af·fec·tion
əˈfekSH(ə)n/
noun
a gentle feeling of fondness or liking.
ตอนที่หนึ่ง
.
.
.
.
“เอาล่ะ ประชุมวันนี้มีใครอยากเพิ่มเติมอะไรอีกไหม ไม่มีแล้วนะ งั้นจบประชุม”
สิ้นเสียงห้องเรียนทั้งห้องก็กลับมามีชีวิตชีวาหลังจากร่วมประชุมเรื่องการจัดทำงานบายเนียร์ ผมเองก็รู้เหนื่อยจึงรีบพูดตัดบทให้เลิกประชุมก่อนจะเดินกลับมานั่งรวมอยู่กับกลุ่มเพื่อนอีกสี่คน
“จะเอา Theme Gatsby จริงๆเหรอวะ กูว่ามันเกร่อไปอะ”
ไอ้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาทันทีที่ผมนั่งลง ผมอ้าปากค้างปรือตามองหนึ่งด้วยความเบื่อหน่าย “แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่เสนอ Theme อื่นล่ะ ไอ้ควายหนึ่ง”
“เพิ่งนึกออกว่ะ คือเห็นช่วงนี้งานแต่งงานวันเกิดแม่งก็ Theme นี้เยอะ แต่ก็เอาตามนั้นแหละ”
ผมเก็บหนังสือเรียนเข้ากระเป๋าไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะเดินตามเจ้าพวกนั้นออกไปจากห้องเรียน หลังจากเลิกเรียนแล้วเป็นธรรมดาที่กลุ่มของเราจะต้องไปหาอะไรทานกัน โรงอาหารที่ใกล้ที่สุดคือเป้าหมายของพวกเรา โชคดีที่ในเวลาหกโมงเย็นแบบนี้ยังพอมีอาหารให้ทานบ้าง เพราะไม่อย่างนั้นผมคงต้องหิ้วท้องไปทานข้าวที่บ้าน บ้านก็ไกลแสนไกลคนละซีกกับมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่เลย จะให้อยู่หอก็ไม่ชอบแต่กลับชอบไปนอนค้างคืนที่ห้องของเพื่อนเป็นประจำ มันให้ความรู้สึกต่างกันนะ การใช้ชีวิตอยู่ที่หอพักกับนอนค้างห้องเพื่อน
ในโรงอาหารมีคนประปราย นั่งเล่น นั่งทำงาน นั่งทานข้าว กลุ่มของผมเลือกนั่งโต๊ะที่ติดกับพัดลม คล้ายๆกับเป็นโต๊ะประจำเพราะเมื่อไหร่ที่มาทานข้าวและโต๊ะตัวนี้ว่างกลุ่มเราจะนั่งตรงนี้เสมอ เจ้าพวกเพื่อนของผมวางกระเป๋าแล้วเดินไปซื้ออาหารกันทั้งหมดทิ้งให้ผมนั่งเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียว ระหว่างรอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นตามประสาคนติดโลกออนไลน์ ไม่นานนักเพื่อนของผมก็กลับมาพร้อมกับอาหาร แต่ที่ประหลาดใจก็คือเหมือนจะมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
“เฮ้ย ซื้อข้าวเสร็จละ” หนึ่งพูดพลางนั่งลง “อ้าว หยิบช้อนมาสองคัน ขากลับฝากเอาส้อมมาให้กูด้วยนะ”
“เออ” ผมรับคำแต่ก่อนที่จะได้เดินออกไป กลับมีเสียงเรียกเอาไว้
“ฝากซื้อน้ำเปล่าขวดนึงด้วยดิ”
ผมมองอีกฝ่าย ในสมองคิดประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งว่าไอ้หมอนี่คือใครเจอหน้ากันครั้งแรกก็ใช้ผมเลย ผมไม่ได้ตอบรับใดๆก่อนจะเดินออกไปซื้ออาหารให้ตัวเอง ผมสั่งเมนูประจำเหมือนทุกครั้งเมื่อมาโรงอาหารนี้ ระหว่างรอนึกสงสัยไม่หายว่าผู้ชายที่มากับไอ้หนึ่งคือใคร ผมหันไปมองเห็นเขากำลังหัวเราะอ้าปากกว้าง ผมบอกกับพี่ร้านก๋วยเตี๋ยวว่าเดี๋ยวมาเอาก่อนจะเดินไปซื้อน้ำเปล่าและไม่ลืมที่จะหยิบอาวุธให้เหมาะสมกับสมรภูมิอาหารมือเย็นนี้ด้วย พอกลับมาที่ร้านก็พบว่าก๋วยเตี๋ยวที่สั่งไว้เสร็จพอดี เส้นเล็กแห้งโปะหน้าด้วยไก่ทอดชิ้นเท่าฝ่ามือนี่แหละสุดยอดอาหารจานเด็ดของโรงอาหารนี้
“เท่าไหร่อะ” เจ้าของเสียงจะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากคนแปลกหน้าที่มากับไอ้หนึ่ง
“สิบบาท” ผมตอบเรียบๆ ฝ่ายนั้นเอ่ยขอบคุณและเหรียญสิบบาทไว้ตรงหน้าถ้วยก๋วยเตี๋ยว เวลานั้นผมไม่สนอะไรนอกจากรีบคลุกก๋วยเตี๋ยวให้เข้าที่ ก่อนจะคีบชิ้นไก่ทอดที่ถูกสับเป็นชิ้นยาวพอดีคำส่งเข้าปากก่อนเป็นคำแรก
“สรุปตีมแก๊สบี้ใช่ป้ะ” เสียงของคนแปลกหน้าเอ่ยขึ้น ผมเหลือบมองเขาที่กำลังแกะพลาสติกบนฝาขวดออกแล้วยกขวดขึ้นดื่ม คงจะกระหายน้ำมาก หมดไปเกือบครึ่ง
“ใช่พี่ จริงๆผมว่าเกร่อไปหน่อย แต่ก็ตามเสียงส่วนมาก” ไอ้หนึ่งจอมงอแงง้องแง้งยังไม่จบประเด็นเกร่อๆของมันอีกสักที “นี่ยังนึกไม่ออกว่าผู้ชายเขาแต่งตัวกันแบบไหน”
“สูทมั้ยล่ะอิหนึ่ง เปิดกูเกิ้ลดูสิวะ” คราวนี้เป็นเสียงของเฟริสท์ เป็นสาวหนึ่งในสองคนของกลุ่ม “ตอนอินายมันให้เสนอ Theme เสือกเล่นแต่เกม แล้วก็มาบ่นเกร่อๆนอกห้อง งึมงำๆอะไรอยู่ได้ เสร่อ”
ไอ้หนึ่งกรอกตาใส่เฟริสท์ที่บ่นได้ตรงประเด็น จริงๆแล้วทุกครั้งที่ประชุมหรือมีกิจกรรมที่ต้องเสนอความคิดก็มักเป็นแบบนี้เสมอ ประเภทที่ในห้องไม่ออกความคิดเห็นมาปากดีเอาข้างนอก “เออๆ นั่นแหละๆ”
“ตอนแรกในห้องจะเอา Theme ชุดไทยพี่ แล้วเป็นชุดไทยสมัยรัชกาลที่ 5 อะ ไม่ไหว ลูกไม้แขนพองงี้” เฟริสท์บ่นต่อ ท่าทางเฟริสท์ก็ไม่ไหวตามพูดจริงๆนั่นแหละ ปกติมันเป็นคนไม่เรื่องมากแต่คราวที่อยู่ประชุมกันในห้องเฟริสท์ถึงกับต้องลุกขึ้นแย้งจนเพื่อนๆในห้องยอมหา Theme อื่นแทน
“ใครเสนอวะ” คนแปลกหน้าเอ่ยถาม
“นุ่นเอง” คราวนี้เป็นเสียงจากเพื่อนอีกคนในกลุ่มที่ชื่อนุ่น “นุ่นชอบชุดยุคนั้นอะ”
“ผมเสนอ Theme Playboy แต่แม่งไม่มีใครเห็นด้วยเลย” ไอ้บอมที่เพิ่งเงยหน้ามาจากเกมในโทรศัพท์มือถือเอ่ยขึ้นบ้าง “ชุดผู้หญิงนี่ง่ายมากใส่ชุดกระต่าย ติดหูติดหาง” ชุดกระต่ายที่บอมพูดถึงนี่มันมโนภาพถึงชุดในนิตยสารปลุกใจเสือป่าไม่ใช่ชุดกระต่ายน่ารักๆใสๆนะ
“ดีใจจังนานๆทีอิบอมจะมีส่วนร่วม แต่กูว่ามึงอยู่เงียบๆเหมือนเดิมก็ดี” หนูนุ่นพูดยิ้มๆ ตาหยี ซอฟๆ “สมองแม่งอยู่ใต้สะดือ ไอ้ควาย”
“ไอ้นุ่น!”
หลังจากนั้นพวกมันก็ฉะฝีปากกันเรื่อง Theme งานบายเนียร์ของรุ่นพี่ปีสี่ ทั้งที่ประเด็นนั้นมันควรจบไปตั้งนานแล้ว แต่เดี๋ยวนะ… นี่ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่า ทำไมรู้สึกเหมือนไอ้เจ้าเพื่อนพวกนี้จะรู้จักรุ่นพี่คนนี้กันหมด ผมสะกิดไอ้หนึ่งและกระซิบถามถึงรุ่นพี่คนนี้ที่ผมไม่รู้จัก มันบอกว่าเป็นรุ่นพี่ตอนอยู่มัธยม รู้จักกันตอนงานแรลลี่ศิษย์เก่า หนึ่ง เฟริสท์ นุ่นแล้วก็บอมจบมัธยมที่เดียวกันแต่เพิ่งมาสนิทตอนเข้ามหาวิทยาลัย มีผมนี่แหละที่เพิ่งมารู้จักพวกมันตอนเข้าปีหนึ่ง พอรู้อย่างนั้นก็หายสงสัย ผมทานก๋วยเตี๋ยวต่อนั่งฟังพวกมันเถียงกันก็บันเทิงพอแล้ว
“แล้วเลือกโรงแรมที่จัดงานแล้วใช่ป้ะ”
อยู่ๆรุ่นพี่คนนั้นก็หันมาถามผม ผมพยักหน้ารับแทนคำพูดเพราะตอนนี้ในปากกำลังเต็มไปด้วยก๋วยเตี๋ยวไก่ทอด
“ที่ไหน”
“โรงแรมแถวแม่น้ำเจ้าพระยา”
ฝ่ายนั้นทำหน้าเข้าใจ “สถานที่สวยแต่อาหารธรรมดามาก แต่ก็โอเคแหละ เน้นเที่ยวต่อมากกว่า”
ผมยิ้มรับแทนคำพูด เพราะผมไม่ใช่คนพูดเก่งสักเท่าไหร่ จะว่าไปก็นึกประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่ผมไม่รู้จักเขามาก่อนทั้งที่เรียนอยู่ในคณะเดียวกัน อย่างน้อยตอนรับน้องหรือมีกิจกรรมภายในคณะก็น่าจะต้องคุ้นๆหน้ากันบ้าง แต่นี่ผมอยู่ปีสามแล้วเพิ่งจะมาเห็นเขา แต่ก็ช่างเถอะคนตั้งเยอะแยะจะไปรู้จักหมดได้ยังไง
“เราชื่ออะไรนะ”
“นายครับ”
“พี่ชื่อพลนะ”
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักชื่อของเขา พี่พล
************************************