บทที่ 7
“ไผ่ ตื่นได้แล้ว” เสียงอ่อนโยนของใครสักคนดังลอดเข้ามาในห้วงความฝันที่ผมกำลังยืนท้าลมอยู่บนยอดภูเขาสูง ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าค่อยๆ ถูกความมืดมิดขยับเข้ากลืนจนหมด จากนั้นผมก็เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาจากความฝัน มือใหญ่จับต้นแขนของผมไว้และเขย่าเรียกเบาๆ
“อื้อ กี่โมงแล้ว” ผมยืดแขนบิดขี้เกียจ พร้อมกับบิดตัวเป็นเกลียวจนกระดูกสะโพกลั่นดังกร๊อบ
“หกโมงแล้ว ถ้าไม่รีบออกเดี๋ยวรถจะติด”
ผมพยักหน้า ยันตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินหาววอดคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป ผมใช้เวลาในนั้นแค่สิบห้านาทีก็เดินตัวเปียกพันผ้าขนหนูรอบเอวออกมา
ภายในห้องนอนไม่พบร่างของแขกไม่ได้รับเชิญอีกแล้ว ผมเลยผิวปากหวือ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าด้วยอาการลีลาเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องรีบแต่งตัวเพราะเขื่อนคงกลับห้องตัวเองไปแล้ว ผมรื้อๆ ดูเสื้อผ้าที่ดูดีกว่าเสื้อยืดกางเกงยีนส์มาใส่ อย่างน้อยก็ติดตามนายแบบชื่อดังไปทำงาน ไม่อาจพาสารร่างเซอร์ๆ ผสมซกมกไปให้ขายขี้หน้าได้
ผมคว้าเสื้อเชิ้ตสีฟ้าลายใบไม้ออกมาสวม ด้วยเนื้อผ้าบางเบาทำให้ไม่จำเป็นต้องรีด กางเกงวันนี้ก็ใส่เป็นกางเกงผ้าสีดำ เป็นชุดที่เรียบร้อยที่สุดเท่าที่ผมจะมีในตู้ ถ้าไม่นับพวกชุดทำงานที่พับเก็บใส่ถุงพลาสติกไว้ในหลืบตู้น่ะนะ
ผมยังไม่ได้ติดกระดุมเสื้อเพราะอากาศวันนี้ร้อนจนพัดลมเอาไม่อยู่ ที่ไม่ได้เปิดแอร์เนื่องจากใช้งานมาทั้งคืนจึงควรพักมันบ้าง ผมสำรวจปลั๊กไฟและเครื่องใช้อื่นๆ ในห้องนอนว่าปิดเรียบร้อยดีไหม คว้าเอากระเป๋าคาดอกใบเล็กมาถือพร้อมยัดๆ โทรศัพท์ กุญแจห้อง กับกระเป๋าตังค์เข้าไปอย่างลวกๆ กวาดตามองรอบห้องอีกครั้งแล้วเดินเตะเท้าออกมาจากห้องนอน
คนที่ผมนึกว่ากลับห้องไปแล้วยืนอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวขนาดเล็กที่วางชิดผนัง มีเก้าอี้ไว้สำหรับสองที่ ในมือมันกำลังทาแยมบนขนมปังสองแผ่นแล้วจัดใส่จานไว้อย่างเรียบร้อย ข้างๆ กันมีนมถั่วเหลือสองกล่องตั้งไว้
“เอามาจากไหนวะ” ผมถาม เพราะเมื่อวานผมไม่ได้ออกไปซื้อของเข้าห้องอย่างที่ตั้งใจไว้ ทำให้ไม่มีอาหารใดเลยอยู่ในคอนโดห้องนี้ แม้กระทั่งน้ำเปล่าสักขวดก็ยังไม่มี
“ห้องกู”
“มึงกลับไปเอามาจากห้อง?”
