บทที่ 16
ผมต้องขยายเรื่องรักเรื่องใคร่ในชีวิตต่อหน้าเหล่าผู้พิพากษาทั้งสามคน ซึ่งกำลังกอดอกจับจ้องมาที่ผมด้วยความตั้งใจ โดยเฉพาะพี่อ้อยที่ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับรู้ทันไปเสียทุกเรื่อง
“ตั้งแต่เมื่อไหร่” ใครสักคนถามผมที่เอาแต่ก้มหน้าเล่นชายกางเกงอย่างเขินอาย
ผมไม่อยากพูดเลย ให้ตาย
“ไอ้สกาย”
“พี่...” ผมงอแงเสียอ่อย ทำปากยื่นปากยาวหวังจพได้รับความเห็นใจ แต่พี่ยุทธกลับลากคอผมเข้าไปกอดแล้วสั่งสอนด้วยการขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิง
“เล่ามา เร็วๆ มัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ เดี๋ยวข้าก็เลื่อนคิวทำเพลงเอ็งหรอก”
ผมเม้มปาก สูดหายใจก่อนจะยอมเล่าออกมาแบบครึ่งๆ กลางๆ
“ก็... หลายอาทิตย์แล้ว”
“มึงขยายด้วยสิวะไอ้นี่”
“มันยังไม่มีอะไรอ่ะพี่ ก็คุยๆ กันเฉยๆ โฬมเขาก็บอกว่าชอบผม”
“แล้วสกายล่ะ ชอบโฬมไหม”
ฮือออ ผมไม่อยากตอบคำถามนี้ของพี่เมฆเลยครับ
หน้าผมร้อนขึ้นมาอย่างง่ายๆ แต่ก็ยังเก็บงำความจริงไว้ไม่ยอมบอก ผมยังไม่พร้อมจะพูดอะไรอีกออกไป อีกอย่าง ถ้าความรู้สึกพวกนี้ชัดเจนในตัวมันเองเมื่อไหร่ ผมคิดว่าโฬมควรเป็นคนแรกที่ได้ฟังมัน
มันอาจดูงี่เง่าไร้สาระ แต่ผมคิดว่าแบบนั้นคงดีกว่า
คำว่า ‘สำคัญ’ ไม่ว่าจะคนสำคัญ หรือเรื่องสำคัญ ใดๆ ก็ล้วนต้องพิเศษกว่าใครเขา
“สกายไม่ตอบว่ะพี่” พี่อ้อยหันไปปรึกษากับพี่ใหญ่ในทีม คนตัวอ้วนเลิกเสื้อโชว์พุงมองผมก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พี่ยุทธลูบหนวดที่เริ่มยาวแล้วของตนเบาๆ อย่างครุ่นคิด
“ที่เอ็งพูดเรื่องจูบตอนนั้น... คนนี้เหรอวะ”
ผมพยักหน้าเล็กๆ แต่ก็ชัดเจนในคำตอบ
“เฮ้ยๆๆ”
“สกายยยย!”
“อะ อะไรพี่”
“จูบไปรึยัง!?”
“อื้อ” ผมตอบในลำคออีกครั้ง ก่อนจะม้วนหน้าตัวเองเข้าไปสบกับเข่าที่ชันขึ้นมากอด ตัวผมแดงแจ๋ไปหมด ใบหูก็ร้อนฉ่าจนแทนไหม้
เมื่อไหร่พี่ๆ เขาจะหยุดถามสักที ผมทำตัวไม่ถูก
เกิดมาเคยแต่เป็นฝ่ายคาดคั้นคนอื่น ไม่เคยต้องมาเป็นฝ่ายถูกสัมภาษณ์แบบนี้มาก่อนเลย แถมคำถามมันก็ออกจะ... น่าอายเกินไป
ผมไม่มีหน้าไปบอกใครเขาหรอกนะ ว่าตัวเองเป็นคนปล้ำจูบคนอื่นก่อนน่ะ!
“จูบแล้วยังลีลาอะไรอีกอ่ะ” พี่เมฆชะโงกหน้าเข้ามาถามด้วยความสงสัย
ผมขมวดคิ้ว ก้มหน้าหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดคั้นอีกครั้ง ไม่เคยพบเจอกับความเขินอายที่มากเท่านี้มาก่อน ขนาดเดินสะดุดล้มกลางเวทีหรือตกบันไดกลางห้าง ผมยังไม่อายม้วนต้วนจนอยากระเบิดตัวตายแบบนี้เลย
โอ๊ย! ใจจะขาด
“ก็ ผมยังไม่รู้ว่าชอบจริงไหม”
“บ๊ะ! ไอ้เด็กน้อยนี่” พี่ยุทธตบเข่าฉาด ลากตัวผมให้ออกจากอาการขดม้วนเป็นก้อน ล็อคคอผมไว้อีกครั้งเพื่อให้ผมงยหน้าขึ้นมามองพี่ๆ อีกสองคนที่เลย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าด้านหลังมีพี่ตัวใหญ่ล็อคไว้อย่างแน่นหนา ในขณะที่พี่เมฆกับพี่อ้อยก็ขยับตัวเข้ามาพร้อมมอบรอยยิ้มใจดีส่งมาให้
ผมไม่เชื่อใจรอยยิ้มพวกนี้ของพี่ๆ เขาเลยสักนิด
“เอ็งหวั่นไหวกับโฬมมันบ้างป่ะ”
“ก็มีบ้าง”
“เช่น?”
“ก็เวลาโฬมทำดีด้วยหรือเป็นห่วง มันก็ใจเต้น...”
“แล้วไงต่อ”
“ผมก็ไม่รู้! ผมไม่เคยมีความรัก” ผมร้องลั่น หลบดวงตาทั้งสามคู่เป็นวัน ทำไมต้องมาโดนรุมแบบนี้ด้วยเนี่ย เก่งกาจยังไม่เคยคาดคั้นผมให้พูดละเอียดยิบขนาดนี้เลยนะ ให้ตาย!
“สกายรังเกียจไหม ตอนจูบกับโฬม” พี่อ้อยถามขึ้นมาบ้าง
ผมกัดปาด ส่ายหน้าเบาๆ “ก็ไม่ได้รังเกียจครับ”
“แล้วเวลาเขาหึงหวง รู้สึกอึดอัดไหม?” พอจบคำถามแรก คำถามที่สองก็แล่นเข้ามาทันที ผมหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปตามสิ่งที่กลั่นกรองออกมาได้
“ไม่ได้อึดอัด ผมชอบด้วยซ้ำ แต่มันก็กังวลอ่ะพี่เวลาเขาบอกว่าหึงเพื่อนผม”
“แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นโฬมไปเล่นไปกอดคนอื่น สกายจะหึงไหม”
“...”
โอเค ผมคิดตามที่พี่เขาพูด และรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเต้นผิดจังหวะไปหลายรอบ
ถ้าโฬมไปเล่นกับคนอื่น ไปกอดกับคนอื่นแบบที่ผมทำ
ภาพอ้อมแขนแสนอบอุ่นสอดเข้าไปกระชับเอวใครสักคนที่ผมไม่รู้จัก รอยยิ้มนุ่มนวลกับลักยิ้มบุ๋มลึกที่ไม่ได้มอบให้ผมแค่คนเดียว หัวใจผมเหวี่ยงตัวเองเล่นราวอยู่บนรถไฟเหาะ ก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นดังปั่ก
“ผมไม่แน่ใจว่ามันคือหึงไหม แต่คงเสียใจ”
ใช่ ผมไม่ได้มีความรู้สึกอยากกระชากโฬมออกมาแบบที่เขาเคยบอกผม
แต่ความหน่วงที่จุกอกอยู่นี้สามารถกลั่นเป็นก้อนน้ำตาได้หลายหยดเลยทีเดียว
“ชอบมันก็ไปบอกมัน” พี่ยุทธพูดครั้งสุดท้ายก่อนจะยอมปล่อยผมออกจากพันธนาการ ผมยันตัวเองกลับมานั่งขัดสมาธิ จัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้กลับเข้าที่เข้าทาง
“อย่างนี้คือชอบเหรอพี่”
“เด็กน้อย” พี่เมฆส่งสายเอ็นดูมาให้ผม ก่อนจะขยับเข้ามาตบบ่าแปะๆ “แบบนี่เขาเรียกชอบแล้วเว้ย”
ผมเม้มปากทำท่าคิด แต่ดูพี่ๆ เขาจะได้เสือกจนพอใจแล้วถึงค่อยๆ ทยอยลุกกลับไปทำงาน พี่ยุทธเป็ฯคนแรกที่ลากสังขารไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง คว้าเดโม่เพลงของผมไปเปิดไฟล์ในคอมก่อนหันมากระดิกนิ้วเรียกลูกทีมทั้งสองคนเพื่อปรึกษางาน
ผมนั่งมองพวกเขาเรียบเรียงพร้อมปรึกษาเรื่องงานอีกหลายอย่าง จนกระทั่งถึงเวลาอันควรที่ต้องกลับแล้วผมจึงบอกลาพี่ๆ แล้วเดินไปขึ้นรถด้วยความคิดที่ยังตีรวนอยู่ในหัวไม่หาย
โอเค ผมรู้ ผมยอมรับว่าความรู้สึกที่มีต่อโฬมมันมาถึงขั้นที่ชอบพอกัน
แต่การที่ใครสักคนจะคบกันในฐานะคนรัก มันควรเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่านี้ไหมนะ
อย่างเก่งกาจก็เคยบอกผมว่าความรักกับความชอบมันแตกต่างกัน ถึงแม้จะเป็นจุดเริ่มต้นของกันและกัน เมื่อชอบเราจะอยากได้และครอบครองเขา แต่เมื่อเรารัก เราจะอยากให้และเสียสละ
ผมไม่ค่อยเข้าใจมันนัก เพราะความรักแบบคนรักมันแตกต่างจากการรักเพื่อนรักครอบครัว
ช่างมันเถอะ ผมคิดว่าเวลาคงช่วยให้ผมเข้าใจมันในไม่ช้านี้
ขากลับก่อนถึงคอนโดผมแวะร้านตัดผมสักหน่อยตามแพลนที่วางไว้เมื่อเช้า ยื่นรูปทรงผมกับสีที่ต้องการให้ช่างประจำทำก่อนจะหมกตัวอยู่ในนั้นราวๆ สามสี่ชั่วโมงจนโทรศัพท์ร้องเตือนแบตจะหมด ผมที่ผมดำมาตลอดชีวิตเลือกเปลี่ยนไปย้อมสีบลอนด์สว่างทั้งหัวด้วยความสะใจ
