ตอนที่ 18
[/size]
นอนหลับบนรถเกือบสองชั่วโมง ชดเชยที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ทุกคนเริ่มหิวโชคดีที่เจอตลาดเช้าข้างทาง พวกเขาแวะหาอะไร
กิน ปฐวีร์ไปเห็นหมูปิ้ง ตับปิ้ง กับข้าวเหนียว “พี่กินเปล่า” ถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เลี้ยงหน่อยไม่ได้เอาตังค์ลงมาด้วย”
“ตลอด ป้าเอาอย่างละห้าไม้ ข้าวเหนียวสอง” ได้ของกินมาแล้วทั้งสองยังเดินต่อ เห็นของกินหลายอย่าง พวกเขาซื้อโน่นซื้อนี่
ใส่ท้องจนอิ่ม เห็นขนมครกใบเตยนมสด ขนมฝักบัวซื้อติดมือไปเผื่อคนอื่น กลับมาถึงรถเห็นยุทธจักรกับตติวัฒน์กำลังดูดก้นถุง
น้ำเต้าหู้คนละถุง ภฤดลกับกฤติกรณ์กำลังแย่งปาท่องโก๋นภาภรณ์ ปฐวีร์เลยเอาขนมที่ซื้อมาให้เพื่อน ๆ
เมื่อทุกคนอิ่มท้องก็พร้อมออกเดินทางต่อ เช้าแล้วทุกคนเริ่มพูดถึงเรื่องที่เจอเมื่อคืนอีกครั้ง แต่ละคนเล่าโดยรายละเอียด ทุกคน
ต่างโทษยุทธจักรเพราะเป็นคนจองที่พัก
“ภรณ์ก็ว่าแล้วโรงแรมมันดูน่ากลัวจะตาย”
“ดีนะไม่เป็นไข้หัวโกร๋น”
“แกไม่ต้องมาพูดเลยไอ้วัฒน์ไอ้เพื่อนเลวทิ้งฉันไว้คนเดียว”
“เพราะแกเลือกจองโรงแรมไม่ดูให้ดี”
“ก็ใครมันจะไปรู้ ทางโรงแรมไม่ได้ลงหมายเหตุว่ามีผีด้วยนี่หว่า” ลุงคนขับรถได้ฟังก็หัวเราะบอกให้แวะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้
หญิงคนนั้น และเป็นสิริมงคลให้กับตัวเองด้วย ส่วนจะเป็นวัดไหนนั้นให้ลุงคนขับรถเป็นคนพาไป
หลับพักสายตามาสักพักรถตู้ก็เลี้ยวเข้าไปจอดในวัดแห่งหนึ่ง ทุกคนเห็นโบสถ์ เห็นศาลา รู้สึกดีขึ้นเยอะ จากนั้นช่วยกันเอา
สังฆทาน และของทำบุญลงมาจากรถ
“นั่นลุงเขามีงานอะไรรึเปล่า”
“ป้ายทางเข้าเขียนบอกไว้ว่ามีงานบุญครับ ตอนเย็นมีงานมหรสพ”
“มีงานวัดด้วย” ทุกคนฟังแล้วรู้สึกสนใจ
“ภรณ์ก็อยากเที่ยวงานวัดเหมือนกัน”
“ที่พักห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าไหร่ เราน่าจะอยู่เที่ยวได้”
”หวังว่าที่พักของแกจะไม่เหมือนเมื่อคืนนะ”
“ไม่แน่นอนรับรองเพราะที่นี่ฉันเคยไปพักมาแล้ว” ตกลงกันได้ทุกคนเข้าไปข้างใน
วัดดูคึกคักเป็นพิเศษ มีชาวบ้านกำลังช่วยกันเตรียมงานบุญอยู่บนศาลา พวกเขาบอกว่าจะมาทำบุญ ชาวบ้านแนะนำให้ขึ้น
ไปพบหลวงพ่อที่กุฏิ เดินตามหลังเด็กวัดมาเรื่อยจนมาถึงกุฏิหลังใหญ่อยู่ห่างจากกุฏิหลังอื่นพอสมควร ยืนรอด้านล่างให้เด็กวัด
ขึ้นไปบอกหลวงพ่อ สักพักเด็กวัดลงมาตามให้ขึ้นไป เดินตามก้นขึ้นไปก็เห็นพระภิกษุสูงอายุสวมแว่นสายตา ใบหน้าแจ่มใส
ท่านนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะเก่าๆ ด้านข้างมีหนังสือธรรมะหลายเล่ม ทุกคนค่อย ๆ คลานเข่าเข้าไปใกล้และก้มลงกราบ เทวาเล่า
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หลวงพ่อได้ฟังเรื่องที่ทุกคนเจอแนะนำให้ทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกคนเห็นด้วย
ช่วยกันถวายสังฆทาน ของที่นำมา และบริจาคเงินร่วมทำบุญ
ได้ทำบุญกรวดน้ำแล้วจิตใจทุกคนก็ดีขึ้นมาก แต่อยู่ ๆ หลวงพ่อมองมาที่ปฐวีร์แล้วพูดขึ้นว่า “โยมอาบน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล
กับชีวิตหน่อยไหม” คนที่นั่งเงียบมาตั้งนานแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็เข้าใจว่าท่านหมายความว่าอะไร “ครับ”
“เอ่อ อย่างผมนี่อาบน้ำมนต์ด้วยได้ไหมครับ” ยุทธจักรอยากอาบบ้างจะได้มีเรื่องดี ๆ เข้ามา
“ได้สิ จะอาบทั้งหมดด้วยกันก็ได้”
พิธีอาบน้ำมนต์ผ่านไปอย่างเปียกปอน สดชื่น และสบายใจ ทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย งานวัดก็เริ่มขึ้น ร้านขายของกิน
เริ่มคึกคัก คนในหมู่บ้านแต่งตัวหล่อสวยจูงมือลูกหลานออกมาเดินเที่ยว หนุ่มสาวก็อาศัยช่วงเวลานี้ออกมาเจอกัน ยังไม่ทันจะได้
เดินเที่ยวท้องก็ร้องขึ้นมาก่อน ปฐวีร์เห็นร้านผัดไทยน่ากิน เขาชวนทุกคนไปนั่งกินที่ร้าน ผัดไทยในกระทะส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำ
ย่อย ทุกคนสั่งผัดไทยทะเล ผัดไทยกุ้งสด ปฐวีร์เห็นลูกค้าหลายคนสั่งผัดไทยวุ้นเส้นกล้ามปูเลยลองสั่งมากินบ้าง
“นั่นอร่อยไหม”
“ลองกินดูซิ” เทวาไม่เกรงใจลองชิมผัดไทยในจานอีกฝ่ายทันที “เป็นไงวะเทวาอร่อยไหม ถ้าอร่อยฉันจะสั่งมากินบ้าง”
“อร่อยสั่งมาเผื่อด้วย” กินผัดไทยกันไปคนละจานสองจานจนปากมันวาว ก็ได้เวลาเดินย่อย เริ่มจากปาลูกโป่ง ยุทธจักรขอโชว์
ฝีมือความแม่นยำเป็นคนแรก ต่อมาเป็นตติวัฒน์และ คฑาวุธ ปาไปหลายสิบดอกก็ยังไม่ถูกลูกโป่ง ทั้งสามเลยยอมแพ้เดินคอตก
ออกมา ทั้งสามขอแก้มือที่ซุ้มยิงปืนอัดลมที่อยู่ถัดมา ยุทธจักรเล็งรางวัลใหญ่ เขาต้องยิงตุ๊กตาให้ล้มสามตัวโดยใช้กระสุนเพียง
แค่สามลูก ยิ่งหมดไปหลายสิบลูกได้แค่เฉียด ยังถูกตุ๊กตาหน้าตาน่าเกลียดหัวเราะเยาะอยู่หลายครั้ง แต่ก็ได้รางวัลเป็นลูกอมไม่
กี่เม็ด เห็นทั้งสามเดินมือเปล่ากลับมาเทวาอดหัวเราะไม่ได้ เดินเข้าซุ้มนั้นออกซุ้มนี้หมดเงินไปหลายร้อยแต่ได้ของปลอบใจเป็น
ขนมบ้างลูกอมบ้าง
“ไม่อยากเล่นอะไรเหรอ”
“ไม่ครับ ไม่ค่อยถนัด ยืนดูสนุกกว่า แล้วพี่ล่ะไม่แสดงฝีมือหน่อยเหรอ ซุ้มนั้นก็ได้” ปฐวีร์ชี้ไปซุ้มยิงกระป๋อง เทวายอมรับคำท้า
เดินตรงไปซุ้มนั้น ถามเจ้าของร้านว่าเล่นยังไง ฟังกติกาจนแน่ใจ เขาบอกให้ปฐวีร์ดูให้ดีอย่ากะพริบตา เล็งปืนอัดลมไปที่กระป๋อง
น้ำอัดลม แป๋ง แป๋ง แป๋ง แค่สามนัดกระป๋องน้ำอัดลมเปล่าก็ปลิวตกลงจากชั้น
“เป็นไงฝีมือ พอใช้ได้ไหม” เทวายืนเก๊กท่าเสยผมยักคิ้วถาม เห็นท่าทางกวนประสาทของอีกฝ่ายแล้วปฐวีร์รู้สึกหมั่นไส้อย่าง
บอกไม่ถูก ยิงถูกทั้งสามนัดของรางวัลที่ได้เป็นน้ำอัดลมสองกระป๋อง เทวาส่งน้ำอัดลมที่ได้เป็นรางวัลให้ ปฐวีร์เลิกคิ้วขึ้นอย่าง
แปลกใจแต่ก็รับมา
“วีร์ มาอยู่ที่นี่เอง” นภาภรณ์เดินตามเพื่อนอยู่นาน จนมาเห็นที่ซุ้มยิงปืนอัดลม เธอมาทันเห็นรุ่นพี่เอาของรางวัลให้เพื่อนของเธอ
ด้วย เธออดรู้สึกเขินแทนปฐวีร์ไม่ได้ “ไปเล่นร้านนั้นกัน พี่เทวาด้วย”
ทั้งสองถูกนภาภรณ์ลากมาที่ซุ้มบิงโก เห็นยุทธจักรกำลังหัวเราะเสียงดัง “ฉันบิงโกอีกแล้ว”
“อะไรวะ ทำไมไอ้ยุทธบิงโกเอา บิงโกเอานี่มันรอบที่สามแล้วนะ”
“แพ้คนอย่างไอ้ยุทธนี่รู้สึกไม่ดีเลยว่ะ”
“ยังไงไอ้วัฒน์ พูดให้ดีนะ”
“เดี๋ยวค่ะอย่าเพิ่งทะเลาะกัน ภรณ์พาวีร์กับพี่เทวามาเล่นด้วย”
“มาเลยต่อให้เป็นไอ้เทวาฉันก็จะบิงโกให้ดู” ปฐวีร์ยืนฟังอยู่นานรู้สึกน่าสนุก “ของรางวัลจากร้านเป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ มันจะไป
สนุกอะไร เอาอย่างนี้ไหมครับเรามาเพิ่มเดิมพันเป็นไง แบบเลี้ยงข้าวสักเดือน เลี้ยงหนังสักสิบเรื่องอะไรประมาณนี้จะไม่สนุกกว่า
หรือครับ”
“ดี เห็นด้วย” ทุกคนเห็นด้วยการเดิมพันครั้งใหม่ทั้งสนุกทั้งตื่นเต้นมากกว่าเดิม แต่ผ่านไปห้ารอบก็ยังไม่มีใครบิงโก จากสนุก
กลายเป็นน่าเบื่อ ทุกคนตัดสินใจออกจากซุ้ม เดินเรื่อยต่อไปจนถึงโซนเครื่องเล่น
“วีร์ ไปเล่นชิงช้าสวรรค์กัน” นภาภรณ์ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วลากเพื่อนไปที่ชิงช้าที่กำลังหยุดรอคน
“เราว่าชิงช้าสภาพมันไม่ค่อยสวรรค์เท่าไหร่ แต่ตกลงมายังไม่แน่ว่าจะสวรรค์หรือนรก” แววตาของปฐวีร์แสดงออกอย่างชัดเจน
ว่ากำลังกลัว
“เอาน่า อย่าคิดมากน่า หรือน้องวีร์กลัวความสูง” ยุทธจักรยิ้มเจ้าเล่ห์
“เฮ้ย..” ปฐวีร์ยังไม่ทันพูดอะไรก็ถูกผลักเข้าไปในชิงช้า
“เทวาฝากน้องด้วย” เทวายังไม่ทันทำความเข้าใจกับคำพูดของยุทธจักร เขาก็ถูกผลักเข้าไปในชิงช้าอีกคน “พี่เต็มแล้วเดิน
เครื่องเลย” ยุทธจักรรีบล็อกประตูตะโกนบอกคนคุมเครื่อง ชิงช้าสวรรค์ ชิงช้าสภาพที่ไม่ค่อยสวรรค์ขยับช้า ๆ ลอยสูงขึ้น ทุกคน
มองขึ้นไปเห็นสายตาที่ทั้งสองคนมองลงมา สายตาทั้งสองบอกชัดเจนว่าไม่พอใจ
“มันจะดีจริง ๆ เหรอพี่ยุทธ” นภาภรณ์รู้สึกเป็นกังวลกับแผลการณ์ของยุทธจักร
“ดีสิเชื่อมือพี่ ที่เหลือก็ปล่อยให้สองคนนั้นสานต่อกันเอง พวกเราทำได้แค่นี้ ไป ไปหาที่หลบตีนไอ้เทวากัน มันลงมาเตรียมโดน
เตะเรียงตัวแน่นอน” ยุทธจักรพูดจบทุกคนต่างแยกย้าย
ชิงช้าสภาพไม่สวรรค์แกว่งไปมาจนปฐวีร์ไม่กล้าขยับตัวหายใจแรงก็ยังไม่กล้า และมันก็เล็กดูไม่ค่อยเหมาะกับผู้ชายสอง
คนมานั่งด้วยกัน ชิงช้าค่อย ๆ สูงขึ้นจนสามารถมองเห็นรอบงาน “ดูนั่นตรงนั้นมีลิเกด้วย” เทวาขยับเข้าไปใกล้เพื่อมองจุดที่อีก
ฝ่ายบอกจนปฐวีร์รู้สึกว่าใกล้เกินไป ลมหายใจอุ่นกระทบลงบนแก้มจนเขารู้สึกแปลก “กลัวความสูงเหรอ” เสียงทุ้มดังอยู่หูทำให้
รู้สึกจั๊กจี้ เขารีบหันไปจะด่าอีกฝ่ายที่ชอบแกล้ง แต่ยังไม่ทันพูดอะไรริมฝีปากก็ปิดด้วยริมฝีปากร้อน พร้อมกับชิงช้าหยุดและไฟ
ปิดลง ในหัวที่เต็มไปคำด่าตอนนี้กลับว่างเปล่า ทุกอย่างรอบตัวเงียบลงชั่วคราว ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้สึกตัวอีกทีก็
เห็นดวงตาสีเข้มจ้องมองอยู่ “พี่ชอบเรานะ” ปฐวีร์ทำตาปริบ ๆ เขายังอยู่ในอาการมึนงง นี่เขาเห็นภาพหลอนหรือมันเป็นความ
จริง
“พี่สับสนอะไรรึเปล่า ผมเป็นผู้ชายนะ” ปฐวีร์ถามอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจ
“รู้ หลับตาข้างเดียวก็ดูออกว่าผู้ชาย”
“เอ่อ..” เขากังวลเมื่อนึกถึงภาพความตาย เมื่อคนที่รักทั้งหัวใจเป็นผู้ชายคือต้นเหตุถึงจะไม่ใช่คนนี้ก็ตาม ใครสาบานได้ว่ามันจะ
ไม่จบลงเหมือนความฝัน เขายังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับความรัก เขากลัว เขายอมรับว่าเขาขี้ขลาด
เทวามองแววตาที่แสดงความหวาดกลัวความลังเลออกมาให้เห็นชัดเจน ทำให้เขาต้องรีบพูดความในใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้ “ไม่รู้
เหมือนกัน แต่อยู่กับเราแล้วรู้สึกสบายใจ คิดถึงเวลาไม่ได้เจอ อยากอยู่ใกล้ อยากสัมผัส ที่ไม่เคยรู้กับใครมาก่อน” เขารู้ว่าตัวเอง
พูดไม่เก่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจไหมในสิ่งที่เขาพูดออกไปไหม เขาถือโอกาสนี้โอบกอดอีกฝ่ายไว้ และเพื่อส่งความรู้สึกของเขา
ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ปฐวีร์เพิ่งเคยถูกคนที่ไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่เพื่อนกอด แต่มันกลับรู้สึกดีจนอธิบายไม่ถูก เขาไม่เคยได้สัมผัส
อ้อมกอดแบบนี้มาก่อน ในใจกลับรู้สึกหวงมันขึ้นมาเมื่อคิดว่าคนอื่นจะได้มันไปภาพความฝันความรักของเขาทุกอย่างก็เหมือนจะ
ดีมีความสุข แต่ตัวแปรที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปคือ พิมพ์รตา นึกถึงชื่อนี้ขึ้นมาแววตาเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น เขาสวมกอดคนตัว
สูงแน่นขึ้นด้วยความกลัวความกังวลมากมายจนบอกไม่ถูก ในเมื่อเขาไม่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมที่มีคนรักเป็นผู้ชายได้ แต่
อย่างน้อยก็เลือกได้ว่าจะรักใคร งั้นก็ขอเป็นคนที่เขามีความรู้สึกดี ๆ ด้วยก็น่าจะดีกว่า และจากนี้ก็มาพนันกัน ว่าเขาจะสามารถ
เปลี่ยนแปลงอนาคตได้หรือไม่ แน่นอนเขาจะไม่ยอมเป็นฝ่ายที่ต้องถูกแย่งคนรักและตายอย่างน่าอนาถ
“เอ่อ พี่คงลืมไปว่าพวกเรายังอยู่บนชิงช้าสวรรค์” ปฐวีร์ช่วยเตือนอีกฝ่าย เทวาปล่อยอีกฝ่ายออกจากอ้อมกอดด้วยความเสียดาย
เขายังไม่ได้ฟังคำตอบที่ต้องการเลย เสียงจากข้างล่างดังขึ้นบอกให้รู้ว่าหมดรอบแล้ว ชิงช้าหยุดลงทั้งสองลงจากชิงช้า
บรรยากาศรอบ ๆ ชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วน เทวาชวนอีกฝ่ายไปรอทุกคนที่รถ รอสักพักทุกคนก็มาถึง จากนั้นก็เดินทางเข้าที่พัก
กว่าจะได้เข้าห้องพักก็เกือบเที่ยงคืน ถึงอย่างนั้นปฐวีร์ก็ยังไม่รู้สึกง่วง เขายังนอนตาสว่างในอ่างอาบน้ำเมื่อคิดถึงช่วงเวลา
บนชิงช้าสวรรค์ ริมฝีปากบางโค้งขึ้น เขาเลื่อนมือลูบริมฝีปากที่ถูกจูบ ร่างกายเบาหวิวหัวใจอบอุ่นเมื่อได้รับความรู้สึกของเทวามา
ว่าไปแล้วเขายังไม่ได้ให้คำตอบอีกฝ่ายเลย คิดได้แล้วก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่
เทวากำลังรอคนในห้องน้ำ ได้ยินเสียงประตูเปิด เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อน กลิ่นหอมของปฐวีร์กำลังก่อกวน
อารมณ์ของเขา แล้วสายตามองเห็นผมเส้นเล็กยังเปียกอยู่
“นั่งลงสิพี่จะช่วยเช็ดผมให้เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ขอบคุณ” ในห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง ปฐวีร์หยิบรีโมตมาเปิดโทรทัศน์เพื่อช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น คนตัวสูงซับน้ำออกจากผม
เส้นเล็กแล้วอดแอบหอมไม่ได้ การกระทำของเทวาทำหัวใจปฐวีร์อุ่นวาบขึ้นมา เขาชอบช่วงเวลาแบบนี้ ความรู้สึกที่ไม่ได้รับจาก
ครอบครัว “ให้เวลาผมนะครับ ให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป” เทวาได้ฟังคำตอบอดยิ้มกว้างไม่ได้ เขาไม่ได้เร่งรัดอีกฝ่ายแค่ได้ใช้
เวลาอยู่ด้วยกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกันเท่านี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว
บนโต๊ะกลางเต็มไปด้วยกล่องเครื่องประดับที่คุณนายรองเอาออกมาเลือกเพื่อจะใส่ไปออกงาน เธอเปิดดูว่ากล่องไหนจะ
เข้ากับชุดที่เธอสั่งตัดมา “เป็นอะไรคะคุณแม่” พิมพ์รตาแปลกใจเมื่ออยู่ ๆ แม่ของเธอก็เงียบไป
“แม่รู้สึกเหมือนเครื่องประดับของแม่จะหายไป”
ตึก หนังสือในมือพีรพลธ์หล่นลงพื้น “เป็นอะไรเจ้าพีมือไม้อ่อน”
“ปะ เปล่าครับ แม่พีง่วงแล้วไปนอนนะ”
“ไปเถอะลูก อย่าเล่นเกมดึกนักล่ะ” พีรพลธ์รีบหอบหนังสือเดินออกจากห้องนั้น
“แปลกจัง”
“อะไรแปลก” เธอเงยหน้าจากกล่องเครื่องประดับมองลูกสาวที่มองตามหลังลูกชายคนเล็กที่เพิ่งเดินออกจากห้องไป
“เจ้าพีช่วงนี้อยู่ติดบ้าน ปกติแทบจะไม่โผล่หน้ามาให้เห็น คุณแม่พูดอะไรก็เชื่อฟังไปหมด นี่ถ้าบอกว่าผีเข้าพิมพ์ก็เชื่อนะคะ”
“ก็ดีไม่ใช่รึไง ให้แม่ปวดหัวเรื่องพี่ชายเราคนเดียวก็พอ”
“บางทีคนเรามักทำตัวดีเพื่อปิดบังเรื่องไม่ดีของตัวเองก็ได้” พีรพลธ์ยืนอยู่หลังประตูได้ยินคำพูดพี่สาว ต้องกัดฟันแน่นแล้วรีบ
เดินกลับห้องตัวเอง
“ช่างเถอะปิดบังอะไรไว้เดี๋ยวเราก็รู้เอง แล้วเรื่องพี่ชายจะทำยังไงคะ คุณนายสี่นั่นยังลอยหน้าลอยตา แอบส่งสายตาให้พี่ชาย
บ่อย ๆ ” เธอเห็นแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียน
ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น “เข้ามา” คนเคาะประตูได้ยินเสียงจากข้างในบอกให้เข้าไป ก็เปิดประตูเข้าไปข้างใน เห็นคนเดิน
เข้ามาพิมพ์รตาก็อดแปลกใจไม่ได้
“นี่ไงคนที่จะทำให้ยัยคุณนายสี่ออกไปจากบ้านอย่างถาวร แถมพี่ชายเราไม่มีทางหันกลับไปหามันแน่นอน” พิมพ์รตาได้ยินคำ
อธิบายก็พอจะเดาอะไรได้บ้าง ถ้าลองแม่ของเธอได้ลงมือเองทุกอย่างต้องเรียบร้อยแน่นอน
********************************************************************
โปรดติดตามตอนไป