“อืม” เขื่อนพยักเพยิดให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้ “กินเร็ว อีกสิบนาทีจะออกแล้ว”
ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา ใกล้หกโมงครึ่งเข้าไปทุกที วันนี้เป็นวันธรรมดา ผมนึกสภาพท้องถนนในช่วงเวลาเร่งด่วนออกจึงรีบยัดทุกอย่างลงท้องด้วยความไวแสง
เมื่อเอาจานไปวางรองน้ำในซิงค์เรียบร้อยผมก็หมุนตัวกลับไปหยิบนมกล่องมาเจาะดูด คล้องกระเป๋าคาดอกไว้บนไหล่ก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าพร้อมแล้ว
“ไผ่”
“อะไร” ผมถามทั้งๆ ที่ยังดูดนมอยู่ เขื่อนมองสำรวจทั่วตัวผมก่อนจะขมวดคิ้วหน้าผากยับย่น “อะไรของมึง”
“ทำไมไม่ติดกระดุม”
“หืม” ผมเลิกคิ้ว ก้มลงมองตัวเอง ก็พบว่าชายเสื้อเชิตทั้งสองข้างยังปลิวไสว เผยแผงอกกับหน้าท้องแบนราบราวกับไม่ได้สวมเสื้อท่อนผม “ลืมๆ แปบ”
ผมบอกแล้วรีบดูดนมในกล่องให้หมด แต่นมถั่วเหลืองที่เขื่อนเอามาให้ก็เยอะจนท้องจะแตกอยู่แล้วก็ยังไม่ถึงก้นกล่องเสียที ผมเลยคายหลอดดูดในปากออกเพื่อจะวางมันไว้ก่อน แต่เขื่อนกลับดันมือผมไม่ให้ทำตามต้องการ ผมเลยขมวดคิ้วด้วยความฉงน
“น่าเกลียด” เขื่อนพูดแบบนั้นแล้วขยับตัวเข้ามาติดกระดุมเสื้อให้ผมแทน
“อะไรของมึง”
“คราบนมในปากมึงอ่ะน่าเกลียด”
ผมเบิกตาโต รีบใช้ลิ้นกวาดรอบโพรงปากตัวเองเพื่อจัดการคราบนมแบบที่เขื่อนบอกทันที เห็นสีหน้าเหยเกของคนตรงหน้าพร้อมกับท่าทีไม่ยอมสบตาก็ตัดสินกับตัวเองว่ามันคงทุเรศจริงๆ นั่นแหละ
แค่คิดว่ามีคราบนมสีขาวขุ่นยืดออกมาจากปากแบบเด็กๆ แต่ตัวเท่าควายแถมเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ขนทั้งร่างของผมก็ชวนกันลุกชันในทันที
“ขอโทษ” ผมบอกอย่างสำนึกผิด ยอมปล่อยให้เขื่อนค่อยๆ ดันกระดุมสีใสเข้ารังดุมที่ละเม็ดอย่างช้าๆ
กว่าจะเสร็จก็หลายนาที ผมไม่รู้ว่าเขื่อนมันจะอ้อยอิ่งไปไหน นิ้วเย็นชืดของมันก็ขยันแตะมาโดนหน้าอกหน้าท้องของผมจนสะดุ้งโหยงไปหลายรอบจากความเย็น ผมรีบดูดนมกล่องในมือจนหมด ในขณะเดียวกันกระดุมเม็ดสุดท้ายก็ถูกกลัดเรียบร้อยแล้ว
“ขอบใจมึง” ผมบอก เดินไปโยนกล่องน้ำบุบบี้ลงถุงดำแล้วก้าวดุ่มๆ ตามหลังคนตัวสูงที่ดูเงียบลงไปอย่างน่าแปลก
เขื่อนพาผมเดินไปที่อาคารจอดรถด้านหลัง ด้วยความที่เป็นคอนโดหรูซึ่งลูกค้าล้วนเป็นคนมีชื่อเสียงและร่ำรวยเงินทอง (ซึ่งแม่กับพ่อผมช่วยกันผ่อนเลยไม่มีปัญหาเรื่องเงิน แต่ถ้าผมเป็นคนจ่ายคงไม่มีปัญญามาอยู่ที่นี่) ทำให้ด้านหลังถูกสร้างขึ้นมาเป็นอาคารจอดรถเล็กๆ ขนาดสี่ชั้น เพื่อสะดวกต่อเหล่าลูกค้าที่มีรถยนต์ส่วนตัวกันอยู่แล้วแทบทุกห้อง
รถยนต์สีดำทรงสปอร์ตเงาวับอยู่ที่จอดประจำหมายเลขห้อง ผมคุ้นตาดีเพราะเคยได้นั่งมาตั้งแต่เบาะยังไม่ลอกพลาสติกออก ผมเปิดประตูเมื่อเจ้าของปลดล็อคให้ กลิ่นน้ำหอมภายในชวนให้ย่นจมูกอยู่หน่อยๆ อาจเพราะเขื่อนเพิ่งเปลี่ยนเป็นอันใหม่กลิ่นมันเลยยังฉุนจมูกไปนิด ผมเอนหลังพิงเบาะหนังสีน้ำตาลอย่างสบายตัว รูดเข็มขัดนิรภัยมาคาดก่อนจะถือวิสาสะกดเปิดวิทยุเพื่อฟังเพลง
“ไกลป่ะ”
“แถวรามอินทรา”
“รถติดตายชัก”
“ถึงได้รีบออกไง” เขื่อนว่าแบบนั้นก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนรถออกจากซองจอด ผมมองวิวต่างๆ ผ่านกระจกด้านข้าง อีกฝั่งของถนนมีรถสัญจรมากแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาแค่หกโมงครึ่ง โชคดีที่เส้นทางของพวกเราคือย้อนออกไปนอกตัวเมือง เขื่อนจึงไม่ต้องเมื่อยขาเหยียบเบรกหยุดรถบ่อยๆ
กว่าจะมาถึงสตูดิโอที่นัดไว้ก็ราวๆ ชั่วโมงเศษ ผมกระโดดลงมาจากแคมรี่สีดำ จัดเสื้อผ้าที่ยับย่นจากการไถไปกับเบาะรถให้เรียบร้อย ก่อนจะรีบก้าวขานายแบบขายาวชะรูดที่เดินล้วงกระเป๋าเข้าไปโดยไม่รอ
“นัดคุณวัชรไว้ครับ” เขื่อนหยุดคุยกับพนักงานต้อนรับ ก่อนจะได้รับการเชื้อเชิญให้เดินตามพนักงานผู้หญิงอีกคนที่เข้ามาทำหน้าที่นำทาง
สตูดิโอนี้เป็นสถานที่ไว้สำหรับเช่าถ่ายภาพ ดูจากด้านนอกน่าจะมีประมาณห้าชั้น แบ่งออกเป็นห้องทั้งกว้างและใหญ่ตามราคา รวมถึงการตกแต่งภายในที่มีหลากหลายแนวมากๆ
ผมกวาดสายตามองด้วยความสนใจ สำหรับช่างภาพแล้ว นี่คือการเก็บข้อมูลที่ดีอย่างหนึ่ง ผมมองการตกแต่งตั้งแต่ที่เคาท์เตอร์ต้อนรับ จนเดินมาขึ้นลิฟต์และหยุดอยู่หน้าห้องๆ หนึ่งในชั้นสูงสุดด้วยดวงตาแพรวพราว และเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับสถานที่ที่ถูกเซ็ตไฟและช่างกล้องมีชื่อเสียงคนหนึ่งในประเทศไทย หัวใจผมก็เต้นราวจะหลุดออกมาจากอก
“พี่วัชร?” ผมพึมพำชื่อผู้ชายมีอายุที่ยืนเช็คกล้องอยู่กลางห้องเบาๆ
เขื่อนหันมามองก่อนจะอมยิ้มขำ
“เป็นอะไรมึง ตาเป็นประกายเชียว”
“มึงไม่เห็นบอกว่าพี่วัชรเป็นตากล้อง” ผมหันไปมองคนด้านข้างอย่างคาดโทษ ถ้ารู้มาก่อนว่าเป็นช่างภาพคนนี้ คนที่ภพกดติดตามไอจีและแฟนเพจของเขาไว้และคอยกดไลค์อยู่ตลอด ผมคงเตรียมตัวเตรียมคำพูดที่ดีกว่านี้มาทักทายพี่เขา
ส่วนคนฟังกลับยักไหล่เหมือนนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่
“พี่วัชรถ่ายกูออกบ่อย”
“เขื่อน!” ผมโวยวายด้วยความอิจฉา แต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อทีมงานภายในห้องหันมาเห็นแล้วเอ่ยทักทายนายแบบหน้าสวยของเรา
“เขื่อน มานั่งรอก่อนๆ” พี่ผู้หญิงรูปร่างท้วมเล็กน้อยกวักมือเรียก ผมยกมือไหว้ในขณะที่เขื่อนเพียงแค่โบกมือทักทาย ทุกอย่างสลับกันราวกับผู้ชายข้างๆ หยิบเอาเชื้อลูกครึ่งในตัวผมออกไปจนหมด
“นี่... ผู้จัดการ?” พี่คนนั้นเดินเข้ามาหาและยิ้มทักผมอย่างสงสัย
“เพื่อนครับ” เขื่อนเป็นคนตอบ ผมยกมือสวัสดีเขาอีกรอบก่อนจะแนะนำตัวเอง
“ไผ่ครับ”
“นี่คบแต่เพื่อนหน้าตาดีเหรอริมเขื่อน”
พวกเขาหัวเราะ ในขณะที่ผมยิ้มแห้งๆ
พวกเราถูกจัดให้นั่งรอที่มุมหนึ่งของสตูฯ เพราะนายแบบอีกคนกำลังเดินทางมา มีทีมงานบางส่วนเข้ามารุมแต่งหน้าให้เขื่อนในระหว่างรอ ส่วนผมก็ลอบมองพี่วัชรที่ได้ยกมือไหว้ไปแล้วหนึ่งรอบแต่ไม่กล้าเข้าไปคุยอะไรมาก ท่วงท่าของผู้ชายวัยกลางคนที่กำลังยกมือสั่งทีมงานให้จัดแสงไฟตามต้องการดูดีไปหมด ผมยิ้มเขินๆ เมื่อรู้ตัวว่าอยู่ใกล้ไอดอลเพียงแค่เอื้อมมือ
“ออสตินมาแล้วค่ะ ทีมงาน!”
ผมหันไปทางประตูพร้อมๆ กับผู้คนในสตูดิโอทั้งหมด
เกิดความวุ่นวายเล็กๆ เมื่อทีมงานประมาณสามคนรีบจัดที่เพื่อแต่งตัวให้นายแบบคนที่สอง ผมหรี่ตาเพ่งมองคนที่ได้ชื่อว่า ‘จีบรีมเขื่อน’ ด้วยความสนใจ และเมื่อผู้ชายคนนั้นปรากฎตัว ดวงตาผมก็เบิกกว้างแทบถลนออกมาจากเบ้า
ฝรั่งร่างสูง กล้ามแขนเป็นมัดแน่นกับเส้นผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นที่ถูกเซ็ทปัดข้างมาอย่างดี หนวดเคราบนหน้าเสริมให้เขาดูหล่อเหลาเป็นอย่างมาก รวมถึงดวงตาสีฟ้ากระจ่างที่ขนาดผมยังอดจ้องมันไม่วางตา
ราวกับร่างกายถูกแช่เข็ง หัวใจของผมบีบรัดอย่างประหลาด โดยเฉพาะในตอนที่ริมเขื่อนเดินออกมาจากห้องแต่งตัวในชุดแบบชาวจีนโบราณ ผมยาวสยายเต็มกลางหลังพร้อมใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มออกมาขับความงามให้โดดเด่น ร่างสูงโปร่งภายใต้ชุดรุ่ยร่ายสีขาวสะอ้านเดินเข้าไปทักทายผู้มาใหม่ด้วยความสนิทสนม
“Hi”
“Hey, Babe” คิ้วของผมกระตุก เมื่อหนุ่มฝรั่งร่างใหญ่คนนั้นยกยิ้มกว้างแล้วทักทายริมเขื่อนด้วยคำว่า Babe
เมื่อทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ผมถึงได้รู้สึกว่าหนุ่มต่างชาติคนนั้นตัวสูงใหญ่สมชาติพันธ์ เขื่อนที่สูงกว่าผมหลายเซนต์ยังอยู่ในระดับจมูกของเขา ร่างกายก็คล้ายบอบบางลงมากเมื่อเทียบกับกล้ามเนื้อแน่นหนันและไหล่กว้างใต้เสื้อยืดสีดำรัดรูป ผมกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นข่มอารมณ์หวงน้องเล็กๆ ในอก
ตอนมัธยมเขื่อนจะคบผู้หญิงคนไหนต้องมาบอกมาให้ผมแสกนก่อนเสมอ แต่ในปัจจุบัน ความสนิทสนมที่หายไปขยายช่องว่างระหว่างเราให้มากขึ้น ผมเผลอรู้สึกไม่ดีกับความคิดตัวเองที่ว่า ชีวิตของเขื่อนไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมอีกแล้ว เขาจะคบจะรักจะชอบใคร ผมไม่อาจเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจได้อีก
หัวใจผมเจ็บปวดกับความเหินห่างที่ตัวเองไม่เคยมองเห็นมันเลยจนกระทั่งในวันนี้ ที่ผมไม่มีสิทธิ์แม้จะโวยวายห้ามไม่ให้เขื่อนคบใคร
ผมกลายเป็นแค่คนสนิทในอดีต ที่เหลือแค่ความเป็นเพื่อนที่มอบให้แก่กัน
“ไผ่ เป็นอะไร” ใครบางคนในชุดสีขาวหมดจด ช่วงเอวคาดทับด้วยผ้าขลับด้ายทองเป็นรูปกระเรียนกางปีนบิน เส้นผมถูกเสยขึ้นโชว์หน้าผากทว่าก็ปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง เป็นริมเขื่อนที่ไม่รู้มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาแตะมือลงบนบ่าของผมอย่างเป็นห่วง
ผมกลืนน้ำลายลงคอ เงยหน้ามองเพื่อนหน้าสวยแล้วยิ้มให้แทนคำตอบ
“คนเมื่อกี้ ที่จีบมึง?”
เขื่อนยิ้มแหยๆ ก่อนตอบ “อืม”
“คุยๆ กันอยู่เหรอ”
“เปล่านะ!” เขื่อนรีบตอบเสียงดังอย่างลนลาน
“กูเห็นสนิทกัน”
“ไม่ใช่นะไผ่ ถ่ายแบบด้วยกันบ่อยเฉยๆ”
ผมหัวเราะท่าทางร้อนรนจนเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า โบกมือไล่คนที่แต่งตัวเสร็จแล้วไปรอเข้าฉาก เพราะออสตินก็เพิ่งเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อเมื่อสักครู่
ทหารอเมริกากับหนุ่มงามเมืองจีน
ผมมองเข้าไปในฉากที่เป็นเพียงโซฟาสไตล์เก่าๆ ด้านหลังเป็นฉากไม้โดยมีภาพวาดภูเขาและน้ำทะเลแขวนอยู่ เขื่อนในวันนี้นับว่าเป็นชายงามล้ำ หากเขาเกิดในยุคสมัยโบราณจริงๆ ก็คงนับว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง ใบหน้าสวยถูกปรับให้นิ่งเฉยและเย็นชา ในมือมีพัดน้ำงามโบกเบาๆ
ร่างสูงใหญ่ของชายชาติทหารก้าวเข้ามาโดยมีปืนกลเบาปลอมในมือ ออสตินไม่ได้สวมหมวกจึงสามารถมองเห็นดวงตาสีอ่อนน่าหลงใหลของเขาได้อย่างชัดเจน
ผมมองความแตกต่างที่ลงตัวอย่างประหลาดด้วยอารมณ์ที่แตกต่างจากตอนแรก แม้จอภาพจะคอยฉายรูปที่คุณวัชรถ่ายโชว์เรื่อยๆ แต่ผมกลับมองมันโดยไม่ตื่นเต้นอีกแล้ว
อะไรกันความรู้สึกนี้
ไอ้ความรู้สึกหวงแต่ทำอะไรไม่ได้นี่คืออะไรกันนะ
ผมต้องยอมรับให้ได้ว่า ริมเขื่อนโตแล้วและไม่ใช่น้องตัวเล็กๆ ของผมอีกต่อไป ต่อให้ตอนนี้ผู้ชายสองคนในฉากจะใกล้ชิดกันเกินพอดี แขนแกร่งสอดโอบเอวของเขื่อนแล้วกระชับให้ร่างทั้งสองแนบสนิทกัน ใบหน้าของพวกเขาหันไปมองสบตา พร้อมฝรั่งร่างยักษ์ที่โน้มหน้าเข้าใกล้พร้อมหลับตาพริ้ม เคลิบเคลิ้มกับกลิ่นหอมจากกายผู้ชายในอ้อมแขน
เพราะเป็นถ่ายแบบโฆษณาน้ำหอมชื่อดังที่มีคอนเซปต์ว่าเข้าได้กับทุกเพศทุกเชื้อชาติ จึงเน้นที่ความแตกต่างของนายแบบและท่วงท่า เมื่อได้สูดดมแม้คนตรงหน้าจะเป็นชายก็ย่อมสยบต่อความยั่วยวนน่าหลงใหลของน้ำหอมกลิ่นนี้
ผมมองความใกล้ชิดของพวกเขาทั้งสองคน
มองใบหน้าที่โน้มเข้าหากันเรื่อยๆ มองริมเขื่อนที่ยังคงตีหน้าเย็นชาแต่พยายามผลักหน้าอกของอีกฝ่ายให้ออกห่าง มองการรุกรานที่ไม่ค่อยจะแนบเนียนเท่าไหร่แต่ก็ไม่มีทีมงานคนไหนเอ่ยคัดค้าน เท่านั้นยังไม่พอ ผู้หญิงหลายคนยังแอบเก็บภาพแล้วคุยกันด้วยความระริกระรี้
ผมพ่นลมหายใจอีกครั้งด้วยความจนใจต่อความรู้สึกหวงน้องของตัวเอง
กว่าจะเสร็จเซ็ตแรก ผมก็คล้ายจะขาดอากาศหายใจตาย เขื่อนรีบผลักร่างของคู่นายแบบออกจากตัว ก่อนจะก้าวยาวๆ มาหาผมจนแทบจะวิ่งอยู่รอมร่อ
“ไผ่!”
“อะไรของมึง”
“มันไม่มีอะไรจริงๆ นะ”
“กูว่าอะไรยัง” ผมถามยียวน “ไม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหรอ”
“ใส่ชุดเดิม เขาจะเปลี่ยนฉากเฉยๆ”
ผมพยักหน้า มองเลยร่างสูงโปร่งของเพื่อนตัวเองไปด้านหลัง ออสตินกำลังเดินยิ้มเข้ามาหา เขาสบตากับผมก่อนจะผงกหัวทักทายเล็กๆ
“เขื่อน” สำเนียงไม่ชัดจนแทบฟังไม่ค่อยออกว่าเรียกชื่อเขื่อน แต่คนตรงหน้าผมก็ยังหันไปราวกับคุ้นชิน เขื่อนขยับตัวเข้ามายืนข้างๆ ผม เบียดจนงงว่าเป็นอะไรของมัน
“นี่ใคร” ออสตินถามด้วยภาษาอังกฤษ ผมที่ไม่ได้มีปัญหากับภาษาบ้านเกิดของแม่ก็เลยโพล่งแนะนำตัวออกไปอย่างเป็นมิตร แม้จริงๆ อยากจะเกรี้ยวกราดแล้วบอกว่าอย่ามายุ่งกับน้องเขื่อนของผมนะใจจะขาด
“ไผ่ครับ เป็นเพื่อนของเขื่อน”
ริมเขื่อนอ้าปากพะงาบๆ เหมือนอยากแย้งอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา
“ผมออสติน” เขาบอกพร้อมยื่นมือมาหมายจะจับทักทาย
ผมตอบรับด้วยการยื่นมือกลับไป เขย่าสองสามทีก่อนจะรีบชักกลับมาเก็บไว้บนตัก ออสตินเลิกสนใจผมในทันที เขาหันกลับไปมองหน้าคนสวยที่ยืนตัวบิดไปมาอย่างอยู่ไม่สุข
“ตอนเที่ยงไปทางข้าวด้วยกันไหมครับ” ออสตินถามเสียงนุ่ม
“ไม่สะดวกครับ ผมมากับไผ่” เขื่อนก็ปฏิเสธอย่างว่องไวเช่นกัน
ผมไม่สอดเข้าไปบอกว่าไม่เป็นไร มึงไปได้แน่นอน
ไอ้ความหวงน้อง สายเลือดบราค่อนในตัวมันถ่วงปากผมอยู่
“ชวนเพื่อนของคุณไปด้วยก็ได้”
เขื่อนมองผม ก่อนจะขยับตัวเข้าไปกระซิบบางอย่างใกล้ๆ คู่สนทนา
ออสตินหันมามองหน้าผมแล้วขมวดคิ้ว เขาชี้นิ้วมาพลางร้องถามเสียงดัง
“เขาเหรอ!?”
“ครับ หวังว่าจะเข้าใจ” เขื่อนตอบ แต่ออสตินกลับยักไหล่
“แต่ผมก็ยังมีสิทธิ์นะ”
ผมมองริมฝีปากกระจับบางที่บดเข้าหากันอย่างอึดอัดใจ เขื่อนดูเหมือนคนพยายามระงับโทสะแล้วฉีกยิ้มฝืดๆ ออกมา เขานั่งลงเบียดผมอีกครั้ง ยื่นแขนมาโอบไหล่กันก่อนจะกระชากตัวผมเข้าไปแสดงความสนิทชิดเชื้อ
“ผมว่าคุณไม่มี”
“...?” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่ แต่แค่เขื่อนปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างจริงใจ หัวใจเหี่ยวแห้งของผมก็คล้ายกับได้รับการรดน้ำชุ่มฉ่ำ
ผมยังเป็นคนสำคัญของริมเขื่อนอยู่สินะ
คิ้วที่ขมวดเป็นปมแน่นของผมค่อยๆ คลายออก ก่อนที่อารมณ์จะเบิกบานขึ้นมาเล็กน้อย
“นายแบบเข้าประจำที่ด้วยค่ะ”
เสียงเรียกของทีมงานทำให้บทสนทนาถูกตัดจบลง เขื่อนกับออสตินต้องเดินเคียงกันไปเข้าฉากที่ถูกเซ็ทให้เป็นผ้าม่านโปร่งแสงสีแดง ด้านหลังมีประตูกระจกที่วางภาพทิวทัศน์จากตึกสูงไว้ด้านหลัง ริมเขื่อนถูกขยับสาบเสื้อให้ย่นลงมาจนเผยแผงอกขาว เสื้อผ้าดูหลุดรุ่ยกว่าเดิม เซ็กส์แอพพีลของเขาก็ยิ่งสาดโครมออกมาจนหัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ
ร่างสูงโปร่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เอียงข้างทอดสายตามองวิวด้านนอก ในมือมีขวดน้ำหอมถือเอาไว้ ในขณะที่ออสตินอยู่ที่ฝั่งของเฟรม ซึ่งถูกจัดให้ดูเหมือนคนละห้อง มีแผ่นไม้กั้นไว้ตรงกลาง หนุ่มฝรั่งถอดเครื่องแบบด้านบนออกจนเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวด้านใน นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้นวมสีน้ำตาลอ่อน เหม่อมองออกไปราวยังคิดถึงกลิ่นหอมที่เคยได้ดอมดมไม่เลิกรา
จากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อชัตเตอร์ลั่นไปนับสิบ ริมเขื่อนยังยืนอยู่ที่เดิม ในขณะที่คนตัวสูงใหญ่เดินเข้าไปร่วมในฉากเดียวกัน ยืนเคียงข้างด้วยรอยยิ้มกว้าง ในขณะที่คนเย็นชาก็ยังแสดงอารมณ์ออกมาได้เป็นอย่างดี
ยั่วยวนแต่ก็ไกลเกินเอื้อม
นิยามของเขื่อนในสายตาผมเป็นเช่นนั้น
คล้ายจะเชื้อเชิญ แต่ก็ผลักไสให้ออกห่าง
ราวกับราชินีผู้สูงศักดิ์ที่ออสตินเป็นได้เพียงทหารรับใช้ที่สมควรนั่งก้มหน้าอยู่แทบฝ่าเท้า
ผมมองดวงตาคมสวยที่ปรายตามองคนร่วมเฟรมอย่างเย็นชา มือก็พรมน้ำหอมลงบนต้นคอพร้อมเชิดหน้าขึ้นโชว์เรียวคอระหงส์ เสื้อผ้าที่รุ่มร่ามของเขาปกปิดกล้ามแขนแน่นอย่างคนชอบต่อยมวยได้เป็นอย่างดี เขื่อนดูราวกับภาพวาดหนุ่มงามในตำนาน ผู้ที่สามารถล่มเมืองได้เพียงรอยยิ้มเดียว
“เปลี่ยนท่าครับ” พี่วัชรตะโกนบอก ทีมงานรีบเข้าไปบรีฟท่าที่ต้องการ ผมเห็นริมเขื่อนสายหน้า ต่างจากออสตินที่ยิ้มกว้างตาพราว
“ใช้มุมกล้องช่วยนะคะ ไม่ต้องห่วง”
เขื่อนถอนหายใจยาวเหยียด แอบเหลือบตามามองผมอย่างกังวลใจ
ผมยิ้มให้ แม้จะไม่รู้ว่าสายตาราวหมาน้อยที่เพิ่งพังห้องมานั้นคืออะไรก็ตา
พวกเขาทั้งสองคนขยับไปนั่งบนโซฟาที่อยู่อีกฝั่งของไม้กั้น ออสตินทิ้งตัวลงบนที่วางแขน ในขณะที่เจ้าบงใบหน้างดงามนั่งลงบนโซฟาในระยะที่ไม่ไกลกันนัก
ริมเขื่อนถอนหายใจอีกครั้ง แต่เมื่อพี่วัชรให้สัญญาณว่าจะถ่ายแล้ว เขาก็ปรับอารมณ์ตัวเองกลับมาอย่างว่องไว เขื่อนเงยหน้ามองคนที่นั่งสูงกว่า ที่ข้างตัวมีขวดน้ำหอมจัดวางไว้อย่างสวยงาม ส่วนออสตินก็ยื่นมือมาเชยคางสวยของอีกคนไว้ โน้มหน้าเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าหลงใหลคลั่งใคล้
ผมกลืนน้ำลายเมื่อจมูกของพวกเขาชนกัน
“เฮ้ย” และก็เผลอร้องลั่นเสียงดัง เมื่อริมฝีปากของทั้งสองฝ่าย... ประกบกัน!
____________________
Talk: มาดึกมากๆ เลยค่ะ แง้
พอดีวันนี้วันเกิดเรา เลยออกไปฉลองกับครอบครัวมา กว่าจะได้กลับมาปั่นก็ดึกแล้ว
เอาแล้วๆๆๆๆ เขื่อนคนสวยของเรา จะตกไปเป็นเมียชาวบ้านไหม มาลุ้นกัน!