chapter twenty-one 。
▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔▔
เกือบหนึ่งปีให้หลัง
เวลาผ่านไปไวจนนึกใจหาย แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้ชีวิตนักศึกษาปีสอง คณะวิศวกรรมศาสตร์ ของเราไม่ได้ต่างจากตอนปีหนึ่งไปสักเท่าไหร่ เรียนเสร็จก็กลับหอ พอหิวก็ออกไปกินข้าว กินเสร็จก็กลับหอไปอ่านหนังสือ วนเวียนอยู่แบบนี้มาเทอมกว่าๆได้แล้ว
ปกติแล้วทุกวันศุกร์พวกเราจะมีเรียนแค่ช่วงบ่ายเท่านั้น ดังนั้นในตอนเช้าถึงเที่ยงเราจึงมีเวลามาไว้ใช้ในการเดินตลาดนัดที่จะจัดขึ้นภายในมหาลัยในทุกๆสัปดาห์
ผมและไอ้พิวเดินตีคู่กันมองดูข้าวอาหารที่จะพอเป็นข้าวเที่ยงให้เราในวันนี้ได้ แต่ก็เหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ไป๋ๆ หยุดแปป ขอซื้อยำขนมจีนก่อน” และแล้วยำขนมจีนก็ถูกเลือกให้เป็นมื้อหลักของอีกฝ่าย เหลือแค่ผมที่ยังอ้างว้างอยู่กลางฝูงชนเพราะยังเลือกของกินไม่ได้
“ป่ะ ไอ้ตัวไป๋เลือกได้ยังจะกินไร”
“ยังเลย สงสัยต้องแดกข้าวเหนียวไก่ทอดอีกละ” ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกจนมุม ในที่สุดก็ต้องจำใจซื้อเหนียวไก่แบบที่เคยกินมาทุกอาทิตย์จนเบื่อ แต่ก็ไม่รู้จะเปลี่ยนไปกินอะไร
“เดี๋ยวขอซื้อข้าวโพดต้มด้วย” ถุงไก่ทอดร้อนๆพร้อมข้าวเหนียวในมือดูน่าทาน และมันจะยิ่งดีอีกหากได้ข้าวโพดต้มมานั่งกินเล่นสักฝัก
“มึงจะนั่งแทะในคาบ?”
“เออ ทำแมะมีปัญหาหรือแงะ”
“คราวที่แล้วขี้แตกไม่เข็ด?”
“คราวที่แล้วลุงแม่งล้วงจากใต้ร้านมาให้หรอก เดี๋ยวคราวนี้ขอลุงเอาฝักใหม่ๆ” ผมไม่สนใจคำแย้ง มุ่งหน้าตรงสู่ร้านที่ต้องการ แม้จะหวั่นๆใจอยู่บ้าง และแล้วในที่สุดข้าวโพดฝักละสิบห้าบาทก็ตกเป็นของผมเป็นที่เรียบร้อย
หลังจากนั้นเราก็เดินกลับคณะกันในเวลาเที่ยงกว่าๆ ซึ่งเป็นเวลาที่เหลือพอกินข้าวได้อย่างถมเถ เราสองคนขึ้นลิฟต์มุ่งหน้าสู่จุดหมายชั้นสี่ที่เป็นชั้นของภาคเครื่องกลโดยเฉพาะ
R-425
ประตูห้องเลกเชอร์ถูกเปิดออกให้เห็นเพื่อนๆของผมนั่งคุยกันเสียงเจี๊ยวจ๊าวไปหมด แต่ทันใดที่ผมสองคนเดินเข้ามาสายตากว่าสิบคู่ในห้องก็พร้อมใจกันหันมองมาทางพวกเรากันอย่างพร้อมเพรียง
มันมีอะไรแปลกๆป่ะวะ? “มึงสองคนบ้าป่ะเนี่ย?”
“ทำไม?” ผมถามไอ้ตุลลี่กลับด้วยความสงสัย
“วันนี้มีเรียนอะไร?”
“ไดนามิคไง” ถุงของกินถูกวางลงบนโต๊ะยาวด้านหลังของเพื่อนผมที่เราสองคนใช้นั่งประจำ
“อาจารย์ขอเปลี่ยนคาบแล้วมึงจำไม่ได้?”
“ขอเปลี่ยนเป็นอะไรอะ?” ผมส่งข้าวเหนียวร้อนๆที่เพิ่งซื้อมาเข้าปากแบบไม่สะทกสะท้าน แถมไม่เคยรู้ก่อนหน้าด้วยซ้ำว่าอาจารย์ไปขอแลกคาบกันตอนไหน
“..ออโต้โมทีฟ”
“ชิบหาย” ผมก้มมองเสื้อช็อปสีขาวของภาคเครื่องที่สวมใส่มาในวันนี้ ต่างจากเพื่อนคนอื่นที่พากันใส่ช็อปสีกรมของตอนปีหนึ่งมากันทั้งหมด ซึ่งทางด้านรูมเมทของผมก็มีสภาพไม่ต่างกันเพราะหากผมไม่รู้ .. ไอ้พิวเองก็คงไม่รู้
“เขาบอกในไลน์ภาคกันโครมๆ อีไป๋เอ๊ย”
“อย่างน้อยก็แค่เลอะน้ำมันเครื่องเองมึง” กล่าวถึงในวิชาออโต้โมทีฟที่พูดถึงคือวิชาที่เกี่ยวกับยานยนต์ ซึ่งในแต่ละครั้งต้องมีการลงแล็ปไปปฏิบัติจริง หากพูดถึงยานยนต์ก็ต้องนึกถึงเครื่องยนต์ และหากพูดถึงเครื่องยนต์ก็ต้องมาคู่กับน้ำมันเครื่องพร้อมกับจารบีกลิ่นแรงแสบจมูก ที่ดูเป็นพิษเป็นภัยกับเครื่องแบบสีขาวบนตัวผมและไอ้พิวเสียเหลือเกิน
แต่ตอนนี้เหลือเวลาเพียงสิบนาทีกว่าอาจารย์จะเริ่มทำการสอนเลกเชอร์ จะวิ่งยังไงก็คงไม่ทันไปเอาช็อปที่ห้อง ผมเลยได้แต่นั่งทำใจอยู่กันสองคนนิ่งๆ
ให้เลือกวิ่งกับซักผ้า กูเลือกซักผ้าดีกว่าแม่ง..
“ไป๋ หยิบประแจปากตายเบอร์สิบสองให้หน่อย”
“..อะ”
ในส่วนของแลปปฏบัติการที่มีส่วนประกอบเครื่องยนต์โซลีนสี่จังหวะวางกันเกลื่อนเต็มโต๊ะแยกชิ้นส่วนของแต่ละกลุ่มที่มีจำนวนสี่ถึงห้าคน ซึ่งในกลุ่มผมประกอบไปด้วยเต้ สมุย เคย พิวและผมนั่นเอง แต่ดูๆแล้วเหมือนปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้จะไม่ใช่งานตรงหน้า แต่เป็นผมต่างหากที่ต้องคอยระวังไม่ให้เสื้อช็อปขาวสะอาดต้องแปดเปื้อน
“ไอ้พิวมึงระวังด้วย เดี๋ยวเลอะ”
“อะ ส่วนกูเสร็จพอดี ช่วยกันยกขึ้นรถเข็นเข้าเก็บเลย” ผมรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น จึงรวบรวมอุปกรณ์การช่างทั้งหมดเก็บลงกล่อง เตรียมตัวยกชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่หนักที่สุดเพื่อนำไปเก็บไว้ปฏิบัติต่อในสัปดาห์ถัดไปแทน
“ยกพร้อมกันนะ หนึ่ง สอง ซั่ม” ด้วยความที่ชิ้นส่วนเครื่องยนต์มีลักษณะเป็นโลหะทั่วทิ้งชิ้น จึงทำให้มันมีน้ำหนักที่เยอะพอสมควร ทำให้สองเท้าของผมก้าวแต่ละก้าวด้วยความรอบคอบให้ได้มากที่สุด
แต่เพื่อนที่เหลือไม่ได้คิดแบบผม.. “เชี่ยๆๆๆ”
“เฮ้ยยย/ไอ้สมุย” ดูเหมือนว่าทางด้านของสมุยที่ช่วยกันยกอยู่ด้านหนึ่งได้สะดุดขาโต๊ะจนเกือบล้ม
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไรๆ” เพราะว่าเพื่อนได้เสียศูนย์จนเซไปแล้วคนนึง พาให้เพื่อนอีกสี่คนรวมถึงผมต้องรองรับน้ำหนักที่เหลือแทนเพื่อไม่ให้ของสำคัญตกหล่นจนเสียหาย และเมื่อมีข้างใดข้างหนึ่งไม่สมดุล ส่งผลให้อีกข้างต้องรับภาระอันหนักอึ่งไปแทนอย่างช่วยไม่ได้
แต่จนแล้วจนรอดเราก็พาชิ้นส่วนเครื่องยนต์มาไว้ที่จัดเก็บได้ด้วยความเกือบจะสวัสดิภาพ หากผมไม่ได้ยินคำกล่าวให้สังเกตสิ่งผิดปกติบนเสื้อผ้า และเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่ผมกลัวมากที่สุด ..
“ไอ้ตัวไป๋ เสื้อมึงเลอะแล้วอะ”
คำพูดชี้รอยพิมพ์หมึกสีดำเหนียวแปดเปื้อนไม่เป็นรูปร่างยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อประทับอยู่บนพื้นผ้าสีอ่อน..
“พิว กูอยากร้องไห้ว่ะ”
เธอไม่เป็นไร แต่ฉันเป็น.. ❋❋❋
“แม่ง ทำไมช็อปภาคเรามันต้องเป็นสีขาวด้วยวะ?”
“พี่เคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนภาคเครื่องช็อปสีดำสกปรกมากแต่มองไม่เห็น เลยต้องเปลี่ยนให้เป็นสีขาวจะได้ซักบ่อยๆ” ผมบ่นกระปอดกระแปดใส่ไอ้พิวในตอนที่เรากำลังเดินออกจากมอเพื่อกลับหอ หัวอกคนไม่ได้อะไรดั่งใจตนเองเมื่อได้ยินเหตุผลอะไรก็มักจะมอองว่ามันไม่สมเหตุสมผลไว้ก่อนเสมอ
“แล้วเป็นสีอื่นไม่ได้หรือยังไงวะ?”
“ต้องเป็นสีไหนถึงจะถูกใจมึงวะไอ้ตัวไป๋”
“เทาก็ได้ป่ะ?”
“ภาคโยฯกับภาคอุตฯเขาก็ใส่กันอยู่”
“งั้นสีแดงเลือดหมูก็ได้ เท่ดีออก”
“ภาคเคมีเขาเพิ่งเปลี่ยนเป็นสีนี้ไป”
“เออว่ะ..”
“ผิดที่เราเนี่ยแหละที่ไม่ได้อ่านไลน์”
“เชรด คำสอนวันละประโยคจากเสี่ยพิวป่ะครับ?” ผมแกล้งเบ้ปากแล้วยื่นหน้าเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความตั้งใจจะแกล้งแกมหมั่นไส้นิดๆ ก่อนที่ไอ้พิวจะโอบแขนเข้ามาล็อกคอ พร้อมกรอกเสียงกระซิบใกล้ๆที่ให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“พูดผิดแล้ว”
“...”
“ต้องบอกว่าเป็นผัวหรอก”
“อยากตาย?”
“อือ ขอแบบคาอกเลยนะ”
“อยู่ข้างนอกอย่าลามปาม”
“แต่ตอนอยู่ที่ห้องให้ลวนลามได้เต็มที่เลยใช่ป่ะ?”
“รำคาญมึงว่ะ” เพราะไอ้พิวเอาแต่พูดจาไม่เข้าหูผมเลยสาวเท้าก้าวเร็วๆเพื่อทิ้งระยะห่างจากอีกคนให้มากที่สุด แต่ก็นั่นแหละขาสั้นๆอย่างผมจะไปสู้ขาต้นเสาไฟอย่างมันได้อย่างไรกัน..
“โอ๋นะ เดี๋ยวเพิ่มอาหารเม็ดให้เป็นวันละสามมื้อเลย” ผมส่ายหัวไปมาน้อยๆด้วยความปลงตก .. แม่งก็เป็นคนอย่างเงี้ย กูล่ะอยากจะร้องไห้ที่เลือกมันมาเป็นแฟนจริงๆ
“เฮ้ยๆ แวะเข้าเซเว่นแปป” สองขาเมื่อเดินเข้าร้านสะดวกซื้อได้ก็มองหาของดับร้อนเป็นอันดับแรก เดินไปมาจนทั่ว และในที่สุดผมก็ได้พาตัวเองมายืนอยู่หน้าตู้ไอติมสีฟ้า สายตาเหม่อมองของหวานในนั้นอยู่นาน และก็เหมือนจะลงท้ายด้วยไอติมรูปผีเสื้อที่กินบ่อยๆ
“..พิว”
“อยากกินก็ซื้อ เดี๋ยวช่วยกิน”
“รู้ได้ไงวะ ยังไม่ทันพูดเลย”
“เมื่อคราวที่แล้วมึงก็หันมาพูดกับกูแบบนี้” และแล้วผมก็ตัดสินใจเลือกไอติมรูปผีเสื้อที่ว่าขึ้นมา เพื่อนำไปเคาน์เตอร์คิดเงินอย่างไม่รอช้า
“อย่าเพิ่งกิน ขอถ่ายรูปลงไอจีก่อน” ซองถูกแกะทิ้งที่ถังขยะหน้าเซเว่นทันทีด้วยความกลัวว่ามันจะละลาย ปีกสีชมพูถูกแบ่งครึ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ในมือผม ส่วนอีกส่วนนึงกำลังจะถูกส่งเข้าปากไอ้พิวแต่ยังดีที่ห้ามไว้ได้อย่างทันท่วงที
แชะ!
“อะ เรียบร้อย” ผมเปิดอินสตาแกรมพร้อมเลือกรูปที่เพิ่งถ่ายไปขึ้นมา แต่งสีเติมฟีลเตอร์นิดหน่อยให้รูปดูมีชีวิตชีวา พิมพ์แคปชั่นที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองอะไรมาก เพราะผมเน้นแค่อาร์ตเฉยๆ
รสชาติหวานในปากกับความเย็นเป็นตัวช่วยในรู้สึกสดชื่น เหมือนได้กอบกู้ตัวเองขึ้นมาจากความเหนียวเหนอะที่ตัวจากอากาศร้อนในช่วงบ่ายของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี พร้อมกับส่งนิ้วหัวแม่มือกดลงบนเครื่องหมายถูกบนหน้าจอข้างหน้า
pp.paponwit <3 #pp
“พีพีนี่มาจากไป่ไป๋ หรือพิวไป๋วะ?”
“โตแล้วคิดเองดิ”
“มา งั้นกูขอถ่ายรูปมึงบ้าง”
“เฮ้ย” ต้องร้องตกใจเมื่อโทรศัพท์เคสสีดำของอีกคนถูกยกขึ้นมาถ่ายผมในตอนนี้ไม่ได้ทันตั้งตัว
“ไอ้ตัวไป๋หน้าโคตรเด๋อเลย ฮ่าๆ”
“เอามาให้กูดูก่อน” ผมใช้แรงยื้อยุดฉุดกระชากสมาร์ทโฟนในมืออีกฝ่ายที่กำลังพิมพ์ยุกยิกบนหน้าจอแสดงแอพสีน้ำเงินที่เจ้าตัวเป็นเป็นประจำนั่น แต่ไม่ว่าจะงัดท่าไม้ตายไหนออกมาก็ไม่สามารถยังยั้งไอ้พิวได้เลย
“อะ แท็กไปละ ไปดูเองแล้วกัน”
“กูว่ามันต้องเป็นเรื่องเหี้ยๆแน่นอน” ด้วยความระแคะระคายปนลางสังหรณ์ภายในตัว ในวินาทีนั้นผมก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่ารูปที่ว่านั่นต้องเป็นรูปที่ผมตาปรือ ไม่ก็อ้าปากหวอ
ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ..
รูปถ่ายครึ่งตัวถูกจับภาพไว้ในตอนที่ผมไม่ได้หันมองกล้อง ตาที่เล็กเป็นทุนเดิมได้หรี่ลงเหลือเพียงครึ่งเดียวเหมือนในจังหวะที่กำลังกระพริบตา แถมยังมีไอติมในมือคาอยู่ที่ปาก แต่ทีเด็ดที่ทำให้ผมรู้สึกอยากเตะอีกฝ่ายได้มากที่สุดก็คือไอ้พิวจงใจถ่ายเน้นเสื้อช็อปเลอะเทอะของผม พร้อมกับแคปชั่นที่ว่า..
Pew ได้แท็กคุณในรูปภาพ
หน้าโง่ <3 #pp
“ใส่หัวใจให้แล้วไม่ต้องโวยวาย”
“มึงแม่ง..”
“รีบกลับหอกันได้แล้ว” เจ้าของสเตตัสเดินนำหน้าไปพร้อมกับไอติมในปากอย่างสบายอารมณ์ต่างจากผมที่ได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยความหงุดหงิด
มึงจะด่ากู แล้วลูบหลังด้วยหัวใจอันเดียวอย่างนี้ไม่ได้!
“ตัวเอง ทำไมทำตัวไม่น่ารักเลย”
“ไม่งอนเค้านะเตง” ในขณะที่กำลังเดินตามคนตัวสูง เราก็ได้ผ่านปากซอยเล็กๆเบื้องหน้า ซึ่งผมก็ได้เห็นคู่รักคู่หนึ่งกำลังยืนจุ๋จี๋กันอย่างกระหนุงกระหนิง จากคำพูดของทั้งสองที่ได้ยินก็ทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาคงกำลังง้องอนกันอยู่ จนถึงในจังหวะที่ต้องเดินผ่านก็ต้องแสร้งทำเป็นเหมือนผมไม่เห็นทั้งคู่ เพื่อไม่ให้เกิดความกระอักกระอ่วนขึ้น
“เค้ารักตัวเองนะ วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกแล้วนะ”
“อื้อ รักเหมือนกัน สัญญานะ”
รัก? คำสั้นๆที่มักจะใช้แทนความรู้สึกผูกพันต่ออีกฝ่าย และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับไอ้พิว..
รับรู้กันอยู่สองคนอย่างเต็มอก
แต่กลับไม่เคยมีใครพูดออกมา..
ผมเดินตามแผ่นหลังในชุดเครื่องแบบสีขาวของคณะวิศวะข้างหน้าไปอย่างช้าๆ ในหัวก็ทบทวนเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาของเราไปพร้อมๆกัน กิจวัตรประจำวันซ้ำๆอย่าง ตื่นนอน ไปเรียน กินข้าว อาบน้ำ อ่านหนังสือ ไปเที่ยว แม้กระทั่ง .. ตอนมีอะไรกัน
ก็ไม่เคยได้ยินคำว่ารักออกจากปากแม่งเลย
หรือว่ากูต้องเป็นคนบอกก่อนวะ?
“ไอ้ตัวไป๋ ทำไมเดินช้าจังวะ?”
“ฮะ? เอ่อ อ้อ..”
“รีบเดินมาได้แล้ว เร็ว” เพราะฝ่ามือที่กวักเรียกหยอกเลยทำให้รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาอีกฝ่ายที่เดินนำหน้าไปไกลแล้ว พอย่างก้าวเข้ามาถึงในรัศมีของวงแขนเจ้าตัวก็โอบรัดเข้าที่ลำคอของผมอย่างที่ชอบทำทันที
“อย่าทิ้งให้กูเดินคนเดียวดิ .. กูเหงา”
“...”
“เข้าใจไหม?”
“อ-อื้อ”
แต่ที่เป็นอย่างทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้วมั้ง..
❋❋❋
“ลืมอะไรหรือเปล่า?”
“เอาหน้ามาใกล้ๆดิ”
จุ๊บ
“ฝันดีตัวไป๋”
“อื้อ” กู๊ดไนท์คิสบนเตียงทุกคืนก่อนนอนเป็นเรื่องปกติของเรา แม้ตอนอยู่ข้างนอกผมและไอ้พิวจะทำตัวเหมือนคู่เพื่อนซี้ แต่พอกลับมาที่ห้องก็มีการกอด จูบ ลูบ คลำหรือสิ่งที่แสดงถึงความรักกันบ้าง
ท่านอนซุกแผ่นอกกลายมาเป็นท่านอนประจำของผม ถึงตอนแรกที่ถูกคนที่กอดก่ายบังคับจับให้นอนในท่านี้ก็มีบ่ายเบี่ยงพลิกตัวหนี แต่พอนานเข้ากลับกลายเป็นว่าผมกลับเสพติดความอุ่นของอีกฝ่ายไปซะแล้ว .. หรือเรียกได้ว่าติดกับเข้าแล้วจังๆ
มือหนากำลังลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของผมราวกับกำลังจะกล่อมให้นอน ถึงอย่างนั้นผมก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี
“..พิว”
“จะอ้อนหรือไง?”
“กูไม่เคยอ้อนมึง”
“แล้วมือที่ลูบพุงกูอยู่คือ?” ลมหายใจของผมหยุดกึก ก้มมองฝ่ามือตนเองใต้ผ้าห่มที่กำลังค้างอยู่ที่หน้าท้องของอีกคน .. คือไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ
“ลูบต่ำกว่านั้นก็ได้นะไม่ว่า”
“พิว กูระ-..” ตั้งใจจะขัดอีกฝ่ายด้วยคำที่คิดแล้วคิดอีกมาตั้งนานมาควรจะพูดมันออกไปดีไหม แต่เพราะด้วยความไม่เคยชินปนความตื่นเต้น เลยทำให้พูดอะไรๆก็ดูตะกุกตะกักไปหมด แถมยังไม่กล้าลืมตาขึ้นไปสบตาคนที่จะพูดด้วยอีกต่างหาก
“หือ?”
“กู .. รู้นะว่ามึงเคยตดในผ้าห่ม” จนถึงตอนนี้ผมก็นึกอยากจะตบปากตัวเองขึ้นมาดื้อๆ นอกจากไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดออกไปแล้วหนำซ้ำยังพูดถามเรื่องอะไรก็ไม่รู้อีก .. เขินสัสๆเลยกู
“...”
“เอ่อ กูล้อเล่น”
“มึงรู้ได้ไง?”
“ฮะ มึงเคย?”
“กูว่ากูตดเบาแล้วนะ..” คำสารภาพบาปของอีกคนทำเอาผมแทบหยุดลมหายใจ
“ไอ้เหี้ย มึงตดครั้งล่าสุดเมื่อไหร่เนี่ย”
“...”
“ตอบกูมา” ใบหน้าที่จากเดิมเคยซุกไซร้ที่แผ่นอกถึงกับต้องแหงนขึ้นมาสบตาถามหาความจริงจากอีกฝ่าย
“..ก่อนมึงถามแค่แปปเดียว”
“แม่ง จังไรชิบหาย วันหลังกูจะไล่มึงไปนอนระเบียง”
“อันนี้ไม่กลัว”
“งั้นไม่ต้องมาสะกิดตอนดึกๆเลยนะ”
“ไม่ทำแล้วคร้าบ โอ๋ๆนะตัวไป๋”
“ไม่คุยด้วยแล้วจะนอน” เรื่องทั้งหมดกลายเป็นว่าไม่มีใครได้บอกรักใครตามอย่างที่หวัง แถมยังได้รู้เรื่องซกมกๆของไอ้พิวแถมมาอีกต่างหาก
ช่างแม่ง .. เดี๋ยวคราวหน้าค่อยลองดูอีกทีแล้วกัน
❋❋❋
จุ๊บ
“มอร์นิ่งคิสครับ”
“อื้อ วันนี้ไม่มีเรียนเช้าทำไมตื่นเร็วจังเลยอะ?”
“ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือไง มึงก็ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้มาอ่านหนังสือกัน” ผมสะลึมสะลือยันตัวเองขึ้นมานั่งหาวบนเตียง มองคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินไปเดินมารอบห้อง .. ผ้าขนหนูผืนสีขาวเกาะรอบเอวไว้อย่างหมิ่นเหม่ หยดน้ำลู่ไปตามเส้นผมสีเข้มบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงเพิ่งสระผมมา
เป็นหนึ่งวันธรรมดาๆที่แฟนผมก็หล่อเหมือนเดิม..
ก่อนที่คนตัวสูงที่เพิ่งจะแต่งตัวจะหันกลับมามองเห็นมาผมนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับตัวไปอาบน้ำอย่างที่เจ้าตัวสั่ง
“ตัวไป๋ไปอาบน้ำ” แขนหนาเอื้อมมาฉุดที่ข้อมือผมเบาๆ ในจังหวะนั้นเองที่ผมรวมแรงทั้งหมดเพื่อจะดึงไอ้พิวเข้ามาในอ้อมกอดแบบที่มันชอบทำกับผม
ใบหน้าของผมถูไปมาบนช่วงหน้าท้องของเสื้อที่เจ้าตัวเพิ่งสวมใส่ กลิ่นหอมบางๆของสบู่ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมา
“พิว..”
“...”
“กูรักมึงนะ”
และคงเป็นเพราะความงัวเงียที่พาให้ผมกล้าพูดความในใจออกมาจนได้
“พูดอีกทีดิ เมื่อกี๊ไม่ค่อยได้ยินเลย”
“ไม่อะ จะไปอาบน้ำแล้ว”
“คืนก่อนทำกันจนหัวกระแทกเลยสมองกลับเหรอ”
“…” ผมผละจากสัมผัสอุ่น แล้วเปลี่ยนมานั่งหน้ามุ่ยจ้องหน้าอีกคนแทน
“ต้องทำคืนอีกทีป่ะวะ จะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“..ไอ้สัส” ก่นด่าให้คนที่ชอบวกกลับมาเรื่องทะลึ่งตึงตัง ก่อนจะลุกจากเตียงขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าห้องน้ำไปเหมือนกับว่าประโยคหวานๆก่อนหน้านี้ไม่เคยออกจากปากผมมาก่อน
ถึงผมจะได้พูดไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นไอ้พิวก็ยังไม่ได้บอกผมกลับ ก็ถือว่าภารกิจบอกรักยังไม่ประสบความสำเร็จ
ภารกิจล้มเหลว และจะหาโอกาสอื่นๆเพื่อเริ่มใหม่ .. รับทราบแล้วเปลี่ยน
❋❋❋
“ไม่อยากทำท่านี้”
“ช่วยสานฝันให้กูหน่อย”
“อื้อ อ๊ะ อ๊ะ”
ร่างขาวถูกจับโก้งโค้งจนส่วนบนแนบไปกับกระจกแต่งตัว แรงส่งจากคนตัวสูงพาให้ศีรษะมนกระแทกไปมา จนมือเรียวต้องจิกเกาะส่วนที่ยื่นออกมาเอาไว้เพราะกลัวตัวเองจะล้มพับไปกับพื้นเสียก่อน
ทั้งเสียงหวานและเสียงทุ้มดังระงมไปทั่วทั้งห้องเพราะความแปลกใหม่ พิวหรี่ตากะลิ้มกะเหลี่ยมองภาพเบื้องหน้าด้วยใจสั่นระริก กระจกที่สะท้อนภาพอนาจารของคนรักพาให้กามารมณ์เพศชายพุ่งพรวดจนทะลุติดเพดาน
นานนับสิบนาทีที่ทั้งสองยืนร่วมรักกันด้วยท่าทางพิสดาร จนท่อนขาของผู้ถูกกระทำไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนหยัด ทำให้เสียงน่ารักต้องร้องขึ้นเพื่อนเอ่ยขอความเห็นใจให้ตนเอง
“เมื่อยแล้ว กลับไป .. อึก เตียงได้ไหม?”
“ไม่ไหวแล้วเหรอ?”
“..อื้ม” ร่างโปร่งลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันทีที่อีกคนจัดการไถ่ถอนความอึดอัดออกไป แต่นึกโล่งใจไปก็เท่านั้น เมื่อพิวจัดแจงให้ไป่ไป๋หันหน้าเข้าหาตนเอง ก่อนจะยกขาขาวให้ขึ้นสูงเพียงข้างหนึ่ง พร้อมกับการกดย้ำตัวตนเข้าไปให้คนผิวขาวใจหายอีกครั้ง
“อะ .. ฮ้า” ทันทีที่ทุกอย่างเริ่มลงรอย ขาเรียวทั้งสองข้างกลับถูกยกขึ้นสูงจากพื้นทั้งสองข้างมาเกาะเกี่ยวไว้กับเอวหนา จนพาให้ร่างบางต้องยกแขนขึ้นโอบลำคอหนาของอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว
“พิว ฮื่อ ทำอะไร”
“ดูในกระจกดิ” ไป่ไป๋แทบลมจับเมื่อเห็นภาพสะท้อนด้านข้างของพวกเขาในกระจก ร่างเปลือยเปล่าถูกแนบชิดติดกันจนแทบไม่หลงเหลือช่องว่างที่อากาศเข้าไปแทรก ความถี่ขึ้นลงประทุจนถึงจุดเหนือสุดจนสีหน้าของคนถูกอุ้มได้เปลี่ยนไปเป็นสีแดงทั่วทั้งดวงหน้าด้วยความเขินอาย
“ก-กลับเตียง” ไป่ไป๋อ้อนวอนเสียงแผ่วข้างใบหู หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองก็ได้กลับไปเชื่อมต่อบทรักกันบนที่นอนสมความต้องการ
ท่วงท่าพื้นฐานถูกงัดออกมาใช้อีกครั้งในช่วงท้าย ร่างกายขาวบิดเร้าเอาแต่ร้องฮือไม่เป็นภาษา พาให้พิวต้องโน้มตัวหาพร้อมป้อนจูบเพื่อปลอบประโลม
“อ่าห์ .. ใกล้แล้ว ทนหน่อยนะ” คนข้างล่างได้ยินเสียงทุ้มไปพร้อมๆกับเสียงลมหายใจหนักผ่อนเบาก็รู้ได้ในทันทีที่ว่าทำนองรักกำลังจะสิ้นสุดลง จึงฝืนปรือตาขึ้นมองใบหน้าหล่อโชกเหงื่อตอนที่กำลังคลุ้มคลั่งอย่างเผลอไผล เป็นจังหวะเดียวกับในตอนที่อีกฝ่ายก็หันมาประสานสายตาเข้าไว้ด้วยกันพอดี..
เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งตัวและหัวใจ พิวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนสิ้นสติ และพ่ายแพ้ต่อคนรักอย่างหมดชั้นเชิง บั้นเอวสอบป้อนแรงให้สะโพกทำหน้าที่ได้อย่างสุดกำลัง สายตาคมละจากดวงตาไล่ลงมองต่ำเรื่อยลงมาจนถึงริมฝีปากสีสวย ที่มันกำลังเผยอออกเพื่อหอบหายใจปนกับเสียงครวญดังเบาสลับกันไป ..
ฟังไม่ได้ความแต่กลับอยากฟังไปเรื่อยๆ
“อ๊า อ๊ะ อ๊ะ” ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ความอบอุ่นของอีกฝ่ายได้โอบรัด เขาก็สัมผัสได้ถึงความสุขที่เพิ่มพูนจนแทบจะสำลักอยู่ร่อมร่อ
“..พิว”
“...” เขาผ่อนจังหวะลงเล็กน้อยเพื่อฟังคนที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“รักนะพิว .. อ๊ะ” ฝางเส้นสุดท้ายขาดผึงจนแม้แต่เจ้าตัวเองยังนึกตกใจ ด้านไป่ไป๋ก็ต้องสะดุ้งไปตามกันเมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่นวูบแปลกใหม่ไปจากเดิม
สองตาเหมือนพร่ามัวไปชั่วคราวหลังจากได้ปะทะเข้ากับขอบฟ้าอย่างจัง พิวลูบหน้าลูบตาตนเองราวกับกำลังเรียกสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ออกแรงสองสามครั้งสุดท้ายพร้อมรั้งตัวตนออกมาด้วยความเสียดายที่ไม่สามารถฝากฝังความรักเอาไว้ให้นานกว่านี้ได้
ล่มกลางอ่าวที่แท้จริง..
“ไม่ได้ใส่ถุงยาง?”
“อือ หมดพอดี” ร่างขาวที่เพิ่งถูกกระชำเขยิบตัวขึ้นนั่งแยกขาก้มลงมองของเหลวที่ไหลย้อนผ่านปากทางออกมาด้วยสีหน้าเคอะเขิน .. เพราะตั้งแต่ทำกันมาไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ไม่ใส่อุปกรณ์ป้องกัน
“ป่ะ ห้าทุ่มแล้ว เดี๋ยวพาไปล้างตัว” ร่างสูงที่กำลังจะยกช้อนคนตัวบางเข้าอ้อมอกก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายคว้าหมับเข้าที่ฝ่ามือเข้าให้เสียก่อน
“พิว .. แล้วมึงรักกูไหม?”
จุ๊บ
“เท่าฟ้าเลย”
“...”
“อาบน้ำกันดีกว่า มา เดี๋ยวอุ้ม”
“อ-อื้อ” ให้หลังทั้งคู่ก็พากันเข้าห้องน้ำไปชำระล้างคราบเหนียวเหนอะตามตัว ประโยคเชิงบอกรักแต่ไม่มีคำว่ารักเมื่อครู่ถึงจะพาให้หัวเต้นพอเป็นพิธีอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีคำว่ารักออกจากปากพิวอยู่ดี.. ทำไมถึงไม่ยอมพูดวะ?
ไป่ไป๋คิดไปคิดมาแล้วก็ฉุกนึกได้ว่าเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ยิ่งนึกถึงยิ่งจะพาปวดหัวเอาเสียเวลาเปล่าๆ
เออ ช่างแม่งเหอะ มีแม่งอยู่ด้วยกันทุกวันก็พอแล้วแหละ