หน้าม้าถูกซอยไม่ต่างจากทรงเดิมเท่าไหร่ อีกทั้งช่างยังไดร์เซ็ตให้มันดูยุ่งๆ อย่างจงใจ ผมฉีกยิ้มมองใบหน้าตัวเองในกระจกทั้งซ้ายและขวาก่อนจะหันไปคุยกับพี่สาวกล้ามโตที่แม้มีกายเป็นชายแต่ใจอ่อนหวานยิ่งกว่าหญิงสาวคนไหน
“ผมชอบมากเลยครับ”
“น้องสกายทำผมสีนี้หน้าหวานขึ้นตั้งเยอะ เห็นไหม พี่บอกให้เราทำตั้งนานแล้ว”
“ตอนนั้นต้องถ่ายเอ็มวีนี่ครับ ผมจะแบ๊วไปด้วยแรปไปด้วยได้ยังไง” ผมหัวเราะเสียงดัง
คอนเซปต์เพลงแรปของผมมันจะค่อนไปทางเสียดสีและสะท้อนสังคม ภาพลักษณ์ในเอ็มวีของผมก็จะต้องเท่ ดาร์คๆ หน่อยตามบีทเพลงที่ทั้งกระแทกกระทั้นทั้งหนักหน่วง ยิ่งซิงเกิลล่าสุดที่ผมพูดถึงปีศาจในหัวใจมนุษย์ ผมนี่ถึงขั้นต้องให้ช่างแต่งหน้าไล้กล้ามแขนให้ด้วย เพราะต้องใส่เสื้อกล้ามกับผ้าปิดปากที่โคตรเท่
“แล้วทำไมตอนนี้ทำได้แล้วล่ะ อย่าบอกนะว่าเลิกแรปแล้ว!!”
“ไม่ใช่พี่ ไม่ใช่ แต่รอบนี้ผมทำเพลงสไตล์เบาๆ เลยอยากถือโอกาสเปลี่ยนลุคบ้าง” ผมบอกพร้อมแตะๆ หัวตัวเองเล่นด้วยความถูกอกถูกใจ “เห็นนักร้องเกาหลีทำผมแบบนี้แล้วสาวชอบ”
“ก็จริง พี่ยังชอบเลย” พี่ช่างทำผมพูดแล้วมองผมตาพราวระยับ จับตัวผมหมุนไปหมุนมาก่อนจะร้องโวยวายด้วยน้ำเสียงมีความสุข “น้องสกายเหมาะกับอะไรแบบนี้มากกว่าตั้งเยอะ”
“พี่ว่าน่ารักพอยัง” ผมชี้หน้าตัวเองพร้อมพูดติดตลก
“น่ารักแล้วจ้า น่ารักที่สุดแล้วลูกเอ้ย” พี่เขาคว้าผมเข้าไปกอดจนหน้าจมลงไปกับกล้ามอกแน่นปั่ก “พี่อยากขยำเราแล้วกลืนลงท้องแล้วเนี่ย”
“ใจเย็นครับ” ผมหัวเราะ
“พี่ลดให้ครึ่งราคาเลยน้องสกาย”
“เฮ้ยพี่ ไม่เป็นไร”
“พี่ปลื้มใจ อยากจับเราย้อมผมสีสว่างตั้งนานแล้ว ในที่สุดความหวังพี่ก็เป็นจริง” เป็นอย่างที่พี่เขาพูด ตั้งแต่ผมมาตัดผมที่นี่จนกลายเป็นเจ้าประจำ พี่เขาก็ขยั้นขยอให้ผมย้อมผมทั้งสีเทา สีทอง สีขาว สีชมพู และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ผมก็ปฏิเสธตลอดเพราะยังต้องรักษาภาพลักษณ์ความเท่ในตัวเอาไว้
ถ้าถามว่าทำไมตอนนี้ผมถึงยอมสลัดคราบเท่ๆ คูลๆ ตรงนั้นไป ก็ต้องตอบว่าเพราะผมอยากให้งานเพลงล่าสุดที่ทำกับโฬมนี้เป็นมาสเตอร์พีชจริงๆ
มันควรมีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม
เหมือนอย่างที่ผมเปลี่ยนสไตล์การร้อง เปลี่ยนสไตล์ดนตรีและเพลงไปหมดเพื่อให้เพลงนี้กลายเป็นทั้งเพลงรักและเพลงเสียดสีสังคมไปในตัว ผมอยากซ่อนสกายคนเก่าไว้ในกรอบที่โมขึ้นมาใหม่ ย้อมทั้งตัวผมและผลงานผมด้วยความแตกต่าง เพราะเพลงคราวนี้กล่าวถึงการหลบซ่อนและปิดกั้นความรักที่คนในสังคมยังไม่ยอมรับ ต้องสวมหน้ากากยิ้มแย้มทั้งที่ทรมานกับคำดูถูก คำล้อเลียน และการทำร้ายความรู้สึก
มันเป็นนัยแฝงที่ไม่ได้ต้องการให้คนอื่นเข้าใจ
และอีกนัยหนึ่ง ก็คือผมได้กลายเป็นสกายคนใหม่ที่ต้องการจะก้าวเดินไปข้างหน้า พานพบกับสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาตลอดชีวิตยี่สิบกว่าปีที่เกิดมา
ทั้งเรื่องสีผม ทั้งเรื่องหัวใจ...
ผมกับเก่งกาจนัดกันมากินปิ้งย่างด้วยกันที่ร้านแถวๆ ที่พักของมันเอง ด้วยความที่ผมมีรถและเพิ่งได้กลับคืนมาจึงต้องเป็นฝ่ายถ่อสังขารไปหาเพื่อนผู้บางวันดีบางวันร้าย อยู่ๆ เมื่อคืนเก่งกาจก็ส่งข้อความมาบอกว่า ‘ขอเนื้อย่างเยียวยากูที’ ผมเลยต้องตอบตกลงและพาตัวเองมาโผล่ที่ใต้หอพักของเก่งกาจในวันต่อมา
แต่คราวนี้ผมไม่ได้มาคนเดียว
“ฟ้าครับ ผมไปเซเว่นแปบนะ”
ครับ มีโฬมติดรถมาด้วย
เพราะด้วยความที่วันนี้ผมพาโฬมเข้าไปบริษัทเพื่อแนะนำให้ประธานและพวกพี่ยุทธรู้จัก รวมถึงคุยเรื่องค่าจ้างและรายละเอียดอื่นๆ หลังจากนั้นก็เป็นผมเองที่ชวนเขาออกมากินปิ้งย่างด้วยกัน
ผมเห็นว่าโฬมเองใช้ชีวิตตัวคนเดียวมากเกินไป เพื่อนสนิทของเขาก็อยู่ต่างประเทศ มันไม่ดีเลยกับคนที่เจอเรื่องร้ายๆ มาแล้วยังล้างออกไม่หมด ผมคิดว่าอย่างน้อยเก่งกาจถึงแม้จะชีวิตบัดซบ (ตามคำที่เก่งนิยามตัวเองไว้) แต่ก็เป็นเพื่อนและแหล่งเชื้อเพลิงความสุขที่ดีคนหนึ่ง
ด้วยความเฟรนด์ลี่และพูดมากของมัน อย่างน้อยๆ ก็น่าจะช่วยให้คนตัวสูงหายเหงาบ้าง
ผมกดโทรหาเก่งกาจหลังจากโฬมลงจากรถเข้าเซเว่นไป ได้ความว่าอยู่ชั้นล่างแล้วกำลังเดินมาผมก็ตัดสายทิ้งไป และไม่นานทั้งเก่งกาจและโฬมก็เดินมาหาผมที่รถในเวลาไล่เลี่ยกัน
“หวัดดีครับ” เป็นเพื่อนผมที่ยกมือทักทายก่อน “เป็นพี่ใช่ไหม ผมต้องเรียกคุณว่าพี่ไหม”
“ไม่เป็นไรครับ ฟ้าก็ไม่ได้เรียกผมว่าพี่” โฬมยิ้มอย่างเป็นมิตร แม้มันจะดูเป็นมิตรน้อยกว่าปกติก็ตาม เก่งกาจขยับออกห่างจากผมที่ออกมายืนร่วมวงสนทนาด้วยเมื่อกี้ทันที
“ผมชื่อเก่งกาจ เรียกว่าเก่งก็ได้ เป็นเพื่อนสนิทไอ้สกายมัน”
“โฬมครับ” คนที่อายุมากที่สุดตอบรับคำทักทาย
ผมเกิดละอายขึ้นมาเล็กๆ เมื่อพูดเรื่องอายุเรื่องคำเรียก
นั่นสินะ หรือผมควรเรียกเขาว่าพี่กัน
แต่ก็รู้จักกันมานานเกินกว่าจะกลับตัวแล้ว ให้อยู่ๆ ผมโพล่งเรียกเขาว่า มันก็ออกจะกระดากปากอยู่บ้างเหมือนกัน
พวกเราทั้งสามเดินออกจากซอยเลาะไปตามทางแคบเพื่อไปยังร้านปิ้งย่างที่เคยมากินกับเก่งสองสามที เป็นร้านติดแอร์เล็กๆ ที่คนเยอะพอสมควรเพราะแถวนี้มีแต่หอพัก
โชคดีที่ยังมีที่ว่างเพราะเพิ่งห้าโมงครึ่ง ผมทิ้งตัวลงนั่งฝั่งเดียวกับเพื่อน ปล่อยให้โฬมนั่งสบายๆ คนเดียวไป แต่เก่งกลับเอาแต่เหยียบเท้าผมพร้อมถีบให้ออกไปห่างๆ
“ไอ้สกาย ไปนั่งนู่น”
“อะไรของมึงเนี่ยเก่ง”
“มานั่งเบียดกูทำไม อึดอัด”
ผมเบ้ปาก ตอนแรกว่าจะดื้อไม่ฟัง แต่เก่งก็ทั้งดันทั้งถีบจนผมยอมย้ายสารร่างไปนั่งข้างๆ โฬมด้วยใบหน้าบูดบึ้ง พอเงยหน้ามองเพื่อนรักก็เห็นมันถอนหายใจอย่างโล่งอก
อะไรของเก่งกาจอีกเนี่ย
“ทางร้านมีสองเซ็ตนะคะ มี 239 บาทสำหรับเนื้อหมู และราคา 259 จะมีพวกเนื้อเพิ่มมาด้วยค่ะ”
“โฬมทานเนื้อไหมครับ”
“ทานครับ”
“งั้นเอาเซ็ตเนื้อครับ” ผมหันไปตอบพนักงานที่ยืนยิ้มรับออเดอร์
“รับน้ำอะไรดีคะ”
“ของผมเอากระเจี๊ยบ” ผมบอกและทิ้งจังหวะให้คนอื่นสั่งบ้าง โฬมลอกผมในขณะที่เก่งกาจต้องน้ำโค้กซ่าแสบลิ้น
พนักงานหญิงโค้งหัวให้เมื่อเก่งกาจกรอกตัวเลขในกระดาษออเดอร์และยื่นให้ เมื่อร่างเล็กๆ นั้นเดินพ้นสายตาไปบนโต๊ะก็เริ่มเปิดบทสนทนาทันที
เก่งกาจผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ พ่วงมาด้วยความสามารถในการหาเรื่องคุย
“พี่โฬม”
มันเรียกพี่!
ผมอ้าปากค้าง มองเพื่อนอย่างไม่เชื่อสายตา
ตอนคุยกับผม ตอนแชทด้วยกัน ไม่เห็นมีคำว่าพี่เลยสักนิด แถมเมื่อกี้โฬมก็บอกเองว่าไม่ต้องเรียกพี่ ทำไมเก่งกาจถึงได้ทำแบบนี้ ความละอายในใจยิ่งขยายใหญ่ในอกหนักเข้าไปอีก
“ครับ?”
“ผมซื้อนี่มาฝาก” เก่งกาจยื่นถุงพลาสติกขนาดเอสี่ข้ามโต๊ะมาให้ ผมขมวดคิ้วมอง ก่อนจะพึงระลึกได้ว่ามันคืออะไร ร่างกายไปไวกว่าความคิด ผมตะครุบถุงใบนั้นมากอดไว้ แย่งมาจากมือโฬมเลยด้วยซ้ำ
จะว่าไร้มารยาทก็ได้ แต่ของสิ่งนี้ต้องห้ามตกไปอยู่ในมือผู้ชายข้างๆ ผม
“ฟ้า?”
“ไอ้สกาย!”
ผมเม้มปากก้มหน้าหนี พยายามทำเมินสายตาสองคู่ที่มองมาอย่างกดดัน
อย่าครับ อย่าบังคับผม
“สกายมึง เอาให้พี่โฬมเร็วเลย กูซื้อมาให้พี่เขา”
ผมเหลือบมองหน้าเก่งกาจที่ดูเหมือนจะจริงจัง แต่ผมรู้ มันกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง ต่างจากโฬมที่ขมวดคิ้วมองผมด้วยความสงสัย เขาสอดมือเข้ามาทำท่าจะแย่งถุงใบนั้นออกไป แต่ผมกลับขยับตัวหันหนี
“ฟ้าครับ?”
“โฬมอย่าดูเลยนะครับ”
“ทำไมล่ะครับ”
ผมตอบไม่ถูก ในขณะที่เก่งกาจหลุดขำออกมาแล้ว
เก่งนะเก่ง!
“ฟ้าครับ ขอผมหน่อยนะ”
ผมส่ายหน้ารัวๆ
“ไม่ดื้อนะครับ”
ทำไมช่วงนี้ผมถึงชอบโดนดุว่าดื้อกันนะ
ผมเหลือบตามองโฬม รอยยิ้มของเขาดูดสติผมอีกแล้ว เหมือนครั้งแรกที่เราเจอกันผมก็ชอบจ้องหน้าเขานิ่งๆ จะตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน
โฬมค่อยๆ บังคับผมทางอ้อมด้วยสีหน้าของเขา ดึงถุงพลาสติกในอ้อมแขนออกไปช้าๆ โดยที่ผมทำได้แค่เบ้ปากแล้วตวัดตาไปคาดโทษกับเพื่อนสนิทที่ฉีกยิ้มกว้าง หรรษาสุดชีวิต
โฬมดึงนิตยสารในถุงออกมา จังหวะนั้นผมรีบก้มลงดูดน้ำที่พนักงานเอามาให้อึกๆ จนหมดแก้วในรวดเดียว คนข้างๆ ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ แต่พลิกหน้าหนังสือดูช้าๆ ส่วนเก่งกาจก็ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนผมอดหันไปมองคนข้างกายไม่ได้
ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ยิ้มแย้มเท่าไหร่ พร้อมทั้งหัวคิ้วก็ขมวดกันยุ่งเหยิง แต่ดวงตาสีน้ำตาลกลับค่อยๆ พิจารณารูปในนั้นอยู่นานสองนาน จนผมกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคออย่างยากลำบาก
ก็ภาพในนิตยสารมันเป็นการถ่ายแบบที่ผมรับงานด้วยความคะนอง เสื้อผ้าที่สวมมีแค่กั๊กหนังตัวเดียวไม่ติดกระดุม โชว์แผงอกจนไปถึงหน้าท้องที่ไร้กล้ามของผม ทรงผมสีดำสนิทตอนนั้นก็ถูกทำให้ดูคล้ายเปียกน้ำมา ช่างแต่งหน้ากรีดตาให้ผมจนคมกริบ รวมถึงทาปากด้านในแดงระเรื่อ
ผมมีรอยแทททูที่ติดชั่วคราวบนหน้าอกข้างขวาและท้องแขน ท่วงท่าที่ถ่ายก็เน้นอินเนอร์เซ็กซี่จนพอตัวเองมาดูรูปจริงๆ ก็เกิดรับไม่ได้ขึ้นมา
ผมไม่คิดว่าตัวผมเองจะกล้ากัดปากทำหน้าเหมือนอยากถูกกลืนลงท้องแบบนั้นลงไปได้
ตอนที่ถ่าย พี่ๆ ทีมงานกับช่างภาพบิ้วกันอยู่นาน รวมถึงไม่ได้มีผมเป็นนายแบบคนเดียว มันจึงเหมือนเป็นความท้าทายที่ผมต้องทำมันให้ได้
แต่นั่นไม่ใช่ทีเด็ด
ทีเด็ดคือภาพสุดท้ายของเซ็ต ที่อยู่หน้ากลางของนิตยสาร
ภาพที่ใหญ่ที่สุด และทำให้ผมเขินจนไม่ซื้อนิตยสารเล่มนี้มาเก็บไว้ในห้อง
รูปนั้นเป็นรูปที่ผมพาดเสื้อกันหนาวไว้บนบ่า เนื้อตัวท่อนบนไม่มีอะไรปกปิด ช่วงล่างก็โหลดต่ำจนเห็นขอบกางเกง ผมยังทรงเดิม แต่ที่แย่คือกล้องดันช้อนมาจากมุมต่ำ ซึ่งผมนั่งแหกแข้งแหกขาอยู่บนโซฟาหัวโล้นสีดำ
ไรขนอ่อนที่ล่างสะดือผมโคตรชัด
ถ้ารู้ว่ามันชัดขนาดนี้ ผมจะโกนมันก่อนไปถ่าย!
ก็ตอนดูผ่านจอมอนิเตอร์ ผมเขินเลยมองผ่านๆ เห็นว่าหน้าตัวเองไม่น่าเกลียดก็กดเลื่อนๆ ไป ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วมันจะชัดขนาดนี้ โชคดีที่กางเกงตัวใหญ่จนส่วนที่ไม่น่ามองไม่เด่นขึ้นมา
ไม่งั้นผมคงเขินหนักกว่านี้อีก ให้ตาย
“ฟ้าครับ ไปถ่ายตอนไหนเหรอ”
ทำไมเสียงโฬมถึงไม่นุ่มนวลอีกแล้วล่ะครับ
ผมเม้มปาก จ้องหน้าเก่งกาจที่ค่อยๆ เอาเนื้อลงไปย่างบนกระทะไม่หันมาสนใจผมเลยสักนิด ก่อนจะจำใจต้องหันไปหาคนที่เดี๋ยวนี้ดุเก่งจนผมหงอหัวหดหมดแล้ว
“ตั้งนานแล้วครับ แต่เขาเพิ่งตีพิมพ์”
“รับงานแบบนี้ด้วยเหรอครับ”
“ตอนนั้นผมอยากลอง” ผมยิ้มแหยส่งไปให้
โฬมถอนหายใจเล็กๆ ขยี้ศีรษะผมอย่างจนใจก่อนจะเก็บนิตยสารเข้าถุงแล้วหันมายิ้มปลอบให้กัน
“ขยันทำให้หวงจังนะครับ”
โฬมก็ขยันทำให้ใจเต้นจังนะครับ
ผมสวนในใจ หยิบตะเกียบแย่งเนื้อที่สุกบนเตามากิน ไม่สนใจเก่งกาจที่โวยวายเพราะมันเป็นคนเอาลงมาย่าง
“ขอบคุณนะครับเก่ง” โฬมหันไปพงกหัวให้เพื่อนของผม ในขณะที่ผมแย้งเงียบๆ ว่าไม่เห็นต้องไปขอบคุณเลย เก่งกาจก็แค่อยากแกล้งให้ผมอายเท่านั้นแหละ
“ไม่เป็นไรครับ” คนตรงข้ามก็ยิ้มรับด้วยความเต็มใจ
ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตักเนื้อเข้าปากรัวๆ เพราะทำอะไรไม่ได้
“แล้วพี่โฬมก็ไม่ต้องหึงไอ้สกายกับผมนะพี่” เก่งกาจโพล่งประเด็นนี้ขึ้นมา เรียกความสนใจทั้งผมทั้งโฬมที่กำลังคีบเอาเนื้อดิบลงไปย่างในเตาอยู่ “ถ้าผมจะชอบมัน ผมชอบตั้งแต่เจอมันใหม่ๆ แล้วพี่”
“ไม่ให้หึงนี่ห้ามยากนะครับ” โฬมตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ถ้อยคำตรงเผงนี่มันคืออะไรกัน
“เว้นผมไว้คนนึงเถอะ ผมมีคนที่ชอบแล้ว”
“หืม?”
“มันเป็นเพื่อนผมมาตั้งหลายปี อาจจะเล่นถึงเนื้อถึงตัวไปบ้าง แต่มันไม่มีอะไรหรอกนะพี่”
โฬมยิ้ม ตั้งใจฟังเก่งกาจพูด ในขณะที่ผมไม่กล้ามองหน้าคนทั้งคู่เพราะในบทสนทนานั้นเป็นเรื่องตัวผมเองล้วนๆ จะเข้าไปแทรกก็ไม่ได้ จะเดินหนีไปก็ทำไม่ได้อีก
ผมไม่เข้าใจว่าเก่งจะชวนคุยเรื่องนี้ตอนนี้ทำไม มากินปิ้งย่างก็ควรกินสิ
“เดี๋ยวผมช่วยพี่คุมประพฤติมันด้วยเลยเอ้า”
“เก่ง” ผมปราม แต่เก่งกาจกลับหันมายักคิ้วให้สองจึ้ก
บทสนทนาจบลงแค่นั้นเพราะโฬมไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมบรรจงตัดเนื้อย่างใส่จานของคนข้างตัวเพื่อให้เขาเลิกสนใจคำพูดเก่งเสียที ในขณะเดียวกันก็เป็นผมเองที่ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ จนถึงประเด็นคนที่เก่งชอบและทำไมถึงต้องมาให้ปิ้งย่างเยียวยาจิตใจ
“เซ็งดิ คนที่กูจีบอยู่เขาไม่เล่นด้วยสักนิด”
“ใครอ่ะ คนที่ร้านเฮียเต็ม?”
“เปล่า”
“อ้าว”
“คนนั้นเขามีเมียแล้ว กูไม่ยุ่งกับคนมีเจ้าของ”
ผมส่ายหน้า เก่งกาจดูเหมือนคนเจ้าชู้เลยนะถ้าไม่ได้รู้อะไรๆ ในชีวิตมันแบบที่ผมรู้ เป็นคนที่เปลี่ยนคนคุยคนควงเป็นว่าเล่น แต่อันที่จริงคือคนอื่นต่างหากที่เล่นๆ กับมัน ตัวมันเองจริงจัง พร้อมที่จะสานสัมพันธ์ตลอด แต่สุดท้ายพอจบเรื่องบนเตียง ก็กลายเป็นตัวมันอีกนั่นแหละที่โดนฟันแล้วทิ้ง
สงสารเพื่อนก็จริง แต่ผมช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ
และพอพูดเรื่องความรักแสนช้ำของเก่งกาจ โฬมก็คล้ายจะกลับเข้ามาร่วมบทสนทนาด้วยทันที เพราะเป็นเรื่องที่พวกเขาน่าจะเข้าใจกันเป็นอย่างดี แม้โฬมจะไม่ได้เปลี่ยนคนรักบ่อยขนาดเก่ง แต่อย่างไรก็สังคมเดียวกัน
สังคมที่ผมไม่เข้าใจ แต่ก็คิดว่ามันน่าเศร้าไม่น้อยเลย
ผมไม่ได้หมายถึงสังคมเพศทางเลือกหรืออะไรนะครับ แต่ผมหมายถึงตรรกะของคนที่พวกเขาทั้งสองพานพบมาต่างหาก ความไม่จริงจังและไม่ต้องการสานต่อคล้ายเป็นทางเส้นขนานกับความรักแบบที่พวกเขาต้องการไขว่คว้า ผมยัดเนื้อเข้าปากแล้วมองหน้าทั้งเพื่อนสนิททั้งเพื่อนร่วมงานด้วยความเห็นใจ ไม่ได้เอ่ยอะไรแทรกเข้าไปเพราะกำลังปล่อยให้เสือสองตัวผลัดกันเลียแผลรักษาใจให้แก่กัน
ดูท่าแล้วการมีคนเข้าอกเข้าใจในความทุกข์ที่ตนเจอ คงพอเรียกรอยยิ้มที่ออกมาจากใจของทั้งสองคนได้บ้าง ไม่มากก็น้อยล่ะนะ
ท้องผมตึงเปรี๊ยะเลยปล่อยให้โฬมเป็นคนขับกลับมาที่คอนโด วันนี้ผมอนุญาตให้เขามาค้างอีกแล้ว ด้วยความที่ว่าผมอิ่มมาก และโฬมก็น่าจะอิ่มไม่ต่างกัน
อีกเหตุผลก็น่าจะเพราะเขาไม่ใช่คนนอกสำหรับผมอีกแล้วล่ะมั้ง
ผมลากตัวเองเข้ามาในลิฟต์ด้วยความลำบาก พลางบ่นกระปอดกระแปดตลอดทางว่าหายใจไม่ออก อยากล้วงคออ้วกออกมาเอามากๆ เพราะตอนที่เกิดสงครามแย่งเนื้อบนเตา ผมดันหยิบออเดอร์มาสั่งเพิ่มไปเยอะมากด้วยความหน้ามืดตามัว สุดท้ายก็ต้องรับผิดชอบในส่วนที่ตัวเองสั่ง
และนั่นแหละครับ ท้องจะแตกตายเอา
“โฬมอาบน้ำก่อนก็ได้นะครับ ผมขอพักก่อน” ผมบอกแขกของตัวเองเมื่อก้าวเข้ามาในห้องนอน ทิ้งร่างลงนั่งบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่
ทรมานที่สุด ให้ตาย
“ฟ้าไหวไหม”
ผมส่ายหน้า ตีพุงดังป๊องโชว์
“โฬมอิ่มๆ ก็นั่งพักก่อนนะ อาบน้ำตอนจุกๆ เดี๋ยวท้องอืด” ผมบอก ร่างสูงเลยทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง ซึ่งห่างจากเก้าอี้ของผมไม่เท่าไหร่
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างยากเย็น เนื่องจากกระเพาะเต็มไปด้วยอาหารมากเกินไป โฬมก็ดูทรมานไม่ต่างกันเพราะเขาต้องเสียสละช่วยผมจัดการเนื้อล็อตสุดท้าย โดยมีเก่งกาจยิ้มให้กำลังใจอย่างร้ายกาจ
“อ๋อ ผมลืมคุยเรื่องนี้กับโฬมเลย”
“เรื่องอะไรครับ?”
“เอ็มวีน่ะครับ โฬมว่าไปถ่ายที่ไหนดี”
“จะถ่ายนอกสถานที่เหรอครับ”
“ใช่ๆ ผมคุยกับประธานแล้ว งบไม่เยอะมากอาจจะไม่มีทีมงานดูแลความสะดวกสบายนะครับ” ผมบอกเขาไว้ก่อน เพราะค่ายของผมถึงแม้จะมีส่วนแบ่งในตลาด แต่ก็ไม่ใช่ค่ายยักษ์ใหญ่อะไรนัก อีกอย่างผมชินกับระบบงานที่ทำเอง คิดเองแล้วเอาไปเสนอแบบนี้ด้วย จึงไม่เป็นไรถ้าสุดท้ายตอนไปถ่ายเอ็มวีจะมีทีมงานไม่กี่คนไปช่วยถ่ายทำ
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาเลยครับ” โฬมยิ้มให้ผม “ฟ้าอยากได้ที่แบบไหน ทะเล ภูเขา หรือสวนดอกไม้?”
“ผมชอบภูเขานะ แต่คงถ่ายทำยากไปหน่อย”
“ทะเลดีไหมครับ ไปรีสอร์ทที่ระยอง ชายหาดส่วนตัวจะได้เงียบหน่อย”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย “โฬมมีที่แนะนำไหม”
“ผมไม่ได้ไปทะเลระยองนานแล้วด้วย”
“จากกรุงเทพฯ นี่ขับรถไประยองนานไหมครับ” ผมถามพลางคิดคำนวณในใจ
เคยไปก็แต่ตอนมหา’ลัยรับน้อง ซึ่งการขับรถใหญ่ทำให้กินเวลาไปตั้งสี่ชั่วโมง ซึ่งผมคิดว่าถ้าเป็นรถยนต์น่าจะเร็วกว่านั้น แต่ก็กะไม่ถูกเช่นกันว่าประมาณเท่าไหร่
“สองสามชั่วโมงครับ”
“อืมมม” ผมลูบคางขณะครุ่นคิด “ไว้เราไปสำรวจสถานที่กันไหมครับ ผมอยากเลือกด้วยตัวเอง อยากไปเห็นกับตาด้วย”
“ไปกันสองคนเหรอครับ”
เอ๊ะ
ผมสะดุ้งกับประโยคคำถาม หันไปสบกับดวงตาเป็นประกายระยิบระยับด้วยหัวใจที่เต้นระรัว นั่นน่ะสิ ชวนไปแบบนี้ก็ไม่ต่างจากไปเที่ยวด้วยกันเลยแหะ
ผมเม้มปาก แต่ก็พยักหน้าตอบไปเป็นการยืนยัน
“สองคนครับ”
“ฟ้าจะชวนเพื่อนไปด้วยก็ได้นะ” โฬมคงเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผม เขาถึงพูดขึ้นมาแบบนั้น แต่ผมกลับปฏิเสธประโยคนั้นของโฬมไป
“เก่งไม่ไปหรอกครับ มันทำงาน”
“อ๋อ”
“อีกอย่าง...”
“...”
“ผมอยากไปกับโฬม...
สองคน”
________________________________
Talk: ตอนแรกจะหายไปอีก 2-3 วันอย่างที่มาแจ้งไว้ข้างบน
โปรเจคส่งอาทิตย์หน้าแล้วค่ะ เครียดมากเลยเพราะบัคเต็มไปหมด

มันทำให้เราปรับอารมณ์ตัวเองมาเขียนไม่ได้จริงๆ
แต่ว่าเจ้าสกายตอนนี้แต่งทิ้งไว้ได้ประมาณครึ่งนึง
ยังไม่ได้อัพ #เขื่อนคนสวย ด้วย แต่ลัดคิวมาลงก่อน
มาหากำลังใจจากคอมเม้นต์คนอ่านด้วยค่ะ ฮืออออ ขอโทษที่ให้รอนะคะ
