ” อเล็กซิสเพียงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินขึ้นบันไดไปยังท้องพระโรงส่วนที่จัดเอาไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอย่างเป็นทางการ นิโคลยังยืนอยู่ที่เดิม และหลังจากนั้นไม่นานก็มีขบวนใหญ่อีกหนึ่งขบวนเคลื่อนเข้ามา คนที่ขี่ม้านำหน้าขบวนดูสะดุดตากว่าทหารทั่วไป ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกอย่างโครงหน้าที่โดดเด่นและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่แตกต่างดูเลอค่า ซึ่งนั่นก็คงเดาได้ไม่ยากว่าคือใคร เมื่อขบวนหยุดลงชายหนุ่มจึงเข้าไปต้อนรับ

“ยินดีต้อนรับสู่ออสเซนเทีย”

“..”

“ข้าคือนิโคลัส เป็นตัวแทนของกษัตริย์จูลีเดียสมารอต้อนรับทุกท่าน” เมื่อนิโคลแนะนำตัวเองเรียบร้อย ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าจึงเหมือนกับเพิ่งรู้สึกตัว หลังจากเผลอพินิจใบหน้าคมคายที่ตราตรึงสายตาของนิโคลอยู่เป็นครู่

“ขอบคุณ ที่มาต้อนรับลอร์ดนิโคลัส” ลอเรนดูเหมือนว่าจะรู้สึกตัวช้าไปสักหน่อยสำหรับคำทักทาย ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงเล็กน้อยให้นิโคล เพราะทั้งสองต่างอยู่ในฐานะเจ้าชายเช่นเดียวกัน “ข้าคือลอเรน และนี่คืออนาสตาเซีย” นิโคลค้อมศีรษะให้หญิงสาวด้วยท่วงท่าที่ดูสง่างาม โดยชายหนุ่มเอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มเปิดเผย เมื่อรับมือเรียวของอนาสตาเซียที่ยื่นให้มาจูบลงบนหลังมือเบา ๆ แล้วจึงเชื้อเชิญสองพี่น้องเดินเข้าไปในท้องพระโรงพร้อมกัน โดยที่นิโคลแสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการยกแขนขึ้นให้อนาสตาเซียได้คล้องเดินขึ้นบันได หญิงสาวก้าวเท้าขึ้นช้า ๆ ด้วยท่วงท่าสง่างามสมเป็นเจ้าหญิง มือข้างหนึ่งคล้องเข้าที่ท่อนแขนแข็งแรงของเจ้าบ้าน ส่วนอีกข้างดึงชายกระโปรงยาวเพื่อให้ก้าวขึ้นบันไดได้สะดวก





พอก้าวพ้นบันไดขึ้นมาก็เป็นประตูบานใหญ่สองบานที่เปิดเอาไว้ต้อนรับ เผยให้เห็นท้องพระโรงกว้างขวางหลังคาโค้งสูงที่ถูกสร้างให้ใหญ่โตสมเกียรติ โถงกว้างที่สุดความยาวเป็นแท่นบันไดสูง 5 ขั้น บนนั้นคือบัลลังก์ทองที่ดูยิ่งใหญ่ ผนังแบ่งช่องออกด้วยเสาค้ำหินอ่อน ประดับช่องแต่ละช่องของผนังทั้งสองด้าน ด้วยภาพวาดฝีมือจิตรกรเอกแห่งออสเซนเทีย งานปั้นและงานสลักหินอ่อนฝีมือประณีตตั้งวางประดับตามจุดต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ห้องโถงกว้างที่จุกคนได้นับร้อยนับพันถูกจัดเอาไว้อย่างตระการตา เพื่อรอรับแขกบ้านแขกเมือง ทั้งดอกไม้ประดับเพื่อความสดใส ทั้งผ้าม่านผ้าแพรถูกนำออกมาตกแต่งเอาไว้ได้อย่างสวยงาม เสริมความหรูหราด้วยเครื่องเรือนชุดเก้าอี้บุนวมนุ่มหุ้มผ้ากำมะหยี่สีแดงสด ปักลวดลายเดินเส้นไหมสีทองหรูหรา เชิงเทียนทองเหลืองประดับคริสทัลที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากช่างฝีมือ เน้นความประณีตในศิลปะแบบอ่อนช้อย แต่กลับดูมีพลังเข้ากันกับชุดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารทำด้วยทองเหลืองเป็นอย่างดี ด้านบนติดโคมไฟชุดใหญ่ระย้าประดับคริสทัลและแก้วเจียระไน ที่เล่นแสงส่องประกายระยิบระยับโยงลงมาจากส่วนโค้งของหลังคาดูอลังการและตระการตาเหลือเกิน





จูเลียนไม่โปรดนักที่ต้องมาปั้นหน้ารับแขกอย่างนี้ แต่เพราะเป็นภารกิจที่เลี่ยงไปไหนไม่ได้ จึงจำต้องนั่งทำหน้าเหมือนใกล้จะร้องไห้เข้าไปทุกที ต่างจากทาร์เทียน่าที่ยังนิ่งทำหน้าระรื่นและชวนคุยหน้าตาเฉย ทั้งที่จูเลียนก็ได้ยินนางบ่นว่าไม่ชอบเหมือนกัน และยิ่งแขกเมืองเริ่มทยอยมาถึงจูเลียนก็ยิ่งเหมือนใจจะขาด เพราะต้องปั้นสีหน้ายินดีออกไปต้อนรับอย่างไม่เต็มใจ

“ฝ่าบาท”

“อะไรเล่า”

“กษัตริย์อเล็กซิสแห่งมอนทาร์น่า” ลีโอที่ได้รับอภัยโทษจากจูเลียนอย่างจำใจเพราะงานเข้า ขยับมากระซิบเบา ๆ ข้างหลัง เมื่อเห็นร่างสูงสง่าในชุดผ้าไหมสีน้ำตาลเข้มพร้อมเครื่องประดับยศ บ่งบอกถึงความสูงศักดิ์ของชายหนุ่มที่เดินเข้ามาในท้องพระโรง เพื่อให้จูเลียนลุกออกไปต้อนรับ เพราะหนุ่มน้อยเอาแต่นั่งทำหน้างอไม่อยากรับแขก และเฝ้าแต่ถามหาคนรัก ไม่ได้สนใจพิธีการอะไรเลย หากขาดลีโอไปสักคนจูเลียนก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง





“ยินดีต้อนรับสู่ออสเซนเทีย ท่านอเล็กซิส” เป็นคำพูดที่ลีโอซักซ้อมให้จูเลียนเอาไว้พูด เมื่อลุกขึ้นมาต้อนรับแขก โดยมีทาร์เทียน่ายืนอยู่ข้างหลัง ซึ่งจูเลียนคงลืมอะไรบางอย่างไปลีโอจึงต้องสะกิดยิก ๆ จนกษัตริย์หนุ่มน้อยเผยยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจ นั่นแหละแรงสะกิดนั้นมันถึงได้หายไป ลีโอถอยกลับไปยืนอยู่ตำแหน่งเดิม กษัตริย์ต่างวัยต่างความสูงทั้งสองยื่นมือมาจับกัน เห็นได้ชัดว่าจูเลียนตัวเล็กลงไปมากเมื่อยืนอยู่ใกล้อเล็กซิสผู้สูงสง่าสมชายชาตรี แม้ตัวจูเลียนจะสูงอยู่ไม่น้อย แต่ความแกร่งของอเล็กซิสก็ข่มจนจูเลียนดูบอบบางน่าทะนุถนอมไปเลยทีเดียว





“หวังว่าท่านคงสบายดีนะ จูลีเดียส” อเล็กซิสทักตอบ ในฐานะกษัตริย์ผู้ครองเมืองเช่นกัน แต่อเล็กซิสนั้นอายุมากกว่าจึงเรียกเพียงชื่อของจูเลียน

“เราสบายดีเรียกเราว่าจูเลียนก็ได้ ท่านละการเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งจูเลียนถ้าอย่างนั้นก็เรียกข้าว่าอเล็กเถิด การเดินทางก็สนุกดี ขอแนะนำ นี่แอนดีสน้องชายของข้าเอง”

“ยินดีต้อนรับลอร์ดแอนดีส และนี่คือทาร์เทียน่าน้องสาวฝาแฝดของข้า”

“ท่านหญิง” อเล็กซิสมองใบหน้าสวยหวานงดงามด้วยสายตานิ่ง มุมปากของเขาขยับออกจากกันเล็กน้อย ทาร์เทียน่าทิ้งสายตามองต่ำเมื่อถอนสายบัวให้เขา พอหญิงสาวยืดตัวขึ้นและยื่นมือมาให้ กษัตริย์หนุ่มก็คว้ามือเรียวสวยในถุงมือขนสัตว์นั้นมาประทับจูบเบา ๆ ลงที่หลังมือ เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตา อเล็กซิสต้องหรี่ตามองด้วยความฉงน เพราะแววตาของนางที่แม้จะดูสุกใสแต่ก็มีแววท้าทายในแบบสาวน้อยซุกซนเหลือเกิน





“ท่านหญิงช่างงดงามเหลือเกิน”

“ขอบใจลอร์ดแอนดีส ท่านก็รูปงามไม่น้อยเลยนะ” ตามด้วยแอนดีสที่เบียดพี่ชายเข้ามาทักทายหญิงสาว และส่งยิ้มขี้เล่นมาให้ ทาร์เทียน่าเพียงยิ้มน้อย ๆ ยามโต้ตอบกลับ สองกษัตริย์หนึ่งเจ้าหญิงหนึ่งเจ้าชายพูดคุยกันอยู่เพียงครู่ จูเลียนจึงเชิญให้ไปพักยังส่วนที่จัดเอาไว้ เพราะยังมีแขกอื่นที่เขาต้องต้อนรับ





“ทำหน้าอะไรของเจ้า”

“ข้าเหนื่อย”

“เจ้าแค่ยืนเฉย ๆ นะ”

“ก็ใครจะไปแกร่งเหมือนเจ้ากันล่ะเทียน่า”

“นั่นลอเรนกับอานาสตาเซียคู่หมายของเจ้า”

“เจ้ารู้จักสองคนนั้นได้ยังไง” จูเลียนถามเมื่อหันไปตามสายตาของทาร์เทียน่า และเห็นชายหนุ่มท่าทางสง่าผ่าเผยเดินเข้ามาพร้อมกับนิโคล และข้างนิโคลก็มีสาวน้อยคนหนึ่งคล้องแขนเดินเข้ามาด้วย ซึ่งมันเดาได้ไม่ยากว่าสองคนนี้เป็นใคร

“ข้ารู้ก็แล้วกันน่า ยิ้มสิแขกบ้านแขกเมืองเชียวนะ” ยุวกษัตริย์ไม่พอใจที่ทาร์เทียนาพูดเหมือนกำลังเย้าแหย่ ก็รู้อยู่ว่านอกจากรับเชิญมาร่วมงานประจำปีแล้ว ยังมีเรื่องของการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างออสเซนเทียกับสวาเนียร์แฝงเอาไว้ด้วย และนั่นล่ะคือสิ่งที่จูเลียนไม่โปรดเป็นที่สุด!

“ลอร์ดลอเรนยินดีต้อนรับสู่ออสเซนเทีย”

“ถือเป็นเกียรติยิ่งนัก และนี่อานาสตาเซียน้องสาวของข้าเอง” หญิงสาวสบตาและยิ้มหวานให้จูเลียน นางเอียงคอค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเมื่อย่อตัวถอนสายบัวถวายความเคารพ ยื่นมือให้กษัตริย์หนุ่มน้อยได้รับไปจุมพิตเมื่อยืดตัวขึ้นยืนตรง

“สวัสดีอนาสตาเซีย”

“ฝ่าบาท”

“และนี่คงเป็นท่านหญิงทาร์เทียน่า ช่างงดงามน่ารักอย่างที่ได้ยินข่าวจริง ๆ ” ลอเรนทักทายด้วยการค้อมศีรษะให้ทาร์เทียน่าเล็กน้อย แล้วรับมือของหญิงสาวขึ้นจุมพิตตามธรรมเนียมเช่นกัน

“ข้าตกเป็นข่าวเสียแล้วหรือ แต่ก็ขอบคุณที่ชมลอร์ดลอเรน”

“เชิญทางนี้ดีกว่า กษัตริย์มอนทาร์น่าก็เพิ่งเดินทางมาถึงเช่นกัน” จูเลียนเดินคู่ไปกับลอเรน และตามด้วยทาร์เทียน่ากับอนาสตาเซีย ที่เดินคุยกันไปด้วย





เมื่อแขกทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว งานเลี้ยงต้อนรับก็เริ่มขึ้น โต๊ะยาวกลางห้องโถงใหญ่จัดเอาไว้อย่างสวยหรู พรั่งพร้อมไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มมากมาย ในฐานะเจ้าภาพจูเลียนนั่งตรงกลาง ข้างขวาคืออเล็กซิสส่วนข้างซ้ายคือลอเรน และอนาสตาเซีย ถัดจากนั้นก็เป็นคนอื่น ๆ ที่นั่งสลับกันไป ทั้งนิโคล ทาร์เทียน่า รัฐมนตรีโจเซฟ ที่พาลูกสาวมาด้วย และข้าราชบริพารคนสำคัญอีกหลายคน การสนทนาบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างออกรส ซึ่งจูเลียนก็ทำได้ดีทีเดียวสำหรับคนไม่ชอบความวุ่นวาย





“ท่านมีอะไรอยากจะถามข้าหรือเปล่า” ทาร์เทียน่าถามขึ้น เพราะนางสังเกตหลายครั้งแล้วว่าอเล็กซิสที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แอบหันมามอง และบางครั้งก็เหมือนกับว่าจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่เห็นพูดออกมาสักคำ

“หากข้าทำอะไรให้ไม่พอใจโปรดอภัยข้าด้วยท่านหญิง ข้าเพียงแต่สงสัยอะไรบางอย่างที่ไม่สำคัญเท่าไหร่นัก”

“อะไรล่ะที่ท่านกำลังสงสัย”

“อาหารนี้เป็นอาหารพื้นเมืองของออสเซนเทียหรือท่านหญิง”

“ใช่แล้ว ไม่ถูกปากท่านหรือไง”

“มันออกจะรสชาติแปลก ๆ สำหรับข้าแต่ก็อร่อยมากทีเดียว” ทาร์เทียน่ายิ้มน้อย ๆ กับคำชมที่เดาว่ากษัตริย์หนุ่มคงเพียงแค่พูดออกมาตามมารยาทเท่านั้น แต่นางก็ไม่ได้แปลกใจเพราะอาหารพื้นเมืองของแต่ละแห่ง ย่อมมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป และอาจจะแปลกสำหรับลิ้นไม่คุ้นชิน

“แน่ใจนะว่าท่านอยากถามข้าเกี่ยวกับเรื่องอาหารจริง ๆ ” ริมฝีปากบางสวยที่เคลือบเอาไว้ด้วยขี้ผึ้งผสมเปลือกไม้เพื่อให้สีแดงระเรื่อแย้มสรวลออก เผยให้เห็นรอยยิ้มซุกซนตามแบบสาวน้อยขี้เล่น ทาร์เทียน่าถามตรง ๆ ตามนิสัยตรงไปตรงมาของนาง เล่นเอากษัตริย์หนุ่มแทบไปไม่เป็น เขาเผลอมองและนางก็จับได้ ดีที่ยังสามารถเอาความสุขุมนุ่มลึกอันเป็นนิสัยส่วนตัวออกมาบดบังความประหม่าไว้ได้ทัน ตั้งแต่เกิดมาจนเติบโตพร้อมภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่เมื่อครองราชย์ จนถึงตอนนี้อายุเข้า 30 ปี ก็เพิ่งจะมีวันนี้ล่ะที่เขาเกือบหลุดต่อหน้าอิสตรี นางมีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดจนเขาเผลอตัว





อันว่าผู้หญิงนั้นอเล็กซิสก็ใช่ว่าจะไม่เคยเข้าใกล้ เพราะเขาเองก็มีทั้งสนมนางในหลายสิบคน แต่กับทาร์เทียน่านางไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาหรือนางสนมที่เข้าถวายตัว นางเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์ที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปโฉมน่ารักงดงาม การวางตัวคำพูดคำจาของนางบ่งบอกว่าเจ้าตัวฉลาดอยู่ไม่น้อยเลย





“แล้วอนาสตาเซียล่ะ อาหารถูกปากเจ้าหรือไม่”

“ข้าชอบมาก อาหารจานนี้เรียกว่าอะไร” แล้วทาร์เทียน่าก็นำเสนออาหารพื้นเมือง และวัฒนธรรมการกินให้คนที่นั่งข้างนางทั้งสองฟัง กษัตริย์หนุ่มตั้งใจฟังและสังเกตทุกอิริยาบถของนางอย่างละเอียด และเขาก็ได้พบว่าตัวเองคิดถูก เพราะทาร์เทียน่าเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากทีเดียว แต่พอหันไปสนทนากับจูเลียนที่นั่งอยู่อีกข้าง เขากลับได้พบกับอีกขั้วหนึ่งที่ดูแตกต่าง จูเลียนดูออกง่าย ค่อนข้างเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองและมองโลกในแง่ดี ที่สำคัญคือคงจะเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนไหวและอ่อนโยนมากทีเดียว





หลังจากงานเลี้ยงจูเลียนประกาศเชิญชวนให้แขก และผู้ร่วมงานมาดูการแสดงละครที่ถูกจัดขึ้นภายในห้องโถงใหญ่อีกห้อง ทุกคนนั่งประจำที่ จูเลียนถูกจัดให้นั่งคู่กับอนาสตาเซียในฐานะคู่หมายอย่างเปิดเผย ทาร์เทียน่ารับหน้าที่ดูแลแขกจากมอนทาร์น่า ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับนางเพราะเข้ากับทุกคนได้อยู่แล้ว ส่วนแขกจากสวาเนียร์เป็นหน้าที่ดูแลของนิโคล เมื่อการแสดงเริ่มขึ้นทุกสายตาก็จับจ้องไปที่เดียวกันนั่นก็คือบนเวที แต่กระนั้นก็ยังมีคนแอบลักลอบออกมานัดแนะกันในที่ลับตา





“เจ้ารออะไรอยู่ ทำไมไม่ทำตามที่ข้าบอก”

“ท่านจะให้ข้าทำยังไงล่ะ คนตั้งมากมาย ไหนจะนังนั่นที่มันประกบจูเลียนอยู่ตลอดเวลา จนข้าเข้าไม่ถึงเลย”

“นิโคลไง สองคนนี้เจ้าต้องได้ใครคนใดคนหนึ่งมาครอง”

“มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะท่านพ่อ”

“ลีแอนฟังพ่อนะเพื่อความมั่นคงของเรา เจ้าต้องทำให้คนใดคนหนึ่งระหว่างจูเลียนกับนิโคลตกหลุมรักเจ้าให้ได้” ลีอานนาถอนหายใจ เพราะแผนตื้น ๆ ที่นางและพ่อวางเอาไว้มันดูเหมือนจะเป็นแผนง่าย แต่จนป่านนี้นางก็ยังไม่สามารถที่จะทำตามแผนได้สักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าหานิโคลหรือเข้าหาจูเลียน อย่าว่าแต่เข้าหาจูเลียนซึ่งเป็นกษัตริย์เลย แม้แต่ลอร์ดนิโคลนางยังไม่ได้แม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้เขา

“ใช้ความเป็นลูกสาวข้าให้มีประโยชน์”

“ท่านพ่อ”

“เจ้าต้องทำให้ได้” สั่งสอนลูกสาวจบโจเซฟก็เดินเข้าไปในงาน ทิ้งให้ลีอานนายืนว้าวุ่นอยู่เพียงลำพัง แน่ล่ะสิ่งที่ผู้เป็นพ่อเสี้ยมเอาไว้ทำให้นางสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะตำแหน่งราชินีแห่งอาณาจักรออสเซนเทีย หากนางทำให้จูเลียนตกหลุมรักได้ แต่หากพลาดจากจูเลียนนางก็ยังมีนิโคลเป็นจุดมุ่งหมายต่อไป เพราะถึงอย่างไรนิโคลก็มีอิทธิพลต่อจูเลียนและออสเซนเทียอยู่ไม่น้อย แต่จะทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงคนใดคนหนึ่งได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่พอคิดถึงคำที่พ่อเสี้ยมสอนหญิงสาวก็เกิดความฮึกเหิม เพราะความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมรออยู่ที่นั่น และนางจะต้องทำให้ได้ โดยก่อนอื่นนางต้องพาตัวเองเข้าไปให้เป็นจุดสนใจเสียก่อน เป็นถึงลูกสาวรัฐมนตรี เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่ท่านพ่อของนางได้บอกเอาไว้นั่นแหละ ลีอานนาจัดแต่งชุดของนางใหม่ให้ดูดีเข้าที่ ใบหน้าสวยหวานเชิดขึ้นพร้อมกับหลังที่ยืดตรง เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับก้าวเข้าไปในงาน





“ท่านหญิงลีอานน่า” ร่างหญิงสาวในชุดคลุมเปิดไหล่กระโปรงยาวสีแดงเลือดนกหยุดชะงัก เมื่อมีใครบางคนเรียกและก้าวเข้ามาขวาง ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มพราวราวกับดีใจนักหนาที่ได้เจอกัน

“เรารู้จักกันหรือ”

“ท่านคงยังไม่รู้จักข้า” หลังจากถามเพราะความฉงน ลีอานนากวาดตาสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่ใบหน้าขาวผ่อง รูปร่างสูงเพรียวดูสะโอดสะอง ไปจนถึงการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างดีบ่งบอกถึงฐานะที่น่าจะดีอยู่ไม่น้อย

“โปรดอภัยด้วยข้าไม่รู้จักท่านจริง ๆ “ลีอานนาเปลี่ยนกิริยาเมื่อเห็นว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในแขกที่มาร่วมงานเลี้ยง

“ข้าชื่อกรอสเซ่ ข้าเพิ่งได้คุยกับท่านรัฐมนตรีไปเมื่อหลายวันก่อน”

“ท่านรู้จักกับพ่อของข้านี่เอง อภัยด้วยที่ข้าไม่รู้จักท่านจริง ๆ”

“ตอนนี้ก็รู้จักแล้ว ท่านจะเข้าไปชมละครหรือ”

“ใช่ข้าขอตัวก่อน” ลีอานนารีบผละไปจากตรงนั้น เพราะถึงแม้ว่านางจะไม่เคยเจอเขามาก่อน แต่หากเอ่ยชื่อกรอสเซ่ทุกคนย่อมรู้ว่าชายผู้นี้เป็นใคร เสียงซุบซิบที่เกิดขึ้นแม้จะไม่ดังมากนัก แต่ก็แผ่ไปในวงกว้างน้อยเสียเมื่อไหร่ กับเรื่องนินทาลับ ๆ ในวังที่นางได้ยินอยู่เป็นประจำ





กรอสเซ่ได้แต่ยืนยิ้มส่งสายตาเชื่อมมองตามร่างสาวงามในชุดกระโปรงยาวลากพื้น ที่เดินหลบเลี่ยงไปด้วยสายตาหวานซึ้ง แม้นางจะไม่เห็นไมตรีของเขาวันนี้ แต่อีกไม่นานเมื่อเขาทำงานให้พ่อของนางสำเร็จ สิ่งที่เขาเฝ้าหวังคงใกล้ความเป็นจริง

“เจ้าชอบไหม อนาสตาเซีย”

“เอ่อ ฝ่าบาทข้าไม่ค่อยถนัดชมละครเท่าไหร่นักหรอก”

“ที่สวาเนียร์ไม่มีการละครหรือไง”

“ก็มีบ้างฝ่าบาท”

“แต่คงเป็นเพราะตัวเจ้าไม่ค่อยชอบสินะ” อนาสตาเซียเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ทั้งที่จริงแล้วนางไม่ชอบเอาเสียเลยจนแทบจะบอกว่าเกลียดได้ ทั้งที่การละครเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วทุกราชสำนัก แต่ที่ต้องนั่งอยู่ตรงนี้ก็เพราะต้องใกล้ชิดจูเลียนเอาไว้ตามหน้าที่เท่านั้น “เจ้ารู้ไหมละครช่วยให้เราผ่อนคลายจากเรื่องราวน่าปวดหัวได้”

“ฝ่าบาทคงมีราชกิจมากมาย การทำในสิ่งที่ชอบก็คงช่วยให้ผ่อนคลายลงได้บ้าง” นางรีบประจบ

“ใช่ เจ้าฉลาดคิดดีนะอนาสตาเซีย ดูสิใกล้ถึงฉากสำคัญแล้ว เจ้าอาจจะชอบก็ได้”

“..” จูเลียนไม่ได้สนใจว่าอนาสตาเซียจะตอบโต้มาว่าอย่างไร เพราะเขาหันไปสนใจฉากในละครที่กำลังแสดงก่อน เจ้าหญิงจากสวาเนียร์ได้แต่นั่งเงียบ ทั้งสองต่างคนต่างเงียบ จูเลียนดื่มด่ำกับสิ่งที่โปรดปราน อนาสตาเซียหลงหลุดเข้าไปในความคิดของตัวเองทั้งที่ตายังจับอยู่ที่การแสดงเบื้องหน้า แต่นางกลับไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยสักนิด ไม่รู้แม้กระทั่งใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ปลีกตัวออกไปจากตรงนั้นแล้วเงียบ ๆ





“ไม่ชอบละครหรือไง” เสียงทักดังขึ้นใกล้มากจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ที่เป่ารดผิวเนื้ออ่อนหลังคอ คนถูกทักหันไปอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณเมื่อตกใจ จึงได้เจอเข้ากับใบหน้าเกลี้ยงเกลาขาวนวลในระยะประชิด มันชิดมากจนเห็นไรหนวดสีเขียวครึ้มที่ส่งให้ใบหน้าขาวนวลนั้นมีเสน่ห์มากขึ้น มันชิดมากจนแทบจะผละออกไม่ทัน

“ลอร์ดนิโคลัส” !

“ทำไมออกมายืนตากลมหนาวอยู่ตรงนี้ล่ะ สวาเนียร์อยู่ติดทะเลและเป็นเมืองร้อนเจ้าชอบอากาศเย็นๆ หรือไง หรือว่าไม่ชอบละคร”

“ข้าแค่อยากออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์” ลอเรนหันมองไปรอบๆ ราวกับว่ามองหาอากาศบริสุทธิ์อย่างที่ต้องการ ตอนนี้ทั้งสองยืนอยู่มุมเงียบมุมหนึ่งบนระเบียงด้านนอกท้องพระโรงที่ใช้จัดงานเลี้ยงต้อนรับ

“อากาศข้างในไม่ดีพอสำหรับเจ้าหรือไง”

“ท่านตามข้ามาทำไม” ถึงแม้เสียงของลอเรนในยามปกติจะกังวานไพเราะน่าฟัง แต่ยามนี้กลับสั่นและห้วนเมื่อเอ่ยคำถาม เพราะเจ้าตัวเกิดความประหม่าทั้งไม่รู้จะวางตัวอย่างไร ด้วยว่าไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองนั่นอีกเหตุผลหนึ่ง ตั้งแต่ตอนที่มาถึงประตูเมืองนั่นแล้ว อยู่ดี ๆ หัวใจก็เต้นผิดจังหวะและสั่นไหว ระบบการหายใจเหมือนจะขัดข้องและสะดุด ยิ่งได้อยู่ใกล้ได้พูดคุย ก็ยิ่งดูเหมือนว่าหัวใจของเจ้าชายแห่งสวาเนียร์จะเต้นแปลกไปจนน่ากลัว คิดว่าหากออกมาจากตรงนั้น และได้สูดอากาศในที่โล่งสักหน่อยน่าจะดีขึ้น อุตส่าห์เลี่ยงออกมาแล้วทำไมยังตามมาอีกก็ไม่รู้

“ข้าก็อยากออกมาสูดอากาศข้างนอกเหมือนกัน ไม่ได้ตามเจ้ามาสักหน่อย” ดวงตาสีฟ้าสดใสวูบไหวและหลุกหลิก ปรางนวลที่ขาวราวน้ำนมจับสีเลือดจนแดงปลั่ง ลามไปถึงปลายจมูกโด่งและริมฝีปากอิ่มที่หยักสวย จะเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็นจนแสบผิว หรือเพราะดวงตาสีน้ำตาลสุกใสของคนร่างสูงสง่า ที่กำลังจ้องมองมาก็ไม่อาจรู้ได้ แต่มันทำให้ลอเรนทำตัวไม่ถูก

ท่าทางของลอร์ดนิโคลัสดูผ่อนคลาย ส่วนดวงตาคู่นั้นก็ดู..ดูจะซุกซนขี้เล่นเกินไป แตกต่างจากเจ้าชายผู้สุภาพสง่างามที่มารอรับตรงหน้าประตูเมืองราวกับคนละคน

“มีใครทำอะไรให้เจ้าขัดข้องใจหรือไง”

“ไม่ได้มีใครทำอะไรให้ขัดข้องใจทั้งนั้น” ลอเรนยืดอกเชิดหน้าขึ้นพลางขยับตัวถอยห่างอย่างไว้ท่า เพราะดูเหมือนว่านิโคลจะไม่พูดเฉยๆ แต่ร่างสูงสง่านั้นยังค่อยๆ ขยับก้าวเข้ามาใกล้ ใบหน้าหล่อเหลาเอียงหาองศาที่พอเหมาะ เพื่อจะได้เห็นใบหน้าเรียวนวลที่เอาแต่หันหนีให้ถนัดขึ้น นิโคลขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงไออุ่นของกันและกัน และมาถึงตรงนี้ลอเรนก็ได้รู้สาเหตุที่แท้จริงของอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองและ “ท่านจะขยับเข้ามาใกล้ข้าทำไมเนี่ย”

“ที่นี่หนาวกว่าสวาเนียร์อยู่มากนะ เสื้อคลุมที่เจ้าใส่คงให้ความอบอุ่นได้ไม่เท่าไหร่หรอก”

“มันก็อุ่นดี”

“จริงเหรอ อุ่นแล้วทำไมปากเจ้าสั่นนักล่ะ” ได้ยินอย่างนั้นก็เผลอยกมือขึ้นลูบริมฝีปากอวบอิ่มเย็นชืดของตัวเอง ลอเรนสัมผัสได้ถึงแรงสั่นเบา ๆ ที่มีต้นตอมาจากคางมนเพราะความหนาว และต้องยอมรับว่าตอนนี้เขาหนาวมากทีเดียวโดยเฉพาะยามที่มีลมพัดมา “เจ้าหนาวหรือไง”

“ไม่ๆ ท่านจะทำอะไร” เจ้าของร่างเพรียวถอยกรูดจนติดราวระเบียง เมื่อร่างสูงสง่าของนิโคลขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับเสื้อคลุมในมือที่เขาถอดออกจากตัวอย่างรวดเร็ว แล้วคลุมลงบนร่างสูงเพรียวที่สั่นสะท้านของลอเรน รู้สึกเหมือนถูกโอบกอดกลายๆ พลันไออบอุ่นที่ติดมากับเสื้อก็กระจายไล่ความเย็นไปหมด

“เสื้อคลุมข้ามันอุ่นกว่าใส่ไว้เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบาย”

“ลอร์ดนิโคล ข้าเกรงว่าคงไม่เหมาะ”

“ไม่เหมาะตรงไหนล่ะ เจ้าเป็นแขกบ้านแขกเมืองข้าไม่ใจร้ายพอที่จะยืนดูแขกหนาวตายหรอกนะ”

“อีกเดี๋ยวข้าก็เข้าไปข้างในแล้ว ท่านเอามันคืนไปเถอะ”

“ใส่มันเอาไว้ก่อนที่เจ้าจะไม่สบาย” มือที่กำลังจะปลดเสื้อคลุมตัวหนาออกจากไหล่ชะงัก ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าบ้านยังดูอ่อนโยนแถมยังอมยิ้มน้อย ๆ แต่ดวงเนตรสีน้ำตาลเข้มคมกริบคู่นั้น กับน้ำเสียงที่เรียบนิ่งจริงจังทำให้ลอเรนแทบไม่กล้าขยับตัว

“แต่..ท่านไม่หนาวหรือไง”

“ข้าเกิดมาก็อยู่ท่ามกลางหิมะแล้ว ความหนาวแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

“หมายความว่าท่านแม่ของท่านคลอดท่านอยู่บนกองหิมะหรือไง” คำถามที่ดูใสซื่อบวกกับหน้าตาอ่อนเยาว์เหมือน..เด็กขี้สงสัย ทำให้นิโคลหลุดยิ้มออกมาแต่ก็เพียงเล็กน้อย และคู่สนทนาก็ไม่เห็นเพราะถามแล้วก็เอาแต่หันไปมองทางอื่น ลอเรนกำลังจะเสียการความเป็นตัวของตัวเอง กับการกระทำแปลก ๆ หน้าตาเฉยของนิโคล “ขออภัยข้าไม่ควรถาม ขอตัวก่อน”

“จะรีบไปไหนข้ายังเล่าไม่จบเลย”

“ข้าควรเข้าไปข้างในเพราะทิ้งอนาสตาเซียมานานแล้ว”

“นางอยู่กับจูเลียนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” นั่นแหละสิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับลอเรน เพราะอนาสตาเซียอยู่กับจูเลียนโดยไม่มีเขาอยู่ข้างๆ มันน่าเป็นห่วงที่สุด ไม่รู้ว่าอนาสตาเซียจะทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรออกมาเมื่อไหร่ ลอเรนไม่ลืมว่านางถูกบังคับให้เข้าหาจูเลียนหรอกนะ

“แต่ข้าออกมานานแล้วและควรกลับเข้าไปสักที นี่เสื้อคลุมของท่าน” มือเรียวที่กำลังจะปลดเสื้อคลุมตัวหนาออกจากร่างเพรียวบางของตัวเองเป็นต้องชะงักอีกครั้ง เมื่อนิโคลหยุดมันด้วยการจับมือเล็กไว้แน่น

“ลอร์ดนิโคล” !

ต่อจ้า.....

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“ลอร์ดนิโคล” !

“เก็บมันเอาไว้ เจ้าต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน”

“แต่..” ลอเรนค้านออกมาเสียงแผ่ว ไม่ใช่จำนนยอมเก็บเสื้อคลุมเอาไว้โดยดี แต่เป็นเพราะเจ้าของเสื้อที่บอกแล้วก็ไม่รอให้เขาได้คัดค้าน นิโคลเดินเร็ว ๆ ออกไปจนลอเรนเรียกเอาไว้ไม่ทัน ทิ้งไว้เพียงไออุ่นบนหลังมือที่ถูกเกาะกุมและเสื้อคลุมตัวหนาที่ทำให้เจ้าชายจากสวาเนียร์อุ่นไปทั้งตัว “ขอบคุณ”





*********************





“ฝ่าบาทมองหาใครหรือ”

“ลีโอ เจ้าเห็นกรอสเซ่บ้างไหม”

“ไม่เห็นเลยฝ่าบาท แล้วเจ้าหญิงอนาสตาเซียล่ะ ทำไมพระองค์ปล่อยให้นางนั่งอยู่คนเดียว”

“ช่างนางเถอะน่า เจ้าช่วยข้ามองหากรอสเซ่หน่อยสิ” จูเลียนกวาดสายตามองฝ่าความสลัวไปทั่วห้องโถงใหญ่เพื่อมองหาชู้รัก วันนี้ทั้งวันก็ยังไม่ได้เห็นหน้ากันเลย เพราะยุ่งจนแทบจะปลีกตัวออกไปไหนไม่ได้

“วันนี้ทั้งวันข้าไม่เห็นท่านกรอสเซ่เลยนะฝ่าบาท เขาอาจจะไม่มาก็ได้”

“เขาต้องมาสิ ข้าบอกแล้วว่าให้เขามา แต่ทำไมเขาไม่ไปหาข้าเลย”

“ข้าว่าฝ่าบาทกลับไปนั่งดูละครต่อเถอะ”

“นี่เจ้ากำลังสั่งข้านะลีโอ” พักตร์อ่อนเยาว์เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง รับกับดวงเนตรเขียวมรกตที่ตวัดมองคนสนิทอย่างขัดใจ ลีโอตัวสั่น แต่ด้วยเกรงว่าจะไม่เหมาะหากจูเลียนผู้เป็นเจ้าของงานหายออกมาจากงานเองแบบนี้

“ฝ่าบาทโปรดอภัย แต่ลีโอจะไปตามหาท่านกรอสเซ่ให้เอง”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ ถ้าเจ้าเจอเขาบอกให้เขารีบไปหาข้าด้วยนะ”

“ลีโอทราบแล้วฝ่าบาท เอ๊ะ นั่นลอร์ดนิโคลนี่”

“นิโคลพี่ไปไหนมา” จูเลียนทักขึ้นเมื่อหันไปตามสายตาของลีโอก็เห็นพี่ชายเดินเข้ามาถึงตัวพอดี

“เดินสูดอากาศแถวนี้ล่ะ เจ้าออกมาทำไมจูเลียน”

“ข้ามาตามหากรอสเซ่”

“กลับเข้าไปข้างในก่อนไปออกมาอย่างนี้ไม่เหมาะหรอก”

“แต่นิโคล”

“เดี๋ยวลีโอจะไปตามหาให้เองฝ่าบาท” จูเลียนมองหน้าลีโอแล้วจึงหันไปหาพี่ชาย แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของนิโคลก็จำต้องหันหลังกลับแล้วเดินออกไป จุดหมายคือห้องโถงใหญ่ที่ใช้ต้อนรับแขก

“แล้วเจ้าล่ะไม่เข้าไปหรือไง” ลีโอหดตัวจนร่างผอมบางเหลือตัวเล็กนิดเดียว เพราะนอกจากจะถามแล้วท่อนแขนแข็งแกร่งนั่นยังวางพาดไว้บนไหล่ รั้งให้ออกตัวเดินไปด้วยกันตามทางที่จูเลียนเพิ่งเดินไปก่อนหน้า

“ข้าคงต้องไปตามหาท่านกรอสเซ่ก่อน”

“มาเถอะ” นิโคลส่ายหน้าพลางบอกเบาๆ รั้งให้ลีโอเดินไปด้วยกัน ไม่สนใจงานที่คนสนิทของจูเลียนได้รับมอบหมาย เพราะนิโคลมองไม่เห็นความสำคัญของกรอสเซ่เลยสักนิด





คล้อยหลังคนทั้งสอง ใครอีกคนที่เดินตามนิโคลมาก็ปรากฏตัว ร่างสูงเพรียวยืนมองนิ่งมือยังกระชับเสื้อคลุมบนไหล่เอาไว้แน่น ลอเรนหยุดคิดถึงบทสนทนาที่เพิ่งได้ยินอยู่เพียงครู่เดียวก็เดินตามไปอีกคน คนที่ยืนอยู่ในมุมมืดมาตั้งแต่แรกจึงปรากฏตัว แต่กลับเดินไปอีกทาง

จูเลียนเข้ามานั่งในห้องโถงได้ไม่นานการแสดงละครก็จบลง และถึงเวลาที่งานเลี้ยงต้องเลิกราพอดี แขกเหรื่อล่ำลาและพากันทยอยกลับจนเกือบหมดแล้ว

“หวังว่างานงานเลี้ยงต้อนรับคงถูกใจท่านนะ” จูเลียนถามอเล็กซิสที่เดินเข้ามาหาพร้อมกับแอนดีสน้องชาย

“ข้าชอบมาก ละครสนุกทีเดียว”

“แล้วท่านละลอร์ดลอเรนชอบหรือไม่”

“หม่อมฉันเพลิดเพลินทีเดียวฝ่าบาท แต่คืนนี้คงต้องขอตัวก่อน”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ลอร์ดนิโคลพาท่านกับท่านหญิงอนาสตาเซียไปที่ปราสาทรับรอง ขอบคุณที่ตอบรับคำเชิญของเรา”

“ถือเป็นเกียรติของสวาเนียร์อย่างยิ่ง ทูลลา” สองพี่น้องจากสวาเนียร์ออกไปแล้วพร้อมกับนิโคล จูเลียนจึงหันมาทางกษัตริย์อเล็กซิสที่ยังยืนคุยกับทาร์เทียน่าอยู่

“เชิญท่านพักผ่อนให้สบาย แล้วค่อยมาสนุกกับงานประจำปีอันยิ่งใหญ่ของเรา”

“ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน ขอบพระทัยที่ยังคิดถึงมอนทาร์น่า”

“ขอบพระทัยเช่นกันที่ตอบรับคำเชิญของเรา”

“เจ้าจะไปพร้อมข้าหรือไม่ทาร์เทียน่า”

“ไปสิ” อเล็กซิสกับแอนดีสออกไปแล้ว จูเลียนและทาร์เทียน่าจึงเดินออกไปอีกทางบ้าง ตามด้วยลีโอ เฮนริชและเลนนี่ที่รับหน้าที่อารักขาจูเลียนในคืนนี้

“เซอร์เฮนริชไปส่งทาร์เทียน่าด้วย”

“ปราสาทของข้าอยู่แค่นี้เองน่า ข้าไม่หลงทางหรอกนะจูเลียน”

“..” จูเลียนเหนื่อยเต็มทีเลยไม่ได้พูดอะไร แต่ใช้สายตามองไปที่อัศวินประจำตัวหนึ่งในสองที่เดินตามเขามา เป็นการบอกกลายๆ ว่าให้ไปส่งน้องสาวจนถึงปราสาทอย่างปลอดภัย แล้วจึงเดินแยกออกไปพร้อมกับเลนนี่และลีโอ และเพราะต้องปฏิบัติราชกิจมาทั้งวันต่อด้วยงานเลี้ยงจนดึก จูเลียนเหนื่อยจนเกินกว่าจะคิดเรื่องใด ๆ ได้อีก จบงานเลี้ยงจึงตรงกลับปราสาทและหลับเป็นตาย ลืมแม้กระทั่งเรื่องที่ตัวเองให้ลีโอไปทำ





*********************************





“อภัยด้วยที่ข้ามารบกวนกลางดึกเช่นนี้”

“ท่านมีธุระอะไรหรือท่านรัฐมนตรี”

“เรียกข้าว่าโจเซฟเถอะหากฝ่าบาทจะทรงกรุณา”

“ท่านโจเซฟ มีอะไรจะแนะนำข้าหรือไง”

“หามิได้ฝ่าบาท เพียงแต่ข้ามีข้อเสนอมาให้ เพราะคิดว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจสำหรับฝ่าบาทไม่น้อย”

“ขนาดนั้นเลยหรือ ว่าแต่มันคืออะไรล่ะ” สายตาของเสือเฒ่าปิดบังความกระหายในผลประโยชน์เอาไว้อย่างแนบเนียน เมื่อเขากระซิบบอกถึงข้อเสนอและแผนการของตัวเองที่วางไว้ ท่ามกลางความมืดในสวนข้างปราสาทที่ใช้รับรองแขกต่างเมือง สองชายต่างวัยต่างสถานะปรึกษาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทำข้อตกลง

“นับว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจมากทีเดียว แต่ว่าท่านแน่ใจแล้วหรือไง” อเล็กซิสยกมุมปากขึ้นเหมือนจะยิ้ม แต่ก็เพียงเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็นในความมืดสลัว

“ข้าเชื่อมั่นในตัวท่าน”

“แล้วข้าล่ะจะเชื่อมั่นในตัวท่านได้แค่ไหนท่านโจเซฟ”

“สิ่งที่ท่านจะได้รับตอบแทนมันคุ้มค่าอยู่ไม่น้อยฝ่าบาทโปรดทบทวนดูดี ๆ ว่าท่านควรเชื่อข้าหรือไม่ ข้าแค่นำเสนอเพราะคิดว่าฝ่าบาทน่าจะสนใจธุรกิจนี้เหมือนกัน”

“แน่นอนว่ามันน่าสนใจมาก แต่เราต่างก็รู้กันอยู่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่คลี่คลายเลย ข้าเองก็ไม่อยากเป็นคนถูกใส่ร้ายอยู่ฝ่ายเดียว แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดใครได้” อเล็กซิสหมายถึงเรื่องขบวนสินค้าของออสเซนเทียที่ถูกปล้นกลางทางในดินแดนของมอนทาร์น่า

“เรื่องนั้นข้าสั่งให้คนสืบอย่างเต็มที่แล้วฝ่าบาท และคิดว่าทางมอนทาร์น่าก็คงเช่นกัน อีกไม่นานเราน่าจะรู้ตัวการ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก แต่คืนนี้ข้าคงต้องทูลลา”

“ราตรีสวัสดิ์ท่านโจเซฟ” เสือเฒ่าเจ้าเล่ห์แห่งออสเซนเทียออกไปแล้ว แต่กษัตริย์หนุ่มยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขายกมือขึ้นมากอดอกไม่ใช่เพราะอากาศที่หนาวเย็นของกลางดึก แต่เพราะกำลังครุ่นคิดทบทวนอะไรบางอย่าง ดวงตาคมดุไม่ได้จับจ้องตรงจุดไหนเป็นพิเศษ เพราะเบื้องหน้ามีแต่ความมืดดำของเงาตะคุ่ม บนฟ้าไร้แสงดาวและเงาจันทร์เพราะถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆและหมอกของฤดูหนาว จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ร่างสูงที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดและน้ำค้างก็เดินออกไปจากตรงนั้น ทิ้งเสียงกระซิบและแผนการเอาไว้กับสายลม





****************************





“พรุ่งนี้ก็เป็นงานประจำปีแล้วนะจูเลียนเจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง”

“ไม่เห็นต้องเตรียมอะไรเลย ว่าแต่เจ้าเถอะ”

“ข้าทำไม”

“พร้อมแล้วหรือไง เจ้าชอบไม่ใช่หรืองานแบบนี้”

“ข้ารอให้ถึงพรุ่งนี้แทบไม่ไหวเลยล่ะ” เนตรเขียวมรกตมองค้อนให้รอยยิ้มของขนิษฐาแฝด ที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นจนดวงตาสวยสีเดียวกันกับจูเลียนเป็นประกายระยับ เพราะตั้งแต่เช้าที่ทาร์เทียน่าแวะมาหา นางก็เอาแต่พูดเรื่องงานประจำปีกับการแข่งขันการประลองอยู่ทั้งเช้า แล้วยังรบเร้าให้มาเดินเล่นในสวนด้วยกันอีก ซึ่งถ้าให้เดาจากการแต่งตัวของนางที่ดูทะมัดทะแมงในชุดเสื้อกางเกงขายาว สวมทับด้วยรองเท้าบูตยาวเกือบถึงเข่า คลุมไหล่เอาไว้ด้วยเสื้อคลุมตัวหนาอีกชั้นเหมือนทุกวัน มันเดาได้ไม่ยากว่านางกำลังหาคู่ซ้อมมืออยู่ ซึ่งก็คงไม่พ้นไปจากอัศวินประจำตัวคนใดคนหนึ่งของจูเลียนนั่นเอง

“แล้ววันนี้เจ้าจะทำอะไรล่ะ ทำไมไม่ไปดูการเตรียมงาน ยังจะซ้อมดาบอยู่อีกหรือไง”

“แล้วทำไมข้าถึงจะไม่ซ้อมล่ะ วันนี้ยืมตัวเซอร์เลนนี่หน่อยก็แล้วกันนะ มาเซอร์เลนนี่มาซ้อมมือกับข้าหน่อย” จูเลียนคิดผิดเสียที่ไหน เมื่อทาร์เทียน่าหันไปเรียกเลนนี่ที่เดินตามมาพร้อมกับราเชลให้เป็นคู่ซ้อมของนาง จูเลียนแม้จะไม่ชอบอะไรแบบนี้ แต่นั่งสูดอากาศดี ๆ ยามเช้าในสวนก็ไม่แย่เท่าไหร่นัก บางทีอาจจะทำใจให้ดูเพลิน ๆ ได้หากอัศวินของจูเลียนไม่อ่อนข้อและเอาชนะขาดทาร์เทียน่าให้สะใจเสียบ้าง

“คิดไม่ถึงว่าท่านหญิงทาร์เทียน่าจะเก่งการต่อสู้ด้วย” จูเลียนหันไปทางเจ้าของเสียงที่ไม่รู้ว่าเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ กษัตริย์หนุ่มน้อยยิ้มบางแล้วลุกขึ้นต้อนรับตามมารยาท

“อรุณสวัสดิ์กษัตริย์อเล็กซิส ลอร์ดแอนดีส”

“ขออภัยที่มารบกวนแต่เช้า แต่พอดีว่าสวนของท่านสวยเสียจนข้าเดินเพลินไปหน่อย” อเล็กซิสบอกแล้วผินสายตาไปมองการต่อสู้ในสนามที่กำลังผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใคร

“ไม่เป็นไรหรอกท่าน เชิญนั่งดื่มชาด้วยกันก่อนสิ” สองพี่น้องนั่งลงตามคำเชิญ อเล็กซิสคุยกับจูเลียนแต่ตาเขาก็ยังแอบสังเกตคู่ต่อสู้ในสนามอยู่ตลอด ต่างจากแอนดีสที่ไม่ได้สนใจเรื่องที่กษัตริย์ทั้งสองคุยกันเลย เพราะเอาแต่มองคู่ต่อสู้ที่กำลังสู้กันอย่างจริงจัง อัศวินที่เป็นคู่ซ้อมท่าทางฝีมือใช้ได้อยู่ไม่น้อย

“โอ๊ย” !

“เซอร์เลนนี่ท่านเป็นอะไร” ทาร์เทียน่าวิ่งเข้าไปประคองเลนนี่ให้ลุกขึ้น เพราะนางถีบเขาเข้าจนล้มหงายหลัง แต่ไม่คิดว่าจะทำให้เลนนี่เจ็บจนร้องเสียงดังออกมาขนาดนี้

“ข้าไม่เป็นไรท่านหญิง” เลนนี่นิ่วหน้าเพราะเขาพลาดเองตอนที่ทาร์เทียน่าตวัดดาบมา อัศวินหนุ่มเอี้ยวตัวหลบไปอีกทางและรุกกลับ ซึ่งเป็นจังหวะที่นางหมุนตัวตั้งหลักได้และถีบสวนมาอย่างรวดเร็ว เขาหลบไม่ทันเท้าของนางจึงยันเข้าเต็ม ๆ ตรงแผลที่ยังไม่หายสนิทดี

“ท่านหญิงต่อสู้ได้เก่งจริง ๆ “อเล็กซิสกล่าวชมพร้อมกับปรบมือให้เมื่อทาร์เทียน่าเดินเข้ามานั่งพัก โดยมีเลนนี่เดินกุมสีข้างตัวเองตามมา ดูก็รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว

“เพราะข้าได้คู่ซ้อมฝีมือดีอย่างเซอร์เลนนี่ต่างหาก”

“ซ้อมกับคนของตัวเองแถมยังบาดเจ็บด้วยมันจะไปสนุกอะไรล่ะท่านหญิง ดีไม่ดีเซอร์เลนนี่อาจจะกำลังต่อให้ท่านอยู่ก็เป็นได้นะ” แอนดีสพูดทีเล่นทีจริงแต่ตาเหลือบมองประเมินอัศวินหนุ่มเหมือนกำลังท้าทาย

“ข้าคิดว่าเซอร์เลนนี่หายดีแล้วนี่” ทาร์เทียน่าหันไปทางเลนนี่ ยิ้มให้อย่างขอโทษ “แต่เห็นได้ชัดว่ายังบาดเจ็บอยู่ ว่าแต่ท่านต่อให้ข้าจริงหรือเซอร์เลนนี่ ข้าบอกแล้วไงว่าให้สู้เต็มที่”

“อภัยข้าด้วยท่านหญิงข้าสู้เต็มที่แล้ว แต่หากลอร์ดแอนดีสสงสัยว่าสนุกหรือไม่ก็คงต้องลองมาสู้กันดูสักยก”

“ว่ายังล่ะลอร์ดแอนดีสท่านเห็นด้วยหรือไม่” ทาร์เทียน่าหันมาถามแอนดีสอย่างนึกสนุก ถึงริมฝีปากสีเชอร์รี่สุกของนางจะแย้มยิ้มออกมาในแบบสาวน้อยขี้เล่นที่ดูสดใสร่าเริง แต่น้ำเสียงฟังแล้วกลับทำให้รู้สึกถึงความท้าทายอยู่ไม่น้อย เพราะทาร์เทียน่าเองก็อยากเห็นเหมือนกัน ว่าแอนดีสที่มีท่าทางอวดเก่งถือตัวจะเก่งจริงสักแค่ไหนกัน ถึงได้กล้ามาสบประมาทหนึ่งในสี่อัศวินฝีมือดีของออสเซนเทีย

พอได้ยินคำถามของทาร์เทียน่า ทุกคนหันมามองที่แอนดีสอย่างรอคำตอบ อเล็กซิสนั่งเงียบไม่ออกความเห็นใด ๆ แต่แอบพิจารณาทุกคน กษัตริย์หนุ่มมองออกว่าทาร์เทียน่าต้องการอะไร

“ได้สิ ข้าเองก็ไม่ได้ซ้อมมือมานานแล้ว”

“เป็นเกียรติของข้าที่จะได้เห็นฝีมือของท่าน” ทาร์เทียน่าตบมืออย่างชอบใจ นางหันไปยิ้มพยักหน้าให้เลนนี่ อัศวินหนุ่มจึงทำความเคารพด้วยการคำนับแล้วเดินลงสนามไปก่อน ตามด้วยแอนดีสที่ถอดดาบของเขาออกมาด้วยท่าทางสวยงาม





หนึ่งเจ้าชายกับหนึ่งอัศวินยืนประจันหน้ากันอยู่กลางสนาม แอนดีสยิ้มเยาะอัศวินบาดเจ็บ เขากระชับดาบในมือมั่นแล้วเข้าจู่โจมก่อนอย่างรวดเร็ว เลนนี่หลบซ้ายหลบขวามีตอบโต้กลับบ้างในบางครั้ง แต่ดูเหมือนว่าฝีมือจะเป็นรองอยู่ไม่น้อยจนเกือบเสียทีอยู่ก็หลายครั้ง ทำให้แอนดีสยิ้มออกมาอย่างย่ามใจ

“ข้าไม่ใช่ท่านหญิงทาร์เทียน่าเจ้าไม่ต้องออมมือให้ข้าหรอกเซอร์เลนนี่” แอนดีสบอกยิ้ม ๆ ขณะที่มือก็ตวัดดาบใส่เลนนี่ไปด้วย

“ข้าสู้สุดฝีมือแล้วท่านลอร์ด”

“นี่หรือสู้สุดฝีมือของยอดอัศวินแห่งออสเซนเทีย”

“นี่ล่ะ เฮ้ย! ท่าน” เลนนี่เกือบหลบไม่ทัน เมื่อแอนดีสควงดาบเข้าหาอย่างรวดเร็ว อัศวินหนุ่มถอยเหมือนกำลังหาทางตั้งหลัก แต่ยิ่งถอยก็ดูเหมือนว่าแอนดีสยิ่งได้ใจ แขกต่างเมืองรีบกระโจนเข้าจู่โจมในระยะประชิด ท่าทางที่อัศวินหนุ่มทั้งถอยและพยายามตั้งรับ ทำให้แอนดีสมองข้ามท่วงท่าหลบหลีกที่คล่องตัวและลื่นไหล เขาลำพองใจว่าเลนนี่กำลังตกเป็นรองและเสียเปรียบ จึงตวัดดาบเข้าจู่โจมอย่างฮึกเหิม แต่เพียงแค่กะพริบตาเท่านั้น อัศวินหนุ่มหมุนตัวหันกลับมาอย่างรวดเร็วจนแอนดีสหยุดตัวเองไม่ทัน คมดาบของเลนนี่ก็จ่ออยู่ที่คอ ในแบบที่คนเสียท่าไม่สามารถขยับตัวได้เลย





“สนุกหรือไม่ลอร์ดแอนดีส” เสียงถามที่ดังพอให้ได้ยินสองคนทำให้แอนดีสกัดฟันกรอด คนอื่นที่กำลังนั่งชมอยู่มองมาก็คงเห็นแค่ว่าทั้งสองคนกำลังคุยกันเฉย ๆ เพราะมีเพียงแอนดีสเท่านั้นที่เห็นแววตาสนุกในระยะใกล้ ยิ่งเลนนี่เอียงคอถามทำสีหน้าเหมือนเด็กกำลังสนุกกับการเล่นเกมอะไรสักอย่าง ยิ่งทำให้แอนดีสเจ็บใจ

“สนุกเชียวล่ะ ถอยออกไปก่อนสิ” แอนดีสบอกให้ถอยออกซึ่งหมายความว่าให้อัศวินหนุ่มลดดาบลงด้วย จะได้เริ่มการต่อสู้ใหม่ แต่เกมนี้ถือว่าเลนนี่ชนะขาดไปแล้ว เขาจึงยิ้มหล่อค้อมศีรษะให้อย่างน่ามอง “ก็ ข้าขอแก้มือไงเจ้าจะยิ้มทำไมหรือไม่เข้าใจ”

“ข้าเข้าใจ หากท่านอยากแก้มือข้าก็ยินดี แต่เกรงว่าวันนี้คงจะไม่เหมาะ”

“เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ก่อน ข้าเพิ่งนึกได้ว่าอยากออกไปเดินชมเมืองสักหน่อย” ขณะที่เลนนี่ขยับตัวถอยห่าง เสียงนิ่ง ๆ ก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน เป็นเสียงของอเล็กซิสนั่นเอง

“ท่านอยากออกไปเดินชมเมืองอย่างนั้นหรือ” จูเลียนที่เงียบอยู่นานหันมาถามอเล็กซิส

“คงเสียดายมากหากมาถึงนี่แล้วไม่ออกไปดูวิถีชีวิตของชาวออสเซนเทียสักหน่อย ข้าได้ยินมาว่าวิหารที่จัตุรัสกลางเมืองสวยงามอลังการไม่น้อย”

“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญท่านตามสบาย” อเล็กซิสก้มศีรษะให้จูเลียนเล็กน้อยแล้วหันไปยิ้มให้ทาร์เทียนา

“แล้วเจอกันใหม่ท่านหญิง” กล่าวลาแล้วเดินเร็ว ๆ ออกไปจากตรงนั้น โดยมีแอนดีสตามไปติด ๆ แพราะอเล็กซิสเหลือบมองตาดุ

“พี่จะไปดูวิถีชีวิตของชาวเมืองจริง ๆ หรือไง” แอนดีสถามขึ้น เมื่อเดินตามพี่ชายเข้ามาถึงห้องรับรองภายในปราสาท

“ทำไมล่ะ”

“ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย”

“มันน่าสนใจกว่าการไปทำตัวโง่ ๆ ให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะนะ”

“พี่หมายความว่ายังไง ใครหัวเราะเยาะ”

“เจ้าทำอะไรลงไปล่ะ ไปสบประมาทคนอื่นไม่พอ ยังดูไม่ออกอีกว่าถูกเขาหลอกล่อ”

“ทำไมข้าจะดูไม่ออก ข้าแค่เผลอไปหน่อย”

“อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่าเผลอไปหน่อยหรอกแอนดีส”

“..”

“เขาเรียกว่าหลงกลหรือไม่ก็ติดกับที่เขาวางล่อเอาไว้ อัศวินนั่นฝีมือเหนือกว่าเจ้ามากนะถ้าเจ้าดูไม่ออกจริง ๆ ”

“แต่..มันก็แค่การซ้อม”

“ไม่ต้องพูดแล้ว แค่กลลวงเท่านี้เจ้าดูไม่ออกหากเป็นศัตรูจริง ๆ เจ้าคงตายไปแล้ว”

“ก็ข้าคิดว่าแค่ซ้อมมือเฉย ๆ เลยไม่ทันได้ดูนี่ “น้ำเสียงของแอนดีสแผ่วลงไปมากเมื่อถูกพี่ชายต้อนจนมุม แต่กระนั้นใบหน้าของเจ้าชายก็ยังถือดีและอวดเก่งอยู่เหมือนเดิม

“ไม่ว่าจะซ้อมหรือสู้จริง สิ่งที่เจ้าต้องจำเอาไว้เสมอคือระวังตัว” อเล็กซิสบอกเสียงเย็นแววตาแข็งกร้าว ท่าทางของกษัตริย์หนุ่มที่ดูนิ่ง ๆ นั้น แอนดีสรู้ดีว่าพี่ชายกำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก และเขาก็ขัดใจเช่นเดียวกันที่พี่ทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่โต รู้ว่าตัวเองพลาดไปแต่ก็ไม่น่าจะต่อว่ากันถึงขนาดนี้ แอนดีสได้แต่ต่อต้านในใจเพราะพูดหรือเถียงออกมาไม่ได้ ยิ่งพอได้ยินคำสั่งต่อมาของพี่ชายเขายิ่งขัดใจกว่าเก่า “เอาเวลาเล่นสนุกของเจ้าไปฝึกซ้อมซะ”

“มัวแต่ซ้อมก็หมดสนุกนะสิ” อเล็กซิสออกไปแล้วแอนดีสจึงเอ่ยถ้อยคำอวดเก่งออกมา ชายหนุ่มผู้รักสนุกยักไหล่ไม่สนใจคำสั่งเดินออกจากปราสาทรับรองไป จุดหมายปลายทางก็ชมเมืองเหมือนกันแต่ชมคนละแบบกับพี่ชาย





งานประจำปีของออสเซนเทียซึ่งเป็นอาณาจักรใหญ่ ก็ย่อมต้องจัดให้ยิ่งใหญ่สมเกียรติ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจึงหลั่งไหลมาเพื่อร่วมงานอันทรงเกียรตินี้ ทั้งชาวออสเซนเทียที่อยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ นอกเมืองหลวง และชาวเมืองอื่นจากอาณาจักรอื่น ค่ำคืนก่อนวันงานจึงค่อนข้างคึกคักมากเป็นพิเศษ เพราะชาวเมืองส่วนใหญ่ก็เริ่มฉลองกันตั้งแต่คืนก่อนวันงานอย่างนี้แล้ว ยิ่งที่พักสำหรับคนเดินทาง ที่เป็นทั้งแหล่งกินแหล่งเที่ยวผู้คนก็ยิ่งพลุกพล่าน ทำให้เศรษฐกิจคึกคักเป็นพิเศษ





“คิดว่าจะได้ออกไปลากคอเจ้ากลับมาซะแล้ว”

“ทำไมไม่ไปล่ะ ข้ารอจนเบื่อ”

“แต่คืนนี้เจ้าไม่ควรดื่มมากนะ”

“ดื่มมากดื่มน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้าหรอก ว่าแต่เจ้าเถอะคืนนี้ไม่ต้องอารักขาใครหรือไง” สองหนุ่มเพื่อนรักกลับมาเจอกันอีกครั้งในคืนก่อนวันงาน คำถามของฮานส์หากฟังดูดี ๆ จะเห็นว่าแฝงไปด้วยอคติต่อใครบางคนที่กล่าวถึงแม้ไม่เอ่ยชื่อ

“ทำไมเหรอ” เลนนี่ถามกลับพลางโบกมือปฏิเสธโสเภณีที่กำลังจะเข้ามาเสนอตัวให้

“ถึงได้ว่างมานั่งดื่มกับคนพเนจรอย่างข้าไง”

“เจ้าไม่ชอบเขาหรือไง”

“ชอบไม่ชอบก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้านี่” หนุ่มพเนจรยักไหล่พลางยกเหยือกดินเผาขึ้นจ่อปากแล้วกรอกเบียร์รสนุ่มลงคออึกใหญ่ “เจ้ารู้จักหรือไง” ฮานส์ถามเพราะเห็นสายตาของเลนนี่กำลังจับจ้องไปยังใครคนหนึ่ง ที่กำลังเดินเข้ามาในร้านเหมือนสนใจ จากผู้คนมากหน้าหลายตาคลาคล่ำเต็มร้านไปหมด ใครคนนั้นเดินแทรกฝูงชนเข้ามาแล้วนั่งลงในมุมหนึ่ง ซึ่งมุมนั้นอยู่ตรงหน้าเลนนี่ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนพอดี แต่ดูเหมือนใครคนนั้นจะไม่สนใจใครเลยไม่สังเกตเห็น ว่ามีคนกำลังจับตามอง

“หึ” เลนนี่แค่นเสียงออกมาจากลำคอเบา ๆ พลางยกเบียร์ขึ้นดื่ม อัศวินหนุ่มไม่ได้ละสายตาไปจากชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน แม้จะยังคุยกับเพื่อนรักอยู่ก็ตาม

“เจ้าสนใจหรือไง”

“น่าสนไหมล่ะ”

“ก็ไม่เลวนี่ ถ้าเจ้าเบื่อหนุ่มน้อยร่างบอบบางอ้อนแอ้นแล้วละก็นะ”

“หึ” เลนนี่ยกยิ้มมุมปาก เขาส่วยหัวเบา ๆ เมื่อคิดถึงท่าทางอวดเก่งยามที่ใครคนนั้นเงื้อดาบขึ้นฟาดฟัน แววตาสมใจเมื่อเห็นเขาพลาดท่าเสียที แต่ไม่นานก็ต้องทำสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเขาพลิกเกมกลับมาเป็นต่อและเอาชนะได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดูท่าทางแอนดีสจะอ่อนกว่าเขาแค่ไม่กี่ปีหรืออาจจะอายุเท่ากัน แต่ก็อวดดีเสียเหลือเกิน เลนนี่ละสายตาจากเจ้าชายแห่งมอนทาร์น่าและเหล่าโสเภณีที่เขาเรียกมาบริการหันกลับมาหาเพื่อนรัก “นั่นลอร์ดแอนดีส จากมอนทาร์น่า”

“ก็ว่าอยู่ว่าคงไม่ธรรมดา เจ้าจะเล่นของสูงหรือไง”

“เจ้ามันจอมเพ้อเจ้อจริง ๆ ฮานส์”

“หรือไม่ใช่ล่ะ ก็เห็นอยู่ว่าจ้องตาเป็นมัน”

“หึ ไม่มีอะไรหรอก แค่เพิ่งประลองฝีมือกันมา”

“เดาว่าเจ้าแพ้เลยพาล”

“เจ้านี่มีอารมณ์ขันดีจริง ๆ ”

“สรุปว่าเจ้าแพ้จริงหรือไง”

“คิดว่ายังไงล่ะ” สองหนุ่มนั่งคุยกันอยู่นาน ดื่มเบียร์หมดไปก็หลายเหยือกพอ ๆ กับคนที่เลนนี่เฝ้าจับตามอง ที่ตอนนี้ท่าทางคงเมาไม่น้อย เพราะโสเภณีชายหญิงที่เรียกมานั่งเป็นเพื่อนก็ขยันป้อนเสียเหลือเกิน

“ท่าทางไม่ไหวแล้วนะนั่น” พอฮานส์ทักขึ้นเลนนี่จึงหันไปมองแอนดีส ที่ตอนนี้สภาพบ่งบอกว่าเมาไม่น้อย

“ก็ไม่เกี่ยวกับข้านี่ ว่าแต่เจ้าเถอะคืนนี้จะเข้าไปนอนที่ป้อมกับข้าหรือนอนกกโสเภณีแถวนี้” ได้ยินคำถามฮานส์ยักไหล่ ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักยกขาขึ้นพาดโต๊ะตรงหน้าท่าทางสบายแล้วจึงตอบ

“คงไม่เหมาะหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าชนะค่อยเข้าไปทีเดียว”

“อย่าหักโหมนักล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่มีแรงสู้” ฮานส์ได้แต่ยิ้มขำและส่ายหัวให้เลนนี่ที่พูดดักทาง ราวกับคิดว่าเขาเป็นพวกบ้าตัณหาที่ขาดเรื่องอย่างว่าไม่ได้ แต่ขณะที่สองหนุ่มกำลังคุยและดื่มกันเพลิน ๆ เสียงเอะอะโวยวายและเสียงข้าวของถูกทำลายก็ดังขึ้น

ปัง! โครม!

“อยากตายนักหรือไง” !!



******************************************



 ต้องขอโทษด้วยที่นิยายไม่ค่อยสนุก ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงแนะนำความเป็นมาเป็นไปของตัวละคร (ตัวละครเยอะเหลือเกิน อย่างน้อยก็เยอะกว่าทุกเรื่องที่เขียนมา) ห้าตอนแล้วพระเอกนายเอกมันยังไม่ได้เจอกันเลย แล้วจะได้เจอกันตอนหนาย 555 ตอนหน้าเจอกันแน่นอนฮับ *ถ้าพื้นที่ไม่หมดไปกับ NC ซะก่อน 555 เอะ!! ว่าแต่ NC ของใครวะ คึๆ ๆ ๆ

รอติดตามตอนต่อไปก็แล้วกันเด้อ

ดาว ณ แดนดิน

27-11-2560

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
อยากรู้แล้วใครพระเอกมาเยอะๆเลยเถอะ :katai2-1:

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 6



“เกิดอะไรขึ้น” เลนนี่ถามขึ้นท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายของคนเมาทั้งสองฝ่ายที่กำลังยื้อแย่งผู้หญิงกัน

“ไม่เกี่ยวกับเจ้าถอยไป ส่วนเจ้าปล่อยนางมาซะข้าเจอนางก่อน นางต้องเป็นของข้า”

“เจอก่อนแล้วไงข้าพอใจนาง คืนนี้นางต้องเป็นของข้า” เป็นการโต้เถียงแย่งโสเภณีของชายนักเที่ยวสองคน ฝ่ายที่ไปแย่งของเขาก็เถียงจะเอาอย่างไม่ยอมลดละ ทั้งที่ข้างกายก็มีคนของตัวเองอยู่แล้วทั้งหญิงและชาย อีกฝ่ายหนึ่งก็ถือว่าตัวเองมาก่อนและแสดงความเป็นเจ้าของอย่างไม่ยอมเสียหน้า เลนนี่เห็นอย่างนั้นกลัวว่าเรื่องจะไปกันใหญ่จึงรีบห้าม

“พอเถอะ ท่านควรกลับได้แล้วนะ”

“เจ้านั่นเอง อย่ามายุ่งเรื่องของข้าถอยไป” ถ้าไม่เห็นว่าเมาจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่เลนนี่ก็คงไม่สนใจ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยุ่งจริง ๆ นั่นแหละ ส่วนแอนดีสก็ยังอวดดีไม่เลิก

“ปล่อยนางกลับมาให้ข้าซะถ้าเจ้ายังไม่อยากตาย” คู่กรณีที่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของโสเภณีขู่ มือจับด้ามดาบที่แขวนไว้ข้างตัวกระชับมั่นในท่าเตรียมพร้อม เพราะคิดว่าคนเจอก่อนย่อมมีสิทธิ์ เขาขู่อย่างเป็นต่อเพราะเห็นอีกฝ่ายเป็นแค่ชายขี้เมาแต่งตัวดีคนหนึ่ง ที่อาวุธติดตัวก็ไม่มี

“เก่งนักก็เข้ามา” แอนดีสรับคำท้าทั้งที่ตัวเองเมาจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว เลนนี่ได้แต่ส่ายหัวเริ่มอ่อนใจ จะทิ้งเอาไว้อย่างนี้ก็ได้แต่เขากลับทำไม่ลง เพราะอย่างน้อยแอนดีสก็เป็นแขกบ้านแขกเมือง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นคงไม่ดีเป็นแน่แท้ อัศวินหนุ่มหันไปส่งสายตาปรามคู่กรณีที่ถอดดาบออกมาเตรียมพร้อมแล้ว แต่ฝ่ายนั้นไม่สนใจและฮึดฮัดพร้อมสู้เต็มที่

“มาเถอะข้าจะพาท่านกลับ”

“ไม่กลับ ข้าไม่กลับ มาอยากได้ผู้หญิงก็เขามาเอา เฮ้ยปล่อยข้าสิเซอร์เลนนี่” แอนดีสร้องโวยวายเมื่ออัศวินหนุ่มรั้งต้นแขนเอาไว้ และยิ่งทั้งโวยวายดิ้นจนสุดแรง เมื่อถูกเลนนี่ตวัดขึ้นพาดบ่าอย่างรวดเร็ว เจ้าชายจากมอนทาร์น่าร้องเสียงดังฟังแทบไม่ได้ศัพท์ มือเท้าปัดป่ายสะเปะสะปะไปตลอดทางที่เจ้าของร่างสูงพาเดินออกไปจากที่แห่งนี้ ทิ้งความสำราญและความโกลาหนเอาไว้เบื้องหลัง

พอคนทั้งสองออกไปแล้วทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ นั่นก็คือฝ่ายที่เป็นลูกค้าก็หาความสำราญให้ตัวเองด้วยการดื่มกิน ปรนเปรอความสุขทางกายให้ตัวเองอย่างที่ต้องการ ฝ่ายที่มีหน้าที่บริการก็ทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งคนที่คอยนำอาหารและเครื่องดื่มออกมาต้อนรับ และคนที่ต้องทำงานโดยใช้ร่างกายของตัวเอง เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างถึงใจและสร้างความพึงพอใจให้ที่สุด เพื่อแลกกับค่าตอบแทน ส่วนชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ในมุมมืด ต้องยอมรับว่าเขาถูกเพื่อนทิ้งแบบไม่ลากันสักคำ ยกเหยือกดินเผาของตัวเองขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแล้วจึงลุกขึ้น เพราะได้เวลาที่ควรจะพักผ่อนเอาแรงไว้สำหรับงานวันพรุ่งนี้แล้ว

“ดูเหมือนท่านต้องการคนข้างกายนะ” ท่อนแขนแกร่งถูกรั้งเอาไว้พร้อมกับเสียงทักทาย เขาดูแปลกใจเล็กน้อยเมื่อหันไปตามเสียง แล้วเห็นว่าใครที่เป็นคนรั้งไว้ หญิงสาวนั่งอยู่บนตักของลูกค้าชายคนหนึ่ง ที่หันมามองเขาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

“วันนี้ข้าอยากอยู่คนเดียว” น้ำเสียงของชายหนุ่มเยือกเย็นเข้ากับสีหน้าไร้อารมณ์ ฮานส์ทิ้งสายตามองหญิงสาวเล็กน้อย แล้วจึงหันไปทางเดิมเพื่อก้าวเดินต่อไป

“ในคืนที่ทุกคนกำลังสนุกกันนี่นะ ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าอยากอยู่คนเดียวจริง ๆ ท่านจำข้าไม่ได้หรือไง” ฮานส์เพียงแค่ยิ้มออกมาน้อย ๆ เขาจำนางได้ตั้งแต่เห็นคราแรก ชายหนุ่มไม่สนใจและเพียงมองผ่าน เมืองใหญ่ขนาดนี้ก็ยังเจอกันจนได้ แต่เขาก็ไม่แปลกใจหรอก เพราะที่นี่ถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียง และขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของเมืองหลวง ผู้คนมากหน้าหลายตาแทบจะทุกระดับอาชีพต่างก็พากันมาเที่ยว นายของนางย่อมต้องพามาหากินในแหล่งที่คลาคล่ำไปด้วยลูกค้า เพราะหวังทำกำไรอยู่แล้ว

“คืนนี้ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านสิ” ข้อเสนอถูกเอ่ยขึ้นพร้อมแววตาเชิญชวน ที่กวาดมองตั้งแต่ใบหน้าหล่อคมคายไล่ลงไปตามร่างกายกำยำภายใต้อาภรณ์สีดำมืดที่ห่อหุ้มร่างสูง นั่นทำให้ฮานส์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนเปลือยเปล่าต่อหน้านางไม่มีผิด และหากเขารับข้อเสนอแน่นอนว่าคืนนี้คงไม่ต้องเสียเหรียญเงิน ให้เป็นค่าบริการแม้แต่เหรียญเดียว เขาจำได้ว่านางชื่อมาเรียตต้า เป็นหญิงสาวที่สวยน่ารักไปทั้งตัว และแน่นอนว่าลีลาบทรักของนางก็เร่าร้อนถึงใจ แต่สำหรับเขาโสเภณีก็คือโสเภณี หากบอกว่าไม่ต้องการก็คือไม่เอา ถึงไม่มีเขา ถึงเขาปฏิเสธนางก็หันไปหาลูกค้าคนใหม่อยู่ดี

“อภัยด้วย แต่คืนนี้ข้าคิดว่าจะนอนเอาแรงให้เต็มอิ่ม”

“ให้ข้าช่วยเพิ่มแรงให้สิ ข้าทำได้นะท่านแค่นอนเฉย ๆ ก็พอ”

“..” ชายหนุ่มเพียงยิ้มมุมปากแต่ไม่ได้ต่อคำ

“วันไหนที่ท่านไม่ง่วงมาหาข้าได้นะนายท่าน ข้าจะรอ” มาเรียตต้ายังยิ้มหวานมองตามร่างสูงที่เดินผละออกไปจากตรงนั้นโดยไม่มีแม้แต่คำลา ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ความลึกลับน่าสนใจในตัวชายหนุ่มทำให้สายตาของนางไม่อาจละไปจากเขาได้ ซึ่งโสเภณีคนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนั้นก็ไม่ต่างกัน ความชินชากับการใช้ร่างกายมานักต่อนักทำให้พวกเขาสนใจในตัวชายหนุ่ม และวาดหวังถึงรสชาติที่แปลกใหม่

ทั้งที่ร่างสูงใหญ่เดินลับมุมไปแล้ว แต่มือของมาเรียตต้าที่รั้งลำแขนแกร่งยังค้างอยู่ในอากาศ นัยน์ตาโสเภณีสาวมีแววเสียดาย แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังต้องทำงานตามหน้าที่ต่อเพื่อแลกกับค่าตอบแทน อย่างน้อยคืนนี้ก็มีลูกค้าแล้วหลายคน

“มาสนุกกันต่อเถอะค่ะ นายท่าน”



*******************



ตุบ!!!

“โอ๊ย อึก วางเบา ๆ ไม่เป็นหรือไงวะ”

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะวางนี่”

“แล้วทำไม..”

“เพราะข้าตั้งใจโยนลงจริง ๆ เลยล่ะ” สีหน้าของคนเมาแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างเปิดเผย เมื่อคนที่แบกตัวเองมาพูดตรง ๆ ว่าตั้งใจโยนเขาลงแบบนี้ เตียงกว้างที่รองเอาไว้ด้วยฟูกหนานุ่ม แต่พอถูกโยนลงแรง ๆ เหมือนไม่ไยดี มันก็เล่นเอาจุกอยู่ไม่น้อย จะว่าไปแล้วเลนนี่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะมาไยดีคนบนเตียง ที่กำลังจ้องมองเขาตาขวางและคาดโทษ

“ที่นี่ที่ไหน เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม” ถามพลางปัดป่ายมือเพื่อคลานลงมาจากเตียง ท่วงท่าที่เคยดูสง่างามในแบบเจ้าชาย บัดนี้เลนนี่บอกได้คำเดียวว่าหมดสภาพ

“ที่พักของข้าเอง”

“บ้าเอ๊ย” แอนดีสสบถออกมาอย่างหัวเสีย พอลุกขึ้นยืนร่างสูงก็โงนเงนเหมือนจะล้ม แต่สุดท้ายก็ทรงตัวยืนได้ในที่สุด โดยอีกคนที่ยืนดูอยู่ไม่แม้แต่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ลอร์ดหนุ่มกัดฟันมือกำแน่น ใบหน้าแดงก่ำเพราะความเมาเงยขึ้นมอง เมื่อยืนประจันหน้ากับอัศวินหนุ่ม แอนดีสเตี้ยกว่าเลนนี่เพียงนิดเดียว

“ท่านจะไปไหน” ท่อนแขนที่มีมัดกล้ามเล็กน้อยแต่พองามถูกรั้งเอาไว้ ก่อนที่เจ้าชายจากมอนทาร์น่าจะเดินออกไปจากห้องนั้น แอนดีสค่อย ๆ หันกลับมามองคนที่รั้งแขนไม่ปล่อยช้า ๆ ด้วยสายตาที่ฝืนความเมาเพราะพยายามทำให้ดุที่สุด

“กลับสิ”

“ข้าว่าคงไม่เหมาะหรอกที่จะกลับเข้าวังในสภาพแบบนี้” ดวงตาคมของอัศวินหนุ่มกวาดมองคนตรงหน้าอย่างจาบจ้วง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่แอนดีสกลับขมวดคิ้วมุ่นถามกลับอย่างฉงน

“แล้วที่นี่ไม่ได้อยู่ในวังหรือไง เจ้าเองก็ควรอยู่ในนั้นด้วยไม่ใช่หรือ”

“วันนี้ข้าเป็นอิสระ จะไปไหนก็ได้ตามที่ต้องการ”

“แล้วเจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไมปล่อยเลยข้าจะกลับไปดื่ม” แอนดีสสะบัดแขนตัวเองออกจากมือใหญ่ ที่บีบท่อนแขนเอาไว้แน่น แต่นอกจากมันจะไม่หลุดจากการจับกุมแล้ว ยังทำให้รู้สึกเจ็บยิ่งกว่าเก่าเพราะแรงบีบที่เพิ่มขึ้น

“ข้าว่าพอได้แล้วมั้ง ท่านจะไปเมาแล้วหาเรื่องคนอื่นให้เสื่อมเสียเกียรติตัวเองทำไม เจ้าชายแห่งมอนทาร์น่าแย่งโสเภณีกันในร้านเหล้า พี่ชายของท่านรู้เข้าคงไม่โปรดนักหรอกว่าไหม” เลนนี่เลิกคิ้วถาม อัศวินหนุ่มไม่มีความเคารพให้แอนดีสในฐานะเจ้าชายเลยสักนิด เมื่ออยู่กันสองต่อสองในที่รโหฐานเช่นนี้ คำพูดของเขาเตือนสติได้ดีแต่ท่าทางกวน ๆ นั่นทำให้แอนดีสมองหน้าเลนนี่เขม็งแล้วเหยียดยิ้มให้

“อเล็กซิสก็ไม่เคยชอบอะไรที่ข้าทำสักอย่างหรอก และข้าก็ไม่สนใจ”

“ท่านไม่มีอะไรดีสักอย่างเลยหรือไง พี่ชายถึงได้ไม่ชอบสิ่งที่ท่านทำ เป็นถึงเจ้าชายผู้สูงศักดิ์อย่าทำตัวเหมือนเด็กสิ” แอนดีสนึกฉุนในสิ่งที่เลนนี่พูด แน่ล่ะอัศวินหนุ่มพูดถูกในหลายเรื่อง และคำพูดนี้ก็คล้ายจะเคยได้ยินจากปากของอเล็กซิสพี่ชายมาก่อน หรือเลนนี่จะบังอาจมาทำตัวเป็นพี่ชายขี้บ่นของเขาอีกคน ทั้งที่เพิ่งจะเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง คิดอย่างไม่ชอบใจเพราะเขาโตแล้วจะทำอะไรก็ย่อมได้ และวันนี้แอนดีสก็เพิ่งจะถูกพี่ชายตัวเองด่าว่าโง่มา เพราะมีคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นต้นเหตุ เขาเลยจะโง่ให้สมกับที่พี่ต้องการ ยิ่งอเล็กซิสบ่นว่ามากเท่าไหร่ แอนดีสก็ยิ่งจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามมากเท่านั้น เพื่อความสะใจล้วน ๆ

เจ้าชายแห่งมอนทาร์น่ามองใบหน้าหล่อขี้เล่น ที่แฝงความใจดีของเลนนี่ด้วยสายตาท้าทายแล้วเหลือบมองบน เขายักไหล่ให้อัศวินหนุ่มเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่สนใจสิ่งที่เลนนี่พูดเตือนสติสักนิด

“ปล่อยข้า”

“อย่าออกไปอีกเลยน่าลอร์ดแอนดีส ที่นั่นไม่เหมาะกับท่านหรอก” เลนนี่พยายามใช้ไม่อ่อนเข้าหา เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากให้เจ้าชายผู้ซ่อนความไร้เดียงสา ไว้ภายใต้ใบหน้าเย่อหยิ่งอวดดีพระองค์นี้ไปเที่ยวในสถานที่แบบนั้น โดยเฉพาะตอนอยู่ท่ามกลางโสเภณีชายหญิงหิวเงิน ดูยังไงเลนนี่ก็คิดว่าแอนดีสไม่ควรจะอยู่ในที่แบบนั้นเอาเสียเลย

“ทำไมจะไม่เหมาะข้าจะเที่ยวจะกินให้เมา แล้วก็เอากับโสเภณีพวกนั้นยันสว่างไปเลย ข้าจะเรียกโสเภณีมาให้หมดทั้งชายและหญิง แล้วให้พวกมันเรียงแถวเข้ามาอ้าขาให้ข้ากระแทกให้หนำใจ ปล่อยข้า” คำพูดของคนเมาทำให้เลนนี่นึกฉุน จึงกระชากแขนที่เขาจับเอาไว้แน่นอย่างแรง คนเมามายเสียหลักเซลงปะทะอกแกร่ง หัวที่มึนอยู่แล้วเลยยิ่งมึนมากขึ้นกว่าเก่า มือปัดป่ายเพื่อหาหลักยึด จนได้ไหล่กว้างของอัศวินหนุ่มเป็นที่เกาะเพื่อประคองตัวให้ยืนดี ๆ ส่วนเลนนี่ยืนนิ่งมองใบหน้าแดงก่ำในระยะใกล้เงียบ ๆ

“ทำบ้าอะไรของเจ้าเซอร์เลนนี่ อย่าลืมว่าเจ้าเป็นใครข้าเป็นใครเจ้าควรจะเจียมตัวเอาไว้และให้เกียรติข้า ปล่อยสักที”

“ตอนนี้ท่านก็เป็นแค่คนเมาคนหนึ่งที่อยากออกไปเสพสุขเท่านั้น ถามหน่อยเถอะว่าทำไมข้าต้องเจียมตัวและให้เกียรติ อย่าลืมนะว่าข้าเองเป็นถึงหนึ่งในอัศวินของกษัตริย์แห่งอาณาจักรออสเซนเทียอันยิ่งใหญ่”

“เหอะ ลำพองเสียจริง คิดว่าตัวเองสำคัญนักหรือไง”

“แน่นอนสำคัญมากด้วย และตอนนี้ท่านก็อยู่ในความดูแลของข้าในฐานะแขกบ้านแขกเมือง”

“อืม ข้าอยู่ในความดูแลของเจ้าแล้วสินะ” รอยยิ้มหยันเผยขึ้นบนใบหน้าที่ดูเหยียดและเย้ยหยันเลนนี่ ที่บังอาจแต่งตั้งตำแหน่งให้ตัวเองมาเป็นคนดูแล ลอร์ดหนุ่มพยายามยืนให้นิ่งทั้งที่มือยังเกาะอยู่บนไหล่แกร่งแน่น “หึ แล้วถ้าไม่ให้ไป เจ้าจะให้ข้าเอาเหมือนโสเภณีพวกนั้นไหมล่ะ มาสิหันหลังมาแล้วทำหน้าที่นี้แทนพวกนั้นซะ”

แอนดีสเปลี่ยนมาขยุ้มปกเสื้อของเลนนี่เอาไว้แน่น ทั้งสองจ้องกันด้วยสายตาคมดุอย่างไม่มีใครยอมใคร ลอร์ดหนุ่มหงุดหงิดโมโหจนดูงุ่นง่าน ไม่ชอบใจการกระทำเหมือนตัวเองเหนือกว่าของเลนนี่ ทั้งที่แอนดีสเป็นถึงเจ้าชาย แม้จะต่างบ้านต่างเมือง แต่ก็ถือว่าอยู่ในฐานะแขกสูงศักดิ์ที่อัศวินหนุ่มต้องให้ความเคารพ

“หึ” เสียงที่แค่นออกมาจากลำคอของเลนนี่ ทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนโดนสบประมาท เจ้าชายขี้เมากัดฟันกรอดตาจ้องเขม็งที่ใบหน้าหล่อขี้เล่นอย่างมาดร้าย และขณะที่เลนนี่ไม่ทันตั้งตัว แอนดีสก็กระชากปกเสื้อที่กำอยู่อย่างแรงจนร่างสูงเซถลา แอนดีสละมือออกจากปกเสื้อ ไปรั้งคออัศวินหนุ่มให้เข้ามาหาตัวเองอย่างรวดเร็ว ประกบปากลงบนปากของเลนนี่อย่างแรงจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บ เพราะผนังภายในปากถูกกระแทกเข้ากับฟันแข็งจัง ๆ จนได้กลิ่นเลือดขึ้นจมูก

เลนนี่ยืนนิ่งไม่ยอมเปิดปากตัวเองออกให้แต่โดยดี แม้แอนดีสจะพยายามบดเบียดริมฝีปาก พยายามสอดแทรกลิ้นเรียวเขาไปภายใน แต่เขาก็ยังยืนเม้มปากนิ่ง ราวกับว่าการกระทำนั้นไม่ได้สะกิดความรู้สึกเลยสักนิด คนที่จู่โจมก่อนนึกฉุนเพราะไม่ได้รับการตอบสนองและความร่วมมือ เขากัดฟันกรอดแล้วผละออกมาต่อว่าเสียงต่ำ

“เป็นแค่อัศวินอย่าเย่อหยิ่งให้มันมากนัก” มือที่รั้งต้นคอทั้งสองข้างจิกกรงเล็บลงแน่นเพื่อระบายความโกรธ แอนดีสขบฟันลงบนริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างหงุดหงิด เพราะเลนนี่ยิ่งยืนนิ่งไม่ทุกข์ไม่ร้อนอยู่เช่นเดิม

“หึ ข้าไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะลอร์ดแอนดีส”

“เจ้าคิดว่าปฏิเสธข้าได้หรือไง” แอนดีสขยุ้มเส้นผมของเลนนี่แน่น เมื่อกระชากอัศวินหนุ่มเข้ามาบังคับจูบอีกรอบ แต่ผลก็ยังเหมือนเดิมคือเลนนี่ไม่ได้ผลักออกทั้งที่ทำได้ แต่ก็ไม่ให้ความร่วมมือทั้งแอนดีสนึกฉุนจนความโกรธพุ่งถึงขีดสูงสุด ยิ่งคิดว่าตอนนี้อีกคนคงแอบยิ้มเยาะอยู่ เจ้าชายแห่งมอนทาร์น่ายิ่งเจ็บใจและอยากเอาชนะ

“ตอบรับสัมผัสข้าเดี๋ยวนี้” สั่งเสียงเข้มอย่างลุแก่อำนาจ คราวนี้แอนดีสไม่ได้ผละออกแต่ทิ้งหน้าผากของตัวเองกดแนบหน้าผากของอัศวินหนุ่มเอาไว้ หากมือของแอนดีสโอบประคองใบหน้าของเลนนี่ แทนที่จะใช้มันขยุ้มอยู่บนเส้นผมของเขาบังคับดึงเข้าหาตัว ภาพนี้คงเป็นภาพของคู่รักที่คงจะแสนหวานไม่น้อย แต่เมื่อในสถานการณ์จริงมันไม่ใช่ ทั้งสองจึงได้แต่จ้องตากันในระยะใกล้อย่างไม่ลดละ คนหนึ่งต้องการให้ทำตามใจ แต่อีกคนเหมือนแค่ต้องการก่อกวนให้ตัวเองสำราญใจ!

“ท่านรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่” เสียงที่เหมือนเจ้าตัวไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรยิ่งทำให้คนฟังโกรธ เลนนี่ได้ยินเสียงแอนดีสกัดฟันจนดังกรอด ก่อนที่จะบอกเสียงลอดไรฟันออกมา

ต่อไปจ้า เลื่อนๆๆ ลง

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“ข้ากำลังจะสั่งสอนและกำราบความเย่อหยิ่งของเจ้าไงล่ะ เซอร์เลนนี่”

“อึก” เลนนี่เหมือนจะสำลักอากาศ เมื่อมือหนาทั้งสองข้างที่ขยุ้มจิกเส้นผมของเขาอยู่ เลื่อนลงมาบีบที่ลำคอแกร่งอย่างแรงราวกับหมายเอาชีวิต แอนดีสประกบจูบอีกครั้งแต่เลนนี่ยังต่อต้าน แม้จะถูกขบกัดริมฝีปากก็ยังไม่ยอมตามใจแต่โดยดี

“หึ แข็งแกร่งนักใช่ไหม ถ้าไม่อยากตายคามือก็ตอบรับสัมผัสข้าเดี๋ยวนี้”

“ถ้าท่านต้องการมันจริง ๆ ไม่ใช่แค่อยากเอาชนะ “

“....”

“และจะไม่เสียใจภายหลัง ลอร์ดแอนดีส” ไม่รู้ว่าเพราะความเมาที่ยังมีอยู่หรือเพราะความอยากเอาชนะ แอนดีสไม่เห็นแววบางอย่างที่มันวาวโรจน์ขึ้นมาในดวงตาของอัศวินหนุ่ม หรืออาจจะเป็นเพราะว่ามันวาบขึ้นมาและหายไปอย่างรวดเร็ว จนไม่อาจมีใครสังเกตทัน

“ข้าแค่ต้องการปลดปล่อย”

“อยากให้ข้าช่วยว่าอย่างนั้นเถอะ”

“เจ้าต่างหากที่ต้องร้องขอความเมตตาจากข้า” เลนนี่รู้สึกถึงแรงบีบที่เพิ่มขึ้น อัศวินหนุ่มกัดฟันแน่นเกร็งต้าน แต่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ดูซุกซนทั้งที่สายตาจริงจัง ส่วนแอนดีสแม้จะเห็นว่าอัศวินหนุ่มเกร็งต้านแรงบีบแค่ไหน แต่ใบหน้าของคนถูกกระทำยังดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน จนคนที่เป็นฝ่ายกระทำฉุนขาดเอง “ข้าจะลดตัวลงมาให้ก็แล้วกัน”

“หึ ถ้าท่านต้องการแบบนั้นจริง ๆ ก็..” มือที่นิ่งเฉยต่อการจู่โจมบังคับเอาสัมผัสในคราแรก รั้งใบหน้าของเจ้าชายแห่งมอนทาร์น่าเข้ามาป้อนจูบด้วยตัวเอง จนคนที่ต้องการการตอบสนองและจู่โจมก่อนตั้งตัวไม่ทัน จูบจาบจ้วงดิบเถื่อนทำให้แอนดีสที่มีความเมาควบคุมสติหลุดเข้าไปสู่โลกใหม่ได้ง่าย ๆ แบบที่รั้งยังไงก็เอาไม่อยู่

“อื้อ” ลิ้นร้อนที่กวาดต้อนหยอกเย้าอยู่ภายใน เรียกเสียงครางพอใจออกมาจากลำคอของแอนดีสได้ทันที แม้จะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แม้จะเป็นฝ่ายที่บังคับเอาสัมผัสในคราแรก แม้จะเป็นคนบังคับอย่างเอาแต่ใจตัวเอง แต่ตอนนี้จูบดิบเถื่อนจากอัศวินหนุ่มที่แฝงไปด้วยความยั่วยวนชวนถลำตัว กลับมอมเมาเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ให้กระโจนรับเอาอย่างตะกละตะกลามราวกับคนอดอยาก ทั้งสองแลกลิ้นกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เพราะต่างฝ่ายต่างก็ผ่านประสบการณ์มามิใช่น้อย

ตุบ!!

อึก!! เสียงคนเมาสะอึกออกมาเบา ๆ เมื่อร่างถูกผลักให้ล้มลงไปบนที่นอนอย่างไม่ปรานี แต่แทนที่จะประท้วงแอนดีสกลับยิ่งชอบใจ ลอร์ดหนุ่มดันร่างตัวเองขึ้นใช้ข้อศอกยันฟูกนอนนุ่มไว้ข้างหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างวางไว้บนเข่าที่ชันขึ้นรองรับ

“อยากรู้จังว่าหนึ่งในยอดอัศวินของออสเซนเทียจะลีลาดีสักแค่ไหน” วาจาที่เอื้อนเอ่ยออกมาเพราะความเมานั้นท้าทาย คนที่ยืนประจันหน้ายกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างชอบใจ เลนนี่มองเห็นความลำพองของคนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าอยู่ในแววตาของแอนดีส ที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ไม่วางตา อัศวินหนุ่มเปลื้องอาภรณ์หนาที่ห่อหุ้มร่างกายของตัวเองออกช้า ๆ ทีละชิ้นอย่างใจเย็น โดยสายตาไม่ได้ละไปจากร่างที่นอนยั่วอยู่บนเตียงพร้อมเสื้อผ้าครบชุดเลยสักนิด



แอนดีสไม่ได้ถอดเสื้อผ้าของตัวเองเหมือนที่เลนนี่กำลังทำ ทั้งที่ความกำหนัดนั้นก่อเกิด ลมหายใจของลอร์ดหนุ่มสะดุดและถี่กระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาเจ้าชู้จ้องร่างกายกำยำสมชายชาติทหารที่เปิดเปลือยอยู่ตรงหน้าไม่วางตา ช่วงไหล่กว้างแข็งแกร่งราวหินผาดูเกร็งเครียดรับกับกล้ามเนื้อต้นแขนเป็นมัด ช่วงอกแน่นตึงทั้งสองข้างประดับด้วยเม็ดเล็กสีน้ำตาลอ่อนจางอมชมพู และทั้งที่สายตาก็ยังสบมองอยู่กับแอนดีสไม่ได้ละไปไหน แต่มือแกร่งกลับทำงานไม่หยุด อัศวินหนุ่มรองมือข้างหนึ่งไว้ใต้พวงรักของตัวเอง ใช้นิ้วสะกิดเกาข้างล่างด้วยเบา ๆ ส่วนอีกข้างกอบกำรอบท่อนลำรักที่กำลังเริ่มตื่นตัวจากการชักนำ แรงขยับของท่อนแขนทำให้ลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เห็นเป็นลูกคลื่นอยู่แล้ว ยิ่งปรากฏต่อสายตาชัดเจนมากขึ้น จนแอนดีสนึกอยากสัมผัสมันดูสักครั้ง

เจ้าชายแห่งมอนทาร์น่าจ้องมองร่างแกร่งสมชายอย่างเผลอไผล ในหัวคิดถึงตอนที่เจ้าของร่างนั้นขึ้นส่ายร่อนอยู่บนตัวของตัวเองอย่างเร่าร้อน จินตนาการแค่นั้นก็ทำให้แก่นความเป็นชาย ที่ซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์เริ่มขยายตัวพร้อมสู้อย่างไม่ต้องสัมผัสมันเลยด้วยซ้ำ

“หึ” ลอร์ดหนุ่มยิ้มเยาะพร้อมกับแค่นเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอเบา ๆ ท่าทางดูเหมือนจะเริ่มรำคาญความชักช้าเสียเวลาของอัศวินหนุ่ม ที่มัวแต่เตรียมพร้อมร่างกายของตัวเองราวกับคิดว่าจะได้ใช้มัน ภาพยั่วตาตรงหน้าบวกกับความมึนจากรสน้ำเมา ผสมกับแรงปรารถนาต้องการที่ก่อเกิดขึ้นในร่างกาย ทำให้แอนดีสดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ชายสูงศักดิ์ปัดมือใหญ่สากกร้านเพราะถือหอกดาบของอัศวินต่ำต้อยในสายตาของเขาออก แล้วขยุ้มกำแท่งรักที่แข็งตัวพร้อมรบแน่น เพื่อดึงกระชากเข้าหาตัวเอง

“มานี่”

“ท่านใจร้อนเป็นบ้าเลย ลอร์ดแอนดีส”

“อย่าใช้คำพูดแบบนี้กับข้า อื้ม” เมื่อไม่ให้เลนนี่พูดเขาเลยปิดปากเย่อหยิ่งนั้นด้วยจูบร้อนแรงเสียเลย และนั่นทำเอาเจ้าชายแห่งมอนทาร์น่าแทบดิ้นเร่า มือปัดป่ายไปทั่วเมื่อถูกเรียวลิ้นเข้าชอนไชภายในปาก จูบดิบเถื่อนจากอัศวินที่เขามองว่าต่ำศักดิ์ ก่อเกิดความร้อนรุ่มจนหวามหวานซ่านไปทั้งตัว เพราะนอกจากลิ้นที่รุกรานแล้ว มือหนาก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้กัน มันจู่โจมแท่งเนื้อแข็งร้อนผ่านอาภรณ์ที่ยังสวมใส่ไปด้วย

ทั้งที่ความต้องการเอ่อล้นท่วมท้นมากไม่แพ้กัน ร่างแกร่งเกร็งเครียดความเป็นชายขึ้นลำแข็งจนแทบจะปริแตก แต่ดูเหมือนว่าเลนนี่จะยังใจเย็นเล่นกับร่างกายของแอนดีสได้ไม่มีเบื่อ อัศวินหนุ่มค่อย ๆ ใช้มือเล้าโลมปลุกเร้าราวกับปลอบประโลม แต่ความเร่าร้อนกลับเพิ่มพูนทวีขึ้นเรื่อย ๆ จากจูบจาบจ้วงรุนแรง เลนนี่ยกยิ้มเมื่อเขากวาดลิ้นยาวเข้าไปในโพรงปากเหมือนหยอกล้อ แล้วถอยถอนออกมาราวกับว่าเบื่อรสเสน่หาข้างในนั้น ทำให้คนที่กำลังเพลิดเพลินกับจูบหวานล้ำร้อนฉ่าตวัดลิ้นตามออกมาอย่างไม่ยอม เลนนี่ถือโอกาสดูดเรียวลิ้นของแอนดีสเอาไว้ และดูดดึงคลึงเล่นด้วยลิ้นของตัวเองอยู่อย่างนั้นจนเจ้าของมันต้องครางประท้วง

“อื้ออออ”

“หึ” กลิ่นคาวเลือดและรสปะแล่มในปากเรียกรอยยิ้มบาง ๆ ของอัศวินหนุ่มได้ทันที เพราะมันทำให้เขาได้รู้ว่า แม้แอนดีสจะประท้วงเมื่อถูกกระทำรุนแรง แต่ก็ประท้วงเพราะความพอใจ ยิ่งเมื่อเขาขบกัดดูดเม้มลงมาตามลำคอขาว มือที่จิกเส้นผมของเขายิ่งเพิ่มแรงจิกเกร็งแน่นขึ้น พร้อมกับกดศีรษะเขาให้แนบเน้นลงกับเนื้อตัวเองแรงขึ้นอย่างได้อารมณ์

แบบนี้ไม่เรียกว่าชอบก็ไม่รู้จะเรียงว่าอย่างไร แค่ลิ้นของเขาไล้เลียตวัดไปตามผิวเนื้อและรอยกัด เจ้าชายสูงศักดิ์ที่กำลังถูกความต้องการครอบงำก็ครางกระสันสั่นไปทั้งตัว

“อื้มมม” แอนดีสส่งเสียงออกมาจากลำคอเบา ๆ เหมือนขัดใจอะไรสักอย่าง มือที่กอดรัดกดดันใบหน้าของอัศวินหนุ่มให้ซุกซบลงกับซอกคอตัวเอง ละออกมาปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่ยังเหลือติดกายโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี ความต้องการล้นปรี่บ่งบอกด้วยแท่งรักตั้งลำแข็งที่ดีดตัวออกมาสู่อิสรภาพ เมื่อลอร์ดหนุ่มถอดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายโยนทิ้งไป

เลนนี่มองภาพตรงหน้าด้วยสายตากระหายอยาก ร่างเปลือยเปล่าขาวลออตาประดับด้วยกล้ามเนื้อสวยสมความเป็นชาย แม้จะไม่ได้เป็นมัดแน่นเหมือนเขา แต่หากสาว ๆ ได้ยลโฉมเรือนร่างนี้คงระทวยไปตามกัน



อัศวินหนุ่มยืดตัวขึ้นกวาดสายตาสำรวจร่างที่นอนยั่วอยู่ตรงหน้า แต่พอแอนดีสส่งสายตาเชิญชวนเขาก็ไม่รอช้า รีบลงมาคร่อมทับร่างที่นอนระทวยอยู่ทันที ริมฝีปากร้อนเริ่มต้นจูบอีกครั้งอย่างกระหาย ต่างคนต่างก็ปัดป่ายมือเพื่อสัมผัสร่างของกันและกันอย่างไม่มีใครยอม ต่างคนต่างก็ตื่นเต้นจนใจกระตุก เมื่อได้สัมผัสกล้ามเนื้อหนั่นแน่นชื้นเหงื่อ ร่างสองร่างกอดกลิ้งผลัดกันอยู่บนผลัดกันอยู่ล่าง และในจังหวะที่แอนดีสอยู่ข้างล่าง เจ้าชายก็ยังวางอำนาจเหมือนเดิม โดยขยับดันตัวลุกขึ้นนั่ง และจับให้เลนนี่นั่งทับลงบนตักหันหน้าเข้าหากัน มือหนาตะปบบั้นท้ายแน่นบังคับให้อัศวินหนุ่มบดเบียดท่อนรักเข้ากับแท่งเนื้อของตัวเอง ที่แข็งขืนราวกำลังแข่งประชันความแข็งแกร่ง ปากก็ยังแลกลิ้นกันอย่างเร่าร้อน แต่เพียงไม่นานร่างของเจ้าชายก็ถูกผลักให้นอนลงที่เดิม มือทั้งสองข้างถูกสอดประสานด้วยมือสากกดลงบนฟูก เลนนี่ละจูบจากริมฝีปากบางไล้ลิ้นชิมลงมาตั้งแต่ลำคอที่ปรากฏรอยแดงเต็มไปหมด จนถึงหน้าอกที่ปลายลิ้นร้อนทักทายติ่งเนื้อเป็นเม็ดแข็งทั้งสองข้างสลับกันอย่างเร้าอารมณ์

“อ่าส์” ยามปลายลิ้นร้อนสัมผัสเข้ากับยอดอก ร่างระทวยด้วยแรงกระสันของแอนดีสสั่นสะท้าน เสียงครางผะแผ่วผ่านลำคอออกมาฟังเสนาะหู ดวงตาลอร์ดหนุ่มหลับพริ้มเพราะกำลังรับสัมผัสด้วยความลุ่มหลง

ลิ้นเรียวยังคงปรนเปรอไม่มีหยุด เมื่อสนุกกับยอดอกจนพอใจแล้ว เลนนี่ก็ไล้ต่ำลงผ่านลอนกล้ามเนื้อเป็นคลื่นบนหน้าท้อง แต่พอผิวเนื้อถูกปลายลิ้นสัมผัสเจ้าของร่างจึงเกร็งตัว ลูกคลื่นจึงดูชัดเจนยิ่งขึ้นอีก อัศวินหนุ่มไล้ลิ้นรอบแอ่งสะดือจนร่างระทวยเริ่มบิดเร่า ยิ่งลิ้นร้อนซอกซอนลงไปภายในหลุมตื้นยิ่งทำให้แอนดีสครางต่ำ อารมณ์รักพุ่งสูงสุดเท้าจิกฟูกนอนแน่น

“เซอร์ อะ เลน นี่ อื้อออ อ่า” แอนดีสถึงกับครางเรียกชื่ออัศวินหนุ่ม เมื่อถูกปากร้อน ๆ ครอบครองแท่งรักโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เลนนี่แกล้งครอบปากลงสุดความยาวแล้วถอนออกช้า ๆ เพราะกำลังตวัดลิ้นไล้อยู่ภายใน อัศวินหนุ่มเพิ่มแรงดูดขณะถอนออกให้ท่อนรักหลุดจากปากทั้งลำ ปล่อยน้ำลายที่ตั้งใจให้ไหลย้อยลงเปรอะเปื้อนมือ เหลือบมองเจ้าชายผู้ลำพองที่กำลังระทวยเพราะแรงกระสันอย่างพอใจ เขาใช้ปากเล่นกับแท่งรักของแอนดีสที่พริ้มดวงตาหลับรับการปรนเปรอ ปากร้อนครอบครองส่วนปลายป้านอีกครั้ง ทั้งส่งลิ้นตวัดไล้รอบหัว ทั้งครอบครองด้วยโพรงปากอุ่นและดูดแรง มันเข้ากับจังหวะของมือที่กอบกำชักรูดอยู่ช่วงล่าง ส่วนมืออีกข้างที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายลูบไล้ลงสู่ทางรักเบื้องหลัง

“อื้อออ อ่าส์” ไม่รู้ว่าลืมตัวหรือกำลังมัวเมากับรสกามาอารมณ์ เมื่อมีสิ่งรุกล้ำสอดแทรกเข้ามาในตัวแอนดีสถึงไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับครางรับอย่างเป็นใจ คนที่เคยจินตนาการถึงร่างใหญ่โตของอัศวินหนุ่ม ยามร่อนส่ายสะโพกอยู่บนตัวเอง บัดนี้ได้แต่นอนครางเสียวเสียงกระเส่า เพราะนิ้วยาวกระตุ้นโดนจุดกระสันภายใน พร้อมความเป็นชายได้รับการกระตุ้นหนัก จนหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งว่าตอนนี้ร่างกายของตัวเองถูกจับพลิกให้นอนคว่ำ ท่อนขาแข็งแรงถูกจับแยกออกทั้งสองข้าง มีอัศวินหนุ่มแทรกตัวเข้าคุกเข่าอยู่ตรงกลาง เลนนี่จับสะโพกแน่นให้เชิดขึ้นจนบั้นท้ายเปิดเผยช่องทางรักอย่างเชิญชวน

“ประตูนี้ให้ข้าผ่านเข้าไปเป็นคนแรกนะ”

“อ๊ะ” แอนดีสไม่ทันฟังว่าเลนนี่กระซิบบอกว่าอะไร เขาหลุดเสียงร้องออกมาเพราะอัศวินหนุ่มโน้มตัวลงไปกัดท้ายทอย แล้วดูดเม้มจนขึ้นรอยรักสีแดงตัดกับผิวเนื้อขาวเนียน แต่เพียงเท่านั้นยังไม่พอ ลิ้นร้ายยังไล้ลงต่ำตามแนวกระดูกสันหลัง สลับกับการจูบและขบเม้มครูดฟัน เจ้าของร่างรู้สึกถึงความเจ็บแทรกความเสียวซ่าน ยามแผ่นหลังถูกทั้งกัดและดูดไปพร้อมกับแท่งรักได้รับการปรนเปรอ นิ้วยาวในช่องทางรักขยับเข้าออกช้าเนิบ

ร่างของลอร์ดแอนดีสขมวดเกร็งเมื่ออารมณ์อยากเข้าขั้นสูงสุด ยิ่งปากของเลนนี่เคลื่อนลงต่ำถึงก้อนเนื้อบั้นท้าย แล้วเล่นปลายลิ้นกับก้นกบ ยิ่งสร้างความกระสันให้ทวีความต้องการมากขึ้น ขณะที่มือใหญ่ยังนวดคลึงกลางกายของลอร์ดหนุ่ม นิ้วที่อยู่ในช่องทางรักกลับถูกถอดถอนออก เพื่อหลีกทางให้สิ่งที่ใหญ่โตและแข็งขืนได้อารมณ์กว่าเข้ามาทดแทน

“อ๊ากก อึก เจ็บ” แอนดีสร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บที่ช่องทางถูกชำแรก รู้สึกเหมือนร่างกายถูกกระชากออกจากกันด้วยแรงมหาศาล ช่องรักข้างหลังถูกความใหญ่โตสอดแทรกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว กลิ่นคาวของเลือดสัมผัสเข้ากับนาสิกประสาทของทั้งสองทันที ความเจ็บที่แทรกเข้ามาในความเสียวกระสันเล่นเอาแอนดีสตัวสั่นสะท้าน ลมหายใจของลอร์ดหนุ่มหอบกระเส่า เขากัดฟันแน่นเพื่อข่มความเจ็บ แต่คนกระทำกลับเชิดหน้าสูดปากอย่างสุขสม ขณะที่สอดแทรกความแข็งผงาดเข้ามาเรื่อย ๆ อย่างไม่ปรานี

“ซี้ดดดด ลอร์ดแอนดีส” เลนนี่สอดใส่ตัวเองเข้าไปจนสุดลำแล้วแช่ค้าง ความคับแน่นเพราะเป็นการถูกรุกล้ำครั้งแรกบีบรัด จนอัศวินหนุ่มครางเสียงสั่นราวกับจะขาดใจ เขาตอบรับความเสียวซ่านด้วยการค่อย ๆ ถอดถอนตัวเองออกมาช้า ๆ ครึ่งลำแล้วเสือกไสเข้าไปใหม่ จังหวะการกระทำช้าเนิบเพื่อให้ความเสียวสยิวค่อย ๆ แทรกซึมแล้วกระจายไปทั่วทุกอณูเนื้อของตัวเอง

“เจ็บ มันเจ็บ อึก ออกไป” แอนดีสบอกเสียงแหบเหมือนคนหมดแรง แต่ความหมายของถ้อยคำที่บอกกลับตรงข้ามกับความต้องการของร่างกายที่กลับรู้สึกเสียดาย หากอัศวินหนุ่มทำตามคำสั่ง เจ้าชายแห่งมอนทาร์น่าหายใจหอบกระเส่าและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งได้กลิ่นคาวของเลือดลอยมาจาง ๆ ยิ่งทำให้ต้องการอากาศมากยิ่งขึ้น เพราะเหมือนมันเข้ามากระตุ้นบางสิ่งบางอย่างในตัวจนลอร์ดหนุ่มใจเต้นแปลก ๆ

“เดี๋ยวมันจะดีเอง อ่า”

“เอาออก เอามันออกไป เซอร์..อึก”

“มาบอกตอนนี้ไม่สายไปหน่อยแล้วหรือฝ่าบาท ข้าถอยไม่เป็นหรอกนะ” น้ำเสียงของเลนนี่หยอกเย้า

“อ๊ะ มะ ไม่ อ่าส์” ! แอนดีสร้องเสียงสั่น เพราะเลนนี่พูดจบก็เป็นจังหวะที่เขาถอนตัวเองออกไปจนเกือบหมด แล้วกระแทกเข้ามาใหม่อย่างแรงสุดลึก ส่วนปลายโดนเข้ากับจุดเร้าที่อยู่ภายใน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับแท่งรักถูกมือใหญ่ชักรูดและบีบแน่น ส่งอารมณ์ให้เจ้าของร่างที่ถูกรุกรานซ่านไปทั้งตัวจนแทบลืมความเมาและความโกรธ ลืมแม้กระทั่งการผลักไสอีกคนออกห่าง ความเสียวที่แทรกความเจ็บขึ้นมามันเร้าอารมณ์จนลอร์ดแอนดีสสับสนในตัวเอง “อ่า ซี๊ดดด ข้าจะสั่งลงโทษเจ้า เซอร์เลนนี่” !

“หึ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ อืม อ่าส์” เพียงแค่อัศวินหนุ่มเริ่มขยับเอวตัวเองพร้อมกับเสียงครางอย่างได้อารมณ์ ก็ทำให้เลือดในกายของลอร์ดผู้สูงศักดิ์ฉีดพล่านร้อนรุ่มราวถูกไฟนรกแผดเผา เลนนี่ถอนตัวเองออกแล้วกระแทกเข้าหาหนัก ๆ เน้น ๆ ลึก ๆ ในจังหวะเนิบนาบ เหมือนกำลังส่งสัญญาณเตือนแอนดีสให้เตรียมพร้อมรับอะไรที่หนักหน่วง และรุนแรงยิ่งกว่า

“จะ เจ้า อ๊ะ” !

“หากลีลาของข้าไม่ถึงใจท่านก็จงประหารข้าเสียด้วยมือท่านเองเถอะ ลอร์ดแอนดีส”

“อะ อ๊ะ เซอร์ เลนนี่ ข้า ข้าไม่ ปล่อย เจ้าไว้ แน่” อัศวินหนุ่มเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น โดยไม่สนใจแล้วว่าช่องทางรักของคนรองรับจะพร้อมสำหรับความใหญ่โตของเขาหรือไม่ ช่วงขายาวที่คุกเข่าลงกับฟูกนอนตั้งมั่น มือข้างหนึ่งกระชับไว้ที่ขอบเอวเพื่อบังคับให้แอนดีสสวนบั้นท้ายเข้าหาในจังหวะพอดีกัน ส่วนมืออีกข้างขยุ้มเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวประบ่าดึงรั้งมาข้างหลัง จนใบหน้าลอร์ดหนุ่มหงายเชิดอ้าปากครางกระเส่า



ความเจ็บจากเส้นผมที่ถูกขยุ้มดึง ทำให้แอนดีสพยายามผ่อนแรงของมันให้มากที่สุด ด้วยการแหงนหงายใบหน้าขึ้นจนแผ่นหลังแอ่นโค้ง และนั่นส่งให้บั้นท้ายของท่านลอร์ดเชิดขึ้นอย่างน่ามอง เลนนี่กัดปากล่างแน่น ตาจับอยู่กับภาพความผงาดกล้าของตัวเองกำลังทะลวงเข้าออกช่องทางเปื้อนเลือด ที่กระตุ้นให้เลือดในกายฉีดพล่านปั่นป่วนได้ดียิ่งนัก เขาเร่งอัดความแข็งแกร่งเข้าใส่จนร่างของแอนดีสโยกคลอน ทั้งมึนทั้งถูกความแรงกระแทกรัว ๆ จนท่อนแขนที่ใช้รองรับน้ำหนักตัวเองอ่อนล้า

ลอร์ดหนุ่มฟุบหน้าลงบนที่นอน ทั้งที่ร่างกายส่วนล่างยังถูกรั้งไว้รองรับอารมณ์ ความเจ็บของแอนดีสเริ่มเปลี่ยนเป็นความรู้สึกใหม่ เมื่อจุดกระสันที่อยู่ภายในถูกกระตุ้นเสียดสีหนัก ความใหญ่โตที่คับแน่นช่องทางก่อเกิดความซาบซ่านจนอดไม่ได้ที่จะปล่อยเสียงครางสั่นหวานหูออกมา

แอนดีสตอบรับความเจ็บปนเสียวด้วยการแอ่นสะโพกให้บั้นท้ายเชิดสูงขึ้น มือละจากผ้าปูที่นอนที่ขยุ้มแน่นมาชักรูดท่อนรักของตัวเองให้เข้ากับจังหวะที่กำลังถูกกระทำ ใบหน้าหล่อแดงก่ำแนบแก้มซีกหนึ่งฝังลงไปบนฟูกหนานุ่ม สายตาที่เคยมีแต่แววเจ้าชู้บัดนี้เปลี่ยนเป็นประกายของความปรารถนาเร่าร้อนจนเอ่อล้น

ส่วนเลนนี่เองก็หอบกระเส่าไม่แพ้กัน แต่แรงกำหนัดที่ครอบงำทำให้อัศวินหนุ่มไม่อาจหยุดตัวเองได้ แม้จังหวะสอดใส่จะชะลอเมื่อโน้มตัวไปข้างหน้า แต่มันยังไม่ได้หยุดลงเสียทีเดียว อกแกร่งที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อทาบทับแผ่นหลังแน่นของลอร์ดหนุ่ม เม็ดเหงื่อผสมกันจนร่างทั้งสองมันเลื่อม

“อาส์ เลนนี่” อัศวินหนุ่มคลอเคลียริมฝีปากและลิ้นร้อนอยู่หลังใบหู สร้างความสยิวให้แอนดีสจนต้องระบายออกมาผ่านเสียงครางแหบสั่น เลนนี่สูดรับเอากลิ่นสาบชายด้วยกันเข้าเต็มปอด และเหมือนกับว่ากลิ่นนั้นมันทำให้ทุกส่วนในร่างกายตอบสนองความต้องการขึ้นมาทันที สะโพกที่ทำรักช้าเนิบเริ่มเร่งตัวเองขึ้น แต่ดูเหมือนจะยังไม่ถึงใจและอารมณ์ของท่านลอร์ด เสียงร้องขอสั่นกระเส่าจึงเล็ดลอดออกมาให้เขาได้ยิน

“อ๊ะ เร็ว เร็วหน่อย”

“ตามประสงค์ฝ่าบาท” เลนนี่กัดฟันกรอดเมื่อรู้สึกถึงความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทุกอณูเนื้อ ลมหายใจของอัศวินหนุ่มถี่กระชั้นขึ้น เมื่อสะโพกสอบเร่งความเร็วตามแรงปรารถนาต้องการที่ตรงกัน ร่างลอร์ดหนุ่มถูกจับให้นอนหงาย ช่องทางรักที่ยังมีท่อนลำเสียบคาอยู่ลอยเด่น เพราะใต้ข้อพับขาทั้งสองข้างถูกเกี่ยวรองไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรง ที่รองรับแล้วยกขึ้นให้พอดี

“ถูกใจท่านหรือไม่ อา ฮึ่ม” สิ้นเสียงถามที่ตามมาด้วยเสียงคำรามอย่างสุขสม ทำให้แอนดีสแทบลืมหายใจ ลืมแม้กระทั่งให้คำตอบ ทำไมแค่เสียงที่ก้องออกมาจากลำคอหนาเหมือนกำลังพอใจ สามารถทำให้ลอร์ดหนุ่มรู้สึกซาบซ่านในอารมณ์ได้ถึงเพียงนี้

“อะ ซี๊ด เจ็บ อา” และดูเหมือนเลนนี่จะไม่ได้ต้องการคำตอบเช่นกัน เพราะอัศวินหนุ่มเอาแต่เร่งตัวเองให้ทันใจตามที่ถูกร้องขอ ยิ่งร่างที่นอนระทวยพยายามตอบสนองด้วยการสวนช่องทางเข้าหา เลนนี่ก็ยิ่งได้ใจ ปากบอกเจ็บแต่ร่างกายกลับไม่ปฏิเสธ หรือนี่คือตัวตนที่แท้จริงของแอนดีสแห่งมอนทาร์น่ากัน!

“อ่า เลนนี่ เจ้า อ๊ะ ซี๊ดดด” ได้ยินแบบนี้แม้อยากจะไปถึงฝั่งฝันที่การปลดปล่อยมากเพียงใด แต่เลนนี่ก็ยังยั้งไว้ เพราะร่างที่บิดเร่ามือข้างหนึ่งขยุ้มกระชากดึงที่นอน ส่วนอีกข้างชักรูดกลางกายช่วยเหลือตัวเอง ในจังหวะเดียวกันกับการเสือกไสตัวตนเข้าใส่ของเขา ทำให้อัศวินหนุ่มยกยิ้มมุมปากอย่างย่ามใจ ภายนอกที่ดูร้อนแรงยังไม่เท่ากับภายในของเขา ที่คงไหม้เกรียมไปแล้วจากความเร่าร้อนของรสเสน่หา

แอนดีสสบสายตาเข้ากับดวงตาร้อนแรงของเลนนี่ ลอร์ดหนุ่มเกิดสะท้านจนความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั้งตัว แววตาที่มีแต่ความปรารถนาต้องการ ทำให้ร่างกายทุกส่วนตอบสนองทุกอย่างที่อัศวินหนุ่มปรนเปรอมา รู้สึกได้ถึงความปรารถนาอัดแน่นที่กำลังจะถึงขีดสุด อย่างที่ไม่เคยรู้สึกถึงมันได้มากเท่านี้มาก่อน ความพึงใจแสดงออกมาผ่านสีหน้าสุขสม จนดวงตาปรือปรอย และริมฝีปากเจ่อที่เผยออ้าปล่อยเสียงครวญคราง



ยิ่งบทรักยืดเยื้อยาวนาน แอนดีสยิ่งเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงฝันท่ามกลางหิมะขาวโพลน ที่เร่าร้อนราวกับไฟนรกโลกันตร์ ร่างกายบิดเร่าเหมือนทรมานแต่ไม่อาจหยุดยั้ง นอกจากโลดแล่นไปตามทางที่อัศวินหนุ่มนำพา จนในที่สุดก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ไม่รู้เป็นเพราะความเมาหรือเพราะถูกความปรารถนาเข้าครอบงำสติ แอนดีสรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ รู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่อาจห้ามใจได้ รสชาติของเสน่หากามารมณ์มันยั่วยวนใจจนอ่อนระทวย

“ท่านดูพอใจมากนะ”

“เจ้า..อ่าส์” แอนดีสพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น เพราะตอนนี้แค่หายใจเฉย ๆ ยังยากสำหรับลอร์ดหนุ่ม ไหนจะเวลาพูดยังเผลอหลุดเสียงครางน่าอายออกมาอีก

“หึ อยากด่าข้าก็ได้นะ”

“งะ เงียบเถอะน่า”

“ถ้าไม่ให้ข้าพูด แล้วท่านอยากให้ข้าทำยังไงล่ะ อย่างน้อยอนุญาตให้ข้าครางเหมือนท่านได้หรือไม่ อ่าส์ ซี๊ดดดด”

“อ๊ะ เจ้า อื้มมม”

“หรืออยากให้ข้าหยุด ทำไมเสียงตะคอกของท่านมันไม่น่ากลัวเลย”

“.อ๊ะ อื้ออออ” เลนนี่พูดไปแต่จังหวะในการเล่นรักยังคงความร้อนแรงเหมือนเดิม วาจาหยอกเย้าราวอยากจะทำให้อีกฝ่ายโกรธแต่ก็เหมือนไม่ใช่ แอนดีสต้องยอมรับกับตัวเองว่าบทรักที่เลนนี่กำลังปรนเปรอ มันเร่าร้อนถึงใจเขามากจริง ๆ มากจนแทบจะต้านทานไม่อยู่แล้ว “อื้ออออ”

“ข้าคงเดาผิด”

“เจ้า...”

“หึ เพราะตาของท่านบอกข้าอีกอย่าง”

“หุบปากสักที! อ่าาาส์”

“แล้วรีบพาท่านไปให้ถึงสวรรค์เร็ว ๆ ใช่ไหม หืม ซี๊ดดด”

“เจ้ามัน..อึก อา”

“หึ หึ หึ”

“พูด มาก อ๊ะ แรง ๆ หน่อย ข้า...”

“หืม?”

“อ่าาส์”

“ท่านทำไม พูดให้จบสิ”

“ไม่ไหว ข้าไม่ไหวแล้ว เซอร์เลนนี่ ซี๊ดดดด เร็ว ๆ ”

“หึ ตามที่ท่านปรารถนาเลยฝ่าบาท” เลนนี่วางมือจับที่ขอบเอวทั้งสองข้างของแอนดีสเอาไว้มั่น สะโพกเกร็งตอกอัดความต้องการเข้าใส่ช่องทางรัว ๆ จนร่างที่มีขนาดไม่ต่างกันมากของแอนดีสสั่นคลอน ขาสองข้างแยกออกกว้างเปิดทางให้เต็มที่ ความเร่าร้อนยืนยันด้วยเสียงครางประสานกันระงม เหงื่อกาฬไหลออกมาชโลมร่างทั้งสองจนเปียกไปหมด ความร้อนแรงจนเพลิงอารมณ์แทบลุกไหม้ของสองชายบนเตียง ช่างสวนทางกับความเย็นเยือกภายนอก จนหิมะแรกของฤดูหนาวแทบละลาย



******************************



“ถึงคืนนี้เจ้าไม่ต้องถวายการอารักขาก็ไม่น่ากลับมาเกือบเช้าอย่างนี้นะ” เลนนี่หยุดเท้าเมื่อเสียงหนึ่งดังออกมาจากความมืดขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปในปราสาทอันเป็นที่ประทับของจูเลียน โดยใช้ทางขึ้นด้านหลังเพื่อไปยังที่พักของอัศวิน

“หึ..แล้วไงล่ะ ราเชล”

“มีเรื่องสนุกหรือไง” ราเชลไม่ตอบแต่ถามกลับ

“ก็ไม่มีอะไรนี่ทำไมเจ้าคิดอย่างนั้นล่ะ”

“ถึงแม้เจ้าจะยิ้มเหมือนบ้าอยู่ตลอด แต่ยิ้มแบบนี้มันผิดปกตินะ” ราเชลยิ้มร้ายสมใจเมื่อจับผิดเพื่อนได้ เลนนี่ส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับเพื่อนคนนี้ เพราะหากเป็นเฮนริชกับเดรทิช สองคนนั้นคงไม่สนใจรายละเอียดรอยยิ้มของเขามากขนาดนี้แน่

“หึ ข้าแค่อารมณ์ดี”

“เจ้าก็อารมณ์ดีอยู่ตลอดนั่นแหละ”

“วันนี้คงดีกว่าทุกวันล่ะมั้ง”

“ไปทำอะไรมาล่ะ”

เลนนี่ยิ้มขี้เล่นในแบบของตัวเองพร้อมกับยักไหล่ “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกแค่เพิ่งกำราบเด็กอวดดีมาเท่านั้นเอง”

“ท่าทางน่าสนุกนี่ วันหลังชวนข้าบ้างนะ”

“เจ้าคงต้องหาเด็กของเจ้าเองแล้วล่ะ เพราะเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา” เลนนี่ตอบเพื่อนแต่ในหัวกลับคิดถึงใครบางคนที่กำลังนอนอยู่ที่พักนอกวังของเขา อัศวินหนุ่มไม่อยากคิดเลยว่าตอนตื่นขึ้นมาแอนดีสจะโวยวายมากขนาดไหน ดีไม่ดีเขาอาจจะถูกจับประหารทันทีที่ลอร์ดหนุ่มกลับมาก็ได้ ตัวเขาเองก็ไม่อยากทิ้งเจ้าชายเอาไว้อย่างนั้น แต่ภาระหน้าที่ต้องมาก่อน ถึงอย่างไรเด็กรับใช้ที่สั่งให้คอยดูแลเป็นอย่างดีก็เฝ้าอยู่หน้าห้องตั้งสองคนอยู่แล้ว

“เจ้าทำให้ข้าอยากรู้แล้วสิว่าเด็กอวดดีของเจ้าเป็นใคร”

“เจ้าไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอกราเชลไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวก็ต้องตื่นขึ้นมาอีก” สองอัศวินเดินผ่านทหารยามเข้าไปยังปราสาท ทั้งที่อีกไม่นานก็เช้าแล้วแต่มันคงดีมากหากได้หลับพักสักงีบ



*************************************

มาช้า ๆๆๆๆๆ

ดาว ณ แดนดิน

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 7 งานประลองประจำปี



เงารัตติกาล เป็นชื่อที่ไม่มีใครอยากได้ยิน ชาวบ้านไม่อยากพูดถึง หากมีใครพูดคำนี้ออกมาแค่ได้ยินก็ขนลุกด้วยความหวาดกลัวกันถ้วนหน้า เพราะนี่คือชื่อเรียกของโจรใจเหี้ยมโหด เป็นนักฆ่าที่ลงมือกับเหยื่ออย่างรวดเร็ว โดยที่เหยื่อยังไม่ทันมีโอกาสได้ร้องขอชีวิต ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าหากเงารัตติกาลย่างเท้าไปที่ใดที่นั่นต้องมีคนตาย ไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเงารัตติกาลเป็นใครมาจากไหน เพราะคนที่เคยเห็นใบหน้าภายใต้ความมืดดำนั้นล้วนไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว ข่าวลือบอกต่อ ๆ กันมาว่าใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีดำมืดที่ปิดบังไว้ น่ากลัวราวกับสัตว์ป่าดุร้ายที่ดุร้ายที่สุด มันออกล่าเหยื่อตอนกลางคืน คนที่อ้างว่าตัวเองเคยได้เจอจัง ๆ มาแล้วแต่รอดมาได้ บอกว่าจะเห็นเพียงดวงตาแข็งกร้าวทรงอำนาจของเงา ก็เหมือนกับว่าร่างกายสิ้นไร้เรี่ยวแรง และต้องคุกเข่าลงสยบแทบเท้าของเงาทุกคน เงารัตติกาลจะปรากฏตัวในเวลากลางคืนราวกับผีร้าย เคลื่อนที่รวดเร็วประหนึ่งเหยี่ยวเพเรกวินที่โฉบลงมาหาเหยื่อราวกับพายุ และหายไปในเงามืดดำทันทีเหมือนไม่เคยปรากฏกายขึ้นมาก่อน

ข่าวลือการมาของเงารัตติกาลในเมืองหลวงแห่งออสเซนเทียถูกหลงลืมไปชั่วขณะ เมื่อถึงวันเฉลิมฉลองต้อนรับฤดูหนาว วันที่ชาวเมืองกำลังดื่มด่ำกับความรื่นเริงบันเทิงใจ

ยามเช้าที่ขมุกขมัวอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่ แต่ไม่ใช่ยามเช้าตรู่ภายใต้ความอึมครึมของท้องฟ้าสีเทาที่ออสเซนเทีย เพราะวันนี้คือวันที่ทุกคนเฝ้าตั้งตารอ ไม่ว่าฟ้าจะหดหู่หรือหิมะแรกของปีจะโปรยปรายลงมา ก็ไม่อาจหยุดความเบิกบานใจของทุกคนไปได้ โชคดีที่เช้านี้ออสเซนเทียแม้จะอากาศจะหนาวเย็น และมีเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาบ้าง แต่ก็เป็นบางช่วงเท่านั้น หิมะแรกของปีนี้ก็เหมือนทุกปีที่ดูจะเป็นใจ เพราะไม่เทกระหน่ำลงมาก่อนให้เสียงาน มองไปทางไหนจึงเห็นแต่รอยยิ้มแห่งความสุข ทุกตรอกทุกซอยภายในเมืองคลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรอยยิ้ม พ่อค้าแม่ค้าทั้งเจ้าถิ่นและต่างเมือง ต่างตะโกนร้องอวดขายของสินค้าตัวเอง ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างมุ่งมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ยิ่งใหญ่นี้กันทั้งนั้น

งานประจำปีที่จัดขึ้นในต้นฤดูหนาวของทุกปี นอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองวันแห่งความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ชาวเมืองตั้งตารอ ยังเหมือนเป็นการประกาศว่าฤดูหนาวได้มาเยือนแล้ว แม้อากาศของออสเซนเทียจะเย็นสบายทั้งปี แต่พอเข้าหน้าหนาวจริง ๆ มันหนาวเหน็บมากยิ่งกว่า วันนี้ถนนที่ตัดผ่านกลางเมืองประดับประดาด้วยธงหลากสีสัน ลานกว้างหน้าจัตุรัสมีการแสดงมากมายที่เรียกเสียงฮือฮาให้ผู้คนได้ตลอด บรรยากาศครึกครื้นทำให้อารมณ์แจ่มใสตัดกับท้องฟ้าเบื้องบน ผู้คนแต่งตัวสวยงามด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองมี เพื่อออกมาร่วมงานฉลองและรอที่จะได้ชื่นชมกษัตริย์ของพวกเขา ที่จะออกจากปราสาทมาเพื่อรวมงาน และที่ขาดไม่ได้คือการประลองประจำปีอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ดึงดูดผู้คนส่วนใหญ่ที่ชื่นชอบการต่อสู้และการพนัน

ถนนกลางเมืองเต็มไปด้วยผู้คนทั้งหญิงชาย เด็ก ผู้ใหญ่ หนุ่มสาว คนเฒ่า คนแก่ คนทุกเพศวัยทุกวัยต่างออกมารวมตัวกันเพื่อรอต้อนรับและชื่นชมยุวกษัตริย์ของพวกเขา เมื่อทหารยามหน้าวังประกาศว่าใกล้ได้เวลาเสด็จ ชาวเมืองผู้ภักดีต่างพากันโห่ร้องสรรเสริญจนดังกึกก้องไปทั้งเมือง

“ฝ่าบาทเป็นอะไรไปหรือ”

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” ทั้งที่อยู่ในความไม่สบอารมณ์แต่พอหันไปเห็นใบหน้าใสซื่อของเด็กรับใช้ประจำตัว จูเลียนเลยได้แต่ตอบปัดเสียงเรียบ

“แล้วทรงถอนหายใจทำไมล่ะ”

“เจ้าจะถามเอาอะไรลีโอ ไปอยู่กับเซอร์เฮนริชโน่นไป” ลีโอมองไปทางเฮนริชที่ยืนคุยอยู่กับเลนนี่แล้วหันกลับมาหาจูเลียน

“หม่อมฉันต้องคอยถวายการดูแลฝ่าบาทตามคำสั่งของลอร์ดนิโคล”

“ตกลงเจ้าเป็นคนของข้าหรือของท่านพี่กันแน่ลีโอ” ด้วยไม่ชอบใจอะไรหลายอย่างทำให้จูเลียนหันไปพูดเสียงดังใส่ลีโอ ที่ยังถามราวกับว่าต้องเอาคำตอบให้ได้ เช้านี้จูเลียนขัดใจที่อะไร ๆ ก็ไม่เป็นอย่างต้องการ ตั้งแต่ชุดที่ต้องใส่ออกงานหนาหนักเต็มยศรวมทั้งเครื่องประดับ และมงกุฎทองประดับอัญมณีที่ลีโอย้ำนักย้ำหนาว่าวันนี้เขาต้องใส่มันด้วย ไหนจะคนรักที่ไม่ได้ร่วมขบวนอย่างใกล้ชิด ซึ่งจูเลียนถามแล้วพบว่ากรอสเซ่นั้น ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มท้ายสุดของขบวนที่จูเลียนแทบจะมองหาเขาไม่เห็น

“ชีวิตของลีโอเป็นของจูลีเดียสแต่เพียงผู้เดียวฝ่าบาท”

“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าทำให้ข้าอยากปลดเจ้าไปเป็นเด็กเลี้ยงม้า”

“หม่อมฉันแค่..”

“แค่อะไร”

“แค่ไม่อยากให้ฝ่าบาทหนักพระทัย”

“ทำไมข้าต้องหนักใจด้วย”

“ก็ลีโอเห็นฝ่าบาททรงถอนหายใจหลายครั้งแล้ว ลีโอแค่เป็นห่วง”

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่อยากไปดูการประลอง”

“แต่วันนี้เป็นวันสำคัญของฝ่าบาท เซอร์ราเชลบอกว่าชาวเมืองมารอต้อนรับฝ่าบาทเต็มถนนกลางเมืองไปถึงลานประลองเลยทีเดียว” ลีโอพยายามยกเห็นผลมาอ้างหวังให้จูเลียนใจเย็นลงสักนิด แต่คนเอาแต่ใจก็คือคนเอาแต่ใจ จูเลียนจึงหาข้ออ้างมาอ้างได้ตลอด

“เพราะเป็นวันสำคัญไง ข้าถึงอยากใช้เวลาอยู่กับคนสำคัญของข้าที่สุด”

“ใช้หลังจากเสร็จงานแล้วก็ได้นี่ฝ่าบาท”

“แต่วันนี้เป็นวันสำคัญของฝ่าบาท เซอร์ราเชลบอกว่าชาวเมืองมารอต้อนรับฝ่าบาทเต็มถนนกลางเมืองไปถึงลานประลองเลยทีเดียว” ลีโอพยายามยกเห็นผลมาอ้างหวังให้จูเลียนใจเย็นลงสักนิด แต่คนเอาแต่ใจก็คือคนเอาแต่ใจ จูเลียนจึงหาข้ออ้างมาอ้างได้ตลอด

“เป็นไปไม่ได้หรอกฝ่าบาท”

“ไม่ต้องมาย้ำหรอก วันนี้วันเกิดเรานะทำไมต้องมาจัดงานตรงกับวันนี้ด้วยก็ไม่รู้” จูเลียนขัดใจอย่างถึงที่สุดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ภาพฝันที่วาดไว้ว่าจะได้อยู่กับคนรักสองต่อสองพังทลายลง จึงได้แต่มาระบายอารมณ์ใส่ลีโอที่แอบโล่งอกเมื่อเห็นเดรทิชเดินเข้าเมา

“ฝ่าบาทได้เวลาเสด็จแล้ว”

“แล้วแขกบ้านแขกเมืองของเราล่ะ”

“ทางสวาเนียร์ลอร์ดนิโคลเป็นคนรับรอง ส่วนมอนทาร์น่าท่านหญิงทาร์เทียน่าเป็นคนดูแล ตอนนี้แขกไปถึงลานพิธีแล้วฝ่าบาท”

“เราไปกันเถอะ”

จูเลียนเดินหน้าดุออกจากปราสาท ตรงไปยังม้าทรงตัวใหญ่สูงสง่าที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามสมพระเกียรติ ขบวนเสด็จเริ่มเคลื่อนที่ ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทียดูโดดเด่นเมื่อทรงม้านำขบวน ตามด้วยอัศวินประจำตัวอย่างเฮนริชและราเชลอยู่ในแถวที่สอง ส่วนแถวที่สามคือเลนนี่และเดรทิชรั้งท้ายด้วยลีโอและทหารรักษาพระองค์อีก 20 นาย จากนั้นก็เป็นกลุ่มของรัฐมนตรีและข้าราชบริพาร



พอพ้นประตูใหญ่หน้าปราสาทออกมาได้ จูเลียนก็ต้องตื่นตะลึงกับฝูงชนมากมายที่มารอต้อนรับ เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ และเรียกชื่อจูเลียนดังขึ้นตลอดทางพร้อมกับกลีบดอกไม้หลากสี ที่ถูกโปรยปรายลงมายังท้องถนนเมื่อขบวนเสด็จผ่าน สองข้างทางมีแต่รอยยิ้มจนจูเลียนเองยังอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ แต่คนเราใช่ว่าจะถูกรักเพียงอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ ด้วยว่าดำริที่มีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทำให้คนเกลียดยุวกษัตริย์ของอาณาจักรก็มีอยู่ไม่น้อย จูเลียนหันกลับไปมองเฮนริชกับราเชลที่ขี่ม้าตามหลัง แต่พอหันกลับมาก็มีบางสิ่งบางอย่างลอยแทรกกลีบดอกไม้มาปะทะที่หน้าอกตรง ๆ

ตุบ!

เศษขนมปังขึ้นราก้อนเท่ากำปั้นเด็กที่ตกลงบนพื้นอาจจะไม่มีใครทันได้สังเกตเห็น แต่มันไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาคมดุจเหยี่ยวของอัศวินทั้งสองที่คอยปกป้องไปได้ เฮนริชเร่งม้าขึ้นมาตีคู่จูเลียนขณะที่ราเชลกวาดตาไปรอบ ๆ มองหาที่มาของมัน

“ฝ่าบาท”

“แค่นี้ไม่เป็นไร เร่งขบวนให้เร็วกว่านี้” สั่งเพียงเท่านั้นจูเลียนก็เร่งมาทรงให้เร็วขึ้น เฮนริชส่งสัญญาณเร่งขบวนและตามประกบจูเลียนไม่ห่าง จนไม่นานก็ถึงลานประลอง

จูเลียนก้าวขึ้นไปยังที่ประทับยกขึ้นสูงจากลานประลอง ด้วยท่าทางที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี กษัตริย์หนุ่มน้อยจึงดูงามสง่าสมความสูงศักดิ์ จูเลียนทักทายแขกจากมอนทาร์น่าและสวาเนียร์ แล้วจึงหันกลับไปหาประชาชนที่โห่ร้องสรรเสริญจนเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่เพียงแค่กษัตริย์หนุ่มน้อยยกมือขึ้นทุกสรรพเสียงก็พร้อมใจกันเงียบลงทันที

“ประชาชนที่รักของข้า ข้ารู้ว่าทุกคนตั้งตารอที่จะให้ถึงวันนี้มาทั้งปี วันที่พวกเราจะได้ร่วมเฉลิมฉลองด้วยกัน ข้าหวังว่าพวกท่านทุกคนคงจะมีความสุขกับงานวันนี้ที่สุด และต่อไปนี้คือสิ่งที่ทุกคนตั้งตารอ การประลองบนหลังม้าที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า แต่ในโอกาสที่วันนี้เป็นวันเกิดของข้าด้วย คงไม่เหมาะนักหากจะมีคนตาย ดังนั้น ขอให้การประลองสิ้นสุดลงเมื่อรู้ผลแพ้ชนะก็พอ” จบการกล่าวยืดยาวของจูเลียนเสียงโห่ร้องของประชาชนก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง บ้างก็เห็นด้วย บ้างก็คัดค้าน เพราะประเพณีดั้งเดิมนั้น การประลองจะเป็นไปอย่างดุเดือดหมายเอาชีวิตเพื่อชัยชนะ การประลองจบสิ้นลงทันทีเมื่อสามารถใช้ทักษะในการต่อสู้ และทำให้คู่แข่งตกจากหลังม้าได้ นั่นทำให้ผู้เข้าแข่งขันมักจะเล็งที่จุดตายของคู่ต่อสู้ เพื่อหวังได้เปรียบคู่แข่ง คนที่เสียทีในการประลองจึงมักได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงตายก็เคยมีมาแล้วทุกปี ซึ่งนี่เองคือสิ่งที่จูเลียนไม่โปรดเอาเสียเลย เพราะคิดว่าแค่ประลองให้รู้ผลแพ้ชนะก็น่าจะพอ



จูเลียนยกมือขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณให้ประชาชนเงียบเสียงก่อนที่เขาจะกล่าวต่อ

“ท่านทั้งหลาย ใครจะได้รางวัล 10,000 เหรียญทองไปครอง เรามาเริ่มการประลองกันเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า” สิ้นเสียงประกาศของจูเลียนเสียงปรบมือโห่ร้องก็ดังกึกก้องขึ้นมาอีกรอบ แต่พอคู่ต่อสู้คู่แรกออกมา เสียงต่าง ๆ ก็เงียบลงทันทีอย่างพร้อมใจ เพื่อเป็นมารยาทที่ดีและจะได้ไม่เป็นการรบกวนสมาธิของผู้เข้าประลอง

สนามประลองด้านหน้าที่ประทับนั้นเป็นลานดินกว้าง ตรงกลางทำเป็นราวไม้สูงประมาณหน้าอกปักไว้เพื่อแบ่งสนามประลองออกเป็นสองฝั่ง สำหรับคู่ต่อสู้รอบละ 2 คนที่จะต้องอยู่คนละฝั่ง โดยจะใช้วิธีจับสลากแบ่งสายการต่อสู้ออกเป็น 2 สาย ซึ่งสลากแต่ละใบจะมีเลขบอกสายและลำดับที่ได้รับ และเลขลำดับนี้เองที่จะบอกลำดับในการเข้าประลองกับคู่ต่อสู้จากอีกสายที่จับได้ลำดับเดียวกันด้วย จนแข่งรอบแรกหมดได้ผู้ชนะมา รอบที่สองก็เริ่มสู้ใหม่โดยยังใช้ลำดับของนักสู้แต่ละคนที่จับได้ในครั้งแรกมาเรียงใหม่ จนเหลือคู่ต่อสู้สองคนสุดท้ายเพื่อชิงชนะเลิศ ซึ่งปีนี้มีผู้เข้าร่วมประลองทั้งหมด 50 คู่ และพอคู่ต่อสู้คู่แรกไสม้าเข้ามาในสนาม การพนันขันต่อของชาวเมืองและเจ้ามือก็เริ่มขึ้น



&&&&&&&&&&&&&&&&&



ยามสายของต้นฤดูหนาว แม้จะมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมา แต่อากาศก็เย็นสบายท่ามกลางแดดอ่อนๆ การประลองผ่านไปแล้วหลายคู่แต่ก็ยังไม่หมดรอบแรก จนต้องมีการพักครึ่งเวลา คนที่ได้นอนไปไม่เท่าไหร่เพราะมัวแต่เมาและทำกิจกรรมรอบดึกนึกเบื่อ จึงปลีกตัวจากการรับรองของเจ้าบ้านมาเดินเล่นเรียกความสดชื่นให้ตัวเอง

“ไม่คิดว่าจะได้เจอท่านแถวนี้นะ” แอนดีสชะงักเท้าเมื่อเดินผ่านกระโจมที่จัดเอาไว้สำหรับผู้เข้าร่วมประลอง แล้วได้ยินเสียงที่เขาไม่อยากได้ยินทักขึ้น เสียงของคนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปจำมันได้ตั้งแต่ตอนไหน อัศวินหนุ่มแสดงความเคารพเขาด้วยการค้อมศีรษะลงเพียงเล็กน้อย แต่สายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าหล่อเจ้าชู้ที่ยังเหลือเค้าของความอิดโรยอยู่เลย

“ข้าแค่มาเดินเล่น” แอนดีสเชิดหน้าตอบแล้วหันไปทางอื่น

“คุยกับข้าไม่คิดจะมองหน้ากันเลยหรือท่าน”

“ทำไมข้าต้องอยากมองหน้าเจ้าด้วยล่ะ เซอร์เลนนี่”

“นั่นสินะอภัยข้าด้วยก็แล้วกัน แต่ท่านน่าจะพักอยู่ในกระโจมรับรองนะลอร์ดแอนดีส” สายตาของอัศวินหนุ่มไม่ปิดบังความรู้สึก เมื่อกวาดมองวงหน้าที่มีเค้าของความอิดโรยเหลืออยู่ไม่น้อย อันที่จริงเลนนี่ไม่คิดว่าแอนดีสจะมีแรงลุกขึ้นจากเตียงมาร่วมงานได้ด้วยซ้ำ แต่ลอร์ดหนุ่มก็มาร่วมตั้งแต่เปิดงาน คิดว่าที่สั่งให้คนรับใช้ปลุกจะไม่ยอมตื่นเสียอีก

“นี่ข้าไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนมาไหนได้แล้วหรือไง” แอนดีสหันกลับมามองอัศวินหนุ่มที่ยังลอยหน้าลอยตาพูดกับเขา สายตาเจ้าชู้มองเลยไปยังชายร่างกายสูงใหญ่ในชุดเกราะเหล็กแวววาวที่ยืนอยู่ข้างหลัง และนั่นคงจะเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประลอง ลอร์ดแอนดีสมองผ่านเพราะเริ่มรู้สึกขุ่นมัวในใจ กับท่าทางและคำพูดของเลนนี่ ที่ทำเหมือนกับว่าเขาเป็นเจ้าชายน้อย ๆ ที่ไม่ควรเดินเพ่นพ่านออกไปไหนมาไหนเสียอย่างนั้น

“ถ้าท่านอยากเดินเล่นข้าจะว่าอะไรได้ล่ะ”

“ใช่เจ้าว่าอะไรข้าไม่ได้หรอก” สายตาอวดดีจ้องมองอัศวินหนุ่ม ที่ยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้าอยู่ตลอดเวลาจนแอนดีสนึกขัดใจ ไม่รู้ว่าจะอารมณ์ดีอะไรนักหนา เห็นหน้าเมื่อไหร่เป็นได้อมยิ้มอยู่ตลอด หรือว่าจะตั้งใจล้อเลียนเขาก็ไม่รู้

“แล้วนี่เจ้าไม่คิดจะเข้าร่วมประลองกับเขาหรือไง น่าจะลองดูนะถึงจูเลียนจะห้ามไม่ให้มีการตายเกิดขึ้น ข้าว่าเจ้าคงไม่รอดหรอก” เลนนี่ยิ้มขี้เล่นในแบบของเขาให้ลอร์ดหนุ่ม เมื่อเดินเข้ามาใกล้โดยที่แอนดีสเองก็ไม่ได้ถอยหนี จนร่างสูงสง่าที่สูงกว่าเพียงเล็กน้อยเดินเข้ามาอยู่ในระยะประชิด ทั้งสองสบตากันนิ่งอย่างไม่ยอมลดละ

“ข้าไม่มีสิทธิ์เข้าประลองสนามนี้หรอก แต่หากเป็นการประลองบนเตียงกับท่านข้าไม่พลาดแน่”

“เจ้า..” !

“เชิญกลับไปพักที่กระโจมรับรองเถอะลอร์ดแอนดีส ท่านดูเหนื่อย ๆ นะ”

“ข้าบอกแล้วไงว่าจะไปเดินเล่น”

“หรืออยากให้ข้าไปส่ง” แอนดีสไม่พอใจ ยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสนั่น ลอร์ดหนุ่มยิ่งขัดใจจนคันยุบยิบอยู่ในก้อนเนื้อกลางอก รอยยิ้มขี้เล่นมันดูเหมือนจะล้อเลียน แต่แววตาคู่นั้นก็ดูจริงจังเกินกว่าจะคิดว่าเจ้าตัวกำลังเยาะเย้ยเรื่องเมื่อคืน

“..” เมื่ออยู่ตรงนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นที่ขบขันของอัศวินหนุ่ม แอนดีสจึงทิ้งสายตาดุไว้ให้แล้วเดินจากไปอย่าหงุดหงิด เลนนี่ได้แต่มองตามคนที่เดินด้วยท่าทางไม่ค่อยปกตินั้นไป ด้วยสายตานิ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดขัดกับรอยยิ้มบนใบหน้าตัวเอง



“นี่เหรอลอร์ดแอนดีสแห่งมอนทาร์น่า”

“อืม”

“ท่าทาอวดดีไม่เลว”

“หึ ใช่ดีทีเดียว”

“เอ๊ะ ดีของข้ากับดีของเจ้านี่มันความหมายเดียวกันหรือเปล่าวะเลนนี่” ฮานส์วางมือหนัก ๆ ของเขาลงบนไหล่ของเลนนี่ ถามคำถามมีความนัยที่อัศวินหนุ่มเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้หันกลับมามองหน้าเพื่อนตัวเอง เพราะดวงตายังจับจ้องอยู่กับแผ่นหลังของลอร์ดหนุ่มที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ

เลนนี่ยักไหล่แล้วจึงตอบ “แล้วแต่เจ้าจะคิดสิ”

“แล้วจูเลียนของเจ้าล่ะเป็นยังไง” ฮานส์ชวนคุย

“กษัตริย์ไม่ได้เป็นของข้า พูดดี ๆ ถ้ายังไม่อยากให้หัวของเจ้าไปประดับอยู่บนกำแพง” หนุ่มพเนจรเพียงยกยิ้มและเบ้ปากออกน้อย ๆ เขายักไหล่เหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญเมื่อพูดถึงจูเลียน กษัตริย์ที่เขาไม่เคยเจอสักครั้ง นอกจากจะได้ยินข่าวลือและกิตติศัพท์ต่าง ๆ นานา พอได้ยินบ่อย ๆ ก็ทำให้สงสัยว่ามันอาจจะเป็นจริงหรือคนเขาถึงได้พูดกัน

“ข้าได้ข่าวมาว่าจูเลียนของเจ้านี่ยังเด็กอยู่ใช่ไหม”

“ใครก็รู้ทั้งนั้นแหละว่าจูเลียนอายุแค่ 19 “

“และบ้าอำนาจ”

“หืม?” เลนนี่ขมวดคิ้วมองหน้าฮานส์

“หรือไม่จริง”

“ได้ยินกลุ่มที่ต่อต้านกษัตริย์พูดมาสินะ”

“จริงหรือเปล่าล่ะ บ้าอำนาจเอาแต่ใจ ใช้เงินจากภาษีของประชาชนอย่างฟุ่มเฟือย แอบซ่อนชู้รักเอาไว้ในปราสาท ใครอยากก้าวหน้าในราชสำนักเร็ว ๆ แค่ขึ้นเตียงกับกษัตริย์ก็ได้เป็นใหญ่แล้ว”

“ฮานส์” ! มันมีบางส่วนถูกที่เลนนี่เองก็ยอมรับแต่ไม่ใช่ทั้งหมด และเขาไม่อยู่ในฐานะที่จะนำเรื่องของเจ้านายมาวิจารณ์ เพราะหน้าที่ของเขาคือปกป้องและรักษาเกียรติของจูเลียน อัศวินหนุ่มตะคอกเพื่อนเสียงดังใบหน้าเปลี่ยนเป็นดุดันราวกับคนละคน แต่ฮานส์กลับยิ่งยิ้มกริ่มพอใจที่สามารถทำให้เพื่อนรัก เผยตัวต้นที่แท้จริงภายใต้รอยยิ้มของหนุ่มขี้เล่นออกมาได้

“หึหึ เจ้าคงรักจูเลียนมากสินะเลนนี่ ข้าแค่ถามตามข่าวที่เขาลือกันมาจะโกรธข้าทำไมเนี่ย”

“อย่าพูดล่วงเกินจูเลียนแบบนั้นอีก”

“โวะ เจ้านี่ ข้าไม่เคยรู้จักกษัตริย์ของเจ้านะ ก็แค่ถามจากข่าวที่ได้ยินมา เจ้าถือเป็นคนใกล้ชิดไม่ใช่หรือไงน่าจะตอบได้”

“ถ้าอยากรู้เจ้าก็เข้ามาเป็นอัศวินฝึกหัดสิ ฝีมืออย่างเจ้าไม่นานก้าวหน้าแน่” ฮานส์รู้ว่ากำลังถูกเพื่อนท้าทายเหมือนหลายครั้งที่เลนนี่พยายามโน้มน้าวให้เขาละทิ้งการเดินทางร่อนเร่ พเนจร แต่การเป็นอัศวินสำหรับเขามันหมายถึงคำสาบานที่จะมอบชีวิตของตัวเองให้ผู้เป็นนาย และหมายถึงความอิสรเสรีที่ต้องเสียไป เพื่อผูกมัดตัวเองไว้กับใครบางคนชั่วชีวิต แต่คนอย่างฮานส์ไม่มีวันยอม ไม่เช่นนั้นก็คงเลือกเชื่อเพื่อนตั้งแต่ทีแรกแล้ว

“ในฐานะลูกชายคนโตพี่ของเจ้ามีหน้าที่สืบทอดตระกูล ดูแลเดอะเมาเทนนัสเฮ้าส์และประชาชนของเรา ดังนั้นหน้าที่ฝึกฝนฝีมือให้แข็งแกร่งเพื่อเป็นตัวแทนของตระกูลในการถวายตัวรับใช้กษัตริย์จึงเป็นของเจ้า”

“ทำไมเราต้องรับใช้กษัตริย์ด้วยล่ะท่านพ่อ ตระกูลของเราเป็นตระกูลเก่าแก่ เราไม่จำเป็นต้องขึ้นตรงต่อเขาก็ได้”

“มันเป็นคำสาบานที่บรรพบุรุษของเราทำเอาไว้ คำสัญญาที่ผูกมัดเรากับตระกูลออสติน ทุกสามรุ่นหนึ่งในทายาทชายของเราต้องเป็นอัศวินคู่บัลลังก์” !

“ข้าไม่ยอมเด็ดขาด”

“แต่มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องรักษาสัจจะ!”

“ไม่มีวัน ข้าไม่มีวันหาห่วงมาคล้องคออย่างเจ้าหรอกเลนนี่เลิกพูดเลย แค่คิดว่าต้องเดินตามหลังเด็กต้อย ๆ ข้าคงอยากตายวันละหลาย ๆ รอบ”

“เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้” เลนนี่ส่ายหน้าอย่างจำยอม แม้ทั้งสองจะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่จำความได้ ชื่นชอบการต่อสู้เหมือนกัน ฝึกฝนจนเก่งกาจและแข็งแกร่งมาด้วยกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือฮานส์ชอบที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี เลนนี่ถูกสอนให้ยึดมั่นต่อหน้าที่และเขาชอบที่จะได้รับการยอมรับในแบบที่เป็นทางการ เมื่ออายุถึงเกณฑ์ก็ถูกส่งตัวเข้ามาเป็นอัศวินฝึกหัดในเมืองหลวง แต่ถึงแม้จะมาจากตระกูลใหญ่เขาก็ต้องผ่านการฝึกฝนและทดสอบ จนในที่สุดได้เป็นอัศวินสมกับที่ได้ตั้งใจไว้

ต่อค่ะ ลงๆๆๆๆ เลื่อนลงๆ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

“อภัยข้าด้วย” ฮานส์บอกพลางกระชับชุดเกราะที่ใส่อยู่ให้แน่นขึ้น เพราะคงใกล้หมดเวลาพักแล้ว แต่อยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาลอย ๆ แบบนี้เลนนี่จึงตามไม่ทัน

“เรื่องอะไร”

“ที่พูดไปไง ข้าแค่พูดตามที่ข่าวได้ยินมา แต่ได้ยินบ่อย ๆ ก็ชักจะเชื่อแล้วสิ”

“มีคนรักมันก็ย่อมต้องมีคนเกลียดเป็นเรื่องธรรมดานั่นแหละ”

“โดนเกลียดเยอะอยู่เหมือนกันนะข้าว่า”

“เจ้าพร้อมหรือยัง”

“ถึงยังไม่พร้อมก็ต้องไปไม่ใช่หรือไง”

“โชคดี หวังว่าป้อมของข้าคงได้ต้อนรับเจ้าในฐานะผู้ชนะการประลองประจำปีนี้” ฮานส์ยิ้มแบบที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่ามันจืดชืดมากแค่ไหน หากไม่เสียทีให้กับเลนนี่ในการท้าดวดวันนั้น เขาก็อยากเป็นเพียงแค่ชายพเนจรธรรมดาที่บังเอิญมาร่วมงานและเป็นผู้ชม ไม่ใช่หนึ่งในผู้เข้าร่วมประลองฝีมือ

หนุ่มพเนจรมองเพื่อนรักในชุดเกราะทองเหลืองของอัศวินหลวงเต็มยศที่เดินจากไป ด้วยดวงตาที่คาดเดาความรู้สึกไม่ถูก ความทรงจำเก่า ๆ ผุดเข้ามาในหัว แต่ก็ต้องรีบปัดมันทิ้งไปเมื่อถูกเรียกให้ไปเตรียมตัว

“รอบต่อไปเป็นคู่ของเจ้า ไปเตรียมตัวและเตรียมม้าของเจ้าได้แล้ว”



********************************



การประลองผ่านไปคู่แล้วคู่เล่าจนตอนนี้มาถึงคู่สุดท้ายเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง ริมฝีปากของอัศวินหนุ่มผู้ผลักดันให้เพื่อนเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประลองยกขึ้นยิ้มอย่างสมใจ เพราะคิดอยู่แล้วว่าฝีมือระดับโรฮานส์ วัลเดอราส หากได้เข้าร่วมต่อสู้ต้องไม่เป็นสองรองใครอย่างแน่นอน

“ดูเจ้าอารมณ์ดีนะ” เสียงกระซิบที่พอได้ยินกันเพียงสองคนดังมาจากเดรทิชที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ในขณะที่อัศวินหนุ่มทั้งสองยืนอยู่ข้างหลังจูเลียนบนที่ประทับยกสูงขึ้นจากสนามประลอง มีแขกบ้านแขกเมืองคนอื่น ๆ ที่นั่งชมอยู่ด้วยกัน ส่วนอัศวินอีกสองคนคือราเชลกับเฮนริช แยกกันอยู่ข้างที่ประทับอีกคนละจุด

“พอดีข้ากำลังจะได้เงินพนันก้อนใหญ่น่ะ”

“อย่างนี้นี่เองคงทุ่มหนักสิท่า”

“หึ แค่สนุกเล็ก ๆ น้อย ๆ ” เลนนี่ยิ้มออกมาขณะที่กระซิบกระซาบกัน ตาของอัศวินหนุ่มก็ลอบมองแขกบ้านแขกเมืองที่นั่งถัดทาร์เทียน่าไปไม่ไกลจากที่เขายืนอยู่มากนัก และดูเหมือนว่าคนที่ถูกลอบมองจะรู้สึกตัวเสียด้วย จึงหันกลับมาเจอเข้ากับสายตาขี้เล่นที่จับจ้องอยู่พอดี เลนนี่ค้อมศีรษะให้แอนดีสเล็กน้อย แต่อาจจะเป็นเพราะมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นมานั่นมันดูกวนใจเกินไป ลอร์ดหนุ่มจึงสะบัดหน้าหนีแทบจะทันที

“ดูท่าเจ้าจะเป็นที่สนใจของลอร์ดแห่งมอนทาร์น่านะ”

“เพ้อเจ้อหรือไง โน่นการประลองรอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”

กลางสนามประลอง คู่ต่อสู้รอบสุดท้ายซึ่งเป็นรอบชิงชนะเลิศไสม้าลงมาที่สนาม ยืนม้ากันอยู่คนละฝั่งในท่าเตรียมพร้อมเพื่อรอสัญญาณ สายบังเหียนและทวนในมืออีกข้างถูกกระชับแน่น นี่เป็นการประลองที่มุ่งเอาชนะกันอย่างจริงจังเพื่อเงินรางวัลสูงลิบ แม้กษัตริย์จะประกาศว่าห้ามมิให้มีการตายเกิดขึ้น แต่เรื่องสุดวิสัยไม่มีใครห้ามมันได้ เพราะรอบที่ผ่านมาแม้จะยังไม่มีใครตาย แต่ก็พากันได้รับได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย ส่วนรอบนี้เป็นรอบชิงชนะเลิศทั้งสองต่างก็ย่อมอยากเป็นผู้ชนะเพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรี พอกรรมการทิ้งธงลงเป็นสัญญาณให้เริ่มการโจมตีทั้งสองฝ่ายก็ควบม้าเข้าหากัน

ม้าของคู่ต่อสู้ทั้งสองถูกควบให้วิ่งเร็วเลียบราวกั้นมา ทวนถูกลดระดับลงให้ขนานกับพื้นเพื่อเล็งคู่ต่อสู้อย่างเตรียมพร้อม และเมื่อมาถึงจังหวะที่กำลังจะสวนกัน ในความรวดเร็วแทบดูไม่ทันนั้น ทวนของนักสู้ทั้งสองปะทะกันอย่างแรง และจากแรงปะทะทำให้ทวนอันหนึ่งแตกออกจนคนถือผงะเกือบหงาย แต่ก็ทรงตัวเอาไว้ได้ทันอย่างรวดเร็ว และพลิกกลับมาหวังจะรุกเพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่กลายเป็นว่าทวนที่แตกหักนั้นสั้นเกินไป ร่างของเขาจึงถูกทวนของอีกฝ่ายที่เหลือยาวกว่ากระแทกจนหงายตกจากหลังม้าไป

เสียงโห่ร้องของชาวเมืองดังกึกก้องขึ้นมาทันทีที่ได้ผู้ชนะการประลอง บางคนกระโดดโลดเต้น บางคนลุกขึ้นกระโดดตบไม้ตบมือดีใจเมื่อเห็นว่าฝ่ายที่ตัวเองลงพนันได้รับชัยชนะ ดีใจเพราะเงินเดิมพันที่ลงไว้ได้กลับมาเป็นเท่าตัว และท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีที่ดังกึกก้องอยู่นั้น ผู้ชนะไสม้าเดินเข้าไปอยู่ต่อหน้ากษัตริย์ที่ลุกขึ้นปรบมือให้อย่างสมเกียรติ ผู้ชนะก้มศีรษะให้จูเลียนเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ



“ท่านจะไม่ถอดหมวกให้ชาวเมืองได้เห็นใบหน้าของผู้ชนะสักหน่อยหรือไง”

“..” ผู้ชนะที่อยู่บนหลังม้ายังนิ่งเงียบไม่ตอบคำ จนกระทั่งจูเลียนถามขึ้นมาอีกนั่นแหละ คนในชุดเกราะเหล็กจึงเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ว่าตอนนี้เขาอยู่ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรออสเซนเทีย

“ว่ายังไงล่ะทำไมเงียบ ถอดหมวกของท่านออกให้ชาวเมืองได้เห็นโฉมหน้าผู้ชนะหน่อยสิ”

“อภัยด้วยฝ่าบาทแต่ข้าคิดว่ามันไม่จำเป็น”

“ถอดมันออก!”

“..”

“ข้าสั่งให้เจ้าถอดหมวกออก!”

“..” ท่ามกลางเสียงกู่ร้องของชาวเมืองที่ยังดังอยู่ไม่หยุด แต่บริเวณที่ประทับยกขึ้นสูงนั้นกลับเงียบเหมือนทุกอย่างหยุดชะงัก เมื่อจูเลียนสั่งให้ผู้ชนะถอดหมวกเหล็กที่ปิดบังใบหน้าออกแต่กลับถูกปฏิเสธ จูเลียนขัดใจจึงเผลอตะคอกสั่งเสียงดัง แต่นั่นก็ยังไม่สามารถกลบเสียงยินดีของชาวเมืองที่ยังร้องสรรเสริญก้องสนามประลองได้ การถูกขัดใจของจูเลียนจึงมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่บริเวณนั้นรู้เห็น



“หรือเจ้ากลัว”

“ทำไมข้าต้องกลัว”

“กว่าจะผ่านมาถึงรอบสุดท้ายจนได้เป็นผู้ชนะ เจ้าก็สร้างศัตรูไว้ไม่น้อยนี่” ริมฝีปากบางสีสดแย้มยิ้มเยาะออกมาอย่างเปิดเผย แต่คำตอบที่ได้รับก็ทำให้จูเลียนหุบยิ้มลงได้ทัน

“แล้วจะกลัวทำไมในเมื่อข้าชนะทุกคนมาแล้วก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือสิ”

“หึ จองหอง” เนตรสีเขียวมรกตมองผู้ชนะที่อยู่บนหลังม้าด้วยแววตาแข็งกร้าวอย่างไม่ชอบใจ จูเลียนสบสายตากับเจ้าของร่างผ่านช่องว่างของหมวกเกราะ ที่ซุกซ่อนดวงตาคมกริบสีดำมืดราวกับรัตติกาลในคืนไร้จันทร์ ที่ดวงดาวถูกบดบังด้วยม่านเมฆหนา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าพักตร์อ่อนเยาว์ถูกจ้องมองราวกับกำลังซึมซับเอาความตราตรึงไว้เป็นที่จดจำ!

ถุงเหรียญทองในมือถูกโยนไปให้ผู้ชนะที่รับมันเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ ชายบนหลังม้าค้อมศีรษะให้ยุวกษัตริย์เป็นการแสดงความเคารพ แล้วไสม้าออกจากตรงนั้นไป ทิ้งเอาไว้เพียงความขุ่นข้องในพระทัยของกษัตริย์หนุ่มน้อย ที่มองตามแผ่นหลังกว้างของคนจองหองที่พระองค์ตราหน้าให้อย่างขัดเคือง



 ปึง!

“เจ็บใจ” จูเลียนทุบกำปั้นลงที่โต๊ะอย่างแรงเพราะยังโกรธที่ถูกขัดใจ เป็นแค่ผู้ชนะการประลองแต่จูเลียนเป็นถึงกษัตริย์กล้าดียังไงถึงได้มาขัดคำสั่ง

“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป”

“เจ้าไปไหนมาลีโอ”

“เอ่อ ฝ่าบาทไม่พอใจที่หม่อมฉันหายไปหรือ”

“แล้วเจ้าไปไหนมาล่ะ”

“คือ ข้าแค่ไปคุยกับเซอร์เลนนี่มาฝ่าบาท แล้วก็ได้คุย...”

“ทีหลังอย่าให้ข้าต้องตามหาอีก”

“ลีโอทราบแล้วฝ่าบาท” ยังไม่ทันได้อวดว่าตัวเองได้คุยกับผู้ชนะการประลองด้วย ลีโอก็ถูกจูเลียนตัดบทเอาเสียก่อน คนสนิทน้อมรับเมื่อโดนดุ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้ทำไมจูเลียนต้องโกรธขนาดนี้ เพราะใช่ว่าลีโอจะไม่เคยหายไปอย่างนี้มาก่อน แล้วไหนจะยังหายไปแค่ไม่นานเอง ลีโอครุ่นคิดเพราะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าเหนือหัวกำลังโกรธคนที่ลีโอกำลังจะมาพูดอวดว่าได้คุยด้วยต่างหาก

“ฝ่าบาทจะทรงพักก่อนหรือไม่”

“พักสิข้าเหนื่อยจะแย่แล้ว อยากนอนแช่น้ำอุ่น ๆ “

“น้ำอุ่นรอฝ่าบาทพร้อมอยู่แล้ว เสด็จเถอะ” ได้ยินแบบนี้จูเลียนให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง หลังจากที่เหนื่อยกับการนั่งปั้นหน้ามาทั้งวัน การนอนแช่น้ำอุ่นช่วยให้ผ่อนคลายได้อยู่ไม่น้อย จูเลียนชอบเหมือน ๆ กับชาวออสเซนเทียส่วนใหญ่ที่ชื่นชอบการนอนแช่น้ำอุ่น ๆ เพราะอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี วัฒนธรรมการแช่น้ำอุ่นจึงเป็นที่นิยมมาก



“แต่ฝ่าบาทอย่าลืมงานเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับคืนนี้นะ” ลีโอท้วงขึ้นขณะเดินตามจูเลียนไปยังห้องสรงส่วนตัวภายในปราสาท

“ข้าไม่ลืมหรอกลีโอและหลังจากมื้อค่ำข้าจะออกไปเที่ยวข้างนอกสักหน่อย”

“ฝ่าบาท! “

“เจ้าไม่ต้องตกใจมากขนาดนี้หรอกน่าลีโอข้าแค่ออกไปเที่ยวงานฉลองเหมือนชาวเมืองคนอื่น ๆ นะ”

“แต่ข้าเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยสำหรับฝ่าบาท”

“ปลอดภัยสิ เพราะนอกจากเจ้าก็จะไม่มีใครรู้ ข้าจะปลอมตัวออกไป” คำว่าปลอมตัวออกไปยิ่งทำให้ลีโอหนักใจยิ่งกว่าเก่า เพราะมันหมายความว่านอกจากลีโอแล้วจูเลียนจะไม่มีอัศวินคอยตามอารักขา

เจ้าของแผนการยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายซุกซนที่ทำเอาลีโอคิดหนักใจขึ้นมาได้ทันทีเลยทีเดียว เพราะการแอบออกไปเที่ยวนอกวังนั้นมันหมายถึงจูเลียนกำลังพาตัวเองออกไปเสี่ยงกับอันตรายไม่มีผิด

“แต่ฝ่าบาทหม่อมฉันเกรงว่า...”

“ห้ามบอกใคร” จูเลียนสั่งเสียงเด็ดขาดทั้งที่รอยยิ้มสนุกยังประดับอยู่บนพักตร์นวลผ่อง เนตรเขียวมรกตที่ชวนหลงใหลหรือก็ทอประกายอย่างน่ามอง แต่เวลานี้ลีโอหนักใจเกินกว่าจะมาชื่นชมความงามตรงหน้า เจ้าเหนือหัวของลีโอคิดอะไรอยู่ถึงได้อยากออกไปเสี่ยงกับอันตรายอย่างนี้



**************************



เมื่อแรกก้าวเข้ามาภายในสิ่งที่สัมผัสเข้ากับประสาทรับรู้คือกลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่อบอวลไปทั่วห้อง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ในแสงสลัวนั้นยังพอเห็นได้ว่าที่นี่เป็นห้องกว้างมีหลังคาโค้งสูง ที่รองรับเอาไว้ด้วยเสาหินทรงกลม พื้นห้องปูด้วยหินอ่อนสีดำเงา ทำเป็นหลุมอ่างน้ำทรงสี่เหลี่ยมขนาดนอนแช่ได้สักสิบคนจำนวนสี่อ่าง เรียงไปตามความลึกของห้อง แบ่งกั้นพื้นที่ของอ่างน้ำแต่ละอ่างเอาไว้ด้วยการตกแต่งของม่านบังตาสีขาวเนื้อบางเบาและมวลดอกไม้เครือเถาให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เทียนหอมดวงเล็กติดเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ ให้พอมองเห็นเป็นแสงสลัว ผนังห้องตกแต่งด้วยลายสลักที่ดูอ่อนหวานสร้างบรรยากาศให้รู้สึกถึงความผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

ห้องอาบน้ำแร่ภายในพระราชวังแห่งนี้มีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ที่สามารถเข้ามาใช้ได้ แต่สำหรับผู้ที่กำลังก้าวเข้ามาถือว่าเป็นข้อยกเว้น ร่างสูงโปร่งภายใต้อาภรณ์หนาแต่ดูทะมัดทะแมง เดินลึกเข้าไปภายในจนถึงอ่างแช่น้ำอุ่นสุดท้ายที่อยู่ลึกสุด เพื่อหลีกหนีสายตาที่อาจจะมีใครเข้ามาใช้งานห้องนี้หรือผ่านมาเห็น อาภรณ์ที่สวมใส่ถูกปลดออกทีละชิ้นช้า ๆ จนในที่สุดร่างโปร่งที่ประดับไปด้วยกล้ามเนื้อเล็กน้อยแบบผู้ชายตัวบางก็เหลือแค่ความเปลือยเปล่า เปิดเผยผิวขาวราวน้ำนมให้ต้องแสงเทียนดูนวลตาจนน่าหลงใหล

ร่างสูงโปร่งดูระหงที่เปลือยเปล่าค่อย ๆ ก้าวลงบันไดที่พาลงไปในอ่างน้ำอุ่น ผิวน้ำแยกออกจากกันทันทีที่ปลายเท้าจุ่มลงไปท่ามกลางไออุ่นที่ลอยขึ้นมาบาง ๆ และระอยู่เหนือผิวน้ำ อุณหภูมิของน้ำภายในอ่างถูกจำกัดเอาไว้ได้อย่างพอดีสำหรับการนอนแช่เพื่อความผ่อนคลาย ความลึกในอ่างจะกินพื้นที่ลงไปในพื้นหินอ่อน เวลานั่งลงแช่ตัวน้ำจะอยู่ในระดับหน้าอกพอดี อ่างแต่ละอ่างบรรจุน้ำอุ่น ๆ ซึ่งเป็นน้ำแร่จากธรรมชาติที่ได้รับการผันเข้ามาใช้งานจากภายนอก และทำให้มีความร้อนในอุณหภูมิที่พอดีอยู่ตลอด ไอน้ำลอยระเหนือผิวน้ำเหมือนมือขาวๆ กำลังกวักเรียกให้ลงไปแช่ตัวเพื่อความผ่อนคลาย และเจ้าของร่างขาวราวน้ำนมก็ไม่รอช้า พอก้าวลงมาก็ทิ้งตัวปล่อยให้สายน้ำอุ่นจนเกือบร้อนโอบอุ้มร่างกายจนรู้สึกถึงความเบาไปทั้งตัว

ดวงตาที่หลับพริ้มนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหลุดเข้าสู่การพักผ่อนอย่างแท้จริง และคนที่จับตามองอยู่ตั้งแต่เจ้าของร่างขาวเดินเข้ามาถึงอ่างลึกสุดก็ยังจ้องมองอยู่เงียบ ๆ อยากทักให้คนมาใหม่รู้ตัวแต่ภาพความสวยงามของกายขาวผิวเนื้อเนียนละเอียดที่ปรากฏต่อสายตา เหมือนจะทำให้ปากของเขาทำงานบกพร่องไปชั่วขณะ จนกระทั่งเจ้าของร่างขาวราวน้ำนมลืมตาขึ้น และสายตาปรับเข้ากับความสลัวจนสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน บุรุษในเงามืออย่างเขาจึงได้เวลาเปิดเผยตัว

ต่อๆๆ ค่ะ ลงๆๆ เลื่อนลงๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2018 19:51:20 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“ท่าน” !

“สวัสดียามเย็นลอเรน”

“ลอร์ดนิโคล” !! ลอร์ดหนุ่มในเงาสลัวเพียงยิ้มบาง ๆ ให้กับความตกใจ ที่ดูเหมือนจะมากเกินไปของคนตรงหน้า ก็ที่นี่เป็นอ่างแช่น้ำรวมมันย่อมเป็นไปได้ว่าต้องมีใครเข้ามาใช้งานเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องตกใจจนตาโตเสียขนาดนี้ “ท่านเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก่อนหน้าเจ้าไม่นานหรอก”

“แต่ทำไม..” คนที่คิดว่าจะเข้ามานานแช่น้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายเงียบ ๆ คนเดียวหยุดคำพูดเอาไว้เพียงเท่านั้น แล้วนึกตำหนิตัวเองในใจที่ไม่ตรวจดูให้ดี ๆ ก่อน เพราะเป็นห้องรวมที่ถึงแม้จะมีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถเข้ามาใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครมาใช้เลย โดยเฉพาะคนที่ลอเรนไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดในตอนนี้ คนที่กระซิบบอกเขาเมื่อบ่ายถึงห้องแช่น้ำแร่แห่งนี้

“เจ้าดูเหนื่อยนะ ปีกตะวันตกของปราสาทรับรองจะมีทางเชื่อมต่อไปยังห้องอาบน้ำที่นั่นมีน้ำแร่อุ่น ๆ ให้นอนแช่ได้สบาย”

ลอเรนคิดตำหนิตัวเองที่พอได้ยินอย่างนั้นก็รีบปลีกตัวมาที่นี่ทันทีที่ทำได้ โดยไม่คิดเอะใจอะไรเลยว่าคนที่กระซิบบอกก็อาจจะมาดักรออยู่ที่นี่แล้วเหมือนกัน แต่ทำไมต้องมาดักรอ หรืออาจจะแค่บังเอิญ หรือนิโคลต้องการให้เขามาเจอกันที่นี่จริง ๆ แล้วจะต้องการให้มาเจอทำไม แต่ถ้าไม่ได้ต้องการให้มาจะบอกให้รู้ทำไม แล้วรู้ได้อย่างไรว่าลอเรนชอบนอนแช่น้ำอุ่น ยิ่งคิดลอร์ดหนุ่มแห่งสวาเนียร์ก็ยิ่งสับสน ยิ่งคิดก็ยิ่งหาข้อสรุปการกระทำของอีกคนไม่ได้ คิดเท่าไหร่ก็ไม่มีคำตอบเลยได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองแน่น แล้วสะบัดหน้าเหมือนจะให้การกระทำนี้ไล่ความฟุ้งซ่านออกไปจากหัว

“เจ้าไปเป็นอะไรไปลอเรน”

“ท่าน” !! ลอเรนผงะเพราะไม่รู้เลยว่านิโคลขยับเข้ามาประชิดจนใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน การเคลื่อนไหวของอีกคนมันเงียบเหลือเกิน ทั้งที่อย่างน้อยน่าจะได้ยินเสียงน้ำกระเพื่อมบ้าง

“เจ้าเป็นอะไรทำไมกัดปากตัวเองเสียแน่นอย่างนี้เดี๋ยวก็เจ็บแย่หรอก” ไม่พูดเปล่ามือใหญ่เปียก ๆ ยังยกขึ้นมาลูบไล้เบา ๆ ที่ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดของลอเรนเหมือนมันจะช่วยให้คลายออก แต่นอกจากปากของลอเรนจะไม่คลายออกจากกันแล้วยังเม้มเข้าหากันแน่นยิ่งกว่าเก่า “บอกว่าอย่ากัดปากตัวเองไง แบบนี้เจ้าจะเจ็บจริง ๆ แล้วนะ”

“ช่างปากข้าเถอะ ท่านถอยออกไปอีกหน่อยได้ไหมเล่า” ลอเรนเงยหน้ามองใบหน้าคมคายที่อยู่ใกล้เหลือเกิน เจ้าของร่างขาวอยากจะถอยแต่ดูเหมือนว่าเขาได้ปิดทางตัวเองตั้งแต่แรกที่ลงมานอนชิดขอบอ่างแล้ว จึงได้แต่ร้องขอให้อีกคนถอยออกก่อนที่เจ้าตัวจะแสดงความประหม่าออกมาให้เห็นมากกว่านี้ เท่านี้ลอเรนก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว

“เจ้ากลัวข้าหรือลอเรน”

“ทำไมข้าต้องกลัวทาน”

“หึ”

“ท่าน” !! ปฏิเสธเสียงแผ่วและไม่ได้มองหน้า คนที่อยากแกล้งเลยนึกสนุกเกี่ยวเอวบางรั้งเข้าหาตัวจนลอเรนร้องเสียงหลงเพราะตกใจ ไม่คิดว่าลอร์ดสูงศักดิ์อย่างนิโคลจะจู่โจมจาบจ้วงแบบนี้กับตัวเอง “ปล่อยข้า ทำแบบนี้ทำไม”

“แล้วทำไมไม่มองหน้าข้าตรง ๆ ล่ะหรือว่าข้ามันขี้เหร่จนเจ้าทนมองไม่ได้”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ท่านปล่อยข้าก่อนเถอะ อ๊ะท่าน!” ท่ามกลางไอน้ำที่ลอยคลุ้งระใบหน้าของทั้งสองที่อยู่ห่างกันไม่มาก แต่ร่างกายช่วงล่างที่อยู่ใต้น้ำกลับกำลังอยู่ในสภาวะล่อแหลม เพราะร่างเพรียวที่ถูกเกี่ยวเข้าที่เอวบาง ถูกนิโคลรั้งเข้าหาตัวอย่างแรงและเร็วจนลอเรนแทบถลาเข้าปะทะอกแกร่ง ดีที่เอาฝ่ามือทั้งสองข้างดันไว้ได้ทัน แต่ข้างล่างนั่นกลับต้องนั่งทับลงที่ตักของลอร์ดแห่งออสเซนเทียอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เจ้าเป็นอะไรไปลอเรน” นิโคลทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้และเอียงคอถามเหมือนห่วงใยจริง ๆ จนลอเรนทำตัวไม่ถูก

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรปล่อยข้านะ”

“อยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”

“..” ดีสำหรับท่านแต่ไม่ได้ดีสำหรับข้าเลยสักนิด ลอเรนได้แต่ประท้วงในใจกับคนที่พูดเองเออเอง สองมือยังดันอยู่บนอกกว้างเพราะดูเหมือนว่าอ้อมแขนแข็งแรงของนิโคล จะไม่คลายแรงบังคับให้เข้าแนบชิดลงเลย



“เจ้าพอใจกับการต้อนรับของเราหรือไม่ลอเรน” อยู่ดี ๆ นิโคลก็เปลี่ยนเรื่องคุยหน้าตาเฉย

“ออสเซนเทียต้อนรับเราได้อย่างอบอุ่นถือเป็นเกียรติของสวาเนียร์มาก แต่ท่านปล่อยข้าสักทีเถอะ”

“ที่สวาเนียร์เวลาคุยกันเขาไม่มองหน้ากันหรือไง” ดวงตาสีฟ้าสุกใสที่มีประกายหวานซ่อนอยู่ เหลือบขึ้นมองใบหน้าคมคายของลอร์ดหนุ่มแห่งออสเซนเทีย วันแรกที่ได้เห็นพักตร์คมคายชวนหลงใหลก็เล่นเอาลมหายใจของลอเรนสะดุด ตอนนี้ได้มาอยู่ในระยะใกล้ขนาดนี้ จะให้ลอเรนวางตัวอย่างไรถึงจะไม่แสดงอะไรขายหน้าออกมา

“อภัยข้าด้วยเถอะลอร์ดนิโคลัส แต่ที่ออสเซนเทียเวลาคุยกันต้องบังคับให้คู่สนทนาแนบชิดกันขนาดนี้หรือไง” คำยอกย้อนเรียกรอยยิ้มของนิโคลขึ้นมาได้ทันที และดูเหมือนว่าอ้อมแขนที่กอดแน่นจะคลายตัวลงบ้าง เมื่อลอเรนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังคล้ายตำหนิ

“หึ เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วลอเรน”

“คงน้อยกว่าท่านไม่กี่ปีหรอก”

“นั่นสินะ แล้วตอนนี้เจ้ามีสนมกี่คน” เป็นเรื่องปกติที่บุรุษสูงศักดิ์จะมีสนมนางในบ้างแต่มันควรถามกันตรง ๆ แบบนี้หรืออย่างไร หรือนี่อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาของชาวออสเซนเทีย แต่สำหรับชาวสวาเนียร์อย่างลอเรนถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการถามเจ้าชายลอเรนแห่งสวาเนียร์ผู้ไม่มีสนมสักคน ไม่ว่าจะเป็นสนมหญิงหรือสนมชาย แม้กระทั่ง....

“ทำไมเงียบล่ะ”

“ท่านไม่ควรถามข้าแบบนี้นะ”

นิโคลเลิกคิ้วขึ้นเหมือนกับไม่เชื่อว่าลอร์ดหนุ่มตรงหน้าจะกล้าตำหนิออกมาตรง ๆ แต่รอยยิ้มขี้เล่นก็ยังประดับใบหน้าเจ้าชายแห่งออสเซนเทียอยู่เหมือนเดิม “หรือว่าเจ้าไม่มี”

“มีแต่ก็คงไม่มากไปกว่าท่านหรอก” ตอบแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นแบบนี้ แก้มขาวนวลราวน้ำนมขึ้นสีแดงเรื่ออย่างนี้ แล้วไหนจะริมฝีปากที่สั่นระริกนี่อีก ที่มันทำให้นิโคลเดาได้ไม่ยากเลย ว่าเจ้าชายหน้าสวยแห่งสวาเนียร์มีสนมมากหรือน้อยกว่าเขา เพราะคำตอบที่นิโคลเดาถูกคือลอเรนไม่มีสนมเลยสักคนเดียว

“ท่านยิ้มทำไม”

“เจ้าเขินข้าอยู่หรือไง”

“ทำไมข้าต้องเขิน”

“นั่นสิ” คำตอบของนิโคลเป็นไปอย่างที่ลอเรนอยากให้เป็นคือคล้อยตามแม้ว่าความจริงจะขัดเขิน แต่การกวาดสายตามองไปทั่ววงหน้าขาวราวน้ำนมที่พวงปรางซับสีแดงจนสุกปลั่ง แล้วมาหยุดลงที่ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดนี่ต่างหาก ที่ทำให้เจ้าของปากไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อนเอ่ยคำประท้วง

ลอเรนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเมื่อใบหน้าคมคายค่อย ๆ โน้มเข้ามาหา จมูกโด่งแตะสัมผัสกันจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นของลมหายใจ และในที่สุดนิโคลก็แตะริมฝีปากเย็นชืดลงที่กลีบปากสีแดงสดของลอเรนอย่าง่ายดาย

เจ้าชายแห่งสวาเนียร์สัมผัสได้ถึงการแตะเม้มที่กดลงเพียงเบา ๆ แล้วถอยออก แต่ก็เพียงเล็กน้อยเพราะเมื่อนิโคลเห็นว่ามือที่ดันหน้าอกแกร่งของเขาอยู่ไม่ได้ผลักไสให้ห่าง ก็ประทับจูบหนัก ๆ ลงอย่างที่ใจต้องการ

ริมฝีปากเย็นชืดที่เผยออกทักทายกลีบปากบาง กลับให้สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ภายใน เมื่อนิโคลเผยออ้าออกเพื่อใช้ริมฝีปากครอบคลอเคลียเสมือนเชิญชวนให้ลอเรนตอบรับสัมผัสที่กำลังเรียกร้อง และคนไม่มีสนมอย่างลอเรนก็เผลอใจจนได้ เมื่อความอุ่นจนเกือบร้อนของริมฝีปากที่ครอบลงกลีบปากตัวเอง มาพร้อมกับลิ้นที่ตวัดเพื่อสอดแทรกผ่านกลีบปากอิ่มเข้าสู่ความหวานละมุนภายใน

ลอเรนเผลอรับสัมผัสนั้นราวกับเต็มใจ ยิ่งเรียวลิ้นที่มาพร้อมความหวานล้ำ และความรู้สึกซาบซ่านอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนจากการถูกสัมผัสเช่นนี้ ยิ่งทำให้เหมือนกับหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง โลกที่ลอเรนไม่เคยได้สัมผัส และก่อนที่ทุกอย่างจะเกินเลยถลำตัวไปมากกว่านี้ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ต้องหยุดมัน

มือที่ทาบอยู่กับอกกว้างออกแรงดันร่างหนากว่าออกห่าง ริมฝีปากจึงเป็นอิสระเพราะอีกคนก็ยอมปล่อยแต่โดยดี

“ท่าน”

“เจ้าชอบจูบของข้าหรือไม่ลอเรน”

“ข้า..เอ่อ”

“นี่เป็นจูบแรกของเจ้า” ลอเรนตาโตไม่คิดว่านิโคลจะรู้ และยิ่งอีกคนบอกออกมาตรง ๆ แบบนี้มันยิ่งยากที่ลอเรนจะกล้าสบตา อยู่มาจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยจูบกับใครขายหน้าชะมัด “เจ้าไม่เคยจูบกับใครมาก่อน ไม่มีแม้กระทั่งสนมทั้งหญิงหรือชาย”

“แล้วมันจะแปลกตรงไหนล่ะในเมื่อข้าไม่ต้องการ”

“แล้วทำไมถึงยอมให้ข้าจูบล่ะ”

“ท่าน..”

“แต่ดีแล้วล่ะ”

“อะไรดี ท่านหมายความว่ายังไง”

“ดีแล้วที่เจ้าไม่มีสนม และดีที่สุดที่ข้าได้เป็นจูบแรกของเจ้า”

“แต่ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมสำหรับข้าเท่าไหร่นะ” นิโคลยิ้มอย่างรู้เท่าทันความคิด

“อภัยด้วย หากรู้มาก่อนว่าข้าจะต้องแลกจูบแรกกับเจ้า สาบานว่าข้าจะไม่จูบกับใครเลย แต่เจ้าต้องเข้าใจข้านะลอเรนว่านั่นมันนานมาแล้ว นานมากจนข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเสียจูบแรกให้ใคร”

“เพราะท่านมันมักมากต่างหากลอร์ดนิโคล แล้วจูบแรกของข้าที่ท่านได้ไปมันก็ไม่มีความหมายอะไร”

“มีสิสำหรับข้ามันมีค่ามาก”

“ท่าน...”

“หืม..?”

“ข้า..” ลอเรนกัดปากตัวเองอีกแล้วเพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกปั่นป่วนในใจอย่างไรดี “ข้าขอตัว” นิโคลยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและไม่ได้รั้งไว้ เมื่อร่างสูงโปร่งผิวขาวราวน้ำนมทำท่าจะลุกขึ้น แต่จนแล้วจนรอดลอเรนก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นเต็มความสูงของตัวเองสักที

“เปลี่ยนใจจะนอนแช่น้ำต่อหรือไง”

“ไม่ แต่..ท่านช่วยหันไปทางอื่นก่อนได้หรือไม่ลอร์ดนิโคล”

“ทำไมล่ะ”

“คือ..”

“เจ้าอายอย่างนั้นหรือ”

“ก็..”

“หึ เอาสิข้าหลับตาก็ได้ถ้าเจ้าอายทั้งที่ตอนเดินลงมาข้าก็เห็นหมดแล้ว”

“ท่าน!! ..” ลอเรนยอมรับว่าอายมากเพราะนิโคลเอาแต่มองด้วยสายตาที่ดูหยอกเย้าอยู่อย่างนั้น จนต้องเอ่ยปากขอออกมาเอง และพอเห็นว่านิโคลหลับตาลงแล้วเจ้าชายแห่งสวาเนียร์ก็รีบลุกขึ้นจากอ่างน้ำไปใส่เสื้อผ้าที่ทั้งที่ตัวยังเปียก นิโคลอยากบอกให้เช็ดตัวให้สะอาดก่อน แต่ก็กลัวว่าลอเรนจะรู้ว่าเขาแอบดูร่างโปร่งระหงจึงได้แต่เงียบ หวังว่าเมื่อถึงห้องพักรับรองอีกคนจะรีบเปลี่ยนชุดใหม่ให้อุ่น ๆ หาไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะไม่สบายเอาได้



**************************



ทางเดินเล็ก ๆ ภายในสวนของปราสาทอันกว้างใหญ่ เป็นทางที่เลือกใช้ในการหลบหลีกจากสายตาของเหล่าอัศวิน และทหารยามที่เดินตรวจ เพื่อพากันออกไปยังนอกวังโดยที่ไม่โดนจับได้เสียก่อน ตอนนี้เด็กหนุ่มซุกซนสองคนกำลังอาศัยความมืดและความชำนาญ ในการหลบออกไปโดยคิดว่าไม่มีใครเห็น เมื่อต้องหลบในพุ่มไม้หนาตอนทหารยามเดินผ่าน ชายเสื้อคลุมของจูเลียนถูกกระตุกเบา ๆ เมื่อเจ้าตัวหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าลีโอกับสีหน้าของคนที่กำลังไม่สบายใจจ้องมองอยู่

“ข้าว่าเรากลับไปที่ปราสาทเถอะฝ่าบาท”

“เจ้าจะกลัวอะไรลีโอ มาถึงขนาดนี้แล้ว”

“ข้ากลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทต่างหาก”

“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ดูสิเราปลอมตัวแล้วนะ ไม่มีใครจำข้าได้หรอกตามมาเร็ว” พอพูดจบจูเลียนก็เร่งฝีเท้าออกจากที่ซ่อนมีร่างเล็ก ๆ ของลีโอวิ่งตามอย่างทุลักทุเล เพราะชุดคลุมที่หนาหนักในการปลอมตัวให้ดูเหมือนชาวเมืองทั่วไป ที่มักจะสวมใส่เสื้อผ้าทับหลายชั้นเพื่อความอบอุ่น

สองสหายเดินลัดเลาะไม่นานก็มาถึงประตูด้านหลังของสวน จูเลียนอาศัยตอนที่ทหารยามเผลอดึงมือลีโอวิ่งไปภายใต้เงามืดจนเล็ดลอดออกไปได้อย่างหวุดหวิด วิ่งมายืนอยู่ท่ามกลางความมืดในตรอกของชุมชนแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง จูเลียนจึงได้โล่งใจ ลีโอนั้นโล่งจนต้องถอนหายใจออกมา

“เฮ้อออ”

“ไปกันเถอะความสนุกรอเราอยู่”



*****************************************

พระนายเจอกันสักที ตอนนี้คงพอรู้แล้วเนอะว่าใครคู่ใครบ้าง แต่!! ยังมีอีกคู่ หรือหลายคู่ เอ๊ะยังไง มี 3P มั้ย..? 555

อยากบอกว่าเหงาๆ ไม่มีคนคุยด้วย หรือนิยายมันน่าเบื่อบอกกันบ้างสิ จะได้เลิกเขียน ฮือออออออ

ดาว ณ แดนดิน (คนเดิม)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 8 ลีโอกับยอดอัศวิน.

“ไปกันเถอะความสนุกรอเราอยู่”

“เดี๋ยวสิฝ่าบาทรอลีโอด้วย”

“เจ้าจะมาเรียกข้าแบบนี้ไม่ได้นะลีโอ เดี๋ยวคนก็รู้กันหมดหรอกว่าเราเป็นใคร” ลีโอหน้าเสียเพราะไม่ให้เรียกอย่างนี้ เด็กน้อยก็ไม่รู้จะเรียกกันว่าอย่างไร แต่ยังไม่ทันได้ปรึกษาว่าความอะไรจูเลียนก็เดินนำออกไปก่อนแล้ว

ในตรอกมืดแห่งนี้เป็นย่านชุมชน ที่บ้านเรือนถูกสร้างเป็นตึกขึ้นมาจากหินปูนเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ที่มีตั้งแต่สองชั้นสูงสุดสามชั้นเรียงสลับลดหลั่นกันไป แต่ตอนนี้มันเงียบสงบเพราะผู้คนต่างออกไปที่ถนนใหญ่ศูนย์กลางของงาน จูเลียนเดินนำลีโอด้วยหัวใจลิงโลดที่ลอยไปถึงงานเฉลิมฉลองที่รออยู่ข้างหน้า จุดหมายปลายทางคือแสงสว่างจากคบไฟและโคมไฟรูปร่างต่างๆ ที่เห็นลิบๆ อยู่หน้าตรอก ซึ่งเป็นถนนใหญ่กลางเมืองอันเป็นที่ชุมนุม

เมื่อลับตาสองสหายที่ลักลอบออกจากวังมาแล้ว ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมปิดตั้งแต่ศีรษะจนถึงข้อเท้าที่ตามมาจึงได้ปรากฏตัวขึ้นเพื่อคอยอารักขาอยู่ห่างๆ

“ท่านพี่รอข้าด้วยสิ เดินเร็วอย่างนี้เดี๋ยวก็หลงกันหรอก”

“หืม เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”

“กะ ก็ท่านพี่ไง ท่านไม่ให้ข้าเรียกฝ่..อุบ” จูเลียนเอามือปิดปากลีโอแทบไม่ทัน หนุ่มน้อยในชุดชาวบ้านดูธรรมดากวาดตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจจึงยอมปล่อยมือที่ปิดปากลีโอออก

“ใช่ๆ ดีแล้วน้องชายตอนนี้เจ้ากับพี่กำลังจะไปเที่ยวสนุกด้วยกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะพี่ชาย” เพราะผู้คนมากหน้าหลายที่เดินเบียดเสียดจนกลัวว่าจะหลงไปคนละทิศ จูเลียนจึงจับมือลีโอแล้วพากันเดินดูงานด้วยความตื่นตาตื่นใจ

ภายในงานส่วนมากก็เหมือนกับช่วงกลางวันที่มีข้าวของต่าง ๆ มากมายวางขาย รวมไปถึงการแสดงหลายอย่างทั้งกายกรรม การแสดงความสามารถด้านต่างๆ ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ไม่น้อย รวมไปถึงการแสดงละคร ซึ่งการแสดงเหล่านี้จะได้รับค่าตอบแทนเป็นเหรียญเงิน หรือเหรียญทองที่ผู้ชมโยนลงในโถใบใหญ่ ที่ตั้งเอาไว้ด้านหน้า ยิ่งสร้างความพอใจให้ผู้ชมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะได้เหรียญเป็นรางวัลเยอะ จูเลียนหยุดดูการแสดงละครที่เขาชื่นชอบอยู่เป็นนาน จนกระทั่งลีโอชี้ให้ดูการแสดงโคมไฟที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจกว่า เพราะจูเลียนไม่เคยเห็นมาก่อน สองสหายจึงผละออกจากหน้าเวทีละครตามแสงจากโคมไฟไป จากนั้นก็เดินดูส่วนต่าง ๆ ภายในงานกันเสียเพลิน

“พี่หยุดทำไม” ลีโอมองหน้าจูเลียนที่จูงมือกันฝ่าฝูงชนเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่ง แล้วมองเข้าไปอย่างสนใจ แต่พอลีโอมองตามและเห็นว่าเป็นร้านอะไรก็ต้องรีบท้วงทันที “อย่าบอกนะว่าพี่สนใจร้านนี้”

“มันน่าสนออกไม่ใช่หรือไง เราเข้าไปกันเถอะ”

“แต่ฝ่า..แต่มันไม่เหมาะกับท่านพี่นะอย่าไปเลย เซอร์เลนนี่เล่าให้ข้าฟังว่ามันมีแต่พวกขี้เมากับโสเภณี”

“นี่แหละร้านของลูกผู้ชาย เจ้าไม่คิดอยากจะลองอะไรใหม่ ๆ ดูบ้างหรือไง ข้าเบื่อรสชาติไวน์ในปราสาทเต็มทีแล้วนะ”

“โธ่ท่านพี่ น้องขอร้องเถอะ”

“มาเถอะน่าสนุกออก” ลีโอถูกดึงเข้าไปในร้านอย่างไม่เต็มใจ และก็เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด เพราะภายในร้านเต็มไปด้วยผู้คนที่ดื่มกินเมามาย และโสเภณีที่กำลังบริการให้ความสำราญแก่ลูกค้า บ้างก็ทำงานกันตรงนั้นเลยอย่างหน้าไม่อาย จูเลียนมองผ่านความวุ่นวายตรงหน้า เพราะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของร้านเหล้าที่ต้องมีเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว จูงมือน้องน้อยเดินเข้าไปในร้านจนได้ที่นั่งมุมเงียบที่ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่าน พอนั่งลงกันแล้วก็ไม่พลาดที่จะสั่งเครื่องดื่มรสแรงกว่าที่เคยมาดื่มกัน

“พี่จะดื่มเบียร์เชียวหรือ”

“ข้าดื่มไม่ได้หรือไงล่ะ”

“ข้าได้ยินมาว่ารสมันแรงกว่าไวน์เสียอีกนะท่านพี่”

“นั่นแหละที่ข้าอยากลอง” รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ขาวนวล ในแบบที่ทำให้ลีโอหนักใจครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งจูเลียนจะดื่มเครื่องดื่มที่รสร้อนแรงกว่าที่เคยดื่มคุ้นลิ้น ลีโอยิ่งกังวล เพราะไวน์ที่ดื่มปกติก็เป็นเพียงน้ำองุ่นที่หมักพอให้ได้รสนุ่มกลมกล่อมและมีกลิ่นหอม ระยะเวลาในการหมักบ่มก็ยังไม่นานพอที่จะทำให้เกิดดีกรีที่ร้อนแรงทำให้มึนเมา เพื่อนำมาเป็นเครื่องดื่มประจำวัน ที่แม้จะดื่มมากแค่ไหนก็แค่มึนๆ ไม่ถึงกับทำให้เมาได้ แต่เครื่องดื่มที่จูเลียนเล็งเอาไว้ตอนนี้มันแตกต่างกันมาก

“ลองชิมดูสิกำลังอุ่นได้ที่จะได้คลายหนาว ข้างนอกนั่นยิ่งดึกยิ่งหนาว” จูเลียนบอกเมื่อเหยือกดินเผาสองใบใหญ่ถูกนำมาวางตรงหน้า ในเหยือกบรรจุเบียร์อุ่นๆ ไว้เต็มจนฟองของมันล้นหกลงบนโต๊ะ

“ข้าไม่..”

“ไม่เอาน่าลีโอ มาด้วยกันก็ต้องลองด้วยกันสิ” ดวงเนตรสีเขียวมรกตฉายแววความสนุกและความสุขในแบบที่ลีโอไม่เคยเห็นมาก่อน มันปนมาด้วยความตื่นเต้นระคนอยากรู้อยากเห็น และอยากลองในสิ่งใหม่แบบที่คนอย่างจูเลียนไม่เคยได้ทำมาก่อน ทำให้เด็กน้อยในสายตาของเหล่าอัศวินจำต้องยกเหยือกเบียร์ชูขึ้นตรงหน้า ตามเจ้านายที่ยกขึ้นมารอท่าแล้ว เมื่อผิวของเหยือกดินเผาทั้งสองกระทบกันทำให้เกิดเสียงดังจนกลัวว่าเหยือกมันจะแตกแต่ก็ไม่ เพราะมันถูกยกขึ้นมาจ่อที่ปาก และแล้วสหายทั้งสองก็กรอกเครื่องดื่มรสหนักที่ไม่เคยลองลงคอพร้อมกัน

“แหวะยี้..” ลีโอนิ่วหน้าจนบิดเบี้ยวเหยเกหลังจากกลืนเบียร์ลงไปอึกใหญ่ ส่วนใบหน้าของจูเลียนเองก็ไม่ต่างกันมากนักเพียงแต่ว่ากษัตริย์หนุ่มน้อยไม่แหวะออกมาเหมือนที่ลีโอทำ

“อ่าส์..แรงเฝื่อนบาดคอกว่าไวน์ทีเดียว กลิ่นใช้ได้แต่รสชาติ...” จูเลียนดูดปากตัวเองค้างเอาไว้อย่างนั้นขณะที่กำลังคิดหาคำจำกัดความให้รสชาติใหม่ที่เพิ่งได้ลิ้มลอง

“รสชาติไม่ไหวเลย”

“รสชาติต้องลองให้คุ้นลิ้นต่างหากล่ะ”

“ข้าว่าพอเถอะท่านพี่ไม่เห็นจะอร่อยเลย”

“ไม่อร่อยนะสิ ลิ้นของเจ้ายังไม่คุ้นกับมันนี่นา ต้องดื่มอีก ดื่มสิเร็ว”

“แค่นี้ข้าก็จะเมาแล้ว”

“นั่นแหละยิ่งต้องดื่มให้คุ้นเคยลิ้น”

“ไม่เอาข้าไม่ดื่ม”

“ดื่มเถอะน่า” จูเลียนเซ้าซี้ให้ลีโอดื่มเป็นเพื่อนกัน ขณะที่ตัวเองก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่ราวกับคนกระหายน้ำ ยิ่งดื่มลิ้นก็ยิ่งเริ่มคุ้นชินเลยรับเอารสชาติใหม่ที่แสนกลมกล่อมเข้าอย่างพอใจ จูเลียนชอบจึงมีเหยือกที่สองตามมา

“ข้าว่าเราไปดูอย่างอื่นต่อบ้างเถอะ”

“ก็ได้ แต่เจ้าต้องดื่มนี่ให้หมดก่อน” แม้จะลำบากใจแต่ลีโออยากออกไปจากที่นี่มากกว่า เมื่อจูเลียนเสนอให้ดื่มจึงไม่รอช้ายกเบียร์ขึ้นกรอกปากจนหมดทั้งเหยือก เบียร์บางส่วนล้นปากเล็กไหลเปื้อนลงมาตามคางเป็นทางจนเปียกชุดที่สวมใส่

“ไปกันเถอะ” ทั้งสองลุกจากที่นั่งแต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปถึงไหนข้อมือของจูเลียนก็ถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน

“ดื่มแล้วก็ควรจะหาความสุขให้ร่างกายด้วยนะหนุ่มน้อย”

“ปล่อยมือเดี๋ยวนี้” ลีโอหันมาบอกเสียงดุเพื่อปกป้องเจ้านาย

“ข้าควบสองก็ได้นะถ้าพวกเจ้าต้องการ สิบข้ายังเคยมาแล้วแต่ต้องจ่ายเพิ่ม”

“ข้าบอกให้ปล่อยมือไงเจ้าอย่า...”

“ไม่หรอกข้าไม่ต้องการถ้าเจ้าอยากได้ค่าตอบแทนก็เอานี่ไป” จูเลียนดึงถุงเงินที่เหน็บไว้อย่างดีออกมา แล้วหยิบเหรียญที่อยู่ข้างในส่งให้หญิงโสเภณีที่ดูท่าทางช่ำชองงาน และผ่านประสบการณ์มาไม่น้อย สีหน้าและแววตาของนางบ่งบอกถึงความชาชิน อายุคงยังไม่มากเท่าไหร่แต่เพราะร่างกายที่ใช้งานมาอย่างหนักเลยทำให้นางดูทรุดโทรมไม่น้อย

ดวงตาที่ขอบตาดำคล้ำเบิกกว้างเพราะอยู่ดีๆ หมูชิ้นงามก็ลอยเข้าปาก หญิงโสเภณียิ้มพอใจคลึงเหรียญเงินในมือที่ได้มาโดยไม่ต้องออกแรงเล่น ใจนางอยากให้บริการสองหนุ่มน้อย เพราะคงได้รับค่าตอบแทนมากกว่านี้เป็นแน่

“พวกเจ้าสองคนเป็นคู่รักกันหรือไงหนุ่มน้อย เจ้าเด็กนั่นดูท่าจะหวงเจ้ามากนะ”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” จูเลียนบอกพลางสะบัดข้อมือออกแล้วลากลีโอไปจากตรงนั้น แต่หูก็ยังได้ยินเสียงตะโกนตามหลังมา

“ถ้าเปลี่ยนใจก็กลับมาหาข้านะ จะคิดราคาพิเศษให้” นางบอกพร้อมกับชูเหรียญในมือที่จูเลียนให้นางขึ้น ดวงตาเฉยชามองตามจนหนุ่มน้อยทั้งสองลากกันออกจากร้านลับตาไป

จูเลียนดึงลีโอออกมาจากร้านอย่างทุลักทุเล ทั้งที่ยังไม่ทันได้เก็บถุงเงินให้เรียบร้อยด้วยซ้ำ ทำให้มีเหรียญบางส่วนหล่นจากปากถุงที่เปิดอ้าออกแต่ก็ไม่ได้สนใจมัน คล้องสายถุงไว้ที่ข้อมือแล้วประคองลีโอที่ดูเหมือนว่ากำลังถูกเบียร์สองเหยือกเล่นงานเข้าให้แล้ว จูเลียนเองก็มึนไม่น้อยจนไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคน ที่คอยมองตั้งแต่อยู่ในร้านเดินตามออกมาด้วย มันตามเหรียญเงินบางเหรียญที่หล่นอยู่บนพื้นมานั่นเอง

ปึก!!

“โอ๊ย! “

“เดินให้มันดีๆ หน่อยสิไอ้เด็กขี้เมา” หนึ่งในสองชายแปลกหน้าที่เดินมาด้วยกันแสร้งต่อว่า เมื่อทำเป็นเดินนำขึ้นไปก่อนแล้วทำให้เหมือนกับตัวเองถูกเดินมาชน

“ขออภัย”

“เจ้าต่างหากที่เดินมาชนข้า” ขณะที่ลีโอคิดว่าตัวเองเดินชนคนอื่นจริงๆ จูเลียนกลับต่อว่ากลับไปเพราะเห็นว่าชายแปลกหน้าตั้งใจเดินเข้ามาชนจังๆ เอง

“แล้วไง” ชายแปลกหน้าหันไปมองเพื่อนที่เดินมาด้วยกันแล้วหันกลับมาหาจูเลียน ขาก้าวเข้าหาเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างประสงค์ร้าย สายตาเหลือบมองถุงเงินที่ยังเปิดอ้าอวดเหรียญทองให้ต้องแสงไฟเข้าพอดี ความโลภผุดขึ้นมาทางสายตาที่เบิกกว้างอย่างไม่ปิดบัง

“หึหึหึ ท่าทางแกสองคนไม่ธรรมดาเลยนี่หว่า” จูเลียนรั้งลีโอเดินถอยหลังเมื่อชายแปลกหน้าย่างสามขุมเข้ามาหา ปากของมันพูดแต่ตากลับมองถุงเงินของจูเลียนไม่กะพริบ ท่าทางคุกคามทำให้หนุ่มน้อยถอยโดยไม่ได้ดูเลย ว่าตัวเองกำลังพากันถอยเข้ามาในตรอกมืดที่ร้างผู้คน

“เจ้าต้องการอะไร”

“ต้องการนี่ไง” มันกระชากถุงเงินที่อยู่ในมือของจูเลียน แต่เพราะสายถุงคล้องอยู่กับข้อมือจึงทำให้แขนจูเลียนถูกกระชากติดไปด้วย

“โอ๊ย เจ็บปล่อยนะ” แขนที่ถูกกระชากอย่างแรงจนหน้าหงายนั้น ทำให้ผ้าคลุมที่คลุมเอาไว้บนศีรษะหลุดออก เปิดเผยใบหน้านวลผ่องและพวงปรางแดงระเรื่อยเพราะความหนาวเย็นให้เห็น และนั่นก็นำภัยมาให้เจ้าตัวทันที ชายแปลกหน้าจ้องมองใบหน้าขาวเนียนด้วยแววตาที่ไม่น่าไว้ใจ

“ปล่อยพี่ข้านะ เจ้าอยากตายหรือไง”

“หึตัวแค่นี้กล้ามาขู่ข้าหรือไอ้เด็กน้อยถอยไป”

เพียะ!!

“โอ๊ย!”

“ลีโอ!” ลีโอเข้ามาแกะมือสกปรกของชายแปลกหน้าออกจากข้อมือของจูเลียน จึงถูกตบเข้าไปหนึ่งทีจนหน้าหัน พอชายแปลกหน้าหันกลับมาทางจูเลียนก็ต้องพูดออกมาอย่างแปลกใจ

“เฮ้ย นี่เจ้าผู้ชายจริงเหรอวะ”

“ใช่สิ ปล่อยข้านะ”

“ปล่อยก็โง่สิวะ พอดีเลยข้ากำลังหาที่ระบายอยู่เจอเจ้าแล้วจะได้ไม่ต้องจ้างอีตัวหิวเงินพวกนั้น” บอกแล้วก็กระชากแขนจูเลียนให้ตามไป มันไม่ลืมหันไปบอกชายอีกคนที่มาด้วยกัน “เจ้าไปเอาไอ้ตัวเล็กนั่นมาด้วย”

“ได้ มานี่เลยแก”

“ไม่ไปปล่อยข้านะ”

“ตามข้ามาดีๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”

“ปล่อยพี่ข้าเดี๋ยวนี้”

“โว้ยไอ้เด็กนี่..” ชายแปลกหน้ามองใบหน้าลีโอที่ดิ้นออกจากคนที่จับเอาไว้นิ่งแล้วแสยะยิ้มออกมา “หน้าตาก็ใช้ได้นี่หว่างั้นให้ข้าเสร็จกับมัน เจ้าก็เอากับเพื่อนข้าไปก่อนก็แล้วกัน ถ้ายังไม่อิ่มข้าจะเอาเจ้าต่อ ผู้ชายก็ผู้ชายเถอะว่ะน่าเอาแบบนี้ข้าจะทำเป็นมองข้ามไอ้นั่นของเจ้าก็แล้วกัน”

“เลวมาก ปล่อยพี่ข้าเดี๋ยวนี้ไอ้คนสกปรก”

“อะไรวะพูดไม่รู้เรื่องแกอยากโดนเอาก่อนหรือไง เจ้ามาดึงมันออกไปสิ ส่วนแกมานี่” มันหันไปบอกเพื่อนแล้วกลับมากระชากจูเลียนให้ตามไป แต่หนุ่มน้อยยังขืนตัวเอาไว้ไม่ยอมแต่โดยดี ส่วนลีโอก็ดิ้นหนีจะไปช่วยจูเลียนให้ได้

“ปล่อยข้า”

“ปล่อยสิ นี่”

“โอ๊ย หน็อยไอ้เด็กนี่” ลีโอสะบัดตัวออกจากชายอีกคนที่จับเอาไว้ แล้วกระโดดเข้ามากัดเข้าที่มือของชายแปลกหน้าที่จับข้อมือจูเลียน เมื่อคมเขี้ยวงับเข้ากับผิวเนื้อจนได้เลือดจึงถูกสะบัดออกอย่างแรง มันตบเข้าที่แก้มซีกเดิมของลีโอแล้วถีบจนร่างเล็กปลิวถลาออกไปไกล

อึก!

“ลีโอ! เจ้าทำเขา“ จูเลียนร้องตามลีโอที่ถูกถีบจนล้มกลิ้ง แล้วหันกลับมาตวาดใส่ชายแปลกหน้าที่แสยะยิ้มมองผลงานของตัวเองอย่างพอใจ

“ก็มันกัดข้า”

“ข้าว่าเรารีบไปกันเถอะ” ชายแปลกหน้าอีกคนบอกก่อนที่จะมีใครผ่านมาเห็น

“ปล่อย”

“ปล่อยได้ไงไปหาความสุขกันดีกว่า ส่วนเจ้านั่นทิ้งเอาไว้อย่างนี้แหละ คืนนี้เจ้าสนุกกับพวกข้าสองคนก็แล้วกัน ไป”

“ปล่อยข้านะ ลีโอ”

“จะร้องให้มีคนมาเพิ่มหรือไง ไม่ต้องห่วงหรอกไปถึงที่พักข้ามีพี่น้องข้ารอเอาเจ้าอีกหลายคน”

“ปล่อยข้านะ”

“หึหึ ปล่อยทำไมเรากำลังจะไปมีความสุขด้วยกัน โอ๊ย! ฤทธิ์เยอะนักนะ”

อุก!!

จูเลียนฟาดกำปั้นเข้าที่ใบหน้าของชายที่บังคับลากให้ไปด้วยกัน จนมันร้องเสียงหลง จึงโดนหมัดของมันสวนเข้าท้องสุดแรงจุกจนพูดไม่ออก ร่างเพรียวทรุดลงกับพื้นดินเย็นๆ ทันที

“คราวนี้จะยอมไปดีๆ ได้หรือยัง”

“ไม่ข้าไม่ไป ปล่อยข้าอยากได้ถุงนี่ก็เอาไป” จูเลียนปาถุงเงินใส่หน้ามันจนเหรียญที่อยู่ข้างในหล่นกระจาย

“ตอนนี้ข้าอยากได้เจ้าเป็นของแถมด้วย”

“ไม่มีทาง” ขณะที่พูดมือก็คลำได้หินก้อนเหมาะมือพอดี และจูเลียนไม่รอช้าที่จะใช้มันป้องกันตัว เมื่อชายแปลกหน้าก้มลงมาหมายจะรวบร่างของจูเลียนขึ้น หินในมือจึงฟาดที่ใบหน้าของมันเข้าเต็มๆ โหนกแก้มที่เปื้อนไปด้วยคราบเหงื่อไคลปริแตกเลือดสีแดงฉานไหลอาบลงมาทันที

“แก กล้าทำร้ายข้าเหรอ ดีถ้าไม่อยากเสพสุขด้วยกันก็ตายซะเถอะ” ขณะที่พูดอย่างเดือดดาลมันก็ถอดมีดที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา สีหน้าบ่งบอกถึงความโกรธแค้นและเกรี้ยวกราด เพราะไม่คิดว่าคนที่ดูเหมือนไม่มีทางสู้จะทำร้ายตัวเองได้ขนาดนี้ ชายแปลกหน้ามองตาจูเลียนอย่างอาฆาต เด็กหนุ่มในคราบชาวบ้านจากการปลอมตัวถอยห่าง ร่างเพรียวบางสั่นสะท้านด้วยความกลัว เพราะหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ แต่คนอย่างจูลีเดียส เฟรเดอริก ออสติน สมควรแล้วหรือที่ต้องพบจุดจบแบบนี้ ยังไงหากต้องตายก็จะไม่ยอมให้มันย่ำยีได้เด็ดขาด

จูเลียนมองหาทางหนีทีไล่ทั้งที่ท้องก็ยังจุกไม่หาย ยุวกษัตริย์ในคราบหนุ่มชาวบ้านมือข้างหนึ่งกุมท้อง ส่วนมืออีกข้างรองรับน้ำหนักตัวเมื่อกระถดรา่งถอยห่างคมมีด มันดูไม่ค่อยจะน่ามองสักเท่าไหร่ แต่นั่นยิ่งทำให้คนหมายเอาชีวิตที่มีแต่ความโกรธแค้นได้ใจ ยิ่งเห็นความหวาดกลัวที่แสดงออกมายิ่งฮึกเหิม มันแสยะยิ้มเหี้ยมให้แล้วเงื้อมีดที่ถืออยู่ขึ้นสุดแขน หวังจ้วงแทงให้ตายตกในครั้งเดียว ดวงตาของมันเบิกโพลงขึ้นเมื่อรวบรวมแรงทั้งหมดที่มี จูเลียนเห็นอย่างนั้นได้แต่ยกมือขึ้นมาปิดหัวตัวเองเอาไว้เหมือนคนสิ้นคิด

“ตายซะเถอะไอ้เด็กเวร”

“ไม่! “

ฟิ้ววว

ฉึก!!

“อ๊ากกก” แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรมือสกปรกของมันก็ถูกหยุดด้วยลูกธนู ที่แทงทะลุข้อมืออย่างน่าหวาดเสียว ชายแปลกหน้าท่าทางเหมือนหนูสกปรกสองคนได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก และมองหาที่มาของลูกธนูปริศนา แต่ความสงสัยก็เกิดได้เพียงไม่นาน เพราะเจ้าของลูกธนูก็ไม่ได้คิดจะปิดบังตัวเอง

“ใครเข้ามาแส่วะ” ชายแปลกหน้าคนที่สองพูดขึ้น พลางกวาดตามองไปรอบๆ

“ถ้ายังอยากมีลมหายใจอยู่ต่อก็ไปซะ” เสียงเย็นเยือกไม่แพ้อากาศที่หนาวเย็นตอนนี้ ดังออกมาจากมุมมืดข้างตึก ก่อนที่เจ้าของเสียงในชุดคลุมสีดำมืดจะปรากฏตัว จูเลียนเอามือออกจากการบังตัวเองเงยหน้ามองผู้มาช่วย ใบหน้าที่อยู่ในความสลัวยังพอให้มองเห็นเค้าโครงของความจริงจังน่าเกรงขาม หนวดเคราที่ขึ้นจนรกครึ้มส่งให้ใบหน้าของเขายิ่งดูคมเข้มและดุดันขึ้นไปอีก

ชายแปลกหน้าสองคนมองตากัน แล้วหันไปหาชายหนุ่มจากมุมมืด มือก็ถอดดาบออกมาอย่างไม่กลัวเกรง “มาคนเดียวอย่ามาทำเก่ง”

“คนเดียวก็ฆ่าพวกเจ้าสองคนได้ด้วยมือเปล่า” คันธนูในมือถูกโยนทิ้งอย่างไม่เสียดายเมื่อเขาเดินเข้ามาเรื่อยๆ สายตาคมดุแข็งกร้าวจ้องอยู่ที่ใบหน้าสกปรกของชายแปลกหน้าคนที่สอง ที่พูดท้าทายอย่างอวดดี มันเตรียมตัวเข้าจู่โจมอย่างลำพองเพราะเห็นว่าชายหนุ่มเดินเข้ามาหาด้วยมือเปล่าไร้อาวุธ

การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อชายแปลกหน้าคนที่สองเงื้อดาบเข้าจู่โจม แต่แทนที่ชายหนุ่มที่ต่อสู่ด้วยมือเปล่าจะเสียเปรียบ กลับดูเหมือนว่านั่นทำให้เขาได้เปรียบกว่า ทั้งการหลบหลีกและโต้กลับด้วยท่าทางคล่องตัว คนต่อสู้ไม่เป็นเห็นยังรู้เลยว่าฝีมือคู่ต่อสู้ทั้งสองต่างชั้นกัน ไม่นานคนที่ลำพองว่าตัวมีอาวุธต้องเหนือกว่าก็เสียท่าถูกซัดจนน่วมไปทั้งตัว

อุก!!

“อย่า!! โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย” ชายหนุ่มกำลังจะเข้ามาซ้ำ คนเสียทีที่ลำพองใจในตอนแรกรีบเปลี่ยนเป็นร้องขอชีวิตแทน เมื่อประจักษ์แล้วว่าตัวเองเพลี่ยงพล้ำ เขาหยุดอยู่แค่นั้นแล้วจ้องมองชายแปลกหน้าทั้งสองที่กำลังช่วยกันประคองกันหนีตาย

เวลายิ่งดึกก็ยิ่งหนาวเหน็บ เกล็ดหิมะโปรยลงมาบางๆ เป็นระยะเพื่อยืนยันว่าบรรยากาศรอบตัวเป็นบรรยากาศที่ไม่ควรอยู่นอกชายคา

“เจ้าเป็นยังไงบ้าง ลุกขึ้นก่อนสิ” ไออุ่นลอยออกมาจากปากเมื่อเขาเอ่ยขึ้นอย่างอาทร จนคนอยู่ใกล้ในระยะประชิดสัมผัสได้

“ข้าไม่เป็นไร” แต่พอเงยหน้าขึ้นได้เห็นว่าชายที่เข้ามาช่วยเหลือ กำลังมองจ้องที่ใบหน้าตัวเองเขม็ง จูเลียนก็รีบถอยห่าง เอาผ้าคลุมขึ้นมาคลุมหัวไว้ให้เงามืดปิดบังใบหน้า แต่นั่นมันไม่ทันเสียแล้ว เพราะเขาได้เห็นพักตร์ขาวนวลที่ซีดเผือด และเนตรสีเขียวมรกตที่สั่นไหวเพราะความกลัวอย่างไม่ปิดบัง

ต่อข้างล่างเลยจ้า...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นคนคนนี้ในสภาพแบบนี้ ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีดำมืดราวค่ำคืนร้างดวงดาวและแสงจันทร์ยิ้มเยาะในใจ เขายืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง แต่นั่นมันกลับทำให้จูเลียนร้องโวยวายออกมา เพราะเขาคว้าร่างเพรียวของหนุ่มน้อยติดมือขึ้นมาด้วย

“อะไรกันนี่ปล่อยข้านะ”

“คำที่เจ้าควรจะพูดคือขอบคุณไม่ใช่มาตะคอกให้ข้าปล่อย”

“อย่ามาแตะต้องตัวข้า”

“ก็ได้”

ตุบ!

“โอ๊ย” พอบอกไม่ให้แตะต้องชายหนุ่มจึงยอมปล่อยแต่โดยดี ทำให้คนที่ยังยืนได้ไม่มั่นคงเสียหลักล้มลงไปนั่งที่พื้นเหมือนเดิม จูเลียนตวัดสายตามองใบหน้าคมเข้ม ที่รกครึ้มด้วยหนวดเคราของชายร่างสูงที่มาช่วยเหลืออย่างไม่พอใจ คิดว่าจะเอ่ยขอบคุณในคราแรกแต่จากการกระทำนี้คงไม่จำเป็นแล้ว เพราะมันทำให้เจ้าของนัยน์ตาสวยทั้งเจ็บก้นที่กระแทกพื้น และท้องที่ถูกต่อยก็ยังจุกไม่หาย

ชายลึกลับหรี่ตามองร่างที่นั่งจุกบนพื้น อยู่ดีๆ เขาก็นึกอยากจะยิ้มออกมากับนัยน์ตาสวยหวานที่ดุเอาเรื่อง เมื่อเช้าตอนอยู่ลานประลองก็ครั้งหนึ่งแล้วที่เขาได้เห็นนัยน์ตาดุไม่พอใจแบบนี้ ไม่คิดว่ายังไม่ทันข้ามวันจะได้เห็นมันอีก นัยน์ตาที่ไม่คิดว่าตัวเองก็จดจำมันได้ขึ้นใจ “หึ เจ้าหนีออกมาเที่ยวหรือไง”

“..” จูเลียนตาโตเพราะสิ่งที่ได้ยินนั้นมันหมายถึงชายลึกลับคนนี้..รู้ว่าเขาคือใคร

“กลับไปอยู่ในที่ที่เจ้าควรอยู่ซะ หรือว่าอยากเจอเหมือนไอ้หนูสกปรกสองตัวเมื่อกี้อีก เจ้าชอบหรือไงถึงได้ไม่ร้องขอความช่วยเหลือเลย แต่บอกไว้ก่อนนะว่าข้าไม่ได้ว่างมาตามช่วยคนตลอดหรอก” พอได้พูดก็พูดเสียยาวยืด คนคนนี้เป็นใครมาจากไหน ทั้งที่พูดเหมือนรู้ว่าจูเลียนเป็นใครแต่ทำไมยังกล้าพูดให้กันอย่างนี้อีก จูเลียนกัดฟันแน่นนึกหงุดหงิด เพราะวันนี้เจอคนที่ทำให้รู้สึกขัดใจสองคนแล้วนับตั้งแต่ไอ้คนที่มันชนะการประลองเมื่อเช้านั่นไง

“ข้าไม่ได้ชอบแต่ก็จริงที่ข้าก็ไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลืออย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ เจ้าเสนอหน้าเข้ามาช่วยข้าเองนะ” เพราะเกียรติอันสูงส่ง มันคงจะดูน่าขบขันมากหากจูเลียนจะร้องขอความช่วยเหลืออย่างงน่าสมเพชเช่นนั้น

“ดีเหมือนกัน ครั้งหน้าข้าจะได้นั่งดูเฉยๆ ดูคนไม่มีทางสู้ถูกรังแกมันก็สนุกดีเหมือนกัน“ จูเลียนมองใบหน้าคนเข้มที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเคราผ่านละอองหิมะที่ตกลงมาอย่างไม่พอใจ นัยน์ตาคมดุสีดำมืดคู่นั้นเหมือนมีอำนาจบางอย่าง ที่ทำให้ยิ่งมองยิ่งรู้สึกถึงความน่าเกรงขาม หนุ่มน้อยเม้มปากแน่นตาขวางอย่างไม่รู้ตัว เพราะเป็นกิริยาที่มักจะแสดงออกมาเฉพาะตอนโกรธที่สุด ตอนนี้จูเลียนไม่สนแล้วว่าจะต้องปิดบังใบหน้าของตัวเองหรือไม่ เพราะชายลึกลับคนนี้คงรู้แล้วว่าเขาเป็นใครถึงได้พูดแบบนี้

ร่างใหญ่โตในชุดคลุมสีดำที่กำลังยืนทอดสายตามองร่างเพรียวบางบนพื้น ท่ามกลางละอองหิมะสีขาวที่โปรยปรายรอบตัวราวกำลังอยู่ในห้วงฝัน คงจะเป็นภาพที่งดงามน่าประทับใจ หากทั้งสองเป็นคู่รักที่กำลังส่งยิ้มแสนหวานให้แก่กัน เพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาความสุขที่ได้ใช้ร่วมกัน แต่คงไม่ใช่ภาพของจูเลียนและชายชุดดำในตอนนี้ ที่กำลังต่อปากต่อคำอย่างไม่มีใครยอม และเพราะเหนื่อยที่จะต่อปากต่อคำไร้สาระ รอบกายที่หนาวอยู่แล้วก็ยิ่งหนาวเหน็บมากขึ้นอีกหลายเท่า เพราะละอองหิมะยามดึกเริ่มโปรยปรายลงมาหนาเม็ด จูเลียนพยายามดันตัวลุกขึ้น และพลันความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในหัวจนร่างเพรียวชะงักไป

“ลีโอ! “เนตรเขียวมรกตตวัดมองกลับไปยังทางเดิมที่ถูกลากมา ทางนั้นมันมีแต่ความมืด และลีโอที่ถูกทำร้ายจนสลบถูกทิ้งไว้ตรงนั้น จูเลียนต้องรีบกลับไปดู

“เดี๋ยวยังไปไหนไม่ได้”

“ปล่อยข้าจะไปหาลีโอ” จูเลียนพยายามบิดข้อมือของตัวเองออกจากมือใหญ่ที่จับเอาไว้แน่น แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นผลเพราะยิ่งบิดยิ่งต่อต้านมันก็ยิ่งแน่น เหมือนยิ่งทำให้เจ็บตัวเสียเองเปล่าๆ

“จะไม่ขอบคุณหน่อยหรือไงที่ข้าช่วยเจ้าไว้”

“เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าข้าไม่ได้ร้องขอ เมื่อไม่ได้ร้องขอก็ไม่ต้องขอบคุณหรอก”

“หึ คิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ หรือไงมานี่เลย” เจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมดำบอกอย่างนึกสนุก พลางฉุดร่างเพรียวให้เดินไปด้วยกัน

“ไม่ไป ปล่อยข้านะ” ชายหนุ่มดึงแขนจูเลียนให้เดินตามไปอีกทาง พลางดึงผ้าคลุมขึ้นมาคลุมหัวตัวเองเอาไว้ด้วย เพราะละอองหิมะที่ตกลงมาเริ่มหนาแน่นขึ้นแล้ว ข้อมือเล็กที่ถูกจับแน่นถูกกระชากอย่างแรงจนร่างเพรียวแทบเซถลา สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากความสากกร้าน เมื่อมือใหญ่เลือนจากข้อมือมากุมอุ้งมือเย็นๆ ของจูเลียนเอาไว้แน่น แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้เดินไปถึงไหนก็ถูกอะไรบางอย่างขวางไว้เสียก่อน

ฟิ้ววววว

ฉับ!!! ลูกธนูดอกยาวปักลงที่พื้นตรงหน้าของชายลึกลับได้อย่างพอดิบพอดี บ่งบอกว่าเจ้าของลูกดอกเป็นมือยิงที่แม่นทีเดียว

“หยุดอยู่ตรงนั้นแล้วปล่อยมือซะ”

“เซอร์เฮนริช ปล่อยข้าสิ” จูเลียนใจชื้นขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าเจ้าของลูกธนูที่มาขวางทางไว้คืออัศวินของตัวเอง หนุ่มน้อยหันไปบอกคนที่กระชับฝ่ามือกันอยู่ให้ปล่อยออกด้วยเสียงดุ ชายหนุ่มจำได้ว่าเจ้าของลูกธนูคือหนึ่งในสี่ของอัศวินประจำตัวจูเลียนก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี

จูเลียนวิ่งกลับไปหาเฮนริชก็ถูกอัศวินหนุ่มดันให้ไปอยู่ข้างหลัง พลางถอดดาบคู่ใจออกมาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ แต่เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นก็หยุดความคิดของเขาเอาไว้เสียก่อน

“เขาช่วยข้าจากผู้ร้าย”

“แล้วที่ข้าเห็นเขากำลังฉุดลากฝ่าบาทไปล่ะ” เฮนริชได้ยินอย่างนั้นก็หันกลับมาถามจูเลียนอย่างข้องใจ เพราะเขาเห็นกับตาตัวเองว่าคนในชุดคลุมดำมืดกำลังฉุดกระชากร่างเพรียวให้ตามกันไป

“ข้าไม่รู้ว่าเขาจะพาไปไหนแต่ช่างเถอะเขามาช่วยไว้ ลีโอ! เซอร์เฮนริชลีโอถูกทำร้าย”

“ข้าเจอลีโอแล้วเราไปกันเถอะ”

“แต่..อ้าวหายไปไหนแล้วล่ะ” จูเลียนหันไปทางชายลึกลับแต่ที่ที่ชายหนุ่มยืนอยู่ในตอนแรกกลับว่างเปล่าไร้เงาเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ควรจะยืนอยู่ตรงนั้น

“เขาคงไปแล้ว เรากลับเถอะฝ่าบาท” เฮนริชพาจูเลียนเดินย้อนกลับไปตามเดินมืดๆ ที่เขาซ่อนร่างไร้สติของลีโอเอาไว้ และพาทั้งสองกลับเข้าปราสาท หลังจากนี้คือการสอบสวนและลงโทษผู้ทำความผิดที่ลักลอบออกจากปราสาทมา ซึ่งเขาเองก็ต้องถูกลงโทษเช่นกัน เพราะทั้งที่ตามมาอยู่ตลอดแท้ๆ ยังพลัดหลงกันได้ ถ้าเขาไม่เสียเวลาเพราะถูกหญิงชราขอความช่วยเหลือจนกลายเป็นกับดักพาไปหาโสเภณีแม่ลูกที่รั้งเอาไว้หวังเงินค่าตัว ก็คงไม่คลาดกันจนจูเลียนถูกปองร้าย และลีโอถูกทำร้ายจนไม่ได้สติเช่นนี้



@@@@@@@@@@@@@@@@@@



“อืม โอย” เมื่อร่างบอบบางบนเตียงเริ่มขยับตัว สิ่งที่บ่งบอกว่าเจ้าของร่างยังบอบช้ำและเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายก็คืออาการนิ่วหน้า และเสียงครางแหบแห้งที่ดังออกมาจากลำคอเหมือนกำลังทรมาน

“ลีโอ” เสียงเรียกช่างให้ความรู้สึกอบอุ่น ลีโออยากลืมตาขึ้นเพื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงที่คุ้นเคยนี้ กำลังมองกลับมาด้วยสายตาเอื้ออาทรและห่วงใยมากแค่ไหน แต่เหมือนกับว่าหนังตาไม่เป็นใจเพราะมันหนักเหลือเกิน คนที่เฝ้ามองอยู่จึงเห็นเพียงแค่ลูกตาของลีโอที่กลอกไปมาอยู่ภายใต้เปลือกตาปิดสนิท แต่คนป่วยกลับไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นคืนสติ หรือลืมตาขึ้นมานอกจากครางละเมอเสียงผะแผ่ว

“พี่..”

“ลีโอ ตื่นได้แล้วเจ้าละเมอหาใครเนี่ย” เสียงนี้แตกต่างออกไป แต่แม้จะแตกต่างก็ยังให้ความรู้สึกอบอุ่นมากทีเดียว แต่ลีโออยากได้ยินเสียงแรกมากกว่า

“เจ้าจะไปเร่งอะไรกับคนป่วยเลนนี่”

“ลีโอนอนนานแล้วต้องปลุกสิวะราเชล หรือเจ้าไม่อยากรู้เรื่อง..”

“พอเถอะพวกเจ้าสองคนจะไปไหนก็ไปเลยไป”

“ไล่ข้าแล้วเจ้าล่ะเฮนริช เฝ้าไข้เหรอ ไปเถอะราเชล เฮนริชคงอยากให้เด็กน้อยลีโอเห็นหน้ามันคนเดียวเป็นคนแรกหลังจากตื่นจากนิทรายาวนาน”

“เจ้านี่เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะเลนนี่” เฮนริชหน้านิ่งเมื่อหันไปต่อว่าเลนนี่ที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ตอบกลับมา

“หึหึ” เลนนี่ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มร้ายแล้วกอดคอราเชลเดินออกจากห้องนอนที่อบอุ่นของลีโอที่ยังนอนละเมอไม่ได้สติไป

“พี่..ช่วย”

“..”

“ช่วยด้วย พี่”

“ลีโอ”

“ไม่ ไม่ ช่วยด้วย ได้โปรด”

“ลีโอ ตื่นสักที” เฮนริชทิ้งตัวลงบนเตียงข้างร่างบอบบางของลีโอ ที่เอาแต่เพ้อเรียกพี่ที่อัศวินหนุ่มไม่รู้ว่าเป็นใคร ริมฝีปากบางแห้งแตกขยับขมุบขมิบร้องขอความช่วยเหลือ อัศวินหนุ่มเฝ้ามองด้วยความสงสาร มือใหญ่ลูบเรือนผมนิ่มสีน้ำตาลเพื่อปลอบอย่างแผ่วเบา ส่วนมืออีกข้างเกลี่ยลงบนพวงแก้มซีกที่ไม่มีรอยช้ำเพื่อเรียกคืนสติ

“ไม่นะ ฝ่าบาท ฝ่าบาท”

เฮือก!!

“เซอร์เฮนริช ช่วยข้าด้วย ช่วยฝ่าบาทด้วย ลีโอผิดไปแล้วช่วยด้วยได้โปรด“ เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นใบหน้าคุ้นเคยอยู่ใกล้แค่คืบ ลีโอก็โผเข้ากอดร่างใหญ่เอาไว้แน่น ปากพร่ำร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร ดูเหมือนเด็กน้อยจะยังก้ำกึ่งอยู่กับความกลัว และความฝันที่ยังเป็นฝันน่ากลัว ทำให้อ้อมกอดของอัศวินหนุ่มที่รั้งร่างบอบบางเข้าแนบอกแน่นขึ้น พลางลูบหลังปลอบโยน ขณะที่มือใหญ่อีกข้างกดศีรษะเล็กซบเข้าหาไออุ่นของตัวเอง

“เจ้าไม่เป็นไรแล้วลีโอ” ถึงจะได้ยินแบบนั้นนอกจากลีโอจะไม่คลายสะอื้นแล้ว เฮนริชกลับได้ยินเสียงสะอื้นแรงขึ้นกว่าเดิม อัศวินหนุ่มไม่รู้จะทำยังไง จึงได้แต่ปล่อยให้ลีโอร้องไห้อยู่อย่างนั้น ด้วยหวังว่าเมื่อลีโอร้องจนพอใจแล้วคงเงียบไปเอง เพราะเอาจริงๆ นอกจากฝึกปรือซ้อมฝีมือการต่อสู้ ซ้อมอาวุธ เฮนริชก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน

เฮนเริชนั่งเงียบปล่อยให้เด็กน้อยใช้อกกว้างเป็นที่พึ่งพิงหลังฝันร้าย ครู่ใหญ่ร่างบอบบางที่ซบอยู่กลางอกอุ่นจึงเริ่มสงบลง ทำให้อัศวินหนุ่มค่อยเบาใจขึ้นมาได้บ้าง ว่าสติของลีโอคงกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว แต่ชั่วครู่เดียวร่างแน่งน้อยกลับกระตุกและชะงักไปเหมือนคนเพิ่งคิดถึงอะไรบางอย่างออก ลีโอผละออกจากอกกว้างมองเฮนริชด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“เซอร์เฮนริช ฝ่าบาท ฝ่าบาทจูเลียนกำลังตกอยู่ในอันตราย ท่านต้องรีบไปช่วยฝ่าบาทเดี๋ยวนี้” ลีโอใช้แรงเพียงน้อยนิดที่มีเขย่าร่างกำยำที่สามารถทำให้ร่างของอัศวินหนุ่มสั่นคลอนได้เพียงเล็กน้อย ละล่ำละลักบอกอย่างไม่คลายขวัญเสีย “เร็วสิเซอร์เฮนริช ท่านมัวนิ่งเฉยอยู่ทำไม”

“ลีโอเงียบก่อน”

“ฝ่าบาทกำลังตกอยู่ในอันตรายเซอร์เฮนริช ไปช่วยฝ่าบาทก่อนแล้วค่อยกลับมาลงโทษลีโอ ได้โปรดไปช่วย ฮือ”

“ลีโอ ฝ่าบาทปลอดภัยแล้ว” เฮนริชบอกเสียงขรึมในแบบของเขา แต่ดูเหมือนว่าลีโอที่ห่วงจูเลียนมากจะไม่รับฟังอะไรแล้ว

“ไม่รอไม่ได้ มันทำร้ายข้าแล้วเอาตัวฝ่าบาทไปท่านต้องรีบไปช่วย เรียกเซอร์เลนนี่ เรียกราเชล เดรทิช เรียกทหาร ได้โปรดรีบไปช่วยจูเลียน”

“เงียบก่อนลีโอ” มือใหญ่ประคองใบหน้านวลที่น้ำตาอาบสองข้างแก้มอย่างน่าสงสาร ริมฝีปากอุ่นของอัศวินหนุ่มประทับลงกลางหน้าผากเด็กน้อย ที่ยังละล่ำละลักออกมาอย่างหวาดกลัว จุ๊บ

“ท่าน! “ ลีโอนิ่งไม่ใช่เพราะตั้งสติรับรู้ได้แล้วว่าเจ้าเหนือหัวปลอดภัย แต่เป็นเพราะริมฝีปากอุ่นที่แตะอย่างอ่อนโยนบนหน้าผากไล่ลงไปตามแก้มทั้งสองข้างเหมือนกำลังปลอบประโลม จนสุดท้ายทิ้งความอบอุ่นเอาไว้ที่ริมฝีปากนุ่ม แม้จะชั่วเสี้ยวของเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นการสัมผัสเพียงแผ่วเบาที่ผิวเนื้ออ่อนนิ่ม แต่ความอบอุ่นนั้นมันเหมือนกับว่าได้ช่วยเยียวยา ให้หัวใจดวงน้อยที่ร้อนรุ่มเพราะความเป็นห่วงสงบลงได้ทันที

“ฟังข้านะเด็กน้อย”

“..”

“ฝ่าบาทปลอดภัยแล้ว ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้วลีโอ”

“ท่าน”

“ข้าตามเจ้าสองคนตั้งแต่ลักลอบออกจากปราสาทไปทางสวนด้านหลังแล้ว”

“เซอร์เฮนริช ท่าน..”

“หืม..?”

“ท่านจูบข้า ท่านจูบลีโอ!” เจ้าของร่างใหญ่กำยำชะงัก เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็เมื่อตอนที่ได้ยินเสียงเล็กๆ ของลีโอประท้วงขึ้นมา สิ่งที่เพิ่งทำลงไปเขาไม่เข้าใจว่าตัวเองเผลอทำไปได้อย่างไร อัศวินหนุ่มไม่ทันได้ฉุกคิดเสียด้วยซ้ำ เพราะแค่เห็นว่าลีโอขวัญเสียและหวาดกลัวมากแค่ไหน คนที่ปลอบโยนใครไม่เป็นอย่างเฮนริช คิดแค่ว่าต้องทำอะไรสักอย่างให้เด็กน้อยสงบลงบ้างแค่นั้น ก็อย่างที่รู้กันอยู่ว่าเขานั้นพูดน้อยแต่ทำจริง แต่ไม่รู้ทำไมต้องเอาริมฝีปากอุ่นๆ ไปปลอบให้ลีโอคลายขวัญเสียด้วย ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ทำลงไปอย่างนั้น เขาไม่รู้ตัว ไม่รู้จริงๆ

อัศวินหนุ่มหลบตาลีโอที่กำลังเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง ปรับสีหน้าโดยเอาความเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์มาใส่ไว้เหมือนเดิม แล้วจึงอธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจให้ลีโอเสียใหม่

“แบบนั้นเขายังไม่เรียกจูบหรอกลีโอ เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิดข้าแค่อยากจะปลอบเจ้า”

“ก็ท่านเอาปากของท่านมากดลงที่หน้าผากข้า สองแก้มด้วย แล้วก็ตรงปากตรงนี้” นิ้วเรียวเล็กชี้ลงที่ริมฝีปากสีแดงสดฉ่ำวาวของตัวเอง ลีโอคงกลัวเฮนริชไม่เข้าใจเลยทำปากยื่นออกมาประกอบด้วย ทำให้อัศวินหนุ่มเผลอมองตาม

“ข้าแค่ปลอบเจ้า..”

“ท่านจูบ”

“มันไม่ใช่จูบ” เฮนริชมองไปทางประตูที่เลนนี่กับราเชลเพิ่งจะเดินออกไปไม่นาน เมื่อเห็นว่าประตูยังปิดดีอยู่เหมือนเดิมก็หันกลับมาอธิบายทำความเข้าใจกับลีโอใหม่ “ข้าแค่..ไม่รู้จะพูดปลอบยังไงเจ้าถึงจะหยุดร้องไห้ เห็นไหมพอข้ากดปากลงที่หน้าผากกับแก้มของเจ้า เจ้าก็เริ่มหยุดร้องไห้แล้ว”

“แล้วทำไมท่านยังกดมันลงที่ปากของข้าอีกล่ะ”

“ก็เจ้ายังสะอื้นอยู่ ข้าเลย...”

“ท่านเลยจูบปากข้า” ดวงตาใสแจ๋วจ้องมองใบหน้าคมที่ประดับด้วยหนวดเคราเป็นเงาเขียวครึ้ม ตามช่วงสันกรามของเฮนริชอย่างต้องการคำตอบ อัศวินหนุ่มต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ เริ่มเหนื่อยกับการอธิบาย ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวกำลังคิด

“เด็กโง่ จูบเขาไม่ทำแค่นี้หรอก”

“แล้วต้องทำแค่ไหนล่ะถึงเรียกว่าจูบ ท่านทำให้ข้าดูหน่อยได้ไหม” เป็นอีกครั้งที่เฮนริชต้องแอบปล่อยลมหายใจออกมาเบาๆ จะว่าลีโอแกล้งถามก็คงไม่ใช่ เพราะดวงตาคู่นั้นมันดูไร้เดียงสาและช่างอย่างรู้อยากเห็นเหลือเกิน ซ้อมการต่อสู้ซ้อมดาบซ้อมอาวุธว่าเหนื่อยแล้ว การตอบคำถามของลีโอทำให้เขาเหนื่อยยิ่งกว่า

“ไว้เจ้าโตกว่านี้ค่อยไปทำกับคนรักของเจ้าเถอะ ข้าไปล่ะ”

“อ้าวเดี๋ยวสิเซอร์เฮนริช แล้ว..”

“อะไรอีก”

“ถ้าข้า...” ลีโอกัดปากตัวเองไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาดีหรือไม่ เซอร์เฮนริชจะให้ลีโอไปทำกับคนรักได้อย่างไรในเมื่อคนที่ลีโอรัก... “ฝ่าบาทอยู่ไหนตอนนี้ ท่านจะลงโทษข้าหรือไม่ที่หนีออกไปเที่ยว”

เฮนริชส่ายหัวให้กับคนที่นั่งก้มหน้าสำนึกผิด ลืมเรื่องจูบไปแล้วสินะ  เขาจะลงโทษลีโอได้อย่างไรในเมื่อรู้อยู่เต็มอก ว่าเด็กน้อยถูกเจ้านายบังคับให้ออกไปด้วย

“ไม่หรอกเจ้าพักผ่อนเถอะ”

เฮนริชออกไปแล้วทิ้งเอาไว้เพียงความรู้สึกอุ่นบริเวณที่ถูกริมฝีปากหยักสัมผัส และเจ้าของร่างบอบบางที่นั่งอยู่บนเตียงท่ามกลางหมอนใบใหญ่ และผ้าห่มผืนหนานุ่มที่ถูกมือเล็กบิดจนยับย่นไปหมด

“ข้ารู้มันคงไม่มีวันนั้นหรอก" ให้ไปทำกับคนรักขอข้าอย่างนั้นเหรอ



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

แหมเด็กน้อย ท่านเซอร์เขาไม่ได้จูบจริงๆ นะ เขาแค่ปลอบบบบบบ

พระนายเจอกันนิดเดียวอย่าเพิ่งเบื่อล่ะ ตอนมันอยู่ด้วยกันจริงๆ จะเอาให้อยู่จนเบื่อเลยเถอะ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 9



หลังจากเหตุร้ายผ่านไปแล้ว จูเลียนก็เหมือนกับว่าถูกจับตามองยิ่งขึ้นกว่าเดิม และไม่ใช่ใครที่ไหนที่สามารถสั่งกษัตริย์หนุ่มน้อยได้นอกจากนิโคล ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งสูงกว่า แต่ความเคารพที่มีต่อพี่ชายต่างแม่ ทำให้จูเลียนจำต้องเชื่อฟัง และดูเหมือนตอนนี้ยุวกษัตริย์จะถูกลงโทษกลายๆ ด้วยการกักบริเวณ และแน่นอนว่าคนอย่างจูเลียนมีหรือจะทนยอมได้นาน

“นิโคล พี่จะห้ามไม่ให้ข้าออกจากปราสาทเลยก็ไม่ได้นะ ข้าต้องออกว่าราชการ ไหนจะประชุมสภา มีตัวแทนจากฝ่ายสร้างปราสาทเอวาเลียนมารายงานความคืบหน้าด้วย ข้าต้องให้เขาเข้าเฝ้านะ” เกิดเสียงโอดครวญขึ้นเพราะทนไม่ได้ในวันที่สามหลังจากเกิดเรื่อง ที่นิโคลให้คนคอยเฝ้าจูเลียนแบบไม่ให้คลาดสายตา

ได้ยินเสียงโอดครวญของจูเลียน ลอร์ดหนุ่มพี่ชายต่างมารดาได้แต่เม้มปากมองน้องชายด้วยสายตานิ่งดุระคนคาดโทษ จูเลียนจึงหันไปหาขนิษฐาแฝดไหว้วานให้ช่วยพูด

“เทียน่า ดูนิโคลทำกับข้าสิเจ้าต้องช่วยข้านะ ยังไงเจ้าก็ต้องการผู้ชมตอนเจ้าซ้อมดาบไม่ใช่หรือไง ไม่มีใครจะทนนั่งดูเจ้าซ้อมได้นานเท่าข้าหรอก”

“เจ้าออกไปทำเรื่องสนุกไม่ชวนข้าสักคำ เรื่องอะไรข้าต้องช่วย”

“โธ่เทียน่าเดี๋ยววันหลังเจ้าค่อยไปก็ได้”

“ยังคิดว่าจะมีวันหลังอีกหรือไง” เสียงดุที่ดังแทรกขึ้นทำให้จูเลียนนึกได้ว่าพลั้งปากออกมา พอมองไปทางต้นเสียงเจอเข้ากับใบหน้าถมึงทึงของนิโคล ร่างเพรียวของจูเลียนยิ่งดูเหมือนว่าจะหดเล็กลงกว่าเดิมอีกหลายเท่า

“ก็ ไม่หรอกต่อไปข้าจะระวังตัวกว่านี้” เพราะจูเลียนแอบออกไปกับลีโอเพียงสองคนโดยไม่มีทหารติดตาม ไม่มีแม้กระทั่งอัศวินประจำตัวคอยอารักขาสักคน ทำให้นิโคลโกรธมาก หากเฮนริชที่ไม่บังเอิญได้ยินทั้งสองคุยกันและแอบตามไป จูเลียนอาจจะถูกลงโทษหนักกว่านี้ และยังดีที่มีไม่กี่คนรู้เรื่อง

“แต่อย่างน้อยพี่ก็น่าจะอนุญาตให้ข้าออกไปเดินเล่นในส่วนใหญ่บ้างนะ”

“ได้สิ แต่ก่อนออกไปวันนี้เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องไปคุยกับทางสวาเนียร์ก่อน ทางนั้นจะเดินทางกลับพรุ่งนี้เจ้าพร้อมหรือยัง”

“เรื่องอะไรที่ว่าสำคัญ”

“อยากรู้ก็ตามมาสิ อ้อ..แล้วเจ้าล่ะทางมอนทาร์น่าเป็นไงบ้าง” นิโคลหันไปถามทาร์เทียน่าเพราะนางดูแลอยู่

“เรียบร้อยดี ทางนั้นจะเดินทางกลับพรุ่งนี้เหมือน ค่ำนี้อย่าลืมงานเลี้ยงนะ” ทาร์เทียน่ามองพี่ชายและคู่แฝดเป็นการบอกว่างานเลี้ยงส่งแขกค่ำนี้สำคัญมาก และทั้งสองคนไม่ควรพลาด นิโคลพยักหน้ารับเพราะรู้อยู่แล้ว ส่วนจูเลียนทำหน้าเบื่อหน่ายพรูลมหายใจออกมาอย่างไม่ระวังกิริยา เพราะเรื่องถูกกักบริเวณทำให้อะไรๆ ก็ไม่น่าอภิรมย์อีกแล้ว

จูเลียนเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ กษัตริย์หนุ่มน้อยหันกลับมามองพักตร์นวลผ่องของขนิษฐาแฝดตรงๆ แล้วเอ่ยถาม “เจ้าอยากไปเที่ยวต่างเมืองบ้างไหมล่ะเทียน่า”

“ทำไมข้าต้องอยากไป”

จูเลียนเลิกคิ้วขึ้นเหมือนกำลังใช้ความคิด “ไม่รู้สิท่องเที่ยวชายทะเลของมอนทาร์น่าคงสนุกทีเดียวนะ”

“ทำไมต้องชายทะเลของมอนทาร์น่า” ใบหน้าสวยหวานบ่งบอกถึงความไม่เข้าใจและสงสัยในสิ่งที่แฝดพี่ต้องการจะบอก

“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะอยากไปสวาเนียร์นี่เพราะที่นั่น..”

“ที่นั่นทำไม”

“หึ” จูเลียนทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก็เดินตามนิโคลไป แต่หูก็ยังได้ยินเสียงของทาร์เทียน่าดังตามหลังมา

“ที่นั่นทำไมจูเลียน บอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะ เจ้าหมายความว่ายังไง”

“ที่นั่นไม่มีกษัตริย์หนุ่มรูปงามไง”

...

...

“อรุณสวัสดิ์ลอร์ดลอเรน ท่านสนุกกับงานประจำปีของเราหรือไม่”

“เป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลยฝ่าบาท”

“แล้วเจ้าล่ะอนาสตาเซีย”

“หม่อมฉันชอบงานประจำปีฝ่าบาท”

“ขอบใจนะที่มา อ้อ ท่านรัฐมนตรีเช้านี้ท่านดูสดใสนะ”

“ฝ่าบาท”

“สวัสดีท่านเฮมาน” ห้องที่เรียกว่าห้องประชุมเล็กนั้น มีขนาดกว้างขวางอยู่มากทีเดียว เมื่อจูเลียนเดินเข้ามากล่าวทักทายผู้ที่รอการประชุมอยู่แล้ว ทุกคนตั้งแต่แขกสำคัญจากสวาเนียร์ทั้งสอง รัฐมนตรีโจเซฟและเฮมาน ที่ปรึกษาตัวแทนจากสภาแห่งออสเซนเทีย

“ดูเหมือนว่าวันนี้ลอร์ดนิโคลมีเรื่องจะคุยกับพวกเราทุกคนนะ” ที่ปรึกษาอาวุโสอย่างเฮมานเปิดประเด็น ทุกคนจึงหันไปมองนิโคลและรอฟัง

“หวังว่าคงเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ข้ารอฟังอยู่นะฝ่าบาท” โจเซฟยิ้มเหมือนยินดีในสิ่งที่เขากำลังรอฟัง ทั้งที่ความจริงไม่เลยสักนิด

“แน่นอนท่านโจเซฟ ว่ายังไงล่ะลอร์ดนิโคลเข้าเรื่องที่ต้องการพูดเลยสิ” พอจูเลียนหันไปทางนิโคลทุกคนก็หันตามและรอฟังอย่างตั้งใจ แต่ความรู้สึกกลับแตกต่าง

“ฝ่าบาท ลอร์ดลอเรน ท่านหญิงอนาสตาเซีย ตามที่เราได้คุยกันมาก่อนหน้านี้เรื่องการเชื่อมสัมพันธไมตรี ทุกฝ่ายเห็นด้วยหากความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสองจะแนบแน่นขึ้น เมื่อฝ่าบาทกับท่านหญิงได้อภิเษกกัน”

“ใช่ เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธ์ของสองประเทศให้แนบแน่นขึ้น ทางสภาเห็นด้วยอย่างยิ่ง” เฮมานตัวแทนสภากล่าวเสริม

ลอเรนยิ้มรับเพราะเป็นเรื่องที่มีการพูดคุยกันมาก่อนแล้ว การพบปะกันวันนี้ก็เพื่อตกลงอย่างเป็นทางการ “แน่นอนว่าทางสวาเนียร์เห็นด้วยอย่างยิ่งเพราะถือเป็นเกียรติของเรา และอนาสตาเซียก็ยินดีมากเช่นกัน”

“เอาล่ะ ถ้าทุกท่านพอใจในการเจริญสัมพันธไมตรีนี้ ข้าก็ขอพูดบ้าง” ทุกคนหันมามองจูเลียนที่พูดขึ้นยิ้มๆ ยุวกษัตริย์หนุ่มน้อยกวาดตามองสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมทีละคนช้าๆ แล้วจึงพูดต่อ “อภัยด้วยท่านหญิง ไม่ใช่ว่าข้ารังเกียจหรือท่านมีสิ่งใดไม่ต้องใจข้า ตรงกันข้ามท่านช่างงดงามเหลือเกิน แต่เรื่องการหมั้นหมายระหว่างเราคงเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะผู้ที่จะแต่งงานกับท่านหญิงคือลอร์ดนิโคลต่างหาก!”

“ฝ่าบาท!!” จูเลียนยกมือขึ้นห้ามพี่ชายแล้วรีบพูดต่อก่อนที่จะมีใครได้ขัด

“เพราะข้าทบทวนและตัดสินใจแล้ว ว่าลอร์ดนิโคลเหมาะสมกับเจ้าหญิงที่สวยงามน่ารักอย่างท่านมากกว่าข้า ลอร์ดนิโคลเป็นพี่ชาย และยังเป็นผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดในการดูแลบริหารออสเซนเทีย นี่ข้าเปิดเผยอย่างจริงใจเลยนะลอร์ดลอเรน การแต่งงานระหว่างลอร์ดนิโคลกับท่านหญิงอานาสตาเซีย จะช่วยให้การกระชับสัมพันธ์ระหว่างออสเซนเทียกับสวาเนียร์ราบรื่นยิ่งกว่าแต่งกับข้า”

“แต่จูเลียน..”

“ช่างเป็นแนวคิดที่ชาญฉลาดและข้าเห็นด้วยกับฝ่าบาทอย่างยิ่ง” ยังไม่ทันที่นิโคลจะได้ท้วงติงหรือคัดค้าน โจเซฟก็ขัดขึ้นมาก่อน ด้วยว่าตัวรัฐมนตรีเองก็ไม่เห็นด้วยนักที่จูเลียนจะแต่งกับอานาสตาเซีย เพราะอสรพิษเฒ่ายังหวังตำแหน่งราชินีของอาณาจักรไว้ให้ลูกสาวตัวเอง

สองพี่น้องจากต่างเมืองได้แต่เงียบนิ่งอยู่ในความตกใจ อันมีสาเหตุเดียวกันจากสิ่งที่จูเลียนประกาศ แต่กลับต่างกันในความรู้สึก อนาสตาเซียแม้จะไม่ได้ปรารถนาในตัวกษัตริย์หนุ่มน้อย แต่นางก็ยังรู้สึกเหมือนกำลังถูกหยามเกียรติ ด้วยว่าจูเลียนปฏิเสธออกมาตรงๆ แล้วยังโยนนางไปให้พี่ชายหน้าตาเฉยราวกับสิ่งของไร้ค่า ส่วนลอเรนรัชทายาทแห่งสวาเนียร์กลับตกอยู่ในความรู้สึกเสียดเสียวเจ็บแปลบที่กลางอก ความรู้สึกดีๆ ที่ฟูฟ่องล่องลอยอยู่ในหัวใจหลังกลับมาจากการแช่น้ำแร่อุ่นๆ เหมือนถูกกระชากออกไปอย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัว

“อภัยด้วยหากข้าทำให้ท่านหญิงไม่พอใจ แต่ข้าตัดสินใจแล้วและท่านตกลงใช่ไหมลอร์ดนิโคล”

“หม่อมฉันยินดีฝ่าบาท..” นิโคลเพียงน้อมรับคำตามที่จูเลียนตัดสินใจ จูเลียนยิ้มน้อยๆ มองหน้าพี่ชายอย่างพอใจ ทั้งที่คิดหาสารพัดคำพูดเพื่อเอาไว้กล่อมให้นิโคลยอมทำตาม ไม่คิดว่าพี่ชายจะยอมตกลงง่ายดายอย่างนี้ แต่ในขณะที่จูเลียนยินดีจนแทบจะลุกขึ้นโห่ร้องไปทั่วห้องประชุม กลับมีใครอีกคนที่กำลังปั้นหน้าไม่ถูกกับความผิดหวังที่ก่อเกิด ตั้งแต่อะไรยังไม่ทันได้เริ่มต้นแต่เพราะภาระหน้าที่ ผลประโยชน์ของบ้านเมืองจึงต้องมาก่อน

ด้วยว่าออสเซนเทียนั้นแม้จะเป็นอาณาจักรใหญ่แต่ก็ไม่มีพื้นที่ติดกับทะเล การติดต่อค้าขายทางทะเลจึงต้องผ่านออกไปทางมมอนทาร์น่าเป็นส่วนใหญ่ มีภูมิประเทศที่ดีที่สุดจึงเอื้ออำนวยให้เป็นประเทศที่ค่อนข้างมั่งคั่ง และอุดมไปด้วยอาหาร มีภูเขา ที่ราบสูง ที่ราบลุ่ม เหมืองเหล็ก เหมืองทอง มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน จึงเหมาะสำหรับทำการเกษตรและปศุสัตว์ ทำให้ได้เปรียบประเทศเพื่อนบ้านอย่างสวาเนียร์และมอนทาร์น่า ที่ถึงแม้จะมีพื้นที่ติดทะเลทั้งสองประเทศ แต่ก็ขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นหลายอย่าง

“หม่อมฉันเห็นด้วยกับฝ่าบาทอย่างยิ่ง อนาสตาเซียเองอายุยังน้อยหากได้ผู้ใหญ่อย่างลอร์ดนิโคลคอยดูแลสั่งสอนนาง ก็คงจะดีไม่น้อยเลย” ลอเรนแอบซ่อนแววตาหวั่นไหวอย่างมิดชิด ดวงเนตรสีฟ้าทอประกายแววหวานจดจ้องแน่วแน่อยู่ที่พักตร์นวลปลั่งอมชมพูของจูเลียน โดยไม่ไขว้เขวมองคนที่นั่งอยู่ข้างยุวกษัตริย์เลยแม้หางตา

“ขอบคุณลอร์ดลอเรนที่เข้าใจ ถ้าตกลงตามนี้ข้าคิดว่าท่านรัฐมนตรีคงช่วยดูแลเรื่องระหว่างเรากับสวาเนียร์ ในการจัดงานให้เร็วที่สุดนะ” จูเลียนหันไปพูดกับโจเซฟ

“แน่นอนฝ่าบาทข้าคิดว่าลอร์ดนิโคลคงพร้อมที่จะเดินทางตามท่านหญิงไปที่สวาเนียร์เร็วๆ นี้” โจเซฟหันไปมองหน้านิโคลคล้ายกับบอกกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องขอทูลลา” รัฐมนตรีกับที่ปรึกษาสภาออกไปแล้ว จึงเหลือเพียงพี่น้องจากสองเมืองที่ยังนั่งมองตากันเงียบ แต่เพราะยากจะทนความอึดอัดในการอยู่ตรงนี้ต่อไปได้ไหว ลอเรนจึงต้องเอ่ยลา

“ข้ากับอนาสตาเซียเองก็คงต้องขอตัวก่อนฝ่าบาท”

“เชิญท่านหญิงกับลอร์ดลอเรนพักผ่อนกับตามสบายเลยนะ พรุ่งนี้ก็เดินทางกลับแล้วนี่แต่อย่าลืมงานเลี้ยงคืนนี้ล่ะ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

....

....

“พี่จะไม่พูดอะไรหน่อยหรือไง” จูเลียนถามขึ้นเมื่อสองพี่น้องจากสวาเนียร์ออกไปแล้ว

นิโคลยักไหล่ใบหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่รู้สึกรู้สมอะไรกับการถูกจับแต่งงาน “แล้วข้าจะพูดอะไรได้ล่ะ”

“ท่านไม่ชอบนางหรือไง”

“นางก็..น่ารักดี”

“แค่นี้หรอกหรือนิโคล นางเป็นว่าที่คู่หมั้นของพี่นะ”

“แล้วข้าเลือกได้ไหมล่ะ หรือต้องมาเถียงกันต่อหน้าแขกบ้านแขกเมืองเป็นเด็กๆ เจ้าตัดสินใจอะไรไม่ปรึกษาข้าเลยนะ “จูเลียนอมยิ้มแอบสะใจอยู่ลึกๆ ที่ได้เอาคืนพี่ชาย

“พี่ไม่ได้ชอบใครอยู่ก่อนหรอกใช่ไหมล่ะ พี่ไม่เหมือนข้าที่มีคนรักอยู่แล้วใช่ไหม” นิโคลเพียงแค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ มีหรือไม่มีสำหรับเขาตอนนี้มันจะสำคัญอะไร ในเมื่อหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อบ้านเมืองต้องมาก่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างที่ถูกสอนมาตั้งแต่เล็กจนโต

“ต่อไปเราคงทำการค้ากับนานาประเทศฝั่งโพ้นทะเลได้ง่ายขึ้น นี่เป็นเพราะความดีความชอบของพี่ทั้งนั้นเลยนะ”

“ก็คงดี แต่ข้าไปล่ะ”

“อ้าวนิโคลพี่จะไปไหน อยู่คุยกันก่อนสิ ข้าอยากคุยเรื่องปราสาทเอวาเลียนนะ”

“วันนี้เจ้าอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ข้าจะปล่อยเจ้าสักวันก็แล้วกัน” จูเลียนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้จนนิโคลชะงัก “มีอะไร”

“ข้าดูอะไรผิดไปหรือเปล่านิโคล แต่ดูตาพี่แล้วเหมือนคนกำลังจะทำเรื่องอะไรสนุกๆ เลยนะ”

“ข้าไม่มีความคิดอะไรแบบเด็กๆ เหมือนเจ้าหรอกนะจูเลียน ที่จะคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุกทุกเรื่อง”

“แต่ข้าว่ายกเว้นเรื่องที่พี่กำลังจะทำอยู่ตอนนี้แน่ๆ ละ” ดูก็รู้ว่านิโคลกำลังพยายามกลั้นยิ้มและกลบเกลื่อนด้วยการตีสีหน้าขรึมเข้าไว้ คนที่คิดว่าตัวเองรู้ทันพี่ชายจะได้ไขว้เขว และไม่มัวแต่มาคาดเดาว่าเขากำลังคิดทำอะไร

“ไม่มีอะไรหรอกน่าข้าไปล่ะ”

“รีบไปไหนของเขานะ” จูเลียนบ่นตามหลังพี่ชายแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก และในที่สุดกษัตริย์หนุ่มน้อยก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุมไปเป็นคนสุดท้าย

งานเลี้ยงอาหารค่ำอันหรูหราที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรส และเครื่องดื่มอย่างไวน์ชั้นดีที่หาดื่มไม่ได้ง่ายๆ ทั่วไป จัดขึ้นภายในปราสาทกลางอันกว้างใหญ่ที่สร้างขึ้นมาสำหรับเอาไว้จัดงานพิเศษต่างๆ โดยเฉพาะ ห้องจัดงานเลี้ยงคืนนี้เป็นห้องโถงใหญ่ที่กว้างขวาง ตรงกลางห้องนั้นเป็นโต๊ะยาวสุดตามความยาวของห้องมีเก้าอี้ตั้งเรียงไว้ในระยะพอดี ที่มีเครื่องใช้จัดวางเอาไว้อย่างสวยงามเป็นระเบียบ จานเซรามิกเนื้อดีเดินลายทองหรูหราจัดไว้ตรงกับตำแหน่งของเก้าอี้แต่ละตัว วางบนจานนั้นเป็นผ้าลินินเนื้อนิ่มขลิบขอบทองพับแต่งเป็นรูปทรงมงกุฎ รอการหยิบออกไปใช้งาน ชุดเครื่องใช้เนื้อเงาวาวประดับด้ามทองลวดลายเข้ากันทั้งมีด ช้อน และส้อมขนาดต่างๆ แก้วทรงสูงก้านทองยาวของมันทำออกมาเป็นลายเดียวกัน จนดูวิจิตรบรรจงเข้ากับชุดเชิงเทียนทองที่ตั้งเอาไว้เป็นระยะ แต่งความหรูหราด้วยแท่งเทียนไขสีขาว ตัวเทียนสลักลายกุหลาบอย่างสวยงามและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เสริมความอลังการสมเกียรติด้วยโคมไฟคริสตัลระย้าด้านบนอีกหลายชุด อันเป็นจุดให้แสงสว่างนวลตาภายในห้อง ทำให้บรรยากาศคืนนี้ดีราวกับกำลังอยู่ในห้วงฝัน

ท่ามกลางสายลมต้นฤดูหนาวภายในบริเวณพระราชวัง ห้องจัดเลี้ยงได้รับความอบอุ่นที่ส่งออกมาจากเตาผิงหลายจุดรอบห้อง เมื่อถึงเวลาแขกรับเชิญทยอยเข้าสู่งานจนที่นั่งเต็ม อาหารเลิศรสก็ถูกนำออกมาพร้อมไวน์ชั้นเลิศรสชาตินุ่ม ที่ถูกรินลงสู่แก้วให้น้ำสีม่วงเข้มอมแดงต้องแสงสะท้อนล่อลิ้นมาดื่มชิม

เมื่อดื่มกินกันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็มาถึงช่วงเวลาแห่งความสนุกของงานเต้นรำ จูเลียนเฝ้ามองคู่เต้นรำในชุดแต่งกายหรูหรา ที่เต้นคลอเคลียอยู่กลางงานด้วยสายตาเบื่อหน่าย ด้วยว่าใครๆ ก็ยิ้มหัวเราะกันอย่างมีความสุขทั้งนั้น ที่ฟลอร์เต้นรำกลางงานเลี้ยง นิโคลกำลังเต้นรำกับอานาสตาเซียว่าที่คู่หมั้นที่ดูจะเป็นจุดสนใจที่สุดของงาน เพราะข่าวที่ถูกประกาศออกไป ส่วนทาร์เทียน่าตั้งแต่เปิดงานก็ดูเหมือนว่านางจะเปลี่ยนคู่เต้นมาแล้วหลายคน เหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และตอนนี้ก็กำลังเต้นรำอยู่กับกษัตริย์อเล็กซิสจากมอนทาร์น่า ที่ดูจะคุยกันอย่างถูกคอเสียเหลือเกิน ระหว่างเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์กับกษัตริย์หนุ่มโสดนับว่าเป็นคู่ที่หลายคนจับตามองอยู่เหมือนกัน

ดวงเนตรสีเขียวมองรอยยิ้มของขนิษฐาแฝดอย่างดูแคลน แล้วกวาดตามองไปรอบๆ งานผ่านคู่เต้นรำอีกหลายคู่และหนึ่งในนั้นก็สะดุดตาจูเลียนเข้าเต็มๆ

หญิงสาวคนนั้นนางชื่อลีอานน่า เป็นลูกสาวของรัฐมนตรีโจเซฟ นางสวยน่ารักในชุดคลุมยาวกรุยกรายสีแดงกลีบกุหลาบเปิดไหล่ ตามแบบสมัยนิยม ลำคอระหงประดับด้วยสร้อยอัญมณีเม็ดเล็กๆ เรียงสวยต่อกันมาถึงจี้ตรงกลางระหว่างเนินเนื้ออวบอัด ซึ่งเป็นอัญมณีเม็ดใหญ่เม็ดเดียวดูโดดเด่น หน้าอกล้นจนแทบทะลักแต่ช่วงเอวคอดเล็กด้วยโครงรัดอย่างดีนั่นส่งให้เนินอกอวบเด่นขึ้น รูปร่างของนางดูอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอมจนชายหนุ่มหลายคนในงานมองเคลิ้ม หลังจากกรอสเซ่ยอดรักเต้นรำกับจูเลียนแค่เพลงเดียวก็พากันมานั่งพัก แต่นั่งคุยกันได้ไม่นานกวีหนุ่มก็แสดงความเป็นสุภาพบุรุษ ด้วยการบอกว่าลีอานน่าช่างน่าสงสารนัก เพราะไม่มีหนุ่มคนไหนมาขอนางออกไปเต้นรำเลย ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าอายสำหรับหญิงสาวในสังคมชั้นสูงของออสเซนเทีย ที่อยู่ในงานเต้นรำรื่นเริงแท้ๆ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ กรอสเซ่เลยขออาสากู้หน้าให้นางด้วยการเชิญออกไปเต้นรำด้วยกัน จนจูเลียนได้แต่นั่งมองอย่างไม่ชอบใจพอๆ กับโจเซฟพ่อของนาง ที่อุตส่าห์กันชายหนุ่มหลายคนที่ทำท่าจะเข้ามาขอนางเต้นรำไว้ เพื่อจะหาทางส่งเสริมชี้ชวนให้จูเลียนชวนนางออกไปเต้นด้วยกัน แต่โอกาสยังไม่ทันได้มาถึง กวีหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายยุวกษัตริย์ก็เสนอหน้าขึ้นมาก่อน โดยมองข้ามสายตาไม่พอใจของโจเซฟไปอย่างไม่ไยดี

แม้กรอสเซ่จะบอกว่าช่วยลีอานน่ากู้หน้า แต่จูเลียนก็ไม่พอใจที่คนรักของตัวเองไปเต้นรำกับหญิงอื่นหน้าระรื่นแบบนั้น กษัตริย์หนุ่มน้อยฝืนเฝ้ามองด้วยเนตรขวางขุ่น การพูดคุยสนทนากับเหล่าขุนนางและแขกที่นั่งอยู่ด้วยกันเริ่มน่าเบื่อ แต่ถึงแม้ว่าจะไม่โปรดจูเลียนก็ไม่อาจละสายตาจากฟลอร์เต้นรำได้ พออะไรๆ ก็ดูเหมือนจะขัดตาขัดใจไปเสียหมดเพราะรอยยิ้มของยอดรักที่ยิ้มให้คู่เต้นรำ กษัตริย์หนุ่มน้อยจึงลุกออกมาจากตรงนั้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด จูเลียนหงุดหงิดจนอยากฟาดงวงฟาดงาใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทาง หงุดหงิดจนทำเป็นไม่เห็นยามมีคนทักทายหรือทำความเคารพระหว่างเดินออกมา หงุดหงิดจนอยากจะกรีดร้องดังๆ เพื่อระบาย หงุดหงิดจนไม่อยากสนทนาปราศรัยกับใครแล้วแม้กระทั่งลีโอที่ปรี่เข้ามาหาจูเลียนทันที ที่เห็นเจ้านายกำลังจะเดินออกไปจากห้องจัดงาน

ต่อค่ะ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“ฝ่าบาท จะเสด็จไหน”

“ข้าเบื่อจะออกไปเดินเล่น”

“ปกติก็โปรดงานเต้นรำทำไมวันนี้ฝ่าบาทถึงเบื่อล่ะ”

“ก็ข้าเบื่อมันก็คือเบื่อนั่นแหละ เจ้าไม่เข้าใจหรือไงล่ะลีโอ” ลีโอเงียบปากด้วยว่ายิ่งถามตัวเองยิ่งจะกลายเป็นคนที่โดนเบื่อเสียเอง จึงได้แต่ก้มหน้าเดินตามเจ้านาย ที่เดินฝ่าความหนาวเย็นออกไปยังสวนด้านหลังปราสาทจัดงานเงียบๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงจูเลียนทักจึงได้เงยหน้าขึ้นดู

“นั่นใคร”

“ไหนเหรอฝ่าบาท”

“ที่ยืนอยู่ข้างพุ่มไม้นั่นไง ออกมาเดี๋ยวนี้” จูเลียนเห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างพุ่มไม้จึงสาวเท้าเร็วๆ เดินเข้าไปดูใกล้ๆ และทักออกมาทันทีที่เห็นใบหน้าคมคายนั้นชัดเจนแม้จะอยู่ในแสงสลัว ใบหน้ากวนอารมณ์ที่จูเลียนจำได้เป็นอย่างดีแม้จะเจอกันเพียงครั้งเดียว “เอ๊ะ..เจ้านั่นเอง”

“ทำไมล่ะ” เจ้าของร่างข้างพุ่มไม้ถามกลับด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์ ในแบบที่จูเลียนได้ยินแล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม กษัตริย์หนุ่มน้อยเอียงคอพลางขมวดคิ้ว ดวงเนตรสีเขียวมรกตหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อจ้องมองเจ้าของร่างสูงในชุดแปลกตาอย่างพินิจ

“เจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”

“ไม่เห็นแปลกในเมื่อข้าก็ได้รับเชิญมางานเลี้ยงเต้นรำ” จูเลียนมองบุรุษหนุ่มร่างสูงตรงหน้าด้วยสายตาสำรวจ แม้ตรงนั้นจะมีแสงส่องให้เห็นเพียงสลัว แต่กษัตริย์หนุ่มน้อยก็จำชายที่อยู่ตรงหน้าได้ทันที แม้เขาจะแต่งกายผิดไปจากที่เคยเห็น แม้มันจะดูดีแปลกตาด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่บ่งบอกถึงความมั่งคั่งของผู้สวมใส่ ก็ไม่ทำให้จูเลียนลืมภาพชายหนุ่มใบหน้ารกครึ้มด้วยหนวดเคราและชุดคลุมดำมืด ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่คนคนเดียวกันกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ต่อหน้าของจูเลียนตอนนี้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว

“เจ้าโกหก ข้าไม่ได้เชิญเจ้ามางาน”

“ข้าได้รับเชิญ แต่ถ้าเจ้ายืนยันว่าไม่ได้เชิญข้ามา ข้าขอตัวกลับเลยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มกำลังจะก้าวออกไปจากตรงนั้น แต่น้ำเสียงเอาเรื่องขัดขึ้นเสียก่อน

“เดี๋ยวลักลอบเข้ามาถึงในวัง คิดหรือว่าจะกลับออกไปได้ง่ายๆ เหมือนเข้ามาเดินเล่น ทหารมีผู้บุกรุก ใครอยู่แถวนี้มีผู้บุกรุก”

“ท่านโรฮานส์!” ลีโอที่เพิ่งเดินตามมาทันทักขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จนจูเลียนต้องหันไปมองคนสนิทอย่างแปลกใจ

“ลีโอ เจ้ารู้จักชายผู้นี้หรือไง”

“ฝ่าบาทนี่คือท่านโรฮานส์ผู้ชนะการประลองประจำปีนี้ไง” น้ำเสียงของลีโอนั้นบ่งบอกว่ากำลังตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด และไม่รักษากิริยาเอาเสียเลย เมื่อได้เจอยอดฝีมือที่เจ้าตัวปลาบปลื้มตั้งแต่วันที่ได้คุยกัน หลังจากชายหนุ่มชนะการประลอง

“อะไรนะลีโอ เขาคือผู้ชนะการประลองประจำปีนี้อย่างนั้นหรือ” ฮานส์แยกขาออกเล็กน้อยเพื่อยืนด้วยท่าทางที่มั่นคง กล้ามเนื้อต้นแขนแน่นๆ เบียดตัวขึ้นเป็นลอนสวยภายใต้เสื้อตัวหนา เมื่อเขายกสองแขนขึ้นมากอดอกและเชิดหน้ารับด้วยท่าทางกวนอารมณ์ แต่พอจูเลียนหันมามองหน้าชายหนุ่มก็ยักไหล่อย่างอวดดีให้หงุดหงิดเล่นเสียอย่างนั้น

“ใช่แล้วฝ่าบาท นี่คือท่านโรฮานส์ยอดฝีมือที่ชนะการประลองปีนี้” และนั่นยิ่งทำให้จูเลียนเกิดความเดือดดาลมากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งที่ลีโอบอกมันเป็นเหมือนตอกย้ำว่าชายหนุ่มร่างสูงคนนี้ คือผู้ที่อวดดีต่อหน้ากษัตริย์แห่งออสเซนเทีย คือชายที่ท้าทายและไม่ทำตามคำสั่ง คือชายที่หยามน้ำหน้าและเมินอำนาจของยุวกษัตริย์ คือเขาคนนี้ที่ชื่อโรฮานส์!

“เหอะ ท่านโรฮานส์ยอดฝีมือเหรอลีโอ ทหาร!”

“เดี๋ยวๆ ฝ่าบาทจะเรียกทหารมาทำไม”

“ข้าก็จะให้ทหารมาจับยอดฝีมือของเจ้าไงลีโอ”

“ด้วยความผิดอะไรล่ะฝ่าบาท ท่านโรฮานส์เป็นผู้ชนะการประลองซึ่งก็ได้รับเชิญมางานด้วยอยู่แล้วนี่”

“ข้าไม่สนใจ แต่ผู้ชนะการประลองของเจ้าอวดดีใส่ข้าและเขาต้องถูกลงโทษ..ข้าจะลงโทษเขา” เพราะวันนั้น วันที่ฮานส์ชนะการประลองแต่กลับปฏิเสธที่จะถอดหมวกเกราะปิดบังใบหน้าออก ซึ่งมันขัดคำสั่งและขัดใจจูเลียนเป็นอย่างมากจนจำได้ขึ้นใจมาถึงตอนนี้ ไหนจะค่ำคืนหนีเที่ยวที่ถึงแม้ว่าจูเลียนจะได้รับความช่วยเหลือจากฮานส์ แต่ชายหนุ่มชุดดำในค่ำคืนนั้นก็ทำให้เจ็บตัวกลับมาอยู่ไม่น้อย

“ทำไมล่ะฝ่าบาท”

“นั่นสิข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรผิดทำไมต้องถูกลงโทษ งานเลี้ยงนี่ก็ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนข้าไปดีกว่า” แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่รู้แก่ใจ ฮานส์ขำความเจ้าคิดเจ้าแค้นของกษัตริย์หนุ่มน้อยตรงหน้า ที่ยังคงขุ่นข้องไม่พอใจกับเรื่องวันนั้นอยู่ แค่ผู้ชนะการประลองไม่ยอมถอดหมวกเกราะออกตามคำสั่งให้เห็นใบหน้าเท่านั้นเอง แต่ก็นั่นแหละ จูเลียนโกรธเพราะเขาขัดคำสั่งต่างหาก ใช่ว่าอยากจะเห็นหน้ารกไปด้วยหนวดเคราเสียเมื่อไหร่

“เดี๋ยวเจ้ายังไปไหนไม่ได้ วันนั้นเจ้าขัดคำสั่งข้ายังไงข้าก็ต้องลงโทษเจ้า” นั่นปะไร

“ข้าไม่ได้เป็นทาสของเจ้านะจูเลียน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า”

“มากไปแล้วนะ ลืมแล้วหรือไงว่าข้าเป็นกษัตริย์ของเมืองนี้ เจ้าอยู่ในเมืองนี้ก็ถือว่าอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของข้า แล้วยังจะมาทำอวดดีก็ถือว่ามีความผิด ลีโอไปตามเซอร์เฮนริชกับเซอร์เลนนี่มา”

“เดี๋ยวๆ ฝ่าบาท” ลีโอเหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าทั้งสองกำลังทะเลาะกันใหญ่โตจึงพยายามเรียกไว้

“ไปเดี๋ยวนี้ลีโอ” ดูท่าว่าเรื่องจะบานปลายและจูเลียนคงไม่ยอมจบง่ายๆ ลีโอจึงรีบวิ่งไปตามอัศวินทั้งสองของจูเลียนมา และพอลีโอวิ่งหายไปในความมืดของสวนแล้ว จูเลียนก็หันกลับมาหาชายหนุ่มที่ยังยืนกอดอกมองตอบ ด้วยท่าทางกวนอารมณ์อยู่เช่นเดิม



@@@@@@@@@@@@@@



ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นท่ามกลางความหนาวเหน็บนอกปราสาท เพราะจูเลียนเพิ่งได้รู้ว่าผู้ชนะการประลองที่แสนอวดดีคือคนที่ช่วยเหลือในค่ำคืนนั้น แต่ความโกรธที่ถูกขัดใจมันมีมากกว่า จึงหมายจะให้อัศวินฝีมือดีของตัวเองมาจับชายหนุ่มไปลงโทษ ทั้งที่ภายในห้องจัดเลี้ยงงานเต้นรำก็ยังดำเนินไปท่ามกลางเสียงหัวเราะ และความสนุกสนานของผู้มาร่วมงาน คู่เต้นรำหลายคู่ยังก้าวเดินตามจังหวะเพลงอยู่กลางฟลอร์เต้นรำ แขกหลายคนนั่งดูจนเพลิน แต่ที่ไม่เพลินก็คงจะเป็นลอร์ดหนุ่มจากต่างเมือง ที่กำลังนั่งดูคู่เต้นรำว่าที่คู่หมั้นด้วยหัวใจเจ็บแปลบ ความหม่นเศร้าฉายชัดบนพักตร์ขาวนวลราวน้ำนมและนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่าง ที่มักจะสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลของคนที่กำลังเต้นรำกับว่าที่คู่หมั้น ยามที่ใครคนนั้นเหลือบมองมา แต่ยังต้องพยายามฝืนตัวเองเอาไว้เพื่อจะได้อยู่ร่วมจนจบงาน

“เจ้าไม่อยากออกไปเต้นรำสักหน่อยหรือลอร์ดลอเรน” เสียงที่ดังขึ้นข้างๆ ทำให้ลอเรนต้องหันไปมอง และพบเข้ากับนัยน์ตาเจ้าชู้รักสนุกที่จ้องมองมาพร้อมกับรอยยิ้มหวานโปรยเสน่ห์

“ข้า..คงไม่ได้เต้นรำหรอกเพราะคืนนี้คงไม่มีคู่เต้นเหมือนคนอื่นเขา”

“สาวๆ เหล่านั้นสวยๆ ทั้งนั้นนะเจ้าไม่สนใจใครสักคนเลยหรือไง” ถามแล้วกวาดสายตามองไปยังเหล่าสาวสวยที่มาร่วมงาน ซึ่งส่วนมากก็เป็นลูกสาวของขุนนางหรือลูกสาวของคหบดีในสังคมชั้นสูงที่ได้รับเชิญ “หรือเจ้าหวงน้องสาวที่กำลังเต้นรำกับว่าที่คู่หมั้นของนาง"

ลอเรนยิ้มบางๆ ให้กับสายตาซุกซนของคนถาม “ข้าคงต้องยอมสารภาพแล้วล่ะว่าไม่ถนัดเรื่องการเต้นรำจริงๆ”

“อยากถนัดขึ้นไหมล่ะ ข้าเป็นครูสอนเต้นรำที่เก่งมากนะ”

“สาวๆ ที่มอนทาร์น่าคงเต้นรำเก่งกันทั้งนั้นสินะเพราะได้ครูดีอย่างท่าน และท่านก็ช่างใจดีเหลือเกินลอร์ดแอนดีส ขอบคุณแต่ข้าต้องขอผ่านเพราะคงไม่ไหวจริงๆ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าขออนุญาตพาลอร์ดแอนดีสไปเต้นรำก่อนนะ” เสียงของผู้มาใหม่แทรกขึ้นพร้อมกับรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่ช่วงเอวเหมือนกำลังถูกโอบ แอนดีสหันไปมองด้านข้างที่มีร่างสูงเข้ามายืนประกบชิด และลูบแผ่นหลังของเขาด้วยการสอดมือผ่านเสื้อคลุมตัวใหญ่เข้ามาอย่างแนบเนียน

“เซอร์เลนนี่” แอนดีสกัดฟันเรียกทั้งที่ใบหน้ายังไม่เปลี่ยนไปจากรอยยิ้มหวานละมุน ลอเรนเผยยิ้มกว้างแววตาเป็นประกายอย่างไม่ปิดบังว่ากำลังตื่นเต้น ที่จะได้เห็นเรื่องสนุก ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ไม่ได้รู้เรื่องราวความสัมพันธ์ฉาบฉวยของหนึ่งเจ้าชายกับหนึ่งอัศวินหลวง เพียงแต่กำลังคิดว่าหากชายหนุ่มสองคนที่ขนาดตัวสูงใหญ่พอๆ กันมาเต้นรำคู่กัน ภาพมันจะออกมาเป็นเช่นไร แค่คิดลอเรนก็แทบจะเก็บกิริยาอันสุขุมต่อหน้าธารกำนัลเอาไว้ไม่อยู่ “เชิญท่านทั้งสองตามสบายนะข้าขอเป็นแค่ผู้ชมก็พอ”

“แต่ข้า..”

“แสดงให้ข้าดูหน่อยสิลอร์ดแอนดีส ว่าท่านเป็นครูสอนเต้นรำที่เก่งจริงหรือเปล่า เผื่อข้าจะได้ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์บ้าง” เลนนี่นึกขอบคุณลอเรนในใจพลางค้อมศีรษะให้ลอร์ดทั้งสอง

“เชิญท่านลอร์ด” อัศวินหนุ่มผายมือเชื้อเชิญ แต่นั่นมันเล่นเอาแอนดีสกัดฟันกรอดทีเดียว จนความรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจปรากฏขึ้นผ่านแววตาขวางขุ่น แต่สองขาก็จำต้องก้าวตามคำเชื้อเชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่เกลียดสายตาของเลนนี่ที่กำลังมองมาพร้อมรอยยิ้มซุกซนนั้นยิ่งนัก

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”

“เจ้าไม่รู้สึกว่ามันน่าขำไปหรอกหรือไงที่ผู้ชายตัวโตๆ สองคนมาเต้นรำคู่กันแบบนี้”

“ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าขำตรงไหนเลยสมัยก่อนโรงเรียนสอนเต้นรำก็รับแต่ผู้ชาย จะว่าไปขนาดผู้ชายตัวโตๆ สองคนร่วมรักกันบนเตียงท่านก็เคยเห็นมาแล้วนี่ แล้วมันน่าขำหรือไม่ล่ะ”

“เจ้า..!”

“ทำหน้าตาอะไรของท่านเนี่ยลอร์ดแอนดีส เคยมีหรือไม่ที่คิดอยากจะยิ้มสวยๆ ให้ข้าบ้าง”

“...” แอนดีสกัดริมฝีปากตัวเองและเงียบ ดวงตาเจ้าชู้มีประกายแข็งกร้าวเมื่อหันไปมองทางอื่น

“ไม่มีสักครั้งเลยสินะ”

“ใช่ไม่มี และจะไม่มีวันมีหรอกข้ามั่นใจ ปล่อยข้าสักที!”

“ชู่ว อย่าทำเสียงดังสิ”

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่เซอร์เลนนี่”

“ข้าต่างหากที่ต้องถามท่านลอร์ดแอนดีส”

“ข้าไม่ได้ต้องการอะไรจากอัศวินชั้นต่ำอย่างเจ้าหรอกนะ” ถึงรอยยิ้มเหยียดนั่นไม่ใช่แบบที่เลนนี่ต้องการ แต่อัศวินหนุ่มก็ไม่ได้ละสายตาไปจากมัน

“แล้วที่แอบมองข้านี่หมายความว่าอย่างไรล่ะ” แอนดีสชะงักไปเพียงนิดเดียวในเสี้ยวเวลาที่ได้ยินคำพูดดักทาง แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจรอดพ้นสายตาคมของอัศวินหนุ่มที่เฝ้าสังเกตอยู่ไปได้ เป็นความจริงว่าคืนนี้ ตั้งแต่เข้ามาในงานเลี้ยงจนถึงช่วงเวลาของงานเต้นรำ แอนดีสแอบมองเลนนี่อยู่หลายครั้ง ทั้งที่รู้ตัวและเผลอหันไปมอง จนบางทีก็ถูกจับได้เมื่อเลนนี่หันมาสบตากันเข้าพอดี

“ใครว่าข้าแอบมองเจ้า ข้าแค่มองดูผู้คนรอบๆ งาน”

“ก็คงวนมองกลับทางที่ข้ายืนอยู่บ่อยเกินไปแล้วล่ะ ตอนนี้ท่านดูทั่วหรือยังล่ะ”

“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย เจ้าไม่มีอะไรคู่ควรที่จะได้รับความสนใจของข้าหรอกนะ เซอร์เลนนี่”

“หึ”

“ยิ้มทำไม”

“ยิ้มให้ความต้อยต่ำของตัวเองกระมัง ท่านทำข้าเศร้ามากเลยนะ”

ความเศร้าที่แสดงออกมาผ่านรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เล่นเอาคนมองที่หงุดหงิดอยู่แล้วยิ่งทวีความหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม แอนดีสกัดฟันกรอดแล้วบอกเสียงลอดไรฟันออกมา “เจียมตัวของเจ้าไว้บ้างเถอะ”

“ท่านอย่าเย็นชากับข้านักสิ..” เลนนี่กวาดตามองไปทั่วพักตร์บึ้งตึงด้วยสายตาหยอกเย้า อัศวินหนุ่มใช้เวลาชั่งใจเพียงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าไม่ตอบโต้เขาจึงพูดต่อ “เพราะนั่นน่ะ..ยิ่งจะทำให้ความพยายามอยากเอาชนะของข้าที่มีต่อท่าน มันพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิมมากเลยนะ”

ได้ยินแบบนั้นก็เป็นทีของคนจอมหยิ่งและถือตัวแค่นยิ้มออกมาบ้าง “หึ เจ้าหวังอะไรอยู่ข้าไม่รู้หรอกนะ แต่อย่าหวังให้มันสูงมากนัก ข้าไม่อยากย้ำบ่อยๆ หรอกว่าให้เจ้าเจียมตัว”

“ขอบคุณที่ท่านจะไม่ย้ำบ่อยๆ ลอร์ดแอนดีสท่านช่างน้ำใจงามจนน่า..”

“..”

“น่าหลง..ข้าเป็นอย่างนั้นจนจะแย่อยู่แล้ว”

“หึเจ้ามันก็แค่..”

“ไหนท่านบอกจะไม่ย้ำข้าไง”

“ทีหลังข้าจะเมตตาเจ้าบ้างก็แล้วกัน” แอนดีสแสยะยิ้มอย่างคนที่เหนือกว่า “หลังจาก...”

“เซอร์เลนนี่!”

“ว่าไงลีโอ”

“ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้ว”

“ที่ไหน”

“ตามข้ามา”

“เดี๋ยวสิ..” อยู่ดีๆ ก็เกิดความรู้สึกเย็นวูบเมื่อร่างสูงของอัศวินหนุ่มผละออกไปทันที ที่คนสนิทของจูเลียนวิ่งเข้ามาหา แอนดีสยืนงงอยู่คนเดียวเมื่อถูกทิ้งเอาไว้กลางฟลอร์เต้นรำ เลนนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้ทิ้งกันไปหน้าตาเฉยเช่นนี้ ไปโดยไม่หันมาบอกกล่าวสักคำ เหมือนเดินข้ามหัวกันไปเสียดื้อๆ ทั้งที่แอนดีสเป็นถึงลอร์ด เป็นถึงเจ้าชาย นึกอยากจะเข้าหาก็เดินมาหา นึกอยากจะไปก็ไปเสียง่ายๆ กันอย่างนี้หรือ แอนดีสหงุดหงิดไม่พอใจและต้องการที่ระบาย เมื่อคนต้นเหตุไม่อยู่ให้ระบายจึงหันไปคว้าเอวบางของสาวน้อยนางหนึ่ง ที่กำลังเดินตามคู่เต้นรำของนางจากฟลอร์มาไว้ในอ้อมกอด หญิงสาวดูเหมือนจะพอใจอยู่ไม่น้อยที่หันมาเห็นว่าคนที่กระชากร่างนางไว้เป็นใคร ผิดกับชายหนุ่มคู่เต้นรำของนางที่มองมาอย่างไม่พอใจ กับการเสียมารยาทของลอร์ดหนุ่ม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะคู่กรณีเป็นถึงเจ้าชายซึ่งเป็นแขกบ้านแขกเมือง



@@@@@@@@@@@@@@@@



“เจ้ามันอวดดีข้าจะลงโทษให้หนักคอยดู” จูเลียนบอกแล้วกวาดตามองชายหนุ่มอีกครั้งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยสายตาดูแคลน “เจ้าไปขโมยเสื้อผ้าใครมาใส่”

“คิดว่าข้าไม่มีปัญญาหามาใส่เองหรือไง” ฮานส์ตอบแล้วเริ่มออกเดิน ทำให้จูเลียนเดินตามประกบ ด้วยจะไม่ยอมให้ชายหนุ่มคลาดสายตา

“ชุดนี้มันดีเกินไปสำหรับเจ้า” ใช่มันดีเกินไปสำหรับชายพเนจรอย่างโรฮานส์ กับชุดที่ตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อดีบุผ้าขนสัตว์ข้างในเพื่อให้ความอบอุ่น ตัวเสื้อเข้ารูปแบบคอตั้ง ด้านนอกเป็นผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มปล่อยชายยาวเหนือเข่า รัดช่วงเอวเอาไว้ด้วยเข็มขัดหนังสีดำขึ้นเงา กางเกงขายาวเนื้อผ้าและสีเดียวกันกับเสื้อ ซ่อนปลายขาเอาไว้ภายในรองเท้าขี่ม้าหนังสีดำ ที่ขัดจนเงาวาววับสูงเกือบถึงเข่า ห่มด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์อีกชั้นเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ระหว่างอกรั้งชายเสื้อคลุมทั้งสองด้านด้วยเข็มกลัดทองบ่งบอกถึงความมีฐานะ ใบหน้าคมคายนั้นแม้จะยังคงมีหนวดเคราขึ้นรกครึ้ม แต่ก็ดูเหมือนจะได้รับการขลิบแต่งมาเป็นอย่างดี ผิวพรรณหรือก็สะอาดสะอ้านไร้คราบเหงื่อไคล

“จะมองอีกนานไหม แต่บอกไว้ก่อนว่าข้าไม่ใช้คนขี้อายหรอกนะ” ฮานส์เลิกคิ้วทำท่าทางกวนอารมณ์ แต่แทนที่จะหงุดหงิดหรือเกรี้ยวกราดกับท่าทางอวดดีนั้น จูเลียนกลับเผลอยิ้มขำให้กับวาจามั่นใจในตัวเองของชายหนุ่ม ความขุ่นใจก่อนหน้านี้ไม่รู้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตอนนี้ทั้งรอยยิ้มและเนตรเขียวมรกตสุกใสดูเป็นธรรมชาติมากจริงๆ จนมองเพลิน

จูเลียนพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเพื่อจะบอก “ใช่ว่าข้าอยากมองนักนี่”

“ไม่เหรอ แต่ยิ้มอย่างนี้สายตาแบบนี้ของเจ้ามันเหมือนกำลังตกหลุมรักข้านะ” รอยยิ้มกับนัยน์ตาเป็นประกายหายไปทันที และถูกแทนที่ด้วยความถมึงทึง

“สำคัญตัวผิดไปแล้ว ข้ากำลังนึกดูแคลนเจ้าอยู่ต่างหาก”

“แต่สายตาเจ้าไม่ได้บอกข้าอย่างนั้นเลยนะฝ่าบาท” แม้จะเรียกด้วยคำที่ยกย่องแต่จูเลียนฟังยังไงก็รู้สึกว่าชายหนุ่มกำลังสนุกกับการปั่นหัวให้หงุดหงิด

“แล้วมันบอกว่ายังไง บอกว่าข้าตกหลุมรักเจ้าเข้าแล้วสินะ ข้าไม่อยากหยาบคายหรอกแต่มันไม่เพ้อเจ้อไปหน่อยหรือไงท่านโรฮานส์!” เมื่อฮานส์ใช้คำเรียกและน้ำเสียงที่ล้อเลียนได้จูเลียนก็ทำบ้าง โดยเรียกชื่อชายหนุ่มเต็มๆ เหมือนที่ลีโอเรียกด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์ ริมฝีปากอิ่มจิ้มลิ้มสีแดงสดแบะออกเล็กน้อย ให้กับความมั่นใจของคนร่างสูง ที่ไม่รู้ว่าไปเอาความคิดนี้มาจากไหน จูเลียนหรือจะตกหลุมรักชายแปลกหน้าคนนี้บ้าไปแล้ว “เผื่อเจ้าจะยังไม่รู้นะ เอ่อ ฮานส์ ไม่ได้อยากจะเรียกแบบสนิทสนมอะไรหรอกนะ แต่ชื่อเจ้ามันเรียกยากเลยขอเรียกสั้นๆ ก็แล้วกัน คือข้ามีคนรักของข้าอยู่แล้ว และเราก็รักกันมากด้วย”

“หึ แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ไหนเสียล่ะฝ่าบาท”

คำถามนี้ทำเอาจูเลียนชะงักไป “ก็..ในงานเลี้ยงนั่นไง”

“แล้วปล่อยให้คนรักของตัวเองออกมาเดินตากลมหนาวคนเดียวอย่างนี้หรือไง หิมะจะตกอีกแล้วนะเห็นไหม” ไม่รู้ว่าเดินมาถึงตรงนี้กันได้อย่างไร แต่พอพูดจบฮานส์ก็หยุดเดินแล้วหันมาจ้องตาจูเลียนตรงๆ ดวงตาสีดำมืดมีประกายเจิดจ้าเมื่อสะท้อนแสงดาวแต่กลับเดาความคิดไม่ถูก กษัตริย์หนุ่มน้อยกวาดตามองไปรอบๆ พบว่าตอนนี้ตัวเองเดินตามเจ้าของร่างสูงมาจนถึงอีกมุมหนึ่งของสวน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจุดที่เขาเจอฮานส์ตอนแรกคนละฝั่ง แต่พอหันกลับมาอีกทีก็แทบผงะ เมื่อใบหน้าเกือบชนเข้ากับอกกว้างๆ ของคนที่ขยับเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“อ๊ะ เจ้า!”

“ทำไมเงียบไปล่ะ” ลมหายใจอุ่นที่รดรินบนหน้าผาก ทำให้จูเลียนเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าคมคายที่ก้มลงมองอยู่ก่อนแล้ว เนตรเขียวสุกใสสบเข้ากับลูกแก้วสีดำมืดนิ่งค้างราวกับถูกสะกดให้หยุดการเคลื่อนไหว รู้สึกถึงสัมผัสที่แผ่นหลังและการกระชับกุมฝ่ามือ ที่ยังคงให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนวันที่ได้รับการช่วยเหลือจากมือสากคู่นี้ไม่มีผิด แต่ก่อนที่จูเลียนจะได้เหม่อลอยไปมากกว่านี้ ร่างเพรียวก็ถูกนำพาให้ขยับขาก้าวเข้ากับจังหวะของเสียงเพลงหวาน ที่ดังแว่วออกมาจากห้องจัดงานเลี้ยงภายในปราสาท

เขากำลังพาจูเลียนเต้นรำ! และเขายิ้ม เป็นยิ้มที่ไม่ใช่การยิ้มเยาะหรือยิ้มขำเหมือนที่ชอบทำยามได้แกล้งให้จูเลียนหงุดหงิด ชายหนุ่มกำลังยิ้มอ่อนเอ็นดูให้กับอะไรบางอย่างที่กำลังปรากฏต่อสายตา อะไรบางอย่างที่เหมือนความอึ้งและแปลกใจ ใช่แล้ว ตอนนี้จูเลียนกำลังอึ้งและแปลกใจกับสัมผัสอ่อนโยน ที่จู่โจมเข้ามาหาโดยไม่รู้ตัว อึ้งเพราะไม่คิดว่าอยู่ดีๆ คนจอมกวนอารมณ์ก็พากันเต้นรำเสียอย่างนั้น

ต่ออีก 1 ค่ะ ลงๆๆๆ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

จูเลียนไม่ได้ต่อต้านหรือผลักไสร่างสูงให้ถอยห่าง ทั้งที่เหมือนจะไม่ค่อยพอใจในคราแรก แต่กลับขยับขาตามจังหวะที่ได้รับการนำพาอย่างนึกสนุก การเต้นรำท่ามกลางเกล็ดหิมะสีขาวโปรยปราย เหมือนกำลังเต้นรำท่ามกลางปุยนุ่นที่เยือกเย็น

“เจ้าเต้นรำเป็นกับเขาด้วยหรือไง” จูเลียนอดแปลกใจไม่ได้ที่ฮานส์เต้นรำได้ดีมากทีเดียว และยังยิ้มขำออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อคิดถึงบุรุษหนุ่มในความมืด ผู้มาพร้อมใบหน้ารกไปด้วยหนวดเคราและคราบเหงื่อ ราวกับโจรป่าในชุดคลุมดำ มันช่างผิดแผกกับชายหนุ่มในวันนี้ ที่ทำตัวราวกับลูกผู้ดีหรือเป็นขุนนางในวังก็มิปาน

“เจ้าชอบไหมล่ะ”

“ท่ามกลางหิมะนี่นะ”

“หนาวหรือไง”

จูเลียนรู้สึกถึงอ้อมแขนที่โอบกระชับ คิ้วคู่โก่งสวยจึงเลิกขึ้นอย่างซุกซนให้กับความบังอาจแบบห่ามๆ ของเจ้าของร่างสูง ที่ทั้งกวนอารมณ์ทั้งดูจะเอาแต่ใจตัวเองไม่น้อยไปกว่าจูเลียนเลย ไหนจะยังเดินหนีให้จูเลียนต้องเดินตาม ไหนจะยังพาเต้นรำท่ามกลางละอองหิมะที่กำลังโปรยปราย ไม่เคยมีใครพากษัตริย์หนุ่มน้อยทำอย่างนี้มาก่อน และนั่นมันทำให้จูเลียนลืมเรื่องราวต่างๆ ไปได้ชั่วขณะ ลืมความหยิ่งความถือตัว ลืมแม้กระทั่งความไม่พอใจที่มีก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น

“ก็ไม่เท่าไหร่” ถึงจะบอกว่าไม่เท่าไหร่แต่ความหนาวเย็นรอบตัวก็ทำให้เกิดไออุ่นเมื่อพูดออกมาเลยทีเดียว

“หลับตาสิ”

“หลับทำไม”

“หลับเถอะน่า”

“จะเชื่อสักครั้งก็แล้วกันเจ้าคนลึกลับ” ทั้งที่รอบข้างมีแต่คนคิดปองร้าย ไม่รู้ว่าจูเลียนไว้วางใจคนตรงหน้าได้อย่างไร ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน แต่จูเลียนก็ทำตามที่เจ้าของร่างสูงบอกอย่างว่าง่าย อย่างน้อยคนที่จูเลียนตราหน้าว่าเป็นเจ้าคนลึกลับ ก็เคยช่วยเหลือเอาไว้ครั้งหนึ่ง หากคิดประสงค์ร้ายจูเลียนคงไม่รอดตั้งแต่คืนนั้น

ท่ามกลางความหนาวเย็น และละอองหิมะที่โปรยปรายลงมาบางๆ ร่างสองร่างในความสลัวใกล้ชิดกันด้วยการก้าวเท้าให้เข้ากับจังหวะเพลง จูเลียนหลับตาโยกย้ายตัวไปตามทำนองที่มีเจ้าของร่างกายสูงใหญ่เป็นผู้นำพา รู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงฝันอันหนาวเหน็บ แต่ยังมีความอบอุ่นของการโอบกอดจากท่าเต้นรำ ความอบอุ่นแผ่ออกมาจากทั้งสองผ่านร่างที่เกือบแนบชิด จูเลียนรู้สึกสบายใจและเป็นตัวของตัวเองจนกระทั่ง….

“อื้ออออ เจ้า!”

“อะไร”

“เจ้าจูบข้า!”

“ก็มันอดใจไม่ไหวนี่”

“อะไรอดใจไม่ไหว นี่เจ้าหลอกให้ข้าหลับตาแล้วฉวยโอกาสจูบข้าใช่ไหม”

“ข้า..เอ่อ ช่างเถอะ”

“อะไรนะ นี่เจ้าบังอาจมาจูบข้าแล้วจะพูดว่าช่างเถอะออกมาง่าย ๆ นี่นะ”

“แล้ว แล้วจะให้ข้าทำยังไงล่ะ อยากให้ข้ารับผิดชอบหรือไง”

“เจ้ามันบ้าไปแล้วบ้าที่สุดข้าไม่น่าเชื่อเจ้าแต่แรกเลย” ฮานส์กัดปากด้วยจำนนต่อความผิดและความเผลอของตัวเอง ตั้งแต่อยู่ดีๆ ก็นึกอย่างพาเจ้าของร่างเพรียวเต้นรำ หลังจากที่แอบเห็นว่าจูเลียนนั่งมองคู่เต้นรำในงานตาละห้อย ลืมความกังขาที่เคยมีในใจจากข่าวลือ เมื่อเขาบอกให้จูเลียนหลับตา ในคราแรกตัวเขาเองก็หลับลงไปด้วย แล้วนำพาให้ก้าวขาไปตามจังหวะแว่วหวาน ที่ดังออกมาจากห้องจัดงานเลี้ยง แต่อยู่ดีๆ กลับนึกอยากเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาชัดๆ เสียอย่างนั้น ตาคมจึงเปิดขึ้นและเฝ้ามองพักตร์นวลผ่องในระยะประชิด หลังจากที่เห็นไกลๆ ในวันประลอง และไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นระยะใกล้อีกครั้งในคืนที่จูเลียนหนีเที่ยว จนเผลอมองอย่างลืมตัว แต่เหมือนกับว่าเพียงเท่านั้นมันยังไม่พอ เหมือนเขาหลุดเข้าไปในห้วงของอะไรบางอย่างที่หลอกล่อ จนมารู้สึกตัวก็เมื่อตอนที่อกกว้างถูกผลักไสออก และพบว่าตัวเองเผลอประทับจูบลงที่ริมฝีปากจิ้มลิ้มแดงฉ่ำเพราะความหนาวนั่นเข้าให้แล้ว แต่คนอย่างฮานส์ไม่มีเสียหรอกที่จะยอมรับว่าตัวเองเผลอไป

“หึ ก็แค่จูบเบาๆ ทำเหมือนไม่เคยจูบไปได้” นั่นล่ะฮานส์แทนที่จะยอมรับผิดกลับกวนอารมณ์

“ข้าเคยจูบแต่เป็นเพราะเจ้าไม่มีสิทธิ์จูบข้าต่างหาก”

“แล้วใครจะมีสิทธิ์ล่ะ”

“คนรักของข้าคนเดียวเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์จูบข้าดะ อื้ออออ” ยังไม่ทันได้พูดออกมาจนจบความอย่างที่ตั้งใจ ริมฝีปากสีสดก็ถูกครอบครองด้วยความเย็นชืด และตามมาด้วยเรียวลิ้นอุ่นที่กระหวัดเกี่ยวสร้างความดูดดื่มร้อนแรง จนหิมะที่ตกลงมาแทบละลาย จูบนี้นอกจากจะหยุดปากที่กำลังบริภาษสิ่งไม่น่าฟังออกมาแล้ว ยังทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง มีเพียงสองร่างที่ขยับเคลื่อนไหว จูเลียนพยายามผลักไสให้ฮานส์ออกห่าง แต่ดูเหมือนแรงที่มีจะน้อยนิดเสียเหลือเกิน ยิ่งผลักเลยเหมือนยิ่งเร่งเร้าให้ร่างเพรียวถูกกอดรัดเข้าสู้อ้อมอกแกร่งแน่นขึ้น เล่นเอาจูเลียนแทบเผลอตัว

“อื้อออออ” แบบนี้มันถึงสมเป็นโรฮานส์ อัลเลน วัลเดอราส บุรุษหนุ่มผู้เร่าร้อนที่ผ่านมาแล้วทุกสมรภูมิรัก หาใช่ฮานส์ผู้ชนะการประลอง ที่เผลอมองคนที่เคยคิดว่าไม่ชอบเสียนานยามได้เห็นพักตร์นวลผ่องเป็นครั้งแรก “ปล่อยข้านะ”

“ไหนว่าเคยจูบกับคนรักมาแล้ว”

“ทำไม”

“คนรักของเจ้าคงอ่อนหัดน่าดูเลยสินะเจ้าถึงได้จูบไม่เป็นอย่างนี้”

“เป็นเพราะว่าข้าไม่อยากจูบกับเจ้าต่างหากเล่า” ให้ตายดับดิ้นสิ้นชีพลงตรงนี้จูเลียนก็ไม่ยอมรับหรอก ว่าทุกครั้งที่จูบกับกรอสเซ่ ไม่เคยมีสักครั้งที่จะจูบกันลึกซึ้งถึงขนาดนี้

“หึหึ แล้วใครกันที่ตวัดลิ้นหวานๆ ตามข้าเมื่อกี้” พูดจบก็เลียริมฝีปากตัวเองราวกับเพิ่งได้ลิ้มรสอาหารชั้นเลิศแสนอร่อย

“มากไปแล้วนะ ทะ อื้ออออ” ยังไม่ทันได้ตะโกนเรียกทหารอย่างที่ตั้งใจ ก็ถูกมือใหญ่ประคองแก้มทั้งสองข้างกระชากไปบังคับจูบ ริมฝีปากอิ่มถูกครอบครองอีกครั้ง และเท่านั้นดูเหมือนจะยังไม่พอ หลังจากที่ตวัดเกี่ยวเอาลิ้นเรียวมาชิมจนหนำใจ เล่นเอาหนุ่มน้อยแทบหมดลม ฮานส์ยังกดจูบหนักๆ เน้นๆ ลงอีกหลายครั้งที่ริมฝีปากนิ่มจนพอใจแล้วจึงผละออก

“เจ้า” จูเลียนขัดใจจนดวงเนตรสีเขียวแข็งกร้าว เพราะถูกกระชากเข้าไปจูบราวกับเป็นโสเภณีชั้นต่ำ “ทหาร ใครอยู่แถวนี้บ้างมานี่เดี๋ยวนี้” หันไปเรียกทหารแต่พอหันกลับมาอีกทีก็ “เอ๊ะ! “ข้างกายเหลือแค่ความว่างเปล่าราวกับว่าคนที่ปล้นจูบไม่เคยมีตัวตนอยู่ตรงนี้ ฮานส์หายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย หายไปโดยที่จูเลียนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงก้าวเดิน หายไปแล้วเหลือทิ้งไว้เพียงไออุ่นที่ยังสัมผัสได้พอให้รู้ว่าใครคนนั้นเคยยืนอยู่ตรงนี้

“ฝ่าบาท! เซอร์เฮนริชฝ่าบาทอยู่ทางนี้” ลีโอที่เดินตามหาจูเลียนมาทางนี้พอดีรีบวิ่งเข้ามา เมื่อได้ยินเสียงของกษัตริย์หนุ่มน้อยดังขึ้น “ฝ่าบาททำไมมายืนอยู่ตรงนี้คนเดียว”

“ข้ามาเดินเล่น”

“เอ๊ะนั่น..ฝ่าบาทเป็นอะไรไป ทำไมริมฝีปากถึงได้บวมเจ่อแดงน่ากลัวอย่างนั้น”

“ข้า..”

“ฝ่าบาท” เฮนริชเข้ามาสมทบพร้อมกับสีหน้าโล่งใจที่เห็นจูเลียนยังอยู่ดี และการมาของอัศวินหนุ่มทำให้คนกำลังถูกต้อนด้วยคำถามซื่อๆ ของลีโอถอนหายใจออกมาเลยทีเดียว

“ข้าได้ยินเสียงท่านเรียกทหาร”

“ไม่มีอะไรหรอกเซอร์เลนนี่ ข้าจะกลับปราสาทแล้ว” จูเลียนบอกเลนนี่ที่เพิ่งจะวิ่งมาถึง ตามด้วยราเชลและเดรทิชที่ยืนรออยู่ห่างๆ เมื่อเห็นว่าจูเลียนปลอดภัย

“แล้วฝ่าบาทไม่อยากกลับไปที่งานเลี้ยงอีกหรือ แล้ว...ท่าน” ลีโอกำลังจะถามถึงฮานส์แต่จูเลียนขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ข้าไม่อยากไปแล้ว”

“แล้วทางนั้นล่ะฝ่าบาท”

“เซอร์เลนนี่ไปบอกนิโคลให้ดูแลแทนข้าก็แล้วกัน ไปเถอะเซอร์เฮนริชข้าอยากพักผ่อนเต็มทีแล้ว” จูเลียนหงุดหงิดคนจอมกวนจนไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว ขนาดงานเลี้ยงที่เคยโปรดปรานก็ยังไม่สามารถรั้งให้ยุวกษัตริย์อยู่ต่อได้ คิดถึงคนปล้นจูบแล้วให้เกิดความหงุดหงิดขัดใจจนลืมทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งยอดรักของตัวเองที่ยังอยู่ในงานเต้นรำ!



@@@@@@@@@@@@@@@



“อย่าเข้าใกล้ลูกสาวข้าให้มันมากนัก”

“ทำไมล่ะท่าน ข้าจริงใจกับนางจริงๆ นะ”

“เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอกจนกว่าเจ้าจะพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเจ้ารักนางจริง”

“บัญชามาเถอะท่านรัฐมนตรี เวลานี้หัวใจของข้ามันร่ำร้องหาแต่ท่านหญิงลีอานน่าจนไม่อยากรออะไรอีกต่อไปแล้ว” กรอสเซ่ที่ความรักบังตาบอกอย่างมุ่งมั่น ยิ่งเขาได้ใกล้ชิดลีอานน่าเท่าไหร่ ความต้องการที่จะได้รักได้ครอบครองยิ่งมากขึ้นเท่านั้นจนต้องเอ่ยปากขอ “ท่านจะให้ข้าทำอะไรข้าพร้อมและยินดีทำให้ทุกอย่างตามที่ท่านต้องการ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อนาง เพราะข้ารักนางเหลือเกิน”

“หึ อีกไม่นานหรอก”

“ข้าจะรอวันนั้น”

“ใช่วันนั้นอีกไม่นาน” โจเซฟยิ้มให้กับหมากบนกระดานของเขาที่ดูเหมือนจะว่าง่ายเสียเหลือเกิน อสรพิษเฒ่าที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์และอำนาจของตัวเอง ทอดสายตามองไปยังฟลอร์เต้นรำกลางงานเลี้ยง ที่ลูกสาวของเขากำลังเต้นรำอยู่กับชายหนุ่มลูกขุนนางในราชสำนักคนหนึ่ง เพราะกรอสเซ่เอาแต่ผูกขาดการเต้นกับนางอยู่คนเดียวนานเกินไปจนดูจะไม่เหมาะ เขาจึงส่งชายหนุ่มคนนั้นมากันให้ออกห่างบ้าง

แม้งานเลี้ยงยังไม่ทันเลิกแต่แขกส่วนใหญ่ก็ทยอยกลับกันบ้างแล้ว ภายในงานจึงเหลือแขกรักสนุกอยู่ไม่มาก ซึ่งคนที่ยุวกษัตริย์คิดว่าควรอยู่ดูแลความเรียบร้อยก็ไม่ได้อยู่ในงานด้วย เพราะพอเห็นใครบางคนเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไปเงียบๆ ชายหนุ่มที่คอยจับตามองอยู่ตลอดก็ตามออกมาเช่นกัน

“ฝากดูแลความเรียบร้อยของงานด้วย” นิโคลกระซิบบอกเบาๆ เมื่อเลนนี่เดินสวนเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง ซึ่งอัศวินหนุ่มเพียงตอบรับด้วยการค้อมศีรษะให้เล็กน้อย จากนั้นนิโคลก็รีบสาวเท้ายาวๆ เพื่อจะเดินให้ทันร่างสูงเพรียวที่กำลังจะเดินลับมุมระเบียงปราสาทไป

“จะไม่ยอมมองหน้าข้าจริงๆ หรือไง”

“ข้ามองหน้าทุกคน”

“วันนี้ที่งานเลี้ยงเจ้าไม่มองหน้าข้าเลยนะ”

“คงเพราะข้าไม่รู้จะมองทำไม” ลอเรนเบือนหน้าไปอีกทางที่ไม่มีใบหน้าหล่อเกลี้ยงเกลาให้เห็น “แล้วนี่ท่านจะตามข้ามาทำไม”

“ข้าอยากคุยกับเจ้า อยาก..” นิโคลลดสายตาลงต่ำมองที่ริมฝีปากอิ่มเป็นกระจับ นั่นทำให้คนที่หันมาสนทนาด้วยเผลอเม้มปากตัวเองทันที ด้วยรู้ว่าที่คนตัวสูงหยุดเอาไว้นั้นหมายถึงสิ่งใด

“ถ้าท่านไม่มีธุระอะไรข้าขอตัวไปพักผ่อน”

“เดี๋ยวสิข้าไม่มีธุระแต่อยากมาหาเจ้าบางไม่ได้หรือไง”

“ท่านจะมาหาข้าทำไมล่ะ”

“ก็แค่อยากมาหา วันนี้ข้ารอเจ้าอยู่ที่ห้องอาบน้ำตั้งนาน”

“แล้วข้าบอกหรือไงว่าจะไป ข้าไม่ได้บอกให้ท่านรอสักหน่อย”

“นั่นสินะ ข้าแค่คิดว่าอย่างน้อยหากเจ้าไม่ชอบนอนแช่น้ำอุ่นก็น่าจะชอบจูบของข้าบ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าข้าคงแปลสายตาของเจ้าหลังจากจูบกับข้าผิดไป”

แม้วันนั้นสายตาของลอเรนจะบอกอะไรไปก็ตาม แต่วันนี้ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ต้องหยุดมัน “ได้โปรดอย่าพูดถึงมันอีก”

“ทำไมล่ะ ทำไมข้าจะพูดถึงไม่ได้ในเมื่อข้าชอบ”

“แต่ข้าไม่ชอบและมันก็ไม่เหมาะด้วย!”

“ทำไม” ดวงเนตรสีฟ้ากระจ่างของลอเรนมีแววขุ่นเคืองให้กับคำถามที่ทำเหมือนแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ ยิ่งนิโคลทำหน้าซื่อเหมือนเด็กไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องใดๆ ยิ่งทำให้ลอร์ดแห่งสวาเนียร์มองด้วยสายตาเจ็บปวด แต่ไม่นานพักตร์ขาวราวน้ำนมก็เชิดขึ้นอย่างถือตัว

“ท่านเป็นว่าที่คู่หมั้นของอานาสตาเซียลอร์ดนิโคล และหากท่านยังมีสติดีอยู่คงไม่ลืมว่านางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า” รอยยิ้มนั้นมันช่างดูอ่อนโยน อ่อนโยนจนลอเรนส่ายหน้าไปมาช้าๆ อย่างเจ็บปวด ที่ได้เห็นแววตาใสซื่อราวกับไม่ยอมรับรู้ว่าเขากำลังคิดอย่างไร แต่ก็ดีแล้วล่ะ แม้ลอเรนจะพึงใจในตัวนิโคลตั้งแต่ได้ประสบพักตร์กันครั้งแรก แต่เวลาเพียงเท่านี้ก็คงไม่สามารถทำให้ปักใจจนถอนตัวไม่ขึ้นได้หรอก..ใช่ไหม รักแรกพบมันไม่เคยมีอยู่จริง

นิโคลขยับเข้ามาใกล้ในขณะที่ลอเรนถอยห่าง แต่หลังที่ติดกำแพงหินพอดีทำให้ถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้ว “เจ้าเป็นอะไรลอเรน”

“อย่าเข้ามา” ยิ่งบอกว่าอย่าเข้ามาใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของนิโคลยิ่งโน้มเข้ามาใกล้ และเป็นลอเรนเองที่ไม่มีทางหนีไปไหนได้อีกแล้ว เมื่อร่างสูงโปร่งถูกกักเอาไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรง วรกายหนาในชุดคลุมตัวใหญ่แนบชิดจนรู้สึกได้ถึงไออุ่น และสุดท้ายริมฝีปากอิ่มก็ถูกครอบครองจากคนแกล้งทำหน้าตาซื่ออย่างเลี่ยงไม่ได้

ลอเรนปล่อยใจไปกับจูบหวานละมุนระคนปลอบประโลม ความอ่อนโยนของจูบดูดดื่มมันช่างหวานล้ำจนรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงฝัน เรียวลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดรัดหยอกเล่น จนแทบลืมความขุ่นมัวในใจ และเมื่อเห็นว่าลอร์ดแห่งสวาเนียร์ยอมรับและจูบตอบ นิโคลยิ่งได้ใจเผลอไผลไปจนจูบเริ่มร้อนแรงตามที่ปรารถนา จนกระทั่ง...

กึก!!

“ลอเรน!”

“ถอยออกไปจากตัวข้า”

“เอาสิแทงข้าให้ตายตรงนี้เลย”

“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้านะ ถอยออกไป” นิโคลยอมถอยแต่โดยดีเมื่อมีดพกปลายแหลมคมเล่มเล็ก กดแน่นลงกลางอกตรงตำแหน่งหัวใจเข้าพอดี

“ก็ได้ข้ายอมแล้วก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างมันจะจบลงแบบนี้หรอกนะลอเรน”

“ไม่มีอะไรที่ต้องจบหรอกเพราะไม่ได้เริ่มต้นอะไรตั้งแต่แรก หวังว่าเจอกันคราวหน้าท่านคงให้เกียรติข้ากว่านี้ ลอร์ดนิโคลัส!”

“ข้าคงรับปากเจ้าไม่ได้หรอกลอเรน เพราะทุกอย่างมัน...กำลังจะเริ่มต้นต่างหาก” ทั้งสองมองสบตากันนิ่งคนหนึ่งหวั่นไหว แต่อีกคนกลับมีแต่ความท้าทาย

“อย่าลืมว่า..”

“ข้าไม่เคยลืมหรอกว่าข้ากำลังจะหมั้นกับท่านหญิงอานาสตาเซีย แต่ตอนนี้ยังไม่มีการหมั้นเกิดขึ้นข้าจะทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งหมั้นแล้วข้าก็ทำได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา”

“ท่านก็เลยจะทำตามใจตัวเองด้วยการหยามเกียรติว่าที่คู่หมั้นอย่างนั้นสิ อภัยด้วยที่ต้องหยาบคายแต่โปรดอย่ามาทำกับข้า!” ความขุ่นมัวในใจแสดงออกมาทางสีหน้าจริงจัง และดวงเนตรกลมโตสีฟ้ากระจ่างไม่มีปิดบัง ลอเรนจ้องมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาด้วยสายตาดุ เมื่อเห็นว่านิโคลไม่พูดอะไรออกมาอีกจึงผละไปจากตรงนั้น เดินจากไปเงียบๆ ทั้งที่หัวใจดวงน้อยร้าวรานจนกลัวว่ามันจะแหลกสลาย ความเจ็บปวดก็เริ่มตั้งเค้าทั้งที่อะไรยังไม่ทันได้เริ่มขึ้นด้วยซ้ำ



@@@@@@@@@@@@@@@@@@



ภายในงานเลี้ยงยังคงครึกครื้นอยู่ไม่น้อย แม้ว่าแขกที่มาร่วมงานจะบางตากว่าตอนแรกลงไปมาก กลางฟลอร์มีคู่เต้นรำอยู่หลายคู่ ที่กำลังสนุกกับการเคลื่อนไหวร่างกายไปตามจังหวะของเสียงเพลงขับกล่อม ท่วงทำนองและลีลาการเต้นรำที่บ่งบอกถึงความมีรสนิยมอย่างชนชั้นสูง คู่ที่ดูโดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นคู่ของลอร์ดหนุ่มแขกบ้านแขกเมืองจากมอนทาร์น่า ที่กำลังเต้นรำกับสตรีในสังคมชั้นสูงนางหนึ่งราวกับเป็นคู่รัก การสบตาหวานซึ้ง รอยยิ้มและท่าทางกระซิบกระซาบต่อกันอยู่ในสายตาคู่คมที่เฝ้ามอง และเมื่อได้โอกาสที่ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าพาคู่เต้นรำหมุนตัวเข้ามาใกล้มุมที่เขาแอบยืมมอง ร่างสูงของเจ้าชายต่างเมืองก็ถูกกระชากเขาไปอยู่ในมุมมืด ทิ้งสาวน้อยคู่เต้นรำเอาไว้กับความงุนงงและเสียงสั่งลาก่อนไป

“อภัยด้วยท่านหญิง แต่ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าต้องไปแล้ว”



ตึง!! อุก!!

“เจ้า..เซอร์เลนนี่ เจ้าทำอะไรลงไป!”





@@@@@@@@@@@@@

ถึงตรงนี้คงเดาได้แล้วว่า NC เป็นคู่ไหน เลือดสาดกระจายมั้ย ต้องมาลุ้นกัน 555

 :oo1: :haun4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2018 19:51:56 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 10 อัศวินหนุ่มผู้ร้อนแรง

อุก!!

“เจ้า..เซอร์เลนนี่เจ้าทำอะไรลงไป” แอนดีสถามเสียงเข้มสีหน้ายังไม่คลายความจุก หลังจากที่เต้นรำอยู่ดีๆ ก็ถูกกระชากออกมาจากฟลอร์เต้นรำอย่างไม่ให้เกียรติ ไม่รู้จะมีใครเห็นบ้างหรือเปล่า กระทั่งออกมาด้านนอกและถูกผลักอย่างแรงจนร่างกระแทกเข้ากับกำแพงหินเต็มๆ

“เจ้าทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างหรือเปล่า เจ้าอัศวินชั้นต่ำ!” เมื่อเลนนี่ยังเงียบเฉยไม่ตอบคำ แอนดีสจึงตะเบ็งเสียงถามอย่างขัดใจ

“ข้าแค่คิดว่าท่านเต้นรำมากเกินไปแล้วเลยพาท่านออกมา นี่ดูเหมือนท่านจะเมาแล้วด้วยนะ”

“ข้าไม่ได้เมา เจ้ามันบังอาจและจองหองมากที่ทำกับข้าอย่างนี้” เพราะอยู่ดีๆ ก็ถูกดึงตัวออกมาอย่างอุกอาจ ไม่รู้จะทันได้มีใครทันสังเกตเห็นบ้างหรือเปล่า เพราะนั่นคงไม่น่าดูเท่าไหร่ และมันทำให้แอนดีสโกรธมาก ทั้งโกรธและไม่พอใจจนหงุดหงิดใจ

“จะสั่งประหารข้าหรือไงล่ะลอร์ดแอนดีส” รอยยิ้มกวนอารมณ์นั้นเรียกความเกรี้ยวโกรธของแอนดีสได้เป็นอย่างดี ลอร์ดหนุ่มโกรธจนมือที่กำแน่นสั่น กัดฟันจนกรามเป็นสันนูนแต่สุดท้ายก็คลายออก และทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ข้าจะประหารเจ้าด้วยมือของข้าเองต่างหาก!” เลนนี่รู้อยู่แล้วว่าสักวันอาวุธประจำกายที่พกพาติดตัวมาตลอด จะหวนกลับมาปลิดชีพตัวเองเข้าให้เหมือนเช่นตอนนี้ ที่มันถูกยืดไปอย่างรวดเร็วจากคนที่ประกาศกร้าวเสียงแข็ง ว่าจะประหารเขาด้วยมือของตัวเอง แต่อัศวินหนุ่มยังยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิมกับแววตาสนุกซุกซน หาได้สลดกับคำประกาศก้องอย่างลุแก่โทสะไม่ ใบหน้าหล่อขี้เล่นยังคงรอยยิ้มหวานละมุนชวนฝัน ทั้งที่ปลายแหลมคมของดาบจ่อคอหอยอย่างน่ากลัว

“ตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมาข้าไม่เคยคิดกลัวความตาย” เลนนี่ยิ้มนัยน์ตาพราว “วันที่ข้ากล่าวคำสาบานต่อกษัตริย์ชีวิตข้าก็พร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ”

“หึ อย่างเจ้าไม่น่าจะอยู่มาได้นานขนาดนี้นะ...”

“นั่นสิ แต่มีอย่างหนึ่งที่ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลย”

“..”

“ที่ผ่านมาข้าเอาแต่คิดว่าสักวันคงต้องตายด้วยน้ำมือของศัตรู ไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าต้องตายด้วยฝีมือเมียของตัวเอง”

“เจ้า..!! หยุดปากอวดดีจองหองของเจ้าเดี๋ยวนี้”

ทั้งที่คมดาบยังจ่ออยู่ที่คอหอยแต่คนจองหองก็ยังกล้าเอื้อนเอ่ยคำพูดก่อกวน ริ้วความกริ้วโกรธบนพักตร์บึ้งตึงของลอร์ดหนุ่มสร้างความพึงพอใจให้เลนนี่ได้ไม่น้อย สายตาคมจึงจ้องมองอย่างไม่ลดละ แม้ว่าอีกคนจะโกรธจนแทบตวัดดาบเชือดคอเขาอยู่แล้ว “เอาสิข้ายอมตาย...ด้วยน้ำมือเมีย”

“เจ้าจะได้ตายสมใจเดี๋ยวนี้” ขวับ!! วืด “หลบทำไม”

เลนนี่ยิ้มทรงเสน่ห์นัยน์ตาฉ่ำวาวตามแบบหนุ่มขี้เล่น “ข้าดีใจนะที่ท่านยอมรับว่าเป็นเมียข้า”

“เจ้า..! อย่าหลงตัวเองให้มากนัก สนมที่รอให้ข้าเอามีเป็นร้อยทั้งชายหญิง ได้แค่นั้นอย่าคิดว่าเจ้าจะ..ฮึ่ย “ลอร์ดหนุ่มหงุดหงิดและเจ็บใจที่สุด เพราะไม่สามารถพูดคำบางคำออกมาได้เต็มปากเต็มคำง่ายๆ

“ความจริงข้าเป็นแล้วนะถึงได้คิดจะพูด เป็นได้ง่ายๆ ด้วย ส่วนท่านก็สุดยอดจริงๆ ลอร์ดแอนดีส ผู้ชายมอนทาร์น่าร้อนแรงอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า”

“พูดไปเถอะก่อนที่เจ้าจะไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีก เตรียมตัวตายได้แล้วเซอร์เลนนี่” แอนดีสตวัดดาบเข้าฟาดฟันอย่างลุแก่โทสะ ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อขี้เล่นกับดวงตาฉายแววสนุกเหมือนล้อเลียนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้เลือดในกายเดือดพล่านเพราะความโกรธ

อัศวินหนุ่มก้าวถอยพลางมองไปรอบๆ ตัว มือทั้งสองข้างผายออกและเอียงคอมองพักตร์บึ้งตึงของลอร์ดต่างเมืองด้วยสายตาเว้าวอน เหมือนกำลังร้องขอความเมตตาเห็นใจ “แต่ท่านไม่คิดว่ามันน่าสมเพชเกินไปหน่อยหรือไงที่จะให้ข้าตายตรงนี้ ข้างระเบียงนี่นะ”

“คนอย่างเจ้าตายอย่างหมาข้างถนนนั้นคู่ควรแล้ว”

“อ้าวเหรอ เอาเป็นว่ายังไงก็จะตายด้วยน้ำมือของเมียแล้ว โปรดเมตตามอบความตายให้ข้าหลังจากที่เรามีความสุขด้วยกันเถอะนะ มาสิตามมาฆ่าข้า”

“วันนี้ล่ะเจ้าจะได้ตายสมใจจริงๆ เซอร์เลนนี่ “

“หึ” เลนนี่ทิ้งเอาไว้เพียงเสียงหัวเราะท้าทาย แต่ตัวเขาวิ่งไปตามระเบียงแล้ว เพราะเป็นเจ้าถิ่นจึงลัดเลี้ยวไปอย่างคล่องแคล่ว แต่ก็ยังมีเสียงย่ำเท้าหนักๆ ลงบนพื้น เพื่อนำพาอีกคนให้ตามมาได้ถูกทาง จนกระทั่งแอนดีสเห็นหลังของอัศวินหนุ่มวิ่งตรงไปส่วนหลังของปราสาท ลอร์ดหนุ่มจึงวิ่งลัดไปอีกทาง และสุดท้ายไม่รู้ว่าโชคช่วยหรือเพราะเดาใจเลนนี่ได้ถูก หรือเพราะนี่เป็นหลุมพรางที่เจ้าคนจองหองอวดดีวางเอาไว้ล่อ แอนดีสโผล่มาอยู่ตรงหน้าเลนนี่ และดาบในมือก็ถูกตวัดเข้าฟาดฟันทันที

ขวับ! วืด และเลนนี่ก็หลบได้แบบฉิวเฉียด แต่กระนั้นข้างสันกรามก็ยังมีเลือดซึมออกมาเห็น เพราะโดนคมดาบข่วนอย่างน่าหวาดเสียว นั่นทำให้ใบหน้าหล่อขี้เล่นฉายแววสนุกและตื่นเต้นออกมาทันที แอนดีสตวัดดาบอีกครั้งผ่านหน้าท้อง และอัศวินหนุ่มหลบได้แต่ก็เกือบไม่พ้น เพราะเสื้อตัวสวยที่ตัดเย็บมาอย่างดีต้องสังเวยให้กับความโกรธเกรี้ยว ด้วยรอยขาดจากคมดาบเป็นทางยาวแทน

เลนนี่ก้มลงมองผลงานของแอนดีสที่หน้าท้องตัวเองแล้วยิ้มกว้าง รอยคมดาบข่วนที่ข้างแก้มแสบนิดๆ แต่อัศวินหนุ่มหาได้สนใจไม่ “เคยมีใครบอกท่านหรือไม่ลอร์ดแอนดีส ว่าฝีมือการต่อสู้ของท่านนี่ร้อนแรงไม่แพ้ตอนอยู่บนเตียงเลยนะ”

“หุบปากเน่าๆ ของเจ้าแล้วชักดาบออกมาสู้กันสักทีสิ” แอนดีสบอกมือก็ตวัดดาบฟันโดยไม่รอให้เลนนี่ได้ตั้งตัว คนถือดาบรุกไม่ถอย ส่วนคนมือเปล่าทั้งที่มีอาวุธซ่อนอยู่ในตัวแต่ก็ไม่ยอมเอาออกมาใช้

“ท่านก็เห็นว่าข้ามีดาบอยู่ด้ามเดียวที่ท่านยืดไปแล้ว แต่ใจจริงข้าอยากชักอย่าอื่นมากกว่า”

“อัศวินโง่เท่านั้นที่จะมีดาบติดตัวเพียงด้ามเดียว”

“ที่จริงข้าก็มีอีกด้ามแหละแต่เอาไว้สู้กับท่านบนเตียง ข้าคงโง่อย่างที่ท่านว่าจริงๆ ”

“วันนี้ล่ะ ข้าจะเอาเลือดชั่วๆ ของเจ้าออกมาให้ได้เลนนี่”

“ทำยังไงล่ะ” เคร้ง! ดาบพลาดเป้าหมายจากส่วนใดส่วนหนึ่งบนร่างกายกำยำของอัศวินหนุ่ม ไปถูกกำแพงหินเสียงดังสนั่น “เฮ้ย! อย่ารุนแรงสิ” เลนนี่เกือบหลบไม่ทัน หลังจากที่แอนดีสพลาดเมื่อเหวี่ยงดาบเล็งมาที่ลำคอของเขา จึงแทงตรงเข้ากลางลำตัวทำให้อัศวินหนุ่มเสียหลักเซถอยหลัง

“จะตายอยู่แล้วอย่ามาทำปากดี อย่าแม้แต่จะร้องขอความเมตตา” เลนนี่คว้าคบไฟมาถือไว้และสู้พลางถอยพลาง แต่ดูเหมือนว่าอัศวินหนุ่มจะไม่ตั้งใจสู้อย่างจริงจังสักเท่าไหร่ แอนดีสเห็นอีกคนเอาแต่ถอยก็ยิ่งได้ใจ แรงมีเท่าไหร่ใส่ลงไปพร้อมกับดาบหนักๆ ในมือที่ฟาดฟัน จนสุดท้ายมารู้ตัวก็เมื่อเริ่มมองเห็นรอบกายได้ไม่ค่อยชัด เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้ทั้งสองเข้ามาอยู่ในห้องห้องหนึ่งที่มืดสนิท รอบกายพอมองเห็นไม่ไกลเกินกว่ารัศมีของแสงจากคบไฟในมือเลนนี่

รอบข้างที่เปลี่ยนไปไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจของคนที่กำลังถือดาบหมายเอาชีวิต ทั้งสองดูเหนื่อยพอกัน แต่ยิ่งแอนดีสรุกหนักเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนว่าจะหลุดเข้าไปในห้องมืดลึกขึ้นเรื่อยๆ จนพบว่าตัวเองกำลังก้าวลงบันไดทีละขั้น พร้อมกับเหวี่ยงดาบใส่ร่างที่ตั้งรับพลางถอย ในที่สุดลอร์ดหนุ่มก็ได้ที เมื่อเลนนี่ยกคบไฟขึ้นมารับดาบที่ตั้งใจฟาดฟันลงตรงกลางศีรษะ อัศวินหนุ่มจึงเปิดช่องว่างช่วงกลางลำตัวให้แอนดีสได้ถีบเข้าเต็มเท้า

เลนนี่เสียหลักหงายหลังตกบันไดขั้นสุดท้าย คบไฟหลุดจากมือกระเด็นไปอีกทาง

โครม! ตุบ! อุก!

“แอนดีส! “

“หึ จะร้องขอความเมตตาตอนนี้คงไม่มีประโยชน์แล้วนะ ข้าไม่มีให้เจ้าหรอก”

“เมียข้าท่านเล่นแรงไปแล้วนะ”

“ข้าไม่ได้เล่น อยากเรียกข้าว่าเมียก่อนตายก็เรียกให้พอใจเถอะ เผื่อเจ้าจะได้ตายตาหลับ” แอนดีสกระชับดาบในมือท่าเตรียมพร้อม ย่างสามขุมเข้าหาร่างที่นั่งแหมะอยู่บนพื้นหินแข็งๆ

“ข้าบอกแล้วไงว่ายอมตายด้วยมือของท่านแต่หลังจากที่เรามีความสุขด้วยกันก่อน”

“อย่างนั้นหรือ ได้สิ” ขวับ! พร้อมกับคำถามแอนดีสก็ตวัดดาบอีกครั้ง และเลนนี่ที่ดูเหมือนกำลังจนมุม ก็หลบได้อย่างหวุดหวิด ชายหนุ่มเอนตัวไปข้างหลังชนเข้ากับผนังพอดี ปลายคมดาบพลาดเป้าเฉียดลำคอไปเพียงนิดเดียว แล้วฟันลงพื้นตรงกลางระหว่างขาของอัศวินหนุ่มจนหินแตกกระจาย และเมื่อแอนดีสเงื้อดาบขึ้นหมายจะฟันลงมาใหม่อีกครั้งสุดแรง อะไรๆ ก็กลับตาลปัตรไปหมด เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วในชั่วพริบตา

โครม!!

“โอ๊ย เลนนี่!”

“หึ คราวนี้เราคงมีความสุขกันได้สักทีนะ ข้าเหนื่อยซ้อมหลบดาบท่านจนอยากทำอย่างอื่นเต็มทีแล้ว” ทันทีที่เลนนี่พลิกตัวใช้ขาเกี่ยวข้อเท้าของแอนดีส ที่กำลังจะฟันดาบใส่เขาจนเสียหลักล้มลง อัศวินหนุ่มก็กักกันพันธนาการร่างของลอร์ดแห่งมอนทาร์น่า ที่มีขนาดไม่ต่างกันมากด้วยร่างกำยำของตัวเอง ข้อมือแอนดีสทั้งสองข้างถูกจับกดลงกับพื้นหินแข็งๆ ข้างที่ยังกำดาบแน่นไม่ปล่อย ถูกจับทุบลงพื้นอย่างแรงจนดาบหลุดมือ และนั่นทำให้เกิดแผลถลอกจนเลือดไหลซึมออกมา

“ปล่อยข้านะเจ้าอัศวินชั้นต่ำ” ในแสงสลัวจากคบไฟที่ถูกทิ้งไว้บนพื้นไม่ไกลกันมาก แอนดีสสามารถมองเห็นใบหน้าหล่อขี้เล่นของเลนนี่ ที่ยังคงยิ้มพรายได้อย่างชัดเจน แต่ถึงแม้ว่าจะมีรอยยิ้มประดับใบหน้า ดวงตาของอัศวินหนุ่มกลับดูจริงจังเมื่อกวาดมองไปทั่ววงหน้าของลอร์ดหนุ่ม ที่ประดับด้วยความกริ้วโกรธ ร่างกายหรือก็เจ็บร้าวเพราะล้มลงบนพื้นหินแข็งๆ อย่างแรงแบบที่ไม่ทันได้ระวังตัว

“ทำไมท่านพยศกับข้าจังเลยลอร์ดแอนดีส หรือว่าข้าไม่ถูกใจท่าน” ปากถามแต่ช่วงกลางลำตัวกลับกดบดเบียดลงเน้นๆ จนอวัยวะส่วนนั้นได้สัมผัสกัน แม้จะมีผ้าเนื้อหนาของอาภรณ์ที่สวมใส่ขวางกั้น แต่ทั้งสองยังรู้สึกได้ถึงร่างกายที่เสียดสีอย่างล่อแหลม

“เจ้ามันอวดดีท้าทายข้า ทุกอย่างที่ทำเจ้าตั้งใจหยามเกียรติข้า”

“ไม่จริง ข้าจะทำไปทำไม ข้าแค่อยากให้เราสนุกกันแบบวันนั้น”

“สนุกของเจ้าไปคนเดียวเถอะ ทำไมต้องลากข้าออกมาต่อหน้าคนมากมายอย่างนั้น”

ได้ยินเสียงลอร์ดหนุ่มกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ เลนนี่ยิ่งร่นระยะห่างของใบหน้าลง จนตอนนี้เกิดความชิดใกล้ในแบบที่ลมหายใจแสนอบอุ่นเป่ารดผิวเนื้อกันและกันได้ ร่างกายหรือก็บดเบียดอย่างตั้งใจปลุกเร้า ทั้งเชิญชวน ทั้งหลอกล่อ ด้วยว่าอัศวินหนุ่มนั้นมองออกว่าร่างกายของลอร์ดต่างเมืองพระองค์นี้ ช่างตอบสนองเขาได้อย่างรวดเร็วและถึงใจเหลือเกิน

“ไม่มีใครสนใจท่านหรอก”

“แต่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ และตอนนี้ก็ปล่อยข้าได้แล้ว” เพราะแอนดีสเองก็เริ่มจะเมื่อยแล้วที่ต้องเกร็งร่างเพื่อขืนแรงของคนที่กำลังคุกคามคร่อมทับ

“ข้าไม่อยากเดาหรอกนะ แต่ท่านช่วยบอกข้าหน่อยสิแอนดีส ว่าปล่อยแล้วท่านจะฆ่าข้าหรือเราจะมีความสุขด้วยกันก่อน”

“เลิกหวังสูงสักทีเลนนี่ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ โอ๊ยข้าเจ็บนะอัศวินสวะ” แอนดีสร้องเสียงดังเพราะเมื่อบอกให้ปล่อย ลอร์ดหนุ่มก็ดิ้นและยังพยายามจะถีบเลนนี่ให้ถอยห่าง ขายาวจึงถูกเข่าของอัศวินหนุ่มกดลงอย่างแรง

“อยู่ที่มอนทาร์น่าท่านเป็นทหารหรือเปล่าเนี่ย”

“ทำไม”

“แค่นี้ก็เจ็บ”

“ก็เจ้าเล่นทิ้งน้ำหนักทับข้าลงมาทั้งตัวแล้วยังบีบข้อมือข้าเสียแน่น ต้นขาของข้ายังโดนเจ้าใช้เข่าแข็งๆ ของเจ้ากดไว้ด้วยนะอย่าลืม จะไม่ให้เจ็บได้ยังไง”

“หึ ข้ามีอย่างอื่นที่แข็งเหมือนกันแต่ท่านต้องชอบแน่ๆ ถ้าข้าใช้มันกดเข้าไปในตัวท่าน”

“เจ้า! ..”

“ท่านเคยออกรบไหมลอร์ดแอนดีส” มันใช่เรื่องที่ต้องมาคุยกันตอนนี้หรืออย่างไรแอนดีสไม่เข้าใจเลย จึงได้แต่มองด้วยดวงเนตรขวางขุ่น เลนนี่เห็นหลังมือที่มีรอยถลอกของแอนดีส จึงปล่อยข้อมือคู่นั้นแล้วเปลี่ยนมาใช้สองมือประคองแก้มของลอร์ดหนุ่มแทน นิ้วหัวแม่มือหยาบกร้านไล้ไปตามพวงแก้มสากเคราราวกำลังพิจารณา ปากก็ถามคำถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เคยไหม”

“ทำไม” ลมหายใจของแอนดีสสะดุด เพราะเจ้าตัวกำลังแปลกใจที่เลนนี่ดูจะอ่อนโยนขึ้น น้ำหนักที่ทับลงบนร่างกายก็เหมือนจะลดลงไปด้วย

“ท่านเคยได้แผลจากการต่อสู้กับศัตรูบ้างไหม”

“..”

“หรือว่าท่านแค่ซ้อมมือซ้อมดาบตามคนอื่นๆ แต่ไม่เคยได้ใช้มันจริงๆ จังๆ สักที”

“นี่เจ้ากำลังจะบอกอะไรข้าเลนนี่อยู่ดีๆ ก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา”

“เพราะเท่าที่ดูท่านก็มีฝีมืออยู่ไม่น้อยนะ...ในแบบของคนที่เรียนการต่อสู้มาแต่ไม่เคยได้เอามาใช้ต่อสู้จริงๆ “

“เจ้า! ..จะไม่ดูถูกข้าไปหน่อยหรือไง”

“ถ้าท่านไม่เคยต่อสู้แบบจริงๆ จังๆ ก็ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะข้าจะปกป้องท่านเอง”

“หึปกป้องหรือ ปกป้องกษัตริย์น้อยๆ ของเจ้าให้รอดปลอดภัยก่อนดีกว่า” สายตาคมที่ตวัดมองทำให้แอนดีสได้ใจว่าจี้ตรงจุด ลอร์ดหนุ่มแสยะยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทั้งสองพบหน้ากัน แต่ที่จริงแล้วนั่นเป็นเพราะเลนนี่คิดถึงข่าวลือต่างๆ ที่ได้รับมาจากสายข่าวเรื่องการลอบปลงพระชนม์จูเลียน ทั้งการจ้างกลุ่มนักฆ่าจากผู้มีอำนาจกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจในการปกครองบ้านเมือง ทั้งทางมอนทาร์น่าเองก็อยู่ในข่ายผู้ต้องสงสัย แต่ยังมั่นใจอะไรไม่ได้ แม้จะพยายามปิดไม่ให้ข่าวการลอบปลงพระชนม์รั่วไหลออกไปสู่ภายนอก แต่เลนนี่ก็ไม่แปลกใจหากแอนดีสและทางมอนทาร์น่า หรือแม้แต่สวาเนียร์เองจะรู้ แค่ได้ยินแอนดีสพูดแบบนี้อัศวินหนุ่มเลยคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเท่านั้น



“นั่นมันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ตอนนี้แค่มีท่านเพิ่มเข้ามาให้ข้าปกป้องอีกคนจะเป็นไรไป” ผลัวะ!!

“หึ ปกป้องตัวเองก่อนดีไหมล่ะท่านอัศวินผู้กล้า” ผลัก!! ครั้งแรกหมัดลุ่นๆ ต่อยเข้าที่ปลายคางเต็มๆ เล่นเอาเลนนี่งงเล็กน้อย แต่พอตามมาด้วยฝ่าเท้าหนักๆ ถีบเข้าตรงหน้าท้องจนต้องผงะถอย จึงสร้างความจุกให้มากทีเดียว

อัศวินหนุ่มนั่งพิงผนังหินกุมท้องบรรเทาความจุก ส่ายหน้าน้อยๆ กับแววตาเจ้าชู้ที่กำลังมองมาอย่างเยาะหยัน “เล่นแรงอีกแล้วนะแอนดีส”

“เจ้าต้องเรียกข้าว่าลอร์ดแอนดีส”

“เมียข้า” ผลัวะ!! คำเรียกขัดใจทำให้แอนดีสตวัดเท้าที่สวมด้วยรองเท้าขี่ม้าหนังอย่างดีพื้นแข็ง เสยเข้าที่สันกรามข้างที่โดนคมดาบข่วนจนเลนนี่หน้าหันตามแรงฟุบลงแทบพื้นหิน แอนดีสไม่รอให้อีกคนได้ทันตั้งตัว กระโจนเข้ากระชากร่างกำยำขึ้นมาซ้ำทันที

ปึก!! อุก!

“หึ เจ้าเองก็ไม่เท่าไหร่หรอกเลนนี่” แอนดีสประเคนให้ทั้งหมัดทั้งเท้าจนเลนนี่สะบักสะบอม เสื้อผ้าที่เคยดูดีมอมแมมเปื้อนไปด้วยฝุ่น ใบหน้าหล่อเร้าใจแต่ดูขี้เล่นอย่างคนอารมณ์ดีปูดบวม และเต็มไปด้วยเลือดจากรอยแตกตั้งแต่หางคิ้ว จมูกและมุมปาก ดูเหมือนอัศวินหนุ่มจะไม่ไหวแล้วแอนดีสจึงถีบเข้าที่ท้องอีกครั้ง ร่างกำยำเซถอยลงไปกองกับพื้น มีดพกประจำตัวเล่มเล็กถูกดึงออกมาใช้งาน

ร่างกำยำที่สะบักสะบอมถูกประคองราวกับว่าจะได้รีบความเมตตา ด้วยการกระชากคอเสื้อรั้งให้ลุกขึ้นพิงผนังหิน ทั้งที่มีดคมวาววับยังอยู่ในมือ และมันถูกดึงออกมาเพื่อปลิดชีพ แอนดีสขยุ้มคอเสื้อเลนนี่ด้วยมือข้างเดียวออกแรงกดหน้าอกแกร่งของอัศวินหนุ่มให้พิงหลังกับผนังหิน รอยยิ้มแสยะออกมาอย่างคนเหนือกว่า เมื่อขยับเข้ามากระซิบใกล้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน “เสียใจด้วยนะเจ้าอัศวินชั้นต่ำ แต่เวลาของเจ้ามันหมดลงแล้ว”

เลนนี่ยิ้มมุมปากเบี่ยงหน้าหลบไปด้านข้างแล้วถุยน้ำลายปนเลือดออกมา “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่เสียดายชีวิตเลย ถ้าต้องตายด้วยฝีมือเมีย...”

“เลนนี่! จะตายอยู่แล้วยังอวดดี”

“แต่หลังจากที่เรามีความสุขถึงสวรรค์ด้วยกันแล้วนะเมีย หึหึ”

“เจ้า!! ..อุก!! “แอนดีสจุกจนตัวงอเมื่อคนที่คิดว่าสิ้นฤทธิ์แล้วต่อยเข้าที่ท้องหนักๆ เน้นๆ ข้อมือถูกกระชากบิดไขว้จนเจ็บ มีดเล่มเล็กที่ถืออยู่ในมือถูกแย่งไปโดยไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ และมันก็ถูกนำมาใช้กับเจ้าของของมันเอง เมื่อเลนนี่รุกกลับมาทั้งหมัดที่เสยเข้าปลายคาง และเท้าที่เตะตัดต้นขาจนแทบสิ้นแรงยืน มีดคมเล่มเล็กตวัดผ่านร่างหนั่นแน่นกล้ามเนื้อของลอร์ดหนุ่ม แต่ไม่ใช่เพื่อการทำร้ายให้บาดเจ็บ เพราะเลนนี่แม้จะโต้กลับ ก็ใช้เพียงหมัดและเท้า ส่วนมีดคมในมือเขาใช้มันเฉือนอาภรณ์ที่ลอร์ดหนุ่มสวมใส่จนเนื้อผ้าหลุดออกจากร่างทีละชิ้น

“เจ้า ไอ้อัศวินชั้นต่ำ!” แอนดีสก้มมองร่างกายช่วงบนของตัวเองก็สบถด่าเสียงดังลั่น ร่างหนั่นแน่นกล้ามเนื้อสมชายชาตรีน่ามองนั้น ช่วงบนประดับด้วยอดีตของอาภรณ์หรูหราสมฐานะเจ้าชาย ที่ตอนนี้มันกลายเป็นเศษผ้าพาดเกะกะอยู่บนร่างกาย แอนดีสกระชากมันออกอย่างหงุดหงิด แต่เลนนี่เพียงยิ้มพรายให้เหมือนคนกำลังมีความสุข ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยเลือดสำหรับคนอื่นอาจจะคิดว่ามันน่าสยดสยอง แต่ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่ากลับสะใจที่สุด

ในความกรุ่นโกรธมีความสะใจระคนตื่นเต้น ความรู้สึกแปลกๆ ก่อเกิดขึ้นมาในร่างกายที่เจ็บซ้ำจากการต่อสู้ แต่ลึกๆ ในใจลอร์ดหนุ่มรู้ว่ามันแตกต่าง และเขาต้องสลัดความรู้สึกนั้นออกไปจากตัวเอง เมื่อเลนนี่โยนมีดในมือทิ้งแล้วก้าวเข้ามาหาช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนเลือด และมือที่ปลดเปลื้องอาภรณ์ให้ตัวเองออกทีละชิ้น โดยสายตาไม่ได้ละไปจากการสบตากับแอนดีส สายตาที่เชิญชวนหลอกล่อ สายตาที่เหมือนจะมีอำนาจบางอย่างสะกดให้ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าไม่สามารถหลบ หรือเบี่ยงเบนไปมองทางอื่น นอกจากจำต้องสบตากับดวงตาคู่คม

ร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มฉกรรจ์ที่ยืนสง่าอยู่ตรงหน้า มันดูน่ามองเมื่อถูกโลมเลียด้วยแสงวับแวมจากคบไฟ ที่ถึงแม้มันจะถูกทิ้งไว้บนพื้นอย่างไม่ไยดี แต่ก็ยังทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยม แม้แสงของมันจะวูบไหว แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ภาพที่เห็นดูน่ามอง มันดึงดูดสายตาจนลอร์ดหนุ่มมองเพลิน ทุกองค์ประกอบของร่างกายสมบูรณ์แบบ สวยงามราวกับรูปปติมากรรมของเทพเจ้าที่สลักขึ้นมาจากช่างฝีมือเอก ไหล่กว้างดูผึ่งผายรับกับหน้าอกแกร่งที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ หน้าท้องดูเกร็งจนขึ้นเป็นลูกคลื่น ต่ำลงจากแอ่งสะดือตื้นคือหน้าท้องแบนราบอันเป็นส่วนประกอบที่เข้ากัน จนถึงกลางลำตัวที่มีสัญลักษณ์แห่งความเป็นชายอวดเด่นเป็นสง่า และมันส่งผลต่อการหมุนเวียนเลือดภายในร่างกาย ภาพที่เห็นกระตุ้นให้เกิดการสูบฉีดเดือนพล่านราวกับลาวาร้อนที่กำลังปะทุ ไออุ่นของผิวเนื้อที่เพิ่งร้างจากเสื้อผ้าอุ่นจนรู้สึกได้ เมื่อร่างกายกำยำเข้ามาประชิดจนเนื้อแนบกัน

แอนดีสเหมือนหลงอยู่ในมนต์สะกดของดวงตาคู่คม มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ริมฝีปากถูกครอบครองอย่างเร่าร้อน นาสิกประสาทรับกลิ่นคาวเลือดคลุ้งอยู่ในปากและรอบตัวเข้าเต็มๆ

ต่อ.....

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
“อื้อออ” แต่อะไรก็ไม่น่าเจ็บใจเท่าร่างกายตัวเองและก้อนเนื้อในอก ที่มันเต้นกระหน่ำเมื่อได้รับสัมผัสแรก แม้สมองสั่งให้ผลักไสตอบโต้กลับไปให้หนัก แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำอะไรนอกจากรอรับสัมผัสอันคุ้นเคย ที่พอรู้ว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น แอนดีสก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกตื่นเต้นที่ก่อเกิดขึ้นมาจากส่วนลึกในใจได้ ยิ่งเมื่อเห็นร่างกายกำยำสวยงามตามแบบผู้ชายฉกรรจ์ ที่เจริญเติบโตเต็มวัยหนุ่มเปลือยเปล่า มันเร้าใจจนไม่อยากแม้แต่จะละสายตาหรือขยับตัวหนี

“ไม่ต้องกลัวหนาว อีกเดี๋ยวท่านจะร้อนเป็นไฟไปทั้งตัว” ถ้าให้แอนดีสเป็นไฟเลนนี่ก็เป็นเชื้อไฟอย่างดี พอมาเจอกันมันก็คือไฟราคะที่ลุกโชนแผดเผา และการจะทำให้มันมอดดับลงก็ต้องเสร็จสมกันไปทั้งสองฝ่าย ร่างหนั่นแน่นถูกสัมผัสด้วยมือหยาบกร้านเพราะจับแต่อาวุธของอัศวินหนุ่ม ที่เข้าประชิดแนบเนื้อและลูบไล้ไปตามแผ่นหลังกว้าง ริมฝีปากร้อนผละจากจูบดูดดื่มลึกซึ้งขบกัดลงมาตามลำคอ ทิ้งรอยคมเขี้ยวที่บ่งบอกถึงความร้อนแรงไว้เป็นทาง มือที่ลูบไล้แผ่นหลังเหมือนกำลังสำรวจ ตอนนี้ลงไปวุ่นวายอยู่กับกางเกงของลอร์ดหนุ่ม และเลนนี่ก็ถอดมันออกจากสะโพกแน่นอย่างง่ายดาย

แอนดีสกำลังอ่อนระทวยเพราะถูกปากที่อ้ากว้างครอบครองพื้นที่รอบยอดอกเม็ดเล็ก แล้วใช้ฟันครูดนวลเนื้อรอบบริเวณเข้ามาขบกัดเอาไว้ให้เจ็บปนเสียว แต่ที่ทำให้แอนดีสแทบกรีดร้องครวญครางออกมา ก็ตอนที่ปลายลิ้นเรียวตวัดเลียเม็ดสีชมพูอ่อนอย่างหยอกเย้าอยู่ภายใน เลนนี่ทำแบบนั้นสลับกันทั้งสองข้างอย่างทั่วถึง จนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายทั่วบริเวณที่ประดับรอยฟัน

“ยะ อย่า..”

“ท่านไม่ได้ตั้งใจจะห้ามจริงๆ หรอกใช่ไหม ลอร์ดแอนดีส”

“ออกไป ถอยออกไป ปล่อยข้า” ตรงกันข้ามเลนนี่เดินหน้าดันให้แอนดีสถอยหลัง จนร่างสูงสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่สูงพอดีต้นขา แอนดีสจึงได้โอกาสทิ้งน้ำหนักนั่งลงไปอย่างหมดทางหนี

“หึ” เลนนี่หลุบสายตาลงต่ำมองสิ่งที่อยู่ในมือที่กำลังพองขยายตัวอย่างรวดเร็ว และที่บ่งบอกว่าเจ้าของมันกำลังมีความต้องการมากแค่ไหน ก็ตรงส่วนปลายป้านที่ร่องกลางเยิ้มฉ่ำไปด้วยน้ำใสไหลปริ่มยอด “เมื่อไหร่ปากกับใจท่านจะตรงกันลอร์ดแอนดีส”

ท้ายเสียงสั่นพร่าทำให้เจ้าของชื่อใจเต้นกระหน่ำอย่างควบคุมไม่ได้ ยิ่งเมื่อพูดจบอัศวินหนุ่มก้มลงมาดูดปากสอดลิ้นกวาดต้อนแล้วกัดอย่างแรง ยิ่งทำให้เลือดในกายลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าเดือดพล่านปั่นป่วน จนเจ้าตัวกลัวว่ามันจะระเบิดออกมา แต่จะให้สมยอมง่ายๆ ก็ดูจะไม่ใช่คนอย่างแอนดีสสักเท่าไหร่ “ปล่อยข้า เจ้าอัศวินชั้นต่ำ!”

“ปล่อยข้า หรือปลดปล่อยข้าพูดให้ถูกด้วยเมีย”

“เจ้า! ..” แม้จะไม่ยอมรับว่าต้องการสัมผัสจนแทบจะห้ามร่างกายของตัวเองไม่อยู่ แม้ปากจะไม่ตรงกับความต้องการของหัวใจ แม้มือจะตอบสนองด้วยการขยุ้มเส้นผมหนานุ่มเอาไว้แน่น และเรียวลิ้นที่ตวัดเกี่ยวรัดเอาลิ้นของอัศวินหนุ่มมาดูดดึงขบกัด ไม่ยอมรับแม้ว่าเลนนี่จะพูดอย่างรู้เท่าทันความต้องการ แต่เพราะแอนดีสยังขัดใจที่ถูกเรียกว่าเมีย จึงตวาดกลับเสียงแหบพร่า ยังไงก็ไม่ยอมรับแต่โดยดีจนกระทั่ง..

“อ๊ะ! เลนนี่! ซี้ดด อ่า” เสียงเหมือนตกใจหลุดออกมาตามด้วยเสียงครางกระเส่า แอนดีสยังขัดใจกับคำเรียกขานของอัศวินหนุ่ม แต่ยังไม่ทันได้ต่อต้านประท้วงหรือต่อว่า ความแข็งแกร่งก็ถูกครอบครอง เลนนี่นั่งคุกเข่าลงตรงหน้าแอนดีส เพื่อครอบครองแท่งรักที่แข็งผงาดให้ด้วยปาก ลิ้นร้อนไล้เลียทั้งดูดกินราวกับหิวโหยมาแรมปี

“อืม”

“ซี้ดด เจ้ามันสารเลว อ๊ะ” สิ้นเสียงบริภาษสั่นๆ แอนดีสถึงกับหลุดเสียงร้องดังลั่นออกมา เพราะดูเหมือนว่าจะถูกลงโทษในทันที เลนนี่คำรามอยู่ในลำคอเบาๆ อย่างพอใจ คำพูดประท้วงหาได้มีความสำคัญไม่ เพราะมือของแอนดีสทำในสิ่งตรงข้าม นอกจากจะไม่ผลักไสแล้วยังกดให้เลนนี่ครอบปากอมส่วนแข็งตั้งลงลึกจนสุดโคน ส่วนปลายป้านทิ่มแทงลึกแทบทะลุลำคอ

ขณะที่ปากของเลนนี่เรียกความสนใจทั้งหมดของแอนดีสไปยังกลางกายของตัวเอง ที่กำลังได้รับการปรนเปรออย่างถึงใจ มือของอัศวินหนุ่มก็ไม่อยู่สุข เพราะช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ยังเหลือติดกายออกให้จนหมด ตอนนี้แอนดีสจึงร่างกายเปลือยเปล่าล่อนจ้อนท้าลมหนาวภายนอก

“อื้อออ อ่าส์” แอนดีสเด้งสะโพกตามจนตัวแอ่นออกมาข้างหน้า เมื่อส่วนที่ถูกครอบครองถูกดูด ขณะที่เลนนี่ยืนขึ้นเต็มความสูงและปล่อยแท่งรักหลุดจากปากในที่สุด อัศวินหนุ่มถอยห่างพลางกวาดตามองร่างหนั่นแน่นกล้ามเนื้อ ที่ประดับด้วยรอยขบกัดกระจายไปทั่วตั้งแต่ลำคอ หน้าอก ไปจนถึงหน้าท้อง และต้นขาด้านใน ร่างหนั่นแน่นเกร็งเพราะแรงปรารถนากำลังลุกโชนจนขึ้นรูปสวยงาม สรีระที่ไม่ถึงกับกำยำล่ำสันแต่ก็น่ามองตามแบบชายหนุ่มเต็มวัยฉกรรจ์ ยิ่งถูกโลมเลียด้วยแสงสีส้มอ่อนจากคบไฟ ยิ่งส่งให้ร่างนั้นน่าขย้ำให้แหลกคามือ

ตอนนี้ทั้งสองเปลือยเปล่าเท่ากัน อัศวินหนุ่มยืนหอบด้วยความตื่นเต้นสายตาจับจ้องร่างงามตรงหน้า ส่วนแอนดีสเองก็ไม่แพ้กัน ทั้งสองต่างคนมองร่างกายของกันและกันอย่างไม่รู้ตัว ว่าถูกสรีระของอีกคนตรึงสายตาไว้อย่างสิ้นเชิง มันเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างหยุด แต่ความกระสันที่อยู่ภายในกำลังสร้างความปั่นป่วน

“เจ้าต้องการอะไร” แอนดีสถูกความปรารถนากระตุ้นอย่างหนักจนต้องเอ่ยปากถามก่อน เพราะยิ่งมองร่างกำยำในแสงสลัวสีส้มที่โลมเลียไปตามมัดกล้าม อารมณ์เสน่หาต้องการจากส่วนลึกยิ่งเรียกร้องให้รีบสนองความอยาก คำถามเหมือนหาเรื่องแต่คนฟังยังจับความสั่นพร่าเสนาะหูได้ดี

เลนนี่ยกยิ้มกรุ้มกริ่มหลุบสายตาลงมองส่วนกลางกาย ที่กำลังนวดเฟ้นสลับกับการสาวมืออย่างเป็นจังหวะให้ตัวเอง มันแข็งผงาดเต็มที่อวดปลายป้านบานเบ่งไม่น้อยหน้ากัน ความแข็งตระหง่านของเลนนี่กำลังชี้หน้าลอร์ดหนุ่มอย่างท้าทาย และนั่นทำเอาเจ้าของร่างหนั่นแน่นที่กำลังจ้องมองตามมือที่สาวรูด เผลอกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่

เลนนี่สบตาแอนดีสด้วยแววตาโชนแสงปรารถนา แต่ที่ทำให้ลมหายใจแทบสะดุดก็คงเป็นเสียงแหบพร่าที่เอ่ยบอกอย่างเว้าวอน “หากท่านจะเมตตาข้าบ้าง”

“หึ ได้สิ” แอนดีสแย้มยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย กระดิกนิ้วชี้เรียกให้เลนนี่ขยับเข้ามาใกล้ และอัศวินหนุ่มก็ก้าวเข้าหาตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

กึก! เท้าใหญ่ยกขึ้นดันไว้บนหน้าอกกว้างของอัศวินหนุ่ม ที่เดินเข้าหายังไม่ถึงรัศมีที่สัมผัสกันได้ด้วยซ้ำ ดวงตาขี้เล่นของเลนนี่เบิกกว้างแต่ไม่ใช่เพราะความตกใจ เขากำลังลิงโลดในความตื่นเต้น เพราะเดาไม่ถูกเลยว่าแอนดีสกำลังจะทำอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือลอร์ดหนุ่มกำลังสนุกที่ได้ท้าทายและตื่นเต้นไม่แพ้กัน

ภาพชายหนุ่มร่างกายหนั่นแน่นนั่งเอนหลัง มือสองข้างยันพื้นรับน้ำหนักตัว โดยขาข้างหนึ่งยกขึ้นยันที่หน้าอกช่างน่ามองยิ่งนักในความคิดของเลนนี่ และอัศวินหนุ่มก็มองภาพนั้นด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความหิวกระหายขึ้นทุกขณะ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เคยมีแววขี้เล่นอยู่เป็นนิจทอแสงบางอย่าง ในแบบที่แอนดีสเห็นแล้วต้องขนลุกเกรียว ความรู้สึกกระสันอยากแล่นวูบวาบไปทั้งตัว ยิ่งดวงตาคู่นั้นไล่มองตั้งแต่ฝ่าเท้าที่ทาบยันอยู่กลางอก ลงไปตามท่อนขาแข็งแรงเรียวยาวจนถึงกลางลำตัว ที่มีแท่งรักขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอวดส่วนปลายป้านที่บานเบ่งอย่างน่ามอง เห็นสายตาเลนนี่มองจุดนั้นอย่างคนหิวกระหาย แอนดีสยิ่งได้ใจ ลอร์ดหนุ่มแสยะยิ้มเมื่อแยกขาอีกข้างที่ยันพื้นออกกว้าง เผยให้เห็นพวงถุงที่ห้อยย้อย และช่องทางรักที่เชิญชวน จนเลนนี่ไม่อาจละสายตาไปมองส่วนอื่น

“หึ” แอนดีสแค่นเสียงหัวเราะเมื่อเลนนี่พยายามก้าวเข้าหา ทั้งที่ยังมีฝ่าเท้ายันอยู่บนแผ่นอก อัศวินหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเมื่อมองหน้าเจ้าของเท้าอย่างแปลกใจ แต่ความสงสัยก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อเท้าข้างนั้นลดต่ำลงเรื่อยๆ ตั้งแต่แผ่นอกกว้างแกร่งผ่านหน้าท้องที่เกร็งจนเป็นลอนคลื่น ลงไปจนถึงส่วนแข็งขืนของแท่งรักที่ตั้งโด่ ฝ่าเท้าข้างนั้นบดลงกับท่อนลำใหญ่แข็งแกร่งเหมือนกำลังลงโทษที่มันบังอาจชี้หน้า แอนดีสใช้ฝ่าเท้ายันแท่งรักกดแนบผิวเนื้อที่ปกคลุมด้วยเส้นโลมาสีน้ำตาลอ่อน ความแข็งร้อนที่อยู่ใต้ใจกลางฝ่าเท้าให้ความรู้สึกแปลกใหม่จนลอร์ดหนุ่มเนื้อเต้น ฝ่าเท้าบดคลึงไม่ออมแรง แต่กลับเรียกเสียงครางสั่นที่ไม่ค่อยจะได้ยินดังออกมาจากปากยอดอัศวินได้ทันที

“ซี้ดด เมียข้าไม่คิดว่าท่านจะร้อนแรงขนาดนี้”

“หึ”

“อ่าส์” เลนนี่จับข้อเท้าแอนดีสไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง อัศวินหนุ่มเชิดหน้าร้องครางรับความเสียวซ่านจากการบดคลึง สายตาจับจ้องอยู่กับสรีระเย้ายวนอารมณ์ ของชายที่ปรารถนา

ยิ่งถูกนวดคลึงด้วยฝ่าเท้านุ่มแท่งรักของเลนนี่ยิ่งแข็งและร้อน และก่อนที่มันจะปริแตกออกเป็นเสี่ยง เจ้าของเท้าก็เปลี่ยนเป้าหมายลงมาคลึงที่พวงรักด้านล่าง ข้อเท้าหมุนให้ปลายเท้าสัมผัสกับพวงรักเล่นราวกำลังหยอกล้อ แอนดีสกัดริมฝีปากล่างของตัวเองทั้งที่ยังยิ้มยั่ว นัยน์ตาพราวที่จิกมองเห็นว่าเลนนี่กำลังทำหน้าราวกับทรมาน ความทรมานที่เสียวซ่านแต่ร่ำร้องต้องการ

“หึ ชอบหรือไง”

“เมียข้า ท่านกรุณาข้าเหลือเกิน อืมม”

“หึ อ๊ะ” ดูเหมือนเลนนี่จะทนไม่ได้แล้ว ข้อเท้าที่เขากำลังจับอยู่จึงถูกยกขึ้นมาพาดไว้บนไหล่ อัศวินหนุ่มจูบและตวัดลิ้นเลียฝ่าเท้านั้นราวกับทาสผู้หลงใหล ไล้ลิ้นเลียจนพอใจแล้วจึงไล่จูบลงไปตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงส่วนกลางลำตัว

“ซี้ดดด อ่าส์” แอนดีสเชิดหน้าปล่อยเสียงครางสมใจ เมื่อเลนนี่ไล้ลิ้นเรียวตวัดไปทั่วไม่เว้นแม้แต่ช่องทางลึกลับด้านหลัง และกลับมาอ้าปากครอบส่วนปลายป้านของลอร์ดหนุ่มอีกครั้ง ไล้ลิ้นวนรอบๆ แล้วครอบปากลงที่ส่วนหัว ดูดหนักๆ ไปทีแล้วจึงยืดตัวขึ้นมอบจูบร้อนแรง ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าตอบรับราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงฝันและ

“อ๊ะ เลนนี่! “

“แน่นจังเลยเลยเมียข้า” อัศวินหนุ่มสอดใส่ตัวเองเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว เล่นเอาแอนดีสเบิกตากว้างตวาดเสียงดัง แต่มือสองข้างกลับรั้งต้นคอหนาไว้แน่น สะโพกสอบที่รองรับส่ายหามุมเหมาะ

“ซี้ด จะ เจ็บ มันเจ็บ อ่าส์”

“อืม ก็ท่านชอบ อย่าเพิ่งรัดสิข้ายังเข้าไปได้ไม่หมดเลย” เลนนี่ถอนความแข็งผงาดของตัวเองออกมาเพียงเล็กน้อยก็ดันเข้าไปใหม่ แต่เพราะความคับแน่นอัศวินหนุ่มจึงต้องทำช้าๆ ให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“เซอร์เลนนี่”

“ฝ่าบาท” เลนนี่ขานรับพลางถอนตัวเองถอยออกไป และครั้งนี้มันเรียกเสียงร้องดังลั่นจากปากลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าได้ทันที เพราะอัศวินหนุ่มเสือกไสตัวเองเข้ามาเกือบมิดลำ

“อ๊ะ โอ๊ย เซอร์เลนนี่ เจ้า เจ้ามันสารเลว ทำไมไม่บอกข้าก่อน อึก อ้าส์”

“ท่านชอบหรือไม่ ท่านลอร์ด”

“..” แอนดีสไม่ตอบว่าชอบหรือไม่ชอบ เพราะเขากดท้ายทอยของเลนนี่เข้ามาจูบอย่างร้อนแรงไม่แพ้กัน ทั้งจูบทั้งดูดสลับกับการขบกัดจนต่างคนต่างก็ต้องสูดปากอย่างเสียวกระสัน จูบปนเลือดที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเลือดใครเป็นเลือดใคร เพราะต่างคนต่างก็ไม่ได้สนใจมันมากไปกว่าการตอบสนอง ที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าต้องการในสิ่งเดียวกัน

เพราะยังประสานร่างกายใส่กันไม่สุดลำ เลนนี่ถูกความคับแน่นบีบรัดจนแทบขาดใจ เจ้าของร่างกำยำถอดถอนตัวเองออกไปอีกครั้งจนเกือบสุดความยาว แต่กระนั้นก็ไม่ยอมให้ร่างกายหลุดจากกันไปเสียทีเดียว อัศวินหนุ่มแช่ค้างตัวเองเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ ไม่ยอมเสือกไสกลับเข้าที่ไปสักที เป็นแอนดีสเองที่ทนรอต่อไปไม่ไหว ลดมือทั้งสองข้างจากการเกี่ยวรั้งต้นคอลงมาวางที่บั้นท้าย และไม่ทันที่เลนนี่จะได้ทำอะไรต่อ สะโพกของเขาก็ถูกกดดันบังคับให้ส่วนแข็งขืนด้านหน้าแทงทะลวงเข้าไปในร่างของลอร์ดหนุ่มจนสุดลำ

“ข้า อะ อื้ออออ”

“ซี้ดดด ท่านทำไม หึหึ แอนดีสนอกจากจะร้อนแรงแล้วท่านยังใจร้อนเป็นบ้า”

“สักทีเถอะน่าเลนนี่หยุดพูดมาก”

“ตามประสงค์เมียข้า”

“อะ เลนนี่ ซี้ดดด เจ้า.. อ่าสสส์”

อัศวินหนุ่มโจนจ้วงท่วงทำนองและลีลารัก ใส่เข้าไปในตัวเจ้าชายแห่งมอนทาร์น่ารัวเร็วไม่ยั้งแรง เสียงเนื้อกระทบกันดังแข่งกับเสียงครางหอบ เรียกความฮึกเหิมลำพองใจ เร่งให้ตอกอัดตัวตนแข็งผงาดเข้าใส่ช่องทางรักที่เปิดรับ แอนดีสครางหอบเสียงดังอย่างไม่เก็บอารมณ์ ด้วยว่าความสุขสมจากความเสียวกระสันกำลังพาไปสู่จุดหมายปลายทางของอารมณ์อยากรุนแรงยากจะฉุดอยู่ ช่องทางรักเสียดสีแสบร้อนผะผ่าวเมื่อผสมกับความเสียวซ่านจากภายใน ทำให้แอนดีสยิ่งเหมือนได้ใจและหลงระเริงในอารมณ์ กลิ่นคาวเลือดที่ยังคละคลุ้งผสมกลิ่นเหงื่อที่ปะปนกัน กระตุ้นความกำหนัดในร่างกายให้หลุดลอย

ร่างลอร์ดแห่งมอนทาร์น่าโยกคลอนไปตามแรงกระแทกที่อัศวินหนุ่มส่งเข้าหา ขาข้างหนึ่งที่เหยียดตรงมีท่อนแขนกำยำกอดประคองไว้ให้พาดอยู่บนไหล่แกร่ง ส่วนอีกข้างถูกจับแยกออกให้อ้ากว้าง เลนนี่จึงสามารถส่งท่อนลำเข้าไปได้ลึกขึ้น ยิ่งลึกยิ่งรัวแรงกระแทกเร็ว เสียงครวญครางสุขสมก็ยิ่งดังถี่ ระดับความดังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนดังก้องกังวานแข่งกันอยู่ในห้องใต้ดินแห่งนี้ ที่มีเพียงคบไฟเป็นพยานความเร่าร้อน คบไฟที่ยังทำหน้าที่ให้แสงสว่างสีส้มภายในรัศมีได้เป็นอย่างดี เพราะทำมาจากส่วนผสมของยางไม้ชนิดพิเศษ ที่ช่วยให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น ตั้งแต่แรกจนมาถึงตอนนี้ที่แสงไฟเริ่มอ่อนลง แต่นั่นกลับทำให้ภาพของร่างกายกำยำที่กำลังควบแรงรักถาโถมเข้าใส่ร่างหนั่นแน่น ดูเป็นภาพที่สวยงามราวกับกำลังอยู่ในม่านเมฆบางเบา แสงสีส้มอ่อนนวลตาตกกระทบสองร่างที่กำลังฟาดฟันเข้าใส่กัน ด้วยบทรักเร่าร้อนจึงน่ามองยิ่งขึ้น

“เลนนี่”

“ซี๊ดด แอนดีส สวนมาแรงๆ “

“เจ้า..อ๊ะ” ฟังจากเสียงเหมือนจะไม่พอใจ แต่แอนดีสทำตามที่เลนนี่บอกทุกอย่าง ยิ่งตอนอัศวินหนุ่มลดจังหวะลงถอนตัวเองออกช้าๆ จนเกือบสุด แล้วกระแทกเข้ามาเน้นๆ สลับกันอยู่หลายครั้ง ยิ่งเรียกเสียงขัดใจจากแอนดีสไอ้ทุกครั้ง เสียงขัดใจ..? ใช่ เสียงของแอนดีสเหมือนขัดใจ แต่ก็เด้งตัวสวนรับเหมือนชอบใจจนเลนนี่แสยะยิ้มสมใจ

“ท่าน ชอบแบบนี้สินะ” เลนนี่พูดทีละคำช้าๆ เมื่อถอดถอนตัวเอง และกระแทกกลับเข้ามาใหม่เน้นๆ เหมือนย้ำว่าเขารู้ทันรสนิยมของแอนดีสเข้าแล้ว และลอร์ดหนุ่มก็ไม่ปฏิเสธเพราะครางรับเสียงสั่นเสียว

“อืมม เลนนี่ อยะ อย่า อย่าเพิ่งหยุด อ่าส์”

“อยากให้ข้าทำแบบไหนละ” แววตาและรอยยิ้มของเลนนี่มันกรุ้มกริ่มยั่วเย้า และบ่งบอกความต้องการเสียจนแอนดีสใจเต้นแรง ความกระสันสั่นคลอนความรู้สึกจนเสียวซ่านไปทั้งตัว

“สารเลว เจ้า มันสารเลว”

“หืม?” เลนนี่ถอนความใหญ่โตออกจากช่องทางช้าๆ และกดเข้าไปใหม่เน้นๆ

“อ๊ะ! เจ้า..แกล้งข้าทำไม”

ความใหญ่โตถูกถอดถอนออกไปอีกครั้งแต่ยังไม่หลุดจากกัน “แค่อยากได้ยินเสียงเมียร้องขอ”

“ข้าไม่..อึก” ก็ถูกกดกระแทกเข้ามาใหม่ในแบบเน้นๆ เช่นเดิม แอนดีสได้แต่ตอบเสียงกระท่อนกระแท่นเหมือนคนมีปัญหากับการพูด ไหนจะยังต้องครางจนปากสั่นเพราะถูกความเสียวจู่โจมตลอด ทั้งจากช่องทางลึกลับข้างหลังและความเป็นชายแข็งขืนที่อยู่ในมือหยาบกร้านของอัศวินหนุ่ม

“บอกสิท่านชอบแบบนี้ใช่ไหม” ถามอย่างใส่ใจส่วนล่างก็ถอนออกจากช่องทางช้าๆ จนเกือบหลุดแต่ก็ไม่หลุด เลนนี่เว้นช่วงให้เสียวซ่าน แล้วกระแทกตัวเองเขาไปเน้นๆ อย่างแรง จนแอนดีสแหงนหน้าอ้าปากครางเสียงสั่น

“อ๊ะ! ซี้ดดด อ่าส์ อืม เลนนี่!”

“ฝ่าบาท”

“ข้าไม่ไหวแล้ว!”

“ต้องการให้ข้าทำยังไง”

“เอาเข้ามา อึก อ่าส์ เข้ามาอีก เร็วๆ ”

“รับบัญชาฝ่าบาท”

“แรงอีกเลนนี่!”

“ซี๊ดดด อ่าส์”

“แรงกว่านี้!”

“อืมมม”

“เร็วๆ ด้วย ข้าใกล้แล้ว อ่าาาาส์” ภาพที่แอนดีสนั่งอ้าขาเอนหลังมือข้างหนึ่งยันพื้นรองรับน้ำหนัก ส่วนมืออีกข้างกระชับมั่นอยู่กับแท่งรักของตัวเอง และชักนำไปตามแรงกระแทกว่าเร่าร้อนมากแล้ว ริมฝีปากบางที่สั่งการอัศวินหนุ่มให้ทำให้ถูกใจนั้นกระตุ้นความปรารถนาได้ดียิ่งกว่า เพราะการร้องขอสลับกับการสูดปากครางเสียวมันเร้าใจน้อยเสียเมื่อไหร่ และเลนนี่ก็รับบัญชามาทำให้อย่างถึงใจ ขาข้างที่พาดไหล่ตกห้อยมีท่อนแขนแกร่งกำยำรองรับไว้ใต้ข้อพับเช่นเดียวกันกับขาอีกข้าง ที่ได้มุมเหมาะแล้วเลนนี่ก็เร่งกระแทกตอกอัดตัวเองเข้าใส่ จนสะโพกแอ่นหยัดไปด้านหน้า ลอร์ดหนุ่มเกร็งตัวสวนรับอย่างเร่าร้อนในอารมณ์

ทุกจังหวะตั้งแต่แรงกระแทกเข้าหาที่สัมพันธ์กับท่าตั้งรับและมือที่ชักรูด หลอมรวมสองร่างที่ขนาดไล่เลี่ยกันให้เป็นหนึ่ง บิดเกรียวจนเหมือนเป็นก้อนเดียวกัน สองร่างเสพสุขเสน่หาถึงคราล่องลอย อารมณ์รักถึงจุดสิ้นสุดที่กล้ามเนื้อขมวดเกร็งกระตุก เหงื่อกาฬซึมผิวสวนทางกับความหนาวภายนอก ลมหายใจหอบราวกับเหนื่อยแสนเหนื่อย แต่บทรักใกล้ถึงฝั่งฝันยังดำเนินไป จนถึงจุดสุดท้ายที่ร่างกายเหมือนถูกดีดขึ้นสู่กลางอากาศ สัมผัสรสรักซาบซ่านเบาหวิวราวกับล่องลอยอยู่ในสายลมอ่อนกลางฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม

“อ่าาาาาส์ เลนนี่ เจ้า...”

“แอนดีส ซี้ดดดด”

บทรักเร่าร้อนจบลงที่จูบปลอบประโลมหวานละมุน ท่อนขาทั้งสองข้างถูกวางลงเป็นอิสระ เลนนี่เปลี่ยนมาประคองที่แผ่นหลังกว้างผลักดันให้ลอร์ดหนุ่มนอนราบไปกับพื้น ส่วนแข็งขืนที่ยังอยู่ในตัวแทงเข้าลึกขึ้นจนเจ้าของช่องทางลับครางเสียวเสียงสั่น ตรงนี้เป็นโต๊ะหินขนาดกว้างที่เคยเอาไว้ทำอะไรสักอย่าง แต่ตอนมันใช้เป็นที่รองรับร่างกายหนั่นแน่นของแอนดีส ที่ดูเหมือนว่าจะหมดแรงหลังจากที่ใช้พลังงานกับบทรักร้อนแรงเต็มที่ ลอร์ดหนุ่มว่าง่ายด้วยการยอมนอนลง หลังที่คิดว่าจะได้สัมผัสกับกับความเย็นของแผ่นหินมีผ้าหนานุ่มรองเอาไว้แทน มันเป็นเสื้อคลุมตัวใหญ่ของเลนนี่ที่แอนดีสไม่ทันสังเกตว่าอัศวินหนุ่มเอามันปูไว้ตั้งแต่ตอนไหน ความอบอุ่นที่ได้รับทำให้แอนดีสผ่อนคลาย ความอิ่มเอมเพราะได้รับการเติมเต็มอย่างเต็มที่เรียกร้องให้หลับตาลง แอนดีสคงเพลียเกินไป หูได้ยินเสียงกระซิบอะไรบางอย่าง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ความมืดเข้าครอบครองสติและดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา



@@@@@@@@@@@@@@@@@@e@



ป้อมปราการทางทิศตะวันออกของวังนั้น เป็นที่พำนักอย่างเป็นทางการของหนึ่งในสี่อัศวินประจำตัวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย ที่เจ้าของป้อมมักจะแวะเวียนมาพักเสมอยามที่ไม่ต้องเข้าเวรอารักขา วันนี้ป้อมตะวันออกได้รับเกียรติจากผู้ชนะการประลองประจำปีในการมาพำนักชั่วคราว เพราะถูกบังคับกลายๆ จากอัศวินเจ้าของป้อมที่กำลังหัวเสีย เพราะแขกที่เชิญมาดันหายหัวออกไปทำเรื่อง หลังจากเสร็จธุระกับลอร์ดแห่งมอนทาร์น่า เลนนี่จำต้องรีบกลับเพราะต้องมาสะสางตัวต้นเรื่องที่ทำให้จูเลียนเรียกตัวด่วน

พอกลับมาถึงป้อมก็เจอเข้ากับตัวต้นเรื่อง กำลังนั่งจิบไวน์อย่างสบายอารมณ์ เลนนี่ถอนหายใจโล่งออกมาเบาๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อัศวินหนุ่มโล่งใจไปทั้งหมดเสียทีเดียว เมื่อเห็นการแต่ตัวของชายพเนจรในชุดของเขาเอง ก็แทบจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้

“นี่เจ้านึกบ้าอะไรไปเอาเสื้อผ้าข้ามาใส่ฮานส์”

“หึหล่อไหมล่ะ ข้าก็อยากเป็นผู้รากมากดีแบบขุนน้ำขุนนางกับเขาบ้างสักครั้ง”

“ที่เจ้าเป็นอยู่นี้ก็เลือกเองทั้งนั้นนี่” เลนนี่หมายถึงคนพเนจร

“แล้วไงล่ะ”

“เจ้าเข้าไปป่วนในวังทำไม” เลนนี่ถามเข้าประเด็นที่ต้องการทันที แต่คำตอบที่ได้รับก็สมเป็นฮานส์เพื่อนรักของเขาจริงๆ

“แค่นึกสนุก”

“หึ ความสนุกของเจ้าเกือบทำให้ตัวเองเดือดร้อนแล้วนะ”

“ทำไมล่ะ ข้าไม่ได้ทำร้ายใครนี่ ส่วนเจ้า...” ฮานส์กวาดตามองไปทั่วใบหน้าฟกซ้ำ ที่ผิวบางส่วนปริแตกเลือดแห้งกรังเหมือนถูกทำร้าย แต่รอยกัดและรอยแดงเป็นจ้ำตามลำคอลงมาจนถึงหน้าอกนั้นดูแตกต่าง เพื่อนรักสวมเพียงเสื้อตัวในไร้เสื้อคลุมหนาใส่ทับ ด้านหน้าสาบเสื้อแยกออกจนเห็นแผ่นอกรำไรเปิดเผยร่องรอย “ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะ”

“ช่างข้าเถอะ แต่คืนนี้เจ้าทำให้จูเลียนไม่พอใจ”

“ข้าทำอะไรไม่ทราบ” ฮานส์คิดถึงจูบที่เขามอบให้ยุวกษัตริย์แล้วก็ต้องหลุดขำออกมาเบาๆ เมื่อคิดไปว่าเขาอาจจะจูบได้ไม่ร้อนแรงถึงใจพอ

“ยิ้มอะไร”

“เปล่า”

“หน้าเจ้ามันไม่บอกอย่างนั้นฮานส์ เจ้าอยากทำอะไรก็ทำแต่อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน จูเลียนไม่เหมือนใคร”

นัยน์ตาของฮานส์แปลกไป รอยยิ้มขำของเขากว้างขึ้น “ใช่..นายของเจ้าไม่เหมือนใคร”

“จูเลียนไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิดหรอกฮานส์ แค่เด็กคนหนึ่ง”

“เด็กเหรอ..” เด็กมากเลยล่ะ

“เจ้าหมายความว่ายังไงฮานส์”

“เปล่าไม่มีอะไร” เลนนี่ถอนหายใจออกมาสุดแรงแล้วหันหลัง เดินกลับออกไปทางเดิม “เพิ่งกลับมาเจ้าจะไปไหนอีกล่ะนั่น”

“เรื่องของข้าสิ”

“เอ๊ะ เจ้าชวนข้ามาพักที่นี่แล้วจะทิ้งให้แขกอยู่กับคนรับใช้หรือไง”

“แขกบ้าๆ อย่างเจ้าอยู่กับคนรับใช้ไปเถอะ”

“เลนนี่เจ้าจะไปไหน”

“ข้ายังมีงาน เจ้าเองก็พักผ่อนซะพรุ่งนี้ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเจ้าอาจจะถูกเรียกตัวเข้าเฝ้า”

“หืม..?”

“..”

“ทำไมต้องเรียกตัวข้าเข้าเฝ้า” อัศวินหนุ่มไม่ตอบคำถามเพื่อน แต่หยิบเสื้อคลุมของตัวเองที่เลนนี่วิสาสะเอาไปใช้แล้วเดินออกจากป้อมไปทันที จุดหมายปลายทางคือห้องใต้ดินที่เขาทิ้งร่างหลับใหลเอาไว้เพียงลำพัง แต่พอมาถึงกลับเจอเพียงความว่างเปล่าและเศษผ้าขาดวิ่น ที่อดีตเคยเป็นอาภรณ์หรูหราของลอร์ดหนุ่ม ส่วนเจ้าของมันหายไปแล้ว เลนนี่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เดินถอยหลังออกไปทางเก่า ตอนนี้ดึกเกินกว่าที่จะกลับป้อมพัก จึงไปนอนยังห้องพักของอัศวินในปราสาทหลวงของจูเลียนแทน



@@@@@@@@@@@@@@@@@

 แบบนี้ไม่รู้ว่าเรียกอะไร ท่านลอร์ดปากบอกไม่ ทำไมกอดแน่นไม่ปล่อย ส่วนท่านเซอร์ก็นะ สำคัญตัวเองซะจริงๆ ยังไงดีล่ะคู่นี้ มาเยอะมาบ่อยเกินไปแล้ว NC ดุๆ มีเลือดตกยางออก แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกดุเดือดเลือดพล่านได้มั้ย! แต่หลังจากตอนนี้ พระนายของเรามันคงจะได้เจอกันบ่อยขึ้น(หรือเปล่า) 5555 นี่อาจจะเป็น NC ส่งท้ายช่วงต้นสำหรับคู่นี้แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเด้อ เพื่อเปิดโอกาสให้คู่อื่นเขาได้ปฏิสัมพัทธ์กันบ้าง เรื่องนี้ไม่ได้ขาย NC นะจริง จริ้งงงงงง แต่คงจะมีมาบ่อยๆ เรื่อยๆ ตามความเหมาะสม และสมใจคนหื่นแน่บอกเลย เพราะมันมีหลายคู่ เรียกว่ามันเป็นวิถีของคนในยุคออสเซนเทีย ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางก็แล้วกัน ที่เซ็กเป็นอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับคนรักกัน แม้ไม่รักก็ยังสำคัญ โถว่าไปนั่น (ตามประสาคนชอบเอาใจคนอ่านหื่น) แต่ในชีวิตจริงคนเรานั้น

'Sex is something improtant but sex not everything' 
จ้าาา
เจอกันตอนหน้าเด่อ

ดาว ณ แดนดิน

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 11 คุกเข่ากล่าวคำสาบานตน



ท่ามกลางเกล็ดหิมะที่โปรยปราย ราวกับปุยนุ่นกำลังตกลงมาปกคลุมเมืองให้ขาวโพลนไปทั่ว และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องจากลา เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน ขบวนเสด็จของแขกบ้านแขกเมืองก็เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองของตัวเอง

“ข้าจะตามไปให้เร็วที่สุดท่านหญิง” นิโคลเหลือบตามองร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ข้างอนาสตาเซีย ลอร์ดหนุ่มทำหน้าที่ส่งแขกจากสวาเนียร์หน้าประตูเมือง ซึ่งไม่ไกลจากตรงนี้ ขบวนเสด็จของมอนทาร์น่าก็กำลังจะเดินทางเช่นกัน โดยมีทาร์เทียน่ารับหน้าที่ดูแล ส่วนจูเลียนเช้านี้หงุดหงิดเกินกว่าจะมีอารมณ์มาส่งใคร

นิโคลรับมือของอนาสตาเซียมาประทับจูบลงที่หลังมือของนาง ช่วยส่งนางขึ้นบนรถม้าแล้วจึงหันมาทางลอเรนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

“หวังว่าจะได้เจอกันเร็วๆ นี้นะ”

“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น และข้าก็หวังว่าท่านคงรู้หน้าที่ตัวเอง”

“ข้าไม่ลืมหน้าที่ตัวเองหรอก เดินทางปลอดภัยนะ”

“ขอบคุณ”

ลอเรนเตรียมจะขึ้นม้าแต่เจ้าของร่างสูงที่ออกมาส่งรั้งแขนไว้ก่อน “ข้าว่าเจ้ายังไม่ควรขี่ม้านะ อย่างน้อยก็จนกว่าจะพ้นเขตหนาวของออสเซนเทีย”

“ข้าขี่ม้าได้สบาย” ลอเรนถอยออกมาจากความใกล้ชิดกับนิโคลอย่างถือตัว ลอร์ดเจ้าบ้านได้แต่อมยิ้มกับระยะห่างที่ถูกสร้างขึ้น แต่ยังเอ่ยทีเล่นทีจริงแสดงความห่วงใย

“อากาศมันหนาวข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่สบายไปซะก่อนจะถึงบ้านนะสิ”

“ข้าสบายดี อากาศหนาวแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

นิโคลยกยิ้มขยับเข้ามาหาคนดื้อกระซิบบอกหยอกเย้า “อย่าดื้อนักสิลอเรน”

“..”

“หากข้าห้ามเจ้าไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเสื้อคลุมอย่าลืมใส่มันด้วย”

“..”

“อ้อ ข้าหมายถึงเสื้อคลุมตัวนั้นนะ ที่ข้าสวมให้เจ้าวันนั้นถึงจะอุ่นพอ”

“ข้ามีเสื้อของข้า ส่วนเสื้อตัวนั้นข้าทิ้งมันไปแล้ว” ลอเรนก็ยิ้มบางๆ ให้เช่นกัน ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ไม่ยอมจำนนและไม่ยอมรับว่าครั้งหนึ่งเคยรับเอาความอบอุ่นของร่างสูงตรงหน้ามา

“ใจร้ายมากนะที่ทิ้งของมีค่าขนาดนั้นได้ลงคอ” นิโคลขยับเข้ามาใกล้ลอเรน และยังไม่ทันที่ลอร์ดแห่งสวาเนียร์ได้ทันระวังตัว ร่างสูงโปร่งภายใต้อาภรณ์หนาหนักก็ถูกรวบเอวแน่น ลอเรนสั่นไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะสิ่งที่นิโคลกระซิบบอกต่างหาก “ดวงตาสีฟ้าสวยๆ ของเจ้ามันบอกข้าว่าเสื้อคลุมตัวนั้นได้รับการเก็บรักษาและดูแลไว้เป็นอย่างดี”

“ก็แค่เสื้อตัวหนึ่งจะไปมีค่าอะไรข้าทิ้งมันไปแล้ว”

นิโคลผละออกแต่อ้อมแขนแกร่งยังเกี่ยวเอวบางให้ร่างกายแนบชิดกัน ทั้งที่ลอเรนพยายามจะดันตัวเองออก แต่เหมือนว่าเจ้าของร่างกายสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะมากไปด้วยพละกำลังที่เหนือกว่า

ลอร์ดแห่งออสเซนเทียยิ้มร้าย “มีสิเพราะมันแทนความอบอุ่นของข้าที่มีให้เจ้า”

“นั่นแหละข้าเลยต้องรีบทิ้งมันไป”

“เดินทางปลอดภัย ลอร์ดลอเรน”

“...” แทนคำเอ่ยลาลอเรนเพียงมองตานิโคลเงียบๆ ด้วยสายตาเย็นชา หวังจะให้มันเป็นการสบตากันครั้งสุดท้าย แล้วขึ้นม้านำขบวนเดินทางจากไป ด้วยว่าตอนนี้สถานะที่เปลี่ยนทำให้ต้องวางตัวต่อกันเสียใหม่ ลอเรนไม่ควรให้ความสนิทสนมกับนิโคลในแบบที่เคยเกิดขึ้น เพราะนิโคลอยู่ในฐานะว่าที่คู่หมั้นของน้องสาวไปแล้ว

***********************

“ทำไมวันนี้กรอสเซ่ไม่มาหาข้าลีโอ” บทกวีในมือถูกวางไว้บนตัก จูเลียนเพิ่งนึกได้ว่าคนรักไม่ได้มาหาเหมือนทุกวัน จึงคาดคั้นเอากับคนรับใช้ประจำตัว

“ลีโอไม่ทราบฝ่าบาท”

“เจ้ารู้อะไรบ้าง” ลีโอหลบสายตาดุของเจ้านาย เพราะไม่มีคำตอบในแบบที่พอใจให้ เมื่อคืนจูเลียนโกรธจนไม่สนใจใครแม้กระทั่งคนรักของตัวเอง “แล้วท่านล่ะเซอร์เลนนี่”

“ฝ่าบาท” เลนนี่ที่ยืนเงียบอยู่นานขานรับ

“ท่านรู้จักเขาหรือไง เจ้าคนลึกลับที่ชนะการประลองนั่น”

“ฝ่าบาทหมายถึงท่านโรฮานส์หรือ” ได้ยินจูเลียนถามถึงคนที่ตัวเองชื่นชมลีโอเลยถามหน้าซื่อ ดวงตาไร้เดียงสาบ่งบอกความตื่นเต้นยินดี

“รู้ดีนะลีโอ”

“ก็ท่านโรฮานส์เป็นผู้ชนะการประลอง เป็นคนมีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ลีโอเพียงชื่นชมเขา”

“แล้วไง ผู้ชนะการประลองของเจ้าอวดดีท้าทายข้า วันนี้ข้าสั่งให้เขามารับโทษ แล้วทำไมข้ายังไม่เห็นเขาอีกเซอร์เลนนี่ เขาอยู่กับท่านไม่ใช่หรือไง”

“ฝ่าบาทโปรดอภัย ข้ากับโรฮานส์รู้จักกันเพราะเรามาจากทางเหนือด้วยกัน และเมื่อคืนข้าเชิญเขาไปพักที่ป้อม แต่ข้ายังไม่ทันได้แจ้งถึงคำสั่งของฝ่าบาท เขาก็จากไปแล้ว” เลนนี่นั้นมาจากตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่งทางตอนเหนือของออสเซนเทีย ที่ถวายความจงรักภักดีต่อราชวงศ์มาโดยตลอด จูเลียนจึงไม่ได้สงสัยอะไร หากอัศวินประจำตัวจะเอ่ยถึงคนที่มาจากถิ่นกำเนิดเดียวกัน

“จากไปแล้วอย่างนั้นหรือ” จูเลียนมองเลนนี่สีหน้าไม่พอใจ “ท่านบอกว่าคนที่ข้าสั่งให้มารับโทษจากไปแล้วอย่างนั้นหรือ เขาขัดคำสั่งข้า” ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะที่คนคนนั้นขัดใจจูเลียน ขัดใจไม่พอยังทำอะไรแปลกๆ ให้จูเลียนนึกสนุกด้วยจนหลงเชื่อใจแล้วยัง..

จูเลียนถอนหายใจหนัก ด้วยว่าเป็นถึงกษัตริย์แต่ดูเหมือนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านี้ก็ยังไม่ได้ดั่งใจ ทั้งคนรักที่รอให้มาหาแต่ก็ไม่มา ทั้งคนอวดทีที่สั่งให้มารับโทษและก็ไม่มาอีกเช่นกัน

“เป็นเช่นนั้นฝ่าบาท” ทำไมคนคนนี้ไม่ได้เกรงกลัวต่ออำนาจกษัตริย์ของจูเลียนเอาเสียเลย ตั้งแต่เมื่อคืนที่ไม่ยอมอยู่รับโทษแต่โดยดี แต่จูเลียนยังไม่ทันได้ไล่เบี้ยมากไปกว่านี้ ก็ต้องหันไปทางใครอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาหา

“สีหน้าพี่ดูไม่ดีเลยนะ” แม้เรื่องที่คุยกันจะทำให้จูเลียนหงุดหงิดจนลืมบทกวีที่ถืออยู่ และถ้วยชาร้อนตรงหน้าก็ถูกเมินจนเย็นชืด แต่พอพี่ชายต่างมารดาเดินเข้ามาก็ทักขึ้นอย่างเป็นกันเอง นิโคลยังเงียบยุวกษัตริย์มองข้ามใบหน้าเรียบเฉยชวนคุยต่อ “หรือว่าไม่พอใจที่แขกบ้าแขกเมืองพากันกลับไปหมดล่ะ”

“ข้าไม่พอใจเพราะเจ้าบกพร่องต่อหน้าที่อีกแล้วต่างหาก”

“ไม่เอาน่านิโคล เมื่อคืนข้าออกตัวกับพวกนั้นแล้วว่าตอนเช้าอาจจะไม่ได้ไปส่ง”

“แต่ยังไงมันก็ดูไม่เหมาะ ถึงยังไงกษัตริย์แห่งมอนทาร์น่าก็ให้เกียรติมา ส่วนสวาเนียร์ถึงตัวกษัตริย์จะไม่ได้มาเอง แต่ผู้แทนก็เปรียบเสมือนตัวกษัตริย์ เจ้าควรให้เกียรติคนที่เจ้าเชิญมา” ท่าทางของนิโคลดูเหนื่อยกับกษัตริย์เด็กไม่เอาไหน

“สภาต่างหากที่เชิญมา”

“ก็เชิญมาในนามเจ้านั่นแหละ”

“ข้าล่ะอยากยุบสภาทิ้งจริงเชียว”

“เจ้าจะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้หรอกนะ”

“ข้าถึงบอกไงล่ะว่าข้าไม่เหมาะที่จะเป็นกษัตริย์ ข้าบอกพี่กี่ครั้งแล้วว่าพี่ต่างหากที่ควรนั่งบัลลังก์” นิโคลถอนหายใจหนักกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่จูเลียนมักยกมาอ้างยามถูกตำหนิว่าละเลยต่อหน้าที่ “แล้วอีกอย่างเช้านี้ข้ามีเรื่องไม่พอใจอยู่ คงไม่เหมาะที่จะออกไปส่งแขกในอารมณ์เช่นนี้หรอก”

“แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรไม่พอใจล่ะ” พี่ชายต่างมารดาถามกลับ สายตามองต่ำที่หนังสือในมือจูเลียน เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงบอกว่ากำลังรอคำตอบอยู่

“กะ ก็”

“ลีโอ” ลีโอค้อมตัวลงเล็กน้อยแทนการขานรับ “นายของเจ้ามีเรื่องอะไรให้ไม่พอใจแต่เช้า จนไม่มีอารมณ์ออกไปส่งแขก” นิโคลถามลีโอแต่ไม่ได้รอคำตอบ ลอร์ดหนุ่มหันกลับมาหาจูเลียน “หรือเมื่อคืนเจ้าอยู่ดึก แต่ก็ไม่นี่ข้าเห็นเจ้าออกมาจากงานเลี้ยงก่อนข้าตั้งนาน”

“ก็..”

“ก็อะไรล่ะ”

“นิโคลพี่จะกดดันข้าทำไมนักหนาเนี่ย ยังไงพวกนั้นก็กลับไปแล้วไม่ใช่หรือไง” นั่นสิพี่ชายที่ใจดีของจูเลียนหายไปไหนเสียแล้ว ทำไมคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าถึงได้เข้มงวดขึ้นอย่างที่ไม่เคยเข้มงวดมากขนาดนี้มาก่อน

“ผิดเพราะข้าเองที่ปล่อยเจ้าเกินไปจนได้ใจ” นิโคลตำหนิตัวเอง

“ก็ข้าบอกแล้วไงนิโคล..”

“พอข้าไม่อยากฟัง!”

“พี่ต้องไม่พอใจอะไรอยู่แน่ๆ “นิโคลสูดลมหายใจยาวเข้าปอด ดูเหมือนว่าเขามีเรื่องให้กังวลใจมากเกินไปเหมือนที่น้องชายตั้งข้อสังเกต “หรือพี่ไม่พอใจที่ว่าที่คู่หมั้นต้องเดินทางกลับ แต่พี่จะตามไปแต่งกับนางเร็วๆ นี้นี่ ทำไมต้องไม่พอใจด้วยล่ะ”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก” นิโคลตัดบท เขาไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นเลยสักนิด

“แล้วพี่จะไปสวาเนียร์เมื่อไหร่” จูเลียนเปลี่ยนเรื่องออกห่างจากตัวเอง แต่คำตอบที่ต้องการยังเกี่ยวกับผลประโยชน์ และแผนการบางอย่างที่วางไว้ในหัวอยู่ดี

“เร็วๆ นี้แหละ”

“เร็วๆ นี้มันวันไหนกันล่ะ ถึงสิบวันไหม” คำตอบของพี่ชายต่างมารดาทำให้พักตร์เรียวผ่องมุ่ยลงอย่างขัดใจ จูเลียนต้องการคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้

“ทำไมเจ้าถึงอยากรู้นัก อยากให้ข้าไปเร็วๆ หรือไง” จูเลียนต้องพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าบางอย่าง เพื่อไม่ให้นิโคลสงสัยว่าตัวเองอาจจะวางแผนทำอะไรบางอย่างลับหลังพี่ชาย แต่มันก็เป็นความจริง

“การไปครั้งนี้ของพี่มันสำคัญนะนิโคล พี่ทำเพื่อบ้านเมืองข้าต้องขอบคุณพี่ไง”

“ไม่ต้องหรอก เจ้าก็รู้ว่าข้าทำตามหน้าที่เท่านั้น ที่ถามนี่คงไม่ใช่วางแผนจะทำอะไรลับหลังข้าอยู่หรอกนะ”

“ข้าจะทำอะไรได้เล่า” ถึงจะตกใจอยู่ไม่น้อยที่พี่ชายเหมือนจะรู้ทัน แต่เรื่องกลบเกลื่อนความคลางแคลงจูเลียนก็ทำมันได้ดีอยู่ไม่น้อยหรอกนะ

“เจ้ามันชอบก่อเรื่อง”

“ข้าเปล่านะนิโคล แล้วนั่นพี่จะไปไหนอีก” จูเลียนร้องถามตามหลัง เพราะพูดจบนิโคลก็เดินออกจากห้องไปไม่บอกกล่าวกันสักคำ นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป “นิโคลยิ่งแก่ยิ่งขี้บ่นนะ เจ้าว่าไหมลีโอ”

ลีโอเพียงยิ้มรับไม่ออกความเห็น ใจแอบค้านว่าลอร์ดนิโคลนั้นยังหนุ่มแน่นแถมยังหล่ออีกต่างหาก แต่ก็รู้ๆ กันอยู่ หากลีโอเอ่ยอะไรที่ขัดใจออกมาตอนนี้ คงโดนจูเลียนเคืองเอาเสียเปล่าๆ เลยทำเพียงยิ้มรับไม่ตอบความ แต่ลีโอก็ต้องร้องถามแทบไม่ทัน เมื่อเห็นจูเลียนวางหนังสือในมือลงลุกจากเก้าอี้ วิ่งตามหลังนิโคลไปหยุดทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างประตู

ลีโอหันไปมองหน้าเลนนี่ แต่อัศวินหนุ่มทำเพื่อยักไหล่คล้ายบอกว่าไม่มีความเห็น “ฝ่าบาท เสด็จไหน”

“ข้าจะออกไปเดินเล่น”

“เดินเล่นแล้วทำไมฝ่าบาทไม่เดินดีๆ ทำไมต้องแอบส่องประตู”

“ก็ต้องดูก่อนสิว่านิโคลไปแล้วจริงๆ “

“ฝ่าบาทหมายความว่า...” จูเลียนยิ้มร้ายนั่นทำให้เด็กรับใช้ผู้รู้ใจอย่างลีโอตาโต “ฝ่าบาทจะออกไปนอกวัง!”

“เก่งมาก ข้าจะออกไปเดินเล่นในเมืองสักหน่อย เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าอารมณ์เสียแต่เช้า ไปกันเถอะเซอร์เลนนี่” จูเลียนยิ้มกว้างพอใจ แต่ลีโอกลับแสดงสีหน้าหนักใจ ที่ได้รู้จุดประสงค์ของเจ้านายเหนือหัว

“ฝ่าบาท หม่อมฉันเกรงว่า...”

“มาเถอะน่าลีโอเจ้าไม่ต้องเกรงอะไรหรอกเพราะเลนนี่กับเฮนริชก็ไปด้วย”

“แต่..” ลีโอหันมาทางเลนนี่ที่เพียงแต่ยืนอมยิ้มเงียบไม่ออกความเห็นอยู่เหมือนเดิม “เซอร์เลนนี่”

“หรือเจ้าไม่อยากไปเดินเล่นกับเซอร์เฮนริชล่ะ” ท่าทางเอียงคอน้อยๆ คิ้วขมวดเพราะหนักใจ ทำให้ลีโอดูเหมือนเด็กไร้เดียงสา แต่ในสายตาของทุกคนลีโอก็ไร้เดียงสาจริงๆ นั่นแหละ

“ทำไมลีโอต้องอยากไปเดินเล่นกับเซอร์เฮนริชด้วยเล่าฝ่าบาท”

“ถ้าเจ้าไม่อยากไปก็อยู่ในปราสาทนี่แหละ”

“ไปสิ หม่อมฉันจะไป” ลีโอไม่รีรอที่จะให้คำตอบเพราะต้องตามติดเจ้านายไปทุกที่อยู่แล้ว แต่จูเลียนกลับเข้าใจไปคนละทาง

“นั่นแน่ แสดงว่าเจ้าก็อยากไปเดินเล่นกับเซอร์เฮนริชใช่ไหมล่ะ”

ลีโอก้มหน้าหลบสายตาจูเลียนที่ทำเหมือนรู้ทัน “ลีโอเปล่า”

“ข้าแค่ล้อเล่นเจ้าทำไมต้องเขินด้วย”

“เปล่านะฝ่าบาท ลีโอเปล่าเขิน”

“เจ้าหน้าแดงนะ”

“ข้าหนาวหรอก”

“เหรอ” น้ำเสียงหยอกเย้าทำให้ลีโอต้องเงยหน้าขึ้นมองจูเลียน และพอเห็นสายตาที่มองมาเหมือนบอกว่ารู้ทัน ลีโอยิ่งพูดไม่ออก ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร พอๆ กับไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องแก้ตัว ลีโออยากพูดอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้จูเลียนเข้าใจผิด แต่ก็ไม่รู้ว่าจูเลียนจะเข้าใจผิดตัวเองด้วยเรื่องอันใด นี่ลีโอกำลังสับสนอะไรอยู่ใช่ไหม

“ทำไมฝ่าบาทคิดว่าลีโอต้องอยากเดินกับเซอร์เฮนริชด้วยก็ไม่รู้” สีหน้าของเด็กน้อยหม่นลงอย่างน่าสงสาร อยากเดินกับเซอร์เฮนริชลีโอก็อยากเดินอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าไปด้วยกันยังไงก็ต้องเดินด้วยกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ลีโอเลยไม่เข้าใจว่าทำไมจูเลียนต้องพูดให้ลีโอไม่เข้าใจด้วย

“ก็ข้าเห็นเจ้าเอาแต่แอบมองเซอร์เฮนริชนี่” ลีโอใจหายวาบที่จูเลียนสังเกตเห็น “อยากเก่งเหมือนเขาใช่ไหมล่ะ เจ้าอยากเป็นอัศวินหรือไงลีโอ เซอร์เลนนี่ก็สอนเจ้าได้นี่” แล้วก็ต้องแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ที่จูเลียนไม่ได้คิดอย่างที่ลีโอกังวล ทั้งสองเดินคุยกันออกมาถึงหน้าปราสาท เลนนี่เดินยิ้มบางๆ ตามมาเงียบๆ เจอกับเฮนริชและราเชลยืนรออยู่พอดี

“ข้าจะไปเดินเล่นสักหน่อย” จูเลียนบอกเพียงเท่านั้นก็เดินนำออกไปเลย เพราะอัศวินมีหน้าที่เดินตามคอยอารักขาอยู่แล้ว เช้านี้มีสามคน ส่วนเดรทิชเข้าเวรยามตรวจตราทั้งคืน ตอนนี้จึงเป็นเวลาพักผ่อนของเขา ลีโอรีบวิ่งตามหลังเจ้านายไปไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเฮนริช ราเชลที่กำลังจะทักทายลีโออ้าปากค้างเพราะเด็กน้อยเมิน อัศวินหนุ่มจึงทำได้แค่ยักไหล่แล้วเดินตามเจ้านายไปเงียบๆ

พอก้าวออกจากประตูวังจะเป็นลานกว้างหน้าจัตุรัสกลางเมือง และถนนสายหลักเส้นนั้นถือเป็นศูนย์กลางของเมืองหลวง แม้เทศกาลและงานประจำปีจะผ่านไปแล้ว แต่ในเมืองก็ยังคงความคึกคัก และคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาอยู่เช่นเดิม ทั้งชาวพื้นเมือง นักเดินทาง คนต่างถิ่น พ่อค้าแม่ค้า ทั้งที่เดินอยู่ตามถนน รถม้า รถลากที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางขนส่ง ข้างทางมีร้านรวงและแผงขายของพื้นเมืองวางขายกันไปตลอดทาง ที่อยู่อาศัยทั่วไปถูกสร้างขึ้นเป็นตึกสูงสองหรือสามชั้นด้วยหินปูน ตามแบบศิลปะของออสเซนเทียที่ดูสวยแปลกตา และมันยังแบ่งพื้นที่ออกเป็นสัดส่วน ระหว่างช่วงตึกด้วยตรอกซอกซอยที่มีผู้คนอยู่กันหนาแน่น เพราะเป็นทั้งที่พักอาศัย ร้านเหล้า และที่ดูเหมือนจะขาดไม่ได้ก็คือซ่องโสเภณี ที่มีสำหรับคนทุกระดับตั้งอยู่ทั่วไป

จูเลียนก้าวเร็วๆ ผ่านร้านรวงต่างๆ โดยไม่ได้สนใจหรือแวะซื้อของอะไรสักอย่าง กษัตริย์หนุ่มน้อยเพียงแค่อยากออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง แต่ในขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางชุมชนสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับใครบางคนที่จำได้ดี กษัตริย์หนุ่มน้อยรีบสาวเท้าเร็วๆ เดินเข้าไปหา แต่ใครคนนั้นเดินห่างออกไปแล้ว จูเลียนเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างหายเข้าไปในตรอกสายหนึ่ง เพราะกลัวจะตามใครคนนั้นไม่ทัน จึงรีบวิ่งโดยไม่สนใจแม้กระทั่งเสียงของลีโอที่ร้องเรียก

“เจ้า หยุดอยู่ตรงนั้นนะ” จูเลียนตะโกนฝ่าเสียงดังของฝูงชน แต่ใครคนนั้นก็หาได้หยุดเท้าไม่ จะว่าไปแล้วเสียงจอแจในตรอกแคบ ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงของจูเลียนเสียด้วยซ้ำ

“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ ฮานส์!” จูเลียนไม่สนใจผู้คนที่มองมาอย่างสงสัย รีบวิ่งตามเจ้าของแผ่นหลังกว้างนั้นไป จนเห็นใครคนนั้นเดินหายเข้าไปในร้านแห่งหนึ่ง และจูเลียนไม่รอช้าที่จะรีบตามไปให้ทัน

“หยุดนะ” ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมดำมืดหยุดชะงักเหมือนไม่แน่ใจ ค่อยๆ หันกลับมาทางต้นเสียงช้าๆ จึงได้เห็นว่าเสียงนั้นเรียกตัวเขาเอง เพราะเจ้าของเสียงจ้องเขม็งไม่วางตา

“เรียกข้า?” ฮานส์เลิกคิ้วขึ้นสูง และเสียงสั่งอย่างเอาแต่ใจที่ดังตามมา ยิ่งทำให้คิ้วเข้มค้างอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากที่โอบล้อมไปด้วยหนวดเคราเป็นตอสั้นแบะออกอย่างกวนอารมณ์

“ใช่ ข้าเรียกเจ้า ตามข้าออกมาเดี๋ยวนี้”

“ทำไมข้าต้องตาม” นั่นสิทำไมต้องตาม ฮานส์ยกมือขึ้นมากอดอกตัวเองทำท่าใช้ความคิด ดวงตาคู่คมจับอยู่กับพักตร์นวลผ่อง ที่ดวงเนตรเขียวจัดจ้องตอบกลับมาอย่างดุดัน แต่คนถูกเรียกยังยืนเฉยอยู่ จูเลียนจึงตรงเข้าไปกระชากข้อมือ หวังจะดึงให้เจ้าของร่างสูงใหญ่ตามออกมานอกร้านให้ได้

“ออกมาซะก่อนที่โทษของเจ้าจะมากไปกว่านี้”

“ข้าทำผิดอะไรมิทราบ แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงจะมาลงโทษข้า...แบบถึงเนื้อถึงตัวอย่างนี้” สายตาของฮานส์ไล่มองตั้งแต่ใบหน้าเรียว ที่พวงแก้มแดงปลั่งเพราะลมหนาวต่ำลงไปเรื่อยๆ จนถึงข้อมือที่ถูกยืดไว้ด้วยมือของจูเลียนในถุงมือหนังอบอุ่น ชายพเนจรไม่ยอมเดินตาม เขาแค่ยืนนิ่งๆ แทบไม่ได้ออกแรงขืนตัวแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ ทั้งที่จูเลียนต้องออกแรงฉุดเขาด้วยมือทั้งสองข้าง

“เซอร์เฮนริชจับเขาไว้” สิ้นคำสั่งยังไม่มีใครขยับตัว

“ไหนล่ะเซอร์เฮนริชของเจ้า ข้าเห็นแต่เจ้าวิ่งตามข้าต้อยๆ มาคนเดียวนะ” แสดงว่าเขารู้ว่ามีคนตามหรืออย่างไร จูเลียนหันไปมองรอบตัว ผู้คนที่นั่งอยู่ในร้านมากหน้าหลายตา หันมาให้ความสนใจสองหนุ่มต่างรูปร่างที่ยืนประจันหน้าอยู่กลางร้าน แต่ไม่มีใครที่ดูเหมือนจะเป็นอัศวินประจำตัวของจูเลียนเลยสักคน เพราะมัวแต่รีบวิ่งให้ทันจนลืมผู้ติดตาม “หึ เจ้าจะมาจับข้าไปลงโทษถูกไหม”

“ใช่” พอไม่เห็นอัศวินประจำตัวตามมาจึงถอยห่าง จูเลียนประกาศก้องมือเรียวชี้หน้าฮานส์อย่างเอาเรื่อง “ใครก็ได้ที่ช่วยจับชายคนนี้ ข้ามีรางวัลให้อย่างงาม จับเขา!” คนที่นั่งอยู่ในร้านหันมองหน้ากัน ไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่ บ้างก็ซุบซิบนินทา แต่ก็มีบางคนที่รู้ว่าจูเลียนเป็นใครลุกขึ้นจากที่นั่งหวังจะจับชายหนุ่มในชุดคลุมดำเพื่อรางวัลตอบแทน

“ฝ่าบาท”

“เซอร์เลนนี่จับเขาไว้เร็ว” เลนนี่หันไปตามคำสั่งของจูเลียน ก็เห็นเพื่อนรักยืนทำหน้าตายจนน่าจับมาลงโทษมันเสียเดี๋ยวนี้จริงๆ เดรทิชที่วิ่งเข้ามาพร้อมกันยืนอยู่อีกข้างคอยระวังให้จูเลียน

“อะไรกันฮานส์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

“ข้าไม่ได้เป็นนักโทษของใครทำไมจะมาเที่ยวบ้างไม่ได้ล่ะ”

“ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษของข้า จับเขาไว้เซอร์เดรทิช”

“ฝ่าบาทข้าขอล่ะ” เลนนี่ที่ไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายไปกันใหญ่หันกลับมาขอร้องจูเลียน

“ท่านหมายความว่ายังไงเซอร์เลนนี่”

“ข้าว่าเราออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”

“ไม่ออก ข้าสั่งให้ท่านจับเขาไว้ไง”

“ไม่ต้องจับหรอกฝ่าบาท” เลนนี่หันมาทำตาดุให้เพื่อนรักที่ยังยืนนิ่ง แต่แววตาของฮานส์เห็นแล้วรู้เลยว่ากำลังสนุก “เขาจะตามเรามาเอง”

“ใครบอกว่าข้าจะไป”

“ฝ่าบาทเสด็จเถอะ ส่วนเจ้าตามมา “เลนนี่บอกฮานส์เสียงเข้มจริงจัง ทั้งที่จูเลียนยังจ้องหน้าเขาอยู่อย่างไม่พอใจ แต่พออัศวินหนุ่มพยักหน้าให้จึงยอมเดินออกจากร้าน ไม่วายหันกลับไปมองฮานส์ตาขวาง ด้วยกลัวว่าชายหนุ่มจะไม่ตามมา เลนนี่เดินตามจูเลียนและเดรทิชออกไปแล้ว ฮานส์ก็เดินตามมาด้วยเงียบๆ ท่าทางไม่ได้ทุกข์ร้อน จนทั้งหมดพากันเดินมาถึงท้ายตรอกแคบ

“เซอร์เฮนริชกับลีโอล่ะ”

“ตอนเราหลงกัน สองคนนั้นแยกไปตามหาฝ่าบาทอีกทาง ข้ามากับเดรทิช”

“จับเขาไว้ก่อนที่จะหนีไป ข้าจะลงโทษคนอวดดี”

“ข้าว่าต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ๆ เลยฝ่าบาท”

“ไม่มีเรื่องอะไรเข้าใจผิดหรอกเซอร์เลนนี่ เขาถือว่าตัวเองชนะการประลองแล้วอวดดีกับข้า ขัดคำสั่งข้ามันก็สมควรแล้วต้องถูกลงโทษท่านก็เห็น” ฮานส์ยืนกอดอกยักไหล่ท้าทายความเกรี้ยวกราดของจูเลียน และเห็นท่าทางแบบนี้จูเลียนยิ่งหงุดหงิดขึ้นอีกกว่าเก่า “คุกเข่า!”

“ข้าไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งเจ้านี่”

“ข้าเป็นใครเจ้าเป็นใคร ต่อหน้าข้าอย่ามาอวดดี”

“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้น” ลีโอวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาพร้อมด้วยเฮนริชที่วิ่งตามกันมาติดๆ ปากก็ร้องถามอย่างเป็นห่วง “ท่านโรฮานส์!”

ต่อจ้า.....

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


ลีโอมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจ จูเลียนสีหน้าถมึงทึงเพราะความกริ้วโกรธ เลนนี่สีหน้าเรียบนิ่งแต่ดวงตาขี้เล่นคู่นั้นดูท่าจะหนักใจอยู่ไม่น้อย ส่วนชายในชุดดำที่ลีโอชื่นชมในความเก่งฉกาจ ยืนกอดอกนิ่งสีหน้าไม่ได้ทุกข์ร้อน กับดวงตาสีเขียวมรกตที่กำลังจิกจ้องมองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แถมชายหนุ่มยังดูเหมือนจะอมยิ้มเสียด้วยซ้ำ

“ถ้าไม่มีธุระอะไรข้าคงต้องขอตัวนะเสียเวลาหาความสำราญ”

“เจ้ายังไปไหนไม่ได้ ข้ายังไม่อนุญาต”

“ข้าต้องสนหรือไง” ฮานส์ทำสีหน้าเบื่อหน่ายที่ดูยังไงก็ไม่เห็นความจริงจัง นอกจากต้องการก่อกวนจูเลียนให้เกรี้ยวกราดสนุกๆ

“เซอร์เฮนริชจับตัวเขาไว้” สิ้นเสียงสั่งเด็ดขาดของจูเลียน คมดาบของอัศวินประจำตัวก็จ่ออยู่ที่ลำคอของร่างสูงในชุดดำอย่างน่าหวาดเสียว ทุกอย่างมันรวดเร็วมากแทบมองไม่ทัน จนลีโอที่ยืนอยู่ไม่ไกลยังตัวสั่นไม่กล้าขยับ ฮานส์ยกมือทั้งสองข้างขึ้นโดยไม่มีท่าทีว่าจะโต้กลับ คมดาบที่พร้อมจะตวัดเฉือนผ่านผิวเนื้อทุกเมื่ออย่างนี้ ถ้าฉลาดพอก็อยู่นิ่งๆ เสียดีกว่า

จูเลียนยกยิ้มสมใจ “ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไรดี เจ้าคนอวดดี”

ทุกคนเงียบ ฮานส์ไม่ตอบแต่สายตาที่มองกลับมาสบตากับจูเลียนนั้น มันเหมือนกำลังบอกอะไรบางอย่าง สายตาที่เหมือนมีอำนาจในการสื่อความคิด และบังคับจูเลียนให้จ้องมองลึกเข้าไปข้างใน จากระยะที่ยืนห่างกันพอได้สบตาตรงๆ อะไรบางอย่างที่มาพร้อมแววตาคู่นั้น สะกดให้จูเลียนมองนิ่งจนความดุดันในดวงเนตรสีเขียวมรกตลดลง เหลือเพียงความสงสัยจากสิ่งที่ได้เห็น ดวงตาสีดำมืดราวกับราตรีในคืนไร้แสงจันทร์และสิ้นแสงดาวหลุบต่ำลงมองที่ริมฝีปาก จูเลียนรู้ตัวแต่ยังยืนนิ่ง ครั้นเมื่อทำตามเจ้าของร่างสูงด้วยการหลุบสายตาลงมองริมฝีปากอิ่มที่ล้อมไปด้วยตอหนวด เห็นลิ้นสีชมพูเกือบแดงแลบออกมาเลียจึงได้เข้าใจ

“เจ้า! “ยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้ารกเคราของชายพเนจร ยิ่งจูเลียนเกรี้ยวกราดหงุดหงิดมากเท่าไหร่ฮานส์ยิ่งสนุก สนุกทั้งที่ยังมีคมดาบจ่ออยู่ที่คอหอยอย่างหมิ่นเหม่

“ฝ่าบาท ฮานส์ฝีมือดีหม่อมฉันขอเสนอให้รับเขาเข้ามาเป็นอัศวินฝึกหัดแทนการลงโทษ” เลนนี่กระซิบบอกในสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง จากนักโทษจะให้เป็นถึงอัศวินผู้ทรงเกียรติเชียวหรือ

“ข้าไม่มีวันรับคนอวดดีแบบนี้เข้ามาเป็นอัศวินหรอก”

“ใครบอกว่าข้าอยากเป็นล่ะ ไม่มีทางหรอก” ฮานส์ค้านออกมาทันทีเช่นกัน แต่นั่นทำให้จูเลียนก็คิดอะไรบางอย่างได้ และเพราะอยากเอาชนะอยู่แล้วพอได้ยินฮานส์ปฏิเสธจึงเปลี่ยนใจ

“ไม่อยากเป็นอัศวินหรือโอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ใช่ใครก็ได้หรอกนะไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอก ข้าเปลี่ยนใจก็ได้คุกเข่าลงซะแล้วจะละเว้นโทษให้”

“ไม่มีวัน!” ฮานส์ถอยห่างปฏิเสธเสียงแข็ง

“เซอร์เฮนริช” แต่คมดาบก็ตามมาพาดอยู่ที่คอของเขา กดแน่นลงกว่าเดิมอย่างทันใจหลังสิ้นเสียงตวาดของจูเลียน

“ฝ่าบาท”

“เจ้าไม่ต้องพูดเลยลีโอ”

“แต่..”

“คุกเข่าลงสิฮานส์เจ้าเป็นถึงผู้ชนะการประลองคงมีฝีมือไม่น้อย ข้าไม่ให้เจ้าเป็นอัศวินฝึกหัดก็ได้ คุกเข่าลงสาบานว่าจะปกป้องข้า แล้วข้าจะอภัยโทษทุกอย่างให้ จงถอดดาบของเจ้าออกมาวางแทบเท้าข้า” จูเลียนบอกพลางโบกมือให้เฮนริชลดดาบลงจากคอของฮานส์ด้วย

“หึ ไม่มีวัน”

“ฝ่าบาท” คราวนี้เป็นเสียงของอัศวินผู้เงียบขรึมอย่างเฮนริชเรียกขึ้นเพื่อเตือนสติ เพราะคงไม่เหมาะนักที่อยู่ดีๆ จะให้ใครก็ไม่รู้มาเป็นอัศวินมีโอกาสการรับใช้ใกล้ชิด โดยไม่รู้ว่าคนคนนั้นไว้ใจได้หรือเปล่า แม้จะเป็นยอดฝีมือที่ชนะการประลอง แต่ก็แค่ประลองสนุกๆ บนหลังม้า ที่ใช้แค่ไหวพริบและความแข็งแกร่งของร่างกาย การประลองนั่นไม่ได้แสดงให้เห็นถึงทักษะการต่อสู้ที่เป็นคุณสมบัติของอัศวินทั้งหมดด้วยซ้ำ

การคัดเลือกอัศวินประจำตัวกษัตริย์นั้น นอกจากจะต้องมีฝีมือการต่อสู้ที่เก่งกาจและแข็งแกร่ง สามารถต่อสู้ได้ทุกรูปแบบ รวมไปถึงร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์แล้ว สมองต้องฉลาดเป็นคนมีไหวพริบ ต้องมาจากตระกูลขุนนาง หรืออยู่ในตระกูลสูงศักดิ์มีเกียรติเป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตา หาใช่ชายพเนจรอย่างที่เห็นอยู่นี้ไม่ ที่สำคัญยังต้องผ่านบททดสอบอีกมากมาย ไม่ใช่อยู่ดีๆ นึกอยากแต่งตั้งก็แต่งตั้งขึ้นมาเลยตามใจแบบนี้

“ฝ่าบาท ข้าเกรงว่าคงไม่เหมาะนัก”

“ใช่ไม่ค่อยเหมาะหรอก และท่านคงช่วยข้าจับตาดูเขาได้ใช่ไหมเซอร์เฮนริช” เฮนริชหันไปทางเลนนี่คนต้นคิดให้ชายพเนจรมาเป็นอัศวิน แต่เลนนี่ยังเงียบ “ทีนี้เจ้าก็คุกเข่าลงสาบานต่อหน้าข้าได้แล้ว”

“เรื่องอะไร ข้าเดินทางท่องเที่ยวอยู่ดีๆ ไม่เอาเจ้ามาเป็นภาระหรอก”

ขวับ!!

คมดาบของเฮนริชพาดอยู่บนคอของฮานส์อีกครั้ง “อย่าพูดจาล่วงเกินกษัตริย์”

“อภัยด้วยท่านอัศวิน แต่ก่อนที่จะให้ใครสาบานตัวรับใช้นี่ไม่ควรถามความสมัครใจเขาหรือไง”

“ที่เจ้าได้รับนี่ก็ดีที่สุดสำหรับชีวิตพเนจรของเจ้าแล้ว ยังไม่รีบคุกเข่าลงอีก”

“ไม่มีวัน ข้าไม่มีวันคุกเข่าสาบานจะปกป้องใคร ไม่มีวันเป็นอัศวินของใคร ชีวิตข้าเป็นอิสระ”

“อวดดี ถ้าไม่อยากเป็นเจ้ามีทางเลือกเดียวเท่านั้นแหละ” ฮานส์ยักไหล่ “เซอร์เฮนริชเอาเขาไปขังไว้!”

“ฝ่าบาท ไปกันใหญ่แล้วพอเถอะ เฮนริชเก็บดาบของเจ้าซะ” เลนนี่เข้ามาขวาง

“เซอร์เลนนี่ ท่านจะขัดคำสั่งข้าหรือไง”

“ฝ่าบาทโปรดอภัยแต่ข้าเกรงว่าสาเหตุของเรื่องทั้งหมดมาจากเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ “

“เพราะเขาอวดดีไง แล้ว..” แล้วยังมีสิ่งที่ค้างคาใจจูเลียนอยู่ นั่นก็คือการกระทำจาบจ้วงที่ฮานส์ทำในสวนเมื่อคืนก่อน แต่จูเลียนจะพูดถึงมันออกมาได้อย่างไร

“เอาล่ะ ข้าเสียเวลากับพวกเจ้ามามากแล้วคงต้องขอตัวสักที”

“เจ้ายังไปไหนไม่ได้” เดรทิชกระชับดาบมั่นเขาอยู่ข้างหลังฮานส์ ชายพเนจรเพียงยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าด้วยท่าทางอ่อนอกอ่อนใจ

“คุยกันดีๆ เถอะ” เลนนี่พยายามไกล่เกลี่ยเพราะตัวเขาเองไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้ ส่วนเพื่อนตัวดีต้องมีการจัดการกันทีหลังอย่างแน่นอน ที่บังอาจมาก่อนเรื่องให้เขาปวดหัว

“อะไรกันเซอร์เลนนี่”

"ถ้าไม่มีอะไรข้าคงต้องทูลลาฝ่าบาท” ฮานส์ค้อมตัวลงราวกับแสดงความเคารพ แต่จูเลียนดูยังไงมันก็คือการล้อเลียนหน้าตาเฉยที่ทำให้แทบทนไม่ได้ “ข้าจะเดินออกไปดีๆ “

“จับเขาไว้สิ” สิ้นคำสั่งจูเลียนเดรทิชจะเข้ามาจับฮานส์ แต่เขาเพียงเบี่ยงตัวหลบและผลักเดรทิชจนเซมาทางเฮนริช ทำให้อัศวินทั้งสองเสียหลัก คนที่คิดว่าตัวเองเสียเวลาหาความสำราญมากเกินไปแล้วไม่อยู่รอต่อปากต่อคำ หันหลังเดินออกจากตรงนั้น จูเลียนเห็นเลนนี่ยืนมองเฉยก็โกรธจนลืมตัวจะเข้ามาจับฮานส์เอง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้าหา มีดเล่มเล็กก็ปักลงตรงพื้นหินข้างหน้า เหมือนบอกว่าห้ามตามไป

“ฮานส์!” เลนนี่เรียกเสียงดังกับการกระทำของชายพเนจร ที่ทิ้งความตื่นตลึงไว้ให้ลีโอแล้วหายไปจากตรงนั้นทันที เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ฮานส์หายไปจากตรงนั้นราวกับว่าเขาไม่เคยยืนอยู่ เหลือทิ้งหลักฐานเอาไว้เพียงมีดเล่มเล็ก ที่จูเลียนเห็นแล้วยิ่งเจ็บใจ

“ฝ่าบาท”

“กลับ!”

ยามดึกของค่ำคืนกลางฤดูหนาว เป็นช่วงเวลาที่ควรซุกตัวหลับสบายอยู่ในเตียงอุ่นๆ แต่ไม่ใช่สำหรับคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดในห้องลับ เพราะนี่คือการประชุมลับที่ไม่อาจแพร่งพรายให้ใครรู้ได้ ว่ามีการประชุมนี้เกิดขึ้น

“อีกสามวันข้าต้องไปสวาเนียร์แล้ว”

“อะไรกันนิโคล พี่ให้ข้าอดหลับอดนอนเพื่อจะมาบอกเท่านี้หรือไง” ทันทีที่เปิดประเด็นขึ้นก็มีเสียงโอดครวญ พี่ชายต่างมารดาเพียงเหลือบตามองเจ้าของเสียงประท้วง ที่ตาปรือทำท่าจะปิดอยู่แล้ว

นิโคลไม่สนใจคำประท้วงของจูเลียน “ระหว่างนี้พวกนั้นอาจจะมีการเคลื่อนไหว”

“พวกไหนเหรอนิโคล”

“พวกที่มันอยากเอาชีวิตเจ้าไงจูเลียน นี่เจ้าคิดจะสนใจอะไรกับเขาบ้างไหม” จูเลียนหน้ามุ่ยลงที่ถูกพี่ชายดุ ที่นี่ไม่ได้มีเพียงกษัตริย์หนุ่มน้อยกับพี่ชายต่างมารดาเท่านั้น จูเลียนถูกลากออกมาจากเตียงอุ่นๆ คนที่นั่งข้างขวาคือนิโคลัสพี่ชายต่างมารดาที่พักหลังมานี้เข้มงวดกับจูเลียนเหลือเกิน ส่วนข้างซ้ายคือทาร์เทียน่าขนิษฐาแฝด ที่นั่งดูจูเลียนโดนดุเงียบๆ แต่นางกำลังสนุกอยู่แน่นอน จูเลียนเห็นมันได้จากแววตาซุกซนของนาง ถัดจากพี่น้องทั้งสองคืออัศวินทั้งสี่คนของจูเลียน ที่ทุกคนต่างนั่งรอฟังนิโคลเงียบ เพราะยังไม่ถึงเวลาแสดงความคิดเห็นออกมา

“เรามีอีกเรื่องที่ปล่อยผ่านไม่ได้” นิโคลเอ่ยแทรกความเงียบของทุกคนขึ้นมา ลอร์ดหนุ่มกวาดตามองไปรอบโต๊ะสี่เหลี่ยม “ข้าได้รับรายงานมาว่ามีการพบกันลับๆ ระหว่างอเล็กซิสกับโจเซฟ”

“แปลว่าเราไว้ใจมอนทาร์น่าไม่ได้เลยใช่ไหม” ทาร์เทียน่าถามขึ้น ตอนอเล็กซิสมาเป็นแขกบ้านแขกเมืองนางได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแล

“เป็นไปได้ว่าโจเซฟอาจจะกำลังวางแผนอะไรบางอย่างกับทางนั้น ส่วนสวาเนียร์ข้ากำลังจะไปอยู่แล้ว จะดูท่าทีของทางนั้นเงียบๆ เอง “

“แล้วมอนทาร์น่าละท่านมีแผนไว้หรือยัง” เฮนริชถามขึ้นเป็นคนแรกหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน

“ข้าว่าเราน่าจะส่งคนที่ไว้ใจได้สักคนเข้าไปดูความเคลื่อนไหวของมอนทาร์น่าบ้างนะ” ราเชลออกความเห็น

“ถ้าหมายถึงคนที่ไว้ใจได้จริงๆ ก็คงไม่พ้นหนึ่งในสี่จากพวกท่านหรอกนะเซอร์ราเชล” จูเลียนบอกเพราะนอกจากพี่น้องของตัวเอง ก็มีแต่อัศวินทั้งสี่นี่แหละที่จูเลียนไว้ใจมากที่สุด ไม่รวมลีโอที่ถวายชีวิตให้จูเลียน ลีโอไว้ใจได้อยู่แล้วแต่เด็กน้อยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุม

“พูดได้ดีนี่จูเลียน”

เหมือนเป็นเสียงชมจากพี่ชายแต่จูเลียนรู้ดีกว่านั้นว่ามันไม่ใช่ “ข้าก็คิดเป็นนะนิโคล”

“แล้วเจ้าคิดว่าใครเหมาะกับงานนี้ล่ะ” คำถามของนิโคลคล้ายลองหยั่งเชิงความคิดของจูเลียน

“ใครก็ได้ในสี่คนนี้ข้าว่าเหมาะทั้งนั้นแหละ”

“แต่อัศวินทั้งสี่ต้องอารักขาเจ้านะจูเลียน” ทาร์เทียน่าขัดขึ้น

“ไปแค่คนเดียวจะเป็นไรไปเล่า เหลืออยู่กับข้าตั้งสามคน วันๆ ข้าอยู่แต่ในปราสาทจะอารักขาอะไรมากมาย”

“ใช่ถ้าวันนั้นเจ้าไม่แอบหนีออกไปเดินเล่นนอกวังนะ”

“โธ่เทียน่า เจ้ายังโกรธที่ข้าไปไม่ชวนอยู่หรือไง” จูเลียนที่กำลังสนุกกับการแสดงความคิดเห็นหน้างอลงทันทีที่ทาร์เทียน่ารู้ทัน

“เอาล่ะ พอก่อน อย่างที่จูเลียนบอกนั่นแหละ ว่าเราต้องการคนที่ไว้ใจได้ แต่นอกจากนั้นก็ต้องการคนฉลาดและมีฝีมือด้วย”

“นั่นไง หนึ่งในสี่อัศวินของข้าเลยเหมาะสมที่สุด พวกท่านว่าไง” จูเลียนบอกแล้วเหมือนเพิ่งนึกได้ ว่าต้องถามความเห็นของเหล่าอัศวินประจำตัวของตัวเอง

“พวกเขาเหมาะสมและเราจำเป็นต้องใช้คนของเรา พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งไปมอนทาร์น่าก็แล้วกัน”

อัศวินทั้งสี่มองหน้ากันราเชลยิ้มมุมปากนัยน์ตาเป็นประกาย ทุกคนจึงหันไปมองเขา “ข้าว่างานนี้เลนนี่เหมาะสมที่สุดนะ”

“ทำไมถึงคิดว่าเป็นเซอร์เลนนี่ล่ะเซอร์ราเชล” ทาร์เทียน่าสงสัย

“ข้าคิดว่าเขารู้จักชาวมอนทาร์น่าดีทีเดียว” รอยยิ้มมีเลศนัยโปรยมาทางเลนนี่ที่นั่งหน้าตึงขึ้นมาทันที ราเชลทำท่าทางเหมือนรู้ทันอะไรบางอย่าง

“ว่ายังไงเซอร์เลนนี่ ท่านรู้จักชาวมอนทาร์น่าดีหรือไง” จูเลียนดูเหมือนจะสนใจด้วย

“ก็พอรู้จักบ้างฝ่าบาทแต่เฉพาะบางคนเท่านั้นแหละ”

“เอาเป็นว่าเจ้าไปมอนทาร์น่าก็แล้วกันเลนนี่” อัศวินหนุ่มผู้ได้รับมอบหมายเพียงคำนับเป็นการรับคำสั่งเท่านั้น เพราะหน้าที่ก็คือหน้าที่ ได้รับมอบหมายแล้วต้องทำตาม

“แค่นี้หรือนิโคล พี่มีอะไรอีกไหมข้าง่วงแล้วนะ” จูเลียนเริ่มต้นโอดครวญ

“มีสิ ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ เจ้าห้ามทำตัวเกเร”

“พี่ไม่อยู่ข้าก็มีราชกิจต้องทำนะ จะเอาเวลาไหนไปเกเรอย่างที่พี่ว่าเล่า”

“แน่ใจเหรอว่าเจ้าจะทำงาน” ทาร์เทียน่าแหย่อย่างนึกสนุก แน่ล่ะว่าความเป็นไปได้ที่จูเลียนจะทำงานนั้นมีน้อยมาก

“แล้วข่าวเรื่องเงามรณะล่ะ” เฮนริชเป็นคนถามขึ้น เพราะมีข่าวเกี่ยวกับโจรรับจ้างที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเงามรณะเข้ามาในเมืองหลวง แต่ยังไม่มีอะไรชัดเจน เป็นแค่ข่าวลือที่เข้ามาพร้อมกับงานฉลองที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง แต่ก็ยังไม่มีข่าวออกมาว่ามีใครถูกปล้นหรือถูกโจรกรรมเช่นกัน อัศวินทั้งสี่สบตากับลอร์ดหนุ่มแบบรู้ความหมาย แต่คนที่ไม่รู้เริ่มหาวเพราะง่วงเต็มที

“เรื่องนั้นคงไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เรากำลังห่วง แต่ให้คนหาข่าวนี้ไว้ด้วยก็ดี” เหล่าอัศวินเพียงพยักหน้ารับรู้ ส่วนหน้าที่ต่างๆ จะแบ่งกันรับผิดชอบทีหลัง

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าว่าเราควรจะแยกย้ายกันไปนอนได้แล้วนะ”

“ก็ไปสิ”

“ไปกันเถอะ อ้อเซอร์เฮนริชท่านช่วยไปส่งทาร์เทียน่าที่ปราสาทของนางด้วย”

“รับทราบฝ่าบาท”

“ข้าโตแล้วน่าจูเลียนไม่ใช่เด็กๆ ที่จะหลงทางกลับปราสาทของตัวเอง”

“ไปเถอะน่า” แล้วจูเลียนก็เดินล่องลอยออกไปจากห้องนั้นเพราะง่วงจนตาแทบจะปิดอยู่แล้ว จนราเชลกับเดรทิชต้องเดินประกบ เฮนริชตามไปส่งทาร์เทียน่าตามคำสั่งของจูเลียน จึงเหลือนิโคลกับเลนนี่ที่รั้งท้าย

“เจ้าจะเดินทางเมื่อไหร่เลนนี่” นิโคลเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่คนอื่นๆ ออกไปกันหมดแล้ว

“คงพร้อมท่านเดินทางไปสวาเนียร์ หรืออาจจะเร็วกว่านั้น”

“ข้าไม่ไว้ใจจูเลียนเลย” พอนิโคลพูดออกมาแบบนี้ทั้งสองต่างเข้าก็ใจตรงกัน ว่าลอร์ดหนุ่มกำลังกังวลใจด้วยเรื่องอันใด ถึงจูเลียนจะเป็นกษัตริย์แต่ในสายตาของพี่ๆ จูเลียนก็ยังเป็นเพียงน้องน้อยอยู่ดี และพี่ในที่นี้รวมไปถึงอัศวินทั้งสี่ด้วย

“ท่านไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงก็มีสามคนนั้นคอยดูฝ่าบาทอยู่ จูเลียนเกรงใจเฮนริช”

“หึ ข้าพบว่าเป็นเฮนริชนั่นแหละที่มักจะตามใจจูเลียนมากที่สุด”

“ก็เฉพาะเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นแหละ”

“ข้ากลัวแต่จะดื้อดึงจนห้ามไม่ฟังนะสิ” ทั้งลอร์ดหนุ่มและอัศวินต่างเงียบ ด้วยอายุที่ไล่เลี่ยกันและร่ำเรียนฝึกฝนวิชาความรู้มาด้วยกัน เวลาอยู่ในที่ส่วนตัวจึงคุยกันได้เหมือนเพื่อนมากกว่า

“เอาเถอะข้าว่าเราควรไปพักผ่อนได้แล้ว”

“ราตรีสวัสดิ์”

/*/*/*/*/*/*/

 :mew1: :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด