#ญอผู้หญิงโศกา
ตอนที่ 20
ไปข้างนอกไม่ได้เรียกเดท (PART 2/2)
ไอ้แจ็คน่าจะเพลินกับการหาร้านก๋วยเตี๋ยวจนรู้ตัวอีกทีก็ขับมาถึงอยุธยาแล้ว ไอ้คนหน้ามึนหันมาอ้างว่าเพราะเขาชวนร้องเพลงเพลินถึงได้ไหลยาว แต่สุดท้ายก็ได้กินก๋วยเตี๋ยวน้ำตกเจ้าเด็ดสมใจ ซัดกันไปคนละสี่ชามและตบท้ายด้วยผลไม้ที่ปอกสด ๆ ข้างทาง
เท็นไม่ชอบอากาศร้อน และแดดวันนี้ก็จงใจท้าทายให้เขาคิดว่าจะกล้างี่เง่าบ่นเรื่องนี้ไหม หรือว่าจะปล่อยให้เหงื่อออกแต่แลกกับการได้เห็นรอยยิ้มไอ้แจ็คนาน ๆ ซึ่งวันนี้แดดชนะว่ะ แต่ไม่ใช่เพราะต้องอดทน แต่เป็นเพราะวันนี้เขามีความสุขมากเกินกว่าจะให้ค่ากับเรื่องนั้น
“วันนี้กวนทั้งตอนเที่ยงตอนเย็นเลย รบกวนด้วยนะครับพี่ อ้อ ฝากเรื่องนึงครับสำคัญเลย อย่าลืมเปิดไฟห้องครัวนะครับ พี่ซันกลัวผี เดี๋ยวกลางคืนร้องงิ้ง ๆ แล้วมูนจะหงุดหงิดเอา ครับไม่มีอะไรแล้ว เปิดแอร์ห้องนั่งเล่นทิ้งไว้แค่นั้นน้อง ๆ ก็อยู่ได้แล้วครับ แต่ถ้าเปิดทีวีคลอไว้ก็ได้ครับน้องจะได้ไม่เหงา ครับผม เดี๋ยวเท็นโอนให้เลย”
ฝากฝังลูกรักทั้งสองเรียบร้อยแล้วก็หายห่วง มันเป็นทริปไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรนัก ถึงจะเป็นห่วงลูกแต่แม่บ้านที่มาทำความสะอาดทุกสุดสัปดาห์ก็เป็นคนที่ไว้ได้ รู้สึกผิดกับแม่เพราะท่านคงไม่ได้กินยำปูม้าแล้ว แต่ถ้าจะโทษใครก็ขอให้ไปลงกับไอ้คนที่บอกว่า ‘เปิดห้องนอนสักคืนไหม เปลี่ยนบรรยากาศ’ ซึ่งบางทีเจตนาไอ้แจ็คอาจจะมีแค่นั้นจริง ๆ แต่คนคิดเยอะดันเป็นเขาเอง
พอไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนไอ้แจ็คก็พาแวะเซเว่นซื้อเสื้อยืดกับบ็อกเซอร์ไว้ใส่นอนซึ่งนั่นก็โอเค เท็นเป็นคนแต่งตัวจัดแต่ไม่ใช่คนเรื่องมากขนาดนั้น
“ถ้าแม่บ้านคุยง่ายขนาดนี้แล้วทำไมวันนั้นถึงเรียกกูไปดูลูกให้?” เท็นชะงักกับคำถามคนขับซึ่งมาพร้อมแววตาที่เหมือนว่าจะดูออกทะลุปรุโปร่ง
“...”
คนถูกถามถึงกับหน้าแห้ง ไอ้แจ็คเหมือนอยากไล่ต้อนให้เขาตอบว่า ‘ก็ถ้าวันนี้ไม่อยู่ด้วยกัน คนที่จะดูแลลูกรักของกูก็ต้องเป็นมึงเท่านั้น’ ซึ่งเขาจะไม่วางยาตัวเองให้เขินอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์รถติดบนถนนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนอย่างแน่นอน
“ก็มึงใช้ฟรี แต่แม่บ้านกูต้องจ้าง”
“มึงจ้างแต่กูแค่ไม่เอาเงินเฉย ๆ”
“มันคือแผนซ้อนแผนไง เพราะกูรู้ว่ามึงไม่เอาก็เลยพูดไปอย่างนั้นว่าจะให้เงิน จำไว้แจ็ค มันคือวิถีของคนฉลาด”
“ไหลไปเรื่อย” ไอ้แจ็คเคาะหัวเขาเบา ๆ พร้อมยีผมจนยุ่งเหยิง ไอ้ส้นตีนนี่มันยังไงกันวะ ชอบทำให้หมดหล่อแล้วก็มาช่วยจัดผมให้ทีหลัง คิดว่าเท่มากมั้งจับพวงมาลัยมือเดียว ถึงปากมันจะบอกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยได้คบกับใครแต่เขามั่นใจว่าคงทำแบบนี้อวดสาวตลอด
“มึง”
“อือ?”
“ไว้ผมยาวอีกดิ”
“อะไรของมึง?” ไอ้คนขับขมวดคิ้ว “ตอนแรกบอกให้กูตัด แล้วตอนนี้มาบอกให้ไว้ยาว แถมก่อนออกมาก็ตั้งใจเซ็ทผมใหม่เหมือนกูจะไปประกวดเดอะเฟซเมน”
“ท้าเล่น ๆ ไม่คิดว่าจะทำจริงนี่หว่า”
“ที่ผ่านมามีอะไรที่มึงบอกแล้วกูไม่เคยทำบ้างไหม?”
“ตอนมอหกที่มึงบอกจะพากูไปดูหนังแล้วก็เลี้ยงกล้วย ๆ ไง แต่สุดท้ายก็?” เขาเลิกคิ้วมองคาดคั้นเอาคำตอบเพราะอยากเห็นไอ้แจ็คหงอ เผลอ ๆ มันอาจจะง้อด้วยวิธีที่คาดไม่ถึงก็ได้
“ตอนนั้นกูชวนแล้วแต่มึงงอแงไม่ไปเอง”
อ้าวเวร มันไม่ง้อว่ะ
“มึงใช้คำว่างอแงได้เหรอ นั่นเรียกโกรธโว้ย” ทั้งคู่หยั่งเชิงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร กระทั่งจอดไฟแดงตรงสี่แยกไอ้แจ็คถึงได้หันมาบวกกับเขาอีกครั้ง
“กูผิดครึ่งนึงตรงชวนช้า แต่ที่มึงชวดดูหนังคราวนั้นก็เพราะไม่ยอมหายงอนเองทั้งที่กูรวบรวมความกล้าอยู่ตั้งนาน”
“มันจะนานสักแค่ไหนเชียววะ” เท็นเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มมองคนข้างตัวที่คงคิดหนักว่าจะงัดมุกไหนมาสู้กับเรื่องฝังใจเมื่อสิบปีก่อน
แต่รวบรวมความกล้าเลยเหรอ ฟังแล้วน่าเอ็นดูฉิบหาย ได้ยินอย่างนี้ก็รู้สึกอยากย้อนเวลากลับไปลูบหัวเกรียน ๆ ของไอ้เด็กนั่นแล้วจูบสักที
กำลังท่องอยู่ในความคิดเพลิน ๆ ไอ้แจ็คก็คว้าสมาร์ทโฟนขึ้นมากดเข้ากูเกิ้ล พิมพ์อะไรสักอย่างลงไปก่อนจอจะเปลี่ยนเป็นหน้าแผนที่ ก็แค่แซวเล่นเอง ทำไมมันต้องทำหน้าเหมือนกำลังแข่งเกมรอบชิงด้วยวะ หรือเขาต้องอ้าปากบอกว่าหยอกเล่นมันถึงจะ --
“เดี๋ยว มึงจะไปไหน?”
