- Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)  (อ่าน 81361 ครั้ง)

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (2/3) P.2 (28-Nov-18)
«ตอบ #60 เมื่อ28-11-2018 22:10:23 »




รถตู้ของกองถ่ายล้อหมุนในเวลาตีห้านิดหน่อย เดินทางมาถึงที่หมายฟ้ายังไม่ทันสว่างผมก็เริ่มทำงานทันทีเพราะต้องรีบเซ็ทฉาก ทั้งง่วง ทั้งต้องรีบทำงาน สมองประมวลผลช้า คนในกองถ่ายวุ่นวาย ทุกอย่างทำให้ผมลืมเรื่องของบุญไปเลยในตลอดเช้านั้น หลังจากทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้วจึงปลีกตัวออกมากินข้าวกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน ผมโดนชวนไปสังสรรค์ต่อในราตรีนี้แต่ปฏิเสธเพราะอยากกลับไปนอน

“โห่ อะไรกันครับเนี่ย ติดแฟนเหรอครับ” พี่ทศทำเสียงกวนประสาทหลังจากที่โดนผมปฏิเสธ “นี่พี่ชวนนะเว่ย ไปเหอะ พาแฟนมึงไปด้วยก็ได้ เสี้ยนเหล้าไม่ไหวแล้วคืนนี้ต้องได้กินอะ”

“ผมขอนอนเถอะ” ผมตอบกลับไป จริงๆแล้วในกลุ่มของเราค่อนข้างสนิทกันแบบเพื่อน อาจจะมีมึงมาพาโวยกันบ้างตามประสาแต่พวกเขาก็คือกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่มากประสบการณ์และคอยสอนงานต่างๆให้ผม ส่วนเรื่องแฟนเนี่ยผมไม่เคยเล่าอะไรให้ใครฟังหรอก แต่เขาเดากันว่าที่ผมเลิกงานปุ๊ปก็ตรงกับห้องปั๊ปเพราะว่าติดแฟน มันก็อาจจะใช่ส่วนหนึ่งนะ แต่อีกส่วนที่ผมเลิกงานแล้วอยากกลับบ้านก็เพราะเหนื่อยเท่านั้นแหละไม่มีอะไรไปมากกว่านี้

“ทำไมวะ แฟนไม่ให้เที่ยวเหรอ แต่ก่อนหน้านี้มึงก็ไปได้นี่” คราวนี้เป็นพี่ไทพูดขึ้นทั้งๆข้าวยังเต็มปาก “ตี๋หิดชิ้บหายไอ้นาย”

ผมหัวเราะกับคำผวนของพี่ไท แต่พี่ทศกลับทำหน้างงเพราะพี่ทศผวนคำไม่เป็น นึกอยู่ในใจว่าผมไม่ได้ตี๋หิดสักหน่อยเพราะบุญไม่มีตี๋ให้หิด จะว่าไปผมก็ไม่เคยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้พี่ที่ทำงานฟังเลย เพราะไม่รู้ว่าพวกเขาจะรับได้มากน้อยสักแค่ไหนกับสิ่งที่ผมเป็น แต่ก็ใช่ว่าจะสนใจหรอกถ้าพวกเขารับไม่ได้ที่ผมชอบผู้ชาย

“อ๋ออออ ตี๋หิด ไอ้ไท มึงนี่แม่งจังไรจริงๆ ว่าแต่ทำไมวะไอ้นาย แฟนมึงไม่ให้เที่ยวจริงๆเหรอ”

“เปล่า ไม่เคยห้ามเลย แต่ผมอยากนอน”

“อ้าว สรุปมึงมีแฟนแล้วจริงๆด้วย ปล่อยให้พวกกูเดามาตั้งนาน” พี่ทศตีเข่าเอาช้อนชี้หน้าผมหลังจากที่ได้ยินประโยคก่อนหน้านี้ สุดท้ายผมก็เผลอหลุดพูดออกไปจนได้แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอก “แล้วแฟนผู้หญิงหรือผู้ชายวะ”

คราวนี้เป็นผมต่างหากที่หน้าเหวอ คำถามนี้สิค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่พอควร พี่ไทกับพี่ทศเองก็ดูจะไม่ได้แสดงอาการล้อเล่นเลย ผมเงียบยังไม่กล้าตอบสิ่งใด

“พวกกูไม่ได้จะว่าอะไรนะ แต่บอกความจริงมาเหอะ ขี้เกียจจะเดาแล้ว”

“เออ เอาจริงๆ มึงเฉลยมาเถอะ”

พวกเขาทั้งสองจ้องหน้าผมเพื่อรอคำตอบ

“ครับ”

“ครับฆวยไรไอ้นาย มึงมีแฟนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” พี่ไทชักคงจะเริ่มรำคาญที่ผมไม่ยอมตอบ

ผมทำหน้ามึนเมื่อยังคงถูกตื๊อถาม ลังเลระหว่างจะพูดความจริงหรือปฏิเสธความจริง

“นาย”

พวกเราสามคนหันไปตามต้นเสียง เสื้อผ้าของเขาเนี้ยบกริบ ทรงผมย้อนยุคเซ็ทมาอย่างดี กลิ่นน้ำหอมของคนที่เพิ่งเข้ามายืนอยู่ด้านหลังปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย ทุกอย่างของผู้ชายคนนี้แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย

“เรามาทำงานที่นี่เหรอ”

“ครับ”

“อ้าว งั้นแสดงว่าบริษัทเรารับงานจากบริษัทของพี่นะสิ เดี๋ยวคุยกันนะ พี่มีพรีเซ็นต์งาน”

เขาว่าอย่างนั้นแล้วเดินจากไปทันที ดูท่าทางแล้วคงจะรีบจริงๆนั่นแหละ บริษัทที่พี่พลทำงานเป็นบริษัทโฆษณาซึ่งผมคิดว่าคงจะได้ว่าจ้างบริษัทที่ผมทำงานมารับทำในส่วนของการถ่ายทำโฆษณาตัวหนึ่ง คำว่าโลกกลมคงจะใช้ได้กับสถานการณ์แบบนี้ พี่ทศกับพี่ไทส่งสายตาสงสัยจนผมนึกขำขัน ไม่ได้ถือสาอะไรกับพวกพี่เขาหรอกหากจะอยากรู้เรื่องส่วนตัวของผมบ้าง

“รุ่นพี่สมัยเรียน” ผมเฉลย หลังจากนั้นพวกเขาก็พยักหน้ารับรู้

“โอ้โห กลิ่นน้ำหอมติดจมูกกูเลยนะเนี่ย” พี่ไททำจมูกฟุดฟิดก่อนจะจ้วงอาหารกล่องกินต่อ “ว่าแต่มึงเฉลยมาสักทีเถอะ”

“ไอ้ไท อย่าไปคาดคั้นมันเลย เรื่องส่วนตัวเดี๋ยวน้องมันอึดอัด” พี่ทศกล่าวแล้วเอื้อมมือมาตบไหล่ผม “ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”

“ไม่ได้อึดอัดพี่ แต่ผม...” ผมเว้นจังหวะเพื่อครุ่นคิดอีกครั้งกับสิ่งที่จะพูดออกไป มองหน้าพี่ทศกับพี่ไทที่ยังคงไม่แสดงสีหน้าหยอกเล่นก่อนจะตัดสินใจพูดความจริง “แฟนผมเป็นผู้ชาย”

“อิกล้วย! อิกล้วย! มึงมานี่เดี๋ยวนี้เลย”

“เชี่ยเอ้ย เสียเงินจนได้กู”

ผมช็อคไปชั่วขณะที่อยู่ๆพี่ไทก็ตะโกนเรียกพี่กล้วยซึ่งเป็นคอสตูมประจำกองถ่าย พี่ทศบ่นงึมงำพลางล้วงกระเป๋าตังค์ออกมา พี่กล้วยที่กำลังยืนรีดผ้ารีบตรงดิ่งเข้ามาในชุดผ้าชีฟองพลิ้วไหวสีพาสเทล บนศีรษะโผกผ้าสีเดียวกับชุด มือทั้งสองข้างเท้าสะเอวเป็นท่าประจำยืนประจันหน้ากับพี่ไท

“อะไรอิไท” เสียงของผู้ชายที่แสร้งทำสูงแหลมกว่าปกติเอ่ยขึ้น “เรียกซะกูตกใจจนไข่หดเลยนะ อิเวร”

“แฟนไอ้นายเป็นผู้ชาย”

“นั่นไง กูว่าแล้ว เกย์ด้ากูมันแม่นจริงๆ เอาเงินกูมาอิทศกัณฐ์” ประโยคหลังพี่กล้วยหันไปบอกพี่ทศพร้อมกับแบมือขอเงิน ซึ่งผมก็พอเดาได้แล้วว่าพวกเขาพนันเรื่องของผมไว้ “เวลคัมทูเดอะเรนโบว์คลับนะคะอินาย ในฐานะที่กูเป็นเกย์รุ่นพี่กูขอให้มึงไปแดกเหล้ารับน้องกับกูในคืนนี้”

พี่ทศวางธนบัตรสีเทาไว้บนมือของพี่กล้วย โอดครวญนิดหน่อยตามประสา “กูชวนแล้วแม่งไม่ไป”

“ไม่ได้ มึงต้องมาอินาย เจอกันคืนนี้ แล้วเหลาทุกเรื่องของมึงมาให้หมด”

ผมมองตามชายเสื้อสีพาสเทลของพี่กล้วยที่เดินออกไปแล้วด้วยอาการจับต้นชนปลายไม่ถูก ได้สติอีกทีพี่ทศก็กำลังคร่ำครวญกับเงินจำนวนสามพัน บ่นกะปอดกะแปดกับพี่ไทที่นั่งขำไม่หยุด สุดท้ายคืนนี้ผมก็ต้องไปเที่ยวสินะ







7:29 PM.
‘คืนนี้กลับดึก มากินเหล้ากับที่ทำงาน’



ผมส่งข้อความบอกบุญหลังจากที่มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์



7:30 PM.
‘Ok’



บุญตอบกลับมาแค่นั้นแสดงว่าเขายังคงโกรธผมอยู่ ผมนึกอยากโทรหาแต่ก็ยังลังเล คิดว่าจะไปเซอร์ไพรซ์ที่โรงพยาบาลแต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้บุญอยู่ไหน บางทีพออยู่ในกองถ่ายผมก็ไม่ได้ดูโทรศัพท์มือถือเลย มีเวลาว่างกินข้าวก็จริง แต่ผมก็ง่วงมากจนต้องแอบงีบนอนก่อนจะต้องไปเตรียมเก็บของหลังจากการถ่ายทำเสร็จสิ้น บางทีถ้าคนไม่พอผมก็ต้องมาทำหน้าที่อื่นๆแล้วแต่สถานการณ์จะพาไป เรียกว่าทั้งวันวุ่นวายมากจนไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้นแหละ เรื่องที่จะโทรหาบุญ เรื่องที่จะนั่งนึกคำพูดสวยหรู หรือแม้แต่ประโยคเริ่มต้นในการง้อบุญผมก็ยังลืมนึกไปเลย แต่เวลานี้ตอนนี้พวกพี่ทศพี่ไทและพี่กล้วยก็ดึงผมให้เข้าสู่อีกโลกจนลืมเรื่องของบุญไปอีกเหมือนเดิม

ผมกระจ่างเรื่องราวการพนันของพวกพี่ทศพี่ไทและพี่กล้วย พวกเขาต่างสงสัยเรื่องส่วนตัวของผมและพนักกันว่าผมจะมีแฟนเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง โดยที่พี่ทศพนันว่าผมมีแฟนเป็นผู้หญิง ส่วนพี่กล้วยกับพี่ไทพนันว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย เราดื่ม กิน และพูดคุยกันด้วยเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว สัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย จะมีก็เรื่องของพี่กล้วยนี่แหละที่ทำให้ผมตกใจอยู่ไม่น้อย เขาเป็นคนรูปร่างดี ตัวสูง มีกล้ามไม่ผอมแห้ง แต่ชอบแต่งตัวสาวด้วยเสื้อผ้าสีพาสเทลและมีความพลิ้วไหวบางเบา ลักษณะท่าทาง การจีบปากจีบคอพูด ทุกอย่างของพี่กล้วยทำให้ผมตัดสินเขาไปแล้วว่าเป็นพี่สาว แต่เมื่อพี่กล้วยเล่าให้ฟังถึงเรื่องส่วนตัวที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น อย่างเรื่องบนเตียงผมพบว่าพี่กล้วยเป็นฝ่ายรุก ทั้งผม พี่ทศ และพี่ไท อ้าปากค้างตะลึงงัน

“โอ้ย อิพวกนี้ เลิกตกใจแล้วมาชนแก้วให้กับความจริงของกูกันเถอะค่า”

พวกเราชนแก้วกันแล้วดื่มจนหมดเกลี้ยงก่อนที่ผมทำหน้าที่เติมเครื่องดื่มไม่ให้ขาดตกบกพร่อง

“ไหนเอาหน้าแฟนมึงมาให้กูดูหน่อยซิ” พี่ไทกล่าวแล้วดื่มสาเกที่ผมเพิ่งเติมให้จนหมด

พี่กล้วยเบะปากทำหน้ามีจริตไปตามประสาก่อนแต่ก็ยอมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดโชว์รูปแฟนหนุ่ม มันเป็นรูปของแฟนพี่กล้วยแบบเดี่ยวๆ เป็นผู้ชายที่ดูทั่วไปในชุดนักศึกษา ใส่แว่น ผมคิดว่าเขาค่อนข้างจะตัวเล็กกว่าพี่กล้วยด้วยซ้ำ

“เรียนอยู่เหรอวะแฟนมึงอะ”

“อย่าเอ็ดเสียงดังไปค่าอิไท” พี่กล้วยขยิบตาแล้วยกแก้วสาเกขึ้นจิบ “ว่าแต่ว่า อินาย เหลาเรื่องของมึงมาให้หมดเปลือกเลยค่ะ เริ่มจากคบกับแฟนคนปัจจุบันมานานแล้วหรือยัง”

“ผมจำไม่ได้” ผมตอบไปตามจริง ไม่มีอะไรต้องปิดบังแต่พวกพี่ทั้งสามคนกลับทำหน้าตกใจ “ผมจำไม่ได้จริงๆว่าคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“แล้วใครจีบใครก่อนวะ” พี่กล้วยถาม

“ไม่รู้เหมือนกันอะ” ผมทำหน้าซื่อเพราะนึกไม่ออกจริงๆว่าใครเริ่มจีบใครก่อน เราก้ำกึ่งระหว่างความเป็นเพื่อนที่มากกว่าเพื่อนมาตลอด รู้แค่ว่าตอนที่บุญขอคบกันนั้นผมก็มั่นใจว่าอยากจะก้าวไปมากกว่าเพื่อน แต่ถ้าจะให้ผมจำวันเวลาอะไรทำนองนั้นผมจำไม่ได้หรอก “ผมเป็นเพื่อนกับเขามาก่อน”

“แฟนคนแรกป้ะ”

ผมพยักหน้ารับ จ้วงมันฝรั่งทอดและกับข้าวอื่นๆตรงหน้ากินไปเรื่อย

“เอารูปมาดูหน่อย”

ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่เมื่อโดนสายตารบเร้าก็ยินยอมเปิดรูปของบุญให้พวกเขาดู

“ว้าย เป็นหมอด้วย ร้ายนะอินาย” พี่กล้วยทำเป็นกระดี้กระด้าก่อนจะถูกพี่ทศแย่งโทรศัพท์มือถือไป

“เหยด เล่นกล้ามด้วยนี่หว่า แขนมีความล่ำ” พี่ทศที่ครองโทรศัพท์มือถือกล่าว เขาคงจะเลื่อนดูไปเรื่อยๆจนถึงรูปที่บุญไปทะเลกับผม และใช่บุญถอดเสื้อโชว์กล้าม มันไม่ใช่กล้ามปูขนาดคริส เฮมเวิร์ธหรือกัปตันอเมริกาอะไรหรอกนะ แต่ก็เห็นแหละว่าหุ่นของเขาผ่านการออกกำลังกายมามากพอสมควร

“เออ แล้วที่มึงบอกว่าทำให้เขาโกรธนี่เรื่องอะไร” พี่ไทจี้ถามตรงประเด็นไม่มีอ้อมค้อมเล่นเอาผมคิดคำตอบไม่ทัน

“ไม่มีห่าอะไรต้องปิดบังแล้วค่ะอินาย เพราะแม้แต่เรื่องลี้ลับของกู กูยังมอยเลย แต่ก็แค่มอยกับพวกมึงอะนะ”

ผมมองพี่กล้วยที่สะบัดชายผ้าทำท่าทางกรีดกราย ดูยังไงก็นึกไม่ถึงหรอกว่าเขาจะเป็นฝ่ายรุก “ก็ไม่ได้จะปิดบังอะไรนะพี่กล้วย แต่ผมแค่กำลังคิดว่าจะเริ่มพูดยังไงดี”

“อ้าว งั้นแดกแก้วนี้ให้หมดซะ เผื่อเวลาเมาแล้วจะได้พูดคล่องขึ้นอิดอก” ว่าแล้วพี่กล้วยก็นำทีมดื่มสาเกหมดแก้ว “พูดมาอินาย”

“พวกพี่ก็เห็นว่าเขาเป็นหมอ ทำงานแม่งทั้งวัน นี่ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันผมคงไม่ได้เจอหน้าเขาเลย”

“อินี่แรดนะคะ อยู่กินกันแล้วด้วยงี้”

“มึงก็ทำเป็นปากดีอิกล้วย มึงก็อยู่กับแฟนมึงเหมือนกันนั่นแหละ” พี่ทศพูดแทรกขึ้นมา เสียงเริ่มดังเพราะว่ากลุ่มของผมคงจะกรึ่มๆเมาเครื่องดื่มกันแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพี่กล้วยก็ลอยหน้าลอยตาไม่ได้สนใจคำพูดของพี่ทศ

“ผมไปพูดว่าเขารักงานมากกว่าผม ไปพูดทำนองว่าเขาไม่ได้รักผมแล้ว รักแต่งานไรเงี้ย คือผมก็พูดเล่นแต่โดนโกรธจริงๆเฉยเลย”

“อ้าว ไอ้นายมึงปากไม่ดีเองอะ”

ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองทำหน้างอหลังจากได้ยินคำพูดของพี่ไท “แม่งโกรธอะไรผมนักหนาก็ไม่รู้ ง้อก็แล้วอะไรก็แล้วยังไม่ยอมคุยกันดีๆเลยอะ”

“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาไอ้น้อง” พี่ทศตบบ่าผมไม่เบาแรงเป็นการปลอบ

“พอๆ ดราม่าพอแค่นี้นะคะ ถ้าจะคุยเรื่องแฟนก็ขอให้คุยเรื่องหมอนมุ้งจะดีกว่าเพราะกูอยากรู้ ไหนอินายมึงเหลามาซิว่าแฟนเยเป็นยังไงบ้าง”

ผมหลุดหัวเราะร่วมไปกับพวกพี่ๆทั้งสามคนหลังจากบทสนทนาได้เปลี่ยนฉับกะทันหัน เราดื่มค่อนข้างหนักนึกไม่ออกเหมือนกันว่าพรุ่งนี้จะได้ไปทำงานกี่โมง เพราะถึงแม้จะไม่มีออกกองแล้วแต่ก็ยังต้องเข้าออฟฟิศอยู่ดี ในคืนนั้นเราหยิบเรื่องต่างๆขึ้นมาคุยกันมากมายตามประสาคนวัยทำงาน พี่ไทดราม่าเรื่องครอบครัวของแฟนสาวที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบพี่ไท พี่ทศมีปัญหากับญาติที่ชอบมาขอยืมเงิน แต่ในตอนที่เราคุยกันด้วยหัวข้อครอบครัวอยู่ๆพี่กล้วยก็พูดเรื่องกรณีขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เราแสดงความคิดเห็นกันยกใหญ่ทั้งจริงจังทั้งหยอกล้อ ยิ่งดึกก็ยิ่งเมา ยิ่งเมาก็ยิ่งพูดมาก กว่าจะรู้ตัวว่าเมาก็ตอนที่นอนหลับไปบนโต๊ะนั่นแหละ





เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเวลาที่ตั้งไว้ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา ผมควานหาโทรศัพท์มือถือเพื่อจะกดปิดเสียงแต่ช่วงนั้นเองที่เสียงนาฬิกาปลุกกลับเงียบลงไป แม้จะง่วงแต่ผมไม่ได้ขาดสติ ความหวาดระแวงปลุกให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมองไปทั่วห้อง คุ้นตาว่าเป็นห้องของตัวเองก็โล่งใจส่วนเรื่องกลับมาถึงห้องได้ยังไงดูเหมือนความทรงจำช่วงนั้นจะมืดมิด พอมองไปอีกด้านก็เห็นร่างๆหนึ่งนอนอยู่ ผมขยับตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายและกอดไว้แน่นแต่ท่าทางของเขากลับนิ่งเฉยไม่กอดตอบไม่ขยับตัวออกห่าง

“เมื่อคืนไปรับเราเหรอ” ผมเอ่ยถามและกอดเขาไว้แน่น

“อืม” เขาตอบแล้วเอื้อมตัวไปหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูเวลา “เราไปอาบน้ำก่อนนะ”

ผมรู้สึกวูบโหวงอยู่ในใจเมื่อบุญลุกออกไปหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ เขายังคงมีท่าทีมึนตึงอย่างเห็นได้ชัดแล้วผมก็จนปัญญาจะหาคำพูดมาง้อจึงได้นิ่งเงียบ ได้แต่ภาวนาในใจว่าบุญจะหายโกรธในเร็ววัน

หลังจากบุญอาบน้ำเสร็จก็ถึงเวลาของผมบ้าง โชคดีที่คอนโดของเราอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสะดวกกับการเดินทางไปทำงานจึงไม่ต้องรีบตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ โดยปกติแล้วเราจะออกไปทำงานพร้อมกันแต่วันนี้เมื่อผมออกมาจากห้องน้ำก็เห็นบุญกำลังยืนผูกเนคไทอยู่หน้ากระจก ทำท่าเหมือนจะออกไปโดยไม่รอผมเหมือนเช่นเคย

“จะออกไปก่อนเหรอ”

บุญส่งเสียงตอบรับอยู่ในลำคอ จากนั้นผมก็เงียบแล้วแต่งตัวเพื่อไปทำงาน หากจะว่ากันตามตรงผมไม่กล้าพูดอะไรมากนักเพราะยังคงกลัวว่าคำพูดของผมจะไปสะกิดให้บุญไม่พอใจไปมากกว่านี้

“นาย” ผมหันไปด้านหลังเห็นบุญกำลังเดินเข้ามา เขามองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นช็อคโกแลตก้อนเล็กมาให้ “กินน้ำเยอะหน่อยนะวันนี้”

“อืม” ผมตอบรับมันมาแต่ยังไม่กินเข้าไป

“ถ้าปวดหัวมากก็อย่าฝืน” เขาส่งขวดน้ำให้ผมรับมันมาและดื่มไปอึกใหญ่ “เราไปทำงานก่อนนะ”

บุญคงรู้ว่าผมปวดหัวจากอาการเมาค้าง แม้ว่าจะยังคงโกรธผมอยู่แต่ก็ยังคอยดูแล หากเป็นเวลาปกติผมจะกอดเขา ผมจะบอกให้เขาอยู่ดูแลผมนานกว่านี้ แต่ตอนนี้ผมไม่กล้า สิ่งที่ทำได้คงจะเป็นเพียงแค่มองดูบุญเดินออกไปจากห้อง






“อินายๆ”

ผมทำหน้าสงสัย หลังจากเพิ่งก้าวเท้าแรกเข้าสู่ออฟฟิศพี่กล้วยก็กวักมือเรียกอย่างยกใหญ่ พี่กล้วยอยู่ในชุดกรุยกรายแบบเดิมในโทนสีขาวและโผกหัวสีเดียวกัน พอเดินเข้าไปพี่กล้วยก็รวบคอผมเดินออกไปแถวห้องอาหาร

“มึงมันร้ายนะอินาย ทำมาเป็นซุ่มเงียบ” เขาว่าพลางแกะขวดน้ำเกลือแร่ดื่ม “แฟนมึงหุ่นแซ่บมากอิดอก”

ผมหัวเราะเพราะเห็นจริตของพี่กล้วยแล้วรู้สึกบันเทิงดี “แล้วเมื่อคืนพี่โทรไปบอกให้เขามารับผมเหรอ”

“โถ น้องกู มึงเมาหลับคาโต๊ะ โชคดีว่าแฟนของมึงโทรมากูก็เลยรับสายบอกให้มารับมึงกลับไป ไม่งั้นมึงก็ต้องไปนอนบ้านอิทศนั่นแหละ แม่งเป็นหัวหน้ามึงแท้ๆวันนี้มันยังไม่โผล่หางมาเลยอิห่า”

“ไม่โผล่หางห่าอะไรอิกล้วย กูไปคุยงานมาตั้งแต่เช้า” คนที่โดนนินทาเดินเข้ามาในห้องครัวแล้วเอาม้วนกระดาษฟาดพี่กล้วยเต็มแรง “งานเข้าแต่เช้าเลยไอ้ห่า”

“งานอะไรวะพี่” ผมหยิบม้วนกกระดาษที่พี่ทศโยนลงบนโต๊ะขึ้นมาเปิดดู และพบว่ามันเป็นภาพร่างของผลิตภัณฑ์ที่ไปถ่ายทำเมื่อวาน แต่คนละแบบ

“แม่งเอาโปรดักส์มาให้ผิด ต้องถ่ายใหม่”

ผมพยักหน้ารับ แล้วฟังพี่ทศพูดเรื่องงานแบบเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง นอกจากจะง่วงและปวดหัวนิดหน่อยจากอาการเมาค้าง ในใจก็ค่อนข้างหงุดหงิดมากอยู่เหมือนกันที่ต้องถ่ายแก้งานใหม่อีก

พวกเรารวมกลุ่มทานอาหารเช้านิดหน่อยอยู่ในห้องอาหารพักหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนย้ายไปเตรียมของสำหรับถ่ายงาน กว่าจะไปถึงสตูดิโอที่เดิมก็เกือบสิบเอ็ดโมง เราลงมือทำงานกันทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมจดจ่ออยู่กับงาน ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเพราะต้องรีบถ่ายทำเนื่องจากคิวของนักแสดงที่ร่วมงานด้วยนั้นค่อนข้างแน่น นับว่าเป็นโชคดีที่คิวงานของนักแสดงบังเอิญมีช่วงว่างในตอนนี้พอดิบพอดี อุปกรณ์ต่างๆที่เคยรื้อต้องรีบประกอบเข้ากันใหม่ ผมวุ่นวายอยู่กับพี่ไท พี่ทศคุมงานช่างไฟ ส่วนพี่กล้วยกำลังด่าเด็กฝึกงานเรื่องแก้ชายตะเข็บเสื้อผ้า ในกองถ่ายวุ่นวายจนถึงที่สุดแต่สุดท้ายเมื่อทุกคนร่วมมือร่วมใจกันสถานการณ์ก็คลี่คลายไปในทางที่ดี

“นาย”

ผมหันหลังไปตามเสียง เป็นอีกครั้งที่ได้เจอพี่พล จะว่าแปลกใจก็ไม่น่าใช่เพราะสตูดิโอที่ถ่ายงานใหม่นี้อยู่ในบริษัทที่พี่พลทำงาน แต่วันนี้ดูท่าทางพี่พลจะไม่รีบร้อนเหมือนเมื่อวาน

“โทษทีนะ พอดีคนที่รับงานนี้เป็นเด็กใหม่ เลยสื่อสารกันพลาดนิดหน่อย”

ผมพยักหน้าเข้าใจพลางมองอีกฝ่ายที่กำลังนั่งลงด้านข้าง เราเงียบกันไปพักหนึ่ง การถ่ายทำข้างหน้านี้คงจะเป็นจุดสนใจที่ทำให้สถานการณ์ระหว่างผมกับพี่พลไม่กระอักกระอวนมากนัก

“เราออกไปคุยข้างนอกกันมั้ย”

ผมเข้าใจว่าเมื่ออยู่ในช่วงที่กล้องเดินทุกอย่างต้องเงียบพี่พลจึงชวนออกไปคุยด้านนอก ดวงตาที่สบมองด้วยความหวังนั้นทำให้ผมค่อนข้างอึดอัด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เดินตามเขาออกไป

ห้องที่พี่พลพามานั้นเป็นห้องทำงานของหัวของเขาเอง แต่หัวหน้าไม่อยู่มันจึงกลายเป็นเหมือนห้องว่างหนึ่งห้อง เราไม่ได้ปิดประตู ไม่มีท่าทีลับๆล่อๆอะไรเลย เพียงแต่ไม่มีใครสนใจพวกเราเลยต่างหาก ผมนั่งลงบนเก้าอี้ของแขกส่วนพี่พลยืนพิงขอบโต๊ะ

“คืนดีกับบุญแล้วหรือยัง”

ผมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ มองใบหน้าของพี่พลแล้วนึกถึงเมื่อหลายวันก่อน ทุกอย่างมันเริ่มจากวันนั้น วันที่พี่พลไปส่งผมที่คอนโด ผมรู้ว่าการตอบรับในครั้งนั้นหมายถึงการยินยอมให้พี่พลกลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง เราไม่ได้คุยกันนานแค่ไหนผมก็จำไม่ได้หรอกเพียงแต่เมื่อได้กลับมาคุยกันอีกครั้งผมพบว่าเรายังสามารถคุยกันได้เหมือนเก่าก่อน เริ่มแรกเราคุยกันด้วยเรื่องทั่วไปเหมือนคนรู้จักที่ได้กลับมาเจอกัน หากจะนับว่าเป็นความผิดพลาดก็คงเป็นเพราะผมที่เล่าเรื่องของบุญให้พี่พลฟัง ตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากอยากระบายสิ่งที่นึกคิดบ้าง จากข้อความในแอพพลิเคชั่นที่เคยโต้ตอบกันแค่ไม่กี่ประโยค การถามคำตอบคำ การเว้นระยะเวลาตอบ ทุกอย่างมันบ่งชี้ว่ามีความถี่ขึ้น ผมตอบข้อความของพี่พลบ่อยขึ้น เริ่มคุยด้วยประโยคยืดยาว จนไปถึงวันที่ผมยอมให้หมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปและพี่พลก็โทรมาเพียงแค่บอกว่าเขาดีใจแค่ไหนที่เราได้กลับมาคุยกันอีก

“นายไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”

พี่พลยังคงวางสายตาไว้จุดเดิม นิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรไปอีกพักใหญ่

“เฮ้ย พล อยู่นี่นี่เอง พี่โป้งบอกว่าไฟล์งานของคุณออยอยู่ที่พล ส่งให้พี่ด้วย” คนที่เพิ่งชะโงกหน้าเข้ามาในห้องพูดรัวเร็วและไม่ได้สังเกตเห็นผมที่นั่งอยู่ “ขอตอนนี้เลยนะ พี่ต้องใช้แล้ว” เขาแทบจะไม่ได้เหลือบมองผมเลยในตอนที่เดินออกไปจากห้องพร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือต่อ

พี่พลถอนหายใจยาวพลางขยับเข้ามาใกล้ เขาวางมือลงบนไหล่ของผม มอบรอยยิ้มให้ “เสร็จงานแล้วรอพี่ก่อนนะ จะพาไปกินข้าว”





ผมไม่คิดว่าพี่พลต้องการอะไรมากกว่าแค่อยากคุยในฐานะพี่น้อง
แต่ไม่รู้สิ เรื่องราวที่เราคุยกันมันเริ่มลึกลงไปเรื่อยๆมากขึ้นทุกที
และผมก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของบทสนทนาระหว่างเรา


************************************




ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #61 เมื่อ28-11-2018 22:14:40 »

ตอนพิเศษ พี่พล (3/3)



พี่พลบอกว่าหลังเลิกงานเขาจะพาไปกินข้าว แต่ดูเหมือนว่าเพราะงานที่ยังคั่งค้างของเขาทำให้เวลาล่วงเลยยาวนานจนผมใกล้หมดความอดทน ผมไม่แน่ใจนักว่าพี่พลมีความตั้งใจในคำพูดนั้นมากขนาดไหน เขาอาจจะลืม เขาอาจจะไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่พูดเลยก็เป็นได้ แต่ผมจะไม่นั่งรอเขาแบบนี้หรอกสุดท้ายจึงตัดสินใจแวะไปหาเขาที่โต๊ะทำงานเพื่อไถ่ถามให้แน่ชัด

สายตาของเพื่อนร่วมงานต่างมองมาที่ผมด้วยความสงสัย มันก็แน่ล่ะผมเป็นคนนอก

“นายกลับก่อนนะ” ผมบอกกล่าวพี่พลที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการทำอะไรสักอย่างกับคอมพิวเตอร์

“จะเสร็จแล้ว รอโหลดไฟล์แป้บนึง” เขาว่าอย่างนั้นก่อนจะตะโกนเรียกคนที่ชื่อก้อยให้ช่วยปิดคอมฯให้หลังจากที่โหลดไฟล์เสร็จ “ผมฝากไฟล์ไว้ในคลาวนด์อยู่ ถ้าเสร็จแล้วผมฝากปิดคอมด้วยนะ อย่าลืมลงเวลาโอทีด้วยล่ะ” พี่พลคว้ากระเป๋าของตัวเองเก็บของส่วนตัวอยู่พักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม “ไปเถอะ พี่หิวข้าวจะเป็นลมแล้ว”






ร้านอาหารที่เรามากินกันนั้นอยู่ในห้างใกล้ที่ทำงานของพี่พล เรานั่งกินข้าวกันเงียบๆไม่ได้พูดอะไรกันมากนักเพราะพี่พลมัวแต่คุยโทรศัพท์มือถือกับใครสักคนที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน เขาดูหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่งานมีปัญหาแต่ถึงอย่างนั้นเมื่อวางสายลงเขาก็หันมายิ้มให้ผม กลายเป็นสีหน้าของพี่พลที่แสนใจดี

“ดุจัง” ผมเอ่ยแล้วยิ้มให้เขาบ้าง

“ไม่หรอก งานไม่ได้ดั่งใจก็ต้องกดดันหน่อย”

“แล้วไม่มีวิธีอื่นเหรอ ที่ไม่ต้องดุแบบเมื่อกี้”

“มี” พี่ตอบเสียงราบเรียบ แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มจางๆ “ถ้าไอเดียไม่เจ๋งจริงก็ฉีกกระดาษทิ้งเลย”

“ห้ะ?” ผมหน้าเหวอ ในสมองหวนนึกถึงตอนเรียนที่เคยฟังอาจารย์คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า สมัยทำงานเคยโดนหัวหน้าฉีกงานต่อหน้าต่อตา ทั้งๆที่งานชิ้นนั้นคิดมาหัวแทบแตก ผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครมารยาททรามทำถึงขนาดนั้นแต่ดูเหมือนพี่พลจะไม่ได้พูดเล่น

“พี่เคยโดนนะ ตอนนั้นส่งออกแบบโลโก้ให้หัวหน้าดู แม่งลบไฟล์งานเลยอะ แล้วก็บอกว่าห่วยกว่าเด็กประถมทำอีก”

“เฮ้ย บ้าป่าววะ”

“ยิ่งเงินเยอะยิ่งโดนหนัก แต่พี่ชินแล้ว อย่าไปคิดอะไรมากนอกจากคิดใหม่ทำใหม่”

“ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยอะ”

พี่พลไม่ได้ตอบอะไรมาอีกแต่เปลี่ยนเป็นมองผมนิ่งๆแล้วยิ้ม ผมรู้สึกอึดอัดจึงเบือนหน้าไปทางอื่นและกินอาหารตรงหน้าไปเรื่อยๆ เสียงดนตรีแจ๊สที่เปิดคลอเบาๆอยู่ในร้านขับกล่อมบรรยากาศไม่ให้เงียบจนเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกถึงความประดักประเดิดที่โดนพี่พลมองอยู่แบบนี้ ความรู้สึกบางอย่างมันโบยบินออกมาจากที่ไหนสักแห่ง

“เรื่องของบุญอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย” พี่พลเริ่มต้นบทสนทนาเรื่องใหม่ “เราคงจะต้องพยายามคุยกับเขามากกว่านี้”

“นายก็คุยแล้ว แต่งานยุ่งๆเลยไม่ค่อยได้เจอกัน”

“แล้วเราขอโทษเขาแล้วใช่มั้ย”

ผมนิ่งเงียบและทบทวนเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าจะได้อธิบายและง้อขอคืนดีไปต่างๆแต่ผมยังไม่ได้พูดขอโทษออกมาจากปากเลยสักครั้ง “ยังเลย” ผมดื่มน้ำอึกใหญ่แล้วมองผ่านกระจกออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย

“คืนนี้ก็ไปขอโทษเขาซะ”

ผมหันหน้ากลับมาก็เห็นใบหน้าสะอาดสะอ้านมีรอยยิ้มเช่นเคย

“แต่ถ้าขอโทษแล้วยังไม่หายโกรธอีก... ก็บอกพี่ด้วยแล้วกัน”

สิ่งที่พี่พลบอกผมยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเขาหมายถึงอะไร หากบุญยังโกรธผมหลังจากเอ่ยขอโทษไปแล้ว พี่พลจะต้องการรู้ไปอีกทำไม เมื่อรู้ไปแล้วเขาจะทำอย่างไรกับสถานการณ์แบบนั้น ผมพยายามนึกคิดว่าใครกันที่จะได้ประโยชน์จากการเห็นผมทะเลาะกับบุญ มันอาจจะไม่ใช่พี่พลแต่อาจจะเป็นตัวของผมเองหรือเปล่า









พี่พลขับรถมาส่งผมที่คอนโด ในตอนก่อนที่ผมจะลงจากรถเขาจับมือผมและอวยพรให้คืนดีกับบุญ ชั่วอึดใจหนึ่งกว่าผมจะตั้งสติและขยับมือออก เกินบรรยากาศประหลาดขึ้นระหว่างเราอีกครั้งในการพบกันครั้งนี้ ผมเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องก่อนจะถอดเสื้อผ้าเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ออกมาอีกทีก็ได้ยินเสียงกุกกักที่ด้านนอกจึงรีบใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปหาคนที่เพิ่งกลับห้อง บุญมองผมด้วยสายตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกแต่สังเกตเห็นความเหนื่อยล้าได้อย่างชัดเจน ผมไม่ได้ทักทายอะไรเขาเป็นพิเศษนอกจากถามว่ากินข้าวแล้วหรือยัง เมื่อคำตอบเป็นปฏิเสธจึงเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรให้กิน ทุกอย่างมันดูราบรื่นไม่มีอะไรผิดปกติแต่บุญก็ยังดูมึนตึงอยู่ดี

ผมนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนบุญเหมือนทุกครั้ง ถ้าอิ่มท้องแล้วก็จะทำเพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆ หลังจากกินข้าวเสร็จบุญก็อยู่คุยงานผ่านทางโทรศัพท์มือถืออีกพักใหญ่

“หายปวดหัวแล้วยัง” บุญเอ่ยปากถามหลังจากเห็นผมเดินเข้ามาหาในห้องน้ำ

“หายแล้ว อ้วกอีกรอบเมื่อเช้าก็หายเลย” ผมตอบแล้วเกยหน้าไว้บนแขนของบุญตามปกติยืนมองดูบุญที่ทำธุระอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “วันนี้เป็นยังไงบ้าง”

“คนไข้เยอะแต่ไม่มีเคสหนัก”

“บุญ…” ผมหยุดมองใบหน้าของเขาอยู่ครู่หนึ่ง “เราขอโทษ”

“อืม”

ผมคาดหวังว่าเขาจะยินดียินร้ายกับสิ่งที่ผมพูด แต่สิ่งที่ได้รับมันทำให้ผมผิดหวังจนรู้สึกห่อเหี่ยวไปหมด

“นอนเถอะ พรุ่งนี้ทำงานอีก”

เขาว่าอย่างนั้นแล้วเดินนำผมออกไปที่เตียง ไฟดับลงทีละดวงจนสุดท้ายห้องทั้งห้องก็มืดสลัว มีเพียงแสงจากด้านนอกที่ส่องลอดเข้ามาเล็กน้อย ผมมองบุญที่กำลังล้มตัวลงนอนก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เพื่อกอดเขาไว้

“แล้วเมื่อคืนบุญไปรับเราได้ยังไงอะ”

“เราโทรหานาย”

“ใครรับสายอะ”

“คนที่ชื่อกล้วย”

ในใจของผมเต้นตุบตับหลังจากที่ได้ยินว่าบุญโทรหาอย่างน้อยเขาก็ยังนึกถึงผมอยู่ แม้จะโกรธนานไปหน่อยก็ตามที “บุญยังไม่หายโกรธเราจริงๆเหรอ” ผมผงกหัวขึ้นเพื่อมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย มองบุญที่ยังนอนลืมตาอยู่ในความมืดด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวัง “เราขอโทษที่พูดอะไรไม่คิดก่อน”

“.......”

“บุญ...”

“นาย... เราแยกกันอยู่สักพักมั้ย”

“.......”

“เผื่อบางทีจะได้ทบทวนอะไรได้ง่ายขึ้น”

“เราผิดขนาดนั้นเลยเหรอบุญ การที่เราพูดเล่นเรื่องนั้นมันทำให้บุญโกรธเราจนไม่อยากเห็นหน้าเราเหรอ”

ในตอนนี้ผมผุดลุกขึ้นนั่งมองอีกฝ่าย ความท้อแท้ความผิดหวังกำลังรุมเร้าให้ผมปวดหนึบในใจ ผมไม่เข้าใจเลยกับการล้อเล่นทำตัวงี่เง่าแค่นั้นจะทำให้บุญโกรธอะไรมากขนาดนี้ มันมากมายจนถึงกับต้องขับไล่ไสส่งกันแบบนี้เลยเหรอ คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของผมมาเนิ่นนาน และมันรู้สึกชัดเจนในวินาทีนี้เหลือเกิน

“บอกหน่อยได้ป้ะว่าเราผิดอะไรมากขนาดนั้นอะ ถ้าจะโกรธก็ขอเหตุผลหน่อยเถอะ”

“เราว่านายต่างหากนะที่ต้องให้เหตุผลกับเรา”

“บุญ เราก็บอกแล้วไงว่าเราพูดเล่น เราว่าบุญงี่เง่ามากนะถ้าจะโกรธเราเรื่องนั้น”

บุญนิ่งเงียบจ้องมองเพดานราวกับมีอะไรน่าสนใจ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ตอบอะไรผมจึงเอนตัวนอนหันหน้าไปอีกทาง

“เราไม่เคยโกรธนายเรื่องนั้นเลย” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง “ไม่ว่าเรื่องไหนเราก็ไม่เคยโกรธนาย”

“.........”

“ที่โกรธคงจะโกรธตัวเองมากกว่า โกรธที่ยังทำให้นายรักเราไม่ได้”

ท้ายประโยคนั่นทำให้ผมต้องหันกลับไปมองบุญอีกครั้ง เขากำลังพูดถึงอะไรกัน

“โกรธตัวเองที่ทำให้นายลืมเขาไม่ได้”

“.........”

“แยกกันอยู่สักพักเถอะนาย เผื่อบางทีจะได้รู้ว่านายรักเราหรือรักพี่พล”





ผมนอนกระสับกระส่ายในคืนนั้น หลับๆตื่นๆอยู่ทั้งคืน ผมรู้ว่าบุญออกไปนอนที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ตอนเช้าบุญก็แค่เข้ามาบอกว่าจะออกไปทำงานแล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอบุญอีก ผมกับบุญแยกกันอยู่ตามที่เขากล่าวไว้ เขาส่งข้อความมาบอกว่าจะกลับไปอยู่ที่บ้านแต่ไม่ได้บอกว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ บุญยังไม่เปิดโอกาสให้ผมได้อธิบายหรือพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ในวันแรกหลังจากแยกกันอยู่ผมยังคงออกไปทำงานตามปกติ งานทำให้ผมสามารถลืมเรื่องเหล่านั้นไปได้แต่ก็ได้เพียงแค่พักเดียวเท่านั้นแหละ พอมีเวลาว่างผมก็คิดถึงบุญอยู่ดี สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ผมคิดว่ามันคงไม่มีผลกระทบกับงานจนกระทั่งพี่กล้วยเรียกผมไปคุยในวันที่สองหรือสามหลังจากแยกกันอยู่กับบุญ เขาถามผมตรงๆถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ในตอนแรกผมไม่อยากเล่าเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่อยากพูดถึงแต่เมื่อเขาบอกว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้มันทำให้งานไม่เป็นไปตามที่ได้วางแผนและพลาดบ่อยครั้ง ผมจึงยอมเล่าให้พี่กล้วยฟังว่าเกิดอะไรขึ้น

“ฉันเห็นด้วยนะที่แยกกันอยู่สักพัก”

นั่นคือประโยคแรกที่พี่กล้วยพูดหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด ทั้งสีหน้า น้ำเสียง และท่าทางดูจริงจังกว่าปกติ พี่กล้วยที่ชอบทำตัวมีจริตสะดีดสะดิ้งกำลังกลายเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ขึงขังจริงจัง

“เรื่องแฟนเก่ากลับมาคุยกันมันไม่ใช่เรื่องที่ดี”

“ผมไม่ได้เป็นแฟนเก่ากับพี่พล ไม่เคยเป็นอะไรกันเลย ผมไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้ว”

“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เธอเคยเป็นแฟนเก่าหรือเปล่า ปัญหามันอยู่ที่ว่าเธอกลับมาคุยกับคนที่เธอเคยชอบโดยไม่บอกแฟนคนปัจจุบัน” พี่กล้วยทำหน้านิ่ง เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าครั้งไหนๆที่เคยเห็น

“จุดเริ่มต้นมันเริ่มจากเธอ เธอตอบรับคุยกับเขา ออกไปกินข้าวกับเขา ให้เขามาส่งถึงคอนโด ไม่มีใครไม่หวังอะไรจากสิ่งที่ทำหรอกนาย ฉันพูดจากเรื่องจริง มันก็เหมือนตอนที่ฉันพยายามเข้าหาน้องเมฆ...” สีหน้าของเขายังดูจริงจังไม่เปลี่ยนแปลง มันทำให้ผมจุกปรี่อยู่ในอกเพราะสิ่งที่พี่กล้วยพูดก็คือเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้

“ฉันชวนเขาคุย ฉันชวนเขาออกไปไหนต่อไหนด้วยกัน ฉันขอไปส่งเขาที่หอพัก เพราะว่าฉันอยากได้น้องเมฆ นี่พูดกันตรงๆเลยนะ ถ้าไม่อยากได้น้องเมฆฉันจะทำไปทำไม เรื่องของเธอก็เหมือนกัน เชื่อฉันสิสเต็ปต่อไปเธอจะโดนขออะไรมากกว่านี้”

“………..” จุก ผมจุกไปหมดจนพูดอะไรไม่ออกสักคำ

“ฉันไม่รู้เธอชอบหรือไม่ชอบใคร เธอต้องถามใจตัวเองและทำให้มันชัดเจน” สิ้นคำพี่กล้วยก็มองผมด้วยแววตาครุ่นคิดก่อนจะถอนหายใจยาว ท่าทีมีจริตสะดีดสะดิ้งหวนคืนกลับสู่ร่าง “โอ้ย พอที แอ๊บแมนแล้วปวดหัว เอาเป็นว่าอย่าทำงานพลาดอีกเพราะอิทศจะเรียกมึงคุยจริงจัง ที่มันยังไม่เรียกคุยเพราะอยากให้กูมาคุยกับมึงแบบส่วนตัวก่อน กูไปล่ะ”

ผมกล่าวขอบคุณกับพี่กล้วยก่อนที่เขาจะหมุนตัวเดินออกไปจากแคนทีนห้องที่เรามั่วสุมนั่งคุยสารทุกข์สุขดิบ แต่แล้วพี่กล้วยหยุดยืนนิ่งอยู่ที่ประตูและหันมามองผมด้วยสีหน้าปุเลี่ยนยังไงชอบกล และเพียงเสี้ยววินาทีผมก็เห็นตัวต้นเหตุเดินเข้ามา

“เราเลิกงานหรือยัง” พี่พลเอ่ยทักหลังจากพี่กล้วยหายตัวออกไปแล้ว “แวะกินข้าวกันก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่คอนโด”

ผมกำลังประมวลผลว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธแต่เมื่อเขาช้อนตามองและมอบรอยยิ้มให้ ผมก็ไม่อาจปฏิเสธไมตรีนี้ได้เลย






สารภาพตามความสัตย์จริงผมดีใจที่ได้เจอกับพี่พล ได้กลับมาคุยกันด้วยเรื่องบ้าบอที่เคยคุย ได้กลับมามองใบหน้าสะอาดสะอ้านที่ผมชอบ เขายังคงแต่งตัวเนี้ยบเรียบร้อยเพิ่มเติมคือมีกลิ่นน้ำหอมฟุ้งประมาณสามกิโลเมตร สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่ผมชอบ เขาทำให้ผมนึกถึงความชอบที่มันรุนแรงและส่งผลต่อความรู้สึกอย่างเฉียบพลัน แต่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความรัก มันไม่ใช่ความรักมาตั้งแต่แรก

“แล้วเราจะทำยังไงต่อ”

ผมเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัยเพราะหลุดไปโลกอื่นอยู่ชั่วครู่หนึ่งและไม่ได้ฟังในสิ่งที่พี่พลพูด

“เราจะทำยังไงกับบุญต่อไป จะแยกกันอยู่แบบนี้เหรอ”

“นายไม่รู้”

เราถูกขัดจังหวะจากพนักงานที่เดินเข้ามาเก็บจานหลังจากพี่พลเรียกเก็บเงินค่าอาหาร เขามองผมไม่วางตาและมันก็ค่อนข้างโจ่งแจ้งว่าพี่พลกำลังมีความคิดอะไรบางอย่าง

“คืนนี้ไปค้างที่ห้องพี่มั้ย”

ผมปฏิเสธไปในตอนที่พี่พลชวนไปค้างที่ห้อง ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร มันคือสเต็ปต่อไปตามที่พี่กล้วยได้กล่าวไว้จริงๆเสียด้วย สิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่ลงไปอีกก็เพราะพี่พลกำลังใช้ช่วงเวลาที่ผมห่างกับบุญเพื่อจุดประสงค์ของตัวเอง

พี่พลถอดสีหน้าไปเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำปฏิเสธแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมองผมด้วยสายตาแบบคนใจดีเช่นเคย เขาขับรถมาส่งผมที่คอนโดเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา บทสนทนาเกี่ยวกับบุญจบลงที่ร้านอาหารแห่งนั้นและไม่ได้พูดถึงบุญอีก พี่พลพูดถึงที่ทำงาน ผมรู้สึกมาตลอดว่าเขาเป็นคนขยันและทำงานเก่งมันเหมาะสมแล้วที่เขาได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งซีเนียร์อย่างรวดเร็ว เริ่มแรกเขาทำเกี่ยวกับองค์ประกอบศิลป์แต่ต่อมาโดนเปลี่ยนย้ายมาดูแลทางงานสร้างสรรค์แทน ผมไม่รู้ว่าเขาเหมาะกับสิ่งที่ทำอยู่หรือเปล่าเพราะผมไม่รู้จักพี่พลมากขนาดนั้น รู้แค่ว่าเขาเป็นคนขยันทำงานมากคนหนึ่งก็เท่านั้น รถของพี่พลขับมาถึงคอนโดที่ผมอาศัยอยู่แต่เขากลับเลือกที่จะจอดหลบมุมไปทางด้านหลังของคอนโด

“ไม่เปลี่ยนใจไปนอนเล่นที่ห้องพี่จริงๆเหรอ”

ผมส่ายหน้าแต่ก็ยิ้มให้เล็กน้อยเพื่อไม่ให้บรรยากาศดูตึงเครียดเกินไป พี่พลค่อยๆขยับตัวเข้ามาใกล้ สายตาของเขากำลังสำรวจใบหน้าของผมก่อนที่มันจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมไม่ได้ขยับหนีหากแต่รอคอยในสิ่งที่เขากำลังจะทำ ริมฝีปากของเราสัมผัสกันแผ่วเบาไม่วาบหวามหรือดึงดัน กลิ่นน้ำหอมจากตัวพี่พลส่งกลิ่นชัดเจนอยู่ที่ปลายจมูก แต่มันก็เพียงเท่านั้นเมื่อผมรับรู้ว่าในส่วนลึกจากความรู้สึกทั้งหมดที่มีกำลังบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมเบือนหน้าออกเพื่อส่งสัญญาณให้เขารู้ พี่พลสบมองเข้ามาในดวงตาของผมอีกครั้งและพยายามที่จะจูบอีกผมจึงขยับตัวออกห่าง เขาพรูลมหายใจยาวหนักหน่วงขณะที่ถอยออกไปนั่งที่เดิม บรรยากาศดูอึดอัดและตึงเครียดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“พี่ไม่ขอโทษหรอกนะเพราะว่าพี่ตั้งใจ”

คำพูดของเขาเรียกร้องให้ผมหันไปมองเต็มตา

“รู้ใช่มั้ยว่าทำไมพี่ถึงกลับมาติดต่อกับเราอีก”

ผมเงียบเพื่อไตร่ตรอง ค่อนข้างมั่นใจว่าพี่พลหมายถึงอะไร

“พี่รู้ว่าเรายังไม่ลืมเรื่องเมื่อก่อน” เขาเว้นวรรคไปและจดจ้องมองผมไม่ห่างสายตา พี่พลพูดถูกผมยังไม่ลืมเรื่องระหว่างเรา “ตอนนั้นพี่ยังไม่พร้อมที่จะคบกับนายเพราะพี่รู้สึกว่าเรายังรู้จักกันไม่มากพอ พี่ชอบนายแบบน้อง แต่หลายปีมานี้พี่ก็ยังนึกถึงเรื่องของเรา…”

“นายชอบพี่พลนะ ตอนนี้ก็ยังชอบ แต่นาย… ไม่รู้ดิ นายไม่ได้ชอบพี่พลเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นายไม่เคยลืมเรื่องตอนนั้นเลย แต่พอคิดถึงตอนนี้หรือพรุ่งนี้นายก็นึกถึงแต่บุญ”

เราต่างเงียบกันไปอึดใจหนึ่ง จดจ้องกันและกันเพื่อนึกคิดในสิ่งที่ได้พูดออกไป

“พี่พลยังคุยกับนายได้เหมือนเดิม มีอะไรก็โทรหาได้ ขอบคุณที่มาส่งครับ” ผมตัดบทเพื่อไม่ให้ความอึดอัดมันยืดเยื้อนานไปกว่านี้ ในตอนนี้ผมรู้สึกโล่งสบายและมองเห็นอะไรชัดเจน ราวกับม่านหมอกสีเทาได้กระจายตัวออกไปเหลือเพียงภูเขาที่สูงชันตรงหน้า รอคอยให้ผมได้ปีนก้าวขึ้นไป

ผมมองพี่พลในแง่ดีมาตลอดเขาเป็นเหมือนพี่ที่ผมสามารถคุยด้วยได้ ส่วนเรื่องที่เคยมีอะไรกันมานั้นก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเช่นกัน แม้ว่าเรื่องนั้นจะกลายเป็นความทรงจำที่ชัดเจนมากเกินไปในส่วนที่เขาเป็นคนแรกของผม บางครั้งก็เกิดคำถามขึ้นว่าทำไมผมถึงยังจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ ผมพยายามหาคำตอบและพบว่ามันคงจะเป็นสิ่งดีๆในชีวิตที่น่าจดจำแหละมั้ง ผมไม่อาจปฏิเสธอดีตได้เลย มันเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ว่าจะหาเหตุผลหลีกเลี่ยงเท่าไหร่ก็ไม่อาจลบล้างว่ามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ตัวผมในตอนนั้นกับตัวผมในตอนนี้ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะมองกลับไปยังอดีตหรือมองไปยังอนาคตผมยังคงมองเห็นแค่บุญทุกช่วงชีวิต สำหรับพี่พลเมื่อมองไปที่คนๆนี้เขาคืออดีตที่หอมหวานของผม และคำจำกัดความของคำว่าอดีตก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วและไม่อาจแก้ไขได้ เขาเป็นแค่นั้นมาโดยตลอดตั้งแต่ผมรับรักของบุญและมอบความรักของผมให้แค่บุญ

ผมคิดที่จะโทรหาบุญในคืนนี้แต่เมื่อเข้าห้องผมกลับพบเขายืนหันหลังอยู่ในห้องตรงโต๊ะอาหาร เสียงกุกกักจากการเปิดประตูทำให้บุญหันมามองก่อนจะหันกลับไป ผมเดินเข้าไปยืนด้านข้างหัวใจเต้นตุบตับด้วยความตื่นเต้นที่ได้เจอบุญอีกครั้ง บุญผมยาวขึ้นทำให้หน้าดูโทรมลงเล็กน้อย ท่อนบนของเขาเปลือยเปล่าผมเดาว่าบุญคงจะไปออกกำลังกายที่ยิม ทุกอย่างดูเป็นกิจวัตรของบุญ เมื่อได้เห็นเขาเต็มตาแบบนี้ผมก็รู้สึกได้ทันทีว่าคิดถึงบุญมากแค่ไหน แค่สองสามวันที่ผ่านมามันเหมือนสองสามวันที่อยู่บนดาวพุธไม่ใช่โลกใบนี้เลยก็ว่าได้

“คืนนี้จะนอนที่นี่เหรอ”

“อืม”

“แล้วคืนพรุ่งนี้ล่ะ”

“ก็นอน” บุญตอบแล้วเอื้อมมือมาสัมผัสใบหน้าของผม “สะดวกให้อยู่มั้ย”

ผมพิจารณาอีกฝ่ายที่ไม่ได้เห็นมาหลายวัน บุญของผมยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้วแต่ผมกลับไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี “เราจูบกับพี่พลมา”

“แล้วเป็นไง”

“ก็ดี”

สีหน้าของบุญไม่ได้บ่งบอกอะไรเป็นพิเศษหากแต่เขาก้มลงมาและมอบจูบที่แสนนุ่มนวลให้ ผมโหยหาจูบแบบนี้แต่เพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นบุญก็ผละริมฝีปากออกไป “แล้วจูบกับเราเป็นยังไง”

“ไม่รู้สึกอะไรเลย” ผมตอบแล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเข้มของอีกฝ่ายก่อนจะขยับเข้าไปเพื่อจูบบุญอีกครั้ง

“เป็นไง”

“เฉยๆ” ริมฝีปากของเราคลอเคลียกันไม่ห่างในตอนที่เอ่ยคำพูด แต่แล้วมันก็ประกบกันอีกครั้งเนิ่นนานราวกับจะพรากลมหายใจไป

“เราขอโทษ” ผมกล่าวติดชิดริมฝีปากของอีกฝ่าย “ขอโทษที่ไม่ได้บอกเรื่องพี่พล”

บุญปิดปากผมด้วยจูบแล้วพึมพำว่าไม่ต้องพูดอะไรอีก มันไม่ใช่จูบดูดดื่มเชิงใคร่เสน่หาหากแต่เป็นจุมพิตที่แสนอ่อนหวานและลึกซึ้ง ผมหลุดอยู่ในภวังค์แห่งนั้นพร้อมกับความสุขที่ก่อเกิดขึ้นในใจอย่างน่าอัศจรรย์

ในคืนนั้นบุญสารภาพว่าเขาทนคิดถึงผมไม่ไหวจึงได้กลับมา ผมรู้สึกได้ว่าบุญหวาดกลัวหากผมกลับไปหาพี่พลจริงๆ ผมไม่ได้บอกบุญว่าผมรู้สึกอย่างไรกับพี่พล ผมปล่อยให้มันเป็นอดีตที่จะไม่มีทางหวนย้อนคืน เรานอนกกกอดกันอยู่บนเตียง ไม่ได้มีเซ็กส์เผ็ดร้อนกันแต่อย่างใด เราแค่กอดกันแนบแน่นสัมผัสใบหน้าสัมผัสเนื้อตัวของกันและกันด้วยความคิดถึง จะพิเศษนิดหน่อยก็ตรงที่จูบกันจนปากจะเปื่อย ผมเล่าให้บุญฟังถึงเรื่องอื่นๆ เขาเองก็เช่นกัน น่าแปลกที่บุญกลับไม่อยากรู้เรื่องระหว่างผมกับพี่พลเลย ความมั่นคงของบุญคือสิ่งที่ทำให้ผมอยู่ในจุดนี้ ได้กลับมาคืนดีกัน ได้กลับมาเจอหน้ากัน ผมเชื่อมั่นว่าเขารักผมและมันไม่จำเป็นเลยสำหรับคำอธิบายกับสิ่งที่ผ่านมา ในช่วงหลายวันที่ไม่ได้เจอกันเราต่างรู้ตัวว่ารักและคิดถึงกันมาแค่ไหน มันมากเพียงพอที่จะดึงดูดให้เรากลับมาเจอกันอีกครั้งพร้อมกับความมั่นคงที่มากขึ้น แต่รักเท่าเดิม คนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง



ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #62 เมื่อ28-11-2018 22:16:37 »


แถวตรวจคนเข้าเมืองย่นระยะสั้นลงขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ นี่เป็นการมาเยือนเมลเบิร์นครั้งที่สองของผม ถึงแม้ในสนามบินจะมีอะไรหลายอย่างจะเปลี่ยนไปแต่นักท่องเที่ยวก็ยังเยอะไม่เปลี่ยนแปลง คิวก่อนหน้าผมคือกลุ่มครอบครัวชาวอินเดีย พวกเขาถูกสอบถามจากเจ้าหน้าอยู่พักใหญ่ บรรยากาศดูตึงเครียดจนน่ากลัวว่าครอบครัวนี้จะไม่ได้เข้าเมืองเมลเบิร์นเสียแล้ว แถวอื่นๆนักท่องเที่ยวทยอยหายไปทีละคนจนผมร้อนใจขึ้นเล็กน้อยที่รู้สึกว่าแถวที่ตัวเองต่ออยู่นี้นานเกินไป แต่เพียงอีกพักหนึ่งครอบครัวชาวอินเดียก็ถูกเจ้าหน้าที่อีกคนพาเดินออกไปจุดอื่น น่าเห็นใจที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไม่อนุมัติให้พวกเขาผ่านเข้าประเทศ ผมเดินเข้าไปยังช่องตรวจหลังจากเห็นเจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณมือเรียก เขาเป็นผู้ชายสวมแว่นตัวผอม ผมอนุมานเอาเองว่าเขาคงจะมีเชื้อชาติจีนหรือที่ไหนสักแห่งในเอเชีย มือผอมๆนั่นรับหนังสือเดินทางของผมไปพร้อมกับเอกสารประกอบการเข้าเมือง มิสเตอร์หวังมองหน้าจริงของผมสลับกับมองหนังสือเดินทาง และมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังเค้าท์เตอร์ สายตาสอดส่ายมองอ่านข้อมูลในนั้นก่อนจะคืนหนังสือเดินทางให้ผมโดยไม่ได้สอบถามอะไรอย่างอื่นเพิ่มเติม

ผมเดินไปรอรับกระเป๋าก่อนจะเดินทางเข้าเมืองด้วยรถบัสสีแดงคันใหญ่ อากาศหนาวเหมือนครั้งแรกที่เคยมา เมื่อขึ้นรถและได้ที่นั่งแล้วร่างกายของผมก็ผ่อนคลายลงจนเผลอหลับไป



ผมตื่นขึ้นขณะที่รถบัสกำลังเลี้ยวเข้า Docklands บรรยากาศด้านนอกคือเมืองเมลเบิร์นที่ท้องฟ้ามืดสนิทแสงไฟจากตึกรามอาคารและท้องถนนเปิดสว่างจนมองไม่เห็นดาว ผมมองภาพเหล่านั้นไปตลอดทางจนรถบัสขับถึงอู่จอดรถซึ่งเป็นปลายทางในการส่งคน ผมลงมายังชั้นล่างหยิบกระเป๋าและเดินไปตามเส้นทางเพื่อมุ่งหน้าสู่โรงแรมที่พัก การเดินเท้าพร้อมกับกระเป๋าเดินทางขนาดกลางไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเมืองนี้ ถนนหนทางราบเรียบมีทางเดินเท้าชัดเจนรวมไปถึงมีสัญญาณไฟข้ามถนนทุกจุดจนไม่ต้องกลัวว่าจะได้รับอุบัติเหตุใดๆ อากาศหนาวเป็นพิเศษเพราะผมยังปรับตัวไม่ได้จึงแวะร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งเพื่อซื้อเครื่องดื่มร้อน ที่จริงก็ไม่เชิงว่าเป็นเครื่องดื่มร้อนแต่เป็นเครื่องดื่มที่ดื่มแล้วอบอุ่นน่าจะถูกต้องมากกว่า ผมออกเดินไปยังโรงแรมโดยไม่ได้นั่งรถแทรมต่อ ลมพัดแรงจนเกิดเสียงหวีดหวิวในตอนที่เดินมาถึงบริเวณที่มีแม่น้ำ มันหนาวมากกว่าเดิมจนต้องก้าวเท้าเร็วขึ้นให้ร่างกายอบอุ่น เสียงล้อลากบดพื้นถนนไปตลอดทางและมันก็เงียบลงเมื่อถึงจุดหมาย

ผมเข้าไปหาพนักงานต้อนรับเป็นอันแรก เธอเป็นหญิงสาวชาวออสเตรเลียในชุดยูนิฟอร์มเสื้อเชิ้ตขาวและกางเกงสีเทาท่าทางทะมัดทะแมง ผมแจ้งความประสงค์ให้เธอช่วยติดต่อถึงบุคคลหนึ่ง ในตอนแรกเธอดูคลางแคลงใจและสอบถามถึงเหตุผลหลายคำถาม ผมแค่ตอบเธอไปว่าต้องการพบเพื่อนแต่เธอก็ยังลังเลแม้ว่าสุดท้ายจะยอมยกหูโทรศัพท์กดโทรออกไปยังห้องพักห้องหนึ่ง เธอคุยกับปลายสายพลางเหลือบมองก่อนจะแจ้งให้ผมไปนั่งรอยังบริเวณที่นั่ง เพียงพักเดียวเท่านั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออกและบุญก็พุ่งตรงเข้ามาหาผมทันทีที่เห็น สีหน้าของเขาที่ดูตกใจจนแทบจะกลายเป็นสีหน้าแตกตื่นทำให้ผมหลุดหัวเราะ ก็แน่ล่ะ ผมบินมาจากเมืองไทยเพื่อเซอร์ไพรซ์บุญที่มาเมลเบิร์นเพื่อเข้าประชุมอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการแพทย์ เขามาถึงที่นี่ก่อนหน้าผมสามวันแต่ตลอดสามวันนั้นก็เข้าประชุมอย่างหนักหน่วง บุญถือโอกาสนี้ลางานเพื่อเที่ยวต่ออีกห้าวัน เขาบอกให้ผมบินมาด้วยกันเพื่อมาเที่ยวแต่ผมแกล้งปฏิเสธไป ทั้งเรื่องขอวีซ่าเรื่องซื้อตั๋วเครื่องบินทุกอย่างเป็นความลับหมดก่อนจะโผล่มาเซอร์ไพรซ์เขาในวันนี้

บุญติดต่อพนักงานสาวคนนั้นเพื่อแจ้งว่าผมจะเข้าพัก แต่เธอปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าทางโรงแรมมีนโยบายไม่รับลูกค้าวอล์คอิน บุญเถียงกับเธอต่ออีกเพราะคิดว่าเธอคงจะเข้าใจผิดคิดว่าผมจะพักที่ห้องอื่น มิสอะมีเลียส่ายหน้าและบอกว่าไม่สามารถให้ผมเข้าพักกับบุญได้เนื่องด้วยเหตุผลของความปลอดภัย สุดท้ายบุญจึงหยิบเงินจำนวนหนึ่งและแจ้งเธอว่าขอ Extra bed สำหรับผม เมื่อจ่ายเงินเพิ่มอะไรๆก็ดูจะคล่องไปเสียหมด มิสอะมีเลียขอหนังสือเดินทางของผมเพื่อลงทะเบียนผู้เข้าพัก จากนั้นก็คืนให้พร้อมกับมอบคีย์การ์ดและแจ้งรหัสเข้าอินเตอร์เนต

ผมเดินตามหลังบุญขณะที่ให้เขาพาไปยังห้องพัก บุญยังอยู่ในชุดทำงานแถมยังใส่รองเท้าหนังอยู่ผมเดาว่าเขาน่าจะเพิ่งกลับมาถึงห้องเช่นกัน นับว่าเป็นโชคดีของผมที่บุญอยู่ห้องเพราะไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่มิสอะมีเลียจะยอมให้ผมรออยู่ในโรงแรม เขาหันมายิ้มกว้างให้ผมตอนที่กำลังเปิดประตู ผมยิ้มให้เขาและขยับเข้าไปใกล้เพื่อจับมือ แม้เพียงเล็กน้อยแต่มันอบอุ่นใจหัวใจเหลือเกิน

เราเข้ามายังด้านในห้อง ผมถอดเสื้อโค้ทออกและคิดว่าจะเข้าห้องน้ำไปเช็ดตัวเสียหน่อยหากแต่เมื่อเสียงประตูปิดลงบุญก็เดินเข้ามายืนต่อหน้าและจูบผม

“ไม่ได้อาบน้ำมาวันนึงแล้วนะ” ผมบอกความจริงหลังจากที่เบี่ยงหน้าหน้าหนี ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าบุญจะไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ “ตัวเหม็นมาก”

บุญรุกไล่ด้วยการจูบผมต่ออีกครั้ง ผิวกายที่สัมผัสนั้นดูอบอุ่นกว่าของผมที่เพิ่งเดินฝ่าความหนาวมา “ตัวยังหอมอยู่เลย มีแต่กลิ่นดาวิดอฟ” เขาพูดถึงน้ำหอมที่ผมใช้บ่อยๆก่อนจะโอบกอดผมไว้อย่างแนบแน่น “เหนื่อยมั้ย”

ผมครางตอบรับในคอและก้าวเท้าตามบุญไปในตัวห้อง

“พรุ่งนี้จะไปเกรทโอเชียน ไปไหวหรือเปล่า”

ผมพยักหน้าแม้ความจริงจะค่อนข้างอ่อนล้าจากการเดินทางอยู่มากก็ตามที แต่เมื่อมาถึงแล้วจะไม่ออกเที่ยวเลยก็ดูจะเสียเวลาไปสักหน่อยเพราะรอบนี้มาแค่ห้าวัน บุญบอกว่าเขาซื้อเดย์ทัวร์ไว้แล้ว วันพรุ่งนี้จะมีรถบัสมารับที่หน้าโรงแรมและไม่แน่ใจว่าผมจะสามารถซื้อทัวร์แบบกะทันหันได้หรือเปล่า เขาดูเป็นกังวลซึ่งต่างจากผมที่ถ้าพรุ่งนี้ไม่สามารถไปเกรทโอเชี่ยนได้ก็คงจะไปเที่ยวในที่อื่นๆที่อยากไป แต่พอบอกแผนในใจของตัวเองไปบุญก็ยังคงดูเป็นกังวลอยู่ดี ผมเหนื่อยจะอธิบายว่าสามารถเที่ยวคนเดียวได้จึงเบี่ยงประเด็นไปที่การล้างหน้าแปรงฟันแทนบุญจึงพูดเรื่องอื่น เขาเก็บกระเป๋าเดินทางของผมให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเดินตามเข้ามาในห้องน้ำ และกอดผมที่กำลังยืนแปรงฟัน

“ไม่เห็นต้องเป็นกังวลเลย เราเที่ยวเองได้”

“รู้ว่าเที่ยวเองได้ แต่อยากให้ไปด้วยไง”

ผมบ้วนปากไปตามปกติก่อนจะรับผ้าขนหนูผืนเล็กจากบุญมาเช็ดหน้า “แค่วันเดียวเอง พอวันอื่นก็ไปด้วยกันอยู่แล้ว”

บุญย่นจมูกนิดๆเป็นเชิงขัดใจแต่แล้วเราก็รีบเข้านอนกันในคืนนั้นเพื่อเตรียมตัวไปเกรทโอเชี่ยน









รถบัสคันใหญ่สีขาวสกรีนชื่อบริษัททัวร์เลี้ยวเข้ามารับลูกทัวร์ตามเวลานัดเป๊ะ คนขับเป็นผู้ชายชาวออสเตรเลียหน้าตาใจดียิ้มต้อนรับ เราเจรจาขอให้ผมซื้อทัวร์เพิ่มซึ่งตอนแรกดูท่าทางจะมีปัญหาเพราะเป็นการซื้อกะทันหัน คุณคนขับโทรคุยประสานงานให้จนสุดท้ายผมก็ได้ไปเกรทโอเชี่ยนกับบุญตามที่ปรารถนา รถบัสขับไปรับลูกทัวร์ตามโรงแรมต่างๆตามเส้นทางที่ผ่านเพื่อไปยังจุดนัดพบอีกจุดหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนที่ตั้งของบริษัทัวร์ คนขับแจ้งว่าให้ลูกทัวร์ลงไปขึ้นรถคันอื่นโดยมีป้ายทัวร์สถานที่ต่างๆติดประกาศไว้อย่างชัดเจน ส่วนผมก็ไปซื้อทัวร์เกรทโอเชี่ยนที่เค้านท์เตอร์ซึ่งจะได้ราคาเต็มไม่ลดราคาเหมือนของบุญ เราขึ้นรถบัสอีกคันที่ขนาดย่อมลงมา คนขับคนใหม่เป็นชายหนุ่มชาวออสเตรเลียเช่นกันบอกให้เราเลือกที่นั่งได้ตามสบายแต่เราก็เลือกนั่งที่เบาะด้านหน้าสุด หลังจากเข้าที่เข้าทาง ลูกทัวร์โดยสารครบ คนขับแนะนำตัวและสถานที่ที่จะไป ผมก็ชัทดาวน์ตัวเองทันที

เนื่องจากเวลาที่เราออกจากตัวเมืองเมลเบิร์นนั้นยังเช้ามากประกอบกับช่วงนี้เป็นหน้าหนาว เมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกทีพระอาทิตย์ก็เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า แต่เส้นทางที่รถกำลังมุ่งทะยานอยู่นั้นกลับกลายเป็นเส้นทางที่ไร้ตึกอาคารทรงสูงและไร้สิ่งก่อสร้างใดๆที่ดูทันสมัย มันเป็นเพียงถนนสองเลนและรายล้อมด้วยต้นใหม่เล็กใหญ่ทอดยาวตลอดทาง แสงสีส้มเหลืองจากดวงอาทิตย์สาดลอดเข้ามาตามช่องว่างของต้นไม้จึงทำให้ไม่ร้อนเกินไป ขับออกมาอีกหน่อยพ้นช่วงต้นไม้ใหญ่ก็เป็นทุ่งหญ้ากว้างที่มีฝูงวัว แพะ และม้า ยืนเล็มหญ้าอยู่บริเวณโรงนาที่ทำจากไม้ทั้งหลัง มองไกลออกไปหน่อยก็เห็นสุนัขขนาดกลางวิ่งพันแข้งพันขาอยู่กับแกะ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเก็บภาพเหล่านั้นไว้ด้วยความตื่นเต้น นึกไม่ออกเหมือนกันว่าหากไปถึงตรงทเวลฟอะพอสเซิลแล้วจะตื่นเต้นไปมากกว่านี้ได้อย่างไร ผมเกิดและเติบโตอยู่ในกรุงเทพฯมาโดยตลอดประสบการณ์เกี่ยวกับการเล่นดินเล่นหญ้าจึงไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยนัก จับดินครั้งแรกคงจะเป็นการออกไปทัศนศึกษากับโรงเรียนสมัยประถม ตอนนั้นผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นดินหรือเป็นโคลนกันแน่ด้วยซ้ำ ในช่วงที่กำลังบันทึกวิดิโออยู่นั้นผมก็รู้สึกถึงไออุ่นจากด้านหลัง บุญเอื้อมแขนมาถ่ายภาพเช่นเดียวกันแม้จะตัวติดกันไปหน่อยก็เถอะ เพียงพักหนึ่งเราก็หยุดบันทึกภาพและมองบรรยากาศแบบชนบทด้วยตาเปล่า ไหล่ของบุญยังคงเบียดเข้ามาหนำซ้ำเขาโอบไหล่ของผมก่อนจะจูบที่ขมับ ผมผลักเขาออกไปเพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็น ไม่ใช่ว่าผมเขินอายหรืออะไรหรอกนะ แต่คิดว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่นี้ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะรับมันได้มากน้อยแค่ไหน พวกเขาอาจจะเป็นพวกต่อต้านรักร่วมเพศหรืออาจจะเหยียดสีผิว เพราะฉะนั้นการทำตัวแบบไม่ให้เป็นจุดเด่นน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

บุญมองผมด้วยสายตาแห่งความสงสัยแต่ไม่ได้เอ่ยถามออกมาเป็นคำพูด เสียงบรรยายจากมิสเตอร์เคนที่เป็นทั้งคนขับรถและผู้นำทัวร์เองก็หยุดลงเพราะเขาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น บรรยากาศประดักประเดิดจนผมแก้ตัวไม่ถูก ผมเพิ่งรู้ตัวว่าทำให้บุญเสียความรู้สึกจากการถูกผมผลักออกอย่างรุนแรง แต่ถึงอย่างนั้นบุญก็แค่เอามือออกและชวนผมให้กินแครกเกอร์รองท้องเป็นอาหารมื้อเช้า และเสียงบรรยายถึงสถานที่ที่ขับผ่านก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง

รสบัสแวะที่จุดพักรถแห่งหนึ่งซึ่งเป็นลักษณะเชิงยื่นเว้าออกให้สามารถออกไปเก็บภาพถ่ายสวยงามได้ ผมถ่ายรูปให้บุญในจุดที่ผู้คนยังไม่ค่อยเข้ามา สลับกันบุญก็ถ่ายรูปมุมเดียวกันให้ผมก่อนจะถ่ายรูปเซลฟี่คู่กัน มิสเตอร์เคนเดินเข้ามาเรียกให้พวกเราขึ้นรถเพราะยังต้องขับไปอีกไกลเพื่อให้ถึงจุดหมายตามกำหนดการ รถบัสเคลื่อนตัวออกไปพร้อมกับทัศนีย์ภาพที่เปลี่ยนไปจากสีเขียวของทุ่งหญ้าต้นไม้เป็นสีฟ้าขาวจากท้องทะเล มิสเตอร์เคนเล่าให้ลูกทัวร์ฟังว่าพวกเราเป็นกลุ่มที่โชคดีมากเพราะมีแดดออก เมื่อวานโชคร้ายเพราะฝนตกตลอดทั้งวัน ผมเห็นความสวยงามของเส้นถนนเกรทโอเชียนมาตลอดทาง ทั้งทุ่งหญ้าเขียว ต้นไม้ใหญ่ สัตว์น้อยใหญ่ ท้องทะเลกว้างสูดลูกหูลูกตา เกลียวคลื่นกระทบฝั่งและล่าถอยกลับไปเป็นฟองสีขาว สีฟ้าของทะเลที่ตัดกับสีขาวของกลุ่มก้อนเมฆ มองออกไปไกลก็เห็นแสงสีเหลืองส้มจากดวงอาทิตย์ฉาบย้อมผิวหน้าพื้นน้ำทอประกายสวยงาม มันเป็นความงามที่แตกต่างออกไปจากเมืองไทยและไม่มีที่ไหนเหมือนกันในโลก แม้ว่าจะยังเดินทางไปไม่ถึงทเวลฟ์อะพอสเซิลแต่ผมก็เข้าใจว่าทำไมนักท่องเที่ยวจึงแห่แหนมาเที่ยวที่นี่กันคับคั่ง

เรามาถึงจุดพักอีกจุดหนึ่งซึ่งเป็นเมืองเล็กๆมีร้านขายของข้างทางไม่กี่ร้าน มิสเตอร์เคนบอกให้ลูกทัวร์ไปเดินสำรวจหรือจะเข้าห้องน้ำอะไรก็ตามสะดวก และให้กลับมาในอีกสิบนาทีเพื่อดื่มชาท้องถิ่นพร้อมกับบิสกิตที่ทางบริษัททัวร์จัดเตรียมไว้ให้ อากาศหนาวมากหลังจากที่พ้นประตูรถบัส ผมกับบุญมุ่งหน้าไปซื้อโกโก้ร้อนที่ร้านแห่งหนึ่งเพื่อคลายหนาว ระหว่างรอไออุ่นจากในร้านที่กระทบกับอากาศหนาวทำให้เกิดควันจางๆสร้างบรรยากาศขมุกขมัวชวนไปอีกแบบ เราเดินกลับมายังบริเวณที่นัดหมาย ลูกทัวร์หลายคนกำลังยืนดื่มชาในถ้วยกระดาษพร้อมกับกินบิสกิต เราหยิบไปชุดหนึ่งสำหรับสองคนก่อนจะเดินหลีกไปอีกทางและพบกับมิสเตอร์เคนยืนสูบบุหรี่อยู่แถวนั้นพอดี

“Hi! Good morning” มิสเตอร์เคนเอ่ยทักอย่างสดใส “Are you ok with this?” เขาเอ่ยถามถึงมวนยาสูบสีขาวในมือ

“That’s fine” ผมตอบแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ด้านที่ว่าง

“The weather is really nice today, you guys are so lucky. Oh how was it? Did you enjoy this trip so far?

“Great. I really like it.” ผมเผยยิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนจะยกถ้วยชาดื่ม แต่ยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาของมิสเตอร์เคนที่ยังจดจ้อง

“จากนี้เราคงจะต้องไปอีกไกล คำแนะนำของผมก็คือ... ผมอยากให้คุณสนุกไปกับทริปนี้ร่วมกับคนรัก”

ผมเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัย

“คุณนั่งอยู่ข้างหน้า ผมเห็นคุณทะเลาะกับเขาบนรถไม่ใช่เหรอ”

“ผมไม่ได้ทะเลาะกับเขา”

“โอเค คุณไม่ได้ทะเลาะกับเขา... แต่คุณรู้ใช่มั้ยว่าที่ออสเตรเลียเปิดกว้างมาก”

มิสเตอร์เคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า สายตาของเขามองเผื่อแผ่มาถึงบุญที่นั่งอยู่ด้านข้างของผม เขาพ่นบุหรี่ออกมาก่อนจะบอกว่าใกล้เวลาเดินทางและเดินกลับไปเช็คเครื่องยนต์รถบัส ผมเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดแต่แค่กำลังคิดอยู่ว่าสิ่งที่เราเป็นมันแสดงออกมามากขนาดจนคนอื่นสังเกตเห็นง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ บุญนั่งดื่มน้ำชาโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือแต่ผมรู้ว่าเขาได้ยินทั้งหมด

“เราไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะคิดยังไงก็เลยไม่อยากแสดงออกมาก”

บุญเงยหน้าขึ้นมามอง เขาไม่มีท่าทีโกรธเคืองหงุดหงิดแต่อย่างใด บุญก็แค่ยิ้มรับนิดๆ

“โกรธเราเหรอ”

เขาเลิกสนใจโทรศัพท์มือถือและมองผมเต็มสองตา “ไม่โกรธเลย เราเข้าใจ แล้วก็ขอโทษที่จูบตอนนายหลับด้วยมิสเตอร์เคนก็เลยรู้”

ผมสบมองดวงตาของเขา ความรักของเราไม่ใช่เรื่องผิดคนที่ไม่มีความรักต่อผู้ใดเลยต่างหากคือคนที่ผิดแล้วทำไมผมยังจะต้องกังขาในความรักนี้ด้วย ในหัวคิดถึงเรื่องนั้นก่อนที่ผมจะขยับเข้าไปใกล้และจับมือของเขาไว้ ผมบอกรักบุญเบาๆท่ามกลางสายลมเย็นพัดโชย แสงแดดสาดส่อง และถ้วยกระดาษที่บรรจุชาร้อน

ในตอนที่กลับขึ้นมาบนรถบัสนั้นอากาศหนาวจนขนลุก โชคดีหน่อยที่ในรถค่อนข้างอุ่น หลังจากจับมือกันผมกับบุญก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากแต่ความรู้สึกของเราช่างผ่อนคลาย บรรยากาศข้างทางยังคงเป็นจุดสนใจของลูกทัวร์ มิสเตอร์เคนบรรยายถึงสิ่งต่างๆตามหน้าที่ ผมหลับบ้างตื่นบ้างไปตลอดทาง

ใกล้ถึงทเวลฟ์อะพอสเซิลเข้ามาทุกขณะ มิสเตอร์เคนจึงเปิดวิดิโอเกี่ยวสถานที่แห่งนี้ให้ดูพร้อมกับบรรยายประกอบไปด้วย ผมจับมือของบุญอย่างที่ใจต้องการ เขามองผมอยู่ครู่หนึ่งด้วยความลังเลก่อนจะก้มลงมาจูบที่ขมับ ก่อนหน้านี้ผมคงจะแวดระวังมากเกินไป ไม่มีใครสนใจในสิ่งที่เราเป็น ไม่มีใครมองว่าสิ่งที่เราเป็นมันคือเรื่องแปลกประหลาด ไม่มีใครสนใจเราเลยด้วยซ้ำในประเทศออสเตรเลียซึ่งมีกฎหมายรองรับการสมรสของเพศเดียวกัน ตรงนี้มีแค่ผมที่สนใจบุญและบุญก็สนใจแค่ผม รถบัสจอดตรงที่ลานจอดรถซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทเวลฟ์อะพอสเซิล ลูกทัวร์ต่างตื่นเต้นเมื่อเห็นสิ่งมหัศจรรย์อยู่ลิบตา แต่เมื่อลงจากรถเท่านั้นแหละลมหนาวพัดอย่างรุนแรงจนหน้าชาไปหมด ผมซุกมือลงในเสื้อโค้ทบ่นพึมพำกับบุญว่าหนาวจนไข่แข็ง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ฝ่าลมหนาวเดินไปตามเส้นทางเพื่อชื่นชมทเวลฟ์อะพอสเซิลด้วยตาของตัวเอง

อากาศหนาว ลมแรง และมีละอองฝนโปรยปรายเล็กน้อย เสียงคลื่นซัดเซาะแท่งหินตลอดเวลา ผมกับบุญคลายหนาวลงไปได้เล็กน้อยแล้วแต่ก็ยังหนาวมากอยู่ดี เราต่างหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาถ่ายเก็บบรรยากาศโดยรอบ ผลัดกันถ่ายรูปบ้างพอเป็นพิธี นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศมุมโลกส่งเสียงโหวกเหวกอย่างน่ารำคาญใจนิดหน่อย รวมถึงแก๊งส์ทัวร์จีนในตำนานก็ยิ่งแล้วใหญ่ ขนาดบุญที่ปกติเป็นคนใจเย็นและไม่หงุดหงิดต่อสิ่งใดมากนักยังถึงกับเอ่ยปากบ่น เราเจอนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตา ต่างชาติต่างภาษา วุ่นวายไปบ้าง แต่ความงามของทเวลฟ์อะพอสเซิลก็ทำให้เราลืมเลือนเรื่องเหล่านั้นไป ในตอนที่เห็นกระทู้แนะนำสถานที่เที่ยวในเมลเบิร์นและชื่อของทเวลฟ์อะพอสเซิลก็ติดอันดันต้นๆ ผมนึกไม่ออกเลยว่าความงดงามของแท่งหินสิบสองแท่งมันน่าอัศจรรรย์อย่างไร ผมไม่ใช่คนที่ให้เวลากับการชื่นชมธรรมชาตินักด้วยเพราะชีวิตที่โตมากับสิ่งอำนวยความสะดวก ทุกอย่างต้องรวดเร็วไปหมด แต่วันนี้เวลานี้ผมเห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแล้ว แม้ว่าจะแท่งหินสิบสองแท่งที่ถูกกัดเซาะจากธรรมชาติไปตามกาลเวลาจะเหลือไม่ครบสิบสองแท่งแล้ว แต่อะไรก็ตามที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ผมค้นพบว่ามันช่างน่าอัศจจรย์ใจเหลือเกิน ความรู้สึกที่อยากปล่อยตัวเองไปกับธรรมชาติพร้อมกับจูงมือคนรักคือความรู้สึกที่ตื้นตันอยู่ในอก มันเปรมปรีและไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว

เราใช้เวลากับทเวลฟ์อะพอสเซิลอยู่นานพอสมควร แต่เนื่องจากนี่เป็นชะโงกทัวร์ทำให้เราต้องกลับขึ้นรถบัสเพื่อไปยังจุดอื่นอีก เรายังคงอยู่ในถนนเส้นเกรทโอเชี่ยนแต่คราวนี้เราต้องลงไปยังผืนทรายด้านล่าง บอกตามตรงว่าผมขี้เกียจลงไปมากเพราะไม่อยากสู้กับฝูงชนที่กำลังทยอยลงบันไดไม้นั่น แต่ในเมื่อมาถึงแล้วจะไม่ลงไปสัมผัสทรายเลยก็ใช่เรื่อง ผมกับบุญเดินลงไปตามเส้นทางเพื่อสัมผัสกับผืนทรายและทัศนีย์ภาพเบื้องล่างที่ใกล้ชิดกับแท่งหินมากที่สุด เฮลิคอร์ปเตอร์บินว่อนอยู่เหนือหัวไปมาเพื่อชื่นชมธรรมชาติจากมุมสูง ค่าใช้จ่ายกับการนั่งเฮลิคอร์ปเตอร์ไม่กี่สิบนาทีทำให้ผมกับบุญเห็นตรงกันว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของคนรวยก็แล้วกัน ผมกลับมาขึ้นรถบัสตามเวลาที่มิสเตอร์เคนนัดหมายโชคร้ายหน่อยที่ต้องรอลูกทัวร์คนอื่นมาสายกว่าเวลานัดไปสิบห้านาที ก่อนกลับมิสเตอร์เคนพาคณะทัวร์มาแวะพักยืดเส้นยืดสายอยู่ที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งที่เงียบเชียบก่อนจะมุ่งหน้ากลับเข้าสู่ตัวเมืองเมลเบิร์นแบบที่ไม่ได้แวะพักที่ไหนอีก

กว่าจะมาถึงในเมืองก็ราวๆทุ่มนึงเกือบสองทุ่ม ผมกับบุญหลับมาเกือบตลอดทาง โดยปกติรถบัสจะไปจอดที่จุดๆเดียวนั่นคือบริเวณบริษัททัวร์ แต่มิสเตอร์เคนใจดีบอกว่าจะวนส่งตามสถานที่ที่เราจะลง ต่างคนต่างก็บอกสถานที่ที่จะไปจนมาถึงพวกผมซึ่งจะไปลงตลาดวิคตอเรียเพราะเราหิวกันมากและนี่เป็นคืนวันพุธที่มีงานวิคตอเรียวินเทอร์มาเก็ตพอดิบพอดี เส้นทางที่เราลงจากรถบัสนั้นค่อนข้างไม่คุ้นทางเหมือนตอนที่ผมมาครั้งแรกโดยรถแทรม แต่ผมกับบุญก็คลำทางกันไปได้ในที่สุด ครั้งที่สองที่มานี้ก็ยังคนเยอะมากเหมือนเดิม เราเลือกที่จะต่อแถวร้านอาหารอิตาเลี่ยน พักใหญ่เลยทีเดียวกว่าเราจะได้อาหาร ของผมเป็นมีทบอลราดซอสอะไรสักอย่างเสิร์ฟคู่กับมันบด ส่วนของบุญเป็นซี่โครงวัวราดซอสอะไรสักอย่างเช่นกันเสิร์ฟพร้อมกับมันฝรั่งทอด บุญบ่นนิดหน่อยที่มื้อนี้ไม่มีผักเลยแต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก ผมเดินไปซื้อแอปเปิ้ลไซเดอร้อนมาเผื่อบุญแก้วนึง กลิ่นอาหารที่มากมายสะสมอยู่ในนั้นจนเวียนหัวไปหน่อย แต่เมื่ออาหารลงท้องอะไรๆก็ดีขึ้น อากาศด้านในตลาดอุ่นจนร้อนประกอบกับผู้คนคราคร่ำทำให้ดูน่าอึดอัดไปสักหน่อย แถมยังมีพวกนักแสดงที่เริ่มออกมาแสดงกายกรรมอะไรต่อมิอะไรหลากหลายโชว์ ทั้งหมดนี้ดูเหมือนบุญจะสนุกสนานกว่าผม เขาชอบบรรยากาศที่ดูเคลื่อนไหว ชอบอะไรที่แปลกใหม่ แต่น่าแปลกที่เขาเลือกที่จะอยู่กับคนเงียบๆชอบทำกิจกรรมคนเดียวแบบผม อาหารตรงหน้าพร่องไปเยอะเลยทีเดียวและผมรู้ตัวว่ายังสามารถกินได้อีกจึงเดินไปซื้อขนมชูโร้กไส้ช็อคโกแลตมา ส่วนบุญก็หายไปซื้อเบียร์ เรานั่งกินชูโร้กกันคนละชิ้นจนหมดขณะที่ดูการแสดงสดจากวงใต้ดิน มันคงติสแตกมากและต้องใช้ส่วนลึกในการเข้าถึงเพลงแต่ไม่ใช่สำหรับพวกเรา ผมกับบุญมองหน้ากันเมื่อนักดนตรีลงนอนดีดกีต้าร์บนพื้นก่อนจะหัวเราะเล็กน้อยในความติสนั้น

“ไปเดินเล่นกัน” ผมบอกบุญพลางกดหาสายรถแทรมเพื่อมุ่งหน้าไปยังเซ็นต์กิลด้า บุญตอบรับอย่างว่าง่าย เราแวะซื้อเบียร์กันคนละกระป๋องก่อนจะขึ้นรถแทรม

เซ็นต์กิลด้าบีชคือจุดหมาย ผมรู้ว่าเราเคยมาที่นี่กันแล้วแต่ครั้งนี้เรามาในสถานะอื่น ลูน่าพาร์คยังคงตั้งตระหง่านเป็นสวนสนุกที่ดูหลอกหลอนในฤดูหนาวไม่เคยเปลี่ยน อากาศหนาวเย็นกว่าในเมืองผมจึงถือโอกาสนั้นเข้าไปกระแซะตัวบุญและซุกมือลงในเสื้อโค้ทเหมือนที่เขาเคยทำที่โซล บุญอมยิ้มแก้มตุ่ยและดูมีความสุขมาก เราเดินไปตามเส้นทางเดิมเพื่อเดินเล่นริมชายหาดพร้อมกับฟังเพลงของ Norah Jones บรรยากาศในเพลงชวนให้นึกถึงทุ่งหญ้าเขียวขจีในฤดูร้อนที่เจิดจ้าด้วยแสงแดดอบอุ่น แต่เนื้อเพลงชวนให้นึกถึงครั้งแรกที่เจอบุญ ไม่ใช่เพราะเนื้อหาของเพลงตรงกับชีวิตของเราหรอก แต่มันเป็นเพราะเราร่วมฟังเพลงนี้ด้วยกันท่ามกลางอากาศหนาวเย็นและสายลมจากทะเลต่างหาก

“นาย เรื่องที่ทะเลาะกันน่ะ...”

“อืม”

“นายรู้ใช่มั้ยว่าเราไม่เคยโกรธนายเลย”

“ไม่ค่อยแน่ใจอะ บุญไม่พูดกับเราตั้งหลายวัน” ท้ายประโยคผมพึมพำเบาลงแต่คิดว่าบุญคงจะได้ยิน

เขายิ้มแล้วกอบกุมมือของผมแน่นขึ้น “เรื่องที่นายพูดเล่นน่ะเรารู้ เราแกล้งงอนไปอย่างนั้นแหละแต่เรื่องที่ทำให้เราคิดมากก็คือเรื่องที่นายแอบคุยกับพี่พล”

“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่อะ”

“ก็วันที่นายไปกินข้าวกับพวกเฟริสท์ พอกลับมาเห็นว่ามีคนโทรเข้าพอดีก็เลยรับสาย”

“ห้ะ? ทำไมเราไม่รู้เลยวะ”

บุญยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าแต่ไม่ได้ตอบอะไรออกมา

“แล้วทำไมบุญไม่ถามเราตรงๆ”

คราวนี้บุญหันกลับมามองแล้วถอนหายใจ “วันที่ทะเลาะกันวันนั้นพอมาคิดดีๆ… เราคิดว่านายกำลังหาเรื่องทะเลาะกับเราเพราะว่าอยากเลิกคบกัน”

“บุญแม่งบ้า คิดไปเอง”

เขาหัวเราะเบาๆแล้วก้มลงมาจูบที่แก้มของผม “จะว่าบ้าก็ได้ รักจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”

ถึงคำพูดจะฟังดูเลี่ยนหูแต่แววตาที่สบมองอยู่นั้นกำลังบ่งบอกว่ามันคือความจริง ผมเล่าให้บุญฟังถึงต้นเรื่องตั้งแต่ที่พี่พลทักมาเมื่อครั้งไปเที่ยวทะเลจนถึงเรื่องที่พี่พลบอกว่ายังนึกถึงเรื่องราวในอดีต และผมก็ขอโทษบุญที่ไม่ได้บอกกล่าวในเรื่องนี้จนกลายมาเป็นสาเหตุให้เราทะเลาะกัน

“เราไม่ได้คิดปิดบังนะ แต่เราคิดว่ามันไม่มีอะไรก็เลยไม่ได้บอกอะ” ฟังดูเป็นคำแก้ตัวแต่ผมก็คิดเช่นนั้นตั้งแต่แรกแล้ว “ส่วนจูบก็จูบจริงอะ แต่แม่ง…” ผมหยุดพูดไปเพื่อนึกคิดคำพูด “ไม่รู้ดิ ไม่ได้อยากจูบอีก”

บุญยังคงอมยิ้มขณะที่สายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้า “ช่วงที่ไม่ได้อยู่กับนาย… เราพนันกับตัวเองว่าจะหยุดทบทวนอะไรหลายๆอย่างสักอาทิตย์นึง แต่แค่ไม่กี่วันเราแม่งก็แพ้”

มันจุกอยู่เหมือนกันนะเมื่อรู้ว่าบุญต้องอยู่กับความไม่แน่นอนใจในเรื่องของผมกับพี่พล ผมยังยืนยันคำเดิมว่าผมคิดน้อยเกินไปจริงๆ

“ช่างมันเถอะ เราไม่คิดอะไรแล้ว”

“จริงเหรอ” ผมทวนถามขณะที่หยุดเดินเพื่อสบมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น

บุญพยักหน้าตอบรับ

“เราไม่เชื่ออะ” ผมพูดทั้งๆที่ยิ้มก่อนจะโน้มคอของบุญลงมาเพื่อมอบจูบให้อย่างยาวนาน

“เชื่อที่เราพูดแล้วหรือยัง” บุญถามขณะที่มือของเขาโอบกอดผมไว้

“ยังเลย” ผมจูบเขาอีกครั้งและคิดว่าจะจูบไปจนกว่าเพลง Come away with me ของ Norah Jones จะจบเพลงก็น่าจะดี แต่ติดก็ตรงที่อากาศหนาวและลมพัดแรงมากจนคิดว่าไข่ของผมมันชาดิกเข้าให้จริงๆ ผมจึงชักชวนบุญกลับห้อง



ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #63 เมื่อ28-11-2018 22:18:57 »




รถแทรมวิ่งออกจากสถานีไปแล้วพร้อมๆกับภาพชายหาดเซ็นต์กิลด้าห่างออกไปเรื่อยๆ ผมไม่แน่ใจนักว่าจะได้กลับมาเมลเบิร์นอีกครั้งเมื่อไหร่ แต่คิดว่าจะชวนบุญมาเมลเบิร์นอีกครั้งในฤดูร้อนเพื่อซึมซับความสดใสของแสงแดดและมาเล่นเครื่องเล่นที่สวนสนุกลูน่า เรานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองทิวทัศน์มืดสลัวรอบข้างไปเรื่อยเปื่อย

“ไปดื่มเบียร์ที่ห้องเรามั้ย” ผมยิ้มกริ่มในตอนที่ถามคำถามนั้น บุญคงรู้ว่าผมหมายถึงอะไรมันเป็นประโยคสนทนาระหว่างเราในสมัยครั้งแรกที่เจอกัน เขาทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มตาม

“เอาดิ เลี้ยงเบียร์เราขวดนึงด้วยนะ” บุญอมยิ้มและตอบรับ

“เออ ได้”

เราหัวเราะร่วมกันก่อนที่บุญจะโน้มตัวเข้ามาจูบเบาๆที่ริมฝีปากของผม “ล้อเราเหรอ”

“เปล่า จะชวนดื่มเบียร์จริงๆ”

“แต่ตอนนั้นเราไม่ได้จะชวนดื่มเบียร์จริงๆเนี่ยดิ”

“เรารู้”

บุญมองตาของผมด้วยรอยยิ้มและเราก็จูบกันอีกครั้ง “แต่สุดท้ายก็เมาเละ หลับสนิท”

“นั่นดิ แล้ววันนี้จะหลับอีกป้ะ” ผมกล่าวและในช่วงนั้นก็ถึงสถานีที่เราจะต้องลง

“หลับสิ แต่เราจะกินนายให้อิ่มก่อนหลับ” บุญตอบพลางโอบคอผมเดินไปยังร้านสะดวกซื้อร้านเดิมที่เคยมาครั้งแรก





บุญไม่ใช่คนพูดเล่น ไม่มีนิสัยทีเล่นทีจริง เพราะที่พูดก่อนหน้านี้เขาก็หมายความตามนั้นจริงๆ ผมไม่ได้ยั่วยวนเขาแต่อย่างใดเพียงแต่ตอบสนองอย่างที่เขาต้องการ ผมชอบที่ได้เห็นบุญแสดงออกถึงความใคร่ในตัวผม เราทั้งคู่ค่อนข้างเปิดเผยเรื่องบนเตียง เขาชอบแบบไหน ผมชอบแบบไหน เรามักพูดมันออกมาตรงๆ แต่บางทีบุญก็พูดตรงเกินไป ไม่สิ เขาหื่นเกินไปต่างหาก ครั้งแรกที่เรามีอะไรกันนั้นบุญสุดแสนจะอ่อนโยน เขากังวลกลัวว่าผมจะเจ็บ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมก็ชอบบุญในลักษณะแบบนั้น สิ่งที่เขาปฏิบัติกับผมมันค่อนข้างวาบหวามและละมุนละไมเหมือนล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆ ความสุขปรี่ล้นอยู่ในอก เหมือนมีรังสีแห่งความอ่อนโยนโอบอุ้มเราไว้ เขาสารภาพว่ากังวลเกี่ยวกับสุขภาพกายของผม เราเข้าใจกันดีในเรื่องนั้น แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องบนเตียงของเราได้พัฒนามาจนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ที่แปลกกว่านั้นเราต่างพึงใจกับระดับที่พัฒนามาไกลขนาดนี้ มันเริ่มจากจุดไหนผมไม่แน่ใจนักแต่น่าจะเป็นเพราะผมนี่แหละที่ต้องการให้บุญรุนแรงสักหน่อย อย่างในตอนนี้ก็กำลังเป็นอย่างนั้น เจ้านั่นของบุญแทรกกายเข้ามาไม่ยั้งแรงแม้แต่น้อย และแต่ละครั้งก็เสียดสีในจุดสะท้านจนผมร้องหลุดร้องครางออกมา บั้นท้ายของผมถูกบุญควบคุมอยู่ที่ด้านหลัง ใบหน้าของผมถูกกดแนบอยู่บนที่นอน เมื่ออยู่ในท่วงท่านี้ส่วนนั้นของบุญสามารถแทรกเข้ามาได้ลึก แต่มันไม่ใช่ท่าที่ผมชอบนักเพราะบอกตามตรงผมมักชอบมองใบหน้าของบุญตอนที่เสพสุขร่างกายนี้

ด้วยแรงอารมณ์ผมเรียกร้องให้บุญกระทำรุนแรงขึ้น หากแต่บุญกลับถอนกายออกไปและพลิกร่างของผมให้กลับมาเผชิญหน้า ผมมองดูเขาชะโลมเจลบนท่อนเนื้อรูดรั้งไปตามความยาว สายตาของบุญกำลังจ้องมองอย่างตรงไปตรงมาที่ช่องทางด้านหลัง ผมรู้สึกได้ถึงความเหยียดตึงที่ตรงนั้นซึ่งรองรับของๆบุญมานานพอควร มันบีบรัดเรียกร้องการถูกเติมเต็ม ผมเล่นกับส่วนหน้าพลางมองท่อนเนื้อที่เหยียดยาวตั้งชั้นของบุญ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าสรีระของบุญดูอลังการเตะตา ผมตื่นเต้นและรอคอยสิ่งนั้นอย่างใจจดใจจ่อ นิ้วยาวๆป้ายเจลเข้ามาเพิ่มอย่างไม่เบามือ มันหมุนวนเพื่อช่วยชะโลมช่องทางให้ทั่วถึง ในนั้นชุ่มฉ่ำกว่าเดิมจนเกิดเสียงตอนที่นิ้วขยับเข้าออก ขาของผมถูกยกสูงขึ้นพาดบ่าอีกฝ่าย ส่วนนั้นรองรับของบุญเข้ามาจนถึงที่สุด บุญมองตาผมในตอนที่ขยับกายและเผยยิ้มมุมปากที่น่าหลงใหล ผมจูบริมฝีปากนั่นอย่างใจต้องการดึงรั้งริมฝีปากล่างให้เผยออ้าก่อนจะใช้ฟันกัดเบาๆเพื่อหยอกล้อ เสียงครางในลำคอดังขึ้นอย่างพึงใจจากนั้นบุญก็มอบจูบให้ ผมชอบอยู่ในท่านี้ ผมสามารถมองเห็นใบหน้าของคนรักยามเสียวซ่าน ได้มองตาของเขา ได้สัมผัสลมหายใจยามที่เขาออกแรงโถมกายเข้ามา บุญโอบร่างของผมแนบชิดกระทั้นกายหนักหน่วง ผมเสียวซ่านจนต้องหลุดร้องคราง กอดรัดร่างอีกฝ่ายไว้แน่น หน้าท้องของตัวเองเกร็งเขม็งรู้สึกได้ว่าใกล้จะปลดปล่อยแล้ว ผมครวญเรียกชื่อของคนรักซ้ำไปซ้ำมา ร่างกายร้อนลุ่ม เหงื่อกาฬชื้นตัวไปหมด บุญเล่นกับด้านหน้าของผม เขาลูบไล้รัวเร็วจนท้ายที่สุดผมก็ถึงฝากฝั่ง บุญขยับสะโพกต่อไม่ปล่อยให้ผมได้พักหายใจ ช่องทางนั้นชุ่มโชกจนผมสะท้านขึ้นมาอีกครั้งแต่ไม่ถึงกับแข็งตัว ผมสารภาพเลยว่าหมดแรงจึงได้แต่นอนระทวยให้บุญเสพสมต่ออีก ขาทั้งสองข้างถูกจับยกสูงชิดหน้าอก แผ่นหลังถูไถไปกับผ้าปูที่นอน ช่องทางด้านหลังถูกกระทำอย่างรุนแรง บุญสอดใส่เข้ามาลึกในตอนที่เสร็จสม เขาแยกขาของผมออกกว้างขยับสะโพกเชื่องช้าและมองดูส่วนนั้นที่เสียดสีเข้าออก น้ำใคร่ของบุญที่คั่งค้างอยู่ในช่องทางด้านหลังไหลเยิ้มออกมาข้างนอกจนผมรู้สึกได้ เสียงหอบหายใจของเราประสานกันกับเสียงเปียกแฉะ บุญถามว่าผมเหนื่อยหรือเปล่า ด้วยความสัตย์จริงผมเหนื่อยจนไม่มีแรงแม้แต่จะตอบ ผมพยักหน้ายินยอมในเรื่องนั้น บุญยิ้มมุมปากดวงตาวาบวับเจ้าเล่ห์จนผมหวาดหวั่น แต่แล้วบุญก็เพียงแค่โถมกายลงมานอนซบ พลางลูบไล้ไปตามผิวกายของผม ลมหายใจของเขาเป่ารดรินอยู่ที่หน้าอก ความสุขกำลังอบอวลอยู่รอบกาย

เรานอนอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งบุญก็ขยับพลิกตัวให้ผมขึ้นมานั่งบนตัก เขาดูดดุนเข้ามาที่ยอดอกมันทำให้ผมจั๊กจี้จึงดันหน้าของเขาออก แต่บุญกลับจับมือของผมไว้และจ้องมองด้วยสายตานิ่งๆ ผมคิดว่าเขาอาจจะแค่ล้อเล่นแต่เปล่าเลยบุญตั้งใจที่จะทำอีกครั้งและไอ้นั่นของเขาก็ตื่นตัวขึ้นมาแล้วแม้จะยังไม่เต็มที่ก็ตามที ผมบอกเขาว่าเหนื่อยมากและคิดว่าไม่น่าจะมีอารมณ์อีกแต่บุญกลับหัวเราะลงคอ

“คนไข้อยู่นิ่งๆนะครับ”

บุญพูดติดตลกแต่ผมไม่ตลกตามสักเท่าไหร่ “เฮ้ย บุญจะบ้าเหรอวะ” ผมพูดแล้วพยายามดันหน้าอีกฝ่ายออกห่าง “เราไม่ไหวหรอก”

เขาไม่ตอบอะไรแต่กลับลากนิ้วไปยังบั้นท้ายของผม นิ้วยาวๆสอดเข้ามาในช่องทางด้านหลังซึ่งยังคงชุ่มแฉะจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ “คนไข้ไม่ไหวเหรอ ขอหมอลองประเมินอาการก่อนนะ”

หัวใจของผมเต้นรัวรู้สึกร้อนขึ้นเพราะคำพูดของเขา ไม่บ่อยนักหรอกที่บุญจะสวมบทบาทเป็นหมอหื่น เพราะโดยปกติเขาเป็นพวกหมอเนิร์ดๆและโคตรจะเนิร์ดต่างหาก

บุญยังคงเร้าอารมณ์ผมอย่างต่อเนื่องด้วยนิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เราเริ่มต้นจากจุดนี้ผมไม่แน่ใจนักว่าจะตัวเองจะมีอารมณ์หรือเปล่า ในตอนที่คิดแบบนั้นอยู่ๆผมก็เกร็งตัวขึ้นมาเมื่อนิ้วของบุญล้วงเข้าไปยังจุดอ่อนไหวด้านใน

“อยู่ตรงนี้นี่เอง” เขาพึมพำออกมา “หมอว่าคนไข้ยังไหวนะ” เขาพูดแล้วยิ้มมุมปาก

ผมไม่รู้หรอกว่ามันอยู่ตรงไหนเพราะทุกครั้งบุญมักจะเจอจุดนั้นด้วยตัวของเขาเอง ผมจับแขนบุญเป็นที่ยึด อารมณ์วาบไหวก่อเกิดขึ้นแต่ก็ยังไม่ถึงกับทำให้แข็งตัวเสียทีเดียว บุญรูดรั้งท่อนเนื้อให้แข็งมากพอก่อนจะค่อยๆสอดใส่เข้ามา เขาบังคับขยับสะโพกของผมอย่างง่ายดาย ส่วนนั้นของเขายังแข็งตัวไม่เต็มที่แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่พัฒนาอยู่ด้านใน เขาครางเสียงต่ำอย่างพึงพอใจขณะที่สวนแทรกกายขึ้นมา ผมเหนื่อยล้าแต่กระนั้นกลับมีความเสียวซ่านที่ช่องทางด้านหลังอย่างน่าประหลาดใจ เซ็กส์รอบนี้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในแบบที่คาดไม่ถึง เจ้านั่นของบุญค่อยๆตื่นตัวขึ้นจนคับแน่นอยู่ในบั้นท้าย

“บุญ เรา…” เสียงของผมคาดช่วงไปเมื่ออยู่ๆบุญก็กระแทกสวนกายเข้ามาแรงจนจุก เขามองหน้าผมแล้วยิ้มดวงตาวิบวับ “เราไม่ไหวจริงๆ” ผมบอกเขาไปตามตรง

“อืม งั้นคนไข้อยู่เฉยๆก็พอนะ”

บุญขยับสะโพกขึ้นโดยกดตัวผมให้รองรับแท่งเนื้อ ความแฉะชื้นทำให้ไอ้นั่นของบุญเข้ามาลึก ผมกอดคอเขาไว้และยินยอมให้บุญขยับสะโพกอย่างที่เขาต้องการ ของๆผมไม่แข็งตัวขึ้นมาเต็มที่แต่ในเวลานี้ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังมีอารมณ์อย่างว่าอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองแปลกใจอยู่เหมือนกันที่มีอารมณ์ร่วมมากขนาดนี้ ส่วนที่ถูกแทรกเข้าออกอย่างรัวเร็วนั้นฉ่ำเยิ้มทั้งเจลหล่อลื่นและน้ำใคร่จากบุญ ผมรู้สึกดีไปกับมันจนเผลอครวญครางเสียงแผ่ว บุญพลิกร่างให้ผมนอนตะแคงราบไปกับเตียง ขาทั้งสองข้างชันขึ้นอยู่ในท่าคุดคู้ บั้นท้ายถูกโหมกระหน่ำจาบจ้วงเข้ามาอย่างหนักหน่วง แขนของบุญคร่อมทับกักขังร่างของผมไว้ เราจูบกัน เขากระซิบบอกรักติดชิดอยู่ที่ริมฝีปาก ผมตอบรับถ้อยคำนั้น มองตาอีกฝ่าย ด้วยแรงอารมณ์ในช่วงนั้นผมสวมบทบาทเป็นคนไข้จอมลามกเรียกเขาว่าหมอ และบอกให้เขาเอาบั้นท้ายของผมแรงกว่าเดิม คนรักของผมไม่ทำให้ผิดหวัง เขาตอบสนองอย่างถึงใจจนผมไม่อาจคิดถึงสิ่งอื่นใดอีก






หลังจากสุขมสมอารมณ์หมายผมก็ไร้เรี่ยวแรงและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ บุญทำความสะอาดตัวให้ผมขณะที่อมยิ้มเป็นระยะเหมือนมีความสุขจนเก็บไว้ไม่อยู่ ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เราสวมชุดนอนขายาวแขนยาวและซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนาก่อนจะหลับผล็อยไปอย่างรวดเร็ว

ในตอนที่ตื่นมานั้นผมได้ยินเสียงเพลงแจ๊สเปิดอยู่ในห้อง เห็นบุญยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียง ท้องฟ้าด้านนอกนั้นสว่างจ้า ฟ้าเปิดเหมาะแก่การออกไปทำกิจกรรมข้างนอก ผมหยิบคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพแบบย้อนแสง ในรูปนั้นเป็นเงาร่างสูงใหญ่ยืนท้าวแขนบนราวระเบียงโดยมีบุหรี่คีบติดอยู่ที่นิ้ว จะว่าไปทั้งผมและบุญต่างไม่เคยลงรูปคู่กันเลย ในกลุ่มแอพพลิเคชั่นโซเชี่ยลเนตเวิร์กต่างๆของผมนั้นมีเพียงรูปเพื่อนรูปอาหารรูปสถานที่ท่องเที่ยวและรูปผมแบบเดี่ยวๆ ไม่มีรูปของบุญแม้แต่รูปเดียว ผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นจนกระทั่งวันนี้ที่รู้สึกอยากลงรูปของบุญโดยไม่มีเหตุผลใดสนับสนุนในเรื่องนั้น ขณะที่กำลังลังเลว่าจะลงรูปหรือไม่ลงรูป บุคคลที่วนเวียนอยู่ในสมองก็หันกลับเข้ามาในห้องพอดี เขาส่งสัญญาณมือเรียกผมให้เข้าไปหา ผมลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้าไปยืนด้านข้างอย่างว่าง่าย

“อากาศโคตรดี” เขาเอ่ยขึ้นสายตายังคงทอดมองออกไปยังทัศนีย์ภาพเมืองเมลเบิร์น แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วทุกหนแห่งทำให้สายลมฤดูหนาวที่พัดผ่านอยู่นี้ไม่เย็นยะเยือกมากเกินไป ฝูงนกบินว่อนอยู่บนท้องฟ้ามาพร้อมกับเสียงจ้อกแจ้กจอแจจากเหล่ามนุษย์ที่ออกมาใช้ชีวิต “หิวยัง”

“หิว” ผมตอบสั้นๆแล้วขยับเข้าไปเพื่อเอนหัวซบลงบนลาดไหล่ เรายังคงอยู่ในชุดนอนฟังเสียงเพลงแจ๊สคลอเคล้าชวนให้บรรยากาศดูละมุนละไม อารมณ์ในตอนนี้คือเรื่อยเปื่อยยังไม่คิดจะออกไปไหน ผมคิดว่าอีกสักพักเราอาจจะออกไปเดินเที่ยวในเมืองหาอะไรกินและนั่งเล่นนอนเล่นในสวนสาธารณะที่ไหนสักแห่ง หรืออาจจะไปซื้อเดย์ทัวร์ออกนอกเมืองอีก แต่ขณะที่คิดอยู่นั้นบุญก็เปลี่ยนมาโอบไหล่ผมกระชับให้แนบแน่นขึ้นจนต้องหันไปมอง

“ที่นี่ดีเนอะ”

“อืม ดีมาก”

“เราอยากมาอยู่ที่นี่” เขาโอบผมแน่นขึ้นอีก “เราจะลองหางานทำ แล้วยื่นขอเป็นพลเมือง”

“..........” ในตอนนั้นผมไม่ได้ตอบอะไรออกไปเพราะไม่แน่ใจว่าบุญกำลังคิดอะไรอยู่

“นายครับ”

“ครับ”

“ไว้มาแต่งงานกับเราที่นี่นะ”

ผมมองบุญที่กำลังยกบุหรี่ขึ้นมาสูบ สายตาของเขายังคงจดจ้องทิวทัศน์เบื้องหน้า ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองกำลังงัวเงียจากการตื่นนอนหรือตกใจสุดขีด เราต่างเงียบปล่อยให้เสียงเพลงขับเคลื่อนไปตามท่วงทำนอง บุญไม่ได้เร่งเร้าด้วยการทำสิ่งใด เขาทำเพียงโอบกอดผมไว้เช่นเดิม ชื่นชมทิวทัศน์ของเมลเบิร์นและเพลิดเพลินกับกับการสูบบุหรี่ ผมได้ยินประโยคนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง ทั้งใจและสมองกำลังว้าวุ่นในการกลั่นกรองคำตอบออกมาเป็นคำพูด ความรู้สึกต่างๆรุมเร้าจนในที่สุดมันก็คลี่คลาย

“อืม แต่งดิ”

ผมรับคำด้วยสติพรั่งพร้อมแล้วจูบอย่างแผ่วเบาบนผิวแก้มของบุญ สบมองดวงตาของเขาที่ประกายความสุขอยู่ในนั้น เราไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก อารมณ์หลากหลายกำลังคับคั่งจนกลั่นกรองออกมาอย่างยากลำบาก หัวใจของผมมันเต้นแรงแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสงบสุข บุญจูบผมที่แก้มอย่างนุ่มนวลในตอนที่เสียงของ Frank Sinatra ขับกล่อมเพลง It Had To Be You ก่อนที่เราจะโอบกอดกันไว้ในยามท้องฟ้าสดใสรายล้อมด้วยสายลมเย็น ผมซบใบหน้าลงบนแผ่นอกของเขา มันอบอุ่นและอิ่มเอม เขาบอกรักให้ผมได้ยินเพียงคนเดียวและผมก็ทำเช่นเดียวกัน

‘It had to be you
It had to be you
I wandered around
And finally found
The somebody who
Could make me be true
And could make me be blue
And even be glad
Just to be sad
Thinking of you’






ไม่มีสิ่งใดเพิ่มเติม ไม่มีสิ่งใดขาดหาย ที่ตรงนี้มีเพียงผมกับบุญและความรักของเรา ในเมลเบิร์น,ออสเตรเลีย



************************************


ลงครบหมดแล้วววว เย้ๆ
และขอฝากนิยายเรื่องอื่นของเราด้วยนะคะ
-หนึ่งมิตรชิดใกล้-
- หนึ่งวันบนดาวพุธ -


 :o8:

ออฟไลน์ Pupay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-1
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #64 เมื่อ28-11-2018 23:31:14 »

ดีงามตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ มันเหมือนอ่านบันทึกของนายเลย
บุญดีมาก รักนายมาก เราเข้าใจนายนะที่แบบดูลังเล แต่จริงๆคือเลือกบุญน่ะแหละ
นิยายดีงามมากค่ะ ขอบคุณนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ HappyYaoi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #65 เมื่อ29-11-2018 00:28:13 »

สนุกมาก ดีมาก ๆ เลยค่ะ ประทับใจ

ออฟไลน์ mew.kani

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #66 เมื่อ29-11-2018 00:44:56 »

บุญขอนายแต่งงานด้วยย โรแมนติกจังเลย ฮือออ

บรรยายบรรยากาศได้ละมุนมากๆเลยค่ะ
ขอบคุณคุณนักเขียนสำหรับเรื่องราวของทั้งสองหนุ่มนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #67 เมื่อ29-11-2018 06:34:26 »

ไม่รู้จะบอกหรืออธิบายอย่างไรว่าเป็นเรื่องที่อ่านแล้วใช้ภาษาง่ายๆแต่สละสลวยงดงามเหลือเกินการดำเนินเรื่องชวนติดตามมากๆความรักของบุญและนายก็อบอุ่นจริงๆ..ขอบคุณนักเขียนนะคะ

ออฟไลน์ megatef4

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #68 เมื่อ30-11-2018 03:28:23 »

ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ เขียนดีมาก ภาษาก็สวย ตัวละครมีมิติดี อ่านล่ะรู้นิสัยเลย ชอบมากค่ะ
ดีใจกับหมอบุญและน้องนายด้วย ดีแล้วที่เคลียร์เรื่องไอพี่พลไป เราว่าถึงนายจะกลับไปหาพี่พล สุดท้ายก็อาจจะได้แค่สถานะน้องท้องชนกันเหมือนเดิม พี่พลรักตัวเองมากกว่าอ่ะ คงเลือกงาน เลือกความมั่นคง  ส่วนหมอบุญนี่โคตรดี อยากเจอผู้ชายแบบนี้อ่ะ มั่นคง จริงใจ รักเรางี้ ฮืออ ใจบาง อิจฉาน้องนาย 555
รอติดตามเรื่องอื่นๆต่อไปนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่าาาา  o13 :bye2:

ออฟไลน์ rcbpdr

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #69 เมื่อ01-12-2018 00:54:34 »

สารภาพเลยค่ะ ว่าก่อนที่ตอนพิเศษ พี่พลจะออกมา เรายังแอบเชียร์พี่พลอยู่
แต่พอได้อ่านตอนพิเศษจนจบก็รักบุญขึ้นมาเลย แบบว่าบุญนี่ดีจัง น่ารักมาก
รู้สึกว่านายเลือกถูกแล้ว ชอบความคิดนายที่มีต่อพี่พลมากๆ
อดีต ที่แสนหวาน ก็คืออดีต เขาคือคนที่เคยชอบ เคยเป็นคนที่ตรงใจเรา
เหมือนเราได้ย้อนเวลาเลยค่ะ มันดีกับใจมากๆ
เหมือนนั่งอ่านอยู่กลางสนามหญ้าโล่งๆซักที่ในออสเตรเลีย
เป็นเรื่องที่ประทับใจสำหรับเรามากๆ ขอบคุณนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
« ตอบ #69 เมื่อ: 01-12-2018 00:54:34 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #70 เมื่อ01-12-2018 03:37:55 »

เป็นเรื่องที่ชวนลุ้นมาก แต่รู้สึกว่าตอนจบตัดฉับไปนิดนึงครับ ต้องอ่านตอนพิเศษถึงจะเข้าใจความรู้สึกตัวละครได้อย่างสมบูรณ์ สนุกมากครับ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #71 เมื่อ02-12-2018 18:00:49 »

เราเชียร์บุญมาตั้งแต่แรกเลยไม่ผิดหวัง​ คิดไว้อยู่แล้วว่าพี่พลเข้ามาเพราะจุดประสงค์อื่น​ ได้เป็นแค่คนแรกของน้องแค่นั้นแหละ​ กั๊กเก่งดีนักกกกก
หมอบุญคือดีม๊ากกกกกก​ หนูเลือกถูกคนแล้วนาย

ตอนพิเศษแต่ละตอนคือดี​ ละมุนละม่อม​ อ่านแล้วอยากไปเที่ยวเรยยยย​ เราชอบภาษาคุณมากๆ​ มากแบบไม่รู้จะอวยยังไงเลยค่ะ​ เป็นกำลังใจให้ในการแต่งทุกเรื่องนะคะ​ เริ้บบบบบ :mew1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #72 เมื่อ05-12-2018 09:29:08 »

เราไม่รู้จะหาอะไรมาอวยแล้ว ดีหมดเลย ขอบคุณจริงๆ ที่เป็นบุญ ตอนที่บอกจะหางานทำแล้วยื่นเรื่องเป็นพลเมืองแล้วขอน้องแต่งงาน เราน้ำตาคลอเลย ดีใจกับทั้งคู่ด้วยที่ได้เจอความรักดีๆ แบบนี้ รักษามันไว้ให้ดีนะลูก  :o12:

ออฟไลน์ Emmaline

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #73 เมื่อ05-12-2018 19:41:33 »

ขอบคุณมากค่ะ ตอนที่ทะเลาะกัน ใจหายมากนึกว่าจะกลับไปคบพี่พลแล้ว ดีใจกับบุญนะ :)

ออฟไลน์ HunHan9407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #74 เมื่อ05-12-2018 21:57:14 »

 :katai1: :angry2: :katai3: :hao4:

ออฟไลน์ jazumine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #75 เมื่อ05-12-2018 22:53:28 »

อ่านรวดเดียวจบเลย ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ Stmmltww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #76 เมื่อ06-12-2018 02:33:34 »

อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ สนุกมาก ขอบคุณมากค่า ชอบน้องนายมากๆเลย :-[

ถึงพี่พล : พี่น้องเขาไม่เอากันโว้ย

ออฟไลน์ wetter

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #77 เมื่อ06-12-2018 07:23:11 »

อ่านตอนพิเศษพี่พลจบคือรู้สึกความรักของทั้งสองคนมันเปราะบางมากๆ มันไม่เท่ากัน มันอยู่บนความระแวง
ไม่ชอบพี่พลยังไงก็อย่างงั้น ตะหงิดตั้งแต่แรก55555 กั๊กเก่ง พี่น้องเขาไม่ท้องชนกันเด้อ
บุญคือดีแบบดีมากๆ ดีจนเราคิดว่านายยังดีไม่พอสำหรับบุญเลย อ่อนไหวง่ายเกินไป ยึดติดมากเกินไป
แต่พอถึงตอนกลับไปเมลเบิร์นอีกครั้ง ตอนขอแต่งงาน เราก็ดีใจที่ทั้งสองคนผ่านมันมาได้ ทิ้งความรู้สึกเก่าๆ ไว้ข้างหลังให้เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตก็พอ ดีใจที่บุญยอมรอและมีวันนี้ ขอบคุณที่มั่นคง  :กอด1:

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ ภาษาสวยมาก :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-12-2018 07:35:23 โดย wetter »

ออฟไลน์ love-boy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #78 เมื่อ06-12-2018 16:09:52 »

ตอนแรกคือเชียร์พี่พลนะ แต่อีพี่พลความรู้สึกช้าไง
แหมมม มารู้ตัวทีหลัง มันสายไปไหมย่ะ

ออฟไลน์ aeiou_376

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #79 เมื่อ06-12-2018 16:15:58 »

อ่านจบแล้วได้แต่ถามว่า อีพี่พลนี่คืออะไร เป็นตัวทำให้เค้าเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อน  แล้วก็เป็นคนที่ทำให้เค้าทะเลาะกันจนความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นสินะ   แต่ถ้าเราเจอคนแบบพี่พล เราคงไม่โอเคแบบนายอ่ะ  อยากเป็นพี่น้อง แต่ท้องชนกันได้  มันใช่หรอ   

หมอบุญนี่แหละดีที่สุดแล้ว  เป็นคนดี อบอุ่น เข้าใจ  แล้วก็รักนายมากๆๆ   

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
« ตอบ #79 เมื่อ: 06-12-2018 16:15:58 »





ออฟไลน์ เจ้าอ้วงงง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #80 เมื่อ08-12-2018 09:36:33 »

ชอบมากค่ะ ถ่ายทอดบรรยากาศให้ออกมาน่ารักมากเลย :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ tangtey59

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #81 เมื่อ09-12-2018 07:25:40 »

เราชอบเรื่องแนวนี้นี้นะ ฟิลประมาณว่าพระรองได้เป็นพระเอก   ชอบที่นายเลือกบุญ

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #82 เมื่อ09-12-2018 07:33:07 »

อ่านรวดเดียวจบเลย ขอบคุณมากเลยค่ะ เรื่องนี้บุญคือพระเอกที่ใช่แล้ว จริงๆ แอบเหมือนหมาตัวใหญ่ที่กลัวเจ้าของไม่รัก น่ารักทุกตอน

ออฟไลน์ chaoyui

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #83 เมื่อ09-12-2018 10:49:32 »

บุญดีมากเลยอะ ดีใจที่บุญรอนาย

ชอบภาษามากเลย รู้สึกอบอุ่นมาก จะตามอ่านเรื่องอื่นต่อนะคะ

ออฟไลน์ gibgift

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #84 เมื่อ09-12-2018 23:12:27 »

พี่พลความรู้สึกช้าไปมาก ใช้เวลาตกผลึกความคิดนานไปมั๊ย อาจจะคิดกับนายแค่เซ็กเฟรนด์มากกว่าจนกระทั้งตอนนี้ รึเปล่า๕๕ เราว่าพี่พลเห็นแก่ตัวมากไป ไม่อยากผูกมัดแต่จะผูกเอาไว้ทำอย่างอื่น

นายเป็นคนมองโลกดีมาก เป็นอิชั้นคงสาบส่งไม่เผาผีไม่พบพานพี่พลอีกแล้ว  ย้อนกลับไปหาความรู้สึกดีๆที่มีให้กัน(?)มันก็เป็นเวลาที่ดีจริงแหละมั้ง หล่อ หุ่นดี แทคแคร์ แบบโตกว่ารู้สึกพึ่งพิงได้ อบอุ่น เป็นคนแรก...อาจจะจำฝังใจ (ใจจริงเราแบบแล้วแต่นายเลยนะ นายเลือกใครเราไม่ว่า คบพร้อมกันเลยก็ได้ เอ๊ะ๕๕๕๕) 


แอบสงสัยหมอบุญฟิตหุ่นเผื่อนายหรือเปล่า ฮาๆ  ลุ้นมากเลยค่ะตอนเจอกันที่ออสฯครั้งแรกไม่อยากให้สิ่งที่บุญฝันเป็นแค่ฝันเลย พระเอ้กพระเอกที่ดูเป็นพระร้องพระรองมากเลยสำหรับทุกอย่างที่ทำเพื่อนาย

เรื่องสนุกมากเลยค่ะ เดินเรื่องน่าสนใจชวนติดตาม ภาษาดี ไหลลื่น บรรยายสถานที่ได้เห็นภาพมากเลยค่ะเหมือนหลุดไปเที่ยวพร้อมหมอบุญกับนายเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ

ออฟไลน์ AdLy

  • ไม่ได้ Korea Fever แค่รัก ดงบังและเอสเจ เท่านั้น
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 555
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #85 เมื่อ10-12-2018 21:14:50 »

ดีอ่าาาา บุญคะ เรารักนาย 5555555

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #86 เมื่อ11-12-2018 12:29:41 »

 :3123: :3123: :pig4:

ออฟไลน์ lemon_sour

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #87 เมื่อ11-12-2018 19:20:41 »

ติดตามเรื่องต่อไปนะคะ ชอบภาษาเขียนของนักเขียนมาก ๆ มันจริง มันมีที่มาที่ไป ไม่ได้ชวนฝันจนเกินจินตนาการ และคาแรกเตอร์ของนายกับบุญ เราก็ชอบมาก ๆ ไม่ว่าจะสถานการณ์แบบไหน นายก็ยังเป็นนายที่ชัดเจนในตัวเองและพูดตรง รู้ว่าต้องการอะไร อยากทำอะไร ในขณะที่บุญก็มีความอ่อนโยนและก็ดุดันในคราวเดียวกัน แอบซื่อๆหน่อย แต่ก็น่ารักมากๆค่า และก็เชื่อว่าคนแบบพี่พลก็น่าจะมีอยู่จริง ที่ไม่ค่อยรู้ตัวเองจนสายไปแล้ว

ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านนะคะ (คุณนักเขียนใช้ภาษาในการเขียน nc ได้ดีที่สุดเท่าที่เราเคยอ่านมาเลยค่ะ)

ออฟไลน์ palm-metto

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #88 เมื่อ11-12-2018 20:04:11 »

มันดีมากกกก ดูเรียล ดูมีชีวิตตัวตนจริงๆ
คาแรคเตอร์ชัดมาก ดำเนินเรื่องเร็ว
เข้าใจทุกตัวละครทุกมุมมอง ว่าทำไมแต่ละคนถึงแสดงออกอย่างนี้
ชอบบุญที่มีความอดทนกับทุกสิ่ง รอได้กับทุกเรื่องของนาย ยังไงก็รัก .. แบบ เอ้ออออ ชายในฝัน หล่อ ดี เก่ง แซ่บ
นายก็ดูเป็นผชที่เป็นผชจริง ๆ ขี้เกียจยังไงก็ยังงั้น ลังเลเก่งงงง เก็บเงียบเก่งงงง
และอีพี่พล ที่ไม่รู้ว่าจะให้เป็นพระรองหรือตัวร้ายดี .. ชอบกัก ไม่ชอบความสัมพันธ์แบบผูกมัดไรทั้งนั้น ผชที่หาได้ในชีวิตประจำวัน ณ ตอนนี้

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
«ตอบ #89 เมื่อ12-12-2018 17:18:06 »

ดีที่รู้ก่อนว่าพี่พลไม่ใช่พระเอกจากคุณหมีคุก ไม่งั้นคงได้แหกโค้งระเรระนาดไปแล้ว แล้วพอเห็นชื่อบุญก็คือมั่นใจเลยพระเอกแน่ ๆ แต่เป็นพระเอกที่น้อยมาก555 ซึ่งบุญก็มาทวงความเป็นพระเอกในตอนพิเศษได้แบบน่ารักละมุนละไมมากกกก และแซ่บมากกกกกเช่นกัน อิจฉานายแล้ว ชอบมากๆๆ ขอบคุณค่ะ :3123: :pig4:
ปล.ตอนนี้ไปอ่านหนึ่งวันบนดาวพุธอีกเรื่องแล้วค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด