- Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - Affection - ตอนพิเศษ My loveliest friend P.4 (21-Dec-18)  (อ่าน 81339 ครั้ง)

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


**********************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-12-2018 19:43:26 โดย PromQueen29 »

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Re: - Affection - ตอนที่หนึ่ง (08-Oct-18)
«ตอบ #1 เมื่อ08-10-2018 23:46:00 »

af·fec·tion

əˈfekSH(ə)n/

noun

a gentle feeling of fondness or liking.





ตอนที่หนึ่ง



.

.

.

.

“เอาล่ะ ประชุมวันนี้มีใครอยากเพิ่มเติมอะไรอีกไหม ไม่มีแล้วนะ งั้นจบประชุม”

สิ้นเสียงห้องเรียนทั้งห้องก็กลับมามีชีวิตชีวาหลังจากร่วมประชุมเรื่องการจัดทำงานบายเนียร์ ผมเองก็รู้เหนื่อยจึงรีบพูดตัดบทให้เลิกประชุมก่อนจะเดินกลับมานั่งรวมอยู่กับกลุ่มเพื่อนอีกสี่คน

“จะเอา Theme Gatsby จริงๆเหรอวะ กูว่ามันเกร่อไปอะ”

ไอ้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาทันทีที่ผมนั่งลง ผมอ้าปากค้างปรือตามองหนึ่งด้วยความเบื่อหน่าย “แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่เสนอ Theme อื่นล่ะ ไอ้ควายหนึ่ง”

“เพิ่งนึกออกว่ะ คือเห็นช่วงนี้งานแต่งงานวันเกิดแม่งก็ Theme นี้เยอะ แต่ก็เอาตามนั้นแหละ”

ผมเก็บหนังสือเรียนเข้ากระเป๋าไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะเดินตามเจ้าพวกนั้นออกไปจากห้องเรียน หลังจากเลิกเรียนแล้วเป็นธรรมดาที่กลุ่มของเราจะต้องไปหาอะไรทานกัน โรงอาหารที่ใกล้ที่สุดคือเป้าหมายของพวกเรา โชคดีที่ในเวลาหกโมงเย็นแบบนี้ยังพอมีอาหารให้ทานบ้าง เพราะไม่อย่างนั้นผมคงต้องหิ้วท้องไปทานข้าวที่บ้าน บ้านก็ไกลแสนไกลคนละซีกกับมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่เลย จะให้อยู่หอก็ไม่ชอบแต่กลับชอบไปนอนค้างคืนที่ห้องของเพื่อนเป็นประจำ มันให้ความรู้สึกต่างกันนะ การใช้ชีวิตอยู่ที่หอพักกับนอนค้างห้องเพื่อน

ในโรงอาหารมีคนประปราย นั่งเล่น นั่งทำงาน นั่งทานข้าว กลุ่มของผมเลือกนั่งโต๊ะที่ติดกับพัดลม คล้ายๆกับเป็นโต๊ะประจำเพราะเมื่อไหร่ที่มาทานข้าวและโต๊ะตัวนี้ว่างกลุ่มเราจะนั่งตรงนี้เสมอ เจ้าพวกเพื่อนของผมวางกระเป๋าแล้วเดินไปซื้ออาหารกันทั้งหมดทิ้งให้ผมนั่งเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียว ระหว่างรอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นตามประสาคนติดโลกออนไลน์ ไม่นานนักเพื่อนของผมก็กลับมาพร้อมกับอาหาร แต่ที่ประหลาดใจก็คือเหมือนจะมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

“เฮ้ย ซื้อข้าวเสร็จละ” หนึ่งพูดพลางนั่งลง “อ้าว หยิบช้อนมาสองคัน ขากลับฝากเอาส้อมมาให้กูด้วยนะ”

“เออ” ผมรับคำแต่ก่อนที่จะได้เดินออกไป กลับมีเสียงเรียกเอาไว้

“ฝากซื้อน้ำเปล่าขวดนึงด้วยดิ”

ผมมองอีกฝ่าย ในสมองคิดประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งว่าไอ้หมอนี่คือใครเจอหน้ากันครั้งแรกก็ใช้ผมเลย ผมไม่ได้ตอบรับใดๆก่อนจะเดินออกไปซื้ออาหารให้ตัวเอง ผมสั่งเมนูประจำเหมือนทุกครั้งเมื่อมาโรงอาหารนี้ ระหว่างรอนึกสงสัยไม่หายว่าผู้ชายที่มากับไอ้หนึ่งคือใคร ผมหันไปมองเห็นเขากำลังหัวเราะอ้าปากกว้าง ผมบอกกับพี่ร้านก๋วยเตี๋ยวว่าเดี๋ยวมาเอาก่อนจะเดินไปซื้อน้ำเปล่าและไม่ลืมที่จะหยิบอาวุธให้เหมาะสมกับสมรภูมิอาหารมือเย็นนี้ด้วย พอกลับมาที่ร้านก็พบว่าก๋วยเตี๋ยวที่สั่งไว้เสร็จพอดี เส้นเล็กแห้งโปะหน้าด้วยไก่ทอดชิ้นเท่าฝ่ามือนี่แหละสุดยอดอาหารจานเด็ดของโรงอาหารนี้

“เท่าไหร่อะ” เจ้าของเสียงจะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากคนแปลกหน้าที่มากับไอ้หนึ่ง

“สิบบาท” ผมตอบเรียบๆ ฝ่ายนั้นเอ่ยขอบคุณและเหรียญสิบบาทไว้ตรงหน้าถ้วยก๋วยเตี๋ยว เวลานั้นผมไม่สนอะไรนอกจากรีบคลุกก๋วยเตี๋ยวให้เข้าที่ ก่อนจะคีบชิ้นไก่ทอดที่ถูกสับเป็นชิ้นยาวพอดีคำส่งเข้าปากก่อนเป็นคำแรก

“สรุปตีมแก๊สบี้ใช่ป้ะ” เสียงของคนแปลกหน้าเอ่ยขึ้น ผมเหลือบมองเขาที่กำลังแกะพลาสติกบนฝาขวดออกแล้วยกขวดขึ้นดื่ม คงจะกระหายน้ำมาก หมดไปเกือบครึ่ง

“ใช่พี่ จริงๆผมว่าเกร่อไปหน่อย แต่ก็ตามเสียงส่วนมาก” ไอ้หนึ่งจอมงอแงง้องแง้งยังไม่จบประเด็นเกร่อๆของมันอีกสักที “นี่ยังนึกไม่ออกว่าผู้ชายเขาแต่งตัวกันแบบไหน”

“สูทมั้ยล่ะอิหนึ่ง เปิดกูเกิ้ลดูสิวะ” คราวนี้เป็นเสียงของเฟริสท์ เป็นสาวหนึ่งในสองคนของกลุ่ม “ตอนอินายมันให้เสนอ Theme เสือกเล่นแต่เกม แล้วก็มาบ่นเกร่อๆนอกห้อง งึมงำๆอะไรอยู่ได้ เสร่อ”

ไอ้หนึ่งกรอกตาใส่เฟริสท์ที่บ่นได้ตรงประเด็น จริงๆแล้วทุกครั้งที่ประชุมหรือมีกิจกรรมที่ต้องเสนอความคิดก็มักเป็นแบบนี้เสมอ ประเภทที่ในห้องไม่ออกความคิดเห็นมาปากดีเอาข้างนอก “เออๆ นั่นแหละๆ”

“ตอนแรกในห้องจะเอา Theme ชุดไทยพี่ แล้วเป็นชุดไทยสมัยรัชกาลที่ 5 อะ ไม่ไหว ลูกไม้แขนพองงี้” เฟริสท์บ่นต่อ ท่าทางเฟริสท์ก็ไม่ไหวตามพูดจริงๆนั่นแหละ ปกติมันเป็นคนไม่เรื่องมากแต่คราวที่อยู่ประชุมกันในห้องเฟริสท์ถึงกับต้องลุกขึ้นแย้งจนเพื่อนๆในห้องยอมหา Theme อื่นแทน

“ใครเสนอวะ” คนแปลกหน้าเอ่ยถาม

“นุ่นเอง” คราวนี้เป็นเสียงจากเพื่อนอีกคนในกลุ่มที่ชื่อนุ่น “นุ่นชอบชุดยุคนั้นอะ”

“ผมเสนอ Theme Playboy แต่แม่งไม่มีใครเห็นด้วยเลย” ไอ้บอมที่เพิ่งเงยหน้ามาจากเกมในโทรศัพท์มือถือเอ่ยขึ้นบ้าง “ชุดผู้หญิงนี่ง่ายมากใส่ชุดกระต่าย ติดหูติดหาง” ชุดกระต่ายที่บอมพูดถึงนี่มันมโนภาพถึงชุดในนิตยสารปลุกใจเสือป่าไม่ใช่ชุดกระต่ายน่ารักๆใสๆนะ

“ดีใจจังนานๆทีอิบอมจะมีส่วนร่วม แต่กูว่ามึงอยู่เงียบๆเหมือนเดิมก็ดี” หนูนุ่นพูดยิ้มๆ ตาหยี ซอฟๆ “สมองแม่งอยู่ใต้สะดือ ไอ้ควาย”

“ไอ้นุ่น!”

หลังจากนั้นพวกมันก็ฉะฝีปากกันเรื่อง Theme งานบายเนียร์ของรุ่นพี่ปีสี่ ทั้งที่ประเด็นนั้นมันควรจบไปตั้งนานแล้ว แต่เดี๋ยวนะ… นี่ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่า ทำไมรู้สึกเหมือนไอ้เจ้าเพื่อนพวกนี้จะรู้จักรุ่นพี่คนนี้กันหมด ผมสะกิดไอ้หนึ่งและกระซิบถามถึงรุ่นพี่คนนี้ที่ผมไม่รู้จัก มันบอกว่าเป็นรุ่นพี่ตอนอยู่มัธยม รู้จักกันตอนงานแรลลี่ศิษย์เก่า หนึ่ง เฟริสท์ นุ่นแล้วก็บอมจบมัธยมที่เดียวกันแต่เพิ่งมาสนิทตอนเข้ามหาวิทยาลัย มีผมนี่แหละที่เพิ่งมารู้จักพวกมันตอนเข้าปีหนึ่ง พอรู้อย่างนั้นก็หายสงสัย ผมทานก๋วยเตี๋ยวต่อนั่งฟังพวกมันเถียงกันก็บันเทิงพอแล้ว

“แล้วเลือกโรงแรมที่จัดงานแล้วใช่ป้ะ”

อยู่ๆรุ่นพี่คนนั้นก็หันมาถามผม ผมพยักหน้ารับแทนคำพูดเพราะตอนนี้ในปากกำลังเต็มไปด้วยก๋วยเตี๋ยวไก่ทอด

“ที่ไหน”

“โรงแรมแถวแม่น้ำเจ้าพระยา”

ฝ่ายนั้นทำหน้าเข้าใจ “สถานที่สวยแต่อาหารธรรมดามาก แต่ก็โอเคแหละ เน้นเที่ยวต่อมากกว่า”

ผมยิ้มรับแทนคำพูด เพราะผมไม่ใช่คนพูดเก่งสักเท่าไหร่ จะว่าไปก็นึกประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่ผมไม่รู้จักเขามาก่อนทั้งที่เรียนอยู่ในคณะเดียวกัน อย่างน้อยตอนรับน้องหรือมีกิจกรรมภายในคณะก็น่าจะต้องคุ้นๆหน้ากันบ้าง แต่นี่ผมอยู่ปีสามแล้วเพิ่งจะมาเห็นเขา แต่ก็ช่างเถอะคนตั้งเยอะแยะจะไปรู้จักหมดได้ยังไง

“เราชื่ออะไรนะ”

“นายครับ”

“พี่ชื่อพลนะ”

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักชื่อของเขา พี่พล






************************************




ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนที่สอง (08-Oct-18)
«ตอบ #2 เมื่อ08-10-2018 23:55:57 »

ตอนที่สอง




ในวันที่มีเรียนเช้าผมมักมาถึงที่มหาวิทยาลัยก่อนเวลาเข้าเรียนเพราะชอบมานั่งเล่นคอมพิวเตอร์ในห้องสมุด บรรยากาศเงียบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ผมเดินมานั่งที่คอมพิวเตอร์เครื่องประจำ เปิดเครื่อง ก่อนจะเดินไปยืนตรงบันไดวนแล้วมองไปข้างล่างเพื่อถ่ายภาพเล่น อาคารห้องสมุดเป็นทรงกลม มีบันไดวนแบบพื้นราบไม่มีขั้นอยู่ในอาคารให้เดินขึ้นมาแต่ผมใช้ลิฟท์เสมอ ผมมองไปเรื่อยๆเห็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดกำลังจัดของให้เข้าที่เข้าทาง อยู่ๆประตูก็เปิดออก มีนักศึกษาชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแตะบัตรนักศึกษาเพื่อลงทะเบียนเข้าห้องสมุด ผมมองตามเขาที่เดินขึ้นบันไดวผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ช่วงจังหวะที่เส้นทางบันไดพาวนให้ร่างของเขาหน้ากลับมาผมก็เริ่มคุ้นกับผู้ชายคนนี้ขึ้นมา

“พี่พล” ผมเรียกเสียงปกติ แต่เขากลับได้ยินแม้จะยังอยู่ที่ชั้นสอง

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงที่อยู่ชั้นสาม “อ้าว นาย” เขายิ้มนิดๆ แล้วรีบก้าวเท้าขึ้นมาบนชั้นสามอย่างรวดเร็ว “มาเช้านะ ทำไรอยู่”

“เล่นคอม” ผมตอบเรียบๆเดินกลับมานั่งที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ตอนนี้พร้อมใช้งานแล้ว

“มีเรียนกี่โมง”

“เก้าโมง แล้วพี่อะ”

“ไม่มีเรียนหรอก แต่เข้ามาทำงาน” เขาวางกระเป๋าลงที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ข้างๆผม “ใกล้จะจบแล้วแต่ยังขี้เกียจอยู่เลยว่ะ”

“เหมือนกัน ขี้เกียจมาก”

“เราเพิ่งมาสนิทกับพวกไอ้หนึ่งเหรอ ทำไมไม่เคยเจอเลย”

“ก็รู้จักพวกมันมาตั้งแต่ตอนปีหนึ่งนะ”

พี่พลทำหน้ารับรู้ก่อนจะหันกลับไปสนใจคอมพิวเตอร์แทน หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่ได้สนทนาใดๆกันอีก ผมเสียบหูฟังเปิดยูทู้บ เข้าหน้าเวบต่างๆไปเรื่อยเปื่อย แต่พอเล่นไปสักพักหนึ่งก็เริ่มเบื่อ ผมเงยหน้าขึ้นมาภาพสะท้อนในกระจกตรงหน้า ผมเห็นพี่พลกำลังหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ทำ เขาเป็นคนหน้าตาธรรมดา ไม่ได้หล่อเหลาอะไรมากนัก แต่ดูสะอาดสะอ้านแต่งตัวเรียบร้อยกว่านักศึกษาโดยทั่วไป ดูท่าทางแล้วคงจะเข้ากับคนได้ง่ายเพราะขนาดผมที่เพิ่งรู้จักเขายังชวนคุยได้เรื่อยๆทั้งที่ผมเองก็ไม่ใช่คนคุยเก่งสักเท่าไหร่แถมหน้าตาก็ออกจะไม่เป็นมิตร

ผมแอบมองเขาทำงานอยู่ครู่หนึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมอง…

พอถึงเวลาเรียนผมก็ลุกออกมาอย่างเงียบๆ ไม่ได้บอกกล่าวพี่พลเลยด้วยซ้ำแต่ดูเหมือนเขาเองก็กำลังหมกมุ่นอยู่กับงานคงไม่ได้สนใจอะไร ผมเดินมาถึงที่ห้องเรียนรีบปรี่ตัวเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆเพราะอาจารย์เข้าสอนแล้ว ผมหยิบอุปกรณ์การเรียนขึ้นมาหมายมั่นว่าจะตั้งใจเรียนแต่ผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่น ส่วนเพื่อนผมก็ไม่ต่างกัน พวกมันหลับโชว์อาจารย์เลย เวลามีเรียนเช้าก็แบบนี้แหละ ไม่นั่งอึนก็หลับโชว์

ผมส่งข้อความนัดเพื่อนคนหนึ่งไว้จะไปดูหนังแล้วค่อยไปงานแสดงศิลปะ เพื่อนคนนี้ผมไปเจอตอนไปดูแสดงสดขอวงดนตรีวงหนึ่งที่ออสเตรเลีย ผมลงทุนออมเงินและดั้นด้นไปถึงเมลเบิร์นเพื่อชมการแสดงสดของวงนี้ ตอนไปเจอเขายังประหลาดใจอยู่เลยที่ได้เจอคนไทยเพราะจริงๆแล้ววงดนตรีวงนี้ก็ไม่ได้โด่งดัง จากนั้นเราก็คุยกันมาเรื่อยๆและนัดไปเที่ยวกันบ่อยๆ ส่วนเพื่อนที่มหาวิทยาลัยไม่มีใครสนใจหรือมีรสนิยมเดียวกันกับผมเลย เพราะงั้นเวลาอยู่กับเจ้าพวกนี้ก็ต้องคุยเรื่องอื่นเป็นส่วนมาก หลังจากส่งข้อความไปมาได้สักพักประตูห้องเรียนก็เปิดออก ผมจึงละสายตาไปมองและพบว่าเป็นพี่พลที่เดินเข้ามา ห้องเรียนที่ผมนั่งอยู่นั้นประตูอยู่ด้านหลังจึงไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่พี่พลจึงมานั่งข้างๆผมที่นั่งติดอยู่กับประตูทางเข้า

“อ้าว…” ผมเอ่ยขึ้น ไม่รู้ว่ามันเป็นคำทักทายหรือเป็นประโยคอะไรเหมือนกัน

“ออกมาก็ไม่บอก” เขากระซิบพูดเบาๆ แล้วหยิบหนังสือของวิชาที่กำลังเรียนอยู่ไปดู “ไม่จดอะไรเลยเหรอ”

“ขี้เกียจ”

“แล้วจะทำข้อสอบได้มั้ยเนี่ย”

ผมเงียบไม่ตอบอะไรได้แต่ส่งยิ้มแหยๆไป

“สมแล้วที่อยู่กับพวกไอ้หนึ่งได้” เขากล่าวแล้ววางหนังสือไว้ที่เดิม “พวกขี้เกียจเหมือนกัน”

ผมยิ้มตามเขา รู้สึกอยากหาเรื่องอื่นๆมาต่อบทสนทนาแต่ในหัวของผมก็มีแต่เรื่องดูหนังฟังเพลง อยากถามพี่พลว่ารู้จักวงดนตรีไหนบ้างแต่ก็ไม่กล้าถามเพราะผมกลัวว่ามันจะกลายเป็นเดดแอร์ ประสบการณ์ที่ผ่านมามันมักเป็นแบบนั้นเสมอ ตอนนี้เจ้าพวกชาวแก๊งส์ของผมเริ่มหันมาทักทายผู้มาเยือนพี่พลจึงย้ายไปนั่งข้างไอ้หนึ่ง แล้วเริ่มคุยกันเรื่องเกมแบบที่ผมฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ผมไม่ค่อยเล่นเกมเคยโหลดเกมใหม่ๆมา เล่นไปไม่เท่าไหร่ก็ลบทิ้งเพราะเล่นนานๆแล้วเบื่อ จริงๆชีวิตผมก็น่าเบื่อแหละ พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง บางทีชวนคนอื่นคุยก็เหมือนจะถามอะไรที่ต่อกันไม่ติดเลยชอบอยู่เงียบๆคนเดียวทำกิจกรรมอะไรที่สามารถทำคนเดียวได้

หลังจากที่อาจารย์สอนเสร็จห้องเรียนก็กลับมาเสียงดังอีกครั้ง นักศึกษาเริ่มทยอยกันออกจากห้องกลุ่มของพวกผมก็เช่นกัน ผมเดินรั้งท้าย มองดูพี่พล ไอ้หนึ่ง และไอ้บอมจ้อเรื่องเกมอย่างเมามัน ส่วนเฟริสท์กับนุ่นก็คุยกันเรื่องเสื้อผ้าที่จะใส่ไปงานบายเนียร์ตามประสาผู้หญิง ส่วนผมได้แต่เดินตามไปอย่างเงียบๆด้วยความง่วงงุน พวกเรามุ่งหน้าไปยังหอของเฟริสท์เพราะใต้หอมีร้านอาหารตามสั่งเจ้าเด็ดที่กลุ่มเราชอบทานกันเป็นประจำ หลังจากทานข้าวก็คงนอนเพื่อรอเวลาเรียนรอบบ่ายที่ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มเรามักจะหลับยาวและไม่ค่อยได้เข้าเรียน ตื่นอีกทีก็เตรียมตัวออกไปสังสรรค์ย่านเอกมัยอยู่เสมอ

อาหารที่เราสั่งมากันนั้นเป็นเมนูเดิมๆ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ต้มยำปลาทอด ปลาทอดผัดกะเพรากรอบ หมูกรอบกระเทียม แบละอื่นๆอีกตามแต่อารมณ์ ถ้าไม่ได้ทานข้าวที่โรงอาหารเราก็สั่งเมนูเหล่านี้กัน แต่ตอนนี้ผมกำลังลุ้นอย่างใจจดใจว่าพี่พลจะสั่งอะไรเพิ่ม

“เอา… ไข่เจียว”

“โห ไรวะพี่ รอตั้งนาน” เสียงไอ้บอมบ่น

“อ้าว ก็พวกมึงกดดันกูอะ กูก็ต้องรีบตัดสินใจป่าววะ”

ผมหัวเราะเบาๆกับเมนูของพี่พลก่อนที่สายตาจะเหลือบไปมองเห็นร้านเครป ภาพของเครปที่อยู่บนป้ายไวนิลมันกำลังยั่วให้ผมหิวมากกว่าเดิม ในระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้ออยู่นั้นพี่พลก็สะกิดผมแล้วพยักเพยิดหน้าไปทางร้านเครป

“ไปซื้อเป็นเพื่อนหน่อย” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นทันทีไม่ให้เวลาผมคิดอะไร ผมเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย “คนละครึ่งนะ ชิ้นนึงกินไม่หมดว่ะ”

“ได้เลย ผมเอาปูอัดไส้กรอกชีส”

“นี่กะไม่ให้เลือกมั่งเลยรึไงวะ” เขาพูดยิ้มๆไม่ได้จริงจังอะไรก่อนจะหันไปสั่งเครปกับคนขาย “เอาปูอัดกับไส้กรอกชีสชิ้นนึงครับ”

“รู้จัก Fleetwood Mac ป้ะ” ผมเอ่ยถามแต่ไม่กล้ามองพี่พล ได้แต่มองคนขายที่กำลังละเลงแป้งเครปบนเตา

“รู้จักดิ ทำไมวะ”

“ป่าว ก็ถามดู แล้ว…” ผมเว้นจังหวะไว้แล้วเหลือบตาขึ้นไปสังเกตอีกฝ่าย “ชอบป้ะ”

“ชอบ วงโปรดเลย สะสมไวนิลด้วย”

“เฮ้ย งี้ก็แสดงว่ามีเครื่องเล่นแผ่นเสียงด้วยดิ”

“มีดิ ไม่งั้นจะสะสมไปทำไมวะ เราชอบวงนี้เหรอ”

“ชอบ นายชอบฟังเพลงเก่าๆ” ผมรู้สึกเหมือนจะตื่นเต้น ไม่แน่ใจว่าใช่ความรู้สึกนี้หรือเปล่าแต่มันมีความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในร่างกายกำลังสูบฉีดแรงขึ้น “คอนเสิร์ตคราวที่แล้วก็ไปดูนะ ฟินตายตาหลับได้เลย”

“บินไปดูที่ไหนวะ”

“เยอรมัน โชคดีที่ได้ตั๋ว”

“โห โคตรโชคดี” เขาพึมพำแล้วยิ้มนิดๆก่อนจะหันไปจ่ายเงินค่าเครป

ผมว่ามันอาจจะเป็นเพราะผมได้คุยเรื่องที่ชอบแถมยังไม่เดดแอร์ด้วยก็เลยรู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆจนอดยิ้มไม่ได้เหมือนกัน

หนังท้องตึงหนังตาหย่อน… ตอนนี้ชาวแก๊งส์ของผมและรวมพี่พลเราอพยพขึ้นมานอนที่ห้องของเฟริสท์แล้ว ผมเข้ามุมโซฟาเหมือนเดิมส่วนที่เหลืออยู่บนเตียงพวกมันกำลังคุยเรื่องงานบายเนียร์ของรุ่นพี่ปีสี่ สถานที่จัดงานการแต่งภายในงานค่าใช้จ่ายแต่พอคุยเรื่องชุดไอ้บอมกับไอ้หนึ่งเริ่มไม่มีปากเสียงจึงหันมาเล่นเกมแทน ปล่อยให้สาวๆเธอเป็นคนจัดการให้กลุ่มเรา ผมก็ได้เออออห่อหมกตามน้ำไปขี้เกียจเถียง พวกสาวๆจะให้ใส่ชุดแบบไหนก็ตามนั้นเลย

“มึงจะบ้าเหรอไอ้นุ่น สูทแบบนี้มันแพงนะเว่ย” เสียงของพี่พลโวยวายขึ้นมา

“ลงทุนหน่อยดิพี่ ถ่ายรูปออกมาจะได้ดูดี”

“เออๆ เดี๋ยวลองดูก่อนแล้วกัน” พี่พลรับคำก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาข้างๆผม “มีสูทรึยังวะ”

“มีแล้วสีดำ แต่คงไม่ใส่อะ”

“อ้าว ไม่แต่งตาม Theme เดี๋ยวไอ้เฟริสท์ก็ด่าหรอก”

“ป่าว แต่ชุดที่คิดไว้มันไม่ต้องใช้สูท นี่ไง…” ผมเปิดรูปภาพจากโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มในยุคนั้นให้พี่พลดู ในภาพเป็นชายหนุ่มที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขาวและสวมเสื้อกั๊กสีน้ำตาลอ่อน เป็นสไตล์ลำลองในยุคนั้น พี่พลขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าด้านข้างของเขากับทรงผมด้านข้างที่ถูกไถถูกตัดมาอย่างประณีตเป็นผมเองที่จ้องมองเขาไม่วางตา “เอาสูทของนายไปใส่ก็ได้นะ”

“เออ ดี” เขาเงยหน้าขึ้นมามองผม รอยยิ้มดีใจนิดๆปรากฏอยู่บนใบหน้าที่ดูเกลี้ยงเกลา “รอบอกเท่าไหร่”

“38 นิ้ว”

“โห ใส่ไม่ได้” พี่พลทำหน้าผิดหวัง “ของพี่รอบอก 46 นิ้วอะ เสื้อปริคานมแน่ๆ”

ผมแอบมองหน้าอกของเขาโดยไม่รู้ เพิ่งจะมาสังเกตว่าพี่พลรูปร่างบึกบึนหุ่นดีกว่าผมเยอะ ยิมกับผมคงคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก “อีกนิดนึงจะเป็นกัปตันอเมริกาแล้ว”

“แล้วเราล่ะ ไม่เข้ายิมมั่งรึไง” เขาเอาศอกจิ้มแขนผมเบาๆก่อนจะเอามือพาดไหล่ผม

“ไม่อะ ขี้เกียจ” พี่พลขยี้หัวของผมนิดๆแล้วหัวเราะชอบใจอะไรก็ไมรู้   “ชิ้บหายละ จะสอบอยู่แล้วนี่หว่ายังไม่ได้อ่านหนังสือสักตัว” เป็นเสียงโวยวายจากไอ้หนึ่ง

ห้องทั้งห้องชะงักไปชั่วครู่ จะว่ายังไงดีล่ะไม่ใช่ว่าลืมอะไรหรอกแต่ขี้เกียจอ่านกันมากกว่า เหมือนต้องมีใครสักคนคอยกระตุ้นสักหน่อยถึงจะกระเตื้องขึ้นมาบ้าง แถมอยู่ๆก็โดนยัดเยียดงานบายเนียร์เข้ามาอีกด้วยทีนี้ก็ขี้เกียจเลยเถิดไปกันใหญ่เลยกับการอ่านหนังสือของชาวแก๊งส์

“แม่งขี้เกียจจะอ่านหนังสือ มึงอ่านมั่งหรือยังไอ้บอม” เฟริสท์เอ่ยถามเจ้าบอมที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่

“ยัง มึงรู้จักอัจฉริยะข้ามคืนมั้ยล่ะ”

พวกเราทุกคนทำหน้าเอือม เป็นอันรู้กันว่าไอ้บอมจะยังไม่อ่านจนกว่าวันสอบ เผลอๆเป็นอัจฉริยะภายในสามสิบนาทีก่อนเข้าสอบเลยด้วยซ้ำ

“รอบนี้กูไม่สรุปให้นะมึง” คราวนี้นุ่นพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆหากแต่สามารถดึงความสนใจจากบอมได้ ไอ้บอมนั่งลงแทบเท้าไอ้นุ่นบีบๆนวดๆเป็นการอ้อนวอน “อ่านเองมั่งสิวะพวกมึงอะ”

“หนูนุ่น อย่าทำแบบนี้สิ” มันเว้าวอนต่อไป ถึงแม้ว่าคณะที่พวกผมเรียนจะไม่เน้นการสอบแบบปรนัยสักเท่าไหร่แต่มันก็มีและเป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน บางทีด้วยความขี้เกียจผมก็เป็นอัจฉริยะหน้าห้องสอบมันเสียเลย

“โห แต่ละตัว” พี่พลส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยอ่อน “แล้วเราล่ะ” คราวนี้เขาเจาะจงถามผม

ผมส่ายหน้าแทนคำพูด รัศมีแห่งความขี้เกียจแผ่ซ่านขนาดนี้ดูไม่ออกหรือไง

“ตายห่าแน่ๆ” ช่างเป็นกำลังใจที่ดีเสียเหลือเกิน เขาส่ายหัวด้วยความเหนื่อยหน่าย

“รอบบ่ายกูไม่ไปเรียนละนะ ขี้เกียจว่ะ” เสียงไอ้หนึ่งสมทบความขี้เกียจของชาวแก๊งส์ พอมีคนนึงที่แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนขนาดนี้ก็พาลเอาที่เหลือเริ่มคล้อยตาม ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาตัวรอดมาได้ยังไงกับการสอบที่ผ่านมา ชาวแก๊งส์เราเป็นพวกเรียนๆเล่นๆ เหลวไหล เที่ยวเตร่ห้องเรียนไม่เข้า อนาคตดูรุ่งริ่งสุดๆ

“อ้าว แล้วจะเอาสไลด์จากไหน” ผมถามขึ้น โดยปกติแล้วทางอาจารย์จะอัพโหลดสื่อการเรียนการสอนที่เป็น Soft file ไว้ให้ในเวบของมหาวิทยาลัย แต่มีอาจารย์คนนี้แหละที่ไม่อัพให้ “แต่พวกมึงไม่ไปกูก็นอนอยู่นี่แหละ” ความขี้เกียจไม่เข้าใครออกใครจริงๆ

“เฮ้ย ไอ้พวกนี้ ลุกขึ้นเลยเรา เดี๋ยวไปเรียนเป็นเพื่อน” เป็นเสียงแห่งความหวังดีของพี่พล

“แล้วงานของพี่ล่ะ”

“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เดี๋ยวไม่จบนะโว้ย”

ผมเงียบไถตัวลงนอนอืดบนโซฟาด้วยความเกียจคร้านสุดๆ แต่แล้วพี่พลกลับเลิกชายเสื้อนักศึกษาของผมขึ้นเล่นเอาตกใจจนสะดุ้งขึ้นมานั่ง “โห อายนะเนี่ยมีแต่พุง”

“เร็ว ลุกขึ้น” เขาเร่งเร้าอีก “เร็วๆๆๆๆ” พูดพลางถลกชายเสื้อผมไปมาอีกรอบ

ผมมองเขาแล้วยืนกรานในความขี้เกียจ “ไม่ไป”

“ไอ้ดื้อ”

พอได้ยินถ้อยคำยืนกรานพี่พลก็ลดตัวลงเอนไปกับโซฟา เอื้อมมือมาจับท้ายทอยของผมไว้แล้วขยำเบาๆ ผมทำตัวไม่ถูกกับสัมผัสที่ได้รับ ไม่เคยมีใครสัมผัสกับผมแบบนั้น มันชวนให้ใจหวั่นไหวและวาบหวามไปกับสัมผัสบ้าบอนั่น ผมมองเขาพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา ผมคิดว่าเขาจะปล่อยมือแต่เปล่าเลยเขาจ้องผมกลับและยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มเรียบง่าย ใจดี และปลอบประโลม มันล่อลวงให้ผมต้องยิ้มตาม

 “ช้า”

เสียงค่อนขอดจากบุญเอ่ยขึ้นทันทีที่ผมเดินเข้าไปยืนตรงหน้า “โทษที รถติดมากอะ” แน่ล่ะ เขาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยในตัวเมืองและสถานที่นัดก็อยู่ใกล้กับเขาเสียเหลือเกิน ถ้าบุญมาช้ากว่าผมก็นับว่าผิดปกติแล้ว

“ไปเถอะ หิวแล้ว"

“เดี๋ยว ขอหาน้ำกินก่อน” ผมบอกแล้วมองหาร้านขายน้ำในบริเวณนั้น

“นี่จะไปร้านอาหารอยู่แล้วนะยังจะเรื่องมากอีก” เสียงของบุญดูเหมือนจะบ่นๆแต่เชื่อเถอะว่าเขายื่นขวดน้ำเย็นๆให้ผม “ดีนะเนี่ยเราเพิ่งซื้อตอนเดินมาที่นี่”

ผมยิ้มรับแม้จะยังรู้สึกเพลียกับการเดินทางจากนอกเมืองเข้าตัวเมือง แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือเดินตามหลังบุญไปเงียบๆ

คนนี้แหละคือบุญ เพื่อนที่ผมเจอตอนไปเมืองนอก ตอนแรกที่เจอผมคิดว่าพอกลับไทยก็คงจะห่างๆกันไปเองกลับกลายเป็นว่าบุญยังคงติดต่อกับผมอยู่สม่ำเสมอ นิสัยของบุญก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรออกแนวจะเป็นคนประเภทจังไรด้วยซ้ำ แต่แปลกที่กลับถูกคอกับผมอย่างน่าประหลาด ในตอนแรกเราคุยกันแต่เรื่องเพลง เรื่องภาพยนตร์ แต่หลังๆผมเริ่มติดคุยกับบุญมากขึ้นจนคุยเรื่องส่วนตัว บุญเองก็เช่นกันเขามักจะมีเรื่องมาคุยกับผมเสมอ เราสนิทสนมจนไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ยอมรับเลยว่าผมติดเขามากกว่าชาวแก๊งส์

วันนี้ผมกับบุญนัดดูหนังกันก่อนจะไปงานแสดงศิลปะ เราไม่ได้มีความรู้อะไรกับศิลปะเลยแต่ความรู้สึกที่เหมือนกันก็คืออยากชื่นชมผลงานพวกนี้ก็เท่านั้นเอง บุญเดินนำผมมาที่ร้านอาหารร้านหนึ่งโดยไม่ได้ถามผมว่าอยากจะทานอาหารอะไร เพราะบุญรู้ว่าผมเป็นพวกง่ายๆสบายๆ ไม่เรื่องมากขอแค่ไม่ใช่อาหารทะเลก็พอ ไม่ใช่เพราะไม่ชอบหรอกนะแต่เพราะแพ้อาหารทะเลต่างหาก เรานั่งดูเมนูด้วยกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ผมจะตัดสินใจสั่งเมนูเนื้อวัวไปส่วนบุญดูเหมือนจะตัดสินใจไม่ได้สักที

“สั่งให้เอาป่าว” ผมลองเสนอดู เพราะดูท่าแล้วอีกนานกว่าบุญจะตัดสินใจอะไรได้

“เออ” บุญรับคำพลางยื่นเมนูอาหารมาให้ผมแต่เพียงผู้เดียว

“เอาเนื้อแบบเมื่อกี้เป็นสองชุดครับ” ผมเอ่ยกับพนักงานที่ยืนรอจดรายการอาหาร เธอทวนรายการอาหารก่อนจะเดินหายไป “เราว่ากว่าจะดูหนังจบน่าจะไม่ทันงานศิลป์นะ”

“งานปิดกี่โมง”

“สามทุ่มครึ่งมั้ง”

“งั้นจะไปงานก่อนมั้ยล่ะ”

“แต่เราอยากดูหนังอะ” ผมกล่าวพลางเลื่อนหน้าจอดูช่วงเวลาฉายหนัง “แล้วก็อยากไปงานศิลป์ด้วย”

บุญขยับตัวชะโงกหน้าเข้ามาร่วมดูหน้าจอด้วย ผมเพิ่งสังเกตว่าเขานั่งอยู่ด้านข้างทั้งที่โดยส่วนมากคนอื่นจะมักนั่งฝั่งตรงกันข้าม “แล้วจะเอาไง”

ผมครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หันไปมองหน้าบุญแล้วถอนหายใจ “แล้วบุญจะเอาไงอะ”

“เราตามใจนาย” เขาเอ่ยเสียงเบาๆ ก่อนจะกลับไปนั่งพิงพนักเก้าอี้

“ดูหนังแล้วกัน” ผมตัดสินใจจนได้ ที่จริงถ้ารถไม่ติดหนักผมจะมีเวลาไปทำสองกิจกรรมนี้อย่างสบาย แต่พอเวลาคลาดเคลื่อนอะไรๆก็ต้องปรับเปลี่ยน

“เรียนเป็นไงมั่ง” อยู่ๆบุญก็ถามตอนที่อาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ

“เรื่อยๆ” ผมตอบสั้นๆ ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่อาหารตรงหน้า

“ใกล้สอบแล้วนะเว่ย”

“เออ ไว้ก่อน” ผมหั่นเนื้อแล้วส่งเข้าปากโดยไม่ได้สนใจบุญมากนัก คือจะว่ายังไงดีล่ะเพราะผมเป็นพวกขี้เกียจ ไม่ชอบอยู่กับตำราเรียน เรื่องสอบที่ควรจะตื่นตัวตั้งแต่เนิ่นๆก็กลับเหลวไหลพลัดวันไปเรื่อยๆ ต่างจากบุญที่ขยันเรียนและเพราะขยันเรียนเขาถึงได้คอยถามผมเรื่องเรียนอยู่ตลอดเวลา

“เราติวให้”

ผมเงยหน้าหันไปมองอีกฝ่าย “จะติววิชาอะไร เรียนกันคนละสายเลย” ผมตอบไปตามความจริง เขาเรียนคนละแขนกกับผม ถ้าไม่นับวิชาพื้นฐานสมัยมัธยมก็ไม่มีวิชาไหนที่ใกล้เคียงกันเลยด้วยซ้ำ

บุญเงียบไปพักหนึ่งเหมือนพยายามนึกอะไรอยู่ แต่สุดท้ายก็ถอดสีหน้าเหมือนยอมจำนนต่อความจริง “เออ ก็จริง”

“แล้วบุญอะ เรียนเป็นไงมั่ง”

“จะอ้วกออกมาเป็นตัวหนังสือแล้ว ถ้าไม่ออกมากับนายต้องอ้วกแตกแน่ๆ”

“สู้ๆนะว่าที่คุณหมอ”

ผมตอบกลับเรียบๆก่อนจะยิ้มตามบุญ หลังจากนั้นเราก็นั่งทานอาหารจนหมดแล้วเคลื่อนตัวไปยังชั้นโรงภาพยนต์ โชคดีที่เรายังได้ที่นั่งด้านหลังเป็นเก้าอี้โซฟาหลังสุด ผมพร้อมมากสำหรับการดูหนังเรื่องนี้แต่เพียงไม่นานผมกลับรู้สึกง่วง และรู้สึกว่าตัวอย่างหนังที่ฉายอยู่นี้จะยาวนานเป็นพิเศษ ความจริงแล้วหนังเพลงผมก็ไม่ค่อยชอบหรอก แต่เพราะถ้าไม่ได้ดูเราจะรู้ได้ยังไงว่าหนังมันดีหรือเปล่าผมก็เลยมาดูให้กระจ่าง ส่วนของบุญเจ้าหมอนี่มันยังไงก็ได้อยู่แล้วเพราะงั้นเราก็เลยลงตัวพอดี ตอนนี้เริ่มเข้าสู่บทนำของหนังที่เราเสียเงินมาดูแล้ว แทนที่ผมจะรู้สึกตื่นเต้นแต่ตอนนี้ยิ่งง่วงหนักกว่าเดิมอาจจะเป็นเพราะอาหารที่เพิ่งทานเข้าไปก็เป็นได้ ผมนั่งดูหนังไปได้อยู่พักหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่ฉากร้องเพลงนอกจากจะง่วงแล้วผมยังเริ่มเบื่ออีก นานเข้าก็ถึงกับสัพหงก แต่ก่อนที่จะได้หลับไปนั้นผมรู้ตัวว่าบุญกำลังดันศีรษะของผมให้พักพิงที่ไหล่ของเขา ก่อนจะงีบหลับไปเสียจริงๆจังๆ

รู้สึกตัวอีกทีหนังก็ยังไม่จบ ผมขยับตัวด้วยความเมื่อยเพราะค้างอยู่ท่าเดียวนานเกินไป บุญมองมาที่ผมก่อนจะยิ้มล้อเลียน

“ออกมั้ย”

ผมพยักหน้าหลังจากนั้นเราก็เดินออกจากโรงภาพยนต์กัน บุญที่เดินนำผมอยู่นั้นยังคงใส่ชุดนักศึกษาอย่างเรียบร้อยไม่มีชายเสื้อหลุดลุ่ย เพิ่งสังเกตว่าถึงจะใส่แค่ชุดนักศึกษาแต่บุญเหมือนมีลักษณะบางอย่างเฉพาะที่ทำให้เขาดูมีสไตล์อย่างบอกไม่ถูก

ผมดึงแขนของบุญให้หันมา เขาหันมามองผมด้วยความสงสัย

“อยากไปงานศิลป์”

“ไปดิ” เขาตอบพลางเอื้อมแขนมากอดคอผมให้เดินไปด้วยกัน “เสียดายค่าตั๋วหนังเหมือนกันนะ” เขาเอ่ยขณะที่ลงบันไดเลื่อน

“เออ แต่แม่งน่าเบื่อนี่หว่า”

“หนังรางวัลเลยนะเนี่ย”

ผมเบ้ปากเล็กน้อยทำให้บุญหัวเราะออกมา เราเดินกอดคอกันไปยังสถานที่จัดงานศิลป์ สายลมอ่อนๆยามค่ำคืนปะทะผิวกายให้รู้สึกสดชื่นในขณะที่เดินอยู่บนสะพานทางเชื่อม ความรู้สึกที่เรียกว่าความสบายใจมันเกิดขึ้นตั้งแต่เจอบุญครั้งแรกจนวันนี้ผมก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ มันบอกไม่ถูกเหมือนกันนะตั้งแต่เจอกันครั้งแรกที่เมลเบิร์น นอกเหนือจากเรื่องเพลงเรื่องหนังเราสามารถพูดคุยกันได้อย่างไม่รู้สึกอึดอัด และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือการที่เรายังติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงวินาทีนี้ ถึงแม้จะชอบอะไรคล้ายๆกันแต่เราไม่ได้คิดเหมือนกันไปเสียทุกอย่างหรอก ก็มีบ้างที่คิดไม่เหมือนกัน ปกติแล้วผมเป็นคนไม่ค่อยชอบพูด ไม่ค่อยเถียง แต่พอบุญจุดประเด็นเรื่องที่คิดไม่ตรงกันขึ้นมาผมมักเถียงกับเขาอย่างไม่รู้ตัว บุญชอบขำเวลาที่ผมอธิบายอะไรยาวๆ แถมยังชอบทำหน้าล้อเลียน พอผมโวยวายเขาก็ยังไม่หยุดและยังคงยิ้มบ้าบออยู่อย่างนั้นจนผมเองก็รู้สึกประดักประเดิดอยู่เหมือนกัน

เราเดินวนดูงานศิลป์ทั้งๆที่ไม่ได้มีความชำนาญทางด้านนี้แต่อย่างใด ในงานแทบไร้ผู้คน ยิ่งเดินไปยังโซนด้านหลังก็รู้สึกได้เลยว่ามีแค่ผมกับเขาที่เดินกันอยู่สองคน บุญเอาแขนที่โอบคอผมไว้ออกและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา พยักเพยิดหน้าให้ผมไปยืนอยู่ในจุดๆหนึ่งที่เขาต้องการ มันเป็นทางโค้งที่ด้านหลังมีงานศิลปะติดแสดงอยู่ ผมชูนิ้วกลางใส่ทำหน้านิ่งๆเรียกเสียงหัวเราะของบุญ ก่อนที่เขาจะบอกให้ผมทำท่าทางดีๆผมจึงชูสองนิ้วเอาแนบแก้มแต่หน้านิ่งเหมือนเดิม นี่แหละท่าถ่ายรูปประจำของผม บุญเดินเข้ามาหาพร้อมกับให้ดูรูปที่ถ่ายเขาก็พอมีทักษะด้านถ่ายรูปอยู่เหมือนกันนะ อย่างน้อยก็มีเส้นนำสายตาและตำแหน่งภาพก็พอไหว

ผมกับบุญเดินอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงประกาศว่างานใกล้จะปิดแล้ว แต่เราก็ยังเอ้อระเหยลอยชายกันอยู่ในนั้นอีก เดินกันจนถึงโซนที่เป็นห้องจัดแสดงภาพประกอบเสียงในลักษณะแบบ 360 องศา ในนั้นฉายภาพวิดิทัศน์ของศิลปินนักวาดภาพชื่อดังในแต่ละยุครอบห้องที่มีลักษณะโปร่งสูง ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับแสงสีที่เห็นจึงเดินเข้าไปยืนอยู่กลางห้อง หมุนตัวดูภาพที่ปรากฏอยู่บนผนัง พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นบุญ บุญที่กำลังมองผมแทนที่จะมองแสงสีที่จัดแสดง ผมมองเขากลับ ใบหน้าของเขาปรากฏสีต่างๆที่เปลี่ยนไปตามภาพที่ฉายผมคิดว่าหน้าของผมก็คงไม่ต่างกัน บุญไม่หลบสายตาและแถมยังยิ้ม เป็นผมเองที่ทำเป็นแสร้งมองไปทางอื่น

“กลับเถอะ ดึกแล้ว” ผมเอ่ยพลางเดินนำออกมาโดยไม่ได้รอคำตอบจากบุญ ไม่ใช่ว่าผมอึดอัดอะไรหรอกผมแค่ทำตัวไม่ถูกมากกว่าก็เลยต้องเปลี่ยนไปสนใจอย่างอื่นแทน ผมรู้สึกได้ถึงไออุ่นของบุญที่เดินตามอยู่ด้านหลัง ถึงจะมีช่วงเวลาแปลกๆไปบ้าง

แต่สุดท้ายแล้วการได้อยู่กับบุญมันคือความสบายใจอย่างที่ผมก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน



************************************




หมายเหตุ ฉบับที่ลงนี้ยังไม่ผ่านการตรวจอักษรจากนักเขียนนะคะ อาจมีผิดบ้าง ตกหล่นบ้างงง
 :katai5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2018 15:15:08 โดย PromQueen29 »

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนที่สาม (09-Oct-18)
«ตอบ #3 เมื่อ09-10-2018 00:01:05 »

ตอนที่สาม​




“ไอ้นาย”

“ไร”

“พี่พลฝากนี่มาให้”

ผมเงยหน้าออกจากจอโทรศัพท์มือถือ เห็นไอ้หนึ่งยื่นแผ่นไวนิลมาจ่อตรงหน้า “ให้นี่คือให้กูไปเลยหรือให้ยืมวะ”

“ไม่รู้โว้ย” ไอ้หนึ่งยื่นแผ่นไวนิลเข้ามาใกล้จมูกแล้วเอาแผ่นตีหน้าของผมไปมาอย่างกวนอารมณ์

ผมรับแผ่นมาดูเป็นไวนิลของวง Spector จากเกาะอังกฤษ จำได้ว่าเพราะวงมันไม่ค่อยดังมากของเลยไม่เยอะผมจึงแย่งซื้อทางออนไลน์ไม่ทัน เห็นแล้วแทบอยากจะเอาไปบูชา

“แหม ตาเยิ้มเลยนะไอ้หน้ามึน แล้วมึงไปสนิทกับพี่เขาตอนไหนเนี่ย”

ผมทำหน้ามึนใส่มันเพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าสนิทกันตอนไหน จะว่าสนิทก็ไม่ใช่นะเพิ่งเจอกันได้ไม่กี่วันเอง “ก็ไม่สนิทนะ” ตอบไปตามจริง แต่ไอ้หนึ่งทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะหันเหความสนใจไปที่โทรศัพท์มือถือแทน

“กูว่าพี่พลชอบมึง อินาย” เสียงไอ้เฟริสท์ล่ะคราวนี้

“กูก็ว่ามันแปลกๆ” เสียงหนูนุ่นเสริม

“เมื่อวานพี่พลถามถึงมึงด้วย ถามแบบถามถึงชีวิตมึงอะ” ไอ้หนึ่งสมทบ

ผมมองหน้าพวกมันแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ

“ใจเย็นนะพวกมึง พี่เขาแค่ชอบวงนี้เหมือนกูแค่นั้นมั้ยล่ะ” พูดอธิบายกลับไปแม้ในใจจะรู้แปลกๆ มันแปลกไปในทางที่ตื่นเต้นเหมือนหัวใจของผมมันบีบรัดหนึบๆยังไงชอบกล “แล้วพวกมึงมั่นใจได้ยังไงว่าเขาชอบกู”

“เออ กูก็ไม่รู้ว่ะ” ไอ้เฟริสท์ตอบหน้าเหวอๆ

“อ้าว พวกมึงนี่นะ” ผมส่ายหน้าด้วยความเพลียละเหี่ยใจ อยู่ๆมาพูดอะไรเนี่ย บอกตามตรงผมไม่เคยคิดกับเขาไปในแง่นั้นเลยนะ พี่พลเป็นคนสบายๆคุยง่ายแล้วก็คงเป็นคนมีน้ำใจก็เลยเอาแผ่นไวนิลที่ผมชอบมาให้ ก็แค่นี้เอง

“มึงก็หน้าตาไม่แย่นะอินาย แต่ทำไมไม่เคยมีแฟนเลยวะ”

คำถามแบบนี้จะให้ตอบยังไงล่ะ ผมจึงทำทีเป็นสนใจแผ่นไวนิลแทน

“วันๆแม่งหมกมุ่นอยู่แต่เพลงกับหนัง” ไอ้บอมเอ่ยหลังจากที่เงียบมานาน

เวลานี้ผมภาวนาให้อาจารย์เข้ามาสอนเร็วๆเลย ไม่งั้นจะต้องตกเป็นประเด็นเรื่องนี้ไปอีกนาน

“ไปจีบคนอื่นแล้วชวนคุยเรื่องที่อเมริกาไม่ถอนทัพออกจากอิรักแม่งคงมีคนอยากคุยต่อด้วยหรอก”

เอาอีกละ วกเข้ามาเรื่องนี้อีกแล้ว เรื่องของเรื่องคือไม่นานมานี้ผมไปเที่ยวกับเพื่อนสมัยมัธยมแบบนัดสังสรรค์กินเหล้ากันแถวทองหล่อบังเอิญเจอไอ้บอมมากับเพื่อนของมันที่ร้านพอดีก็เลยลากมาสังสรรค์เป็นกลุ่มใหญ่ด้วยเลย แล้วปรากฏว่าไปเจอเพื่อนของมันคนนึงถูกใจมาก ก็เลยให้ไอ้บอมช่วยขอไลน์สักหน่อย เขาเองก็มองๆผมอยู่ก็เลยให้ไลน์มา เขาชวนคุยเรื่องทั่วไปตามประสาคนเริ่มคุยกันแต่ผมนี่สิทั้งที่ไปชอบเขาก่อนแต่พอเจอคุยแบบนี้ก็เบื่อ คือมันไร้สาระ กินข้าวยัง ทำไรอยู่ นอนรึยัง ตอนแรกก็คุยอยู่หรอกเพราะเขาหล่อถูกใจ แต่หลังๆเริ่มไม่อยากคุยและผมก็เล่าให้ไอ้บอมฟังว่าเบื่อมันก็เลยเก็บรายละเอียดมาแซะผมอยู่บ่อยๆ

“เออ ก็แม่งถามไรน่าเบื่อนี่หว่า”

“ทั้งๆที่มึงก็ไปชอบเขาก่อนด้วยนะ ประหลาดคน”

“เขาก็มองๆกูเหมือนกันแหละน่า” ผมยังเถียงต่อไม่เลิก

“แต่แม่งก็เป็นคนอึนๆพูดไม่รู้เรื่องจริงๆนั่นแหละ” คราวนี้ไอ้หนึ่งเสริมแต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เถียงอะไรอาจารย์ก็เดินเข้าห้องเสียก่อน ผมจำต้องหุบปากแล้วหันไปสนใจกับสิ่งที่มีสาระแทน

แต่สนใจได้ไม่นานไอ้เฟริสท์ก็เขยิบเข้ามาใกล้ๆ “กูว่าพี่เขาเอ็นดูมึงนะ”

“ตั้งใจเรียนมั้ยมึง” ผมเลี่ยงประเด็น

“เฉไฉๆ นู่น มึงดูนู่น พี่เขามาแล้ว”

ผมขมวดคิ้วค่อยๆหันไปมองตามที่เฟริสท์พยักเพยิดหน้าไปด้านหลัง เป็นพี่พลที่กำลังย่องเข้ามาจากหลังห้องเข้ามานั่งข้างๆผม

“นั่งด้วย มาเร็วไปอะ เพื่อนแม่งยังไม่มาถึงมอกันเลย” เขากระซิบกระซาบก่อนจะทักทายกลุ่มของผมที่นั่งอยู่ในแถวเดียวกัน “นาย ได้แผ่นไวนิลจากไอ้หนึ่งแล้วยัง”

“ได้แล้ว ให้นายยืมเหรอ”

“เอาไปเหอะ ให้เลย”

หัวใจของผมพองโตในทันใด ผมยกมือไหว้เขาและกล่าวขอบคุณ “ว่าแต่ ทำไมให้นายอะ มันหายากนะ”

“อ้าว เห็นเคยบอกว่าสะสม”

“ก็อันนี้มันหายากไง”

“พี่ได้ซ้ำมาจากเพื่อนอะ เอาไปเถอะ ให้” พี่พลตอบพลางหยิบหนังสือของผมไปเปิดดู “ไม่จดอะไรเลยนะเรา”

“วิชานี้แค่ฟังก็พอแล้ว”

“แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้ฟังป่าววะ” พี่พลย้อนเข้าให้ เขาหรี่ตาลงทำหน้าเหมือนจะดุอะไรผมต่อแต่แล้วกลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมลืมหายใจ “ติวให้เอามั้ย”

ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่ใช่เพราะตกตะลึงในคำพูดของเขาแต่เป็นใบหน้าที่ดูเรียบๆ อมยิ้มหน่อยๆของเขาต่างหาก มันใกล้มาก ผมรู้ว่าในห้องเราคุยเสียงดังไม่ได้เขาจึงขยับเข้ามาใกล้ๆเพื่อให้อยู่ในระยะที่จะได้ยิน แต่มันใกล้เกินไป

“แล้วพวกผมล่ะพี่ ติวให้มั่งดิ” ไอ้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างผมแทรกเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มมีเลศนัย “ทำไมถึงอาสาติวให้แต่ไอ้นายล่ะ พวกผมก็โง่เหมือนมันนะ”

“ฆวยไรไอ้หนึ่ง”

นั่น สมน้ำหน้าโดนพี่พลด่าเข้าให้ ไอ้หนึ่งยิ้มลอยหน้าลอยตาก่อนจะกลับไปสนใจเรียนต่อ

“ตั้งใจเรียนดิ” คราวนี้เขาหันมาดุผมเสียอย่างนั้นและคาบนั้นทั้งคาบแทบไม่มีเวลาวอกแวกเลย ไม่รู้ว่าเพราะผมโดนพี่พลดุบ่อยๆหรือเป็นเพราะในหัวมีเรื่องให้ครุ่นคิดก็ไม่รู้แฮะ

หลังจากหมดคาบเรียนพี่พลก็ยังเกาะติดอยู่กับกลุ่มของผมแทนที่จะกลับไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนของเขา ผมสงสัยนึกอยากจะถามแต่ก็ปากหนักไม่ได้ถามออกไป ตอนนี้เรานั่งอยู่ในห้องโรงหนังภายในห้องสมุด โชคดีที่เราจองห้องดูหนังได้เพราะโดยปกติแล้วเนี่ยห้องดูหนังมักจะโดนจองจนเต็มเพราะนักศึกษาจะจองเอาไว้รอเวลาเรียน มีแต่ผมนี่แหละมั้งที่สนใจอยากจะดูแต่หนัง ไอ้พวกชาวแก๊งส์คุยบ้าคุยบอเสียงดังเอะอะมะเทิ่งจนน่าปวดหัวโดยเฉพาะไอ้เฟริสท์พูดมาก สรรหาเรื่องมาพูด สรรหาเรื่องมานินทาชาวบ้าน

ผมเลื่อนไอแพดในมือหาหนังที่น่าสนใจ หางตาเหลือบเห็นพี่พลที่กำลังเดินเข้ามา ผมไม่รู้ว่าต้องทำหน้ายังไงจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็นและเลื่อนไอแพดหาหนังต่อไป

“ไอ้ตูดหมึก” พี่พลนั่งลงที่เก้าอี้เดียวกับผม ไหล่ของเขาเบียดเข้ามาผมรู้สึกได้ถึงไอความอุ่นจากตัวเขา “หาเรื่องอะไรอยู่”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

เขาหยิบไอแพดไปถือเองแล้วกดเข้าไปที่ช่องค้นหา “เราเคยดู My own private Idaho มั้ย”

“เคยครับ”

“ชอบมั้ย”

“ชอบครับ”

“งั้นดูเรื่องนี้นะ” พี่พลพูดเสียงเรียบๆ ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

ตอนนี้ผมนั่งดูหนังอยู่กับพี่พลสองคนเพราะไอ้พวกชาวแก๊งส์เบื่อหน่ายกับหนังที่ผมเปิดดูพวกมันเลยออกไปซื้อขนมที่ร้าน ซึ่งอยู่ใต้อาคารห้องสมุดนี้ พอเป็นเรื่องของภาพยนตร์ผมจะหลุดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมัน ผมดูเรื่องนี้มาหลายรอบและทุกรอบก็ชอบน้ำตาซึมทุกครั้งในฉากที่ไมค์เครียดจนเป็นลมสลบไป ไม่รู้ว่าเพราะริเวอร์ ฟีนิกซ์แสดงดีเกินไปหรือมันไปจี้ต่อมส่วนไหนของผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตัวหนังมันไม่ได้ทำให้ผมฟูมฟายแต่มันเคว้งคว้างและเงียบเหงาจุกปรี่จนต้องรื้นน้ำตา ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่คลออยู่ไม่ให้ไหลออกมา แต่หนังนี่แม่งก็เหงาชิ้บหาย เหงาจนน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว ผมปาดน้ำตาอีกครั้ง คราวนี้พี่พลหันมามอง ผมรู้แต่ไม่รู้จะพูดหรือทำหน้ายังไงก็เลยทำเป็นนิ่งๆเงยหน้าดูหนังที่ฉายภาพอยู่บนโปรเจคเตอร์ต่อไป

“สงสารไมค์ว่ะ” พี่พลเอ่ย

“……” ผมเงียบ ไม่รู้จะตอบอะไรเพราะความรู้สึกมันจุกอยู่

“นี่ถ้าริเวอร์ ฟีนิกซ์ยังอยู่คงได้เห็นหนังดีๆอีกหลายเรื่อง”

“…………” ผมยังคงเงียบจมอยู่กับน้ำตาจนมองเห็นภาพไม่ชัดสักเท่าไหร่ เสียงดนตรีตอนจบดังขึ้นพร้อมกับตัวอักษรประโยคที่ว่า Have a nice day เรานั่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พี่พลจะขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถ ไหล่ของเราเบียดกัน แขนของผมกับแขนของเขาวางขนานข้างกันก่อนที่นิ้วก้อยของเขาเกี่ยวเข้ามาที่นิ้วก้อยของผมอย่างช้าๆ

ผมไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือเปล่าแต่วินาทีนั้นเองในท้องของผมปั่นป่วนและปวดหนึบที่หัวใจเหลือเกิน บ้าบอชะมัด





************************************



เรื่องนี้จบแล้ว จะทยอยเอาลงให้ชาวเล้าอ่านกันเรื่อยๆนะคะ
 :z2:

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: - Affection - ตอนที่สาม (09-Oct-18)
«ตอบ #4 เมื่อ09-10-2018 00:07:29 »

พี่พลจะมาดีรึมาร้ายนะ :pig4:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: - Affection - ตอนที่สาม (09-Oct-18)
«ตอบ #5 เมื่อ09-10-2018 12:23:00 »

พี่พลกับบุญชอบนายแน่ๆ

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนที่สี่ (09-Oct-18)
«ตอบ #6 เมื่อ09-10-2018 13:45:12 »

ตอนที่สี่​


หลังจากวันที่เราดูหนังด้วยกันผมไม่ได้เจอพี่พลอีกเลย ได้ยินไอ้หนึ่งบอกว่าพี่พลวุ่นวายอยู่กับโปรเจคจบและเรื่องฝึกงาน ผมไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่าที่เคยรู้สึก เคยมาเรียนอย่างไรก็มาเช่นเคย เคยทานข้าวที่ไหนก็ไปเหมือนเดิม เคยไปเที่ยวอย่างไรก็ไปไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่แปลกไปคงจะเป็นสมองที่อยากรู้ว่าตอนนี้พี่พลกำลังทำอะไรอยู่…

วันนี้ชาวแก๊งส์เลิกเรียนตอนดึกเพราะเป็นวิชาที่ใช้ห้องแลปอย่างห้องล้างฟิล์ม กว่าจะล้างเสร็จแต่ละใบไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ นับว่าเป็นโชคดีของผมที่ได้เป็นรุ่นสุดท้ายที่เรียนถ่ายรูปโดยใช้กล้องฟิล์ม เพราะไม่ว่าเวลาจะกดชัทเตอร์หรือแม้กระทั่งล้างรูปมันเป็นอะไรน่าตื่นเต้นเสมอว่าเราจะได้ภาพแบบไหน ดีหรือกากอยู่ที่ฝีมือล้วนๆ ไอ้พวกชาวแก๊งส์รอผมส่งรูปคนสุดท้ายก่อนที่พวกเราจะแวะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องพักของเฟริสท์ จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองด้วยรถยนต์ของไอ้บอม กว่าจะฝ่าเข้าไปในเมืองผมเผลอหลับระหว่างที่อยู่บนโทลเวย์รู้ตัวอีกทีรถยนต์ของไอ้บอมก็กำลังเลี้ยวเข้าสู่ร้านอาหารใจกลางเมืองย่านสาทร พวกเราสั่งอาหารกันด้วยความหิวโหยเหมือนชีวิตนี้อาหารไม่เคยตกถึงท้อง พอทุกคนอิ่มก็เป็นเวลายามดึกเหมาะแก่การไปเที่ยวต่ออย่างพอดิบพอดี ไอ้บอมเจ้าพ่อทองหล่อ-เอกมัยจึงพาพวกเรามาเยือนถิ่นอีกครั้ง ร้านเดิมแต่คนในร้านไม่เหมือนเดิมเพราะผมจำหน้าใครไม่ค่อยได้ ห้าทุ่มเราอุ่นเครื่องกันที่ร้านเล่นดนตรีสดปลุกวิญญาณนักเที่ยวยามราตรี เที่ยงคืนกว่าๆแค่ดนตรีสดเริ่มไม่เพียงพอแต่ดูเหมือนไอ้บอมยังติดพันกับสาวที่เพิ่งเจอชาวแก๊งส์ก็เลยต้องรอให้เพื่อนดีลปิดการเจรจานี้เสียก่อน

ผมกับเฟริสท์ออกมาดูดบุหรี่กันนอกร้าน นับว่าเป็นโชคดีที่ตอนห้าทุ่มเรายังมีโต๊ะให้ได้จับจองเพราะยิ่งดึกคนก็ยิ่งเยอะจนเริ่มมั่วๆกันไปบ้าง ไอ้เฟริสท์โดนหนุ่มที่คาดว่าน่าจะเป็นวัยทำงานชวนคุย ส่วนผมมีบุหรี่มาโบโล่สีทองเป็นเพื่อน อ้อ แถมด้วยยาดมโป๊ยเซียนที่เพิ่งซื้อหน้าห้องน้ำด้วย ผมแอบฟังไอ้เฟริสท์คุยกับหนุ่ม บทสนทนาก็เดิมๆตามประสาคนม่อสาว ผมรู้สึกเบื่อจึงลุกขึ้นเดินไปสูบบุหรี่นอกร้านริมถนน จริงๆแล้วผมไม่ได้หิวอะไรหรอกนะแต่พอได้กลิ่นไก่ทอดเจ้าประจำที่จอดขายอยู่หน้าก็เลยรู้สึกอยากกินขึ้นมา ผมต่อคิวอยู่ประมาณคิวที่สามเป็นคิวสุดท้าย มองไปรอบๆบังเอิญเจอกลุ่มสาวๆที่อยู่ใกล้ๆกำลังช่วยลูบหลังให้เพื่อนอ้วกเฉยเลย แม่ง อร่อยเด็ดเลยไก่ทอดกู

“โห อร่อยเด็ดเลยไก่ทอดกู”

ประโยคที่ผมกำลังคิดอยู่ในใจกลับถูกกลั่นออกมาเป็นสุ้มเสียง ผมหันไปด้านหลังเพื่อมองต้นตอของเสียงและพบว่าเป็นพี่พลในเสื้อยืดสีเทาขนาดพอดีตัวกำลังยืนยิ้มนิดๆอยู่ “อ้าว…” เอาอีกแล้ว ประโยคแปลกๆที่ไม่รู้ว่าเป็นคำอุทานหรือคำทักทาย

พี่พลขยับมายืนข้างๆเป็นเชิงว่าไม่ได้มาซื้อไก่ทอดแต่อย่างใด “มานานยัง” เขาถาม

“ตั้งแต่ห้าทุ่ม”

“รีบเหรอ” เขากระเซ้าในความอยากเที่ยวของผมด้วยน้ำเสียงไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก

“รีบเที่ยวรีบเมาพรุ่งนี้ต้องอ่านหนังสือจริงๆจังๆแล้วไง” ใช่เลย ไอ้การสอบไฟนอลนี่ระรานเวลาเที่ยวเตร่ของพวกผมมาก ผมเคยบอกแล้วไงว่าผมเป็นพวกขี้เกียจจริงๆ พวกไม่รู้จะเอายังไงกับอนาคตข้างหน้า พอจบประโยคผมก็เรอออกมาเพราะฤทธิ์ของเบียร์กากๆที่ขายตามร้านเหล้า ตอนอยู่ที่ร้านอาหารก็สั่งเบียร์นอกมาดื่มแบบเท่มาก คูลมาก ถ่ายรูปขวดที่ติดฉลากสวยๆกับแก้วทรงประหลาดที่ออกแบบมาเพื่อให้กักกลิ่นของเบียร์ บลาบลาลาลา เอาไว้อวดในอินสตาแกรมเก๋ๆ พอเริ่มเมาก็ลดหลั่นลงมาเหลือแค่เบียร์ที่ผลิตในไทยเน้นปริมาณ พี่พลหัวเราะที่ผมเรอเล่นเอาผมหน้าเหวอไปหน่อยๆ ก็ไม่ได้ว่าจะต้องหล่อตลอดเวลาอะไรหรอกแต่ผมกับพี่เขาก็ไม่ได้สนิทกันจนจะแสดงอาการเหล่านี้ออกมา

“แหนมทอดแน่ๆ”

“รู้ได้ไง”

“เห็นรูปในไอจีของหนูนุ่น” เขากล่าวเรียบๆดวงตายิ้มๆเหมือนคนใจดี

จังหวะนั้นเองที่ถึงคิวของผมได้ไก่ทอดที่สั่งไว้ ผมนั่งลงบนริมขอบถนนทานไก่ทอด ส่วนพี่พลงัดบุหรี่ออกมาสูบ เราไม่ได้คุยอะไรกันนั่งอยู่ข้างกันเงียบๆฟังเสียงดนตรี เสียงคนเม้ามอย แถมด้วยเสียงสาวๆกลุ่มนั้นที่ช่วยลูบหลังเพื่อนให้อ้วกอย่างทุลักทุเล เพลินจะตาย

ว่ากันว่าแสงสีส้มเหลืองนวลๆที่สว่างขึ้นในความมืดมิดมักจะทำให้อะไรๆดูโรแมนติกขึ้น เวลานี้แสงไฟจากริมถนนตกกระทบบนใบหน้าของพี่พล ผมก็เลยคิดว่าไอ้แสงบ้าบอนี่คงมีผลประมาณเห้าสิบเปอร์เซ็นที่ทำให้เวลานี้ผมต้องคอยแอบมองพี่พลอยู่อย่างเนียนๆ ส่วนอีกห้าสิบเปอร์เซ็นที่เหลือคงจะเป็นไอ้ท่าทางสูบบุหรี่ที่ดูกร้านโลก ผมไม่เคยคิดว่าการสูบบุหรี่มันเจ๋งมันเท่อะไรหรอกนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าสูบทำไม แต่เวลามาเที่ยวทีไรก็สูบตลอด

“ไม่เข้าไปหาเพื่อนเหรอ” ผมเอ่ยถามก่อนจะหยิบขวดน้ำของพี่พลมาเทน้ำล้างมือ

“ไม่ได้มากับเพื่อน”

“มากับแฟนเหรอ” แม่ง คำถามโคตรเปิดเผย คำถามแบบนี้หากลองพิจารณาดีๆมันคิดได้สองแง่คือถามทั่วๆไปกับถามเพื่อสอดแนมชีวิตของคนอื่น การถามแบบนี้ก็เหมือนกับผมถามเขาว่า มีแฟนหรือยัง นั่นแหละ

“ตามมาเที่ยวกับกลุ่มของเรานั่นแหละ”

คำตอบของพี่พลหลบหลีกได้อย่างดีจนผมเดาไม่ออกเลยว่าเขามีหรือไม่มีแฟน ทักษะสอดแนมของผมคงอ่อนไป ไม่ก็พี่พลคงสกิลป้องกันตัวเองสูงเกิน

“แต่เดี๋ยวไปเจอเพื่อนที่เซฟเฮ้าส์” เขาเสริมคำตอบอีก

สรุปคือตามมาเที่ยวกับกลุ่มของผมก่อนแล้วค่อยไปเจอเพื่อนของเขาอีกร้านหนึ่ง

“เออ อยากเปลี่ยนร้านแล้วเหมือนกัน”

ผมพึมพำพลางลุกขึ้นยืนพี่พลเองก็ยืนตาม เป็นอันว่าเขาเดินตามผมเข้าไปในร้านเพื่อลากชาวแก๊งส์ไปต่อที่ร้านอื่น กว่าจะฝ่าฝูงชนที่กำลังกระโดดโลดเต้นกับดนตรีสดก็เหนื่อยพอควร ทั้งเบียดเสียด ทั้งโดนกระแทกจนพี่พลต้องเกาะตัวผมไว้ไม่ให้เคลื่อนหลงไปกับฝูงชนในร้าน มีอยู่จุดหนึ่งที่เราต้องหยุดเพื่อให้กลุ่มกะเทยรุ่นใหญ่ได้เต้นจนหนำใจถึงจะค่อยๆพยายามแทรกตัวหลุดมาได้ อาจจะเป็นเพราะจุดนั้นที่ทำให้ผมกับพี่พลตัวแนบกัน เขากระชับบีบที่เอวผมอย่างไม่ตั้งใจ ผมเองก็จับมือของเขาที่เกาะอยู่ที่เอวไว้อย่างไม่ตั้งใจ ทุกอย่างล้วนไม่ได้ตั้งใจทั้งสิ้น

ชาวแก๊งส์รวมตัวรอไอ้บอมขับรถมารับอยู่ที่หน้าร้าน ไม่นานนักรถสปอร์ตที่ผมคิดว่ามันเหมือนแมลงสาบก็ขับมาเกยจนแทบจะเหยียบเท้า เป็นพี่พลที่เดินไปให้ทิปกับพนักงานที่ไปเอารถมาให้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าพี่พลจะมีรถแบบนี้ก็เลยรู้สึกอู้หูอยู่ในใจต่างกับไอ้หนึ่งกับสบถเสียงออกมา เสียงท่อของไอ้รถแมลงสาบนี่เรียกร้องสายตาจากผู้คนที่อยู่หน้าร้านได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหนุ่มๆที่มองรถตาเป็นมันวาว อาการเหล่านี้ผมโคตรจะหมั่นไส้อย่างไร้เหตุผล

“ขับไปเซฟเฮ้าส์ตอนนี้จะมีที่จอดเหรอ” หนูนุ่นผู้รอบคอบเอ่ยถาม รถของไอ้บอมมีที่จอดประจำอยู่แล้วจึงไม่ได้กังวลอะไรเท่าไหร่ มีเงินก็มีที่จอดเองแหละ “ในสนามบอลนุ่นว่าเต็มแล้วนะ”

“มีมั้ง ไม่รู้ว่ะ” พี่พลตอบเดินไปยืนที่ฝั่งคนขับ “มีใครจะไปด้วยมั้ย”

“อินาย มึงไปกับพี่พลแล้วกัน” ไอ้เฟริสท์ไม่พูดเฉยมันผลักผมเบาๆให้ขยับตัว ที่จริงผมว่าไอ้หนึ่งควรจะไปนะเพราะดูท่าทางมันชอบรถอะไรแบบนี้ส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบรถแบบนี้เลย ขอหมั่นไส้อีกรอบแล้วกัน

“เออ มาดิ” พี่พลกวักมือเรียกก่อนจะก้าวขาเข้าไปในรถ เกิดมาผมก็เพิ่งเคยนั่งรถสปอร์ตนี่แหละ เก้ๆกังๆยังไงชอบกล พี่พลเข้าเกียร์เหลือบมองกระจกข้างรอจังหวะรถโล่งแล้วเหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว แม่ง ผมยังไม่ได้คาดเข็มเข็ดนิรภัยเลยนะ

การจราจรย่านเอกมัยเลวยังไงก็เลวอยู่อย่างนั้น แม้ในช่วงฟ้ามืดแล้วรถก็ยังติดอยู่อีก เสียงเพลง Electronica ที่เปิดอยู่นี้ช่วยสร้างอารมณ์ให้กับการไปต่อที่ร้านอื่นอย่างมาก พี่พลขยับนิ้วลงบนพวงมาลัยสายตามองจ้องไปยังสัญญาณไฟ ส่วนผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น เปิดเข้าไปดูคนที่เข้ามากดถูกใจรูปในอินสตาแกรมซึ่งมีอยู่ไม่กี่คน ไถหน้าจอไปเรื่อยกดเข้าไปดูอินสตาแกรมของคนนู้นทีคนนั้นที

“เล่นแต่มือถือ”

อยู่ๆพี่พลก็เอ่ยขึ้น ผมจึงเงยหน้าหันไปมอง “ทำไมอะ”

“ก็เห็นเล่นแต่มือถือ”

ผมเงียบไม่ได้ตอบอะไรแต่เก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกง จากนั้นสัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว รถแมลงสาบของพี่พลที่จอดอยู่หน้าสุดเร่งออกตัวชนิดที่แทบจะเบียดกับมอเตอร์ไซต์ที่จอดขนาบให้ล้ม ไม่นานเราก็มาถึงร้านที่หมายมั่นไว้ คงเป็นเพราะรถแมลงสาบของพี่พลที่ทำให้มีที่จอดเกยอยู่ด้านหน้าเอาไว้ประดับหน้าร้านอย่างน่าหมั่นไส้ ผมจุดบุหรี่สูบรอพวกชาวแก๊งส์ ส่วนพี่พลโทรหาเพื่อน

“กูถึงแล้ว” เขาป้องปากคุยกับคู่สนทนาที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ “โต๊ะเดิมใช่ป้ะ ได้ๆ พวกไอ้บอมจอดรถอยู่เดี๋ยวกูตามเข้าไปกับน้องๆ”

ผมหันไปมองพี่พลเห็นเขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบเช่นกัน ผมเองก็ไม่แน่ชัดว่าทำไมถึงแอบมองเขาบ่อยเหลือเกิน “นายไปซื้อน้ำที่แมคฯก่อนนะ” ผมหาเรื่องเพื่อไม่ให้อยู่กับเขาสองต่อสองนานเกินไป

“รออยู่ตรงนี้แหละ จะไปเข้าห้องน้ำพอดี” สิ้นคำพี่พลก็ฝากบุหรี่ของเขาไว้ที่ผมแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ผมคาบบุหรี่ของตัวเองไว้ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นตามความเคยชินได้ไม่นานก็เหลือบมองบุหรี่ของพี่พลที่กำลังมอดลดลงมาอย่างช้าๆ ผมจึงตัดสินใจลองสูบบุหรี่ของเขา

ก็แค่มาโบโล่สีแดงที่เอาไว้สูบอวดสาว แค่บุหรี่ที่ผมเองก็เคยสูบมาแล้ว ก็แค่บุหรี่ที่พี่พลเพิ่งสูบไปเมื่อครู่ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ปั่นป่วนในท้องแบบนี้

ไม่นานนักพี่พลก็เดินกลับมาพร้อมกับไอ้พวกชาวแก๊งส์ บอกได้เลยว่างานนี้กว่าจะเสร็จต้องได้ใส่บาตรพระแน่ๆเพราะกลุ่มของผมได้หลอมรวมกับกลุ่มของพี่พลเป็นที่เรียบร้อย ทั้งเสียงเพลง ผู้คน ความคึกคะนอง เล่นเอาผมหลุดโลก กลุ่มเพื่อนของพี่พลก็พอคุ้นหน้าคุ้นตาจากตอนที่ร่วมทำกิจกรรมอยู่บ้างเลยต่อกันติดได้ง่าย ยิ่งในวงเหล้าแล้วเนี่ยไหลลื่นสุดๆ เสียงเพลงเร่งเร้าให้กลุ่มคนอยู่นิ่งไม่ได้ พวกสาวๆเต้นกันยับเลย ส่วนหนุ่มๆอย่างพวกผมก็ขยับตัวไปตามจังหวะ โห่ร้องร่วมไปกับดีเจ ตอนนี้ทั้งสุราเบียร์ช็อตแบบไหนก็ไม่รู้ดื่มกันมั่วไปหมด ไม่สนแล้วว่าเป็นของนอกของไทยเน้นปริมาณไม่ให้ขาดสายเป็นพอ นี่แหละสภาพของชาวแก๊งส์ที่ใกล้จะสอบไฟนอล

ไอ้เฟริสท์กับไอ้บอมยืนเต้นสวยๆหล่อๆพลางคุยกับคนอื่นเรื่อยเปื่อย มีคนเข้ามานัวบ้างตามประสา ส่วนผมเต้นท่าประหลาดอยู่กับไอ้หนึ่งและหนูนุ่นตอนที่เพลงโปรดของพวกเราเล่นอยู่ โดยรวมเวลาเรามาเที่ยวกันเองก็จะประมาณนี้แหละ แต่ครั้งนี้มีพี่พลเข้ามาร่วมเต้นด้วย ที่จริงแล้วนับว่าเต้นก็ไม่น่าจะใช่เขาแค่สนุกไปกับเพลงแบบหล่อๆไม่ได้มาสายเพี้ยนอย่างผม หนูนุ่น แล้วก็ไอ้หนึ่งหรอก

“รถที่เอามานี่ของพี่เหรอ” เสียงไอ้หนึ่งแทรกถามขึ้นมา แต่ดูเหมือนเสียงเพลงจะกลบหมดจนต้องยื่นหน้าเข้าไปถามข้างๆหูพี่พล

“รถของพี่ชายกู”

“โห เจ๋งว่ะ แล้วรถพี่อะ”

“พี่กูเอาไปต่างจังหวัด”

พี่พลตอบแล้วยกแก้วเหล้าจิบ ผมเริ่มเหนื่อยแล้วจึงค่อยๆลดสเต็ปการเต้นประหลาดๆลง ตรงข้ามกับไอ้หนึ่งและหนูนุ่นที่ยังแรงดีไม่มีตกกำลังเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เหงื่อแตกเต็มไปหมดเข่าจะหลุดอยู่แล้ว ผมหยิบน้ำเปล่ามาดื่มแต่กลับถูกพี่พลแย่งขวดไปและยัดเยียดแก้วช็อตวอดก้ามาให้   “โห กะเอาให้นายร่วงเลยว่างั้น” ผมขยับเข้าไปพูดที่ข้างๆหูของเขา พี่พลยิ้มหัวเราะสนุกสนานผมรับแก้วช็อตมาแล้วกระดกชนิด Bottom up ก่อนจะบีบมะนาวเข้าปากตามเล็กน้อยเพื่อตัดกับความขมนิดๆของวอดก้าที่แทบกลายเป็นรสหวานเมื่อผสมกับเกลือนิดหน่อยเล่นเอาผมตื่นตัวเลย “วู้ววววว” ผมร้องออกมา พร้อมกับเสียงโห่ร้องชอบใจจากกลุ่มพวกรุ่นพี่ ช่วงนี้ไม่ว่าใครจะกระดกอะไรก็ส่งเสียงเชียร์กันหมดแหละ พี่พลเองก็ซดวอดก้าเช่นเดียวกันกับผมตามด้วยเหล้าเพียวๆในแก้วที่มีน้ำแข็งอยู่สองก้อน

นี่ผมรู้สึกเหมือนโดนอวดยังไงอยู่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

ไม่รอช้าผมเอาแก้วช็อตที่มีวอดก้าอยู่เทลงผสมกับเบียร์ก่อนจะยกดื่มจนหมดคว่ำแก้วโชว์แล้วยักคิ้วให้พี่พล เขาหัวเราะชอบใจใหญ่ก่อนจะขยับและโน้มตัวลงมาใกล้จนผมทำหน้าไม่ถูก มันรู้สึกและสัมผัสได้ถึงร่างกายที่เบียดเสียดกัน ร่างที่โอนเอนนิดหน่อยจนทำให้จมูกของเขาแทบจะชนกับหน้าของผม เขาแค่เอ่ยประโยคง่ายๆไม่ได้มีนัยยะสำคัญหรือวิเศษวิโสแต่อย่างใด

“ยอมแล้ว”

ที่จริงแล้วเนี่ยผมเป็นพวกมาแรงแต่แหกโค้ง ไอ้ที่ดื่มโชว์ไปเมื่อครู่ออกฤทธิ์อย่างหนักจนรู้สึกตาพร่าไปหมด ทั้งแสงเลเซอร์ในร้าน เสียงเพลง ผู้คน การเบียดเสียด คิดอยู่ว่าถ้าไม่ไหวจะยอมโชว์กากแล้วออกไปสูดอากาศนอกร้าน แต่ดูเหมือนว่าผมจะไม่ต้องโชว์กากเพราะไอ้บอมเริ่มสะกิดชาวแก๊งส์ชักชวนให้กลับ ตอนแรกไอ้หนึ่งโวยวายเพราะนี่แค่ตีสองกว่าๆเองเหลือเวลาอีกนานกว่าพระจะออกบิณฑบาตร แต่พอไอ้บอมพยักเพยิดหน้าไปที่สาวหุ่นดีข้างกาย ชาวแก๊งส์ก็เป็นอันรู้กัน พวกผมร่ำลาพวกรุ่นพี่ก่อนจะเดินออกมา เวลานั้นผมเมามากเดินตามชาวแก๊งส์อย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง จนในที่สุดผมก็สามารถแทรกผ่านฝูงชนออกมานอกร้านได้ เท่านั้นเองแหละวิ่งปราดเข้าไปที่ถังขยะแล้วอ้วกออกมา หูอื้อตาลายไปหมด เวียนหัวตัวโคลงเคลง แต่กระนั้นก็ยังมีสติมากพอที่จะรับรู้ได้ว่าไอ้พวกชาวแก๊งส์แม่งหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังเลยทีเดียว

“ไอ้เหี้ยนาย แดกเผื่อหมาเหรอมึง กากชิ้บหาย” สิ้นเสียงของไอ้หนึ่งผมก็อ้วกออกมาอีกรอบ โอ้โห ต้องเป็นเพราะไอ้วอดก้าที่ผสมเบียร์แน่ๆที่เล่นเอาผมร่วงขนาดนี้ “กากเหี้ยๆ”

เสียงหัวเราะระงมจนผมเริ่มอายขึ้นมาเลย แต่ก่อนที่จะหันไปด่าไอ้พวกชาวแก๊งส์ผมก็อ้วกออกมาอีก คราวนี้มีมือของใครก็ไม่รู้ที่คอยลูบหลังให้ผม

“ไอ้อ่อนเอ้ย” แม้เขาจะลูบหลังช่วยให้ผมอ้วกได้สะดวกขึ้นแต่น้ำเสียงกลับหยอกเย้าจนต้องหันไปมอง เป็นพี่พลที่กำลังส่งยิ้มล้อเลียน “จะอ้วกอีกมั้ย”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธพี่พลจึงยื่นขวดน้ำมาให้ ผมบ้วนปากล้างหน้าไม่นานนักขวดน้ำขวดที่สองก็ตามมาติดๆ ตอนนี้อาการพะอืดพะอมหายไปหมดแล้วแถมยังมีสติเพิ่มขึ้น

“โอเคขึ้นหรือยัง”

ผมพยักหน้าก่อนจะผงะไปเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆพี่พลก็ยื่นหมากฝรั่งที่แกะแล้วมาตรงปาก ยังไม่ทันจะได้ยื่นมือเข้าไปรับพี่พลก็ยัดหมากฝรั่งเข้ามาที่ปากผมเสียอย่างนั้น

“หูยๆ อินายมันไม่ได้เปลี้ยถึงกับต้องป้อนหมากฝรั่งให้หรอกพี่พลลลลล” เสียงไอ้เฟริสท์ทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียน

พี่พลยิ้มรับก่อนจะจับเข้าที่ท้ายทอยของผม รั้งเข้ามาให้อยู่ในอ้อมแขน คราวนี้ล่ะสายตาล้อเลียนจากไอ้เฟริสท์กับหนูนุ่นที่จ้องมาเล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูกเลย รู้แหละว่าพวกมันแค่แซวเล่น แต่ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้ายังไงจริงๆ จะหัวเราะ จะยิ้ม หรือจะเล่นกลับดีหละ

“นายโอเคแล้ว” ผมบอกเสียงแผ่วๆ ไอ้การอ้วกแตกเมื่อครู่นี้ใช้พลังงานไปเยอะอยู่เหมือนกัน

“เรากลับยังไง”

“โอ้ยยยย จะกลับยังไงล่ะพี่พลลลลลล มันมากับพวกเราก็ต้องกลับกับพวกเราสิ” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบไอ้เฟริสท์ก็ชิงตอบ ผมล่ะเกลียดเสียงมันเวลาเรียกพี่พลลลลลลแบบห่อลิ้นจริงๆเลย

“แต่ล่าสุดนายนั่งรถมากับกูนะ นายก็ต้องกลับกับกูสิไอ้เฟริสท์” ไม่น่าเชื่อว่าพี่พลจะเล่นต่อ

ผมเริ่มหัวเราะ ไอ้การแซวว่ากิ๊กกันมันเกิดขึ้นได้ ผมเองก็ยังเคยล้อไอ้เฟริสท์กับไอ้บอมเลยแต่สุดท้ายมันก็แค่แซวเล่น หลังจากที่แซวกันพอหอมปากหอมคอพี่พลก็เสือกพาผมขึ้นรถไปด้วยจริงๆ ส่วนเฟริสท์ หนึ่ง และหนูนุ่นก็กลับรถไอ้บอมเหมือนเดิม เป้าหมายคือบ้านไอ้บอมเหมือนเช่นทุกครั้งเวลาที่เมาเละกันแบบนี้ ผมนั่งสูดยาดมอยู่ในรถพี่พลให้รู้สึกสดชื่น ตอนนี้สร่างเมาไปเยอะแต่ก็ยังรู้สึกอ้อแอ้ปวกเปียกอยู่

“พี่พล”

“ว่า”

“อย่าไปบอกใครนะว่านายร้องไห้ตอนดูหนัง”

“เออ” เขารับปากก่อนจะเอื้อมมือมาปัดผมของผมที่มันตกอยู่ตรงหน้าผากแล้วเปิดเหม่ง “ไหวป่าว”

“ไหวดิ สร่างแล้ว” ผมตอบมองตามมือของพี่พลที่กลับไปจับพวงมาลัยเหมือนเดิม “จริงๆนายกลับกับบอมเหมือนเดิมก็ได้นะ พี่พลน่าจะอยู่กับเพื่อนต่ออะ”

“จริงๆพี่เมาแล้วว่ะ” เขาหัวเราะอารมณ์ดี

ผมจึงหัวเราะตาม แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา มีแต่เสียงเพลงที่ดังอยู่ในรถ ผมเอนหัวพิงเบาะสบายๆ แอร์ในรถเย็นฉ่ำ แม้รถจะนั่งค่อนข้างลำบากไปแต่โดยรวมก็ดีกว่าตอนที่อยู่ในร้าน สมองของผมว่างเปล่าขณะที่มองทัศนียภาพยามค่ำคืน รถของพี่พลมุ่งหน้าออกนอกเขตกรุงเทพฯ เพราะบ้านไอ้บอมอยู่รอบปริมณฑลบ้านของมันจึงกว้างขวางเหมาะสมแก่การค้างคืน แต่ตอนนี้ดูเหมือนพี่พลจะขับเลยทางที่จะขึ้นทางด่วนเพื่อเลี่ยงด่านตรวจ

“พี่พล ไม่ขึ้นทางด่วนเหรอ”

“ขึ้นดิ” เขาตอบยิ้มๆ

“อ้าว มันเลยแล้วนะ”

“ไม่เลยหรอก”

ไอ้ท่าทีคึกคะนองแบบนี้คงเป็นเพราะฤทธิ์เครื่องดื่มบันเทิงแน่ๆ พี่พลเร่งความเร็วขับปาดรถยนต์เพื่อเข้าเลนขวา ด้านข้างเป็นทางลงของทางด่วน พี่พลขับเลยทางลงมาเล็กน้อยก่อนจะใส่เกียร์ถอยหลัง เขามองดูรถอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอยหลังขึ้นทางด่วนอย่างรวดเร็ว

“เอางี้เลยเหรอ” ผมอ้าปากค้าง ขณะที่พี่พลยิ้มมุมปาก

“เออ เอางี้แหละ จะได้ขึ้นทางด่วนฟรี”

โอ้โห ถ้าผมโดนตำรวจทางหลวงจับขึ้นมาใครจะประกันตัวผมล่ะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2018 15:13:32 โดย PromQueen29 »

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนที่สี่ (09-Oct-18)
«ตอบ #7 เมื่อ09-10-2018 13:45:57 »


บ้านของไอ้บอมมีสี่ชั้น ด้านข้างในบริเวณเดียวกันนั้นเป็นตึกบริษัทของครอบครัว พ่อกับแม่ของมันอยู่ชั้นสอง พี่ชายของมันอยู่ชั้นสาม ส่วนมันครอบครองชั้นสี่ เพราะเหตุนี้พวกเราจึงมักนัดกันมาทำงาน ทำกิจกรรม หรือค้างคืนกันที่บ้านของมันตลอด พี่พลเดินตามผมอยู่ด้านหลังนึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขาจะค้างคืนที่นี่ด้วยหรือแค่มาส่งผมเฉยๆ แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนปากหนักก็เลยไม่ได้ถามออกไป เราเดินขึ้นมาถึงชั้นสี่ก็ได้ยินเสียงเอะอะปนกับเสียงเพลง พอเปิดประตูเข้าไปเห็นไอ้ชาวแก๊งส์นั่งอยู่ที่โต๊ะทรงกลมและตั้งวงเหล้าอีกระรอก เห็นพวกมันในแสงสว่างแบบนี้บอกได้เลยว่าแต่ละคนหมดสภาพสวยหล่อแตกต่างจากตอนที่เดินเข้าผับใหม่ๆ แน่ล่ะ เต้นกันจนตีนพังแบบนั้น ผมเองก็ร่อแร่ ทั้งอ้วก ทั้งปวดขา ไหนจะมึนหัวไม่หายดีอีก ส่วนไอ้บอมนั่งจีบสาวอยู่ที่นอกระเบียงไอ้นี่ก็แบบนี้แหละ พาสาวมาเพื่อการนั้นตลอด เช้าปุ๊ปแยกย้าย

“ใจคอพวกมึงจะไม่พักกันมั่งเลยหรือไง” พี่พลเอ่ยทักพลางเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ

“ยันหว่างๆ” เสียงไอ้หนึ่งโหวกเหวกแข่งกับเสียงเพลง

ผมหยิบแก้วเหล้าเพียวๆของหนูนุ่นขึ้นมาดื่ม “เหล้าไรวะ รสเหมือนกาแฟ” ดีนะที่จิบไปนิดเดียวเพราะผมไม่ชอบรสชาติของมันเลย

“ไม่รู้หวะ กูเจอห่าอะไรในตู้ไอ้บอมก็กวาดมาหมดเลย”

ผมพยักหน้ารับ ก็พอเข้าใจแหละคลังแสงของไอ้บอมมีทั้งเหล้าไทยเหล้านอกบรั่นดีวอดก้าหลากหลายชนิดจนเลือกไม่ถูก “กูนอนห้องไหนวะ” ที่ต้องถามเนี่ยเพราะโดยปกติถ้าไอ้บอมไม่หิ้วสาวมาเราก็นอนหลอมรวมระเกะระกะอยู่ในห้องไอ้บอมกันหมด แม้ชั้นของมันจะมีห้องนอนของแขกอยู่ก็ตามที พอมันพาสาวมาห้องรับแขกที่เหลืออยู่สองห้องก็ตกเป็นของพวกผมซึ่งไม่รู้ว่าไอ้พวกที่มาถึงก่อนนี่มันจองห้องไหนไว้แล้ว

“มึงนอนห้องในสุด” หนูนุ่นตอบ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะห้องในสุดเครื่องปรับอากาศไม่รู้เป็นอะไรมันหนาวกว่าห้องอื่นจนขนลุก

“กูว่าละ”

“ช่วยไม่ได้มึงมาช้าเอง” หนูนุ่นเอ่ยทำหน้ากวนอารมณ์ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มมีเลศนัยเล่นเอาผมงงกับพฤติกรรมของมัน

“ยิ้มไรวะ”

“เปล่าๆ มึงไปนอนเถอะ ไอ้บอมเปิดแอร์ไว้ให้แล้ว”

“เออๆ” ผมรับปากแล้วเดินไปตามทางที่คุ้นชินโดยที่พี่พลเองก็เดินตามมาติดๆ นึกอยากถามเขาว่าไม่ดื่มต่อกับไอ้พวกชาวแก๊งส์หรือยังไง แต่ก็เหมือนเดิมผมเลือกที่จะเงียบ

ไอ้ห้องนอนสำรองรับแขกที่ว่าเครื่องปรับอากาศเย็นผิดปกติก็เย็นอยู่เหมือนเดิมจนผมต้องปรับอุณภูมิเพิ่มให้อุ่นขึ้นแต่มันก็ยังหนาวกว่าปกติอยู่ดี ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าในขณะที่พี่พลวางโทรศัพท์มือถือและกุญแจรถไว้ที่โต๊ะเล็กๆข้างเตียงนอน

“จะนอนห้องนี้เหรอ” ที่ถามเพราะแอร์มันเย็นมากมีแต่ผมนี่แหละที่นอนได้

“อืม”

ผมหันกลับไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้พี่พลก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ผมใช้เวลาไม่นานนักเพราะเมื่อยตัวอยากจะนอนเต็มที แต่เพราะกลิ่นบุหรี่กลิ่นอ้วกทำให้จำยอมต้องอาบ ไม่ต้องสงสัยหรอกเพราะโดยปกติถ้ากลับมาจากเที่ยวผมจะแค่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วนอนเลย เรื่องเกียจคร้านของชาวแก๊งส์เราเป็นที่หนึ่งเสมอ ผมออกมาจากห้องน้ำสภาพอากาศอย่างกับขั้วโลกเหนือเพราะเนื้อตัวยังเปียกน้ำ ผมรีบเช็ดตัวและใส่เสื้อผ้าก่อนจะล้มตัวลงนอนเอกเขนกบนเตียง ต่อสายชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือเตรียมตัวหลับเต็มที่ แต่ไม่วายหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดโหมดออนไลน์

“แปรงสีฟันอยู่ในตู้ใต้อ่างล้างหน้านะ” ผมบอกกับพี่พลก่อนจะสนใจกับโทรศัทพ์มือถือต่อ ไอ้เฟริสท์มันอัพรูปชาวแก๊งส์ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลมลงในอินสตาแกรมพร้อมกับบรรยายว่าอ่อนแอก็แพ้ไปแล้วติดแท็กมาที่ผม ไอ้เจ้าพวกนี้นี่น่าออกไปเตะจริงๆ ผมตอบกลับไปใต้รูปว่า ฆวยไร ก่อนจะเปิดทวิตเตอเพื่ออัพเดทโลกสักหน่อย ตอนนี้จากที่ง่วงๆกลับรู้สึกตื่นขึ้นมาเล็กน้อย ผมอ่านข่าวที่เกี่ยวกับเทศกาลภาพยนตร์ของต่างประเทศ ตามอัพเดทสถานะการณ์โดยทั่วไป สลับหน้าจอไปเล่นอินสตาแกรมบ้าง ไม่นานนักพี่พลก็ออกมาจากห้องน้ำ ผมเหลือบมองดูเขาที่กำลังแต่งตัวผ่านหลังโทรศัพท์มือถือ ในหัวก็นึกอยู่ว่ารูปร่างของคนที่เข้ายิมนี่แม่งแน่นจริง ผมก็อยากเข้ายิมนะแต่ติดอยู่อย่างเดียว ขี้เกียจ

“ดูอะไรอยู่” พี่พลเอ่ยถามก่อนจะปิดไฟแล้วลงมานอนข้างๆ

“อ่านข่าว”

แม้ในห้องจะมืดแล้วแต่แสงไฟจากด้านนอกก็พอจะทำให้เห็นตอนที่เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย พี่พลหยิบโทรศัพท์ของผมไปดูแต่เพราะชาร์จแบตไว้อยู่เขาจึงต้องขยับเข้ามาดูใกล้ๆจนตัวเราเบียดกัน ผมมองใบหน้าที่เห็นสันกรามอย่างชัดเจนของเขาด้วยหัวใจที่เต้นแรง ผมคิดว่ามันคงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ไม่สิ ผมโทษอะไรไม่ได้ทั้งนั้นนอกจากความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในช่วงขณะนี้ ผมจูบเขาเข้าไปแล้ว

เรามองตากันในความมืด แสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือทำให้ผมมองเห็นสีหน้าของพี่พล เขาไม่ได้มีท่าทีตกใจเล่นใหญ่เหมือนในละครหลังข่าว เขาแค่นิ่งไปจนหน้าจอโทรศัพท์มือถือดับลง ผมรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร ไม่ได้เมา ไม่ได้ขาดสติ แค่รู้สึกการยับยั้งชั่งใจมันลดน้อยลง พี่พลวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างๆ มองผมด้วยสีหน้าที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมกลัวที่จะได้ยินในสิ่งที่เขาจะพูดผมจึงขยับตัวขึ้นไปรั้งใบหน้าของเขาเข้ามาจูบ เขาตั้งรับ ไม่มีท่าทีผลักไส อีกทั้งยังค่อยๆทาบทับผมไว้ใต้ร่างของเขา จูบของเราดูดดื่มร่างกายโรมฬันพันตูไม่ออมแรงแม้แต่น้อย ผมล้วงมือเข้าไปในใต้ร่มผ้าหวังจะถอดเสื้ออีกฝ่าย แต่พี่พลกลับจับมือของผมไว้และเป็นผมที่ถูกเขาเปลื้องกางเกงแทน แอร์ในห้องไม่ทำให้ผิดหวังเนื้อตัวผมเย็นเฉียบแต่เมื่อเห็นพี่พลถอดเสื้อความรู้สึกบางอย่างทำให้ผมรู้สึกร้อนขึ้นทันที ในความมืดนั้นผมสัมผัสได้ถึงความแน่นของกล้ามเนื้อหน้าอก ก่อนจะสัมผัสขึ้นไปที่ลำคอแล้วโน้มใบหน้าของพี่พลให้เข้ามาจูบอีกครั้ง เขารุกไล่ผมด้วยจูบที่เหนือกว่าและสัมผัสเนื้อตัวของผมอย่างหนักหน่วง

ร่างกายของผมอยู่ในจุดที่เร่าร้อนจนสายเกินไปหลังตระหนักรู้ว่าห้องที่นอนอยู่นี้ไม่ได้ล็อคประตู เพื่อนของผมสามารถเข้ามาได้ทุกเวลา แต่สุดท้ายแล้วเมื่อพี่พลแนบกายชิดเข้ามาใกล้มากกว่าเดิมผมก็ไม่อาจคิดถึงเรื่องอื่นได้อีก ผมมองเขาด้วยความหลงใหล ผมก็รับรู้ได้ว่าท่าทีของพี่พลตอนนี้อยากดำเนินไปยังขั้นต่อไปเต็มทีแล้ว เขาผละตัวออกไปอีกครั้งเดินไปคว้ากางเกงยีนส์ที่พาดอยู่บนเก้าอี้เพื่อหาของบางอย่างก่อนจะวางกางเกงลง ผมมวนท้องไปหมดด้วยความตื่นเต้นเมื่อเขากลับมาที่เตียง ผมรู้ว่าเขาหาถุงยางอยู่แต่ดูเหมือนจะไม่มี ผมไม่ได้ถาม พี่พลเองก็ไม่ได้พูดอะไร หากแต่จูบผมและแนบกายลงมา พอเอาเข้าจริงเวลาที่เกิดอารมณ์ขึ้นแล้วเหตุผลอะไรก็ตามที่รู้อยู่แก่ใจก็ดูเหมือนจะใช้หักห้ามความต้องการไม่ได้เลย

ในช่วงที่เขาแทรกกายเข้ามาในตัวของผมนั้นมันแตกต่างจากที่เคยคิดไว้อยู่เหมือนกัน ผมเจ็บหากแต่ไม่ได้แสดงอาการอะไรมากมายนักเพราะยังทนรับความเจ็บนั้นได้ ผมมองใบหน้าพี่พลในขณะที่เขาพยายามแทรกกายให้ลึกขึ้น เขาเองก็มองตอบ อะไรบางอย่างทำให้เขาดึงดันเข้ามาจนรู้สึกอึดอัด ผมเผลอจับแขนข้างหนึ่งของเขาที่วางอยู่ด้านข้างอย่างแรง ผมหายใจไม่ทั่วท้องในขณะที่พี่พลก็ไม่ได้โอนอ่อนลงสักเท่าไหร่เพราะเขาไม่ได้ถอนกายออกไปเลยแม้แต่น้อย พี่พลจูบแก้มของผมคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอแล้วเริ่มขยับกาย ลมหายใจอุ่นๆของเขาทำให้ผมมีอารมณ์ร่วมมากขึ้น ริมฝีปากที่ลากไล้ผ่านไปทั่วเนื้อตัวทำให้พอจะลืมความเจ็บไปได้บ้าง พี่พลผละตัวออกไปแล้วรั้งสะโพกของผมเข้าหาเพื่อขยับกายให้สะดวกขึ้น อดไม่ได้ที่จะมองเรือนร่างของเขาขณะที่มัวเมาอยู่กับร่างกายของผม ความเจ็บค่อยๆหายไปแทนที่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ผมเริ่มครางออกมาอย่างแผ่วเบา

ในขณะที่อะไรๆกำลังเข้าที่ เราสองคนได้ยินเสียงเสียงโหวกเหวกโวยวายของชาวแก๊งส์ ผมจึงมองไปที่ประตู เงาที่เดินผ่านไปผ่านมาเล่นเอาหัวใจผมระส่ำระส่าย

“ไอ้นาย” เสียงของเฟริสท์เรียกผม “หลับยังวะ”

ผมเงียบมองหน้าพี่พลเป็นที่พึ่งพาในยามนี้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีท่าทีตกใจสักเท่าไหร่

“กูว่ามันหลับไปแล้ว เมาอ้วกขนาดนั้น” สิ้นเสียงไอ้หนึ่งเงาที่หน้าประตูก็ค่อยๆทยอยหายไป

ยังไม่ทันที่ผมจะได้หายใจหายคอพี่พลก็ขยับกายเข้ามาจนสุดแล้วเริ่มหนักหน่วงขึ้น ทั้งผมและเขาต่างก็ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ยากเกินกว่าจะหยุดยั้ง ร่างกายของผมยินยอมอย่างเต็มที่ไม่หลงเหลือความเจ็บแต่อย่างใด เขาขยับตัวผมให้อยู่ในท่าที่ทำให้สอดกายเข้ามาง่ายขึ้น ผมมองทุกการกระทำของพี่พล อดไม่ได้ที่จะรั้งใบหน้าของเขาเข้ามาจูบอีก หัวใจของผมทำงานอย่างหนัก ร่างกายร้อนลุ่มไปหมด พี่พลโน้มตัวลงมาให้ร่างของผมได้นอนราบไปกับเตียงนอน ร่างของผมสั่นคลอนไปตามแรงที่ถูกโถมเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมหายใจแรงรู้สึกเหมือนจะขาดใจเสียให้ได้ พี่พลเร่งเร้าผมจนแทบคลั่ง พี่พลที่ผมรู้สึกเสมอมาตลอดว่าเขาเป็นคนอ่อนโยนเวลานี้คงใช้คำนั้นไม่ได้

ผมเคยคิดว่าเซ็กส์ครั้งแรกกับพี่พลน่าจะเป็นอะไรที่นุ่มนวลเหมาะแก่การจดจำ ถึงแม้ว่าเรื่องจริงจะไม่ได้อ่อนหวานดั่งที่คาดหวังไว้แต่มันก็เป็นเซ็กส์จากความยินยอม จากความพึงพอใจของผมเอง ความรู้สึกในตอนนี้มันร้อนเร่าจนต้องครางเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา พี่พลตอบรับผมด้วยการจูบเข้ามาที่กกหู ผมได้ยินเสียงหายใจแรงของเขา เสียงหายใจที่บ่งบอกว่าเขาเองก็ร้อนลุ่มไม่แพ้กัน เรากอดกันแนบแน่นในขณะที่ถึงจุดสุดยอด ผมพร่ำเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงกระเส่า ร่างกายร้อนวูบวาบและเกร็งเขม็ง ผมจูบพี่พลที่ริมฝีปาก จูบที่สันกรามเด่นชัดนั่น รับรู้ได้ถึงห้วงอารมณ์ของเขาที่ปลดปล่อยในตัวผมอย่างหยาบโลน

หลังจากที่ช่วงเวลานั้นผ่านไปเราต่างนิ่งเงียบเหมือนจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

“นาย…”

ผมขยับตัวลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงพี่พลเอ่ยเรียกชื่อ ความรู้สึกหวาดหวั่นกลับมาอีกครั้ง “ขอทิชชู่หน่อย” ผมกล่าวหลังจากที่อยู่ๆก็ได้มานอนอีกฝั่งห่างจากโต๊ะข้างเตียงแทน ไม่มีทางเลือกมากนักในเวลานี้นอกเสียจากอยู่กับปัจจุบันและรับมือกับมันให้ดีที่สุด พี่พลหยิบกระดาษทิชชู่มาให้และมองผมเช็ดคราบต่างๆบนไอ้นั่นของผม เขาดึงกระดาษทิชชู่ออกมาพร้อมๆกับที่ประชิดเข้าหาผมอีกครั้งและเป็นฝ่ายทำความสะอาดให้ ผมมองร่างกายท่อนล่างของเขาที่นิ่งสงบก่อนจะเมินไปทางอื่น ความคิดต่างๆมันกำลังผสมปนเปจนทำตัวไม่ถูก

“นาย โอเครึเปล่า” พี่พลถามพลางเช็ดคราบของเขาในตัวผมให้อย่างเบามือ

คำถามของเขาผมไม่รู้หรอกว่าโอเคในที่นี้หมายถึงอะไร ร่างกายหรือความรู้สึกล่ะ ผมรู้สึกเก้ๆกังๆแต่ก็พยายามทำให้ทุกอย่างปกติ ผมเผลอสบเข้ากับดวงตาของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เราเงียบกันไปหลังจากที่ผมไม่ยอมเอ่ยปากพูด ผมไม่ได้ปล่อยให้พี่พลทำความสะอาดตรงนั้นนานนักเพราะคิดว่าเริ่มทนไม่ไหวกับความอึดอัดที่เกิดขึ้น เมื่อผมขยับตัวและพึมพำบอกให้เขาหยุดพี่พลจึงหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ เขาทำท่าจะถามอะไรบางอย่างผมจึงพูดขัดคอไว้เสียก่อน

“นอนเถอะ พรุ่งนี้นายต้องอ่านหนังสือ” ผมพูดขณะที่คว้ากางเกงขึ้นมาใส่

“อ่านวิชาอะไร”

ผมเงียบไปครู่หนึ่งเพราะคิดไม่ออก

“อ่านวิชาอะไร” พี่พลทวนถามอีกรอบเสียงของเขาดุขึ้นเล็กน้อย

“นึกไม่ออก พรุ่งนี้ค่อยนึก” ผมตอบเป็นอีกครั้งที่เผลอมองตาพี่พล รู้สึกแปลกใจที่เห็นรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าของอีกฝ่าย “นอนเถอะ”

“โอเค นอนก็นอน”




************************************




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2018 15:13:53 โดย PromQueen29 »

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนที่ห้า (09-Oct-18)
«ตอบ #8 เมื่อ09-10-2018 13:47:47 »

ตอนที่ห้า​




ผมรู้สึกตัวในช่วงเที่ยงของวันรุ่งขึ้น โชคดีหน่อยที่พี่พลไม่ได้อยู่บนเตียงเพราะไม่อย่างนั้นผมคงทำหน้าไม่ถูก ผมล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง ได้ยินเสียงพวกชาวแก๊งส์โหวกเหวกก่อนเป็นอันดับแรกเลย พวกมันกำลังทานอาหารกันอยู่พอดี ผมจึงรีบเดินเข้าไปหากลิ่นอาหารในเวลานี้ช่างดีต่อใจ ดีต่อท้องไส้เหลือเกิน

“หิวอะ” ผมบ่นพึมพำพลางนั่งลงข้างหนูนุ่น “กินหน่อยดิ” ไม่รอช้าผมดึงช้อนของหนูนุ่นมาแล้วตักข้าวต้มหมูใส่เข้าปากโดยไม่รอคำอนุญาต

“เป็นไง” หนูนุ่นถาม

“อร่อยดี ไอ้บอมทำเหรอ” ที่เดาว่าเป็นไอ้บอมทำข้าวต้มเพราะมันทำอาหารให้พวกเราทานเป็นประจำ เป็นเหมือนเชฟประจำแก๊งส์

“พี่พลทำ”

ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบชามหยิบช้อนมาตักข้าวต้มที่อยู่กลางโต๊ะพร้อมกับคาใจอยากถามว่าพี่พลหายไปไหนแต่ก็เหมือนเดิม ผมไม่ได้ถามถึงเขา ทำเหมือนไม่อยากรู้ทั้งที่ในใจวนเวียนอยู่แต่กับพี่พล

ผมนั่งทานข้าวต้มหมูอยู่กับชาวแก๊งส์ ทั้งที่พวกเราตั้งใจจะอ่านหนังสือกันแต่ดูท่าทางแล้วจะไร้วี่แววเหมือนเดิม ตอนนี้เราย้ายมานั่งๆนอนๆกันอยู่ในห้องของบอม เจ้าของห้องนอนเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ ได้ยินจากไอ้หนึ่งมาว่าสาวที่ไอ้บอมพามาเมื่อคืนพอน้ำแตกก็แยกกัน เราเม้าท์ต่อกันอีกนิดหน่อยเรื่องแม่สาวคนนั้น นุ่นกับหนึ่งนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์ ไอ้เฟริสท์หลับไปแล้ว ส่วนผมก็ได้แต่นอนเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างไร้จุดหมาย หลังจากที่ได้ยินชื่อพี่พลในตอนนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงพี่พลอีกเลย ผมรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ก่อตัวเป็นเหมือนก้อนตะกอนอยู่ในห้วงความคิด อยากถามถึงเขาแต่กลับกลัวที่จะได้ยินเรื่องของเขา เรื่องราวที่ผ่านมามันทำให้ผมคิดอะไรต่อมิอะไรอยู่ภายในใจ เรื่องแบบนี้คงยากที่จะปรึกษาชาวแก๊งส์เพราะพี่พลเป็นคนใกล้ตัวพวกมันเกินไป พอคิดได้แบบนั้นผมก็นึกถึงคนๆหนึ่งขึ้นมา ผมเปิดเข้าหน้าไลน์ เข้าหน้าแชทของเขาบทสนทนาล่าสุดเป็นเรื่องที่หาตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อนแล้วก็ไม่ได้คุยกัน

‘บุญ’ ผมทักบุญไปด้วยประโยคคลาสสิค ก่อนจะพิมพ์ข้อความที่มาจากความรู้สึกอัดอั้นนี้ลงไปอย่างสั้นๆและตรงประเด็นที่สุด ‘ถ้าเกิดเราไปมีเซ็กส์กับคนๆนึงแล้วอยู่ๆเค้าก็หายไป ทำไงดีวะ”

ไม่นานนักบุญก็ตอบกลับมา ‘ห่วยป่าววะ เค้าเลยหนีไปเลย’

‘เฬว’ ผมพิมพ์ตอบกลับไปอย่างง่ายๆ

‘แล้วยังไง ชอบเค้าเหรอ’

‘รู้สึกดีด้วย จริงๆเค้าเป็นรุ่นพี่ในกลุ่มเราเองแหละ’

บุญส่งสติ๊กเกอร์กุมขมับมาให้ ‘โอ้โห ตายห่า ใกล้ตัวไปมั้ย’

‘ก็ทำไปแล้วอะ’

‘เค้าแค่อาจจะทำตัวไม่ถูกรึป่าว’

ผมก็พอเดาได้แหละว่าระหว่างผมกับพี่พลคงต้องแปลกๆไป แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะหนีหายไปแบบนี้ ผมเลือกที่จะเปลี่ยนบทสนทนาเพราะถึงจะถามอะไรต่อไปก็ไม่รู้ความคิดของพี่พลอยู่ดี เรื่องไปต่างประเทศที่คุยค้างไว้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง ผมอยากไปอิหร่านเพราะเห็นรีวิวในเวบดังก็เลยลองชวนบุญดู ปรากฏว่าบุญคงจะเป็นพวกใจง่ายชวนไปไหนก็ไป ทีนี้ทริปอิหร่านจึงเริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาทีละน้อย บุญส่งลิ้งวิธีการขอวีซ่ามาให้ อ่านดูแล้ววุ่นวายจนน่าปวดหัว ทั้งผมและเขาต่างเริ่มรู้สึกเหมือนกันคือขี้เกียจดำเนินการเรื่องขอวีซ่าที่วุ่นวายแต่ก็ยังคงไว้เป็นทริปที่อยากไปสุดในเวลานี้ บทสนทนาที่เกิดขึ้นในไลน์ยังคงไม่จบสิ้นจนกระทั่งผมรู้สึกถึงมือที่วางอยู่บนหัว ผมสะดุ้งตกใจจนอีกฝ่ายหัวเราะน้อยๆออกมา

“ไหนว่าจะอ่านหนังสือ นอนตายกันหมดซะงั้น”

พอมองไปรอบห้องไอ้ชาวแก๊งส์มันนอนเหมือนตายกันหมดแล้วจริงๆ “นึกว่ากลับไปแล้ว”

“ไปซื้อขนมมา” เขาตอบแล้วนั่งลงข้างๆทำให้ผมต้องวางโทรศัพท์มือถือลงและลุกขึ้นนั่ง หยิบถุงจากร้านสะดวกซื้อมาเปิดดูว่ามีอะไรบ้าง เสียงก๊อบแก๊บจากถุงพลาสติกเหมือนดั่งนาฬิกาปลุกเลยล่ะ ไอ้ชาวแก๊งส์เริ่มขยับตัวเมื่อเห็นว่ามีถุงขนมพวกมันก็ปรี่เข้ามาเลือกขนมกันเหมือนซอมบี้ “พวกมึงไม่อ่านหนังสือกันหรือไง”

“ไว้ก่อน” อัจฉริยะข้ามคืนอย่างไอ้บอมเอ่ยพลางเปิดห่อขนม “สอบไฟนอลต้องทำใจสบายๆ”

ในห้องของบอมกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง พี่พลขยับลงไปนั่งข้างล่างกับพวกชาวแก๊งส์ที่เริ่มตั้งวงขนมยามบ่าย ผมเอนตัวลงนอนอีกครั้งหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อที่จะไลน์ไปหาบุญ

‘เค้าไม่ได้หนีไปไหนว่ะ แค่ออกไปซื้อขนม’

‘ยังไงวะ นี่อยู่ไหนเนี่ย’

เออ จะว่าไปผมยังไม่ได้เล่าต้นตอให้บุญฟังเลย ‘เมื่อคืนไปเอกมัยมา เค้ามาค้างที่บ้านเพื่อนเราด้วยแต่พอตื่นมาไม่เจอ ก็เลยนึกว่าเค้าหนีไปแล้ว’

‘อ๋ออออ’

‘แต่ตอนนี้เค้ามาแล้ว ทำไงดีวะ เราตื่นเต้นว่ะ เนี่ยอยู่ใกล้ๆเนี่ยยยยย’

‘ก็ทำตัวปกติ’

เป็นคำแนะนำที่ไม่ค่อยจะช่วยอะไรสักเท่าไหร่ ผมจึงส่งสติ๊กเกอร์ไปหลายตัวเพื่อกวนประสาทมันก่อนจะปิดหน้าจอแล้วหันไปทานขนมกับชาวแก๊งส์แทน จะว่าไปพี่พลก็ดูปกติจริงๆนั่นแหละ เป็นผมเองที่ว้าวุ่นและคิดไปต่างๆนานา ถึงกระนั้นบางอย่างมันทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไปแต่ก็พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ เรานั่งคุยเล่นทานขนมกันอยู่พักนึงไอ้เฟริสท์ก็ขอตัวกลับบ้าน เหมือนเป็นโรคติดต่อของกลุ่ม ไอ้ชาวแก๊งส์เริ่มทยอยกลับบ้านกัน ความตั้งใจที่จะอ่านหนังสือเป็นอันล่มพังทลายไม่เป็นโล้เป็นพาย ผมอาบน้ำใหม่แต่ใส่ชุดเดิมเตรียมตัวกลับบ้านเช่นกัน พอลงมาชั้นล่างก็เห็นพี่พลยืนรออยู่ที่รถแมลงสาบนั่น เขาเก็บโทรศัพท์มือถือก่อนจะมองมาที่ผม

“กลับยังไง”

“แท็กซี่”

“บ้านเราอยู่แถวไหน”

“ทางไปดอนเมือง”

“เดี๋ยวไปส่ง”

“ไม่เป็นไร” เกิดเดดแอร์ขึ้นชั่วขณะ ผมมองพี่พลสีหน้าของเขาเรียบเฉยไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่

“เราโอเครึเปล่า”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่ถามนั้นทำให้ผมใจสั่น ผมอยากตอบไปเหมือนกันว่าไม่โอเคแต่ก็เลือกที่จะเงียบเหมือนเดิม

“ขึ้นรถเร็ว” คราวนี้ไม่พูดเปล่าเขาเดินมาดึงแขนเป็นเชิงให้เดินตาม

ที่จริงแล้วผมนั่งแท็กซี่กลับบ้านได้จริงๆ ไม่ได้ต้องการให้ใครมาส่งเลย บ้านของผมต้องไปทางทิศเหนือซึ่งคนละทิศกับบ้านของบอม แถมบ้านของพี่พลถึงจะต้องมาทางเดียวกับผมแต่มันถึงก่อน แบบนี้มันก็เสียเวลาเขาไงจะวกไปวนมาทำไมให้ยุ่งยาก แต่เอาเถอะไหนๆพี่พลเป็นฝ่ายยืนกรานจะไปส่งผมก็ไม่อยากพูดอะไรมาก บรรยากาศภายในรถนั้นอึดอัดและแปร่งๆ เหมือนวางหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะทำตัวยังไง เสียงเพลงก็ไม่มีอีกต่างหาก เราต่างคนต่างเงียบ พอขึ้นทางด่วนผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดู ไลน์กลุ่มของชาวแก๊งส์แซวผมกันใหญ่เรื่องที่พี่พลไปส่งที่บ้าน แน่ล่ะ ไอ้บอมเป็นคนจุดประเด็นเพราะมันต้องรอปิดประตูบ้าน ปกติคงจะรู้สึกคันไม้คันมืออยากตอบแต่คราวนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์นั้นเลย

ผมเลิกสนใจโทรศัพท์มือถือมองถนนบนทางด่วนที่แม้จะเป็นวันเสาร์แต่ก็ยังคงติดเป็นบางช่วง หันออกไปทางซ้ายมองไปเรื่อยเปื่อยแต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่ออยู่ๆพี่พลวางมือลงบนมือของผม

“นาย”

“ครับ”

“พี่จะติวให้เรา คืนนี้ค้างบ้านพี่”

คาดไม่ถึงว่าจะถูกชวนแบบนี้ “รอติวพร้อมกับพวกนั้นก็ได้”

“ทำไมอะ”

ผมเงียบนึกหาเหตุผลไม่ออก จึงได้แต่มองตามมือของเขาที่ตอนนี้ผละออกไปจับพวงมาลัย จริงๆควรเป็นผมต่างหากรึเปล่าที่ต้องถามพี่พลว่าทำไม ทำไมเขาไม่รู้สึกแปลกๆหรือหนีหน้าผมเลย

“พี่เป็นห่วงเรานะ เดี๋ยวสอบไม่ผ่าน เรียนไม่จบ”

ผมควรจะทำยังไงดีกับสิ่งที่เขาพูด ตอนนี้หัวใจเต้นแรงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

สุดท้ายผมก็มานอนค้างที่บ้านพี่พล ตอนนี้นั่งๆนอนๆอ่านหนังสืออยู่ในห้องของเขา ที่พี่พลบอกว่าจะติวให้ก็คือติวจริงจังไม่มีล้อเล่นเลย ผมขี้เกียจมาก ถ้าจะให้พูดตามตรงอยากนอนโง่ๆอยู่บนเตียงที่บ้านมากกว่า พี่พลนั่งทำงานอยู่ข้างๆนี่แหละ ส่งเสียงมาถามไถ่บ้างว่าอ่านไปถึงไหน บางทีก็เดินมาดูคงจะนึกว่าผมหลับไปแล้วอะไรทำนองนั้น เวลาล่วงเลยเข้าไปจนฟ้ามืดผมเริ่มหิวและไร้สมาธิจดจ่ออยู่กับหนังสือ คือถ้าถูกบังคับให้อ่านอีกคงจะคลั่งตาย ผมลุกขึ้นเดินไปยืนข้างๆพี่พลที่กำลังใช้คอมพิวเตอร์ตัดต่อวิดิโออยู่

“โปรเจคจบเหรอ”

เขาส่งเสียงพึมพำตอบรับ หน้านิ่วคิ้วขมวดเลยทีเดียว ผมยืนมองดูสักพักเหมือนเขาจะมีปัญหากับการลงเสียงแทรกในวิดิโอผมจึงจับเม้าส์และทำให้ เรื่องตัดต่อวิดิโอหรือใช้โปรแกรมในตระกูลตัดต่อเนี่ยถนัดที่สุดแล้วในชีวิตการเรียน

“หิวยัง”

“หิวแล้ว” ผมตอบเรียบๆไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

“งั้นลงเสียงเสร็จไปหาอะไรกินกัน”

“ได้ๆ”

“จะกินอะไร”

“บะหมี่หมูกรอบ”

“เออ เดี๋ยวพาไป”

บทสนทนาเรียบๆที่เกิดขึ้นท่ามกลางหัวใจที่บีบรัดแน่นของผมนั้นทำให้ความรู้สึกของผมแน่ชัดขึ้นอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกที่วูบวาบไปทั่วร่างกายในเวลานี้มันคือสิ่งแปลกใหม่สำหรับผม วิดิโอที่ตัดต่อใกล้เสร็จนี้ถูกบันทึกไว้ก่อนที่ผมจะมองไปที่พี่พลซึ่งกำลังมองกลับมาเช่นกัน ใบหน้าที่ผมมักพูดถึงเสมอว่าดูสะอาดสะอ้านเวลานี้เริ่มเห็นไรหนวดเขียวๆขึ้นเบาบาง “ลงเสียงเสร็จแล้ว”

พี่พลทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่แล้วก็ลุกขึ้นหยิบกุญแจรถเดินนำออกไป ผมจึงคว้าโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าเงินเดินตามหลัง ในสมองยังครุ่นคิดไม่หายว่าถ้าแค่มีเซ็กส์แล้วหนีหน้าหายกันไปเลยผมคงไม่ต้องว้าวุ่นขนาดนี้หรอก

ระหว่างที่ทานอาหารมื้อเย็นแบบดึกๆนั้นผมหยิบเรื่องภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายขึ้นมาเป็นประเด็น บทสนทนาจึงยาวต่อไปเรื่อยๆไม่ทำให้รู้สึกกระอักกระอวนมากนัก พี่พลชอบหนังเพลงจึงถูกผมที่ชอบหนังดราม่าทับถมอย่างไร้สาระว่าหนังเพลงน่าเบื่อทั้งๆที่มันเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคล เขาไม่ยอมจึงหยิบยกประเด็นมู้ดกับโทนในหนังเพลงเรื่องดังเรื่องหนึ่งขึ้นมาพูดว่าเจ๋งอย่างนู้นเจ๋งอย่างนี้ ผมไม่คล้อยตามหรอกนะเพราะถึงยังไงก็ไม่ใช่แนวหนังที่ชอบจริงๆ

“ทำไมเราถึงไม่ชอบหนังเพลงล่ะ”

“มันน่าเบื่อตอนร้องเพลง”

“พี่ว่ามันน่าตื่นเต้นดีออก กว่านักแสดงจะฝึกร้องเพลงได้นี่ไม่ธรรมดาเลยนะ”

“นายหลับคาโรงเลยอะ”

พี่พลหัวเราะก่อนจะทานบะหมี่คำสุดท้าย เราจ่ายเงินกันเสร็จก็เดินหาขอหวานทานต่อ ผมเคยมาทานข้าวแถวนี้แต่จำไม่ได้ว่าทำไมถึงมา จำได้แค่ว่าติดใจรสชาติขนมไทยอยู่เจ้านึงก็เลยมุ่งหน้าไปที่ร้านนั้นโดยตรง ผมได้ของที่อยากทานแล้วแต่พี่พลยังไม่ได้เราจึงเดินเรื่อยเปื่อยจนไปหยุดอยู่ที่ร้านขายขนมปังสังขยาพอซื้อเสร็จเราก็เดินกลับไปที่รถ ระหว่างทางกลับบ้านผมยังคงคิดไม่ตกเสียทีว่าทำไมพี่พลถึงยังดูปกติได้มากขนาดนี้ มันเป็นสัญญาณบ่งบอกความรู้สึกของเขาที่มีต่อผมหรือเปล่าก็ไม่อยากจะคิดไปไกลมากขนาดนั้น ผมยอมรับว่าผมรู้สึกดีกับเขามาก มันมากเกินไปผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เอาเสียเลย เหมือนผมต้องพยายามคิดนำหน้าเพื่อคาดเดาความรู้สึกอีกฝ่าย ผมทำตัวไม่ถูกแต่ก็ยังอยากพูดคุยอยากอยู่ข้างๆเขา ถ้าหากผมจีบเขาแบบที่เคยจีบคนอื่นก็คงพังเละ เพราะผมจีบใครไม่เป็น ผมไม่ได้อยากรู้ว่าเขาทำอะไรที่ไหนอย่างไรเมื่อไหร่กับใคร แค่อยากคุยเรื่องทั่วไปแบบที่เข้าใจกัน ถกเถียงกันในประเด็นที่เราสนใจ เขาไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนผมเลยแค่มีความสนใจในแนวเดียวกัน แค่ไปเที่ยวด้วยกันได้ แค่เข้าใจในสิ่งที่ผมชอบในสิ่งที่ผมเป็นมันก็เพียงพอแล้ว

พอมาถึงบ้านพี่พลผมก็รู้สึกง่วงนอนจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่พออาบน้ำก็สดชื่นขึ้นจนลืมความง่วงเมื่อครู่ พี่พลเองก็อาบน้ำเสร็จแล้วเขาเปิดหนังสือเรียนที่ผมอ่านค้างไว้ไปมาเหมือนจะดูว่าส่วนไหนควรเน้นย้ำ ผมใส่เสื้อผ้าของพี่พลเสร็จก็เอาผ้าเช็ดตัวไปแขวนไว้ในที่ที่จัดไว้ก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างๆเจ้าของบ้าน

“ง่วงแล้วอะ ไว้ค่อยติวได้ป่าว” ผมพูดไปอย่างนั้นแหละ รู้หรอกว่ายังไงก็ต้องอ่านหนังสืออยู่ดี

พี่พลเหลือบตามองดุๆใส่หากแต่เอื้อมมือมาขยี้ศีรษะของผมเบาๆ “ไม่ได้”

ผมมองใบหน้าของเขา ในใจรู้สึกอยากจูบอีกฝ่ายแต่ก็คิดอยู่ว่าตอนนี้คงใช้ข้ออ้างเมาไม่ได้จึงเบนสายตาออกแล้วหยิบหนังสือมาทำทีเป็นเปิดแล้วเปิดหาในส่วนที่ยังไม่เข้าใจ เข้าสู่โหมดเนิร์ดด้วยความขี้เกียจ ตลอดเวลาที่พี่พลตั้งอกตั้งใจสอนในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจและเน้นย้ำในส่วนที่คิดว่าจะออกสอบสมาธิของผมก็วอกแวกหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูบ้างเป็นครั้ง เขาดุผมแล้วยึดโทรศัพท์มือถือไปเลย ที่จริงผมก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ความตั้งใจของพี่พลไม่ได้ถูกผมให้ความสำคัญมากเท่าไหร่ ผมเองก็หัวไม่ดีบางอย่างสอนแล้วลืมไม่ก็จำผิดถูกสลับกัน เอาเป็นว่าในส่วนของทฤษฎีสมองของผมล้มเหลวโดยสิ้นเชิง โชคดีที่พี่พลใจเย็น เขาไม่ได้สอนผมช้าเลยนะไม่ได้แม้แต่จะพยายามค่อยเป็นค่อยไปแต่เหมือนอดทนสอนย้ำจนกว่าผมจะเข้าใจและจำได้ ผมชอบกริยาท่าทางเวลาที่เขาทำหน้าเบื่อใส่ในยามที่ผมทำหน้ามึนไม่เข้าใจบทเรียน ผมชอบเวลาที่เขาดุอย่างไม่จริงจังเรื่องที่ผมทำตัวสบายเกินไปกับอนาคตข้างหน้า ผมชอบเขามากอย่างน่าประหลาด

เวลาล่วงเลยเข้าสู่เช้าวันใหม่ ตีสองเกือบตีสามเข้าไปแล้ว พี่พลหยุดติวให้ผมและบอกว่าจะทำงานโปรเจคที่ค้างไว้ ผมไม่อยากให้เขาทำเลยอยากให้เขาเข้านอนเพราะไม่อย่างนั้นผมก็จะอยากดูเวลาที่เขาทำงาน อยากตื่นอยู่เป็นเพื่อนเขาแม้จะช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วผมก็ได้แค่คิดแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ไอ้อาการแบบนี้มันแก้ไม่หายเสียที ประเภทที่แบบคิดอยู่ในหัวแต่ไม่อยากที่จะพูดออกไป ผมเอนตัวนอนมองดูแผ่นหลังพี่พลที่นั่งทำงานอยู่กับเครื่องแมคบุ๊คนั่นก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อแชทหาไอ้หนึ่งที่ดูเหมือนจะรู้จักพี่พลมากกว่าเพื่อนคนอื่น

‘พี่พลมีแฟนยังวะ’ ผมเปิดประเด็นคุยกับมันทั้งที่ไม่รู้ว่าไอ้หนึ่งเข้านอนแล้วหรือยัง

ในทันใดนั้นข้อความของผมก็ถูกเปิดอ่านแทบจะทันที ‘ยังมั้ง ทำไม มึงชอบพี่เขาเหรอ’

‘เออ’ ผมพิมพ์ค้างไว้ก่อนจะลบทิ้งแล้วพิมพ์ใหม่ว่า ‘อยากรู้เฉยๆ’

ไอ้หนึ่งไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรต่อแต่กลับเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่นสัพเพเหระ ไม่นานในกลุ่มแชทของชาวแก๊งส์ก็เตือนขึ้นเป็นไอเฟริสท์ที่ส่งกำหนดการนัดหมายไปเที่ยวหลังสอบเสร็จวันสุดท้าย ไปชนิดที่แบบสอบเสร็จแล้วดีดตัวเดินทางไปเลยทำนองนั้น ผมเข้าไปตอบคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้กับพวกมันไปเรื่อย เหลือบตาขึ้นมาอีกทีพี่พลก็ยังนั่งทำงานอยู่ผมจึงวางโทรศัพท์มือถือลุกขึ้นไปยืนดูว่าเขาทำอะไร บนหน้าจอนั้นพี่พลกำลังตัดต่อวิดิโอที่เอาไว้สำหรับใช้นำเสนอโปรเจคเพราะพอปีสี่แล้วก็ไม่มีวิชาที่ต้องเข้าไปนั่งเรียนสักเท่าไหร่เน้นภาคปฏิบัติ เข้าไปรับบรีฟ ทำงาน เข้าไปปรึกษาอาจารย์เป็นครั้งคราว ส่งงานก็ส่งผ่านทางอีเมลหรือทางเวบของมหาวิทยาลัย

พี่พลเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัยว่ามีอะไร

“เห็นติดอยู่หน้านี้นานแล้ว”

“เออ พอลงเสียงที่อัดไว้แล้วแม่งดีเลย์”

ผมก้มตัวลงแล้วจัดการทำให้ พี่พลดูเหมือนจะมีปัญหากับการลงเสียงจริงๆนั่นแหละ ดันไปอีดิธสปีดที่ภาพเร็วขึ้นเสียงก็เลยดีเลย์ “พี่พล”

“ว่า”

“…………” ทั้งที่เป็นฝ่ายเรียกแต่ผมกลับเงียบ

“มีอะไรวะ” เขาถามพลางหาวด้วยความง่วงงุน

“เสร็จแล้ว” ผมบอกเขาก่อนจะเดินกลับมานอนที่เตียง บ่ายเบี่ยงอีกจนได้ ในใจอยากจะถามเรื่องคืนวานที่เรามีอะไรกัน ทำไมเขาถึงได้ทำแบบนั้น แล้วทำไมเขาถึงได้ดูเป็นปกติจนน่าหงุดหงิดแบบนี้ ประเด็นพวกนี้มันวนเวียนอยู่ในหัวผมไปมาไม่จบสิ้น

พี่พลบอกขอบคุณผมเบาๆก่อนจะกดเล่นวิดิโอเพื่อดูงาน พอเห็นว่ามันได้อย่างที่ต้องการเขาก็กดบันทึกไว้ปิดคอมพิวเตอร์ ปิดไฟและเดินมานอนบนเตียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความเมื่อยล้า แม้จะดูพร้อมนอนแต่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นอีก

“จะไปเที่ยวกันเหรอ” เขาเอ่ยถาม

“ใครบอกอะ”

“ไอ้เฟริสท์”

“แล้วจะไปป่าว”

“นาย… เมื่อกี้จะพูดอะไร”

โอ้โห ไม่ตอบแถมยังเบี่ยงประเด็นอีก หัวใจผมเต้นแรงขึ้นเมื่ออยู่ๆก็ถูกจู่โจมด้วยคำถามนี้ นึกว่าจะลืมไปเสียแล้ว “ไม่มีอะไรแล้ว”

“จริงเหรอ”

“อืม”

สิ้นคำบรรยากาศก็ดูเหมือนจะเงียบลงกว่าเดิม ผมขยับตัวนอนตะแคง มองใบหน้าด้านข้างของพี่พลที่สะท้อนแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือมันหวนทำให้ผมคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผมนึกไม่ออกว่าทำไมเราไม่คุยกันเรื่องนั้นเลยและยังทำท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่างหาก แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดหาคำตอบอะไรพี่พลก็วางโทรศัพท์มือถือลงและสบตามองผมโดยตรง

“อะไร” ผมเอ่ยถามทำลายความเงียบสงัด แต่เหมือนจะไม่มีผลใดๆเพราะพี่พลไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ผมตัดสินใจพลิกตัวไปอีกด้าน นอนหันหลังให้เขาและคิดว่าจะเข้านอนอย่างจริงๆจังๆเสียที แต่เสียงขยับตัวและสัมผัสจากคนด้านหลังทำให้ผมเริ่มลืมเรื่องที่จะนอนหลับไปเสียหมดสิ้น

พี่พลกอดพร้อมๆกับล้วงมือเข้ามาในกาเกงนอนที่ผมใส่อยู่ เขาสัมผัสส่วนนั้นอย่างโจ่งแจ้ง ผมยอมรับว่าค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่ยากเกินกว่าจะรับมือกับสถาการณ์แบบนี้ได้ กางเกงถูกดึงออกไปและผมก็สัมผัสได้ถึงผิวกายจากท่อนขาของพี่พลที่นัวเนียกับส่วนล่าง ทุกอย่างดูกระชั้นชิดและคาดไม่ถึง ผมคิดอย่างนั้นจริงๆนะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกในช่วงเวลาที่เรามีสติครบถ้วน

“ขอใส่เลยได้ป้ะ”

เสียงของพี่พลกระซิบอยู่ข้างหูมันทำให้ผมร้อนวาบไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยที่แสนอ่อนไหวแต่ผมคิดว่าผมยังมีสติมากกว่านั้น “ยัง” ผมตอบสั้นๆแล้วครางรับเมื่อพี่พลรุกหนักเข้าที่ส่วนหน้า เขาทำอะไรต่อมิอะไรที่ทำให้ผมปั่นป่วนทั้งกายและใจ อิทธิพลของพี่พลส่งผลกระทบกับความรู้สึกของผมอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ

ผมถูกเขาจับพลิกคว่ำนึกอยู่ในใจว่าพี่พลจะต้องสอดใส่เข้ามาในช่วงที่ผมยังไม่พร้อมเต็มร้อย แต่เปล่าเลยสิ่งที่แทรกเข้ามาอย่างช้าๆนั้นคือนิ้วที่เปื้อนน้ำลาย ผมคิดว่ามันเป็นนิ้วกลางที่กำลังทำหน้าที่ของมันอย่างสุดความสามารถ นิ้วที่สองแทรกตามเข้ามาส่วนนั้นเริ่มฝืดเคืองแต่ไม่ใช่ในทางที่ไม่ดีหรอก ผมแค่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมและรู้สึกดีมากกับนิ้วของพี่พลจนอดไม่ได้ที่จะตอบรับด้วยการรัดนิ้วนั่น เมื่อรู้สึกได้ที่พี่พลก็โถมกายเข้ามาจูบที่ข้างแก้ม เขาหายใจแรงแท่งของเขาชนเข้ากับด้านหลังของผมอย่างสะเปะสะปะ ในหัวของผมอื้ออึง ประสาทสัมผัสทุกส่วนสัดจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ

“อยากใส่แล้วอะ”

ผมไม่ได้ตอบรับใดๆ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนเมื่อพี่พลแนบกายเข้ามาใกล้ชิดจนรู้สึกได้ถึงส่วนนั้นของเขาที่เบียดแทรกเข้ามาอย่างไม่เร่งรีบ ความรู้สึกร้อนวูบวาบเกิดขึ้นอย่างที่เคยเป็น ภายในใจของผมมันล้นทะลักด้วยแรงอารมณ์ต่างๆ อิทธิพลพี่พลที่มีต่อผมมันเข้ามามีบทบาทอย่างแนบเนียน รู้ตัวอีกทีทั้งกายและใจของผมก็ปั่นป่วนไปหมดเพราะคนหนึ่งคน ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเพราะผมไม่เคยรู้ความรู้สึกหรือแม้แต่ความคิดของเขาเลย เราควรหักห้ามใจมากกว่านี้ ผมไม่คิดว่าเราควรมีเซ็กส์ทั้งที่ยังไม่รู้จักกันมากพอ มันแปลกมากที่เราร่วมหลับนอนหลังจากเพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน กระนั้นผมกลับยินยอมในร่างกายนี้ให้รู้จักการเสพสม แม้จะยังไม่แน่ใจนักแต่คิดว่าความรู้สึกบางอย่างของผมมันเปลี่ยนไป

เราโฬมลันพันตูอยู่บนเตียงของพี่พล ผมมองไม่เห็นหน้าของเขาแต่เสียงต่างๆ ทั้งการหอบหายใจ เสียงร่างกายของเราที่เสียดแทรกเข้าหากัน มันทำให้ผมจินตนาการว่าพี่พลเองก็รู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี้ ร่างของพี่พลแนบกอดผมในช่วงเวลาที่เราถึงปลายทาง ผมชอบที่เรามีเซ็กส์กันแบบนี้แต่รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้มองเห็นในช่วงที่หน้าของพี่พลบิดเบี้ยวด้วยความเสียวซ่านขณะที่ปลดปล่อยตนเองอยู่ในตัวของผม ทุกอย่างดูสงบลงในเวลาไม่นานพร้อมๆกับทิชชู่จำนวนหนึ่งในมือของพี่พล เราต่างแยกย้ายทำความสะอาดตัวเองโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก และนอนหลับกันไปอย่างเงียบเชียบท่ามกลางแสงตะวันที่เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า



************************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2018 15:14:06 โดย PromQueen29 »

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนที่หก (09-Oct-18)
«ตอบ #9 เมื่อ09-10-2018 13:50:47 »

​ตอนที่หก



ในเช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นเพราะไอ้พวกชาวแก๊งส์มาถล่มปลุกถึงเตียงนอน ลืมตาขึ้นมาเห็นไอ้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเตียงเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือแถมยังเปิดเสียงจนน่ารำคาญ ผมขยับตัวดึงผ้านวมขึ้นปิดหน้า ทั้งเสียงเกมเสียงพวกมันคุยกันแถมยังแสงแดดแยงตาเป็นอะไรที่รบกวนจิตใจในเวลานี้จริงๆ

“พวกมึงทำไรกันเนี่ย กูจะนอน” ผมเอ่ยเสียงพร่าอยู่ใต้ผ้านวม

“นอนห่าไร เที่ยงแล้วโว้ย” ไอ้บอมส่งเสียงพลางตะปบเข้ามาบนผ้านวม

ผมเบี่ยงตัวหลบส่งเสียงอยู่ข้างใต้ผ้านวมเช่นเดิม ไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นมา

“อินาย!” เสียงไอ้เฟริสท์ตะโกนโหวกเหวก ผมเพิ่งตื่นนอนเลยรู้สึกว่าเสียงของพวกมันดังกว่าเดิมหลายเท่า “ตื่นเร็วอิห่า กูกำลังฟิตอยากติวข้อสอบ”

ผมถอนหายใจรู้สึกประสาทจะกิน แต่ยังไม่ได้ทันได้ตอบโต้อะไรผมก็ได้ยินเสียงเหมือนพวกมันเดินออกไปนอกห้องจึงเปิดผ้านวมออก เห็นไอ้หนึ่งนั่งเล่มเกมอยู่ที่เดิมเพียงคนเดียว “ขี้เกียจโว้ย” ผมบ่นขึ้นมาพลางลุกขึ้นนั่ง

“พี่พลยังไม่มีแฟน” อยู่ๆไอ้หนึ่งก็พูดออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ถึงสมองจะช้าๆในเวลาตื่นนอนผมก็ยังสามารถปะติดปะต่อเรื่องที่มันพูดได้ “กูสืบมาแล้ว จากปากพี่พลเองเลย”

ผมมองมันตาค้างไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี ถึงเวลานี้มันคงรู้แล้วว่าผมชอบพี่พล

“ไปเร็วมึง ล้างหน้าแล้วลงไปติวกัน” มันพูดแล้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ผมประมวลผลกับคำพูดของมันอยู่เพียงลำพัง

เช้านั้นผมทำได้แค่ล้างหน้าแปรงฟัน พอลงมาข้างล่างมีกระดานไวท์บอร์ดตั้งอยู่กลางบ้าน โซฟาชุดรับแขกถูกไอ้พวกชาวแก๊งส์นั่งๆนอนๆจับจองกันไปหมด พี่พลยกชามที่ใส่ซีเรียลมาให้ผมทันทีที่เห็น ผมรับชามนั้นไว้จ้วงทานด้วยความหิว บรรยากาศจริงจังแห่งช่วงเวลาสอบเริ่มขึ้น เพียงเท่านั้นล่ะผมก็กลับมาง่วงอีกรอบ อยากไหลนอนอยู่บนพื้นผิดกับไอ้พวกชาวแก๊งส์ที่เช้านี้พวกมันดูสดใสเตรียมพร้อมกับการติวเข้มจากพี่พลเสียเหลือเกิน ผมเอนหัวพิงขอบโซฟาฟังพี่พลอธิบายถึงกฏหมายสื่อและจรรยาบรรณบ้าบอพวกนั้นยิ่งพาลจะหลับเอา ที่จริงไอ้วิชานี้ควรจบไปตั้งแต่ปีสองแล้วแต่ด้วยความชาญฉลาดที่ถูกความขี้เกียจบดบังของแก๊งส์เรานั้นได้ดีกันหมดยกกลุ่ม ดีที่แบบ D ดวกไม่ใช่ดีที่ดีเก่งนั่นแหละ พวกเราจึงต้องลงเรียนกันใหม่สอบกันใหม่ แม่ง ความเหลวไหลนี้

ภาษากฏหมายเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นแก้ง่วง พยายามถ่างตาเท่าที่ทำได้ แต่แล้วพี่พลก็เดินเข้ามายึดโทรศัพท์มือถือผมไว้ แถมยังดุผมอีก

“สมาธิสั้นหรือไงเรา”

เสียงดุของพี่พลเรียกรอยยิ้มล้อเลียนจากพวกชาวแก๊งส์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งตอนที่พี่พลนั่งประกบผมนี่ไอ้เฟริสท์ถึงกับผิวปากวิ้ดวิ้ว แต่ผมรู้ท่าทางของพี่พลนั้นจริงจังและใส่ใจผมมากจนผมตลกไม่ออก น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนแม้จะกำลังดุผมก็ตามที อ่อนโยนเกินไปจนหัวใจของผมระส่ำระส่าย มันปวดหนึบอยู่ข้างใน ผมทำได้แต่ฟังในสิ่งที่เขาพูดพยายามไม่สนใจไอ้ชาวแก๊งส์ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหัวใจทั้งนั้น

ตกบ่ายแก่ๆสภาพพวกเราแทบไม่ไหว มันหนักหนาเกินไปสำหรับคนหัวไม่ดีอย่างพวกเรา พี่พลเองก็คงเหนื่อยเขาหยุดติว นั่งดื่มน้ำอยู่ข้างๆผม ส่วนพวกชาวแก๊งส์เดินไปถล่มครัวหาอะไรทานอย่างง่ายๆ ผมฟุบหน้าลงกับแขนที่พาดอยู่บนโซฟา ยืดขาออกไปอย่างไร้ภาพลักษณ์ รู้สึกอีกทีเมื่อพี่พลบีบจับเข้ามาที่ท้ายทอย

“ทนอีกหน่อยนะ”

ผมยิ้มอ่อนๆให้เขา ที่จริงแล้วพี่พลยังมีโปรเจคและมีสอบบางตัวอยู่แต่กลับสละเวลามาช่วยเหลือให้พวกเราแบบนี้ เป็นทางผมหรือเปล่าที่ควรจะให้กำลังใจพี่พล

“ตอนพี่สอบกฏหมายคะแนนก็ไม่ได้ดีหรอก ลงเรียนใหม่เหมือนกันแต่รอบหลังนี่ตั้งใจมากก็เลยผ่านได้ด้วยเอ”

“นายไม่ชอบวิชานี้เลย” ผมบ่นเบาๆ เสียงอ่อนแรง รู้สึกอยากปล่อยร่างไหลให้วิญญาณล่องลอย

รอยยิ้มของพี่พลแม้จะไม่ได้ยิ้มกว้างขวางจนโลกสดใสแต่ก็ทำให้ใจผมเต้นแรงได้ ไรหนวดเขียวที่ยกขึ้นไปตามเรียวปากนั่นทำให้ผมอดใจไม่ไหวยกนิ้วขึ้นไปลูบเบาๆ พี่พลไม่ได้ผงะหากแต่สีหน้าดูตกใจ ผมเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับเขา ความประดักประเดิดเกิดขึ้นผมจึงรีบลุกขึ้นเดินไปรวมกลุ่มกับชาวแก๊งส์ในห้อง แม่งความรู้สึกแบบนี้มันไม่โอเคเลยจริงๆ

พวกเราหมกตัวอยู่ที่บ้านพี่พลจนพลบค่ำก็เริ่มทยอยกลับกัน ไอ้หนึ่งขับรถมาส่งผมใกล้ๆเพื่อให้ผมนั่งแท็กซี่ต่อ ผมไม่ค่อยชอบให้ใครไปส่งที่บ้านสักเท่าไหร่เพราะรู้สึกเกรงใจที่บ้านตัวเองอยู่ไกลกว่าคนอื่นมากโข พอถึงบ้านผมก็ตรงดิ่งไปนอนอืดอยู่ในห้องไม่ได้คิดจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแต่กลับหยิบโทรศัพท์มือถือมาเล่น ผมส่งข้อความหาไอ้หนึ่งเรื่องที่จะไปเที่ยวหลังสอบว่าจะเช่ารถขับที่นู่นหรือจะเอารถไปเอง

‘ถ้าขับเองจะเอารถใครอะ’ ไอ้หนึ่งตอบกลับมา

‘รถบ้านกูไม่ก็ของไอ้บอม’ ผมหมายถึงรถตู้ที่บ้านผม ไม่ก็รถตู้ของบ้านไอ้บอม

‘ใครขับ’

‘แน่นอนว่าไม่ใช่กู กูขี้เกียจ’

หลังจากนั้นเราก็สนทนาปรึกษากันเรื่องการเดินทางระหว่างไปเที่ยวต่างจังหวัดจนได้ทางเลือกสองทาง และหยิบยกให้ชาวแก๊งส์ที่เหลือได้เลือกในกรุ๊ปแชท พวกมันถกเถียงกันไปมาส่วนผมก็แชทส่วนตัวอยู่กับไอ้หนึ่ง บทสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องของพี่พล ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกที่จะคุยกับไอ้หนึ่งทั้งที่ความจริงผมควรเก็บเงียบไว้คนเดียวจะดีกว่า เพราะการคุยกับคนใกล้ตัวมากเกินไปแบบนี้มันเสี่ยง

‘มึง ถ้ากูชอบพี่เขาจริงๆจะทำไงวะ’

‘พี่คนไหนวะบอกชื่อมาซิ’

‘ฆวย’

‘5555555555555’

‘กูถามจริงๆ’

‘ทำไม มึงชอบพี่พลเหรอ ถามตอนนั้นก็ไม่ตอบ’

‘เสือกจริง’

‘มึงก็ลองคุยกับเขาสิวะ เนี่ยเอาไอดีไลน์ไปมั้ย’

‘กูจีบไม่เป็น’ ที่ว่าจีบไม่เป็นนี่คือเรื่องจริงนะ ผมไม่ใช่พวกชอบถามว่าทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง อยู่กับใคร อะไรทำนองนั้นเลย

‘เออ เข้าใจ แต่มันก็ต้องเริ่มจากการคุยก่อนป่าววะ’

ที่ไอ้หนึ่งตอบกลับมาก็เป็นเรื่องจริงจนไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปดี รู้แหละว่าต้องคุยแต่คุยไม่เป็นไง

‘นี่มึงชอบเขาจริงๆเหรอ’

ผมกรอกตาเบื่อหน่ายใส่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ ทำไมมันจะต้องเค้นถามเพื่อให้ผมพูดออกมาให้ได้ก็ไม่รู้

‘เออ ชอบ’

ผมตอบกลับไปแล้วเปลี่ยนไปเข้าหน้าแชทของกลุ่มที่ยังถกเถียงกันเรื่องใครจะเป็นคนขับรถกันไม่จบสิ้น ผมออกตัวไว้ในกรุ๊ปแชทเลยว่าจะไม่เป็นคนขับแน่ๆก่อนจะสลับเข้าหน้าแชทส่วนตัวที่คุยค้างกับไอ้หนึ่งไว้ มันส่งไอดีไลน์ของพี่พลมาให้ ผมแอดไอดีนั้นไปโดยไม่คิดอะไรมากอย่างน้อยก็เริ่มจากชวนคุยเรื่องงานบายเนียร์ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรื่องโปรเจคจบ เรื่องหนัง เพลงอะไรก็ว่าไป แต่ผมกลับไม่ได้ทักเขาไปหรอก พอจะชวนคุยจริงๆกลับกลายเป็นว่าคิดมากจนคุยไม่ออก มันไม่เป็นตัวของตัวเองสักเท่าไหร่กังวลไปหมดว่าเขาจะคิดยังไง สุดท้ายก็ได้แค่กดหน้าแชทว่างเปล่าค้างไว้แบบนั้นก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วหยิบหนังสือวิชาที่จะสอบพรุ่งนี้มาอ่านแทน

เสียงสั่นเตือนจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นหลังจากอ่านหนังสือไปได้ไม่กี่หน้า ผมเหลือบตาไปมอง ลังเลอยู่ช่วงขณะหนึ่งว่าจะหยิบมันขึ้นมาหรืออ่านหนังสือต่อ แต่แล้วผมก็พ่ายแพ้ต่ออำนาจสิ่งเร้าอย่างโทรศัพท์มือถือตลอด

‘อ่านหนังสือหรือยัง’ นั่นคือข้อความที่บุญส่งมา ผมยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ไอ้บ้านี่ถามถึงแต่เรื่องเรียนตลอดจริงๆ

‘ถ้ายังอะ’ ผมลองถามหยั่งเชิงไป

‘เราจะตามไปจิกให้อ่าน’

ผมหัวเราะออกมา จากที่แค่จะอ่านข้อความเฉยๆผมกลับวางหนังสือในมือลง แล้วคนสมาธิแตกซ่านอย่างผมก็หันเหไปสนใจสิ่งอื่นได้อย่างง่ายดาย ‘อ่านแล้ว เอ๊ะ หรือไม่ได้อ่านวะ’

บุญส่งสติ๊กเกอหมีมีไฟลุกอยู่ด้านหลังมาให้ ‘ตกลงยังไง’

‘อ่านแล้ว’ ผมตอบกลับไปด้วยความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะอ่านแล้วไม่กี่หน้าเอง ‘แต่ตอนนี้พักอยู่’

‘อยู่บ้านป้ะ’

ผมไม่ได้พิมพ์ตอบหากแต่กดเข้าหน้าถ่ายรูปและถ่ายภาพภายในห้องนอนไปให้บุญแทน

‘ออกมาเปิดประตูให้หน่อย’