“อยุธยาซิตี้พาร์ค ซีนีเพล็กซ์”
เขาอ้าปากหวอมองอีกคนเป็นเชิงถามย้ำว่ามันเอาจริงใช่ไหม ซึ่งไอ้แจ็คก็เอาแต่มองถนนสลับกับหน้าจอโทรศัพท์ที่บอกพิกัดว่าโรงหนังชดเชยความหลังเมื่อตอนนั้นอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก
“ประชดกูเหรอ เมื่อกี้ล้อเล่นน่ะ อย่าโกรธดิ”
“ไม่ได้โกรธมึง” ไอ้แจ็คหันมา สีหน้ามันยังคงจริงจังจนเชื่อคำพูดเมื่อครู่ได้ยาก “แต่กูโกรธตัวเองตอนนั้นที่ทำเรื่องโง่ ๆ ลงไป”
อะไรล่ะวะ...
“อันที่จริงกูคิดมาตลอด” อีกฝ่ายเหมือนชั่งใจว่าจะพูดดีไหม แต่มันก็เลือกพ่นความในใจออกมาจนได้โดยไม่มองหน้าเขา “ว่าถ้ากูบอกมึงทุกอย่างอะไร ๆ ก็อาจจะดีกว่านี้”
“มึงเป็นคนบอกกูเองว่าให้ช่างแม่ง”
“ใช่ไง ตลกไหมที่กูบอกให้มึงลืม ๆ ไป แต่กูเองก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องพวกนั้น”
“อ่าฮะ แต่มึงคิดว่าถ้าเล่าแล้วกูในตอนนั้นจะยอมเข้าใจเหรอวะ?” เท็นอยากได้ยินว่าไอ้แจ็คจะตอบอย่างไร แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายรู้จักเขาดีมากแค่ไหน
“ล้านเปอร์เซ็นต์”
เออ ทีอย่างนี้ล่ะมั่นใจเก่ง คนได้ยินก็ยิ้มปากฉีกไปดิ ถ้าไอ้แจ็คบอกว่าอยากทำให้เขามีความสุขตายชดเชยเวลาที่เสียไปก็คงเชื่อ แล้วอย่างนี้เขาจะทำอะไรให้มันได้บ้างวะ อะไรที่ทำให้ไอ้แจ็ครู้สึกว่าโคตรดีเลยที่มีผู้ชายชื่อเท็นอยู่ตรงนี้
“กูในตอนนี้ก็เข้าใจนะ”
“...” ไอ้แจ็คหันมาสบตากับเขาครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองถนน
“ต่อให้มีเรื่องที่ไม่เข้าใจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ถ้ามึงอยากอธิบาย กูก็จะนั่งฟังอยู่อย่างนั้นจนกว่ากูจะเข้าใจ”
ไม่เคยรู้สึกจริงจังมากมายถึงขนาดนี้ เหมือนกับว่าเขาไม่กลัวอะไรอีกแล้วขอทั้งเรื่องอนาคตและความรู้สึกของตนเอง เท็นจะโตเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เคยเป็น จะฟังให้มากขึ้นและเลิกคิดไปเองให้น้อยลง
อีกอย่าง... แค่รู้ว่าไอ้แจ็คอยากกลับไปแก้ไขทั้งที่ไม่ต้องก็ได้ หัวใจเขามันก็พองโตแล้ว
“มึงพูดเองนะ”
“ใช่ ขออย่างเดียว” เท็นยังคงมองเสี้ยวหน้าคนขับขณะให้คำมั่นกับคนที่ปากเรียกว่าเพื่อน “อย่าเงียบ อย่าทำให้กูรู้สึกว่าเป็นคนอื่นสำหรับมึง แค่นั้นพอ”
ไอ้แจ็คเงียบไป มันไม่ได้พูดอะไรหรือละสายตาจากถนนมาสบตากับเขาเลยสักนิด ราวกับว่ามันอยากใช้เวลาอยู่กับความเงียบ กระทั่งมันเปิดไฟเลี้ยวซ้ายจอดเทียบข้างทาง
“มึงน่าจะเก็บไว้พูดตอนมือกูว่าง”
เขาชอบสายตาไอ้แจ็คตอนนี้ แววตาที่คนอื่นเคยได้ไป
“ฟังนะ”
มันยังคงประดักประเดิดกับการที่เขากับไอ้แจ็คจะหันหน้าเข้าหากันแล้วพูดเรื่องจริงจังแบบที่เพื่อนสนิททั่วไปคงไม่ทำกัน รวมถึงมือที่กุมไว้อีกครั้งจนเหมือนว่ามันอยากสร้างความคุ้นชินเพื่อไม่ให้รู้สึกขลาดอายอีกหากมีครั้งต่อ ๆ ไป
“อะไรที่ไม่เคยทำตอนนั้น”
ทั้งแววตาและน้ำเสียงนั้นจริงจังกว่าครั้งไหน เท็นรู้สึกได้ว่าไอ้แจ็คคงพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อที่จะพูดประโยคถัดไปซึ่งมันคงไม่ได้ใช้กับใครบ่อย ๆ บรรยากาศดูอึดอัดแปลก ๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่นในใจ และเท็นก็สอดประสานมืออีกคนไว้เพื่อบอกว่าเขาอยากฟังมากแค่ไหน
“หลังจากนี้กูจะทำมันให้หมด”
เวรกรรมตามสนองแล้วเท็น คงเป็นเพราะไปฮุคมันตรงสี่แยกนั้นพอโดนเอาคืนทีถึงกับหุบยิ้มไม่ได้ ก็เอาสิวะ เขาเองก็พร้อมจะทำทุกอย่างแบบที่ไม่ต้องสนใจแล้วว่า ‘อย่างนี้เพื่อนทำกันไหม?’
“เริ่มจากตอนนี้เลยเป็นไง?”
“เช่นอะไร?”
“จับมือกันในโรงหนัง” เท็นตอบฉะฉานมั่นใจ แต่ใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าวเพราะความขลาดอาย ซึ่งไอ้แจ็คก็อมยิ้มพร้อมกระชับมือเขาเป็นคำตอบ
ตอนนั้นทั้งคู่เป็นอย่างไร... เขากับไอ้แจ็คคือเด็กมัธยมสองคนที่สนุกกับเรื่องเดียวกัน เล่นกีฬาหลังเลิกเรียนบ้าง บางทีก็นั่งดีดกีต้าร์ร้องเพลงเล่นใต้ต้นไม้หลังอาคาร
“งั้นให้โควตาปล่อยมือออกไปเช็ดเหงื่อได้สองครั้งตลอดเรื่อง”
ไอ้แจ็คยิ้ม น้อยครั้งที่จะมีเป้าหมายหลังเลิกเรียน พวกเขาแค่หันไปถามกันว่า ‘วันนี้อยากทำอะไร?’ ไปเกมเซนเตอร์ไหม หรือว่าอยากนั่งชิลล์กินกล้วย ๆ แล้วคุยเรื่องไร้สาระไปเรื่อยเปื่อย หรือนั่งดูหนังโซน D ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านไปนั้นเขาไม่เคยได้จับมือไอ้แจ็คเลย
“ถ้ามีคนปล่อยมือมากกว่านั้นจะโดนอะไร?” เขายอกย้อน และไอ้คนหน้านิ่งก็แกล้งทำเป็นขมวดคิ้วครุ่นคิดตาม
“เดี๋ยวคืนนี้ก็รู้”
ก็ตอนมอปลายยังไม่รู้ตัวนี่หว่า...
*
กว่าหนังจะเลิกก็เกือบเย็น แต่มาอยุธยาทั้งทีก็อยากไปเดินเที่ยววัดถ่ายรูปเล่นเสียหน่อย แต่ยังไม่ทันเข้าไปก็ถูกแม่ค้าร้านเช่าชุดไทยโบกมือเรียก ซึ่งเขากับไอ้แจ็คก็บ้าจี้ตกลงเช่าชุด เซ็ทถ่ายรูปวันนี้จึงได้เป็นพระเอกละครพีเรียดไปโดยปริยาย
“จะอาบน้ำก่อนไหม?”
“มึงก่อนเลย เดี๋ยวกูเล่นเฟซแป๊บ”
เท็นตื่นเต้นกับรูปเป็นร้อยในโทรศัพท์มากกว่าจะยอมเสียเวลาไปกับการอาบน้ำ ทั้งรูปตัวเองที่ไอ้แจ็คเลือกมุมถ่ายได้ดีจนไม่ต้องลบทิ้ง แล้วก็รูปมันที่เขาแอบถ่ายไปเกือบครึ่งหนึ่ง ทำไงดี... ต่อมติดโซเชียลเริ่มกำเริบ อยากลงรูปไอ้แจ็คใส่ในไอจีตัวเองแต่ก็กลัวมีคนเข้ามาแซวหรือชมว่ามันหล่อ แต่ที่สุดแล้วก็คือเขาไม่อยากให้ไอ้ธีร์รู้จนเคืองไอ้แจ็คเพียงเพราะมันอยู่กับเขา
เสียงฝักบัวในห้องน้ำเริ่มทำให้มองเห็นความแตกต่าง ใช่ มันไม่เหมือนตอนที่ทั้งคู่สลับไปค้างบ้านกัน ยิ่งตอนหันไปเห็นเสื้อคลุมอาบน้ำกับผ้าขนหนูสีขาวที่พับไว้อย่างเป็นระเบียบแล้วก็...
อืม ปกติแหละน่า...
“...”
เสียงฮัมเพลงในห้องน้ำทำให้ต้องละสายตาจากจอมือถืออีกครั้ง คน ๆ นึงมันต้องอารมณ์ดีขนาดไหนกันวะ ปกติไม่เคยเห็นมันร้องเพลงอัดฝักบัว หรือเป็นเพราะว่าห้องน้ำไม่เก็บเสียงก็เลย...
เดี๋ยว
แต่ห้องน้ำไม่จำเป็นต้องเก็บเสียงก็ได้เปล่าวะ แล้วตอนนี้กำลังเลิ่กลั่กอะไร เวรเอ๊ย อยู่ดี ๆ แอร์ก็ไม่เย็น
เท็นพยายามเบนความสนใจไปให้เรื่องอื่นซึ่งการตามข่าวสารเกมก็เป็นตัวเลือกที่ดี แม้ว่าจะไม่ได้ลงแข่งนานแล้วแต่เขาก็ยังตามอัปเดตทุกความเคลื่อนไหว แพทช์ใหม่ปรับเปลี่ยนอะไร ตัวละครไหนเก่งขึ้นหรือโดนเนิร์ฟบ้างเท็นได้ลองเล่นผ่านทาง Twitch ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่ได้ใช้ความรู้เหล่านั้นในสนามแข่งขัน
ฤดูแข่งทัวร์นาเมนท์ใกล้เข้ามาถึงอีกครั้ง นึกย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าตัวเองมาไกลเหมือนกันกว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้ ทั้งตอนที่พยายามดิ้นรนปีนขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดโดยไม่นึกถึงสิ่งไหนไปจนถึงตอนที่พอดีลงตัวแล้วแต่ก็รู้สึกว่าอยากได้มากขึ้นอีก
คิดแล้วก็ละอายใจ ถ้าตอนนั้นไอ้แจ็คอยู่ด้วยมันคงเตือนเขามากกว่าจะคล้อยตามสนับสนุนจนเป็นอย่างนั้น หลายครั้งที่ TEN1O เล่นเกมเพราะอยากเอาชนะจนไม่คำนึงถึงความสนุก อยากเป็นที่หนึ่งจนลืมตัวตน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคำพูดของไอ้ธีร์หลังรอบชิงวันนั้นมันแทงใจเขาเข้าอย่างจังจนเสียหลัก
‘ต่อให้แพ้ที่เกาหลีกูก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ เพราะตอนนี้กูรู้แล้วว่ารางวัลกับชื่อเสียงในวงการเกมมันใช่ที่สุดของชีวิต แต่สิ่งสำคัญสำหรับกูคือเพื่อน พี่น้อง แล้วก็คนที่กูรัก ขอแค่มีพวกเขากูไม่เอาแชมป์อีกแล้วก็ได้ กูพอใจกับวันนี้แล้ว’
‘แล้วมึงล่ะเท็น?’
‘ทุกวันนี้นอกจากชื่อเสียงเงินทองแล้วมึงเหลืออะไรบ้าง?’
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มหลุดออกจากแผลในอดีตพลางมองเพื่อนสนิทซึ่งยืนอยู่หน้าห้องน้ำในชุดเสื้อยืดกับบ็อกเซอร์ที่ซื้อมาจากเซเว่น เขารู้ตัวว่ากำลังยิ้มโง่ ๆ และปรับสีหน้าให้เป็นปกติไม่ทัน จึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธแล้วลุกไปคว้าเอาผ้าขนหนู
แจ็คมองตามเพื่อนที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำพร้อมทิ้งความคาใจเอาไว้ สีหน้าไอ้เท็นเมื่อครู่นี้ดูแปลกเกินไปราวกับมีอะไรปิดบังอยู่ แต่ถ้าจะให้ไปเคาะประตูเพื่อคาดคั้นก็คงไม่ใช่เรื่องนัก ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าถ้ามันออกมาแล้วจะเล่าให้ฟังเอง
ผึ่งผ้าขนหนูไว้กับเก้าอี้แล้วคว้ามือถือขึ้นมาเช็กไลน์ มีทั้งพี่ที่ทำงานทักมาเรื่องปัญหาในเกมซึ่งส่วนนั้นรอการแก้ไขได้ กับกลุ่มปัญญานิ่มที่พินไว้ด้านบนสุดซึ่งข้อความเด้งขึ้นเป็นร้อยและแจ็คค่อนข้างมั่นใจว่านั่นคงหาสาระไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ไถอ่านไปครู่หนึ่งก็คิดว่าคงยาว ชายหนุ่มย้ายไปนั่งบนเตียงพร้อมอ่านความขี้เลื่อยของเหล่าขี้ซุยฯ ที่ตีกันอย่างไม่มีใครยอมใครก่อนจะรู้สึกได้ถึงโทรศัพท์มือถือของไอ้เท็นที่เกือบไหลตกเตียงเพราะเขาดึงผ้าห่มเมื่อครู่
หน้าจอยังคงเปิดทิ้งไว้ แจ็คไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องคนอื่นขนาดนั้นถ้าต่อมเสือกไม่ทำงานเหมือนตอนเรื่องไอ้แหลมกับบอส งั้นดูแค่หน้าจอนั้นแล้วล็อกก็คงได้มั้ง แต่เขาก็ต้องค้างอยู่ท่านั้นเมื่อพบบางอย่างที่ไอ้เท็นเปิดคาไว้
*
“หลับหรือยัง?”
“ยัง”
หลังจากนอนหันหลังมาพักใหญ่ทั้งคู่ก็พลิกตัวเข้าหากันโดยไม่ได้นัดหมาย แจ็คเอื้อมไปเปิดโคมไฟเล็ก ๆ ตรงหัวเตียงเพื่อให้ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายกับนาฬิกาที่บอกว่าเวลาตีหนึ่งนั้นยังเร็วเกินไปสำหรับการพักผ่อน
“แปลก ๆ ไหม?”
“โคตร มึงล่ะว่าไง?” ไอ้เท็นย้อนถามในสิ่งที่คิดเหมือนกัน เขาจึงพยักหน้าก่อนทั้งคู่จะหลุดขำออกมากับบรรยากาศน่าอึดอัดทั้งที่ควรชินได้แล้ว
“นึกถึงเมื่อก่อนที่กูกับมึงเกี่ยงกันว่าวันนั้นจะไปนอนบ้านใคร”
“แล้วมึงก็รั้นจะมาบ้านกูให้ได้ แล้วอ้างว่าบ้านกูไกลกว่า” เท็นยังจำได้ราวกับว่ามันเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ กับประเด็นโลกแตกที่ตัดสินง่ายนิดเดียวแต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับเด็กผู้ชายสองคนนั้น
“แต่สุดท้ายมึงก็มานอนบ้านกูอยู่ดี”
“พูดก็พูดเถอะ กูชอบกลิ่นห้องนอนมึงมากกว่าห้องตัวเอง” เท็นพูดอย่างไม่โกหก
“นั่นเป็นเหตุผลที่มึงถามกูหรือเปล่าว่าใช้สเปรย์กลิ่นอะไร ส่งผ้านวมซักรีดร้านไหน?”
“ใช่ ซื้อสเปรย์ตามก็แล้ว ส่งซักรีดร้านเดียวกันก็แล้ว แต่ก็ไม่เห็นได้กลิ่นเหมือนห้องมึงเลย”
“ปัญหาโลกแตกแล้วไง?” แจ็คยิ้มขำ
“แต่กูรู้แล้วนะว่าทำยังไงถึงจะได้กลิ่นนั้น”
“ด้วยการ...?” สิ้นสุดคำถาม ไอ้เท็นก็อมยิ้มทะเล้นแล้วขยับเข้ามานอนเบียดจนปลายจมูกเกือบชนกัน
“อยู่ใกล้ ๆ มึงไง”
“หืม กูคือตัวแปรของเรื่องนี้เหรอ?” แจ็คขมวดคิ้วจ้องหน้าอีกฝ่าย เขาขยับเข้าไปอีกเล็กน้อยพร้อมรั้งเอวเพื่อนสนิทเข้ามาใกล้ ซึ่งไอ้เท็นก็ก่ายขากอดเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ
“ไม่ได้หยอดนะ กูพูดเรื่องจริง”
“รู้ เผลอทีไรเป็นดมคอกูตลอดแบบนี้ ไม่ชอบก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว”
เขายีผมสีน้ำตาลอย่างเอ็นดู ถึงจะโตแล้วไอ้เท็นก็ยังเป็นลูกหมาเชื่อง ๆ เหมือนตอนวัยมัธยมอยู่ดี ทั้งคู่สบตากัน แจ็คควรจะปล่อยให้บรรยากาศอุ่นในใจฟุ้งไปอย่างนี้ แต่เขาก็มองข้ามเรื่อง ๆ หนึ่งไปไม่ได้
“ถามอะไรอย่างสิ?”
“สองอย่างก็ได้ กูยังไม่ง่วง” เท็นกระชับกอดหมอนข้างมีชีวิต
“ยังอยากแข่งเกมอยู่ใช่ไหม?”
“...”
“กูไม่ได้ตั้งใจยุ่งเรื่องส่วนตัว แต่กูเห็นหน้าจอโทรศัพท์มึงเปิดค้างไว้ก็เลยเห็น” รอยยิ้มบนใบหน้าไอ้เท็นจางหายไป แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตนักเพราะเขาตั้งใจแล้วว่าจะเป็นคนทำให้มันยิ้มได้อีกครั้ง
“ไม่รู้จะพูดยังไงเลย บอกไม่ถูกว่ะ” ไอ้เท็นถอนหายใจ เขาจึงประคองศีรษะมันขึ้นแล้วสอดแขนเข้าไปใต้ท้ายทอยเพื่อให้มันหนุนนอน “อะไร วันนี้อยากเท่เหรอ?”
“ผลัดกันโอ๋ไง คราวก่อนกูนอยด์แดกเรื่องงาน มึงทั้งรั้งกูลงไปซบไหล่ ทั้งจูบหัวกู น้ำลายนี่เยิ้มเลอะผมไปหมด”
“กูไซ้เบา ๆ เถอะ น้ำลายกูมึงก็แดกไปหมดแล้วจะเอาอะไรมาเยิ้ม?”
“ไอ้แหลมสอนมาว่าถ้าต้องอธิบายให้แก้ตัวเยอะ ๆ ไว้ สมจริงไหมค่อยว่ากันทีหลัง”
“ไอ้เด็กฝรั่งมันเสี้ยมสอนขี้ข้ากูแบบนี้ได้ไง?” ไอ้เท็นส่ายหน้าหน่าย ๆ
“ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร กูแค่อยากรู้ว่ามึงโอเคไหม ถ้าไม่สบายใจก็อยากให้ระบาย”
“ได้อยู่กับมึงแบบนี้กูจะไม่สบายใจได้ยังไง?” เท็นตอบอย่างจริงจัง เขาไม่อยากให้ไอ้แจ็คคิดอย่างนั้นเลย “กูแค่สับสนไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน อธิบายไปกลัวมึงงง”
“แต่มึงก็อธิบายรอบสองได้ไม่ใช่เหรอ?” ไอ้แจ็คยิ้ม มาไม้นี้ต่อให้ลิ้นพันกันก็ต้องพูดแล้วไหมวะ
“อือ ใช่ กูอยากแข่ง” เท็นถอนหายใจ สุดท้ายเรื่องที่อยากเก็บไว้ในใจก็ต้องเอามันออกมา “แต่ก็นะ ไม่มีทีมจะลงแข่งคนเดียวยังไงได้ พูดแล้วก็สมเพชตัวเอง”
“ตรงไหน?” แจ็คจ้องหน้าจนอีกฝ่ายยอมสบตากัน “การที่มึงไม่มีทีมมันไม่ได้หมายความว่ามึงไร้ค่าสักหน่อย ก่อนหน้านี้มันอาจจะมีเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้มึงต้องออกมาอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว”
“ก็ถูก แต่นั่นมันคือเรื่องชีวิตจริง ไม่เกี่ยวกับเกมนี่หว่า”
“...”
“กูมีมึง มีแม่ มีน้องมึงอีกสองคน มีหมากับแมวใช่ไหม แต่ในเกมกูไม่มีอะไรเลย ที่พูดไม่ได้หมายความว่าน้อยใจนะ ที่กูจะสื่อก็คือถ้ากูจะแข่งเกมอีกครั้งกูไปคนเดียวไม่ได้ บทจะหาทีมก็ไม่มีใครอยากต้อนรับกู ใคร ๆ ก็ขยาดชื่อ TEN1O ไปแล้ว”
“กูทำให้มึงรู้สึกแย่หรือเปล่า?”
“ไม่นะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนกูคงเศร้าอยู่หรอก แต่ตอนนี้ไม่ใช่ว่ะ กูสามารถคุยกับมึงเรื่องนี้ได้อย่างเข้าใจว่าเพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น กูอยากแข่งนะ แต่ถ้าไม่แข่งก็ไม่ตาย ไม่ได้เสียใจอะไรขนาดนั้น มันเป็นความรู้สึกที่ว่าเหมือนมึงอยู่กับสิ่ง ๆ นึงมานาน แต่วันนึงไม่ได้ทำมันแล้วมึงก็เลยคิดถึง”
“อืม กูเข้าใจ”
“กูโอเคจริง ๆ นะแจ็ค ไม่อยากให้มึงคิดเลยว่ากูกำลังเล่นบทพระเอกแกล้งเก็บความเจ็บไว้ในใจ”
“หน้าแบบนี้เหรอพระเอก?” เขาเชยคางไอ้หล่อขึ้นมา แล้วมันก็ยิ้มกว้างให้เห็นว่าเรื่องที่พูดมานั้นจริงทุกอย่าง
“บอกแล้วว่ามีอะไรจะพูด ไม่โกหกหรอก”
“เรื่องนั้นข้ามไปก็ได้ แต่ก็ยังมีเรื่องนึงที่กูยังสงสัยจนถึงวันนี้” ไอ้เท็นฉายแววตาสงสัยหลังจากได้ยินคำถามนี้ “ทำไมมึงกลายเป็นคนขี้เกมไปได้ทั้งที่ตอนแรกไม่มีทีท่าอะไร?”
เขามองตั้งแต่ดวงตาถึงปลายจมูกโด่งรั้นของคนตรงหน้าซึ่งกำลังยิ้มอย่างมีความหมาย แจ็คเชื่อว่าอีกฝ่ายคงมีคำตอบดี ๆ ที่จะทำให้เขาหัวใจพองโตได้หลังจากทนอยู่กับความสงสัยมานานเป็นสิบปี
(ต่อด้านล่างนะคะ)