:: Chapter 4 :: 'ละลาย'
**พี่วอร์ม** สุดสัปดาห์นี้เด็กกรุงเทพฯอย่างไอ้จัสกับมิชิไม่ได้กลับบ้านพวกผมเลยมากินมื้อเย็นด้วยกันที่ตลาดโต้รุ่ง นานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันแล้วมาทานอาหารที่นี่ ถ้าผมจำไม่ผิด ครั้งสุดถ้าก็น่าจะตอนปี 2 ที่ประชุมเรื่องกิจกรรมรับน้องละมั้ง แถมตอนนั้นนั่งกินอยู่ดีๆ หมาแถวนั้นดันกัดกันเฉย ผมนี่โดดขึ้นไปยืนบนม้าหินอย่างไว น่ากลัวฉิบชาย ก็มันเล่นขู่ฟ่อๆ น้ำลายงี้ฟูมปากอย่างกับหมาบ้า เกิดซวยโดนกัดไปด้วยนี่ไม่คุ้มนะครับ
“คุณเพื่อนครับ จะแดกไรกัน กระผมอยากกินกระเพราหมูกรอบ”
“งั้นไปกินโรงกลางก็ได้ไหมมึง”
“ไอ้จัสครับ มาโต้รุ่ง ต้องกินหอยทอด ผัดไทดิวะ”
“กินๆๆ เค้กกำลังอยากกินหอยทอดอยู่พอดี”
มิชิยกยิ้มทันทีที่ได้หน่วยสนับสนุนอย่างเค้ก เพราะใครๆ ก็เกรงใจเค้กทั้งนั้นแหละครับ ยิ่งไอ้จัสนี่ไม่ต้องพูดถึง มันไม่เคยขัดใจเค้กสักครั้งเลย
“ไรวะ กินก็กิน มีใครสนใจเกี๊ยวกรอบและลูกชิ้นทอดบ้าง”
“เค้กๆ ขอลูกชิ้นเอ็นด้วยนะจัส”
“ขอปลาเส้นชีสให้กูด้วย”
เพื่อนตัวสูงพนักหน้าเป็นการตอบตกลงหลังจากที่ผมบอกสิ่งที่อยากกินออกไป ก่อนที่มันจะปลีกตัวออกไปซื้อของทอด มิชิเองก็ไปยืนอยู่หน้าร้านผัดไทยเรียบร้อยแล้ว ไปตั้งแต่ตอนไหนทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย
“วอร์มนั่งก็ได้ เดี๋ยวเค้กไปซื้อน้ำให้” ระหว่างที่ผมยืนเกาหัวอย่างงงๆ อยู่นั้น เค้กก็พูดขึ้นมา
“มะ... ไม่ต้องหรอก เค้กนั่งเถอะ เดี๋ยววอร์มจัดการเอง”
ผมบอกกับอีกคนก่อนจะเดินไปที่ร้านน้ำ ที่นี่มีเอกลักษณ์อยู่อย่างหนึ่งคือ ทางร้านจะขายน้ำแข็งเป็นถัง ใส่ไว้ในถังพลาสติกหลากหลายสี ส่วนน้ำก็ให้ลูกค้าเลือก เนื่องจากทั้งหมดเป็นขวดแก้ว ทางร้านจึงจะเทน้ำใส่ในถังน้ำแข็งเพื่อเก็บขวดแก้วเอาไว้ ผมยังจำได้เลย สมัยปี 1 พวกผมตีกันแทบตายเพราะดันเรื่องเยอะ ผมอยากกินน้ำเขียวแต่ไอ้จัสเสือกกินน้ำเขียวแล้วจะอ้วก คุณชายมิชิก็ดันไม่กินน้ำอัดลมจะกินแต่ชาลิปตัน สุดท้ายทุกคนก็ต้องยอมจำนนเมื่อเค้กเอ่ยปากว่าอยากกินโค้ก
ผมเดินกลับไปที่โต๊ะพร้อมกับถังโค้กในมือ เดินมาถึงก็พบว่ามิชิกำลังนั่งคุยกับเค้กอยู่พร้อมกับผัดไทยและหอยทอดอย่างละหนึ่งจานใหญ่ ไม่ต้องงงครับ ว่าแค่นี้พวกเราจะกินอิ่มไหม เพราะจานใหญ่ของร้านนี้คือใหญ่มากจริงๆ ครับ จานนึงกินได้ประมาณสามคน พวกผมสี่คนสั่งสองอย่างก็กินอิ่มกำลังพอดี จริงๆ มันก็มีคนที่กินเยอะกว่าชาวบ้านเขานั่นแหละครับ และคนนั้นก็คือไอ้จัสหน่วยเก็บกวาดไงจะใครล่ะ
“ยุงที่นี่แม่งยังดุเหมือนเดิม กัดเจ็บฉิบชาย”
“ใครใช้ให้มึงใส่ขาสั้นมาล่ะ”
“ขายาวก็ไม่รอดอะมิชิ เค้กก็โดน เนี่ยกัดทะลุยีนส์เลย”
เป็นยังไงล่ะ คุณชายมิชิ หน้าหงายเลยครับ ผมได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ เพราะเดี๋ยวถ้าซ้ำมันไปมันก็จะต้องไปอ้อนเค้กแน่นอน ผมไม่อยากเห็นภาพชวนคลื่นไส้แบบนั้น แค่นี้ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินอยู่กลายๆ แล้วครับ
“นี่รอกูคนเดียวอ่อ? โทษทีว่ะ คนโคตรเยอะเลย”
จัสพูดพร้อมๆ กับ วางถ้วยกระดาษถ้วยใหญ่ที่เต็มไปด้วยของทอดสีเหลืองทอง กลิ่มหอมฉุยลงตรงกลางโต๊ะพร้อมกับโบกมือเป็นเชิงให้ทุกคนเริ่มกินอาหารตรงหน้าได้แล้ว
“พวกมึง... เดี๋ยวกินเสร็จแล้วแวะไปดูโต๊ะหน่อยไหม วันนี้น้องปี 1 น่าจะกำลังขูดโต๊ะกันอยู่”
“ทำไมต้องไปวะ ปล่อยปี 2 มันดูไปดิ ไปเล่นโรลกันดีกว่า”
“ไอ้จัส มึงจะไปหลีน้องน้ำขิงก็บอก”
มิชิรีบดักคออย่างรู้ทัน น้องน้ำขิงที่ว่านี่คือน้องปี 1 ที่สวย หุ่นดี แถมเรียนเก่งสุดๆ ด้วย นอกจากนั้นน้องยังจะสมัครคัดตัวลีดคณะด้วย ถ้าไม่ผิดโผน้องคนนี้ก็น่าจะคว้าตำแหน่งดาวโต๊ะไปครองด้วยเช่นกัน
“ไปก็ได้นะ เดี๋ยวเค้กจะได้แวะเอายากันยุงไปให้ไวท์กับน้องๆ ที่อยู่ที่โต๊ะด้วย”
เมื่อเค้กเปิดประเด็นมาขนาดนี้แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ แถมยังเป็นพ่อพระใจบุญสุนทานเป็นห่วงเป็นใยน้องๆ อีก ถ้าผมขัดนี่คงกลายเป็นคนบาปสุดเลวทรามไปเลย สุดท้ายก็เลยต้องจำใจเดินตามคุณเพื่อนเข้าเซเว่นไปซื้อยากันยุงแบบซองเพื่อจะเอาไปให้พวกเด็กปี 1 เอาเถอะ แวะไปดูแล้วสวมบทพี่ว้ากสักหน่อยก็ไม่เสียหาย หึ
พวกผมยังเดินไปไม่ถึงโต๊ะดีก็เห็นกลุ่มเด็กปี 1 ประมาณห้าหกคนกำลังนั่งพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะสดใสที่ดังกว่าใครเพื่อนไม่ต้องบอกผมก็จำได้ดีว่าเป็นเสียงของน้องสายผมแน่ๆ
“มึงๆ เก๊กขรึมกันเร็ว”
“สัดจัส มันจะไม่เนียนก็เพราะมึงนี่แหละ”
มิชิตบหัวเพื่อนตัวโย่งไปเบาๆ นึงครั้ง ส่วนผมก็ได้แต่พยายามกลั้นขำเอาไว้แล้วกลับไปตีหน้านิ่งเหมือนเดิม ขณะที่ผมเดินรั้งท้าย เค้กก็ตรงดิ่งไปทักทายน้องไวท์ด้วยรอยยิ้มพร้อมกับแจกจ่ายซองยากันยุงให้กับน้องๆ
“สวัสสดีครับ/สวัสดีค่า” เด็กๆ ปี 1 เอ่ยทักทายพร้อมยกมือไหว้พวกผมทันที มิชิไม่ได้พูดอะไร มันแค่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เค้กที่กำลังชวนน้องๆ คุย และถามไถ่ถึงความคืบหน้าของงานโต๊ะ ส่วนจัสก็ทำเป็นเข้มแล้วเดินวนดูรอบๆ บริเวณ ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันจะเก๊กทำไม ยิ่งเก๊กก็ยิ่งไม่เนียน ไอ้บ้านี่ ยังไม่ทันไรมันดันซุ่มซ่ามไปเตะขาโต๊ะจนหน้าเกือบคว่ำอีก ตลกฉิบชาย แต่ผมก็ทำได้เพียงยกยิ้มมุมปากเท่านั้น
พอผมหันกลับไปก็พบว่า น้องไอติมที่นั่งดูดน้ำจากแก้วที่ถืออยู่ในมือจ้องผมตาแป๋ว แต่พอผมจ้องกลับก็หลบตาหนีประจำ อะไรของมันวะ อยากจะรู้นักว่าจะหลบ จะหนีไปได้สักแค่ไหน คนอื่นเขาก็หันไปสนใจและตั้งใจฟังคำแนะนำของเค้กหมด มีแต่น้องนี่แหละที่เอาแต่นั่งก้มหน้าดูดน้ำ เอาจริงๆ เหมือน นั่งกัดหลอดเล่นมากกว่า นี่เด็กมหาลัยหรือเด็กประถมครับ
“อยากกินสเลอปี้ว่ะ...” ดูเหมือนจะได้ผล เพราะแค่ประโยคสั้นๆ ที่ออกจากปากผม ก็สามารถทำให้ไอติมเงยหน้ามามองผมอีกครั้งด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย
“อ่า... พี่วอร์มรีบไปซื้อเลย ตรงโรงอาหารกลาง ผมเพิ่งไปมา ตอนนี้มันกำลังแข็ง กดง่าย กดได้เยอะเลย”
“ไม่อะ ขี้เกียจเดิน” ผมตีหน้าตายแบบเบื่อโลกขั้นสุดใส่น้อง มีอย่างที่ไหนวะ แทนที่จะแบ่งให้ผมกินดันบอกให้รุ่นพี่อย่างผมเดินไปซื้อ ไอ้เด็กนี่
คงเพราะเห็นผมขมวดคิ้วละมั้ง น้องก็เลยยื่นแก้วตัวเองส่งมาให้ผม แต่ขอโทษนะ มันยังไม่จบง่ายๆ แค่นี้หรอก ผมนั่งลงข้างๆ น้องก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“มือไม่ว่าง ไม่เห็นอ่อ?” ผมรู้ว่ามันเป็นอะไรที่โคตรอภิมหาของการแถเลยครับ ด่าได้แต่อย่าแรงนะ เพราะมือข้างนึงผมถือโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์อยู่ ส่วนอีกข้างก็ถือขวดน้ำเปล่าที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งขวดด้วยซ้ำ เรื่องแบบนี้มันด้านได้อายอดครับ คิดจะเริ่มแล้วก็ต้องไปให้สุด หลังจากได้ยินคำพูดของผมน้องก็ถึงกับนิ่งไปเลยครับ
“เร็วๆ ดิ จะละลายหมดแล้วเนี่ย” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้น้องอีกจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ มาจากตัวน้องพร้อมกับอ้าปากเล็กน้อย
“เอ่อ... อ้าม...” ไอติมเหวอไปพักหนึ่งก่อนจะยื่นแก้วและจับหลอดดูให้เข้าปากผม พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้น้องกำลังป้อนสเลอปี้ให้ผมอยู่ รสชาติของน้ำหวานแก้วนี้มันชื่นใจไอ้วอร์มเหลือเกิน แต่เวลาน้องเหวอนี้ตลกโคตรๆ อะ เด็กเด๋อที่อ้าปากหวอแถมปากล่างยังห้อยอีก เห็นแล้วมันน่าถ่ายรูปเก็บไว้เอาไว้ดูตอนเครียดๆ
“ไปช่วยเพื่อนทำงานไป” ผมดีหน้าผากน้องไปเบาๆ หนึ่งครั้ง เพราะน้องยังคงนั่งมองผมตาปริบๆ ไอ้เด็กนี่ จะมีตอนไหนที่ไม่น่ารักน่าเอ็นดูบ้างไหมวะครับ
“จะกลับกันได้ยังวะ ยุงเยอะชิบ ขากูจะพรุนแล้วเนี่ย”
“งั้นเดี๋ยวพวกพี่ไปก่อนนะ สู้ๆ นะเด็กๆ”
“อย่าลืมไปตามไปพวกที่มันหายหัวให้มาทำด้วย งานส่วนรวม ใครไม่ยอมมาจดรายชื่อไว้ โดนจัดหนักแน่เข้าใจไหม”
ผมว่าเค้กอุตส่าห์บอกลาน้องๆ ได้ดีแล้วนะ ไอ้จัสก็ยังไม่วายเล่นใหญ่กวาดนิ้วชีหน้าพวกปี 1 แล้วพยายามกดเสียงให้โหดพูดขู่น้องๆ มันอีก โครตไม่เวิร์ค เสียงก็เป็ดฉิบชาย ยังจะกล้าเล่น ถ้าผมเป็นรุ่นน้องผมคงขำมากกว่ากลัวมันอะ แต่ถึงอย่างนั้น น้องๆ ก็รับคำกันอย่างแข็งขัน และตอนที่ผมกำลังจะหันหลังเดินออกมาก็มีสายตาหนึ่งคู่ที่มองผมอยู่ พอจ้องกลับไปเจ้าตัวก็ได้แต่ยิ้มจนตาปิดแบบเจื่อนๆ ส่งมาให้เห็นแบบนั้นก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ ผมเลยใช้ขวดน้ำในมือเคาะลงไปบนหัวไอติมหนึ่งที น้องก็ได้แต่ลูบหัวป้อยๆ ไม่ต้องมาทำสำออย ผมไม่ใจอ่อนหรอกนะ ขวดน้ำพลาสติกเคาะเบาๆ แค่นี้เอง เล่นใหญ่เป็นไอ้จัสไปได้
.
.
.
**น้องไอติม** ผมมองตามหลังพวกพี่เขาไปอย่างงงๆ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปแบบนี้หรอ อย่างพี่เค้กน่ะ แวะมาหาเพราะเป็นห่วงก็พอจะเข้าใจได้อยู่หรอกครับเพราะนากจากจะมียากันยุงติดมือมาด้วยแล้วก็ยังนั่งพูดคุย ถามไถ่ความเป็นไปต่างๆ แต่อย่างพี่วอร์มเนี่ย เหมือนตั้งใจมาแกล้งกันชัดๆ
“ไอ... ไอติม!!!”
“หา?! อ้าวจู... ว่าไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่อะ”
“โอ้โห เหม่อถึงขนาดไม่รู้ว่าจูมาจ้องอยู่เลยหรอเนี่ย”
“อ่า... คิดอะไรเพลินๆ นิดหน่อยอะ”
“คิดถึงพี่วอร์มอยู่หรอไง เห็นไวท์บอกว่าพี่ๆ เขาเพิ่งแวะมาหานี่”
“อือ... เพิ่งกลับกันไปสักพักเอง แต่ไอไม่ได้คิดถึงพี่วอร์มหรอก”ผมไม่ได้โกหกจูเนียร์นะครับ เพราะผมไม่ได้คิดถึงพี่เขาจริงๆนี่ ออกแนวแอบบ่นพี่เขามากกว่า มีอย่างที่ไหนมาแย่งน้ำคนอื่นกินแบบนี้ก็ได้ด้วย มาคิดๆ ดูแล้วก็คิดเป็นโชคดีอยู่เหมือนกันนะครับ ที่จูเนียร์เพิ่งมา ไม่อย่างนั้นผมต้องโดนล้อเรื่องพี่วอร์มอีกแน่ๆ เลยอะ
“เดี๋ยวพวกเราจะกลับกันแล้วนะ”
“อ้าว... จูเพิ่งมาถึงเองอะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจู ไว้ค่อยมาช่วยวาดลายโต๊ะก็ได้ ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” น้ำขิงบอกกับพวกผมแล้วเดินไปทางหอสมุด ถึงพวกผมจะไม่ได้สนิทกับกลุ่มของน้ำขิงมากขนาดนั้นก็ตาม แต่พวกเราก็คุยกันได้หมดแหละครับ ไวท์ที่นั่งขูดโต๊ะอยู่กับพวกน้ำขิงตอนแรกก็ย้ายมานั่งข้างๆ ผมแทน
“ไวท์อยากกินขนมอะ เราไปกินวาฟเฟิลกันไหม ใต้หอไอก็ได้”
“หา? อ่อ... อื้ม เอาสิๆ” ผมไม่ได้ตั้งใจฟังที่จูเนียร์กับไวท์คุยกันเท่าไหร่ เพราะผมกำลังคิดอยู่ว่าจะซื้ออะไรไปฝากไว้ให้พี่วอร์มดี ความจริง ความคิดนี้ก็วนเวียนอยู่กับผมมาสักพักแล้วแหละครับซึ่งมันเป็นแผนของจูเนียร์ในการสืบหาเบอร์ห้องของพี่วอร์ม ผมอยากซื้อพวกขนมที่พี่เขาชอบไปให้นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมาพี่วอร์มจะยังชอบอะไรเหมือนๆ เดิมอยู่หรือเปล่า
“ตกลงว่ายังไงไอ จะกลับหอเลยป่ะ”
“ไปสิๆ ก็เดี๋ยวไปกินวาฟเฟิลกัน ไอได้ยินมาเหมือนกันแหละไวท์ ว่าร้านเปิดใหม่ใต้หอไออร่อย” ผมหันไปตอบจูเนียร์แล้วลุกขึ้นยืนปัดเศษฝุ่นที่ติดตามมืออยู่เล็กน้อยแล้วพากันรีบวิ่งไปที่ป้ายรถเมื่อเห็นว่ารถที่ให้บริการฟรีกำลังมา
หลังจากที่ออกมาจากมหาลัย พวกผมก็มานั่งกันอยู่ในร้านวาฟเฟิลที่เพิ่งเปิดใหม่ใต้หอผม จริงๆ มันเป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่เน้นขายกาแฟและเบเกอรี่แต่หน้าร้านดันมีบอร์ดกระดานดำเล็กๆ เขียนเมนูแนะนำไว้ตั้งอยู่ แล้วผมเดินผ่านทุกวัน ก็เห็นว่ามีวาฟเฟิลนี่ละที่เป็นเมนูแนะนำในทุกๆ วัน สงสัยว่าจะมีแต่วาฟเฟิลหรือเปล่าที่เจ้าของร้านอยากแนะนำให้ลูกค้ากินจนเบื่อกันไปข้าง
“ร้านน่ารักดีเนอะ” ไวท์เอ่ยปากชมหลังจากที่พวกเราสั่งวาฟเฟิลจานใหญ่ที่เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมกันไป
“อือ กลิ่นเหม็นใหม่ดีเนอะ” ผมตอบก่อนจะหัวเราะออกมา ก็มันจริงนี่ครับ ร้านเขาเพิ่งเปิดใหม่กลิ่นสีก็ยังมีหลงเหลือให้ได้รู้สึกบ้าง
“ไอติมก็ ฮ่าๆๆ” ไวท์หันมาหัวเราะกับผมก่อนที่จูเนียร์จะพูดแทรก
“อ้าว... นั้นพี่จัสกับพี่วอร์มนี่” ผมรีบหันไปตามที่จูเนียร์บอกหลังจากได้ยินชื่อพี่วอร์มออกมาจากปากเพื่อน แล้วก็เห็นพี่วอร์มกับพี่จัสที่ดูเหมือนเพิ่งจะเดินลงมาจากหอ แต่โชคดีที่ว่าพวกผมนั่งกันอยู่ในร้านแต่พวกพี่วอร์มกับพี่จัสอยู่ข้างนอก ยังไงพวกพี่เขาก็ไม่เห็นพวกผมแน่ๆ ผมเห็นพี่จัสยืนคุยอะไรสักอย่างกับพี่วอร์มก่อนที่พี่ๆ ทั้งสองจะโบกมือลากันแล้วพี่จัสก็เดินออกไป ส่วนพี่วอร์มนั้นเดินเข้าร้านมินิมาร์มไป การกระทำทุกอย่างของพี่เขาอยู่ในสายตาผม ผมเห็นพี่วอร์มเดินไปเปิดตู้น้ำ พี่เขาน่าจะซื้อน้ำดื่มหรือเครื่องดื่มอะไรสักอย่างแน่ๆ
“พี่จัสเวลาเดินข้างพี่วอร์มแล้วยิ่งตัวสูงมากกว่าเดิมอีกอะ” ไวท์เอ่ยขึ้นหลังจากที่พี่จัสและพี่วอร์มแยกกัน
“ไอว่าพี่วอร์มต่างหากละที่ตัวเล็กอะ ฮ่าๆๆ”
“เออ... ก็จริงอย่างที่ไอว่านะ”
“ใช่ไหม” ผมพยักหน้าย้ำกับไวท์ก่อนจะหันไปมองพี่วอร์มที่กำลังจ่ายเงินอยู่ที่เคาท์เตอร์แคชเชียร์และผมก็เห็นพี่เขากำลังจามออกมาพอดี สงสัยเป็นเพราะผมนินทาพี่เขาแน่ๆ เลยอะ
พี่วอร์มเดินออกมาจากร้านมินิมาร์ทพร้อมกับน้ำดื่มหนึ่งขวด แต่ก็ยังไม่วายจามออกมาอีกสองครั้งจนผมว่ามันไม่น่าจะเป็นเพราะที่ผมแอบนินมาเรื่องส่วนสูงพี่เขาแล้วล่ะ
“ไม่น่าใช่แล้ว”
“หืม? ไม่ใช่ที่สั่งหรอคะน้อง?” ผมเผลอบ่นออกมาเบาๆ แต่มันพอดีกับที่คุณพี่เจ้าของร้านเอาวาฟเฟิลมาเสิร์ฟที่โต๊ะพอดี
“เอ่อ... เปล่าครับ ไม่ใช่... คือสั่งถูกแล้ว... ขอโทษครับ” ผมเอ่ยขอโทษพี่เจ้าของร้านก่อนที่พี่เขาจะพยักหน้ารับแล้วเดินกลับออกไป
“เหม่ออะไรอยู่หรอไอติม” จูเนียร์หันมาถามผมพลางยิ้มเล็กน้อย มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมอยากจะหยิกเพื่อนผมคนนี้ซะเหลือเกิน หน้าตาดูมีเลศนัยมากอะ
“ไอติมเป็นเหมือนไวท์เลยอะ ชอบเผลอพูดตามที่คิดเนี่ย ประจำเลย”
“แฮ่... มันก็เผลอกันได้อะเนอะ มาๆ กินกันดีกว่า” ผมชวนเพื่อนๆ มาสนใจวาฟเฟิลตรงหน้าก่อนที่พวกเราจะสุมหัวลงมือทานวาฟเฟิลจานใหญ่ที่มีไอศกรีมถึงสามรสเสิร์ฟมาด้วย
หลังจากที่พวกเราจัดการกับวาฟเฟิลกันจนเกลี้ยงจานแล้ว ไวท์ก็ขอตัวกลับหอก่อนเพราะจากหอผมกว่าจะเดินไปทถึงหอไวท์ก็ค่อนข้างไกลอยู่ อีกอย่างมันจะดึกแล้วด้วย
“จูจะกลับเลยไหม เดี๋ยวไอขอเข้ามินิมาร์ทแป๊ปนึง” ผมเอ่ยถามจูเนียร์หลังจากที่เราแยกกับไวท์เมื่อครู่
“อืม... เอาสิ จูเข้าด้วย ว่าจะซื้อขนมไปกินที่ห้องหน่อย”
“กินขนมดึกๆ อ้วนน๊า~” ผมเอ่ยแซ็วเพื่อนรักที่เริ่มแยกเขี้ยวใส่ผม
“ว่าแต่จู! ไอเองก็เหมือนกันนั่นละ! เชอะ! กินแล้วไม่อ้วนก็พูดได้นี่!”
“ฮ่าๆๆ ก็ไอไม่ได้กินตอนดึกๆ แบบจูนี่”
“ใช่หรอ~” ผมหยักไหล่ใส่เพื่อนก่อนจะเดินไปที่ตู้ไอศกรีม ใช่แล้วครับ ของโปรดของผมเลยแหละ เวลาเปิดตู้ไอศกรีมทีไรแล้วผมรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลย มันเป็นเวลาของผมเลยแหละ เวลาของไอติม
“นั่นไง... ว่าคนอื่นอยู่แหมบๆ นี่มาเล็งไอติมอีกแล้ว” จูเดินตามหลังผมมาก่อนจะทักผมอย่างล้อเลียน
“ไม่ได้หรอก... ไอติมนี่เป็นข้อยกเว้นของไอเลยนะ”
“จ้าๆ” ผมไม่สนใจหรอก ก็ไอศกรีมเป็นของโปรดของผมนี่นา จริงๆ ผมก็แอบคิดนะว่าคุณแม่ผมรู้ได้ยังไง ว่าผมเกิดมาจะชื่นชอบไอศรีมเลยตั้งชื่อเล่นให้ผมว่าไอติมแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วคุณแม่เองก็ชอบกินไอศกรีมเหมือนกันก็เลยตั้งชื่อผมว่าไอติมอย่างที่ท่านชอบนั่นแหละครับ
“ไอติม... ร้านนี่มีน้ำซีวิตขายด้วยอะ ไอชอบกินไม่ใช่หรอ” จูเนียร์ตะโกนบอกผมพร้อมกับหยิบขวดซีวิตออกมาจากตู้แช่ เพื่อนรักผมคนนี้ช่างรู้ใจผมจริงๆ ผมชอบดื่มพวกเครื่องดื่มวิตามินแบบนี้เพราะว่านอกจากจะให้ความสดชื่นแล้วมันยังช่วยไม่ให้เราเป็นหวัดได้ด้วย พูดถึงเป็นหวัด ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อกี้ผมเห็นพี่วอร์มจามตั้งหลายครั้ง ไม่แน่พี่เขาอาจจะเป็นหวัดอยู่ก็ได้ ถ้าได้ดื่มเครื่องดื่มพวกนี้ก็น่าจะพอช่วยได้นะ
“จู...”
“ว่าไง?”
“จูว่า... ถ้าไอซื้อซีวิตไปให้พี่วอร์มมันจะดีไหมอะ” นึกถึงพี่วอร์มขึ้นมาแล้วผมก็ได้ไอเดียแล้วล่ะครับ
“หืม? แล้วไอจะเอาไปให้พี่วอร์มยังไงอะ”
“นั่นนะสิ...”
“อืม... เอาอย่างนี้ไหม ไอก็เอาไปให้เองเลย เป็นน้องสายพี่วอร์มเอาของไปให้ไม่แปลกหรอก”
“ก็ความคิดดีนะ... แต่พี่วอร์มไม่รับแน่ๆ เลยอะ คิดดูสิ ปกติจะมีแต่พี่สายที่เป็นคนเทคน้อง ถ้าไอของพวกนี้ไปให้พี่วอร์มก็เหมือนรุ่นน้องต้องมาคอยเทครุ่นพี่... คนอย่างพี่วอร์มอะ ไม่ยอมหรอก”
“อ่า... มันก็จริง...”
“ถ้าฝากใครสักคนไปให้ได้ก็คงจะดี”
“แล้วจะฝากใครดี... พวกเพื่อนพี่วอร์มไหม พี่เค้ก ไม่ก็พี่จัส พี่มิชิ”
“ยิ่งแปลกใหญ่เลยนะจู อีกอย่างพวกเขาเป็นเพื่อนกันยังไงก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนฝากมาให้อะ”
“อืม... งั้นเอาอย่างนี้ ฝากลุงยามหน้าหอไอไว้สิ”
“อื้อๆ ความคิดดีนะ เพราะไอเห็นลุงยามทักพี่วอร์มบ่อย น่าจะรู้จัก... แต่จะให้ยังไงดีอะ”
“ก็ซื้อไป แล้วก็ไปฝากไว้... ตอนเช้า ไม่ก็ตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็ได้”
“โอเค! ว่าแต่ ไอควรเขียนโน้ตฝากไปด้วยดีไหมอะ” ใจนึงผมก็อยากเขียนเพราะเหมือนมันจะได้เป็นอีกช่องทางที่ผมจะบอกสิ่งที่ผมไม่กล้าพูดต่อหน้ากับพี่เขาออกไปได้ด้วย แต่อีกใจนึงก็กลัวว่าจะโดนจับได้เนี่ยสิครับ
“ตามกฎของคนที่แอบชอบแล้ว... ก็ควรทำนะไอติม” จูเนียร์พูดก่อนจะส่งยิ้มล้อเลียนมาให้ผม
“ยิ้มแบบนั้นคืออะไร”
“ก็ไอติมแอบชอบพี่วอร์มมาตั้งนานแล้วอะ... ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใกล้พี่เขามาอีกขั้นนึงแล้ว... ถ้าจะทำอะไรแบบนี้จูว่ามันก็ไม่ผิดหรอก ทำตามที่ใจอยากเราทำเถอะ” ผมอยากจะกอดจูเนียร์ให้แน่นๆ จริงๆ ครับ เพื่อนคนนี้ช่างรู้ใจผมไปหมดเสียทุกเรื่อง มันก็จริงอย่างที่จูเนียร์ว่า ขอได้ทำเพื่อพี่วอร์มแค่นี้ มันคงไม่ผิดหรอกใช่ไหมครับ ก็หวังว่าพี่เขาคงจะไม่รำคาญหรือรังเกียจผมหรอกนะ
“อือ... เข้าใจแล้ว เดี๋ยวไอจะซื้อของพวกนี้แล้วเขียนโน้ตฝากลุงยามไว้ให้พี่วอร์ม”
“แต่จริงๆ จูอยากจะบอกไออย่างนึงนะ”
“อะไรหรอ”
“จูอยากให้ไอเผื่อใจไว้บ้างนะ เผื่อถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ มันจะเป็นไอติมเองนั่นแหละที่จะเสียใจมาก” สีหน้าจริงจังของจูเนียร์ที่บอกผมทำเอาผมอดคิดไม่ได้ แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อผมอยากทำแบบนี้เอง แล้วอีกอย่าง ผมก็ไม่ได้หวังหรือว่าจะบอกเรื่องนี้กับใครอยูแล้ว ขอเพียงแค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วล่ะ
“ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอกจู... ไออะชอบพี่วอร์มมาตั้งนานแล้ว แค่แอบชอบแบบนี้ไอก็มีความสุขแล้วล่ะ”
“ไอติมเนี่ยน๊า ยอมใจเลย... แต่ถึงยังไงก็เถอะ จูก็ยังจะขอให้ไอสมหวังกับพี่วอร์มนะ” จูเนียร์ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมายีหัวผม
“ไม่หรอก...”
“ก็ไม่แน่หรอก... ไออะเข้าใกล้พี่เขามากขึ้นกว่าเดิมแล้วนะ อะไรก็เกิดขึ้นได้นะไอติม”
“อือ... ขอบใจนะ แต่ขอแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ” ผมพูดไปตามที่รู้สึกจริงๆ ถึงจะเข้าใกล้พี่เขามากแค่ไหน แต่ถ้าพี่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมไปมากกว่านี้ ผมก็ขอแค่นี้ก็พอใจแล้วล่ะครับ
.
.
.
To be Continue...