Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 17 :: 'วิตามิน' ] 1900520
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 17 :: 'วิตามิน' ] 1900520  (อ่าน 16408 ครั้ง)

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

* * * * * * * * * *

Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก

สารบัญ




















By. PuddingJelly & MY J

Twiiter Hastag : #หัวใจอุ่นไอรัก
 

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2019 15:26:24 โดย myj514 »

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
*คำโปรย*

" ทำไมใครๆ ก็พากันโอ๋น้องไปหมด เพียงเพราะความน่ารักของ 'ไอติม' หรือยังไงกัน ถึงผมจะหัวร้อนง่ายจนโดนเพื่อนไล่ให้ไปเปลี่ยนชื่อจาก 'นายไออุ่น' ให้เป็นนายไอร้อนก็เถอะ แต่หลายๆ เรื่องมันก็น่าโมโหจริงๆ นี่! "



* * * * * * * * * *



พูดคุย ติ ชม หรือแนะนำได้ค่ะ ยินดีรับฟังทุกความเห็น  และสามารถพูดคุยผ่านhastag #หัวใจอุ่นไอรัก ได้ในTwiiter เลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ

MY J
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-08-2018 11:13:23 โดย myj514 »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
น่าสนจัยย  :katai2-1:

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก
«ตอบ #3 เมื่อ22-08-2018 16:07:01 »

:: INTRO::

               ความสงบสุขของชีวิตผมก็หายไปพร้อมๆ กับการเปิดเทอม แน่นอนว่าช่วงแรกของการเปิดเทอมชีวิตมันจะยุ่งเหยิงไปหมด ทั้งเรื่องเรียน ไหนจะกิจกรรมอีกมากมายมหาศาล และความดวงซวยก็ตามมาติดๆ เมื่อผมได้รับขอความขอร้องให้ผมในฐานะพี่ปี 3 ช่วยไปเป็นพี่ว้ากให้ แต่จริงๆ แล้ว จะเรียกพี่ว้ากก็คงไม่ถูก เพราะคณะผมไม่เน้นตะคอก หรือหยาบคายใส่รุ่นน้อง แต่เราจะใช้วิธีวางมาดให้นิ่ง เย็นชา ใช้คำพูดแสนสุภาพแต่กดดันสุดๆ จะบ้าตาย พวกปี 2 มันคิดได้ไงวะเนี่ย จะให้ผมมาคีพลุคเน้นใช้สายตาและเล่นสงครามประสาทเพื่อกดดันรุ่นน้องเนี่ย ให้ไปเป็นพี่เนียนยังง่ายกว่าอีก
 
               ติ๊ง
 
               ติ๊ง
 
               ติ๊ง
 
               ประสาทจะกินครับ จะลากผมเข้ากรุ๊ปอะไรนักหนาวะ ถ้าไม่จำเป็นผมอยากจะลบๆ ไลน์ทิ้งไปด้วยซ้ำ แล้วดูดิ แจ้งเตือนมาไม่หยุดตั้งแต่ช่วงก่อนเปิดเทอมแล้ว แถมผมยังเป็นพวกที่ไม่ชอบให้ตัวเลขที่อยู่ในวงสีแดงๆ มันขึ้นค้างบนหน้าจอด้วย เห็นแล้วมันขัดหูขัดตา บางกลุ่มก็คุยกันไม่ได้มีสาระอะไรเลย ผมก็เลยแค่เข้าไปกดเปิดเพื่อให้แจ้งเตือนมันหายไป ใครจะไปเสียเวลาไล่ย้อนอ่านกัน เอาเวลาไปนอนยังดีเสียกว่า โดยเฉพาะไอ้กลุ่ม จับฉ่าย เนี่ย
 
               It’s Michi :: น้องปี 2 มาบรีฟละใช่ป่ะ

               J.U.S.T. :: เออ น้องมันคิดไงวะให้ไอ้วอร์มมาเป็นพี่ว้าก น้องมันไม่ได้มาขอเค้กหรอ

               คะ-หนม-เค้ก :: จริงๆ เราอยากไปเป็นพี่เนียน แต่น้องบอกว่าคนรู้จักเราเยอะ ไม่น่าจะรอด

               J.U.S.T. :: ไอ้วอร์ม กูรู้ มึงอย่าเพิ่งกดออก ย้อนอ่านด้วย เรื่องนี้มีมีสาระและเกี่ยวกับมึงเต็มๆ
 
               นายไออุ่น :: กูรู้เรื่องแล้ว...
 
               It’s Michi :: นี่ก็ไม่น่าจะรอด
 
               นายไออุ่น :: มิชิ มึงเป็นแทนกูหน่อยดิ ไอ้จัสก็ได้ พวกมึงก็รู้ กูออกจะสดใสร่าเริงงงงงงง
 
               J.U.S.T. :: เป็นแทนเชี่ยไร ก็โดนกันหมดเนี่ย 3 ตัว
 
               นายไออุ่น :: อ่าว... หรอวะ เค้กจ๋า เค้กเป็นแทนวอร์มได้ป่ะ
 
               คะ-หนม-เค้ก :: เรื่องไรอ่า... ไม่เอาหรอก เสียภาพพจน์หมด 5555555+
 
               นายไออุ่น :: ไว้ค่อยว่ากัน กูไปนอนก่อนล่ะ วันนี้อุตส่าห์ไม่มีเรียน
 
               It’s Michi :: เย็นนี้เจอกันห้องชุมนุมละกัน
 
               บทสนทนาหลังจากนั้นคืออะไรผมก็ไม่ได้สนใจแล้วครับ อีกลุ่มจับฉ่ายที่ว่าเนี่ย มันคือกลุ่มของผมกับเพื่อนสนิทครับ หัวข้อในบทสนทนาก็ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ เรื่องเรียน เรื่องเที่ยว เรื่องกินดื่ม ทุกเรื่องนั่นแหละครับ แต่ส่วนมากก็หาสาระไม่ค่อยได้ ทั้งๆ ที่ผมเพิ่งจะเปลี่ยนเครื่องใหม่และกลับไปใช้เบอร์โทรศัพท์เก่ามสมัยมัธยมต้น คิดว่าเครื่องจะโล่งและแชทต่างๆ จะสงบไปพักใหญ่ แต่มันกลับตรงข้ามกัน แถมยังมีใครก็ไม่รู้ที่ผมไม่รู้จักด้วยซ้ำ แอดผมมาจากช่องทางต่างๆ อีก แต่ก็ยังดีที่แค่แอดมาไม่ได้ทักมาคุย หรือส่งข้อความอะไรมากวนใจผม
 
                    ติ๊ง
 
                เพิ่มคุณเป็นเพื่อน
 
               ใครอีกวะครับ ชื่อก็เป็นอีโมตีคอนตัวเดียว แถมรูปดิสยังมาเป็นรูปแมวอีกผมจะไปตรัสรู้ได้ยังไง ถึงผมจะใช้ดิสเป็นรูป เจ้าเบนโตะเหมือนกันก็เถอะ หมายถึงหมาที่ผมเลี้ยงน่ะครับ ความจริงแล้วมันเป็นหมาที่ผมเจอถูกทิ้งอยู่ข้างถนนแถวๆ โรงเรียน ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะพามันไปอาบน้ำ ตัดแต่งขนแล้วจะประกาศหาเจ้าของ หาบ้านใหม่ให้มัน แต่ก็ไม่มีใครติดต่อมาเลย ไปๆ มาๆ ก็ผูกพันกับมันไปเสียแล้ว สุดท้ายก็เลยเลี้ยงไว้เองแบบนี้แหละครับ
 
               เจ้าหมาน้อยที่ผมกำลังนึกถึงก็ กระโดดขึ้นเตียงมานอนอยู่ข้างกายผมอย่างรู้งาน ทำให้ผมเลิกสนใจโทรศัพท์มือถือ และหันไปนอนเล่นกับมันแทน การออกมาอยู่หอคนเดียวก็ได้เจ้าเบนโตะนี่แหละครับที่มาคลายเหงาให้ ความจริงผมก็ไม่ได้ขี้เหงาอะไรหรอกครับ วันๆ นึง ออกไปเรียน ได้คุยกับเพื่อนมันก็โอเคแล้ว แต่ตั้งแต่ที่มีเจ้าหมาน้อยตัวนี้เข้ามาในชีวิต เกิดวันนึงมันหายไปชีวิตผมก็คงเหมือนบางส่วนขาดหายไป
 
               ผมเกาพุงให้เจ้าหมาน้อยจนมันเคลิ้มและหลับไป ผมเองก็เริ่มตาปรือแล้วเหมือนกัน ผมจึงเอื้อมไปกดให้โทรศัพท์มือถือเข้าสู่โหมดสำหรับการนอนหลับเพื่อที่จะได้ไม่มีใครมารบกวนเวลานอนอันแสนมีค่าของผมได้ แล้วโยนมันไปไว้ที่โต๊ะหัวเตียงโดยไม่ได้สนใจแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทอันใหม่ล่าสุดเลย
 
                 : นี่ใช่ไลน์ของพี่วอร์มป่ะคับ...

               .

               .

               .

               To be Continue...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-08-2018 13:32:28 โดย myj514 »

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
:: Chapter 1 :: 'แรกพบ'


               Rrrrrrrrrr
 
               โทรศัพท์มือถือที่สั่นเป็นเจ้าเข้า แรงสั่นของมันกระทบกับพื้นผิวของโต๊ะไม้หัวเตียงทำให้เกิดเสียงดังน่ารำคาญจนผมต้องควานหามันและกดรับในที่สุด ผมไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนโทรมา
 
               (มึงอยู่ไหน)
               “อยู่ห้อง...”
               (อย่าบอกนะว่ามึงยังไม่ตื่นอ่ะ)
               “ตื่นแล้ว...”
               (ไอ้วอร์มนี่มันเที่ยงแล้วนะมึง ยังไม่ตื่นอีก)
               “ก็กูบอกว่าตื่นแล้วไง... เนี่ย ตื่นตอนมึงโทรมาอ่ะ มีไรวะ”
               (วันนี้จับน้องสาย กูว่าจะไปดูหน่อย สายข่าวว่าปีนี้ได้น้องน่ารักๆ มาเยอะเลย มึงไปกะ...)
 
               ผมไม่รอให้ไอ้จัสพูดจบก็ตัดสายทิ้งทันที ประมาณ 99.99% ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่มาจากไอ้จัสมักจะหาสาระไม่ได้ อย่างเช่นที่มันโทรมาเมื่อกี้เป็นต้น ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องสายรหัสเท่าไหร่หรอกครับ เพราะผมก็อยู่รอดมาได้ด้วยเพื่อนและตัวเองจนถึงทุกวันนี้ สาเหตุก็เพราะโดนพี่สายเทซิ่วไปเรียนที่อื่น แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร ไม่ได้มีเลคเชอร์เทพให้ส่งต่อให้น้องสายอย่างคนอื่นเขาหรอกครับ ให้น้องมันไปหาซื้อเอาตามสะดวกยังจะดีกว่ามานั่งแกะลายมือผม
 
               ส่วนไอ้จัส มันคือเพื่อนที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มผม สูงจนน่ารำคาญเพราะเวลาเดินด้วยกันมันชอบเอาแขนมาพาดหัวผมเล่น อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่ได้เตี้ยหรอก ก็ตามมาตราฐานผู้ชายปกตินั่นแหละครับ แต่ไอ้คุณจัสมันดันสูงทะลุ 185 ไปเอง ด้วยความหุ่นดีและหน้าตาดีของมันถึงจะไร้สาระไปบ้าง แต่มันก็เป็นถึงทูตกิจกรรมของมหาลัย มีสาวๆ มากหน้าหลายตา ทั้งในมหาลัยเดียวกันและต่างมหาลัยเข้าหามันมากมาย ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมมันถึงต้องกระดี๊กระด๊ากับแค่การจับสายรหัสด้วยก็ไม่รู้
 
               ติ๊ง
 
                : ไม่ต้องตอบก็ได้คับ แต่พี่อ่านผมก็ดีใจแล้ว
 
                  อ่านแล้ว
 
              : อย่าบล็อคผมเลยนะคับ ผมแค่อยากบอก อยากเล่าหลายๆ อย่างให้พี่ฟัง เพราะผมคงไม่มีโอกาสพูดมันต่อหน้าพี่...
 
                   อ่านแล้ว


               มือผมเผลอไปโดนหน้าจอต้องที่มีแจ้งเตือนของใครบางคนปรากฏขึ้นมาพอดี นั่นสิ ใครวะครับ แถมดักทางผมอีก ส่วนมากถ้าผมโดนก่อกวนแบบนี้ผมก็บล็อคหมดอ่ะ เบอร์แปลกโทรมาผมก็ไม่รับ ในเฟสถ้าไม่มาบอกหรือมาทวงให้รับแอดผมก็ไม่รับเหมือนกัน
 
              อืม... ยอมรับว่าติส
 
               แต่กับดิสรูปแมวลายเสือหูตกตัวนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่กดบล็อค รอดูไปก่อนแล้วกัน ถ้ามายุ่งวุ่นวาย หรือตามตื๊ออะไรผมมากๆ ก็อย่าหวังว่าจะรอด ลึกๆ ผมก็สงสัยนะว่าใครเล่นตลก แอดมาอำผมรึเปล่า อยากพิมพ์ถามกลับไปเหมือนกัน แต่ในเมื่อมันบอกว่าให้อ่านเฉยๆ ก็พอ ผมก็จะสนองให้ ผมก็อีโก้สูงพอตัว เรื่องอะไรจะไปตอบล่ะครับ ผมมัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อยจนเจ้าเบนโตะที่นอนขดอยู่ใกล้ๆ ครางหงิงๆ ผมเลยลุกไปเทอาหารเม็ดกับนมให้มัน ก่อนจะไปอาบน้ำแต่งตัว ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขาเข้าห้องน้ำ โทรศัพท์ผมก็สั่นอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง
 
               “เชี่ยจัสแม่ง จะโทรมาทำไรนักหนาวะ” แล้วผมก็ต้องหุบปากที่กำลังกร่นด่าเพื่อนตัวสูงในทันทีเหมือเห็นว่าปลายสายที่โทรมานั้นเป็นเพื่อนหน้าหวานผมแดงต่างหาก
               (วอร์ม วันนี้ปี 2 สายวอร์มน้องมาไม่ได้อ่ะ วอร์มไปจับแทนหน่อยสิ ไม่งั้นน้องสายวอร์มเคว้งแย่เลย สงสารน้องอ่ะ)
               “เอ้า! มันหายหัวไปไหนของมัน ได้ๆ เดี๋ยววอร์มเข้าไปนะเค้ก นี่เค้กอยู่กับไอ้จัสอ่อ?”
               (อยู่กันหมดเนี่ยแหละ มิชิก็อยู่)
               “อ่อๆ โอเค แล้วเจอกันนะเค้ก”
 
               ไม่ต้องแปลกใจครับว่าทำไมผมถึงพูดกับเค้กต่างจากไอ้จัส ถึงเค้กจะเป็นหนึ่งในเพื่อนผู้ชายของผมเหมือนกันก็เถอะ ใช่ครับ ผู้ชายที่หน้าหวานและสวยกว่าผู้หญิงบางคนด้วยซ้ำ เค้กแทบไม่พูดคำหยาบเลย นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ผมพูดกับอีกฝ่ายด้วยความสุภาพขนาดนี้ ถึงเค้กจะได้ยินผมพูดหยาบจนชินแล้วก็ตาม ผมก็ยังเกรงใจและไม่กล้าพูดหยาบกับเค้กอยู่ดี
 
               และแล้วผมก็มาถึงศาลากลางสวนซึ่งเป็นสถานที่จัดงานจับสายรหัสทันก่อนที่ไอ้จัสมันจะโทรจิกผมอีกรอบ ที่ศาลามีเพียงพวกผมกับปี 2 อีกแค่ไม่กี่คนที่กำลังตกแต่งศาลาและเพิ่มความขลังให้สถานที่อยู่ ที่เหลือคงกำลังคุมน้องอยู่ที่หอประชุมใหญ่ แน่นอนว่ากิจกรรมพวกนี้ผมก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ทั้งตอนเป็นน้องใหม่ ทั้งตอนเป็นปีจัดงาน ปีนี้นึกว่าจะหลุดพ้นไม่ต้องมาวุ่นวายแล้วแท้ๆ ยังจะโดนลากมากอีก
 
               “สวัสดีค่าพี่วอร์ม เมื่อกี้หนูบรีฟพวกพี่ๆ เขาไปแล้ว ไม่มีไรมาก น้องๆ จะได้คำใบ้ เพื่อตามหาพี่สายรหัสนะคะ พี่วอร์มก็อยู่นิ่งๆ เฉยๆ เลย ให้น้องตามหา แต่คำใบ้มันอาจจะไม่ตรงเท่าไหร่ แล้วพอน้องหาเจอก็ฝากดูแล ให้คำแนะนำเบื้องต้นด้วยนะคะ แต่ว่าไม่ต้องใจดีมาก เพราะพี่ต้องเป็นพี่ว้าก...”
 
               หญิงสาวตัวเล็กอธิบายทุกอย่างให้ผมฟังก่อนจะขอตัวไปจัดเตรียมงานต่อ ผมงงกับพวกมันจริงๆ เลย ปี 2 ทำไมทำอะไรได้ย้อนแย้งขนาดนี้วะ ไม่ต้องให้ผมเป็นพี่ว้ากก็หมดเรื่อง นี่ให้ผมมาช่วยดูแล แนะนำน้องมันแทนปี 2 แต่ก็ดันต้องคีพลุค ห้ามใจดี ห้ามหยอกล้อ เพราะเดี๋ยวตอนไปว้าก น้องมันจะไม่เชื่อถือ ผมจะเป็นไบโพล่าตายก่อนไหมวะครับ
 
               “ไม่เอา ไม่แองกรี้สิครับ คุณวอร์ม คิ้วเค้วไปหมดละเนี่ย น้องกลัวหัวหดพอดี”
               “เดี๋ยวเหอะมึง แซวคิ้วกูตั้งแต่ปี1 ยังไม่เลิกนะมิชิ!”
               “ไม่เกรี้ยวกราดสิครับ คุณวอร์ม เพื่อนหยอกนิดล้อหน่อยเอง”
 
               เพื่อนตัวสูงทั้งสองพากันหัวเราะชอบใจที่รุมกันแกล้งผมสำเร็จ คิ้วผมมันค่อนข้างชี้ขึ้นน่ะครับ ถ้าผมแหวกหน้าม้า หรือเสยผมที่ปรกหน้าอยู่มันก็จะดูเหวี่ยงและโมโหตลอดเวลา ทั้งที่จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้โกรธอะไร มันเป็นธรรมชาติของมันเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ ขนาดเค้กก็ยังร่วมขำไปกับพวกมันด้วยเลยอ่ะ น่าน้อยใจชะมัด
 
               “พอแล้วน่า อย่าไปแกล้งวอร์มสิ เดี๋ยววอร์มงอนหนีกลับก่อนจะทำไง”
               “ก็วอร์มมันน่าแกล้งนี่เค้ก”
 
               ท่าทางออดอ้อนของมิชิและรอยยิ้มกว้างของเค้ก ทำให้ผมกับไอ้จัสหันไปมองสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย บรรยากาศหวานๆ ชวนขนลุกระหว่างสองคนนี้ มันไม่ชอบมาพากล แต่เรื่องแบบนี้มันปิดกันไม่ได้นานหรอกครับ เอาไว้ให้เจ้าตัวพร้อมเดี๋ยวก็คงบอกเองแหละครับ
 
               “มึงว่าเด็กรุ่นนี้จะหน้าตาดีไหม”
               “ตามสถิติโต๊ะปีเว้นปี... ก็ต้องดีดิ”
               “น่อว ท่านวอร์มถึงกับคอนเฟิร์ม”
               “ก็กูพูดเรื่องจริง รุ่นเราหน้าตาดีตั้งหลายคนเป็นเดือน เป็นทูต เป็นลีด เป็นไรเยอะแยะไปหมด ละมึงดูปี2 กริบชิบหาย...”
 
               ทุกคนอย่าเพิ่งหมั่นไส้ผมเลยครับ ถึงจะยอมรับในความมั่นหน้าของตัวเองว่ามีมากโขก็ตาม แต่มันเป็นเรื่องจริงนะครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร คณะผม โต๊ะผมมันถึงเป็นแบบนั้น ไม่ใช่ว่าพี่ปี4 กับน้องปี2 จะหน้าตาขี้เหร่หรืออะไรนะครับ แต่รุ่นผมมันดันมีคนหน้าตาดีเฟ้อไปหน่อยเท่านั้นเอง เอาง่ายๆ แค่ที่กองกันอยู่ตรงนี้ก็เป็นทูตกิจกรรมของมหาลัยไปหนึ่ง เค้กก็เป็นเดือนโต๊ะที่พ่วงตำแหน่งรองเดือนคณะ ส่วนไอ้มิชิกับผมก็เป็นสมาชิกชุมนุมโฟลค์ซองที่มีรุ่นน้องเอาขนมและของขวัญมาให้เยอะพอตัวเลย ยิ่งตั้งแต่ที่มิชิมันไปย้อมผมทองมาใหม่นี่แทบจะมีคนขอถ่ายรูปด้วยตลอดทางเลย
 
               ยังไม่ทันที่พวกผมจะถกเถียงประเด็นความหน้าน่าตาดีจบ กลุ่มรุ่นน้องประมาณยี่สิบคนที่ถูกผูกผ้าปิดตาและเดินเกาะไหล่ต่อกันมา ก็ถูกจูงให้เดินเข้ามาในศาลา
 
               “เก๊กขรึมเร็วมึง เก๊กขรึม” ไอ้จัสกระซิบบอกพร้อมโบกไม้โบกมือส่งสัญญาณให้ผมกับมิชิ ทั้งๆ ที่ก็มีแต่มันนั่นแหละที่ยังไม่นิ่ง ใครจะไปคิดครับ ว่าไอ้บ้าไอ้บอที่ชอบเต้นแรงเต้นกาอย่างมันจะไปเป็นทูตได้
 
               ผมกวาดสายตามมองป้ายชื่อที่ห้อยคอรุ่นน้องอยู่ จะว่าไปปีนี้ก็ไม่ค่อยมีชื่อแปลกเท่าไหร่ ผมยังจำได้ดี ปีก่อนนี่ชื่อน้องบางคนผมนึกว่ามันเติมกันเองด้วยซ้ำ ใครจะไปคิดว่าที่บ้านตั้งให้และเรียกแบบนั้นจริงๆ สภาพน้องแต่ละคนคือโดนจับมันจุก หัวยุ่งรุงรังไปหมด บางคนก็มีลิปสติกที่ถูกทาให้เกินปากออกมา บางคนก็ถูกป้ายดินสอพองไปกลางหน้าผากอยากกับเจิมยันต์ ถ้าเปิดผ้าปิดตาออกผมว่าต้องเจอความเละเทะที่อยู่บนใบหน้าแน่นอน
 
               “น้องๆ คะ แกะผ้าผูกตาออกได้ค่ะ เมื่อกี้พี่อธิบายขั้นตอนและวิธีการให้ฟังแล้วเนอะ ก็ออกมาทีละคนตามความสมัครใจได้เลยนะ” น้องปี2 คนเดิมกับที่มาบรีฟพวกผม เอ่ยขึ้น มันจะทำคนเดียวทุกอย่างเลยหรอวะ เท่าที่ผมดูๆ ไอ้รุ่นนี้มันไม่ค่อยสนิทกันในโต๊ะเท่าไหร่ คนทำงานก็มีอยู่ไม่กี่คน หวังว่าน้องใหม่คงจะดีกว่านี้ ไม่งั้นคงได้สายขาดหรือโต๊ะแตกขึ้นมาสักวัน
 
               พวกผมไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนักเพราะพวกเรานั่งกันอยู่รอบนอก สำหรับผมแล้วมันโคตรน่าเบื่อเลย นี่ถ้าไอ้คิวไม่ได้ป่วยหนักจนต้องแอดมิดที่โรงพยาบาลนะ ผมก์ไม่มาหรอก ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไอ้จัสมันจะอยากมาดูน้องอะไรนักหนา เดี๋ยวอีกไม่กี่วันปี2 มันก็ต้องจัดงานเลี้ยงมื้อเย็นน้องอยู่ดี ซึ่งส่วนมากพวกรุ่นพี่ปีที่เรียนอยู่ก็จะไปร่วมหมดอยู่แล้ว ค่อยเจอตอนนั้นก็ยังไม่สาย
 
               ความจริงแล้วก็คือว่าปี2 คิดคอนเซปได้โอเคนะ ปลุกความบ้าบอในตัวน้องดี ผมนั่งดูอยู่เฉยๆ ยังขำเลย น้องแต่ละคนก็ซื่อเหลือเกินบอกอะไรให้ทำอะไรก็เชื่อหมดเหมือนมานั่งดูตลกคาเฟ่ ปีนี้มันจัดให้น้องกราบไหว้บูชาเทพประจำโต๊ะด้วยธูปหนึ่งดอก ก่อนจะให้งมจับคำใบ้ที่ระบุตัวตนของพี่สายในกระถางที่มีข้าวเปลือกกับทรายผสมกันอยู่ แล้วอำน้องว่าเป็นเถ้ากระดูก น้องแม่งก็เชื่ออีก น้องผู้หญิงบางคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อจะไม่ยอมล้วงโถลูกเดียว จะกลัวอะไรขนาดนั้นวะครับ
 
               “เอ้า! สามคนสุดท้ายออกมาพร้อมกันเลยค่ะ เพราะพวกน้องช้า แถมยังไม่มีความกล้าที่จะสเนอตัวออกมาคนแรก เจ้าแม่โต๊ะกริ้วแน่นอน ต้องรำถวายหนึ่งชุดก่อนนะ ขอจังหวะกลองยาวให้น้องด้วย”
 
               เด็กผู้ชายสามคนที่ท่าทางเรียบร้อยดูเหนียมอายมองหน้ากันเลิกลั่ก จังหว่ะกลองยาวดังขึ้นแล้วแต่เด็กสามคนนี้ก็ยังยืนนิ่ง ท่าท่างจะเจริญรอยตามปี2 แน่ๆ ทำไมเด็กกิจกรรม เด็กกล้าแสดงออกมันถึงหายากจังครับ นี่แค่รับน้องคณะแล้วแบ่งเข้าโต๊ะ ถ้าไปรับจริงของโต๊ะไม่แกร่วแย่หรอวะ ผมล่ะสงสารปีจัดล่วงหน้าเลย
 
               “อ่ะ วัน! อ่ะ ทู! อ่ะ วัน ทู ทรี โฟร์!!!” แล้วจู่ๆ น้องคนที่แขวนป้ายชื่อว่าจูเนียร์ก็ส่งเสียงออกมา หันมองหน้าเพื่อนทั้งสองคน แล้วจากเด็กเรียบร้อยหน้านิ่งสามคนเมื่อกี้ก็กลายเป็นเด็กบ้าทันที ไม่ใช่แค่เต้นเปล่าแต่สีหน้าท่าทางมันออกหมดเลยครับ ส่งเสียงร้อง ยิ้ม หัวเราะเหมือนกันบ้า จู่ๆ ก็องค์ลงแบบนี้ก็ได้หรอวะ
 
               “ฮ่าๆๆ เกรียนสัด”
               “เออ กูเงิบแดกอยู่ มึงว่าน้องมันเป็นไบโพล่าเปล่าวะวอร์ม”
               “จัสดูน้องไวท์ที่หน้าหวานๆ นั่นสิ เค้กก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้เลยอ่ะ ตลกดีเนอะ”
               “น้องจูเนียร์นี่ทายาทกองสันชัวร์ กูมั่นใจ”
 
               ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับทุกความคิดเห็นของเพื่อนๆ แต่น้องอีกคนที่มักจุกนั่นชื่ออะไรผมยังไม่รู้เลย เพราะป้ายมันพลิกหันเข้าหาตัวน้อง เต้นแรงชิบหาย เสื้อเปิดหมดละ แต่ยิ้มทีโลกโคตรสดใสเลยครับ เห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้
 
               “กูชอบว่ะ ไอ้พวกบ้านี่ ได้มาเป็นน้องสายคงครื้นเครง”
               “ได้แน่ๆ ในสามตัวนี้ไม่หนีไปไหนหรอกมึง”
               “สายพวกเรายังไม่ออกสักคนเลยนี่นา”
 
               “งี้กูกับไอ้จัสต้องได้คนเดียวกันถูกป่ะ” มิชิหันไปถามไอ้จัสที่นั่งปรบมืออย่างชอบใจอยู่ข้างๆ เสา ไหนใครบอกให้เก๊กขรึมวะ มีใครให้ไม่เนียนได้มากกว่านี้ไหมครับ ไม่เนียนที่สุดในจักรวาลก็มันเนี่ยแหละ และมันแน่นอนอยู่แล้วที่พวกมันสองคนจะได้น้องสายคนเดียวกันเพราะตั้งแต่ปีที่แล้ว น้องปี2 ก็น้อยกว่ารุ่นพวกผม แล้วปีนี้จำนวนน้องใหม่ก็เท่าเดิม พอดีกับปี2 เป๊ะ รุ่นผมพีคสุดแล้วมั้ง มาซะเยอะเกินจำนวนพี่เลย พี่ปี4 คนเดียวก็เลยต้องเทคพวกมันสองคนรวด
 
               จูเนียร์กับไวท์ใช้เวลาเพียงไม่นานก็หาปีสายรหัสของตัวเองเจอ ส่วนเจ้าน้องโลกสดใสนั่นยังยืนหน้ามึนพร้อมยู่ปากอยู่กลางวง ผมล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าน้องมันได้คำใบว่าอะไร ถึงแม้พวกผมจะรู้อยู่แล้วว่าใครได้เป็นสายใครก็เถอะ ดูจากตอนที่น้องเดินไปหาปี2 ก็รู้แล้วใช่ไหมล่ะครับ เพราะฉะนั้นเด็กหน้ามึนนั่นก็ต้องเป็นสายผมนั่นแหละ
 
               “เอ้า! เร็วๆ หน่อยจ้า เพื่อนๆ เขาหาเจอกันหมดแล้ว”
               “ไม่เห็นมีใครที่น่าจะตรงคำใบ้เลยนี่ครับ...”
               “อ้อ โทษทีพี่ลืมบอกเรา ว่าของเราจะเป็นพี่ปี3 มาแทนนะจ๊ะ พี่ๆ เขานั่งกันอยู่ตรงมุมเสาโน่น”
               “อ่า... ขอบคุณครับ” น้องหันไปฉีกยิ้มจนตาปิดก่อนจะเดินมาทางพวกผม
 
               “สวัสดีคร้าบพี่ๆ” เออ เว้ย อ่อนน้อมถ่อนตนดี แถมขยันยิ้มซะเหลือเกิน ผมชักจะสงสัยว่าพลลานุภาพรอยยิ้มของน้องจะสามารถทำให้ดอกไม้ที่กำลังเหี่ยวๆ กลับมาเบ่งบานสดใสได้ไหมนะ
 
               “ว่าไงครับ ไหนได้คำใบ้ว่าอะไรครับ น้อง...”
               “ไอครับ... ไอติม แหะๆ” น้องยิ้มแหยๆ ให้ไอ้มิชิ พลางรีบพลิกป้ายชื่อที่ห้อยคอตัวเองอยู่ให้หันกลับมาให้ถูกด้าน จากนั้นน้องก็หยิบกระดาษแผ่นเล็กในมือคลี่ออกมาอ่านอีกครั้ง
 
               “ตัวสูง คิ้วเข้ม มีนามเป็นกามเทพ... คำใบ้มันว่างี้อ่ะครับ อืม...” น้องเกาหัวแล้วทำหน้างงๆ ก็แน่ล่ะ เพราะพวกผมนั่งกันอยู่มีแค่ผมที่ยืน แล้วอีกอย่างพวกเราก็มีผมยาวมาปรกคิ้วกันหมด ป้ายชื่อก็ไม่มีเหมือนพวกปี2 แล้วที่สำคัญ คำใบ้ที่น้องได้มามันเป็นคำใบ้ระบุตัวตนของไอ้คิว หรือคิวปิดน้องเทคผมต่างหาก ทายให้ตายยังไงก็ไม่ถูก
 
               “ง่า... พี่สองคนช่วยเปิดคิ้วให้ผมดูหน่อยได้ไหมอ่ะครับ”
               “อ้าวเฮ้ย! แล้วน้องไม่คิดว่าจะเป็นพี่บ้างหรอ ไม่ไยกูเลยว่างั้น” ผมแกล้งหยอกน้องที่ไม่สนใจผมสักนิด คิดแล้วมันก็ช้ำใจเหลือเกิน ผมรู้ตัวครับว่าผมไม่ใช่คนสูง แต่แบบนี้มันก็เกินไปหน่อยป่ะวะ กูนี่แหละครับ พี่สายมึงอ่ะ

               “ง่า... ก็... พี่วอร์มตัวเล็กนี่ครับ...”
               “อ้าว นี่มึงรู้จักกับน้องเป็นการส่วนตัวหรอวะ เชี่ยวอร์ม ปิดเงียบเลยนะ”
               “สัดจัส! กูไม่รู้จักโว๊ย” ผมโวยวายทันที ก็ผมไม่รู้จักน้องจริงๆ นี่ครับ ตกใจเหมือนกันอ่ะ ที่อยู่ๆ น้องพูดชื่อผมออกมา โลกแม่งจะกลมเกินไปแล้ว นี่ยังหงุดหงิดเรื่องความสูงไม่หายเลยนะ พอมาเจอไอ้จัสนั่งยิ้มเผล่ใส่ยิ่งหงุดหงิด ถีบเพื่อนต่อหน้าน้องจะผิดไหมวะ
 
               “คือ... พี่วอร์มเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนอ่ะครับ...” นี่น้องจบจากโรงเรียนเดียวกับผมหรอวะ ทำไมไม่คุ้นหน้าเลย แต่ตอนผมอยู่ม.6 น้องก็เพิ่งม.4 ก็คงไม่แปลกอ่ะ เพราะพอผมติดสอบตรงที่นี่ผมก็ใช้วันลากระจุยเลย ทั้งลากิจ ลาป่วย เอาจนครบเต็มโควต้า จะไปนั่งเรียนให้เบื่อทำไมล่ะครับ ไปเที่ยวเล่น หาอะไรสนุกๆ ทำตามใจตัวเองดีกว่าตั้งเยอะ
 
               “จริงหรอน้องไอติม แบบนี้ก็ดีเลยสิ”
               “ทะ... ทำไมหรอครับ...”
               “ก็ไอ้วอร์มนี่แหละ พี่สายน้อง ส่วนคำใบ้เนี่ย มันเป็นการระบุตัวตนของปี2 อ่ะ แต่วันนี้คิวมันไม่สบายเลยมาไม่ได้อ่ะ”
               “ถึงไอ้วอร์มมันจะไม่ได้ตัวสูงแต่คิ้วมันก็แองกรี้ เอ้ย คิ้วเข้มเหมือนกันนะ ฮ่าๆๆๆ”
               
               “เชี่ยจัส! มึงอยากโดนกูถีบจริงๆ ใช่ไหม” เล่นไม่เลิก ล้ออยู่นั่นอ่ะเรื่องคิ้วผม แล้วไหนหมาที่ไหนมันจะคีพลุควะครับ แหม เอาซะเป็นกันเอง สนุกสนานร่างเริงกับน้องเชียวนะ
 
               “สวัสดีพี่วอร์มอีกทีนะครับ... ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคร้าบ”
 
               น่ารัก...
 
               ยอมรับครับว่ารอยยิ้มของน้องช่วยให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวของผมตอนนี้พอจะดีขึ้นมาบ้าง เด็กผู้ชายบ้าอะไรชื่อไอติม แถมยังยิ้มได้โลกสดใสขนาดนี้อีก ใครทำน้องมันร้องไห้คงต้องรู้สึกผิดไปจนตายแน่ๆ
 
               “พี่มิชินะครับ”
               “จัสครับ พวกพี่สองคนเป็นสายโคกันน่ะ สายน้องจูเนียร์ เพื่อนน้องไอติมใช่ป่ะ”
               “ใช่ครับๆ ผมกับจูเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ที่โรงเรียนแล้ว”
               “แบบนี้ก็รุ่นน้องไอ้วอร์มหมดเลยดิ” น้องพยักหน้ารับรัวๆ พร้อมกับยิ้มจรตาหยี๋ บางทีผมก็สงสัยว่าน้องมันจะหุบยิ้มตอนไหนวะ ยิ้มได้ยิ้มดีเหลือเกิน
 
               “ส่วนพี่ชื่อเค้กนะ ฝากไปกระซิบน้องไวท์หน่อยว่าพี่เป็นพี่สาย”
               “ได้เลยครับพี่เค้ก ถึงผมจะเพิ่งมารู้จักไวท์ที่นี่ แต่ผมว่าพวกเราก็เข้ากันได้ดีเลยล่ะครับ”
               “เห็นน้องๆ สามคนสนิทกันแบบนี้ก็ดีเลยอ่ะ เพราะพวกพี่ก็สนิทกัน เอาไว้เดี๋ยวเรานัดกันข้าว หรือไปเดินตลาดนัดด้วยกันเนอะ”
 
               ดูเหมือนทุกคนจะลืมไปแล้วมั้ง ว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ด้วยอ่ะ อะไรๆ ก็น้องไอติม เห่อน้องกันใหญ่ ประหนึ่งเป็น้องตัวเอง พี่สายอย่างผมยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ไหมล่ะ น้องแม่งก็ไม่เห็นจะสนใจผมเลย นี่ผมมาทำอะไรวะ เสียเวลาชะมัด
 
               “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กูกลับก่อนนะ”
               “วอร์มอย่าเพิ่งไปสิ แลกไลน์กับน้องก่อน อย่างน้องระหว่างที่คิวยังไม่หาย เผื่อมีอะไรน้องจะได้ปรึกษาได้ไง”
               “อือๆ เอาโทรศัพท์มาดิ” ผมพิมพ์ไอดีไลน์ของตัวเองให้น้องไปก่อนจะกดปุ่มเพิ่มเป็นเพื่อนแล้วส่งคืนกลับไปให้น้อง
 
               “ส่งสติ้กเกอร์หรืออะไรมาสักอย่างละกัน เดี๋ยวไม่รู้อีกว่าใคร ช่วงนี้คนแอดมั่วเยอะชิบหาย กูไปหาไรกินก่อนนะ หิว” ผมพูดกับคนตรงหน้า โดยประโยคหลังก็แค่ออกแนวบ่นมากกว่า จากนั้นผมก็เดินออกมาจากตรงนั้นทันที แต่ก็เห็นนะ ว่าพวกเพื่อนๆ คุยกับน้องต่ออีกนิดหน่อยก็ร่ำลากันแล้วเดินตามผมมา นึกว่าจะไม่มีใครตามมาแล้วเสียอีก แบบนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ไม่อย่างนั้นพวกมันโดนผมงอนแน่ๆ ลากให้ผมออกมาแท้ๆ แต่ดันมาทำเหมือนผมไม่มีตัวตน เหอะ!
 
               ติ๊ง
 
               i – Chananan :: พี่วอร์ม ผมไอติมนะครับ *สติ้กเกอร์แมวโค้งคำนับ*
              นายไออุ่น :: อือ
 
               ผมตอบน้องไปแค่นั้นเพราะไม่รู้จะพิมพ์อะไร ผ่านมาตั้งหลายชั่วโมงกว่าน้องจะทักผม ให้ไปตั้งแต่บ่ายนี่จะสี่ทุ่มอยู่แล้ว ผิดกับไอ้คิวเลย รัวมาหาผมอยู่นั่นแหละว่าได้น้องเป็นใคร น้องน่ารักไหม แถมยังมาขอไลน์น้องจากผมอีก ถ้าจะตื่นเต้นขนาดนี้ไม่ออกจากโรงพยาบาลมาหาน้องเองเลยล่ะ ระหว่างที่ผมนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่นั้นก็มีข้อความอีกหนึ่งข้อความปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
 



                : เพิ่งรู้ว่าการที่ได้อยู่ใกล้คนที่ชอบมันรู้สึกดีแค่ไหนก็วันนี้แหละครับ มันทำตัวไม่ถูกเหมือนทุกสิ่งรอบกายหยุดนิ่งไปหมด เสียงหัวใจมันเต้นดังจนแอบกลัวไม่ได้ว่าเขาจะได้ยินมันไหมนะ
 

               อ่านแล้ว


 
                : วันนี้พี่วอร์มคงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบๆ นอนพักนะครับ ฝันดีครับ


 
               อ่านแล้ว


 
               ผมเปิดอ่านข้อความแล้วก็งงหนักกว่าเดิม ไอ้บ้านี่มันจะมาเล่าให้ผมฟังทำไมวะ จะรู้สึกอะไร แบบไหนก็เรื่องของคุณเถอะครับ ผมไม่ได้อยากรู้สักหน่อย พูดอย่างกับว่าผมเป็นคนที่มันชอบงั้นแหละ ตลก!
             
               .
               
               .
               
               .
               
               To be Continue...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-08-2018 13:34:36 โดย myj514 »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ติดตามจ้า

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
               
             
:: Chapter 2 :: 'บังเอิญ'



**พี่วอร์ม**



               และแล้วการเรียนวันแรกของชีวิตปี3 ของผมก็เริ่มขึ้น วันแรกก็สายเลย ซวยฉิบชาย เอารถเข้าไปตอนนี้ตึกคณะจะมีที่จอดรึเปล่าก็ไม่รู้ ไอ้เพื่อนเวรทั้งหลังก็ไม่มีใครโทรปลุกผมสักคน เจริญจริงๆ แต่อย่างน้อยในความซวยก็ยังพอมีความโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง เพราะวิชาที่เรียนวันนี้เป็นเซคใหญ่และไม่มีการเช็คชื่อ ไมอย่างนั้นผมคงงานเข้าเต็มๆ

 

               “ฮัลโหล เชี่ยจัส ทำไมมึงไม่โทรปลุกกูวะ สายเลยเนี่ย”

               (รับสายปุ๊บก็ด่ากูเลยนะ อุตส่าห์จะโทรมาบอกว่าจารย์ยังไม่เข้า)

               “อ้าว หรอวะ เออๆ กูกับลังไป มึงได้จองที่ไว้ให้กูเปล่า”

               (ที่ว่างเยอะแยะมึง กูว่าคงมีคนสายกว่ามึงเพียบอะ ฝากแวะซื้อกาแฟให้มิชิหน่อยดิ)

               “สัด! กูสายแล้วเนี่ย พวกมึงยังมีหน้ามาใช้กูไปซื้อกาแฟอีก เลิกแล้วค่อยแดกเหอะ แค่นี้นะ เดี๋ยวเจอกัน”

 

               ผมวางสายก่อนจะตั้งใจมองหาช่องว่างในลานจอดรถ จากหอผมเข้ามาในตัวหมาลัยใช้เวลาไม่นานอะไรหรอกครับ แค่ไปวนกลับรถแป๊บเดียวก็ถึง แต่การหาที่จอดรถในเช้าวันจันทร์สำหรับคนที่เรียนสิบโมงนี่มันอยากกว่างมเข็มในมหาสมุดอีก ก็เพราะว่าพวกที่เขาเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้าได้จับจองพื้นที่ไว้หมดแล้วยังไงล่ะครับ เสียเวลาโคตร ขอสักช่องให้ผมเถอะ

 

               หลังจากที่สวดภาวนาในใจไปประมาณสิบแปดล้านตลบ ผมก็ได้ที่จอดรถที่ลานตรงข้ามหอสมุด ถึงมันจะเดินไกลหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีที่จอดอะครับ ผมรีบวิ่งไปที่ตึกเรียนกด้วยความไวแสงและเปิดประตูเข้าไปในห้องเรียนจากด้านหลังห้อง และมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาจารย์เดินเข้ามาทางประตูด้านหน้าพอดี เฉียดฉิวชิหาย ผมกวาดสายตามองหาว่าไอ้คุณเพื่อนทั้งหลายมันนั่งอยู่ตรงไหนกัน คงตอบขอบคุณไอ้มิชิกับเค้ก เพราะให้ห้องนั้นมีหัวทองกับหัวแดงอยู่แค่สองคน จึงทำให้ผมสามารถหาพวกมันเจอได้ไม่ยาก

 

               “อเมริกาโน่กูอะ” และนั่นคือประโยคแรกที่ออกมาจากปากไอ้มิชิทันทีที่เห็นหน้าผม ผมเลยเอาสันสมุดเคาะหัวมันไปหนึ่งที

 

               “เพื่อนมาเรียนสายแล้วยังมีกระจิตกระใจมาถามหากาแฟจากเพื่อนอีกหรอครับ ไอ้คุณชาย”

               “อ้าวจัส มึงไม่ได้บอกมันหรอว่าจารย์ยังไม่เข้า”

               “บอกแล้ว กูสั่งกาแฟให้มึงแล้วด้วย”

               “ยังไม่เข้ากับผีดิ! ถ้ากูมัวแต่ไปซื้อกาแฟให้มึงกูได้มาไม่ทันจารย์เข้าจริงๆ แน่”

 

               “เค้กดูดิ วอร์มแม่งไม่มีน้ำใจกับเพื่อนกับฝูงเลยอะ” ดูมัน หันไปอ้อนเค้กเฉย ผมกรอกตาไปมาด้วยความเอือมก่อนจะกางสมุดและหยิบปากกาออกมาเพื่อเตรียมจดสิ่งที่อาจารย์จะพูดในวันนี้ แต่แล้วก็มีบางสิ่งมาดึงความสนใจของผมไปเสียก่อน

 

               ติ๊ง

 

                : วันนี้เริ่มเรียนวันแรกก็สู้ๆ นะครับ

 

               ผมลอบอมยิ้มเล็กน้อย จะว่าไปไลน์นี้มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะครับ เหมือนมีคนคอยใสใจ่รายละเอียดของเราและให้กำลังใจแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน

 

               “ฮั่นแน่ คุยกับสาวที่ไหนมึง ยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่คนเดียวเลยนะ” ผมรีบกดล็อคโทรศัพท์แล้วยัดมันลงไปในประเป๋ากางเกงทันที ไอ้จัสแม่ง ทีเรื่องพวกนี้นี่ตาไวตลอด เวลาจดสไลด์ตามอาจารย์ ทำไมมึงไม่มองให้เร็วจดให้ทันแบบนี้บ้างวะ

 

               “เปล่า... พวกไลน์โฆษณา ขายของไรก็ไม่รู้”

               “มึงอย่ามาเนียน ก็กูเห็นอยู่ว่ามึงแอบยิ้ม”

 

               “สัด! กับเรื่องเรียนเคยตั้งใจแบบนี้บ้างไหมมึง โน่น จารย์แจกชีทอะ มึงไปเอามาหน่อยดิ” ผมเอ่ยปากไล่ให้มันไปหยิบเอกสารที่อาจารย์หยิบออกมาตั้งไว้กลางห้องทันที เพราะห้องบรรยายนี้เป็นแบบไล่ระดับและที่นั่งที่พวกผมนั่งอยู่นั้นค่อนมาบริเวณหลังห้อง ผมขี้เกียจขึ้นลงบันได ก็เลยใช้ความขายาวของเพื่อนให้เป็นประโยชน์

 

               ระยะเวลาสองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว นี่ขนาดเรียนเช้ายังง่วงขนาดนี้ พวกวิชาคาบบ่ายจะเหลืออะไรครับ ผมบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะเก็บของทุกอย่างลงไปในเป้ แล้วโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงผมก็สั่นอีกครั้งแล้วผมก็พบว่ามันเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากเจ้าของไลน์เจ้าเดิมกับเมื่อเช้า

 

                : เที่ยงแล้ว อย่าลืมหาอะไรทานด้วยนะครับ

 

               ถ้าจะส่งมาเช้าสายบ่ายเย็นขนาดนี้ โทรมาปลุกผมด้วยก็จะเป็นพระคุณ นั่นคือสิ่งที่ผมคิด แต่แน่นอนว่าผมไม่ได้พิมพ์ตอบเพียงแค่เข้าไปอ่านแล้วก็กดออกมาเหมือนเช่นเคย

 

               “บ่ายว่างนี่ ออกไปกินปลาเผากันไหมมึง”

               “ร้านยังไม่เปิดไหมล่ะ เขาเปิดเย็นๆ โน่น กินไรกันดีวะ”

               “เค้กอยากลงไปดูชีทหน่อยอะ เผื่อมีวิชาไหนมีชีทใหม่ๆ ออกแล้วจะได้อ่านตุนไว้ก่อนเลย” ระหว่างที่ไอ้จัสกับมิชิกำลังเถียงกันเรื่องของกิน เค้กก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

 

               “วอร์มไปด้วย เทอมนี้ต้องพยายามดึงคะแนนขึ้นหน่อย โหมปีหน้ากลัวจบไม่สวย ฮ่าๆๆ พวกมึงอะ หยุดตีกันได้ละ” พูดจบผมก็โอบไหล่เค้กเดินลงบันไดมาด้วยกันทันที สักพักก็ได้ยินเตียงฝีเท้าวิ่งลงบันไดตามๆ กันมา ความจริงแล้วผมกับเค้กเป็นคนจังหวัดเดียวกันครับ แถมยังเข้ามาเรียนมัธยมปลายที่กรุงเทพเหมือนกันด้วย แต่ก็เพิ่งมารู้จักกันตอนเข้ามหาลัยเนี่ยแหละครับ

 

               “ตกลงวันนี้จะกินอะไรกันอะ ท้องกูร้องใหญ่ละเนี่ย”

               “ตอนบ่ายไปดูหนังกันป่ะ ถ้าดูก็เดี๋ยวออกไปกินที่ห้างเลย เรื่องที่เค้กอยากดูไง” พอเห็นไอ้จัสตั้งท่าทางปฏิเสธ ไอ้มิชิมันก็รีบลากเค้กมาอ้างทันที

               

               “พวกมึงไปกันเหอะ กูอยากกลับไปนอน เย็นๆ ถ้ากลับมาแล้วจะไปตีแบตหรือวิ่งก็เรียกกูด้วยละกัน”

               “ตกลงมึงจะไปกับพวกกูป่ะจัส”

               “ไป! กูไม่ปล่อยให้มึงไปกับเค้กสองคนหรอกคร้าบ ไอ้คุณชาย”

 

               “เออๆ เอารถกูไปนะ งั้นพวกกูแยกตรงนี้เลยนะ” มิชิคว้าเอกสารปึกใหญ่ในมือเค้กไปช่วยถือก่อนจะเดินนำออกไปพร้อมๆกับเค้ก แล้วไอ้จัสก็พุ่งตัวไปแทรกตรงกลางระหว่างสองคนนั้นทันทีแถมยังเอาแขนยาวๆ ของมัน พากบ่าทั้งคู่ด้วย เอาเข้าไป ยังมีหน้าหันกลับมาส่งยิ้มกวนตีนให้ผมอีก ถ้ามันยังไม่เลิกนิสัยแบบนี้นะ ผมว่ามันได้ตายคามือไอ้มิชิสักวันแน่ๆ

 

               ผมกลับมาถึงหอด้วยความเซ็ง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร เคยเป็นกันไหมครับ มันเบื่อไปหมดซะทุกอย่าง ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร อยากนอนเฉยๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทุกอย่างมันเนือยไปหมด แต่ยังไงตอนนี้เรื่องปากท้องก็ต้องมาก่อน เพราตอนนี้น้ำย่อยคงออกมากัดกร่อนกระเพราะผมจนจะขาดแล้วมั้ง แสบท้องไปหมดแล้วเนี่ย ด้วยความขี้เกียจผมเลยไม่ได้ขึ้นห้องเพื่อเอาเอกสารไปเก็บก่อน แต่เลือกที่จะตรงไปที่ฟู้ดคอร์ทเลย

 

               ขณะที่ผมกำลังจะเดินกลับจากร้านน้ำมานั่งที่โต๊ะก็เห็นว่ารุ่นน้องปี1 ทั้งสามคนกำลังเดินคุยกันอย่างออกรสเข้ามาสู่บริเวณฟู้ดคอร์ท ใช่แล้วครับ สามคนนั้นคือน้องไอตติม น้องไวท์และน้องจูเนียร์ แต่สิ่งที่สะดุดตาผมมากที่สุดก็คือคนที่มัดจุกใส่เสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงขาสั้นลายไอศกรีมสมกับชื่อเจ้าตัวนั่นแหละ ทั้งๆ ที่เพื่อนก็ยังใส่ชุดนักศึกษากันอยู่เต็มยศ น้องกลับแต่งตัวสบายๆ แบบนี้ แอบโดดเรียนแน่ๆ

 

               “อ้าว... พี่วอร์มสวัสดีครับ”

               “พี่วอร์มอยู่หอนี้หรอครับ” จูเนียร์เป็นคนเอ่ยทักผมขึ้นมาก่อน ตามมาด้วยคำถามของน้องไวท์ ส่วนน้องสายผมน่ะหรอ ไม่พูดอะไรสักคำเพียงแค่ยกมือขึ้นมาไหว้ทำความเคารพผมเท่านั้น

 

               “ใช่... เหมือนจะมีคนแถวนี้ลืมเอาปากมานะ”

               “อ่า...” ไอติมที่ยืนก้มหน้ามองพื้นอยู่รีบหันมามองผมทันที นี่ผมแค่แซ็วเล่นเฉยๆ ทำไมน้องถึงต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วยวะ เมื่อกี้ยังหัวเราะเสียงดังกับเพื่อนอยู่เลย พอมาเจอผมดันเงียบเฉย

 

               “ไอติมมันไม่ค่อยสบายอะครับ เมื่อเช้าบ่นปวดหัวนี่ก็เลยไม่ได้ไปเรียน”

               “ปวดหัวจนเสียงหายเลยเนอะ อืมๆ” คำบอกเล่าจากจูเนียร์ก็ทำให้ผมหายข้องใจทันที ถึงว่าล่ะ น้องไม่ได้ไปเรียนจริงๆ ยิ่งเห็นน้องทำตัวไม่ถูกผมก็เลยยิ่งอยากจะแกล้งมากขึ้นไปอีก คนที่โดนผมแซ็วตอนนี้กำลังยื่นหน้าหงิกพองแก้มด้วยความไม่พอใจที่ผมไม่เลยเหน็บเขาเสียที ท่าทางแบบนั้น คิดว่าน่ารักมากมั้ง

 

               อืม... แม่งโคตรน่ารักเลยว่ะ

 

               “งั้นพวกผมขอตัวไปหาอะไรกินก่อนนะครับ” น้องไวท์เอ่ยขึ้น ทั้งสามคนยกมือไหว้และเอ่ยลาผมก่อนจะรีบเดินไปอีกฝั่งนึงของฟู้ดคอร์ท มีเพื่อนเป็นองค์รักษ์หรือยังไงกัน ทำไมน้องถึงชอบทำเป็นไม่สนใจผมวะ ชอบทำเป็นเมินผมแบบนี้มันจะเกินไปหน่อยมั้ง ดีนะครับที่ความน่ารักของน้องวันนี้ทำให้ผมพอมองข้ามเรื่องนี้ไปได้บ้าง ไม่อย่างนั้นคงได้อารมณ์เสียอีกแน่ๆ ไม่มีใครชอบการถูกมองข้ามหรือว่าทำเหมือนไม่มีตัวตนหรอก จริงไหมครับ

 





**น้องไอติม**



               “โอ๊ย ทำไมต้องมาเจอพี่วอร์มด้วยเนี่ย แล้วดูสภาพไอดิจู ดูดิไวท์ ฮือ ขายหน้าชะมัดเลยอะ”

               “ไวท์ว่าก็น่ารักออก ไม่เห็นต้องอายเลย”

 

               “เออจริง พี่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ไออะคิดมาก” จูเนียร์เอ่ยสมทบไวท์ที่กำลังโยกจุกผมเล่นไปมาอย่างอารมณ์ ส่วนจูเนียร์ก์หันมายืดแก้มผมเล่นอีก เอาเข้าไปครับ แค่นี้ผมก็อายคนอื่นเขาจะแย่แล้ว ยังมาเล่นบ้าๆ อะไรกันเอีกเนี่ย

 

               วันนี้พวกเรามีเรียนวิชาพื้นฐานครับ ซึ่งถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วมันจะเป็นวิชาที่จะต้องเชคชื่อก็เถอะ แต่ผมกับไวท์ดันโชคดีเรียนเซคเดียวกัน ไวท์เลยแจ้งอาจารย์ให้แล้วว่าผมไม่สบาย นอกจานั้นยังจดเลคเชอร์มาให้ผมลอกอีก การมีไวท์เป็นเพื่อนนี่ยิ่งกว่าถูกหวยอีกครับ เพราะนอกจากจะตั้งใจเรียนแล้วลายมือยังสวยเหมือนสั่งพิมพ์อีก

 

               ส่วนผมที่ไม่สบายก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว คือเมื่อเช้าผมปวดหัวแล้วมึนๆ นิดหน่อยเลยตื่นมากินยาแล้วก็นอนต่อจนเพื่อนๆ พากันมาหาหลังเรียนเสร็จเนี่ยแหละครับ ผมก็เลยอยู่ในสภาพอย่างที่เห็น ก็อยู่แต่ในห้องนี่ครับ ใครๆ ก็แต่งตัวตามสบายทั้งนั้นแหละครับ จริงไหม แล้วอีกอย่างใครจะไปคิดว่าจะมาเจอพี่วอร์มที่นี่กัน ถึงจะแอบดีใจที่ได้รู้ว่าอยู่หอเดียวกันก็เถอะ แต่วันนี้ผมไม่พร้อมเจอพี่เขาจริงๆ

 

               “ใจลอยไปไหนแล้วไอติม ข้าวได้แล้วนั่น ป้าแกเรียกจนจะโมโหแล้วนะ”

               “โทษทีๆ มาแล้วครับป้า” ผมรีบพุ่งตัวไปที่ร้านข้าวที่สั่งไว้ทันที ส่วนจูเนียร์ก็อาสาเดินไปซื้อน้ำให้

 

               “อยู่หอเดียวกันแบบนี้ก็สืบไม่ยากแล้วดิ” จูเนียร์เปิดประเด็นทันทีที่กลับมาถึงโต๊ะ แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะโอเครึเปล่าที่จะพูดเรื่องนี้ตอนนี้ เพราะไวท์ก็อยู่ด้วย

 

               “สืบอะไรหรอ” ไวท์ถามขึ้นมาด้วยสีหน้างงๆ ผมได้แต่ถลึงตาใส่จูเนียร์ไปหนึ่งที ไม่ใช่ว่าจะปิดบังอะไรหรอกนะครับ แต่ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันมีเวลาของมัน เอาไว้ให้ถึงเวลานั้นก่อน เอาไว้ให้ผมมั่นใจและพร้อมจริงๆ เดี๋ยวผมจะเป็นคนบอกเอง

 

               “เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอก ใช่ไหมจู ฮ่าๆๆ”

               “อ่า... ใช่ๆ พูดไปเรื่อยเปื่อนอะ ไม่มีอะไรหรอก” ไวท์จ้องหน้าผมกับจูเนียร์สลับกันไปมาอยู่พักนึงแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มแล้วหันกลับไปสนใจเย็นตาโฟในชามต่อ

 

               พอพวกเราทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้วไวท์ก็ขอตัวกลับก่อน เพราะไวท์เป็นคนเดียวที่อยู่หอใน ส่วนผมกับจูเนียร์อยู่หอนอก ถึงจะไม่ได้เป็นรูมเมทกันแต่จูเนียร์ก็มาใช้เวลาอยู่ห้องผมบ่อยกว่าอยู่ห้องตัวเองอีกละมั้ง หลังจากที่แจกกับไวท์แล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะปรึกษาเรื่องที่เจ้าเพื่อนซี้เปิดประเด็นทิ้งไว้ได้เสียที

 

               “จูว่าพี่วอร์มอยู่ตึกเดียวกับไอเลยป่ะ”

               “ไม่รู้ดิ แต่หอนี้ก็มีแค่สองตึกไม่ใช่หรอ มันก็ต้องสักตึกนึงนั่นแหละ”

               “ก็ใช่... แต่ตึกนึงมีตั้งหลายชั้น แถมแต่ละชั้นก็มีหลายห้องอีก แล้วไอจะรู้ได้ยังอะ”

               “เดี๋ยวถามพี่มิชิกับพี่จัสให้เลยเอาไหม แต่ถามจริงๆ เถอะ รู้ไปแล้วจะทำอะไรอะ แค่อยากรู้เฉยๆ?”

               “ก็... ตอนนี้ยังคิดไม่ออก... ถ้าจูไปถามพวกพี่ๆ เขาต้องสงสัยแน่เลยอะ ไม่ได้ๆ”

               “แล้วจะเอายังไง”

 

               “ไม่รู้อะ...” ผมอยู่ปากแล้วพองแก้มใส่จูเนียร์ ก็ตอนนี้ผมยังคิดอะไรไม่ออกจริงๆ นีนา แค่รู้สึกว่าการที่ได้อยู่หอเดียวกันมันน่าจะทำให้ผมมีโอกาสที่จะได้เจอ ได้พูดคุยกับพี่เขาบ่อยขึ้นก็เท่านั้นเอง ที่ผ่านมาเจอพี่เขาทีไรผมก็ทำตัวไม่ถูก พูดอะไรไม่ออกทุกทีเลย

 

               “เอาอย่างนี้ไหม ระหว่างนี้ก็ ถ้าเกิดไออยากซื้อขนมหรืออะไรฝากให้พี่เขาก็ฝากพี่ยามใต้หอไว้ แล้วเราก็ค่อยๆ สืบกันเอาเองจะได้เนียนๆ ด้วยดีไหม” จูเนียร์เสนอความคิดเห็น จริงๆ ผมว่ามันก็ดีนะครับ เพราะถ้าอยู่ๆ ผมไปซื้ออะไรต่อมิอะไรให้พี่เขา พี่วอร์มอาจจะปฏิเสธที่จะรับหรือไม่พอใจก็เป็นได้ ผมเคยเห็นรุ่นพี่บางคน ยิ่งเป็นพี่ใหญ่เขายิ่งไม่โอเคกับอะไรแบบนี้ เพราะเหมือนเป็นการไปดูถูกเขาโดยให้เหตุผลว่าคนเป็นพี่ต่างหากที่ต้องเลี้ยง ต้องดูแลน้องซึ่งผมไม่เห็นด้วยสักนิด แค่มองว่ามันเป็นน้ำใจและความหวังดีเล็กๆ น้อยๆ จากรุ่นน้องก็ได้นี่นา

 

               “โอเค ตามนั้นละกัน ขึ้นห้องกันเถอะ ไม่อยากอยู่ข้างล่างในสภาพนี้นาน เดี๋ยวเจอคนรู้จักอีก”

               “งั้นจูกลับเลยละกัน ว่าจะกลับไปจัดของซะหน่อย ไว้เจอกันนะไอ คืนนี้อย่านอนดึกนะ เดี๋ยวปวดหัวอีก”

               “รู้แล้วน่า กลับดีๆ นะ”

 

               และระหว่างที่ผมยืนรอลิฟอยู่นั้น ดองทายดูสิครับว่าพอลิฟเปิดออกมาแล้วผมเจอใคร อย่างที่ทุกคนคิดนั่นแหละครับ พี่วอร์มเดินออกมาจากลิฟด้วยชุดเสื้อยืดและกางเกงบอล ดูเหมือนพี่เขากำลังจะออกไปออกกำลังกายแน่ๆ เลย อย่างน้อยๆ ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าพี่เขาอยู่ตึกเดียวกับผม

 

               “อ้าว! เจอกันอีกแล้วนะ”

               “ครับ...” ถึงในใจจะอยากชวนคุยและตอบกลับไปให้มากกว่านั้นก็เถอะ แต่ผมบอกแล้วไงว่าสภาพผมตอนนี้ไม่พร้อมพบเจอผู้คนสุดๆ แล้วก็เวรกรรมจริงๆ เลย ที่ผมต้องมาเจอพี่วอร์มถึงสองรอบแบบนี้อะ ฮือ

 

               “อ่อ ลืมไปน้องไม่มีเสียง ขอให้เสียงกลับมาปกติไวๆ ละกัน ไปละ” พี่วอร์มเอ่ยลาผมแล้วออกจากหอไป ทิ้งให้ผมต้องยืนรอลิฟใหม่ส่วนผมด้วยอาการจิตใจล่องลอย ถ้าไม่หยุดคุยกับพี่เขา ป่านนี้ผมนอนตีพุงสบายใจอยู่บนห้องแล้ว ยิ่งมองสภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกลิฟแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด เฮ้อ หมดกันภาพลักษณ์ผม ท่าทางพี่วอร์มจะเป็นคนขี้ฝังใจด้วยสิครับ ดูอย่างเรื่องที่ผมไม่สบายสิ พูดไม่เลิก ความจริงผมไม่ได้เสียงหายสักหน่อยแค่ไม่รู้จะพูดอะไรกับพี่เขาต่างหาก

 

               i – Chananan :: ฮือออออ จู~~~ ช่วยด้วย

               Jooniior :: เป็นอะไร

               i – Chananan :: เมื่อกี้เจอพี่วอร์มอีกแล้วอะ

               Jooniior :: แล้ว?

               i – Chananan :: ไอไม่อยากเจออะ ฮือ จูก็เห็นสภาพไอวันนี้ไม่ใช่หรอ

               Jooniior :: แล้วพี่วอร์มว่าไงอะ

               i – Chananan :: ก็ไม่ว่าไง แค่บอกให้เสียงกลับมาไวๆ ...

               Jooniior :: 555555555555555555555555555 ตลก

               i – Chananan :: *สติ้กเกอร์ลายแมวโมโห*

 

               ไม่เห็นจะขำตรงไหนเลย ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะจูเนียร์นั่นแหละไม่รู้จะไปบอกพี่วอร์มทำไม แล้ววันนี้ก็ไม่รู้จะบังเอิญเจอพี่เขาบ่อยอะไรนักหนา ได้แต่คิดแล้วก็นอนดีดดิ้นกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง วันนี้ผมทำอะไรผิดหรอครับ แค่โดดเรียนคาบเดียวเองนะ เบื้องบนต้องกลั่นแกล้งกันถึงขนาดนี้เลยหรอ ระหว่างที่ผมกำลังงอแงและตัดพ้อโชคชะตะอยู่นั้น เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น

 

               Q.pid เพิ่มคุณเป็นเพื่อน

 

               ยังไม่ทันที่ผมจะหายสงสัยว่าคนที่แอดมานั้นเป็นใคร ข้อความที่ถูกส่งมาก็เป็นคำตอบได้อย่างดี เขาคือเจ้าของคำใบ้ตัวสูง คิ้วเข้ม มีนามเป็นกามเทพนั่นเอง

 

               Q.pid :: ไอติม นี่พี่คิวเองนะ ขอโทษนะที่วันจับสายไม่ได้ไปอะ แล้วก็เพิ่งมาแอดไลน์วันนี้อะ

               i – Chananan :: สวัสดีครับพี่ ไม่เป็นไรเลยแล้วนี่พี่คิวหายดีแล้วหรอครับ

               Q.pid :: หายแล้วๆ พรุ่งนี้ว่างเปล่า พี่จะเอาชีทบางส่วนไปให้อะ

               i – Chananan :: ไอเรียนทั้งวันเลยพี่คิว พักเที่ยงได้ไหมครับ

               Q.pid :: ได้ๆ เดี๋ยวพี่เอาไปให้ที่ตึกคณะแล้วกันนะ

               i – Chananan :: ขอบคุณมากครับพี่ เจอกันพรุ่งนี้

               Q.pid :: *สติกเกอร์คิวปิดส่งวิ้ง*

 

               พี่คิวปิดนี่ก็ดูจะเป็นคนน่ารักดีเหมือนกันนะครับ ท่าทางจะตลกด้วยอะ ดูจากสติ้กเกอร์ที่พี่เขาส่งมาแล้วตลกชะมัด วิ้งได้แบบประหลาดมาก แลบลิ้นปลิ้นตาด้วยอะ ว่าแต่พรุ่งนี้ผมจะรู้ได้ยังไงว่าพี่เขาคือคนไหน รูปดิสในไลน์ก็ดันเป็นรูปวิวไปอีก คงต้องรอให้พี่คิวเข้ามาทักเอง หรือผมจะทักไปถามพี่วอร์มดีอะ แค่นึกถึงสภาพตัวเองตอนเจอที่พี่วอร์มก็ทำให้ผมรีบสะบัดความคิดนี้ออกไปทันที ช่างเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เองแหละ
               
               .
               
               
               .

               .

               To be Continue...

               

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-08-2018 13:35:33 โดย myj514 »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
:: Chapter 3 :: 'สังสรรค์'



**พี่วอร์ม**


               วันนี้ผมมีเรียนช่วงเช้า แล้วว่างยาวกว่าจะเรียนอีกตัวก็สี่โมงเย็นเลย แล้วดันเป็นวิชาที่เรียนชั่วโมงเดียว ใครมันจัดตารางแบบนี้วะครับ ยังดีที่เป็นวันศุกร์ จะสงสารก็แค่ได้จัสกับไอ้มิชิที่พอเลิกเรียนตอนห้าโมงปุ๊บก็ต้องรีบบึ่งรบกลับบ้าน แต่พวกมันก็ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นหรอกครับ กลับบ้างไม่กลับบ้างนอกเสียจากว่าสัปดาห์ไหนที่ที่บ้านตามตัวจริงๆ ก็ต้องกลับโดยไม่มีเงื่อนไข
 
               อย่างที่บอกว่าวันนี้ผมต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า เมื่อวานก็ไปวิ่งมาด้วยเลยนอนเร็วกว่าปกติ พอตื่นมาก็เจอข้อความยาวเหยียดที่ถูกส่งมาจากเจ้าไลน์ดิสรูปเจ้าแมวลายเสือนั่น ความจริงมันถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแหละ แต่ผมเพิ่งจะได้เปิดอ่านก็ตอนนี้
 
                : พี่วอร์มหลับรึยังครับ
                : ไม่อ่านแฮะ สงสัยหลับแล้วแน่เลยอะ ฝันดีนะครับ
                : แต่ขอผมบ่นหน่อยเถอะ ตื่นมาไม่ต้องตกใจนะครับ ข้ามๆมันไปก็ได้นะ
                : พี่เคยเจอวันที่แบบโคตรซวยไหม แบบไม่รู้จะอะไรนักหนา ซวยซ้ำซวยซ้อน บางทีโลกก็กลมไปจนน่ากลัว คนบางคนก็กวนประสาทแบบไม่มีขีดจำกัดอะ ย้ำคิดย้ำทำอยู่ได้ แล้วผมก็ดันซวยต้องเจอคนแบบนั้นวันละหลายๆ รอบอะพี่ หรือพี่ว่าคนนั้นเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรผมอะ ถ้าผมไปทำบุญมันหายไหม หรือเขาว่าทำบุญร่วมกันก็จะอยู่ด้วยกันอีกอะ....
 
               อะไรของมันวะ บ่นอะไรเยอะแยะ ถึงผมจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ก็เถอะ แต่เจ้าของไลน์นี่คงอัดอั้นกับไอ้บ้านั่นจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่บ่นขนาดนี้อะ ถึงจะงงๆ แต่ก็ตลกดีแต่ไอ้คนกวนประสาทแบบไม่มีขีดจำกัดนี่มันจะมีใครให้มากกว่าไอ้จัสอีกหรอวะครับ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย แถมผมยังเจอมันแทบจะตลอดทั้งวันด้วย ไม่ใช่แค่วันละหลายๆ รอบ หรือมันเป็นเจ้ากรรมนายเวรผมที่มาให้รูปแบบเพื่อนวะ ขณะที่ผมกำลังนึกตามคำบอกเล่าของเจ้าของไลน์อยู่นั้น ข้อความใหม่ก็เด้งขึ้นมา กลายเป็นว่าผมเปิดอ่านข้อความของเขาทันที
 
                : อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ก็สู้ๆ นะครับพี่วอร์ม
                : วันนี้อ่านซะเร็วเชียว
 
               ก็ผมเปิดหน้าแชทค้างไว้อยู่ไหมล่ะ อ่านเร็วอะไร ผมกดล็อคหน้าจอแล้วลงลิฟเพื่อไปที่ลานจอดรถ พอลงมาถึงชั้นล่างก็อดนึกถึงเจ้าเด็กหัวจุกเมื่อวานไม่ได้ เวลาน้องอยู่ที่มหาลัยกับตอนอยู่หอนี่อย่างกับคนละคนเลย เท่าที่ผมเจอไอติมมาไม่กี่วันตอนเปิดเทอมผมก็รู้สึกว่าน้องมีความคล้ายไอ้มิชิอยู่เหมือนกัน คือเป็นคนแต่งตัวดีและค่อนข้างเนี๊ยบ ถึงส่วนมากเด็กปี1 จะแต่งชุดนักศึกษาเป็นหลักก็ตามแต่ผมก็เคยเห็นน้องแต่งชุดไปรเวทบ้าง ซึ่งแน่นอนว่ามันคนละเรื่องกับที่ผมเจอไอติมที่หอเมื่อวานนี้
 
               พอจบวิชาแรกไอ้มิชิก็ชวนพวกผมไปหาอะไรกินและเดินเลยที่ห้าง แต่ไอ้จัสบอกว่าเมื่อคืนมันเล่นเกมส์เพลินไปหน่อย สรุปคือมันยังไม่ได้นอนเลยจะกลับหอไปนอน ส่วนผมก็ขี้เกียจไปอะครับ ก็จริงที่ว่าตอนนี้มันเพิ่ง 10 โมง กว่าจะเรียนอีกทีก็มีเวลาตั้งหลายชั่วโมง แต่ห้างนี้พวกผมก็เดินกันมาตั้ง 3 ปีแล้วอะ จะไปทำไมบ่อยๆ วะครับ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ผมเลยตัดสินใจซื้อแซนวิชกับน้ำขวดนึงรองท้องแล้วไปหามุมเงียบๆ งีบที่คอมมอนคณะแทน ผมเพิ่งจะพักสายตาไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนเปิดประจูเข้ามาพร้อมกับเสียงพูดคุยกัน คงเพราะใกล้จะถึงเวลาพักเที่ยงแล้วคนก็เลยเยอะขึ้น เมื่อผมหันไปมองก็พบกับน้องโต๊ะปี2 ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่สามสี่คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือน้องสายผมเอง
 
               “อ้าว! พี่วอร์ม หวัดดีครับ มางีบหรอพี่”
               “เออ ตื่นเพราะพวกมึงคุยกันเนี่ยแหละ”
 
               “ขอโทษครับ...” ผมเห็นไอ้คิวหน้าเจื่อนแล้วก็อดขำไม่ได้ คิวปิดมันเป็นเด็กตัวสูง ดูโต แต่จริงๆ แล้วซื่อฉิบชาย ซื่อแบบตามคนไม่ค่อยทันอะครับ จริงใจใสซื่อ สุภาพเรียบร้อย แสนดี เพราะน้องมันเป็นคนแบบนี้ผมถึงไม่ค่อยสนิทกับน้องมันเท่าไหร่ ค่อนข้างจะเกรงใจน้องมันด้วยซ้ำ อยู่กับไอ้คิวทีไรผมรู้สึกตัวเองโคตรหบายคาย โครตสถุลเลยอะ


               “ล้อเล่นเว๊ย คิดมากไปได้ แล้วนี่มาทำไรกันอะ”
               “พวกผมนัดเอาชีทมาให้น้องปี1 อะครับ แต่น้องเลิกกันเที่ยงอะ”
               “อ่อ... แล้วนี่โอเคแล้วใช่เปล่าวะ”
               “โอเคแล้วครับพี่ ขอบคุณพี่วอร์มมากเลยที่ไปจับสายแทนผมอะ”
 
               “ไม่เห็นต้องขอบคุณ น้องมึงก็น้องกูเหมือนกันป่ะวะ” ผมตบบ่าน้องเบาๆ ก่อนจะกลับมานั่งแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกครั้ง เวลาผ่านสักพักผมก็ได้ยินเสียงใสที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อวันก่อน คงหายป่วยแล้วสินะ ความจริงผมก็รู้แหละ ว่าอาการปวดหัวของน้องมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเสียงของน้องหรอกครับ แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันเวลาอยู่ต่อหน้าผม จากคนชั่งเจรจราน้องถึงกลายเป็นคนพูดน้อยไปซะอย่างนั้นไม่ค่อย
 
               “ไอติมมาแล้วหรอ”
               “พี่คิว? ไอกำลังคิดอยู่เลยว่าไอจะหาพี่เจอได้ยังไง อุตส่าห์ไปส่องดิสก็ดันเป็นรูปวิวซะอีก”
               “ฮ่าๆๆ อย่าลืมสิ ว่าพี่ปี2 มีรูปน้องปี1 อยู่นะ อะนี่ชีทของเทอมแรก แต่มันยังขาดอีก 2-3 วิชานะ ขอเวลาพี่จัดก่อน”
               “ได้เลยคร้าบ ไม่มีปัญหา ขอบคุณมากนะครับ” ผมยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ แต่บทสนทนาทั้งหมดผมก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน เมื่ไอติมเริ่มเอ่ยขอบคุณและร่ำลาพวกปี2 เลยก็เลยลุกขึ้นยืนแล้วมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่น้องกำลังเดินผ่านโต๊ะที่ผมนั่งอยู่พอดี
 
               “พี่วอร์ม....”
               “อือ เจอกันสักทีนะ จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกันอีก”
               “ง่า...” ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้น ไอติมถึงกับหน้าจ๋อยไปเลย
 
               การที่ผมต้องไปจับน้องสายแทนไอ้คิวมันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอกครับ แถมการที่ผมจะได้สนิทกับน้องสายมันก็ดีเสียอีก แต่เจอไอติมที่ไรมันก็นึกอยากจะแกล้งน้องขึ้นมาทุกที เวลาเจ้าเด็กนี่ทำหน้าเด๋อด๋า หรือหน้าหงอยมันยิ่งน่าเอ็นดู

               “ไม่ไปกินข้าวหรอไง จะยืนทำหน้าเศร้าหูตกอีกนานไหม”
               “พี่วอร์ม! ผมไม่ใช่หมานะ!”
               “ก็ยังไม่ได้บอกว่าเป็นหมาเลย...”
               “ผมไม่มีเวลามาทะเลาะกับพี่หรอกนะ ไปละครับ” น้องไอติมกับสองเพื่อนซี้ที่ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลาอย่างจูเนียร์กับไวท์ก็ยกมือไหว้ผมก่อนจะพากันเดินหอบชีทออกจากคอมมอนไป
 
               ไอติมน่ะไม่เหมือนหมาหรอกครับ น้องเหมือนแมวต่างหาก ใครโดนอ้อนเข้าไปถ้าไม่ใจแข็งพอนะ ผมว่าร้อยทั้งร้อยก็คงต้องยอมทั้งนั้นแหละ แล้วดูเมื่อกี้สิ ขู่ฟ่อๆ เลย ถ้าขืนแกล้งนานกว่านี้ผมคงจะโดนแมวตะปบเอาแน่ๆ
 
               ผมนั่งฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อยสักพักไอจัสก็มาหา ผมกับมันเลยเลือกที่จะย้ายไปนั่งโต๊ะที่ใหญ่ขึ้น เพราะไอ้มิชิเองก็บอกว่ากำลังวนหาที่จอดรถอยู่ เพียงไม่นานคุณชายผมทองก็มาถึงคอมมอน แต่แปลกตรงที่ว่ามันดันมาคนเดียวนี่สิ
 
               “อ้าว... แล้วเค้กไปไหนวะ”
               “โดนตามตัวไปตึกกิจกรรมอะ คาบนี้คงไม่ได้เข้าแล้วว่ะ” ผมไม่ได้เอ่ยอะไรเพราะไอ้จัสก็ถามแทนผมเรียบร้อยแล้ว ส่วนคำตอบของมิชิก็ทำให้ผมหายข้องใจแล้ว ยังไม่ทันที่จะได้เปลี่ยนเรื่องคุย พวกเราก็ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

               BLสระอู :: คืนนี้กูว่าง พวกมึงพาปี 1 มาแนะนำดิ๊
 
               พวกผมมองหน้ากันทันที่เห็นแจ้งเตือนปรากฏบนหน้าจอ ข้อความที่เด่นหราอยู่นั้นถูกส่งมาจากพี่ปี 4 นามว่าพี่บีแอลสระอู หรือเฮียบลู พี่สายของไอ้จัสกับมิชิ คือพวกมันสองคนเป็นสายโคกัน ไม่ใช่สายวัวนะครับ หมายถึงว่ามีพี่สายคนเดียวกันเพราะปีผมน้องดันเยอะกว่าพี่ก็เลยทำให้ไอ้พี่บีแอลสระอูมมันต้องเทคน้อง 2 คน แล้วเมื่อผมโดนพี่สายเทไปซิ่ว ผมก็เลยกลายเป็นโคไปกับพวกมันด้วย นั่นคือสาเหตุที่ว่าพวกเราทั้งหมดก็สนิทกับเฮียบลู
 
               J.U.S.T. :: แล้วปี 2 อะเฮีย
               BLสระอู :: กูรู้จักแล้วไหมล่ะ ไอ้จัส
               It’s Michi :: ผมกำลังจะบอกว่าน้องแพรวกลับบ้าน
               BLสระอู :: ปี 1 มันอยู่กันครบป่ะล่ะ ไอ้วอร์ม มึงพาน้องมึงมาด้วยนะ
               นายไออุ่น :: ผมไม่ใช่สายเฮีย ผมเกี่ยวไรด้วยอะ
               BLสระอู :: เอ๊ะ ไอ้นี่! ก็ไม่ใช่กูหรือไงครับ ที่เทคมึงมาพร้อมๆ กับไอ้จัสไอ้มิชิเนี่ย พูดจาวอนตีนนะมึง
 
               มิชิกับไอ้จัสระเบิดหัวเราะออกมา แน่ล่ะครับ ถ้าอยู่ต่อหน้าผมไม่กล้ากวนประสาทเฮียบลูขนาดนี้หรอก มีหวังได้โดนถีบจริงๆ แน่ แต่ผมก็ขี้เกียจไปเหมือนกันนะ คือผมไม่ใช่สายแอลไง ปกติส่วนมากเน้นเป็นหน่วยเก็บศพ มิชิก็ดูไม่ค่อยจะอยากไปเท่าไหร่ เห็นจะมีก็แต่ไอ้จัสละมั้งที่กระดี๊กระด๊าอยากไป
 
               BLสระอู :: ตกลงพวกมึงจะไปไม่ไป?
 
               ผมเห็นมิชิก้มหน้าพิมพ์อะไรบางอย่าง แต่ไม่ใช่ข้อความในแชทของเฮียบลูแน่ๆ เพราะ ยังไม่มีใครพิมตอบอะไรกลับไปเลย
 
               “นานๆ เฮียจะเลี้ยงนะเว้ย พวกมึงห้ามชิ่ง”
               “แต่กูต้องไปหาเค้ก....”
               “พวกมึงสองคนนี่ชักจะยังไงๆ นะ มึงคิดเหมือนกูไหมบีสอง”
               “กูก็ว่างั้นแหละ บีหนึ่ง มิชิมึงห้ามชิ่ง มึงเป็นสายตรงเฮียมันนะ ก็ชวนเค้กไปด้วยดิวะ จะยากอะไร”
 
               BLสระอู :: หายเงียบอีก ไอ้เด็กพวกนี้ ผู้ใหญ่ถามก็ตอบดิวะ เดี๋ยวสอยเรียงตัวเลยนี่
               นายไออุ่น :: กลัวแล้วคร้าบบบบบ ไปก็ไป ผมชอบของฟรีอยู่แล้ว
               It’s Michi :: ผมพาเค้กไปด้วยได้ป่ะครับ
               BLสระอู :: น้องเค้กกกก ได้ดิวะ พามาเลย กูก็คิดถึงน้องเค้กเหมือนกัน
               J.U.S.T. :: ทำไมผมสัมผัสได้ถึงเสียงสอง ผ่านตัวหนังสือวะเฮีย
               BLสระอู :: ไม่ต้องพูดมากละมึง เจอกันตึกคณะ
                .
               .
               .
               ตอนแรกที่พวกผมโทรไปชวนน้องๆ ปี1 ทุกคนก็ดูตื่นเต้นดีใจ ก็ดูอายุแต่ละคนสิครับเพิ่งจะถึงเกณฑ์ได้ไม่นานเอง โดยเฉพาะไอติมนี่เฉียดฉิวมาก ถึงจะอย่างนั้น ทุกคนก็รับปากขันแข็งตอนที่พวกผมถามว่าเคยดื่มกันรึเปล่า ดื่มได้แน่นะ แต่เอาจริงๆ พวกน้องจะตอบว่าอะไร หรือต่อให้คอแข็งแค่ไหน พวกผมที่เป็นรุ่นพี่ก็มีหน้าที่ต้องคอยดูและรับผิดชอบน้องๆ แต่ละคนอยู่ดี และเมื่อเวลาผ่านไปได้แค่ชั่วโมงกว่าๆ สถานการ์มันก็เริ่มเลวร้าย(?)
 
               “ฮ่าๆๆ มึงดูไอ้จู เมาเรื้อนฉิบชาย ไปเต้นบ้าอะไรกับกำแพงวะ”
               “เวรแล้ว กูไปห้องน้ำแป๊บเดียว ทำไมมึงไม่ดูน้องวะจัส”
 
               มิชิตรงปรี่เข้าไปพยุงน้องจูเนียร์ พร้อมกับเอ่ยขอโทษโต๊ะข้างๆ แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กจะแรงเยอะใช้ได้ แถมไม่ยอมให้มิชิมันพากลับมาที่โต๊ะง่ายๆ ด้วย น้องยังคงพยายามดิ้นและขืนตัวจะกลับไปเต้นกับกำแพงให้ได้ เห็นแล้วเหนื่อยแทน ไอ้จัสก็นั่งดื่มอย่างเดียวเลย ใจคอไม่คิดจะช่วยเพื่อนกับน้องตัวเองบ้างเลยหรือยังไงวะ ตัดภาพมาที่น้องอีกสองคนที่เหลือ ฟุบโต๊ะหลับไปหนึ่ง ส่วนอีกคนก็ยังรับแก้วที่ไอ้พี่บลูชงแล้วส่งให้อย่างต่อเนื่องทั้งๆ ที่ตัวโอนเอนจนจะนั่งไม่อยู่อยู่แล้ว
 
               “ไอติมพอได้แล้ว... ไอ้พี่บลู นี่ก็ชงส่งให้น้องจังเลย”
               “ไอติมเป็นเด็กดี น่ารัก ว่าานอนสอนง่าย กูชอบบบ”
 
               ไอ้พี่บลูมันไม่ได้พูดเฉยๆ เพราะมือใหญ่ถูกส่งมาลูบหัวคนเป็นน้องเบาๆ แล้วมันก็ไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เพราะพี่มันเลื่อนมือมาหยิกแก้มน้องเล่นอีกต่างหาก แถมน้องก็ยังส่งยิ้มหวานกลับไปให้อีก เออ เอาเข้าไป เมาแล้วปล่อยเนื้อปล่อยตัวจริงๆ ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมหงุดหงิดแปลกๆ คงเป็นเพราะผมรู้นิสัยไอ้พี่บลูดีละมั้ง

               “พอเลยพี่ เห็นน้องเมาหน่อยไม่ได้เลยนะ ไม่ต้องส่งให้น้องแล้ว”
               “ไรวะ ทำตัวเป็นหมาหวงก้างไปได้ เหล้าก็ยังเหลืออีกตั้งเยอะ ช่วยๆ กันดื่มดิวะ มึงไม่อยากให้น้องดื่มมึงก็ดื่มแทนดิ”
               “ฉิบชาย... น้องจูจะอ้วก”
 
               “เค้กฝากดูไวท์ด้วยนะวอร์ม” คนผมแดงหันมาบอกผมก่อนจะรีบเดินไปช่วยมิชิพากันลากน้องจูเนียร์ออกไปข้างนอกร้าน เห็นสภาพแล้วก็อนาถ ไม่ได้ต่างอะไรจากพวกผมตอนปี 1 เท่าไหร่เลย ผมเองนี่แหละที่เมาอย่างกับหมา ยังดีที่มิชิกับไอ้จัสมันคอแข็ง เลยรอดมาได้ ไม่งั้นคงเละเทะ หลังจากนั้นผมก็ดื่มแค่พอเป็นพิธี บางครั้งก็นั่งดื่มน้ำแต่อัดลมด้วยซ้ำ เพราะต้องคอยเป็นคนเก็บศพขับรถพาคุณเพื่อนทั้งหลายกลับไปส่งที่หอ
 
               “ร้อน...”
               “ไอติมไม่ต้องดื่มแล้ว เมาแล้วเนี่ย”
               “อื้อ... ไอเมาแล้ว... ไอร้อนง่า”
               “น้องไอติมแม่ง เมาแล้วอ่อยฉิบชาย”
               “มึงหุบปากไปเลยไอ้จัส”
               “เออ ไอ้จัสมึงเงียบๆ แล้วมาช่วยกูแดกนี่”
 
               เฮียบลูล็อคคอเพื่อนตัวสูงของผมไว้ก่อนจะยกแก้วเหล้าที่แทบจะเป็นเหล้าเพียวๆ กรอกปากไอ้จัส มันโวยวายอยู่สักพัก แต่ก็ยอมดื่มต่อไปเงียบๆ ผมว่าสองคนนั้นก็เริ่มตึงๆ แล้วเหมือนกันแหละ เล่นเทเหล้าเอาแบบนั้น มิกเซอร์แทบไม่ได้แตะ จะคอแข็งแค่ไหนจัดเพียวๆ ไปแบบนั้นก็ต้องมีมึนๆ กันบ้างแหละ
 
               “น้องจูไม่ไหวแล้วอะพี่บลู เค้กกับมิชิขอพาน้องกลับก่อนนะครับ”
               “เออๆ กลับกันดีๆ นะเว้ย”
               “ไวท์... ไวท์ลุกไหวไหม”
               “อ้าว... เค้กจะพาน้องไวท์กลับด้วยอ่อ?”
 
               “ใช่สิ ก็ไวท์เป็นน้องเค้กนะ จะให้เค้กทิ้งน้องไว้ที่นี่หรอไง” คำพูดของเค้กทำเอาไอ้จัสมันอึ้งไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร มิชิกับเค้กหันไปร่ำลาเฮียบลูก่อนจะพาน้องทั้งสองคนออกไปจากร้าน
 
               ส่วนผมก็ได้แต่ถอนหายใจนั่งมองเจ้าของหัวเล็กที่นั่งปรือตาซบไหล่ผมอยู่ตอนนี้ ไม่รู้ว่าน้องมันปลดกระดุม 2 เม็ดบนออกไปตอนไหน แถมตอนนี้นอกจากเสียงหวานที่จะบ่นร้อนแล้ว มือเรียวก็ยังพยายามแบะคอเสื้อออกอีก เพราะไม่ได้ติดกระดุมเสื้อ ภาพตรงหน้ามันก็เลยเหมือนน้องพยายามจะเปิดโชว์ผิวขาวๆ กับกระดูกไหปลาร้าของตัวเองให้ชาวบ้านดู
 
               “เซ็กซี่สัด น่าจับกดโคตรๆ เลยว่ะ”
               “นั่นปากมึงหรอวะ ไอ้จัส! กูจะพาน้องกลับแล้วมึงจะกลับพร้อมกูไหม”
               “ไรวะ พวกมึงจะทิ้งกูหรอ”
               “น้องเมามากแล้วจริงๆ อะเฮีย ผมขอโทษ”
               “มึงกลับเหอะ เดี๋ยวกูอยู่ต่อกับเฮียเอง”
               “เอางั้นก็ได้ มึงขับรถกลับดีๆ ล่ะวอร์ม ส่วนไอ้จัส มึงมานี่ ชน!”
               .
               .
               .
**น้องไอติม**

               พอได้ออกมาข้างนอก เจอที่โล่งกว้าง ได้สูดอากาศเข้าปอดค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เสียงดนตรีที่ดังกึกก้องตอนอยู่ข้างในมันทำให้ผมปวดหัวนิดหน่อยเหมือนมันจะปวดตึบๆ ตามจังหวะบีทดนตรีเลยครับ แต่ตอนนี้มันเงียบสงบมากเลย อาการปวดหัวก็เหมือนจะหายไปด้วย
 
               “เฮ้ย! ไหวไหมเนี่ย”
 
               พี่วอร์มเอ่ยถามกับผมหลังจากที่เราแยกกับรุ่นพี่และเพื่อนคนอื่นๆ ออกมาแล้ว ถ้าบอกว่าไหวก็คงจะโกหกเก่งเกินไป เพราะสภาพผมตอนนี้แทบจะเดินหน้าทิ่มอยู่แล้ว ยังดีที่ผมเกาะแขนพี่วอร์มเอาไว้อยู่ ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปนอนกลิ้งเป็นหมาข้างถนนแน่ๆ
 
               “อะ... อืมมมม ก็ยังหวายอยู่ครับ อึ้ก!”
 
               ผมพยายามตั้งใจตอบคำถามพี่วอร์มกลับไป แต่ดันสะอึกออกมาด้วยซะงั้น โคตรน่าอายเลยอะ ผมแอบเห็นพี่เขาขำด้วยแหละ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าโลกมันหมุนไปหมด ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดื่มไปทั้งหมดกี่แก้ว รู้แค่ว่าพี่บลูชงเหล้าแล้วยัดใส่มือผมทุกแก้วเลย บางแก้วยังไม่ทันจะหมดพี่บลูก็หยิบไปผสมให้ใหม่แล้ว แง ไม่น่าเกรงใจพี่บลูเลยอะ แต่พี่เขาดูน่ากลัวผมจะกล้าปฏิเสธได้ยังไง ถ้าไม่ดื่มก็กลัวพี่เขาจะโกรธเอา
 
               “อึ้ก! อุ้บ!” ผมยกมือขึ้นปิดปากเพราะรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมันขึ้นมาจุกที่ลำคอ ฮือ ข้าวกระเพราะไก่กรอบเมื่อตอนเย็นมันกำลังจะออกมาแล้ว
 
               “เอ้า! เอาเข้าไป ไหวป่ะเนี่ย”
               “ผม... รู้สึกอยากจะอ้วกง่ะ...”
               “นั่นไง งั้นไปหาอะไรร้อนๆ กินก่อนไหม เดี๋ยวแม่งอ้วกแตกบนรถอีก” ผมไม่สามารถตอบคำถามพี่วอร์มเป็นคำพูดได้เลย ผมได้แต่พยักหน้ารับไป
 
               “เดี๋ยวพาไปกินเตี๋ยวน่องไก่มะระตุ๋นหลังมอแล้วกัน”
 
               พี่วอร์มพูดจบก็ดึงมือผมไปจับแล้วพาเดินออกไป ถึงแม้ว่าผมจะมึนแค่ไหนแต่ผมก็ยังมีสติมากพอที่จะรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนะครับ ต้องขอบคุณอาการมึนแอลกอฮอล์ของผมตอนนี้มากๆ ไม่อย่างนั้นพี่วอร์มต้องจับได้ว่าผมแอบเขินพี่เขาอยู่แน่ๆ ผมรู้สึกว่าที่หน้าผมมันร้อนมากก็ตอนที่พี่เขาดึงมือไปจับแล้วพาจูงมาที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนี่ยแหละ ฮือ เขินเป็นบ้าเลย
                .
               .
               .
**พี่วอร์ม**

               คนตรงหน้าไม่พูดไม่จาเอาแต่ก้มหน้าจดจ่ออยู่กับชามก๋วยเตี๋ยว ก่อนจะควานหาและตักชิ้นมะระมาวางแหมะใส่ลงในชามของผม พร้อมกับยู่ปากน้อยๆ ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้วะ ก็น้องมันน่ารักจริงๆ จะให้ผมชมว่าอะไรได้ล่ะครับ แต่ผมก็ยังไม่ลืมคำสอนของเฮียบลูหรอกนะ คำสอนที่ว่า อย่ากินกันเองในโต๊ะ เพราะไม่อย่างนั้น โต๊ะมันจะแตก! แต่เฮียมันจะรู้บ้างไหม ว่าน้องสายคุณชายผู้แสนดีของมันแอบมีซัมติงกับเดือนโต๊ะ ถึงมิชิมันจะยังไม่ได้พูดอะไร แต่ผมว่าผมก็ดูไม่ผิดหรอก
 
               “ตักมาให้ทำไม...”
               “ก็... ผมไม่ชอบมะระอะ มันขม...”
               “พลาดแล้ว นี่อะของดีจะตาย ร้านนี้ทำอร่อยไม่ขม หวานจะตาย ลองชิมดูดิ”
               “ไม่เอาอะ พี่กินเถอะครับ”
               “แหม ที่เหล้าขมจะตายแดกเอาๆ ไม่มีบ่นเลยนะ”
 
               น้องไม่ได้เถียงอะไรผมได้แต่เม้มปากแน่นมองผมอยู่สักพัก แต่พอโดนผมจ้องกลับไปก็หลบสายตาแล้วก้มหน้าชิมน้ำซุปแทน เอาจริงๆ ตอนนี้ผมก็ทำตัวไม่ค่อยถูกหรอกนะ จะพูดเพราะๆ ดีๆ กับน้อง คำพูดไอ้พวกปี 2 ก็ลอยมา แต่จะให้พูดหยาบกับน้องเหมือนที่พูดกับเพื่อนมันก็รู้สึกแปลกๆ ผมลอบมองคนตรงหน้าเป็นระยะพร้อมๆ กับจัดการก๋วยเตี๋ยวในชามตัวเอง
 
               หลังจากที่น้องตั้งใจกินก๋วยเตี๋ยวมากโดยไม่สนใจผม อยู่ๆ น้องก็เงยหน้าขึ้นมานั่งเท้าคางพร้อมกับเอามือสองข้างยืดและคลึงแก้มตัวเองเล่น ทำเพื่ออะไรวะครับ ทำไมไอติมถึงเป็นคนที่น่ารักเรี่ยราดขนาดนี้วะ ใช้คำว่าน่ารักเปลืองฉิบชาย ผมเห็นแล้วก็จะลองฟัดแก้มนุ่มๆ นั่นบ้างเหมือนกันนะ
 
               “อิ่มแล้วใช่ไหม จะได้กลับสักที ง่วง...”
               “อ่า... กลับเลยก็ได้ครับ”
 
               ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะขึ้นไปส่งน้องถึงห้องแต่ไอติมกลับยืนยันว่าไม่เป็นไรและปฏิเสธความหวังดีของผม ผมก็เลยแวะจอดส่งให้น้องลงตรงหน้าหอเพื่อขึ้นลิฟไปเองส่วนผมก็วนรถไปจอดก่อนจะขึ้นห้องตัวเองมา ง่วงฉิบชายเลยครับตอนนี้ เพราะเมื่อบ่ายที่ตั้งใจว่าจะงีบก็ดันไม่ได้งีบ แถมตอนเย็นว่าจะรีบกลับหอไปพักหลังเลิกเรียนก็ดันโดนไอ้พี่บลูลากไปก๊งอีกเนี่ย แผนรวนไปหมดเลย ไม่ได้ไปก๊งเปล่าๆ แต่ดันมีหน้าที่ต้องดูแลรับผิดชอบชีวิตคนอื่นอีก เหนื่อยชะมัด ถึงแม้ว่าวันนี้ถึงอะไรๆ จะดูผิดแผนไปหน่อย แต่ผมก็ถือว่าเป็นวันที่ดีอีกวันนึงเลยแหละ
.

.

.

To be Continue...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2018 15:40:55 โดย myj514 »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
จะไปฟัดเขา เป็นอะไรกับเขาหรอตัวเธอ 55

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
             
:: Chapter 4 :: 'ละลาย'

**พี่วอร์ม**


               สุดสัปดาห์นี้เด็กกรุงเทพฯอย่างไอ้จัสกับมิชิไม่ได้กลับบ้านพวกผมเลยมากินมื้อเย็นด้วยกันที่ตลาดโต้รุ่ง นานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันแล้วมาทานอาหารที่นี่ ถ้าผมจำไม่ผิด ครั้งสุดถ้าก็น่าจะตอนปี 2 ที่ประชุมเรื่องกิจกรรมรับน้องละมั้ง แถมตอนนั้นนั่งกินอยู่ดีๆ หมาแถวนั้นดันกัดกันเฉย ผมนี่โดดขึ้นไปยืนบนม้าหินอย่างไว น่ากลัวฉิบชาย ก็มันเล่นขู่ฟ่อๆ น้ำลายงี้ฟูมปากอย่างกับหมาบ้า เกิดซวยโดนกัดไปด้วยนี่ไม่คุ้มนะครับ
 
               “คุณเพื่อนครับ จะแดกไรกัน กระผมอยากกินกระเพราหมูกรอบ”
               “งั้นไปกินโรงกลางก็ได้ไหมมึง”
               “ไอ้จัสครับ มาโต้รุ่ง ต้องกินหอยทอด ผัดไทดิวะ”
               “กินๆๆ เค้กกำลังอยากกินหอยทอดอยู่พอดี”
 
               มิชิยกยิ้มทันทีที่ได้หน่วยสนับสนุนอย่างเค้ก เพราะใครๆ ก็เกรงใจเค้กทั้งนั้นแหละครับ ยิ่งไอ้จัสนี่ไม่ต้องพูดถึง มันไม่เคยขัดใจเค้กสักครั้งเลย
 
               “ไรวะ กินก็กิน มีใครสนใจเกี๊ยวกรอบและลูกชิ้นทอดบ้าง”
               “เค้กๆ ขอลูกชิ้นเอ็นด้วยนะจัส”
               “ขอปลาเส้นชีสให้กูด้วย”
 
               เพื่อนตัวสูงพนักหน้าเป็นการตอบตกลงหลังจากที่ผมบอกสิ่งที่อยากกินออกไป ก่อนที่มันจะปลีกตัวออกไปซื้อของทอด มิชิเองก็ไปยืนอยู่หน้าร้านผัดไทยเรียบร้อยแล้ว ไปตั้งแต่ตอนไหนทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย
 
               “วอร์มนั่งก็ได้ เดี๋ยวเค้กไปซื้อน้ำให้” ระหว่างที่ผมยืนเกาหัวอย่างงงๆ อยู่นั้น เค้กก็พูดขึ้นมา
               “มะ... ไม่ต้องหรอก เค้กนั่งเถอะ เดี๋ยววอร์มจัดการเอง”
 
               ผมบอกกับอีกคนก่อนจะเดินไปที่ร้านน้ำ ที่นี่มีเอกลักษณ์อยู่อย่างหนึ่งคือ ทางร้านจะขายน้ำแข็งเป็นถัง ใส่ไว้ในถังพลาสติกหลากหลายสี ส่วนน้ำก็ให้ลูกค้าเลือก เนื่องจากทั้งหมดเป็นขวดแก้ว ทางร้านจึงจะเทน้ำใส่ในถังน้ำแข็งเพื่อเก็บขวดแก้วเอาไว้ ผมยังจำได้เลย สมัยปี 1 พวกผมตีกันแทบตายเพราะดันเรื่องเยอะ ผมอยากกินน้ำเขียวแต่ไอ้จัสเสือกกินน้ำเขียวแล้วจะอ้วก คุณชายมิชิก็ดันไม่กินน้ำอัดลมจะกินแต่ชาลิปตัน สุดท้ายทุกคนก็ต้องยอมจำนนเมื่อเค้กเอ่ยปากว่าอยากกินโค้ก
 
               ผมเดินกลับไปที่โต๊ะพร้อมกับถังโค้กในมือ เดินมาถึงก็พบว่ามิชิกำลังนั่งคุยกับเค้กอยู่พร้อมกับผัดไทยและหอยทอดอย่างละหนึ่งจานใหญ่ ไม่ต้องงงครับ ว่าแค่นี้พวกเราจะกินอิ่มไหม เพราะจานใหญ่ของร้านนี้คือใหญ่มากจริงๆ ครับ จานนึงกินได้ประมาณสามคน พวกผมสี่คนสั่งสองอย่างก็กินอิ่มกำลังพอดี จริงๆ มันก็มีคนที่กินเยอะกว่าชาวบ้านเขานั่นแหละครับ และคนนั้นก็คือไอ้จัสหน่วยเก็บกวาดไงจะใครล่ะ
 
               “ยุงที่นี่แม่งยังดุเหมือนเดิม กัดเจ็บฉิบชาย”
               “ใครใช้ให้มึงใส่ขาสั้นมาล่ะ”
               “ขายาวก็ไม่รอดอะมิชิ เค้กก็โดน เนี่ยกัดทะลุยีนส์เลย”
 
               เป็นยังไงล่ะ คุณชายมิชิ หน้าหงายเลยครับ ผมได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ เพราะเดี๋ยวถ้าซ้ำมันไปมันก็จะต้องไปอ้อนเค้กแน่นอน ผมไม่อยากเห็นภาพชวนคลื่นไส้แบบนั้น แค่นี้ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินอยู่กลายๆ แล้วครับ
 
               “นี่รอกูคนเดียวอ่อ? โทษทีว่ะ คนโคตรเยอะเลย”
 
               จัสพูดพร้อมๆ กับ วางถ้วยกระดาษถ้วยใหญ่ที่เต็มไปด้วยของทอดสีเหลืองทอง กลิ่มหอมฉุยลงตรงกลางโต๊ะพร้อมกับโบกมือเป็นเชิงให้ทุกคนเริ่มกินอาหารตรงหน้าได้แล้ว
 
               “พวกมึง... เดี๋ยวกินเสร็จแล้วแวะไปดูโต๊ะหน่อยไหม วันนี้น้องปี 1 น่าจะกำลังขูดโต๊ะกันอยู่”
               “ทำไมต้องไปวะ ปล่อยปี 2 มันดูไปดิ ไปเล่นโรลกันดีกว่า”
               “ไอ้จัส มึงจะไปหลีน้องน้ำขิงก็บอก”
 
               มิชิรีบดักคออย่างรู้ทัน น้องน้ำขิงที่ว่านี่คือน้องปี 1 ที่สวย หุ่นดี แถมเรียนเก่งสุดๆ ด้วย นอกจากนั้นน้องยังจะสมัครคัดตัวลีดคณะด้วย ถ้าไม่ผิดโผน้องคนนี้ก็น่าจะคว้าตำแหน่งดาวโต๊ะไปครองด้วยเช่นกัน
 
               “ไปก็ได้นะ เดี๋ยวเค้กจะได้แวะเอายากันยุงไปให้ไวท์กับน้องๆ ที่อยู่ที่โต๊ะด้วย”
 
               เมื่อเค้กเปิดประเด็นมาขนาดนี้แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ แถมยังเป็นพ่อพระใจบุญสุนทานเป็นห่วงเป็นใยน้องๆ อีก ถ้าผมขัดนี่คงกลายเป็นคนบาปสุดเลวทรามไปเลย สุดท้ายก็เลยต้องจำใจเดินตามคุณเพื่อนเข้าเซเว่นไปซื้อยากันยุงแบบซองเพื่อจะเอาไปให้พวกเด็กปี 1 เอาเถอะ แวะไปดูแล้วสวมบทพี่ว้ากสักหน่อยก็ไม่เสียหาย หึ
 
               พวกผมยังเดินไปไม่ถึงโต๊ะดีก็เห็นกลุ่มเด็กปี 1 ประมาณห้าหกคนกำลังนั่งพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะสดใสที่ดังกว่าใครเพื่อนไม่ต้องบอกผมก็จำได้ดีว่าเป็นเสียงของน้องสายผมแน่ๆ
 
               “มึงๆ เก๊กขรึมกันเร็ว”
               “สัดจัส มันจะไม่เนียนก็เพราะมึงนี่แหละ”
 
               มิชิตบหัวเพื่อนตัวโย่งไปเบาๆ นึงครั้ง ส่วนผมก็ได้แต่พยายามกลั้นขำเอาไว้แล้วกลับไปตีหน้านิ่งเหมือนเดิม ขณะที่ผมเดินรั้งท้าย เค้กก็ตรงดิ่งไปทักทายน้องไวท์ด้วยรอยยิ้มพร้อมกับแจกจ่ายซองยากันยุงให้กับน้องๆ
 
               “สวัสสดีครับ/สวัสดีค่า” เด็กๆ ปี 1 เอ่ยทักทายพร้อมยกมือไหว้พวกผมทันที มิชิไม่ได้พูดอะไร มันแค่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เค้กที่กำลังชวนน้องๆ คุย และถามไถ่ถึงความคืบหน้าของงานโต๊ะ ส่วนจัสก็ทำเป็นเข้มแล้วเดินวนดูรอบๆ บริเวณ ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันจะเก๊กทำไม ยิ่งเก๊กก็ยิ่งไม่เนียน ไอ้บ้านี่ ยังไม่ทันไรมันดันซุ่มซ่ามไปเตะขาโต๊ะจนหน้าเกือบคว่ำอีก ตลกฉิบชาย แต่ผมก็ทำได้เพียงยกยิ้มมุมปากเท่านั้น
 
               พอผมหันกลับไปก็พบว่า น้องไอติมที่นั่งดูดน้ำจากแก้วที่ถืออยู่ในมือจ้องผมตาแป๋ว แต่พอผมจ้องกลับก็หลบตาหนีประจำ อะไรของมันวะ อยากจะรู้นักว่าจะหลบ จะหนีไปได้สักแค่ไหน คนอื่นเขาก็หันไปสนใจและตั้งใจฟังคำแนะนำของเค้กหมด มีแต่น้องนี่แหละที่เอาแต่นั่งก้มหน้าดูดน้ำ เอาจริงๆ เหมือน นั่งกัดหลอดเล่นมากกว่า นี่เด็กมหาลัยหรือเด็กประถมครับ
 
               “อยากกินสเลอปี้ว่ะ...” ดูเหมือนจะได้ผล เพราะแค่ประโยคสั้นๆ ที่ออกจากปากผม ก็สามารถทำให้ไอติมเงยหน้ามามองผมอีกครั้งด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย
 
               “อ่า... พี่วอร์มรีบไปซื้อเลย ตรงโรงอาหารกลาง ผมเพิ่งไปมา ตอนนี้มันกำลังแข็ง กดง่าย กดได้เยอะเลย”
               “ไม่อะ ขี้เกียจเดิน” ผมตีหน้าตายแบบเบื่อโลกขั้นสุดใส่น้อง มีอย่างที่ไหนวะ แทนที่จะแบ่งให้ผมกินดันบอกให้รุ่นพี่อย่างผมเดินไปซื้อ ไอ้เด็กนี่
 
               คงเพราะเห็นผมขมวดคิ้วละมั้ง น้องก็เลยยื่นแก้วตัวเองส่งมาให้ผม แต่ขอโทษนะ มันยังไม่จบง่ายๆ แค่นี้หรอก ผมนั่งลงข้างๆ น้องก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
 
               “มือไม่ว่าง ไม่เห็นอ่อ?” ผมรู้ว่ามันเป็นอะไรที่โคตรอภิมหาของการแถเลยครับ ด่าได้แต่อย่าแรงนะ เพราะมือข้างนึงผมถือโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์อยู่ ส่วนอีกข้างก็ถือขวดน้ำเปล่าที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งขวดด้วยซ้ำ เรื่องแบบนี้มันด้านได้อายอดครับ คิดจะเริ่มแล้วก็ต้องไปให้สุด หลังจากได้ยินคำพูดของผมน้องก็ถึงกับนิ่งไปเลยครับ
 
               “เร็วๆ ดิ จะละลายหมดแล้วเนี่ย” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้น้องอีกจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ มาจากตัวน้องพร้อมกับอ้าปากเล็กน้อย
 
               “เอ่อ... อ้าม...” ไอติมเหวอไปพักหนึ่งก่อนจะยื่นแก้วและจับหลอดดูให้เข้าปากผม พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้น้องกำลังป้อนสเลอปี้ให้ผมอยู่ รสชาติของน้ำหวานแก้วนี้มันชื่นใจไอ้วอร์มเหลือเกิน แต่เวลาน้องเหวอนี้ตลกโคตรๆ อะ เด็กเด๋อที่อ้าปากหวอแถมปากล่างยังห้อยอีก เห็นแล้วมันน่าถ่ายรูปเก็บไว้เอาไว้ดูตอนเครียดๆ
 
               “ไปช่วยเพื่อนทำงานไป” ผมดีหน้าผากน้องไปเบาๆ หนึ่งครั้ง เพราะน้องยังคงนั่งมองผมตาปริบๆ ไอ้เด็กนี่ จะมีตอนไหนที่ไม่น่ารักน่าเอ็นดูบ้างไหมวะครับ
 
               “จะกลับกันได้ยังวะ ยุงเยอะชิบ ขากูจะพรุนแล้วเนี่ย”
               “งั้นเดี๋ยวพวกพี่ไปก่อนนะ สู้ๆ นะเด็กๆ”
               “อย่าลืมไปตามไปพวกที่มันหายหัวให้มาทำด้วย งานส่วนรวม ใครไม่ยอมมาจดรายชื่อไว้ โดนจัดหนักแน่เข้าใจไหม”
 
               ผมว่าเค้กอุตส่าห์บอกลาน้องๆ ได้ดีแล้วนะ ไอ้จัสก็ยังไม่วายเล่นใหญ่กวาดนิ้วชีหน้าพวกปี 1 แล้วพยายามกดเสียงให้โหดพูดขู่น้องๆ มันอีก โครตไม่เวิร์ค เสียงก็เป็ดฉิบชาย ยังจะกล้าเล่น ถ้าผมเป็นรุ่นน้องผมคงขำมากกว่ากลัวมันอะ แต่ถึงอย่างนั้น น้องๆ ก็รับคำกันอย่างแข็งขัน และตอนที่ผมกำลังจะหันหลังเดินออกมาก็มีสายตาหนึ่งคู่ที่มองผมอยู่ พอจ้องกลับไปเจ้าตัวก็ได้แต่ยิ้มจนตาปิดแบบเจื่อนๆ ส่งมาให้เห็นแบบนั้นก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ ผมเลยใช้ขวดน้ำในมือเคาะลงไปบนหัวไอติมหนึ่งที น้องก็ได้แต่ลูบหัวป้อยๆ ไม่ต้องมาทำสำออย ผมไม่ใจอ่อนหรอกนะ ขวดน้ำพลาสติกเคาะเบาๆ แค่นี้เอง เล่นใหญ่เป็นไอ้จัสไปได้
               .
               .
               .






**น้องไอติม**



               ผมมองตามหลังพวกพี่เขาไปอย่างงงๆ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปแบบนี้หรอ อย่างพี่เค้กน่ะ แวะมาหาเพราะเป็นห่วงก็พอจะเข้าใจได้อยู่หรอกครับเพราะนากจากจะมียากันยุงติดมือมาด้วยแล้วก็ยังนั่งพูดคุย ถามไถ่ความเป็นไปต่างๆ แต่อย่างพี่วอร์มเนี่ย เหมือนตั้งใจมาแกล้งกันชัดๆ
 
               “ไอ... ไอติม!!!”
               “หา?! อ้าวจู... ว่าไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่อะ”
               “โอ้โห เหม่อถึงขนาดไม่รู้ว่าจูมาจ้องอยู่เลยหรอเนี่ย”
               “อ่า... คิดอะไรเพลินๆ นิดหน่อยอะ”
               “คิดถึงพี่วอร์มอยู่หรอไง เห็นไวท์บอกว่าพี่ๆ เขาเพิ่งแวะมาหานี่”
 
               “อือ... เพิ่งกลับกันไปสักพักเอง แต่ไอไม่ได้คิดถึงพี่วอร์มหรอก”ผมไม่ได้โกหกจูเนียร์นะครับ เพราะผมไม่ได้คิดถึงพี่เขาจริงๆนี่ ออกแนวแอบบ่นพี่เขามากกว่า มีอย่างที่ไหนมาแย่งน้ำคนอื่นกินแบบนี้ก็ได้ด้วย มาคิดๆ ดูแล้วก็คิดเป็นโชคดีอยู่เหมือนกันนะครับ ที่จูเนียร์เพิ่งมา ไม่อย่างนั้นผมต้องโดนล้อเรื่องพี่วอร์มอีกแน่ๆ เลยอะ
 
               “เดี๋ยวพวกเราจะกลับกันแล้วนะ”
               “อ้าว... จูเพิ่งมาถึงเองอะ”
 
               “ไม่เป็นไรหรอกจู ไว้ค่อยมาช่วยวาดลายโต๊ะก็ได้ ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” น้ำขิงบอกกับพวกผมแล้วเดินไปทางหอสมุด ถึงพวกผมจะไม่ได้สนิทกับกลุ่มของน้ำขิงมากขนาดนั้นก็ตาม แต่พวกเราก็คุยกันได้หมดแหละครับ ไวท์ที่นั่งขูดโต๊ะอยู่กับพวกน้ำขิงตอนแรกก็ย้ายมานั่งข้างๆ ผมแทน
 
               “ไวท์อยากกินขนมอะ เราไปกินวาฟเฟิลกันไหม ใต้หอไอก็ได้”
               “หา? อ่อ... อื้ม เอาสิๆ” ผมไม่ได้ตั้งใจฟังที่จูเนียร์กับไวท์คุยกันเท่าไหร่ เพราะผมกำลังคิดอยู่ว่าจะซื้ออะไรไปฝากไว้ให้พี่วอร์มดี ความจริง ความคิดนี้ก็วนเวียนอยู่กับผมมาสักพักแล้วแหละครับซึ่งมันเป็นแผนของจูเนียร์ในการสืบหาเบอร์ห้องของพี่วอร์ม ผมอยากซื้อพวกขนมที่พี่เขาชอบไปให้นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมาพี่วอร์มจะยังชอบอะไรเหมือนๆ เดิมอยู่หรือเปล่า
 
               “ตกลงว่ายังไงไอ จะกลับหอเลยป่ะ”
               “ไปสิๆ ก็เดี๋ยวไปกินวาฟเฟิลกัน ไอได้ยินมาเหมือนกันแหละไวท์ ว่าร้านเปิดใหม่ใต้หอไออร่อย” ผมหันไปตอบจูเนียร์แล้วลุกขึ้นยืนปัดเศษฝุ่นที่ติดตามมืออยู่เล็กน้อยแล้วพากันรีบวิ่งไปที่ป้ายรถเมื่อเห็นว่ารถที่ให้บริการฟรีกำลังมา
 
               หลังจากที่ออกมาจากมหาลัย พวกผมก็มานั่งกันอยู่ในร้านวาฟเฟิลที่เพิ่งเปิดใหม่ใต้หอผม จริงๆ มันเป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่เน้นขายกาแฟและเบเกอรี่แต่หน้าร้านดันมีบอร์ดกระดานดำเล็กๆ เขียนเมนูแนะนำไว้ตั้งอยู่ แล้วผมเดินผ่านทุกวัน ก็เห็นว่ามีวาฟเฟิลนี่ละที่เป็นเมนูแนะนำในทุกๆ วัน สงสัยว่าจะมีแต่วาฟเฟิลหรือเปล่าที่เจ้าของร้านอยากแนะนำให้ลูกค้ากินจนเบื่อกันไปข้าง
 
               “ร้านน่ารักดีเนอะ” ไวท์เอ่ยปากชมหลังจากที่พวกเราสั่งวาฟเฟิลจานใหญ่ที่เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมกันไป
               “อือ กลิ่นเหม็นใหม่ดีเนอะ” ผมตอบก่อนจะหัวเราะออกมา ก็มันจริงนี่ครับ ร้านเขาเพิ่งเปิดใหม่กลิ่นสีก็ยังมีหลงเหลือให้ได้รู้สึกบ้าง
 
               “ไอติมก็ ฮ่าๆๆ” ไวท์หันมาหัวเราะกับผมก่อนที่จูเนียร์จะพูดแทรก
 
               “อ้าว... นั้นพี่จัสกับพี่วอร์มนี่” ผมรีบหันไปตามที่จูเนียร์บอกหลังจากได้ยินชื่อพี่วอร์มออกมาจากปากเพื่อน แล้วก็เห็นพี่วอร์มกับพี่จัสที่ดูเหมือนเพิ่งจะเดินลงมาจากหอ แต่โชคดีที่ว่าพวกผมนั่งกันอยู่ในร้านแต่พวกพี่วอร์มกับพี่จัสอยู่ข้างนอก ยังไงพวกพี่เขาก็ไม่เห็นพวกผมแน่ๆ ผมเห็นพี่จัสยืนคุยอะไรสักอย่างกับพี่วอร์มก่อนที่พี่ๆ ทั้งสองจะโบกมือลากันแล้วพี่จัสก็เดินออกไป ส่วนพี่วอร์มนั้นเดินเข้าร้านมินิมาร์มไป การกระทำทุกอย่างของพี่เขาอยู่ในสายตาผม ผมเห็นพี่วอร์มเดินไปเปิดตู้น้ำ พี่เขาน่าจะซื้อน้ำดื่มหรือเครื่องดื่มอะไรสักอย่างแน่ๆ
 
               “พี่จัสเวลาเดินข้างพี่วอร์มแล้วยิ่งตัวสูงมากกว่าเดิมอีกอะ” ไวท์เอ่ยขึ้นหลังจากที่พี่จัสและพี่วอร์มแยกกัน
               “ไอว่าพี่วอร์มต่างหากละที่ตัวเล็กอะ ฮ่าๆๆ”
               “เออ... ก็จริงอย่างที่ไอว่านะ”
               “ใช่ไหม” ผมพยักหน้าย้ำกับไวท์ก่อนจะหันไปมองพี่วอร์มที่กำลังจ่ายเงินอยู่ที่เคาท์เตอร์แคชเชียร์และผมก็เห็นพี่เขากำลังจามออกมาพอดี สงสัยเป็นเพราะผมนินทาพี่เขาแน่ๆ เลยอะ
 
               พี่วอร์มเดินออกมาจากร้านมินิมาร์ทพร้อมกับน้ำดื่มหนึ่งขวด แต่ก็ยังไม่วายจามออกมาอีกสองครั้งจนผมว่ามันไม่น่าจะเป็นเพราะที่ผมแอบนินมาเรื่องส่วนสูงพี่เขาแล้วล่ะ
 
               “ไม่น่าใช่แล้ว”
               “หืม? ไม่ใช่ที่สั่งหรอคะน้อง?” ผมเผลอบ่นออกมาเบาๆ แต่มันพอดีกับที่คุณพี่เจ้าของร้านเอาวาฟเฟิลมาเสิร์ฟที่โต๊ะพอดี
               “เอ่อ... เปล่าครับ ไม่ใช่... คือสั่งถูกแล้ว... ขอโทษครับ” ผมเอ่ยขอโทษพี่เจ้าของร้านก่อนที่พี่เขาจะพยักหน้ารับแล้วเดินกลับออกไป
 
               “เหม่ออะไรอยู่หรอไอติม” จูเนียร์หันมาถามผมพลางยิ้มเล็กน้อย มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมอยากจะหยิกเพื่อนผมคนนี้ซะเหลือเกิน หน้าตาดูมีเลศนัยมากอะ
 
               “ไอติมเป็นเหมือนไวท์เลยอะ ชอบเผลอพูดตามที่คิดเนี่ย ประจำเลย”
               “แฮ่... มันก็เผลอกันได้อะเนอะ มาๆ กินกันดีกว่า” ผมชวนเพื่อนๆ มาสนใจวาฟเฟิลตรงหน้าก่อนที่พวกเราจะสุมหัวลงมือทานวาฟเฟิลจานใหญ่ที่มีไอศกรีมถึงสามรสเสิร์ฟมาด้วย
 
               หลังจากที่พวกเราจัดการกับวาฟเฟิลกันจนเกลี้ยงจานแล้ว ไวท์ก็ขอตัวกลับหอก่อนเพราะจากหอผมกว่าจะเดินไปทถึงหอไวท์ก็ค่อนข้างไกลอยู่ อีกอย่างมันจะดึกแล้วด้วย
 
               “จูจะกลับเลยไหม เดี๋ยวไอขอเข้ามินิมาร์ทแป๊ปนึง” ผมเอ่ยถามจูเนียร์หลังจากที่เราแยกกับไวท์เมื่อครู่
               “อืม... เอาสิ จูเข้าด้วย ว่าจะซื้อขนมไปกินที่ห้องหน่อย”
               “กินขนมดึกๆ อ้วนน๊า~” ผมเอ่ยแซ็วเพื่อนรักที่เริ่มแยกเขี้ยวใส่ผม
               “ว่าแต่จู! ไอเองก็เหมือนกันนั่นละ! เชอะ! กินแล้วไม่อ้วนก็พูดได้นี่!”
               “ฮ่าๆๆ ก็ไอไม่ได้กินตอนดึกๆ แบบจูนี่”
               “ใช่หรอ~” ผมหยักไหล่ใส่เพื่อนก่อนจะเดินไปที่ตู้ไอศกรีม ใช่แล้วครับ ของโปรดของผมเลยแหละ เวลาเปิดตู้ไอศกรีมทีไรแล้วผมรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลย มันเป็นเวลาของผมเลยแหละ เวลาของไอติม
 
               “นั่นไง... ว่าคนอื่นอยู่แหมบๆ นี่มาเล็งไอติมอีกแล้ว” จูเดินตามหลังผมมาก่อนจะทักผมอย่างล้อเลียน
               “ไม่ได้หรอก... ไอติมนี่เป็นข้อยกเว้นของไอเลยนะ”
 
               “จ้าๆ” ผมไม่สนใจหรอก ก็ไอศกรีมเป็นของโปรดของผมนี่นา จริงๆ ผมก็แอบคิดนะว่าคุณแม่ผมรู้ได้ยังไง ว่าผมเกิดมาจะชื่นชอบไอศรีมเลยตั้งชื่อเล่นให้ผมว่าไอติมแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วคุณแม่เองก็ชอบกินไอศกรีมเหมือนกันก็เลยตั้งชื่อผมว่าไอติมอย่างที่ท่านชอบนั่นแหละครับ
 
               “ไอติม... ร้านนี่มีน้ำซีวิตขายด้วยอะ ไอชอบกินไม่ใช่หรอ” จูเนียร์ตะโกนบอกผมพร้อมกับหยิบขวดซีวิตออกมาจากตู้แช่ เพื่อนรักผมคนนี้ช่างรู้ใจผมจริงๆ ผมชอบดื่มพวกเครื่องดื่มวิตามินแบบนี้เพราะว่านอกจากจะให้ความสดชื่นแล้วมันยังช่วยไม่ให้เราเป็นหวัดได้ด้วย พูดถึงเป็นหวัด ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อกี้ผมเห็นพี่วอร์มจามตั้งหลายครั้ง ไม่แน่พี่เขาอาจจะเป็นหวัดอยู่ก็ได้ ถ้าได้ดื่มเครื่องดื่มพวกนี้ก็น่าจะพอช่วยได้นะ
 
               “จู...”
               “ว่าไง?”
               “จูว่า... ถ้าไอซื้อซีวิตไปให้พี่วอร์มมันจะดีไหมอะ” นึกถึงพี่วอร์มขึ้นมาแล้วผมก็ได้ไอเดียแล้วล่ะครับ
               “หืม? แล้วไอจะเอาไปให้พี่วอร์มยังไงอะ”
               “นั่นนะสิ...”
               “อืม... เอาอย่างนี้ไหม ไอก็เอาไปให้เองเลย เป็นน้องสายพี่วอร์มเอาของไปให้ไม่แปลกหรอก”
               “ก็ความคิดดีนะ... แต่พี่วอร์มไม่รับแน่ๆ เลยอะ คิดดูสิ ปกติจะมีแต่พี่สายที่เป็นคนเทคน้อง ถ้าไอของพวกนี้ไปให้พี่วอร์มก็เหมือนรุ่นน้องต้องมาคอยเทครุ่นพี่... คนอย่างพี่วอร์มอะ ไม่ยอมหรอก”
 
               “อ่า... มันก็จริง...”
               “ถ้าฝากใครสักคนไปให้ได้ก็คงจะดี”
               “แล้วจะฝากใครดี... พวกเพื่อนพี่วอร์มไหม พี่เค้ก ไม่ก็พี่จัส พี่มิชิ”
               “ยิ่งแปลกใหญ่เลยนะจู อีกอย่างพวกเขาเป็นเพื่อนกันยังไงก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนฝากมาให้อะ”
               “อืม... งั้นเอาอย่างนี้ ฝากลุงยามหน้าหอไอไว้สิ”
               “อื้อๆ ความคิดดีนะ เพราะไอเห็นลุงยามทักพี่วอร์มบ่อย น่าจะรู้จัก... แต่จะให้ยังไงดีอะ”
               “ก็ซื้อไป แล้วก็ไปฝากไว้... ตอนเช้า ไม่ก็ตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็ได้”
 
               “โอเค! ว่าแต่ ไอควรเขียนโน้ตฝากไปด้วยดีไหมอะ” ใจนึงผมก็อยากเขียนเพราะเหมือนมันจะได้เป็นอีกช่องทางที่ผมจะบอกสิ่งที่ผมไม่กล้าพูดต่อหน้ากับพี่เขาออกไปได้ด้วย แต่อีกใจนึงก็กลัวว่าจะโดนจับได้เนี่ยสิครับ
 
               “ตามกฎของคนที่แอบชอบแล้ว... ก็ควรทำนะไอติม” จูเนียร์พูดก่อนจะส่งยิ้มล้อเลียนมาให้ผม
               “ยิ้มแบบนั้นคืออะไร”
 
               “ก็ไอติมแอบชอบพี่วอร์มมาตั้งนานแล้วอะ... ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใกล้พี่เขามาอีกขั้นนึงแล้ว... ถ้าจะทำอะไรแบบนี้จูว่ามันก็ไม่ผิดหรอก ทำตามที่ใจอยากเราทำเถอะ” ผมอยากจะกอดจูเนียร์ให้แน่นๆ จริงๆ ครับ เพื่อนคนนี้ช่างรู้ใจผมไปหมดเสียทุกเรื่อง มันก็จริงอย่างที่จูเนียร์ว่า ขอได้ทำเพื่อพี่วอร์มแค่นี้ มันคงไม่ผิดหรอกใช่ไหมครับ ก็หวังว่าพี่เขาคงจะไม่รำคาญหรือรังเกียจผมหรอกนะ
 
               “อือ... เข้าใจแล้ว เดี๋ยวไอจะซื้อของพวกนี้แล้วเขียนโน้ตฝากลุงยามไว้ให้พี่วอร์ม”
               “แต่จริงๆ จูอยากจะบอกไออย่างนึงนะ”
               “อะไรหรอ”
 
               “จูอยากให้ไอเผื่อใจไว้บ้างนะ เผื่อถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ มันจะเป็นไอติมเองนั่นแหละที่จะเสียใจมาก” สีหน้าจริงจังของจูเนียร์ที่บอกผมทำเอาผมอดคิดไม่ได้ แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อผมอยากทำแบบนี้เอง แล้วอีกอย่าง ผมก็ไม่ได้หวังหรือว่าจะบอกเรื่องนี้กับใครอยูแล้ว ขอเพียงแค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วล่ะ
 
               “ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอกจู... ไออะชอบพี่วอร์มมาตั้งนานแล้ว แค่แอบชอบแบบนี้ไอก็มีความสุขแล้วล่ะ”
               “ไอติมเนี่ยน๊า ยอมใจเลย... แต่ถึงยังไงก็เถอะ จูก็ยังจะขอให้ไอสมหวังกับพี่วอร์มนะ” จูเนียร์ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมายีหัวผม
 
               “ไม่หรอก...”
               “ก็ไม่แน่หรอก... ไออะเข้าใกล้พี่เขามากขึ้นกว่าเดิมแล้วนะ อะไรก็เกิดขึ้นได้นะไอติม”
               “อือ... ขอบใจนะ แต่ขอแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ” ผมพูดไปตามที่รู้สึกจริงๆ ถึงจะเข้าใกล้พี่เขามากแค่ไหน แต่ถ้าพี่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมไปมากกว่านี้ ผมก็ขอแค่นี้ก็พอใจแล้วล่ะครับ
               .

               .

               .

               To be Continue...

 


ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
อ่านแล้วยิ้มได้ตลอดเลยค่ะ

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
               
               
               
:: Chapter 5 :: 'ฝากรัก'
[/b]

               หลังจากที่ไอ้จัสโทรปลุกผมตอนเจ็ดโมงกว่า ผมก็แทบจะวิ่งผ่านน้ำแล้วแต่งตัวออกมาจากหอเลย เมื่อวานจัสแวะมาที่ห้องผมแป๊ปนึงก่อนที่มันจะกลับหอตัวเองไป ทั้งๆ ที่ผมก็กำชับมันไว้ว่าให้โทรปลุกตอนหกโมงครึ่ง สรุปแล้วมันโทรมาปลุกผมตอนเจ็ดโมงกว่าครับ ผมนนี่หมดคำพูดเลย เพราะมันคนเดียวเลย ผมถึงต้องรีบวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากหอนี่ไง เรียนแปดโมงแต่ดันโทรมาปลุกผมตอนเจ็ดโมงกว่า นี่ถ้าผมมีบ้านอยู่กรุงเทพฯ แล้วมันโทรปลุกเวลานี้นะ อาจารย์คงปล่อยคลาสก่อนผมถึงมหาลัยอีกมั้ง
 
               “น้องวอร์มครับๆ” เสียงลุงยามเอ่ยเรียกผมขณะที่ผมกำลังรีบเร่งเดินไปที่ลานจอดรถ อะไรอีกวะครับเนี่ย
               “ครับลุงยาม? มีอะไรสำคัญเปล่าครับลุง พอดีผมกำลังรีบไปเรียน”

               “เอ่อ... พอดีมีคนฝากของไว้ให้น่ะ คนฝากเพิ่งออกไปไม่ถึงสิบนาทีเอง” ลุงยามบอกก่อนจะรีบวิ่งไปเปิดเก๊ะหยิบอะไรสักอย่างออกมา ก่อนจะยื่นถุงพลาสติกที่มีขวดเครื่องดื่มอยู่ในนั้นมาให้ผม
 
               “ใครอะครับ?”
               “เขาบอกว่าไม่ให้บอกว่าใครฝากมา... แต่กำชับลุงว่าต้องให้กับมือน้องวอร์มให้ได้”
 
               “อ่า... ขอบคุณนะครับลุง” ผมรับถุงพลาสติกมาจากมือลุงตามที่ลุงบอกก่อนจะรีบเดินไปที่ลานจอดรถ ถึงจะมีความสงสัยและคำถามอยู่บ้าง แต่เวลานี้ต้องรีบไปเรียนก่อนแล้วครับ ไม่อย่างนั้นสายแน่ๆ ยังไงก็ต้องไปให้ทันอาจาร์ยเข้าสอน เวรจริงๆ นี่ถ้าผมเช็คชื่อไม่ทันผมจะโทษไอ้จัสก่อนเลยเป็นคนแรก
 
               มาคิดๆ ดูแล้ว ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรหรอกครับ คิดว่าน่าจะเป็นพวกรุ่นน้องในมหาลัยสักคนที่ฝากมาให้ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยครับ พอดีผมเป็นหนึ่งในชุมนุมโฟล์คซองของมหาลัยที่มีคนชื่นชอบผลงานค่อนข้างเยอะ ผมเป็นถึงนักร้องนำของวงเลยนะครับ ไม่ได้จะหลงตัวเองอะไรหรอกนะครับ แต่เวลาไปที่ชุมนุม หรือเวลาที่พวกเราขึ้นงานทีไรของฝากพวกนี้ก็มีมาให้ผมเสมอ เพียงแต่คราวนี้เอามาฝากให้ถึงหอเลย ผมก็เดาว่าน่าจะเป็นหนึ่งในพวกนั้นแหละครับที่ฝากของมาให้ผม
 
               “เกือบไปแล้วไหมมึง”
               “เออ! เชี่ย! มึงนั่นแหละโทรปลุกกูสาย... นี่ถ้าวันนี้กูเช็คชื่อไม่ทันนะกูจะฆ่ามึงไอ้จัส” ผมหันไปด่าเพื่อนตัวสูงที่อยู่นั่งข้างๆ
               “อ่าวด่ากูอีก... กูอุตส่าห์โทรปลุก”
               “กูบอกให้มึงโทรมาปลุกกูกี่โมง?”
               “ห่า... กูก็ตื่นสายเหมือนกันป่ะวะ... ดีแค่ไหนแล้วที่กูไม่ลืมโทรปลุกมึงอะ”
 
               “ขอบใจมากเว้ยเพื่อนที่ไม่ลืมกู...” ไม่โทรมาปลุกตอนแปดโมงเลยล่ะ แหม ผมคิดต่อท้ายเองในใจครับ ขี้เกียจจะเถียงกับมันแล้ว ส่วนไอ้มิชิกับเค้กน่ะหรอครับ ผมเห็นสองคนนั้นนั่งอยู่แถวหน้าๆ ของห้องเลย ท่าทางคงจะมาเช้ากันทั้งคู่ ส่วนผมกับไอ้จัสที่มาสายก็ต้องนั่งหลังห้องไปตามระเบียบ
 
               หลังจากที่อาจาร์ยเช็คชื่อเสร็จก็เริ่มสอนต่อทันที เรียนคาบเช้าทีไร เนื้อหาที่อาจารย์สอนก็ไม่เคยเข้าหัวผมสักเท่าไหร่ ตอนนี้รู้สึกอย่างเดียวคือง่วงครับ ผมหาวไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วของเช้านี้ เพื่อนๆ หลายคนในห้องก็รู้สึกเหมือนกับผม บางคนยังดีหน่อยที่ซื้อกาแฟมานั่งดื่มในห้อง ผมก็อยากจะดื่มกาแฟร้อนๆ สักแก้วเหมือนกันครับ แต่แค่เวลาขับรถเข้ามาในมหาลัยก็แทบจะไม่ทันอยู่แล้ว จะเอาเวลาไหนไปแวะซื้อกาแฟวะครับ
 
               “ห๊าว~ ง่วงฉิบชาย ทำไมต้องเรียนเช้าด้วยวะเนี่ย” ไอ้จัสหาวออกมาก่อนจะบ่นอยู่ข้างๆ ผมพร้อมกับเอนตัวลงฟุบกับโต๊ะผมส่ายหน้าให้มันไปสองสามทีก่อนจะหันไปเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมากดเล่นแก้ง่วง
 
               แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบมือถือออกมา ผมก็เห็นถุงพลาสติกที่ผมรับมาจากมือลุงยามใต้หอที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในกระเป๋า ก่อนที่ผมจะหยิบมันออกมาดู มันเป็นขวดเครื่องดื่มวิตามินซียี่ห้อนึงที่ผมเคยเห็นวางขายอยู่ในมินิมาร์ทพร้อมกับกระดาษโน้ตสีขาวที่ติดมากับขวดด้วย
 
               ‘ถึงพี่วอร์ม... เมื่อวานผมเห็นพี่จามตั้งหลายครั้ง พี่คงจะเป็นหวัดแน่ๆ เอาวิตามินซีไปดื่มนะครับ ช่วยให้หายหวัดแถมยังให้ความสดชื่นด้วย... เช้านี้ก็ตั้งใจเรียนนะครับ’
 
               ผมอ่านข้อความบนกระดาษในใจแล้วความสงสัยก็เพิ่มมากขึ้น ใครวะครับ ชื่อก็ไม่ได้ลงไว้ จากที่อ่านแล้วน่าจะเป็นผู้ชายด้วย แต่ผมก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกครับ เพราะคนที่เคยฝากของมาให้ผมก็มีทั้งผู้หญิงแล้วก็ผู้ชายเหมือนกัน แต่ที่แปลกใจคือ คนที่ฝากสิ่งนี้มาให้ผมเนี่ยมาเห็นผมจามตอนไหนวะครับ จะว่าผมเป็นหวัดหรอ ก็ไม่นะ แล้วผมไปจามให้มันเห็นตอนไหนล่ะ
 
               “อะไรวะมึง” ไอ้จัสที่เงยหน้าจากโต๊ะมาตอนไหนก็ไม่รู้เอ่ยถามผม
               “มีคนฝากของมาให้ว่ะ”
               “เหยด... ฮ๊อตอีกแล้วเพื่อนกู! ใครอะ แฟนคลับชุมนุมมึงหรอ”
               “ไม่รู้ว่ะ... แม่งฝากลุงยามใต้หอกูมาให้อะ”
               “เฮ้ย! เดี๋ยวนี้มีไปฝากถึงหอเลยหรอวะ”
               “เออ! กูก็งงอยู่เนี่ย”
 
               “น้ำอะไรวะ?” จัสถามต่อเมื่อเห็นผมพลิกขวดเครื่องดื่มดูข้อความบนฉลาก
               “น่าจะเป็นวิตามินซีมั้ง... เหมือนกูเห็นมีขายอยู่ในมินมาร์ทอะ”
               “อ๋อ! กูเคยเห็น! ไหนเอามาลองชิมหน่อย”
 
               “เรื่อง?!” ผมรีบดึงขวดวิตามินซีนั้นเข้าหาตัวเมื่อเห็นไอ้จัสเอื้อมมือมาแย่งขวดน้ำจากผม เรื่องอะไรต้องให้มันชิมอะก ในเมื่อมีคนฝากมาให้ผม ผมก็ต้องเป็นคนกินเองดิ ความจริงไอ้จัสเองมันก็เคยได้รับพวกของขวัญของฝากอะไรแบบนี้เหมือนกันแหละครับ เป็นถึงทูตกิจกรรมของมหาลัย ถ้าพูดกันตามตรงพวกผมทั้งสี่คนจะเรียกว่ามีแฟนคลับเป็นของตัวเองทั้งหมดเลยก็ว่าได้นะครับ ส่วนมากของมิชิกับผมมักจะถูกฝากพ่วงๆ มาด้วยกัน เพราะไอ้มิชิมันเป็นมือกีตาร์วงเดียวกับผม ส่วนเค้ก รายนั้นด้วยหน้าตาไม่ต้องทำอะไรก็ฮ๊อตอยู่แล้วครับ
 
               “ขี้งกฉิบชาย! กูขอให้น้ำในขวดนั่นเป็นยาถ่าย”
               “สัด! ปากเสีย!” ผมว่ามันกลับไปทีนึงก่อนจะเปิดขวดน้ำวิตามินซีดื่ม จะว่าไปมันก็สดชื่นอย่างที่เจ้าของลายมือนั่นเขียนบอกไว้จริงๆ นั่นแหละครับ แถมยังอร่อยดีด้วย ระหว่างที่ผมกำลังจิบน้ำวิตมินซีแก้ง่วง โทรศัพท์มือถือก็สั่นขึ้นมาพร้อมกับหน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมาแสดงให้เห็นถึงข้อความที่ถูกส่งมาในโปรแกรมแชท
 
                 : เรียนคาบเช้า ง่วงแย่เลยใช่ไหมครับ
                 : ผมเองก็ตาจะปิดแล้วเหมือนกัน พี่วอร์มคิดเหมือนผมป่ะ คนจัดตารางเรียนนี่โหดร้ายชะมัดเลยเนอะ
                 : สู้ๆ นะครับพี่วอร์ม อีกสักพักก็จะได้พักครึ่งแล้ว
                 : ไปซื้อกาแฟแล้วครึ่งหลังตั้งใจเรียนด้วยนะครับ เรามาสู้ไปด้วยกันนะครับ สู้! 55555555555555555
 
               ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมข้อความไม่กี่ประโยคที่ถูกส่งมาจากคนแปลกหน้าซึ่งผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร มันกลับทำให้ผมยิ้มออกมาได้อย่างประหลาด ไม่รู้สิครับ แค่อ่านตามแล้วรู้สึกว่ามันก็น่ารักดีนะ ยิ่งอีกคนเรียกผมว่าพี่แบบนี้แสดงว่าต้องเป็นรุ่นน้องแน่ๆ ข้อความที่เขาส่งมาผมว่ามันก็ดูใสซื่อและจริงใจดีอะ อ่านทุกวันมันก็เพลินดีเหมือนกัน
 
               “เป็นไรมึง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว คุยกับสาวที่ไหนอีกล่ะ”
               “สาวที่ไหนล่ะ ไม่มีไหม ตั้งใจเรียนไปมึงอะ”
 
               “มึงไม่ต้องมากลบเกลื่อน อีกสิบนาทีก็พักแล้วไหม เดี๋ยวหลังพักกูค่อยตั้งใจ” จัสบอกกับผมก่อนจะก้มหน้าฟุบลงไปกับโต๊ะใหม่อีกครั้ง ทีเรื่องอย่างนี้นี่ไวเหลือเกิน กับเรื่องเรียนเคยจริงจังแบบนี้บ้างไหววะเพื่อน เดี๋ยวผมจะคอยดูว่าครึ่งหลังจะตั้งใจเรียนอย่างที่พูดจริงๆ หรือเปล่า
 
               จัสพุ่งตัวไปหน้าห้องตรงที่มิชิกับเค้กนักอยู่ด้วยความเร็วทันทีที่อาจารย์ปล่อยพัก คือถ้าพูดตามจริงก็คือขามันยาวไงครับ ก้าวลงบันไดทีละสองสามขั้นสบายๆ ใช้เวลาไม่นานมันก็ถึงหน้าห้องแล้ว ส่วนผมก็ได้แต่เดินเอื่อยๆ ตามมันไป ง่วงฉิบหายเลยครับ ประมวลกฎหมายที่แบกมาตั้งใจว่าจะตั้งใจเรียนตั้งใจจดวันนี้ก็ดันกลายเป็นหมอนหนุนกลายๆ ไปแทน
 
               “พวกมึง ไปหากาแฟแดกกันเถอะ”
               “เพราะมึงเลยไอ้จัส ปลุกกูสาย ไม่อย่างนั้นกูก็ได้แวะซื้อกาแฟแล้ว”
 
               “ก็ดีเหมือนกัน เค้กหิวอะ ว่าจะไปหาขนมปังกินหน่อย มิชิลุกเร็ว” ไอ้คุณชายผมทองรีบเด้งตัวขึ้นจากโต๊ะที่ฟุบอยู่ทันที ผมนี่อยากจะตบหัวมันสักที ทำตัวน่าหมั่นไส้โคตร จัสมันยืนงอแงอยู่ตั้งนานมิชิก็เอาแต่ฟุ๊บหน้าทำเป็นไม่สนใจ พอเค้กพูดเท่านั้นแหละ เงยหน้าพร้อมคว้ากระเป๋าตังค์มาเตรียมไว้เสร็จสรรพเลยนะ
 
               “จะไปก็ไปดิ กูหิวน้ำเหมือนกันอะ”
               “แล้วเมื่อกี้ใครมันบอกว่าอยากงีบวะ สองมาตราฐานฉิบหาย ทีกูชวรนี่ไม่ยอมลุกนะไอ้คุณชาย”
 
               “ก็ลุกแล้วนี่ไง มึงจะบ่นทำไมวะจัส ไปมึง” มิชิกอดคอไอ้จัสแล้วลากกันลงบันไดไปโดยผมกับเค้กได้แต่มองหน้ากันขำๆ แล้วเดินตามไป เพราะเวลาพักที่ไม่ยาวนัก พวกเราเลยตัดสินใจจะไปแค่ร้านกาแฟเล็กๆ ด้านล่างตึก หวังว่าเด็กคณะอื่นคงจะไม่พักตรงกันกับพวกผม และคนคงไม่เยอะจนเกินไปนะ ตอนนี้ร่างกายผมต้องการกาแฟมากจริงๆ
 
               ติ๊ง
 
                : วันนี้มีขนมปังริชคอฟฟี่กับคุกกี้คอนเฟลกที่พี่วอร์มชอบด้วย
 
               ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยทันทีที่เห็นข้อความที่ถูกส่งมา ชักจะรู้จักผมดีเกินไปแล้วมั้ง เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดถึงมันคือขนมโปรดที่ผมชอบกินแต่มันก็หาซื้อยากเย็นเหลือเกิน เพราะทางร้านไม่ค่อยอบขนมปังรสนี้ หรือบางวันต่อให้อบ ผมก็ไปไม่ค่อยจะทันหรอกครับ ขายหมดก่อนตลอดเลย ข้อความที่ถูกส่งมานั้นประจวบเหมาะราวกับรู้ว่าตอนนี้พวกผมกำลังจะไปที่ร้านนั้นยังไงอย่างนั้น
 
               “วอร์มเป็นอะไรรึเปล่า...”
               “อ๋อ เปล่าหรอกเค้ก พอดีมีพวกข้อความโฆษณาส่งมากวนใจนิดหน่อยอะ” ผมบอกปัดไปทั้งที่ในใจยังคงมีคำถามอยู่มากมาย และเมื่อเดินมาถึงที่ร้านกาแฟก็พบว่ามีคนไม่น้อยเลยที่เดินเบียนดันเพื่อเลือกดูขนมที่อยู่ในร้าน รวมถึงแถวต่อซื้อกาแฟที่ไม่ยาวมากนัก ถือว่ายังโชคดีอยู่
 
               “ไอ้จัส! สั่งคาราเมลมัคคิอาโต้ให้กูด้วย” ผมตะโกนไล่หลังเพื่อนตัวสูงไป เพราะไหนๆ เพื่อนทั้งสองก็ไปต่ออยู่ในแถวสั่งกาแฟเรียบร้อยแล้ว ส่วนผมก็เลยชวนเค้กไปเดินดูขนมอีกมุมนึง เมื่อเดินเข้ามาถึงมุมในสุดของร้านซึ่งมีโต๊ะสำหรับลูกค้าอยู่บรเวณนั้นด้วย ผมก็เจอไอติมกับเพื่อนซี้ทั้งสองนั่งเคี้ยวขนม พูดคุยหยอกล้อกันอยู่อย่างสนุกสนาน เป็นเด็กปี1 นี่มันสบายจริงๆ คงเพราะยังไม่ได้เน้นวิชาคณะด้วยแหละครับ เลยยังไม่เครียดเท่าไหร่
 
               “พี่เค้ก พี่วอร์ม สวัสดีครับ” น้องทั้งสามเอ่ยทักพวกเราเสียงใสคนที่มาพร้อมผมก็เลยตรงไปหย่อนตัวลงนั่งข้างน้องสายตัวเองทันทีก่อนจะเริ่มต้นคุยกันสองคน ทำให้ผมต้องมาคุยกับน้องสองคนที่เหลือแทน
 
               “พี่จัสกับพี่มิชิไม่มาด้วยหรอครับ” จูเนียร์เป็นฝ่ายเอ่ยถามผม เพราะส่วนมากพวกเราสี่คนก็มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด น้องคงแปลกใจที่ในวันนี้ไม่เห็นพี่สายของตัวเองทั้งสองคน
 
               “มันต่อแถวซื้อกาแฟกันอยู่อะ แล้วนี่มานั่งทำอะไรกัน”
               “จริงๆ ก็มีเรียนอะครับ ตอนพักก็เลยออกมาหาไรกิน ง่วงด้วยอยู่แต่ในห้องเรียนมีแต่หลับกับหลับ”
               “แล้วพักถึงตอนไหน”
               “ถึง... เมื่อสิบนาทีที่แล้วครับ แฮ่...” จูเนียร์ตอบและหันมายิ้มแหยๆ ให้ผม โดยคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสายผมนั้นไม่พูดกับผมสักคำ เอาแต่กิ้มหน้าก้มตาเคี้ยวขนมตุ้ยๆ มันน่าแช่งให้สำลักเหลือเกิน
 
               “แค่กๆ”
               “ไอ! กินดีๆ สิ ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้นก็ได้ไหม” จูเนียร์รีบลูบหลังเพื่อนรักทันทีพร้อมส่งแก้วนมเย็นสีชมพูตรงหน้าให้ไอติม นี่ผมต้องรู้สึกผิดไหมครับ แค่คิดเล่นๆ น้องก็ดันสำลักขึ้นมาจริงๆ เสียอย่างนั้น
 
               “กลัวใครแย่งกินหรือไง ใจคอไม่คิดจะคุยกับพี่สายตัวเองเลยใช่ไหม”
               “ง่ะ... ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ก็... ผมรีบกินจะได้รีบไปเรียนต่ออ่า...” ไอติมเงยหน้ามาตอบผมอยู่พักเดียวก็ก้มหน้ากลับลงไปจ้องเจ้าคุกกี้คอนเฟลกในถุงอีกแล้ว ในถุง บนโต๊ะ หรือบนพื้นมันมีอะไรหน้ามองมากกว่าหน้าผมตอนนี้ด้วยหรือยังไง
 
               “ไอคุยกับพี่วอร์มไปก่อนนะ จูขอเดินไปทักพี่จัสกับพี่มิชิแป๊บนึง”
               “ใครๆ เขาก็ไปทักไปคุยกับพี่สายตัวเองทั้งนั้น มีแต่คนแถวนี้...” ผมเอ่ยแซวน้องด้วยน้ำเสียงที่แอบตัดพ้อเล็กน้อย แล้วอยู่ๆ คนตรงหน้าผมก็ยื่นคุกกี้คอนเฟลกมาจ่อปากผมเฉยเลย ผมเลยเลิกคิ้วมองน้องด้วยความสงสัย
 
               “พี่วอร์มกินเร็ว...”
               “อะไร เอามาให้กินทำไม”
               “ก็... ช่วยผมกินหน่อย กินคนเดียวกินไม่หมดอะครับ” เหตุผลมันช่างตลกสิ้นดีแต่สุดท้ายแล้วผมก็งับมันมาจากมือน้อง มันเป็นคุกกี้ที่ผมชอบอยู่แล้วด้วย มีคนป้อนให้ถึงที่แบบนี้เรื่องอะไรจะปฏิเสธล่ะครับ จริงไหม
 
               “โหย ไรอะมีป้อนกันด้วย น้องไอติมไม่เห็นป้อนพี่บ้างเลย”
               “อ่า... พี่จัสก็ทานด้วยกันสิครับ” ไอติมขบริมฝีปากล่าง ก่อนจะยื่นถุงคุกกี้ไปให้ไอ้จัสที่ยืนอยู่ข้างหลังผม
 
               “โห... สองมาตรฐานกันอีกแล้ว... ทีไอ้วอร์มยังป้อนเลย พอเป็นพี่จัสนี่ยื่นถุงคุกกี้ให้เฉยๆ น้อยใจได้เปล่าเนี่ย” ไอ้จัสบ่นออกมาแต่ก็รับถุงคุกกี้มาจากน้องไอติมแล้วหยิบออกไปชิ้นนึง
 
               “อะไรไอ้จัส... มึงเป็นใครทำไมน้องต้องป้อนมึง” ผมหันไปแขวะเพื่อนกลับ
               “แล้วมึงอะเป็นอะไรกับน้องเขาหรอ น้องเขาถึงป้อนมึงเนี่ย” จัสถามผมกลับ
               “กูเป็นพี่สายน้องไอติมเว้ย...” เอาสิผมไม่ยอมแพ้มันหรอก
 
               “หรา~ กูไม่เคยเห็นพี่สายน้องสายคนไหนป้อนขนมให้กันเลย” ผมเหลือบไปมองหน้าน้องไอติมที่เริ่มยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยตัวเองแล้วทำหน้างงๆ เหมือนไม่รู้จะทำยังไงกับเหตุการ์ณนี้ ท่าทางเด๋อด๋าของน้องโคตรน่ารักเลยครับ แต่ผมจะมัวแต่มองน้องแบบนี้ไม่ได้
 
               “ถ้าอย่างนั้นมึงก็เห็นซะนะ... พวกกูนี่แหละพี่สายน้องสายกัน จะป้อนขนมกันให้มึงดู... มา! ไอติม เหลืออีกนิดนึง พี่ป้อนนะครับ อ้า~” ผมแก้ไขสถานการ์ณนี้โดยการหยิบคุกกี้ที่เหลือในถุงสองชิ้นออกมาหนึ่งชิ้นแล้วยื่นไปจ่อที่ปากน้อง
 
               “พะ...พี่วอร์ม...”
               “เอ้า! กินเร็วสิ... ช่วยกันกินจะได้หมดไวๆ ไง” ผมบอกน้องที่ทำหน้าเลิ่กลั่กก่อนจะค่อยๆ ยื่นปากเข้ามางับคุกกี้ในมือผม แต่ไอติมยังกัดไปไม่ถึงครึ่งชิ้นเลย ผมเลยต้องเอาคุกกี้ส่วนที่เหลือมาส่งเข้าปากแทน
 
               “อืม... อร๊อยอร่อยเนอะ ไอติมเนอะ” ผมหันไปบอกน้องก่อนจะยักคิ้วใส่ไอ้จัสที่กำลังมองบนใส่ผมอยู่ หน้าตาแม่งโคตรตลกอะครับ
 
               “เอาที่สบายใจเลยเว้ยเพื่อน... เฮ้อ... รำคาญ!” ไอ้จัสบ่นออกมาอีกรอบก่อนจะหันกลับหลังแล้วเดินเข้าไปหามิชิที่ยังยืนรอกาแฟอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์ ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันมามองหน้าน้องไอติมที่มองมาที่ผมตาแป๋วกับเค้กที่ส่งยิ้มแปลกๆ มาให้ผม
 
               “เค้กยิ้มอะไร” ผมเอ่ยถามเค้กที่ยิ้มค้างอยู่
               “เปล๊า~ เค้กก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยอะ” ผมส่ายหน้าเบาๆ ให้กับเค้กที่หันไปชวนน้องไวท์คุยต่อ ยิ้มแบบนั้นมันดูไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
 
               “อ่าว... เหลืออีกชิ้นกินให้หมดสิไอติม”
               “ผมอิ่มแล้วง่ะ... พี่วอร์มสนใจกินอีกชิ้นไหมครับ”
               “พี่กินไปเมื่อกี้แล้วไง”
 
               “อ่า... ทำยังไงดีอะ จะทิ้งก็เสียดาย... พี่เค้กกับไวท์สนใจไหมครับ” ผมเลิ่กคิ้วมองน้องหลังจากที่น้องพูดจบ อยู่ดีๆ ความคิดบางอย่างก็แล่นปราบเข้ามาในหัวผมมันทำให้ผมนึกถึงไลน์ปริศนานั่นที่ส่งมาหาผมเมื่อครู่ แต่ก็อย่างที่ว่านั่นละครับ คุกกี้คอนเฟลกมันค่อนข้างหาซื้อยากแล้วร้านนี้ก็ทำอร่อยด้วยมันก็คงไม่แปลกที่มีแต่คนอยากซื้อขนมนี่มากิน ถ้ากินไม่หมดก็น่าเสียดายแย่
 
               “อ่าๆ มาๆ พี่กินเองก็ได้มา... เห็นว่าหาซื้อยากหรอกนะ จะทิ้งก็เสียดาย” ผมหยิบคุกกี้ชิ้นสุดท้ายในถุงมากินก่อนที่ไอติมจะส่งยิ้มตาปิดมาให้ผมจนผมอดไม่ได้ที่จะยีผมน้องเล่นอย่างหมั่นเขี้ยว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าน้องสายผมคนนี้น่ารักมากจริงๆ
 
               “จู... ไวท์... ขึ้นห้องเรียนกันเถอะ เข้าช้ามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วอะ”
               “นานขนาดนั้นแล้วหรอ งั้นรีบไปกันเถอะ ไวท์ต้องไปตามหาคนให้ยืมเลคเชอร์อีกสิเนี่ย ฮือ”
               “ผมไปก่อนนะครับพี่วอร์ม...”
               “อือ... ตั้งใจเรียนล่ะ อ้อ! แล้วก็ขอบใจสำหรับคุกกี้นะ” ผมยกยิ้มให้น้องเล็กน้อยก่อนที่น้องทั้งสามคนจะรีบวิ่งขึ้นบันไดไปทันที น้องไวท์นี่ก็ตลกดีเหมือนกันนะครับ ผมได้ยินเค้กเคยเล่าให้ฟังว่าจริงๆ แล้วน้องค่อนข้างเป็นเด็กเรียนเลยล่ะ แต่ว่า ถ้าเป็นเรื่องเพื่อน หรือเรื่องขนมและของกินอร่อยๆ น้องก็จะให้ความสำคัญไม่แพ้เรื่องเรียนเลย ท่าจะจริงอย่างที่เค้กว่า
 
               พวกผมเองหลังจากที่ได้กาแฟและขนมแก้ง่วงคลายหิวกันแล้วก็พากันเดินกลับขึ้นห้องเรียน ผมกับไอ้จัสก็รีบโกยของย้ายไปนั่งข้างหน้ากับเค้กและมิชิทันที มันมีที่ว่างอยู่ครับแต่ที่ย้ายมานั่งตรงนี้ตั้งแต่แรกไม่ได้ก็เพราะตอนที่ผมมาถึงอาจารย์เริ่มสอนไปแล้ว
 
               เอาล่ะ คราวนี้ผมจะตั้งใจจดแล้วครอบครัวผมจะต้องไม่แตกแยก คือมันเป็นวิชากฎหมายครอบครัวและมรดกน่ะครับ ในหมู่นักศึกษาก็เลยมักจะพูดทีเล่นทีจริงกัน สำหรับคนที่ทำข้อสอบไม่ได้หรือสอบไม่ผ่านว่าครอบครัวแตกแยก ผมเปิดประมวลกฎหมายและหยิบโพสอิทกับปากกาขึ้นมาเตรียมพร้อมแต่อาจารย์ยังไม่มาซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ โทรศัพท์มือถือของผมสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงอย่างต่อเนื่องก็เลยต้องหยิบขึ้นมาดูอย่างเสียไม่ได้
 
                 : พี่วอร์มอาจารย์เข้าสอนรึยังครับ
                 : ผมขอโทษทีรบกวนเวลาเรียนของพี่
                 : แต่ขอผมบ่นหน่อยเถอะ ทำไมคนบางคนถึงทั้งกวนประสาทแล้วทำอะไรได้หน้าเฉยขนาดนั้นอะ
                 : อ่านแล้ว? แสดงว่ายังไม่เรียนหรอครับ ช่างเถอะ ขอผมบ่นต่อก่อน
                 : พี่เคยเจอคนที่ทั้งกวนประสาททั้งขี้เอาแต่ใจไหม แบบทำอะไรไม่คิดจะปรึกษาหรือถามคนอื่นก่อนเลยอะ ว่าเขาโอเคกับการกระทำของตัวเองด้วยหรือเปล่า บอกตรงๆ ว่าผมโคตรหงุดหงิดเลย หงุดหงิดเขาที่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ แต่ผมก็หงุดหงิดตัวเองมากกว่า ทำไมต้องไปเขินกับการกระทำบ้าของเขาด้วยก็ไม่รู้ คนๆ นึงมันจะทำให้คนอื่นใจสั่นได้ขนาดนี้เลยหรอ ชักจะอันตรายเกินไปแล้ว เฮ้อ....
 
               อะไรของมันวะครับ ตอนแรกก็เหมือนจะเกรงใจที่มารบกวนเวลาเรียนของผมอยู่นะ แต่ไปๆ มาๆ ขอบ่นก่อน ขอกันดื้อๆ แบบนี้ก็ได้หรือไงวะ บ่นเสร็จแล้วก็ไปง่ายๆ เลย เห็นผมเป็นอะไรวะ แล้วผมก็บ้านั่งอ่านตามที่มันบ่นมาอีก ไม่รู้ใครบ้ากว่ากันกันแน่ ขยันเรียกร้องความสนใจเหลือเกิน ผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันนะที่การเรียกร้องความสนใจของเจ้าของไลน์ปริศนานั่นมันดันใช้ได้ผลกับผมด้วยเนี่ยสิ ตามอ่านมาทุกวันจนกลายเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้วสิ ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันนะว่าเขาเป็นใคร แต่ถ้าจะให้พิมพ์ตอบกลับไปผมว่ามันก็ไม่ใช่อะ ก็หวังว่าผมคงจะได้ทำความรู้จักกับเขามากขึ้นโดยผ่านตัวหนังสือและเรื่องราวที่เขาถ่ายทอดมาก็แล้วกัน

.

.

.

To be Continue...



.............................................................


ขยันแกล้งน้องเหลือเกินนะคะพี่วอร์ม > <
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2018 15:51:22 โดย myj514 »

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
เด็กๆนี่สดใสจังค่ะ อยากกลับไปเป็นเด็กมั่ง ^^

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เอ็นดูน้องไอ บ่นใสเขาเฉย 5555

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

 
:: Chapter 6 :: 'เป็นใจ'
[/b]



**พี่วอร์ม**


               “วอร์ม... ไอ้วอร์ม... เหม่อไรอยู่วะ... กูเรียกตั้งนาน”


               “เปล่าๆ ไม่มีไร... แล้วมึงเรียกไม”


               “เย็นนี้ไปเดินห้างกัน เนี่ยเมื่อกี้กูชวนมิชิกับเค้กแล้ว...” จัสเอนตัวมาหาผมก่อนจะวางแขนไว้บนไหล่ผม องศามันช่างพอดีเสียเหลือเกิน สบายเลยนะมึง


               “ไปห้างอีกแล้ว... ไปทำไรบ่อยๆ วะ”


               “วีคหน้าไปรับน้องแล้ว... กูว่าจะไปหาซื้อของใช้หน่อยว่ะ”


               “เซเว่นใต้หอมึงไม่มีหรอ... ถ่อไปตั้งไกล”


               “เซเว่นมีไนกี้ให้กูซื้อไหมล่ะครับ แหม มึง”


               “แล้วก็ไม่บอกให้เคลียร์ว่าจะไปซื้ออะไร... เออๆ ไปก็ไป... ได้ข่าวว่าลดราคาอยู่” ผมตอบตกลงทันทีครับ เอาจริงๆ ก็อยากได้รองเท้าใหม่อยู่เหมือนกัน แว่วๆ จากที่ได้ยินคนในชุมนุมพูดว่าช่วงนี้กำลังลดราคาอยู่ด้วย จัดสักหน่อยก็ไม่เสียหายครับ


 
              : ขอบคุณที่ยอมอ่านที่ผมบ่นนะครับพี่วอร์ม ได้ระบายแล้วดีขึ้นเยอะเลย เมื้อกี้ผมอึดอัดจะแย่...
              : อ้อ! ลืมบอก พี่วอร์มตั้งใจเรียนด้วยนะครับ
 
               คนเรา ยังจะมาสั่งให้ตั้งใจเรียนอีก ได้ข่าวว่าเป็นคนก่อกวนผมแท้ๆ นะครับเนี่ย ไม่รู้ว่าไอ้บ้านั่นที่เจ้าของไลน์นี่บ่นถึงมันทำอะไรให้โมโหนักหนานะครับ แต่ผมไม่ใช่ที่ระบายของมันนะโว้ย ผมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะปิดโทรศัพท์แล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกงเพื่อหันไปตั้งใจเรียนต่อ ส่วนไอ้จัสก็ เริ่มเข้าโหมดประหยัดพลังงานตามระเบียบ นี่ขนาดนั่งหน้าห้อง ไหนใครบอกว่าครึ่งหลังจะตั้งใจเรียนยังไงวะ



               .
               .
               .




**น้องไอติม**



               “เร็วเนอะอาทิตย์หน้าไปรับน้องแล้วอะ” จูเนียร์บ่นขึ้นมาระหว่างที่กำลังเดินกลับหอกันอยู่ เมื่อกี้ผมกับจูเนียร์เพิ่งแยกกับไวท์หลังจากที่ไปจัดหนักสเต็กจานใหญ่กันมา อิ่มจนจะเดินแทบไม่ไหวแล้วครับ
 

               “อือ... ไวเนอะ”


               “ตื่นเต้นอะ! ไม่รู้จะโดนรับน้องอะไรบ้าง... พี่มิชิกับพี่จัสบอกเมื่อตอนเช้าที่เจอกันว่าให้เตรียมตัวแล้วก็เตรียมใจด้วย... ไม่รู้ว่าขู่เล่นๆ หรือว่าขู่จริงๆ”

 
               “อือๆ” ผมตอบไปแค่นั้นไม่ใช่ว่าไม่ได้สนใจที่เพื่อนบอกนะครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกง่วงมากๆ พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนโดยอัตโนมัติเลยครับ


               “ไอ~ ฟังจูอยู่รึเปล่าเนี่ย... อย่าเพิ่งหลับนะ ยังเดินไม่ถึงหอเลย”


               “ฮือ ง่วงอะจู” ผมซบหน้าลงบนไหล่เพื่อนแต่ขาก็ยังเดินไปด้วย อยากจะรู้เหลือเกินว่าสเต็กไก่สไปซี่ที่กินเข้าไปนั่นแอบใส่ยานอนหลับมาให้ผมด้วยหรือเปล่า ทำไมมันถึงได้ง่วงแบบนี้นะ

 

               ปิ๊น! ปิ๊น! ปิ๊น!
 


               อาการที่ง่วงๆ อยู่เมื่อกี้หายทันทีเลยครับ เพราะอยู่ๆ ก็มีรถยนต์คันโตมาบีบแตรใส่พวกผมแถมยังขับชะลอมาจอดข้างพวกผมอีก ว่าแต่เป็นใครกันนะ
 

               “จูเนียร์! ไอติม! พี่เองๆ” คนบนรถลดกระจกลงก่อนจะเอ่ยทักพวกผมสองคน เจ้าของรถคนนี้คือพี่จัสนี่เอง เคยเห็นแต่ตอนเดินไปเดินมาในมหาลัยครับไม่เคยเห็นตอนพี่เขาขับรถสักเท่าไหร่


               “อ่า... พี่จัสสวัดดีครับ” พวกผมเอ่ยทักทายพี่จัสอีกครั้ง ถึงแม้วันนี้พวกผมจะเจอพวกพี่ๆ เขาเมื่อเช้าไปแล้วก็เถอะ แต่เจอหน้ากันตอนไหนผมก็ทักตอนนั้นแหละครับ การทำความเคารพรุ่นพี่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่ครับ


               “ไปไหนกัน แล้ว... ไวท์ไม่มาด้วยหรอ ปกติเห็นตัวติดกันสามคนตลอด...”


               “เพิ่งกินข้าวเสร็จครับ ส่วนไวท์กลับหอไปแล้วครับพี่จัส” จูเนียร์หันไปบอกกับพี่จัสที่พยักหน้ารับรู้


               “แล้วนี่จะกลับหอกันหรอ... อยู่หอไหนอะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” พี่จัสเอ่ยชวน


               “โหย หอจูอยู่ข้างหน้านี่เองเดินไม่กี่ก้าวก็จะถึงแล้ว... พี่จัสไปส่งไอติมแทนได้ไหมครับ ไอติมต้องเดินไปอีกหน่อย... จูขี้เกียจเดินไปส่งไอแล้ว” จูเนียร์พูดต่อยืดยาวจนผมต้องตีแขนเพื่อนไปทีนึง

 
               “นี่แหน่ะ! จูจะเดินไปส่งไอทำไมล่ะ! ไม่ต้องหรอก... พี่จัสด้วย ไม่เป็นไรหรอกครับ ไอเดินกลับเองได้”


               “ก็ไออะ ทำท่าจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ เดินกลับไปเองคนเดียวกลัวจะโดนรถเฉี่ยวปลิว ตัวยิ่งผอมๆ อยู่”


               “จูก็พูดซะเวอร์เลย! ไอกลับเองได้ ไม่ถึงขนาดเดินหลับขนาดนั้นหรอก แค่กินอิ่มแล้วมันง่วงเฉยๆ ง่ะ”

 
               “อ่าๆ ไม่ต้องเถียงกันๆ เอางี้ เดี๋ยวพี่ไปส่งไอติมที่หอเอง เกิดเป็นอะไรไปแล้วไอ้วอร์มจะมาเกรี้ยวกราดใส่พี่ โทษฐานที่เจอน้องระหว่างทางแล้วไม่พาไปส่งหอ... ว่าแต่ไอติมอยู่หอไหนล่ะ” พี่จัสถามต่อแต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ เพื่อนผมก็แย่งตอบไปก่อนเสียแล้ว

 
               “ไอก็อยู่หอเดียวกับพี่วอร์มนั่นแหละครับ”


               “เฮ้ยจริงปะ?! โห พอดีเลยเนี่ย พี่กำลังจะกลับไปที่หอมันอยู่พอดี คือมันลืมของไว้ว่าจะเอาไปให้มันด้วย... ดีเลยพี่จะได้ฝากไอติมเอาขึ้นไปให้มันด้วย พี่ขี้เกียจวนหาที่จอดรถแล้ว” พี่จัสรีบกวักมือเรียกให้ผมขึ้นรถโดยมีจูเนียร์ช่วยเปิดประตูรถให้อย่างรู้งาน

 
               “โชคดีนะไอ” จูเนียร์กระซิบบอกผมขณะที่ผมกำลังก้าวขึ้นรถ แถมยังขยิบตาให้ผมด้วย จะอะไรขนาดนั้นอะครับเพื่อน


               หลังจากที่ผมขึ้นรถพี่จัสมาแล้วร่ำลากับจูเนียร์เรียบร้อยแล้ว พี่จัสก็มาส่งผมที่หน้าหอ พร้อมกับฝากของเอาไปให้พี่วอร์มกำชับมาว่า ชั้น5 ห้อง 509 แล้วไม่นานลิฟท์ก็มาหยุดที่ชั้น5 ตึกเดียวกับที่ผมพักอยู่นี่ละครับ

 
               “ฮัลโหลจู... ช่วยด้วย”
               (ทำไม เกิดอะไรขึ้น)
               “ก็พี่จัสฝากของให้ไอเอาไปพี่วอร์มที่ห้องอะ...”
               (อ้าว! ไอก็เอาไปให้พี่วอร์มสิ)
               “ไม่กล้าเคาะห้องพี่วอร์มอะ... จูว่าไอควรไลน์ไปบอกพี่วอร์มให้ลงมาเอาของข้างล่างดีไหม”
               (แล้วตอนนี้ไออยู่ไหน)
               “หน้าห้องพี่วอร์ม...”
 


               แกร๊ก!


 
               เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งกันเลยอะครับ ผมเดินวนไปมาอยู่หน้าประตูห้องพี่วอร์ม เพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงจนโทรหาจูเนียร์เพื่อปรึกษาเรื่องนี้ แล้วอยู่ดีๆ พี่เขาก็เปิดประตูออกมาเสียอย่างนั้น

 
               “อ้าว! ไอติมอยู่ชั้นนี้หรอ”


               “เอ่อ... คือ... ฮัลโหลจูแค่นี้ก่อนนะเดี๋ยวไอโทรกลับ” ผมหันไปบอกกับเพื่อนในสายก่อนจะกดตัดสายทิ้งแล้วหันไปมองหน้าพี่วอร์มที่เปิดประตูห้องค้างไว้
 

               “คือเมื่อกี้ผมเจอพี่จัสก่อนกลับเข้ามาในหออะครับ แล้วพี่จัสเลยขับรถมาส่งผมที่หอ... แล้วพี่จัสก็ฝากของมาให้พี่วอร์มครับ” ผมไม่รู้จะพูดยังไงก็เลยพูดตามที่คิดเอาไว้ แต่มันดูเหมือนผมกำลังท่องบทอะไรสักอย่างอยู่เลย พี่เขาแค่ถามว่าผมอยู่ชั้นนี้รึเปล่าแต่ผมกลับตอบรัวกลับไปแบบนั้น
 


               “อ้อ! ก็ว่าแม่งหายไปเลย อือ... พี่โทรไปบอกให้มันเอาของมาให้เองแหละ พอดีลืมไว้ในรถมันอะ กำลังจะลงไปดูเลยว่ามันมารึยัง... แล้วนี้มันใช้ให้ไอติมเอามาให้พี่หรอ” ประโยคแรกเหมือนพี่วอร์มน่าจะบ่นถึงพี่จัส ส่วนประโยคหลังนั้นพูดกับผม
 

               “อ่า... พี่จัสแค่ฝากมา ไม่ได้ใช้อะไรเลยครับ” ถึงพี่จัสจะใช้ผมก็เต็มใจเอาขึ้นมาให้พี่อยู่แล้ว ประโยคหลังนี้ผมได้แค่คิดต่อท้ายในใจเอาเท่านั้น
 

               “ก็เหมือนกันนั่นแหละ! ดีนะที่มันขับรถมาส่งไอติมที่หอ ไม่อย่างนั้นจะโทรไปด่ามันเดี๋ยวนี้แหละ”


               “พี่จัสคงเห็นว่าผมอยู่หอเดียวกับพี่วอร์มเลยฝากผมเอามาให้น่ะครับ พี่วอร์มอย่าไปด่าเพื่อนนะ”


               “อืม รู้แล้ว... ยังไงก็ขอบใจมากนะ... ว่าแต่ แล้วเราพักอยู่ชั้นไหนอะ”


               “ชั้นเก้าครับ”


               “ชั้นเก้าหรอ... แบบนี้ก็น่าจะเคยได้ยินตำนานอะดิ”


               “ตะ...ตำนานอะไรครับ” พี่วอร์มอย่ามาพูดเล่นแบบนี้ดิ ฮื่อ ผมเริ่มใจไม่ดีแล้วนะ


               “อ้าว ไม่รู้หรอกหรอ... เขาาว่าชั้น 9 อะ... มีคนเคยเจอ...”

 
               “พี่วอร์มง่า... อย่าแกล้งผมดิ! ไม่เอาแล้ว ผมกลับห้องดีกว่า ไปก่อนนะครับ” ผมรีบเดินออกมาจากหน้าห้องพี่วอร์มแล้วไปที่ลิฟท์ทันที ถึงจะได้รู้ว่าพี่วอร์มพักอยู่ห้องไหนแล้วก็เถอะ แต่มันคุ้มไหมเนี่ยกับการโดนพี่เขาแกล้งกลับมานี้ ทำไมไอติมต้องมาเจอคนแบบนี้ด้วยเนี่ย แล้วจะไม่ให้เจอกันก็ไม่ได้อีก เป็นพี่น้องสายเดียวกันแถมพี่วอร์มดันเป็นคนที่ทำให้ผมละสายตาจากพี่เขาไม่ได้อีก มันจะดีหรือไม่ดีกันแน่ล่ะครับเนี่ย







……



 
               วันนี้ผมตื่นเช้ามาเรียนด้วยหน้าตาง่วงสุดๆ แทบจะหลับตาเดินอยู่แล้วครับ ใครเห็นก็คงคิดว่าผมต้องอดหลับอดนอนมาแน่ๆ ทั้งๆ ที่ผมก็นอนนะครับ ไม่ได้ปั่นงานจนดึกหรือตั้งใจโต้รุ่งอะไรทั้งนั้น แต่มันหลับไม่สนิทเพราะความหวาดระแวงมากกว่า
 

               “ทำไมหน้าตาเหมือนไม่ได้นอนมาเลยอะไอติม” ไวท์เอ่ยทักผมหลังจากที่ผมเข้ามานั่งในห้องเรียนในคาบเช้าของวันนี้ จะบอกยังไงดี คือเมื่อคืนหลังจากที่ผมเอาของที่พี่จัสฝากไว้ไปให้พี่วอร์มแล้วโดนพี่วอร์มแกล้งหลอกเรื่องผีมาเนี่ย ผมก็นอนหลับไม่สนิทเลยอะ น่าโมโหชะมัด คนอะไรจะขี้แกล้งได้ตลอดเวลาขนาดนี้
 

               “อือ... ไอนอนไม่ค่อยหลับอะไวท์”


               “เป็นอะไรเปล่าไอ ทำไมนอนไม่หลับอะ” จูเนียร์หันมาถามผมต่อ


               “อย่าให้ไอเล่าเลย... นึกแล้วก็โมโห”


               “ทำไมอะ”


               “ก็พี่วอร์มอะดิ”

 
               “อ้าว... ไอไปเจอพี่วอร์มมาตอนไหน” ไวท์รีบถามผมต่อแต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรอาจารย์ก็เดินเข้ามาพอดี ทุกคนเลยเลิกสนใจเรื่องผมแล้วหันไปนั่งรอฟังอาจารย์แทน
 

               ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จริงๆ ก็รู้สึกโล่งอกที่ไม่ต้องตอบคำถามเพื่อนเพราะผมเองก็ไม่รู้จะเริ่มอธิบายยังไงเหมือนกัน แต่เมื่อคืนผมนอนหลับไม่สนิทจริงๆ นะครับ ขนาดตอนอาบน้ำได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากข้างนอกผมก็แทบไม่อยากอาบต่อแล้ว ฮื่อ พี่วอร์มจะรู้บ้างไหม ว่าทำให้ผมต้องลำบากขนาดนี้อะ




               .
               .
               .




**พี่วอร์ม**


               “ฮัดชิ่ว!”


               “อ้าวไอ้วอร์ม มึงไม่สบายหรอ”


               “หึ เปล่าอะ...” ผมใช้นิ้วชี้ถูจมูกไปมาเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามมิชิ ไม่รู้เป็นอะไรช่วงนี้จามบ๊อยบ่อย ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ป่วยหรือไม่สบายอะไรตรงไหนเลยด้วยซ้ำ

 
               “มีคนคิดถึงเปล่ามึง” จัสถามต่อ


               “บ้าเหอะ”


               “จามครั้งเดียว ไม่น่ามีคนคิดถึงหรอกจัส... แบบนี้น่าจะมีคนนินทาวอร์มมากกว่า” เค้กหันมาอธิบาย ตอนนี้มีผมกับจัสที่นั่งข้างกันส่วนแถวหน้าผมก็คือเค้กกับมิชิที่นั่งอยู่ด้วยกัน วันนี้ดีหน่อยที่เป็นห้องใหญ่เรียนรวมกันหลายคน เค้กเลยจองที่ไว้ให้พวกผมได้ ถึงแม้จะไม่ได้นั่งติดกันก็เถอะ แต่ผมว่านั่งแบบนี้ก็พูดคุยกันได้สะดวก ดีกว่านั่งเรียงกันสี่คนเสียอีก

 
               “ใครมันมานินทาไอ้คุณวอร์มสุดฮ๊อตดีกรีน้องร้องนำโฟล์คซองของมหาลัยได้วะ” มิชิหันมาแซ็วผมต่อ


               “มันเกี่ยวไหมวะเนี่ย” ผมตอบกลับไปก่อนจะส่ายหน้าให้ไอ้มิชิที่ชอบสันนิษฐานมั่วไปเรื่อย แต่ด้วยความหน้าตาดีและมาดคุณชายของมัน เวลาพูดอะไรก็ดูจะมีสาระและน่าเชื่อถือไปเสียหมด ผิดกับไอ้จัสที่ต่อให้มันจะจริงจังสักแค่ไหน ก็ดูเป็นเรื่องเล่นๆ และหาสาระไม่ค่อยจะได้

 
               ไม่นานนักมือถือของผมก็สั่นครืดๆ อยู่ในกระเป๋าจนต้องหยิบขึ้นมาดู แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด มันคือข้อความจากเจ้าของไลน์ปริศนาที่ไลน์หาผมทุกวันนั้นแหละ

 
                : พี่วอร์มไปเรียนแล้วใช่ไหมครับ... คาบเช้านี้ก็ตั้งใจเรียนนะ
                : (สติ๊กเกอร์แมวชูป้ายสู้ๆ)
 

               ไอ้หมอนี่ท่าทางจะมีเรียนเช้าเหมือนกัน ส่งมาหาผมเหมือนรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ตลอดเลย

 
                : เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับเลยอะ
                : พี่รู้ไหม... มีคนกวนประสาทผมเมื่อคืนจนทำให้ผมต้องหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืนเลยอะ วันนี้ผมโดนเพื่อนทักว่าเป็นหมีแพนด้าด้วยอะ เสียความมั่นใจชะมัด
 

               ผมแอบขำกับข้อความนั้น แล้วก็มานั่งสงสัยว่าทำไมต้องมาขำกับเรื่องของมันด้วยวะ แค่นอนไม่หลับแล้วโดนเพื่อนแซ็วว่าเป็นหมีแพนด้าแค่นี้ก็ต้องรายงานผมด้วยหรือยังไง นี่ผมเป็นผู้ปกครองของมันหรอวะครับ
 

               “เอาอีกแล้ว มึงนั่งยิ้มกับโทรศัพท์อีกแล้ว... มึงมีความลับอะไรกับกูเปล่าวะวอร์ม” ไอ้จัสชะโงกหน้ามาถามผม ดีนะที่ผมปิดโทรศัพท์ทัน ทำไมช่วงนี้มันถึงใส่ใจผมจังเลยอะ

 
               “มีก็เชี่ยแล้ว ไม่มีอะไรทั้งนั้นอะ... ว่าแต่มึงเถอะ เมื่อคืนกูก็รอมึงไปสิ ไหนว่าจะกลับเอาของมาให้กู”


               “อ้าว... กูฝากน้องไอติมไปให้มึงแล้วนี่”


               “เออ! กูได้แล้ว... แต่มึงใช้น้องเอาของมาให้กูก็ไม่ยอมบอกก่อน กูก็รอไปสิ นึกว่ารถคว่ำตายอยู่มหาลัยแล้ว”
 

               “ไอ้เวรนี่ปากหมาแล้วไหม! ก็กูเจอน้องไอติมกับจูเนียร์ระหว่างทาง... แล้วก็เพิ่งรู้ด้วยว่าน้องอยู่หอเดียวกับมึงพอดี นี่อุตส่าห์อาสาขับรถไปส่งน้องที่หอเลยนะ” จัสพยายามอธิบายอย่างยาวเหยียด ผมไม่ได้อยากรู้สักหน่อยว่ามันไปเจอกับไอติมได้ยังไง คือเอาจริงๆ ถ้ามันจะฝากน้องมาก็ควรจะบอกผมสักนิดนึงไหม


               “แล้วก็ใช้ให้น้องเอาของขึ้นมากูเลยว่างั้น”


               “ก็กูขี้เกียจวนหาที่จอดรถ”


               “ก็ถือโอกาสใช้ไอติมเอาของขึ้นมาให้กู?”


               “เอ๊ะ! ไอ้นี่! ใช้นิดใช้หน่อยไม่ได้หรือไง?! หวงน้องหรือไงวะ?!” ผมแค่จะแกล้งแหย่ไอ้จัสเล่นเฉยๆ เองครับ แต่ไอ้ประโยคสุดท้ายที่มันพูดทำเอาผมขมวดคิ้วตาม แล้วผมจะไปหวงน้องทำไมล่ะ

 
               “หวงเหิงอะไรมึง! พูดจาเลอะเทอะ แต่ถึงจะหวงก็ไม็แปลกเปล่าวะ... ก็นั่นน้องสายกู...”


               “ให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะมึง กูเห็นมึงชอบไปกวนตีนน้องบ่อยๆ สักวันน้องไอติมอาจจะประสาทเสียเพราะมีพี่สายกวนตีนแบบมึงก็ได้” ผมว่าผมพูดกับมันดีๆ แล้วนะ ยังจะวกกลับมาด่าผมอีก ช่างเป็นเพื่อนที่แสนดีจริงๆ
 

               “ขอบใจมากเว้ยมึง... รู้สึกเป็นเกียรติสัดๆ เลย”
 

               “นี่ไง ขาดคำที่ไหน เหอะ!” ไอ้จัสส่ายหัวให้ผมสองสามทีก่อนจะยกแขนขึ้นมาท้าวคางไว้ เอาแล้วครับ ผมว่ามันเริ่มจะเข้าเฝ้าพระอินทร์อีกแล้วแน่ๆ ตั้งใจเรียนได้ไม่นานหรอกครับเพื่อนคนนี้ ความจริงแล้ว จะว่าแต่จัสก็ไม่ได้หรอกนะครับ เพราะตอนนี้ผมเองก็เริ่มรู้สึกง่วงๆ แล้วเหมือนกันอะ วิชาที่อาจารย์สอนคาบนี้เป็นเรื่องทฤษฎีล้วนๆ เลยครับ ไม่มียกอย่างคดีหรือเรื่องเล่าใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งเวลาเช้าๆ เจอแอร์เย็นๆ แบบนี้ด้วยแล้วละก็ มีผ้าห่มกับหมอนสักใบนี่สวรรค์เลยครับ

 
               “ทำไมไม่เอามา... อุตส่าห์จะเอามาใช้คาบเช้านี้อะ”
 

               ผมที่กำลังเคลิ้มๆ จะหลับก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเค้กทำเสียงแข็งใส่ไอ้มิชิที่นั่งอยู่ข้างหน้าผมกับจัส แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรสองคนข้างหน้าหรอกครับ ได้แต่นั่งมองเพื่อนทั้งสองคุยกัน แต่ดูเหมือนจะเถียงกันเองสองคนมากกว่า เพราะเรื่องที่เค้กกับมิชิคุยกันมันไม่มีเรื่องผมกับจัสเกี่ยวด้วยสักนิด
 

               ยอมรับว่าแอบส่อง และแอบฟังด้วยความใส่ใจล้วนๆ
 

               “ก็บอกแล้วไงว่าลืมหยิบใส่กระเป๋ามา... วางไว้บนโต๊ะที่ห้องอะ เมื่อเช้าก็รีบออกมารับเค้กที่หอเลยลืมเรื่องปากกาไปเลย...”


               “นี่จะบอกว่าเป็นความผิดเค้กที่เร่งชิใช่ป่ะ”


               “เปล่า... ไม่ได้จะหมายความว่าอย่างนั้น”


               “อืม...”


               “โธ่ เค้ก ชิขอโทษ... เดี๋ยวเลิกคลาสนี้แล้วจะขับรถกลับหอไปเอามาให้เลย”


               “หมดคลาสนี้ก็ไม่มีเรียนแล้วป่ะ วันนี้อะ”


               “อ่า... งั้นเดี๋ยวเลิกเรียนกลับถึงห้องแล้วจะเอาใส่กระเป๋าไว้เลย”


               “ก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้ว... นี่ต้องให้เตือนทุกเรื่องเลยหรือไง... ถ้าพรุ่งนี้ลืมอีกนะน่าดู”

 
               ผมเห็นเค้กหันมาชี้หน้าคาดโทษไอ้มิชิที่ทำหน้าตาน่าสงสารใส่เค้กอย่างสุดความสามารถของมัน ไม่รู้ว่าเถียงกันเรื่องอะไรกัน แต่คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของที่ไปซื้อด้วยกันเมื่อวานแล้วไอ้มิชิคงจะลืมไว้ที่ห้องมันแน่ๆ อย่างน้อยก็ไม่ได้มีแค่ผมที่ลืมของไว้บนรถไอ้จัส มีไอ้มิชิอีกคนที่ลืมของเค้กไว้ที่ห้องตัวเอง ผมนี่เก่งจริงๆ แอบฟังแค่นี้ถึงกับรู้เป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้
 

               “มึงดูไอ้มิชิ! แม่งทำหน้าหงอ... อย่างกับคนกลัวเมีย” ไอ้จัสหันมากระซิบกับผมเบาๆ ก่อนที่ผมจะหันไปมองหน้ามันแล้วหัวเราะใส่กันอย่างเห็นด้วยสุดๆ ก็จริงนะครับ มิชิกับเค้กเนี่ย ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนกันผมก็นึกว่าพวกมันคบกันอยู่ครับ ตัวติดกันยิ่งกว่าอะไร แถมการปฏิบัติตัวก็แตกต่างจากผมกับไอ้จัสอีก สองมาตราฐานอย่างชัดเจนเลยอะ อยากบอกเหลือกันครับว่า เพื่อนกันไม่ทำกันแบบนี้นะครับ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ทั้งสองคนอาจจะมีเหตุผลที่เลือกที่จะไม่พูดแล้วก็ยินดีกับความสัมพันธ์แบบคลุมเครือที่เป็นอยู่แบบนี้ก็ได้ แต่ผมเชื่อว่าเวลามันจะบีบให้ทั้งสองคนพูดกันออกมาเองนั่นละครับ
 

               “อะไร... หัวเราะอะไรกันพวกมึง” ผมหันไปเห็นไอ้มิชิที่ยกท่อนแขนมาวางท้าวหัวตัวเองไว้แล้วตะแคงตัวหันหน้ามามองพวกผมที่หัวเราะกันอยู่ก่อนหน้านี้ ก่อนจะถามเบาๆ

 
               “เปล๊าาาาา” ไอ้จัสตอบ เสียงสูงขนาดนี้มิชิมันคงจะเชื่อหรอกครับ คนนึงก็พยายามจะทำเข้มกลบเกลื่อนหลังจากที่โดนเค้กทิ้งระเบิดใส่เมื่อกี้ ส่วนอีกคนก็ตีหน้านิ่งทั้งๆ ที่แทบจะกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ ไอ้พวกบ้านี่ก็ไม่เนียนกันสักคน

 
               “นินทากูใช่ไหม...”


               “นินทาเชี่ยไร มึงอะคิดมาก” ผมตอบต่อ เพราะผมกับจัสไม่ได้นินทามันจริงๆ นะครับ เรื่องจริงที่เห็นมากับตาล้วนๆ เลย
 
               “อย่ามา...”


               “ถุย!!! ไอ้กาก” จัสพูดต่อจนผมหลุดขำมาอีกรอบคุณชายมิชิผู้แสนจะเก่งและเพอร์เฟคสุดท้ายก็กลายเป็นแค่ลูกไก่ในกำมือเค้ก ที่บีบก็ตายถ้าคลายก็รอด คิดแล้วมันก็อดขำไม่ได้จริงๆ ครับ
 

               “อะไรมึง... นินทาอะไรกู”


               “เอ๊ะ! ไอ้นี่! บอกว่าเปล่าไงวะ”


               “อย่าให้กูรู้นะ!” มิชิหรี่ตามองพวกผมอีกครั้งแต่ยังไม่ทันไรมันก็โดนเค้กหันมาดุอีกรอบ เสียงนิ่งๆ เรียบๆ ของคนหน้าหวานทำเอามาดเข้มๆ สายตาเฉียบคมของไอ้มิชิที่กำลังจับผิดพวกผมอยู่เมื่อครู่อ่อนลงจนดูหงอยไปเลยเพียงชั่วพริบตา นึกว่าจะแน่สักแค่ไหนกัน

 
               “ไปคุยกันข้างนอกไหม เค้กจะเรียน...”


               “เรียนคร้าบ เรียน...” ไอ้มิชิรีบหันกลับไปนั่งตัวตรงตั้งใจเรียนทันที สม! โดนดุเลย จริงๆ ผมกับไอ้จัสก็เหมือนโดนเค้กดุไปด้วยแต่คนที่เดือดร้อนจริงๆ เห็นจะเป็นไอ้มิชิมากกว่า ต้องอยู่ในโอวาทเค้กนะครับเพื่อน วอกแวกเมื่อไหร่โดนเค้กสวดยับแน่ๆ เชื่องขนาดนี้แล้ว ผมล่ะอยากรู้จริงๆ ว่ามันจะปล่อยให้ตัวเองอยู่ในเฟรนโซนไปอีกนานแค่ไหน แต่ก็เอาเถอะครับ ผมเชื่อว่าทั้งมิชิและเค้กคงมีเหตุผล ส่วนผมก็คงได้แค่เอาใจช่วยต่อไป เพราะถึงยังไงพวกเราก็เป็นเพื่อนทั้งหมดอยู่ดี



.

.

.

To be Continue...



Talk : คุณมิชิกับคุณเค้กมีซัมติงหนักมากกกกกกกกกก :hao3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2018 15:22:03 โดย myj514 »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น้องไอ ถ้านอนไม่หลับ ลงมานอนห้องพี่วอร์มเลยลูก 5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 
:: Chapter 7 :: 'รับน้อง'
[/b]





                             มาถึงวันรับน้อง ถึงแม้ว่าปี 2 จะจัดเตรียมรถบัสไว้สำหรับให้รุ่นพี่ด้วยก็ตามแต่พวกผมตัดสินใจที่จะขับรถไปกันเอง โดยตกลงกันว่าจะเอารถไอ้มิชิไป ส่วนใครจะขับก็แล้วแต่เพราะพวกเราขับรถกันได้ทุกคน ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
 
               “จะออกเลยป่ะ หรือจะออกพร้อมน้อง”
               “ออกเลยก็ได้มั้งมึง เดี๋ยวค่อยไปแวะจอดรอที่ปั๊ม จะได้ซื้อน้ำหวานด้วย” ไอ้จัสเป็นคนตอบคำถามของมิชิ ส่วนน้ำหวานที่มันว่าก็ไม่ใช่น้ำแดงเฮลซ์บลูบอยหรือน้ำอัดลมหรอกครับ ก็พวกแอลกอฮอล์ ทั้งหลายนั่นแหละครับ
 
               “ตกลงใครขับ วอร์มมึงจะขับป่ะ”
               “กูง่วงว่ะ ขอกูงีบก่อน ถ้าแวะปั๊มแล้วจะเปลี่ยนเดี๋ยวกูขับให้”
               “เออๆ งั้นพวกมึงไปนั่งข้างหลังไป” มิชิเอ่ยปากไล่ผมกับจัสแล้วหันไปเปิดประตูข้างคนขับให้เค้ก การกระทำไม่ค่อยชัดเจนเลยนะครับคุณเพื่อน
 
               ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเราก็เดินทางมาถึงปั๊มที่ปีจัดงานได้ทำการประสานขออนุญาตใช้สถานที่ให้เด็กปี 1 ทำภารกิจแล้ว ผมก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าปีนี้ตั้งกติกาของภารกิจไว้ยังไง ตอนพวกผมแค่ให้เต้นไก่ย่างกลางปั๊มเอง ชิลมากยังไม่ทันรู้สึกถึงความอับอายเลยครับ
 
               “พวกมึงจะดื่มอะไรกันบ้างครับคุณเพื่อน”
               “แค่เบียร์ก็พอมั้งมึง เหล้าเดี๋ยวพวกพี่บิ๊ก เฮียบลู สมาชิกกสร.ทั้งหลายก็คงขนไปกันอยู่แล้วเปล่าวะ” ผมตอบไอ้จัสไปตามความจริง เพราะผมก็เห็นพวกพี่ๆ สมาชิกกสร.หรือกองทุนสุราประจำโต๊ะขนเหล้า โซดา ไปกันเพียบ ถ้าอยากกินก็แค่ไปขอร่วมวงกับพวกพี่เขา ยังไงพวกรุ่นพี่เขาก็ชอบให้ไปนั่งดื่มด้วยกันเยอะๆ อยู่แล้ว
 
               “เค้กจะเอาอย่างอื่นเปล่า”
               “ก็ไปซื้อด้วยกันหมดนี่แหละ เค้กอยากได้ค็อกเทลอะ แต่ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีรสอะไรบ้าง ต้องไปดูก่อน ไปกันเถอะ” เค้กเกาะไหล่มิชิแล้วพากันวิ่งนำออกไป เห็นบอกอยากกินค็อกเทลแบบนี้ไม่ใช่ว่าคออ่อนหรือดื่มไม่เก่งอะไรหรอกนะครับ ผมเนี่ยคออ่อนที่สุดในกลุ่มแล้ว ส่วนคนที่คอแข็งที่สุดก็คนผมแดงที่วิ่งไปโน่นแล้วนั่นแหละครับ เหตุผลที่เค้กไม่กินเหล้ากินเบียร์ก็เพราะเค้กบอกว่ารสชาติของมันไม่อร่อย แต่พวกว้อดก้ารสหวานๆ ทั้งหลายนี่เค้กคนเดียวกินได้เป็นขวดอะครับ
 
               ระหว่างที่พวกผมกำลังช่วยกันยกเครื่องดื่มหลากสีที่ซื้อมาใส่ท้ายรถ รถบัสของพวกเด็กปี 1 ก็เดินทางมาถึงปั๊มพอดี ผมเห็นพวกปีจัดงานให้น้องๆ มานั่งเรียงแถวรวมตัวกันก่อนจะเริ่มจับมัดผมมัดจุก และแต่งเติมใบหน้าของน้องๆ ด้วยลวดลายที่หลากหลาย เห็นแล้วมันก็คันมือยิกๆ อยากจะไปร่วมเติมบ้าง
 
               “พวกมึง ไปวาดหน้าน้องกัน”
               “จะดีหรอวอร์ม ต้องเป็นพี่ว้ากกันไม่ใช่หรอ”
               “ไปเหอะเค้ก พี่ว้ากแล้วยังไง ยิ่งดีเสียอีก แกล้งน้องสบายเลย” เวลาเห็นไอ้มิชิมันยกยิ้มมุมปากแบบนี้มันก็แอบมีความชั่วร้ายนิดๆ เหมือนกันนะครับ ผมหันไปมองไอ้ตัสที่ยกเบียร์แพคสุดท้ายใส่ท้ายรถเสร็จ มันเองก็ไม่ได้ขัดอะไรแถมยังยกมือขึ้นมาหักข้อนิ้วเล่นอีก งานนี้ท่าทางน้องจูเนียร์จะโดนจัดหนักเสียแล้วครับ
 
               “พวกพี่ขอแจมด้วยได้ป่ะ” จัสเอ่ยขึ้นกลางวง ทำเอาทั้งเด็กปี 1 และปี 2 หันมามองทางพวกเราเป็นตาเดียว ทำอะไรไม่เคยปรึกษากันก่อนเลย พวกน้องปีจัดงานก็คงจะงงไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ แต่รุ่นพี่เอ่ยปากขนาดนี้แล้ว น้องๆก็ต้องยอมไปตามระเบียบแหละครับ
 
               “น้องจูเนียร์ที่รัก ไหนๆ พี่ดูหน่อยซิ เอาแก้มแดงๆ ดีกว่าเนอะ จะได้ดูสุขภาพดี” เสียงเป็ดๆ ของจัสลอยมาเข้าหูผมที่อยู่ถัดมาอีกสองแถว ถามจริงๆ เถอะครับ เล่นเบอร์นี้แล้วตอนไปว้ากน้องนี่จะยังมีใครกลัวหรือเคารพมันไหมวะ ไอ้มิชิก็ได้แต่ยืนส่ายหัวไปมาก่อนจะ เอาหนังยางไปมัดจุกเป็นน้ำพุตรงกลางหัวให้น้อง
 
               “พี่วอร์ม...”
               “ดูเหมือนจะมาไม่ทันเติมหน้าแฮะ เป็นแมวไปแล้วนี่”
               “พี่คิววาดให้เมื่อกี้เลยครับ...”
 
               “อืม... เดี๋ยวเติมหูให้” ผมไม่มีหูแมวมาเติมให้น้องจริงๆ หรอกครับ ก็แค่จะมัดจุกเล็กให้ไอติมสองข้าง ให้มันดูคล้ายๆ หูนั่นแหละ กวาดสายตามองไปรอบๆ ดูแล้ว น้องถือว่าโชคดีมากนะครับ ที่มีแค่สีดำแต้มอยู่ปลายจมูก กับหนวดที่แก้มอีกข้างละสามเส้น ผมเห็นสภาพน้องบางคนที่แทบจำไม่ได้ว่าเป็นใคร ไอ้คิวมันใจดีกับน้องเกินไปไหม
 
               “เสร็จแล้ว” ผมเคาะหัวน้องไปเบาๆ หนึ่งทีเมื่อน้องเงยหน้าขึ้นมาแลบลิ้นให้ผม ทำแบบนี้กับรุ่นพี่ก็ได้หรอวะ แต่เอาเถอะครับ ผมจะเห็นแก่ความรักรักของน้องแล้วกัน อีกอย่างถ้าเริ่มดุน้องตั้งแต่ตอนนี้ก็กลัวมันจะแกร่วเสียเปล่าๆ เอาไว้ถึงเวลาค่อยเอาจริงแล้วกัน
 
               พอถูกแต่งเติมหน้าและมัดผมจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องไปทำภารกิจ ซึ่งปี2 กำหนดไว้ง่ายมาก เพียงแค่ให้น้องๆ ไปบูมคณะเพื่อขอข้าวกล่องอาหารกลางวันของแต่ละกลุ่มเท่านั้นเอง แต่ไม่รู้ด้วยความดวงดีของกลุ่มไอติมหรือยังไงก็ไม่รู้ พี่พนักงานร้านที่น้องต้องไปดันเป็นสาวประเภทสองซึ่งไม่ยอมจบง่ายๆ เพียงแค่การบูม พี่เขาเรียกร้องให้น้องๆ ออกมาเต้นโชว์โดยเฉพาะหนุ่มทั้งๆ ต้องเข้าไปคลอเคลียจนกว่าพี่แกจะถูกใจถึงได้ข้าวกล่องมา
 
               ผมยืนมองกลุ่มไอติมใส่เต็มเต้นอย่างเต็มที่แล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ น้องกล้าแสดงออกมากๆ ไม่ได้มีท่าทีเขินอายอะไรเลย แถมตอนแรกที่พวกน้องผู้ชายเกี่ยงกันว่าใครจะออกไปเต้นกับพี่เขา น้องยังอาสาเสนอตัวออกไปเต้นเป็นคนแรกอีก แถมยังเต้นไปหัวเราะไปสดใสสุดๆ เป็นเด็กที่พลังบวกล้นเหลือจริงๆ ผมว่าพี่เขาก็คงแบบความสดใสของน้องนี่แหละ ถึงยอมใจอ่อนให้ข้าวน้องมา
 
               “ไอ้วอร์ม ไปกันเถอะมึง จะยืนยิ้มดูน้องไอติมเต้นอีกนานไหม”
               “สัด! ก็ยืนรอพวกมึงไหมล่ะ เห็นพากันตามไปดูน้องจูกับน้องไวท์หมดอะ” ผมเถียงกลับไอ้จัสทันที ก็มันจริงนี่ครับ เพราะว่าจูเนียร์กับไวท์ได้กลุ่มเดียวกัน พวกคุณเพื่อนของผมก็เลยพอกันตามไปดูกลุ่มนั้นหมด ผมก็แค่มายืนดูน้องผมรอพวกมันเอง พูดเสียเหมือนกับว่าผมเป็นคนผิดอย่างนั้นแหละ
 
               “พอๆ เลิกเถียงกันแล้วขึ้นรถไปมึง”
               “เค้กว่าเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวต้องไปเตรียมฐานปี3 อีกนะ” ผมไม่ได้ต่อความอะไร เพราะสิ่งที่เค้กพูดมาก็ถูก ถึงปี 2 จะเป็นปีจัด แต่พวกเราเองก็มีฐานที่ต้องเตรียมเหมือนกัน ผมจึงรีบเดินกลับไปที่รถแล้วพวกเราก็มุ่งหน้าไปยังที่พักเพื่อเก็บข้าวของและเตรียมตัวสำหรับการเป็นพี่ฐาน
 
               พอมาถึงที่พัก น้องฝ่ายสถานที่ก็รีบวิ่งเอากุญแจห้องมาให้พวกผมพร้อมกับนำทางไปยังห้องพัก ผมเห็นว่าเพื่อนบางคนมาถึงก่อนแล้ว พวกเราก็เลยแค่ขนสัมภาระเข้าไปวางไว้ในห้องโดยยังไม่ได้จัดอะไรแล้วรีบออกมาจับคำใบ้ประจำตัวที่จะใช้ในฐานของปี 3
 
               “อะไรวะ ทำไมกูต้องได้ลูกหมาด้วยอะ” ผมโวยวายเมื่อไอ้จัสเอาป้ายคล้องคอที่เขียนว่า ‘ลูกหมา’ ส่งให้ผม
 
               จริงๆ ตอนนี้พวกผมกำลังเตรียมฐานของปี3 อยู่ครับ ซึ่งเกมมันไม่ได้ยากเลย มันเป็นเกมที่ให้รุ่นน้องใช้สมอง ไหวพริบและความคิดสร้างสรรในการแต่งเรื่องเล่าจากคำใบ้ที่พวกผมทำไว้ให้ แต่มันจะยุ่งยากตรงที่น้องๆ ต้องหารุ่นพี่ที่คล้องป้ายตรงกับคำใบ้ที่จับมาแล้วก็มาเล่าเรื่องอะไรก็ได้ให้มีทั้งคำใบ้ที่ได้ กับตัวเองและรุ่นพี่อยู่ในเรื่องเดียวกันภายใน 30 วินาทีครับ ถ้าเล่าไม่ได้หรือเล่าไม่จบก็โดนทำโทษไปครับ
 
               ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครมันเป็นคนคิดเกมนี้นะครับ แต่เห็นเค้กบอกว่ามันช่วยให้รุ่นพี่กับรุ่นน้องได้สนิทกันมากขึ้น แถมอีกอย่างเป็นวิธีที่ทำให้พวกน้องๆ จำชื่อพี่ๆ คนอื่นได้ด้วยนอกเหนือจากพี่สายตัวเอง ฟังเหตุผลแล้วก็พอเข้าใจได้แหละครับ
 
               “ก็มึงจับเอง... กูยัดเยียดให้มึงซะเมื่อไหร่” เออ ก็จริงของมัน เพราะพวกเราเพิ่งจับคำใบ้กันไปก่อนจะเดินมาเตรียมฐานนี่แหละครับ
 
               “เหมาะกับมึงดีนะไอ้วอร์ม” ไม่ทันขาดคำ ไอ้มิชิก็รีบแซะผมทันที ขอบใจมากเพื่อนรัก
               “ไอ้นี่... เป็นลูกหมาก็น่ารักโว้ย! ดีกว่าของมึงอะ ไอ้รถเมล์” ผมหันไปด่าไอ้มิชิที่ได้คำใบ้เป็นคำว่า ‘รถโดยสารประจำทาง’ ต่อ จนไอ้จัสและเค้กที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็พากันหัวเราะไปด้วย
 
               “เค้กอ่า... อย่าหัวเราะดิ เสียความมั่นใจหมดเลยเนี่ย” นั่นไง ไอ้มิชิหันไปอ้อนเค้กจริงๆ ด้วย ผมหันไปสบตากับจัสอย่างรู้กัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้แซ็วอะไรมัน พวกสต๊าฟปีสามก็พาน้องๆ ปี1กลุ่มแรกเดินมาที่ฐานของพวกเราแล้ว
 
               “คล้องป้ายแล้วพลิกคำใบ้ไว้ด้านในด้วยนะครับปีสาม” เสียงใครสักคนตะโกนบอกพวกเรา ก่อนที่ผมจะทำแบบนั้นแล้วไปยืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ เพื่อนรอฟังน้องๆ แต่ละคนเล่าเรื่อง
 
               “วันก่อนครับ เดินเข้าไปในป่า... เจอพี่เต้ยคนสวยกำลังเก็บดอกไม้ บีมเลยถามว่าจะเก็บไปทำอะไร พี่เต้ยคนสวยบอกว่าจะเก็บมาให้บีมไง! จบครับ” จบเรื่องเล่าสั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความของน้องปี1คนแรกที่ได้คำใบ้เป็นคำว่า ‘ดอกไม้’ และตรงกับป้ายของพี่ปี3 ที่เป็นผู้หญิง ทำเอาเพื่อนๆ รุ่นน้องและรุ่นผมต่างพากันโห่แซ็วน้องคนชื่อบีมกันระงม
 
               ผมว่าเกมมันก็ตลกดีนะครับ ไม่รู้ว่าน้องๆ มันจะเล่าเรื่องอะไรแล้วจะออกมาในรูปแบบไหน บางคนก็เล่าเรื่องได้แบบออกนอกโลก ไปยังกับในหนังแอดเวนเจอร์ บางคนก็ง่ายๆ บางคนที่มีความกล้าหน่อยก็ได้โอกาสเต๊าะรุ่นพี่ไปในตัว แต่บางคนที่คิดอะไรไม่ออกก็ไม่ได้เล่าอะไรเลย เอาแต่ยืนอ้ำอึ้งจนต้องโดนทำโทษให้ออกมาเต้นแร้งเต้นกาบ้าบอให้เพื่อนดู
 
               “ต่อไป น้องไวท์ครับ เชิญจับคำใบ้เลยครับ” ไอ้โปเต้เพื่อนในรุ่นผมที่เป็น MC เกมฐานนี้เรียกน้องไวท์น้องสายของเค้กให้ออกมาจับคำใบ้จากกล่อง
 
               “ร่ม...” น้องไวท์พูดออกมาเบาๆ แต่ทุกคนก็ยังได้ยินมันอยู่ดี
               “เชี่ย” ไอ้จัสอุทานออกมาเสียงดังจนทุกคนหันไปมอง แต่พวกผมอะหลุดขำออกมาก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะคำใบ้ ‘ร่ม’ ก็คือมันนั่นแหละ
 
               “พูดจาไม่เพราะเลยครับคุณจัส... แต่ตกใจโอเวอร์ขนาดนี้... คำใบ้ว่าร่มต้องเป็น พี่จัส แน่ๆ เลยใช่มั้ยคร้าบ” ไอ้โปเต้ถือโทรโข่งเดินตรงเข้ามาหาหลังจากพูดจบ
 
               “เออ!” ไอ้จัสตอบก่อนจะเหล่มองน้องไวท์เล็กน้อย สายตามันดูไม่น่าไว้ใจเอาซะเลยครับ
               “อะ! จับเวลา! เริ่มได้ครับน้องไวท์”
               “เอ่อ...” น้องไวท์ทำหน้านึกอยู่สักพัก ข้างๆ ผมมีเค้กคอยช่วยลุ้นให้น้องพูดออกมาอยู่ ส่วนไอจัสก็ยืนกอดอกรอฟังน้องไวท์เล่าเรื่องอยู่ อยากให้เห็นท่ามันตอนนี้มากครับ โคตรขี้เก๊กเลย เห็นแล้วหมั่นไส้ชะมัด
 
               “อืม... เอาไงดี...” น้องไวท์ยืนบ่นพึมพัมเบาๆ เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ จนผมเริ่มจะลุ้นตามแล้วครับ พูดสิครับน้อง ไม่อย่างนั้นได้โดยทำโทษแน่ๆ
 
               “ผ่านไป10 วิแล้วนะครับน้อง... อยากโดนทำโทษหรือไงครับ! พูดสิครับ พูด!!!”
               “อ่า… เช้าวันหนึ่ง… อากาศอึมครึมและมีฝนตก ไวท์ออกจากบ้านไม่ได้… แต่พี่จัสก็กางร่มมารับไวท์ที่บ้าน... ไวท์เลยออกจากบ้านไปพร้อมกับพี่จัส... จบครับ” หลังบจากจบเรื่องเล่าของน้องไวท์ พวกปีสามก็ส่งเสียงโห่แซ็วเรื่องเล่าของน้องไวท์กันเสียยกใหญ่
 
               “ไอ้จัส ทำไมมึงไปรับน้องเขาที่บ้านได้วะ”
               “เออ! มึงแม่งทำตัวเป็นคนดี ที่จริงหลอกน้องไปทำเรื่องแย่ๆ ใช่ไหม ฮ่าๆๆ” เพื่อนๆ ตะโกนแซ็วไอ้จัสเรียกเสียงหัวเราได้ดี เอาจริงๆ ผมเห็นไอจัสมันแอบยิ้มด้วยแหละ ไอ้บ้าเอ้ย ทำเป็นเก็กขรึมมาตั้งนานสุดท้ายก็หลุดว่ะ กากฉิบชาย
 
               “คนต่อไป... น้องไอติม! เชิญออกมาจับคำใบ้ได้เลยครับ” ไอ้โปเต้คนเดิม ตะโกนเรียกน้องคนต่อไปออกมาซึ่งก็คือน้องไอติมของสายผมนั่นเอง
 
               น้องเหมือนมีเพื่อนเป็นกองเชียร์ส่วนตัวยังไงอย่างนั้นเลยครับ แค่ลุกจากที่นั่งมาเพื่อนๆ ก็ส่งเสียงเชียร์กันยกใหญ่ แล้วดูเจ้าตัวสิ ก็แจกยิ้มเรี่ยราดให้เพื่อนๆ ด้วยอีก ไม่รู้ใครสอนให้ยิ้มแบบนี้นะครับ คงคิดว่าทำแบบนั้นแล้วน่ารักมากมั้งน่ะ
 
               แต่ก็... อืม น่ารักจริงๆ นั่นแหละครับ...
 
               “ลูกหมาครับ...”
               “เฮ้ย!” ผมส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจหลังจากยืนคิดอะไรเพลินๆ ก็ไอติมจับคำใบ้ได้คำว่า ‘ลูกหมา’ แล้วมันก็ตรงกับป้ายที่ผมคล้องอยู่นี่ไง
               “โอ้โห... อะไรจะเป๊ะขนาดนี้” ไอ้มิชิเอ่ยพูดอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่ผมกำลังหันป้ายที่มีคำว่า ‘ลูกหมา’ ออกมาด้านนอก
               “โว๊ววว!!! ลูกหมา คือพี่วอร์มนั่นเองนะคร้าบบ” MC ประจำฐานพูดใส่โทรโข่งพร้อมกับเดินมาที่ผม
 
               “เอ๊ะๆๆ น้องไอติมกับพี่วอร์ม เป็นพี่น้องสายเดียวกันนี่นา... แบบนี้ก็ไม่น่าจะยากเนอะ อะ งั้นเริ่มเลยละกัน” ผมเห็นน้องกัดริมฝีปากตัวเองอย่างคิดหนักหลังจากที่ไอ้โปเต้พูดจบ ไอติมคงกำลังคิดเรื่องที่ต้องเล่าอยู่แน่ๆ แต่ไอ้ท่าทางกัดริมฝีปากแล้วทำหน้าครุ่นคิดนี่มันโคตรจะน่ารักอะไรแบบนี้วะครับ
 
               “จับเวลา! เริ่มได้”
               “อืม... จะเล่ายังไงดี...” น้องไอติมเดินเข้ามาใกล้ผมแต่ก็ยังทำหน้าคิดหนักอยู่ ไม่พอแค่นั้น เจ้าตัวยังยกนิ้วขึ้นมาจิ้มที่แก้มประกอบการคิดอีก ผมนี่อยากจะเขย่าตัวน้องแรงๆ แค่นึกเรื่องเล่าจำเป็นต้องทำตัวน่ารักขนาดนี้เลยหรอ
 
               “ใกล้จะหมดเวลาแล้วนะครับน้อง”
               “อ่า... นึกออกแล้ว...” ผมแทบหลุดขำที่น้องไอติมทำหน้าดีใจเมื่อนึกออก มันเหมือนมีดวงไฟอยู่บนหัวโผล่ ปิ๊ง! ขึ้นมาเหมือนในการ์ตูน
 
               “นึกออกแล้วก็พูดดิ” ผมรีบบอกน้องเมื่อเวลามันใกล้จะหมดเต็มที มัวแต่ทำตัวน่ารักอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวถ้าโดนทำโทษขึ้นมาละก็จะยังยิ้มออกไหมนะ
 
               “พี่วอร์มพาลูกหมาไปหาหมอ... ลูกหมาฟันหลอเพราะลูกอมขนมหวาน... คุณหมอเปลี่ยนฟันให้ใหม่ไม่เนิ่นนาน... พี่วอร์มก็พาลูกหมากลับมาบ้าน... มาหาไอติม! เย้!”
 
               “เหยดดดด”
               “ฮิ้ว!!! กลับบ้านมาหาไอติม”
               “อย่างกับพ่อแม่ลูกเลยว่ะ”
               ผมว่าแล้ว หลังจากน้องไอติมเล่าจบ ไอ้พวกเพื่อนๆ ก็ ส่งเสียงแซ็วกับเรื่องเล่าของไอติม แต่ยอมรับนะครับว่าไอติมฉลาดเล่าเรื่องมาก นึกอะไรไม่ออกก็เอานิทานที่เคยเล่าติดปากตอนสมัยประถมมาเล่า เพียงแค่ดัดแปลงนิดหน่อย แต่นั่นแหละครับ ไอ้พวกปีสามก็แซ็วกันระงมตามเคย
 
               “หุบปากไปเลยพวกมึง” ผมหันไปว่าใส่เพื่อนๆ ก็ไม่รู้มันจะแซ็วอะไรนักหนา ก็พวกมันทั้งนั้นไม่ใช่หรือไงที่ตั้งกติกาฐานให้เป็นแบบนี้
 
               “โห... โคตรดุเลย หมาพันธุ์ไหนวะครับเนี่ย ไอ้คุณวอร์ม”
               “เชี่ย กูไม่ใช่หมาไหม”
 
               “ฮ่าๆๆ” ผมเลิกสนใจที่เพื่อนแซ็วแล้วหันกลับไปมองน้องไอติมที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าผม หน้าตาน้องดูงงๆ ที่เห็นพวกพี่ปีสามส่งเสียงแซ็วแต่ก็ยังยิ้มแห้งๆ ออกมาจนผมต้องยกสันมือขึ้นตีที่หน้าผากน้องเบาๆ
 
               “ผ่านแล้ว! กลับไปนั่งที่ไป” ผมบอกน้องหลังจากที่ตีเหม่งน้องไปเบาๆ เจ้าเด็กเด๋อนี่ จะมึนอะไรนักหนา
 
               “อ่า... ขอบคุณครับ” ไอติมพูดขอบคุณพร้อมกับยิ้มตาหยีใส่แล้วรีบหันหลังกระโดดโลดเต้นกลับเข้าไปหาเพื่อนๆ คงเพราะดีใจที่ตัวเองไม่โดนทำโทษ มันจะน่ารักสดใสไปถึงไหนครับเนี่ย พลังเหลือเฟือเลยจริงๆ น้องดูเป็นคนที่พลังบวกในตัวเยอะมาก ใครได้อยู่ใกล้ๆ ก็คงพากันได้รับพลังบวกจากน้องไปหมด
 
               เมื่อน้องกลุ่มสุดท้ายที่มาทำภารกิจฐานของปี 3 กำลังจะเอ่ยลา ละครฉากใหญ่ก็กำลังเริ่มขึ้นเช่นกัน เมื่อน้องปี 2 วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อมกับเอ่ยถามหาน้องปี 1 คนนึง แต่กลับไม่มีใครเห็น หรือรู้เลยว่าน้องคนนั้นหายตัวไปไหน น้องปีจัดงานพาเด็กๆ ปี 1 ทั้งหมดให้มานั่งรวมกันกลางลานกว้างพร้อมกับให้สัญญาณว่าถึงคิวที่พวกผมจะต้องออกโรง
 
               “ไม่มีใครเห็นน้องใบพลูเลยจริงๆ หรอ” คนที่หายไปคือน้องที่ค่อนข้างเงียบ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นแล้วก็ไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษ แน่นอนว่าน้องไม่ได้หายไปจริงๆ หรอกครับ เพราะก็พวกปีจัดงานนั่นแหละ ที่เป็นคนแอบมาพาน้องออกไป เพราะเด็กปี 1 ทุกคนจะถูกปิดตาอยู่เวลาที่ย้ายและเปลี่ยนฐาน มันก็ไม่ได้ยากอะไรที่จะพาตัวน้องคนนึงออกไป จริงไหมล่ะครับ
 
               “น้องครับ เป็นเพื่อนกัน ทำไมไม่ดูแลกัน ปล่อยให้เพื่อนหายไปแบบนี้ได้ยังไง แล้วถ้าเพื่อนเป็นอะไรขึ้นมา จะทำยังไง” ไอ้มิชิเปิดฉากด้วยสีหน้านิ่งและน้ำเสียงเรียบสนิท บทเย็นชาๆ แบบนี้เข้ากับมันดีนักแหละครับ ถ้าผมเป็นน้องผมก็เกร็งนะ ถึงจะไม่ดุด่าหรือพูดจาหยาบคาย แต่มันก็เย็นชาจนน่ากลัว
 
               ผมปล่อยให้มิชิกับจัสพูดกดดันน้องปี 1 ไปเรื่อย ในใจน้องบ้างคนคงคิดเตลิดไปต่างๆ นานาแล้ว ว่าถ้าเกิดมีคนร้ายแอบเข้ามาปนเปกับพวกเราแล้วลักพาตัวเพื่อนไปจริงๆ จะทำยังไง แล้วตอนนี้เพื่อนคนนั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ไอ้จัสจงใจกดดันน้องที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับน้องใบพลู แต่สำหรับผมน่ะ ต้องใช้วิธีเดียวกันกับตอนที่พวกผมเป็นปีจัดครับ รับรองได้ผล

               “มึงพอเหอะไอ้จัส กูว่าด่าปี1 ไปก็เท่านั้นว่ะ ปีจัด!!! พวกมึงออกมายืนเรียงเลยนะ จัดงานภาษาอะไรวะ มึงไปเอาลูกเขามา ทำไมไม่ดูและให้ดี น้องมันเพิ่งเข้ามา มึงจะให้ดูแลกันเองหรอวะ! ถ้าอย่างนั้นมึงจะปิดตาน้องหาพระแสงอะไร แล้วพี่จูงประจำกลุ่มมึงทำห่าอะไรอยู่ ทำไมไม่ดูน้อง!!!”
 
               “เห้ย ไอ้วอร์มมึงใจเย็นดิวะ” ไอ้มิชิที่ตีหน้านิ่งได้บทคุณชายเย็นชาไปเมื่อครู่รีบมาจับบ่าผมเอาไว้ เป็นพ่อพระไปอีกแต่ขอโทษนะ ในเมื่อผมได้รับบทบาทนี้แล้วก็ต้องไปให้สุดครับ น้องปีจัดขอร้องมา ผมก็จะจัดให้ จัดเต็มด้วย แต่ก็แอบน้อยใจเหมือนกันนะ บทเกรี้ยวกราดโหดร้ายนี่ชอบโยนให้กูจังเลย แค่เป็นผู้ชายเสียงแหบนี่มันผิดมากหรอครับ
 
               “ขอโทษครับ/ขอโทษค่ะ”
               “พวกมึงไม่ต้องมาขอโทษกู! มึงไปขอโทษน้อง!!! อย่าให้กูเห็นพวกมึงไปโทษน้องอีกนะ หน้าที่ตัวเองยังทำได้ไม่ดียังจะหน้าด้านไปโทษน้องว่าไม่ดูแลกันอีก พวกมึงรีบไปหาน้องให้เจอเลยนะ ไป!!!” พวกปีจัดรีบขานรับผมก่อนจะให้น้องปี 1 ปิดผ้าผูกตากลับไปเหมือนเดิมแล้วย้ายน้องไปฐานริมทะเลทันที
 
               ตอนที่ผมตะโกนต่อว่าพวกปี 2 อยู่นั้น ผมแอบเหลือไปเห็นไอติมนี่นั่งกอดเข่าเบ้ปากอยู่ น้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ไอติมเงยหน้ามามองผมเป็นระยะ แล้วก็ฟุบหน้าลงไปกับเข่าตัวเอง น้องจะกลัวจนไม่กล้าเข้าหาผมไหมเนี่ย ถ้าภาพลักษณ์ชายหนุ่มแสนอบอุ่นของนายไออุ่นคนนี้พังละก็ ผมไม่ปล่อยไอ้ตูนไว้แน่ โยนบทนี้มาให้ผมเล่น แถมตอนบรีฟก็ย้ำจังเลยว่าขอโหด ไอ้เวร ผมเสียหายนะเนี่ย
 
               “เชี่ยวอร์ม มึงไปอัดอั้นมาจากไหนวะ กูเห็นกูยังกลัวอะ สัด!”
               “มึงไม่ต้องเลยเชี่ยจัส ไหนมึงว่าจะเสริมกูไง เสือกทำตัวเป็นคุณชายเย็นชาเนียนไปกับไอ้มิชิเฉยเลยนะ มึงอะ”
               “กูเกือบเชื่ออะมึง อินเนอร์แรงมาก วอร์มอีสแองกรี้สุดๆ อะมึง”
               “พอไหมล่ะมิชิ ก็ไอ้ตูนมันบรีฟกูมาเนี่ย พวกมึงต้องช่วยกูเลยนะ น้องกลัวกูหมดแล้วมั้งเนี่ย”
 
               “สุดยอดเลยวอร์ม เค้กนั่งมองหน้าไอติมกับไวท์นะ แบบจะร้องไห้อยู่แล้วอะ กินน้ำก่อน ใช้เสียงไปเยอะคอแห้งแย่” ผมรับขวดน้ำเย็นฉ่ำมากจากเค้กก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง ผมคงใช้พลังไปเยอะมากจริงๆ แหละครับ รู้สึกหน้าร้อนไปหมดแล้ว
 
               “หายเหนื่อยยังวะ จะได้ตามไปฐานสปา”
               “พวกมึงไปกันก่อนเลยก็ได้ กูอาจจะไม่ไป” ผมตอบไอ้จัสไป ฐานสปาที่ว่าคือฐานริมทะเลครับที่ปีจัดงานจะขุดทรายบริเวณหาดไว้เป็นเหมือนอุโมงค์ให้น้องลงไปคลาน แล้วก็จะถูกพี่ๆ ละเลงสารพัดสิ่งใส่ ทั้งสาคู น้ำแดง แชมพู สาหร่าย เรียกได้ว่ามีแต่เละกับเละ โดยน้องแต่ละคนจะมีป้ายชื่อคำผวนของตัวเองห้อยคออยู่ด้วย เพื่อที่ตอนคลานไปสุดทางแล้วจะได้ถ่ายรูปร่วมกับพี่ๆ ในสายด้วยสภาพที่อนาถที่สุดในชีวิตเท่านั้นแหละครับ
 
               “มึงจะไม่ไปถ่ายรูปกับน้องไอติมหรอวะ ไหนๆ ก็มาแล้ว”
 
               “เออๆ ไปก็ไปวะ” จัสกับมิชิรีบมาประกบผมคนละข้างแล้วกอดคอพาผมเดินไป โดยมีเค้กเดินอมยิ้มอยู่ข้างๆ ถึงผมจะไปแต่ก็คงไม่ได้ไปร่วมละเลงกับเขาหรอกครับ ไม่อยากจะให้น้องเกลียดผมไปมากกว่านี้ เอาเป็นว่าแค่ไปร่วมชมและถ่ายรูปสายเท่านั้นพอ ผมว่านะ น่ารักๆ อย่างไอติมน่าจะโดนเละเลยแหละ เพราะอย่างตอนที่ปีผมรับน้อง เค้กนี่ก็ฉ่ำไปด้วยน้ำแดง แถมยังมีเม็ดแมงลักติดเต็มผมไปหมดอีก คนน่ารักก็มักจะเละเป็นพิเศษแบบนี้แหละครับ

.

.

.

To be Continue...




Talk : พี่วอร์มทำน้องร้องไห้แล้วเนี้ย :hao3:

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
:: Chapter 8 :: 'จูบกัน'


               ตอนนี้ผมชักเริ่มอยากจะออกไปจากห้องนี้แล้วสิ ห้องที่ผมอยู่ตอนนี้คือห้องฐานสุดท้ายของการรับน้องในวันนี้ซึ่งเป็นฐานประเพณีประจำโต๊ะผม แต่ที่ผมไม่อยากอยู่แล้วก็เพราะว่าผมดันโดนน้องๆ หลายคนก่อนหน้านี้เลือกให้ไปทำภารกิจด้วยน่ะสิ โคตรน่าเบื่อ ว่าจะอยู่อย่างสงบๆ แล้วเชียว ส่วนน้องปี 1 ที่อยู่ในห้องตอนนี้ก็คือไอติมซึ่งเป็นน้องสายผมเอง ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมก็อยากเห็นเหมือนกันว่าไอติมจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไง
 
               “น้องรักเพื่อน รักพี่ รักโต๊ะไหมครับ”
               “ระ... รักครับ...” ไอติมที่ตอนนี้นั่งกอดเข่าอยู่ ตอบคำถามของพี่บิ๊ก ซึ่งเป็นพี่พี่สู๊งสูงหัวหน้าฐานนี้ด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ อีกอย่างก่อนหน้านี้พวกปี 1 เพิ่งไปลงทะเลมาทำให้น้องเปียกชุ่มไปทั้งตัวแล้วยังถูกพาไปไว้ในห้องแอร์เย็นยะเยือกอีก ตอนนี้น้องคงหนาวไม่น้อยเลย
 
               “เป็นลูกผู้ชาย ตอบให้มันชัดถ้อยชัดคำดิ! น้องรักโต๊ะไหมครับ”
               “รักครับ!” น้องสะดุ้งเล็กน้อยเพราะพี่บิ๊กถามน้องอีกครั้งด้วยการตะโกน และภายในห้องนั้นก็เงียบมาก ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ แต่ผมว่าไอติมยังมีสิตอยู่ในระดับดีนะ แถมยังกล้าตอบพี่เขากลับไปด้วยเสียงที่ชัดเจนแบบนั้น
 
               น้องบางคนก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะน้องผู้หญิงนี่ร้องไห้ตั้งแต่เปิดผ้าปิดตาออกมาแล้วเจอหน้าพี่บิ๊กเลยมั้ง ก็พี่แกเป็นคนตัวโตแถมไว้หนวดไว้เคราอีก เป็นใครก็กลัวทั้งนั้นแหละ ตอนรุ่นผมถือว่าโชคดีสุดเพราะพี่แกดันติดธุระมาไม่ได้ ทั้งๆ ที่ปกติพี่แกจะประจำฐานนี้และมารับน้องแทบจะทุกปี
 
               “พี่จะให้น้องทำสิ่งหนึ่งเพื่อเป็นการพิสูจน์คำพูดของน้อง น้องจะทำให้พี่ได้ไหมครับ!”
               “ทะ... ทำ... อะไรอะครับ...”
               “พี่ไม่ได้ให้น้องถาม! น้องมีหน้าที่แค่ตอบคำถามพี่ ตกลงทำได้ไหมครับ!!!”
 
               เห็นน้องสะดุ้งแล้วผมก็สงสาร สำหรับน้องปี1 ที่ถูกส่งตัวเข้ามาทีละคน เพียงลำพังท่ามกลางรุ่นพี่มากมาย ความรู้สึกคงกดดันน่าดู แต่สำหรับรุ่นพี่อย่างพวกผมมันออกแนวขำมากกว่า เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วการได้เห็นปฏิกิริยาของน้องแต่ละคนที่แตกต่างกันไปมันก็ยิ่งทำให้รู้สึกสนุก
 
               “ทำได้ครับ...”
               “พี่จะให้น้องจูบกัน โอเคเนอะ ทำได้นะครับ”
               “ดะ... เดี๋ยวก่อนครับ... ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำแบบนี้...”
               “ทำไมครับ ไหนเมื่อกี้น้องว่าทำได้ไง เพื่อนน้องที่เข้ามาคนก่อนๆ หน้านี้เขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละครับ”
 
               ไอติมเริ่มหน้าเสียเมื่อโดนพี่บิ๊กกดดันหนักเข้า น้องกระชับกอดที่กอดเข่าตัวเองอยู่แน่นขึ้นไปอีก แววตาวูบไหวด้วยความสับสนและลังเล
 
               “พี่จะให้น้องเลือกพี่หนึ่งคนในนี้ ใครก็ได้ เพื่อจะเป็นคนจูบกับน้องนะครับ เลือกเลยครับ” ตอนนี้น้องตัวสั่นเล็กน้อยไม่รู้เป็นเพราะความหนาวหรือความหวาดกลัวกันแน่ บรรยากาศภายในห้องเงียบสนิท น้องยังคงก้มหน้าและไม่กล้าสบตากับใครสักคน ผมเห็นน้องเม้มปากตัวเองแน่นด้วยความกังวล แถมดวงตากลมนั่นก็เริ่มมีน้ำใสๆ เอ่อคลอแล้วด้วยสิ เห็นแล้วอยากเข้าไปโอ๋น้องชะมัด แต่ก็ทำไม่ได้
 
               “น้องครับ มันเสียเวลานะรู้ไหม ไม่เห็นใจเพื่อนคนอื่นที่ยังต้องนั่งตัวเปียกหนาวสั่นเพราะน้องตัดสินใจไม่ได้บ้างหรือไง น้องใช้เวลานานที่สุดตั้งแต่เข้ามาเลยนะ รู้ตัวไหม”
 
               “.....”
               “ยัง... ยังจะเงียบอีก! กูจะไม่ใจดีแล้วนะ ไอ้วอร์ม! มึงไปจูบกับมันไป!!!” เอาแล้วไง อยู่ดีๆ ก็โดนโยนขี้เฉย ผมว่าผมอยู่เงียบๆ แล้วนะ ทำไมพี่บิ๊กต้องเลือกผมด้วยวะ
 
               “เฮ้ย! พี่ ทำไมต้องเป็นผมอะ”
               “ในฐานะที่ตอนปี1 มึงใจกล้าเลือกจูบกับดาว ไหนๆ ปีนี้ก็มีน้องเลือกมึงหลายคนแล้ว จะจูบอีกคนจะเป็นไรวะ ไปนั่ง!!!” เมื่อท่านหัวหน้าฐานลั่นวาจามาขนาดนั้นแล้วใครจะไปขัดได้ละครับ เรื่องของผมมันก็เป็นตำนานจริงๆ นั่นแหละ เพราะตอนผมโดนรับน้อง ผมดันไปเลือกพี่ดาวซึ่งพี่เขาก็เป็นดาวโต๊ะปี 4 แถมผมยังเป็นฝ่ายโน้มเข้าหาพี่เขาอีก จะเหลืออะไรล่ะครับ โดนเมาท์ยาวมาจนถึงทุกวันนี้
 
               ผมทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิตรงหน้าน้องหลังจากที่ทุกคนแหวกทางให้ผม คือห้องมันค่อนข้างเล็กแล้วทุกพื้นที่ก็เต็มไปด้วยรุ่นพี่ด้วยความรู้อยากเห็นความพีคของฐานนี้นี่แหละครับ ไอติมยังคงไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามองผม ส่วนไอ้จัสที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ เพื่อสแตนบายสำหรับการจูบกันระหว่างผมกับไอติม ก็หันมายักคิ้วให้ผม ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่ามันต้องการจะสื่ออะไรถึงต้องมาทำหน้าเจ้าเล่ห์กรุ่มกริ่มใส่ผมแบบนั้น
 
               “น้องครับ! พี่จะให้โอกาสน้องเลือกครั้งสุดท้าย น้องจะเป็นฝ่ายค่อยๆ โน้ม ไปหาพี่เขา หรือจะให้ไอ้วอร์มันจัดการ ตอบครับ!”
               “ผะ... ผม... ผมโน้มเองครับ...”
               “โอเคนะ งั้นจูบเลยครับ!”
               “พี่วอร์ม... หลับตา... ได้ไหมครับ” ผมอมยิ้มเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำพูดของน้องพร้อมกับดวงตากลมที่ช้อนมองผม ตอนนี้ระยะห่างของเราห่างกันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำครับ ผมจับมือน้องที่กอดเข่าตัวเองอยู่ให้คลายออกแล้วจัดท่าให้น้องนั่งขัดสมาธิสบายๆ อย่างน้อยก็จะไม่ไม่เกร็งไปกว่านี้ก่อนที่ผมจะหลับตาลงช้าๆ ตามคำขอของน้อง
 
               “จูบได้แล้วครับน้อง!”
               “จูบกันๆๆๆๆ” เสียงเชียร์ของพี่ๆ ดังขึ้นทั่วบริเวณจนกึกก้องไปหมด สำหรับผมก็ไมได้รู้สึกอะไร มันชินแล้ว แต่ไอติมคงตื่นเต้นน่าดู แต่เอาเถอะ รีบๆ ทำให้เสร็จ จะได้จบๆ เสียที เอาจริงๆ ผมเริ่มหิวข้าวแล้ว แต่แม่งยังเหลือน้องอีกตั้งสามคน
 
              จุ๊บ!
 
               ความสัมผัสนิ่มหยุ่นจากริมฝีปากเย็นชืดของไอติมแตะลงกับปากผม นั้นหมายความว่าไอ้เชี่ยจัสทำพลาด เสียงกรี๊ดของพี่ผู้หญิงหลายๆ คนดังขึ้น พร้อมๆ กับเสียงโห่ของพี่ๆ ผู้ชาย ตามมาด้วยเสียงเป็ดๆ ของไอ้จัสที่กระซิบข้างหูผม
 
               “เชี่ย กูขอโทษ ไม่ทันจริงๆ ว่ะ”
 
               ทันทีที่ผมลืมตาก็พบว่าไอติมอยู่ในอาการมึนงง ที่จู่ๆ พี่ที่นั่งอยู่สองข้างของน้องก็พากันกระชากไหล่น้องให้ออกห่างจากผม รวมถึงไอ้จัสที่เอากระบอกปืนปลอมมาทาบปากผมก่อนจะไปทาบปากน้องอีกทีหนึ่ง น้องมันคงวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้วล่ะครับ ดูจากหน้าตาเด๋อด๋ากับปากที่กำลังอ้าหวอแบบนั้น ตลกฉิบหาย แต่ทำไมถึงเป็นเด็ที่เด๋อได้น่าเอ็นดูแบบนี้วะ
 
               “อะๆ จูบกันนะครับน้อง  ยินดีต้อนรับน้องไอติมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโต๊ะอย่างเป็นทางการเนอะ หายตกใจได้แล้วนะ จริงๆ พวกพี่ไม่มีอะไรนะครับ เห็นหน้าเถื่อนๆ แบบนี้ ใจดีทุกคนนะ เดี๋ยวน้องไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วพักผ่อนตามอัธยาสัยได้เลยนะครับ สุดท้ายพี่วอร์มมีอะไรจะพูดกับน้องไหม”
 
               เด็กเด๋อตรงหน้าผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาตามพี่ๆ ทุกคนแต่ทั้งๆ ที่หัวเราะอยู่นั้น น้ำตาน้องก็ไหลออกมาเฉย ภาพตรงหน้าผมตอนนี้ก็เลยกลายเป็นไอติมที่นั่งหัวเราะทั้งน้ำตา ผมเลยอดไม่ได้ที่จะขยี้หัวน้องไปพร้อมกับเอ่ยแซ็วน้อง
 
               “ขี้แยนะเรา คนบ้าอะไรหัวเราะไปร้องไห้ไป เดี๋ยวเจอกันตอนปาร์ตี้บาร์บีคิวนะ”
 
               หลังจากที่เด็กปี 1 ได้ผ่านกิจกรรมฐานต่างๆ ที่มีทั้งสนุกสนาน กดดัน และมหาโหด ทั้งร่างกายและจิตใจก็เหนื่อยมามากพอแล้วตอนนี้ก็เลยเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน มื้อเย็นสำหรับวันนี้เป็นปาร์ตี้บาร์บีคิวที่มีอาหารทะเลสดหลากหลายชนิด บรรยากาศเย็นสบายและเป็นกันเอง เนื่องจากทุกคนไม่จำเป็นต้องสวมบทบาทที่ถูกวางไว้อีกต่อไปแล้ว ทำให้พี่ๆ น้องๆ หลายๆ คนเริ่มสนิทกันและพูดคุยกันอย่างถูกคอ
 
               “ไงเรา เหนื่อยไหม เด็กขี้แย”
               “พี่วอร์มง่า...” น้องพองแก้มยู่ปากทันทีที่โดนผมเอ่ยแซ็ว เจ้าตัวจะรู้บ้างไหมว่าท่าทางแบบนี้มันน่ารักเหลือเกิน จนผมที่อดหมั่นเขี้ยวไม่ได้ต้องยื่นมือไปขยี้ผมน้อง
 
               “หยุดเลยพี่วอร์ม ผมยุ่งหมดแล้วเนี่ย... ฮัดชิ่ว!”
               “เอ้า! จามใส่หน้ากันเฉย”
               “ฮัดชิ่ว!”
               “เป็นหวัดแล้วมั้งเนี่ย” ไวเท่าความคิดหลังมือผมถูกส่งไปทาบกับหน้าผากของน้องทันที อุณภูมิของร่างกายไอติมที่สูงกว่าปกติแสดงได้ให้เห็นว่าการคาดเดาของผมนั้นถูกต้อง น้องเป็นหวัดจริงๆ แถมยังมีไข้ด้วย
 
               “ก็พวกเพราะพวกพี่นั่นแหละ มีอย่างที่ไหนให้น้องไปลงน้ำมาแล้วปล่อยทิ้งไว้ในห้องที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำขนาดนั้น เกิดพวกผมปอดบวมตายขึ้นมาทำไงอะ”
 
               “ได้ทีละเอาใหญ่เลยนะ ไปบ่นพวกปี 2 โน่น” ผมดีดหน้าผากไอติมไปหนึ่งที ตั้งแต่ที่เจอกันวันแรกเห็นทีวันนี้น้องจะพูดกับผมยาวที่สุดตั้งแต่ที่เคยคุยกันมาเลยมั้งครับ บ่นไม่หยุดแถมยังทำหน้าทำตางอแงอีก นี่มันเด็กมหาลัยแล้วจริงๆ หรอวะ
 
               “ผมไม่คุยกับพี่แล้ว ไปกินกุ้งดีกว่า” ไอติมหันมาแลบลิ้นใส่ผมก่อนจะรีบวิ่งไปหาเพื่อนๆ ที่กำลังยืนปิ้งอาหารอยู่หน้าเตา วันนี้ผมได้เห็นทั้งน้ำตาและรอยยิ้มของน้อง มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่เหมาะกับน้ำตาเลยสักนิด
 
               “พี่วอร์ม มายืนทำไรตรงนี้อะพี่ ไม่ไปกินหรอครับ”
               “กำลังจะไป เออ ไอ้คิว มีพวกยาแก้หวัดลดไข้งี้ไหม เอาไปให้ไอติมหน่อยดิ”
               “น้องไม่สบายหรอพี่”
               “อืม... มีไข้ด้วย มึงไปทำหน้าที่พี่เทคที่ดีหน่อยไป”
 
               “อ่า... โอเคครับ” ไอ้คิวที่เดินเข้ามาทักผมก็ขอตัววิ่งกลับไปเอายาที่ห้องพักของพวกปี 2 ทันที ส่วนผมก็เดินเรื่อยเปื่อยแล้วมาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้จัสที่ตอนนี้มีปลาหมึกย่างอยู่เต็มปาก เห็นมันกินทำหน้าฟินขนาดนั้นผมก็เลยแย่งไม้ในมือมันมาลองชิมดูบ้าง
 
               “เชี่ยวอร์ม มึงไม่ต้องมาเนียนแย่งกูแดก ไปปิ้งเองโน่นไป”
               “กับเพื่อนกับฝูง แค่นี้ก็ให้ไม่ได้” เค้กที่นั่งมองผมกับไอ้จัสตีกันอยู่สักพัก ก็ส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะยื่นจานที่เต็มไปด้วยกุ้งเผาที่แกะแล้ว และปลาหมึกย่างมาให้ผม
 
               “ขอบคุณนะเค้ก น่ารักที่สุดเลย”
               “โหย อะไรอะเค้ก เราไม่ได้แกะกุ้งเพื่อจะให้ไอ้วอร์มมันมากินสบายแบบนี้นะ ดูดิ มือก็เปื้อนเนี่ย”
               “ก็กินด้วยกันนี่ไง... มิชิด้วย มาๆ เดี๋ยวเค้กป้อน อ้าม” ไอ้มิชิที่โวยวายอยู่เมื่อกี้ก็สงบปากสงบคำลงทันทีที่ได้กินกุ้งตัวโตโดยการป้อนของเค้ก ผมกับไอ้จัสก็เลยได้แต่นั่งมองตากันปริบๆ เหมือนจะสัมผัสได้ถึงแสงสีชมพูรอบๆ นี้ยังไงก็ไม่รู้ครับ
 
               “จัส มึงว่าน้ำจิ้มซีฟู้ดวันนี้มันหวานๆ ไหมวะ”
               “เออ กูก็ว่างั้นแหละ หวานจนแสบคอไปหมดแล้วเนี่ย”
 
               “หวานตรงไหนวะ กูว่าเผ็ดจะตายละเนี่ย” มิชิถลึงตาใส่พวกผม แหม ทำมาเป็นกลบเกลื่อน ถ้าผมเป็นมันนะ มาขนาดนี้แล้วก็เปิดตัวเลยเถอะ ไม่รู้มันจะรีรออะไร
 
               ช่วงเวลาแห่งการบายศรีดำเนินไปด้วยความซึ้ง พี่หลายๆ คนที่ได้รับบทโหดก็กล่าวขอโทษน้องๆ ผลสุดท้ายก็กอดกันร้องไห้ไปหลายคู่ วงการบายศรีแบ่งเป็นสองวงครับ วงเล็กข้างในจะเป็นพวกพี่ๆ ปีสูง ส่วนวงนอกก็ตั้งแต่ปี 4 ไล่ลงมาถึงปี 2 เพราะฉะนั้นน้องปี 1 ก็จะหมุนเวียนกันยุ่งใช้ได้เลย พวกผมเองก็มีน้องๆ แวะเวียนมาหาเรื่อยๆ น้องที่เลือกผมไปจูบด้วยก็มากันหมดแถมน้องผู้หญิงบางคงยังมาพูดติดตลกกับผมอีกว่าเสียดาย เพราะนึกว่าจะได้จูบกับผมจริงๆ นี่มันสถานการณ์แบบไหนกันวะครับ เดี๋ยวนี้โลกมันหมุนเร็วขนาดนี้แล้วหรอ เจอแบบนี้ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกันอะ ได้แต่ส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้น้อง อยู่มาสามปีใช่ว่าจะไม่เคยเจอสาวมาสารภาพความในใจหรือตามตื้อตามจีบหรอกนะครับ มันก็มีบ้างแหละ แต่พอเป็นน้องในโต๊ะแล้วมันรู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล
 
               ผมนั่งมองเชือกสีขาวในมือซึ่งตอนนี้เหลือเพียงเส้นเดียว ส่วนเค้กที่ผูกหมดแล้วก็ชวนมิชิออกไปไหนไม่รู้ ไอ้จัสเองก็โดนเฮียบลูลากไปเตรียมก๊งแล้วละมั้ง ส่วนผมกำลังมองหาใครบางคนอยู่ เมื่อกวาดสายตามองหาก็พบว่าน้องสายของผมดูจะฮ๊อตเหลือเกินโดยเฉพาะในหมู่พี่ๆ ปีสูง พอเสร็จจากคนนี้ก็เห็นคนนั้นกวักมือเรียก ผูกยังไม่ทันเสร็จดี พี่อีกคนก็เดินมาผูกให้ อย่างว่าแหละครับ น้องมันเป็นเด็กน่ารัก ใครเห็นใครก็รักก็เอ็นดูทั้งนั้นแหละ สุดท้ายผมก็เลยเลือกที่จะปลีกตัวออกมาแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ เพียงแค่คาบบุหรี่ไว้ยังไม่ทันได้จุด ข้อความจากไอ้จัสก็ปรากฏบนหน้าจอ
 
               J.U.S.T. :: ไอ้วอร์มมึงมาให้ไวเลย ขาขาด คันมือ อยากเป็นคิงแล้ว
               It’s Michi :: เออวอร์ม มึงหายไปไหนวะ
               นายไออุ่น :: สัด! พวกมึงอะแหละ ไปไหนไม่เรียกกูเลยนะ
               คะ-หนม-เค้ก :: เค้กขอโทษ พอดีกลับมาเข้าห้องน้ำอะ เลยชวนมิชิมาด้วยแล้วเจอจัสหน้าห้องพอดี
 
               สุดท้ายพอเป็นเค้กออกมาขอโทษผมจะว่าอะไรได้ล่ะครับ ก็ได้แต่รีบเดินไปที่ห้องของเค้ก คืนนี้คงอีกยาวไกล เพราะแน่นอนว่าพวกคุณเพื่อนคงไม่ได้แค่เล่นไพ่ธรรมดาๆ แน่นอน ดูจากกระป๋องเบียร์และขวดค็อกเทลหลากสีในท้ายรถที่ไอ้มิชิขนมาแล้ว เพลินๆ ไปยันเช้าแน่ๆ ครับ
                             

                           .
                           .


               เสียงโทรศัพท์ของใครสักคนดังขึ้นมาจนผมต้องลืมตาตื่น ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งสักพักแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในห้องไอ้มิชิ ใกล้ๆ ผมก็มีไอ้จัสนอนตัวยาวอยู่ ส่วนเจ้าของห้องอย่างไอ้มิชิก็นอนบนเตียงโดยอีกเตียงก็คือเค้กนั่นเอง
 
               เมื่อคืนผมกับไอ้จัสมานั่งเล่นไพ่ที่ห้องไอ้มิชิกับเค้ก มีพวกพี่บลูมาแจมด้วยพักนึงแต่พวกพี่ๆ ก็กลับไปก๊งกับพวกปี4 และพี่ปีสูงต่อ เหลือก็แต่พวกผมสี่คนนี่แหละ ตอนแรกตกลงกันไว้ว่าจะไปเล่นที่ห้องผมกับไอ้จัส แต่ไอ้จัสนี่สิ ดันยืนยันว่าจะเล่นที่ห้องไอ้มิชิ ผมเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของมันแล้วผมว่ามันน่าจะแกล้งไม่ให้มิชิได้อยู่ด้วยกันกับเค้กสองต่อสองมากกว่า โคตรจะบาปเลย เพราะพวกผมก็อยู่กันยันเช้าเลยไง เพิ่งจะได้งีบกันไปเมือตอนเกือบๆ ตี5 นี่แหละ
 
               “ครับๆ ตื่นแล้วครับ... กลับวันนี้ครับแม่...  ไม่ลืมครับ ไม่ลืมหรอกน่า... ครับ สวัสดีครับ”
 
               ไอ้จัสงัวเงียลุกขึ้นมารับโทรศัพท์คุยกับคนปลายสายซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นแม่มันโทรมาเตือนเรื่องขนมหม้อแกงที่ฝากมันซื้อแน่ๆ  คนกรุงอยู่บ้านกับครอบครัวก็ซวยไปนะครับ ไปไหนมาไหนทีก็ต้องซื้อของกลับไปฝากคนที่บ้าน แล้วรอบนี้พอแม่ไอ้จัสมันรู้ว่าจะมารับน้อง ก็ลิสรายการขนมหม้อแกงฝากมาเป็นหน้ากระดาษเลยครับ เห็นว่าจะเอาไปฝากคนที่ทำงานด้วย
 
               “อ่าวไอ้วอร์ม... ตื่นแล้วหรอวะ”
               “เออ กูว่าจะกลับห้องแล้วเนี่ย”
               “เออๆ งั้นมึงกลับไปก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไป”
 
               ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางบนโต๊ะแล้วเดินออกมาจากห้องพัก ส่วนไอ้จัสก็ล้มตัวลงนอนต่อ ตอนนี้เวลาเกือบหกโมงเช้า ฟ้าข้างนอกก็เริ่มจะสางแล้ว น้ำทะเลก็ลดลงไปจนเห็นโขดหิดเป็นแนวทางยาวลาดลงไปในทะเล จริงๆ ห้องของผมกับห้องของมิชิมันก็ไม่ไกลกันนักหรอก เดินกลับไปแป๊ปเดียวก็ถึงแล้วแต่พอเห็นบรรยากาศริมทะเลยามเช้าแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะขอแว่บไปสูดอากาศดีๆ สักหน่อย นานๆ ทีจะได้เห็นอะไรแบบนี้ในชีวิต ถือว่าผมโชคดีมากนะเนี่ยที่ได้ตื่นมาเวลานี้ ดูเหมือนว่าพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นพอดีเลยด้วย เดี๋ยวถ่ายรูปไปอวดไอ้จัสกับมิชิสักหน่อยดีกว่า
 
                   แชะ!!!
 
               เสียงกัดชัตเตอร์ดังขึ้นมาแต่มันไม่ใช่ของผมแน่ๆ ผมมั่นใจ ผมมองไปตามเสียงก็เจอกับน้องไอติมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กำลังรัวชัตเตอร์ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นจนไม่ทันสังเกตเห็นผมแน่ๆ น้องกดถ่ายรูปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจนผมอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
 
               “อะแฮ่ม!”
               “อ้าว! พี่วอร์ม! มาทำอะไรตรงนี้”
               “พี่ต้องถามเรามากกว่ามั้ยว่ามาทำอะไรตรงนี้...”
               “ผมตื่นมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นครับ... ว่าแต่พี่วอร์มเถอะ ทำไมตื่นเช้าจัง”
               “เพิ่งกลับมาจากห้องไอ้มิชิอะ กำลังจะกลับไปที่ห้องเนี่ย”
               “โห จัดหนักยันเช้าเลยหรอพี่”
               “จัดหนักอะไร! ไม่ได้ทำอะไรเลยเว้ย! ว่าแต่เราเหอะ หายป่วยแล้วหรอไงถึงออกมาตากลมแต่เช้าเนี่ย”
               “พี่คิวเอายามาให้เมื่อคืนตอนที่ปี2 มาเชคจำนวนน้องปี1 อะครับ... ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”
 
               “อือ เจ้าคิวมาบอกแล้วล่ะ ว่าเอายาไปให้แล้ว... แต่ก็อย่าวางใจละ เดี๋ยวไข้กลับแล้วจะยุ่ง” ผมบ่นน้องแล้วลอบมองหน้าไอติมเล็กน้อย จริงๆ ผมเองเนี่ยแหละที่บอกให้ไอ้คิวปี2 เอายาลดไข้ไปให้น้องไอติม เอ้า! ผมก็แค่ทำตามหน้าที่พี่สายที่ดีเท่านั้นเอง เป็นพี่ก็ต้องช่วยกันดูแลน้องมันก็ถูกแล้วนี่ครับ
 
               “เข้าใจแล้วคร้าบ ผมก็แค่ออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้นเองหน่า” น้องไอติมบ่นงุ้งงิ้งต่อหลังจากพยักหน้ารับเหมือนเข้าใจที่ผมพูดมาก เจ้าเด็กนี่น่าเอ็นดูจนผมต้องยกมือไปขยี้หัวน้องด้วยความหมั่นเขี้ยว
 
               “เออ... ลืมไปเลย... เมื่อคืนตอนบายศรีอะ ยังไม่ได้ผูกข้อมือให้เลย... ไงล่ะ เป็นพี่น้องสายเดียวกันแท้ๆ ไม่ได้ผูกข้อมือให้จนได้” ผมพูดขึ้นต่อหลังจากที่นึกได้ เมื่อคืนตอนผูกข้อมือบายศรีให้น้องๆ ผมยังไม่ได้ผูกข้อมือไอติมเลย ทั้งๆ ที่น้องเป็นน้องสายผมแท้ๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่เข้ามาหาผมสักที จริงๆ ผมก็รอน้องให้เข้ามาหาแหละ แต่เห็นน้องโดนพวกพี่ปีสามปีสี่รุมผูกข้อมือให้เยอะแยะไปหมด คงไม่เหลือพื้นที่แขนให้ผมผูกให้แล้วละมั้ง

               “ง่า... ผมขอโทษครับพี่วอร์ม จริงๆ ผมตั้งใจไปให้พี่ผูกข้อมือให้นะ... แต่กว่าจะเสร็จจากพวกพี่ๆ ปีสี่คนอื่นๆ เขาก็เริ่มเสร็จกันหมดแล้ว... เลยไม่ได้เข้าไปหาอ่า” ไอติมอธิบายโดยที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่ได้มองหน้าผม
 
               “ฮ๊อตนะเราเนี่ย”
               “ไม่ได้ฮ๊อตสักหน่อย...”
               “อ่าๆ ช่างมันเถอะ ยังไงพี่ก็เก็บเชือกไว้เส้นนึงไว้รอผูกให้เราอยู่แล้วล่ะ”
 
               “จริงหรอพี่?!” น้องรีบเงยหน้าขึ้นมาถามผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใบหน้าของน้องตอนนี้โคตรน่ารักเลยครับ ฉีกยิ้มซะจนตาปิดเลย ผมหัวเราะตามเล็กน้อยก่อนจะล้วงหยิบเชือกที่เก็บไว้ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นเพราะผมเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงไม่ได้เอาออกตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ แล้วน้องก็ยื่นมืออีกข้างที่ว่างอยู่มาให้ผมอย่างรู้งาน ก่อนที่ผมจะบรรจงผูกเชือกสีขาวที่ข้อมือให้น้อง
 
               “สี่ปีต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจเรียนให้ดีๆ เป็นที่รักของเพื่อนๆ และของทุกๆ คน ขอให้ใช้ชีวิตอย่างราบรื่น ไม่เจ็บไม่ป่วย แล้วก็มีอะไรให้พี่ช่วยเหลือก็บอกได้เลยนะ เรื่องเรียนถ้ามีอะไรสงสัยหรือไม่เข้าใจก็ถามได้ตลอด...”
 
               “ครับพี่” ไอติมพยักหน้ารับพร้อมกับฉีกยิ้มตาหยีให้ผมอีกครั้ง
               “แล้วก็เป็นเด็กดีเชื่อฟังพี่ด้วยล่ะ ห้ามดื้อนะเข้าใจเปล่า?” ผมพูดต่อจนน้องหุบยิ้มแล้วยู่ปากเข้าหากัน ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่จะขยันทำตัวน่ารักไปถึงไหน
 
               “เข้าใจแล้วคร้าบ ผมจะเป็นเด็กดีกับพี่ๆ ไม่ดื้อไม่ซนด้วยเอ้า!”
               “อื้ม! ทำดีมาก! มา! ถ่ายรูปกัน”  ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นเข้าแอพถ่ายรูปแล้วเอ่ยชวนน้องให้มาถ่ายรูปด้วยกันแต่ดูเหมือนไอติมจะดูงงๆ
 
               “ถ่ายรูปตอนนี้หรอพี่?”
               “อืม ทำไมอะ ถ่ายไม่ได้หรอ?”
               “ผมยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลย” คำตอบของไอติมทำเอาผมหลุดขำออกมาอีกรอบ ซื่อเหลือเกินนะเด็กคนนี้
 
               “เออนั่นแหละ พี่ก็ยังเหมือนกัน ถือว่าเจ๊ากัน! มาเร็ว  หนึ่ง สอง...” ผมรัวชัตเตอร์ถ่ายเซลฟี่กับน้องไอติมไปประมาณ 4-5 รูป ก็แปลกดีเหมือนกันนะครับ รูปเซลฟี่พี่สายปีสามกับน้องสายปี1 ที่ถ่ายด้วยกันครั้งแรกคือรูปตอนที่เพิ่งตื่น แถมยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันกันทั้งคู่อีก เป็นสตอรี่ที่นึกถึงแล้วก็ฮาๆ ดี
 
               “เอาไว้ไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยชวนคิวมาถ่ายด้วยกันอีกรอบดีกว่า” ผมพูดกับน้องไอติมที่พยักหน้ารับหงึกหงักอยู่ข้างๆ ก่อนจะเอ่ยลาและแยกย้ายกันกลับห้องพักไป

.

.

.

To be Continue...



 :-[

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
กริ้วววววววววววววว

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
น่ารัก กรุบกริบ ^^

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
               
:: Chapter 9 :: 'ห่วงใย'




**น้องไอติม**


               เช้าวันสุดท้ายของการรับน้องผมตั้งใจตื่นแต่เช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นและสูดอากาสบริษุทธิ์ให้เต็มปอดก่อนที่จะต้องกลับไปอยู่ในเมืองและมุ่งมั่นกับการเรียน ใครจะไปคิดล่ะครับว่าจะมาเจอพี่วอร์ม ทำไมถึงได้บังเอิญเจอกันตอนที่ผมอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยพร้อมจะพบเจอผู้คนเท่าไหร่ด้วยนะ ผมเห็นว่าทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ ก็ยังหลับกันอยู่ทั้งนั้นแต่พี่วอร์มดันออกมาเดินเล่นที่ชายหาดเหมือนกันซะได้ ระหว่างที่ผมกำลังยืนคิดอะไรเพลินๆ ไปพร้อมๆ กับลูบด้ายสีขาวเส้นเล็กที่ข้อมือข้างซ้ายก็มีใครบางคนมะสิกิดเรียกผม

 
               “ไอติม... เก็บของเรียบร้อยหมดรึยัง พี่เขามาตามให้ไปรวมตัวกันแล้วนะ” พอหันไปก็พบว่าเป็นไวท์นี่เองที่เป็นคนมาเรียกผม ดูเหมือนเพื่อนๆ ทุกคนจะเก็บของกันเรียบร้อยหมดแล้วและทยอยเดินไปรวมตัวกันที่ลานด้านนอกแล้ว
 
               “เรียบร้อยแล้วล่ะ ไปกันเถอะ” ผมสะพายเป้ของตัวเองขึ้นหลังแล้วเดินออกไปรวมตัวกับคนอื่น ทันทีที่ออกไปผมก็เห็นว่าพวกพี่บลู พี่จัส พี่มิชิ และพี่วอร์ม รวมตัวกันถ่ายรูปอยู่ก่อนแล้ว ส่วนพี่คิวก็ดูจะวุ่นๆ อยู่กับสัมภาระของพวกปี 1 ผมจึงเดินเอากระเป๋าของตัวเองไปวางรวมไว้
 
               “พี่คิวเหนื่อยไหม เมื่อคืนขอบคุณสำหรับยานะครับ”

               “ไม่เหนื่อยหรอก มันเป็นหน้าที่อะ ฮ่าๆ เดี๋ยวปีหน้าไอติมก็ต้องทำเหมือนกันนั่นแหละ ส่วนเรื่องยา ไปขอบคุณคนโน้นดีกว่า” พี่ชายคิ้วเบ้มบุ้ยปากไปทางที่พวกพี่วอร์มยืนอยู่ แสดงว่าพี่เขาฝากยามาให้ผมอย่างนั้นหรอ
 
               “พี่วอร์ม?”

               “อือ... ก็พี่วอร์มเป็นคนมาบอกอะ ว่าไอติมไม่สบาย...”

               “น้องไอติม~ มาถ่ายรูปกันเร็ว จูเนียร์ด้วย เดี๋ยวเฮียกับเจ้ทั้งสองจะกลับแล้วโว้ย ไอ้คิวมึงด้วย ให้ไว” เสียงพี่บลูที่ตะโกนมาทำให้บทสนทนาระหว่างผมกับพี่คิวจบลงไปโดยปริยาย ผมยังไม่ทันจะได้ถามให้แน่ใจเลยว่าตกลงแล้วใครเป็นคนฝากยามาให้ผมกันแน่
 

               ผมรีบวิ่งไปรวมกับพี่ๆ ในสาย พวกเราถ่ายรูปกันอยู่เยอะพอสมควรเลยครับและด้วยความพิเศษของการโคสาย และการเทคน้องถึงสามคนของพี่บลูก็เลยทำให้สายของพวกเราดูคนเยอะเป็นพิเศษ ยิ่งมีพี่ปีบัณฑิตอย่างพี่เพชรกับพี่เจที่เป็นปีสูงมารวมด้วยแล้วยิ่งครึกครื้นเข้าไปใหญ่

 
               “ปีนี้ได้น้องไอติมกับน้องจูเนียร์เข้ามา กราฟความน่ารักและหน้าตาดีของสายเรายิ่งพุ่งไปใหญ่เลยอะ”

               “โธ่เจ้! น้องเทคเจ้อย่างผมหน้าตาไม่ดีตรงไหน ตอบ!!” พี่บลูรีบโวยวายทันทีที่พี่เพชรเอ่ยชมผมกับจูเนียร์ แต่ผมว่าจริงๆพวกพี่ๆ เขาก็หล่อๆ กันทั้งนั้นนะครับ แถมแต่ละคนก็มีตำแหน่งพ่วงติดตัวกันไม่ธรรมดาด้วย
 
               “พวกแกมันมีดีแค่หน้าตา แต่สันดานเสียไอกับจูไม่ต้องไปเชื่อฟังพวกมันมากนะ ฟังแค่น้องคิวกับน้องแพรวก็พอ” ผมมองหน้าจูเนียร์อย่างงงๆ แล้วพี่ๆ ก็พากันระเบิดหัวเราะออกมาหลังจากที่ฟังพี่เจพูดจบ ดูแล้วสายพวกเราท่าทางจะสนิทกันมากเลยแหละครับ ผมก็รู้สึกดีนะที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของสายนี้ อบอุ่นเหมือนเป็นอีกครอบครัวนึงเลยล่ะ

               “ไปแล้วๆ ไว้เดี๋ยวนัดเลี้ยงสายกันนะ ไอ้บลูแกรวมน้องๆ มาให้ครบ แล้วมาบอกพวกฉันด้วยว่าว่างวันไหน”

               “รับทราบครับเจ้ใหญ่”

               “พวกพี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกันนะเด็กๆ” พวกเราทำความเคารพและร่ำลาพี่เพชรกับพี่เจ รวมถึงพี่บลูที่มีหน้าที่ขับรถให้กับพี่สาวทั้งสองด้วย
 
               “จูมานี่ๆ มึงไปถ่ายสายมึงเลยไอ้วอร์ม รวมสายใหญ่ไปแล้ว ตอนนี้ขอแยกครับ” พี่จัสกวักมือเรียกจูเนียร์ที่ยืนอยู่ข้างผมให้ไปยืนรวมกับพวกพี่เขาเพื่อถ่ายรูปสาย คือจริงๆ แล้ว เพราะพี่เทคของพี่วอร์มซิ่วไปเรียนคณะอื่นพี่บลูก็เลยอาสาดูแลพี่วอร์มด้วย พวกเราก็เลยเป็นสายเดียวกันอย่างงงๆ อะครับ
 
               “ไม่ต้องไล่ก็ได้ไหม กูก็ไม่ได้อยากจะถ่ายกับพวกมึงอยู่แล้ว น้องคิวปิดน้องไอติมครับ เราไปหามุมดีๆ ถ่ายรูปกันดีกว่า” พี่วอร์มหันไปเถียงกับพี่จัสก่อนที่จะพาผมกับพี่คิวออกมาจากตรงนั้น ได้ยินพี่วอร์มพูดเพราะ สุภาพแบบนี้ก็แปลกหูดีเหมือนกันนะครับ
 
               “มุมดี แสงดีอย่างเดียวไม่พอ กดให้แม่นๆ ด้วยนะพี่ ผมเห็นพี่ถ่ายทีไร แม่งเบลอทุกรอบ”

               “เชี่ยคิวนี่ งั้นมึงกดเองเลยไป”

               “ไม่เอาอะ ผมไม่ใช่สายเซลฟี่”
 
               “อ่า... เดี๋ยวไอกดเองก็ได้ครับ” ผมเสนอตัวเป็นคนถือกล้องและกดถ่ายเอง หลังจากที่ปล่อยให้พี่วอร์มและพี่คิวยืนเถียงกันอยู่พักใหญ่ มันก็ตลกดีนะครับ พี่ผู้ชายสองคนมายืนทะเลาะกันเรื่องถ่ายเซลฟี่เนี่ย พวกเราหมุนหามุมถ่ายไปเรื่อยๆ เพราะมันติดคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง บางทีก็มีพี่ๆ สายอื่นโผล่มาเข้ากล้องด้วย จนสุดท้ายพวกเราก็ยอมแพ้ ถึงแม้จะไม่ได้รูปที่ดีมากนัก แต่มันก็เต็มไปด้วยความทรงจำและความหมายมากมายอยู่ในนั้น ก่อนที่พี่คิวจะขอตัวไปจัดการกับสัมภาระต่อ
 
               “พี่วอร์มครับ... ขอบคุณนะ”

               “เรื่อง?”

               “ก็... ยาที่ฝากพี่คิวมาให้ผมไง”

               “อ๋อ... เล็กน้อยน่า ก็เราเป็นน้องสายพี่นี่ พี่ก็ต้องคอยดูแลน้องอยู่แล้วเป็นธรรมดา” นั่นสิเนอะ มันเป็นหน้าที่ของคนเป็นพี่อยู่แล้วที่ต้องคอยดูแลน้อง
 
               “ไปได้แล้ว เพื่อนๆ เขาทยอยขึ้นรถกันแล้วน่ะ ไว้เจอกันที่มอนะ”

               “อ่า... โอเคครับ ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” พี่วอร์มขยี้หัวผมเบาๆ พร้อมส่งยิ้มมาให้ ก่อนเดินไปหาพี่จัส พี่มิชิ และพี่เค้กที่ยืนรออยู่ที่รถยนต์ส่วนตัวของพวกพี่ๆ เขา

               หลังจากจบการรับน้องผมก็ไม่ค่อยได้เจอพวกพี่ๆ เขาอีกเลย จะมีบ้างก็ตามตึกคณะที่ได้แค่ทักทายกันเล็กน้อย คงเป็นอย่างที่ผมได้ยินมานั่นแหละครับว่าปี 3 เรียนหนักน่าดู แล้วพวกพี่เขาแต่ละคนก็เด็กกิจกรรมอีกคงบริหารเวลากันน่าดูเลย ส่วนพี่วอร์มถึงผมจะเห็นพี่เขาที่หอบ่อยๆ ก็ตาม แต่ผมเองก็ไม่ได้เข้าไปทักพี่เขาหรอกครับ ส่วนเรื่องของที่ไปฝากพี่ยามไว้ผมก็ยังฝากไปอย่างสม่ำเสมอ ด้ายสีขาวที่ได้รับมาจากรุ่นพี่ตอนบายศรีผมก็เอาออกไปหมดแล้วจะเหลือก็แต่เส้นที่อยู่ที่ข้อมือซ้ายเพียงเส้นเดียว มันคือเส้นที่พี่วอร์มเป็นคนผูกให้ ผมตั้งใจเก็บไว้เพื่อความอุ่นใจน่ะครับ หวังว่ามันคงพอจะเป็นเครื่องรางนำโชคให้ผมได้บ้างนะ
 
               เวลาในรั้วมหาลัยของน้องใหม่อย่างพวกผมเองก็ผ่านไปเร็วเหมือนกัน เผลอแป๊บเดี๋ยวก็มาถึงช่วงเวลาแห่งการสอบกลางภาคแล้ว การสอบครั้งแรกของชีวิตมหาลัยของผม แต่คิดมันก็อดตื่นเต้นไม่ได้ แถมยังแอบกดดันอีกต่างหาก เพราะคณะผมไม่มีสอบกลางภาคเพราะฉะนั้นวิชาหลักของคณะถ้าพลาดขึ้นมาก็เรื่องใหญ่เลยล่ะครับ และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมตอนนี้พวกผมถึงต้องมานั่งจมกองหนังสือทั้งวันทั้งคืนอยู่ที่หอสมุด วิชาพื้นฐานที่จะสอบกลางภาคก็ต้องอ่านแล้วยังต้องเตรียมตัวอ่านบางส่วนของวิชาคณะเผื่อไว้อีกด้วย
 
               “หิวอะ เราไปพักหาอะไรกินกันก่อนไหม” ผมละสายตาจากชีทในมือ คนหน้าหวานที่กำลังงอแงไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นไวท์นั่นเอง เขากำลังอมลมไว้จนแก้มทั้งสองพองเหมือนกระต่ายน้อยแก้มยุ้ย
 
               “ก็ดีเหมือนกันนะ เราว่าจะไปซื้อกาแฟสักหน่อย ง่วงมากเลยอะ ตอนนี้อ่านไปก็ไม่เข้าหัวเลย ไอติมลุกเร็ว”

               “ไอไม่ไปได้ไหมอะ ยังอ่านไม่ถึงไหนเลย อีกอย่างก็ยังไม่หิวด้วย จูกับไวท์ไปเถอะ เดี๋ยวไอจะได้เฝ้าโต๊ะไว้ให้ด้วย”
 
               “เอาอะไรไหม” ผมส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ ไวท์ทำหน้าลังเลอยู่พักนึง ผมจึงโบกมือเป็นการไล่กลายๆ ให้ทั้งสองคนไปกันเลยโดยไม่ต้องเป็นห่วงผม ไวท์จึงคล้องแขนแล้วลากจูเนียร์ให้เดินออกไปจากหอสมุดอย่างอารมณ์ดี ท่าทางจะหิวมากจริงๆ
 
               มันก็น่าเบื่ออยู่หรอกครับ เพราะพวกเรามาถึงหอสมุดตั้งแต่เช้าเพื่อจองที่ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงสอบกลางภาคคนจึงเยอะเป็นพิเศษ อีกอย่างโซนที่พวกผมนั่งมันเป็นโซนที่ทั้งพูดคุยกันได้และยังสามารถเอาของกินและเครื่องดื่มเข้ามาได้ด้วยจึงเป็นโซนที่มีความต้องการสูงถึงกับต้องแย่งชิงกันเลยทีเดียว เพราะคณะผมไม่มีสอบกลางภาค ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เลยได้เจอแค่พวกพี่ๆ ปี 2 ที่เก็บวิชาเลือกนอกคณะกันเท่านั้น แต่วันนี้ก็ยังไม่เจอใครเลยครับ



               .

               .

               .



**พี่วอร์ม**


               พวกผมเดินวนหอสมุดเกือบสองรอบได้ก็ยังไม่เจอโต๊ะเลยครับ ทั้งๆ ที่ผมบอกเพื่อนๆ แล้วว่าให้อ่านที่หอไม่ก็ไปหาร้านกาแฟนั่งก็ไม่มีใครเชื่อผมสักคนอะ ไอ้จัสก็บอกว่าถ้าอ่านอยู่ที่ห้องมันก็มีแต่นอนกับนอน ส่วนเค้ก พอเสนอว่าให้มาอ่านด้วยกันจะได้ช่วยกันทวนและทำความเข้าใจด้วย คุณชายมิชิก็เลยดี๊ด๊ารีบสนับสนุนความคิดเห็นของเค้กทันที สุดท้ายผมก็เลยต้องยอมออกมาหอสมุดนี่ไง
 

               “ไม่มีที่ว่างเลยว่ะมึง เอาไง”

               “ยังไม่ได้เดินเข้าไปดูเลยนี่วอร์ม หรือจะขึ้นไปชั้น3 กันดี”

               “แต่วอร์มขี้เกียจไต่บันไดอะเค้ก...”
 
               “เพราะอย่างนี้ไง มึงถึงไม่สูงอะ ฮ่าๆๆๆ” โอ้โห ถ้าจะเล่นทีเผลอแบบนี้นะมิชิ บอกเลยว่าโคตรเคือง เค้กที่ยืนอยู่ระหว่างผมกับไอ้มิชิได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยความเอือมระอา สงสัยกันใช่ไหมครับว่าไอ้จัสหายไปไหน มันบอกว่าจะแวะซื้อกาแฟที่ร้านด้านหน้าหอสมุดก่อน

               “นั่นใช่น้องไอติมรึเปล่าวอร์ม” ระหว่างที่ผมกำลังไล่เตะไอ้มิชิ เค้กก็เอ่ยแทรกขึ้นมา ผมมองตามปลายนิ้วเรียวไปแล้วก็พบว่าเป็นไอติมจริงๆ ตามที่เค้กว่า แถมโต๊ะที่น้องนั่งอยู่ยังเป็นโต๊ะตัวยาวที่นั่งได้หกถึงแปดคนอีกด้วย สภาพหนังสือและชีทที่วางกระจัดกระจายอยู่ทั่วโต๊ะ น้องคงจะไม่ได้มาคนเดียวแน่
 
               “ไปขอนั่งกับน้องดีไหม”

               “นั่นดิมึง กูเห็นด้วยกับเค้ก”

               “มึงก็เห็นด้วยกับเค้กตลอดอะ กูไม่เคยจะเห็นมึงขัดเค้กสักครั้งเลย” ผมอดที่จะแซะมิชิไม่ไหวจริงๆ ยิ่งพักหลังๆ มานี่ มันแทบจะไม่เคยห่างกับเค้กเลย แถมยังชอบทิ้งผมกับไอ้จัสไว้แล้วหายไปกับเค้กสองคนบ่อยๆ
 

               ผมใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเดินนำเข้าไปหาน้องที่โต๊ะ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรหรอกนะ เพราะในเมื่อเป็นความคิดของเค้ก ผมก็เลยเลือกที่จะให้เค้กเป็นคุยกับน้องเองน่าจะดีกว่า
 

               “อ้าว พี่ๆ สวัสดีครับ มาอ่านหนังสือกันหรอครับ เอ... แต่ปี3 มีสอบกลางภาคด้วยหรอครับ” น้องเอ่ยทักทายอย่างสดใสพร้อมยกมือไหว้ทันทีที่เงยหน้ามาเจอพวกผม
 
               “ใช่แล้วล่ะ พวกพี่ดันลงเรียนวิชาเลือกภาคภาษาอังกฤษไปตัวนึงอะ กลางภาคมาเต็มๆ เลย แต่นี่ยังหาที่นั่งไม่ได้เลย ไม่มีโต๊ะว่างเลยอะไอติม พวกพี่ขอนั่งด้วยได้เปล่า” เค้กตอบคำถามของเจ้าเด็กช่างสงสัยไปอย่างติดตลก คนอื่นคงมองว่าพวกผมหาเรื่องใส่ตัว แต่ว่าอาจารย์ที่สอนวิชานี้คืออาจารย์ที่พวกผมสนิทแหละ เวลาเรียนก็ชิลมากด้วย ความจริงแล้วการมีสอบกลางภาคมันก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอกครับ ดีเสียอีกมีคะแนะเก็บไว้ให้อุ่นใจตั้งครึ่งนึง

 
               “อ่อ... ได้สิครับ ขอผมเคลียร์โต๊ะแป๊บนึง”

               “ไม่เป็นไรหรอก แล้วนี่น้องไอติมมาคนเดี๋ยวหรอครับ” มิชิเอ่ยถามน้ำด้วยน้ำเสียงแสนจะนุ่มนวลแถมพูดเพราะอีกต่างหาก แม่งไม่ค่อยจะสร้างภาพเลยไอ้คุณชาย ทำเอาผมดูเป็นพี่ที่หยาบคายและโคตรก้าวร้าวไปเลย
 
               “พอดีจูเนียร์กับไวท์ออกไปหาอะไรกินอะครับ แต่ไอไม่หิวเท่าไหร่ก็เลยอาสาเฝ้าโต๊ะให้”

               “ดีเลย ช่วงนี้พี่ก็ไม่ได้คุยกับไวท์เลย แต่ตอนนี้อยากกินขนมอะมิชิ”
 
               “ไปสิ ได้โต๊ะแล้วนี่นา น้องไอติมเอาขนมอะไรไหมครับ” ไอ้คุณชายผมทองรีบขานรับทันทีที่เค้กหันไปอ้อนว่าอยากกินขนม ทีเมื่อกลางวันผมบ่นอยู่ตั้งนานสองนานว่าอยากกินบราวนี่ดันไม่ยอมเดินไปซื้อเป็นเพื่อนกูนะ ไอ้เพื่อนชั่ว! ขอโทษครับ อินไปหน่อย
 
               “ไม่เป็นไรครับผม พี่ๆ ไปกันเลย วางของไว้นี่ก็ได้ครับ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวไอดูให้เองครับ”

               “วอร์มมึงไปกับพวกกูไหม”

               “ไม่อะ มึงไปกันเหอะ” ผมยกแก้วกาแฟในมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าผมมีสิ่งที่ต้องการแล้ว จะว่าไปตั้งแต่เดินเข้ามาผมกับน้องยังไม่ได้คุยกันสักคำเลยนี่นา


               เมื่อผมหันไปมองคนข้างๆ ก็เห็นน้องนั่งขมวดคิ้วและบ่นพึมพัมกับตัวเอง ถ้าใครเดินผ่านไปมาเห็นภาพแบบนี้คงขำอยู่ไม่น้อย เพราะน้องเหมือนคนที่กำลังพูดคนเดียวด้วยสีหน้าจริงจังสุดๆ แถมมือเรียวที่ใช้ปากกาลูกลื่นจิ้มเคาะชีทซ้ำๆ ยิ่งทำให้ดูเหมือนตอนนี้น้องกำลังทะเลาะกับเอกสารในมือยังไงอย่างนั้น

 
               “โอ๊ย! ปวดหัว ไม่เห็นจะเข้าใจเลยอะ นี่อ่านโจทย์วนมาสามรอบแล้วนะ ฮือ” แต่สำหรับผมอาการของคนตรงหน้ามันกลับน่าเอ็นดูเสียมากกว่า คนอะไรทะเลาะกับชีทก็ได้ด้วย
 

               “ไหน? ไม่เข้าใจตรงไหน” ผมเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับขยับเก้าอี้ให้เข้ามาใกล้น้องมากขึ้นและพยายามชะโงกหน้าไปอ่านโจทย์เจ้าปัญญาบนกระดาษ
 
               “ก็นี่อะพี่วอร์ม ทำไมถึงเป็นแบบนี้อะ ก็เห็นชัดๆ ว่าสองตัวนี้มัน...”

               “ดูนะ นี่อะ ลองอ่านตรงนี้ใหม่อะ” ผมไม่รอให้น้องพูดจบก็หยิบปากกาเมจิกของตัวเองโอบหลังน้องเพื่อเอื้อมไปวงบนชีทให้น้อง ไอติมไม่ได้พูดอะไรแถมนั่งตัวเกร็งอีกต่างหาก ผมแค่จะช่วยอธิบายไม่ได้จะทำร้ายร่างกายเสียหน่อย ทำไมต้องทำเป็นกลัวขนาดนั้นด้วยวะ
 
               “ขะ... เข้าใจแล้วครับ พี่วอร์มเขยิบไปหน่อยดิ...” ยังไม่ทันที่ผมจะอธิบายเสร็จ น้องก็เบี่ยงตัวหลบ เพราะน้องนั่งหันหลังให้ผมอยู่ก็เลยไม่รู้ว่าไอติมพูดด้วยสีหน้าแบบไหน แต่ผมเห็นนะว่าหูน้องแอบแดง หรือว่าน้องมันจะเขินผมวะ เห็นแบบนี้แล้วก็ชักจะอยากแกล้งอีกคนให้มากกว่านี้เสียหน่อย
 
               “ไล่พี่หรอ ทีหลังถ้าไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกันก็บอกแต่แรกสิ พี่ไปก็ได้ แต่ขอฝากของไอ้มิชิกับเค้กไว้ก่อนแล้วกัน...”

               “มะ... ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น...” ท่าทางของน้องที่กำลังนั่งก้มหน้า และเม้มปากล่างเอาไว้แน่นอย่างครุ่นคิด ทำไมถึงได้เชื่อคนง่ายขนาดนี้นะ แล้วท่าทางจะเป็นคนขี้คิดมากอีกด้วย
 
               “ถึงกับหูตกเลยหรอ ฮ่าๆๆ”

               “พี่วอร์ม!!! นี่แกล้งผมหรอ ไม่พอ ยังจะมาหลอกว่าผมเป็นหมาอีก นิสัยไม่ดี!”

               “อะไร นิสัยไม่ดีตรงไหนกัน อีกอย่างพี่ก็ไม่ได้ว่าเราเป็นหมาสักหน่อย คิดเองเออเองหลายรอบแล้วนะ”

               “ก็พี่พูดอยู่ว่าผมหูตกอะ”
 
               “แมวก็หูตกได้ป่ะ พวกที่หูตกตาเศร้าๆ อะ เหมือนเลย ฮ่าๆๆ มาๆ เดี๋ยวเกาคางให้นะ ไม่เศร้านะ” ผมเกาคางให้น้องอย่างที่พูดซึ่งการกระทำของผมก็ให้คนตรงหน้าผมหน้างอหนักกว่าเก่าเสียอีก ยิ่งแกล้งแล้วเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งสนุกที่ได้แกล้ง
 
               “ไม่ต้องเลย ถ้าพี่จะไม่อ่านหนังสือของตัวเอง ก็ช่วยอยู่เงียบๆ อยู่เฉยๆ แล้วเลิกกวนประสาทผมได้แล้ว” ไอติมบอกกับผมเสียงเข้มก่อนจะหันไปสนใจกับเอกสารในมือต่อ นี่ขนาดทำเสียงเข้มแล้วนะ แต่สำหรับผม ผมว่ามันก็น่ารักอยู่ดีอะ เหมือนลูกแมวที่กำลังพองตัวขู่เสียมากกว่า มีอย่างที่ไหนจะทำหน้าดุ โมโห ไม่พอใจแล้วพองแก้มย่นจมูกเนี่ยนะ เห็นแล้วมันมันเขี้ยวชะมัด

               “โอ้โห หายกันไปชาติเศษเลยนะพวกมึงอะ”

               “ก็กูบังเอิญเจอน้องจูกับน้องไวท์ แล้วสักพักเค้กก็เดินมาบอกว่าได้โต๊ะแล้วนั่งกับน้องๆ พวกกูก็เลยไม่รีบไง”
 
               “เนี่ย พี่จัสเลี้ยงน้ำพวกเราด้วยอะ เสียดายไอติมน่าจะไปด้วยกัน” น้องไวท์ชูแก้วน้ำผลไม้ปั่นในมือให้คนที่นั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆ ผมดู แหม เดี๋ยวนี้สายเปย์เหลือเกินนะเพื่อนผม หมั่นไส้ว่ะครับ ผมรู้หรอกว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยงน้องจูเนียร์หรอก แต่น้องดันอยู่ด้วยกันสองคนไง อีกอย่างจูเนียร์ก็เป็นน้องสายมันด้วยถ้าไม่เลี้ยงก็ดูจะเกินไปหน่อย
 
               “ทำไมทำหน้าแบบนั้นอะไอ เป็นอะไรรึเปล่า”

               “เปล่า... รีบอ่านต่อกันเถอะจู ไอมีบางจุดที่ไม่เข้าใจอยากถามด้วยอะ” สองเพื่อนรักของไอติมรีบรวบข้าวของของตัวเองมาวางกองรวมไว้ฝั่งนึงของโต๊ะแล้วนั่งลงทันที
 
               ตอนนี้ก็เลยเหมือนผมนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างไอ้มิชิกับไอติม ส่วนฝั่งตรงข้ามผมก็เป็นไอ้จัสที่พยายามจะเนียนนั่งข้างน้องไวท์ให้ได้ เค้กก็เลยได้นั่งตรงข้ามไอ้มิชิไปโดยปริยาย มันช่างลงตัวอะไรขนาดนี้ เหมือนไอ้เพื่อนรักทั้งสองตัวของผมมันนัดกันมากจากบ้านยังไงอย่างนั้น
 
               “วอร์มต้องแกล้งอะไรน้องไอติมแน่ๆ เลย พอพวกเรากลับมาน้องถึงได้หน้ามุ่ยแบบนั้นอะ”

               “โธ่เค้ก เห็นวอร์มเป็นคนยังไง นี่วอร์มไม่ได้แกล้งอะไรน้องเลยนะ ช่วยอธิบายโจทย์ให้ด้วยต่างหาก”
 
               “น่าเชื่อตายล่ะ แค่มองตามึงกูก็รู้แล้ว เชี่ยวอร์ม ไม่ต้องมาทำตัวเป็นคนดี” คำพูดที่ออกมาจากปากของเพื่อนตัวโย่งทำผมโมโหอยู่ไม่น้อย ก็ดูมันด่าผมสิครับ ตัวเองก็ไม่ได้ต่างจากผมสักเท่าไหร่หรอก สร้างภาพฉิบหาย
 
               “เชี่ยจัส! มึงก็กล้าพูดนะ อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะที่มึงเลี้ยงกาแฟน้องจูด้วยอะ”

               “ทำไม?! กูทำไม จูก็น้องสายกูป่ะวะ”

               “ตามสบายเลยมึง เต็มที่ แถให้สุด ยังไงมึงก็คนโคตรไม่เนียน2017 อยู่แล้ว”
 
               “พอกันทั้งคู่แหละ พวกมึงจะเลิกแซะกันได้ยังวะ หยิบชีทมาเลย เดี๋ยวกูจะสรุปให้ฟังก่อน” เสียงของมิชิที่แทรกขึ้นมาห้ามยกได้ถูกจังหวะสุดๆ ถ้าไม่ติดว่าเป็นวิชาภาคภาษาอังกฤษนะ ผมจะไม่ง้อพวกมันเลย คือก็ไม่ใช่ว่าภาษาอังกฤษผมถึงขั้นวิกฤตหรอกครับ แต่ผมก็อ่อนที่สุดในกลุ่มนั่นแหละ ส่วนคุณชายมิชินี่ก็เป็นบุคคลผู้เก่งภาษาอังกฤษที่สุด มันก็เลยอาสาจะติวให้พวกผมเท่านั้นเอง
 

               เมื่อการทวนเนื้อหาทั้งหมดผ่านพ้นไป มิชิก็ให้เวลาพวกผมพักก่อนที่จะมาลุยทำข้อสอบเก่ากันต่อ พอผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พบว่าไอติมฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะเสียแล้ว ส่วนจูเนียร์ก็ใส่หูฟังและก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกไปเสียแล้วและทันทีที่น้องไวท์ลูกขึ้นยืนบิดขี้เกียจไปมา ไอ้จัสก็พรวดพราดลุกขึ้นยืนเช่นกัน

 
               “น้องไวท์ ไปห้องน้ำกันไหม นั่งนานแล้ว เมื่อยแย่”

               “อ่า... ก็ได้ครับ” พอน้องตอบตกลงรอยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าของเพื่อนตัวโย่งทันที ยิ้มกว้างอีกนิดนึงปากก็ฉีดถึงหูแล้วครับ แหม่ เก็บอาการบ้างอะไรบ้างเถอะเพื่อน และภาพตรงหน้าก็ทำให้ผมหันไปมองสบตาและอมยิ้มน้อยๆ กับมิชิและเค้กอย่างรู้กัน จะว่าไปแล้ว อีกคู่ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ผมก็ไม่ได้น่าหมั่นไส้น้อยไปกว่าไอ้จัสเลยครับ ขยันทำให้ผมรู้สึกเป็นส่วนเกินเหลือเกิน
 
               “มึงล่อลวงน้องไปไหนมาวะ” ผมทักทันทีที่เห็นไอ้จัสเดินกลับเข้ามาพร้อมกับน้องไวท์ เล่นหายกันไปครึ่งค่อนชั่วโมง คงไม่ได้ไปแค่ห้องน้ำแน่ๆ
 
               “กูหิว เลยไปชวนน้องไปซื้อไส้หรอกมาเนี่ย กินไหม” ผมรับถุงไส้กรอกมาจากจัสอย่างงงๆ แต่ไหนๆ มันก็อุตส่าห์มีน้ำใจแบ่งให้เพื่อนอย่างผมกินแล้ว ก็ขอสักหน่อยแล้วกัน และมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไอติมเงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน
 
               “ดื่มสักหน่อยนะไอ ไวท์ซื้อมาฝาก เห็นไอไม่ได้ลุกไปไหนเลยตั้งแต่เช้าแล้วจะได้สดชื่นไง”

               “ขอบคุณนะไวท์” ผมเห็นน้องยื่นมือไปรับขวดวิตตามินซีรสมะนาวจากเพื่อนแล้วเปิดดื่มทันที เห็นผลิตภัณฑ์ของยี่ห้อนี้ทีไรผมก็อดนึกถึงผู้หวังดีที่ไม่ประสงค์นามซึ่งมักจะฝากเหล่าวิตตามินซี ทั้งรูปแบบของเหลว ทั้งขนม ลูกอม และแบบเม็ดมาให้ผมเสมอ และทุกๆ ครั้งมันก็จะมีโพสอิทกับข้อความสั้นๆ ที่ถูกเขียนด้วยลายมือน่ารักเป็นระเบียบแนบมาด้วย
 
               “ไอติม...”

               “ครับ?”

               “ชอบกินไอ้นี่หรอ...” ผมถามน้องด้วยความสงสัย ความจริงแล้วผมก็คิดเหมือนกันแหละว่าลายมือที่อยู่บนเอกสารที่วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะเนี่ย มันช่างคล้ายคลึงกับลายมือเจ้าของโพสอิทที่ส่งมาให้ผมเหลือเกิน เพียงแต่บนชีทของน้องมันออกจะหวัดกว่าอยู่หน่อยก็เท่านั้น
 
               “ผมมะ...”

               “ใช่เลยครับพี่วอร์ม ไอติมชอบกินเพราะบอกว่าสดชื่นแล้วยังช่วยป้องกันหวัดได้อีก”

               “อ้อ... อย่างงี้นี่เอง” ผมพยักหน้ารับรู้กับคำตอบของน้องไวท์ที่พูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ไอติมจะพูดจบเสียอีก น้องไวท์ส่งยิ้มกว้างให้ผมก่อนจะหันไปคุยกับไอ้จัสต่อ ส่วนไอติมที่หันนห้ามาทางผมเพื่อที่จะตอบคำถามของผมเมื่อกี้ก็หันกลับไปจดจ่ออยู่กับเอกสารตรงหน้าต่อเสียแล้ว น้องเม้มริมฝีปากล่างแน่น ราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
 
               “เครียดไปรึเปล่า คิ้วผูกกันจะเป็นโบว์แล้ว เดี๋ยวหน้าแก่ก่อนวัยไม่รู้นะ” ผมขยี้หัวน้องเล่นก่อนจะลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ดูเหมือนไอติมจะยิ่งหน้ายุ่งกว่าเดิมเสียอีก
 
               “พี่วอร์มไม่ต้องมายุ่งเลย” ได้เห็นโหมดจริงจังของน้องแบบนี้ก็แปลกตาไปอีกแบกครับ ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ ทำเอาเจ้าตัวหันมายู่หน้าใส่ผมอีกครั้ง ผมเลยเลือกที่จะเดินฮัมเพลงออกมาจากตรงนั้น ไม่อย่างนั้นคงอดใจไม่ไหวได้แกล้งน้องอีกแน่ๆ ถ้าน้องจะมีคนรักเยอะผมก็ไม่แปลกใจหรอกครับ ด้วยหน้าตาและนิสัยของไอติมสามารถทำให้ใครต่อใครหลงรักน้องได้ไม่ยากเลย สำหรับผมก็ถือว่าน้องเป็นอีกหนึ่งความสดใสและความสบายใจในชีวิตเลยล่ะ

.

.

.

To be Continue...



ขอโทษที่หายไปนานนะคะ.. มาต่อให้หายคิดถึงน้องไอติมแล้วค่ะ (จะมีใครคิดถึงมั้ย555)

 :hao4: :sad11:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
พี่วอร์มทำน้องเกร็งนะเนี่ย

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
               
:: Chapter 10 :: 'สานสัมพันธ์' 10/1


**น้องไอติม**


               ถึงจะจบกิจกรรมรับน้องของโต๊ะไปก็ใช่ว่ากิจกรรมของน้องใหม่อย่างพวกผมจะจบลงไปด้วยหรอกนะครับ เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันกีฬามหาลัยแล้ว ถึงคณะผมจะไม่ได้บังคับให้ขึ้นสแตนทุกคนก็เถอะแต่ด้วยความที่ปีนี้คณะนิติศาสตร์อยู่รวมกันกับคณะแพทย์ศาสตร์ซึ่งคนฝั่งเขามีไม่พอที่จะทำให้สแตนเต็ม ก็เลยมาขอความร่วมมือหาอาสาสมัครไปช่วยขึ้นสแตนแล้วจูเนียร์ก็ดันมือไวกรอกชื่อตัวเองกับชื่อผมไปด้วยเฉยเลย ยังดีที่ไวท์เอ่ยปากห้ามไว้ทัน ไม่อย่างนั้นคงได้วุ่นวายไปด้วยแน่ๆ เพราะไวท์เองได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในวงขับร้องประสานเสียงของคณะซึ่งก็มีซ้อมตอนเย็นแทบทุกวัน

 
               “จูนะจู ทำอะไรไม่ปรึกษากันก่อนเลยอะ”
               “โธ่ไอ ไหนบอกอยากทำกิจกรรมเยอะๆ ใช้ชีวิตมหาลัยให้คุ้มไง แล้วทีนี้ทำไมถึงมาว่าจูอ่า” เลิกเรียนแล้วก็อยากจะกลับไปนอนพักสักหน่อยแต่จูเนียร์เพื่อนรัดันหาเรื่องมาให้ต้องกลับดึกอีก แล้วขึ้นสแตนเนี่ยผมได้ข่าวมาว่าเค้าซ้อมกันหนักและเลิกดึกมากด้วยแค่คิดก็เหนื่อยจะแย่แล้ว
               “ไม่เอา ไม่ทำหน้างอสิเพื่อนรัก~ เอาหน่า~ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วอะ เอางี้ เดี๋ยวจูเลี้ยงข้าวไอมื้อเย็นนี้เลยดีไหม”
               “ไม่เอา..”
               “โธ่... ไออ่า... โกรธจูจริงๆ หรอเนี่ย”
               “ไม่เอาแค่นี้... จูต้องเลี้ยงไอติมไอด้วย... ไอถึงจะหายโกรธ”
               “ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ เลยนะ นี่แหนะ!” พูดจบจูก็ยกมือขึ้นมาดีดหน้าผากผมเบาๆ แต่ถึงจะเบามันก็รู้สึกนิดนึงเหมือนกันนะครับ นี่ง้อผมอยู่ไม่ใช่หรอ ทำไมถึงกล้ามาทำร้ายร่างกายผมล่ะ
               “โอ้ย! อะไรเนี่ย! มาดีดหน้าผากไอทำไม... ยังไม่หายโกรธเลยนะ”
               “ก็นี่ไงจะพาไปซื้อไอติมเนี่ย... ยังพอเหลือเวลาอีกหน่อยก่อนขึ้นสแตน ไปเซเว่นกัน”
               “เย้! จูเนียร์น่ารักจังเลย~ เพื่อนใครเนี่ย”
               “พอเลยไม่ต้องมาอ้อน... จูไม่ใช่พี่วอร์มนะ”
               “ง่ะ... ทำไมต้องพูดถึงพี่วอร์มด้วย...” นั่นน่ะสิ พอจูเนียร์พูดถึงพี่วอร์มขึ้นมาผมก็อดนึกถึงพี่เขาไม่ได้ ไม่ได้นึกถึงสิ ถ้าจะให้ถูกน่าจะต้องเรียกว่าคิดถึง เพราะหลังจากงานรับน้องแล้วผมก็ไม่ค่อยจะได้เจอหน้าพี่วอร์มเลย ไม่ใช่แค่กับพี่วอร์มคนเดียวนะครับ กับพวกรุ่นพี่ปีสองปีสาม ก็ไม่ค่อยได้เจอพวกพี่ๆ เขาเลยครับ มีเจอบ้างเวลาเดินสวนกันแต่ก็ได้แค่ยกมือไหว้ทักทายไปแค่นั้นแล้วก็แยกย้ายกัน อยากรู้จังว่าตอนนี้พี่วอร์มกำลังทำอะไรอยู่นะ



**พี่วอร์ม**



                : พี่วอร์มเลิกเรียนหรือยังครับ วันนี้เหนื่อยไหม
                : ฮ่าๆๆ ผมจะถามทำไมก็ไม่รู้ เพราะพี่ก็ไม่ได้ตอบผมอยู่แล้วนี่เนอะ
                : (สติ๊กเกอร์แมวหัวเราะ)
                : แต่ผมเนี่ยสิ ต้องเหนื่อยแน่ๆ เลิกเรียนแล้วยังมีเรื่องให้ทำอีกเยอะแยะเลย อยากจะนอนพักสักหน่อย แต่คงไม่ได้นอนแล้วอะ =(
                : พี่วอร์มคงกำลังกลับไปนอนที่ห้องแล้วแน่ๆ เลยอะ ยังไงก็ขับรถดีๆ นะครับ


               ผมอ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอมือถือก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ บ่นมารัวๆ ขนาดนี้ มาดูเองไหมว่าตอนนี้ได้กลับไปนอนอย่างที่มันบ่นมาหรือเปล่า
 

               “เฮ้ยวอร์ม! เจอกันมึง”
               “เจอกันพรุ่งนี้นะวอร์ม”
               “อือ! เจอกันพรุ่งนี้” ผมบอกพร้อมโบกมือลามิชิกับเค้กที่เดินแยกไปที่รถตัวเองอย่างเนือยๆ อาทิตย์นี้ผมต้องเริ่มเข้าชุมนุมเพื่อซ้อมร้องเพลงกับเพื่อนๆ ในชุมนุมโฟล์คซองแล้ว ไอ้มิชิก็เป็นมือกีตาร์ของวง ส่วนเค้กไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในวงหรอกครับ แค่มานั่งรอเป็นเพื่อนพวกผมเท่านั้นแหละ แต่นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลรอง ส่วนเหตุผลหลักน่าจะเป็นเพราะว่าเค้กต้องกลับเข้าหอพร้อมมิชิมากกว่าครับ จริงๆ จะกลับเองก็ได้แหละ แต่ไอ้มิชิมันน่าจะรั้งเค้กไว้ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ แค่ไม่พูดเท่านั้นแหละ ส่วนไอ้จัสน่ะหรอ เลิกเรียนเสร็จก็ขี้บิ๊กไบค์ลูกรักกลับหอไปนานแล้วละครับ


               ผมหันกลับมามองที่โทรศัพท์อีกครั้งพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ กับไลน์เจ้าปัญหาจอมขี้บ่นที่มีเรื่องมาบ่นให้อ่านทุกวันก่อนจะเก็บมันลงกระเป๋าแล้วเดินไปที่รถของผมเองบ้าง

               วันแรกที่เข้าชุมนุมก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่คุยกันเรื่องกิจกรรมของมหาลัยว่าจะมีทำอะไรบ้าง เราจะขึ้นเล่นงานไหนกันบ้าง แล้วก็แบ่งเวลาซ้อมกันยังไงบ้าง หลังจากนั้นก็ได้ซ้อมดนตรีกันอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับนี่แหละครับ ถึงวันนี้จะไม่ได้ทำอะไรมากมายแต่ก็เหนื่อยไม่ใช่เล่นเลยครับ เพราะวันนี้หลังจากเลิกเรียนแล้วพวกผมก็มาเข้าห้องชุมนุมเลยทันทีไม่ได้พักเลย อิจฉาไอ้จัสจริงๆ ป่านนี้คงนอนตากแอร์ที่ห้องสบายใจเฉิบไปละ


               “ทำไมวันนี้รถเยอะจังวะ” ผมบ่นกับตัวเองนี่ละครับ จะรีบกลับหอซะหน่อย แต่ดันเจอรถติดกันตั้งแต่ในมหาลัยนี่ก็มันก็อดบ่นไม่ได้อะครับ จริงๆ จะว่าไปแล้วผมก็นึกถึงเจ้าของไลน์ปริศนานั่นที่ชอบไลน์มาบ่นให้ผมอ่านทุกวัน ปกติผมก็ไม่ใช่คนขี้บ่นอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่วันนี้มันก็น่าบ่นจริงๆ นั่นแหละครับ


               ผมกำลังบ่นในใจไปเรื่อยเปื่อย สายตาก็ดันดีเหลือเกินเหลือบไปเห็นคนหน้าคุ้นๆ ที่จำได้ว่าล่าสุดเจอหน้ากันที่ห้องสมุดตอนช่วงก่อนสอบกลางภาค ใช่ครับ ตอนนี้ผมเจอไอติมกับจูเนียร์กำลังเดินอยู่บนฟุตบาทข้างหน้า และผมก็จำได้ว่าไอติมอยู่หอเดียวกับผม แถมไอติมยังเป็นน้องสายผมด้วยอีกถ้าไม่แวะรับให้ขึ้นรถมาด้วยกันก็จะดูน่าเกลียดไปหน่อย ถูกไหมครับถึงน้องจะไม่เห็นผมก็เหอะ แต่ผมเห็นน้องแล้วอะ


               “ไอติม... จูเนียร์...” ผมชะลอรถไปจอดเทียบริมฟุตบาทก่อนจะลดกระจกลงแล้วตะโกนถามน้องสองคนที่เดินอยู่ด้วยกัน
               “อ้าว! พี่วอร์มนี่เอง! นึกว่าใคร” เป็นจูเนียร์ที่เอ่ยทักผมก่อน ส่วนน้องสายผมหรอ ได้แต่ยกมือไหว้ผมและส่งยิ้มเจื่อนๆ มาให้ทำไมวะครับ เจอหน้าผมแล้วมันลำบากใจขนาดนั้นเลยหรอ
               “อืม... กำลังจะกลับหอกันหรอ”
               “ใช่ครับพี่วอร์ม กำลังเดินไปขึ้นรถกลับหอ”
               “จูเนียร์กลับหอคนเดียวใช่ไหม เพื่อนเราไม่กลับด้วยว่างั้น เห็นยืนเงียบเชียว”
               “ง่ะ... ผมก็จะกลับเหมือนกัน” ไอติมรีบตอบพร้อมกับปากยู่จนผมอยากจะบีบปากเจ้าเด็กนี่จริงๆ ชอบทำหน้าแสนงอนอะไรเบอร์นี้วะครับ
               “งั้นขึ้นมา กลับหอด้วยกัน… เดี๋ยวพี่ไปส่งจูเนียร์ด้วย”
               “อ่า...” ผมเห็นจูเนียร์กับไอติมมองหน้ากันทำท่าเหมือนลังเลจะพูดอะไรกันสักอยางแต่ก็ไม่พูด รถคันหลังก็ตามมาอีก
               “เอ้า! จะไปไม่ไปเนี่ย! เร็วๆเข้า! มีรถตามหลังมา... ขึ้นมาเถอะ พี่ไม่พาไปขายหรอก”
               “อ่า... ครับๆ ไอติมนั่งหน้าไปนะ เดี๋ยวจูนั่งหลังเอง” จูเนียร์บอกกับไอติมก่อนจะรีบเปิดประตูด้านหลังรถขึ้นไปนั่งก่อนทันทีส่วนไอติมก็ได้ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ไม่ยอมขึ้นรถสักที
               “จะกลับไหมครับน้องไอติมครับ?” ผมชะโงกหน้าไปถามน้องอีกครั้งจนน้องยอมเปิดประตูรถขึ้นมานั่งข้างๆ ผม กว่าจะขึ้นกันมาได้ ผมว่าไอ้คันหลังมันคงด่าบรรพษุรุษผมไปเรียบร้อยแล้วละครับ
               “ทำไมถึงกลับกันดึกอะ” ผมเอ่ยถามน้องๆ หลังจากขับออกมาจากตรงนั้นได้ไม่นาน
               “พวกเรามีขึ้นสแตนอะครับ” ไอติมหันมาบอกผมเลยทำให้ผมนึกขึ้นได้ครับว่าพวกเด็กปี1 ต้องมีขึ้นสแตนเชียร์งานกีฬามหาลัย เพราะตอนผมอยู่ปี1 ผมเองก็เคยขึ้น แต่จริงๆ แล้วคณะผมก็ไม่ได้บังคับให้ขึ้นกันทุกคนหรอกนะครับ อยู่ที่ความสมัครใจมากกว่า ถ้าปีไหนอยู่กับคณะที่คนเยอะเด็กคณะผมก็แทบไม่ต้องขึ้นเลยด้วยซ้ำ
               “อ่า... แล้วทำไมถึงไปขึ้นสแตนกันได้อะ เรียนกันกว่าจะเลิกก็เย็นแล้วยังไปขึ้นสแตนกันต่ออีก ไม่เหนื่อยหรือไง”
               “ก็จูอะ... ไปลงชื่อขึ้นสแตนคนเดียวไม่พอยังใส่ชื่อผมลงไปด้วยอะ เลยต้องมาเหนื่อยด้วยเลยเนี่ย แทนที่จะได้กลับหอไปนอนพัก” ไอติมบ่นออกมาทันทีหลังจากที่ผมถามจบ บ่นไปก็ทำหน้ายู่ปากยื่นไป ผมนี่อยากจะบีบปากน้องจริงๆ ยิ่งมองก็ยิ่งมันเขี้ยวอะครับ
               “โธ่~ ก็บอกว่าจะเลี้ยงข้าวเป็นการไถ่โทษไง... ไอเลิกบ่นได้แล้วน่า” จูเนียร์ชะโงกหน้ามาบอกไอติมที่นั่งทำหน้างออยู่เบาะหน้าพลางเอามือจิ้มแก้มเพื่อนรักเบาๆ
               “ไม่ต้องเลย~”
               “แบบนี้ก็ต้องกลับกันดึกทุกวันเลยอะดิ” ผมพูดแทรกน้องๆ เพราะกลัวว่าน้องจะเถียงกันไปเถียงกันมาไม่ยอมหยุด
               “ก็คงจะอย่างนั้นอะครับพี่วอร์ม” น้ำเสียงที่ออกแนวประชดประชันเพื่อนของไอติมทำเอาผมหลุดขำ
               “ฮ่าๆ ก็อย่างนี้แหละ... เหนื่อยหน่อยแต่ก็สนุกดีออกนะ อืม... ว่าแต่... เหนื่อยๆ แบบนี้ไปหาอะไรกินกันไหม ไอติม จูเนียร์ เดี๋ยวมื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” ไม่ได้หน้าใหญ่อยากเปย์อะไรหรอกนะครับ เห็นน้องบ่นเหนื่อยกัน ในฐานะที่ผมเป็นรุ่นพี่และยิ่งเป็นพี่สายรหัสน้องด้วย อย่างน้อยก็ควรจะเทคน้องบ้างเพื่อเป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกันถูกไหมครับ
               “โห~ อยากไปมากเลยครับพี่วอร์ม... แต่จูเพิ่งนึกได้อะว่าวันนี้นัดเฟซทามกับคุณแม่ไว้ตอนสามทุ่มอะ... เนี้ยใกล้เวลาแล้วด้วยอะ ให้ไอติมไปกับพี่วอร์มสองคนแล้วกัน”
               “อ้าว! ไหนจูบอกจะเลี้ยงข้าวไอไง”
               “เอาเป็นพรุ่งนี้เที่ยงแทนได้ไหมละไอติม... นี่ไงไปกับพี่วอร์ม พี่วอร์มเลี้ยงเนอะๆ”
               “แล้วทำไมไม่ไปด้วยกันก่อนละจูเนียร์ อีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะสามทุ่ม กินข้าวแป้ปเดียวคงไม่นานหรอก เดี๋ยวพี่ไปส่งหน้าหอเราด้วย” ผมหันไปบอกน้องที่ทำท่าหยิบกระเป๋าเป้มาสะพายไว้ อะไรจะรีบร้อนขนาดนั้น
               “คือ... จูมีอะไรต้องทำก่อนอะครับ ไว้คราวหน้านะครับพี่วอร์ม เดี๋ยวพี่วอร์มจอดส่งจูตรงป้ายรถข้างหน้านี่ก็ได้ครับ”
               “จูอ่า... จะไปเลยหรอ? ให้พี่วอร์มไปส่งที่หอก่อนไหม” ไอติมหันไปทำหน้าอ้อนใส่เพื่อน เพิ่งเคยเห็นน้องทำหน้าอ้อนใกล้ๆแบบนี้เป็นครั้งแรกครับ



               โคตรจะน่ารัก


 
               “นั่นสิ เดี๋ยวไอ้มิชิกับไอ้จัสมันรู้แล้วจะฆ่าพี่เอานะที่ไม่ยอมไปส่งน้องจูที่หอ”
               “จูมั่นใจว่าพี่จัสกับพี่มิชิจะไม่มีทางรู้เรื่องนี้เด็ดขาดครับ!” น้องหันมาบอกขณะที่ผมเทียบรถจอดที่ป้ายรถใกล้ๆ ประตูเข้าออกของรั้วมหาลัยตามที่น้องบอก
               “ขอบคุณพี่วอร์มที่แวะรับพวกเรานะครับ... จูฝากไอติมด้วยนะครับพี่”
               “แค่นี้สบายมาก ไม่มีปัญหา จูเนียร์ก็กลับดีๆ ล่ะ”
               “ครับ! เจอกันพรุ่งนี้นะไอ... กินข้าวให้อร่อยนะ ไปล่ะ” จูเนียร์บอกกับไอติมก่อนจะรีบกระโดดลงจากรถไป ทำให้ตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับน้องสายของผมที่นั่งอยู่บนรถกันสองคน ความเงียบเข้ามาครอบคลุมอีกครั้ง ถึงมันจะไม่ได้อึดอัดจนลำบากใจแต่ผมก็อยากให้บรรยากาศมันดีกว่านี้
               “เรา... กินอะไรกันดีอะ”
               “อะไรก็ได้ครับ... จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ จูเนียร์ก็กลับไปแล้ว... เอาไว้วันอื่นค่อย...”
               “จะปฏิเสธพี่อีกคนหรอ ไม่อยากกินข้าวด้วยกันขนาดนั้นเลยหรือไง”
               “มะ... ไม่ใช่แบบนั้นครับ! คือผมเกรงใจพี่วอร์มอะ ก็พี่บอกจะเลี้ยงทั้งผมและจูเนียร์แต่ตอนนี้จูกลับหอไปแล้วอะ ผมก็แค่เกรงใจ... ถ้างั้นไปกินข้าวด้วยกันแต่ต่างคนต่างจ่ายได้เปล่า” ไอติมอธิบายให้ผมฟังเสียยืดยาว ทำไมถึงได้คิดมากขนาดนี้
               “เรื่องแค่นี้เอง... เกรงจงเกรงใจอะไรนักหนา พี่เป็นพี่สายเราป่ะ เลี้ยงข้าวน้องสายนี่ผิดตรงไหน เลิกคิดมากได้แล้ว เดี๋ยวไปกินข้าวมันไก่กันดีกว่า... ห้ามดื้อนะ พี่หิวจะแย่ เดี๋ยวก็กินเราแทนซะหรอก”
               “พี่วอร์ม! ผมไม่ใช่ข้าวมันไก่นะ! ไปเลยรีบพาไปกินข้าวเลย! คนอะไรโมโหหิวแล้วจะมากินคนอื่น บ้าไปแล้ว” ผมเห็นไอติมกระเถิบไปนั่งติดริมประตูแล้วกอดอกทำปากขมุบขมิบกำลังบ่นเรื่องที่ผมพูดเมื่อครู่ ทำอย่างกับกลัวว่าผมจะไปกินน้องเข้าให้จริงๆอย่างนั้นแหละ เด็กนี่จะรู้ไหมเนี่ยว่าคำว่ากินในความหมายของผมมันคืออะไร คนอะไรแกล้งสนุกชะมัด


 
               หลังจากวันนั้นที่ผมเจอน้องๆ ระหว่างทางกลับหอ ก็กลายเป็นว่าผมกับน้องกลับหอพร้อมกันทุกวันเลยครับ ทั้งไอติมและจูเนียร์ แต่หลังๆ นี่จะมีแค่ผมกับไอติมที่กลับด้วยกันสองคนบ่อย เพราะไอ้มิชินั่นละชิงตัวน้องจูเนียร์กลับไปด้วยกันโดยให้เหตุผลว่าจูเนียร์เป็นน้องสายมัน แล้วอีกอย่าง ผมกับไอติมอยู่หอเดียวกัน จะได้ไม่ต้องแวะส่งจูเนียร์กลางทางให้ลำบาก มันจะลำบากอะไรวะครับ ก็ทางผ่านไปหอผมเหมือนกัน แต่มันจะทำแบบนั้นก็แล้วแต่ครับ น้องสายมันผมก็ไม่อยากจะเข้าไปก้าวก่ายวุ่นวายอะไรมาก


               หลายวันมานี่หลังจากเลิกเรียนเสร็จผมกับมิชิก็ต้องเข้าไปซ้อมที่ชุมนุมเป็นกิจวัตรทุกวันจนไอ้จัสเริ่มบ่นว่าไม่มีเพื่อนกินข้าวเย็นบ้างล่ะ อยากไปเดินห้างบ้างล่ะ ก็ไม่รู้จะบ่นให้ได้อะไรขึ้นมานะครับ บ่นไปก็ไม่มีใครว่างไปกับมันอยู่ดี ขนาดเค้กที่ว่างๆ พอจะชวนจัสไปเดินเล่นที่ห้างกัน ไอ้มิชิมันก็ไม่ยอมให้ไปอยู่ดีไม่รู้จะหวงอะไรนักหนา นี่เพื่อนนะเว้ย
 
               


มีต่อค่ะ ...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2018 15:41:28 โดย myj514 »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด