จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | แจ้งข่าว + อวดปกค่า (01/08/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | แจ้งข่าว + อวดปกค่า (01/08/2020)  (อ่าน 79949 ครั้ง)

ออฟไลน์ FrozenSnow2019

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ฟ้าไม่น่ารักแบบนี้ พี่โฬมต้องทำโทษด้วยน้า

ออฟไลน์ k00_eng^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-2
สนุกมากเลย ฟ้าน่ารักมาก
ชอบโฬมอ่ะ

ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
บทที่ 14




“ฟ้าครับ ตื่นได้แล้วนะ ถึงแล้ว”

แรงสะกิดที่หัวไหล่พร้อมเสียงเรียกทำให้ผมค่อยๆ รู้สึกตัว ใครบางคนยังเรียกผมอยู่เรื่อยๆ พร้อมเขย่าตัวกันไม่แรงนัก ผมลืมตาปรือปรอยขึ้นมอง ภาพตรงหน้าพร่าเบลอไม่น้อย ทั้งยังโคลงเคลงราวกับอยู่บนเรือกลางทะเลกว้าง

ผมเห็นสันกรามสวยก่อนเป็นอย่างแรก ยกมือขยี้ตาเบาๆ เมื่อทุกอย่างซ้อนทับกันเป็นสามชั้น ศีรษะปวดหนักจนไม่อาจผงกขึ้นมาได้ ผมพยายามหรี่ตาเพ่งมองใครสักคนตรงหน้า เกือบนาทีกว่าดวงตาของผมจะจับได้ว่าภาพตรงหน้าคือใคร

“โฬม?” ผมถาม เสียงแหบพร่าราวคนขาดน้ำทั้งๆ ที่กรอกเครื่องดื่มมึนเมาลงท้องเป็นว่าเล่น พอขยับตัวเล็กน้อยโลกก็ราวกับเหวี่ยงกลับหัวพลิกคว่ำ ผมคลื่นไส้จนต้องทิ้งร่างพิงเบาะเหมือนเดิม ก่อนจะครางงึมงำอย่างไม่สบายตัว

“ไหวไหมครับ ให้ผมไปส่งไหม” ฝ่ามืออุ่นลูบลงมาบนหัว ผมมองสบกับดวงตาที่ตอนนี้กลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม เขายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนเหมือนเคย

ผมสูดหายใจ ตอนแรกจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่พอขยับตัวนิดเดียวหัวก็เหวี่ยงตกไปด้านข้างทันที จนต้องรีบร้อนคว้าไหล่กว้างที่ขยับเข้ามาช่วยประคองกันไว้แน่น

“ไป อึก ไปส่งก็ดีครับ” ผมบอกพร้อมกลืนบางอย่างที่เตรียมขย้อนออกมาลงคอไป

โฬมขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ยิ้มแล้วเมื่อเห็นผมมีสีหน้าไม่ค่อยดี

ร่างสูงดันให้ผมนอนเอนไว้ก่อนที่เขาจะลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาทางฝั่งข้างคนขับ ผมพยายามทำตัวไม่ให้เป็นภาระมากที่สุด พอเขาจับผมขยับไปทางไหน ผมก็โอนอ่อนไปตามด้วยความง่ายดาย โฬมยื่นยาดมมาให้ ส่วนผมก็รีบคว้ามาจ่อจมูกทันทีเพื่อคลายอาการคลื่นเหียนที่กำลังเผชิญอยู่

ให้ตายเถอะ เฮียเต็มก็ไม่ไว้ชีวิตกันเลยสักนิด

ดีหน่อยที่พอได้นอนผมก็คล้ายจะมีสติมากกว่าเดิม

ผมโอบแขนข้างซ้ายรอบลำคอของคนตัวสูงกว่า ส่วนโฬมก็สอดมือเข้ามาประคองเอวผม เขาปิดประตูแล้วล็อครถก่อนจะค่อยๆ พยุงผมเข้าไปในคอนโด

ระหว่างทางยาดมช่วยชีวิตผมไว้ได้หลายครั้งมาก ผมเลยยัดมันไว้ในรูจมูกโดยไม่เอาออกมา เพราะถ้าขาดมันไปแค่เพียงเสี้ยววิ ผมได้อ้วกออกมาจนหมดพุงแน่ๆ

“ชั้นไหนครับ”

ผมบอกเลขชั้นและเลขห้องไปโดยไม่สนใจความเป็นส่วนตัวอีกแล้ว

เราจะไม่ดื้อรั้นในตอนที่เราต้องการความช่วยเหลือ

ระหว่างอยู่ในลิฟต์ผมก็ควานหาคีย์การ์ดห้องให้กับโฬม พลางขออนุญาตเขาอย่างเกรงใจว่าขอพิงหน่อย เพราะผมไม่สามารถทรงตัวบนขาสองข้างที่อ่อนเปลี้ยของตัวเองได้อีกแล้ว

อยากทิ้งตัวลงไปนอนเสียเดี๋ยวนี้เลย ให้ตาย

“จะอ้วกไหมครับ”

ผมพยักหน้าเบาๆ สีหน้าไม่สู้ดีจนโฬมรีบพาผมเข้าไปในห้องน้ำทันที

ผมทิ้งตัวลงนั่งหน้าชักโครก หันไปบอกให้อีกคนออกไปก่อนเพราะไม่อยากให้เขาเห็นสภาพน่าอดสูของผมนัก แต่โฬมกลับเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆ แล้วเริ่มต้นลูบหลังผมเบาๆ

หลังจากมีการกระตุ้น ท้องไส้ผมที่ปั่นป่วนอยู่แล้วก็ได้ทีจัดการคายทุกอย่างที่กินไปออกมา ผมอ้วกจนหมดแรง แสบคอและดวงตาไปหมด น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย และลูกตาก็แดงก่ำจนโฬมรีบพาไปล้างหน้าแล้วลากไปนอนโดยเร็ว

ผมถูกวางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา แอร์ค่อยๆ ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นขึ้นจนไม่เหนียวตัวอีกแล้ว แต่ผมกลับยังเวียนหัวและโลกหมุนไม่เลิก

“เดี๋ยวผมไปแล้วนะครับ” โฬมที่ดูแลผมเป็นอย่างดีเดินเข้ามาห่มผ้าให้ ก่อนจะลูบหัวเบาๆ แล้วบอกลากัน แต่ผมกลับคว้าชายเสื้อยืดของเขาเอาไว้ ช้อนตามองด้วยดวงตาที่ยังแดงก่ำจนน่ากลัว

“กี่โมงแล้วครับ”

“ตีสี่แล้วครับ นอนได้แล้วนะ”

ผมมองใบหน้าอ่อนโยนพลางขบปากใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจกระตุกชายเสื้อของโฬมอีกครั้ง

“นอนที่นี่ก่อนก็ได้นะครับ ดึกแล้ว”

“...ฟ้าโอเคเหรอครับ?”

“โฬมอุตส่าห์ไปรับแล้วยังดูแล” ผมบอกเสียงเบาด้วยความอับอาย “ขับรถกลับตอนนี้... ผมเป็นห่วง”

“...”

“...”

“พูดแบบนี้ผมก็ไม่ยกโทษให้หรอกนะครับ”

“เอ๋?”

โฬมไม่พูดอะไรต่อ เขาจับมือผมออกจากเสื้อของเขาก่อนจะยัดมันกลับเข้าใต้ผ้าห่ม แต่ผมไม่ยอมเพราะกลัวเขาจะขับรถกลับบ้านเองจริงๆ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีบังคับให้ผมแข่งจ้องตากับเขาต่อไปจนกว่าจะได้คำตอบที่น่าพอใจ

“ฟ้าครับจะสว่างแล้วนะ”

“นอนด้วยกันนะครับ” ผมย้ำ “นะครับ”

“...”

โฬมแสดงสีหน้าแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาชะงักแล้วเบนศีรษะหนีไปทางขวา พลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ผมมองไม่เห็นว่าเขามีสีหน้ายังไงเพราะเส้นผมที่เริ่มยาวแล้วของโฬมตกลงมาปรกหน้าจนหมด

“อย่าไปเมาต่อหน้าคนอื่นอีกนะครับ”

“...?” ผมเลิกคิ้วด้วยความฉงน

โฬมถอนหายใจอีกที ขยับตัวมานั่งลงที่ข้างเตียงแต่ไม่ยอมหันหน้ามาสบตากันอยู่ดี

“เมาแล้วเป็นแบบนี้ กับใครก็ห้ามนะครับฟ้า”

ผมไม่เข้าใจ เลยยันตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อจับเข่าถกประเด็นน่างงงวยนี้อย่างจริงจัง แต่แอลกอฮอลล์ในกระแสเลือดที่ยังไม่หายไปไหนทำให้ผมเซไปเซมาเพราะโลกเหวี่ยวอย่างกับไวกิ้ง สุดท้ายก็เป็นโฬมที่เข้ามาช่วยพยุงผมอีกครั้ง ผมครางฮือ ซบหน้าลงบนหัวไหล่กว้างที่ยังมีกลิ่นหอมของสบู่อาบน้ำอยู่เลย

“หมายความว่าไงครับ”

“...” โฬมไม่ตอบอีกแล้ว เขาดันผมกลับลงไปนอน พอขึ้นๆ ลงๆ มันก็เวียนหัวจนผมต้องยอมปิดเปลือกตาเพื่อปรับให้สมองกลับมาเป็นปกติ ลำคอยังแสบร้อนจากการอาเจียนเมื่อกี้ไม่หาย ผมไม่อยากกอดชักโครกนอนหลับต่อหน้าโฬมหรอกนะครับ น่าอายจะตาย

คนตัวสูงเดินไปปิดไฟห้องนอนก่อนจะกลับมาสอดตัวลงนอนข้างๆ บนเตียง ผมเลยหันไปยิ้มตาหยีให้เพราะเขายอมทำตามคำขอของผม

“ขอบคุณนะครับ อึก” ผมบอก แต่ก็หลุดสะอึกไปหนึ่งทีเพราะลมตีขึ้นมาจ่อที่คอ

โฬมหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง วางมือลูบหัวผมเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ รู้สึกจะโดนลูบบ่อยแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ เมื่ออากาศเย็นฉ่ำกับผ้านวมอุ่นสบายกำลังชวนให้ผมกลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

ผมอ้าปากหาว หันตะแคงข้างแล้วสอดมือเข้าที่ใต้หมอน เป็นท่านอนประจำที่ทำให้ผมหลับสนิท แต่กลับไม่ยอมปิดเปลือกตาลงสักที เพราะเมื่อโฬมมานอนอยู่ข้างๆ นั้นทำให้ผมเห็นหน้าของเขาใกล้กว่าทุกที

ฤทธิ์น้ำเมาสามารถทำอะไรได้บ้าง นอกจากเหวี่ยงโลกทั้งใบให้หมุนจนน่าเวียนหัว

ผมไม่เคยพิสูจน์มันสักที รู้แค่เพียงว่ามันทำให้ผมมีความกล้าพอที่จะทำอะไรตามใจอยากของตัวเอง อย่างเช่นการขยับตัวเข้าไปจนระยะห่างระหว่างเราสองคนย่นระยะลงจนเหลือไม่กี่เซนต์

โฬมที่นอนหงายหันหน้ามามองผมด้วยความสงสัย


“ทำไมถึงไปรับผมเหรอครับ” ผมถาม ทั้งๆ ที่ดวงตากำลังจ้องริมฝีปากที่มองไม่ค่อยเห็นในความมืด

“คุณเต็มโทรไปเรียกครับ”

“รบกวนโฬมแย่เลย” ผมบ่นเบาๆ “จริงๆ ผมไปค้างห้องเก่งก็ได้”

“ฟ้าไปนอนห้องเพื่อนบ่อยเหรอครับ” ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นห้วนขึ้นมาถึงสามส่วน รวมถึงร่างสูงโปร่งที่หันตะแคงข้างมาจ้องหน้าผมอย่างจริงจัง

“ก็... บ่อยนะครับ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปแล้ว” ผมบอกไปด้วย อ้าปากหาวไปด้วย

“นอนเตียงเดียวกันเหรอครับ”

“อ๊ะ... ครับ”

“กอดกันปกติเหรอครับ”

“เอ่อ ก็ใช่ครับ...”

“แล้วเคยให้เขามาค้างที่ห้องไหมครับ”

“คะ เคยครับ” ผมย่นคอเมื่อใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาจนสันจมูกเราชนกัน คิ้วของโฬมขมวดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งริมฝีปากก็ไม่มีรอยยิ้มประดับอีกแล้ว เขาจ้องตาผมนิ่ง ความมืดทำให้ผมมองไม่เห็นประกายวาววาบที่กำลังเต้นเร้าอยู่ภายในลูกตา แต่อารมณ์ที่แปลกไปของโฬมนั้นผมสัมผัสได้อย่างชัดเจน

“โฬม?”

“เฮ้อ” ผู้ชายตรงหน้าถอนหายใจพรืดใหญ่ เขาซุกหน้าลงในหมอนใบโต ก่อนจะถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่สองพร้อมกับบ่นบางอย่างงึมงำในลำคอ

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

“เป็นสิครับ”

“อ๊ะ เป็นอะไ-”

“หึงครับ”

“...!”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเงยขึ้นมาสบ สะท้อนความจริงจังพร้อมน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคง คล้ายกับสิ่งที่พูดออกมานั้นคือความจริงแท้ไม่มีแต่งเติม

หัวใจของผมสั่นระรัว ราวกับจะกระเด้งหลุดออกมาจนต้องยกมือขึ้นกุมมันเอาไว้ ใบหน้าผมที่แดงอยู่แล้วกลับยิ่งแดงฉานมากกว่าเก่าเพราะความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกาย

ผมหลุบตาหนีดวงตาจริงจังคู่นั้น แต่โฬมกลับรั้งปลายคางไว้เพื่อไม่ให้ผมหันหน้าหนี

แอลกอฮอลล์ผลักดันให้ผมกล้าสบตากับเขาอีกครั้ง มันทำให้รู้ว่าคราวนี้โฬมเคลื่อนทั้งตัวและใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเก่า ลมหายใจของเขาตกกระทบริมฝีปากของผมอย่างจัง ผมกลั้นหายใจด้วยความตื่นตระหนก กวาดตามองซ้ายมองขวาล่อกแล่ก อาการมึนเมาคล้ายจะสร่างในทันทีที่กลิ่นลมหายใจของโฬมถูกสูดเข้ามาในร่างกาย

“ฟ้าครับ” เขาเรียกผมเบาราวกระซิบ ดึงมือผมให้ทาบลงไปบนอกข้างขวา สัมผัสอวัยวะภายในที่เต้นแรงไม่ต่างจากหัวใจผมเลยสักนิด

“เอ่อ...”

“ผมชอบฟ้านะครับ”

ตึก...ตัก

“ผมรู้สึกไม่ดีเวลาเห็นฟ้าไปกอดกับใคร ถึงคนๆ นั้นจะเป็นเพื่อนสนิทของฟ้าก็ตาม”

“ผม...”

“ผมหวงนะครับ”

ตึกตัก ... ตึกตัก

“ทั้งหึง ทั้งหวง” ฝ่ามือร้อนวางลงบนแก้ม เกลี่ยใต้ตาของผมเบาๆ

ผมกลืนน้ำลาย ไม่สามารถหลบดวงตาที่จ้องกันมาอย่างสื่อความหมายได้เลย ราวกับผมกลายเป็นปูนปั้นไปแล้ว เพราะร่างกายล้วนแข็งทื่อไปเสียทุกส่วน แม้จะกลืนน้ำลายยังทำได้ยากเย็น

“โฬม คือ...”

“ครับ?”

“ผมกับเก่งเป็นแค่เพื่อนกัน”

“ฟ้ากอดแน่นขนาดนั้น ถึงเป็นเพื่อนผมก็หึงนะ” โฬมยิ้มให้ผมแล้ว หัวใจผมคล้ายคลายแรงบีบรัดลงจนหายอึดอัด แต่มันก็ยังเขย่ารัวๆ ราวเกิดแผ่นดินไหวภายใน ผมกุมหัวใจตัวเองไม่เลิก คนตัวสูงหลุบตามองมือของผมก่อนจะอมยิ้มเล็กๆ “กับผมฟ้ายังไม่เคยกอดเลยนะ”

“...” ผมเงียบคิด

ไม่ใช่ว่าเขาอิจฉาหรอกเหรอแบบนี้

“โฬมอยากให้ผม...กอด?”

โฬมยิ้ม ไม่ยอมตอบอะไร แถมไม่พยักหน้าหรือขยับตัวสักนิด

ผมครุ่นคิดกับตัวเอง มองลึกเข้าไปในหัวใจที่กำลังหวั่นไหวแบบไม่ต้องสงสัย ค่อยๆ คลายมือออกจากอกข้างซ้ายแล้วเอื้อมไปโอบรอบเอวสอบใต้กางเกงขาสั้น ขยับตัวเข้าไปจนแผ่นอกของพวกเราแนบสนิทกันโดยสมบูรณ์

หัวใจผมเกิดความรู้สึกจี๊ดขึ้นมาจนต้องเบ้หน้า เหมือนมันถูกผูกไว้กับรถไฟเหาะ และในจังหวะที่กำลังดิ่งลงพื้นแบบเก้าสิบองศา มันก็หลุดออกมาแล้วลอยคว้างอยู่ในอากาศ อาการวูบวาบทำให้ตัวผมสั่น รวมถึงมือทั้งสองข้างที่ไม่กล้าแตะลงบนผิวหนังของโฬมแบบจริงจัง จึงทำได้แค่วางลอยๆ ไว้แบบหวั่นกลัว

“ผะ ผมกอดโฬมแล้ว...”

“แบบนี้ไม่น่าเรียกว่ากอดนะครับ” โฬมหัวเราะ ก้มลงมองมือของผมที่ไม่ได้วางทาบลงไปบนเอวของเขาด้วยซ้ำ เขาเลื่อนมือมาโอบรอบเอวของผมบ้าง แถมยังวางลงมาแบบเต็มๆ จนผมสะดุ้งโหยง

“อ๊ะ” ผมร้องเสียงหลงเมื่อร่างถูกกระชับเข้าไปในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น

ปากของผมชนเข้ากับแก้มของเขาอย่างแรง ใบหน้าของพวกเราแนบชิดกันมาก และด้วยระดับใบหน้าที่เท่ากัน ทำให้โฬมต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อให้พวกเราไม่แย่งอากาศกันหายใจ

ผมตัวสั่นระริก แต่ก็พยายามสูดหายใจระงับอารมณ์ แอลกอฮอลล์อาจสร้างความกล้า แต่ก็แถมมาด้วยความอ่อนไหวที่มากกว่าปกติ ผมคอนโทรลตัวเองไม่ได้อีกแล้ว คล้ายสมองมันขาวโพลนจนไม่อาจไตร่ตรองสิ่งใดได้อีก

โฬมลูบหลังผมเบาๆ กดหัวให้ผมซุกลงบนไหล่ของเขา

“นอนนะครับ ฟ้าจะสว่างแล้ว”

ผมเม้มปาก กลิ่นตัวหอมๆ ของเขายิ่งทำผมตาสว่างโร่

“โฬม...”

“ครับ?”

“ชอบผมจริงๆ เหรอ”

“ชอบสิครับ”

ผมนิ่งระงับหัวใจเพราะกลัวว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของมัน

“ผม... ยังไม่แน่ใจ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมรอฟ้าได้”

ผมกำเสื้อยืดของโฬมจนยับย่นหลังได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนกับประโยคนั้นของเขา

“โฬม...” ผมเรียกชื่อเขาอีกครั้ง

คราวนี้โฬมพ่นลมหายใจใส่หัวผม ก่อนจะตบหลังเบาๆ เป็นการปราม

“ทำไมไม่ยอมนอนครับ หืม”

“ผมยังมีเรื่องอยากถาม...”

“วันนี้เป็นเด็กดื้อเหรอครับ”

“...”

“ตั้งแต่ปล่อยตัวเองให้เมาเละเทะแล้วนะครับ”

“โฬม...”

“ว่าไงครับเด็กไม่ดี”

“ขอโทษครับ” ผมบอกเสียงหงอย กลืนประโยคที่อยากพูดจริงๆ ลงคอไปเพราะโฬมทำเสียงดุจนผมรู้สึกเหมือนเด็กกำลังโดนอบรม แม้บนหัวจะมีมืออุ่นลูบเบาๆ แต่ก็พอจะรับรู้ความไม่พอใจที่แผ่ออกมาจากตัวของคนข้างๆ ได้อย่างชัดเจน

“พรุ่งนี้ค่อยคุยเรื่องนี้นะครับ ผมคงต้องดุเสียหน่อย”

“ไม่ดุไม่ได้เหรอครับ” ผมถาม เงยหน้ามองเขาอย่างขอร้อง

“ถ้าไม่ดุ ฟ้าก็จะทำอีก”

“...” ผมเงียบเพราะพูดความจริง

สุดท้ายถ้าไปดื่มกับเพื่อนหรือคนรู้จักที่สนิทกันอีก ผมก็อาจจะปล่อยตัวให้เมาเละเทะอีกได้ เพราะเก่งกาจไม่เคยบ่นถ้าผมจะกลายร่างเป็นหมาให้มันแบกกลับห้อง อันที่จริงไม่เคยมีคนดุผมเลยสักครั้ง ยกเว้นเก่งกาจที่ชอบบ่นวุ่นวายไม่ได้สาระ

มีโฬมเป็นคนแรก...

หัวใจผมทั้งกริ่งเกรงทั้งอุ่นซ่าน หลากหลายอารมณ์วิ่งวนนับไม่ถ้วน แต่รวมๆ ก็ไม่ได้แย่นัก ผมกำลังมีความสุขกับสิ่งที่โฬมกระทำให้กัน แม้เขาจะบ่นผมอยู่ก็ตาม

“ถ้าคราวหน้าไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นคนอื่น อกผมคงแตกตาย”

“แต่ว่า...” ผมกำลังจะเถียง แต่คนในอ้อมแขนกลับส่งเสียงชู่ให้ผมหยุดพูด

“พรุ่งนี้ค่อยคุยนะ ตอนนี้นอนได้แล้วครับ”

“ผม...”

“ไม่นอนผมตีนะครับ”

ผมเบ้ปาก มุดหน้าลงบนอกของโฬมเพื่อหนีการลงโทษ

แปลกๆ แหะ ผมเป็นรองเขาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ให้ตายเถอะ

“แต่ว่า...”

“เมาแล้วนอกจากเรื้อนยังพูดมากอีกเหรอครับฟ้า”

“ผมอยากรู้นี่น่า” ผมทำเสียงอ่อย

“คำถามสุดท้ายนะครับ” โฬมดูอ่อนอกอ่อนใจกับผมเอามากๆ เลย

แต่ถ้าผมไม่ได้พูด ผมก็คงนอนไม่หลับจริงๆ นั่นแหละ

หัวใจผมบีบรัดแน่นตอนพยายามเค้นเสียงกลั่นออกมาเป็นประโยค ผมไม่ยอมเงยหน้ามองคู่สนทนา เอาแต่เบียดตัวใกล้ชิดอีกฝ่ายแน่นเพื่อกันตัวเองจากความเขินอาย

“โฬมว่า... ผมจูบเป็นยังไง”

“อะ อะไรนะครับ”

“ผมอยากรู้ ว่าจูบผมเป็นยังไง...” ผมบอกเสียงเบา ไม่รู้เขาได้ยินไหมเพราะมันติดอยู่ในลำคอไปแล้วครึ่งเสียง

“ฟ้า...” โฬมเรียกชื่อผม พยายามจะดันตัวผมออกมามองหน้าแต่ผมฝืนแรงต้านไว้

“แค่ตอบ...” ผมท้วง

“ฟ้าครับ”

“มันเป็นจูบแรก ผมอยากรู้”

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากประโยคนั้นถูกพูดออกไปจนจบ ร่างของผมถูกเหวี่ยงไปมาก่อนจะโดนทาบทับไว้ด้วยน้ำหนักที่มากจากผู้ชายตัวสูงที่ควรจะนอนอยู่ข้างๆ

โฬมกดบ่าผมติดเตียง โน้มหน้าลงมามองสบตากันผ่านความมืด

“จูบของฟ้าต้องดีสิครับ”

เขาหายใจแรงเหมือนกำลังตื่นเต้น ส่วนผมลืมวิธีการหายใจไปเรียบร้อยแล้ว

“อ๊ะ ครับ” ผมที่ทิ้งช่องว่างให้บทสนทนานานเกินไปสะดุ้งตอบเพราะเพิ่งคิดได้ ยื่นมือออกไปหมายจะผลักอกคนตัวสูงให้ขยับออกไปห่างๆ แต่โฬมกลับรวบข้อมือผมไว้แล้วกดมันลงจนขยับไปไหนไม่ได้อีก

“ฟ้าครับ”

“คือ...”

“แล้วจูบของผมเป็นยังไงสำหรับฟ้า”

ผมเม้มปาก ไม่กล้าตอบ

ดวงตาหลุบมองริมฝีปากสวยที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนต์

แรงดึงดูดนั้นยังชวนให้กดปากตัวเองลงไปเสมอ ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รั้งสายตาตัวลงไปที่ลูกกระเดือกของคนด้านบน

“ผม... ผม...”

“...”

“ผมชอบมั- อื้อ”


__________________________________-
Talk: มาแต่หัววันเชียวววว 55555555
พี่โฬมแกก็ดุน้องได้เท่านี้แหละ แต่กับนายเก่งกาจ ใครจาปัยรู้ววววว  :hao3:

จริงๆ คนเมา ถ้าไม่ได้วาร์ปไปเลย ก็มีสติกันทุกคน แต่รู้คิดไหมไม่แน่ใจค่ะ ฮา อ้วกแปบๆ ก็สร่างแล้วเนอะ
เผื่อมีคนสงสัยว่าทำไมน้องเมาแล้วยังพูดจ้อเป็นต่อยหอย
น้องสกายจะเรื้อนเวลาเมา แต่พอกรึ่มๆ จะกลายเป็นพูดไม่หยุดจนพี่จะตีก้นเอาแล้ว เอิ้ก

ฝากน้องไว้ในอ้อมใจเหมือนเดิม
เจ้าสกายเดินทางมาเลยครึ่งเรื่องแล้วเนอะะ  :katai2-1: :katai2-1:
อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ นะคะ ใครที่มาใหม่ก็ยินดีต้อนรับบ
ว่างๆ เม้นคุยกันก็ได้น้า รักทุกๆ คนเลย ฮึ้บบบบ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
อ่อยกันไปอ่อยกันมา คนบ้า!

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ฟ้า ตอบดีมาก

ออฟไลน์ FrozenSnow2019

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ลงโทษหนักๆเลยโฬม อิออ

ออฟไลน์ PandP

  • Déjame vivir esa fantasía.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-0
    • http://www.facebook.com/iAMpingPINGping
พี่โฬมจะใจแข็งดุน้องไหวเหรอออ 5555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ลงโทษเด็กดื้อไปเลยค่ะพี่โฬม

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น้องงงงงงงงงงง

ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
บทที่ 15



ราวกับมีผีเสื้อนับสิบบินวนอยู่ในช่องท้อง

ผมหายใจไม่ออก ร่างกายก็สั่นไปกับสัมผัสที่เคลื่อนไหวอยู่บนริมฝีปาก ในจังหวะแรกมันนุ่มนวลเนิบนาบ แต่เมื่อทุกอย่างค่อยๆ โหมกระพือ ก็คล้ายว่าโฬมจะยิ่งบดเบียดปากผมลงมาด้วยจังหวะที่ดุดันมาขึ้น

เขาขยี้ลิ้นของผมจนเจ็บ ทั้งขบทั้งกัด ดูดเม้มและสอดลิ้นเข้าไปดึงดันอย่างเอาแต่ใจ ฝ่ามือร้อนสอดมาประคองที่หลังคอ กดใบหน้าผมให้ไม่อาจเคลื่อนออกห่าง ผมถูกร่างสูงใหญ่ทาบทับลงมา แต่สมองของผมไม่อาจรับรู้ได้ถึงน้ำหนักตัวของโฬมสักนิด มีแค่เสียงแลกเปลี่ยนน้ำลายที่ดังก้องอยู่ในหัว ผมครางฮือเมื่อไม่อาจโกยอากาศเข้าปอดได้อีก แต่โฬมเพียงแค่ปล่อยให้ผมพักไม่ถึงหนึ่งนาทีเขาก็กดหน้าลงมาอีกครั้ง

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าไปแตะโดนสวิตซ์อะไรของอีกฝ่ายหรือเปล่า เพราะจูบแรกของเรานั้นเนิบนาบและค่อยเป็นค่อยไป ผมสามารถละเลียดชิมทุกความหวานของความรู้สึกในตอนนั้นได้ แต่คราวนี้มันต่างออกไปเป็นอย่างมาก เพราะกลายเป็นผมเองที่ถูกกัดกินจนแทบสิ้นสติ

โฬมตักตวงทุกอย่างจากปากของผม แม้กระทั่งไรฟันเขาก็ยังแตะต้องจนครบ ลิ้นของเขาพัวพันเกี่ยวกระหวัดราวไม่ยอมแยกจาก ผมหอบหายใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนสัมผัสดูดดื่มที่กำลังถูกตักตวงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“แฮก แฮ่ก” ลมหายใจของพวกเราปะปนกัน มันมีกลิ่นแอลกฮออล์เจือจางจากปากของผมแม้จะแปรงฟันไปแล้วหลังขย้อนของในท้องออกมา ผมรู้สึกถึงความมึนเมาที่กลับมาอีกครั้ง ราวกับซดแอลกอฮอลล์ไปอีกสองสามขวด สมองของผมพร่าเบลอจนต้องโอบแขนรอบลำคอแกร่งเพื่อพยุงร่างเอาไว้

โฬมไม่ได้กระทำมากกว่านั้น เขาเพียงจูบผม เลื่อนปากไปหอมแก้มแล้วกลับมาจูบกันต่อ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนริมฝีปากของเราทั้งคู่บวมเจ่อ ผมไม่ได้นับแล้วว่าผมได้เสียจูบที่เท่าไหร่ไปแล้ว เพราะรสสัมผัสมอมเมาให้ผมทำได้แค่เผยอปากรับสัมผัสที่มักจะกดลงมาซ้ำๆ

“ฟ้าครับ” โฬมกระซิบเบาๆ แม้ปากของเรายังประกอบกัน

ผมปรือตาขึ้นมามอง ลมหายใจยังไม่คงที่หน้าอกจึงยังสะท้านแรง โฬมลูกศีรษะของผมอีกครั้ง เขาเกลี่ยปลายนิ้วที่ข้างแก้ม ใช้สายตาสำรวจใบหน้าของผมอย่างละเอียดถี่ถ้วน

หัวใจของผมเต้นแรงจนสะเทือนไปถึงหน้าอกของอีกฝ่ายที่ทับกันอยู่

พวกเรามองสบตา ดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยอารมณ์วาบหวามทั้งสองคู่ เฝ้ามองกันเงียบๆ โดยไร้คำพูด โฬมกดปากลงมาเป็นครั้งสุดท้าย แค่แปบเดียวแล้วถอนออกไป เขาขยับไปนอนที่พื้นที่เตียงข้างๆ ตามเดิม รั้งร่างผมเข้าไปกอดแล้ววางคางลงบนศีรษะผมอย่างถือวิสาสะ

ผมทำตัวไม่ถูก ขยำเสื้อของโฬมที่กำไว้แน่นจนชายเสื้อเลิกขึ้นโชว์หน้าท้องแบนราบ ใบหน้าของผมแดงซ่าน รวมถึงสมองที่ไม่อาจคิดไตร่ตรองสิ่งใดได้อีกแล้ว

ผมเมาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะแอลกอฮอลล์อย่างเคย

“นอนนะครับ” เสียงทุ้มบอกเบาๆ ตบหลังผมเพื่อกล่อมให้นอนหลับ

ผมยอมปิดเปลือกตา แม้ว่าจะไม่อาจข่มตาข่มใจให้สงบลงได้ในเร็วๆ นี้ เพราะผมไม่กล้าพอที่เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของเจ้าของรอยจูบที่ยังติดอยู่บนริมฝีปาก

จูบครั้งที่สอง สาม สี่ ห้า และอีกนับไม่ถ้วนของพวกเรานั้น ผมไม่อาจนิยามได้ว่ามันมีรสชาติแบบไหน

ผมหลับตาปี๋ ปัดๆ ความฟุ้งซ่านในหัวออกให้หมด ก่อนจะพยายามหลับนอนอย่างที่ควรจะเป็น พรุ่งนี้พี่เลขาฯ บอกให้เข้าไปคุยเรื่องเพลงกับทีมโปรดิวซ์ ซึ่งก็คือพวกพี่ยุทธเจ้าเก่า ผมยังมีงานต้องทำ และคิดว่าโฬมเองก็คงีงานเช่นกัน สัมผัสอบอุ่นและฝ่ามือที่ลูบหลังเบาๆ ค่อยๆ ปลอบประโลมให้ตัวผมหยุดนิ่งหลังจากเมื่อครู่ราวไปวิ่งรอบสนามมาสักสี่ห้ารอบ ผมซุกหน้าลงบนหมอน พ่นลมหายใจออกมาเป็นครั้งสุดท้าย และชำระล้างความคิดของตนทิ้งไปเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา









เช้านี้ตื่นมาด้วยความง่วงงุน แต่โชคดีนักที่ไม่มีอาการแฮงค์ให้ได้หงุดหงิด

ผมลืมตามาและพบว่าตัวเองยังอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายที่ชื่อโฬม ลภณ เขายังคงหลับสนิท เปลือกตาสีมุกปิดลงจนเห็นแพขนตายาวอย่างเด่นชัด การนอนตะแคงข้างทำให้ริมฝีปากของเขาเผยอน้อยๆ โชว์ฟันเขี้ยว ผมแอบใช้เวลาช่วงเช้านี้ในการสำรวจใบหน้าที่ไม่เคยมองอย่างใกล้ชิด

จะริมฝีปากเอย ลักยิ้มบุ๋มเอย ดวงตา จมูก หรือคิ้วโก่งสวยเอย ทุกอย่างล้วนลงตัวจนก่อให้เกิดความงดงามน่ามอง โฬมเป็นคนหน้าตาดีอย่างที่ผมบอกทุกครั้งที่มองหน้าเขา อาจไม่หล่อเท่าพระเอกหนังหลายๆ คน แต่เพียงแค่ยิ้ม เสน่ห์ของเขาก็พร้อมกระชากหัวใจคนมองให้หลุดลอยออกไป

ผมยังนึกเสียดายอนาคตของเขาไม่หาย แต่เพียงแค่ตอนนี้ รอยยิ้มของผู้ชายคนนี้จะดูจริงขึ้นจากเดิมสักเล็กน้อย ก็นับว่าดีแล้ว
ผมยิ้มบาง ขยับตัวลุกออกจากอ้อมแขนของโฬมเบาๆ ลากสังขารเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวโดยพยายามทำทุกอย่างให้เบาที่สุดด้วยความเกรงใจ โฬมยังนอนหลับสบาย เมื่อวานคงเหนื่อยมากๆ ที่ต่อสู้กับผมที่โดนฤทธิ์น้ำเมาเล่นงาน ผมจำได้ทุกอย่างในค่ำคืนที่ผ่านมา รวมถึงเรื่อง.... จูบของเรา

นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ตอนนี้ผมยืนลังเลว่าจะปลุกเขาดีไหมอยู่ข้างเตียงฝั่งที่โฬมนอนอยู่

ผมสูดลมหายใจ ยื่นมือไปสะกิดเบาๆ แล้วเรียกชื่อเขา โฬมท่าจะเป็นคนตื่นง่าย เพราะแค่ปลุกครั้งที่สองดวงตาสีน้ำตาลก็ค่อยๆ ลืมขึ้น

“ฟ้า อรุณสวัสดิ์ครับ” โฬมคลี่ยิ้มให้ผมก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กๆ คลายเมื่อย

“สิบโมงแล้วครับ เดี๋ยวผมต้องออกไปบริษัท” ผมบอกเขาโดยไม่กล้าสบดวงตาแพรวพราวคู่นั้น

โฬมพยักหน้า ยอมลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างไม่อิดออด ส่วนผมก็กลับมามุดหัวในตู้เสื้อผ้าอีกครั้งเพื่อเลือกชุดที่จะใส่วันนี้ ผมมีกางเกงในใจแล้วว่าคงจะใส่กางเกงขาสั้นสีกรมท่า ตอนแรกจะใส่เชิ้ตขาวแต่ด้วยความขี้เกียจรีดผมเลยมุดๆ หาตัวอื่นมาใส่ สุดท้ายก็ได้เป็นเสื้อยืดสกรีนลาย ‘Keep calm and Love RAP’ สีขาวตัวอักษรดำมาสวม

ผมที่กำลังเซ็ทผมเห็นโฬมเดินออกมาจากห้องน้ำโดยนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวผ่านกระจก เลยพึ่งนึกได้ว่าเขาคงไม่มีเสื้อผ้าใส่ และด้วยความที่ผมชอบเสื้อโอเวอร์ไซซ์เอามากๆ จึงพอจะมีเสื้อที่โฬมใส่ได้อยู่หลายตัว

“เดี๋ยวผมเอาเสื้อผ้าให้นะ” ผมบอกคนที่เปิดพัดลมยืนตากตัวให้แห้ง แม้ว่าเครื่องปรับอากาศจะยังทำงานเสียงหึ่มๆ อยู่ โฬมหันมายิ้มของคุณ ผมเลยวางหวีในมือลงแล้วมุดหัวเข้าตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง

เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงผ้าเอวยางยืดถูกส่งให้ผู้ชายที่ยังเปลือยท่อนบนอย่างไม่อาย ผมมองสำรวจกล้ามเนื้อบนตัวของเขาอย่างสนใจ เป็นผู้ชายที่แทบไม่มีไขมันบนชั้นผิวหนังเลย เนื้อตัวเขาลีนไปหมด จนผมก้มลงมองพุงกะทิตัวเองด้วยความเวทนา

“โฬมออกกำลังกายบ่อยเหรอครับ” ผมถาม เพราะจากที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ก็ไม่เห็นเขาคุมอาหารแต่อย่างใด

“ช่วงนี้เวลาว่างเยอะน่ะครับ” เขาตอบขณะยัดตัวลงในเสื้อ ผมพอมีอันเดอร์แวร์กระดาษที่ใช้พกในกระเป๋าเดินทางเวลาฉุกเฉินเลยส่งให้เขาไปด้วย โฬมยิ้มรับเขินๆ เดินหลบมุมไปสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยในขณะที่ผมกลับมาแต่งองค์ทรงเครื่องตัวเองต่อ

“ฟ้าขยันเซ็ทผมจังครับ”

“เสริมหล่อครับ เบ้าหน้าเพียวๆ ไม่รอด” ผมหัวเราะตอบอย่างกวนๆ

โฬมเดินเข้ามายืนข้างกันที่หน้ากระจก ยืมหวีไปหวีผมสองสามที่แล้วสางๆ ด้วยมือให้เป็นทรง ในขณะที่ผมยังวุ่นวายกับหน้าม้าที่ยาวจนทิ่มตาไม่เลิก

“ผมยาวแล้วนะครับ” คนตัวสูงบอกตอนหันมามองผมตบตีกับหน้ามา

“เดี๋ยวคงไปตัดเย็นนี้แล้ว กะว่าจะย้อมสีผมด้วย” ผมบอกขณะตัดสินใจป้ายเจลมาเสยผมหน้าม้าขึ้นโชว์หน้าผาก โฬมดูสนใจกรรมวิธีในการแต่งตัวของผมมาก เขาถึงมองไม่วางตา

กว่าผมจะจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็กินเวลาไปเกือบยี่สิบนาที ผมยิ้มให้คนรออย่างลุแก่โทษ แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ส่ายหัวบอกว่าไม่เป็นไร

“ฟ้าเข้าบริษัทกี่โมงครับ”

“จริงๆ เข้าบ่ายครับ แต่คงออกไปหาอะไรกินก่อน” ผมบอกเขา เหลือบมองเวลาที่ปาไปสิบเอ็ดโมงแล้ว ไม่รู้ว่ารีบไปหรือเปล่า ปกติถ้านัดบ่ายผมจะออกประมาณเที่ยง แต่พอมีแขกมาอยู่ด้วยในห้อง ก็เลยเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะทำตัวยังไง แทนที่จะนอนเล่นโทรศัพท์ก็รีบลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเสียอย่างนั้น

“อีกชั่วโมงค่อยออกก็ได้นะครับ”

“เอ่อ...” ผมไม่รู้จะแย้งอะไรเพราะมันก็จริง แต่ผมทำตัวไม่ถูกนี่น่า

โลกส่วนตัวของผมไม่ค่อยมีใครได้เข้ามานักหรอก ผมจึงไม่รู้ว่าควรทำหรือพูดอะไรในขณะที่เราทั้งคู่ยังยืนอยู่ในห้องนอนของผม ซึ่งเมื่อคืนก็เกิดเรื่องน่าอายไปด้วยเช่นกัน

“ฟ้าครับ”

“คะ ครับ?”

“เมื่อคืนเมามากเลย รู้ตัวใช่ไหมครับ”

ผมพยักหน้า ก้มลงมองฝ่าเท้าตัวเองอย่างหงอยๆ

เขาบอกจะดุ เขาก็จะดุจริงๆ เหรอ!

“จำได้ไหมครับว่าทำอะไรลงไปมั้ง”

“ก็ เอ่อ... จำได้ครับ”

“รู้ตัวใช่ไหมครับว่าเป็นคนมีชื่อเสียง ไปกอดไปซบผู้ชาย หรือจะผู้หญิงก็ตามในที่สาธารณะแบบนั้นมันไม่ปลอดภัยเลยนะครับ”
ผมพยักหน้า เม้มปากพูดไม่ออก

“ผมไม่อยากให้ฟ้าเป็นข่าวไม่ดีนะ”

“แต่ว่าผมไม่สนใจข่าวหรอก...”

“ไม่สนใจข่าวก็ไม่เป็นไร” โฬมบอกอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เขาวางมือลงบ่าแล้วบีบมันเบาๆ อย่างต้องการตักเตือนเด็ก “สนใจผมก็ได้ ผมหึงจริงๆ นะครับ”

“...” ได้ยินคำว่าหึงตอนสติเต็มร้อยนี่มัน...

ให้ตายเถอะ หัวใจผมจะหลุดออกมาอยู่แล้ว

“ตอนเห็นฟ้ากอดกับเพื่อน ผมอยากกระชากฟ้าออกมามากๆ เลย”

“กะ กระชากเลยเหรอครับ”

“ใช่ครับ แต่ผมยังไม่มีสิทธิ์แสดงออกอย่างนั้น” โฬมบอกเสียงเบา จนผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเพราะประโยคตัดพ้อนั้นของเขา ทว่ากลับมีเพียงรอยยิ้มเล็กๆ แต้มบนริมฝีปาก “อีกอย่างผมก็รุนแรงกับฟ้าไม่ลงหรอกครับ”

ฉ่า...

“ผม ผม...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร เลยได้แค่ระลำระลัก

ไลน์!

แจ้งเตือนโทรศัพท์ดังขัดบทสนทนาของพวกเรา ผมสะดุ้ง รีบหยิบมือถือที่วางอยู่ใกล้มือมากดดูเพื่อซ่อนใบหน้าที่ร้อนราวกับจะระเบิด เป็นเก่งกาจที่ส่งบางอย่างมาให้ ผมรีบกดดูอย่างว่องไว


เก่งไม่เก่งมาลองสิ: ไอ้สกาย ทายสิกูเจออะไร


ผมขมวดคิ้วก่อนจะกดส่งไปว่า ‘อะไรของมึง’

แล้วเก่งกาจก็ส่งรูปถ่ายตามมา เมื่ออินเตอร์เน็ตโหลดมันจนครบ ผมก็สะดุ้งโหยงทันที

มันเป็นเล่มนิตยสารที่เพิ่งวางแผงของผม เล่มเดียวกับที่มีเด็กผู้หญิงมาขอลายเซ็นต์ในห้าง ผมเม้มปากแล้วรีบจิ้มนิ้วลงบนแป้มพิมพ์อย่างรวดเร็ว


สกายครับ: วางลงแล้วเดินจากไปเงียบๆ ได้ไหม
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: ไปถ่ายแนวนี้ตอนไหน ทำไมกูไม่รู้
สกายครับ: เก่ง อย่าแกล้งเพื่อน
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: กูจะซื้อ เซ็นต์ให้กูด้วยไอ้สัส!
สกายครับ: ไอ้เก่ง!
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: กูจะซื้อฝากพี่โฬมของมึงด้วย จะเอาไปเซ่น
เก่งไม่เก่งมาลองสิ: เขาจะได้ไม่ทำหน้าน่ากลัวใส่กูอีก

สกายครับ: มึง ไม่เอา!


เก่งกาจไม่ตอบอีกแล้ว ในขณะที่ผมขมวดคิ้วหน้าเครียดไปแล้วเรียบร้อย โฬมเมื่อเห็นผมทำหน้าแบบนั้นก็ยิ่งสงสัยและสนใจเข้าไปใหญ่ เขาถามว่าผมเป็นอะไร ส่วนผมก็ได้แค่เม้มปากส่ายหน้าปฏิเสธ ในขณะที่ภาวนาในใจว่าไม่ให้เก่งซื้อนิตยสารเล่มนั้นมาฝากโฬมจริงๆ

ผมอาย!









ผมไปทานข้าวและถูกพาส่งที่หน้าบริษัทในตอนเที่ยงสี่สิบห้านาที โฬมแยกกลับบ้านไปในขณะที่ผมเดินดุ่มๆ เข้ามาด้านในตึกอย่างคุ้นเคย คุณเลขากับประธานคุยกับผมอยู่ราวครึ่งชั่วโมง เดโม่เพลงที่ผมส่งให้ถือว่าผ่านการพิจารณา และสามารถเข้าสู่กระบวนการขั้นต่อไปได้ นั่นคือให้พี่ยุทธเรียบรียงและอัดเสียงดนตรีใหม่อีกครั้ง

เพราะผมใช้เครื่องสังเคราะห์เสียงในการสร้างบีท ในขณะที่เพลงจริงจะดีกว่าถ้าเราใช้เครื่องดนตรีจริงในการอัด ช่วยบ่ายสองผมจึงได้กลับเข้าไปนอนไถลไถเถือกเล่นในห้องสตูดิโอกับพี่ๆ อีกครั้ง

พี่ยุทธกับทีมเพิ่งปิดโปรเจคไป และมีคิวเพลงผมเป็นคิวต่อไปทำให้วันนี้พวกเขาว่างพอมานั่งคุยเล่นกับผม ผมเปิดเพลงให้พวกพี่ๆ ฟังด้วยความภูมิใจเป็นที่สุด

“เป็นไงบ้างพี่” ผมถาม ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ

“โฬมนี่มันเก่งจริงๆ ว่ะ” พี่ยุทธบอกขณะกรอเพลงของผมซ้ำเป็นครั้งที่สอง

ผมยิ้มกว้าง ถึงแม้จะมีแต่คนชมเนื้อเพลงกับทำนองของโฬมก็ตาม

“พี่ยุทธ ผมว่าปรับบีทตรงนี้ดีไหม ให้มันต่ำกว่านี้” พี่อ้อยเสนอตอนฟังช่วยแรปท้ายเพลงของผม คนอื่นกดกรอซ้ำๆ เพื่อฟังก่อนออกความคิดเห็นบ้าง

“เออ กูเห็นด้วย เอ็งว่าไงไอ้เมฆ”

“เอาเสียงบีทเบาๆ ก็ดีนะพี่ ปรับเสียงสกายให้ดังหน่อย จะได้เข้าถึงอารมณ์”

ผมยิ้มกริ่ม นั่งฟังพวกพี่ๆ เขาปรึกษากันอย่างอารมณ์ดี พี่ยุทธบอกแก้กับเรียบเรียงอีกไม่เยอะ เดี๋ยวนัดวันอัดเสียงเลย พวกพี่เองก็อยากปล่อยเพลงออกมาเร็วๆ เช่นกัน ช่วงนี้กระแสสังคมกำลังอยู่กับเรื่องเพศทางเลือกพวกนี้ ถ้าผมปล่อยเพลงออกไปน่าจะได้รับความสนใจพอสมควร รวมถึงแมสเสจที่ต้องการสื่อสารกับผู้ฟังคงผ่านหูคนเยอะเท่าที่คาดหวัง

“เอ็งได้ที่ถ่ายเอ็มวียัง” ผมที่ทิ้งตัวลงนอนกลิ้งบนพื้นเงยหน้าไปหาพี่ยุทธที่นั่งดูดน้ำโค้กหลังประเด็กเรื่องบีทเพลงจบลง ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ

“ยังเลยพี่ อาจจะถ่ายในสตูฯ นี่แหละ จัดไฟจัดแสงเอา”

“มาสเตอร์พีทเลยนะ สกายไม่หาโลเคชั่นสวยๆ เลย” พี่อ้อยเสนอความคิด

“ยังไม่คุยเรื่องนี้กับประธานเลยครับ แต่เขาก็บอกให้ผมไปคิดมาเลยว่าจะเอาเอ็มวีแบบไหน ถ่ายที่ไหน” ผมบอก ขมวดคิ้วครุ่นคิดว่าคำพูดพี่อ้อยก็น่าสนใจ อาจจะหาที่สวยๆ มาประกอบให้เพลงนี้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

คงต้องเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาโฬมด้วย

ผมพยักหน้ากับตัวเอง ในขณะที่อยู่ๆ สายตาทั้งสามคู่ก็หันมาจับจ้องผมเป็นตาเดียว

“อะ อะไรครับ” ผมตกใจ เพราะเมื่อกี้พวกพี่เขายังคุยเล่นกันอยู่เลย

“ไม่เห็นหน้าตั้งนาน แต่กูเห็นข่าวมึงบ่อยชิบหาย” พี่ยุทธบอกพลางคว้าคอผมเข้าไปกอด ในขณะที่มือซ้ายและมือขวาพร้อมใจกันหยิบโทรศัพท์มาเปิดข่าวแล้วยื่นมาให้ผมอ่าน

อันหนึ่งเป็นข่าวผมที่ไปกอดไซร้เจ้าเก่งในร้านเฮียเต็ม

อีกอันคือเรื่องราวต่อจากนั้น ที่โฬมไปรับผมมา และผมเพิ่งเห็นสีหน้าของเขาชัดๆ สีหน้าที่ไอ้เก่งบอกว่า ‘ยิ้มน่ากลัวชิบหาย’
โฬมยิ้มน่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ ผมรู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากรูปแอบถ่ายนั้นเลย

ทว่าดูเหมือนผมจะโฟกัสผิดประเด็นไปหน่อย เพราะพี่ๆ เขาจ้องผมตาเขม็งอย่างคาดคั้น

“สกาย นี่จะเบี่ยงเบนไม่พอ ยังควบสองเลยเหรอ”

“ไม่ใช่พี่!” ผมรีบแย้งพี่อ้อยที่ยิ้มแซวทันที

“กอดแน่นขนาดนั้น ถ้าพี่เป็นโฬม คงไม่พยายามยิ้มแบบนี้แน่ๆ”

“นั่นเก่งกาจเพื่อนสนิทผม” ผมพยายามอธิบาย แต่สายตาสามคู่กลับหรี่มองกันอย่างจับผิด

“เพื่อนเอ็งน่ะไม่น่าสนใจ แต่กับโฬมนี่ยังไง”

“...”

คำถามนี้นี่ ผมต้องตอบยังไง

“คบกันยัง”

“ยังครับ” ผมตอบ ดันลืมไปเลยว่าไม่เคยเล่าเรื่องของผมกับโฬมให้พวกพี่ๆ เขาฟัง ตอนปรึกษาเรื่องจูบก็แค่บอกผ่านๆ พอตอบคำถามไปง่ายๆ โดยไม่มีโวยวายว่าไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง สีหน้าพวกพี่เขาก็เลยยิ่งเจ้าเล่ห์เพิ่มเลเวลไปอีกประมาณร้อยเท่า

“สกาย”

“พะ พี่ คือ...”

“ไอ้สกาย”

ผมกำลังถูกรุมเรียกชื่อ พร้อมด้วยสายตาที่พร้อมใจกันทิ่มแทงเข้ามาทะลุร่าง พี่ยุทธกับพี่เมฆขยับมานั่งล้อมให้ผมอยู่ตรงกลาง ในขณะที่อ้อยก็ซ้อนอยู่ด้านหลังและล็อคแขนผมไว้ไม่ให้หนี

“เล่ามาให้หมด!!”

ใครก็ได้ ช่วยผมด้วย!


_____________
Talk: เพลงใกล้เสร็จแล้ววว น้องสกายก็ใกล้เเสร็จพี่โฬมแล้ว อุ้ป
เนื้อเรื่องอืดไปไหมคะ ช่วงนี้จะเริ่ม skip เวลาบ้างแล้ว แต่อยากให้เขาสองคนค่อยๆ พัฒนา
เพราะพี่โฬมก็ยังมีบาดแผล ในขณะที่สกายก็ต้องเรียนรู้ความรักที่ไม่เคยมีมาก่อน

แนะนำติชมได้เสมอเลยนะคะ
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ รักทุกๆ คนที่ให้โอกาสอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ค่อยเป็นค่อยไปดีค่ะ ละมุน

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เอ็นดูน้องสกายจังเลย

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
ยัง แต่ก็ไม่ปฏิเสธ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โดนต้อนเลยลูกกกก 5555555555555555

ออฟไลน์ Josett

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกมากกก อ่านไม่วางเลยยย มาต่อเร็วๆนะคะ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ฮื้อออช้อบบบ

สกายน่ารักจังง

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
รับรักสักทีสิสกายยย อยากเห็าคนหึงโหด555

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
ติดตามมากกกก :hao7: อยากให้รักกันเร็วๆ  :hao7: อยากให้มี sexy sweet moments ของทั้งคู่เยอะๆ  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: จ ร ด ฟ้ า #เจ้าสกาย | บทที่ 15 [04-Nov-18] P.4
« ตอบ #109 เมื่อ: 07-11-2018 01:18:27 »





ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
ขอเวลาเพิ่มอีก 2-3 วันค่า
อาทิตย์นี้ปั่นโปรเจคใจจะขาด เพราะอาทิตย์หน้าต้องส่งแล้ว

 :hao5: :hao5: :hao5: พอเครียดงานแล้วเราเขียนไม่ออกสักประโยค
จะรีบปรับอารมณ์แล้วมาลงต่อโดยไว!!  :sad4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

สู้นะ เรารออ่าน

ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
บทที่ 16




ผมต้องขยายเรื่องรักเรื่องใคร่ในชีวิตต่อหน้าเหล่าผู้พิพากษาทั้งสามคน ซึ่งกำลังกอดอกจับจ้องมาที่ผมด้วยความตั้งใจ โดยเฉพาะพี่อ้อยที่ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับรู้ทันไปเสียทุกเรื่อง

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” ใครสักคนถามผมที่เอาแต่ก้มหน้าเล่นชายกางเกงอย่างเขินอาย

ผมไม่อยากพูดเลย ให้ตาย

“ไอ้สกาย”

“พี่...” ผมงอแงเสียอ่อย ทำปากยื่นปากยาวหวังจพได้รับความเห็นใจ แต่พี่ยุทธกลับลากคอผมเข้าไปกอดแล้วสั่งสอนด้วยการขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิง

“เล่ามา เร็วๆ มัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ เดี๋ยวข้าก็เลื่อนคิวทำเพลงเอ็งหรอก”

ผมเม้มปาก สูดหายใจก่อนจะยอมเล่าออกมาแบบครึ่งๆ กลางๆ

“ก็... หลายอาทิตย์แล้ว”

“มึงขยายด้วยสิวะไอ้นี่”

“มันยังไม่มีอะไรอ่ะพี่ ก็คุยๆ กันเฉยๆ โฬมเขาก็บอกว่าชอบผม”

“แล้วสกายล่ะ ชอบโฬมไหม”

ฮือออ ผมไม่อยากตอบคำถามนี้ของพี่เมฆเลยครับ

หน้าผมร้อนขึ้นมาอย่างง่ายๆ แต่ก็ยังเก็บงำความจริงไว้ไม่ยอมบอก ผมยังไม่พร้อมจะพูดอะไรอีกออกไป อีกอย่าง ถ้าความรู้สึกพวกนี้ชัดเจนในตัวมันเองเมื่อไหร่ ผมคิดว่าโฬมควรเป็นคนแรกที่ได้ฟังมัน

มันอาจดูงี่เง่าไร้สาระ แต่ผมคิดว่าแบบนั้นคงดีกว่า

คำว่า ‘สำคัญ’ ไม่ว่าจะคนสำคัญ หรือเรื่องสำคัญ ใดๆ ก็ล้วนต้องพิเศษกว่าใครเขา

“สกายไม่ตอบว่ะพี่” พี่อ้อยหันไปปรึกษากับพี่ใหญ่ในทีม คนตัวอ้วนเลิกเสื้อโชว์พุงมองผมก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พี่ยุทธลูบหนวดที่เริ่มยาวแล้วของตนเบาๆ อย่างครุ่นคิด

“ที่เอ็งพูดเรื่องจูบตอนนั้น... คนนี้เหรอวะ”

ผมพยักหน้าเล็กๆ แต่ก็ชัดเจนในคำตอบ

“เฮ้ยๆๆ”

“สกายยยย!”

“อะ อะไรพี่”

“จูบไปรึยัง!?”

“อื้อ” ผมตอบในลำคออีกครั้ง ก่อนจะม้วนหน้าตัวเองเข้าไปสบกับเข่าที่ชันขึ้นมากอด ตัวผมแดงแจ๋ไปหมด ใบหูก็ร้อนฉ่าจนแทนไหม้

เมื่อไหร่พี่ๆ เขาจะหยุดถามสักที ผมทำตัวไม่ถูก

เกิดมาเคยแต่เป็นฝ่ายคาดคั้นคนอื่น ไม่เคยต้องมาเป็นฝ่ายถูกสัมภาษณ์แบบนี้มาก่อนเลย แถมคำถามมันก็ออกจะ... น่าอายเกินไป

ผมไม่มีหน้าไปบอกใครเขาหรอกนะ ว่าตัวเองเป็นคนปล้ำจูบคนอื่นก่อนน่ะ!

“จูบแล้วยังลีลาอะไรอีกอ่ะ” พี่เมฆชะโงกหน้าเข้ามาถามด้วยความสงสัย

ผมขมวดคิ้ว ก้มหน้าหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดคั้นอีกครั้ง ไม่เคยพบเจอกับความเขินอายที่มากเท่านี้มาก่อน ขนาดเดินสะดุดล้มกลางเวทีหรือตกบันไดกลางห้าง ผมยังไม่อายม้วนต้วนจนอยากระเบิดตัวตายแบบนี้เลย

โอ๊ย! ใจจะขาด

“ก็ ผมยังไม่รู้ว่าชอบจริงไหม”

“บ๊ะ! ไอ้เด็กน้อยนี่” พี่ยุทธตบเข่าฉาด ลากตัวผมให้ออกจากอาการขดม้วนเป็นก้อน ล็อคคอผมไว้อีกครั้งเพื่อให้ผมงยหน้าขึ้นมามองพี่ๆ อีกสองคนที่เลย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าด้านหลังมีพี่ตัวใหญ่ล็อคไว้อย่างแน่นหนา ในขณะที่พี่เมฆกับพี่อ้อยก็ขยับตัวเข้ามาพร้อมมอบรอยยิ้มใจดีส่งมาให้

ผมไม่เชื่อใจรอยยิ้มพวกนี้ของพี่ๆ เขาเลยสักนิด

“เอ็งหวั่นไหวกับโฬมมันบ้างป่ะ”

“ก็มีบ้าง”

“เช่น?”

“ก็เวลาโฬมทำดีด้วยหรือเป็นห่วง มันก็ใจเต้น...”

“แล้วไงต่อ”

“ผมก็ไม่รู้! ผมไม่เคยมีความรัก” ผมร้องลั่น หลบดวงตาทั้งสามคู่เป็นวัน ทำไมต้องมาโดนรุมแบบนี้ด้วยเนี่ย เก่งกาจยังไม่เคยคาดคั้นผมให้พูดละเอียดยิบขนาดนี้เลยนะ ให้ตาย!

“สกายรังเกียจไหม ตอนจูบกับโฬม” พี่อ้อยถามขึ้นมาบ้าง

ผมกัดปาด ส่ายหน้าเบาๆ “ก็ไม่ได้รังเกียจครับ”

“แล้วเวลาเขาหึงหวง รู้สึกอึดอัดไหม?” พอจบคำถามแรก คำถามที่สองก็แล่นเข้ามาทันที ผมหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปตามสิ่งที่กลั่นกรองออกมาได้

“ไม่ได้อึดอัด ผมชอบด้วยซ้ำ แต่มันก็กังวลอ่ะพี่เวลาเขาบอกว่าหึงเพื่อนผม”

“แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นโฬมไปเล่นไปกอดคนอื่น สกายจะหึงไหม”

“...”

โอเค ผมคิดตามที่พี่เขาพูด และรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเต้นผิดจังหวะไปหลายรอบ

ถ้าโฬมไปเล่นกับคนอื่น ไปกอดกับคนอื่นแบบที่ผมทำ

ภาพอ้อมแขนแสนอบอุ่นสอดเข้าไปกระชับเอวใครสักคนที่ผมไม่รู้จัก รอยยิ้มนุ่มนวลกับลักยิ้มบุ๋มลึกที่ไม่ได้มอบให้ผมแค่คนเดียว หัวใจผมเหวี่ยงตัวเองเล่นราวอยู่บนรถไฟเหาะ ก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นดังปั่ก

“ผมไม่แน่ใจว่ามันคือหึงไหม แต่คงเสียใจ”

ใช่ ผมไม่ได้มีความรู้สึกอยากกระชากโฬมออกมาแบบที่เขาเคยบอกผม

แต่ความหน่วงที่จุกอกอยู่นี้สามารถกลั่นเป็นก้อนน้ำตาได้หลายหยดเลยทีเดียว

“ชอบมันก็ไปบอกมัน” พี่ยุทธพูดครั้งสุดท้ายก่อนจะยอมปล่อยผมออกจากพันธนาการ ผมยันตัวเองกลับมานั่งขัดสมาธิ จัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้กลับเข้าที่เข้าทาง

“อย่างนี้คือชอบเหรอพี่”

“เด็กน้อย” พี่เมฆส่งสายเอ็นดูมาให้ผม ก่อนจะขยับเข้ามาตบบ่าแปะๆ “แบบนี่เขาเรียกชอบแล้วเว้ย”

ผมเม้มปากทำท่าคิด แต่ดูพี่ๆ เขาจะได้เสือกจนพอใจแล้วถึงค่อยๆ ทยอยลุกกลับไปทำงาน พี่ยุทธเป็ฯคนแรกที่ลากสังขารไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง คว้าเดโม่เพลงของผมไปเปิดไฟล์ในคอมก่อนหันมากระดิกนิ้วเรียกลูกทีมทั้งสองคนเพื่อปรึกษางาน

ผมนั่งมองพวกเขาเรียบเรียงพร้อมปรึกษาเรื่องงานอีกหลายอย่าง จนกระทั่งถึงเวลาอันควรที่ต้องกลับแล้วผมจึงบอกลาพี่ๆ แล้วเดินไปขึ้นรถด้วยความคิดที่ยังตีรวนอยู่ในหัวไม่หาย

โอเค ผมรู้ ผมยอมรับว่าความรู้สึกที่มีต่อโฬมมันมาถึงขั้นที่ชอบพอกัน

แต่การที่ใครสักคนจะคบกันในฐานะคนรัก มันควรเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่านี้ไหมนะ

อย่างเก่งกาจก็เคยบอกผมว่าความรักกับความชอบมันแตกต่างกัน ถึงแม้จะเป็นจุดเริ่มต้นของกันและกัน เมื่อชอบเราจะอยากได้และครอบครองเขา แต่เมื่อเรารัก เราจะอยากให้และเสียสละ

ผมไม่ค่อยเข้าใจมันนัก เพราะความรักแบบคนรักมันแตกต่างจากการรักเพื่อนรักครอบครัว

ช่างมันเถอะ ผมคิดว่าเวลาคงช่วยให้ผมเข้าใจมันในไม่ช้านี้






ขากลับก่อนถึงคอนโดผมแวะร้านตัดผมสักหน่อยตามแพลนที่วางไว้เมื่อเช้า ยื่นรูปทรงผมกับสีที่ต้องการให้ช่างประจำทำก่อนจะหมกตัวอยู่ในนั้นราวๆ สามสี่ชั่วโมงจนโทรศัพท์ร้องเตือนแบตจะหมด ผมที่ผมดำมาตลอดชีวิตเลือกเปลี่ยนไปย้อมสีบลอนด์สว่างทั้งหัวด้วยความสะใจ

หน้าม้าถูกซอยไม่ต่างจากทรงเดิมเท่าไหร่ อีกทั้งช่างยังไดร์เซ็ตให้มันดูยุ่งๆ อย่างจงใจ ผมฉีกยิ้มมองใบหน้าตัวเองในกระจกทั้งซ้ายและขวาก่อนจะหันไปคุยกับพี่สาวกล้ามโตที่แม้มีกายเป็นชายแต่ใจอ่อนหวานยิ่งกว่าหญิงสาวคนไหน

“ผมชอบมากเลยครับ”

“น้องสกายทำผมสีนี้หน้าหวานขึ้นตั้งเยอะ เห็นไหม พี่บอกให้เราทำตั้งนานแล้ว”

“ตอนนั้นต้องถ่ายเอ็มวีนี่ครับ ผมจะแบ๊วไปด้วยแรปไปด้วยได้ยังไง” ผมหัวเราะเสียงดัง

คอนเซปต์เพลงแรปของผมมันจะค่อนไปทางเสียดสีและสะท้อนสังคม ภาพลักษณ์ในเอ็มวีของผมก็จะต้องเท่ ดาร์คๆ หน่อยตามบีทเพลงที่ทั้งกระแทกกระทั้นทั้งหนักหน่วง ยิ่งซิงเกิลล่าสุดที่ผมพูดถึงปีศาจในหัวใจมนุษย์ ผมนี่ถึงขั้นต้องให้ช่างแต่งหน้าไล้กล้ามแขนให้ด้วย เพราะต้องใส่เสื้อกล้ามกับผ้าปิดปากที่โคตรเท่

“แล้วทำไมตอนนี้ทำได้แล้วล่ะ อย่าบอกนะว่าเลิกแรปแล้ว!!”

“ไม่ใช่พี่ ไม่ใช่ แต่รอบนี้ผมทำเพลงสไตล์เบาๆ เลยอยากถือโอกาสเปลี่ยนลุคบ้าง” ผมบอกพร้อมแตะๆ หัวตัวเองเล่นด้วยความถูกอกถูกใจ “เห็นนักร้องเกาหลีทำผมแบบนี้แล้วสาวชอบ”

“ก็จริง พี่ยังชอบเลย” พี่ช่างทำผมพูดแล้วมองผมตาพราวระยับ จับตัวผมหมุนไปหมุนมาก่อนจะร้องโวยวายด้วยน้ำเสียงมีความสุข “น้องสกายเหมาะกับอะไรแบบนี้มากกว่าตั้งเยอะ”

“พี่ว่าน่ารักพอยัง” ผมชี้หน้าตัวเองพร้อมพูดติดตลก

“น่ารักแล้วจ้า น่ารักที่สุดแล้วลูกเอ้ย” พี่เขาคว้าผมเข้าไปกอดจนหน้าจมลงไปกับกล้ามอกแน่นปั่ก “พี่อยากขยำเราแล้วกลืนลงท้องแล้วเนี่ย”

“ใจเย็นครับ” ผมหัวเราะ

“พี่ลดให้ครึ่งราคาเลยน้องสกาย”

“เฮ้ยพี่ ไม่เป็นไร”

“พี่ปลื้มใจ อยากจับเราย้อมผมสีสว่างตั้งนานแล้ว ในที่สุดความหวังพี่ก็เป็นจริง” เป็นอย่างที่พี่เขาพูด ตั้งแต่ผมมาตัดผมที่นี่จนกลายเป็นเจ้าประจำ พี่เขาก็ขยั้นขยอให้ผมย้อมผมทั้งสีเทา สีทอง สีขาว สีชมพู และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ผมก็ปฏิเสธตลอดเพราะยังต้องรักษาภาพลักษณ์ความเท่ในตัวเอาไว้

ถ้าถามว่าทำไมตอนนี้ผมถึงยอมสลัดคราบเท่ๆ คูลๆ ตรงนั้นไป ก็ต้องตอบว่าเพราะผมอยากให้งานเพลงล่าสุดที่ทำกับโฬมนี้เป็นมาสเตอร์พีชจริงๆ

มันควรมีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม

เหมือนอย่างที่ผมเปลี่ยนสไตล์การร้อง เปลี่ยนสไตล์ดนตรีและเพลงไปหมดเพื่อให้เพลงนี้กลายเป็นทั้งเพลงรักและเพลงเสียดสีสังคมไปในตัว ผมอยากซ่อนสกายคนเก่าไว้ในกรอบที่โมขึ้นมาใหม่ ย้อมทั้งตัวผมและผลงานผมด้วยความแตกต่าง เพราะเพลงคราวนี้กล่าวถึงการหลบซ่อนและปิดกั้นความรักที่คนในสังคมยังไม่ยอมรับ ต้องสวมหน้ากากยิ้มแย้มทั้งที่ทรมานกับคำดูถูก คำล้อเลียน และการทำร้ายความรู้สึก

มันเป็นนัยแฝงที่ไม่ได้ต้องการให้คนอื่นเข้าใจ

และอีกนัยหนึ่ง ก็คือผมได้กลายเป็นสกายคนใหม่ที่ต้องการจะก้าวเดินไปข้างหน้า พานพบกับสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาตลอดชีวิตยี่สิบกว่าปีที่เกิดมา

ทั้งเรื่องสีผม ทั้งเรื่องหัวใจ...





ผมกับเก่งกาจนัดกันมากินปิ้งย่างด้วยกันที่ร้านแถวๆ ที่พักของมันเอง ด้วยความที่ผมมีรถและเพิ่งได้กลับคืนมาจึงต้องเป็นฝ่ายถ่อสังขารไปหาเพื่อนผู้บางวันดีบางวันร้าย อยู่ๆ เมื่อคืนเก่งกาจก็ส่งข้อความมาบอกว่า ‘ขอเนื้อย่างเยียวยากูที’ ผมเลยต้องตอบตกลงและพาตัวเองมาโผล่ที่ใต้หอพักของเก่งกาจในวันต่อมา

แต่คราวนี้ผมไม่ได้มาคนเดียว

“ฟ้าครับ ผมไปเซเว่นแปบนะ”

ครับ มีโฬมติดรถมาด้วย

เพราะด้วยความที่วันนี้ผมพาโฬมเข้าไปบริษัทเพื่อแนะนำให้ประธานและพวกพี่ยุทธรู้จัก รวมถึงคุยเรื่องค่าจ้างและรายละเอียดอื่นๆ หลังจากนั้นก็เป็นผมเองที่ชวนเขาออกมากินปิ้งย่างด้วยกัน

ผมเห็นว่าโฬมเองใช้ชีวิตตัวคนเดียวมากเกินไป เพื่อนสนิทของเขาก็อยู่ต่างประเทศ มันไม่ดีเลยกับคนที่เจอเรื่องร้ายๆ มาแล้วยังล้างออกไม่หมด ผมคิดว่าอย่างน้อยเก่งกาจถึงแม้จะชีวิตบัดซบ (ตามคำที่เก่งนิยามตัวเองไว้) แต่ก็เป็นเพื่อนและแหล่งเชื้อเพลิงความสุขที่ดีคนหนึ่ง

ด้วยความเฟรนด์ลี่และพูดมากของมัน อย่างน้อยๆ ก็น่าจะช่วยให้คนตัวสูงหายเหงาบ้าง

ผมกดโทรหาเก่งกาจหลังจากโฬมลงจากรถเข้าเซเว่นไป ได้ความว่าอยู่ชั้นล่างแล้วกำลังเดินมาผมก็ตัดสายทิ้งไป และไม่นานทั้งเก่งกาจและโฬมก็เดินมาหาผมที่รถในเวลาไล่เลี่ยกัน

“หวัดดีครับ” เป็นเพื่อนผมที่ยกมือทักทายก่อน “เป็นพี่ใช่ไหม ผมต้องเรียกคุณว่าพี่ไหม”

“ไม่เป็นไรครับ ฟ้าก็ไม่ได้เรียกผมว่าพี่” โฬมยิ้มอย่างเป็นมิตร แม้มันจะดูเป็นมิตรน้อยกว่าปกติก็ตาม เก่งกาจขยับออกห่างจากผมที่ออกมายืนร่วมวงสนทนาด้วยเมื่อกี้ทันที

“ผมชื่อเก่งกาจ เรียกว่าเก่งก็ได้ เป็นเพื่อนสนิทไอ้สกายมัน”

“โฬมครับ” คนที่อายุมากที่สุดตอบรับคำทักทาย

ผมเกิดละอายขึ้นมาเล็กๆ เมื่อพูดเรื่องอายุเรื่องคำเรียก

นั่นสินะ หรือผมควรเรียกเขาว่าพี่กัน

แต่ก็รู้จักกันมานานเกินกว่าจะกลับตัวแล้ว ให้อยู่ๆ ผมโพล่งเรียกเขาว่า มันก็ออกจะกระดากปากอยู่บ้างเหมือนกัน

พวกเราทั้งสามเดินออกจากซอยเลาะไปตามทางแคบเพื่อไปยังร้านปิ้งย่างที่เคยมากินกับเก่งสองสามที เป็นร้านติดแอร์เล็กๆ ที่คนเยอะพอสมควรเพราะแถวนี้มีแต่หอพัก

โชคดีที่ยังมีที่ว่างเพราะเพิ่งห้าโมงครึ่ง ผมทิ้งตัวลงนั่งฝั่งเดียวกับเพื่อน ปล่อยให้โฬมนั่งสบายๆ คนเดียวไป แต่เก่งกลับเอาแต่เหยียบเท้าผมพร้อมถีบให้ออกไปห่างๆ

“ไอ้สกาย ไปนั่งนู่น”

“อะไรของมึงเนี่ยเก่ง”

“มานั่งเบียดกูทำไม อึดอัด”

ผมเบ้ปาก ตอนแรกว่าจะดื้อไม่ฟัง แต่เก่งก็ทั้งดันทั้งถีบจนผมยอมย้ายสารร่างไปนั่งข้างๆ โฬมด้วยใบหน้าบูดบึ้ง พอเงยหน้ามองเพื่อนรักก็เห็นมันถอนหายใจอย่างโล่งอก

อะไรของเก่งกาจอีกเนี่ย

“ทางร้านมีสองเซ็ตนะคะ มี 239 บาทสำหรับเนื้อหมู และราคา 259 จะมีพวกเนื้อเพิ่มมาด้วยค่ะ”

“โฬมทานเนื้อไหมครับ”

“ทานครับ”

“งั้นเอาเซ็ตเนื้อครับ” ผมหันไปตอบพนักงานที่ยืนยิ้มรับออเดอร์

“รับน้ำอะไรดีคะ”

“ของผมเอากระเจี๊ยบ” ผมบอกและทิ้งจังหวะให้คนอื่นสั่งบ้าง โฬมลอกผมในขณะที่เก่งกาจต้องน้ำโค้กซ่าแสบลิ้น
พนักงานหญิงโค้งหัวให้เมื่อเก่งกาจกรอกตัวเลขในกระดาษออเดอร์และยื่นให้ เมื่อร่างเล็กๆ นั้นเดินพ้นสายตาไปบนโต๊ะก็เริ่มเปิดบทสนทนาทันที

เก่งกาจผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ พ่วงมาด้วยความสามารถในการหาเรื่องคุย

“พี่โฬม”

มันเรียกพี่!

ผมอ้าปากค้าง มองเพื่อนอย่างไม่เชื่อสายตา

ตอนคุยกับผม ตอนแชทด้วยกัน ไม่เห็นมีคำว่าพี่เลยสักนิด แถมเมื่อกี้โฬมก็บอกเองว่าไม่ต้องเรียกพี่ ทำไมเก่งกาจถึงได้ทำแบบนี้ ความละอายในใจยิ่งขยายใหญ่ในอกหนักเข้าไปอีก

“ครับ?”

“ผมซื้อนี่มาฝาก” เก่งกาจยื่นถุงพลาสติกขนาดเอสี่ข้ามโต๊ะมาให้ ผมขมวดคิ้วมอง ก่อนจะพึงระลึกได้ว่ามันคืออะไร ร่างกายไปไวกว่าความคิด ผมตะครุบถุงใบนั้นมากอดไว้ แย่งมาจากมือโฬมเลยด้วยซ้ำ

จะว่าไร้มารยาทก็ได้ แต่ของสิ่งนี้ต้องห้ามตกไปอยู่ในมือผู้ชายข้างๆ ผม

“ฟ้า?”

“ไอ้สกาย!”

ผมเม้มปากก้มหน้าหนี พยายามทำเมินสายตาสองคู่ที่มองมาอย่างกดดัน

อย่าครับ อย่าบังคับผม

“สกายมึง เอาให้พี่โฬมเร็วเลย กูซื้อมาให้พี่เขา”

ผมเหลือบมองหน้าเก่งกาจที่ดูเหมือนจะจริงจัง แต่ผมรู้ มันกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง ต่างจากโฬมที่ขมวดคิ้วมองผมด้วยความสงสัย เขาสอดมือเข้ามาทำท่าจะแย่งถุงใบนั้นออกไป แต่ผมกลับขยับตัวหันหนี

“ฟ้าครับ?”

“โฬมอย่าดูเลยนะครับ”

“ทำไมล่ะครับ”

ผมตอบไม่ถูก ในขณะที่เก่งกาจหลุดขำออกมาแล้ว

เก่งนะเก่ง!

“ฟ้าครับ ขอผมหน่อยนะ”

ผมส่ายหน้ารัวๆ

“ไม่ดื้อนะครับ”

ทำไมช่วงนี้ผมถึงชอบโดนดุว่าดื้อกันนะ

ผมเหลือบตามองโฬม รอยยิ้มของเขาดูดสติผมอีกแล้ว เหมือนครั้งแรกที่เราเจอกันผมก็ชอบจ้องหน้าเขานิ่งๆ จะตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน

โฬมค่อยๆ บังคับผมทางอ้อมด้วยสีหน้าของเขา ดึงถุงพลาสติกในอ้อมแขนออกไปช้าๆ โดยที่ผมทำได้แค่เบ้ปากแล้วตวัดตาไปคาดโทษกับเพื่อนสนิทที่ฉีกยิ้มกว้าง หรรษาสุดชีวิต

โฬมดึงนิตยสารในถุงออกมา จังหวะนั้นผมรีบก้มลงดูดน้ำที่พนักงานเอามาให้อึกๆ จนหมดแก้วในรวดเดียว คนข้างๆ ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ แต่พลิกหน้าหนังสือดูช้าๆ ส่วนเก่งกาจก็ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนผมอดหันไปมองคนข้างกายไม่ได้

ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ยิ้มแย้มเท่าไหร่ พร้อมทั้งหัวคิ้วก็ขมวดกันยุ่งเหยิง แต่ดวงตาสีน้ำตาลกลับค่อยๆ พิจารณารูปในนั้นอยู่นานสองนาน จนผมกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคออย่างยากลำบาก

ก็ภาพในนิตยสารมันเป็นการถ่ายแบบที่ผมรับงานด้วยความคะนอง เสื้อผ้าที่สวมมีแค่กั๊กหนังตัวเดียวไม่ติดกระดุม โชว์แผงอกจนไปถึงหน้าท้องที่ไร้กล้ามของผม ทรงผมสีดำสนิทตอนนั้นก็ถูกทำให้ดูคล้ายเปียกน้ำมา ช่างแต่งหน้ากรีดตาให้ผมจนคมกริบ รวมถึงทาปากด้านในแดงระเรื่อ

ผมมีรอยแทททูที่ติดชั่วคราวบนหน้าอกข้างขวาและท้องแขน ท่วงท่าที่ถ่ายก็เน้นอินเนอร์เซ็กซี่จนพอตัวเองมาดูรูปจริงๆ ก็เกิดรับไม่ได้ขึ้นมา

ผมไม่คิดว่าตัวผมเองจะกล้ากัดปากทำหน้าเหมือนอยากถูกกลืนลงท้องแบบนั้นลงไปได้

ตอนที่ถ่าย พี่ๆ ทีมงานกับช่างภาพบิ้วกันอยู่นาน รวมถึงไม่ได้มีผมเป็นนายแบบคนเดียว มันจึงเหมือนเป็นความท้าทายที่ผมต้องทำมันให้ได้

แต่นั่นไม่ใช่ทีเด็ด

ทีเด็ดคือภาพสุดท้ายของเซ็ต ที่อยู่หน้ากลางของนิตยสาร

ภาพที่ใหญ่ที่สุด และทำให้ผมเขินจนไม่ซื้อนิตยสารเล่มนี้มาเก็บไว้ในห้อง

รูปนั้นเป็นรูปที่ผมพาดเสื้อกันหนาวไว้บนบ่า เนื้อตัวท่อนบนไม่มีอะไรปกปิด ช่วงล่างก็โหลดต่ำจนเห็นขอบกางเกง ผมยังทรงเดิม แต่ที่แย่คือกล้องดันช้อนมาจากมุมต่ำ ซึ่งผมนั่งแหกแข้งแหกขาอยู่บนโซฟาหัวโล้นสีดำ

ไรขนอ่อนที่ล่างสะดือผมโคตรชัด

ถ้ารู้ว่ามันชัดขนาดนี้ ผมจะโกนมันก่อนไปถ่าย!

ก็ตอนดูผ่านจอมอนิเตอร์ ผมเขินเลยมองผ่านๆ เห็นว่าหน้าตัวเองไม่น่าเกลียดก็กดเลื่อนๆ ไป ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วมันจะชัดขนาดนี้ โชคดีที่กางเกงตัวใหญ่จนส่วนที่ไม่น่ามองไม่เด่นขึ้นมา

ไม่งั้นผมคงเขินหนักกว่านี้อีก ให้ตาย

“ฟ้าครับ ไปถ่ายตอนไหนเหรอ”

ทำไมเสียงโฬมถึงไม่นุ่มนวลอีกแล้วล่ะครับ

ผมเม้มปาก จ้องหน้าเก่งกาจที่ค่อยๆ เอาเนื้อลงไปย่างบนกระทะไม่หันมาสนใจผมเลยสักนิด ก่อนจะจำใจต้องหันไปหาคนที่เดี๋ยวนี้ดุเก่งจนผมหงอหัวหดหมดแล้ว

“ตั้งนานแล้วครับ แต่เขาเพิ่งตีพิมพ์”

“รับงานแบบนี้ด้วยเหรอครับ”

“ตอนนั้นผมอยากลอง” ผมยิ้มแหยส่งไปให้

โฬมถอนหายใจเล็กๆ ขยี้ศีรษะผมอย่างจนใจก่อนจะเก็บนิตยสารเข้าถุงแล้วหันมายิ้มปลอบให้กัน

“ขยันทำให้หวงจังนะครับ”

โฬมก็ขยันทำให้ใจเต้นจังนะครับ

ผมสวนในใจ หยิบตะเกียบแย่งเนื้อที่สุกบนเตามากิน ไม่สนใจเก่งกาจที่โวยวายเพราะมันเป็นคนเอาลงมาย่าง

“ขอบคุณนะครับเก่ง” โฬมหันไปพงกหัวให้เพื่อนของผม ในขณะที่ผมแย้งเงียบๆ ว่าไม่เห็นต้องไปขอบคุณเลย เก่งกาจก็แค่อยากแกล้งให้ผมอายเท่านั้นแหละ

“ไม่เป็นไรครับ” คนตรงข้ามก็ยิ้มรับด้วยความเต็มใจ

ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตักเนื้อเข้าปากรัวๆ เพราะทำอะไรไม่ได้

“แล้วพี่โฬมก็ไม่ต้องหึงไอ้สกายกับผมนะพี่” เก่งกาจโพล่งประเด็นนี้ขึ้นมา เรียกความสนใจทั้งผมทั้งโฬมที่กำลังคีบเอาเนื้อดิบลงไปย่างในเตาอยู่ “ถ้าผมจะชอบมัน ผมชอบตั้งแต่เจอมันใหม่ๆ แล้วพี่”

“ไม่ให้หึงนี่ห้ามยากนะครับ” โฬมตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ถ้อยคำตรงเผงนี่มันคืออะไรกัน

“เว้นผมไว้คนนึงเถอะ ผมมีคนที่ชอบแล้ว”

“หืม?”

“มันเป็นเพื่อนผมมาตั้งหลายปี อาจจะเล่นถึงเนื้อถึงตัวไปบ้าง แต่มันไม่มีอะไรหรอกนะพี่”

โฬมยิ้ม ตั้งใจฟังเก่งกาจพูด ในขณะที่ผมไม่กล้ามองหน้าคนทั้งคู่เพราะในบทสนทนานั้นเป็นเรื่องตัวผมเองล้วนๆ จะเข้าไปแทรกก็ไม่ได้ จะเดินหนีไปก็ทำไม่ได้อีก

ผมไม่เข้าใจว่าเก่งจะชวนคุยเรื่องนี้ตอนนี้ทำไม มากินปิ้งย่างก็ควรกินสิ

“เดี๋ยวผมช่วยพี่คุมประพฤติมันด้วยเลยเอ้า”

“เก่ง” ผมปราม แต่เก่งกาจกลับหันมายักคิ้วให้สองจึ้ก

บทสนทนาจบลงแค่นั้นเพราะโฬมไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมบรรจงตัดเนื้อย่างใส่จานของคนข้างตัวเพื่อให้เขาเลิกสนใจคำพูดเก่งเสียที ในขณะเดียวกันก็เป็นผมเองที่ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ จนถึงประเด็นคนที่เก่งชอบและทำไมถึงต้องมาให้ปิ้งย่างเยียวยาจิตใจ

“เซ็งดิ คนที่กูจีบอยู่เขาไม่เล่นด้วยสักนิด”

“ใครอ่ะ คนที่ร้านเฮียเต็ม?”

“เปล่า”

“อ้าว”

“คนนั้นเขามีเมียแล้ว กูไม่ยุ่งกับคนมีเจ้าของ”

ผมส่ายหน้า เก่งกาจดูเหมือนคนเจ้าชู้เลยนะถ้าไม่ได้รู้อะไรๆ ในชีวิตมันแบบที่ผมรู้ เป็นคนที่เปลี่ยนคนคุยคนควงเป็นว่าเล่น แต่อันที่จริงคือคนอื่นต่างหากที่เล่นๆ กับมัน ตัวมันเองจริงจัง พร้อมที่จะสานสัมพันธ์ตลอด แต่สุดท้ายพอจบเรื่องบนเตียง ก็กลายเป็นตัวมันอีกนั่นแหละที่โดนฟันแล้วทิ้ง

สงสารเพื่อนก็จริง แต่ผมช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ

และพอพูดเรื่องความรักแสนช้ำของเก่งกาจ โฬมก็คล้ายจะกลับเข้ามาร่วมบทสนทนาด้วยทันที เพราะเป็นเรื่องที่พวกเขาน่าจะเข้าใจกันเป็นอย่างดี แม้โฬมจะไม่ได้เปลี่ยนคนรักบ่อยขนาดเก่ง แต่อย่างไรก็สังคมเดียวกัน

สังคมที่ผมไม่เข้าใจ แต่ก็คิดว่ามันน่าเศร้าไม่น้อยเลย

ผมไม่ได้หมายถึงสังคมเพศทางเลือกหรืออะไรนะครับ แต่ผมหมายถึงตรรกะของคนที่พวกเขาทั้งสองพานพบมาต่างหาก ความไม่จริงจังและไม่ต้องการสานต่อคล้ายเป็นทางเส้นขนานกับความรักแบบที่พวกเขาต้องการไขว่คว้า ผมยัดเนื้อเข้าปากแล้วมองหน้าทั้งเพื่อนสนิททั้งเพื่อนร่วมงานด้วยความเห็นใจ ไม่ได้เอ่ยอะไรแทรกเข้าไปเพราะกำลังปล่อยให้เสือสองตัวผลัดกันเลียแผลรักษาใจให้แก่กัน

ดูท่าแล้วการมีคนเข้าอกเข้าใจในความทุกข์ที่ตนเจอ คงพอเรียกรอยยิ้มที่ออกมาจากใจของทั้งสองคนได้บ้าง ไม่มากก็น้อยล่ะนะ





ท้องผมตึงเปรี๊ยะเลยปล่อยให้โฬมเป็นคนขับกลับมาที่คอนโด วันนี้ผมอนุญาตให้เขามาค้างอีกแล้ว ด้วยความที่ว่าผมอิ่มมาก และโฬมก็น่าจะอิ่มไม่ต่างกัน

อีกเหตุผลก็น่าจะเพราะเขาไม่ใช่คนนอกสำหรับผมอีกแล้วล่ะมั้ง

ผมลากตัวเองเข้ามาในลิฟต์ด้วยความลำบาก พลางบ่นกระปอดกระแปดตลอดทางว่าหายใจไม่ออก อยากล้วงคออ้วกออกมาเอามากๆ เพราะตอนที่เกิดสงครามแย่งเนื้อบนเตา ผมดันหยิบออเดอร์มาสั่งเพิ่มไปเยอะมากด้วยความหน้ามืดตามัว สุดท้ายก็ต้องรับผิดชอบในส่วนที่ตัวเองสั่ง

และนั่นแหละครับ ท้องจะแตกตายเอา

“โฬมอาบน้ำก่อนก็ได้นะครับ ผมขอพักก่อน” ผมบอกแขกของตัวเองเมื่อก้าวเข้ามาในห้องนอน ทิ้งร่างลงนั่งบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่

ทรมานที่สุด ให้ตาย

“ฟ้าไหวไหม”

ผมส่ายหน้า ตีพุงดังป๊องโชว์

“โฬมอิ่มๆ ก็นั่งพักก่อนนะ อาบน้ำตอนจุกๆ เดี๋ยวท้องอืด” ผมบอก ร่างสูงเลยทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง ซึ่งห่างจากเก้าอี้ของผมไม่เท่าไหร่

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างยากเย็น เนื่องจากกระเพาะเต็มไปด้วยอาหารมากเกินไป โฬมก็ดูทรมานไม่ต่างกันเพราะเขาต้องเสียสละช่วยผมจัดการเนื้อล็อตสุดท้าย โดยมีเก่งกาจยิ้มให้กำลังใจอย่างร้ายกาจ

“อ๋อ ผมลืมคุยเรื่องนี้กับโฬมเลย”

“เรื่องอะไรครับ?”

“เอ็มวีน่ะครับ โฬมว่าไปถ่ายที่ไหนดี”

“จะถ่ายนอกสถานที่เหรอครับ”

“ใช่ๆ ผมคุยกับประธานแล้ว งบไม่เยอะมากอาจจะไม่มีทีมงานดูแลความสะดวกสบายนะครับ” ผมบอกเขาไว้ก่อน เพราะค่ายของผมถึงแม้จะมีส่วนแบ่งในตลาด แต่ก็ไม่ใช่ค่ายยักษ์ใหญ่อะไรนัก อีกอย่างผมชินกับระบบงานที่ทำเอง คิดเองแล้วเอาไปเสนอแบบนี้ด้วย จึงไม่เป็นไรถ้าสุดท้ายตอนไปถ่ายเอ็มวีจะมีทีมงานไม่กี่คนไปช่วยถ่ายทำ

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาเลยครับ” โฬมยิ้มให้ผม “ฟ้าอยากได้ที่แบบไหน ทะเล ภูเขา หรือสวนดอกไม้?”

“ผมชอบภูเขานะ แต่คงถ่ายทำยากไปหน่อย”

“ทะเลดีไหมครับ ไปรีสอร์ทที่ระยอง ชายหาดส่วนตัวจะได้เงียบหน่อย”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย “โฬมมีที่แนะนำไหม”

“ผมไม่ได้ไปทะเลระยองนานแล้วด้วย”

“จากกรุงเทพฯ นี่ขับรถไประยองนานไหมครับ” ผมถามพลางคิดคำนวณในใจ

เคยไปก็แต่ตอนมหา’ลัยรับน้อง ซึ่งการขับรถใหญ่ทำให้กินเวลาไปตั้งสี่ชั่วโมง ซึ่งผมคิดว่าถ้าเป็นรถยนต์น่าจะเร็วกว่านั้น แต่ก็กะไม่ถูกเช่นกันว่าประมาณเท่าไหร่

“สองสามชั่วโมงครับ”

“อืมมม” ผมลูบคางขณะครุ่นคิด “ไว้เราไปสำรวจสถานที่กันไหมครับ ผมอยากเลือกด้วยตัวเอง อยากไปเห็นกับตาด้วย”

“ไปกันสองคนเหรอครับ”

เอ๊ะ

ผมสะดุ้งกับประโยคคำถาม หันไปสบกับดวงตาเป็นประกายระยิบระยับด้วยหัวใจที่เต้นระรัว นั่นน่ะสิ ชวนไปแบบนี้ก็ไม่ต่างจากไปเที่ยวด้วยกันเลยแหะ

ผมเม้มปาก แต่ก็พยักหน้าตอบไปเป็นการยืนยัน

“สองคนครับ”

“ฟ้าจะชวนเพื่อนไปด้วยก็ได้นะ” โฬมคงเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผม เขาถึงพูดขึ้นมาแบบนั้น แต่ผมกลับปฏิเสธประโยคนั้นของโฬมไป

“เก่งไม่ไปหรอกครับ มันทำงาน”

“อ๋อ”

“อีกอย่าง...”

“...”

“ผมอยากไปกับโฬม... สองคน

________________________________
Talk: ตอนแรกจะหายไปอีก 2-3 วันอย่างที่มาแจ้งไว้ข้างบน
โปรเจคส่งอาทิตย์หน้าแล้วค่ะ เครียดมากเลยเพราะบัคเต็มไปหมด  :z3: :z3:
มันทำให้เราปรับอารมณ์ตัวเองมาเขียนไม่ได้จริงๆ

แต่ว่าเจ้าสกายตอนนี้แต่งทิ้งไว้ได้ประมาณครึ่งนึง
ยังไม่ได้อัพ #เขื่อนคนสวย ด้วย แต่ลัดคิวมาลงก่อน
มาหากำลังใจจากคอมเม้นต์คนอ่านด้วยค่ะ ฮืออออ ขอโทษที่ให้รอนะคะ  :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ PandP

  • Déjame vivir esa fantasía.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-0
    • http://www.facebook.com/iAMpingPINGping
สู้ๆน้องสกาย ค่อยๆเรียนรู้ความรักไปพร้อมกับโฬม

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ Josett

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
หนูรู้กกกกกชวนเขาไปทะเลสองคน อินี้คิดดีไม่ได้เลยนะ55555555

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
ขอบคุณมากค่ะที่มาลงให้ก่อน... น้องน่ารักขึ้นทุกวัน  :hao7: อย่างงี้พี่โฬมหัวใจทำงานหนักแน่ๆ  :hao3: สู้ๆค้ะ  o13

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
คนเขียนสู้ ๆ น้าาา

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
อย่างนี้เขาเรียกว่าอ่อยสินนะ อิอิ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
น้องสกายก็ขยันน่ารักเหลือเกิน ส่วนไรท์ก็สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้นะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด