ตอนที่สอง
ในวันที่มีเรียนเช้าผมมักมาถึงที่มหาวิทยาลัยก่อนเวลาเข้าเรียนเพราะชอบมานั่งเล่นคอมพิวเตอร์ในห้องสมุด บรรยากาศเงียบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ผมเดินมานั่งที่คอมพิวเตอร์เครื่องประจำ เปิดเครื่อง ก่อนจะเดินไปยืนตรงบันไดวนแล้วมองไปข้างล่างเพื่อถ่ายภาพเล่น อาคารห้องสมุดเป็นทรงกลม มีบันไดวนแบบพื้นราบไม่มีขั้นอยู่ในอาคารให้เดินขึ้นมาแต่ผมใช้ลิฟท์เสมอ ผมมองไปเรื่อยๆเห็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดกำลังจัดของให้เข้าที่เข้าทาง อยู่ๆประตูก็เปิดออก มีนักศึกษาชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแตะบัตรนักศึกษาเพื่อลงทะเบียนเข้าห้องสมุด ผมมองตามเขาที่เดินขึ้นบันไดวผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ช่วงจังหวะที่เส้นทางบันไดพาวนให้ร่างของเขาหน้ากลับมาผมก็เริ่มคุ้นกับผู้ชายคนนี้ขึ้นมา
“พี่พล” ผมเรียกเสียงปกติ แต่เขากลับได้ยินแม้จะยังอยู่ที่ชั้นสอง
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงที่อยู่ชั้นสาม “อ้าว นาย” เขายิ้มนิดๆ แล้วรีบก้าวเท้าขึ้นมาบนชั้นสามอย่างรวดเร็ว “มาเช้านะ ทำไรอยู่”
“เล่นคอม” ผมตอบเรียบๆเดินกลับมานั่งที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ตอนนี้พร้อมใช้งานแล้ว
“มีเรียนกี่โมง”
“เก้าโมง แล้วพี่อะ”
“ไม่มีเรียนหรอก แต่เข้ามาทำงาน” เขาวางกระเป๋าลงที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ข้างๆผม “ใกล้จะจบแล้วแต่ยังขี้เกียจอยู่เลยว่ะ”
“เหมือนกัน ขี้เกียจมาก”
“เราเพิ่งมาสนิทกับพวกไอ้หนึ่งเหรอ ทำไมไม่เคยเจอเลย”
“ก็รู้จักพวกมันมาตั้งแต่ตอนปีหนึ่งนะ”
พี่พลทำหน้ารับรู้ก่อนจะหันกลับไปสนใจคอมพิวเตอร์แทน หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่ได้สนทนาใดๆกันอีก ผมเสียบหูฟังเปิดยูทู้บ เข้าหน้าเวบต่างๆไปเรื่อยเปื่อย แต่พอเล่นไปสักพักหนึ่งก็เริ่มเบื่อ ผมเงยหน้าขึ้นมาภาพสะท้อนในกระจกตรงหน้า ผมเห็นพี่พลกำลังหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ทำ เขาเป็นคนหน้าตาธรรมดา ไม่ได้หล่อเหลาอะไรมากนัก แต่ดูสะอาดสะอ้านแต่งตัวเรียบร้อยกว่านักศึกษาโดยทั่วไป ดูท่าทางแล้วคงจะเข้ากับคนได้ง่ายเพราะขนาดผมที่เพิ่งรู้จักเขายังชวนคุยได้เรื่อยๆทั้งที่ผมเองก็ไม่ใช่คนคุยเก่งสักเท่าไหร่แถมหน้าตาก็ออกจะไม่เป็นมิตร
ผมแอบมองเขาทำงานอยู่ครู่หนึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมอง…
พอถึงเวลาเรียนผมก็ลุกออกมาอย่างเงียบๆ ไม่ได้บอกกล่าวพี่พลเลยด้วยซ้ำแต่ดูเหมือนเขาเองก็กำลังหมกมุ่นอยู่กับงานคงไม่ได้สนใจอะไร ผมเดินมาถึงที่ห้องเรียนรีบปรี่ตัวเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆเพราะอาจารย์เข้าสอนแล้ว ผมหยิบอุปกรณ์การเรียนขึ้นมาหมายมั่นว่าจะตั้งใจเรียนแต่ผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่น ส่วนเพื่อนผมก็ไม่ต่างกัน พวกมันหลับโชว์อาจารย์เลย เวลามีเรียนเช้าก็แบบนี้แหละ ไม่นั่งอึนก็หลับโชว์
ผมส่งข้อความนัดเพื่อนคนหนึ่งไว้จะไปดูหนังแล้วค่อยไปงานแสดงศิลปะ เพื่อนคนนี้ผมไปเจอตอนไปดูแสดงสดขอวงดนตรีวงหนึ่งที่ออสเตรเลีย ผมลงทุนออมเงินและดั้นด้นไปถึงเมลเบิร์นเพื่อชมการแสดงสดของวงนี้ ตอนไปเจอเขายังประหลาดใจอยู่เลยที่ได้เจอคนไทยเพราะจริงๆแล้ววงดนตรีวงนี้ก็ไม่ได้โด่งดัง จากนั้นเราก็คุยกันมาเรื่อยๆและนัดไปเที่ยวกันบ่อยๆ ส่วนเพื่อนที่มหาวิทยาลัยไม่มีใครสนใจหรือมีรสนิยมเดียวกันกับผมเลย เพราะงั้นเวลาอยู่กับเจ้าพวกนี้ก็ต้องคุยเรื่องอื่นเป็นส่วนมาก หลังจากส่งข้อความไปมาได้สักพักประตูห้องเรียนก็เปิดออก ผมจึงละสายตาไปมองและพบว่าเป็นพี่พลที่เดินเข้ามา ห้องเรียนที่ผมนั่งอยู่นั้นประตูอยู่ด้านหลังจึงไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่พี่พลจึงมานั่งข้างๆผมที่นั่งติดอยู่กับประตูทางเข้า
“อ้าว…” ผมเอ่ยขึ้น ไม่รู้ว่ามันเป็นคำทักทายหรือเป็นประโยคอะไรเหมือนกัน
“ออกมาก็ไม่บอก” เขากระซิบพูดเบาๆ แล้วหยิบหนังสือของวิชาที่กำลังเรียนอยู่ไปดู “ไม่จดอะไรเลยเหรอ”
“ขี้เกียจ”
“แล้วจะทำข้อสอบได้มั้ยเนี่ย”
ผมเงียบไม่ตอบอะไรได้แต่ส่งยิ้มแหยๆไป
“สมแล้วที่อยู่กับพวกไอ้หนึ่งได้” เขากล่าวแล้ววางหนังสือไว้ที่เดิม “พวกขี้เกียจเหมือนกัน”
ผมยิ้มตามเขา รู้สึกอยากหาเรื่องอื่นๆมาต่อบทสนทนาแต่ในหัวของผมก็มีแต่เรื่องดูหนังฟังเพลง อยากถามพี่พลว่ารู้จักวงดนตรีไหนบ้างแต่ก็ไม่กล้าถามเพราะผมกลัวว่ามันจะกลายเป็นเดดแอร์ ประสบการณ์ที่ผ่านมามันมักเป็นแบบนั้นเสมอ ตอนนี้เจ้าพวกชาวแก๊งส์ของผมเริ่มหันมาทักทายผู้มาเยือนพี่พลจึงย้ายไปนั่งข้างไอ้หนึ่ง แล้วเริ่มคุยกันเรื่องเกมแบบที่ผมฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ผมไม่ค่อยเล่นเกมเคยโหลดเกมใหม่ๆมา เล่นไปไม่เท่าไหร่ก็ลบทิ้งเพราะเล่นนานๆแล้วเบื่อ จริงๆชีวิตผมก็น่าเบื่อแหละ พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง บางทีชวนคนอื่นคุยก็เหมือนจะถามอะไรที่ต่อกันไม่ติดเลยชอบอยู่เงียบๆคนเดียวทำกิจกรรมอะไรที่สามารถทำคนเดียวได้
หลังจากที่อาจารย์สอนเสร็จห้องเรียนก็กลับมาเสียงดังอีกครั้ง นักศึกษาเริ่มทยอยกันออกจากห้องกลุ่มของพวกผมก็เช่นกัน ผมเดินรั้งท้าย มองดูพี่พล ไอ้หนึ่ง และไอ้บอมจ้อเรื่องเกมอย่างเมามัน ส่วนเฟริสท์กับนุ่นก็คุยกันเรื่องเสื้อผ้าที่จะใส่ไปงานบายเนียร์ตามประสาผู้หญิง ส่วนผมได้แต่เดินตามไปอย่างเงียบๆด้วยความง่วงงุน พวกเรามุ่งหน้าไปยังหอของเฟริสท์เพราะใต้หอมีร้านอาหารตามสั่งเจ้าเด็ดที่กลุ่มเราชอบทานกันเป็นประจำ หลังจากทานข้าวก็คงนอนเพื่อรอเวลาเรียนรอบบ่ายที่ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มเรามักจะหลับยาวและไม่ค่อยได้เข้าเรียน ตื่นอีกทีก็เตรียมตัวออกไปสังสรรค์ย่านเอกมัยอยู่เสมอ
อาหารที่เราสั่งมากันนั้นเป็นเมนูเดิมๆ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ต้มยำปลาทอด ปลาทอดผัดกะเพรากรอบ หมูกรอบกระเทียม แบละอื่นๆอีกตามแต่อารมณ์ ถ้าไม่ได้ทานข้าวที่โรงอาหารเราก็สั่งเมนูเหล่านี้กัน แต่ตอนนี้ผมกำลังลุ้นอย่างใจจดใจว่าพี่พลจะสั่งอะไรเพิ่ม
“เอา… ไข่เจียว”
“โห ไรวะพี่ รอตั้งนาน” เสียงไอ้บอมบ่น
“อ้าว ก็พวกมึงกดดันกูอะ กูก็ต้องรีบตัดสินใจป่าววะ”
ผมหัวเราะเบาๆกับเมนูของพี่พลก่อนที่สายตาจะเหลือบไปมองเห็นร้านเครป ภาพของเครปที่อยู่บนป้ายไวนิลมันกำลังยั่วให้ผมหิวมากกว่าเดิม ในระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้ออยู่นั้นพี่พลก็สะกิดผมแล้วพยักเพยิดหน้าไปทางร้านเครป
“ไปซื้อเป็นเพื่อนหน่อย” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นทันทีไม่ให้เวลาผมคิดอะไร ผมเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย “คนละครึ่งนะ ชิ้นนึงกินไม่หมดว่ะ”
“ได้เลย ผมเอาปูอัดไส้กรอกชีส”
“นี่กะไม่ให้เลือกมั่งเลยรึไงวะ” เขาพูดยิ้มๆไม่ได้จริงจังอะไรก่อนจะหันไปสั่งเครปกับคนขาย “เอาปูอัดกับไส้กรอกชีสชิ้นนึงครับ”
“รู้จัก Fleetwood Mac ป้ะ” ผมเอ่ยถามแต่ไม่กล้ามองพี่พล ได้แต่มองคนขายที่กำลังละเลงแป้งเครปบนเตา
“รู้จักดิ ทำไมวะ”
“ป่าว ก็ถามดู แล้ว…” ผมเว้นจังหวะไว้แล้วเหลือบตาขึ้นไปสังเกตอีกฝ่าย “ชอบป้ะ”
“ชอบ วงโปรดเลย สะสมไวนิลด้วย”
“เฮ้ย งี้ก็แสดงว่ามีเครื่องเล่นแผ่นเสียงด้วยดิ”
“มีดิ ไม่งั้นจะสะสมไปทำไมวะ เราชอบวงนี้เหรอ”
“ชอบ นายชอบฟังเพลงเก่าๆ” ผมรู้สึกเหมือนจะตื่นเต้น ไม่แน่ใจว่าใช่ความรู้สึกนี้หรือเปล่าแต่มันมีความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในร่างกายกำลังสูบฉีดแรงขึ้น “คอนเสิร์ตคราวที่แล้วก็ไปดูนะ ฟินตายตาหลับได้เลย”
“บินไปดูที่ไหนวะ”
“เยอรมัน โชคดีที่ได้ตั๋ว”
“โห โคตรโชคดี” เขาพึมพำแล้วยิ้มนิดๆก่อนจะหันไปจ่ายเงินค่าเครป
ผมว่ามันอาจจะเป็นเพราะผมได้คุยเรื่องที่ชอบแถมยังไม่เดดแอร์ด้วยก็เลยรู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆจนอดยิ้มไม่ได้เหมือนกัน
หนังท้องตึงหนังตาหย่อน… ตอนนี้ชาวแก๊งส์ของผมและรวมพี่พลเราอพยพขึ้นมานอนที่ห้องของเฟริสท์แล้ว ผมเข้ามุมโซฟาเหมือนเดิมส่วนที่เหลืออยู่บนเตียงพวกมันกำลังคุยเรื่องงานบายเนียร์ของรุ่นพี่ปีสี่ สถานที่จัดงานการแต่งภายในงานค่าใช้จ่ายแต่พอคุยเรื่องชุดไอ้บอมกับไอ้หนึ่งเริ่มไม่มีปากเสียงจึงหันมาเล่นเกมแทน ปล่อยให้สาวๆเธอเป็นคนจัดการให้กลุ่มเรา ผมก็ได้เออออห่อหมกตามน้ำไปขี้เกียจเถียง พวกสาวๆจะให้ใส่ชุดแบบไหนก็ตามนั้นเลย
“มึงจะบ้าเหรอไอ้นุ่น สูทแบบนี้มันแพงนะเว่ย” เสียงของพี่พลโวยวายขึ้นมา
“ลงทุนหน่อยดิพี่ ถ่ายรูปออกมาจะได้ดูดี”
“เออๆ เดี๋ยวลองดูก่อนแล้วกัน” พี่พลรับคำก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาข้างๆผม “มีสูทรึยังวะ”
“มีแล้วสีดำ แต่คงไม่ใส่อะ”
“อ้าว ไม่แต่งตาม Theme เดี๋ยวไอ้เฟริสท์ก็ด่าหรอก”
“ป่าว แต่ชุดที่คิดไว้มันไม่ต้องใช้สูท นี่ไง…” ผมเปิดรูปภาพจากโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มในยุคนั้นให้พี่พลดู ในภาพเป็นชายหนุ่มที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขาวและสวมเสื้อกั๊กสีน้ำตาลอ่อน เป็นสไตล์ลำลองในยุคนั้น พี่พลขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าด้านข้างของเขากับทรงผมด้านข้างที่ถูกไถถูกตัดมาอย่างประณีตเป็นผมเองที่จ้องมองเขาไม่วางตา “เอาสูทของนายไปใส่ก็ได้นะ”
“เออ ดี” เขาเงยหน้าขึ้นมามองผม รอยยิ้มดีใจนิดๆปรากฏอยู่บนใบหน้าที่ดูเกลี้ยงเกลา “รอบอกเท่าไหร่”
“38 นิ้ว”
“โห ใส่ไม่ได้” พี่พลทำหน้าผิดหวัง “ของพี่รอบอก 46 นิ้วอะ เสื้อปริคานมแน่ๆ”
ผมแอบมองหน้าอกของเขาโดยไม่รู้ เพิ่งจะมาสังเกตว่าพี่พลรูปร่างบึกบึนหุ่นดีกว่าผมเยอะ ยิมกับผมคงคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก “อีกนิดนึงจะเป็นกัปตันอเมริกาแล้ว”
“แล้วเราล่ะ ไม่เข้ายิมมั่งรึไง” เขาเอาศอกจิ้มแขนผมเบาๆก่อนจะเอามือพาดไหล่ผม
“ไม่อะ ขี้เกียจ” พี่พลขยี้หัวของผมนิดๆแล้วหัวเราะชอบใจอะไรก็ไมรู้ “ชิ้บหายละ จะสอบอยู่แล้วนี่หว่ายังไม่ได้อ่านหนังสือสักตัว” เป็นเสียงโวยวายจากไอ้หนึ่ง
ห้องทั้งห้องชะงักไปชั่วครู่ จะว่ายังไงดีล่ะไม่ใช่ว่าลืมอะไรหรอกแต่ขี้เกียจอ่านกันมากกว่า เหมือนต้องมีใครสักคนคอยกระตุ้นสักหน่อยถึงจะกระเตื้องขึ้นมาบ้าง แถมอยู่ๆก็โดนยัดเยียดงานบายเนียร์เข้ามาอีกด้วยทีนี้ก็ขี้เกียจเลยเถิดไปกันใหญ่เลยกับการอ่านหนังสือของชาวแก๊งส์
“แม่งขี้เกียจจะอ่านหนังสือ มึงอ่านมั่งหรือยังไอ้บอม” เฟริสท์เอ่ยถามเจ้าบอมที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่
“ยัง มึงรู้จักอัจฉริยะข้ามคืนมั้ยล่ะ”
พวกเราทุกคนทำหน้าเอือม เป็นอันรู้กันว่าไอ้บอมจะยังไม่อ่านจนกว่าวันสอบ เผลอๆเป็นอัจฉริยะภายในสามสิบนาทีก่อนเข้าสอบเลยด้วยซ้ำ
“รอบนี้กูไม่สรุปให้นะมึง” คราวนี้นุ่นพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆหากแต่สามารถดึงความสนใจจากบอมได้ ไอ้บอมนั่งลงแทบเท้าไอ้นุ่นบีบๆนวดๆเป็นการอ้อนวอน “อ่านเองมั่งสิวะพวกมึงอะ”
“หนูนุ่น อย่าทำแบบนี้สิ” มันเว้าวอนต่อไป ถึงแม้ว่าคณะที่พวกผมเรียนจะไม่เน้นการสอบแบบปรนัยสักเท่าไหร่แต่มันก็มีและเป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน บางทีด้วยความขี้เกียจผมก็เป็นอัจฉริยะหน้าห้องสอบมันเสียเลย
“โห แต่ละตัว” พี่พลส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยอ่อน “แล้วเราล่ะ” คราวนี้เขาเจาะจงถามผม
ผมส่ายหน้าแทนคำพูด รัศมีแห่งความขี้เกียจแผ่ซ่านขนาดนี้ดูไม่ออกหรือไง
“ตายห่าแน่ๆ” ช่างเป็นกำลังใจที่ดีเสียเหลือเกิน เขาส่ายหัวด้วยความเหนื่อยหน่าย
“รอบบ่ายกูไม่ไปเรียนละนะ ขี้เกียจว่ะ” เสียงไอ้หนึ่งสมทบความขี้เกียจของชาวแก๊งส์ พอมีคนนึงที่แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนขนาดนี้ก็พาลเอาที่เหลือเริ่มคล้อยตาม ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาตัวรอดมาได้ยังไงกับการสอบที่ผ่านมา ชาวแก๊งส์เราเป็นพวกเรียนๆเล่นๆ เหลวไหล เที่ยวเตร่ห้องเรียนไม่เข้า อนาคตดูรุ่งริ่งสุดๆ
“อ้าว แล้วจะเอาสไลด์จากไหน” ผมถามขึ้น โดยปกติแล้วทางอาจารย์จะอัพโหลดสื่อการเรียนการสอนที่เป็น Soft file ไว้ให้ในเวบของมหาวิทยาลัย แต่มีอาจารย์คนนี้แหละที่ไม่อัพให้ “แต่พวกมึงไม่ไปกูก็นอนอยู่นี่แหละ” ความขี้เกียจไม่เข้าใครออกใครจริงๆ
“เฮ้ย ไอ้พวกนี้ ลุกขึ้นเลยเรา เดี๋ยวไปเรียนเป็นเพื่อน” เป็นเสียงแห่งความหวังดีของพี่พล
“แล้วงานของพี่ล่ะ”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เดี๋ยวไม่จบนะโว้ย”
ผมเงียบไถตัวลงนอนอืดบนโซฟาด้วยความเกียจคร้านสุดๆ แต่แล้วพี่พลกลับเลิกชายเสื้อนักศึกษาของผมขึ้นเล่นเอาตกใจจนสะดุ้งขึ้นมานั่ง “โห อายนะเนี่ยมีแต่พุง”
“เร็ว ลุกขึ้น” เขาเร่งเร้าอีก “เร็วๆๆๆๆ” พูดพลางถลกชายเสื้อผมไปมาอีกรอบ
ผมมองเขาแล้วยืนกรานในความขี้เกียจ “ไม่ไป”
“ไอ้ดื้อ”
พอได้ยินถ้อยคำยืนกรานพี่พลก็ลดตัวลงเอนไปกับโซฟา เอื้อมมือมาจับท้ายทอยของผมไว้แล้วขยำเบาๆ ผมทำตัวไม่ถูกกับสัมผัสที่ได้รับ ไม่เคยมีใครสัมผัสกับผมแบบนั้น มันชวนให้ใจหวั่นไหวและวาบหวามไปกับสัมผัสบ้าบอนั่น ผมมองเขาพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา ผมคิดว่าเขาจะปล่อยมือแต่เปล่าเลยเขาจ้องผมกลับและยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มเรียบง่าย ใจดี และปลอบประโลม มันล่อลวงให้ผมต้องยิ้มตาม
“ช้า”
เสียงค่อนขอดจากบุญเอ่ยขึ้นทันทีที่ผมเดินเข้าไปยืนตรงหน้า “โทษที รถติดมากอะ” แน่ล่ะ เขาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยในตัวเมืองและสถานที่นัดก็อยู่ใกล้กับเขาเสียเหลือเกิน ถ้าบุญมาช้ากว่าผมก็นับว่าผิดปกติแล้ว
“ไปเถอะ หิวแล้ว"
“เดี๋ยว ขอหาน้ำกินก่อน” ผมบอกแล้วมองหาร้านขายน้ำในบริเวณนั้น
“นี่จะไปร้านอาหารอยู่แล้วนะยังจะเรื่องมากอีก” เสียงของบุญดูเหมือนจะบ่นๆแต่เชื่อเถอะว่าเขายื่นขวดน้ำเย็นๆให้ผม “ดีนะเนี่ยเราเพิ่งซื้อตอนเดินมาที่นี่”
ผมยิ้มรับแม้จะยังรู้สึกเพลียกับการเดินทางจากนอกเมืองเข้าตัวเมือง แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือเดินตามหลังบุญไปเงียบๆ
คนนี้แหละคือบุญ เพื่อนที่ผมเจอตอนไปเมืองนอก ตอนแรกที่เจอผมคิดว่าพอกลับไทยก็คงจะห่างๆกันไปเองกลับกลายเป็นว่าบุญยังคงติดต่อกับผมอยู่สม่ำเสมอ นิสัยของบุญก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรออกแนวจะเป็นคนประเภทจังไรด้วยซ้ำ แต่แปลกที่กลับถูกคอกับผมอย่างน่าประหลาด ในตอนแรกเราคุยกันแต่เรื่องเพลง เรื่องภาพยนตร์ แต่หลังๆผมเริ่มติดคุยกับบุญมากขึ้นจนคุยเรื่องส่วนตัว บุญเองก็เช่นกันเขามักจะมีเรื่องมาคุยกับผมเสมอ เราสนิทสนมจนไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ยอมรับเลยว่าผมติดเขามากกว่าชาวแก๊งส์
วันนี้ผมกับบุญนัดดูหนังกันก่อนจะไปงานแสดงศิลปะ เราไม่ได้มีความรู้อะไรกับศิลปะเลยแต่ความรู้สึกที่เหมือนกันก็คืออยากชื่นชมผลงานพวกนี้ก็เท่านั้นเอง บุญเดินนำผมมาที่ร้านอาหารร้านหนึ่งโดยไม่ได้ถามผมว่าอยากจะทานอาหารอะไร เพราะบุญรู้ว่าผมเป็นพวกง่ายๆสบายๆ ไม่เรื่องมากขอแค่ไม่ใช่อาหารทะเลก็พอ ไม่ใช่เพราะไม่ชอบหรอกนะแต่เพราะแพ้อาหารทะเลต่างหาก เรานั่งดูเมนูด้วยกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ผมจะตัดสินใจสั่งเมนูเนื้อวัวไปส่วนบุญดูเหมือนจะตัดสินใจไม่ได้สักที
“สั่งให้เอาป่าว” ผมลองเสนอดู เพราะดูท่าแล้วอีกนานกว่าบุญจะตัดสินใจอะไรได้
“เออ” บุญรับคำพลางยื่นเมนูอาหารมาให้ผมแต่เพียงผู้เดียว
“เอาเนื้อแบบเมื่อกี้เป็นสองชุดครับ” ผมเอ่ยกับพนักงานที่ยืนรอจดรายการอาหาร เธอทวนรายการอาหารก่อนจะเดินหายไป “เราว่ากว่าจะดูหนังจบน่าจะไม่ทันงานศิลป์นะ”
“งานปิดกี่โมง”
“สามทุ่มครึ่งมั้ง”
“งั้นจะไปงานก่อนมั้ยล่ะ”
“แต่เราอยากดูหนังอะ” ผมกล่าวพลางเลื่อนหน้าจอดูช่วงเวลาฉายหนัง “แล้วก็อยากไปงานศิลป์ด้วย”
บุญขยับตัวชะโงกหน้าเข้ามาร่วมดูหน้าจอด้วย ผมเพิ่งสังเกตว่าเขานั่งอยู่ด้านข้างทั้งที่โดยส่วนมากคนอื่นจะมักนั่งฝั่งตรงกันข้าม “แล้วจะเอาไง”
ผมครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หันไปมองหน้าบุญแล้วถอนหายใจ “แล้วบุญจะเอาไงอะ”
“เราตามใจนาย” เขาเอ่ยเสียงเบาๆ ก่อนจะกลับไปนั่งพิงพนักเก้าอี้
“ดูหนังแล้วกัน” ผมตัดสินใจจนได้ ที่จริงถ้ารถไม่ติดหนักผมจะมีเวลาไปทำสองกิจกรรมนี้อย่างสบาย แต่พอเวลาคลาดเคลื่อนอะไรๆก็ต้องปรับเปลี่ยน
“เรียนเป็นไงมั่ง” อยู่ๆบุญก็ถามตอนที่อาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
“เรื่อยๆ” ผมตอบสั้นๆ ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่อาหารตรงหน้า
“ใกล้สอบแล้วนะเว่ย”
“เออ ไว้ก่อน” ผมหั่นเนื้อแล้วส่งเข้าปากโดยไม่ได้สนใจบุญมากนัก คือจะว่ายังไงดีล่ะเพราะผมเป็นพวกขี้เกียจ ไม่ชอบอยู่กับตำราเรียน เรื่องสอบที่ควรจะตื่นตัวตั้งแต่เนิ่นๆก็กลับเหลวไหลพลัดวันไปเรื่อยๆ ต่างจากบุญที่ขยันเรียนและเพราะขยันเรียนเขาถึงได้คอยถามผมเรื่องเรียนอยู่ตลอดเวลา
“เราติวให้”
ผมเงยหน้าหันไปมองอีกฝ่าย “จะติววิชาอะไร เรียนกันคนละสายเลย” ผมตอบไปตามความจริง เขาเรียนคนละแขนกกับผม ถ้าไม่นับวิชาพื้นฐานสมัยมัธยมก็ไม่มีวิชาไหนที่ใกล้เคียงกันเลยด้วยซ้ำ
บุญเงียบไปพักหนึ่งเหมือนพยายามนึกอะไรอยู่ แต่สุดท้ายก็ถอดสีหน้าเหมือนยอมจำนนต่อความจริง “เออ ก็จริง”
“แล้วบุญอะ เรียนเป็นไงมั่ง”
“จะอ้วกออกมาเป็นตัวหนังสือแล้ว ถ้าไม่ออกมากับนายต้องอ้วกแตกแน่ๆ”
“สู้ๆนะว่าที่คุณหมอ”
ผมตอบกลับเรียบๆก่อนจะยิ้มตามบุญ หลังจากนั้นเราก็นั่งทานอาหารจนหมดแล้วเคลื่อนตัวไปยังชั้นโรงภาพยนต์ โชคดีที่เรายังได้ที่นั่งด้านหลังเป็นเก้าอี้โซฟาหลังสุด ผมพร้อมมากสำหรับการดูหนังเรื่องนี้แต่เพียงไม่นานผมกลับรู้สึกง่วง และรู้สึกว่าตัวอย่างหนังที่ฉายอยู่นี้จะยาวนานเป็นพิเศษ ความจริงแล้วหนังเพลงผมก็ไม่ค่อยชอบหรอก แต่เพราะถ้าไม่ได้ดูเราจะรู้ได้ยังไงว่าหนังมันดีหรือเปล่าผมก็เลยมาดูให้กระจ่าง ส่วนของบุญเจ้าหมอนี่มันยังไงก็ได้อยู่แล้วเพราะงั้นเราก็เลยลงตัวพอดี ตอนนี้เริ่มเข้าสู่บทนำของหนังที่เราเสียเงินมาดูแล้ว แทนที่ผมจะรู้สึกตื่นเต้นแต่ตอนนี้ยิ่งง่วงหนักกว่าเดิมอาจจะเป็นเพราะอาหารที่เพิ่งทานเข้าไปก็เป็นได้ ผมนั่งดูหนังไปได้อยู่พักหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่ฉากร้องเพลงนอกจากจะง่วงแล้วผมยังเริ่มเบื่ออีก นานเข้าก็ถึงกับสัพหงก แต่ก่อนที่จะได้หลับไปนั้นผมรู้ตัวว่าบุญกำลังดันศีรษะของผมให้พักพิงที่ไหล่ของเขา ก่อนจะงีบหลับไปเสียจริงๆจังๆ
รู้สึกตัวอีกทีหนังก็ยังไม่จบ ผมขยับตัวด้วยความเมื่อยเพราะค้างอยู่ท่าเดียวนานเกินไป บุญมองมาที่ผมก่อนจะยิ้มล้อเลียน
“ออกมั้ย”
ผมพยักหน้าหลังจากนั้นเราก็เดินออกจากโรงภาพยนต์กัน บุญที่เดินนำผมอยู่นั้นยังคงใส่ชุดนักศึกษาอย่างเรียบร้อยไม่มีชายเสื้อหลุดลุ่ย เพิ่งสังเกตว่าถึงจะใส่แค่ชุดนักศึกษาแต่บุญเหมือนมีลักษณะบางอย่างเฉพาะที่ทำให้เขาดูมีสไตล์อย่างบอกไม่ถูก
ผมดึงแขนของบุญให้หันมา เขาหันมามองผมด้วยความสงสัย
“อยากไปงานศิลป์”
“ไปดิ” เขาตอบพลางเอื้อมแขนมากอดคอผมให้เดินไปด้วยกัน “เสียดายค่าตั๋วหนังเหมือนกันนะ” เขาเอ่ยขณะที่ลงบันไดเลื่อน
“เออ แต่แม่งน่าเบื่อนี่หว่า”
“หนังรางวัลเลยนะเนี่ย”
ผมเบ้ปากเล็กน้อยทำให้บุญหัวเราะออกมา เราเดินกอดคอกันไปยังสถานที่จัดงานศิลป์ สายลมอ่อนๆยามค่ำคืนปะทะผิวกายให้รู้สึกสดชื่นในขณะที่เดินอยู่บนสะพานทางเชื่อม ความรู้สึกที่เรียกว่าความสบายใจมันเกิดขึ้นตั้งแต่เจอบุญครั้งแรกจนวันนี้ผมก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ มันบอกไม่ถูกเหมือนกันนะตั้งแต่เจอกันครั้งแรกที่เมลเบิร์น นอกเหนือจากเรื่องเพลงเรื่องหนังเราสามารถพูดคุยกันได้อย่างไม่รู้สึกอึดอัด และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือการที่เรายังติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงวินาทีนี้ ถึงแม้จะชอบอะไรคล้ายๆกันแต่เราไม่ได้คิดเหมือนกันไปเสียทุกอย่างหรอก ก็มีบ้างที่คิดไม่เหมือนกัน ปกติแล้วผมเป็นคนไม่ค่อยชอบพูด ไม่ค่อยเถียง แต่พอบุญจุดประเด็นเรื่องที่คิดไม่ตรงกันขึ้นมาผมมักเถียงกับเขาอย่างไม่รู้ตัว บุญชอบขำเวลาที่ผมอธิบายอะไรยาวๆ แถมยังชอบทำหน้าล้อเลียน พอผมโวยวายเขาก็ยังไม่หยุดและยังคงยิ้มบ้าบออยู่อย่างนั้นจนผมเองก็รู้สึกประดักประเดิดอยู่เหมือนกัน
เราเดินวนดูงานศิลป์ทั้งๆที่ไม่ได้มีความชำนาญทางด้านนี้แต่อย่างใด ในงานแทบไร้ผู้คน ยิ่งเดินไปยังโซนด้านหลังก็รู้สึกได้เลยว่ามีแค่ผมกับเขาที่เดินกันอยู่สองคน บุญเอาแขนที่โอบคอผมไว้ออกและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา พยักเพยิดหน้าให้ผมไปยืนอยู่ในจุดๆหนึ่งที่เขาต้องการ มันเป็นทางโค้งที่ด้านหลังมีงานศิลปะติดแสดงอยู่ ผมชูนิ้วกลางใส่ทำหน้านิ่งๆเรียกเสียงหัวเราะของบุญ ก่อนที่เขาจะบอกให้ผมทำท่าทางดีๆผมจึงชูสองนิ้วเอาแนบแก้มแต่หน้านิ่งเหมือนเดิม นี่แหละท่าถ่ายรูปประจำของผม บุญเดินเข้ามาหาพร้อมกับให้ดูรูปที่ถ่ายเขาก็พอมีทักษะด้านถ่ายรูปอยู่เหมือนกันนะ อย่างน้อยก็มีเส้นนำสายตาและตำแหน่งภาพก็พอไหว
ผมกับบุญเดินอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงประกาศว่างานใกล้จะปิดแล้ว แต่เราก็ยังเอ้อระเหยลอยชายกันอยู่ในนั้นอีก เดินกันจนถึงโซนที่เป็นห้องจัดแสดงภาพประกอบเสียงในลักษณะแบบ 360 องศา ในนั้นฉายภาพวิดิทัศน์ของศิลปินนักวาดภาพชื่อดังในแต่ละยุครอบห้องที่มีลักษณะโปร่งสูง ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับแสงสีที่เห็นจึงเดินเข้าไปยืนอยู่กลางห้อง หมุนตัวดูภาพที่ปรากฏอยู่บนผนัง พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นบุญ บุญที่กำลังมองผมแทนที่จะมองแสงสีที่จัดแสดง ผมมองเขากลับ ใบหน้าของเขาปรากฏสีต่างๆที่เปลี่ยนไปตามภาพที่ฉายผมคิดว่าหน้าของผมก็คงไม่ต่างกัน บุญไม่หลบสายตาและแถมยังยิ้ม เป็นผมเองที่ทำเป็นแสร้งมองไปทางอื่น
“กลับเถอะ ดึกแล้ว” ผมเอ่ยพลางเดินนำออกมาโดยไม่ได้รอคำตอบจากบุญ ไม่ใช่ว่าผมอึดอัดอะไรหรอกผมแค่ทำตัวไม่ถูกมากกว่าก็เลยต้องเปลี่ยนไปสนใจอย่างอื่นแทน ผมรู้สึกได้ถึงไออุ่นของบุญที่เดินตามอยู่ด้านหลัง ถึงจะมีช่วงเวลาแปลกๆไปบ้าง
แต่สุดท้ายแล้วการได้อยู่กับบุญมันคือความสบายใจอย่างที่ผมก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน
************************************
หมายเหตุ ฉบับที่ลงนี้ยังไม่ผ่านการตรวจอักษรจากนักเขียนนะคะ อาจมีผิดบ้าง ตกหล่นบ้างงง