- Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)  (อ่าน 81381 ครั้ง)

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
Re: - Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
«ตอบ #30 เมื่อ17-10-2018 11:27:20 »

บุญดีมากกกกกก
จริงๆกดเจ้ามาเพราะชื่อเรือง
รักความคุม mood and tone องเรื่องนีดูมอมเมาดี
 :katai5:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: - Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
«ตอบ #31 เมื่อ17-10-2018 11:52:45 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ Melbourne (17-Oct-18)
«ตอบ #32 เมื่อ17-10-2018 14:08:57 »

ตอนพิเศษ - Melbourne

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาเมลเบิร์น เมืองที่ติดอันดับน่าอยู่อาศัยที่สุดในโลกหลายปีซ้อนและมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมเดินทางมาที่นี่เพื่อชมคอนเสิร์ตของ Cigarettes After Sex ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าการรู้จักแบนด์ของพวกเขาผ่านทางโลกออนไลน์จะกลายเป็นแรงผลักดันให้ผมได้ออกนอกประเทศเพื่อมาชมการแสดงสด เมลเบิร์นในเดือนกรกฎาคมอากาศเย็นสบาย เป็นความหนาวระดับสิบองศาที่กำลังพอเหมาะพอเจาะสำหรับการดูคอนเสิร์ตในที่ร่ม มันไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป บางคนอาจจะหนาวแต่เพราะผมขี้ร้อนอากาศแบบนี้ก็เลยชอบใจเป็นพิเศษ

ตอนนี้ผมยืนรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนน ในมือถือเบียร์ยี่ห้อท้องถิ่นดื่มเพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้นเล็กน้อย ตะวันตกดินอากาศหนาวเย็นจนเหลือเลขตัวเดียว ผมใส่เสื้อยืดปิดคอกับแจ็คเกตหนังเพียงตัวเดียวยังเริ่มรู้สึกมือเย็นเยียบหนาวขนลุก ผมประมาทเกินไปกับอากาศเย็นแบบนี้อีกนิดนึงผมอาจจะเป็นหวัดได้ เบียร์ในขวดพร่องลงไปเกินกว่าครึ่งและดูเหมือนคืนนี้เบียร์แค่ขวดเดียวอาจไม่ตอบสนองสักเท่าไหร่ ไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวพร้อมกับเสียงสัญญาณบ่งบอกให้เดินข้ามถนนได้ ผมก้าวเท้าออกไปพร้อมๆกับชาวออสเตรเลียในค่ำคืนวันพุธเพื่อมุ่งหน้าไปแวะหาอะไรทานที่ตลาดวิคทอเรียในงาน Winter Night Market รถแทรมฟรีจอดเทียบป้ายตรงตามเวลา ผมก้าวขึ้นไปเจอกับความแออัดของของนักท่องเที่ยวในรถแทรม ชาวจีนและชาวอินเดียแทบจะครองแทรมฟรีทั้งคัน บอกตามตรงว่ากลิ่นตัวของนักท่องเที่ยวที่ผจญภัยมาทั้งวันไม่ใช่เรื่องตลกสักนิด แต่เพราะคำว่าฟรีเป็นเหมือนข้อยกเว้นให้กับทุกเรื่อง

ผมยืนอยู่ริมประตูเพราะเดินเข้าไปด้านในไม่ได้ มันเป็นจุดน่าอึดอัดเพราะระหว่างทางมีทั้งคนขึ้นและคนลง โชคดีหน่อยที่ตอนนี้ชาวจีนได้ลงไปยังป้ายที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ภายในรถแทรมจึงพอมีที่ว่างพอให้หายใจและมาพร้อมกับความเงียบสงบทางโสตประสาทอีกนิด ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น ส่งข้อความคุยกับเพื่อน เข้าแอปทั่วๆไปที่เป็นที่นิยม สักพักรถแทรมก็เบรก แต่คราวนี้มันเบรกแรงกว่าปกติเล็กน้อยจนทำให้เกือบเสียหลัก ผมคว้าราวที่อยู่บนหัวเพื่อยึดเหนี่ยวทว่ากลับมามีคนที่ล้มเสียหลักโถมแรงมาที่ผมเต็มกำลัง โทรศัพท์มือถือของผมล่วงหล่นเสียงดังแปะอยู่บนพื้น ผมและชาวเอเชียที่ชนผมต่างเงียบกันไปก่อนที่เขาจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาคืนให้ผมพร้อมกับกล่าวขอโทษ

“Sorry”

คำพูดและสำเนียงที่ได้ยิน พร้อมด้วยใบหน้าที่เห็นยามที่เขาเงยหน้าขึ้นมานั้น ผมรู้ทันทีว่าเขาเป็นคนไทย “ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบกลับไปด้วยความมั่นใจว่าเขาจะต้องตอบกลับมาเป็นภาษาไทยแน่นอน แต่แล้วตรงกันข้ามสีหน้าของเขาเมินเฉยแถมยังเดินหนีไปยืนอยู่อีกฝั่ง หรือว่าเขาจะไม่ใช่คนไทย ผมคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย

ป้ายที่ผมต้องลงนั้นคนลงเยอะพอสมควร พอเดินมาใกล้ๆก็เริ่มมองเห็นร้านอาหารนานาชาติเรียงรายมากมาย อากาศด้านนอกนั้นหนาวแต่พอเข้ามาด้านในตลาดกลับอุ่นขึ้นเพราะมีฮีทเตอร์แก๊สตั้งไว้เป็นจุด กลิ่นควัน กลิ่นอาหาร คละคลุ้งกลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตีกันมั่วไปหมด ร้านอาหารนานาชาตินั้นมีให้เลือกสรรจนผมเลือกไม่ถูกเลยว่าจะทานอะไร ตอนแรกคิดว่าจะหาร้านที่ต่อแถวสั้นๆ แต่เชื่อเถอะว่าคนยุบยับมากมายมหาศาลขนาดนี้ยังไงก็ต้องต่อแถวนาน ผมจึงคิดหาร้านที่อยากทานมากที่สุดแทน

บรรยากาศคราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองออสเตรเลีย บางพวกยืนจับกลุ่มดื่มและพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ผมชอบบรรยากาศที่เห็นชาวเมืองออกมารวมตัวกันแบบนี้นะ มันให้ความรู้สึกเหมือนได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนแต่ละประเทศนั้นๆอย่างแท้จริง หลังจากเดินแบบลวกๆเพื่อสำรวจอยู่รอบนึงผมก็ตัดสินใจต่อแถวที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยน พอจ่ายเงินเสร็จก็รับบัตรคิวไปต่อแถวอีกแถวเพื่อรออาหาร ระหว่างนั้นเองผมเห็นผู้ชายคนนั้นที่เจอบนรถแทรม เขายืนสำรวจมองดูเมนูอาหารแต่แล้วผมกลับต้องละสายตาไปเมื่อได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของผมให้ไปรับอาหาร ไส้กรอกลูกวัวกับมันฝรั่งบดราดบราวน์ซอส เชื่อผมเถอะว่าเกือบยี่สิบเหรียญที่จ่ายและการยืนต่อแถวที่นานแสนนานคุ้มค่ากับรสชาติอาหารมากจริงๆ

ผมยืนทานอาหารที่ได้มาอยู่ตรงเสาเหล็กเส้นหนา มองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ฟังเสียงเพลงที่เล่นสดในงาน บรรยากาศแบบนี้มันทำให้ผมมีความสุขมาก ยิ่งบวกกับเบียร์แสนอร่อยของที่นี่อารมณ์ของผมก็เพลิดเพลินสุนทรีย์จนกลายเป็นความทรงจำที่ยอดเยี่ยมอีกครั้งในการเที่ยวต่างประเทศ อาหารของผมหมดไปพร้อมๆกับเบียร์อีกขวดหนึ่ง แต่อย่างที่บอกไว้เบียร์สองขวดในค่ำคืนนี้คงไม่เพียงพอ ผมจึงไปยืนต่อแถวในส่วนที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อซื้อไวน์ร้อนทีเด็ดของเครื่องดื่มฤดูหนาว แต่เพราะตอนนี้จุดที่ผมยืนอยู่หางแถวใกล้กองไฟมากไปหน่อยเลยทำให้เหงื่อออกอย่างกับอยู่ฤดูร้อน และนี่เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นผู้ชายคนนั้นยืนต่อแถวอยู่ที่ร้านอาหารจากบราซิล ใบหน้าของเขาค่อนข้างบึ้งตึง อาจจะเพราะหงุดหงิดจากผู้คนที่เดินกันยั้วเยี้ยและการต่อแถวรออาหารนานแสนนาน แต่พอแถวของผมขยับไปเรื่อยๆผมก็เลยไม่ได้สนใจเขาอีก หลังจากได้ไวน์ร้อนมาแล้วผมก็เดินวนอีกรอบเพื่อหาอาหารอื่นเพิ่มสุดท้ายได้มันฝรั่งทอดมาอีกจานใหญ่ คราวนี้ผมนั่งอยู่ข้างฮีทเตอร์แก๊สพอมานั่งจริงๆก็ได้ยินเสียงปะทุเสมือนก่อกองไฟจากไม้ มันให้บรรยากาศเหมือนตั้งแคมป์เลย ตรงด้านหน้าของผมเริ่มมีกลุ่มคนมาเล่นเครื่องดนตรีแบบวงโยธวาทิต ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากคนด้านข้างที่เพิ่งเข้ามานั่ง เขาคือผู้ชายคนนั้น คนที่วนเวียนเข้ามาในสายตาของผมบ่อยครั้งในเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

ในมือของเขามีเนื้อสัตว์ย่างสไตล์บราซิลและมีเบียร์กระป๋องหนึ่ง ผมมองเขาส่วนเขาก็มองผม สุดท้ายผมเป็นฝ่ายยิ้มให้เขา “Is that Kangaroo meat?” ผมเอ่ยถามพยักเพยิดหน้าไปทางจานที่เขาถืออยู่

“ไม่ใช่ครับ เนื้อวัวกับเนื้อจระเข้”

“อ้าว คนไทยเหรอ” ผมย้อนถามอีก คราวนี้เขาเริ่มยิ้ม แต่เป็นยิ้มแหยๆ

“มือถือเป็นอะไรรึเปล่า”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมหมายความตามนั้นจริงๆ ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไร “ผมชื่อบุญ”

“ผมชื่อนายครับ”

ผมยิ้มให้นายและนายก็ยิ้มตอบ คราวนี้มันเป็นรอยยิ้มกว้างจนตาหยี
และเพราะรอยยิ้มไมตรีอันแสนสว่างจ้านี้ หัวใจของผมก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน…

And now I'm dreaming
Dreaming, dreaming, dreaming
Dreaming of you
And now I'm dreaming
Dreaming, dreaming, dreaming
Dreaming of you

ท่อนเพลงนี้คร่ำครวญกว่าปกติด้วยเสียงร้องสดจากคอนเสิร์ตของ Cigarettes After Sex สิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่นักร้องนำหากแต่เป็นใบหน้าของนายที่โดดเด่นอยู่ในแสงไฟที่ส่องสลับไปมาอยู่ภายในงาน ผมสนใจนายอย่างที่ไม่เคยสนใจใครมาก่อน อาจฟังดูเหลือเชื่อนะสำหรับผู้ชายอายุสิบเก้าที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆเหมือนคนอื่น ผมชอบเรื่องวิชาการและมีเป้าหมายในการใช้ชีวิตชัดเจน มันไม่ใช่ว่าผมไม่เคยมีเรื่องกุ๊กกิ๊กในช่วงมัธยมหรืออะไรทำนองนั้นนะ แต่เรื่องรักกลับกลายเป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิตที่ผมจะนึกถึง แฟนคนแรกคือเพื่อนผู้หญิงของพี่สาวเรารู้จักกันตอนไปแข่งขันงานวิชาการ แต่หลังจากนั้นผมก็รู้ตัวว่ามีความชอบแบบไหนระหว่างผมกับเพื่อนของพี่สาวจึงจบไปอย่างเงียบๆ และผมก็หลีกเลี่ยงไม่พูดเรื่องชีวิตรัก แทบจะอุทิศตนให้กับการเรียนอย่างหนักเลยด้วยซ้ำ แต่เวลานี้ตอนนี้ผมไม่อาจละสายตาไปจากนายได้เลย

ก่อนหน้านี้ในตลาดวิคทอเรียผมกับนายเราพูดคุยกันอย่างถูกคอ เขามาออสเตรเลียครั้งแรกเหมือนผมและมาเพื่อดูคอนเสิร์ตของ Cigarettes After Sex เช่นกัน สำหรับผมมันน่าเหลือเชื่อมากที่เกิดเรื่องบังเอิญแบบนี้ นายเป็นคนมีใบหน้าบึ้งตึง จะว่ายังไงดีล่ะ เขาไม่ได้เป็นคนหน้ายิ้มสักเท่าไหร่เวลาที่อยู่เฉยๆ นายจึงดูหน้าเหมือนอารมณ์เสียตลอดเวลา พอได้คุยกันผมก็พบว่านายก็เป็นคนแบบนั้นแหละ เขาอารมณ์เสียง่ายดูเหมือนคนขี้หงุดหงิดไปหน่อยแต่เชื่อเถอะว่านอกจากเรื่องนี้เขาเป็นคนคุยง่าย สบายๆ และน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ดูอย่างตอนนี้สิสีหน้าของเขาเคลิบเคลิ้มไปกับวงดนตรีที่ดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อชื่นชมการแสดงสด ผมไม่รู้ว่ามองใบหน้าของเขาแบบนี้มาตั้งแต่ตอนไหนผมรู้เพียงมันยากเหลือเกินที่จะละสายตาไปจากรอยยิ้มของนาย

“เอาเบียร์อีกป้ะ” อยู่ๆ นายก็หันมาถามหลังจากคอนเสิร์ตเบรกครึ่งแรกเล่นเอาผมเปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทัน แต่โชคดีในคอนเสิร์ตมันมืดมากนายคงไม่ได้สังเกต

“เอาดิ”

นายคว้ามือผมให้เดินตาม มันค่อนข้างเป็นเรื่องเกินคาดอยู่สักหน่อยแต่ผมก็ไม่ได้คิดมากอะไร เราเดินลัดเลาะผู้คนที่อยู่ในคอนเสิร์ตเพื่อไปยังบาร์ที่อยู่ด้านข้าง ที่จริงผมเริ่มตื้อๆเหมือนกันเพราะว่าดื่มไปเยอะตอนที่อยู่ในตลาดวิคทอเรีย ไวน์ร้อนทำให้ผมรู้ว่าไม่อาจประมาทเครื่องที่มีรสหวานได้เลยจริงๆ ยิ่งดื่มยิ่งลื่นคอ แถมยังคุยอะไรต่อมิอะไรกับนายจนสนุกไปหมดมันก็เลยยิ่งเพลินกับการดื่ม นายสั่งเบียร์ยี่ห้อพื้นเมืองที่จริงมันค่อนข้างขมกว่ายี่ห้ออื่นแต่เรากลับชอบความขมนี้เหมือนกัน ผมรับขวดเบียร์จากนายมาแล้วดื่มไปอึกใหญ่ชนิดที่อวดหน่อยๆว่าคอแข็ง ส่วนนายจิบไปเล็กน้อยแล้วทำหน้าแบบ ฮ่า! แลบลิ้นออกมาด้วยความขมปร่า

“กลับวันไหน” ผมถามแต่นายทำหน้าสงสัยอาจจะเพราะเสียงดนตรีมันดังมาก ผมจึงก้มหน้าโน้มตัวเข้าไปใกล้ “กลับวันไหน”

“อ๋อ เรากลับอาทิตย์หน้า แล้วบุญอะ”

“อาทิตย์หน้าเหมือนกัน”

นายพยักหน้ารับรู้ เราต่างเงียบกันไปพักหนึ่งก่อนที่นายสะกิดเรียกผม “หลังคอนเสิร์ตจบเราว่าจะไปเดินเล่นนอกเมืองอะ ไปด้วยกันป่าว”

“ไปดิ” คำตอบของผมทำให้นายยิ้มตาหยี จากนั้นคอนเสิร์ตครึ่งหลังก็เริ่ม คราวนี้เริ่มต้นด้วยเพลง Cover ที่นำมาเรียบเรียงใหม่ในสไตล์แอมเบียนป๊อป ผมหยิบโทรศัพท์มือมือถือออกมาบันทึกภาพเคลื่อนไหวเพราะเพลงที่เอามา Cover นั้นต้นฉบับเป็นเพลงที่ผมชอบอยู่แล้ว แต่อาจจะเพราะว่าผมดื่มหนักไปหน่อยตอนนี้ก็เลยรู้สึกเหมือนหัวจะทิ่มตลอดเวลา ผมเอาหยุดบันทึกภาพเคลื่อนไหวเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในเสื้อแจ็คเกตตามเดิม ส่วนนายดูเหมือนจะเพลิดเพลินและหลุดไปอยู่กับนักร้องบนเวทีเสียแล้ว ภาพข้างหน้าของผมเริ่มเลือนลางเล็กน้อยประกอบกับรู้สึกเวียนหัวนิดๆ เท่านั้นแหละผมรู้ตัวเลยว่าไอ้ที่ดื่มๆกินๆเข้าไปจะต้องพุ่งพรวดออกมาแน่นอน “นาย…” ผมสะกิดเรียกอีกฝ่าย

“ว่า”

“เราจะอ้วกว่ะ”

นายทำหน้าเหวอไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะชนิดที่เรียกได้ว่าจริงจังพอควร เขาคว้ามือของผมไว้และพาเดินฝ่าฝูงชนมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ โชคดีที่ตอนนี้คนอื่นๆกำลังสนใจกับคอนเสิร์ตห้องน้ำจึงว่างเหมาะแก่การอ้วกแตกในห้องส้วม ระหว่างที่ผมโก่งคออาเจียนนายก็หัวเราะเสียงดังชอบใจอยู่ด้านนอก

“เอายาดมป่าว” นายเอ่ยถามหลังจากเห็นผมออกมาจากห้องน้ำ คิดว่าสภาพตัวเองคงไม่น่าดูชมสักเท่าไหร่

ผมคว้ายาดมมาดมชนิดที่แทบจะสูดหายเข้าไปในจมูก “ค่อยยังชั่ว”

“เป็นไงมั่ง ไหวป่าว”

“ไหวๆ พออ้วกแล้วหาย แม่ง เบียร์ที่นี่แรงจริงๆ เราดื่มเยอะไปหน่อย”

นายยิ้มรับพลางส่งกระดาษทิชชู่ให้สองสามแผ่นหลังจากที่ผมล้างหน้า “แล้วนี่จะเอาไง ออกไปดูคอนต่อเลยมั้ย”

“อยากเดินรับลมเย็นๆมากกว่า”

“ได้ งั้นไปเดินเล่นนอกเมืองกับเรานะ”

นายรับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีจนผมที่เวียนหัวอยู่ยังต้องยิ้มตามเห็นมั้ยผมบอกแล้วว่านายเป็นคนน่ารัก…

ผมกับนายนั่งรถแทรมออกมาที่โซนสองซึ่งโซนนี้พวกเราต้องเสียเงินในการเดินทาง ภายในรถจึงไม่วุ่นวายเพราะนักท่องเที่ยวมากนักและยิ่งเป็นเวลากลางคืนรถแทรมแทบจะร้าง ที่ที่เรามุ่งหน้ามากันนั้นคือหาดเซ็นต์กิลดา พอเราลงจากรถแทรมภาพแรกที่เห็นก็คือลูนาพาร์คซึ่งด้านหน้ามีหน้าตัวตลกขนาดใหญ่และมีแสงไฟเปิดวิบวับ ผมคิดว่ามันอาจจะดูน่าสนุกในช่วงฤดูร้อนแต่เมื่อเป็นฤดูหนาวสวนสนุกจึงดูร้างราไปเสียหน่อย และเนื่องจากที่ที่เรามานี้อยู่นอกเมืองประกอบกับติดชายหาดมันจึงทำให้เราหนาวเหน็บจนมือชาหูชาเพราะยังปรับตัวไม่ได้ ผมซุกมือลงในกระเป๋าของเสื้อแจ็คเกตหนังทว่ามันไม่อาจบรรเทาได้ดีสักเท่าไหร่ ส่วนนายก็หนาวไม่ต่างจากผม เขากระชับเสื้อโค้ทเข้าหาซุกมือไว้ใต้รักแร้ซึ่งเป็นจุดที่อบอุ่น เราเดินฝ่าลมผ่านหน้าสวนสนุกลูนาพาร์คเพื่อมุ่งหน้าไปยังชายหาดในยามค่ำคืนด้วยสภาพหน้าที่ชาดิกจากแรงลม แต่กระนั้นนายก็ยังดูอารมณ์ดีท่ามกลางอากาศหนาวเย็น

“สวนสนุกตอนหน้าหนาวนี่น่าทำหนังฆาตกรรมชะมัด”

“โห ทำไมโหดจัง”

นายหันมายิ้มก่อนจะเดินนำผมข้ามถนน “แล้วบุญเป็นไงมั่งอะตอนนี้ ดีขึ้นป้ะ”

“ดีขึ้นแล้ว สงสัยอากาศในผับน้อยเราเลยเวียนหัว”

ผมกับนายเดินมาถึงชาดหาดยิ่งทำให้เรารู้สึกหนาวมากกว่าเดิม แต่พวกเราต่างรู้สึกดีกับอากาศแบบนี้เพราะว่ามันเป็นความเย็นที่หาไม่ได้ในประเทศไทย เราเดินอยู่บนกระดานแผ่นไม้ยังไม่ได้ลงไปสัมผัสเม็ดทราย ด้านหน้าไกลๆผมเห็นร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่ง มีเสียงดนตรีคลอเล็ดลอดให้ได้ยินและนั่นทำให้ผมคิดอะไรบางอย่างได้ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเสียบหูฟังและส่งสายอีกด้านให้นาย เขารับไปแบบงงๆแต่ก็ยอมเสียบหูฟังไว้ในหู ผมเปิดเพลง Come away with me ของ Norah Jones เพลงหวานเกินกว่าที่จะเปิดให้คนที่เพิ่งรู้จักฟัง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมนึกอยากให้นายได้ฟังเพลงนี้ด้วยกัน

Come away with me in the night
Come away with me
And I will write you a song

“หวานโคตร” นายเอ่ยขึ้นมาแล้วหัวเราะเขินๆ

“โทษทีนะที่ทำให้ดูคอนไม่จบ”

“ไม่เป็นไร เราจะได้หาข้ออ้างบินตามไปดูอีกรอบไง” เขายักคิ้วแบบกวนอารมณ์ก่อนจะยกมือขึ้นจับปอยผมทัดเข้าที่หลังหู แต่แล้วเพราะลมมันแรงมากเลยทำให้ปอยผมปัดมาโดนหน้าของนายอยู่ดี ผมกำชับมือของตัวเองไว้ให้แน่นเพราะไม่งั้นผมจะต้องทำตัวประหลาดด้วยการไปจับปอยผมของนายอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลยสำหรับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกัน

“หนาวเหมือนกันนะเนี่ย” ผมพูดขึ้นลอยๆไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร

“จะแวะร้านข้างหน้าหลบหนาวก่อนมั้ย” นายพยักเพยิดหน้าไปที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เรากำลังเดินเล่นอยู่

“ไม่ๆ เราแค่พูดเฉยๆ ร้านนั้นน่าจะแพง”

“นั่นดิ แต่ร้านสวยนะ”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยและกำลังคิดว่าร้านนี้เหมาะกับการดินเนอร์พร้อมกับคนรัก มันจะมีอะไรโรแมนติกไปกว่าสายลม เสียงเพลง และสองเราล่ะ

“หนาวว่ะ กลับกันเถอะ”

“นายง่วงแล้วเหรอ” ผมทวนถาม รู้เลยว่าน้ำเสียงของตัวเองเป็นอย่างไร ผมยังอยากใช้เวลาอยู่กับนายอีกนิดนึงก็ยังดี

“ป่าว แต่มันหนาวมากอะหน้าชาไปหมดแล้ว”

“อืม กลับก็ได้” ผมตอบเสียงเรียบๆ ก่อนจะรับสายหูฟังกลับคืน แม่ง เพลงของนอร่าห์ โจนส์ยังไม่ทันจบเพลงเลยนะ



ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ Melbourne (17-Oct-18)
«ตอบ #33 เมื่อ17-10-2018 14:10:17 »




เราฝ่าความหนาวกลับมารอรถแทรมที่หน้าลูนาพาร์คเช่นเคย นายเดินไปดูเวลาว่ารถจะมาถึงกี่โมงและพบว่าอีกไม่กี่นาทีรถก็จะมาถึงแล้ว นั่นหมายถึงเวลาที่ผมจะได้อยู่กับนายน้อยลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้ผมคิดแค่ว่าผมยังอยากรู้จักเพื่อนใหม่คนนี้ ผมยังอยากใช้เวลาร่วมกันกับเขาอีกสักนิดก็ยังดี แต่ดูท่าแล้วโอกาสมันยิ่งหดหายเมื่อรถแทรมเทียบท่าจอดที่ป้าย ภายในรถนั้นอุ่นขึ้นชัดเจนและไม่ค่อยมีคนนั่งเท่าไหร่ พวกเรานั่งอยู่ใกล้ประตูด้วยความเงียบ มีแต่เสียงประกาศในรถแทรมเป็นเสียงเดียวในเวลานั้น นายเล่นโทรศัพท์มือถือเหมือนจะส่งข้อความคุยโต้ตอบในแอปยอดนิยมส่วนผมนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีเงาสะท้อนของเพื่อนคนใหม่

“บุญ พรุ่งนี้เราจะไปเดินเล่นในเมืองแล้วก็จะไปซื้อทัวร์ไปดูเพนกวินตอนเย็น ไปด้วยกันป่าว”

เสียงของนายทำให้ผมหันหน้ากลับมามองเจ้าตัวเต็มตา อย่างกับเสียงสวรรค์ชั้นฟ้า “เออ ไปดิ” ผมตอบรับทั้งที่ยังไม่ทันจะได้คิดไตร่ตรองเลย

นายพยักหน้ารับก่อนจะเอนตัวพิงเบาะ “พักแถวไหนอะ เผื่อจะไปรอที่โรงแรม”

“ไม่บอก” ผมตอบด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์ ตอนนี้นึกอะไรบางอย่างออกแต่มันก็ค่อนข้างจะเสี่ยงอยู่สักหน่อย

“โห ไรอะ เราบอกของเราก่อนก็ได้ เราพักอยู่แถว Docklands”

ผมยิ้มกริ่ม มองหน้าของนายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดมันออกมา “ไปดื่มเบียร์ที่ห้องเรามั้ย”

นายไม่ได้ทำสีหน้าตกใจหรือหวาดกลัวอะไรหรอกนะ เขาแค่หัวเราะ “ไม่คิดว่าเราจะเป็นหัวขโมยรึไงถึงได้ชวนไปห้อง”

ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยิ้ม

“เอาดิ เลี้ยงเบียร์เราขวดนึงด้วยนะ”

“เออ ได้”

หลังจากลงสถานีที่ใกล้ที่พักของผมเราก็แวะซื้อเบียร์มาหลากหลายยี่ห้อ ที่จริงแล้วเราพักอยู่ใกล้กันแต่ที่พักของนายไกลกว่าผมเล็กน้อย ผมหยิบขนมกรุบกริบเพิ่มเติมมาจ่ายเงิน ดูท่าทางนายจะชอบถั่วเป็นพิเศษนี่ถ้าผมไม่หยิบขนมอย่างอื่นคงจะมีแต่ถั่ว อากาศหนาวเช่นเคยแต่พอปรับตัวได้ผมก็สบายๆ จะมีก็แค่ลมที่พัดมาทำให้หนาวเป็นระรอก แต่เพราะการมีอยู่ของนายทำให้ผมลืมเรื่องอากาศและสนใจแต่เรื่องราวที่เขาเล่าให้ผมฟัง น่าแปลกเหมือนกันนะที่นายเป็นคนอัธยาศัยดีไม่เหมือนหน้าที่บึ้งตึงของเขา เราคุยกันเรื่องสมัยมัธยมนายเล่าให้ผมฟังว่าจบจากที่ไหนมาและเจออะไรมาบ้าง ผมเองก็เล่าให้เขาฟังเหมือนกัน เราต่างก็มาจากโรงเรียนชายล้วนแต่คนละโรงเรียนเพราะงั้นความรู้สึกหรือบรรยากาศของชายล้วนมันทำให้เราต่อติดกันง่าย ไหนจะเรื่องเพลงเรื่องภาพยนตร์ถึงจะมีจุดที่ชอบไม่เหมือนกันแต่เราก็สามารถถกเถียงกันได้อย่างสนุกสนาน ไม่น่าเชื่อว่าการมาเที่ยวจะทำให้ผมได้เจอเพื่อนที่ถูกใจมากขนาดนี้

ที่พักของผมค่อนข้าหรูหรากว่าโรงแรมที่นายพัก เนื้อที่ใช้สอยภายในห้องจึงอยู่ร่วมกันได้อย่างสบายๆ ผมบอกนายให้ทำตัวตามสบายประหนึ่งเหมือนอยู่ห้องของตัวเองและเขาก็ทำตามนั้นจริงๆ พอวางเบียร์วางของขนมเสร็จนายก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงของผมก่อนจะกระเด้งตัวขึ้นมาถอดรองเท้าบู๊ทออก ส่วนผมก็หยิบหาอุปกรณ์สำหรับปาร์ตี้เบียร์ย่อมๆระหว่างเราสองคน

“บุญเปิดเพลงให้ฟังหน่อยดิ”

“เอาเพลงไร”

“อะไรก็ได้”

ผมละมือจากการฉีกถุงขนมลงชามพลาสติกแล้วเดินไปหยิบลำโพงพกพาออกมาเชื่อต่อกับโทรศัพท์มือถือก่อนจะยื่นมันให้นาย “เอาเลย อยากฟังเพลงไหนก็เปิดเลย”

“เฮ้ย ของส่วนตัว”

“บอกแล้วว่าตามสบาย” ผมยิ้มให้นายแล้วโยนโทรศัพท์มือถือไว้บนเตียง หันมาเทขนมใส่ชามพลาสติกให้เสร็จแล้วหยิบเบียร์มาสองขวด นายกำลังเลื่อนดูรายการเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจแต่สุดท้ายนายก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเบ้ปาก “อะไร” ผมถามก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่ม

“เปลี่ยนเป็นเปิดทีวีดูดีกว่า”

ผมตามใจเขาด้วยการคว้ารีโมทมาแล้วเปิดโทรทัศน์ ที่จริงแล้วช่วงเวลาดึกของที่นี่หากไม่ได้จ่ายเงินโปรแกรมที่ฉายก็จะเป็นช่องกระจอกๆหรือข่าวทั่วไป แต่อย่างที่บอกห้องที่ผมพักค่อนข้างหรูหราพอสมควรตอนนี้บนหน้าจอโทรทัศน์จึงมีโปรแกรมหลากหลายให้เลือกดู เราเปิดวนไปวนมาสุดท้ายกลับมาสะดุดอยู่ที่หนังช่องหนึ่งซึ่งเป็นหนังผู้ใหญ่ ผมกับนายหัวเราะกับสิ่งที่เห็น มันเป็นภาพการร่วมเพศระหว่างชายร่างใหญ่กับสาวร่างเล็กที่ดูเหมือนเป็นเด็กวัยทีน

“นี่มันมีโปรแกรมแบบนี้ฉายจริงๆเหรอวะ” นายพึมพำออกมาทั้งที่ยังขำ

“เราก็เพิ่งเคยเจอเนี่ย” ผมดื่มเบียร์เข้าไปอึกใหญ่ก่อนจะกดเปลี่ยนช่องกลับมาดูรายการแข่งขันทำอาหาร

“เออ บุญ แล้วตอนแข่งฟุตบอลบุญทำอะไรอะ”

อยู่ๆนายก็ถามถึงเรื่องสมัยมัธยมที่โรงเรียนของผมเป็นหนึ่งในสี่โรงเรียนที่แข่งฟุตบอลกระชับมิตร “เราไม่ได้ทำอะไรมากอะ ที่จริงเราแทบจะไม่มีส่วนร่วมกับงานนี้เลย”

“นี่ไงเราถึงไม่เคยเจอกันในงานเลยเพราะเราหนีเข้าร่วมกิจกรรมตลอด” นายเฉลยความจริงให้ผมฟังว่าเขาไม่ชอบเข้าร่วมกิจกรรมเพราะเป็นพวกขี้เกียจ ที่จริงผมไม่ได้เข้าร่วมกับกิจกรรมนี้เพราะว่าต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวแข่งขันทางด้านวิชาการ ตอนแรกคิดว่าจะไม่เล่าให้นายฟังเพราะมันไม่ได้เป็นสาระอะไรแต่พอเล่าให้ฟังนายกลับรู้สึกผิดบาปที่ไม่เข้าร่วมกิจกรรมเพราะความขี้เกียจ เป็นผมเสียอีกที่รู้สึกผิดมากกว่าที่ต้องทำให้เขาเหี่ยวเฉา แต่แล้วเราก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอาหารที่เห็นในรายการ กลายเป็นว่าเรานัดไปหาอะไรเด็ดๆในเมลเบิร์นทานกันสักมื้อเสียอย่างนั้น ใจของผมลิงโลดเมื่อรู้ว่าในวันต่อไปจะได้เจอนายอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมความรู้สึกนี้ถึงได้คุกรุ่นอยู่ในใจ

เรานั่งดื่มเบียร์พร้อมกับดูรายการโทรทัศน์ท้องถิ่น เปลี่ยนช่องวนไปปมาโดยไม่ลืมแวะดูช่องหนังผู้ใหญ่และหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องตลก ผมคิดว่าอาจจะเพราะเบียร์ที่ทำให้เราอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ยิ่งดื่มยิ่งคล่องคอแถมยังตื่นเต้นที่ได้ลองรสชาติใหม่ๆของเบียร์นอกด้วย เวลาล่วงเลยไปจนตอนนี้ก็เข้าสู่เช้าวันใหม่ ตีหนึ่งเกือบตีสองกับอาการเมาเบียร์ของผมกับนาย

“แม่งเมาว่ะ” นายพึมพำพลางเอนตัวลงนอนบนเตียงของผม

“ไม่เมาได้ไงวะดื่มไปเยอะขนาดนี้” ผมเอนหลังตามนาย แต่มือยังคงกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะนึกอุตะริอะไรขึ้นมาจึงกดไปยังช่องหนังผู้ใหญ่ “มีคนเปิดช่องนี้ดูจริงๆเหรอวะ”

“ก็พวกเรานี่ไงเปิดดูอยู่เนี่ย” นายพูดทั้งที่ตาปิด ท่าทางของเขาดูเหมือนจะอยากจะนอนแล้ว

“นอนเลยป้ะ”

“เออ นอนเลย”

ได้ยินอย่างนั้นผมจึงลุกขึ้นไปปิดไฟแล้วกลับมานอนอยู่บนเตียงแต่ความจริงผมยังไม่ง่วงเลย มันมีความรู้สึกบางอย่างที่ยังทำงานอยู่ “นาย”

“ว่า”

“แม่งแข็งว่ะ” สิ้นคำนายก็ลืมตาขึ้น ผมนึกว่าเขาจะหัวเราะหรือตลกขบขันอะไรด้วยแต่เปล่าเลยนายเงียบมากแทบไม่ได้ยินเสียงขยับตัว ผมปิดโทรทัศน์ลงและเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าไปหานายอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีเบี่ยงตัวหนีผมจึงได้ใจวางมือลงบนหน้าขาของเขา ผมค่อยๆขยับขึ้นไปเรื่อยๆจนทาบทับร่างของนายไว้ แสงไฟจากระเบียงทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดนักหากแต่ยังคงมองเห็นว่าเรามองสบตากัน ผมจับมือของนายสอดประสานนิ้วในขณะที่ประทับริมฝีปากลงบนแก้มที่เย็นชืด กลิ่นเบียร์ผสมกับกลิ่นบุหรี่อ่อนๆติดอยู่ที่ปลายจมูก ผมไม่นึกลังเลกับการกระทำในสิ่งที่ปรารถนาแต่อย่างน้อยผมอยากรู้ว่านายเองก็ยินยอมที่จะทำแบบนี้เช่นกัน

“เราจูบนะ”

นายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งเสียงตอบรับในลำคอ ผมประคองใบหน้าของเขาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะจูบลงที่ริมฝีปากของนายอย่างนุ่มนวล เมื่อได้สัมผัสก็รับรู้ได้ถึงริมฝีปากแห้งนิดๆที่เกิดจากอากาศหนาวเย็น นายเผยริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ผมได้บดเบียดอย่างลึกซึ้งจนริมฝีปากของเขาชุ่มฉ่ำ ผมผละตัวออกมาถอดเสื้อและปลดกางเกงลงเพื่อให้สบายตัวก่อนจะโน้มตัวลงไปอีกครั้งมอบจูบที่รุกเร้ามากกว่าเดิม จูบที่บ่งบอกเขาว่าต้องการมากกว่านี้ นายลูบสัมผัสที่ท่อนแขนของผมอย่างพึงใจร่างกายช่วงล่างของเราต่างแน่นตึงด้วยความรู้สึกดี แก้มของนายที่เคยเย็นเยียบกลับกลายเป็นไออุ่นเช่นเดียวกับผม

เสื้อผ้าของเรากองอยู่บนพื้นเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าที่ประคองก่ายกอดกัน นายอยู่ใต้ร่างของผมด้วยสภาพร้อนรุ่มเมื่อผมใช้มือสัมผัสร่างกายเบื้องล่างของเขา ร่างกายของผมตึงไปหมดจนอยากจะข้ามไปสู่ขั้นที่นอกเหนือจากการเล้าโลม ผมบอกตัวเองว่าต้องใจเย็นมากกว่านี้ ต้องรอให้ร่างกายของนายหยาดเยิ้ม รอให้นายเรียกร้อง ผมไม่อยากทำให้เขาเจ็บหรืออย่างน้อยก็อยากให้เขาได้รับรู้ถึงความนุ่มนวลเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ นายกระชับมือที่จับแขนของผมในช่วงจังหวะที่ใกล้จะถึงจุดสุดยอดหากแต่ผมกลับปล่อยมือและดันสะโพกของนายขึ้น เขาครางออกมาเมื่อถูกร่างกายของผมบดเบียดเข้าไปอย่างช้าๆ ไอ้นั่นของผมแข็งจนปวด อยากจะทำอย่างที่ใจต้องการแต่เมื่อเห็นสีหน้าของนายผมก็ต้องยับยั้งใจตัวเองเสมอ

ความรู้สึกที่ได้แทรกกายเข้าไปมันอุ่นและคับแน่น เราต่างหอบหายใจแรง เลือดในกายสูบฉีด ร่างกายเปียกชื้น ผมไม่รู้ว่าลึกๆแล้วนายคิดยังไงที่พาตัวเองมาถึงจุดนี้ แต่อย่างน้อยเราต่างก็รู้สึกพึงใจกับการพบเจอกันในครั้งแรก ผมเดินหน้าต่อ ไม่อาจรั้งรอเวลาด้วยเพราะมันอยู่ในจุดที่อารมณ์พุ่งพล่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนนายจะรับมือกับความเจ็บได้อย่างดี สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยน ดวงตาพริ้มด้วยความสุข เสียงผิวเนื้อที่เสียดสีกันทำให้เราอุ่นจนร้อน ผมจูบเข้าที่ใบหน้าของนายซ้ำไปซ้ำมา ดอมดมกลิ่นกายเฉพาะตัวที่ซอกคอในขณะโถมกายเข้าหาเขารุนแรงขึ้น ริมฝีปากของผมสัมผัสได้ถึงส่วนนูนที่ลำคอนายยามเมื่อเขาครางเสียงแผ่ว พอมาถึงจุดนี้ผมกลับคิดว่ามันเกินกว่าที่คาดมากนัก แต่ไม่ใช่ในแนวทางที่ไม่ดีหรอกนะ มันแค่แทบไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นเรื่องจริง

ผมยั้งใจลดเรี่ยวแรงลงเพราะยังอยากใช้เวลากับนายให้มากกว่านี้ พอหยัดกายขึ้นมาผมก็สบเข้ากับดวงตาของเขา ริมฝีปากของนายดูชุ่มฉ่ำจนอดไม่ได้ที่จะจูบเขาอีกครั้ง นุ่มนวลและเนิ่นนาน ผมขยับสะโพกเบาๆค่อยเป็นค่อยไปจนรับรู้สึกได้ถึงความเปียกแฉะที่มากขึ้น นายตอบรับในสิ่งที่ผมมอบให้และเขาก็น่ารักมากเหลือเกิน ผมเริ่มขยับตัวหนักหน่วงขึ้น เราบดเบียดกายเข้าหากัน จุมพิตกันครั้งแล้วครั้งเล่า กระชับโอบกอดเข้าหากันอย่างร้อนรุ่ม

‘เหมือนฝันเลยว่ะ’

ผมนึกคิดและมองอีกฝ่ายที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความพึงใจ กระนั้นช่วงเวลานี้สิ่งเดียวที่รุมเร้าอยู่คือการเสพสุขกับนาย มันมากล้นจนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ทัน ร่างของนายสั่นไหวไปตามแรงสะโพกของผม เขาหายใจแรง ดูเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ดูมีความสุข ร่างกายของผมมันไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆคิดว่านายเองก็เช่นกัน ผมเร่งเร้าทำให้ร่างของอีกฝ่ายอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขน สุดท้ายนายก็ทนไม่ไหวเขาเสร็จก่อนผม รู้สึกได้ว่าชื้นแฉะไปหมด ร่างกายของเขาที่ถูกผมบดเบียดอย่างหนักนั้นบีบรัด นายคงไม่รู้ตัวว่าเวลานี้เขาดูเซ็กซี่ขนาดไหน ผมจูบที่ริมฝีปากของเขาขณะที่เร่งเร้าตัวเองไปตามแรงอารมณ์ ภายในกายของนายให้ความรู้สึกดีเหลือเกิน ยิ่งช่วงที่ผมจับขาของเขาแยกออกกว้างและดันสะโพกเข้าไปอย่างรุนแรงทั้งการบีบรัดทั้งความนุ่มลื่นมันแทบทำให้ผมคลั่ง ความรู้สึกที่อยากใช้เวลาร่วมกับนายให้นานกว่านี้คงถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมได้อีกแล้ว ผมขยับสะโพกอย่างหยาบโลนและหลั่งอยู่ในตัวของนายจนทำให้เขาต้องครางออกมา ถึงจะเป็นเสียงแผ่วเบาแต่สีหน้าของนายนั้นดูพึงใจอยู่ไม่น้อย

อยู่ๆในช่วงนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงบีบแตร สติที่เหมือนฟุ้งฝันอยู่นั้นค่อยๆชัดเจนขึ้น เสียงบีบแตรจากรถยนต์มันเหมือนเสียดเข้าไปในโสตประสาทจนผมสะดุ้งตกใจพร้อมกับลืมตาขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นคือเพดานห้องสีขาว บรรยากาศโดยรอบเหมือนมีหมอกหนาปกคลุม สัมผัสแรกที่รับรู้คือสายลมเย็นที่พัดวูบเข้ามาพร้อมๆกับอาการหนักศีรษะจนแทบจะกลายเป็นอาการปวดหัว ผมเหลือบไปมองด้านข้างที่เป็นระเบียงมองเห็นผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวและร่างๆหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านนอก แสงตะวันที่ส่องสว่างจนแทบจะเป็นสีขาวทำให้ผมต้องพยายามปรับสายตาเพื่อที่จะได้มองเห็นชัดขึ้น ผ้าม่านพัดปลิวอีกครั้งทำให้ผมเห็นคนที่อยู่ด้านนอกและกลิ่นบุหรี่จางๆที่ลอยเข้ามากับสายลม เป็นเพื่อนใหม่ของผมที่เอนกายพิงเก้าอี้ ปากคาบบุหรี่ ในมือถือหนังสือไว้เล่มหนึ่ง และเราสบตากัน

“อ้าว ตื่นนานแล้วเหรอ” นายส่งเสียงเข้ามาทักทายด้วยความสดใสไม่แพ้แสงอาทิตย์ตอนนี้เลย

ผมคิดว่าภาพของนายที่เปลือยท่อนบนและอาบแสงแดดมันทำให้ตาของผมเริ่มพร่ามัวอีกครั้ง “เพิ่งตื่นอะ”

“เออ ดีๆ นึกว่าบุญจะตื่นบ่ายแล้วนะเนี่ย”

พอพูดถึงเวลาผมก็ใช้มือควานหาโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะด้านข้าง สิบโมงเกือบจะสิบเอ็ดโมงแล้ว ผมลุกขึ้นนั่งรู้สึกหนักศีรษะไปหมดแต่ก็ยังไหวคิดว่าอีกสักพักคงดีขึ้น

“บุญ ไปหาอะไรกินกันเถอะเราหิวว่ะ”

“ได้ๆ” ผมตอบทั้งที่ยังรู้สึกงัวเงียอยู่

“ไหวป่าว” นายถามอีกครั้งพลางผุดลุกขึ้นนั่งเต็มเก้าอี้

“ไหวดิ”

“เออดีละ เมื่อคืนบุญเมามากอะ แต่ดีนะเมาแล้วหลับ” นายตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆก่อนจะอัดบุหรี่เข้าไปอีกอึดลมหายใจ

ผมนั่งนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำพูดของนาย เดี๋ยวนะผมคิดว่าผมกับนายหลับไปพร้อมกันหลังจากที่เรา ‘สบายตัว’ ไม่ใช่เหรอ “เราหลับไปตอนไหนวะ” ผมถามขึ้นเพื่อให้คลายสงสัย

“โห พอรายการแข่งทำอาหารจบบุญก็ชัทดาวน์อะ เราต้องลากบุญขึ้นไปนอนบนเตียง”

“อ้าว แล้ว…” ผมชะงักก่อนจะพูดจบประโยค ตอนนี้เริ่มหายงัวเงียและมีสติมากขึ้นแล้ว นายเลิกคิ้วสูงมองมาที่ผมด้วยท่าทีตั้งใจฟัง “แล้วเมื่อคืนเป็นไงมั่งอะ นอนหลับป้ะ”

“หลับสบายมาก เรื่องกรนไม่ต้องห่วงนะเพราะเราก็นอนกรน” เขาขบขันเล็กน้อยก่อนจะวางบุหรี่ไว้ในที่เขี่ยบุหรี่แล้วเดินเข้ามาในห้อง “ไหวป่าวเนี่ย”

“ไหวๆ” ผมตอบ ตอนนี้รู้สึกสบายตาขึ้นเมื่อนายยืนบังแสงแดดจากด้านนอก

“หมายถึงจะไปเที่ยวกับเราเหมือนที่คุยไว้ไหวมั้ย”

“ไปไหนวะ”

“อ้าว ก็เมื่อคืนคุยว่าจะไปดูเพนกวินกับเราไง”

ผมนิ่งไปอีกครั้งและค่อยๆเรียบเรียงสติจนในที่สุดก็ระลึกถึงสิ่งที่คุยกับนายไว้ได้ “แล้วคือเมื่อคืนเราหลับไปเลยเหรอ ไม่ได้ทำอะไรแปลกๆใช่ป้ะ”

“เออ อยู่ๆบุญก็ชัทดาวน์ไปเลย แต่เมื่อคืนก็ไม่มีอะไรนะพอบุญหลับเราก็หลับตามอะ หลับสนิทไม่ได้ยินเสียงกรนเลย”

ผมพยักหน้ารับ พอมีสติมากขึ้นและมองสำรวจไปทั่วห้องพร้อมกับสำรวจตัวเองก็พบว่าทุกอย่างปกติ นายเองก็ดูปกติเช่นกัน ผมมองร่างเปลือยท่อนบนท้าทายอากาศหนาวของนายที่ตอนนี้เดินไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็นมาสองขวด ส่งให้ผมขวดนึง เขาไล่ให้ผมไปล้างหน้าแปรงฟัน ผมดื่มน้ำอึกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นทำตามที่นายบอกอย่างว่าง่าย นายเดินออกไปนอกระเบียง นั่งลงบนเก้าอี้หวายตัวนั้น หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อ ผ้าม่านพัดไสวอีกครั้ง แสงแดดส่องสว่างกลืนร่างของนายให้กลายเป็นสีขาว ทุกอย่างดูพร่ามัวไม่ชัดเจน ผมกระพริบตา ให้ความรู้สึกเหมือนกล้องถ่ายรูปที่เมื่อกดปุ่มลงไปรูเลนส์จะปิดลงและบันทึกภาพไปตามกระบวนการของมัน
เวลานี้ภาพนั้นของนายอยู่ในนี้แล้ว อยู่ในสายตา อยู่ในสมอง อยู่ในห้วงความทรงจำ
และนั่นคือครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับนาย…


************************************


ยังมีตอนพิเศษไหลมาเรื่อยๆค่ะ 5555
 :hao7:

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ Seoul P.2 (20-Oct-18)
«ตอบ #34 เมื่อ20-10-2018 23:01:40 »

ตอนพิเศษ Seoul




คริสมาสต์ที่เกาหลีใต้หนาวสะใจคนขี้ร้อนแบบผมเหลือเกิน

ทันทีที่ก้าวขาออกจากสนามบินผมคว้าเสื้อโค้ทมาใส่แทบไม่ทัน อยู่ในสนามบินก็อุ่นอยู่หรอกแต่พอประตูเปิดออกเท่านั้นล่ะผมแทบจะช็อคกับอากาศหนาว ต่างจากนายที่ยังไม่สวมใส่เสื้อกันหนาวสักตัว เขายืนเข้าแถวเพื่อซื้อตั๋วแอร์บัสเข้าไปในตัวเมืองโซล ส่วนผมยืนรออยู่หลบออกมาอีกทาง นายเดินกลับมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงเป็นปกติ จมูกของเขาแดงรวมไปถึงแก้มด้วย เขาหยิบเสื้อโค้ทกันหนาวขึ้นมาใส่ระหว่างที่รอแอร์บัส ผมมองหิมะสีขาวปลิวลงมาตกบนเสื้อโค้ทสีกรมท่าของเขา ผมนึกอยากเอื้อมมือไปปัดมันออก แต่สิ่งที่ทำก็คือการยืนนิ่งเฉย นายยกปกเสื้อขึ้นมากันลมหนาวใบหน้าของเขาผลุบหายไปกว่าครึ่ง ผมนึกอยากโอบกอดเขาไว้ แต่สิ่งที่ทำก็คือการยืนนิ่งเฉยอีกเช่นเคย

เราต่างยืนรอรถกันอย่างเงียบงันท่ามกลางสายลมหนาวและหิมะที่เมืองอินชอน

แอร์บัสกำลังพาเราเข้าสู่ตัวเมืองโซล นายหลับด้วยความเพลียจากการเดินทาง ผมเองก็เหนื่อยแต่กลับหลับไม่ลงเสียอย่างนั้น ระหว่างทางผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือทั้งของนายและของผมมาเปิดโหมดโรมมิ่งเพื่อใช้งานอินเตอร์เนต หน้าจอของนายไม่มีรูปอะไรเป็นพิเศษ มันเป็นพื้นหลังสีแดงเข้มไร้ความหมายใดๆ อ้อ ส่วนรหัสเข้าเครื่องผมรู้ทุกรหัสของนายรวมถึงไลน์ด้วย ที่จริงผมสามารถสแกนนิ้วเข้าเครื่องของเขาได้เลยด้วยซ้ำ ผมไม่แน่ใจว่าทำไมเราถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ หลังจากงานบายเนียร์ครั้งนั้นก็ผ่านมาหนึ่งปีเกือบจะเข้าปีที่สอง นายไม่เคยพูดถึงพี่พล มันก็ไม่เชิงว่าไม่พูดถึงนะ แต่เขาไม่ได้จมอยู่กับผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว เขาอยู่กับผมมากกว่าชาวแก๊งส์ กลายเป็นว่าถ้าไม่ได้ไปนัดเจอกับชาวแก๊งส์เขาก็อยู่กับผมตลอด เขาไม่ได้ดูเศร้า ไม่ได้ดูโกรธ หรือเสียใจอีกแล้ว นายก็ยังเป็นนาย เป็นนายที่มีใบหน้าบึ้งตึงตลอดเวลา

ผมลอบมองใบหน้าที่กำลังหลับใหลของนายก่อนจะกดเข้าแอพพลิเคชั่นไลน์ยอดนิยม ในหน้าแชทของนายมีกลุ่มเพื่อนที่มหาวิทยาลัย มีไลน์ของคนที่ผมไม่รู้จัก มีไลน์ของญาติบางคน รวมถึงไลน์ของผมด้วย แต่ที่น่าประหลาดใจเห็นทีคงจะเป็นไลน์ของพี่พล... สมองของผมเหมือนหยุดทำงานไปชั่วขณะ ผมกดเข้าไปดูรูป มันเป็นใบหน้าของพี่พลในชุดเชิ้ตสีขาว ทรงผมของเขายังเนี้ยบเหมือนเดิม หน้าตาก็เหมือนครั้งล่าสุดที่ผมเจอที่ร้านเที่ยวกลางคืน นายไม่ได้คุยกับพี่พลแต่ยังมีช่องทางที่สามารถติดต่อเขาได้ นายอาจจะไม่ได้จมปลักกับผู้ชายคนนี้ หรืออาจจะคุยกันทางอื่น ผมใช้เวลาอยู่กับเขา นายกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ผมคิดว่าผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนาย แต่ไม่รู้สิ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมอาจจะคิดผิดก็ได้

ผมกดออกจากหน้าแอพพลิเคชั่นก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือของนายไว้ในกระเป๋าตามเดิม

ห้องพักที่ผมกับนายเลือกเป็นอพาร์ทเม้นท์ใกล้แหล่งท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นห้องจึงค่อนข้างเล็กอยู่สักหน่อย แต่มันไม่ใช่ปัญหาเลย ปัญหาอยู่ที่ห้องน้ำที่เป็นบานกระจกใส ผมกับนายมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา เราไม่ได้อายในการเห็นเนื้อหนังหรอก แต่เราอายเวลาที่ต้องทำการถ่ายหนักต่างหาก มันไม่เป็นส่วนตัวเลยสักนิด นายหัวเราะเสียงดัง ผมคิดว่าเขาคงจะหายงัวเงียจากการเดินทางไกลแล้วจึงดูอารมณ์ดีขึ้น ผมเดินลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในตัวห้องเพียงแค่นั้นก็พบว่าพื้นที่ในห้องพักเล็กลงกว่าเดิมอีกจนคิดว่ากระเป๋าเดินทางของนายจะทำให้ห้องแทบไม่มีทางเดิน นายกำลังถอดรองเท้า ถอดเสื้อโค้ท ก่อนจะเดินตามเข้ามาภายในห้องและล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยทิ้งกระเป๋าไว้ตรงทางเดินหน้าประตู นิสัยโคตรขี้เกียจไม่เป็นระเบียบแบบนี้ถ้าเป็นคนอื่นผมคงจะบ่นไปแล้วแน่นอน แต่เพราะเป็นนายผมจึงเป็นฝ่ายเดินไปลากกระเป๋าเดินทางใบนั้นเข้ามาให้

นายที่นอนคว่ำหน้าอยู่กับหมอนผงกหัวขึ้นมาก่อนจะทำหน้าบูดใส่ “เอาไว้ก่อนก็ได้ ยกมาทำไม”

“เห็นแล้วมันเกะกะลูกกะตาโว้ย” ผมตอบไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก

“โห่ บุญแม่งเจ้าระเบียบเกิ๊นนนน” นายเด้งตัวขึ้นมานั่งดูผมจัดแจงเอาของต่างๆให้เข้าที่เข้าทาง ผมทนไม่ได้หรอกกับการเห็นห้องรกๆหรืออะไรไม่เป็นระเบียบ ซึ่งผมคิดว่านายเป็นอะไรหลายๆอย่างที่ตรงกันข้ามกับผมพอควร “ออกไปไหนดี”

“หิว ไปหาอะไรทานก่อนแล้วกัน”

“เออ ดี เราก็หิว”

สิ้นคำนายก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา ส่วนผมเปลี่ยนเสื้อผ้านิดหน่อยให้เข้ากับสภาพอากาศที่เย็นกว่าที่เคยคิดไว้






บริเวณรอบที่พักมีร้านอาหารมากมาย แต่เพราะเรามาถึงเช้ากันมากเกินไปร้านเหล่านั้นจึงยังไม่เปิดให้บริการ พอเดินไปส่องดูตามป้ายก็เดากันว่าร้านน่าจะเปิดให้บริการในช่วงสาย อย่างตอนนี้ที่เรากำลังยืนอยู่หน้าร้านคิมบับและเบียร์ บนป้ายเป็นภาษาเกาหลีแต่มีตัวเลขอาราบิคทำให้เราพอจะเดาได้ว่าร้านเปิดเวลาไหน นายหน้าบูดซึ่งผมคิดว่าเขาคงจะเริ่มโมโหหิวแล้ว

“มีร้านไก่ทอดอยู่ข้างหน้าซอยอะ ไปกินที่ร้านนั้นก่อนแล้วกัน”

“มีด้วยเหรอวะ ทำไมเราไม่เห็น”

ผมนึกขำอยู่ในใจ นายจะไปเห็นได้ยังไงเพราะมัวแต่มองอปป้าที่เดินสวนกันตอนลงจากรถบัส “แล้วงี้จะไปอิหร่านกันรอดมั้ยวะเนี่ย”

“รอดสิโว้ย”

ถึงจะพูดแบบนั้นไปแต่ผมกับนายเราไปเที่ยวด้วยกันตลอดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผมเดินนำหน้าพานายไปยังร้านไก่ทอดที่มีศิลปินเกาหลีเป็นพรีเซนเตอร์ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคือใครรู้แต่ว่าไก่ทอดน่าทานมาก นายสั่งอาหารทั้งทางคำพูดและภาษากาย โชคดีที่พนักงานเข้าใจทั้งหมดถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษกับเราก็ตามที มื้อแรกที่โซลเป็นไก่ทอดที่เสิร์ฟมาในตะกร้าสานใบเล็กน่ารักพร้อมกับน้ำมะนาวสีสันสวยงาม เราซัดไก่ทอดกันแบบคำต่อคำชนิดที่ไม่ได้พูดอะไรกันให้มากความ นายดูเอร็ดอร่อยกับอาหารมื้อแรกมากจนผมนึกอยากถ่ายรูปเก็บเอาไว้ แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมานายก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปผมไว้เสียก่อน

“เฮ้ย อะไรวะ” ผมคว้ามือของนายไว้ในขณะที่เจ้าตัวอมยิ้มกลั้นหัวเราะ “แอบถ่ายรูปเราเหรอ”

“เออ”

“เอามาดูหน่อย”

“ไม่ให้โว้ย”

นายขืนมือของเขาที่ถูกผมจับไว้ เรายื้อยุดกันไปมาเหมือนเด็กๆจนลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านแอบมอง ผมย่นจมูกใส่นาย ทำทีเป็นหงุดหงิดขัดใจ ผมรู้ว่าจะต้องปล่อยมือของเขาออกแต่ผมก็ปล่อยไว้แบบนั้นทำเหมือนลืมตัวทั้งที่ตั้งใจ น่าเสียดายที่ช่วงเวลานั้นกลับจบสิ้นลงเมื่อนายดึงมือตัวเองกลับออกไป ผมคิดว่าเขาคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมตั้งใจถูกเนื้อต้องตัวเพราะถ้ารู้คงจะต้องมีอาการประดักประเดิดกันบ้างล่ะ แต่นายก็ยังดูปกติอยู่เสมอ ผมหมายถึงเขาดูหน้าบึ้งเป็นปกติน่ะนะ

เรานั่งทานไก่ทอดจนหมดก่อนจะออกเดินทางอีกครั้งด้วยการเดินเท้าไปยังจุดหมายต่อไป เวลานั้นค่อนข้างสายแล้ว โชคดีที่แดดเริ่มออกมาให้เห็นผมจึงชักชวนนายถ่ายรูป เชื่อเถอะว่ากว่า 90% อัลบั้มถ่ายรูปในโทรศัพท์มือถือเป็นรูปของนาย ส่วนอีก 10% ที่เหลือเป็นรูปทัศนีย์ภาพตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะนายบ้าถ่ายรูปอะไรหรอกนะแต่เป็นผมเองที่ชอบถ่ายรูปหลายๆอิริยาบถของนายไว้เองต่างหาก บางรูปเขารู้ตัวบางรูปก็หน้าเหวอจนคิดว่าถ้าเจ้าตัวเห็นคงจะอายอยู่บ้าง ตอนนี้สถานที่เช็คอินของพวกเราก็ยังไม่ห่างจากแถวบริเวณที่พักมากนักเพราะมัวแต่ถ่ายรูปกัน ที่แห่งนี้คือคลองชื่อดังแห่งหนึ่งในโซล แต่เพราะอากาศหนาวชนิดติดลบผู้คนจึงไม่นิยมมาเดินตามริมน้ำ มีแต่พวกบ้าอย่างผมกับนายนี่แหละที่มาเดินเล่นกัน หลังจากนายถ่ายรูปให้ผมเสร็จก็ถึงตาเขาบ้าง นายเดินก้าวไปบนท่อนหินที่ยื่นพ้นสายน้ำขึ้นมาผมลองหามุมถ่ายรูปจนเจอมุมที่พอใจจึงกดถ่ายไปแบบรัวๆ แต่พอถ่ายรูปเสร็จเท่านั้นแหละนายรีบก้าวเข้ามายืนบนข้างทาง เขาดึงปกเสื้อโค้ทขึ้นมาบังหน้าก่อนจะซุกมือลงในเสื้อโค้ท ไหล่ของเขาห่อเข้าหากันด้วยความหนาว เห็นท่าทางแบบนั้นผมก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันทั้งๆที่เป็นแค่กิริยาทั่วไปไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลย

“หนาวเหรอวะ”

“หนาวสิวะ ไข่ชาไปหมดแล้วเนี่ย”

ผมหัวเราะเล็กน้อยพลางเดินนำหน้าเพื่อเดินทางต่อไป เราเดินมาถึงจุดที่ข้างบนเป็นสะพานทางข้าม บริเวณนั้นค่อนข้างมืดแต่กลับมีส่วนแสดงงานภาพศิลปะเราจึงเดินเข้าไปดู ผมได้ยินเสียงนายบ่นหนาวอยู่ด้านข้างพอหันไปมองก็เห็นใบหน้าด้านข้างที่โผล่ออกมาจากปกเสื้อโค้ทกำลังสนใจมองภาพเหล่านั้น ภาพที่แสดงไม่ได้สวยสดงดงามอะไรมากนักผมจึงไม่ได้ให้ความใส่ใจแต่กลับสนใจภาพด้านข้างของนายที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า วินาทีนั้นกว่าจะรู้ตัวก็เป็นช่วงที่เดินเข้าไปยืนใกล้นายและล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อโค้ทของเขา มือของเราต่างเย็นเฉียบ ผมสังเกตเห็นนายดูนิ่งงันไปครู่หนึ่งแต่แล้วเขาก็กลับมาเป็นปกติ

“หนาวมืออะ” ผมกำลังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แม้จะทำทีเป็นไม่สนใจว่านายจะมีความคิดเห็นอย่างไรแต่ในใจกำลังลุ้นระทึกว่าเขาจะมีท่าทีรังเกียจหรือไม่ แต่ในเมื่อนายไม่ได้แสดงกิริยาอะไรออกมาผมจึงปล่อยให้เป็นไปตามนั้น

ผมซุกมืออยู่ในเสื้อโค้ทของนายในตอนที่ดูภาพ แต่พอเมื่อออกมาในที่สว่างผมก็ดึงมือกลับทำทีเป็นสนใจจุดยอดนิยมที่คนมักชอบมาโยนเหรียญเพื่ออธิษฐานขอพรแทน

“ลองดิ” ผมบอกให้นายลองก่อนคนแรก

“ไม่ลอง เปลืองเงินอะ” นายตอบตัดฉับไร้เยื่อใยกับความหรรษาในครั้งนี้

“มาทั้งทีลองอธิษฐานดูเถอะน่า”

ผมลองตื้อดูเล็กน้อยสุดท้ายนายก็ยอมควักเหรียญ 100 วอนขึ้นมาและเดินไปยืนอยู่ตรงจุดโยนเหรียญ ผมเห็นเขาเงียบไปพักหนึ่งเพื่ออธิษฐานก่อนจะโยนเหรียญออกไป คราวนี้ถึงตาผมบ้าง ผมลงทุนหยิบเหรียญ 500 วอนออกมาโยนบ้าง อธิษฐานอยู่ในใจว่า ขอให้ผมและนายมีความสุข คำอธิษฐานเรียบง่าย ไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่ แต่ผมก็หวังเพียงแค่เท่านั้นจริงๆ หวังว่าเราต่างจะมีความสุขกับสิ่งที่ทำ กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และเมื่อมองกลับถึงอดีตที่ผ่านมาเราก็ยังจะมีความสุข

“เราอธิษฐานให้บุญด้วย...” ในตอนที่เราเดินออกมาจากบริเวณนั้นนายก็พูดขึ้น “เราขอให้บุญได้ทุนแล้วก็ขอให้ได้นอนพักอิ่มจุใจ”

สิ้นคำมีเพียงเสียงของสายน้ำในคลองที่ไหลผ่าน ก่อนที่ผมจะหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ นายอมยิ้มแต่สุดท้ายก็ยิ้มกว้างจนตาหยี ผมเอ่ยขอบคุณนายพร้อมด้วยรอยยิ้มดีใจ นึกไม่ถึงว่านายจะขออธิษฐานเรื่องนี้ให้ ที่จริงตอนนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงขอทุนจากโรงพยาบาลเพราะต้องการเรียนต่อเฉพาะทาง อีกทั้งยังมีเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับการเรียนอีกมากมายในอนาคตอันใกล้นี้ ผมจำได้ว่าเคยบ่นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นให้นายฟัง คิดมาตลอดว่าเด็กขี้เกียจเรียนอย่างนายจะไม่สนใจฟัง แต่พอมาวันนี้ผมรับรู้ได้ว่าเรื่องที่ผมเคยบ่นเคยเล่าให้เขาฟังนั้นได้ถูกรับฟังมาโดยตลอด กำลังใจจากนายในรอบนี้กลายเป็นพลังงานชีวิตให้ผมได้อีกนานแสนนาน

“รู้ป่าวว่าทำไมเราถึงคะยั้นคะยอให้นายมาเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ”

“ทำไมอะ”

“เพราะว่าหลังจากนี้เราคงจะไม่ได้เจอนายบ่อยๆแล้วไง”

นายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะหันหน้าทางผมด้วยสีหน้าที่ดูสลดลง “ยังพอจะนัดไปกินข้าวกับเราได้มั่งมั้ยอะ”

กลายเป็นผมเสียอีกที่รู้สึกสลดกับคำถามของนาย “เราหมายถึงว่าหลังจากนี้เราจะยุ่งมากๆ คงไม่ได้ไปเที่ยวไหนกับนายหลายๆวันเหมือนเดิมได้ แต่เรื่องนัดกินข้าวด้วยกันเนี่ย นัดทุกวันยังได้เลย”

นายส่งยิ้มให้ผม มันเป็นรอยยิ้มเรียบง่ายไม่มีอะไรพิเศษ สิ่งเล็กน้อยที่มาจากนายกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หัวใจของผมชุ่มชื้น เวลานี้ผมคิดว่าผมสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยรอยยิ้มของนาย ขอเพียงแค่เขายังนึกถึงผมก็เพียงพอ ขอแค่นายยังอยู่ตรงนี้มีรอยยิ้มในแบบของเขา ผมก็สุขใจเหลือเกิน











หลังจากที่เราเดินเท้าไปยังพระราชวังความหิวโหยทำให้เราต้องแวะกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เราดำเนินชีวิตกันอย่างเชื่องช้า ค่อยๆกินอาหาร ค่อยๆเดิน แวะถ่ายรูปดั่งใจต้องการ เพียงแต่ตอนนี้ผมเริ่มหงุดหงิดกับแบตเตอรี่ของโทรศัพท์มือถือที่ลดฮวบบ่อยจนน่าเขวี้ยงทิ้งเพราะอากาศหนาว แต่บ่นไปก็เท่านั้นแหละอย่างไรก็ตามผมยังไม่แม้แต่จะกล้าโยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงเลย ระหว่างที่เรานั่งกินซี่โครงวัวในร้านดังร้านหนึ่งผมก็ปล่อยให้โทรศัพท์มือถือชาร์จกับพาวเวอแบงค์ไป เป็นโอกาสของนายที่ชอบแกล้งผมด้วยการถ่ายรูปน่าเกลียดๆ อย่างตอนที่กำลังอ้าปากกินอาหารก็ถ่ายรูปเก็บไว้ หรือเปิดกล้องหน้าเพื่อถ่ายเหนียงของผมอย่างเนียนๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นช่วงเวลาวันสำคัญต่างๆ เช่น วันวิสาขบูชา นายจะเอารูปหน้าตาน่าเกลียดของผมมาตกแต่งด้วยดอกบัวและมีประโยคสั้นๆอย่าง สวัสดีวันพระ อะไรทำนองนี้แล้วโพสลงโซเชี่ยลเนตเวิคต่างๆสร้างความอับอายให้ผมเป็นอย่างมาก แต่ก็เอาเถอะเพื่อนคนอื่นของผมก็ชอบที่จะเห็นอะไรแบบนี้อยู่เสมอ

หลังจากกินอาหารกันอิ่มเสียจนต้องปลดกระดุมกางเกงออก ผมกับนายก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปยังจุดหมายถัดไป ระหว่างทางเราแวะช้อปปิ้ง แวะชิมขนมต่างๆทั้งๆที่ยังอิ่มท้อง

“ทำไมเราต้องกินจนทรมานตัวเองขนาดนี้วะ”

นายเอ่ยประโยคนั้นออกมาขณะที่ซัดขนมชูโร้กเข้าปากคำใหญ่ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายวิดิโอตอนเขาเคี้ยวขนม แก้มของนายพองออกจากการกินขนมคำใหญ่ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมแอบถ่ายรูปเขาไว้กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เคี้ยวขนมหมดและหันหน้าเพื่อบอกว่าอยากกินชาร้อนๆสักแก้ว นายโวยวายที่ถูกถ่ายวิดิโอแต่โวยวายไปก็เท่านั้นแหละพอเห็นอปป้าตัวสูงๆเดินผ่านก็เผลอมองจนลืมเรื่องอื่นไป เราออกเดินทางกันต่อ อากาศหนาวและผมก็ยังไม่ชินกับอากาศสักเท่าไหร่ พอมีลมพัดมาเท่านั้นแหละหนาวทะลุเสื้อจนนึกอยากกลับไปนอนในห้องพักที่มีฮีทเตอร์อันแสนอบอุ่น สถานที่ที่เรากำลังมุ่งหน้ากันไปนี้เป็นหมู่บ้านโบราณแห่งหนึ่งที่เส้นทางค่อนข้างจะเป็นเนินเขาชัน ด้วยความที่พวกเราไม่ใช่สายเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์พอเจอเนินเขาก็รู้สึกเหนื่อยง่าย แต่เราก็ยังเดินกันไปเรื่อยๆท่ามกลางสายลมหนาวสะท้านในโซล

ระหว่างทางในช่วงที่ผมรู้สึกเหนื่อยเปลี้ยจนแทบเดินไม่ไหว โชคดีที่เจอที่นั่งพักและโชคดีไปกว่านั้นที่บริเวณนั้นไม่มีคนนั่ง ผมรีบเดินปรี่เข้าไปทิ้งตัวลงกับแผ่นไม้ยาวที่ทำยื่นออกมา นายตามเข้ามานั่งใกล้ๆทิ้งน้ำหนักลงมาพิงตัวของผม เขาหยิบขวดน้ำออกมายกดื่มก่อนจะส่งให้ผมบ้าง เรานั่งเงียบๆอยู่ตรงนั้นด้วยความเหนื่อย ทิวทัศน์เบื้องหน้าเป็นตัวเมืองโซลที่ไม่ได้สวยงามอะไรมากนัก แสงแดดรำไรอยู่เบื้องหลังก้อนเมฆ นายเอนหัวพิงไหล่ของผม ผมจึงเอนพิงลงที่หัวของเขาบ้าง วินาทีนั้นผมสัมผัสได้ถึงเส้นผมอ่อนนุ่มของนายที่คลอเคลียอยู่ตรงแก้ม หัวใจของผมเต้นแรงกว่าเดิม ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเต้นกี่ครั้งต่อวินาที แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหัวใจของผมเต้นแรงแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่ได้ใกล้ชิดกับนาย มันอาจจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่ที่ผมเจอนายครั้งแรกในเมลเบิร์น

“นั่งเฉยๆแล้วหนาวว่ะ” หลังจากที่นั่งอยู่อย่างนั้นอีกพักหนึ่งนายก็เอ่ยประโยคนั้น ก่อนที่ไออุ่นจากตัวของเขาจะจางหายไปเมื่อนายลุกขึ้นยืน สุดท้ายแล้วเราก็เดินทางกันอีกครั้ง เราไปถึงจุดหมายแต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด บริเวณนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจและนักท่องเที่ยวเจอจนน่าเบื่อ เราจึงตัดสินใจกลับห้องเพื่อเก็บของที่ซื้อมาและพักผ่อนอีกสักนิดแล้วค่อยออกมาหาอะไรกินอีกที

เราเลือกใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อมุ่งกลับมายังที่พักให้เร็วที่สุด เวลานั้นบ่ายสองโมงกว่าแล้วเราจึงแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากินกันในห้องพัก ระหว่างนั้นผมบอกนายว่าเลือกที่จะนอนบนชั้นลอยและให้นายนอนชั้นล่าง ที่จริงแล้วห้องพักของเราสามารถนอนได้ถึงสี่คน เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องนอนเตียงเดียวกัน พอกินเสร็จปุ๊ปผมก็รู้สึกง่วงขึ้นมาทันที ผมเอนหลังอยู่บนเตียงชั้นล่างมองนายที่กำลังเก็บขยะให้เข้าที่เข้าข้าง การไปเที่ยวของผมกับนายไม่มีอะไรพิเศษ ไม่เร่งรีบเพราะเราไม่ใช่ชะโงกทัวร์ เราชอบเดินเล่นหาอะไรแปลกใหม่กิน เน้นใช้ชีวิตแบบคนพื้นเมือง เพื่อนของผมมักถามเสมอว่าได้ไปจุดนู้นจุดนี้มาหรือเปล่า บอกตามตรงแผนท่องเที่ยวของผมกับนายที่ทำไว้พอมาถึงสถานการณ์จริงๆเราไปเที่ยวตามจุดต่างๆน้อยกว่าที่เขียน แต่เน้นใช้เวลาตามจุดที่ไปให้เต็มอิ่ม ผมเคยไปเที่ยวกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยแต่ดูเหมือนพวกมันจะรีบร้อนไปตามแผนที่วางไว้จนผมรู้สึกว่ามันเหนื่อย นอกจากสไตล์การเที่ยวของนายจะเข้ากับผมได้อย่างลงตัวผมยังค้นพบอีกอย่างว่านายเป็นคนมีฝีมือในการถ่ายรูปภาพพอสมควร เราไม่มีกล้องถ่ายรูปสวยหรู มีเพียงโทรศัพท์มือถือและนายก็ใช้พรสวรรค์ของเขาในการรังสรรค์ภาพของผมออกมาได้อย่างลงตัวสวยงาม แต่ถ้าจะให้พูดตามความจริงผมชอบที่จะถ่ายรูปของนายมากกว่า ผมชอบเวลาที่เขาทำหน้าประหลาดๆใส่ ผมชอบเวลาที่เขาเข้ามาอธิบายให้ผมถ่ายภาพแบบไหน ผมชอบมองสีหน้าที่แสดงออกมาของนายในเวลาเหล่านั้น

ขณะที่กำลังสะลึมสะลือง่วงนอนเต็มทีก็เห็นนายกำลังเข้ามานอนบนเตียงเดียวกัน ผมบอกเขาว่าจะขึ้นไปนอนบนชั้นลอยตามที่ได้บอกไว้ แต่นายกลับบอกให้ผมนอนตรงนี้พร้อมๆกับพาดขาลงมาบนขาของผม ก่อนที่เราจะหลับไปในที่สุด







เราตื่นมาพร้อมความหิว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งถ้วยก่อนหน้านี้ไม่สามารถเยียวยาความหิวของผมกับนายได้เลย เราตกลงกันว่าจะไปหาอะไรกินที่ร้านหมูย่างแปดรสร้านดัง ผมจึงศึกษาเส้นทางการเดินทาง สายตาพลันเหลือบไปมองเห็นนายรื้อกระเป๋าหาเสื้อผ้าที่จะใส่ เขาวางกางเกงใน วางเสื้อต่างๆเละเทะเต็มห้องผมทนไม่ไหวจึงต้องหยิบพวกมันมาพับและวางไว้บนเตียงให้เรียบร้อย ความหนาวเมื่อกลางวันทำให้เราไม่สามารถประมาทอากาศในตอนกลางคืนได้เลย นายสวมใส่ลองจอนเสื้อยืดรัดรูปข้างในเสื้อคอเต่าสวมถุงเท้าหนา ผมมองนายแต่งตัวไม่ได้เร่งเร้าอะไร ระหว่างรอก็นั่งหาข้อมูลร้านอาหารที่อยากกิน เพียงอึดใจหนึ่งเราก็ออกมาจากห้องพักและมุ่งหน้าเดินทางไปยังบริเวณแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน พอเวลาเย็นย่ำผู้คนกลับออกมาใช้ชีวิตกันอย่างละลานตามากกว่าตอนกลางวัน แสงไฟจากร้านค้าต่างๆเปิดเรียกลูกค้า หนุ่มสาวชาวเมืองโซลออกมาเดินกันให้ขวักไขว่ ทุกอย่างดูน่าตื่นตาตื่นใจไปหมดยกเว้นก็แต่ลมหนาวที่ชอบพัดเข้ามาปะทะร่างกายนี่แหละที่ดูออกจะทรมานไปสักหน่อย

“หนาวจนไข่แข็งไปหมดแล้วโว้ย” นายพูดตอนที่เดินพ้นออกมาจากบริเวณสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ผมอมยิ้มถือโอกาสนั้นเดินเข้าไปกอดคอนายไว้ “บุญ…”

ผมเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย “ว่า”

“…ไม่มีอะไรละ”

ผมพ่นลมหายใจจากจมูกใส่นายเพื่อแกล้งเขา อากาศหนาวทำให้มองเห็นควันที่ออกมาอย่างชัดเจน อีกฝ่ายที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับนิ่งอึ้งไป แต่แล้วนายก็พ่นควันออกมาบ้าง แต่ออกมาจากปากนะผมโวยวายหันหน้าหนีและบอกว่าเขาปากเหม็น นายยังคงแกล้งผมอีก ผมจึงเอาคืนบ้าง ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันนะว่าการเล่นอะไรติ๊งต๊องแบบนี้จะสนุกกว่าที่คิดไว้

ร้านหมูแปดรสที่เราตั้งใจมากินกันนั้นคนเยอะจนต้องรอคิว กลิ่นหมูย่างเกาหลีหอมตลบอบอวลไปทั่วร้านจนผมท้องร้อง เรารอคิวอยู่พักใหญ่จนในที่สุดก็ถึงเวลาของเราเสียที พนักงานเดินนำหน้าพาไปยังโต๊ะว่าง เราถอดเสื้อเก็บไว้ใต้เก้าอี้และรีบสั่งอาหารกันอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าพนักงานจะไม่พูดภาษาอังกฤษกับเราแต่ก็เข้าใจในสิ่งที่ต้องการเป็นอย่างดี ไม่นานหมูที่เราสั่งก็มาเสิร์ฟ พนักงานสาวบริการปิ้งให้อย่างรวดเร็ว ท้องของผมร้องโครกครากตอนที่ได้ยินเสียงหมูลงนาบบนกระทะดังฉ่า เราหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้ พนักงานสาวที่กำลังย่างหมูให้เราหัวเราะออกมาเล็กน้อย เธอพูดภาษาเกาหลีใส่เราแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“what?” ผมถามเธอพร้อมกับทำสีหน้างงระดับสุด

“You two…” เธอเอาที่คีบหมูชี้มาทางผมกับนาย “dating?” ท้ายประโยคเธอทำเสียงสูงเป็นเชิงคำถาม

แม้ว่าสำเนียงภาษาอังกฤษของเธอจะฟังดูเป็นเกาหลี๊เกาหลีแต่แน่นอนประโยคง่ายแบบนั้นผมกับนายย่อมเข้าใจอยู่แล้ว บรรยากาศประดักประเดิดเกิดขึ้นทันที แต่นายกลับหัวเราะอย่างคนที่ไม่ได้คิดอะไรมาก เป็นผมนี่แหละที่คิดอะไรมากมายอยู่ในใจ

“No, we’re not dating. Just friend.” นายตอบด้วยสำเนียงไทยๆ

พนักงานสาวส่งเสียงตอบรับแบบที่คนเกาหลีชอบทำกัน เธอยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าขณะที่ย่างหมูให้เรา ทันทีที่หมูสุกเธอก็ทำการตัดเป็นชิ้นให้ก่อนจะพูดภาษาเกาหลีทิ้งท้าย ซึ่งผมเดาว่าเธอคงจะบอกให้เรากินอาหารให้อร่อย นายหยิบตะเกียบคีบชิ้นหมูเป็นคนแรก เขาดูอารมณ์ดีขึ้นหลังจากที่ได้เคี้ยวหมูคำเบ้อเริ่ม

“อร่อยว่ะ หรือเพราะเราหิววะ”

“มันอร่อยจริงๆเว่ย” ผมตอบพลางเอื้อมมือไปหยิบตะกร้าผักมาวางไว้ตรงกลางและเริ่มคีบเครื่องเคียงต่างๆใส่ผักสลัดแล้วคีบหมูมาหนึ่งชิ้น ผมห่อมันเป็นคำก่อนจะยื่นไปจ่อตรงปากของนาย เขาไม่ปฏิเสธ นายอ้าปากกว้างกินเข้าไปทั้งคำแถมยังงับนิ้วของผมไปอีกนิดหน่อย ดวงตาของเขาประกายสุขจนผมต้องยิ้มตาม คราวนี้นายห่อหมูไว้ในผักและเป็นฝ่ายป้อนผมบ้าง หมูเกาหลีนี่อร่อยจนแสงออกจริงๆ ยิ่งเวลาที่นายป้อนให้ก็ยิ่งอร่อยมากกว่าเดิม ส่วนนี้ผมไม่มั่นใจว่ามันมีความเชื่อโยงกันหรือเปล่านะ

“เรารู้แล้วว่าทำไมพนักงานถึงทักว่าเราเดทกับบุญ”

“ทำไมอะ”

“เราว่าเป็นเพราะบุญนั่งเบียดเราแบบนี้ไง อีกนิดนึงจะนั่งตักเราแล้วอะ” นายพูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง แต่ผมก็เริ่มขยับตัวออกมาเพราะกลัวว่าเขาจะอึดอัด ที่จริงผมรู้ตัวตลอดนั่นแหละว่าชอบนั่งข้างๆนายและเบียดตัวเขา ถ้านายเป็นผู้หญิงงจะเรียกว่าผมชอบแต๊ะอั๋งเขาอยู่บ่อยๆ ที่เป็นอยู่นี้คงไม่ต่างอะไรกันมาก

“รำคาญเราเหรอ”

“เฮ้ย ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”

“แล้วหมายถึงยังไงอะ” ผมรู้ว่านายไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นหรอก แต่ตอนนี้นึกอยากไล่ต้อนเขาอีกนิดพอเป็นสีสัน ตอนนายกำลังพยายามหาคำแก้ตัวนี่ก็ดูตลกไปอีกแบบ

“โห่ บุญ เราไม่ได้รำคาญบุญนะ” นายพูดพลางขยับตัวเข้ามานั่งเบียดผมแทน

“จริงเหรอ”

“เออ จริงดิ” เขาตอบแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาหยิบชิ้นหมู จัดการห่อผักทำเป็นคำ ก่อนจะยกขึ้นมาจ่อที่ปากของผม “อย่าคิดมากดิวะ เอาหมูไปปลอบใจก่อน”

ผมอ้าปากรับผักห่อหมูคำโตนั่นก่อนจะนั่งมองนายกินหมูไปอีกคำสองคำ “นาย…”

“ว่า”

“กับพี่พลนี่ยังคุยกันอยู่ป้ะ”

นายหันมาทางผมก่อนจะหยิบน้ำขึ้นมาจิบ “ไม่เคยคุยกันเลย บุญก็เห็นในไลน์แล้วนี่”

คราวนี้กลายเป็นผมเสียอีกที่นิ่งด้วยความอึ้งผสมกับงงงวย “รู้ด้วยเหรอ”

“รู้ดิ ก็ในนั้นมันค้างหน้าแชทเปล่าๆของพี่พลอะ”

“โกรธป่าววะ”

นายส่ายหน้าและคีบหมูส่งเข้าปากให้ผม “โกรธทำไมวะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

“อ้าว ก็เราเข้าไปดูไลน์ของนายไง มันเป็นเรื่องส่วนตัว”

“เราไม่มีเรื่องส่วนตัวกับบุญ” นายตอบผมนิ่งๆ ใบหน้าบึ้งตึงอันเป็นลักษณะเฉพาะไม่ได้แสดงอารมณ์อื่นใดออกมา “บุญนั่นแหละ มีเรื่องส่วนตัวอะไรกับเราหรือเปล่า”

ผมสบตากับนายโดยตรงก่อนส่ายหน้าปฏิเสธด้วยรู้ว่าความหมายนั้นคืออะไร หลังจากนั้นผมก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นและนั่งกินหมูย่างจนหมด ท่ามกลางความหนักหน่วงที่ก่อเกิดขึ้นในหัวใจของผมเอง


ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ Seoul P.2 (20-Oct-18)
«ตอบ #35 เมื่อ20-10-2018 23:02:33 »




โซจูยอดนิยมรสพีชหวานๆแบบที่สาวๆน่าจะชอบดื่มกันนั้น สร้างความวิบัติเล็กๆขึ้นให้แก่ผมกับนายพอควร ในมื้ออาหารเย็นนี้เราปิ้งหมูไปพลางดื่มโซจูหลากรส จนมาชิมรสพีชที่ดื่มง่ายและพบว่ามันคล่องคอมากเกินไปจนถลำลึกไปสักหน่อย ผมไม่ได้ตั้งใจจะเมาเลยนะ แต่ของมันต้องดื่มต่อเนื่องแล้วจะอารมณ์ดี หลังจากออกมาจากร้านหมูย่างเราก็ซื้อโซจูติดมือกันมาคนละขวด และตกลงกันว่าจะตรงดิ่งกลับห้องเพราะรู้ตัวว่าเริ่มเมา แต่ดูเหมือนบรรยากาศรอบข้างในกรุงโซลกำลังลวงคนเริ่มเมาอย่างพวกเราให้เถลไถลตลอดทาง จนตอนนี้เราก็มานั่งอยู่บนเก้าอี้เปียโนที่ตั้งไว้อยู่ใต้ตึกสักแห่งใกล้ๆบริเวณทางเดินไปรถไฟฟ้าใต้ดิน ผมรื้อฟื้นความทรงจำในสมัยเด็กที่เคยเรียนเปียโน ตอนนั้นรู้สึกว่าการเนเปียโนไม่ใช่ตัวเองสักเท่าไหร่ก็เลยเลิกเรียนไป แต่เพราะความเมาทำให้ผมคะนองมากกว่าปกติก็เลยมานั่งเล่นเปียโนด้วยเพลงกะโหลกกะลา แถมยังโน้ตเพี้ยนอีกต่างหาก กระนั้นมันกลับสร้างความสำราญให้กับนายอย่างคาดไม่ถึง นายหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังขณะที่บันทึกวิดิโอ เพลงที่ผมเล่นอยู่คือเพลง Old MacDonald Had A Farm ในแบบฉบับง่ายๆที่ค่อนข้างสนุกสนานอยู่สักหน่อย เราพยายามร้องเลียนเสียงสัตว์แบบในเพลง แต่ดูเหมือนมันจะยากสำหรับคนไทยอย่างพวกเรา แต่สุดท้ายพอจบเพลงนายก็ปรบมือขณะที่ผมกลั้นขำและทนไม่ไหวก็ระเบิดหัวเราะลั่นตามๆกันไป แต่แล้วผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงหันกลับมา วางมือลงบนแป้นโน้ต และเล่นเพลงที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอยากจะเล่นให้ใครฟัง

“F A D C B♭ F G C
B♭ C D G F C F
F A D C B♭ F G C
B♭ C D G F C F”

ผมรู้ว่านายรู้ดีว่าเพลงนี้คือเพลงของใคร ฝีมือเล่นเปียโนบีกินเนอแบบผมคงไม่ได้แย่จนฟังไม่ออกหรอกว่าโน้ตที่บรรเลงลงไปนี้คือเพลงอะไร ถึงผมจะเล่นไปแค่ท่อนเดียวบรรยากาศหนึบๆมันก็กลับมาจนได้ นายทำหน้าไม่ถูกในตอนที่ผมเล่นจบ เขามองผมด้วยสายตานิ่งเฉยเหมือนปกติ ผมสังเกตเห็นเกล็ดหิมะเริ่มตกลงมาแต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังนิ่งเงียบกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่นายจะเอ่ยปากชวนกลับห้อง


Wise men say only fools rush in
But I can't help falling in love with you
Shall I stay?
Would it be a sin
If I can't help falling in love with you?





เรามาถึงห้องพักด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน หิมะตกทำให้อากาศอุ่นขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ยังเย็นจนหน้าชา ผมรู้สึกอยากจิบอะไรร้อนๆให้ชุ่มคอจึงชวนนายไปเดินหาร้านคาเฟ่รอบๆบริเวณที่พักก่อนจะกลับขึ้นห้อง เราต่างไม่มีข้อมูลใดๆเกี่ยวกับร้านคาเฟ่ของที่นี่เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาเกือบสามทุ่มจะยังมีร้านไหนเปิดบริการอยู่อีกหรือไม่ แต่ปรากฏว่าไม่มีคาเฟ่เปิดในย่านนี้ มีเพียงร้านชานมไข่มุก ร้านไก่ทอด และร้านปิ้งย่างต่างๆ ประกอบกับในตอนนั้นหิมะเริ่มตกหนักและผมก็ไม่อยากเสี่ยงเป็นหวัดจึงชวนนายเข้าร้านสะดวกซื้อแทน นายหยิบโซจูกับเบียร์กระป๋องเป็นอันดับแรก ส่วนผมก็หยิบขนมกรุบกรอบต่างๆ พอขึ้นมาถึงห้องพักนายปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผมเปิดฮีทเตอร์ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลในห้องน้ำไม่นานนักนายก็ออกมาในชุดพร้อมนอนและหัวเปียกๆ เห็นอย่างนั้นผมจึงเข้าห้องน้ำไปจัดการกับร่างกายที่รมควันหมูย่างบ้าง หลังจากได้สระผมอาบน้ำแบบรวดเร็วก็สบายตัวขึ้นมาทันที ออกมาจากห้องน้ำก็เห็นนายกำลังนอนดูรายการเพลงศิลปินเกาหลี ผมเดินไปนั่งที่ปลายเตียงเพื่อเช็ดผมให้แห้งแต่อยู่ๆก็มีอะไรอุ่นๆซุกเข้ามาใต้แขน เป็นเท้าของนายที่กำลังวางพาดลงบนหน้าขาของผม

“เห็นเราเป็นที่วางขาเหรอ” ผมเอ่ยถามแบบไม่จริงจังอะไรมากนัก นายเงียบไม่ได้ตอบอะไรซึ่งผมก็ว่ามันเป็นเรื่องปกติ หลังจากที่ผมแห้งแล้วผมก็พาดผ้าขนหนูไว้บนเก้าอี้ใกล้ๆก่อนจะล้มตัวลงนอนพาดทับตัวนาย รายการโทรทัศน์กำลังฉายภาพนักร้องชายที่ร้องเพลงคู่กับนักร้องผู้หญิง ผมไม่รู้จักพวกเขาจึงคว้ารีโมตมาเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ “นาย”

“ว่า”

“ตกลงว่านายกับพี่พลนี่ยังติดต่อกันอยู่หรือเปล่า”

“ไม่ได้ติดต่อด้วยเลย”

ผมคาดไว้ว่านายอาจจะยังรู้สึกบางอย่างกับพี่พล แต่น้ำเสียงและใบหน้าของเขากลับดูสบายๆมากกว่าที่คิด “แล้วในไลน์อะ”

“ในไลน์ทำไมวะ”

“ก็ยังเห็นมีคอนแทคของพี่เค้าอยู่”

“อ๋อ ก็แอดไอดีของพี่พลไว้นานแล้ว แต่ไม่เคยคุยด้วยเลย

ผมนึกอยากถามอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ลบไลน์ของพี่พลออกไป แต่นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมมีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรทำนองนั้นออกไปหรือเปล่า

“มีอะไรหรือเปล่าบุญ”

“เรา… อยากรู้ว่านายยังชอบพี่พลอยู่หรือเปล่า”

“ก็ยังชอบอยู่นะ เค้าเป็นรุ่นพี่ที่ดี”

คำตอบนั้นทำให้ผมรู้สึกหนักหน่วงขึ้นมาในใจอีกครั้ง ไม่น่าไปถามให้ตัวเองเจ็บเลยจริงๆ

“ตอนไฟนอลปีสาม ถ้าไม่ได้พี่พลติวให้เราคะแนนไม่ดีแน่ๆ”

ผมเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทั้งๆที่ผมอยากช่วยเขาเรื่องเรียนให้มากกว่านี้แต่ดูเหมือนตัวผมเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดกับการเรียนหมอด้วยซ้ำ

“บุญ เราเมื่อยว่ะ”

“เออๆ โทษที เรานอนเพลินเลย” ก็น่าจะเมื่อยอยู่หรอกโดนผมนอนทับตัวแบบนั้น “เราขึ้นไปนอนละ”

“นอนข้างล่างนี่แหละ ข้างบนฮีทเตอร์น่าจะอุ่นไม่พอ” เขาบอกแล้วลุกขึ้นไปปิดไฟกลางห้องทันที ผมนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง คราวนี้ขยับเข้าไปด้านนอนด้านใน ส่วนนายก็กำลังล้มตัวลงนอนพลางบ่นเมื่อยขาอะไรไปเรื่อยเปื่อย

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรานอนด้วยกัน แต่เป็นครั้งแรกที่เรานอนด้วยกันหลังจากความรู้สึกภายในใจของผมชัดเจนขึ้น ที่จริงตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอเขาในเมลเบิร์นผมก็พอรู้ตัวว่านายคือคนพิเศษ เขาเป็นคนมีใบหน้าบึ้งตึงแต่เวลายิ้มทีเหมือนโลกทั้งใบมันช่างสวยงาม เขาอาจจะดูเหมือนเป็นคนโดดเดี่ยวและไม่สนใจใครมากนัก แต่เมื่อลองได้รู้จักนายจะเป็นคนจับสังเกตความรู้สึกต่างๆของคนอื่นได้ดี และเป็นเขานี่แหละที่มักคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าใคร เขาไม่ใช่คนที่ชอบแสดงออกแต่เวลาที่เขาแสดงมันออกมาแต่ละครั้งก็ตรงไปตรงมาจนทำให้ผมผงะไปหลายครั้งอยู่เหมือนกัน นายไม่ใช่คนดีที่สุดหรือวิเศษที่สุดเท่าที่ผมเจอมา เขามีมุมเฉยชาและบางทีก็เป็นคนขี้เกียจจนน่าโมโห แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราถึงสามารถไปไหนมาไหนหรือใช้ชีวิตด้วยกันนานๆได้ขนาดนี้ อาจจะคิดว่าผมเพ้อเจ้อต่างๆนะ แต่ผมบอกแล้วยังไงว่าเขาคือคนพิเศษของผม ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ขยับตัวแบบไหน นายก็คือคนพิเศษของผม

ผมรับรู้สิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองมาโดยตลอด แต่ไม่เคยพูดสักครั้ง อาจจะมีบ้างที่ผมใช้ความเป็นเพื่อนเพื่อเข้าถึงตัวของนาย (มากกว่าชนิดที่ชาวเดอะแก๊งส์ไม่คิดจะทำ) แต่ผมก็ไม่เคยพูดให้ชัดเจน ผมคิดว่านายคงไม่ได้ชอบผมในแบบนั้น ตลอดเวลาเขาคุยเรื่องส่วนตัวกับผมและรู้สึกได้เลยว่ามีเรื่องของพี่พลนี่แหละที่นายแสดงมันออกมาชัดเจนมาก มันรวดเร็วและส่งผลทางความรู้สึกมากอยู่พอควร ผมไม่เคยซักถามเรื่องนั้นเพราะผมไม่ต้องการรู้รายละเอียด ที่ผมอยากรู้คือความรู้สึกของนายก็เท่านั้นแหละ ผมไม่สนใจเรื่องของพี่พลเลย มีแค่นายเท่านั้นที่สามารถสร้างผลกระทบต่างๆให้กับผมได้ กระนั้นไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เคยชอบใคร เคยทำอะไรมา และแม้จะหน่วงๆในอกไปหน่อยที่รู้ว่าเขายังชอบคนอื่นอยู่ แต่ไม่เป็นผมยังอยู่ได้และนายก็ยังเป็นคนพิเศษสำหรับผมเสมอ

“บุญ”

“อืม” รู้ตัวอีกทีโทรทัศน์ก็ปิดไปแล้ว ห้องทั้งห้องมีแต่เสียงทำงานของเครื่องฮีทเตอร์

“ทำไมถึงถามเราเรื่องพี่พลอะ”

ผมขยับตัวหันไปทางนาย รู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาจ้องมาทางผมก่อนอยู่แล้ว “ก็อยากรู้เฉยๆ”

“มันไม่มีอะไรแล้วจริงๆนะ”

“อ้าว แต่นายยังชอบเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ชอบอะ บอกไม่ถูกเหมือนกัน”

“ยังไงวะ”

“อธิบายไม่ถูก คงแบบเป็นไทป์ที่ชอบมั้ง” เงียบกันไปพักหนึ่งนายก็ขยับตัวเปลี่ยนท่านอนด้วยการเอาขามาพาดบนขาของผม “ว่าแต่บุญเถอะ ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นบุญพูดถึงเรื่องคนที่ชอบเลย เรียนหมอไม่มีเวลาขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“เวลาน่ะมี”

“แล้วคนที่ชอบอะ”

ผมเงียบ เป็นอีกครั้งที่ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดีแม้ในใจจะอยากพูดมันออกไปแทบตาย “ไม่มีว่ะ”

คราวนี้นายขยับตัวลุกขึ้นนั่งและมองมาที่ผมอย่างเปิดเผย “แล้วบุญไม่ได้ชอบเราเหรอ”

นั่นไง สุดท้ายนายก็พูดมันออกมาจนได้ ผมแทบจะอ้าปากค้างเมื่อได้ยินประโยคนั้นและเป็นอีกครั้งที่ผมเลือกที่จะนิ่งเฉยไม่พูดมันออกมา เพราะถ้าพูดออกไปมันจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกแน่นอน

“เราสงสัยมานานแล้วว่าบุญชอบเราหรือเปล่า”

“…………..”

เมื่อผมไม่ตอบนายจึงเงียบ แต่ผมยังรู้สึกได้ว่าเขากำลังจ้องมองเพื่อรอคอยคำตอบ จนสุดท้ายนายก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่ “อยากบุหรี่ เดี๋ยวกลับมา” เขาบอกผมขณะที่ใส่เสื้อโค้ท

ประตูห้องปิดลงพร้อมกับที่ผมถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ อย่างที่เคยบอกไปนายสามารถจับความรู้สึกของคนอื่นได้ดีเป็นพิเศษ แต่ผมไม่คิดว่าจะรู้เรื่องของผมอย่างชัดเจนจนถึงขนาดเอ่ยปาก ผมไม่นึกโทษตัวเองที่แสดงหลายสิ่งหลายอย่างออกมานะ มันเลยจุดที่จะมานั่งเสียใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมตั้งใจจับมือของนายในตอนที่ยืนดูงานแสดงภาพที่หอศิลป์แล้ว ผมคิดมาตลอดว่านายก็คงรู้สึกบ้างแหละกับการกระทำของผม มีหลายครั้งที่นายเหมือนจะพูดมันออกมา แต่เมื่อไม่มีใครพูดทุกอย่างจึงเป็นไปตามที่เคยเป็นมา หากวันนี้ทุกอย่างกลับชัดเจนจนคิดว่าไม่น่ากลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ผมจึงพยายามทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ในเมื่อนายพูดออกมาแจ่มแจ้งถึงขนาดนี้แล้วผมยังจะสามารถเมินเฉยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีกจริงเหรอ ผมจะยังแกล้งทำเป็นเนียนเข้าถึงตัวนายอย่างที่ผ่านมาได้อีกเหรอ ความรู้สึกประหลาดๆระหว่างเราจะยังคงสืบต่อไปไม่จบสิ้น สุดท้ายแล้วคนเราก็ต้องมีจุดเปลี่ยนและผมก็กำลังทำมันให้ชัดเจนขึ้น






ผมเดินไปหานายที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงบริเวณสะพานข้ามคลองใกล้บริเวณที่พัก หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ลมแรง และอากาศหนาวจนผมตัวชา พอเข้าไปยืนอยู่ด้านข้างผมก็เงียบไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดอะไรก่อนดี

“ขอบุหรี่ตัวนึงดิ”

นายยื่นบุหรี่ให้โดยไม่ได้พูดอะไร มันเป็นบุหรี่รสเดิมเหมือนที่นานๆทีเราจะสูบกัน ผมเคยโดนถามว่าเรียนหมอทำไมถึงสูบบุหรี่ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าให้ตอบตามตรงผมเองก็หาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็รับสิ่งนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แม้จะไม่ได้ติดมันหนักมากแต่ก็สูบเกือบทุกวัน จะว่าไปมันก็ประหลาดอยู่เหมือนกันนะที่คนเรียนหมอแบบผมมักโดนคนรอบข้างตัดสินว่าเป็นคนรักสุขภาพ ทั้งๆที่ผมยังไม่เคยพูดอะไรออกมาสักคำ

“คบกับเรามั้ย”

คำถามนั้นเรียกความสนใจจากนายจนมือของเขาที่ถือบุหรี่อยู่ถึงกับชะงัก ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ ก้มหน้าลงและจับใบหน้าของนายให้หันมาก่อนจะจูบบนริมฝีปากเย็นๆของเขา ไม่มีเหตุผลอะไรอีกแล้วกับการกักเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ แต่แล้วในช่วงที่นายเบี่ยงหน้าออกหัวใจของผมแทบจะแตกสลาย ไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงเสียงลมหวีดหวิว และนี่อาจจะเป็นคำตอบจากนาย ผมกำลังคิดจะขอโทษนาย กำลังคิดว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์ประดักประเดิดแบบนี้ เพียงแต่นายกลับเป็นคนพูดขึ้นก่อนคนแรก และหัวใจที่เหมือนจะปวดตายอยู่นั้นกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมา

“บุญบ้าป่าววะ ยังมีคนอื่นเดินเยอะแยะเลยนะเว่ย”

ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวก่อนจะเข้าไปยืนใกล้ๆจนชิดกับตัวของนายอีกครั้งด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ “เป็นแฟนเรานะ”

นายสบตาผมแล้วยิ้มกว้าง ริมฝีปากเย็นๆของเราสัมผัสกันอีกครั้งภายใต้เสื้อโค้ทตัวใหญ่ของผมที่ถูกดึงขึ้นมาคลุมส่วนบน ผมไม่สนว่าจะมีใครมองพวกเรา ผมไม่สนว่าพวกเขาจะพูดอย่างไรกัน ผมสนใจแค่ที่ตอนนี้ผมได้จูบกับนาย จากความรู้สึกที่ชัดเจนและซื่อตรง ผมสนใจแค่เวลานี้ความรู้สึกของผมได้รับการตอบรับ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วจริงๆ



และนั่นเป็นครั้งแรกที่เราจูบกัน กลางสายหิมะโปรยปราย ในกรุงโซล เกาหลีใต้



************************************

 :mew1:

ออฟไลน์ Pupay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-1
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Melbourne P.2 (17-Oct-18)
«ตอบ #36 เมื่อ21-10-2018 00:09:37 »

เป็นเรื่องที่อ่านแล้วให้อารมณ์เรียลๆ
รออ่านตอนพิเศษหวานๆของหมอบุญกะน้องนายเยอะๆนะคะ
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ mew.kani

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Seoul P.2 (20-Oct-18)
«ตอบ #37 เมื่อ21-10-2018 17:39:50 »

อยากให้มีตอนพิเศษของหลายๆเมืองเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวของทั้งสองหนุ่มนะคะ

ละมุนนน ดีต่อใจสุดๆๆ  :-[

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Seoul P.2 (20-Oct-18)
«ตอบ #38 เมื่อ26-10-2018 11:07:57 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Seoul P.2 (20-Oct-18)
«ตอบ #39 เมื่อ31-10-2018 00:54:07 »

 :pig4: :pig4: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - Affection - ตอนพิเศษ Seoul P.2 (20-Oct-18)
« ตอบ #39 เมื่อ: 31-10-2018 00:54:07 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ Bangkok P.2 (02-Nov-18)
«ตอบ #40 เมื่อ02-11-2018 11:11:24 »

ตอนพิเศษ Bangkok



ในคืนนั้นผมรู้สึกตัวตอนที่นายเดินเข้ามาจูบที่หน้าผาก แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมาเพื่อทักทาย กลิ่นน้ำหอมของเขาติดอยู่ที่ปลายจมูกก่อนจะจางหายไป

หลังจากขอคบหากับนายในสถานะคนรักเมื่อปลายปีที่แล้ว นานพอควรกว่าเราจะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันที่คอนโดมิเนี่ยมแห่งนี้ เขาทำงานเกี่ยวกับโปรดักชั่นส์ ออกต่างจังหวัดบ่อย บางทีก็ออกไปทำงานตั้งแต่ตีสี่ตีห้า แต่ถึงจะดึกแค่ไหนนายก็จะกลับมานอนที่ห้อง ส่วนผมกำลังอยู่ในช่วงเรียนต่อเฉพาะทาง ที่จริงผมแทบจะกินนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ก็มีบ้างที่ได้ออกมาใช้ชีวิตของตัวเอง แต่พอถึงเวลาจริงๆผมกลับนอนหลับเหมือนซ้อมตายเสียมากกว่า ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้รักกับนาย เขาเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ เขาเข้าใจว่าผมตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้อย่างไร ผมโชคดีแต่เป็นนายนี่แหละที่โชคร้าย เวลาของเรามีน้อยมากและส่วนมากผมก็เอาตัวแทบไม่รอดจากการอยากนอนพักผ่อน นายบ่นแต่ก็เป็นเขานี่แหละที่ดูแลผมมาตลอด

นายกลับเข้ามาแล้วคราวนี้มีกลิ่นสบู่ของเรา ผมสัมผัสได้ถึงแรงยวบยาบบนเตียงจากเขาที่กำลังเอนตัวลงนอน ผมอยากตื่นขึ้นมาเพื่อถามไถ่นายว่าทำงานเป็นยังไงบ้าง ผมอยากถามเขาว่าอาหารที่กองถ่ายฯอร่อยมั้ย แต่สิ่งที่ทำได้และคิดว่าน่าจะพอทดแทนคำถามเหล่านั้นนั่นก็คือการเอื้อมมือไปคว้าตัวของเขามากอดไว้ ไออุ่นของนายทำให้ผมหลับลึกลงอีกครั้ง




ผมตื่นขึ้นมาในตอนสาย คิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าในวันว่างผมจะพานายออกไปข้างนอก และตอนนี้กำลังคิดว่าจะพานายไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้ากลางเมืองทั่วๆไป กินข้าวดูหนังซื้อของซื้อหนังสือและกลับห้องไม่มีอะไรพิเศษไปกว่านั้น ผมล้างหน้าแล้วเดินออกมาจากห้องนอนก็พบนายที่กำลังเปิดคอมฯเพื่อทำงานอยู่ในห้องนั่งเล่น นอกจากจะทำงานประจำในบริษัทโปรดักชั่นส์แล้วนายยังรับงานพิเศษเกี่ยวกับโฆษณาอะไรสักอย่างที่ผมไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมเดินไปหยิบขวดน้ำก่อนจะเดินกลับมานั่งอยู่ด้านหลังนาย ยอมรับเลยล่ะว่าตัวเองขาดความอบอุ่นผมชอบที่จะสัมผัสนาย ไม่ว่าจะสัมผัสแบบไหนผมก็ชอบทั้งนั้น นายเอนตัวลงพิงผมแต่มือยังคงทำงาน เขาใช้โปรแกรมสากลอย่างอิลัชสเตรเตอร์ ผมได้แต่มองและจูบกอดนายให้หายคิดถึงแต่ก็ไม่ได้ลุ่มลามจนเขาทำงานไม่ได้

“หิว ออกไปหาอะไรกินกัน” ผมเอ่ยเสียงแผ่วขณะที่เกยคางไว้บนไหล่ “ไปสยามกันมั้ย”

“ไม่ไป” นายตอบเรียบๆดูท่าทางจะมีสมาธิกับงานมากกว่าจะสนใจผม

“ทำไมอะ”

“เราเหนื่อย เพิ่งกลับมาถึงนี่ตอนตีสอง ต้องตื่นมาแก้งานอีก”

สิ้นคำผมก็เลิกตื้อ นั่งมองเขาทำงานอยู่สักพักก็ลุกขึ้นไปหาอะไรในตู้เย็นกินโดยไม่ลืมที่จะถามไถ่ว่านายจะกินด้วยหรือเปล่า ผมทำอาหารง่ายๆอย่างเบค่อนทอดกับไข่คน แกะกล่องสลัดที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ตใส่ชาม เมื่อทุกอย่างพร้อมนายก็ปรี่เข้ามานั่งกินอาหารเช้าด้วยกัน ผมฟังนายบ่นเรื่องงานนิดหน่อยก่อนจะเล่าเรื่องงานของตัวเองให้ฟังบ้าง แปลกอยู่เหมือนกันนะทั้งๆที่เราทำงานกันคนละแขนงแต่กลับมาเล่าเรื่องงานให้ฟังกัน บอกตามตรงว่าถ้าไม่มีนายผมก็ไม่รู้ว่าจะเอาแรงใจแรงกายจากไหนมาเติมเต็มให้ชีวิต ผมตั้งเป้าหมายไว้ก็จริงแต่ความเหน็ดเหนื่อยที่จะต้องขวนขวายเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาก็พรากเอาเวลาส่วนตัวไปจนแทบจะหมด ผมต้องเรียนและทำงานไปพร้อมๆกัน โดนด่าเช้าเย็น ได้นอนวันนึงสามสี่ชั่วโมง บางวันก็แทบไม่ได้นอนถ้ามีเคสหนักๆเข้ามา นายเป็นเหมือนแรงกายแรงใจ การได้อยู่กับเขาเพียงแค่ไม่กี่นาทีกลายเป็นเชื้อเพลิงให้ผมได้ทำงานและเรียนต่อได้ ผมอยากเอาใจใส่ดูแลเขาให้มากกว่านี้ อยากมอบเวลาของตัวเองให้เขาด้วยการพาไปเที่ยวต่างประเทศอย่างที่เราชอบกัน นอกเหนือจากความเหนื่อยสิ่งที่แย่ที่สุดก็คือผมไม่มีเวลาเลย และมันก็แย่ลงไปอีกเมื่อนายปฏิเสธในการเข้าเมืองเพื่อไปหาอะไรกินกันอย่างที่ทำอยู่เมื่อครู่นี้

“แล้วนี่จะออกกองอีกเมื่อไหร่”

“วันอังคารที่จะถึงเนี่ย”

“ไปที่ไหน”

“น่าจะสุพรรณนะ” นายตอบแล้วตักเบค่อนชิ้นใหญ่กินเต็มปากเต็มคำ “แล้วบุญจะต้องไปนอนที่โรงพยาบาลอีกป้ะ”

“ช่วงนี้ไม่มี เราว่างสองวัน” ถึงจะบอกไปแบบนั้นแต่ผมก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมทุกเมื่อหากมีเคสด่วนเข้ามา แต่ขอคิดไปในทางที่ดีก่อนแล้วกันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น “เราอยากดูหนังอะ นายไปกับเรานะ”

เขามองผมด้วยสายตานิ่งเฉย แต่ปากกำลังขบเคี้ยวอาหารไม่หยุด

“ออกไปเถอะ เราอยากกินเนื้อย่างด้วย”

เคี้ยวอาหารเสร็จนายก็ยกน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ “เราอยากนอนว่ะ”

คำตอบที่ได้ทำให้ผมเลิกตื้ออีก ผมนั่งกินอาหารต่อเงียบๆไม่พูดไม่เอ่ยอะไร รู้สึกน้อยใจเหมือนกันนะที่นายปฏิเสธ ผมอยากใช้เวลาทำกิจกรรต่างๆกับเขาให้มากที่สุดเพราะตัวผมเองก็บอกเวลาที่แน่ชัดไม่ได้ หน้าที่การงานของผมคาดเดาอะไรไม่ได้สักอย่าง งานของผมเป็นประเภทแบบห้ามสาย ห้ามลา ห้ามตายเลยก็ว่าได้ พอมีเวลาตรงกันขึ้นมานายก็กลับปฏิเสธเสียอย่างนั้น แต่เพราะผมก็พอจะเข้าใจนายบ้างอยู่เหมือนกันว่าเขาเองก็ตะลอนออกกองไปที่นู่นที่นี่ไม่ได้ว่างเว้น การเดินทางไปที่ต่างๆก็เหนื่อยพอควร ไหนจะต้องทำงานพิเศษนั่นอีก ผมเคยถามว่าทำไมถึงจะต้องทำงานพิเศษเพิ่มทั้งๆที่ตัวเองก็มีงานประจำแล้ว เขาบอกว่าอยากได้เงิน พอผมตอบไปว่าถ้าเงินไม่พอก็ให้มาใช้ของผมได้ นายปฏิเสธผมด้วยสีหน้านิ่งเฉยแต่ผมกลับรู้สึกได้ทันทีว่าเขากำลังไม่พอใจ พอจี้ถามไปอีกนายก็เงียบไม่คุยกับผมไปหนึ่งวันเต็ม ผมเคารพนายในส่วนนั้นแต่แค่อยากให้เขาพึ่งพาผมมากกว่าที่เป็นอยู่อีกสักหน่อย การได้แบ่งรับภาระหรือร่วมทุกข์กับนายอาจจะเป็นสิ่งที่ผมปรารถนาเพื่อย้ำเตือนว่าเรายังเป็นคนรักกัน เหตุการณ์ตอนนั้นมันไม่ใช่ว่านายเงียบแล้วไม่คุยด้วยเลยสักคำนะแต่เป็นการถามคำตอบคำ และผมก็อึดอัดกับสถานการณ์นั้นมาก เรากลับมาคุยกันเพราะตอนนั้นผมต้องไปค้างที่โรงพยาบาลหลายวัน ผมบอกเขาไปตามตรงว่าไม่อยากให้ระหว่างเรามีเรื่องขุ่นเคืองใจกันในระหว่างที่ผมไม่ได้กลับมานอนที่ห้อง และเพราะไม่อยากเผชิญสถานการณ์นั้นอีกผมจึงพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ซักไซ้จุกจิก แม้ในใจจะอยากเขย่าคอนายแล้วบังคับให้ทำในสิ่งที่ผมต้องการก็ตามที

“บุญไม่อยากอยู่กับเราเหรอ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “หมายถึงยังไง”

“ก็บุญพยายามออกไปข้างนอกอะ”

“ทำไมอะ”

“ช่างเถอะ”

สถานการณ์ดูแย่ลงกว่าที่คิด ผมเหนื่อยและเพลียร่างเกินกว่าจะพูดอะไรอีก เขาน่าจะเข้าใจนะว่าการออกไปข้างนอกของผมมันหมายถึงการได้ร่วมใช้เวลาทุกเสี้ยววินาทีด้วยกัน “ถ้านายอยากนอนก็ตามสบาย เราออกไปคนเดียวได้”

“…….....”

ผมลุกขึ้นเดินเอาจานไปวางไว้ในอ่างล้างจานก่อนจะเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำและเตรียมตัวออกไปข้างนอกอย่างที่ได้พูดไว้ นานๆจะได้อยู่ด้วยกันทั้งทีแทนที่จะอยากทำอะไรต่อมิอะไรด้วยกันแต่นายกลับมาห่วงนอนมันทำให้ผมหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยเลย ผมออกมาจากห้องน้ำเป็นช่วงที่นายเดินกลับเข้ามาพอดิบพอดี เราสบตากันช่วงครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะไปรื้อค้นหาเสื้อผ้าใส่

“นัดใครไว้รึเปล่า”

“เปล่า” หลังจากผมตอบนายไปก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ผมยังคงแต่งตัวไปตามปกติจนเสร็จ แต่ตอนที่กำลังจะก้าวพ้นออกนอกประตูห้องนอนผมก็หันหลังกลับไปมองอีกฝ่ายที่ยังยืนอยู่ที่เดิม “จะเอาขนมอะไรมั้ย”

นายส่ายหน้าปฏิเสธพลางเอื้อมมือไปคว้าผ้าขนหนูและเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ “บุญรอเแป้บนึง เดี๋ยวเราไปด้วย”






สุดท้ายนายก็ออกมาสยามกับผม พอมาถึงที่หมายเราพากันไปดูรอบหนังและซื้อตั๋ว ที่จริงผมสามารถซื้อตั๋วหนังได้จากแอพพลิเคชั่นเลยด้วยซ้ำแต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ถึงได้อยากมาเลือกดูรอบหนังพร้อมกับนาย ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะสีหน้าเวลาที่นายกำลังขบคิด คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ตาหรี่ลงเพราะพยายามอ่านตัวหนังสือ ทุกอย่างผมชอบที่จะมองสีหน้าของเขา นายจ่ายเงินค่าตั๋วหนังเสร็จเขาเดินออกมาพร้อมกับใบหน้าบึ้งตึง

“เป็นอะไรวะ”

“คนก่อนหน้านี้ดิ แม่ง ปัญหาเยอะ แค่ซื้อตั๋วจากตู้มันจะไปยากอะไรวะ”

ผมโอบคอของนายด้วยความเคยชินขณะที่ลงบันไดเลื่อนเพื่อเดินไปหาอะไรกิน “เค้าอาจจะไม่ชินกับตู้อัตโนมัติไง เรายังโง่เลยอะ เงอะงะไปหมด”

“โห ถ้าบุญโง่นี่เราจะยังไงวะเนี่ย”

“ยังไงอะไรวะ”

“ก็คนเรียนหมอฉลาดนี่หว่า ถ้าบุญบอกว่าตัวเองโง่นี่ เราคงสมองทึบ”

“คนเรียนหมอไม่ได้ฉลาดนะเว่ย นู่น พวกเรียนวิทยาศาสตร์ดิ ฉลาดจริง”

“อ้าว จริงเหรอ”

ผมพยักหน้ารับขณะที่เดินไปยังร้านที่ขายดีวีดีหนัง “อันนั้นมันเจาะลึกอะ ถ้าหัวไม่ดีจริงเรียนไม่ไหวหรอก จริงๆแต่ละสาขาในนั้นมันก็ไปต่อยอดทางอื่นได้นะ ไปทางหมอก็ได้ ไปทางวิศวะก็ได้”

“เรานึกว่าคนเรียนหมอนี่ต้องหัวดีมากกว่าคณะอื่นๆนะ” นายหยิบแผ่นหนังดูไปเรื่อยเปื่อย กลายเป็นว่าตอนนี้บรรยากาศมึนตึงหายไปแล้ว

“มันก็ส่วนนึงอะ เรียนหมอต้อง EQ ดีหน่อย ส่วนพวกเรื่องเรียนก็เน้นจำเยอะๆ อ่านเยอะๆ ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา”

“อะไรวะ เรียนตั้งหกปีแล้วนะ”

“เป็นหมอก็เรียนไปตลอดชีวิตนั่นแหละ ร่างกายมนุษย์มีอะไรให้เรียนรู้ได้อีกเยอะ” ผมกล่าวด้วยไม่คิดอะไรมาก แต่นายกลับหันมาและยิ้มมุมปาก “ยิ้มอะไรวะ”

“ทำมาเป็นเท่นะครับคุณบุญ” เขายักคิ้วกวนอารมณ์ก่อนจะยิ้มออกมาจนตาหยี “เราหิวแล้วอะ ไปหาอะไรกินกันเถอะ”

ผมค้างไปชั่วขณะหนึ่ง สรุปเมื่อครู่นี้นายชมผมว่าเท่ใช่ไหมนะ






รอบหนังที่เราซื้อตั๋วมานั้นเป็นรอบประมาณหนึ่งทุ่มเพราะฉะนั้นเราจึงมีเวลาเดินเล่นอีกหลายชั่วโมง ร้านอาหารที่เรามากินกันนั้นก็ตั้งอยู่ในห้างนั่นแหละ แต่เพราะตัวร้านอยู่ด้านหลังของห้างจึงทำให้ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก และเราก็เลือกที่จะนั่งบนชั้นลอยซึ่งไม่มีลูกค้าคนอื่นอยู่ด้วยเลยยิ่งทำให้ดูเป็นส่วนตัวมากขึ้นไปอีก ผมบอกให้นายสั่งอาหารเผื่อด้วยเพราะขี้เกียจเลือก จะว่าไปมันมักจะเป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้งที่ผมนึกไม่ออกว่าจะกินอะไรและโยนให้นายสั่งอาหารให้ โชคดีที่ผมกินอะไรก็ได้ส่วนนายก็เลือกมาได้ถูกใจทั้งนั้น ระหว่างที่รออาหารผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปนายตอนที่เขากำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ เจ้าตัวยังไม่รู้ว่าโดนถ่ายรูปผมได้ใจก็เลยเปิดกล้องหน้าและยื่นไปถ่ายมุมเสยอย่างที่ชอบทำ นายเหลือบตาขึ้นมามองแล้วอมยิ้ม ตาของเขาหรี่ลงและมีรอยย่นบนจมูก สารภาพตามตรงว่าผมอยากดึงหัวของเขาเข้ามาหอมให้ชื่นใจ แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือยิ้มและยิ้มเท่านั้น

เรานั่งกินอาหารกันอย่างไม่รีบร้อน นายชอบกวนประสาทด้วยการแย่งกินอาหารจากในจานของผมบ้าง ผมแย่งอาหารในจานของเขาบ้าง ไม่ก็เขี่ยอาหารที่ไม่ชอบไปให้นาย ผมทำให้นายหัวเราะ ผมทำให้เขามีรอยยิ้ม แค่นั้นผมก็มีความสุขแล้วจริงๆ หลังจากกินอาหารเสร็จเราก็มุ่งไปที่ร้านหนังสือ ผมอยากหานิยายสืบสวนอ่านสักเล่มสองเล่ม ส่วนนายไปเดินอีกมุมซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ผมยืนอ่านตัวอย่างที่ปกหลังไปมาหลายเล่มกว่าจะตัดสินใจซื้อก็พักใหญ่ พอจ่ายเงินเสร็จก็เดินหานายในร้านหนังสือซึ่งผมคิดว่าเขามักจะยืนดูหนังสือศิลปะอยู่เหมือนเคย ในมุมบริเวณนั้นค่อนข้างร้างไร้ผู้คน ผมมองซ้ายมองขวามองไปทั่วบริเวณ ไม่มีคนไม่มีกล้องวงจรปิด คิดได้อย่างนั้นพอเดินไปยืนใกล้ๆผมจึงถือโอกาสนี้จับมือของเขาไว้ นายหันมามองแล้วส่งยิ้มให้

“เดินจับมือได้ป้ะ”

พอถามนายก็ยักไหล่เหมือนไม่รู้ว่าจะตอบอะไร ผมไม่ได้คาดหวังอะไรจากการถามหรอกก็แค่ลองถามดู แต่เราทั้งสองคนก็คิดเหมือนกันว่าไม่อยากถูกคนอื่นมองแม้ในสมัยนี้คนรุ่นใหม่จะยอมรับเรื่องราวพวกนี้ได้มากขึ้นก็ตามที นายเดินนำผมออกจากร้านเพื่อย้ายไปยังอีกที่หนึ่งที่เราชอบมากัน มันเป็นโซนตู้เกม เชื่อเถอะว่าเงินที่เราเสียทีละสิบบาทรวมๆแล้วแพงมากกว่าตุ๊กตาโง่ๆที่กำลังลุ้นกันอยู่ในตอนนี้ นายจริงจังกับการตู้ตุ๊กตามากเขาแลกเหรียญมาเยอะพอสมควรเพื่อเล่นมันและไม่เคยช้อนได้สักตัวเลย

“ฆวยเอ้ย” เขาสบถตอนที่ที่คีบเคลื่อนตัวมาใกล้ปล่องทางออกแต่แล้วมันกลับอ่อนแรงปล่อยตัวตุ๊กตาหน้าโง่หล่นลง

“บอกแล้วให้ซื้อไปเลย”

“ซื้อเลยมันก็ไม่สนุกสิวะ ห่าเอ้ย หมดไปเป็นร้อยละ”

ผมคว้าคอเขามาโอบไว้ด้วยความเคยชินในตอนที่เราเดินออกจากบริเวณนั้น “ไปไหนต่อดี เหลืออีกชั่วโมง”

นายเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วก็หุบปากลงเปลี่ยนเป็นไม่พูดเสียอย่างนั้น

“อะไรวะ พูด” ผมล็อคคอนายแรงขึ้นทำเป็นขู่เสียงโหด

“ไปเข้าห้องน้ำ แล้วไปนั่งรอหน้าโรงหนังเลยแล้วกัน”






ผมพาซื่อในตอนที่นายบอกว่าจะเข้าห้องน้ำ เราแวะเข้าห้องน้ำจริงแต่ไม่ได้ถ่ายหนักถ่ายเบา ในห้องน้ำชายนั้นร้างไร้ผู้คนไม่เหมือนห้องน้ำผู้หญิงที่มักเห็นเดินเข้าเดินออกกันให้ขวักไขว่ นายดันร่างผมให้เข้าห้องน้ำห้องหนึ่งในนั้น เขามองหน้าผมนิ่งๆขณะที่มือเริ่มถอดเข็มขัดให้ผม บรรยากาศในห้องน้ำยังคงเงียบเชียบไม่มีเสียงดังใดๆ ผมเริ่มลังเลในสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันไม่เหมาะสมเลยสักนิดแต่เมื่อนายล้วงมือลงใต้กางเกงชั้นใน สติของผมก็เริ่มลางเลือน เขาจูบผมที่ปลายคาง ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงฝาสุขภัณฑ์ให้ปิดและนั่งลงบนนั้น ใบหน้าของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้เป้ากางเกงของผม ลมหายใจอุ่นสัมผัสที่ส่วนนั้นก่อนจะแทนที่ด้วยลิ้นชื้นแฉะ

ผมไม่คิดลังเลใดๆอีกต่อไปแล้ว ส่วนนั้นของผมค่อยๆพองตัวขึ้นในปากของนาย มันยังไม่แข็งตัวเสียทีเดียวแต่กำลังเติบโตขึ้นทีละน้อย เราทำกันอย่างเงียบเชียบ พยายามให้มีเสียงน้อยที่สุด ผมมองใบหน้าของนายที่กำลังดูดกินส่วนนั้นของตัวผมอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อดูการกระทำของเขาแล้วผมไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด เขาไล้เลียพร้อมๆกับใช้มือไปทั่วทั้งแท่งเนื้อ ผมเสียววาบขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดของๆผมก็แข็งตัวคาอยู่ในปากของเขา คราวนี้นายเริ่มรับมันเข้าไปในปากลึกขึ้น ผมรู้สึกได้เลยว่าส่วนยื่นยาวนั่นกำลังถูไถไปตามเพดานปาก ผมมีความสุขกับสิ่งที่นายทำให้ถึงแม้จะไม่ค่อยอยากให้เขาใช้วิธีเสี่ยงแบบนี้ในการสร้างความสุขให้ผมสักเท่าไหร่ เราตรวจและป้องกันเป็นเรื่องปกติแต่ทุกครั้งผมก็ไม่อยากให้อารมณ์ครอบงำเสียจนลืมหลักเหตุแห่งความเป็นจริง แม้จะพยายามคิดแบบนั้นแต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะหักห้ามใจไม่ให้สนองแก่อารมณ์ได้ นายทำให้ผมจนเสร็จในเวลาไม่นานนัก ไอ้นั่นของผมกำลังกระตุกเกร็งหลังจากที่หลั่งน้ำขาวขุ่นอยู่ในปากของนาย ผมพรูลมหายใจแรงเคลิบเคลิ้มไปกับความสุขระหว่างที่ถึงจุดสุดยอด เรามองสบตากันแล้วยิ้ม นายเปลี่ยนอิริยาบถเขาลุกขึ้นยืนและใช้กระดาษชำระเช็ดทำความสะอาดให้

เชื่อเถอะว่าตอนนี้ผมกำลังวูบวาบอ่อนไหวไปทั้งตัว ความสุขที่นายมอบให้กำลังล้นทะลัก ผมโอบกอดนายไว้ จูบที่ขมับและกลุ่มผมของเขาซ้ำๆไปมา รอให้ลมหายใจกลับเป็นปกติก่อนจะเดินจากห้องน้ำไปอย่างเงียบเชียบเหมือนตอนเข้ามา






เราดูหนังเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้มีความน่าสนใจอะไรมากนัก หลังจากนั้นก็ขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อกลับคอนโดตามปกติ กว่าหนังจะจบเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงห้าทุ่ม ผู้คนบางตาและยิ่งเมื่อเข้าสู่ขบวนรถไฟฟ้าแถวที่เราเลือกนั่งก็ไม่มีคนนั่งอยู่ก่อนเลยสักคน ผมจับมือของนายอย่างที่ใจต้องการโดยไม่ร้องขออนุญาต เขามองหน้าผมนิ่งๆเช่นเคยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมถือโอกาสจับมือของเขาขึ้นมาจูบอย่างรักใคร่คราวนี้นายขืนมือลงแต่ยังรักษาท่าทางนิ่งเฉย บานกระจกตรงหน้าสะท้อนภาพของเราที่กำลังจับมือกันอย่างแนบแน่น ผมไม่คาดฝันว่าก่อนเลยว่าเราจะมีวันแบบนี้กันได้ เขาเป็นเพื่อนของผมมาตลอด ระยะห่างที่เว้นไว้ด้วยคำว่าเพื่อนมันเปราะบาง ผมเป็นคนพังทลายมันลงทีละเล็กทีละน้อยเพราะทนต่อความรู้สึกของตัวเองไม่ไหว มานั่งคิดตอนนี้ถ้าหากผมบอกชอบเขาไปตั้งแต่เริ่มแรกที่รู้ตัวเราอาจจะได้เป็นคนรักกันนานแล้ว ในส่วนลึกของจิตใจมันคอยบอกมาตลอดว่าระหว่างเราความเป็นเพื่อนมันก้ำกึ่งกับคำว่าคนรัก ทั้งๆที่พยายามปฏิบัติในแบบเพื่อนแต่มันก็มีบางเวลาทีผมแสดงออกว่าชอบเขามากแค่ไหน นายรับรู้มาตลอดเวลานั่นแหละเพียงแต่คำว่าเพื่อนที่กำหนดมาตั้งแต่แรกคงจะเป็นม่านหมอกกั้นกลางเราไว้ แต่แล้วทุกอย่างก็กระจ่างใส มันเกินคาด เหมือนฝันเสียยิ่งกว่าฝัน ผมไม่อาจขออะไรไปมากกว่านี้ได้แล้วนอกเสียจากขอแค่ได้รักนาย

“นาย…”

“อืม”

“ทำไมถึงวันนี้ถึงไม่อยากออกมาข้างนอกอะ เพราะเหนื่อยจริงๆเหรอ”

นายเกลี่ยนิ้วของเขาลงบนฝ่ามือของผมไปมาก่อนจะหันมาสบตาด้วย “ก็เราเห็นว่านานๆทีบุญจะมีเวลาว่าง….” เขาเว้นจังหวะไปชั่วครู่หนึ่งแล้วอยู่ๆก็เอนซบลงมาที่ไหล่ของผมอย่างน่าประหลาดใจ “เราไม่รู้หรอกว่าวันๆนึงคนเป็นหมอเค้าทำอะไรมั่ง แต่พอบุญกลับมาห้องทีไรก็นอนเหมือนซ้อมตายอะ เราแค่อยากให้บุญได้นอน”

ผมยิ้มให้กับคำอธิบายที่ไม่ได้ลึกซึ้งแต่เต็มไปด้วยความห่วงใย แค่นี้มันก็ทำให้ผมชื่นใจได้แล้ว

“แล้วคะยั้นคะยอให้เราออกมานี่ มีอะไรรึเปล่าวะ” คราวนี้เขาเอ่ยถามบ้าง

“ก็แค่อยากออกมาเดท”

“แค่นี้อะนะ”

“มันไม่ใช่แค่นี้สิวะ เราถือว่าเราให้เวลาของเรากับนายนะ” ผมใช้มืออีกข้างขยี้ผมของนายด้วยความหมั่นเขี้ยว เห็นแล้วก็อดเอ็นดูไม่ได้ “เรากลัวนายเบื่อที่เราทำแต่งาน พอมีเวลาว่างก็เลยอยากพาออกมาข้างนอกบ้างแต่จริงๆก็อยากนอนอะ”

“เออ เนี่ยแล้วออกมาทำไมวะ” เขาทำเป็นพูดเสียงดุแต่กลับอมยิ้มกรุ้มกริ่ม “ไม่ไหวอย่าฝืนนะไอ้น้อง”

ผมหัวเราะออกมากับคำพูดกวนอารมณ์ของนาย เขายิ้มกว้างก่อนจะหัวเราะตาม




ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ Bangkok P.2 (02-Nov-18)
«ตอบ #41 เมื่อ02-11-2018 11:13:02 »





ระหว่างทางที่เดินไปยังคอนโดเราจับมือกันอย่างไม่สนใจสายตาใครอีกเพราะว่ามันเป็นกลางคืนที่ร้างไร้ผู้คน ผมไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปในห้องรู้สึกตัวเหม็นข้าวโพดคั่วก็เลยแยกตัวออกไปอาบน้ำ ส่วนนายก็นั่งอืดเล่นโทรศัพท์มือถือ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบเรียบแบบคนใช้ชีวิตปกติทั่วไป ออกมาจากห้องน้ำนายเข้าไปแทนที่ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแชทกับเพื่อน เปิดดูอะไรต่างๆไปเรื่อยเปื่อย สลับคุยเรื่องงานกับอาจารย์นิดหน่อย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นายออกมาจากห้องน้ำและนั่งลงด้านข้างบนเตียง

“คุยงานเหรอ”

“เปล่า คุยกับเพื่อนอะ” ผมตอบแต่ยังไม่ละสายตาไปจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ต้นเพื่อนของผมสมัยมัธยมจะนัดกินข้าวก็เลยรู้สึกติดพันคุยกันอยู่พักใหญ่ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นนายยังคงนั่งอยู่ด้านข้างดูโทรทัศน์ “นาย”

“ว่า”

“เพื่อนเราจะนัดเจออาทิตย์หน้าอะ ไปด้วยกันป่าว”

“บุญไปกับเพื่อนเถอะ อาทิตย์หน้าเรารับงานพิเศษไว้”

คำตอบนั้นเรียกความสนใจจากผมพอควร “งานอะไรอีกวะ”

“งานอีเว้นท์ที่เซ็นทรัลเวิลด์”

ผมไม่เซ้าซี้อีกเพราะถือว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องการทำงานของนาย แม้ในใจจะอยากตื้อให้เขาไปด้วยกัน ผมคุยกับต้นจนเสร็จจึงวางโทรศัพท์มือถือลงก่อนจะเดินไปปิดไฟในห้องนอน และเดินกลับมาที่เตียง คร่อมนายไว้และเริ่มจูบตามใบหน้าของเขา นายปิดโทรทัศน์จากรีโมตห้องทั้งห้องเงียบสงัดก่อนจะแทนที่ด้วยเสียงครางฮือในลำคอเมื่อผมซุกไซ้ซอกคอของเขา ลำคอของเขาอุ่นจากเลือดในตัวที่หล่อเลี้ยงผมบรรจงจูบมันอย่างละเลียดละไม มือทั้งสองข้างลูบไล้ลงใต้กางเกงนอน กอบกุมส่วนหน้าของนายปลุกเร้าให้เขามีอารมณ์ร่วม นายดึงรั้งกางเกงของตัวเองออกไปและตามด้วยกางเกงของผม เราจูบกันดูดดื่มพร้อมๆกับที่อารมณ์เริ่มลึกซึ้งขึ้น ผมก้มหน้าลงต่ำจูบไปตามผิวกายที่ยังเย็นจากการเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ยอดอกของเขาที่ตั้งขึ้นยั่วเย้าให้ผมต้องหยอกล้อ หน้าท้องเกร็งเขม็งในช่วงที่ผมใช้มือลูบไปมา ผมฟังเสียงหอบหายใจขาดช่วงยามที่นิ้วของผมลูบไล้บริเวณด้านหลังด้วยอารมณ์ที่พุ่งพล่านจนส่วนนั้นแข็งตัว เจลหล่อลื่นที่อยู่ในลิ้นชักข้างเตียงถูกหยิบออกมาใช้งาน ผมรั้งร่างของนายให้คว่ำหน้าลงและยึดสะโพกของเขาเข้าหาตัว ใช้นิ้วสอดใส่เข้าไปในช่องทางอย่างช้าๆ ค่อยๆขยับอย่างเบามือ

ผมกับนายมีเซ็กส์กันครั้งแรกหลังจากกลับมาจากโซล มันเกิดขึ้นเพราะผมเอ่ยปากขออย่างตรงไปตรงมา ไร้ความโรแมนติกจนทั้งผมและเขาต่างก็หัวเราะออกมา แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นในห้องนอนของผม ความรู้สึกที่ได้จูบนายด้วยต้องการปลุกเร้าอารมณ์นั้นค่อนข้างทำให้ผมแทบจะไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง นายสัมผัสผมด้วยมือทั้งสองข้าง เขาเองก็กำลังต้องการผมเช่นกัน ตอนนั้นผมไม่ลังเลด้วยซ้ำกับการขอสอดใส่เข้าไปตัวของนาย เขาทำท่าเหมือนจะห้ามแต่ก็แค่เหมือนจะห้ามเท่านั้นแหละ ผมคิดว่าเพราะเราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน การกระทำบางอย่างจึงอาจดูขัดเขินไปบ้าง แต่เราก็ปรับตัวกับสถานะใหม่ได้อย่างไม่ยากนัก ทั้งความรู้สึกต่างๆ การกระทำ ความห่วงใย รวมถึงเรื่องบนเตียงก็ พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ

“อยากใส่เข้าไปแล้วอะ” ผมกล่าวเสียงแผ่วหลังจากที่รู้สึกได้ว่าช่องทางด้านหลังของนายเริ่มคลายตัว แม้ใจหนึ่งจะยังอยากใช้เวลานานกับการโลมเล้าให้นายฉ่ำแฉะมากกว่านี้ แต่หากจะให้พูดกันตามตรงผมต้องการสอดใส่เข้าไปและทำให้นายร่ำร้องเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

นายไม่ได้ตอบอะไรแต่หันตัวกลับมาเผชิญหน้ากันและรั้งผมเข้าไปจูบที่ริมฝีปาก ผมเอนร่างของเขาให้นอนหงายราบไปกับเตียง จัดท่วงท่ายกขาขึ้นสูง ไม่รอช้าผมใช้เจลหล่อลื่นลูบไล้ของตัวเองให้ชุ่ม ในหัวนี่คิดอะไรอย่างอื่นไม่ออกนอกจากอยากเขย่าร่างนายบนเตียงจะแย่อยูแล้ว ผมพยายามอดทนไม่ผลีผลามมาโดยตลอดแต่ดูเหมือนระดับความอดทนจะน้อยลงเรื่อยๆ นายพยายามเอาขาลงในขณะที่ผมดันส่วนนั้นเข้าไปเพียงแค่เล็กน้อยผมจึงจับขาของเขาไว้ยกขึ้นพาดบ่า เขาสบถออกมา ใบหน้าเหยเก มือของเขาบีบเข้ามาที่แขนของผมอย่างแรง

“เจ็บเหรอ ยังไม่ได้ใส่เข้าไปเลยอะ”

“ไม่ได้เจ็บ”

“แล้วทำไมอะ” ผมถามพลางจูบตามใบหน้าและซุกไซ้ซอกคอดอมดมกลิ่นกายที่ผมหลงใหล

“ทำไมชอบให้เราทำท่าอะไรแบบนี้วะ” นายตอบขณะที่ผมจูบหน้าผาก

ผมยันตัวขึ้นเพื่อสบมองดวงตาของนาย “ก็ท่านี้มันทำให้ลดมุมไง เวลาใส่เข้าไปมันจะช่วยให้ไม่เจ็บมาก” ผมตอบไปตามความจริง ท่านี้จะลดความเจ็บให้นายไปได้เยอะเพราะเมื่อทำให้รูทวารตรงกับลำไส้มากที่สุดก็จะช่วยลดความอึดอัดได้ นายอ้าปากค้างก่อนจะระเบิดหัวเราะจนผมเริ่มมึนงงกับท่าทางของเขา “ขำอะไรวะ”

“ไอ้บุญ ไอ้บ้า”

“อ้าว… เราพูดไรผิดอะ”

นายลูบไล้ใบหน้าของผมพร้อมกับส่งยิ้มกว้างให้ “หมอบุญ…”

ผมขนลุกไปทั้งตัวเมื่อนายเรียกผมแบบนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกผมว่าหมอ ใครหลายคนรวมถึงคนใกล้ตัวมักเรียกผมว่าหมอแม้แต่พ่อกับแม่ก็ด้วย แต่นายกลับเรียกแค่ชื่อเล่นของผมมาโดยตลอด พอโดนเรียกแบบนั้นเข้าหัวใจก็เต้นระรัวจนพูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน

“ไหนลองใส่เข้ามาซิ”

ผมคิดว่าผมตื่นเต้นจนตัวแทบระเบิดกับประโยคที่ได้ยิน นายยังคงยิ้มกรุ้มกริ่มในตอนก่อนที่ผมจะขยับตัว แต่เมื่อไอ้นั่นของผมได้เริ่มถลำลงไปในช่องทางด้านหลังนายก็ร้องครางในลำคอ “เจ็บมั้ย” นายส่ายหน้าและปล่อยให้ผมดันกายเข้าไปจนสุด “แล้วแบบนี้เจ็บมั้ย” ผมถามเขาอีกครั้งอย่างซื่อตรงและเป็นห่วงในร่างกาย คราวนี้นายรั้งใบหน้าของผมเข้าไปและกระซิบในสิ่งที่ทำให้ผมยิ่งกว่าขนลุก ผมแทบจะเสร็จในวินาทีที่ได้ยิน

“เสียว”

คำตอบสั้นๆที่ชวนให้หัวใจสูบฉีดเลือดมากกว่าปกติ ผมยิ้มกริ่มขณะที่เริ่มขยับสะโพกอย่างไม่รีบเร่ง นายร้องครางด้วยความรู้สึกดียามที่ผมซุกไซ้ซอกคอและขบกัดเบาๆ ผมบอกรักนายและเขาก็บอกรักผมตอบด้วยเสียงแผ่วเบาที่ข้างหู ที่ด้านหลังของนายบีบรัดยามที่ผมแทรกกายเข้าไป ความลุ่มร้อนในกายนั้นโอบอุ้มไอ้นั่นของผมอย่างยั่วเย้า เมื่อถึงจุดหนึ่งความหื่นกระหายก็พุ่งพล่าน ผมไม่อยากให้ถึงจุดนั้นมันทำให้ความรัญจวนใจในการโอ้โลมนายจางหายไป จากที่เคยอ่อนโยนเพราะอยากถนอมร่างกายของนาย เมื่อถึงจุดหนึ่งผมจะอยากทำดั่งใจต้องการด้วยความรุนแรง อยากบดขยี้ให้เขาร่ำร้อง อยากยัดเยียดให้ร่างกายของเขาบอบช้ำ ผมกำลังพยายามควบคุมความรู้สึกเหล่านั้นอยู่แม้ในใจตอนนี้จะอยากกระแทกกายสวนเข้าไปและบีบกำคอของนายไว้ในมือเพื่อบ่งบอกว่าผมคือเจ้าของเขาก็ตามที

“เรารักบุญนะ” นายบอกอีกครั้งในตอนที่ผมกำลังข่มใจขยับกายเชื่องช้า เขาลูบไล้ศีรษะของผมและจูบเข้ามาที่ข้างแก้ม มันเป็นการกระทำที่ค่อนข้างอ่อนหวานในแบบที่นานๆทีนายจะทำ ผมใจเต้นแรงรู้สึกเหมือนจะอดทนต่อไปไม่ไหวกับการเพียรถนอมร่างกายของเขา ผมขยับกายเข้าไปลึกจนนายอ้าปากค้างและเขาก็ครางในตอนที่ผมทำแบบเดิมอีกซ้ำไปซ้ำมา สุดท้ายแล้วผมก็ทำในสิ่งที่อยากทำมาโดยตลอด นายไม่ได้คัดค้านแต่กลับตอบรับเสียดิบดีด้วยการอ้าขาออกกว้างเพื่อให้ผมได้สอดใส่เข้าไปอย่างรุนแรง เขาสบตามองผม กัดริมฝีปากด้วยความเสียวซ่านเหมือนเป็นการโหมกระหน่ำอารมณ์ให้ถึงขีดสุด ร่างของเขาขยับขึ้นลงอยู่บนเตียงไปตามแรงกายที่ผมส่งเข้าไป เสียงครางครวญดังเคล้าเสียงผิวกาย ผมอาจจะทำให้ภายในของเขาได้รับบาดเจ็บ อาจจะทำให้กลไกในส่วนนั้นมีปัญหาตามมาก็ได้ แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

ผมจับนายพลิกร่างให้คว่ำหน้าลง ดึงสะโพกของเขาเข้าหาตัวเองและสอดใส่กลับเข้าไป ผมแนบใบหน้าลงกับแก้มของเขา ฟังเสียงครางก่อนจะสอดประสานมือเข้าหากัน “หมอ... หมอบุญ” ดูเหมือนนายจะรู้นะว่าการเรียกผมแบบนี้จะเป็นการกระตุ้นความดิบเถื่อนที่อยู่ภายใน ร่างกายของเขาถูกชำแรกแทรกอย่างหนักหน่วงส่วนนั้นแสดงออกว่าชื่นชอบเซ็กส์แบบนี้มากขนาดไหน นายร้องไม่ออกเมื่อไอ้นั่นของผมเข้าไปลึกและโดนจุดสะท้าน เขากำมือแน่น ร่างกายเกร็งเหมือนใกล้จะถึงฝากฝั่งผมจึงพลิกร่างของเขาให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน นายสัมผัสร่างกายของผมด้วยมือทั้งสอง เขาลูบไล้ที่หน้าอก ลากไล้ลงต่ำที่หน้าท้อง ใช้นิ้วมือลูบก้อนกล้ามเนื้อที่ผมเพียรพยายามสร้างมันขึ้นมา ก่อนที่มือนั้นจะลากต่ำลงสัมผัสโดยตรงที่ส่วนนั้นของผม นายชโลมเจลหล่อลื่นเข้าไปอีกก่อนที่จะขยับตัวและจับไอ้นั่นของผมสอดใส่เข้าไปในตัวของเขา ผมรั้งตัวอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นเพื่อเปลี่ยนท่วงท่า โอบเขาไว้ในตอนที่เอนตัวลงพิงหัวเตียง นายทำหน้าเหยเกเมื่อถ่ายน้ำหนักลงบนร่างกายของผม อยู่ๆผมก็นึกถึงเรื่องที่เราเคยล้อเล่นกันตอนที่ไปเที่ยวบอนดีบีช หาดยอดนิยมในซิดนี่ย์ เราใส่กางเกงผ้าร่มของควิกซิลเวอที่แสนธรรมดา แต่พอลงน้ำมันก็เปียกและแนบไปกับสรีระ นายจ้องมองมันด้วยใบหน้านิ่งเฉยแล้วเอ่ยปากถึงสรีระของผมที่ปรากฏอยู่ภายนอก ผมยักคิ้วกวนอารมณ์ยินยอมน้อมรับในคำชื่นชมนั่นก่อนจะหัวเราะลั่นเมื่อนายถามออกมาตรงๆอีกครั้งว่ามันกี่นิ้ว ผมไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นเหมือนผู้ชายคนอื่นมากนัก มันก็แค่อวัยวะสืบพันธุ์ จนเมื่อไม่นานมานี้นายถามอีกครั้งว่าของผมขนาดเท่าไหร่ ผมถามเขากลับไปว่าทำไมถึงอยากรู้นัก นายทำหน้านิ่งๆในตอนที่ตอบ เขาบอกว่าของๆผมมาตรฐานเหมือนคนผิวดำ และด้วยประโยคต่อมานายก็บอกว่านึกไม่ออกเหมือนกันว่าบั้นท้ายของเขารับส่วนนั้นของผมเข้ามาได้อย่างไร ผมหัวเราะลั่นจนแทบจะสำลักน้ำลายทันที

ผมลูบไล้ที่เอวของนาย การได้มองนายที่เป็นฝ่ายปรนเปรอให้แบบนี้ก็เพลิดเพลินไปอีกแบบดี ท่วงท่าแบบนี้อาจพบเห็นได้ไม่ยากนักหรอกแต่สำหรับผมมันตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นนายในมุมนี้ ผมปล่อยให้นายขยับขี่ไอ้นั่นดั่งใจต้องการ ความหลงใหลในตัวนายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมกลัวอยู่เหมือนกัน ผมหลงชอบ ผมหลงรัก ผมชอบทุกอย่างของนาย แม้แต่ยามที่เจ้าหนูของเขาขยับไหวอยู่ตรงหน้านี้ผมก็ยังนึกเอ็นดูมัน ผมนัวจูบกับนาย อ้อยอิ่งที่ริมฝีปากชุ่มฉ่ำนั่นด้วยหัวใจที่เต้นแรง นายขยับสะโพกบนตัวผมอย่างไม่เร่งรีบเพื่อให้ผมได้ลิ้มรสความร้อนลุ่มจากภายใน เราต่างรู้สึกดีที่ได้โอบกอดกันแนบแน่น ผมบอกรักเขาอีกครั้งอย่างไม่รู้เบื่อ เขาจูบตอบแล้วยิ้มพลันหลังจากนั้นร่างของเขาก็ขยับไหวอยู่บนแท่งเนื้ออย่างร้อนแรง ผมจับขยำบั้นท้ายนั่นและยกสะโพกขึ้นเพื่อแทรกกายสวนขึ้นไป นายครางลั่นพร้อมๆกับพร่ำเรียกชื่อของผม ท่าทางสุขสมของเขาคงใกล้จะถึงจุดหมาย ในหัวของผมกำลังนึกถึงว่าสรีระของตัวเองได้สอดแทรกเข้าไปถึงจุดใดในร่างกาย มันเป็นจุดที่อยู่ใต้ต่อมลูกหมาก ผมคงจะไปโดนจุดนั้นเข้าอีกครั้ง ผมเอนร่างเขาลงนอนราบเพื่อสอดใส่ร่างกายให้ได้อย่างถึงอกถึงใจ สิ่งที่อยู่ในร่างของนายสัมผัสได้ถึงความแนบแน่น มันเสียดสีกันจนอุ่นกว่าผิวกายข้างนอก ของเหลวจากผมรวมหลอมกับเจลหล่อลื่นจนทำให้มันเปียกแฉะไปหมด นายกอดผมไว้แน่นในตอนที่เสร็จสมจากทางด้านหลัง อวัยวะของเขากระตุกเกร็งตามธรรมชาติ น้ำขุ่นขาวคงจะเลอะอยู่บนหน้าท้องและอาจเปรอะถึงแผ่นอก ผมหยัดกายขึ้นมองคนรักที่กำลังเสียวซ่านจากกิจกาม เขาหอบหายใจแรงหัวใจนั่นคงกำลังเต้นตุบตับ ผมช้อนใต้ขาที่อ่อนแรงนั่นขึ้นมาให้แนบชิดกับร่างกายตัวเองและเริ่มต้นกระทำในช่องทางนั้นอีกครั้ง นายดูอ่อนระทวยเขาครางรับอย่างน่าเอ็นดู ทุกอย่างของเขากระตุ้นเร้าทั้งร่างกายและอารมณ์ของผมได้ดีเหลือเกิน แค่เพียงไม่นานเท่านั้นของของผมก็ปลดปล่อยอยู่ในตัวของนาย ผมแทรกกายอยู่ในนั้นง่ายดายขึ้นทุกหยาดหยดอยู่ในนั้น อยู่ในที่ที่ทำให้ผมสำลักความสุข

ผมก้มหน้าซุกไซ้ไปตามร่างกายของเขาที่กำลังอ่อนตัวลง จูบบนหน้าท้องที่เลอะคราบน้ำ เลียลิ้มรสชาติของมัน

“บุญ อย่าเลียเลย” เขาบอกทั้งๆที่ยังดูอ่อนแรง

ผมไม่ทำตาม ผมเลียคราบน้ำบนหน้าท้องของนายจนกว่าจะพอใจ ก่อนจะเคลื่อนตัวโถมทับร่างกายของเขา บรรจงจูบบนลำคอ ดูดบนส่วนที่นูนเด่นอย่างช้าๆ เราก่ายกอดกันอยู่พักใหญ่จนลมหายใจเริ่มกลับสู่สภาวะปกตินายก็ทำท่าจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำแต่ผมรั้งร่างของเขาไว้และกอดเขาแน่น ดอมดมจูบกลุ่มผม จับมือของเขาขึ้นมาแนบกับใบหน้าของตัวเอง

“นาย…”

“อืม”

“คิดถึง” ความคิดถึงในช่วงที่ผมต้องอยู่โรงพยาบาล ความคิดถึงในช่วงที่เราห่างกัน ทำให้ผมพูดมันออกมาอย่างตรงไปตรงมาพลางจูบลงบนฝ่ามือของเขา

นายใช้มือข้างนั้นลูบแก้มของผมก่อนจะประทับจูบบนริมฝีปาก ร่างของเขาเอนตัวพักพิงลงบนร่างและจับมือของผมไว้แน่น “เราก็คิดถึงบุญ”

“อาทิตย์หน้าเราคงยุ่งมากเลยว่ะ อย่าโกรธเรานะถ้าไม่ได้รับโทรศัพท์”

“ไม่โกรธหรอก บุณนั่นแหละเอาตัวให้รอด อย่าไปหลับคาห้องตรวจล่ะ” นายส่งเสียงหัวเราะออกมามันทำให้หัวใจของผมชุ่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก “เราไปล้างตัวก่อนนะ” ทันทีที่พูดเขาก็ผละตัวออกเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ผมคว้ารีโมตขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ ไล่เปิดดูไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานนักนายก็ออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนู เขาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้ผม มันอดไม่ได้เลยจริงๆที่จะคว้าตัวเขามาจูบ สีหน้าของเขายังคงนิ่งเฉยขัดกับการกระทำ นายก็เป็นแบบนี้แหละ แต่มันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมชอบ พอจ้องมองนานๆนายก็อมยิ้มผมคิดว่าเขากำลังเขิน “มองอะไรวะ”

“อะไรล่ะ”

“………..” พอโดนย้อนถามนายกลับเงียบ

“เขินอะไร” ผมจับมือนายไว้ ดึงให้เขาเข้ามานั่งอยู่ใกล้ๆ “เขินที่โดนมองเหรอ” นายยังคงมีรอยยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมไม่ได้จุกจิกถามอีกเพราะรู้อยู่แก่ใจว่านายรู้สึกเช่นไรเมื่อครู่นี้ก็แค่แหย่เล่นเท่านั้น นายพิงตัวผมขณะที่นั่งดูโทรทัศน์ รายการยามดึกไม่มีอะไรน่าสนใจแต่ดูเหมือนว่าหลังจากที่เช็ดตัวไปผมกลับไม่ง่วงเสียอย่างนั้น นายจับมือผมเล่นไปมา ผมยุ่มย่ามจูบที่แก้มจูบที่ขมับของเขาอย่างแสนรัก เราคุยเรื่องสรรพเพเหระ ถามไถ่ถึงเรื่องงาน คุยเรื่องไปเที่ยวเมืองนอกอย่างที่เราชอบไป รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยที่ตัวเองไม่ค่อยมีเวลาให้คนรักแต่นายก็เข้าใจดี เรากอดกัน นัวเนียไปมาเหมือนคนขาดความอบอุ่น นึกแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมา ผมซุกหน้าลงบนซอกคอ จุ๊บเบาๆเพื่ออ้อนนายพอบอกคิดถึงเขาไปอีกนายก็บอกให้หยุดพูด ผมไม่สนหรอกเพราะผมรู้สึกแบบนั้นผมก็จะพูดมันออกมา แต่แล้วเมื่อถูกบอกว่าคิดถึงอีกนายก็ไม่ห้ามผมแล้ว เขาคงดีใจและขวยเขินจนยิ้มไม่หุบ

ผมมีความสุขมาก เหมือนล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ มีสายลมเอื่อยโอบล้อมรอบตัวของเรา

มันเหมือนฝันจนผมนึกหวาดหวั่น….









ในช่วงสายของวันรุ่งขึ้นนายไม่ได้นอนอยู่บนเตียงอีกแล้ว สิ่งที่รู้สึกเมื่อคืนวานมันทำให้หัวใจของผมวูบโหวง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้กลัวการจากไปของนายอยู่บ่อยครั้ง มันเป็นความรู้สึกในส่วนลึกที่ยากเกินกว่าจะหาเหตุผล หัวใจมันเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว ผมขยับพลิกตัวไปอีกทาง เห็นผ้าม่านสีสว่างในห้องนอนทิ้งตัวสงบนิ่ง เงาวูบไหวด้านนอกผลุบๆโผล่ๆ บานประตูกระจกถูกเปิดออกทำให้สายลมพัดเข้ามาพร้อมกับกลิ่นบุหรี่ ผ้าม่านขยับเลื่อนไปตามราง และเป็นนายที่ยืนขวางอยู่ตรงบานประตู คาบบุหรี่และมีหนังสืออยู่ในมือ เขายังคงสวมใส่ชุดนอนเหมือนดั่งคืนวาน เสื้อยืดเน่าๆกับกางเกงขาสั้นสบายๆ ผมหวนนึกถึงคืนวันที่เราเจอกันในเมลเบิร์น ความรู้สึกตื้นตันจุกอยู่ในอก นายไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

คนรักของผมหันกลับไปขยี้บุหรี่ทิ้งก่อนจะเดินเข้ามาจิบน้ำที่วางอยู่ข้างเตียง เรามองสบตากันและเป็นนายที่หลุดยิ้มออกมา

“อะไร” เขาถามออกมาด้วยเสียงห้วนๆตามสไตล์ จากนั้นคลานขึ้นมาบนเตียงนอนซบกับผมในตอนเช้า ผมจูบริมฝีปากรสมาโบโร่สีทอง จูบไปจูบมาก็นึกได้ขึ้นว่ายังไม่ได้แปรงฟันจึงผละหน้าออกมา แต่แล้วนายกลับตามเข้ามาจูบอีก

“ปากเหม็นป่าววะ”

“เงียบๆน่า” เขาบอกแล้วสอดลิ้นเข้ามา ในหัวตอนนั้นผมกำลังมึนงงเพราะเพิ่งตื่นนอน เรานัวจูบกันไปมาบนเตียง ขาของเราก่ายกอดเสียดสีผ่านจุดนั้นจนผมเริ่มวูบไหวอยู่ไม่น้อย

“ออกไปทำอะไรข้างนอก”

“คุยโทรศัพท์ งานอีเว้นท์ที่เคยบอกอะ” ผมรู้สึกเสียดเสียวขึ้นมาเมื่อนายไล้มือลงผ่านหน้าท้องและขยำของของผมอย่างเบามือ นายจูบที่ซอกคอของผมใช้ลิ้นเลียช้าๆก่อนจะเริ่มดูดดึงผิวเนื้อบริเวณนั้น เจ้าหนูของเขาพองตัวขึ้นอยู่ที่ต้นขาของผมเช่นเดียวกันกับของของผมที่พองตัวอยู่ในมือของเขา ผมพลิกร่างนายให้นอนราบไปกับเตียงจับเนื้อตัวของเขาหนักหน่วงสนองต่อความต้องการ เสื้อผ้าของเราสองคนถูกถอดออกก่อนที่ผมจะดูดยอดอกของเขา นายลูบศีรษะของผม หน้าอกของเขาสะท้อนขึ้นลงและครางแผ่วในลำคอ ความรู้สึกวาบไหวก่อเกิดขึ้นเต็มกำลังพร้อมๆกับที่ผมตื่นเต็มตา ผมคาดว่าวันนี้เราคงไม่ได้ออกไปไหน เราคงจะหาอะไรกินกันง่ายๆในห้อง อาบน้ำ ดูโทรทัศน์ และมีเซ็กส์หลายรอบอย่างที่ใจต้องการ

ผมเงยหน้าขึ้นมาจูบที่ริมฝีปากอีกฝ่ายหลังจากที่ดูดยอดอกของเขาจนพึงใจ นายเอื้อมมือไปคว้าเจลหล่อลื่นมาเปิดใช้งาน เขาพูดติดชิดริมฝีปากของผมให้สอดใส่เขาไป น้ำเสียงแหบพร่านิดๆทำให้หัวใจของผมเต้นแรง ความฮึกเหิมในการอยากเป็นส่วนหนึ่งของนายมากขึ้นจนแทบยั้งใจไว้ไม่อยู่ ไอ้นั่นของผมถูกนายชโลมเจลจนชุ่ม ผมแยกขาของนายออก ใช้นิ้วแหย่เข้าไปยังช่องทางด้านหลังอย่างเชื่องช้า ในนั้นของเขาตอบรับทันที มันคลายลงและโชกไปด้วยเจลหล่อลื่น รับรู้ได้เลยว่าเขากำลังรอรับของของผมเสียยิ่งกว่าอะไร ผมดึงรั้งขาของนายให้แยกออกกว้างอีกก่อนจะจับไอ้นั่นค่อยๆสอดใส่เข้าไป

นายรั้งผมเข้าไปจูบขณะที่ปล่อยให้ท่อนล่างโอบรัดไอ้นั่นของผมเข้าสู่ส่วนที่ลุ่มร้อน เสียงหอบหายใจของเราผสานเสียงเนื้อในตอนที่มันเสียดสีกัน ผมปวดไอ้นั่นเพราะความเสียวซ่านจนยั้งกายไว้ไม่อยู่ ร่างของนายขยับไหวตอบรับแรงของผม มันเป็นยามเช้าแสนร้อนแรงเกินกว่าที่ผมจะจินตนาการได้ นายร่ำร้องให้ผมกระทำกับร่างกายของเขาอย่างรุนแรง เขานอนบิดกายอยู่ใต้ร่างของผม เขากำลังแสดงสีหน้าสุขสมยามที่ไอ้นั่นของผมเสียดสีที่จุดสะท้าน เส้นผมของเขา เรียวขาของเขา ทุกอย่างเป็นของผม นายเป็นของผม

ผมทำให้นายถึงจุดสุดยอดจากด้านหลัง แท่งของผมที่เสียดแทรกอยู่ในนั้นกระตุ้นเร้าให้เขาหลั่งน้ำใคร่ออกมาเลอะหน้าท้อง ผมเริ่มขยับกายอีกครั้งพลางทอดมองเจ้าหนูของเขาที่ค่อยๆอ่อนตัวลง มันหยาดเยิ้มและสั่นไหวไปตามแรงกาย นายหลับตาแน่นเขาคงจะกำลังรู้สึกเสียวในช่องทางด้านหลัง ริมฝีปากที่แดงช้ำเผยออ้าร้องครางครวญเร้าอารมณ์ แต่ผมก็ยังไม่ถึงฝากฝั่งเสียที นายกอดผมแน่นรู้สึกได้เลยว่าร่างของเขาระทวยอยู่ในอ้อมกอดของผม ช่องทางของเขายังคงรัดของของผมไว้ มันชื้นแฉะกว่าเดิมและตอบรับตัวของผมอย่างน่าเอ็นดู ความรู้สึกต่างๆถาโถมทั้งสุขสมและเสียวซ่านตอนที่เร่งเร้าขยับกาย รู้สึกได้เลยว่าตัวเองหายใจแรงขึ้นจากความรัญจวนใจ ส่วนปลายถูไถอยู่ในส่วนลึกของนาย ผมพร่ำเรียกชื่อของเขาราวกับเพ้อในตอนที่ถึงจุดสุดยอด สะโพกของผมบดเบียดเข้าหาเพื่อให้น้ำใคร่ได้หลั่งรินอยู่ภายใน อยากให้นายรับทุกหยาดหยด อยากให้นายได้รับทุกๆอย่างจากบุญคนนี้

ผมนอนซบอยู่บนหน้าอกที่ขยับขึ้นลง ลมหายใจค่อยๆเข้าสู่สภาวะปกติ นายประคองกอดผมไว้พลางจูบเข้ามาที่หน้าผากเนิ่นนาน

ในช่วงราวๆหนึ่งปีที่ผ่านมาผมมักคิดเสมอว่าตัวเองเพียงแค่ฝันไป การที่นายกลายมาเป็นคนรักมันเกินกว่าความคาดหมายไปมาก ผมมักมีช่วงเวลาที่คิดว่ารักของเราเป็นเพียงความฝัน แต่นายยังอยู่ตรงนี้ เขาจับต้องได้ เราผ่านสุขทุกข์ในชีวิตมาด้วยกันมากมาย หนึ่งปีที่ผ่านมามันพอควรแล้วหรือยังกับสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมมองผ้าม่านสีสว่างบิดพลิ้วไปตามสายลมที่เล็ดลอดเข้ามาก่อนที่มันจะสงบนิ่งลง




ตอนนั้นเองเป็นครั้งแรกที่ตระหนักแล้วว่ามันไม่ใช่ความฝัน ยามฟ้าสว่างที่กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย



************************************


 :impress2:


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Bangkok P.2 (02-Nov-18)
«ตอบ #42 เมื่อ02-11-2018 19:35:22 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ mew.kani

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Bangkok P.2 (02-Nov-18)
«ตอบ #43 เมื่อ02-11-2018 21:28:42 »

ณ Bangkok เร่าร้อนเหลือเกินนน
อ่านไปก็เขินนนไป  :kikkik:

ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Bangkok P.2 (02-Nov-18)
«ตอบ #44 เมื่อ03-11-2018 23:11:34 »

 :pig4: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
«ตอบ #45 เมื่อ14-11-2018 20:46:47 »

Lavender Kiss



หลังจากที่ผมจบการศึกษา ผมได้ทำงานที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง หน้าที่การงานกำลังไปได้ดี และเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนหน้านี้ไอ้หนึ่งรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยได้ส่งบัตรเชิญไปงานแต่งงาน สองปีที่ผ่านมาเรายังคงติดต่อกันเรื่อยมา เพียงแต่น้อยลงเพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ ผมทำงานหนักเพื่อสร้างรากฐานให้กับตัวเอง ส่วนพวกรุ่นน้องผมเดาว่าก็คงไม่ต่างกันนัก ผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องคนอื่นว่าเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน มารู้สึกตื่นเต้นอีกครั้งเมื่อไอ้หนึ่งทักมาในเฟสบุ๊คเพื่อชวนผมไปร่วมงานแต่งงาน ผมถามมันว่าทำไมถึงได้แต่งงานเร็วขนาดนี้ทั้งๆที่เพิ่งจะเรียนจบได้ไม่นาน มันตอบกลับมาอย่างสบายๆว่ามันทำผู้หญิงท้อง เมื่ออ่านข้อความนั้นจบจะว่าตกใจก็ใช่ จะว่าไม่ตกใจก็ไม่เชิง แค่เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้พบเจอบ่อยนักจึงไม่รู้ว่าจะตอบอะไรกลับไป สุดท้ายก็แค่ตอบตกลงที่จะไปงานแต่งงาน

ในงานแต่งงานไอ้หนึ่งยืนอยู่กับเจ้าสาวเพื่อต้อนรับแขก โรงแรมที่จัดงานอยู่ใกล้ๆออฟฟิศที่ทำผมทำงานพอดี ผมจึงมาถึงที่งานเร็วกว่าคนอื่นนิดหน่อย พอไอ้หนึ่งเห็นผมเดินเข้ามามันรีบปลีกตัวแยกออกมาจากเจ้าสาวและสวมกอดผมอย่างแนบแน่นให้สมกับความคิดถึง เราพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ผมถามมันอีกครั้งอย่างเจาะจงรายละเอียดกับการแต่งงานครั้งนี้ มันเล่าให้ฟังว่าไปเจอผู้หญิงคนนี้ตอนฝึกงาน สาวออฟฟิศวัยเกือบสามสิบ มีวุฒิภาวะ ไม่จู้จี้จุกจิก และมีเสน่ห์ในแบบของสาววัยทำงาน มันเล่าว่าเห็นข้อดีของพี่สาวคนนี้ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าไอ้หนึ่งจะกำลังเป็นพ่อคน ไอ้หนึ่งที่บ้าๆบวมๆออกจะไร้สาระแบบนั้นกำลังแต่งงานมีครอบครัว ผมอวยพรขอให้มันมีความสุข ตั้งใจทำงานและดูแลคนรัก ดูแลลูกให้ดี ไอ้หนึ่งพาผมเข้าไปสวัสดีผู้ใหญ่แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรให้มากความ ไอ้เจ้าพวกรุ่นน้องก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงโหวกเหวกโวยวายเช่นเคย ไอ้เฟริสท์ หนูนุ่น และไอ้บอมเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับอ้อมกอด พวกมันแย่งกันพูด ทั้งเรื่องฝึกงาน เรื่องงานประจำของพวกมัน และนินทาคนในออฟฟิศ

“ว่าแต่พี่เป็นยังไงมั่งอะ ทำงานอยู่ที่ไหน” หนูนุ่นเอ่ยถามหลังจากที่ประเด็นเหม็นขี้หน้าเอชอาร์ของบริษัทจบลง

“กำลังจะเปลี่ยนงานว่ะ สมัครงานที่สิงคโปร์ไว้ เค้าคอนเฟอเรนคอลมาแล้วรอบนึงกำลังรอผลอยู่เนี่ย”

“อ้าว นี่แสดงว่าจะย้ายไปนู่นเลยเหรอ”

“เออ ไม่อยากอยู่ที่ไทยว่ะ คิดไว้ว่าจะทำงานในเอเชียพักนึง แล้วค่อยไปสมัครงานที่อเมริกา อยากไปอยู่ที่นู่นอะ”

สิ้นคำไอ้พวกรุ่นน้องก็ส่งเสียงโห่ร้อง ผมหัวเราะไปกับพวกมันก่อนจะพากันเข้างานเพื่อไปหาอะไรลงท้อง พวกเราโหวกเหวกโวยวายกันตามประสา ไอ้หนึ่งทำท่าอยากจะตามเข้ามาแต่เพราะมันเป็นเจ้าบ่าวจึงต้องอยู่ที่หน้างานเพื่อต้อนรับแขกเรื่อ ภายในงานเล็กๆที่มีแต่คนรู้จักทำให้ผมรู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆในสมัยเรียน พวกเราคุยเรื่องไร้สาระ อัพเดทเรื่องราวคนนู้นคนนี้กันอย่างสนุกสนาน ไอ้บอมช่วยกิจการของที่บ้าน ไอ้นุ่นได้งานที่บริษัทโฆษณาเล็กๆแห่งหนึ่ง ส่วนไอ้เฟริสท์เรียนต่อ จะว่าไปก็ยังขาดเดอะแก๊งส์อีกคนหนึ่งนะ เป็นคนที่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงเมื่อได้พบกันอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากถามออกไปโทรศัพท์มือถือของผมก็สั่นขึ้น กลายเป็นว่าเจ้านายของผมโทรมาเพราะต้องการให้แก้ไขงาน ผมรับบรีฟงานใหม่ในส่วนจุดที่ต้องแก้ไขอีกครั้งแต่ดูเหมือนเสียงเพลงในงานจะดังจนคุยไม่รู้เรื่องเท่าไหร่จึงปลีกตัวออกมายังลานจอดรถ เพื่อที่จะคุยงานไปพร้อมๆกับแก้ไขงานจากในคอมพิวเตอร์ด้วยเลย

“พี่โป้ง ผมแก้งานนี้มาสามรอบแล้วนะ ลูกค้าแม่งเรื่องมากหรือว่าผมทำงานไม่ดีวะพี่”

“เอาน่า ไอ้พล แต่ถ้าแม่งรอบนี้ยังไม่ไฟนอลอีกกูก็จะด่าแม่งไปเลย”

ผมหัวเราะใส่หัวหน้าผ่านทางโทรศัพท์ขณะที่กำลังแก้ไขไฟล์งานตามที่หัวหน้าสั่ง “พี่จะด่าจริงเหรอ”

“ด่าสิ... แต่ด่าลับหลังนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”

โลกทำงานนี่โหดร้ายพอควร ต่อหน้าเราก็ต้องเต็มพร้อมไปด้วยวุฒิภาวะและมืออาชีพ แม้ในใจเราอาจจะกำลังด่าถึงบรรพบุรุษของเขาอยู่ก็ได้ “พี่จะเอากี่โมง ผมมางานแต่งงานรุ่นน้องอยู่เนี่ย ให้โอทีผมด้วยนะ”

“เคี่ยวชิ้บหาย เออๆ เดี๋ยวกูแอพพรูฟโอทีให้มึงสองชั่วโมง แต่ของานก่อนสามทุ่มนะเว่ย กูต้องส่งงานให้อิปลา AE อีก ไอ้ชิ้บหายเอ้ย แม่งยิ่งไม่ถูกกับกูอยู่ด้วย”

“โดนพี่ปลาด่าแน่ๆพี่โป้ง” หลังจากนั้นหัวหน้าของผมก็บ่นถึงซีเนียร์ฝ่ายเออีที่ชื่อปลาอยู่สักพักก่อนจะวางสายเพื่อปล่อยให้ผมทำงานได้อย่างเต็มที่ ความจริงงานที่แก้ก็ไม่ยากอะไรมากหรอก แค่เปลี่ยนจากแผนแรกที่เลือกไว้มาเป็นแผนสอง ผมก็ต้องมาแก้เอาสิ่งที่ลูกค้าต้องการใส่ลงไปในแผนสองแทน นี่โชคดีว่ายังเป็นแค่ดราฟที่ส่งให้ลูกค้าพิจารณา ไม่งั้นถ้าต้องมาแก้งานจริงคงจะต้องใช้เวลามากกว่านี้ ผมเร่งมือทำงานเพื่อที่จะได้กลับเข้าไปในงานแต่งงานของไอ้หนึ่งให้ทันเวลา มาถึงขนาดนี้แล้วก็ไม่อยากให้การทำงานบงการชีวิตมากจนไม่สังคมกับคนไหนเลย สุดท้ายหลังจากที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือเพื่อส่งงานเสร็จเรียบร้อย ผมก็รีบออกจากรถและวิ่งกลับเข้าไปที่งาน

กลับมาอีกทีประตูห้องที่จัดงานก็ปิดแล้ว ผมจึงค่อยๆแง้มเปิดเข้าไปเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ไอ้หนึ่งกับเจ้าสาวอยู่กลางเวที กำลังอยู่ในช่วงเล่าความหลังแสนซึ้งหวานโรแมนติค พอเดินเข้าไปใกล้กลุ่มรุ่นน้องผมก็เห็นนายในชุดสูทสีอ่อนเข้าชุดกับเดอะแก๊งส์เพราะว่าพวกมันเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ชุดสีน้ำตาลเรียบๆนั่นไม่มีอะไรเป็นพิเศษแต่รอยยิ้มของนายกลับทำให้ผมชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง หัวใจของผมมันเต้นแรง เรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเรามันย้อนฉายเหมือนภาพสไลด์ ยิ่งวินาทีที่หันกลับมาผมก็แทบจะลืมการหายใจไปชั่วขณะ

“ว่าไง ไอ้ตูดหมึก”

ผมทักนายและเขาก็ยิ้มให้ผมแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ

“อ้าว พี่พล เพิ่งจะกลับมาเหรอ เนี่ยพลาดตอนไอ้หนึ่งพูดถึงพี่ด้วยนะ เรื่องที่ติวสอบให้อะ” ไอ้เฟริสท์หันมาพูดแล้วหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ด้านข้างให้ผม “พวกเราไม่เคยลืมเลยนะพี่”

“เออ พวกมึงสอบผ่านกูก็ดีใจ” ผมตอบเจ้ารุ่นน้องคนนี้ไปก่อนจะจิบน้ำแก้เขิน มาทำซึ้งต่อหน้าผมก็มีอารมณ์เขินบ้างเหมือนกันนะ “เราเป็นยังไงมั่งล่ะ” ผมเอ่ยถามนายหลังจากที่หนูนุ่นกับไอ้เฟริสท์เดินออกไปเพื่อแย่งชิงช่อดอกไม้จากเจ้าสาว

“สบายดีครับ”

“แล้วได้งานที่ไหน”

นายบอกว่าได้งานที่บริษัทโปรดักชั่นแห่งหนึ่งจากนั้นก็เงียบไปตามสไตล์ของเขา

“แล้วหลังจากเสร็จงานนี้จะไปต่อที่ไหนกันรึป่าว”

“ไปร้านเดิมครับ”

เอาล่ะ ถึงเวลาที่ผมควรจะหยุดถามได้แล้วสินะ ถามคำตอบคำแบบนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดีเหมือนกัน ผม ไอ้บอม และนายเรายืนอยู่ตรงนั้นอีกพักหนึ่งก่อนที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะลงมาจากเวที เป็นอันว่างานเลี้ยงฉลองได้จบลงแล้ว









เจ้าพวกรุ่นน้องของผมแห่กันมาที่ร้านเที่ยวในย่านเอกมัยเหมือนเคย แต่ที่น่าแปลกใจก็คือไอ้หนึ่งดันมาด้วยเนี่ยสิ พอถาม มันก็บอกว่าภรรยาให้มาเที่ยวเพราะเห็นว่านานๆเจอเพื่อนทีโดยที่มันไม่ได้เรียกร้องเลย ผมนี่ยอมใจภรรยาของไอ้หนึ่งจริงๆ เราสังสรรค์ด้วยเหล้าแพงที่ได้เป็นของขวัญมาจากเพื่อนของภรรยาไอ้หนึ่ง แต่พอโตขึ้นมาอยู่ในวัยทำงาน การดื่มของพวกเราลดน้อยลงและแทนที่ด้วยการพูดคุยถึงเรื่องต่างๆในระหว่างที่ไม่ได้เจอกันแทน ผมเล่าชีวิตการทำงานให้พวกมันฟัง และพูดถึงเรื่องที่ตั้งใจว่าจะไปทำงานที่ต่างประเทศและคิดที่จะไปตั้งรกรากที่อื่น พวกมันมีคำถามต่างๆอีกมากมายเกี่ยวกับความคิดนี้ ทั้งเรื่องพ่อแม่ เรื่องการปรับตัว ภาษา เรื่องอื่นต่างๆอีกมากมาย

“เดี๋ยวก่อนนะ ให้กูได้งานที่สิงคโปร์ก่อนก็แล้วกัน กูก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดที่นู่นหรือเปล่าเลย แต่ก็มาถึงขนาดนี้แล้วว่ะ”

“โห พี่นี่สุดยอดอะ พวกผมยังแค่คิดทำงานในไทยเอาตัวรอดไปวันๆ” ไอ้หนึ่งพูดแล้วดื่มเครื่องดื่มไปอีกอึกใหญ่ “เออ แล้วมึงล่ะไอ้นาย ทำไมไม่ค่อยตอบไลน์พวกกูเลยวะ”

เจ้าตัวที่ถูกเพื่อนโยนคำถามมาถึงกับทำหน้าเหวอ “กูเหรอ กูออกกองบ่อยอะ แทบไม่ได้แตะมือถือเลย”

“ไม่ใช่ว่ามึงไม่อยากคุยกับพวกกูหรอกเหรอ” ไอ้หนึ่งจี้ถามอีก

แต่ยังไม่ทันที่นายจะได้ตอบไอ้บอมที่นั่งจิบเครื่องดื่มแบบหล่อๆอยู่กลับโผล่หน้าเข้ามาแทน “ย้ายห้องแล้วใช่มั้ยวะ”

ประโยคนั้นทำให้ชาวแก๊งส์แสดงสีหน้าประหลาดใจปนความสงสัยออกมา

“ยังไง อะไร พูด” ไอ้เฟริสท์เสนอหน้าถาม

“อ้าว มึงยังไม่ได้บอกไอ้พวกนี้เหรอ โทษที” ไอ้บอมตัวต้นเรื่องยิ้มแหยๆ

สีหน้าของนายไม่ได้บ่งบอกอะไรเป็นพิเศษ เขาเล่าให้ฟังว่าได้ไปปรึกษากับบอมเรื่องจะซื้อห้องพักเล็กๆเพราะว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อที่ไหน ทุกอย่างดูราบเรียบเป็นชีวิตปกติของคนวัยทำงาน จากนั้นพวกเราก็ดื่มกันหมดแก้วไม่มีใครซักถามอะไรมากมาย กลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วจากที่ตั้งใจจะมาดื่มสังสรรค์แบบสวยหล่อ นิสัยเดิมสมัยเรียนก็ย้อนกลับมา เราดื่มหนัก เสียงดัง ปลดปล่อยตัวเองเต็มที่ จะมีก็แต่นายที่ดื่มน้อยลงจนผมสังเกตเห็น เขายิ้มแย้มกับเพื่อน เขาเต้นท่าแปลกประหลาด เขาสูบบุหรี่บ่อย แต่ดื่มน้อยลงจริงๆ

“ทำไมวันนี้ดื่มน้อยจัง” ผมขยับเข้าไปใกล้และเอ่ยถามข้างหูของนายท่ามกลางเสียงเพลงดังกระหึ่ม

“นายมีออกกองตอนตีสี่อะ” เขาขยับเข้ามาใกล้และตอบเหมือนเคย ไม่ได้มีท่าทีห่างเหินมากนัก

“ออกกองที่ไหน”

“ไปเซ็ทฉากที่สมุทรปราการ”

ผมกอดคอเขาไว้ไม่ให้ขยับตัวออกก่อนจะตัดสินใจชวนเขาออกไปข้างนอก “นาย ออกไปดูดบุหรี่กัน”


ที่ที่เรามายืนดูดบุหรี่คือบริเวณร้านไก่ทอด แต่ตอนนี้ไม่มีของพวกนั้นขายแล้ว ผมยื่นบุหรี่รสเดิมที่เคยสูบให้นายแต่เขาไม่รับและบอกว่าจะสูบของตัวเอง นายยกเบียร์ขึ้นดื่มก่อนจะอัดบุหรี่อึกใหญ่ ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อและดวงตาปรือลงเล็กน้อยจากผลของเครื่องดื่มต่างๆที่เราดื่มกันในร้าน ความรู้สึกบางอย่างคุกรุ่นอยู่ภายใต้จิตใจ ครั้งหนึ่งผมเคยมีอะไรกับนายและเวลานี้ก็กำลังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าชอบอะไรในตัวนาย ความสุขในเรื่องที่เราเคยมีอะไรกันนั้นยังแฝงตัวอยู่ในห้วงลึก วันนี้เมื่อพบหน้ากันอีกผมก็ไม่อาจปัดป้องสิ่งเหล่านั้นได้เช่นเคย ผมได้แต่หวังว่านายจะยังมีความรู้สึกเหล่านั้นอยู่บ้าง

“พี่พลจะไปทำงานที่เมืองนอกจริงเหรอ”

“จริงดิ พี่ไม่อยากอยู่เมืองไทยอะ”

“นายก็ไม่อยากอยู่เหมือนกัน แต่ติดตรงที่นายไม่เก่งเหมือนพี่พล”

เขาพูดแล้วอัดบุหรี่เข้าไปอีกครั้ง ริมฝีปากที่ผมเคยจูบนั่นดูชุ่มชื้นจากเบียร์ที่เขาดื่ม

“แล้วพี่พลเป็นยังไงบ้าง มีแฟนแล้วหรือยัง”

ครั้งหนึ่งนายเคยลองเชิงถามผมในเรื่องนี้แบบทางอ้อม แต่เวลานี้เขากล้าที่จะถามผมอย่างตรงไปตรงมา น่าประหลาดใจอยู่เหมือนกันนะ “ไม่มีเลย ทำแต่งาน”

“งานแม่งเอาเวลาส่วนตัวไปเกือบจะหมดทั้งวัน นายโคตรเบื่อเลยอะ แต่ก็สนุกกับงานนะได้ออกกองบ่อยๆสนุกดี”

“ฟังดูย้อนแย้งนะเรา”

เขาหัวเราะแล้วยิ้ม “นายสนุกกับงาน แต่ก็อยากมีเวลาไปเที่ยวมากกว่านี้อะ”

“แล้วเราจะซื้อคอนโดที่ไหน”

“แถวจตุจักร ที่จริงนายซื้อแล้วล่ะ แต่ยังไม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่”

ผมพยักหน้ารับรู้ นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเด็กเพิ่งจบใหม่ทำงานได้ไม่นานเงินเดือนยังไม่มากจะสามารถซื้อคอนโดได้เร็วถึงขนาดนี้เลยเชียวหรือ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องให้ความสนใจจึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรเพิ่มเติม สิ่งที่สนใจจริงๆก็คือ… “ไว้พาไปดูห้องหน่อยได้ป้ะ”

“ไว้เดี๋ยวบอกอีกทีนะ” นายตอบแบบไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขายังคงสูบบุหรี่พลางดื่มเบียร์อย่างเพลิดเพลิน กลายเป็นผมนี่แหละที่รู้สึกวูบโหวงอยู่ในอก ทำไมระหว่างเราถึงเกิดความลังเลขึ้น หรือว่านายจะยังไม่พอใจกับเรื่องสมัยก่อนอยู่

“นาย… ยังโกรธพี่เรื่องนั้นเหรอ”

นายหันหน้ามามองด้วยสายตานิ่งๆไม่ได้สื่ออารมณ์ใดๆ “นายไม่ได้โกรธพี่พลนะ นายแค่ผิดหวังอะ…” เขาเงียบลงแต่ดวงตายังคงจ้องมองผมไว้ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยจากการใช้ความคิด “นายหวังว่าเรื่องของเราจะเป็นได้มากกว่าพี่น้อง แต่นายก็รู้แล้วว่านายรู้สึกไปเองทั้งนั้น”

“เพราะเรื่องนั้นเหรอ ที่นายกับพี่…”

“ก็มีส่วน”

สิ่งที่นายตอบก็ไม่เกินกว่าที่ผมคาดไว้อยู่หรอก

“พี่พลดีกับนายมาก นายก็เลยคิดไกลเกินไปเอง”

คำตอบของนายซื่อตรงสมกับเป็นตัวเขา นั่นอาจจะเป็นอีกจุดนึงที่ทำให้ผมเอ็นดู ผมเอื้อมมือไปโอบไหล่ของนาย ตัวของของเราแนบชิดติดกัน นายไม่ได้ขืนตัวออกแม้แต่ตอนที่ผมเลื่อนมือลงต่ำจนโอบเอวของเขาไว้ ในใจของผมฮึกเหิมด้วยคิดว่านายอาจจะยังมีความรู้สึกดีๆระหว่างเรา “แล้วตอนนี้เรายังรู้สึกเหมือนเดิมรึเปล่า”

นายเงียบไม่ได้ตอบอะไร ผมจึงขยับเข้าไปเบียดให้เราแนบชิดมากกว่าเดิม แต่เมื่อถึงจุดนี้นายกลับขยับตัวออกห่างแม้จะยังรักษาระยะไว้ไม่ให้น่าเกลียด เพียงเท่านั้นผมก็พอจะรู้แล้วว่านั่นคือคำตอบจากนาย

“นายกลับเข้าไปก่อนนะ”

เขาทิ้งบุหรี่ลงบนพื้น ใช้เท้าขยี้มันให้ดับก่อนจะเดินหายไปในร้าน ผมมองบุหรี่ที่มอดไหม้ความรู้สึกบางอย่างมันระอุอยู่ในอก ไม่ใช่เพราะความเสียใจหากแต่เป็นความผิดหวังที่กำลังมอดไหม้หัวใจของผม ไม่ต่างจากบุหรี่ที่นายทิ้งไว้บนทางเดินนี้

ผมเดินตามหลังนายเข้าไปในร้านพร้อมทั้งสลัดทิ้งเรื่องนั้นไว้ด้านนอก เราเลี้ยงฉลองให้ไอ้หนึ่งด้วยความสนุกสนานไม่ต่างไปจากเมื่อครั้งสมัยเรียน เฮฮาบ้าบอไปตามประสา แม้จะลดดีกรีความบ้าน้อยลงแต่ก็ยังสนุกเหมือนเดิม ผมมองเห็นนายเล่นโทรศัพท์มือถือ แสงสว่างจากหน้าจอและแสงไฟวิบวับในร้านพอจะทำให้เห็นสีหน้าของเขา แต่แล้วไอ้หนึ่งก็ชวนทุกคนชนแก้วนายถึงได้เก็บโทรศัพท์มือถือลง เราดื่มกันอีกพักใหญ่จนผมเองก็เริ่มมึนหัว เวลานั้นคงจะประมาณเที่ยงคืนได้ เด็กวัยรุ่นที่พลังงานล้นเหลือต่างออกสเต็ปเต้นกันอย่างเมามัน ส่วนพวกเราที่เข้าสู่วัยทำงานทำได้เพียงแค่โยกตัวเล็กน้อยเพราะพลังงานนั้นหมดไปกับการทำงานเสียแล้ว ในร้านนั้นยังคงมีกลุ่มสาวสวย หนุ่มหล่อ กลุ่มกะเทยเต้นแรง คนที่เข้ามาเพื่อนหวังวันไนท์สแตนด์เช่นเคย ผมสนุกไปกับสิ่งเหล่านี้เพราะมีเพื่อนที่นานๆจะได้เจอกัน แต่ถ้าจะให้กลับไปเที่ยวโชกโชนเหมือนเมื่อก่อนคงจะไม่ไหว แต่ในช่วงที่ผมรู้สึกเริ่มเมื่อยกับการยืนนานไอ้หนึ่งก็เอ่ยปากบอกว่าจะกลับบ้าน เวลานั้นชาวเดอะแก๊งส์รุ่นน้องของผมก็ทยอยออกจากร้านกันแต่โดยดี

ด้านหน้าร้านนั้นเราออกมาคุยกันอีกพักใหญ่ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเราไปอัดอั้นมาจากไหนถึงได้มีเรื่องคุยไม่หยุดหย่อน ทุกคนรุมกอดไอ้หนึ่งก่อนที่มันจะขึ้นรถและขับออกไปเป็นคนแรก จากนั้นพวกเราก็ไปเรียกแท็กซี่ให้เฟริสท์เพราะมันจะไปต่อกับเพื่อนอีกกลุ่ม ตอนนี้ก็เหลือแค่หนูนุ่น ไอ้บอม และผมกับนาย ในช่วงที่ไอ้บอมกำลังตกลงกับนุ่นว่าจะไปส่งที่ไหนนั้นนายก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมารับสาย ผมจับใจความได้ว่าใครบางคนที่จะมารับนั้นใกล้จะมาถึงหน้าร้านแล้ว ผมนึกสงสัยจึงยังไม่ได้ขึ้นรถตัวเองและบอกเจ้าพวกรุ่นน้องว่าจะรอส่งทุกคนกลับบ้านก่อน ทั้งที่ความจริงผมตั้งใจจะรอดูว่าใครมารับนาย ผมคิดว่าตัวเองคงไม่ได้จะเจ็บปวดอะไรมากมายกับถูกปฏิเสธ เราไม่ได้ผูกพันธ์กันขนาดนั้น เราไม่ได้ผ่านเรื่องราวต่างๆที่เป็นเหมือนสายใยเชื่อมโยงกันมากพอ เราแค่ชอบกันอย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อเห็นนายก้าวขาเข้าไปหาชายหนุ่มในชุดเสื้อสีขาวกับกางเกงแสล็คสีดำ ในส่วนลึกของผมกำลังประท้วงอยู่ในอก หลังของผมผุดซึมด้วยเหงื่อ มือเย็นขึ้น และหัวใจเต้นแรง

บุญเดินเข้ามาทักทายไอ้บอมกับหนูนุ่นก่อนมองมาทางผมและกล่าวสวัสดี เขายังอยู่ในชุดนิสิตและมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไมโทรมงี้วะหมอบุญ” ไอ้บอมเอ่ยทักทำท่าจะเข้าไปกอด แต่บุญกลับขยับตัวออกห่างเล่นเอาไอ้บอมหน้าเหวอ

“โทษที เราเพิ่งถอดเล็บคนไข้มา หนองกระฉูดใส่จนซึมเข้ามาในเสื้อนิสิตเลยอะ”

เป็นว่าหลังจากฟังคำอธิบายทุกคนต่างกรูถอยห่างแทน “เฮ้ย ดีใจที่ได้เจอบุญนะ” หนูนุ่นยิ้มแย้มเอื้อมมือไปตบบ่าอย่างเป็นกันเอง “คิดถึงๆ”

“เป็นไงมั่งวะ เรียนหมอต้องทำตัวโทรมขนาดนี้เลยเหรอ”

“โห ไม่โทรมได้ไงวะบอม เราแทบไม่ได้นอน แล้วหนึ่งกับเฟริสท์กลับไปแล้วเหรอ”

“เออ มันกลับไปแล้ว เรากำลังจะไปส่งนุ่นอะ จะติดรถเราออกไปด้วยมั้ย”

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวกูจะไปหาอะไรกินกับบุญก่อนกลับ” คราวนี้เป็นนายที่ตอบเอง “ไปละพวกมึง” เขากล่าวพลางเดินเข้าไปกอดเพื่อนทั้งสองให้หายคิดถึงด้วยการตบหลังอย่างไม่ออมแรง จากนั้นเขาก็มองมาที่ผมซึ่งยืนอยู่ถัดไป “นายไปก่อนนะพี่พล” ร่างของผมถูกแช่แข็งไปชั่วขณะเมื่อนายเดินเข้ามากอด กลิ่นน้ำหอมจากตัวของนายจางหายไปเรื่อยๆยามที่เขาผละตัวออก มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เขากอดผม รวดเร็วเสียงจนผมตั้งตัวไม่ทัน ไม่ได้แม้แต่จะกอดตอบเขาเลยด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ไอ้บอมตะโกนไล่หลังสองคนที่กำลังเดินออกไป

“ย้ายเข้าห้องเมื่อไหร่บอกกูด้วยนะไอ้นาย”

ผมเห็นบุญหันมายิ้มและโบกมือลาพวกเราอีกครั้ง ส่วนนายก็มีสีหน้านิ่งเฉยเช่นเดิม มันเป็นสีหน้าที่พยายามนิ่งเฉยและผมรู้ว่านายกำลังเขินอาย สองคนนั้นเดินห่างออกไปเรื่อยๆแต่ยังอยู่ในระยะสายตา สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือตอนที่บุญโอบคอและลูบศีรษะของนาย มันอาจจะไม่ใช่แรงที่ทำให้รู้สึกอ่อนโยนเหมือนคู่รักนัก ออกจะเป็นการหยอกเล่นเหมือนเพื่อนที่เล่นหัวกันได้ แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มของนายที่มอบให้บุญก็ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเสียจนผมรู้สึกจุกเสียดขึ้นมากลางหัวใจ

มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความสดชื่นเหมือนอยู่กลางทุ่งหญ้าเขียวขจี เหมือนได้สูดอากาศในตอนเช้าบนยอดดอย เสียงหัวเราะของเขาดังลั่นตอนที่คว้าคอของบุญลงมาแล้วแกล้งต่อยท้อง ความรู้สึกเก่าๆพรั่งพรู วินาทีนั้นผมตระหนักได้ว่าตัวเองหลงชอบนายและยึดติดเขาไว้ในหัวใจมากกว่าที่คิด

รอยยิ้มของนายยังคงเหมือนเก่าก่อน เพียงแต่เวลานี้เขายิ้มให้บุญไม่ใช่ผม ไม่ใช่พี่พลคนนี้อีกต่อไป



************************************


 :really2:

https://youtu.be/Y_8vucksxrs

ออฟไลน์ mew.kani

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
«ตอบ #46 เมื่อ23-11-2018 19:43:52 »

จะถามถึงห้องน้องนายทำไมคะ? คุณพี่พล
อย่าไปยุ่งกับน้องนะ  :fire:

ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนะคะ ^^

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
«ตอบ #47 เมื่อ23-11-2018 21:20:48 »

 :pig4: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ littlemagiz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
«ตอบ #48 เมื่อ24-11-2018 02:25:39 »

เป็นไงล่ะพี่พล
หึๆๆ

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
«ตอบ #49 เมื่อ24-11-2018 08:32:47 »

อะหืออออออ
เป็นเรื่องแบบที่เราตามหาเลยค่ะ. ชอบทุกอย่าง น้องนาย หมอบุญ พี่พล ความรู้สึกของนาย ความไม่ชัดเจนของพี่พล และความมั่นคงของบุญ. ชอบมากๆ คือการบรรยายของคนเขียน มีเสน่ห์มากกกกก. แง้. บรรยายไม่ถูก. เพลงประกอบยิ่งชอบ. ฮื่อ.
ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องนี้นะคะ
เป็นกำลังใจให้และจะรอคอยผลงานเรื่องต่อๆ ไปนะคะ
 :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
« ตอบ #49 เมื่อ: 24-11-2018 08:32:47 »





ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
«ตอบ #50 เมื่อ24-11-2018 12:35:35 »

 :L2: :pig4:

ความรักบางทีก็มาช้าไป เร็วไป
กว่าจะคิดได้ ความรักก็ไปไกลแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-11-2018 13:05:33 โดย Billie »

ออฟไลน์ megatef4

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
«ตอบ #51 เมื่อ24-11-2018 16:53:05 »

ดีใจกับน้องนายและหมอบุญนะคะ แฮปปี้ๆ ส่วนอิพี่พล สมน้ำหน้าว่ะ 55555 สมัยนี้มีคนแบบพี่พลเยอะนะ อยากให้เค้ารู้สึกกับตัวเอง แต่ไม่อยากขยับสถานะ กั๊กไว้ เพราะตัวเองก็ว่างอยู่ สมมม  น้องนายไปต่อไม่รอแล้วนะ  :hao7:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
«ตอบ #52 เมื่อ24-11-2018 22:44:30 »

ชอบมากๆ ถึงแม้จะหน้าแหกเรื่องพี่พลไป ชอบตัวละครทุกเรื่องในนี้ ไม่รู้จะอวยยังไงค่ะ เขียนดีมาก เรารักภาษาที่ใช้ในการเล่ามาก คาแร็กเตอร์ทุกตัวละครมันดึงดูดหมดเลย รักก และจะติดตามเรื่องต่อๆ ไปทุกอันเลยค่าาา  :hao5:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
«ตอบ #53 เมื่อ25-11-2018 01:09:33 »

อินมากเลยค่ะ นี่แอบเชียร์บุญมาตั้งแต่แรก เกือบแปรพักตร์ไปหาพี่พลแล้วเหมือนกัน
รักความค่อยๆเรื่อยๆไปด้วยกันของทั้งคู่มากเลย

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (1/3) P.2 (26-Nov-18)
«ตอบ #54 เมื่อ26-11-2018 23:45:52 »

ตอนพิเศษ พี่พล (1/3)




ในวันที่บุญบอกว่าว่างผมจึงนัดบุญเพื่อที่จะได้ไปเที่ยวทะเลกัน แต่สุดท้ายในวันก่อนที่เราจะเดินทาง ทันทีที่บุญเปิดประตูห้องเข้ามาเขาก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำและอาเจียน ผมวางเสื้อผ้าที่กำลังจัดใส่กระเป๋าเป้แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำช่วยลูบหลังให้เขา บุญกดชักโครกและลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา ร่างของเขาโงนเงนจนต้องพิงไปทางใดทางหนึ่ง เมื่อหันกลับมาอีกทีหัวใจของผมก็วูบโหวงเพราะใบหน้าซีดเซียวนั่น

ผมเข้าใจเสมอมาว่าการเป็นหมอคงไม่ใช่เรื่องง่าย และคงจะต้องเสียสละอะไรหลายอย่างในแบบที่คนอื่นไม่ได้รับรู้เป็นเรื่องทั่วไป แต่ผมก็ไม่คิดว่าบุญของผมจะต้องเสียสละเพื่อคนอื่นจนล้มป่วยแบบนี้ เขาไม่เคยบ่นเรื่องเข้าเวรหรืออะไรทำนองนั้นเลย แค่บ่นเวลาที่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆในเชิงลึกซึ้งซับซ้อนและโดนอาจารย์เคี่ยวเข็ญกดดันเสียมากกว่า บุญพูดเสมอว่าเขาไม่ใช่หมอที่ใจดีเพราะมันฟังดูเกินจริง นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่เขาคิดนะ แต่จากมุมมองของผมมันตรงกันข้าม เขาทุ่มเทและมีแรงปรารถนาจะรักษาดูแลคนป่วยมากกว่าที่คิด มันมากเสียจนผมนึกไม่ออกว่าหากเป็นตัวเองจะสามารถทำแบบนั้นได้หรือไม่ เอกสารหรือตำราทางการแพทย์ถูกจัดอยู่ตามชั้นตามตู้ต่างๆมากขึ้นเพราะบุญไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือจากหน้าจอ เขาหมกมุ่นกับการหาความรู้อย่างไม่หยุดหย่อนและบ่อยครั้งในเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเขาต้องรับโทรศัพท์หรือออกไปทำงานกะทันหัน ชีวิตของบุญทุ่มเทให้กับงานแต่เขากลับไม่เคยรู้ตัวเลย บุญที่แสนวิเศษของผม

บุญกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น เหงื่อแตกซ่านในขณะที่พยายามสูดหายใจเข้าเต็มปอด ผมไม่รู้ว่าเขาป่วยเป็นอะไรในหัวตอนนั้นนึกอะไรไม่ออกเพราะไม่เคยดูแลคนป่วย สิ่งที่ทำได้คงจะเป็นการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้และไถ่ถามว่าคนป่วยต้องการอะไร บุญเหลือบมองผมก่อนจะหลับตาลง เขาพึมพำแค่ว่าอยากนอน ผมปล่อยให้เป็นแบบนั้นแม้ว่าจะอยากพาเขาไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ก็ตามที แต่เมื่อหันหลังกลับมาก็พบเสื้อผ้าที่จัดเตรียมสำหรับการไปเที่ยวทะเลกองทิ้งไว้ตรงนั้นอยู่ที่เดิม

ในเย็นวันนั้นบุญนอนหลับไปหลายชั่วโมงก่อนจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิว เขาดูอิดโรย สีหน้าไม่สู้ดี และอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ผมบอกให้เขาไปหาหมอเมื่อตอนที่เรานั่งกินอาหารเขาทำเพียงรับปากแต่ไม่มีวี่แววจะทำตามและผมก็ไม่อยากเซ้าซี้อีก บุญอ้วกอีกครั้งตอนที่ผมล้างชามใบสุดท้ายเสร็จ พอเดินเข้ามาในห้องนอนก็เห็นเสื้อผ้าที่ใส่แล้วของเขากองไว้บนพื้นตรงหน้าประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ผมเก็บเสื้อกาวน์สั้นและกางเกงสีดำของเขาใส่ลงตะกร้า เสียงอ้วกที่ดังออกมาทำให้ผมไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรให้บุญดีขึ้น

“เก็บของไปทะเลเหรอ” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากออกมาจากห้องน้ำ บุญคงจะเห็นเสื้อผ้าบางส่วนและกระเป๋าเป้ที่ด้านนอก

“อืม” ผมรับคำและไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น

“พรุ่งนี้ปลุกเราด้วยนะ”

หมดประโยคเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ต่างคนต่างเข้านอนไปในคืนนั้นอย่างเงียบเชียบ




สุดท้ายเราก็ไม่ได้ไปทะเลแม้จะจ่ายเงินค่าที่พักไปแล้วก็ตาม...

ผมมองบุญที่นอนหลับลึกอยู่บนเตียง เขาดูโทรมสิ้นสภาพอย่างเห็นได้ชัด ไม่แน่ใจว่าระหว่างหมอกับคนป่วยใครจะตายก่อนกัน ผมรักในส่วนนั้นของบุญ ส่วนที่ทุ่มเทเพื่อไขว่คว้าความใฝ่ฝันของตัวเอง การกระทำของเขามันดูน่าชื่นชม เหมือนกับว่ามันมีฟิลเตอร์เฉพาะตัวของผมที่คนอื่นจำกัดความให้ว่ามันคือความหลงใหล ผมชอบเวลาที่เขานั่งอ่านหนังสือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นึกถึงนิ้วของบุญยามที่กรีดเปิดหน้ากระดาษเพื่ออ่านในหน้าถัดไปมันทำให้ผมหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก เสื้อกาวน์ตัวสั้นสีขาวที่เขาใส่ในทุกวันผมมักจินตนาการถึงเนื้อหนังภายใต้เสื้อตัวนั้นอยู่เสมอ เราไม่เคยมีเซ็กส์ทั้งๆที่บุญใส่เสื้อตัวนั้นเพราะมันเป็นเสื้อที่ใส่อยู่ในโรงพยาบาลและอาจมีเชื้อโรคต่างๆมากมาย แต่ไม่เป็นไรผมชอบที่จะเห็นบุญแบบเปลือยเปล่า ตอนที่เราไปห้างสรรพสินค้าบุญชอบไปร้านหนังสือ ไม่ได้ซื้อตำราแพทย์แต่เพื่อซื้อหนังสือชนิดอื่นๆ ใบหน้าของเขาในตอนที่เงยยืดขึ้นไปมองด้านบนมันทำให้กล้ามเนื้อตึงเผยให้เห็นช่วงคอและสันกราม มันเป็นส่วนที่ผมชอบซุกไซ้ เขาชอบปรายตาลงมาและยกยิ้มุมปากเมื่อรู้ตัวว่าผมกำลังจ้องมอง จากมุมที่เห็นเขาดูเหนือกว่าผม เหมือนเป็นสายตาของคนที่สามารถควบคุมทุกอย่างในตัวผมได้ ผมหลงใหลบุญและรักทุกอย่างที่เป็นเขาอย่างปฏิเสธไม่ได้เลย

บุญคงรู้ตัวในตอนที่ตื่นมาและพบว่าตัวเองไม่ได้ไปทะเล เขาเดินมากอดผมที่กำลังนั่งแก้งานร่างแบบป้ายสินค้าจากด้านหลัง ผมเบี่ยงตัวออก มันเป็นการกระทำที่พบเห็นไม่ได้บ่อยจากตัวผม ไอ้พวกสะดีดสะดิ้งอะไรเทือกนั้น ผมไม่สนว่าใครจะคิดอย่างไรแต่ตอนนี้เวลานี้ผมหงุดหงิดในสิ่งที่บุญเป็น

“งอนเราเหรอ”

ผมเงียบแทนคำตอบเพราะถ้าพูดไปก็ทำให้ตัวเองหงุดหงิดมากขึ้น ความเงียบคงจะเป็นการยอมรับที่ดี

“ไว้คราวหน้านะ”

“อืม” ผมตอบสั้นๆ จดจ่อสมาธิกับการดร๊าฟงาน

“ไปข้างนอกกันมั้ย” บุญเข้ามากอดผมอีกครั้งและครั้งนี้ผมไม่ได้เบี่ยงตัวหนี

ผมพยักหน้ารับก่อนจะหันกลับมามองหน้าเขาให้เต็มตา ถึงจะหงุดหงิดแต่ก็ทำได้แค่นั้นแหละ “แก้งานอันนี้อีกแป้บนะ” เขาคลอเลียผมไม่ห่างและผมก็ชอบแบบนั้นเสียด้วย “บุญ..”

“ว่า”

“อยากไปปารีสอะ”

“ไปดิ แต่ขอคุยกับอาจารย์ก่อนว่าลาได้ช่วงไหน”

“จองโรงแรมที่เห็นหอไอเฟลด้วยนะ”

“ทำไมอะ”

ผมหัวเราะในลำคอแล้วยิ้มกริ่ม “อยากทำตอนที่เห็นหอไอเฟล”

“ทำอะไรวะ”

ผมหันหลังไปมองบุญอีกครั้ง สายตาใสซื่อจนนึกเอ็นดู “ไม่มีอะไร”

บุญยังคงทำหน้าสงสัยแต่ในช่วงเวลานั้นเองโทรศัพท์มือถือของเขาก็ส่งเสียงขึ้น ผมอมยิ้มขณะที่มองบุญลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มือถือ เขาถอนหายใจยาวชูหน้าหน้าจอที่ปรากฏชื่อว่า พยาบาลอารีย์ ให้ดู

“รีบรับดิ” ผมบอกพลางเอนตัวพิงโซฟาอยู่ในท่าสบายๆ

“สรุปเมื่อกี้หมายถึงอะไร คาใจ”

“ไม่บอกโว้ย”

บุญทำหน้าเบื่อๆก่อนจะขยับนิ้วรับสายโทรศัพท์ แต่ในช่วงเสี้ยววินาทีก่อนจะรับสายเขาก็ชะงักลงและมองมาที่ผม “อ๋อ นึกออกละ หมายถึงนายอยากมีอะไรกับเราตอนที่เห็นหอไอเฟลด้วยใช่ป้ะ”

เท่านั้นล่ะเราระเบิดหัวเราะลั่นก่อนที่บุญจะหายไปคุยโทรศัพท์มือถือในห้องนอน ผมมองเขาจนหายลับตา สงบสติอารมณ์หยอกเย้าในตอนเช้าและหันมาตั้งใจแก้ไขงานต่อ ที่จริงแล้วเราไม่เคยทะเลากันจริงจังเลยนะ โดยมากถ้าไม่เงียบๆกันไปพักหนึ่งก็จะเป็นการถามคำตอบคำ พอหายงอนหายหงุดหงิดก็กลับมาคุยเล่นกันเหมือนเดิม ผมหงุดหงิดบุญได้ไม่นานหรอก นิสัยส่วนนั้นเราคล้ายคลึงกันจึงมักไม่ค่อยมีเรื่องราวทะเลาะใหญ่โต ไม่มีเลยสักครั้งที่เราจะโกรธกันนานข้ามวัน

ในช่วงที่ผมกำลังใส่สีต่างๆลงในโลโก้ของสินค้าชนิดหนึ่ง หูก็ได้ยินเสียงกุกกักออกมาจากห้องนอนไม่นานนักบุญก็โผล่ออกมาในชุดเสื้อกาวน์สั้นสีขาวด้วยท่าทางเร่งรีบ

“มีเคสด่วน เดี๋ยวว่างแล้วโทรหา” บุญพูดพลางรีบใส่รองเท้า คว้ากระเป๋าเป้ทำงานและหายออกไปจากห้องด้วยความรวดเร็ว

ผมมักพูดอยู่เสมอว่าผมหลงใหลในสิ่งที่บุญเป็น ผมรักที่ได้เห็นเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจกับอาชีพหมอ
แต่มันก็เป็นส่วนเดียวกันที่ทำให้ผมนึกเกลียดชัง…



บุญไม่ได้กลับห้องในคืนนี้ เขาติดต่อกลับมาโดยบอกว่าต้องเข้าเวรแทนหมออีกคนที่ลาป่วยกะทันหัน และต้องรอผลอะไรสักอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่องซึ่งผมคิดว่าคงจะเป็นโปรเจควิจัยบางอย่าง มันคงจะเป็นความซวยของอาชีพหมอที่ขาดแคลนบุคลากรจนหมอหนึ่งคนต้องทำงานหนักหลายเท่า ผมไม่อาจโต้เถียงหรือแม้แต่โกรธในเหตุผลนั้นได้เลย แต่ผมก็ไม่ผิดหากจะหงุดหงิดและไม่พอใจเป็นอย่างมาก หลายต่อหลายครั้งที่ชีวิตของผมต้องเผชิญเหตุการณ์แบบนี้ บุญเองก็รู้สึกแย่ทุกครั้งที่ทำให้เราไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันอย่างที่ได้วางแผนไว้ ผมเข้าใจนะ ชีวิตของคนหนึ่งคนมีค่าเกินกว่าจะประเมินได้ ทุกวินาทีความเป็นความตายขึ้นอยู่กับหมอเช่นกัน แต่หากมองอีกแง่หนึ่งบุญแทบจะไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเองเลย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมพบเจอเหตุการณ์แบบนี้แต่ทุกครั้งที่เจอก็ทำใจให้ชินชาไม่ได้เสียที

“ว่าไง”

เสียงปลายสายตอบรับหลังจากที่ผมโทรไปหา แม้จะไม่ได้คุยกันมาพักใหญ่แต่ไอ้บอมยังคงมีเสียงกวนอารมณ์เหมือนเช่นเคย “ว่างป้ะ ออกมาเจอกันหน่อย”

“มึงอยู่เชียงใหม่ป้ะล่ะ ถ้าอยู่ก็นัดมา”

ผมรู้สึกสลดลงประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์เมื่อถูกปฏิเสธ ทะเลก็ไม่ได้ไป เพื่อนก็ไม่ว่างสักคน ไอ้หนึ่งอยู่กับครอบครัว นุ่นอยู่กับแฟน เฟริสท์ไปต่างประเทศ แบบนี้ความเหงามันก็ถาโถมเข้ามาจนถึงจุดที่รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวยังไงชอบกล “อ้าว อยู่เชียงใหม่เหรอวะ งั้นแค่นี้แหละ”

“เดี๋ยว มึงเป็นไร ทะเลาะกับบุญเหรอ”

“ก็ไม่ถึงกับว่าทะเลาะกันนะ แต่บุญไปทำงานแทนหมอคนอื่นอะ คงจะกลับมาพรุ่งนี้เช้า… มั้ง” ผมตอบทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าบุญจะกลับมาหรือเปล่า บางทีเขาก็ค้างคืนที่โรงพยาบาลเป็นอาทิตย์แทบจะขาดการติดต่อจากโลกภายนอก

“มั้งนี่คืออะไรวะ แล้วทำไมทำงานแทนคนอื่นแล้วกลับห้องไม่ได้อะ”

“ไม่รู้ คงงานเยอะแหละ” ถ้าจะว่ากันตามตรงผมไม่รู้หรอกว่าวันๆนึงบุญทำอะไรมั่ง มันเป็นเรื่องที่ผมไม่ได้อยากรู้ ผมถือว่ามันเป็นเรื่องของบุญที่ผมจะไม่เคยคิดจะเข้าไปก้าวก่าย และถึงยังไงผมก็ยังอยากเว้นระยะในเรื่องนั้นไว้ “กูไม่กวนละ”

“ไอ้นาย”

“เออ”

“บุญเป็นงี้บ่อยป้ะ ที่ไม่กลับห้องอะ”

“บ่อย”

“แล้วทะเลากันเรื่องนี้เหรอ”

“จริงๆนัดไปทะเลกันอะ แต่บุญป่วยเลยไม่ได้ไป พอมาวันนี้ตอนเช้าก็โดนเรียกไปทำงานแทนคนอื่น ไม่ได้ทะเลาะกันเว่ย กูแค่เซ็งๆ”

ไอ้บอมเงียบไปครู่หนึ่งและถอนหายใจเฮือกใหญ่ “บุญมีกิ๊กป่าววะ”

“………….” เกิดเดดแอร์ไปชั่วขณะ ผมรู้สึกลำคอตีบตันขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ไอ้นาย ลองคุยกับบุญดูนะ โทรหากูได้ตลอดเวลา กูพาที่บ้านไปถนนคนเดินก่อนล่ะ”

“เออ เที่ยวให้สนุก”

ไอ้บอมตัดสายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงปริศนาที่เหมือนเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้ผม



บุญกลับมาถึงห้องตอนเช้าหกโมงกว่า ผมรู้สึกตัวตอนที่เขากำลังล้มตัวนอน หลังจากนั้นผมก็นอนไม่หลับจึงลุกขึ้นไปเปิดคอมพิวเตอร์ทำงานพิเศษที่ค้างไว้ คำพูดของบอมค่อนข้างมีอิทธิพลต่อผมอย่างมาก เมื่อคืนก็ยอมรับแหละว่านอนไม่เต็มตา มันหลับๆตื่นๆ ผมเป็นห่วงบุญเพราะเขากำลังไม่สบายจากการทำงานหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอ ผมหงุดหงิดที่บุญทำให้เราไม่ได้ไปทะเล ผมโมโหที่บุญต้องออกไปทำงานในวันหยุดของเขา และผมก็หวั่นไหวกับสิ่งที่บอมพูดเช่นกัน ความคิดนั้นไม่เคยข้องแวะเข้ามาในสมองของผมเลย แต่เมื่อบอมจุดประกายก็อดคิดไม่ได้ ผมคิดมาตลอดว่ารู้จักนิสัยของบุญดีแต่บางครั้งคนเราก็ยากหยั่งถึงจิตใจ บุญอาจจะเบื่อที่ผมเป็นคนเงียบๆไม่มีอะไรน่าหวือหวา บุญอาจจะไปเจอใครสักคนในโรงพยาบาลที่เข้าใจในอาชีพหมอ ถ้าหากเป็นเรื่องจริงคนแบบผมคงจะพ่ายแพ้เพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันๆหนึ่งบุญต้องเผชิญหรือพบเจออะไรบ้าง ความหดหู่ก่อตัวขึ้นในจิตใจแต่ผมก็สลัดมันทิ้งและตั้งใจทำงานที่อยู่ตรงหน้าแทน

ในช่วงสายของวันผมหยุดพักทำงานเพราะเริ่มรู้สึกปวดตา ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความหาบอม ค่อนข้างแปลกใจนิดหน่อยที่ไอ้เจ้าเพื่อนคนนี้เปิดอ่านข้อความเร็วกว่าปกติ ไอ้บอมไม่ตอบแต่มันกลับโทรมาหาผมเลย

“คุยกันยัง”

“ยัง แล้วนี่มึงว่างเหรอถึงโทรกลับมาเนี่ย”

“เออ ว่าง เมื่อคืนกูไปเที่ยวมานี่ยังไม่ได้นอนเลย”

“ไอ้ห่า จะสิบโมงแล้วนะมึง”

“เออน่า เดี๋ยวคุยกับมึงเสร็จแล้วจะไปนอน แล้วนี่ยังไง จะคุยเมื่อไหร่”

ผมเงียบไปครู่หนึ่งเพราะไม่รู้เลยจริงๆว่าควรเริ่มต้นอย่างไร “บอม…”

“อืม”

“ทำไมมึงคิดงั้นวะ”

“เท่าที่มึงเคยเล่าให้กูฟังมาหลายรอบมึงลองคิดดูนะ คนเราจะงานหนักจนต้องค้างที่โรงพยาบาลขนาดนั้นเลยเหรอวะ พอมีคนโทรมาก็รีบออกไปตลอด แถมยังไม่ค่อยส่งข่าวให้มึงอีกว่าทำอะไรอยู่ มันก็อาจจะเป็นสไตล์พวกมึงก็ได้กูก็ไม่รู้เหมือนกันแต่กูว่ามันก็แปลกๆนะ แล้วนี่โทรหากันบ่อยมั้ยเวลาบุญบอกว่าไปโรงพยาบาลอะ”

“ไม่บ่อย บางทีก็ปิดเครื่อง กูส่งข้อความไปบางทีวันรุ่งขึ้นถึงเปิดอ่าน บางทีอ่านแล้วก็ไม่ตอบ แต่กูก็เข้าใจคงจะยุ่งอยู่นั่นแหละ” ผมว่ามันค่อนข้างจุกจิกไปหน่อยนะกับเรื่องเหล่านี้ ไม่เคยรู้สึกเลยว่าอยากให้บุญรายงานตัวว่าทำอะไรที่ไหนอย่างไร ผมเว้นระยะห่างเรื่องนั้นไว้เพราะมองว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าเขาอยากบอกก็รับฟังนั่นแหละแต่จะไม่ถามจู้จี้มาก มันงี่เง่าไป

“พวกมึงคบกันยังไงวะเนี่ย”

“อ้าว ไหงงั้นวะ”

“เฮ้อ พวกมึงนี่นะ ห่าเอ้ย เอาเป็นว่ามึงก็ลองถามบุญแล้วกันว่าไปทำอะไรที่ไหนยังไง”

“เออ” ผมตอบรับ หลังจากนั้นเราก็พูดคุยกันเรื่องที่จะนัดเจอกับชาวแก๊งส์นิดๆหน่อยๆก่อนจะวางสายปล่อยให้ไอ้บอมไปหลับไปนอนเสียที

ผมนึกไม่ออกว่าจะเริ่มถามเรื่องจุกจิกแบบนั้นอย่างไรกับบุญดี นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก สุดท้ายก็ลุกขึ้นไปเตรียมอาหารเช้าแทน

ช่วงบ่ายบุญเดินออกมาจากห้องขณะที่ผมนั่งดูโทรทัศน์ ร่างสูงใหญ่ของเขาล้มลงนอนหนุนตักของผม ราวกับเป็นปฏิกิริยาตอบโต้ที่คุ้นเคยผมลูบศีรษะของเขาอย่างเบามือ บุญซุกหน้าเข้าหาหน้าท้องไร้ซิกแพคของผมหลังจากที่เลิกชายเสื้อขึ้น ลมหายใจอุ่นรดรินบนหน้าท้องทำให้ผมรู้สึกจั๊กจี้ เขากำลังออดอ้อนและมันก็ทำให้ผมรู้สึกใจอ่อนยวบยาบเหมือนเช่นทุกที เรื่องราวขุ่นข้องหมองใจพาลจะหายจ้อยไปเสียอย่างนั้น ผมไม่รู้สึกกระตือรือร้นในการสอบปากคำคนรัก อาจจะมองว่าผมหลงใหลในตัวของบุญจนหน้ามืดตามัว มันไม่ใช่เลย ผมแค่มีความมั่นคงในตัวของบุญมากกว่าจะจู้จี้หวาดระแวง แม้ว่าสุดท้ายแล้วในส่วนลึกที่รู้สึกสงสัยจะพยายามแหวกว่ายออกมาและโลดแล่นอยู่ในจินตนาการมากขึ้นทุกที

“นาย”

“อืม”

“กอดหน่อย”

ผมโน้มตัวลงไปกอดตามความต้องการหากแต่บุญรั้งเอาไว้ เขาเริ่มนัวเนียจูบสะเปะสะปะไปทั่วก่อนจะหยัดตัวขึ้นนั่ง มองผมด้วยดวงตาอ่อนเพลียและยิ้มจางๆ “เราขอโทษ”

ผมเงียบเพราะไม่รู้ว่าควรตอบอะไร บุญซบลงบนไหล่และกอดตัวผมไว้อยู่พักใหญ่ ทุกอย่างดูเงียบงัน ราบรื่น แต่ในใจของผมมันไม่เป็นเช่นนั้น “บุญ…”

“ครับ”

“งานของบุญ ปฏิเสธได้บ้างหรือเปล่า”

บุญเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะซบลงที่เดิม “ยังโกรธเราอยู่เหรอ”

“เราไม่ได้โกรธ”

บรรยากาศเงียบกริบ

“ลางานไม่ได้เลยเหรอ เราเห็นบุญโดนโทรเรียกตลอด”

“งานมันเลี่ยงไม่ได้หรอก”

“แล้วหมอไม่ต้องมีเวลาส่วนตัวเลยหรือไง” ผมรู้ตัวว่าน้ำเสียงเริ่มห้วนและตั้งใจให้เขารับรู้บ้างว่าผมไม่พอใจ

“อย่าโกรธเราดิ เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้”

“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธ แค่สงสัยว่าปฏิเสธไม่ได้เลยเหรอ…” ผมเบี่ยงตัวขยับเพื่อมองหน้าบุญอย่างตรงไปตรงมา ดวงตาของเราที่สบกันนั้นเต็มไปด้วยความในใจที่กำลังกลั่นกรองอยู่ในสมอง เรากำลังพยายามจะไม่ใส่อารมณ์กับเรื่องที่พูดกันอยู่นี้แต่เชื่อเถอะว่าเวลานี้ผมขาดความอดทนในเรื่องนั้น “เราเข้าใจว่างานของบุญสำคัญมากเพราะมันขึ้นอยู่กับความเป็นความตาย ถ้าบุญไปทำงานจริงๆเราก็ขอโทษที่งี่เง่า เราไม่เคยถามบุญว่าวันนึงบุญทำอะไรบ้างที่โรงพยาบาล เราไม่ชอบจุกจิกถามเรื่องพวกนั้นและมันเป็นเรื่องของบุญมันเป็นงานของบุญเราไม่อยากก้าวก่าย เราพยายามแล้วบุญ แต่หลังๆมานี้ แผนที่วางไว้มันก็ไม่เคยเป็นไปตามแผนเลย เราไม่รู้จะพยายามยังไงอีกต่อไปแล้วเหมือนกัน”

สิ้นคำเราก็เงียบกันไปอีกพักหนึ่ง บุญถอนหายใจยาว สีหน้าดูอ่อนล้าและเหนื่อยหน่ายในคราวเดียวกัน

“ไม่เข้าใจ”

“แล้วบุญไปทำงานจริงๆหรือเปล่าล่ะ”

“หมายถึงยังไง”

“ก็แล้วไปที่รีบออกไปเพราะงานจริงๆหรือเพราะอย่างอื่นล่ะ”

“ไปกันใหญ่แล้วนาย อย่างี่เง่าดิ”

ผมรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาในตอนที่โดนบุญพูดใส่หน้าว่างี่เง่า ผมลุกขึ้นเดินหนีแต่บุญก็เดินตามเข้ามาในห้องนอน

“คุยให้รู้เรื่องก่อน นี่คิดว่าที่เราออกไปทุกวันนี้เพราะอะไร นาย” บุญคว้าและจับแขนผมไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ “คิดอะไรอยู่ พูดออกมาเลย”

ผมคิดว่าตัวเองเข้มแข็งมาโดยตลอดแต่เวลานี้ผมไม่ค่อยแน่ใจ ผมงี่เง่ามากกว่าที่คิดและงี่เง่ามากที่ชวนบุญทะเลาะ

“ทำไมไม่พูดล่ะ คิดอะไรก็พูดออกมาเลย ไม่ใช่คิดเองเออเอง”

“………..”

บุญหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าเขาจะพูดจาตรงไปตรงมาเพื่อให้ผมพูดในสิ่งที่คิดแต่น้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้ใส่อารมณ์โกรธโมโหอะไรมากขนาดนั้น เหมือนพยายามยับยั้งตัวเองอยู่ “นาย…”

“บุญมีคนอื่นหรือเปล่า”

“หา?”

“………..”

“ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน”

“เราเข้าใจว่างานของบุญบางทีมันก็ฉุกเฉินกันได้ แต่เราไม่เข้าใจว่าทำไมบุญต้องค้างคืนที่โรงพยาบาล มันบ่อยมาก บ่อยจนเรา…” ผมเงียบปากเมื่อบุญขมวดคิ้วทำท่าเหมือนจะแสดงความโกรธออกมา ก็พอเข้าใจแหละว่าตัวเองงี่เง่าพ่วงด้วยความหูเบาอีกต่างหาก แต่มันอดระแคะระคายไม่ได้จริงๆ “ถ้าบุญมีใครจริงๆบอกเราได้เลยนะ เราจะได้ทำตัวถูก”

“………..”

ผมเหลือบมองอีกฝ่ายที่นิ่งเงียบแต่แล้วก็ต้องหลบตาเมื่อบุญจ้องเขม็งด้วยสีหน้านิ่งเฉยจนน่าอึดอัด วินาทีนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของบุญก็ดังขึ้น เขาเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือมารับสายแล้วเปิดสปีคเกอโฟน

“ครับ พี่ศรุต”

“หมอกฤติน ผมจะโทรมาขอบคุณที่ช่วยรับเคสเมื่อวานให้ โทษทีนะหมอ ผมไม่ไหวจริงๆ นี่ยังล่อแล่อยู่เลยแต่ก็ต้องมา”

“ไม่เป็นไรครับ”

“แล้วก็เคสเมื่อวานผมอ่านเรคคอร์ดแล้วนะ แต่มีเคสนึงที่อยากดิสกัสกับหมออีกที ผมว่ามันน่าจะเข้าข่ายซีเอ็มแอลมากกว่า ไว้เจอหมอแล้วขอคุยด้วยนะครับ”

“ได้ครับ”

“ขอบคุณมากนะหมอ ผมวางสายล่ะ”

ผมเงยหน้ามองบุญแล้วหลบสายตาอีก รู้สึกเหมือนตัวเองโง่เง่ามากเข้าไปทุกทีไม่กล้าแม้แต่จะสบตาตรงๆเลย บุญโยนโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ เสียงของมันกลายเป็นเสียงที่ดังที่สุดในตอนนั้น หูของผมอื้ออึงเพราะความเงียบ ผมกำลังรู้สึกผิด ไม่กล้าสู้หน้าสู้สายตาของบุญที่มองมา นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่บุญจะโกรธผมและผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้

“มานี่ซิ”

เขาพูดเสียงเบาไม่มีน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจ แต่ผมนิ่งงันไม่กล้าขยับตัว บุญคงหน่ายใจเขาเดินเข้ามาตรงหน้า น้อมตัวลงและช้อนมองผมจากมุมที่ต่ำกว่า ผมเบี่ยงหน้าหนีแสร้งมองไปอีกด้าน ในใจนึกอยากเดินหนี ผมอยากขอโทษบุญแต่ตอนนี้ไม่มีความกล้ามากพอแม้แต่จะมองตา

“มอง”

ผมตัวแข็งทื่อเมื่อบุญพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นกระโชกโฮกฮาก

“มีอะไรอยากพูดอีกมั้ย”

ผมส่ายหน้า

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น” ผมเผลอสบตากับเขาครู่หนึ่ง และในตอนนั้นบุญก็จับใบหน้าผมไว้ “ไหนบอกซิ ทำไมถึงคิดว่าเรามีคนอื่น”

เท่านั้นแหละน้ำตาไหลออกมาแหมะ แหมะ

“อ้าว เฮ้ย” บุญร้องออกมาก่อนจะรั้งร่างผมเข้าไปกอด ที่จริงน้ำตามันก็แค่ไหลออกมาวูบเดียวจากตอนที่พยายามสะกดกลั้นไว้เท่านั้นแหละ แต่ผมคิดว่ามันคงทำให้บุญตกใจอยู่พอควร

“เราขอโทษ” ผมกล่าวแล้วเงยหน้าขึ้นมองสบตากับคนรัก “บุญอย่าโกรธเรานะ เราขอโทษ เรางี่เง่าเอง” เวลานี้ผมรู้สึกว่าตัวเองปวกเปียกจนต้องยึดกอดร่างของบุญไว้แน่น “เราขอโทษ”

บุญลูบศีรษะและกดมันลงให้แนบกับไหล่เพื่อซับน้ำตาของผมที่ยังค้างคั่งอยู่บนใบหน้า “อย่าร้องไห้สิโว้ยยยย”

“ไม่ได้ร้องเว่ยยยยย”

“แล้วน้ำตานี่มันอะไรกันวะ”

“มันมีแค่หยดเดียวไม่นับว่าเป็นน้ำตาเว่ย”

บุญผละร่างผมออกมามองแล้วหัวเราะขึ้นจมูก “เดี๋ยวก่อนนะ ถามจริงๆ ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

ผมยกแขนโอบกอดรอบคอบุญมองตาของเขาแล้วก็ก้มหน้าลงซุกที่ลาดไหล่ “……….”

“ที่อยากรู้เพราะเรารู้ว่าปกตินายไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้ ไม่เคยระแวงเราเลย”

“มั่นใจได้ยังไงว่าเราไม่เคยคิด”

บุญกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย “ถ้าจะคิดระแวงเรา นายก็คงจะระแวงตั้งแต่แรกแล้วเพราะว่าเราก็ทำงานแบบนี้มาตั้งนาน อีกอย่างนายก็รู้ว่าเราเป็นคนยังไง”

“อย่าโกรธเรานะ”

“เออ”

“อย่าโกรธบอมด้วยนะ”

“ห้ะ?”

“ก็เรานอยด์ที่ผิดแผน ผิดแม่งซ้ำซ้อนซ่อนเงื่อนเลยโทรหาบอม เล่าให้มันฟังเรื่องที่จะไปเที่ยวแล้วไม่ได้ไป พอมันถามเหตุผลเราก็แค่บอกว่าบุญติดงานด่วน ไอ้บอมก็เลยสงสัยว่า… อย่างนั้นแหละ”

“อย่างนั้นอะไร”

“บุญมีคนอื่น”

บุญหัวเราะลงคอ

“อย่าโกรธที่เรางี่เง่าแบบนี้เลยนะ”

“แล้วบอมบอกอะไรอีกมั้ย”

“ก็บอกให้เราคุยกับบุญ แบบถามบุญบ้างว่าทำอะไรอยู่”

“อืม แล้วยังไงอีก”

ผมมองบุญ มองดวงตาที่โรยราจากความเหนื่อย ใบหน้าโทรมๆจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ผมคิดหาเหตุผลอื่นใดไม่ได้แล้วสำหรับความงี่เง่านี้ เขาเหนื่อยกายจากงานและยังต้องมาเหนื่อยใจกับผมอีกผมไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ขับเคลื่อนให้มาถึงจุดนี้ “ไม่มีแล้ว”

“แล้วอยากให้เราบอกมั้ยว่าเราทำอะไรอยู่”

“ถ้าบอกก็จะรับฟัง แต่ไม่รู้ดิ แค่คิดว่าวันๆนึงบุญเหนื่อยจากงานก็ไม่อยากให้บุญต้องมาทำอะไรแบบนั้นหรอก ไร้สาระ” ผมพูดไปตามความจริงแม้ความคิดหวาดระแวงจะข้องแวะเข้ามาให้ได้ทะเลาะกัน แต่ตัวตนของผมก็ยังเป็นเหมือนเดิม เป็นนายที่ไม่ชอบเรื่องจุกจิกพรรณนั้น

บุญยิ้มมุมปากก่อนจะจูบที่แก้มและกอดรัดผมไว้แบบนั้นอยู่นานสองนาน




ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (1/3) P.2 (26-Nov-18)
«ตอบ #55 เมื่อ26-11-2018 23:46:58 »





กระเป๋าเป้ใบขนาดกลางที่บรรจุเสื้อของเราสองคนถูกบุญหยิบไปถือ เขาเดินออกจากรถตู้นำหน้าผมไปยังท่าเรือที่อยู่เบื้องหน้า แดดในเวลาใกล้เที่ยงไม่ใช่เรื่องตลก ผมเร่งฝีเท้าก้าวตามไปเรื่อยจนอยู่ในที่ร่ม มองดูเขาต่อแถวอยู่หลังชาวต่างชาติเพื่อซื้อตั๋วสำหรับขึ้นเรือ บุญตัวสูงใหญ่พอๆกับผู้ชายฝรั่งที่ยืนข้างหน้า ภายนอกเขาดูเรียบร้อยและมีบุคลิกนอบน้อม เคยเห็นเขาอยู่กับเพื่อนร่วมงานยืนคุยกันด้วยเคสคนไข้รายหนึ่งที่ผมฟังภาษาหมอไม่รู้เรื่อง เขาพูดครับ ครับ และครับลงท้ายทุกประโยคจนผมนึกหัวเราะอยู่ในใจ ไม่ได้ตั้งใจจะล้อเลียนอะไรหรอกแต่ก็อดขำขันไม่ได้เมื่อนึกถึงบุญในเวลาที่อยู่กับผม เขาไม่ได้เป็นพวกเกเรหรือแบดบอยอะไรเลย เขายังคงเป็นคนเรียบร้อยแต่เพิ่มเติมเวลาอยู่กับผมก็คือความดุ เจ้าระเบียบ มีวินัย ผมไม่ได้อึดอัดหรอกนะแค่ชอบเวลาที่เขาดุและแสดงความดุออกมาอย่าง ‘นายเก็บของให้เรียบร้อย’ ‘นายล้างจานเสร็จแล้วทำไมไม่ทำฟองน้ำให้แห้ง’ ‘นายตากผ้ายังไงให้ผ้ายับขนาดนี้’ อะไรทำนองนั้น อย่างที่เคยพูดไปผมเป็นคนขี้เกียจ ค่อนข้างเถลไถลไปหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับพาชีวิตตัวเองให้ดิ่งลง ผมชอบที่บุญเป็นตัวของตัวเองเวลาที่อยู่ด้วยกัน แล้วก็ชอบบุญที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวุฒิภาวะในที่ทำงาน ผมชอบเขาทั้งสองแบบ

ถึงลำดับของบุญแล้วสำหรับการซื้อตั๋วเรือข้ามฟาก เขารับตั๋วและหันหน้าหันหลังมองหาผม ผมไม่ได้ตะโกนเรียกหรือแสดงตัวอะไรออกไปปล่อยให้เขาชะเง้อมองหาผมที่ตรงหน้ามีชายหญิงชาวต่างชาติยืนบังอยู่

ก่อนหน้านี้ที่เราเถียงกันเสียงดัง เพียงแค่อีกหนึ่งอาทิตย์ที่เราต่างก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเองและไม่ค่อยได้ติดต่อกัน บุญก็ตรงเข้ามาหาผมที่เพิ่งกลับมาจากออกกองต่างจังหวัดพร้อมกับบอกว่า ‘ไปทะเลกัน’ ผมนิ่งเพราะอื้ออึงไปชั่วขณะก่อนจะตอบรับไปตามธรรมดา ผมไม่อยากแสดงความดีใจหรืออะไรทำนองนั้นออกไป ความคาดหวังที่ผ่านมาทำให้ผมต้องเผื่อใจไว้ด้วย บุญอาจจะติดเคสด่วนอีก ไม่ก็โดนลากให้ทำงานจนไม่ได้ไปทะเลอีกก็ได้ อาจจะเพราะว่าผมทำตัวนิ่งเฉยมากบุญจึงถามว่าติดงานอะไรหรือเปล่า ผมปฏิเสธไปเพราะช่วงนี้ไม่มีออกกองที่ต่างจังหวัดแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้อธิบายพูดความคิดทั้งหมดของตัวเองออกไป มันไร้ประโยชน์กับการเอาความคิดติดลบไปใส่หัวคนอื่น บุญเก็บเสื้อผ้าให้ จริงๆมันคือเสื้อผ้าที่เคยเตรียมไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละ ชุดไม่กี่ชุดของเราสองคนกับกระเป๋าเป้หนึ่งใบ และสุดท้ายทะเลที่รอเราอยู่เบื้องหน้านี้ก็กลายเป็นความจริง

ผมมองบุญที่เอ่ยขอทางกับฝรั่งตรงหน้าเพื่อแทรกตัวเข้ามาหา ใช้เวลาอึดใจหนึ่งเขาก็หาผมเจอ บุญยืนอยู่ตรงหน้าขณะที่ฝรั่งกลุ่มนั้นเดินกระจายหายไปคนทิศคนละทาง บุญในชุดสบายๆพร้อมเที่ยวทะเลเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะไม่มีเครื่องประดับอื่นใดเป็นพิเศษนอกจากนาฬิกาเน่าๆหนึ่งเรือน เขาต่างจากผมอยู่สักหน่อยที่แต่งตัวเยอะกว่านิดๆ ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงมันก็ต้องมีบ้างที่ได้รับอิทธิพลจากคอสตูมประจำกองถ่าย เรามองหน้ากันแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ซึ่งผมว่ามันเป็นเพราะยังง่วงงุนจากการเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ บุญขยับเข้ามาใกล้ ทัศนีย์ภาพรอบด้านดูเบลอลงไปราวกับการถ่ายรูปแบบชัดตื้น ใบหน้าของเขาเด่นชัดอยู่ในสายตาของผม ผมอยากจูบเขาแต่ประหลาดใจอยู่สักหน่อยเมื่อบุญจับมือของผม และจับมันไว้อย่างนั้นโดยไร้คำพูดอื่นใด

เกาะที่เรามากันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของเราสองคนเพราะฉะนั้นเราคุ้นชินกับการเดินทางดี มันไม่ใช่เกาะส่วนตัวที่เราจะสามารถแก้ผ้าและมีเซ็กส์สุดเหวี่ยงกันกลางหาดได้ แต่ที่พักของเราอยู่บนผืนหาดที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก หาดนี้จึงเงียบสงบ มีชาวต่างชาตินอนปะปรายอยู่ตามใต้ร่มไม้ซ่อนใบหน้าอยู่หลังหนังสือเล่มโปรดของพวกเขา บุญจับมือผมอย่างเปิดเผยและผมก็ยินยอม มีคนมองบ้างเพราะมันคงดูแปลกตาที่ผู้ชายจับมือกันแต่ผมสนใจแค่บุญก็พอแล้ว ที่พักที่บุญได้จองไว้เป็นบ้านพักหลังหนึ่งขนาดสำหรับสองคน บริเวณระเบียงบ้านมีชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้ มีอ่างแช่น้ำทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส เปิดประตูเข้ามาก็พบกับเตียงนอนที่มีม่านมุ้งสีขาวละมุนตาถูกเก็บปลายไว้อย่างสวยงาม มีที่นั่งพักผ่อนเป็นเบาะยาวอยู่ปลายเตียง มองทะลุไปด้านในเป็นห้องน้ำและด้านข้างถัดไปเป็นโต๊ะสำหรับนั่งกินอาหาร ผมตื่นเต้นที่ได้มาเที่ยวกับบุญและได้พักในที่สวยงาม ในสมองคิดถึงการออกไปเอาตัวจุ่มน้ำทะเลลอยคอไปมาให้ชุ่มกายก่อนจะขึ้นมาบนบกหาที่ร่มใต้ต้นไม้นอนอ่านหนังสือฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อย พอตกเย็นก็ออกไปหาอาหารทานอย่างง่ายๆแล้วกลับห้องมาแช่น้ำในอ่างเปิดระบบน้ำวนให้สบายตัว ไม่มีอะไรที่ผมต้องการไปมากกว่านี้อีกแล้ว

แต่เมื่อหันมาจะพูดถึงแผนการณ์ในสมองให้อีกคนฟัง เขากำลังปิดม่านลง แสงแดดยามบ่ายถูกปิดกั้นไว้แล้ว เหลือเพียงบุญกับผมในห้องสลัวแห่งนี้ เป็นอันว่าแผนการณ์ต่างๆของผมถูกพับเก็บไว้ชั่วคราว

ผมมองบุญจากด้านบน ใบหน้าของเขาไม่ชัดนักหรอกเพราะแรงส่งจากด้านล่าง ผมอยากขยับตัวหนีด้วยเริ่มรู้สึกเจ็บที่ส่วนนั้นแต่มือของบุญยึดสะโพกของผมไว้ สวนกายขึ้นมาไม่ออมแรง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับความรุนแรงจากบุญ เขาทำอย่างที่อยากทำ ไม่มีบทพูดใดๆเป็นพิเศษ มีเพียงเสียงร่างกายของเราสองคนขยับเขยื้อนบนเตียงหลังนี้ ผมเริ่มอ่อนแรงจากที่ยึดหัวเตียงไว้ก็ทรุดกายวางมือลงบนพื้นเตียงสีขาว บุญรั้งผมเข้าไปจูบมันหายใจไม่ถนัดแต่ยังพอรับมือไหว ส่วนล่างที่รองรับของบุญอยู่นั้นไม่ผ่อนปรนลงเลย เซ็กส์ของเราครั้งนี้มันดึงดันและหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยพาลพบ

“บุญ เบาๆหน่อย” ผมเอ่ยแต่ไม่มีเสียงตอบ บุญถอนกายออกไปและคว้าเจลหล่อลื่นมาชโลมบั้นท้ายผมแล้วสอดใส่เข้ามาอีก มือของผมคว้ากอดบุญไว้แนบแน่นเมื่อเขาผุดลุกขึ้นนั่งทำให้ผมเผลอลงน้ำหนักรับส่วนนั้นลึกขึ้น แม้ว่าข้างในจะชุ่มจากเจลหล่อลื่นแต่แรงกายที่ได้รับนั้นจุกเสียดจนกลั้นเสียงไว้ไม่อยู่ ก็ใช่ว่าจะเจ็บอย่างเดียวมันมาพร้อมกับความสุขสมที่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ บุญซุกหน้าลงที่ซอกคอของผม ลมหายใจหนักหน่วงตามช่วงจังหวะรดรินบนผิวกาย เขากดสะโพกของผมแนบแน่นไม่ให้บ่ายหนี “บุญ เรา...” ผมจะร้องบอกให้เขาทำช้าลงแต่แล้วเสียงก็แผ่วหายขณะที่ถูกกระทั้นกายหนักหน่วง

บุญเงยหน้าขึ้นมอง ผมเห็นสิ่งแปลกใหม่ในดวงตาของเขา มันดุดันและแสดงความแข็งกระด้างออกมา

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมถามขณะที่พยายามฝืนแรงกายให้อีกฝ่ายผ่อนปรนลงบ้าง

“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรนี่” เขาตอบเสียงแผ่วเช่นกันก่อนจะผลักร่างของผมให้นอนราบลงกับที่นอน “ทำไมอะ”

ผมหลับตาแน่นหลุดเสียงร้องเมื่อเขาสอดใส่เข้ามาจนสุดและค้างไว้

“เจ็บเหรอ”

ผมครางรับในคอแทนคำพูด แต่แล้วขาของผมก็ถูกแยกออกกว้าง คราวนี้ผมร้องไม่ออกเมื่อเจ้านั่นของบุญกำลังเสียดสีจุดสะท้านอย่างตรงไปตรงมา

“หายเจ็บหรือยัง”

ผมส่ายหน้า จุกเสียดเสียวช่วงล่างไปหมดอย่างที่ไม่เคยรู้สึก จากนั้นเจ้านั่นของบุญก็ถอดถอนออกไป ผมรู้สึกวูบโหวงอยู่พอควร... มันก็ไม่น่าแปลกนะเมื่อนึกถึงของๆบุญที่เติมเต็มจนคับแน่นมาหลายสิบยี่สิบนาที “บุญ...” ผมร้องเสียงอ่อน คว้ามับจับแขนอีกฝ่ายไว้แต่บุญกลับดึงมือออกและตรึงแขนทั้งสองข้างไว้กับเตียง ดวงตาเราสองสบกันแล้วอยู่ๆบุญก็ปล่อยแขน

“โทษที”

“เป็นอะไร” คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ผมว่าแล้วว่าเขาต้องมีอะไรในใจ

“ไม่มีอะไร ทำต่อได้ป้ะ เบาๆ”

“เดี๋ยวก่อน” ผมยั้งไว้พยายามมองตาของเขาและพบว่ามันเป็นความเขินอายที่ซุกซ่อนตรงไหนสักแห่งในแววตาลุ่มลึกนั่น ผมคาดคั้นเขาด้วยสายตาจนกระทั่งบุญยอมที่จะเอ่ยปาก

“ก็ไม่ได้กอดนายมาหลายวัน อยากทำแรงๆ”

“..............”

ผมแทบจะอ้าปากค้างจากคำที่ได้ยิน เพิ่งเคยเห็นมุมนี้ของบุญ มุมที่หื่นกระหายและค่อนข้างรุนแรง มันคงเป็นส่วนหนึ่งในตัวเขา ผมขำไม่ออกเพราะเข้าใจในอารมณ์นั้น ผู้ชายกับเซ็กส์มันขาดกันได้ไม่นานแต่ก็ไม่เคยคิดว่าบุญจะรุนแรงเลยเพราะที่ผ่านมามันตรงกันข้าม ผมโอบกอดเขา โอบรับในสิ่งที่เขาเป็น โอบรับกับอีกหนึ่งตัวตนของคนที่ผมรัก

“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ”

“ทำได้”

“ถ้ามันเจ็บเราก็ไม่ทำแล้ว”

“เจ็บ แต่มันไม่ได้เจ็บอย่างเดียว”

อีกครั้งที่เราสบตากัน บุญแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะทำดั่งใจปรารถนา



ผมค้นพบว่าตัวเองชอบเซ็กส์ที่รุนแรงอยู่สักหน่อย เพิ่งเจอตัวเองตอนที่บุญโหมกระหน่ำความหฤหรรษ์ต่างๆเข้ามา ประหลาดใจอีกครั้งเมื่อบุญรู้ลึกตื้นหนาบางมากกว่าที่คิด บางอย่างมันก็เจ็บเกินกว่าจะทานทนแต่ผมหรรษาอย่างปฏิเสธตัวเองไม่ได้ และดูเหมือนว่าบุญก็พอใจที่ทำให้ผมพร่ำร้องพร้อมทั้งน้ำตาคลอเบ้า เราเข้ากันได้ดีในเรื่องนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ยังเป็นผม บุญก็ยังเป็นบุญ ในช่วงก่อนที่จะถึงจุดสุดยอดเราก่ายกอดกันอย่างนุ่มนวล หัวใจสูบฉีดเต้นตุบตับจากความวาบหวาม ร่างทั้งร่างวูบไหวเพียงเพราะบุญพูดคำหวานหูให้ผมฟัง ผมแนบใบหน้าที่ข้างแก้มของเขา บอกรักในตอนที่บุญปลดปล่อยเข้ามา เนื้อตัวเราต่างเปียกชื้น หอบหายใจหนัก ผมเริ่มปวดหนึบนิดหน่อยที่บั้นท้ายแต่ไม่เป็นไรเลยเมื่อรอบกายตอนนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของบุญ กลิ่นอายของความสุข กลิ่นอายความรักของเราสองคน

“โอ้ย โทรมาอีกแล้วโว้ย”

บุญบ่นขึ้นมาในตอนที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นระหว่างที่เราแช่อ่างน้ำกันอยู่ริมระเบียงด้านหน้าห้องพัก เขายื่นหน้าจอให้ดูและพบว่ามันปรากฏชื่อของ หมอยุวลักษณ์

ผมทำได้แค่นิ่งเฉยไม่พูดอะไรออกมา ก็ไม่เชิงว่าโกรธแต่ก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนเดิมนั่นแหละ เสียงน้ำที่ไหลวนอยู่ในอ่างทำให้บุญลุกขึ้นในสภาพเปลือยเปล่าเข้าไปคุยโทรศัพท์มือถือในห้องพัก ส่วนผมคิดว่าจะอยู่แช่น้ำต่ออีกสักหน่อย ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ส่งตัวเองเข้าสู่โหมดออนไลน์ คิดไว้ว่าจะเช็คข้อความและเข้าทวิตเตอร์อีกหน่อย ผมแชทกับเดอะแก๊งส์ที่นัดรวมตัวครั้งใหญ่ เพลิดเพลินกับการถกเถียงหาร้านอยู่พักหนึ่ง หน้าจอด้านบนก็ปรากฏข้อความที่เพิ่งส่งเข้ามาสดๆร้อนๆ


05:48 PM.
‘นาย นี่พี่พลเอง’







“น้องฝึกงานน่ะ โทรมาปรึกษานิดหน่อย”

ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ยืนค้ำอยู่เหนือหัว “ห้ะ?”

“ที่โทรมาเมื่อกี้ไง กลัวเข้าใจผิดอีก” บุญกล่าวทั้งๆที่พยายามกลั้นยิ้มขณะที่นั่งลงในที่เดิม ผมจึงทำหน้าบูดยืดขาไปพาดขาของเขาที่อยู่ใต้น้ำ อ่างน้ำเอ้าดอร์แบบนี้ค่อนข้างลึกกว่าอ่างที่เอาไว้แช่ในห้องน้ำอยู่พอสมควร เมื่อเรานั่งระดับน้ำก็จะท่วมขึ้นมาถึงอก “มานี่หน่อย” เขาส่งสัญญาณมือเป็นเชิงว่าให้ผมขยับเข้าไปหา ผมทำมึนไม่ขยับเข้าไปเพราะว่าจะแกล้งเล่นตัวกับบุญไม่มีอะไรมากกว่านั้น “คุยงานกันจริงๆนะ”

“ยังไม่ได้พูดอะไรเลย” ผมตอบกลับแต่ก็ยังทำหน้ามึนอยู่ที่เดิม

เงียบกันไปพักหนึ่งบุญก็เป็นฝ่ายขยับเข้ามา

“เฮ้ย ไม่ได้โกรธอะไรเลย จะแกล้งเฉยๆ”

“หันหลังดีๆ” เขาบอกขณะที่โอบร่างผมเข้าไปกอดจากด้านหลัง ท่อนบนของผมเกยขอบอ่างส่วนท่อนล่างอยู่ใต้น้ำ มือของบุญข้างหนึ่งจับบั้นท้ายของผมก่อนที่บางส่วนของบุญซี่งอยู่ใต้น้ำจะค่อยๆแทรกเข้ามา ผมหายใจแรงพยายามไม่ส่งเสียงใดๆออกไป บุญจูบตามลาดไหล่พลางแทรกส่วนนั้นเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ ผมจับขอบอ่างแน่นเมื่อมันเข้ามาจนสุด

“บุญ...”

“เรารักนาย รักมาก” คำพูดนั้นกระซิบแผ่วอยู่ข้างใบหูพร้อมทั้งริมฝีปากของบุญประชิดจูบตามผิวกาย

ผมเอื้อมมือไปรั้งใบหน้าของเขาเข้ามา จูบแก้ม จูบปลายคาง “เราก็รักบุญ รักมากเหมือนกัน”

อ่างแช่น้ำระบบน้ำวนดูจะกลายเป็นคลื่นแรงเกินกว่าที่ระบบตั้งไว้ เรากอดกันอยู่ตรงนั้น ที่ๆเมื่อมองออกไปก็สามารถชื่นชมทิวทัศน์ยามเย็นย่ำ จากระเบียงที่เราแช่น้ำกันอยู่นี้มองเห็นทิวภูเขาที่มีต้นไม้เขียวขจีสบายตาและเวิ้งหาดท้องทะเลที่พระอาทิตย์ลามเลียให้เป็นสีส้มประกายเงาแสงสะท้อนระยิบระยับ














หลังจากเซ็กส์ริมระเบียงบนเนินเขาเหนือท้องทะเลจบสิ้นลง เราออกไปหาอะไรกินกันง่ายๆและขึ้นมานอนเล่นอยู่ในห้องพักด้วยเพราะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่สักหน่อย ผมยืนกรานกับบุญว่าพรุ่งนี้อยากออกไปให้โดนน้ำทะเล แม้ว่าบุญจะบอกว่าจ่ายค่าห้องไปแพงและอยากใช้เวลาพักผ่อนในห้องหลังนี้นานๆ ผมยิ้มกริ่มด้วยรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ไม่ถึงกับขัดข้องเขาหรอกนะแต่คิดว่าอยากให้พบกันครึ่งทางอย่างให้ผมได้ออกไปเล่นน้ำทะเลแล้วหามุมสงบแถวเนินเขาดู มุมที่มันเงียบๆปราศจากคนอะไรทำนองนั้น

บริเวณที่พักเงียบสงัดด้วยเพราะผู้คนเริ่มเข้าห้องพักกันหมด เราสองคนก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เข้านอนกันในเวลาเกือบๆห้าทุ่ม ผมพร้อมเข้านอนเหลือเพียงรอบุญอาบน้ำแล้วก็จะเข้านอนพร้อมกัน ระหว่างรอผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเล่น เข้าไปในหน้าแอพพลิเคชั่นยอดนิยมและลังเลอยู่ที่หน้าแชทของพี่พล



05:48 PM.
‘นาย นี่พี่พลเอง’


05:48 PM.
‘ครับ’


05:49 PM.
‘เราสบายดีมั้ย’


05:49 PM.
‘ครับ’




ก่อนหน้านี้เราคุยกันเท่านั้น แล้วผมก็ไม่ได้จับโทรศัพท์มือถืออีกเลยจนถึงตอนนี้ ผมมองข้อความที่พี่พลส่งมาด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดใจ จะว่าตื่นเต้นก็ไม่น่าจะถึงขนาดนั้น จะว่าอยากทำเมินเฉยก็ไม่ใช่ จะว่าดีใจยิ่งไม่ใช่เข้าไปอีก ผมคิดอยู่พักหนึ่งจึงเปิดเข้าไปในหน้าแชท




05:49 PM.
‘ได้ข่าวว่าเราจะนัดเจอเดอะแก๊งส์เหรอ’


11:00 PM.
‘ใช่ครับ’



ผมตอบกลับและข้อความนั้นถูกเปิดอ่านแทบจะทันที



11:00 PM.
‘พี่ขอเบอร์โทรได้มั้ย’



เอาล่ะ ผมคิดว่ามันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว ในใจตอนนั้นคิดอยู่ว่าพี่พลอาจจะมาขายตรงก็เป็นได้ ผมเงยหน้ามองไปยังห้องน้ำที่เป็นกระจกใสเห็นบุญที่ยังคงอยู่ในห้องน้ำ ก่อนจะก้มหน้าลงมองสิ่งที่อยู่ในมือ



11:01 PM.
‘มีอะไรหรือเปล่าครับ’


11:01 PM.
‘มี แต่อยากโทรคุยมากกว่า’


11:01 PM.
‘เรื่องอะไรครับ’


11:01 PM.
‘เราไม่สะดวกให้เบอร์เหรอ’


11:01 PM.
‘ครับ’


11:01 PM.
‘55555 พี่ไม่ได้จะมาขายตรงอะไรนะ’


11:01 PM.
‘ครับ’


11:01 PM.
‘พี่ขอเบอร์เราหน่อยสิ’



ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะยังไม่อยากให้หมายเลขโทรศัพท์ของตัวเอง คิดว่าเขาคงจะเลิกขอไปเองนั่นแหละ



11:02 PM.
‘+669xxx-xxxx’
‘นี่เบอร์พี่’
‘ดีใจนะที่เรายังไม่ได้บล็อคไลน์พี่ไป’


11:02 PM.
‘ครับผม’


ผมตอบไปอย่างเรียบง่ายแม้ความจริงผมก็แค่ไม่ได้ใส่ใจคอนแทคลิสในไลน์เลยด้วยซ้ำ ใครบล็อกผมหรือใครจะแอดมาก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจ


11:02 PM.
‘นาย’
‘พี่อยากเจอเรา’



ผมควรทำอย่างไรกับคำพูดนั้น ที่ทำได้คือการไม่ตอบและวางโทรศัพท์มือถือลงมองบุญที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ มองเขาเช็ดตัว มองเขาคว้ากางเกงนอนมาใส่ ไฟในห้องดับลงและเราก็เข้านอนพร้อมกัน ทุกอย่างดูเป็นปกติราบเรียบ


ผมควรบอกบุญหรือเปล่า ผมยังคงกังขาในข้อนั้น...



************************************



 :ling1:

ออฟไลน์ megatef4

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (1/3) P.2 (26-Nov-18)
«ตอบ #56 เมื่อ27-11-2018 03:33:09 »

กรี๊ดด อิพี่พล เป็นไร อย่ามายุ่งกับน้องนายนะ ไป๊  :m16:

ออฟไลน์ Panizzz3838

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (1/3) P.2 (26-Nov-18)
«ตอบ #57 เมื่อ27-11-2018 04:27:10 »

อีนาย ว่าบุญมีคนอื่น แต่กิ๊กเก่าแกตายราวีไม่หยุดเลยนะ :z6: :a5:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (1/3) P.2 (26-Nov-18)
«ตอบ #58 เมื่อ27-11-2018 07:44:23 »

เรากลัวจริงๆกลัวว่าบุญและนายจะจบทำไมรู้สึกว่าความรักของทั้งคู่มันดูเบาบางเหลือเกินขออย่าเป็นอย่างใจเราคิดเลนอย่าให้พี่พลม่มีอิทธิพลอะไรอีกอย่าให้หมอยุวลักษณ์มาเป็นรอยร้าวเลย

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (2/3) P.2 (28-Nov-18)
«ตอบ #59 เมื่อ28-11-2018 22:09:18 »

ตอนพิเศษ พี่พล (2/3)



ชาวแก๊งส์นัดรวมตัวกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในห้างกลางเมือง มันเริ่มต้นจากผมอยากดูหนัง หนูนุ่นอยากกินชาบู ไอ้หนึ่งจะมาซื้อแพมเพิสให้ลูก ส่วนไอ้บอมกับไอ้เฟริสท์เจอที่ไหนก็ได้ สุดท้ายก็เจอในห้างทั่วๆไป ผมมีความสุขที่ได้กลับมาเจอชาวแก๊งส์อีกแม้ไอ้หนึ่งจะพ่วงลูกกับภรรยาสาวมาและหนูนุ่นพาแฟนมาเปิดตัวก็ตามที แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เรายังคงเป็นชาวแก๊งส์เด๋อๆเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย พวกผมพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องต่างๆในชีวิตที่เปลี่ยนแปลง พูดถึงของฝากจากอินเดียที่ไอ้เฟริสท์หอบหิ้วมา ตรงนี้ผมว่าไอ้เฟริสท์มันเอามาแกล้งพวกผมมากกว่าเพราะขนมกลิ่นเครื่องเทศหืนๆที่เมื่อพวกเราลองกินก็เรียกเสียงหัวเราะจากเฟริสท์เสียดังลั่น พูดถึงไอ้บอมที่ช่วงหลังๆมานี้ปรากฏตัวอยู่ที่เชียงใหม่บ่อยครั้ง พูดถึงลูกของไอ้หนึ่งที่ซนมากจนมันต้องพาไปเดินตรงอื่น พูดถึงหนูนุ่นกับการเปิดตัวแฟนคนแรกพร้อมกับการเผาพฤติกรรมสมัยเรียนให้แฟนของมันฟัง แม้แต่ผมก็ยังถูกพูดถึง ผมบอกพวกมันไปว่าชีวิตของผมไม่มีอะไรโลดโพนเลย ทำงาน เข้าออฟฟิศบ้าง ออกกองถ่ายบ้าง เม้ามอยดาราศิลปินที่เจอให้พวกมันฟังบ้าง

“แล้วบุญล่ะ”

ผมมองไอ้บอมที่เอ่ยถามประโยคนี้ นึกคิดสงสัยว่ามันจะถามถึงทำไม

“เลิกกันยังวะ”

“เลิกอะไรวะ” ไอ้เฟริสท์หน้าเหรอหราถามออกมา “ทำไมกูไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไปอินเดียแค่อาทิตย์เดียวอินายเลิกกับบุญแล้วเรอะ”

“ยังไม่ได้เลิกโว้ย” ผมบอกแล้วหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอึกใหญ่

“อ้าว แล้วที่โทรหากูตอนนั้นล่ะ เป็นยังไง”

ยังอีก ยังไม่หยุดถามอีก ผมนึกอยู่ในใจเพราะรู้สึกแปลกๆที่กลายเป็นเป้าสายตาให้ทุกคนจ้องมอง

“ยังไงอะไรวะ ใช่วันที่มึงโทรหากูป่าววะนาย” คราวนี้ไอ้นุ่นเป็นคนถาม พอผมพยักหน้ายอมรับมันก็ทำหน้ารับรู้ก่อนจะหันมามองอีกครั้งด้วยสีหน้าตกใจ “นี่บุญยังคบกับคนแบบมึงอยู่อีกเหรอ”

“ไอ้นุ่น” ผมทำหน้าเบื่อใส่มันก่อนที่ชาวแก๊งส์จะหัวเราะร่วน

“บอมมึงเล่ามาซิ”

“คืองี้นะครับ ผมเนี่ยได้รับสายด่วนจากคุณบุรินทร์ว่าอยากเจอ ผมว่าแม่งแปลกๆเลยจี้ถามไปว่าทะเลาะกับบุญเหรอจนได้ความว่าคุณบุรินทร์คงจะน้อยใจที่แฟนของเขาติดงานหลวงและทำให้ไม่ได้ไปเที่ยวหลายต่อหลายครั้ง ทีนี้ผมว่าแม่งแปลกกว่าเดิมอีกตรงที่แฟนของคุณบุรินทร์เขาอ้างงานตลอดเวลาผมก็เลยบอกไปตรงๆว่าบุญอาจจะมีกิ๊ก หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับคุณบุรินทร์อีกจึงมาถามแม่งว่าเลิกกับแฟนไปแล้วหรือยัง เท่านี้แหละครับ”

สิ้นเรื่องเล่าจากไอ้บอมชาวแก๊งส์ก็ร้องอ๋อ

“อ้าว แล้วทำไมมึงคิดงั้นวะไอ้บอม” เฟริสท์ถามต่อ

“อ๋อ ง่ายมากเพราะกูก็อ้างเรื่องงานเพื่อไปเจอเหล่ากิ๊ก”

ไอ้บอมโดนไอ้เฟริสท์กับหนูนุ่นก่นด่าทันทีตามประสาผู้หญิงก่อนที่ทุกสายตาจะย้อนกลับมาที่ผมอีกครั้ง

“แล้วเลิกกันหรือยัง”

“ก็บอกแล้วไงว่ายังไม่ได้เลิกไอ้พวกห่า” ผมตอบไอ้เฟริสท์ไปตามจริงแต่มันยังคงทำหรี่ตาไม่เชื่อ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดรูปที่ถ่ายกับบุญให้มันพวกมันดู เป็นรูปล่าสุดที่เราไปทะเลกันนี่แหละ แต่แล้วไอ้เฟริสท์ก็คว้าไปดูและเลื่อนดูรูปอื่นๆ ในใจของผมระส่ำระส่ายเพราะว่ากันตามตรงในนั้นมีรูปของผมกับบุญตอนจุ๊บปากกันอยู่ ไอ้เฟริสท์ดูรูปอยู่กับหนูนุ่นที่ตอนนี้เผือกเรื่องของผมจนลืมแฟนแล้วทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ส่งสายตาล้อเลียนมาทางผมก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้

“เอาล่ะๆ เชื่อแล้วว่ายังไม่เลิกกัน”

“ใครเลิกกับใครวะไอ้นุ่น”

ทุกสายตาเบนไปมองยังคนที่เข้ามายืนตรงหัวโต๊ะ เป็นไอ้หนึ่งที่อุ้มลูกซึ่งนอนหลับไปแล้วอยู่ตรงหน้าพวกเรา

“อ๋อ พอดีไอ้นายทะเลาะกับบุญนิดหน่อยอะ แต่ไม่มีอะไรแล้ว”

“ห้ะ บุญยังคบกับคนแบบมึงอีกเหรอวะไอ้นาย”

ผมอ้าปากค้างด่าไม่ออกเพราะนึกคำพูดไม่ทัน จึงได้แต่จำยอมให้ไอ้พวกชาวแก๊งส์หัวเราะสนุกสนานกันไปยกใหญ่

“เออพวกมึงกูกลับก่อนนะ ลูกกูไม่ไหวละ”

หลังจากนั้นพวกเราก็เคลียร์เรื่องเงินค่าอาหารก่อนจะออกมายืนร่ำลาไอ้หนึ่งกับครอบครัวที่ด้านนอกร้าน ยืนมองมันโอ๋ลูกที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วงอแงอยู่ในรถเข็น ผมไม่ถูกกับเด็กเลยสักนิดจึงได้แต่โบกมืออยู่อย่างห่างๆ มองตามหลังครอบครัวมันไปจนลับตา แม้ในใจจะยังรู้สึกไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่กับการเจอไอ้หนึ่งแต่คงทำอะไรไม่ได้เพราะมันมีครอบครัวแล้ว ทีนี้ชาวแก๊งส์ที่เหลือจึงคุยกันว่าจะไปดูหนังต่อแต่ไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากดู ผมจึงโวยวายขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรหรอก แต่ระหว่างที่พยายามโต้แย้งกับหนูนุ่น อยู่ๆมันก็เงียบไปและโบกไม้โบกมือให้คนที่อยู่ด้านหลัง ผมหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นพี่พลที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา







หนังที่ชาวแก๊งส์เลือกดูเป็นหนังเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดที่เติบโตผิดปกติเนื่องจากได้รับสารเคมีอะไรบางอย่าง ข้าวโพดคั่วถูกส่งต่อไปมารวมถึงแก้วน้ำอัดลมก็ด้วย ตัวหนังจริงๆยังไม่ทันเริ่มข้าวโพดคั่วก็เริ่มร่อยหรอราวกับก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้กินข้าวกัน ผมอิ่มจุกเพราะดื่มน้ำอัดลมเข้าไปมาก ตอนนี้อีกนิดเดียวก็ใกล้จะเข้าสู่ตัวหนังผมกลับเกิดปวดเบาขึ้นมา ผมกระซิบบอกไอ้บอมว่าจะไปเข้าห้องน้ำ โชคดีหน่อยที่ห้องน้ำอยู่ใกล้ หลังจากเสร็จกิจก็รีบออกมาล้างมือ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกระจกก็พบพี่พลที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาส่งยิ้มมาให้แต่ผมกลับยิ้มไม่ออก

“อยู่คุยกับพี่ก่อน”

เขาว่าอย่างนั้นพร้อมทั้งก้าวเข้ามาเรื่อยๆ

“ผมว่าหนังน่าจะเริ่มฉายแล้ว”

“พี่ดีใจที่ได้เจอนายนะ”

ผมยืนนิ่งมองอีกฝ่าย ยอมรับว่าในใจกำลังเต้นตุบตับกับคำพูดและน้ำเสียงของพี่พล เขาเริ่มก้าวเข้ามาอีกแล้วผมอยากเดินหนีแต่ทำไม่ได้ ใจของผมมันบอกอีกอย่าง

“เราเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย”

“สบายครับ”

เราอยู่ใกล้กันจนมือข้างหนึ่งของพี่พลแตะเข้ามาที่ต้นแขนของผมแล้วใชนิ้วโป้งคลึงเบาๆ ผมมองรอยยิ้มของเขามันทำให้ผมลำบากใจ “พี่ไม่ได้จะมาขายตรงอะไรสักหน่อย ทำไมเราถึงระแวงพี่ขนาดนั้นล่ะ”

เขาพูดติดตลกพลอยทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายขึ้นนิดหน่อยผมคิดว่าแบบนั้นนะ

“เราไม่เปลี่ยนเลยนะ”

“.............”

“ยังไม่ยอมคุยกับพี่เหมือนเดิม”

ผมสบตาโดยตรงกับคนตรงหน้า ความทรงจำต่างๆในสมัยก่อนกำลังประสานก่อรูปร่างขึ้นมาทีละน้อย ในห้วงความทรงจำนั้นไม่ใช่ครั้งที่พี่พลปฏิเสธผม ไม่ใช่ตอนที่เรามีเซ็กส์กันครั้งแรก ไม่ใช่ตอนที่เรารู้จักกัน แต่มันคือตอนนั้นตอนที่นิ้วมือของเราสัมผัสกันในห้องภาพยนตร์ ผมไม่รู้ถึงเหตุผลรู้เพียงแค่ผมชอบที่ได้รู้จักพี่พลในตอนนั้น ถึงตอนนี้ผมตระหนักได้แล้วว่าการได้เจอหน้าพี่พลอีกครั้งในวันนี้เขาก็ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ท้องปั่นป่วน


เหมือนเป็น Butterfly effect ของผม




กว่าหนังจะเลิกก็ราวๆสี่ทุ่ม หนูนุ่นพุ่งกลับไปกับแฟนก่อนใครอื่น ตามด้วยไอ้เฟริสท์ที่รีบไปขึ้นรถไฟฟ้า เหลือพี่พล ไอ้บอม และผมกับสถานการณ์กระอักกระอวนเล็กน้อย ทั้งนี้ไอ้บอมขับรถมาเหตุการณ์ค่อนข้างบีบบังคับให้เหลือผมต้องกลับกับพี่พลเพราะไปทางเดียวกัน อีกทั้งพี่พลก็เอ่ยปากขึ้นมาเองว่าจะไปส่งผมที่คอนโดซึ่งผมไม่อยากอยู่เพียงลำพังกับเขา เหตุผลต่างๆก็นึกขึ้นมาใช้อ้างไม่ได้ ในตอนแรกผมนึกปฏิเสธด้วยว่าจะต้องไปรอกลับบ้านพร้อมกับบุญแต่บุญดันบอกว่าติดงานและไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะได้กลับคอนโดกี่โมง สุดท้ายก็เลยตามเลยอยู่ในรถของพี่พลจนได้

บนท้องถนนช่วงสี่ทุ่มเกือบห้าทุ่มไม่ได้ติดหนึบเช่นเวลาเร่งด่วน แต่ก็ไม่สามารถขับได้อย่างลื่นไหลนัก อย่างในตอนนี้รถของพี่พลติดไฟแดงอยู่ตรงบริเวณสี่แยกใกล้จะถึงคอนโด เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเป็นพิเศษซึ่งก็น่าแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่พี่พลดูนิ่งเฉยกว่าตอนที่เจอในห้องน้ำ เขาไม่ได้พูดทำนองว่าดีใจที่ได้เจอผมอีก แต่ก็ไม่ถึงกับเงียบหายไป มีบทสนทาเกี่ยวกับหนังที่เพิ่งรับชมไปบ้าง เรื่องร้านอาหารข้างทางที่เขาบอกว่าเคยกินแล้วพบว่ามันอร่อยจนอยากให้ผมได้ลองชิม ผมตอบรับบทสนทนานั่นได้อย่างดี เหมือนเก่าก่อน เหมือนตอนสมัยที่ผม… ยังชอบเขาอยู่

“นายกินปลาได้นี่หว่า จะบอกให้ว่ามีร้านนึงแถววงเวียนใหญ่ทำปลานึ่งอร่อยมาก แต่ร้านเสียงดังไปหน่อย ร้านแบบจีนๆอะ”

“ใช่ร้านรสเลิศรึเปล่า”

“เออ ร้านนั้นแหละ” พี่พลหันมาแล้วยิ้มให้ ก่อนจะหันกลับไปตั้งสมาธิกับการขับรถหลังจากที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว

ผมเบือนหน้าหนีมองไปทางอื่น ผมไม่ควรขึ้นรถคันนี้มา ไม่ควรตอบรับไมตรีของพี่พลเพราะมันทำให้ผมลำบากใจ

“อ้อ คอนโดนี้นี่เอง พี่ผ่านแทบจะทุกวัน”

ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากมองไปตามทางข้างหน้าที่คุ้นเคย พี่พลเลี้ยวเข้าไปทางที่จอดรถตามเส้นทางปกติ ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดแผกไปจากเดิม เพียงแต่คำถามหนึ่งประโยคจากอีกฝ่ายกลับรั้งผมไว้ให้ใช้เวลาอยู่ในรถคันนี้นานขึ้นอีก

“เราไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆนะ”

“…….”

มือของเขาค่อยๆวางลงบนมือของผม ฝ่ามือนี้ที่เคยสัมผัสก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยเช่นกัน

“แต่พี่อยากให้เราเปลี่ยนบ้าง อย่างน้อยก็อยากให้คุยกับพี่เหมือนเดิม”

ผมสารภาพว่าสิ่งที่ได้ฟังมันทำให้ผมตกใจไม่น้อย เขาคาดหวังอะไรจากคำตอบของผมอย่างนั้นหรือ

พี่พลโน้มตัวเข้ามาใกล้เพื่อสบตากับผม บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มละมุนละไมไม่ต่างไปจากเดิม “พี่กลับมาคุยกับเราเหมือนเดิมได้มั้ย”

“………..”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าที่เผลอไผลจ้องดวงตาคู่นั้น






ผมหลับไปโดยที่ไม่รู้สึกตัวเลยว่าบุญมาถึงห้องของเรากี่โมง เพราะเมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นเขานอนหลับเป็นตายอยู่ด้านข้างแล้ว บุญยังคงทำงานหนักและไม่ค่อยได้พักผ่อนเหมือนเดิม เขาบอกว่าอีกไม่นานก็จะไม่ต้องโหมงานหนักขนาดนี้แล้วเพราะโปรเจคหรือวิจัยอะไรสักอย่างใกล้จะจบลง และเขาก็ทำในส่วนแค่รักษาคนไข้ไปตามปกติ ผมได้แต่หวังให้เป็นเช่นนั้น บุญหลับลึกมากแม้แต่ตอนที่ผมขยับตัวเข้าไปก่ายกอดก็ยังไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ผมจูบหน้า จูบไปบริเวณกลุ่มผมของเขาและซบหน้าลงด้วยต้องการไออุ่นจากคนรัก เห็นแบบนี้ผมก็มีมุมอยากอ้อนบุญเหมือนกันนะถึงแม้เจ้าตัวจะยังหลับสนิทแถมกรนไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกชัดเจนอยู่ในตอนนี้นั่นก็คือความอบอุ่นที่คุกรุ่นอยู่ในห้วงอารมณ์ สุดท้ายก็นอนกอดบุญและหลับไปอีกรอบทั้งๆที่เพิ่งจะตื่นนอน







“ตื่นได้แล้วนาย”

ผมรู้สึกตัวจากเสียงปลุกของบุญ เขาสวมใส่เสื้อผ้าออกกำลังกายและตัวโชกเหงื่อคิดว่าคงจะไปฟิตเนสในคอนโดมาอย่างแน่นอน ผมยังคงงัวเงียนอนอยู่บนเตียงได้แต่ปรือตามองดูบุญถอดเสื้อออก

“ไม่สบายรึเปล่า” เขาถามหลังจากที่เดินเข้ามายืนใกล้ๆ มองเห็นเป้ากางเกงของเขาลอยไปลอยมาจึงเอื้อมมือไปคว้าไว้ และพบว่าโคตรจะเต็มไม้เต็มมือ “เฮ้ย จับทำไมวะ”

ผมหัวเราะลงคอเมื่อเห็นท่าทางตกใจของเขา บุญจับมือของผมออกแล้วนั่งลงด้านข้างผมจึงขยับเข้าไปนอนหนุนตัก พอได้อยู่ใกล้ๆก็ได้กลิ่นเหงื่อชัดเจน คงแปลกอยู่สักหน่อยที่ผมกลับชอบกลิ่นของบุญ “เมื่อคืนกลับมากี่โมง”

“ตีหนึ่งกว่าๆ”

“บุญรักงานมากกว่าเรา” นั่นคือสิ่งที่ผมคิดและพูดมันออกมาตรงๆ ไม่มีเกร่อนำไม่มีปีมีขลุ่ยใดๆทั้งสิ้น

“น้อยใจเหรอ”

“มันก็มีบ้างป่าววะที่รู้สึกแบบนั้น”

เขาถอนหายใจแต่ผมดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“บุญไม่รักเราแล้วเหรอ” ผมเงยหน้ามองอีกฝ่าย ไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจริงจังนักหรอกเพราะผมแค่จะแกล้งแหย่เขาก็เท่านั้น

“ห้ะ?”

“เห็นถอนหายใจ”

“อะไรวะ”

“ก็ถามไงว่าไม่รักเราแล้วเหรอ”

บุญมองผมแต่ไม่ได้ตอบคำถาม ในดวงตาที่สบมองอยู่นี้ครุ่นคิดอะไรบางอย่างและมันก็ทำให้ผมเริ่มหวาดหวั่น บางทีนี่อาจจะไม่ใช่การแหย่เล่นอย่างที่ผมคิดอีกแล้วก็เป็นได้

“เฮ้ย เราล้อเล่น แค่แกล้งเฉยๆ” ผมลุกขึ้นนั่ง รู้สึกตื่นเต็มตาด้วยจิตใจที่ระส่ำระส่ายกับการที่บุญทำหน้านิ่งๆ

“มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นสำหรับเราเลยว่ะนาย”

“………….”

“อย่าถามอะไรงี่เง่าแบบนี้อีก”










บางทีผมคงจะคิดน้อยไปจริงๆเพราะคำถามในตอนนั้นทำให้บุญมีท่าทีมึนตึงกับผม แม้จะคุยกันแต่ก็เป็นการถามคำตอบคำ ผมรู้สึกอึดอัดแล้วก็ได้พยายามง้อพร้อมกับอธิบายไปว่าแค่พูดเล่น แต่ดูเหมือนว่าบุญคิดมากกว่านั้น ประโยคที่ถามกลายเป็นเรื่องดราม่าสำหรับบุญ สารภาพตามตรงว่าในตอนนั้นผมคิดแค่จะล้อเล่นทำเป็นสะดิ้งงอนที่บุญไม่ค่อยมีเวลาให้ ผมแทบไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำว่ามันจะส่งผลกระทบกับบุญอย่างไร เมื่อลองไตร่ตรองก็นึกไม่ออกอีกเช่นกันว่าทำไมประโยคนั้นถึงได้จี้ต่อมดราม่าของบุญขนาดหนัก แต่ผมไม่กล้าถามสิ่งใดกับบุญอีกเพราะกลัวว่าจะไปซ้ำเติมจี้จุดใดๆให้เขาขุ่นเคืองมากกว่าเดิม วันอาทิตย์ที่ผมควรได้นอนกกกอดกับบุญกลับกลายเป็นวันอาทิตย์ที่เงียบเชียบและเต็มไปด้วยความอึมครึม

บุญนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์อะไรสักอย่างอยู่ที่ระเบียง สูบบุหรี่ชนิดหมดหนึ่งมวนแล้วต่อด้วยมวนต่อไปทันที เขาไม่เคยเป็นแบบนั้นมาก่อนและการที่เขาเป็นแบบนั้นก็ทำให้ใจของผมห่อเหี่ยวลงอีกหลายเปอร์เซ็นต์ มันเป็นเพราะผม เกิดขึ้นจากปากพล่อยๆของผม เกิดขึ้นจากการไม่ยั้งคิดของผม แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรอีกเช่นกันเพื่อให้บุญรู้สึกดีขึ้นบ้าง ผมจึงได้แต่นอนดูหนังดูซีรี่ส์ไปเรื่อยเปื่อยให้วันอาทิตย์หมดไปอย่างไร้ค่า จนกระทั่งบุญกลับเข้ามาในห้องเพื่อหยิบน้ำผมจึงเดินเข้าไปหา เขาเหลือบมองแต่ไม่ได้พูดอะไรเหมือนอย่างที่เคยเป็นตามปกติ และผมก็นึกประโยคเริ่มต้นไม่ได้ การง้อคนไม่ใช่เรื่องที่ผมถนัดสักเท่าไหร่ บุญเดินไปนั่งลงบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นและเปิดอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ต่อ ผมไม่กล้ารบกวนเวลาอ่านหนังสือของบุญ สิ่งที่ทำก็คือการนั่งอยู่ด้านข้าง นั่งเฉยๆไม่ได้ทำอะไรนั่นแหละ พอนั่งนานๆก็รู้สึกง่วงขึ้นมาจึงเอนหัวพิงขอบโซฟาและคิดว่าตัวเองคงจะต้านทานความง่วงไม่ไหว

รู้สึกตัวอีกทีเพราะเสียงนาฬิกาปลุก ห้องทั้งห้องมืดสลัว ร่างของผมนอนยืดยาวอยู่บนโซฟา พอลุกขึ้นนั่งก็ไม่เห็นบุญอยู่ในห้อง ไม่มีโน้ตใดๆแปะไว้ผมจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูก็ยังไม่พบข้อความใดๆจากบุญ ผมกดโทรออกแต่ไม่มีคนรับสาย สถานการณ์แบบนี้ผมทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ไม่เคยมีสักครั้งที่บุญจะโกรธผมนานมากขนาดนี้ ผมมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งตัดสัญญาณเนื่องจากไม่มีคนรับ หน้าจอของผมบ่งบอกว่ามันเป็นเวลาตีสี่ครึ่งและผมก็ต้องเตรียมตัวออกไปทำงานแล้ว








 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด