คราวนี้ไอ้เจ้าไม่ทำแค่พูด มันจูงมือธราไปที่ห้องน้ำ จัดการเตรียมน้ำในอ่างให้แล้วบอกธราให้ไปทำความสะอาดร่างกายที่ใต้ฝักบัวก่อนจะลงไปแช่น้ำอุ่น ซึ่งเขาก็ทำตามอย่างไม่อิดออด พอจัดการชำระล้างเหงื่อไคลแล้วก็ก้าวลงอ่างโดยมีไอ้เจ้าทำหน้าที่นวดผ่อนคลายให้
เพราะเห็นธราเปลือยจนชินตาแล้วไอ้เจ้าจึงไม่รู้สึกเคอะเขิน แต่ไหล่กว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาก็ยังทำให้หัวใจเต้นรัวไปด้วยความปรารถนาอยู่ดี ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ไม่เคยห้ามใจได้เลย
“อยากกัดกล้ามของคุณ” ไอ้เจ้าสารภาพ ความต้องการกำลังทำให้ใบหน้าของมันขึ้นสีระเรื่อ ลมหายใจกระชั้นเล็กน้อยราวกับคนกำลังอดกลั้น
“เอาสิ” ธราเอ่ยอนุญาต “กัดแรงๆ เลยนะ”
เมื่อได้รับคำอนุญาต คนชอบกัดก็ฝากรอยฟันไว้บนผิวเนื้อ หนึ่งรอยที่ท้ายทอย หนึ่งรอยที่ลำคอ และอีกหนึ่งรอยที่ต้นแขน ในขณะที่ธราได้แต่นิ่วหน้า ยอมรับความเจ็บโดยไม่ปริปากบ่น
“เจ็บมั้ยครับ” เมื่อทำเสร็จก็เอ่ยถามพลางใช้ลิ้นอุ่นร้อนของตัวเองเลียบาดแผลให้ “ผมขอโทษที่อดใจไม่ไหว”
“เจ็บ แต่ไม่เป็นไร” ธรายอม เขามักจะยอมโดยไม่มีเหตุผลและเลิกหาเหตุผลตั้งแต่ที่มีคนชื่อเจ้า จักรพรรดิเข้ามาในชีวิต ทั้งที่ไม่ชอบแต่ก็ขัดไม่ได้ ทั้งที่เจ็บแต่ก็ยังบอกว่าไม่เป็นไร เขาเป็นแบบนั้นเสมอมา
“ผ่อนคลายบ้างมั้ย”
“ก็ดีขึ้น คงเพราะมึงนวดให้ด้วย”
“ดีแล้วครับ”
“เจ้า”
“หืม”
“รอยแผลนั่นจะไม่เป็นไรใช่ไหม” ธรายังไม่คลายความกังวล เขายังคิดวนเวียนถึงสาเหตุ ยังคงจินตนาการถึงคนร้ายไร้ใบหน้าที่กำลังยกปืนขึ้นเล็งยิงไอ้เจ้าจากที่ไหนสักแห่ง “มึงหายดีแล้วใช่หรือเปล่า”
“อย่ากังวลเรื่องของผมเลย” ไอ้เจ้าคลี่ยิ้มเมื่อธราลืมตาขึ้นมองมัน “ผมอยู่กับมันได้”
“ที่บอกว่ายังเจ็บอยู่” ใบหน้าหล่อเหลายิ่งกังวลมากขึ้น “หมายถึงว่ามันยังเจ็บอยู่จริงๆ เหรอ”
“ครับ ก็นิดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมอยู่กับความเจ็บนี้จนชินแล้ว” ไอ้เจ้าตอบแค่นั้นแล้วไม่อธิบายเพิ่มเติม ต่อให้ธราจะตั้งคำถามถึงการรักษาหรือสาเหตุที่ได้รอยแผลมา มันก็ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย
หลังจากนั้นอีกสิบนาทีต่อมาธราก็อยู่ในชุดเสื้อยืดผืนบางขนาดพอดีตัวกับกางเกงขายาวที่ไอ้เจ้าเตรียมเอาไว้ให้ ในขณะที่คนเตรียมเสื้อผ้าให้เขาขอตัวเข้าไปอาบน้ำบ้าง เขาจึงนอนรอที่เตียงโดยเลือกหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นเกมเพื่อฆ่าเวลารอ ไม่สนใจที่จะตอบกลับข้อความของจันทร์เจ้า แม้ตอนนี้จะมีโอกาสแล้วแต่เขาก็เลือกที่จะปล่อยการแจ้งเตือนค้างไว้อย่างนั้น
“ทำอะไรครับ คิ้วขมวดเชียว” คนที่ออกจากห้องน้ำมาในชุดนอนเอ่ยถามขึ้น กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำทำให้ธรายกมือขึ้นกวักเรียกให้เข้าไปใกล้ ซึ่งไอ้เจ้าที่แม้จะเลิกคิ้วด้วยความสงสัยแต่ก็เดินไปหาธราอย่างไม่อิดออดและเมื่อเข้าไปในระยะความยาวของท่อนแขนแกร่ง ตัวของมันก็ถูกดึงให้ลงไปนอนทับเจ้าของอกกว้างทันที
“อืม” ธราส่งเสียงในลำคอ เขาสูดดมความหอมจากซอกคอของไอ้เจ้าเข้าเต็มปอด แน่ใจว่าใช้ครีมอาบน้ำขวดเดียวกัน ทว่ากลิ่นครีมอาบน้ำจากตัวของไอ้เจ้าหอมกว่าเป็นไหนๆ “เคยบอกหรือยังว่าชอบกลิ่นจากตัวมึง”
“หมายถึงกลิ่นครีมอาบน้ำเหรอครับ” ไอ้เจ้าถามเสียงแผ่ว หัวใจของมันเต้นโครมครามเพราะกำลังถูกกอดรัด
“ไม่รู้ แต่ครีมอาบน้ำที่มึงใช้กูก็ใช้ด้วย แล้วทำไมไม่หอมเหมือนกันล่ะ”
“งั้นคงขึ้นอยู่กับหน้าตาคนใช้แล้วล่ะ” ด้วยเพราะตอบยียวนจึงโดนเขกหัวเข้าให้
“อยู่ดีๆ ก็หาเรื่องให้ตบตี มึงนี่จริงๆ เลย” ธราส่ายหน้าอ่อนใจ ไอ้เจ้าน่ะชอบทำลายบรรยากาศอยู่บ่อยๆ บางทีอารมณ์กำลังได้ที่มันก็กวนตีนเสียจนอยากประเคนเท้าให้มากกว่าจูบอย่างร้อนแรง
“แล้วเมื่อกี้คุณทำอะไรอยู่เหรอ”
“เล่นเกม”
ไอ้เจ้ามีสีหน้าไม่เชื่อ ทำให้ธรายื่นโทรศัพท์มือถือไปตรงหน้ามัน “อะไรครับ”
“เอาไปดู” ธราบอก “ดูสิว่าไม่ได้คุยกับใคร ข้อความของจันทร์ก็ยังไม่ได้อ่านไม่ได้ตอบเลย”
ไอ้เจ้าเบ้ปาก ก่อนพูด “ยังไงคุณก็ตอบอยู่ดี จะช้าจะเร็วก็ไม่เห็นต่าง”
“สำหรับกูมันต่าง” ธรารู้ดีว่าความรู้สึกของเขาในตอนนี้เป็นแบบไหนและมีความรู้สึกใดที่โดดเด่นขึ้นมา “สำหรับคนที่รอการตอบกลับก็คงต่างเหมือนกัน”
“ถ้างั้นคุณก็ควรรีบถ้าไม่อยากเสียเขาไป” ไอ้เจ้าแนะแต่ธราส่ายหน้า
“ไม่เคยพูดสักทีว่าเสียเขาไปไม่ได้” จันทร์เจ้าเป็นความสบายใจ แต่หากจะไม่มีเขาก็ไม่ได้ทุรนทุราย ทว่าคนที่เป็นความว้าวุ่นใจอย่างไอ้เจ้า กลับขาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว “ตอนนี้กูอยากอยู่กับมึงมากกว่า”
คำพูดของธราทำให้ไอ้เจ้ายิ้มจนตาหยีและเป็นรอยยิ้มที่สะกดสายตาของเขาได้เป็นอย่างดี เขาคิด...คิดจริงๆ เลยว่าพระจันทร์เสี้ยวดวงนี้สวยกว่ามาก...มันสวยกว่าพระจันทร์ดวงไหนๆ ที่เขาเคยเห็น สวยราวกับได้เห็นในความฝันมานับครั้งไม่ถ้วน
“ยิ้มขนาดนี้...แสดงว่ามีความสุขมากเหรอ” ธราถามราวกับคนที่กำลังต้องมนตร์ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความลุ่มหลงเมื่อมองรอยยิ้มตรงหน้า
“ครับ เพราะคุณน่ะเก่งเรื่องให้ความหวัง” ไอ้เจ้ายอมรับ หัวใจพองโตราวกับลูกโป่งที่ถูกสูบลม พร้อมที่จะล่องลอยไปบนท้องฟ้ากว้างไกล แต่จะลอยจนถึงสวรรค์ไหมก็ไม่มีทางรู้ได้
“มึงก็เก่งเรื่องคิดไปเอง” ธราปัดปอยผมหน้าม้าออกจากหน้าผากเนียน ก่อนจะกดริมฝีปากแนบลงไป ความอุ่นนุ่มจากสัมผัสทำให้ไอ้เจ้าหลับตาลงเพื่อซึมซับความรู้สึกนี้เอาไว้ “กูพูดจริงก็หาว่าให้ความหวัง”
“ใครจะรู้ใจคุณ” ไอ้เจ้ากระซิบ ฟังดูเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับธรา แต่คนที่มันนอนเกยอยู่นี้คงได้ยิน
“อืม ก็ไม่แปลกที่มึงไม่รู้” ธราพรูลมหายใจพลางยกมือขึ้นเกลี่ยแก้มเนียนที่ตอนนี้แนบอยู่กับอกกว้างของเขา ในขณะที่เจ้าของแก้มนอนหลับตาฟังเสียงหัวใจของเขาไปด้วย “เพราะขนาดกูที่เป็นเจ้าของยังไม่รู้เลยว่ามันรู้สึกยังไงกับมึง”
“ดิน” ไอ้เจ้าลืมตาขึ้นสบมองกับเจ้าของชื่อ
“ว่าไง”
“ไปที่ห้องนั้นกัน”
คำชักชวนที่ได้ยินทำให้หัวใจของธราเต้นกระหน่ำ เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของไอ้เจ้าก่อนจะพยักหน้า จากนั้นจึงลุกเดินตามกันไปที่ ‘ห้องนั้น’ ห้องที่อยู่ถัดจากห้องที่เขากำลังนอนและถูกล็อกด้วยแม่กุญแจขนาดใหญ่ คล้องโซ่อย่างแน่นหนาราวกับต้องการป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปยุ่มย่าม
