แผนที่ 1
Kant : ไดจิครับ ผมมีเรื่องอยากปรึกษา
Dai_Hiro : เอาสิ ร้านเดิมนะ
“ว่าไงคนเก่ง”
ผมมาเจอไดจิที่ร้านเดิมที่เราดื่มกันประจำ ผมที่ยังไม่หายดีจากไข้หวัดจิบชาร้อนแทนเบียร์อย่างที่เคยเป็น ผมเลือกที่จะเล่าทุกอย่างให้คนตรงหน้าฟัง ตั้งแต่ที่สงสัยว่าตัวเองถูกแกล้ง เรื่องโดนหาว่าปลอมใบเสร็จ เรื่องที่ตอนนี้มีพี่จุ๋มคนเดียวที่กำลังวิ่งเต้นเพื่อช่วยผม เพราะคุณออยเป็นถึงเพื่อนสนิทคุณธนากร
ผมที่กะว่าจะยื่นใบลาออกดันป่วยเสียก่อน เป็นเวลาเดียวกันกับที่พี่จุ๋มแจ้งมาว่าเขาขอให้ผมพักงานเพื่อรอให้เรื่องทั้งหมดมันคลี่คลาย
“ถ้าเป็นผมผมจะท้าตบไปเลย จะได้จบๆ” วันนี้แฟนไดจิที่ผมคุ้นหน้าดีนั่งอยู่ด้วย เขาดูโมโหแทนผมอย่างเห็นได้ชัด
“ใจเย็นที่รัก” ไดจิลูบไหล่ของอีกคนเบาๆ ผมก็เพิ่งรู้ว่าอาจารย์กานต์ที่ค่อนข้างระเบียบจัดนั้นมีมุมอารมณ์ร้อนแบบนี้ด้วย
“แล้วคุณจะทำยังไง” ไดจิถาม
“ผมว่าจะลาออกครับ”
“ไปยอมทำไม!” อาจารย์กานต์ลุกขึ้นเอามือท้าวกับขอบโต๊ะ ทำให้ไดจิต้องค่อยดึงแฟนตัวเองลงไปนั่งอย่างเดิม
“ใจเย็นๆ”
ผมที่กำลังเครียดแอบสองคนนี้ขำไม่ได้
“ผมไม่ได้ยอมหรอกครับ ผมแค่เบื่อ ต่อให้เรื่องมันคลี่คลายว่าผมไม่ได้ทำผมก็ต้องทำงานกับคุณออยอยู่ดี” ผมว่าด้วยเสียงที่แหบแห้งเพราะไข้หวัดของตัวเอง
“แล้วถ้าสรุปว่าคุณออยนั่นเป็นคนแกล้งเธอล่ะ” อาจารย์ถามขึ้นมา ผมเองก็คิดว่าบางทีอาจจะเป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่าเขาทำ แล้วอีกอย่างถึงผมบอกไปใครจะเชื่อ
“เขาเป็นเพื่อนสนิทหลานประธานบริษัทครับ คุณธนากร”
ไดจิขมวดคิ้วแน่น
“ถามจริงนะกันต์ หลานประธานนั่นคือใคร ฉันได้ยินหลุดมาจากปากเธอหลายครั้งแล้ว” ผมที่เล่าไม่หมด คิดว่าบางทีเก็บไว้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น
“เขาคนนั้นที่เธอเคยร้องไห้จะเป็นจะตายหรือเปล่า”
ผมมองหน้าไดจิที่เป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ
“ครับ เขากลับมา”
พอผมพูดจบคนที่โตกว่าหลายปีก็หันไปมองหน้าแฟนตัวเอง
“ลูกศิษย์เธอทั้งนั้น”
อาจารย์กานต์มองหน้าผมทีมองหน้าแฟนญี่ปุ่นตัวเองที ก่อนจะค่อยๆถามผมทีละคำถามเกี่ยวกับเรื่องเก่าๆ พอเรียงลำดับเหตุการณ์ทุกอย่างได้ก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
อาจารย์กานต์ที่แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแต่หน้าตายังดูเหมือนเด็กนักเรียนสรุปให้ว่า
“ผมมีแผน ผมคิดว่ามันจะจบเรื่องทุกอย่างได้”
ไดจิทำหน้าปุเลี่ยนก่อนจะเปรยถาม
“ที่รัก แผนคุณมันไว้ใจได้ใช่ไหม”
แผนของอาจารย์กานต์คือให้ผมพูดทุกอย่างที่ควรพูด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือความรู้สึก เขาอยากให้ผมซื่อสัตย์กับตัวเองให้มาก ในเมื่อมันไม่มีอะไรเสียหาย ผมเองก็เห็นด้วย ผมรักตัวเองเป็นแล้วนิดหน่อย ต่อไปผมอยากทำเพื่อตัวเองบ้าง ผมอยากทำให้ตัวเองอยู่รอดในสถานการณ์แบบนี้
ไดจิบอกว่าผมอาจจะจะโตขึ้นอีกขั้น นั่นหมายความว่าจากที่ไม่น่ารักแล้วจะยิ่งไม่น่ารักยิ่งกว่าเดิม แต่ผมชอบตัวเองตอนนี้มากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
Kant : คุณธนากร ผมมีเรื่องจะคุยด้วยครับ
ขั้นแรกผมควรคุยกับคนที่น่าจะช่วยผมได้มากกว่าใคร เขามาเจอผมที่สวนที่ผมวิ่งอยู่ประจำ เขาดูเหนื่อยล้าน่าจะเพราะจากงาน
เขาคลี่ยิ้มเมื่อผมวิ่งเข้าไปหาเพราะปกติผมเอาแต่วิ่งหนี ผมมักจะชอบหนีทั้งเขาและหนีปัญหาทั้งหมด ตอนที่ยังมีความรับผิดชอบไม่มากพอผมเชื่อว่าการเลิกหรือการหนีเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องราวนั้นผ่านไปด้วยดี แต่เมื่อโตขึ้นแล้วผมถึงรู้ว่าบางที่การสู้ ก็เป็นทางออกที่ดีเหมือนกัน
“ผมมีเรื่องจะเล่า จะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร” ผมเกริ่นนำพร้อมกับนั่งลงที่ม้าหินอ่อนในสวนตอนพลบค่ำ เขานั่งลงตรงข้ามกัน
“หายป่วยแล้วใช่ไหม” มือเขายื่นมาเหมือนจะแตะตัวผมแต่ก็ถอยออกไป
“ไหน มีเรื่องอะไร”
ผมมองหน้าที่เหนื่อยล้าของเขา ผมว่าอาจจะเป็นส่วนนี้ที่คุณธนากรคนปัจจุบันกับกันย์คนเก่าต่างกันอยู่มาก ในตอนที่กันย์ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงคุณธนากรกลับก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อครอบครัวอย่างหนัก
“เรื่องครั้งก่อน ผมขอโทษ” ผมพูดถึงเรื่องที่เผลอตวาดเขาไปหลายรอบ ถึงผมจะโมโหกันย์คนนั้นแค่ไหน แต่คุณธนากรเขาก็ยังเป็นเจ้านายผม
“ไม่เป็นไร” เขาว่าก่อนจะยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ ดูจากท่าทางแล้วน่าจะปวดเมื่อยพอสมควร
“ถ้าเป็นเรื่องใบเสร็จที่บอกว่าผมโกงผมบอกพี่จุ๋มแล้วครับว่าผมไม่ได้ทำ พี่จุ๋มบอกจะจัดการให้” ผมบอกในสิ่งที่เขาน่าจะอยากรู้
“อืม ถามพี่จุ๋มแล้ว” เขาว่า ก่อนจะอธิบายต่อ
“ตอนนี้ยังรอสืบหลักฐานอยู่ว่าจริงหรือเปล่า เพราะเรื่องฉ้อโกงมันไม่ใช่เรื่องเล็กนะกันต์ ผมถึงอยากฟังจากปากคุณว่าไม่ได้ทำ ผมแค่อยากช่วย”
“ผมไม่ได้ทำ” ผมบอก เขายิ้มน้อยๆ
“ก็แค่นั้น อย่าดื้อให้มาก”
มือใหญ่วางที่มือผม ผมมองมันแต่ก็ไม่ได้ชักมือกลับ ผมมองเสี้ยวหน้าของเขาผ่านไปยังด้านหลังของสวนที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่จำนวนมาก มันโดนสีทองเคลือบเพราะพระอาทิตย์กำลังตก
“จะเกลียดผมก็ได้ แต่อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน” เขาว่า ผมที่พยายามเรียบเรียงคำพูดหลายอย่างในหัวดูเหมือนจะไม่ทันใจเขา
“กินข้าวยัง ไปกินข้าวกัน เย็นนี้ผมว่าจะไปกินข้าวกับทีมคุณพอดี แค่พักงานไม่ได้เกี่ยวกับกินข้าวมั้ง”
ผมยิ้มให้ตัวเองก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่ดีกว่าครับ”
“เพื่อนๆคุณทั้งนั้นนี่” เขาดูแปลกใจที่ผมปฏิเสธ
“คนของคุณ เขาดูไม่ชอบผม”
“ใคร”
“คุณออยครับ” ผมรู้มาว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกัน แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเพื่อนถึงได้ตำแหน่งงานที่ดี เพื่อนได้ไปไหนมาไหนมาไหนกับหลานชายท่านประธาน เพื่อนที่ลูบหัวกัน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนถึงทำได้มากกว่าคนที่เขาบอกว่ารักเสียอีก
“ใครบอกคุณว่าเขาเป็นของผม”
“ผมเห็นเอง”
วันนั้นที่ฝนตก ก่อนที่พวกเขาจะลงมาจากรถ ผมเห็นคุณธนากรลูบหัวของเพื่อนเขาเบาๆ อาจจะเพื่อปลอบหรือเพื่ออะไรไม่รู้
“กันต์”
“ผมรู้นะว่าคุณออยเป็นคนบอกคุณว่าผมฉ้อโกง ผมรู้ว่าคุณเห็นหลักฐานแล้วก็ตรวจสอบมันตามกระบวนการ ผมเข้าใจ” ผมบอกเขาด้วยเสียงขาดห้วงของตัวเอง
“แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องมาถามว่าผมทำหรือเปล่า ผมดูเชื่อไม่ได้ใช่ไหม” ผมถามคนที่จ้องมาทางนี้นิ่ง กันย์กุมมือที่จับมือผมไว้แน่น เขาก้มลงแต่ผมเห็นว่าเขาแอบยิ้ม
“เพราะแบบนั้นเลยโมโหเหรอ” เขาเงยหน้ามามองผม วันนั้นผมรู้ว่าผมนิสัยไม่ดี ผมทั้งเหนื่อย ทั้งป่วย แล้วยังโดนคนที่คิดว่าอย่างน้อยเขาคงเชื่อผมมาถามเรื่องนั้นอีก ผมเข้าใจดีว่าผมมันงี่เง่า ผมที่บอกว่าตัวเองโตแล้วเก่งแล้ว รู้ดีว่าลึกๆผมมันก็คนอ่อนแอคนเดิม
...ผมน้อยใจเขา...
“กันต์...”
“ขอโทษ ผมเอาเรื่องส่วนตัวมาปนอีกแล้ว แต่ผมแค่อยากพูด เผื่อต่อไปจะไม่ได้พูดแล้ว” ผมรีบบอก ผมที่นึกว่าเขาน่าจะโกรธหรือเสียงดังใส่ผมกลับเอาแต่ยิ้ม
“กันต์ งอนเหรอ” เขาถาม
คนที่ดูเหนื่อยตอนแรกในตอนนี้กลับดูสดชื่นเพราะรอยยิ้มกว้าง
“เรื่องที่จะพูดก็มีแค่นี้ครับ” ผมบอกก่อนจะยืนขึ้น อยากจะออกไปจากตรงนี้ให้เร็วแต่ลืมไปว่ามือของตัวเองยังถูกจับอยู่
“คิดว่าที่ผมรอมาขนาดนี้ ผมพูดเล่นเหรอกันต์”
“ผมไม่รู้”
เขายิ้มก่อนจะปล่อยมือผม
“ไม่เป็นไร ไปกินข้าวกันก่อน”
“ผมไม่ไป” ผมรีบปฏิเสธอีกรอบ ตอนนี้ผมยังไม่อยากเจอใครที่ทำงาน แม้แต่พี่ปูก็ตาม
“งั้นไปด้วยกันสองคน มีแค่เรา”
“ไม่สบายกินของแบบนี้จะดีเหรอ” เขาถามพร้อมกับมองข้าวมันไก่เจ้าเดิมที่พูนจนล้นจานผมด้วยหน้าตาเหลือเชื่อ
“ไม่เป็นไรครับ ดีขึ้นแล้ว”
“ไปหาหมอมายัง”
ผมพยักหน้าก่อนจะถามเรื่องที่ตัวเองสงสัย แปลกที่ผมเลิกเกร็งแล้ว อาจจะเหมือนที่อาจารย์กานต์บอกว่าถ้าได้เล่าแล้วหัวมันจะโล่งขึ้นก็เป็นได้ อาจจะเพราะแบบนั้นไดจิเลยโดนว้ากระบายอารมณ์อยู่บ่อยๆ
“ทำไมถึงเปลี่ยนชื่อครับ”
เขายิ้ม ก่อนจะค่อยๆตอบ
“หลังจากตอนนั้น ผมก็เลิกกับแฟน ติดยา ไม่ไปเรียน ดูแย่ไปหมด แม่ก็เลยทำทุกอย่าง ทำแม้กระทั่งดูดวงแล้วก็เปลี่ยนชื่อให้” เขาเล่ากลั้วขำ แต่ผมกลับขำไม่ออก
“ตอนนั้นก็เลยคิดถึงคนที่เขารักเรามากขึ้น เอาแต่ใจน้อยลง คิดถึงพ่อแม่ พี่ชาย แล้วก็คิดถึงบางคน” เขามองตรงมาที่ผม
“ไม่รู้ทำไม ผมยึดติดมั้ง ตอนแรกผมคิดว่าใครก็ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่”
ผมนั่งกินข้าวไปเรื่อยๆฟังเขาเล่าไปพลาง แปลกดีที่ผมไม่ได้อคติกับคำบอกเล่าของเขาแล้ว
“ถ้ากินเสร็จกลับไปก่อนก็ได้นะ” เขาบอกเพราะเห็นว่าจานของผมพร่องไปเกือบหมดแล้ว ส่วนของเขายังไม่ได้เริ่มกินแม้แต่น้อย ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงเดินออกไปแล้วทิ้งเขาไว้ข้างหลังเหมือนที่เขาเคยทำกับผม แต่คราวนี้ผมกลับนั่งอยู่ที่เดิม
“ไม่เป็นไร รอก็ได้” พอผมตอบแบบนั้นเขาก็อมยิ้ม
“เป็นไง สำเร็จไหม” ไดจิถามพร้อมกับรินเบียร์ลงในแก้วตัวเอง เผื่อแผ่มายังแก้วผมด้วย
“น่าจะได้มั้งครับ”
“เห็นไหมบอกแล้ว” แฟนของไดจิยักคิ้วให้ผม
“แผนสูง” คนญี่ปุ่นว่า
“แล้วความรู้สึกเธอ โอเคใช่ไหม” อาจารย์ถาม ผมมองคนที่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายกันเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว แปลกที่เรายังบริสุทธิ์ใจที่ได้คุยและรู้จักกัน นั่นคงเป็นเพราะเราไม่เคยมีความรู้สึกรักให้กันในฉันท์ชู้สาวเลย
“แบบนี้ก็ดีครับ จะได้เคลียร์ไปเลย” ผมว่าก่อนจะเริ่มลงมือกินข้าวบ้าง
“แล้วเขายังมาหาอีกไหม”
“ก็มาทุกวัน มาบอกว่าเรื่องถึงไหนแล้ว”
“รักเขาไหม” อยู่ๆไดจิก็ถามขึ้นมา ผมมองหน้าคนโตกว่า ก่อนจะตอบ
“เคยมั้งครับ”
คนญี่ปุ่นกับแฟนมองหน้ากันเหมือนกำลังปรึกษากัน และเป็นอาจารย์ที่พูดออกมาก่อน
“กันต์ ปีสองปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้ทำอะไรให้มันดีขึ้นเลยเหรอ” ผมส่ายหน้า
“ไม่รู้เหมือนกันครับ”
“จำทุนครั้งที่สองของเธอได้ไหม”
ผมนึกอยู่หน่อยก่อนจะเบิกตากว้าง แฟนของไดจิยิ้มให้ผมน้อยๆ
ผมไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมกันย์ในตอนนั้นเขาถึงอยากให้ผมกลับไปเรียนที่นั่นมากเหลือเกิน เขาย้ำกับผมก่อนไปว่า อย่างน้อยก็อยากให้กลับไปเรียน
“เปิดใจหน่อย เขาอาจจะทำอะไรสักอย่างอยู่ก็ได้”
TBC.