พิมพ์หน้านี้ - - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: PromQueen29 ที่ 08-10-2018 23:42:12

หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 08-10-2018 23:42:12
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


**********************************************
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่หนึ่ง (08-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 08-10-2018 23:46:00
af·fec·tion

əˈfekSH(ə)n/

noun

a gentle feeling of fondness or liking.





ตอนที่หนึ่ง



.

.

.

.

“เอาล่ะ ประชุมวันนี้มีใครอยากเพิ่มเติมอะไรอีกไหม ไม่มีแล้วนะ งั้นจบประชุม”

สิ้นเสียงห้องเรียนทั้งห้องก็กลับมามีชีวิตชีวาหลังจากร่วมประชุมเรื่องการจัดทำงานบายเนียร์ ผมเองก็รู้เหนื่อยจึงรีบพูดตัดบทให้เลิกประชุมก่อนจะเดินกลับมานั่งรวมอยู่กับกลุ่มเพื่อนอีกสี่คน

“จะเอา Theme Gatsby จริงๆเหรอวะ กูว่ามันเกร่อไปอะ”

ไอ้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาทันทีที่ผมนั่งลง ผมอ้าปากค้างปรือตามองหนึ่งด้วยความเบื่อหน่าย “แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่เสนอ Theme อื่นล่ะ ไอ้ควายหนึ่ง”

“เพิ่งนึกออกว่ะ คือเห็นช่วงนี้งานแต่งงานวันเกิดแม่งก็ Theme นี้เยอะ แต่ก็เอาตามนั้นแหละ”

ผมเก็บหนังสือเรียนเข้ากระเป๋าไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะเดินตามเจ้าพวกนั้นออกไปจากห้องเรียน หลังจากเลิกเรียนแล้วเป็นธรรมดาที่กลุ่มของเราจะต้องไปหาอะไรทานกัน โรงอาหารที่ใกล้ที่สุดคือเป้าหมายของพวกเรา โชคดีที่ในเวลาหกโมงเย็นแบบนี้ยังพอมีอาหารให้ทานบ้าง เพราะไม่อย่างนั้นผมคงต้องหิ้วท้องไปทานข้าวที่บ้าน บ้านก็ไกลแสนไกลคนละซีกกับมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่เลย จะให้อยู่หอก็ไม่ชอบแต่กลับชอบไปนอนค้างคืนที่ห้องของเพื่อนเป็นประจำ มันให้ความรู้สึกต่างกันนะ การใช้ชีวิตอยู่ที่หอพักกับนอนค้างห้องเพื่อน

ในโรงอาหารมีคนประปราย นั่งเล่น นั่งทำงาน นั่งทานข้าว กลุ่มของผมเลือกนั่งโต๊ะที่ติดกับพัดลม คล้ายๆกับเป็นโต๊ะประจำเพราะเมื่อไหร่ที่มาทานข้าวและโต๊ะตัวนี้ว่างกลุ่มเราจะนั่งตรงนี้เสมอ เจ้าพวกเพื่อนของผมวางกระเป๋าแล้วเดินไปซื้ออาหารกันทั้งหมดทิ้งให้ผมนั่งเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียว ระหว่างรอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นตามประสาคนติดโลกออนไลน์ ไม่นานนักเพื่อนของผมก็กลับมาพร้อมกับอาหาร แต่ที่ประหลาดใจก็คือเหมือนจะมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

“เฮ้ย ซื้อข้าวเสร็จละ” หนึ่งพูดพลางนั่งลง “อ้าว หยิบช้อนมาสองคัน ขากลับฝากเอาส้อมมาให้กูด้วยนะ”

“เออ” ผมรับคำแต่ก่อนที่จะได้เดินออกไป กลับมีเสียงเรียกเอาไว้

“ฝากซื้อน้ำเปล่าขวดนึงด้วยดิ”

ผมมองอีกฝ่าย ในสมองคิดประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งว่าไอ้หมอนี่คือใครเจอหน้ากันครั้งแรกก็ใช้ผมเลย ผมไม่ได้ตอบรับใดๆก่อนจะเดินออกไปซื้ออาหารให้ตัวเอง ผมสั่งเมนูประจำเหมือนทุกครั้งเมื่อมาโรงอาหารนี้ ระหว่างรอนึกสงสัยไม่หายว่าผู้ชายที่มากับไอ้หนึ่งคือใคร ผมหันไปมองเห็นเขากำลังหัวเราะอ้าปากกว้าง ผมบอกกับพี่ร้านก๋วยเตี๋ยวว่าเดี๋ยวมาเอาก่อนจะเดินไปซื้อน้ำเปล่าและไม่ลืมที่จะหยิบอาวุธให้เหมาะสมกับสมรภูมิอาหารมือเย็นนี้ด้วย พอกลับมาที่ร้านก็พบว่าก๋วยเตี๋ยวที่สั่งไว้เสร็จพอดี เส้นเล็กแห้งโปะหน้าด้วยไก่ทอดชิ้นเท่าฝ่ามือนี่แหละสุดยอดอาหารจานเด็ดของโรงอาหารนี้

“เท่าไหร่อะ” เจ้าของเสียงจะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากคนแปลกหน้าที่มากับไอ้หนึ่ง

“สิบบาท” ผมตอบเรียบๆ ฝ่ายนั้นเอ่ยขอบคุณและเหรียญสิบบาทไว้ตรงหน้าถ้วยก๋วยเตี๋ยว เวลานั้นผมไม่สนอะไรนอกจากรีบคลุกก๋วยเตี๋ยวให้เข้าที่ ก่อนจะคีบชิ้นไก่ทอดที่ถูกสับเป็นชิ้นยาวพอดีคำส่งเข้าปากก่อนเป็นคำแรก

“สรุปตีมแก๊สบี้ใช่ป้ะ” เสียงของคนแปลกหน้าเอ่ยขึ้น ผมเหลือบมองเขาที่กำลังแกะพลาสติกบนฝาขวดออกแล้วยกขวดขึ้นดื่ม คงจะกระหายน้ำมาก หมดไปเกือบครึ่ง

“ใช่พี่ จริงๆผมว่าเกร่อไปหน่อย แต่ก็ตามเสียงส่วนมาก” ไอ้หนึ่งจอมงอแงง้องแง้งยังไม่จบประเด็นเกร่อๆของมันอีกสักที “นี่ยังนึกไม่ออกว่าผู้ชายเขาแต่งตัวกันแบบไหน”

“สูทมั้ยล่ะอิหนึ่ง เปิดกูเกิ้ลดูสิวะ” คราวนี้เป็นเสียงของเฟริสท์ เป็นสาวหนึ่งในสองคนของกลุ่ม “ตอนอินายมันให้เสนอ Theme เสือกเล่นแต่เกม แล้วก็มาบ่นเกร่อๆนอกห้อง งึมงำๆอะไรอยู่ได้ เสร่อ”

ไอ้หนึ่งกรอกตาใส่เฟริสท์ที่บ่นได้ตรงประเด็น จริงๆแล้วทุกครั้งที่ประชุมหรือมีกิจกรรมที่ต้องเสนอความคิดก็มักเป็นแบบนี้เสมอ ประเภทที่ในห้องไม่ออกความคิดเห็นมาปากดีเอาข้างนอก “เออๆ นั่นแหละๆ”

“ตอนแรกในห้องจะเอา Theme ชุดไทยพี่ แล้วเป็นชุดไทยสมัยรัชกาลที่ 5 อะ ไม่ไหว ลูกไม้แขนพองงี้” เฟริสท์บ่นต่อ ท่าทางเฟริสท์ก็ไม่ไหวตามพูดจริงๆนั่นแหละ ปกติมันเป็นคนไม่เรื่องมากแต่คราวที่อยู่ประชุมกันในห้องเฟริสท์ถึงกับต้องลุกขึ้นแย้งจนเพื่อนๆในห้องยอมหา Theme อื่นแทน

“ใครเสนอวะ” คนแปลกหน้าเอ่ยถาม

“นุ่นเอง” คราวนี้เป็นเสียงจากเพื่อนอีกคนในกลุ่มที่ชื่อนุ่น “นุ่นชอบชุดยุคนั้นอะ”

“ผมเสนอ Theme Playboy แต่แม่งไม่มีใครเห็นด้วยเลย” ไอ้บอมที่เพิ่งเงยหน้ามาจากเกมในโทรศัพท์มือถือเอ่ยขึ้นบ้าง “ชุดผู้หญิงนี่ง่ายมากใส่ชุดกระต่าย ติดหูติดหาง” ชุดกระต่ายที่บอมพูดถึงนี่มันมโนภาพถึงชุดในนิตยสารปลุกใจเสือป่าไม่ใช่ชุดกระต่ายน่ารักๆใสๆนะ

“ดีใจจังนานๆทีอิบอมจะมีส่วนร่วม แต่กูว่ามึงอยู่เงียบๆเหมือนเดิมก็ดี” หนูนุ่นพูดยิ้มๆ ตาหยี ซอฟๆ “สมองแม่งอยู่ใต้สะดือ ไอ้ควาย”

“ไอ้นุ่น!”

หลังจากนั้นพวกมันก็ฉะฝีปากกันเรื่อง Theme งานบายเนียร์ของรุ่นพี่ปีสี่ ทั้งที่ประเด็นนั้นมันควรจบไปตั้งนานแล้ว แต่เดี๋ยวนะ… นี่ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่า ทำไมรู้สึกเหมือนไอ้เจ้าเพื่อนพวกนี้จะรู้จักรุ่นพี่คนนี้กันหมด ผมสะกิดไอ้หนึ่งและกระซิบถามถึงรุ่นพี่คนนี้ที่ผมไม่รู้จัก มันบอกว่าเป็นรุ่นพี่ตอนอยู่มัธยม รู้จักกันตอนงานแรลลี่ศิษย์เก่า หนึ่ง เฟริสท์ นุ่นแล้วก็บอมจบมัธยมที่เดียวกันแต่เพิ่งมาสนิทตอนเข้ามหาวิทยาลัย มีผมนี่แหละที่เพิ่งมารู้จักพวกมันตอนเข้าปีหนึ่ง พอรู้อย่างนั้นก็หายสงสัย ผมทานก๋วยเตี๋ยวต่อนั่งฟังพวกมันเถียงกันก็บันเทิงพอแล้ว

“แล้วเลือกโรงแรมที่จัดงานแล้วใช่ป้ะ”

อยู่ๆรุ่นพี่คนนั้นก็หันมาถามผม ผมพยักหน้ารับแทนคำพูดเพราะตอนนี้ในปากกำลังเต็มไปด้วยก๋วยเตี๋ยวไก่ทอด

“ที่ไหน”

“โรงแรมแถวแม่น้ำเจ้าพระยา”

ฝ่ายนั้นทำหน้าเข้าใจ “สถานที่สวยแต่อาหารธรรมดามาก แต่ก็โอเคแหละ เน้นเที่ยวต่อมากกว่า”

ผมยิ้มรับแทนคำพูด เพราะผมไม่ใช่คนพูดเก่งสักเท่าไหร่ จะว่าไปก็นึกประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่ผมไม่รู้จักเขามาก่อนทั้งที่เรียนอยู่ในคณะเดียวกัน อย่างน้อยตอนรับน้องหรือมีกิจกรรมภายในคณะก็น่าจะต้องคุ้นๆหน้ากันบ้าง แต่นี่ผมอยู่ปีสามแล้วเพิ่งจะมาเห็นเขา แต่ก็ช่างเถอะคนตั้งเยอะแยะจะไปรู้จักหมดได้ยังไง

“เราชื่ออะไรนะ”

“นายครับ”

“พี่ชื่อพลนะ”

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักชื่อของเขา พี่พล






************************************



หัวข้อ: - Affection - ตอนที่สอง (08-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 08-10-2018 23:55:57
ตอนที่สอง




ในวันที่มีเรียนเช้าผมมักมาถึงที่มหาวิทยาลัยก่อนเวลาเข้าเรียนเพราะชอบมานั่งเล่นคอมพิวเตอร์ในห้องสมุด บรรยากาศเงียบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ผมเดินมานั่งที่คอมพิวเตอร์เครื่องประจำ เปิดเครื่อง ก่อนจะเดินไปยืนตรงบันไดวนแล้วมองไปข้างล่างเพื่อถ่ายภาพเล่น อาคารห้องสมุดเป็นทรงกลม มีบันไดวนแบบพื้นราบไม่มีขั้นอยู่ในอาคารให้เดินขึ้นมาแต่ผมใช้ลิฟท์เสมอ ผมมองไปเรื่อยๆเห็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดกำลังจัดของให้เข้าที่เข้าทาง อยู่ๆประตูก็เปิดออก มีนักศึกษาชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแตะบัตรนักศึกษาเพื่อลงทะเบียนเข้าห้องสมุด ผมมองตามเขาที่เดินขึ้นบันไดวผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ช่วงจังหวะที่เส้นทางบันไดพาวนให้ร่างของเขาหน้ากลับมาผมก็เริ่มคุ้นกับผู้ชายคนนี้ขึ้นมา

“พี่พล” ผมเรียกเสียงปกติ แต่เขากลับได้ยินแม้จะยังอยู่ที่ชั้นสอง

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงที่อยู่ชั้นสาม “อ้าว นาย” เขายิ้มนิดๆ แล้วรีบก้าวเท้าขึ้นมาบนชั้นสามอย่างรวดเร็ว “มาเช้านะ ทำไรอยู่”

“เล่นคอม” ผมตอบเรียบๆเดินกลับมานั่งที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ตอนนี้พร้อมใช้งานแล้ว

“มีเรียนกี่โมง”

“เก้าโมง แล้วพี่อะ”

“ไม่มีเรียนหรอก แต่เข้ามาทำงาน” เขาวางกระเป๋าลงที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ข้างๆผม “ใกล้จะจบแล้วแต่ยังขี้เกียจอยู่เลยว่ะ”

“เหมือนกัน ขี้เกียจมาก”

“เราเพิ่งมาสนิทกับพวกไอ้หนึ่งเหรอ ทำไมไม่เคยเจอเลย”

“ก็รู้จักพวกมันมาตั้งแต่ตอนปีหนึ่งนะ”

พี่พลทำหน้ารับรู้ก่อนจะหันกลับไปสนใจคอมพิวเตอร์แทน หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่ได้สนทนาใดๆกันอีก ผมเสียบหูฟังเปิดยูทู้บ เข้าหน้าเวบต่างๆไปเรื่อยเปื่อย แต่พอเล่นไปสักพักหนึ่งก็เริ่มเบื่อ ผมเงยหน้าขึ้นมาภาพสะท้อนในกระจกตรงหน้า ผมเห็นพี่พลกำลังหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ทำ เขาเป็นคนหน้าตาธรรมดา ไม่ได้หล่อเหลาอะไรมากนัก แต่ดูสะอาดสะอ้านแต่งตัวเรียบร้อยกว่านักศึกษาโดยทั่วไป ดูท่าทางแล้วคงจะเข้ากับคนได้ง่ายเพราะขนาดผมที่เพิ่งรู้จักเขายังชวนคุยได้เรื่อยๆทั้งที่ผมเองก็ไม่ใช่คนคุยเก่งสักเท่าไหร่แถมหน้าตาก็ออกจะไม่เป็นมิตร

ผมแอบมองเขาทำงานอยู่ครู่หนึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมอง…

พอถึงเวลาเรียนผมก็ลุกออกมาอย่างเงียบๆ ไม่ได้บอกกล่าวพี่พลเลยด้วยซ้ำแต่ดูเหมือนเขาเองก็กำลังหมกมุ่นอยู่กับงานคงไม่ได้สนใจอะไร ผมเดินมาถึงที่ห้องเรียนรีบปรี่ตัวเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆเพราะอาจารย์เข้าสอนแล้ว ผมหยิบอุปกรณ์การเรียนขึ้นมาหมายมั่นว่าจะตั้งใจเรียนแต่ผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่น ส่วนเพื่อนผมก็ไม่ต่างกัน พวกมันหลับโชว์อาจารย์เลย เวลามีเรียนเช้าก็แบบนี้แหละ ไม่นั่งอึนก็หลับโชว์

ผมส่งข้อความนัดเพื่อนคนหนึ่งไว้จะไปดูหนังแล้วค่อยไปงานแสดงศิลปะ เพื่อนคนนี้ผมไปเจอตอนไปดูแสดงสดขอวงดนตรีวงหนึ่งที่ออสเตรเลีย ผมลงทุนออมเงินและดั้นด้นไปถึงเมลเบิร์นเพื่อชมการแสดงสดของวงนี้ ตอนไปเจอเขายังประหลาดใจอยู่เลยที่ได้เจอคนไทยเพราะจริงๆแล้ววงดนตรีวงนี้ก็ไม่ได้โด่งดัง จากนั้นเราก็คุยกันมาเรื่อยๆและนัดไปเที่ยวกันบ่อยๆ ส่วนเพื่อนที่มหาวิทยาลัยไม่มีใครสนใจหรือมีรสนิยมเดียวกันกับผมเลย เพราะงั้นเวลาอยู่กับเจ้าพวกนี้ก็ต้องคุยเรื่องอื่นเป็นส่วนมาก หลังจากส่งข้อความไปมาได้สักพักประตูห้องเรียนก็เปิดออก ผมจึงละสายตาไปมองและพบว่าเป็นพี่พลที่เดินเข้ามา ห้องเรียนที่ผมนั่งอยู่นั้นประตูอยู่ด้านหลังจึงไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่พี่พลจึงมานั่งข้างๆผมที่นั่งติดอยู่กับประตูทางเข้า

“อ้าว…” ผมเอ่ยขึ้น ไม่รู้ว่ามันเป็นคำทักทายหรือเป็นประโยคอะไรเหมือนกัน

“ออกมาก็ไม่บอก” เขากระซิบพูดเบาๆ แล้วหยิบหนังสือของวิชาที่กำลังเรียนอยู่ไปดู “ไม่จดอะไรเลยเหรอ”

“ขี้เกียจ”

“แล้วจะทำข้อสอบได้มั้ยเนี่ย”

ผมเงียบไม่ตอบอะไรได้แต่ส่งยิ้มแหยๆไป

“สมแล้วที่อยู่กับพวกไอ้หนึ่งได้” เขากล่าวแล้ววางหนังสือไว้ที่เดิม “พวกขี้เกียจเหมือนกัน”

ผมยิ้มตามเขา รู้สึกอยากหาเรื่องอื่นๆมาต่อบทสนทนาแต่ในหัวของผมก็มีแต่เรื่องดูหนังฟังเพลง อยากถามพี่พลว่ารู้จักวงดนตรีไหนบ้างแต่ก็ไม่กล้าถามเพราะผมกลัวว่ามันจะกลายเป็นเดดแอร์ ประสบการณ์ที่ผ่านมามันมักเป็นแบบนั้นเสมอ ตอนนี้เจ้าพวกชาวแก๊งส์ของผมเริ่มหันมาทักทายผู้มาเยือนพี่พลจึงย้ายไปนั่งข้างไอ้หนึ่ง แล้วเริ่มคุยกันเรื่องเกมแบบที่ผมฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ผมไม่ค่อยเล่นเกมเคยโหลดเกมใหม่ๆมา เล่นไปไม่เท่าไหร่ก็ลบทิ้งเพราะเล่นนานๆแล้วเบื่อ จริงๆชีวิตผมก็น่าเบื่อแหละ พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง บางทีชวนคนอื่นคุยก็เหมือนจะถามอะไรที่ต่อกันไม่ติดเลยชอบอยู่เงียบๆคนเดียวทำกิจกรรมอะไรที่สามารถทำคนเดียวได้

หลังจากที่อาจารย์สอนเสร็จห้องเรียนก็กลับมาเสียงดังอีกครั้ง นักศึกษาเริ่มทยอยกันออกจากห้องกลุ่มของพวกผมก็เช่นกัน ผมเดินรั้งท้าย มองดูพี่พล ไอ้หนึ่ง และไอ้บอมจ้อเรื่องเกมอย่างเมามัน ส่วนเฟริสท์กับนุ่นก็คุยกันเรื่องเสื้อผ้าที่จะใส่ไปงานบายเนียร์ตามประสาผู้หญิง ส่วนผมได้แต่เดินตามไปอย่างเงียบๆด้วยความง่วงงุน พวกเรามุ่งหน้าไปยังหอของเฟริสท์เพราะใต้หอมีร้านอาหารตามสั่งเจ้าเด็ดที่กลุ่มเราชอบทานกันเป็นประจำ หลังจากทานข้าวก็คงนอนเพื่อรอเวลาเรียนรอบบ่ายที่ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มเรามักจะหลับยาวและไม่ค่อยได้เข้าเรียน ตื่นอีกทีก็เตรียมตัวออกไปสังสรรค์ย่านเอกมัยอยู่เสมอ

อาหารที่เราสั่งมากันนั้นเป็นเมนูเดิมๆ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ต้มยำปลาทอด ปลาทอดผัดกะเพรากรอบ หมูกรอบกระเทียม แบละอื่นๆอีกตามแต่อารมณ์ ถ้าไม่ได้ทานข้าวที่โรงอาหารเราก็สั่งเมนูเหล่านี้กัน แต่ตอนนี้ผมกำลังลุ้นอย่างใจจดใจว่าพี่พลจะสั่งอะไรเพิ่ม

“เอา… ไข่เจียว”

“โห ไรวะพี่ รอตั้งนาน” เสียงไอ้บอมบ่น

“อ้าว ก็พวกมึงกดดันกูอะ กูก็ต้องรีบตัดสินใจป่าววะ”

ผมหัวเราะเบาๆกับเมนูของพี่พลก่อนที่สายตาจะเหลือบไปมองเห็นร้านเครป ภาพของเครปที่อยู่บนป้ายไวนิลมันกำลังยั่วให้ผมหิวมากกว่าเดิม ในระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้ออยู่นั้นพี่พลก็สะกิดผมแล้วพยักเพยิดหน้าไปทางร้านเครป

“ไปซื้อเป็นเพื่อนหน่อย” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นทันทีไม่ให้เวลาผมคิดอะไร ผมเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย “คนละครึ่งนะ ชิ้นนึงกินไม่หมดว่ะ”

“ได้เลย ผมเอาปูอัดไส้กรอกชีส”

“นี่กะไม่ให้เลือกมั่งเลยรึไงวะ” เขาพูดยิ้มๆไม่ได้จริงจังอะไรก่อนจะหันไปสั่งเครปกับคนขาย “เอาปูอัดกับไส้กรอกชีสชิ้นนึงครับ”

“รู้จัก Fleetwood Mac ป้ะ” ผมเอ่ยถามแต่ไม่กล้ามองพี่พล ได้แต่มองคนขายที่กำลังละเลงแป้งเครปบนเตา

“รู้จักดิ ทำไมวะ”

“ป่าว ก็ถามดู แล้ว…” ผมเว้นจังหวะไว้แล้วเหลือบตาขึ้นไปสังเกตอีกฝ่าย “ชอบป้ะ”

“ชอบ วงโปรดเลย สะสมไวนิลด้วย”

“เฮ้ย งี้ก็แสดงว่ามีเครื่องเล่นแผ่นเสียงด้วยดิ”

“มีดิ ไม่งั้นจะสะสมไปทำไมวะ เราชอบวงนี้เหรอ”

“ชอบ นายชอบฟังเพลงเก่าๆ” ผมรู้สึกเหมือนจะตื่นเต้น ไม่แน่ใจว่าใช่ความรู้สึกนี้หรือเปล่าแต่มันมีความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในร่างกายกำลังสูบฉีดแรงขึ้น “คอนเสิร์ตคราวที่แล้วก็ไปดูนะ ฟินตายตาหลับได้เลย”

“บินไปดูที่ไหนวะ”

“เยอรมัน โชคดีที่ได้ตั๋ว”

“โห โคตรโชคดี” เขาพึมพำแล้วยิ้มนิดๆก่อนจะหันไปจ่ายเงินค่าเครป

ผมว่ามันอาจจะเป็นเพราะผมได้คุยเรื่องที่ชอบแถมยังไม่เดดแอร์ด้วยก็เลยรู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆจนอดยิ้มไม่ได้เหมือนกัน

หนังท้องตึงหนังตาหย่อน… ตอนนี้ชาวแก๊งส์ของผมและรวมพี่พลเราอพยพขึ้นมานอนที่ห้องของเฟริสท์แล้ว ผมเข้ามุมโซฟาเหมือนเดิมส่วนที่เหลืออยู่บนเตียงพวกมันกำลังคุยเรื่องงานบายเนียร์ของรุ่นพี่ปีสี่ สถานที่จัดงานการแต่งภายในงานค่าใช้จ่ายแต่พอคุยเรื่องชุดไอ้บอมกับไอ้หนึ่งเริ่มไม่มีปากเสียงจึงหันมาเล่นเกมแทน ปล่อยให้สาวๆเธอเป็นคนจัดการให้กลุ่มเรา ผมก็ได้เออออห่อหมกตามน้ำไปขี้เกียจเถียง พวกสาวๆจะให้ใส่ชุดแบบไหนก็ตามนั้นเลย

“มึงจะบ้าเหรอไอ้นุ่น สูทแบบนี้มันแพงนะเว่ย” เสียงของพี่พลโวยวายขึ้นมา

“ลงทุนหน่อยดิพี่ ถ่ายรูปออกมาจะได้ดูดี”

“เออๆ เดี๋ยวลองดูก่อนแล้วกัน” พี่พลรับคำก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาข้างๆผม “มีสูทรึยังวะ”

“มีแล้วสีดำ แต่คงไม่ใส่อะ”

“อ้าว ไม่แต่งตาม Theme เดี๋ยวไอ้เฟริสท์ก็ด่าหรอก”

“ป่าว แต่ชุดที่คิดไว้มันไม่ต้องใช้สูท นี่ไง…” ผมเปิดรูปภาพจากโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มในยุคนั้นให้พี่พลดู ในภาพเป็นชายหนุ่มที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขาวและสวมเสื้อกั๊กสีน้ำตาลอ่อน เป็นสไตล์ลำลองในยุคนั้น พี่พลขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าด้านข้างของเขากับทรงผมด้านข้างที่ถูกไถถูกตัดมาอย่างประณีตเป็นผมเองที่จ้องมองเขาไม่วางตา “เอาสูทของนายไปใส่ก็ได้นะ”

“เออ ดี” เขาเงยหน้าขึ้นมามองผม รอยยิ้มดีใจนิดๆปรากฏอยู่บนใบหน้าที่ดูเกลี้ยงเกลา “รอบอกเท่าไหร่”

“38 นิ้ว”

“โห ใส่ไม่ได้” พี่พลทำหน้าผิดหวัง “ของพี่รอบอก 46 นิ้วอะ เสื้อปริคานมแน่ๆ”

ผมแอบมองหน้าอกของเขาโดยไม่รู้ เพิ่งจะมาสังเกตว่าพี่พลรูปร่างบึกบึนหุ่นดีกว่าผมเยอะ ยิมกับผมคงคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก “อีกนิดนึงจะเป็นกัปตันอเมริกาแล้ว”

“แล้วเราล่ะ ไม่เข้ายิมมั่งรึไง” เขาเอาศอกจิ้มแขนผมเบาๆก่อนจะเอามือพาดไหล่ผม

“ไม่อะ ขี้เกียจ” พี่พลขยี้หัวของผมนิดๆแล้วหัวเราะชอบใจอะไรก็ไมรู้   “ชิ้บหายละ จะสอบอยู่แล้วนี่หว่ายังไม่ได้อ่านหนังสือสักตัว” เป็นเสียงโวยวายจากไอ้หนึ่ง

ห้องทั้งห้องชะงักไปชั่วครู่ จะว่ายังไงดีล่ะไม่ใช่ว่าลืมอะไรหรอกแต่ขี้เกียจอ่านกันมากกว่า เหมือนต้องมีใครสักคนคอยกระตุ้นสักหน่อยถึงจะกระเตื้องขึ้นมาบ้าง แถมอยู่ๆก็โดนยัดเยียดงานบายเนียร์เข้ามาอีกด้วยทีนี้ก็ขี้เกียจเลยเถิดไปกันใหญ่เลยกับการอ่านหนังสือของชาวแก๊งส์

“แม่งขี้เกียจจะอ่านหนังสือ มึงอ่านมั่งหรือยังไอ้บอม” เฟริสท์เอ่ยถามเจ้าบอมที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่

“ยัง มึงรู้จักอัจฉริยะข้ามคืนมั้ยล่ะ”

พวกเราทุกคนทำหน้าเอือม เป็นอันรู้กันว่าไอ้บอมจะยังไม่อ่านจนกว่าวันสอบ เผลอๆเป็นอัจฉริยะภายในสามสิบนาทีก่อนเข้าสอบเลยด้วยซ้ำ

“รอบนี้กูไม่สรุปให้นะมึง” คราวนี้นุ่นพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆหากแต่สามารถดึงความสนใจจากบอมได้ ไอ้บอมนั่งลงแทบเท้าไอ้นุ่นบีบๆนวดๆเป็นการอ้อนวอน “อ่านเองมั่งสิวะพวกมึงอะ”

“หนูนุ่น อย่าทำแบบนี้สิ” มันเว้าวอนต่อไป ถึงแม้ว่าคณะที่พวกผมเรียนจะไม่เน้นการสอบแบบปรนัยสักเท่าไหร่แต่มันก็มีและเป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน บางทีด้วยความขี้เกียจผมก็เป็นอัจฉริยะหน้าห้องสอบมันเสียเลย

“โห แต่ละตัว” พี่พลส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยอ่อน “แล้วเราล่ะ” คราวนี้เขาเจาะจงถามผม

ผมส่ายหน้าแทนคำพูด รัศมีแห่งความขี้เกียจแผ่ซ่านขนาดนี้ดูไม่ออกหรือไง

“ตายห่าแน่ๆ” ช่างเป็นกำลังใจที่ดีเสียเหลือเกิน เขาส่ายหัวด้วยความเหนื่อยหน่าย

“รอบบ่ายกูไม่ไปเรียนละนะ ขี้เกียจว่ะ” เสียงไอ้หนึ่งสมทบความขี้เกียจของชาวแก๊งส์ พอมีคนนึงที่แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนขนาดนี้ก็พาลเอาที่เหลือเริ่มคล้อยตาม ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาตัวรอดมาได้ยังไงกับการสอบที่ผ่านมา ชาวแก๊งส์เราเป็นพวกเรียนๆเล่นๆ เหลวไหล เที่ยวเตร่ห้องเรียนไม่เข้า อนาคตดูรุ่งริ่งสุดๆ

“อ้าว แล้วจะเอาสไลด์จากไหน” ผมถามขึ้น โดยปกติแล้วทางอาจารย์จะอัพโหลดสื่อการเรียนการสอนที่เป็น Soft file ไว้ให้ในเวบของมหาวิทยาลัย แต่มีอาจารย์คนนี้แหละที่ไม่อัพให้ “แต่พวกมึงไม่ไปกูก็นอนอยู่นี่แหละ” ความขี้เกียจไม่เข้าใครออกใครจริงๆ

“เฮ้ย ไอ้พวกนี้ ลุกขึ้นเลยเรา เดี๋ยวไปเรียนเป็นเพื่อน” เป็นเสียงแห่งความหวังดีของพี่พล

“แล้วงานของพี่ล่ะ”

“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เดี๋ยวไม่จบนะโว้ย”

ผมเงียบไถตัวลงนอนอืดบนโซฟาด้วยความเกียจคร้านสุดๆ แต่แล้วพี่พลกลับเลิกชายเสื้อนักศึกษาของผมขึ้นเล่นเอาตกใจจนสะดุ้งขึ้นมานั่ง “โห อายนะเนี่ยมีแต่พุง”

“เร็ว ลุกขึ้น” เขาเร่งเร้าอีก “เร็วๆๆๆๆ” พูดพลางถลกชายเสื้อผมไปมาอีกรอบ

ผมมองเขาแล้วยืนกรานในความขี้เกียจ “ไม่ไป”

“ไอ้ดื้อ”

พอได้ยินถ้อยคำยืนกรานพี่พลก็ลดตัวลงเอนไปกับโซฟา เอื้อมมือมาจับท้ายทอยของผมไว้แล้วขยำเบาๆ ผมทำตัวไม่ถูกกับสัมผัสที่ได้รับ ไม่เคยมีใครสัมผัสกับผมแบบนั้น มันชวนให้ใจหวั่นไหวและวาบหวามไปกับสัมผัสบ้าบอนั่น ผมมองเขาพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา ผมคิดว่าเขาจะปล่อยมือแต่เปล่าเลยเขาจ้องผมกลับและยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มเรียบง่าย ใจดี และปลอบประโลม มันล่อลวงให้ผมต้องยิ้มตาม

 “ช้า”

เสียงค่อนขอดจากบุญเอ่ยขึ้นทันทีที่ผมเดินเข้าไปยืนตรงหน้า “โทษที รถติดมากอะ” แน่ล่ะ เขาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยในตัวเมืองและสถานที่นัดก็อยู่ใกล้กับเขาเสียเหลือเกิน ถ้าบุญมาช้ากว่าผมก็นับว่าผิดปกติแล้ว

“ไปเถอะ หิวแล้ว"

“เดี๋ยว ขอหาน้ำกินก่อน” ผมบอกแล้วมองหาร้านขายน้ำในบริเวณนั้น

“นี่จะไปร้านอาหารอยู่แล้วนะยังจะเรื่องมากอีก” เสียงของบุญดูเหมือนจะบ่นๆแต่เชื่อเถอะว่าเขายื่นขวดน้ำเย็นๆให้ผม “ดีนะเนี่ยเราเพิ่งซื้อตอนเดินมาที่นี่”

ผมยิ้มรับแม้จะยังรู้สึกเพลียกับการเดินทางจากนอกเมืองเข้าตัวเมือง แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือเดินตามหลังบุญไปเงียบๆ

คนนี้แหละคือบุญ เพื่อนที่ผมเจอตอนไปเมืองนอก ตอนแรกที่เจอผมคิดว่าพอกลับไทยก็คงจะห่างๆกันไปเองกลับกลายเป็นว่าบุญยังคงติดต่อกับผมอยู่สม่ำเสมอ นิสัยของบุญก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรออกแนวจะเป็นคนประเภทจังไรด้วยซ้ำ แต่แปลกที่กลับถูกคอกับผมอย่างน่าประหลาด ในตอนแรกเราคุยกันแต่เรื่องเพลง เรื่องภาพยนตร์ แต่หลังๆผมเริ่มติดคุยกับบุญมากขึ้นจนคุยเรื่องส่วนตัว บุญเองก็เช่นกันเขามักจะมีเรื่องมาคุยกับผมเสมอ เราสนิทสนมจนไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ยอมรับเลยว่าผมติดเขามากกว่าชาวแก๊งส์

วันนี้ผมกับบุญนัดดูหนังกันก่อนจะไปงานแสดงศิลปะ เราไม่ได้มีความรู้อะไรกับศิลปะเลยแต่ความรู้สึกที่เหมือนกันก็คืออยากชื่นชมผลงานพวกนี้ก็เท่านั้นเอง บุญเดินนำผมมาที่ร้านอาหารร้านหนึ่งโดยไม่ได้ถามผมว่าอยากจะทานอาหารอะไร เพราะบุญรู้ว่าผมเป็นพวกง่ายๆสบายๆ ไม่เรื่องมากขอแค่ไม่ใช่อาหารทะเลก็พอ ไม่ใช่เพราะไม่ชอบหรอกนะแต่เพราะแพ้อาหารทะเลต่างหาก เรานั่งดูเมนูด้วยกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ผมจะตัดสินใจสั่งเมนูเนื้อวัวไปส่วนบุญดูเหมือนจะตัดสินใจไม่ได้สักที

“สั่งให้เอาป่าว” ผมลองเสนอดู เพราะดูท่าแล้วอีกนานกว่าบุญจะตัดสินใจอะไรได้

“เออ” บุญรับคำพลางยื่นเมนูอาหารมาให้ผมแต่เพียงผู้เดียว

“เอาเนื้อแบบเมื่อกี้เป็นสองชุดครับ” ผมเอ่ยกับพนักงานที่ยืนรอจดรายการอาหาร เธอทวนรายการอาหารก่อนจะเดินหายไป “เราว่ากว่าจะดูหนังจบน่าจะไม่ทันงานศิลป์นะ”

“งานปิดกี่โมง”

“สามทุ่มครึ่งมั้ง”

“งั้นจะไปงานก่อนมั้ยล่ะ”

“แต่เราอยากดูหนังอะ” ผมกล่าวพลางเลื่อนหน้าจอดูช่วงเวลาฉายหนัง “แล้วก็อยากไปงานศิลป์ด้วย”

บุญขยับตัวชะโงกหน้าเข้ามาร่วมดูหน้าจอด้วย ผมเพิ่งสังเกตว่าเขานั่งอยู่ด้านข้างทั้งที่โดยส่วนมากคนอื่นจะมักนั่งฝั่งตรงกันข้าม “แล้วจะเอาไง”

ผมครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หันไปมองหน้าบุญแล้วถอนหายใจ “แล้วบุญจะเอาไงอะ”

“เราตามใจนาย” เขาเอ่ยเสียงเบาๆ ก่อนจะกลับไปนั่งพิงพนักเก้าอี้

“ดูหนังแล้วกัน” ผมตัดสินใจจนได้ ที่จริงถ้ารถไม่ติดหนักผมจะมีเวลาไปทำสองกิจกรรมนี้อย่างสบาย แต่พอเวลาคลาดเคลื่อนอะไรๆก็ต้องปรับเปลี่ยน

“เรียนเป็นไงมั่ง” อยู่ๆบุญก็ถามตอนที่อาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ

“เรื่อยๆ” ผมตอบสั้นๆ ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่อาหารตรงหน้า

“ใกล้สอบแล้วนะเว่ย”

“เออ ไว้ก่อน” ผมหั่นเนื้อแล้วส่งเข้าปากโดยไม่ได้สนใจบุญมากนัก คือจะว่ายังไงดีล่ะเพราะผมเป็นพวกขี้เกียจ ไม่ชอบอยู่กับตำราเรียน เรื่องสอบที่ควรจะตื่นตัวตั้งแต่เนิ่นๆก็กลับเหลวไหลพลัดวันไปเรื่อยๆ ต่างจากบุญที่ขยันเรียนและเพราะขยันเรียนเขาถึงได้คอยถามผมเรื่องเรียนอยู่ตลอดเวลา

“เราติวให้”

ผมเงยหน้าหันไปมองอีกฝ่าย “จะติววิชาอะไร เรียนกันคนละสายเลย” ผมตอบไปตามความจริง เขาเรียนคนละแขนกกับผม ถ้าไม่นับวิชาพื้นฐานสมัยมัธยมก็ไม่มีวิชาไหนที่ใกล้เคียงกันเลยด้วยซ้ำ

บุญเงียบไปพักหนึ่งเหมือนพยายามนึกอะไรอยู่ แต่สุดท้ายก็ถอดสีหน้าเหมือนยอมจำนนต่อความจริง “เออ ก็จริง”

“แล้วบุญอะ เรียนเป็นไงมั่ง”

“จะอ้วกออกมาเป็นตัวหนังสือแล้ว ถ้าไม่ออกมากับนายต้องอ้วกแตกแน่ๆ”

“สู้ๆนะว่าที่คุณหมอ”

ผมตอบกลับเรียบๆก่อนจะยิ้มตามบุญ หลังจากนั้นเราก็นั่งทานอาหารจนหมดแล้วเคลื่อนตัวไปยังชั้นโรงภาพยนต์ โชคดีที่เรายังได้ที่นั่งด้านหลังเป็นเก้าอี้โซฟาหลังสุด ผมพร้อมมากสำหรับการดูหนังเรื่องนี้แต่เพียงไม่นานผมกลับรู้สึกง่วง และรู้สึกว่าตัวอย่างหนังที่ฉายอยู่นี้จะยาวนานเป็นพิเศษ ความจริงแล้วหนังเพลงผมก็ไม่ค่อยชอบหรอก แต่เพราะถ้าไม่ได้ดูเราจะรู้ได้ยังไงว่าหนังมันดีหรือเปล่าผมก็เลยมาดูให้กระจ่าง ส่วนของบุญเจ้าหมอนี่มันยังไงก็ได้อยู่แล้วเพราะงั้นเราก็เลยลงตัวพอดี ตอนนี้เริ่มเข้าสู่บทนำของหนังที่เราเสียเงินมาดูแล้ว แทนที่ผมจะรู้สึกตื่นเต้นแต่ตอนนี้ยิ่งง่วงหนักกว่าเดิมอาจจะเป็นเพราะอาหารที่เพิ่งทานเข้าไปก็เป็นได้ ผมนั่งดูหนังไปได้อยู่พักหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่ฉากร้องเพลงนอกจากจะง่วงแล้วผมยังเริ่มเบื่ออีก นานเข้าก็ถึงกับสัพหงก แต่ก่อนที่จะได้หลับไปนั้นผมรู้ตัวว่าบุญกำลังดันศีรษะของผมให้พักพิงที่ไหล่ของเขา ก่อนจะงีบหลับไปเสียจริงๆจังๆ

รู้สึกตัวอีกทีหนังก็ยังไม่จบ ผมขยับตัวด้วยความเมื่อยเพราะค้างอยู่ท่าเดียวนานเกินไป บุญมองมาที่ผมก่อนจะยิ้มล้อเลียน

“ออกมั้ย”

ผมพยักหน้าหลังจากนั้นเราก็เดินออกจากโรงภาพยนต์กัน บุญที่เดินนำผมอยู่นั้นยังคงใส่ชุดนักศึกษาอย่างเรียบร้อยไม่มีชายเสื้อหลุดลุ่ย เพิ่งสังเกตว่าถึงจะใส่แค่ชุดนักศึกษาแต่บุญเหมือนมีลักษณะบางอย่างเฉพาะที่ทำให้เขาดูมีสไตล์อย่างบอกไม่ถูก

ผมดึงแขนของบุญให้หันมา เขาหันมามองผมด้วยความสงสัย

“อยากไปงานศิลป์”

“ไปดิ” เขาตอบพลางเอื้อมแขนมากอดคอผมให้เดินไปด้วยกัน “เสียดายค่าตั๋วหนังเหมือนกันนะ” เขาเอ่ยขณะที่ลงบันไดเลื่อน

“เออ แต่แม่งน่าเบื่อนี่หว่า”

“หนังรางวัลเลยนะเนี่ย”

ผมเบ้ปากเล็กน้อยทำให้บุญหัวเราะออกมา เราเดินกอดคอกันไปยังสถานที่จัดงานศิลป์ สายลมอ่อนๆยามค่ำคืนปะทะผิวกายให้รู้สึกสดชื่นในขณะที่เดินอยู่บนสะพานทางเชื่อม ความรู้สึกที่เรียกว่าความสบายใจมันเกิดขึ้นตั้งแต่เจอบุญครั้งแรกจนวันนี้ผมก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ มันบอกไม่ถูกเหมือนกันนะตั้งแต่เจอกันครั้งแรกที่เมลเบิร์น นอกเหนือจากเรื่องเพลงเรื่องหนังเราสามารถพูดคุยกันได้อย่างไม่รู้สึกอึดอัด และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือการที่เรายังติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงวินาทีนี้ ถึงแม้จะชอบอะไรคล้ายๆกันแต่เราไม่ได้คิดเหมือนกันไปเสียทุกอย่างหรอก ก็มีบ้างที่คิดไม่เหมือนกัน ปกติแล้วผมเป็นคนไม่ค่อยชอบพูด ไม่ค่อยเถียง แต่พอบุญจุดประเด็นเรื่องที่คิดไม่ตรงกันขึ้นมาผมมักเถียงกับเขาอย่างไม่รู้ตัว บุญชอบขำเวลาที่ผมอธิบายอะไรยาวๆ แถมยังชอบทำหน้าล้อเลียน พอผมโวยวายเขาก็ยังไม่หยุดและยังคงยิ้มบ้าบออยู่อย่างนั้นจนผมเองก็รู้สึกประดักประเดิดอยู่เหมือนกัน

เราเดินวนดูงานศิลป์ทั้งๆที่ไม่ได้มีความชำนาญทางด้านนี้แต่อย่างใด ในงานแทบไร้ผู้คน ยิ่งเดินไปยังโซนด้านหลังก็รู้สึกได้เลยว่ามีแค่ผมกับเขาที่เดินกันอยู่สองคน บุญเอาแขนที่โอบคอผมไว้ออกและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา พยักเพยิดหน้าให้ผมไปยืนอยู่ในจุดๆหนึ่งที่เขาต้องการ มันเป็นทางโค้งที่ด้านหลังมีงานศิลปะติดแสดงอยู่ ผมชูนิ้วกลางใส่ทำหน้านิ่งๆเรียกเสียงหัวเราะของบุญ ก่อนที่เขาจะบอกให้ผมทำท่าทางดีๆผมจึงชูสองนิ้วเอาแนบแก้มแต่หน้านิ่งเหมือนเดิม นี่แหละท่าถ่ายรูปประจำของผม บุญเดินเข้ามาหาพร้อมกับให้ดูรูปที่ถ่ายเขาก็พอมีทักษะด้านถ่ายรูปอยู่เหมือนกันนะ อย่างน้อยก็มีเส้นนำสายตาและตำแหน่งภาพก็พอไหว

ผมกับบุญเดินอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงประกาศว่างานใกล้จะปิดแล้ว แต่เราก็ยังเอ้อระเหยลอยชายกันอยู่ในนั้นอีก เดินกันจนถึงโซนที่เป็นห้องจัดแสดงภาพประกอบเสียงในลักษณะแบบ 360 องศา ในนั้นฉายภาพวิดิทัศน์ของศิลปินนักวาดภาพชื่อดังในแต่ละยุครอบห้องที่มีลักษณะโปร่งสูง ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับแสงสีที่เห็นจึงเดินเข้าไปยืนอยู่กลางห้อง หมุนตัวดูภาพที่ปรากฏอยู่บนผนัง พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นบุญ บุญที่กำลังมองผมแทนที่จะมองแสงสีที่จัดแสดง ผมมองเขากลับ ใบหน้าของเขาปรากฏสีต่างๆที่เปลี่ยนไปตามภาพที่ฉายผมคิดว่าหน้าของผมก็คงไม่ต่างกัน บุญไม่หลบสายตาและแถมยังยิ้ม เป็นผมเองที่ทำเป็นแสร้งมองไปทางอื่น

“กลับเถอะ ดึกแล้ว” ผมเอ่ยพลางเดินนำออกมาโดยไม่ได้รอคำตอบจากบุญ ไม่ใช่ว่าผมอึดอัดอะไรหรอกผมแค่ทำตัวไม่ถูกมากกว่าก็เลยต้องเปลี่ยนไปสนใจอย่างอื่นแทน ผมรู้สึกได้ถึงไออุ่นของบุญที่เดินตามอยู่ด้านหลัง ถึงจะมีช่วงเวลาแปลกๆไปบ้าง

แต่สุดท้ายแล้วการได้อยู่กับบุญมันคือความสบายใจอย่างที่ผมก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน



************************************




หมายเหตุ ฉบับที่ลงนี้ยังไม่ผ่านการตรวจอักษรจากนักเขียนนะคะ อาจมีผิดบ้าง ตกหล่นบ้างงง
 :katai5:
หัวข้อ: - Affection - ตอนที่สาม (09-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 09-10-2018 00:01:05
ตอนที่สาม​




“ไอ้นาย”

“ไร”

“พี่พลฝากนี่มาให้”

ผมเงยหน้าออกจากจอโทรศัพท์มือถือ เห็นไอ้หนึ่งยื่นแผ่นไวนิลมาจ่อตรงหน้า “ให้นี่คือให้กูไปเลยหรือให้ยืมวะ”

“ไม่รู้โว้ย” ไอ้หนึ่งยื่นแผ่นไวนิลเข้ามาใกล้จมูกแล้วเอาแผ่นตีหน้าของผมไปมาอย่างกวนอารมณ์

ผมรับแผ่นมาดูเป็นไวนิลของวง Spector จากเกาะอังกฤษ จำได้ว่าเพราะวงมันไม่ค่อยดังมากของเลยไม่เยอะผมจึงแย่งซื้อทางออนไลน์ไม่ทัน เห็นแล้วแทบอยากจะเอาไปบูชา

“แหม ตาเยิ้มเลยนะไอ้หน้ามึน แล้วมึงไปสนิทกับพี่เขาตอนไหนเนี่ย”

ผมทำหน้ามึนใส่มันเพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าสนิทกันตอนไหน จะว่าสนิทก็ไม่ใช่นะเพิ่งเจอกันได้ไม่กี่วันเอง “ก็ไม่สนิทนะ” ตอบไปตามจริง แต่ไอ้หนึ่งทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะหันเหความสนใจไปที่โทรศัพท์มือถือแทน

“กูว่าพี่พลชอบมึง อินาย” เสียงไอ้เฟริสท์ล่ะคราวนี้

“กูก็ว่ามันแปลกๆ” เสียงหนูนุ่นเสริม

“เมื่อวานพี่พลถามถึงมึงด้วย ถามแบบถามถึงชีวิตมึงอะ” ไอ้หนึ่งสมทบ

ผมมองหน้าพวกมันแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ

“ใจเย็นนะพวกมึง พี่เขาแค่ชอบวงนี้เหมือนกูแค่นั้นมั้ยล่ะ” พูดอธิบายกลับไปแม้ในใจจะรู้แปลกๆ มันแปลกไปในทางที่ตื่นเต้นเหมือนหัวใจของผมมันบีบรัดหนึบๆยังไงชอบกล “แล้วพวกมึงมั่นใจได้ยังไงว่าเขาชอบกู”

“เออ กูก็ไม่รู้ว่ะ” ไอ้เฟริสท์ตอบหน้าเหวอๆ

“อ้าว พวกมึงนี่นะ” ผมส่ายหน้าด้วยความเพลียละเหี่ยใจ อยู่ๆมาพูดอะไรเนี่ย บอกตามตรงผมไม่เคยคิดกับเขาไปในแง่นั้นเลยนะ พี่พลเป็นคนสบายๆคุยง่ายแล้วก็คงเป็นคนมีน้ำใจก็เลยเอาแผ่นไวนิลที่ผมชอบมาให้ ก็แค่นี้เอง

“มึงก็หน้าตาไม่แย่นะอินาย แต่ทำไมไม่เคยมีแฟนเลยวะ”

คำถามแบบนี้จะให้ตอบยังไงล่ะ ผมจึงทำทีเป็นสนใจแผ่นไวนิลแทน

“วันๆแม่งหมกมุ่นอยู่แต่เพลงกับหนัง” ไอ้บอมเอ่ยหลังจากที่เงียบมานาน

เวลานี้ผมภาวนาให้อาจารย์เข้ามาสอนเร็วๆเลย ไม่งั้นจะต้องตกเป็นประเด็นเรื่องนี้ไปอีกนาน

“ไปจีบคนอื่นแล้วชวนคุยเรื่องที่อเมริกาไม่ถอนทัพออกจากอิรักแม่งคงมีคนอยากคุยต่อด้วยหรอก”

เอาอีกละ วกเข้ามาเรื่องนี้อีกแล้ว เรื่องของเรื่องคือไม่นานมานี้ผมไปเที่ยวกับเพื่อนสมัยมัธยมแบบนัดสังสรรค์กินเหล้ากันแถวทองหล่อบังเอิญเจอไอ้บอมมากับเพื่อนของมันที่ร้านพอดีก็เลยลากมาสังสรรค์เป็นกลุ่มใหญ่ด้วยเลย แล้วปรากฏว่าไปเจอเพื่อนของมันคนนึงถูกใจมาก ก็เลยให้ไอ้บอมช่วยขอไลน์สักหน่อย เขาเองก็มองๆผมอยู่ก็เลยให้ไลน์มา เขาชวนคุยเรื่องทั่วไปตามประสาคนเริ่มคุยกันแต่ผมนี่สิทั้งที่ไปชอบเขาก่อนแต่พอเจอคุยแบบนี้ก็เบื่อ คือมันไร้สาระ กินข้าวยัง ทำไรอยู่ นอนรึยัง ตอนแรกก็คุยอยู่หรอกเพราะเขาหล่อถูกใจ แต่หลังๆเริ่มไม่อยากคุยและผมก็เล่าให้ไอ้บอมฟังว่าเบื่อมันก็เลยเก็บรายละเอียดมาแซะผมอยู่บ่อยๆ

“เออ ก็แม่งถามไรน่าเบื่อนี่หว่า”

“ทั้งๆที่มึงก็ไปชอบเขาก่อนด้วยนะ ประหลาดคน”

“เขาก็มองๆกูเหมือนกันแหละน่า” ผมยังเถียงต่อไม่เลิก

“แต่แม่งก็เป็นคนอึนๆพูดไม่รู้เรื่องจริงๆนั่นแหละ” คราวนี้ไอ้หนึ่งเสริมแต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เถียงอะไรอาจารย์ก็เดินเข้าห้องเสียก่อน ผมจำต้องหุบปากแล้วหันไปสนใจกับสิ่งที่มีสาระแทน

แต่สนใจได้ไม่นานไอ้เฟริสท์ก็เขยิบเข้ามาใกล้ๆ “กูว่าพี่เขาเอ็นดูมึงนะ”

“ตั้งใจเรียนมั้ยมึง” ผมเลี่ยงประเด็น

“เฉไฉๆ นู่น มึงดูนู่น พี่เขามาแล้ว”

ผมขมวดคิ้วค่อยๆหันไปมองตามที่เฟริสท์พยักเพยิดหน้าไปด้านหลัง เป็นพี่พลที่กำลังย่องเข้ามาจากหลังห้องเข้ามานั่งข้างๆผม

“นั่งด้วย มาเร็วไปอะ เพื่อนแม่งยังไม่มาถึงมอกันเลย” เขากระซิบกระซาบก่อนจะทักทายกลุ่มของผมที่นั่งอยู่ในแถวเดียวกัน “นาย ได้แผ่นไวนิลจากไอ้หนึ่งแล้วยัง”

“ได้แล้ว ให้นายยืมเหรอ”

“เอาไปเหอะ ให้เลย”

หัวใจของผมพองโตในทันใด ผมยกมือไหว้เขาและกล่าวขอบคุณ “ว่าแต่ ทำไมให้นายอะ มันหายากนะ”

“อ้าว เห็นเคยบอกว่าสะสม”

“ก็อันนี้มันหายากไง”

“พี่ได้ซ้ำมาจากเพื่อนอะ เอาไปเถอะ ให้” พี่พลตอบพลางหยิบหนังสือของผมไปเปิดดู “ไม่จดอะไรเลยนะเรา”

“วิชานี้แค่ฟังก็พอแล้ว”

“แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้ฟังป่าววะ” พี่พลย้อนเข้าให้ เขาหรี่ตาลงทำหน้าเหมือนจะดุอะไรผมต่อแต่แล้วกลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมลืมหายใจ “ติวให้เอามั้ย”

ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่ใช่เพราะตกตะลึงในคำพูดของเขาแต่เป็นใบหน้าที่ดูเรียบๆ อมยิ้มหน่อยๆของเขาต่างหาก มันใกล้มาก ผมรู้ว่าในห้องเราคุยเสียงดังไม่ได้เขาจึงขยับเข้ามาใกล้ๆเพื่อให้อยู่ในระยะที่จะได้ยิน แต่มันใกล้เกินไป

“แล้วพวกผมล่ะพี่ ติวให้มั่งดิ” ไอ้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างผมแทรกเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มมีเลศนัย “ทำไมถึงอาสาติวให้แต่ไอ้นายล่ะ พวกผมก็โง่เหมือนมันนะ”

“ฆวยไรไอ้หนึ่ง”

นั่น สมน้ำหน้าโดนพี่พลด่าเข้าให้ ไอ้หนึ่งยิ้มลอยหน้าลอยตาก่อนจะกลับไปสนใจเรียนต่อ

“ตั้งใจเรียนดิ” คราวนี้เขาหันมาดุผมเสียอย่างนั้นและคาบนั้นทั้งคาบแทบไม่มีเวลาวอกแวกเลย ไม่รู้ว่าเพราะผมโดนพี่พลดุบ่อยๆหรือเป็นเพราะในหัวมีเรื่องให้ครุ่นคิดก็ไม่รู้แฮะ

หลังจากหมดคาบเรียนพี่พลก็ยังเกาะติดอยู่กับกลุ่มของผมแทนที่จะกลับไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนของเขา ผมสงสัยนึกอยากจะถามแต่ก็ปากหนักไม่ได้ถามออกไป ตอนนี้เรานั่งอยู่ในห้องโรงหนังภายในห้องสมุด โชคดีที่เราจองห้องดูหนังได้เพราะโดยปกติแล้วเนี่ยห้องดูหนังมักจะโดนจองจนเต็มเพราะนักศึกษาจะจองเอาไว้รอเวลาเรียน มีแต่ผมนี่แหละมั้งที่สนใจอยากจะดูแต่หนัง ไอ้พวกชาวแก๊งส์คุยบ้าคุยบอเสียงดังเอะอะมะเทิ่งจนน่าปวดหัวโดยเฉพาะไอ้เฟริสท์พูดมาก สรรหาเรื่องมาพูด สรรหาเรื่องมานินทาชาวบ้าน

ผมเลื่อนไอแพดในมือหาหนังที่น่าสนใจ หางตาเหลือบเห็นพี่พลที่กำลังเดินเข้ามา ผมไม่รู้ว่าต้องทำหน้ายังไงจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็นและเลื่อนไอแพดหาหนังต่อไป

“ไอ้ตูดหมึก” พี่พลนั่งลงที่เก้าอี้เดียวกับผม ไหล่ของเขาเบียดเข้ามาผมรู้สึกได้ถึงไอความอุ่นจากตัวเขา “หาเรื่องอะไรอยู่”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

เขาหยิบไอแพดไปถือเองแล้วกดเข้าไปที่ช่องค้นหา “เราเคยดู My own private Idaho มั้ย”

“เคยครับ”

“ชอบมั้ย”

“ชอบครับ”

“งั้นดูเรื่องนี้นะ” พี่พลพูดเสียงเรียบๆ ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

ตอนนี้ผมนั่งดูหนังอยู่กับพี่พลสองคนเพราะไอ้พวกชาวแก๊งส์เบื่อหน่ายกับหนังที่ผมเปิดดูพวกมันเลยออกไปซื้อขนมที่ร้าน ซึ่งอยู่ใต้อาคารห้องสมุดนี้ พอเป็นเรื่องของภาพยนตร์ผมจะหลุดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมัน ผมดูเรื่องนี้มาหลายรอบและทุกรอบก็ชอบน้ำตาซึมทุกครั้งในฉากที่ไมค์เครียดจนเป็นลมสลบไป ไม่รู้ว่าเพราะริเวอร์ ฟีนิกซ์แสดงดีเกินไปหรือมันไปจี้ต่อมส่วนไหนของผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตัวหนังมันไม่ได้ทำให้ผมฟูมฟายแต่มันเคว้งคว้างและเงียบเหงาจุกปรี่จนต้องรื้นน้ำตา ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่คลออยู่ไม่ให้ไหลออกมา แต่หนังนี่แม่งก็เหงาชิ้บหาย เหงาจนน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว ผมปาดน้ำตาอีกครั้ง คราวนี้พี่พลหันมามอง ผมรู้แต่ไม่รู้จะพูดหรือทำหน้ายังไงก็เลยทำเป็นนิ่งๆเงยหน้าดูหนังที่ฉายภาพอยู่บนโปรเจคเตอร์ต่อไป

“สงสารไมค์ว่ะ” พี่พลเอ่ย

“……” ผมเงียบ ไม่รู้จะตอบอะไรเพราะความรู้สึกมันจุกอยู่

“นี่ถ้าริเวอร์ ฟีนิกซ์ยังอยู่คงได้เห็นหนังดีๆอีกหลายเรื่อง”

“…………” ผมยังคงเงียบจมอยู่กับน้ำตาจนมองเห็นภาพไม่ชัดสักเท่าไหร่ เสียงดนตรีตอนจบดังขึ้นพร้อมกับตัวอักษรประโยคที่ว่า Have a nice day เรานั่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พี่พลจะขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถ ไหล่ของเราเบียดกัน แขนของผมกับแขนของเขาวางขนานข้างกันก่อนที่นิ้วก้อยของเขาเกี่ยวเข้ามาที่นิ้วก้อยของผมอย่างช้าๆ

ผมไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือเปล่าแต่วินาทีนั้นเองในท้องของผมปั่นป่วนและปวดหนึบที่หัวใจเหลือเกิน บ้าบอชะมัด





************************************



เรื่องนี้จบแล้ว จะทยอยเอาลงให้ชาวเล้าอ่านกันเรื่อยๆนะคะ
 :z2:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สาม (09-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 09-10-2018 00:07:29
พี่พลจะมาดีรึมาร้ายนะ :pig4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สาม (09-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 09-10-2018 12:23:00
พี่พลกับบุญชอบนายแน่ๆ
หัวข้อ: - Affection - ตอนที่สี่ (09-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 09-10-2018 13:45:12
ตอนที่สี่​


หลังจากวันที่เราดูหนังด้วยกันผมไม่ได้เจอพี่พลอีกเลย ได้ยินไอ้หนึ่งบอกว่าพี่พลวุ่นวายอยู่กับโปรเจคจบและเรื่องฝึกงาน ผมไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่าที่เคยรู้สึก เคยมาเรียนอย่างไรก็มาเช่นเคย เคยทานข้าวที่ไหนก็ไปเหมือนเดิม เคยไปเที่ยวอย่างไรก็ไปไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่แปลกไปคงจะเป็นสมองที่อยากรู้ว่าตอนนี้พี่พลกำลังทำอะไรอยู่…

วันนี้ชาวแก๊งส์เลิกเรียนตอนดึกเพราะเป็นวิชาที่ใช้ห้องแลปอย่างห้องล้างฟิล์ม กว่าจะล้างเสร็จแต่ละใบไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ นับว่าเป็นโชคดีของผมที่ได้เป็นรุ่นสุดท้ายที่เรียนถ่ายรูปโดยใช้กล้องฟิล์ม เพราะไม่ว่าเวลาจะกดชัทเตอร์หรือแม้กระทั่งล้างรูปมันเป็นอะไรน่าตื่นเต้นเสมอว่าเราจะได้ภาพแบบไหน ดีหรือกากอยู่ที่ฝีมือล้วนๆ ไอ้พวกชาวแก๊งส์รอผมส่งรูปคนสุดท้ายก่อนที่พวกเราจะแวะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องพักของเฟริสท์ จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองด้วยรถยนต์ของไอ้บอม กว่าจะฝ่าเข้าไปในเมืองผมเผลอหลับระหว่างที่อยู่บนโทลเวย์รู้ตัวอีกทีรถยนต์ของไอ้บอมก็กำลังเลี้ยวเข้าสู่ร้านอาหารใจกลางเมืองย่านสาทร พวกเราสั่งอาหารกันด้วยความหิวโหยเหมือนชีวิตนี้อาหารไม่เคยตกถึงท้อง พอทุกคนอิ่มก็เป็นเวลายามดึกเหมาะแก่การไปเที่ยวต่ออย่างพอดิบพอดี ไอ้บอมเจ้าพ่อทองหล่อ-เอกมัยจึงพาพวกเรามาเยือนถิ่นอีกครั้ง ร้านเดิมแต่คนในร้านไม่เหมือนเดิมเพราะผมจำหน้าใครไม่ค่อยได้ ห้าทุ่มเราอุ่นเครื่องกันที่ร้านเล่นดนตรีสดปลุกวิญญาณนักเที่ยวยามราตรี เที่ยงคืนกว่าๆแค่ดนตรีสดเริ่มไม่เพียงพอแต่ดูเหมือนไอ้บอมยังติดพันกับสาวที่เพิ่งเจอชาวแก๊งส์ก็เลยต้องรอให้เพื่อนดีลปิดการเจรจานี้เสียก่อน

ผมกับเฟริสท์ออกมาดูดบุหรี่กันนอกร้าน นับว่าเป็นโชคดีที่ตอนห้าทุ่มเรายังมีโต๊ะให้ได้จับจองเพราะยิ่งดึกคนก็ยิ่งเยอะจนเริ่มมั่วๆกันไปบ้าง ไอ้เฟริสท์โดนหนุ่มที่คาดว่าน่าจะเป็นวัยทำงานชวนคุย ส่วนผมมีบุหรี่มาโบโล่สีทองเป็นเพื่อน อ้อ แถมด้วยยาดมโป๊ยเซียนที่เพิ่งซื้อหน้าห้องน้ำด้วย ผมแอบฟังไอ้เฟริสท์คุยกับหนุ่ม บทสนทนาก็เดิมๆตามประสาคนม่อสาว ผมรู้สึกเบื่อจึงลุกขึ้นเดินไปสูบบุหรี่นอกร้านริมถนน จริงๆแล้วผมไม่ได้หิวอะไรหรอกนะแต่พอได้กลิ่นไก่ทอดเจ้าประจำที่จอดขายอยู่หน้าก็เลยรู้สึกอยากกินขึ้นมา ผมต่อคิวอยู่ประมาณคิวที่สามเป็นคิวสุดท้าย มองไปรอบๆบังเอิญเจอกลุ่มสาวๆที่อยู่ใกล้ๆกำลังช่วยลูบหลังให้เพื่อนอ้วกเฉยเลย แม่ง อร่อยเด็ดเลยไก่ทอดกู

“โห อร่อยเด็ดเลยไก่ทอดกู”

ประโยคที่ผมกำลังคิดอยู่ในใจกลับถูกกลั่นออกมาเป็นสุ้มเสียง ผมหันไปด้านหลังเพื่อมองต้นตอของเสียงและพบว่าเป็นพี่พลในเสื้อยืดสีเทาขนาดพอดีตัวกำลังยืนยิ้มนิดๆอยู่ “อ้าว…” เอาอีกแล้ว ประโยคแปลกๆที่ไม่รู้ว่าเป็นคำอุทานหรือคำทักทาย

พี่พลขยับมายืนข้างๆเป็นเชิงว่าไม่ได้มาซื้อไก่ทอดแต่อย่างใด “มานานยัง” เขาถาม

“ตั้งแต่ห้าทุ่ม”

“รีบเหรอ” เขากระเซ้าในความอยากเที่ยวของผมด้วยน้ำเสียงไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก

“รีบเที่ยวรีบเมาพรุ่งนี้ต้องอ่านหนังสือจริงๆจังๆแล้วไง” ใช่เลย ไอ้การสอบไฟนอลนี่ระรานเวลาเที่ยวเตร่ของพวกผมมาก ผมเคยบอกแล้วไงว่าผมเป็นพวกขี้เกียจจริงๆ พวกไม่รู้จะเอายังไงกับอนาคตข้างหน้า พอจบประโยคผมก็เรอออกมาเพราะฤทธิ์ของเบียร์กากๆที่ขายตามร้านเหล้า ตอนอยู่ที่ร้านอาหารก็สั่งเบียร์นอกมาดื่มแบบเท่มาก คูลมาก ถ่ายรูปขวดที่ติดฉลากสวยๆกับแก้วทรงประหลาดที่ออกแบบมาเพื่อให้กักกลิ่นของเบียร์ บลาบลาลาลา เอาไว้อวดในอินสตาแกรมเก๋ๆ พอเริ่มเมาก็ลดหลั่นลงมาเหลือแค่เบียร์ที่ผลิตในไทยเน้นปริมาณ พี่พลหัวเราะที่ผมเรอเล่นเอาผมหน้าเหวอไปหน่อยๆ ก็ไม่ได้ว่าจะต้องหล่อตลอดเวลาอะไรหรอกแต่ผมกับพี่เขาก็ไม่ได้สนิทกันจนจะแสดงอาการเหล่านี้ออกมา

“แหนมทอดแน่ๆ”

“รู้ได้ไง”

“เห็นรูปในไอจีของหนูนุ่น” เขากล่าวเรียบๆดวงตายิ้มๆเหมือนคนใจดี

จังหวะนั้นเองที่ถึงคิวของผมได้ไก่ทอดที่สั่งไว้ ผมนั่งลงบนริมขอบถนนทานไก่ทอด ส่วนพี่พลงัดบุหรี่ออกมาสูบ เราไม่ได้คุยอะไรกันนั่งอยู่ข้างกันเงียบๆฟังเสียงดนตรี เสียงคนเม้ามอย แถมด้วยเสียงสาวๆกลุ่มนั้นที่ช่วยลูบหลังเพื่อนให้อ้วกอย่างทุลักทุเล เพลินจะตาย

ว่ากันว่าแสงสีส้มเหลืองนวลๆที่สว่างขึ้นในความมืดมิดมักจะทำให้อะไรๆดูโรแมนติกขึ้น เวลานี้แสงไฟจากริมถนนตกกระทบบนใบหน้าของพี่พล ผมก็เลยคิดว่าไอ้แสงบ้าบอนี่คงมีผลประมาณเห้าสิบเปอร์เซ็นที่ทำให้เวลานี้ผมต้องคอยแอบมองพี่พลอยู่อย่างเนียนๆ ส่วนอีกห้าสิบเปอร์เซ็นที่เหลือคงจะเป็นไอ้ท่าทางสูบบุหรี่ที่ดูกร้านโลก ผมไม่เคยคิดว่าการสูบบุหรี่มันเจ๋งมันเท่อะไรหรอกนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าสูบทำไม แต่เวลามาเที่ยวทีไรก็สูบตลอด

“ไม่เข้าไปหาเพื่อนเหรอ” ผมเอ่ยถามก่อนจะหยิบขวดน้ำของพี่พลมาเทน้ำล้างมือ

“ไม่ได้มากับเพื่อน”

“มากับแฟนเหรอ” แม่ง คำถามโคตรเปิดเผย คำถามแบบนี้หากลองพิจารณาดีๆมันคิดได้สองแง่คือถามทั่วๆไปกับถามเพื่อสอดแนมชีวิตของคนอื่น การถามแบบนี้ก็เหมือนกับผมถามเขาว่า มีแฟนหรือยัง นั่นแหละ

“ตามมาเที่ยวกับกลุ่มของเรานั่นแหละ”

คำตอบของพี่พลหลบหลีกได้อย่างดีจนผมเดาไม่ออกเลยว่าเขามีหรือไม่มีแฟน ทักษะสอดแนมของผมคงอ่อนไป ไม่ก็พี่พลคงสกิลป้องกันตัวเองสูงเกิน

“แต่เดี๋ยวไปเจอเพื่อนที่เซฟเฮ้าส์” เขาเสริมคำตอบอีก

สรุปคือตามมาเที่ยวกับกลุ่มของผมก่อนแล้วค่อยไปเจอเพื่อนของเขาอีกร้านหนึ่ง

“เออ อยากเปลี่ยนร้านแล้วเหมือนกัน”

ผมพึมพำพลางลุกขึ้นยืนพี่พลเองก็ยืนตาม เป็นอันว่าเขาเดินตามผมเข้าไปในร้านเพื่อลากชาวแก๊งส์ไปต่อที่ร้านอื่น กว่าจะฝ่าฝูงชนที่กำลังกระโดดโลดเต้นกับดนตรีสดก็เหนื่อยพอควร ทั้งเบียดเสียด ทั้งโดนกระแทกจนพี่พลต้องเกาะตัวผมไว้ไม่ให้เคลื่อนหลงไปกับฝูงชนในร้าน มีอยู่จุดหนึ่งที่เราต้องหยุดเพื่อให้กลุ่มกะเทยรุ่นใหญ่ได้เต้นจนหนำใจถึงจะค่อยๆพยายามแทรกตัวหลุดมาได้ อาจจะเป็นเพราะจุดนั้นที่ทำให้ผมกับพี่พลตัวแนบกัน เขากระชับบีบที่เอวผมอย่างไม่ตั้งใจ ผมเองก็จับมือของเขาที่เกาะอยู่ที่เอวไว้อย่างไม่ตั้งใจ ทุกอย่างล้วนไม่ได้ตั้งใจทั้งสิ้น

ชาวแก๊งส์รวมตัวรอไอ้บอมขับรถมารับอยู่ที่หน้าร้าน ไม่นานนักรถสปอร์ตที่ผมคิดว่ามันเหมือนแมลงสาบก็ขับมาเกยจนแทบจะเหยียบเท้า เป็นพี่พลที่เดินไปให้ทิปกับพนักงานที่ไปเอารถมาให้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าพี่พลจะมีรถแบบนี้ก็เลยรู้สึกอู้หูอยู่ในใจต่างกับไอ้หนึ่งกับสบถเสียงออกมา เสียงท่อของไอ้รถแมลงสาบนี่เรียกร้องสายตาจากผู้คนที่อยู่หน้าร้านได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหนุ่มๆที่มองรถตาเป็นมันวาว อาการเหล่านี้ผมโคตรจะหมั่นไส้อย่างไร้เหตุผล

“ขับไปเซฟเฮ้าส์ตอนนี้จะมีที่จอดเหรอ” หนูนุ่นผู้รอบคอบเอ่ยถาม รถของไอ้บอมมีที่จอดประจำอยู่แล้วจึงไม่ได้กังวลอะไรเท่าไหร่ มีเงินก็มีที่จอดเองแหละ “ในสนามบอลนุ่นว่าเต็มแล้วนะ”

“มีมั้ง ไม่รู้ว่ะ” พี่พลตอบเดินไปยืนที่ฝั่งคนขับ “มีใครจะไปด้วยมั้ย”

“อินาย มึงไปกับพี่พลแล้วกัน” ไอ้เฟริสท์ไม่พูดเฉยมันผลักผมเบาๆให้ขยับตัว ที่จริงผมว่าไอ้หนึ่งควรจะไปนะเพราะดูท่าทางมันชอบรถอะไรแบบนี้ส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบรถแบบนี้เลย ขอหมั่นไส้อีกรอบแล้วกัน

“เออ มาดิ” พี่พลกวักมือเรียกก่อนจะก้าวขาเข้าไปในรถ เกิดมาผมก็เพิ่งเคยนั่งรถสปอร์ตนี่แหละ เก้ๆกังๆยังไงชอบกล พี่พลเข้าเกียร์เหลือบมองกระจกข้างรอจังหวะรถโล่งแล้วเหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว แม่ง ผมยังไม่ได้คาดเข็มเข็ดนิรภัยเลยนะ

การจราจรย่านเอกมัยเลวยังไงก็เลวอยู่อย่างนั้น แม้ในช่วงฟ้ามืดแล้วรถก็ยังติดอยู่อีก เสียงเพลง Electronica ที่เปิดอยู่นี้ช่วยสร้างอารมณ์ให้กับการไปต่อที่ร้านอื่นอย่างมาก พี่พลขยับนิ้วลงบนพวงมาลัยสายตามองจ้องไปยังสัญญาณไฟ ส่วนผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น เปิดเข้าไปดูคนที่เข้ามากดถูกใจรูปในอินสตาแกรมซึ่งมีอยู่ไม่กี่คน ไถหน้าจอไปเรื่อยกดเข้าไปดูอินสตาแกรมของคนนู้นทีคนนั้นที

“เล่นแต่มือถือ”

อยู่ๆพี่พลก็เอ่ยขึ้น ผมจึงเงยหน้าหันไปมอง “ทำไมอะ”

“ก็เห็นเล่นแต่มือถือ”

ผมเงียบไม่ได้ตอบอะไรแต่เก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกง จากนั้นสัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว รถแมลงสาบของพี่พลที่จอดอยู่หน้าสุดเร่งออกตัวชนิดที่แทบจะเบียดกับมอเตอร์ไซต์ที่จอดขนาบให้ล้ม ไม่นานเราก็มาถึงร้านที่หมายมั่นไว้ คงเป็นเพราะรถแมลงสาบของพี่พลที่ทำให้มีที่จอดเกยอยู่ด้านหน้าเอาไว้ประดับหน้าร้านอย่างน่าหมั่นไส้ ผมจุดบุหรี่สูบรอพวกชาวแก๊งส์ ส่วนพี่พลโทรหาเพื่อน

“กูถึงแล้ว” เขาป้องปากคุยกับคู่สนทนาที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ “โต๊ะเดิมใช่ป้ะ ได้ๆ พวกไอ้บอมจอดรถอยู่เดี๋ยวกูตามเข้าไปกับน้องๆ”

ผมหันไปมองพี่พลเห็นเขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบเช่นกัน ผมเองก็ไม่แน่ชัดว่าทำไมถึงแอบมองเขาบ่อยเหลือเกิน “นายไปซื้อน้ำที่แมคฯก่อนนะ” ผมหาเรื่องเพื่อไม่ให้อยู่กับเขาสองต่อสองนานเกินไป

“รออยู่ตรงนี้แหละ จะไปเข้าห้องน้ำพอดี” สิ้นคำพี่พลก็ฝากบุหรี่ของเขาไว้ที่ผมแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ผมคาบบุหรี่ของตัวเองไว้ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นตามความเคยชินได้ไม่นานก็เหลือบมองบุหรี่ของพี่พลที่กำลังมอดลดลงมาอย่างช้าๆ ผมจึงตัดสินใจลองสูบบุหรี่ของเขา

ก็แค่มาโบโล่สีแดงที่เอาไว้สูบอวดสาว แค่บุหรี่ที่ผมเองก็เคยสูบมาแล้ว ก็แค่บุหรี่ที่พี่พลเพิ่งสูบไปเมื่อครู่ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ปั่นป่วนในท้องแบบนี้

ไม่นานนักพี่พลก็เดินกลับมาพร้อมกับไอ้พวกชาวแก๊งส์ บอกได้เลยว่างานนี้กว่าจะเสร็จต้องได้ใส่บาตรพระแน่ๆเพราะกลุ่มของผมได้หลอมรวมกับกลุ่มของพี่พลเป็นที่เรียบร้อย ทั้งเสียงเพลง ผู้คน ความคึกคะนอง เล่นเอาผมหลุดโลก กลุ่มเพื่อนของพี่พลก็พอคุ้นหน้าคุ้นตาจากตอนที่ร่วมทำกิจกรรมอยู่บ้างเลยต่อกันติดได้ง่าย ยิ่งในวงเหล้าแล้วเนี่ยไหลลื่นสุดๆ เสียงเพลงเร่งเร้าให้กลุ่มคนอยู่นิ่งไม่ได้ พวกสาวๆเต้นกันยับเลย ส่วนหนุ่มๆอย่างพวกผมก็ขยับตัวไปตามจังหวะ โห่ร้องร่วมไปกับดีเจ ตอนนี้ทั้งสุราเบียร์ช็อตแบบไหนก็ไม่รู้ดื่มกันมั่วไปหมด ไม่สนแล้วว่าเป็นของนอกของไทยเน้นปริมาณไม่ให้ขาดสายเป็นพอ นี่แหละสภาพของชาวแก๊งส์ที่ใกล้จะสอบไฟนอล

ไอ้เฟริสท์กับไอ้บอมยืนเต้นสวยๆหล่อๆพลางคุยกับคนอื่นเรื่อยเปื่อย มีคนเข้ามานัวบ้างตามประสา ส่วนผมเต้นท่าประหลาดอยู่กับไอ้หนึ่งและหนูนุ่นตอนที่เพลงโปรดของพวกเราเล่นอยู่ โดยรวมเวลาเรามาเที่ยวกันเองก็จะประมาณนี้แหละ แต่ครั้งนี้มีพี่พลเข้ามาร่วมเต้นด้วย ที่จริงแล้วนับว่าเต้นก็ไม่น่าจะใช่เขาแค่สนุกไปกับเพลงแบบหล่อๆไม่ได้มาสายเพี้ยนอย่างผม หนูนุ่น แล้วก็ไอ้หนึ่งหรอก

“รถที่เอามานี่ของพี่เหรอ” เสียงไอ้หนึ่งแทรกถามขึ้นมา แต่ดูเหมือนเสียงเพลงจะกลบหมดจนต้องยื่นหน้าเข้าไปถามข้างๆหูพี่พล

“รถของพี่ชายกู”

“โห เจ๋งว่ะ แล้วรถพี่อะ”

“พี่กูเอาไปต่างจังหวัด”

พี่พลตอบแล้วยกแก้วเหล้าจิบ ผมเริ่มเหนื่อยแล้วจึงค่อยๆลดสเต็ปการเต้นประหลาดๆลง ตรงข้ามกับไอ้หนึ่งและหนูนุ่นที่ยังแรงดีไม่มีตกกำลังเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เหงื่อแตกเต็มไปหมดเข่าจะหลุดอยู่แล้ว ผมหยิบน้ำเปล่ามาดื่มแต่กลับถูกพี่พลแย่งขวดไปและยัดเยียดแก้วช็อตวอดก้ามาให้   “โห กะเอาให้นายร่วงเลยว่างั้น” ผมขยับเข้าไปพูดที่ข้างๆหูของเขา พี่พลยิ้มหัวเราะสนุกสนานผมรับแก้วช็อตมาแล้วกระดกชนิด Bottom up ก่อนจะบีบมะนาวเข้าปากตามเล็กน้อยเพื่อตัดกับความขมนิดๆของวอดก้าที่แทบกลายเป็นรสหวานเมื่อผสมกับเกลือนิดหน่อยเล่นเอาผมตื่นตัวเลย “วู้ววววว” ผมร้องออกมา พร้อมกับเสียงโห่ร้องชอบใจจากกลุ่มพวกรุ่นพี่ ช่วงนี้ไม่ว่าใครจะกระดกอะไรก็ส่งเสียงเชียร์กันหมดแหละ พี่พลเองก็ซดวอดก้าเช่นเดียวกันกับผมตามด้วยเหล้าเพียวๆในแก้วที่มีน้ำแข็งอยู่สองก้อน

นี่ผมรู้สึกเหมือนโดนอวดยังไงอยู่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

ไม่รอช้าผมเอาแก้วช็อตที่มีวอดก้าอยู่เทลงผสมกับเบียร์ก่อนจะยกดื่มจนหมดคว่ำแก้วโชว์แล้วยักคิ้วให้พี่พล เขาหัวเราะชอบใจใหญ่ก่อนจะขยับและโน้มตัวลงมาใกล้จนผมทำหน้าไม่ถูก มันรู้สึกและสัมผัสได้ถึงร่างกายที่เบียดเสียดกัน ร่างที่โอนเอนนิดหน่อยจนทำให้จมูกของเขาแทบจะชนกับหน้าของผม เขาแค่เอ่ยประโยคง่ายๆไม่ได้มีนัยยะสำคัญหรือวิเศษวิโสแต่อย่างใด

“ยอมแล้ว”

ที่จริงแล้วเนี่ยผมเป็นพวกมาแรงแต่แหกโค้ง ไอ้ที่ดื่มโชว์ไปเมื่อครู่ออกฤทธิ์อย่างหนักจนรู้สึกตาพร่าไปหมด ทั้งแสงเลเซอร์ในร้าน เสียงเพลง ผู้คน การเบียดเสียด คิดอยู่ว่าถ้าไม่ไหวจะยอมโชว์กากแล้วออกไปสูดอากาศนอกร้าน แต่ดูเหมือนว่าผมจะไม่ต้องโชว์กากเพราะไอ้บอมเริ่มสะกิดชาวแก๊งส์ชักชวนให้กลับ ตอนแรกไอ้หนึ่งโวยวายเพราะนี่แค่ตีสองกว่าๆเองเหลือเวลาอีกนานกว่าพระจะออกบิณฑบาตร แต่พอไอ้บอมพยักเพยิดหน้าไปที่สาวหุ่นดีข้างกาย ชาวแก๊งส์ก็เป็นอันรู้กัน พวกผมร่ำลาพวกรุ่นพี่ก่อนจะเดินออกมา เวลานั้นผมเมามากเดินตามชาวแก๊งส์อย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง จนในที่สุดผมก็สามารถแทรกผ่านฝูงชนออกมานอกร้านได้ เท่านั้นเองแหละวิ่งปราดเข้าไปที่ถังขยะแล้วอ้วกออกมา หูอื้อตาลายไปหมด เวียนหัวตัวโคลงเคลง แต่กระนั้นก็ยังมีสติมากพอที่จะรับรู้ได้ว่าไอ้พวกชาวแก๊งส์แม่งหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังเลยทีเดียว

“ไอ้เหี้ยนาย แดกเผื่อหมาเหรอมึง กากชิ้บหาย” สิ้นเสียงของไอ้หนึ่งผมก็อ้วกออกมาอีกรอบ โอ้โห ต้องเป็นเพราะไอ้วอดก้าที่ผสมเบียร์แน่ๆที่เล่นเอาผมร่วงขนาดนี้ “กากเหี้ยๆ”

เสียงหัวเราะระงมจนผมเริ่มอายขึ้นมาเลย แต่ก่อนที่จะหันไปด่าไอ้พวกชาวแก๊งส์ผมก็อ้วกออกมาอีก คราวนี้มีมือของใครก็ไม่รู้ที่คอยลูบหลังให้ผม

“ไอ้อ่อนเอ้ย” แม้เขาจะลูบหลังช่วยให้ผมอ้วกได้สะดวกขึ้นแต่น้ำเสียงกลับหยอกเย้าจนต้องหันไปมอง เป็นพี่พลที่กำลังส่งยิ้มล้อเลียน “จะอ้วกอีกมั้ย”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธพี่พลจึงยื่นขวดน้ำมาให้ ผมบ้วนปากล้างหน้าไม่นานนักขวดน้ำขวดที่สองก็ตามมาติดๆ ตอนนี้อาการพะอืดพะอมหายไปหมดแล้วแถมยังมีสติเพิ่มขึ้น

“โอเคขึ้นหรือยัง”

ผมพยักหน้าก่อนจะผงะไปเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆพี่พลก็ยื่นหมากฝรั่งที่แกะแล้วมาตรงปาก ยังไม่ทันจะได้ยื่นมือเข้าไปรับพี่พลก็ยัดหมากฝรั่งเข้ามาที่ปากผมเสียอย่างนั้น

“หูยๆ อินายมันไม่ได้เปลี้ยถึงกับต้องป้อนหมากฝรั่งให้หรอกพี่พลลลลล” เสียงไอ้เฟริสท์ทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียน

พี่พลยิ้มรับก่อนจะจับเข้าที่ท้ายทอยของผม รั้งเข้ามาให้อยู่ในอ้อมแขน คราวนี้ล่ะสายตาล้อเลียนจากไอ้เฟริสท์กับหนูนุ่นที่จ้องมาเล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูกเลย รู้แหละว่าพวกมันแค่แซวเล่น แต่ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้ายังไงจริงๆ จะหัวเราะ จะยิ้ม หรือจะเล่นกลับดีหละ

“นายโอเคแล้ว” ผมบอกเสียงแผ่วๆ ไอ้การอ้วกแตกเมื่อครู่นี้ใช้พลังงานไปเยอะอยู่เหมือนกัน

“เรากลับยังไง”

“โอ้ยยยย จะกลับยังไงล่ะพี่พลลลลลล มันมากับพวกเราก็ต้องกลับกับพวกเราสิ” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบไอ้เฟริสท์ก็ชิงตอบ ผมล่ะเกลียดเสียงมันเวลาเรียกพี่พลลลลลลแบบห่อลิ้นจริงๆเลย

“แต่ล่าสุดนายนั่งรถมากับกูนะ นายก็ต้องกลับกับกูสิไอ้เฟริสท์” ไม่น่าเชื่อว่าพี่พลจะเล่นต่อ

ผมเริ่มหัวเราะ ไอ้การแซวว่ากิ๊กกันมันเกิดขึ้นได้ ผมเองก็ยังเคยล้อไอ้เฟริสท์กับไอ้บอมเลยแต่สุดท้ายมันก็แค่แซวเล่น หลังจากที่แซวกันพอหอมปากหอมคอพี่พลก็เสือกพาผมขึ้นรถไปด้วยจริงๆ ส่วนเฟริสท์ หนึ่ง และหนูนุ่นก็กลับรถไอ้บอมเหมือนเดิม เป้าหมายคือบ้านไอ้บอมเหมือนเช่นทุกครั้งเวลาที่เมาเละกันแบบนี้ ผมนั่งสูดยาดมอยู่ในรถพี่พลให้รู้สึกสดชื่น ตอนนี้สร่างเมาไปเยอะแต่ก็ยังรู้สึกอ้อแอ้ปวกเปียกอยู่

“พี่พล”

“ว่า”

“อย่าไปบอกใครนะว่านายร้องไห้ตอนดูหนัง”

“เออ” เขารับปากก่อนจะเอื้อมมือมาปัดผมของผมที่มันตกอยู่ตรงหน้าผากแล้วเปิดเหม่ง “ไหวป่าว”

“ไหวดิ สร่างแล้ว” ผมตอบมองตามมือของพี่พลที่กลับไปจับพวงมาลัยเหมือนเดิม “จริงๆนายกลับกับบอมเหมือนเดิมก็ได้นะ พี่พลน่าจะอยู่กับเพื่อนต่ออะ”

“จริงๆพี่เมาแล้วว่ะ” เขาหัวเราะอารมณ์ดี

ผมจึงหัวเราะตาม แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา มีแต่เสียงเพลงที่ดังอยู่ในรถ ผมเอนหัวพิงเบาะสบายๆ แอร์ในรถเย็นฉ่ำ แม้รถจะนั่งค่อนข้างลำบากไปแต่โดยรวมก็ดีกว่าตอนที่อยู่ในร้าน สมองของผมว่างเปล่าขณะที่มองทัศนียภาพยามค่ำคืน รถของพี่พลมุ่งหน้าออกนอกเขตกรุงเทพฯ เพราะบ้านไอ้บอมอยู่รอบปริมณฑลบ้านของมันจึงกว้างขวางเหมาะสมแก่การค้างคืน แต่ตอนนี้ดูเหมือนพี่พลจะขับเลยทางที่จะขึ้นทางด่วนเพื่อเลี่ยงด่านตรวจ

“พี่พล ไม่ขึ้นทางด่วนเหรอ”

“ขึ้นดิ” เขาตอบยิ้มๆ

“อ้าว มันเลยแล้วนะ”

“ไม่เลยหรอก”

ไอ้ท่าทีคึกคะนองแบบนี้คงเป็นเพราะฤทธิ์เครื่องดื่มบันเทิงแน่ๆ พี่พลเร่งความเร็วขับปาดรถยนต์เพื่อเข้าเลนขวา ด้านข้างเป็นทางลงของทางด่วน พี่พลขับเลยทางลงมาเล็กน้อยก่อนจะใส่เกียร์ถอยหลัง เขามองดูรถอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอยหลังขึ้นทางด่วนอย่างรวดเร็ว

“เอางี้เลยเหรอ” ผมอ้าปากค้าง ขณะที่พี่พลยิ้มมุมปาก

“เออ เอางี้แหละ จะได้ขึ้นทางด่วนฟรี”

โอ้โห ถ้าผมโดนตำรวจทางหลวงจับขึ้นมาใครจะประกันตัวผมล่ะ



หัวข้อ: - Affection - ตอนที่สี่ (09-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 09-10-2018 13:45:57

บ้านของไอ้บอมมีสี่ชั้น ด้านข้างในบริเวณเดียวกันนั้นเป็นตึกบริษัทของครอบครัว พ่อกับแม่ของมันอยู่ชั้นสอง พี่ชายของมันอยู่ชั้นสาม ส่วนมันครอบครองชั้นสี่ เพราะเหตุนี้พวกเราจึงมักนัดกันมาทำงาน ทำกิจกรรม หรือค้างคืนกันที่บ้านของมันตลอด พี่พลเดินตามผมอยู่ด้านหลังนึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขาจะค้างคืนที่นี่ด้วยหรือแค่มาส่งผมเฉยๆ แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนปากหนักก็เลยไม่ได้ถามออกไป เราเดินขึ้นมาถึงชั้นสี่ก็ได้ยินเสียงเอะอะปนกับเสียงเพลง พอเปิดประตูเข้าไปเห็นไอ้ชาวแก๊งส์นั่งอยู่ที่โต๊ะทรงกลมและตั้งวงเหล้าอีกระรอก เห็นพวกมันในแสงสว่างแบบนี้บอกได้เลยว่าแต่ละคนหมดสภาพสวยหล่อแตกต่างจากตอนที่เดินเข้าผับใหม่ๆ แน่ล่ะ เต้นกันจนตีนพังแบบนั้น ผมเองก็ร่อแร่ ทั้งอ้วก ทั้งปวดขา ไหนจะมึนหัวไม่หายดีอีก ส่วนไอ้บอมนั่งจีบสาวอยู่ที่นอกระเบียงไอ้นี่ก็แบบนี้แหละ พาสาวมาเพื่อการนั้นตลอด เช้าปุ๊ปแยกย้าย

“ใจคอพวกมึงจะไม่พักกันมั่งเลยหรือไง” พี่พลเอ่ยทักพลางเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ

“ยันหว่างๆ” เสียงไอ้หนึ่งโหวกเหวกแข่งกับเสียงเพลง

ผมหยิบแก้วเหล้าเพียวๆของหนูนุ่นขึ้นมาดื่ม “เหล้าไรวะ รสเหมือนกาแฟ” ดีนะที่จิบไปนิดเดียวเพราะผมไม่ชอบรสชาติของมันเลย

“ไม่รู้หวะ กูเจอห่าอะไรในตู้ไอ้บอมก็กวาดมาหมดเลย”

ผมพยักหน้ารับ ก็พอเข้าใจแหละคลังแสงของไอ้บอมมีทั้งเหล้าไทยเหล้านอกบรั่นดีวอดก้าหลากหลายชนิดจนเลือกไม่ถูก “กูนอนห้องไหนวะ” ที่ต้องถามเนี่ยเพราะโดยปกติถ้าไอ้บอมไม่หิ้วสาวมาเราก็นอนหลอมรวมระเกะระกะอยู่ในห้องไอ้บอมกันหมด แม้ชั้นของมันจะมีห้องนอนของแขกอยู่ก็ตามที พอมันพาสาวมาห้องรับแขกที่เหลืออยู่สองห้องก็ตกเป็นของพวกผมซึ่งไม่รู้ว่าไอ้พวกที่มาถึงก่อนนี่มันจองห้องไหนไว้แล้ว

“มึงนอนห้องในสุด” หนูนุ่นตอบ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะห้องในสุดเครื่องปรับอากาศไม่รู้เป็นอะไรมันหนาวกว่าห้องอื่นจนขนลุก

“กูว่าละ”

“ช่วยไม่ได้มึงมาช้าเอง” หนูนุ่นเอ่ยทำหน้ากวนอารมณ์ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มมีเลศนัยเล่นเอาผมงงกับพฤติกรรมของมัน

“ยิ้มไรวะ”

“เปล่าๆ มึงไปนอนเถอะ ไอ้บอมเปิดแอร์ไว้ให้แล้ว”

“เออๆ” ผมรับปากแล้วเดินไปตามทางที่คุ้นชินโดยที่พี่พลเองก็เดินตามมาติดๆ นึกอยากถามเขาว่าไม่ดื่มต่อกับไอ้พวกชาวแก๊งส์หรือยังไง แต่ก็เหมือนเดิมผมเลือกที่จะเงียบ

ไอ้ห้องนอนสำรองรับแขกที่ว่าเครื่องปรับอากาศเย็นผิดปกติก็เย็นอยู่เหมือนเดิมจนผมต้องปรับอุณภูมิเพิ่มให้อุ่นขึ้นแต่มันก็ยังหนาวกว่าปกติอยู่ดี ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าในขณะที่พี่พลวางโทรศัพท์มือถือและกุญแจรถไว้ที่โต๊ะเล็กๆข้างเตียงนอน

“จะนอนห้องนี้เหรอ” ที่ถามเพราะแอร์มันเย็นมากมีแต่ผมนี่แหละที่นอนได้

“อืม”

ผมหันกลับไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้พี่พลก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ผมใช้เวลาไม่นานนักเพราะเมื่อยตัวอยากจะนอนเต็มที แต่เพราะกลิ่นบุหรี่กลิ่นอ้วกทำให้จำยอมต้องอาบ ไม่ต้องสงสัยหรอกเพราะโดยปกติถ้ากลับมาจากเที่ยวผมจะแค่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วนอนเลย เรื่องเกียจคร้านของชาวแก๊งส์เราเป็นที่หนึ่งเสมอ ผมออกมาจากห้องน้ำสภาพอากาศอย่างกับขั้วโลกเหนือเพราะเนื้อตัวยังเปียกน้ำ ผมรีบเช็ดตัวและใส่เสื้อผ้าก่อนจะล้มตัวลงนอนเอกเขนกบนเตียง ต่อสายชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือเตรียมตัวหลับเต็มที่ แต่ไม่วายหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดโหมดออนไลน์

“แปรงสีฟันอยู่ในตู้ใต้อ่างล้างหน้านะ” ผมบอกกับพี่พลก่อนจะสนใจกับโทรศัทพ์มือถือต่อ ไอ้เฟริสท์มันอัพรูปชาวแก๊งส์ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลมลงในอินสตาแกรมพร้อมกับบรรยายว่าอ่อนแอก็แพ้ไปแล้วติดแท็กมาที่ผม ไอ้เจ้าพวกนี้นี่น่าออกไปเตะจริงๆ ผมตอบกลับไปใต้รูปว่า ฆวยไร ก่อนจะเปิดทวิตเตอเพื่ออัพเดทโลกสักหน่อย ตอนนี้จากที่ง่วงๆกลับรู้สึกตื่นขึ้นมาเล็กน้อย ผมอ่านข่าวที่เกี่ยวกับเทศกาลภาพยนตร์ของต่างประเทศ ตามอัพเดทสถานะการณ์โดยทั่วไป สลับหน้าจอไปเล่นอินสตาแกรมบ้าง ไม่นานนักพี่พลก็ออกมาจากห้องน้ำ ผมเหลือบมองดูเขาที่กำลังแต่งตัวผ่านหลังโทรศัพท์มือถือ ในหัวก็นึกอยู่ว่ารูปร่างของคนที่เข้ายิมนี่แม่งแน่นจริง ผมก็อยากเข้ายิมนะแต่ติดอยู่อย่างเดียว ขี้เกียจ

“ดูอะไรอยู่” พี่พลเอ่ยถามก่อนจะปิดไฟแล้วลงมานอนข้างๆ

“อ่านข่าว”

แม้ในห้องจะมืดแล้วแต่แสงไฟจากด้านนอกก็พอจะทำให้เห็นตอนที่เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย พี่พลหยิบโทรศัพท์ของผมไปดูแต่เพราะชาร์จแบตไว้อยู่เขาจึงต้องขยับเข้ามาดูใกล้ๆจนตัวเราเบียดกัน ผมมองใบหน้าที่เห็นสันกรามอย่างชัดเจนของเขาด้วยหัวใจที่เต้นแรง ผมคิดว่ามันคงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ไม่สิ ผมโทษอะไรไม่ได้ทั้งนั้นนอกจากความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในช่วงขณะนี้ ผมจูบเขาเข้าไปแล้ว

เรามองตากันในความมืด แสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือทำให้ผมมองเห็นสีหน้าของพี่พล เขาไม่ได้มีท่าทีตกใจเล่นใหญ่เหมือนในละครหลังข่าว เขาแค่นิ่งไปจนหน้าจอโทรศัพท์มือถือดับลง ผมรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร ไม่ได้เมา ไม่ได้ขาดสติ แค่รู้สึกการยับยั้งชั่งใจมันลดน้อยลง พี่พลวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างๆ มองผมด้วยสีหน้าที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมกลัวที่จะได้ยินในสิ่งที่เขาจะพูดผมจึงขยับตัวขึ้นไปรั้งใบหน้าของเขาเข้ามาจูบ เขาตั้งรับ ไม่มีท่าทีผลักไส อีกทั้งยังค่อยๆทาบทับผมไว้ใต้ร่างของเขา จูบของเราดูดดื่มร่างกายโรมฬันพันตูไม่ออมแรงแม้แต่น้อย ผมล้วงมือเข้าไปในใต้ร่มผ้าหวังจะถอดเสื้ออีกฝ่าย แต่พี่พลกลับจับมือของผมไว้และเป็นผมที่ถูกเขาเปลื้องกางเกงแทน แอร์ในห้องไม่ทำให้ผิดหวังเนื้อตัวผมเย็นเฉียบแต่เมื่อเห็นพี่พลถอดเสื้อความรู้สึกบางอย่างทำให้ผมรู้สึกร้อนขึ้นทันที ในความมืดนั้นผมสัมผัสได้ถึงความแน่นของกล้ามเนื้อหน้าอก ก่อนจะสัมผัสขึ้นไปที่ลำคอแล้วโน้มใบหน้าของพี่พลให้เข้ามาจูบอีกครั้ง เขารุกไล่ผมด้วยจูบที่เหนือกว่าและสัมผัสเนื้อตัวของผมอย่างหนักหน่วง

ร่างกายของผมอยู่ในจุดที่เร่าร้อนจนสายเกินไปหลังตระหนักรู้ว่าห้องที่นอนอยู่นี้ไม่ได้ล็อคประตู เพื่อนของผมสามารถเข้ามาได้ทุกเวลา แต่สุดท้ายแล้วเมื่อพี่พลแนบกายชิดเข้ามาใกล้มากกว่าเดิมผมก็ไม่อาจคิดถึงเรื่องอื่นได้อีก ผมมองเขาด้วยความหลงใหล ผมก็รับรู้ได้ว่าท่าทีของพี่พลตอนนี้อยากดำเนินไปยังขั้นต่อไปเต็มทีแล้ว เขาผละตัวออกไปอีกครั้งเดินไปคว้ากางเกงยีนส์ที่พาดอยู่บนเก้าอี้เพื่อหาของบางอย่างก่อนจะวางกางเกงลง ผมมวนท้องไปหมดด้วยความตื่นเต้นเมื่อเขากลับมาที่เตียง ผมรู้ว่าเขาหาถุงยางอยู่แต่ดูเหมือนจะไม่มี ผมไม่ได้ถาม พี่พลเองก็ไม่ได้พูดอะไร หากแต่จูบผมและแนบกายลงมา พอเอาเข้าจริงเวลาที่เกิดอารมณ์ขึ้นแล้วเหตุผลอะไรก็ตามที่รู้อยู่แก่ใจก็ดูเหมือนจะใช้หักห้ามความต้องการไม่ได้เลย

ในช่วงที่เขาแทรกกายเข้ามาในตัวของผมนั้นมันแตกต่างจากที่เคยคิดไว้อยู่เหมือนกัน ผมเจ็บหากแต่ไม่ได้แสดงอาการอะไรมากมายนักเพราะยังทนรับความเจ็บนั้นได้ ผมมองใบหน้าพี่พลในขณะที่เขาพยายามแทรกกายให้ลึกขึ้น เขาเองก็มองตอบ อะไรบางอย่างทำให้เขาดึงดันเข้ามาจนรู้สึกอึดอัด ผมเผลอจับแขนข้างหนึ่งของเขาที่วางอยู่ด้านข้างอย่างแรง ผมหายใจไม่ทั่วท้องในขณะที่พี่พลก็ไม่ได้โอนอ่อนลงสักเท่าไหร่เพราะเขาไม่ได้ถอนกายออกไปเลยแม้แต่น้อย พี่พลจูบแก้มของผมคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอแล้วเริ่มขยับกาย ลมหายใจอุ่นๆของเขาทำให้ผมมีอารมณ์ร่วมมากขึ้น ริมฝีปากที่ลากไล้ผ่านไปทั่วเนื้อตัวทำให้พอจะลืมความเจ็บไปได้บ้าง พี่พลผละตัวออกไปแล้วรั้งสะโพกของผมเข้าหาเพื่อขยับกายให้สะดวกขึ้น อดไม่ได้ที่จะมองเรือนร่างของเขาขณะที่มัวเมาอยู่กับร่างกายของผม ความเจ็บค่อยๆหายไปแทนที่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ผมเริ่มครางออกมาอย่างแผ่วเบา

ในขณะที่อะไรๆกำลังเข้าที่ เราสองคนได้ยินเสียงเสียงโหวกเหวกโวยวายของชาวแก๊งส์ ผมจึงมองไปที่ประตู เงาที่เดินผ่านไปผ่านมาเล่นเอาหัวใจผมระส่ำระส่าย

“ไอ้นาย” เสียงของเฟริสท์เรียกผม “หลับยังวะ”

ผมเงียบมองหน้าพี่พลเป็นที่พึ่งพาในยามนี้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีท่าทีตกใจสักเท่าไหร่

“กูว่ามันหลับไปแล้ว เมาอ้วกขนาดนั้น” สิ้นเสียงไอ้หนึ่งเงาที่หน้าประตูก็ค่อยๆทยอยหายไป

ยังไม่ทันที่ผมจะได้หายใจหายคอพี่พลก็ขยับกายเข้ามาจนสุดแล้วเริ่มหนักหน่วงขึ้น ทั้งผมและเขาต่างก็ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ยากเกินกว่าจะหยุดยั้ง ร่างกายของผมยินยอมอย่างเต็มที่ไม่หลงเหลือความเจ็บแต่อย่างใด เขาขยับตัวผมให้อยู่ในท่าที่ทำให้สอดกายเข้ามาง่ายขึ้น ผมมองทุกการกระทำของพี่พล อดไม่ได้ที่จะรั้งใบหน้าของเขาเข้ามาจูบอีก หัวใจของผมทำงานอย่างหนัก ร่างกายร้อนลุ่มไปหมด พี่พลโน้มตัวลงมาให้ร่างของผมได้นอนราบไปกับเตียงนอน ร่างของผมสั่นคลอนไปตามแรงที่ถูกโถมเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมหายใจแรงรู้สึกเหมือนจะขาดใจเสียให้ได้ พี่พลเร่งเร้าผมจนแทบคลั่ง พี่พลที่ผมรู้สึกเสมอมาตลอดว่าเขาเป็นคนอ่อนโยนเวลานี้คงใช้คำนั้นไม่ได้

ผมเคยคิดว่าเซ็กส์ครั้งแรกกับพี่พลน่าจะเป็นอะไรที่นุ่มนวลเหมาะแก่การจดจำ ถึงแม้ว่าเรื่องจริงจะไม่ได้อ่อนหวานดั่งที่คาดหวังไว้แต่มันก็เป็นเซ็กส์จากความยินยอม จากความพึงพอใจของผมเอง ความรู้สึกในตอนนี้มันร้อนเร่าจนต้องครางเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา พี่พลตอบรับผมด้วยการจูบเข้ามาที่กกหู ผมได้ยินเสียงหายใจแรงของเขา เสียงหายใจที่บ่งบอกว่าเขาเองก็ร้อนลุ่มไม่แพ้กัน เรากอดกันแนบแน่นในขณะที่ถึงจุดสุดยอด ผมพร่ำเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงกระเส่า ร่างกายร้อนวูบวาบและเกร็งเขม็ง ผมจูบพี่พลที่ริมฝีปาก จูบที่สันกรามเด่นชัดนั่น รับรู้ได้ถึงห้วงอารมณ์ของเขาที่ปลดปล่อยในตัวผมอย่างหยาบโลน

หลังจากที่ช่วงเวลานั้นผ่านไปเราต่างนิ่งเงียบเหมือนจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

“นาย…”

ผมขยับตัวลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงพี่พลเอ่ยเรียกชื่อ ความรู้สึกหวาดหวั่นกลับมาอีกครั้ง “ขอทิชชู่หน่อย” ผมกล่าวหลังจากที่อยู่ๆก็ได้มานอนอีกฝั่งห่างจากโต๊ะข้างเตียงแทน ไม่มีทางเลือกมากนักในเวลานี้นอกเสียจากอยู่กับปัจจุบันและรับมือกับมันให้ดีที่สุด พี่พลหยิบกระดาษทิชชู่มาให้และมองผมเช็ดคราบต่างๆบนไอ้นั่นของผม เขาดึงกระดาษทิชชู่ออกมาพร้อมๆกับที่ประชิดเข้าหาผมอีกครั้งและเป็นฝ่ายทำความสะอาดให้ ผมมองร่างกายท่อนล่างของเขาที่นิ่งสงบก่อนจะเมินไปทางอื่น ความคิดต่างๆมันกำลังผสมปนเปจนทำตัวไม่ถูก

“นาย โอเครึเปล่า” พี่พลถามพลางเช็ดคราบของเขาในตัวผมให้อย่างเบามือ

คำถามของเขาผมไม่รู้หรอกว่าโอเคในที่นี้หมายถึงอะไร ร่างกายหรือความรู้สึกล่ะ ผมรู้สึกเก้ๆกังๆแต่ก็พยายามทำให้ทุกอย่างปกติ ผมเผลอสบเข้ากับดวงตาของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เราเงียบกันไปหลังจากที่ผมไม่ยอมเอ่ยปากพูด ผมไม่ได้ปล่อยให้พี่พลทำความสะอาดตรงนั้นนานนักเพราะคิดว่าเริ่มทนไม่ไหวกับความอึดอัดที่เกิดขึ้น เมื่อผมขยับตัวและพึมพำบอกให้เขาหยุดพี่พลจึงหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ เขาทำท่าจะถามอะไรบางอย่างผมจึงพูดขัดคอไว้เสียก่อน

“นอนเถอะ พรุ่งนี้นายต้องอ่านหนังสือ” ผมพูดขณะที่คว้ากางเกงขึ้นมาใส่

“อ่านวิชาอะไร”

ผมเงียบไปครู่หนึ่งเพราะคิดไม่ออก

“อ่านวิชาอะไร” พี่พลทวนถามอีกรอบเสียงของเขาดุขึ้นเล็กน้อย

“นึกไม่ออก พรุ่งนี้ค่อยนึก” ผมตอบเป็นอีกครั้งที่เผลอมองตาพี่พล รู้สึกแปลกใจที่เห็นรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าของอีกฝ่าย “นอนเถอะ”

“โอเค นอนก็นอน”




************************************




หัวข้อ: - Affection - ตอนที่ห้า (09-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 09-10-2018 13:47:47
ตอนที่ห้า​




ผมรู้สึกตัวในช่วงเที่ยงของวันรุ่งขึ้น โชคดีหน่อยที่พี่พลไม่ได้อยู่บนเตียงเพราะไม่อย่างนั้นผมคงทำหน้าไม่ถูก ผมล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง ได้ยินเสียงพวกชาวแก๊งส์โหวกเหวกก่อนเป็นอันดับแรกเลย พวกมันกำลังทานอาหารกันอยู่พอดี ผมจึงรีบเดินเข้าไปหากลิ่นอาหารในเวลานี้ช่างดีต่อใจ ดีต่อท้องไส้เหลือเกิน

“หิวอะ” ผมบ่นพึมพำพลางนั่งลงข้างหนูนุ่น “กินหน่อยดิ” ไม่รอช้าผมดึงช้อนของหนูนุ่นมาแล้วตักข้าวต้มหมูใส่เข้าปากโดยไม่รอคำอนุญาต

“เป็นไง” หนูนุ่นถาม

“อร่อยดี ไอ้บอมทำเหรอ” ที่เดาว่าเป็นไอ้บอมทำข้าวต้มเพราะมันทำอาหารให้พวกเราทานเป็นประจำ เป็นเหมือนเชฟประจำแก๊งส์

“พี่พลทำ”

ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบชามหยิบช้อนมาตักข้าวต้มที่อยู่กลางโต๊ะพร้อมกับคาใจอยากถามว่าพี่พลหายไปไหนแต่ก็เหมือนเดิม ผมไม่ได้ถามถึงเขา ทำเหมือนไม่อยากรู้ทั้งที่ในใจวนเวียนอยู่แต่กับพี่พล

ผมนั่งทานข้าวต้มหมูอยู่กับชาวแก๊งส์ ทั้งที่พวกเราตั้งใจจะอ่านหนังสือกันแต่ดูท่าทางแล้วจะไร้วี่แววเหมือนเดิม ตอนนี้เราย้ายมานั่งๆนอนๆกันอยู่ในห้องของบอม เจ้าของห้องนอนเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ ได้ยินจากไอ้หนึ่งมาว่าสาวที่ไอ้บอมพามาเมื่อคืนพอน้ำแตกก็แยกกัน เราเม้าท์ต่อกันอีกนิดหน่อยเรื่องแม่สาวคนนั้น นุ่นกับหนึ่งนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์ ไอ้เฟริสท์หลับไปแล้ว ส่วนผมก็ได้แต่นอนเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างไร้จุดหมาย หลังจากที่ได้ยินชื่อพี่พลในตอนนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงพี่พลอีกเลย ผมรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ก่อตัวเป็นเหมือนก้อนตะกอนอยู่ในห้วงความคิด อยากถามถึงเขาแต่กลับกลัวที่จะได้ยินเรื่องของเขา เรื่องราวที่ผ่านมามันทำให้ผมคิดอะไรต่อมิอะไรอยู่ภายในใจ เรื่องแบบนี้คงยากที่จะปรึกษาชาวแก๊งส์เพราะพี่พลเป็นคนใกล้ตัวพวกมันเกินไป พอคิดได้แบบนั้นผมก็นึกถึงคนๆหนึ่งขึ้นมา ผมเปิดเข้าหน้าไลน์ เข้าหน้าแชทของเขาบทสนทนาล่าสุดเป็นเรื่องที่หาตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อนแล้วก็ไม่ได้คุยกัน

‘บุญ’ ผมทักบุญไปด้วยประโยคคลาสสิค ก่อนจะพิมพ์ข้อความที่มาจากความรู้สึกอัดอั้นนี้ลงไปอย่างสั้นๆและตรงประเด็นที่สุด ‘ถ้าเกิดเราไปมีเซ็กส์กับคนๆนึงแล้วอยู่ๆเค้าก็หายไป ทำไงดีวะ”

ไม่นานนักบุญก็ตอบกลับมา ‘ห่วยป่าววะ เค้าเลยหนีไปเลย’

‘เฬว’ ผมพิมพ์ตอบกลับไปอย่างง่ายๆ

‘แล้วยังไง ชอบเค้าเหรอ’

‘รู้สึกดีด้วย จริงๆเค้าเป็นรุ่นพี่ในกลุ่มเราเองแหละ’

บุญส่งสติ๊กเกอร์กุมขมับมาให้ ‘โอ้โห ตายห่า ใกล้ตัวไปมั้ย’

‘ก็ทำไปแล้วอะ’

‘เค้าแค่อาจจะทำตัวไม่ถูกรึป่าว’

ผมก็พอเดาได้แหละว่าระหว่างผมกับพี่พลคงต้องแปลกๆไป แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะหนีหายไปแบบนี้ ผมเลือกที่จะเปลี่ยนบทสนทนาเพราะถึงจะถามอะไรต่อไปก็ไม่รู้ความคิดของพี่พลอยู่ดี เรื่องไปต่างประเทศที่คุยค้างไว้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง ผมอยากไปอิหร่านเพราะเห็นรีวิวในเวบดังก็เลยลองชวนบุญดู ปรากฏว่าบุญคงจะเป็นพวกใจง่ายชวนไปไหนก็ไป ทีนี้ทริปอิหร่านจึงเริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาทีละน้อย บุญส่งลิ้งวิธีการขอวีซ่ามาให้ อ่านดูแล้ววุ่นวายจนน่าปวดหัว ทั้งผมและเขาต่างเริ่มรู้สึกเหมือนกันคือขี้เกียจดำเนินการเรื่องขอวีซ่าที่วุ่นวายแต่ก็ยังคงไว้เป็นทริปที่อยากไปสุดในเวลานี้ บทสนทนาที่เกิดขึ้นในไลน์ยังคงไม่จบสิ้นจนกระทั่งผมรู้สึกถึงมือที่วางอยู่บนหัว ผมสะดุ้งตกใจจนอีกฝ่ายหัวเราะน้อยๆออกมา

“ไหนว่าจะอ่านหนังสือ นอนตายกันหมดซะงั้น”

พอมองไปรอบห้องไอ้ชาวแก๊งส์มันนอนเหมือนตายกันหมดแล้วจริงๆ “นึกว่ากลับไปแล้ว”

“ไปซื้อขนมมา” เขาตอบแล้วนั่งลงข้างๆทำให้ผมต้องวางโทรศัพท์มือถือลงและลุกขึ้นนั่ง หยิบถุงจากร้านสะดวกซื้อมาเปิดดูว่ามีอะไรบ้าง เสียงก๊อบแก๊บจากถุงพลาสติกเหมือนดั่งนาฬิกาปลุกเลยล่ะ ไอ้ชาวแก๊งส์เริ่มขยับตัวเมื่อเห็นว่ามีถุงขนมพวกมันก็ปรี่เข้ามาเลือกขนมกันเหมือนซอมบี้ “พวกมึงไม่อ่านหนังสือกันหรือไง”

“ไว้ก่อน” อัจฉริยะข้ามคืนอย่างไอ้บอมเอ่ยพลางเปิดห่อขนม “สอบไฟนอลต้องทำใจสบายๆ”

ในห้องของบอมกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง พี่พลขยับลงไปนั่งข้างล่างกับพวกชาวแก๊งส์ที่เริ่มตั้งวงขนมยามบ่าย ผมเอนตัวลงนอนอีกครั้งหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อที่จะไลน์ไปหาบุญ

‘เค้าไม่ได้หนีไปไหนว่ะ แค่ออกไปซื้อขนม’

‘ยังไงวะ นี่อยู่ไหนเนี่ย’

เออ จะว่าไปผมยังไม่ได้เล่าต้นตอให้บุญฟังเลย ‘เมื่อคืนไปเอกมัยมา เค้ามาค้างที่บ้านเพื่อนเราด้วยแต่พอตื่นมาไม่เจอ ก็เลยนึกว่าเค้าหนีไปแล้ว’

‘อ๋ออออ’

‘แต่ตอนนี้เค้ามาแล้ว ทำไงดีวะ เราตื่นเต้นว่ะ เนี่ยอยู่ใกล้ๆเนี่ยยยยย’

‘ก็ทำตัวปกติ’

เป็นคำแนะนำที่ไม่ค่อยจะช่วยอะไรสักเท่าไหร่ ผมจึงส่งสติ๊กเกอร์ไปหลายตัวเพื่อกวนประสาทมันก่อนจะปิดหน้าจอแล้วหันไปทานขนมกับชาวแก๊งส์แทน จะว่าไปพี่พลก็ดูปกติจริงๆนั่นแหละ เป็นผมเองที่ว้าวุ่นและคิดไปต่างๆนานา ถึงกระนั้นบางอย่างมันทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไปแต่ก็พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ เรานั่งคุยเล่นทานขนมกันอยู่พักนึงไอ้เฟริสท์ก็ขอตัวกลับบ้าน เหมือนเป็นโรคติดต่อของกลุ่ม ไอ้ชาวแก๊งส์เริ่มทยอยกลับบ้านกัน ความตั้งใจที่จะอ่านหนังสือเป็นอันล่มพังทลายไม่เป็นโล้เป็นพาย ผมอาบน้ำใหม่แต่ใส่ชุดเดิมเตรียมตัวกลับบ้านเช่นกัน พอลงมาชั้นล่างก็เห็นพี่พลยืนรออยู่ที่รถแมลงสาบนั่น เขาเก็บโทรศัพท์มือถือก่อนจะมองมาที่ผม

“กลับยังไง”

“แท็กซี่”

“บ้านเราอยู่แถวไหน”

“ทางไปดอนเมือง”

“เดี๋ยวไปส่ง”

“ไม่เป็นไร” เกิดเดดแอร์ขึ้นชั่วขณะ ผมมองพี่พลสีหน้าของเขาเรียบเฉยไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่

“เราโอเครึเปล่า”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่ถามนั้นทำให้ผมใจสั่น ผมอยากตอบไปเหมือนกันว่าไม่โอเคแต่ก็เลือกที่จะเงียบเหมือนเดิม

“ขึ้นรถเร็ว” คราวนี้ไม่พูดเปล่าเขาเดินมาดึงแขนเป็นเชิงให้เดินตาม

ที่จริงแล้วผมนั่งแท็กซี่กลับบ้านได้จริงๆ ไม่ได้ต้องการให้ใครมาส่งเลย บ้านของผมต้องไปทางทิศเหนือซึ่งคนละทิศกับบ้านของบอม แถมบ้านของพี่พลถึงจะต้องมาทางเดียวกับผมแต่มันถึงก่อน แบบนี้มันก็เสียเวลาเขาไงจะวกไปวนมาทำไมให้ยุ่งยาก แต่เอาเถอะไหนๆพี่พลเป็นฝ่ายยืนกรานจะไปส่งผมก็ไม่อยากพูดอะไรมาก บรรยากาศภายในรถนั้นอึดอัดและแปร่งๆ เหมือนวางหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะทำตัวยังไง เสียงเพลงก็ไม่มีอีกต่างหาก เราต่างคนต่างเงียบ พอขึ้นทางด่วนผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดู ไลน์กลุ่มของชาวแก๊งส์แซวผมกันใหญ่เรื่องที่พี่พลไปส่งที่บ้าน แน่ล่ะ ไอ้บอมเป็นคนจุดประเด็นเพราะมันต้องรอปิดประตูบ้าน ปกติคงจะรู้สึกคันไม้คันมืออยากตอบแต่คราวนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์นั้นเลย

ผมเลิกสนใจโทรศัพท์มือถือมองถนนบนทางด่วนที่แม้จะเป็นวันเสาร์แต่ก็ยังคงติดเป็นบางช่วง หันออกไปทางซ้ายมองไปเรื่อยเปื่อยแต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่ออยู่ๆพี่พลวางมือลงบนมือของผม

“นาย”

“ครับ”

“พี่จะติวให้เรา คืนนี้ค้างบ้านพี่”

คาดไม่ถึงว่าจะถูกชวนแบบนี้ “รอติวพร้อมกับพวกนั้นก็ได้”

“ทำไมอะ”

ผมเงียบนึกหาเหตุผลไม่ออก จึงได้แต่มองตามมือของเขาที่ตอนนี้ผละออกไปจับพวงมาลัย จริงๆควรเป็นผมต่างหากรึเปล่าที่ต้องถามพี่พลว่าทำไม ทำไมเขาไม่รู้สึกแปลกๆหรือหนีหน้าผมเลย

“พี่เป็นห่วงเรานะ เดี๋ยวสอบไม่ผ่าน เรียนไม่จบ”

ผมควรจะทำยังไงดีกับสิ่งที่เขาพูด ตอนนี้หัวใจเต้นแรงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

สุดท้ายผมก็มานอนค้างที่บ้านพี่พล ตอนนี้นั่งๆนอนๆอ่านหนังสืออยู่ในห้องของเขา ที่พี่พลบอกว่าจะติวให้ก็คือติวจริงจังไม่มีล้อเล่นเลย ผมขี้เกียจมาก ถ้าจะให้พูดตามตรงอยากนอนโง่ๆอยู่บนเตียงที่บ้านมากกว่า พี่พลนั่งทำงานอยู่ข้างๆนี่แหละ ส่งเสียงมาถามไถ่บ้างว่าอ่านไปถึงไหน บางทีก็เดินมาดูคงจะนึกว่าผมหลับไปแล้วอะไรทำนองนั้น เวลาล่วงเลยเข้าไปจนฟ้ามืดผมเริ่มหิวและไร้สมาธิจดจ่ออยู่กับหนังสือ คือถ้าถูกบังคับให้อ่านอีกคงจะคลั่งตาย ผมลุกขึ้นเดินไปยืนข้างๆพี่พลที่กำลังใช้คอมพิวเตอร์ตัดต่อวิดิโออยู่

“โปรเจคจบเหรอ”

เขาส่งเสียงพึมพำตอบรับ หน้านิ่วคิ้วขมวดเลยทีเดียว ผมยืนมองดูสักพักเหมือนเขาจะมีปัญหากับการลงเสียงแทรกในวิดิโอผมจึงจับเม้าส์และทำให้ เรื่องตัดต่อวิดิโอหรือใช้โปรแกรมในตระกูลตัดต่อเนี่ยถนัดที่สุดแล้วในชีวิตการเรียน

“หิวยัง”

“หิวแล้ว” ผมตอบเรียบๆไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

“งั้นลงเสียงเสร็จไปหาอะไรกินกัน”

“ได้ๆ”

“จะกินอะไร”

“บะหมี่หมูกรอบ”

“เออ เดี๋ยวพาไป”

บทสนทนาเรียบๆที่เกิดขึ้นท่ามกลางหัวใจที่บีบรัดแน่นของผมนั้นทำให้ความรู้สึกของผมแน่ชัดขึ้นอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกที่วูบวาบไปทั่วร่างกายในเวลานี้มันคือสิ่งแปลกใหม่สำหรับผม วิดิโอที่ตัดต่อใกล้เสร็จนี้ถูกบันทึกไว้ก่อนที่ผมจะมองไปที่พี่พลซึ่งกำลังมองกลับมาเช่นกัน ใบหน้าที่ผมมักพูดถึงเสมอว่าดูสะอาดสะอ้านเวลานี้เริ่มเห็นไรหนวดเขียวๆขึ้นเบาบาง “ลงเสียงเสร็จแล้ว”

พี่พลทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่แล้วก็ลุกขึ้นหยิบกุญแจรถเดินนำออกไป ผมจึงคว้าโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าเงินเดินตามหลัง ในสมองยังครุ่นคิดไม่หายว่าถ้าแค่มีเซ็กส์แล้วหนีหน้าหายกันไปเลยผมคงไม่ต้องว้าวุ่นขนาดนี้หรอก

ระหว่างที่ทานอาหารมื้อเย็นแบบดึกๆนั้นผมหยิบเรื่องภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายขึ้นมาเป็นประเด็น บทสนทนาจึงยาวต่อไปเรื่อยๆไม่ทำให้รู้สึกกระอักกระอวนมากนัก พี่พลชอบหนังเพลงจึงถูกผมที่ชอบหนังดราม่าทับถมอย่างไร้สาระว่าหนังเพลงน่าเบื่อทั้งๆที่มันเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคล เขาไม่ยอมจึงหยิบยกประเด็นมู้ดกับโทนในหนังเพลงเรื่องดังเรื่องหนึ่งขึ้นมาพูดว่าเจ๋งอย่างนู้นเจ๋งอย่างนี้ ผมไม่คล้อยตามหรอกนะเพราะถึงยังไงก็ไม่ใช่แนวหนังที่ชอบจริงๆ

“ทำไมเราถึงไม่ชอบหนังเพลงล่ะ”

“มันน่าเบื่อตอนร้องเพลง”

“พี่ว่ามันน่าตื่นเต้นดีออก กว่านักแสดงจะฝึกร้องเพลงได้นี่ไม่ธรรมดาเลยนะ”

“นายหลับคาโรงเลยอะ”

พี่พลหัวเราะก่อนจะทานบะหมี่คำสุดท้าย เราจ่ายเงินกันเสร็จก็เดินหาขอหวานทานต่อ ผมเคยมาทานข้าวแถวนี้แต่จำไม่ได้ว่าทำไมถึงมา จำได้แค่ว่าติดใจรสชาติขนมไทยอยู่เจ้านึงก็เลยมุ่งหน้าไปที่ร้านนั้นโดยตรง ผมได้ของที่อยากทานแล้วแต่พี่พลยังไม่ได้เราจึงเดินเรื่อยเปื่อยจนไปหยุดอยู่ที่ร้านขายขนมปังสังขยาพอซื้อเสร็จเราก็เดินกลับไปที่รถ ระหว่างทางกลับบ้านผมยังคงคิดไม่ตกเสียทีว่าทำไมพี่พลถึงยังดูปกติได้มากขนาดนี้ มันเป็นสัญญาณบ่งบอกความรู้สึกของเขาที่มีต่อผมหรือเปล่าก็ไม่อยากจะคิดไปไกลมากขนาดนั้น ผมยอมรับว่าผมรู้สึกดีกับเขามาก มันมากเกินไปผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เอาเสียเลย เหมือนผมต้องพยายามคิดนำหน้าเพื่อคาดเดาความรู้สึกอีกฝ่าย ผมทำตัวไม่ถูกแต่ก็ยังอยากพูดคุยอยากอยู่ข้างๆเขา ถ้าหากผมจีบเขาแบบที่เคยจีบคนอื่นก็คงพังเละ เพราะผมจีบใครไม่เป็น ผมไม่ได้อยากรู้ว่าเขาทำอะไรที่ไหนอย่างไรเมื่อไหร่กับใคร แค่อยากคุยเรื่องทั่วไปแบบที่เข้าใจกัน ถกเถียงกันในประเด็นที่เราสนใจ เขาไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนผมเลยแค่มีความสนใจในแนวเดียวกัน แค่ไปเที่ยวด้วยกันได้ แค่เข้าใจในสิ่งที่ผมชอบในสิ่งที่ผมเป็นมันก็เพียงพอแล้ว

พอมาถึงบ้านพี่พลผมก็รู้สึกง่วงนอนจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่พออาบน้ำก็สดชื่นขึ้นจนลืมความง่วงเมื่อครู่ พี่พลเองก็อาบน้ำเสร็จแล้วเขาเปิดหนังสือเรียนที่ผมอ่านค้างไว้ไปมาเหมือนจะดูว่าส่วนไหนควรเน้นย้ำ ผมใส่เสื้อผ้าของพี่พลเสร็จก็เอาผ้าเช็ดตัวไปแขวนไว้ในที่ที่จัดไว้ก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างๆเจ้าของบ้าน

“ง่วงแล้วอะ ไว้ค่อยติวได้ป่าว” ผมพูดไปอย่างนั้นแหละ รู้หรอกว่ายังไงก็ต้องอ่านหนังสืออยู่ดี

พี่พลเหลือบตามองดุๆใส่หากแต่เอื้อมมือมาขยี้ศีรษะของผมเบาๆ “ไม่ได้”

ผมมองใบหน้าของเขา ในใจรู้สึกอยากจูบอีกฝ่ายแต่ก็คิดอยู่ว่าตอนนี้คงใช้ข้ออ้างเมาไม่ได้จึงเบนสายตาออกแล้วหยิบหนังสือมาทำทีเป็นเปิดแล้วเปิดหาในส่วนที่ยังไม่เข้าใจ เข้าสู่โหมดเนิร์ดด้วยความขี้เกียจ ตลอดเวลาที่พี่พลตั้งอกตั้งใจสอนในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจและเน้นย้ำในส่วนที่คิดว่าจะออกสอบสมาธิของผมก็วอกแวกหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูบ้างเป็นครั้ง เขาดุผมแล้วยึดโทรศัพท์มือถือไปเลย ที่จริงผมก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ความตั้งใจของพี่พลไม่ได้ถูกผมให้ความสำคัญมากเท่าไหร่ ผมเองก็หัวไม่ดีบางอย่างสอนแล้วลืมไม่ก็จำผิดถูกสลับกัน เอาเป็นว่าในส่วนของทฤษฎีสมองของผมล้มเหลวโดยสิ้นเชิง โชคดีที่พี่พลใจเย็น เขาไม่ได้สอนผมช้าเลยนะไม่ได้แม้แต่จะพยายามค่อยเป็นค่อยไปแต่เหมือนอดทนสอนย้ำจนกว่าผมจะเข้าใจและจำได้ ผมชอบกริยาท่าทางเวลาที่เขาทำหน้าเบื่อใส่ในยามที่ผมทำหน้ามึนไม่เข้าใจบทเรียน ผมชอบเวลาที่เขาดุอย่างไม่จริงจังเรื่องที่ผมทำตัวสบายเกินไปกับอนาคตข้างหน้า ผมชอบเขามากอย่างน่าประหลาด

เวลาล่วงเลยเข้าสู่เช้าวันใหม่ ตีสองเกือบตีสามเข้าไปแล้ว พี่พลหยุดติวให้ผมและบอกว่าจะทำงานโปรเจคที่ค้างไว้ ผมไม่อยากให้เขาทำเลยอยากให้เขาเข้านอนเพราะไม่อย่างนั้นผมก็จะอยากดูเวลาที่เขาทำงาน อยากตื่นอยู่เป็นเพื่อนเขาแม้จะช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วผมก็ได้แค่คิดแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ไอ้อาการแบบนี้มันแก้ไม่หายเสียที ประเภทที่แบบคิดอยู่ในหัวแต่ไม่อยากที่จะพูดออกไป ผมเอนตัวนอนมองดูแผ่นหลังพี่พลที่นั่งทำงานอยู่กับเครื่องแมคบุ๊คนั่นก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อแชทหาไอ้หนึ่งที่ดูเหมือนจะรู้จักพี่พลมากกว่าเพื่อนคนอื่น

‘พี่พลมีแฟนยังวะ’ ผมเปิดประเด็นคุยกับมันทั้งที่ไม่รู้ว่าไอ้หนึ่งเข้านอนแล้วหรือยัง

ในทันใดนั้นข้อความของผมก็ถูกเปิดอ่านแทบจะทันที ‘ยังมั้ง ทำไม มึงชอบพี่เขาเหรอ’

‘เออ’ ผมพิมพ์ค้างไว้ก่อนจะลบทิ้งแล้วพิมพ์ใหม่ว่า ‘อยากรู้เฉยๆ’

ไอ้หนึ่งไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรต่อแต่กลับเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่นสัพเพเหระ ไม่นานในกลุ่มแชทของชาวแก๊งส์ก็เตือนขึ้นเป็นไอเฟริสท์ที่ส่งกำหนดการนัดหมายไปเที่ยวหลังสอบเสร็จวันสุดท้าย ไปชนิดที่แบบสอบเสร็จแล้วดีดตัวเดินทางไปเลยทำนองนั้น ผมเข้าไปตอบคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้กับพวกมันไปเรื่อย เหลือบตาขึ้นมาอีกทีพี่พลก็ยังนั่งทำงานอยู่ผมจึงวางโทรศัพท์มือถือลุกขึ้นไปยืนดูว่าเขาทำอะไร บนหน้าจอนั้นพี่พลกำลังตัดต่อวิดิโอที่เอาไว้สำหรับใช้นำเสนอโปรเจคเพราะพอปีสี่แล้วก็ไม่มีวิชาที่ต้องเข้าไปนั่งเรียนสักเท่าไหร่เน้นภาคปฏิบัติ เข้าไปรับบรีฟ ทำงาน เข้าไปปรึกษาอาจารย์เป็นครั้งคราว ส่งงานก็ส่งผ่านทางอีเมลหรือทางเวบของมหาวิทยาลัย

พี่พลเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัยว่ามีอะไร

“เห็นติดอยู่หน้านี้นานแล้ว”

“เออ พอลงเสียงที่อัดไว้แล้วแม่งดีเลย์”

ผมก้มตัวลงแล้วจัดการทำให้ พี่พลดูเหมือนจะมีปัญหากับการลงเสียงจริงๆนั่นแหละ ดันไปอีดิธสปีดที่ภาพเร็วขึ้นเสียงก็เลยดีเลย์ “พี่พล”

“ว่า”

“…………” ทั้งที่เป็นฝ่ายเรียกแต่ผมกลับเงียบ

“มีอะไรวะ” เขาถามพลางหาวด้วยความง่วงงุน

“เสร็จแล้ว” ผมบอกเขาก่อนจะเดินกลับมานอนที่เตียง บ่ายเบี่ยงอีกจนได้ ในใจอยากจะถามเรื่องคืนวานที่เรามีอะไรกัน ทำไมเขาถึงได้ทำแบบนั้น แล้วทำไมเขาถึงได้ดูเป็นปกติจนน่าหงุดหงิดแบบนี้ ประเด็นพวกนี้มันวนเวียนอยู่ในหัวผมไปมาไม่จบสิ้น

พี่พลบอกขอบคุณผมเบาๆก่อนจะกดเล่นวิดิโอเพื่อดูงาน พอเห็นว่ามันได้อย่างที่ต้องการเขาก็กดบันทึกไว้ปิดคอมพิวเตอร์ ปิดไฟและเดินมานอนบนเตียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความเมื่อยล้า แม้จะดูพร้อมนอนแต่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นอีก

“จะไปเที่ยวกันเหรอ” เขาเอ่ยถาม

“ใครบอกอะ”

“ไอ้เฟริสท์”

“แล้วจะไปป่าว”

“นาย… เมื่อกี้จะพูดอะไร”

โอ้โห ไม่ตอบแถมยังเบี่ยงประเด็นอีก หัวใจผมเต้นแรงขึ้นเมื่ออยู่ๆก็ถูกจู่โจมด้วยคำถามนี้ นึกว่าจะลืมไปเสียแล้ว “ไม่มีอะไรแล้ว”

“จริงเหรอ”

“อืม”

สิ้นคำบรรยากาศก็ดูเหมือนจะเงียบลงกว่าเดิม ผมขยับตัวนอนตะแคง มองใบหน้าด้านข้างของพี่พลที่สะท้อนแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือมันหวนทำให้ผมคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผมนึกไม่ออกว่าทำไมเราไม่คุยกันเรื่องนั้นเลยและยังทำท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่างหาก แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดหาคำตอบอะไรพี่พลก็วางโทรศัพท์มือถือลงและสบตามองผมโดยตรง

“อะไร” ผมเอ่ยถามทำลายความเงียบสงัด แต่เหมือนจะไม่มีผลใดๆเพราะพี่พลไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ผมตัดสินใจพลิกตัวไปอีกด้าน นอนหันหลังให้เขาและคิดว่าจะเข้านอนอย่างจริงๆจังๆเสียที แต่เสียงขยับตัวและสัมผัสจากคนด้านหลังทำให้ผมเริ่มลืมเรื่องที่จะนอนหลับไปเสียหมดสิ้น

พี่พลกอดพร้อมๆกับล้วงมือเข้ามาในกาเกงนอนที่ผมใส่อยู่ เขาสัมผัสส่วนนั้นอย่างโจ่งแจ้ง ผมยอมรับว่าค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่ยากเกินกว่าจะรับมือกับสถาการณ์แบบนี้ได้ กางเกงถูกดึงออกไปและผมก็สัมผัสได้ถึงผิวกายจากท่อนขาของพี่พลที่นัวเนียกับส่วนล่าง ทุกอย่างดูกระชั้นชิดและคาดไม่ถึง ผมคิดอย่างนั้นจริงๆนะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกในช่วงเวลาที่เรามีสติครบถ้วน

“ขอใส่เลยได้ป้ะ”

เสียงของพี่พลกระซิบอยู่ข้างหูมันทำให้ผมร้อนวาบไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยที่แสนอ่อนไหวแต่ผมคิดว่าผมยังมีสติมากกว่านั้น “ยัง” ผมตอบสั้นๆแล้วครางรับเมื่อพี่พลรุกหนักเข้าที่ส่วนหน้า เขาทำอะไรต่อมิอะไรที่ทำให้ผมปั่นป่วนทั้งกายและใจ อิทธิพลของพี่พลส่งผลกระทบกับความรู้สึกของผมอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ

ผมถูกเขาจับพลิกคว่ำนึกอยู่ในใจว่าพี่พลจะต้องสอดใส่เข้ามาในช่วงที่ผมยังไม่พร้อมเต็มร้อย แต่เปล่าเลยสิ่งที่แทรกเข้ามาอย่างช้าๆนั้นคือนิ้วที่เปื้อนน้ำลาย ผมคิดว่ามันเป็นนิ้วกลางที่กำลังทำหน้าที่ของมันอย่างสุดความสามารถ นิ้วที่สองแทรกตามเข้ามาส่วนนั้นเริ่มฝืดเคืองแต่ไม่ใช่ในทางที่ไม่ดีหรอก ผมแค่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมและรู้สึกดีมากกับนิ้วของพี่พลจนอดไม่ได้ที่จะตอบรับด้วยการรัดนิ้วนั่น เมื่อรู้สึกได้ที่พี่พลก็โถมกายเข้ามาจูบที่ข้างแก้ม เขาหายใจแรงแท่งของเขาชนเข้ากับด้านหลังของผมอย่างสะเปะสะปะ ในหัวของผมอื้ออึง ประสาทสัมผัสทุกส่วนสัดจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ

“อยากใส่แล้วอะ”

ผมไม่ได้ตอบรับใดๆ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนเมื่อพี่พลแนบกายเข้ามาใกล้ชิดจนรู้สึกได้ถึงส่วนนั้นของเขาที่เบียดแทรกเข้ามาอย่างไม่เร่งรีบ ความรู้สึกร้อนวูบวาบเกิดขึ้นอย่างที่เคยเป็น ภายในใจของผมมันล้นทะลักด้วยแรงอารมณ์ต่างๆ อิทธิพลพี่พลที่มีต่อผมมันเข้ามามีบทบาทอย่างแนบเนียน รู้ตัวอีกทีทั้งกายและใจของผมก็ปั่นป่วนไปหมดเพราะคนหนึ่งคน ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเพราะผมไม่เคยรู้ความรู้สึกหรือแม้แต่ความคิดของเขาเลย เราควรหักห้ามใจมากกว่านี้ ผมไม่คิดว่าเราควรมีเซ็กส์ทั้งที่ยังไม่รู้จักกันมากพอ มันแปลกมากที่เราร่วมหลับนอนหลังจากเพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน กระนั้นผมกลับยินยอมในร่างกายนี้ให้รู้จักการเสพสม แม้จะยังไม่แน่ใจนักแต่คิดว่าความรู้สึกบางอย่างของผมมันเปลี่ยนไป

เราโฬมลันพันตูอยู่บนเตียงของพี่พล ผมมองไม่เห็นหน้าของเขาแต่เสียงต่างๆ ทั้งการหอบหายใจ เสียงร่างกายของเราที่เสียดแทรกเข้าหากัน มันทำให้ผมจินตนาการว่าพี่พลเองก็รู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี้ ร่างของพี่พลแนบกอดผมในช่วงเวลาที่เราถึงปลายทาง ผมชอบที่เรามีเซ็กส์กันแบบนี้แต่รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้มองเห็นในช่วงที่หน้าของพี่พลบิดเบี้ยวด้วยความเสียวซ่านขณะที่ปลดปล่อยตนเองอยู่ในตัวของผม ทุกอย่างดูสงบลงในเวลาไม่นานพร้อมๆกับทิชชู่จำนวนหนึ่งในมือของพี่พล เราต่างแยกย้ายทำความสะอาดตัวเองโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก และนอนหลับกันไปอย่างเงียบเชียบท่ามกลางแสงตะวันที่เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า



************************************
หัวข้อ: - Affection - ตอนที่หก (09-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 09-10-2018 13:50:47
​ตอนที่หก



ในเช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นเพราะไอ้พวกชาวแก๊งส์มาถล่มปลุกถึงเตียงนอน ลืมตาขึ้นมาเห็นไอ้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเตียงเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือแถมยังเปิดเสียงจนน่ารำคาญ ผมขยับตัวดึงผ้านวมขึ้นปิดหน้า ทั้งเสียงเกมเสียงพวกมันคุยกันแถมยังแสงแดดแยงตาเป็นอะไรที่รบกวนจิตใจในเวลานี้จริงๆ

“พวกมึงทำไรกันเนี่ย กูจะนอน” ผมเอ่ยเสียงพร่าอยู่ใต้ผ้านวม

“นอนห่าไร เที่ยงแล้วโว้ย” ไอ้บอมส่งเสียงพลางตะปบเข้ามาบนผ้านวม

ผมเบี่ยงตัวหลบส่งเสียงอยู่ข้างใต้ผ้านวมเช่นเดิม ไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นมา

“อินาย!” เสียงไอ้เฟริสท์ตะโกนโหวกเหวก ผมเพิ่งตื่นนอนเลยรู้สึกว่าเสียงของพวกมันดังกว่าเดิมหลายเท่า “ตื่นเร็วอิห่า กูกำลังฟิตอยากติวข้อสอบ”

ผมถอนหายใจรู้สึกประสาทจะกิน แต่ยังไม่ได้ทันได้ตอบโต้อะไรผมก็ได้ยินเสียงเหมือนพวกมันเดินออกไปนอกห้องจึงเปิดผ้านวมออก เห็นไอ้หนึ่งนั่งเล่มเกมอยู่ที่เดิมเพียงคนเดียว “ขี้เกียจโว้ย” ผมบ่นขึ้นมาพลางลุกขึ้นนั่ง

“พี่พลยังไม่มีแฟน” อยู่ๆไอ้หนึ่งก็พูดออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ถึงสมองจะช้าๆในเวลาตื่นนอนผมก็ยังสามารถปะติดปะต่อเรื่องที่มันพูดได้ “กูสืบมาแล้ว จากปากพี่พลเองเลย”

ผมมองมันตาค้างไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี ถึงเวลานี้มันคงรู้แล้วว่าผมชอบพี่พล

“ไปเร็วมึง ล้างหน้าแล้วลงไปติวกัน” มันพูดแล้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ผมประมวลผลกับคำพูดของมันอยู่เพียงลำพัง

เช้านั้นผมทำได้แค่ล้างหน้าแปรงฟัน พอลงมาข้างล่างมีกระดานไวท์บอร์ดตั้งอยู่กลางบ้าน โซฟาชุดรับแขกถูกไอ้พวกชาวแก๊งส์นั่งๆนอนๆจับจองกันไปหมด พี่พลยกชามที่ใส่ซีเรียลมาให้ผมทันทีที่เห็น ผมรับชามนั้นไว้จ้วงทานด้วยความหิว บรรยากาศจริงจังแห่งช่วงเวลาสอบเริ่มขึ้น เพียงเท่านั้นล่ะผมก็กลับมาง่วงอีกรอบ อยากไหลนอนอยู่บนพื้นผิดกับไอ้พวกชาวแก๊งส์ที่เช้านี้พวกมันดูสดใสเตรียมพร้อมกับการติวเข้มจากพี่พลเสียเหลือเกิน ผมเอนหัวพิงขอบโซฟาฟังพี่พลอธิบายถึงกฏหมายสื่อและจรรยาบรรณบ้าบอพวกนั้นยิ่งพาลจะหลับเอา ที่จริงไอ้วิชานี้ควรจบไปตั้งแต่ปีสองแล้วแต่ด้วยความชาญฉลาดที่ถูกความขี้เกียจบดบังของแก๊งส์เรานั้นได้ดีกันหมดยกกลุ่ม ดีที่แบบ D ดวกไม่ใช่ดีที่ดีเก่งนั่นแหละ พวกเราจึงต้องลงเรียนกันใหม่สอบกันใหม่ แม่ง ความเหลวไหลนี้

ภาษากฏหมายเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นแก้ง่วง พยายามถ่างตาเท่าที่ทำได้ แต่แล้วพี่พลก็เดินเข้ามายึดโทรศัพท์มือถือผมไว้ แถมยังดุผมอีก

“สมาธิสั้นหรือไงเรา”

เสียงดุของพี่พลเรียกรอยยิ้มล้อเลียนจากพวกชาวแก๊งส์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งตอนที่พี่พลนั่งประกบผมนี่ไอ้เฟริสท์ถึงกับผิวปากวิ้ดวิ้ว แต่ผมรู้ท่าทางของพี่พลนั้นจริงจังและใส่ใจผมมากจนผมตลกไม่ออก น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนแม้จะกำลังดุผมก็ตามที อ่อนโยนเกินไปจนหัวใจของผมระส่ำระส่าย มันปวดหนึบอยู่ข้างใน ผมทำได้แต่ฟังในสิ่งที่เขาพูดพยายามไม่สนใจไอ้ชาวแก๊งส์ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหัวใจทั้งนั้น

ตกบ่ายแก่ๆสภาพพวกเราแทบไม่ไหว มันหนักหนาเกินไปสำหรับคนหัวไม่ดีอย่างพวกเรา พี่พลเองก็คงเหนื่อยเขาหยุดติว นั่งดื่มน้ำอยู่ข้างๆผม ส่วนพวกชาวแก๊งส์เดินไปถล่มครัวหาอะไรทานอย่างง่ายๆ ผมฟุบหน้าลงกับแขนที่พาดอยู่บนโซฟา ยืดขาออกไปอย่างไร้ภาพลักษณ์ รู้สึกอีกทีเมื่อพี่พลบีบจับเข้ามาที่ท้ายทอย

“ทนอีกหน่อยนะ”

ผมยิ้มอ่อนๆให้เขา ที่จริงแล้วพี่พลยังมีโปรเจคและมีสอบบางตัวอยู่แต่กลับสละเวลามาช่วยเหลือให้พวกเราแบบนี้ เป็นทางผมหรือเปล่าที่ควรจะให้กำลังใจพี่พล

“ตอนพี่สอบกฏหมายคะแนนก็ไม่ได้ดีหรอก ลงเรียนใหม่เหมือนกันแต่รอบหลังนี่ตั้งใจมากก็เลยผ่านได้ด้วยเอ”

“นายไม่ชอบวิชานี้เลย” ผมบ่นเบาๆ เสียงอ่อนแรง รู้สึกอยากปล่อยร่างไหลให้วิญญาณล่องลอย

รอยยิ้มของพี่พลแม้จะไม่ได้ยิ้มกว้างขวางจนโลกสดใสแต่ก็ทำให้ใจผมเต้นแรงได้ ไรหนวดเขียวที่ยกขึ้นไปตามเรียวปากนั่นทำให้ผมอดใจไม่ไหวยกนิ้วขึ้นไปลูบเบาๆ พี่พลไม่ได้ผงะหากแต่สีหน้าดูตกใจ ผมเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับเขา ความประดักประเดิดเกิดขึ้นผมจึงรีบลุกขึ้นเดินไปรวมกลุ่มกับชาวแก๊งส์ในห้อง แม่งความรู้สึกแบบนี้มันไม่โอเคเลยจริงๆ

พวกเราหมกตัวอยู่ที่บ้านพี่พลจนพลบค่ำก็เริ่มทยอยกลับกัน ไอ้หนึ่งขับรถมาส่งผมใกล้ๆเพื่อให้ผมนั่งแท็กซี่ต่อ ผมไม่ค่อยชอบให้ใครไปส่งที่บ้านสักเท่าไหร่เพราะรู้สึกเกรงใจที่บ้านตัวเองอยู่ไกลกว่าคนอื่นมากโข พอถึงบ้านผมก็ตรงดิ่งไปนอนอืดอยู่ในห้องไม่ได้คิดจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแต่กลับหยิบโทรศัพท์มือถือมาเล่น ผมส่งข้อความหาไอ้หนึ่งเรื่องที่จะไปเที่ยวหลังสอบว่าจะเช่ารถขับที่นู่นหรือจะเอารถไปเอง

‘ถ้าขับเองจะเอารถใครอะ’ ไอ้หนึ่งตอบกลับมา

‘รถบ้านกูไม่ก็ของไอ้บอม’ ผมหมายถึงรถตู้ที่บ้านผม ไม่ก็รถตู้ของบ้านไอ้บอม

‘ใครขับ’

‘แน่นอนว่าไม่ใช่กู กูขี้เกียจ’

หลังจากนั้นเราก็สนทนาปรึกษากันเรื่องการเดินทางระหว่างไปเที่ยวต่างจังหวัดจนได้ทางเลือกสองทาง และหยิบยกให้ชาวแก๊งส์ที่เหลือได้เลือกในกรุ๊ปแชท พวกมันถกเถียงกันไปมาส่วนผมก็แชทส่วนตัวอยู่กับไอ้หนึ่ง บทสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องของพี่พล ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกที่จะคุยกับไอ้หนึ่งทั้งที่ความจริงผมควรเก็บเงียบไว้คนเดียวจะดีกว่า เพราะการคุยกับคนใกล้ตัวมากเกินไปแบบนี้มันเสี่ยง

‘มึง ถ้ากูชอบพี่เขาจริงๆจะทำไงวะ’

‘พี่คนไหนวะบอกชื่อมาซิ’

‘ฆวย’

‘5555555555555’

‘กูถามจริงๆ’

‘ทำไม มึงชอบพี่พลเหรอ ถามตอนนั้นก็ไม่ตอบ’

‘เสือกจริง’

‘มึงก็ลองคุยกับเขาสิวะ เนี่ยเอาไอดีไลน์ไปมั้ย’

‘กูจีบไม่เป็น’ ที่ว่าจีบไม่เป็นนี่คือเรื่องจริงนะ ผมไม่ใช่พวกชอบถามว่าทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง อยู่กับใคร อะไรทำนองนั้นเลย

‘เออ เข้าใจ แต่มันก็ต้องเริ่มจากการคุยก่อนป่าววะ’

ที่ไอ้หนึ่งตอบกลับมาก็เป็นเรื่องจริงจนไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปดี รู้แหละว่าต้องคุยแต่คุยไม่เป็นไง

‘นี่มึงชอบเขาจริงๆเหรอ’

ผมกรอกตาเบื่อหน่ายใส่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ ทำไมมันจะต้องเค้นถามเพื่อให้ผมพูดออกมาให้ได้ก็ไม่รู้

‘เออ ชอบ’

ผมตอบกลับไปแล้วเปลี่ยนไปเข้าหน้าแชทของกลุ่มที่ยังถกเถียงกันเรื่องใครจะเป็นคนขับรถกันไม่จบสิ้น ผมออกตัวไว้ในกรุ๊ปแชทเลยว่าจะไม่เป็นคนขับแน่ๆก่อนจะสลับเข้าหน้าแชทส่วนตัวที่คุยค้างกับไอ้หนึ่งไว้ มันส่งไอดีไลน์ของพี่พลมาให้ ผมแอดไอดีนั้นไปโดยไม่คิดอะไรมากอย่างน้อยก็เริ่มจากชวนคุยเรื่องงานบายเนียร์ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรื่องโปรเจคจบ เรื่องหนัง เพลงอะไรก็ว่าไป แต่ผมกลับไม่ได้ทักเขาไปหรอก พอจะชวนคุยจริงๆกลับกลายเป็นว่าคิดมากจนคุยไม่ออก มันไม่เป็นตัวของตัวเองสักเท่าไหร่กังวลไปหมดว่าเขาจะคิดยังไง สุดท้ายก็ได้แค่กดหน้าแชทว่างเปล่าค้างไว้แบบนั้นก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วหยิบหนังสือวิชาที่จะสอบพรุ่งนี้มาอ่านแทน

เสียงสั่นเตือนจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นหลังจากอ่านหนังสือไปได้ไม่กี่หน้า ผมเหลือบตาไปมอง ลังเลอยู่ช่วงขณะหนึ่งว่าจะหยิบมันขึ้นมาหรืออ่านหนังสือต่อ แต่แล้วผมก็พ่ายแพ้ต่ออำนาจสิ่งเร้าอย่างโทรศัพท์มือถือตลอด

‘อ่านหนังสือหรือยัง’ นั่นคือข้อความที่บุญส่งมา ผมยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ไอ้บ้านี่ถามถึงแต่เรื่องเรียนตลอดจริงๆ

‘ถ้ายังอะ’ ผมลองถามหยั่งเชิงไป

‘เราจะตามไปจิกให้อ่าน’

ผมหัวเราะออกมา จากที่แค่จะอ่านข้อความเฉยๆผมกลับวางหนังสือในมือลง แล้วคนสมาธิแตกซ่านอย่างผมก็หันเหไปสนใจสิ่งอื่นได้อย่างง่ายดาย ‘อ่านแล้ว เอ๊ะ หรือไม่ได้อ่านวะ’

บุญส่งสติ๊กเกอหมีมีไฟลุกอยู่ด้านหลังมาให้ ‘ตกลงยังไง’

‘อ่านแล้ว’ ผมตอบกลับไปด้วยความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะอ่านแล้วไม่กี่หน้าเอง ‘แต่ตอนนี้พักอยู่’

‘อยู่บ้านป้ะ’

ผมไม่ได้พิมพ์ตอบหากแต่กดเข้าหน้าถ่ายรูปและถ่ายภาพภายในห้องนอนไปให้บุญแทน

‘ออกมาเปิดประตูให้หน่อย’

ประโยคนี้ถึงกับทำให้ผมที่ง่วงๆอยู่ตื่นตาขึ้นมาทันที ไอ้บ้านี่ทำแบบนี้อีกแล้ว ผมวิ่งลงไปข้างล่างเพื่อไปเปิดประตูให้บุญ เขาอยู่ในชุดลำลองสบายๆ เสื้อยืดคอกลมกับกางเกงยีนส์ขาดๆรองเท้าเน่าๆ

“จะมาก็ไม่บอกก่อน ถ้าเราไม่อยู่บ้านจะทำไง” ทันทีที่เจอหน้าผมก็เอ่ยทักด้วยประโยคยืดยาวนั่น บุญแค่ยิ้มรับแล้วเดินตามหลังผมเข้ามา “ไปไหนมาอะ”

“ติวหนังสือกับเพื่อน เห็นใกล้บ้านนายเราก็เลยแวะมา”

ผมหันกลับไปมองไม่ยักกะเห็นหนังสือสักเล่มในกระเป๋าของบุญแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา “เรายังไม่ได้กินไรเลย ทำมื้อเย็นให้หน่อย” ผมบอกแล้วยิ้ม อันที่จริงก็ไม่ได้หิวอะไรขนาดนั้นแต่เผื่อไว้ว่าจะหิวและบุญก็มาได้จังหวะพอดิบพอดีเสียเหลือเกิน

“ไรวะ นี่มืดแล้วนะเว่ย”

“หิวอะ”

บุญส่ายหน้าทำท่าทางเอือมระอา แต่พอเขาเข้ามาในบ้าน วางกระเป๋าไว้ที่โซฟาบุญก็เดินหายเข้าไปในครัวออกมาอีกทีถุงขนมต่างๆนานาก็ถูกบุญหอบออกมาวางไว้ตรงหน้า คือจริงๆแล้วในบ้านผมเนี่ยจะมักมีขนมกรุบกรอบอยู่เสมอ แต่เป็นเพราะผมขี้เกียจมาก ขนมพวกนั้นจึงไม่ค่อยได้หยิบมาทาน แต่พอบุญเอาออกมาให้แบบนี้แน่นอนมันกลายเป็นอาหารมื้อเย็นของผม หลังจากปิดประตูด้านล่างแล้วผมก็เดินนำบุญขึ้นมายังห้องนอนและเริ่มแกะห่อขนมพวกนั้นทานด้วยกัน

“พ่อกับแม่ไม่อยู่เหรอ”

“ไปต่างจังหวัดอะ” ผมตอบแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูด้วยความเคยชิน

“อ่านไปถึงไหนแล้ว”

“ก็เยอะอยู่”

“แล้วทำไมไม่อ่านต่ออะ”

“ขี้เกียจ”

“แล้วทำไมขี้เกียจอะ” คำถามนี้เล่นเอาผมเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าบุญที่ทำหน้าตายถามคำถามกวนประสาท

“ก็ขี้เกียจไง”

“ก็แล้วทำไมถึงขี้เกียจอะ”

“ขี้เกียจตอบ”

“อ้าว แล้วทำไมถึงขี้เกียจตอบอะ”

ด้วยประโยคนั้นทำให้ผมต้องวางโทรศัพท์มือถือลงและยู่จมูกใส่อีกฝ่าย

“ไง เถียงไม่ออกเหรอ”

“เออ”

บุญหัวเราะร่าเริงก่อนจะเอื้อมตัวไปหยิบโน้ตบุ๊คของผมมาเปิดเล่น “ฟังเพลงมั้ย”

“เอาดิ” ผมกล่าวพลางชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ๆบุญเพื่อดูว่าบุญกำลังจะให้ผมฟังเพลงอะไร

บุญชอบมาหาผมโดยไม่ได้บอกไม่ได้กล่าว เขามักจะบอกว่ามาหาเพื่อนที่บ้านอยู่แถวนี้ก็เลยแวะมาหาผมต่อ ซึ่งผมก็ไม่เคยซักถามอะไร บุญไม่เคยขอค้างบ้านผมแต่ท้ายที่สุดแล้วเรามักจะลงเอยด้วยการฟังเพลง หาเพลงฟังไปเรื่อยเปื่อย หรือขุดเพลงสมัยเก่ามาฟังแล้วกลายเป็นว่าบุญมาค้างห้องผมไปโดยปริยาย

บุญพิมพ์ประโยคค้นหาเพลงจากในเวบยูทู้บเพื่อให้ผมฟัง มันคือเพลง Fade Into You ของวงที่ชื่อว่า Mazzy Star บทเพลงบรรเลงขึ้น เสียงนักร้องผู้หญิงเอื้อนเอ่ยขับขาน มันเป็นดนตรีที่ให้ทำให้อยู่ในภวังค์ของยุค 90’s ความฟุ้งฝันในยุคนี้มันดูคละคลุ้งเหมือนมีหมอกควันลอยอย่างเอื่อยเฉื่อย ผมชอบดนตรียุคเก่านะ แค่เครื่องดนตรีที่เล่นด้วยความสามารถอย่างแท้จริง เสียงขับร้องที่มีเสน่ห์ให้จดจำ และเนื้อเพลงที่แสนไพเราะ โดยรวมแล้วผมคงพูดได้เต็มปากว่าเสียงเพลงในยุคเก่านั้นมันบริสุทธิ์ต่อการสดับฟังเหลือเกิน

และเพราะเสียงเพลงที่ขับกล่อมอยู่ตอนนี้ทำให้ผมเอนตัวลงนอน บุญเองก็เช่นกันเขาขยับตัวขึ้นมานอนหนุนหมอนใบเดียวกับผม เราไม่ได้พูดคุยอะไรหากแต่กำลังฟังเพลงกันอย่างเงียบๆ ไม่นานนักบุญก็ขยับตัวอีกครั้งและผมก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเขาที่กำลังจ้องมองผมอยู่

“มองเรามีอะไร” ผมถามทั้งที่ยังไม่ได้มองเขา

บุญไม่ตอบผมจึงเหลือบตาไปมอง เขาเผยอปากเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป

“เพราะเนอะ เราฟังบ่อยมาก” ผมเปลี่ยนเรื่อง “บุญฟังเพลงนี้บ่อยมั้ย”

อีกฝ่ายส่งเสียงตอบในลำคอ

มาถึงตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนพูดอยู่คนเดียว เพราะสายตาที่บุญมองมานั่นแหละมันทำให้ผมต้องพยายามหาเรื่องอื่นมาคุย สายตาที่เหมือนอยากจะสื่ออะไรบางอย่าง และเพราะบุญเงียบผมจึงหยุดพยายามเปลี่ยนบทสนทนาปล่อยให้เขามองผมแบบนั้นต่อไป

เสียงเพลงเอื่อยๆ อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศและแสงไฟสลัวภายในห้องทำให้ผมเคลิ้มง่วง ในวินาทีนั้นท่อนเพลงท่อนหนึ่งก็ดังลอดเข้ามา เนื้อเพลงกำลังบ่งบอกอะไรบางอย่างผมตระหนักถึงข้อนั้น แต่เวลานี้ผมง่วงเกินกว่าจะต้านทานไหว สุดท้ายก็เคลิ้มหลับไปพร้อมกับประโยคสุดท้ายที่วนเวียนอยู่ในสมองว่า ‘รู้สิ ผมรู้มาโดยตลอดนั่นแหละ’





Fade into you

Strange you never knew

Fade into you

I think it's strange you never knew

I think it's strange you never knew




************************************



หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่หก (09-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 10-10-2018 09:09:54
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: - Affection - ตอนที่เจ็ด (10-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 10-10-2018 14:06:23
​ตอนที่เจ็ด




สอบวันสุดท้ายรู้สึกเหมือนสมองมอดไหม้ รู้สึกเหมือนถูกผู้คุมวิญญาณสูบพลังออกไปอย่างไรอย่างนั้น ผมออกมาจากห้องสอบก็เห็นพี่พลนั่งอยู่กับไอ้พวกชาวแก๊งส์ เขาสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยผมเผ้าที่ตัดเป็นทรงย้อนยุคถูกเซ็ทมาเช่นเคย ใบหน้าสะอาดสะอ้านนั่นหัวเราะอยู่กับไอ้หนึ่ง อีกด้านเป็นหนูนุ่นที่หมกมุ่นอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ผมเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้วยสภาพไร้กำลัง พี่พลส่งยิ้มมาให้กวักมือเรียกให้ผมไปนั่ง

“ทำได้มั้ย”

“ได้ทำอะ” ผมตอบไปตามความจริง

“น้ำมั้ย”

ผมเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ตรงหน้าพี่พลมาดูดน้ำ สักพักไอ้บอมก็เดินออกมานั่งสมทบด้วยสภาพเน่าหนอนไม่ต่างกัน

“แม่ง ข้อสอบห่าอะไร กูจะบ้าตาย”

“มึงเขียนไปกี่หน้า” ผมถามถึงข้อสอบเขียนที่ผ่านมาเมื่อครู่

“สองหน้า เหี้ยมากกูนึกอะไรไม่ออกเลย”

ตอนนี้ดูเหมือนทุกคนจะแบตเตอรี่หมด เราจึงนั่งเงียบๆเล่นโทรศัพท์มือถือเพื่อรอไอ้เจ้าเฟริสท์ที่ยังทำข้อสอบไม่เสร็จ ในช่วงสอบที่ผ่านมาพี่พลแวะเวียนมาหากลุ่มพวกผมในวันที่มีสอบ เขาช่วยติวให้จนวินาทีสุดท้ายก่อนเข้าสนามรบจริง ผมไม่รู้ว่าพี่เขามีสอบวันไหนอะไรยังไงแต่ดูเหมือนจะเจียดเวลามาช่วยเหลือพวกผมได้ตลอด สิ่งที่เขาทำมันทำให้ผมยิ่งชอบเขามากขึ้นไปอีก ความเอาใจใส่ของเขาที่มีต่อผมนั้นมันกระจ่างอยู่ในความรู้สึก ผมรู้แหละว่าเขาก็เอาใจใส่เพื่อนๆของผมด้วยแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวไปกับพี่พล ผมไม่เคยคุยไลน์กับเขาเลยเพราะมีความกล้าไม่มากพอ ส่วนเขาก็ไม่เคยทักไลน์ผมเช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผมยังหยุดอยู่ที่เดิม หากแต่เป็นความรู้สึกของผมเองที่อยากทำให้ระหว่างเราเป็นมากกว่าแค่พี่น้อง ผมได้แต่คิดไม่เคยกล้าลงมือทำอะไรสักอย่างหรอก

ระหว่างที่รอเฟริสท์นั้นผมแอบลอบมองไอ้หนึ่งที่นั่งอยู่ๆ เห็นมันกำลังแชทอยู่กับใครสักคน โดยปกติผมไม่สงสัยหรอกว่ามันจะคุยกับใครแต่เพราะรูปโปรไฟล์ที่เห็นมันคุ้นตาก็เลยแอบมองอย่างเนียนๆ วินาทีนั้นผมรู้สึกชาวาบไปทั้งร่างเพราะมันกำลังพูดถึงผมในหน้าแชทของพี่พล

‘แล้วพี่รู้รึเปล่าว่าไอ้นายมันคิดยังไงกับพี่’

ผมไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้ามันคุยอะไรกับพี่พล แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ทั้งไอ้หนึ่งทั้งพี่พลก็กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ความรู้สึกบางอย่างมันบ่งบอกว่าเรื่องที่พวกเขาคุยกันคงไม่ใช่เรื่องแฮปปี้แน่ๆ ผมไม่อยากคิดเองเออเอง ไม่อยากคิดไปไกลกว่าที่เห็น ผมต้องหนักแน่นมากกว่านี้ ผมเก็บงำความรู้สึกเหล่านั้นไว้ภาวนาให้ไอ้เฟริสท์ออกมาจากห้องสอบเร็วๆเพราะผมกระวนกระวายไปหมดแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาในเวลานี้นึกถึงบุญที่จะเป็นที่พึ่งพายามสติแตกได้

‘เราว่าพี่พลรู้แล้วว่าเราชอบเขา’ ผมส่งข้อความไปหาบุญ ไม่นานนักข้อความก็ถูกเปิดอ่าน

‘คนที่เคยบอกว่าเป็นรุ่นพี่ในกลุ่มอะเหรอ’

‘ใช่’

‘แล้วเค้ารู้ได้ไง’

‘คิดว่าเพื่อนเราบอกพี่เค้า’

‘แล้วจะเอาไง’

ผมอ่านข้อความในสมองนิ่งนึกคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงหรือไม่ควรทำอะไรเลยก็ไม่รู้ ‘ไม่รู้ว่ะ’

‘บอกชอบเขาไปเลย’

‘เอางั้นเลยเหรอวะ’

‘เออ’

ในเวลานั้นเองเฟริสท์ก็ออกจากห้องสอบ มันเร่งเร้าพวกผมให้ลุกขึ้นเพื่อจะได้ออกไปจากมหาวิทยาลัย พวกเรานั่งรถซาฟารีในมอเพื่อไปลานจอดรถ เสียงไอ้เฟริสท์ดังมากกว่าใครในตอนที่คุยเรื่องข้อสอบที่ผ่านมา พอขึ้นรถตู้ของไอ้บอม สาวๆสองคนก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยว่าจะส่องฝรั่งที่ทะเลยังไงให้เนียนที่สุด ส่วนพวกหนุ่มๆตั้งอกตั้งใจจะเปลี่ยนทะเลให้เป็นน้ำเมา ได้ยินชื่อเครื่องดื่มที่ไอ้บอมจะซื้อไปด้วยผมนี่ใจอ่อนยวบยาบเลย งานนี้พวกมันได้เห็นผมอ้วกแตกแน่ๆ

“เตรียมใจได้เลยไอ้นาย งานนี้กากๆอย่างมึงได้นอนตายแน่” ไอ้หนึ่งพูดเสียงดังลั่นในรถจนผมต้องยันหน้ามันออกไป

อ้อ พี่พลก็มาด้วยเฉยเลย ผมเองก็เพิ่งรู้ตอนก่อนสอบวันนี้แหละ ตอนนี้คนขับรถเป็นไอ้หนึ่งนั่งคู่กับพี่พลคอยดูเส้นทางกัน พอรถออกจากมหาวิทยาลัยผมที่นั่งอยู่เบาะหลังสุดก็แทรกตัวไปข้างหน้าเพื่อคุยกับสาวๆบ้างเป็นบางครั้งสลับกับคุยไลน์กับบุญไปด้วย พวกเราร่าเริงกันมากเมื่อจะไปเที่ยว พลังงานอยู่ๆก็พุ่งทะยานอยู่ในจุดที่คุยจ้อกันไม่หยุด แต่กระนั้นผมก็ยังลอบมองไอ้หนึ่งกับพี่พลด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันอยู่ ท่าทางที่คุยกันด้วยเสียงเบาๆแบบนั้นยิ่งทำให้ผมวิตกจริตอยู่เนืองๆ

ผมแชทคุยกับบุญในขณะที่นั่งยืดขาอยู่บนเบาะหลัง ข้างๆเป็นไอ้บอมที่คุยกับสาวทางโทรศัพท์มือถือไม่สนใจเพื่อนฝูงเลย บุญเองก็สอบเสร็จแล้วเขาเลยมีเวลาคุยกับผมในแชท บุญแนะนำให้ผมบอกชอบพี่พลไปเลยเพราะถึงยังไงผมก็จีบเขาไม่เป็นอยู่ดี บอกๆไปเลยว่าชอบจะได้รู้ว่าควรสานต่อหรือจบแค่นี้ ถึงยังไงพี่พลก็อยู่ปีสี่แล้วไม่นานก็บายเนียร์แล้วก็จบสิ้นชีวิตของนักศึกษาคงไม่ได้โคจรเจอผมอีก

‘แล้วถ้าเขาไม่ชอบเราล่ะ’

‘ก็จบไปเลยไง’

‘ไม่รู้ว่ะ ใจนึงก็อยากบอกใจนึงก็อยากเก็บไว้แบบนี้ดีแล้ว’

‘บอกเถอะ ไม่ตายหรอกแค่ปวดจี๊ดๆในใจ’

‘ปวดใจบ้าไรวะ’

‘อกหักไง’

‘เราไม่อกหักหรอก แค่ชอบไม่ได้รักซะหน่อย’

‘เดี๋ยวก็รู้ แล้วนี่ไปทะเลกี่วัน’

‘3 วัน 2 คืน’

‘ดูแลตัวเองด้วย’

‘ครับพ่อ’ ผมหัวเราะออกมาหลังจากที่กวนอารมณ์บุญไป เงยหน้ามาอีกทีดูเหมือนเราจะออกจากตัวเมืองกันมาแล้ว ไอ้บอมยังงุ้งงิ้งคุยกับสาวของมันอยู่ สาวๆสองคนหลับไปแล้วเห็นแบบนี้ผมจึงสะกิดไอ้บอมพยักเพยิดหน้าไปทางคนที่หลับ เสร็จล่ะ งานแอบถ่ายรูปมันต้องมา ผมใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปมุมเสยของไอ้เฟริสท์ส่วนบอมถ่ายหนูนุ่นหลังจากนั้นเราก็ถ่ายรูปคู่กับพวกมันที่หลับสนิทไปมาด้วยความสนุกสนาน หัวเราะคิกคักจนไอ้สองตัวที่นอนอยู่รู้สึกตัวขึ้นมา พอรู้ว่าผมทำอะไรมันก็โวยวายกันใหญ่ตามประสาและหลังจากนั้นเราก็เริ่มถ่ายรูปกันไปเรื่อยเปื่อยแทบจะทั้งตลอดการเดินทางไปทะเล

กว่าจะไปถึงทะเลก็เป็นเวลาเย็นย่ำ พอเข้าที่พักผมก็วางกระเป๋าไว้ข้างตัวก่อนจะเอนตัวลงบนโซฟาขนาดกว้าง มองชาวแก๊งส์ที่เดินไปเดินมาสำรวจสถานที่ด้วยความตื่นเต้น พี่พลเดินหิ้วกระติกน้ำแข็งมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกันกับผมแต่คนละฝั่ง

“เจี้ยวจ้าวกันจริงๆไอ้พวกนี้”

“หิวแล้วอะ” ผมหันข้างไปมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ “พาไปหาอะไรกินหน่อย”

“เนี่ยเสิร์ชหาร้านอาหารอยู่” เขาบอกพลางโชว์หน้าจอโทรศัพท์มือถือให้ดู

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิมเพื่อมองหน้าจอที่สว่างนั่น บอกเลยว่าตื่นเต้นมากที่ได้อยู่ใกล้ๆกับพี่พลแต่มันก็อดไม่ได้ที่จะอยากถึงเนื้อถึงตัวเขาบ้าง อยากจะนอนตักพี่พลดูสักครั้ง คิดได้แบบนั้นผมก็เลยถอยล่ากลับมานั่งตรงๆ โห ใครจะกล้าทำอะไรขนาดนั้นคนเยอะแยะ ผมใจป๊อดกว่าที่เห็นนะ ไอ้พวกชาวแก๊งส์เริ่มทยอยมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นแล้วพวกเราจึงขับรถออกไปตระเวนหาของอร่อยทานกัน ในรถระหว่างทางผมให้สาวๆเป็นคนเลือกร้านที่จะทานมื้อเย็นกัน ทุกอย่างดูเหมือนจะลงตัวที่ร้านผัดไทยร้านหนึ่ง แต่เพราะไอ้บอมความเรื่องมากของมันทำให้เราย้อนขับออกมาไกลเพื่อหาอาหารทานในตลาดชื่อดังยอดนิยม ทางจากที่พักมาก็ไม่ใช่ใกล้ๆเลยผมนี่หิวท้องร้องโครกครากจนรู้สึกสงสารตัวเอง

พวกเราไม่ได้ลงเอยนั่งทานอาหารกันที่ร้านใดร้านหนึ่ง แต่ซื้อหลายๆอย่างแล้วแบ่งกันทาน ตอนนี้ผมมองพี่พลทานปลาหมึกย่างด้วยความอิจฉาขณะที่รอซื้อหนังไก่ทอด ในทะเลเนี่ยมีแค่ปลากับหอยเท่านั้นที่ทานได้แต่หมอก็ไม่แนะนำให้คนแพ้อาหารทะเลอย่างผมทานหรอก หมอบอกว่ามันอาจจะเกิดแพ้ขึ้นมาได้กะทันหัน ถึงจะทานไม่ได้ผมก็ไม่เคยห้ามพวกชาวแก๊งส์ทานอาหารทะเลหรอกนะ เวลามาเที่ยวกันพวกมันก็ทานอาหารทะเลกันปกตินี่แหละ ส่วนผมก็ได้แต่สั่งเมนูเดิมๆอย่างปลาทอดกับออส่วนเพราะเป็นเมนูที่ทานได้

พี่พลยื่นถุงปลาหมึกย่างมาให้ ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “ทำไมอะ”

“แพ้อาหารทะเล” ผมบอกเขาเสียงเรียบๆก่อนจะเสียหลักเพราะโดนฝรั่งที่ดูท่าทางเมานิดๆเดินชนจนน้ำตาลสดในแก้วหกใส่มือ “แม่ง” ผมสบถออกมารู้ตัวเลยว่าตอนนี้หน้าที่ปกติก็ดูเหมือนโกรธใครตลอดเวลาตอนนี้ยิ่งดูฉุนเฉียวเข้าไปอีก

“อินาย มึงจะแวะเซเว่นหาอะไรกินเพิ่มรึป่าว” หนูนุ่นถามเพราะมันรู้ว่าอาหารในตลาดนี้ผมทานไม่ค่อยได้

“แวะดิ กูยังไม่อิ่มเลย”

“เคๆ เดี๋ยวกูเดินไปบอกไอ้บอมก่อน แม่งจะล่อเบียร์ซะแล้ว” ว่าเสร็จหนูนุ่นก็ฉกถุงปลาหมึกย่างในมือพี่พลแล้วเดินไปหาไอ้บอมที่ยืนจดๆจ้องๆอยู่หน้าร้านอาหารทะเลร้านหนึ่งที่มีเบียร์นอกขาย

ผมจ่ายเงินค่าหนังไก่ทอดแต่พี่พลเป็นคนรับถุงไก่ทอดมาและหยิบออกมาชิ้นหนึ่ง เขากัดไปครึ่งชิ้นก่อนจะยื่นมาตรงหน้าผม ผมอ้าปากรับชิ้นหนังไก่ทอดนั่นด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ไม่รู้จะทำหน้าทำตาอย่างไรเลยรีบเดินนำหน้าเพื่อไปสมทบกับชาวแก๊งส์ที่ยืนรออยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ แทนที่พี่พลจะรอผมอยู่ข้างนอกเขาดันเดินตามเข้ามา ผมหยิบอาหารแช่แข็งไปหนึ่งกล่องส่งให้พนักงานเวฟก่อนจะเดินวนซื้อขนมเพิ่มนิดหน่อย

“มาทะเลทั้งทีแต่ต้องมากินอาหารในเซเว่นเนี่ยนะ”

“ทำไงได้” ผมยิ้มน้อยๆให้กับพี่พล หยิบขนมไปจ่ายเงินระหว่างนั้นอาหารอุ่นร้อนก็เสร็จพอดี

ผมเดินรั้งท้ายอยู่กับพี่พลเพื่อเดินกลับไปขึ้นรถ เราจอดรถกันไว้ค่อนข้างไกลเพราะบริเวณตลาดไม่มีที่จอด ไอ้บอมกับหนูนุ่นเดินทานอาหารไม่หยุด เสียงไอ้หนึ่งหัวเราะอยู่กับไอ้เฟริสท์ดังไปตลอดทาง พี่พลก็ดูเพลิดเพลินกับหนังไก่ทอด ส่วนผมหงุดหงิดกับมวลชนมหาศาลที่เดินเบียดไปมา เราเดินมาถึงสถานที่ที่จอดรถไว้ผมนั่งด้านหลังเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนคนนั่งจากไอ้บอมเป็นพี่พลแทน ผมแกะห่ออาหารทานบนรถเดี๋ยวนั้นด้วยความหิว แม้จะทานอะไรไปบ้างแล้วแต่เหมือนกับมันยังไม่เต็มอิ่มเสียทีเดียว ข้าวผัดกากๆในร้านสะดวกซื้อทานคู่กับหนังไก่ทอดพอจะช่วยประทังชีวิตไปจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ ระหว่างทางกลับบ้านพักผมหยิบโทรศัพท์มือถือแชทหาบุญเพราะดูเหมือนผมจะเข้าร่วมวงสนทนาเรื่องอาหารทะเลที่พวกชาวแก๊งส์เพิ่งทานไปไม่ได้ พวกเขาคุยกันถึงกุ้งปูปลาหมึกผมคุยด้วยไม่ได้จริงๆ

‘เสียใจกินอาหารทะเลไม่ได้’

‘ก็ชนะมันดิ จะได้ไม่แพ้อาหารทะเลไง’

มุกเลวๆควายๆแบบนี้ผมเจอมาตลอดในตอนเด็ก พอโตมาก็ไม่นึกหรอกนะว่าจะยังมีมนุษย์ที่กล้าเล่นมุกนี้อีก ‘ฝืดดดดดดดสัสสสส’

‘55555 เอาน่าๆ แล้วนี่ทำอะไรอยู่’

‘นั่งรถกลับที่พัก’

‘กินเหล้าอะดิคืนนี้’

‘กินดิ นี่หิวเบียร์มาก ได้เบียร์นอกมาด้วย’ ผมส่งรูปขวดเบียร์ที่ถ่ายไว้ตอนซื้อไปให้บุญดู นอกจากเรื่องหนังและเพลง เรายังคอเดียวกันเรื่องเบียร์ด้วย

‘โห เด็ดๆ’

‘เออ วันหลังจะพามา ร้านเล็กๆแต่มีเบียร์นอกเยอะโคตร จริงๆพี่ที่ขายบอกว่า…..’ พอพิมพ์ได้เท่านั้นผมก็ถูกแย่งโทรศัพท์มือถือไป พี่พลถือวิสาสะเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงของเขา

“มาเที่ยวนะเว่ย เล่นแต่มือถือ”

ผมไม่ได้เถียงอะไรกลับเพราะก็รู้สึกเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่พลพูด “ก็คุยกันแต่เรื่องอาหารทะเล” ผมบ่นเสียงเบาๆ

“จะหาอะไรกินเพิ่มอีกมั้ย”

“ไม่อะ” ผมตอบก่อนจะมองพี่พลที่ถูกไอ้หนึ่งเรียกเพื่อคุยเรื่องรีวิวเกมบ้าบออะไรก็ไม่รู้ ผมเอนตัวลงข้าวผัดเมื่อครู่คงจะถ่วงหนังท้องจนหนังตาหย่อนเสียแล้ว

พี่พลปลุกผมเมื่อมาถึงบ้านพัก ด้วยระยะเวลาที่เดินจากหัวหินมายังปราณบุรีก็ไกลอยู่โขพวกเราเริ่มเหนื่อยเลยไม่ได้ซดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันมากเท่าไหร่ เน้นนั่งชิลอยู่นอกบ้าน ฟังเสียงคลื่นทะเลในยามค่ำคืนเคล้ากับเสียงพูดคุยอย่างไร้สาระของชาวแก๊งส์ ผมง่วงมากรู้สึกได้เลยว่าถ้านั่งนานกว่านี้จะต้องหลับโชว์จึงแยกตัวเข้ามานอน แต่พออาบน้ำเสร็จกลับไม่ง่วงก็เลยเปิดหนังดูแทน ผมนั่งดูหนังอยู่ได้ไม่นานประตูห้องก็เปิดขึ้น เป็นพี่พลที่เข้ามาในชุดพร้อมนอน

“ไปอาบน้ำห้องอื่นมาเหรอ” ผมทำหน้าสงสัยใส่เขา

“อืม” เขาตอบสั้นๆ

“แล้วไอ้พวกนั้นล่ะ”

“ยาว”

“อ้าว แล้วพี่พลจะนอนนี่เหรอ”

“ทำไมอะ”

“นายนอนกรนนะ” ผมส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย แต่พี่พลดูเงียบผิดปกติ เขาก้าวขึ้นเตียงนั่งพิงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน สายตามองไปยังโทรทัศน์ที่ผมเปิดหนังค้างไว้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรผมจึงกลับไปสนใจหนังต่อ แต่เพียงไม่นานพี่พลก็เริ่มขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นอีกครั้งที่ไหล่ของเราชิดใกล้กันมันทำให้ผมเผลอหันไปมอง หัวใจตอนนนั้นเต้นแรงกว่าที่เคยเป็นเพราะเห็นใบหน้าของพี่พลในระยะใกล้ เขาไม่หลบตาผมเลยแต่กลับมองอย่างเปิดเผยด้วยซ้ำไป ผมคิดว่ามีบางอย่างในช่วงเวลานั้นแต่ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร

“พี่รู้ว่าเรานอนกรน”

ผมยิ้มรับแต่ไม่ได้ตอบอะไร

“ทนมาได้สองคืนก็คงไม่น่าเป็นปัญหาอะไรนะ”

ประโยคนั้นเรียกความสนใจไปจากผมโดยสิ้นเชิง

ยังไม่ทันได้พูดถามอะไรต่อไปพี่พลก็จูบเข้ามาที่ริมฝีปาก ผมอ้าปากค้างด้วยความตกใจ พี่พลผละจูบออกไปแล้วล้วงมือเข้ามาใต้ร่มผ้าของผม จู่โจมโลมเล้าไม่เว้นช่องว่าง ผมได้แต่รับการรุกเร้าที่โถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกระหว่างที่เพื่อนของผมยังอยู่ด้านนอก ผมเบี่ยงหน้าหนีออกมากระนั้นพี่พลก็ยังไม่หยุดยั้งในสิ่งที่ทำอยู่

“พี่พลจะทำจริงๆเหรอ”

ผมเอ่ยถามเสียงแผ่ว ความรู้สึกในตอนนี้มันมากกว่าแต่ความตกใจไปแล้ว พี่พลไม่ได้ตอบอะไรนอกจากจูบเข้ามาอีก ผมตอบรับจูบให้ลึกซึ้งกว่าเดิม พี่พลถอดกางเกงของผมออก ดูเหมือนเขาเตรียมพร้อมมาก เราก่ายกอดกันอยู่บนเตียง ร่างของผมอยู่ใต้ร่างของเขา แสงไฟจากหน้าจอโทรทัศน์สว่างวาบไปตามหนังที่ผมเปิดไว้ สีหน้าของพี่พลแสดงออกมาอย่างชัดเจนจนหัวใจของผมที่เต้นแรงอยู่ในเวลานี้แทบจะระเบิดออกมา รูปร่างของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจับไปส่วนไหนก็รู้สึกแน่นแข็งไปหมด มือของเขาที่ลูบขยำร่างของผมหยาบกร้านตามประสาคนเข้ายิมหากแต่ให้ความรู้สึกดี ในยามที่พี่พลเปลือยจนหมดแบบนี้ผมจะคลั่งตายเสียให้ได้ เสียงคลื่นซัดขึ้นมาและไหลผ่านเม็ดทรายกลับลงสู่ท้องทะเลลึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมไม่คิดจริงๆว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก พี่พลเองก็ไม่ได้เมา เรื่องนั้นผุดขึ้นมาในสมองเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะมลายหายไปเมื่อถูกพี่พลแทรกกายเข้ามา เขาหายใจแรงจนรู้สึกได้ ผมรั้งใบหน้าของเขาเข้ามาจูบเพื่อมอมเมาเบี่ยงเบนความรู้สึกเจ็บของตัวเองแม้มันจะไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าไหร่

พี่พลขยับตัว เขาไม่ผ่อนปรนให้ผมได้มีเวลาตั้งรับอะไรเลย ร่างของผมถูกพี่พลจาบจ้วงอย่างหยาบโลนหนักหน่วงจนผมหายใจแทบไม่ทัน ร่างทั้งร่างสั่นคลอน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกของผมที่มีต่อเขามันปะทุขึ้นมาอย่างง่ายดาย ผมชอบเขา ยิ่งได้กอดกันแบบนี้ก็อยากจะเข้าข้างตัวเองว่าพี่พลต้องมีความรู้สึกพิเศษให้ผมบ้างไม่มากก็น้อย

ผมร้องเมื่อถูกถาโถมจนรู้สึกจุก มันเจ็บเพราะตัวของผมยังไม่พร้อมเต็มร้อย ไม่นานก็รู้สึกได้ถึงน้ำใคร่ของเขาที่ปล่อยออกมาในตัวของผม เพราะว่าคนๆนี้คือพี่พลและผมก็ชอบเขามาก ชอบมากจนยินยอมให้เขากระทำได้ถึงขนาดนี้

พี่พลซุกหน้าเข้ามาที่ซอกคอ ร่างของเขาลงน้ำหนักลงมาจนรู้สึกอึดอัด ผมก่ายกอดเขาไว้แน่นแล้วจูบที่กกหู จูบที่ขมับชื้นเหงื่อ เรานอนกอดกันอยู่อย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่งจนลมหายใจกลับเข้าสู่สภาวะปกติ พี่พลเงยหน้าขึ้นมามองสบตาเผยรอยยิ้มนิดๆที่มุมปาก เขาดูเปี่ยมเสน่ห์จนผมอดใจไม่ได้ที่จะดึงหน้าของเขาเข้ามาจูบ อ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากนั่นด้วยความหลงใหล พี่พลผละตัวออกและกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกระดาษทิชชู่ เช่นเคยเราต่างคนต่างทำความสะอาดตัวเอง

“ดูหนังไม่รู้เรื่องเลย” ผมกระซิบบอกเสียงแผ่วด้วยไม่รู้ว่าระหว่างนั้นจะพูดอะไรดี แต่ก็ไม่อยากให้เงียบจนเกินไป

พี่พลพลิกตัวลงมานอนด้านข้าง หยิบรีโมทของเครื่องเล่นแผ่นหนังมากดเข้าสู่หน้าเมนูหลักอีกครั้ง “เริ่มดูหนังใหม่เลยแล้วกัน”

“เคยดูเรื่องนี้แล้วหรือยัง” ผมถามขณะที่คว้าเอาเสื้อผ้ามาใส่

“เคยแล้ว นายชอบเรื่องนี้เหรอ”

“ชอบ” คำตอบที่บอกออกไปผมไม่ได้หมายถึงหนังที่กำลังดูอยู่นี่หรอกนะ

“พี่ก็ชอบนะแต่จริงๆตัวหนังมันดูเว่อไปหน่อย แบบบางฉากมันดูไม่สมจริงแต่ก็ชอบดูเรื่องนี้”

“ตอนระเบิดแบรดพิตยังหน้าหล่ออยู่เลย”

“เออ เป็นของจริงศพแม่งต้องเละไปแล้วอะ”

“แต่ฉากที่ดอนบังคับให้นอร์แมนฆ่าพวกนาซีครั้งแรกนี่กดดันเหมือนกันนะ แบรดพิตเล่นดีอะ”

“นักแสดงเล่นดีทุกคนอะ แต่เหมือนแบบบางความสัมพันธ์มันก็ดูง่ายลงตัวเกินไป”

“โลแกนนี่ไม่ค่อยได้เห็นเล่นหนังใหญ่ จริงๆนายว่าเค้าฝีมือดีนะ ไอ้ตอนฉากที่ดอนบอกให้นอร์แมนไปหลบใต้รถถังนี่นายถึงกับหลั่งน้ำตา”

พี่พลเงยหน้าขึ้นมามองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผยยิ้ม “เราขี้แยจัง”

“บางเรื่องมันก็อดไม่ได้นี่หว่า”

“เราร้องไห้เพราะดูหนังบ่อยเหรอ”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แต่พี่พลกลับหรี่ตามองคาดคั้นเอาความจริง “บ่อยก็ได้” สุดท้ายก็ยอมรับเป็นความจริงที่ตัวผมเองนั้นไม่ค่อยอยากจะยอมรับเลย

“แล้วเรื่องนี้ร้องตอนไหนมั่ง”

“ไม่บอก” ผมเอ่ยเสียงแข็ง ใครจะไปบอกกันล่ะเรื่องแบบนี้ “ดูหนังไปดิ” ผมเฉไฉเบี่ยงประเด็นพลางขยับตัวลงนอน

“อยากร้องก็ร้อง ไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อย” เขาพูดแล้วขยี้หัวของผมเบาๆ “ไอ้ตูดหมึก”

ผมมองใบหน้าด้านข้างของพี่พล ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มทำให้ใจผมเต้นแรงยากเกินกว่าจะควบคุม สัมผัสของเขาบนเส้นผมของผมมันช่างอบอุ่น เราแลกเปลี่ยนความคิดอีกหลายๆเรื่องในค่ำคืนนั้น เขาเล่าเรื่องต่างๆให้ผมฟัง ผมเล่าเรื่องต่างๆของผมให้เขาฟัง เรารู้เรื่องราวของกันและกันผ่านทางการดูหนังมากมายหลายเรื่อง ผมไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของชาวแก๊งส์ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงคลื่นทะเล มีเพียงเสียงของพี่พล เสียงของผม เสียงของเราสองคนในค่ำคืนที่ผมเปี่ยมสุขจนคิดว่านี่อาจเป็นแค่ความฝัน คืนนั้นผมหลับไปตอนไหนก็ไม่อาจแน่ใจได้ แต่ความรู้สึกของผมที่มีต่อเขามันกลับยิ่งชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม ผมชอบพี่พล ชอบมากเหลือเกิน และผมรู้ว่าความรู้สึกนั้นไม่ใช่ความฝัน




************************************



หัวข้อ: - Affection - ตอนที่แปด (10-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 10-10-2018 14:10:38
ตอนที่แปด




ในเช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นเพราะพี่พลปลุก เสียงไอ้พวกชาวแก๊งส์เจี้ยวจ้าวแข็งกับเสียงคลื่นทะเลแต่เช้า ผมนั่งงัวเงียอยู่บนเตียงครู่หนึ่งก่อนจะถูกพี่พลไล่ให้ไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะออกไปเที่ยว เห็นแบบนี้ชาวแก๊งส์ของผมมีความมุ่งมั่นในการเที่ยวสูงมาก ผิดกับเวลาเรียนที่มักหาข้ออ้างขี้เกียจได้ตลอดเวลา อย่างตอนมีเรียนเช้าก็ตื่นมาเรียนมั่งไม่มามั่ง แต่พอมาเที่ยวปุ๊ปดีดเด้งออกมาจากเตียงตอนเช้าด้วยความสดชื่นมาก ส่วนผมไม่ว่าจะเที่ยวหรือเรียนก็งัวเงียขี้เซาในช่วงเช้าได้ตลอดทุกสถานการณ์  พอตัวโดนน้ำก็พอจะตื่นขึ้นมาอยู่บ้างแหละแต่ที่ทำให้ตื่นจริงๆนี่ก็เพราะอยู่ๆไอ้พวกชาวแก๊งส์มาดึงผ้าขนหนูที่พันตัวออกต่างหาก

“ไอ้หนึ่ง!!! หำกูออกหมดแล้ว!!!” ผมตะโกนลั่นก่อนจะดึงผ้าขนหนูที่ล่วงหล่นลงบนพื้นขึ้นมาพันตัวใหม่ “ไอ้บอม มึงถ่ายวิดิโอเหรอวะ ไอ้ชั่ว” ผมวิ่งไปแย่งโทรศัพท์มือถือของไอ้บอมอย่างทะลักทุเลเพราะต้องคอยดึงผ้าไม่ให้ไอ้หนึ่งดึงลง สุดท้ายก็โดนไอ้หนึ่งดึงผ้าออกจนได้ เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั้งบ้านพัก ผมโวยวายไปตามประสา แต่ยังคงพยายามยื้อยุดโทรศัพท์มือถือเพื่อเอามาลบทั้งๆที่โทงเทงอยู่แบบนั้นแหละ ดูเหมือนว่าทั้งไอ้บอมกับไอ้หนึ่งจะประสานงานกันดีเกินไป พวกมันรวมตัวกันแกล้งผมก่อนจะหนีไปได้ และเพราะความกระดากอายที่ตอนนี้เปลือยร่อนจ้อนอยู่ผมจึงหันมาหยิบเสื้อผ้าใส่แทน

“เดี๋ยวพี่ไปรอข้างนอกนะ” พี่พลบอกก่อนจะเดินออกไปพร้อมเสียงหัวเราะ ผมรีบแต่งตัวคว้าโทรศัพท์มือถือกระเป๋าเงินแล้วเดินตามออกไป เห็นไอ้เฟริสท์กับไอ้นุ่นหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังก็รู้ทันทีว่าพวกมันคงได้ดูวิดิโอตอนผมแก้ผ้าล่อนจ้อนไปแล้ว

“พวกมึงนี่เป็นผู้หญิงกันรึเปล่าวะเนี่ย ดูหำกูแล้วขำกันคิกๆ”

“อ้าว กูต้องเป็นผู้ชายหรือไงถึงจะดูหำมึงได้อินาย” สิ้นคำพูดไอ้เฟริสท์มันก็ระเบิดหัวเราะอีกระลอก

“เอาล่ะๆ พี่พลสตาร์ทรถรอแล้ว เดี๋ยวไม่ทันแสงเช้านะเว้ย” เป็นเสียงของไอ้บอมโหวกเหวกๆก่อนจะเดินนำพวกเราออกไปจากบ้านพัก


พวกเราเดินทางมายังหาดแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่พัก เนื่องจากเป็นช่วงเช้าผู้คนจึงยังไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่ ไอ้เฟริสท์กับไอ้นุ่นแอบหวีดร้องฝรั่งหนุ่มถอดเสื้อวิ่งอยู่บนชาดหาด ผมเดินรั้งท้ายตามพวกมันเรื่อยๆ หยุดถ่ายรูปบ้างปะปราย ไอ้ที่ว่าถ่ายรูปเนี่ยก็ไม่ได้ใช้กล้องอะไรหรอก แค่โทรศัพท์มือถือเท่านั้นแหละ คนบ้าถ่ายรูปคงจะหนีไม่พ้นสาวๆสองคนโดยมีไอ้หนึ่งคอยตามถ่ายรูปทุกซอกทุกมุม หาดที่นี่ไม่ได้สวยเหมือนทะเลทางใต้สักเท่าไหร่แต่น้ำก็ใสสะอาดอยู่ ผมเดินเลียบระหว่างผืนทรายกับน้ำทะเล ชอบเวลาที่น้ำทะเลสาดซัดขึ้นมาแล้วไหลผ่านเท้าลงกลับสู่ท้องทะเลอีกครั้งอย่างบอกไม่ถูก แต่ดูเหมือนช่วงเวลานี้น้ำจะยังไม่ลดทำให้เวลาคลื่นซัดมาเล่นเอาเปียกไปแทบทั้งขา กางเกงขาสั้นที่ใส่มาชื้นน้ำบางส่วนก็ดูเหมือนจะเปียกโชกไปเสียแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปบ้างกดส่งรูปไปให้บุญดู

‘อยากไปทะเลใต้’

ผมกดส่งข้อความไป แน่นอนบุญคงไม่ได้อ่านหรอกเพราะตอนนี้ยังเช้าอยู่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ส่งรูปอีกรูปไป โทรศัพท์มือถือของผมก็ถูกแย่ง ส่วนผมก็ถูกผลักลงทะเลจนเปียกไปทั้งตัว

เสียงหัวเราะของไอ้ชาวแก๊งส์ดังสนั่น ผมรีบตะกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลก่อนจะโดนคลื่นซัดลงไป วักเอาน้ำทะเลสาดใส่ชาวแก๊งส์ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นโดยไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง ผมมองเห็นไอ้บอมหนีขึ้นฝั่งแล้วหยิบผ้าใบออกมากางนอนแผ่หรา ปกติแล้วไอ้บอมไม่ค่อยลงน้ำทะเลหรอก มันชอบมาชิลเน้นหล่อๆ ส่วนที่เหลือก็ลงเล่นน้ำไปตามระเบียบ หลังจากสงครามสาดน้ำจบลงพวกเราก็ลงไปว่ายน้ำในทะเลกันหมด ผมว่ายน้ำไม่แข็งก็เลยได้แต่ลอยคออยู่ในส่วนที่น้ำตื้นหน่อย นอนอืดอยู่บนผืนน้ำในท่าปลาดาวได้ยินเสียงชาวแก๊งส์โหวกเหวกโวยวาย ดูเหมือนไอ้หนึ่งจะโดนกดหัวลงน้ำทะเล แสงแดดเริ่มแรงแต่ยังอยู่ในระดับที่พอไหว ผมนอนหลับตาปล่อยตัวไปเรื่อยๆตามกระแสคลื่นอย่างสบายอารมณ์ อยู่ๆก็รู้สึกได้ยินเสียงเหมือนคนว่ายน้ำมาใกล้ๆ ผมลืมตาข้างหนึ่งเห็นเป็นพี่พลที่ว่ายน้ำตรงเข้ามาหา เขาเปลี่ยนท่านอนหงายเช่นเดียวกับผมแล้วยิ้มน้อยๆอย่างคนมีความสุข

“สบายจัง” เขาเอ่ยพลางวาดแขนบนผืนน้ำเบาๆ

ผมไม่ได้เอ่ยตอบอะไรได้แต่นอนลอยคอยนผืนน้ำข้างๆพี่พล

“นี่ถ้ามีเพลงสักหน่อยคงจะดี”

“พี่พล…”

“ว่า”

หลังจากนั้นเราก็เงียบกันไป นอนฟังเสียงโหวกเหวกของไอ้ชาวแก๊งส์ เสียงน้ำทะเล ผมเหลือบมองไปด้านข้างพี่พลกำลังหลับตา เวลานี้หัวใจของผมเต้นรัวเหมือนทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดกับเขา อาจจะเป็นเพราะแดดที่เริ่มแรงทำให้สมองมันพร่าเลือนหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมเอื้อมมือไปจับมือของเขาไว้พี่พลลืมตาขึ้นมามองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาลงอย่างเดิม

“เรานี่ชอบเรียกพี่แล้วก็ไม่พูด”

น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดุอะไรหนำซ้ำยังเผยยิ้มน้อยๆให้ผมใจเต้นอีก “พี่พล…”

“ว่า”

“พี่พล”

“เออ”

“พี่พล…”

คราวนี้เขาลืมตาแล้วฉุดมือผมลากให้จมน้ำ ผมผวาเกาะแขนเขาไว้แน่นด้วยความตกใจ คือจริงๆก็ไม่ได้จมน้ำหรอกแต่เพราะเป็นคนว่ายน้ำไม่แข็งก็เลยตกใจมากกว่าปกติ ตอนนี้ผมอยู่ใกล้พี่พลจนสัมผัสได้ถึงเนื้อตัวของเขา ใบหน้าพี่พลยังคงมีรอยยิ้มและมีเสียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อยคงจะสะใจที่ได้แกล้งผม ผมมองเขาอยู่อย่างนั้นแสงแดดที่สะท้อนบนผืนน้ำส่องเข้าที่ใบหน้าของเขา วินาทีนั้นในที่สุดผมก็พูดมันออกมา

“นายชอบพี่พล”

อีกฝ่ายดูเหมือนจะช็อคไป เรายืนนิ่งมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ร่างกายผมร้อนวาบจากภายใน มือสั่นเทานิดๆด้วยความตื่นเต้น สีหน้าของพี่พลไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ยอมรับ ช่วงที่เขาถอนมือออกไปใจผมแทบสลาย อะไรบางอย่างมันบ่งบอกว่านี่คือความผิดพลาด อะไรบางอย่างมันควรเก็บไว้อยู่ในใจเพียงลำพัง

“ขอบคุณนะ” พี่พลยิ้มให้ผม เขาดูอ่อนโยนเสมอแม้ในยามนี้ “พี่หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”

เขาพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินนำหน้าขึ้นหาด ผมยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้พยายามจะสร้างอารมณ์แบบพระเอกหนังหรอก แต่เหมือนกับทั้งตัวมันชาจนก้าวขาไม่ออกได้แต่ยืนให้คลื่นซัดอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง รู้สึกได้ว่าหูอื้อไม่ได้ยินเสียงใดๆเหมือนอยู่ๆมันก็ดับไปเสียอย่างนั้น ไม่นานนักผมก็ก้าวขาออกและเดินตามไปสมทบกับพวกชาวแก๊งส์ด้วยหัวใจที่พังยับเยิน





เลวร้ายกว่าที่คิด…

ผมคิดว่าการที่ใครสักคนไม่ได้มีใจชอบเราตอบคงไม่ทำให้ตาย แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะจุกอกเหมือนมีอะไรมาบีบหัวใจตลอดเวลา พวกเรากลับไปยังที่พักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอย่างรวดเร็วก่อนจะขับรถออกมาหาอาหารทาน ยอมรับว่าสภาพหัวใจมันไม่ค่อยพร้อมจะเดินก้าวต่อไปแต่ผมก็ไม่ได้อ่อนแอปวกเปียกขนาดนั้น ชาวแก๊งส์เลือกร้านข้าวต้มริมทางในมื้อสายของวันนี้ ผมทานข้าวต้มหมูอย่างคนไม่เจริญอาหาร ยิ่งนั่งอยู่ข้างพี่พลก็ยิ่งกระอักกระอวนเข้าไปอีก พี่พลมีท่าทีปกติในความไม่ปกติ เขาไม่ได้ดูสดชื่นเฮฮาเหมือนก่อนหน้าที่ผมจะบอกชอบ แต่ก็ไม่ถึงกับเงียบหายไปแบบผม เขายังคงคุยเล่น เอาใจใส่ผมที่ทานอาหารทะเลไม่ได้ เอาใจใส่ชนิดที่ไปขอให้คุณป้าร้านข้าวต้มช่วยทำหมูแยกหม้อต่างหากออกจากอาหารทะเล ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ ไม่เห็นจะต้องมาเอาใจใส่กันเลย มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่

หลังจากทานอาหารในมื้อสายกันเสร็จ พวกเราก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ไอ้สถานที่เหล่านั้นที่ผมเป็นคนวางแผนเวลานี้ผมกลับไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับทริปนี้ได้เลย เวลาที่พวกมันถ่ายรูปกันผมพยายามเดินหนีไม่ก็เป็นคนถ่ายรูปให้ไม่อยู่ในโหมดรื่นเริงเลยจริงๆ ระหว่างที่เราไปเที่ยวนั้นพี่พลยังชวนผมคุยเหมือนเดิม ส่วนผมก็ตอบไปคำสองคำก่อนจะหลีกหนีไปอยู่กับคนอื่นบ้าง ไม่ก็ทำเป็นไม่ได้ยินไปเลย หลังจากไปเที่ยวกันได้สองที่พวกเราก็แวะทานก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังในบริเวณนั้นกัน เป็นอีกครั้งที่พี่พลนั่งข้างผม

“เอาแคบหมูเพิ่มมั้ย” เขาถาม

“เอา” ผมตอบ

ประโยคสนทนาระหว่างเราก็ประมาณนี้ เขาถามมาหลายคำส่วนผมก็ตอบคำเดียวพอ แม่งรู้สึกไม่น่าพูดออกไปเลย ผิดที่ผิดเวลามาก ตอนนั้นผมคิดอะไรกันนะ ไม่สิ ถ้าคิดก็คงไม่พูดว่าชอบออกไปหรอก ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรเลยต่างหาก

“นาย…” พี่พลเอ่ยเรียกพลางขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆ “เราโอเคมั้ย”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ ถ้าบอกว่าไม่โอเคแล้วจะช่วยอะไรดีขึ้นหรือเปล่า ก็ไม่เลย

“ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันเรื่องนั้นนะ”

ผมนิ่ง สนใจแต่ก๋วยเตี๋ยวตรงหน้า

“นาย…”

“รู้แล้ว” ผมตอบเบาๆ พยายามไม่มองหน้าเขา

“พี่หมายความตามนั้นจริงๆนะ”

“หมายถึงยังไง”

“เราต้องคุยกันแบบจริงๆจังๆ”

ผมขมวดคิ้วรู้สึกหงุดหงิดที่พี่พลยังพยายามพูดคุย เรามองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายหลบสายตาเขาไปเองแล้วตั้งหน้าตั้งตาจ้วงทานก๋วยเตี๋ยวไม่สนใจใครอีก


พอมาเปิดโทรศัพท์มือถืออีกครั้งก็เห็นข้อความที่บุญส่งกลับมา รูปทะเลที่ส่งไปก่อนหน้านี้คงจะยิ่งไปกระตุ้นความอยากเที่ยวของบุญจนส่งข้อความมาคร่ำครวญเร่งเร้าให้หาวันเวลาไปเที่ยวทะเลอีก ผมอ่านแล้วไม่ได้ตอบ ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยเรื่องเที่ยว ผมนั่งเงียบๆอยู่เบาะหลังระหว่างเดินทางไปสถานที่เที่ยวอีกที่หนึ่ง ทั้งสภาพร่างสภาพจิตใจไม่พร้อมอย่างแรง สถานที่ที่มาเป็นวนอุยานต้องเดินผ่านส่วนที่เป็นป่าไม้เพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบน ผมเดินรั้งท้ายอยู่เหมือนเดิมเพราะถ้าเป็นคนนำหน้าก็มักจะเดินไม่รอใคร ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปทัศนียภาพในป่า มองซ้ายมองขวามองบนด้วยความเพลิดเพลินแต่แล้วกลับต้องสะดุดเมื่ออยู่ๆพี่พลที่เดินนำหน้าผมเกิดหยุดกะทันหัน พอผมทำท่าจะเดินแทรกหนีไปเขาก็จับมือที่ข้อมือของผมไว้ รอจนพวกชาวแก๊งส์ที่เดินนำหน้าอยู่เดินห่างออกไปแล้วค่อยเดินตามอย่างห่างๆ

“เราคิดกับพี่แบบนั้นจริงๆเหรอ”

เหมือนโดนเอาไม้หน้าสามฟาดหน้าด้วยคำถามตรงๆไร้ชั้นเชิง ผมเงียบ รู้สึกว่าไม่อยากตอบและไม่จำเป็นต้องตอบ

“ที่จริงพี่ก็รู้มาจากหนึ่งแล้วล่ะ”

“มันบอกพี่พลว่ายังไงมั่ง”

“ก็บอกว่าเราชอบพี่”

เราเงียบกันไปพักหนึ่ง ก่อนที่พี่พลจะเลื่อนขยับจากข้อมือเปลี่ยนมาจับที่มือของผมแทน

“พี่ก็ชอบเรานะ แต่ตอนนี้ชอบแบบพี่น้อง”

ผมยังคงเงียบไม่ได้ตอบโต้อะไร

“เรายังคุยกันเหมือนเดิมได้นะ”

“มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรอก” ผมหยุดเดินแล้วมองหน้าพี่พล เขานิ่งและอึ้งไป “นายชอบพี่พลแบบไม่ใช่พี่น้อง ที่เห็นๆอยู่นี่มันก็น่าจะชัดเจนแล้ว” นี่ผมไม่ได้อยากจะพูดจาให้ดูเป็นลิเกเลยนะ แต่มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ “ชอบของพี่พลกับชอบของนายมันไม่เหมือนกัน”

“แล้วเราจะให้พี่ทำยังไง ตอนนี้พี่รู้สึกกับเราแค่พี่น้องและพี่ก็ไม่อยากเลิกคุยกับเราเพราะแค่ตอนนี้พี่ไม่ได้ชอบนายแบบนั้น”

ตอนนี้เหมือนหัวใจจะแหลกละเอียดยังไงชอบกล ผมเป็นคนเด็ดขาดนะไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ถ้าชอบก็คือชอบ อะไรที่มันคลุมเครือแบบนี้มันโคตรจะปวดใจ เป็นความรู้สึกที่น่ารำคาญ ผมดึงมือออกก่อนจะรีบเดินไปสมทบกับไอ้พวกชาวแก๊งส์ที่เดินนำหน้า ไอ้ความหมายที่บอกว่าชอบแบบพี่น้องมันก็ตรงตัวอยู่แล้วไม่มีอะไรซับซ้อนแต่ที่ไม่เข้าใจก็คือจะให้กลับไปคุยเหมือนเดิม เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปได้ซะที่ไหนล่ะ ผมชอบเขาไปมากกว่าแค่พี่น้อง ความรู้สึกในเวลานี้มันหวนกลับมาไม่ได้ เขาคาดหวังอะไรกับการให้กลับไปคุยกันเหมือนเดิมผมนึกไม่ออกจริงๆ

ไอ้พวกชาวแก๊งส์พลังล้นมาก ขากลับจากวนอุทยานเราแวะทานอาหารทะเลกันที่ร้านหนึ่ง ตอนเข้ามานั่งในร้านก็เกิดสถานการณ์กระอักกระอวนเมื่อพี่พลมานั่งข้างๆ ผมอยากลุกหนีแต่ก็กลัวจะผิดสังเกตจึงจำยอมนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม พี่พลทำตัวปกติมากจนน่าหงุดหงิด เขาคอยเลื่อนจานที่เป็นเมนูปลามาให้ คอยเติมน้ำให้ คอยถามว่ารู้สึกคันหรือเกิดอาการแพ้อาหารทะเลอะไรหรือเปล่า ผมปวดหนึบในใจจริงๆนะ เขาไม่จำเป็นต้องทำดีด้วยเลยถ้าแค่ห่างๆกันไปผมคงรู้สึกดีกว่านี้

พอทานอาหารมื้อเย็นกันเสร็จเราก็มุ่งหน้ากลับบ้านพัก เป้าประสงค์หลังจากนี้คือเล่นน้ำต่อ ผมได้ยินเช่นนั้นก็นึกอยากจะปลีกตัวออกมานอนซมดูหนังอยู่ในห้องนอน ระหว่างที่รื้อของเพื่อหาแผ่นหนังพี่พลก็เข้ามาในห้อง ที่จริงก็ไม่แปลกหรอกที่เขาเข้ามาเพราะพี่พลก็นอนห้องนี้ แต่ที่แปลกก็คือเขาดันมานอนบนเตียงแทนที่จะไปเล่นน้ำกับไอ้พวกชาวแก๊งส์

“จะดูหนังเหรอ”

ผมเงียบก้มหน้าก้มตารื้อแผ่นหนังต่อไป

“นายทำไมเราเป็นแบบนี้วะ”

เหมือนเดิม ผมเงียบ คราวนี้พี่พลคงจะเริ่มหงุดหงิดเขาจึงดึงมือของผมที่ทำเป็นหาแผ่นหนังไว้

“คุยกันเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ”

“ทำไมถึงอยากคุยเหมือนเดิม” ผมย้อนถาม มองหน้าของเขาแล้วเหมือนหัวใจจะพังจริงๆ ความรู้สึกบางอย่างมันจุกอยุ่ในอกจนจะล้นทะลัก อยากต่อว่าพี่พลอย่างไร้สาเหตุ อยากจะบอกให้เขาไปไกลๆ “ไม่เห็นต้องมาทำแบบนี้เลยอะ”

“ทำแบบไหน”

“ก็ทำดีด้วยไง”

“แล้วจะให้พี่ทำยังไง จะไม่ให้คุยกับเราเหรอ พี่ทำไม่ได้หรอก”

เท่านั้นล่ะผมตาพร่ามัวเลย น้ำตามันเอ่อออกมาแต่ไม่ได้ไหลออกซะทีเดียว

“ถ้าเราจะไม่คุยกันเพราะตอนนี้พี่ไม่ได้ชอบนายมากกว่าพี่น้อง พี่ทำไม่ได้”

“นายไม่อยากคุยกับพี่พลแล้วอะ”

“……..”

“นายไม่ได้คิดแค่พี่น้องป่าววะ ก็บอกไปแล้วว่าชอบแบบไหน จะให้กลับมาคุยเหมือนเดิมได้ยังไง”

“นาย…” เขายกมือขึ้นมาลูบศีรษะของผม วินาทีนั้นน้ำตาแทบจะหยดออกมาแต่ผมกล้ำกลืนมันไว้ “พี่ไม่เคยปฏิเสธเรานะ”

แม่ง ไม่ได้ปฏิเสธแต่บอกว่าเป็นพี่น้องมันก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ผมอยากบอกแบบนั้นไปแต่ก็เลือกที่จะเงียบเหมือนเดิม

“ออกไปเล่นน้ำเถอะ มาเที่ยวทั้งทีอย่าอยู่แต่ในห้องเลย” เขาทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกไป

ผมลุกขึ้นเดินไปใส่แผ่นหนังลงเครื่องเล่นแล้วกลับมานั่งที่เตียง ในเวลานี้ผมไม่ออกไปเล่นน้ำแน่นอนรู้สึกหงุดหงิดเกินกว่าจะไปเจอหน้าใคร ผมนอนดูหนังเพื่อที่สมองจะไม่ได้วกกลับมาคิดเรื่องของพี่พล คิดแค่ว่าต่อจากนี้ไปคงจะไม่คุยกับเขาอีก เหมือนแบบถามคำตอบคำ ถ้าทำแบบนั้นพี่พลคงจะหน่ายแล้วก็หายไปจากชีวิต อย่างที่เคยบอกพี่พลเองก็มีเรื่องราวในชีวิตของเขาเอง ทั้งฝึกงานทั้งโปรเจคจบแค่นั้นชีวิตของนักศึกษาก็น่าจะวุ่นวายอยู่แล้วเดี๋ยวเขาก็ลืมผมเหมือนที่ผมพยายามลืมเขา คิดได้อย่างนั้นผมก็ดูหนังไม่รู้เรื่องอีกเลยเพราะน้ำตามันเอ่อล้นออกมาจนต้านทานไม่ไหว




************************************


หัวข้อ: - Affection - ตอนที่เก้า (10-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 10-10-2018 14:12:18
ตอนที่เก้า





เมื่อคืนผมคงจะดูหนังแล้วหลับไปตื่นมาตอนเช้าเห็นพี่พลนอนอยู่ข้างๆ ผมมองใบหน้าของเขาด้วยสมองที่ว่างเปล่าก่อนจะพลิกตัวหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วเดินออกไปจากห้อง โชคดีที่ไอ้ชาวแก๊งส์ตื่นกันแล้ว พอเดินเข้าไปในครัวก็เห็นไอ้บอมกำลังโชว์สกิลทำอาหารอยู่ มันไล่ให้ผมออกไปรอมื้อเช้าในห้องนั่งเล่นเพราะไอ้นุ่นกับไอ้เฟริสท์ก็ดูจะเป็นลูกมือที่น่าปวดหัวพออยู่แล้ว ผมนั่งลงบนโซฟาเปิดโทรทัศน์ดูการ์ตูนไปเรื่อยเปื่อย

“โห ไม่อยากจะเชื่อไอ้นายตื่นแล้ว” เสียงของไอ้หนึ่งดังขึ้นทันทีที่มันเดินเข้ามาในตัวบ้าน

“ไปไหนมาวะ” ผมถามพลางมองไอ้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา

“ถ่ายรูปแถวนี้แหละ” ไอ้หนึ่งนั่งลงด้านข้างคว้ารีโมตเปลี่ยนช่อง “พี่พลตื่นยัง”

“ยัง”

“มึงกับเขานี่ยังไงกันวะ”

ผมนิ่ง รู้สึกอื้ออึงที่อยู่ๆก็โดนถามตรงๆแบบนี้แต่เช้า เหมือนสมองประมวลผลไม่ทันสักเท่าไหร่ก็เลยเลือกที่จะเงียบ

“ว่าไง” มันเร่งเร้าให้ผมตอบ

“มึงรู้อะไรมา” ผมย้อนถามแทน

“มึงชอบพี่เขาไม่ใช่เหรอ”

เป็นอีกครั้งที่เงียบแทนคำตอบ

“พวกกูก็พอจะรู้ๆแหละ”

ประโยคจากไอ้หนึ่งทำให้ผมต้องหันไปมองหน้ามันเต็มตา “พี่พลเล่าให้ฟังเหรอ”

“เปล่า เขาไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย แต่หลายๆอย่างมันก็… เห็นๆกันอยู่”

ผมเอนตัวพิงหัวบนขอบโซฟา รู้สึกมวนท้องขึ้นมา ผมเงียบไม่รู้จะตอบอะไร ที่จริงก็ไมได้ตั้งใจจะเก็บมันเป็นความลับอะไรเลย ผมไม่มีความลับอะไรกับชาวแก๊งส์อยู่แล้ว แค่ตอนนี้รู้สึกตกใจเล็กน้อยที่พวกมันรู้กันหมด

“เขาว่ายังไงมั่งอะ” ไอ้หนึ่งถาม

“ก็… พี่น้อง” ผมตอบไปตามความจริง

ไอ้หนึ่งไม่ได้ตอบอะไรนอกจากนั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเพื่อนผมจนไอ้นุ่นยกอาหารมื้อเช้าออกมามันถึงได้ลุกขึ้นเดินออกไป









พวกเรานั่งทานมื้อเช้ากันอย่างเอร็ดอร่อย แม้จะเป็นอาหารมื้อเช้าง่ายๆแต่ฝีมือของไอ้บอมก็ถูกปากพวกเรามาหจนทานกันหมดเกลี้ยงไม่เหลือซาก ผมอาสาล้างจานชาวแก๊งส์ส่วนที่เหลือจึงเกลือกกลิ้งเรื่อยเปื่อยอยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกเพราะพี่พลดันเข้ามายืนอยู่ข้างๆและมองผมที่กำลังล้างจานใบสุดท้ายอยู่

“เราจะเป็นแบบนี้อีกนานมั้ย” น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวกว่าปกติ

“ก็บอกแล้วไงว่าคุยเหมือนเดิมไม่ได้” ผมตอบพลางเช็ดมือกับผ้าขนหนู พอจะเดินหนีออกไปเขาก็จับข้อมือผมไว้

“ทำไมเป็นแบบนี้วะนาย” เขาเอ่ยน้ำเสียงดูเหมือนจะอ่อนลงเล็กน้อย

ท่าทีรู้สึกผิดของเขามันทำให้ผมจุกอยู่ในอก เหมือนกับว่าผมสามารถร้องไห้เพราะเขาได้ทุกเวลาแม้แต่เวลานี้ ผมไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายน้ำตาไหลพร่างพรู มันก็แค่ไหลออกมาเร็วเกินกว่าที่ผมจะกล้ำกลืนไว้ได้ พี่พลขยับตัวเข้ามาใกล้โอบกอดผมไว้ในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวล น้ำตาของผมไหลไม่หยุดราวกับแทนความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีให้กับเขา ผมไม่ได้สะอึกสะอื้น ไม่ได้ฟูมฟาย แค่ร้องไห้อย่างเงียบๆอยู่อย่างนั้น

“พี่พล..”

“อืม”

ผมเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะผละตัวออกมา “ชอบนายมากกว่าพี่น้องไม่ได้เหรอ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ยังไม่ทันที่พี่พลจะได้พูดอะไรไอ้หนึ่งก็ดันโผล่เข้ามาอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ผมสบโอกาสเดินหนีออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอีกครั้ง



ผมรู้ว่าพูดอะไรออกไป แต่ไม่รู้ว่าพูดแบบนั้นออกไปเพื่อคาดหวังอะไรจากคำตอบที่จะได้ฟัง

















ในช่วงก่อนเที่ยงเราเดินทางออกจากบ้านพักเพื่อแวะเที่ยวอีกสถานที่หนึ่ง รอบนี้ผมเปลี่ยนมานั่งข้างหน้ากับหนึ่ง เพราะคงทนไม่ไหวหากต้องนั่งกับพี่พลที่เบาะหลังอีก เสียงชาวแก๊งส์คุยกันเจี้ยวจ้าวเหมือนเดิมมีแต่ผมที่เงียบมาตลอดทาง จนมาถึงสถานที่ที่เป็นเป้าหมายเราก็เดินรั้งท้ายเหมือนเดิม พวกชาวแก๊งส์เดินไปถ่ายรูปตามมุมต่างๆผมได้แต่เดินตาม พี่พลเองก็ไม่ได้มีท่าทางที่จะเข้ามาชวนคุย ซึ่งผมก็คิดว่ามันควรเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว

ผมแวะถ่ายรูปอาคารสวยในบริเวณนั้นอยู่กับบอมก่อนที่มันจะรบเร้าให้ผมไปยืนถ่ายรูปบ้าง ผมบอกปฏิเสธไปแต่มันก็เร้าหรืออีกจนผมต้องไปยืนอยู่ในจุดที่มันบอก

“อะไรของมึงวะ มาแล้วก็ไม่ถ่ายรูป”

“ถ้ากูเข้าห้องน้ำกูต้องถ่ายรูปด้วยมั้ย ไหนๆก็มาทั้งทีแล้ว” ผมย้อนมันกลับ

“เอาน่าๆ” หลังจากนั้นมันก็นับถอยหลังเพื่อให้เวลาผมในการเตรียมโพสท่า

ผมไม่ได้ยิ้ม ทำหน้าเฉยๆและยืนตัวทื่อๆประหนึ่งถ่ายรูปบัตรประชาชน ผมว่ามันเท่จะตายไปเหมือนนายแบบไง แต่พอเริ่มถ่ายภาพมากขึ้นผมก็เริ่มทำหน้าประหลาด แลบลิ้นปลิ้นตาอะไรไปตามประสาคนไม่เน้นหล่อ ตอนนี้เหมือนอารมณ์จะดีขึ้นมาหน่อยแต่แล้วก็ต้องนิ่งไปเมื่อเห็นพี่พลเดินเข้ามายืนอยู่กับไอ้บอม

“อ้าว พี่ ไปถ่ายรูปกับไอ้นายดิ”

บอมไล่ให้พี่พลเข้าร่วมถ่ายภาพเล่นเอาหัวใจของผมหวิวอย่างแปลกๆอีกรอบ ยิ่งในตอนที่พี่พลเดินเข้ามาเหมือนหัวใจจะระเบิดยังไงอย่างงั้น พี่พลยังคงไว้ซึ่งใบหน้าสะอาดสะอ้านเหมือนทุกครั้งที่เห็น พอเขามายืนข้างๆก็ถอดแว่นกันแดดออกมองผมด้วยสายตาที่ยากเกินกว่าคาดเดาว่ารู้สึกอย่างไร ผมไม่อยากทำตัวผิดสังเกตไปมากกว่านี้แม้ว่าในใจจะอยากเดินหนีออกไปก็ตาม ตอนนี้จึงได้แต่ยืนบื้อๆให้เขาโอบไหล่เพื่อถ่ายรูป ไอ้บอมบอกให้เราเปลี่ยนท่าบ้างผมนึกไม่ออกว่าจะทำท่าอะไรก็ได้แต่ยืนเหมือนเดิม ไม่นานนักไอ้พวกชาวแก๊งส์ก็เดินเข้ามาสมทบเพื่อถ่ายรูป รู้สึกวุ่นวายเล็กน้อยในตอนที่เซลฟี่รูปหมู่กัน สุดท้ายก็เป็นไอ้บอมที่เป็นคนถือโทรศัพท์มือถือเพื่อกดถ่ายภาพ

ด้านหน้าสุดเป็นไอ้บอมกับไอ้หนึ่ง สาวๆอยู่ส่วนกลางๆของเฟรมเพื่อไม่ให้หน้าบาน พี่พลกอดคอผมไว้อยู่ในส่วนด้านข้างค่อนไปทางด้านหลังเล็กน้อยเพื่อให้ไม่หลุดเฟรม เราถ่ายรูปกันไปหลายท่าทาง หน้าทะเล้น หน้าสวยหล่อ หน้าประหลาดรวมไปถึงหน้านิ่ง หลังจากนั้นพวกมันก็ย้ายสถานที่ไปถ่ายมุมอื่น ผมตั้งใจที่จะตามพวกมันไปแต่ดูเหมือนพี่พลจะยังคงกอดคอผมไว้เหมือนเป็นการบ่งบอกว่าไม่ให้ไป

“นายจะไปถ่ายรูปกับเพื่อน”

“อยู่ด้วยกันก่อนดิ”

ผมบอกตามตรงว่าหวั่นใจ กลัวว่าเขาจะวกเข้ามาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรามาก แต่ก็ไม่อยากตีโพยตีพายอะไรจึงได้แต่เดินช้าๆตามหลังไอ้พวกชาวแก๊งส์

“ถ่ายรูปกัน” เขาเอ่ยแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่มีเลนส์เสริมออกมาเปิดโหมดกล้องถ่ายรูป

ผมมองไปยังหน้าจอที่แสดงภาพของพวกเรา พี่พลในเสื้อเชิ้ตสไตล์ฮาวายกับกางเกงยีนส์สีขาวสี่ส่วน ทรงผมย้อนยุคที่เซ็ตมาอย่างดี เขายืนคู่กับผมในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ขาดๆสีซีดผมเผ้าก็ไม่ได้เซ็ตอะไรแถมหน้าตาก็มึนๆอึนๆ พี่พลยิ้มนิดๆเหมือนยกมุมปากแบบคนขี้เก๊ก แต่เขากลับดูดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ผมเลิกคิ้วสูงข้างหนึ่งทำหน้าตาแบบกำลังสงสัยจากนั้นพี่พลก็กดถ่ายรูปไปหลายช็อตจนเปลี่ยนหน้าแทบไม่ทัน จนรูปสุดท้ายผมนึกหน้าอะไรไม่ออกก็เลยทำหน้านิ่งๆรอให้พี่พลกดถ่ายรูปแต่เขาก็ไม่กดสักที พี่พลดึงเลนส์เสริมออกขยับตัวเข้ามาใกล้ซ้อนอยู่ด้านหลัง เขาโน้มตัวลงมาทำให้ใบหน้าของเขาแทบจะเกยอยู่บนไหล่ของผม

“ยิ้มหน่อย” น้ำเสียงแผ่วเบาที่แสนจะนุ่มนวลของเขาพรากหัวใจของผมไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ผมมองไปยังจอภาพที่แสดงให้เห็นว่าใบหน้าของเราใกล้กันมากแค่ไหน สายลมพัดผ่าน ใบไม้ไหวปลิวไปตามแรงลมยังผลให้แสงแดดเล็ดลอดสาดส่องเข้ามา หัวใจของผมในตอนนี้หวั่นไหวเหลือเกิน มันตื่นเต้น มันปวดหนึบ ผสมปนเปจนมวนท้อง

พี่พลกดถ่ายรูปของเราไปแค่รูปเดียวหากแต่ยังคงไม่ขยับเปลี่ยนท่า เขาละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือเพื่อมองหน้าผมก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทรมานหัวใจออกมา

“กลับมาคุยกันเหมือนเดิมได้ป่าว”

ผมมองเขาอยู่พักหนึ่งก่อนจะผละตัวออกมา “นายไปถ่ายรูปกับเพื่อนก่อนนะ”

หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย…




************************************



หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่เก้า (10-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 10-10-2018 19:10:56
ไม่เข้าใจพี่พลเลยนะ ไม่ชอบแต่มีความสัมพันธ์ด้วย  งง
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่เก้า (10-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-10-2018 09:40:01
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่เก้า (10-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 12-10-2018 01:40:34
เชียร์บุญได้ม้ายยยยย
หัวข้อ: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 13-10-2018 19:55:02
ตอนที่สิบ



และแล้ววันงานบายเนียร์ก็มาถึง…

ช่วงเวลาประมาณหกโมงเกือบทุ่มนึงผมกำลังนั่งรอพวกสาวๆแต่งหน้าทำผมที่บ้านของหนูนุ่น เรากำหนดเวลาออกไปโรงแรมประมาณทุ่มนึงนั่นแหละ แต่ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคงสายเหมือนเดิม ผมอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีขาวมีสายคาด ถอดเสื้อสูทพาดไว้บนพนักพิงเก้าอี้ และนั่งมองสาวๆที่กำลังใกล้จะทำผมเสร็จด้วยความง่วง มีใครไม่ง่วงบ้างล่ะเวลาต้องรอใครนานๆ ความรู้สึกเหมือนอยากจะนอน ไม่พร้อมสำหรับงานในค่ำคืนนี้สักเท่าไหร่ ส่วนชาวแก๊งส์ที่เหลือครองเกม สลับกันเล่นเกมฟุตบอลอะไรสักอย่างและส่งเสียงโวยวายเช่นเคย

“เสร็จแล้ว”

ราวกับเสียงสวรรค์เมื่อไอ้เฟริสท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกระดี๊กระด๊าและเผยโฉมออกมาในชุดสีขาวมุกระยิบระยับ ส่วนหนูนุ่นเป็นชุดสีเงินระยิบระยับเช่นกัน เสียงโห่ร้องแซวหวีดหวิวผิวปากเกิดขึ้นทันทีแต่ดูเหมือนสาวๆจะไม่สะทกสะท้านกับพวกเราเท่าไหร่เลย

“สวยมากพวกมึง” ผมเอ่ยชม ยักคิ้วหลิ่วตาหยอกล้อเรียกเสียงหัวเราะพอเป็นพิธี

พวกเราออกจากบ้านของไอ้นุ่นประมาณทุ่มครึ่ง สภาพในรถเจี้ยวจ้าวและนั่งกันอัดแน่น พวกเราให้สาวๆนั่งหน้าทั้งสองคนโดยมีไอ้เฟริสท์ขับรถ ส่วนหนุ่มๆนั่งเบียดอยู่ข้างหลัง การจราจรในกรุงเทพเลวเสมอต้นเสมอปลาย ประมาณสองทุ่มกว่าๆเราก็ถึงโรงแรมทั้งที่บ้านไอ้นุ่นอยู่ใกล้โรงแรมจนแทบจะเดินได้ แต่เพราะว่าคืนนี้เราจะต้องไปเที่ยวกันต่อจึงจำต้องขับรถมา พอจอดรถเสร็จผมแยกตัวออกมาดูดบุหรี่อยู่ในหลืบลานจอดรถปล่อยให้พวกชาวแก๊งส์เข้าไปในงานก่อน ผมไม่ตื่นเต้นอะไรกับการมางานพวกนี้หรอก ที่ตั้งตารอน่าจะเป็นเรื่องการไปเที่ยวต่อเสียมากกว่า

‘อยู่ไหน’

‘ถึงหรือยัง’

‘อยู่ในลานจอดรถแล้ว’

ผมส่งข้อความหาบุญและเปิดหน้าจอรอให้อีกฝ่ายตอบอย่างใจจดใจจ่อ ผมนัดให้บุญมางานนี้ด้วยเหตุผลง่ายๆสั้นๆอย่าง “อยากให้มาด้วย” ส่วนบุญก็ว่าง่ายดีเหลือเกินเขายอมมากับผมอย่างไร้ข้อแม้ ไม่มีการถามเซ้าซี้ใดๆทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่าบุญไม่ตอบข้อความ ผมจึงปิดหน้าจอและยืนสูบบุหรี่ไปเรื่อยๆอย่างใจเย็นท่ามกลางสายลมเอื่อยๆในยามค่ำคืน

ความจริงแล้วผมอยากให้เขามาเพื่อเป็นข้ออ้าง ผมจะคืนของให้พี่พลไอ้แผ่นไวนิลที่ทำให้ผมหวั่นไหวนั่นแหละ ผมไม่คิดว่าคืนนี้ผมจะอยากอยู่คนเดียวหลังจากเจอพี่พล ถึงจะมีชาวแก๊งส์อยู่แต่มันก็ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผมมีความลับกับชาวแก๊งส์หรอกนะ แต่เรื่องบางเรื่องมันต้องเป็นคนๆนี้เท่านั้น

ขณะที่ก้มหน้าก้มตามองพื้นมองรองเท้าไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายจากคนกลุ่มหนึ่ง ผมจึงหันกลับไปมอง เท่านั้นแหละผมจำต้องรีบหันหน้าหนีไปทางอื่น พี่พลกับกลุ่มเพื่อนของเขากำลังทยอยลงมาจากรถยนต์คันหนึ่งที่เพิ่งจอดอยู่ใกล้ๆประตูทางเข้าโรงแรม พี่พลยังคงเหมือนเดิมเขาไม่ได้หล่อกว่าเพื่อน ไม่ได้ดูโดดเด่นเหมือนคนดัง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือพี่พลยังคงเป็นคนแต่งตัวเนี้ยบ สะอาดสะอ้าน และมีทรงผมเสยเปิดหน้าอันเป็นเอกลักษณ์นั่น การได้เห็นเขาครั้งนี้มันทำให้ผมรู้ตัวว่าผมยังรู้สึกแบบไหนต่อเขาอยู่ ผมชอบพี่พลเหมือนเคยแต่มันไม่ง่ายเลยที่จะเอ่ยปากคุยกับพี่พลได้อย่างสนิทใจหลังจากรู้ความในใจของเขาแล้ว ผมไม่รู้ว่าควรวางสีหน้าทำท่าทางแบบไหนถึงจะคุยกับพี่พลได้เหมือนก่อน มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ความคิดของผมเวลานี้ค่อนข้างฟุ้งซ่านแต่ราวกับสวรรค์เมตตาเมื่อกลุ่มของพี่พลเดินเข้าไปในโรงแรมและบุญก็โผล่ตัวออกมาจากที่ไหนสักที่อย่างน่าอัศจรรย์

“โทษที รถแม่งติดมาก”

ผมพยักหน้ารับไม่ได้คิดมากอะไรเรื่องนี้อยู่แล้ว “เอาบุหรี่ป้ะ” ความจริงแค่อยากยื้อเวลาให้นานขึ้นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปบังเอิญเจอพี่พลในงาน

“ไม่อะ”

และบุญก็ทำให้ผมจำต้องยอมรับความจริง ผมสงบสติ ทิ้งบุหรี่ไว้ในที่ที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้พร้อมๆกับทิ้งอารมณ์ฟุ้งซ่านเหล่านั้นก่อนจะเดินเข้าร่วมงาน ตอนเข้าไปในงานพร้อมกับบุญนั้นบนเวทีกำลังมีกิจกรรมสนุกๆเราจึงไม่ได้เป็นจุดสนใจเว้นเสียแต่สายตาสงสัยใคร่รู้จากชาวแก๊งส์ที่เก็บไว้ไม่มิดก็เท่านั้น

“นี่พวกมึงจำบุญไม่ได้เหรอ ทำไมทำหน้ากันแบบนั้นวะ”

“จำได้สิโว้ย” ไอ้หนึ่งตะเบ็งเสียงแข็งกับเสียงโห่ร้องบนเวที “เอ้อออ มาๆ มานั่งเลยบุญ”

ชาวแก๊งส์ส่งเสียงทักทายบุญแบบแปลกๆ ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเช่นกัน ท่าทางของชาวแก๊งส์มันดูพิลึกยังไงบอกไม่ถูก แต่ผมก็ปัดความสงสัยเหล่านั้นออกไปเมื่อสายตาพลันเหลือบไปเห็นอาหารที่ถูกจัดวางเรียงรายอยู่รอบห้อง ผมชวนบุญไปเดินตักอาหาร รู้สึกได้ถึงสายตาของชาวแก๊งส์ที่มองตามจึงหันกลับไปมอง พวกมันหน้าเหวอแล้วทำทีเป็นคุยเรื่องอื่น

“เราทำอะไรผิดรึเปล่า” บุญกระซิบถามขณะที่ตักไส้กรอกลูกวัวลงจาน “หรือเราไม่ควรมางานนี้วะ”

“ไม่เกี่ยวเว่ย งานนี้จะพาใครมาก็ได้ถ้าจ่ายเงินค่าเข้างาน” ผมตอบเพื่อให้บุญมีความมั่นใจทั้งที่ความจริงผมเองก็แทบจะหมดความมั่นใจเมื่อถูกชาวแก๊งส์มองแบบนั้นเหมือนกัน “เรารีบกินแล้วหนีขึ้นไปข้างบนมั้ย”

“อ้าว จะไม่น่าเกลียดเหรอวะนายเป็นคนจัดงานนะ”

ผมยิ้มเจื่อนก่อนจะจ้วงไส้กรอกเข้าปาก อาหารคุณภาพดีที่ผมได้เลือกมาค่อนข้างจะทำให้ผมไม่สนใจเรื่องอื่นมากนัก “เอาน่า กินๆเข้าไปเถอะแล้วเดี๋ยวพาไปข้างบน”

“นาย” บุญเอ่ยเรียกผมหลังจากที่เราทานอาหารกันเงียบๆไปได้สักพัก

“ว่า” ผมเงยหน้าขึ้นมองสบตากับบุญ ทว่าสายตาของเขากลับมองเลยไปด้านหลังทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง เป็นพี่พลที่กำลังเดินเข้ามาทางที่พวกผมยืนอยู่ “ชิ้บหายละ” ผมสบถและรีบวางจานไว้บนโต๊ะก่อนจะคว้าแขนบุญให้เดินตาม บุญส่งเสียงเตือนบอกให้ผมเดินระวังแต่ดูเหมือนชั่วขณะนั้นหูของผมดับ และคิดออกเพียงอย่างเดียวว่ายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าพี่พลเลยสักนิด

ผมพาบุญขึ้นมาบนชั้นบนสุดของโรงแรม มันเป็นเล้าจน์ที่จองไว้สำหรับการดื่มต่อหลังจากงานด้านล่างเสร็จสิ้น ตอนนี้ในห้องทรงกลมจึงมีเพียงแค่บาเทนเดอร์ที่ยืนอยู่ตรงบาร์ ผมเดินหลบเข้ามานั่งอยู่ในส่วนที่ค่อนข้างลับตาส่วนบุญก็เดินตามมานั่งพร้อมกับแก้วช็อตและขวดวอดก้า

“อะ ดื่มซะหน่อย” เขาบอกแล้วเทวอดก้าลงในแก้วช็อตแบบเพียวๆไม่ผสมอะไรเลย

“มันแรงไปป่าววะ ไม่ผสมอะไรหน่อยเหรอ”

บุญยักคิ้วกวนอารมณ์ก่อนจะบอททอมอัพนำผมไปหนึ่งแก้ว “วิ่งหนีเหมือนเห็นผีเลยนะ”

ผมมองหน้าบุญนิ่งๆไม่ได้ตอบโต้อะไร ทั้งที่ในใจยังระส่ำระส่ายกับการเห็นพี่พลเมื่อครู่

“แล้วนี่จะลงไปเมื่อไหร่”

“ไม่ลงแล้ว ไม่อยากเจอพี่พล”

“นาย”

“อือ”

“ทำให้มันจบๆไปเถอะ”

สิ้นประโยคนั้นผมก็กระดกวอดก้าเพียวๆไปหนึ่งแก้ว จะว่าไปบุญก็พูดถูกผมควรทำเรื่องนี้ให้จบๆไปเสียที ผมยิ้มเจื่อนๆอีกครั้งแล้วหยิบวอดก้ามาเทใส่แก้ว เสียงเพลงแจ๊สที่เปิดคลอเบาๆนั้นทำให้ทัศนีย์ภาพของกรุงเทพยามค่ำคืนสวยขึ้นกว่าเดิม เรานั่งดื่มวอดก้าแล้วพูดคุยกับเรื่องคอนเสิร์ตของนักร้องคนหนึ่งที่กำลังจะมีทัวร์ วอดก้าทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อรวมถึงการได้อยู่กับบุญก็ทำให้ชีวิตของผมเหมือนได้พบอุโมงค์ที่มีแสงสว่างส่องถึงเสมอ ผมโชคดีแค่ไหนที่บุญอยู่ตรงนี้ ถึงบางอย่างเขาจะไม่เข้าใจว่าผมกำลังคิดหรือรู้สึกอะไรแต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยตัดสินผมจากสิ่งฉาบฉวยที่เห็นนี่เลย เขาอยู่เคียงข้างผมเสมอไม่ว่าจะตอนหัวเราะหรือร้องไห้ บุญยังอยู่ในที่ที่ผมมองเห็นเสมอ

ผมมองบุญที่กำลังวางแผนคร่าวๆว่าจะวางแผนกับการไปดูคอนเสิร์ตนักร้องคนนี้ที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไร แต่ดูเหมือนวอดก้าจะทำให้ผมเริ่มตึงๆฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง

“นาย เมาแล้วเหรอวะ” บุญพูดพลางเขยิบเข้ามามองผมใกล้ๆ

“นิดหน่อย อยากไปเที่ยวต่อแล้วเนี่ย กำลังได้ที่” ช่วงเวลานั้นเองที่ผมได้ยินเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ที่แสนคุ้นหู เป็นชาวแก๊งส์ที่กำลังเดินเข้ามายืนล้อมมองผมแล้วหัวเราะกันอย่างสนุกสนานก่อนจะแยกย้ายออกไปหาเครื่องดื่มที่บาร์

“บุญมอมเพื่อนเราเหรอวะ” เสียงของไอ้หนึ่งถามแล้วหัวเราะชอบใจ “ไอ้นายแม่งกากชิ้บหาย ยังไม่ถึงร้านแม่งอ้อแอ้แล้ว”

“เออน่า ข้างล่างเสร็จยัง อยากไปเที่ยวต่อแล้ว”

“แหม อินาย หนีงานข้างล่างขึ้นมาแล้วยังจะคิดแต่เที่ยว” คราวนี้เป็นเสียงของไอ้เฟริสท์ “ข้างล่างงานเสร็จแล้ว เดี๋ยวพวกรุ่นพี่จะขึ้นมาดื่มที่นี่ต่อพวกกูเลยมาตามมึงเนี่ย”

ผมผุดลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีเริงร่า แน่นอนนี่คือช่วงเวลาที่ผมรอคอยผมไม่สนใจงานบายเนียร์อะไรนั่นมากเท่ากับการได้ไปเที่ยวต่อหรอก “กูเอาบุญไปด้วยนะ”

“เออ ไปดิ” ไอ้เฟริสท์ตอบแล้วคว้าแก้วช็อทของผมดื่มก่อนจะเดินนำออกไปสะกิดชาวแก๊งส์ที่กระจายตัวอยู่ตรงบาร์เครื่องดื่ม “ไปเถอะพวกมึง ไปดื่มที่นู่นเลย”

เมื่อชาวแก๊งส์รวมตัวกันก็ค่อนข้างวุ่นวายอยู่สักหน่อยเพราะเจ้าพวกนี้เห็นเครื่องดื่มไม่ได้ มีอันต้องขอลองสักแก้วสองแก้ว ค่ำคืนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะร่วงก่อน เราเดินมายืนรอลิฟต์และพูดคุยเสียงดังกันตามปกติ บุญที่เคยตัวติดกับผมกับกลายไปคุยกับหนูนุ่นเรื่องซีรี่ส์ Westworld อย่างออกรสออกชาติ ไอ้เฟริสท์กับไอ้หนึ่งเถียงกันเรื่องว่าจะไปเที่ยวต่อที่ร้านไหน ไอ้บอมถ่ายรูปให้ผมที่โพสท่าอยู่กับลิฟต์แบบเท่ๆ แต่แล้วอยู่ๆประตูลิฟต์ก็เปิดออกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมเสียหลักถอยเข้าไปในลิฟต์ ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ผมไม่ได้ล้มลงไปจ้ำเบ้ากับพื้นเพราะมีคนรับตัวผมไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

“ขอโทษครับ พอดีผมไม่ทันระวัง” ผมหันไปบอกกับอีกฝ่ายที่รับตัวผมไว้ไม่ให้ล้มลง แต่พอเห็นหน้าของเขาเท่านั้นแหละทุกอย่างก็ดูเหมือนจะหูดับและอื้ออึงไปหมด

“อ้าว พี่พลขึ้นมาดื่มเหรอพี่” ไอ้บอมเอ่ยเสียงร่าเริงขณะที่ผมรีบกุลีกุจอเด้งตัวออกมาให้ห่างจากพี่พล

กลิ่นน้ำหอมของเขาติดอยู่ที่ปลายจมูกของผมอย่างไร้สาเหตุ

“กูจะมาหาพวกมึงนี่แหละ จะออกไปไหนกันต่อล่ะ กูไปด้วย”

“เออไปดิพี่ เข้าลิฟต์เลยๆ” ไอ้บอมกล่าวแล้วเอาตัวขวางประตูลิฟต์ไว้ให้ชาวแก๊งส์คนอื่นเดินเข้าไปก่อน ผมถูกดันให้เข้าไปยืนอยู่ด้านหลังสุดเนื่องจากตัวคาอยู่หน้าประตู ตามต่อด้วยคนอื่นๆและในที่สุดลิฟต์ก็ปิดประตูลง ช่วงเวลาที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนที่ลงอยู่นั้นผมรู้สึกได้ถึงสายตาของพี่พลที่ลอบมองมาจากด้านหน้า อันที่จริงเขามองมาที่ผมแบบโจ่งแจ้งเพราะยืนประชันหน้ากัน ผมมองเขากลับก่อนจะเมินหน้าหนีไปอีกทางเมื่อพี่พลส่งยิ้มน้อยๆให้ หัวใจของผมเต้นถี่แรงจนผมสามารถรับรู้ได้อีกครั้งอย่างแน่ชัดว่าผมยังชอบพี่พลอยู่มากแค่ไหน

สุดท้ายแล้วเพราะบารมีของพี่พลทำให้เราได้โต๊ะในร้านเดโม่ โต๊ะที่เราได้อาจจะอยู่ในจุดพลุกพล่านอยู่สักหน่อยแต่การได้โต๊ะในเวลาห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืนนี่ก็นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ในคืนวันเสาร์แล้วล่ะ ขณะที่ชาวแก๊งส์กำลังชุลมุนสั่งเครื่องดื่มกันนั้นผมรู้สึกได้ถึงสายตาของพี่พลที่มองมา ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเพราะอะไรผมถึงละสายตาไปจากพี่พลไม่ได้ และอาจจะเพราะแสงเลเซอร์ที่เปิดวิบวับอยู่ในร้านทำให้ผมตาพร่ามัว เสียงของผู้คนอื้ออึงจนฟังไม่รู้เรื่อง บ้าชะมัด

“นายจะเอาอะไรเพิ่มมั้ย”

เสียงนั่นทะลุเข้าหูซ้ายผ่านออกหูขวาไป ผมได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง

“นาย”

เสียงนั่นเรียกผมอีกครั้งพร้อมกับสัมผัสที่แขน ดึงรั้งให้ผมหลุดจากภวังค์ ผมหันไปมองเจ้าของเสียง เป็นบุญที่กำลังอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง

“สั่งแบล็คกับวอดก้าไปแล้ว จะเอาอะไรเพิ่มมั้ย” บุญถามย้ำอีกครั้ง

“เอาแจ็คโค้กขวดนึงแล้วกัน” ผมตอบอยู่ที่ข้างหูของบุญก่อนจะหันไปมองพี่พลอีกครั้ง และพบว่าเขาก็ยังมองผมอยู่เช่นเดิม

“บุญ ออกไปดูดบุหรี่กัน” เสียงของไอ้หนึ่งกระชากสติของผมให้ตัดขาดจากพี่พล บุญเออออไปตามคำชวนชนิดที่ทำให้ผมร้อนรน ชาวแก๊งส์เดินตามกันออกไปเป็นขบวนรถไฟ แล้วผมจะอยู่นิ่งทำไมล่ะในเมื่อผมไม่อยากอยู่กับพี่พลสองคน แต่ทันทีที่ขยับตัวก็ดูเหมือนทุกอย่างจะช้าไปหมด การที่ผมจะทิ้งพี่พลให้ยืนเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียวก็ดูจะเป็นเรื่องไร้มารยาทไปสักหน่อย และดูจากสายตาของไอ้หนึ่งที่มองมาผมรู้ทันทีว่าพวกมันตั้งใจให้เป็นแบบนี้

เครื่องดื่มที่สั่งไปมาเสิร์ฟแล้ว ผมเลือกดื่มแจ็คโค้กจากขวดแบบง่ายๆส่วนพี่พลเล่นแบล็คแบบเพียวๆ ผมคิดว่าคืนนี้ต้องมีคนอ้วกแน่ๆ เราต่างคนต่างเงียบบรรยากาศค่อนข้างประดักประเดิด ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไร เปิดเข้าแอปทวิตเตอร์ไถหน้าไทม์ไลน์ไปมาอยู่สักพักจนไม่มีอะไรให้อ่าน แจ็คโค้กหมดขวดไปอย่างรวดเร็วผสมกับก่อนหน้านี้ที่ดื่มวอดก้าตอนนี้ผมเริ่มตึงๆมึนหัวแล้วเหมือนกัน เสียงเพลงสากลแผ่วความเมามันลงเล็กน้อยเปลี่ยนเป็นจังหวะที่พอโยกไหวแบบสวยๆหล่อๆ พี่พลเองก็ดื่มหนักเขาล่อแบล็คแบบเพียวๆไปหลายแก้ว ผมคิดว่านี่มันใกล้จะถึงจุดที่ความประดักประเดิดมากขึ้นจนตีตื้นมารยาทแล้ว ผมอยากออกไปจากตรงนี้หรือบางทีอาจจะอยากกลับบ้านเลยด้วยซ้ำ

ผมเทวอดก้าใส่แก้วช็อทก่อนจะบอททอมอัพ ขณะนั้นเองที่พี่พลขยับตัวเข้ามาใกล้… ใกล้มากเกินไปจนผมต้องหลบสายตา

“จะคุยกับพี่ได้หรือยัง” เขาเอ่ยถามอยู่ข้างหูเพราะเสียงเพลงมันดังมาก แต่รู้อะไรมั้ยเพราะความใกล้แบบไม่ได้ตั้งใจนี้ทำให้ใจของผมมันเต้นแรงจนแทบจะบ้า

“ไม่รู้จะคุยอะไร” ผมตอบเลี่ยงๆ อยากจะขยับตัวออกห่างแต่โต๊ะข้างๆก็เต้นกันแรงจนทำให้ต้องยืนอยู่จุดเดิมและปล่อยให้พี่พลเบียดเข้าหาเรื่อยๆ

“ปิดเทอมเป็นไงมั่ง” พี่พลถามเสียงนุ่มๆตามแบบคนที่ดื่มเหล้าไปได้สักพัก

“ก็ไม่มีไร อยู่บ้าน นอน” ผมโกหกเพราะไม่อยากสนทนาด้วยไปมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนอาจจะเพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่มที่ทำให้สติลดทอนลง ไหล่ของพี่พลเบียดกับไหล่ของผม แขนของเขาแน่นตึงเพราะออกกำลังกาย ผมใจเต้นแรงคราวนี้ไม่ใช่เพราะประหม่าแต่เพราะผมนึกถึงคืนวันวานที่ผมกับเขามีอะไรกัน ให้มันได้อย่างนี้สิ เวลานี้ อารมณ์นี้ เมาระดับนี้ ผมบอกเลยว่าของขึ้นง่ายมาก

“เหรอ” พี่พลทวนถามด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อ

“ทำไม ได้ยินอะไรมา” ผมย้อนถาม

“ก็ถามเพื่อนเรา มันบอกว่าเราแทบจะไม่อยู่บ้านเลย”

เท่านั้นแหละผมรู้เลยว่าพี่พลคุยกับใคร ตลอดเวลาปิดเทอมผมสิงร่างอยู่กับบุญแทบจะไม่ได้ติดต่อใครอื่นเลยมีเพียงแค่ไอ้หนึ่งเท่านั้นแหละที่อยู่ๆก็โทรมาถามว่าผมอยู่ไหนจะชวนออกไปสังสรรค์กับชาวแก๊งส์ แต่ตอนนั้นผมอยู่กับบุญที่ทะเลใต้เลยเป็นอันจบไป “แล้วถามทำไมทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว”

“ก็อยากคุยด้วย” พี่พลตอบแล้วยิ้มมุมปากก่อนจะกระดกแบล็คเพียวที่เหลือก้นแก้วจนหมด “นาย…” เขาเรียกชื่อผมแล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้ “ไปค้างที่บ้านพี่มั้ย”

ผมรู้ว่าพี่พลหมายถึงอะไรและเชื่อสิถ้าผมเมามากกว่านี้ผมอาจจะตอบตกลง แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เมาขนาดนั้น “นายนัดบุญไว้แล้ว”

“ไม่เบื่อมั่งเหรอ”

“เบื่ออะไร”

“ที่อยู่แต่กับบุญ”

ผมเลิกคิ้วสูงด้วยความฉงน มันมีด้วยเหรอไอ้การเบื่อที่จะอยู่กับเพื่อน สำหรับผมการอยู่กับบุญนี่แหละคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความน่าเบื่อ ผมหยิบแก้วมายกดื่ม ทำหน้ามึนไม่ตอบคำถาม “นายเอาแผ่นไวนิลมาคืนให้นะ อยู่ที่รถ”

“เรารู้จักกับบุญมานานแล้วเหรอ”

อยู่ๆพี่พลก็ถามในสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะถาม มันเป็นเรื่องของผมที่ไม่อยากเล่าให้พี่พลฟังสักเท่าไหร่ “ถามทำไมอะ”

“อยากรู้”

ผมคิดว่าเวลานี้แก้วช็อทมันไม่สามารถตอบสนองการดื่มของผมได้อีกต่อไปผมจึงยกขวดวอดก้ามายกดื่มจากขวดแทน ผมคิดว่าพี่พลจะห้ามผมนะแต่ไม่เลย เขาหยิบขวดวอดก้าไปดื่มต่อ “นายจะออกไปดูดบุหรี่ เดี๋ยวมา” ผมบอกเขาและไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำอนุญาตด้วยหรอกนะ แต่พี่พลกลับดึงแขนผมไว้

“นายจะหนีหน้าพี่ทำไมวะ” พี่พลถามด้วยน้ำเสียงต่างไปจากเดิม เขาดูหงุดหงิดขึ้น ผมเบี่ยงตัวออกทำให้เขายอมปล่อยแขนและท่าทีแข็งกร้าวนั้นดูอ่อนลง จังหวะนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากด้านหลัง เป็นชาวแก๊งส์ที่เดินเข้ามาเป็นขบวนรถไฟและดูจากท่าทางที่เห็นผมว่ามันต้องไปทำอะไรสักอย่างกันมาแน่ๆ บุญส่งเสียงดังขณะที่เดินเข้ามากอดคอผม ตาของบุญดูเยิ้มๆและหัวเราะอารมณ์ดีอย่างไรสาเหตุ ผมว่าผมรู้แล้วแหละว่าไอ้ชาวแก๊งส์พาบุญไปทำอะไรมา นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับชาวแก๊งส์แต่มันก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนักกับการสูบใบหญ้าใบไม้อะไรทำนองนี้ ที่ผมค่อนข้างแปลกใจก็คือผมไม่รู้ว่ามาก่อนเลยว่า ว่าที่คุณหมอในอนาคตอย่างบุญจะร่วมวงไปกับไอ้เจ้าพวกชาวแก๊งส์ไปได้ขนาดนี้

“โอ้โห พวกมึงทำอะไรกับบุญกันเนี่ย”

ผมตะโกนถามแข่งกับเสียงเพลงเพื่อให้พวกมันได้ยิน สิ่งที่ได้รับกลับมาแม่งหัวเราะใส่ผมกันหน้าตาเฉยด้วยท่าทางมีความสุขกันมากกว่าปกติ โอเค ผมไม่ต้องการคำตอบก็ได้ พอชาวแก๊งส์กลับเข้ามาพวกมันก็เริ่มดื่มกันทันที และผมก็คิดว่าพวกมันดูจะคึกคะนองเริ่มดื่มกันแบบมั่วซั่วไปหมดแล้ว ไอ้บอมทำตัวเสี่ยมากด้วยการเปิดเหล้ารัมโชว์เมื่อหญิงที่มันคุยอยู่ด้วยมาหาที่ร้าน เพลงที่เคยให้จังหวะเพียงแค่โยกไหวเริ่มมีจังหวะเร็วขึ้น ชาวแก๊งส์วันนี้ดื่มกันหนักและแด๊นส์กันมากกว่าปกติ ไม่รู้ว่าเพราะช่วงปิดเทอมห่างหายจากการรวมกลุ่มกันไปนานหรือยังไงถึงได้ระห่ำกันขนาดนี้ ผมเองช่วงปิดเทอมก็ไม่ได้เที่ยวกลางคืนวันนี้ก็เลยรู้สึกเหมือนกันว่าดื่มหนักนิดหน่อย แต่บุญเนี่ยสิค่อนข้างทำให้ผมประหลาดใจ ไม่ใช่ว่าบุญไม่เที่ยวกลางคืนนะแต่เพราะปกติบุญจะไม่ดื่มหรือสูบใบไม้ใบหญ้าจนดูแฮปปี้เว่อขนาดนี้ นี่ยังไม่รวมถึงลักษณะอาการรุ่มร่ามเกาะเนื้อเกาะตัวผมแบบนี้ด้วยนะ วันนี้บุญจึงดูแปลกมากที่สุดเท่าที่รู้จักกันมา

“บุญดื่มเยอะไปแล้ว” ผมหันไปพูดข้างหูบุญ “เราว่าเพลาๆลงหน่อยก็ดี”

“รู้แล้วๆ” บุญตอบแล้วเอื้อมมือไปคว้าขวดแจ็คโค้กมาดื่มอีกอึกใหญ่ ผมคิดว่าที่ผมพูดไปเมื่อครู่นี้คงไม่ได้เข้าหูบุญหรอก แต่ช่างเถอะห้ามตอนนี้ก็คงยาก “นาย เต้นดิ”

“จะเต้นยังไงวะ บุญเกาะเราอยู่อย่างเงี้ย” ผมหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นบุญทำสีหน้าเหมือนเพิ่งนึกออก แต่แทนที่จะคลายมือบุญกลับรั้งร่างผมเข้าไปกอดแนบชิดมากกว่าเดิม ผมคิดว่านี่มันแปลกมากจริงๆแล้วล่ะ

“เต้นเลย เต้นกับเรา”

ใบหน้าของบุญเกยอยู่บนไหล่ของผม พร้อมกับมือของบุญที่เริ่มเลื้อยไปตามตัว เอาล่ะ นี่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยเจอมา บุญไม่เคยมีท่าทีแบบนี้กับผมเลย แต่ผมคิดว่าบุญอาจจะแค่เมามากก็เลยปล่อยไว้แบบนั้น หันมาสนใจมองพวกชาวแก๊งส์เต้นบ้าๆบอๆแล้วก็อดขำพรืดออกมาไม่ได้ ทั้งๆที่ใส่ชุดสวยๆกันมาแต่ดูจากท่าเต้นแล้วไม่เหลือคราบความสวยความหล่อเลย ผมเหลือบมองพี่พลที่เมามันอยู่กับไอ้หนึ่งในเพลง Act a Fool ที่เป็นเวอชั่นต้นฉบับ มันเป็นเพลงเก่านะแต่โคตรมัน เหมือนจังหวะของเพลงไปเสียดแทงต่อม SWAG ในตัวยังไงบอกไม่ถูก แต่ขณะที่ทุกคนสนุกสนานไปกับเพลงผมก็รู้สึกได้ถึงแรงกอดจากบุญที่แน่นมากขึ้น บุญกำลังนัวเนียผมอย่างหนัก ผมตกใจที่อยู่ๆก็ถูกทำแบบนี้ก็เลยเบี่ยงตัวออกหันไปมองหน้าบุญตรงๆ

“เมามากแล้วบุญ” ผมเอ่ยเพื่อเตือนสติ

บุญไม่ตอบ เอาแต่มองหน้าผม วันนี้บุญแปลกไปจริงๆ

“บุญ ออกไปล้วงคออ้วกหน่อยมั้ย” ผมถามเผื่อว่าพอเอาสิ่งที่ดื่มเข้าไปออกมาเสียบ้างบุญจะได้สร่างเมา “หรือว่าจะกลับบ้าน”

เช่นเคยบุญไม่ตอบ

ผมกำลังอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ แต่เมื่อสิ้นเสียงเพลงไอ้พวกชาวแก๊งส์ก็แห่กันเข้ามาหยิบแก้วเหล้าของตัวเองดื่ม เพลงใหม่ที่เปิดเป็นจังหวะที่พอทำให้เราได้พักยกจากการเต้นและมีเวลาได้ดื่มได้หายใจ




ในช่วงนั้นเองสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้นเมื่อบุญจูบผมต่อหน้าชาวแก๊งส์และพี่พล



************************************



หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 13-10-2018 20:30:35
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-10-2018 14:28:38
 :L2: :pig4:

รออ่านตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 14-10-2018 15:17:19
ลุ้นมากจริงๆ กับเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 14-10-2018 18:30:02
คบบุญเถอะ ... นี่ดูการกระทำแล้วโอเคกว่าเยอะเลย
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 14-10-2018 19:15:02
แล้วใครจะคู่ใครหละทีนี้
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 15-10-2018 11:02:03
ขัดใจทุกคนนน
แต่พี่พลแย่นะ ชอบแบบพี่น้องแต่ให้ความหวัง
นี่เป็นนายก็ต้องคิดไกลิ่ะ
กั๊กนายเกินไปมั้ง
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-10-2018 18:14:33
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: - Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 16-10-2018 11:20:55
ตอนที่สิบเอ็ด ตอนจบ



รถสปอตคันหรูที่พี่พลเอามาขับนั้นยังทำให้ผมหมั่นไส้เหมือนครั้งแรกที่ได้เห็น ถึงแม้จะเป็นรถของพี่ชายของเขาก็ตามทีเถอะ ผมยืนพิงรถสูบบุหรี่รอเวลาไอ้ชาวแก๊งส์เข้าห้องน้ำ ส่วนบุญก็อยู่ในห้องน้ำเช่นกัน เป็นพี่พลที่พาบุญไปล้วงคออ้วกในห้องน้ำและเป็นธุระดูแลเพื่อนของผมให้

ผมไม่ได้โกรธบุญหรอกนะเพราะบุญเมามากและคึกคะนองเหมือนวัยรุ่นหัดเที่ยวแต่คนที่ออกอาการหงุดหงิดดูเหมือนจะเป็นพี่พลเสียมากกว่า เขาไม่ได้แสดงออกมากขนาดนั้นแต่จากคำพูดและสีหน้าเขาไม่พอใจที่บุญเมาเลื้อนขนาดนี้ ส่วนชาวแก๊งส์ผมรู้ว่าพวกมันไม่ได้คิดมากอะไร แต่กลับสนุกสนานที่ได้เห็นบุญเมาอีกต่างหาก หลังจากที่บุญจูบผมเข้าไปเต็มๆท่ามกลางสายตาของคนหลายคน พี่พลเดินเข้ามาดึงตัวบุญออกห่างช่วงเวลานั้นมันให้อารมณ์เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะ พี่พลจ้องตาบุญด้วยสีหน้าขึงขังอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บรรยากาศพาตึงเครียดและเป็นผมที่ขยับเข้าไปจับแขนบุญไว้หวังจะพาบุญออกมาไปข้างนอก

“เดี๋ยวพาบุญไปข้างนอกก่อน” ผมเอ่ยกับพวกชาวแก๊งส์

“ไม่ต้องเดี๋ยวพี่พาไปเอง” พี่พลบอกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวแล้วดึงแขนของบุญลากออกไปนอกร้าน

ชาวแก๊งส์กับผมสบตากันด้วยสีหน้าเหวอ เครื่องดื่มก็ยังไม่หมด อารมณ์แด๊นส์ก็ยังค้างคา

“เฮ้ย กลับเลยแล้วกัน บุญท่าจะเมามากละ” ไอ้บอมตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงเพลงบอกพวกเรา ชาวแก๊งส์ต่างหยิบขวดเครื่องดื่มต่างๆทยอยเดินออกจากร้าน พอออกมาก็พบว่าบุญกำลังอ้วกอยู่ที่พุ่มไม้โดยมีพี่พลยืนอยู่ด้านข้าง ผมรีบเดินเข้าไปสมทบเพื่อดูแลเพื่อนแต่พอเจอสายตาของพี่พลที่มองมาทำให้ชะงักไปนิดหน่อย

“ไปรอที่รถ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

“ไม่เป็นไร นายดูแลเพื่อนได้” ผมบอกพลางก้าวเข้าไปแต่พี่พลกลับยืดตัวเต็มความสูงและก้าวมาขวางไว้

“เดี๋ยวก็เลอะอ้วกเพื่อนหรอก” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของพี่พลดูอ่อนลง “พี่จะพาเพื่อนของนายไปล้างหน้าหน่อย ไปรอที่รถนะ” สิ้นคำพี่พลก็ดึงแขนบุญแล้วลากเดินไปยังห้องน้ำ ประกอบกับที่ช่วงนั้นไอ้บอมก็ตะโกนมาบอกผมเช่นกันว่าจะไปเข้าห้องน้ำผมจึงเดินไปยืนรอพี่พลที่รถของเขา

ผมยืนรอพวกเขาอยู่นานจนบุหรี่มอดไปเกือบครึ่งสุดท้ายชาวแก๊งส์ก็เดินกลับมาพร้อมกับพี่พลและบุญที่อยู่ในสภาพดีขึ้น พอบุญมายืนใกล้ๆก็เห็นรอยน้ำหยดอยู่ตามเสื้อและใบหน้าที่เปียกน้ำ อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มให้กับสภาพเละเทะของบุญในตอนนี้

“เละๆ” บุญพึมพำขณะที่ปาดน้ำออกจากใบหน้า

ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรพี่พลก็เดินเข้ามาปลดล็อคประตูรถฝั่งที่ผมยืนอยู่ “นายขึ้นรถ เดี๋ยวไปบ้านไอ้บอมเหมือนเดิม”

ผมหน้าเหวอ ในใจนึกอยู่ว่านี่ยังจะไปดื่มกันต่อที่บ้านไอ้บอมอีกเหรอ แต่จะว่าไปมันก็ไม่แปลกหรอกที่จะดื่มต่อ “บุญไปไหวมั้ย” ผมถามเพราะอยากให้บุญไปด้วยแต่ดูสภาพเพื่อนแล้วท่าทางล่อแล่จนน่าหนักใจ แต่พอถามไปแค่นั้นพี่พลก็เดินเข้ามาขวาง ใช่ ผมใช้คำว่าขวาง เขายืนขวางระหว่างผมกับบุญทำให้หน้าผมแทบจะทิ่มหลังของเขา

“เดี๋ยวเรียกแท็กซี่ให้” พี่พลบอกเสียงห้วน พวกเขายืนจ้องหน้ากันครู่หนึ่งก่อนที่บุญจะเหลือบมองมาที่ผม “บ้านไอ้บอมคงไม่สะดวกเท่าไหร่ ห้องนอนไม่พอ” พี่พลกล่าวอีกครั้ง

“ผมนอนเบียดกับนายก็ได้ ไม่ก็นอนพื้นเอา” บุญตอบเสียงแข็งเช่นกัน

ผมคิดว่าสถานการณ์มันดูตึงเครียดยังไงชอบกล

“จะเอาไงวะ”

เดี๋ยวนะ นั่นเสียงของพี่พลเหรอ ทำไมดูเหมือนจะหาเรื่องกันเลยวะเนี่ย

“จะเอาไงก็เรื่องของผมป่าววะ”

เดี๋ยวอีกรอบ นั่นเสียงของบุญคนที่ใจเย็นคนนั้นแน่เหรอ

และยังไม่ทันที่จะเขาสองคนจะได้ปะทะฝีปากกันไปมากกว่านี้ ไอ้บอมกับไอ้หนึ่งก็เข้ามาแยกสองคนออกจากกันเสียก่อน ส่วนผมยังได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก

“ใจเย็นทุกคน เอาเป็นว่าคืนนี้แยกย้ายกลับบ้านตัวเองก่อนแล้วกันนะ” ไอ้หนึ่งกล่าวด้วยท่าทีใจเย็น “บุญเดี๋ยวเราพาไปขึ้น…”

ยังไม่ทันที่ไอ้หนึ่งจะกล่าวจบประโยคบุญก็หันเดินหนีไปด้วยท่าทีฉุนเฉียว ผมได้สติจึงรีบตามบุญไปท่ามกลางเสียงเรียกเรียกจากไอ้หนึ่งจึงตะโกนบอกมันว่าจะกลับบ้านกับบุญ

“บุญ รอด้วยดิ” ผมพูดขณะที่ก้าวเท้ายาวๆเร็วๆเพื่อให้ทันกับบุญ เขาหันกลับมาแล้วชะลอฝีเท้าลง

เรายืนรอรถแท็กซี่กันอยู่ครู่หนึ่งในความเงียบงัน ผมไม่ได้อึดอัดอะไรหรอกนะแต่ก็ไม่เคยเห็นบุญเงียบขนาดนี้มาก่อน “เป็นไร” ผมถามและมองหน้าบุญเพื่อรอฟังคำตอบ

บุญถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โทษทีนะเราทำงานกร่อยเลย” เขาไม่ตอบคำถามและผมก็ไม่ต้องการซักไซ้ไล่เลียงต่ออีก

“เออ ไม่ต้องคิดมากพวกนั้นไม่คิดอะไรอยู่แล้ว” ผมเอ่ย พอหันกลับไปอีกทีก็เห็นพี่พลเดินเข้ามา ในหัวตอนนั้นคิดได้แต่ ชิ้บหายแล้ว ชิ้บหายแล้วโว้ย

“นายจะกลับแล้วเหรอ”

ผมพยักหน้ารับ ท่าทีชัดเจนว่าจะไปกลับบ้านกับบุญ

“ขอคุยด้วยก่อนได้มั้ย” น้ำเสียงที่ใช้ถามฟังดูนุ่มนวลเหมือนที่เคยได้ยิน

ผมมองไปที่บุญเพื่อสังเกตอาการ เขาไม่ได้เอ่ยห้ามหรือพูดอะไรเพียงแต่มองก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น

“บุญรอเราก่อนนะ”

“... อืม เรารอได้”





พี่พลพาผมออกมาห่างจากบริเวณนั้น เขาจ้องมองผมไม่วางตา ส่วนผมก็แทบจะไม่สบตากับเขาเลย

“นาย เราจะกลับมาคุยกันดีๆไม่ได้เลยเหรอ”

เขาเปิดฉากบทสนทนา ความนิ่งงันครอบครองบรรยากาศระหว่างเรา ผมไม่ตอบเพราะคิดว่าความเงียบน่าจะแทนคำพูดของตัวเองได้ พอแล้วล่ะกับการทำให้ตัวเองจมดิ่งกับเรื่องของพี่พล ผมเจ็บนิดหน่อยที่ไม่ได้รักกับพี่พลในฐานะคนรักแต่มันก็ไม่ยากเกินกว่าจะดึงตัวเองออกมา ระหว่างผมกับเขา เรื่องราวระหว่างเรามันไม่ได้ลึกซึ้ง มันเป็นเหมือนช่วงจังหวะชีวิตของผมที่ได้พบกับคนในแบบที่ตัวเองชื่นชอบ ซึ่งเมื่อลองคิดให้ถี่ถ้วนผมไม่ได้รักเขา มันยังไปไม่ถึงจุดนั้นถึงแม้ว่าไอ้อาการปั่นป่วนในท้องหรือใจเต้นแรงจะยังเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อได้สบตากับพี่พลก็ตามที

ผมเหลือบมองไปทางที่บุญรออยู่ เขานั่งลงบนฟุตบาทไม่เหลือคราบของเด็กเนิร์ดเรียนหมอเลย บุญกำลังรอผมอยู่และผมอยากให้เรื่องพี่พลจบลงเสียที ผมสารภาพว่าทนไม่ได้อีกต่อไปกับความไม่ชัดเจนของพี่พล มันทำให้ผมรู้สึกไร้คุณค่าเพราะถูกปั่นหัวอยู่แบบนี้

“พี่แค่อยากให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม”

ผมคิดว่าตัวเองอ่อนไหวกับคำพูดของพี่พล เขากำลังใช้ความอ่อนโยนในแบบที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเล่นงานหัวใจของผมให้ป่นปี้ คำพูดของเขาวนไปวนมาอยู่ที่อยากให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมไม่เข้าใจความหมายนั้นสักเท่าไหร่ เขาต้องการให้ผมขึ้นเตียงกับเขา เขาต้องการให้ผมกลับไปคุยกันอย่างสนิทใจ แบบนั้นเหรอ ผมทำให้ไม่ได้หรอกเพราะผมอยากเดินหน้า ไม่ใช่หยุดอยู่ที่ความไม่ชัดเจนของคนใดคนหนึ่ง

“นายกลับก่อนนะพี่พล เพื่อนนายไม่ไหวแล้ว” ผมอ้างถึงบุญ แต่คนที่ไม่ไหวอาจเป็นผมเสียมากกว่า “ของฝากไว้ที่ไอ้หนึ่งแล้วนะ”

“เราอยากได้ไม่ใช่เหรอ เก็บไว้เถอะ พี่ให้”

“นายไม่อยากได้แล้ว ขอบคุณนะครับ” ผมบอกก่อนจะเดินก้าวออกไปหาบุญอย่างไม่ลังเล ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้วระหว่างผมกับพี่พล ที่ผ่านมาผมจะถือว่ามันเป็นเรื่องราวดีๆที่ครั้งหนึ่งผมเคยชอบคนแบบพี่พล เขาอ่อนโยน เขาเอาใจใส่คนอื่นและเสียสละ เขาเป็นผู้ชายในแบบที่ผมชอบ แม้ว่าผมจะไม่สมหวังแต่การได้ชอบพี่พลกลับทำให้ผมโตขึ้นอีกก้าว ความรู้สึกของผมที่มีต่อเขารุนแรงเฉียบพลัน ผมยังเป็นผม เป็นนายที่ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองแต่จะไม่ผลีผลาม จะใจเย็นลง และรักตัวเองมากขึ้น

เขาเข้ามาในชีวิต เราต่างหยิบยื่นไมตรีที่ดีให้กันเพียงแต่ผมมอบบางอย่างให้เขามากเกินไป มันไม่ได้รับการสนองตอบแต่ผมรักตัวเองมากกว่านั้น ผมไม่ได้ต้องการทวงความรู้สึกของตัวเองกลับคืนมาเพียงแต่ผมไม่อยากได้ความรู้สึกใดๆจากพี่พลอีกแล้ว พี่พลเป็นแผ่นไวนิลที่หมุนวนไปตามเครื่องเล่น ผมคือเครื่องเล่นที่คอยขับเคลื่อน แต่ตอนนี้เครื่องเล่นแผ่นเสียงมันคงจะเหนื่อยและท้ายที่สุดมันก็ถึงเวลาที่ต้องหยุดเล่นได้แล้ว



รถแท็กซี่เลี้ยวไปจอดในบ้านของบุญ ผมจ่ายเงินและเราก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน ความเงียบสงัดในช่วงเวลาตีสองทำให้เสียงฝีเท้าของเราดังเป็นพิเศษ รวมถึงเสียงเปิดปิดประตูและแม้แต่การถอดรองเท้าก็ด้วย ตลอดทางจากย่านเอกมัยจนมาถึงบ้านของบุญเราไม่ได้คุยอะไรกันมากนักเพราะบุญยังดูมึนเมา ส่วนผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์เจื้อยแจ้วสักเท่าไหร่ พอมาถึงบ้านเราก็ตรงดิ่งไปที่ห้องนอนของบุญทันที พอได้อาบน้ำก็รู้สึกสดชื่นขึ้นผมคลานขึ้นมาบนเตียงฝั่งที่เคยนอนประจำ จัดหมอนให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่น ไอ้พวกชาวแก๊งส์ถามไถ่กันตามประสาว่าถึงบ้านกันแล้วหรือยัง พร้อมกับส่งรูปที่ถ่ายกันไว้อย่างสนุกสนาน ไอ้บอมส่งรูปที่ตัดมาเฉพาะหน้าเหวอๆของไอ้นุ่นและโพสประจาน ไหนจะไอ้เฟริสท์ที่ลงวิดิโอตอนไอ้หนึ่งเต้นท่าอุบาด บรรยากาศระหว่างที่คุยกับเพื่อนสามารถทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้น เพียงแต่เมื่อเห็นหน้าพี่พลที่อยู่ในวิดิโอความสนุกสนานก็ลดลงอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ทันที มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกบางอย่างขึ้นมาบ้าง แต่แล้วรูปของบุญที่กำลังกระดกเบียร์ขณะที่นั่งยองอยู่ตรงไหนสักแห่งที่หน้าร้านเหล้าก็ทำให้ผมขำขันขึ้นมาและเลิกสนใจพี่พล ไอ้นุ่นเป็นคนลงรูปนี้ในอัลบั้มและบอกว่าฝากส่งให้บุญด้วย ในหัวตอนนั้นกำลังนึกอยากใช้รูปน่าเกลียดในอิริยาบถต่างๆของบุญสำหรับวันสำคัญทางศาสนาหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ต่างๆอยู่ไม่น้อย

บุญกลับมาที่เตียงแล้ว แรงยวบยาบทำให้ผมหันไปมองเขาเต็มตา “หายเมายัง” ผมถามทั้งๆที่กำลังกลั้นยิ้มอยู่ นึกถึงสภาพบุญอ้วกทีไรก็อดไม่ได้ที่จะขำ

“หายแล้ว” บุญตอบพลางทิ้งตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า “เราไม่น่าไปสูบเนื้อของบอมเลยว่ะ เละเทะเลยอะ”

“นานๆทีไม่เป็นไรหรอก แต่เราก็ไม่อยากให้บุญทำแบบนั้นนะ”

“อืม มันไม่ดีจริงๆนั่นแหละ”

“ก็ไม่เชิงว่าไม่ดี แต่รอบนี้บุญเมามากเกิน...” ผมละสายตาออกจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือและมองใบหน้าด้านข้างของบุญที่ถูกแสงจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือส่องหน้าอยู่ กำลังจะบอกว่าเป็นห่วงไม่อยากให้บุญไปยุ่งเกี่ยวกับของแบบนั้นอีกแต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะคำถามที่อยู่ๆก็ถูกแทรกขึ้นมาอย่างน่าตกใจ

“คุยกับพี่เขาว่ายังไงบ้าง” บุญจ้องผม ท่าทางของเขาที่รอคำตอบเริ่มทำให้ผมกระวนกระวาย

“เขาแค่อยากให้เราเก็บแผ่นไวนิลไว้แต่เราไม่อยากได้เลยคืนเขาไป”

เสียงที่ผมตอบนั้นราบเรียบ พยายามอย่างที่สุดแล้วในการจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา ถ้าจะให้ว่ากันตามตรงผมยังไม่อยากถูกซักไซ้นักหรอก แต่บุญคงรู้ว่าสิ่งที่ผมพูดมันหมายถึงอะไร สายตาที่มองมาจะว่าคาดคั้นรอคำอธิบายก็ไม่ใช่ มันดูเหมือนร้องขออะไรบางอย่าง เหมือนกำลังรอคอยเผื่อบางทีผมจะเปลี่ยนใจอยากพูดและเขาก็จะรับฟัง บรรยากาศเงียบกริบจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกา บุญมองผมนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนดึงโทรศัพท์มือถือในมือของผมวางไว้บนเตียง มือของเขารั้งร่างของผมเข้าหา อ้อมแขนของเขากำลังโอบกอดตัวผมไว้ ลาดไหล่ของเขาเป็นที่พักพิงในตอนที่ผมรู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อขึ้นมา ผมยังมีบุญอยู่ตรงนี้ ในตอนที่ผมกำลังอ่อนไหวที่สุดในช่วงชีวิตที่ผ่านมา



ช่วงเวลาหลังจากงานบายเนียร์ผมไม่ได้คุยกับพี่พลอีกเลย มันคงเป็นการกู๊ดบายซีเนียร์อย่างแท้จริง ผมใช้ชีวิตของผม ออกไปเที่ยว ออกไปดูหนัง ออกไปทำสิ่งที่อยากทำ เผลอแป้บเดียวก็ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องทำงาน ผมนัดบุญไว้ที่ห้าง เราเดินวนดูเสื้อผ้าอยู่หลายร้านจนรู้สึกเมื่อยขาจึงแวะเติมพลังกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ระหว่างรออาหารบุญก็พูดเรื่องไปเที่ยวอิหร่านกับผมอีก ดูเหมือนบุญจะไปหาข้อมูลในการขอวีซ่ามาเพิ่ม เท่านั้นไม่พอบุญยังวางแผนไปเที่ยวหลังจากไปอิหร่านต่ออีกเล่นเอาผมมึนงงไปชั่วขณะ ทริปอิหร่านที่เคยอยากไปตั้งแต่เมื่อปีมะโว้ถูกพับโปรเจคไปเสียก่อนเนื่องจากผมยังไม่พร้อมในหลายด้าน ผมต้องฝึกงานทำให้กระดิกตัวไปไหนไม่ได้ จากนั้นก็ต้องสอบ โปรเจคต่างๆถาโถมเข้ามาจนรับมือแทบไม่ไหว กว่าจะผ่านมาได้แทบลากเลือด แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นมาได้ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ผมเรียนจบแล้ว ชีวิตนักศึกษาจอมขี้เกียจแบบผมก็ลุ่มๆดอนๆ ชาวแก๊งส์เองก็แทบไม่ต่างกัน ด้วยหน้าที่ทำให้เราต้องรู้จักโตขึ้น รับผิดชอบอะไรมากขึ้นไปโดยปริยาย แม้ว่าสุดท้ายแล้วผมก็ยังเป็นนายจอมขี้เกียจเหมือนเดิมก็ตามที จากขี้เกียจเรียนก็เปลี่ยนเป็นขี้เกียจทำงาน

“เฮ้ย เอาจริงดิ” ผมย้อนถามหลังจากที่บุญบอกว่าจะชวนผมไปเที่ยวทางยุโรปทั้งที่ทริปอิหร่านยังไม่ได้เริ่มต้นเลย

“จริงดิ ทำไมอะ ไม่อยากไปกับเราเหรอ”

“เออ เบื่อขี้หน้า” ผมหัวเราะเป็นเชิงหยอกล้อเขาเล่น “เราไม่มีเงินอะ”

“กาก” บุญตอบแล้วยักคิ้วใส่อย่างกวนอารมณ์จนผมต้องเอื้อมมือไปตีหน้าผากเป็นการแก้แค้น “เรารอได้”

“ไปก่อนก็ได้ คงอีกนานกว่าจะเก็บเงินได้ใหม่” นี่ไม่ใช่เรื่องโกหกเลย การเก็บเงินไปเที่ยวถึงจะมีแรงบันดาลใจอย่างล้นหลามแต่นิสัยใช้จ่ายฟุ้มเฟือยอย่างผมจึงทำให้เก็บเงินไม่ค่อยได้ แถมยังเรื่องทำงานอีก

“อย่าให้เรื่องเงินเป็นอุปสรรคสิวะ”

“นั่นแหละอุปสรรคสุดๆ”

“เรารอได้จริงๆ” สายตาของบุญที่มองมานั้นผมรู้ว่ามันมีนัยสำคัญที่มากกว่าแค่การรอให้ผมเก็บเงิน

ระหว่างผมกับบุญยังคงเหมือน เรายังใช้ชีวิตเหมือนที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลาหนึ่งปี ผมยังคงมีบุญคอยเป็นแรงกระตุ้นเสมอ เขาเรียนหนักกว่าผม ชนิดที่แทบไม่ได้กินไม่ได้นอน แต่ก็เป็นบุญนี่แหละที่คอยเตือน คอยย้ำ คอยผลักดันให้ผมรู้จักหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น ความจริงจังและคงแก่เรียนของเขาถูกถ่ายทอดให้ผมและมันก็ซึมซับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ผมรู้ว่าเขามั่นคงต่อผมมากขนาดไหน แม้จะยังคงต้องเรียนหนักกว่าเดิม เวลาที่เคยมีให้กันก็ลดน้อย แต่บุญทำให้ผมรู้ว่าเขายังอยู่เคียงข้างผมเสมอและทำให้รู้จักกับคำว่าเสมอต้นเสมอปลาย ผมซึ้งใจในข้อนั้นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังทำให้เรื่องราวระหว่างเราไม่ไปไหนก็คือการไม่พูดมันออกมาตรงๆนี่แหละ บุญไม่เคยบอกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับผม โดยส่วนตัวผมคิดว่าผมตระหนักในเรื่องนั้นมาโดยตลอดนะ สิ่งที่บุญแสดงออกมาทำให้ผมรับรู้ค่อนข้างแน่ชัด แต่เรื่องของพี่พลยังส่งผลอยู่ในส่วนลึกทั้งๆที่ผมก็ไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้แล้ว เหมือนเวลาที่เราโดนกระดาษบาด เราคิดว่าไอ้กระดาษแค่หนึ่งใบมันคงไม่สามารถส่งผลกระทบอะไรได้ แต่เมื่อโดนกระดาษมันบาดเข้า ความเจ็บปนแสบหน่อยๆมันสามารถทำให้เรารู้สึกถึงมันได้ตลอดเวลา ซึ่งผมได้แต่คิดว่าความรู้สึกแบบนั้นมันคงจะหายไปในเร็ววัน

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากนั้นเราก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหารกันด้วยบรรยากาศที่ดูเงียบเชียบลงไปกว่าปกติ หลังจากที่เราทานอาหากันเสร็จผมก็เดินนำบุญยังร้านขายแผ่นหนังเพื่อตามหาหนังเก่าที่น่าจะไม่มีขายแล้ว มันเป็นหนังขาวดำและเป็นไปตามคาดร้านที่เรามานี้ไม่มีขายถึงแม้จะเป็นร้านที่มีหนังเก่าๆให้เลือกเยอะก็ตามที ผมจึงเดินวนอยู่ในร้านเพื่อหาหนังเรื่องอื่น บุญที่เดินนำหน้าผมอยู่นั้นอยู่ๆก็หยุดอยู่ที่โซนหนังระทึกขวัญ เขาหยิบแผ่นหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมายื่นให้ผมดู

“เดี๋ยวกลับไปดูเรื่องนี้กันนะ” เขาเอ่ยแล้วหลังจากนั้นเราก็เดินวนหาหนังเรื่องอื่นดูอีกอยู่สักพัก

ในระหว่างนั้นเองผมเหลือบไปมองเห็นแผ่นไวนิลที่วางขายอยู่ในโซนถัดไป แผ่นไวนิลของแบนด์อังกฤษวงหนึ่งวางตระหง่านอยู่บนชั้น อยู่ๆในหัวก็นึกถึงใครบางคนที่ชอบสะสมไวนิลเหล่านี้เช่นกัน

ผมไม่ได้ติดต่อกับพี่พลอีกเลยนับตั้งแต่งานบายเนียร์ครั้งนั้น เขาอาจจะสบายดี มีความสุขกับชีวิตทำงานและคงจะหลงลืมผมไปแล้วก็ได้ ผมนึกถึงเขาอยู่บ่อยครั้งแต่มันเป็นการนึกถึงเขาด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป ความชอบของผมมันแปรเปลี่ยนไปแล้วแม้จะไม่แน่ใจว่าเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแต่ผมก็ยังชอบเขาอยู่… ในรูปแบบที่ไม่เหมือนเดิม

หัวข้อ: - Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 16-10-2018 11:21:39

“อินาย”

เสียงเรียกชื่อที่แสนคุ้นเคยทำให้ผมหันกลับไป ผมพบว่าเป็นไอ้เฟริสท์ที่มากับไอ้นุ่น ในใจของผมเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นที่ได้เจอเพื่อน มันเข้ามาทักทายผมและท้ายสุดเราก็พากันไปหาร้านนั่งเม้ามอยโดยมีบุญเข้าร่วมด้วย

“เดี๋ยว มึงจะไปเรียนปอโทที่แคนาดาเหรอ ทำไมกูเพิ่งรู้วะ”

“ก็วีซ่าเพิ่งผ่าน มีเงินอย่างเดียวไม่พอนะเว่ย กูต้องสัมภาษณ์ประมาณสามหมื่นด่านกว่าผ่านมาได้เนี่ย”

“แล้วมึงจะเรียนปอเอกต่อเลยป้ะ”

“โอ้ย พอก่อน เอาปอโทให้ผ่านก่อนนะเพื่อน”

ผมกับนุ่นหัวเราะกับท่าทางของเฟริสท์ที่แม้จะยังไม่ทันเริ่มเรียนปอโทเลยแต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าก็พาลเอาให้เหน็ดเหนื่อยเสียตั้งแต่ตอนนี้

“ทำไมถึงเรียนต่อวะ” นุ่นถามแล้วดูดน้ำอึกใหญ่ มารู้ทีหลังว่าที่เจอมันสองคนนี้ที่ห้างก็เพราะไอ้เฟริสท์นัดไอ้นุ่นมาซื้อของสำหรับไปเรียนต่อที่แคนาดานี่แหละ “แล้วภาษาอังกฤษมึงไหวเหรอ”

“ไปถึงก็ต้องเรียนภาษาก่อนแล้วสอบให้ผ่านถึงจะเรียนปอโทได้ อีกอย่างนะกูขี้เกียจทำงานเลยหาข้ออ้างเรียนนี่แหละ”

ผมกับนุ่นพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นเราก็ยิงคำถามอีกมากมายสำหรับการไปเรียนต่อ รวมไปถึงฟังไอ้นุ่นเม้ามอยเรื่องที่ทำงานด้วยความสนุกสนาน ไอ้นุ่นโชคร้ายที่เจอพี่ที่ทำงานไม่ค่อยสอนงานมันถึงต้องดิ้นรนเรียนรู้เอง มันบอกอีกว่าตอนนี้มันแข็งแกร่งทางจิตใจจนอะไรก็ทำร้ายมันไม่ได้อีกแล้ว ผมคิดว่าไอ้นุ่นแข็งแกร่งขึ้นจริงๆนั่นแหละ โลกของวัยทำงานมันสอนประสบการณ์ต่างๆมากมายให้เราได้เรียนรู้และฝ่าฟันมันไป อย่างผมนี่โชคดีที่ได้ฝึกงานและเจอพี่ที่ทำงานช่วยเหลือ สอนงาน และให้ลองทำงานจริงๆจังๆจนทำงานเป็น เขาชักชวนให้ผมเข้าทำงานด้วยแต่มันเป็นงานในสายที่ผมคิดแล้วคิดอีกว่าไม่ใช่ทางของตัวเองจึงไปหางานที่อื่นแทน พวกเราคุยกันสนุกปากเสียงดังนิดหน่อยบ้างในตอนที่เรื่องราวมันตลกขบขัน เวลาผ่านไปพักใหญ่ รู้ตัวอีกทีบุญก็แทรกถามพวกเราว่าจะสั่งขนมเพิ่มหรือเปล่า

“ไม่เอาแล้วบุญ น้ำหนักเราขึ้นมาห้าโลตั้งแต่เริ่มทำงานเนี่ย” นุ่นตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ผู้หญิงกับเรื่องความสวยความงามคงไม่แคล้วกัน

“เออ ตายห่า คุยกันเพลิน ยังไม่ได้รองเท้าเลยเนี่ย” เฟริสท์โวยวายขึ้นมาก่อนจะหันไปทางบุญ “โทษทีนะบุญเราไม่ได้ชวนคุยด้วยเลย มัวแต่มอยกับอินาย”

“ตามสบาย เราฟังพวกเธอคุยก็เพลินดี” บุญยิ้มสบายๆ ไม่มีท่าทีใดๆเป็นพิเศษ

“แล้วบุญเป็นยังไงบ้าง ยังเรียนอยู่ใช่ป้ะ”

“ใช่ แต่เดี๋ยวก็จบแล้ว”

“โห เรียนหมอนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ”

“ถ้าเป็นเราคงสมองแตกตายไปแล้ว เรียนอะไรหกเจ็ดปีขนาดนี้” ไอ้นุ่นทำหน้าแหยๆเมื่อพูดถึงการเรียน ชาวแก๊งส์ไม่มีใครตั้งใจเรียนตั้งแต่เริ่มแรกจนเรียนจบก็ยังไม่เปลี่ยนความคิด นี่ดีนะว่าเจ้าพวกนี้ยังไม่รู้ว่าบุญจะเรียนต่อเฉพาะทางอีก ถ้าได้ยินแบบนั้นคงขนลุกกันแน่นอน

“แล้วนี่บุญจะรีบไปไหนรึเปล่า”

“ไม่รีบ คุยกันไปเถอะ...” บุญกล่าวแล้วหันมามองทางผม “เรารอได้”

เขาพูดคำนั้นอีกแล้วไอ้ประเภท ‘เรารอได้’ แถมยังแสดงออกอีกว่ามันหมายถึงอะไรที่มากกว่ารอผมคุยกับเพื่อน การที่บุญจ้องผมแล้วอมยิ้มจึงทำให้ไอ้เฟริสท์กับไอ้นุ่นรู้สึกถึงสถานการณ์ประหลาดๆที่ชวนให้ประดักประเดิดอยู่สักหน่อย

“เอ้ออออ เหรอๆ ตามนั้นๆ” ไอ้เฟริสท์พูดแก้เก้อ

หลังจากนั้นเราตกลงที่จะไปเดินซื้อของด้วยกันเพราะผมเองก็ยังได้ของไม่ครบ ไอ้เฟริสท์เดินอยู่กับบุญคุยเรื่องไปเรียนต่อ ส่วนผมถูกหนูนุ่นดึงตัวไว้ให้เดินตามหลังอยู่อย่างห่างๆ ผมรู้แล้วแหละว่ามันมีคำถามมากมายที่คงไม่อยากให้บุญได้ยิน

“เล่ามา”

ผมทำหน้าสงสัย แกล้งมึนเหมือนไม่รู้เรื่องที่มันจะถาม

“กับคนนู้นน่ะ” ไอ้นุ่นพยักเพยิดหน้าไปทางบุญ ผมจึงแกล้งทำหน้าไม่เข้าใจ “อินาย อย่าให้กูต้องฟาดมึงด้วยแส้”

“ไม่เห็นมีอะไรให้เล่าเลย”

“โอ้ย อิเวร มึงนี่หน้ามึนเหมือนเดิมเลยนะ คบกับบุญแล้วยัง”

เอาล่ะ ประโยคนี้ทำให้ผมชะงักไปเพราะที่ผ่านมาก็บอกทุกคนว่าบุญเป็นเพื่อน และไม่เคยมีสักครั้งที่บุญจะแสดงตัวว่าชอบผมต่อหน้าคนอื่น… แม้ว่าวันนี้จะแปลกๆไปนิดนึง

“อย่าบอกนะว่ายังเป็นเพื่อนกันอยู่”

“ก็เป็นเพื่อนไง เดี๋ยว มึงมีอะไรรึเปล่าวะ เหมือนกูพลาดอะไรไปเลยอะ” ผมสงสัยจริงจังไม่ได้แกล้งมึนแต่อย่างใด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้เพราะผมก็พอรู้ว่าตัวเองมีโลกบางโลกที่หลุดไปในภวังค์อยู่บ้าง รู้ตัวอีกทีก็ต้องมานั่งอัพเดทข่าวสารหลายเรื่องจากเพื่อนๆแบบนี้ตลอด คราวนี้ก็เช่นกัน

“ห่าเอ้ย ผ่านมาเป็นปี มึงไม่รู้อะไรเลยหรือไง”

ผมงงเป็นไก่ตาแตก งงมากกว่านี้คงจะบรรยายไม่ถูกแล้ว “อะไรวะ”

“กูคันปากมาเป็นปี กูเล่าเลยแล้วกันนะ ก็บุญน่ะแม่งไปบอกพี่พลให้เลิกกั๊กมึงได้แล้ว”

ผมอ้าปากค้าง เหลือบมองไปทางด้านหน้าก็ยังเห็นไอ้เฟริสท์กับบุญคุยกันไม่หยุด ไม่มีอะไรผิดปกติ

“มึงจำได้มั้ย พี่พลพาบุญไปเข้าห้องน้ำแต่จริงๆพี่พลกับบุญเข้าไปคุยกันเว่ย”

“ห้ะ????”

“พี่พลแม่งของขึ้นเกือบจะต่อยกันในห้องน้ำแล้วเหอะ”

“เรื่องอะไรวะ”

“อินาย มึงจำไม่ได้เรอะ ที่บุญจูบมึงไง”

ผมร้องอ๋อ แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ “แล้วยังไงวะ บุญเมามากอะ อย่าไปถือเลย กูลืมไปแล้วเนี่ย”

“บุญไม่ได้เมา” ไอ้นุ่นทำหน้าเซ็งๆใส่ผม แล้วถอนหายใจยาว “พี่พลเข้าไปเคลียร์กับบุญบอกว่าอย่าทำแบบนี้อีกที่จูบมึงอะ บุญเลยบอกว่า ไม่ชอบนายก็เลิกกั๊กไว้ได้แล้ว ทีนี้พี่พลก็เงียบไปบุญเลยบอกว่า นายน่ะ ผมขอเถอะ” ท้ายประโยคไอ้นุ่นทำเลียนเสียงเข้มๆแบบผู้ชาย ผมมองมันตาค้างไม่เคยคิดเลยว่าบุญจะพูดอะไรแบบนั้นได้

“บุญไม่น่าพูดอะไรแบบนั้นนะ มันดูไม่ใช่บุญอะ”

“เออ กูก็ใส่สีนิดหน่อยตรงที่บุญบอกว่า นายน่ะ ผมขอเถอะ แต่จริงๆบุญแค่บอกให้พี่พลเลิกกั๊กมึงเท่านั้นแหละ”

“นั่นไง”

“คือรายละเอียดกูก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรบ้างอะนะ แต่คร่าวๆก็เข้าไปเคลียร์กันเรื่องของมึง”

“แล้วทำไมมึงถึงรู้ได้วะ”

“อิหนึ่งเล่าให้ฟัง พวกกูรู้กันหมดแหละ มีแต่มึงที่ไม่รู้…ว่าบุญชอบมึง” ท้ายประโยคไอ้นุ่นพูดเสียงค่อยลง

ผมนิ่งเงียบไป ก็รู้แหละว่าบุญคิดยังไงแต่เราไม่เคยพูดเรื่องนี้กันเลย ส่วนตัวผมเองก็ยังไม่คิดว่าจะข้องเกี่ยวกับเรื่องรักๆใคร่ๆอีก ผมตัวติดกับบุญเพราะเขาคือเพื่อนที่เข้าใจผมมากที่สุดและยังไม่ได้คิดไปมากกว่านั้น แต่พอมารู้จากปากคนอื่นว่าบุญชอบผมก็ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อความรู้สึกอยู่มากพอควร

“เรื่องพี่พลก็รู้ด้วยเหรอ”

“เออ รู้”

“จากใคร”

“อิหนึ่ง”

“ปากสว่างชิ้บหายไอ้หนึ่งหัวขวด”

“เฮ้อออ อินายเอ้ย” หนูนุ่นตบไหล่ผมก่อนจะเลื่อนขึ้นมากอดคอ “มึงมีอะไรก็ไม่เคยบอกพวกกูเลย เนี่ย พอมารู้อีกทีก็ปุบปับไปหมด แล้วนี่มึงได้คุยกับพี่พลบ้างมั้ย”

“จะให้คุยอะไรวะ ตัดใจไปแล้ว”

“กูพูดตรงๆนะ ตัดใจไปก็ดีแล้ว มึงชัดเจนกับเขาขนาดนี้แต่ถ้าเขาไม่ชัดเจนก็จบๆไป ไม่เสียใจนะมึงอะ”

“ไม่เสียใจเว่ย กูมีมึงอยู่นี่ไงจะเสียใจอะไร” ผมขยี้ศีรษะไอ้นุ่นเล็กน้อยพองาม มันก็ทำสะดีดสะดิ้งบ่นว่าผมเสียทรงไปตามเรื่อง “เออ กูไม่ได้ค่อยได้คุยกับไอ้หนึ่งไอ้บอมเลย มันเป็นยังไงบ้างวะ”

“ยังไม่ตายหรอกอิพวกนั้นน่ะ กูก็ไม่ค่อยได้คุยกับพวกมันเท่าไหร่ คิดถึงเหมือนกันนะ”

“นัดเจอกันหน่อยดีม้ะ สงสัยต้องนัดพวกมันมาอัพเดทเรื่องที่กูยังไม่รู้ พวกมึงก็เหลือเกินนะรู้ทุกเรื่องแต่ทำเป็นไม่รู้”

“ก็เรื่องมันพูดยากอะ จะให้เจอหน้ามึงแล้วก็ถามว่า อินาย มึงได้กับพี่พลแล้วใช่ป้ะ แบบนี้เหรอ”

ผมหัวเราะกับประโยคที่ใส่อารมณ์มาเต็มแต่ต้องทำเสียงกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันสองคน

“เออ อินาย…” ปากของไอ้นุ่นยืดยาวไปทางคนข้างหน้าที่ยังคุยกับไอ้เฟริสท์อยู่ “อัพเดทกูด้วยล่ะ” สิ้นคำไอ้นุ่นก็ยักคิ้วกวนประสาทก่อนจะเดินไปหาไอ้เฟริสท์ แล้วผมกับเพื่อนก็ร่ำลากันตรงนั้นเพื่อแยกย้ายกันไปเลือกของที่ต้องการอีก

“แล้วนัดเจอกันนะพวกมึง” ผมกล่าวขณะที่ถูกเพื่อนทั้งสองรวบตัวเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น แม้จะงงไปหน่อยที่กอดมันแน่นมากกว่าปกติแต่ก็กอดตอบ

“กูคิดถึงมึงนะ มีอะไรก็บอกกูได้" ไอ้เฟริสท์พูดพลางตบหลังผมไม่เบาแรง

"อย่าลืมที่บอกล่ะ อัพเดทพวกกูด้วยเรื่องบุญอะ" คราวนี้ไอ้นุ่นตามมาตบหลังผมอีกมือจนเริ่มรู้สึกเจ็บนิดหน่อย เราสามคนกอดกันกลมอยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่ง เมื่อลืมตาอีกครั้งก็เห็นบุญกำลังยืนมองและมีรอยยิ้มจางๆที่ชวนน่าสงสัย




ผมกับบุญเดินซื้อของกันอีกครู่หนึ่ง กว่าจะได้เนคไทสักเส้นก็ยากพอสมควรเพราะผมมากเรื่องเองแหละ อยากได้โทนสีนี้แต่ที่ขายมันอ่อนกว่าที่ต้องการเลยต้องทำใจอยู่พักใหญ่กว่าจะตัดสินใจซื้อ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังหอศิลป์ด้วยความไม่ตั้งใจ เพราะบุญบังเอิญเปิดเจอในอินเตอร์เน็ตว่าตอนนี้มีจัดงานแสดงเกี่ยวกับศิลปะภาพยนตร์อยู่ ผมก็เป็นพวกใจง่ายยอมตอบตกลงไปดูงานแต่โดยดี ภายในงานนั้นจัดแสดงภาพถ่ายที่มาจากภาพยนตร์เรื่องต่างๆ แต่เนื่องจากเป็นช่วงดึกที่ใกล้จะปิดแล้วผู้คนจึงบางตาทำให้เราได้เดินดูงานกันอย่างสบายๆ ไม่เร่งรีบจนกว่ายามจะมาไล่

ผมหยุดชวนบุญดูภาพขาวดำภาพหนึ่ง ไม่ได้มีอารมณ์ศิลปินมานั่งวิเคราะห์อะไรกันหรอกนอกจากว่าภาพนี้สวยดี

“นี่ถ่ายที่ไหนวะ สวยมาก” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่ออ่านรายละเอียดที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมด้านข้างภาพ และพบว่าภาพนี้คือฉากๆหนึ่งในภาพยนตร์จากประเทศเยอรมัน พอเห็นดังนั้นในหัวนี่คิดอย่างเดียวเลยว่า “อยากไปมิวนิคอะ” ผมเอ่ยขึ้นแต่พอหันไปก็ต้องชะงักลงนิดหน่อยเมื่อใบหน้าของบุญนั้นอยู่ใกล้เกินไป เขากำลังเพ่งอ่านรายละเอียดของภาพเช่นเดียวกับผม

“ไว้ไปกัน แต่ขอสอบให้ผ่านก่อน”

“สอบอะไร ไฟนอลเหรอ”

“สอบหมอ”

ผมพึมพำอยู่ในลำคอเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะหันไปมองภาพนั้นต่อ

“นาย เราว่าจะย้ายไปอยู่คอนโด”

“ไปเช่าอยู่เหรอ”

“ซื้อเลย”

“เออ ก็ดีนะ”

“ไว้เราไปดูคอนโดด้วยกันนะ”

ผมเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง น้ำเสียงของบุญไม่ได้แปลกประหลาดกว่าที่เคย มันเป็นเหมือนประโยคบอกเล่าทั่วไป แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายที่จ้องมองมาด้วยแววตาที่แสดงออกว่ากำลังรอคำตอบอยู่ ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าบุญกำลังหมายถึงอะไร

“นาย”

“………….”

“ย้ายมาอยู่กับเรานะ”

ความประหลาดใจคงฉายอยู่บนหน้าของผมแทนคำพูด ยังไม่ทันได้ถามไถ่ใดๆผมก็รู้สึกถึงมือของบุญสอดประสานเข้ามาในมือของผม ดวงตาที่เราสบมองกันนั้นเคลือบแคลงไปด้วยสิ่งที่อยากพูด แต่กลับไม่มีใครพูดอะไรออกมา เรายังเก็บงำความรู้สึกต่างๆไว้ มันอาจจะเป็นความรู้สึกในทางที่ดีหรือไม่ดีผมไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย เพียงแต่น้ำหนักมือที่กระชับมั่นคงอยู่นี้กลับทำให้ผมไม่นึกอยากถามอะไรอีกต่อไป และสำหรับการถูกขอให้ย้ายเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดเขาก็คงเตรียมใจรองรับไว้แล้ว เพียงแค่มือของบุญที่จับกับมือของผมไว้แบบนี้ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าเขาจะยังอยู่เคียงข้างผมไม่หนีหายไปไหน

คำถาม ความสงสัย หรือแม้แต่สิ่งที่บุญยังไม่เคยพูดมันออกมา บางทีมันอาจจะยังไม่จำเป็นในเวลานี้

“………….”

“ยังไม่ต้องตอบตอนนี้หรอก เรารอได้”

ตอนนั้นผมยิ้มออกมาด้วยหัวใจที่พองโตและเต็มไปด้วยความหวัง…




END


************************************


เดี๋ยวมีตอนพิเศษมาให้อ่านกันต่อค่ะ ติดตามตอนพิเศษด้วยน้าาาา
 :o8:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 16-10-2018 14:07:05
ชอบนายที่เลือกบุญ
ชอบที่ใช้สมองเลือกคนรัก   เลือกความมั่นคงทางจิตใจ
ชอบจ้า
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 16-10-2018 19:11:39
จบแล้วหรอ...
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: mew.kani ที่ 16-10-2018 21:32:49
พี่พล คนไม่ชัดเจน คนนิสัยไม่ดีๆๆๆ  :fire:

รอติดตามตอนพิเศษ ของน้องนายกับน้องบุญอยู่นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 17-10-2018 11:27:20
บุญดีมากกกกกก
จริงๆกดเจ้ามาเพราะชื่อเรือง
รักความคุม mood and tone องเรื่องนีดูมอมเมาดี
 :katai5:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-10-2018 11:52:45
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ Melbourne (17-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 17-10-2018 14:08:57
ตอนพิเศษ - Melbourne

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาเมลเบิร์น เมืองที่ติดอันดับน่าอยู่อาศัยที่สุดในโลกหลายปีซ้อนและมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมเดินทางมาที่นี่เพื่อชมคอนเสิร์ตของ Cigarettes After Sex ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าการรู้จักแบนด์ของพวกเขาผ่านทางโลกออนไลน์จะกลายเป็นแรงผลักดันให้ผมได้ออกนอกประเทศเพื่อมาชมการแสดงสด เมลเบิร์นในเดือนกรกฎาคมอากาศเย็นสบาย เป็นความหนาวระดับสิบองศาที่กำลังพอเหมาะพอเจาะสำหรับการดูคอนเสิร์ตในที่ร่ม มันไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป บางคนอาจจะหนาวแต่เพราะผมขี้ร้อนอากาศแบบนี้ก็เลยชอบใจเป็นพิเศษ

ตอนนี้ผมยืนรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนน ในมือถือเบียร์ยี่ห้อท้องถิ่นดื่มเพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้นเล็กน้อย ตะวันตกดินอากาศหนาวเย็นจนเหลือเลขตัวเดียว ผมใส่เสื้อยืดปิดคอกับแจ็คเกตหนังเพียงตัวเดียวยังเริ่มรู้สึกมือเย็นเยียบหนาวขนลุก ผมประมาทเกินไปกับอากาศเย็นแบบนี้อีกนิดนึงผมอาจจะเป็นหวัดได้ เบียร์ในขวดพร่องลงไปเกินกว่าครึ่งและดูเหมือนคืนนี้เบียร์แค่ขวดเดียวอาจไม่ตอบสนองสักเท่าไหร่ ไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวพร้อมกับเสียงสัญญาณบ่งบอกให้เดินข้ามถนนได้ ผมก้าวเท้าออกไปพร้อมๆกับชาวออสเตรเลียในค่ำคืนวันพุธเพื่อมุ่งหน้าไปแวะหาอะไรทานที่ตลาดวิคทอเรียในงาน Winter Night Market รถแทรมฟรีจอดเทียบป้ายตรงตามเวลา ผมก้าวขึ้นไปเจอกับความแออัดของของนักท่องเที่ยวในรถแทรม ชาวจีนและชาวอินเดียแทบจะครองแทรมฟรีทั้งคัน บอกตามตรงว่ากลิ่นตัวของนักท่องเที่ยวที่ผจญภัยมาทั้งวันไม่ใช่เรื่องตลกสักนิด แต่เพราะคำว่าฟรีเป็นเหมือนข้อยกเว้นให้กับทุกเรื่อง

ผมยืนอยู่ริมประตูเพราะเดินเข้าไปด้านในไม่ได้ มันเป็นจุดน่าอึดอัดเพราะระหว่างทางมีทั้งคนขึ้นและคนลง โชคดีหน่อยที่ตอนนี้ชาวจีนได้ลงไปยังป้ายที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ภายในรถแทรมจึงพอมีที่ว่างพอให้หายใจและมาพร้อมกับความเงียบสงบทางโสตประสาทอีกนิด ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น ส่งข้อความคุยกับเพื่อน เข้าแอปทั่วๆไปที่เป็นที่นิยม สักพักรถแทรมก็เบรก แต่คราวนี้มันเบรกแรงกว่าปกติเล็กน้อยจนทำให้เกือบเสียหลัก ผมคว้าราวที่อยู่บนหัวเพื่อยึดเหนี่ยวทว่ากลับมามีคนที่ล้มเสียหลักโถมแรงมาที่ผมเต็มกำลัง โทรศัพท์มือถือของผมล่วงหล่นเสียงดังแปะอยู่บนพื้น ผมและชาวเอเชียที่ชนผมต่างเงียบกันไปก่อนที่เขาจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาคืนให้ผมพร้อมกับกล่าวขอโทษ

“Sorry”

คำพูดและสำเนียงที่ได้ยิน พร้อมด้วยใบหน้าที่เห็นยามที่เขาเงยหน้าขึ้นมานั้น ผมรู้ทันทีว่าเขาเป็นคนไทย “ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบกลับไปด้วยความมั่นใจว่าเขาจะต้องตอบกลับมาเป็นภาษาไทยแน่นอน แต่แล้วตรงกันข้ามสีหน้าของเขาเมินเฉยแถมยังเดินหนีไปยืนอยู่อีกฝั่ง หรือว่าเขาจะไม่ใช่คนไทย ผมคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย

ป้ายที่ผมต้องลงนั้นคนลงเยอะพอสมควร พอเดินมาใกล้ๆก็เริ่มมองเห็นร้านอาหารนานาชาติเรียงรายมากมาย อากาศด้านนอกนั้นหนาวแต่พอเข้ามาด้านในตลาดกลับอุ่นขึ้นเพราะมีฮีทเตอร์แก๊สตั้งไว้เป็นจุด กลิ่นควัน กลิ่นอาหาร คละคลุ้งกลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตีกันมั่วไปหมด ร้านอาหารนานาชาตินั้นมีให้เลือกสรรจนผมเลือกไม่ถูกเลยว่าจะทานอะไร ตอนแรกคิดว่าจะหาร้านที่ต่อแถวสั้นๆ แต่เชื่อเถอะว่าคนยุบยับมากมายมหาศาลขนาดนี้ยังไงก็ต้องต่อแถวนาน ผมจึงคิดหาร้านที่อยากทานมากที่สุดแทน

บรรยากาศคราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองออสเตรเลีย บางพวกยืนจับกลุ่มดื่มและพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ผมชอบบรรยากาศที่เห็นชาวเมืองออกมารวมตัวกันแบบนี้นะ มันให้ความรู้สึกเหมือนได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนแต่ละประเทศนั้นๆอย่างแท้จริง หลังจากเดินแบบลวกๆเพื่อสำรวจอยู่รอบนึงผมก็ตัดสินใจต่อแถวที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยน พอจ่ายเงินเสร็จก็รับบัตรคิวไปต่อแถวอีกแถวเพื่อรออาหาร ระหว่างนั้นเองผมเห็นผู้ชายคนนั้นที่เจอบนรถแทรม เขายืนสำรวจมองดูเมนูอาหารแต่แล้วผมกลับต้องละสายตาไปเมื่อได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของผมให้ไปรับอาหาร ไส้กรอกลูกวัวกับมันฝรั่งบดราดบราวน์ซอส เชื่อผมเถอะว่าเกือบยี่สิบเหรียญที่จ่ายและการยืนต่อแถวที่นานแสนนานคุ้มค่ากับรสชาติอาหารมากจริงๆ

ผมยืนทานอาหารที่ได้มาอยู่ตรงเสาเหล็กเส้นหนา มองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ฟังเสียงเพลงที่เล่นสดในงาน บรรยากาศแบบนี้มันทำให้ผมมีความสุขมาก ยิ่งบวกกับเบียร์แสนอร่อยของที่นี่อารมณ์ของผมก็เพลิดเพลินสุนทรีย์จนกลายเป็นความทรงจำที่ยอดเยี่ยมอีกครั้งในการเที่ยวต่างประเทศ อาหารของผมหมดไปพร้อมๆกับเบียร์อีกขวดหนึ่ง แต่อย่างที่บอกไว้เบียร์สองขวดในค่ำคืนนี้คงไม่เพียงพอ ผมจึงไปยืนต่อแถวในส่วนที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อซื้อไวน์ร้อนทีเด็ดของเครื่องดื่มฤดูหนาว แต่เพราะตอนนี้จุดที่ผมยืนอยู่หางแถวใกล้กองไฟมากไปหน่อยเลยทำให้เหงื่อออกอย่างกับอยู่ฤดูร้อน และนี่เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นผู้ชายคนนั้นยืนต่อแถวอยู่ที่ร้านอาหารจากบราซิล ใบหน้าของเขาค่อนข้างบึ้งตึง อาจจะเพราะหงุดหงิดจากผู้คนที่เดินกันยั้วเยี้ยและการต่อแถวรออาหารนานแสนนาน แต่พอแถวของผมขยับไปเรื่อยๆผมก็เลยไม่ได้สนใจเขาอีก หลังจากได้ไวน์ร้อนมาแล้วผมก็เดินวนอีกรอบเพื่อหาอาหารอื่นเพิ่มสุดท้ายได้มันฝรั่งทอดมาอีกจานใหญ่ คราวนี้ผมนั่งอยู่ข้างฮีทเตอร์แก๊สพอมานั่งจริงๆก็ได้ยินเสียงปะทุเสมือนก่อกองไฟจากไม้ มันให้บรรยากาศเหมือนตั้งแคมป์เลย ตรงด้านหน้าของผมเริ่มมีกลุ่มคนมาเล่นเครื่องดนตรีแบบวงโยธวาทิต ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากคนด้านข้างที่เพิ่งเข้ามานั่ง เขาคือผู้ชายคนนั้น คนที่วนเวียนเข้ามาในสายตาของผมบ่อยครั้งในเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

ในมือของเขามีเนื้อสัตว์ย่างสไตล์บราซิลและมีเบียร์กระป๋องหนึ่ง ผมมองเขาส่วนเขาก็มองผม สุดท้ายผมเป็นฝ่ายยิ้มให้เขา “Is that Kangaroo meat?” ผมเอ่ยถามพยักเพยิดหน้าไปทางจานที่เขาถืออยู่

“ไม่ใช่ครับ เนื้อวัวกับเนื้อจระเข้”

“อ้าว คนไทยเหรอ” ผมย้อนถามอีก คราวนี้เขาเริ่มยิ้ม แต่เป็นยิ้มแหยๆ

“มือถือเป็นอะไรรึเปล่า”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมหมายความตามนั้นจริงๆ ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไร “ผมชื่อบุญ”

“ผมชื่อนายครับ”

ผมยิ้มให้นายและนายก็ยิ้มตอบ คราวนี้มันเป็นรอยยิ้มกว้างจนตาหยี
และเพราะรอยยิ้มไมตรีอันแสนสว่างจ้านี้ หัวใจของผมก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน…

And now I'm dreaming
Dreaming, dreaming, dreaming
Dreaming of you
And now I'm dreaming
Dreaming, dreaming, dreaming
Dreaming of you

ท่อนเพลงนี้คร่ำครวญกว่าปกติด้วยเสียงร้องสดจากคอนเสิร์ตของ Cigarettes After Sex สิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่นักร้องนำหากแต่เป็นใบหน้าของนายที่โดดเด่นอยู่ในแสงไฟที่ส่องสลับไปมาอยู่ภายในงาน ผมสนใจนายอย่างที่ไม่เคยสนใจใครมาก่อน อาจฟังดูเหลือเชื่อนะสำหรับผู้ชายอายุสิบเก้าที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆเหมือนคนอื่น ผมชอบเรื่องวิชาการและมีเป้าหมายในการใช้ชีวิตชัดเจน มันไม่ใช่ว่าผมไม่เคยมีเรื่องกุ๊กกิ๊กในช่วงมัธยมหรืออะไรทำนองนั้นนะ แต่เรื่องรักกลับกลายเป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิตที่ผมจะนึกถึง แฟนคนแรกคือเพื่อนผู้หญิงของพี่สาวเรารู้จักกันตอนไปแข่งขันงานวิชาการ แต่หลังจากนั้นผมก็รู้ตัวว่ามีความชอบแบบไหนระหว่างผมกับเพื่อนของพี่สาวจึงจบไปอย่างเงียบๆ และผมก็หลีกเลี่ยงไม่พูดเรื่องชีวิตรัก แทบจะอุทิศตนให้กับการเรียนอย่างหนักเลยด้วยซ้ำ แต่เวลานี้ตอนนี้ผมไม่อาจละสายตาไปจากนายได้เลย

ก่อนหน้านี้ในตลาดวิคทอเรียผมกับนายเราพูดคุยกันอย่างถูกคอ เขามาออสเตรเลียครั้งแรกเหมือนผมและมาเพื่อดูคอนเสิร์ตของ Cigarettes After Sex เช่นกัน สำหรับผมมันน่าเหลือเชื่อมากที่เกิดเรื่องบังเอิญแบบนี้ นายเป็นคนมีใบหน้าบึ้งตึง จะว่ายังไงดีล่ะ เขาไม่ได้เป็นคนหน้ายิ้มสักเท่าไหร่เวลาที่อยู่เฉยๆ นายจึงดูหน้าเหมือนอารมณ์เสียตลอดเวลา พอได้คุยกันผมก็พบว่านายก็เป็นคนแบบนั้นแหละ เขาอารมณ์เสียง่ายดูเหมือนคนขี้หงุดหงิดไปหน่อยแต่เชื่อเถอะว่านอกจากเรื่องนี้เขาเป็นคนคุยง่าย สบายๆ และน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ดูอย่างตอนนี้สิสีหน้าของเขาเคลิบเคลิ้มไปกับวงดนตรีที่ดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อชื่นชมการแสดงสด ผมไม่รู้ว่ามองใบหน้าของเขาแบบนี้มาตั้งแต่ตอนไหนผมรู้เพียงมันยากเหลือเกินที่จะละสายตาไปจากรอยยิ้มของนาย

“เอาเบียร์อีกป้ะ” อยู่ๆ นายก็หันมาถามหลังจากคอนเสิร์ตเบรกครึ่งแรกเล่นเอาผมเปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทัน แต่โชคดีในคอนเสิร์ตมันมืดมากนายคงไม่ได้สังเกต

“เอาดิ”

นายคว้ามือผมให้เดินตาม มันค่อนข้างเป็นเรื่องเกินคาดอยู่สักหน่อยแต่ผมก็ไม่ได้คิดมากอะไร เราเดินลัดเลาะผู้คนที่อยู่ในคอนเสิร์ตเพื่อไปยังบาร์ที่อยู่ด้านข้าง ที่จริงผมเริ่มตื้อๆเหมือนกันเพราะว่าดื่มไปเยอะตอนที่อยู่ในตลาดวิคทอเรีย ไวน์ร้อนทำให้ผมรู้ว่าไม่อาจประมาทเครื่องที่มีรสหวานได้เลยจริงๆ ยิ่งดื่มยิ่งลื่นคอ แถมยังคุยอะไรต่อมิอะไรกับนายจนสนุกไปหมดมันก็เลยยิ่งเพลินกับการดื่ม นายสั่งเบียร์ยี่ห้อพื้นเมืองที่จริงมันค่อนข้างขมกว่ายี่ห้ออื่นแต่เรากลับชอบความขมนี้เหมือนกัน ผมรับขวดเบียร์จากนายมาแล้วดื่มไปอึกใหญ่ชนิดที่อวดหน่อยๆว่าคอแข็ง ส่วนนายจิบไปเล็กน้อยแล้วทำหน้าแบบ ฮ่า! แลบลิ้นออกมาด้วยความขมปร่า

“กลับวันไหน” ผมถามแต่นายทำหน้าสงสัยอาจจะเพราะเสียงดนตรีมันดังมาก ผมจึงก้มหน้าโน้มตัวเข้าไปใกล้ “กลับวันไหน”

“อ๋อ เรากลับอาทิตย์หน้า แล้วบุญอะ”

“อาทิตย์หน้าเหมือนกัน”

นายพยักหน้ารับรู้ เราต่างเงียบกันไปพักหนึ่งก่อนที่นายสะกิดเรียกผม “หลังคอนเสิร์ตจบเราว่าจะไปเดินเล่นนอกเมืองอะ ไปด้วยกันป่าว”

“ไปดิ” คำตอบของผมทำให้นายยิ้มตาหยี จากนั้นคอนเสิร์ตครึ่งหลังก็เริ่ม คราวนี้เริ่มต้นด้วยเพลง Cover ที่นำมาเรียบเรียงใหม่ในสไตล์แอมเบียนป๊อป ผมหยิบโทรศัพท์มือมือถือออกมาบันทึกภาพเคลื่อนไหวเพราะเพลงที่เอามา Cover นั้นต้นฉบับเป็นเพลงที่ผมชอบอยู่แล้ว แต่อาจจะเพราะว่าผมดื่มหนักไปหน่อยตอนนี้ก็เลยรู้สึกเหมือนหัวจะทิ่มตลอดเวลา ผมเอาหยุดบันทึกภาพเคลื่อนไหวเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในเสื้อแจ็คเกตตามเดิม ส่วนนายดูเหมือนจะเพลิดเพลินและหลุดไปอยู่กับนักร้องบนเวทีเสียแล้ว ภาพข้างหน้าของผมเริ่มเลือนลางเล็กน้อยประกอบกับรู้สึกเวียนหัวนิดๆ เท่านั้นแหละผมรู้ตัวเลยว่าไอ้ที่ดื่มๆกินๆเข้าไปจะต้องพุ่งพรวดออกมาแน่นอน “นาย…” ผมสะกิดเรียกอีกฝ่าย

“ว่า”

“เราจะอ้วกว่ะ”

นายทำหน้าเหวอไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะชนิดที่เรียกได้ว่าจริงจังพอควร เขาคว้ามือของผมไว้และพาเดินฝ่าฝูงชนมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ โชคดีที่ตอนนี้คนอื่นๆกำลังสนใจกับคอนเสิร์ตห้องน้ำจึงว่างเหมาะแก่การอ้วกแตกในห้องส้วม ระหว่างที่ผมโก่งคออาเจียนนายก็หัวเราะเสียงดังชอบใจอยู่ด้านนอก

“เอายาดมป่าว” นายเอ่ยถามหลังจากเห็นผมออกมาจากห้องน้ำ คิดว่าสภาพตัวเองคงไม่น่าดูชมสักเท่าไหร่

ผมคว้ายาดมมาดมชนิดที่แทบจะสูดหายเข้าไปในจมูก “ค่อยยังชั่ว”

“เป็นไงมั่ง ไหวป่าว”

“ไหวๆ พออ้วกแล้วหาย แม่ง เบียร์ที่นี่แรงจริงๆ เราดื่มเยอะไปหน่อย”

นายยิ้มรับพลางส่งกระดาษทิชชู่ให้สองสามแผ่นหลังจากที่ผมล้างหน้า “แล้วนี่จะเอาไง ออกไปดูคอนต่อเลยมั้ย”

“อยากเดินรับลมเย็นๆมากกว่า”

“ได้ งั้นไปเดินเล่นนอกเมืองกับเรานะ”

นายรับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีจนผมที่เวียนหัวอยู่ยังต้องยิ้มตามเห็นมั้ยผมบอกแล้วว่านายเป็นคนน่ารัก…

ผมกับนายนั่งรถแทรมออกมาที่โซนสองซึ่งโซนนี้พวกเราต้องเสียเงินในการเดินทาง ภายในรถจึงไม่วุ่นวายเพราะนักท่องเที่ยวมากนักและยิ่งเป็นเวลากลางคืนรถแทรมแทบจะร้าง ที่ที่เรามุ่งหน้ามากันนั้นคือหาดเซ็นต์กิลดา พอเราลงจากรถแทรมภาพแรกที่เห็นก็คือลูนาพาร์คซึ่งด้านหน้ามีหน้าตัวตลกขนาดใหญ่และมีแสงไฟเปิดวิบวับ ผมคิดว่ามันอาจจะดูน่าสนุกในช่วงฤดูร้อนแต่เมื่อเป็นฤดูหนาวสวนสนุกจึงดูร้างราไปเสียหน่อย และเนื่องจากที่ที่เรามานี้อยู่นอกเมืองประกอบกับติดชายหาดมันจึงทำให้เราหนาวเหน็บจนมือชาหูชาเพราะยังปรับตัวไม่ได้ ผมซุกมือลงในกระเป๋าของเสื้อแจ็คเกตหนังทว่ามันไม่อาจบรรเทาได้ดีสักเท่าไหร่ ส่วนนายก็หนาวไม่ต่างจากผม เขากระชับเสื้อโค้ทเข้าหาซุกมือไว้ใต้รักแร้ซึ่งเป็นจุดที่อบอุ่น เราเดินฝ่าลมผ่านหน้าสวนสนุกลูนาพาร์คเพื่อมุ่งหน้าไปยังชายหาดในยามค่ำคืนด้วยสภาพหน้าที่ชาดิกจากแรงลม แต่กระนั้นนายก็ยังดูอารมณ์ดีท่ามกลางอากาศหนาวเย็น

“สวนสนุกตอนหน้าหนาวนี่น่าทำหนังฆาตกรรมชะมัด”

“โห ทำไมโหดจัง”

นายหันมายิ้มก่อนจะเดินนำผมข้ามถนน “แล้วบุญเป็นไงมั่งอะตอนนี้ ดีขึ้นป้ะ”

“ดีขึ้นแล้ว สงสัยอากาศในผับน้อยเราเลยเวียนหัว”

ผมกับนายเดินมาถึงชาดหาดยิ่งทำให้เรารู้สึกหนาวมากกว่าเดิม แต่พวกเราต่างรู้สึกดีกับอากาศแบบนี้เพราะว่ามันเป็นความเย็นที่หาไม่ได้ในประเทศไทย เราเดินอยู่บนกระดานแผ่นไม้ยังไม่ได้ลงไปสัมผัสเม็ดทราย ด้านหน้าไกลๆผมเห็นร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่ง มีเสียงดนตรีคลอเล็ดลอดให้ได้ยินและนั่นทำให้ผมคิดอะไรบางอย่างได้ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเสียบหูฟังและส่งสายอีกด้านให้นาย เขารับไปแบบงงๆแต่ก็ยอมเสียบหูฟังไว้ในหู ผมเปิดเพลง Come away with me ของ Norah Jones เพลงหวานเกินกว่าที่จะเปิดให้คนที่เพิ่งรู้จักฟัง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมนึกอยากให้นายได้ฟังเพลงนี้ด้วยกัน

Come away with me in the night
Come away with me
And I will write you a song

“หวานโคตร” นายเอ่ยขึ้นมาแล้วหัวเราะเขินๆ

“โทษทีนะที่ทำให้ดูคอนไม่จบ”

“ไม่เป็นไร เราจะได้หาข้ออ้างบินตามไปดูอีกรอบไง” เขายักคิ้วแบบกวนอารมณ์ก่อนจะยกมือขึ้นจับปอยผมทัดเข้าที่หลังหู แต่แล้วเพราะลมมันแรงมากเลยทำให้ปอยผมปัดมาโดนหน้าของนายอยู่ดี ผมกำชับมือของตัวเองไว้ให้แน่นเพราะไม่งั้นผมจะต้องทำตัวประหลาดด้วยการไปจับปอยผมของนายอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลยสำหรับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกัน

“หนาวเหมือนกันนะเนี่ย” ผมพูดขึ้นลอยๆไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร

“จะแวะร้านข้างหน้าหลบหนาวก่อนมั้ย” นายพยักเพยิดหน้าไปที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เรากำลังเดินเล่นอยู่

“ไม่ๆ เราแค่พูดเฉยๆ ร้านนั้นน่าจะแพง”

“นั่นดิ แต่ร้านสวยนะ”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยและกำลังคิดว่าร้านนี้เหมาะกับการดินเนอร์พร้อมกับคนรัก มันจะมีอะไรโรแมนติกไปกว่าสายลม เสียงเพลง และสองเราล่ะ

“หนาวว่ะ กลับกันเถอะ”

“นายง่วงแล้วเหรอ” ผมทวนถาม รู้เลยว่าน้ำเสียงของตัวเองเป็นอย่างไร ผมยังอยากใช้เวลาอยู่กับนายอีกนิดนึงก็ยังดี

“ป่าว แต่มันหนาวมากอะหน้าชาไปหมดแล้ว”

“อืม กลับก็ได้” ผมตอบเสียงเรียบๆ ก่อนจะรับสายหูฟังกลับคืน แม่ง เพลงของนอร่าห์ โจนส์ยังไม่ทันจบเพลงเลยนะ


หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ Melbourne (17-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 17-10-2018 14:10:17



เราฝ่าความหนาวกลับมารอรถแทรมที่หน้าลูนาพาร์คเช่นเคย นายเดินไปดูเวลาว่ารถจะมาถึงกี่โมงและพบว่าอีกไม่กี่นาทีรถก็จะมาถึงแล้ว นั่นหมายถึงเวลาที่ผมจะได้อยู่กับนายน้อยลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้ผมคิดแค่ว่าผมยังอยากรู้จักเพื่อนใหม่คนนี้ ผมยังอยากใช้เวลาร่วมกันกับเขาอีกสักนิดก็ยังดี แต่ดูท่าแล้วโอกาสมันยิ่งหดหายเมื่อรถแทรมเทียบท่าจอดที่ป้าย ภายในรถนั้นอุ่นขึ้นชัดเจนและไม่ค่อยมีคนนั่งเท่าไหร่ พวกเรานั่งอยู่ใกล้ประตูด้วยความเงียบ มีแต่เสียงประกาศในรถแทรมเป็นเสียงเดียวในเวลานั้น นายเล่นโทรศัพท์มือถือเหมือนจะส่งข้อความคุยโต้ตอบในแอปยอดนิยมส่วนผมนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีเงาสะท้อนของเพื่อนคนใหม่

“บุญ พรุ่งนี้เราจะไปเดินเล่นในเมืองแล้วก็จะไปซื้อทัวร์ไปดูเพนกวินตอนเย็น ไปด้วยกันป่าว”

เสียงของนายทำให้ผมหันหน้ากลับมามองเจ้าตัวเต็มตา อย่างกับเสียงสวรรค์ชั้นฟ้า “เออ ไปดิ” ผมตอบรับทั้งที่ยังไม่ทันจะได้คิดไตร่ตรองเลย

นายพยักหน้ารับก่อนจะเอนตัวพิงเบาะ “พักแถวไหนอะ เผื่อจะไปรอที่โรงแรม”

“ไม่บอก” ผมตอบด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์ ตอนนี้นึกอะไรบางอย่างออกแต่มันก็ค่อนข้างจะเสี่ยงอยู่สักหน่อย

“โห ไรอะ เราบอกของเราก่อนก็ได้ เราพักอยู่แถว Docklands”

ผมยิ้มกริ่ม มองหน้าของนายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดมันออกมา “ไปดื่มเบียร์ที่ห้องเรามั้ย”

นายไม่ได้ทำสีหน้าตกใจหรือหวาดกลัวอะไรหรอกนะ เขาแค่หัวเราะ “ไม่คิดว่าเราจะเป็นหัวขโมยรึไงถึงได้ชวนไปห้อง”

ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยิ้ม

“เอาดิ เลี้ยงเบียร์เราขวดนึงด้วยนะ”

“เออ ได้”

หลังจากลงสถานีที่ใกล้ที่พักของผมเราก็แวะซื้อเบียร์มาหลากหลายยี่ห้อ ที่จริงแล้วเราพักอยู่ใกล้กันแต่ที่พักของนายไกลกว่าผมเล็กน้อย ผมหยิบขนมกรุบกริบเพิ่มเติมมาจ่ายเงิน ดูท่าทางนายจะชอบถั่วเป็นพิเศษนี่ถ้าผมไม่หยิบขนมอย่างอื่นคงจะมีแต่ถั่ว อากาศหนาวเช่นเคยแต่พอปรับตัวได้ผมก็สบายๆ จะมีก็แค่ลมที่พัดมาทำให้หนาวเป็นระรอก แต่เพราะการมีอยู่ของนายทำให้ผมลืมเรื่องอากาศและสนใจแต่เรื่องราวที่เขาเล่าให้ผมฟัง น่าแปลกเหมือนกันนะที่นายเป็นคนอัธยาศัยดีไม่เหมือนหน้าที่บึ้งตึงของเขา เราคุยกันเรื่องสมัยมัธยมนายเล่าให้ผมฟังว่าจบจากที่ไหนมาและเจออะไรมาบ้าง ผมเองก็เล่าให้เขาฟังเหมือนกัน เราต่างก็มาจากโรงเรียนชายล้วนแต่คนละโรงเรียนเพราะงั้นความรู้สึกหรือบรรยากาศของชายล้วนมันทำให้เราต่อติดกันง่าย ไหนจะเรื่องเพลงเรื่องภาพยนตร์ถึงจะมีจุดที่ชอบไม่เหมือนกันแต่เราก็สามารถถกเถียงกันได้อย่างสนุกสนาน ไม่น่าเชื่อว่าการมาเที่ยวจะทำให้ผมได้เจอเพื่อนที่ถูกใจมากขนาดนี้

ที่พักของผมค่อนข้าหรูหรากว่าโรงแรมที่นายพัก เนื้อที่ใช้สอยภายในห้องจึงอยู่ร่วมกันได้อย่างสบายๆ ผมบอกนายให้ทำตัวตามสบายประหนึ่งเหมือนอยู่ห้องของตัวเองและเขาก็ทำตามนั้นจริงๆ พอวางเบียร์วางของขนมเสร็จนายก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงของผมก่อนจะกระเด้งตัวขึ้นมาถอดรองเท้าบู๊ทออก ส่วนผมก็หยิบหาอุปกรณ์สำหรับปาร์ตี้เบียร์ย่อมๆระหว่างเราสองคน

“บุญเปิดเพลงให้ฟังหน่อยดิ”

“เอาเพลงไร”

“อะไรก็ได้”

ผมละมือจากการฉีกถุงขนมลงชามพลาสติกแล้วเดินไปหยิบลำโพงพกพาออกมาเชื่อต่อกับโทรศัพท์มือถือก่อนจะยื่นมันให้นาย “เอาเลย อยากฟังเพลงไหนก็เปิดเลย”

“เฮ้ย ของส่วนตัว”

“บอกแล้วว่าตามสบาย” ผมยิ้มให้นายแล้วโยนโทรศัพท์มือถือไว้บนเตียง หันมาเทขนมใส่ชามพลาสติกให้เสร็จแล้วหยิบเบียร์มาสองขวด นายกำลังเลื่อนดูรายการเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจแต่สุดท้ายนายก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเบ้ปาก “อะไร” ผมถามก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่ม

“เปลี่ยนเป็นเปิดทีวีดูดีกว่า”

ผมตามใจเขาด้วยการคว้ารีโมทมาแล้วเปิดโทรทัศน์ ที่จริงแล้วช่วงเวลาดึกของที่นี่หากไม่ได้จ่ายเงินโปรแกรมที่ฉายก็จะเป็นช่องกระจอกๆหรือข่าวทั่วไป แต่อย่างที่บอกห้องที่ผมพักค่อนข้างหรูหราพอสมควรตอนนี้บนหน้าจอโทรทัศน์จึงมีโปรแกรมหลากหลายให้เลือกดู เราเปิดวนไปวนมาสุดท้ายกลับมาสะดุดอยู่ที่หนังช่องหนึ่งซึ่งเป็นหนังผู้ใหญ่ ผมกับนายหัวเราะกับสิ่งที่เห็น มันเป็นภาพการร่วมเพศระหว่างชายร่างใหญ่กับสาวร่างเล็กที่ดูเหมือนเป็นเด็กวัยทีน

“นี่มันมีโปรแกรมแบบนี้ฉายจริงๆเหรอวะ” นายพึมพำออกมาทั้งที่ยังขำ

“เราก็เพิ่งเคยเจอเนี่ย” ผมดื่มเบียร์เข้าไปอึกใหญ่ก่อนจะกดเปลี่ยนช่องกลับมาดูรายการแข่งขันทำอาหาร

“เออ บุญ แล้วตอนแข่งฟุตบอลบุญทำอะไรอะ”

อยู่ๆนายก็ถามถึงเรื่องสมัยมัธยมที่โรงเรียนของผมเป็นหนึ่งในสี่โรงเรียนที่แข่งฟุตบอลกระชับมิตร “เราไม่ได้ทำอะไรมากอะ ที่จริงเราแทบจะไม่มีส่วนร่วมกับงานนี้เลย”

“นี่ไงเราถึงไม่เคยเจอกันในงานเลยเพราะเราหนีเข้าร่วมกิจกรรมตลอด” นายเฉลยความจริงให้ผมฟังว่าเขาไม่ชอบเข้าร่วมกิจกรรมเพราะเป็นพวกขี้เกียจ ที่จริงผมไม่ได้เข้าร่วมกับกิจกรรมนี้เพราะว่าต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวแข่งขันทางด้านวิชาการ ตอนแรกคิดว่าจะไม่เล่าให้นายฟังเพราะมันไม่ได้เป็นสาระอะไรแต่พอเล่าให้ฟังนายกลับรู้สึกผิดบาปที่ไม่เข้าร่วมกิจกรรมเพราะความขี้เกียจ เป็นผมเสียอีกที่รู้สึกผิดมากกว่าที่ต้องทำให้เขาเหี่ยวเฉา แต่แล้วเราก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอาหารที่เห็นในรายการ กลายเป็นว่าเรานัดไปหาอะไรเด็ดๆในเมลเบิร์นทานกันสักมื้อเสียอย่างนั้น ใจของผมลิงโลดเมื่อรู้ว่าในวันต่อไปจะได้เจอนายอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมความรู้สึกนี้ถึงได้คุกรุ่นอยู่ในใจ

เรานั่งดื่มเบียร์พร้อมกับดูรายการโทรทัศน์ท้องถิ่น เปลี่ยนช่องวนไปปมาโดยไม่ลืมแวะดูช่องหนังผู้ใหญ่และหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องตลก ผมคิดว่าอาจจะเพราะเบียร์ที่ทำให้เราอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ยิ่งดื่มยิ่งคล่องคอแถมยังตื่นเต้นที่ได้ลองรสชาติใหม่ๆของเบียร์นอกด้วย เวลาล่วงเลยไปจนตอนนี้ก็เข้าสู่เช้าวันใหม่ ตีหนึ่งเกือบตีสองกับอาการเมาเบียร์ของผมกับนาย

“แม่งเมาว่ะ” นายพึมพำพลางเอนตัวลงนอนบนเตียงของผม

“ไม่เมาได้ไงวะดื่มไปเยอะขนาดนี้” ผมเอนหลังตามนาย แต่มือยังคงกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะนึกอุตะริอะไรขึ้นมาจึงกดไปยังช่องหนังผู้ใหญ่ “มีคนเปิดช่องนี้ดูจริงๆเหรอวะ”

“ก็พวกเรานี่ไงเปิดดูอยู่เนี่ย” นายพูดทั้งที่ตาปิด ท่าทางของเขาดูเหมือนจะอยากจะนอนแล้ว

“นอนเลยป้ะ”

“เออ นอนเลย”

ได้ยินอย่างนั้นผมจึงลุกขึ้นไปปิดไฟแล้วกลับมานอนอยู่บนเตียงแต่ความจริงผมยังไม่ง่วงเลย มันมีความรู้สึกบางอย่างที่ยังทำงานอยู่ “นาย”

“ว่า”

“แม่งแข็งว่ะ” สิ้นคำนายก็ลืมตาขึ้น ผมนึกว่าเขาจะหัวเราะหรือตลกขบขันอะไรด้วยแต่เปล่าเลยนายเงียบมากแทบไม่ได้ยินเสียงขยับตัว ผมปิดโทรทัศน์ลงและเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าไปหานายอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีเบี่ยงตัวหนีผมจึงได้ใจวางมือลงบนหน้าขาของเขา ผมค่อยๆขยับขึ้นไปเรื่อยๆจนทาบทับร่างของนายไว้ แสงไฟจากระเบียงทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดนักหากแต่ยังคงมองเห็นว่าเรามองสบตากัน ผมจับมือของนายสอดประสานนิ้วในขณะที่ประทับริมฝีปากลงบนแก้มที่เย็นชืด กลิ่นเบียร์ผสมกับกลิ่นบุหรี่อ่อนๆติดอยู่ที่ปลายจมูก ผมไม่นึกลังเลกับการกระทำในสิ่งที่ปรารถนาแต่อย่างน้อยผมอยากรู้ว่านายเองก็ยินยอมที่จะทำแบบนี้เช่นกัน

“เราจูบนะ”

นายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งเสียงตอบรับในลำคอ ผมประคองใบหน้าของเขาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะจูบลงที่ริมฝีปากของนายอย่างนุ่มนวล เมื่อได้สัมผัสก็รับรู้ได้ถึงริมฝีปากแห้งนิดๆที่เกิดจากอากาศหนาวเย็น นายเผยริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ผมได้บดเบียดอย่างลึกซึ้งจนริมฝีปากของเขาชุ่มฉ่ำ ผมผละตัวออกมาถอดเสื้อและปลดกางเกงลงเพื่อให้สบายตัวก่อนจะโน้มตัวลงไปอีกครั้งมอบจูบที่รุกเร้ามากกว่าเดิม จูบที่บ่งบอกเขาว่าต้องการมากกว่านี้ นายลูบสัมผัสที่ท่อนแขนของผมอย่างพึงใจร่างกายช่วงล่างของเราต่างแน่นตึงด้วยความรู้สึกดี แก้มของนายที่เคยเย็นเยียบกลับกลายเป็นไออุ่นเช่นเดียวกับผม

เสื้อผ้าของเรากองอยู่บนพื้นเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าที่ประคองก่ายกอดกัน นายอยู่ใต้ร่างของผมด้วยสภาพร้อนรุ่มเมื่อผมใช้มือสัมผัสร่างกายเบื้องล่างของเขา ร่างกายของผมตึงไปหมดจนอยากจะข้ามไปสู่ขั้นที่นอกเหนือจากการเล้าโลม ผมบอกตัวเองว่าต้องใจเย็นมากกว่านี้ ต้องรอให้ร่างกายของนายหยาดเยิ้ม รอให้นายเรียกร้อง ผมไม่อยากทำให้เขาเจ็บหรืออย่างน้อยก็อยากให้เขาได้รับรู้ถึงความนุ่มนวลเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ นายกระชับมือที่จับแขนของผมในช่วงจังหวะที่ใกล้จะถึงจุดสุดยอดหากแต่ผมกลับปล่อยมือและดันสะโพกของนายขึ้น เขาครางออกมาเมื่อถูกร่างกายของผมบดเบียดเข้าไปอย่างช้าๆ ไอ้นั่นของผมแข็งจนปวด อยากจะทำอย่างที่ใจต้องการแต่เมื่อเห็นสีหน้าของนายผมก็ต้องยับยั้งใจตัวเองเสมอ

ความรู้สึกที่ได้แทรกกายเข้าไปมันอุ่นและคับแน่น เราต่างหอบหายใจแรง เลือดในกายสูบฉีด ร่างกายเปียกชื้น ผมไม่รู้ว่าลึกๆแล้วนายคิดยังไงที่พาตัวเองมาถึงจุดนี้ แต่อย่างน้อยเราต่างก็รู้สึกพึงใจกับการพบเจอกันในครั้งแรก ผมเดินหน้าต่อ ไม่อาจรั้งรอเวลาด้วยเพราะมันอยู่ในจุดที่อารมณ์พุ่งพล่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนนายจะรับมือกับความเจ็บได้อย่างดี สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยน ดวงตาพริ้มด้วยความสุข เสียงผิวเนื้อที่เสียดสีกันทำให้เราอุ่นจนร้อน ผมจูบเข้าที่ใบหน้าของนายซ้ำไปซ้ำมา ดอมดมกลิ่นกายเฉพาะตัวที่ซอกคอในขณะโถมกายเข้าหาเขารุนแรงขึ้น ริมฝีปากของผมสัมผัสได้ถึงส่วนนูนที่ลำคอนายยามเมื่อเขาครางเสียงแผ่ว พอมาถึงจุดนี้ผมกลับคิดว่ามันเกินกว่าที่คาดมากนัก แต่ไม่ใช่ในแนวทางที่ไม่ดีหรอกนะ มันแค่แทบไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นเรื่องจริง

ผมยั้งใจลดเรี่ยวแรงลงเพราะยังอยากใช้เวลากับนายให้มากกว่านี้ พอหยัดกายขึ้นมาผมก็สบเข้ากับดวงตาของเขา ริมฝีปากของนายดูชุ่มฉ่ำจนอดไม่ได้ที่จะจูบเขาอีกครั้ง นุ่มนวลและเนิ่นนาน ผมขยับสะโพกเบาๆค่อยเป็นค่อยไปจนรับรู้สึกได้ถึงความเปียกแฉะที่มากขึ้น นายตอบรับในสิ่งที่ผมมอบให้และเขาก็น่ารักมากเหลือเกิน ผมเริ่มขยับตัวหนักหน่วงขึ้น เราบดเบียดกายเข้าหากัน จุมพิตกันครั้งแล้วครั้งเล่า กระชับโอบกอดเข้าหากันอย่างร้อนรุ่ม

‘เหมือนฝันเลยว่ะ’

ผมนึกคิดและมองอีกฝ่ายที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความพึงใจ กระนั้นช่วงเวลานี้สิ่งเดียวที่รุมเร้าอยู่คือการเสพสุขกับนาย มันมากล้นจนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ทัน ร่างของนายสั่นไหวไปตามแรงสะโพกของผม เขาหายใจแรง ดูเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ดูมีความสุข ร่างกายของผมมันไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆคิดว่านายเองก็เช่นกัน ผมเร่งเร้าทำให้ร่างของอีกฝ่ายอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขน สุดท้ายนายก็ทนไม่ไหวเขาเสร็จก่อนผม รู้สึกได้ว่าชื้นแฉะไปหมด ร่างกายของเขาที่ถูกผมบดเบียดอย่างหนักนั้นบีบรัด นายคงไม่รู้ตัวว่าเวลานี้เขาดูเซ็กซี่ขนาดไหน ผมจูบที่ริมฝีปากของเขาขณะที่เร่งเร้าตัวเองไปตามแรงอารมณ์ ภายในกายของนายให้ความรู้สึกดีเหลือเกิน ยิ่งช่วงที่ผมจับขาของเขาแยกออกกว้างและดันสะโพกเข้าไปอย่างรุนแรงทั้งการบีบรัดทั้งความนุ่มลื่นมันแทบทำให้ผมคลั่ง ความรู้สึกที่อยากใช้เวลาร่วมกับนายให้นานกว่านี้คงถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมได้อีกแล้ว ผมขยับสะโพกอย่างหยาบโลนและหลั่งอยู่ในตัวของนายจนทำให้เขาต้องครางออกมา ถึงจะเป็นเสียงแผ่วเบาแต่สีหน้าของนายนั้นดูพึงใจอยู่ไม่น้อย

อยู่ๆในช่วงนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงบีบแตร สติที่เหมือนฟุ้งฝันอยู่นั้นค่อยๆชัดเจนขึ้น เสียงบีบแตรจากรถยนต์มันเหมือนเสียดเข้าไปในโสตประสาทจนผมสะดุ้งตกใจพร้อมกับลืมตาขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นคือเพดานห้องสีขาว บรรยากาศโดยรอบเหมือนมีหมอกหนาปกคลุม สัมผัสแรกที่รับรู้คือสายลมเย็นที่พัดวูบเข้ามาพร้อมๆกับอาการหนักศีรษะจนแทบจะกลายเป็นอาการปวดหัว ผมเหลือบไปมองด้านข้างที่เป็นระเบียงมองเห็นผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวและร่างๆหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านนอก แสงตะวันที่ส่องสว่างจนแทบจะเป็นสีขาวทำให้ผมต้องพยายามปรับสายตาเพื่อที่จะได้มองเห็นชัดขึ้น ผ้าม่านพัดปลิวอีกครั้งทำให้ผมเห็นคนที่อยู่ด้านนอกและกลิ่นบุหรี่จางๆที่ลอยเข้ามากับสายลม เป็นเพื่อนใหม่ของผมที่เอนกายพิงเก้าอี้ ปากคาบบุหรี่ ในมือถือหนังสือไว้เล่มหนึ่ง และเราสบตากัน

“อ้าว ตื่นนานแล้วเหรอ” นายส่งเสียงเข้ามาทักทายด้วยความสดใสไม่แพ้แสงอาทิตย์ตอนนี้เลย

ผมคิดว่าภาพของนายที่เปลือยท่อนบนและอาบแสงแดดมันทำให้ตาของผมเริ่มพร่ามัวอีกครั้ง “เพิ่งตื่นอะ”

“เออ ดีๆ นึกว่าบุญจะตื่นบ่ายแล้วนะเนี่ย”

พอพูดถึงเวลาผมก็ใช้มือควานหาโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะด้านข้าง สิบโมงเกือบจะสิบเอ็ดโมงแล้ว ผมลุกขึ้นนั่งรู้สึกหนักศีรษะไปหมดแต่ก็ยังไหวคิดว่าอีกสักพักคงดีขึ้น

“บุญ ไปหาอะไรกินกันเถอะเราหิวว่ะ”

“ได้ๆ” ผมตอบทั้งที่ยังรู้สึกงัวเงียอยู่

“ไหวป่าว” นายถามอีกครั้งพลางผุดลุกขึ้นนั่งเต็มเก้าอี้

“ไหวดิ”

“เออดีละ เมื่อคืนบุญเมามากอะ แต่ดีนะเมาแล้วหลับ” นายตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆก่อนจะอัดบุหรี่เข้าไปอีกอึดลมหายใจ

ผมนั่งนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำพูดของนาย เดี๋ยวนะผมคิดว่าผมกับนายหลับไปพร้อมกันหลังจากที่เรา ‘สบายตัว’ ไม่ใช่เหรอ “เราหลับไปตอนไหนวะ” ผมถามขึ้นเพื่อให้คลายสงสัย

“โห พอรายการแข่งทำอาหารจบบุญก็ชัทดาวน์อะ เราต้องลากบุญขึ้นไปนอนบนเตียง”

“อ้าว แล้ว…” ผมชะงักก่อนจะพูดจบประโยค ตอนนี้เริ่มหายงัวเงียและมีสติมากขึ้นแล้ว นายเลิกคิ้วสูงมองมาที่ผมด้วยท่าทีตั้งใจฟัง “แล้วเมื่อคืนเป็นไงมั่งอะ นอนหลับป้ะ”

“หลับสบายมาก เรื่องกรนไม่ต้องห่วงนะเพราะเราก็นอนกรน” เขาขบขันเล็กน้อยก่อนจะวางบุหรี่ไว้ในที่เขี่ยบุหรี่แล้วเดินเข้ามาในห้อง “ไหวป่าวเนี่ย”

“ไหวๆ” ผมตอบ ตอนนี้รู้สึกสบายตาขึ้นเมื่อนายยืนบังแสงแดดจากด้านนอก

“หมายถึงจะไปเที่ยวกับเราเหมือนที่คุยไว้ไหวมั้ย”

“ไปไหนวะ”

“อ้าว ก็เมื่อคืนคุยว่าจะไปดูเพนกวินกับเราไง”

ผมนิ่งไปอีกครั้งและค่อยๆเรียบเรียงสติจนในที่สุดก็ระลึกถึงสิ่งที่คุยกับนายไว้ได้ “แล้วคือเมื่อคืนเราหลับไปเลยเหรอ ไม่ได้ทำอะไรแปลกๆใช่ป้ะ”

“เออ อยู่ๆบุญก็ชัทดาวน์ไปเลย แต่เมื่อคืนก็ไม่มีอะไรนะพอบุญหลับเราก็หลับตามอะ หลับสนิทไม่ได้ยินเสียงกรนเลย”

ผมพยักหน้ารับ พอมีสติมากขึ้นและมองสำรวจไปทั่วห้องพร้อมกับสำรวจตัวเองก็พบว่าทุกอย่างปกติ นายเองก็ดูปกติเช่นกัน ผมมองร่างเปลือยท่อนบนท้าทายอากาศหนาวของนายที่ตอนนี้เดินไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็นมาสองขวด ส่งให้ผมขวดนึง เขาไล่ให้ผมไปล้างหน้าแปรงฟัน ผมดื่มน้ำอึกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นทำตามที่นายบอกอย่างว่าง่าย นายเดินออกไปนอกระเบียง นั่งลงบนเก้าอี้หวายตัวนั้น หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อ ผ้าม่านพัดไสวอีกครั้ง แสงแดดส่องสว่างกลืนร่างของนายให้กลายเป็นสีขาว ทุกอย่างดูพร่ามัวไม่ชัดเจน ผมกระพริบตา ให้ความรู้สึกเหมือนกล้องถ่ายรูปที่เมื่อกดปุ่มลงไปรูเลนส์จะปิดลงและบันทึกภาพไปตามกระบวนการของมัน
เวลานี้ภาพนั้นของนายอยู่ในนี้แล้ว อยู่ในสายตา อยู่ในสมอง อยู่ในห้วงความทรงจำ
และนั่นคือครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับนาย…


************************************


ยังมีตอนพิเศษไหลมาเรื่อยๆค่ะ 5555
 :hao7:
หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ Seoul P.2 (20-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 20-10-2018 23:01:40
ตอนพิเศษ Seoul




คริสมาสต์ที่เกาหลีใต้หนาวสะใจคนขี้ร้อนแบบผมเหลือเกิน

ทันทีที่ก้าวขาออกจากสนามบินผมคว้าเสื้อโค้ทมาใส่แทบไม่ทัน อยู่ในสนามบินก็อุ่นอยู่หรอกแต่พอประตูเปิดออกเท่านั้นล่ะผมแทบจะช็อคกับอากาศหนาว ต่างจากนายที่ยังไม่สวมใส่เสื้อกันหนาวสักตัว เขายืนเข้าแถวเพื่อซื้อตั๋วแอร์บัสเข้าไปในตัวเมืองโซล ส่วนผมยืนรออยู่หลบออกมาอีกทาง นายเดินกลับมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงเป็นปกติ จมูกของเขาแดงรวมไปถึงแก้มด้วย เขาหยิบเสื้อโค้ทกันหนาวขึ้นมาใส่ระหว่างที่รอแอร์บัส ผมมองหิมะสีขาวปลิวลงมาตกบนเสื้อโค้ทสีกรมท่าของเขา ผมนึกอยากเอื้อมมือไปปัดมันออก แต่สิ่งที่ทำก็คือการยืนนิ่งเฉย นายยกปกเสื้อขึ้นมากันลมหนาวใบหน้าของเขาผลุบหายไปกว่าครึ่ง ผมนึกอยากโอบกอดเขาไว้ แต่สิ่งที่ทำก็คือการยืนนิ่งเฉยอีกเช่นเคย

เราต่างยืนรอรถกันอย่างเงียบงันท่ามกลางสายลมหนาวและหิมะที่เมืองอินชอน

แอร์บัสกำลังพาเราเข้าสู่ตัวเมืองโซล นายหลับด้วยความเพลียจากการเดินทาง ผมเองก็เหนื่อยแต่กลับหลับไม่ลงเสียอย่างนั้น ระหว่างทางผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือทั้งของนายและของผมมาเปิดโหมดโรมมิ่งเพื่อใช้งานอินเตอร์เนต หน้าจอของนายไม่มีรูปอะไรเป็นพิเศษ มันเป็นพื้นหลังสีแดงเข้มไร้ความหมายใดๆ อ้อ ส่วนรหัสเข้าเครื่องผมรู้ทุกรหัสของนายรวมถึงไลน์ด้วย ที่จริงผมสามารถสแกนนิ้วเข้าเครื่องของเขาได้เลยด้วยซ้ำ ผมไม่แน่ใจว่าทำไมเราถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ หลังจากงานบายเนียร์ครั้งนั้นก็ผ่านมาหนึ่งปีเกือบจะเข้าปีที่สอง นายไม่เคยพูดถึงพี่พล มันก็ไม่เชิงว่าไม่พูดถึงนะ แต่เขาไม่ได้จมอยู่กับผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว เขาอยู่กับผมมากกว่าชาวแก๊งส์ กลายเป็นว่าถ้าไม่ได้ไปนัดเจอกับชาวแก๊งส์เขาก็อยู่กับผมตลอด เขาไม่ได้ดูเศร้า ไม่ได้ดูโกรธ หรือเสียใจอีกแล้ว นายก็ยังเป็นนาย เป็นนายที่มีใบหน้าบึ้งตึงตลอดเวลา

ผมลอบมองใบหน้าที่กำลังหลับใหลของนายก่อนจะกดเข้าแอพพลิเคชั่นไลน์ยอดนิยม ในหน้าแชทของนายมีกลุ่มเพื่อนที่มหาวิทยาลัย มีไลน์ของคนที่ผมไม่รู้จัก มีไลน์ของญาติบางคน รวมถึงไลน์ของผมด้วย แต่ที่น่าประหลาดใจเห็นทีคงจะเป็นไลน์ของพี่พล... สมองของผมเหมือนหยุดทำงานไปชั่วขณะ ผมกดเข้าไปดูรูป มันเป็นใบหน้าของพี่พลในชุดเชิ้ตสีขาว ทรงผมของเขายังเนี้ยบเหมือนเดิม หน้าตาก็เหมือนครั้งล่าสุดที่ผมเจอที่ร้านเที่ยวกลางคืน นายไม่ได้คุยกับพี่พลแต่ยังมีช่องทางที่สามารถติดต่อเขาได้ นายอาจจะไม่ได้จมปลักกับผู้ชายคนนี้ หรืออาจจะคุยกันทางอื่น ผมใช้เวลาอยู่กับเขา นายกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ผมคิดว่าผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนาย แต่ไม่รู้สิ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมอาจจะคิดผิดก็ได้

ผมกดออกจากหน้าแอพพลิเคชั่นก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือของนายไว้ในกระเป๋าตามเดิม

ห้องพักที่ผมกับนายเลือกเป็นอพาร์ทเม้นท์ใกล้แหล่งท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นห้องจึงค่อนข้างเล็กอยู่สักหน่อย แต่มันไม่ใช่ปัญหาเลย ปัญหาอยู่ที่ห้องน้ำที่เป็นบานกระจกใส ผมกับนายมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา เราไม่ได้อายในการเห็นเนื้อหนังหรอก แต่เราอายเวลาที่ต้องทำการถ่ายหนักต่างหาก มันไม่เป็นส่วนตัวเลยสักนิด นายหัวเราะเสียงดัง ผมคิดว่าเขาคงจะหายงัวเงียจากการเดินทางไกลแล้วจึงดูอารมณ์ดีขึ้น ผมเดินลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในตัวห้องเพียงแค่นั้นก็พบว่าพื้นที่ในห้องพักเล็กลงกว่าเดิมอีกจนคิดว่ากระเป๋าเดินทางของนายจะทำให้ห้องแทบไม่มีทางเดิน นายกำลังถอดรองเท้า ถอดเสื้อโค้ท ก่อนจะเดินตามเข้ามาภายในห้องและล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยทิ้งกระเป๋าไว้ตรงทางเดินหน้าประตู นิสัยโคตรขี้เกียจไม่เป็นระเบียบแบบนี้ถ้าเป็นคนอื่นผมคงจะบ่นไปแล้วแน่นอน แต่เพราะเป็นนายผมจึงเป็นฝ่ายเดินไปลากกระเป๋าเดินทางใบนั้นเข้ามาให้

นายที่นอนคว่ำหน้าอยู่กับหมอนผงกหัวขึ้นมาก่อนจะทำหน้าบูดใส่ “เอาไว้ก่อนก็ได้ ยกมาทำไม”

“เห็นแล้วมันเกะกะลูกกะตาโว้ย” ผมตอบไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก

“โห่ บุญแม่งเจ้าระเบียบเกิ๊นนนน” นายเด้งตัวขึ้นมานั่งดูผมจัดแจงเอาของต่างๆให้เข้าที่เข้าทาง ผมทนไม่ได้หรอกกับการเห็นห้องรกๆหรืออะไรไม่เป็นระเบียบ ซึ่งผมคิดว่านายเป็นอะไรหลายๆอย่างที่ตรงกันข้ามกับผมพอควร “ออกไปไหนดี”

“หิว ไปหาอะไรทานก่อนแล้วกัน”

“เออ ดี เราก็หิว”

สิ้นคำนายก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา ส่วนผมเปลี่ยนเสื้อผ้านิดหน่อยให้เข้ากับสภาพอากาศที่เย็นกว่าที่เคยคิดไว้






บริเวณรอบที่พักมีร้านอาหารมากมาย แต่เพราะเรามาถึงเช้ากันมากเกินไปร้านเหล่านั้นจึงยังไม่เปิดให้บริการ พอเดินไปส่องดูตามป้ายก็เดากันว่าร้านน่าจะเปิดให้บริการในช่วงสาย อย่างตอนนี้ที่เรากำลังยืนอยู่หน้าร้านคิมบับและเบียร์ บนป้ายเป็นภาษาเกาหลีแต่มีตัวเลขอาราบิคทำให้เราพอจะเดาได้ว่าร้านเปิดเวลาไหน นายหน้าบูดซึ่งผมคิดว่าเขาคงจะเริ่มโมโหหิวแล้ว

“มีร้านไก่ทอดอยู่ข้างหน้าซอยอะ ไปกินที่ร้านนั้นก่อนแล้วกัน”

“มีด้วยเหรอวะ ทำไมเราไม่เห็น”

ผมนึกขำอยู่ในใจ นายจะไปเห็นได้ยังไงเพราะมัวแต่มองอปป้าที่เดินสวนกันตอนลงจากรถบัส “แล้วงี้จะไปอิหร่านกันรอดมั้ยวะเนี่ย”

“รอดสิโว้ย”

ถึงจะพูดแบบนั้นไปแต่ผมกับนายเราไปเที่ยวด้วยกันตลอดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผมเดินนำหน้าพานายไปยังร้านไก่ทอดที่มีศิลปินเกาหลีเป็นพรีเซนเตอร์ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคือใครรู้แต่ว่าไก่ทอดน่าทานมาก นายสั่งอาหารทั้งทางคำพูดและภาษากาย โชคดีที่พนักงานเข้าใจทั้งหมดถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษกับเราก็ตามที มื้อแรกที่โซลเป็นไก่ทอดที่เสิร์ฟมาในตะกร้าสานใบเล็กน่ารักพร้อมกับน้ำมะนาวสีสันสวยงาม เราซัดไก่ทอดกันแบบคำต่อคำชนิดที่ไม่ได้พูดอะไรกันให้มากความ นายดูเอร็ดอร่อยกับอาหารมื้อแรกมากจนผมนึกอยากถ่ายรูปเก็บเอาไว้ แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมานายก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปผมไว้เสียก่อน

“เฮ้ย อะไรวะ” ผมคว้ามือของนายไว้ในขณะที่เจ้าตัวอมยิ้มกลั้นหัวเราะ “แอบถ่ายรูปเราเหรอ”

“เออ”

“เอามาดูหน่อย”

“ไม่ให้โว้ย”

นายขืนมือของเขาที่ถูกผมจับไว้ เรายื้อยุดกันไปมาเหมือนเด็กๆจนลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านแอบมอง ผมย่นจมูกใส่นาย ทำทีเป็นหงุดหงิดขัดใจ ผมรู้ว่าจะต้องปล่อยมือของเขาออกแต่ผมก็ปล่อยไว้แบบนั้นทำเหมือนลืมตัวทั้งที่ตั้งใจ น่าเสียดายที่ช่วงเวลานั้นกลับจบสิ้นลงเมื่อนายดึงมือตัวเองกลับออกไป ผมคิดว่าเขาคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมตั้งใจถูกเนื้อต้องตัวเพราะถ้ารู้คงจะต้องมีอาการประดักประเดิดกันบ้างล่ะ แต่นายก็ยังดูปกติอยู่เสมอ ผมหมายถึงเขาดูหน้าบึ้งเป็นปกติน่ะนะ

เรานั่งทานไก่ทอดจนหมดก่อนจะออกเดินทางอีกครั้งด้วยการเดินเท้าไปยังจุดหมายต่อไป เวลานั้นค่อนข้างสายแล้ว โชคดีที่แดดเริ่มออกมาให้เห็นผมจึงชักชวนนายถ่ายรูป เชื่อเถอะว่ากว่า 90% อัลบั้มถ่ายรูปในโทรศัพท์มือถือเป็นรูปของนาย ส่วนอีก 10% ที่เหลือเป็นรูปทัศนีย์ภาพตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะนายบ้าถ่ายรูปอะไรหรอกนะแต่เป็นผมเองที่ชอบถ่ายรูปหลายๆอิริยาบถของนายไว้เองต่างหาก บางรูปเขารู้ตัวบางรูปก็หน้าเหวอจนคิดว่าถ้าเจ้าตัวเห็นคงจะอายอยู่บ้าง ตอนนี้สถานที่เช็คอินของพวกเราก็ยังไม่ห่างจากแถวบริเวณที่พักมากนักเพราะมัวแต่ถ่ายรูปกัน ที่แห่งนี้คือคลองชื่อดังแห่งหนึ่งในโซล แต่เพราะอากาศหนาวชนิดติดลบผู้คนจึงไม่นิยมมาเดินตามริมน้ำ มีแต่พวกบ้าอย่างผมกับนายนี่แหละที่มาเดินเล่นกัน หลังจากนายถ่ายรูปให้ผมเสร็จก็ถึงตาเขาบ้าง นายเดินก้าวไปบนท่อนหินที่ยื่นพ้นสายน้ำขึ้นมาผมลองหามุมถ่ายรูปจนเจอมุมที่พอใจจึงกดถ่ายไปแบบรัวๆ แต่พอถ่ายรูปเสร็จเท่านั้นแหละนายรีบก้าวเข้ามายืนบนข้างทาง เขาดึงปกเสื้อโค้ทขึ้นมาบังหน้าก่อนจะซุกมือลงในเสื้อโค้ท ไหล่ของเขาห่อเข้าหากันด้วยความหนาว เห็นท่าทางแบบนั้นผมก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันทั้งๆที่เป็นแค่กิริยาทั่วไปไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลย

“หนาวเหรอวะ”

“หนาวสิวะ ไข่ชาไปหมดแล้วเนี่ย”

ผมหัวเราะเล็กน้อยพลางเดินนำหน้าเพื่อเดินทางต่อไป เราเดินมาถึงจุดที่ข้างบนเป็นสะพานทางข้าม บริเวณนั้นค่อนข้างมืดแต่กลับมีส่วนแสดงงานภาพศิลปะเราจึงเดินเข้าไปดู ผมได้ยินเสียงนายบ่นหนาวอยู่ด้านข้างพอหันไปมองก็เห็นใบหน้าด้านข้างที่โผล่ออกมาจากปกเสื้อโค้ทกำลังสนใจมองภาพเหล่านั้น ภาพที่แสดงไม่ได้สวยสดงดงามอะไรมากนักผมจึงไม่ได้ให้ความใส่ใจแต่กลับสนใจภาพด้านข้างของนายที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า วินาทีนั้นกว่าจะรู้ตัวก็เป็นช่วงที่เดินเข้าไปยืนใกล้นายและล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อโค้ทของเขา มือของเราต่างเย็นเฉียบ ผมสังเกตเห็นนายดูนิ่งงันไปครู่หนึ่งแต่แล้วเขาก็กลับมาเป็นปกติ

“หนาวมืออะ” ผมกำลังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แม้จะทำทีเป็นไม่สนใจว่านายจะมีความคิดเห็นอย่างไรแต่ในใจกำลังลุ้นระทึกว่าเขาจะมีท่าทีรังเกียจหรือไม่ แต่ในเมื่อนายไม่ได้แสดงกิริยาอะไรออกมาผมจึงปล่อยให้เป็นไปตามนั้น

ผมซุกมืออยู่ในเสื้อโค้ทของนายในตอนที่ดูภาพ แต่พอเมื่อออกมาในที่สว่างผมก็ดึงมือกลับทำทีเป็นสนใจจุดยอดนิยมที่คนมักชอบมาโยนเหรียญเพื่ออธิษฐานขอพรแทน

“ลองดิ” ผมบอกให้นายลองก่อนคนแรก

“ไม่ลอง เปลืองเงินอะ” นายตอบตัดฉับไร้เยื่อใยกับความหรรษาในครั้งนี้

“มาทั้งทีลองอธิษฐานดูเถอะน่า”

ผมลองตื้อดูเล็กน้อยสุดท้ายนายก็ยอมควักเหรียญ 100 วอนขึ้นมาและเดินไปยืนอยู่ตรงจุดโยนเหรียญ ผมเห็นเขาเงียบไปพักหนึ่งเพื่ออธิษฐานก่อนจะโยนเหรียญออกไป คราวนี้ถึงตาผมบ้าง ผมลงทุนหยิบเหรียญ 500 วอนออกมาโยนบ้าง อธิษฐานอยู่ในใจว่า ขอให้ผมและนายมีความสุข คำอธิษฐานเรียบง่าย ไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่ แต่ผมก็หวังเพียงแค่เท่านั้นจริงๆ หวังว่าเราต่างจะมีความสุขกับสิ่งที่ทำ กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และเมื่อมองกลับถึงอดีตที่ผ่านมาเราก็ยังจะมีความสุข

“เราอธิษฐานให้บุญด้วย...” ในตอนที่เราเดินออกมาจากบริเวณนั้นนายก็พูดขึ้น “เราขอให้บุญได้ทุนแล้วก็ขอให้ได้นอนพักอิ่มจุใจ”

สิ้นคำมีเพียงเสียงของสายน้ำในคลองที่ไหลผ่าน ก่อนที่ผมจะหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ นายอมยิ้มแต่สุดท้ายก็ยิ้มกว้างจนตาหยี ผมเอ่ยขอบคุณนายพร้อมด้วยรอยยิ้มดีใจ นึกไม่ถึงว่านายจะขออธิษฐานเรื่องนี้ให้ ที่จริงตอนนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงขอทุนจากโรงพยาบาลเพราะต้องการเรียนต่อเฉพาะทาง อีกทั้งยังมีเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับการเรียนอีกมากมายในอนาคตอันใกล้นี้ ผมจำได้ว่าเคยบ่นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นให้นายฟัง คิดมาตลอดว่าเด็กขี้เกียจเรียนอย่างนายจะไม่สนใจฟัง แต่พอมาวันนี้ผมรับรู้ได้ว่าเรื่องที่ผมเคยบ่นเคยเล่าให้เขาฟังนั้นได้ถูกรับฟังมาโดยตลอด กำลังใจจากนายในรอบนี้กลายเป็นพลังงานชีวิตให้ผมได้อีกนานแสนนาน

“รู้ป่าวว่าทำไมเราถึงคะยั้นคะยอให้นายมาเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ”

“ทำไมอะ”

“เพราะว่าหลังจากนี้เราคงจะไม่ได้เจอนายบ่อยๆแล้วไง”

นายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะหันหน้าทางผมด้วยสีหน้าที่ดูสลดลง “ยังพอจะนัดไปกินข้าวกับเราได้มั่งมั้ยอะ”

กลายเป็นผมเสียอีกที่รู้สึกสลดกับคำถามของนาย “เราหมายถึงว่าหลังจากนี้เราจะยุ่งมากๆ คงไม่ได้ไปเที่ยวไหนกับนายหลายๆวันเหมือนเดิมได้ แต่เรื่องนัดกินข้าวด้วยกันเนี่ย นัดทุกวันยังได้เลย”

นายส่งยิ้มให้ผม มันเป็นรอยยิ้มเรียบง่ายไม่มีอะไรพิเศษ สิ่งเล็กน้อยที่มาจากนายกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หัวใจของผมชุ่มชื้น เวลานี้ผมคิดว่าผมสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยรอยยิ้มของนาย ขอเพียงแค่เขายังนึกถึงผมก็เพียงพอ ขอแค่นายยังอยู่ตรงนี้มีรอยยิ้มในแบบของเขา ผมก็สุขใจเหลือเกิน











หลังจากที่เราเดินเท้าไปยังพระราชวังความหิวโหยทำให้เราต้องแวะกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เราดำเนินชีวิตกันอย่างเชื่องช้า ค่อยๆกินอาหาร ค่อยๆเดิน แวะถ่ายรูปดั่งใจต้องการ เพียงแต่ตอนนี้ผมเริ่มหงุดหงิดกับแบตเตอรี่ของโทรศัพท์มือถือที่ลดฮวบบ่อยจนน่าเขวี้ยงทิ้งเพราะอากาศหนาว แต่บ่นไปก็เท่านั้นแหละอย่างไรก็ตามผมยังไม่แม้แต่จะกล้าโยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงเลย ระหว่างที่เรานั่งกินซี่โครงวัวในร้านดังร้านหนึ่งผมก็ปล่อยให้โทรศัพท์มือถือชาร์จกับพาวเวอแบงค์ไป เป็นโอกาสของนายที่ชอบแกล้งผมด้วยการถ่ายรูปน่าเกลียดๆ อย่างตอนที่กำลังอ้าปากกินอาหารก็ถ่ายรูปเก็บไว้ หรือเปิดกล้องหน้าเพื่อถ่ายเหนียงของผมอย่างเนียนๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นช่วงเวลาวันสำคัญต่างๆ เช่น วันวิสาขบูชา นายจะเอารูปหน้าตาน่าเกลียดของผมมาตกแต่งด้วยดอกบัวและมีประโยคสั้นๆอย่าง สวัสดีวันพระ อะไรทำนองนี้แล้วโพสลงโซเชี่ยลเนตเวิคต่างๆสร้างความอับอายให้ผมเป็นอย่างมาก แต่ก็เอาเถอะเพื่อนคนอื่นของผมก็ชอบที่จะเห็นอะไรแบบนี้อยู่เสมอ

หลังจากกินอาหารกันอิ่มเสียจนต้องปลดกระดุมกางเกงออก ผมกับนายก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปยังจุดหมายถัดไป ระหว่างทางเราแวะช้อปปิ้ง แวะชิมขนมต่างๆทั้งๆที่ยังอิ่มท้อง

“ทำไมเราต้องกินจนทรมานตัวเองขนาดนี้วะ”

นายเอ่ยประโยคนั้นออกมาขณะที่ซัดขนมชูโร้กเข้าปากคำใหญ่ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายวิดิโอตอนเขาเคี้ยวขนม แก้มของนายพองออกจากการกินขนมคำใหญ่ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมแอบถ่ายรูปเขาไว้กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เคี้ยวขนมหมดและหันหน้าเพื่อบอกว่าอยากกินชาร้อนๆสักแก้ว นายโวยวายที่ถูกถ่ายวิดิโอแต่โวยวายไปก็เท่านั้นแหละพอเห็นอปป้าตัวสูงๆเดินผ่านก็เผลอมองจนลืมเรื่องอื่นไป เราออกเดินทางกันต่อ อากาศหนาวและผมก็ยังไม่ชินกับอากาศสักเท่าไหร่ พอมีลมพัดมาเท่านั้นแหละหนาวทะลุเสื้อจนนึกอยากกลับไปนอนในห้องพักที่มีฮีทเตอร์อันแสนอบอุ่น สถานที่ที่เรากำลังมุ่งหน้ากันไปนี้เป็นหมู่บ้านโบราณแห่งหนึ่งที่เส้นทางค่อนข้างจะเป็นเนินเขาชัน ด้วยความที่พวกเราไม่ใช่สายเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์พอเจอเนินเขาก็รู้สึกเหนื่อยง่าย แต่เราก็ยังเดินกันไปเรื่อยๆท่ามกลางสายลมหนาวสะท้านในโซล

ระหว่างทางในช่วงที่ผมรู้สึกเหนื่อยเปลี้ยจนแทบเดินไม่ไหว โชคดีที่เจอที่นั่งพักและโชคดีไปกว่านั้นที่บริเวณนั้นไม่มีคนนั่ง ผมรีบเดินปรี่เข้าไปทิ้งตัวลงกับแผ่นไม้ยาวที่ทำยื่นออกมา นายตามเข้ามานั่งใกล้ๆทิ้งน้ำหนักลงมาพิงตัวของผม เขาหยิบขวดน้ำออกมายกดื่มก่อนจะส่งให้ผมบ้าง เรานั่งเงียบๆอยู่ตรงนั้นด้วยความเหนื่อย ทิวทัศน์เบื้องหน้าเป็นตัวเมืองโซลที่ไม่ได้สวยงามอะไรมากนัก แสงแดดรำไรอยู่เบื้องหลังก้อนเมฆ นายเอนหัวพิงไหล่ของผม ผมจึงเอนพิงลงที่หัวของเขาบ้าง วินาทีนั้นผมสัมผัสได้ถึงเส้นผมอ่อนนุ่มของนายที่คลอเคลียอยู่ตรงแก้ม หัวใจของผมเต้นแรงกว่าเดิม ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเต้นกี่ครั้งต่อวินาที แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหัวใจของผมเต้นแรงแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่ได้ใกล้ชิดกับนาย มันอาจจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่ที่ผมเจอนายครั้งแรกในเมลเบิร์น

“นั่งเฉยๆแล้วหนาวว่ะ” หลังจากที่นั่งอยู่อย่างนั้นอีกพักหนึ่งนายก็เอ่ยประโยคนั้น ก่อนที่ไออุ่นจากตัวของเขาจะจางหายไปเมื่อนายลุกขึ้นยืน สุดท้ายแล้วเราก็เดินทางกันอีกครั้ง เราไปถึงจุดหมายแต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด บริเวณนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจและนักท่องเที่ยวเจอจนน่าเบื่อ เราจึงตัดสินใจกลับห้องเพื่อเก็บของที่ซื้อมาและพักผ่อนอีกสักนิดแล้วค่อยออกมาหาอะไรกินอีกที

เราเลือกใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อมุ่งกลับมายังที่พักให้เร็วที่สุด เวลานั้นบ่ายสองโมงกว่าแล้วเราจึงแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากินกันในห้องพัก ระหว่างนั้นผมบอกนายว่าเลือกที่จะนอนบนชั้นลอยและให้นายนอนชั้นล่าง ที่จริงแล้วห้องพักของเราสามารถนอนได้ถึงสี่คน เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องนอนเตียงเดียวกัน พอกินเสร็จปุ๊ปผมก็รู้สึกง่วงขึ้นมาทันที ผมเอนหลังอยู่บนเตียงชั้นล่างมองนายที่กำลังเก็บขยะให้เข้าที่เข้าข้าง การไปเที่ยวของผมกับนายไม่มีอะไรพิเศษ ไม่เร่งรีบเพราะเราไม่ใช่ชะโงกทัวร์ เราชอบเดินเล่นหาอะไรแปลกใหม่กิน เน้นใช้ชีวิตแบบคนพื้นเมือง เพื่อนของผมมักถามเสมอว่าได้ไปจุดนู้นจุดนี้มาหรือเปล่า บอกตามตรงแผนท่องเที่ยวของผมกับนายที่ทำไว้พอมาถึงสถานการณ์จริงๆเราไปเที่ยวตามจุดต่างๆน้อยกว่าที่เขียน แต่เน้นใช้เวลาตามจุดที่ไปให้เต็มอิ่ม ผมเคยไปเที่ยวกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยแต่ดูเหมือนพวกมันจะรีบร้อนไปตามแผนที่วางไว้จนผมรู้สึกว่ามันเหนื่อย นอกจากสไตล์การเที่ยวของนายจะเข้ากับผมได้อย่างลงตัวผมยังค้นพบอีกอย่างว่านายเป็นคนมีฝีมือในการถ่ายรูปภาพพอสมควร เราไม่มีกล้องถ่ายรูปสวยหรู มีเพียงโทรศัพท์มือถือและนายก็ใช้พรสวรรค์ของเขาในการรังสรรค์ภาพของผมออกมาได้อย่างลงตัวสวยงาม แต่ถ้าจะให้พูดตามความจริงผมชอบที่จะถ่ายรูปของนายมากกว่า ผมชอบเวลาที่เขาทำหน้าประหลาดๆใส่ ผมชอบเวลาที่เขาเข้ามาอธิบายให้ผมถ่ายภาพแบบไหน ผมชอบมองสีหน้าที่แสดงออกมาของนายในเวลาเหล่านั้น

ขณะที่กำลังสะลึมสะลือง่วงนอนเต็มทีก็เห็นนายกำลังเข้ามานอนบนเตียงเดียวกัน ผมบอกเขาว่าจะขึ้นไปนอนบนชั้นลอยตามที่ได้บอกไว้ แต่นายกลับบอกให้ผมนอนตรงนี้พร้อมๆกับพาดขาลงมาบนขาของผม ก่อนที่เราจะหลับไปในที่สุด







เราตื่นมาพร้อมความหิว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งถ้วยก่อนหน้านี้ไม่สามารถเยียวยาความหิวของผมกับนายได้เลย เราตกลงกันว่าจะไปหาอะไรกินที่ร้านหมูย่างแปดรสร้านดัง ผมจึงศึกษาเส้นทางการเดินทาง สายตาพลันเหลือบไปมองเห็นนายรื้อกระเป๋าหาเสื้อผ้าที่จะใส่ เขาวางกางเกงใน วางเสื้อต่างๆเละเทะเต็มห้องผมทนไม่ไหวจึงต้องหยิบพวกมันมาพับและวางไว้บนเตียงให้เรียบร้อย ความหนาวเมื่อกลางวันทำให้เราไม่สามารถประมาทอากาศในตอนกลางคืนได้เลย นายสวมใส่ลองจอนเสื้อยืดรัดรูปข้างในเสื้อคอเต่าสวมถุงเท้าหนา ผมมองนายแต่งตัวไม่ได้เร่งเร้าอะไร ระหว่างรอก็นั่งหาข้อมูลร้านอาหารที่อยากกิน เพียงอึดใจหนึ่งเราก็ออกมาจากห้องพักและมุ่งหน้าเดินทางไปยังบริเวณแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน พอเวลาเย็นย่ำผู้คนกลับออกมาใช้ชีวิตกันอย่างละลานตามากกว่าตอนกลางวัน แสงไฟจากร้านค้าต่างๆเปิดเรียกลูกค้า หนุ่มสาวชาวเมืองโซลออกมาเดินกันให้ขวักไขว่ ทุกอย่างดูน่าตื่นตาตื่นใจไปหมดยกเว้นก็แต่ลมหนาวที่ชอบพัดเข้ามาปะทะร่างกายนี่แหละที่ดูออกจะทรมานไปสักหน่อย

“หนาวจนไข่แข็งไปหมดแล้วโว้ย” นายพูดตอนที่เดินพ้นออกมาจากบริเวณสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ผมอมยิ้มถือโอกาสนั้นเดินเข้าไปกอดคอนายไว้ “บุญ…”

ผมเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย “ว่า”

“…ไม่มีอะไรละ”

ผมพ่นลมหายใจจากจมูกใส่นายเพื่อแกล้งเขา อากาศหนาวทำให้มองเห็นควันที่ออกมาอย่างชัดเจน อีกฝ่ายที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับนิ่งอึ้งไป แต่แล้วนายก็พ่นควันออกมาบ้าง แต่ออกมาจากปากนะผมโวยวายหันหน้าหนีและบอกว่าเขาปากเหม็น นายยังคงแกล้งผมอีก ผมจึงเอาคืนบ้าง ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันนะว่าการเล่นอะไรติ๊งต๊องแบบนี้จะสนุกกว่าที่คิดไว้

ร้านหมูแปดรสที่เราตั้งใจมากินกันนั้นคนเยอะจนต้องรอคิว กลิ่นหมูย่างเกาหลีหอมตลบอบอวลไปทั่วร้านจนผมท้องร้อง เรารอคิวอยู่พักใหญ่จนในที่สุดก็ถึงเวลาของเราเสียที พนักงานเดินนำหน้าพาไปยังโต๊ะว่าง เราถอดเสื้อเก็บไว้ใต้เก้าอี้และรีบสั่งอาหารกันอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าพนักงานจะไม่พูดภาษาอังกฤษกับเราแต่ก็เข้าใจในสิ่งที่ต้องการเป็นอย่างดี ไม่นานหมูที่เราสั่งก็มาเสิร์ฟ พนักงานสาวบริการปิ้งให้อย่างรวดเร็ว ท้องของผมร้องโครกครากตอนที่ได้ยินเสียงหมูลงนาบบนกระทะดังฉ่า เราหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้ พนักงานสาวที่กำลังย่างหมูให้เราหัวเราะออกมาเล็กน้อย เธอพูดภาษาเกาหลีใส่เราแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“what?” ผมถามเธอพร้อมกับทำสีหน้างงระดับสุด

“You two…” เธอเอาที่คีบหมูชี้มาทางผมกับนาย “dating?” ท้ายประโยคเธอทำเสียงสูงเป็นเชิงคำถาม

แม้ว่าสำเนียงภาษาอังกฤษของเธอจะฟังดูเป็นเกาหลี๊เกาหลีแต่แน่นอนประโยคง่ายแบบนั้นผมกับนายย่อมเข้าใจอยู่แล้ว บรรยากาศประดักประเดิดเกิดขึ้นทันที แต่นายกลับหัวเราะอย่างคนที่ไม่ได้คิดอะไรมาก เป็นผมนี่แหละที่คิดอะไรมากมายอยู่ในใจ

“No, we’re not dating. Just friend.” นายตอบด้วยสำเนียงไทยๆ

พนักงานสาวส่งเสียงตอบรับแบบที่คนเกาหลีชอบทำกัน เธอยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าขณะที่ย่างหมูให้เรา ทันทีที่หมูสุกเธอก็ทำการตัดเป็นชิ้นให้ก่อนจะพูดภาษาเกาหลีทิ้งท้าย ซึ่งผมเดาว่าเธอคงจะบอกให้เรากินอาหารให้อร่อย นายหยิบตะเกียบคีบชิ้นหมูเป็นคนแรก เขาดูอารมณ์ดีขึ้นหลังจากที่ได้เคี้ยวหมูคำเบ้อเริ่ม

“อร่อยว่ะ หรือเพราะเราหิววะ”

“มันอร่อยจริงๆเว่ย” ผมตอบพลางเอื้อมมือไปหยิบตะกร้าผักมาวางไว้ตรงกลางและเริ่มคีบเครื่องเคียงต่างๆใส่ผักสลัดแล้วคีบหมูมาหนึ่งชิ้น ผมห่อมันเป็นคำก่อนจะยื่นไปจ่อตรงปากของนาย เขาไม่ปฏิเสธ นายอ้าปากกว้างกินเข้าไปทั้งคำแถมยังงับนิ้วของผมไปอีกนิดหน่อย ดวงตาของเขาประกายสุขจนผมต้องยิ้มตาม คราวนี้นายห่อหมูไว้ในผักและเป็นฝ่ายป้อนผมบ้าง หมูเกาหลีนี่อร่อยจนแสงออกจริงๆ ยิ่งเวลาที่นายป้อนให้ก็ยิ่งอร่อยมากกว่าเดิม ส่วนนี้ผมไม่มั่นใจว่ามันมีความเชื่อโยงกันหรือเปล่านะ

“เรารู้แล้วว่าทำไมพนักงานถึงทักว่าเราเดทกับบุญ”

“ทำไมอะ”

“เราว่าเป็นเพราะบุญนั่งเบียดเราแบบนี้ไง อีกนิดนึงจะนั่งตักเราแล้วอะ” นายพูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง แต่ผมก็เริ่มขยับตัวออกมาเพราะกลัวว่าเขาจะอึดอัด ที่จริงผมรู้ตัวตลอดนั่นแหละว่าชอบนั่งข้างๆนายและเบียดตัวเขา ถ้านายเป็นผู้หญิงงจะเรียกว่าผมชอบแต๊ะอั๋งเขาอยู่บ่อยๆ ที่เป็นอยู่นี้คงไม่ต่างอะไรกันมาก

“รำคาญเราเหรอ”

“เฮ้ย ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”

“แล้วหมายถึงยังไงอะ” ผมรู้ว่านายไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นหรอก แต่ตอนนี้นึกอยากไล่ต้อนเขาอีกนิดพอเป็นสีสัน ตอนนายกำลังพยายามหาคำแก้ตัวนี่ก็ดูตลกไปอีกแบบ

“โห่ บุญ เราไม่ได้รำคาญบุญนะ” นายพูดพลางขยับตัวเข้ามานั่งเบียดผมแทน

“จริงเหรอ”

“เออ จริงดิ” เขาตอบแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาหยิบชิ้นหมู จัดการห่อผักทำเป็นคำ ก่อนจะยกขึ้นมาจ่อที่ปากของผม “อย่าคิดมากดิวะ เอาหมูไปปลอบใจก่อน”

ผมอ้าปากรับผักห่อหมูคำโตนั่นก่อนจะนั่งมองนายกินหมูไปอีกคำสองคำ “นาย…”

“ว่า”

“กับพี่พลนี่ยังคุยกันอยู่ป้ะ”

นายหันมาทางผมก่อนจะหยิบน้ำขึ้นมาจิบ “ไม่เคยคุยกันเลย บุญก็เห็นในไลน์แล้วนี่”

คราวนี้กลายเป็นผมเสียอีกที่นิ่งด้วยความอึ้งผสมกับงงงวย “รู้ด้วยเหรอ”

“รู้ดิ ก็ในนั้นมันค้างหน้าแชทเปล่าๆของพี่พลอะ”

“โกรธป่าววะ”

นายส่ายหน้าและคีบหมูส่งเข้าปากให้ผม “โกรธทำไมวะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

“อ้าว ก็เราเข้าไปดูไลน์ของนายไง มันเป็นเรื่องส่วนตัว”

“เราไม่มีเรื่องส่วนตัวกับบุญ” นายตอบผมนิ่งๆ ใบหน้าบึ้งตึงอันเป็นลักษณะเฉพาะไม่ได้แสดงอารมณ์อื่นใดออกมา “บุญนั่นแหละ มีเรื่องส่วนตัวอะไรกับเราหรือเปล่า”

ผมสบตากับนายโดยตรงก่อนส่ายหน้าปฏิเสธด้วยรู้ว่าความหมายนั้นคืออะไร หลังจากนั้นผมก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นและนั่งกินหมูย่างจนหมด ท่ามกลางความหนักหน่วงที่ก่อเกิดขึ้นในหัวใจของผมเอง

หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ Seoul P.2 (20-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 20-10-2018 23:02:33



โซจูยอดนิยมรสพีชหวานๆแบบที่สาวๆน่าจะชอบดื่มกันนั้น สร้างความวิบัติเล็กๆขึ้นให้แก่ผมกับนายพอควร ในมื้ออาหารเย็นนี้เราปิ้งหมูไปพลางดื่มโซจูหลากรส จนมาชิมรสพีชที่ดื่มง่ายและพบว่ามันคล่องคอมากเกินไปจนถลำลึกไปสักหน่อย ผมไม่ได้ตั้งใจจะเมาเลยนะ แต่ของมันต้องดื่มต่อเนื่องแล้วจะอารมณ์ดี หลังจากออกมาจากร้านหมูย่างเราก็ซื้อโซจูติดมือกันมาคนละขวด และตกลงกันว่าจะตรงดิ่งกลับห้องเพราะรู้ตัวว่าเริ่มเมา แต่ดูเหมือนบรรยากาศรอบข้างในกรุงโซลกำลังลวงคนเริ่มเมาอย่างพวกเราให้เถลไถลตลอดทาง จนตอนนี้เราก็มานั่งอยู่บนเก้าอี้เปียโนที่ตั้งไว้อยู่ใต้ตึกสักแห่งใกล้ๆบริเวณทางเดินไปรถไฟฟ้าใต้ดิน ผมรื้อฟื้นความทรงจำในสมัยเด็กที่เคยเรียนเปียโน ตอนนั้นรู้สึกว่าการเนเปียโนไม่ใช่ตัวเองสักเท่าไหร่ก็เลยเลิกเรียนไป แต่เพราะความเมาทำให้ผมคะนองมากกว่าปกติก็เลยมานั่งเล่นเปียโนด้วยเพลงกะโหลกกะลา แถมยังโน้ตเพี้ยนอีกต่างหาก กระนั้นมันกลับสร้างความสำราญให้กับนายอย่างคาดไม่ถึง นายหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังขณะที่บันทึกวิดิโอ เพลงที่ผมเล่นอยู่คือเพลง Old MacDonald Had A Farm ในแบบฉบับง่ายๆที่ค่อนข้างสนุกสนานอยู่สักหน่อย เราพยายามร้องเลียนเสียงสัตว์แบบในเพลง แต่ดูเหมือนมันจะยากสำหรับคนไทยอย่างพวกเรา แต่สุดท้ายพอจบเพลงนายก็ปรบมือขณะที่ผมกลั้นขำและทนไม่ไหวก็ระเบิดหัวเราะลั่นตามๆกันไป แต่แล้วผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงหันกลับมา วางมือลงบนแป้นโน้ต และเล่นเพลงที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอยากจะเล่นให้ใครฟัง

“F A D C B♭ F G C
B♭ C D G F C F
F A D C B♭ F G C
B♭ C D G F C F”

ผมรู้ว่านายรู้ดีว่าเพลงนี้คือเพลงของใคร ฝีมือเล่นเปียโนบีกินเนอแบบผมคงไม่ได้แย่จนฟังไม่ออกหรอกว่าโน้ตที่บรรเลงลงไปนี้คือเพลงอะไร ถึงผมจะเล่นไปแค่ท่อนเดียวบรรยากาศหนึบๆมันก็กลับมาจนได้ นายทำหน้าไม่ถูกในตอนที่ผมเล่นจบ เขามองผมด้วยสายตานิ่งเฉยเหมือนปกติ ผมสังเกตเห็นเกล็ดหิมะเริ่มตกลงมาแต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังนิ่งเงียบกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่นายจะเอ่ยปากชวนกลับห้อง


Wise men say only fools rush in
But I can't help falling in love with you
Shall I stay?
Would it be a sin
If I can't help falling in love with you?





เรามาถึงห้องพักด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน หิมะตกทำให้อากาศอุ่นขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ยังเย็นจนหน้าชา ผมรู้สึกอยากจิบอะไรร้อนๆให้ชุ่มคอจึงชวนนายไปเดินหาร้านคาเฟ่รอบๆบริเวณที่พักก่อนจะกลับขึ้นห้อง เราต่างไม่มีข้อมูลใดๆเกี่ยวกับร้านคาเฟ่ของที่นี่เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาเกือบสามทุ่มจะยังมีร้านไหนเปิดบริการอยู่อีกหรือไม่ แต่ปรากฏว่าไม่มีคาเฟ่เปิดในย่านนี้ มีเพียงร้านชานมไข่มุก ร้านไก่ทอด และร้านปิ้งย่างต่างๆ ประกอบกับในตอนนั้นหิมะเริ่มตกหนักและผมก็ไม่อยากเสี่ยงเป็นหวัดจึงชวนนายเข้าร้านสะดวกซื้อแทน นายหยิบโซจูกับเบียร์กระป๋องเป็นอันดับแรก ส่วนผมก็หยิบขนมกรุบกรอบต่างๆ พอขึ้นมาถึงห้องพักนายปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผมเปิดฮีทเตอร์ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลในห้องน้ำไม่นานนักนายก็ออกมาในชุดพร้อมนอนและหัวเปียกๆ เห็นอย่างนั้นผมจึงเข้าห้องน้ำไปจัดการกับร่างกายที่รมควันหมูย่างบ้าง หลังจากได้สระผมอาบน้ำแบบรวดเร็วก็สบายตัวขึ้นมาทันที ออกมาจากห้องน้ำก็เห็นนายกำลังนอนดูรายการเพลงศิลปินเกาหลี ผมเดินไปนั่งที่ปลายเตียงเพื่อเช็ดผมให้แห้งแต่อยู่ๆก็มีอะไรอุ่นๆซุกเข้ามาใต้แขน เป็นเท้าของนายที่กำลังวางพาดลงบนหน้าขาของผม

“เห็นเราเป็นที่วางขาเหรอ” ผมเอ่ยถามแบบไม่จริงจังอะไรมากนัก นายเงียบไม่ได้ตอบอะไรซึ่งผมก็ว่ามันเป็นเรื่องปกติ หลังจากที่ผมแห้งแล้วผมก็พาดผ้าขนหนูไว้บนเก้าอี้ใกล้ๆก่อนจะล้มตัวลงนอนพาดทับตัวนาย รายการโทรทัศน์กำลังฉายภาพนักร้องชายที่ร้องเพลงคู่กับนักร้องผู้หญิง ผมไม่รู้จักพวกเขาจึงคว้ารีโมตมาเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ “นาย”

“ว่า”

“ตกลงว่านายกับพี่พลนี่ยังติดต่อกันอยู่หรือเปล่า”

“ไม่ได้ติดต่อด้วยเลย”

ผมคาดไว้ว่านายอาจจะยังรู้สึกบางอย่างกับพี่พล แต่น้ำเสียงและใบหน้าของเขากลับดูสบายๆมากกว่าที่คิด “แล้วในไลน์อะ”

“ในไลน์ทำไมวะ”

“ก็ยังเห็นมีคอนแทคของพี่เค้าอยู่”

“อ๋อ ก็แอดไอดีของพี่พลไว้นานแล้ว แต่ไม่เคยคุยด้วยเลย

ผมนึกอยากถามอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ลบไลน์ของพี่พลออกไป แต่นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมมีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรทำนองนั้นออกไปหรือเปล่า

“มีอะไรหรือเปล่าบุญ”

“เรา… อยากรู้ว่านายยังชอบพี่พลอยู่หรือเปล่า”

“ก็ยังชอบอยู่นะ เค้าเป็นรุ่นพี่ที่ดี”

คำตอบนั้นทำให้ผมรู้สึกหนักหน่วงขึ้นมาในใจอีกครั้ง ไม่น่าไปถามให้ตัวเองเจ็บเลยจริงๆ

“ตอนไฟนอลปีสาม ถ้าไม่ได้พี่พลติวให้เราคะแนนไม่ดีแน่ๆ”

ผมเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทั้งๆที่ผมอยากช่วยเขาเรื่องเรียนให้มากกว่านี้แต่ดูเหมือนตัวผมเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดกับการเรียนหมอด้วยซ้ำ

“บุญ เราเมื่อยว่ะ”

“เออๆ โทษที เรานอนเพลินเลย” ก็น่าจะเมื่อยอยู่หรอกโดนผมนอนทับตัวแบบนั้น “เราขึ้นไปนอนละ”

“นอนข้างล่างนี่แหละ ข้างบนฮีทเตอร์น่าจะอุ่นไม่พอ” เขาบอกแล้วลุกขึ้นไปปิดไฟกลางห้องทันที ผมนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง คราวนี้ขยับเข้าไปด้านนอนด้านใน ส่วนนายก็กำลังล้มตัวลงนอนพลางบ่นเมื่อยขาอะไรไปเรื่อยเปื่อย

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรานอนด้วยกัน แต่เป็นครั้งแรกที่เรานอนด้วยกันหลังจากความรู้สึกภายในใจของผมชัดเจนขึ้น ที่จริงตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอเขาในเมลเบิร์นผมก็พอรู้ตัวว่านายคือคนพิเศษ เขาเป็นคนมีใบหน้าบึ้งตึงแต่เวลายิ้มทีเหมือนโลกทั้งใบมันช่างสวยงาม เขาอาจจะดูเหมือนเป็นคนโดดเดี่ยวและไม่สนใจใครมากนัก แต่เมื่อลองได้รู้จักนายจะเป็นคนจับสังเกตความรู้สึกต่างๆของคนอื่นได้ดี และเป็นเขานี่แหละที่มักคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าใคร เขาไม่ใช่คนที่ชอบแสดงออกแต่เวลาที่เขาแสดงมันออกมาแต่ละครั้งก็ตรงไปตรงมาจนทำให้ผมผงะไปหลายครั้งอยู่เหมือนกัน นายไม่ใช่คนดีที่สุดหรือวิเศษที่สุดเท่าที่ผมเจอมา เขามีมุมเฉยชาและบางทีก็เป็นคนขี้เกียจจนน่าโมโห แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราถึงสามารถไปไหนมาไหนหรือใช้ชีวิตด้วยกันนานๆได้ขนาดนี้ อาจจะคิดว่าผมเพ้อเจ้อต่างๆนะ แต่ผมบอกแล้วยังไงว่าเขาคือคนพิเศษของผม ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ขยับตัวแบบไหน นายก็คือคนพิเศษของผม

ผมรับรู้สิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองมาโดยตลอด แต่ไม่เคยพูดสักครั้ง อาจจะมีบ้างที่ผมใช้ความเป็นเพื่อนเพื่อเข้าถึงตัวของนาย (มากกว่าชนิดที่ชาวเดอะแก๊งส์ไม่คิดจะทำ) แต่ผมก็ไม่เคยพูดให้ชัดเจน ผมคิดว่านายคงไม่ได้ชอบผมในแบบนั้น ตลอดเวลาเขาคุยเรื่องส่วนตัวกับผมและรู้สึกได้เลยว่ามีเรื่องของพี่พลนี่แหละที่นายแสดงมันออกมาชัดเจนมาก มันรวดเร็วและส่งผลทางความรู้สึกมากอยู่พอควร ผมไม่เคยซักถามเรื่องนั้นเพราะผมไม่ต้องการรู้รายละเอียด ที่ผมอยากรู้คือความรู้สึกของนายก็เท่านั้นแหละ ผมไม่สนใจเรื่องของพี่พลเลย มีแค่นายเท่านั้นที่สามารถสร้างผลกระทบต่างๆให้กับผมได้ กระนั้นไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เคยชอบใคร เคยทำอะไรมา และแม้จะหน่วงๆในอกไปหน่อยที่รู้ว่าเขายังชอบคนอื่นอยู่ แต่ไม่เป็นผมยังอยู่ได้และนายก็ยังเป็นคนพิเศษสำหรับผมเสมอ

“บุญ”

“อืม” รู้ตัวอีกทีโทรทัศน์ก็ปิดไปแล้ว ห้องทั้งห้องมีแต่เสียงทำงานของเครื่องฮีทเตอร์

“ทำไมถึงถามเราเรื่องพี่พลอะ”

ผมขยับตัวหันไปทางนาย รู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาจ้องมาทางผมก่อนอยู่แล้ว “ก็อยากรู้เฉยๆ”

“มันไม่มีอะไรแล้วจริงๆนะ”

“อ้าว แต่นายยังชอบเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ชอบอะ บอกไม่ถูกเหมือนกัน”

“ยังไงวะ”

“อธิบายไม่ถูก คงแบบเป็นไทป์ที่ชอบมั้ง” เงียบกันไปพักหนึ่งนายก็ขยับตัวเปลี่ยนท่านอนด้วยการเอาขามาพาดบนขาของผม “ว่าแต่บุญเถอะ ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นบุญพูดถึงเรื่องคนที่ชอบเลย เรียนหมอไม่มีเวลาขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“เวลาน่ะมี”

“แล้วคนที่ชอบอะ”

ผมเงียบ เป็นอีกครั้งที่ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดีแม้ในใจจะอยากพูดมันออกไปแทบตาย “ไม่มีว่ะ”

คราวนี้นายขยับตัวลุกขึ้นนั่งและมองมาที่ผมอย่างเปิดเผย “แล้วบุญไม่ได้ชอบเราเหรอ”

นั่นไง สุดท้ายนายก็พูดมันออกมาจนได้ ผมแทบจะอ้าปากค้างเมื่อได้ยินประโยคนั้นและเป็นอีกครั้งที่ผมเลือกที่จะนิ่งเฉยไม่พูดมันออกมา เพราะถ้าพูดออกไปมันจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกแน่นอน

“เราสงสัยมานานแล้วว่าบุญชอบเราหรือเปล่า”

“…………..”

เมื่อผมไม่ตอบนายจึงเงียบ แต่ผมยังรู้สึกได้ว่าเขากำลังจ้องมองเพื่อรอคอยคำตอบ จนสุดท้ายนายก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่ “อยากบุหรี่ เดี๋ยวกลับมา” เขาบอกผมขณะที่ใส่เสื้อโค้ท

ประตูห้องปิดลงพร้อมกับที่ผมถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ อย่างที่เคยบอกไปนายสามารถจับความรู้สึกของคนอื่นได้ดีเป็นพิเศษ แต่ผมไม่คิดว่าจะรู้เรื่องของผมอย่างชัดเจนจนถึงขนาดเอ่ยปาก ผมไม่นึกโทษตัวเองที่แสดงหลายสิ่งหลายอย่างออกมานะ มันเลยจุดที่จะมานั่งเสียใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมตั้งใจจับมือของนายในตอนที่ยืนดูงานแสดงภาพที่หอศิลป์แล้ว ผมคิดมาตลอดว่านายก็คงรู้สึกบ้างแหละกับการกระทำของผม มีหลายครั้งที่นายเหมือนจะพูดมันออกมา แต่เมื่อไม่มีใครพูดทุกอย่างจึงเป็นไปตามที่เคยเป็นมา หากวันนี้ทุกอย่างกลับชัดเจนจนคิดว่าไม่น่ากลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ผมจึงพยายามทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ในเมื่อนายพูดออกมาแจ่มแจ้งถึงขนาดนี้แล้วผมยังจะสามารถเมินเฉยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีกจริงเหรอ ผมจะยังแกล้งทำเป็นเนียนเข้าถึงตัวนายอย่างที่ผ่านมาได้อีกเหรอ ความรู้สึกประหลาดๆระหว่างเราจะยังคงสืบต่อไปไม่จบสิ้น สุดท้ายแล้วคนเราก็ต้องมีจุดเปลี่ยนและผมก็กำลังทำมันให้ชัดเจนขึ้น






ผมเดินไปหานายที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงบริเวณสะพานข้ามคลองใกล้บริเวณที่พัก หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ลมแรง และอากาศหนาวจนผมตัวชา พอเข้าไปยืนอยู่ด้านข้างผมก็เงียบไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดอะไรก่อนดี

“ขอบุหรี่ตัวนึงดิ”

นายยื่นบุหรี่ให้โดยไม่ได้พูดอะไร มันเป็นบุหรี่รสเดิมเหมือนที่นานๆทีเราจะสูบกัน ผมเคยโดนถามว่าเรียนหมอทำไมถึงสูบบุหรี่ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าให้ตอบตามตรงผมเองก็หาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็รับสิ่งนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แม้จะไม่ได้ติดมันหนักมากแต่ก็สูบเกือบทุกวัน จะว่าไปมันก็ประหลาดอยู่เหมือนกันนะที่คนเรียนหมอแบบผมมักโดนคนรอบข้างตัดสินว่าเป็นคนรักสุขภาพ ทั้งๆที่ผมยังไม่เคยพูดอะไรออกมาสักคำ

“คบกับเรามั้ย”

คำถามนั้นเรียกความสนใจจากนายจนมือของเขาที่ถือบุหรี่อยู่ถึงกับชะงัก ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ ก้มหน้าลงและจับใบหน้าของนายให้หันมาก่อนจะจูบบนริมฝีปากเย็นๆของเขา ไม่มีเหตุผลอะไรอีกแล้วกับการกักเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ แต่แล้วในช่วงที่นายเบี่ยงหน้าออกหัวใจของผมแทบจะแตกสลาย ไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงเสียงลมหวีดหวิว และนี่อาจจะเป็นคำตอบจากนาย ผมกำลังคิดจะขอโทษนาย กำลังคิดว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์ประดักประเดิดแบบนี้ เพียงแต่นายกลับเป็นคนพูดขึ้นก่อนคนแรก และหัวใจที่เหมือนจะปวดตายอยู่นั้นกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมา

“บุญบ้าป่าววะ ยังมีคนอื่นเดินเยอะแยะเลยนะเว่ย”

ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวก่อนจะเข้าไปยืนใกล้ๆจนชิดกับตัวของนายอีกครั้งด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ “เป็นแฟนเรานะ”

นายสบตาผมแล้วยิ้มกว้าง ริมฝีปากเย็นๆของเราสัมผัสกันอีกครั้งภายใต้เสื้อโค้ทตัวใหญ่ของผมที่ถูกดึงขึ้นมาคลุมส่วนบน ผมไม่สนว่าจะมีใครมองพวกเรา ผมไม่สนว่าพวกเขาจะพูดอย่างไรกัน ผมสนใจแค่ที่ตอนนี้ผมได้จูบกับนาย จากความรู้สึกที่ชัดเจนและซื่อตรง ผมสนใจแค่เวลานี้ความรู้สึกของผมได้รับการตอบรับ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วจริงๆ



และนั่นเป็นครั้งแรกที่เราจูบกัน กลางสายหิมะโปรยปราย ในกรุงโซล เกาหลีใต้



************************************

 :mew1:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Melbourne P.2 (17-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Pupay ที่ 21-10-2018 00:09:37
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วให้อารมณ์เรียลๆ
รออ่านตอนพิเศษหวานๆของหมอบุญกะน้องนายเยอะๆนะคะ
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Seoul P.2 (20-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: mew.kani ที่ 21-10-2018 17:39:50
อยากให้มีตอนพิเศษของหลายๆเมืองเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวของทั้งสองหนุ่มนะคะ

ละมุนนน ดีต่อใจสุดๆๆ  :-[
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Seoul P.2 (20-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-10-2018 11:07:57
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Seoul P.2 (20-Oct-18)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 31-10-2018 00:54:07
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ Bangkok P.2 (02-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 02-11-2018 11:11:24
ตอนพิเศษ Bangkok



ในคืนนั้นผมรู้สึกตัวตอนที่นายเดินเข้ามาจูบที่หน้าผาก แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมาเพื่อทักทาย กลิ่นน้ำหอมของเขาติดอยู่ที่ปลายจมูกก่อนจะจางหายไป

หลังจากขอคบหากับนายในสถานะคนรักเมื่อปลายปีที่แล้ว นานพอควรกว่าเราจะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันที่คอนโดมิเนี่ยมแห่งนี้ เขาทำงานเกี่ยวกับโปรดักชั่นส์ ออกต่างจังหวัดบ่อย บางทีก็ออกไปทำงานตั้งแต่ตีสี่ตีห้า แต่ถึงจะดึกแค่ไหนนายก็จะกลับมานอนที่ห้อง ส่วนผมกำลังอยู่ในช่วงเรียนต่อเฉพาะทาง ที่จริงผมแทบจะกินนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ก็มีบ้างที่ได้ออกมาใช้ชีวิตของตัวเอง แต่พอถึงเวลาจริงๆผมกลับนอนหลับเหมือนซ้อมตายเสียมากกว่า ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้รักกับนาย เขาเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ เขาเข้าใจว่าผมตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้อย่างไร ผมโชคดีแต่เป็นนายนี่แหละที่โชคร้าย เวลาของเรามีน้อยมากและส่วนมากผมก็เอาตัวแทบไม่รอดจากการอยากนอนพักผ่อน นายบ่นแต่ก็เป็นเขานี่แหละที่ดูแลผมมาตลอด

นายกลับเข้ามาแล้วคราวนี้มีกลิ่นสบู่ของเรา ผมสัมผัสได้ถึงแรงยวบยาบบนเตียงจากเขาที่กำลังเอนตัวลงนอน ผมอยากตื่นขึ้นมาเพื่อถามไถ่นายว่าทำงานเป็นยังไงบ้าง ผมอยากถามเขาว่าอาหารที่กองถ่ายฯอร่อยมั้ย แต่สิ่งที่ทำได้และคิดว่าน่าจะพอทดแทนคำถามเหล่านั้นนั่นก็คือการเอื้อมมือไปคว้าตัวของเขามากอดไว้ ไออุ่นของนายทำให้ผมหลับลึกลงอีกครั้ง




ผมตื่นขึ้นมาในตอนสาย คิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าในวันว่างผมจะพานายออกไปข้างนอก และตอนนี้กำลังคิดว่าจะพานายไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้ากลางเมืองทั่วๆไป กินข้าวดูหนังซื้อของซื้อหนังสือและกลับห้องไม่มีอะไรพิเศษไปกว่านั้น ผมล้างหน้าแล้วเดินออกมาจากห้องนอนก็พบนายที่กำลังเปิดคอมฯเพื่อทำงานอยู่ในห้องนั่งเล่น นอกจากจะทำงานประจำในบริษัทโปรดักชั่นส์แล้วนายยังรับงานพิเศษเกี่ยวกับโฆษณาอะไรสักอย่างที่ผมไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมเดินไปหยิบขวดน้ำก่อนจะเดินกลับมานั่งอยู่ด้านหลังนาย ยอมรับเลยล่ะว่าตัวเองขาดความอบอุ่นผมชอบที่จะสัมผัสนาย ไม่ว่าจะสัมผัสแบบไหนผมก็ชอบทั้งนั้น นายเอนตัวลงพิงผมแต่มือยังคงทำงาน เขาใช้โปรแกรมสากลอย่างอิลัชสเตรเตอร์ ผมได้แต่มองและจูบกอดนายให้หายคิดถึงแต่ก็ไม่ได้ลุ่มลามจนเขาทำงานไม่ได้

“หิว ออกไปหาอะไรกินกัน” ผมเอ่ยเสียงแผ่วขณะที่เกยคางไว้บนไหล่ “ไปสยามกันมั้ย”

“ไม่ไป” นายตอบเรียบๆดูท่าทางจะมีสมาธิกับงานมากกว่าจะสนใจผม

“ทำไมอะ”

“เราเหนื่อย เพิ่งกลับมาถึงนี่ตอนตีสอง ต้องตื่นมาแก้งานอีก”

สิ้นคำผมก็เลิกตื้อ นั่งมองเขาทำงานอยู่สักพักก็ลุกขึ้นไปหาอะไรในตู้เย็นกินโดยไม่ลืมที่จะถามไถ่ว่านายจะกินด้วยหรือเปล่า ผมทำอาหารง่ายๆอย่างเบค่อนทอดกับไข่คน แกะกล่องสลัดที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ตใส่ชาม เมื่อทุกอย่างพร้อมนายก็ปรี่เข้ามานั่งกินอาหารเช้าด้วยกัน ผมฟังนายบ่นเรื่องงานนิดหน่อยก่อนจะเล่าเรื่องงานของตัวเองให้ฟังบ้าง แปลกอยู่เหมือนกันนะทั้งๆที่เราทำงานกันคนละแขนงแต่กลับมาเล่าเรื่องงานให้ฟังกัน บอกตามตรงว่าถ้าไม่มีนายผมก็ไม่รู้ว่าจะเอาแรงใจแรงกายจากไหนมาเติมเต็มให้ชีวิต ผมตั้งเป้าหมายไว้ก็จริงแต่ความเหน็ดเหนื่อยที่จะต้องขวนขวายเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาก็พรากเอาเวลาส่วนตัวไปจนแทบจะหมด ผมต้องเรียนและทำงานไปพร้อมๆกัน โดนด่าเช้าเย็น ได้นอนวันนึงสามสี่ชั่วโมง บางวันก็แทบไม่ได้นอนถ้ามีเคสหนักๆเข้ามา นายเป็นเหมือนแรงกายแรงใจ การได้อยู่กับเขาเพียงแค่ไม่กี่นาทีกลายเป็นเชื้อเพลิงให้ผมได้ทำงานและเรียนต่อได้ ผมอยากเอาใจใส่ดูแลเขาให้มากกว่านี้ อยากมอบเวลาของตัวเองให้เขาด้วยการพาไปเที่ยวต่างประเทศอย่างที่เราชอบกัน นอกเหนือจากความเหนื่อยสิ่งที่แย่ที่สุดก็คือผมไม่มีเวลาเลย และมันก็แย่ลงไปอีกเมื่อนายปฏิเสธในการเข้าเมืองเพื่อไปหาอะไรกินกันอย่างที่ทำอยู่เมื่อครู่นี้

“แล้วนี่จะออกกองอีกเมื่อไหร่”

“วันอังคารที่จะถึงเนี่ย”

“ไปที่ไหน”

“น่าจะสุพรรณนะ” นายตอบแล้วตักเบค่อนชิ้นใหญ่กินเต็มปากเต็มคำ “แล้วบุญจะต้องไปนอนที่โรงพยาบาลอีกป้ะ”

“ช่วงนี้ไม่มี เราว่างสองวัน” ถึงจะบอกไปแบบนั้นแต่ผมก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมทุกเมื่อหากมีเคสด่วนเข้ามา แต่ขอคิดไปในทางที่ดีก่อนแล้วกันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น “เราอยากดูหนังอะ นายไปกับเรานะ”

เขามองผมด้วยสายตานิ่งเฉย แต่ปากกำลังขบเคี้ยวอาหารไม่หยุด

“ออกไปเถอะ เราอยากกินเนื้อย่างด้วย”

เคี้ยวอาหารเสร็จนายก็ยกน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ “เราอยากนอนว่ะ”

คำตอบที่ได้ทำให้ผมเลิกตื้ออีก ผมนั่งกินอาหารต่อเงียบๆไม่พูดไม่เอ่ยอะไร รู้สึกน้อยใจเหมือนกันนะที่นายปฏิเสธ ผมอยากใช้เวลาทำกิจกรรต่างๆกับเขาให้มากที่สุดเพราะตัวผมเองก็บอกเวลาที่แน่ชัดไม่ได้ หน้าที่การงานของผมคาดเดาอะไรไม่ได้สักอย่าง งานของผมเป็นประเภทแบบห้ามสาย ห้ามลา ห้ามตายเลยก็ว่าได้ พอมีเวลาตรงกันขึ้นมานายก็กลับปฏิเสธเสียอย่างนั้น แต่เพราะผมก็พอจะเข้าใจนายบ้างอยู่เหมือนกันว่าเขาเองก็ตะลอนออกกองไปที่นู่นที่นี่ไม่ได้ว่างเว้น การเดินทางไปที่ต่างๆก็เหนื่อยพอควร ไหนจะต้องทำงานพิเศษนั่นอีก ผมเคยถามว่าทำไมถึงจะต้องทำงานพิเศษเพิ่มทั้งๆที่ตัวเองก็มีงานประจำแล้ว เขาบอกว่าอยากได้เงิน พอผมตอบไปว่าถ้าเงินไม่พอก็ให้มาใช้ของผมได้ นายปฏิเสธผมด้วยสีหน้านิ่งเฉยแต่ผมกลับรู้สึกได้ทันทีว่าเขากำลังไม่พอใจ พอจี้ถามไปอีกนายก็เงียบไม่คุยกับผมไปหนึ่งวันเต็ม ผมเคารพนายในส่วนนั้นแต่แค่อยากให้เขาพึ่งพาผมมากกว่าที่เป็นอยู่อีกสักหน่อย การได้แบ่งรับภาระหรือร่วมทุกข์กับนายอาจจะเป็นสิ่งที่ผมปรารถนาเพื่อย้ำเตือนว่าเรายังเป็นคนรักกัน เหตุการณ์ตอนนั้นมันไม่ใช่ว่านายเงียบแล้วไม่คุยด้วยเลยสักคำนะแต่เป็นการถามคำตอบคำ และผมก็อึดอัดกับสถานการณ์นั้นมาก เรากลับมาคุยกันเพราะตอนนั้นผมต้องไปค้างที่โรงพยาบาลหลายวัน ผมบอกเขาไปตามตรงว่าไม่อยากให้ระหว่างเรามีเรื่องขุ่นเคืองใจกันในระหว่างที่ผมไม่ได้กลับมานอนที่ห้อง และเพราะไม่อยากเผชิญสถานการณ์นั้นอีกผมจึงพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ซักไซ้จุกจิก แม้ในใจจะอยากเขย่าคอนายแล้วบังคับให้ทำในสิ่งที่ผมต้องการก็ตามที

“บุญไม่อยากอยู่กับเราเหรอ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “หมายถึงยังไง”

“ก็บุญพยายามออกไปข้างนอกอะ”

“ทำไมอะ”

“ช่างเถอะ”

สถานการณ์ดูแย่ลงกว่าที่คิด ผมเหนื่อยและเพลียร่างเกินกว่าจะพูดอะไรอีก เขาน่าจะเข้าใจนะว่าการออกไปข้างนอกของผมมันหมายถึงการได้ร่วมใช้เวลาทุกเสี้ยววินาทีด้วยกัน “ถ้านายอยากนอนก็ตามสบาย เราออกไปคนเดียวได้”

“…….....”

ผมลุกขึ้นเดินเอาจานไปวางไว้ในอ่างล้างจานก่อนจะเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำและเตรียมตัวออกไปข้างนอกอย่างที่ได้พูดไว้ นานๆจะได้อยู่ด้วยกันทั้งทีแทนที่จะอยากทำอะไรต่อมิอะไรด้วยกันแต่นายกลับมาห่วงนอนมันทำให้ผมหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยเลย ผมออกมาจากห้องน้ำเป็นช่วงที่นายเดินกลับเข้ามาพอดิบพอดี เราสบตากันช่วงครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะไปรื้อค้นหาเสื้อผ้าใส่

“นัดใครไว้รึเปล่า”

“เปล่า” หลังจากผมตอบนายไปก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ผมยังคงแต่งตัวไปตามปกติจนเสร็จ แต่ตอนที่กำลังจะก้าวพ้นออกนอกประตูห้องนอนผมก็หันหลังกลับไปมองอีกฝ่ายที่ยังยืนอยู่ที่เดิม “จะเอาขนมอะไรมั้ย”

นายส่ายหน้าปฏิเสธพลางเอื้อมมือไปคว้าผ้าขนหนูและเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ “บุญรอเแป้บนึง เดี๋ยวเราไปด้วย”






สุดท้ายนายก็ออกมาสยามกับผม พอมาถึงที่หมายเราพากันไปดูรอบหนังและซื้อตั๋ว ที่จริงผมสามารถซื้อตั๋วหนังได้จากแอพพลิเคชั่นเลยด้วยซ้ำแต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ถึงได้อยากมาเลือกดูรอบหนังพร้อมกับนาย ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะสีหน้าเวลาที่นายกำลังขบคิด คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ตาหรี่ลงเพราะพยายามอ่านตัวหนังสือ ทุกอย่างผมชอบที่จะมองสีหน้าของเขา นายจ่ายเงินค่าตั๋วหนังเสร็จเขาเดินออกมาพร้อมกับใบหน้าบึ้งตึง

“เป็นอะไรวะ”

“คนก่อนหน้านี้ดิ แม่ง ปัญหาเยอะ แค่ซื้อตั๋วจากตู้มันจะไปยากอะไรวะ”

ผมโอบคอของนายด้วยความเคยชินขณะที่ลงบันไดเลื่อนเพื่อเดินไปหาอะไรกิน “เค้าอาจจะไม่ชินกับตู้อัตโนมัติไง เรายังโง่เลยอะ เงอะงะไปหมด”

“โห ถ้าบุญโง่นี่เราจะยังไงวะเนี่ย”

“ยังไงอะไรวะ”

“ก็คนเรียนหมอฉลาดนี่หว่า ถ้าบุญบอกว่าตัวเองโง่นี่ เราคงสมองทึบ”

“คนเรียนหมอไม่ได้ฉลาดนะเว่ย นู่น พวกเรียนวิทยาศาสตร์ดิ ฉลาดจริง”

“อ้าว จริงเหรอ”

ผมพยักหน้ารับขณะที่เดินไปยังร้านที่ขายดีวีดีหนัง “อันนั้นมันเจาะลึกอะ ถ้าหัวไม่ดีจริงเรียนไม่ไหวหรอก จริงๆแต่ละสาขาในนั้นมันก็ไปต่อยอดทางอื่นได้นะ ไปทางหมอก็ได้ ไปทางวิศวะก็ได้”

“เรานึกว่าคนเรียนหมอนี่ต้องหัวดีมากกว่าคณะอื่นๆนะ” นายหยิบแผ่นหนังดูไปเรื่อยเปื่อย กลายเป็นว่าตอนนี้บรรยากาศมึนตึงหายไปแล้ว

“มันก็ส่วนนึงอะ เรียนหมอต้อง EQ ดีหน่อย ส่วนพวกเรื่องเรียนก็เน้นจำเยอะๆ อ่านเยอะๆ ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา”

“อะไรวะ เรียนตั้งหกปีแล้วนะ”

“เป็นหมอก็เรียนไปตลอดชีวิตนั่นแหละ ร่างกายมนุษย์มีอะไรให้เรียนรู้ได้อีกเยอะ” ผมกล่าวด้วยไม่คิดอะไรมาก แต่นายกลับหันมาและยิ้มมุมปาก “ยิ้มอะไรวะ”

“ทำมาเป็นเท่นะครับคุณบุญ” เขายักคิ้วกวนอารมณ์ก่อนจะยิ้มออกมาจนตาหยี “เราหิวแล้วอะ ไปหาอะไรกินกันเถอะ”

ผมค้างไปชั่วขณะหนึ่ง สรุปเมื่อครู่นี้นายชมผมว่าเท่ใช่ไหมนะ






รอบหนังที่เราซื้อตั๋วมานั้นเป็นรอบประมาณหนึ่งทุ่มเพราะฉะนั้นเราจึงมีเวลาเดินเล่นอีกหลายชั่วโมง ร้านอาหารที่เรามากินกันนั้นก็ตั้งอยู่ในห้างนั่นแหละ แต่เพราะตัวร้านอยู่ด้านหลังของห้างจึงทำให้ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก และเราก็เลือกที่จะนั่งบนชั้นลอยซึ่งไม่มีลูกค้าคนอื่นอยู่ด้วยเลยยิ่งทำให้ดูเป็นส่วนตัวมากขึ้นไปอีก ผมบอกให้นายสั่งอาหารเผื่อด้วยเพราะขี้เกียจเลือก จะว่าไปมันมักจะเป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้งที่ผมนึกไม่ออกว่าจะกินอะไรและโยนให้นายสั่งอาหารให้ โชคดีที่ผมกินอะไรก็ได้ส่วนนายก็เลือกมาได้ถูกใจทั้งนั้น ระหว่างที่รออาหารผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปนายตอนที่เขากำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ เจ้าตัวยังไม่รู้ว่าโดนถ่ายรูปผมได้ใจก็เลยเปิดกล้องหน้าและยื่นไปถ่ายมุมเสยอย่างที่ชอบทำ นายเหลือบตาขึ้นมามองแล้วอมยิ้ม ตาของเขาหรี่ลงและมีรอยย่นบนจมูก สารภาพตามตรงว่าผมอยากดึงหัวของเขาเข้ามาหอมให้ชื่นใจ แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือยิ้มและยิ้มเท่านั้น

เรานั่งกินอาหารกันอย่างไม่รีบร้อน นายชอบกวนประสาทด้วยการแย่งกินอาหารจากในจานของผมบ้าง ผมแย่งอาหารในจานของเขาบ้าง ไม่ก็เขี่ยอาหารที่ไม่ชอบไปให้นาย ผมทำให้นายหัวเราะ ผมทำให้เขามีรอยยิ้ม แค่นั้นผมก็มีความสุขแล้วจริงๆ หลังจากกินอาหารเสร็จเราก็มุ่งไปที่ร้านหนังสือ ผมอยากหานิยายสืบสวนอ่านสักเล่มสองเล่ม ส่วนนายไปเดินอีกมุมซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ผมยืนอ่านตัวอย่างที่ปกหลังไปมาหลายเล่มกว่าจะตัดสินใจซื้อก็พักใหญ่ พอจ่ายเงินเสร็จก็เดินหานายในร้านหนังสือซึ่งผมคิดว่าเขามักจะยืนดูหนังสือศิลปะอยู่เหมือนเคย ในมุมบริเวณนั้นค่อนข้างร้างไร้ผู้คน ผมมองซ้ายมองขวามองไปทั่วบริเวณ ไม่มีคนไม่มีกล้องวงจรปิด คิดได้อย่างนั้นพอเดินไปยืนใกล้ๆผมจึงถือโอกาสนี้จับมือของเขาไว้ นายหันมามองแล้วส่งยิ้มให้

“เดินจับมือได้ป้ะ”

พอถามนายก็ยักไหล่เหมือนไม่รู้ว่าจะตอบอะไร ผมไม่ได้คาดหวังอะไรจากการถามหรอกก็แค่ลองถามดู แต่เราทั้งสองคนก็คิดเหมือนกันว่าไม่อยากถูกคนอื่นมองแม้ในสมัยนี้คนรุ่นใหม่จะยอมรับเรื่องราวพวกนี้ได้มากขึ้นก็ตามที นายเดินนำผมออกจากร้านเพื่อย้ายไปยังอีกที่หนึ่งที่เราชอบมากัน มันเป็นโซนตู้เกม เชื่อเถอะว่าเงินที่เราเสียทีละสิบบาทรวมๆแล้วแพงมากกว่าตุ๊กตาโง่ๆที่กำลังลุ้นกันอยู่ในตอนนี้ นายจริงจังกับการตู้ตุ๊กตามากเขาแลกเหรียญมาเยอะพอสมควรเพื่อเล่นมันและไม่เคยช้อนได้สักตัวเลย

“ฆวยเอ้ย” เขาสบถตอนที่ที่คีบเคลื่อนตัวมาใกล้ปล่องทางออกแต่แล้วมันกลับอ่อนแรงปล่อยตัวตุ๊กตาหน้าโง่หล่นลง

“บอกแล้วให้ซื้อไปเลย”

“ซื้อเลยมันก็ไม่สนุกสิวะ ห่าเอ้ย หมดไปเป็นร้อยละ”

ผมคว้าคอเขามาโอบไว้ด้วยความเคยชินในตอนที่เราเดินออกจากบริเวณนั้น “ไปไหนต่อดี เหลืออีกชั่วโมง”

นายเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วก็หุบปากลงเปลี่ยนเป็นไม่พูดเสียอย่างนั้น

“อะไรวะ พูด” ผมล็อคคอนายแรงขึ้นทำเป็นขู่เสียงโหด

“ไปเข้าห้องน้ำ แล้วไปนั่งรอหน้าโรงหนังเลยแล้วกัน”






ผมพาซื่อในตอนที่นายบอกว่าจะเข้าห้องน้ำ เราแวะเข้าห้องน้ำจริงแต่ไม่ได้ถ่ายหนักถ่ายเบา ในห้องน้ำชายนั้นร้างไร้ผู้คนไม่เหมือนห้องน้ำผู้หญิงที่มักเห็นเดินเข้าเดินออกกันให้ขวักไขว่ นายดันร่างผมให้เข้าห้องน้ำห้องหนึ่งในนั้น เขามองหน้าผมนิ่งๆขณะที่มือเริ่มถอดเข็มขัดให้ผม บรรยากาศในห้องน้ำยังคงเงียบเชียบไม่มีเสียงดังใดๆ ผมเริ่มลังเลในสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันไม่เหมาะสมเลยสักนิดแต่เมื่อนายล้วงมือลงใต้กางเกงชั้นใน สติของผมก็เริ่มลางเลือน เขาจูบผมที่ปลายคาง ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงฝาสุขภัณฑ์ให้ปิดและนั่งลงบนนั้น ใบหน้าของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้เป้ากางเกงของผม ลมหายใจอุ่นสัมผัสที่ส่วนนั้นก่อนจะแทนที่ด้วยลิ้นชื้นแฉะ

ผมไม่คิดลังเลใดๆอีกต่อไปแล้ว ส่วนนั้นของผมค่อยๆพองตัวขึ้นในปากของนาย มันยังไม่แข็งตัวเสียทีเดียวแต่กำลังเติบโตขึ้นทีละน้อย เราทำกันอย่างเงียบเชียบ พยายามให้มีเสียงน้อยที่สุด ผมมองใบหน้าของนายที่กำลังดูดกินส่วนนั้นของตัวผมอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อดูการกระทำของเขาแล้วผมไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด เขาไล้เลียพร้อมๆกับใช้มือไปทั่วทั้งแท่งเนื้อ ผมเสียววาบขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดของๆผมก็แข็งตัวคาอยู่ในปากของเขา คราวนี้นายเริ่มรับมันเข้าไปในปากลึกขึ้น ผมรู้สึกได้เลยว่าส่วนยื่นยาวนั่นกำลังถูไถไปตามเพดานปาก ผมมีความสุขกับสิ่งที่นายทำให้ถึงแม้จะไม่ค่อยอยากให้เขาใช้วิธีเสี่ยงแบบนี้ในการสร้างความสุขให้ผมสักเท่าไหร่ เราตรวจและป้องกันเป็นเรื่องปกติแต่ทุกครั้งผมก็ไม่อยากให้อารมณ์ครอบงำเสียจนลืมหลักเหตุแห่งความเป็นจริง แม้จะพยายามคิดแบบนั้นแต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะหักห้ามใจไม่ให้สนองแก่อารมณ์ได้ นายทำให้ผมจนเสร็จในเวลาไม่นานนัก ไอ้นั่นของผมกำลังกระตุกเกร็งหลังจากที่หลั่งน้ำขาวขุ่นอยู่ในปากของนาย ผมพรูลมหายใจแรงเคลิบเคลิ้มไปกับความสุขระหว่างที่ถึงจุดสุดยอด เรามองสบตากันแล้วยิ้ม นายเปลี่ยนอิริยาบถเขาลุกขึ้นยืนและใช้กระดาษชำระเช็ดทำความสะอาดให้

เชื่อเถอะว่าตอนนี้ผมกำลังวูบวาบอ่อนไหวไปทั้งตัว ความสุขที่นายมอบให้กำลังล้นทะลัก ผมโอบกอดนายไว้ จูบที่ขมับและกลุ่มผมของเขาซ้ำๆไปมา รอให้ลมหายใจกลับเป็นปกติก่อนจะเดินจากห้องน้ำไปอย่างเงียบเชียบเหมือนตอนเข้ามา






เราดูหนังเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้มีความน่าสนใจอะไรมากนัก หลังจากนั้นก็ขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อกลับคอนโดตามปกติ กว่าหนังจะจบเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงห้าทุ่ม ผู้คนบางตาและยิ่งเมื่อเข้าสู่ขบวนรถไฟฟ้าแถวที่เราเลือกนั่งก็ไม่มีคนนั่งอยู่ก่อนเลยสักคน ผมจับมือของนายอย่างที่ใจต้องการโดยไม่ร้องขออนุญาต เขามองหน้าผมนิ่งๆเช่นเคยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมถือโอกาสจับมือของเขาขึ้นมาจูบอย่างรักใคร่คราวนี้นายขืนมือลงแต่ยังรักษาท่าทางนิ่งเฉย บานกระจกตรงหน้าสะท้อนภาพของเราที่กำลังจับมือกันอย่างแนบแน่น ผมไม่คาดฝันว่าก่อนเลยว่าเราจะมีวันแบบนี้กันได้ เขาเป็นเพื่อนของผมมาตลอด ระยะห่างที่เว้นไว้ด้วยคำว่าเพื่อนมันเปราะบาง ผมเป็นคนพังทลายมันลงทีละเล็กทีละน้อยเพราะทนต่อความรู้สึกของตัวเองไม่ไหว มานั่งคิดตอนนี้ถ้าหากผมบอกชอบเขาไปตั้งแต่เริ่มแรกที่รู้ตัวเราอาจจะได้เป็นคนรักกันนานแล้ว ในส่วนลึกของจิตใจมันคอยบอกมาตลอดว่าระหว่างเราความเป็นเพื่อนมันก้ำกึ่งกับคำว่าคนรัก ทั้งๆที่พยายามปฏิบัติในแบบเพื่อนแต่มันก็มีบางเวลาทีผมแสดงออกว่าชอบเขามากแค่ไหน นายรับรู้มาตลอดเวลานั่นแหละเพียงแต่คำว่าเพื่อนที่กำหนดมาตั้งแต่แรกคงจะเป็นม่านหมอกกั้นกลางเราไว้ แต่แล้วทุกอย่างก็กระจ่างใส มันเกินคาด เหมือนฝันเสียยิ่งกว่าฝัน ผมไม่อาจขออะไรไปมากกว่านี้ได้แล้วนอกเสียจากขอแค่ได้รักนาย

“นาย…”

“อืม”

“ทำไมถึงวันนี้ถึงไม่อยากออกมาข้างนอกอะ เพราะเหนื่อยจริงๆเหรอ”

นายเกลี่ยนิ้วของเขาลงบนฝ่ามือของผมไปมาก่อนจะหันมาสบตาด้วย “ก็เราเห็นว่านานๆทีบุญจะมีเวลาว่าง….” เขาเว้นจังหวะไปชั่วครู่หนึ่งแล้วอยู่ๆก็เอนซบลงมาที่ไหล่ของผมอย่างน่าประหลาดใจ “เราไม่รู้หรอกว่าวันๆนึงคนเป็นหมอเค้าทำอะไรมั่ง แต่พอบุญกลับมาห้องทีไรก็นอนเหมือนซ้อมตายอะ เราแค่อยากให้บุญได้นอน”

ผมยิ้มให้กับคำอธิบายที่ไม่ได้ลึกซึ้งแต่เต็มไปด้วยความห่วงใย แค่นี้มันก็ทำให้ผมชื่นใจได้แล้ว

“แล้วคะยั้นคะยอให้เราออกมานี่ มีอะไรรึเปล่าวะ” คราวนี้เขาเอ่ยถามบ้าง

“ก็แค่อยากออกมาเดท”

“แค่นี้อะนะ”

“มันไม่ใช่แค่นี้สิวะ เราถือว่าเราให้เวลาของเรากับนายนะ” ผมใช้มืออีกข้างขยี้ผมของนายด้วยความหมั่นเขี้ยว เห็นแล้วก็อดเอ็นดูไม่ได้ “เรากลัวนายเบื่อที่เราทำแต่งาน พอมีเวลาว่างก็เลยอยากพาออกมาข้างนอกบ้างแต่จริงๆก็อยากนอนอะ”

“เออ เนี่ยแล้วออกมาทำไมวะ” เขาทำเป็นพูดเสียงดุแต่กลับอมยิ้มกรุ้มกริ่ม “ไม่ไหวอย่าฝืนนะไอ้น้อง”

ผมหัวเราะออกมากับคำพูดกวนอารมณ์ของนาย เขายิ้มกว้างก่อนจะหัวเราะตาม



หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ Bangkok P.2 (02-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 02-11-2018 11:13:02




ระหว่างทางที่เดินไปยังคอนโดเราจับมือกันอย่างไม่สนใจสายตาใครอีกเพราะว่ามันเป็นกลางคืนที่ร้างไร้ผู้คน ผมไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปในห้องรู้สึกตัวเหม็นข้าวโพดคั่วก็เลยแยกตัวออกไปอาบน้ำ ส่วนนายก็นั่งอืดเล่นโทรศัพท์มือถือ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบเรียบแบบคนใช้ชีวิตปกติทั่วไป ออกมาจากห้องน้ำนายเข้าไปแทนที่ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแชทกับเพื่อน เปิดดูอะไรต่างๆไปเรื่อยเปื่อย สลับคุยเรื่องงานกับอาจารย์นิดหน่อย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นายออกมาจากห้องน้ำและนั่งลงด้านข้างบนเตียง

“คุยงานเหรอ”

“เปล่า คุยกับเพื่อนอะ” ผมตอบแต่ยังไม่ละสายตาไปจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ต้นเพื่อนของผมสมัยมัธยมจะนัดกินข้าวก็เลยรู้สึกติดพันคุยกันอยู่พักใหญ่ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นนายยังคงนั่งอยู่ด้านข้างดูโทรทัศน์ “นาย”

“ว่า”

“เพื่อนเราจะนัดเจออาทิตย์หน้าอะ ไปด้วยกันป่าว”

“บุญไปกับเพื่อนเถอะ อาทิตย์หน้าเรารับงานพิเศษไว้”

คำตอบนั้นเรียกความสนใจจากผมพอควร “งานอะไรอีกวะ”

“งานอีเว้นท์ที่เซ็นทรัลเวิลด์”

ผมไม่เซ้าซี้อีกเพราะถือว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องการทำงานของนาย แม้ในใจจะอยากตื้อให้เขาไปด้วยกัน ผมคุยกับต้นจนเสร็จจึงวางโทรศัพท์มือถือลงก่อนจะเดินไปปิดไฟในห้องนอน และเดินกลับมาที่เตียง คร่อมนายไว้และเริ่มจูบตามใบหน้าของเขา นายปิดโทรทัศน์จากรีโมตห้องทั้งห้องเงียบสงัดก่อนจะแทนที่ด้วยเสียงครางฮือในลำคอเมื่อผมซุกไซ้ซอกคอของเขา ลำคอของเขาอุ่นจากเลือดในตัวที่หล่อเลี้ยงผมบรรจงจูบมันอย่างละเลียดละไม มือทั้งสองข้างลูบไล้ลงใต้กางเกงนอน กอบกุมส่วนหน้าของนายปลุกเร้าให้เขามีอารมณ์ร่วม นายดึงรั้งกางเกงของตัวเองออกไปและตามด้วยกางเกงของผม เราจูบกันดูดดื่มพร้อมๆกับที่อารมณ์เริ่มลึกซึ้งขึ้น ผมก้มหน้าลงต่ำจูบไปตามผิวกายที่ยังเย็นจากการเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ยอดอกของเขาที่ตั้งขึ้นยั่วเย้าให้ผมต้องหยอกล้อ หน้าท้องเกร็งเขม็งในช่วงที่ผมใช้มือลูบไปมา ผมฟังเสียงหอบหายใจขาดช่วงยามที่นิ้วของผมลูบไล้บริเวณด้านหลังด้วยอารมณ์ที่พุ่งพล่านจนส่วนนั้นแข็งตัว เจลหล่อลื่นที่อยู่ในลิ้นชักข้างเตียงถูกหยิบออกมาใช้งาน ผมรั้งร่างของนายให้คว่ำหน้าลงและยึดสะโพกของเขาเข้าหาตัว ใช้นิ้วสอดใส่เข้าไปในช่องทางอย่างช้าๆ ค่อยๆขยับอย่างเบามือ

ผมกับนายมีเซ็กส์กันครั้งแรกหลังจากกลับมาจากโซล มันเกิดขึ้นเพราะผมเอ่ยปากขออย่างตรงไปตรงมา ไร้ความโรแมนติกจนทั้งผมและเขาต่างก็หัวเราะออกมา แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นในห้องนอนของผม ความรู้สึกที่ได้จูบนายด้วยต้องการปลุกเร้าอารมณ์นั้นค่อนข้างทำให้ผมแทบจะไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง นายสัมผัสผมด้วยมือทั้งสองข้าง เขาเองก็กำลังต้องการผมเช่นกัน ตอนนั้นผมไม่ลังเลด้วยซ้ำกับการขอสอดใส่เข้าไปตัวของนาย เขาทำท่าเหมือนจะห้ามแต่ก็แค่เหมือนจะห้ามเท่านั้นแหละ ผมคิดว่าเพราะเราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน การกระทำบางอย่างจึงอาจดูขัดเขินไปบ้าง แต่เราก็ปรับตัวกับสถานะใหม่ได้อย่างไม่ยากนัก ทั้งความรู้สึกต่างๆ การกระทำ ความห่วงใย รวมถึงเรื่องบนเตียงก็ พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ

“อยากใส่เข้าไปแล้วอะ” ผมกล่าวเสียงแผ่วหลังจากที่รู้สึกได้ว่าช่องทางด้านหลังของนายเริ่มคลายตัว แม้ใจหนึ่งจะยังอยากใช้เวลานานกับการโลมเล้าให้นายฉ่ำแฉะมากกว่านี้ แต่หากจะให้พูดกันตามตรงผมต้องการสอดใส่เข้าไปและทำให้นายร่ำร้องเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

นายไม่ได้ตอบอะไรแต่หันตัวกลับมาเผชิญหน้ากันและรั้งผมเข้าไปจูบที่ริมฝีปาก ผมเอนร่างของเขาให้นอนหงายราบไปกับเตียง จัดท่วงท่ายกขาขึ้นสูง ไม่รอช้าผมใช้เจลหล่อลื่นลูบไล้ของตัวเองให้ชุ่ม ในหัวนี่คิดอะไรอย่างอื่นไม่ออกนอกจากอยากเขย่าร่างนายบนเตียงจะแย่อยูแล้ว ผมพยายามอดทนไม่ผลีผลามมาโดยตลอดแต่ดูเหมือนระดับความอดทนจะน้อยลงเรื่อยๆ นายพยายามเอาขาลงในขณะที่ผมดันส่วนนั้นเข้าไปเพียงแค่เล็กน้อยผมจึงจับขาของเขาไว้ยกขึ้นพาดบ่า เขาสบถออกมา ใบหน้าเหยเก มือของเขาบีบเข้ามาที่แขนของผมอย่างแรง

“เจ็บเหรอ ยังไม่ได้ใส่เข้าไปเลยอะ”

“ไม่ได้เจ็บ”

“แล้วทำไมอะ” ผมถามพลางจูบตามใบหน้าและซุกไซ้ซอกคอดอมดมกลิ่นกายที่ผมหลงใหล

“ทำไมชอบให้เราทำท่าอะไรแบบนี้วะ” นายตอบขณะที่ผมจูบหน้าผาก

ผมยันตัวขึ้นเพื่อสบมองดวงตาของนาย “ก็ท่านี้มันทำให้ลดมุมไง เวลาใส่เข้าไปมันจะช่วยให้ไม่เจ็บมาก” ผมตอบไปตามความจริง ท่านี้จะลดความเจ็บให้นายไปได้เยอะเพราะเมื่อทำให้รูทวารตรงกับลำไส้มากที่สุดก็จะช่วยลดความอึดอัดได้ นายอ้าปากค้างก่อนจะระเบิดหัวเราะจนผมเริ่มมึนงงกับท่าทางของเขา “ขำอะไรวะ”

“ไอ้บุญ ไอ้บ้า”

“อ้าว… เราพูดไรผิดอะ”

นายลูบไล้ใบหน้าของผมพร้อมกับส่งยิ้มกว้างให้ “หมอบุญ…”

ผมขนลุกไปทั้งตัวเมื่อนายเรียกผมแบบนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกผมว่าหมอ ใครหลายคนรวมถึงคนใกล้ตัวมักเรียกผมว่าหมอแม้แต่พ่อกับแม่ก็ด้วย แต่นายกลับเรียกแค่ชื่อเล่นของผมมาโดยตลอด พอโดนเรียกแบบนั้นเข้าหัวใจก็เต้นระรัวจนพูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน

“ไหนลองใส่เข้ามาซิ”

ผมคิดว่าผมตื่นเต้นจนตัวแทบระเบิดกับประโยคที่ได้ยิน นายยังคงยิ้มกรุ้มกริ่มในตอนก่อนที่ผมจะขยับตัว แต่เมื่อไอ้นั่นของผมได้เริ่มถลำลงไปในช่องทางด้านหลังนายก็ร้องครางในลำคอ “เจ็บมั้ย” นายส่ายหน้าและปล่อยให้ผมดันกายเข้าไปจนสุด “แล้วแบบนี้เจ็บมั้ย” ผมถามเขาอีกครั้งอย่างซื่อตรงและเป็นห่วงในร่างกาย คราวนี้นายรั้งใบหน้าของผมเข้าไปและกระซิบในสิ่งที่ทำให้ผมยิ่งกว่าขนลุก ผมแทบจะเสร็จในวินาทีที่ได้ยิน

“เสียว”

คำตอบสั้นๆที่ชวนให้หัวใจสูบฉีดเลือดมากกว่าปกติ ผมยิ้มกริ่มขณะที่เริ่มขยับสะโพกอย่างไม่รีบเร่ง นายร้องครางด้วยความรู้สึกดียามที่ผมซุกไซ้ซอกคอและขบกัดเบาๆ ผมบอกรักนายและเขาก็บอกรักผมตอบด้วยเสียงแผ่วเบาที่ข้างหู ที่ด้านหลังของนายบีบรัดยามที่ผมแทรกกายเข้าไป ความลุ่มร้อนในกายนั้นโอบอุ้มไอ้นั่นของผมอย่างยั่วเย้า เมื่อถึงจุดหนึ่งความหื่นกระหายก็พุ่งพล่าน ผมไม่อยากให้ถึงจุดนั้นมันทำให้ความรัญจวนใจในการโอ้โลมนายจางหายไป จากที่เคยอ่อนโยนเพราะอยากถนอมร่างกายของนาย เมื่อถึงจุดหนึ่งผมจะอยากทำดั่งใจต้องการด้วยความรุนแรง อยากบดขยี้ให้เขาร่ำร้อง อยากยัดเยียดให้ร่างกายของเขาบอบช้ำ ผมกำลังพยายามควบคุมความรู้สึกเหล่านั้นอยู่แม้ในใจตอนนี้จะอยากกระแทกกายสวนเข้าไปและบีบกำคอของนายไว้ในมือเพื่อบ่งบอกว่าผมคือเจ้าของเขาก็ตามที

“เรารักบุญนะ” นายบอกอีกครั้งในตอนที่ผมกำลังข่มใจขยับกายเชื่องช้า เขาลูบไล้ศีรษะของผมและจูบเข้ามาที่ข้างแก้ม มันเป็นการกระทำที่ค่อนข้างอ่อนหวานในแบบที่นานๆทีนายจะทำ ผมใจเต้นแรงรู้สึกเหมือนจะอดทนต่อไปไม่ไหวกับการเพียรถนอมร่างกายของเขา ผมขยับกายเข้าไปลึกจนนายอ้าปากค้างและเขาก็ครางในตอนที่ผมทำแบบเดิมอีกซ้ำไปซ้ำมา สุดท้ายแล้วผมก็ทำในสิ่งที่อยากทำมาโดยตลอด นายไม่ได้คัดค้านแต่กลับตอบรับเสียดิบดีด้วยการอ้าขาออกกว้างเพื่อให้ผมได้สอดใส่เข้าไปอย่างรุนแรง เขาสบตามองผม กัดริมฝีปากด้วยความเสียวซ่านเหมือนเป็นการโหมกระหน่ำอารมณ์ให้ถึงขีดสุด ร่างของเขาขยับขึ้นลงอยู่บนเตียงไปตามแรงกายที่ผมส่งเข้าไป เสียงครางครวญดังเคล้าเสียงผิวกาย ผมอาจจะทำให้ภายในของเขาได้รับบาดเจ็บ อาจจะทำให้กลไกในส่วนนั้นมีปัญหาตามมาก็ได้ แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

ผมจับนายพลิกร่างให้คว่ำหน้าลง ดึงสะโพกของเขาเข้าหาตัวเองและสอดใส่กลับเข้าไป ผมแนบใบหน้าลงกับแก้มของเขา ฟังเสียงครางก่อนจะสอดประสานมือเข้าหากัน “หมอ... หมอบุญ” ดูเหมือนนายจะรู้นะว่าการเรียกผมแบบนี้จะเป็นการกระตุ้นความดิบเถื่อนที่อยู่ภายใน ร่างกายของเขาถูกชำแรกแทรกอย่างหนักหน่วงส่วนนั้นแสดงออกว่าชื่นชอบเซ็กส์แบบนี้มากขนาดไหน นายร้องไม่ออกเมื่อไอ้นั่นของผมเข้าไปลึกและโดนจุดสะท้าน เขากำมือแน่น ร่างกายเกร็งเหมือนใกล้จะถึงฝากฝั่งผมจึงพลิกร่างของเขาให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน นายสัมผัสร่างกายของผมด้วยมือทั้งสอง เขาลูบไล้ที่หน้าอก ลากไล้ลงต่ำที่หน้าท้อง ใช้นิ้วมือลูบก้อนกล้ามเนื้อที่ผมเพียรพยายามสร้างมันขึ้นมา ก่อนที่มือนั้นจะลากต่ำลงสัมผัสโดยตรงที่ส่วนนั้นของผม นายชโลมเจลหล่อลื่นเข้าไปอีกก่อนที่จะขยับตัวและจับไอ้นั่นของผมสอดใส่เข้าไปในตัวของเขา ผมรั้งตัวอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นเพื่อเปลี่ยนท่วงท่า โอบเขาไว้ในตอนที่เอนตัวลงพิงหัวเตียง นายทำหน้าเหยเกเมื่อถ่ายน้ำหนักลงบนร่างกายของผม อยู่ๆผมก็นึกถึงเรื่องที่เราเคยล้อเล่นกันตอนที่ไปเที่ยวบอนดีบีช หาดยอดนิยมในซิดนี่ย์ เราใส่กางเกงผ้าร่มของควิกซิลเวอที่แสนธรรมดา แต่พอลงน้ำมันก็เปียกและแนบไปกับสรีระ นายจ้องมองมันด้วยใบหน้านิ่งเฉยแล้วเอ่ยปากถึงสรีระของผมที่ปรากฏอยู่ภายนอก ผมยักคิ้วกวนอารมณ์ยินยอมน้อมรับในคำชื่นชมนั่นก่อนจะหัวเราะลั่นเมื่อนายถามออกมาตรงๆอีกครั้งว่ามันกี่นิ้ว ผมไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นเหมือนผู้ชายคนอื่นมากนัก มันก็แค่อวัยวะสืบพันธุ์ จนเมื่อไม่นานมานี้นายถามอีกครั้งว่าของผมขนาดเท่าไหร่ ผมถามเขากลับไปว่าทำไมถึงอยากรู้นัก นายทำหน้านิ่งๆในตอนที่ตอบ เขาบอกว่าของๆผมมาตรฐานเหมือนคนผิวดำ และด้วยประโยคต่อมานายก็บอกว่านึกไม่ออกเหมือนกันว่าบั้นท้ายของเขารับส่วนนั้นของผมเข้ามาได้อย่างไร ผมหัวเราะลั่นจนแทบจะสำลักน้ำลายทันที

ผมลูบไล้ที่เอวของนาย การได้มองนายที่เป็นฝ่ายปรนเปรอให้แบบนี้ก็เพลิดเพลินไปอีกแบบดี ท่วงท่าแบบนี้อาจพบเห็นได้ไม่ยากนักหรอกแต่สำหรับผมมันตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นนายในมุมนี้ ผมปล่อยให้นายขยับขี่ไอ้นั่นดั่งใจต้องการ ความหลงใหลในตัวนายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมกลัวอยู่เหมือนกัน ผมหลงชอบ ผมหลงรัก ผมชอบทุกอย่างของนาย แม้แต่ยามที่เจ้าหนูของเขาขยับไหวอยู่ตรงหน้านี้ผมก็ยังนึกเอ็นดูมัน ผมนัวจูบกับนาย อ้อยอิ่งที่ริมฝีปากชุ่มฉ่ำนั่นด้วยหัวใจที่เต้นแรง นายขยับสะโพกบนตัวผมอย่างไม่เร่งรีบเพื่อให้ผมได้ลิ้มรสความร้อนลุ่มจากภายใน เราต่างรู้สึกดีที่ได้โอบกอดกันแนบแน่น ผมบอกรักเขาอีกครั้งอย่างไม่รู้เบื่อ เขาจูบตอบแล้วยิ้มพลันหลังจากนั้นร่างของเขาก็ขยับไหวอยู่บนแท่งเนื้ออย่างร้อนแรง ผมจับขยำบั้นท้ายนั่นและยกสะโพกขึ้นเพื่อแทรกกายสวนขึ้นไป นายครางลั่นพร้อมๆกับพร่ำเรียกชื่อของผม ท่าทางสุขสมของเขาคงใกล้จะถึงจุดหมาย ในหัวของผมกำลังนึกถึงว่าสรีระของตัวเองได้สอดแทรกเข้าไปถึงจุดใดในร่างกาย มันเป็นจุดที่อยู่ใต้ต่อมลูกหมาก ผมคงจะไปโดนจุดนั้นเข้าอีกครั้ง ผมเอนร่างเขาลงนอนราบเพื่อสอดใส่ร่างกายให้ได้อย่างถึงอกถึงใจ สิ่งที่อยู่ในร่างของนายสัมผัสได้ถึงความแนบแน่น มันเสียดสีกันจนอุ่นกว่าผิวกายข้างนอก ของเหลวจากผมรวมหลอมกับเจลหล่อลื่นจนทำให้มันเปียกแฉะไปหมด นายกอดผมไว้แน่นในตอนที่เสร็จสมจากทางด้านหลัง อวัยวะของเขากระตุกเกร็งตามธรรมชาติ น้ำขุ่นขาวคงจะเลอะอยู่บนหน้าท้องและอาจเปรอะถึงแผ่นอก ผมหยัดกายขึ้นมองคนรักที่กำลังเสียวซ่านจากกิจกาม เขาหอบหายใจแรงหัวใจนั่นคงกำลังเต้นตุบตับ ผมช้อนใต้ขาที่อ่อนแรงนั่นขึ้นมาให้แนบชิดกับร่างกายตัวเองและเริ่มต้นกระทำในช่องทางนั้นอีกครั้ง นายดูอ่อนระทวยเขาครางรับอย่างน่าเอ็นดู ทุกอย่างของเขากระตุ้นเร้าทั้งร่างกายและอารมณ์ของผมได้ดีเหลือเกิน แค่เพียงไม่นานเท่านั้นของของผมก็ปลดปล่อยอยู่ในตัวของนาย ผมแทรกกายอยู่ในนั้นง่ายดายขึ้นทุกหยาดหยดอยู่ในนั้น อยู่ในที่ที่ทำให้ผมสำลักความสุข

ผมก้มหน้าซุกไซ้ไปตามร่างกายของเขาที่กำลังอ่อนตัวลง จูบบนหน้าท้องที่เลอะคราบน้ำ เลียลิ้มรสชาติของมัน

“บุญ อย่าเลียเลย” เขาบอกทั้งๆที่ยังดูอ่อนแรง

ผมไม่ทำตาม ผมเลียคราบน้ำบนหน้าท้องของนายจนกว่าจะพอใจ ก่อนจะเคลื่อนตัวโถมทับร่างกายของเขา บรรจงจูบบนลำคอ ดูดบนส่วนที่นูนเด่นอย่างช้าๆ เราก่ายกอดกันอยู่พักใหญ่จนลมหายใจเริ่มกลับสู่สภาวะปกตินายก็ทำท่าจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำแต่ผมรั้งร่างของเขาไว้และกอดเขาแน่น ดอมดมจูบกลุ่มผม จับมือของเขาขึ้นมาแนบกับใบหน้าของตัวเอง

“นาย…”

“อืม”

“คิดถึง” ความคิดถึงในช่วงที่ผมต้องอยู่โรงพยาบาล ความคิดถึงในช่วงที่เราห่างกัน ทำให้ผมพูดมันออกมาอย่างตรงไปตรงมาพลางจูบลงบนฝ่ามือของเขา

นายใช้มือข้างนั้นลูบแก้มของผมก่อนจะประทับจูบบนริมฝีปาก ร่างของเขาเอนตัวพักพิงลงบนร่างและจับมือของผมไว้แน่น “เราก็คิดถึงบุญ”

“อาทิตย์หน้าเราคงยุ่งมากเลยว่ะ อย่าโกรธเรานะถ้าไม่ได้รับโทรศัพท์”

“ไม่โกรธหรอก บุณนั่นแหละเอาตัวให้รอด อย่าไปหลับคาห้องตรวจล่ะ” นายส่งเสียงหัวเราะออกมามันทำให้หัวใจของผมชุ่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก “เราไปล้างตัวก่อนนะ” ทันทีที่พูดเขาก็ผละตัวออกเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ผมคว้ารีโมตขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ ไล่เปิดดูไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานนักนายก็ออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนู เขาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้ผม มันอดไม่ได้เลยจริงๆที่จะคว้าตัวเขามาจูบ สีหน้าของเขายังคงนิ่งเฉยขัดกับการกระทำ นายก็เป็นแบบนี้แหละ แต่มันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมชอบ พอจ้องมองนานๆนายก็อมยิ้มผมคิดว่าเขากำลังเขิน “มองอะไรวะ”

“อะไรล่ะ”

“………..” พอโดนย้อนถามนายกลับเงียบ

“เขินอะไร” ผมจับมือนายไว้ ดึงให้เขาเข้ามานั่งอยู่ใกล้ๆ “เขินที่โดนมองเหรอ” นายยังคงมีรอยยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมไม่ได้จุกจิกถามอีกเพราะรู้อยู่แก่ใจว่านายรู้สึกเช่นไรเมื่อครู่นี้ก็แค่แหย่เล่นเท่านั้น นายพิงตัวผมขณะที่นั่งดูโทรทัศน์ รายการยามดึกไม่มีอะไรน่าสนใจแต่ดูเหมือนว่าหลังจากที่เช็ดตัวไปผมกลับไม่ง่วงเสียอย่างนั้น นายจับมือผมเล่นไปมา ผมยุ่มย่ามจูบที่แก้มจูบที่ขมับของเขาอย่างแสนรัก เราคุยเรื่องสรรพเพเหระ ถามไถ่ถึงเรื่องงาน คุยเรื่องไปเที่ยวเมืองนอกอย่างที่เราชอบไป รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยที่ตัวเองไม่ค่อยมีเวลาให้คนรักแต่นายก็เข้าใจดี เรากอดกัน นัวเนียไปมาเหมือนคนขาดความอบอุ่น นึกแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมา ผมซุกหน้าลงบนซอกคอ จุ๊บเบาๆเพื่ออ้อนนายพอบอกคิดถึงเขาไปอีกนายก็บอกให้หยุดพูด ผมไม่สนหรอกเพราะผมรู้สึกแบบนั้นผมก็จะพูดมันออกมา แต่แล้วเมื่อถูกบอกว่าคิดถึงอีกนายก็ไม่ห้ามผมแล้ว เขาคงดีใจและขวยเขินจนยิ้มไม่หุบ

ผมมีความสุขมาก เหมือนล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ มีสายลมเอื่อยโอบล้อมรอบตัวของเรา

มันเหมือนฝันจนผมนึกหวาดหวั่น….









ในช่วงสายของวันรุ่งขึ้นนายไม่ได้นอนอยู่บนเตียงอีกแล้ว สิ่งที่รู้สึกเมื่อคืนวานมันทำให้หัวใจของผมวูบโหวง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้กลัวการจากไปของนายอยู่บ่อยครั้ง มันเป็นความรู้สึกในส่วนลึกที่ยากเกินกว่าจะหาเหตุผล หัวใจมันเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว ผมขยับพลิกตัวไปอีกทาง เห็นผ้าม่านสีสว่างในห้องนอนทิ้งตัวสงบนิ่ง เงาวูบไหวด้านนอกผลุบๆโผล่ๆ บานประตูกระจกถูกเปิดออกทำให้สายลมพัดเข้ามาพร้อมกับกลิ่นบุหรี่ ผ้าม่านขยับเลื่อนไปตามราง และเป็นนายที่ยืนขวางอยู่ตรงบานประตู คาบบุหรี่และมีหนังสืออยู่ในมือ เขายังคงสวมใส่ชุดนอนเหมือนดั่งคืนวาน เสื้อยืดเน่าๆกับกางเกงขาสั้นสบายๆ ผมหวนนึกถึงคืนวันที่เราเจอกันในเมลเบิร์น ความรู้สึกตื้นตันจุกอยู่ในอก นายไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

คนรักของผมหันกลับไปขยี้บุหรี่ทิ้งก่อนจะเดินเข้ามาจิบน้ำที่วางอยู่ข้างเตียง เรามองสบตากันและเป็นนายที่หลุดยิ้มออกมา

“อะไร” เขาถามออกมาด้วยเสียงห้วนๆตามสไตล์ จากนั้นคลานขึ้นมาบนเตียงนอนซบกับผมในตอนเช้า ผมจูบริมฝีปากรสมาโบโร่สีทอง จูบไปจูบมาก็นึกได้ขึ้นว่ายังไม่ได้แปรงฟันจึงผละหน้าออกมา แต่แล้วนายกลับตามเข้ามาจูบอีก

“ปากเหม็นป่าววะ”

“เงียบๆน่า” เขาบอกแล้วสอดลิ้นเข้ามา ในหัวตอนนั้นผมกำลังมึนงงเพราะเพิ่งตื่นนอน เรานัวจูบกันไปมาบนเตียง ขาของเราก่ายกอดเสียดสีผ่านจุดนั้นจนผมเริ่มวูบไหวอยู่ไม่น้อย

“ออกไปทำอะไรข้างนอก”

“คุยโทรศัพท์ งานอีเว้นท์ที่เคยบอกอะ” ผมรู้สึกเสียดเสียวขึ้นมาเมื่อนายไล้มือลงผ่านหน้าท้องและขยำของของผมอย่างเบามือ นายจูบที่ซอกคอของผมใช้ลิ้นเลียช้าๆก่อนจะเริ่มดูดดึงผิวเนื้อบริเวณนั้น เจ้าหนูของเขาพองตัวขึ้นอยู่ที่ต้นขาของผมเช่นเดียวกันกับของของผมที่พองตัวอยู่ในมือของเขา ผมพลิกร่างนายให้นอนราบไปกับเตียงจับเนื้อตัวของเขาหนักหน่วงสนองต่อความต้องการ เสื้อผ้าของเราสองคนถูกถอดออกก่อนที่ผมจะดูดยอดอกของเขา นายลูบศีรษะของผม หน้าอกของเขาสะท้อนขึ้นลงและครางแผ่วในลำคอ ความรู้สึกวาบไหวก่อเกิดขึ้นเต็มกำลังพร้อมๆกับที่ผมตื่นเต็มตา ผมคาดว่าวันนี้เราคงไม่ได้ออกไปไหน เราคงจะหาอะไรกินกันง่ายๆในห้อง อาบน้ำ ดูโทรทัศน์ และมีเซ็กส์หลายรอบอย่างที่ใจต้องการ

ผมเงยหน้าขึ้นมาจูบที่ริมฝีปากอีกฝ่ายหลังจากที่ดูดยอดอกของเขาจนพึงใจ นายเอื้อมมือไปคว้าเจลหล่อลื่นมาเปิดใช้งาน เขาพูดติดชิดริมฝีปากของผมให้สอดใส่เขาไป น้ำเสียงแหบพร่านิดๆทำให้หัวใจของผมเต้นแรง ความฮึกเหิมในการอยากเป็นส่วนหนึ่งของนายมากขึ้นจนแทบยั้งใจไว้ไม่อยู่ ไอ้นั่นของผมถูกนายชโลมเจลจนชุ่ม ผมแยกขาของนายออก ใช้นิ้วแหย่เข้าไปยังช่องทางด้านหลังอย่างเชื่องช้า ในนั้นของเขาตอบรับทันที มันคลายลงและโชกไปด้วยเจลหล่อลื่น รับรู้ได้เลยว่าเขากำลังรอรับของของผมเสียยิ่งกว่าอะไร ผมดึงรั้งขาของนายให้แยกออกกว้างอีกก่อนจะจับไอ้นั่นค่อยๆสอดใส่เข้าไป

นายรั้งผมเข้าไปจูบขณะที่ปล่อยให้ท่อนล่างโอบรัดไอ้นั่นของผมเข้าสู่ส่วนที่ลุ่มร้อน เสียงหอบหายใจของเราผสานเสียงเนื้อในตอนที่มันเสียดสีกัน ผมปวดไอ้นั่นเพราะความเสียวซ่านจนยั้งกายไว้ไม่อยู่ ร่างของนายขยับไหวตอบรับแรงของผม มันเป็นยามเช้าแสนร้อนแรงเกินกว่าที่ผมจะจินตนาการได้ นายร่ำร้องให้ผมกระทำกับร่างกายของเขาอย่างรุนแรง เขานอนบิดกายอยู่ใต้ร่างของผม เขากำลังแสดงสีหน้าสุขสมยามที่ไอ้นั่นของผมเสียดสีที่จุดสะท้าน เส้นผมของเขา เรียวขาของเขา ทุกอย่างเป็นของผม นายเป็นของผม

ผมทำให้นายถึงจุดสุดยอดจากด้านหลัง แท่งของผมที่เสียดแทรกอยู่ในนั้นกระตุ้นเร้าให้เขาหลั่งน้ำใคร่ออกมาเลอะหน้าท้อง ผมเริ่มขยับกายอีกครั้งพลางทอดมองเจ้าหนูของเขาที่ค่อยๆอ่อนตัวลง มันหยาดเยิ้มและสั่นไหวไปตามแรงกาย นายหลับตาแน่นเขาคงจะกำลังรู้สึกเสียวในช่องทางด้านหลัง ริมฝีปากที่แดงช้ำเผยออ้าร้องครางครวญเร้าอารมณ์ แต่ผมก็ยังไม่ถึงฝากฝั่งเสียที นายกอดผมแน่นรู้สึกได้เลยว่าร่างของเขาระทวยอยู่ในอ้อมกอดของผม ช่องทางของเขายังคงรัดของของผมไว้ มันชื้นแฉะกว่าเดิมและตอบรับตัวของผมอย่างน่าเอ็นดู ความรู้สึกต่างๆถาโถมทั้งสุขสมและเสียวซ่านตอนที่เร่งเร้าขยับกาย รู้สึกได้เลยว่าตัวเองหายใจแรงขึ้นจากความรัญจวนใจ ส่วนปลายถูไถอยู่ในส่วนลึกของนาย ผมพร่ำเรียกชื่อของเขาราวกับเพ้อในตอนที่ถึงจุดสุดยอด สะโพกของผมบดเบียดเข้าหาเพื่อให้น้ำใคร่ได้หลั่งรินอยู่ภายใน อยากให้นายรับทุกหยาดหยด อยากให้นายได้รับทุกๆอย่างจากบุญคนนี้

ผมนอนซบอยู่บนหน้าอกที่ขยับขึ้นลง ลมหายใจค่อยๆเข้าสู่สภาวะปกติ นายประคองกอดผมไว้พลางจูบเข้ามาที่หน้าผากเนิ่นนาน

ในช่วงราวๆหนึ่งปีที่ผ่านมาผมมักคิดเสมอว่าตัวเองเพียงแค่ฝันไป การที่นายกลายมาเป็นคนรักมันเกินกว่าความคาดหมายไปมาก ผมมักมีช่วงเวลาที่คิดว่ารักของเราเป็นเพียงความฝัน แต่นายยังอยู่ตรงนี้ เขาจับต้องได้ เราผ่านสุขทุกข์ในชีวิตมาด้วยกันมากมาย หนึ่งปีที่ผ่านมามันพอควรแล้วหรือยังกับสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมมองผ้าม่านสีสว่างบิดพลิ้วไปตามสายลมที่เล็ดลอดเข้ามาก่อนที่มันจะสงบนิ่งลง




ตอนนั้นเองเป็นครั้งแรกที่ตระหนักแล้วว่ามันไม่ใช่ความฝัน ยามฟ้าสว่างที่กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย



************************************


 :impress2:

หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Bangkok P.2 (02-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-11-2018 19:35:22
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Bangkok P.2 (02-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: mew.kani ที่ 02-11-2018 21:28:42
ณ Bangkok เร่าร้อนเหลือเกินนน
อ่านไปก็เขินนนไป  :kikkik:

ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Bangkok P.2 (02-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 03-11-2018 23:11:34
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 14-11-2018 20:46:47
Lavender Kiss



หลังจากที่ผมจบการศึกษา ผมได้ทำงานที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง หน้าที่การงานกำลังไปได้ดี และเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนหน้านี้ไอ้หนึ่งรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยได้ส่งบัตรเชิญไปงานแต่งงาน สองปีที่ผ่านมาเรายังคงติดต่อกันเรื่อยมา เพียงแต่น้อยลงเพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ ผมทำงานหนักเพื่อสร้างรากฐานให้กับตัวเอง ส่วนพวกรุ่นน้องผมเดาว่าก็คงไม่ต่างกันนัก ผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องคนอื่นว่าเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน มารู้สึกตื่นเต้นอีกครั้งเมื่อไอ้หนึ่งทักมาในเฟสบุ๊คเพื่อชวนผมไปร่วมงานแต่งงาน ผมถามมันว่าทำไมถึงได้แต่งงานเร็วขนาดนี้ทั้งๆที่เพิ่งจะเรียนจบได้ไม่นาน มันตอบกลับมาอย่างสบายๆว่ามันทำผู้หญิงท้อง เมื่ออ่านข้อความนั้นจบจะว่าตกใจก็ใช่ จะว่าไม่ตกใจก็ไม่เชิง แค่เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้พบเจอบ่อยนักจึงไม่รู้ว่าจะตอบอะไรกลับไป สุดท้ายก็แค่ตอบตกลงที่จะไปงานแต่งงาน

ในงานแต่งงานไอ้หนึ่งยืนอยู่กับเจ้าสาวเพื่อต้อนรับแขก โรงแรมที่จัดงานอยู่ใกล้ๆออฟฟิศที่ทำผมทำงานพอดี ผมจึงมาถึงที่งานเร็วกว่าคนอื่นนิดหน่อย พอไอ้หนึ่งเห็นผมเดินเข้ามามันรีบปลีกตัวแยกออกมาจากเจ้าสาวและสวมกอดผมอย่างแนบแน่นให้สมกับความคิดถึง เราพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ผมถามมันอีกครั้งอย่างเจาะจงรายละเอียดกับการแต่งงานครั้งนี้ มันเล่าให้ฟังว่าไปเจอผู้หญิงคนนี้ตอนฝึกงาน สาวออฟฟิศวัยเกือบสามสิบ มีวุฒิภาวะ ไม่จู้จี้จุกจิก และมีเสน่ห์ในแบบของสาววัยทำงาน มันเล่าว่าเห็นข้อดีของพี่สาวคนนี้ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าไอ้หนึ่งจะกำลังเป็นพ่อคน ไอ้หนึ่งที่บ้าๆบวมๆออกจะไร้สาระแบบนั้นกำลังแต่งงานมีครอบครัว ผมอวยพรขอให้มันมีความสุข ตั้งใจทำงานและดูแลคนรัก ดูแลลูกให้ดี ไอ้หนึ่งพาผมเข้าไปสวัสดีผู้ใหญ่แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรให้มากความ ไอ้เจ้าพวกรุ่นน้องก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงโหวกเหวกโวยวายเช่นเคย ไอ้เฟริสท์ หนูนุ่น และไอ้บอมเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับอ้อมกอด พวกมันแย่งกันพูด ทั้งเรื่องฝึกงาน เรื่องงานประจำของพวกมัน และนินทาคนในออฟฟิศ

“ว่าแต่พี่เป็นยังไงมั่งอะ ทำงานอยู่ที่ไหน” หนูนุ่นเอ่ยถามหลังจากที่ประเด็นเหม็นขี้หน้าเอชอาร์ของบริษัทจบลง

“กำลังจะเปลี่ยนงานว่ะ สมัครงานที่สิงคโปร์ไว้ เค้าคอนเฟอเรนคอลมาแล้วรอบนึงกำลังรอผลอยู่เนี่ย”

“อ้าว นี่แสดงว่าจะย้ายไปนู่นเลยเหรอ”

“เออ ไม่อยากอยู่ที่ไทยว่ะ คิดไว้ว่าจะทำงานในเอเชียพักนึง แล้วค่อยไปสมัครงานที่อเมริกา อยากไปอยู่ที่นู่นอะ”

สิ้นคำไอ้พวกรุ่นน้องก็ส่งเสียงโห่ร้อง ผมหัวเราะไปกับพวกมันก่อนจะพากันเข้างานเพื่อไปหาอะไรลงท้อง พวกเราโหวกเหวกโวยวายกันตามประสา ไอ้หนึ่งทำท่าอยากจะตามเข้ามาแต่เพราะมันเป็นเจ้าบ่าวจึงต้องอยู่ที่หน้างานเพื่อต้อนรับแขกเรื่อ ภายในงานเล็กๆที่มีแต่คนรู้จักทำให้ผมรู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆในสมัยเรียน พวกเราคุยเรื่องไร้สาระ อัพเดทเรื่องราวคนนู้นคนนี้กันอย่างสนุกสนาน ไอ้บอมช่วยกิจการของที่บ้าน ไอ้นุ่นได้งานที่บริษัทโฆษณาเล็กๆแห่งหนึ่ง ส่วนไอ้เฟริสท์เรียนต่อ จะว่าไปก็ยังขาดเดอะแก๊งส์อีกคนหนึ่งนะ เป็นคนที่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงเมื่อได้พบกันอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากถามออกไปโทรศัพท์มือถือของผมก็สั่นขึ้น กลายเป็นว่าเจ้านายของผมโทรมาเพราะต้องการให้แก้ไขงาน ผมรับบรีฟงานใหม่ในส่วนจุดที่ต้องแก้ไขอีกครั้งแต่ดูเหมือนเสียงเพลงในงานจะดังจนคุยไม่รู้เรื่องเท่าไหร่จึงปลีกตัวออกมายังลานจอดรถ เพื่อที่จะคุยงานไปพร้อมๆกับแก้ไขงานจากในคอมพิวเตอร์ด้วยเลย

“พี่โป้ง ผมแก้งานนี้มาสามรอบแล้วนะ ลูกค้าแม่งเรื่องมากหรือว่าผมทำงานไม่ดีวะพี่”

“เอาน่า ไอ้พล แต่ถ้าแม่งรอบนี้ยังไม่ไฟนอลอีกกูก็จะด่าแม่งไปเลย”

ผมหัวเราะใส่หัวหน้าผ่านทางโทรศัพท์ขณะที่กำลังแก้ไขไฟล์งานตามที่หัวหน้าสั่ง “พี่จะด่าจริงเหรอ”

“ด่าสิ... แต่ด่าลับหลังนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”

โลกทำงานนี่โหดร้ายพอควร ต่อหน้าเราก็ต้องเต็มพร้อมไปด้วยวุฒิภาวะและมืออาชีพ แม้ในใจเราอาจจะกำลังด่าถึงบรรพบุรุษของเขาอยู่ก็ได้ “พี่จะเอากี่โมง ผมมางานแต่งงานรุ่นน้องอยู่เนี่ย ให้โอทีผมด้วยนะ”

“เคี่ยวชิ้บหาย เออๆ เดี๋ยวกูแอพพรูฟโอทีให้มึงสองชั่วโมง แต่ของานก่อนสามทุ่มนะเว่ย กูต้องส่งงานให้อิปลา AE อีก ไอ้ชิ้บหายเอ้ย แม่งยิ่งไม่ถูกกับกูอยู่ด้วย”

“โดนพี่ปลาด่าแน่ๆพี่โป้ง” หลังจากนั้นหัวหน้าของผมก็บ่นถึงซีเนียร์ฝ่ายเออีที่ชื่อปลาอยู่สักพักก่อนจะวางสายเพื่อปล่อยให้ผมทำงานได้อย่างเต็มที่ ความจริงงานที่แก้ก็ไม่ยากอะไรมากหรอก แค่เปลี่ยนจากแผนแรกที่เลือกไว้มาเป็นแผนสอง ผมก็ต้องมาแก้เอาสิ่งที่ลูกค้าต้องการใส่ลงไปในแผนสองแทน นี่โชคดีว่ายังเป็นแค่ดราฟที่ส่งให้ลูกค้าพิจารณา ไม่งั้นถ้าต้องมาแก้งานจริงคงจะต้องใช้เวลามากกว่านี้ ผมเร่งมือทำงานเพื่อที่จะได้กลับเข้าไปในงานแต่งงานของไอ้หนึ่งให้ทันเวลา มาถึงขนาดนี้แล้วก็ไม่อยากให้การทำงานบงการชีวิตมากจนไม่สังคมกับคนไหนเลย สุดท้ายหลังจากที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือเพื่อส่งงานเสร็จเรียบร้อย ผมก็รีบออกจากรถและวิ่งกลับเข้าไปที่งาน

กลับมาอีกทีประตูห้องที่จัดงานก็ปิดแล้ว ผมจึงค่อยๆแง้มเปิดเข้าไปเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ไอ้หนึ่งกับเจ้าสาวอยู่กลางเวที กำลังอยู่ในช่วงเล่าความหลังแสนซึ้งหวานโรแมนติค พอเดินเข้าไปใกล้กลุ่มรุ่นน้องผมก็เห็นนายในชุดสูทสีอ่อนเข้าชุดกับเดอะแก๊งส์เพราะว่าพวกมันเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ชุดสีน้ำตาลเรียบๆนั่นไม่มีอะไรเป็นพิเศษแต่รอยยิ้มของนายกลับทำให้ผมชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง หัวใจของผมมันเต้นแรง เรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเรามันย้อนฉายเหมือนภาพสไลด์ ยิ่งวินาทีที่หันกลับมาผมก็แทบจะลืมการหายใจไปชั่วขณะ

“ว่าไง ไอ้ตูดหมึก”

ผมทักนายและเขาก็ยิ้มให้ผมแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ

“อ้าว พี่พล เพิ่งจะกลับมาเหรอ เนี่ยพลาดตอนไอ้หนึ่งพูดถึงพี่ด้วยนะ เรื่องที่ติวสอบให้อะ” ไอ้เฟริสท์หันมาพูดแล้วหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ด้านข้างให้ผม “พวกเราไม่เคยลืมเลยนะพี่”

“เออ พวกมึงสอบผ่านกูก็ดีใจ” ผมตอบเจ้ารุ่นน้องคนนี้ไปก่อนจะจิบน้ำแก้เขิน มาทำซึ้งต่อหน้าผมก็มีอารมณ์เขินบ้างเหมือนกันนะ “เราเป็นยังไงมั่งล่ะ” ผมเอ่ยถามนายหลังจากที่หนูนุ่นกับไอ้เฟริสท์เดินออกไปเพื่อแย่งชิงช่อดอกไม้จากเจ้าสาว

“สบายดีครับ”

“แล้วได้งานที่ไหน”

นายบอกว่าได้งานที่บริษัทโปรดักชั่นแห่งหนึ่งจากนั้นก็เงียบไปตามสไตล์ของเขา

“แล้วหลังจากเสร็จงานนี้จะไปต่อที่ไหนกันรึป่าว”

“ไปร้านเดิมครับ”

เอาล่ะ ถึงเวลาที่ผมควรจะหยุดถามได้แล้วสินะ ถามคำตอบคำแบบนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดีเหมือนกัน ผม ไอ้บอม และนายเรายืนอยู่ตรงนั้นอีกพักหนึ่งก่อนที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะลงมาจากเวที เป็นอันว่างานเลี้ยงฉลองได้จบลงแล้ว









เจ้าพวกรุ่นน้องของผมแห่กันมาที่ร้านเที่ยวในย่านเอกมัยเหมือนเคย แต่ที่น่าแปลกใจก็คือไอ้หนึ่งดันมาด้วยเนี่ยสิ พอถาม มันก็บอกว่าภรรยาให้มาเที่ยวเพราะเห็นว่านานๆเจอเพื่อนทีโดยที่มันไม่ได้เรียกร้องเลย ผมนี่ยอมใจภรรยาของไอ้หนึ่งจริงๆ เราสังสรรค์ด้วยเหล้าแพงที่ได้เป็นของขวัญมาจากเพื่อนของภรรยาไอ้หนึ่ง แต่พอโตขึ้นมาอยู่ในวัยทำงาน การดื่มของพวกเราลดน้อยลงและแทนที่ด้วยการพูดคุยถึงเรื่องต่างๆในระหว่างที่ไม่ได้เจอกันแทน ผมเล่าชีวิตการทำงานให้พวกมันฟัง และพูดถึงเรื่องที่ตั้งใจว่าจะไปทำงานที่ต่างประเทศและคิดที่จะไปตั้งรกรากที่อื่น พวกมันมีคำถามต่างๆอีกมากมายเกี่ยวกับความคิดนี้ ทั้งเรื่องพ่อแม่ เรื่องการปรับตัว ภาษา เรื่องอื่นต่างๆอีกมากมาย

“เดี๋ยวก่อนนะ ให้กูได้งานที่สิงคโปร์ก่อนก็แล้วกัน กูก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดที่นู่นหรือเปล่าเลย แต่ก็มาถึงขนาดนี้แล้วว่ะ”

“โห พี่นี่สุดยอดอะ พวกผมยังแค่คิดทำงานในไทยเอาตัวรอดไปวันๆ” ไอ้หนึ่งพูดแล้วดื่มเครื่องดื่มไปอีกอึกใหญ่ “เออ แล้วมึงล่ะไอ้นาย ทำไมไม่ค่อยตอบไลน์พวกกูเลยวะ”

เจ้าตัวที่ถูกเพื่อนโยนคำถามมาถึงกับทำหน้าเหวอ “กูเหรอ กูออกกองบ่อยอะ แทบไม่ได้แตะมือถือเลย”

“ไม่ใช่ว่ามึงไม่อยากคุยกับพวกกูหรอกเหรอ” ไอ้หนึ่งจี้ถามอีก

แต่ยังไม่ทันที่นายจะได้ตอบไอ้บอมที่นั่งจิบเครื่องดื่มแบบหล่อๆอยู่กลับโผล่หน้าเข้ามาแทน “ย้ายห้องแล้วใช่มั้ยวะ”

ประโยคนั้นทำให้ชาวแก๊งส์แสดงสีหน้าประหลาดใจปนความสงสัยออกมา

“ยังไง อะไร พูด” ไอ้เฟริสท์เสนอหน้าถาม

“อ้าว มึงยังไม่ได้บอกไอ้พวกนี้เหรอ โทษที” ไอ้บอมตัวต้นเรื่องยิ้มแหยๆ

สีหน้าของนายไม่ได้บ่งบอกอะไรเป็นพิเศษ เขาเล่าให้ฟังว่าได้ไปปรึกษากับบอมเรื่องจะซื้อห้องพักเล็กๆเพราะว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อที่ไหน ทุกอย่างดูราบเรียบเป็นชีวิตปกติของคนวัยทำงาน จากนั้นพวกเราก็ดื่มกันหมดแก้วไม่มีใครซักถามอะไรมากมาย กลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วจากที่ตั้งใจจะมาดื่มสังสรรค์แบบสวยหล่อ นิสัยเดิมสมัยเรียนก็ย้อนกลับมา เราดื่มหนัก เสียงดัง ปลดปล่อยตัวเองเต็มที่ จะมีก็แต่นายที่ดื่มน้อยลงจนผมสังเกตเห็น เขายิ้มแย้มกับเพื่อน เขาเต้นท่าแปลกประหลาด เขาสูบบุหรี่บ่อย แต่ดื่มน้อยลงจริงๆ

“ทำไมวันนี้ดื่มน้อยจัง” ผมขยับเข้าไปใกล้และเอ่ยถามข้างหูของนายท่ามกลางเสียงเพลงดังกระหึ่ม

“นายมีออกกองตอนตีสี่อะ” เขาขยับเข้ามาใกล้และตอบเหมือนเคย ไม่ได้มีท่าทีห่างเหินมากนัก

“ออกกองที่ไหน”

“ไปเซ็ทฉากที่สมุทรปราการ”

ผมกอดคอเขาไว้ไม่ให้ขยับตัวออกก่อนจะตัดสินใจชวนเขาออกไปข้างนอก “นาย ออกไปดูดบุหรี่กัน”


ที่ที่เรามายืนดูดบุหรี่คือบริเวณร้านไก่ทอด แต่ตอนนี้ไม่มีของพวกนั้นขายแล้ว ผมยื่นบุหรี่รสเดิมที่เคยสูบให้นายแต่เขาไม่รับและบอกว่าจะสูบของตัวเอง นายยกเบียร์ขึ้นดื่มก่อนจะอัดบุหรี่อึกใหญ่ ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อและดวงตาปรือลงเล็กน้อยจากผลของเครื่องดื่มต่างๆที่เราดื่มกันในร้าน ความรู้สึกบางอย่างคุกรุ่นอยู่ภายใต้จิตใจ ครั้งหนึ่งผมเคยมีอะไรกับนายและเวลานี้ก็กำลังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าชอบอะไรในตัวนาย ความสุขในเรื่องที่เราเคยมีอะไรกันนั้นยังแฝงตัวอยู่ในห้วงลึก วันนี้เมื่อพบหน้ากันอีกผมก็ไม่อาจปัดป้องสิ่งเหล่านั้นได้เช่นเคย ผมได้แต่หวังว่านายจะยังมีความรู้สึกเหล่านั้นอยู่บ้าง

“พี่พลจะไปทำงานที่เมืองนอกจริงเหรอ”

“จริงดิ พี่ไม่อยากอยู่เมืองไทยอะ”

“นายก็ไม่อยากอยู่เหมือนกัน แต่ติดตรงที่นายไม่เก่งเหมือนพี่พล”

เขาพูดแล้วอัดบุหรี่เข้าไปอีกครั้ง ริมฝีปากที่ผมเคยจูบนั่นดูชุ่มชื้นจากเบียร์ที่เขาดื่ม

“แล้วพี่พลเป็นยังไงบ้าง มีแฟนแล้วหรือยัง”

ครั้งหนึ่งนายเคยลองเชิงถามผมในเรื่องนี้แบบทางอ้อม แต่เวลานี้เขากล้าที่จะถามผมอย่างตรงไปตรงมา น่าประหลาดใจอยู่เหมือนกันนะ “ไม่มีเลย ทำแต่งาน”

“งานแม่งเอาเวลาส่วนตัวไปเกือบจะหมดทั้งวัน นายโคตรเบื่อเลยอะ แต่ก็สนุกกับงานนะได้ออกกองบ่อยๆสนุกดี”

“ฟังดูย้อนแย้งนะเรา”

เขาหัวเราะแล้วยิ้ม “นายสนุกกับงาน แต่ก็อยากมีเวลาไปเที่ยวมากกว่านี้อะ”

“แล้วเราจะซื้อคอนโดที่ไหน”

“แถวจตุจักร ที่จริงนายซื้อแล้วล่ะ แต่ยังไม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่”

ผมพยักหน้ารับรู้ นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเด็กเพิ่งจบใหม่ทำงานได้ไม่นานเงินเดือนยังไม่มากจะสามารถซื้อคอนโดได้เร็วถึงขนาดนี้เลยเชียวหรือ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องให้ความสนใจจึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรเพิ่มเติม สิ่งที่สนใจจริงๆก็คือ… “ไว้พาไปดูห้องหน่อยได้ป้ะ”

“ไว้เดี๋ยวบอกอีกทีนะ” นายตอบแบบไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขายังคงสูบบุหรี่พลางดื่มเบียร์อย่างเพลิดเพลิน กลายเป็นผมนี่แหละที่รู้สึกวูบโหวงอยู่ในอก ทำไมระหว่างเราถึงเกิดความลังเลขึ้น หรือว่านายจะยังไม่พอใจกับเรื่องสมัยก่อนอยู่

“นาย… ยังโกรธพี่เรื่องนั้นเหรอ”

นายหันหน้ามามองด้วยสายตานิ่งๆไม่ได้สื่ออารมณ์ใดๆ “นายไม่ได้โกรธพี่พลนะ นายแค่ผิดหวังอะ…” เขาเงียบลงแต่ดวงตายังคงจ้องมองผมไว้ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยจากการใช้ความคิด “นายหวังว่าเรื่องของเราจะเป็นได้มากกว่าพี่น้อง แต่นายก็รู้แล้วว่านายรู้สึกไปเองทั้งนั้น”

“เพราะเรื่องนั้นเหรอ ที่นายกับพี่…”

“ก็มีส่วน”

สิ่งที่นายตอบก็ไม่เกินกว่าที่ผมคาดไว้อยู่หรอก

“พี่พลดีกับนายมาก นายก็เลยคิดไกลเกินไปเอง”

คำตอบของนายซื่อตรงสมกับเป็นตัวเขา นั่นอาจจะเป็นอีกจุดนึงที่ทำให้ผมเอ็นดู ผมเอื้อมมือไปโอบไหล่ของนาย ตัวของของเราแนบชิดติดกัน นายไม่ได้ขืนตัวออกแม้แต่ตอนที่ผมเลื่อนมือลงต่ำจนโอบเอวของเขาไว้ ในใจของผมฮึกเหิมด้วยคิดว่านายอาจจะยังมีความรู้สึกดีๆระหว่างเรา “แล้วตอนนี้เรายังรู้สึกเหมือนเดิมรึเปล่า”

นายเงียบไม่ได้ตอบอะไร ผมจึงขยับเข้าไปเบียดให้เราแนบชิดมากกว่าเดิม แต่เมื่อถึงจุดนี้นายกลับขยับตัวออกห่างแม้จะยังรักษาระยะไว้ไม่ให้น่าเกลียด เพียงเท่านั้นผมก็พอจะรู้แล้วว่านั่นคือคำตอบจากนาย

“นายกลับเข้าไปก่อนนะ”

เขาทิ้งบุหรี่ลงบนพื้น ใช้เท้าขยี้มันให้ดับก่อนจะเดินหายไปในร้าน ผมมองบุหรี่ที่มอดไหม้ความรู้สึกบางอย่างมันระอุอยู่ในอก ไม่ใช่เพราะความเสียใจหากแต่เป็นความผิดหวังที่กำลังมอดไหม้หัวใจของผม ไม่ต่างจากบุหรี่ที่นายทิ้งไว้บนทางเดินนี้

ผมเดินตามหลังนายเข้าไปในร้านพร้อมทั้งสลัดทิ้งเรื่องนั้นไว้ด้านนอก เราเลี้ยงฉลองให้ไอ้หนึ่งด้วยความสนุกสนานไม่ต่างไปจากเมื่อครั้งสมัยเรียน เฮฮาบ้าบอไปตามประสา แม้จะลดดีกรีความบ้าน้อยลงแต่ก็ยังสนุกเหมือนเดิม ผมมองเห็นนายเล่นโทรศัพท์มือถือ แสงสว่างจากหน้าจอและแสงไฟวิบวับในร้านพอจะทำให้เห็นสีหน้าของเขา แต่แล้วไอ้หนึ่งก็ชวนทุกคนชนแก้วนายถึงได้เก็บโทรศัพท์มือถือลง เราดื่มกันอีกพักใหญ่จนผมเองก็เริ่มมึนหัว เวลานั้นคงจะประมาณเที่ยงคืนได้ เด็กวัยรุ่นที่พลังงานล้นเหลือต่างออกสเต็ปเต้นกันอย่างเมามัน ส่วนพวกเราที่เข้าสู่วัยทำงานทำได้เพียงแค่โยกตัวเล็กน้อยเพราะพลังงานนั้นหมดไปกับการทำงานเสียแล้ว ในร้านนั้นยังคงมีกลุ่มสาวสวย หนุ่มหล่อ กลุ่มกะเทยเต้นแรง คนที่เข้ามาเพื่อนหวังวันไนท์สแตนด์เช่นเคย ผมสนุกไปกับสิ่งเหล่านี้เพราะมีเพื่อนที่นานๆจะได้เจอกัน แต่ถ้าจะให้กลับไปเที่ยวโชกโชนเหมือนเมื่อก่อนคงจะไม่ไหว แต่ในช่วงที่ผมรู้สึกเริ่มเมื่อยกับการยืนนานไอ้หนึ่งก็เอ่ยปากบอกว่าจะกลับบ้าน เวลานั้นชาวเดอะแก๊งส์รุ่นน้องของผมก็ทยอยออกจากร้านกันแต่โดยดี

ด้านหน้าร้านนั้นเราออกมาคุยกันอีกพักใหญ่ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเราไปอัดอั้นมาจากไหนถึงได้มีเรื่องคุยไม่หยุดหย่อน ทุกคนรุมกอดไอ้หนึ่งก่อนที่มันจะขึ้นรถและขับออกไปเป็นคนแรก จากนั้นพวกเราก็ไปเรียกแท็กซี่ให้เฟริสท์เพราะมันจะไปต่อกับเพื่อนอีกกลุ่ม ตอนนี้ก็เหลือแค่หนูนุ่น ไอ้บอม และผมกับนาย ในช่วงที่ไอ้บอมกำลังตกลงกับนุ่นว่าจะไปส่งที่ไหนนั้นนายก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมารับสาย ผมจับใจความได้ว่าใครบางคนที่จะมารับนั้นใกล้จะมาถึงหน้าร้านแล้ว ผมนึกสงสัยจึงยังไม่ได้ขึ้นรถตัวเองและบอกเจ้าพวกรุ่นน้องว่าจะรอส่งทุกคนกลับบ้านก่อน ทั้งที่ความจริงผมตั้งใจจะรอดูว่าใครมารับนาย ผมคิดว่าตัวเองคงไม่ได้จะเจ็บปวดอะไรมากมายกับถูกปฏิเสธ เราไม่ได้ผูกพันธ์กันขนาดนั้น เราไม่ได้ผ่านเรื่องราวต่างๆที่เป็นเหมือนสายใยเชื่อมโยงกันมากพอ เราแค่ชอบกันอย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อเห็นนายก้าวขาเข้าไปหาชายหนุ่มในชุดเสื้อสีขาวกับกางเกงแสล็คสีดำ ในส่วนลึกของผมกำลังประท้วงอยู่ในอก หลังของผมผุดซึมด้วยเหงื่อ มือเย็นขึ้น และหัวใจเต้นแรง

บุญเดินเข้ามาทักทายไอ้บอมกับหนูนุ่นก่อนมองมาทางผมและกล่าวสวัสดี เขายังอยู่ในชุดนิสิตและมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไมโทรมงี้วะหมอบุญ” ไอ้บอมเอ่ยทักทำท่าจะเข้าไปกอด แต่บุญกลับขยับตัวออกห่างเล่นเอาไอ้บอมหน้าเหวอ

“โทษที เราเพิ่งถอดเล็บคนไข้มา หนองกระฉูดใส่จนซึมเข้ามาในเสื้อนิสิตเลยอะ”

เป็นว่าหลังจากฟังคำอธิบายทุกคนต่างกรูถอยห่างแทน “เฮ้ย ดีใจที่ได้เจอบุญนะ” หนูนุ่นยิ้มแย้มเอื้อมมือไปตบบ่าอย่างเป็นกันเอง “คิดถึงๆ”

“เป็นไงมั่งวะ เรียนหมอต้องทำตัวโทรมขนาดนี้เลยเหรอ”

“โห ไม่โทรมได้ไงวะบอม เราแทบไม่ได้นอน แล้วหนึ่งกับเฟริสท์กลับไปแล้วเหรอ”

“เออ มันกลับไปแล้ว เรากำลังจะไปส่งนุ่นอะ จะติดรถเราออกไปด้วยมั้ย”

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวกูจะไปหาอะไรกินกับบุญก่อนกลับ” คราวนี้เป็นนายที่ตอบเอง “ไปละพวกมึง” เขากล่าวพลางเดินเข้าไปกอดเพื่อนทั้งสองให้หายคิดถึงด้วยการตบหลังอย่างไม่ออมแรง จากนั้นเขาก็มองมาที่ผมซึ่งยืนอยู่ถัดไป “นายไปก่อนนะพี่พล” ร่างของผมถูกแช่แข็งไปชั่วขณะเมื่อนายเดินเข้ามากอด กลิ่นน้ำหอมจากตัวของนายจางหายไปเรื่อยๆยามที่เขาผละตัวออก มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เขากอดผม รวดเร็วเสียงจนผมตั้งตัวไม่ทัน ไม่ได้แม้แต่จะกอดตอบเขาเลยด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ไอ้บอมตะโกนไล่หลังสองคนที่กำลังเดินออกไป

“ย้ายเข้าห้องเมื่อไหร่บอกกูด้วยนะไอ้นาย”

ผมเห็นบุญหันมายิ้มและโบกมือลาพวกเราอีกครั้ง ส่วนนายก็มีสีหน้านิ่งเฉยเช่นเดิม มันเป็นสีหน้าที่พยายามนิ่งเฉยและผมรู้ว่านายกำลังเขินอาย สองคนนั้นเดินห่างออกไปเรื่อยๆแต่ยังอยู่ในระยะสายตา สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือตอนที่บุญโอบคอและลูบศีรษะของนาย มันอาจจะไม่ใช่แรงที่ทำให้รู้สึกอ่อนโยนเหมือนคู่รักนัก ออกจะเป็นการหยอกเล่นเหมือนเพื่อนที่เล่นหัวกันได้ แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มของนายที่มอบให้บุญก็ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเสียจนผมรู้สึกจุกเสียดขึ้นมากลางหัวใจ

มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความสดชื่นเหมือนอยู่กลางทุ่งหญ้าเขียวขจี เหมือนได้สูดอากาศในตอนเช้าบนยอดดอย เสียงหัวเราะของเขาดังลั่นตอนที่คว้าคอของบุญลงมาแล้วแกล้งต่อยท้อง ความรู้สึกเก่าๆพรั่งพรู วินาทีนั้นผมตระหนักได้ว่าตัวเองหลงชอบนายและยึดติดเขาไว้ในหัวใจมากกว่าที่คิด

รอยยิ้มของนายยังคงเหมือนเก่าก่อน เพียงแต่เวลานี้เขายิ้มให้บุญไม่ใช่ผม ไม่ใช่พี่พลคนนี้อีกต่อไป



************************************


 :really2:

https://youtu.be/Y_8vucksxrs
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: mew.kani ที่ 23-11-2018 19:43:52
จะถามถึงห้องน้องนายทำไมคะ? คุณพี่พล
อย่าไปยุ่งกับน้องนะ  :fire:

ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-11-2018 21:20:48
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: littlemagiz ที่ 24-11-2018 02:25:39
เป็นไงล่ะพี่พล
หึๆๆ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 24-11-2018 08:32:47
อะหืออออออ
เป็นเรื่องแบบที่เราตามหาเลยค่ะ. ชอบทุกอย่าง น้องนาย หมอบุญ พี่พล ความรู้สึกของนาย ความไม่ชัดเจนของพี่พล และความมั่นคงของบุญ. ชอบมากๆ คือการบรรยายของคนเขียน มีเสน่ห์มากกกกก. แง้. บรรยายไม่ถูก. เพลงประกอบยิ่งชอบ. ฮื่อ.
ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องนี้นะคะ
เป็นกำลังใจให้และจะรอคอยผลงานเรื่องต่อๆ ไปนะคะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-11-2018 12:35:35
 :L2: :pig4:

ความรักบางทีก็มาช้าไป เร็วไป
กว่าจะคิดได้ ความรักก็ไปไกลแล้ว
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: megatef4 ที่ 24-11-2018 16:53:05
ดีใจกับน้องนายและหมอบุญนะคะ แฮปปี้ๆ ส่วนอิพี่พล สมน้ำหน้าว่ะ 55555 สมัยนี้มีคนแบบพี่พลเยอะนะ อยากให้เค้ารู้สึกกับตัวเอง แต่ไม่อยากขยับสถานะ กั๊กไว้ เพราะตัวเองก็ว่างอยู่ สมมม  น้องนายไปต่อไม่รอแล้วนะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-11-2018 22:44:30
ชอบมากๆ ถึงแม้จะหน้าแหกเรื่องพี่พลไป ชอบตัวละครทุกเรื่องในนี้ ไม่รู้จะอวยยังไงค่ะ เขียนดีมาก เรารักภาษาที่ใช้ในการเล่ามาก คาแร็กเตอร์ทุกตัวละครมันดึงดูดหมดเลย รักก และจะติดตามเรื่องต่อๆ ไปทุกอันเลยค่าาา  :hao5:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ Lavender Kiss P.2 (14-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 25-11-2018 01:09:33
อินมากเลยค่ะ นี่แอบเชียร์บุญมาตั้งแต่แรก เกือบแปรพักตร์ไปหาพี่พลแล้วเหมือนกัน
รักความค่อยๆเรื่อยๆไปด้วยกันของทั้งคู่มากเลย
หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (1/3) P.2 (26-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 26-11-2018 23:45:52
ตอนพิเศษ พี่พล (1/3)




ในวันที่บุญบอกว่าว่างผมจึงนัดบุญเพื่อที่จะได้ไปเที่ยวทะเลกัน แต่สุดท้ายในวันก่อนที่เราจะเดินทาง ทันทีที่บุญเปิดประตูห้องเข้ามาเขาก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำและอาเจียน ผมวางเสื้อผ้าที่กำลังจัดใส่กระเป๋าเป้แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำช่วยลูบหลังให้เขา บุญกดชักโครกและลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา ร่างของเขาโงนเงนจนต้องพิงไปทางใดทางหนึ่ง เมื่อหันกลับมาอีกทีหัวใจของผมก็วูบโหวงเพราะใบหน้าซีดเซียวนั่น

ผมเข้าใจเสมอมาว่าการเป็นหมอคงไม่ใช่เรื่องง่าย และคงจะต้องเสียสละอะไรหลายอย่างในแบบที่คนอื่นไม่ได้รับรู้เป็นเรื่องทั่วไป แต่ผมก็ไม่คิดว่าบุญของผมจะต้องเสียสละเพื่อคนอื่นจนล้มป่วยแบบนี้ เขาไม่เคยบ่นเรื่องเข้าเวรหรืออะไรทำนองนั้นเลย แค่บ่นเวลาที่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆในเชิงลึกซึ้งซับซ้อนและโดนอาจารย์เคี่ยวเข็ญกดดันเสียมากกว่า บุญพูดเสมอว่าเขาไม่ใช่หมอที่ใจดีเพราะมันฟังดูเกินจริง นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่เขาคิดนะ แต่จากมุมมองของผมมันตรงกันข้าม เขาทุ่มเทและมีแรงปรารถนาจะรักษาดูแลคนป่วยมากกว่าที่คิด มันมากเสียจนผมนึกไม่ออกว่าหากเป็นตัวเองจะสามารถทำแบบนั้นได้หรือไม่ เอกสารหรือตำราทางการแพทย์ถูกจัดอยู่ตามชั้นตามตู้ต่างๆมากขึ้นเพราะบุญไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือจากหน้าจอ เขาหมกมุ่นกับการหาความรู้อย่างไม่หยุดหย่อนและบ่อยครั้งในเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเขาต้องรับโทรศัพท์หรือออกไปทำงานกะทันหัน ชีวิตของบุญทุ่มเทให้กับงานแต่เขากลับไม่เคยรู้ตัวเลย บุญที่แสนวิเศษของผม

บุญกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น เหงื่อแตกซ่านในขณะที่พยายามสูดหายใจเข้าเต็มปอด ผมไม่รู้ว่าเขาป่วยเป็นอะไรในหัวตอนนั้นนึกอะไรไม่ออกเพราะไม่เคยดูแลคนป่วย สิ่งที่ทำได้คงจะเป็นการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้และไถ่ถามว่าคนป่วยต้องการอะไร บุญเหลือบมองผมก่อนจะหลับตาลง เขาพึมพำแค่ว่าอยากนอน ผมปล่อยให้เป็นแบบนั้นแม้ว่าจะอยากพาเขาไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ก็ตามที แต่เมื่อหันหลังกลับมาก็พบเสื้อผ้าที่จัดเตรียมสำหรับการไปเที่ยวทะเลกองทิ้งไว้ตรงนั้นอยู่ที่เดิม

ในเย็นวันนั้นบุญนอนหลับไปหลายชั่วโมงก่อนจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิว เขาดูอิดโรย สีหน้าไม่สู้ดี และอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ผมบอกให้เขาไปหาหมอเมื่อตอนที่เรานั่งกินอาหารเขาทำเพียงรับปากแต่ไม่มีวี่แววจะทำตามและผมก็ไม่อยากเซ้าซี้อีก บุญอ้วกอีกครั้งตอนที่ผมล้างชามใบสุดท้ายเสร็จ พอเดินเข้ามาในห้องนอนก็เห็นเสื้อผ้าที่ใส่แล้วของเขากองไว้บนพื้นตรงหน้าประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ผมเก็บเสื้อกาวน์สั้นและกางเกงสีดำของเขาใส่ลงตะกร้า เสียงอ้วกที่ดังออกมาทำให้ผมไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรให้บุญดีขึ้น

“เก็บของไปทะเลเหรอ” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากออกมาจากห้องน้ำ บุญคงจะเห็นเสื้อผ้าบางส่วนและกระเป๋าเป้ที่ด้านนอก

“อืม” ผมรับคำและไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น

“พรุ่งนี้ปลุกเราด้วยนะ”

หมดประโยคเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ต่างคนต่างเข้านอนไปในคืนนั้นอย่างเงียบเชียบ




สุดท้ายเราก็ไม่ได้ไปทะเลแม้จะจ่ายเงินค่าที่พักไปแล้วก็ตาม...

ผมมองบุญที่นอนหลับลึกอยู่บนเตียง เขาดูโทรมสิ้นสภาพอย่างเห็นได้ชัด ไม่แน่ใจว่าระหว่างหมอกับคนป่วยใครจะตายก่อนกัน ผมรักในส่วนนั้นของบุญ ส่วนที่ทุ่มเทเพื่อไขว่คว้าความใฝ่ฝันของตัวเอง การกระทำของเขามันดูน่าชื่นชม เหมือนกับว่ามันมีฟิลเตอร์เฉพาะตัวของผมที่คนอื่นจำกัดความให้ว่ามันคือความหลงใหล ผมชอบเวลาที่เขานั่งอ่านหนังสือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นึกถึงนิ้วของบุญยามที่กรีดเปิดหน้ากระดาษเพื่ออ่านในหน้าถัดไปมันทำให้ผมหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก เสื้อกาวน์ตัวสั้นสีขาวที่เขาใส่ในทุกวันผมมักจินตนาการถึงเนื้อหนังภายใต้เสื้อตัวนั้นอยู่เสมอ เราไม่เคยมีเซ็กส์ทั้งๆที่บุญใส่เสื้อตัวนั้นเพราะมันเป็นเสื้อที่ใส่อยู่ในโรงพยาบาลและอาจมีเชื้อโรคต่างๆมากมาย แต่ไม่เป็นไรผมชอบที่จะเห็นบุญแบบเปลือยเปล่า ตอนที่เราไปห้างสรรพสินค้าบุญชอบไปร้านหนังสือ ไม่ได้ซื้อตำราแพทย์แต่เพื่อซื้อหนังสือชนิดอื่นๆ ใบหน้าของเขาในตอนที่เงยยืดขึ้นไปมองด้านบนมันทำให้กล้ามเนื้อตึงเผยให้เห็นช่วงคอและสันกราม มันเป็นส่วนที่ผมชอบซุกไซ้ เขาชอบปรายตาลงมาและยกยิ้มุมปากเมื่อรู้ตัวว่าผมกำลังจ้องมอง จากมุมที่เห็นเขาดูเหนือกว่าผม เหมือนเป็นสายตาของคนที่สามารถควบคุมทุกอย่างในตัวผมได้ ผมหลงใหลบุญและรักทุกอย่างที่เป็นเขาอย่างปฏิเสธไม่ได้เลย

บุญคงรู้ตัวในตอนที่ตื่นมาและพบว่าตัวเองไม่ได้ไปทะเล เขาเดินมากอดผมที่กำลังนั่งแก้งานร่างแบบป้ายสินค้าจากด้านหลัง ผมเบี่ยงตัวออก มันเป็นการกระทำที่พบเห็นไม่ได้บ่อยจากตัวผม ไอ้พวกสะดีดสะดิ้งอะไรเทือกนั้น ผมไม่สนว่าใครจะคิดอย่างไรแต่ตอนนี้เวลานี้ผมหงุดหงิดในสิ่งที่บุญเป็น

“งอนเราเหรอ”

ผมเงียบแทนคำตอบเพราะถ้าพูดไปก็ทำให้ตัวเองหงุดหงิดมากขึ้น ความเงียบคงจะเป็นการยอมรับที่ดี

“ไว้คราวหน้านะ”

“อืม” ผมตอบสั้นๆ จดจ่อสมาธิกับการดร๊าฟงาน

“ไปข้างนอกกันมั้ย” บุญเข้ามากอดผมอีกครั้งและครั้งนี้ผมไม่ได้เบี่ยงตัวหนี

ผมพยักหน้ารับก่อนจะหันกลับมามองหน้าเขาให้เต็มตา ถึงจะหงุดหงิดแต่ก็ทำได้แค่นั้นแหละ “แก้งานอันนี้อีกแป้บนะ” เขาคลอเลียผมไม่ห่างและผมก็ชอบแบบนั้นเสียด้วย “บุญ..”

“ว่า”

“อยากไปปารีสอะ”

“ไปดิ แต่ขอคุยกับอาจารย์ก่อนว่าลาได้ช่วงไหน”

“จองโรงแรมที่เห็นหอไอเฟลด้วยนะ”

“ทำไมอะ”

ผมหัวเราะในลำคอแล้วยิ้มกริ่ม “อยากทำตอนที่เห็นหอไอเฟล”

“ทำอะไรวะ”

ผมหันหลังไปมองบุญอีกครั้ง สายตาใสซื่อจนนึกเอ็นดู “ไม่มีอะไร”

บุญยังคงทำหน้าสงสัยแต่ในช่วงเวลานั้นเองโทรศัพท์มือถือของเขาก็ส่งเสียงขึ้น ผมอมยิ้มขณะที่มองบุญลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มือถือ เขาถอนหายใจยาวชูหน้าหน้าจอที่ปรากฏชื่อว่า พยาบาลอารีย์ ให้ดู

“รีบรับดิ” ผมบอกพลางเอนตัวพิงโซฟาอยู่ในท่าสบายๆ

“สรุปเมื่อกี้หมายถึงอะไร คาใจ”

“ไม่บอกโว้ย”

บุญทำหน้าเบื่อๆก่อนจะขยับนิ้วรับสายโทรศัพท์ แต่ในช่วงเสี้ยววินาทีก่อนจะรับสายเขาก็ชะงักลงและมองมาที่ผม “อ๋อ นึกออกละ หมายถึงนายอยากมีอะไรกับเราตอนที่เห็นหอไอเฟลด้วยใช่ป้ะ”

เท่านั้นล่ะเราระเบิดหัวเราะลั่นก่อนที่บุญจะหายไปคุยโทรศัพท์มือถือในห้องนอน ผมมองเขาจนหายลับตา สงบสติอารมณ์หยอกเย้าในตอนเช้าและหันมาตั้งใจแก้ไขงานต่อ ที่จริงแล้วเราไม่เคยทะเลากันจริงจังเลยนะ โดยมากถ้าไม่เงียบๆกันไปพักหนึ่งก็จะเป็นการถามคำตอบคำ พอหายงอนหายหงุดหงิดก็กลับมาคุยเล่นกันเหมือนเดิม ผมหงุดหงิดบุญได้ไม่นานหรอก นิสัยส่วนนั้นเราคล้ายคลึงกันจึงมักไม่ค่อยมีเรื่องราวทะเลาะใหญ่โต ไม่มีเลยสักครั้งที่เราจะโกรธกันนานข้ามวัน

ในช่วงที่ผมกำลังใส่สีต่างๆลงในโลโก้ของสินค้าชนิดหนึ่ง หูก็ได้ยินเสียงกุกกักออกมาจากห้องนอนไม่นานนักบุญก็โผล่ออกมาในชุดเสื้อกาวน์สั้นสีขาวด้วยท่าทางเร่งรีบ

“มีเคสด่วน เดี๋ยวว่างแล้วโทรหา” บุญพูดพลางรีบใส่รองเท้า คว้ากระเป๋าเป้ทำงานและหายออกไปจากห้องด้วยความรวดเร็ว

ผมมักพูดอยู่เสมอว่าผมหลงใหลในสิ่งที่บุญเป็น ผมรักที่ได้เห็นเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจกับอาชีพหมอ
แต่มันก็เป็นส่วนเดียวกันที่ทำให้ผมนึกเกลียดชัง…



บุญไม่ได้กลับห้องในคืนนี้ เขาติดต่อกลับมาโดยบอกว่าต้องเข้าเวรแทนหมออีกคนที่ลาป่วยกะทันหัน และต้องรอผลอะไรสักอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่องซึ่งผมคิดว่าคงจะเป็นโปรเจควิจัยบางอย่าง มันคงจะเป็นความซวยของอาชีพหมอที่ขาดแคลนบุคลากรจนหมอหนึ่งคนต้องทำงานหนักหลายเท่า ผมไม่อาจโต้เถียงหรือแม้แต่โกรธในเหตุผลนั้นได้เลย แต่ผมก็ไม่ผิดหากจะหงุดหงิดและไม่พอใจเป็นอย่างมาก หลายต่อหลายครั้งที่ชีวิตของผมต้องเผชิญเหตุการณ์แบบนี้ บุญเองก็รู้สึกแย่ทุกครั้งที่ทำให้เราไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันอย่างที่ได้วางแผนไว้ ผมเข้าใจนะ ชีวิตของคนหนึ่งคนมีค่าเกินกว่าจะประเมินได้ ทุกวินาทีความเป็นความตายขึ้นอยู่กับหมอเช่นกัน แต่หากมองอีกแง่หนึ่งบุญแทบจะไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเองเลย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมพบเจอเหตุการณ์แบบนี้แต่ทุกครั้งที่เจอก็ทำใจให้ชินชาไม่ได้เสียที

“ว่าไง”

เสียงปลายสายตอบรับหลังจากที่ผมโทรไปหา แม้จะไม่ได้คุยกันมาพักใหญ่แต่ไอ้บอมยังคงมีเสียงกวนอารมณ์เหมือนเช่นเคย “ว่างป้ะ ออกมาเจอกันหน่อย”

“มึงอยู่เชียงใหม่ป้ะล่ะ ถ้าอยู่ก็นัดมา”

ผมรู้สึกสลดลงประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์เมื่อถูกปฏิเสธ ทะเลก็ไม่ได้ไป เพื่อนก็ไม่ว่างสักคน ไอ้หนึ่งอยู่กับครอบครัว นุ่นอยู่กับแฟน เฟริสท์ไปต่างประเทศ แบบนี้ความเหงามันก็ถาโถมเข้ามาจนถึงจุดที่รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวยังไงชอบกล “อ้าว อยู่เชียงใหม่เหรอวะ งั้นแค่นี้แหละ”

“เดี๋ยว มึงเป็นไร ทะเลาะกับบุญเหรอ”

“ก็ไม่ถึงกับว่าทะเลาะกันนะ แต่บุญไปทำงานแทนหมอคนอื่นอะ คงจะกลับมาพรุ่งนี้เช้า… มั้ง” ผมตอบทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าบุญจะกลับมาหรือเปล่า บางทีเขาก็ค้างคืนที่โรงพยาบาลเป็นอาทิตย์แทบจะขาดการติดต่อจากโลกภายนอก

“มั้งนี่คืออะไรวะ แล้วทำไมทำงานแทนคนอื่นแล้วกลับห้องไม่ได้อะ”

“ไม่รู้ คงงานเยอะแหละ” ถ้าจะว่ากันตามตรงผมไม่รู้หรอกว่าวันๆนึงบุญทำอะไรมั่ง มันเป็นเรื่องที่ผมไม่ได้อยากรู้ ผมถือว่ามันเป็นเรื่องของบุญที่ผมจะไม่เคยคิดจะเข้าไปก้าวก่าย และถึงยังไงผมก็ยังอยากเว้นระยะในเรื่องนั้นไว้ “กูไม่กวนละ”

“ไอ้นาย”

“เออ”

“บุญเป็นงี้บ่อยป้ะ ที่ไม่กลับห้องอะ”

“บ่อย”

“แล้วทะเลากันเรื่องนี้เหรอ”

“จริงๆนัดไปทะเลกันอะ แต่บุญป่วยเลยไม่ได้ไป พอมาวันนี้ตอนเช้าก็โดนเรียกไปทำงานแทนคนอื่น ไม่ได้ทะเลาะกันเว่ย กูแค่เซ็งๆ”

ไอ้บอมเงียบไปครู่หนึ่งและถอนหายใจเฮือกใหญ่ “บุญมีกิ๊กป่าววะ”

“………….” เกิดเดดแอร์ไปชั่วขณะ ผมรู้สึกลำคอตีบตันขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ไอ้นาย ลองคุยกับบุญดูนะ โทรหากูได้ตลอดเวลา กูพาที่บ้านไปถนนคนเดินก่อนล่ะ”

“เออ เที่ยวให้สนุก”

ไอ้บอมตัดสายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงปริศนาที่เหมือนเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้ผม



บุญกลับมาถึงห้องตอนเช้าหกโมงกว่า ผมรู้สึกตัวตอนที่เขากำลังล้มตัวนอน หลังจากนั้นผมก็นอนไม่หลับจึงลุกขึ้นไปเปิดคอมพิวเตอร์ทำงานพิเศษที่ค้างไว้ คำพูดของบอมค่อนข้างมีอิทธิพลต่อผมอย่างมาก เมื่อคืนก็ยอมรับแหละว่านอนไม่เต็มตา มันหลับๆตื่นๆ ผมเป็นห่วงบุญเพราะเขากำลังไม่สบายจากการทำงานหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอ ผมหงุดหงิดที่บุญทำให้เราไม่ได้ไปทะเล ผมโมโหที่บุญต้องออกไปทำงานในวันหยุดของเขา และผมก็หวั่นไหวกับสิ่งที่บอมพูดเช่นกัน ความคิดนั้นไม่เคยข้องแวะเข้ามาในสมองของผมเลย แต่เมื่อบอมจุดประกายก็อดคิดไม่ได้ ผมคิดมาตลอดว่ารู้จักนิสัยของบุญดีแต่บางครั้งคนเราก็ยากหยั่งถึงจิตใจ บุญอาจจะเบื่อที่ผมเป็นคนเงียบๆไม่มีอะไรน่าหวือหวา บุญอาจจะไปเจอใครสักคนในโรงพยาบาลที่เข้าใจในอาชีพหมอ ถ้าหากเป็นเรื่องจริงคนแบบผมคงจะพ่ายแพ้เพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันๆหนึ่งบุญต้องเผชิญหรือพบเจออะไรบ้าง ความหดหู่ก่อตัวขึ้นในจิตใจแต่ผมก็สลัดมันทิ้งและตั้งใจทำงานที่อยู่ตรงหน้าแทน

ในช่วงสายของวันผมหยุดพักทำงานเพราะเริ่มรู้สึกปวดตา ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความหาบอม ค่อนข้างแปลกใจนิดหน่อยที่ไอ้เจ้าเพื่อนคนนี้เปิดอ่านข้อความเร็วกว่าปกติ ไอ้บอมไม่ตอบแต่มันกลับโทรมาหาผมเลย

“คุยกันยัง”

“ยัง แล้วนี่มึงว่างเหรอถึงโทรกลับมาเนี่ย”

“เออ ว่าง เมื่อคืนกูไปเที่ยวมานี่ยังไม่ได้นอนเลย”

“ไอ้ห่า จะสิบโมงแล้วนะมึง”

“เออน่า เดี๋ยวคุยกับมึงเสร็จแล้วจะไปนอน แล้วนี่ยังไง จะคุยเมื่อไหร่”

ผมเงียบไปครู่หนึ่งเพราะไม่รู้เลยจริงๆว่าควรเริ่มต้นอย่างไร “บอม…”

“อืม”

“ทำไมมึงคิดงั้นวะ”

“เท่าที่มึงเคยเล่าให้กูฟังมาหลายรอบมึงลองคิดดูนะ คนเราจะงานหนักจนต้องค้างที่โรงพยาบาลขนาดนั้นเลยเหรอวะ พอมีคนโทรมาก็รีบออกไปตลอด แถมยังไม่ค่อยส่งข่าวให้มึงอีกว่าทำอะไรอยู่ มันก็อาจจะเป็นสไตล์พวกมึงก็ได้กูก็ไม่รู้เหมือนกันแต่กูว่ามันก็แปลกๆนะ แล้วนี่โทรหากันบ่อยมั้ยเวลาบุญบอกว่าไปโรงพยาบาลอะ”

“ไม่บ่อย บางทีก็ปิดเครื่อง กูส่งข้อความไปบางทีวันรุ่งขึ้นถึงเปิดอ่าน บางทีอ่านแล้วก็ไม่ตอบ แต่กูก็เข้าใจคงจะยุ่งอยู่นั่นแหละ” ผมว่ามันค่อนข้างจุกจิกไปหน่อยนะกับเรื่องเหล่านี้ ไม่เคยรู้สึกเลยว่าอยากให้บุญรายงานตัวว่าทำอะไรที่ไหนอย่างไร ผมเว้นระยะห่างเรื่องนั้นไว้เพราะมองว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าเขาอยากบอกก็รับฟังนั่นแหละแต่จะไม่ถามจู้จี้มาก มันงี่เง่าไป

“พวกมึงคบกันยังไงวะเนี่ย”

“อ้าว ไหงงั้นวะ”

“เฮ้อ พวกมึงนี่นะ ห่าเอ้ย เอาเป็นว่ามึงก็ลองถามบุญแล้วกันว่าไปทำอะไรที่ไหนยังไง”

“เออ” ผมตอบรับ หลังจากนั้นเราก็พูดคุยกันเรื่องที่จะนัดเจอกับชาวแก๊งส์นิดๆหน่อยๆก่อนจะวางสายปล่อยให้ไอ้บอมไปหลับไปนอนเสียที

ผมนึกไม่ออกว่าจะเริ่มถามเรื่องจุกจิกแบบนั้นอย่างไรกับบุญดี นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก สุดท้ายก็ลุกขึ้นไปเตรียมอาหารเช้าแทน

ช่วงบ่ายบุญเดินออกมาจากห้องขณะที่ผมนั่งดูโทรทัศน์ ร่างสูงใหญ่ของเขาล้มลงนอนหนุนตักของผม ราวกับเป็นปฏิกิริยาตอบโต้ที่คุ้นเคยผมลูบศีรษะของเขาอย่างเบามือ บุญซุกหน้าเข้าหาหน้าท้องไร้ซิกแพคของผมหลังจากที่เลิกชายเสื้อขึ้น ลมหายใจอุ่นรดรินบนหน้าท้องทำให้ผมรู้สึกจั๊กจี้ เขากำลังออดอ้อนและมันก็ทำให้ผมรู้สึกใจอ่อนยวบยาบเหมือนเช่นทุกที เรื่องราวขุ่นข้องหมองใจพาลจะหายจ้อยไปเสียอย่างนั้น ผมไม่รู้สึกกระตือรือร้นในการสอบปากคำคนรัก อาจจะมองว่าผมหลงใหลในตัวของบุญจนหน้ามืดตามัว มันไม่ใช่เลย ผมแค่มีความมั่นคงในตัวของบุญมากกว่าจะจู้จี้หวาดระแวง แม้ว่าสุดท้ายแล้วในส่วนลึกที่รู้สึกสงสัยจะพยายามแหวกว่ายออกมาและโลดแล่นอยู่ในจินตนาการมากขึ้นทุกที

“นาย”

“อืม”

“กอดหน่อย”

ผมโน้มตัวลงไปกอดตามความต้องการหากแต่บุญรั้งเอาไว้ เขาเริ่มนัวเนียจูบสะเปะสะปะไปทั่วก่อนจะหยัดตัวขึ้นนั่ง มองผมด้วยดวงตาอ่อนเพลียและยิ้มจางๆ “เราขอโทษ”

ผมเงียบเพราะไม่รู้ว่าควรตอบอะไร บุญซบลงบนไหล่และกอดตัวผมไว้อยู่พักใหญ่ ทุกอย่างดูเงียบงัน ราบรื่น แต่ในใจของผมมันไม่เป็นเช่นนั้น “บุญ…”

“ครับ”

“งานของบุญ ปฏิเสธได้บ้างหรือเปล่า”

บุญเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะซบลงที่เดิม “ยังโกรธเราอยู่เหรอ”

“เราไม่ได้โกรธ”

บรรยากาศเงียบกริบ

“ลางานไม่ได้เลยเหรอ เราเห็นบุญโดนโทรเรียกตลอด”

“งานมันเลี่ยงไม่ได้หรอก”

“แล้วหมอไม่ต้องมีเวลาส่วนตัวเลยหรือไง” ผมรู้ตัวว่าน้ำเสียงเริ่มห้วนและตั้งใจให้เขารับรู้บ้างว่าผมไม่พอใจ

“อย่าโกรธเราดิ เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้”

“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธ แค่สงสัยว่าปฏิเสธไม่ได้เลยเหรอ…” ผมเบี่ยงตัวขยับเพื่อมองหน้าบุญอย่างตรงไปตรงมา ดวงตาของเราที่สบกันนั้นเต็มไปด้วยความในใจที่กำลังกลั่นกรองอยู่ในสมอง เรากำลังพยายามจะไม่ใส่อารมณ์กับเรื่องที่พูดกันอยู่นี้แต่เชื่อเถอะว่าเวลานี้ผมขาดความอดทนในเรื่องนั้น “เราเข้าใจว่างานของบุญสำคัญมากเพราะมันขึ้นอยู่กับความเป็นความตาย ถ้าบุญไปทำงานจริงๆเราก็ขอโทษที่งี่เง่า เราไม่เคยถามบุญว่าวันนึงบุญทำอะไรบ้างที่โรงพยาบาล เราไม่ชอบจุกจิกถามเรื่องพวกนั้นและมันเป็นเรื่องของบุญมันเป็นงานของบุญเราไม่อยากก้าวก่าย เราพยายามแล้วบุญ แต่หลังๆมานี้ แผนที่วางไว้มันก็ไม่เคยเป็นไปตามแผนเลย เราไม่รู้จะพยายามยังไงอีกต่อไปแล้วเหมือนกัน”

สิ้นคำเราก็เงียบกันไปอีกพักหนึ่ง บุญถอนหายใจยาว สีหน้าดูอ่อนล้าและเหนื่อยหน่ายในคราวเดียวกัน

“ไม่เข้าใจ”

“แล้วบุญไปทำงานจริงๆหรือเปล่าล่ะ”

“หมายถึงยังไง”

“ก็แล้วไปที่รีบออกไปเพราะงานจริงๆหรือเพราะอย่างอื่นล่ะ”

“ไปกันใหญ่แล้วนาย อย่างี่เง่าดิ”

ผมรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาในตอนที่โดนบุญพูดใส่หน้าว่างี่เง่า ผมลุกขึ้นเดินหนีแต่บุญก็เดินตามเข้ามาในห้องนอน

“คุยให้รู้เรื่องก่อน นี่คิดว่าที่เราออกไปทุกวันนี้เพราะอะไร นาย” บุญคว้าและจับแขนผมไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ “คิดอะไรอยู่ พูดออกมาเลย”

ผมคิดว่าตัวเองเข้มแข็งมาโดยตลอดแต่เวลานี้ผมไม่ค่อยแน่ใจ ผมงี่เง่ามากกว่าที่คิดและงี่เง่ามากที่ชวนบุญทะเลาะ

“ทำไมไม่พูดล่ะ คิดอะไรก็พูดออกมาเลย ไม่ใช่คิดเองเออเอง”

“………..”

บุญหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าเขาจะพูดจาตรงไปตรงมาเพื่อให้ผมพูดในสิ่งที่คิดแต่น้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้ใส่อารมณ์โกรธโมโหอะไรมากขนาดนั้น เหมือนพยายามยับยั้งตัวเองอยู่ “นาย…”

“บุญมีคนอื่นหรือเปล่า”

“หา?”

“………..”

“ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน”

“เราเข้าใจว่างานของบุญบางทีมันก็ฉุกเฉินกันได้ แต่เราไม่เข้าใจว่าทำไมบุญต้องค้างคืนที่โรงพยาบาล มันบ่อยมาก บ่อยจนเรา…” ผมเงียบปากเมื่อบุญขมวดคิ้วทำท่าเหมือนจะแสดงความโกรธออกมา ก็พอเข้าใจแหละว่าตัวเองงี่เง่าพ่วงด้วยความหูเบาอีกต่างหาก แต่มันอดระแคะระคายไม่ได้จริงๆ “ถ้าบุญมีใครจริงๆบอกเราได้เลยนะ เราจะได้ทำตัวถูก”

“………..”

ผมเหลือบมองอีกฝ่ายที่นิ่งเงียบแต่แล้วก็ต้องหลบตาเมื่อบุญจ้องเขม็งด้วยสีหน้านิ่งเฉยจนน่าอึดอัด วินาทีนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของบุญก็ดังขึ้น เขาเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือมารับสายแล้วเปิดสปีคเกอโฟน

“ครับ พี่ศรุต”

“หมอกฤติน ผมจะโทรมาขอบคุณที่ช่วยรับเคสเมื่อวานให้ โทษทีนะหมอ ผมไม่ไหวจริงๆ นี่ยังล่อแล่อยู่เลยแต่ก็ต้องมา”

“ไม่เป็นไรครับ”

“แล้วก็เคสเมื่อวานผมอ่านเรคคอร์ดแล้วนะ แต่มีเคสนึงที่อยากดิสกัสกับหมออีกที ผมว่ามันน่าจะเข้าข่ายซีเอ็มแอลมากกว่า ไว้เจอหมอแล้วขอคุยด้วยนะครับ”

“ได้ครับ”

“ขอบคุณมากนะหมอ ผมวางสายล่ะ”

ผมเงยหน้ามองบุญแล้วหลบสายตาอีก รู้สึกเหมือนตัวเองโง่เง่ามากเข้าไปทุกทีไม่กล้าแม้แต่จะสบตาตรงๆเลย บุญโยนโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ เสียงของมันกลายเป็นเสียงที่ดังที่สุดในตอนนั้น หูของผมอื้ออึงเพราะความเงียบ ผมกำลังรู้สึกผิด ไม่กล้าสู้หน้าสู้สายตาของบุญที่มองมา นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่บุญจะโกรธผมและผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้

“มานี่ซิ”

เขาพูดเสียงเบาไม่มีน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจ แต่ผมนิ่งงันไม่กล้าขยับตัว บุญคงหน่ายใจเขาเดินเข้ามาตรงหน้า น้อมตัวลงและช้อนมองผมจากมุมที่ต่ำกว่า ผมเบี่ยงหน้าหนีแสร้งมองไปอีกด้าน ในใจนึกอยากเดินหนี ผมอยากขอโทษบุญแต่ตอนนี้ไม่มีความกล้ามากพอแม้แต่จะมองตา

“มอง”

ผมตัวแข็งทื่อเมื่อบุญพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นกระโชกโฮกฮาก

“มีอะไรอยากพูดอีกมั้ย”

ผมส่ายหน้า

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น” ผมเผลอสบตากับเขาครู่หนึ่ง และในตอนนั้นบุญก็จับใบหน้าผมไว้ “ไหนบอกซิ ทำไมถึงคิดว่าเรามีคนอื่น”

เท่านั้นแหละน้ำตาไหลออกมาแหมะ แหมะ

“อ้าว เฮ้ย” บุญร้องออกมาก่อนจะรั้งร่างผมเข้าไปกอด ที่จริงน้ำตามันก็แค่ไหลออกมาวูบเดียวจากตอนที่พยายามสะกดกลั้นไว้เท่านั้นแหละ แต่ผมคิดว่ามันคงทำให้บุญตกใจอยู่พอควร

“เราขอโทษ” ผมกล่าวแล้วเงยหน้าขึ้นมองสบตากับคนรัก “บุญอย่าโกรธเรานะ เราขอโทษ เรางี่เง่าเอง” เวลานี้ผมรู้สึกว่าตัวเองปวกเปียกจนต้องยึดกอดร่างของบุญไว้แน่น “เราขอโทษ”

บุญลูบศีรษะและกดมันลงให้แนบกับไหล่เพื่อซับน้ำตาของผมที่ยังค้างคั่งอยู่บนใบหน้า “อย่าร้องไห้สิโว้ยยยย”

“ไม่ได้ร้องเว่ยยยยย”

“แล้วน้ำตานี่มันอะไรกันวะ”

“มันมีแค่หยดเดียวไม่นับว่าเป็นน้ำตาเว่ย”

บุญผละร่างผมออกมามองแล้วหัวเราะขึ้นจมูก “เดี๋ยวก่อนนะ ถามจริงๆ ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

ผมยกแขนโอบกอดรอบคอบุญมองตาของเขาแล้วก็ก้มหน้าลงซุกที่ลาดไหล่ “……….”

“ที่อยากรู้เพราะเรารู้ว่าปกตินายไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้ ไม่เคยระแวงเราเลย”

“มั่นใจได้ยังไงว่าเราไม่เคยคิด”

บุญกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย “ถ้าจะคิดระแวงเรา นายก็คงจะระแวงตั้งแต่แรกแล้วเพราะว่าเราก็ทำงานแบบนี้มาตั้งนาน อีกอย่างนายก็รู้ว่าเราเป็นคนยังไง”

“อย่าโกรธเรานะ”

“เออ”

“อย่าโกรธบอมด้วยนะ”

“ห้ะ?”

“ก็เรานอยด์ที่ผิดแผน ผิดแม่งซ้ำซ้อนซ่อนเงื่อนเลยโทรหาบอม เล่าให้มันฟังเรื่องที่จะไปเที่ยวแล้วไม่ได้ไป พอมันถามเหตุผลเราก็แค่บอกว่าบุญติดงานด่วน ไอ้บอมก็เลยสงสัยว่า… อย่างนั้นแหละ”

“อย่างนั้นอะไร”

“บุญมีคนอื่น”

บุญหัวเราะลงคอ

“อย่าโกรธที่เรางี่เง่าแบบนี้เลยนะ”

“แล้วบอมบอกอะไรอีกมั้ย”

“ก็บอกให้เราคุยกับบุญ แบบถามบุญบ้างว่าทำอะไรอยู่”

“อืม แล้วยังไงอีก”

ผมมองบุญ มองดวงตาที่โรยราจากความเหนื่อย ใบหน้าโทรมๆจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ผมคิดหาเหตุผลอื่นใดไม่ได้แล้วสำหรับความงี่เง่านี้ เขาเหนื่อยกายจากงานและยังต้องมาเหนื่อยใจกับผมอีกผมไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ขับเคลื่อนให้มาถึงจุดนี้ “ไม่มีแล้ว”

“แล้วอยากให้เราบอกมั้ยว่าเราทำอะไรอยู่”

“ถ้าบอกก็จะรับฟัง แต่ไม่รู้ดิ แค่คิดว่าวันๆนึงบุญเหนื่อยจากงานก็ไม่อยากให้บุญต้องมาทำอะไรแบบนั้นหรอก ไร้สาระ” ผมพูดไปตามความจริงแม้ความคิดหวาดระแวงจะข้องแวะเข้ามาให้ได้ทะเลาะกัน แต่ตัวตนของผมก็ยังเป็นเหมือนเดิม เป็นนายที่ไม่ชอบเรื่องจุกจิกพรรณนั้น

บุญยิ้มมุมปากก่อนจะจูบที่แก้มและกอดรัดผมไว้แบบนั้นอยู่นานสองนาน



หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (1/3) P.2 (26-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 26-11-2018 23:46:58




กระเป๋าเป้ใบขนาดกลางที่บรรจุเสื้อของเราสองคนถูกบุญหยิบไปถือ เขาเดินออกจากรถตู้นำหน้าผมไปยังท่าเรือที่อยู่เบื้องหน้า แดดในเวลาใกล้เที่ยงไม่ใช่เรื่องตลก ผมเร่งฝีเท้าก้าวตามไปเรื่อยจนอยู่ในที่ร่ม มองดูเขาต่อแถวอยู่หลังชาวต่างชาติเพื่อซื้อตั๋วสำหรับขึ้นเรือ บุญตัวสูงใหญ่พอๆกับผู้ชายฝรั่งที่ยืนข้างหน้า ภายนอกเขาดูเรียบร้อยและมีบุคลิกนอบน้อม เคยเห็นเขาอยู่กับเพื่อนร่วมงานยืนคุยกันด้วยเคสคนไข้รายหนึ่งที่ผมฟังภาษาหมอไม่รู้เรื่อง เขาพูดครับ ครับ และครับลงท้ายทุกประโยคจนผมนึกหัวเราะอยู่ในใจ ไม่ได้ตั้งใจจะล้อเลียนอะไรหรอกแต่ก็อดขำขันไม่ได้เมื่อนึกถึงบุญในเวลาที่อยู่กับผม เขาไม่ได้เป็นพวกเกเรหรือแบดบอยอะไรเลย เขายังคงเป็นคนเรียบร้อยแต่เพิ่มเติมเวลาอยู่กับผมก็คือความดุ เจ้าระเบียบ มีวินัย ผมไม่ได้อึดอัดหรอกนะแค่ชอบเวลาที่เขาดุและแสดงความดุออกมาอย่าง ‘นายเก็บของให้เรียบร้อย’ ‘นายล้างจานเสร็จแล้วทำไมไม่ทำฟองน้ำให้แห้ง’ ‘นายตากผ้ายังไงให้ผ้ายับขนาดนี้’ อะไรทำนองนั้น อย่างที่เคยพูดไปผมเป็นคนขี้เกียจ ค่อนข้างเถลไถลไปหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับพาชีวิตตัวเองให้ดิ่งลง ผมชอบที่บุญเป็นตัวของตัวเองเวลาที่อยู่ด้วยกัน แล้วก็ชอบบุญที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวุฒิภาวะในที่ทำงาน ผมชอบเขาทั้งสองแบบ

ถึงลำดับของบุญแล้วสำหรับการซื้อตั๋วเรือข้ามฟาก เขารับตั๋วและหันหน้าหันหลังมองหาผม ผมไม่ได้ตะโกนเรียกหรือแสดงตัวอะไรออกไปปล่อยให้เขาชะเง้อมองหาผมที่ตรงหน้ามีชายหญิงชาวต่างชาติยืนบังอยู่

ก่อนหน้านี้ที่เราเถียงกันเสียงดัง เพียงแค่อีกหนึ่งอาทิตย์ที่เราต่างก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเองและไม่ค่อยได้ติดต่อกัน บุญก็ตรงเข้ามาหาผมที่เพิ่งกลับมาจากออกกองต่างจังหวัดพร้อมกับบอกว่า ‘ไปทะเลกัน’ ผมนิ่งเพราะอื้ออึงไปชั่วขณะก่อนจะตอบรับไปตามธรรมดา ผมไม่อยากแสดงความดีใจหรืออะไรทำนองนั้นออกไป ความคาดหวังที่ผ่านมาทำให้ผมต้องเผื่อใจไว้ด้วย บุญอาจจะติดเคสด่วนอีก ไม่ก็โดนลากให้ทำงานจนไม่ได้ไปทะเลอีกก็ได้ อาจจะเพราะว่าผมทำตัวนิ่งเฉยมากบุญจึงถามว่าติดงานอะไรหรือเปล่า ผมปฏิเสธไปเพราะช่วงนี้ไม่มีออกกองที่ต่างจังหวัดแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้อธิบายพูดความคิดทั้งหมดของตัวเองออกไป มันไร้ประโยชน์กับการเอาความคิดติดลบไปใส่หัวคนอื่น บุญเก็บเสื้อผ้าให้ จริงๆมันคือเสื้อผ้าที่เคยเตรียมไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละ ชุดไม่กี่ชุดของเราสองคนกับกระเป๋าเป้หนึ่งใบ และสุดท้ายทะเลที่รอเราอยู่เบื้องหน้านี้ก็กลายเป็นความจริง

ผมมองบุญที่เอ่ยขอทางกับฝรั่งตรงหน้าเพื่อแทรกตัวเข้ามาหา ใช้เวลาอึดใจหนึ่งเขาก็หาผมเจอ บุญยืนอยู่ตรงหน้าขณะที่ฝรั่งกลุ่มนั้นเดินกระจายหายไปคนทิศคนละทาง บุญในชุดสบายๆพร้อมเที่ยวทะเลเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะไม่มีเครื่องประดับอื่นใดเป็นพิเศษนอกจากนาฬิกาเน่าๆหนึ่งเรือน เขาต่างจากผมอยู่สักหน่อยที่แต่งตัวเยอะกว่านิดๆ ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงมันก็ต้องมีบ้างที่ได้รับอิทธิพลจากคอสตูมประจำกองถ่าย เรามองหน้ากันแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ซึ่งผมว่ามันเป็นเพราะยังง่วงงุนจากการเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ บุญขยับเข้ามาใกล้ ทัศนีย์ภาพรอบด้านดูเบลอลงไปราวกับการถ่ายรูปแบบชัดตื้น ใบหน้าของเขาเด่นชัดอยู่ในสายตาของผม ผมอยากจูบเขาแต่ประหลาดใจอยู่สักหน่อยเมื่อบุญจับมือของผม และจับมันไว้อย่างนั้นโดยไร้คำพูดอื่นใด

เกาะที่เรามากันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของเราสองคนเพราะฉะนั้นเราคุ้นชินกับการเดินทางดี มันไม่ใช่เกาะส่วนตัวที่เราจะสามารถแก้ผ้าและมีเซ็กส์สุดเหวี่ยงกันกลางหาดได้ แต่ที่พักของเราอยู่บนผืนหาดที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก หาดนี้จึงเงียบสงบ มีชาวต่างชาตินอนปะปรายอยู่ตามใต้ร่มไม้ซ่อนใบหน้าอยู่หลังหนังสือเล่มโปรดของพวกเขา บุญจับมือผมอย่างเปิดเผยและผมก็ยินยอม มีคนมองบ้างเพราะมันคงดูแปลกตาที่ผู้ชายจับมือกันแต่ผมสนใจแค่บุญก็พอแล้ว ที่พักที่บุญได้จองไว้เป็นบ้านพักหลังหนึ่งขนาดสำหรับสองคน บริเวณระเบียงบ้านมีชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้ มีอ่างแช่น้ำทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส เปิดประตูเข้ามาก็พบกับเตียงนอนที่มีม่านมุ้งสีขาวละมุนตาถูกเก็บปลายไว้อย่างสวยงาม มีที่นั่งพักผ่อนเป็นเบาะยาวอยู่ปลายเตียง มองทะลุไปด้านในเป็นห้องน้ำและด้านข้างถัดไปเป็นโต๊ะสำหรับนั่งกินอาหาร ผมตื่นเต้นที่ได้มาเที่ยวกับบุญและได้พักในที่สวยงาม ในสมองคิดถึงการออกไปเอาตัวจุ่มน้ำทะเลลอยคอไปมาให้ชุ่มกายก่อนจะขึ้นมาบนบกหาที่ร่มใต้ต้นไม้นอนอ่านหนังสือฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อย พอตกเย็นก็ออกไปหาอาหารทานอย่างง่ายๆแล้วกลับห้องมาแช่น้ำในอ่างเปิดระบบน้ำวนให้สบายตัว ไม่มีอะไรที่ผมต้องการไปมากกว่านี้อีกแล้ว

แต่เมื่อหันมาจะพูดถึงแผนการณ์ในสมองให้อีกคนฟัง เขากำลังปิดม่านลง แสงแดดยามบ่ายถูกปิดกั้นไว้แล้ว เหลือเพียงบุญกับผมในห้องสลัวแห่งนี้ เป็นอันว่าแผนการณ์ต่างๆของผมถูกพับเก็บไว้ชั่วคราว

ผมมองบุญจากด้านบน ใบหน้าของเขาไม่ชัดนักหรอกเพราะแรงส่งจากด้านล่าง ผมอยากขยับตัวหนีด้วยเริ่มรู้สึกเจ็บที่ส่วนนั้นแต่มือของบุญยึดสะโพกของผมไว้ สวนกายขึ้นมาไม่ออมแรง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับความรุนแรงจากบุญ เขาทำอย่างที่อยากทำ ไม่มีบทพูดใดๆเป็นพิเศษ มีเพียงเสียงร่างกายของเราสองคนขยับเขยื้อนบนเตียงหลังนี้ ผมเริ่มอ่อนแรงจากที่ยึดหัวเตียงไว้ก็ทรุดกายวางมือลงบนพื้นเตียงสีขาว บุญรั้งผมเข้าไปจูบมันหายใจไม่ถนัดแต่ยังพอรับมือไหว ส่วนล่างที่รองรับของบุญอยู่นั้นไม่ผ่อนปรนลงเลย เซ็กส์ของเราครั้งนี้มันดึงดันและหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยพาลพบ

“บุญ เบาๆหน่อย” ผมเอ่ยแต่ไม่มีเสียงตอบ บุญถอนกายออกไปและคว้าเจลหล่อลื่นมาชโลมบั้นท้ายผมแล้วสอดใส่เข้ามาอีก มือของผมคว้ากอดบุญไว้แนบแน่นเมื่อเขาผุดลุกขึ้นนั่งทำให้ผมเผลอลงน้ำหนักรับส่วนนั้นลึกขึ้น แม้ว่าข้างในจะชุ่มจากเจลหล่อลื่นแต่แรงกายที่ได้รับนั้นจุกเสียดจนกลั้นเสียงไว้ไม่อยู่ ก็ใช่ว่าจะเจ็บอย่างเดียวมันมาพร้อมกับความสุขสมที่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ บุญซุกหน้าลงที่ซอกคอของผม ลมหายใจหนักหน่วงตามช่วงจังหวะรดรินบนผิวกาย เขากดสะโพกของผมแนบแน่นไม่ให้บ่ายหนี “บุญ เรา...” ผมจะร้องบอกให้เขาทำช้าลงแต่แล้วเสียงก็แผ่วหายขณะที่ถูกกระทั้นกายหนักหน่วง

บุญเงยหน้าขึ้นมอง ผมเห็นสิ่งแปลกใหม่ในดวงตาของเขา มันดุดันและแสดงความแข็งกระด้างออกมา

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมถามขณะที่พยายามฝืนแรงกายให้อีกฝ่ายผ่อนปรนลงบ้าง

“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรนี่” เขาตอบเสียงแผ่วเช่นกันก่อนจะผลักร่างของผมให้นอนราบลงกับที่นอน “ทำไมอะ”

ผมหลับตาแน่นหลุดเสียงร้องเมื่อเขาสอดใส่เข้ามาจนสุดและค้างไว้

“เจ็บเหรอ”

ผมครางรับในคอแทนคำพูด แต่แล้วขาของผมก็ถูกแยกออกกว้าง คราวนี้ผมร้องไม่ออกเมื่อเจ้านั่นของบุญกำลังเสียดสีจุดสะท้านอย่างตรงไปตรงมา

“หายเจ็บหรือยัง”

ผมส่ายหน้า จุกเสียดเสียวช่วงล่างไปหมดอย่างที่ไม่เคยรู้สึก จากนั้นเจ้านั่นของบุญก็ถอดถอนออกไป ผมรู้สึกวูบโหวงอยู่พอควร... มันก็ไม่น่าแปลกนะเมื่อนึกถึงของๆบุญที่เติมเต็มจนคับแน่นมาหลายสิบยี่สิบนาที “บุญ...” ผมร้องเสียงอ่อน คว้ามับจับแขนอีกฝ่ายไว้แต่บุญกลับดึงมือออกและตรึงแขนทั้งสองข้างไว้กับเตียง ดวงตาเราสองสบกันแล้วอยู่ๆบุญก็ปล่อยแขน

“โทษที”

“เป็นอะไร” คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ผมว่าแล้วว่าเขาต้องมีอะไรในใจ

“ไม่มีอะไร ทำต่อได้ป้ะ เบาๆ”

“เดี๋ยวก่อน” ผมยั้งไว้พยายามมองตาของเขาและพบว่ามันเป็นความเขินอายที่ซุกซ่อนตรงไหนสักแห่งในแววตาลุ่มลึกนั่น ผมคาดคั้นเขาด้วยสายตาจนกระทั่งบุญยอมที่จะเอ่ยปาก

“ก็ไม่ได้กอดนายมาหลายวัน อยากทำแรงๆ”

“..............”

ผมแทบจะอ้าปากค้างจากคำที่ได้ยิน เพิ่งเคยเห็นมุมนี้ของบุญ มุมที่หื่นกระหายและค่อนข้างรุนแรง มันคงเป็นส่วนหนึ่งในตัวเขา ผมขำไม่ออกเพราะเข้าใจในอารมณ์นั้น ผู้ชายกับเซ็กส์มันขาดกันได้ไม่นานแต่ก็ไม่เคยคิดว่าบุญจะรุนแรงเลยเพราะที่ผ่านมามันตรงกันข้าม ผมโอบกอดเขา โอบรับในสิ่งที่เขาเป็น โอบรับกับอีกหนึ่งตัวตนของคนที่ผมรัก

“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ”

“ทำได้”

“ถ้ามันเจ็บเราก็ไม่ทำแล้ว”

“เจ็บ แต่มันไม่ได้เจ็บอย่างเดียว”

อีกครั้งที่เราสบตากัน บุญแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะทำดั่งใจปรารถนา



ผมค้นพบว่าตัวเองชอบเซ็กส์ที่รุนแรงอยู่สักหน่อย เพิ่งเจอตัวเองตอนที่บุญโหมกระหน่ำความหฤหรรษ์ต่างๆเข้ามา ประหลาดใจอีกครั้งเมื่อบุญรู้ลึกตื้นหนาบางมากกว่าที่คิด บางอย่างมันก็เจ็บเกินกว่าจะทานทนแต่ผมหรรษาอย่างปฏิเสธตัวเองไม่ได้ และดูเหมือนว่าบุญก็พอใจที่ทำให้ผมพร่ำร้องพร้อมทั้งน้ำตาคลอเบ้า เราเข้ากันได้ดีในเรื่องนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ยังเป็นผม บุญก็ยังเป็นบุญ ในช่วงก่อนที่จะถึงจุดสุดยอดเราก่ายกอดกันอย่างนุ่มนวล หัวใจสูบฉีดเต้นตุบตับจากความวาบหวาม ร่างทั้งร่างวูบไหวเพียงเพราะบุญพูดคำหวานหูให้ผมฟัง ผมแนบใบหน้าที่ข้างแก้มของเขา บอกรักในตอนที่บุญปลดปล่อยเข้ามา เนื้อตัวเราต่างเปียกชื้น หอบหายใจหนัก ผมเริ่มปวดหนึบนิดหน่อยที่บั้นท้ายแต่ไม่เป็นไรเลยเมื่อรอบกายตอนนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของบุญ กลิ่นอายของความสุข กลิ่นอายความรักของเราสองคน

“โอ้ย โทรมาอีกแล้วโว้ย”

บุญบ่นขึ้นมาในตอนที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นระหว่างที่เราแช่อ่างน้ำกันอยู่ริมระเบียงด้านหน้าห้องพัก เขายื่นหน้าจอให้ดูและพบว่ามันปรากฏชื่อของ หมอยุวลักษณ์

ผมทำได้แค่นิ่งเฉยไม่พูดอะไรออกมา ก็ไม่เชิงว่าโกรธแต่ก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนเดิมนั่นแหละ เสียงน้ำที่ไหลวนอยู่ในอ่างทำให้บุญลุกขึ้นในสภาพเปลือยเปล่าเข้าไปคุยโทรศัพท์มือถือในห้องพัก ส่วนผมคิดว่าจะอยู่แช่น้ำต่ออีกสักหน่อย ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ส่งตัวเองเข้าสู่โหมดออนไลน์ คิดไว้ว่าจะเช็คข้อความและเข้าทวิตเตอร์อีกหน่อย ผมแชทกับเดอะแก๊งส์ที่นัดรวมตัวครั้งใหญ่ เพลิดเพลินกับการถกเถียงหาร้านอยู่พักหนึ่ง หน้าจอด้านบนก็ปรากฏข้อความที่เพิ่งส่งเข้ามาสดๆร้อนๆ


05:48 PM.
‘นาย นี่พี่พลเอง’







“น้องฝึกงานน่ะ โทรมาปรึกษานิดหน่อย”

ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ยืนค้ำอยู่เหนือหัว “ห้ะ?”

“ที่โทรมาเมื่อกี้ไง กลัวเข้าใจผิดอีก” บุญกล่าวทั้งๆที่พยายามกลั้นยิ้มขณะที่นั่งลงในที่เดิม ผมจึงทำหน้าบูดยืดขาไปพาดขาของเขาที่อยู่ใต้น้ำ อ่างน้ำเอ้าดอร์แบบนี้ค่อนข้างลึกกว่าอ่างที่เอาไว้แช่ในห้องน้ำอยู่พอสมควร เมื่อเรานั่งระดับน้ำก็จะท่วมขึ้นมาถึงอก “มานี่หน่อย” เขาส่งสัญญาณมือเป็นเชิงว่าให้ผมขยับเข้าไปหา ผมทำมึนไม่ขยับเข้าไปเพราะว่าจะแกล้งเล่นตัวกับบุญไม่มีอะไรมากกว่านั้น “คุยงานกันจริงๆนะ”

“ยังไม่ได้พูดอะไรเลย” ผมตอบกลับแต่ก็ยังทำหน้ามึนอยู่ที่เดิม

เงียบกันไปพักหนึ่งบุญก็เป็นฝ่ายขยับเข้ามา

“เฮ้ย ไม่ได้โกรธอะไรเลย จะแกล้งเฉยๆ”

“หันหลังดีๆ” เขาบอกขณะที่โอบร่างผมเข้าไปกอดจากด้านหลัง ท่อนบนของผมเกยขอบอ่างส่วนท่อนล่างอยู่ใต้น้ำ มือของบุญข้างหนึ่งจับบั้นท้ายของผมก่อนที่บางส่วนของบุญซี่งอยู่ใต้น้ำจะค่อยๆแทรกเข้ามา ผมหายใจแรงพยายามไม่ส่งเสียงใดๆออกไป บุญจูบตามลาดไหล่พลางแทรกส่วนนั้นเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ ผมจับขอบอ่างแน่นเมื่อมันเข้ามาจนสุด

“บุญ...”

“เรารักนาย รักมาก” คำพูดนั้นกระซิบแผ่วอยู่ข้างใบหูพร้อมทั้งริมฝีปากของบุญประชิดจูบตามผิวกาย

ผมเอื้อมมือไปรั้งใบหน้าของเขาเข้ามา จูบแก้ม จูบปลายคาง “เราก็รักบุญ รักมากเหมือนกัน”

อ่างแช่น้ำระบบน้ำวนดูจะกลายเป็นคลื่นแรงเกินกว่าที่ระบบตั้งไว้ เรากอดกันอยู่ตรงนั้น ที่ๆเมื่อมองออกไปก็สามารถชื่นชมทิวทัศน์ยามเย็นย่ำ จากระเบียงที่เราแช่น้ำกันอยู่นี้มองเห็นทิวภูเขาที่มีต้นไม้เขียวขจีสบายตาและเวิ้งหาดท้องทะเลที่พระอาทิตย์ลามเลียให้เป็นสีส้มประกายเงาแสงสะท้อนระยิบระยับ














หลังจากเซ็กส์ริมระเบียงบนเนินเขาเหนือท้องทะเลจบสิ้นลง เราออกไปหาอะไรกินกันง่ายๆและขึ้นมานอนเล่นอยู่ในห้องพักด้วยเพราะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่สักหน่อย ผมยืนกรานกับบุญว่าพรุ่งนี้อยากออกไปให้โดนน้ำทะเล แม้ว่าบุญจะบอกว่าจ่ายค่าห้องไปแพงและอยากใช้เวลาพักผ่อนในห้องหลังนี้นานๆ ผมยิ้มกริ่มด้วยรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ไม่ถึงกับขัดข้องเขาหรอกนะแต่คิดว่าอยากให้พบกันครึ่งทางอย่างให้ผมได้ออกไปเล่นน้ำทะเลแล้วหามุมสงบแถวเนินเขาดู มุมที่มันเงียบๆปราศจากคนอะไรทำนองนั้น

บริเวณที่พักเงียบสงัดด้วยเพราะผู้คนเริ่มเข้าห้องพักกันหมด เราสองคนก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เข้านอนกันในเวลาเกือบๆห้าทุ่ม ผมพร้อมเข้านอนเหลือเพียงรอบุญอาบน้ำแล้วก็จะเข้านอนพร้อมกัน ระหว่างรอผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเล่น เข้าไปในหน้าแอพพลิเคชั่นยอดนิยมและลังเลอยู่ที่หน้าแชทของพี่พล



05:48 PM.
‘นาย นี่พี่พลเอง’


05:48 PM.
‘ครับ’


05:49 PM.
‘เราสบายดีมั้ย’


05:49 PM.
‘ครับ’




ก่อนหน้านี้เราคุยกันเท่านั้น แล้วผมก็ไม่ได้จับโทรศัพท์มือถืออีกเลยจนถึงตอนนี้ ผมมองข้อความที่พี่พลส่งมาด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดใจ จะว่าตื่นเต้นก็ไม่น่าจะถึงขนาดนั้น จะว่าอยากทำเมินเฉยก็ไม่ใช่ จะว่าดีใจยิ่งไม่ใช่เข้าไปอีก ผมคิดอยู่พักหนึ่งจึงเปิดเข้าไปในหน้าแชท




05:49 PM.
‘ได้ข่าวว่าเราจะนัดเจอเดอะแก๊งส์เหรอ’


11:00 PM.
‘ใช่ครับ’



ผมตอบกลับและข้อความนั้นถูกเปิดอ่านแทบจะทันที



11:00 PM.
‘พี่ขอเบอร์โทรได้มั้ย’



เอาล่ะ ผมคิดว่ามันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว ในใจตอนนั้นคิดอยู่ว่าพี่พลอาจจะมาขายตรงก็เป็นได้ ผมเงยหน้ามองไปยังห้องน้ำที่เป็นกระจกใสเห็นบุญที่ยังคงอยู่ในห้องน้ำ ก่อนจะก้มหน้าลงมองสิ่งที่อยู่ในมือ



11:01 PM.
‘มีอะไรหรือเปล่าครับ’


11:01 PM.
‘มี แต่อยากโทรคุยมากกว่า’


11:01 PM.
‘เรื่องอะไรครับ’


11:01 PM.
‘เราไม่สะดวกให้เบอร์เหรอ’


11:01 PM.
‘ครับ’


11:01 PM.
‘55555 พี่ไม่ได้จะมาขายตรงอะไรนะ’


11:01 PM.
‘ครับ’


11:01 PM.
‘พี่ขอเบอร์เราหน่อยสิ’



ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะยังไม่อยากให้หมายเลขโทรศัพท์ของตัวเอง คิดว่าเขาคงจะเลิกขอไปเองนั่นแหละ



11:02 PM.
‘+669xxx-xxxx’
‘นี่เบอร์พี่’
‘ดีใจนะที่เรายังไม่ได้บล็อคไลน์พี่ไป’


11:02 PM.
‘ครับผม’


ผมตอบไปอย่างเรียบง่ายแม้ความจริงผมก็แค่ไม่ได้ใส่ใจคอนแทคลิสในไลน์เลยด้วยซ้ำ ใครบล็อกผมหรือใครจะแอดมาก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจ


11:02 PM.
‘นาย’
‘พี่อยากเจอเรา’



ผมควรทำอย่างไรกับคำพูดนั้น ที่ทำได้คือการไม่ตอบและวางโทรศัพท์มือถือลงมองบุญที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ มองเขาเช็ดตัว มองเขาคว้ากางเกงนอนมาใส่ ไฟในห้องดับลงและเราก็เข้านอนพร้อมกัน ทุกอย่างดูเป็นปกติราบเรียบ


ผมควรบอกบุญหรือเปล่า ผมยังคงกังขาในข้อนั้น...



************************************



 :ling1:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (1/3) P.2 (26-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: megatef4 ที่ 27-11-2018 03:33:09
กรี๊ดด อิพี่พล เป็นไร อย่ามายุ่งกับน้องนายนะ ไป๊  :m16:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (1/3) P.2 (26-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Panizzz3838 ที่ 27-11-2018 04:27:10
อีนาย ว่าบุญมีคนอื่น แต่กิ๊กเก่าแกตายราวีไม่หยุดเลยนะ :z6: :a5:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (1/3) P.2 (26-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 27-11-2018 07:44:23
เรากลัวจริงๆกลัวว่าบุญและนายจะจบทำไมรู้สึกว่าความรักของทั้งคู่มันดูเบาบางเหลือเกินขออย่าเป็นอย่างใจเราคิดเลนอย่าให้พี่พลม่มีอิทธิพลอะไรอีกอย่าให้หมอยุวลักษณ์มาเป็นรอยร้าวเลย
หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (2/3) P.2 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 28-11-2018 22:09:18
ตอนพิเศษ พี่พล (2/3)



ชาวแก๊งส์นัดรวมตัวกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในห้างกลางเมือง มันเริ่มต้นจากผมอยากดูหนัง หนูนุ่นอยากกินชาบู ไอ้หนึ่งจะมาซื้อแพมเพิสให้ลูก ส่วนไอ้บอมกับไอ้เฟริสท์เจอที่ไหนก็ได้ สุดท้ายก็เจอในห้างทั่วๆไป ผมมีความสุขที่ได้กลับมาเจอชาวแก๊งส์อีกแม้ไอ้หนึ่งจะพ่วงลูกกับภรรยาสาวมาและหนูนุ่นพาแฟนมาเปิดตัวก็ตามที แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เรายังคงเป็นชาวแก๊งส์เด๋อๆเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย พวกผมพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องต่างๆในชีวิตที่เปลี่ยนแปลง พูดถึงของฝากจากอินเดียที่ไอ้เฟริสท์หอบหิ้วมา ตรงนี้ผมว่าไอ้เฟริสท์มันเอามาแกล้งพวกผมมากกว่าเพราะขนมกลิ่นเครื่องเทศหืนๆที่เมื่อพวกเราลองกินก็เรียกเสียงหัวเราะจากเฟริสท์เสียดังลั่น พูดถึงไอ้บอมที่ช่วงหลังๆมานี้ปรากฏตัวอยู่ที่เชียงใหม่บ่อยครั้ง พูดถึงลูกของไอ้หนึ่งที่ซนมากจนมันต้องพาไปเดินตรงอื่น พูดถึงหนูนุ่นกับการเปิดตัวแฟนคนแรกพร้อมกับการเผาพฤติกรรมสมัยเรียนให้แฟนของมันฟัง แม้แต่ผมก็ยังถูกพูดถึง ผมบอกพวกมันไปว่าชีวิตของผมไม่มีอะไรโลดโพนเลย ทำงาน เข้าออฟฟิศบ้าง ออกกองถ่ายบ้าง เม้ามอยดาราศิลปินที่เจอให้พวกมันฟังบ้าง

“แล้วบุญล่ะ”

ผมมองไอ้บอมที่เอ่ยถามประโยคนี้ นึกคิดสงสัยว่ามันจะถามถึงทำไม

“เลิกกันยังวะ”

“เลิกอะไรวะ” ไอ้เฟริสท์หน้าเหรอหราถามออกมา “ทำไมกูไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไปอินเดียแค่อาทิตย์เดียวอินายเลิกกับบุญแล้วเรอะ”

“ยังไม่ได้เลิกโว้ย” ผมบอกแล้วหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอึกใหญ่

“อ้าว แล้วที่โทรหากูตอนนั้นล่ะ เป็นยังไง”

ยังอีก ยังไม่หยุดถามอีก ผมนึกอยู่ในใจเพราะรู้สึกแปลกๆที่กลายเป็นเป้าสายตาให้ทุกคนจ้องมอง

“ยังไงอะไรวะ ใช่วันที่มึงโทรหากูป่าววะนาย” คราวนี้ไอ้นุ่นเป็นคนถาม พอผมพยักหน้ายอมรับมันก็ทำหน้ารับรู้ก่อนจะหันมามองอีกครั้งด้วยสีหน้าตกใจ “นี่บุญยังคบกับคนแบบมึงอยู่อีกเหรอ”

“ไอ้นุ่น” ผมทำหน้าเบื่อใส่มันก่อนที่ชาวแก๊งส์จะหัวเราะร่วน

“บอมมึงเล่ามาซิ”

“คืองี้นะครับ ผมเนี่ยได้รับสายด่วนจากคุณบุรินทร์ว่าอยากเจอ ผมว่าแม่งแปลกๆเลยจี้ถามไปว่าทะเลาะกับบุญเหรอจนได้ความว่าคุณบุรินทร์คงจะน้อยใจที่แฟนของเขาติดงานหลวงและทำให้ไม่ได้ไปเที่ยวหลายต่อหลายครั้ง ทีนี้ผมว่าแม่งแปลกกว่าเดิมอีกตรงที่แฟนของคุณบุรินทร์เขาอ้างงานตลอดเวลาผมก็เลยบอกไปตรงๆว่าบุญอาจจะมีกิ๊ก หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับคุณบุรินทร์อีกจึงมาถามแม่งว่าเลิกกับแฟนไปแล้วหรือยัง เท่านี้แหละครับ”

สิ้นเรื่องเล่าจากไอ้บอมชาวแก๊งส์ก็ร้องอ๋อ

“อ้าว แล้วทำไมมึงคิดงั้นวะไอ้บอม” เฟริสท์ถามต่อ

“อ๋อ ง่ายมากเพราะกูก็อ้างเรื่องงานเพื่อไปเจอเหล่ากิ๊ก”

ไอ้บอมโดนไอ้เฟริสท์กับหนูนุ่นก่นด่าทันทีตามประสาผู้หญิงก่อนที่ทุกสายตาจะย้อนกลับมาที่ผมอีกครั้ง

“แล้วเลิกกันหรือยัง”

“ก็บอกแล้วไงว่ายังไม่ได้เลิกไอ้พวกห่า” ผมตอบไอ้เฟริสท์ไปตามจริงแต่มันยังคงทำหรี่ตาไม่เชื่อ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดรูปที่ถ่ายกับบุญให้มันพวกมันดู เป็นรูปล่าสุดที่เราไปทะเลกันนี่แหละ แต่แล้วไอ้เฟริสท์ก็คว้าไปดูและเลื่อนดูรูปอื่นๆ ในใจของผมระส่ำระส่ายเพราะว่ากันตามตรงในนั้นมีรูปของผมกับบุญตอนจุ๊บปากกันอยู่ ไอ้เฟริสท์ดูรูปอยู่กับหนูนุ่นที่ตอนนี้เผือกเรื่องของผมจนลืมแฟนแล้วทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ส่งสายตาล้อเลียนมาทางผมก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้

“เอาล่ะๆ เชื่อแล้วว่ายังไม่เลิกกัน”

“ใครเลิกกับใครวะไอ้นุ่น”

ทุกสายตาเบนไปมองยังคนที่เข้ามายืนตรงหัวโต๊ะ เป็นไอ้หนึ่งที่อุ้มลูกซึ่งนอนหลับไปแล้วอยู่ตรงหน้าพวกเรา

“อ๋อ พอดีไอ้นายทะเลาะกับบุญนิดหน่อยอะ แต่ไม่มีอะไรแล้ว”

“ห้ะ บุญยังคบกับคนแบบมึงอีกเหรอวะไอ้นาย”

ผมอ้าปากค้างด่าไม่ออกเพราะนึกคำพูดไม่ทัน จึงได้แต่จำยอมให้ไอ้พวกชาวแก๊งส์หัวเราะสนุกสนานกันไปยกใหญ่

“เออพวกมึงกูกลับก่อนนะ ลูกกูไม่ไหวละ”

หลังจากนั้นพวกเราก็เคลียร์เรื่องเงินค่าอาหารก่อนจะออกมายืนร่ำลาไอ้หนึ่งกับครอบครัวที่ด้านนอกร้าน ยืนมองมันโอ๋ลูกที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วงอแงอยู่ในรถเข็น ผมไม่ถูกกับเด็กเลยสักนิดจึงได้แต่โบกมืออยู่อย่างห่างๆ มองตามหลังครอบครัวมันไปจนลับตา แม้ในใจจะยังรู้สึกไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่กับการเจอไอ้หนึ่งแต่คงทำอะไรไม่ได้เพราะมันมีครอบครัวแล้ว ทีนี้ชาวแก๊งส์ที่เหลือจึงคุยกันว่าจะไปดูหนังต่อแต่ไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากดู ผมจึงโวยวายขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรหรอก แต่ระหว่างที่พยายามโต้แย้งกับหนูนุ่น อยู่ๆมันก็เงียบไปและโบกไม้โบกมือให้คนที่อยู่ด้านหลัง ผมหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นพี่พลที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา







หนังที่ชาวแก๊งส์เลือกดูเป็นหนังเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดที่เติบโตผิดปกติเนื่องจากได้รับสารเคมีอะไรบางอย่าง ข้าวโพดคั่วถูกส่งต่อไปมารวมถึงแก้วน้ำอัดลมก็ด้วย ตัวหนังจริงๆยังไม่ทันเริ่มข้าวโพดคั่วก็เริ่มร่อยหรอราวกับก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้กินข้าวกัน ผมอิ่มจุกเพราะดื่มน้ำอัดลมเข้าไปมาก ตอนนี้อีกนิดเดียวก็ใกล้จะเข้าสู่ตัวหนังผมกลับเกิดปวดเบาขึ้นมา ผมกระซิบบอกไอ้บอมว่าจะไปเข้าห้องน้ำ โชคดีหน่อยที่ห้องน้ำอยู่ใกล้ หลังจากเสร็จกิจก็รีบออกมาล้างมือ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกระจกก็พบพี่พลที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาส่งยิ้มมาให้แต่ผมกลับยิ้มไม่ออก

“อยู่คุยกับพี่ก่อน”

เขาว่าอย่างนั้นพร้อมทั้งก้าวเข้ามาเรื่อยๆ

“ผมว่าหนังน่าจะเริ่มฉายแล้ว”

“พี่ดีใจที่ได้เจอนายนะ”

ผมยืนนิ่งมองอีกฝ่าย ยอมรับว่าในใจกำลังเต้นตุบตับกับคำพูดและน้ำเสียงของพี่พล เขาเริ่มก้าวเข้ามาอีกแล้วผมอยากเดินหนีแต่ทำไม่ได้ ใจของผมมันบอกอีกอย่าง

“เราเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย”

“สบายครับ”

เราอยู่ใกล้กันจนมือข้างหนึ่งของพี่พลแตะเข้ามาที่ต้นแขนของผมแล้วใชนิ้วโป้งคลึงเบาๆ ผมมองรอยยิ้มของเขามันทำให้ผมลำบากใจ “พี่ไม่ได้จะมาขายตรงอะไรสักหน่อย ทำไมเราถึงระแวงพี่ขนาดนั้นล่ะ”

เขาพูดติดตลกพลอยทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายขึ้นนิดหน่อยผมคิดว่าแบบนั้นนะ

“เราไม่เปลี่ยนเลยนะ”

“.............”

“ยังไม่ยอมคุยกับพี่เหมือนเดิม”

ผมสบตาโดยตรงกับคนตรงหน้า ความทรงจำต่างๆในสมัยก่อนกำลังประสานก่อรูปร่างขึ้นมาทีละน้อย ในห้วงความทรงจำนั้นไม่ใช่ครั้งที่พี่พลปฏิเสธผม ไม่ใช่ตอนที่เรามีเซ็กส์กันครั้งแรก ไม่ใช่ตอนที่เรารู้จักกัน แต่มันคือตอนนั้นตอนที่นิ้วมือของเราสัมผัสกันในห้องภาพยนตร์ ผมไม่รู้ถึงเหตุผลรู้เพียงแค่ผมชอบที่ได้รู้จักพี่พลในตอนนั้น ถึงตอนนี้ผมตระหนักได้แล้วว่าการได้เจอหน้าพี่พลอีกครั้งในวันนี้เขาก็ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ท้องปั่นป่วน


เหมือนเป็น Butterfly effect ของผม




กว่าหนังจะเลิกก็ราวๆสี่ทุ่ม หนูนุ่นพุ่งกลับไปกับแฟนก่อนใครอื่น ตามด้วยไอ้เฟริสท์ที่รีบไปขึ้นรถไฟฟ้า เหลือพี่พล ไอ้บอม และผมกับสถานการณ์กระอักกระอวนเล็กน้อย ทั้งนี้ไอ้บอมขับรถมาเหตุการณ์ค่อนข้างบีบบังคับให้เหลือผมต้องกลับกับพี่พลเพราะไปทางเดียวกัน อีกทั้งพี่พลก็เอ่ยปากขึ้นมาเองว่าจะไปส่งผมที่คอนโดซึ่งผมไม่อยากอยู่เพียงลำพังกับเขา เหตุผลต่างๆก็นึกขึ้นมาใช้อ้างไม่ได้ ในตอนแรกผมนึกปฏิเสธด้วยว่าจะต้องไปรอกลับบ้านพร้อมกับบุญแต่บุญดันบอกว่าติดงานและไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะได้กลับคอนโดกี่โมง สุดท้ายก็เลยตามเลยอยู่ในรถของพี่พลจนได้

บนท้องถนนช่วงสี่ทุ่มเกือบห้าทุ่มไม่ได้ติดหนึบเช่นเวลาเร่งด่วน แต่ก็ไม่สามารถขับได้อย่างลื่นไหลนัก อย่างในตอนนี้รถของพี่พลติดไฟแดงอยู่ตรงบริเวณสี่แยกใกล้จะถึงคอนโด เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเป็นพิเศษซึ่งก็น่าแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่พี่พลดูนิ่งเฉยกว่าตอนที่เจอในห้องน้ำ เขาไม่ได้พูดทำนองว่าดีใจที่ได้เจอผมอีก แต่ก็ไม่ถึงกับเงียบหายไป มีบทสนทาเกี่ยวกับหนังที่เพิ่งรับชมไปบ้าง เรื่องร้านอาหารข้างทางที่เขาบอกว่าเคยกินแล้วพบว่ามันอร่อยจนอยากให้ผมได้ลองชิม ผมตอบรับบทสนทนานั่นได้อย่างดี เหมือนเก่าก่อน เหมือนตอนสมัยที่ผม… ยังชอบเขาอยู่

“นายกินปลาได้นี่หว่า จะบอกให้ว่ามีร้านนึงแถววงเวียนใหญ่ทำปลานึ่งอร่อยมาก แต่ร้านเสียงดังไปหน่อย ร้านแบบจีนๆอะ”

“ใช่ร้านรสเลิศรึเปล่า”

“เออ ร้านนั้นแหละ” พี่พลหันมาแล้วยิ้มให้ ก่อนจะหันกลับไปตั้งสมาธิกับการขับรถหลังจากที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว

ผมเบือนหน้าหนีมองไปทางอื่น ผมไม่ควรขึ้นรถคันนี้มา ไม่ควรตอบรับไมตรีของพี่พลเพราะมันทำให้ผมลำบากใจ

“อ้อ คอนโดนี้นี่เอง พี่ผ่านแทบจะทุกวัน”

ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากมองไปตามทางข้างหน้าที่คุ้นเคย พี่พลเลี้ยวเข้าไปทางที่จอดรถตามเส้นทางปกติ ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดแผกไปจากเดิม เพียงแต่คำถามหนึ่งประโยคจากอีกฝ่ายกลับรั้งผมไว้ให้ใช้เวลาอยู่ในรถคันนี้นานขึ้นอีก

“เราไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆนะ”

“…….”

มือของเขาค่อยๆวางลงบนมือของผม ฝ่ามือนี้ที่เคยสัมผัสก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยเช่นกัน

“แต่พี่อยากให้เราเปลี่ยนบ้าง อย่างน้อยก็อยากให้คุยกับพี่เหมือนเดิม”

ผมสารภาพว่าสิ่งที่ได้ฟังมันทำให้ผมตกใจไม่น้อย เขาคาดหวังอะไรจากคำตอบของผมอย่างนั้นหรือ

พี่พลโน้มตัวเข้ามาใกล้เพื่อสบตากับผม บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มละมุนละไมไม่ต่างไปจากเดิม “พี่กลับมาคุยกับเราเหมือนเดิมได้มั้ย”

“………..”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าที่เผลอไผลจ้องดวงตาคู่นั้น






ผมหลับไปโดยที่ไม่รู้สึกตัวเลยว่าบุญมาถึงห้องของเรากี่โมง เพราะเมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นเขานอนหลับเป็นตายอยู่ด้านข้างแล้ว บุญยังคงทำงานหนักและไม่ค่อยได้พักผ่อนเหมือนเดิม เขาบอกว่าอีกไม่นานก็จะไม่ต้องโหมงานหนักขนาดนี้แล้วเพราะโปรเจคหรือวิจัยอะไรสักอย่างใกล้จะจบลง และเขาก็ทำในส่วนแค่รักษาคนไข้ไปตามปกติ ผมได้แต่หวังให้เป็นเช่นนั้น บุญหลับลึกมากแม้แต่ตอนที่ผมขยับตัวเข้าไปก่ายกอดก็ยังไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ผมจูบหน้า จูบไปบริเวณกลุ่มผมของเขาและซบหน้าลงด้วยต้องการไออุ่นจากคนรัก เห็นแบบนี้ผมก็มีมุมอยากอ้อนบุญเหมือนกันนะถึงแม้เจ้าตัวจะยังหลับสนิทแถมกรนไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกชัดเจนอยู่ในตอนนี้นั่นก็คือความอบอุ่นที่คุกรุ่นอยู่ในห้วงอารมณ์ สุดท้ายก็นอนกอดบุญและหลับไปอีกรอบทั้งๆที่เพิ่งจะตื่นนอน







“ตื่นได้แล้วนาย”

ผมรู้สึกตัวจากเสียงปลุกของบุญ เขาสวมใส่เสื้อผ้าออกกำลังกายและตัวโชกเหงื่อคิดว่าคงจะไปฟิตเนสในคอนโดมาอย่างแน่นอน ผมยังคงงัวเงียนอนอยู่บนเตียงได้แต่ปรือตามองดูบุญถอดเสื้อออก

“ไม่สบายรึเปล่า” เขาถามหลังจากที่เดินเข้ามายืนใกล้ๆ มองเห็นเป้ากางเกงของเขาลอยไปลอยมาจึงเอื้อมมือไปคว้าไว้ และพบว่าโคตรจะเต็มไม้เต็มมือ “เฮ้ย จับทำไมวะ”

ผมหัวเราะลงคอเมื่อเห็นท่าทางตกใจของเขา บุญจับมือของผมออกแล้วนั่งลงด้านข้างผมจึงขยับเข้าไปนอนหนุนตัก พอได้อยู่ใกล้ๆก็ได้กลิ่นเหงื่อชัดเจน คงแปลกอยู่สักหน่อยที่ผมกลับชอบกลิ่นของบุญ “เมื่อคืนกลับมากี่โมง”

“ตีหนึ่งกว่าๆ”

“บุญรักงานมากกว่าเรา” นั่นคือสิ่งที่ผมคิดและพูดมันออกมาตรงๆ ไม่มีเกร่อนำไม่มีปีมีขลุ่ยใดๆทั้งสิ้น

“น้อยใจเหรอ”

“มันก็มีบ้างป่าววะที่รู้สึกแบบนั้น”

เขาถอนหายใจแต่ผมดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“บุญไม่รักเราแล้วเหรอ” ผมเงยหน้ามองอีกฝ่าย ไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจริงจังนักหรอกเพราะผมแค่จะแกล้งแหย่เขาก็เท่านั้น

“ห้ะ?”

“เห็นถอนหายใจ”

“อะไรวะ”

“ก็ถามไงว่าไม่รักเราแล้วเหรอ”

บุญมองผมแต่ไม่ได้ตอบคำถาม ในดวงตาที่สบมองอยู่นี้ครุ่นคิดอะไรบางอย่างและมันก็ทำให้ผมเริ่มหวาดหวั่น บางทีนี่อาจจะไม่ใช่การแหย่เล่นอย่างที่ผมคิดอีกแล้วก็เป็นได้

“เฮ้ย เราล้อเล่น แค่แกล้งเฉยๆ” ผมลุกขึ้นนั่ง รู้สึกตื่นเต็มตาด้วยจิตใจที่ระส่ำระส่ายกับการที่บุญทำหน้านิ่งๆ

“มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นสำหรับเราเลยว่ะนาย”

“………….”

“อย่าถามอะไรงี่เง่าแบบนี้อีก”










บางทีผมคงจะคิดน้อยไปจริงๆเพราะคำถามในตอนนั้นทำให้บุญมีท่าทีมึนตึงกับผม แม้จะคุยกันแต่ก็เป็นการถามคำตอบคำ ผมรู้สึกอึดอัดแล้วก็ได้พยายามง้อพร้อมกับอธิบายไปว่าแค่พูดเล่น แต่ดูเหมือนว่าบุญคิดมากกว่านั้น ประโยคที่ถามกลายเป็นเรื่องดราม่าสำหรับบุญ สารภาพตามตรงว่าในตอนนั้นผมคิดแค่จะล้อเล่นทำเป็นสะดิ้งงอนที่บุญไม่ค่อยมีเวลาให้ ผมแทบไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำว่ามันจะส่งผลกระทบกับบุญอย่างไร เมื่อลองไตร่ตรองก็นึกไม่ออกอีกเช่นกันว่าทำไมประโยคนั้นถึงได้จี้ต่อมดราม่าของบุญขนาดหนัก แต่ผมไม่กล้าถามสิ่งใดกับบุญอีกเพราะกลัวว่าจะไปซ้ำเติมจี้จุดใดๆให้เขาขุ่นเคืองมากกว่าเดิม วันอาทิตย์ที่ผมควรได้นอนกกกอดกับบุญกลับกลายเป็นวันอาทิตย์ที่เงียบเชียบและเต็มไปด้วยความอึมครึม

บุญนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์อะไรสักอย่างอยู่ที่ระเบียง สูบบุหรี่ชนิดหมดหนึ่งมวนแล้วต่อด้วยมวนต่อไปทันที เขาไม่เคยเป็นแบบนั้นมาก่อนและการที่เขาเป็นแบบนั้นก็ทำให้ใจของผมห่อเหี่ยวลงอีกหลายเปอร์เซ็นต์ มันเป็นเพราะผม เกิดขึ้นจากปากพล่อยๆของผม เกิดขึ้นจากการไม่ยั้งคิดของผม แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรอีกเช่นกันเพื่อให้บุญรู้สึกดีขึ้นบ้าง ผมจึงได้แต่นอนดูหนังดูซีรี่ส์ไปเรื่อยเปื่อยให้วันอาทิตย์หมดไปอย่างไร้ค่า จนกระทั่งบุญกลับเข้ามาในห้องเพื่อหยิบน้ำผมจึงเดินเข้าไปหา เขาเหลือบมองแต่ไม่ได้พูดอะไรเหมือนอย่างที่เคยเป็นตามปกติ และผมก็นึกประโยคเริ่มต้นไม่ได้ การง้อคนไม่ใช่เรื่องที่ผมถนัดสักเท่าไหร่ บุญเดินไปนั่งลงบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นและเปิดอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ต่อ ผมไม่กล้ารบกวนเวลาอ่านหนังสือของบุญ สิ่งที่ทำก็คือการนั่งอยู่ด้านข้าง นั่งเฉยๆไม่ได้ทำอะไรนั่นแหละ พอนั่งนานๆก็รู้สึกง่วงขึ้นมาจึงเอนหัวพิงขอบโซฟาและคิดว่าตัวเองคงจะต้านทานความง่วงไม่ไหว

รู้สึกตัวอีกทีเพราะเสียงนาฬิกาปลุก ห้องทั้งห้องมืดสลัว ร่างของผมนอนยืดยาวอยู่บนโซฟา พอลุกขึ้นนั่งก็ไม่เห็นบุญอยู่ในห้อง ไม่มีโน้ตใดๆแปะไว้ผมจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูก็ยังไม่พบข้อความใดๆจากบุญ ผมกดโทรออกแต่ไม่มีคนรับสาย สถานการณ์แบบนี้ผมทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ไม่เคยมีสักครั้งที่บุญจะโกรธผมนานมากขนาดนี้ ผมมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งตัดสัญญาณเนื่องจากไม่มีคนรับ หน้าจอของผมบ่งบอกว่ามันเป็นเวลาตีสี่ครึ่งและผมก็ต้องเตรียมตัวออกไปทำงานแล้ว







หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (2/3) P.2 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 28-11-2018 22:10:23



รถตู้ของกองถ่ายล้อหมุนในเวลาตีห้านิดหน่อย เดินทางมาถึงที่หมายฟ้ายังไม่ทันสว่างผมก็เริ่มทำงานทันทีเพราะต้องรีบเซ็ทฉาก ทั้งง่วง ทั้งต้องรีบทำงาน สมองประมวลผลช้า คนในกองถ่ายวุ่นวาย ทุกอย่างทำให้ผมลืมเรื่องของบุญไปเลยในตลอดเช้านั้น หลังจากทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้วจึงปลีกตัวออกมากินข้าวกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน ผมโดนชวนไปสังสรรค์ต่อในราตรีนี้แต่ปฏิเสธเพราะอยากกลับไปนอน

“โห่ อะไรกันครับเนี่ย ติดแฟนเหรอครับ” พี่ทศทำเสียงกวนประสาทหลังจากที่โดนผมปฏิเสธ “นี่พี่ชวนนะเว่ย ไปเหอะ พาแฟนมึงไปด้วยก็ได้ เสี้ยนเหล้าไม่ไหวแล้วคืนนี้ต้องได้กินอะ”

“ผมขอนอนเถอะ” ผมตอบกลับไป จริงๆแล้วในกลุ่มของเราค่อนข้างสนิทกันแบบเพื่อน อาจจะมีมึงมาพาโวยกันบ้างตามประสาแต่พวกเขาก็คือกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่มากประสบการณ์และคอยสอนงานต่างๆให้ผม ส่วนเรื่องแฟนเนี่ยผมไม่เคยเล่าอะไรให้ใครฟังหรอก แต่เขาเดากันว่าที่ผมเลิกงานปุ๊ปก็ตรงกับห้องปั๊ปเพราะว่าติดแฟน มันก็อาจจะใช่ส่วนหนึ่งนะ แต่อีกส่วนที่ผมเลิกงานแล้วอยากกลับบ้านก็เพราะเหนื่อยเท่านั้นแหละไม่มีอะไรไปมากกว่านี้

“ทำไมวะ แฟนไม่ให้เที่ยวเหรอ แต่ก่อนหน้านี้มึงก็ไปได้นี่” คราวนี้เป็นพี่ไทพูดขึ้นทั้งๆข้าวยังเต็มปาก “ตี๋หิดชิ้บหายไอ้นาย”

ผมหัวเราะกับคำผวนของพี่ไท แต่พี่ทศกลับทำหน้างงเพราะพี่ทศผวนคำไม่เป็น นึกอยู่ในใจว่าผมไม่ได้ตี๋หิดสักหน่อยเพราะบุญไม่มีตี๋ให้หิด จะว่าไปผมก็ไม่เคยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้พี่ที่ทำงานฟังเลย เพราะไม่รู้ว่าพวกเขาจะรับได้มากน้อยสักแค่ไหนกับสิ่งที่ผมเป็น แต่ก็ใช่ว่าจะสนใจหรอกถ้าพวกเขารับไม่ได้ที่ผมชอบผู้ชาย

“อ๋ออออ ตี๋หิด ไอ้ไท มึงนี่แม่งจังไรจริงๆ ว่าแต่ทำไมวะไอ้นาย แฟนมึงไม่ให้เที่ยวจริงๆเหรอ”

“เปล่า ไม่เคยห้ามเลย แต่ผมอยากนอน”

“อ้าว สรุปมึงมีแฟนแล้วจริงๆด้วย ปล่อยให้พวกกูเดามาตั้งนาน” พี่ทศตีเข่าเอาช้อนชี้หน้าผมหลังจากที่ได้ยินประโยคก่อนหน้านี้ สุดท้ายผมก็เผลอหลุดพูดออกไปจนได้แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอก “แล้วแฟนผู้หญิงหรือผู้ชายวะ”

คราวนี้เป็นผมต่างหากที่หน้าเหวอ คำถามนี้สิค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่พอควร พี่ไทกับพี่ทศเองก็ดูจะไม่ได้แสดงอาการล้อเล่นเลย ผมเงียบยังไม่กล้าตอบสิ่งใด

“พวกกูไม่ได้จะว่าอะไรนะ แต่บอกความจริงมาเหอะ ขี้เกียจจะเดาแล้ว”

“เออ เอาจริงๆ มึงเฉลยมาเถอะ”

พวกเขาทั้งสองจ้องหน้าผมเพื่อรอคำตอบ

“ครับ”

“ครับฆวยไรไอ้นาย มึงมีแฟนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” พี่ไทชักคงจะเริ่มรำคาญที่ผมไม่ยอมตอบ

ผมทำหน้ามึนเมื่อยังคงถูกตื๊อถาม ลังเลระหว่างจะพูดความจริงหรือปฏิเสธความจริง

“นาย”

พวกเราสามคนหันไปตามต้นเสียง เสื้อผ้าของเขาเนี้ยบกริบ ทรงผมย้อนยุคเซ็ทมาอย่างดี กลิ่นน้ำหอมของคนที่เพิ่งเข้ามายืนอยู่ด้านหลังปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย ทุกอย่างของผู้ชายคนนี้แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย

“เรามาทำงานที่นี่เหรอ”

“ครับ”

“อ้าว งั้นแสดงว่าบริษัทเรารับงานจากบริษัทของพี่นะสิ เดี๋ยวคุยกันนะ พี่มีพรีเซ็นต์งาน”

เขาว่าอย่างนั้นแล้วเดินจากไปทันที ดูท่าทางแล้วคงจะรีบจริงๆนั่นแหละ บริษัทที่พี่พลทำงานเป็นบริษัทโฆษณาซึ่งผมคิดว่าคงจะได้ว่าจ้างบริษัทที่ผมทำงานมารับทำในส่วนของการถ่ายทำโฆษณาตัวหนึ่ง คำว่าโลกกลมคงจะใช้ได้กับสถานการณ์แบบนี้ พี่ทศกับพี่ไทส่งสายตาสงสัยจนผมนึกขำขัน ไม่ได้ถือสาอะไรกับพวกพี่เขาหรอกหากจะอยากรู้เรื่องส่วนตัวของผมบ้าง

“รุ่นพี่สมัยเรียน” ผมเฉลย หลังจากนั้นพวกเขาก็พยักหน้ารับรู้

“โอ้โห กลิ่นน้ำหอมติดจมูกกูเลยนะเนี่ย” พี่ไททำจมูกฟุดฟิดก่อนจะจ้วงอาหารกล่องกินต่อ “ว่าแต่มึงเฉลยมาสักทีเถอะ”

“ไอ้ไท อย่าไปคาดคั้นมันเลย เรื่องส่วนตัวเดี๋ยวน้องมันอึดอัด” พี่ทศกล่าวแล้วเอื้อมมือมาตบไหล่ผม “ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”

“ไม่ได้อึดอัดพี่ แต่ผม...” ผมเว้นจังหวะเพื่อครุ่นคิดอีกครั้งกับสิ่งที่จะพูดออกไป มองหน้าพี่ทศกับพี่ไทที่ยังคงไม่แสดงสีหน้าหยอกเล่นก่อนจะตัดสินใจพูดความจริง “แฟนผมเป็นผู้ชาย”

“อิกล้วย! อิกล้วย! มึงมานี่เดี๋ยวนี้เลย”

“เชี่ยเอ้ย เสียเงินจนได้กู”

ผมช็อคไปชั่วขณะที่อยู่ๆพี่ไทก็ตะโกนเรียกพี่กล้วยซึ่งเป็นคอสตูมประจำกองถ่าย พี่ทศบ่นงึมงำพลางล้วงกระเป๋าตังค์ออกมา พี่กล้วยที่กำลังยืนรีดผ้ารีบตรงดิ่งเข้ามาในชุดผ้าชีฟองพลิ้วไหวสีพาสเทล บนศีรษะโผกผ้าสีเดียวกับชุด มือทั้งสองข้างเท้าสะเอวเป็นท่าประจำยืนประจันหน้ากับพี่ไท

“อะไรอิไท” เสียงของผู้ชายที่แสร้งทำสูงแหลมกว่าปกติเอ่ยขึ้น “เรียกซะกูตกใจจนไข่หดเลยนะ อิเวร”

“แฟนไอ้นายเป็นผู้ชาย”

“นั่นไง กูว่าแล้ว เกย์ด้ากูมันแม่นจริงๆ เอาเงินกูมาอิทศกัณฐ์” ประโยคหลังพี่กล้วยหันไปบอกพี่ทศพร้อมกับแบมือขอเงิน ซึ่งผมก็พอเดาได้แล้วว่าพวกเขาพนันเรื่องของผมไว้ “เวลคัมทูเดอะเรนโบว์คลับนะคะอินาย ในฐานะที่กูเป็นเกย์รุ่นพี่กูขอให้มึงไปแดกเหล้ารับน้องกับกูในคืนนี้”

พี่ทศวางธนบัตรสีเทาไว้บนมือของพี่กล้วย โอดครวญนิดหน่อยตามประสา “กูชวนแล้วแม่งไม่ไป”

“ไม่ได้ มึงต้องมาอินาย เจอกันคืนนี้ แล้วเหลาทุกเรื่องของมึงมาให้หมด”

ผมมองตามชายเสื้อสีพาสเทลของพี่กล้วยที่เดินออกไปแล้วด้วยอาการจับต้นชนปลายไม่ถูก ได้สติอีกทีพี่ทศก็กำลังคร่ำครวญกับเงินจำนวนสามพัน บ่นกะปอดกะแปดกับพี่ไทที่นั่งขำไม่หยุด สุดท้ายคืนนี้ผมก็ต้องไปเที่ยวสินะ







7:29 PM.
‘คืนนี้กลับดึก มากินเหล้ากับที่ทำงาน’



ผมส่งข้อความบอกบุญหลังจากที่มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์



7:30 PM.
‘Ok’



บุญตอบกลับมาแค่นั้นแสดงว่าเขายังคงโกรธผมอยู่ ผมนึกอยากโทรหาแต่ก็ยังลังเล คิดว่าจะไปเซอร์ไพรซ์ที่โรงพยาบาลแต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้บุญอยู่ไหน บางทีพออยู่ในกองถ่ายผมก็ไม่ได้ดูโทรศัพท์มือถือเลย มีเวลาว่างกินข้าวก็จริง แต่ผมก็ง่วงมากจนต้องแอบงีบนอนก่อนจะต้องไปเตรียมเก็บของหลังจากการถ่ายทำเสร็จสิ้น บางทีถ้าคนไม่พอผมก็ต้องมาทำหน้าที่อื่นๆแล้วแต่สถานการณ์จะพาไป เรียกว่าทั้งวันวุ่นวายมากจนไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้นแหละ เรื่องที่จะโทรหาบุญ เรื่องที่จะนั่งนึกคำพูดสวยหรู หรือแม้แต่ประโยคเริ่มต้นในการง้อบุญผมก็ยังลืมนึกไปเลย แต่เวลานี้ตอนนี้พวกพี่ทศพี่ไทและพี่กล้วยก็ดึงผมให้เข้าสู่อีกโลกจนลืมเรื่องของบุญไปอีกเหมือนเดิม

ผมกระจ่างเรื่องราวการพนันของพวกพี่ทศพี่ไทและพี่กล้วย พวกเขาต่างสงสัยเรื่องส่วนตัวของผมและพนักกันว่าผมจะมีแฟนเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง โดยที่พี่ทศพนันว่าผมมีแฟนเป็นผู้หญิง ส่วนพี่กล้วยกับพี่ไทพนันว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย เราดื่ม กิน และพูดคุยกันด้วยเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว สัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย จะมีก็เรื่องของพี่กล้วยนี่แหละที่ทำให้ผมตกใจอยู่ไม่น้อย เขาเป็นคนรูปร่างดี ตัวสูง มีกล้ามไม่ผอมแห้ง แต่ชอบแต่งตัวสาวด้วยเสื้อผ้าสีพาสเทลและมีความพลิ้วไหวบางเบา ลักษณะท่าทาง การจีบปากจีบคอพูด ทุกอย่างของพี่กล้วยทำให้ผมตัดสินเขาไปแล้วว่าเป็นพี่สาว แต่เมื่อพี่กล้วยเล่าให้ฟังถึงเรื่องส่วนตัวที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น อย่างเรื่องบนเตียงผมพบว่าพี่กล้วยเป็นฝ่ายรุก ทั้งผม พี่ทศ และพี่ไท อ้าปากค้างตะลึงงัน

“โอ้ย อิพวกนี้ เลิกตกใจแล้วมาชนแก้วให้กับความจริงของกูกันเถอะค่า”

พวกเราชนแก้วกันแล้วดื่มจนหมดเกลี้ยงก่อนที่ผมทำหน้าที่เติมเครื่องดื่มไม่ให้ขาดตกบกพร่อง

“ไหนเอาหน้าแฟนมึงมาให้กูดูหน่อยซิ” พี่ไทกล่าวแล้วดื่มสาเกที่ผมเพิ่งเติมให้จนหมด

พี่กล้วยเบะปากทำหน้ามีจริตไปตามประสาก่อนแต่ก็ยอมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดโชว์รูปแฟนหนุ่ม มันเป็นรูปของแฟนพี่กล้วยแบบเดี่ยวๆ เป็นผู้ชายที่ดูทั่วไปในชุดนักศึกษา ใส่แว่น ผมคิดว่าเขาค่อนข้างจะตัวเล็กกว่าพี่กล้วยด้วยซ้ำ

“เรียนอยู่เหรอวะแฟนมึงอะ”

“อย่าเอ็ดเสียงดังไปค่าอิไท” พี่กล้วยขยิบตาแล้วยกแก้วสาเกขึ้นจิบ “ว่าแต่ว่า อินาย เหลาเรื่องของมึงมาให้หมดเปลือกเลยค่ะ เริ่มจากคบกับแฟนคนปัจจุบันมานานแล้วหรือยัง”

“ผมจำไม่ได้” ผมตอบไปตามจริง ไม่มีอะไรต้องปิดบังแต่พวกพี่ทั้งสามคนกลับทำหน้าตกใจ “ผมจำไม่ได้จริงๆว่าคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“แล้วใครจีบใครก่อนวะ” พี่กล้วยถาม

“ไม่รู้เหมือนกันอะ” ผมทำหน้าซื่อเพราะนึกไม่ออกจริงๆว่าใครเริ่มจีบใครก่อน เราก้ำกึ่งระหว่างความเป็นเพื่อนที่มากกว่าเพื่อนมาตลอด รู้แค่ว่าตอนที่บุญขอคบกันนั้นผมก็มั่นใจว่าอยากจะก้าวไปมากกว่าเพื่อน แต่ถ้าจะให้ผมจำวันเวลาอะไรทำนองนั้นผมจำไม่ได้หรอก “ผมเป็นเพื่อนกับเขามาก่อน”

“แฟนคนแรกป้ะ”

ผมพยักหน้ารับ จ้วงมันฝรั่งทอดและกับข้าวอื่นๆตรงหน้ากินไปเรื่อย

“เอารูปมาดูหน่อย”

ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่เมื่อโดนสายตารบเร้าก็ยินยอมเปิดรูปของบุญให้พวกเขาดู

“ว้าย เป็นหมอด้วย ร้ายนะอินาย” พี่กล้วยทำเป็นกระดี้กระด้าก่อนจะถูกพี่ทศแย่งโทรศัพท์มือถือไป

“เหยด เล่นกล้ามด้วยนี่หว่า แขนมีความล่ำ” พี่ทศที่ครองโทรศัพท์มือถือกล่าว เขาคงจะเลื่อนดูไปเรื่อยๆจนถึงรูปที่บุญไปทะเลกับผม และใช่บุญถอดเสื้อโชว์กล้าม มันไม่ใช่กล้ามปูขนาดคริส เฮมเวิร์ธหรือกัปตันอเมริกาอะไรหรอกนะ แต่ก็เห็นแหละว่าหุ่นของเขาผ่านการออกกำลังกายมามากพอสมควร

“เออ แล้วที่มึงบอกว่าทำให้เขาโกรธนี่เรื่องอะไร” พี่ไทจี้ถามตรงประเด็นไม่มีอ้อมค้อมเล่นเอาผมคิดคำตอบไม่ทัน

“ไม่มีห่าอะไรต้องปิดบังแล้วค่ะอินาย เพราะแม้แต่เรื่องลี้ลับของกู กูยังมอยเลย แต่ก็แค่มอยกับพวกมึงอะนะ”

ผมมองพี่กล้วยที่สะบัดชายผ้าทำท่าทางกรีดกราย ดูยังไงก็นึกไม่ถึงหรอกว่าเขาจะเป็นฝ่ายรุก “ก็ไม่ได้จะปิดบังอะไรนะพี่กล้วย แต่ผมแค่กำลังคิดว่าจะเริ่มพูดยังไงดี”

“อ้าว งั้นแดกแก้วนี้ให้หมดซะ เผื่อเวลาเมาแล้วจะได้พูดคล่องขึ้นอิดอก” ว่าแล้วพี่กล้วยก็นำทีมดื่มสาเกหมดแก้ว “พูดมาอินาย”

“พวกพี่ก็เห็นว่าเขาเป็นหมอ ทำงานแม่งทั้งวัน นี่ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันผมคงไม่ได้เจอหน้าเขาเลย”

“อินี่แรดนะคะ อยู่กินกันแล้วด้วยงี้”

“มึงก็ทำเป็นปากดีอิกล้วย มึงก็อยู่กับแฟนมึงเหมือนกันนั่นแหละ” พี่ทศพูดแทรกขึ้นมา เสียงเริ่มดังเพราะว่ากลุ่มของผมคงจะกรึ่มๆเมาเครื่องดื่มกันแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพี่กล้วยก็ลอยหน้าลอยตาไม่ได้สนใจคำพูดของพี่ทศ

“ผมไปพูดว่าเขารักงานมากกว่าผม ไปพูดทำนองว่าเขาไม่ได้รักผมแล้ว รักแต่งานไรเงี้ย คือผมก็พูดเล่นแต่โดนโกรธจริงๆเฉยเลย”

“อ้าว ไอ้นายมึงปากไม่ดีเองอะ”

ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองทำหน้างอหลังจากได้ยินคำพูดของพี่ไท “แม่งโกรธอะไรผมนักหนาก็ไม่รู้ ง้อก็แล้วอะไรก็แล้วยังไม่ยอมคุยกันดีๆเลยอะ”

“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาไอ้น้อง” พี่ทศตบบ่าผมไม่เบาแรงเป็นการปลอบ

“พอๆ ดราม่าพอแค่นี้นะคะ ถ้าจะคุยเรื่องแฟนก็ขอให้คุยเรื่องหมอนมุ้งจะดีกว่าเพราะกูอยากรู้ ไหนอินายมึงเหลามาซิว่าแฟนเยเป็นยังไงบ้าง”

ผมหลุดหัวเราะร่วมไปกับพวกพี่ๆทั้งสามคนหลังจากบทสนทนาได้เปลี่ยนฉับกะทันหัน เราดื่มค่อนข้างหนักนึกไม่ออกเหมือนกันว่าพรุ่งนี้จะได้ไปทำงานกี่โมง เพราะถึงแม้จะไม่มีออกกองแล้วแต่ก็ยังต้องเข้าออฟฟิศอยู่ดี ในคืนนั้นเราหยิบเรื่องต่างๆขึ้นมาคุยกันมากมายตามประสาคนวัยทำงาน พี่ไทดราม่าเรื่องครอบครัวของแฟนสาวที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบพี่ไท พี่ทศมีปัญหากับญาติที่ชอบมาขอยืมเงิน แต่ในตอนที่เราคุยกันด้วยหัวข้อครอบครัวอยู่ๆพี่กล้วยก็พูดเรื่องกรณีขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เราแสดงความคิดเห็นกันยกใหญ่ทั้งจริงจังทั้งหยอกล้อ ยิ่งดึกก็ยิ่งเมา ยิ่งเมาก็ยิ่งพูดมาก กว่าจะรู้ตัวว่าเมาก็ตอนที่นอนหลับไปบนโต๊ะนั่นแหละ





เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเวลาที่ตั้งไว้ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา ผมควานหาโทรศัพท์มือถือเพื่อจะกดปิดเสียงแต่ช่วงนั้นเองที่เสียงนาฬิกาปลุกกลับเงียบลงไป แม้จะง่วงแต่ผมไม่ได้ขาดสติ ความหวาดระแวงปลุกให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมองไปทั่วห้อง คุ้นตาว่าเป็นห้องของตัวเองก็โล่งใจส่วนเรื่องกลับมาถึงห้องได้ยังไงดูเหมือนความทรงจำช่วงนั้นจะมืดมิด พอมองไปอีกด้านก็เห็นร่างๆหนึ่งนอนอยู่ ผมขยับตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายและกอดไว้แน่นแต่ท่าทางของเขากลับนิ่งเฉยไม่กอดตอบไม่ขยับตัวออกห่าง

“เมื่อคืนไปรับเราเหรอ” ผมเอ่ยถามและกอดเขาไว้แน่น

“อืม” เขาตอบแล้วเอื้อมตัวไปหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูเวลา “เราไปอาบน้ำก่อนนะ”

ผมรู้สึกวูบโหวงอยู่ในใจเมื่อบุญลุกออกไปหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ เขายังคงมีท่าทีมึนตึงอย่างเห็นได้ชัดแล้วผมก็จนปัญญาจะหาคำพูดมาง้อจึงได้นิ่งเงียบ ได้แต่ภาวนาในใจว่าบุญจะหายโกรธในเร็ววัน

หลังจากบุญอาบน้ำเสร็จก็ถึงเวลาของผมบ้าง โชคดีที่คอนโดของเราอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสะดวกกับการเดินทางไปทำงานจึงไม่ต้องรีบตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ โดยปกติแล้วเราจะออกไปทำงานพร้อมกันแต่วันนี้เมื่อผมออกมาจากห้องน้ำก็เห็นบุญกำลังยืนผูกเนคไทอยู่หน้ากระจก ทำท่าเหมือนจะออกไปโดยไม่รอผมเหมือนเช่นเคย

“จะออกไปก่อนเหรอ”

บุญส่งเสียงตอบรับอยู่ในลำคอ จากนั้นผมก็เงียบแล้วแต่งตัวเพื่อไปทำงาน หากจะว่ากันตามตรงผมไม่กล้าพูดอะไรมากนักเพราะยังคงกลัวว่าคำพูดของผมจะไปสะกิดให้บุญไม่พอใจไปมากกว่านี้

“นาย” ผมหันไปด้านหลังเห็นบุญกำลังเดินเข้ามา เขามองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นช็อคโกแลตก้อนเล็กมาให้ “กินน้ำเยอะหน่อยนะวันนี้”

“อืม” ผมตอบรับมันมาแต่ยังไม่กินเข้าไป

“ถ้าปวดหัวมากก็อย่าฝืน” เขาส่งขวดน้ำให้ผมรับมันมาและดื่มไปอึกใหญ่ “เราไปทำงานก่อนนะ”

บุญคงรู้ว่าผมปวดหัวจากอาการเมาค้าง แม้ว่าจะยังคงโกรธผมอยู่แต่ก็ยังคอยดูแล หากเป็นเวลาปกติผมจะกอดเขา ผมจะบอกให้เขาอยู่ดูแลผมนานกว่านี้ แต่ตอนนี้ผมไม่กล้า สิ่งที่ทำได้คงจะเป็นเพียงแค่มองดูบุญเดินออกไปจากห้อง






“อินายๆ”

ผมทำหน้าสงสัย หลังจากเพิ่งก้าวเท้าแรกเข้าสู่ออฟฟิศพี่กล้วยก็กวักมือเรียกอย่างยกใหญ่ พี่กล้วยอยู่ในชุดกรุยกรายแบบเดิมในโทนสีขาวและโผกหัวสีเดียวกัน พอเดินเข้าไปพี่กล้วยก็รวบคอผมเดินออกไปแถวห้องอาหาร

“มึงมันร้ายนะอินาย ทำมาเป็นซุ่มเงียบ” เขาว่าพลางแกะขวดน้ำเกลือแร่ดื่ม “แฟนมึงหุ่นแซ่บมากอิดอก”

ผมหัวเราะเพราะเห็นจริตของพี่กล้วยแล้วรู้สึกบันเทิงดี “แล้วเมื่อคืนพี่โทรไปบอกให้เขามารับผมเหรอ”

“โถ น้องกู มึงเมาหลับคาโต๊ะ โชคดีว่าแฟนของมึงโทรมากูก็เลยรับสายบอกให้มารับมึงกลับไป ไม่งั้นมึงก็ต้องไปนอนบ้านอิทศนั่นแหละ แม่งเป็นหัวหน้ามึงแท้ๆวันนี้มันยังไม่โผล่หางมาเลยอิห่า”

“ไม่โผล่หางห่าอะไรอิกล้วย กูไปคุยงานมาตั้งแต่เช้า” คนที่โดนนินทาเดินเข้ามาในห้องครัวแล้วเอาม้วนกระดาษฟาดพี่กล้วยเต็มแรง “งานเข้าแต่เช้าเลยไอ้ห่า”

“งานอะไรวะพี่” ผมหยิบม้วนกกระดาษที่พี่ทศโยนลงบนโต๊ะขึ้นมาเปิดดู และพบว่ามันเป็นภาพร่างของผลิตภัณฑ์ที่ไปถ่ายทำเมื่อวาน แต่คนละแบบ

“แม่งเอาโปรดักส์มาให้ผิด ต้องถ่ายใหม่”

ผมพยักหน้ารับ แล้วฟังพี่ทศพูดเรื่องงานแบบเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง นอกจากจะง่วงและปวดหัวนิดหน่อยจากอาการเมาค้าง ในใจก็ค่อนข้างหงุดหงิดมากอยู่เหมือนกันที่ต้องถ่ายแก้งานใหม่อีก

พวกเรารวมกลุ่มทานอาหารเช้านิดหน่อยอยู่ในห้องอาหารพักหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนย้ายไปเตรียมของสำหรับถ่ายงาน กว่าจะไปถึงสตูดิโอที่เดิมก็เกือบสิบเอ็ดโมง เราลงมือทำงานกันทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมจดจ่ออยู่กับงาน ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเพราะต้องรีบถ่ายทำเนื่องจากคิวของนักแสดงที่ร่วมงานด้วยนั้นค่อนข้างแน่น นับว่าเป็นโชคดีที่คิวงานของนักแสดงบังเอิญมีช่วงว่างในตอนนี้พอดิบพอดี อุปกรณ์ต่างๆที่เคยรื้อต้องรีบประกอบเข้ากันใหม่ ผมวุ่นวายอยู่กับพี่ไท พี่ทศคุมงานช่างไฟ ส่วนพี่กล้วยกำลังด่าเด็กฝึกงานเรื่องแก้ชายตะเข็บเสื้อผ้า ในกองถ่ายวุ่นวายจนถึงที่สุดแต่สุดท้ายเมื่อทุกคนร่วมมือร่วมใจกันสถานการณ์ก็คลี่คลายไปในทางที่ดี

“นาย”

ผมหันหลังไปตามเสียง เป็นอีกครั้งที่ได้เจอพี่พล จะว่าแปลกใจก็ไม่น่าใช่เพราะสตูดิโอที่ถ่ายงานใหม่นี้อยู่ในบริษัทที่พี่พลทำงาน แต่วันนี้ดูท่าทางพี่พลจะไม่รีบร้อนเหมือนเมื่อวาน

“โทษทีนะ พอดีคนที่รับงานนี้เป็นเด็กใหม่ เลยสื่อสารกันพลาดนิดหน่อย”

ผมพยักหน้าเข้าใจพลางมองอีกฝ่ายที่กำลังนั่งลงด้านข้าง เราเงียบกันไปพักหนึ่ง การถ่ายทำข้างหน้านี้คงจะเป็นจุดสนใจที่ทำให้สถานการณ์ระหว่างผมกับพี่พลไม่กระอักกระอวนมากนัก

“เราออกไปคุยข้างนอกกันมั้ย”

ผมเข้าใจว่าเมื่ออยู่ในช่วงที่กล้องเดินทุกอย่างต้องเงียบพี่พลจึงชวนออกไปคุยด้านนอก ดวงตาที่สบมองด้วยความหวังนั้นทำให้ผมค่อนข้างอึดอัด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เดินตามเขาออกไป

ห้องที่พี่พลพามานั้นเป็นห้องทำงานของหัวของเขาเอง แต่หัวหน้าไม่อยู่มันจึงกลายเป็นเหมือนห้องว่างหนึ่งห้อง เราไม่ได้ปิดประตู ไม่มีท่าทีลับๆล่อๆอะไรเลย เพียงแต่ไม่มีใครสนใจพวกเราเลยต่างหาก ผมนั่งลงบนเก้าอี้ของแขกส่วนพี่พลยืนพิงขอบโต๊ะ

“คืนดีกับบุญแล้วหรือยัง”

ผมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ มองใบหน้าของพี่พลแล้วนึกถึงเมื่อหลายวันก่อน ทุกอย่างมันเริ่มจากวันนั้น วันที่พี่พลไปส่งผมที่คอนโด ผมรู้ว่าการตอบรับในครั้งนั้นหมายถึงการยินยอมให้พี่พลกลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง เราไม่ได้คุยกันนานแค่ไหนผมก็จำไม่ได้หรอกเพียงแต่เมื่อได้กลับมาคุยกันอีกครั้งผมพบว่าเรายังสามารถคุยกันได้เหมือนเก่าก่อน เริ่มแรกเราคุยกันด้วยเรื่องทั่วไปเหมือนคนรู้จักที่ได้กลับมาเจอกัน หากจะนับว่าเป็นความผิดพลาดก็คงเป็นเพราะผมที่เล่าเรื่องของบุญให้พี่พลฟัง ตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากอยากระบายสิ่งที่นึกคิดบ้าง จากข้อความในแอพพลิเคชั่นที่เคยโต้ตอบกันแค่ไม่กี่ประโยค การถามคำตอบคำ การเว้นระยะเวลาตอบ ทุกอย่างมันบ่งชี้ว่ามีความถี่ขึ้น ผมตอบข้อความของพี่พลบ่อยขึ้น เริ่มคุยด้วยประโยคยืดยาว จนไปถึงวันที่ผมยอมให้หมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปและพี่พลก็โทรมาเพียงแค่บอกว่าเขาดีใจแค่ไหนที่เราได้กลับมาคุยกันอีก

“นายไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”

พี่พลยังคงวางสายตาไว้จุดเดิม นิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรไปอีกพักใหญ่

“เฮ้ย พล อยู่นี่นี่เอง พี่โป้งบอกว่าไฟล์งานของคุณออยอยู่ที่พล ส่งให้พี่ด้วย” คนที่เพิ่งชะโงกหน้าเข้ามาในห้องพูดรัวเร็วและไม่ได้สังเกตเห็นผมที่นั่งอยู่ “ขอตอนนี้เลยนะ พี่ต้องใช้แล้ว” เขาแทบจะไม่ได้เหลือบมองผมเลยในตอนที่เดินออกไปจากห้องพร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือต่อ

พี่พลถอนหายใจยาวพลางขยับเข้ามาใกล้ เขาวางมือลงบนไหล่ของผม มอบรอยยิ้มให้ “เสร็จงานแล้วรอพี่ก่อนนะ จะพาไปกินข้าว”





ผมไม่คิดว่าพี่พลต้องการอะไรมากกว่าแค่อยากคุยในฐานะพี่น้อง
แต่ไม่รู้สิ เรื่องราวที่เราคุยกันมันเริ่มลึกลงไปเรื่อยๆมากขึ้นทุกที
และผมก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของบทสนทนาระหว่างเรา


************************************



หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 28-11-2018 22:14:40
ตอนพิเศษ พี่พล (3/3)



พี่พลบอกว่าหลังเลิกงานเขาจะพาไปกินข้าว แต่ดูเหมือนว่าเพราะงานที่ยังคั่งค้างของเขาทำให้เวลาล่วงเลยยาวนานจนผมใกล้หมดความอดทน ผมไม่แน่ใจนักว่าพี่พลมีความตั้งใจในคำพูดนั้นมากขนาดไหน เขาอาจจะลืม เขาอาจจะไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่พูดเลยก็เป็นได้ แต่ผมจะไม่นั่งรอเขาแบบนี้หรอกสุดท้ายจึงตัดสินใจแวะไปหาเขาที่โต๊ะทำงานเพื่อไถ่ถามให้แน่ชัด

สายตาของเพื่อนร่วมงานต่างมองมาที่ผมด้วยความสงสัย มันก็แน่ล่ะผมเป็นคนนอก

“นายกลับก่อนนะ” ผมบอกกล่าวพี่พลที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการทำอะไรสักอย่างกับคอมพิวเตอร์

“จะเสร็จแล้ว รอโหลดไฟล์แป้บนึง” เขาว่าอย่างนั้นก่อนจะตะโกนเรียกคนที่ชื่อก้อยให้ช่วยปิดคอมฯให้หลังจากที่โหลดไฟล์เสร็จ “ผมฝากไฟล์ไว้ในคลาวนด์อยู่ ถ้าเสร็จแล้วผมฝากปิดคอมด้วยนะ อย่าลืมลงเวลาโอทีด้วยล่ะ” พี่พลคว้ากระเป๋าของตัวเองเก็บของส่วนตัวอยู่พักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม “ไปเถอะ พี่หิวข้าวจะเป็นลมแล้ว”






ร้านอาหารที่เรามากินกันนั้นอยู่ในห้างใกล้ที่ทำงานของพี่พล เรานั่งกินข้าวกันเงียบๆไม่ได้พูดอะไรกันมากนักเพราะพี่พลมัวแต่คุยโทรศัพท์มือถือกับใครสักคนที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน เขาดูหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่งานมีปัญหาแต่ถึงอย่างนั้นเมื่อวางสายลงเขาก็หันมายิ้มให้ผม กลายเป็นสีหน้าของพี่พลที่แสนใจดี

“ดุจัง” ผมเอ่ยแล้วยิ้มให้เขาบ้าง

“ไม่หรอก งานไม่ได้ดั่งใจก็ต้องกดดันหน่อย”

“แล้วไม่มีวิธีอื่นเหรอ ที่ไม่ต้องดุแบบเมื่อกี้”

“มี” พี่ตอบเสียงราบเรียบ แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มจางๆ “ถ้าไอเดียไม่เจ๋งจริงก็ฉีกกระดาษทิ้งเลย”

“ห้ะ?” ผมหน้าเหวอ ในสมองหวนนึกถึงตอนเรียนที่เคยฟังอาจารย์คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า สมัยทำงานเคยโดนหัวหน้าฉีกงานต่อหน้าต่อตา ทั้งๆที่งานชิ้นนั้นคิดมาหัวแทบแตก ผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครมารยาททรามทำถึงขนาดนั้นแต่ดูเหมือนพี่พลจะไม่ได้พูดเล่น

“พี่เคยโดนนะ ตอนนั้นส่งออกแบบโลโก้ให้หัวหน้าดู แม่งลบไฟล์งานเลยอะ แล้วก็บอกว่าห่วยกว่าเด็กประถมทำอีก”

“เฮ้ย บ้าป่าววะ”

“ยิ่งเงินเยอะยิ่งโดนหนัก แต่พี่ชินแล้ว อย่าไปคิดอะไรมากนอกจากคิดใหม่ทำใหม่”

“ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยอะ”

พี่พลไม่ได้ตอบอะไรมาอีกแต่เปลี่ยนเป็นมองผมนิ่งๆแล้วยิ้ม ผมรู้สึกอึดอัดจึงเบือนหน้าไปทางอื่นและกินอาหารตรงหน้าไปเรื่อยๆ เสียงดนตรีแจ๊สที่เปิดคลอเบาๆอยู่ในร้านขับกล่อมบรรยากาศไม่ให้เงียบจนเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกถึงความประดักประเดิดที่โดนพี่พลมองอยู่แบบนี้ ความรู้สึกบางอย่างมันโบยบินออกมาจากที่ไหนสักแห่ง

“เรื่องของบุญอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย” พี่พลเริ่มต้นบทสนทนาเรื่องใหม่ “เราคงจะต้องพยายามคุยกับเขามากกว่านี้”

“นายก็คุยแล้ว แต่งานยุ่งๆเลยไม่ค่อยได้เจอกัน”

“แล้วเราขอโทษเขาแล้วใช่มั้ย”

ผมนิ่งเงียบและทบทวนเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าจะได้อธิบายและง้อขอคืนดีไปต่างๆแต่ผมยังไม่ได้พูดขอโทษออกมาจากปากเลยสักครั้ง “ยังเลย” ผมดื่มน้ำอึกใหญ่แล้วมองผ่านกระจกออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย

“คืนนี้ก็ไปขอโทษเขาซะ”

ผมหันหน้ากลับมาก็เห็นใบหน้าสะอาดสะอ้านมีรอยยิ้มเช่นเคย

“แต่ถ้าขอโทษแล้วยังไม่หายโกรธอีก... ก็บอกพี่ด้วยแล้วกัน”

สิ่งที่พี่พลบอกผมยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเขาหมายถึงอะไร หากบุญยังโกรธผมหลังจากเอ่ยขอโทษไปแล้ว พี่พลจะต้องการรู้ไปอีกทำไม เมื่อรู้ไปแล้วเขาจะทำอย่างไรกับสถานการณ์แบบนั้น ผมพยายามนึกคิดว่าใครกันที่จะได้ประโยชน์จากการเห็นผมทะเลาะกับบุญ มันอาจจะไม่ใช่พี่พลแต่อาจจะเป็นตัวของผมเองหรือเปล่า









พี่พลขับรถมาส่งผมที่คอนโด ในตอนก่อนที่ผมจะลงจากรถเขาจับมือผมและอวยพรให้คืนดีกับบุญ ชั่วอึดใจหนึ่งกว่าผมจะตั้งสติและขยับมือออก เกินบรรยากาศประหลาดขึ้นระหว่างเราอีกครั้งในการพบกันครั้งนี้ ผมเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องก่อนจะถอดเสื้อผ้าเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ออกมาอีกทีก็ได้ยินเสียงกุกกักที่ด้านนอกจึงรีบใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปหาคนที่เพิ่งกลับห้อง บุญมองผมด้วยสายตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกแต่สังเกตเห็นความเหนื่อยล้าได้อย่างชัดเจน ผมไม่ได้ทักทายอะไรเขาเป็นพิเศษนอกจากถามว่ากินข้าวแล้วหรือยัง เมื่อคำตอบเป็นปฏิเสธจึงเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรให้กิน ทุกอย่างมันดูราบรื่นไม่มีอะไรผิดปกติแต่บุญก็ยังดูมึนตึงอยู่ดี

ผมนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนบุญเหมือนทุกครั้ง ถ้าอิ่มท้องแล้วก็จะทำเพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆ หลังจากกินข้าวเสร็จบุญก็อยู่คุยงานผ่านทางโทรศัพท์มือถืออีกพักใหญ่

“หายปวดหัวแล้วยัง” บุญเอ่ยปากถามหลังจากเห็นผมเดินเข้ามาหาในห้องน้ำ

“หายแล้ว อ้วกอีกรอบเมื่อเช้าก็หายเลย” ผมตอบแล้วเกยหน้าไว้บนแขนของบุญตามปกติยืนมองดูบุญที่ทำธุระอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “วันนี้เป็นยังไงบ้าง”

“คนไข้เยอะแต่ไม่มีเคสหนัก”

“บุญ…” ผมหยุดมองใบหน้าของเขาอยู่ครู่หนึ่ง “เราขอโทษ”

“อืม”

ผมคาดหวังว่าเขาจะยินดียินร้ายกับสิ่งที่ผมพูด แต่สิ่งที่ได้รับมันทำให้ผมผิดหวังจนรู้สึกห่อเหี่ยวไปหมด

“นอนเถอะ พรุ่งนี้ทำงานอีก”

เขาว่าอย่างนั้นแล้วเดินนำผมออกไปที่เตียง ไฟดับลงทีละดวงจนสุดท้ายห้องทั้งห้องก็มืดสลัว มีเพียงแสงจากด้านนอกที่ส่องลอดเข้ามาเล็กน้อย ผมมองบุญที่กำลังล้มตัวลงนอนก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เพื่อกอดเขาไว้

“แล้วเมื่อคืนบุญไปรับเราได้ยังไงอะ”

“เราโทรหานาย”

“ใครรับสายอะ”

“คนที่ชื่อกล้วย”

ในใจของผมเต้นตุบตับหลังจากที่ได้ยินว่าบุญโทรหาอย่างน้อยเขาก็ยังนึกถึงผมอยู่ แม้จะโกรธนานไปหน่อยก็ตามที “บุญยังไม่หายโกรธเราจริงๆเหรอ” ผมผงกหัวขึ้นเพื่อมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย มองบุญที่ยังนอนลืมตาอยู่ในความมืดด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวัง “เราขอโทษที่พูดอะไรไม่คิดก่อน”

“.......”

“บุญ...”

“นาย... เราแยกกันอยู่สักพักมั้ย”

“.......”

“เผื่อบางทีจะได้ทบทวนอะไรได้ง่ายขึ้น”

“เราผิดขนาดนั้นเลยเหรอบุญ การที่เราพูดเล่นเรื่องนั้นมันทำให้บุญโกรธเราจนไม่อยากเห็นหน้าเราเหรอ”

ในตอนนี้ผมผุดลุกขึ้นนั่งมองอีกฝ่าย ความท้อแท้ความผิดหวังกำลังรุมเร้าให้ผมปวดหนึบในใจ ผมไม่เข้าใจเลยกับการล้อเล่นทำตัวงี่เง่าแค่นั้นจะทำให้บุญโกรธอะไรมากขนาดนี้ มันมากมายจนถึงกับต้องขับไล่ไสส่งกันแบบนี้เลยเหรอ คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของผมมาเนิ่นนาน และมันรู้สึกชัดเจนในวินาทีนี้เหลือเกิน

“บอกหน่อยได้ป้ะว่าเราผิดอะไรมากขนาดนั้นอะ ถ้าจะโกรธก็ขอเหตุผลหน่อยเถอะ”

“เราว่านายต่างหากนะที่ต้องให้เหตุผลกับเรา”

“บุญ เราก็บอกแล้วไงว่าเราพูดเล่น เราว่าบุญงี่เง่ามากนะถ้าจะโกรธเราเรื่องนั้น”

บุญนิ่งเงียบจ้องมองเพดานราวกับมีอะไรน่าสนใจ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ตอบอะไรผมจึงเอนตัวนอนหันหน้าไปอีกทาง

“เราไม่เคยโกรธนายเรื่องนั้นเลย” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง “ไม่ว่าเรื่องไหนเราก็ไม่เคยโกรธนาย”

“.........”

“ที่โกรธคงจะโกรธตัวเองมากกว่า โกรธที่ยังทำให้นายรักเราไม่ได้”

ท้ายประโยคนั่นทำให้ผมต้องหันกลับไปมองบุญอีกครั้ง เขากำลังพูดถึงอะไรกัน

“โกรธตัวเองที่ทำให้นายลืมเขาไม่ได้”

“.........”

“แยกกันอยู่สักพักเถอะนาย เผื่อบางทีจะได้รู้ว่านายรักเราหรือรักพี่พล”





ผมนอนกระสับกระส่ายในคืนนั้น หลับๆตื่นๆอยู่ทั้งคืน ผมรู้ว่าบุญออกไปนอนที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ตอนเช้าบุญก็แค่เข้ามาบอกว่าจะออกไปทำงานแล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอบุญอีก ผมกับบุญแยกกันอยู่ตามที่เขากล่าวไว้ เขาส่งข้อความมาบอกว่าจะกลับไปอยู่ที่บ้านแต่ไม่ได้บอกว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ บุญยังไม่เปิดโอกาสให้ผมได้อธิบายหรือพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ในวันแรกหลังจากแยกกันอยู่ผมยังคงออกไปทำงานตามปกติ งานทำให้ผมสามารถลืมเรื่องเหล่านั้นไปได้แต่ก็ได้เพียงแค่พักเดียวเท่านั้นแหละ พอมีเวลาว่างผมก็คิดถึงบุญอยู่ดี สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ผมคิดว่ามันคงไม่มีผลกระทบกับงานจนกระทั่งพี่กล้วยเรียกผมไปคุยในวันที่สองหรือสามหลังจากแยกกันอยู่กับบุญ เขาถามผมตรงๆถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ในตอนแรกผมไม่อยากเล่าเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่อยากพูดถึงแต่เมื่อเขาบอกว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้มันทำให้งานไม่เป็นไปตามที่ได้วางแผนและพลาดบ่อยครั้ง ผมจึงยอมเล่าให้พี่กล้วยฟังว่าเกิดอะไรขึ้น

“ฉันเห็นด้วยนะที่แยกกันอยู่สักพัก”

นั่นคือประโยคแรกที่พี่กล้วยพูดหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด ทั้งสีหน้า น้ำเสียง และท่าทางดูจริงจังกว่าปกติ พี่กล้วยที่ชอบทำตัวมีจริตสะดีดสะดิ้งกำลังกลายเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ขึงขังจริงจัง

“เรื่องแฟนเก่ากลับมาคุยกันมันไม่ใช่เรื่องที่ดี”

“ผมไม่ได้เป็นแฟนเก่ากับพี่พล ไม่เคยเป็นอะไรกันเลย ผมไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้ว”

“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เธอเคยเป็นแฟนเก่าหรือเปล่า ปัญหามันอยู่ที่ว่าเธอกลับมาคุยกับคนที่เธอเคยชอบโดยไม่บอกแฟนคนปัจจุบัน” พี่กล้วยทำหน้านิ่ง เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าครั้งไหนๆที่เคยเห็น

“จุดเริ่มต้นมันเริ่มจากเธอ เธอตอบรับคุยกับเขา ออกไปกินข้าวกับเขา ให้เขามาส่งถึงคอนโด ไม่มีใครไม่หวังอะไรจากสิ่งที่ทำหรอกนาย ฉันพูดจากเรื่องจริง มันก็เหมือนตอนที่ฉันพยายามเข้าหาน้องเมฆ...” สีหน้าของเขายังดูจริงจังไม่เปลี่ยนแปลง มันทำให้ผมจุกปรี่อยู่ในอกเพราะสิ่งที่พี่กล้วยพูดก็คือเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้

“ฉันชวนเขาคุย ฉันชวนเขาออกไปไหนต่อไหนด้วยกัน ฉันขอไปส่งเขาที่หอพัก เพราะว่าฉันอยากได้น้องเมฆ นี่พูดกันตรงๆเลยนะ ถ้าไม่อยากได้น้องเมฆฉันจะทำไปทำไม เรื่องของเธอก็เหมือนกัน เชื่อฉันสิสเต็ปต่อไปเธอจะโดนขออะไรมากกว่านี้”

“………..” จุก ผมจุกไปหมดจนพูดอะไรไม่ออกสักคำ

“ฉันไม่รู้เธอชอบหรือไม่ชอบใคร เธอต้องถามใจตัวเองและทำให้มันชัดเจน” สิ้นคำพี่กล้วยก็มองผมด้วยแววตาครุ่นคิดก่อนจะถอนหายใจยาว ท่าทีมีจริตสะดีดสะดิ้งหวนคืนกลับสู่ร่าง “โอ้ย พอที แอ๊บแมนแล้วปวดหัว เอาเป็นว่าอย่าทำงานพลาดอีกเพราะอิทศจะเรียกมึงคุยจริงจัง ที่มันยังไม่เรียกคุยเพราะอยากให้กูมาคุยกับมึงแบบส่วนตัวก่อน กูไปล่ะ”

ผมกล่าวขอบคุณกับพี่กล้วยก่อนที่เขาจะหมุนตัวเดินออกไปจากแคนทีนห้องที่เรามั่วสุมนั่งคุยสารทุกข์สุขดิบ แต่แล้วพี่กล้วยหยุดยืนนิ่งอยู่ที่ประตูและหันมามองผมด้วยสีหน้าปุเลี่ยนยังไงชอบกล และเพียงเสี้ยววินาทีผมก็เห็นตัวต้นเหตุเดินเข้ามา

“เราเลิกงานหรือยัง” พี่พลเอ่ยทักหลังจากพี่กล้วยหายตัวออกไปแล้ว “แวะกินข้าวกันก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่คอนโด”

ผมกำลังประมวลผลว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธแต่เมื่อเขาช้อนตามองและมอบรอยยิ้มให้ ผมก็ไม่อาจปฏิเสธไมตรีนี้ได้เลย






สารภาพตามความสัตย์จริงผมดีใจที่ได้เจอกับพี่พล ได้กลับมาคุยกันด้วยเรื่องบ้าบอที่เคยคุย ได้กลับมามองใบหน้าสะอาดสะอ้านที่ผมชอบ เขายังคงแต่งตัวเนี้ยบเรียบร้อยเพิ่มเติมคือมีกลิ่นน้ำหอมฟุ้งประมาณสามกิโลเมตร สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่ผมชอบ เขาทำให้ผมนึกถึงความชอบที่มันรุนแรงและส่งผลต่อความรู้สึกอย่างเฉียบพลัน แต่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความรัก มันไม่ใช่ความรักมาตั้งแต่แรก

“แล้วเราจะทำยังไงต่อ”

ผมเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัยเพราะหลุดไปโลกอื่นอยู่ชั่วครู่หนึ่งและไม่ได้ฟังในสิ่งที่พี่พลพูด

“เราจะทำยังไงกับบุญต่อไป จะแยกกันอยู่แบบนี้เหรอ”

“นายไม่รู้”

เราถูกขัดจังหวะจากพนักงานที่เดินเข้ามาเก็บจานหลังจากพี่พลเรียกเก็บเงินค่าอาหาร เขามองผมไม่วางตาและมันก็ค่อนข้างโจ่งแจ้งว่าพี่พลกำลังมีความคิดอะไรบางอย่าง

“คืนนี้ไปค้างที่ห้องพี่มั้ย”

ผมปฏิเสธไปในตอนที่พี่พลชวนไปค้างที่ห้อง ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร มันคือสเต็ปต่อไปตามที่พี่กล้วยได้กล่าวไว้จริงๆเสียด้วย สิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่ลงไปอีกก็เพราะพี่พลกำลังใช้ช่วงเวลาที่ผมห่างกับบุญเพื่อจุดประสงค์ของตัวเอง

พี่พลถอดสีหน้าไปเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำปฏิเสธแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมองผมด้วยสายตาแบบคนใจดีเช่นเคย เขาขับรถมาส่งผมที่คอนโดเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา บทสนทนาเกี่ยวกับบุญจบลงที่ร้านอาหารแห่งนั้นและไม่ได้พูดถึงบุญอีก พี่พลพูดถึงที่ทำงาน ผมรู้สึกมาตลอดว่าเขาเป็นคนขยันและทำงานเก่งมันเหมาะสมแล้วที่เขาได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งซีเนียร์อย่างรวดเร็ว เริ่มแรกเขาทำเกี่ยวกับองค์ประกอบศิลป์แต่ต่อมาโดนเปลี่ยนย้ายมาดูแลทางงานสร้างสรรค์แทน ผมไม่รู้ว่าเขาเหมาะกับสิ่งที่ทำอยู่หรือเปล่าเพราะผมไม่รู้จักพี่พลมากขนาดนั้น รู้แค่ว่าเขาเป็นคนขยันทำงานมากคนหนึ่งก็เท่านั้น รถของพี่พลขับมาถึงคอนโดที่ผมอาศัยอยู่แต่เขากลับเลือกที่จะจอดหลบมุมไปทางด้านหลังของคอนโด

“ไม่เปลี่ยนใจไปนอนเล่นที่ห้องพี่จริงๆเหรอ”

ผมส่ายหน้าแต่ก็ยิ้มให้เล็กน้อยเพื่อไม่ให้บรรยากาศดูตึงเครียดเกินไป พี่พลค่อยๆขยับตัวเข้ามาใกล้ สายตาของเขากำลังสำรวจใบหน้าของผมก่อนที่มันจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมไม่ได้ขยับหนีหากแต่รอคอยในสิ่งที่เขากำลังจะทำ ริมฝีปากของเราสัมผัสกันแผ่วเบาไม่วาบหวามหรือดึงดัน กลิ่นน้ำหอมจากตัวพี่พลส่งกลิ่นชัดเจนอยู่ที่ปลายจมูก แต่มันก็เพียงเท่านั้นเมื่อผมรับรู้ว่าในส่วนลึกจากความรู้สึกทั้งหมดที่มีกำลังบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมเบือนหน้าออกเพื่อส่งสัญญาณให้เขารู้ พี่พลสบมองเข้ามาในดวงตาของผมอีกครั้งและพยายามที่จะจูบอีกผมจึงขยับตัวออกห่าง เขาพรูลมหายใจยาวหนักหน่วงขณะที่ถอยออกไปนั่งที่เดิม บรรยากาศดูอึดอัดและตึงเครียดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“พี่ไม่ขอโทษหรอกนะเพราะว่าพี่ตั้งใจ”

คำพูดของเขาเรียกร้องให้ผมหันไปมองเต็มตา

“รู้ใช่มั้ยว่าทำไมพี่ถึงกลับมาติดต่อกับเราอีก”

ผมเงียบเพื่อไตร่ตรอง ค่อนข้างมั่นใจว่าพี่พลหมายถึงอะไร

“พี่รู้ว่าเรายังไม่ลืมเรื่องเมื่อก่อน” เขาเว้นวรรคไปและจดจ้องมองผมไม่ห่างสายตา พี่พลพูดถูกผมยังไม่ลืมเรื่องระหว่างเรา “ตอนนั้นพี่ยังไม่พร้อมที่จะคบกับนายเพราะพี่รู้สึกว่าเรายังรู้จักกันไม่มากพอ พี่ชอบนายแบบน้อง แต่หลายปีมานี้พี่ก็ยังนึกถึงเรื่องของเรา…”

“นายชอบพี่พลนะ ตอนนี้ก็ยังชอบ แต่นาย… ไม่รู้ดิ นายไม่ได้ชอบพี่พลเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นายไม่เคยลืมเรื่องตอนนั้นเลย แต่พอคิดถึงตอนนี้หรือพรุ่งนี้นายก็นึกถึงแต่บุญ”

เราต่างเงียบกันไปอึดใจหนึ่ง จดจ้องกันและกันเพื่อนึกคิดในสิ่งที่ได้พูดออกไป

“พี่พลยังคุยกับนายได้เหมือนเดิม มีอะไรก็โทรหาได้ ขอบคุณที่มาส่งครับ” ผมตัดบทเพื่อไม่ให้ความอึดอัดมันยืดเยื้อนานไปกว่านี้ ในตอนนี้ผมรู้สึกโล่งสบายและมองเห็นอะไรชัดเจน ราวกับม่านหมอกสีเทาได้กระจายตัวออกไปเหลือเพียงภูเขาที่สูงชันตรงหน้า รอคอยให้ผมได้ปีนก้าวขึ้นไป

ผมมองพี่พลในแง่ดีมาตลอดเขาเป็นเหมือนพี่ที่ผมสามารถคุยด้วยได้ ส่วนเรื่องที่เคยมีอะไรกันมานั้นก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเช่นกัน แม้ว่าเรื่องนั้นจะกลายเป็นความทรงจำที่ชัดเจนมากเกินไปในส่วนที่เขาเป็นคนแรกของผม บางครั้งก็เกิดคำถามขึ้นว่าทำไมผมถึงยังจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ ผมพยายามหาคำตอบและพบว่ามันคงจะเป็นสิ่งดีๆในชีวิตที่น่าจดจำแหละมั้ง ผมไม่อาจปฏิเสธอดีตได้เลย มันเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ว่าจะหาเหตุผลหลีกเลี่ยงเท่าไหร่ก็ไม่อาจลบล้างว่ามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ตัวผมในตอนนั้นกับตัวผมในตอนนี้ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะมองกลับไปยังอดีตหรือมองไปยังอนาคตผมยังคงมองเห็นแค่บุญทุกช่วงชีวิต สำหรับพี่พลเมื่อมองไปที่คนๆนี้เขาคืออดีตที่หอมหวานของผม และคำจำกัดความของคำว่าอดีตก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วและไม่อาจแก้ไขได้ เขาเป็นแค่นั้นมาโดยตลอดตั้งแต่ผมรับรักของบุญและมอบความรักของผมให้แค่บุญ

ผมคิดที่จะโทรหาบุญในคืนนี้แต่เมื่อเข้าห้องผมกลับพบเขายืนหันหลังอยู่ในห้องตรงโต๊ะอาหาร เสียงกุกกักจากการเปิดประตูทำให้บุญหันมามองก่อนจะหันกลับไป ผมเดินเข้าไปยืนด้านข้างหัวใจเต้นตุบตับด้วยความตื่นเต้นที่ได้เจอบุญอีกครั้ง บุญผมยาวขึ้นทำให้หน้าดูโทรมลงเล็กน้อย ท่อนบนของเขาเปลือยเปล่าผมเดาว่าบุญคงจะไปออกกำลังกายที่ยิม ทุกอย่างดูเป็นกิจวัตรของบุญ เมื่อได้เห็นเขาเต็มตาแบบนี้ผมก็รู้สึกได้ทันทีว่าคิดถึงบุญมากแค่ไหน แค่สองสามวันที่ผ่านมามันเหมือนสองสามวันที่อยู่บนดาวพุธไม่ใช่โลกใบนี้เลยก็ว่าได้

“คืนนี้จะนอนที่นี่เหรอ”

“อืม”

“แล้วคืนพรุ่งนี้ล่ะ”

“ก็นอน” บุญตอบแล้วเอื้อมมือมาสัมผัสใบหน้าของผม “สะดวกให้อยู่มั้ย”

ผมพิจารณาอีกฝ่ายที่ไม่ได้เห็นมาหลายวัน บุญของผมยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้วแต่ผมกลับไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี “เราจูบกับพี่พลมา”

“แล้วเป็นไง”

“ก็ดี”

สีหน้าของบุญไม่ได้บ่งบอกอะไรเป็นพิเศษหากแต่เขาก้มลงมาและมอบจูบที่แสนนุ่มนวลให้ ผมโหยหาจูบแบบนี้แต่เพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นบุญก็ผละริมฝีปากออกไป “แล้วจูบกับเราเป็นยังไง”

“ไม่รู้สึกอะไรเลย” ผมตอบแล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเข้มของอีกฝ่ายก่อนจะขยับเข้าไปเพื่อจูบบุญอีกครั้ง

“เป็นไง”

“เฉยๆ” ริมฝีปากของเราคลอเคลียกันไม่ห่างในตอนที่เอ่ยคำพูด แต่แล้วมันก็ประกบกันอีกครั้งเนิ่นนานราวกับจะพรากลมหายใจไป

“เราขอโทษ” ผมกล่าวติดชิดริมฝีปากของอีกฝ่าย “ขอโทษที่ไม่ได้บอกเรื่องพี่พล”

บุญปิดปากผมด้วยจูบแล้วพึมพำว่าไม่ต้องพูดอะไรอีก มันไม่ใช่จูบดูดดื่มเชิงใคร่เสน่หาหากแต่เป็นจุมพิตที่แสนอ่อนหวานและลึกซึ้ง ผมหลุดอยู่ในภวังค์แห่งนั้นพร้อมกับความสุขที่ก่อเกิดขึ้นในใจอย่างน่าอัศจรรย์

ในคืนนั้นบุญสารภาพว่าเขาทนคิดถึงผมไม่ไหวจึงได้กลับมา ผมรู้สึกได้ว่าบุญหวาดกลัวหากผมกลับไปหาพี่พลจริงๆ ผมไม่ได้บอกบุญว่าผมรู้สึกอย่างไรกับพี่พล ผมปล่อยให้มันเป็นอดีตที่จะไม่มีทางหวนย้อนคืน เรานอนกกกอดกันอยู่บนเตียง ไม่ได้มีเซ็กส์เผ็ดร้อนกันแต่อย่างใด เราแค่กอดกันแนบแน่นสัมผัสใบหน้าสัมผัสเนื้อตัวของกันและกันด้วยความคิดถึง จะพิเศษนิดหน่อยก็ตรงที่จูบกันจนปากจะเปื่อย ผมเล่าให้บุญฟังถึงเรื่องอื่นๆ เขาเองก็เช่นกัน น่าแปลกที่บุญกลับไม่อยากรู้เรื่องระหว่างผมกับพี่พลเลย ความมั่นคงของบุญคือสิ่งที่ทำให้ผมอยู่ในจุดนี้ ได้กลับมาคืนดีกัน ได้กลับมาเจอหน้ากัน ผมเชื่อมั่นว่าเขารักผมและมันไม่จำเป็นเลยสำหรับคำอธิบายกับสิ่งที่ผ่านมา ในช่วงหลายวันที่ไม่ได้เจอกันเราต่างรู้ตัวว่ารักและคิดถึงกันมาแค่ไหน มันมากเพียงพอที่จะดึงดูดให้เรากลับมาเจอกันอีกครั้งพร้อมกับความมั่นคงที่มากขึ้น แต่รักเท่าเดิม คนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง


หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 28-11-2018 22:16:37

แถวตรวจคนเข้าเมืองย่นระยะสั้นลงขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ นี่เป็นการมาเยือนเมลเบิร์นครั้งที่สองของผม ถึงแม้ในสนามบินจะมีอะไรหลายอย่างจะเปลี่ยนไปแต่นักท่องเที่ยวก็ยังเยอะไม่เปลี่ยนแปลง คิวก่อนหน้าผมคือกลุ่มครอบครัวชาวอินเดีย พวกเขาถูกสอบถามจากเจ้าหน้าอยู่พักใหญ่ บรรยากาศดูตึงเครียดจนน่ากลัวว่าครอบครัวนี้จะไม่ได้เข้าเมืองเมลเบิร์นเสียแล้ว แถวอื่นๆนักท่องเที่ยวทยอยหายไปทีละคนจนผมร้อนใจขึ้นเล็กน้อยที่รู้สึกว่าแถวที่ตัวเองต่ออยู่นี้นานเกินไป แต่เพียงอีกพักหนึ่งครอบครัวชาวอินเดียก็ถูกเจ้าหน้าที่อีกคนพาเดินออกไปจุดอื่น น่าเห็นใจที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไม่อนุมัติให้พวกเขาผ่านเข้าประเทศ ผมเดินเข้าไปยังช่องตรวจหลังจากเห็นเจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณมือเรียก เขาเป็นผู้ชายสวมแว่นตัวผอม ผมอนุมานเอาเองว่าเขาคงจะมีเชื้อชาติจีนหรือที่ไหนสักแห่งในเอเชีย มือผอมๆนั่นรับหนังสือเดินทางของผมไปพร้อมกับเอกสารประกอบการเข้าเมือง มิสเตอร์หวังมองหน้าจริงของผมสลับกับมองหนังสือเดินทาง และมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังเค้าท์เตอร์ สายตาสอดส่ายมองอ่านข้อมูลในนั้นก่อนจะคืนหนังสือเดินทางให้ผมโดยไม่ได้สอบถามอะไรอย่างอื่นเพิ่มเติม

ผมเดินไปรอรับกระเป๋าก่อนจะเดินทางเข้าเมืองด้วยรถบัสสีแดงคันใหญ่ อากาศหนาวเหมือนครั้งแรกที่เคยมา เมื่อขึ้นรถและได้ที่นั่งแล้วร่างกายของผมก็ผ่อนคลายลงจนเผลอหลับไป



ผมตื่นขึ้นขณะที่รถบัสกำลังเลี้ยวเข้า Docklands บรรยากาศด้านนอกคือเมืองเมลเบิร์นที่ท้องฟ้ามืดสนิทแสงไฟจากตึกรามอาคารและท้องถนนเปิดสว่างจนมองไม่เห็นดาว ผมมองภาพเหล่านั้นไปตลอดทางจนรถบัสขับถึงอู่จอดรถซึ่งเป็นปลายทางในการส่งคน ผมลงมายังชั้นล่างหยิบกระเป๋าและเดินไปตามเส้นทางเพื่อมุ่งหน้าสู่โรงแรมที่พัก การเดินเท้าพร้อมกับกระเป๋าเดินทางขนาดกลางไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเมืองนี้ ถนนหนทางราบเรียบมีทางเดินเท้าชัดเจนรวมไปถึงมีสัญญาณไฟข้ามถนนทุกจุดจนไม่ต้องกลัวว่าจะได้รับอุบัติเหตุใดๆ อากาศหนาวเป็นพิเศษเพราะผมยังปรับตัวไม่ได้จึงแวะร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งเพื่อซื้อเครื่องดื่มร้อน ที่จริงก็ไม่เชิงว่าเป็นเครื่องดื่มร้อนแต่เป็นเครื่องดื่มที่ดื่มแล้วอบอุ่นน่าจะถูกต้องมากกว่า ผมออกเดินไปยังโรงแรมโดยไม่ได้นั่งรถแทรมต่อ ลมพัดแรงจนเกิดเสียงหวีดหวิวในตอนที่เดินมาถึงบริเวณที่มีแม่น้ำ มันหนาวมากกว่าเดิมจนต้องก้าวเท้าเร็วขึ้นให้ร่างกายอบอุ่น เสียงล้อลากบดพื้นถนนไปตลอดทางและมันก็เงียบลงเมื่อถึงจุดหมาย

ผมเข้าไปหาพนักงานต้อนรับเป็นอันแรก เธอเป็นหญิงสาวชาวออสเตรเลียในชุดยูนิฟอร์มเสื้อเชิ้ตขาวและกางเกงสีเทาท่าทางทะมัดทะแมง ผมแจ้งความประสงค์ให้เธอช่วยติดต่อถึงบุคคลหนึ่ง ในตอนแรกเธอดูคลางแคลงใจและสอบถามถึงเหตุผลหลายคำถาม ผมแค่ตอบเธอไปว่าต้องการพบเพื่อนแต่เธอก็ยังลังเลแม้ว่าสุดท้ายจะยอมยกหูโทรศัพท์กดโทรออกไปยังห้องพักห้องหนึ่ง เธอคุยกับปลายสายพลางเหลือบมองก่อนจะแจ้งให้ผมไปนั่งรอยังบริเวณที่นั่ง เพียงพักเดียวเท่านั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออกและบุญก็พุ่งตรงเข้ามาหาผมทันทีที่เห็น สีหน้าของเขาที่ดูตกใจจนแทบจะกลายเป็นสีหน้าแตกตื่นทำให้ผมหลุดหัวเราะ ก็แน่ล่ะ ผมบินมาจากเมืองไทยเพื่อเซอร์ไพรซ์บุญที่มาเมลเบิร์นเพื่อเข้าประชุมอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการแพทย์ เขามาถึงที่นี่ก่อนหน้าผมสามวันแต่ตลอดสามวันนั้นก็เข้าประชุมอย่างหนักหน่วง บุญถือโอกาสนี้ลางานเพื่อเที่ยวต่ออีกห้าวัน เขาบอกให้ผมบินมาด้วยกันเพื่อมาเที่ยวแต่ผมแกล้งปฏิเสธไป ทั้งเรื่องขอวีซ่าเรื่องซื้อตั๋วเครื่องบินทุกอย่างเป็นความลับหมดก่อนจะโผล่มาเซอร์ไพรซ์เขาในวันนี้

บุญติดต่อพนักงานสาวคนนั้นเพื่อแจ้งว่าผมจะเข้าพัก แต่เธอปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าทางโรงแรมมีนโยบายไม่รับลูกค้าวอล์คอิน บุญเถียงกับเธอต่ออีกเพราะคิดว่าเธอคงจะเข้าใจผิดคิดว่าผมจะพักที่ห้องอื่น มิสอะมีเลียส่ายหน้าและบอกว่าไม่สามารถให้ผมเข้าพักกับบุญได้เนื่องด้วยเหตุผลของความปลอดภัย สุดท้ายบุญจึงหยิบเงินจำนวนหนึ่งและแจ้งเธอว่าขอ Extra bed สำหรับผม เมื่อจ่ายเงินเพิ่มอะไรๆก็ดูจะคล่องไปเสียหมด มิสอะมีเลียขอหนังสือเดินทางของผมเพื่อลงทะเบียนผู้เข้าพัก จากนั้นก็คืนให้พร้อมกับมอบคีย์การ์ดและแจ้งรหัสเข้าอินเตอร์เนต

ผมเดินตามหลังบุญขณะที่ให้เขาพาไปยังห้องพัก บุญยังอยู่ในชุดทำงานแถมยังใส่รองเท้าหนังอยู่ผมเดาว่าเขาน่าจะเพิ่งกลับมาถึงห้องเช่นกัน นับว่าเป็นโชคดีของผมที่บุญอยู่ห้องเพราะไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่มิสอะมีเลียจะยอมให้ผมรออยู่ในโรงแรม เขาหันมายิ้มกว้างให้ผมตอนที่กำลังเปิดประตู ผมยิ้มให้เขาและขยับเข้าไปใกล้เพื่อจับมือ แม้เพียงเล็กน้อยแต่มันอบอุ่นใจหัวใจเหลือเกิน

เราเข้ามายังด้านในห้อง ผมถอดเสื้อโค้ทออกและคิดว่าจะเข้าห้องน้ำไปเช็ดตัวเสียหน่อยหากแต่เมื่อเสียงประตูปิดลงบุญก็เดินเข้ามายืนต่อหน้าและจูบผม

“ไม่ได้อาบน้ำมาวันนึงแล้วนะ” ผมบอกความจริงหลังจากที่เบี่ยงหน้าหน้าหนี ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าบุญจะไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ “ตัวเหม็นมาก”

บุญรุกไล่ด้วยการจูบผมต่ออีกครั้ง ผิวกายที่สัมผัสนั้นดูอบอุ่นกว่าของผมที่เพิ่งเดินฝ่าความหนาวมา “ตัวยังหอมอยู่เลย มีแต่กลิ่นดาวิดอฟ” เขาพูดถึงน้ำหอมที่ผมใช้บ่อยๆก่อนจะโอบกอดผมไว้อย่างแนบแน่น “เหนื่อยมั้ย”

ผมครางตอบรับในคอและก้าวเท้าตามบุญไปในตัวห้อง

“พรุ่งนี้จะไปเกรทโอเชียน ไปไหวหรือเปล่า”

ผมพยักหน้าแม้ความจริงจะค่อนข้างอ่อนล้าจากการเดินทางอยู่มากก็ตามที แต่เมื่อมาถึงแล้วจะไม่ออกเที่ยวเลยก็ดูจะเสียเวลาไปสักหน่อยเพราะรอบนี้มาแค่ห้าวัน บุญบอกว่าเขาซื้อเดย์ทัวร์ไว้แล้ว วันพรุ่งนี้จะมีรถบัสมารับที่หน้าโรงแรมและไม่แน่ใจว่าผมจะสามารถซื้อทัวร์แบบกะทันหันได้หรือเปล่า เขาดูเป็นกังวลซึ่งต่างจากผมที่ถ้าพรุ่งนี้ไม่สามารถไปเกรทโอเชี่ยนได้ก็คงจะไปเที่ยวในที่อื่นๆที่อยากไป แต่พอบอกแผนในใจของตัวเองไปบุญก็ยังคงดูเป็นกังวลอยู่ดี ผมเหนื่อยจะอธิบายว่าสามารถเที่ยวคนเดียวได้จึงเบี่ยงประเด็นไปที่การล้างหน้าแปรงฟันแทนบุญจึงพูดเรื่องอื่น เขาเก็บกระเป๋าเดินทางของผมให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเดินตามเข้ามาในห้องน้ำ และกอดผมที่กำลังยืนแปรงฟัน

“ไม่เห็นต้องเป็นกังวลเลย เราเที่ยวเองได้”

“รู้ว่าเที่ยวเองได้ แต่อยากให้ไปด้วยไง”

ผมบ้วนปากไปตามปกติก่อนจะรับผ้าขนหนูผืนเล็กจากบุญมาเช็ดหน้า “แค่วันเดียวเอง พอวันอื่นก็ไปด้วยกันอยู่แล้ว”

บุญย่นจมูกนิดๆเป็นเชิงขัดใจแต่แล้วเราก็รีบเข้านอนกันในคืนนั้นเพื่อเตรียมตัวไปเกรทโอเชี่ยน









รถบัสคันใหญ่สีขาวสกรีนชื่อบริษัททัวร์เลี้ยวเข้ามารับลูกทัวร์ตามเวลานัดเป๊ะ คนขับเป็นผู้ชายชาวออสเตรเลียหน้าตาใจดียิ้มต้อนรับ เราเจรจาขอให้ผมซื้อทัวร์เพิ่มซึ่งตอนแรกดูท่าทางจะมีปัญหาเพราะเป็นการซื้อกะทันหัน คุณคนขับโทรคุยประสานงานให้จนสุดท้ายผมก็ได้ไปเกรทโอเชี่ยนกับบุญตามที่ปรารถนา รถบัสขับไปรับลูกทัวร์ตามโรงแรมต่างๆตามเส้นทางที่ผ่านเพื่อไปยังจุดนัดพบอีกจุดหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนที่ตั้งของบริษัทัวร์ คนขับแจ้งว่าให้ลูกทัวร์ลงไปขึ้นรถคันอื่นโดยมีป้ายทัวร์สถานที่ต่างๆติดประกาศไว้อย่างชัดเจน ส่วนผมก็ไปซื้อทัวร์เกรทโอเชี่ยนที่เค้านท์เตอร์ซึ่งจะได้ราคาเต็มไม่ลดราคาเหมือนของบุญ เราขึ้นรถบัสอีกคันที่ขนาดย่อมลงมา คนขับคนใหม่เป็นชายหนุ่มชาวออสเตรเลียเช่นกันบอกให้เราเลือกที่นั่งได้ตามสบายแต่เราก็เลือกนั่งที่เบาะด้านหน้าสุด หลังจากเข้าที่เข้าทาง ลูกทัวร์โดยสารครบ คนขับแนะนำตัวและสถานที่ที่จะไป ผมก็ชัทดาวน์ตัวเองทันที

เนื่องจากเวลาที่เราออกจากตัวเมืองเมลเบิร์นนั้นยังเช้ามากประกอบกับช่วงนี้เป็นหน้าหนาว เมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกทีพระอาทิตย์ก็เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า แต่เส้นทางที่รถกำลังมุ่งทะยานอยู่นั้นกลับกลายเป็นเส้นทางที่ไร้ตึกอาคารทรงสูงและไร้สิ่งก่อสร้างใดๆที่ดูทันสมัย มันเป็นเพียงถนนสองเลนและรายล้อมด้วยต้นใหม่เล็กใหญ่ทอดยาวตลอดทาง แสงสีส้มเหลืองจากดวงอาทิตย์สาดลอดเข้ามาตามช่องว่างของต้นไม้จึงทำให้ไม่ร้อนเกินไป ขับออกมาอีกหน่อยพ้นช่วงต้นไม้ใหญ่ก็เป็นทุ่งหญ้ากว้างที่มีฝูงวัว แพะ และม้า ยืนเล็มหญ้าอยู่บริเวณโรงนาที่ทำจากไม้ทั้งหลัง มองไกลออกไปหน่อยก็เห็นสุนัขขนาดกลางวิ่งพันแข้งพันขาอยู่กับแกะ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเก็บภาพเหล่านั้นไว้ด้วยความตื่นเต้น นึกไม่ออกเหมือนกันว่าหากไปถึงตรงทเวลฟอะพอสเซิลแล้วจะตื่นเต้นไปมากกว่านี้ได้อย่างไร ผมเกิดและเติบโตอยู่ในกรุงเทพฯมาโดยตลอดประสบการณ์เกี่ยวกับการเล่นดินเล่นหญ้าจึงไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยนัก จับดินครั้งแรกคงจะเป็นการออกไปทัศนศึกษากับโรงเรียนสมัยประถม ตอนนั้นผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นดินหรือเป็นโคลนกันแน่ด้วยซ้ำ ในช่วงที่กำลังบันทึกวิดิโออยู่นั้นผมก็รู้สึกถึงไออุ่นจากด้านหลัง บุญเอื้อมแขนมาถ่ายภาพเช่นเดียวกันแม้จะตัวติดกันไปหน่อยก็เถอะ เพียงพักหนึ่งเราก็หยุดบันทึกภาพและมองบรรยากาศแบบชนบทด้วยตาเปล่า ไหล่ของบุญยังคงเบียดเข้ามาหนำซ้ำเขาโอบไหล่ของผมก่อนจะจูบที่ขมับ ผมผลักเขาออกไปเพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็น ไม่ใช่ว่าผมเขินอายหรืออะไรหรอกนะ แต่คิดว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่นี้ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะรับมันได้มากน้อยแค่ไหน พวกเขาอาจจะเป็นพวกต่อต้านรักร่วมเพศหรืออาจจะเหยียดสีผิว เพราะฉะนั้นการทำตัวแบบไม่ให้เป็นจุดเด่นน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

บุญมองผมด้วยสายตาแห่งความสงสัยแต่ไม่ได้เอ่ยถามออกมาเป็นคำพูด เสียงบรรยายจากมิสเตอร์เคนที่เป็นทั้งคนขับรถและผู้นำทัวร์เองก็หยุดลงเพราะเขาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น บรรยากาศประดักประเดิดจนผมแก้ตัวไม่ถูก ผมเพิ่งรู้ตัวว่าทำให้บุญเสียความรู้สึกจากการถูกผมผลักออกอย่างรุนแรง แต่ถึงอย่างนั้นบุญก็แค่เอามือออกและชวนผมให้กินแครกเกอร์รองท้องเป็นอาหารมื้อเช้า และเสียงบรรยายถึงสถานที่ที่ขับผ่านก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง

รสบัสแวะที่จุดพักรถแห่งหนึ่งซึ่งเป็นลักษณะเชิงยื่นเว้าออกให้สามารถออกไปเก็บภาพถ่ายสวยงามได้ ผมถ่ายรูปให้บุญในจุดที่ผู้คนยังไม่ค่อยเข้ามา สลับกันบุญก็ถ่ายรูปมุมเดียวกันให้ผมก่อนจะถ่ายรูปเซลฟี่คู่กัน มิสเตอร์เคนเดินเข้ามาเรียกให้พวกเราขึ้นรถเพราะยังต้องขับไปอีกไกลเพื่อให้ถึงจุดหมายตามกำหนดการ รถบัสเคลื่อนตัวออกไปพร้อมกับทัศนีย์ภาพที่เปลี่ยนไปจากสีเขียวของทุ่งหญ้าต้นไม้เป็นสีฟ้าขาวจากท้องทะเล มิสเตอร์เคนเล่าให้ลูกทัวร์ฟังว่าพวกเราเป็นกลุ่มที่โชคดีมากเพราะมีแดดออก เมื่อวานโชคร้ายเพราะฝนตกตลอดทั้งวัน ผมเห็นความสวยงามของเส้นถนนเกรทโอเชียนมาตลอดทาง ทั้งทุ่งหญ้าเขียว ต้นไม้ใหญ่ สัตว์น้อยใหญ่ ท้องทะเลกว้างสูดลูกหูลูกตา เกลียวคลื่นกระทบฝั่งและล่าถอยกลับไปเป็นฟองสีขาว สีฟ้าของทะเลที่ตัดกับสีขาวของกลุ่มก้อนเมฆ มองออกไปไกลก็เห็นแสงสีเหลืองส้มจากดวงอาทิตย์ฉาบย้อมผิวหน้าพื้นน้ำทอประกายสวยงาม มันเป็นความงามที่แตกต่างออกไปจากเมืองไทยและไม่มีที่ไหนเหมือนกันในโลก แม้ว่าจะยังเดินทางไปไม่ถึงทเวลฟ์อะพอสเซิลแต่ผมก็เข้าใจว่าทำไมนักท่องเที่ยวจึงแห่แหนมาเที่ยวที่นี่กันคับคั่ง

เรามาถึงจุดพักอีกจุดหนึ่งซึ่งเป็นเมืองเล็กๆมีร้านขายของข้างทางไม่กี่ร้าน มิสเตอร์เคนบอกให้ลูกทัวร์ไปเดินสำรวจหรือจะเข้าห้องน้ำอะไรก็ตามสะดวก และให้กลับมาในอีกสิบนาทีเพื่อดื่มชาท้องถิ่นพร้อมกับบิสกิตที่ทางบริษัททัวร์จัดเตรียมไว้ให้ อากาศหนาวมากหลังจากที่พ้นประตูรถบัส ผมกับบุญมุ่งหน้าไปซื้อโกโก้ร้อนที่ร้านแห่งหนึ่งเพื่อคลายหนาว ระหว่างรอไออุ่นจากในร้านที่กระทบกับอากาศหนาวทำให้เกิดควันจางๆสร้างบรรยากาศขมุกขมัวชวนไปอีกแบบ เราเดินกลับมายังบริเวณที่นัดหมาย ลูกทัวร์หลายคนกำลังยืนดื่มชาในถ้วยกระดาษพร้อมกับกินบิสกิต เราหยิบไปชุดหนึ่งสำหรับสองคนก่อนจะเดินหลีกไปอีกทางและพบกับมิสเตอร์เคนยืนสูบบุหรี่อยู่แถวนั้นพอดี

“Hi! Good morning” มิสเตอร์เคนเอ่ยทักอย่างสดใส “Are you ok with this?” เขาเอ่ยถามถึงมวนยาสูบสีขาวในมือ

“That’s fine” ผมตอบแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ด้านที่ว่าง

“The weather is really nice today, you guys are so lucky. Oh how was it? Did you enjoy this trip so far?

“Great. I really like it.” ผมเผยยิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนจะยกถ้วยชาดื่ม แต่ยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาของมิสเตอร์เคนที่ยังจดจ้อง

“จากนี้เราคงจะต้องไปอีกไกล คำแนะนำของผมก็คือ... ผมอยากให้คุณสนุกไปกับทริปนี้ร่วมกับคนรัก”

ผมเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัย

“คุณนั่งอยู่ข้างหน้า ผมเห็นคุณทะเลาะกับเขาบนรถไม่ใช่เหรอ”

“ผมไม่ได้ทะเลาะกับเขา”

“โอเค คุณไม่ได้ทะเลาะกับเขา... แต่คุณรู้ใช่มั้ยว่าที่ออสเตรเลียเปิดกว้างมาก”

มิสเตอร์เคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า สายตาของเขามองเผื่อแผ่มาถึงบุญที่นั่งอยู่ด้านข้างของผม เขาพ่นบุหรี่ออกมาก่อนจะบอกว่าใกล้เวลาเดินทางและเดินกลับไปเช็คเครื่องยนต์รถบัส ผมเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดแต่แค่กำลังคิดอยู่ว่าสิ่งที่เราเป็นมันแสดงออกมามากขนาดจนคนอื่นสังเกตเห็นง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ บุญนั่งดื่มน้ำชาโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือแต่ผมรู้ว่าเขาได้ยินทั้งหมด

“เราไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะคิดยังไงก็เลยไม่อยากแสดงออกมาก”

บุญเงยหน้าขึ้นมามอง เขาไม่มีท่าทีโกรธเคืองหงุดหงิดแต่อย่างใด บุญก็แค่ยิ้มรับนิดๆ

“โกรธเราเหรอ”

เขาเลิกสนใจโทรศัพท์มือถือและมองผมเต็มสองตา “ไม่โกรธเลย เราเข้าใจ แล้วก็ขอโทษที่จูบตอนนายหลับด้วยมิสเตอร์เคนก็เลยรู้”

ผมสบมองดวงตาของเขา ความรักของเราไม่ใช่เรื่องผิดคนที่ไม่มีความรักต่อผู้ใดเลยต่างหากคือคนที่ผิดแล้วทำไมผมยังจะต้องกังขาในความรักนี้ด้วย ในหัวคิดถึงเรื่องนั้นก่อนที่ผมจะขยับเข้าไปใกล้และจับมือของเขาไว้ ผมบอกรักบุญเบาๆท่ามกลางสายลมเย็นพัดโชย แสงแดดสาดส่อง และถ้วยกระดาษที่บรรจุชาร้อน

ในตอนที่กลับขึ้นมาบนรถบัสนั้นอากาศหนาวจนขนลุก โชคดีหน่อยที่ในรถค่อนข้างอุ่น หลังจากจับมือกันผมกับบุญก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากแต่ความรู้สึกของเราช่างผ่อนคลาย บรรยากาศข้างทางยังคงเป็นจุดสนใจของลูกทัวร์ มิสเตอร์เคนบรรยายถึงสิ่งต่างๆตามหน้าที่ ผมหลับบ้างตื่นบ้างไปตลอดทาง

ใกล้ถึงทเวลฟ์อะพอสเซิลเข้ามาทุกขณะ มิสเตอร์เคนจึงเปิดวิดิโอเกี่ยวสถานที่แห่งนี้ให้ดูพร้อมกับบรรยายประกอบไปด้วย ผมจับมือของบุญอย่างที่ใจต้องการ เขามองผมอยู่ครู่หนึ่งด้วยความลังเลก่อนจะก้มลงมาจูบที่ขมับ ก่อนหน้านี้ผมคงจะแวดระวังมากเกินไป ไม่มีใครสนใจในสิ่งที่เราเป็น ไม่มีใครมองว่าสิ่งที่เราเป็นมันคือเรื่องแปลกประหลาด ไม่มีใครสนใจเราเลยด้วยซ้ำในประเทศออสเตรเลียซึ่งมีกฎหมายรองรับการสมรสของเพศเดียวกัน ตรงนี้มีแค่ผมที่สนใจบุญและบุญก็สนใจแค่ผม รถบัสจอดตรงที่ลานจอดรถซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทเวลฟ์อะพอสเซิล ลูกทัวร์ต่างตื่นเต้นเมื่อเห็นสิ่งมหัศจรรย์อยู่ลิบตา แต่เมื่อลงจากรถเท่านั้นแหละลมหนาวพัดอย่างรุนแรงจนหน้าชาไปหมด ผมซุกมือลงในเสื้อโค้ทบ่นพึมพำกับบุญว่าหนาวจนไข่แข็ง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ฝ่าลมหนาวเดินไปตามเส้นทางเพื่อชื่นชมทเวลฟ์อะพอสเซิลด้วยตาของตัวเอง

อากาศหนาว ลมแรง และมีละอองฝนโปรยปรายเล็กน้อย เสียงคลื่นซัดเซาะแท่งหินตลอดเวลา ผมกับบุญคลายหนาวลงไปได้เล็กน้อยแล้วแต่ก็ยังหนาวมากอยู่ดี เราต่างหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาถ่ายเก็บบรรยากาศโดยรอบ ผลัดกันถ่ายรูปบ้างพอเป็นพิธี นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศมุมโลกส่งเสียงโหวกเหวกอย่างน่ารำคาญใจนิดหน่อย รวมถึงแก๊งส์ทัวร์จีนในตำนานก็ยิ่งแล้วใหญ่ ขนาดบุญที่ปกติเป็นคนใจเย็นและไม่หงุดหงิดต่อสิ่งใดมากนักยังถึงกับเอ่ยปากบ่น เราเจอนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตา ต่างชาติต่างภาษา วุ่นวายไปบ้าง แต่ความงามของทเวลฟ์อะพอสเซิลก็ทำให้เราลืมเลือนเรื่องเหล่านั้นไป ในตอนที่เห็นกระทู้แนะนำสถานที่เที่ยวในเมลเบิร์นและชื่อของทเวลฟ์อะพอสเซิลก็ติดอันดันต้นๆ ผมนึกไม่ออกเลยว่าความงดงามของแท่งหินสิบสองแท่งมันน่าอัศจรรรย์อย่างไร ผมไม่ใช่คนที่ให้เวลากับการชื่นชมธรรมชาตินักด้วยเพราะชีวิตที่โตมากับสิ่งอำนวยความสะดวก ทุกอย่างต้องรวดเร็วไปหมด แต่วันนี้เวลานี้ผมเห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแล้ว แม้ว่าจะแท่งหินสิบสองแท่งที่ถูกกัดเซาะจากธรรมชาติไปตามกาลเวลาจะเหลือไม่ครบสิบสองแท่งแล้ว แต่อะไรก็ตามที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ผมค้นพบว่ามันช่างน่าอัศจจรย์ใจเหลือเกิน ความรู้สึกที่อยากปล่อยตัวเองไปกับธรรมชาติพร้อมกับจูงมือคนรักคือความรู้สึกที่ตื้นตันอยู่ในอก มันเปรมปรีและไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว

เราใช้เวลากับทเวลฟ์อะพอสเซิลอยู่นานพอสมควร แต่เนื่องจากนี่เป็นชะโงกทัวร์ทำให้เราต้องกลับขึ้นรถบัสเพื่อไปยังจุดอื่นอีก เรายังคงอยู่ในถนนเส้นเกรทโอเชี่ยนแต่คราวนี้เราต้องลงไปยังผืนทรายด้านล่าง บอกตามตรงว่าผมขี้เกียจลงไปมากเพราะไม่อยากสู้กับฝูงชนที่กำลังทยอยลงบันไดไม้นั่น แต่ในเมื่อมาถึงแล้วจะไม่ลงไปสัมผัสทรายเลยก็ใช่เรื่อง ผมกับบุญเดินลงไปตามเส้นทางเพื่อสัมผัสกับผืนทรายและทัศนีย์ภาพเบื้องล่างที่ใกล้ชิดกับแท่งหินมากที่สุด เฮลิคอร์ปเตอร์บินว่อนอยู่เหนือหัวไปมาเพื่อชื่นชมธรรมชาติจากมุมสูง ค่าใช้จ่ายกับการนั่งเฮลิคอร์ปเตอร์ไม่กี่สิบนาทีทำให้ผมกับบุญเห็นตรงกันว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของคนรวยก็แล้วกัน ผมกลับมาขึ้นรถบัสตามเวลาที่มิสเตอร์เคนนัดหมายโชคร้ายหน่อยที่ต้องรอลูกทัวร์คนอื่นมาสายกว่าเวลานัดไปสิบห้านาที ก่อนกลับมิสเตอร์เคนพาคณะทัวร์มาแวะพักยืดเส้นยืดสายอยู่ที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งที่เงียบเชียบก่อนจะมุ่งหน้ากลับเข้าสู่ตัวเมืองเมลเบิร์นแบบที่ไม่ได้แวะพักที่ไหนอีก

กว่าจะมาถึงในเมืองก็ราวๆทุ่มนึงเกือบสองทุ่ม ผมกับบุญหลับมาเกือบตลอดทาง โดยปกติรถบัสจะไปจอดที่จุดๆเดียวนั่นคือบริเวณบริษัททัวร์ แต่มิสเตอร์เคนใจดีบอกว่าจะวนส่งตามสถานที่ที่เราจะลง ต่างคนต่างก็บอกสถานที่ที่จะไปจนมาถึงพวกผมซึ่งจะไปลงตลาดวิคตอเรียเพราะเราหิวกันมากและนี่เป็นคืนวันพุธที่มีงานวิคตอเรียวินเทอร์มาเก็ตพอดิบพอดี เส้นทางที่เราลงจากรถบัสนั้นค่อนข้างไม่คุ้นทางเหมือนตอนที่ผมมาครั้งแรกโดยรถแทรม แต่ผมกับบุญก็คลำทางกันไปได้ในที่สุด ครั้งที่สองที่มานี้ก็ยังคนเยอะมากเหมือนเดิม เราเลือกที่จะต่อแถวร้านอาหารอิตาเลี่ยน พักใหญ่เลยทีเดียวกว่าเราจะได้อาหาร ของผมเป็นมีทบอลราดซอสอะไรสักอย่างเสิร์ฟคู่กับมันบด ส่วนของบุญเป็นซี่โครงวัวราดซอสอะไรสักอย่างเช่นกันเสิร์ฟพร้อมกับมันฝรั่งทอด บุญบ่นนิดหน่อยที่มื้อนี้ไม่มีผักเลยแต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก ผมเดินไปซื้อแอปเปิ้ลไซเดอร้อนมาเผื่อบุญแก้วนึง กลิ่นอาหารที่มากมายสะสมอยู่ในนั้นจนเวียนหัวไปหน่อย แต่เมื่ออาหารลงท้องอะไรๆก็ดีขึ้น อากาศด้านในตลาดอุ่นจนร้อนประกอบกับผู้คนคราคร่ำทำให้ดูน่าอึดอัดไปสักหน่อย แถมยังมีพวกนักแสดงที่เริ่มออกมาแสดงกายกรรมอะไรต่อมิอะไรหลากหลายโชว์ ทั้งหมดนี้ดูเหมือนบุญจะสนุกสนานกว่าผม เขาชอบบรรยากาศที่ดูเคลื่อนไหว ชอบอะไรที่แปลกใหม่ แต่น่าแปลกที่เขาเลือกที่จะอยู่กับคนเงียบๆชอบทำกิจกรรมคนเดียวแบบผม อาหารตรงหน้าพร่องไปเยอะเลยทีเดียวและผมรู้ตัวว่ายังสามารถกินได้อีกจึงเดินไปซื้อขนมชูโร้กไส้ช็อคโกแลตมา ส่วนบุญก็หายไปซื้อเบียร์ เรานั่งกินชูโร้กกันคนละชิ้นจนหมดขณะที่ดูการแสดงสดจากวงใต้ดิน มันคงติสแตกมากและต้องใช้ส่วนลึกในการเข้าถึงเพลงแต่ไม่ใช่สำหรับพวกเรา ผมกับบุญมองหน้ากันเมื่อนักดนตรีลงนอนดีดกีต้าร์บนพื้นก่อนจะหัวเราะเล็กน้อยในความติสนั้น

“ไปเดินเล่นกัน” ผมบอกบุญพลางกดหาสายรถแทรมเพื่อมุ่งหน้าไปยังเซ็นต์กิลด้า บุญตอบรับอย่างว่าง่าย เราแวะซื้อเบียร์กันคนละกระป๋องก่อนจะขึ้นรถแทรม

เซ็นต์กิลด้าบีชคือจุดหมาย ผมรู้ว่าเราเคยมาที่นี่กันแล้วแต่ครั้งนี้เรามาในสถานะอื่น ลูน่าพาร์คยังคงตั้งตระหง่านเป็นสวนสนุกที่ดูหลอกหลอนในฤดูหนาวไม่เคยเปลี่ยน อากาศหนาวเย็นกว่าในเมืองผมจึงถือโอกาสนั้นเข้าไปกระแซะตัวบุญและซุกมือลงในเสื้อโค้ทเหมือนที่เขาเคยทำที่โซล บุญอมยิ้มแก้มตุ่ยและดูมีความสุขมาก เราเดินไปตามเส้นทางเดิมเพื่อเดินเล่นริมชายหาดพร้อมกับฟังเพลงของ Norah Jones บรรยากาศในเพลงชวนให้นึกถึงทุ่งหญ้าเขียวขจีในฤดูร้อนที่เจิดจ้าด้วยแสงแดดอบอุ่น แต่เนื้อเพลงชวนให้นึกถึงครั้งแรกที่เจอบุญ ไม่ใช่เพราะเนื้อหาของเพลงตรงกับชีวิตของเราหรอก แต่มันเป็นเพราะเราร่วมฟังเพลงนี้ด้วยกันท่ามกลางอากาศหนาวเย็นและสายลมจากทะเลต่างหาก

“นาย เรื่องที่ทะเลาะกันน่ะ...”

“อืม”

“นายรู้ใช่มั้ยว่าเราไม่เคยโกรธนายเลย”

“ไม่ค่อยแน่ใจอะ บุญไม่พูดกับเราตั้งหลายวัน” ท้ายประโยคผมพึมพำเบาลงแต่คิดว่าบุญคงจะได้ยิน

เขายิ้มแล้วกอบกุมมือของผมแน่นขึ้น “เรื่องที่นายพูดเล่นน่ะเรารู้ เราแกล้งงอนไปอย่างนั้นแหละแต่เรื่องที่ทำให้เราคิดมากก็คือเรื่องที่นายแอบคุยกับพี่พล”

“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่อะ”

“ก็วันที่นายไปกินข้าวกับพวกเฟริสท์ พอกลับมาเห็นว่ามีคนโทรเข้าพอดีก็เลยรับสาย”

“ห้ะ? ทำไมเราไม่รู้เลยวะ”

บุญยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าแต่ไม่ได้ตอบอะไรออกมา

“แล้วทำไมบุญไม่ถามเราตรงๆ”

คราวนี้บุญหันกลับมามองแล้วถอนหายใจ “วันที่ทะเลาะกันวันนั้นพอมาคิดดีๆ… เราคิดว่านายกำลังหาเรื่องทะเลาะกับเราเพราะว่าอยากเลิกคบกัน”

“บุญแม่งบ้า คิดไปเอง”

เขาหัวเราะเบาๆแล้วก้มลงมาจูบที่แก้มของผม “จะว่าบ้าก็ได้ รักจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”

ถึงคำพูดจะฟังดูเลี่ยนหูแต่แววตาที่สบมองอยู่นั้นกำลังบ่งบอกว่ามันคือความจริง ผมเล่าให้บุญฟังถึงต้นเรื่องตั้งแต่ที่พี่พลทักมาเมื่อครั้งไปเที่ยวทะเลจนถึงเรื่องที่พี่พลบอกว่ายังนึกถึงเรื่องราวในอดีต และผมก็ขอโทษบุญที่ไม่ได้บอกกล่าวในเรื่องนี้จนกลายมาเป็นสาเหตุให้เราทะเลาะกัน

“เราไม่ได้คิดปิดบังนะ แต่เราคิดว่ามันไม่มีอะไรก็เลยไม่ได้บอกอะ” ฟังดูเป็นคำแก้ตัวแต่ผมก็คิดเช่นนั้นตั้งแต่แรกแล้ว “ส่วนจูบก็จูบจริงอะ แต่แม่ง…” ผมหยุดพูดไปเพื่อนึกคิดคำพูด “ไม่รู้ดิ ไม่ได้อยากจูบอีก”

บุญยังคงอมยิ้มขณะที่สายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้า “ช่วงที่ไม่ได้อยู่กับนาย… เราพนันกับตัวเองว่าจะหยุดทบทวนอะไรหลายๆอย่างสักอาทิตย์นึง แต่แค่ไม่กี่วันเราแม่งก็แพ้”

มันจุกอยู่เหมือนกันนะเมื่อรู้ว่าบุญต้องอยู่กับความไม่แน่นอนใจในเรื่องของผมกับพี่พล ผมยังยืนยันคำเดิมว่าผมคิดน้อยเกินไปจริงๆ

“ช่างมันเถอะ เราไม่คิดอะไรแล้ว”

“จริงเหรอ” ผมทวนถามขณะที่หยุดเดินเพื่อสบมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น

บุญพยักหน้าตอบรับ

“เราไม่เชื่ออะ” ผมพูดทั้งๆที่ยิ้มก่อนจะโน้มคอของบุญลงมาเพื่อมอบจูบให้อย่างยาวนาน

“เชื่อที่เราพูดแล้วหรือยัง” บุญถามขณะที่มือของเขาโอบกอดผมไว้

“ยังเลย” ผมจูบเขาอีกครั้งและคิดว่าจะจูบไปจนกว่าเพลง Come away with me ของ Norah Jones จะจบเพลงก็น่าจะดี แต่ติดก็ตรงที่อากาศหนาวและลมพัดแรงมากจนคิดว่าไข่ของผมมันชาดิกเข้าให้จริงๆ ผมจึงชักชวนบุญกลับห้อง


หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 28-11-2018 22:18:57



รถแทรมวิ่งออกจากสถานีไปแล้วพร้อมๆกับภาพชายหาดเซ็นต์กิลด้าห่างออกไปเรื่อยๆ ผมไม่แน่ใจนักว่าจะได้กลับมาเมลเบิร์นอีกครั้งเมื่อไหร่ แต่คิดว่าจะชวนบุญมาเมลเบิร์นอีกครั้งในฤดูร้อนเพื่อซึมซับความสดใสของแสงแดดและมาเล่นเครื่องเล่นที่สวนสนุกลูน่า เรานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองทิวทัศน์มืดสลัวรอบข้างไปเรื่อยเปื่อย

“ไปดื่มเบียร์ที่ห้องเรามั้ย” ผมยิ้มกริ่มในตอนที่ถามคำถามนั้น บุญคงรู้ว่าผมหมายถึงอะไรมันเป็นประโยคสนทนาระหว่างเราในสมัยครั้งแรกที่เจอกัน เขาทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มตาม

“เอาดิ เลี้ยงเบียร์เราขวดนึงด้วยนะ” บุญอมยิ้มและตอบรับ

“เออ ได้”

เราหัวเราะร่วมกันก่อนที่บุญจะโน้มตัวเข้ามาจูบเบาๆที่ริมฝีปากของผม “ล้อเราเหรอ”

“เปล่า จะชวนดื่มเบียร์จริงๆ”

“แต่ตอนนั้นเราไม่ได้จะชวนดื่มเบียร์จริงๆเนี่ยดิ”

“เรารู้”

บุญมองตาของผมด้วยรอยยิ้มและเราก็จูบกันอีกครั้ง “แต่สุดท้ายก็เมาเละ หลับสนิท”

“นั่นดิ แล้ววันนี้จะหลับอีกป้ะ” ผมกล่าวและในช่วงนั้นก็ถึงสถานีที่เราจะต้องลง

“หลับสิ แต่เราจะกินนายให้อิ่มก่อนหลับ” บุญตอบพลางโอบคอผมเดินไปยังร้านสะดวกซื้อร้านเดิมที่เคยมาครั้งแรก





บุญไม่ใช่คนพูดเล่น ไม่มีนิสัยทีเล่นทีจริง เพราะที่พูดก่อนหน้านี้เขาก็หมายความตามนั้นจริงๆ ผมไม่ได้ยั่วยวนเขาแต่อย่างใดเพียงแต่ตอบสนองอย่างที่เขาต้องการ ผมชอบที่ได้เห็นบุญแสดงออกถึงความใคร่ในตัวผม เราทั้งคู่ค่อนข้างเปิดเผยเรื่องบนเตียง เขาชอบแบบไหน ผมชอบแบบไหน เรามักพูดมันออกมาตรงๆ แต่บางทีบุญก็พูดตรงเกินไป ไม่สิ เขาหื่นเกินไปต่างหาก ครั้งแรกที่เรามีอะไรกันนั้นบุญสุดแสนจะอ่อนโยน เขากังวลกลัวว่าผมจะเจ็บ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมก็ชอบบุญในลักษณะแบบนั้น สิ่งที่เขาปฏิบัติกับผมมันค่อนข้างวาบหวามและละมุนละไมเหมือนล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆ ความสุขปรี่ล้นอยู่ในอก เหมือนมีรังสีแห่งความอ่อนโยนโอบอุ้มเราไว้ เขาสารภาพว่ากังวลเกี่ยวกับสุขภาพกายของผม เราเข้าใจกันดีในเรื่องนั้น แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องบนเตียงของเราได้พัฒนามาจนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ที่แปลกกว่านั้นเราต่างพึงใจกับระดับที่พัฒนามาไกลขนาดนี้ มันเริ่มจากจุดไหนผมไม่แน่ใจนักแต่น่าจะเป็นเพราะผมนี่แหละที่ต้องการให้บุญรุนแรงสักหน่อย อย่างในตอนนี้ก็กำลังเป็นอย่างนั้น เจ้านั่นของบุญแทรกกายเข้ามาไม่ยั้งแรงแม้แต่น้อย และแต่ละครั้งก็เสียดสีในจุดสะท้านจนผมร้องหลุดร้องครางออกมา บั้นท้ายของผมถูกบุญควบคุมอยู่ที่ด้านหลัง ใบหน้าของผมถูกกดแนบอยู่บนที่นอน เมื่ออยู่ในท่วงท่านี้ส่วนนั้นของบุญสามารถแทรกเข้ามาได้ลึก แต่มันไม่ใช่ท่าที่ผมชอบนักเพราะบอกตามตรงผมมักชอบมองใบหน้าของบุญตอนที่เสพสุขร่างกายนี้

ด้วยแรงอารมณ์ผมเรียกร้องให้บุญกระทำรุนแรงขึ้น หากแต่บุญกลับถอนกายออกไปและพลิกร่างของผมให้กลับมาเผชิญหน้า ผมมองดูเขาชะโลมเจลบนท่อนเนื้อรูดรั้งไปตามความยาว สายตาของบุญกำลังจ้องมองอย่างตรงไปตรงมาที่ช่องทางด้านหลัง ผมรู้สึกได้ถึงความเหยียดตึงที่ตรงนั้นซึ่งรองรับของๆบุญมานานพอควร มันบีบรัดเรียกร้องการถูกเติมเต็ม ผมเล่นกับส่วนหน้าพลางมองท่อนเนื้อที่เหยียดยาวตั้งชั้นของบุญ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าสรีระของบุญดูอลังการเตะตา ผมตื่นเต้นและรอคอยสิ่งนั้นอย่างใจจดใจจ่อ นิ้วยาวๆป้ายเจลเข้ามาเพิ่มอย่างไม่เบามือ มันหมุนวนเพื่อช่วยชะโลมช่องทางให้ทั่วถึง ในนั้นชุ่มฉ่ำกว่าเดิมจนเกิดเสียงตอนที่นิ้วขยับเข้าออก ขาของผมถูกยกสูงขึ้นพาดบ่าอีกฝ่าย ส่วนนั้นรองรับของบุญเข้ามาจนถึงที่สุด บุญมองตาผมในตอนที่ขยับกายและเผยยิ้มมุมปากที่น่าหลงใหล ผมจูบริมฝีปากนั่นอย่างใจต้องการดึงรั้งริมฝีปากล่างให้เผยออ้าก่อนจะใช้ฟันกัดเบาๆเพื่อหยอกล้อ เสียงครางในลำคอดังขึ้นอย่างพึงใจจากนั้นบุญก็มอบจูบให้ ผมชอบอยู่ในท่านี้ ผมสามารถมองเห็นใบหน้าของคนรักยามเสียวซ่าน ได้มองตาของเขา ได้สัมผัสลมหายใจยามที่เขาออกแรงโถมกายเข้ามา บุญโอบร่างของผมแนบชิดกระทั้นกายหนักหน่วง ผมเสียวซ่านจนต้องหลุดร้องคราง กอดรัดร่างอีกฝ่ายไว้แน่น หน้าท้องของตัวเองเกร็งเขม็งรู้สึกได้ว่าใกล้จะปลดปล่อยแล้ว ผมครวญเรียกชื่อของคนรักซ้ำไปซ้ำมา ร่างกายร้อนลุ่ม เหงื่อกาฬชื้นตัวไปหมด บุญเล่นกับด้านหน้าของผม เขาลูบไล้รัวเร็วจนท้ายที่สุดผมก็ถึงฝากฝั่ง บุญขยับสะโพกต่อไม่ปล่อยให้ผมได้พักหายใจ ช่องทางนั้นชุ่มโชกจนผมสะท้านขึ้นมาอีกครั้งแต่ไม่ถึงกับแข็งตัว ผมสารภาพเลยว่าหมดแรงจึงได้แต่นอนระทวยให้บุญเสพสมต่ออีก ขาทั้งสองข้างถูกจับยกสูงชิดหน้าอก แผ่นหลังถูไถไปกับผ้าปูที่นอน ช่องทางด้านหลังถูกกระทำอย่างรุนแรง บุญสอดใส่เข้ามาลึกในตอนที่เสร็จสม เขาแยกขาของผมออกกว้างขยับสะโพกเชื่องช้าและมองดูส่วนนั้นที่เสียดสีเข้าออก น้ำใคร่ของบุญที่คั่งค้างอยู่ในช่องทางด้านหลังไหลเยิ้มออกมาข้างนอกจนผมรู้สึกได้ เสียงหอบหายใจของเราประสานกันกับเสียงเปียกแฉะ บุญถามว่าผมเหนื่อยหรือเปล่า ด้วยความสัตย์จริงผมเหนื่อยจนไม่มีแรงแม้แต่จะตอบ ผมพยักหน้ายินยอมในเรื่องนั้น บุญยิ้มมุมปากดวงตาวาบวับเจ้าเล่ห์จนผมหวาดหวั่น แต่แล้วบุญก็เพียงแค่โถมกายลงมานอนซบ พลางลูบไล้ไปตามผิวกายของผม ลมหายใจของเขาเป่ารดรินอยู่ที่หน้าอก ความสุขกำลังอบอวลอยู่รอบกาย

เรานอนอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งบุญก็ขยับพลิกตัวให้ผมขึ้นมานั่งบนตัก เขาดูดดุนเข้ามาที่ยอดอกมันทำให้ผมจั๊กจี้จึงดันหน้าของเขาออก แต่บุญกลับจับมือของผมไว้และจ้องมองด้วยสายตานิ่งๆ ผมคิดว่าเขาอาจจะแค่ล้อเล่นแต่เปล่าเลยบุญตั้งใจที่จะทำอีกครั้งและไอ้นั่นของเขาก็ตื่นตัวขึ้นมาแล้วแม้จะยังไม่เต็มที่ก็ตามที ผมบอกเขาว่าเหนื่อยมากและคิดว่าไม่น่าจะมีอารมณ์อีกแต่บุญกลับหัวเราะลงคอ

“คนไข้อยู่นิ่งๆนะครับ”

บุญพูดติดตลกแต่ผมไม่ตลกตามสักเท่าไหร่ “เฮ้ย บุญจะบ้าเหรอวะ” ผมพูดแล้วพยายามดันหน้าอีกฝ่ายออกห่าง “เราไม่ไหวหรอก”

เขาไม่ตอบอะไรแต่กลับลากนิ้วไปยังบั้นท้ายของผม นิ้วยาวๆสอดเข้ามาในช่องทางด้านหลังซึ่งยังคงชุ่มแฉะจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ “คนไข้ไม่ไหวเหรอ ขอหมอลองประเมินอาการก่อนนะ”

หัวใจของผมเต้นรัวรู้สึกร้อนขึ้นเพราะคำพูดของเขา ไม่บ่อยนักหรอกที่บุญจะสวมบทบาทเป็นหมอหื่น เพราะโดยปกติเขาเป็นพวกหมอเนิร์ดๆและโคตรจะเนิร์ดต่างหาก

บุญยังคงเร้าอารมณ์ผมอย่างต่อเนื่องด้วยนิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เราเริ่มต้นจากจุดนี้ผมไม่แน่ใจนักว่าจะตัวเองจะมีอารมณ์หรือเปล่า ในตอนที่คิดแบบนั้นอยู่ๆผมก็เกร็งตัวขึ้นมาเมื่อนิ้วของบุญล้วงเข้าไปยังจุดอ่อนไหวด้านใน

“อยู่ตรงนี้นี่เอง” เขาพึมพำออกมา “หมอว่าคนไข้ยังไหวนะ” เขาพูดแล้วยิ้มมุมปาก

ผมไม่รู้หรอกว่ามันอยู่ตรงไหนเพราะทุกครั้งบุญมักจะเจอจุดนั้นด้วยตัวของเขาเอง ผมจับแขนบุญเป็นที่ยึด อารมณ์วาบไหวก่อเกิดขึ้นแต่ก็ยังไม่ถึงกับทำให้แข็งตัวเสียทีเดียว บุญรูดรั้งท่อนเนื้อให้แข็งมากพอก่อนจะค่อยๆสอดใส่เข้ามา เขาบังคับขยับสะโพกของผมอย่างง่ายดาย ส่วนนั้นของเขายังแข็งตัวไม่เต็มที่แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่พัฒนาอยู่ด้านใน เขาครางเสียงต่ำอย่างพึงพอใจขณะที่สวนแทรกกายขึ้นมา ผมเหนื่อยล้าแต่กระนั้นกลับมีความเสียวซ่านที่ช่องทางด้านหลังอย่างน่าประหลาดใจ เซ็กส์รอบนี้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในแบบที่คาดไม่ถึง เจ้านั่นของบุญค่อยๆตื่นตัวขึ้นจนคับแน่นอยู่ในบั้นท้าย

“บุญ เรา…” เสียงของผมคาดช่วงไปเมื่ออยู่ๆบุญก็กระแทกสวนกายเข้ามาแรงจนจุก เขามองหน้าผมแล้วยิ้มดวงตาวิบวับ “เราไม่ไหวจริงๆ” ผมบอกเขาไปตามตรง

“อืม งั้นคนไข้อยู่เฉยๆก็พอนะ”

บุญขยับสะโพกขึ้นโดยกดตัวผมให้รองรับแท่งเนื้อ ความแฉะชื้นทำให้ไอ้นั่นของบุญเข้ามาลึก ผมกอดคอเขาไว้และยินยอมให้บุญขยับสะโพกอย่างที่เขาต้องการ ของๆผมไม่แข็งตัวขึ้นมาเต็มที่แต่ในเวลานี้ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังมีอารมณ์อย่างว่าอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองแปลกใจอยู่เหมือนกันที่มีอารมณ์ร่วมมากขนาดนี้ ส่วนที่ถูกแทรกเข้าออกอย่างรัวเร็วนั้นฉ่ำเยิ้มทั้งเจลหล่อลื่นและน้ำใคร่จากบุญ ผมรู้สึกดีไปกับมันจนเผลอครวญครางเสียงแผ่ว บุญพลิกร่างให้ผมนอนตะแคงราบไปกับเตียง ขาทั้งสองข้างชันขึ้นอยู่ในท่าคุดคู้ บั้นท้ายถูกโหมกระหน่ำจาบจ้วงเข้ามาอย่างหนักหน่วง แขนของบุญคร่อมทับกักขังร่างของผมไว้ เราจูบกัน เขากระซิบบอกรักติดชิดอยู่ที่ริมฝีปาก ผมตอบรับถ้อยคำนั้น มองตาอีกฝ่าย ด้วยแรงอารมณ์ในช่วงนั้นผมสวมบทบาทเป็นคนไข้จอมลามกเรียกเขาว่าหมอ และบอกให้เขาเอาบั้นท้ายของผมแรงกว่าเดิม คนรักของผมไม่ทำให้ผิดหวัง เขาตอบสนองอย่างถึงใจจนผมไม่อาจคิดถึงสิ่งอื่นใดอีก






หลังจากสุขมสมอารมณ์หมายผมก็ไร้เรี่ยวแรงและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ บุญทำความสะอาดตัวให้ผมขณะที่อมยิ้มเป็นระยะเหมือนมีความสุขจนเก็บไว้ไม่อยู่ ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เราสวมชุดนอนขายาวแขนยาวและซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนาก่อนจะหลับผล็อยไปอย่างรวดเร็ว

ในตอนที่ตื่นมานั้นผมได้ยินเสียงเพลงแจ๊สเปิดอยู่ในห้อง เห็นบุญยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียง ท้องฟ้าด้านนอกนั้นสว่างจ้า ฟ้าเปิดเหมาะแก่การออกไปทำกิจกรรมข้างนอก ผมหยิบคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพแบบย้อนแสง ในรูปนั้นเป็นเงาร่างสูงใหญ่ยืนท้าวแขนบนราวระเบียงโดยมีบุหรี่คีบติดอยู่ที่นิ้ว จะว่าไปทั้งผมและบุญต่างไม่เคยลงรูปคู่กันเลย ในกลุ่มแอพพลิเคชั่นโซเชี่ยลเนตเวิร์กต่างๆของผมนั้นมีเพียงรูปเพื่อนรูปอาหารรูปสถานที่ท่องเที่ยวและรูปผมแบบเดี่ยวๆ ไม่มีรูปของบุญแม้แต่รูปเดียว ผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นจนกระทั่งวันนี้ที่รู้สึกอยากลงรูปของบุญโดยไม่มีเหตุผลใดสนับสนุนในเรื่องนั้น ขณะที่กำลังลังเลว่าจะลงรูปหรือไม่ลงรูป บุคคลที่วนเวียนอยู่ในสมองก็หันกลับเข้ามาในห้องพอดี เขาส่งสัญญาณมือเรียกผมให้เข้าไปหา ผมลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้าไปยืนด้านข้างอย่างว่าง่าย

“อากาศโคตรดี” เขาเอ่ยขึ้นสายตายังคงทอดมองออกไปยังทัศนีย์ภาพเมืองเมลเบิร์น แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วทุกหนแห่งทำให้สายลมฤดูหนาวที่พัดผ่านอยู่นี้ไม่เย็นยะเยือกมากเกินไป ฝูงนกบินว่อนอยู่บนท้องฟ้ามาพร้อมกับเสียงจ้อกแจ้กจอแจจากเหล่ามนุษย์ที่ออกมาใช้ชีวิต “หิวยัง”

“หิว” ผมตอบสั้นๆแล้วขยับเข้าไปเพื่อเอนหัวซบลงบนลาดไหล่ เรายังคงอยู่ในชุดนอนฟังเสียงเพลงแจ๊สคลอเคล้าชวนให้บรรยากาศดูละมุนละไม อารมณ์ในตอนนี้คือเรื่อยเปื่อยยังไม่คิดจะออกไปไหน ผมคิดว่าอีกสักพักเราอาจจะออกไปเดินเที่ยวในเมืองหาอะไรกินและนั่งเล่นนอนเล่นในสวนสาธารณะที่ไหนสักแห่ง หรืออาจจะไปซื้อเดย์ทัวร์ออกนอกเมืองอีก แต่ขณะที่คิดอยู่นั้นบุญก็เปลี่ยนมาโอบไหล่ผมกระชับให้แนบแน่นขึ้นจนต้องหันไปมอง

“ที่นี่ดีเนอะ”

“อืม ดีมาก”

“เราอยากมาอยู่ที่นี่” เขาโอบผมแน่นขึ้นอีก “เราจะลองหางานทำ แล้วยื่นขอเป็นพลเมือง”

“..........” ในตอนนั้นผมไม่ได้ตอบอะไรออกไปเพราะไม่แน่ใจว่าบุญกำลังคิดอะไรอยู่

“นายครับ”

“ครับ”

“ไว้มาแต่งงานกับเราที่นี่นะ”

ผมมองบุญที่กำลังยกบุหรี่ขึ้นมาสูบ สายตาของเขายังคงจดจ้องทิวทัศน์เบื้องหน้า ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองกำลังงัวเงียจากการตื่นนอนหรือตกใจสุดขีด เราต่างเงียบปล่อยให้เสียงเพลงขับเคลื่อนไปตามท่วงทำนอง บุญไม่ได้เร่งเร้าด้วยการทำสิ่งใด เขาทำเพียงโอบกอดผมไว้เช่นเดิม ชื่นชมทิวทัศน์ของเมลเบิร์นและเพลิดเพลินกับกับการสูบบุหรี่ ผมได้ยินประโยคนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง ทั้งใจและสมองกำลังว้าวุ่นในการกลั่นกรองคำตอบออกมาเป็นคำพูด ความรู้สึกต่างๆรุมเร้าจนในที่สุดมันก็คลี่คลาย

“อืม แต่งดิ”

ผมรับคำด้วยสติพรั่งพร้อมแล้วจูบอย่างแผ่วเบาบนผิวแก้มของบุญ สบมองดวงตาของเขาที่ประกายความสุขอยู่ในนั้น เราไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก อารมณ์หลากหลายกำลังคับคั่งจนกลั่นกรองออกมาอย่างยากลำบาก หัวใจของผมมันเต้นแรงแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสงบสุข บุญจูบผมที่แก้มอย่างนุ่มนวลในตอนที่เสียงของ Frank Sinatra ขับกล่อมเพลง It Had To Be You ก่อนที่เราจะโอบกอดกันไว้ในยามท้องฟ้าสดใสรายล้อมด้วยสายลมเย็น ผมซบใบหน้าลงบนแผ่นอกของเขา มันอบอุ่นและอิ่มเอม เขาบอกรักให้ผมได้ยินเพียงคนเดียวและผมก็ทำเช่นเดียวกัน

‘It had to be you
It had to be you
I wandered around
And finally found
The somebody who
Could make me be true
And could make me be blue
And even be glad
Just to be sad
Thinking of you’






ไม่มีสิ่งใดเพิ่มเติม ไม่มีสิ่งใดขาดหาย ที่ตรงนี้มีเพียงผมกับบุญและความรักของเรา ในเมลเบิร์น,ออสเตรเลีย



************************************


ลงครบหมดแล้วววว เย้ๆ
และขอฝากนิยายเรื่องอื่นของเราด้วยนะคะ
-หนึ่งมิตรชิดใกล้- (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68661.0)
- หนึ่งวันบนดาวพุธ - (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68597.0)


 :o8:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Pupay ที่ 28-11-2018 23:31:14
ดีงามตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ มันเหมือนอ่านบันทึกของนายเลย
บุญดีมาก รักนายมาก เราเข้าใจนายนะที่แบบดูลังเล แต่จริงๆคือเลือกบุญน่ะแหละ
นิยายดีงามมากค่ะ ขอบคุณนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 29-11-2018 00:28:13
สนุกมาก ดีมาก ๆ เลยค่ะ ประทับใจ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: mew.kani ที่ 29-11-2018 00:44:56
บุญขอนายแต่งงานด้วยย โรแมนติกจังเลย ฮือออ

บรรยายบรรยากาศได้ละมุนมากๆเลยค่ะ
ขอบคุณคุณนักเขียนสำหรับเรื่องราวของทั้งสองหนุ่มนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 29-11-2018 06:34:26
ไม่รู้จะบอกหรืออธิบายอย่างไรว่าเป็นเรื่องที่อ่านแล้วใช้ภาษาง่ายๆแต่สละสลวยงดงามเหลือเกินการดำเนินเรื่องชวนติดตามมากๆความรักของบุญและนายก็อบอุ่นจริงๆ..ขอบคุณนักเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: megatef4 ที่ 30-11-2018 03:28:23
ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ เขียนดีมาก ภาษาก็สวย ตัวละครมีมิติดี อ่านล่ะรู้นิสัยเลย ชอบมากค่ะ
ดีใจกับหมอบุญและน้องนายด้วย ดีแล้วที่เคลียร์เรื่องไอพี่พลไป เราว่าถึงนายจะกลับไปหาพี่พล สุดท้ายก็อาจจะได้แค่สถานะน้องท้องชนกันเหมือนเดิม พี่พลรักตัวเองมากกว่าอ่ะ คงเลือกงาน เลือกความมั่นคง  ส่วนหมอบุญนี่โคตรดี อยากเจอผู้ชายแบบนี้อ่ะ มั่นคง จริงใจ รักเรางี้ ฮืออ ใจบาง อิจฉาน้องนาย 555
รอติดตามเรื่องอื่นๆต่อไปนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่าาาา  o13 :bye2:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: rcbpdr ที่ 01-12-2018 00:54:34
สารภาพเลยค่ะ ว่าก่อนที่ตอนพิเศษ พี่พลจะออกมา เรายังแอบเชียร์พี่พลอยู่
แต่พอได้อ่านตอนพิเศษจนจบก็รักบุญขึ้นมาเลย แบบว่าบุญนี่ดีจัง น่ารักมาก
รู้สึกว่านายเลือกถูกแล้ว ชอบความคิดนายที่มีต่อพี่พลมากๆ
อดีต ที่แสนหวาน ก็คืออดีต เขาคือคนที่เคยชอบ เคยเป็นคนที่ตรงใจเรา
เหมือนเราได้ย้อนเวลาเลยค่ะ มันดีกับใจมากๆ
เหมือนนั่งอ่านอยู่กลางสนามหญ้าโล่งๆซักที่ในออสเตรเลีย
เป็นเรื่องที่ประทับใจสำหรับเรามากๆ ขอบคุณนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :)
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 01-12-2018 03:37:55
เป็นเรื่องที่ชวนลุ้นมาก แต่รู้สึกว่าตอนจบตัดฉับไปนิดนึงครับ ต้องอ่านตอนพิเศษถึงจะเข้าใจความรู้สึกตัวละครได้อย่างสมบูรณ์ สนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 02-12-2018 18:00:49
เราเชียร์บุญมาตั้งแต่แรกเลยไม่ผิดหวัง​ คิดไว้อยู่แล้วว่าพี่พลเข้ามาเพราะจุดประสงค์อื่น​ ได้เป็นแค่คนแรกของน้องแค่นั้นแหละ​ กั๊กเก่งดีนักกกกก
หมอบุญคือดีม๊ากกกกกก​ หนูเลือกถูกคนแล้วนาย

ตอนพิเศษแต่ละตอนคือดี​ ละมุนละม่อม​ อ่านแล้วอยากไปเที่ยวเรยยยย​ เราชอบภาษาคุณมากๆ​ มากแบบไม่รู้จะอวยยังไงเลยค่ะ​ เป็นกำลังใจให้ในการแต่งทุกเรื่องนะคะ​ เริ้บบบบบ :mew1:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-12-2018 09:29:08
เราไม่รู้จะหาอะไรมาอวยแล้ว ดีหมดเลย ขอบคุณจริงๆ ที่เป็นบุญ ตอนที่บอกจะหางานทำแล้วยื่นเรื่องเป็นพลเมืองแล้วขอน้องแต่งงาน เราน้ำตาคลอเลย ดีใจกับทั้งคู่ด้วยที่ได้เจอความรักดีๆ แบบนี้ รักษามันไว้ให้ดีนะลูก  :o12:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Emmaline ที่ 05-12-2018 19:41:33
ขอบคุณมากค่ะ ตอนที่ทะเลาะกัน ใจหายมากนึกว่าจะกลับไปคบพี่พลแล้ว ดีใจกับบุญนะ :)
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: HunHan9407 ที่ 05-12-2018 21:57:14
 :katai1: :angry2: :katai3: :hao4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: jazumine ที่ 05-12-2018 22:53:28
อ่านรวดเดียวจบเลย ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 06-12-2018 02:33:34
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ สนุกมาก ขอบคุณมากค่า ชอบน้องนายมากๆเลย :-[

ถึงพี่พล : พี่น้องเขาไม่เอากันโว้ย
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 06-12-2018 07:23:11
อ่านตอนพิเศษพี่พลจบคือรู้สึกความรักของทั้งสองคนมันเปราะบางมากๆ มันไม่เท่ากัน มันอยู่บนความระแวง
ไม่ชอบพี่พลยังไงก็อย่างงั้น ตะหงิดตั้งแต่แรก55555 กั๊กเก่ง พี่น้องเขาไม่ท้องชนกันเด้อ
บุญคือดีแบบดีมากๆ ดีจนเราคิดว่านายยังดีไม่พอสำหรับบุญเลย อ่อนไหวง่ายเกินไป ยึดติดมากเกินไป
แต่พอถึงตอนกลับไปเมลเบิร์นอีกครั้ง ตอนขอแต่งงาน เราก็ดีใจที่ทั้งสองคนผ่านมันมาได้ ทิ้งความรู้สึกเก่าๆ ไว้ข้างหลังให้เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตก็พอ ดีใจที่บุญยอมรอและมีวันนี้ ขอบคุณที่มั่นคง  :กอด1:

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ ภาษาสวยมาก :pig4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: love-boy ที่ 06-12-2018 16:09:52
ตอนแรกคือเชียร์พี่พลนะ แต่อีพี่พลความรู้สึกช้าไง
แหมมม มารู้ตัวทีหลัง มันสายไปไหมย่ะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: aeiou_376 ที่ 06-12-2018 16:15:58
อ่านจบแล้วได้แต่ถามว่า อีพี่พลนี่คืออะไร เป็นตัวทำให้เค้าเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อน  แล้วก็เป็นคนที่ทำให้เค้าทะเลาะกันจนความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นสินะ   แต่ถ้าเราเจอคนแบบพี่พล เราคงไม่โอเคแบบนายอ่ะ  อยากเป็นพี่น้อง แต่ท้องชนกันได้  มันใช่หรอ   

หมอบุญนี่แหละดีที่สุดแล้ว  เป็นคนดี อบอุ่น เข้าใจ  แล้วก็รักนายมากๆๆ   
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าอ้วงงง ที่ 08-12-2018 09:36:33
ชอบมากค่ะ ถ่ายทอดบรรยากาศให้ออกมาน่ารักมากเลย :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: tangtey59 ที่ 09-12-2018 07:25:40
เราชอบเรื่องแนวนี้นี้นะ ฟิลประมาณว่าพระรองได้เป็นพระเอก   ชอบที่นายเลือกบุญ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 09-12-2018 07:33:07
อ่านรวดเดียวจบเลย ขอบคุณมากเลยค่ะ เรื่องนี้บุญคือพระเอกที่ใช่แล้ว จริงๆ แอบเหมือนหมาตัวใหญ่ที่กลัวเจ้าของไม่รัก น่ารักทุกตอน
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 09-12-2018 10:49:32
บุญดีมากเลยอะ ดีใจที่บุญรอนาย

ชอบภาษามากเลย รู้สึกอบอุ่นมาก จะตามอ่านเรื่องอื่นต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: gibgift ที่ 09-12-2018 23:12:27
พี่พลความรู้สึกช้าไปมาก ใช้เวลาตกผลึกความคิดนานไปมั๊ย อาจจะคิดกับนายแค่เซ็กเฟรนด์มากกว่าจนกระทั้งตอนนี้ รึเปล่า๕๕ เราว่าพี่พลเห็นแก่ตัวมากไป ไม่อยากผูกมัดแต่จะผูกเอาไว้ทำอย่างอื่น

นายเป็นคนมองโลกดีมาก เป็นอิชั้นคงสาบส่งไม่เผาผีไม่พบพานพี่พลอีกแล้ว  ย้อนกลับไปหาความรู้สึกดีๆที่มีให้กัน(?)มันก็เป็นเวลาที่ดีจริงแหละมั้ง หล่อ หุ่นดี แทคแคร์ แบบโตกว่ารู้สึกพึ่งพิงได้ อบอุ่น เป็นคนแรก...อาจจะจำฝังใจ (ใจจริงเราแบบแล้วแต่นายเลยนะ นายเลือกใครเราไม่ว่า คบพร้อมกันเลยก็ได้ เอ๊ะ๕๕๕๕) 


แอบสงสัยหมอบุญฟิตหุ่นเผื่อนายหรือเปล่า ฮาๆ  ลุ้นมากเลยค่ะตอนเจอกันที่ออสฯครั้งแรกไม่อยากให้สิ่งที่บุญฝันเป็นแค่ฝันเลย พระเอ้กพระเอกที่ดูเป็นพระร้องพระรองมากเลยสำหรับทุกอย่างที่ทำเพื่อนาย

เรื่องสนุกมากเลยค่ะ เดินเรื่องน่าสนใจชวนติดตาม ภาษาดี ไหลลื่น บรรยายสถานที่ได้เห็นภาพมากเลยค่ะเหมือนหลุดไปเที่ยวพร้อมหมอบุญกับนายเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: AdLy ที่ 10-12-2018 21:14:50
ดีอ่าาาา บุญคะ เรารักนาย 5555555
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-12-2018 12:29:41
 :3123: :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: lemon_sour ที่ 11-12-2018 19:20:41
ติดตามเรื่องต่อไปนะคะ ชอบภาษาเขียนของนักเขียนมาก ๆ มันจริง มันมีที่มาที่ไป ไม่ได้ชวนฝันจนเกินจินตนาการ และคาแรกเตอร์ของนายกับบุญ เราก็ชอบมาก ๆ ไม่ว่าจะสถานการณ์แบบไหน นายก็ยังเป็นนายที่ชัดเจนในตัวเองและพูดตรง รู้ว่าต้องการอะไร อยากทำอะไร ในขณะที่บุญก็มีความอ่อนโยนและก็ดุดันในคราวเดียวกัน แอบซื่อๆหน่อย แต่ก็น่ารักมากๆค่า และก็เชื่อว่าคนแบบพี่พลก็น่าจะมีอยู่จริง ที่ไม่ค่อยรู้ตัวเองจนสายไปแล้ว

ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านนะคะ (คุณนักเขียนใช้ภาษาในการเขียน nc ได้ดีที่สุดเท่าที่เราเคยอ่านมาเลยค่ะ)
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: palm-metto ที่ 11-12-2018 20:04:11
มันดีมากกกก ดูเรียล ดูมีชีวิตตัวตนจริงๆ
คาแรคเตอร์ชัดมาก ดำเนินเรื่องเร็ว
เข้าใจทุกตัวละครทุกมุมมอง ว่าทำไมแต่ละคนถึงแสดงออกอย่างนี้
ชอบบุญที่มีความอดทนกับทุกสิ่ง รอได้กับทุกเรื่องของนาย ยังไงก็รัก .. แบบ เอ้ออออ ชายในฝัน หล่อ ดี เก่ง แซ่บ
นายก็ดูเป็นผชที่เป็นผชจริง ๆ ขี้เกียจยังไงก็ยังงั้น ลังเลเก่งงงง เก็บเงียบเก่งงงง
และอีพี่พล ที่ไม่รู้ว่าจะให้เป็นพระรองหรือตัวร้ายดี .. ชอบกัก ไม่ชอบความสัมพันธ์แบบผูกมัดไรทั้งนั้น ผชที่หาได้ในชีวิตประจำวัน ณ ตอนนี้
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 12-12-2018 17:18:06
ดีที่รู้ก่อนว่าพี่พลไม่ใช่พระเอกจากคุณหมีคุก ไม่งั้นคงได้แหกโค้งระเรระนาดไปแล้ว แล้วพอเห็นชื่อบุญก็คือมั่นใจเลยพระเอกแน่ ๆ แต่เป็นพระเอกที่น้อยมาก555 ซึ่งบุญก็มาทวงความเป็นพระเอกในตอนพิเศษได้แบบน่ารักละมุนละไมมากกกก และแซ่บมากกกกกเช่นกัน อิจฉานายแล้ว ชอบมากๆๆ ขอบคุณค่ะ :3123: :pig4:
ปล.ตอนนี้ไปอ่านหนึ่งวันบนดาวพุธอีกเรื่องแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ พี่พล (3/3) P.3 (28-Nov-18)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-12-2018 21:24:05
สนุกมาก มีความเรียล
มีความไม่เข้าใจพี่พล รักแบบน้องแต่นอนกับเขาไปหลายครั้งนี่นะ
ชอบหมอบุญ
หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 21-12-2018 19:42:23
ตอนพิเศษ My loveliest friend





‘ครบสิบปีแล้ว’ ผมคิดแบบนั้น

สิบปีที่มีนายเป็นคนรัก ผมครุ่นคิดว่าสิบปีที่ผ่านมามีสิ่งใดคงเดิมและสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ด้วยความสัตย์จริงผมยังมองเห็นนายเป็นเพียงนายที่เจอกันวันแรกในเมืองเมลเบิร์นประเทศออสเตรเลีย สิบปีก่อนหน้านั้นผมสัญญากับนายว่าวันใดวันหนึ่งเราจะกลับไปที่ออสเตรเลีย ผมจะประกอบอาชีพแพทย์ แต่งงานกับนาย และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น แต่สิบปีให้หลังผมยังทำตามสัญญาไม่ได้

สิบปีนี้ค่อนข้างหนักหนา ในระยะเวลานั้นแม่ของผมป่วยและเป็นผมที่ต้องคอยดูแลอย่างสม่ำเสมอ วันที่ผมบอกนายว่าการได้ไปใช้ชีวิตตามที่วาดฝันอาจเลือนลางลง ผมไม่ปฏิเสธว่าเราทะเลาะกัน เป็นเพราะผมเองที่ผิดสัญญา เป็นผมเองที่พยายามไม่มากพอ เป็นผมเองที่วาดความฝันและขีดเขียนความฝันให้นายมีความหวัง ผมกระทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากยอมรับความผิดหวังทั้งของตัวเองและคนรัก

สิบปีเป็นช่วงที่ผมทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างเรา ทั้งความรัก ความใคร่ หรือแม้แต่การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันภายในห้องชุดแห่งนี้ ผมยังรักเขาอยู่หรือเปล่า ผมยังอยากร่วมหลับนอนกับเขาอีกไหม ผมยังอยากดูแลในยามที่เขาเจ็บป่วย ผมยังจับมือของเขาและออกไปท่องโลกกว้างด้วยอีกไหม หลังจากทะเลาะกันครั้งนั้น ผมเพียงแต่ถามนายว่าเรายังรักกันอยู่หรือเปล่า

สิบปี… นายบอกว่าสิบปีที่เขาซื่อสัตย์ต่อผมมันยังไม่สามารถพิสูจน์ความรักที่มีให้ได้อีกเหรอ ใบหน้าของเขาสลดเศร้าและบอกต่อผมว่าเขาขอโทษที่เอาความผิดหวังของตัวเองให้ผมแบกรับมันไว้เพียงลำพัง เขาบอกต่อผมว่าควรแบ่งรับความผิดหวังนั้นมาที่เขาเสียบ้าง กลายเป็นว่าเราเข้าใจกันดีในเรื่องของการย้ายถิ่นฐาน เราเข้าใจกันดีไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนผมก็ยังเป็นผม นายก็ยังเป็นนาย เป็นเราที่รักกันเช่นเดิม

ผมโอบกอด รั้งใบหน้าของนายเข้ามาจูบที่สันกราม ลูบไล้ผิวกายชื้นเหงื่อในอ้อมแขนนี้ด้วยความหลงใหล นายประกบปากจูบผมอีกครั้งขณะยกสะโพกขึ้นทำให้ท่อนเนื้อของผมหลุดออกจากช่องทางด้านหลัง ผมยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินเขาต่อว่าต่อขานถึงความฉ่ำแฉะในนั้น นายก็เป็นเสียแบบนี้ในเวลาเขินอาย น่าแปลกเหลือเกินที่แม้ว่าเราจะร่วมรักกันมาหลายครั้งแต่ทุกครั้งหัวใจของผมยังเต้นแรงสูบฉีดด้วยความตื่นเต้น นายมองผม มันเป็นสายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก และนี่เป็นเซ็กส์ครั้งสุดท้ายในคืนสิ้นปี

ช่วงเช้าวันนี้เริ่มต้นเข้าสู่ปีที่สิบเอ็ดของการคบหากันฉันท์คนรัก ผมเริ่มครุ่นคิดอีกครั้งว่าทำไมเรายังรักกันอยู่แบบนี้ นายทำงานในสายงานเดิม ออกกองต่างจังหวัด ตื่นแต่เช้า กลับบ้านไม่เป็นเวลา แต่เปลี่ยนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้กำกับแล้ว ผมครุ่นคิดอีกครั้งว่าทำไม่เรายังไม่เลิกหลงรักกันอีก ทั้งที่ผมทำงานหนักเหนื่อย รับงานคลินิกนอกเวลา และรวมถึงงานด้านวิชาการอีก

เรายังอยู่ห้องเดิมในเช้าวันปีใหม่ ผมกับนายไม่ค่อยมีของขวัญหรือรางวัลใดเป็นพิเศษสำหรับเทศกาลต่างๆ ส่วนตัวผมเองเคยคิดไว้ว่าจะซื้อของสักชิ้นให้นายเพื่อมอบให้ในวันเวลาพิเศษต่างๆ แต่ผมกลับลืมเสียสนิทเมื่อถึงวันเวลาจริง กลายเป็นว่าเราไม่เคยมีสิ่งใดแทนใจ ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีดอกไม้ช่อใหญ่โผล่ไปเซอร์ไพรซ์ใครทั้งนั้น แต่แล้วเราก็ยังอยู่ด้วยกัน ผ่านสิ้นปี เริ่มต้นปีใหม่ ผ่านสิ้นปีอีกครั้ง และเริ่มต้นปีใหม่อีกครั้งไปเรื่อยๆ

นายลืมตาตื่นแล้วในเช้าวันนี้ก่อนจะหลับตาลงด้วยความงัวเงีย ผมเอื้อมมือไปลูบที่หางตาซึ่งเริ่มมีรอยขีดปรากฏขึ้น ในวันที่สังขารเริ่มโรยรา ผมครุ่นคิดว่าทำไมเรายังไม่เบื่อหน่ายกับการเฝ้ามองใบหน้าของใครสักคนในยามเช้าแบบนี้ นายลืมตาอีกครั้งไม่ได้ส่งยิ้มหวานประโลมโลก ไม่ได้กล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาเพียงแต่จับมือของผมและแนบใบหน้าเข้าหา ก่อนจะจูบลงบนฝ่ามือ ผมครุ่นคิดว่าทำไมนายยังไม่เบื่อทำแบบนี้ เขาตื่นเต็มตาแล้ว ไม่ได้บอกสวัสดีปีใหม่หรือมีเซอร์ไพรซ์อะไรรออยู่ ผมครุ่นคิดว่าทำไมผมยังตื่นเต้นที่ได้ลืมตามาเจอเขาอีกในเช้าปีใหม่นี้

นายขยับตัวเข้ามาจูบที่กลุ่มผม เนิ่นนานจนแทบลืมหายใจ เขาโถมทับตัวลงมาไม่เบาแรงก่อนเราจะก่ายกอดกันอยู่บนเตียงพักใหญ่พร้อมกับเสียงหยอกล้อปนเสียงหัวเราะในช่วงเช้า นายเลิกสูบบุหรี่แล้วด้วยเหตุผลที่แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองสักเท่าไหร่ ผมไม่อยากทำลายความตั้งใจของเขาด้วยการบอกว่าปอดของเขาถูกทำลายไปแล้วและไม่สามารถฟื้นฟูในส่วนนั้นได้ดีสักเท่าไหร่ ส่วนตัวผมเองยังคงเลิกสูบบุหรี่ไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่ามีผลเสียอย่างไรแต่เลิกเด็ดขาดแบบนายยังทำไม่ได้เสียที

“บุญหัวเหม็น”

นายบอกแบบนั้นแต่ยังคงดึงศีรษะของผมไว้และฟัดหอมไม่หยุด ผมหัวเราะก่อนจะคว้าตัวของเขาเข้ามาให้นอนแนบหน้าอก กดจมูกลงบนศีรษะของเขาบ้าง “นาย สิบปีแล้วนะ”

“อืม” นายรับคำ ท่าทีดูเมินเฉยเหมือนทุกทีแต่ผมรู้ว่าเขากำลังเขินอาย ยิ่งนิ่งเท่าไหร่ก็ยิ่งอายมากเท่านั้นแหละ

“เมื่อไหร่จะมีลูกให้เราหละ”

ผมตั้งใจจะให้มันเป็นมุกตลกเรียกรอยยิ้มขำขันจากนาย แต่เขากลับนิ่งเฉยซึ่งส่วนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขาเขินหรือรู้สึกอย่างไร “บุญอยากมีลูกเหรอ”

ตายห่า นี่ผมทำให้นายเข้าโหมดจริงจังไปเสียแล้ว

“เราขอโทษนะที่มีให้ไม่ได้”

“เราล้อเล่น เราไม่ชอบเด็กซะหน่อย”

นายยังคงเงียบ แต่ไม่ได้ผละตัวออกไป “แม่เราเคยถามนะว่าไม่อยากมีลูกเหรอ”

“แล้วตอบไปว่าไง”

“บุญท้องให้ไม่ได้”

จากนั้นนายก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ผมยิ้มกว้างขณะมองเขาลุกเดินไปทำกิจวัตรเช่นเดิม

ผมยังเอ้อระเหยอยู่บนเตียง มองนายเดินข้ามห้องไปมาพักหนึ่ง ก่อนเขาจะหายไปนานสองนานพร้อมกับกลิ่นอาหารเริ่มลอยมา ผมคว้าแว่นสายตากรอบสีดำขึ้นมาใส่ เดินไปล้างหน้าทำกิจวัตรเดิมก่อนจะออกไปช่วยเขาทำอาหารบ้าง นายทำอาหารให้ผมกินอยู่บ่อยครั้งเพราะผมไม่ชอบกินข้าวข้างนอก จะว่าอ้อนนายก็คงใช่ แต่เวลาเห็นเขาทำเหมือนสะดิ้งรำคาญก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นทำอาหารง่ายๆให้ก็ถือว่าเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง

“บุญฝากคนโจ๊กหน่อย” เขาบอกก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์มือถือมารับสาย ได้ยินเขาเริ่มพูดจาหยาบคายก็รู้แล้วว่าคงจะเป็นเหล่าชาวแก๊งส์ที่โทรมา ผมดีใจกับนายที่ยังคบหากับเพื่อนสมัยเรียนอย่างแนบแน่นขนาดนี้ ส่วนเพื่อนของผมมีบ้างที่ยังคุยกันอยู่และมีบ้างที่หายไปจากสารบบ แต่โดยรวมผมแทบไม่สนใจเลยเพราะงานที่ทำอยู่ก็คือเพื่อนสนิทของผมนั่นเอง

นายวางสายแล้วมารับช้อนไม้ขนาดใหญ่ที่ใช้คนโจ๊กจากผมไปทำต่อ

“ใครโทรมา”

“ไอ้นุ่น มันจะนัดไปเจอเย็นนี้” เขาตอบด้วยสีหน้าชื่นมื่น และผมคิดว่าเขาช่างน่ารักเหลือเกิน “มันบอกว่านัดกันครบทุกคนเลยนะ ถ้าเราไม่ไปหมาแน่นอน”

“เออ ก็จริง แล้วนัดกันกี่โมง”

“ห้าโมง ไอ้หนึ่งต้องรีบกลับเพราะฝากลูกไว้กับย่า มันอยู่ได้ถึงทุ่มนึง”

“เหนื่อยเหมือนกันนะเลี้ยงเด็ก”

นายไม่ได้ตอบรับอะไรเพราะวุ่นวายกับโจ๊กที่เดือดพร้อมเสิร์ฟตรงหน้านี้ เขาตอกไข่ลงไป คนไข่ผสมให้เข้ากันจนโจ๊กกลายเป็นสีไข่แดง ไม่มีผักโรย ไม่ใส่พริกไทยเพิ่ม และนี่คือวิธีการกินโจ๊กกึ่งสำเร็จรูปของพวกเรา เรียบง่ายไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม นายยกถ้วยโจ๊กมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเปิดตู้เย็นหยิบน้ำผลไม้ออกมาเทใส่แก้วให้

“นาย” ผมเรียกแล้วจับมือของเขาไว้ “ทำไมนายน่ารักขนาดนี้อะ”

เขาเงียบ มองผมด้วยสีหน้านิ่งๆก่อนจะดึงมือออก “บ้าไรวะ” แม้ว่าจะพูดอย่างนั้นแต่ใบหน้าของเขากลับเผยยิ้มนิดๆ

ผมเท้าคางมองนายกินโจ๊ก อาหารตรงหน้านี้ไม่ได้วิเศษหรืออร่อยอะไรนักหนา แต่การได้กินโจ๊กง่ายๆแบบนี้กับนายทำให้ผมรู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้เหมือนกันว่าทางวิทยาศาสตร์มีทฤษฎีอะไรหรือเปล่า

“ทำไมไม่กินหละ” เขาถามแล้วหยิบช้อนโจ๊กของผมมาคนๆ เป่าๆให้หายร้อน “หรือว่ารอบนี้มันไม่อร่อย” นายพึมพำแล้วลองชิมโจ๊กจากในถ้วยของผม ทั้งๆที่มันก็เป็นโจ๊กกึ่งสำเร็จรูปซองเดียวกันกับของนาย

ผมหัวเราะแล้วจับแก้มของเขา สิบปีที่ผ่านมาไม่มีสักครั้งที่เขาจะมั่นใจฝีมือทำอาหารของตัวเอง “มันก็รสโจ๊กกึ่งสำเร็จรูปเหมือนเดิมนั่นแหละ อร่อยผงชูรสอะ”

เขาทำหน้าไม่ถูก ก่อนจะทำเป็นหน้าเฉยๆแล้วเบี่ยงหน้าหลบมือของผม “เลิกบีบแก้มได้แล้ว หน้าเหี่ยว”

“นาย”

“อืม”

“รู้ป้ะเนี่ยว่ารัก”

“เออ รู้” คำตอบของเขาสั้นห้วนเหมือนทุกที “ก็รักเหมือนกันแหละ”

ผมเลิกบีบแก้มของเขาก่อนจะกินโจ๊กแบบง่ายๆพร้อมกับรอยยิ้มในเช้าอันสงบสุข



ตกตอนเย็นผมโดนลากไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนของนาย จากตอนแรกตั้งใจว่าจะนอนพักผ่อนดูโทรทัศน์อยู่ในห้อง กลับกลายเป็นความสงบสุขถูกผันเปลี่ยนด้วยเสียงเพลงในร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านสาทร ผมไม่นึกอยากสังสรรค์สักเท่าไหร่ แม้ว่าจะสนิทกับกลุ่มเพื่อนของนายประมาณหนึ่งแต่เขาก็ไม่ใช่เพื่อนของผมเสียทีเดียว ตกพลบค่ำนายยังติดลมทอดเฟรนช์ฟรายอยู่กับนุ่น ก่อนจะมานั่งกินอาหารตัวติดอยู่กับเพื่อนและไม่ได้สนใจผมมากนัก ผมเองก็ติดคุยอยู่กับเฟริสท์ในเรื่องสัพเพเหะระทั่วไป น่าประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่กลุ่มเพื่อนของนายสามารถนัดรวมตัวกันได้ครบแก๊งส์ขนาดนี้ ผมถือว่าเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติเพราะมันยากเหลือเกินกับการนัดเพื่อนสมัยเรียน

นายดื่มเครื่องดื่มมึนเมาเยอะจนสังเกตเห็นได้จากการพูดเสียงดังขึ้น ดูท่าแล้วเป็นตัวผมเองที่ต้องหยุดดื่มเพราะไม่เช่นนั้นคงขับรถกลับห้องตัวเองไม่ได้ นายสั่งเบียร์เพิ่มแต่เป็นเบียร์ท้องถิ่นราคาถูก มาถึงตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าเขาเมาเละแน่นอน

“อินายไปตายอดตายอยากมาจากไหน ทำเหมือนไม่เคยกินเบียร์”

“เออ ไม่รู้เหมือนกันแฮะ” ผมตอบเฟริสท์ที่กระซิบอยู่ด้านข้าง แต่ถึงจะคุยเสียงดังนายก็คงไม่ได้ยินอยู่ดี

“บุญห้ามนายดื่มเหรอ”

“ไม่เคยห้ามนะ บางทีก็ซื้อมากินด้วยกันในห้อง”

“อะไรของมันวะ” เธอพึมพำก่อนจะหันไปสนใจอย่างอื่นแทน

หนึ่งกลับไปก่อนใครเพื่อนเพราะเป็นห่วงลูก ส่วนชาวแก๊งส์ที่เหลือยังคงสังสรรค์กันต่อและส่งเสียงดังเช่นเดิม เราแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิตการทำงานที่ผ่านมา ผมเล่าเรื่องที่โรงพยาบาลให้ฟังเมื่อถูกถาม เท้าความตั้งแต่ว่าทำไมผมถึงไม่ต้องไปใช้ทุนฝึกงานที่ต่างจังหวัด คนเรียนหมอวันๆทำอะไรบ้าง ไม่มีเวลาจริงเหรอ หรือแม้แต่เรื่องเร้นลับในโรงพยาบาล ชาวแก๊งส์ตั้งใจฟังจนผมเกร็งนิดหน่อยตอนเล่าว่าเจอสิ่งเร้นลับในโรงพยาบาลตอนมืดค่ำ โดยเฉพาะบอมที่ดูเหมือนจะกลัวเรื่องผีมากที่สุด เขาทำท่าขนลุกจนเฟริสท์ต้องล้อเลียน ผมหัวเราะ จากตอนแรกที่ขี้เกียจมาก็เริ่มคลายอารมณ์และพลอยสนุกไปด้วย

นายเริ่มเมาจริงจังในตอนช่วงสามทุ่มเกือบสี่ทุ่ม นับว่าเป็นการเมาที่รวดเร็วจนน่าตกใจ ขณะเดียวกันนั้นชาวแก๊งส์เห็นโอกาสในการแกล้งเพื่อน เริ่มต้นด้วยบอมที่สะกิดเฟริสท์ให้เอาโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปตอนนายทำหน้าตาน่าเกลียด ผมหัวเราะด้วยความรู้สึกผ่อนคลายไปกับชาวแก๊งส์ ถึงแม้ว่าจะเติบโตกันมาเข้าสู่วัยทำงานแต่พวกชาวแก๊งส์ก็ยังทำตัวเป็นเด็กๆเมื่อรวมกลุ่มกัน นายกลายเป็นตัวตลกของเพื่อน ถูกสั่งให้พูดหรือทำอะไรก็ทำไปหมด นานๆทีเห็นนายทำตัวบ้าบอแบบนี้ก็ตลกดี อดไม่ได้ที่จะอัดวิดิโอไว้ดู ตอนที่นายโดนนุ่นยุให้ดื่มน้ำผสมมั่วซั่ว เอาค็อกเทลผสมเบียร์ผสมชานมผสมเก๊กฮวย นายก็บ้ายุ เขาดื่มน้ำแก้วนั้นจนหมดเหยือก ชูแก้วราวกับเป็นถ้วยรางวัล

เราหมดแรงเพราะหัวเราะกันเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วอยู่ๆก็เริ่มเข้าสู่โหมดคุยเรื่องสุขภาพ เฟริสท์บ่นว่าช่วงหลังมานี้ปวดบั้นเอวบ่อยครั้งผมจึงแนะนำให้เขาไปหาหมอเพื่อตรวจอย่างละเอียด เพราะไม่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ผมเล่าต่อถึงเรื่องความเจ็บความป่วยที่เห็นมามากมายเหลือเกินที่โรงพยาบาลจนชาวแก๊งส์เริ่มปลดปลง และถกปัญหาด้านสุขภาพกันยกใหญ่ แม้แต่การที่ผมสายตาสั้นจนต้องใส่แว่นยังถูกหยิบยกเอามาเป็นประเด็นที่ชวนหดหู่เลยด้วยซ้ำ

“บุญสายตาสั้นเยอะป้ะ ทำไมไม่ทำเลซิควะ” บอมถามแล้วจ้องหน้าผมราวกับว่าการใส่แว่นเป็นเรื่องแปลกประหลาด

“ยังไม่สั้นเยอะขนาดนั้นอะเลยยังไม่อยากทำเลซิค”

“พอถอดแว่นแล้วเบลอไปหมดเลยป้ะ”

“ไม่ได้เบลออะไรมาก แต่ก็มองไม่ชัดนะถ้าไม่ได้ใส่ ต้องเพ่งเวลาอ่านหนังสือ”

“แล้วถ้าแก่กว่านี้สายตามันจะยาวขึ้น ถ้าเกิดเป็นสายตาสั้นแบบนี้มันจะกลับมาเป็นสายตาปกติไหม”

“ไม่นะ แต่มันจะทั้งสั้นทั้งยาว”

นุ่นถึงกับถอนหายใจยาวและบอกว่า “สังขารไม่เที่ยงหนอ”

“เออ กูเพิ่งเลิกกับแฟนไปอาทิตย์ที่แล้ว ลืมอัพเดทพวกมึงเลย”

นุ่นทำหน้าตกใจก่อนจะโอบกอดเพื่อนสาวเป็นการปลอบประโลม “อย่าเศร้านะมึง”

“มึงเห็นกูเศร้าไหมหละ” เฟริสท์กล่าวแล้วตักอาหารตรงหน้ากิน “กูผิดเองแหละ นอกใจเขาแต่พอจะจริงจังกับคนที่คุยอยู่ก็เสือกโดนทิ้ง กูไม่เศร้านะเอาจริงๆ”

“โถ อิหญิงแกร่ง ถึงมึงจะเศร้ากูก็ไม่ปลอบหรอก” บอมตะโกนก่อนจะปาผักใส่หน้าเพื่อนอย่างคึกคะนอง

“อิบอม มึงเล่นสกปรกอิเวร”

จากนั้นขณะที่ชาวแก๊งส์กำลังเล่นหยอกเย้ากันไปมา นายที่นั่งเงียบมาตลอดอยู่ๆก็ผุดลุกขึ้นปิดปากแล้ววิ่งหายไป

“เอาแล้วไง บุญทำเพื่อนเราท้องแล้ว”

ผมหัวเราะให้กับประโยคหยอกล้อของเฟริสท์ก่อนจะลุกขึ้นตามนายไป เขาน่าจะไปอ้วกแตกอยู่ในห้องน้ำ อย่างว่าแหละวันนี้นายดื่มหนักจริงๆ ผมตามนายเข้ามาในห้องน้ำ เห็นเขาโก่งคออ้วกอยู่ในห้องส้วมห้องแรก อดหัวเราะไม่ได้กับสภาพอุบาดตรงหน้านี้ ผมรู้ว่านายเป็นพวกคออ่อนแต่บ้ายุดื่มไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเอง ผมส่งขวดน้ำให้เขากลั้วคอก่อนจะใช้กระดาษทิชชู่ในห้องน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้ นายอาเจียนซ้ำสอง และครั้งที่สามนี้คงทำให้เขาสร่างเมาขึ้นบ้าง

“จะกลับเลยไหม” ผมถามพลางเช็ดปากให้เขา คิดว่ายังไงคืนนี้ก็จะต้องลากนายเข้าห้องน้ำและทำความสะอาดร่างกายให้ เพราะตอนนี้กลิ่นอ้วกของเขาเหม็นมากจริงๆ

นายพยักหน้ารับก่อนจะก้มหน้าบ้วนปากที่อ่างล้างมือ ส่วนผมเดินไปกดชักโครกและเช็ดคราบที่เลอะเทอะให้ ทำไมนายของผมเละเทะได้ขนาดนี้นะ คิดแล้วก็ได้แต่หัวเราะกับตัวเอง

ผมพานายที่เริ่มเดินเอียงนิดๆกลับมาที่โต๊ะ แต่ไม่ใช่เพื่อให้เขานั่งสังสรรค์กับเพื่อนต่อหรอก ผมพามาร่ำลาเพื่อขอตัวกลับก่อน เพื่อนๆของนายไม่ได้รั้งตัวไว้ พวกเขาหัวเราะกันลั่นในตอนที่เห็นว่านายปวกเปียกคอพับคออ่อนเพราะเมาเบียร์ ผมประคองนายพามายังที่จอดรถ ทุลักทุเลพอสมควรกว่าจะยัดนายเข้าไปในรถได้ แม้ว่าเขาจะยังพอพูดรู้เรื่องแต่อีกหนึ่งระดับเขาก็จะพูดไม่รู้เรื่องแล้ว

นายหลับมาตลอดทาง พอปลุกก็ตื่นขึ้นมาทำหน้างงงวย

“ถึงห้องแล้ว”

“อุ้ม”

“ห้ะ?”

“อุ้มเราสิ”

คราวนี้เป็นผมเองที่เริ่มงงงวยแทน นายไม่เคยบอกให้ผมอุ้มเลยสักครั้งแต่นี่อาจเป็นเพราะว่าเขาคงจะยังมึนเมาแหละมั้ง ผมคิดไปแบบนั้น
“ต้องให้พูดซ้ำหรือไง” เขาเริ่มใช้น้ำเสียงแปลกๆ ก่อนจะเดินออกมาจากรถ ยืนพิงรอให้ผมอุ้มตามที่พูดเมื่อครู่นี้

“ถามจริง จะให้เราอุ้มเหรอ”

“บุญแม่งบื้อหรืออะไรวะ บอกให้อุ้มก็อุ้มเราสิ”

ผมอ้าปากค้างยืนอยู่ที่ฝั่งคนขับ แต่ดูท่าทางแล้วผมคงจะต้องอุ้มเขาขึ้นห้องแหละมั้ง หลังจากล็อกประตูรถเสร็จสรรพผมจึงเดินมาทางที่นายยืนอยู่ก่อนจะย่อตัวลงให้เขาขี่หลัง

“บอกให้อุ้มไง ไม่ใช่ขี่หลัง ไม่เข้าใจเหรอวะ”

ผมอ้าปากค้างรอบสอง นี่คนรักของผมเป็นอะไรขึ้นมาเนี่ย ผมยืดตัวขึ้นมองใบหน้าแดงๆก่อนจะยอมอุ้มเขาในท่าเจ้าหญิง ตัวก็ไม่ใช่เบา แถมยังเหม็นอ้วกอีก กว่าจะขึ้นมาบนห้องได้แขนผมนี่แทบจะหลุดออกจากกันแล้ว ผมวางนายไว้บนเตียงนอน เดินไปเตรียมอุปกรณ์เช็ดตัวอย่างน้อยก็ต้องทำให้เขาสร่างเมามากกว่าที่เป็นอยู่ ผมถอดเสื้อผ้าของเขาก่อนจะลงมือเช็ดตัวให้ เขามองผมตลอดการกระทำ อีกทั้งยังสั่งให้เช็ดตรงไหน หรือเบาส่วนใด นึกอยู่ในใจว่าถ้ายังมีสติมากพอจะมาสั่งกันแบบนี้ก็ควรลุกไปอาบน้ำเสียเลย

“ลุกไปอาบน้ำไหม จะได้สะอาดหน่อย”

“บุญว่าเราไม่สะอาดเหรอ” น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น จะว่าโมโหก็ไม่ใช่ ดูเหมือนเป็นการวางท่าราวกับผู้มีอำนาจ “เราบอกให้บุญทำอะไรบุญก็ต้องทำ เข้าใจไหม”

“เออๆ” ผมตอบรับก่อนจะจับแขนของเขามาเช็ด แต่แล้วนายกลับชักแขนหนีและจ้องมาที่ผม “อะไรวะ”

“ทำไมพูดไม่เพราะ เอออะไร นี่บุญคิดว่าพูดอยู่กับใคร”

“จะใครหละ ก็ขี้เมาไง”

สิ้นคำหมอนใบหนึ่งก็ถูกปาใส่หน้าเข้าเต็มเบ้า ผมอยู่ในอาการตกตะลึง แต่เพราะคิดว่านายกำลังเมาจึงไม่ถือสาอะไร

“ไม่ต้องเช็ดแล้ว เราจะไปอาบน้ำ ไปเปิดน้ำอุ่นสิต้องให้บอกอีกเหรอ”

“อะไรของนายวะ” ผมพึมพำ แต่แล้วก็ถูกปาหมอนใส่อีกผมจึงเดินหนีไปทางห้องน้ำเพื่อเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นให้ทั้งที่ปกตินายก็ทำของเขาเอง เจ้าคนขี้เมาของผมเดินมาในสภาพเปลือยเปล่า พอมาถึงก็ยื่นมือมาขอฝักบัวทั้งที่ตัวเองก็เอื้อมถึง ผมคิดว่าเขาคงยังเมามากอยู่จึงช่วยหยิบให้

“ออกไปสิ”

“อาบไหวแน่นะ จะไม่ล้มหัวฟาดใช่ป้ะ” ผมกวนอารมณ์ก่อนจะถูกนายฉีดน้ำใส่เข้ามาทั้งที่ยังใส่เสื้อผ้าอยู่ อันนี้ผมผิดเองที่ไปกวนอารมณ์คนเมาแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มรำคาญนาย “เล่นอะไรวะเนี่ย รอบนี้นายซักเสื้อผ้าให้เราด้วย”

“บุญใช้เราซักผ้าเหรอ คิดว่าพูดอยู่กับใคร ห้ะ”

“พูดอยู่กับผีมั้ง ไอ้ขี้เมา” ผมตอบแล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าที่เปียกออก บิดเสื้อผ้าคิดไว้ว่าจะเดินออกไปตากที่ข้างนอกให้แห้ง “แม่ง เข็มขัดเปียกเลยหวะ ถ้ามันพังขึ้นมานะ...” ท้ายประโยคผมยกมือชี้หน้าเขาเป็นเชิงคาดโทษ แต่แล้วนายก็ฉีดน้ำฝักบัวจนเปียกปอนตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมวางเสื้อผ้าที่เปียกไว้บนพื้นและคว้าฝักบัวมาฉีดนายคืนบ้าง “นี่ถ้าไม่ติดว่าเมานะ จะด่าให้”

นายยกมือขึ้นป้องน้ำก่อนจะเอื้อมมือไปปิดฝักบัว “ไม่ได้เมา เราไม่เคยเมา”

ผมนี่อยากกรอกตากลับสักสามล้านรอบ คนเมาก็มักพูดแบบนี้เสมอแหละ “เออ ไอ้บ้า ไม่เมาก็ไม่เ-...” ยังไม่ทันพูดจบใบหน้าของผมก็หันไปข้างหนึ่ง เมื่อครู่นี้ผมคิดว่าผมถูกนายตบหน้านะ ถึงจะไม่แรงจนรู้สึกชาอะไรแต่ก็หน้าหันเลยทีเดียว

“บุญว่าใครบ้า ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้”

“อะไรอีกหละ พอได้แล้วนะ เมามากแล้ว” ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอาก่อนจะหันตัวไปหยิบผ้าขนหนูแห้งมาเช็ดตัวให้เขา อย่างน้อยได้น้ำราดตัวไปก็ยังดีถึงจะไม่ได้ฟอกสบู่ก็เถอะ “มานี่ จะเช็ดตัวให้”

“อย่ามาสั่งเรานะ”

“เออ ไม่ได้สั่ง” สิ้นคำผมถูกนายตบปากอีกครั้ง และครั้งนี้มันแรงขึ้นจนทำให้แว่นสายตาเลื่อนออกจากดั้งเล็กน้อย ฟันกับริมฝีปากกระทบกัน เลือดออกนิดหน่อยและแสบพอประมาณ แต่ก็ยังไม่เท่ากับความมึนงงที่ถูกกระทำแบบนี้ จากตอนแรกที่พยายามคิดว่านายกำลังเมา มาตอนนี้ความโมโหกำลังตีตื้นขึ้นมาอยู่บ้าง “ตบหน้าเราทำไมเนี่ย”

“เราบอกว่าให้พูดเพราะๆไง”

“แล้วทำไมต้องพูดเพราะด้วย เคยพูดยังไงก็พูดเหมือนเดิม”

“ยังไม่รู้สถานะตัวเองอีกเหรอบุญ ต้องให้บอกหรือไงว่าควรพูดจายังไงกับเรา”

“หา? อะไรของนายวะ” ผมงงสุดขีดแต่งงได้ไม่นานก็ถูกนายตบปากอีกรอบ คราวนี้ผมจับมือของเขาไว้ บีบแน่นจนเขานิ่วหน้า “เจ็บนะเว่ย เลิกตบได้แล้ว เดี๋ยวก็ต่อยคืนหรอก”

“คนอย่างบุญกล้าต่อยเราด้วยเหรอ ทีกับพี่พลไม่เห็นจะกล้าเลย”

คิ้วของผมขมวดด้วยความสงสัย พยายามนึกหวนอดีต จำเค้าลางได้ว่าเคยจะมีเรื่องกับพี่พลอยู่ครั้งหนึ่งแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะไม่เห็นว่ามันจะคุ้มค่าตรงไหน “นี่พูดอะไรเนี่ย”

“ก็เรื่องตอนนั้นไง ทำไมไม่ต่อยพี่พลไปหละ ทำไมปล่อยให้พี่เขาพูดถึงเราแบบนั้น”

เอาหละ ถึงผมจะเข้าใจว่านายพูดถึงเรื่องอะไรแต่นายเมามากแล้วจริงๆ ผมไม่ได้ตอบรับอะไรนอกจากพยายามเช็ดตัวให้เขา ก่อนจะใช้ผ้าขนหนูเช็ดแว่นตัวเองที่เปียกน้ำแล้วสวมกลับเข้าไปใหม่

“บุญแม่งขี้ขลาด”

“เยอะไปแล้วนาย พอได้แล้วนะ”

“ทำไม เราพูดความจริง บุญไม่กล้าต่อยใครหรอก”

ผมมองหน้าเขา เห็นก็รู้ว่าเมาแต่ก็อดโมโหไม่ได้เหมือนกัน กระนั้นก็ไม่อยากให้เราทะเลาะกันเพราะว่านายเมา

“เห็นป้ะ แค่นี้บุญยังไม่เถียงเลยอะ อ่อนหวะ”

“นาย พอได้แล้ว” ผมเริ่มขึ้นเสียงบ้าง เมื่อเช็ดตัวให้เขาเสร็จแล้วก็ก้มตัวลงเก็บผ้าที่เปียกจะเอาไปตากให้แห้ง

“รู้งี้ตอนนั้นเราไปกับพี่พลก็ดี บุญแม่งกาก”

“มากไปแล้วนะนาย”

“แล้วไงอะ จะทำอะไรเราเหรอ” นายยื่นหน้ายื่นตาเหมือนท้าทาย “ว่าไง กล้าต่อยเราป้ะ”

“อย่าท้า”

“ไม่ได้ท้า แต่รออยู่เนี่ย”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามทำให้ใจเย็นลง รู้ทั้งรู้ว่านายกำลังเมาแต่มันโคตรโมโห ไหนจะยังพูดชื่อพี่พลให้รำคาญใจเล่นอีก

“อ้าว จะไปไหนหละ ไม่กล้าอะดิ” เขาเดินตามผมออกมาพร้อมกับคำท้าทาย “ทำไมบุญขี้ขลาดจังวะ”

ผมทำทีเป็นไม่สนใจและก้าวขาไปเรื่อยๆ

“เนี่ย ถ้าเป็นพี่พล...”

เสื้อผ้าที่เปียกถูกกองทิ้งไว้บนพื้น ก่อนผมจะประชิดจับตัวนายไว้ ดันร่างเขาลงบนเตียง “ถ้าเป็นพี่พลจะยังไง”



หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: PromQueen29 ที่ 21-12-2018 19:43:32
“ก็ไม่แล้วไง แค่จะบอกว่าพี่พลเก่งกว่า”

“เก่งกว่ายังไง”

คราวนี้นายเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนคิดหาคำตอบไม่ทัน จะว่าตลกก็ใช่แต่ติดตรงที่ตอนนี้ผมหงุดหงิดมากกว่า

“ตอบ”

“ก็เก่งกว่าอะ”

“เรื่องอะไรหละ”

นายยิ้ม แต่เป็นยิ้มเยาะเย้ยและผมรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร น้ำยั่วน้ำโหตอนนี้ขึ้นสมองไปหมดแล้ว การพูดชื่อพี่พลเป็นเรื่องที่น่ารำคาญที่สุดในชีวิตของผม พี่พลเป็นเหมือนเสี้ยนหนามอะไรบางอย่างที่ทิ่มแทงใจได้ตลอดเวลา “อยากให้พูดจริงเหรอ”

“พูดออกมา”

“เรื่องอย่างว่าไง”

เท่านั้นแหละ ความอดทนของผมจบสิ้นลง อีกทั้งความใจเย็นและสติที่มีก็หายไป ผมจับแขนนายทั้งสองข้างตรึงไว้บนที่นอน รุกไล่เขาด้วยจูบ นายเบี่ยงหน้าออกพยายามต่อต้านในช่วงแรกก่อนจะยอมให้ผมแลกลิ้นด้วย พักใหญ่กว่าผมจะผละจูบออกมา มองใบหน้าแดงระเรื่อของนาย ริมฝีปากแดงช้ำนิดหน่อยเพราะริมฝีปากของเรากระทบกันแรง แต่กระนั้นดวงตาของเขายังคงท้าทาย

“แล้วไงอะ จะทำแค่นี้เหรอ ถ้าเป็นพี่พลคงได้เราไปนานแล้ว”

“ได้ จะเอาแบบนั้นใช่ป้ะ”

“ไม่รู้ แล้วบุญทำได้เหรอ ไอ้นี่ยังไม่แข็งเลยอะแล้วจะเอาเรายังไง”

ผมยกยิ้ม ปล่อยมือที่จับแขน เปลี่ยนมาดึงรั้งศีรษะของเขาเข้ามาที่กลางลำตัว “ปากดี งั้นทำให้แข็งหน่อย” สิ้นคำผมจับไอ้นั่นที่ยังไม่แข็งตัวยัดเข้าปากของนายเต็มคำ โดยปกติแล้วผมไม่ชอบให้นายใช้ปากให้ การที่เราร่วมรักกันมันก็ถือเป็นความเสี่ยงต่อการติดโรคทางเพศสัมพันธ์อยู่แล้ว ผมจึงพยายามลดความเสี่ยง อย่างน้อยก็พยายามแล้วถึงแม้ว่าความพยายามนั้นจะไม่ค่อยสำเร็จสักเท่าไหร่

นายดูพะอืดพะอมที่อยู่ๆก็ถูกท่อนเนื้อเหี่ยวๆยัดเข้าปาก ผมบีบกรามของเขาส่วนอีกมือคอยดันท้ายทอยไม่ให้หนีห่างออกไป ดวงตาของเขาคลอด้วยน้ำตาซึ่งเป็นกลไกตามธรรมชาติไม่ใช่การร้องไห้แต่อย่างใด นายคงอึดอัดพอสมควร เขาเริ่มต่อต้านเมื่อท่อนเนื้อของผมขยับขยายตัว แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อผมรั้งหน้าออกนายก็ยังคงทำปากเก่ง

“ไม่รู้ว่าเราห่วยหรือของบุญห่วยอะ ไม่เห็นแข็งสักที”

ผมจับท่อนเนื้อยัดปากของเขาอีก รู้แหละว่านายกำลังยั่วโมโหและบังเอิญว่าผมจะไม่อดทน ไม่นานนักท่อนเนื้อของผมก็ตั้งชันและแข็งขืนอยู่ในปากของนาย เขาพยายามผละหน้าออกเพราะขนาดสัดส่วนของผมคงทำให้เขาไม่สามารถรับทั้งหมดไว้ในปากได้ แต่เพราะนายปากดีผมจึงกดศีรษะของเขาและดันสะโพกไปข้างหน้า น้ำลายของเขาชโลมชุ่มจากการปิดปากไม่สนิท เสียงของนายดังครางเครืออยู่ในลำคอด้วยความอึดอัด

“แข็งหรือยัง” ผมถามแล้วดึงศีรษะของเขาขึ้น

“นี่แข็งแล้วเหรอ นึกว่าอมปีโป้อยู่อะ”

ปากก็พูดไปแบบนั้น แต่ดวงตายังคลอด้วยน้ำใสๆจากความยาวที่เข้าลึกจนทำให้เขาพะอืดพะอม ความโมโหกำลังครอบงำ ผมจับเขานอนหงาย นายเริ่มหวาดระแวงและฝืนแรงผมแต่สุดท้ายก็สู้ไม่ได้

“บุญจะทำอะไร”

“อย่าถามในเรื่องที่รู้เลยน่า” ผมท้าทายคืนบ้างพลางใช้มือข้างหนึ่งกอบกุมส่วนหน้าของเขาไว้ “แข็งแล้วนี่”

“ถ้าไปจับมันก็ต้องแข็งอยู่แล้วป้ะ”

“ไม่ใช่ว่ามีอารมณ์เพราะอมของเราเหรอ ตอนอมของพี่พลเป็นยังไงอะ มีอารมณ์แบบนี้ป้ะ”

“เราไม่เคยทำ” นายเถียงกลับ เราจ้องตากันครู่หนึ่งก่อนนายจะยิ้มมุมปาก “บุญพูดมากอะ เมื่อไหร่จะใส่เข้ามาหละหรือว่าเหี่ยวไปแล้ว”

ทั้งที่พูดท้าทาย แต่แววตากลับหวั่นไหวอีกทั้งพยายามบิดข้อมือหนี ผมจับแขนเขาตรึงไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมหยิบเจลหล่อลื่น เปิดใช้งานอย่างรีบร้อน ชโลมบนท่อนเนื้อของตัวเองและป้ายไปที่ช่องทางด้านหลัง หากเป็นปกติผมจะเล้าโลมจนกว่านายจะฉ่ำแฉะ แต่เมื่อถูกท้าทายเข้ามาก โมหะครอบงำ พอกันทีผมไม่รออะไรทั้งนั้น ผมจับไอ้นั่นที่แข็งตัวเต็มที่จรดไปที่ช่องทางด้านหลังของเขา ค่อยๆสอดแทรกเข้าไปด้วยสติที่ยังพอมีอยู่ ไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บหรือรู้สึกเหมือนถูกข่มขืนอะไร มือที่จับแขนนายตรึงไว้กับที่นอนผ่อนแรงลงเปลี่ยนมาประสานนิ้วมือกับคนรัก ผมมองใบหน้าของนาย คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ใบหน้าแดงระเรื่อ ได้ยินเสียงครางเครือในลำคอแบบที่ไม่ใช่ความเจ็บปวดใดๆ

“เหี่ยวป้ะ เราว่าไม่เหี่ยวนะ” ผมกระซิบติดชิดใบหูของนาย เขาย่นคอลงนิดหน่อยคงเพราะจั๊กกะจี้ ผมไม่ได้ขยับตัวเพราะรั้งรอให้ภายในของเขาได้รับสัมผัสแนบแน่นนี้ นายบีบมือผมแน่น หอบหายใจแรงขึ้น เรียวขาสองข้างอ้าออกกว้างก่อนจะออกคำสั่งให้ผมขยับสะโพก

“ขยับสักทีสิ เบื่อจะแย่แล้ว” ริมฝีปากสีสดตามธรรมชาติเผยออ้าเมื่อผมดันสะโพกไปข้างหน้าเข้าเต็มแรง ทุกส่วนสัดอยู่ในร่างกายของเขา มันคงอวบและยาวมากพอที่จะทำให้เขาร้องไม่ออก เสียงของนายกระเส่าเร้าอารมณ์ เขาทำให้ความอดทนที่มีหมดสิ้น ผมสอดใส่อย่างหนักหน่วง ดันกายเข้าก่อนจะลงแรงในตอนท้าย ร่างของนายเคลื่อนไหวบนที่นอน สองมือของเราประสานจับกันแนบแน่น ดวงตาของเขาไม่หวั่นไหวแล้ว อีกทั้งยังจ้องมองตากันขณะที่ส่วนล่างสอดประสานอย่างออกรส

“ได้แค่นี้เหรอบุญ ไม่รู้สึกอะไรเลยอะ”

ผมตกหลุมไปกับคำท้าทายของนาย ท่อนล่างบดเบียดเข้าหาจนสุดแล้วขยับออกก่อนจะสอดใส่กลับเข้าไปใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในจังหวะหนักแน่นยิ่งขึ้น นายหลับตาลงเมื่อช่องทางเร้นลับถูกกระทำรุนแรง ปากที่เคยท้าทายเม้มเข้าหากัน ผมรู้ว่าเขาคงจุกเสียดอยู่ภายใน เพราะนอกจากจะไม่ได้ช่วยให้มันคลายตัวก่อน ผมยังไม่ยั้งเรี่ยวแรงในการโหมกระหน่ำลงไปสักนิด ช่องทางด้านหลังยังคงรองรับของผม บีบแน่น รัดรึงถึงอกถึงใจ ก่อนสุดท้ายเขาจะร้องครางออกมาเต็มเสียง ผมยิ้มแล้วจูบปิดเสียงครางนั่น เสียงของนายฟังอู้อี้สองมือเคลื่อนมาโอบกอดผมไว้ ลมหายใจของเราปะทะกันก่อนผมจะจับร่างนายคว่ำลง จับแขนสองข้างของเขาไพล่หลังแล้วกดใบหน้าแนบที่นอนด้วยมือข้างหนึ่ง

นายร้องครางลั่นยามไอ้นั่นของผมเสียดแทรกเข้าไปอย่างรุนแรง บั้นท้ายของเขาถูกย่ำยีอย่างที่ผมไม่เคยกระทำมาก่อน ไม่เคยกระทำแต่ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิด ผมอยากทำแบบนี้มานานแล้วอยากรุนแรงกับนาย อยากทำให้เขาร่ำร้องอ้อนวอนให้ผมช่วยทะนุถนอมเขาสักหน่อย นายดูอ่อนแรงลงไป จากที่เคยต่อต้านกลายเป็นว่าเขามีอารมณ์ร่วมยิ่งขึ้น แต่กระนั้นเขายังคงปากดีเช่นเคย ผมไม่รู้ว่านายเมาหรือเพราะอะไรแต่เขาช่างสรรหาถ้อยคำมาท้าทายผมเสียเหลือเกิน

“ห่วยแตกหวะ” เขาพูดเช่นนั้นก่อนจะหลุดเสียงร้องด้วยความตกใจเมื่อผมดึงศีรษะของเขาขึ้นมา

“ไหนลองทำให้ดูหน่อยคนเก่ง” ผมเปลี่ยนมานั่ง ดึงร่างของนายเข้ามาให้เผชิญหน้ากัน เขายิ้มมุมปากก่อนจะบดเบียดบั้นท้ายเข้ามา แต่เป็นไปด้วยความเชื่องช้า “เร็วๆหน่อย” ผมกดสะโพกของเขาให้รับท่อนเนื้อเข้าไปจนสุด นายกอดผมแน่น ไอ้ท่าทางที่วางอำนาจก่อนหน้านี้ดูอ่อนกำลังลง นายเริ่มขยับสะโพก เขาก้มหน้าลงหมายจะจูบแต่ผมกลับดึงศีรษะของเขาไว้กระชากออก เผยลำคอซึ่งเห็นลูกกระเดือกชัดเจน “ก็ไม่เท่าไหร่นี่”

“บุญนั่นแหละห่วยแตก” เขาพยายามเถียงและกดสะโพกหนักหน่วงขึ้น “หมดแรงแล้วใช่ป้ะถึงต้องให้เรามาทำเอง”

นายเอนตัวไปด้านหลัง ขาสองข้างอ้าออกกว้างเผยสัดส่วนน่ารักที่ส่ายไปตามแรงขยับ ผมมองท่อนเนื้อของตัวเองที่ผลุบหายเข้าไปก่อนมันจะโผล่ออกมาทักทายอย่างเป็นจังหวะ “ปากดีให้ตลอดนะ” ผมผลักให้เขานอนหงายพร้อมๆกับทาบทับคร่อมเขาไว้ ท่อนเนื้อยังฝังอยู่ภายใน นายเบือนหน้าหนีเมื่อถูกผมโถมทับแรงกายเข้าไป รุนแรง หนักหน่วง เน้นย้ำจนเกิดเสียงหยาบโลน ผมแทบเรียกมันว่าเป็นการทารุณหากไม่นับว่าการกระทำนี้สร้างความสุขให้คู่นอนด้วยเช่นกัน

“บุญ ทำแรงๆอีก” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเพราะร่างกายกำลังโยกไหวจากการถูกชำเราที่เบื้องหลังอย่างรุนแรง นายเกาะแขนผมหากแต่ผมสะบัดแขนของเขาออกและจับมันตรึงไว้บนเตียง ทำราวกับว่ากำลังขืนใจเขา แต่มันไม่ใช่เลย มันเป็นเพียงการแสดงบทบาทที่ทำให้ผมดูเหนือกว่าเขา “ทำเบาแบบนี้เมื่อไหร่จะเสร็จวะ” นายจ้องตาขณะพูดประโยคนั้น

ผมบีบลำคอของนาย คงออกแรงมากพอจนทำให้เขาตกใจ สองมือผวาจับตามแขนของผม หากแต่เบื้องล่างยังยินยอมให้กระทำชำเราด้วยการอ้าออกกว้าง เปิดเผยทุกอย่างให้ผมได้ทำตามใจชอบ เรามองตากัน นายแสดงความท้ายทายด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย เขาพูดถึงชื่อพี่พล หูของผมอื้ออึงไปหมด รู้เพียงแค่ว่าอยากทำให้เขาหยุดพูดจึงใช้มือบีบที่คาง โหมแรงที่สะโพกจนน่ากลัวว่านายจะได้รับบาดเจ็บ

ผมมองนายที่ดูอึดอัดกับการถูกลิดรอนกำลัง แต่เป็นเขาเองไม่ใช่เหรอที่ยินยอมให้ผมรุนแรงได้ถึงขนาดนี้ เนื้อตัวของเขามีรอยแดงเต็มไปหมดจากการถูกบีบจับไม่เบาแรง ทว่าท่อนเนื้อของผมยิ่งปวดหนึบ พึงพอใจที่เห็นนายอยู่ในกำมือ เขาดูทรมานมากขึ้น ผมรอฟังถ้อยคำร้องขอจากนาย ถ้อยคำที่บอกให้ผมหยุดรุนแรงกับร่างกายของเขา แต่นายไม่พูด เขาจ้องตาผมและพูดในสิ่งที่ทำให้ผมโมโหยิ่งกว่าเดิม ผมโถมแรงลงไปไม่ยั้ง เครื่องนอนร่วงหล่นไปหมด อีกทั้งผ้าปูที่นอนก็เริ่มยับย่นไปตามแรงกายของเราสองคน

บทรักครั้งนี้ดำเนินมาถึงปลายทาง ผมถอนกายออกมารั้งใบหน้าของนายให้รองรับน้ำเชื้อขณะที่มือรูดรั้งเพื่อให้ถึงฟากฝั่ง นายหลับตาแน่นพยายามเบือนหน้าหนีแต่เขาหนีผมไม่พ้น ผมไม่สนใจว่านายจะเสร็จสิ้นอารมณ์หมายด้วยกันหรือเปล่า ผมพรูลมหายใจเมื่อเห็นว่าน้ำขาวขุ่นเปรอะเปื้อนอยู่บนหน้าของนาย มันไหลย้อยลงมาเลอะบนริมฝีปากของเขาก่อนจะหยดลงที่คาง เราเงียบกันไปพักหนึ่ง มองดูนายที่กำลังปาดเช็ดน้ำกามออกจากหน้า ดวงตาของเขาดูหยาดเยิ้มด้วยอารมณ์คุกรุ่น ผมคิดว่าเขาอาจจะไม่ถึงปลายทาง ทว่าเมื่อมองท่อนล่างกลับเห็นน้ำขาวขุ่นของนายไหลทะลักเลอะเทอะอยู่บนหน้าท้อง แม้ว่าจะเคยรุนแรงกันมาบ้างแต่นี่เป็นบทรักครั้งแรกที่ผมปล่อยกายปล่อยใจอย่างที่ต้องการมาตลอด บางที… ผมคิดว่าบางทีอาจเป็นนายที่ต้องสัมผัสแบบนี้เช่นกัน

เราหลับกันทั้งแบบนั้น เปลือยเปล่าภายใต้ผ้านวมผืนใหญ่ คืนนั้นผมคิดว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่เราสองคนลาพักร้อนต่อหลังจากวันหยุดนักขัตฤกษ์



ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่สองของการเริ่มต้นศักราชใหม่ นายไม่อยู่บนเตียงแล้วแต่ผมได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอก พอลุกขึ้นมาก็เห็นสภาพห้องเละเทะมากกว่าที่คิด โคมไฟหล่นอยู่บนพื้น ขวดน้ำสองขวดกลิ้งไปไกลถึงประตูระเบียงห้อง เตียงยับย่นถูกดึงทึ้งจนคิดว่าน่าจะต้องปูใหม่อีกครั้ง เสื้อผ้าเปียกๆยังกองอยู่บนพื้นที่เดิม ผมล้มตัวลงไปนอนอีก เป็นครั้งแรกที่หมดแรงจะเก็บกวาดห้องตัวเองให้กลับมาสะอาด พักหนึ่งได้ยินเสียงฝีเท้ามาหยุดอยู่ด้านข้าง มืออุ่นๆแตะลงที่หน้าผากก่อนจะผละออกไป ผมปรือตามองตามอีกฝ่าย แต่ท่าทางของนายดูแปลกๆไปนิดหน่อยเหมือนลงน้ำหนักไม่เต็ม ซึ่งส่วนนี้ผมไม่ได้ฉุกคิดอะไรมากไปกว่าการครุ่นคิดว่าเขาจะทำอะไรต่อไปเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ตื่นนอน เขาเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูผืนหนึ่ง ผ้าผืนนั้นเช็ดใบหน้าของผมอย่างแผ่วเบาราวกับว่าหากเช็ดแรงอีกนิดหนึ่งก็เกรงว่าผมจะตื่น มือของเขาอุ่นจัด ผมรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่างจึงลืมตาตื่นขึ้น

“ทำไมตัวอุ่นขนาดนี้หละ” ผมจับมือของเขาแล้วผุดลุกขึ้นนั่งโดยไม่ลืมคว้าแว่นสายตาขึ้นมาสวมใส่

นายไม่ได้ตอบอะไรนอกจากเดินไปยังกองเสื้อผ้าเน่าๆที่สุมไว้จากเมื่อคืน ผมลุกขึ้นไปจับแขนของเขาทั้งๆที่ตัวเองยังเปลือยเปล่า ส่วนนายอยู่ในชุดนอนยืดย้วย “อาหารเสร็จแล้วนะ”

“เดี๋ยวเราเก็บไปซักเอง” ผมดึงเสื้อผ้าเหล่านั้นมากองไว้ที่เดิม ในช่วงที่ผิวของเราสัมผัสกันจึงรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่แตกต่าง ผมใช้หลังมือแตะหน้าผากก่อนจะทำทีเป็นสะดุ้งตกใจเหมือนในละครไทย “อุ๊ย! คุณบุรินทร์ตัวร้อนอย่างกับไฟแหนะ”

นายทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะค่อยๆเผยยิ้มในที่สุด “ทุเรศ ไอ้กฤตติน” ผมพิจารณาดูจากท่าทางและน้ำเสียงอู้อี้แล้วเขาป่วยแน่นอน แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรนายก็ตัดบทด้วยการบอกให้ไปกินอาหารมื้อเช้าด้วยกัน

ผมคว้ากางเกงนอนมาใส่ก่อนจะจูงมือของเขาเดินออกมาจากห้องนอน โจ๊กง่ายๆเหมือนเดิมรออยู่บนโต๊ะอาหารแล้ว นายรินน้ำผลไม้ให้เช่นเดิมก่อนจะนั่งลงที่ประจำ แต่คราวนี้ผมหยิบถ้วยโจ๊กมาคนให้ เป่ามันให้หายร้อนก่อนจะป้อนให้นาย เขาทำท่าจะไม่กินเพราะผมป้อนโจ๊กให้ นายก็เป็นเสียแบบนี้ สิบปีที่ผ่านมาเขาเป็นคนอย่างไรก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย เขินอายในเรื่องไหนก็ยังอายในเรื่องนั้นเช่นเดิม เขาดูแลตัวเองได้ผมตระหนักในเรื่องนั้นดีแต่ผมอยากดูแลเขาบ้าง อยากเอาใจ อยากทำให้นายทุกอย่าง

“เรากินเองได้” นายว่าแบบนั้นแล้วเบือนหน้าหนีช้อน

“อย่าสะดิ้งให้มากนักเลย กินเดี๋ยวนี้”

“บุญเป็นบ้าเหรอวะ จะมาป้อนโจ๊กเราทำไม”

ผมแสร้งถอนหายใจ มองหน้าเขานิ่งๆ แค่นั้นนายก็รู้ตัวแล้วว่าผมจริงจัง เขายอมกินโจ๊กจากการปรนนิบัติของผมจนได้

“ทำไมบุญชอบว่าเราสะดิ้งวะ เราเหมือนสาวเหรอ”

“เหมือนสาวบ้าอะไร ตัวหนักยิ่งกว่าลูกช้างอีก”

นายเหมือนจะพูดอะไรออกมาแล้วก็เงียบลงไป

“รู้ไหมว่าเมื่อคืนทำอะไรบ้าง”

เขาพยักหน้าก่อนจะกินโจ๊กไปเรื่อยๆ คราวนี้ผมยอมปล่อยช้อนให้เขาได้กินเองเพื่อที่จะได้ตักกินในส่วนของตัวเองบ้าง

“เมาเหรอ”

นายส่ายหน้าแล้วกลืนโจ๊กลงคอหมดปากจึงค่อยพูดตอบ “เราไม่ได้เมาขนาดนั้น หลังๆก็สร่างแล้ว”

ผมส่งเสียงรับมองดูเขากินอาหารเช้าไปเรื่อยเปื่อย “เวลานายเมาก็งี่เง่าเหมือนกันนะ”

ถึงแม้ว่าจะคบหากันมานานแต่นี่เป็นครั้งแรกที่นายเมาแล้วงี่เง่าทั้งที่ปกติเป็นพวกเมาแล้วง่วงนอน ในช่วงกินโจ๊กนั้นเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเป็นพิเศษ พอกินเสร็จผมเดินไปหยิบหาจัดยาให้นาย คาดว่าที่นายป่วยอาจเป็นเพราะการเข้านอนโดยไม่ได้สวมเสื้อผ้า อากาศจากเครื่องปรับอากาศก็เย็นพอสมควรเลยทีเดียวด้วย แต่ขณะที่กำลังรื้อค้นกล่องยาผมได้ยินเสียงร้องโอดโอยจากนาย เสียงของเขาไม่ได้ดังมากเพียงแต่ภายในห้องของเราเงียบสนิทจึงได้ยินเสียงร้องของเขาชัดเจน ผมเห็นนายยืนเท้ามืออยู่ตรงโต๊ะอาหาร สีหน้าไม่สู้ดีนักหรือว่าเขาจะป่วยมากกว่าที่ผมคิด

“เป็นอะไร”

นายเงียบไม่ยอมตอบ แต่สีหน้าดูซีดลงกว่าเดิม

“นาย อย่าให้ถามซ้ำ”

เขายอมสบตาด้วยก่อนจะหลุบตาลง “เราเจ็บ”

เพียงเท่านั้นผมก็เข้าใจได้ทั้งหมดว่าอาการแปลกๆของนายมีสาเหตุมาจากอะไร กลายเป็นผมที่เริ่มหน้าซีดลงบ้างเมื่อทบทวนว่าตัวเองได้กระทำรุนแรงถึงขั้นไหนจนทำให้นายเจ็บตัว ความต้องการของผมไม่สอดคล้องกับขีดจำกัดของร่างกายของนายเลย เมื่อนึกขึ้นได้ผมก็ช้อนร่างของนายขึ้นในท่าเจ้าหญิง เขาร้องประท้วงด้วยความตกใจแต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนักเพราะผมชอบหยอกล้อเขาแบบนี้เป็นปกติ ผมวางเขาลงบนที่นอนซึ่งยังคงยับยู่ยี่ มือคว้าจับที่ขอบกางเกงหมายจะตรวจดูบาดแผล แต่นายกลับฝืนแรงมือไว้

“บุญไม่ต้องดู เรามีวิธีดูแลตัวเอง ถ้ายังเจ็บอยู่เราจะไปหาหมอ” เขาละล่ำละลักบอก

ผมจ้องหน้าเขา พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยินยอมทำตามที่นายต้องการ “เราขอโทษ”

“ไม่ต้องขอโทษ” นายรีบพูดสวนแทรกขึ้นมา ใบหน้าดูร้อนรนขึ้น “เราสิต้องขอโทษ เราพูดเรื่องพี่พลกับบุญอีกแล้ว”

ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าการพูดชื่อพี่พลตอนนี้จะไม่ได้มีผลอะไรมากมายนัก อาจเป็นเพราะว่าก่อนหน้านั้นได้ปลดปล่อยพลังบางอย่างจนทำให้นายเจ็บตัว สิบปีที่ผ่านมาการร่วมรักของเราไม่เคยทำให้นายบาดเจ็บจนเขาทนไม่ไหวแบบนี้ ขณะที่คิดว่าจะทำอย่างไรต่อดีนายก็จับมือของผมเข้ามาแนบใบหน้า

“เราแค่อยากให้บุญทำอย่างที่บุญชอบ”

“โถ่ นาย เราชอบแต่นายเจ็บตัวแบบนี้เราไม่ชอบหรอก”

นายมองหน้าผม สายตาดูล่วงรู้ความรู้สึกแท้จริง และผมไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าชอบลักษณะการร่วมสัมพันธ์แบบเมื่อคืน “เมื่อคืนนี้ไม่ชอบเหรอ” นายคลึงนิ้วบนฝ่ามือ แม้ว่าสีหน้าจะซีดเซียวแต่เขายังคงยิ้ม

“ชอบ ชอบมากด้วย”

“เราก็ชอบ แต่บ่อยๆคงไม่ไหว จะตาย บุญแรงเยอะมาก”

“ก็มายั่วโมโหทำไมหละ”

เขาหัวเราะนิดหน่อย แล้วค่อยๆพิงหัวเตียง “ได้อารมณ์ดีเหมือนกันนะ”

“ไอ้บ้า” ผมบีบปากของเขาด้วยความหมั่นเขี้ยว จากนั้นก็ลุกไปจัดยามาให้ใหม่

นายรับยาไปกินอย่างว่าง่ายก่อนจะอ้อมแอ้มบอกให้ผมไปหยิบยาเหน็บจากในลิ้นชักส่วนตัวของเขา

“นี่มียาเหน็บด้วยเหรอ ทำไมไม่เคยรู้เลยวะ”

“เออ ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก”

“ไม่สำคัญบ้าอะไร เรารู้หนะว่ายาเหน็บมันช่วยอะไร” ผมกล่าวพลางถลกกางเกงของเขาออก กระนั้นนายก็ยังทำท่าจะปัดมือไม่ให้ถอดกางเกง “จะอายอะไรอีกวะ”

“มันแปลกๆโว้ย”

ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากสวมวิญญาณหมอ ค่อยๆสอดยาเข้าไปในช่องทางด้านหลังที่บอบช้ำ เมื่อเห็นชัดๆแบบนี้ผมเห็นความบวมที่เกิดจากการเสียดสีอย่างรุนแรง นายคงจะเจ็บเขานิ่วหน้าลง กลั้นหายใจในตอนที่ผมสอดยาเข้าไปก่อนจะกลับมาหายใจปกติ

“กินยาลดน้ำมูกไปก่อนแล้วนอนพัก เดี๋ยวเราออกไปซื้อยาแก้อักเสบให้” เมื่อพูดเสร็จก็วางแผนว่าจะออกไปซื้อยา ซื้อของใช้เข้าห้องนิดหน่อยทั้งที่ตั้งใจว่าจะชวนนายออกไปด้วยกัน ทว่าเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ผมคิดว่านายควรงดขยับตัว แต่แล้วนายจับมือของผมไว้ มองด้วยสายตาที่ทำให้ผมต้องหยุดและนั่งบนเตียงเพื่อรอรับฟัง “จะเอาอะไรครับ” ผมถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เห็นดวงตาใสๆก็นึกเอ็นดู

“บุญอยู่กับเราก่อนนะ”

“ไม่ได้ ต้องกินยาแก้อักเสบ ข้างในมันเป็นแผลแล้ว”

“อยู่จนกว่าเราจะหลับอีกรอบก็ได้”

ตายห่า โดนอ้อนแบบนี้ผมจะไปไหนรอด ผมทำตามคำขอ ลูบศีรษะทำราวกับว่าเขาเป็นเด็กน้อย “นาย”

“อืม”

“เรื่องแต่งงานเราไม่เคยลืมนะ เรายังยืนยันเหมือนเดิม นายรอเราก่อนนะ”

“รอไม่ไหวแล้ว อยากแต่งงานกับบุญตอนนี้เลย” เขายิ้มทั้งที่ดวงตาปรอยปรือก่อนที่มือของเขาซึ่งจับมือของผมอยู่จะกระชับบีบแน่นกว่าเดิม “อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆก็ได้นะบุญ”

“แต่เราจะผิดสัญญานะ”

“เราให้ผิดสัญญา ขอแค่อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปนานๆ” น้ำเสียงอู้อี้ของเขาฟังดูง่วงงุนหนักมากขึ้นคงเพราะยาออกฤทธิ์ นายเคลิ้มง่วงเต็มที่แล้ว แต่มือที่จับอยู่ยังไม่ยอมปล่อยแม้แต่น้อยนิด เพียงไม่นานจากนั้นเขาก็หลับไป

ผมจูบที่ขมับของเขาอย่างแสนรักและหยุดมองพิจารณาใบหน้าที่เริ่มเห็นเค้าลางตามวัย ส่วนตัวผมเองนายเคยบอกว่าผมมีรอยลึกตรงหัวคิ้ว ส่วนเขามีรอยที่หางตาค่อนข้างชัด ด้วยความซื่อตรงผมไม่เห็นถึงความแตกต่างนั่นเลย นายยังคงเป็นนาย ผมก็ยังเป็นผม ไม่ว่าเขาจะหัวเราะ ไม่ว่าเขาจะทำตัวขี้เกียจจนน่าโมโห หรือแม้แต่ยามตื่น ยามนอน มันอาจเป็นสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งผมไม่อยากนึกคิด ผมรู้เพียงแค่ว่าผมหลงใหลทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นตัวของเขา

ช่วงสายของวันนั้นผมคิดว่าผมตกหลุมรักคนรักของผมอีกครั้ง รักเหมือนเดิม รักครั้งแล้วครั้งเล่ากับคนเดิม คนที่ชื่อนาย






**********************************************




 :กอด1:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 21-12-2018 20:12:59
หมอบุญเผ็ชชชชชมากกกก
สิบปีต่อมา แต่บุญยังรักหลงรักคนเดิมซ้ำๆ อ่านแล้วดีต่อใจมากจริงๆ ค่ะ
ตัว นายเองก็เช่นกัน ก็คงตกรักหมอบุญซ้ำๆ เหมือนกันใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-12-2018 20:37:03
เช่นกันเราก็ตกหลุมรักหมอบุญซ้ำๆ ชายในฝันที่เราอยากแต่งงานด้วยยยยย  :hao5:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 21-12-2018 20:56:49
เผ็ดมากกกกกทั้งคู่แล้วเราก็หลงรักทั้งคู่มากกกก
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 22-12-2018 01:08:54
นายอ้อนหมอบุญให้อุ้มคือน่ารักมากกกก ขี้ยั่วด้วย
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: juthamart ที่ 22-12-2018 10:47:07
นายน่ารักกก อยากได้หมอบุญเป็นของตัวเองจังเลยค่ะะะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 22-12-2018 11:10:45
น้องนายเมาแล้วยั่ว(โมโห)​เก่งงงงงงง
แง​ หมอบุญดุจังอ่ะ​ ผ่านมาสิบปียังดุเหมือนเดิม
รอเล่มนะค้าา​ รอทุกเรื่องของคุณ​pq  :mew1:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: rcbpdr ที่ 23-12-2018 23:45:39
อยากจะร้องไห้ให้กับตอนนี้ สุดมาก อ่านด้วยความอิ่มเอมใจ
เป็นความรักที่ถูกคน ถูกเวลาจริงๆ
อ่านไปก็ยิ้มไป คือรู้สึกได้ว่าความรักที่พอดีกับใจมันเป็นยังไง
ความรักของสองคนนี้คือความรักในแบบที่เราตามหาเลยยย
พูดไม่ถูกเลยค่ะ แต่โดนใจมากจริงๆ55555555
เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้ทำให้วันที่แย่ๆของเราดีขึ้นมาเลย
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: megatef4 ที่ 25-12-2018 00:35:46
ก็ยังยืนยันว่าเราต้องการผู้ชายแบบหมอบุญค่ะ 555 เนี้ย รักที่เราตามหาเป็นแบบนี้ รักที่เข้าใจกัน ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-12-2018 02:34:10
 o13
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 03-01-2019 23:42:31
นายยั่วเก่งมากลูก พี่พลก็ยังตามหลอกหลอนแม้จะผ่านมาสิบปี 55555555
ขอบคุณมากค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: anonymous ที่ 05-01-2019 16:39:00
พึ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่านค่ะ เลยอ่านรวดเดียวจนจบเลยค่ะ

เราชอบเรื่องนี้มาก ทั้งบรรยากาศ ภาษา ทั้งนาย , บุญ   

มันหน่วง แต่ไม่มาก ทั้งหวาน ทั้งหวาม   ขอบคุณนักเขียนสำหรับนิยายเรื่องดีๆ แบบนี้ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: junlifelove ที่ 06-01-2019 03:53:18
บุญยังคงดีเหมือนเดิม นายก็ยังน่ารัก ฮืออออ
แต่ก็ไม่อยากให้นายพูดถึงพี่พลอีกอะ คนฟังมันเจ็บนะ 

ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษที่น่ารักๆนะคะ 10 ปีผ่านไปเค้ายังคงรักกัน ก้าวไปด้วยกัน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 06-01-2019 09:25:04
เราว่าพี่พลก็ไม่ได้แย่นะ  :mew4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Banarot ที่ 06-01-2019 21:05:55
สนุกมากๆๆ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 08-01-2019 21:12:19
ไม่รู้ว่าเราเป็นคนที่ชอบความจัดเจน ชอบคุณธรรมมากเกินไปรึป่าวนะ อ่านแล้วรู้สึกมันขัดใจไปหมด มันสนุกนะ ภาษาก็ดีมาก แต่การกระทำของตัวละครแม่งโคตรน่าขัดใจ 5555555 แต่สุดท้ายตัวพระนายก็รักกันอยู่ดี เข้าใจในกันและกันก็พอ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 14-01-2019 23:13:43
สารภาพว่าแอบไปดูสปอยด์มาก่อน 5555555555
ช่วงแรกพี่พลมาแรงมากจิง เป็นคนแรกอะ แต่ก็ไม่สุดท้ายเสมอไปเนอะ นี่ยังเชื่อตลอดนะ ว่าคนที่ใช่ต้องมาในเวลาที่ใช่ด้วย พี่พลมาในช่วงที่เรียกว่าปั๊ปปี้เลิฟ เป็นสิ่งสวยงามหมด ชอบคนแรก ครั้งแรกในหลายๆอย่าง เทคแคร์ดีด้วย แต่พอความรู้สึกที่ให้ไปไม่เท่ากับสิ่งที่ได้รับกลับมาก็....นั่นแหละ ตอนจบของเรื่องนี่แบบ เอ้าโมเม้นพระเอกชั้นล่ะ.... 5555555555555555555
เป็นการเขียนสไตล์ใหม่มากๆ เหมือนช่วงตอนพี่พลเป็นเรื่องราวดีๆในอดีตจริงๆ ส่วนตอนพิเศษเป็นของคนปัจจุบันและอนาคต  o13 บุญกายเริ่มจากการเป็นเพื่อนความหวานอาจจะไม่มาก แต่ความสัมพันธ์ ความผูกพันนี่แน่นหนาอะ มีความเชื่อใจกันด้วย ไม่หวือหวาแต่มั่นคง แต่ตอนอิพี่พลมาวอแวนี่ก็แบบ โอยยยยยย กลับมาทำไม๊  :z3: แต่ก็ทำให้รู้ว่าเค้ารักกันมากขนาดไหนเนอะ ขอบคุณนิยายดีๆอีกเรื่องค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: kaireaw ที่ 17-01-2019 12:08:59
ตอนแรกก็แอบคิดว่าพี่พลนี่มันยังไง คิดว่าอาจจะพระเอก แต่รู้สึกบุญจะเข้ามามีส่วนในชีวิตนายตลอด เลยแอบเชียร์
แต่ไม่ชอบคนแบบพี่พลเลย คืออะไรวะ มาแบบมีอะไรกับเค้าแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แบบแค่อยากได้งี้เหรอ แต่ชอบแบบน้อง โกรธ
ส่วนบุญตอนพิเศษคือแบบแซ่บมาก
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: janehsih ที่ 22-01-2019 12:31:49
หมอบุญแซ่บมากๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 05-02-2019 09:58:31
หมอออออ​
ขอบคุณครับสนุกมาก
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 01-04-2019 17:08:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 01-04-2019 22:08:21
ตามมาจากรีวิวคุณหมีคุกค่ะ เมื่ออ่านแล้วก็พบว่าหมอบุญคือแรร์ไอเทม!!!! :hao7:

หวีดมากกกกกก คือหมอบุญดีงามมากกกกกก  :hao5:

ขอแบบหมอบุญ หนึ่งที่ กลับบ้านค่าาาาา :-[

หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Iiccungmi ที่ 03-04-2019 00:15:12
ความรักก่อตัวที่นี่ ดำเนินที่นี่ และหวังว่าจะโอบล้อมความรักของบุญและนายให้อบอุ่นเหมือนอากาศวันนี้ตลอดไป ใจเต้นมากๆค่ะตอนคำชวนแต่งงานที่เรียบง่าย แงๆ เป็นกำลังใจให้ความรักขอบทั้งคู่นะคะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 05-04-2019 23:29:25
 :haun4: หมอบุญนี่มันนักบาปในคราบนักบุญชัดๆ 555555 แซ่บลืมมากกกกกกกกกกก ปริ่มมากดีใจเหมือนเลี้ยงความรักสองคนมากับมือเลยสิบปีมันนานมากเลยน้าาาขอให้นานๆแบบนี้ไปเรื่อยๆน้าาา
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 08-04-2019 09:02:18
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 10-04-2019 20:34:10
หมอบุญนี่หมาป่าห่มหนังแกะชัดๆ :hao6:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 12-04-2019 12:19:58
พึ่งมีโอกาสได้อ่านเราชอบมากเลย
การดำเนินเรื่อง ภาษา ตัวละคร รักทุกอย่างเลย
อยากได้ผช.แบบหมอบุญในชีวิตจริงบ้างค่ะ อิจฉานายมาก555555555 ปล.เราไปสอยหนังสือมาด้วยแหละ ขอบคุณนักเขียนสำหรับเรื่องราวดีๆที่เขียนมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Luxfern ที่ 14-04-2019 18:11:06
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: mpalism31 ที่ 27-04-2019 04:23:57
ชอบบบบบบบบหมออออออบุญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญ ทำไมเป็นคนดีแบบนี้ละหมอออ ฮืออออ :hao6:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 29-04-2019 19:45:43
หมอแอบดุนะ แต่ก็น่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 06-05-2019 14:36:02
ชอบตอนจบมากๆ ขอบคุณค่ะ  :L2: :L2: :3123: :กอด1:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: ffern ที่ 15-06-2019 23:27:48
เราขอสารภาพว่าเราอ่านเรื่องนี้นานมากกว่าจะยอมจับมาอ่านอีกรอบตัดินใจเเล้วว่ารอบที่สามนี้เราต้องอ่านหมอบุญให้จบ เเล้วเราก็อ่านหมอบุญจบเเล้วจรืงๆ เราไม่รู้จะขอบคุณคุณนักเขียนยังไงดีมันดีมากๆดีไปหมดทั้งพล็อตเรื่องเเละสำนวน ภาษาอ่านเเล้วลื่นไหลมาก ปักธงในใจเลยว่าเมลเบิร์นจะเป็นอีกที่ที่เราอยากจะไป ทุกๆที่ที่เค้าไปเที่ยวกันเราอยากจะตามรอยไปทุกที่เลย อ่านเเล้วอิจฉามนความเข้าใจกันของน้องนายเเละหมอบุญ เขินหมอบุญไปหมดหน้าร้อนมากเขินมากๆ หมอเเซ่บมากฮื่อ อยากจะมีหมอบุญไว้ที่บ้านㅠㅡㅠ หมอโคตรอบอุ่นเลยเป็นดั่งไมโครเวฟในใจชั้นฮื่อ ชอบมากชอบสุดๆดีทุกอย่างไม่หวือหวาเรียบง่ายเเต่มันเรียลเเละเราอินมากเต็ม10ให้100เลย ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่เขียนนิยายดีๆเเบบนี้ออกมา เป็นกำลังใจให้นะคะ o13
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 07-07-2019 12:43:37
 :mew1:  เป็นเรื่องที่เรียบๆเรือยๆแต่ประทับใจ   อยากมีหมอบุญเป็นของตัวเอง
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 10-11-2019 02:27:42
 :mew6: กลับมาอ่านอีกครั้งในรอบหลายปี  คิดถึงค่ะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 19-12-2019 01:18:12
หมอบุญรักหนักแน่นกับนายจริงๆ เราชอบแบบนี้ :mew1:

ส่วนพี่พลตามเกี๊ยวน้องเพื่อเอาขึ้นเตียงอย่างเดียวสินะ

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 21:07:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 04-05-2020 21:55:52
ยอมรับตรงนี้เลยค่ะว่าอ่านสปอยด์มา เลยทำให้ไม่อินกับพี่พล แล้วอ่านไปช่วงหลังๆยิ่งไม่ชอบเลยอ่ะ โคตรไม่ชัดเจน อยากเป็นพี่น้องเหมือนเดิมแต่ก็อยากขึ้นเตียงด้วยคืออะไรวะ โคตรเห็นแก่ตัว อยากให้นายถอยออกมา อยากให้หยุดรักพี่พลไปเลย แต่ก็เข้าใจนายอีกนั่นแหละ ก็คนที่ชอบอ่ะเนาะ มันก็มีเผลอ มีใจเต้นบ้าง แต่ๆๆๆๆๆ กลับมาที่พระเอกจองเราดีกว่าค่ะ หมอบุญดีมากกกกก ตอนอ่านตอบที่11 ที่เขียนว่าตอนจบคือ อ่าว! เหวอเลย จบแล้วหรอ แล้วหมอบุญล่ะ พออ่านตอนพิเศษ ตาย มีแต่ตายเลย หมอบุญคือผช.ที่อยากได้มากมาย อบอุ่น เข้าใจ คอยอยู่กับเราตลอด แล้วยิ่งตอนเป็นแฟนกันคือไม่ไหวแล้ว หมอดุมาก อกอิแป้นจะแตก ไม่รู้จะทำไงแต่อยากได้หมอบุญ ขอบคุณค่ะ 5555555
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: นมสดปีโป้ปั่น ที่ 08-05-2020 20:30:12
ตอนเเรกๆชอบบุญมาก เเต่นึกว่าคงเป็นพระรอง ไม่คิดเลยว่าบุญจะคู่กับนาย กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด :hao7:
หัวข้อ: Re: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 11-09-2020 16:46:27
หมอบุญน่าร้ากกกกก