ธรายืนรอในขณะที่ไอ้เจ้าจัดการปลดพันธนาการประตู ตอนนี้เขารู้สึกอย่างไรก็บอกไม่ถูก อาจจะทั้งกลัวทั้งตื่นเต้นราวกับคนป่วยโรคร้ายแรงที่รอคำวินิจฉัยจากหมอว่าจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกนานเท่าไร ความรู้สึกของเขาเป็นแบบนั้นและเมื่อประตูถูกเปิดออก ไฟในห้องติดสว่างเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ในห้อง เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว จนไอ้เจ้าต้องจับที่ข้อมือของเขาไว้แล้วดึงให้เดินตาม
“อาจจะมีฝุ่นนิดหน่อยนะ เพราะลุงชันไม่ว่างเข้ามาทำความสะอาดให้หลายวันแล้ว” ไอ้เจ้าบอกในขณะที่ธรากวาดสายตามองรอบห้อง
ที่ถูกเรียกว่าห้องแห่งความทรงจำก็คงไม่ผิดมากนัก เพราะในห้องรูปตัวแอลนี้เต็มไปด้วยความทรงจำของธรากับไอ้เจ้า บนผนังมีกรอบรูปที่บ่งบอกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขของคนทั้งสอง ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ไม่มีช่วงเวลาไหนที่พื้นที่ข้างๆ ดิน ธรา จะไม่มีคนที่ชื่อเจ้า จักรพรรดิยืนอยู่ด้วย ทั้งสองมักจะยืนเคียงกันและจับมือกันไว้ พร้อมกันนั้นก็ฉีกยิ้มกว้างให้กับกล้อง รอยยิ้มของเจ้า จักรพรรดิในตอนนั้นเต็มไปด้วยความสุข ช่างห่างไกลจากรอยยิ้มของไอ้เจ้าในตอนนี้นัก ทว่าในบรรดารูปถ่ายเหล่านั้นกลับมีเพียงรูปเดียวที่แตกต่าง รูปถ่ายที่มีขนาดใหญ่กว่ารูปอื่นๆ และกินเนื้อที่บนผนังไปกว่าครึ่ง มันเป็นรูปที่อยู่ในกรอบสีไม้ซึ่งทำจากวัสดุชั้นเยี่ยม ในรูปนั้นธราถูกไอ้เจ้ากอดไว้จากข้างหลัง เป็นรูปที่สีหน้าของไอ้เจ้าเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
“ไอ้วินถ่ายให้” ไอ้เจ้ากระซิบข้างหู มันกำลังสวมกอดธราเหมือนในรูป ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันไม่ถึงห้าเซนติเมตรทำให้ไม่เป็นอุปสรรคนักที่จะเกยคางไว้บนไหล่หนา “ตอนนั้นคุณโกรธผม ผมตามง้ออยู่นานเลย ไอ้วินแค่อยากถ่ายมาแซวแกล้งคุณทีหลัง แต่รูปนี้มันถ่ายได้ดีผมก็เลยขอมาจากมัน”
“เจ้า” ธราร้องเรียกเสียงเบา “เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”
“ตั้งแต่คุณห้าขวบ”
ใบหน้าหล่อเหลาของธราเต็มไปด้วยความสงสัย “ที่บ้านกู...หมายถึงบ้านพ่อแม่ไม่มีรูปมึงอยู่เลย ถ้ามึงอยู่ด้วยตั้งแต่เด็ก มันก็ต้องมีรูปของมึงบ้างใช่ไหม ต่อให้จะเป็นเด็กที่อยู่ข้างบ้านหรือในซอยเดียวกัน แต่ถ้าเป็นเพื่อนเล่นกันก็ต้องมี” มีบางอย่างที่ไม่ลงล็อกในความรู้สึกของธรา ถ้าไอ้เจ้าอยู่กับเขามาตั้งแต่เด็กแล้วทำไมพ่อกับแม่ของเขาไม่เคยพูดถึงมัน ตามปกติแล้วการพูดถึงเพื่อนของลูกชายที่สนิทกันมากขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่หรือ ทว่าทำไม... “เจ้า มีอะไรที่ไม่ได้บอกหรือเปล่า”
สีหน้าของคนที่พร้อมจะตอบคำถามทำให้ธรานึกหวั่นใจ “มีครับ”
ศีรษะของธราหนักอึ้งราวกับถูกของหนักหลายสิบตันถ่วงเอาไว้ บางแห่งในใจกรีดร้องให้เดินออกจากห้องแต่เท้าของเขาไม่ขยับ “ถ้า...ถ้าเป็นเรื่อง” ลมหายใจของเขาสะดุด พูดแทบไม่เป็นคำด้วยอะไรบางอย่างที่แล่นขึ้นมาจุกที่คอจนอยากจะอาเจียน “ถ้ามันเป็นเรื่องที่กูไม่ควรรู้ ก็ไม่ต้อง...”
“คุณควรรู้ครับ เพราะนอกจากผมจะเคยเป็นคนรักของคุณแล้ว ผมยังเป็นพี่ชายของคุณ” ไอ้เจ้าบอกเสียงเรียบ สีหน้าไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดของมันเผยให้เห็นเพียงครู่ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม “ในทางกฎหมายน่ะครับ คุณเป็นน้องชายบุญธรรม”
ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบรัดหัวใจของธราจนรู้สึกเจ็บ “แล้วเราก็เป็นคนรักกันเหรอ”
“ครับ” น้ำเสียงของไอ้เจ้าหนักแน่น แววตาเศร้าสร้อยของมันยืนยันได้ชัดถึงความเป็นจริง “เราเป็น”
“ความรักของเราในตอนนั้นมันถูกต้องใช่มั้ย” ธราถามอย่างไม่แน่ใจ ทั้งศีรษะและหัวใจปวดร้าวจนไม่รู้ว่าตรงตำแหน่งไหนที่เจ็บปวดมากกว่ากัน
“เราไม่ใช่สายเลือดเดียวกันนี่ครับ” น้ำเสียงของไอ้เจ้าแปร่งไปเล็กน้อยเมื่อพูด “หรือถ้าใช่จริงๆ แล้วมันยังไง”
“แล้วพ่อกับแม่...” ธรายังจับต้นชนปลายไม่ถูก ตอนนี้ข้อมูลในหัวของเขาผิดเพี้ยนไปหมด จากที่เคยมั่นใจในตัวตนของตัวเอง แต่ในตอนนี้กลับรู้สึกเลือนรางลงไปทุกที เขาไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเขาคือคนที่ชื่อ ดิน ธรา หรือเป็นใครคนอื่นกันแน่ เขาเป็นใครมาจากไหน พ่อกับแม่ที่แท้จริงเป็นใคร ราวกับตัวตนของเขาถูกอุปโลกน์ขึ้นมา
“ผมไม่ได้สนใจคนอื่น” ไอ้เจ้ากอดรัดธราแน่นขึ้น “ผมไม่เคยสนใจใครเลยนอกจากคุณ ต่อให้จะผิดหรือไม่ผิด ตัวผมก็รักคุณอยู่ดี ความจริงข้อนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลย”
“กูปวดหัว” ธราเอ่ยเสียงแผ่วอย่างทรมาน “เหมือนมันจะระเบิดเลยเจ้า”
“เรารักกันมากนะดิน” ไอ้เจ้าย้ำ ไม่ยอมปล่อยธราออกจากอ้อมแขน “เราวางแผนที่จะแต่งงานกัน วางแผนที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ผมเป็นครึ่งชีวิตของคุณ คุณเป็นอีกครึ่งชีวิตของผม แหวนที่คุณใส่ก็คือแหวนแต่งงานของเรา ผมอยากให้คุณจำแค่เรื่องนี้ได้ อยากให้คุณจำได้ว่าคุณเคยรักผมมากแค่ไหน”
“เจ้า...” น้ำเสียงของธราอ่อนแรงแต่อีกคนไม่สนใจฟัง
“ผมรักคุณ รักคุณ จำผมได้หรือเปล่าดิน ผมคนที่รักคุณ ผมคนที่เป็นเจ้าชีวิตของคุณ เป็นพระเจ้าของคุณ” ไอ้เจ้าเฝ้ากระซิบ บอกย้ำคำว่ารักในขณะที่ธราตัวสั่นเทา น้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงตาของเขาปิดสนิท ความปวดร้าวที่ศีรษะทำให้ดวงตาพร่าเลือน หัวใจของเขาก็ปวดแปลบราวกับถูกทิ่มแทงด้วยของมีคม เขากำลังทรมานแต่คนที่พร่ำพูดว่ารักไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ
“ขอร้อง...เจ้า” ธราอ้อนวอน “กูขอร้อง พอสักที”
ราวกับเพิ่งรู้ตัว ไอ้เจ้าหน้าซีดเผือดและเมื่อมันคลายอ้อมแขน ธราก็ทรุดฮวบลงกับพื้น เขาตัวสั่น นอนคุดคู้อยู่ตรงนั้น น้ำตาไหลพรากด้วยความทรมาน สองมือยกขึ้นกุมศีรษะ ครวญครางราวกับสัตว์บาดเจ็บ
“ผมขอโทษ...” น้ำตาของเจ้า จักรพรรดิหลั่งไหล พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งแล้วช้อนศีรษะคนรักขึ้นมาบนตัก ก่อนจะกอดไว้แน่นแล้วพร่ำพูดคำขอโทษที่หวังช่วยบรรเทา แต่ธรายังคงทรมาน คำขอโทษไม่เคยช่วยอะไร
ท้ายที่สุดแล้วคนที่ทำให้ธราต้องเจ็บปวดก็ยังคงเป็นคนที่ชื่อ เจ้า จักรพรรดิคนนี้อยู่ดี
.
.
“ท่าน มันหลับไปแล้วเหรอ” เสียงของจี้ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ธราที่กำลังอยู่ในช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่นถึงกับหยุดหายใจเมื่อได้ยินเสียงไม่คุ้นหูนี้ เขาควานมือไปข้างกายก็พบกับความเย็นชืดของที่นอน ไม่พบเจ้าของร่างผอมที่นอนหลับในอ้อมกอดไปพร้อมกัน
ไอ้เจ้าคงอยู่ข้างนอกกับเจ้าของเสียงที่ธราได้ยิน...
จี้...คนที่บอกว่าเป็นแค่เพื่อนมีธุระสำคัญหรือไงถึงได้มาหาในเวลานี้...
ตีสามสี่สิบห้านาทีใช่เวลาที่เหมาะสมต่อการพบเจอกันหรือ...
“หลับไปแล้วตั้งแต่ตอนสี่ทุ่ม ค่อนข้างแย่เลยวันนี้” เสียงของคนที่ควรจะนอนอยู่เคียงข้างธราตอบกลับ “ไอ้วินกับไอ้บินล่ะ”
“อยู่กับเมีย” จี้ตอบ “กำลังชดเชยให้กับพวกเมียๆ ของมันเพราะท่านเรียกรวมตัวกะทันหันก็เลยอดกินข้าวเย็นด้วยกัน ทำตัวครอบครัวสุขสันต์แต่ที่จริงก็นอกใจกันเป็นว่าเล่น”
“หึ ก็มองโลกในแง่ร้ายไป” เสียงของไอ้เจ้ากลั้วหัวเราะ ยิ่งได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้ธราอยากเห็นสีหน้าของมัน เขาลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู พยายามทำเสียงให้เบาที่สุดเมื่อจับลูกบิดประตูแล้วเปิดออก แค่แง้มเป็นช่องเล็กๆ ก็เห็นแล้วว่าคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันนั้นอยู่ตรงไหน
ไอ้เจ้านั่งอยู่บนโซฟาในขณะที่จี้คุกเข่าอยู่ตรงหน้า มือเล็กนั้นกำลังนวดคลึงเท้าทั้งสองข้างของไอ้เจ้าที่วางพาดอยู่บนหน้าตัก “แล้วนี่ทำไมเท้าระบมขนาดนี้ ตรงนี้ก็เป็นแผล”
“มาเพราะเรื่องนี้เหรอ” ไอ้เจ้าเอ่ยถามพลางทอดสายตามอง “ไม่เปลี่ยนเลยนะ ช่างสังเกตเหมือนเดิม”
“ถ้าเป็นเรื่องของท่าน ยังไงก็ต้องรู้” จี้ตอบแล้วเงยหน้าขึ้นสบตา “แค่ท่าเดินผิดไปนิดเดียวก็รู้แล้ว แต่ท่านไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง ไปทำอะไรมา”
“เดินคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“ไกลมากไหม”
“สิบกิโลได้มั้ง”
จี้ได้ยินก็ถอนหายใจ “ที่บอกว่าไปเจอมันมาน่ะเหรอ”
“อืม พอแยกย้ายก็เดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนถึงห้องเพื่อน”
“ไม่ดีเลยแบบนี้” สีหน้าของจี้เต็มไปด้วยความห่วงใย “ท่านควรรู้ได้แล้วว่าตัวเองสำคัญมากแค่ไหน”
ไอ้เจ้าส่ายหน้า “สำคัญกับใครก็ไม่มีความหมาย ถ้าไม่ได้สำคัญกับคนที่อยากสำคัญ”
“ไม่มีแม้กระทั่งกับกูเหรอท่านเจ้า” จี้ถามพลางกดริมฝีปากลงบนหลังเท้าของไอ้เจ้า ภาพที่เห็นทำให้ธรานิ่งค้าง ความปวดร้าวแล่นริ้วขึ้นที่ศีรษะทีละนิด สะสมมากขึ้นจนแทบระเบิด ภาพจำที่น่าเศร้าประดังประเดเข้ามาจนดวงตาของเขาพร่าเลือน เขาค่อยๆ คลานกลับไปที่เตียงอย่างยากลำบาก ความปวดร้าวที่ศีรษะยิ่งรุนแรงเมื่อเสียงของจี้ยังคงดังก้องอยู่ในหัว เสียงที่ไม่น่าฟังและไม่น่าจดจำ แม้ในยามที่ยกมือขึ้นปิดหูก็ยังคงได้ยิน เขาพยายามหลับตา กล่อมตัวเองให้หลับใหลจะได้ไม่ต้องรับรู้สิ่งใดอีกและไม่นานเขาก็ทำสำเร็จ เสียงของจี้หายไป แทนที่ด้วยความฝันแสนหวานที่เขาชอบที่จะฝันถึงอยู่บ่อยๆ
.
.
“อย่าถามในเรื่องที่มึงก็รู้อยู่แล้ว”
“เอาเถอะ” จี้ตัดบท ไม่อยากฟังถ้อยคำที่ตอกย้ำตัวเองไปมากกว่านี้ “ว่าแต่ที่อกเป็นยังไง ยังเจ็บขึ้นมาอีกไหม”
“มันก็เจ็บอยู่เรื่อยๆ” มือบางยกขึ้นลูบที่บริเวณอกด้านขวา “แต่ไม่ได้รบกวนอะไร กูยังใช้ชีวิตได้ปกติ”
“บอกมันเรื่องนี้หรือยัง”
“ไม่จำเป็น” ท่านเจ้าพูดขึ้นในทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลาไตร่ตรองนาน
“แต่มันก็ควรรู้” จี้แย้งอย่างไม่เห็นด้วยกับความคิดของท่านเจ้า คนที่แสนสำคัญที่สุดในชีวิตของจี้นั้นไม่เคยคิดห่วงตัวเองเลย “มันควรรู้ว่าในตัวของท่านมีไอ้สิ่งที่เหมือนระเบิดเวลาฝังอยู่ในนั้น ควรให้มันได้เห็นรอยแผลที่ทำให้มันยังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ เผื่อว่ามันจะจำเรื่องของท่านขึ้นมาได้บ้าง”
“กูไม่อยากให้ดินเป็นห่วงหรือเป็นกังวล” รอยยิ้มของท่านเจ้าเศร้าสร้อยเมื่อเอ่ยถึงคนสำคัญ “ในตอนที่ดินเห็นรอยแผล สีหน้าก็แย่เต็มที ดินเอาแต่ถามว่าได้มายังไง ยังเจ็บอยู่ไหม มีแต่ความกังวลเต็มไปหมดจนกูรู้สึกแย่ตามไปด้วย เพราะฉะนั้นอย่าให้เรื่องของกูไปเพิ่มความทุกข์ใจให้ดินเลย แค่ที่แบกรับอยู่ทุกวันนี้ก็หนักหนาเต็มทีแล้ว”
“แต่บางทีท่านก็ควรอ่อนแอบ้างท่านเจ้า ให้โอกาสมันได้เป็นห่วง ได้ดูแล”
“ให้สำออยเป็นคนขี้โรคเหมือนจันทร์เลยหรือเปล่า” ท่านเจ้าย้อนถามพลางคลี่ยิ้มหยัน “กูจำไม่เห็นได้ว่ามันเป็นหอบหืด เมื่อก่อนน่ะชอบชวนดินออกไปเล่นน้ำฝน ทำตัวเหมือนเด็กสามขวบวิ่งไล่จับกัน ดินป่วยกลับมาแทบทุกครั้งในขณะที่มันไม่เป็นอะไรเลย ภูมิคุ้มกันดีจนกูคิดว่ามันจะไม่ป่วยตายแน่ แต่คงตายสักวันเพราะความตอแหล”
จี้หัวเราะเบาๆ “สันดานมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว มันน่ะชอบเรียกร้องความสนใจจนท่านกลายเป็นตัวร้าย ชอบทำตัวอ่อนแอใสซื่อ ทั้งที่อยากได้น้องชายของท่านจนตัวสั่น”
“น้องชายเหี้ยอะไรจี้” ท่านเจ้ามองเพื่อนสนิทตาขวาง
“งั้นก็เอาที่ท่านสบายใจ” จี้ไม่อยากต่อความให้ยืด พูดแล้วก็ถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะปล่อยมือออกจากข้อเท้าของท่านเจ้าแล้วกลับขึ้นมานั่งโซฟาตามเดิม “แล้วนี่นายหญิงว่ายังไงบ้างเรื่องที่ท่านไม่กลับไปตามสัญญา”
“ไม่รู้” ท่านเจ้าตอบง่ายๆ “ไม่ได้คุยกับแม่นานแล้ว”
“เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก” จี้เตือนด้วยความห่วงใย ตกใจอยู่เหมือนกันที่ได้ยินคำตอบที่ไม่คาดคิดนี้ เพราะจี้รู้ดีว่านายหญิง ท่านแม่ของท่านเจ้าเป็นคนแบบไหนและคนที่รู้ดีที่สุดอย่างท่านเจ้ากลับเพิกเฉย สีหน้าไม่อนาทรร้อนใจยิ่งทำให้จี้เป็นกังวล
“ก็เป็นเรื่องอยู่แล้ว ไม่งั้นแม่คงไม่ปล่อยให้มันกลับมา” แววตาของท่านเจ้าเครียดขรึมเมื่อพูดถึงมารดา “กูรู้ดีนะจี้ว่าดันทุรังต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ ทั้งที่เรื่องนี้มันควรจะจบตั้งแต่วันนั้น แต่กูกลับไม่ยอมให้มันจบลง” มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบใบหน้าที่ปรากฏความทุกข์ใจให้เห็น “กูผิดเองที่กลับมาเป็นเรื่องแย่ๆ ในชีวิตของดินอีกครั้ง ผิดเองที่จะทำให้เขาต้องตกลงไปในนรกอีกหน มึงห้ามหรือใครห้ามกูก็ไม่ฟังเลย ขอโทษที่ต้องเป็นแบบนี้ ขอโทษจริงๆ นะจี้”
“ท่านขอโทษมากเกินไปแล้ว” จี้ยกมือขึ้นบีบไหล่แคบของท่านเจ้าอย่างปลอบประโลม “ท่านผิดตรงไหนกัน ท่านไม่ผิดเลยสักนิด พระเจ้าทำอะไรก็ไม่ผิดนะท่าน รู้ไว้ด้วย”
ท่านเจ้าหัวเราะขึ้นในทันที “จะอวยอะไรขนาดนั้น”
“ก็จริงนี่ ต่อให้ใครจะมองว่าท่านผิด แต่ท่านถูกเสมอในสายตาจี้คนนี้”
“คงมีแต่มึงที่เข้าใจ” ท่านเจ้ามองสบตากับคนหน้าหวานที่นั่งเคียงข้าง แววตาหวานที่มองมานั้นไม่เคยปิดบังความรู้สึก “ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี มึงก็เป็นคนเดียวจริงๆ ที่เป็นความสบายใจของกู”
“เป็นความสบายใจที่ไม่ใช่ความรักของท่านใช่ไหม”
“ขอโทษนะจี้” ท่านเจ้าบอกกับคนที่ยังคงคลี่ยิ้มส่งมาให้ “มึงน่ะควรมีความรักดีๆ ได้แล้ว คนดีๆ ยังมีอีกเยอะ”
“ใครจะดีกว่าท่านอีกท่านเจ้า” จี้เอ่ยถามเสียงแผ่ว “ที่ผ่านมายังไม่เคยเจอเลย”
“ไม่เปิดใจหรือเปล่า”
“ก็เหมือนกับท่าน”
“ยอกย้อนนัก” ท่านเจ้ายกมือขึ้นขยี้กลุ่มผมนุ่มของคนหน้าหวาน ก่อนจะชะงักมือแล้วผละออกห่างเมื่อพบว่าใบหน้าอยู่ใกล้กับอีกฝ่ายมากเกินไป
“ท่าน”
“หืม”
“ในตอนนั้น” จี้หยุดพูดไปเพียงครู่ ก่อนจะพูดต่อเมื่อรวบรวมความกล้าได้ “กูสงสัยมาตลอดว่าสำหรับท่านแล้ว...มันดีมั้ย คือ...กูหมายถึง...”
“ดีสิ” ท่านเจ้าตอบกลับก่อนที่จี้จะทันได้พูดจนจบประโยค “มึงเป็นเรื่องดีๆ สำหรับกูมาตลอดนั่นแหละ”
“…”
“ร้องไห้จนได้” พูดพลางดึงคนที่ร้องไห้ออกมาเงียบๆ มากอดปลอบ “ขี้แยเหมือนเดิมเลย ต่อหน้าไอ้วินกับไอ้บินล่ะทำเก่ง”
“ฮึก…” เสียงสะอื้นเบาๆ ดังไม่ขาดสาย จี้ซุกใบหน้าลงกับอกของคนสำคัญด้วยความคิดถึงจับขั้วหัวใจ ความคิดถึงที่ไม่สามารถส่งไปถึงได้นั้นช่างทรมาน
“ขอโทษที่เอาแต่ใจแล้วทำให้มึงต้องเหนื่อยมาตลอด ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรมึงก็คอยตามแก้ให้ กูเป็นเพื่อนที่ขยันสร้างเรื่องแต่มึงก็ไม่เคยบ่นเลย เวลากูมีเรื่องทุกข์ใจมึงก็เป็นคนแรกที่รู้ทุกที มึงเป็นทุกอย่างเพื่อกูจริงๆ จี้ แต่สัญญาได้มั้ยว่าจะรักตัวเองให้มากเท่าที่รักกู ถ้าวันหนึ่งกูต้องตกนรกก็อย่าตกไปกับกูด้วย มึงต้องมีชีวิตของตัวเองนะจี้ ใช้ชีวิตให้มีความสุขนะ ไม่ต้องคอยห่วงกูแล้ว”
คนที่ไม่เคยรักตัวเองมากเท่ารักธรากลับกล้าให้จี้สัญญาแบบนี้ก็เป็นเรื่องตลกดีเหมือนกัน แต่สีหน้าจริงจังของท่านเจ้าทำให้คนฟังพยักหน้ารับอย่างจำยอม
“ข้ออื่นน่ะรับปากได้อยู่หรอกท่าน แต่ไม่ให้ห่วงคงทำไม่ได้” จี้พูดขึ้นพลางผละออกจากอ้อมแขนของท่านเจ้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตามองดวงตาเรียวสวยบนใบหน้าคมคาย สีดำราวกับท้องฟ้ายามราตรีสะท้อนเงาของจี้อยู่ในนั้น “เพราะท่านทำแต่เรื่องน่าห่วงแถมยังไม่ค่อยดูแลตัวเอง"
“ก็มีจี้ดูแลแล้วไง”
“อย่ามาพูดแบบนี้!” จี้แหวกลับ “ท่านอยู่ให้ดูแลที่ไหนกัน”
“เอาน่า” ท่านเจ้ารีบพูดเมื่อจี้มองตาคว่ำ “ไม่ต้องห่วงๆ อยู่ทางนั้นก็มีเพื่อนที่พึ่งพา”
“ไอ้เด็กท่าทางเมากาวคนนั้นน่ะเหรอเพื่อนของท่าน” จี้ถามอย่างไม่อยากเชื่อ เคยให้วินเข้ากรุงเทพฯ เพื่อตามดูความเคลื่อนไหวของท่านเจ้าเมื่อหลายเดือนก่อน โดยที่วินหายไปสามวันแล้วสุดท้ายก็กลับมาพร้อมรูปถ่ายของท่านเจ้ากับเด็กหัวฟูหน้าตาเอ๋อๆ คนหนึ่ง ถามคนที่ถูกส่งเข้าเมืองกรุงก็ได้ใจความแค่ว่าท่านเจ้าอยู่กับเด็กคนนี้บ่อยๆ ซึ่งก็ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมไปมากกว่านั้น ทำให้ทั้งจี้และบินต่างเดากันไปต่างๆ นานาว่าเด็กในรูปนั้นเป็นใคร
“อย่าว่าเอ๋!”
จี้ส่ายหน้าระอาทันทีที่เห็นท่านเจ้าเป็นเดือดเป็นร้อน “ใช้ชีวิตบ้าบออยู่ได้ ท่านน่ะไม่ใช่คนที่จะเที่ยวเล่นได้ขนาดนั้นนะ ถ้าเกิดนายหญิงรู้เข้า...”
“วันๆ แม่ยุ่งจะตาย” ท่านเจ้าพูดอย่างขอไปที เพราะรู้ดีว่าที่พูดออกมานั้นก็แค่คาดเดาเพื่อความสบายใจของตน
“นายหญิงก็ต้องว่างสักวันนั่นแหละท่าน” แต่จี้กลับดับฝัน พูดความจริงที่รู้กันอยู่แล้วออกมา
“ก็ให้แม่ว่างก่อนแล้วกันนะ แต่ตอนนี้ง่วงมาก แยกย้ายกันเถอะ ใกล้สว่างแล้วด้วย”
“อืม ใกล้ได้เวลาที่ไอ้บินจะมารับพอดี” จี้พูดเมื่อก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ เวลาบนหน้าปัดนาฬิกาเดินทางเข้าใกล้ตีห้าอยู่รอมร่อ “ยังไงท่านก็ดูแลตัวเองด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นให้รีบโทรมา ไม่ว่าดึกหรือไกลแค่ไหนก็จะไปหา”
“ได้”
“แล้วก็...”
“หืม”
“ถ้าวันหนึ่งท่านเหนื่อยจนไปต่อไม่ไหวแล้วก็บอกกัน” จี้กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จะรีบไปรับกลับทันที”
ท่านเจ้าพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ถึงวันนั้นก็ฝากด้วยนะ”
หากพูดถ้อยคำที่อยู่ในใจออกไปได้ ก็คงจะบอกกับท่านว่า พอเถอะนะ กลับมาได้แล้ว กลับมาในที่ที่คู่ควรกับท่านเสียที แต่เพราะไม่มีสิทธิ์พูดออกไปก็คงทำได้แค่เคารพการตัดสินใจของท่าน
.............TBC............
ภาพจำของเรามันคงต่างกัน