ประโยคนี้ถึงกับทำให้ผมที่ง่วงๆอยู่ตื่นตาขึ้นมาทันที ไอ้บ้านี่ทำแบบนี้อีกแล้ว ผมวิ่งลงไปข้างล่างเพื่อไปเปิดประตูให้บุญ เขาอยู่ในชุดลำลองสบายๆ เสื้อยืดคอกลมกับกางเกงยีนส์ขาดๆรองเท้าเน่าๆ

“จะมาก็ไม่บอกก่อน ถ้าเราไม่อยู่บ้านจะทำไง” ทันทีที่เจอหน้าผมก็เอ่ยทักด้วยประโยคยืดยาวนั่น บุญแค่ยิ้มรับแล้วเดินตามหลังผมเข้ามา “ไปไหนมาอะ”

“ติวหนังสือกับเพื่อน เห็นใกล้บ้านนายเราก็เลยแวะมา”

ผมหันกลับไปมองไม่ยักกะเห็นหนังสือสักเล่มในกระเป๋าของบุญแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา “เรายังไม่ได้กินไรเลย ทำมื้อเย็นให้หน่อย” ผมบอกแล้วยิ้ม อันที่จริงก็ไม่ได้หิวอะไรขนาดนั้นแต่เผื่อไว้ว่าจะหิวและบุญก็มาได้จังหวะพอดิบพอดีเสียเหลือเกิน

“ไรวะ นี่มืดแล้วนะเว่ย”

“หิวอะ”

บุญส่ายหน้าทำท่าทางเอือมระอา แต่พอเขาเข้ามาในบ้าน วางกระเป๋าไว้ที่โซฟาบุญก็เดินหายเข้าไปในครัวออกมาอีกทีถุงขนมต่างๆนานาก็ถูกบุญหอบออกมาวางไว้ตรงหน้า คือจริงๆแล้วในบ้านผมเนี่ยจะมักมีขนมกรุบกรอบอยู่เสมอ แต่เป็นเพราะผมขี้เกียจมาก ขนมพวกนั้นจึงไม่ค่อยได้หยิบมาทาน แต่พอบุญเอาออกมาให้แบบนี้แน่นอนมันกลายเป็นอาหารมื้อเย็นของผม หลังจากปิดประตูด้านล่างแล้วผมก็เดินนำบุญขึ้นมายังห้องนอนและเริ่มแกะห่อขนมพวกนั้นทานด้วยกัน

“พ่อกับแม่ไม่อยู่เหรอ”

“ไปต่างจังหวัดอะ” ผมตอบแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูด้วยความเคยชิน

“อ่านไปถึงไหนแล้ว”

“ก็เยอะอยู่”

“แล้วทำไมไม่อ่านต่ออะ”

“ขี้เกียจ”

“แล้วทำไมขี้เกียจอะ” คำถามนี้เล่นเอาผมเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าบุญที่ทำหน้าตายถามคำถามกวนประสาท

“ก็ขี้เกียจไง”

“ก็แล้วทำไมถึงขี้เกียจอะ”

“ขี้เกียจตอบ”

“อ้าว แล้วทำไมถึงขี้เกียจตอบอะ”

ด้วยประโยคนั้นทำให้ผมต้องวางโทรศัพท์มือถือลงและยู่จมูกใส่อีกฝ่าย

“ไง เถียงไม่ออกเหรอ”

“เออ”

บุญหัวเราะร่าเริงก่อนจะเอื้อมตัวไปหยิบโน้ตบุ๊คของผมมาเปิดเล่น “ฟังเพลงมั้ย”

“เอาดิ” ผมกล่าวพลางชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ๆบุญเพื่อดูว่าบุญกำลังจะให้ผมฟังเพลงอะไร

บุญชอบมาหาผมโดยไม่ได้บอกไม่ได้กล่าว เขามักจะบอกว่ามาหาเพื่อนที่บ้านอยู่แถวนี้ก็เลยแวะมาหาผมต่อ ซึ่งผมก็ไม่เคยซักถามอะไร บุญไม่เคยขอค้างบ้านผมแต่ท้ายที่สุดแล้วเรามักจะลงเอยด้วยการฟังเพลง หาเพลงฟังไปเรื่อยเปื่อย หรือขุดเพลงสมัยเก่ามาฟังแล้วกลายเป็นว่าบุญมาค้างห้องผมไปโดยปริยาย

บุญพิมพ์ประโยคค้นหาเพลงจากในเวบยูทู้บเพื่อให้ผมฟัง มันคือเพลง Fade Into You ของวงที่ชื่อว่า Mazzy Star บทเพลงบรรเลงขึ้น เสียงนักร้องผู้หญิงเอื้อนเอ่ยขับขาน มันเป็นดนตรีที่ให้ทำให้อยู่ในภวังค์ของยุค 90’s ความฟุ้งฝันในยุคนี้มันดูคละคลุ้งเหมือนมีหมอกควันลอยอย่างเอื่อยเฉื่อย ผมชอบดนตรียุคเก่านะ แค่เครื่องดนตรีที่เล่นด้วยความสามารถอย่างแท้จริง เสียงขับร้องที่มีเสน่ห์ให้จดจำ และเนื้อเพลงที่แสนไพเราะ โดยรวมแล้วผมคงพูดได้เต็มปากว่าเสียงเพลงในยุคเก่านั้นมันบริสุทธิ์ต่อการสดับฟังเหลือเกิน

และเพราะเสียงเพลงที่ขับกล่อมอยู่ตอนนี้ทำให้ผมเอนตัวลงนอน บุญเองก็เช่นกันเขาขยับตัวขึ้นมานอนหนุนหมอนใบเดียวกับผม เราไม่ได้พูดคุยอะไรหากแต่กำลังฟังเพลงกันอย่างเงียบๆ ไม่นานนักบุญก็ขยับตัวอีกครั้งและผมก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเขาที่กำลังจ้องมองผมอยู่

“มองเรามีอะไร” ผมถามทั้งที่ยังไม่ได้มองเขา

บุญไม่ตอบผมจึงเหลือบตาไปมอง เขาเผยอปากเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป

“เพราะเนอะ เราฟังบ่อยมาก” ผมเปลี่ยนเรื่อง “บุญฟังเพลงนี้บ่อยมั้ย”

อีกฝ่ายส่งเสียงตอบในลำคอ

มาถึงตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนพูดอยู่คนเดียว เพราะสายตาที่บุญมองมานั่นแหละมันทำให้ผมต้องพยายามหาเรื่องอื่นมาคุย สายตาที่เหมือนอยากจะสื่ออะไรบางอย่าง และเพราะบุญเงียบผมจึงหยุดพยายามเปลี่ยนบทสนทนาปล่อยให้เขามองผมแบบนั้นต่อไป

เสียงเพลงเอื่อยๆ อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศและแสงไฟสลัวภายในห้องทำให้ผมเคลิ้มง่วง ในวินาทีนั้นท่อนเพลงท่อนหนึ่งก็ดังลอดเข้ามา เนื้อเพลงกำลังบ่งบอกอะไรบางอย่างผมตระหนักถึงข้อนั้น แต่เวลานี้ผมง่วงเกินกว่าจะต้านทานไหว สุดท้ายก็เคลิ้มหลับไปพร้อมกับประโยคสุดท้ายที่วนเวียนอยู่ในสมองว่า ‘รู้สิ ผมรู้มาโดยตลอดนั่นแหละ’





Fade into you

Strange you never knew

Fade into you

I think it's strange you never knew

I think it's strange you never knew




************************************



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2018 15:14:24 โดย PromQueen29 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

- Affection - ตอนที่หก (09-Oct-18)
« ตอบ #9 เมื่อ: 09-10-2018 13:50:47 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: - Affection - ตอนที่หก (09-Oct-18)
«ตอบ #10 เมื่อ10-10-2018 09:09:54 »

ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนที่เจ็ด (10-Oct-18)
«ตอบ #11 เมื่อ10-10-2018 14:06:23 »

​ตอนที่เจ็ด




สอบวันสุดท้ายรู้สึกเหมือนสมองมอดไหม้ รู้สึกเหมือนถูกผู้คุมวิญญาณสูบพลังออกไปอย่างไรอย่างนั้น ผมออกมาจากห้องสอบก็เห็นพี่พลนั่งอยู่กับไอ้พวกชาวแก๊งส์ เขาสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยผมเผ้าที่ตัดเป็นทรงย้อนยุคถูกเซ็ทมาเช่นเคย ใบหน้าสะอาดสะอ้านนั่นหัวเราะอยู่กับไอ้หนึ่ง อีกด้านเป็นหนูนุ่นที่หมกมุ่นอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ผมเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้วยสภาพไร้กำลัง พี่พลส่งยิ้มมาให้กวักมือเรียกให้ผมไปนั่ง

“ทำได้มั้ย”

“ได้ทำอะ” ผมตอบไปตามความจริง

“น้ำมั้ย”

ผมเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ตรงหน้าพี่พลมาดูดน้ำ สักพักไอ้บอมก็เดินออกมานั่งสมทบด้วยสภาพเน่าหนอนไม่ต่างกัน

“แม่ง ข้อสอบห่าอะไร กูจะบ้าตาย”

“มึงเขียนไปกี่หน้า” ผมถามถึงข้อสอบเขียนที่ผ่านมาเมื่อครู่

“สองหน้า เหี้ยมากกูนึกอะไรไม่ออกเลย”

ตอนนี้ดูเหมือนทุกคนจะแบตเตอรี่หมด เราจึงนั่งเงียบๆเล่นโทรศัพท์มือถือเพื่อรอไอ้เจ้าเฟริสท์ที่ยังทำข้อสอบไม่เสร็จ ในช่วงสอบที่ผ่านมาพี่พลแวะเวียนมาหากลุ่มพวกผมในวันที่มีสอบ เขาช่วยติวให้จนวินาทีสุดท้ายก่อนเข้าสนามรบจริง ผมไม่รู้ว่าพี่เขามีสอบวันไหนอะไรยังไงแต่ดูเหมือนจะเจียดเวลามาช่วยเหลือพวกผมได้ตลอด สิ่งที่เขาทำมันทำให้ผมยิ่งชอบเขามากขึ้นไปอีก ความเอาใจใส่ของเขาที่มีต่อผมนั้นมันกระจ่างอยู่ในความรู้สึก ผมรู้แหละว่าเขาก็เอาใจใส่เพื่อนๆของผมด้วยแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวไปกับพี่พล ผมไม่เคยคุยไลน์กับเขาเลยเพราะมีความกล้าไม่มากพอ ส่วนเขาก็ไม่เคยทักไลน์ผมเช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผมยังหยุดอยู่ที่เดิม หากแต่เป็นความรู้สึกของผมเองที่อยากทำให้ระหว่างเราเป็นมากกว่าแค่พี่น้อง ผมได้แต่คิดไม่เคยกล้าลงมือทำอะไรสักอย่างหรอก

ระหว่างที่รอเฟริสท์นั้นผมแอบลอบมองไอ้หนึ่งที่นั่งอยู่ๆ เห็นมันกำลังแชทอยู่กับใครสักคน โดยปกติผมไม่สงสัยหรอกว่ามันจะคุยกับใครแต่เพราะรูปโปรไฟล์ที่เห็นมันคุ้นตาก็เลยแอบมองอย่างเนียนๆ วินาทีนั้นผมรู้สึกชาวาบไปทั้งร่างเพราะมันกำลังพูดถึงผมในหน้าแชทของพี่พล

‘แล้วพี่รู้รึเปล่าว่าไอ้นายมันคิดยังไงกับพี่’

ผมไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้ามันคุยอะไรกับพี่พล แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ทั้งไอ้หนึ่งทั้งพี่พลก็กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ความรู้สึกบางอย่างมันบ่งบอกว่าเรื่องที่พวกเขาคุยกันคงไม่ใช่เรื่องแฮปปี้แน่ๆ ผมไม่อยากคิดเองเออเอง ไม่อยากคิดไปไกลกว่าที่เห็น ผมต้องหนักแน่นมากกว่านี้ ผมเก็บงำความรู้สึกเหล่านั้นไว้ภาวนาให้ไอ้เฟริสท์ออกมาจากห้องสอบเร็วๆเพราะผมกระวนกระวายไปหมดแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาในเวลานี้นึกถึงบุญที่จะเป็นที่พึ่งพายามสติแตกได้

‘เราว่าพี่พลรู้แล้วว่าเราชอบเขา’ ผมส่งข้อความไปหาบุญ ไม่นานนักข้อความก็ถูกเปิดอ่าน

‘คนที่เคยบอกว่าเป็นรุ่นพี่ในกลุ่มอะเหรอ’

‘ใช่’

‘แล้วเค้ารู้ได้ไง’

‘คิดว่าเพื่อนเราบอกพี่เค้า’

‘แล้วจะเอาไง’

ผมอ่านข้อความในสมองนิ่งนึกคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงหรือไม่ควรทำอะไรเลยก็ไม่รู้ ‘ไม่รู้ว่ะ’

‘บอกชอบเขาไปเลย’

‘เอางั้นเลยเหรอวะ’

‘เออ’

ในเวลานั้นเองเฟริสท์ก็ออกจากห้องสอบ มันเร่งเร้าพวกผมให้ลุกขึ้นเพื่อจะได้ออกไปจากมหาวิทยาลัย พวกเรานั่งรถซาฟารีในมอเพื่อไปลานจอดรถ เสียงไอ้เฟริสท์ดังมากกว่าใครในตอนที่คุยเรื่องข้อสอบที่ผ่านมา พอขึ้นรถตู้ของไอ้บอม สาวๆสองคนก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยว่าจะส่องฝรั่งที่ทะเลยังไงให้เนียนที่สุด ส่วนพวกหนุ่มๆตั้งอกตั้งใจจะเปลี่ยนทะเลให้เป็นน้ำเมา ได้ยินชื่อเครื่องดื่มที่ไอ้บอมจะซื้อไปด้วยผมนี่ใจอ่อนยวบยาบเลย งานนี้พวกมันได้เห็นผมอ้วกแตกแน่ๆ

“เตรียมใจได้เลยไอ้นาย งานนี้กากๆอย่างมึงได้นอนตายแน่” ไอ้หนึ่งพูดเสียงดังลั่นในรถจนผมต้องยันหน้ามันออกไป

อ้อ พี่พลก็มาด้วยเฉยเลย ผมเองก็เพิ่งรู้ตอนก่อนสอบวันนี้แหละ ตอนนี้คนขับรถเป็นไอ้หนึ่งนั่งคู่กับพี่พลคอยดูเส้นทางกัน พอรถออกจากมหาวิทยาลัยผมที่นั่งอยู่เบาะหลังสุดก็แทรกตัวไปข้างหน้าเพื่อคุยกับสาวๆบ้างเป็นบางครั้งสลับกับคุยไลน์กับบุญไปด้วย พวกเราร่าเริงกันมากเมื่อจะไปเที่ยว พลังงานอยู่ๆก็พุ่งทะยานอยู่ในจุดที่คุยจ้อกันไม่หยุด แต่กระนั้นผมก็ยังลอบมองไอ้หนึ่งกับพี่พลด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันอยู่ ท่าทางที่คุยกันด้วยเสียงเบาๆแบบนั้นยิ่งทำให้ผมวิตกจริตอยู่เนืองๆ

ผมแชทคุยกับบุญในขณะที่นั่งยืดขาอยู่บนเบาะหลัง ข้างๆเป็นไอ้บอมที่คุยกับสาวทางโทรศัพท์มือถือไม่สนใจเพื่อนฝูงเลย บุญเองก็สอบเสร็จแล้วเขาเลยมีเวลาคุยกับผมในแชท บุญแนะนำให้ผมบอกชอบพี่พลไปเลยเพราะถึงยังไงผมก็จีบเขาไม่เป็นอยู่ดี บอกๆไปเลยว่าชอบจะได้รู้ว่าควรสานต่อหรือจบแค่นี้ ถึงยังไงพี่พลก็อยู่ปีสี่แล้วไม่นานก็บายเนียร์แล้วก็จบสิ้นชีวิตของนักศึกษาคงไม่ได้โคจรเจอผมอีก

‘แล้วถ้าเขาไม่ชอบเราล่ะ’

‘ก็จบไปเลยไง’

‘ไม่รู้ว่ะ ใจนึงก็อยากบอกใจนึงก็อยากเก็บไว้แบบนี้ดีแล้ว’

‘บอกเถอะ ไม่ตายหรอกแค่ปวดจี๊ดๆในใจ’

‘ปวดใจบ้าไรวะ’

‘อกหักไง’

‘เราไม่อกหักหรอก แค่ชอบไม่ได้รักซะหน่อย’

‘เดี๋ยวก็รู้ แล้วนี่ไปทะเลกี่วัน’

‘3 วัน 2 คืน’

‘ดูแลตัวเองด้วย’

‘ครับพ่อ’ ผมหัวเราะออกมาหลังจากที่กวนอารมณ์บุญไป เงยหน้ามาอีกทีดูเหมือนเราจะออกจากตัวเมืองกันมาแล้ว ไอ้บอมยังงุ้งงิ้งคุยกับสาวของมันอยู่ สาวๆสองคนหลับไปแล้วเห็นแบบนี้ผมจึงสะกิดไอ้บอมพยักเพยิดหน้าไปทางคนที่หลับ เสร็จล่ะ งานแอบถ่ายรูปมันต้องมา ผมใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปมุมเสยของไอ้เฟริสท์ส่วนบอมถ่ายหนูนุ่นหลังจากนั้นเราก็ถ่ายรูปคู่กับพวกมันที่หลับสนิทไปมาด้วยความสนุกสนาน หัวเราะคิกคักจนไอ้สองตัวที่นอนอยู่รู้สึกตัวขึ้นมา พอรู้ว่าผมทำอะไรมันก็โวยวายกันใหญ่ตามประสาและหลังจากนั้นเราก็เริ่มถ่ายรูปกันไปเรื่อยเปื่อยแทบจะทั้งตลอดการเดินทางไปทะเล

กว่าจะไปถึงทะเลก็เป็นเวลาเย็นย่ำ พอเข้าที่พักผมก็วางกระเป๋าไว้ข้างตัวก่อนจะเอนตัวลงบนโซฟาขนาดกว้าง มองชาวแก๊งส์ที่เดินไปเดินมาสำรวจสถานที่ด้วยความตื่นเต้น พี่พลเดินหิ้วกระติกน้ำแข็งมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกันกับผมแต่คนละฝั่ง

“เจี้ยวจ้าวกันจริงๆไอ้พวกนี้”

“หิวแล้วอะ” ผมหันข้างไปมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ “พาไปหาอะไรกินหน่อย”

“เนี่ยเสิร์ชหาร้านอาหารอยู่” เขาบอกพลางโชว์หน้าจอโทรศัพท์มือถือให้ดู

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิมเพื่อมองหน้าจอที่สว่างนั่น บอกเลยว่าตื่นเต้นมากที่ได้อยู่ใกล้ๆกับพี่พลแต่มันก็อดไม่ได้ที่จะอยากถึงเนื้อถึงตัวเขาบ้าง อยากจะนอนตักพี่พลดูสักครั้ง คิดได้แบบนั้นผมก็เลยถอยล่ากลับมานั่งตรงๆ โห ใครจะกล้าทำอะไรขนาดนั้นคนเยอะแยะ ผมใจป๊อดกว่าที่เห็นนะ ไอ้พวกชาวแก๊งส์เริ่มทยอยมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นแล้วพวกเราจึงขับรถออกไปตระเวนหาของอร่อยทานกัน ในรถระหว่างทางผมให้สาวๆเป็นคนเลือกร้านที่จะทานมื้อเย็นกัน ทุกอย่างดูเหมือนจะลงตัวที่ร้านผัดไทยร้านหนึ่ง แต่เพราะไอ้บอมความเรื่องมากของมันทำให้เราย้อนขับออกมาไกลเพื่อหาอาหารทานในตลาดชื่อดังยอดนิยม ทางจากที่พักมาก็ไม่ใช่ใกล้ๆเลยผมนี่หิวท้องร้องโครกครากจนรู้สึกสงสารตัวเอง

พวกเราไม่ได้ลงเอยนั่งทานอาหารกันที่ร้านใดร้านหนึ่ง แต่ซื้อหลายๆอย่างแล้วแบ่งกันทาน ตอนนี้ผมมองพี่พลทานปลาหมึกย่างด้วยความอิจฉาขณะที่รอซื้อหนังไก่ทอด ในทะเลเนี่ยมีแค่ปลากับหอยเท่านั้นที่ทานได้แต่หมอก็ไม่แนะนำให้คนแพ้อาหารทะเลอย่างผมทานหรอก หมอบอกว่ามันอาจจะเกิดแพ้ขึ้นมาได้กะทันหัน ถึงจะทานไม่ได้ผมก็ไม่เคยห้ามพวกชาวแก๊งส์ทานอาหารทะเลหรอกนะ เวลามาเที่ยวกันพวกมันก็ทานอาหารทะเลกันปกตินี่แหละ ส่วนผมก็ได้แต่สั่งเมนูเดิมๆอย่างปลาทอดกับออส่วนเพราะเป็นเมนูที่ทานได้

พี่พลยื่นถุงปลาหมึกย่างมาให้ ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “ทำไมอะ”

“แพ้อาหารทะเล” ผมบอกเขาเสียงเรียบๆก่อนจะเสียหลักเพราะโดนฝรั่งที่ดูท่าทางเมานิดๆเดินชนจนน้ำตาลสดในแก้วหกใส่มือ “แม่ง” ผมสบถออกมารู้ตัวเลยว่าตอนนี้หน้าที่ปกติก็ดูเหมือนโกรธใครตลอดเวลาตอนนี้ยิ่งดูฉุนเฉียวเข้าไปอีก

“อินาย มึงจะแวะเซเว่นหาอะไรกินเพิ่มรึป่าว” หนูนุ่นถามเพราะมันรู้ว่าอาหารในตลาดนี้ผมทานไม่ค่อยได้

“แวะดิ กูยังไม่อิ่มเลย”

“เคๆ เดี๋ยวกูเดินไปบอกไอ้บอมก่อน แม่งจะล่อเบียร์ซะแล้ว” ว่าเสร็จหนูนุ่นก็ฉกถุงปลาหมึกย่างในมือพี่พลแล้วเดินไปหาไอ้บอมที่ยืนจดๆจ้องๆอยู่หน้าร้านอาหารทะเลร้านหนึ่งที่มีเบียร์นอกขาย

ผมจ่ายเงินค่าหนังไก่ทอดแต่พี่พลเป็นคนรับถุงไก่ทอดมาและหยิบออกมาชิ้นหนึ่ง เขากัดไปครึ่งชิ้นก่อนจะยื่นมาตรงหน้าผม ผมอ้าปากรับชิ้นหนังไก่ทอดนั่นด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ไม่รู้จะทำหน้าทำตาอย่างไรเลยรีบเดินนำหน้าเพื่อไปสมทบกับชาวแก๊งส์ที่ยืนรออยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ แทนที่พี่พลจะรอผมอยู่ข้างนอกเขาดันเดินตามเข้ามา ผมหยิบอาหารแช่แข็งไปหนึ่งกล่องส่งให้พนักงานเวฟก่อนจะเดินวนซื้อขนมเพิ่มนิดหน่อย

“มาทะเลทั้งทีแต่ต้องมากินอาหารในเซเว่นเนี่ยนะ”

“ทำไงได้” ผมยิ้มน้อยๆให้กับพี่พล หยิบขนมไปจ่ายเงินระหว่างนั้นอาหารอุ่นร้อนก็เสร็จพอดี

ผมเดินรั้งท้ายอยู่กับพี่พลเพื่อเดินกลับไปขึ้นรถ เราจอดรถกันไว้ค่อนข้างไกลเพราะบริเวณตลาดไม่มีที่จอด ไอ้บอมกับหนูนุ่นเดินทานอาหารไม่หยุด เสียงไอ้หนึ่งหัวเราะอยู่กับไอ้เฟริสท์ดังไปตลอดทาง พี่พลก็ดูเพลิดเพลินกับหนังไก่ทอด ส่วนผมหงุดหงิดกับมวลชนมหาศาลที่เดินเบียดไปมา เราเดินมาถึงสถานที่ที่จอดรถไว้ผมนั่งด้านหลังเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนคนนั่งจากไอ้บอมเป็นพี่พลแทน ผมแกะห่ออาหารทานบนรถเดี๋ยวนั้นด้วยความหิว แม้จะทานอะไรไปบ้างแล้วแต่เหมือนกับมันยังไม่เต็มอิ่มเสียทีเดียว ข้าวผัดกากๆในร้านสะดวกซื้อทานคู่กับหนังไก่ทอดพอจะช่วยประทังชีวิตไปจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ ระหว่างทางกลับบ้านพักผมหยิบโทรศัพท์มือถือแชทหาบุญเพราะดูเหมือนผมจะเข้าร่วมวงสนทนาเรื่องอาหารทะเลที่พวกชาวแก๊งส์เพิ่งทานไปไม่ได้ พวกเขาคุยกันถึงกุ้งปูปลาหมึกผมคุยด้วยไม่ได้จริงๆ

‘เสียใจกินอาหารทะเลไม่ได้’

‘ก็ชนะมันดิ จะได้ไม่แพ้อาหารทะเลไง’

มุกเลวๆควายๆแบบนี้ผมเจอมาตลอดในตอนเด็ก พอโตมาก็ไม่นึกหรอกนะว่าจะยังมีมนุษย์ที่กล้าเล่นมุกนี้อีก ‘ฝืดดดดดดดสัสสสส’

‘55555 เอาน่าๆ แล้วนี่ทำอะไรอยู่’

‘นั่งรถกลับที่พัก’

‘กินเหล้าอะดิคืนนี้’

‘กินดิ นี่หิวเบียร์มาก ได้เบียร์นอกมาด้วย’ ผมส่งรูปขวดเบียร์ที่ถ่ายไว้ตอนซื้อไปให้บุญดู นอกจากเรื่องหนังและเพลง เรายังคอเดียวกันเรื่องเบียร์ด้วย

‘โห เด็ดๆ’

‘เออ วันหลังจะพามา ร้านเล็กๆแต่มีเบียร์นอกเยอะโคตร จริงๆพี่ที่ขายบอกว่า…..’ พอพิมพ์ได้เท่านั้นผมก็ถูกแย่งโทรศัพท์มือถือไป พี่พลถือวิสาสะเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงของเขา

“มาเที่ยวนะเว่ย เล่นแต่มือถือ”

ผมไม่ได้เถียงอะไรกลับเพราะก็รู้สึกเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่พลพูด “ก็คุยกันแต่เรื่องอาหารทะเล” ผมบ่นเสียงเบาๆ

“จะหาอะไรกินเพิ่มอีกมั้ย”

“ไม่อะ” ผมตอบก่อนจะมองพี่พลที่ถูกไอ้หนึ่งเรียกเพื่อคุยเรื่องรีวิวเกมบ้าบออะไรก็ไม่รู้ ผมเอนตัวลงข้าวผัดเมื่อครู่คงจะถ่วงหนังท้องจนหนังตาหย่อนเสียแล้ว

พี่พลปลุกผมเมื่อมาถึงบ้านพัก ด้วยระยะเวลาที่เดินจากหัวหินมายังปราณบุรีก็ไกลอยู่โขพวกเราเริ่มเหนื่อยเลยไม่ได้ซดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันมากเท่าไหร่ เน้นนั่งชิลอยู่นอกบ้าน ฟังเสียงคลื่นทะเลในยามค่ำคืนเคล้ากับเสียงพูดคุยอย่างไร้สาระของชาวแก๊งส์ ผมง่วงมากรู้สึกได้เลยว่าถ้านั่งนานกว่านี้จะต้องหลับโชว์จึงแยกตัวเข้ามานอน แต่พออาบน้ำเสร็จกลับไม่ง่วงก็เลยเปิดหนังดูแทน ผมนั่งดูหนังอยู่ได้ไม่นานประตูห้องก็เปิดขึ้น เป็นพี่พลที่เข้ามาในชุดพร้อมนอน

“ไปอาบน้ำห้องอื่นมาเหรอ” ผมทำหน้าสงสัยใส่เขา

“อืม” เขาตอบสั้นๆ

“แล้วไอ้พวกนั้นล่ะ”

“ยาว”

“อ้าว แล้วพี่พลจะนอนนี่เหรอ”

“ทำไมอะ”

“นายนอนกรนนะ” ผมส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย แต่พี่พลดูเงียบผิดปกติ เขาก้าวขึ้นเตียงนั่งพิงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน สายตามองไปยังโทรทัศน์ที่ผมเปิดหนังค้างไว้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรผมจึงกลับไปสนใจหนังต่อ แต่เพียงไม่นานพี่พลก็เริ่มขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นอีกครั้งที่ไหล่ของเราชิดใกล้กันมันทำให้ผมเผลอหันไปมอง หัวใจตอนนนั้นเต้นแรงกว่าที่เคยเป็นเพราะเห็นใบหน้าของพี่พลในระยะใกล้ เขาไม่หลบตาผมเลยแต่กลับมองอย่างเปิดเผยด้วยซ้ำไป ผมคิดว่ามีบางอย่างในช่วงเวลานั้นแต่ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร

“พี่รู้ว่าเรานอนกรน”

ผมยิ้มรับแต่ไม่ได้ตอบอะไร

“ทนมาได้สองคืนก็คงไม่น่าเป็นปัญหาอะไรนะ”

ประโยคนั้นเรียกความสนใจไปจากผมโดยสิ้นเชิง

ยังไม่ทันได้พูดถามอะไรต่อไปพี่พลก็จูบเข้ามาที่ริมฝีปาก ผมอ้าปากค้างด้วยความตกใจ พี่พลผละจูบออกไปแล้วล้วงมือเข้ามาใต้ร่มผ้าของผม จู่โจมโลมเล้าไม่เว้นช่องว่าง ผมได้แต่รับการรุกเร้าที่โถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกระหว่างที่เพื่อนของผมยังอยู่ด้านนอก ผมเบี่ยงหน้าหนีออกมากระนั้นพี่พลก็ยังไม่หยุดยั้งในสิ่งที่ทำอยู่

“พี่พลจะทำจริงๆเหรอ”

ผมเอ่ยถามเสียงแผ่ว ความรู้สึกในตอนนี้มันมากกว่าแต่ความตกใจไปแล้ว พี่พลไม่ได้ตอบอะไรนอกจากจูบเข้ามาอีก ผมตอบรับจูบให้ลึกซึ้งกว่าเดิม พี่พลถอดกางเกงของผมออก ดูเหมือนเขาเตรียมพร้อมมาก เราก่ายกอดกันอยู่บนเตียง ร่างของผมอยู่ใต้ร่างของเขา แสงไฟจากหน้าจอโทรทัศน์สว่างวาบไปตามหนังที่ผมเปิดไว้ สีหน้าของพี่พลแสดงออกมาอย่างชัดเจนจนหัวใจของผมที่เต้นแรงอยู่ในเวลานี้แทบจะระเบิดออกมา รูปร่างของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจับไปส่วนไหนก็รู้สึกแน่นแข็งไปหมด มือของเขาที่ลูบขยำร่างของผมหยาบกร้านตามประสาคนเข้ายิมหากแต่ให้ความรู้สึกดี ในยามที่พี่พลเปลือยจนหมดแบบนี้ผมจะคลั่งตายเสียให้ได้ เสียงคลื่นซัดขึ้นมาและไหลผ่านเม็ดทรายกลับลงสู่ท้องทะเลลึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมไม่คิดจริงๆว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก พี่พลเองก็ไม่ได้เมา เรื่องนั้นผุดขึ้นมาในสมองเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะมลายหายไปเมื่อถูกพี่พลแทรกกายเข้ามา เขาหายใจแรงจนรู้สึกได้ ผมรั้งใบหน้าของเขาเข้ามาจูบเพื่อมอมเมาเบี่ยงเบนความรู้สึกเจ็บของตัวเองแม้มันจะไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าไหร่

พี่พลขยับตัว เขาไม่ผ่อนปรนให้ผมได้มีเวลาตั้งรับอะไรเลย ร่างของผมถูกพี่พลจาบจ้วงอย่างหยาบโลนหนักหน่วงจนผมหายใจแทบไม่ทัน ร่างทั้งร่างสั่นคลอน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกของผมที่มีต่อเขามันปะทุขึ้นมาอย่างง่ายดาย ผมชอบเขา ยิ่งได้กอดกันแบบนี้ก็อยากจะเข้าข้างตัวเองว่าพี่พลต้องมีความรู้สึกพิเศษให้ผมบ้างไม่มากก็น้อย

ผมร้องเมื่อถูกถาโถมจนรู้สึกจุก มันเจ็บเพราะตัวของผมยังไม่พร้อมเต็มร้อย ไม่นานก็รู้สึกได้ถึงน้ำใคร่ของเขาที่ปล่อยออกมาในตัวของผม เพราะว่าคนๆนี้คือพี่พลและผมก็ชอบเขามาก ชอบมากจนยินยอมให้เขากระทำได้ถึงขนาดนี้

พี่พลซุกหน้าเข้ามาที่ซอกคอ ร่างของเขาลงน้ำหนักลงมาจนรู้สึกอึดอัด ผมก่ายกอดเขาไว้แน่นแล้วจูบที่กกหู จูบที่ขมับชื้นเหงื่อ เรานอนกอดกันอยู่อย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่งจนลมหายใจกลับเข้าสู่สภาวะปกติ พี่พลเงยหน้าขึ้นมามองสบตาเผยรอยยิ้มนิดๆที่มุมปาก เขาดูเปี่ยมเสน่ห์จนผมอดใจไม่ได้ที่จะดึงหน้าของเขาเข้ามาจูบ อ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากนั่นด้วยความหลงใหล พี่พลผละตัวออกและกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกระดาษทิชชู่ เช่นเคยเราต่างคนต่างทำความสะอาดตัวเอง

“ดูหนังไม่รู้เรื่องเลย” ผมกระซิบบอกเสียงแผ่วด้วยไม่รู้ว่าระหว่างนั้นจะพูดอะไรดี แต่ก็ไม่อยากให้เงียบจนเกินไป

พี่พลพลิกตัวลงมานอนด้านข้าง หยิบรีโมทของเครื่องเล่นแผ่นหนังมากดเข้าสู่หน้าเมนูหลักอีกครั้ง “เริ่มดูหนังใหม่เลยแล้วกัน”

“เคยดูเรื่องนี้แล้วหรือยัง” ผมถามขณะที่คว้าเอาเสื้อผ้ามาใส่

“เคยแล้ว นายชอบเรื่องนี้เหรอ”

“ชอบ” คำตอบที่บอกออกไปผมไม่ได้หมายถึงหนังที่กำลังดูอยู่นี่หรอกนะ

“พี่ก็ชอบนะแต่จริงๆตัวหนังมันดูเว่อไปหน่อย แบบบางฉากมันดูไม่สมจริงแต่ก็ชอบดูเรื่องนี้”

“ตอนระเบิดแบรดพิตยังหน้าหล่ออยู่เลย”

“เออ เป็นของจริงศพแม่งต้องเละไปแล้วอะ”

“แต่ฉากที่ดอนบังคับให้นอร์แมนฆ่าพวกนาซีครั้งแรกนี่กดดันเหมือนกันนะ แบรดพิตเล่นดีอะ”

“นักแสดงเล่นดีทุกคนอะ แต่เหมือนแบบบางความสัมพันธ์มันก็ดูง่ายลงตัวเกินไป”

“โลแกนนี่ไม่ค่อยได้เห็นเล่นหนังใหญ่ จริงๆนายว่าเค้าฝีมือดีนะ ไอ้ตอนฉากที่ดอนบอกให้นอร์แมนไปหลบใต้รถถังนี่นายถึงกับหลั่งน้ำตา”

พี่พลเงยหน้าขึ้นมามองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผยยิ้ม “เราขี้แยจัง”

“บางเรื่องมันก็อดไม่ได้นี่หว่า”

“เราร้องไห้เพราะดูหนังบ่อยเหรอ”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แต่พี่พลกลับหรี่ตามองคาดคั้นเอาความจริง “บ่อยก็ได้” สุดท้ายก็ยอมรับเป็นความจริงที่ตัวผมเองนั้นไม่ค่อยอยากจะยอมรับเลย

“แล้วเรื่องนี้ร้องตอนไหนมั่ง”

“ไม่บอก” ผมเอ่ยเสียงแข็ง ใครจะไปบอกกันล่ะเรื่องแบบนี้ “ดูหนังไปดิ” ผมเฉไฉเบี่ยงประเด็นพลางขยับตัวลงนอน

“อยากร้องก็ร้อง ไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อย” เขาพูดแล้วขยี้หัวของผมเบาๆ “ไอ้ตูดหมึก”

ผมมองใบหน้าด้านข้างของพี่พล ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มทำให้ใจผมเต้นแรงยากเกินกว่าจะควบคุม สัมผัสของเขาบนเส้นผมของผมมันช่างอบอุ่น เราแลกเปลี่ยนความคิดอีกหลายๆเรื่องในค่ำคืนนั้น เขาเล่าเรื่องต่างๆให้ผมฟัง ผมเล่าเรื่องต่างๆของผมให้เขาฟัง เรารู้เรื่องราวของกันและกันผ่านทางการดูหนังมากมายหลายเรื่อง ผมไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของชาวแก๊งส์ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงคลื่นทะเล มีเพียงเสียงของพี่พล เสียงของผม เสียงของเราสองคนในค่ำคืนที่ผมเปี่ยมสุขจนคิดว่านี่อาจเป็นแค่ความฝัน คืนนั้นผมหลับไปตอนไหนก็ไม่อาจแน่ใจได้ แต่ความรู้สึกของผมที่มีต่อเขามันกลับยิ่งชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม ผมชอบพี่พล ชอบมากเหลือเกิน และผมรู้ว่าความรู้สึกนั้นไม่ใช่ความฝัน




************************************




ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนที่แปด (10-Oct-18)
«ตอบ #12 เมื่อ10-10-2018 14:10:38 »

ตอนที่แปด




ในเช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นเพราะพี่พลปลุก เสียงไอ้พวกชาวแก๊งส์เจี้ยวจ้าวแข็งกับเสียงคลื่นทะเลแต่เช้า ผมนั่งงัวเงียอยู่บนเตียงครู่หนึ่งก่อนจะถูกพี่พลไล่ให้ไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะออกไปเที่ยว เห็นแบบนี้ชาวแก๊งส์ของผมมีความมุ่งมั่นในการเที่ยวสูงมาก ผิดกับเวลาเรียนที่มักหาข้ออ้างขี้เกียจได้ตลอดเวลา อย่างตอนมีเรียนเช้าก็ตื่นมาเรียนมั่งไม่มามั่ง แต่พอมาเที่ยวปุ๊ปดีดเด้งออกมาจากเตียงตอนเช้าด้วยความสดชื่นมาก ส่วนผมไม่ว่าจะเที่ยวหรือเรียนก็งัวเงียขี้เซาในช่วงเช้าได้ตลอดทุกสถานการณ์  พอตัวโดนน้ำก็พอจะตื่นขึ้นมาอยู่บ้างแหละแต่ที่ทำให้ตื่นจริงๆนี่ก็เพราะอยู่ๆไอ้พวกชาวแก๊งส์มาดึงผ้าขนหนูที่พันตัวออกต่างหาก

“ไอ้หนึ่ง!!! หำกูออกหมดแล้ว!!!” ผมตะโกนลั่นก่อนจะดึงผ้าขนหนูที่ล่วงหล่นลงบนพื้นขึ้นมาพันตัวใหม่ “ไอ้บอม มึงถ่ายวิดิโอเหรอวะ ไอ้ชั่ว” ผมวิ่งไปแย่งโทรศัพท์มือถือของไอ้บอมอย่างทะลักทุเลเพราะต้องคอยดึงผ้าไม่ให้ไอ้หนึ่งดึงลง สุดท้ายก็โดนไอ้หนึ่งดึงผ้าออกจนได้ เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั้งบ้านพัก ผมโวยวายไปตามประสา แต่ยังคงพยายามยื้อยุดโทรศัพท์มือถือเพื่อเอามาลบทั้งๆที่โทงเทงอยู่แบบนั้นแหละ ดูเหมือนว่าทั้งไอ้บอมกับไอ้หนึ่งจะประสานงานกันดีเกินไป พวกมันรวมตัวกันแกล้งผมก่อนจะหนีไปได้ และเพราะความกระดากอายที่ตอนนี้เปลือยร่อนจ้อนอยู่ผมจึงหันมาหยิบเสื้อผ้าใส่แทน

“เดี๋ยวพี่ไปรอข้างนอกนะ” พี่พลบอกก่อนจะเดินออกไปพร้อมเสียงหัวเราะ ผมรีบแต่งตัวคว้าโทรศัพท์มือถือกระเป๋าเงินแล้วเดินตามออกไป เห็นไอ้เฟริสท์กับไอ้นุ่นหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังก็รู้ทันทีว่าพวกมันคงได้ดูวิดิโอตอนผมแก้ผ้าล่อนจ้อนไปแล้ว

“พวกมึงนี่เป็นผู้หญิงกันรึเปล่าวะเนี่ย ดูหำกูแล้วขำกันคิกๆ”

“อ้าว กูต้องเป็นผู้ชายหรือไงถึงจะดูหำมึงได้อินาย” สิ้นคำพูดไอ้เฟริสท์มันก็ระเบิดหัวเราะอีกระลอก

“เอาล่ะๆ พี่พลสตาร์ทรถรอแล้ว เดี๋ยวไม่ทันแสงเช้านะเว้ย” เป็นเสียงของไอ้บอมโหวกเหวกๆก่อนจะเดินนำพวกเราออกไปจากบ้านพัก


พวกเราเดินทางมายังหาดแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่พัก เนื่องจากเป็นช่วงเช้าผู้คนจึงยังไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่ ไอ้เฟริสท์กับไอ้นุ่นแอบหวีดร้องฝรั่งหนุ่มถอดเสื้อวิ่งอยู่บนชาดหาด ผมเดินรั้งท้ายตามพวกมันเรื่อยๆ หยุดถ่ายรูปบ้างปะปราย ไอ้ที่ว่าถ่ายรูปเนี่ยก็ไม่ได้ใช้กล้องอะไรหรอก แค่โทรศัพท์มือถือเท่านั้นแหละ คนบ้าถ่ายรูปคงจะหนีไม่พ้นสาวๆสองคนโดยมีไอ้หนึ่งคอยตามถ่ายรูปทุกซอกทุกมุม หาดที่นี่ไม่ได้สวยเหมือนทะเลทางใต้สักเท่าไหร่แต่น้ำก็ใสสะอาดอยู่ ผมเดินเลียบระหว่างผืนทรายกับน้ำทะเล ชอบเวลาที่น้ำทะเลสาดซัดขึ้นมาแล้วไหลผ่านเท้าลงกลับสู่ท้องทะเลอีกครั้งอย่างบอกไม่ถูก แต่ดูเหมือนช่วงเวลานี้น้ำจะยังไม่ลดทำให้เวลาคลื่นซัดมาเล่นเอาเปียกไปแทบทั้งขา กางเกงขาสั้นที่ใส่มาชื้นน้ำบางส่วนก็ดูเหมือนจะเปียกโชกไปเสียแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปบ้างกดส่งรูปไปให้บุญดู

‘อยากไปทะเลใต้’

ผมกดส่งข้อความไป แน่นอนบุญคงไม่ได้อ่านหรอกเพราะตอนนี้ยังเช้าอยู่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ส่งรูปอีกรูปไป โทรศัพท์มือถือของผมก็ถูกแย่ง ส่วนผมก็ถูกผลักลงทะเลจนเปียกไปทั้งตัว

เสียงหัวเราะของไอ้ชาวแก๊งส์ดังสนั่น ผมรีบตะกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลก่อนจะโดนคลื่นซัดลงไป วักเอาน้ำทะเลสาดใส่ชาวแก๊งส์ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นโดยไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง ผมมองเห็นไอ้บอมหนีขึ้นฝั่งแล้วหยิบผ้าใบออกมากางนอนแผ่หรา ปกติแล้วไอ้บอมไม่ค่อยลงน้ำทะเลหรอก มันชอบมาชิลเน้นหล่อๆ ส่วนที่เหลือก็ลงเล่นน้ำไปตามระเบียบ หลังจากสงครามสาดน้ำจบลงพวกเราก็ลงไปว่ายน้ำในทะเลกันหมด ผมว่ายน้ำไม่แข็งก็เลยได้แต่ลอยคออยู่ในส่วนที่น้ำตื้นหน่อย นอนอืดอยู่บนผืนน้ำในท่าปลาดาวได้ยินเสียงชาวแก๊งส์โหวกเหวกโวยวาย ดูเหมือนไอ้หนึ่งจะโดนกดหัวลงน้ำทะเล แสงแดดเริ่มแรงแต่ยังอยู่ในระดับที่พอไหว ผมนอนหลับตาปล่อยตัวไปเรื่อยๆตามกระแสคลื่นอย่างสบายอารมณ์ อยู่ๆก็รู้สึกได้ยินเสียงเหมือนคนว่ายน้ำมาใกล้ๆ ผมลืมตาข้างหนึ่งเห็นเป็นพี่พลที่ว่ายน้ำตรงเข้ามาหา เขาเปลี่ยนท่านอนหงายเช่นเดียวกับผมแล้วยิ้มน้อยๆอย่างคนมีความสุข

“สบายจัง” เขาเอ่ยพลางวาดแขนบนผืนน้ำเบาๆ

ผมไม่ได้เอ่ยตอบอะไรได้แต่นอนลอยคอยนผืนน้ำข้างๆพี่พล

“นี่ถ้ามีเพลงสักหน่อยคงจะดี”

“พี่พล…”

“ว่า”

หลังจากนั้นเราก็เงียบกันไป นอนฟังเสียงโหวกเหวกของไอ้ชาวแก๊งส์ เสียงน้ำทะเล ผมเหลือบมองไปด้านข้างพี่พลกำลังหลับตา เวลานี้หัวใจของผมเต้นรัวเหมือนทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดกับเขา อาจจะเป็นเพราะแดดที่เริ่มแรงทำให้สมองมันพร่าเลือนหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมเอื้อมมือไปจับมือของเขาไว้พี่พลลืมตาขึ้นมามองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาลงอย่างเดิม

“เรานี่ชอบเรียกพี่แล้วก็ไม่พูด”

น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดุอะไรหนำซ้ำยังเผยยิ้มน้อยๆให้ผมใจเต้นอีก “พี่พล…”

“ว่า”

“พี่พล”

“เออ”

“พี่พล…”

คราวนี้เขาลืมตาแล้วฉุดมือผมลากให้จมน้ำ ผมผวาเกาะแขนเขาไว้แน่นด้วยความตกใจ คือจริงๆก็ไม่ได้จมน้ำหรอกแต่เพราะเป็นคนว่ายน้ำไม่แข็งก็เลยตกใจมากกว่าปกติ ตอนนี้ผมอยู่ใกล้พี่พลจนสัมผัสได้ถึงเนื้อตัวของเขา ใบหน้าพี่พลยังคงมีรอยยิ้มและมีเสียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อยคงจะสะใจที่ได้แกล้งผม ผมมองเขาอยู่อย่างนั้นแสงแดดที่สะท้อนบนผืนน้ำส่องเข้าที่ใบหน้าของเขา วินาทีนั้นในที่สุดผมก็พูดมันออกมา

“นายชอบพี่พล”

อีกฝ่ายดูเหมือนจะช็อคไป เรายืนนิ่งมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ร่างกายผมร้อนวาบจากภายใน มือสั่นเทานิดๆด้วยความตื่นเต้น สีหน้าของพี่พลไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ยอมรับ ช่วงที่เขาถอนมือออกไปใจผมแทบสลาย อะไรบางอย่างมันบ่งบอกว่านี่คือความผิดพลาด อะไรบางอย่างมันควรเก็บไว้อยู่ในใจเพียงลำพัง

“ขอบคุณนะ” พี่พลยิ้มให้ผม เขาดูอ่อนโยนเสมอแม้ในยามนี้ “พี่หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”

เขาพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินนำหน้าขึ้นหาด ผมยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้พยายามจะสร้างอารมณ์แบบพระเอกหนังหรอก แต่เหมือนกับทั้งตัวมันชาจนก้าวขาไม่ออกได้แต่ยืนให้คลื่นซัดอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง รู้สึกได้ว่าหูอื้อไม่ได้ยินเสียงใดๆเหมือนอยู่ๆมันก็ดับไปเสียอย่างนั้น ไม่นานนักผมก็ก้าวขาออกและเดินตามไปสมทบกับพวกชาวแก๊งส์ด้วยหัวใจที่พังยับเยิน





เลวร้ายกว่าที่คิด…

ผมคิดว่าการที่ใครสักคนไม่ได้มีใจชอบเราตอบคงไม่ทำให้ตาย แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะจุกอกเหมือนมีอะไรมาบีบหัวใจตลอดเวลา พวกเรากลับไปยังที่พักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอย่างรวดเร็วก่อนจะขับรถออกมาหาอาหารทาน ยอมรับว่าสภาพหัวใจมันไม่ค่อยพร้อมจะเดินก้าวต่อไปแต่ผมก็ไม่ได้อ่อนแอปวกเปียกขนาดนั้น ชาวแก๊งส์เลือกร้านข้าวต้มริมทางในมื้อสายของวันนี้ ผมทานข้าวต้มหมูอย่างคนไม่เจริญอาหาร ยิ่งนั่งอยู่ข้างพี่พลก็ยิ่งกระอักกระอวนเข้าไปอีก พี่พลมีท่าทีปกติในความไม่ปกติ เขาไม่ได้ดูสดชื่นเฮฮาเหมือนก่อนหน้าที่ผมจะบอกชอบ แต่ก็ไม่ถึงกับเงียบหายไปแบบผม เขายังคงคุยเล่น เอาใจใส่ผมที่ทานอาหารทะเลไม่ได้ เอาใจใส่ชนิดที่ไปขอให้คุณป้าร้านข้าวต้มช่วยทำหมูแยกหม้อต่างหากออกจากอาหารทะเล ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ ไม่เห็นจะต้องมาเอาใจใส่กันเลย มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่

หลังจากทานอาหารในมื้อสายกันเสร็จ พวกเราก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ไอ้สถานที่เหล่านั้นที่ผมเป็นคนวางแผนเวลานี้ผมกลับไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับทริปนี้ได้เลย เวลาที่พวกมันถ่ายรูปกันผมพยายามเดินหนีไม่ก็เป็นคนถ่ายรูปให้ไม่อยู่ในโหมดรื่นเริงเลยจริงๆ ระหว่างที่เราไปเที่ยวนั้นพี่พลยังชวนผมคุยเหมือนเดิม ส่วนผมก็ตอบไปคำสองคำก่อนจะหลีกหนีไปอยู่กับคนอื่นบ้าง ไม่ก็ทำเป็นไม่ได้ยินไปเลย หลังจากไปเที่ยวกันได้สองที่พวกเราก็แวะทานก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังในบริเวณนั้นกัน เป็นอีกครั้งที่พี่พลนั่งข้างผม

“เอาแคบหมูเพิ่มมั้ย” เขาถาม

“เอา” ผมตอบ

ประโยคสนทนาระหว่างเราก็ประมาณนี้ เขาถามมาหลายคำส่วนผมก็ตอบคำเดียวพอ แม่งรู้สึกไม่น่าพูดออกไปเลย ผิดที่ผิดเวลามาก ตอนนั้นผมคิดอะไรกันนะ ไม่สิ ถ้าคิดก็คงไม่พูดว่าชอบออกไปหรอก ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรเลยต่างหาก

“นาย…” พี่พลเอ่ยเรียกพลางขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆ “เราโอเคมั้ย”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ ถ้าบอกว่าไม่โอเคแล้วจะช่วยอะไรดีขึ้นหรือเปล่า ก็ไม่เลย

“ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันเรื่องนั้นนะ”

ผมนิ่ง สนใจแต่ก๋วยเตี๋ยวตรงหน้า

“นาย…”

“รู้แล้ว” ผมตอบเบาๆ พยายามไม่มองหน้าเขา

“พี่หมายความตามนั้นจริงๆนะ”

“หมายถึงยังไง”

“เราต้องคุยกันแบบจริงๆจังๆ”

ผมขมวดคิ้วรู้สึกหงุดหงิดที่พี่พลยังพยายามพูดคุย เรามองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายหลบสายตาเขาไปเองแล้วตั้งหน้าตั้งตาจ้วงทานก๋วยเตี๋ยวไม่สนใจใครอีก


พอมาเปิดโทรศัพท์มือถืออีกครั้งก็เห็นข้อความที่บุญส่งกลับมา รูปทะเลที่ส่งไปก่อนหน้านี้คงจะยิ่งไปกระตุ้นความอยากเที่ยวของบุญจนส่งข้อความมาคร่ำครวญเร่งเร้าให้หาวันเวลาไปเที่ยวทะเลอีก ผมอ่านแล้วไม่ได้ตอบ ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยเรื่องเที่ยว ผมนั่งเงียบๆอยู่เบาะหลังระหว่างเดินทางไปสถานที่เที่ยวอีกที่หนึ่ง ทั้งสภาพร่างสภาพจิตใจไม่พร้อมอย่างแรง สถานที่ที่มาเป็นวนอุยานต้องเดินผ่านส่วนที่เป็นป่าไม้เพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบน ผมเดินรั้งท้ายอยู่เหมือนเดิมเพราะถ้าเป็นคนนำหน้าก็มักจะเดินไม่รอใคร ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปทัศนียภาพในป่า มองซ้ายมองขวามองบนด้วยความเพลิดเพลินแต่แล้วกลับต้องสะดุดเมื่ออยู่ๆพี่พลที่เดินนำหน้าผมเกิดหยุดกะทันหัน พอผมทำท่าจะเดินแทรกหนีไปเขาก็จับมือที่ข้อมือของผมไว้ รอจนพวกชาวแก๊งส์ที่เดินนำหน้าอยู่เดินห่างออกไปแล้วค่อยเดินตามอย่างห่างๆ

“เราคิดกับพี่แบบนั้นจริงๆเหรอ”

เหมือนโดนเอาไม้หน้าสามฟาดหน้าด้วยคำถามตรงๆไร้ชั้นเชิง ผมเงียบ รู้สึกว่าไม่อยากตอบและไม่จำเป็นต้องตอบ

“ที่จริงพี่ก็รู้มาจากหนึ่งแล้วล่ะ”

“มันบอกพี่พลว่ายังไงมั่ง”

“ก็บอกว่าเราชอบพี่”

เราเงียบกันไปพักหนึ่ง ก่อนที่พี่พลจะเลื่อนขยับจากข้อมือเปลี่ยนมาจับที่มือของผมแทน

“พี่ก็ชอบเรานะ แต่ตอนนี้ชอบแบบพี่น้อง”

ผมยังคงเงียบไม่ได้ตอบโต้อะไร

“เรายังคุยกันเหมือนเดิมได้นะ”

“มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรอก” ผมหยุดเดินแล้วมองหน้าพี่พล เขานิ่งและอึ้งไป “นายชอบพี่พลแบบไม่ใช่พี่น้อง ที่เห็นๆอยู่นี่มันก็น่าจะชัดเจนแล้ว” นี่ผมไม่ได้อยากจะพูดจาให้ดูเป็นลิเกเลยนะ แต่มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ “ชอบของพี่พลกับชอบของนายมันไม่เหมือนกัน”

“แล้วเราจะให้พี่ทำยังไง ตอนนี้พี่รู้สึกกับเราแค่พี่น้องและพี่ก็ไม่อยากเลิกคุยกับเราเพราะแค่ตอนนี้พี่ไม่ได้ชอบนายแบบนั้น”

ตอนนี้เหมือนหัวใจจะแหลกละเอียดยังไงชอบกล ผมเป็นคนเด็ดขาดนะไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ถ้าชอบก็คือชอบ อะไรที่มันคลุมเครือแบบนี้มันโคตรจะปวดใจ เป็นความรู้สึกที่น่ารำคาญ ผมดึงมือออกก่อนจะรีบเดินไปสมทบกับไอ้พวกชาวแก๊งส์ที่เดินนำหน้า ไอ้ความหมายที่บอกว่าชอบแบบพี่น้องมันก็ตรงตัวอยู่แล้วไม่มีอะไรซับซ้อนแต่ที่ไม่เข้าใจก็คือจะให้กลับไปคุยเหมือนเดิม เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปได้ซะที่ไหนล่ะ ผมชอบเขาไปมากกว่าแค่พี่น้อง ความรู้สึกในเวลานี้มันหวนกลับมาไม่ได้ เขาคาดหวังอะไรกับการให้กลับไปคุยกันเหมือนเดิมผมนึกไม่ออกจริงๆ

ไอ้พวกชาวแก๊งส์พลังล้นมาก ขากลับจากวนอุทยานเราแวะทานอาหารทะเลกันที่ร้านหนึ่ง ตอนเข้ามานั่งในร้านก็เกิดสถานการณ์กระอักกระอวนเมื่อพี่พลมานั่งข้างๆ ผมอยากลุกหนีแต่ก็กลัวจะผิดสังเกตจึงจำยอมนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม พี่พลทำตัวปกติมากจนน่าหงุดหงิด เขาคอยเลื่อนจานที่เป็นเมนูปลามาให้ คอยเติมน้ำให้ คอยถามว่ารู้สึกคันหรือเกิดอาการแพ้อาหารทะเลอะไรหรือเปล่า ผมปวดหนึบในใจจริงๆนะ เขาไม่จำเป็นต้องทำดีด้วยเลยถ้าแค่ห่างๆกันไปผมคงรู้สึกดีกว่านี้

พอทานอาหารมื้อเย็นกันเสร็จเราก็มุ่งหน้ากลับบ้านพัก เป้าประสงค์หลังจากนี้คือเล่นน้ำต่อ ผมได้ยินเช่นนั้นก็นึกอยากจะปลีกตัวออกมานอนซมดูหนังอยู่ในห้องนอน ระหว่างที่รื้อของเพื่อหาแผ่นหนังพี่พลก็เข้ามาในห้อง ที่จริงก็ไม่แปลกหรอกที่เขาเข้ามาเพราะพี่พลก็นอนห้องนี้ แต่ที่แปลกก็คือเขาดันมานอนบนเตียงแทนที่จะไปเล่นน้ำกับไอ้พวกชาวแก๊งส์

“จะดูหนังเหรอ”

ผมเงียบก้มหน้าก้มตารื้อแผ่นหนังต่อไป

“นายทำไมเราเป็นแบบนี้วะ”

เหมือนเดิม ผมเงียบ คราวนี้พี่พลคงจะเริ่มหงุดหงิดเขาจึงดึงมือของผมที่ทำเป็นหาแผ่นหนังไว้

“คุยกันเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ”

“ทำไมถึงอยากคุยเหมือนเดิม” ผมย้อนถาม มองหน้าของเขาแล้วเหมือนหัวใจจะพังจริงๆ ความรู้สึกบางอย่างมันจุกอยุ่ในอกจนจะล้นทะลัก อยากต่อว่าพี่พลอย่างไร้สาเหตุ อยากจะบอกให้เขาไปไกลๆ “ไม่เห็นต้องมาทำแบบนี้เลยอะ”

“ทำแบบไหน”

“ก็ทำดีด้วยไง”

“แล้วจะให้พี่ทำยังไง จะไม่ให้คุยกับเราเหรอ พี่ทำไม่ได้หรอก”

เท่านั้นล่ะผมตาพร่ามัวเลย น้ำตามันเอ่อออกมาแต่ไม่ได้ไหลออกซะทีเดียว

“ถ้าเราจะไม่คุยกันเพราะตอนนี้พี่ไม่ได้ชอบนายมากกว่าพี่น้อง พี่ทำไม่ได้”

“นายไม่อยากคุยกับพี่พลแล้วอะ”

“……..”

“นายไม่ได้คิดแค่พี่น้องป่าววะ ก็บอกไปแล้วว่าชอบแบบไหน จะให้กลับมาคุยเหมือนเดิมได้ยังไง”

“นาย…” เขายกมือขึ้นมาลูบศีรษะของผม วินาทีนั้นน้ำตาแทบจะหยดออกมาแต่ผมกล้ำกลืนมันไว้ “พี่ไม่เคยปฏิเสธเรานะ”

แม่ง ไม่ได้ปฏิเสธแต่บอกว่าเป็นพี่น้องมันก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ผมอยากบอกแบบนั้นไปแต่ก็เลือกที่จะเงียบเหมือนเดิม

“ออกไปเล่นน้ำเถอะ มาเที่ยวทั้งทีอย่าอยู่แต่ในห้องเลย” เขาทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกไป

ผมลุกขึ้นเดินไปใส่แผ่นหนังลงเครื่องเล่นแล้วกลับมานั่งที่เตียง ในเวลานี้ผมไม่ออกไปเล่นน้ำแน่นอนรู้สึกหงุดหงิดเกินกว่าจะไปเจอหน้าใคร ผมนอนดูหนังเพื่อที่สมองจะไม่ได้วกกลับมาคิดเรื่องของพี่พล คิดแค่ว่าต่อจากนี้ไปคงจะไม่คุยกับเขาอีก เหมือนแบบถามคำตอบคำ ถ้าทำแบบนั้นพี่พลคงจะหน่ายแล้วก็หายไปจากชีวิต อย่างที่เคยบอกพี่พลเองก็มีเรื่องราวในชีวิตของเขาเอง ทั้งฝึกงานทั้งโปรเจคจบแค่นั้นชีวิตของนักศึกษาก็น่าจะวุ่นวายอยู่แล้วเดี๋ยวเขาก็ลืมผมเหมือนที่ผมพยายามลืมเขา คิดได้อย่างนั้นผมก็ดูหนังไม่รู้เรื่องอีกเลยเพราะน้ำตามันเอ่อล้นออกมาจนต้านทานไม่ไหว




************************************



ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนที่เก้า (10-Oct-18)
«ตอบ #13 เมื่อ10-10-2018 14:12:18 »

ตอนที่เก้า





เมื่อคืนผมคงจะดูหนังแล้วหลับไปตื่นมาตอนเช้าเห็นพี่พลนอนอยู่ข้างๆ ผมมองใบหน้าของเขาด้วยสมองที่ว่างเปล่าก่อนจะพลิกตัวหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วเดินออกไปจากห้อง โชคดีที่ไอ้ชาวแก๊งส์ตื่นกันแล้ว พอเดินเข้าไปในครัวก็เห็นไอ้บอมกำลังโชว์สกิลทำอาหารอยู่ มันไล่ให้ผมออกไปรอมื้อเช้าในห้องนั่งเล่นเพราะไอ้นุ่นกับไอ้เฟริสท์ก็ดูจะเป็นลูกมือที่น่าปวดหัวพออยู่แล้ว ผมนั่งลงบนโซฟาเปิดโทรทัศน์ดูการ์ตูนไปเรื่อยเปื่อย

“โห ไม่อยากจะเชื่อไอ้นายตื่นแล้ว” เสียงของไอ้หนึ่งดังขึ้นทันทีที่มันเดินเข้ามาในตัวบ้าน

“ไปไหนมาวะ” ผมถามพลางมองไอ้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา

“ถ่ายรูปแถวนี้แหละ” ไอ้หนึ่งนั่งลงด้านข้างคว้ารีโมตเปลี่ยนช่อง “พี่พลตื่นยัง”

“ยัง”

“มึงกับเขานี่ยังไงกันวะ”

ผมนิ่ง รู้สึกอื้ออึงที่อยู่ๆก็โดนถามตรงๆแบบนี้แต่เช้า เหมือนสมองประมวลผลไม่ทันสักเท่าไหร่ก็เลยเลือกที่จะเงียบ

“ว่าไง” มันเร่งเร้าให้ผมตอบ

“มึงรู้อะไรมา” ผมย้อนถามแทน

“มึงชอบพี่เขาไม่ใช่เหรอ”

เป็นอีกครั้งที่เงียบแทนคำตอบ

“พวกกูก็พอจะรู้ๆแหละ”

ประโยคจากไอ้หนึ่งทำให้ผมต้องหันไปมองหน้ามันเต็มตา “พี่พลเล่าให้ฟังเหรอ”

“เปล่า เขาไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย แต่หลายๆอย่างมันก็… เห็นๆกันอยู่”

ผมเอนตัวพิงหัวบนขอบโซฟา รู้สึกมวนท้องขึ้นมา ผมเงียบไม่รู้จะตอบอะไร ที่จริงก็ไมได้ตั้งใจจะเก็บมันเป็นความลับอะไรเลย ผมไม่มีความลับอะไรกับชาวแก๊งส์อยู่แล้ว แค่ตอนนี้รู้สึกตกใจเล็กน้อยที่พวกมันรู้กันหมด

“เขาว่ายังไงมั่งอะ” ไอ้หนึ่งถาม

“ก็… พี่น้อง” ผมตอบไปตามความจริง

ไอ้หนึ่งไม่ได้ตอบอะไรนอกจากนั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเพื่อนผมจนไอ้นุ่นยกอาหารมื้อเช้าออกมามันถึงได้ลุกขึ้นเดินออกไป









พวกเรานั่งทานมื้อเช้ากันอย่างเอร็ดอร่อย แม้จะเป็นอาหารมื้อเช้าง่ายๆแต่ฝีมือของไอ้บอมก็ถูกปากพวกเรามาหจนทานกันหมดเกลี้ยงไม่เหลือซาก ผมอาสาล้างจานชาวแก๊งส์ส่วนที่เหลือจึงเกลือกกลิ้งเรื่อยเปื่อยอยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกเพราะพี่พลดันเข้ามายืนอยู่ข้างๆและมองผมที่กำลังล้างจานใบสุดท้ายอยู่

“เราจะเป็นแบบนี้อีกนานมั้ย” น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวกว่าปกติ

“ก็บอกแล้วไงว่าคุยเหมือนเดิมไม่ได้” ผมตอบพลางเช็ดมือกับผ้าขนหนู พอจะเดินหนีออกไปเขาก็จับข้อมือผมไว้

“ทำไมเป็นแบบนี้วะนาย” เขาเอ่ยน้ำเสียงดูเหมือนจะอ่อนลงเล็กน้อย

ท่าทีรู้สึกผิดของเขามันทำให้ผมจุกอยู่ในอก เหมือนกับว่าผมสามารถร้องไห้เพราะเขาได้ทุกเวลาแม้แต่เวลานี้ ผมไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายน้ำตาไหลพร่างพรู มันก็แค่ไหลออกมาเร็วเกินกว่าที่ผมจะกล้ำกลืนไว้ได้ พี่พลขยับตัวเข้ามาใกล้โอบกอดผมไว้ในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวล น้ำตาของผมไหลไม่หยุดราวกับแทนความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีให้กับเขา ผมไม่ได้สะอึกสะอื้น ไม่ได้ฟูมฟาย แค่ร้องไห้อย่างเงียบๆอยู่อย่างนั้น

“พี่พล..”

“อืม”

ผมเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะผละตัวออกมา “ชอบนายมากกว่าพี่น้องไม่ได้เหรอ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ยังไม่ทันที่พี่พลจะได้พูดอะไรไอ้หนึ่งก็ดันโผล่เข้ามาอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ผมสบโอกาสเดินหนีออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอีกครั้ง



ผมรู้ว่าพูดอะไรออกไป แต่ไม่รู้ว่าพูดแบบนั้นออกไปเพื่อคาดหวังอะไรจากคำตอบที่จะได้ฟัง

















ในช่วงก่อนเที่ยงเราเดินทางออกจากบ้านพักเพื่อแวะเที่ยวอีกสถานที่หนึ่ง รอบนี้ผมเปลี่ยนมานั่งข้างหน้ากับหนึ่ง เพราะคงทนไม่ไหวหากต้องนั่งกับพี่พลที่เบาะหลังอีก เสียงชาวแก๊งส์คุยกันเจี้ยวจ้าวเหมือนเดิมมีแต่ผมที่เงียบมาตลอดทาง จนมาถึงสถานที่ที่เป็นเป้าหมายเราก็เดินรั้งท้ายเหมือนเดิม พวกชาวแก๊งส์เดินไปถ่ายรูปตามมุมต่างๆผมได้แต่เดินตาม พี่พลเองก็ไม่ได้มีท่าทางที่จะเข้ามาชวนคุย ซึ่งผมก็คิดว่ามันควรเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว

ผมแวะถ่ายรูปอาคารสวยในบริเวณนั้นอยู่กับบอมก่อนที่มันจะรบเร้าให้ผมไปยืนถ่ายรูปบ้าง ผมบอกปฏิเสธไปแต่มันก็เร้าหรืออีกจนผมต้องไปยืนอยู่ในจุดที่มันบอก

“อะไรของมึงวะ มาแล้วก็ไม่ถ่ายรูป”

“ถ้ากูเข้าห้องน้ำกูต้องถ่ายรูปด้วยมั้ย ไหนๆก็มาทั้งทีแล้ว” ผมย้อนมันกลับ

“เอาน่าๆ” หลังจากนั้นมันก็นับถอยหลังเพื่อให้เวลาผมในการเตรียมโพสท่า

ผมไม่ได้ยิ้ม ทำหน้าเฉยๆและยืนตัวทื่อๆประหนึ่งถ่ายรูปบัตรประชาชน ผมว่ามันเท่จะตายไปเหมือนนายแบบไง แต่พอเริ่มถ่ายภาพมากขึ้นผมก็เริ่มทำหน้าประหลาด แลบลิ้นปลิ้นตาอะไรไปตามประสาคนไม่เน้นหล่อ ตอนนี้เหมือนอารมณ์จะดีขึ้นมาหน่อยแต่แล้วก็ต้องนิ่งไปเมื่อเห็นพี่พลเดินเข้ามายืนอยู่กับไอ้บอม

“อ้าว พี่ ไปถ่ายรูปกับไอ้นายดิ”

บอมไล่ให้พี่พลเข้าร่วมถ่ายภาพเล่นเอาหัวใจของผมหวิวอย่างแปลกๆอีกรอบ ยิ่งในตอนที่พี่พลเดินเข้ามาเหมือนหัวใจจะระเบิดยังไงอย่างงั้น พี่พลยังคงไว้ซึ่งใบหน้าสะอาดสะอ้านเหมือนทุกครั้งที่เห็น พอเขามายืนข้างๆก็ถอดแว่นกันแดดออกมองผมด้วยสายตาที่ยากเกินกว่าคาดเดาว่ารู้สึกอย่างไร ผมไม่อยากทำตัวผิดสังเกตไปมากกว่านี้แม้ว่าในใจจะอยากเดินหนีออกไปก็ตาม ตอนนี้จึงได้แต่ยืนบื้อๆให้เขาโอบไหล่เพื่อถ่ายรูป ไอ้บอมบอกให้เราเปลี่ยนท่าบ้างผมนึกไม่ออกว่าจะทำท่าอะไรก็ได้แต่ยืนเหมือนเดิม ไม่นานนักไอ้พวกชาวแก๊งส์ก็เดินเข้ามาสมทบเพื่อถ่ายรูป รู้สึกวุ่นวายเล็กน้อยในตอนที่เซลฟี่รูปหมู่กัน สุดท้ายก็เป็นไอ้บอมที่เป็นคนถือโทรศัพท์มือถือเพื่อกดถ่ายภาพ

ด้านหน้าสุดเป็นไอ้บอมกับไอ้หนึ่ง สาวๆอยู่ส่วนกลางๆของเฟรมเพื่อไม่ให้หน้าบาน พี่พลกอดคอผมไว้อยู่ในส่วนด้านข้างค่อนไปทางด้านหลังเล็กน้อยเพื่อให้ไม่หลุดเฟรม เราถ่ายรูปกันไปหลายท่าทาง หน้าทะเล้น หน้าสวยหล่อ หน้าประหลาดรวมไปถึงหน้านิ่ง หลังจากนั้นพวกมันก็ย้ายสถานที่ไปถ่ายมุมอื่น ผมตั้งใจที่จะตามพวกมันไปแต่ดูเหมือนพี่พลจะยังคงกอดคอผมไว้เหมือนเป็นการบ่งบอกว่าไม่ให้ไป

“นายจะไปถ่ายรูปกับเพื่อน”

“อยู่ด้วยกันก่อนดิ”

ผมบอกตามตรงว่าหวั่นใจ กลัวว่าเขาจะวกเข้ามาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรามาก แต่ก็ไม่อยากตีโพยตีพายอะไรจึงได้แต่เดินช้าๆตามหลังไอ้พวกชาวแก๊งส์

“ถ่ายรูปกัน” เขาเอ่ยแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่มีเลนส์เสริมออกมาเปิดโหมดกล้องถ่ายรูป

ผมมองไปยังหน้าจอที่แสดงภาพของพวกเรา พี่พลในเสื้อเชิ้ตสไตล์ฮาวายกับกางเกงยีนส์สีขาวสี่ส่วน ทรงผมย้อนยุคที่เซ็ตมาอย่างดี เขายืนคู่กับผมในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ขาดๆสีซีดผมเผ้าก็ไม่ได้เซ็ตอะไรแถมหน้าตาก็มึนๆอึนๆ พี่พลยิ้มนิดๆเหมือนยกมุมปากแบบคนขี้เก๊ก แต่เขากลับดูดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ผมเลิกคิ้วสูงข้างหนึ่งทำหน้าตาแบบกำลังสงสัยจากนั้นพี่พลก็กดถ่ายรูปไปหลายช็อตจนเปลี่ยนหน้าแทบไม่ทัน จนรูปสุดท้ายผมนึกหน้าอะไรไม่ออกก็เลยทำหน้านิ่งๆรอให้พี่พลกดถ่ายรูปแต่เขาก็ไม่กดสักที พี่พลดึงเลนส์เสริมออกขยับตัวเข้ามาใกล้ซ้อนอยู่ด้านหลัง เขาโน้มตัวลงมาทำให้ใบหน้าของเขาแทบจะเกยอยู่บนไหล่ของผม

“ยิ้มหน่อย” น้ำเสียงแผ่วเบาที่แสนจะนุ่มนวลของเขาพรากหัวใจของผมไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ผมมองไปยังจอภาพที่แสดงให้เห็นว่าใบหน้าของเราใกล้กันมากแค่ไหน สายลมพัดผ่าน ใบไม้ไหวปลิวไปตามแรงลมยังผลให้แสงแดดเล็ดลอดสาดส่องเข้ามา หัวใจของผมในตอนนี้หวั่นไหวเหลือเกิน มันตื่นเต้น มันปวดหนึบ ผสมปนเปจนมวนท้อง

พี่พลกดถ่ายรูปของเราไปแค่รูปเดียวหากแต่ยังคงไม่ขยับเปลี่ยนท่า เขาละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือเพื่อมองหน้าผมก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทรมานหัวใจออกมา

“กลับมาคุยกันเหมือนเดิมได้ป่าว”

ผมมองเขาอยู่พักหนึ่งก่อนจะผละตัวออกมา “นายไปถ่ายรูปกับเพื่อนก่อนนะ”

หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย…




************************************



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2018 19:54:03 โดย PromQueen29 »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: - Affection - ตอนที่เก้า (10-Oct-18)
«ตอบ #14 เมื่อ10-10-2018 19:10:56 »

ไม่เข้าใจพี่พลเลยนะ ไม่ชอบแต่มีความสัมพันธ์ด้วย  งง

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: - Affection - ตอนที่เก้า (10-Oct-18)
«ตอบ #15 เมื่อ11-10-2018 09:40:01 »

ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
Re: - Affection - ตอนที่เก้า (10-Oct-18)
«ตอบ #16 เมื่อ12-10-2018 01:40:34 »

เชียร์บุญได้ม้ายยยยย

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
«ตอบ #17 เมื่อ13-10-2018 19:55:02 »

ตอนที่สิบ



และแล้ววันงานบายเนียร์ก็มาถึง…

ช่วงเวลาประมาณหกโมงเกือบทุ่มนึงผมกำลังนั่งรอพวกสาวๆแต่งหน้าทำผมที่บ้านของหนูนุ่น เรากำหนดเวลาออกไปโรงแรมประมาณทุ่มนึงนั่นแหละ แต่ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคงสายเหมือนเดิม ผมอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีขาวมีสายคาด ถอดเสื้อสูทพาดไว้บนพนักพิงเก้าอี้ และนั่งมองสาวๆที่กำลังใกล้จะทำผมเสร็จด้วยความง่วง มีใครไม่ง่วงบ้างล่ะเวลาต้องรอใครนานๆ ความรู้สึกเหมือนอยากจะนอน ไม่พร้อมสำหรับงานในค่ำคืนนี้สักเท่าไหร่ ส่วนชาวแก๊งส์ที่เหลือครองเกม สลับกันเล่นเกมฟุตบอลอะไรสักอย่างและส่งเสียงโวยวายเช่นเคย

“เสร็จแล้ว”

ราวกับเสียงสวรรค์เมื่อไอ้เฟริสท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกระดี๊กระด๊าและเผยโฉมออกมาในชุดสีขาวมุกระยิบระยับ ส่วนหนูนุ่นเป็นชุดสีเงินระยิบระยับเช่นกัน เสียงโห่ร้องแซวหวีดหวิวผิวปากเกิดขึ้นทันทีแต่ดูเหมือนสาวๆจะไม่สะทกสะท้านกับพวกเราเท่าไหร่เลย

“สวยมากพวกมึง” ผมเอ่ยชม ยักคิ้วหลิ่วตาหยอกล้อเรียกเสียงหัวเราะพอเป็นพิธี

พวกเราออกจากบ้านของไอ้นุ่นประมาณทุ่มครึ่ง สภาพในรถเจี้ยวจ้าวและนั่งกันอัดแน่น พวกเราให้สาวๆนั่งหน้าทั้งสองคนโดยมีไอ้เฟริสท์ขับรถ ส่วนหนุ่มๆนั่งเบียดอยู่ข้างหลัง การจราจรในกรุงเทพเลวเสมอต้นเสมอปลาย ประมาณสองทุ่มกว่าๆเราก็ถึงโรงแรมทั้งที่บ้านไอ้นุ่นอยู่ใกล้โรงแรมจนแทบจะเดินได้ แต่เพราะว่าคืนนี้เราจะต้องไปเที่ยวกันต่อจึงจำต้องขับรถมา พอจอดรถเสร็จผมแยกตัวออกมาดูดบุหรี่อยู่ในหลืบลานจอดรถปล่อยให้พวกชาวแก๊งส์เข้าไปในงานก่อน ผมไม่ตื่นเต้นอะไรกับการมางานพวกนี้หรอก ที่ตั้งตารอน่าจะเป็นเรื่องการไปเที่ยวต่อเสียมากกว่า

‘อยู่ไหน’

‘ถึงหรือยัง’

‘อยู่ในลานจอดรถแล้ว’

ผมส่งข้อความหาบุญและเปิดหน้าจอรอให้อีกฝ่ายตอบอย่างใจจดใจจ่อ ผมนัดให้บุญมางานนี้ด้วยเหตุผลง่ายๆสั้นๆอย่าง “อยากให้มาด้วย” ส่วนบุญก็ว่าง่ายดีเหลือเกินเขายอมมากับผมอย่างไร้ข้อแม้ ไม่มีการถามเซ้าซี้ใดๆทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่าบุญไม่ตอบข้อความ ผมจึงปิดหน้าจอและยืนสูบบุหรี่ไปเรื่อยๆอย่างใจเย็นท่ามกลางสายลมเอื่อยๆในยามค่ำคืน

ความจริงแล้วผมอยากให้เขามาเพื่อเป็นข้ออ้าง ผมจะคืนของให้พี่พลไอ้แผ่นไวนิลที่ทำให้ผมหวั่นไหวนั่นแหละ ผมไม่คิดว่าคืนนี้ผมจะอยากอยู่คนเดียวหลังจากเจอพี่พล ถึงจะมีชาวแก๊งส์อยู่แต่มันก็ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผมมีความลับกับชาวแก๊งส์หรอกนะ แต่เรื่องบางเรื่องมันต้องเป็นคนๆนี้เท่านั้น

ขณะที่ก้มหน้าก้มตามองพื้นมองรองเท้าไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายจากคนกลุ่มหนึ่ง ผมจึงหันกลับไปมอง เท่านั้นแหละผมจำต้องรีบหันหน้าหนีไปทางอื่น พี่พลกับกลุ่มเพื่อนของเขากำลังทยอยลงมาจากรถยนต์คันหนึ่งที่เพิ่งจอดอยู่ใกล้ๆประตูทางเข้าโรงแรม พี่พลยังคงเหมือนเดิมเขาไม่ได้หล่อกว่าเพื่อน ไม่ได้ดูโดดเด่นเหมือนคนดัง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือพี่พลยังคงเป็นคนแต่งตัวเนี้ยบ สะอาดสะอ้าน และมีทรงผมเสยเปิดหน้าอันเป็นเอกลักษณ์นั่น การได้เห็นเขาครั้งนี้มันทำให้ผมรู้ตัวว่าผมยังรู้สึกแบบไหนต่อเขาอยู่ ผมชอบพี่พลเหมือนเคยแต่มันไม่ง่ายเลยที่จะเอ่ยปากคุยกับพี่พลได้อย่างสนิทใจหลังจากรู้ความในใจของเขาแล้ว ผมไม่รู้ว่าควรวางสีหน้าทำท่าทางแบบไหนถึงจะคุยกับพี่พลได้เหมือนก่อน มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ความคิดของผมเวลานี้ค่อนข้างฟุ้งซ่านแต่ราวกับสวรรค์เมตตาเมื่อกลุ่มของพี่พลเดินเข้าไปในโรงแรมและบุญก็โผล่ตัวออกมาจากที่ไหนสักที่อย่างน่าอัศจรรย์

“โทษที รถแม่งติดมาก”

ผมพยักหน้ารับไม่ได้คิดมากอะไรเรื่องนี้อยู่แล้ว “เอาบุหรี่ป้ะ” ความจริงแค่อยากยื้อเวลาให้นานขึ้นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปบังเอิญเจอพี่พลในงาน

“ไม่อะ”

และบุญก็ทำให้ผมจำต้องยอมรับความจริง ผมสงบสติ ทิ้งบุหรี่ไว้ในที่ที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้พร้อมๆกับทิ้งอารมณ์ฟุ้งซ่านเหล่านั้นก่อนจะเดินเข้าร่วมงาน ตอนเข้าไปในงานพร้อมกับบุญนั้นบนเวทีกำลังมีกิจกรรมสนุกๆเราจึงไม่ได้เป็นจุดสนใจเว้นเสียแต่สายตาสงสัยใคร่รู้จากชาวแก๊งส์ที่เก็บไว้ไม่มิดก็เท่านั้น

“นี่พวกมึงจำบุญไม่ได้เหรอ ทำไมทำหน้ากันแบบนั้นวะ”

“จำได้สิโว้ย” ไอ้หนึ่งตะเบ็งเสียงแข็งกับเสียงโห่ร้องบนเวที “เอ้อออ มาๆ มานั่งเลยบุญ”

ชาวแก๊งส์ส่งเสียงทักทายบุญแบบแปลกๆ ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเช่นกัน ท่าทางของชาวแก๊งส์มันดูพิลึกยังไงบอกไม่ถูก แต่ผมก็ปัดความสงสัยเหล่านั้นออกไปเมื่อสายตาพลันเหลือบไปเห็นอาหารที่ถูกจัดวางเรียงรายอยู่รอบห้อง ผมชวนบุญไปเดินตักอาหาร รู้สึกได้ถึงสายตาของชาวแก๊งส์ที่มองตามจึงหันกลับไปมอง พวกมันหน้าเหวอแล้วทำทีเป็นคุยเรื่องอื่น

“เราทำอะไรผิดรึเปล่า” บุญกระซิบถามขณะที่ตักไส้กรอกลูกวัวลงจาน “หรือเราไม่ควรมางานนี้วะ”

“ไม่เกี่ยวเว่ย งานนี้จะพาใครมาก็ได้ถ้าจ่ายเงินค่าเข้างาน” ผมตอบเพื่อให้บุญมีความมั่นใจทั้งที่ความจริงผมเองก็แทบจะหมดความมั่นใจเมื่อถูกชาวแก๊งส์มองแบบนั้นเหมือนกัน “เรารีบกินแล้วหนีขึ้นไปข้างบนมั้ย”

“อ้าว จะไม่น่าเกลียดเหรอวะนายเป็นคนจัดงานนะ”

ผมยิ้มเจื่อนก่อนจะจ้วงไส้กรอกเข้าปาก อาหารคุณภาพดีที่ผมได้เลือกมาค่อนข้างจะทำให้ผมไม่สนใจเรื่องอื่นมากนัก “เอาน่า กินๆเข้าไปเถอะแล้วเดี๋ยวพาไปข้างบน”

“นาย” บุญเอ่ยเรียกผมหลังจากที่เราทานอาหารกันเงียบๆไปได้สักพัก

“ว่า” ผมเงยหน้าขึ้นมองสบตากับบุญ ทว่าสายตาของเขากลับมองเลยไปด้านหลังทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง เป็นพี่พลที่กำลังเดินเข้ามาทางที่พวกผมยืนอยู่ “ชิ้บหายละ” ผมสบถและรีบวางจานไว้บนโต๊ะก่อนจะคว้าแขนบุญให้เดินตาม บุญส่งเสียงเตือนบอกให้ผมเดินระวังแต่ดูเหมือนชั่วขณะนั้นหูของผมดับ และคิดออกเพียงอย่างเดียวว่ายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าพี่พลเลยสักนิด

ผมพาบุญขึ้นมาบนชั้นบนสุดของโรงแรม มันเป็นเล้าจน์ที่จองไว้สำหรับการดื่มต่อหลังจากงานด้านล่างเสร็จสิ้น ตอนนี้ในห้องทรงกลมจึงมีเพียงแค่บาเทนเดอร์ที่ยืนอยู่ตรงบาร์ ผมเดินหลบเข้ามานั่งอยู่ในส่วนที่ค่อนข้างลับตาส่วนบุญก็เดินตามมานั่งพร้อมกับแก้วช็อตและขวดวอดก้า

“อะ ดื่มซะหน่อย” เขาบอกแล้วเทวอดก้าลงในแก้วช็อตแบบเพียวๆไม่ผสมอะไรเลย

“มันแรงไปป่าววะ ไม่ผสมอะไรหน่อยเหรอ”

บุญยักคิ้วกวนอารมณ์ก่อนจะบอททอมอัพนำผมไปหนึ่งแก้ว “วิ่งหนีเหมือนเห็นผีเลยนะ”

ผมมองหน้าบุญนิ่งๆไม่ได้ตอบโต้อะไร ทั้งที่ในใจยังระส่ำระส่ายกับการเห็นพี่พลเมื่อครู่

“แล้วนี่จะลงไปเมื่อไหร่”

“ไม่ลงแล้ว ไม่อยากเจอพี่พล”

“นาย”

“อือ”

“ทำให้มันจบๆไปเถอะ”

สิ้นประโยคนั้นผมก็กระดกวอดก้าเพียวๆไปหนึ่งแก้ว จะว่าไปบุญก็พูดถูกผมควรทำเรื่องนี้ให้จบๆไปเสียที ผมยิ้มเจื่อนๆอีกครั้งแล้วหยิบวอดก้ามาเทใส่แก้ว เสียงเพลงแจ๊สที่เปิดคลอเบาๆนั้นทำให้ทัศนีย์ภาพของกรุงเทพยามค่ำคืนสวยขึ้นกว่าเดิม เรานั่งดื่มวอดก้าแล้วพูดคุยกับเรื่องคอนเสิร์ตของนักร้องคนหนึ่งที่กำลังจะมีทัวร์ วอดก้าทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อรวมถึงการได้อยู่กับบุญก็ทำให้ชีวิตของผมเหมือนได้พบอุโมงค์ที่มีแสงสว่างส่องถึงเสมอ ผมโชคดีแค่ไหนที่บุญอยู่ตรงนี้ ถึงบางอย่างเขาจะไม่เข้าใจว่าผมกำลังคิดหรือรู้สึกอะไรแต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยตัดสินผมจากสิ่งฉาบฉวยที่เห็นนี่เลย เขาอยู่เคียงข้างผมเสมอไม่ว่าจะตอนหัวเราะหรือร้องไห้ บุญยังอยู่ในที่ที่ผมมองเห็นเสมอ

ผมมองบุญที่กำลังวางแผนคร่าวๆว่าจะวางแผนกับการไปดูคอนเสิร์ตนักร้องคนนี้ที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไร แต่ดูเหมือนวอดก้าจะทำให้ผมเริ่มตึงๆฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง

“นาย เมาแล้วเหรอวะ” บุญพูดพลางเขยิบเข้ามามองผมใกล้ๆ

“นิดหน่อย อยากไปเที่ยวต่อแล้วเนี่ย กำลังได้ที่” ช่วงเวลานั้นเองที่ผมได้ยินเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ที่แสนคุ้นหู เป็นชาวแก๊งส์ที่กำลังเดินเข้ามายืนล้อมมองผมแล้วหัวเราะกันอย่างสนุกสนานก่อนจะแยกย้ายออกไปหาเครื่องดื่มที่บาร์

“บุญมอมเพื่อนเราเหรอวะ” เสียงของไอ้หนึ่งถามแล้วหัวเราะชอบใจ “ไอ้นายแม่งกากชิ้บหาย ยังไม่ถึงร้านแม่งอ้อแอ้แล้ว”

“เออน่า ข้างล่างเสร็จยัง อยากไปเที่ยวต่อแล้ว”

“แหม อินาย หนีงานข้างล่างขึ้นมาแล้วยังจะคิดแต่เที่ยว” คราวนี้เป็นเสียงของไอ้เฟริสท์ “ข้างล่างงานเสร็จแล้ว เดี๋ยวพวกรุ่นพี่จะขึ้นมาดื่มที่นี่ต่อพวกกูเลยมาตามมึงเนี่ย”

ผมผุดลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีเริงร่า แน่นอนนี่คือช่วงเวลาที่ผมรอคอยผมไม่สนใจงานบายเนียร์อะไรนั่นมากเท่ากับการได้ไปเที่ยวต่อหรอก “กูเอาบุญไปด้วยนะ”

“เออ ไปดิ” ไอ้เฟริสท์ตอบแล้วคว้าแก้วช็อทของผมดื่มก่อนจะเดินนำออกไปสะกิดชาวแก๊งส์ที่กระจายตัวอยู่ตรงบาร์เครื่องดื่ม “ไปเถอะพวกมึง ไปดื่มที่นู่นเลย”

เมื่อชาวแก๊งส์รวมตัวกันก็ค่อนข้างวุ่นวายอยู่สักหน่อยเพราะเจ้าพวกนี้เห็นเครื่องดื่มไม่ได้ มีอันต้องขอลองสักแก้วสองแก้ว ค่ำคืนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะร่วงก่อน เราเดินมายืนรอลิฟต์และพูดคุยเสียงดังกันตามปกติ บุญที่เคยตัวติดกับผมกับกลายไปคุยกับหนูนุ่นเรื่องซีรี่ส์ Westworld อย่างออกรสออกชาติ ไอ้เฟริสท์กับไอ้หนึ่งเถียงกันเรื่องว่าจะไปเที่ยวต่อที่ร้านไหน ไอ้บอมถ่ายรูปให้ผมที่โพสท่าอยู่กับลิฟต์แบบเท่ๆ แต่แล้วอยู่ๆประตูลิฟต์ก็เปิดออกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมเสียหลักถอยเข้าไปในลิฟต์ ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ผมไม่ได้ล้มลงไปจ้ำเบ้ากับพื้นเพราะมีคนรับตัวผมไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

“ขอโทษครับ พอดีผมไม่ทันระวัง” ผมหันไปบอกกับอีกฝ่ายที่รับตัวผมไว้ไม่ให้ล้มลง แต่พอเห็นหน้าของเขาเท่านั้นแหละทุกอย่างก็ดูเหมือนจะหูดับและอื้ออึงไปหมด

“อ้าว พี่พลขึ้นมาดื่มเหรอพี่” ไอ้บอมเอ่ยเสียงร่าเริงขณะที่ผมรีบกุลีกุจอเด้งตัวออกมาให้ห่างจากพี่พล

กลิ่นน้ำหอมของเขาติดอยู่ที่ปลายจมูกของผมอย่างไร้สาเหตุ

“กูจะมาหาพวกมึงนี่แหละ จะออกไปไหนกันต่อล่ะ กูไปด้วย”

“เออไปดิพี่ เข้าลิฟต์เลยๆ” ไอ้บอมกล่าวแล้วเอาตัวขวางประตูลิฟต์ไว้ให้ชาวแก๊งส์คนอื่นเดินเข้าไปก่อน ผมถูกดันให้เข้าไปยืนอยู่ด้านหลังสุดเนื่องจากตัวคาอยู่หน้าประตู ตามต่อด้วยคนอื่นๆและในที่สุดลิฟต์ก็ปิดประตูลง ช่วงเวลาที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนที่ลงอยู่นั้นผมรู้สึกได้ถึงสายตาของพี่พลที่ลอบมองมาจากด้านหน้า อันที่จริงเขามองมาที่ผมแบบโจ่งแจ้งเพราะยืนประชันหน้ากัน ผมมองเขากลับก่อนจะเมินหน้าหนีไปอีกทางเมื่อพี่พลส่งยิ้มน้อยๆให้ หัวใจของผมเต้นถี่แรงจนผมสามารถรับรู้ได้อีกครั้งอย่างแน่ชัดว่าผมยังชอบพี่พลอยู่มากแค่ไหน

สุดท้ายแล้วเพราะบารมีของพี่พลทำให้เราได้โต๊ะในร้านเดโม่ โต๊ะที่เราได้อาจจะอยู่ในจุดพลุกพล่านอยู่สักหน่อยแต่การได้โต๊ะในเวลาห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืนนี่ก็นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ในคืนวันเสาร์แล้วล่ะ ขณะที่ชาวแก๊งส์กำลังชุลมุนสั่งเครื่องดื่มกันนั้นผมรู้สึกได้ถึงสายตาของพี่พลที่มองมา ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเพราะอะไรผมถึงละสายตาไปจากพี่พลไม่ได้ และอาจจะเพราะแสงเลเซอร์ที่เปิดวิบวับอยู่ในร้านทำให้ผมตาพร่ามัว เสียงของผู้คนอื้ออึงจนฟังไม่รู้เรื่อง บ้าชะมัด

“นายจะเอาอะไรเพิ่มมั้ย”

เสียงนั่นทะลุเข้าหูซ้ายผ่านออกหูขวาไป ผมได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง

“นาย”

เสียงนั่นเรียกผมอีกครั้งพร้อมกับสัมผัสที่แขน ดึงรั้งให้ผมหลุดจากภวังค์ ผมหันไปมองเจ้าของเสียง เป็นบุญที่กำลังอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง

“สั่งแบล็คกับวอดก้าไปแล้ว จะเอาอะไรเพิ่มมั้ย” บุญถามย้ำอีกครั้ง

“เอาแจ็คโค้กขวดนึงแล้วกัน” ผมตอบอยู่ที่ข้างหูของบุญก่อนจะหันไปมองพี่พลอีกครั้ง และพบว่าเขาก็ยังมองผมอยู่เช่นเดิม

“บุญ ออกไปดูดบุหรี่กัน” เสียงของไอ้หนึ่งกระชากสติของผมให้ตัดขาดจากพี่พล บุญเออออไปตามคำชวนชนิดที่ทำให้ผมร้อนรน ชาวแก๊งส์เดินตามกันออกไปเป็นขบวนรถไฟ แล้วผมจะอยู่นิ่งทำไมล่ะในเมื่อผมไม่อยากอยู่กับพี่พลสองคน แต่ทันทีที่ขยับตัวก็ดูเหมือนทุกอย่างจะช้าไปหมด การที่ผมจะทิ้งพี่พลให้ยืนเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียวก็ดูจะเป็นเรื่องไร้มารยาทไปสักหน่อย และดูจากสายตาของไอ้หนึ่งที่มองมาผมรู้ทันทีว่าพวกมันตั้งใจให้เป็นแบบนี้

เครื่องดื่มที่สั่งไปมาเสิร์ฟแล้ว ผมเลือกดื่มแจ็คโค้กจากขวดแบบง่ายๆส่วนพี่พลเล่นแบล็คแบบเพียวๆ ผมคิดว่าคืนนี้ต้องมีคนอ้วกแน่ๆ เราต่างคนต่างเงียบบรรยากาศค่อนข้างประดักประเดิด ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไร เปิดเข้าแอปทวิตเตอร์ไถหน้าไทม์ไลน์ไปมาอยู่สักพักจนไม่มีอะไรให้อ่าน แจ็คโค้กหมดขวดไปอย่างรวดเร็วผสมกับก่อนหน้านี้ที่ดื่มวอดก้าตอนนี้ผมเริ่มตึงๆมึนหัวแล้วเหมือนกัน เสียงเพลงสากลแผ่วความเมามันลงเล็กน้อยเปลี่ยนเป็นจังหวะที่พอโยกไหวแบบสวยๆหล่อๆ พี่พลเองก็ดื่มหนักเขาล่อแบล็คแบบเพียวๆไปหลายแก้ว ผมคิดว่านี่มันใกล้จะถึงจุดที่ความประดักประเดิดมากขึ้นจนตีตื้นมารยาทแล้ว ผมอยากออกไปจากตรงนี้หรือบางทีอาจจะอยากกลับบ้านเลยด้วยซ้ำ

ผมเทวอดก้าใส่แก้วช็อทก่อนจะบอททอมอัพ ขณะนั้นเองที่พี่พลขยับตัวเข้ามาใกล้… ใกล้มากเกินไปจนผมต้องหลบสายตา

“จะคุยกับพี่ได้หรือยัง” เขาเอ่ยถามอยู่ข้างหูเพราะเสียงเพลงมันดังมาก แต่รู้อะไรมั้ยเพราะความใกล้แบบไม่ได้ตั้งใจนี้ทำให้ใจของผมมันเต้นแรงจนแทบจะบ้า

“ไม่รู้จะคุยอะไร” ผมตอบเลี่ยงๆ อยากจะขยับตัวออกห่างแต่โต๊ะข้างๆก็เต้นกันแรงจนทำให้ต้องยืนอยู่จุดเดิมและปล่อยให้พี่พลเบียดเข้าหาเรื่อยๆ

“ปิดเทอมเป็นไงมั่ง” พี่พลถามเสียงนุ่มๆตามแบบคนที่ดื่มเหล้าไปได้สักพัก

“ก็ไม่มีไร อยู่บ้าน นอน” ผมโกหกเพราะไม่อยากสนทนาด้วยไปมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนอาจจะเพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่มที่ทำให้สติลดทอนลง ไหล่ของพี่พลเบียดกับไหล่ของผม แขนของเขาแน่นตึงเพราะออกกำลังกาย ผมใจเต้นแรงคราวนี้ไม่ใช่เพราะประหม่าแต่เพราะผมนึกถึงคืนวันวานที่ผมกับเขามีอะไรกัน ให้มันได้อย่างนี้สิ เวลานี้ อารมณ์นี้ เมาระดับนี้ ผมบอกเลยว่าของขึ้นง่ายมาก

“เหรอ” พี่พลทวนถามด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อ

“ทำไม ได้ยินอะไรมา” ผมย้อนถาม

“ก็ถามเพื่อนเรา มันบอกว่าเราแทบจะไม่อยู่บ้านเลย”

เท่านั้นแหละผมรู้เลยว่าพี่พลคุยกับใคร ตลอดเวลาปิดเทอมผมสิงร่างอยู่กับบุญแทบจะไม่ได้ติดต่อใครอื่นเลยมีเพียงแค่ไอ้หนึ่งเท่านั้นแหละที่อยู่ๆก็โทรมาถามว่าผมอยู่ไหนจะชวนออกไปสังสรรค์กับชาวแก๊งส์ แต่ตอนนั้นผมอยู่กับบุญที่ทะเลใต้เลยเป็นอันจบไป “แล้วถามทำไมทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว”

“ก็อยากคุยด้วย” พี่พลตอบแล้วยิ้มมุมปากก่อนจะกระดกแบล็คเพียวที่เหลือก้นแก้วจนหมด “นาย…” เขาเรียกชื่อผมแล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้ “ไปค้างที่บ้านพี่มั้ย”

ผมรู้ว่าพี่พลหมายถึงอะไรและเชื่อสิถ้าผมเมามากกว่านี้ผมอาจจะตอบตกลง แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เมาขนาดนั้น “นายนัดบุญไว้แล้ว”

“ไม่เบื่อมั่งเหรอ”

“เบื่ออะไร”

“ที่อยู่แต่กับบุญ”

ผมเลิกคิ้วสูงด้วยความฉงน มันมีด้วยเหรอไอ้การเบื่อที่จะอยู่กับเพื่อน สำหรับผมการอยู่กับบุญนี่แหละคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความน่าเบื่อ ผมหยิบแก้วมายกดื่ม ทำหน้ามึนไม่ตอบคำถาม “นายเอาแผ่นไวนิลมาคืนให้นะ อยู่ที่รถ”

“เรารู้จักกับบุญมานานแล้วเหรอ”

อยู่ๆพี่พลก็ถามในสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะถาม มันเป็นเรื่องของผมที่ไม่อยากเล่าให้พี่พลฟังสักเท่าไหร่ “ถามทำไมอะ”

“อยากรู้”

ผมคิดว่าเวลานี้แก้วช็อทมันไม่สามารถตอบสนองการดื่มของผมได้อีกต่อไปผมจึงยกขวดวอดก้ามายกดื่มจากขวดแทน ผมคิดว่าพี่พลจะห้ามผมนะแต่ไม่เลย เขาหยิบขวดวอดก้าไปดื่มต่อ “นายจะออกไปดูดบุหรี่ เดี๋ยวมา” ผมบอกเขาและไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำอนุญาตด้วยหรอกนะ แต่พี่พลกลับดึงแขนผมไว้

“นายจะหนีหน้าพี่ทำไมวะ” พี่พลถามด้วยน้ำเสียงต่างไปจากเดิม เขาดูหงุดหงิดขึ้น ผมเบี่ยงตัวออกทำให้เขายอมปล่อยแขนและท่าทีแข็งกร้าวนั้นดูอ่อนลง จังหวะนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากด้านหลัง เป็นชาวแก๊งส์ที่เดินเข้ามาเป็นขบวนรถไฟและดูจากท่าทางที่เห็นผมว่ามันต้องไปทำอะไรสักอย่างกันมาแน่ๆ บุญส่งเสียงดังขณะที่เดินเข้ามากอดคอผม ตาของบุญดูเยิ้มๆและหัวเราะอารมณ์ดีอย่างไรสาเหตุ ผมว่าผมรู้แล้วแหละว่าไอ้ชาวแก๊งส์พาบุญไปทำอะไรมา นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับชาวแก๊งส์แต่มันก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนักกับการสูบใบหญ้าใบไม้อะไรทำนองนี้ ที่ผมค่อนข้างแปลกใจก็คือผมไม่รู้ว่ามาก่อนเลยว่า ว่าที่คุณหมอในอนาคตอย่างบุญจะร่วมวงไปกับไอ้เจ้าพวกชาวแก๊งส์ไปได้ขนาดนี้

“โอ้โห พวกมึงทำอะไรกับบุญกันเนี่ย”

ผมตะโกนถามแข่งกับเสียงเพลงเพื่อให้พวกมันได้ยิน สิ่งที่ได้รับกลับมาแม่งหัวเราะใส่ผมกันหน้าตาเฉยด้วยท่าทางมีความสุขกันมากกว่าปกติ โอเค ผมไม่ต้องการคำตอบก็ได้ พอชาวแก๊งส์กลับเข้ามาพวกมันก็เริ่มดื่มกันทันที และผมก็คิดว่าพวกมันดูจะคึกคะนองเริ่มดื่มกันแบบมั่วซั่วไปหมดแล้ว ไอ้บอมทำตัวเสี่ยมากด้วยการเปิดเหล้ารัมโชว์เมื่อหญิงที่มันคุยอยู่ด้วยมาหาที่ร้าน เพลงที่เคยให้จังหวะเพียงแค่โยกไหวเริ่มมีจังหวะเร็วขึ้น ชาวแก๊งส์วันนี้ดื่มกันหนักและแด๊นส์กันมากกว่าปกติ ไม่รู้ว่าเพราะช่วงปิดเทอมห่างหายจากการรวมกลุ่มกันไปนานหรือยังไงถึงได้ระห่ำกันขนาดนี้ ผมเองช่วงปิดเทอมก็ไม่ได้เที่ยวกลางคืนวันนี้ก็เลยรู้สึกเหมือนกันว่าดื่มหนักนิดหน่อย แต่บุญเนี่ยสิค่อนข้างทำให้ผมประหลาดใจ ไม่ใช่ว่าบุญไม่เที่ยวกลางคืนนะแต่เพราะปกติบุญจะไม่ดื่มหรือสูบใบไม้ใบหญ้าจนดูแฮปปี้เว่อขนาดนี้ นี่ยังไม่รวมถึงลักษณะอาการรุ่มร่ามเกาะเนื้อเกาะตัวผมแบบนี้ด้วยนะ วันนี้บุญจึงดูแปลกมากที่สุดเท่าที่รู้จักกันมา

“บุญดื่มเยอะไปแล้ว” ผมหันไปพูดข้างหูบุญ “เราว่าเพลาๆลงหน่อยก็ดี”

“รู้แล้วๆ” บุญตอบแล้วเอื้อมมือไปคว้าขวดแจ็คโค้กมาดื่มอีกอึกใหญ่ ผมคิดว่าที่ผมพูดไปเมื่อครู่นี้คงไม่ได้เข้าหูบุญหรอก แต่ช่างเถอะห้ามตอนนี้ก็คงยาก “นาย เต้นดิ”

“จะเต้นยังไงวะ บุญเกาะเราอยู่อย่างเงี้ย” ผมหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นบุญทำสีหน้าเหมือนเพิ่งนึกออก แต่แทนที่จะคลายมือบุญกลับรั้งร่างผมเข้าไปกอดแนบชิดมากกว่าเดิม ผมคิดว่านี่มันแปลกมากจริงๆแล้วล่ะ

“เต้นเลย เต้นกับเรา”

ใบหน้าของบุญเกยอยู่บนไหล่ของผม พร้อมกับมือของบุญที่เริ่มเลื้อยไปตามตัว เอาล่ะ นี่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยเจอมา บุญไม่เคยมีท่าทีแบบนี้กับผมเลย แต่ผมคิดว่าบุญอาจจะแค่เมามากก็เลยปล่อยไว้แบบนั้น หันมาสนใจมองพวกชาวแก๊งส์เต้นบ้าๆบอๆแล้วก็อดขำพรืดออกมาไม่ได้ ทั้งๆที่ใส่ชุดสวยๆกันมาแต่ดูจากท่าเต้นแล้วไม่เหลือคราบความสวยความหล่อเลย ผมเหลือบมองพี่พลที่เมามันอยู่กับไอ้หนึ่งในเพลง Act a Fool ที่เป็นเวอชั่นต้นฉบับ มันเป็นเพลงเก่านะแต่โคตรมัน เหมือนจังหวะของเพลงไปเสียดแทงต่อม SWAG ในตัวยังไงบอกไม่ถูก แต่ขณะที่ทุกคนสนุกสนานไปกับเพลงผมก็รู้สึกได้ถึงแรงกอดจากบุญที่แน่นมากขึ้น บุญกำลังนัวเนียผมอย่างหนัก ผมตกใจที่อยู่ๆก็ถูกทำแบบนี้ก็เลยเบี่ยงตัวออกหันไปมองหน้าบุญตรงๆ

“เมามากแล้วบุญ” ผมเอ่ยเพื่อเตือนสติ

บุญไม่ตอบ เอาแต่มองหน้าผม วันนี้บุญแปลกไปจริงๆ

“บุญ ออกไปล้วงคออ้วกหน่อยมั้ย” ผมถามเผื่อว่าพอเอาสิ่งที่ดื่มเข้าไปออกมาเสียบ้างบุญจะได้สร่างเมา “หรือว่าจะกลับบ้าน”

เช่นเคยบุญไม่ตอบ

ผมกำลังอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ แต่เมื่อสิ้นเสียงเพลงไอ้พวกชาวแก๊งส์ก็แห่กันเข้ามาหยิบแก้วเหล้าของตัวเองดื่ม เพลงใหม่ที่เปิดเป็นจังหวะที่พอทำให้เราได้พักยกจากการเต้นและมีเวลาได้ดื่มได้หายใจ




ในช่วงนั้นเองสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้นเมื่อบุญจูบผมต่อหน้าชาวแก๊งส์และพี่พล



************************************




ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
«ตอบ #18 เมื่อ13-10-2018 20:30:35 »

ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
«ตอบ #19 เมื่อ14-10-2018 14:28:38 »

 :L2: :pig4:

รออ่านตอนต่อไปนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
« ตอบ #19 เมื่อ: 14-10-2018 14:28:38 »





ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
«ตอบ #20 เมื่อ14-10-2018 15:17:19 »

ลุ้นมากจริงๆ กับเรื่องนี้

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
«ตอบ #21 เมื่อ14-10-2018 18:30:02 »

คบบุญเถอะ ... นี่ดูการกระทำแล้วโอเคกว่าเยอะเลย

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
«ตอบ #22 เมื่อ14-10-2018 19:15:02 »

แล้วใครจะคู่ใครหละทีนี้

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
«ตอบ #23 เมื่อ15-10-2018 11:02:03 »

ขัดใจทุกคนนน
แต่พี่พลแย่นะ ชอบแบบพี่น้องแต่ให้ความหวัง
นี่เป็นนายก็ต้องคิดไกลิ่ะ
กั๊กนายเกินไปมั้ง

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: - Affection - ตอนที่สิบ (13-Oct-18)
«ตอบ #24 เมื่อ15-10-2018 18:14:33 »

ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
«ตอบ #25 เมื่อ16-10-2018 11:20:55 »

ตอนที่สิบเอ็ด ตอนจบ



รถสปอตคันหรูที่พี่พลเอามาขับนั้นยังทำให้ผมหมั่นไส้เหมือนครั้งแรกที่ได้เห็น ถึงแม้จะเป็นรถของพี่ชายของเขาก็ตามทีเถอะ ผมยืนพิงรถสูบบุหรี่รอเวลาไอ้ชาวแก๊งส์เข้าห้องน้ำ ส่วนบุญก็อยู่ในห้องน้ำเช่นกัน เป็นพี่พลที่พาบุญไปล้วงคออ้วกในห้องน้ำและเป็นธุระดูแลเพื่อนของผมให้

ผมไม่ได้โกรธบุญหรอกนะเพราะบุญเมามากและคึกคะนองเหมือนวัยรุ่นหัดเที่ยวแต่คนที่ออกอาการหงุดหงิดดูเหมือนจะเป็นพี่พลเสียมากกว่า เขาไม่ได้แสดงออกมากขนาดนั้นแต่จากคำพูดและสีหน้าเขาไม่พอใจที่บุญเมาเลื้อนขนาดนี้ ส่วนชาวแก๊งส์ผมรู้ว่าพวกมันไม่ได้คิดมากอะไร แต่กลับสนุกสนานที่ได้เห็นบุญเมาอีกต่างหาก หลังจากที่บุญจูบผมเข้าไปเต็มๆท่ามกลางสายตาของคนหลายคน พี่พลเดินเข้ามาดึงตัวบุญออกห่างช่วงเวลานั้นมันให้อารมณ์เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะ พี่พลจ้องตาบุญด้วยสีหน้าขึงขังอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บรรยากาศพาตึงเครียดและเป็นผมที่ขยับเข้าไปจับแขนบุญไว้หวังจะพาบุญออกมาไปข้างนอก

“เดี๋ยวพาบุญไปข้างนอกก่อน” ผมเอ่ยกับพวกชาวแก๊งส์

“ไม่ต้องเดี๋ยวพี่พาไปเอง” พี่พลบอกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวแล้วดึงแขนของบุญลากออกไปนอกร้าน

ชาวแก๊งส์กับผมสบตากันด้วยสีหน้าเหวอ เครื่องดื่มก็ยังไม่หมด อารมณ์แด๊นส์ก็ยังค้างคา

“เฮ้ย กลับเลยแล้วกัน บุญท่าจะเมามากละ” ไอ้บอมตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงเพลงบอกพวกเรา ชาวแก๊งส์ต่างหยิบขวดเครื่องดื่มต่างๆทยอยเดินออกจากร้าน พอออกมาก็พบว่าบุญกำลังอ้วกอยู่ที่พุ่มไม้โดยมีพี่พลยืนอยู่ด้านข้าง ผมรีบเดินเข้าไปสมทบเพื่อดูแลเพื่อนแต่พอเจอสายตาของพี่พลที่มองมาทำให้ชะงักไปนิดหน่อย

“ไปรอที่รถ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

“ไม่เป็นไร นายดูแลเพื่อนได้” ผมบอกพลางก้าวเข้าไปแต่พี่พลกลับยืดตัวเต็มความสูงและก้าวมาขวางไว้

“เดี๋ยวก็เลอะอ้วกเพื่อนหรอก” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของพี่พลดูอ่อนลง “พี่จะพาเพื่อนของนายไปล้างหน้าหน่อย ไปรอที่รถนะ” สิ้นคำพี่พลก็ดึงแขนบุญแล้วลากเดินไปยังห้องน้ำ ประกอบกับที่ช่วงนั้นไอ้บอมก็ตะโกนมาบอกผมเช่นกันว่าจะไปเข้าห้องน้ำผมจึงเดินไปยืนรอพี่พลที่รถของเขา

ผมยืนรอพวกเขาอยู่นานจนบุหรี่มอดไปเกือบครึ่งสุดท้ายชาวแก๊งส์ก็เดินกลับมาพร้อมกับพี่พลและบุญที่อยู่ในสภาพดีขึ้น พอบุญมายืนใกล้ๆก็เห็นรอยน้ำหยดอยู่ตามเสื้อและใบหน้าที่เปียกน้ำ อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มให้กับสภาพเละเทะของบุญในตอนนี้

“เละๆ” บุญพึมพำขณะที่ปาดน้ำออกจากใบหน้า

ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรพี่พลก็เดินเข้ามาปลดล็อคประตูรถฝั่งที่ผมยืนอยู่ “นายขึ้นรถ เดี๋ยวไปบ้านไอ้บอมเหมือนเดิม”

ผมหน้าเหวอ ในใจนึกอยู่ว่านี่ยังจะไปดื่มกันต่อที่บ้านไอ้บอมอีกเหรอ แต่จะว่าไปมันก็ไม่แปลกหรอกที่จะดื่มต่อ “บุญไปไหวมั้ย” ผมถามเพราะอยากให้บุญไปด้วยแต่ดูสภาพเพื่อนแล้วท่าทางล่อแล่จนน่าหนักใจ แต่พอถามไปแค่นั้นพี่พลก็เดินเข้ามาขวาง ใช่ ผมใช้คำว่าขวาง เขายืนขวางระหว่างผมกับบุญทำให้หน้าผมแทบจะทิ่มหลังของเขา

“เดี๋ยวเรียกแท็กซี่ให้” พี่พลบอกเสียงห้วน พวกเขายืนจ้องหน้ากันครู่หนึ่งก่อนที่บุญจะเหลือบมองมาที่ผม “บ้านไอ้บอมคงไม่สะดวกเท่าไหร่ ห้องนอนไม่พอ” พี่พลกล่าวอีกครั้ง

“ผมนอนเบียดกับนายก็ได้ ไม่ก็นอนพื้นเอา” บุญตอบเสียงแข็งเช่นกัน

ผมคิดว่าสถานการณ์มันดูตึงเครียดยังไงชอบกล

“จะเอาไงวะ”

เดี๋ยวนะ นั่นเสียงของพี่พลเหรอ ทำไมดูเหมือนจะหาเรื่องกันเลยวะเนี่ย

“จะเอาไงก็เรื่องของผมป่าววะ”

เดี๋ยวอีกรอบ นั่นเสียงของบุญคนที่ใจเย็นคนนั้นแน่เหรอ

และยังไม่ทันที่จะเขาสองคนจะได้ปะทะฝีปากกันไปมากกว่านี้ ไอ้บอมกับไอ้หนึ่งก็เข้ามาแยกสองคนออกจากกันเสียก่อน ส่วนผมยังได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก

“ใจเย็นทุกคน เอาเป็นว่าคืนนี้แยกย้ายกลับบ้านตัวเองก่อนแล้วกันนะ” ไอ้หนึ่งกล่าวด้วยท่าทีใจเย็น “บุญเดี๋ยวเราพาไปขึ้น…”

ยังไม่ทันที่ไอ้หนึ่งจะกล่าวจบประโยคบุญก็หันเดินหนีไปด้วยท่าทีฉุนเฉียว ผมได้สติจึงรีบตามบุญไปท่ามกลางเสียงเรียกเรียกจากไอ้หนึ่งจึงตะโกนบอกมันว่าจะกลับบ้านกับบุญ

“บุญ รอด้วยดิ” ผมพูดขณะที่ก้าวเท้ายาวๆเร็วๆเพื่อให้ทันกับบุญ เขาหันกลับมาแล้วชะลอฝีเท้าลง

เรายืนรอรถแท็กซี่กันอยู่ครู่หนึ่งในความเงียบงัน ผมไม่ได้อึดอัดอะไรหรอกนะแต่ก็ไม่เคยเห็นบุญเงียบขนาดนี้มาก่อน “เป็นไร” ผมถามและมองหน้าบุญเพื่อรอฟังคำตอบ

บุญถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โทษทีนะเราทำงานกร่อยเลย” เขาไม่ตอบคำถามและผมก็ไม่ต้องการซักไซ้ไล่เลียงต่ออีก

“เออ ไม่ต้องคิดมากพวกนั้นไม่คิดอะไรอยู่แล้ว” ผมเอ่ย พอหันกลับไปอีกทีก็เห็นพี่พลเดินเข้ามา ในหัวตอนนั้นคิดได้แต่ ชิ้บหายแล้ว ชิ้บหายแล้วโว้ย

“นายจะกลับแล้วเหรอ”

ผมพยักหน้ารับ ท่าทีชัดเจนว่าจะไปกลับบ้านกับบุญ

“ขอคุยด้วยก่อนได้มั้ย” น้ำเสียงที่ใช้ถามฟังดูนุ่มนวลเหมือนที่เคยได้ยิน

ผมมองไปที่บุญเพื่อสังเกตอาการ เขาไม่ได้เอ่ยห้ามหรือพูดอะไรเพียงแต่มองก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น

“บุญรอเราก่อนนะ”

“... อืม เรารอได้”





พี่พลพาผมออกมาห่างจากบริเวณนั้น เขาจ้องมองผมไม่วางตา ส่วนผมก็แทบจะไม่สบตากับเขาเลย

“นาย เราจะกลับมาคุยกันดีๆไม่ได้เลยเหรอ”

เขาเปิดฉากบทสนทนา ความนิ่งงันครอบครองบรรยากาศระหว่างเรา ผมไม่ตอบเพราะคิดว่าความเงียบน่าจะแทนคำพูดของตัวเองได้ พอแล้วล่ะกับการทำให้ตัวเองจมดิ่งกับเรื่องของพี่พล ผมเจ็บนิดหน่อยที่ไม่ได้รักกับพี่พลในฐานะคนรักแต่มันก็ไม่ยากเกินกว่าจะดึงตัวเองออกมา ระหว่างผมกับเขา เรื่องราวระหว่างเรามันไม่ได้ลึกซึ้ง มันเป็นเหมือนช่วงจังหวะชีวิตของผมที่ได้พบกับคนในแบบที่ตัวเองชื่นชอบ ซึ่งเมื่อลองคิดให้ถี่ถ้วนผมไม่ได้รักเขา มันยังไปไม่ถึงจุดนั้นถึงแม้ว่าไอ้อาการปั่นป่วนในท้องหรือใจเต้นแรงจะยังเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อได้สบตากับพี่พลก็ตามที

ผมเหลือบมองไปทางที่บุญรออยู่ เขานั่งลงบนฟุตบาทไม่เหลือคราบของเด็กเนิร์ดเรียนหมอเลย บุญกำลังรอผมอยู่และผมอยากให้เรื่องพี่พลจบลงเสียที ผมสารภาพว่าทนไม่ได้อีกต่อไปกับความไม่ชัดเจนของพี่พล มันทำให้ผมรู้สึกไร้คุณค่าเพราะถูกปั่นหัวอยู่แบบนี้

“พี่แค่อยากให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม”

ผมคิดว่าตัวเองอ่อนไหวกับคำพูดของพี่พล เขากำลังใช้ความอ่อนโยนในแบบที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเล่นงานหัวใจของผมให้ป่นปี้ คำพูดของเขาวนไปวนมาอยู่ที่อยากให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมไม่เข้าใจความหมายนั้นสักเท่าไหร่ เขาต้องการให้ผมขึ้นเตียงกับเขา เขาต้องการให้ผมกลับไปคุยกันอย่างสนิทใจ แบบนั้นเหรอ ผมทำให้ไม่ได้หรอกเพราะผมอยากเดินหน้า ไม่ใช่หยุดอยู่ที่ความไม่ชัดเจนของคนใดคนหนึ่ง

“นายกลับก่อนนะพี่พล เพื่อนนายไม่ไหวแล้ว” ผมอ้างถึงบุญ แต่คนที่ไม่ไหวอาจเป็นผมเสียมากกว่า “ของฝากไว้ที่ไอ้หนึ่งแล้วนะ”

“เราอยากได้ไม่ใช่เหรอ เก็บไว้เถอะ พี่ให้”

“นายไม่อยากได้แล้ว ขอบคุณนะครับ” ผมบอกก่อนจะเดินก้าวออกไปหาบุญอย่างไม่ลังเล ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้วระหว่างผมกับพี่พล ที่ผ่านมาผมจะถือว่ามันเป็นเรื่องราวดีๆที่ครั้งหนึ่งผมเคยชอบคนแบบพี่พล เขาอ่อนโยน เขาเอาใจใส่คนอื่นและเสียสละ เขาเป็นผู้ชายในแบบที่ผมชอบ แม้ว่าผมจะไม่สมหวังแต่การได้ชอบพี่พลกลับทำให้ผมโตขึ้นอีกก้าว ความรู้สึกของผมที่มีต่อเขารุนแรงเฉียบพลัน ผมยังเป็นผม เป็นนายที่ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองแต่จะไม่ผลีผลาม จะใจเย็นลง และรักตัวเองมากขึ้น

เขาเข้ามาในชีวิต เราต่างหยิบยื่นไมตรีที่ดีให้กันเพียงแต่ผมมอบบางอย่างให้เขามากเกินไป มันไม่ได้รับการสนองตอบแต่ผมรักตัวเองมากกว่านั้น ผมไม่ได้ต้องการทวงความรู้สึกของตัวเองกลับคืนมาเพียงแต่ผมไม่อยากได้ความรู้สึกใดๆจากพี่พลอีกแล้ว พี่พลเป็นแผ่นไวนิลที่หมุนวนไปตามเครื่องเล่น ผมคือเครื่องเล่นที่คอยขับเคลื่อน แต่ตอนนี้เครื่องเล่นแผ่นเสียงมันคงจะเหนื่อยและท้ายที่สุดมันก็ถึงเวลาที่ต้องหยุดเล่นได้แล้ว



รถแท็กซี่เลี้ยวไปจอดในบ้านของบุญ ผมจ่ายเงินและเราก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน ความเงียบสงัดในช่วงเวลาตีสองทำให้เสียงฝีเท้าของเราดังเป็นพิเศษ รวมถึงเสียงเปิดปิดประตูและแม้แต่การถอดรองเท้าก็ด้วย ตลอดทางจากย่านเอกมัยจนมาถึงบ้านของบุญเราไม่ได้คุยอะไรกันมากนักเพราะบุญยังดูมึนเมา ส่วนผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์เจื้อยแจ้วสักเท่าไหร่ พอมาถึงบ้านเราก็ตรงดิ่งไปที่ห้องนอนของบุญทันที พอได้อาบน้ำก็รู้สึกสดชื่นขึ้นผมคลานขึ้นมาบนเตียงฝั่งที่เคยนอนประจำ จัดหมอนให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่น ไอ้พวกชาวแก๊งส์ถามไถ่กันตามประสาว่าถึงบ้านกันแล้วหรือยัง พร้อมกับส่งรูปที่ถ่ายกันไว้อย่างสนุกสนาน ไอ้บอมส่งรูปที่ตัดมาเฉพาะหน้าเหวอๆของไอ้นุ่นและโพสประจาน ไหนจะไอ้เฟริสท์ที่ลงวิดิโอตอนไอ้หนึ่งเต้นท่าอุบาด บรรยากาศระหว่างที่คุยกับเพื่อนสามารถทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้น เพียงแต่เมื่อเห็นหน้าพี่พลที่อยู่ในวิดิโอความสนุกสนานก็ลดลงอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ทันที มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกบางอย่างขึ้นมาบ้าง แต่แล้วรูปของบุญที่กำลังกระดกเบียร์ขณะที่นั่งยองอยู่ตรงไหนสักแห่งที่หน้าร้านเหล้าก็ทำให้ผมขำขันขึ้นมาและเลิกสนใจพี่พล ไอ้นุ่นเป็นคนลงรูปนี้ในอัลบั้มและบอกว่าฝากส่งให้บุญด้วย ในหัวตอนนั้นกำลังนึกอยากใช้รูปน่าเกลียดในอิริยาบถต่างๆของบุญสำหรับวันสำคัญทางศาสนาหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ต่างๆอยู่ไม่น้อย

บุญกลับมาที่เตียงแล้ว แรงยวบยาบทำให้ผมหันไปมองเขาเต็มตา “หายเมายัง” ผมถามทั้งๆที่กำลังกลั้นยิ้มอยู่ นึกถึงสภาพบุญอ้วกทีไรก็อดไม่ได้ที่จะขำ

“หายแล้ว” บุญตอบพลางทิ้งตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า “เราไม่น่าไปสูบเนื้อของบอมเลยว่ะ เละเทะเลยอะ”

“นานๆทีไม่เป็นไรหรอก แต่เราก็ไม่อยากให้บุญทำแบบนั้นนะ”

“อืม มันไม่ดีจริงๆนั่นแหละ”

“ก็ไม่เชิงว่าไม่ดี แต่รอบนี้บุญเมามากเกิน...” ผมละสายตาออกจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือและมองใบหน้าด้านข้างของบุญที่ถูกแสงจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือส่องหน้าอยู่ กำลังจะบอกว่าเป็นห่วงไม่อยากให้บุญไปยุ่งเกี่ยวกับของแบบนั้นอีกแต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะคำถามที่อยู่ๆก็ถูกแทรกขึ้นมาอย่างน่าตกใจ

“คุยกับพี่เขาว่ายังไงบ้าง” บุญจ้องผม ท่าทางของเขาที่รอคำตอบเริ่มทำให้ผมกระวนกระวาย

“เขาแค่อยากให้เราเก็บแผ่นไวนิลไว้แต่เราไม่อยากได้เลยคืนเขาไป”

เสียงที่ผมตอบนั้นราบเรียบ พยายามอย่างที่สุดแล้วในการจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา ถ้าจะให้ว่ากันตามตรงผมยังไม่อยากถูกซักไซ้นักหรอก แต่บุญคงรู้ว่าสิ่งที่ผมพูดมันหมายถึงอะไร สายตาที่มองมาจะว่าคาดคั้นรอคำอธิบายก็ไม่ใช่ มันดูเหมือนร้องขออะไรบางอย่าง เหมือนกำลังรอคอยเผื่อบางทีผมจะเปลี่ยนใจอยากพูดและเขาก็จะรับฟัง บรรยากาศเงียบกริบจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกา บุญมองผมนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนดึงโทรศัพท์มือถือในมือของผมวางไว้บนเตียง มือของเขารั้งร่างของผมเข้าหา อ้อมแขนของเขากำลังโอบกอดตัวผมไว้ ลาดไหล่ของเขาเป็นที่พักพิงในตอนที่ผมรู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อขึ้นมา ผมยังมีบุญอยู่ตรงนี้ ในตอนที่ผมกำลังอ่อนไหวที่สุดในช่วงชีวิตที่ผ่านมา



ช่วงเวลาหลังจากงานบายเนียร์ผมไม่ได้คุยกับพี่พลอีกเลย มันคงเป็นการกู๊ดบายซีเนียร์อย่างแท้จริง ผมใช้ชีวิตของผม ออกไปเที่ยว ออกไปดูหนัง ออกไปทำสิ่งที่อยากทำ เผลอแป้บเดียวก็ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องทำงาน ผมนัดบุญไว้ที่ห้าง เราเดินวนดูเสื้อผ้าอยู่หลายร้านจนรู้สึกเมื่อยขาจึงแวะเติมพลังกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ระหว่างรออาหารบุญก็พูดเรื่องไปเที่ยวอิหร่านกับผมอีก ดูเหมือนบุญจะไปหาข้อมูลในการขอวีซ่ามาเพิ่ม เท่านั้นไม่พอบุญยังวางแผนไปเที่ยวหลังจากไปอิหร่านต่ออีกเล่นเอาผมมึนงงไปชั่วขณะ ทริปอิหร่านที่เคยอยากไปตั้งแต่เมื่อปีมะโว้ถูกพับโปรเจคไปเสียก่อนเนื่องจากผมยังไม่พร้อมในหลายด้าน ผมต้องฝึกงานทำให้กระดิกตัวไปไหนไม่ได้ จากนั้นก็ต้องสอบ โปรเจคต่างๆถาโถมเข้ามาจนรับมือแทบไม่ไหว กว่าจะผ่านมาได้แทบลากเลือด แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นมาได้ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ผมเรียนจบแล้ว ชีวิตนักศึกษาจอมขี้เกียจแบบผมก็ลุ่มๆดอนๆ ชาวแก๊งส์เองก็แทบไม่ต่างกัน ด้วยหน้าที่ทำให้เราต้องรู้จักโตขึ้น รับผิดชอบอะไรมากขึ้นไปโดยปริยาย แม้ว่าสุดท้ายแล้วผมก็ยังเป็นนายจอมขี้เกียจเหมือนเดิมก็ตามที จากขี้เกียจเรียนก็เปลี่ยนเป็นขี้เกียจทำงาน

“เฮ้ย เอาจริงดิ” ผมย้อนถามหลังจากที่บุญบอกว่าจะชวนผมไปเที่ยวทางยุโรปทั้งที่ทริปอิหร่านยังไม่ได้เริ่มต้นเลย

“จริงดิ ทำไมอะ ไม่อยากไปกับเราเหรอ”

“เออ เบื่อขี้หน้า” ผมหัวเราะเป็นเชิงหยอกล้อเขาเล่น “เราไม่มีเงินอะ”

“กาก” บุญตอบแล้วยักคิ้วใส่อย่างกวนอารมณ์จนผมต้องเอื้อมมือไปตีหน้าผากเป็นการแก้แค้น “เรารอได้”

“ไปก่อนก็ได้ คงอีกนานกว่าจะเก็บเงินได้ใหม่” นี่ไม่ใช่เรื่องโกหกเลย การเก็บเงินไปเที่ยวถึงจะมีแรงบันดาลใจอย่างล้นหลามแต่นิสัยใช้จ่ายฟุ้มเฟือยอย่างผมจึงทำให้เก็บเงินไม่ค่อยได้ แถมยังเรื่องทำงานอีก

“อย่าให้เรื่องเงินเป็นอุปสรรคสิวะ”

“นั่นแหละอุปสรรคสุดๆ”

“เรารอได้จริงๆ” สายตาของบุญที่มองมานั้นผมรู้ว่ามันมีนัยสำคัญที่มากกว่าแค่การรอให้ผมเก็บเงิน

ระหว่างผมกับบุญยังคงเหมือน เรายังใช้ชีวิตเหมือนที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลาหนึ่งปี ผมยังคงมีบุญคอยเป็นแรงกระตุ้นเสมอ เขาเรียนหนักกว่าผม ชนิดที่แทบไม่ได้กินไม่ได้นอน แต่ก็เป็นบุญนี่แหละที่คอยเตือน คอยย้ำ คอยผลักดันให้ผมรู้จักหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น ความจริงจังและคงแก่เรียนของเขาถูกถ่ายทอดให้ผมและมันก็ซึมซับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ผมรู้ว่าเขามั่นคงต่อผมมากขนาดไหน แม้จะยังคงต้องเรียนหนักกว่าเดิม เวลาที่เคยมีให้กันก็ลดน้อย แต่บุญทำให้ผมรู้ว่าเขายังอยู่เคียงข้างผมเสมอและทำให้รู้จักกับคำว่าเสมอต้นเสมอปลาย ผมซึ้งใจในข้อนั้นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังทำให้เรื่องราวระหว่างเราไม่ไปไหนก็คือการไม่พูดมันออกมาตรงๆนี่แหละ บุญไม่เคยบอกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับผม โดยส่วนตัวผมคิดว่าผมตระหนักในเรื่องนั้นมาโดยตลอดนะ สิ่งที่บุญแสดงออกมาทำให้ผมรับรู้ค่อนข้างแน่ชัด แต่เรื่องของพี่พลยังส่งผลอยู่ในส่วนลึกทั้งๆที่ผมก็ไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้แล้ว เหมือนเวลาที่เราโดนกระดาษบาด เราคิดว่าไอ้กระดาษแค่หนึ่งใบมันคงไม่สามารถส่งผลกระทบอะไรได้ แต่เมื่อโดนกระดาษมันบาดเข้า ความเจ็บปนแสบหน่อยๆมันสามารถทำให้เรารู้สึกถึงมันได้ตลอดเวลา ซึ่งผมได้แต่คิดว่าความรู้สึกแบบนั้นมันคงจะหายไปในเร็ววัน

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากนั้นเราก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหารกันด้วยบรรยากาศที่ดูเงียบเชียบลงไปกว่าปกติ หลังจากที่เราทานอาหากันเสร็จผมก็เดินนำบุญยังร้านขายแผ่นหนังเพื่อตามหาหนังเก่าที่น่าจะไม่มีขายแล้ว มันเป็นหนังขาวดำและเป็นไปตามคาดร้านที่เรามานี้ไม่มีขายถึงแม้จะเป็นร้านที่มีหนังเก่าๆให้เลือกเยอะก็ตามที ผมจึงเดินวนอยู่ในร้านเพื่อหาหนังเรื่องอื่น บุญที่เดินนำหน้าผมอยู่นั้นอยู่ๆก็หยุดอยู่ที่โซนหนังระทึกขวัญ เขาหยิบแผ่นหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมายื่นให้ผมดู

“เดี๋ยวกลับไปดูเรื่องนี้กันนะ” เขาเอ่ยแล้วหลังจากนั้นเราก็เดินวนหาหนังเรื่องอื่นดูอีกอยู่สักพัก

ในระหว่างนั้นเองผมเหลือบไปมองเห็นแผ่นไวนิลที่วางขายอยู่ในโซนถัดไป แผ่นไวนิลของแบนด์อังกฤษวงหนึ่งวางตระหง่านอยู่บนชั้น อยู่ๆในหัวก็นึกถึงใครบางคนที่ชอบสะสมไวนิลเหล่านี้เช่นกัน

ผมไม่ได้ติดต่อกับพี่พลอีกเลยนับตั้งแต่งานบายเนียร์ครั้งนั้น เขาอาจจะสบายดี มีความสุขกับชีวิตทำงานและคงจะหลงลืมผมไปแล้วก็ได้ ผมนึกถึงเขาอยู่บ่อยครั้งแต่มันเป็นการนึกถึงเขาด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป ความชอบของผมมันแปรเปลี่ยนไปแล้วแม้จะไม่แน่ใจว่าเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแต่ผมก็ยังชอบเขาอยู่… ในรูปแบบที่ไม่เหมือนเดิม


ออฟไลน์ PromQueen29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
- Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
«ตอบ #26 เมื่อ16-10-2018 11:21:39 »


“อินาย”

เสียงเรียกชื่อที่แสนคุ้นเคยทำให้ผมหันกลับไป ผมพบว่าเป็นไอ้เฟริสท์ที่มากับไอ้นุ่น ในใจของผมเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นที่ได้เจอเพื่อน มันเข้ามาทักทายผมและท้ายสุดเราก็พากันไปหาร้านนั่งเม้ามอยโดยมีบุญเข้าร่วมด้วย

“เดี๋ยว มึงจะไปเรียนปอโทที่แคนาดาเหรอ ทำไมกูเพิ่งรู้วะ”

“ก็วีซ่าเพิ่งผ่าน มีเงินอย่างเดียวไม่พอนะเว่ย กูต้องสัมภาษณ์ประมาณสามหมื่นด่านกว่าผ่านมาได้เนี่ย”

“แล้วมึงจะเรียนปอเอกต่อเลยป้ะ”

“โอ้ย พอก่อน เอาปอโทให้ผ่านก่อนนะเพื่อน”

ผมกับนุ่นหัวเราะกับท่าทางของเฟริสท์ที่แม้จะยังไม่ทันเริ่มเรียนปอโทเลยแต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าก็พาลเอาให้เหน็ดเหนื่อยเสียตั้งแต่ตอนนี้

“ทำไมถึงเรียนต่อวะ” นุ่นถามแล้วดูดน้ำอึกใหญ่ มารู้ทีหลังว่าที่เจอมันสองคนนี้ที่ห้างก็เพราะไอ้เฟริสท์นัดไอ้นุ่นมาซื้อของสำหรับไปเรียนต่อที่แคนาดานี่แหละ “แล้วภาษาอังกฤษมึงไหวเหรอ”

“ไปถึงก็ต้องเรียนภาษาก่อนแล้วสอบให้ผ่านถึงจะเรียนปอโทได้ อีกอย่างนะกูขี้เกียจทำงานเลยหาข้ออ้างเรียนนี่แหละ”

ผมกับนุ่นพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นเราก็ยิงคำถามอีกมากมายสำหรับการไปเรียนต่อ รวมไปถึงฟังไอ้นุ่นเม้ามอยเรื่องที่ทำงานด้วยความสนุกสนาน ไอ้นุ่นโชคร้ายที่เจอพี่ที่ทำงานไม่ค่อยสอนงานมันถึงต้องดิ้นรนเรียนรู้เอง มันบอกอีกว่าตอนนี้มันแข็งแกร่งทางจิตใจจนอะไรก็ทำร้ายมันไม่ได้อีกแล้ว ผมคิดว่าไอ้นุ่นแข็งแกร่งขึ้นจริงๆนั่นแหละ โลกของวัยทำงานมันสอนประสบการณ์ต่างๆมากมายให้เราได้เรียนรู้และฝ่าฟันมันไป อย่างผมนี่โชคดีที่ได้ฝึกงานและเจอพี่ที่ทำงานช่วยเหลือ สอนงาน และให้ลองทำงานจริงๆจังๆจนทำงานเป็น เขาชักชวนให้ผมเข้าทำงานด้วยแต่มันเป็นงานในสายที่ผมคิดแล้วคิดอีกว่าไม่ใช่ทางของตัวเองจึงไปหางานที่อื่นแทน พวกเราคุยกันสนุกปากเสียงดังนิดหน่อยบ้างในตอนที่เรื่องราวมันตลกขบขัน เวลาผ่านไปพักใหญ่ รู้ตัวอีกทีบุญก็แทรกถามพวกเราว่าจะสั่งขนมเพิ่มหรือเปล่า

“ไม่เอาแล้วบุญ น้ำหนักเราขึ้นมาห้าโลตั้งแต่เริ่มทำงานเนี่ย” นุ่นตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ผู้หญิงกับเรื่องความสวยความงามคงไม่แคล้วกัน

“เออ ตายห่า คุยกันเพลิน ยังไม่ได้รองเท้าเลยเนี่ย” เฟริสท์โวยวายขึ้นมาก่อนจะหันไปทางบุญ “โทษทีนะบุญเราไม่ได้ชวนคุยด้วยเลย มัวแต่มอยกับอินาย”

“ตามสบาย เราฟังพวกเธอคุยก็เพลินดี” บุญยิ้มสบายๆ ไม่มีท่าทีใดๆเป็นพิเศษ

“แล้วบุญเป็นยังไงบ้าง ยังเรียนอยู่ใช่ป้ะ”

“ใช่ แต่เดี๋ยวก็จบแล้ว”

“โห เรียนหมอนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ”

“ถ้าเป็นเราคงสมองแตกตายไปแล้ว เรียนอะไรหกเจ็ดปีขนาดนี้” ไอ้นุ่นทำหน้าแหยๆเมื่อพูดถึงการเรียน ชาวแก๊งส์ไม่มีใครตั้งใจเรียนตั้งแต่เริ่มแรกจนเรียนจบก็ยังไม่เปลี่ยนความคิด นี่ดีนะว่าเจ้าพวกนี้ยังไม่รู้ว่าบุญจะเรียนต่อเฉพาะทางอีก ถ้าได้ยินแบบนั้นคงขนลุกกันแน่นอน

“แล้วนี่บุญจะรีบไปไหนรึเปล่า”

“ไม่รีบ คุยกันไปเถอะ...” บุญกล่าวแล้วหันมามองทางผม “เรารอได้”

เขาพูดคำนั้นอีกแล้วไอ้ประเภท ‘เรารอได้’ แถมยังแสดงออกอีกว่ามันหมายถึงอะไรที่มากกว่ารอผมคุยกับเพื่อน การที่บุญจ้องผมแล้วอมยิ้มจึงทำให้ไอ้เฟริสท์กับไอ้นุ่นรู้สึกถึงสถานการณ์ประหลาดๆที่ชวนให้ประดักประเดิดอยู่สักหน่อย

“เอ้ออออ เหรอๆ ตามนั้นๆ” ไอ้เฟริสท์พูดแก้เก้อ

หลังจากนั้นเราตกลงที่จะไปเดินซื้อของด้วยกันเพราะผมเองก็ยังได้ของไม่ครบ ไอ้เฟริสท์เดินอยู่กับบุญคุยเรื่องไปเรียนต่อ ส่วนผมถูกหนูนุ่นดึงตัวไว้ให้เดินตามหลังอยู่อย่างห่างๆ ผมรู้แล้วแหละว่ามันมีคำถามมากมายที่คงไม่อยากให้บุญได้ยิน

“เล่ามา”

ผมทำหน้าสงสัย แกล้งมึนเหมือนไม่รู้เรื่องที่มันจะถาม

“กับคนนู้นน่ะ” ไอ้นุ่นพยักเพยิดหน้าไปทางบุญ ผมจึงแกล้งทำหน้าไม่เข้าใจ “อินาย อย่าให้กูต้องฟาดมึงด้วยแส้”

“ไม่เห็นมีอะไรให้เล่าเลย”

“โอ้ย อิเวร มึงนี่หน้ามึนเหมือนเดิมเลยนะ คบกับบุญแล้วยัง”

เอาล่ะ ประโยคนี้ทำให้ผมชะงักไปเพราะที่ผ่านมาก็บอกทุกคนว่าบุญเป็นเพื่อน และไม่เคยมีสักครั้งที่บุญจะแสดงตัวว่าชอบผมต่อหน้าคนอื่น… แม้ว่าวันนี้จะแปลกๆไปนิดนึง

“อย่าบอกนะว่ายังเป็นเพื่อนกันอยู่”

“ก็เป็นเพื่อนไง เดี๋ยว มึงมีอะไรรึเปล่าวะ เหมือนกูพลาดอะไรไปเลยอะ” ผมสงสัยจริงจังไม่ได้แกล้งมึนแต่อย่างใด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้เพราะผมก็พอรู้ว่าตัวเองมีโลกบางโลกที่หลุดไปในภวังค์อยู่บ้าง รู้ตัวอีกทีก็ต้องมานั่งอัพเดทข่าวสารหลายเรื่องจากเพื่อนๆแบบนี้ตลอด คราวนี้ก็เช่นกัน

“ห่าเอ้ย ผ่านมาเป็นปี มึงไม่รู้อะไรเลยหรือไง”

ผมงงเป็นไก่ตาแตก งงมากกว่านี้คงจะบรรยายไม่ถูกแล้ว “อะไรวะ”

“กูคันปากมาเป็นปี กูเล่าเลยแล้วกันนะ ก็บุญน่ะแม่งไปบอกพี่พลให้เลิกกั๊กมึงได้แล้ว”

ผมอ้าปากค้าง เหลือบมองไปทางด้านหน้าก็ยังเห็นไอ้เฟริสท์กับบุญคุยกันไม่หยุด ไม่มีอะไรผิดปกติ

“มึงจำได้มั้ย พี่พลพาบุญไปเข้าห้องน้ำแต่จริงๆพี่พลกับบุญเข้าไปคุยกันเว่ย”

“ห้ะ????”

“พี่พลแม่งของขึ้นเกือบจะต่อยกันในห้องน้ำแล้วเหอะ”

“เรื่องอะไรวะ”

“อินาย มึงจำไม่ได้เรอะ ที่บุญจูบมึงไง”

ผมร้องอ๋อ แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ “แล้วยังไงวะ บุญเมามากอะ อย่าไปถือเลย กูลืมไปแล้วเนี่ย”

“บุญไม่ได้เมา” ไอ้นุ่นทำหน้าเซ็งๆใส่ผม แล้วถอนหายใจยาว “พี่พลเข้าไปเคลียร์กับบุญบอกว่าอย่าทำแบบนี้อีกที่จูบมึงอะ บุญเลยบอกว่า ไม่ชอบนายก็เลิกกั๊กไว้ได้แล้ว ทีนี้พี่พลก็เงียบไปบุญเลยบอกว่า นายน่ะ ผมขอเถอะ” ท้ายประโยคไอ้นุ่นทำเลียนเสียงเข้มๆแบบผู้ชาย ผมมองมันตาค้างไม่เคยคิดเลยว่าบุญจะพูดอะไรแบบนั้นได้

“บุญไม่น่าพูดอะไรแบบนั้นนะ มันดูไม่ใช่บุญอะ”

“เออ กูก็ใส่สีนิดหน่อยตรงที่บุญบอกว่า นายน่ะ ผมขอเถอะ แต่จริงๆบุญแค่บอกให้พี่พลเลิกกั๊กมึงเท่านั้นแหละ”

“นั่นไง”

“คือรายละเอียดกูก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรบ้างอะนะ แต่คร่าวๆก็เข้าไปเคลียร์กันเรื่องของมึง”

“แล้วทำไมมึงถึงรู้ได้วะ”

“อิหนึ่งเล่าให้ฟัง พวกกูรู้กันหมดแหละ มีแต่มึงที่ไม่รู้…ว่าบุญชอบมึง” ท้ายประโยคไอ้นุ่นพูดเสียงค่อยลง

ผมนิ่งเงียบไป ก็รู้แหละว่าบุญคิดยังไงแต่เราไม่เคยพูดเรื่องนี้กันเลย ส่วนตัวผมเองก็ยังไม่คิดว่าจะข้องเกี่ยวกับเรื่องรักๆใคร่ๆอีก ผมตัวติดกับบุญเพราะเขาคือเพื่อนที่เข้าใจผมมากที่สุดและยังไม่ได้คิดไปมากกว่านั้น แต่พอมารู้จากปากคนอื่นว่าบุญชอบผมก็ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อความรู้สึกอยู่มากพอควร

“เรื่องพี่พลก็รู้ด้วยเหรอ”

“เออ รู้”

“จากใคร”

“อิหนึ่ง”

“ปากสว่างชิ้บหายไอ้หนึ่งหัวขวด”

“เฮ้อออ อินายเอ้ย” หนูนุ่นตบไหล่ผมก่อนจะเลื่อนขึ้นมากอดคอ “มึงมีอะไรก็ไม่เคยบอกพวกกูเลย เนี่ย พอมารู้อีกทีก็ปุบปับไปหมด แล้วนี่มึงได้คุยกับพี่พลบ้างมั้ย”

“จะให้คุยอะไรวะ ตัดใจไปแล้ว”

“กูพูดตรงๆนะ ตัดใจไปก็ดีแล้ว มึงชัดเจนกับเขาขนาดนี้แต่ถ้าเขาไม่ชัดเจนก็จบๆไป ไม่เสียใจนะมึงอะ”

“ไม่เสียใจเว่ย กูมีมึงอยู่นี่ไงจะเสียใจอะไร” ผมขยี้ศีรษะไอ้นุ่นเล็กน้อยพองาม มันก็ทำสะดีดสะดิ้งบ่นว่าผมเสียทรงไปตามเรื่อง “เออ กูไม่ได้ค่อยได้คุยกับไอ้หนึ่งไอ้บอมเลย มันเป็นยังไงบ้างวะ”

“ยังไม่ตายหรอกอิพวกนั้นน่ะ กูก็ไม่ค่อยได้คุยกับพวกมันเท่าไหร่ คิดถึงเหมือนกันนะ”

“นัดเจอกันหน่อยดีม้ะ สงสัยต้องนัดพวกมันมาอัพเดทเรื่องที่กูยังไม่รู้ พวกมึงก็เหลือเกินนะรู้ทุกเรื่องแต่ทำเป็นไม่รู้”

“ก็เรื่องมันพูดยากอะ จะให้เจอหน้ามึงแล้วก็ถามว่า อินาย มึงได้กับพี่พลแล้วใช่ป้ะ แบบนี้เหรอ”

ผมหัวเราะกับประโยคที่ใส่อารมณ์มาเต็มแต่ต้องทำเสียงกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันสองคน

“เออ อินาย…” ปากของไอ้นุ่นยืดยาวไปทางคนข้างหน้าที่ยังคุยกับไอ้เฟริสท์อยู่ “อัพเดทกูด้วยล่ะ” สิ้นคำไอ้นุ่นก็ยักคิ้วกวนประสาทก่อนจะเดินไปหาไอ้เฟริสท์ แล้วผมกับเพื่อนก็ร่ำลากันตรงนั้นเพื่อแยกย้ายกันไปเลือกของที่ต้องการอีก

“แล้วนัดเจอกันนะพวกมึง” ผมกล่าวขณะที่ถูกเพื่อนทั้งสองรวบตัวเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น แม้จะงงไปหน่อยที่กอดมันแน่นมากกว่าปกติแต่ก็กอดตอบ

“กูคิดถึงมึงนะ มีอะไรก็บอกกูได้" ไอ้เฟริสท์พูดพลางตบหลังผมไม่เบาแรง

"อย่าลืมที่บอกล่ะ อัพเดทพวกกูด้วยเรื่องบุญอะ" คราวนี้ไอ้นุ่นตามมาตบหลังผมอีกมือจนเริ่มรู้สึกเจ็บนิดหน่อย เราสามคนกอดกันกลมอยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่ง เมื่อลืมตาอีกครั้งก็เห็นบุญกำลังยืนมองและมีรอยยิ้มจางๆที่ชวนน่าสงสัย




ผมกับบุญเดินซื้อของกันอีกครู่หนึ่ง กว่าจะได้เนคไทสักเส้นก็ยากพอสมควรเพราะผมมากเรื่องเองแหละ อยากได้โทนสีนี้แต่ที่ขายมันอ่อนกว่าที่ต้องการเลยต้องทำใจอยู่พักใหญ่กว่าจะตัดสินใจซื้อ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังหอศิลป์ด้วยความไม่ตั้งใจ เพราะบุญบังเอิญเปิดเจอในอินเตอร์เน็ตว่าตอนนี้มีจัดงานแสดงเกี่ยวกับศิลปะภาพยนตร์อยู่ ผมก็เป็นพวกใจง่ายยอมตอบตกลงไปดูงานแต่โดยดี ภายในงานนั้นจัดแสดงภาพถ่ายที่มาจากภาพยนตร์เรื่องต่างๆ แต่เนื่องจากเป็นช่วงดึกที่ใกล้จะปิดแล้วผู้คนจึงบางตาทำให้เราได้เดินดูงานกันอย่างสบายๆ ไม่เร่งรีบจนกว่ายามจะมาไล่

ผมหยุดชวนบุญดูภาพขาวดำภาพหนึ่ง ไม่ได้มีอารมณ์ศิลปินมานั่งวิเคราะห์อะไรกันหรอกนอกจากว่าภาพนี้สวยดี

“นี่ถ่ายที่ไหนวะ สวยมาก” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่ออ่านรายละเอียดที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมด้านข้างภาพ และพบว่าภาพนี้คือฉากๆหนึ่งในภาพยนตร์จากประเทศเยอรมัน พอเห็นดังนั้นในหัวนี่คิดอย่างเดียวเลยว่า “อยากไปมิวนิคอะ” ผมเอ่ยขึ้นแต่พอหันไปก็ต้องชะงักลงนิดหน่อยเมื่อใบหน้าของบุญนั้นอยู่ใกล้เกินไป เขากำลังเพ่งอ่านรายละเอียดของภาพเช่นเดียวกับผม

“ไว้ไปกัน แต่ขอสอบให้ผ่านก่อน”

“สอบอะไร ไฟนอลเหรอ”

“สอบหมอ”

ผมพึมพำอยู่ในลำคอเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะหันไปมองภาพนั้นต่อ

“นาย เราว่าจะย้ายไปอยู่คอนโด”

“ไปเช่าอยู่เหรอ”

“ซื้อเลย”

“เออ ก็ดีนะ”

“ไว้เราไปดูคอนโดด้วยกันนะ”

ผมเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง น้ำเสียงของบุญไม่ได้แปลกประหลาดกว่าที่เคย มันเป็นเหมือนประโยคบอกเล่าทั่วไป แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายที่จ้องมองมาด้วยแววตาที่แสดงออกว่ากำลังรอคำตอบอยู่ ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าบุญกำลังหมายถึงอะไร

“นาย”

“………….”

“ย้ายมาอยู่กับเรานะ”

ความประหลาดใจคงฉายอยู่บนหน้าของผมแทนคำพูด ยังไม่ทันได้ถามไถ่ใดๆผมก็รู้สึกถึงมือของบุญสอดประสานเข้ามาในมือของผม ดวงตาที่เราสบมองกันนั้นเคลือบแคลงไปด้วยสิ่งที่อยากพูด แต่กลับไม่มีใครพูดอะไรออกมา เรายังเก็บงำความรู้สึกต่างๆไว้ มันอาจจะเป็นความรู้สึกในทางที่ดีหรือไม่ดีผมไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย เพียงแต่น้ำหนักมือที่กระชับมั่นคงอยู่นี้กลับทำให้ผมไม่นึกอยากถามอะไรอีกต่อไป และสำหรับการถูกขอให้ย้ายเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดเขาก็คงเตรียมใจรองรับไว้แล้ว เพียงแค่มือของบุญที่จับกับมือของผมไว้แบบนี้ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าเขาจะยังอยู่เคียงข้างผมไม่หนีหายไปไหน

คำถาม ความสงสัย หรือแม้แต่สิ่งที่บุญยังไม่เคยพูดมันออกมา บางทีมันอาจจะยังไม่จำเป็นในเวลานี้

“………….”

“ยังไม่ต้องตอบตอนนี้หรอก เรารอได้”

ตอนนั้นผมยิ้มออกมาด้วยหัวใจที่พองโตและเต็มไปด้วยความหวัง…




END


************************************


เดี๋ยวมีตอนพิเศษมาให้อ่านกันต่อค่ะ ติดตามตอนพิเศษด้วยน้าาาา
 :o8:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: - Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
«ตอบ #27 เมื่อ16-10-2018 14:07:05 »

ชอบนายที่เลือกบุญ
ชอบที่ใช้สมองเลือกคนรัก   เลือกความมั่นคงทางจิตใจ
ชอบจ้า

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
Re: - Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
«ตอบ #28 เมื่อ16-10-2018 19:11:39 »

จบแล้วหรอ...

ออฟไลน์ mew.kani

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - Affection - ตอนที่สิบเอ็ด (16-Oct-18)
«ตอบ #29 เมื่อ16-10-2018 21:32:49 »

พี่พล คนไม่ชัดเจน คนนิสัยไม่ดีๆๆๆ  :fire:

รอติดตามตอนพิเศษ ของน้องนายกับน้องบุญอยู่นะคะ ^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด