หลังจากนั้นผมก็นั่งคุยเรื่องงานกับทั้งสองคนต่อ เพราะผมเริ่มดำเนินการสั่งผลิตสินค้าและกำลังเตรียมแผนโปรโมท และการขายของง่ายๆอย่างหนึ่งก็คือขายคนใกล้ตัว ทั้งเจมส์และทิศอยู่ไทยตลอด ดังนั้นพวกมันมีคอนเนคชั่นในหลายสายงาน เลยตกลงว่าจะช่วยผมหาลูกค้า
ผมนั่งกินดื่มกับเพื่อนจนเที่ยงคืนก็ขอตัวกลับ ร้านที่ผมมานั่งกับเพื่อนเป็นร้านที่ไม่ได้อยู่ในถนนใหญ่ ขับลัดเลาะจากซอยบ้านผมมาได้ เลยไม่ต้องกลัวกับด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ เพราะผมเองก็ดื่มมาประมาณหนึ่ง
ไม่รู้ป่านนี้เด็กที่บ้านจะหลับไปหรือยัง
ผมขับรถเข้ามาในบ้าน ภาพที่เห็นทำให้ผมแทบจะอยากจะถลาเข้าไปดึงเด็กที่นั่งก้มหน้าอยู่หน้าประตูในบ้านมากอด
พอเขาเห็นแสงไฟและเสียงรถยนต์ของผม ฟ้าก็ลุกขึ้นยืนแทบจะทันที
“คุณตรี” เสียงฟ้าสั่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้นานขนาดไหนแล้ว ผิวนอกร่มผ้าไม่โดนยุงดูดกัดไปหมดแล้วเหรอ
“ทำไมไม่นอน” ผมดัดน้ำเสียงให้นิ่ง ไม่ให้ดูอ่อนยวบจนเกินไปเพราะความสงสารปนเอ็นดู
“ผมรอคุณตรี ดื่มมาเหรอครับ แล้วขับรถกลับมายังไง” ฟ้าเดินเข้ามาใกล้ มองสำรวจผมทั่วทั้งตัว แววตาและน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง
ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะทำให้ผมสุขใจไปถึงไหน
ทั้งชีวิตของผม นอกจากคุณย่าแล้ว ก็มีแค่ฟ้าเท่านั้นที่เป็นห่วงผมจากใจจริง มีแค่สองคนนี้ที่ใส่ใจดูแลผม รู้ว่าผมต้องการอะไร รู้ว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร พ่อกับแม่ผมยังไม่ใส่ผมเท่านี้เลย คงไม่แปลกใจไหมที่ผมจะตกหลุมรักเด็กผู้ชายตรงหน้า
“ฉันไม่เป็นไร ไปนอนเถอะ” ผมบอกเขา ทำเหมือนไม่ใส่ใจ แล้วเดินผ่านตัวเขาเข้าประตูมา
หมับ!
เพียงก้าวเดียวที่ก้าวข้ามผ่านประตูมา แขนของผมก็ถูกสองมือเล็กที่ไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนมือผู้หญิงจับเอาไว้แน่น เขาลงแรงบีบจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึก เหมือนฟ้ากำลังกลัวว่าผมจะเดินหนีไป เลยต้องจับไว้ให้แน่น
หึหึ จะด่าว่าผมเลวก็ได้ แต่ผมชอบฟ้าตอนนี้จริงๆ ฟ้าตอนที่โดนผมแกล้งน่ารักที่สุดแล้ว
“มีอะไร” ผมกลั้นยิ้มถามออกไป ฟ้ายังจับมือผมไว้ เขากระเถิบเท้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น แต่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
ผมควรหยุดแกล้งแต่ตรงนี้ดีไหม สงสารเหลือเกิน เดี๋ยวเด็กร้องไห้
“ผมขอโทษ” ฟ้าพูดเสียงอู้อี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ทันแล้ว ผมทำเด็กร้องไห้เสียแล้ว
“ขอโทษเรื่องอะไร” ผมปรับน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปกติ แต่คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาหลบซ่อนน้ำตาคงไม่ทันสังเกตว่าผมไม่ได้ทำเสียงเย็นชาใส่
“ผมขอโทษที่ผมปิดบัง”
“เรื่องนั้นฉันก็ได้คำตอบแล้วไง”
ซื้ด
เสียงสูดน้ำมูกดังขึ้น ร่างกายของฟ้าสั่นสะท้านเล็กน้อย ผมถอนหายใจแล้วใช้มือข้างที่ช้อนจับที่ข้างแก้มบังคับให้ฟ้าเงยหน้าขึ้น
เม็ดน้ำตาไหลกลิ้งลงบนแก้มเนียน ผิวเนื้อรอๆดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ จมูกก็แดง ริมฝีปากก็แดง เห็นแล้วก็ต้องยิ้มออก คนอะไรร้องไห้ก็ยังน่ารัก
“ร้องไห้ทำไม” ผมถาม ใช้มือที่ยังจับที่แก้มเช็ดน้ำตาให้
“ผมขอโทษ” ฟ้าสะอื้นพูดคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ไม่มีคำอื่นจะพูดแล้วเหรอ” ผมคาดหวังอะไรที่มากกว่าคำว่าขอโทษจากปากจิ้มลิ้มนี่ ผมจับจ้องมองจุดที่น่าสนใจ ริมฝีปากของฟ้าในขณะนี้ดูบวมอิ่มมากกว่าปกติ คงเพราะเขาเม้มและกัดมันตลอดเวลาที่ตัวเองร้องไห้
“ผมไม่อยากให้คุณตรีโกรธผม” ฟ้าสะอึกเล็กน้อยตอนที่พูด
“ฉันไม่โกรธนายหรอก” ใครจะไปโกรธคนที่ดีกับผมขนาดนี้ได้ลงคอ
“แต่คุณตรี...ไม่พูดกับผม”
“...”
“คุณตรีไม่กินข้าวด้วย”
ผมปล่อยให้เขาพูด อยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาบ้างโดยที่ผมไม่ต้องตั้งคำถามหรือบังคับ
“ผมไม่ได้รังเกียจคุณตรีด้วยนะครับ ที่คุณตรีว่าชอบผม ผมไม่ได้อึดอัด ผมแค่ไม่อยากเชื่อเท่านั้นว่าคุณตรีจะชอบผม”
“อืม” ผมส่งเสียงตอบรับให้เขารู้ว่าผมยังฟังอยู่
“แล้วที่ผมไม่กล้าเล่าเรื่องที่คุณดิวเล่าก็เพราะผมคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องจริง ถ้าพูดไปแล้วคุณตรีรู้สึกไม่ดี ผมกลัวคุณตรีจะ...” ท้ายประโยคฟ้าพูดเสียงเบาจนผมไม่ได้ยิน
“อะไรนะ ฉันไม่ได้ยิน”
“ผมกลัวคุณตรีจะถอยห่างจากผม” พูดประโยคนี้จบฟ้าก็เหมือนร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ ตั้งแต่ผมรู้จักฟ้ามา ครั้งนี้เขาร้องไห้ให้เป็นครั้งแรก ผมก็สำนึกผิดที่ทำฟ้าร้องไห้ แต่เดี๋ยวค่อยปลอบทีเดียว ยังไงคืนนี้ก็ต้องเคลียร์เรื่องความรู้สึกระหว่างเราสองคนให้รู้เรื่อง
“นายกลัวว่าถ้าเล่าให้ฟังแล้วฉันไม่ได้ชอบนาย จะทำให้ฉันอึดอัดใจกับเรื่องนี้เหรอ” ผมตีความในสิ่งที่ฟ้าบอก แล้วเขาก็พยักหน้า
เห้อ อยากรู้จริงๆว่าในสมองเล็กๆนี่คิดอะไรบ้าง
“ฟ้าเอ้ยฟ้า ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง ฉันจะเอาอารมณ์ไปลงกับนายทำไม คนที่ฉันควรโกรธคือคนที่มาโกหกทำให้เราสองคนผิดใจกันไม่ใช่เหรอ” ผมล่ะอยากจะเขย่าหัวเด็กตรงหน้าจริงเชียว แต่ก็ไม่กล้าทำหรอกครับ แค่คิดเท่านั้น
“ผมขอโทษ พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณตรีทีไร ผมก็กังวลไปหมด ผมไม่อยากให้คุณตรีรู้สึกไม่ดีกับผม”
“แต่นายก็ทำมันไปแล้ว” ผมยอมให้ด่าว่าเลวอีกรอบ แต่ขอสักหน่อยเถอะ เด็กคนนี้ทำผมใจเสียมาก่อนหน้านี้ ไหนๆก็ร้องไห้แล้วขอเอาคืนสักหน่อย
“ผมขอโทษ” ฟ้าเบะปากใส่ผม ผมส่ายหน้ายิ้มๆแล้วลูบแก้มปาดน้ำตาออกจากแก้มเนียน
“ฉันชอบนาย มันคือเรื่องจริง ควรจะเป็นฉันไม่ใช่เหรอที่กลัวนายจะรู้สึกไม่ดีด้วย” ผมปรับเสียงให้ทุ้มขึ้นเพื่อเป็นการปลอบคนตรงหน้าไปในตัว
“ผมไม่มีทางรู้สึกไม่ดีหรอก ขอแค่ไม่เกลียดผมก็พอ”
“หมายความว่า ต่อให้นายไม่ชอบฉัน นายก็จะไม่ถอยห่างแม้ฉันจะชอบนายใช่ไหม”
“คือ...”
“...”
“คือผม...ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ”
ผมเลิกคิ้วใส่ ฟ้าเม้มปากจนมันสั่นระริก
“ไม่ใช่ไม่ชอบอะไร ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่ฉันชอบนาย หรือไม่ใช่ว่าไม่ชอบฉัน ไหนลองบอกฉันสิว่ามันคืออันไหน”
“....” ดวงตาแสนเศร้าหลุบต่ำ
“พูดสิ ฉันอยากฟัง”
“อันหลังครับ”
“อันหลัง? หมายถึงไม่ใช่ว่าไม่ชอบฉัน ใช่ไหม”
ฟ้าไม่พูดตอบ แต่พยักหน้าตอบแทน ผมหลุดยิ้มกว้างทันที ผมปลดมือฟ้าออกจากแขนของผมแล้วดึงเขาเข้ามากอดเอาไว้แน่น กดจูบที่ผมหอมและขมับบางเบา
ผมบอกแล้วไงว่าผมมั่นใจว่าฟ้าก็ชอบผมเหมือนกัน แต่คนที่ไม่มั่นใจก็คือคนที่ผมกอดอยู่ ฟ้าไม่ใช่เด็กขี้อายขนาดนั้น แต่ค่อนข้างเป็นเด็กเก็บเนื้อเก็บตัว เวลาอยู่กับเพื่อนก็ดูห้าวพอตัว เวลาอยู่กับคนอื่นก็เฮฮาตามประสาเด็กผู้ชาย แต่พออยู่กับผมทีไร เขามันเขินอายเสมอและไม่กล้าเสมอ มันเลยทำให้ผมดูออก
“แน่ใจเหรอว่านายชอบฉัน ไม่ใช่พูดเพราะกลัวว่าฉันจะโกรธ” ผมถามให้แน่ใจอีกครั้ง เพราะต่อให้ผมเองว่าจะมั่นใจว่าฟ้าเองก็รู้สึกเหมือนผม แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่ผมคิด ผมก็ไม่อยากให้ฟ้าต้องเสียสละทำเพื่อความสุขของผมแต่เพียงฝ่ายเดียว
“ผมแน่ใจ”
“จริงอ่ะ”
“ครับ”
“แน่ใจเหรอ พูดใหม่สิ ดังๆ ชัดๆ ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่มั่นใจนะ”
“ผมชอบคุณตรีครับ” เหมือนจะกลัวผมไม่เชื่อ พูดชัดถ้อยชัดคำขึ้นมาเชียว
ผมปล่อยตัวฟ้า เปลี่ยนที่วางมือไปจับไว้ที่ไหล่บางทั้งสองข้างแทน ผมมองสำรวจทั่วไปหน้าของฟ้า และที่ใช้เวลามองนานที่สุดก็คือดวงตากลมที่แดงช้ำ
“ถ้าอย่างนั้นเราสองคนก็ชอบกัน”
“ครับ”
“ขอบคุณนะ”
หากคิดถึงสิ่งที่ฟ้าทำให้ผมตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาทำมันเพราะชอบผม ไม่ได้ทำเพราะมันเป็นหน้าที่ การถูกรักมันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง
“คุณตรีครับ”
ผมเผลอจ้องเขานายเกินไป ถ้าฟ้าไม่เรียกผม ผมก็ยังคงยืนมองเขาอยู่อย่างนั้น
“ว่าไง”
“แล้วมันจะเป็นยังไงต่อเหรอครับ” ทั้งที่ฟ้าควรจะดีใจที่เราสองคนใจตรงกัน เขากลับทำหน้าวิตกกังวลแทน
ไม่รู้ว่าหัวสมองน้อยๆนี่ต้องทำงานหนักขนาดไหนในแต่ละวัน ถ้าเขาคอยแต่จะเป็นกังวลเรื่องของผม
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น ไม่ดีใจเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ แต่ว่าคุณดิวเธอรู้เรื่อง เธอบอกด้วยว่า คุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีก็อาจจะรู้ ถึงตอนนั้นคุณตรีจะต้องเดือดร้อน คุณดิวเธอดูโกรธมาก ผมกลัวว่ามันจะเป็นปัญหา”
ผมเข้าใจในสิ่งที่ฟ้าบอก เพราะผมก็ได้ยินทุกคำที่ดิวพูด แต่ผมไม่กลัว ผมเผชิญปัญหาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่โตมา จะมีเข้ามาอีกสักสองสามเรื่องจะเป็นอะไรไป
แต่เมื่อฟ้าพูดมาแบบนี้ ผมก็รู้สึกกังวลขึ้นมา ถ้าเรื่องมันเกิดกับผมคนเดียวผมรับมือได้ แต่ถ้าฟ้าต้องโดนร่างแหไปด้วย ผมยอมไม่ได้แน่นอน
“อะไรที่มันยังไม่เกิดก็ไม่ต้องไปเครียด ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้น เราจะแก้ไขไปด้วยกัน”
“มันจะโอเคใช่ไหมครับ”
“ไม่ลองดูจะรู้เหรอ” ผมยักไหล่ จับข้อมือฟ้าให้เดินเข้ามาในบ้าน เพราะตลอดเวลาที่เราปรับความเข้าใจกัน เรายืนอยู่หน้าประตู
ผมดึงฟ้าให้นั่งลงข้างๆกันบนโซฟา แล้วหยิบกระดาษทิชชูให้เขาเช็ดหน้าเช็ดตาและสั่งน้ำมูก ฟ้ากระแอมไอเบาๆ ผมจึงลุกไปหยิบเหยือกน้ำและแก้วในครัว
“ดื่มน้ำหน่อย” ผมส่งแก้วน้ำที่เทแล้วให้เขา ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ก่อนจะรับแก้วคืนมาแล้วเทดื่มมาก ผมดื่มเหล้าไปประมาณหนึ่ง ทำให้รู้สึกคอแห้งอยู่ตลอด
“คุณตรี...ไม่เอาแก้วใหม่ล่ะครับ”
“ทำไม” ผมขยับแก้วในมือมองว่ามันมีอะไรผิดปกติตรงไหน
“ก็...ผมเพิ่งใช้แก้วนั้นไป”
อ่อ หึหึ เด็กน้อยเอ้ย
“ฉันไม่ถือหรอกน่า ที่จะกินน้ำแก้วเดียวกับคนที่ตัวเองชอบ”
“...” คิดไว้แล้วว่าต้องมีคนเขิน
ผมสังเกตตั้งแต่ฟ้ายอมรับออกมาว่าชอบผมเหมือนกัน เขาดูเก้ๆกังๆทำตัวไม่ถูก มันคงยากที่จะปรับตัวในเวลาอันรวดเร็ว ฟ้าเป็นคนยังไงผมเองก็รู้ ดังนั้นผมจะไม่เร่งรัดเขา
“อย่าคิดมาก ต่อให้เราสองคนใจตรงกัน ฉันก็ไม่ได้คิดจะเร่งรัดอะไรนายหรอกนะฟ้า”
“ครับ คือผมแค่ทำตัวไม่ถูก เหมือนกำลังฝันอยู่เลย โอ๊ย”
ผมบีบแก้มใสเข้าให้ มาขนาดนี้ยังจะทำเหมือนเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องจริง
“เป็นตัวของตัวเองก็พอ เรื่องอนาคตของเรา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน”
“อนาคตของเรา?” ฟ้าทำหน้างุนงง
ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน ผมว่าผมควรทิ้งระเบิดลูกย่อมๆเอาไว้สักหน่อย ด้วยการโน้มตัวเข้าไปใกล้ ฟ้าเอนหลังหนีเพื่อไม่ให้เราใกล้กันจนเกินไป เวลากระต่ายตื่นตกใจมันน่ารักแบบนี้นี่เอง
“อนาคตของเรา ก็คือสถานะแฟนไง ฉันจะหามาให้หลังจากที่ฉันประสบความสำเร็จ ตกลงไหม”
“ครับ”
เด็กอะไร ว่านอนสอนง่ายจริงๆ หวังว่าในอนาคตตอนที่เรานอนแล้วผมสอนอะไรบางอย่างให้จะยังว่าง่ายแบบนี้นะ
CATER TO YOU
ตอนที่22
ผมจะใช้ร่างกายของผมเยียวยาคุณ
พูดไปก็เหมือนโอเวอร์ แต่ผมใจเต้นแรงจนนอนไม่หลับทั้งคืน สมองเอาแต่คิดถึงคำพูดของคุณตรีซ้ำไปซ้ำมา ถึงขนาดเก็บเอาไปฝันจนหลับๆตื่นๆทั้งคืน
‘ถ้าอย่างนั้นเราสองคนก็ชอบกัน’
‘ฉันไม่ถือหรอกน่า ที่จะกินน้ำแก้วเดียวกับคนที่ตัวเองชอบ’
‘อนาคตของเรา ก็คือสถานะแฟนไง ฉันจะหามาให้หลังจากที่ฉันจีบนายติด ตกลงไหม’แล้วสิ่งที่แย่กว่าการนอนไม่หลับทั้งคืนก็คือ ผมตื่นสาย!
เพราะนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะสมองไม่ยอมหยุดทำงาน มันมายกมือยอมแพ้ตอนที่ร่างกายอ่อนล้าเต็มทนก็ช่วงเช้ามืด ทำให้ผมหลับสนิท ตกใจตื่นอีกทีก็เกือบจะเจ็ดโมงเช้าเข้าไปแล้ว
ผมตาลีตาเหลือกลุกจากเตียง เรียกว่ากระโดดเลยก็ว่าได้ ไม่ต้องพูดถึงจัดการตัวเองด้วยการล้างหน้าล้างตา ผมวิ่งไปยังห้องคุณตรีเป็นอย่างแรก เปิดประตูเข้าไปก็เจอแสงสว่าง และเจ้าของห้องก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว แม้แต่ห้องอาบน้ำหรือห้องแต่งตัวก็ไม่มี
เวลานี้คุณตรีจะต้องกำลังแต่งตัวอยู่ไม่ใช่เหรอ เพราะเขาจะออกกำลังกายเสร็จประมาณหกโมงครึ่ง แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน
ผมไม่มีเวลาให้คิดมาก รีบวิ่งลงไปชั้นล่าง กำลังจะเลี้ยวไปยังห้องฟิตเนส แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเบรกตัวโก่งเมื่อเกือบจะชนเข้ากับร่างสูงที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดมา
“เป็นอะไรทำไมวิ่งหน้าตาตื่นลงมา” คุณตรีถามพลางมองสำรวจอาการของผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“คุณตรี...ผมขอโทษครับ ผมตื่นสาย” ผมยอมรับผิดแต่โดยดี ในตอนเช้าผมต้องไปเตรียมห้องน้ำให้คุณตรี ก่อนจะลงมาเตรียมห้องฟิตเนสและเครื่องดื่มแก้กระหายระหว่างออกกำลังกาย จากนั้นผมก็ต้องออกกำลังกายกับเขาด้วย ก่อนจะปลีกตัวไปเตรียมชุดทำงานแล้วลงมาทำอาหารเช้า
แล้วดูวันนี้สิ ผมได้ทำอะไรบ้าง คุณตรีอยู่ในชุดพร้อมออกไปทำงาน ยังเหลืออาหารเช้าใช่ไหมที่ผมพอจะทำให้ได้
“ผมจะรีบไปเตรียมอาหารเช้าให้นะครับ แต่ขอผมขึ้นไปล้างหน้าแปบหนึ่ง” ผมรีบพูดแล้วรีบวิ่งกลับขึ้นห้อง
ผมทำธุระส่วนตัวภายในห้านาทีแล้วรีบลงมา แต่ก็ต้องเบรกขาทั้งสองข้างแบบกะทันหัน ถ้าเป็นรถป่านนี้แหกโค้งไปแล้ว
“คุณตรี...ผม...”
จากความตั้งใจที่จะรีบลงมาทำอาหารเช้า ทุกอย่างล่มไม่เป็นท่าเมื่ออาหารเช้าที่ว่าเจ้านายของผมจัดการทำมันด้วยตัวเองจนเสร็จสรรพเรียบร้อยพร้อมทาน
“มากินข้าวเช้า วันนี้ต้องออกไปทำงานด้วยกัน ลืมเหรอไงถึงได้แต่งตัวแบบนั้น”
ใครก็ได้มาจับผมลงไปอยู่ในโหลปลาทองแทน ที่ตรงนั้นมันควรเป็นที่สำหรับผม นอกจากจะตื่นสายจนไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว ผมยังลืมอีกว่าวันนี้จะต้องออกไปทำงานข้างนอกกับคุณตรี
“ผมขอโทษครับ” อยากจะทุบหัวตัวเองสักทีสองที
“ช่างเถอะ รีบมากินข้าวเช้า” คุณตรีพูดเสียงเรียบ เขาเดินนำผมไปนั่งประจำที่ของตัวเอง ส่วนผมก็ได้แต่เดินตัวลีบไปนั่งฝั่งตรงข้าม กลิ่นของอาหารเช้าง่ายๆอย่างขนมปังโฮลวีทปิ้ง ไข่ดาวน้ำ ไส้กรอกอกไก่ยั่วยวนให้ท้องของคนตื่นสายอย่างผมส่งเสียงประท้วง
เพราะมัวแต่หัวหมุนตั้งแต่ตื่นนอน ผมจึงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปชั่วขณะถ้าเขาไม่พูดขึ้น
“เมื่อนอนไม่หลับเหรอ คิดถึงฉันทั้งคืนหรือไง”
ถ้าหน้าผมร้อนกว่านี้อีกนิดก็คงจะใช้ต้มกาแฟให้คุณตรีได้
“ปะ เปล่านะครับ” ผมปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด ไม่ใช่ว่าที่เขาพูดมันไม่จริง แต่มันเป็นเรื่องจริงจนน่าอายต่างหาก
“เดี๋ยวนี้หัดโกหกบ่อยนะ สงสัยฉันต้องลงโทษนายสักหน่อย วันนี้ก็ตื่นสายด้วยนี่นา”
“...” ผมมองหน้าคุณตรีทันที เขายิ้มล้อผมเหมือนกำลังสนุกที่ได้แกล้ง ผมบุ้ยปากใส่เขาทันที คาดว่าการลงโทษของเขามันต้องเป็นอะไรที่ผมคิดไว้แน่ๆ
เขาจะต้องเพิ่มเงินเดือนให้ผม
“ฉันจะลงโทษนาย...ด้วยการเพิ่มเงินเดือน”
นั่นไง ทำไมผมซื้อหวยไม่ถูก
“คุณตรีอย่าแกล้งผมสิครับ”
“หึหึ” เขาหัวเราะอย่างร้ายกาจ ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าฝีมือคุณตรี ไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาต่อ ไม่อย่างนั้นเราจะยิ่งไปทำงานสาย
เสียงแจ้งเตือนในโทรศัพท์ดังขึ้นดึงความสนใจจากภาพตรงหน้า ผมหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะวางลงแล้วคว้ากระเป๋าสตางค์ของคุณตรีแล้ววิ่งลงไปจ่ายเงินค่าอาหาร
“ทั้งหมด2,345บาท”
“นี่ครับ” ผมหยิบเงินสดจ่ายแล้วรอรับเงินทอน ก่อนจะหอบหิ้วถุงอาหารถุงใหญ่เดินเข้าไปในออฟฟิศของคุณตรี
ผมเดินเข้าไปจัดของกินใส่จาน เตรียมตั้งโต๊ะอาหารเย็นให้คุณตรีและพี่ๆในทีมของเขา เพราะทำงานหามรุ่งหามค่ำมาทั้งอาทิตย์ ถ้าไม่เพราะว่าคุณตรีติดนอนที่บ้าน เขาคงจะกินนอนที่นี่ไปแล้ว
“คุณตรีครับ ผมว่าเราเพิ่มสินค้าดีไหม ผมมาคิดๆดูแล ตอนนี้คอลเลคชั่นนี้มีสินค้าจำนวนสิบห้าชิ้น รวมทั้งชิ้นใหญ่แล้วก็ชิ้นเล็ก”
“เพิ่มสินค้างั้นเหรอ แต่เราจะมีเวลาในการผลิตไม่ทัน”
“แต่ถ้าเราปรับลดจำนวนของแต่ละอย่างลง ก็อาจจะทำให้ไปผลิตสินค้าเพิ่มได้นะครับ”
“นายมีไอเดียของสินค้าชิ้นอื่นเหรอ”
“ครับ คือพอดีพวกผมเกิดไอเดีย...”
ผมยืนค้างเติ่งอยู่หน้าประตู ไม่รู้ว่าควรเข้าไปกวนดีไหมในขณะที่พวกเขากำลังจริงจังกับการทำงาน เกรงว่าถ้าผมเข้าไปขัดจะทำให้งานของคุณตรีเสียหาย
ผ่านจากวันนั้นที่เราต่างสารภาพความในใจ คุณตรีก็ยังเหมือนเดิม เขาปฏิบัติต่อผมเหมือนเดิม อ่ะ ไม่สิ ดีกว่าเดิมหน่อย แต่ไม่ได้หมายความว่าแต่ก่อนเขาไม่ดีนะครับ เขาดีมากๆ และยิ่งดีมากขึ้นไปอีกเพราะเขามักตามใจผม และก็ดูแลผมเพราะเขาบอกว่าจะจีบ
ผมรู้สึกดีเพราะว่าคุณตรีทำให้ผมไม่รู้สึกอึดอัด ผมชอบเขารักเขาก็จริง แต่ผมก็ยังมีความกลัวเยอะแยะมากมาย ไหนจะเรื่องคุณดิว และเรื่องพ่อแม่ของคุณดิวอีก ทำให้ผมไม่กล้าทำอะไรตามใจตัวเองมากนัก เพราะกลัวทำให้คุณตรีต้องทุกข์นัก แค่เรื่องงานเขาก็แทบไม่ได้พักผ่อน
แป๊ะ!
“โอ๊ะ” ผมยกมือกุมหน้าผากที่โดนดีด เจ็บเหมือนมดกัด แต่ตกใจมากกว่า
“ยืนเหม่ออะไร” คุณตรีเขามายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“อาหารมาส่งแล้วครับ”
“ฉันรู้ตั้งแต่นายเดินออกมาแล้ว”
“อ่อ ครับ ผมเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ไปทานกันเถอะครับ”
“อืม”
“พี่ๆครับ อาหารมาแล้วครับ”
“โอเค”
“เย้ หิวสุดๆไปเลย”
ผมเปิดประตูออกกว้าง ให้พี่ๆทยอยเดินกันออกไปกิน ผมและคุณตรีเดินรั้งท้ายไปคนสุดท้าย บนพื้นที่ชั้นลอยที่เป็นชั้นส่วนตัวของคุณตรี เขาให้ช่างมากั้นห้องเพิ่มสองห้อง คือห้องทำงานรวมและห้องอาหาร อาจจะดูคับแคบไปสักหน่อยที่จะยัดผู้ชายเกือบสิบคนให้อยู่ในพื้นที่เล็กๆ แต่มันก็สะดวกในช่วงที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา และผมก็คือคนที่คอยดูแลคุณตรีนอกสถานที่ เพราะอย่างนั้นผมถึงเห็นว่าเวลาเขาทำงานเขาต้องเหน็ดเหนื่อยมากขนาดไหน ยิ่งตอกย้ำว่าผมต้องดูแลเขาให้ดีกว่าเดิม
“คุณตรีทานอันนี้สิครับ อันนี้ไก่ทอดรสไม่เผ็ด มีทั้งเนื้อแบบไม่มีกระดูกแล้วก็ปีกไก่บนปีกไก่ล่าง”
“อันนั้นอะไร” เขาถามของที่อยู่ในถ้วยพลาสติก
“เขาว่าหัวไชเท้าดองนะครับ” ผมหยิบมาเปิดแล้วดมดู
อาหารเย็นของเราในวันนี้เป็นไก่ทอดเกาหลีจากร้านชื่อดัง คุณตรีให้พี่ๆในทีมเป็นคนเลือกอาหารเย็น พวกเขาก็เลยลงมติกันว่าจะสั่งไก่ทอดเกาหลีเจ้านี้มาทาน ผมเองก็ไม่เคยกินแต่เคยเห็นในโฆษณาอยู่ นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ลองชิมว่าของแพงที่เขาฮิตๆกินกันมันอร่อยสักแค่ไหน
“นายเคยกินไหม” คุณตรีใช้ตะเกียบคีบไก่ทอดขึ้นมาพิจารณา
“ไม่เคยครับ”
“แล้วของนายรสอะไร” คุณตรีมองไก่ทอดในมือผม ผมไม่ใช้ตะเกียบแต่ใช้มือหยิบเลย ล้างมือสะอาดก่อนทานอาหาร ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องสุขอนามัยเลย
“น่าจะรสเผ็ดนะครับ” ผมบอกแล้วก็เริ่มกิน คุณตรีมองผมกิน พอเห็นเห็นว่าผมพยักหน้าส่งความหมายว่าอร่อย เขาก็ก้มกัดไก่ทอดของตัวเอง
มันอร่อยจริงๆครับ เป็นรสเผ็ดหวานแบบที่ผมไม่เคยกิน แต่ผมว่าไก่ทอดชิ้นละสิบห้าบาทในตลาดก็อร่อยดีนะครับ ยิ่งหนักกรอบๆน้ำมันที่ทอดดำๆล่ะก็ แบบนั้นยิ่งอร่อย เวลาเงินเดือนออก ผมชอบไปซื้อกินที่สามน่องใหญ่ๆเลยล่ะ
“อร่อยไหมครับ” ผมถามคุณตรี
“อร่อยดี”
“ปกติคุณตรีทานแต่อาหารสุขภาพ นานๆทีทานแบบนี้ผมก็ว่าก็ดีนะครับ”
“ที่ว่าดีเพราะนายชอบกินสินะ” เขารู้ทันผมตลอด ผมย่นจมูกใส่เขา แล้วก็กัดไก่คำโตโชว์ไปอีกทีว่าผมชอบกินอาหารแบบนี้มาก
“ครับ ผมชอบ แบบนี้มีรสชาติดี” เพราะคุณตรีกินคลีน อาหารของเขาก็เลยจะรสชาติไม่จัดจ้าน บวกกับที่เขาทานเผ็ดไม่ได้ ทำให้อาหารการกินของผมเปลี่ยนไปด้วย
“มีแต่โซเดียมละสิไม่ว่า”
“แหะๆ”
“ชอบก็กินเยอะๆ” คุณตรีหยิบไก่ในจานของตัวเองส่งให้ผมที่เพิ่งกินชิ้นในมือหมดไป
“ขอบคุณครับ”
พวกพี่ๆใช้เวลานั่งกินอาหารเย็นเกือบชั่วโมง ก็แยกย้ายกันกลับบ้านในเวลาเกือบจะสามทุ่ม ตอนนี้ทั้งตึกก็คงเหลือแค่ผมกับคุณตรี และพนักงานรักษาความปลอดภัยกะกลางคืน
คุณตรีหอบเอกสารบางอย่างกลับบ้าน เขาเหมือนมีอะไรให้คิดอยู่ตลอดเวลา และคาดว่าตอนถึงบ้านเขาก็คงจะนั่งทำงานจนดึกดื่นอีกตามเคย
“อยากแวะซื้ออะไรก่อนกลับบ้านไหม” คุณตรีถามเมื่อรถติดไฟแดง ขับเลยไปอีกนิดก็จะถึงปากซอยบ้าน ตอนกลางคืนในซอยจะมีร้านอาหารและพวกพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งร้านขายของ เพราะเป็นซอยที่มีหมู่บ้านและห้องเช่าอยู่เป็นจำนวนมาก มีทั้งวัดและโรงเรียนอยู่ภายในซอยด้วย จึงทำให้ครึกครื้นไปจนถึงช่วงตีหนึ่งตีสองนู่น
“ผมอิ่มมากเลยครับ แต่ถ้าได้น้ำเต้าหู้ร้อนๆก่อนนอนก็ดี”
“สั่งมาเผื่อฉันด้วยถุงหนึ่ง”
“หวานปกตินะครับ”
“อืม”
และต่อให้คุณตรีจะกินเพื่อสุขภาพยังไง จะมีสิ่งหนึ่งที่คุณตรีจะตามใจปากท้องตัวเองเสมอก็คือเครื่องดื่มรสหวาน
กลับถึงบ้านเราก็แยกย้ายกันไปจัดการธุระของตัวเอง ทุกวันนี้ผมไม่มีเวลาเลิกงานตายตัว แต่มีเวลาเริ่มงานทุกวันตอนตีห้า หลังจากลืมตาตื่นผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองจนกระทั่งทานมื้อเย็นและเก็บล้างเสร็จ หน้าที่ผมควรจะสุดอยู่ที่ตรงนั้น แต่ว่าผมยังไม่เปิดเทอม ดังนั้นหลังหนึ่งทุ่มผมก็ไม่รู้จะทำอะไร คุณตรีก็ไม่ได้เรียกใช้อะไรผมมาก แต่เป็นผมเองที่คอยดูว่าเขาต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าอย่างเช่นพวกเครื่องดื่มชาร้อน หรือของว่างเวลาที่เขาทำงานล่วงเวลาดึกดื่น
ผมอาบน้ำเสร็จก็ลงไปเตรียมของสำหรับทำมื้อเช้า ช่วงนี้ไม่ค่อยอยู่บ้านเลยไม่ได้มีเวลาเตรียมนัก เช้ามาก็ต้องรีบออกจากบ้าน ผมเลยต้องเตรียมของไว้ตั้งแต่ก่อนนอน เช้ามาจะได้ไม่วุ่นวายนัก จากนั้นผมก็ อุ่นน้ำเต้าหู้แล้วเอาไปเสิร์ฟให้คุณตรีที่ห้องทำงาน
“น้ำเต้าหู้ครับคุณตรี ดื่มอุ่นๆจะได้สบายท้อง”
“นั่งลงสิ ดื่มด้วยกัน” เขาพเยิดหน้าให้ผมนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าเขา
“คุณตรีทำอะไรอยู่เหรอครับ” ผมมองกระดาษบนโต๊ะทำงานของคุณตรี เขาจิบน้ำเต้าหู้แล้วพยักหน้าให้ผมหยิบขึ้นไปดู
“นี่มันแบบสินค้านี่ครับ คุณตรีเอามาดูทำไมเหรอ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ผมหยิบขึ้นมาดูทีละแผ่น ภาพสินค้าพวกนี้ถูกส่งไปยังโรงผลิตแล้ว แต่ทำไมคุณตรียังเอามาดูเหมือนมีปัญหาอะไร
“ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ฉันกำลังคิดเรื่องที่คนในทีมเสนอ ว่าอยากให้เพิ่มสินค้า” คุณตรีผ่อนลมหายใจ
“เพิ่มเหรอครับ ตอนนี้เรามีสินค้าสิบห้าชิ้น ถ้าจะเพิ่มจะเพิ่มอะไรเหรอครับ”
“เรื่องเพิ่มไม่ใช่ปัญหา แต่ของจะผลิตทันกำหนดวันเปิดขายหรือเปล่า เราต้องมีของในสต๊อกของแต่ละชนิดเพียงพอ และตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่สองเดือน ฉันกลัวว่าจะไม่ทัน”