พิมพ์หน้านี้ - Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 17 :: 'วิตามิน' ] 1900520

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: myj514 ที่ 02-08-2018 11:08:50

หัวข้อ: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 17 :: 'วิตามิน' ] 1900520
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 02-08-2018 11:08:50
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

* * * * * * * * * *

Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก

สารบัญ

คำโปรย  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3869069#msg3869069)

  :: INTRO::  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3877282#msg3877282)

:: Chapter 1 :: 'แรกพบ'
 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3877288#msg3877288)

:: Chapter 2 :: 'บังเอิญ'
  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3877922#msg3877922)

:: Chapter 3 :: 'สังสรรค์'
  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3879774#msg3879774)

:: Chapter 4 :: 'ละลาย'
  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3881017#msg3881017)

:: Chapter 5 :: 'ฝากรัก'
  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3883870#msg3883870)

:: Chapter 6 :: 'เป็นใจ'
  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3886838#msg3886838)

:: Chapter 7 :: 'รับน้อง'
  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3888684#msg3888684)

:: Chapter 8 :: 'จูบกัน'
  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3894466#msg3894466)

:: Chapter 9 :: 'ห่วงใย'
  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3909041#msg3909041)

:: Chapter 10 :: 'สานสัมพันธ์ '  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3926626#msg3926626)

:: Chapter 11 :: 'ปิดบัง'  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3948807#msg3948807)

:: Chapter 12 :: 'เมินเฉย'  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3961699#msg3961699)

:: Chapter 13 :: 'ชัดเจน'  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3963133#msg3963133)

:: Chapter 14 :: 'เริ่มต้น'  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3964008#msg3964008)

:: Chapter 15 :: 'ใส่ใจ'  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3967198#msg3967198)

:: Chapter 16 :: 'เดท'  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3969250#msg3969250)

:: Chapter 17 :: 'วิตามิน'  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3975585#msg3975585)

By. PuddingJelly & MY J

Twiiter Hastag : #หัวใจอุ่นไอรัก
 

(https://emojipedia-us.s3.amazonaws.com/thumbs/160/google/55/soft-ice-cream_1f366.png)
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ☁ ☼ ☽ [คำโปรย 22/08/18]
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 02-08-2018 11:48:03
*คำโปรย*

" ทำไมใครๆ ก็พากันโอ๋น้องไปหมด เพียงเพราะความน่ารักของ 'ไอติม' หรือยังไงกัน ถึงผมจะหัวร้อนง่ายจนโดนเพื่อนไล่ให้ไปเปลี่ยนชื่อจาก 'นายไออุ่น' ให้เป็นนายไอร้อนก็เถอะ แต่หลายๆ เรื่องมันก็น่าโมโหจริงๆ นี่! "



* * * * * * * * * *



พูดคุย ติ ชม หรือแนะนำได้ค่ะ ยินดีรับฟังทุกความเห็น  และสามารถพูดคุยผ่านhastag #หัวใจอุ่นไอรัก ได้ในTwiiter เลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ

MY J
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ☁ ☼ ☽ [Intro] 02-08-18
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 07-08-2018 15:21:10
น่าสนจัยย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 22-08-2018 16:07:01
:: INTRO::

               ความสงบสุขของชีวิตผมก็หายไปพร้อมๆ กับการเปิดเทอม แน่นอนว่าช่วงแรกของการเปิดเทอมชีวิตมันจะยุ่งเหยิงไปหมด ทั้งเรื่องเรียน ไหนจะกิจกรรมอีกมากมายมหาศาล และความดวงซวยก็ตามมาติดๆ เมื่อผมได้รับขอความขอร้องให้ผมในฐานะพี่ปี 3 ช่วยไปเป็นพี่ว้ากให้ แต่จริงๆ แล้ว จะเรียกพี่ว้ากก็คงไม่ถูก เพราะคณะผมไม่เน้นตะคอก หรือหยาบคายใส่รุ่นน้อง แต่เราจะใช้วิธีวางมาดให้นิ่ง เย็นชา ใช้คำพูดแสนสุภาพแต่กดดันสุดๆ จะบ้าตาย พวกปี 2 มันคิดได้ไงวะเนี่ย จะให้ผมมาคีพลุคเน้นใช้สายตาและเล่นสงครามประสาทเพื่อกดดันรุ่นน้องเนี่ย ให้ไปเป็นพี่เนียนยังง่ายกว่าอีก
 
               ติ๊ง
 
               ติ๊ง
 
               ติ๊ง
 
               ประสาทจะกินครับ จะลากผมเข้ากรุ๊ปอะไรนักหนาวะ ถ้าไม่จำเป็นผมอยากจะลบๆ ไลน์ทิ้งไปด้วยซ้ำ แล้วดูดิ แจ้งเตือนมาไม่หยุดตั้งแต่ช่วงก่อนเปิดเทอมแล้ว แถมผมยังเป็นพวกที่ไม่ชอบให้ตัวเลขที่อยู่ในวงสีแดงๆ มันขึ้นค้างบนหน้าจอด้วย เห็นแล้วมันขัดหูขัดตา บางกลุ่มก็คุยกันไม่ได้มีสาระอะไรเลย ผมก็เลยแค่เข้าไปกดเปิดเพื่อให้แจ้งเตือนมันหายไป ใครจะไปเสียเวลาไล่ย้อนอ่านกัน เอาเวลาไปนอนยังดีเสียกว่า โดยเฉพาะไอ้กลุ่ม จับฉ่าย เนี่ย
 
               It’s Michi :: น้องปี 2 มาบรีฟละใช่ป่ะ

               J.U.S.T. :: เออ น้องมันคิดไงวะให้ไอ้วอร์มมาเป็นพี่ว้าก น้องมันไม่ได้มาขอเค้กหรอ

               คะ-หนม-เค้ก :: จริงๆ เราอยากไปเป็นพี่เนียน แต่น้องบอกว่าคนรู้จักเราเยอะ ไม่น่าจะรอด

               J.U.S.T. :: ไอ้วอร์ม กูรู้ มึงอย่าเพิ่งกดออก ย้อนอ่านด้วย เรื่องนี้มีมีสาระและเกี่ยวกับมึงเต็มๆ
 
               นายไออุ่น :: กูรู้เรื่องแล้ว...
 
               It’s Michi :: นี่ก็ไม่น่าจะรอด
 
               นายไออุ่น :: มิชิ มึงเป็นแทนกูหน่อยดิ ไอ้จัสก็ได้ พวกมึงก็รู้ กูออกจะสดใสร่าเริงงงงงงง
 
               J.U.S.T. :: เป็นแทนเชี่ยไร ก็โดนกันหมดเนี่ย 3 ตัว
 
               นายไออุ่น :: อ่าว... หรอวะ เค้กจ๋า เค้กเป็นแทนวอร์มได้ป่ะ
 
               คะ-หนม-เค้ก :: เรื่องไรอ่า... ไม่เอาหรอก เสียภาพพจน์หมด 5555555+
 
               นายไออุ่น :: ไว้ค่อยว่ากัน กูไปนอนก่อนล่ะ วันนี้อุตส่าห์ไม่มีเรียน
 
               It’s Michi :: เย็นนี้เจอกันห้องชุมนุมละกัน
 
               บทสนทนาหลังจากนั้นคืออะไรผมก็ไม่ได้สนใจแล้วครับ อีกลุ่มจับฉ่ายที่ว่าเนี่ย มันคือกลุ่มของผมกับเพื่อนสนิทครับ หัวข้อในบทสนทนาก็ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ เรื่องเรียน เรื่องเที่ยว เรื่องกินดื่ม ทุกเรื่องนั่นแหละครับ แต่ส่วนมากก็หาสาระไม่ค่อยได้ ทั้งๆ ที่ผมเพิ่งจะเปลี่ยนเครื่องใหม่และกลับไปใช้เบอร์โทรศัพท์เก่ามสมัยมัธยมต้น คิดว่าเครื่องจะโล่งและแชทต่างๆ จะสงบไปพักใหญ่ แต่มันกลับตรงข้ามกัน แถมยังมีใครก็ไม่รู้ที่ผมไม่รู้จักด้วยซ้ำ แอดผมมาจากช่องทางต่างๆ อีก แต่ก็ยังดีที่แค่แอดมาไม่ได้ทักมาคุย หรือส่งข้อความอะไรมากวนใจผม
 
                    ติ๊ง
 
                (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)เพิ่มคุณเป็นเพื่อน
 
               ใครอีกวะครับ ชื่อก็เป็นอีโมตีคอนตัวเดียว แถมรูปดิสยังมาเป็นรูปแมวอีกผมจะไปตรัสรู้ได้ยังไง ถึงผมจะใช้ดิสเป็นรูป เจ้าเบนโตะเหมือนกันก็เถอะ หมายถึงหมาที่ผมเลี้ยงน่ะครับ ความจริงแล้วมันเป็นหมาที่ผมเจอถูกทิ้งอยู่ข้างถนนแถวๆ โรงเรียน ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะพามันไปอาบน้ำ ตัดแต่งขนแล้วจะประกาศหาเจ้าของ หาบ้านใหม่ให้มัน แต่ก็ไม่มีใครติดต่อมาเลย ไปๆ มาๆ ก็ผูกพันกับมันไปเสียแล้ว สุดท้ายก็เลยเลี้ยงไว้เองแบบนี้แหละครับ
 
               เจ้าหมาน้อยที่ผมกำลังนึกถึงก็ กระโดดขึ้นเตียงมานอนอยู่ข้างกายผมอย่างรู้งาน ทำให้ผมเลิกสนใจโทรศัพท์มือถือ และหันไปนอนเล่นกับมันแทน การออกมาอยู่หอคนเดียวก็ได้เจ้าเบนโตะนี่แหละครับที่มาคลายเหงาให้ ความจริงผมก็ไม่ได้ขี้เหงาอะไรหรอกครับ วันๆ นึง ออกไปเรียน ได้คุยกับเพื่อนมันก็โอเคแล้ว แต่ตั้งแต่ที่มีเจ้าหมาน้อยตัวนี้เข้ามาในชีวิต เกิดวันนึงมันหายไปชีวิตผมก็คงเหมือนบางส่วนขาดหายไป
 
               ผมเกาพุงให้เจ้าหมาน้อยจนมันเคลิ้มและหลับไป ผมเองก็เริ่มตาปรือแล้วเหมือนกัน ผมจึงเอื้อมไปกดให้โทรศัพท์มือถือเข้าสู่โหมดสำหรับการนอนหลับเพื่อที่จะได้ไม่มีใครมารบกวนเวลานอนอันแสนมีค่าของผมได้ แล้วโยนมันไปไว้ที่โต๊ะหัวเตียงโดยไม่ได้สนใจแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทอันใหม่ล่าสุดเลย
 
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)  : นี่ใช่ไลน์ของพี่วอร์มป่ะคับ...

               .

               .

               .

               To be Continue...
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก [UP ตอนที่ 1 : แรกพบ 22-08-18]
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 22-08-2018 16:28:44
:: Chapter 1 :: 'แรกพบ'


               Rrrrrrrrrr
 
               โทรศัพท์มือถือที่สั่นเป็นเจ้าเข้า แรงสั่นของมันกระทบกับพื้นผิวของโต๊ะไม้หัวเตียงทำให้เกิดเสียงดังน่ารำคาญจนผมต้องควานหามันและกดรับในที่สุด ผมไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนโทรมา
 
               (มึงอยู่ไหน)
               “อยู่ห้อง...”
               (อย่าบอกนะว่ามึงยังไม่ตื่นอ่ะ)
               “ตื่นแล้ว...”
               (ไอ้วอร์มนี่มันเที่ยงแล้วนะมึง ยังไม่ตื่นอีก)
               “ก็กูบอกว่าตื่นแล้วไง... เนี่ย ตื่นตอนมึงโทรมาอ่ะ มีไรวะ”
               (วันนี้จับน้องสาย กูว่าจะไปดูหน่อย สายข่าวว่าปีนี้ได้น้องน่ารักๆ มาเยอะเลย มึงไปกะ...)
 
               ผมไม่รอให้ไอ้จัสพูดจบก็ตัดสายทิ้งทันที ประมาณ 99.99% ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่มาจากไอ้จัสมักจะหาสาระไม่ได้ อย่างเช่นที่มันโทรมาเมื่อกี้เป็นต้น ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องสายรหัสเท่าไหร่หรอกครับ เพราะผมก็อยู่รอดมาได้ด้วยเพื่อนและตัวเองจนถึงทุกวันนี้ สาเหตุก็เพราะโดนพี่สายเทซิ่วไปเรียนที่อื่น แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร ไม่ได้มีเลคเชอร์เทพให้ส่งต่อให้น้องสายอย่างคนอื่นเขาหรอกครับ ให้น้องมันไปหาซื้อเอาตามสะดวกยังจะดีกว่ามานั่งแกะลายมือผม
 
               ส่วนไอ้จัส มันคือเพื่อนที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มผม สูงจนน่ารำคาญเพราะเวลาเดินด้วยกันมันชอบเอาแขนมาพาดหัวผมเล่น อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่ได้เตี้ยหรอก ก็ตามมาตราฐานผู้ชายปกตินั่นแหละครับ แต่ไอ้คุณจัสมันดันสูงทะลุ 185 ไปเอง ด้วยความหุ่นดีและหน้าตาดีของมันถึงจะไร้สาระไปบ้าง แต่มันก็เป็นถึงทูตกิจกรรมของมหาลัย มีสาวๆ มากหน้าหลายตา ทั้งในมหาลัยเดียวกันและต่างมหาลัยเข้าหามันมากมาย ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมมันถึงต้องกระดี๊กระด๊ากับแค่การจับสายรหัสด้วยก็ไม่รู้
 
               ติ๊ง
 
                (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : ไม่ต้องตอบก็ได้คับ แต่พี่อ่านผมก็ดีใจแล้ว
 
                  อ่านแล้ว
 
              (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : อย่าบล็อคผมเลยนะคับ ผมแค่อยากบอก อยากเล่าหลายๆ อย่างให้พี่ฟัง เพราะผมคงไม่มีโอกาสพูดมันต่อหน้าพี่...
 
                   อ่านแล้ว


               มือผมเผลอไปโดนหน้าจอต้องที่มีแจ้งเตือนของใครบางคนปรากฏขึ้นมาพอดี นั่นสิ ใครวะครับ แถมดักทางผมอีก ส่วนมากถ้าผมโดนก่อกวนแบบนี้ผมก็บล็อคหมดอ่ะ เบอร์แปลกโทรมาผมก็ไม่รับ ในเฟสถ้าไม่มาบอกหรือมาทวงให้รับแอดผมก็ไม่รับเหมือนกัน
 
              อืม... ยอมรับว่าติส
 
               แต่กับดิสรูปแมวลายเสือหูตกตัวนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่กดบล็อค รอดูไปก่อนแล้วกัน ถ้ามายุ่งวุ่นวาย หรือตามตื๊ออะไรผมมากๆ ก็อย่าหวังว่าจะรอด ลึกๆ ผมก็สงสัยนะว่าใครเล่นตลก แอดมาอำผมรึเปล่า อยากพิมพ์ถามกลับไปเหมือนกัน แต่ในเมื่อมันบอกว่าให้อ่านเฉยๆ ก็พอ ผมก็จะสนองให้ ผมก็อีโก้สูงพอตัว เรื่องอะไรจะไปตอบล่ะครับ ผมมัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อยจนเจ้าเบนโตะที่นอนขดอยู่ใกล้ๆ ครางหงิงๆ ผมเลยลุกไปเทอาหารเม็ดกับนมให้มัน ก่อนจะไปอาบน้ำแต่งตัว ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขาเข้าห้องน้ำ โทรศัพท์ผมก็สั่นอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง
 
               “เชี่ยจัสแม่ง จะโทรมาทำไรนักหนาวะ” แล้วผมก็ต้องหุบปากที่กำลังกร่นด่าเพื่อนตัวสูงในทันทีเหมือเห็นว่าปลายสายที่โทรมานั้นเป็นเพื่อนหน้าหวานผมแดงต่างหาก
               (วอร์ม วันนี้ปี 2 สายวอร์มน้องมาไม่ได้อ่ะ วอร์มไปจับแทนหน่อยสิ ไม่งั้นน้องสายวอร์มเคว้งแย่เลย สงสารน้องอ่ะ)
               “เอ้า! มันหายหัวไปไหนของมัน ได้ๆ เดี๋ยววอร์มเข้าไปนะเค้ก นี่เค้กอยู่กับไอ้จัสอ่อ?”
               (อยู่กันหมดเนี่ยแหละ มิชิก็อยู่)
               “อ่อๆ โอเค แล้วเจอกันนะเค้ก”
 
               ไม่ต้องแปลกใจครับว่าทำไมผมถึงพูดกับเค้กต่างจากไอ้จัส ถึงเค้กจะเป็นหนึ่งในเพื่อนผู้ชายของผมเหมือนกันก็เถอะ ใช่ครับ ผู้ชายที่หน้าหวานและสวยกว่าผู้หญิงบางคนด้วยซ้ำ เค้กแทบไม่พูดคำหยาบเลย นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ผมพูดกับอีกฝ่ายด้วยความสุภาพขนาดนี้ ถึงเค้กจะได้ยินผมพูดหยาบจนชินแล้วก็ตาม ผมก็ยังเกรงใจและไม่กล้าพูดหยาบกับเค้กอยู่ดี
 
               และแล้วผมก็มาถึงศาลากลางสวนซึ่งเป็นสถานที่จัดงานจับสายรหัสทันก่อนที่ไอ้จัสมันจะโทรจิกผมอีกรอบ ที่ศาลามีเพียงพวกผมกับปี 2 อีกแค่ไม่กี่คนที่กำลังตกแต่งศาลาและเพิ่มความขลังให้สถานที่อยู่ ที่เหลือคงกำลังคุมน้องอยู่ที่หอประชุมใหญ่ แน่นอนว่ากิจกรรมพวกนี้ผมก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ทั้งตอนเป็นน้องใหม่ ทั้งตอนเป็นปีจัดงาน ปีนี้นึกว่าจะหลุดพ้นไม่ต้องมาวุ่นวายแล้วแท้ๆ ยังจะโดนลากมากอีก
 
               “สวัสดีค่าพี่วอร์ม เมื่อกี้หนูบรีฟพวกพี่ๆ เขาไปแล้ว ไม่มีไรมาก น้องๆ จะได้คำใบ้ เพื่อตามหาพี่สายรหัสนะคะ พี่วอร์มก็อยู่นิ่งๆ เฉยๆ เลย ให้น้องตามหา แต่คำใบ้มันอาจจะไม่ตรงเท่าไหร่ แล้วพอน้องหาเจอก็ฝากดูแล ให้คำแนะนำเบื้องต้นด้วยนะคะ แต่ว่าไม่ต้องใจดีมาก เพราะพี่ต้องเป็นพี่ว้าก...”
 
               หญิงสาวตัวเล็กอธิบายทุกอย่างให้ผมฟังก่อนจะขอตัวไปจัดเตรียมงานต่อ ผมงงกับพวกมันจริงๆ เลย ปี 2 ทำไมทำอะไรได้ย้อนแย้งขนาดนี้วะ ไม่ต้องให้ผมเป็นพี่ว้ากก็หมดเรื่อง นี่ให้ผมมาช่วยดูแล แนะนำน้องมันแทนปี 2 แต่ก็ดันต้องคีพลุค ห้ามใจดี ห้ามหยอกล้อ เพราะเดี๋ยวตอนไปว้าก น้องมันจะไม่เชื่อถือ ผมจะเป็นไบโพล่าตายก่อนไหมวะครับ
 
               “ไม่เอา ไม่แองกรี้สิครับ คุณวอร์ม คิ้วเค้วไปหมดละเนี่ย น้องกลัวหัวหดพอดี”
               “เดี๋ยวเหอะมึง แซวคิ้วกูตั้งแต่ปี1 ยังไม่เลิกนะมิชิ!”
               “ไม่เกรี้ยวกราดสิครับ คุณวอร์ม เพื่อนหยอกนิดล้อหน่อยเอง”
 
               เพื่อนตัวสูงทั้งสองพากันหัวเราะชอบใจที่รุมกันแกล้งผมสำเร็จ คิ้วผมมันค่อนข้างชี้ขึ้นน่ะครับ ถ้าผมแหวกหน้าม้า หรือเสยผมที่ปรกหน้าอยู่มันก็จะดูเหวี่ยงและโมโหตลอดเวลา ทั้งที่จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้โกรธอะไร มันเป็นธรรมชาติของมันเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ ขนาดเค้กก็ยังร่วมขำไปกับพวกมันด้วยเลยอ่ะ น่าน้อยใจชะมัด
 
               “พอแล้วน่า อย่าไปแกล้งวอร์มสิ เดี๋ยววอร์มงอนหนีกลับก่อนจะทำไง”
               “ก็วอร์มมันน่าแกล้งนี่เค้ก”
 
               ท่าทางออดอ้อนของมิชิและรอยยิ้มกว้างของเค้ก ทำให้ผมกับไอ้จัสหันไปมองสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย บรรยากาศหวานๆ ชวนขนลุกระหว่างสองคนนี้ มันไม่ชอบมาพากล แต่เรื่องแบบนี้มันปิดกันไม่ได้นานหรอกครับ เอาไว้ให้เจ้าตัวพร้อมเดี๋ยวก็คงบอกเองแหละครับ
 
               “มึงว่าเด็กรุ่นนี้จะหน้าตาดีไหม”
               “ตามสถิติโต๊ะปีเว้นปี... ก็ต้องดีดิ”
               “น่อว ท่านวอร์มถึงกับคอนเฟิร์ม”
               “ก็กูพูดเรื่องจริง รุ่นเราหน้าตาดีตั้งหลายคนเป็นเดือน เป็นทูต เป็นลีด เป็นไรเยอะแยะไปหมด ละมึงดูปี2 กริบชิบหาย...”
 
               ทุกคนอย่าเพิ่งหมั่นไส้ผมเลยครับ ถึงจะยอมรับในความมั่นหน้าของตัวเองว่ามีมากโขก็ตาม แต่มันเป็นเรื่องจริงนะครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร คณะผม โต๊ะผมมันถึงเป็นแบบนั้น ไม่ใช่ว่าพี่ปี4 กับน้องปี2 จะหน้าตาขี้เหร่หรืออะไรนะครับ แต่รุ่นผมมันดันมีคนหน้าตาดีเฟ้อไปหน่อยเท่านั้นเอง เอาง่ายๆ แค่ที่กองกันอยู่ตรงนี้ก็เป็นทูตกิจกรรมของมหาลัยไปหนึ่ง เค้กก็เป็นเดือนโต๊ะที่พ่วงตำแหน่งรองเดือนคณะ ส่วนไอ้มิชิกับผมก็เป็นสมาชิกชุมนุมโฟลค์ซองที่มีรุ่นน้องเอาขนมและของขวัญมาให้เยอะพอตัวเลย ยิ่งตั้งแต่ที่มิชิมันไปย้อมผมทองมาใหม่นี่แทบจะมีคนขอถ่ายรูปด้วยตลอดทางเลย
 
               ยังไม่ทันที่พวกผมจะถกเถียงประเด็นความหน้าน่าตาดีจบ กลุ่มรุ่นน้องประมาณยี่สิบคนที่ถูกผูกผ้าปิดตาและเดินเกาะไหล่ต่อกันมา ก็ถูกจูงให้เดินเข้ามาในศาลา
 
               “เก๊กขรึมเร็วมึง เก๊กขรึม” ไอ้จัสกระซิบบอกพร้อมโบกไม้โบกมือส่งสัญญาณให้ผมกับมิชิ ทั้งๆ ที่ก็มีแต่มันนั่นแหละที่ยังไม่นิ่ง ใครจะไปคิดครับ ว่าไอ้บ้าไอ้บอที่ชอบเต้นแรงเต้นกาอย่างมันจะไปเป็นทูตได้
 
               ผมกวาดสายตามมองป้ายชื่อที่ห้อยคอรุ่นน้องอยู่ จะว่าไปปีนี้ก็ไม่ค่อยมีชื่อแปลกเท่าไหร่ ผมยังจำได้ดี ปีก่อนนี่ชื่อน้องบางคนผมนึกว่ามันเติมกันเองด้วยซ้ำ ใครจะไปคิดว่าที่บ้านตั้งให้และเรียกแบบนั้นจริงๆ สภาพน้องแต่ละคนคือโดนจับมันจุก หัวยุ่งรุงรังไปหมด บางคนก็มีลิปสติกที่ถูกทาให้เกินปากออกมา บางคนก็ถูกป้ายดินสอพองไปกลางหน้าผากอยากกับเจิมยันต์ ถ้าเปิดผ้าปิดตาออกผมว่าต้องเจอความเละเทะที่อยู่บนใบหน้าแน่นอน
 
               “น้องๆ คะ แกะผ้าผูกตาออกได้ค่ะ เมื่อกี้พี่อธิบายขั้นตอนและวิธีการให้ฟังแล้วเนอะ ก็ออกมาทีละคนตามความสมัครใจได้เลยนะ” น้องปี2 คนเดิมกับที่มาบรีฟพวกผม เอ่ยขึ้น มันจะทำคนเดียวทุกอย่างเลยหรอวะ เท่าที่ผมดูๆ ไอ้รุ่นนี้มันไม่ค่อยสนิทกันในโต๊ะเท่าไหร่ คนทำงานก็มีอยู่ไม่กี่คน หวังว่าน้องใหม่คงจะดีกว่านี้ ไม่งั้นคงได้สายขาดหรือโต๊ะแตกขึ้นมาสักวัน
 
               พวกผมไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนักเพราะพวกเรานั่งกันอยู่รอบนอก สำหรับผมแล้วมันโคตรน่าเบื่อเลย นี่ถ้าไอ้คิวไม่ได้ป่วยหนักจนต้องแอดมิดที่โรงพยาบาลนะ ผมก์ไม่มาหรอก ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไอ้จัสมันจะอยากมาดูน้องอะไรนักหนา เดี๋ยวอีกไม่กี่วันปี2 มันก็ต้องจัดงานเลี้ยงมื้อเย็นน้องอยู่ดี ซึ่งส่วนมากพวกรุ่นพี่ปีที่เรียนอยู่ก็จะไปร่วมหมดอยู่แล้ว ค่อยเจอตอนนั้นก็ยังไม่สาย
 
               ความจริงแล้วก็คือว่าปี2 คิดคอนเซปได้โอเคนะ ปลุกความบ้าบอในตัวน้องดี ผมนั่งดูอยู่เฉยๆ ยังขำเลย น้องแต่ละคนก็ซื่อเหลือเกินบอกอะไรให้ทำอะไรก็เชื่อหมดเหมือนมานั่งดูตลกคาเฟ่ ปีนี้มันจัดให้น้องกราบไหว้บูชาเทพประจำโต๊ะด้วยธูปหนึ่งดอก ก่อนจะให้งมจับคำใบ้ที่ระบุตัวตนของพี่สายในกระถางที่มีข้าวเปลือกกับทรายผสมกันอยู่ แล้วอำน้องว่าเป็นเถ้ากระดูก น้องแม่งก็เชื่ออีก น้องผู้หญิงบางคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อจะไม่ยอมล้วงโถลูกเดียว จะกลัวอะไรขนาดนั้นวะครับ
 
               “เอ้า! สามคนสุดท้ายออกมาพร้อมกันเลยค่ะ เพราะพวกน้องช้า แถมยังไม่มีความกล้าที่จะสเนอตัวออกมาคนแรก เจ้าแม่โต๊ะกริ้วแน่นอน ต้องรำถวายหนึ่งชุดก่อนนะ ขอจังหวะกลองยาวให้น้องด้วย”
 
               เด็กผู้ชายสามคนที่ท่าทางเรียบร้อยดูเหนียมอายมองหน้ากันเลิกลั่ก จังหว่ะกลองยาวดังขึ้นแล้วแต่เด็กสามคนนี้ก็ยังยืนนิ่ง ท่าท่างจะเจริญรอยตามปี2 แน่ๆ ทำไมเด็กกิจกรรม เด็กกล้าแสดงออกมันถึงหายากจังครับ นี่แค่รับน้องคณะแล้วแบ่งเข้าโต๊ะ ถ้าไปรับจริงของโต๊ะไม่แกร่วแย่หรอวะ ผมล่ะสงสารปีจัดล่วงหน้าเลย
 
               “อ่ะ วัน! อ่ะ ทู! อ่ะ วัน ทู ทรี โฟร์!!!” แล้วจู่ๆ น้องคนที่แขวนป้ายชื่อว่าจูเนียร์ก็ส่งเสียงออกมา หันมองหน้าเพื่อนทั้งสองคน แล้วจากเด็กเรียบร้อยหน้านิ่งสามคนเมื่อกี้ก็กลายเป็นเด็กบ้าทันที ไม่ใช่แค่เต้นเปล่าแต่สีหน้าท่าทางมันออกหมดเลยครับ ส่งเสียงร้อง ยิ้ม หัวเราะเหมือนกันบ้า จู่ๆ ก็องค์ลงแบบนี้ก็ได้หรอวะ
 
               “ฮ่าๆๆ เกรียนสัด”
               “เออ กูเงิบแดกอยู่ มึงว่าน้องมันเป็นไบโพล่าเปล่าวะวอร์ม”
               “จัสดูน้องไวท์ที่หน้าหวานๆ นั่นสิ เค้กก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้เลยอ่ะ ตลกดีเนอะ”
               “น้องจูเนียร์นี่ทายาทกองสันชัวร์ กูมั่นใจ”
 
               ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับทุกความคิดเห็นของเพื่อนๆ แต่น้องอีกคนที่มักจุกนั่นชื่ออะไรผมยังไม่รู้เลย เพราะป้ายมันพลิกหันเข้าหาตัวน้อง เต้นแรงชิบหาย เสื้อเปิดหมดละ แต่ยิ้มทีโลกโคตรสดใสเลยครับ เห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้
 
               “กูชอบว่ะ ไอ้พวกบ้านี่ ได้มาเป็นน้องสายคงครื้นเครง”
               “ได้แน่ๆ ในสามตัวนี้ไม่หนีไปไหนหรอกมึง”
               “สายพวกเรายังไม่ออกสักคนเลยนี่นา”
 
               “งี้กูกับไอ้จัสต้องได้คนเดียวกันถูกป่ะ” มิชิหันไปถามไอ้จัสที่นั่งปรบมืออย่างชอบใจอยู่ข้างๆ เสา ไหนใครบอกให้เก๊กขรึมวะ มีใครให้ไม่เนียนได้มากกว่านี้ไหมครับ ไม่เนียนที่สุดในจักรวาลก็มันเนี่ยแหละ และมันแน่นอนอยู่แล้วที่พวกมันสองคนจะได้น้องสายคนเดียวกันเพราะตั้งแต่ปีที่แล้ว น้องปี2 ก็น้อยกว่ารุ่นพวกผม แล้วปีนี้จำนวนน้องใหม่ก็เท่าเดิม พอดีกับปี2 เป๊ะ รุ่นผมพีคสุดแล้วมั้ง มาซะเยอะเกินจำนวนพี่เลย พี่ปี4 คนเดียวก็เลยต้องเทคพวกมันสองคนรวด
 
               จูเนียร์กับไวท์ใช้เวลาเพียงไม่นานก็หาปีสายรหัสของตัวเองเจอ ส่วนเจ้าน้องโลกสดใสนั่นยังยืนหน้ามึนพร้อมยู่ปากอยู่กลางวง ผมล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าน้องมันได้คำใบว่าอะไร ถึงแม้พวกผมจะรู้อยู่แล้วว่าใครได้เป็นสายใครก็เถอะ ดูจากตอนที่น้องเดินไปหาปี2 ก็รู้แล้วใช่ไหมล่ะครับ เพราะฉะนั้นเด็กหน้ามึนนั่นก็ต้องเป็นสายผมนั่นแหละ
 
               “เอ้า! เร็วๆ หน่อยจ้า เพื่อนๆ เขาหาเจอกันหมดแล้ว”
               “ไม่เห็นมีใครที่น่าจะตรงคำใบ้เลยนี่ครับ...”
               “อ้อ โทษทีพี่ลืมบอกเรา ว่าของเราจะเป็นพี่ปี3 มาแทนนะจ๊ะ พี่ๆ เขานั่งกันอยู่ตรงมุมเสาโน่น”
               “อ่า... ขอบคุณครับ” น้องหันไปฉีกยิ้มจนตาปิดก่อนจะเดินมาทางพวกผม
 
               “สวัสดีคร้าบพี่ๆ” เออ เว้ย อ่อนน้อมถ่อนตนดี แถมขยันยิ้มซะเหลือเกิน ผมชักจะสงสัยว่าพลลานุภาพรอยยิ้มของน้องจะสามารถทำให้ดอกไม้ที่กำลังเหี่ยวๆ กลับมาเบ่งบานสดใสได้ไหมนะ
 
               “ว่าไงครับ ไหนได้คำใบ้ว่าอะไรครับ น้อง...”
               “ไอครับ... ไอติม แหะๆ” น้องยิ้มแหยๆ ให้ไอ้มิชิ พลางรีบพลิกป้ายชื่อที่ห้อยคอตัวเองอยู่ให้หันกลับมาให้ถูกด้าน จากนั้นน้องก็หยิบกระดาษแผ่นเล็กในมือคลี่ออกมาอ่านอีกครั้ง
 
               “ตัวสูง คิ้วเข้ม มีนามเป็นกามเทพ... คำใบ้มันว่างี้อ่ะครับ อืม...” น้องเกาหัวแล้วทำหน้างงๆ ก็แน่ล่ะ เพราะพวกผมนั่งกันอยู่มีแค่ผมที่ยืน แล้วอีกอย่างพวกเราก็มีผมยาวมาปรกคิ้วกันหมด ป้ายชื่อก็ไม่มีเหมือนพวกปี2 แล้วที่สำคัญ คำใบ้ที่น้องได้มามันเป็นคำใบ้ระบุตัวตนของไอ้คิว หรือคิวปิดน้องเทคผมต่างหาก ทายให้ตายยังไงก็ไม่ถูก
 
               “ง่า... พี่สองคนช่วยเปิดคิ้วให้ผมดูหน่อยได้ไหมอ่ะครับ”
               “อ้าวเฮ้ย! แล้วน้องไม่คิดว่าจะเป็นพี่บ้างหรอ ไม่ไยกูเลยว่างั้น” ผมแกล้งหยอกน้องที่ไม่สนใจผมสักนิด คิดแล้วมันก็ช้ำใจเหลือเกิน ผมรู้ตัวครับว่าผมไม่ใช่คนสูง แต่แบบนี้มันก็เกินไปหน่อยป่ะวะ กูนี่แหละครับ พี่สายมึงอ่ะ

               “ง่า... ก็... พี่วอร์มตัวเล็กนี่ครับ...”
               “อ้าว นี่มึงรู้จักกับน้องเป็นการส่วนตัวหรอวะ เชี่ยวอร์ม ปิดเงียบเลยนะ”
               “สัดจัส! กูไม่รู้จักโว๊ย” ผมโวยวายทันที ก็ผมไม่รู้จักน้องจริงๆ นี่ครับ ตกใจเหมือนกันอ่ะ ที่อยู่ๆ น้องพูดชื่อผมออกมา โลกแม่งจะกลมเกินไปแล้ว นี่ยังหงุดหงิดเรื่องความสูงไม่หายเลยนะ พอมาเจอไอ้จัสนั่งยิ้มเผล่ใส่ยิ่งหงุดหงิด ถีบเพื่อนต่อหน้าน้องจะผิดไหมวะ
 
               “คือ... พี่วอร์มเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนอ่ะครับ...” นี่น้องจบจากโรงเรียนเดียวกับผมหรอวะ ทำไมไม่คุ้นหน้าเลย แต่ตอนผมอยู่ม.6 น้องก็เพิ่งม.4 ก็คงไม่แปลกอ่ะ เพราะพอผมติดสอบตรงที่นี่ผมก็ใช้วันลากระจุยเลย ทั้งลากิจ ลาป่วย เอาจนครบเต็มโควต้า จะไปนั่งเรียนให้เบื่อทำไมล่ะครับ ไปเที่ยวเล่น หาอะไรสนุกๆ ทำตามใจตัวเองดีกว่าตั้งเยอะ
 
               “จริงหรอน้องไอติม แบบนี้ก็ดีเลยสิ”
               “ทะ... ทำไมหรอครับ...”
               “ก็ไอ้วอร์มนี่แหละ พี่สายน้อง ส่วนคำใบ้เนี่ย มันเป็นการระบุตัวตนของปี2 อ่ะ แต่วันนี้คิวมันไม่สบายเลยมาไม่ได้อ่ะ”
               “ถึงไอ้วอร์มมันจะไม่ได้ตัวสูงแต่คิ้วมันก็แองกรี้ เอ้ย คิ้วเข้มเหมือนกันนะ ฮ่าๆๆๆ”
               
               “เชี่ยจัส! มึงอยากโดนกูถีบจริงๆ ใช่ไหม” เล่นไม่เลิก ล้ออยู่นั่นอ่ะเรื่องคิ้วผม แล้วไหนหมาที่ไหนมันจะคีพลุควะครับ แหม เอาซะเป็นกันเอง สนุกสนานร่างเริงกับน้องเชียวนะ
 
               “สวัสดีพี่วอร์มอีกทีนะครับ... ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคร้าบ”
 
               น่ารัก...
 
               ยอมรับครับว่ารอยยิ้มของน้องช่วยให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวของผมตอนนี้พอจะดีขึ้นมาบ้าง เด็กผู้ชายบ้าอะไรชื่อไอติม แถมยังยิ้มได้โลกสดใสขนาดนี้อีก ใครทำน้องมันร้องไห้คงต้องรู้สึกผิดไปจนตายแน่ๆ
 
               “พี่มิชินะครับ”
               “จัสครับ พวกพี่สองคนเป็นสายโคกันน่ะ สายน้องจูเนียร์ เพื่อนน้องไอติมใช่ป่ะ”
               “ใช่ครับๆ ผมกับจูเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ที่โรงเรียนแล้ว”
               “แบบนี้ก็รุ่นน้องไอ้วอร์มหมดเลยดิ” น้องพยักหน้ารับรัวๆ พร้อมกับยิ้มจรตาหยี๋ บางทีผมก็สงสัยว่าน้องมันจะหุบยิ้มตอนไหนวะ ยิ้มได้ยิ้มดีเหลือเกิน
 
               “ส่วนพี่ชื่อเค้กนะ ฝากไปกระซิบน้องไวท์หน่อยว่าพี่เป็นพี่สาย”
               “ได้เลยครับพี่เค้ก ถึงผมจะเพิ่งมารู้จักไวท์ที่นี่ แต่ผมว่าพวกเราก็เข้ากันได้ดีเลยล่ะครับ”
               “เห็นน้องๆ สามคนสนิทกันแบบนี้ก็ดีเลยอ่ะ เพราะพวกพี่ก็สนิทกัน เอาไว้เดี๋ยวเรานัดกันข้าว หรือไปเดินตลาดนัดด้วยกันเนอะ”
 
               ดูเหมือนทุกคนจะลืมไปแล้วมั้ง ว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ด้วยอ่ะ อะไรๆ ก็น้องไอติม เห่อน้องกันใหญ่ ประหนึ่งเป็น้องตัวเอง พี่สายอย่างผมยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ไหมล่ะ น้องแม่งก็ไม่เห็นจะสนใจผมเลย นี่ผมมาทำอะไรวะ เสียเวลาชะมัด
 
               “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กูกลับก่อนนะ”
               “วอร์มอย่าเพิ่งไปสิ แลกไลน์กับน้องก่อน อย่างน้องระหว่างที่คิวยังไม่หาย เผื่อมีอะไรน้องจะได้ปรึกษาได้ไง”
               “อือๆ เอาโทรศัพท์มาดิ” ผมพิมพ์ไอดีไลน์ของตัวเองให้น้องไปก่อนจะกดปุ่มเพิ่มเป็นเพื่อนแล้วส่งคืนกลับไปให้น้อง
 
               “ส่งสติ้กเกอร์หรืออะไรมาสักอย่างละกัน เดี๋ยวไม่รู้อีกว่าใคร ช่วงนี้คนแอดมั่วเยอะชิบหาย กูไปหาไรกินก่อนนะ หิว” ผมพูดกับคนตรงหน้า โดยประโยคหลังก็แค่ออกแนวบ่นมากกว่า จากนั้นผมก็เดินออกมาจากตรงนั้นทันที แต่ก็เห็นนะ ว่าพวกเพื่อนๆ คุยกับน้องต่ออีกนิดหน่อยก็ร่ำลากันแล้วเดินตามผมมา นึกว่าจะไม่มีใครตามมาแล้วเสียอีก แบบนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ไม่อย่างนั้นพวกมันโดนผมงอนแน่ๆ ลากให้ผมออกมาแท้ๆ แต่ดันมาทำเหมือนผมไม่มีตัวตน เหอะ!
 
               ติ๊ง
 
               i – Chananan :: พี่วอร์ม ผมไอติมนะครับ *สติ้กเกอร์แมวโค้งคำนับ*
              นายไออุ่น :: อือ
 
               ผมตอบน้องไปแค่นั้นเพราะไม่รู้จะพิมพ์อะไร ผ่านมาตั้งหลายชั่วโมงกว่าน้องจะทักผม ให้ไปตั้งแต่บ่ายนี่จะสี่ทุ่มอยู่แล้ว ผิดกับไอ้คิวเลย รัวมาหาผมอยู่นั่นแหละว่าได้น้องเป็นใคร น้องน่ารักไหม แถมยังมาขอไลน์น้องจากผมอีก ถ้าจะตื่นเต้นขนาดนี้ไม่ออกจากโรงพยาบาลมาหาน้องเองเลยล่ะ ระหว่างที่ผมนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่นั้นก็มีข้อความอีกหนึ่งข้อความปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
 



                (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : เพิ่งรู้ว่าการที่ได้อยู่ใกล้คนที่ชอบมันรู้สึกดีแค่ไหนก็วันนี้แหละครับ มันทำตัวไม่ถูกเหมือนทุกสิ่งรอบกายหยุดนิ่งไปหมด เสียงหัวใจมันเต้นดังจนแอบกลัวไม่ได้ว่าเขาจะได้ยินมันไหมนะ
 

               อ่านแล้ว


 
                (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg): วันนี้พี่วอร์มคงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบๆ นอนพักนะครับ ฝันดีครับ


 
               อ่านแล้ว


 
               ผมเปิดอ่านข้อความแล้วก็งงหนักกว่าเดิม ไอ้บ้านี่มันจะมาเล่าให้ผมฟังทำไมวะ จะรู้สึกอะไร แบบไหนก็เรื่องของคุณเถอะครับ ผมไม่ได้อยากรู้สักหน่อย พูดอย่างกับว่าผมเป็นคนที่มันชอบงั้นแหละ ตลก!
             
               .
               
               .
               
               .
               
               To be Continue...

หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก [:: Chapter 1 :: 'แรกพบ' UP 22-08-18]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 22-08-2018 19:12:11
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก [:: Chapter 2 :: 'บังเอิญ' UP 24-08-18]
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 24-08-2018 10:38:49
               
             
:: Chapter 2 :: 'บังเอิญ'



**พี่วอร์ม**



               และแล้วการเรียนวันแรกของชีวิตปี3 ของผมก็เริ่มขึ้น วันแรกก็สายเลย ซวยฉิบชาย เอารถเข้าไปตอนนี้ตึกคณะจะมีที่จอดรึเปล่าก็ไม่รู้ ไอ้เพื่อนเวรทั้งหลังก็ไม่มีใครโทรปลุกผมสักคน เจริญจริงๆ แต่อย่างน้อยในความซวยก็ยังพอมีความโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง เพราะวิชาที่เรียนวันนี้เป็นเซคใหญ่และไม่มีการเช็คชื่อ ไมอย่างนั้นผมคงงานเข้าเต็มๆ

 

               “ฮัลโหล เชี่ยจัส ทำไมมึงไม่โทรปลุกกูวะ สายเลยเนี่ย”

               (รับสายปุ๊บก็ด่ากูเลยนะ อุตส่าห์จะโทรมาบอกว่าจารย์ยังไม่เข้า)

               “อ้าว หรอวะ เออๆ กูกับลังไป มึงได้จองที่ไว้ให้กูเปล่า”

               (ที่ว่างเยอะแยะมึง กูว่าคงมีคนสายกว่ามึงเพียบอะ ฝากแวะซื้อกาแฟให้มิชิหน่อยดิ)

               “สัด! กูสายแล้วเนี่ย พวกมึงยังมีหน้ามาใช้กูไปซื้อกาแฟอีก เลิกแล้วค่อยแดกเหอะ แค่นี้นะ เดี๋ยวเจอกัน”

 

               ผมวางสายก่อนจะตั้งใจมองหาช่องว่างในลานจอดรถ จากหอผมเข้ามาในตัวหมาลัยใช้เวลาไม่นานอะไรหรอกครับ แค่ไปวนกลับรถแป๊บเดียวก็ถึง แต่การหาที่จอดรถในเช้าวันจันทร์สำหรับคนที่เรียนสิบโมงนี่มันอยากกว่างมเข็มในมหาสมุดอีก ก็เพราะว่าพวกที่เขาเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้าได้จับจองพื้นที่ไว้หมดแล้วยังไงล่ะครับ เสียเวลาโคตร ขอสักช่องให้ผมเถอะ

 

               หลังจากที่สวดภาวนาในใจไปประมาณสิบแปดล้านตลบ ผมก็ได้ที่จอดรถที่ลานตรงข้ามหอสมุด ถึงมันจะเดินไกลหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีที่จอดอะครับ ผมรีบวิ่งไปที่ตึกเรียนกด้วยความไวแสงและเปิดประตูเข้าไปในห้องเรียนจากด้านหลังห้อง และมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาจารย์เดินเข้ามาทางประตูด้านหน้าพอดี เฉียดฉิวชิหาย ผมกวาดสายตามองหาว่าไอ้คุณเพื่อนทั้งหลายมันนั่งอยู่ตรงไหนกัน คงตอบขอบคุณไอ้มิชิกับเค้ก เพราะให้ห้องนั้นมีหัวทองกับหัวแดงอยู่แค่สองคน จึงทำให้ผมสามารถหาพวกมันเจอได้ไม่ยาก

 

               “อเมริกาโน่กูอะ” และนั่นคือประโยคแรกที่ออกมาจากปากไอ้มิชิทันทีที่เห็นหน้าผม ผมเลยเอาสันสมุดเคาะหัวมันไปหนึ่งที

 

               “เพื่อนมาเรียนสายแล้วยังมีกระจิตกระใจมาถามหากาแฟจากเพื่อนอีกหรอครับ ไอ้คุณชาย”

               “อ้าวจัส มึงไม่ได้บอกมันหรอว่าจารย์ยังไม่เข้า”

               “บอกแล้ว กูสั่งกาแฟให้มึงแล้วด้วย”

               “ยังไม่เข้ากับผีดิ! ถ้ากูมัวแต่ไปซื้อกาแฟให้มึงกูได้มาไม่ทันจารย์เข้าจริงๆ แน่”

 

               “เค้กดูดิ วอร์มแม่งไม่มีน้ำใจกับเพื่อนกับฝูงเลยอะ” ดูมัน หันไปอ้อนเค้กเฉย ผมกรอกตาไปมาด้วยความเอือมก่อนจะกางสมุดและหยิบปากกาออกมาเพื่อเตรียมจดสิ่งที่อาจารย์จะพูดในวันนี้ แต่แล้วก็มีบางสิ่งมาดึงความสนใจของผมไปเสียก่อน

 

               ติ๊ง

 

                (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : วันนี้เริ่มเรียนวันแรกก็สู้ๆ นะครับ

 

               ผมลอบอมยิ้มเล็กน้อย จะว่าไปไลน์นี้มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะครับ เหมือนมีคนคอยใสใจ่รายละเอียดของเราและให้กำลังใจแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน

 

               “ฮั่นแน่ คุยกับสาวที่ไหนมึง ยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่คนเดียวเลยนะ” ผมรีบกดล็อคโทรศัพท์แล้วยัดมันลงไปในประเป๋ากางเกงทันที ไอ้จัสแม่ง ทีเรื่องพวกนี้นี่ตาไวตลอด เวลาจดสไลด์ตามอาจารย์ ทำไมมึงไม่มองให้เร็วจดให้ทันแบบนี้บ้างวะ

 

               “เปล่า... พวกไลน์โฆษณา ขายของไรก็ไม่รู้”

               “มึงอย่ามาเนียน ก็กูเห็นอยู่ว่ามึงแอบยิ้ม”

 

               “สัด! กับเรื่องเรียนเคยตั้งใจแบบนี้บ้างไหมมึง โน่น จารย์แจกชีทอะ มึงไปเอามาหน่อยดิ” ผมเอ่ยปากไล่ให้มันไปหยิบเอกสารที่อาจารย์หยิบออกมาตั้งไว้กลางห้องทันที เพราะห้องบรรยายนี้เป็นแบบไล่ระดับและที่นั่งที่พวกผมนั่งอยู่นั้นค่อนมาบริเวณหลังห้อง ผมขี้เกียจขึ้นลงบันได ก็เลยใช้ความขายาวของเพื่อนให้เป็นประโยชน์

 

               ระยะเวลาสองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว นี่ขนาดเรียนเช้ายังง่วงขนาดนี้ พวกวิชาคาบบ่ายจะเหลืออะไรครับ ผมบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะเก็บของทุกอย่างลงไปในเป้ แล้วโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงผมก็สั่นอีกครั้งแล้วผมก็พบว่ามันเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากเจ้าของไลน์เจ้าเดิมกับเมื่อเช้า

 

               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : เที่ยงแล้ว อย่าลืมหาอะไรทานด้วยนะครับ

 

               ถ้าจะส่งมาเช้าสายบ่ายเย็นขนาดนี้ โทรมาปลุกผมด้วยก็จะเป็นพระคุณ นั่นคือสิ่งที่ผมคิด แต่แน่นอนว่าผมไม่ได้พิมพ์ตอบเพียงแค่เข้าไปอ่านแล้วก็กดออกมาเหมือนเช่นเคย

 

               “บ่ายว่างนี่ ออกไปกินปลาเผากันไหมมึง”

               “ร้านยังไม่เปิดไหมล่ะ เขาเปิดเย็นๆ โน่น กินไรกันดีวะ”

               “เค้กอยากลงไปดูชีทหน่อยอะ เผื่อมีวิชาไหนมีชีทใหม่ๆ ออกแล้วจะได้อ่านตุนไว้ก่อนเลย” ระหว่างที่ไอ้จัสกับมิชิกำลังเถียงกันเรื่องของกิน เค้กก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

 

               “วอร์มไปด้วย เทอมนี้ต้องพยายามดึงคะแนนขึ้นหน่อย โหมปีหน้ากลัวจบไม่สวย ฮ่าๆๆ พวกมึงอะ หยุดตีกันได้ละ” พูดจบผมก็โอบไหล่เค้กเดินลงบันไดมาด้วยกันทันที สักพักก็ได้ยินเตียงฝีเท้าวิ่งลงบันไดตามๆ กันมา ความจริงแล้วผมกับเค้กเป็นคนจังหวัดเดียวกันครับ แถมยังเข้ามาเรียนมัธยมปลายที่กรุงเทพเหมือนกันด้วย แต่ก็เพิ่งมารู้จักกันตอนเข้ามหาลัยเนี่ยแหละครับ

 

               “ตกลงวันนี้จะกินอะไรกันอะ ท้องกูร้องใหญ่ละเนี่ย”

               “ตอนบ่ายไปดูหนังกันป่ะ ถ้าดูก็เดี๋ยวออกไปกินที่ห้างเลย เรื่องที่เค้กอยากดูไง” พอเห็นไอ้จัสตั้งท่าทางปฏิเสธ ไอ้มิชิมันก็รีบลากเค้กมาอ้างทันที

               

               “พวกมึงไปกันเหอะ กูอยากกลับไปนอน เย็นๆ ถ้ากลับมาแล้วจะไปตีแบตหรือวิ่งก็เรียกกูด้วยละกัน”

               “ตกลงมึงจะไปกับพวกกูป่ะจัส”

               “ไป! กูไม่ปล่อยให้มึงไปกับเค้กสองคนหรอกคร้าบ ไอ้คุณชาย”

 

               “เออๆ เอารถกูไปนะ งั้นพวกกูแยกตรงนี้เลยนะ” มิชิคว้าเอกสารปึกใหญ่ในมือเค้กไปช่วยถือก่อนจะเดินนำออกไปพร้อมๆกับเค้ก แล้วไอ้จัสก็พุ่งตัวไปแทรกตรงกลางระหว่างสองคนนั้นทันทีแถมยังเอาแขนยาวๆ ของมัน พากบ่าทั้งคู่ด้วย เอาเข้าไป ยังมีหน้าหันกลับมาส่งยิ้มกวนตีนให้ผมอีก ถ้ามันยังไม่เลิกนิสัยแบบนี้นะ ผมว่ามันได้ตายคามือไอ้มิชิสักวันแน่ๆ

 

               ผมกลับมาถึงหอด้วยความเซ็ง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร เคยเป็นกันไหมครับ มันเบื่อไปหมดซะทุกอย่าง ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร อยากนอนเฉยๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทุกอย่างมันเนือยไปหมด แต่ยังไงตอนนี้เรื่องปากท้องก็ต้องมาก่อน เพราตอนนี้น้ำย่อยคงออกมากัดกร่อนกระเพราะผมจนจะขาดแล้วมั้ง แสบท้องไปหมดแล้วเนี่ย ด้วยความขี้เกียจผมเลยไม่ได้ขึ้นห้องเพื่อเอาเอกสารไปเก็บก่อน แต่เลือกที่จะตรงไปที่ฟู้ดคอร์ทเลย

 

               ขณะที่ผมกำลังจะเดินกลับจากร้านน้ำมานั่งที่โต๊ะก็เห็นว่ารุ่นน้องปี1 ทั้งสามคนกำลังเดินคุยกันอย่างออกรสเข้ามาสู่บริเวณฟู้ดคอร์ท ใช่แล้วครับ สามคนนั้นคือน้องไอตติม น้องไวท์และน้องจูเนียร์ แต่สิ่งที่สะดุดตาผมมากที่สุดก็คือคนที่มัดจุกใส่เสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงขาสั้นลายไอศกรีมสมกับชื่อเจ้าตัวนั่นแหละ ทั้งๆ ที่เพื่อนก็ยังใส่ชุดนักศึกษากันอยู่เต็มยศ น้องกลับแต่งตัวสบายๆ แบบนี้ แอบโดดเรียนแน่ๆ

 

               “อ้าว... พี่วอร์มสวัสดีครับ”

               “พี่วอร์มอยู่หอนี้หรอครับ” จูเนียร์เป็นคนเอ่ยทักผมขึ้นมาก่อน ตามมาด้วยคำถามของน้องไวท์ ส่วนน้องสายผมน่ะหรอ ไม่พูดอะไรสักคำเพียงแค่ยกมือขึ้นมาไหว้ทำความเคารพผมเท่านั้น

 

               “ใช่... เหมือนจะมีคนแถวนี้ลืมเอาปากมานะ”

               “อ่า...” ไอติมที่ยืนก้มหน้ามองพื้นอยู่รีบหันมามองผมทันที นี่ผมแค่แซ็วเล่นเฉยๆ ทำไมน้องถึงต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วยวะ เมื่อกี้ยังหัวเราะเสียงดังกับเพื่อนอยู่เลย พอมาเจอผมดันเงียบเฉย

 

               “ไอติมมันไม่ค่อยสบายอะครับ เมื่อเช้าบ่นปวดหัวนี่ก็เลยไม่ได้ไปเรียน”

               “ปวดหัวจนเสียงหายเลยเนอะ อืมๆ” คำบอกเล่าจากจูเนียร์ก็ทำให้ผมหายข้องใจทันที ถึงว่าล่ะ น้องไม่ได้ไปเรียนจริงๆ ยิ่งเห็นน้องทำตัวไม่ถูกผมก็เลยยิ่งอยากจะแกล้งมากขึ้นไปอีก คนที่โดนผมแซ็วตอนนี้กำลังยื่นหน้าหงิกพองแก้มด้วยความไม่พอใจที่ผมไม่เลยเหน็บเขาเสียที ท่าทางแบบนั้น คิดว่าน่ารักมากมั้ง

 

               อืม... แม่งโคตรน่ารักเลยว่ะ

 

               “งั้นพวกผมขอตัวไปหาอะไรกินก่อนนะครับ” น้องไวท์เอ่ยขึ้น ทั้งสามคนยกมือไหว้และเอ่ยลาผมก่อนจะรีบเดินไปอีกฝั่งนึงของฟู้ดคอร์ท มีเพื่อนเป็นองค์รักษ์หรือยังไงกัน ทำไมน้องถึงชอบทำเป็นไม่สนใจผมวะ ชอบทำเป็นเมินผมแบบนี้มันจะเกินไปหน่อยมั้ง ดีนะครับที่ความน่ารักของน้องวันนี้ทำให้ผมพอมองข้ามเรื่องนี้ไปได้บ้าง ไม่อย่างนั้นคงได้อารมณ์เสียอีกแน่ๆ ไม่มีใครชอบการถูกมองข้ามหรือว่าทำเหมือนไม่มีตัวตนหรอก จริงไหมครับ

 





**น้องไอติม**



               “โอ๊ย ทำไมต้องมาเจอพี่วอร์มด้วยเนี่ย แล้วดูสภาพไอดิจู ดูดิไวท์ ฮือ ขายหน้าชะมัดเลยอะ”

               “ไวท์ว่าก็น่ารักออก ไม่เห็นต้องอายเลย”

 

               “เออจริง พี่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ไออะคิดมาก” จูเนียร์เอ่ยสมทบไวท์ที่กำลังโยกจุกผมเล่นไปมาอย่างอารมณ์ ส่วนจูเนียร์ก์หันมายืดแก้มผมเล่นอีก เอาเข้าไปครับ แค่นี้ผมก็อายคนอื่นเขาจะแย่แล้ว ยังมาเล่นบ้าๆ อะไรกันเอีกเนี่ย

 

               วันนี้พวกเรามีเรียนวิชาพื้นฐานครับ ซึ่งถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วมันจะเป็นวิชาที่จะต้องเชคชื่อก็เถอะ แต่ผมกับไวท์ดันโชคดีเรียนเซคเดียวกัน ไวท์เลยแจ้งอาจารย์ให้แล้วว่าผมไม่สบาย นอกจานั้นยังจดเลคเชอร์มาให้ผมลอกอีก การมีไวท์เป็นเพื่อนนี่ยิ่งกว่าถูกหวยอีกครับ เพราะนอกจากจะตั้งใจเรียนแล้วลายมือยังสวยเหมือนสั่งพิมพ์อีก

 

               ส่วนผมที่ไม่สบายก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว คือเมื่อเช้าผมปวดหัวแล้วมึนๆ นิดหน่อยเลยตื่นมากินยาแล้วก็นอนต่อจนเพื่อนๆ พากันมาหาหลังเรียนเสร็จเนี่ยแหละครับ ผมก็เลยอยู่ในสภาพอย่างที่เห็น ก็อยู่แต่ในห้องนี่ครับ ใครๆ ก็แต่งตัวตามสบายทั้งนั้นแหละครับ จริงไหม แล้วอีกอย่างใครจะไปคิดว่าจะมาเจอพี่วอร์มที่นี่กัน ถึงจะแอบดีใจที่ได้รู้ว่าอยู่หอเดียวกันก็เถอะ แต่วันนี้ผมไม่พร้อมเจอพี่เขาจริงๆ

 

               “ใจลอยไปไหนแล้วไอติม ข้าวได้แล้วนั่น ป้าแกเรียกจนจะโมโหแล้วนะ”

               “โทษทีๆ มาแล้วครับป้า” ผมรีบพุ่งตัวไปที่ร้านข้าวที่สั่งไว้ทันที ส่วนจูเนียร์ก็อาสาเดินไปซื้อน้ำให้

 

               “อยู่หอเดียวกันแบบนี้ก็สืบไม่ยากแล้วดิ” จูเนียร์เปิดประเด็นทันทีที่กลับมาถึงโต๊ะ แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะโอเครึเปล่าที่จะพูดเรื่องนี้ตอนนี้ เพราะไวท์ก็อยู่ด้วย

 

               “สืบอะไรหรอ” ไวท์ถามขึ้นมาด้วยสีหน้างงๆ ผมได้แต่ถลึงตาใส่จูเนียร์ไปหนึ่งที ไม่ใช่ว่าจะปิดบังอะไรหรอกนะครับ แต่ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันมีเวลาของมัน เอาไว้ให้ถึงเวลานั้นก่อน เอาไว้ให้ผมมั่นใจและพร้อมจริงๆ เดี๋ยวผมจะเป็นคนบอกเอง

 

               “เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอก ใช่ไหมจู ฮ่าๆๆ”

               “อ่า... ใช่ๆ พูดไปเรื่อยเปื่อนอะ ไม่มีอะไรหรอก” ไวท์จ้องหน้าผมกับจูเนียร์สลับกันไปมาอยู่พักนึงแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มแล้วหันกลับไปสนใจเย็นตาโฟในชามต่อ

 

               พอพวกเราทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้วไวท์ก็ขอตัวกลับก่อน เพราะไวท์เป็นคนเดียวที่อยู่หอใน ส่วนผมกับจูเนียร์อยู่หอนอก ถึงจะไม่ได้เป็นรูมเมทกันแต่จูเนียร์ก็มาใช้เวลาอยู่ห้องผมบ่อยกว่าอยู่ห้องตัวเองอีกละมั้ง หลังจากที่แจกกับไวท์แล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะปรึกษาเรื่องที่เจ้าเพื่อนซี้เปิดประเด็นทิ้งไว้ได้เสียที

 

               “จูว่าพี่วอร์มอยู่ตึกเดียวกับไอเลยป่ะ”

               “ไม่รู้ดิ แต่หอนี้ก็มีแค่สองตึกไม่ใช่หรอ มันก็ต้องสักตึกนึงนั่นแหละ”

               “ก็ใช่... แต่ตึกนึงมีตั้งหลายชั้น แถมแต่ละชั้นก็มีหลายห้องอีก แล้วไอจะรู้ได้ยังอะ”

               “เดี๋ยวถามพี่มิชิกับพี่จัสให้เลยเอาไหม แต่ถามจริงๆ เถอะ รู้ไปแล้วจะทำอะไรอะ แค่อยากรู้เฉยๆ?”

               “ก็... ตอนนี้ยังคิดไม่ออก... ถ้าจูไปถามพวกพี่ๆ เขาต้องสงสัยแน่เลยอะ ไม่ได้ๆ”

               “แล้วจะเอายังไง”

 

               “ไม่รู้อะ...” ผมอยู่ปากแล้วพองแก้มใส่จูเนียร์ ก็ตอนนี้ผมยังคิดอะไรไม่ออกจริงๆ นีนา แค่รู้สึกว่าการที่ได้อยู่หอเดียวกันมันน่าจะทำให้ผมมีโอกาสที่จะได้เจอ ได้พูดคุยกับพี่เขาบ่อยขึ้นก็เท่านั้นเอง ที่ผ่านมาเจอพี่เขาทีไรผมก็ทำตัวไม่ถูก พูดอะไรไม่ออกทุกทีเลย

 

               “เอาอย่างนี้ไหม ระหว่างนี้ก็ ถ้าเกิดไออยากซื้อขนมหรืออะไรฝากให้พี่เขาก็ฝากพี่ยามใต้หอไว้ แล้วเราก็ค่อยๆ สืบกันเอาเองจะได้เนียนๆ ด้วยดีไหม” จูเนียร์เสนอความคิดเห็น จริงๆ ผมว่ามันก็ดีนะครับ เพราะถ้าอยู่ๆ ผมไปซื้ออะไรต่อมิอะไรให้พี่เขา พี่วอร์มอาจจะปฏิเสธที่จะรับหรือไม่พอใจก็เป็นได้ ผมเคยเห็นรุ่นพี่บางคน ยิ่งเป็นพี่ใหญ่เขายิ่งไม่โอเคกับอะไรแบบนี้ เพราะเหมือนเป็นการไปดูถูกเขาโดยให้เหตุผลว่าคนเป็นพี่ต่างหากที่ต้องเลี้ยง ต้องดูแลน้องซึ่งผมไม่เห็นด้วยสักนิด แค่มองว่ามันเป็นน้ำใจและความหวังดีเล็กๆ น้อยๆ จากรุ่นน้องก็ได้นี่นา

 

               “โอเค ตามนั้นละกัน ขึ้นห้องกันเถอะ ไม่อยากอยู่ข้างล่างในสภาพนี้นาน เดี๋ยวเจอคนรู้จักอีก”

               “งั้นจูกลับเลยละกัน ว่าจะกลับไปจัดของซะหน่อย ไว้เจอกันนะไอ คืนนี้อย่านอนดึกนะ เดี๋ยวปวดหัวอีก”

               “รู้แล้วน่า กลับดีๆ นะ”

 

               และระหว่างที่ผมยืนรอลิฟอยู่นั้น ดองทายดูสิครับว่าพอลิฟเปิดออกมาแล้วผมเจอใคร อย่างที่ทุกคนคิดนั่นแหละครับ พี่วอร์มเดินออกมาจากลิฟด้วยชุดเสื้อยืดและกางเกงบอล ดูเหมือนพี่เขากำลังจะออกไปออกกำลังกายแน่ๆ เลย อย่างน้อยๆ ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าพี่เขาอยู่ตึกเดียวกับผม

 

               “อ้าว! เจอกันอีกแล้วนะ”

               “ครับ...” ถึงในใจจะอยากชวนคุยและตอบกลับไปให้มากกว่านั้นก็เถอะ แต่ผมบอกแล้วไงว่าสภาพผมตอนนี้ไม่พร้อมพบเจอผู้คนสุดๆ แล้วก็เวรกรรมจริงๆ เลย ที่ผมต้องมาเจอพี่วอร์มถึงสองรอบแบบนี้อะ ฮือ

 

               “อ่อ ลืมไปน้องไม่มีเสียง ขอให้เสียงกลับมาปกติไวๆ ละกัน ไปละ” พี่วอร์มเอ่ยลาผมแล้วออกจากหอไป ทิ้งให้ผมต้องยืนรอลิฟใหม่ส่วนผมด้วยอาการจิตใจล่องลอย ถ้าไม่หยุดคุยกับพี่เขา ป่านนี้ผมนอนตีพุงสบายใจอยู่บนห้องแล้ว ยิ่งมองสภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกลิฟแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด เฮ้อ หมดกันภาพลักษณ์ผม ท่าทางพี่วอร์มจะเป็นคนขี้ฝังใจด้วยสิครับ ดูอย่างเรื่องที่ผมไม่สบายสิ พูดไม่เลิก ความจริงผมไม่ได้เสียงหายสักหน่อยแค่ไม่รู้จะพูดอะไรกับพี่เขาต่างหาก

 

               i – Chananan :: ฮือออออ จู~~~ ช่วยด้วย

               Jooniior :: เป็นอะไร

               i – Chananan :: เมื่อกี้เจอพี่วอร์มอีกแล้วอะ

               Jooniior :: แล้ว?

               i – Chananan :: ไอไม่อยากเจออะ ฮือ จูก็เห็นสภาพไอวันนี้ไม่ใช่หรอ

               Jooniior :: แล้วพี่วอร์มว่าไงอะ

               i – Chananan :: ก็ไม่ว่าไง แค่บอกให้เสียงกลับมาไวๆ ...

               Jooniior :: 555555555555555555555555555 ตลก

               i – Chananan :: *สติ้กเกอร์ลายแมวโมโห*

 

               ไม่เห็นจะขำตรงไหนเลย ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะจูเนียร์นั่นแหละไม่รู้จะไปบอกพี่วอร์มทำไม แล้ววันนี้ก็ไม่รู้จะบังเอิญเจอพี่เขาบ่อยอะไรนักหนา ได้แต่คิดแล้วก็นอนดีดดิ้นกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง วันนี้ผมทำอะไรผิดหรอครับ แค่โดดเรียนคาบเดียวเองนะ เบื้องบนต้องกลั่นแกล้งกันถึงขนาดนี้เลยหรอ ระหว่างที่ผมกำลังงอแงและตัดพ้อโชคชะตะอยู่นั้น เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น

 

               Q.pid เพิ่มคุณเป็นเพื่อน

 

               ยังไม่ทันที่ผมจะหายสงสัยว่าคนที่แอดมานั้นเป็นใคร ข้อความที่ถูกส่งมาก็เป็นคำตอบได้อย่างดี เขาคือเจ้าของคำใบ้ตัวสูง คิ้วเข้ม มีนามเป็นกามเทพนั่นเอง

 

               Q.pid :: ไอติม นี่พี่คิวเองนะ ขอโทษนะที่วันจับสายไม่ได้ไปอะ แล้วก็เพิ่งมาแอดไลน์วันนี้อะ

               i – Chananan :: สวัสดีครับพี่ ไม่เป็นไรเลยแล้วนี่พี่คิวหายดีแล้วหรอครับ

               Q.pid :: หายแล้วๆ พรุ่งนี้ว่างเปล่า พี่จะเอาชีทบางส่วนไปให้อะ

               i – Chananan :: ไอเรียนทั้งวันเลยพี่คิว พักเที่ยงได้ไหมครับ

               Q.pid :: ได้ๆ เดี๋ยวพี่เอาไปให้ที่ตึกคณะแล้วกันนะ

               i – Chananan :: ขอบคุณมากครับพี่ เจอกันพรุ่งนี้

               Q.pid :: *สติกเกอร์คิวปิดส่งวิ้ง*

 

               พี่คิวปิดนี่ก็ดูจะเป็นคนน่ารักดีเหมือนกันนะครับ ท่าทางจะตลกด้วยอะ ดูจากสติ้กเกอร์ที่พี่เขาส่งมาแล้วตลกชะมัด วิ้งได้แบบประหลาดมาก แลบลิ้นปลิ้นตาด้วยอะ ว่าแต่พรุ่งนี้ผมจะรู้ได้ยังไงว่าพี่เขาคือคนไหน รูปดิสในไลน์ก็ดันเป็นรูปวิวไปอีก คงต้องรอให้พี่คิวเข้ามาทักเอง หรือผมจะทักไปถามพี่วอร์มดีอะ แค่นึกถึงสภาพตัวเองตอนเจอที่พี่วอร์มก็ทำให้ผมรีบสะบัดความคิดนี้ออกไปทันที ช่างเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เองแหละ
               
               .
               
               
               .

               .

               To be Continue...

               

หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 2 :: 'บังเอิญ' UP 24-08-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-08-2018 13:52:19
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 2 :: 'บังเอิญ' UP 24-08-18]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-08-2018 06:41:44
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 2 :: 'บังเอิญ' UP 24-08-18]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 25-08-2018 11:33:16
ติดตามค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 2 :: 'บังเอิญ' UP 24-08-18]
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 28-08-2018 14:42:53
:: Chapter 3 :: 'สังสรรค์'



**พี่วอร์ม**


               วันนี้ผมมีเรียนช่วงเช้า แล้วว่างยาวกว่าจะเรียนอีกตัวก็สี่โมงเย็นเลย แล้วดันเป็นวิชาที่เรียนชั่วโมงเดียว ใครมันจัดตารางแบบนี้วะครับ ยังดีที่เป็นวันศุกร์ จะสงสารก็แค่ได้จัสกับไอ้มิชิที่พอเลิกเรียนตอนห้าโมงปุ๊บก็ต้องรีบบึ่งรบกลับบ้าน แต่พวกมันก็ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นหรอกครับ กลับบ้างไม่กลับบ้างนอกเสียจากว่าสัปดาห์ไหนที่ที่บ้านตามตัวจริงๆ ก็ต้องกลับโดยไม่มีเงื่อนไข
 
               อย่างที่บอกว่าวันนี้ผมต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า เมื่อวานก็ไปวิ่งมาด้วยเลยนอนเร็วกว่าปกติ พอตื่นมาก็เจอข้อความยาวเหยียดที่ถูกส่งมาจากเจ้าไลน์ดิสรูปเจ้าแมวลายเสือนั่น ความจริงมันถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแหละ แต่ผมเพิ่งจะได้เปิดอ่านก็ตอนนี้
 
                (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : พี่วอร์มหลับรึยังครับ
                (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : ไม่อ่านแฮะ สงสัยหลับแล้วแน่เลยอะ ฝันดีนะครับ
                (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : แต่ขอผมบ่นหน่อยเถอะ ตื่นมาไม่ต้องตกใจนะครับ ข้ามๆมันไปก็ได้นะ
                (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : พี่เคยเจอวันที่แบบโคตรซวยไหม แบบไม่รู้จะอะไรนักหนา ซวยซ้ำซวยซ้อน บางทีโลกก็กลมไปจนน่ากลัว คนบางคนก็กวนประสาทแบบไม่มีขีดจำกัดอะ ย้ำคิดย้ำทำอยู่ได้ แล้วผมก็ดันซวยต้องเจอคนแบบนั้นวันละหลายๆ รอบอะพี่ หรือพี่ว่าคนนั้นเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรผมอะ ถ้าผมไปทำบุญมันหายไหม หรือเขาว่าทำบุญร่วมกันก็จะอยู่ด้วยกันอีกอะ....
 
               อะไรของมันวะ บ่นอะไรเยอะแยะ ถึงผมจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ก็เถอะ แต่เจ้าของไลน์นี่คงอัดอั้นกับไอ้บ้านั่นจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่บ่นขนาดนี้อะ ถึงจะงงๆ แต่ก็ตลกดีแต่ไอ้คนกวนประสาทแบบไม่มีขีดจำกัดนี่มันจะมีใครให้มากกว่าไอ้จัสอีกหรอวะครับ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย แถมผมยังเจอมันแทบจะตลอดทั้งวันด้วย ไม่ใช่แค่วันละหลายๆ รอบ หรือมันเป็นเจ้ากรรมนายเวรผมที่มาให้รูปแบบเพื่อนวะ ขณะที่ผมกำลังนึกตามคำบอกเล่าของเจ้าของไลน์อยู่นั้น ข้อความใหม่ก็เด้งขึ้นมา กลายเป็นว่าผมเปิดอ่านข้อความของเขาทันที
 
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ก็สู้ๆ นะครับพี่วอร์ม
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : วันนี้อ่านซะเร็วเชียว
 
               ก็ผมเปิดหน้าแชทค้างไว้อยู่ไหมล่ะ อ่านเร็วอะไร ผมกดล็อคหน้าจอแล้วลงลิฟเพื่อไปที่ลานจอดรถ พอลงมาถึงชั้นล่างก็อดนึกถึงเจ้าเด็กหัวจุกเมื่อวานไม่ได้ เวลาน้องอยู่ที่มหาลัยกับตอนอยู่หอนี่อย่างกับคนละคนเลย เท่าที่ผมเจอไอติมมาไม่กี่วันตอนเปิดเทอมผมก็รู้สึกว่าน้องมีความคล้ายไอ้มิชิอยู่เหมือนกัน คือเป็นคนแต่งตัวดีและค่อนข้างเนี๊ยบ ถึงส่วนมากเด็กปี1 จะแต่งชุดนักศึกษาเป็นหลักก็ตามแต่ผมก็เคยเห็นน้องแต่งชุดไปรเวทบ้าง ซึ่งแน่นอนว่ามันคนละเรื่องกับที่ผมเจอไอติมที่หอเมื่อวานนี้
 
               พอจบวิชาแรกไอ้มิชิก็ชวนพวกผมไปหาอะไรกินและเดินเลยที่ห้าง แต่ไอ้จัสบอกว่าเมื่อคืนมันเล่นเกมส์เพลินไปหน่อย สรุปคือมันยังไม่ได้นอนเลยจะกลับหอไปนอน ส่วนผมก็ขี้เกียจไปอะครับ ก็จริงที่ว่าตอนนี้มันเพิ่ง 10 โมง กว่าจะเรียนอีกทีก็มีเวลาตั้งหลายชั่วโมง แต่ห้างนี้พวกผมก็เดินกันมาตั้ง 3 ปีแล้วอะ จะไปทำไมบ่อยๆ วะครับ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ผมเลยตัดสินใจซื้อแซนวิชกับน้ำขวดนึงรองท้องแล้วไปหามุมเงียบๆ งีบที่คอมมอนคณะแทน ผมเพิ่งจะพักสายตาไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนเปิดประจูเข้ามาพร้อมกับเสียงพูดคุยกัน คงเพราะใกล้จะถึงเวลาพักเที่ยงแล้วคนก็เลยเยอะขึ้น เมื่อผมหันไปมองก็พบกับน้องโต๊ะปี2 ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่สามสี่คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือน้องสายผมเอง
 
               “อ้าว! พี่วอร์ม หวัดดีครับ มางีบหรอพี่”
               “เออ ตื่นเพราะพวกมึงคุยกันเนี่ยแหละ”
 
               “ขอโทษครับ...” ผมเห็นไอ้คิวหน้าเจื่อนแล้วก็อดขำไม่ได้ คิวปิดมันเป็นเด็กตัวสูง ดูโต แต่จริงๆ แล้วซื่อฉิบชาย ซื่อแบบตามคนไม่ค่อยทันอะครับ จริงใจใสซื่อ สุภาพเรียบร้อย แสนดี เพราะน้องมันเป็นคนแบบนี้ผมถึงไม่ค่อยสนิทกับน้องมันเท่าไหร่ ค่อนข้างจะเกรงใจน้องมันด้วยซ้ำ อยู่กับไอ้คิวทีไรผมรู้สึกตัวเองโคตรหบายคาย โครตสถุลเลยอะ


               “ล้อเล่นเว๊ย คิดมากไปได้ แล้วนี่มาทำไรกันอะ”
               “พวกผมนัดเอาชีทมาให้น้องปี1 อะครับ แต่น้องเลิกกันเที่ยงอะ”
               “อ่อ... แล้วนี่โอเคแล้วใช่เปล่าวะ”
               “โอเคแล้วครับพี่ ขอบคุณพี่วอร์มมากเลยที่ไปจับสายแทนผมอะ”
 
               “ไม่เห็นต้องขอบคุณ น้องมึงก็น้องกูเหมือนกันป่ะวะ” ผมตบบ่าน้องเบาๆ ก่อนจะกลับมานั่งแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกครั้ง เวลาผ่านสักพักผมก็ได้ยินเสียงใสที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อวันก่อน คงหายป่วยแล้วสินะ ความจริงผมก็รู้แหละ ว่าอาการปวดหัวของน้องมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเสียงของน้องหรอกครับ แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันเวลาอยู่ต่อหน้าผม จากคนชั่งเจรจราน้องถึงกลายเป็นคนพูดน้อยไปซะอย่างนั้นไม่ค่อย
 
               “ไอติมมาแล้วหรอ”
               “พี่คิว? ไอกำลังคิดอยู่เลยว่าไอจะหาพี่เจอได้ยังไง อุตส่าห์ไปส่องดิสก็ดันเป็นรูปวิวซะอีก”
               “ฮ่าๆๆ อย่าลืมสิ ว่าพี่ปี2 มีรูปน้องปี1 อยู่นะ อะนี่ชีทของเทอมแรก แต่มันยังขาดอีก 2-3 วิชานะ ขอเวลาพี่จัดก่อน”
               “ได้เลยคร้าบ ไม่มีปัญหา ขอบคุณมากนะครับ” ผมยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ แต่บทสนทนาทั้งหมดผมก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน เมื่ไอติมเริ่มเอ่ยขอบคุณและร่ำลาพวกปี2 เลยก็เลยลุกขึ้นยืนแล้วมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่น้องกำลังเดินผ่านโต๊ะที่ผมนั่งอยู่พอดี
 
               “พี่วอร์ม....”
               “อือ เจอกันสักทีนะ จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกันอีก”
               “ง่า...” ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้น ไอติมถึงกับหน้าจ๋อยไปเลย
 
               การที่ผมต้องไปจับน้องสายแทนไอ้คิวมันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอกครับ แถมการที่ผมจะได้สนิทกับน้องสายมันก็ดีเสียอีก แต่เจอไอติมที่ไรมันก็นึกอยากจะแกล้งน้องขึ้นมาทุกที เวลาเจ้าเด็กนี่ทำหน้าเด๋อด๋า หรือหน้าหงอยมันยิ่งน่าเอ็นดู

               “ไม่ไปกินข้าวหรอไง จะยืนทำหน้าเศร้าหูตกอีกนานไหม”
               “พี่วอร์ม! ผมไม่ใช่หมานะ!”
               “ก็ยังไม่ได้บอกว่าเป็นหมาเลย...”
               “ผมไม่มีเวลามาทะเลาะกับพี่หรอกนะ ไปละครับ” น้องไอติมกับสองเพื่อนซี้ที่ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลาอย่างจูเนียร์กับไวท์ก็ยกมือไหว้ผมก่อนจะพากันเดินหอบชีทออกจากคอมมอนไป
 
               ไอติมน่ะไม่เหมือนหมาหรอกครับ น้องเหมือนแมวต่างหาก ใครโดนอ้อนเข้าไปถ้าไม่ใจแข็งพอนะ ผมว่าร้อยทั้งร้อยก็คงต้องยอมทั้งนั้นแหละ แล้วดูเมื่อกี้สิ ขู่ฟ่อๆ เลย ถ้าขืนแกล้งนานกว่านี้ผมคงจะโดนแมวตะปบเอาแน่ๆ
 
               ผมนั่งฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อยสักพักไอจัสก็มาหา ผมกับมันเลยเลือกที่จะย้ายไปนั่งโต๊ะที่ใหญ่ขึ้น เพราะไอ้มิชิเองก็บอกว่ากำลังวนหาที่จอดรถอยู่ เพียงไม่นานคุณชายผมทองก็มาถึงคอมมอน แต่แปลกตรงที่ว่ามันดันมาคนเดียวนี่สิ
 
               “อ้าว... แล้วเค้กไปไหนวะ”
               “โดนตามตัวไปตึกกิจกรรมอะ คาบนี้คงไม่ได้เข้าแล้วว่ะ” ผมไม่ได้เอ่ยอะไรเพราะไอ้จัสก็ถามแทนผมเรียบร้อยแล้ว ส่วนคำตอบของมิชิก็ทำให้ผมหายข้องใจแล้ว ยังไม่ทันที่จะได้เปลี่ยนเรื่องคุย พวกเราก็ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

               BLสระอู :: คืนนี้กูว่าง พวกมึงพาปี 1 มาแนะนำดิ๊
 
               พวกผมมองหน้ากันทันที่เห็นแจ้งเตือนปรากฏบนหน้าจอ ข้อความที่เด่นหราอยู่นั้นถูกส่งมาจากพี่ปี 4 นามว่าพี่บีแอลสระอู หรือเฮียบลู พี่สายของไอ้จัสกับมิชิ คือพวกมันสองคนเป็นสายโคกัน ไม่ใช่สายวัวนะครับ หมายถึงว่ามีพี่สายคนเดียวกันเพราะปีผมน้องดันเยอะกว่าพี่ก็เลยทำให้ไอ้พี่บีแอลสระอูมมันต้องเทคน้อง 2 คน แล้วเมื่อผมโดนพี่สายเทไปซิ่ว ผมก็เลยกลายเป็นโคไปกับพวกมันด้วย นั่นคือสาเหตุที่ว่าพวกเราทั้งหมดก็สนิทกับเฮียบลู
 
               J.U.S.T. :: แล้วปี 2 อะเฮีย
               BLสระอู :: กูรู้จักแล้วไหมล่ะ ไอ้จัส
               It’s Michi :: ผมกำลังจะบอกว่าน้องแพรวกลับบ้าน
               BLสระอู :: ปี 1 มันอยู่กันครบป่ะล่ะ ไอ้วอร์ม มึงพาน้องมึงมาด้วยนะ
               นายไออุ่น :: ผมไม่ใช่สายเฮีย ผมเกี่ยวไรด้วยอะ
               BLสระอู :: เอ๊ะ ไอ้นี่! ก็ไม่ใช่กูหรือไงครับ ที่เทคมึงมาพร้อมๆ กับไอ้จัสไอ้มิชิเนี่ย พูดจาวอนตีนนะมึง
 
               มิชิกับไอ้จัสระเบิดหัวเราะออกมา แน่ล่ะครับ ถ้าอยู่ต่อหน้าผมไม่กล้ากวนประสาทเฮียบลูขนาดนี้หรอก มีหวังได้โดนถีบจริงๆ แน่ แต่ผมก็ขี้เกียจไปเหมือนกันนะ คือผมไม่ใช่สายแอลไง ปกติส่วนมากเน้นเป็นหน่วยเก็บศพ มิชิก็ดูไม่ค่อยจะอยากไปเท่าไหร่ เห็นจะมีก็แต่ไอ้จัสละมั้งที่กระดี๊กระด๊าอยากไป
 
               BLสระอู :: ตกลงพวกมึงจะไปไม่ไป?
 
               ผมเห็นมิชิก้มหน้าพิมพ์อะไรบางอย่าง แต่ไม่ใช่ข้อความในแชทของเฮียบลูแน่ๆ เพราะ ยังไม่มีใครพิมตอบอะไรกลับไปเลย
 
               “นานๆ เฮียจะเลี้ยงนะเว้ย พวกมึงห้ามชิ่ง”
               “แต่กูต้องไปหาเค้ก....”
               “พวกมึงสองคนนี่ชักจะยังไงๆ นะ มึงคิดเหมือนกูไหมบีสอง”
               “กูก็ว่างั้นแหละ บีหนึ่ง มิชิมึงห้ามชิ่ง มึงเป็นสายตรงเฮียมันนะ ก็ชวนเค้กไปด้วยดิวะ จะยากอะไร”
 
               BLสระอู :: หายเงียบอีก ไอ้เด็กพวกนี้ ผู้ใหญ่ถามก็ตอบดิวะ เดี๋ยวสอยเรียงตัวเลยนี่
               นายไออุ่น :: กลัวแล้วคร้าบบบบบ ไปก็ไป ผมชอบของฟรีอยู่แล้ว
               It’s Michi :: ผมพาเค้กไปด้วยได้ป่ะครับ
               BLสระอู :: น้องเค้กกกก ได้ดิวะ พามาเลย กูก็คิดถึงน้องเค้กเหมือนกัน
               J.U.S.T. :: ทำไมผมสัมผัสได้ถึงเสียงสอง ผ่านตัวหนังสือวะเฮีย
               BLสระอู :: ไม่ต้องพูดมากละมึง เจอกันตึกคณะ
                .
               .
               .
               ตอนแรกที่พวกผมโทรไปชวนน้องๆ ปี1 ทุกคนก็ดูตื่นเต้นดีใจ ก็ดูอายุแต่ละคนสิครับเพิ่งจะถึงเกณฑ์ได้ไม่นานเอง โดยเฉพาะไอติมนี่เฉียดฉิวมาก ถึงจะอย่างนั้น ทุกคนก็รับปากขันแข็งตอนที่พวกผมถามว่าเคยดื่มกันรึเปล่า ดื่มได้แน่นะ แต่เอาจริงๆ พวกน้องจะตอบว่าอะไร หรือต่อให้คอแข็งแค่ไหน พวกผมที่เป็นรุ่นพี่ก็มีหน้าที่ต้องคอยดูและรับผิดชอบน้องๆ แต่ละคนอยู่ดี และเมื่อเวลาผ่านไปได้แค่ชั่วโมงกว่าๆ สถานการ์มันก็เริ่มเลวร้าย(?)
 
               “ฮ่าๆๆ มึงดูไอ้จู เมาเรื้อนฉิบชาย ไปเต้นบ้าอะไรกับกำแพงวะ”
               “เวรแล้ว กูไปห้องน้ำแป๊บเดียว ทำไมมึงไม่ดูน้องวะจัส”
 
               มิชิตรงปรี่เข้าไปพยุงน้องจูเนียร์ พร้อมกับเอ่ยขอโทษโต๊ะข้างๆ แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กจะแรงเยอะใช้ได้ แถมไม่ยอมให้มิชิมันพากลับมาที่โต๊ะง่ายๆ ด้วย น้องยังคงพยายามดิ้นและขืนตัวจะกลับไปเต้นกับกำแพงให้ได้ เห็นแล้วเหนื่อยแทน ไอ้จัสก็นั่งดื่มอย่างเดียวเลย ใจคอไม่คิดจะช่วยเพื่อนกับน้องตัวเองบ้างเลยหรือยังไงวะ ตัดภาพมาที่น้องอีกสองคนที่เหลือ ฟุบโต๊ะหลับไปหนึ่ง ส่วนอีกคนก็ยังรับแก้วที่ไอ้พี่บลูชงแล้วส่งให้อย่างต่อเนื่องทั้งๆ ที่ตัวโอนเอนจนจะนั่งไม่อยู่อยู่แล้ว
 
               “ไอติมพอได้แล้ว... ไอ้พี่บลู นี่ก็ชงส่งให้น้องจังเลย”
               “ไอติมเป็นเด็กดี น่ารัก ว่าานอนสอนง่าย กูชอบบบ”
 
               ไอ้พี่บลูมันไม่ได้พูดเฉยๆ เพราะมือใหญ่ถูกส่งมาลูบหัวคนเป็นน้องเบาๆ แล้วมันก็ไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เพราะพี่มันเลื่อนมือมาหยิกแก้มน้องเล่นอีกต่างหาก แถมน้องก็ยังส่งยิ้มหวานกลับไปให้อีก เออ เอาเข้าไป เมาแล้วปล่อยเนื้อปล่อยตัวจริงๆ ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมหงุดหงิดแปลกๆ คงเป็นเพราะผมรู้นิสัยไอ้พี่บลูดีละมั้ง

               “พอเลยพี่ เห็นน้องเมาหน่อยไม่ได้เลยนะ ไม่ต้องส่งให้น้องแล้ว”
               “ไรวะ ทำตัวเป็นหมาหวงก้างไปได้ เหล้าก็ยังเหลืออีกตั้งเยอะ ช่วยๆ กันดื่มดิวะ มึงไม่อยากให้น้องดื่มมึงก็ดื่มแทนดิ”
               “ฉิบชาย... น้องจูจะอ้วก”
 
               “เค้กฝากดูไวท์ด้วยนะวอร์ม” คนผมแดงหันมาบอกผมก่อนจะรีบเดินไปช่วยมิชิพากันลากน้องจูเนียร์ออกไปข้างนอกร้าน เห็นสภาพแล้วก็อนาถ ไม่ได้ต่างอะไรจากพวกผมตอนปี 1 เท่าไหร่เลย ผมเองนี่แหละที่เมาอย่างกับหมา ยังดีที่มิชิกับไอ้จัสมันคอแข็ง เลยรอดมาได้ ไม่งั้นคงเละเทะ หลังจากนั้นผมก็ดื่มแค่พอเป็นพิธี บางครั้งก็นั่งดื่มน้ำแต่อัดลมด้วยซ้ำ เพราะต้องคอยเป็นคนเก็บศพขับรถพาคุณเพื่อนทั้งหลายกลับไปส่งที่หอ
 
               “ร้อน...”
               “ไอติมไม่ต้องดื่มแล้ว เมาแล้วเนี่ย”
               “อื้อ... ไอเมาแล้ว... ไอร้อนง่า”
               “น้องไอติมแม่ง เมาแล้วอ่อยฉิบชาย”
               “มึงหุบปากไปเลยไอ้จัส”
               “เออ ไอ้จัสมึงเงียบๆ แล้วมาช่วยกูแดกนี่”
 
               เฮียบลูล็อคคอเพื่อนตัวสูงของผมไว้ก่อนจะยกแก้วเหล้าที่แทบจะเป็นเหล้าเพียวๆ กรอกปากไอ้จัส มันโวยวายอยู่สักพัก แต่ก็ยอมดื่มต่อไปเงียบๆ ผมว่าสองคนนั้นก็เริ่มตึงๆ แล้วเหมือนกันแหละ เล่นเทเหล้าเอาแบบนั้น มิกเซอร์แทบไม่ได้แตะ จะคอแข็งแค่ไหนจัดเพียวๆ ไปแบบนั้นก็ต้องมีมึนๆ กันบ้างแหละ
 
               “น้องจูไม่ไหวแล้วอะพี่บลู เค้กกับมิชิขอพาน้องกลับก่อนนะครับ”
               “เออๆ กลับกันดีๆ นะเว้ย”
               “ไวท์... ไวท์ลุกไหวไหม”
               “อ้าว... เค้กจะพาน้องไวท์กลับด้วยอ่อ?”
 
               “ใช่สิ ก็ไวท์เป็นน้องเค้กนะ จะให้เค้กทิ้งน้องไว้ที่นี่หรอไง” คำพูดของเค้กทำเอาไอ้จัสมันอึ้งไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร มิชิกับเค้กหันไปร่ำลาเฮียบลูก่อนจะพาน้องทั้งสองคนออกไปจากร้าน
 
               ส่วนผมก็ได้แต่ถอนหายใจนั่งมองเจ้าของหัวเล็กที่นั่งปรือตาซบไหล่ผมอยู่ตอนนี้ ไม่รู้ว่าน้องมันปลดกระดุม 2 เม็ดบนออกไปตอนไหน แถมตอนนี้นอกจากเสียงหวานที่จะบ่นร้อนแล้ว มือเรียวก็ยังพยายามแบะคอเสื้อออกอีก เพราะไม่ได้ติดกระดุมเสื้อ ภาพตรงหน้ามันก็เลยเหมือนน้องพยายามจะเปิดโชว์ผิวขาวๆ กับกระดูกไหปลาร้าของตัวเองให้ชาวบ้านดู
 
               “เซ็กซี่สัด น่าจับกดโคตรๆ เลยว่ะ”
               “นั่นปากมึงหรอวะ ไอ้จัส! กูจะพาน้องกลับแล้วมึงจะกลับพร้อมกูไหม”
               “ไรวะ พวกมึงจะทิ้งกูหรอ”
               “น้องเมามากแล้วจริงๆ อะเฮีย ผมขอโทษ”
               “มึงกลับเหอะ เดี๋ยวกูอยู่ต่อกับเฮียเอง”
               “เอางั้นก็ได้ มึงขับรถกลับดีๆ ล่ะวอร์ม ส่วนไอ้จัส มึงมานี่ ชน!”
               .
               .
               .
**น้องไอติม**

               พอได้ออกมาข้างนอก เจอที่โล่งกว้าง ได้สูดอากาศเข้าปอดค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เสียงดนตรีที่ดังกึกก้องตอนอยู่ข้างในมันทำให้ผมปวดหัวนิดหน่อยเหมือนมันจะปวดตึบๆ ตามจังหวะบีทดนตรีเลยครับ แต่ตอนนี้มันเงียบสงบมากเลย อาการปวดหัวก็เหมือนจะหายไปด้วย
 
               “เฮ้ย! ไหวไหมเนี่ย”
 
               พี่วอร์มเอ่ยถามกับผมหลังจากที่เราแยกกับรุ่นพี่และเพื่อนคนอื่นๆ ออกมาแล้ว ถ้าบอกว่าไหวก็คงจะโกหกเก่งเกินไป เพราะสภาพผมตอนนี้แทบจะเดินหน้าทิ่มอยู่แล้ว ยังดีที่ผมเกาะแขนพี่วอร์มเอาไว้อยู่ ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปนอนกลิ้งเป็นหมาข้างถนนแน่ๆ
 
               “อะ... อืมมมม ก็ยังหวายอยู่ครับ อึ้ก!”
 
               ผมพยายามตั้งใจตอบคำถามพี่วอร์มกลับไป แต่ดันสะอึกออกมาด้วยซะงั้น โคตรน่าอายเลยอะ ผมแอบเห็นพี่เขาขำด้วยแหละ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าโลกมันหมุนไปหมด ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดื่มไปทั้งหมดกี่แก้ว รู้แค่ว่าพี่บลูชงเหล้าแล้วยัดใส่มือผมทุกแก้วเลย บางแก้วยังไม่ทันจะหมดพี่บลูก็หยิบไปผสมให้ใหม่แล้ว แง ไม่น่าเกรงใจพี่บลูเลยอะ แต่พี่เขาดูน่ากลัวผมจะกล้าปฏิเสธได้ยังไง ถ้าไม่ดื่มก็กลัวพี่เขาจะโกรธเอา
 
               “อึ้ก! อุ้บ!” ผมยกมือขึ้นปิดปากเพราะรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมันขึ้นมาจุกที่ลำคอ ฮือ ข้าวกระเพราะไก่กรอบเมื่อตอนเย็นมันกำลังจะออกมาแล้ว
 
               “เอ้า! เอาเข้าไป ไหวป่ะเนี่ย”
               “ผม... รู้สึกอยากจะอ้วกง่ะ...”
               “นั่นไง งั้นไปหาอะไรร้อนๆ กินก่อนไหม เดี๋ยวแม่งอ้วกแตกบนรถอีก” ผมไม่สามารถตอบคำถามพี่วอร์มเป็นคำพูดได้เลย ผมได้แต่พยักหน้ารับไป
 
               “เดี๋ยวพาไปกินเตี๋ยวน่องไก่มะระตุ๋นหลังมอแล้วกัน”
 
               พี่วอร์มพูดจบก็ดึงมือผมไปจับแล้วพาเดินออกไป ถึงแม้ว่าผมจะมึนแค่ไหนแต่ผมก็ยังมีสติมากพอที่จะรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนะครับ ต้องขอบคุณอาการมึนแอลกอฮอล์ของผมตอนนี้มากๆ ไม่อย่างนั้นพี่วอร์มต้องจับได้ว่าผมแอบเขินพี่เขาอยู่แน่ๆ ผมรู้สึกว่าที่หน้าผมมันร้อนมากก็ตอนที่พี่เขาดึงมือไปจับแล้วพาจูงมาที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนี่ยแหละ ฮือ เขินเป็นบ้าเลย
                .
               .
               .
**พี่วอร์ม**

               คนตรงหน้าไม่พูดไม่จาเอาแต่ก้มหน้าจดจ่ออยู่กับชามก๋วยเตี๋ยว ก่อนจะควานหาและตักชิ้นมะระมาวางแหมะใส่ลงในชามของผม พร้อมกับยู่ปากน้อยๆ ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้วะ ก็น้องมันน่ารักจริงๆ จะให้ผมชมว่าอะไรได้ล่ะครับ แต่ผมก็ยังไม่ลืมคำสอนของเฮียบลูหรอกนะ คำสอนที่ว่า อย่ากินกันเองในโต๊ะ เพราะไม่อย่างนั้น โต๊ะมันจะแตก! แต่เฮียมันจะรู้บ้างไหม ว่าน้องสายคุณชายผู้แสนดีของมันแอบมีซัมติงกับเดือนโต๊ะ ถึงมิชิมันจะยังไม่ได้พูดอะไร แต่ผมว่าผมก็ดูไม่ผิดหรอก
 
               “ตักมาให้ทำไม...”
               “ก็... ผมไม่ชอบมะระอะ มันขม...”
               “พลาดแล้ว นี่อะของดีจะตาย ร้านนี้ทำอร่อยไม่ขม หวานจะตาย ลองชิมดูดิ”
               “ไม่เอาอะ พี่กินเถอะครับ”
               “แหม ที่เหล้าขมจะตายแดกเอาๆ ไม่มีบ่นเลยนะ”
 
               น้องไม่ได้เถียงอะไรผมได้แต่เม้มปากแน่นมองผมอยู่สักพัก แต่พอโดนผมจ้องกลับไปก็หลบสายตาแล้วก้มหน้าชิมน้ำซุปแทน เอาจริงๆ ตอนนี้ผมก็ทำตัวไม่ค่อยถูกหรอกนะ จะพูดเพราะๆ ดีๆ กับน้อง คำพูดไอ้พวกปี 2 ก็ลอยมา แต่จะให้พูดหยาบกับน้องเหมือนที่พูดกับเพื่อนมันก็รู้สึกแปลกๆ ผมลอบมองคนตรงหน้าเป็นระยะพร้อมๆ กับจัดการก๋วยเตี๋ยวในชามตัวเอง
 
               หลังจากที่น้องตั้งใจกินก๋วยเตี๋ยวมากโดยไม่สนใจผม อยู่ๆ น้องก็เงยหน้าขึ้นมานั่งเท้าคางพร้อมกับเอามือสองข้างยืดและคลึงแก้มตัวเองเล่น ทำเพื่ออะไรวะครับ ทำไมไอติมถึงเป็นคนที่น่ารักเรี่ยราดขนาดนี้วะ ใช้คำว่าน่ารักเปลืองฉิบชาย ผมเห็นแล้วก็จะลองฟัดแก้มนุ่มๆ นั่นบ้างเหมือนกันนะ
 
               “อิ่มแล้วใช่ไหม จะได้กลับสักที ง่วง...”
               “อ่า... กลับเลยก็ได้ครับ”
 
               ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะขึ้นไปส่งน้องถึงห้องแต่ไอติมกลับยืนยันว่าไม่เป็นไรและปฏิเสธความหวังดีของผม ผมก็เลยแวะจอดส่งให้น้องลงตรงหน้าหอเพื่อขึ้นลิฟไปเองส่วนผมก็วนรถไปจอดก่อนจะขึ้นห้องตัวเองมา ง่วงฉิบชายเลยครับตอนนี้ เพราะเมื่อบ่ายที่ตั้งใจว่าจะงีบก็ดันไม่ได้งีบ แถมตอนเย็นว่าจะรีบกลับหอไปพักหลังเลิกเรียนก็ดันโดนไอ้พี่บลูลากไปก๊งอีกเนี่ย แผนรวนไปหมดเลย ไม่ได้ไปก๊งเปล่าๆ แต่ดันมีหน้าที่ต้องดูแลรับผิดชอบชีวิตคนอื่นอีก เหนื่อยชะมัด ถึงแม้ว่าวันนี้ถึงอะไรๆ จะดูผิดแผนไปหน่อย แต่ผมก็ถือว่าเป็นวันที่ดีอีกวันนึงเลยแหละ
.

.

.

To be Continue...

หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 3 :: 'สังสรรค์' UP 28-08-18]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 29-08-2018 06:41:40
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 3 :: 'สังสรรค์' UP 28-08-18]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-08-2018 08:49:25
จะไปฟัดเขา เป็นอะไรกับเขาหรอตัวเธอ 55

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 4 :: 'ละลาย' UP 31-08-18]
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 31-08-2018 13:17:54
             
:: Chapter 4 :: 'ละลาย'

**พี่วอร์ม**


               สุดสัปดาห์นี้เด็กกรุงเทพฯอย่างไอ้จัสกับมิชิไม่ได้กลับบ้านพวกผมเลยมากินมื้อเย็นด้วยกันที่ตลาดโต้รุ่ง นานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันแล้วมาทานอาหารที่นี่ ถ้าผมจำไม่ผิด ครั้งสุดถ้าก็น่าจะตอนปี 2 ที่ประชุมเรื่องกิจกรรมรับน้องละมั้ง แถมตอนนั้นนั่งกินอยู่ดีๆ หมาแถวนั้นดันกัดกันเฉย ผมนี่โดดขึ้นไปยืนบนม้าหินอย่างไว น่ากลัวฉิบชาย ก็มันเล่นขู่ฟ่อๆ น้ำลายงี้ฟูมปากอย่างกับหมาบ้า เกิดซวยโดนกัดไปด้วยนี่ไม่คุ้มนะครับ
 
               “คุณเพื่อนครับ จะแดกไรกัน กระผมอยากกินกระเพราหมูกรอบ”
               “งั้นไปกินโรงกลางก็ได้ไหมมึง”
               “ไอ้จัสครับ มาโต้รุ่ง ต้องกินหอยทอด ผัดไทดิวะ”
               “กินๆๆ เค้กกำลังอยากกินหอยทอดอยู่พอดี”
 
               มิชิยกยิ้มทันทีที่ได้หน่วยสนับสนุนอย่างเค้ก เพราะใครๆ ก็เกรงใจเค้กทั้งนั้นแหละครับ ยิ่งไอ้จัสนี่ไม่ต้องพูดถึง มันไม่เคยขัดใจเค้กสักครั้งเลย
 
               “ไรวะ กินก็กิน มีใครสนใจเกี๊ยวกรอบและลูกชิ้นทอดบ้าง”
               “เค้กๆ ขอลูกชิ้นเอ็นด้วยนะจัส”
               “ขอปลาเส้นชีสให้กูด้วย”
 
               เพื่อนตัวสูงพนักหน้าเป็นการตอบตกลงหลังจากที่ผมบอกสิ่งที่อยากกินออกไป ก่อนที่มันจะปลีกตัวออกไปซื้อของทอด มิชิเองก็ไปยืนอยู่หน้าร้านผัดไทยเรียบร้อยแล้ว ไปตั้งแต่ตอนไหนทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย
 
               “วอร์มนั่งก็ได้ เดี๋ยวเค้กไปซื้อน้ำให้” ระหว่างที่ผมยืนเกาหัวอย่างงงๆ อยู่นั้น เค้กก็พูดขึ้นมา
               “มะ... ไม่ต้องหรอก เค้กนั่งเถอะ เดี๋ยววอร์มจัดการเอง”
 
               ผมบอกกับอีกคนก่อนจะเดินไปที่ร้านน้ำ ที่นี่มีเอกลักษณ์อยู่อย่างหนึ่งคือ ทางร้านจะขายน้ำแข็งเป็นถัง ใส่ไว้ในถังพลาสติกหลากหลายสี ส่วนน้ำก็ให้ลูกค้าเลือก เนื่องจากทั้งหมดเป็นขวดแก้ว ทางร้านจึงจะเทน้ำใส่ในถังน้ำแข็งเพื่อเก็บขวดแก้วเอาไว้ ผมยังจำได้เลย สมัยปี 1 พวกผมตีกันแทบตายเพราะดันเรื่องเยอะ ผมอยากกินน้ำเขียวแต่ไอ้จัสเสือกกินน้ำเขียวแล้วจะอ้วก คุณชายมิชิก็ดันไม่กินน้ำอัดลมจะกินแต่ชาลิปตัน สุดท้ายทุกคนก็ต้องยอมจำนนเมื่อเค้กเอ่ยปากว่าอยากกินโค้ก
 
               ผมเดินกลับไปที่โต๊ะพร้อมกับถังโค้กในมือ เดินมาถึงก็พบว่ามิชิกำลังนั่งคุยกับเค้กอยู่พร้อมกับผัดไทยและหอยทอดอย่างละหนึ่งจานใหญ่ ไม่ต้องงงครับ ว่าแค่นี้พวกเราจะกินอิ่มไหม เพราะจานใหญ่ของร้านนี้คือใหญ่มากจริงๆ ครับ จานนึงกินได้ประมาณสามคน พวกผมสี่คนสั่งสองอย่างก็กินอิ่มกำลังพอดี จริงๆ มันก็มีคนที่กินเยอะกว่าชาวบ้านเขานั่นแหละครับ และคนนั้นก็คือไอ้จัสหน่วยเก็บกวาดไงจะใครล่ะ
 
               “ยุงที่นี่แม่งยังดุเหมือนเดิม กัดเจ็บฉิบชาย”
               “ใครใช้ให้มึงใส่ขาสั้นมาล่ะ”
               “ขายาวก็ไม่รอดอะมิชิ เค้กก็โดน เนี่ยกัดทะลุยีนส์เลย”
 
               เป็นยังไงล่ะ คุณชายมิชิ หน้าหงายเลยครับ ผมได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ เพราะเดี๋ยวถ้าซ้ำมันไปมันก็จะต้องไปอ้อนเค้กแน่นอน ผมไม่อยากเห็นภาพชวนคลื่นไส้แบบนั้น แค่นี้ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินอยู่กลายๆ แล้วครับ
 
               “นี่รอกูคนเดียวอ่อ? โทษทีว่ะ คนโคตรเยอะเลย”
 
               จัสพูดพร้อมๆ กับ วางถ้วยกระดาษถ้วยใหญ่ที่เต็มไปด้วยของทอดสีเหลืองทอง กลิ่มหอมฉุยลงตรงกลางโต๊ะพร้อมกับโบกมือเป็นเชิงให้ทุกคนเริ่มกินอาหารตรงหน้าได้แล้ว
 
               “พวกมึง... เดี๋ยวกินเสร็จแล้วแวะไปดูโต๊ะหน่อยไหม วันนี้น้องปี 1 น่าจะกำลังขูดโต๊ะกันอยู่”
               “ทำไมต้องไปวะ ปล่อยปี 2 มันดูไปดิ ไปเล่นโรลกันดีกว่า”
               “ไอ้จัส มึงจะไปหลีน้องน้ำขิงก็บอก”
 
               มิชิรีบดักคออย่างรู้ทัน น้องน้ำขิงที่ว่านี่คือน้องปี 1 ที่สวย หุ่นดี แถมเรียนเก่งสุดๆ ด้วย นอกจากนั้นน้องยังจะสมัครคัดตัวลีดคณะด้วย ถ้าไม่ผิดโผน้องคนนี้ก็น่าจะคว้าตำแหน่งดาวโต๊ะไปครองด้วยเช่นกัน
 
               “ไปก็ได้นะ เดี๋ยวเค้กจะได้แวะเอายากันยุงไปให้ไวท์กับน้องๆ ที่อยู่ที่โต๊ะด้วย”
 
               เมื่อเค้กเปิดประเด็นมาขนาดนี้แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ แถมยังเป็นพ่อพระใจบุญสุนทานเป็นห่วงเป็นใยน้องๆ อีก ถ้าผมขัดนี่คงกลายเป็นคนบาปสุดเลวทรามไปเลย สุดท้ายก็เลยต้องจำใจเดินตามคุณเพื่อนเข้าเซเว่นไปซื้อยากันยุงแบบซองเพื่อจะเอาไปให้พวกเด็กปี 1 เอาเถอะ แวะไปดูแล้วสวมบทพี่ว้ากสักหน่อยก็ไม่เสียหาย หึ
 
               พวกผมยังเดินไปไม่ถึงโต๊ะดีก็เห็นกลุ่มเด็กปี 1 ประมาณห้าหกคนกำลังนั่งพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะสดใสที่ดังกว่าใครเพื่อนไม่ต้องบอกผมก็จำได้ดีว่าเป็นเสียงของน้องสายผมแน่ๆ
 
               “มึงๆ เก๊กขรึมกันเร็ว”
               “สัดจัส มันจะไม่เนียนก็เพราะมึงนี่แหละ”
 
               มิชิตบหัวเพื่อนตัวโย่งไปเบาๆ นึงครั้ง ส่วนผมก็ได้แต่พยายามกลั้นขำเอาไว้แล้วกลับไปตีหน้านิ่งเหมือนเดิม ขณะที่ผมเดินรั้งท้าย เค้กก็ตรงดิ่งไปทักทายน้องไวท์ด้วยรอยยิ้มพร้อมกับแจกจ่ายซองยากันยุงให้กับน้องๆ
 
               “สวัสสดีครับ/สวัสดีค่า” เด็กๆ ปี 1 เอ่ยทักทายพร้อมยกมือไหว้พวกผมทันที มิชิไม่ได้พูดอะไร มันแค่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เค้กที่กำลังชวนน้องๆ คุย และถามไถ่ถึงความคืบหน้าของงานโต๊ะ ส่วนจัสก็ทำเป็นเข้มแล้วเดินวนดูรอบๆ บริเวณ ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันจะเก๊กทำไม ยิ่งเก๊กก็ยิ่งไม่เนียน ไอ้บ้านี่ ยังไม่ทันไรมันดันซุ่มซ่ามไปเตะขาโต๊ะจนหน้าเกือบคว่ำอีก ตลกฉิบชาย แต่ผมก็ทำได้เพียงยกยิ้มมุมปากเท่านั้น
 
               พอผมหันกลับไปก็พบว่า น้องไอติมที่นั่งดูดน้ำจากแก้วที่ถืออยู่ในมือจ้องผมตาแป๋ว แต่พอผมจ้องกลับก็หลบตาหนีประจำ อะไรของมันวะ อยากจะรู้นักว่าจะหลบ จะหนีไปได้สักแค่ไหน คนอื่นเขาก็หันไปสนใจและตั้งใจฟังคำแนะนำของเค้กหมด มีแต่น้องนี่แหละที่เอาแต่นั่งก้มหน้าดูดน้ำ เอาจริงๆ เหมือน นั่งกัดหลอดเล่นมากกว่า นี่เด็กมหาลัยหรือเด็กประถมครับ
 
               “อยากกินสเลอปี้ว่ะ...” ดูเหมือนจะได้ผล เพราะแค่ประโยคสั้นๆ ที่ออกจากปากผม ก็สามารถทำให้ไอติมเงยหน้ามามองผมอีกครั้งด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย
 
               “อ่า... พี่วอร์มรีบไปซื้อเลย ตรงโรงอาหารกลาง ผมเพิ่งไปมา ตอนนี้มันกำลังแข็ง กดง่าย กดได้เยอะเลย”
               “ไม่อะ ขี้เกียจเดิน” ผมตีหน้าตายแบบเบื่อโลกขั้นสุดใส่น้อง มีอย่างที่ไหนวะ แทนที่จะแบ่งให้ผมกินดันบอกให้รุ่นพี่อย่างผมเดินไปซื้อ ไอ้เด็กนี่
 
               คงเพราะเห็นผมขมวดคิ้วละมั้ง น้องก็เลยยื่นแก้วตัวเองส่งมาให้ผม แต่ขอโทษนะ มันยังไม่จบง่ายๆ แค่นี้หรอก ผมนั่งลงข้างๆ น้องก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
 
               “มือไม่ว่าง ไม่เห็นอ่อ?” ผมรู้ว่ามันเป็นอะไรที่โคตรอภิมหาของการแถเลยครับ ด่าได้แต่อย่าแรงนะ เพราะมือข้างนึงผมถือโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์อยู่ ส่วนอีกข้างก็ถือขวดน้ำเปล่าที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งขวดด้วยซ้ำ เรื่องแบบนี้มันด้านได้อายอดครับ คิดจะเริ่มแล้วก็ต้องไปให้สุด หลังจากได้ยินคำพูดของผมน้องก็ถึงกับนิ่งไปเลยครับ
 
               “เร็วๆ ดิ จะละลายหมดแล้วเนี่ย” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้น้องอีกจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ มาจากตัวน้องพร้อมกับอ้าปากเล็กน้อย
 
               “เอ่อ... อ้าม...” ไอติมเหวอไปพักหนึ่งก่อนจะยื่นแก้วและจับหลอดดูให้เข้าปากผม พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้น้องกำลังป้อนสเลอปี้ให้ผมอยู่ รสชาติของน้ำหวานแก้วนี้มันชื่นใจไอ้วอร์มเหลือเกิน แต่เวลาน้องเหวอนี้ตลกโคตรๆ อะ เด็กเด๋อที่อ้าปากหวอแถมปากล่างยังห้อยอีก เห็นแล้วมันน่าถ่ายรูปเก็บไว้เอาไว้ดูตอนเครียดๆ
 
               “ไปช่วยเพื่อนทำงานไป” ผมดีหน้าผากน้องไปเบาๆ หนึ่งครั้ง เพราะน้องยังคงนั่งมองผมตาปริบๆ ไอ้เด็กนี่ จะมีตอนไหนที่ไม่น่ารักน่าเอ็นดูบ้างไหมวะครับ
 
               “จะกลับกันได้ยังวะ ยุงเยอะชิบ ขากูจะพรุนแล้วเนี่ย”
               “งั้นเดี๋ยวพวกพี่ไปก่อนนะ สู้ๆ นะเด็กๆ”
               “อย่าลืมไปตามไปพวกที่มันหายหัวให้มาทำด้วย งานส่วนรวม ใครไม่ยอมมาจดรายชื่อไว้ โดนจัดหนักแน่เข้าใจไหม”
 
               ผมว่าเค้กอุตส่าห์บอกลาน้องๆ ได้ดีแล้วนะ ไอ้จัสก็ยังไม่วายเล่นใหญ่กวาดนิ้วชีหน้าพวกปี 1 แล้วพยายามกดเสียงให้โหดพูดขู่น้องๆ มันอีก โครตไม่เวิร์ค เสียงก็เป็ดฉิบชาย ยังจะกล้าเล่น ถ้าผมเป็นรุ่นน้องผมคงขำมากกว่ากลัวมันอะ แต่ถึงอย่างนั้น น้องๆ ก็รับคำกันอย่างแข็งขัน และตอนที่ผมกำลังจะหันหลังเดินออกมาก็มีสายตาหนึ่งคู่ที่มองผมอยู่ พอจ้องกลับไปเจ้าตัวก็ได้แต่ยิ้มจนตาปิดแบบเจื่อนๆ ส่งมาให้เห็นแบบนั้นก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ ผมเลยใช้ขวดน้ำในมือเคาะลงไปบนหัวไอติมหนึ่งที น้องก็ได้แต่ลูบหัวป้อยๆ ไม่ต้องมาทำสำออย ผมไม่ใจอ่อนหรอกนะ ขวดน้ำพลาสติกเคาะเบาๆ แค่นี้เอง เล่นใหญ่เป็นไอ้จัสไปได้
               .
               .
               .






**น้องไอติม**



               ผมมองตามหลังพวกพี่เขาไปอย่างงงๆ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปแบบนี้หรอ อย่างพี่เค้กน่ะ แวะมาหาเพราะเป็นห่วงก็พอจะเข้าใจได้อยู่หรอกครับเพราะนากจากจะมียากันยุงติดมือมาด้วยแล้วก็ยังนั่งพูดคุย ถามไถ่ความเป็นไปต่างๆ แต่อย่างพี่วอร์มเนี่ย เหมือนตั้งใจมาแกล้งกันชัดๆ
 
               “ไอ... ไอติม!!!”
               “หา?! อ้าวจู... ว่าไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่อะ”
               “โอ้โห เหม่อถึงขนาดไม่รู้ว่าจูมาจ้องอยู่เลยหรอเนี่ย”
               “อ่า... คิดอะไรเพลินๆ นิดหน่อยอะ”
               “คิดถึงพี่วอร์มอยู่หรอไง เห็นไวท์บอกว่าพี่ๆ เขาเพิ่งแวะมาหานี่”
 
               “อือ... เพิ่งกลับกันไปสักพักเอง แต่ไอไม่ได้คิดถึงพี่วอร์มหรอก”ผมไม่ได้โกหกจูเนียร์นะครับ เพราะผมไม่ได้คิดถึงพี่เขาจริงๆนี่ ออกแนวแอบบ่นพี่เขามากกว่า มีอย่างที่ไหนมาแย่งน้ำคนอื่นกินแบบนี้ก็ได้ด้วย มาคิดๆ ดูแล้วก็คิดเป็นโชคดีอยู่เหมือนกันนะครับ ที่จูเนียร์เพิ่งมา ไม่อย่างนั้นผมต้องโดนล้อเรื่องพี่วอร์มอีกแน่ๆ เลยอะ
 
               “เดี๋ยวพวกเราจะกลับกันแล้วนะ”
               “อ้าว... จูเพิ่งมาถึงเองอะ”
 
               “ไม่เป็นไรหรอกจู ไว้ค่อยมาช่วยวาดลายโต๊ะก็ได้ ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” น้ำขิงบอกกับพวกผมแล้วเดินไปทางหอสมุด ถึงพวกผมจะไม่ได้สนิทกับกลุ่มของน้ำขิงมากขนาดนั้นก็ตาม แต่พวกเราก็คุยกันได้หมดแหละครับ ไวท์ที่นั่งขูดโต๊ะอยู่กับพวกน้ำขิงตอนแรกก็ย้ายมานั่งข้างๆ ผมแทน
 
               “ไวท์อยากกินขนมอะ เราไปกินวาฟเฟิลกันไหม ใต้หอไอก็ได้”
               “หา? อ่อ... อื้ม เอาสิๆ” ผมไม่ได้ตั้งใจฟังที่จูเนียร์กับไวท์คุยกันเท่าไหร่ เพราะผมกำลังคิดอยู่ว่าจะซื้ออะไรไปฝากไว้ให้พี่วอร์มดี ความจริง ความคิดนี้ก็วนเวียนอยู่กับผมมาสักพักแล้วแหละครับซึ่งมันเป็นแผนของจูเนียร์ในการสืบหาเบอร์ห้องของพี่วอร์ม ผมอยากซื้อพวกขนมที่พี่เขาชอบไปให้นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมาพี่วอร์มจะยังชอบอะไรเหมือนๆ เดิมอยู่หรือเปล่า
 
               “ตกลงว่ายังไงไอ จะกลับหอเลยป่ะ”
               “ไปสิๆ ก็เดี๋ยวไปกินวาฟเฟิลกัน ไอได้ยินมาเหมือนกันแหละไวท์ ว่าร้านเปิดใหม่ใต้หอไออร่อย” ผมหันไปตอบจูเนียร์แล้วลุกขึ้นยืนปัดเศษฝุ่นที่ติดตามมืออยู่เล็กน้อยแล้วพากันรีบวิ่งไปที่ป้ายรถเมื่อเห็นว่ารถที่ให้บริการฟรีกำลังมา
 
               หลังจากที่ออกมาจากมหาลัย พวกผมก็มานั่งกันอยู่ในร้านวาฟเฟิลที่เพิ่งเปิดใหม่ใต้หอผม จริงๆ มันเป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่เน้นขายกาแฟและเบเกอรี่แต่หน้าร้านดันมีบอร์ดกระดานดำเล็กๆ เขียนเมนูแนะนำไว้ตั้งอยู่ แล้วผมเดินผ่านทุกวัน ก็เห็นว่ามีวาฟเฟิลนี่ละที่เป็นเมนูแนะนำในทุกๆ วัน สงสัยว่าจะมีแต่วาฟเฟิลหรือเปล่าที่เจ้าของร้านอยากแนะนำให้ลูกค้ากินจนเบื่อกันไปข้าง
 
               “ร้านน่ารักดีเนอะ” ไวท์เอ่ยปากชมหลังจากที่พวกเราสั่งวาฟเฟิลจานใหญ่ที่เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมกันไป
               “อือ กลิ่นเหม็นใหม่ดีเนอะ” ผมตอบก่อนจะหัวเราะออกมา ก็มันจริงนี่ครับ ร้านเขาเพิ่งเปิดใหม่กลิ่นสีก็ยังมีหลงเหลือให้ได้รู้สึกบ้าง
 
               “ไอติมก็ ฮ่าๆๆ” ไวท์หันมาหัวเราะกับผมก่อนที่จูเนียร์จะพูดแทรก
 
               “อ้าว... นั้นพี่จัสกับพี่วอร์มนี่” ผมรีบหันไปตามที่จูเนียร์บอกหลังจากได้ยินชื่อพี่วอร์มออกมาจากปากเพื่อน แล้วก็เห็นพี่วอร์มกับพี่จัสที่ดูเหมือนเพิ่งจะเดินลงมาจากหอ แต่โชคดีที่ว่าพวกผมนั่งกันอยู่ในร้านแต่พวกพี่วอร์มกับพี่จัสอยู่ข้างนอก ยังไงพวกพี่เขาก็ไม่เห็นพวกผมแน่ๆ ผมเห็นพี่จัสยืนคุยอะไรสักอย่างกับพี่วอร์มก่อนที่พี่ๆ ทั้งสองจะโบกมือลากันแล้วพี่จัสก็เดินออกไป ส่วนพี่วอร์มนั้นเดินเข้าร้านมินิมาร์มไป การกระทำทุกอย่างของพี่เขาอยู่ในสายตาผม ผมเห็นพี่วอร์มเดินไปเปิดตู้น้ำ พี่เขาน่าจะซื้อน้ำดื่มหรือเครื่องดื่มอะไรสักอย่างแน่ๆ
 
               “พี่จัสเวลาเดินข้างพี่วอร์มแล้วยิ่งตัวสูงมากกว่าเดิมอีกอะ” ไวท์เอ่ยขึ้นหลังจากที่พี่จัสและพี่วอร์มแยกกัน
               “ไอว่าพี่วอร์มต่างหากละที่ตัวเล็กอะ ฮ่าๆๆ”
               “เออ... ก็จริงอย่างที่ไอว่านะ”
               “ใช่ไหม” ผมพยักหน้าย้ำกับไวท์ก่อนจะหันไปมองพี่วอร์มที่กำลังจ่ายเงินอยู่ที่เคาท์เตอร์แคชเชียร์และผมก็เห็นพี่เขากำลังจามออกมาพอดี สงสัยเป็นเพราะผมนินทาพี่เขาแน่ๆ เลยอะ
 
               พี่วอร์มเดินออกมาจากร้านมินิมาร์ทพร้อมกับน้ำดื่มหนึ่งขวด แต่ก็ยังไม่วายจามออกมาอีกสองครั้งจนผมว่ามันไม่น่าจะเป็นเพราะที่ผมแอบนินมาเรื่องส่วนสูงพี่เขาแล้วล่ะ
 
               “ไม่น่าใช่แล้ว”
               “หืม? ไม่ใช่ที่สั่งหรอคะน้อง?” ผมเผลอบ่นออกมาเบาๆ แต่มันพอดีกับที่คุณพี่เจ้าของร้านเอาวาฟเฟิลมาเสิร์ฟที่โต๊ะพอดี
               “เอ่อ... เปล่าครับ ไม่ใช่... คือสั่งถูกแล้ว... ขอโทษครับ” ผมเอ่ยขอโทษพี่เจ้าของร้านก่อนที่พี่เขาจะพยักหน้ารับแล้วเดินกลับออกไป
 
               “เหม่ออะไรอยู่หรอไอติม” จูเนียร์หันมาถามผมพลางยิ้มเล็กน้อย มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมอยากจะหยิกเพื่อนผมคนนี้ซะเหลือเกิน หน้าตาดูมีเลศนัยมากอะ
 
               “ไอติมเป็นเหมือนไวท์เลยอะ ชอบเผลอพูดตามที่คิดเนี่ย ประจำเลย”
               “แฮ่... มันก็เผลอกันได้อะเนอะ มาๆ กินกันดีกว่า” ผมชวนเพื่อนๆ มาสนใจวาฟเฟิลตรงหน้าก่อนที่พวกเราจะสุมหัวลงมือทานวาฟเฟิลจานใหญ่ที่มีไอศกรีมถึงสามรสเสิร์ฟมาด้วย
 
               หลังจากที่พวกเราจัดการกับวาฟเฟิลกันจนเกลี้ยงจานแล้ว ไวท์ก็ขอตัวกลับหอก่อนเพราะจากหอผมกว่าจะเดินไปทถึงหอไวท์ก็ค่อนข้างไกลอยู่ อีกอย่างมันจะดึกแล้วด้วย
 
               “จูจะกลับเลยไหม เดี๋ยวไอขอเข้ามินิมาร์ทแป๊ปนึง” ผมเอ่ยถามจูเนียร์หลังจากที่เราแยกกับไวท์เมื่อครู่
               “อืม... เอาสิ จูเข้าด้วย ว่าจะซื้อขนมไปกินที่ห้องหน่อย”
               “กินขนมดึกๆ อ้วนน๊า~” ผมเอ่ยแซ็วเพื่อนรักที่เริ่มแยกเขี้ยวใส่ผม
               “ว่าแต่จู! ไอเองก็เหมือนกันนั่นละ! เชอะ! กินแล้วไม่อ้วนก็พูดได้นี่!”
               “ฮ่าๆๆ ก็ไอไม่ได้กินตอนดึกๆ แบบจูนี่”
               “ใช่หรอ~” ผมหยักไหล่ใส่เพื่อนก่อนจะเดินไปที่ตู้ไอศกรีม ใช่แล้วครับ ของโปรดของผมเลยแหละ เวลาเปิดตู้ไอศกรีมทีไรแล้วผมรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลย มันเป็นเวลาของผมเลยแหละ เวลาของไอติม
 
               “นั่นไง... ว่าคนอื่นอยู่แหมบๆ นี่มาเล็งไอติมอีกแล้ว” จูเดินตามหลังผมมาก่อนจะทักผมอย่างล้อเลียน
               “ไม่ได้หรอก... ไอติมนี่เป็นข้อยกเว้นของไอเลยนะ”
 
               “จ้าๆ” ผมไม่สนใจหรอก ก็ไอศกรีมเป็นของโปรดของผมนี่นา จริงๆ ผมก็แอบคิดนะว่าคุณแม่ผมรู้ได้ยังไง ว่าผมเกิดมาจะชื่นชอบไอศรีมเลยตั้งชื่อเล่นให้ผมว่าไอติมแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วคุณแม่เองก็ชอบกินไอศกรีมเหมือนกันก็เลยตั้งชื่อผมว่าไอติมอย่างที่ท่านชอบนั่นแหละครับ
 
               “ไอติม... ร้านนี่มีน้ำซีวิตขายด้วยอะ ไอชอบกินไม่ใช่หรอ” จูเนียร์ตะโกนบอกผมพร้อมกับหยิบขวดซีวิตออกมาจากตู้แช่ เพื่อนรักผมคนนี้ช่างรู้ใจผมจริงๆ ผมชอบดื่มพวกเครื่องดื่มวิตามินแบบนี้เพราะว่านอกจากจะให้ความสดชื่นแล้วมันยังช่วยไม่ให้เราเป็นหวัดได้ด้วย พูดถึงเป็นหวัด ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อกี้ผมเห็นพี่วอร์มจามตั้งหลายครั้ง ไม่แน่พี่เขาอาจจะเป็นหวัดอยู่ก็ได้ ถ้าได้ดื่มเครื่องดื่มพวกนี้ก็น่าจะพอช่วยได้นะ
 
               “จู...”
               “ว่าไง?”
               “จูว่า... ถ้าไอซื้อซีวิตไปให้พี่วอร์มมันจะดีไหมอะ” นึกถึงพี่วอร์มขึ้นมาแล้วผมก็ได้ไอเดียแล้วล่ะครับ
               “หืม? แล้วไอจะเอาไปให้พี่วอร์มยังไงอะ”
               “นั่นนะสิ...”
               “อืม... เอาอย่างนี้ไหม ไอก็เอาไปให้เองเลย เป็นน้องสายพี่วอร์มเอาของไปให้ไม่แปลกหรอก”
               “ก็ความคิดดีนะ... แต่พี่วอร์มไม่รับแน่ๆ เลยอะ คิดดูสิ ปกติจะมีแต่พี่สายที่เป็นคนเทคน้อง ถ้าไอของพวกนี้ไปให้พี่วอร์มก็เหมือนรุ่นน้องต้องมาคอยเทครุ่นพี่... คนอย่างพี่วอร์มอะ ไม่ยอมหรอก”
 
               “อ่า... มันก็จริง...”
               “ถ้าฝากใครสักคนไปให้ได้ก็คงจะดี”
               “แล้วจะฝากใครดี... พวกเพื่อนพี่วอร์มไหม พี่เค้ก ไม่ก็พี่จัส พี่มิชิ”
               “ยิ่งแปลกใหญ่เลยนะจู อีกอย่างพวกเขาเป็นเพื่อนกันยังไงก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนฝากมาให้อะ”
               “อืม... งั้นเอาอย่างนี้ ฝากลุงยามหน้าหอไอไว้สิ”
               “อื้อๆ ความคิดดีนะ เพราะไอเห็นลุงยามทักพี่วอร์มบ่อย น่าจะรู้จัก... แต่จะให้ยังไงดีอะ”
               “ก็ซื้อไป แล้วก็ไปฝากไว้... ตอนเช้า ไม่ก็ตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็ได้”
 
               “โอเค! ว่าแต่ ไอควรเขียนโน้ตฝากไปด้วยดีไหมอะ” ใจนึงผมก็อยากเขียนเพราะเหมือนมันจะได้เป็นอีกช่องทางที่ผมจะบอกสิ่งที่ผมไม่กล้าพูดต่อหน้ากับพี่เขาออกไปได้ด้วย แต่อีกใจนึงก็กลัวว่าจะโดนจับได้เนี่ยสิครับ
 
               “ตามกฎของคนที่แอบชอบแล้ว... ก็ควรทำนะไอติม” จูเนียร์พูดก่อนจะส่งยิ้มล้อเลียนมาให้ผม
               “ยิ้มแบบนั้นคืออะไร”
 
               “ก็ไอติมแอบชอบพี่วอร์มมาตั้งนานแล้วอะ... ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใกล้พี่เขามาอีกขั้นนึงแล้ว... ถ้าจะทำอะไรแบบนี้จูว่ามันก็ไม่ผิดหรอก ทำตามที่ใจอยากเราทำเถอะ” ผมอยากจะกอดจูเนียร์ให้แน่นๆ จริงๆ ครับ เพื่อนคนนี้ช่างรู้ใจผมไปหมดเสียทุกเรื่อง มันก็จริงอย่างที่จูเนียร์ว่า ขอได้ทำเพื่อพี่วอร์มแค่นี้ มันคงไม่ผิดหรอกใช่ไหมครับ ก็หวังว่าพี่เขาคงจะไม่รำคาญหรือรังเกียจผมหรอกนะ
 
               “อือ... เข้าใจแล้ว เดี๋ยวไอจะซื้อของพวกนี้แล้วเขียนโน้ตฝากลุงยามไว้ให้พี่วอร์ม”
               “แต่จริงๆ จูอยากจะบอกไออย่างนึงนะ”
               “อะไรหรอ”
 
               “จูอยากให้ไอเผื่อใจไว้บ้างนะ เผื่อถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ มันจะเป็นไอติมเองนั่นแหละที่จะเสียใจมาก” สีหน้าจริงจังของจูเนียร์ที่บอกผมทำเอาผมอดคิดไม่ได้ แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อผมอยากทำแบบนี้เอง แล้วอีกอย่าง ผมก็ไม่ได้หวังหรือว่าจะบอกเรื่องนี้กับใครอยูแล้ว ขอเพียงแค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วล่ะ
 
               “ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอกจู... ไออะชอบพี่วอร์มมาตั้งนานแล้ว แค่แอบชอบแบบนี้ไอก็มีความสุขแล้วล่ะ”
               “ไอติมเนี่ยน๊า ยอมใจเลย... แต่ถึงยังไงก็เถอะ จูก็ยังจะขอให้ไอสมหวังกับพี่วอร์มนะ” จูเนียร์ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมายีหัวผม
 
               “ไม่หรอก...”
               “ก็ไม่แน่หรอก... ไออะเข้าใกล้พี่เขามากขึ้นกว่าเดิมแล้วนะ อะไรก็เกิดขึ้นได้นะไอติม”
               “อือ... ขอบใจนะ แต่ขอแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ” ผมพูดไปตามที่รู้สึกจริงๆ ถึงจะเข้าใกล้พี่เขามากแค่ไหน แต่ถ้าพี่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมไปมากกว่านี้ ผมก็ขอแค่นี้ก็พอใจแล้วล่ะครับ
               .

               .

               .

               To be Continue...

 

หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 4 :: 'ละลาย' UP 31-08-18
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 01-09-2018 00:06:55
อ่านแล้วยิ้มได้ตลอดเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 5 :: 'ฝากรัก' UP 07-0-18
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 07-09-2018 14:05:45
               
               
               
:: Chapter 5 :: 'ฝากรัก'
[/b]

               หลังจากที่ไอ้จัสโทรปลุกผมตอนเจ็ดโมงกว่า ผมก็แทบจะวิ่งผ่านน้ำแล้วแต่งตัวออกมาจากหอเลย เมื่อวานจัสแวะมาที่ห้องผมแป๊ปนึงก่อนที่มันจะกลับหอตัวเองไป ทั้งๆ ที่ผมก็กำชับมันไว้ว่าให้โทรปลุกตอนหกโมงครึ่ง สรุปแล้วมันโทรมาปลุกผมตอนเจ็ดโมงกว่าครับ ผมนนี่หมดคำพูดเลย เพราะมันคนเดียวเลย ผมถึงต้องรีบวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากหอนี่ไง เรียนแปดโมงแต่ดันโทรมาปลุกผมตอนเจ็ดโมงกว่า นี่ถ้าผมมีบ้านอยู่กรุงเทพฯ แล้วมันโทรปลุกเวลานี้นะ อาจารย์คงปล่อยคลาสก่อนผมถึงมหาลัยอีกมั้ง
 
               “น้องวอร์มครับๆ” เสียงลุงยามเอ่ยเรียกผมขณะที่ผมกำลังรีบเร่งเดินไปที่ลานจอดรถ อะไรอีกวะครับเนี่ย
               “ครับลุงยาม? มีอะไรสำคัญเปล่าครับลุง พอดีผมกำลังรีบไปเรียน”

               “เอ่อ... พอดีมีคนฝากของไว้ให้น่ะ คนฝากเพิ่งออกไปไม่ถึงสิบนาทีเอง” ลุงยามบอกก่อนจะรีบวิ่งไปเปิดเก๊ะหยิบอะไรสักอย่างออกมา ก่อนจะยื่นถุงพลาสติกที่มีขวดเครื่องดื่มอยู่ในนั้นมาให้ผม
 
               “ใครอะครับ?”
               “เขาบอกว่าไม่ให้บอกว่าใครฝากมา... แต่กำชับลุงว่าต้องให้กับมือน้องวอร์มให้ได้”
 
               “อ่า... ขอบคุณนะครับลุง” ผมรับถุงพลาสติกมาจากมือลุงตามที่ลุงบอกก่อนจะรีบเดินไปที่ลานจอดรถ ถึงจะมีความสงสัยและคำถามอยู่บ้าง แต่เวลานี้ต้องรีบไปเรียนก่อนแล้วครับ ไม่อย่างนั้นสายแน่ๆ ยังไงก็ต้องไปให้ทันอาจาร์ยเข้าสอน เวรจริงๆ นี่ถ้าผมเช็คชื่อไม่ทันผมจะโทษไอ้จัสก่อนเลยเป็นคนแรก
 
               มาคิดๆ ดูแล้ว ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรหรอกครับ คิดว่าน่าจะเป็นพวกรุ่นน้องในมหาลัยสักคนที่ฝากมาให้ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยครับ พอดีผมเป็นหนึ่งในชุมนุมโฟล์คซองของมหาลัยที่มีคนชื่นชอบผลงานค่อนข้างเยอะ ผมเป็นถึงนักร้องนำของวงเลยนะครับ ไม่ได้จะหลงตัวเองอะไรหรอกนะครับ แต่เวลาไปที่ชุมนุม หรือเวลาที่พวกเราขึ้นงานทีไรของฝากพวกนี้ก็มีมาให้ผมเสมอ เพียงแต่คราวนี้เอามาฝากให้ถึงหอเลย ผมก็เดาว่าน่าจะเป็นหนึ่งในพวกนั้นแหละครับที่ฝากของมาให้ผม
 
               “เกือบไปแล้วไหมมึง”
               “เออ! เชี่ย! มึงนั่นแหละโทรปลุกกูสาย... นี่ถ้าวันนี้กูเช็คชื่อไม่ทันนะกูจะฆ่ามึงไอ้จัส” ผมหันไปด่าเพื่อนตัวสูงที่อยู่นั่งข้างๆ
               “อ่าวด่ากูอีก... กูอุตส่าห์โทรปลุก”
               “กูบอกให้มึงโทรมาปลุกกูกี่โมง?”
               “ห่า... กูก็ตื่นสายเหมือนกันป่ะวะ... ดีแค่ไหนแล้วที่กูไม่ลืมโทรปลุกมึงอะ”
 
               “ขอบใจมากเว้ยเพื่อนที่ไม่ลืมกู...” ไม่โทรมาปลุกตอนแปดโมงเลยล่ะ แหม ผมคิดต่อท้ายเองในใจครับ ขี้เกียจจะเถียงกับมันแล้ว ส่วนไอ้มิชิกับเค้กน่ะหรอครับ ผมเห็นสองคนนั้นนั่งอยู่แถวหน้าๆ ของห้องเลย ท่าทางคงจะมาเช้ากันทั้งคู่ ส่วนผมกับไอ้จัสที่มาสายก็ต้องนั่งหลังห้องไปตามระเบียบ
 
               หลังจากที่อาจาร์ยเช็คชื่อเสร็จก็เริ่มสอนต่อทันที เรียนคาบเช้าทีไร เนื้อหาที่อาจารย์สอนก็ไม่เคยเข้าหัวผมสักเท่าไหร่ ตอนนี้รู้สึกอย่างเดียวคือง่วงครับ ผมหาวไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วของเช้านี้ เพื่อนๆ หลายคนในห้องก็รู้สึกเหมือนกับผม บางคนยังดีหน่อยที่ซื้อกาแฟมานั่งดื่มในห้อง ผมก็อยากจะดื่มกาแฟร้อนๆ สักแก้วเหมือนกันครับ แต่แค่เวลาขับรถเข้ามาในมหาลัยก็แทบจะไม่ทันอยู่แล้ว จะเอาเวลาไหนไปแวะซื้อกาแฟวะครับ
 
               “ห๊าว~ ง่วงฉิบชาย ทำไมต้องเรียนเช้าด้วยวะเนี่ย” ไอ้จัสหาวออกมาก่อนจะบ่นอยู่ข้างๆ ผมพร้อมกับเอนตัวลงฟุบกับโต๊ะผมส่ายหน้าให้มันไปสองสามทีก่อนจะหันไปเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมากดเล่นแก้ง่วง
 
               แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบมือถือออกมา ผมก็เห็นถุงพลาสติกที่ผมรับมาจากมือลุงยามใต้หอที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในกระเป๋า ก่อนที่ผมจะหยิบมันออกมาดู มันเป็นขวดเครื่องดื่มวิตามินซียี่ห้อนึงที่ผมเคยเห็นวางขายอยู่ในมินิมาร์ทพร้อมกับกระดาษโน้ตสีขาวที่ติดมากับขวดด้วย
 
               ‘ถึงพี่วอร์ม... เมื่อวานผมเห็นพี่จามตั้งหลายครั้ง พี่คงจะเป็นหวัดแน่ๆ เอาวิตามินซีไปดื่มนะครับ ช่วยให้หายหวัดแถมยังให้ความสดชื่นด้วย... เช้านี้ก็ตั้งใจเรียนนะครับ’
 
               ผมอ่านข้อความบนกระดาษในใจแล้วความสงสัยก็เพิ่มมากขึ้น ใครวะครับ ชื่อก็ไม่ได้ลงไว้ จากที่อ่านแล้วน่าจะเป็นผู้ชายด้วย แต่ผมก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกครับ เพราะคนที่เคยฝากของมาให้ผมก็มีทั้งผู้หญิงแล้วก็ผู้ชายเหมือนกัน แต่ที่แปลกใจคือ คนที่ฝากสิ่งนี้มาให้ผมเนี่ยมาเห็นผมจามตอนไหนวะครับ จะว่าผมเป็นหวัดหรอ ก็ไม่นะ แล้วผมไปจามให้มันเห็นตอนไหนล่ะ
 
               “อะไรวะมึง” ไอ้จัสที่เงยหน้าจากโต๊ะมาตอนไหนก็ไม่รู้เอ่ยถามผม
               “มีคนฝากของมาให้ว่ะ”
               “เหยด... ฮ๊อตอีกแล้วเพื่อนกู! ใครอะ แฟนคลับชุมนุมมึงหรอ”
               “ไม่รู้ว่ะ... แม่งฝากลุงยามใต้หอกูมาให้อะ”
               “เฮ้ย! เดี๋ยวนี้มีไปฝากถึงหอเลยหรอวะ”
               “เออ! กูก็งงอยู่เนี่ย”
 
               “น้ำอะไรวะ?” จัสถามต่อเมื่อเห็นผมพลิกขวดเครื่องดื่มดูข้อความบนฉลาก
               “น่าจะเป็นวิตามินซีมั้ง... เหมือนกูเห็นมีขายอยู่ในมินมาร์ทอะ”
               “อ๋อ! กูเคยเห็น! ไหนเอามาลองชิมหน่อย”
 
               “เรื่อง?!” ผมรีบดึงขวดวิตามินซีนั้นเข้าหาตัวเมื่อเห็นไอ้จัสเอื้อมมือมาแย่งขวดน้ำจากผม เรื่องอะไรต้องให้มันชิมอะก ในเมื่อมีคนฝากมาให้ผม ผมก็ต้องเป็นคนกินเองดิ ความจริงไอ้จัสเองมันก็เคยได้รับพวกของขวัญของฝากอะไรแบบนี้เหมือนกันแหละครับ เป็นถึงทูตกิจกรรมของมหาลัย ถ้าพูดกันตามตรงพวกผมทั้งสี่คนจะเรียกว่ามีแฟนคลับเป็นของตัวเองทั้งหมดเลยก็ว่าได้นะครับ ส่วนมากของมิชิกับผมมักจะถูกฝากพ่วงๆ มาด้วยกัน เพราะไอ้มิชิมันเป็นมือกีตาร์วงเดียวกับผม ส่วนเค้ก รายนั้นด้วยหน้าตาไม่ต้องทำอะไรก็ฮ๊อตอยู่แล้วครับ
 
               “ขี้งกฉิบชาย! กูขอให้น้ำในขวดนั่นเป็นยาถ่าย”
               “สัด! ปากเสีย!” ผมว่ามันกลับไปทีนึงก่อนจะเปิดขวดน้ำวิตามินซีดื่ม จะว่าไปมันก็สดชื่นอย่างที่เจ้าของลายมือนั่นเขียนบอกไว้จริงๆ นั่นแหละครับ แถมยังอร่อยดีด้วย ระหว่างที่ผมกำลังจิบน้ำวิตมินซีแก้ง่วง โทรศัพท์มือถือก็สั่นขึ้นมาพร้อมกับหน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมาแสดงให้เห็นถึงข้อความที่ถูกส่งมาในโปรแกรมแชท
 
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)  : เรียนคาบเช้า ง่วงแย่เลยใช่ไหมครับ
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)  : ผมเองก็ตาจะปิดแล้วเหมือนกัน พี่วอร์มคิดเหมือนผมป่ะ คนจัดตารางเรียนนี่โหดร้ายชะมัดเลยเนอะ
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)  : สู้ๆ นะครับพี่วอร์ม อีกสักพักก็จะได้พักครึ่งแล้ว
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)  : ไปซื้อกาแฟแล้วครึ่งหลังตั้งใจเรียนด้วยนะครับ เรามาสู้ไปด้วยกันนะครับ สู้! 55555555555555555
 
               ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมข้อความไม่กี่ประโยคที่ถูกส่งมาจากคนแปลกหน้าซึ่งผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร มันกลับทำให้ผมยิ้มออกมาได้อย่างประหลาด ไม่รู้สิครับ แค่อ่านตามแล้วรู้สึกว่ามันก็น่ารักดีนะ ยิ่งอีกคนเรียกผมว่าพี่แบบนี้แสดงว่าต้องเป็นรุ่นน้องแน่ๆ ข้อความที่เขาส่งมาผมว่ามันก็ดูใสซื่อและจริงใจดีอะ อ่านทุกวันมันก็เพลินดีเหมือนกัน
 
               “เป็นไรมึง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว คุยกับสาวที่ไหนอีกล่ะ”
               “สาวที่ไหนล่ะ ไม่มีไหม ตั้งใจเรียนไปมึงอะ”
 
               “มึงไม่ต้องมากลบเกลื่อน อีกสิบนาทีก็พักแล้วไหม เดี๋ยวหลังพักกูค่อยตั้งใจ” จัสบอกกับผมก่อนจะก้มหน้าฟุบลงไปกับโต๊ะใหม่อีกครั้ง ทีเรื่องอย่างนี้นี่ไวเหลือเกิน กับเรื่องเรียนเคยจริงจังแบบนี้บ้างไหววะเพื่อน เดี๋ยวผมจะคอยดูว่าครึ่งหลังจะตั้งใจเรียนอย่างที่พูดจริงๆ หรือเปล่า
 
               จัสพุ่งตัวไปหน้าห้องตรงที่มิชิกับเค้กนักอยู่ด้วยความเร็วทันทีที่อาจารย์ปล่อยพัก คือถ้าพูดตามจริงก็คือขามันยาวไงครับ ก้าวลงบันไดทีละสองสามขั้นสบายๆ ใช้เวลาไม่นานมันก็ถึงหน้าห้องแล้ว ส่วนผมก็ได้แต่เดินเอื่อยๆ ตามมันไป ง่วงฉิบหายเลยครับ ประมวลกฎหมายที่แบกมาตั้งใจว่าจะตั้งใจเรียนตั้งใจจดวันนี้ก็ดันกลายเป็นหมอนหนุนกลายๆ ไปแทน
 
               “พวกมึง ไปหากาแฟแดกกันเถอะ”
               “เพราะมึงเลยไอ้จัส ปลุกกูสาย ไม่อย่างนั้นกูก็ได้แวะซื้อกาแฟแล้ว”
 
               “ก็ดีเหมือนกัน เค้กหิวอะ ว่าจะไปหาขนมปังกินหน่อย มิชิลุกเร็ว” ไอ้คุณชายผมทองรีบเด้งตัวขึ้นจากโต๊ะที่ฟุบอยู่ทันที ผมนี่อยากจะตบหัวมันสักที ทำตัวน่าหมั่นไส้โคตร จัสมันยืนงอแงอยู่ตั้งนานมิชิก็เอาแต่ฟุ๊บหน้าทำเป็นไม่สนใจ พอเค้กพูดเท่านั้นแหละ เงยหน้าพร้อมคว้ากระเป๋าตังค์มาเตรียมไว้เสร็จสรรพเลยนะ
 
               “จะไปก็ไปดิ กูหิวน้ำเหมือนกันอะ”
               “แล้วเมื่อกี้ใครมันบอกว่าอยากงีบวะ สองมาตราฐานฉิบหาย ทีกูชวรนี่ไม่ยอมลุกนะไอ้คุณชาย”
 
               “ก็ลุกแล้วนี่ไง มึงจะบ่นทำไมวะจัส ไปมึง” มิชิกอดคอไอ้จัสแล้วลากกันลงบันไดไปโดยผมกับเค้กได้แต่มองหน้ากันขำๆ แล้วเดินตามไป เพราะเวลาพักที่ไม่ยาวนัก พวกเราเลยตัดสินใจจะไปแค่ร้านกาแฟเล็กๆ ด้านล่างตึก หวังว่าเด็กคณะอื่นคงจะไม่พักตรงกันกับพวกผม และคนคงไม่เยอะจนเกินไปนะ ตอนนี้ร่างกายผมต้องการกาแฟมากจริงๆ
 
               ติ๊ง
 
                (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : วันนี้มีขนมปังริชคอฟฟี่กับคุกกี้คอนเฟลกที่พี่วอร์มชอบด้วย
 
               ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยทันทีที่เห็นข้อความที่ถูกส่งมา ชักจะรู้จักผมดีเกินไปแล้วมั้ง เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดถึงมันคือขนมโปรดที่ผมชอบกินแต่มันก็หาซื้อยากเย็นเหลือเกิน เพราะทางร้านไม่ค่อยอบขนมปังรสนี้ หรือบางวันต่อให้อบ ผมก็ไปไม่ค่อยจะทันหรอกครับ ขายหมดก่อนตลอดเลย ข้อความที่ถูกส่งมานั้นประจวบเหมาะราวกับรู้ว่าตอนนี้พวกผมกำลังจะไปที่ร้านนั้นยังไงอย่างนั้น
 
               “วอร์มเป็นอะไรรึเปล่า...”
               “อ๋อ เปล่าหรอกเค้ก พอดีมีพวกข้อความโฆษณาส่งมากวนใจนิดหน่อยอะ” ผมบอกปัดไปทั้งที่ในใจยังคงมีคำถามอยู่มากมาย และเมื่อเดินมาถึงที่ร้านกาแฟก็พบว่ามีคนไม่น้อยเลยที่เดินเบียนดันเพื่อเลือกดูขนมที่อยู่ในร้าน รวมถึงแถวต่อซื้อกาแฟที่ไม่ยาวมากนัก ถือว่ายังโชคดีอยู่
 
               “ไอ้จัส! สั่งคาราเมลมัคคิอาโต้ให้กูด้วย” ผมตะโกนไล่หลังเพื่อนตัวสูงไป เพราะไหนๆ เพื่อนทั้งสองก็ไปต่ออยู่ในแถวสั่งกาแฟเรียบร้อยแล้ว ส่วนผมก็เลยชวนเค้กไปเดินดูขนมอีกมุมนึง เมื่อเดินเข้ามาถึงมุมในสุดของร้านซึ่งมีโต๊ะสำหรับลูกค้าอยู่บรเวณนั้นด้วย ผมก็เจอไอติมกับเพื่อนซี้ทั้งสองนั่งเคี้ยวขนม พูดคุยหยอกล้อกันอยู่อย่างสนุกสนาน เป็นเด็กปี1 นี่มันสบายจริงๆ คงเพราะยังไม่ได้เน้นวิชาคณะด้วยแหละครับ เลยยังไม่เครียดเท่าไหร่
 
               “พี่เค้ก พี่วอร์ม สวัสดีครับ” น้องทั้งสามเอ่ยทักพวกเราเสียงใสคนที่มาพร้อมผมก็เลยตรงไปหย่อนตัวลงนั่งข้างน้องสายตัวเองทันทีก่อนจะเริ่มต้นคุยกันสองคน ทำให้ผมต้องมาคุยกับน้องสองคนที่เหลือแทน
 
               “พี่จัสกับพี่มิชิไม่มาด้วยหรอครับ” จูเนียร์เป็นฝ่ายเอ่ยถามผม เพราะส่วนมากพวกเราสี่คนก็มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด น้องคงแปลกใจที่ในวันนี้ไม่เห็นพี่สายของตัวเองทั้งสองคน
 
               “มันต่อแถวซื้อกาแฟกันอยู่อะ แล้วนี่มานั่งทำอะไรกัน”
               “จริงๆ ก็มีเรียนอะครับ ตอนพักก็เลยออกมาหาไรกิน ง่วงด้วยอยู่แต่ในห้องเรียนมีแต่หลับกับหลับ”
               “แล้วพักถึงตอนไหน”
               “ถึง... เมื่อสิบนาทีที่แล้วครับ แฮ่...” จูเนียร์ตอบและหันมายิ้มแหยๆ ให้ผม โดยคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสายผมนั้นไม่พูดกับผมสักคำ เอาแต่กิ้มหน้าก้มตาเคี้ยวขนมตุ้ยๆ มันน่าแช่งให้สำลักเหลือเกิน
 
               “แค่กๆ”
               “ไอ! กินดีๆ สิ ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้นก็ได้ไหม” จูเนียร์รีบลูบหลังเพื่อนรักทันทีพร้อมส่งแก้วนมเย็นสีชมพูตรงหน้าให้ไอติม นี่ผมต้องรู้สึกผิดไหมครับ แค่คิดเล่นๆ น้องก็ดันสำลักขึ้นมาจริงๆ เสียอย่างนั้น
 
               “กลัวใครแย่งกินหรือไง ใจคอไม่คิดจะคุยกับพี่สายตัวเองเลยใช่ไหม”
               “ง่ะ... ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ก็... ผมรีบกินจะได้รีบไปเรียนต่ออ่า...” ไอติมเงยหน้ามาตอบผมอยู่พักเดียวก็ก้มหน้ากลับลงไปจ้องเจ้าคุกกี้คอนเฟลกในถุงอีกแล้ว ในถุง บนโต๊ะ หรือบนพื้นมันมีอะไรหน้ามองมากกว่าหน้าผมตอนนี้ด้วยหรือยังไง
 
               “ไอคุยกับพี่วอร์มไปก่อนนะ จูขอเดินไปทักพี่จัสกับพี่มิชิแป๊บนึง”
               “ใครๆ เขาก็ไปทักไปคุยกับพี่สายตัวเองทั้งนั้น มีแต่คนแถวนี้...” ผมเอ่ยแซวน้องด้วยน้ำเสียงที่แอบตัดพ้อเล็กน้อย แล้วอยู่ๆ คนตรงหน้าผมก็ยื่นคุกกี้คอนเฟลกมาจ่อปากผมเฉยเลย ผมเลยเลิกคิ้วมองน้องด้วยความสงสัย
 
               “พี่วอร์มกินเร็ว...”
               “อะไร เอามาให้กินทำไม”
               “ก็... ช่วยผมกินหน่อย กินคนเดียวกินไม่หมดอะครับ” เหตุผลมันช่างตลกสิ้นดีแต่สุดท้ายแล้วผมก็งับมันมาจากมือน้อง มันเป็นคุกกี้ที่ผมชอบอยู่แล้วด้วย มีคนป้อนให้ถึงที่แบบนี้เรื่องอะไรจะปฏิเสธล่ะครับ จริงไหม
 
               “โหย ไรอะมีป้อนกันด้วย น้องไอติมไม่เห็นป้อนพี่บ้างเลย”
               “อ่า... พี่จัสก็ทานด้วยกันสิครับ” ไอติมขบริมฝีปากล่าง ก่อนจะยื่นถุงคุกกี้ไปให้ไอ้จัสที่ยืนอยู่ข้างหลังผม
 
               “โห... สองมาตรฐานกันอีกแล้ว... ทีไอ้วอร์มยังป้อนเลย พอเป็นพี่จัสนี่ยื่นถุงคุกกี้ให้เฉยๆ น้อยใจได้เปล่าเนี่ย” ไอ้จัสบ่นออกมาแต่ก็รับถุงคุกกี้มาจากน้องไอติมแล้วหยิบออกไปชิ้นนึง
 
               “อะไรไอ้จัส... มึงเป็นใครทำไมน้องต้องป้อนมึง” ผมหันไปแขวะเพื่อนกลับ
               “แล้วมึงอะเป็นอะไรกับน้องเขาหรอ น้องเขาถึงป้อนมึงเนี่ย” จัสถามผมกลับ
               “กูเป็นพี่สายน้องไอติมเว้ย...” เอาสิผมไม่ยอมแพ้มันหรอก
 
               “หรา~ กูไม่เคยเห็นพี่สายน้องสายคนไหนป้อนขนมให้กันเลย” ผมเหลือบไปมองหน้าน้องไอติมที่เริ่มยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยตัวเองแล้วทำหน้างงๆ เหมือนไม่รู้จะทำยังไงกับเหตุการ์ณนี้ ท่าทางเด๋อด๋าของน้องโคตรน่ารักเลยครับ แต่ผมจะมัวแต่มองน้องแบบนี้ไม่ได้
 
               “ถ้าอย่างนั้นมึงก็เห็นซะนะ... พวกกูนี่แหละพี่สายน้องสายกัน จะป้อนขนมกันให้มึงดู... มา! ไอติม เหลืออีกนิดนึง พี่ป้อนนะครับ อ้า~” ผมแก้ไขสถานการ์ณนี้โดยการหยิบคุกกี้ที่เหลือในถุงสองชิ้นออกมาหนึ่งชิ้นแล้วยื่นไปจ่อที่ปากน้อง
 
               “พะ...พี่วอร์ม...”
               “เอ้า! กินเร็วสิ... ช่วยกันกินจะได้หมดไวๆ ไง” ผมบอกน้องที่ทำหน้าเลิ่กลั่กก่อนจะค่อยๆ ยื่นปากเข้ามางับคุกกี้ในมือผม แต่ไอติมยังกัดไปไม่ถึงครึ่งชิ้นเลย ผมเลยต้องเอาคุกกี้ส่วนที่เหลือมาส่งเข้าปากแทน
 
               “อืม... อร๊อยอร่อยเนอะ ไอติมเนอะ” ผมหันไปบอกน้องก่อนจะยักคิ้วใส่ไอ้จัสที่กำลังมองบนใส่ผมอยู่ หน้าตาแม่งโคตรตลกอะครับ
 
               “เอาที่สบายใจเลยเว้ยเพื่อน... เฮ้อ... รำคาญ!” ไอ้จัสบ่นออกมาอีกรอบก่อนจะหันกลับหลังแล้วเดินเข้าไปหามิชิที่ยังยืนรอกาแฟอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์ ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันมามองหน้าน้องไอติมที่มองมาที่ผมตาแป๋วกับเค้กที่ส่งยิ้มแปลกๆ มาให้ผม
 
               “เค้กยิ้มอะไร” ผมเอ่ยถามเค้กที่ยิ้มค้างอยู่
               “เปล๊า~ เค้กก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยอะ” ผมส่ายหน้าเบาๆ ให้กับเค้กที่หันไปชวนน้องไวท์คุยต่อ ยิ้มแบบนั้นมันดูไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
 
               “อ่าว... เหลืออีกชิ้นกินให้หมดสิไอติม”
               “ผมอิ่มแล้วง่ะ... พี่วอร์มสนใจกินอีกชิ้นไหมครับ”
               “พี่กินไปเมื่อกี้แล้วไง”
 
               “อ่า... ทำยังไงดีอะ จะทิ้งก็เสียดาย... พี่เค้กกับไวท์สนใจไหมครับ” ผมเลิ่กคิ้วมองน้องหลังจากที่น้องพูดจบ อยู่ดีๆ ความคิดบางอย่างก็แล่นปราบเข้ามาในหัวผมมันทำให้ผมนึกถึงไลน์ปริศนานั่นที่ส่งมาหาผมเมื่อครู่ แต่ก็อย่างที่ว่านั่นละครับ คุกกี้คอนเฟลกมันค่อนข้างหาซื้อยากแล้วร้านนี้ก็ทำอร่อยด้วยมันก็คงไม่แปลกที่มีแต่คนอยากซื้อขนมนี่มากิน ถ้ากินไม่หมดก็น่าเสียดายแย่
 
               “อ่าๆ มาๆ พี่กินเองก็ได้มา... เห็นว่าหาซื้อยากหรอกนะ จะทิ้งก็เสียดาย” ผมหยิบคุกกี้ชิ้นสุดท้ายในถุงมากินก่อนที่ไอติมจะส่งยิ้มตาปิดมาให้ผมจนผมอดไม่ได้ที่จะยีผมน้องเล่นอย่างหมั่นเขี้ยว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าน้องสายผมคนนี้น่ารักมากจริงๆ
 
               “จู... ไวท์... ขึ้นห้องเรียนกันเถอะ เข้าช้ามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วอะ”
               “นานขนาดนั้นแล้วหรอ งั้นรีบไปกันเถอะ ไวท์ต้องไปตามหาคนให้ยืมเลคเชอร์อีกสิเนี่ย ฮือ”
               “ผมไปก่อนนะครับพี่วอร์ม...”
               “อือ... ตั้งใจเรียนล่ะ อ้อ! แล้วก็ขอบใจสำหรับคุกกี้นะ” ผมยกยิ้มให้น้องเล็กน้อยก่อนที่น้องทั้งสามคนจะรีบวิ่งขึ้นบันไดไปทันที น้องไวท์นี่ก็ตลกดีเหมือนกันนะครับ ผมได้ยินเค้กเคยเล่าให้ฟังว่าจริงๆ แล้วน้องค่อนข้างเป็นเด็กเรียนเลยล่ะ แต่ว่า ถ้าเป็นเรื่องเพื่อน หรือเรื่องขนมและของกินอร่อยๆ น้องก็จะให้ความสำคัญไม่แพ้เรื่องเรียนเลย ท่าจะจริงอย่างที่เค้กว่า
 
               พวกผมเองหลังจากที่ได้กาแฟและขนมแก้ง่วงคลายหิวกันแล้วก็พากันเดินกลับขึ้นห้องเรียน ผมกับไอ้จัสก็รีบโกยของย้ายไปนั่งข้างหน้ากับเค้กและมิชิทันที มันมีที่ว่างอยู่ครับแต่ที่ย้ายมานั่งตรงนี้ตั้งแต่แรกไม่ได้ก็เพราะตอนที่ผมมาถึงอาจารย์เริ่มสอนไปแล้ว
 
               เอาล่ะ คราวนี้ผมจะตั้งใจจดแล้วครอบครัวผมจะต้องไม่แตกแยก คือมันเป็นวิชากฎหมายครอบครัวและมรดกน่ะครับ ในหมู่นักศึกษาก็เลยมักจะพูดทีเล่นทีจริงกัน สำหรับคนที่ทำข้อสอบไม่ได้หรือสอบไม่ผ่านว่าครอบครัวแตกแยก ผมเปิดประมวลกฎหมายและหยิบโพสอิทกับปากกาขึ้นมาเตรียมพร้อมแต่อาจารย์ยังไม่มาซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ โทรศัพท์มือถือของผมสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงอย่างต่อเนื่องก็เลยต้องหยิบขึ้นมาดูอย่างเสียไม่ได้
 
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)  : พี่วอร์มอาจารย์เข้าสอนรึยังครับ
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)  : ผมขอโทษทีรบกวนเวลาเรียนของพี่
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)  : แต่ขอผมบ่นหน่อยเถอะ ทำไมคนบางคนถึงทั้งกวนประสาทแล้วทำอะไรได้หน้าเฉยขนาดนั้นอะ
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)  : อ่านแล้ว? แสดงว่ายังไม่เรียนหรอครับ ช่างเถอะ ขอผมบ่นต่อก่อน
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)  : พี่เคยเจอคนที่ทั้งกวนประสาททั้งขี้เอาแต่ใจไหม แบบทำอะไรไม่คิดจะปรึกษาหรือถามคนอื่นก่อนเลยอะ ว่าเขาโอเคกับการกระทำของตัวเองด้วยหรือเปล่า บอกตรงๆ ว่าผมโคตรหงุดหงิดเลย หงุดหงิดเขาที่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ แต่ผมก็หงุดหงิดตัวเองมากกว่า ทำไมต้องไปเขินกับการกระทำบ้าของเขาด้วยก็ไม่รู้ คนๆ นึงมันจะทำให้คนอื่นใจสั่นได้ขนาดนี้เลยหรอ ชักจะอันตรายเกินไปแล้ว เฮ้อ....
 
               อะไรของมันวะครับ ตอนแรกก็เหมือนจะเกรงใจที่มารบกวนเวลาเรียนของผมอยู่นะ แต่ไปๆ มาๆ ขอบ่นก่อน ขอกันดื้อๆ แบบนี้ก็ได้หรือไงวะ บ่นเสร็จแล้วก็ไปง่ายๆ เลย เห็นผมเป็นอะไรวะ แล้วผมก็บ้านั่งอ่านตามที่มันบ่นมาอีก ไม่รู้ใครบ้ากว่ากันกันแน่ ขยันเรียกร้องความสนใจเหลือเกิน ผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันนะที่การเรียกร้องความสนใจของเจ้าของไลน์ปริศนานั่นมันดันใช้ได้ผลกับผมด้วยเนี่ยสิ ตามอ่านมาทุกวันจนกลายเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้วสิ ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันนะว่าเขาเป็นใคร แต่ถ้าจะให้พิมพ์ตอบกลับไปผมว่ามันก็ไม่ใช่อะ ก็หวังว่าผมคงจะได้ทำความรู้จักกับเขามากขึ้นโดยผ่านตัวหนังสือและเรื่องราวที่เขาถ่ายทอดมาก็แล้วกัน

.

.

.

To be Continue...



.............................................................


ขยันแกล้งน้องเหลือเกินนะคะพี่วอร์ม > <
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 5 :: 'ฝากรัก'] UP 07-09-15
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 08-09-2018 07:38:36
เด็กๆนี่สดใสจังค่ะ อยากกลับไปเป็นเด็กมั่ง ^^
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 5 :: 'ฝากรัก'] UP 07-09-15
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-09-2018 00:27:21
เอ็นดูน้องไอ บ่นใสเขาเฉย 5555
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 6 :: 'เป็นใจ'] UP 14-09-15
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 14-09-2018 15:18:41

 
:: Chapter 6 :: 'เป็นใจ'
[/b]



**พี่วอร์ม**


               “วอร์ม... ไอ้วอร์ม... เหม่อไรอยู่วะ... กูเรียกตั้งนาน”


               “เปล่าๆ ไม่มีไร... แล้วมึงเรียกไม”


               “เย็นนี้ไปเดินห้างกัน เนี่ยเมื่อกี้กูชวนมิชิกับเค้กแล้ว...” จัสเอนตัวมาหาผมก่อนจะวางแขนไว้บนไหล่ผม องศามันช่างพอดีเสียเหลือเกิน สบายเลยนะมึง


               “ไปห้างอีกแล้ว... ไปทำไรบ่อยๆ วะ”


               “วีคหน้าไปรับน้องแล้ว... กูว่าจะไปหาซื้อของใช้หน่อยว่ะ”


               “เซเว่นใต้หอมึงไม่มีหรอ... ถ่อไปตั้งไกล”


               “เซเว่นมีไนกี้ให้กูซื้อไหมล่ะครับ แหม มึง”


               “แล้วก็ไม่บอกให้เคลียร์ว่าจะไปซื้ออะไร... เออๆ ไปก็ไป... ได้ข่าวว่าลดราคาอยู่” ผมตอบตกลงทันทีครับ เอาจริงๆ ก็อยากได้รองเท้าใหม่อยู่เหมือนกัน แว่วๆ จากที่ได้ยินคนในชุมนุมพูดว่าช่วงนี้กำลังลดราคาอยู่ด้วย จัดสักหน่อยก็ไม่เสียหายครับ


 
              (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : ขอบคุณที่ยอมอ่านที่ผมบ่นนะครับพี่วอร์ม ได้ระบายแล้วดีขึ้นเยอะเลย เมื้อกี้ผมอึดอัดจะแย่...
              (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : อ้อ! ลืมบอก พี่วอร์มตั้งใจเรียนด้วยนะครับ
 
               คนเรา ยังจะมาสั่งให้ตั้งใจเรียนอีก ได้ข่าวว่าเป็นคนก่อกวนผมแท้ๆ นะครับเนี่ย ไม่รู้ว่าไอ้บ้านั่นที่เจ้าของไลน์นี่บ่นถึงมันทำอะไรให้โมโหนักหนานะครับ แต่ผมไม่ใช่ที่ระบายของมันนะโว้ย ผมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะปิดโทรศัพท์แล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกงเพื่อหันไปตั้งใจเรียนต่อ ส่วนไอ้จัสก็ เริ่มเข้าโหมดประหยัดพลังงานตามระเบียบ นี่ขนาดนั่งหน้าห้อง ไหนใครบอกว่าครึ่งหลังจะตั้งใจเรียนยังไงวะ



               .
               .
               .




**น้องไอติม**



               “เร็วเนอะอาทิตย์หน้าไปรับน้องแล้วอะ” จูเนียร์บ่นขึ้นมาระหว่างที่กำลังเดินกลับหอกันอยู่ เมื่อกี้ผมกับจูเนียร์เพิ่งแยกกับไวท์หลังจากที่ไปจัดหนักสเต็กจานใหญ่กันมา อิ่มจนจะเดินแทบไม่ไหวแล้วครับ
 

               “อือ... ไวเนอะ”


               “ตื่นเต้นอะ! ไม่รู้จะโดนรับน้องอะไรบ้าง... พี่มิชิกับพี่จัสบอกเมื่อตอนเช้าที่เจอกันว่าให้เตรียมตัวแล้วก็เตรียมใจด้วย... ไม่รู้ว่าขู่เล่นๆ หรือว่าขู่จริงๆ”

 
               “อือๆ” ผมตอบไปแค่นั้นไม่ใช่ว่าไม่ได้สนใจที่เพื่อนบอกนะครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกง่วงมากๆ พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนโดยอัตโนมัติเลยครับ


               “ไอ~ ฟังจูอยู่รึเปล่าเนี่ย... อย่าเพิ่งหลับนะ ยังเดินไม่ถึงหอเลย”


               “ฮือ ง่วงอะจู” ผมซบหน้าลงบนไหล่เพื่อนแต่ขาก็ยังเดินไปด้วย อยากจะรู้เหลือเกินว่าสเต็กไก่สไปซี่ที่กินเข้าไปนั่นแอบใส่ยานอนหลับมาให้ผมด้วยหรือเปล่า ทำไมมันถึงได้ง่วงแบบนี้นะ

 

               ปิ๊น! ปิ๊น! ปิ๊น!
 


               อาการที่ง่วงๆ อยู่เมื่อกี้หายทันทีเลยครับ เพราะอยู่ๆ ก็มีรถยนต์คันโตมาบีบแตรใส่พวกผมแถมยังขับชะลอมาจอดข้างพวกผมอีก ว่าแต่เป็นใครกันนะ
 

               “จูเนียร์! ไอติม! พี่เองๆ” คนบนรถลดกระจกลงก่อนจะเอ่ยทักพวกผมสองคน เจ้าของรถคนนี้คือพี่จัสนี่เอง เคยเห็นแต่ตอนเดินไปเดินมาในมหาลัยครับไม่เคยเห็นตอนพี่เขาขับรถสักเท่าไหร่


               “อ่า... พี่จัสสวัดดีครับ” พวกผมเอ่ยทักทายพี่จัสอีกครั้ง ถึงแม้วันนี้พวกผมจะเจอพวกพี่ๆ เขาเมื่อเช้าไปแล้วก็เถอะ แต่เจอหน้ากันตอนไหนผมก็ทักตอนนั้นแหละครับ การทำความเคารพรุ่นพี่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่ครับ


               “ไปไหนกัน แล้ว... ไวท์ไม่มาด้วยหรอ ปกติเห็นตัวติดกันสามคนตลอด...”


               “เพิ่งกินข้าวเสร็จครับ ส่วนไวท์กลับหอไปแล้วครับพี่จัส” จูเนียร์หันไปบอกกับพี่จัสที่พยักหน้ารับรู้


               “แล้วนี่จะกลับหอกันหรอ... อยู่หอไหนอะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” พี่จัสเอ่ยชวน


               “โหย หอจูอยู่ข้างหน้านี่เองเดินไม่กี่ก้าวก็จะถึงแล้ว... พี่จัสไปส่งไอติมแทนได้ไหมครับ ไอติมต้องเดินไปอีกหน่อย... จูขี้เกียจเดินไปส่งไอแล้ว” จูเนียร์พูดต่อยืดยาวจนผมต้องตีแขนเพื่อนไปทีนึง

 
               “นี่แหน่ะ! จูจะเดินไปส่งไอทำไมล่ะ! ไม่ต้องหรอก... พี่จัสด้วย ไม่เป็นไรหรอกครับ ไอเดินกลับเองได้”


               “ก็ไออะ ทำท่าจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ เดินกลับไปเองคนเดียวกลัวจะโดนรถเฉี่ยวปลิว ตัวยิ่งผอมๆ อยู่”


               “จูก็พูดซะเวอร์เลย! ไอกลับเองได้ ไม่ถึงขนาดเดินหลับขนาดนั้นหรอก แค่กินอิ่มแล้วมันง่วงเฉยๆ ง่ะ”

 
               “อ่าๆ ไม่ต้องเถียงกันๆ เอางี้ เดี๋ยวพี่ไปส่งไอติมที่หอเอง เกิดเป็นอะไรไปแล้วไอ้วอร์มจะมาเกรี้ยวกราดใส่พี่ โทษฐานที่เจอน้องระหว่างทางแล้วไม่พาไปส่งหอ... ว่าแต่ไอติมอยู่หอไหนล่ะ” พี่จัสถามต่อแต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ เพื่อนผมก็แย่งตอบไปก่อนเสียแล้ว

 
               “ไอก็อยู่หอเดียวกับพี่วอร์มนั่นแหละครับ”


               “เฮ้ยจริงปะ?! โห พอดีเลยเนี่ย พี่กำลังจะกลับไปที่หอมันอยู่พอดี คือมันลืมของไว้ว่าจะเอาไปให้มันด้วย... ดีเลยพี่จะได้ฝากไอติมเอาขึ้นไปให้มันด้วย พี่ขี้เกียจวนหาที่จอดรถแล้ว” พี่จัสรีบกวักมือเรียกให้ผมขึ้นรถโดยมีจูเนียร์ช่วยเปิดประตูรถให้อย่างรู้งาน

 
               “โชคดีนะไอ” จูเนียร์กระซิบบอกผมขณะที่ผมกำลังก้าวขึ้นรถ แถมยังขยิบตาให้ผมด้วย จะอะไรขนาดนั้นอะครับเพื่อน


               หลังจากที่ผมขึ้นรถพี่จัสมาแล้วร่ำลากับจูเนียร์เรียบร้อยแล้ว พี่จัสก็มาส่งผมที่หน้าหอ พร้อมกับฝากของเอาไปให้พี่วอร์มกำชับมาว่า ชั้น5 ห้อง 509 แล้วไม่นานลิฟท์ก็มาหยุดที่ชั้น5 ตึกเดียวกับที่ผมพักอยู่นี่ละครับ

 
               “ฮัลโหลจู... ช่วยด้วย”
               (ทำไม เกิดอะไรขึ้น)
               “ก็พี่จัสฝากของให้ไอเอาไปพี่วอร์มที่ห้องอะ...”
               (อ้าว! ไอก็เอาไปให้พี่วอร์มสิ)
               “ไม่กล้าเคาะห้องพี่วอร์มอะ... จูว่าไอควรไลน์ไปบอกพี่วอร์มให้ลงมาเอาของข้างล่างดีไหม”
               (แล้วตอนนี้ไออยู่ไหน)
               “หน้าห้องพี่วอร์ม...”
 


               แกร๊ก!


 
               เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งกันเลยอะครับ ผมเดินวนไปมาอยู่หน้าประตูห้องพี่วอร์ม เพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงจนโทรหาจูเนียร์เพื่อปรึกษาเรื่องนี้ แล้วอยู่ดีๆ พี่เขาก็เปิดประตูออกมาเสียอย่างนั้น

 
               “อ้าว! ไอติมอยู่ชั้นนี้หรอ”


               “เอ่อ... คือ... ฮัลโหลจูแค่นี้ก่อนนะเดี๋ยวไอโทรกลับ” ผมหันไปบอกกับเพื่อนในสายก่อนจะกดตัดสายทิ้งแล้วหันไปมองหน้าพี่วอร์มที่เปิดประตูห้องค้างไว้
 

               “คือเมื่อกี้ผมเจอพี่จัสก่อนกลับเข้ามาในหออะครับ แล้วพี่จัสเลยขับรถมาส่งผมที่หอ... แล้วพี่จัสก็ฝากของมาให้พี่วอร์มครับ” ผมไม่รู้จะพูดยังไงก็เลยพูดตามที่คิดเอาไว้ แต่มันดูเหมือนผมกำลังท่องบทอะไรสักอย่างอยู่เลย พี่เขาแค่ถามว่าผมอยู่ชั้นนี้รึเปล่าแต่ผมกลับตอบรัวกลับไปแบบนั้น
 


               “อ้อ! ก็ว่าแม่งหายไปเลย อือ... พี่โทรไปบอกให้มันเอาของมาให้เองแหละ พอดีลืมไว้ในรถมันอะ กำลังจะลงไปดูเลยว่ามันมารึยัง... แล้วนี้มันใช้ให้ไอติมเอามาให้พี่หรอ” ประโยคแรกเหมือนพี่วอร์มน่าจะบ่นถึงพี่จัส ส่วนประโยคหลังนั้นพูดกับผม
 

               “อ่า... พี่จัสแค่ฝากมา ไม่ได้ใช้อะไรเลยครับ” ถึงพี่จัสจะใช้ผมก็เต็มใจเอาขึ้นมาให้พี่อยู่แล้ว ประโยคหลังนี้ผมได้แค่คิดต่อท้ายในใจเอาเท่านั้น
 

               “ก็เหมือนกันนั่นแหละ! ดีนะที่มันขับรถมาส่งไอติมที่หอ ไม่อย่างนั้นจะโทรไปด่ามันเดี๋ยวนี้แหละ”


               “พี่จัสคงเห็นว่าผมอยู่หอเดียวกับพี่วอร์มเลยฝากผมเอามาให้น่ะครับ พี่วอร์มอย่าไปด่าเพื่อนนะ”


               “อืม รู้แล้ว... ยังไงก็ขอบใจมากนะ... ว่าแต่ แล้วเราพักอยู่ชั้นไหนอะ”


               “ชั้นเก้าครับ”


               “ชั้นเก้าหรอ... แบบนี้ก็น่าจะเคยได้ยินตำนานอะดิ”


               “ตะ...ตำนานอะไรครับ” พี่วอร์มอย่ามาพูดเล่นแบบนี้ดิ ฮื่อ ผมเริ่มใจไม่ดีแล้วนะ


               “อ้าว ไม่รู้หรอกหรอ... เขาาว่าชั้น 9 อะ... มีคนเคยเจอ...”

 
               “พี่วอร์มง่า... อย่าแกล้งผมดิ! ไม่เอาแล้ว ผมกลับห้องดีกว่า ไปก่อนนะครับ” ผมรีบเดินออกมาจากหน้าห้องพี่วอร์มแล้วไปที่ลิฟท์ทันที ถึงจะได้รู้ว่าพี่วอร์มพักอยู่ห้องไหนแล้วก็เถอะ แต่มันคุ้มไหมเนี่ยกับการโดนพี่เขาแกล้งกลับมานี้ ทำไมไอติมต้องมาเจอคนแบบนี้ด้วยเนี่ย แล้วจะไม่ให้เจอกันก็ไม่ได้อีก เป็นพี่น้องสายเดียวกันแถมพี่วอร์มดันเป็นคนที่ทำให้ผมละสายตาจากพี่เขาไม่ได้อีก มันจะดีหรือไม่ดีกันแน่ล่ะครับเนี่ย







……



 
               วันนี้ผมตื่นเช้ามาเรียนด้วยหน้าตาง่วงสุดๆ แทบจะหลับตาเดินอยู่แล้วครับ ใครเห็นก็คงคิดว่าผมต้องอดหลับอดนอนมาแน่ๆ ทั้งๆ ที่ผมก็นอนนะครับ ไม่ได้ปั่นงานจนดึกหรือตั้งใจโต้รุ่งอะไรทั้งนั้น แต่มันหลับไม่สนิทเพราะความหวาดระแวงมากกว่า
 

               “ทำไมหน้าตาเหมือนไม่ได้นอนมาเลยอะไอติม” ไวท์เอ่ยทักผมหลังจากที่ผมเข้ามานั่งในห้องเรียนในคาบเช้าของวันนี้ จะบอกยังไงดี คือเมื่อคืนหลังจากที่ผมเอาของที่พี่จัสฝากไว้ไปให้พี่วอร์มแล้วโดนพี่วอร์มแกล้งหลอกเรื่องผีมาเนี่ย ผมก็นอนหลับไม่สนิทเลยอะ น่าโมโหชะมัด คนอะไรจะขี้แกล้งได้ตลอดเวลาขนาดนี้
 

               “อือ... ไอนอนไม่ค่อยหลับอะไวท์”


               “เป็นอะไรเปล่าไอ ทำไมนอนไม่หลับอะ” จูเนียร์หันมาถามผมต่อ


               “อย่าให้ไอเล่าเลย... นึกแล้วก็โมโห”


               “ทำไมอะ”


               “ก็พี่วอร์มอะดิ”

 
               “อ้าว... ไอไปเจอพี่วอร์มมาตอนไหน” ไวท์รีบถามผมต่อแต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรอาจารย์ก็เดินเข้ามาพอดี ทุกคนเลยเลิกสนใจเรื่องผมแล้วหันไปนั่งรอฟังอาจารย์แทน
 

               ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จริงๆ ก็รู้สึกโล่งอกที่ไม่ต้องตอบคำถามเพื่อนเพราะผมเองก็ไม่รู้จะเริ่มอธิบายยังไงเหมือนกัน แต่เมื่อคืนผมนอนหลับไม่สนิทจริงๆ นะครับ ขนาดตอนอาบน้ำได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากข้างนอกผมก็แทบไม่อยากอาบต่อแล้ว ฮื่อ พี่วอร์มจะรู้บ้างไหม ว่าทำให้ผมต้องลำบากขนาดนี้อะ




               .
               .
               .




**พี่วอร์ม**


               “ฮัดชิ่ว!”


               “อ้าวไอ้วอร์ม มึงไม่สบายหรอ”


               “หึ เปล่าอะ...” ผมใช้นิ้วชี้ถูจมูกไปมาเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามมิชิ ไม่รู้เป็นอะไรช่วงนี้จามบ๊อยบ่อย ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ป่วยหรือไม่สบายอะไรตรงไหนเลยด้วยซ้ำ

 
               “มีคนคิดถึงเปล่ามึง” จัสถามต่อ


               “บ้าเหอะ”


               “จามครั้งเดียว ไม่น่ามีคนคิดถึงหรอกจัส... แบบนี้น่าจะมีคนนินทาวอร์มมากกว่า” เค้กหันมาอธิบาย ตอนนี้มีผมกับจัสที่นั่งข้างกันส่วนแถวหน้าผมก็คือเค้กกับมิชิที่นั่งอยู่ด้วยกัน วันนี้ดีหน่อยที่เป็นห้องใหญ่เรียนรวมกันหลายคน เค้กเลยจองที่ไว้ให้พวกผมได้ ถึงแม้จะไม่ได้นั่งติดกันก็เถอะ แต่ผมว่านั่งแบบนี้ก็พูดคุยกันได้สะดวก ดีกว่านั่งเรียงกันสี่คนเสียอีก

 
               “ใครมันมานินทาไอ้คุณวอร์มสุดฮ๊อตดีกรีน้องร้องนำโฟล์คซองของมหาลัยได้วะ” มิชิหันมาแซ็วผมต่อ


               “มันเกี่ยวไหมวะเนี่ย” ผมตอบกลับไปก่อนจะส่ายหน้าให้ไอ้มิชิที่ชอบสันนิษฐานมั่วไปเรื่อย แต่ด้วยความหน้าตาดีและมาดคุณชายของมัน เวลาพูดอะไรก็ดูจะมีสาระและน่าเชื่อถือไปเสียหมด ผิดกับไอ้จัสที่ต่อให้มันจะจริงจังสักแค่ไหน ก็ดูเป็นเรื่องเล่นๆ และหาสาระไม่ค่อยจะได้

 
               ไม่นานนักมือถือของผมก็สั่นครืดๆ อยู่ในกระเป๋าจนต้องหยิบขึ้นมาดู แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด มันคือข้อความจากเจ้าของไลน์ปริศนาที่ไลน์หาผมทุกวันนั้นแหละ

 
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : พี่วอร์มไปเรียนแล้วใช่ไหมครับ... คาบเช้านี้ก็ตั้งใจเรียนนะ
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : (สติ๊กเกอร์แมวชูป้ายสู้ๆ)
 

               ไอ้หมอนี่ท่าทางจะมีเรียนเช้าเหมือนกัน ส่งมาหาผมเหมือนรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ตลอดเลย

 
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับเลยอะ
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : พี่รู้ไหม... มีคนกวนประสาทผมเมื่อคืนจนทำให้ผมต้องหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืนเลยอะ วันนี้ผมโดนเพื่อนทักว่าเป็นหมีแพนด้าด้วยอะ เสียความมั่นใจชะมัด
 

               ผมแอบขำกับข้อความนั้น แล้วก็มานั่งสงสัยว่าทำไมต้องมาขำกับเรื่องของมันด้วยวะ แค่นอนไม่หลับแล้วโดนเพื่อนแซ็วว่าเป็นหมีแพนด้าแค่นี้ก็ต้องรายงานผมด้วยหรือยังไง นี่ผมเป็นผู้ปกครองของมันหรอวะครับ
 

               “เอาอีกแล้ว มึงนั่งยิ้มกับโทรศัพท์อีกแล้ว... มึงมีความลับอะไรกับกูเปล่าวะวอร์ม” ไอ้จัสชะโงกหน้ามาถามผม ดีนะที่ผมปิดโทรศัพท์ทัน ทำไมช่วงนี้มันถึงใส่ใจผมจังเลยอะ

 
               “มีก็เชี่ยแล้ว ไม่มีอะไรทั้งนั้นอะ... ว่าแต่มึงเถอะ เมื่อคืนกูก็รอมึงไปสิ ไหนว่าจะกลับเอาของมาให้กู”


               “อ้าว... กูฝากน้องไอติมไปให้มึงแล้วนี่”


               “เออ! กูได้แล้ว... แต่มึงใช้น้องเอาของมาให้กูก็ไม่ยอมบอกก่อน กูก็รอไปสิ นึกว่ารถคว่ำตายอยู่มหาลัยแล้ว”
 

               “ไอ้เวรนี่ปากหมาแล้วไหม! ก็กูเจอน้องไอติมกับจูเนียร์ระหว่างทาง... แล้วก็เพิ่งรู้ด้วยว่าน้องอยู่หอเดียวกับมึงพอดี นี่อุตส่าห์อาสาขับรถไปส่งน้องที่หอเลยนะ” จัสพยายามอธิบายอย่างยาวเหยียด ผมไม่ได้อยากรู้สักหน่อยว่ามันไปเจอกับไอติมได้ยังไง คือเอาจริงๆ ถ้ามันจะฝากน้องมาก็ควรจะบอกผมสักนิดนึงไหม


               “แล้วก็ใช้ให้น้องเอาของขึ้นมากูเลยว่างั้น”


               “ก็กูขี้เกียจวนหาที่จอดรถ”


               “ก็ถือโอกาสใช้ไอติมเอาของขึ้นมาให้กู?”


               “เอ๊ะ! ไอ้นี่! ใช้นิดใช้หน่อยไม่ได้หรือไง?! หวงน้องหรือไงวะ?!” ผมแค่จะแกล้งแหย่ไอ้จัสเล่นเฉยๆ เองครับ แต่ไอ้ประโยคสุดท้ายที่มันพูดทำเอาผมขมวดคิ้วตาม แล้วผมจะไปหวงน้องทำไมล่ะ

 
               “หวงเหิงอะไรมึง! พูดจาเลอะเทอะ แต่ถึงจะหวงก็ไม็แปลกเปล่าวะ... ก็นั่นน้องสายกู...”


               “ให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะมึง กูเห็นมึงชอบไปกวนตีนน้องบ่อยๆ สักวันน้องไอติมอาจจะประสาทเสียเพราะมีพี่สายกวนตีนแบบมึงก็ได้” ผมว่าผมพูดกับมันดีๆ แล้วนะ ยังจะวกกลับมาด่าผมอีก ช่างเป็นเพื่อนที่แสนดีจริงๆ
 

               “ขอบใจมากเว้ยมึง... รู้สึกเป็นเกียรติสัดๆ เลย”
 

               “นี่ไง ขาดคำที่ไหน เหอะ!” ไอ้จัสส่ายหัวให้ผมสองสามทีก่อนจะยกแขนขึ้นมาท้าวคางไว้ เอาแล้วครับ ผมว่ามันเริ่มจะเข้าเฝ้าพระอินทร์อีกแล้วแน่ๆ ตั้งใจเรียนได้ไม่นานหรอกครับเพื่อนคนนี้ ความจริงแล้ว จะว่าแต่จัสก็ไม่ได้หรอกนะครับ เพราะตอนนี้ผมเองก็เริ่มรู้สึกง่วงๆ แล้วเหมือนกันอะ วิชาที่อาจารย์สอนคาบนี้เป็นเรื่องทฤษฎีล้วนๆ เลยครับ ไม่มียกอย่างคดีหรือเรื่องเล่าใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งเวลาเช้าๆ เจอแอร์เย็นๆ แบบนี้ด้วยแล้วละก็ มีผ้าห่มกับหมอนสักใบนี่สวรรค์เลยครับ

 
               “ทำไมไม่เอามา... อุตส่าห์จะเอามาใช้คาบเช้านี้อะ”
 

               ผมที่กำลังเคลิ้มๆ จะหลับก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเค้กทำเสียงแข็งใส่ไอ้มิชิที่นั่งอยู่ข้างหน้าผมกับจัส แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรสองคนข้างหน้าหรอกครับ ได้แต่นั่งมองเพื่อนทั้งสองคุยกัน แต่ดูเหมือนจะเถียงกันเองสองคนมากกว่า เพราะเรื่องที่เค้กกับมิชิคุยกันมันไม่มีเรื่องผมกับจัสเกี่ยวด้วยสักนิด
 

               ยอมรับว่าแอบส่อง และแอบฟังด้วยความใส่ใจล้วนๆ
 

               “ก็บอกแล้วไงว่าลืมหยิบใส่กระเป๋ามา... วางไว้บนโต๊ะที่ห้องอะ เมื่อเช้าก็รีบออกมารับเค้กที่หอเลยลืมเรื่องปากกาไปเลย...”


               “นี่จะบอกว่าเป็นความผิดเค้กที่เร่งชิใช่ป่ะ”


               “เปล่า... ไม่ได้จะหมายความว่าอย่างนั้น”


               “อืม...”


               “โธ่ เค้ก ชิขอโทษ... เดี๋ยวเลิกคลาสนี้แล้วจะขับรถกลับหอไปเอามาให้เลย”


               “หมดคลาสนี้ก็ไม่มีเรียนแล้วป่ะ วันนี้อะ”


               “อ่า... งั้นเดี๋ยวเลิกเรียนกลับถึงห้องแล้วจะเอาใส่กระเป๋าไว้เลย”


               “ก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้ว... นี่ต้องให้เตือนทุกเรื่องเลยหรือไง... ถ้าพรุ่งนี้ลืมอีกนะน่าดู”

 
               ผมเห็นเค้กหันมาชี้หน้าคาดโทษไอ้มิชิที่ทำหน้าตาน่าสงสารใส่เค้กอย่างสุดความสามารถของมัน ไม่รู้ว่าเถียงกันเรื่องอะไรกัน แต่คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของที่ไปซื้อด้วยกันเมื่อวานแล้วไอ้มิชิคงจะลืมไว้ที่ห้องมันแน่ๆ อย่างน้อยก็ไม่ได้มีแค่ผมที่ลืมของไว้บนรถไอ้จัส มีไอ้มิชิอีกคนที่ลืมของเค้กไว้ที่ห้องตัวเอง ผมนี่เก่งจริงๆ แอบฟังแค่นี้ถึงกับรู้เป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้
 

               “มึงดูไอ้มิชิ! แม่งทำหน้าหงอ... อย่างกับคนกลัวเมีย” ไอ้จัสหันมากระซิบกับผมเบาๆ ก่อนที่ผมจะหันไปมองหน้ามันแล้วหัวเราะใส่กันอย่างเห็นด้วยสุดๆ ก็จริงนะครับ มิชิกับเค้กเนี่ย ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนกันผมก็นึกว่าพวกมันคบกันอยู่ครับ ตัวติดกันยิ่งกว่าอะไร แถมการปฏิบัติตัวก็แตกต่างจากผมกับไอ้จัสอีก สองมาตราฐานอย่างชัดเจนเลยอะ อยากบอกเหลือกันครับว่า เพื่อนกันไม่ทำกันแบบนี้นะครับ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ทั้งสองคนอาจจะมีเหตุผลที่เลือกที่จะไม่พูดแล้วก็ยินดีกับความสัมพันธ์แบบคลุมเครือที่เป็นอยู่แบบนี้ก็ได้ แต่ผมเชื่อว่าเวลามันจะบีบให้ทั้งสองคนพูดกันออกมาเองนั่นละครับ
 

               “อะไร... หัวเราะอะไรกันพวกมึง” ผมหันไปเห็นไอ้มิชิที่ยกท่อนแขนมาวางท้าวหัวตัวเองไว้แล้วตะแคงตัวหันหน้ามามองพวกผมที่หัวเราะกันอยู่ก่อนหน้านี้ ก่อนจะถามเบาๆ

 
               “เปล๊าาาาา” ไอ้จัสตอบ เสียงสูงขนาดนี้มิชิมันคงจะเชื่อหรอกครับ คนนึงก็พยายามจะทำเข้มกลบเกลื่อนหลังจากที่โดนเค้กทิ้งระเบิดใส่เมื่อกี้ ส่วนอีกคนก็ตีหน้านิ่งทั้งๆ ที่แทบจะกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ ไอ้พวกบ้านี่ก็ไม่เนียนกันสักคน

 
               “นินทากูใช่ไหม...”


               “นินทาเชี่ยไร มึงอะคิดมาก” ผมตอบต่อ เพราะผมกับจัสไม่ได้นินทามันจริงๆ นะครับ เรื่องจริงที่เห็นมากับตาล้วนๆ เลย
 
               “อย่ามา...”


               “ถุย!!! ไอ้กาก” จัสพูดต่อจนผมหลุดขำมาอีกรอบคุณชายมิชิผู้แสนจะเก่งและเพอร์เฟคสุดท้ายก็กลายเป็นแค่ลูกไก่ในกำมือเค้ก ที่บีบก็ตายถ้าคลายก็รอด คิดแล้วมันก็อดขำไม่ได้จริงๆ ครับ
 

               “อะไรมึง... นินทาอะไรกู”


               “เอ๊ะ! ไอ้นี่! บอกว่าเปล่าไงวะ”


               “อย่าให้กูรู้นะ!” มิชิหรี่ตามองพวกผมอีกครั้งแต่ยังไม่ทันไรมันก็โดนเค้กหันมาดุอีกรอบ เสียงนิ่งๆ เรียบๆ ของคนหน้าหวานทำเอามาดเข้มๆ สายตาเฉียบคมของไอ้มิชิที่กำลังจับผิดพวกผมอยู่เมื่อครู่อ่อนลงจนดูหงอยไปเลยเพียงชั่วพริบตา นึกว่าจะแน่สักแค่ไหนกัน

 
               “ไปคุยกันข้างนอกไหม เค้กจะเรียน...”


               “เรียนคร้าบ เรียน...” ไอ้มิชิรีบหันกลับไปนั่งตัวตรงตั้งใจเรียนทันที สม! โดนดุเลย จริงๆ ผมกับไอ้จัสก็เหมือนโดนเค้กดุไปด้วยแต่คนที่เดือดร้อนจริงๆ เห็นจะเป็นไอ้มิชิมากกว่า ต้องอยู่ในโอวาทเค้กนะครับเพื่อน วอกแวกเมื่อไหร่โดนเค้กสวดยับแน่ๆ เชื่องขนาดนี้แล้ว ผมล่ะอยากรู้จริงๆ ว่ามันจะปล่อยให้ตัวเองอยู่ในเฟรนโซนไปอีกนานแค่ไหน แต่ก็เอาเถอะครับ ผมเชื่อว่าทั้งมิชิและเค้กคงมีเหตุผล ส่วนผมก็คงได้แค่เอาใจช่วยต่อไป เพราะถึงยังไงพวกเราก็เป็นเพื่อนทั้งหมดอยู่ดี



.

.

.

To be Continue...



Talk : คุณมิชิกับคุณเค้กมีซัมติงหนักมากกกกกกกกกก :hao3:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 6 :: 'เป็นใจ'] UP 14-09-18
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-09-2018 23:00:54
น้องไอ ถ้านอนไม่หลับ ลงมานอนห้องพี่วอร์มเลยลูก 5555
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 6 :: 'เป็นใจ'] UP 14-09-18
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-09-2018 07:50:10
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 6 :: 'เป็นใจ'] UP 14-09-18
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 15-09-2018 17:38:24
 :L2:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 6 :: 'เป็นใจ'] UP 14-09-18
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 18-09-2018 15:47:01
 
:: Chapter 7 :: 'รับน้อง'
[/b]





                             มาถึงวันรับน้อง ถึงแม้ว่าปี 2 จะจัดเตรียมรถบัสไว้สำหรับให้รุ่นพี่ด้วยก็ตามแต่พวกผมตัดสินใจที่จะขับรถไปกันเอง โดยตกลงกันว่าจะเอารถไอ้มิชิไป ส่วนใครจะขับก็แล้วแต่เพราะพวกเราขับรถกันได้ทุกคน ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
 
               “จะออกเลยป่ะ หรือจะออกพร้อมน้อง”
               “ออกเลยก็ได้มั้งมึง เดี๋ยวค่อยไปแวะจอดรอที่ปั๊ม จะได้ซื้อน้ำหวานด้วย” ไอ้จัสเป็นคนตอบคำถามของมิชิ ส่วนน้ำหวานที่มันว่าก็ไม่ใช่น้ำแดงเฮลซ์บลูบอยหรือน้ำอัดลมหรอกครับ ก็พวกแอลกอฮอล์ ทั้งหลายนั่นแหละครับ
 
               “ตกลงใครขับ วอร์มมึงจะขับป่ะ”
               “กูง่วงว่ะ ขอกูงีบก่อน ถ้าแวะปั๊มแล้วจะเปลี่ยนเดี๋ยวกูขับให้”
               “เออๆ งั้นพวกมึงไปนั่งข้างหลังไป” มิชิเอ่ยปากไล่ผมกับจัสแล้วหันไปเปิดประตูข้างคนขับให้เค้ก การกระทำไม่ค่อยชัดเจนเลยนะครับคุณเพื่อน
 
               ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเราก็เดินทางมาถึงปั๊มที่ปีจัดงานได้ทำการประสานขออนุญาตใช้สถานที่ให้เด็กปี 1 ทำภารกิจแล้ว ผมก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าปีนี้ตั้งกติกาของภารกิจไว้ยังไง ตอนพวกผมแค่ให้เต้นไก่ย่างกลางปั๊มเอง ชิลมากยังไม่ทันรู้สึกถึงความอับอายเลยครับ
 
               “พวกมึงจะดื่มอะไรกันบ้างครับคุณเพื่อน”
               “แค่เบียร์ก็พอมั้งมึง เหล้าเดี๋ยวพวกพี่บิ๊ก เฮียบลู สมาชิกกสร.ทั้งหลายก็คงขนไปกันอยู่แล้วเปล่าวะ” ผมตอบไอ้จัสไปตามความจริง เพราะผมก็เห็นพวกพี่ๆ สมาชิกกสร.หรือกองทุนสุราประจำโต๊ะขนเหล้า โซดา ไปกันเพียบ ถ้าอยากกินก็แค่ไปขอร่วมวงกับพวกพี่เขา ยังไงพวกรุ่นพี่เขาก็ชอบให้ไปนั่งดื่มด้วยกันเยอะๆ อยู่แล้ว
 
               “เค้กจะเอาอย่างอื่นเปล่า”
               “ก็ไปซื้อด้วยกันหมดนี่แหละ เค้กอยากได้ค็อกเทลอะ แต่ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีรสอะไรบ้าง ต้องไปดูก่อน ไปกันเถอะ” เค้กเกาะไหล่มิชิแล้วพากันวิ่งนำออกไป เห็นบอกอยากกินค็อกเทลแบบนี้ไม่ใช่ว่าคออ่อนหรือดื่มไม่เก่งอะไรหรอกนะครับ ผมเนี่ยคออ่อนที่สุดในกลุ่มแล้ว ส่วนคนที่คอแข็งที่สุดก็คนผมแดงที่วิ่งไปโน่นแล้วนั่นแหละครับ เหตุผลที่เค้กไม่กินเหล้ากินเบียร์ก็เพราะเค้กบอกว่ารสชาติของมันไม่อร่อย แต่พวกว้อดก้ารสหวานๆ ทั้งหลายนี่เค้กคนเดียวกินได้เป็นขวดอะครับ
 
               ระหว่างที่พวกผมกำลังช่วยกันยกเครื่องดื่มหลากสีที่ซื้อมาใส่ท้ายรถ รถบัสของพวกเด็กปี 1 ก็เดินทางมาถึงปั๊มพอดี ผมเห็นพวกปีจัดงานให้น้องๆ มานั่งเรียงแถวรวมตัวกันก่อนจะเริ่มจับมัดผมมัดจุก และแต่งเติมใบหน้าของน้องๆ ด้วยลวดลายที่หลากหลาย เห็นแล้วมันก็คันมือยิกๆ อยากจะไปร่วมเติมบ้าง
 
               “พวกมึง ไปวาดหน้าน้องกัน”
               “จะดีหรอวอร์ม ต้องเป็นพี่ว้ากกันไม่ใช่หรอ”
               “ไปเหอะเค้ก พี่ว้ากแล้วยังไง ยิ่งดีเสียอีก แกล้งน้องสบายเลย” เวลาเห็นไอ้มิชิมันยกยิ้มมุมปากแบบนี้มันก็แอบมีความชั่วร้ายนิดๆ เหมือนกันนะครับ ผมหันไปมองไอ้ตัสที่ยกเบียร์แพคสุดท้ายใส่ท้ายรถเสร็จ มันเองก็ไม่ได้ขัดอะไรแถมยังยกมือขึ้นมาหักข้อนิ้วเล่นอีก งานนี้ท่าทางน้องจูเนียร์จะโดนจัดหนักเสียแล้วครับ
 
               “พวกพี่ขอแจมด้วยได้ป่ะ” จัสเอ่ยขึ้นกลางวง ทำเอาทั้งเด็กปี 1 และปี 2 หันมามองทางพวกเราเป็นตาเดียว ทำอะไรไม่เคยปรึกษากันก่อนเลย พวกน้องปีจัดงานก็คงจะงงไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ แต่รุ่นพี่เอ่ยปากขนาดนี้แล้ว น้องๆก็ต้องยอมไปตามระเบียบแหละครับ
 
               “น้องจูเนียร์ที่รัก ไหนๆ พี่ดูหน่อยซิ เอาแก้มแดงๆ ดีกว่าเนอะ จะได้ดูสุขภาพดี” เสียงเป็ดๆ ของจัสลอยมาเข้าหูผมที่อยู่ถัดมาอีกสองแถว ถามจริงๆ เถอะครับ เล่นเบอร์นี้แล้วตอนไปว้ากน้องนี่จะยังมีใครกลัวหรือเคารพมันไหมวะ ไอ้มิชิก็ได้แต่ยืนส่ายหัวไปมาก่อนจะ เอาหนังยางไปมัดจุกเป็นน้ำพุตรงกลางหัวให้น้อง
 
               “พี่วอร์ม...”
               “ดูเหมือนจะมาไม่ทันเติมหน้าแฮะ เป็นแมวไปแล้วนี่”
               “พี่คิววาดให้เมื่อกี้เลยครับ...”
 
               “อืม... เดี๋ยวเติมหูให้” ผมไม่มีหูแมวมาเติมให้น้องจริงๆ หรอกครับ ก็แค่จะมัดจุกเล็กให้ไอติมสองข้าง ให้มันดูคล้ายๆ หูนั่นแหละ กวาดสายตามองไปรอบๆ ดูแล้ว น้องถือว่าโชคดีมากนะครับ ที่มีแค่สีดำแต้มอยู่ปลายจมูก กับหนวดที่แก้มอีกข้างละสามเส้น ผมเห็นสภาพน้องบางคนที่แทบจำไม่ได้ว่าเป็นใคร ไอ้คิวมันใจดีกับน้องเกินไปไหม
 
               “เสร็จแล้ว” ผมเคาะหัวน้องไปเบาๆ หนึ่งทีเมื่อน้องเงยหน้าขึ้นมาแลบลิ้นให้ผม ทำแบบนี้กับรุ่นพี่ก็ได้หรอวะ แต่เอาเถอะครับ ผมจะเห็นแก่ความรักรักของน้องแล้วกัน อีกอย่างถ้าเริ่มดุน้องตั้งแต่ตอนนี้ก็กลัวมันจะแกร่วเสียเปล่าๆ เอาไว้ถึงเวลาค่อยเอาจริงแล้วกัน
 
               พอถูกแต่งเติมหน้าและมัดผมจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องไปทำภารกิจ ซึ่งปี2 กำหนดไว้ง่ายมาก เพียงแค่ให้น้องๆ ไปบูมคณะเพื่อขอข้าวกล่องอาหารกลางวันของแต่ละกลุ่มเท่านั้นเอง แต่ไม่รู้ด้วยความดวงดีของกลุ่มไอติมหรือยังไงก็ไม่รู้ พี่พนักงานร้านที่น้องต้องไปดันเป็นสาวประเภทสองซึ่งไม่ยอมจบง่ายๆ เพียงแค่การบูม พี่เขาเรียกร้องให้น้องๆ ออกมาเต้นโชว์โดยเฉพาะหนุ่มทั้งๆ ต้องเข้าไปคลอเคลียจนกว่าพี่แกจะถูกใจถึงได้ข้าวกล่องมา
 
               ผมยืนมองกลุ่มไอติมใส่เต็มเต้นอย่างเต็มที่แล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ น้องกล้าแสดงออกมากๆ ไม่ได้มีท่าทีเขินอายอะไรเลย แถมตอนแรกที่พวกน้องผู้ชายเกี่ยงกันว่าใครจะออกไปเต้นกับพี่เขา น้องยังอาสาเสนอตัวออกไปเต้นเป็นคนแรกอีก แถมยังเต้นไปหัวเราะไปสดใสสุดๆ เป็นเด็กที่พลังบวกล้นเหลือจริงๆ ผมว่าพี่เขาก็คงแบบความสดใสของน้องนี่แหละ ถึงยอมใจอ่อนให้ข้าวน้องมา
 
               “ไอ้วอร์ม ไปกันเถอะมึง จะยืนยิ้มดูน้องไอติมเต้นอีกนานไหม”
               “สัด! ก็ยืนรอพวกมึงไหมล่ะ เห็นพากันตามไปดูน้องจูกับน้องไวท์หมดอะ” ผมเถียงกลับไอ้จัสทันที ก็มันจริงนี่ครับ เพราะว่าจูเนียร์กับไวท์ได้กลุ่มเดียวกัน พวกคุณเพื่อนของผมก็เลยพอกันตามไปดูกลุ่มนั้นหมด ผมก็แค่มายืนดูน้องผมรอพวกมันเอง พูดเสียเหมือนกับว่าผมเป็นคนผิดอย่างนั้นแหละ
 
               “พอๆ เลิกเถียงกันแล้วขึ้นรถไปมึง”
               “เค้กว่าเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวต้องไปเตรียมฐานปี3 อีกนะ” ผมไม่ได้ต่อความอะไร เพราะสิ่งที่เค้กพูดมาก็ถูก ถึงปี 2 จะเป็นปีจัด แต่พวกเราเองก็มีฐานที่ต้องเตรียมเหมือนกัน ผมจึงรีบเดินกลับไปที่รถแล้วพวกเราก็มุ่งหน้าไปยังที่พักเพื่อเก็บข้าวของและเตรียมตัวสำหรับการเป็นพี่ฐาน
 
               พอมาถึงที่พัก น้องฝ่ายสถานที่ก็รีบวิ่งเอากุญแจห้องมาให้พวกผมพร้อมกับนำทางไปยังห้องพัก ผมเห็นว่าเพื่อนบางคนมาถึงก่อนแล้ว พวกเราก็เลยแค่ขนสัมภาระเข้าไปวางไว้ในห้องโดยยังไม่ได้จัดอะไรแล้วรีบออกมาจับคำใบ้ประจำตัวที่จะใช้ในฐานของปี 3
 
               “อะไรวะ ทำไมกูต้องได้ลูกหมาด้วยอะ” ผมโวยวายเมื่อไอ้จัสเอาป้ายคล้องคอที่เขียนว่า ‘ลูกหมา’ ส่งให้ผม
 
               จริงๆ ตอนนี้พวกผมกำลังเตรียมฐานของปี3 อยู่ครับ ซึ่งเกมมันไม่ได้ยากเลย มันเป็นเกมที่ให้รุ่นน้องใช้สมอง ไหวพริบและความคิดสร้างสรรในการแต่งเรื่องเล่าจากคำใบ้ที่พวกผมทำไว้ให้ แต่มันจะยุ่งยากตรงที่น้องๆ ต้องหารุ่นพี่ที่คล้องป้ายตรงกับคำใบ้ที่จับมาแล้วก็มาเล่าเรื่องอะไรก็ได้ให้มีทั้งคำใบ้ที่ได้ กับตัวเองและรุ่นพี่อยู่ในเรื่องเดียวกันภายใน 30 วินาทีครับ ถ้าเล่าไม่ได้หรือเล่าไม่จบก็โดนทำโทษไปครับ
 
               ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครมันเป็นคนคิดเกมนี้นะครับ แต่เห็นเค้กบอกว่ามันช่วยให้รุ่นพี่กับรุ่นน้องได้สนิทกันมากขึ้น แถมอีกอย่างเป็นวิธีที่ทำให้พวกน้องๆ จำชื่อพี่ๆ คนอื่นได้ด้วยนอกเหนือจากพี่สายตัวเอง ฟังเหตุผลแล้วก็พอเข้าใจได้แหละครับ
 
               “ก็มึงจับเอง... กูยัดเยียดให้มึงซะเมื่อไหร่” เออ ก็จริงของมัน เพราะพวกเราเพิ่งจับคำใบ้กันไปก่อนจะเดินมาเตรียมฐานนี่แหละครับ
 
               “เหมาะกับมึงดีนะไอ้วอร์ม” ไม่ทันขาดคำ ไอ้มิชิก็รีบแซะผมทันที ขอบใจมากเพื่อนรัก
               “ไอ้นี่... เป็นลูกหมาก็น่ารักโว้ย! ดีกว่าของมึงอะ ไอ้รถเมล์” ผมหันไปด่าไอ้มิชิที่ได้คำใบ้เป็นคำว่า ‘รถโดยสารประจำทาง’ ต่อ จนไอ้จัสและเค้กที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็พากันหัวเราะไปด้วย
 
               “เค้กอ่า... อย่าหัวเราะดิ เสียความมั่นใจหมดเลยเนี่ย” นั่นไง ไอ้มิชิหันไปอ้อนเค้กจริงๆ ด้วย ผมหันไปสบตากับจัสอย่างรู้กัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้แซ็วอะไรมัน พวกสต๊าฟปีสามก็พาน้องๆ ปี1กลุ่มแรกเดินมาที่ฐานของพวกเราแล้ว
 
               “คล้องป้ายแล้วพลิกคำใบ้ไว้ด้านในด้วยนะครับปีสาม” เสียงใครสักคนตะโกนบอกพวกเรา ก่อนที่ผมจะทำแบบนั้นแล้วไปยืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ เพื่อนรอฟังน้องๆ แต่ละคนเล่าเรื่อง
 
               “วันก่อนครับ เดินเข้าไปในป่า... เจอพี่เต้ยคนสวยกำลังเก็บดอกไม้ บีมเลยถามว่าจะเก็บไปทำอะไร พี่เต้ยคนสวยบอกว่าจะเก็บมาให้บีมไง! จบครับ” จบเรื่องเล่าสั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความของน้องปี1คนแรกที่ได้คำใบ้เป็นคำว่า ‘ดอกไม้’ และตรงกับป้ายของพี่ปี3 ที่เป็นผู้หญิง ทำเอาเพื่อนๆ รุ่นน้องและรุ่นผมต่างพากันโห่แซ็วน้องคนชื่อบีมกันระงม
 
               ผมว่าเกมมันก็ตลกดีนะครับ ไม่รู้ว่าน้องๆ มันจะเล่าเรื่องอะไรแล้วจะออกมาในรูปแบบไหน บางคนก็เล่าเรื่องได้แบบออกนอกโลก ไปยังกับในหนังแอดเวนเจอร์ บางคนก็ง่ายๆ บางคนที่มีความกล้าหน่อยก็ได้โอกาสเต๊าะรุ่นพี่ไปในตัว แต่บางคนที่คิดอะไรไม่ออกก็ไม่ได้เล่าอะไรเลย เอาแต่ยืนอ้ำอึ้งจนต้องโดนทำโทษให้ออกมาเต้นแร้งเต้นกาบ้าบอให้เพื่อนดู
 
               “ต่อไป น้องไวท์ครับ เชิญจับคำใบ้เลยครับ” ไอ้โปเต้เพื่อนในรุ่นผมที่เป็น MC เกมฐานนี้เรียกน้องไวท์น้องสายของเค้กให้ออกมาจับคำใบ้จากกล่อง
 
               “ร่ม...” น้องไวท์พูดออกมาเบาๆ แต่ทุกคนก็ยังได้ยินมันอยู่ดี
               “เชี่ย” ไอ้จัสอุทานออกมาเสียงดังจนทุกคนหันไปมอง แต่พวกผมอะหลุดขำออกมาก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะคำใบ้ ‘ร่ม’ ก็คือมันนั่นแหละ
 
               “พูดจาไม่เพราะเลยครับคุณจัส... แต่ตกใจโอเวอร์ขนาดนี้... คำใบ้ว่าร่มต้องเป็น พี่จัส แน่ๆ เลยใช่มั้ยคร้าบ” ไอ้โปเต้ถือโทรโข่งเดินตรงเข้ามาหาหลังจากพูดจบ
 
               “เออ!” ไอ้จัสตอบก่อนจะเหล่มองน้องไวท์เล็กน้อย สายตามันดูไม่น่าไว้ใจเอาซะเลยครับ
               “อะ! จับเวลา! เริ่มได้ครับน้องไวท์”
               “เอ่อ...” น้องไวท์ทำหน้านึกอยู่สักพัก ข้างๆ ผมมีเค้กคอยช่วยลุ้นให้น้องพูดออกมาอยู่ ส่วนไอจัสก็ยืนกอดอกรอฟังน้องไวท์เล่าเรื่องอยู่ อยากให้เห็นท่ามันตอนนี้มากครับ โคตรขี้เก๊กเลย เห็นแล้วหมั่นไส้ชะมัด
 
               “อืม... เอาไงดี...” น้องไวท์ยืนบ่นพึมพัมเบาๆ เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ จนผมเริ่มจะลุ้นตามแล้วครับ พูดสิครับน้อง ไม่อย่างนั้นได้โดยทำโทษแน่ๆ
 
               “ผ่านไป10 วิแล้วนะครับน้อง... อยากโดนทำโทษหรือไงครับ! พูดสิครับ พูด!!!”
               “อ่า… เช้าวันหนึ่ง… อากาศอึมครึมและมีฝนตก ไวท์ออกจากบ้านไม่ได้… แต่พี่จัสก็กางร่มมารับไวท์ที่บ้าน... ไวท์เลยออกจากบ้านไปพร้อมกับพี่จัส... จบครับ” หลังบจากจบเรื่องเล่าของน้องไวท์ พวกปีสามก็ส่งเสียงโห่แซ็วเรื่องเล่าของน้องไวท์กันเสียยกใหญ่
 
               “ไอ้จัส ทำไมมึงไปรับน้องเขาที่บ้านได้วะ”
               “เออ! มึงแม่งทำตัวเป็นคนดี ที่จริงหลอกน้องไปทำเรื่องแย่ๆ ใช่ไหม ฮ่าๆๆ” เพื่อนๆ ตะโกนแซ็วไอ้จัสเรียกเสียงหัวเราได้ดี เอาจริงๆ ผมเห็นไอจัสมันแอบยิ้มด้วยแหละ ไอ้บ้าเอ้ย ทำเป็นเก็กขรึมมาตั้งนานสุดท้ายก็หลุดว่ะ กากฉิบชาย
 
               “คนต่อไป... น้องไอติม! เชิญออกมาจับคำใบ้ได้เลยครับ” ไอ้โปเต้คนเดิม ตะโกนเรียกน้องคนต่อไปออกมาซึ่งก็คือน้องไอติมของสายผมนั่นเอง
 
               น้องเหมือนมีเพื่อนเป็นกองเชียร์ส่วนตัวยังไงอย่างนั้นเลยครับ แค่ลุกจากที่นั่งมาเพื่อนๆ ก็ส่งเสียงเชียร์กันยกใหญ่ แล้วดูเจ้าตัวสิ ก็แจกยิ้มเรี่ยราดให้เพื่อนๆ ด้วยอีก ไม่รู้ใครสอนให้ยิ้มแบบนี้นะครับ คงคิดว่าทำแบบนั้นแล้วน่ารักมากมั้งน่ะ
 
               แต่ก็... อืม น่ารักจริงๆ นั่นแหละครับ...
 
               “ลูกหมาครับ...”
               “เฮ้ย!” ผมส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจหลังจากยืนคิดอะไรเพลินๆ ก็ไอติมจับคำใบ้ได้คำว่า ‘ลูกหมา’ แล้วมันก็ตรงกับป้ายที่ผมคล้องอยู่นี่ไง
               “โอ้โห... อะไรจะเป๊ะขนาดนี้” ไอ้มิชิเอ่ยพูดอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่ผมกำลังหันป้ายที่มีคำว่า ‘ลูกหมา’ ออกมาด้านนอก
               “โว๊ววว!!! ลูกหมา คือพี่วอร์มนั่นเองนะคร้าบบ” MC ประจำฐานพูดใส่โทรโข่งพร้อมกับเดินมาที่ผม
 
               “เอ๊ะๆๆ น้องไอติมกับพี่วอร์ม เป็นพี่น้องสายเดียวกันนี่นา... แบบนี้ก็ไม่น่าจะยากเนอะ อะ งั้นเริ่มเลยละกัน” ผมเห็นน้องกัดริมฝีปากตัวเองอย่างคิดหนักหลังจากที่ไอ้โปเต้พูดจบ ไอติมคงกำลังคิดเรื่องที่ต้องเล่าอยู่แน่ๆ แต่ไอ้ท่าทางกัดริมฝีปากแล้วทำหน้าครุ่นคิดนี่มันโคตรจะน่ารักอะไรแบบนี้วะครับ
 
               “จับเวลา! เริ่มได้”
               “อืม... จะเล่ายังไงดี...” น้องไอติมเดินเข้ามาใกล้ผมแต่ก็ยังทำหน้าคิดหนักอยู่ ไม่พอแค่นั้น เจ้าตัวยังยกนิ้วขึ้นมาจิ้มที่แก้มประกอบการคิดอีก ผมนี่อยากจะเขย่าตัวน้องแรงๆ แค่นึกเรื่องเล่าจำเป็นต้องทำตัวน่ารักขนาดนี้เลยหรอ
 
               “ใกล้จะหมดเวลาแล้วนะครับน้อง”
               “อ่า... นึกออกแล้ว...” ผมแทบหลุดขำที่น้องไอติมทำหน้าดีใจเมื่อนึกออก มันเหมือนมีดวงไฟอยู่บนหัวโผล่ ปิ๊ง! ขึ้นมาเหมือนในการ์ตูน
 
               “นึกออกแล้วก็พูดดิ” ผมรีบบอกน้องเมื่อเวลามันใกล้จะหมดเต็มที มัวแต่ทำตัวน่ารักอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวถ้าโดนทำโทษขึ้นมาละก็จะยังยิ้มออกไหมนะ
 
               “พี่วอร์มพาลูกหมาไปหาหมอ... ลูกหมาฟันหลอเพราะลูกอมขนมหวาน... คุณหมอเปลี่ยนฟันให้ใหม่ไม่เนิ่นนาน... พี่วอร์มก็พาลูกหมากลับมาบ้าน... มาหาไอติม! เย้!”
 
               “เหยดดดด”
               “ฮิ้ว!!! กลับบ้านมาหาไอติม”
               “อย่างกับพ่อแม่ลูกเลยว่ะ”
               ผมว่าแล้ว หลังจากน้องไอติมเล่าจบ ไอ้พวกเพื่อนๆ ก็ ส่งเสียงแซ็วกับเรื่องเล่าของไอติม แต่ยอมรับนะครับว่าไอติมฉลาดเล่าเรื่องมาก นึกอะไรไม่ออกก็เอานิทานที่เคยเล่าติดปากตอนสมัยประถมมาเล่า เพียงแค่ดัดแปลงนิดหน่อย แต่นั่นแหละครับ ไอ้พวกปีสามก็แซ็วกันระงมตามเคย
 
               “หุบปากไปเลยพวกมึง” ผมหันไปว่าใส่เพื่อนๆ ก็ไม่รู้มันจะแซ็วอะไรนักหนา ก็พวกมันทั้งนั้นไม่ใช่หรือไงที่ตั้งกติกาฐานให้เป็นแบบนี้
 
               “โห... โคตรดุเลย หมาพันธุ์ไหนวะครับเนี่ย ไอ้คุณวอร์ม”
               “เชี่ย กูไม่ใช่หมาไหม”
 
               “ฮ่าๆๆ” ผมเลิกสนใจที่เพื่อนแซ็วแล้วหันกลับไปมองน้องไอติมที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าผม หน้าตาน้องดูงงๆ ที่เห็นพวกพี่ปีสามส่งเสียงแซ็วแต่ก็ยังยิ้มแห้งๆ ออกมาจนผมต้องยกสันมือขึ้นตีที่หน้าผากน้องเบาๆ
 
               “ผ่านแล้ว! กลับไปนั่งที่ไป” ผมบอกน้องหลังจากที่ตีเหม่งน้องไปเบาๆ เจ้าเด็กเด๋อนี่ จะมึนอะไรนักหนา
 
               “อ่า... ขอบคุณครับ” ไอติมพูดขอบคุณพร้อมกับยิ้มตาหยีใส่แล้วรีบหันหลังกระโดดโลดเต้นกลับเข้าไปหาเพื่อนๆ คงเพราะดีใจที่ตัวเองไม่โดนทำโทษ มันจะน่ารักสดใสไปถึงไหนครับเนี่ย พลังเหลือเฟือเลยจริงๆ น้องดูเป็นคนที่พลังบวกในตัวเยอะมาก ใครได้อยู่ใกล้ๆ ก็คงพากันได้รับพลังบวกจากน้องไปหมด
 
               เมื่อน้องกลุ่มสุดท้ายที่มาทำภารกิจฐานของปี 3 กำลังจะเอ่ยลา ละครฉากใหญ่ก็กำลังเริ่มขึ้นเช่นกัน เมื่อน้องปี 2 วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อมกับเอ่ยถามหาน้องปี 1 คนนึง แต่กลับไม่มีใครเห็น หรือรู้เลยว่าน้องคนนั้นหายตัวไปไหน น้องปีจัดงานพาเด็กๆ ปี 1 ทั้งหมดให้มานั่งรวมกันกลางลานกว้างพร้อมกับให้สัญญาณว่าถึงคิวที่พวกผมจะต้องออกโรง
 
               “ไม่มีใครเห็นน้องใบพลูเลยจริงๆ หรอ” คนที่หายไปคือน้องที่ค่อนข้างเงียบ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นแล้วก็ไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษ แน่นอนว่าน้องไม่ได้หายไปจริงๆ หรอกครับ เพราะก็พวกปีจัดงานนั่นแหละ ที่เป็นคนแอบมาพาน้องออกไป เพราะเด็กปี 1 ทุกคนจะถูกปิดตาอยู่เวลาที่ย้ายและเปลี่ยนฐาน มันก็ไม่ได้ยากอะไรที่จะพาตัวน้องคนนึงออกไป จริงไหมล่ะครับ
 
               “น้องครับ เป็นเพื่อนกัน ทำไมไม่ดูแลกัน ปล่อยให้เพื่อนหายไปแบบนี้ได้ยังไง แล้วถ้าเพื่อนเป็นอะไรขึ้นมา จะทำยังไง” ไอ้มิชิเปิดฉากด้วยสีหน้านิ่งและน้ำเสียงเรียบสนิท บทเย็นชาๆ แบบนี้เข้ากับมันดีนักแหละครับ ถ้าผมเป็นน้องผมก็เกร็งนะ ถึงจะไม่ดุด่าหรือพูดจาหยาบคาย แต่มันก็เย็นชาจนน่ากลัว
 
               ผมปล่อยให้มิชิกับจัสพูดกดดันน้องปี 1 ไปเรื่อย ในใจน้องบ้างคนคงคิดเตลิดไปต่างๆ นานาแล้ว ว่าถ้าเกิดมีคนร้ายแอบเข้ามาปนเปกับพวกเราแล้วลักพาตัวเพื่อนไปจริงๆ จะทำยังไง แล้วตอนนี้เพื่อนคนนั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ไอ้จัสจงใจกดดันน้องที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับน้องใบพลู แต่สำหรับผมน่ะ ต้องใช้วิธีเดียวกันกับตอนที่พวกผมเป็นปีจัดครับ รับรองได้ผล

               “มึงพอเหอะไอ้จัส กูว่าด่าปี1 ไปก็เท่านั้นว่ะ ปีจัด!!! พวกมึงออกมายืนเรียงเลยนะ จัดงานภาษาอะไรวะ มึงไปเอาลูกเขามา ทำไมไม่ดูและให้ดี น้องมันเพิ่งเข้ามา มึงจะให้ดูแลกันเองหรอวะ! ถ้าอย่างนั้นมึงจะปิดตาน้องหาพระแสงอะไร แล้วพี่จูงประจำกลุ่มมึงทำห่าอะไรอยู่ ทำไมไม่ดูน้อง!!!”
 
               “เห้ย ไอ้วอร์มมึงใจเย็นดิวะ” ไอ้มิชิที่ตีหน้านิ่งได้บทคุณชายเย็นชาไปเมื่อครู่รีบมาจับบ่าผมเอาไว้ เป็นพ่อพระไปอีกแต่ขอโทษนะ ในเมื่อผมได้รับบทบาทนี้แล้วก็ต้องไปให้สุดครับ น้องปีจัดขอร้องมา ผมก็จะจัดให้ จัดเต็มด้วย แต่ก็แอบน้อยใจเหมือนกันนะ บทเกรี้ยวกราดโหดร้ายนี่ชอบโยนให้กูจังเลย แค่เป็นผู้ชายเสียงแหบนี่มันผิดมากหรอครับ
 
               “ขอโทษครับ/ขอโทษค่ะ”
               “พวกมึงไม่ต้องมาขอโทษกู! มึงไปขอโทษน้อง!!! อย่าให้กูเห็นพวกมึงไปโทษน้องอีกนะ หน้าที่ตัวเองยังทำได้ไม่ดียังจะหน้าด้านไปโทษน้องว่าไม่ดูแลกันอีก พวกมึงรีบไปหาน้องให้เจอเลยนะ ไป!!!” พวกปีจัดรีบขานรับผมก่อนจะให้น้องปี 1 ปิดผ้าผูกตากลับไปเหมือนเดิมแล้วย้ายน้องไปฐานริมทะเลทันที
 
               ตอนที่ผมตะโกนต่อว่าพวกปี 2 อยู่นั้น ผมแอบเหลือไปเห็นไอติมนี่นั่งกอดเข่าเบ้ปากอยู่ น้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ไอติมเงยหน้ามามองผมเป็นระยะ แล้วก็ฟุบหน้าลงไปกับเข่าตัวเอง น้องจะกลัวจนไม่กล้าเข้าหาผมไหมเนี่ย ถ้าภาพลักษณ์ชายหนุ่มแสนอบอุ่นของนายไออุ่นคนนี้พังละก็ ผมไม่ปล่อยไอ้ตูนไว้แน่ โยนบทนี้มาให้ผมเล่น แถมตอนบรีฟก็ย้ำจังเลยว่าขอโหด ไอ้เวร ผมเสียหายนะเนี่ย
 
               “เชี่ยวอร์ม มึงไปอัดอั้นมาจากไหนวะ กูเห็นกูยังกลัวอะ สัด!”
               “มึงไม่ต้องเลยเชี่ยจัส ไหนมึงว่าจะเสริมกูไง เสือกทำตัวเป็นคุณชายเย็นชาเนียนไปกับไอ้มิชิเฉยเลยนะ มึงอะ”
               “กูเกือบเชื่ออะมึง อินเนอร์แรงมาก วอร์มอีสแองกรี้สุดๆ อะมึง”
               “พอไหมล่ะมิชิ ก็ไอ้ตูนมันบรีฟกูมาเนี่ย พวกมึงต้องช่วยกูเลยนะ น้องกลัวกูหมดแล้วมั้งเนี่ย”
 
               “สุดยอดเลยวอร์ม เค้กนั่งมองหน้าไอติมกับไวท์นะ แบบจะร้องไห้อยู่แล้วอะ กินน้ำก่อน ใช้เสียงไปเยอะคอแห้งแย่” ผมรับขวดน้ำเย็นฉ่ำมากจากเค้กก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง ผมคงใช้พลังไปเยอะมากจริงๆ แหละครับ รู้สึกหน้าร้อนไปหมดแล้ว
 
               “หายเหนื่อยยังวะ จะได้ตามไปฐานสปา”
               “พวกมึงไปกันก่อนเลยก็ได้ กูอาจจะไม่ไป” ผมตอบไอ้จัสไป ฐานสปาที่ว่าคือฐานริมทะเลครับที่ปีจัดงานจะขุดทรายบริเวณหาดไว้เป็นเหมือนอุโมงค์ให้น้องลงไปคลาน แล้วก็จะถูกพี่ๆ ละเลงสารพัดสิ่งใส่ ทั้งสาคู น้ำแดง แชมพู สาหร่าย เรียกได้ว่ามีแต่เละกับเละ โดยน้องแต่ละคนจะมีป้ายชื่อคำผวนของตัวเองห้อยคออยู่ด้วย เพื่อที่ตอนคลานไปสุดทางแล้วจะได้ถ่ายรูปร่วมกับพี่ๆ ในสายด้วยสภาพที่อนาถที่สุดในชีวิตเท่านั้นแหละครับ
 
               “มึงจะไม่ไปถ่ายรูปกับน้องไอติมหรอวะ ไหนๆ ก็มาแล้ว”
 
               “เออๆ ไปก็ไปวะ” จัสกับมิชิรีบมาประกบผมคนละข้างแล้วกอดคอพาผมเดินไป โดยมีเค้กเดินอมยิ้มอยู่ข้างๆ ถึงผมจะไปแต่ก็คงไม่ได้ไปร่วมละเลงกับเขาหรอกครับ ไม่อยากจะให้น้องเกลียดผมไปมากกว่านี้ เอาเป็นว่าแค่ไปร่วมชมและถ่ายรูปสายเท่านั้นพอ ผมว่านะ น่ารักๆ อย่างไอติมน่าจะโดนเละเลยแหละ เพราะอย่างตอนที่ปีผมรับน้อง เค้กนี่ก็ฉ่ำไปด้วยน้ำแดง แถมยังมีเม็ดแมงลักติดเต็มผมไปหมดอีก คนน่ารักก็มักจะเละเป็นพิเศษแบบนี้แหละครับ

.

.

.

To be Continue...




Talk : พี่วอร์มทำน้องร้องไห้แล้วเนี้ย :hao3:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 8 :: 'จูบกัน'] UP 01-10-18
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 01-10-2018 15:22:46
:: Chapter 8 :: 'จูบกัน'


               ตอนนี้ผมชักเริ่มอยากจะออกไปจากห้องนี้แล้วสิ ห้องที่ผมอยู่ตอนนี้คือห้องฐานสุดท้ายของการรับน้องในวันนี้ซึ่งเป็นฐานประเพณีประจำโต๊ะผม แต่ที่ผมไม่อยากอยู่แล้วก็เพราะว่าผมดันโดนน้องๆ หลายคนก่อนหน้านี้เลือกให้ไปทำภารกิจด้วยน่ะสิ โคตรน่าเบื่อ ว่าจะอยู่อย่างสงบๆ แล้วเชียว ส่วนน้องปี 1 ที่อยู่ในห้องตอนนี้ก็คือไอติมซึ่งเป็นน้องสายผมเอง ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมก็อยากเห็นเหมือนกันว่าไอติมจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไง
 
               “น้องรักเพื่อน รักพี่ รักโต๊ะไหมครับ”
               “ระ... รักครับ...” ไอติมที่ตอนนี้นั่งกอดเข่าอยู่ ตอบคำถามของพี่บิ๊ก ซึ่งเป็นพี่พี่สู๊งสูงหัวหน้าฐานนี้ด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ อีกอย่างก่อนหน้านี้พวกปี 1 เพิ่งไปลงทะเลมาทำให้น้องเปียกชุ่มไปทั้งตัวแล้วยังถูกพาไปไว้ในห้องแอร์เย็นยะเยือกอีก ตอนนี้น้องคงหนาวไม่น้อยเลย
 
               “เป็นลูกผู้ชาย ตอบให้มันชัดถ้อยชัดคำดิ! น้องรักโต๊ะไหมครับ”
               “รักครับ!” น้องสะดุ้งเล็กน้อยเพราะพี่บิ๊กถามน้องอีกครั้งด้วยการตะโกน และภายในห้องนั้นก็เงียบมาก ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ แต่ผมว่าไอติมยังมีสิตอยู่ในระดับดีนะ แถมยังกล้าตอบพี่เขากลับไปด้วยเสียงที่ชัดเจนแบบนั้น
 
               น้องบางคนก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะน้องผู้หญิงนี่ร้องไห้ตั้งแต่เปิดผ้าปิดตาออกมาแล้วเจอหน้าพี่บิ๊กเลยมั้ง ก็พี่แกเป็นคนตัวโตแถมไว้หนวดไว้เคราอีก เป็นใครก็กลัวทั้งนั้นแหละ ตอนรุ่นผมถือว่าโชคดีสุดเพราะพี่แกดันติดธุระมาไม่ได้ ทั้งๆ ที่ปกติพี่แกจะประจำฐานนี้และมารับน้องแทบจะทุกปี
 
               “พี่จะให้น้องทำสิ่งหนึ่งเพื่อเป็นการพิสูจน์คำพูดของน้อง น้องจะทำให้พี่ได้ไหมครับ!”
               “ทะ... ทำ... อะไรอะครับ...”
               “พี่ไม่ได้ให้น้องถาม! น้องมีหน้าที่แค่ตอบคำถามพี่ ตกลงทำได้ไหมครับ!!!”
 
               เห็นน้องสะดุ้งแล้วผมก็สงสาร สำหรับน้องปี1 ที่ถูกส่งตัวเข้ามาทีละคน เพียงลำพังท่ามกลางรุ่นพี่มากมาย ความรู้สึกคงกดดันน่าดู แต่สำหรับรุ่นพี่อย่างพวกผมมันออกแนวขำมากกว่า เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วการได้เห็นปฏิกิริยาของน้องแต่ละคนที่แตกต่างกันไปมันก็ยิ่งทำให้รู้สึกสนุก
 
               “ทำได้ครับ...”
               “พี่จะให้น้องจูบกัน โอเคเนอะ ทำได้นะครับ”
               “ดะ... เดี๋ยวก่อนครับ... ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำแบบนี้...”
               “ทำไมครับ ไหนเมื่อกี้น้องว่าทำได้ไง เพื่อนน้องที่เข้ามาคนก่อนๆ หน้านี้เขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละครับ”
 
               ไอติมเริ่มหน้าเสียเมื่อโดนพี่บิ๊กกดดันหนักเข้า น้องกระชับกอดที่กอดเข่าตัวเองอยู่แน่นขึ้นไปอีก แววตาวูบไหวด้วยความสับสนและลังเล
 
               “พี่จะให้น้องเลือกพี่หนึ่งคนในนี้ ใครก็ได้ เพื่อจะเป็นคนจูบกับน้องนะครับ เลือกเลยครับ” ตอนนี้น้องตัวสั่นเล็กน้อยไม่รู้เป็นเพราะความหนาวหรือความหวาดกลัวกันแน่ บรรยากาศภายในห้องเงียบสนิท น้องยังคงก้มหน้าและไม่กล้าสบตากับใครสักคน ผมเห็นน้องเม้มปากตัวเองแน่นด้วยความกังวล แถมดวงตากลมนั่นก็เริ่มมีน้ำใสๆ เอ่อคลอแล้วด้วยสิ เห็นแล้วอยากเข้าไปโอ๋น้องชะมัด แต่ก็ทำไม่ได้
 
               “น้องครับ มันเสียเวลานะรู้ไหม ไม่เห็นใจเพื่อนคนอื่นที่ยังต้องนั่งตัวเปียกหนาวสั่นเพราะน้องตัดสินใจไม่ได้บ้างหรือไง น้องใช้เวลานานที่สุดตั้งแต่เข้ามาเลยนะ รู้ตัวไหม”
 
               “.....”
               “ยัง... ยังจะเงียบอีก! กูจะไม่ใจดีแล้วนะ ไอ้วอร์ม! มึงไปจูบกับมันไป!!!” เอาแล้วไง อยู่ดีๆ ก็โดนโยนขี้เฉย ผมว่าผมอยู่เงียบๆ แล้วนะ ทำไมพี่บิ๊กต้องเลือกผมด้วยวะ
 
               “เฮ้ย! พี่ ทำไมต้องเป็นผมอะ”
               “ในฐานะที่ตอนปี1 มึงใจกล้าเลือกจูบกับดาว ไหนๆ ปีนี้ก็มีน้องเลือกมึงหลายคนแล้ว จะจูบอีกคนจะเป็นไรวะ ไปนั่ง!!!” เมื่อท่านหัวหน้าฐานลั่นวาจามาขนาดนั้นแล้วใครจะไปขัดได้ละครับ เรื่องของผมมันก็เป็นตำนานจริงๆ นั่นแหละ เพราะตอนผมโดนรับน้อง ผมดันไปเลือกพี่ดาวซึ่งพี่เขาก็เป็นดาวโต๊ะปี 4 แถมผมยังเป็นฝ่ายโน้มเข้าหาพี่เขาอีก จะเหลืออะไรล่ะครับ โดนเมาท์ยาวมาจนถึงทุกวันนี้
 
               ผมทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิตรงหน้าน้องหลังจากที่ทุกคนแหวกทางให้ผม คือห้องมันค่อนข้างเล็กแล้วทุกพื้นที่ก็เต็มไปด้วยรุ่นพี่ด้วยความรู้อยากเห็นความพีคของฐานนี้นี่แหละครับ ไอติมยังคงไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามองผม ส่วนไอ้จัสที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ เพื่อสแตนบายสำหรับการจูบกันระหว่างผมกับไอติม ก็หันมายักคิ้วให้ผม ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่ามันต้องการจะสื่ออะไรถึงต้องมาทำหน้าเจ้าเล่ห์กรุ่มกริ่มใส่ผมแบบนั้น
 
               “น้องครับ! พี่จะให้โอกาสน้องเลือกครั้งสุดท้าย น้องจะเป็นฝ่ายค่อยๆ โน้ม ไปหาพี่เขา หรือจะให้ไอ้วอร์มันจัดการ ตอบครับ!”
               “ผะ... ผม... ผมโน้มเองครับ...”
               “โอเคนะ งั้นจูบเลยครับ!”
               “พี่วอร์ม... หลับตา... ได้ไหมครับ” ผมอมยิ้มเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำพูดของน้องพร้อมกับดวงตากลมที่ช้อนมองผม ตอนนี้ระยะห่างของเราห่างกันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำครับ ผมจับมือน้องที่กอดเข่าตัวเองอยู่ให้คลายออกแล้วจัดท่าให้น้องนั่งขัดสมาธิสบายๆ อย่างน้อยก็จะไม่ไม่เกร็งไปกว่านี้ก่อนที่ผมจะหลับตาลงช้าๆ ตามคำขอของน้อง
 
               “จูบได้แล้วครับน้อง!”
               “จูบกันๆๆๆๆ” เสียงเชียร์ของพี่ๆ ดังขึ้นทั่วบริเวณจนกึกก้องไปหมด สำหรับผมก็ไมได้รู้สึกอะไร มันชินแล้ว แต่ไอติมคงตื่นเต้นน่าดู แต่เอาเถอะ รีบๆ ทำให้เสร็จ จะได้จบๆ เสียที เอาจริงๆ ผมเริ่มหิวข้าวแล้ว แต่แม่งยังเหลือน้องอีกตั้งสามคน
 
              จุ๊บ!
 
               ความสัมผัสนิ่มหยุ่นจากริมฝีปากเย็นชืดของไอติมแตะลงกับปากผม นั้นหมายความว่าไอ้เชี่ยจัสทำพลาด เสียงกรี๊ดของพี่ผู้หญิงหลายๆ คนดังขึ้น พร้อมๆ กับเสียงโห่ของพี่ๆ ผู้ชาย ตามมาด้วยเสียงเป็ดๆ ของไอ้จัสที่กระซิบข้างหูผม
 
               “เชี่ย กูขอโทษ ไม่ทันจริงๆ ว่ะ”
 
               ทันทีที่ผมลืมตาก็พบว่าไอติมอยู่ในอาการมึนงง ที่จู่ๆ พี่ที่นั่งอยู่สองข้างของน้องก็พากันกระชากไหล่น้องให้ออกห่างจากผม รวมถึงไอ้จัสที่เอากระบอกปืนปลอมมาทาบปากผมก่อนจะไปทาบปากน้องอีกทีหนึ่ง น้องมันคงวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้วล่ะครับ ดูจากหน้าตาเด๋อด๋ากับปากที่กำลังอ้าหวอแบบนั้น ตลกฉิบหาย แต่ทำไมถึงเป็นเด็ที่เด๋อได้น่าเอ็นดูแบบนี้วะ
 
               “อะๆ จูบกันนะครับน้อง  ยินดีต้อนรับน้องไอติมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโต๊ะอย่างเป็นทางการเนอะ หายตกใจได้แล้วนะ จริงๆ พวกพี่ไม่มีอะไรนะครับ เห็นหน้าเถื่อนๆ แบบนี้ ใจดีทุกคนนะ เดี๋ยวน้องไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วพักผ่อนตามอัธยาสัยได้เลยนะครับ สุดท้ายพี่วอร์มมีอะไรจะพูดกับน้องไหม”
 
               เด็กเด๋อตรงหน้าผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาตามพี่ๆ ทุกคนแต่ทั้งๆ ที่หัวเราะอยู่นั้น น้ำตาน้องก็ไหลออกมาเฉย ภาพตรงหน้าผมตอนนี้ก็เลยกลายเป็นไอติมที่นั่งหัวเราะทั้งน้ำตา ผมเลยอดไม่ได้ที่จะขยี้หัวน้องไปพร้อมกับเอ่ยแซ็วน้อง
 
               “ขี้แยนะเรา คนบ้าอะไรหัวเราะไปร้องไห้ไป เดี๋ยวเจอกันตอนปาร์ตี้บาร์บีคิวนะ”
 
               หลังจากที่เด็กปี 1 ได้ผ่านกิจกรรมฐานต่างๆ ที่มีทั้งสนุกสนาน กดดัน และมหาโหด ทั้งร่างกายและจิตใจก็เหนื่อยมามากพอแล้วตอนนี้ก็เลยเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน มื้อเย็นสำหรับวันนี้เป็นปาร์ตี้บาร์บีคิวที่มีอาหารทะเลสดหลากหลายชนิด บรรยากาศเย็นสบายและเป็นกันเอง เนื่องจากทุกคนไม่จำเป็นต้องสวมบทบาทที่ถูกวางไว้อีกต่อไปแล้ว ทำให้พี่ๆ น้องๆ หลายๆ คนเริ่มสนิทกันและพูดคุยกันอย่างถูกคอ
 
               “ไงเรา เหนื่อยไหม เด็กขี้แย”
               “พี่วอร์มง่า...” น้องพองแก้มยู่ปากทันทีที่โดนผมเอ่ยแซ็ว เจ้าตัวจะรู้บ้างไหมว่าท่าทางแบบนี้มันน่ารักเหลือเกิน จนผมที่อดหมั่นเขี้ยวไม่ได้ต้องยื่นมือไปขยี้ผมน้อง
 
               “หยุดเลยพี่วอร์ม ผมยุ่งหมดแล้วเนี่ย... ฮัดชิ่ว!”
               “เอ้า! จามใส่หน้ากันเฉย”
               “ฮัดชิ่ว!”
               “เป็นหวัดแล้วมั้งเนี่ย” ไวเท่าความคิดหลังมือผมถูกส่งไปทาบกับหน้าผากของน้องทันที อุณภูมิของร่างกายไอติมที่สูงกว่าปกติแสดงได้ให้เห็นว่าการคาดเดาของผมนั้นถูกต้อง น้องเป็นหวัดจริงๆ แถมยังมีไข้ด้วย
 
               “ก็พวกเพราะพวกพี่นั่นแหละ มีอย่างที่ไหนให้น้องไปลงน้ำมาแล้วปล่อยทิ้งไว้ในห้องที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำขนาดนั้น เกิดพวกผมปอดบวมตายขึ้นมาทำไงอะ”
 
               “ได้ทีละเอาใหญ่เลยนะ ไปบ่นพวกปี 2 โน่น” ผมดีดหน้าผากไอติมไปหนึ่งที ตั้งแต่ที่เจอกันวันแรกเห็นทีวันนี้น้องจะพูดกับผมยาวที่สุดตั้งแต่ที่เคยคุยกันมาเลยมั้งครับ บ่นไม่หยุดแถมยังทำหน้าทำตางอแงอีก นี่มันเด็กมหาลัยแล้วจริงๆ หรอวะ
 
               “ผมไม่คุยกับพี่แล้ว ไปกินกุ้งดีกว่า” ไอติมหันมาแลบลิ้นใส่ผมก่อนจะรีบวิ่งไปหาเพื่อนๆ ที่กำลังยืนปิ้งอาหารอยู่หน้าเตา วันนี้ผมได้เห็นทั้งน้ำตาและรอยยิ้มของน้อง มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่เหมาะกับน้ำตาเลยสักนิด
 
               “พี่วอร์ม มายืนทำไรตรงนี้อะพี่ ไม่ไปกินหรอครับ”
               “กำลังจะไป เออ ไอ้คิว มีพวกยาแก้หวัดลดไข้งี้ไหม เอาไปให้ไอติมหน่อยดิ”
               “น้องไม่สบายหรอพี่”
               “อืม... มีไข้ด้วย มึงไปทำหน้าที่พี่เทคที่ดีหน่อยไป”
 
               “อ่า... โอเคครับ” ไอ้คิวที่เดินเข้ามาทักผมก็ขอตัววิ่งกลับไปเอายาที่ห้องพักของพวกปี 2 ทันที ส่วนผมก็เดินเรื่อยเปื่อยแล้วมาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้จัสที่ตอนนี้มีปลาหมึกย่างอยู่เต็มปาก เห็นมันกินทำหน้าฟินขนาดนั้นผมก็เลยแย่งไม้ในมือมันมาลองชิมดูบ้าง
 
               “เชี่ยวอร์ม มึงไม่ต้องมาเนียนแย่งกูแดก ไปปิ้งเองโน่นไป”
               “กับเพื่อนกับฝูง แค่นี้ก็ให้ไม่ได้” เค้กที่นั่งมองผมกับไอ้จัสตีกันอยู่สักพัก ก็ส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะยื่นจานที่เต็มไปด้วยกุ้งเผาที่แกะแล้ว และปลาหมึกย่างมาให้ผม
 
               “ขอบคุณนะเค้ก น่ารักที่สุดเลย”
               “โหย อะไรอะเค้ก เราไม่ได้แกะกุ้งเพื่อจะให้ไอ้วอร์มมันมากินสบายแบบนี้นะ ดูดิ มือก็เปื้อนเนี่ย”
               “ก็กินด้วยกันนี่ไง... มิชิด้วย มาๆ เดี๋ยวเค้กป้อน อ้าม” ไอ้มิชิที่โวยวายอยู่เมื่อกี้ก็สงบปากสงบคำลงทันทีที่ได้กินกุ้งตัวโตโดยการป้อนของเค้ก ผมกับไอ้จัสก็เลยได้แต่นั่งมองตากันปริบๆ เหมือนจะสัมผัสได้ถึงแสงสีชมพูรอบๆ นี้ยังไงก็ไม่รู้ครับ
 
               “จัส มึงว่าน้ำจิ้มซีฟู้ดวันนี้มันหวานๆ ไหมวะ”
               “เออ กูก็ว่างั้นแหละ หวานจนแสบคอไปหมดแล้วเนี่ย”
 
               “หวานตรงไหนวะ กูว่าเผ็ดจะตายละเนี่ย” มิชิถลึงตาใส่พวกผม แหม ทำมาเป็นกลบเกลื่อน ถ้าผมเป็นมันนะ มาขนาดนี้แล้วก็เปิดตัวเลยเถอะ ไม่รู้มันจะรีรออะไร
 
               ช่วงเวลาแห่งการบายศรีดำเนินไปด้วยความซึ้ง พี่หลายๆ คนที่ได้รับบทโหดก็กล่าวขอโทษน้องๆ ผลสุดท้ายก็กอดกันร้องไห้ไปหลายคู่ วงการบายศรีแบ่งเป็นสองวงครับ วงเล็กข้างในจะเป็นพวกพี่ๆ ปีสูง ส่วนวงนอกก็ตั้งแต่ปี 4 ไล่ลงมาถึงปี 2 เพราะฉะนั้นน้องปี 1 ก็จะหมุนเวียนกันยุ่งใช้ได้เลย พวกผมเองก็มีน้องๆ แวะเวียนมาหาเรื่อยๆ น้องที่เลือกผมไปจูบด้วยก็มากันหมดแถมน้องผู้หญิงบางคงยังมาพูดติดตลกกับผมอีกว่าเสียดาย เพราะนึกว่าจะได้จูบกับผมจริงๆ นี่มันสถานการณ์แบบไหนกันวะครับ เดี๋ยวนี้โลกมันหมุนเร็วขนาดนี้แล้วหรอ เจอแบบนี้ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกันอะ ได้แต่ส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้น้อง อยู่มาสามปีใช่ว่าจะไม่เคยเจอสาวมาสารภาพความในใจหรือตามตื้อตามจีบหรอกนะครับ มันก็มีบ้างแหละ แต่พอเป็นน้องในโต๊ะแล้วมันรู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล
 
               ผมนั่งมองเชือกสีขาวในมือซึ่งตอนนี้เหลือเพียงเส้นเดียว ส่วนเค้กที่ผูกหมดแล้วก็ชวนมิชิออกไปไหนไม่รู้ ไอ้จัสเองก็โดนเฮียบลูลากไปเตรียมก๊งแล้วละมั้ง ส่วนผมกำลังมองหาใครบางคนอยู่ เมื่อกวาดสายตามองหาก็พบว่าน้องสายของผมดูจะฮ๊อตเหลือเกินโดยเฉพาะในหมู่พี่ๆ ปีสูง พอเสร็จจากคนนี้ก็เห็นคนนั้นกวักมือเรียก ผูกยังไม่ทันเสร็จดี พี่อีกคนก็เดินมาผูกให้ อย่างว่าแหละครับ น้องมันเป็นเด็กน่ารัก ใครเห็นใครก็รักก็เอ็นดูทั้งนั้นแหละ สุดท้ายผมก็เลยเลือกที่จะปลีกตัวออกมาแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ เพียงแค่คาบบุหรี่ไว้ยังไม่ทันได้จุด ข้อความจากไอ้จัสก็ปรากฏบนหน้าจอ
 
               J.U.S.T. :: ไอ้วอร์มมึงมาให้ไวเลย ขาขาด คันมือ อยากเป็นคิงแล้ว
               It’s Michi :: เออวอร์ม มึงหายไปไหนวะ
               นายไออุ่น :: สัด! พวกมึงอะแหละ ไปไหนไม่เรียกกูเลยนะ
               คะ-หนม-เค้ก :: เค้กขอโทษ พอดีกลับมาเข้าห้องน้ำอะ เลยชวนมิชิมาด้วยแล้วเจอจัสหน้าห้องพอดี
 
               สุดท้ายพอเป็นเค้กออกมาขอโทษผมจะว่าอะไรได้ล่ะครับ ก็ได้แต่รีบเดินไปที่ห้องของเค้ก คืนนี้คงอีกยาวไกล เพราะแน่นอนว่าพวกคุณเพื่อนคงไม่ได้แค่เล่นไพ่ธรรมดาๆ แน่นอน ดูจากกระป๋องเบียร์และขวดค็อกเทลหลากสีในท้ายรถที่ไอ้มิชิขนมาแล้ว เพลินๆ ไปยันเช้าแน่ๆ ครับ
                             

                           .
                           .


               เสียงโทรศัพท์ของใครสักคนดังขึ้นมาจนผมต้องลืมตาตื่น ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งสักพักแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในห้องไอ้มิชิ ใกล้ๆ ผมก็มีไอ้จัสนอนตัวยาวอยู่ ส่วนเจ้าของห้องอย่างไอ้มิชิก็นอนบนเตียงโดยอีกเตียงก็คือเค้กนั่นเอง
 
               เมื่อคืนผมกับไอ้จัสมานั่งเล่นไพ่ที่ห้องไอ้มิชิกับเค้ก มีพวกพี่บลูมาแจมด้วยพักนึงแต่พวกพี่ๆ ก็กลับไปก๊งกับพวกปี4 และพี่ปีสูงต่อ เหลือก็แต่พวกผมสี่คนนี่แหละ ตอนแรกตกลงกันไว้ว่าจะไปเล่นที่ห้องผมกับไอ้จัส แต่ไอ้จัสนี่สิ ดันยืนยันว่าจะเล่นที่ห้องไอ้มิชิ ผมเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของมันแล้วผมว่ามันน่าจะแกล้งไม่ให้มิชิได้อยู่ด้วยกันกับเค้กสองต่อสองมากกว่า โคตรจะบาปเลย เพราะพวกผมก็อยู่กันยันเช้าเลยไง เพิ่งจะได้งีบกันไปเมือตอนเกือบๆ ตี5 นี่แหละ
 
               “ครับๆ ตื่นแล้วครับ... กลับวันนี้ครับแม่...  ไม่ลืมครับ ไม่ลืมหรอกน่า... ครับ สวัสดีครับ”
 
               ไอ้จัสงัวเงียลุกขึ้นมารับโทรศัพท์คุยกับคนปลายสายซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นแม่มันโทรมาเตือนเรื่องขนมหม้อแกงที่ฝากมันซื้อแน่ๆ  คนกรุงอยู่บ้านกับครอบครัวก็ซวยไปนะครับ ไปไหนมาไหนทีก็ต้องซื้อของกลับไปฝากคนที่บ้าน แล้วรอบนี้พอแม่ไอ้จัสมันรู้ว่าจะมารับน้อง ก็ลิสรายการขนมหม้อแกงฝากมาเป็นหน้ากระดาษเลยครับ เห็นว่าจะเอาไปฝากคนที่ทำงานด้วย
 
               “อ่าวไอ้วอร์ม... ตื่นแล้วหรอวะ”
               “เออ กูว่าจะกลับห้องแล้วเนี่ย”
               “เออๆ งั้นมึงกลับไปก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไป”
 
               ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางบนโต๊ะแล้วเดินออกมาจากห้องพัก ส่วนไอ้จัสก็ล้มตัวลงนอนต่อ ตอนนี้เวลาเกือบหกโมงเช้า ฟ้าข้างนอกก็เริ่มจะสางแล้ว น้ำทะเลก็ลดลงไปจนเห็นโขดหิดเป็นแนวทางยาวลาดลงไปในทะเล จริงๆ ห้องของผมกับห้องของมิชิมันก็ไม่ไกลกันนักหรอก เดินกลับไปแป๊ปเดียวก็ถึงแล้วแต่พอเห็นบรรยากาศริมทะเลยามเช้าแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะขอแว่บไปสูดอากาศดีๆ สักหน่อย นานๆ ทีจะได้เห็นอะไรแบบนี้ในชีวิต ถือว่าผมโชคดีมากนะเนี่ยที่ได้ตื่นมาเวลานี้ ดูเหมือนว่าพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นพอดีเลยด้วย เดี๋ยวถ่ายรูปไปอวดไอ้จัสกับมิชิสักหน่อยดีกว่า
 
                   แชะ!!!
 
               เสียงกัดชัตเตอร์ดังขึ้นมาแต่มันไม่ใช่ของผมแน่ๆ ผมมั่นใจ ผมมองไปตามเสียงก็เจอกับน้องไอติมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กำลังรัวชัตเตอร์ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นจนไม่ทันสังเกตเห็นผมแน่ๆ น้องกดถ่ายรูปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจนผมอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
 
               “อะแฮ่ม!”
               “อ้าว! พี่วอร์ม! มาทำอะไรตรงนี้”
               “พี่ต้องถามเรามากกว่ามั้ยว่ามาทำอะไรตรงนี้...”
               “ผมตื่นมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นครับ... ว่าแต่พี่วอร์มเถอะ ทำไมตื่นเช้าจัง”
               “เพิ่งกลับมาจากห้องไอ้มิชิอะ กำลังจะกลับไปที่ห้องเนี่ย”
               “โห จัดหนักยันเช้าเลยหรอพี่”
               “จัดหนักอะไร! ไม่ได้ทำอะไรเลยเว้ย! ว่าแต่เราเหอะ หายป่วยแล้วหรอไงถึงออกมาตากลมแต่เช้าเนี่ย”
               “พี่คิวเอายามาให้เมื่อคืนตอนที่ปี2 มาเชคจำนวนน้องปี1 อะครับ... ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”
 
               “อือ เจ้าคิวมาบอกแล้วล่ะ ว่าเอายาไปให้แล้ว... แต่ก็อย่าวางใจละ เดี๋ยวไข้กลับแล้วจะยุ่ง” ผมบ่นน้องแล้วลอบมองหน้าไอติมเล็กน้อย จริงๆ ผมเองเนี่ยแหละที่บอกให้ไอ้คิวปี2 เอายาลดไข้ไปให้น้องไอติม เอ้า! ผมก็แค่ทำตามหน้าที่พี่สายที่ดีเท่านั้นเอง เป็นพี่ก็ต้องช่วยกันดูแลน้องมันก็ถูกแล้วนี่ครับ
 
               “เข้าใจแล้วคร้าบ ผมก็แค่ออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้นเองหน่า” น้องไอติมบ่นงุ้งงิ้งต่อหลังจากพยักหน้ารับเหมือนเข้าใจที่ผมพูดมาก เจ้าเด็กนี่น่าเอ็นดูจนผมต้องยกมือไปขยี้หัวน้องด้วยความหมั่นเขี้ยว
 
               “เออ... ลืมไปเลย... เมื่อคืนตอนบายศรีอะ ยังไม่ได้ผูกข้อมือให้เลย... ไงล่ะ เป็นพี่น้องสายเดียวกันแท้ๆ ไม่ได้ผูกข้อมือให้จนได้” ผมพูดขึ้นต่อหลังจากที่นึกได้ เมื่อคืนตอนผูกข้อมือบายศรีให้น้องๆ ผมยังไม่ได้ผูกข้อมือไอติมเลย ทั้งๆ ที่น้องเป็นน้องสายผมแท้ๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่เข้ามาหาผมสักที จริงๆ ผมก็รอน้องให้เข้ามาหาแหละ แต่เห็นน้องโดนพวกพี่ปีสามปีสี่รุมผูกข้อมือให้เยอะแยะไปหมด คงไม่เหลือพื้นที่แขนให้ผมผูกให้แล้วละมั้ง

               “ง่า... ผมขอโทษครับพี่วอร์ม จริงๆ ผมตั้งใจไปให้พี่ผูกข้อมือให้นะ... แต่กว่าจะเสร็จจากพวกพี่ๆ ปีสี่คนอื่นๆ เขาก็เริ่มเสร็จกันหมดแล้ว... เลยไม่ได้เข้าไปหาอ่า” ไอติมอธิบายโดยที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่ได้มองหน้าผม
 
               “ฮ๊อตนะเราเนี่ย”
               “ไม่ได้ฮ๊อตสักหน่อย...”
               “อ่าๆ ช่างมันเถอะ ยังไงพี่ก็เก็บเชือกไว้เส้นนึงไว้รอผูกให้เราอยู่แล้วล่ะ”
 
               “จริงหรอพี่?!” น้องรีบเงยหน้าขึ้นมาถามผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใบหน้าของน้องตอนนี้โคตรน่ารักเลยครับ ฉีกยิ้มซะจนตาปิดเลย ผมหัวเราะตามเล็กน้อยก่อนจะล้วงหยิบเชือกที่เก็บไว้ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นเพราะผมเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงไม่ได้เอาออกตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ แล้วน้องก็ยื่นมืออีกข้างที่ว่างอยู่มาให้ผมอย่างรู้งาน ก่อนที่ผมจะบรรจงผูกเชือกสีขาวที่ข้อมือให้น้อง
 
               “สี่ปีต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจเรียนให้ดีๆ เป็นที่รักของเพื่อนๆ และของทุกๆ คน ขอให้ใช้ชีวิตอย่างราบรื่น ไม่เจ็บไม่ป่วย แล้วก็มีอะไรให้พี่ช่วยเหลือก็บอกได้เลยนะ เรื่องเรียนถ้ามีอะไรสงสัยหรือไม่เข้าใจก็ถามได้ตลอด...”
 
               “ครับพี่” ไอติมพยักหน้ารับพร้อมกับฉีกยิ้มตาหยีให้ผมอีกครั้ง
               “แล้วก็เป็นเด็กดีเชื่อฟังพี่ด้วยล่ะ ห้ามดื้อนะเข้าใจเปล่า?” ผมพูดต่อจนน้องหุบยิ้มแล้วยู่ปากเข้าหากัน ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่จะขยันทำตัวน่ารักไปถึงไหน
 
               “เข้าใจแล้วคร้าบ ผมจะเป็นเด็กดีกับพี่ๆ ไม่ดื้อไม่ซนด้วยเอ้า!”
               “อื้ม! ทำดีมาก! มา! ถ่ายรูปกัน”  ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นเข้าแอพถ่ายรูปแล้วเอ่ยชวนน้องให้มาถ่ายรูปด้วยกันแต่ดูเหมือนไอติมจะดูงงๆ
 
               “ถ่ายรูปตอนนี้หรอพี่?”
               “อืม ทำไมอะ ถ่ายไม่ได้หรอ?”
               “ผมยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลย” คำตอบของไอติมทำเอาผมหลุดขำออกมาอีกรอบ ซื่อเหลือเกินนะเด็กคนนี้
 
               “เออนั่นแหละ พี่ก็ยังเหมือนกัน ถือว่าเจ๊ากัน! มาเร็ว  หนึ่ง สอง...” ผมรัวชัตเตอร์ถ่ายเซลฟี่กับน้องไอติมไปประมาณ 4-5 รูป ก็แปลกดีเหมือนกันนะครับ รูปเซลฟี่พี่สายปีสามกับน้องสายปี1 ที่ถ่ายด้วยกันครั้งแรกคือรูปตอนที่เพิ่งตื่น แถมยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันกันทั้งคู่อีก เป็นสตอรี่ที่นึกถึงแล้วก็ฮาๆ ดี
 
               “เอาไว้ไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยชวนคิวมาถ่ายด้วยกันอีกรอบดีกว่า” ผมพูดกับน้องไอติมที่พยักหน้ารับหงึกหงักอยู่ข้างๆ ก่อนจะเอ่ยลาและแยกย้ายกันกลับห้องพักไป

.

.

.

To be Continue...



 :-[
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 8 :: 'จูบกัน'] UP 01-10-18
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-10-2018 18:56:41
กริ้วววววววววววววว
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 8 :: 'จูบกัน'] UP 01-10-18
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 03-10-2018 01:32:32
น่ารัก กรุบกริบ ^^
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 9 :: 'ห่วงใย'] UP 08-11-18
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 08-11-2018 12:23:24
               
:: Chapter 9 :: 'ห่วงใย'




**น้องไอติม**


               เช้าวันสุดท้ายของการรับน้องผมตั้งใจตื่นแต่เช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นและสูดอากาสบริษุทธิ์ให้เต็มปอดก่อนที่จะต้องกลับไปอยู่ในเมืองและมุ่งมั่นกับการเรียน ใครจะไปคิดล่ะครับว่าจะมาเจอพี่วอร์ม ทำไมถึงได้บังเอิญเจอกันตอนที่ผมอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยพร้อมจะพบเจอผู้คนเท่าไหร่ด้วยนะ ผมเห็นว่าทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ ก็ยังหลับกันอยู่ทั้งนั้นแต่พี่วอร์มดันออกมาเดินเล่นที่ชายหาดเหมือนกันซะได้ ระหว่างที่ผมกำลังยืนคิดอะไรเพลินๆ ไปพร้อมๆ กับลูบด้ายสีขาวเส้นเล็กที่ข้อมือข้างซ้ายก็มีใครบางคนมะสิกิดเรียกผม

 
               “ไอติม... เก็บของเรียบร้อยหมดรึยัง พี่เขามาตามให้ไปรวมตัวกันแล้วนะ” พอหันไปก็พบว่าเป็นไวท์นี่เองที่เป็นคนมาเรียกผม ดูเหมือนเพื่อนๆ ทุกคนจะเก็บของกันเรียบร้อยหมดแล้วและทยอยเดินไปรวมตัวกันที่ลานด้านนอกแล้ว
 
               “เรียบร้อยแล้วล่ะ ไปกันเถอะ” ผมสะพายเป้ของตัวเองขึ้นหลังแล้วเดินออกไปรวมตัวกับคนอื่น ทันทีที่ออกไปผมก็เห็นว่าพวกพี่บลู พี่จัส พี่มิชิ และพี่วอร์ม รวมตัวกันถ่ายรูปอยู่ก่อนแล้ว ส่วนพี่คิวก็ดูจะวุ่นๆ อยู่กับสัมภาระของพวกปี 1 ผมจึงเดินเอากระเป๋าของตัวเองไปวางรวมไว้
 
               “พี่คิวเหนื่อยไหม เมื่อคืนขอบคุณสำหรับยานะครับ”

               “ไม่เหนื่อยหรอก มันเป็นหน้าที่อะ ฮ่าๆ เดี๋ยวปีหน้าไอติมก็ต้องทำเหมือนกันนั่นแหละ ส่วนเรื่องยา ไปขอบคุณคนโน้นดีกว่า” พี่ชายคิ้วเบ้มบุ้ยปากไปทางที่พวกพี่วอร์มยืนอยู่ แสดงว่าพี่เขาฝากยามาให้ผมอย่างนั้นหรอ
 
               “พี่วอร์ม?”

               “อือ... ก็พี่วอร์มเป็นคนมาบอกอะ ว่าไอติมไม่สบาย...”

               “น้องไอติม~ มาถ่ายรูปกันเร็ว จูเนียร์ด้วย เดี๋ยวเฮียกับเจ้ทั้งสองจะกลับแล้วโว้ย ไอ้คิวมึงด้วย ให้ไว” เสียงพี่บลูที่ตะโกนมาทำให้บทสนทนาระหว่างผมกับพี่คิวจบลงไปโดยปริยาย ผมยังไม่ทันจะได้ถามให้แน่ใจเลยว่าตกลงแล้วใครเป็นคนฝากยามาให้ผมกันแน่
 

               ผมรีบวิ่งไปรวมกับพี่ๆ ในสาย พวกเราถ่ายรูปกันอยู่เยอะพอสมควรเลยครับและด้วยความพิเศษของการโคสาย และการเทคน้องถึงสามคนของพี่บลูก็เลยทำให้สายของพวกเราดูคนเยอะเป็นพิเศษ ยิ่งมีพี่ปีบัณฑิตอย่างพี่เพชรกับพี่เจที่เป็นปีสูงมารวมด้วยแล้วยิ่งครึกครื้นเข้าไปใหญ่

 
               “ปีนี้ได้น้องไอติมกับน้องจูเนียร์เข้ามา กราฟความน่ารักและหน้าตาดีของสายเรายิ่งพุ่งไปใหญ่เลยอะ”

               “โธ่เจ้! น้องเทคเจ้อย่างผมหน้าตาไม่ดีตรงไหน ตอบ!!” พี่บลูรีบโวยวายทันทีที่พี่เพชรเอ่ยชมผมกับจูเนียร์ แต่ผมว่าจริงๆพวกพี่ๆ เขาก็หล่อๆ กันทั้งนั้นนะครับ แถมแต่ละคนก็มีตำแหน่งพ่วงติดตัวกันไม่ธรรมดาด้วย
 
               “พวกแกมันมีดีแค่หน้าตา แต่สันดานเสียไอกับจูไม่ต้องไปเชื่อฟังพวกมันมากนะ ฟังแค่น้องคิวกับน้องแพรวก็พอ” ผมมองหน้าจูเนียร์อย่างงงๆ แล้วพี่ๆ ก็พากันระเบิดหัวเราะออกมาหลังจากที่ฟังพี่เจพูดจบ ดูแล้วสายพวกเราท่าทางจะสนิทกันมากเลยแหละครับ ผมก็รู้สึกดีนะที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของสายนี้ อบอุ่นเหมือนเป็นอีกครอบครัวนึงเลยล่ะ

               “ไปแล้วๆ ไว้เดี๋ยวนัดเลี้ยงสายกันนะ ไอ้บลูแกรวมน้องๆ มาให้ครบ แล้วมาบอกพวกฉันด้วยว่าว่างวันไหน”

               “รับทราบครับเจ้ใหญ่”

               “พวกพี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกันนะเด็กๆ” พวกเราทำความเคารพและร่ำลาพี่เพชรกับพี่เจ รวมถึงพี่บลูที่มีหน้าที่ขับรถให้กับพี่สาวทั้งสองด้วย
 
               “จูมานี่ๆ มึงไปถ่ายสายมึงเลยไอ้วอร์ม รวมสายใหญ่ไปแล้ว ตอนนี้ขอแยกครับ” พี่จัสกวักมือเรียกจูเนียร์ที่ยืนอยู่ข้างผมให้ไปยืนรวมกับพวกพี่เขาเพื่อถ่ายรูปสาย คือจริงๆ แล้ว เพราะพี่เทคของพี่วอร์มซิ่วไปเรียนคณะอื่นพี่บลูก็เลยอาสาดูแลพี่วอร์มด้วย พวกเราก็เลยเป็นสายเดียวกันอย่างงงๆ อะครับ
 
               “ไม่ต้องไล่ก็ได้ไหม กูก็ไม่ได้อยากจะถ่ายกับพวกมึงอยู่แล้ว น้องคิวปิดน้องไอติมครับ เราไปหามุมดีๆ ถ่ายรูปกันดีกว่า” พี่วอร์มหันไปเถียงกับพี่จัสก่อนที่จะพาผมกับพี่คิวออกมาจากตรงนั้น ได้ยินพี่วอร์มพูดเพราะ สุภาพแบบนี้ก็แปลกหูดีเหมือนกันนะครับ
 
               “มุมดี แสงดีอย่างเดียวไม่พอ กดให้แม่นๆ ด้วยนะพี่ ผมเห็นพี่ถ่ายทีไร แม่งเบลอทุกรอบ”

               “เชี่ยคิวนี่ งั้นมึงกดเองเลยไป”

               “ไม่เอาอะ ผมไม่ใช่สายเซลฟี่”
 
               “อ่า... เดี๋ยวไอกดเองก็ได้ครับ” ผมเสนอตัวเป็นคนถือกล้องและกดถ่ายเอง หลังจากที่ปล่อยให้พี่วอร์มและพี่คิวยืนเถียงกันอยู่พักใหญ่ มันก็ตลกดีนะครับ พี่ผู้ชายสองคนมายืนทะเลาะกันเรื่องถ่ายเซลฟี่เนี่ย พวกเราหมุนหามุมถ่ายไปเรื่อยๆ เพราะมันติดคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง บางทีก็มีพี่ๆ สายอื่นโผล่มาเข้ากล้องด้วย จนสุดท้ายพวกเราก็ยอมแพ้ ถึงแม้จะไม่ได้รูปที่ดีมากนัก แต่มันก็เต็มไปด้วยความทรงจำและความหมายมากมายอยู่ในนั้น ก่อนที่พี่คิวจะขอตัวไปจัดการกับสัมภาระต่อ
 
               “พี่วอร์มครับ... ขอบคุณนะ”

               “เรื่อง?”

               “ก็... ยาที่ฝากพี่คิวมาให้ผมไง”

               “อ๋อ... เล็กน้อยน่า ก็เราเป็นน้องสายพี่นี่ พี่ก็ต้องคอยดูแลน้องอยู่แล้วเป็นธรรมดา” นั่นสิเนอะ มันเป็นหน้าที่ของคนเป็นพี่อยู่แล้วที่ต้องคอยดูแลน้อง
 
               “ไปได้แล้ว เพื่อนๆ เขาทยอยขึ้นรถกันแล้วน่ะ ไว้เจอกันที่มอนะ”

               “อ่า... โอเคครับ ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” พี่วอร์มขยี้หัวผมเบาๆ พร้อมส่งยิ้มมาให้ ก่อนเดินไปหาพี่จัส พี่มิชิ และพี่เค้กที่ยืนรออยู่ที่รถยนต์ส่วนตัวของพวกพี่ๆ เขา

               หลังจากจบการรับน้องผมก็ไม่ค่อยได้เจอพวกพี่ๆ เขาอีกเลย จะมีบ้างก็ตามตึกคณะที่ได้แค่ทักทายกันเล็กน้อย คงเป็นอย่างที่ผมได้ยินมานั่นแหละครับว่าปี 3 เรียนหนักน่าดู แล้วพวกพี่เขาแต่ละคนก็เด็กกิจกรรมอีกคงบริหารเวลากันน่าดูเลย ส่วนพี่วอร์มถึงผมจะเห็นพี่เขาที่หอบ่อยๆ ก็ตาม แต่ผมเองก็ไม่ได้เข้าไปทักพี่เขาหรอกครับ ส่วนเรื่องของที่ไปฝากพี่ยามไว้ผมก็ยังฝากไปอย่างสม่ำเสมอ ด้ายสีขาวที่ได้รับมาจากรุ่นพี่ตอนบายศรีผมก็เอาออกไปหมดแล้วจะเหลือก็แต่เส้นที่อยู่ที่ข้อมือซ้ายเพียงเส้นเดียว มันคือเส้นที่พี่วอร์มเป็นคนผูกให้ ผมตั้งใจเก็บไว้เพื่อความอุ่นใจน่ะครับ หวังว่ามันคงพอจะเป็นเครื่องรางนำโชคให้ผมได้บ้างนะ
 
               เวลาในรั้วมหาลัยของน้องใหม่อย่างพวกผมเองก็ผ่านไปเร็วเหมือนกัน เผลอแป๊บเดี๋ยวก็มาถึงช่วงเวลาแห่งการสอบกลางภาคแล้ว การสอบครั้งแรกของชีวิตมหาลัยของผม แต่คิดมันก็อดตื่นเต้นไม่ได้ แถมยังแอบกดดันอีกต่างหาก เพราะคณะผมไม่มีสอบกลางภาคเพราะฉะนั้นวิชาหลักของคณะถ้าพลาดขึ้นมาก็เรื่องใหญ่เลยล่ะครับ และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมตอนนี้พวกผมถึงต้องมานั่งจมกองหนังสือทั้งวันทั้งคืนอยู่ที่หอสมุด วิชาพื้นฐานที่จะสอบกลางภาคก็ต้องอ่านแล้วยังต้องเตรียมตัวอ่านบางส่วนของวิชาคณะเผื่อไว้อีกด้วย
 
               “หิวอะ เราไปพักหาอะไรกินกันก่อนไหม” ผมละสายตาจากชีทในมือ คนหน้าหวานที่กำลังงอแงไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นไวท์นั่นเอง เขากำลังอมลมไว้จนแก้มทั้งสองพองเหมือนกระต่ายน้อยแก้มยุ้ย
 
               “ก็ดีเหมือนกันนะ เราว่าจะไปซื้อกาแฟสักหน่อย ง่วงมากเลยอะ ตอนนี้อ่านไปก็ไม่เข้าหัวเลย ไอติมลุกเร็ว”

               “ไอไม่ไปได้ไหมอะ ยังอ่านไม่ถึงไหนเลย อีกอย่างก็ยังไม่หิวด้วย จูกับไวท์ไปเถอะ เดี๋ยวไอจะได้เฝ้าโต๊ะไว้ให้ด้วย”
 
               “เอาอะไรไหม” ผมส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ ไวท์ทำหน้าลังเลอยู่พักนึง ผมจึงโบกมือเป็นการไล่กลายๆ ให้ทั้งสองคนไปกันเลยโดยไม่ต้องเป็นห่วงผม ไวท์จึงคล้องแขนแล้วลากจูเนียร์ให้เดินออกไปจากหอสมุดอย่างอารมณ์ดี ท่าทางจะหิวมากจริงๆ
 
               มันก็น่าเบื่ออยู่หรอกครับ เพราะพวกเรามาถึงหอสมุดตั้งแต่เช้าเพื่อจองที่ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงสอบกลางภาคคนจึงเยอะเป็นพิเศษ อีกอย่างโซนที่พวกผมนั่งมันเป็นโซนที่ทั้งพูดคุยกันได้และยังสามารถเอาของกินและเครื่องดื่มเข้ามาได้ด้วยจึงเป็นโซนที่มีความต้องการสูงถึงกับต้องแย่งชิงกันเลยทีเดียว เพราะคณะผมไม่มีสอบกลางภาค ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เลยได้เจอแค่พวกพี่ๆ ปี 2 ที่เก็บวิชาเลือกนอกคณะกันเท่านั้น แต่วันนี้ก็ยังไม่เจอใครเลยครับ



               .

               .

               .



**พี่วอร์ม**


               พวกผมเดินวนหอสมุดเกือบสองรอบได้ก็ยังไม่เจอโต๊ะเลยครับ ทั้งๆ ที่ผมบอกเพื่อนๆ แล้วว่าให้อ่านที่หอไม่ก็ไปหาร้านกาแฟนั่งก็ไม่มีใครเชื่อผมสักคนอะ ไอ้จัสก็บอกว่าถ้าอ่านอยู่ที่ห้องมันก็มีแต่นอนกับนอน ส่วนเค้ก พอเสนอว่าให้มาอ่านด้วยกันจะได้ช่วยกันทวนและทำความเข้าใจด้วย คุณชายมิชิก็เลยดี๊ด๊ารีบสนับสนุนความคิดเห็นของเค้กทันที สุดท้ายผมก็เลยต้องยอมออกมาหอสมุดนี่ไง
 

               “ไม่มีที่ว่างเลยว่ะมึง เอาไง”

               “ยังไม่ได้เดินเข้าไปดูเลยนี่วอร์ม หรือจะขึ้นไปชั้น3 กันดี”

               “แต่วอร์มขี้เกียจไต่บันไดอะเค้ก...”
 
               “เพราะอย่างนี้ไง มึงถึงไม่สูงอะ ฮ่าๆๆๆ” โอ้โห ถ้าจะเล่นทีเผลอแบบนี้นะมิชิ บอกเลยว่าโคตรเคือง เค้กที่ยืนอยู่ระหว่างผมกับไอ้มิชิได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยความเอือมระอา สงสัยกันใช่ไหมครับว่าไอ้จัสหายไปไหน มันบอกว่าจะแวะซื้อกาแฟที่ร้านด้านหน้าหอสมุดก่อน

               “นั่นใช่น้องไอติมรึเปล่าวอร์ม” ระหว่างที่ผมกำลังไล่เตะไอ้มิชิ เค้กก็เอ่ยแทรกขึ้นมา ผมมองตามปลายนิ้วเรียวไปแล้วก็พบว่าเป็นไอติมจริงๆ ตามที่เค้กว่า แถมโต๊ะที่น้องนั่งอยู่ยังเป็นโต๊ะตัวยาวที่นั่งได้หกถึงแปดคนอีกด้วย สภาพหนังสือและชีทที่วางกระจัดกระจายอยู่ทั่วโต๊ะ น้องคงจะไม่ได้มาคนเดียวแน่
 
               “ไปขอนั่งกับน้องดีไหม”

               “นั่นดิมึง กูเห็นด้วยกับเค้ก”

               “มึงก็เห็นด้วยกับเค้กตลอดอะ กูไม่เคยจะเห็นมึงขัดเค้กสักครั้งเลย” ผมอดที่จะแซะมิชิไม่ไหวจริงๆ ยิ่งพักหลังๆ มานี่ มันแทบจะไม่เคยห่างกับเค้กเลย แถมยังชอบทิ้งผมกับไอ้จัสไว้แล้วหายไปกับเค้กสองคนบ่อยๆ
 

               ผมใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเดินนำเข้าไปหาน้องที่โต๊ะ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรหรอกนะ เพราะในเมื่อเป็นความคิดของเค้ก ผมก็เลยเลือกที่จะให้เค้กเป็นคุยกับน้องเองน่าจะดีกว่า
 

               “อ้าว พี่ๆ สวัสดีครับ มาอ่านหนังสือกันหรอครับ เอ... แต่ปี3 มีสอบกลางภาคด้วยหรอครับ” น้องเอ่ยทักทายอย่างสดใสพร้อมยกมือไหว้ทันทีที่เงยหน้ามาเจอพวกผม
 
               “ใช่แล้วล่ะ พวกพี่ดันลงเรียนวิชาเลือกภาคภาษาอังกฤษไปตัวนึงอะ กลางภาคมาเต็มๆ เลย แต่นี่ยังหาที่นั่งไม่ได้เลย ไม่มีโต๊ะว่างเลยอะไอติม พวกพี่ขอนั่งด้วยได้เปล่า” เค้กตอบคำถามของเจ้าเด็กช่างสงสัยไปอย่างติดตลก คนอื่นคงมองว่าพวกผมหาเรื่องใส่ตัว แต่ว่าอาจารย์ที่สอนวิชานี้คืออาจารย์ที่พวกผมสนิทแหละ เวลาเรียนก็ชิลมากด้วย ความจริงแล้วการมีสอบกลางภาคมันก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอกครับ ดีเสียอีกมีคะแนะเก็บไว้ให้อุ่นใจตั้งครึ่งนึง

 
               “อ่อ... ได้สิครับ ขอผมเคลียร์โต๊ะแป๊บนึง”

               “ไม่เป็นไรหรอก แล้วนี่น้องไอติมมาคนเดี๋ยวหรอครับ” มิชิเอ่ยถามน้ำด้วยน้ำเสียงแสนจะนุ่มนวลแถมพูดเพราะอีกต่างหาก แม่งไม่ค่อยจะสร้างภาพเลยไอ้คุณชาย ทำเอาผมดูเป็นพี่ที่หยาบคายและโคตรก้าวร้าวไปเลย
 
               “พอดีจูเนียร์กับไวท์ออกไปหาอะไรกินอะครับ แต่ไอไม่หิวเท่าไหร่ก็เลยอาสาเฝ้าโต๊ะให้”

               “ดีเลย ช่วงนี้พี่ก็ไม่ได้คุยกับไวท์เลย แต่ตอนนี้อยากกินขนมอะมิชิ”
 
               “ไปสิ ได้โต๊ะแล้วนี่นา น้องไอติมเอาขนมอะไรไหมครับ” ไอ้คุณชายผมทองรีบขานรับทันทีที่เค้กหันไปอ้อนว่าอยากกินขนม ทีเมื่อกลางวันผมบ่นอยู่ตั้งนานสองนานว่าอยากกินบราวนี่ดันไม่ยอมเดินไปซื้อเป็นเพื่อนกูนะ ไอ้เพื่อนชั่ว! ขอโทษครับ อินไปหน่อย
 
               “ไม่เป็นไรครับผม พี่ๆ ไปกันเลย วางของไว้นี่ก็ได้ครับ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวไอดูให้เองครับ”

               “วอร์มมึงไปกับพวกกูไหม”

               “ไม่อะ มึงไปกันเหอะ” ผมยกแก้วกาแฟในมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าผมมีสิ่งที่ต้องการแล้ว จะว่าไปตั้งแต่เดินเข้ามาผมกับน้องยังไม่ได้คุยกันสักคำเลยนี่นา


               เมื่อผมหันไปมองคนข้างๆ ก็เห็นน้องนั่งขมวดคิ้วและบ่นพึมพัมกับตัวเอง ถ้าใครเดินผ่านไปมาเห็นภาพแบบนี้คงขำอยู่ไม่น้อย เพราะน้องเหมือนคนที่กำลังพูดคนเดียวด้วยสีหน้าจริงจังสุดๆ แถมมือเรียวที่ใช้ปากกาลูกลื่นจิ้มเคาะชีทซ้ำๆ ยิ่งทำให้ดูเหมือนตอนนี้น้องกำลังทะเลาะกับเอกสารในมือยังไงอย่างนั้น

 
               “โอ๊ย! ปวดหัว ไม่เห็นจะเข้าใจเลยอะ นี่อ่านโจทย์วนมาสามรอบแล้วนะ ฮือ” แต่สำหรับผมอาการของคนตรงหน้ามันกลับน่าเอ็นดูเสียมากกว่า คนอะไรทะเลาะกับชีทก็ได้ด้วย
 

               “ไหน? ไม่เข้าใจตรงไหน” ผมเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับขยับเก้าอี้ให้เข้ามาใกล้น้องมากขึ้นและพยายามชะโงกหน้าไปอ่านโจทย์เจ้าปัญญาบนกระดาษ
 
               “ก็นี่อะพี่วอร์ม ทำไมถึงเป็นแบบนี้อะ ก็เห็นชัดๆ ว่าสองตัวนี้มัน...”

               “ดูนะ นี่อะ ลองอ่านตรงนี้ใหม่อะ” ผมไม่รอให้น้องพูดจบก็หยิบปากกาเมจิกของตัวเองโอบหลังน้องเพื่อเอื้อมไปวงบนชีทให้น้อง ไอติมไม่ได้พูดอะไรแถมนั่งตัวเกร็งอีกต่างหาก ผมแค่จะช่วยอธิบายไม่ได้จะทำร้ายร่างกายเสียหน่อย ทำไมต้องทำเป็นกลัวขนาดนั้นด้วยวะ
 
               “ขะ... เข้าใจแล้วครับ พี่วอร์มเขยิบไปหน่อยดิ...” ยังไม่ทันที่ผมจะอธิบายเสร็จ น้องก็เบี่ยงตัวหลบ เพราะน้องนั่งหันหลังให้ผมอยู่ก็เลยไม่รู้ว่าไอติมพูดด้วยสีหน้าแบบไหน แต่ผมเห็นนะว่าหูน้องแอบแดง หรือว่าน้องมันจะเขินผมวะ เห็นแบบนี้แล้วก็ชักจะอยากแกล้งอีกคนให้มากกว่านี้เสียหน่อย
 
               “ไล่พี่หรอ ทีหลังถ้าไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกันก็บอกแต่แรกสิ พี่ไปก็ได้ แต่ขอฝากของไอ้มิชิกับเค้กไว้ก่อนแล้วกัน...”

               “มะ... ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น...” ท่าทางของน้องที่กำลังนั่งก้มหน้า และเม้มปากล่างเอาไว้แน่นอย่างครุ่นคิด ทำไมถึงได้เชื่อคนง่ายขนาดนี้นะ แล้วท่าทางจะเป็นคนขี้คิดมากอีกด้วย
 
               “ถึงกับหูตกเลยหรอ ฮ่าๆๆ”

               “พี่วอร์ม!!! นี่แกล้งผมหรอ ไม่พอ ยังจะมาหลอกว่าผมเป็นหมาอีก นิสัยไม่ดี!”

               “อะไร นิสัยไม่ดีตรงไหนกัน อีกอย่างพี่ก็ไม่ได้ว่าเราเป็นหมาสักหน่อย คิดเองเออเองหลายรอบแล้วนะ”

               “ก็พี่พูดอยู่ว่าผมหูตกอะ”
 
               “แมวก็หูตกได้ป่ะ พวกที่หูตกตาเศร้าๆ อะ เหมือนเลย ฮ่าๆๆ มาๆ เดี๋ยวเกาคางให้นะ ไม่เศร้านะ” ผมเกาคางให้น้องอย่างที่พูดซึ่งการกระทำของผมก็ให้คนตรงหน้าผมหน้างอหนักกว่าเก่าเสียอีก ยิ่งแกล้งแล้วเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งสนุกที่ได้แกล้ง
 
               “ไม่ต้องเลย ถ้าพี่จะไม่อ่านหนังสือของตัวเอง ก็ช่วยอยู่เงียบๆ อยู่เฉยๆ แล้วเลิกกวนประสาทผมได้แล้ว” ไอติมบอกกับผมเสียงเข้มก่อนจะหันไปสนใจกับเอกสารในมือต่อ นี่ขนาดทำเสียงเข้มแล้วนะ แต่สำหรับผม ผมว่ามันก็น่ารักอยู่ดีอะ เหมือนลูกแมวที่กำลังพองตัวขู่เสียมากกว่า มีอย่างที่ไหนจะทำหน้าดุ โมโห ไม่พอใจแล้วพองแก้มย่นจมูกเนี่ยนะ เห็นแล้วมันมันเขี้ยวชะมัด

               “โอ้โห หายกันไปชาติเศษเลยนะพวกมึงอะ”

               “ก็กูบังเอิญเจอน้องจูกับน้องไวท์ แล้วสักพักเค้กก็เดินมาบอกว่าได้โต๊ะแล้วนั่งกับน้องๆ พวกกูก็เลยไม่รีบไง”
 
               “เนี่ย พี่จัสเลี้ยงน้ำพวกเราด้วยอะ เสียดายไอติมน่าจะไปด้วยกัน” น้องไวท์ชูแก้วน้ำผลไม้ปั่นในมือให้คนที่นั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆ ผมดู แหม เดี๋ยวนี้สายเปย์เหลือเกินนะเพื่อนผม หมั่นไส้ว่ะครับ ผมรู้หรอกว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยงน้องจูเนียร์หรอก แต่น้องดันอยู่ด้วยกันสองคนไง อีกอย่างจูเนียร์ก็เป็นน้องสายมันด้วยถ้าไม่เลี้ยงก็ดูจะเกินไปหน่อย
 
               “ทำไมทำหน้าแบบนั้นอะไอ เป็นอะไรรึเปล่า”

               “เปล่า... รีบอ่านต่อกันเถอะจู ไอมีบางจุดที่ไม่เข้าใจอยากถามด้วยอะ” สองเพื่อนรักของไอติมรีบรวบข้าวของของตัวเองมาวางกองรวมไว้ฝั่งนึงของโต๊ะแล้วนั่งลงทันที
 
               ตอนนี้ก็เลยเหมือนผมนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างไอ้มิชิกับไอติม ส่วนฝั่งตรงข้ามผมก็เป็นไอ้จัสที่พยายามจะเนียนนั่งข้างน้องไวท์ให้ได้ เค้กก็เลยได้นั่งตรงข้ามไอ้มิชิไปโดยปริยาย มันช่างลงตัวอะไรขนาดนี้ เหมือนไอ้เพื่อนรักทั้งสองตัวของผมมันนัดกันมากจากบ้านยังไงอย่างนั้น
 
               “วอร์มต้องแกล้งอะไรน้องไอติมแน่ๆ เลย พอพวกเรากลับมาน้องถึงได้หน้ามุ่ยแบบนั้นอะ”

               “โธ่เค้ก เห็นวอร์มเป็นคนยังไง นี่วอร์มไม่ได้แกล้งอะไรน้องเลยนะ ช่วยอธิบายโจทย์ให้ด้วยต่างหาก”
 
               “น่าเชื่อตายล่ะ แค่มองตามึงกูก็รู้แล้ว เชี่ยวอร์ม ไม่ต้องมาทำตัวเป็นคนดี” คำพูดที่ออกมาจากปากของเพื่อนตัวโย่งทำผมโมโหอยู่ไม่น้อย ก็ดูมันด่าผมสิครับ ตัวเองก็ไม่ได้ต่างจากผมสักเท่าไหร่หรอก สร้างภาพฉิบหาย
 
               “เชี่ยจัส! มึงก็กล้าพูดนะ อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะที่มึงเลี้ยงกาแฟน้องจูด้วยอะ”

               “ทำไม?! กูทำไม จูก็น้องสายกูป่ะวะ”

               “ตามสบายเลยมึง เต็มที่ แถให้สุด ยังไงมึงก็คนโคตรไม่เนียน2017 อยู่แล้ว”
 
               “พอกันทั้งคู่แหละ พวกมึงจะเลิกแซะกันได้ยังวะ หยิบชีทมาเลย เดี๋ยวกูจะสรุปให้ฟังก่อน” เสียงของมิชิที่แทรกขึ้นมาห้ามยกได้ถูกจังหวะสุดๆ ถ้าไม่ติดว่าเป็นวิชาภาคภาษาอังกฤษนะ ผมจะไม่ง้อพวกมันเลย คือก็ไม่ใช่ว่าภาษาอังกฤษผมถึงขั้นวิกฤตหรอกครับ แต่ผมก็อ่อนที่สุดในกลุ่มนั่นแหละ ส่วนคุณชายมิชินี่ก็เป็นบุคคลผู้เก่งภาษาอังกฤษที่สุด มันก็เลยอาสาจะติวให้พวกผมเท่านั้นเอง
 

               เมื่อการทวนเนื้อหาทั้งหมดผ่านพ้นไป มิชิก็ให้เวลาพวกผมพักก่อนที่จะมาลุยทำข้อสอบเก่ากันต่อ พอผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พบว่าไอติมฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะเสียแล้ว ส่วนจูเนียร์ก็ใส่หูฟังและก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกไปเสียแล้วและทันทีที่น้องไวท์ลูกขึ้นยืนบิดขี้เกียจไปมา ไอ้จัสก็พรวดพราดลุกขึ้นยืนเช่นกัน

 
               “น้องไวท์ ไปห้องน้ำกันไหม นั่งนานแล้ว เมื่อยแย่”

               “อ่า... ก็ได้ครับ” พอน้องตอบตกลงรอยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าของเพื่อนตัวโย่งทันที ยิ้มกว้างอีกนิดนึงปากก็ฉีดถึงหูแล้วครับ แหม่ เก็บอาการบ้างอะไรบ้างเถอะเพื่อน และภาพตรงหน้าก็ทำให้ผมหันไปมองสบตาและอมยิ้มน้อยๆ กับมิชิและเค้กอย่างรู้กัน จะว่าไปแล้ว อีกคู่ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ผมก็ไม่ได้น่าหมั่นไส้น้อยไปกว่าไอ้จัสเลยครับ ขยันทำให้ผมรู้สึกเป็นส่วนเกินเหลือเกิน
 
               “มึงล่อลวงน้องไปไหนมาวะ” ผมทักทันทีที่เห็นไอ้จัสเดินกลับเข้ามาพร้อมกับน้องไวท์ เล่นหายกันไปครึ่งค่อนชั่วโมง คงไม่ได้ไปแค่ห้องน้ำแน่ๆ
 
               “กูหิว เลยไปชวนน้องไปซื้อไส้หรอกมาเนี่ย กินไหม” ผมรับถุงไส้กรอกมาจากจัสอย่างงงๆ แต่ไหนๆ มันก็อุตส่าห์มีน้ำใจแบ่งให้เพื่อนอย่างผมกินแล้ว ก็ขอสักหน่อยแล้วกัน และมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไอติมเงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน
 
               “ดื่มสักหน่อยนะไอ ไวท์ซื้อมาฝาก เห็นไอไม่ได้ลุกไปไหนเลยตั้งแต่เช้าแล้วจะได้สดชื่นไง”

               “ขอบคุณนะไวท์” ผมเห็นน้องยื่นมือไปรับขวดวิตตามินซีรสมะนาวจากเพื่อนแล้วเปิดดื่มทันที เห็นผลิตภัณฑ์ของยี่ห้อนี้ทีไรผมก็อดนึกถึงผู้หวังดีที่ไม่ประสงค์นามซึ่งมักจะฝากเหล่าวิตตามินซี ทั้งรูปแบบของเหลว ทั้งขนม ลูกอม และแบบเม็ดมาให้ผมเสมอ และทุกๆ ครั้งมันก็จะมีโพสอิทกับข้อความสั้นๆ ที่ถูกเขียนด้วยลายมือน่ารักเป็นระเบียบแนบมาด้วย
 
               “ไอติม...”

               “ครับ?”

               “ชอบกินไอ้นี่หรอ...” ผมถามน้องด้วยความสงสัย ความจริงแล้วผมก็คิดเหมือนกันแหละว่าลายมือที่อยู่บนเอกสารที่วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะเนี่ย มันช่างคล้ายคลึงกับลายมือเจ้าของโพสอิทที่ส่งมาให้ผมเหลือเกิน เพียงแต่บนชีทของน้องมันออกจะหวัดกว่าอยู่หน่อยก็เท่านั้น
 
               “ผมมะ...”

               “ใช่เลยครับพี่วอร์ม ไอติมชอบกินเพราะบอกว่าสดชื่นแล้วยังช่วยป้องกันหวัดได้อีก”

               “อ้อ... อย่างงี้นี่เอง” ผมพยักหน้ารับรู้กับคำตอบของน้องไวท์ที่พูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ไอติมจะพูดจบเสียอีก น้องไวท์ส่งยิ้มกว้างให้ผมก่อนจะหันไปคุยกับไอ้จัสต่อ ส่วนไอติมที่หันนห้ามาทางผมเพื่อที่จะตอบคำถามของผมเมื่อกี้ก็หันกลับไปจดจ่ออยู่กับเอกสารตรงหน้าต่อเสียแล้ว น้องเม้มริมฝีปากล่างแน่น ราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
 
               “เครียดไปรึเปล่า คิ้วผูกกันจะเป็นโบว์แล้ว เดี๋ยวหน้าแก่ก่อนวัยไม่รู้นะ” ผมขยี้หัวน้องเล่นก่อนจะลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ดูเหมือนไอติมจะยิ่งหน้ายุ่งกว่าเดิมเสียอีก
 
               “พี่วอร์มไม่ต้องมายุ่งเลย” ได้เห็นโหมดจริงจังของน้องแบบนี้ก็แปลกตาไปอีกแบกครับ ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ ทำเอาเจ้าตัวหันมายู่หน้าใส่ผมอีกครั้ง ผมเลยเลือกที่จะเดินฮัมเพลงออกมาจากตรงนั้น ไม่อย่างนั้นคงอดใจไม่ไหวได้แกล้งน้องอีกแน่ๆ ถ้าน้องจะมีคนรักเยอะผมก็ไม่แปลกใจหรอกครับ ด้วยหน้าตาและนิสัยของไอติมสามารถทำให้ใครต่อใครหลงรักน้องได้ไม่ยากเลย สำหรับผมก็ถือว่าน้องเป็นอีกหนึ่งความสดใสและความสบายใจในชีวิตเลยล่ะ

.

.

.

To be Continue...



ขอโทษที่หายไปนานนะคะ.. มาต่อให้หายคิดถึงน้องไอติมแล้วค่ะ (จะมีใครคิดถึงมั้ย555)

 :hao4: :sad11:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 9 :: 'ห่วงใย'] UP 08-11-18
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-11-2018 15:19:53
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 9 :: 'ห่วงใย'] UP 08-11-18
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-11-2018 22:22:12
พี่วอร์มทำน้องเกร็งนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 10 :: 'สานสัมพันธ์'] 181224
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 24-12-2018 15:24:22
               
:: Chapter 10 :: 'สานสัมพันธ์' 10/1


**น้องไอติม**


               ถึงจะจบกิจกรรมรับน้องของโต๊ะไปก็ใช่ว่ากิจกรรมของน้องใหม่อย่างพวกผมจะจบลงไปด้วยหรอกนะครับ เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันกีฬามหาลัยแล้ว ถึงคณะผมจะไม่ได้บังคับให้ขึ้นสแตนทุกคนก็เถอะแต่ด้วยความที่ปีนี้คณะนิติศาสตร์อยู่รวมกันกับคณะแพทย์ศาสตร์ซึ่งคนฝั่งเขามีไม่พอที่จะทำให้สแตนเต็ม ก็เลยมาขอความร่วมมือหาอาสาสมัครไปช่วยขึ้นสแตนแล้วจูเนียร์ก็ดันมือไวกรอกชื่อตัวเองกับชื่อผมไปด้วยเฉยเลย ยังดีที่ไวท์เอ่ยปากห้ามไว้ทัน ไม่อย่างนั้นคงได้วุ่นวายไปด้วยแน่ๆ เพราะไวท์เองได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในวงขับร้องประสานเสียงของคณะซึ่งก็มีซ้อมตอนเย็นแทบทุกวัน

 
               “จูนะจู ทำอะไรไม่ปรึกษากันก่อนเลยอะ”
               “โธ่ไอ ไหนบอกอยากทำกิจกรรมเยอะๆ ใช้ชีวิตมหาลัยให้คุ้มไง แล้วทีนี้ทำไมถึงมาว่าจูอ่า” เลิกเรียนแล้วก็อยากจะกลับไปนอนพักสักหน่อยแต่จูเนียร์เพื่อนรัดันหาเรื่องมาให้ต้องกลับดึกอีก แล้วขึ้นสแตนเนี่ยผมได้ข่าวมาว่าเค้าซ้อมกันหนักและเลิกดึกมากด้วยแค่คิดก็เหนื่อยจะแย่แล้ว
               “ไม่เอา ไม่ทำหน้างอสิเพื่อนรัก~ เอาหน่า~ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วอะ เอางี้ เดี๋ยวจูเลี้ยงข้าวไอมื้อเย็นนี้เลยดีไหม”
               “ไม่เอา..”
               “โธ่... ไออ่า... โกรธจูจริงๆ หรอเนี่ย”
               “ไม่เอาแค่นี้... จูต้องเลี้ยงไอติมไอด้วย... ไอถึงจะหายโกรธ”
               “ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ เลยนะ นี่แหนะ!” พูดจบจูก็ยกมือขึ้นมาดีดหน้าผากผมเบาๆ แต่ถึงจะเบามันก็รู้สึกนิดนึงเหมือนกันนะครับ นี่ง้อผมอยู่ไม่ใช่หรอ ทำไมถึงกล้ามาทำร้ายร่างกายผมล่ะ
               “โอ้ย! อะไรเนี่ย! มาดีดหน้าผากไอทำไม... ยังไม่หายโกรธเลยนะ”
               “ก็นี่ไงจะพาไปซื้อไอติมเนี่ย... ยังพอเหลือเวลาอีกหน่อยก่อนขึ้นสแตน ไปเซเว่นกัน”
               “เย้! จูเนียร์น่ารักจังเลย~ เพื่อนใครเนี่ย”
               “พอเลยไม่ต้องมาอ้อน... จูไม่ใช่พี่วอร์มนะ”
               “ง่ะ... ทำไมต้องพูดถึงพี่วอร์มด้วย...” นั่นน่ะสิ พอจูเนียร์พูดถึงพี่วอร์มขึ้นมาผมก็อดนึกถึงพี่เขาไม่ได้ ไม่ได้นึกถึงสิ ถ้าจะให้ถูกน่าจะต้องเรียกว่าคิดถึง เพราะหลังจากงานรับน้องแล้วผมก็ไม่ค่อยจะได้เจอหน้าพี่วอร์มเลย ไม่ใช่แค่กับพี่วอร์มคนเดียวนะครับ กับพวกรุ่นพี่ปีสองปีสาม ก็ไม่ค่อยได้เจอพวกพี่ๆ เขาเลยครับ มีเจอบ้างเวลาเดินสวนกันแต่ก็ได้แค่ยกมือไหว้ทักทายไปแค่นั้นแล้วก็แยกย้ายกัน อยากรู้จังว่าตอนนี้พี่วอร์มกำลังทำอะไรอยู่นะ



**พี่วอร์ม**



               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : พี่วอร์มเลิกเรียนหรือยังครับ วันนี้เหนื่อยไหม
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : ฮ่าๆๆ ผมจะถามทำไมก็ไม่รู้ เพราะพี่ก็ไม่ได้ตอบผมอยู่แล้วนี่เนอะ
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : (สติ๊กเกอร์แมวหัวเราะ)
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : แต่ผมเนี่ยสิ ต้องเหนื่อยแน่ๆ เลิกเรียนแล้วยังมีเรื่องให้ทำอีกเยอะแยะเลย อยากจะนอนพักสักหน่อย แต่คงไม่ได้นอนแล้วอะ =(
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : พี่วอร์มคงกำลังกลับไปนอนที่ห้องแล้วแน่ๆ เลยอะ ยังไงก็ขับรถดีๆ นะครับ


               ผมอ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอมือถือก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ บ่นมารัวๆ ขนาดนี้ มาดูเองไหมว่าตอนนี้ได้กลับไปนอนอย่างที่มันบ่นมาหรือเปล่า
 

               “เฮ้ยวอร์ม! เจอกันมึง”
               “เจอกันพรุ่งนี้นะวอร์ม”
               “อือ! เจอกันพรุ่งนี้” ผมบอกพร้อมโบกมือลามิชิกับเค้กที่เดินแยกไปที่รถตัวเองอย่างเนือยๆ อาทิตย์นี้ผมต้องเริ่มเข้าชุมนุมเพื่อซ้อมร้องเพลงกับเพื่อนๆ ในชุมนุมโฟล์คซองแล้ว ไอ้มิชิก็เป็นมือกีตาร์ของวง ส่วนเค้กไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในวงหรอกครับ แค่มานั่งรอเป็นเพื่อนพวกผมเท่านั้นแหละ แต่นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลรอง ส่วนเหตุผลหลักน่าจะเป็นเพราะว่าเค้กต้องกลับเข้าหอพร้อมมิชิมากกว่าครับ จริงๆ จะกลับเองก็ได้แหละ แต่ไอ้มิชิมันน่าจะรั้งเค้กไว้ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ แค่ไม่พูดเท่านั้นแหละ ส่วนไอ้จัสน่ะหรอ เลิกเรียนเสร็จก็ขี้บิ๊กไบค์ลูกรักกลับหอไปนานแล้วละครับ


               ผมหันกลับมามองที่โทรศัพท์อีกครั้งพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ กับไลน์เจ้าปัญหาจอมขี้บ่นที่มีเรื่องมาบ่นให้อ่านทุกวันก่อนจะเก็บมันลงกระเป๋าแล้วเดินไปที่รถของผมเองบ้าง

               วันแรกที่เข้าชุมนุมก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่คุยกันเรื่องกิจกรรมของมหาลัยว่าจะมีทำอะไรบ้าง เราจะขึ้นเล่นงานไหนกันบ้าง แล้วก็แบ่งเวลาซ้อมกันยังไงบ้าง หลังจากนั้นก็ได้ซ้อมดนตรีกันอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับนี่แหละครับ ถึงวันนี้จะไม่ได้ทำอะไรมากมายแต่ก็เหนื่อยไม่ใช่เล่นเลยครับ เพราะวันนี้หลังจากเลิกเรียนแล้วพวกผมก็มาเข้าห้องชุมนุมเลยทันทีไม่ได้พักเลย อิจฉาไอ้จัสจริงๆ ป่านนี้คงนอนตากแอร์ที่ห้องสบายใจเฉิบไปละ


               “ทำไมวันนี้รถเยอะจังวะ” ผมบ่นกับตัวเองนี่ละครับ จะรีบกลับหอซะหน่อย แต่ดันเจอรถติดกันตั้งแต่ในมหาลัยนี่ก็มันก็อดบ่นไม่ได้อะครับ จริงๆ จะว่าไปแล้วผมก็นึกถึงเจ้าของไลน์ปริศนานั่นที่ชอบไลน์มาบ่นให้ผมอ่านทุกวัน ปกติผมก็ไม่ใช่คนขี้บ่นอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่วันนี้มันก็น่าบ่นจริงๆ นั่นแหละครับ


               ผมกำลังบ่นในใจไปเรื่อยเปื่อย สายตาก็ดันดีเหลือเกินเหลือบไปเห็นคนหน้าคุ้นๆ ที่จำได้ว่าล่าสุดเจอหน้ากันที่ห้องสมุดตอนช่วงก่อนสอบกลางภาค ใช่ครับ ตอนนี้ผมเจอไอติมกับจูเนียร์กำลังเดินอยู่บนฟุตบาทข้างหน้า และผมก็จำได้ว่าไอติมอยู่หอเดียวกับผม แถมไอติมยังเป็นน้องสายผมด้วยอีกถ้าไม่แวะรับให้ขึ้นรถมาด้วยกันก็จะดูน่าเกลียดไปหน่อย ถูกไหมครับถึงน้องจะไม่เห็นผมก็เหอะ แต่ผมเห็นน้องแล้วอะ


               “ไอติม... จูเนียร์...” ผมชะลอรถไปจอดเทียบริมฟุตบาทก่อนจะลดกระจกลงแล้วตะโกนถามน้องสองคนที่เดินอยู่ด้วยกัน
               “อ้าว! พี่วอร์มนี่เอง! นึกว่าใคร” เป็นจูเนียร์ที่เอ่ยทักผมก่อน ส่วนน้องสายผมหรอ ได้แต่ยกมือไหว้ผมและส่งยิ้มเจื่อนๆ มาให้ทำไมวะครับ เจอหน้าผมแล้วมันลำบากใจขนาดนั้นเลยหรอ
               “อืม... กำลังจะกลับหอกันหรอ”
               “ใช่ครับพี่วอร์ม กำลังเดินไปขึ้นรถกลับหอ”
               “จูเนียร์กลับหอคนเดียวใช่ไหม เพื่อนเราไม่กลับด้วยว่างั้น เห็นยืนเงียบเชียว”
               “ง่ะ... ผมก็จะกลับเหมือนกัน” ไอติมรีบตอบพร้อมกับปากยู่จนผมอยากจะบีบปากเจ้าเด็กนี่จริงๆ ชอบทำหน้าแสนงอนอะไรเบอร์นี้วะครับ
               “งั้นขึ้นมา กลับหอด้วยกัน… เดี๋ยวพี่ไปส่งจูเนียร์ด้วย”
               “อ่า...” ผมเห็นจูเนียร์กับไอติมมองหน้ากันทำท่าเหมือนลังเลจะพูดอะไรกันสักอยางแต่ก็ไม่พูด รถคันหลังก็ตามมาอีก
               “เอ้า! จะไปไม่ไปเนี่ย! เร็วๆเข้า! มีรถตามหลังมา... ขึ้นมาเถอะ พี่ไม่พาไปขายหรอก”
               “อ่า... ครับๆ ไอติมนั่งหน้าไปนะ เดี๋ยวจูนั่งหลังเอง” จูเนียร์บอกกับไอติมก่อนจะรีบเปิดประตูด้านหลังรถขึ้นไปนั่งก่อนทันทีส่วนไอติมก็ได้ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ไม่ยอมขึ้นรถสักที
               “จะกลับไหมครับน้องไอติมครับ?” ผมชะโงกหน้าไปถามน้องอีกครั้งจนน้องยอมเปิดประตูรถขึ้นมานั่งข้างๆ ผม กว่าจะขึ้นกันมาได้ ผมว่าไอ้คันหลังมันคงด่าบรรพษุรุษผมไปเรียบร้อยแล้วละครับ
               “ทำไมถึงกลับกันดึกอะ” ผมเอ่ยถามน้องๆ หลังจากขับออกมาจากตรงนั้นได้ไม่นาน
               “พวกเรามีขึ้นสแตนอะครับ” ไอติมหันมาบอกผมเลยทำให้ผมนึกขึ้นได้ครับว่าพวกเด็กปี1 ต้องมีขึ้นสแตนเชียร์งานกีฬามหาลัย เพราะตอนผมอยู่ปี1 ผมเองก็เคยขึ้น แต่จริงๆ แล้วคณะผมก็ไม่ได้บังคับให้ขึ้นกันทุกคนหรอกนะครับ อยู่ที่ความสมัครใจมากกว่า ถ้าปีไหนอยู่กับคณะที่คนเยอะเด็กคณะผมก็แทบไม่ต้องขึ้นเลยด้วยซ้ำ
               “อ่า... แล้วทำไมถึงไปขึ้นสแตนกันได้อะ เรียนกันกว่าจะเลิกก็เย็นแล้วยังไปขึ้นสแตนกันต่ออีก ไม่เหนื่อยหรือไง”
               “ก็จูอะ... ไปลงชื่อขึ้นสแตนคนเดียวไม่พอยังใส่ชื่อผมลงไปด้วยอะ เลยต้องมาเหนื่อยด้วยเลยเนี่ย แทนที่จะได้กลับหอไปนอนพัก” ไอติมบ่นออกมาทันทีหลังจากที่ผมถามจบ บ่นไปก็ทำหน้ายู่ปากยื่นไป ผมนี่อยากจะบีบปากน้องจริงๆ ยิ่งมองก็ยิ่งมันเขี้ยวอะครับ
               “โธ่~ ก็บอกว่าจะเลี้ยงข้าวเป็นการไถ่โทษไง... ไอเลิกบ่นได้แล้วน่า” จูเนียร์ชะโงกหน้ามาบอกไอติมที่นั่งทำหน้างออยู่เบาะหน้าพลางเอามือจิ้มแก้มเพื่อนรักเบาๆ
               “ไม่ต้องเลย~”
               “แบบนี้ก็ต้องกลับกันดึกทุกวันเลยอะดิ” ผมพูดแทรกน้องๆ เพราะกลัวว่าน้องจะเถียงกันไปเถียงกันมาไม่ยอมหยุด
               “ก็คงจะอย่างนั้นอะครับพี่วอร์ม” น้ำเสียงที่ออกแนวประชดประชันเพื่อนของไอติมทำเอาผมหลุดขำ
               “ฮ่าๆ ก็อย่างนี้แหละ... เหนื่อยหน่อยแต่ก็สนุกดีออกนะ อืม... ว่าแต่... เหนื่อยๆ แบบนี้ไปหาอะไรกินกันไหม ไอติม จูเนียร์ เดี๋ยวมื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” ไม่ได้หน้าใหญ่อยากเปย์อะไรหรอกนะครับ เห็นน้องบ่นเหนื่อยกัน ในฐานะที่ผมเป็นรุ่นพี่และยิ่งเป็นพี่สายรหัสน้องด้วย อย่างน้อยก็ควรจะเทคน้องบ้างเพื่อเป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกันถูกไหมครับ
               “โห~ อยากไปมากเลยครับพี่วอร์ม... แต่จูเพิ่งนึกได้อะว่าวันนี้นัดเฟซทามกับคุณแม่ไว้ตอนสามทุ่มอะ... เนี้ยใกล้เวลาแล้วด้วยอะ ให้ไอติมไปกับพี่วอร์มสองคนแล้วกัน”
               “อ้าว! ไหนจูบอกจะเลี้ยงข้าวไอไง”
               “เอาเป็นพรุ่งนี้เที่ยงแทนได้ไหมละไอติม... นี่ไงไปกับพี่วอร์ม พี่วอร์มเลี้ยงเนอะๆ”
               “แล้วทำไมไม่ไปด้วยกันก่อนละจูเนียร์ อีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะสามทุ่ม กินข้าวแป้ปเดียวคงไม่นานหรอก เดี๋ยวพี่ไปส่งหน้าหอเราด้วย” ผมหันไปบอกน้องที่ทำท่าหยิบกระเป๋าเป้มาสะพายไว้ อะไรจะรีบร้อนขนาดนั้น
               “คือ... จูมีอะไรต้องทำก่อนอะครับ ไว้คราวหน้านะครับพี่วอร์ม เดี๋ยวพี่วอร์มจอดส่งจูตรงป้ายรถข้างหน้านี่ก็ได้ครับ”
               “จูอ่า... จะไปเลยหรอ? ให้พี่วอร์มไปส่งที่หอก่อนไหม” ไอติมหันไปทำหน้าอ้อนใส่เพื่อน เพิ่งเคยเห็นน้องทำหน้าอ้อนใกล้ๆแบบนี้เป็นครั้งแรกครับ



               โคตรจะน่ารัก


 
               “นั่นสิ เดี๋ยวไอ้มิชิกับไอ้จัสมันรู้แล้วจะฆ่าพี่เอานะที่ไม่ยอมไปส่งน้องจูที่หอ”
               “จูมั่นใจว่าพี่จัสกับพี่มิชิจะไม่มีทางรู้เรื่องนี้เด็ดขาดครับ!” น้องหันมาบอกขณะที่ผมเทียบรถจอดที่ป้ายรถใกล้ๆ ประตูเข้าออกของรั้วมหาลัยตามที่น้องบอก
               “ขอบคุณพี่วอร์มที่แวะรับพวกเรานะครับ... จูฝากไอติมด้วยนะครับพี่”
               “แค่นี้สบายมาก ไม่มีปัญหา จูเนียร์ก็กลับดีๆ ล่ะ”
               “ครับ! เจอกันพรุ่งนี้นะไอ... กินข้าวให้อร่อยนะ ไปล่ะ” จูเนียร์บอกกับไอติมก่อนจะรีบกระโดดลงจากรถไป ทำให้ตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับน้องสายของผมที่นั่งอยู่บนรถกันสองคน ความเงียบเข้ามาครอบคลุมอีกครั้ง ถึงมันจะไม่ได้อึดอัดจนลำบากใจแต่ผมก็อยากให้บรรยากาศมันดีกว่านี้
               “เรา... กินอะไรกันดีอะ”
               “อะไรก็ได้ครับ... จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ จูเนียร์ก็กลับไปแล้ว... เอาไว้วันอื่นค่อย...”
               “จะปฏิเสธพี่อีกคนหรอ ไม่อยากกินข้าวด้วยกันขนาดนั้นเลยหรือไง”
               “มะ... ไม่ใช่แบบนั้นครับ! คือผมเกรงใจพี่วอร์มอะ ก็พี่บอกจะเลี้ยงทั้งผมและจูเนียร์แต่ตอนนี้จูกลับหอไปแล้วอะ ผมก็แค่เกรงใจ... ถ้างั้นไปกินข้าวด้วยกันแต่ต่างคนต่างจ่ายได้เปล่า” ไอติมอธิบายให้ผมฟังเสียยืดยาว ทำไมถึงได้คิดมากขนาดนี้
               “เรื่องแค่นี้เอง... เกรงจงเกรงใจอะไรนักหนา พี่เป็นพี่สายเราป่ะ เลี้ยงข้าวน้องสายนี่ผิดตรงไหน เลิกคิดมากได้แล้ว เดี๋ยวไปกินข้าวมันไก่กันดีกว่า... ห้ามดื้อนะ พี่หิวจะแย่ เดี๋ยวก็กินเราแทนซะหรอก”
               “พี่วอร์ม! ผมไม่ใช่ข้าวมันไก่นะ! ไปเลยรีบพาไปกินข้าวเลย! คนอะไรโมโหหิวแล้วจะมากินคนอื่น บ้าไปแล้ว” ผมเห็นไอติมกระเถิบไปนั่งติดริมประตูแล้วกอดอกทำปากขมุบขมิบกำลังบ่นเรื่องที่ผมพูดเมื่อครู่ ทำอย่างกับกลัวว่าผมจะไปกินน้องเข้าให้จริงๆอย่างนั้นแหละ เด็กนี่จะรู้ไหมเนี่ยว่าคำว่ากินในความหมายของผมมันคืออะไร คนอะไรแกล้งสนุกชะมัด


 
               หลังจากวันนั้นที่ผมเจอน้องๆ ระหว่างทางกลับหอ ก็กลายเป็นว่าผมกับน้องกลับหอพร้อมกันทุกวันเลยครับ ทั้งไอติมและจูเนียร์ แต่หลังๆ นี่จะมีแค่ผมกับไอติมที่กลับด้วยกันสองคนบ่อย เพราะไอ้มิชินั่นละชิงตัวน้องจูเนียร์กลับไปด้วยกันโดยให้เหตุผลว่าจูเนียร์เป็นน้องสายมัน แล้วอีกอย่าง ผมกับไอติมอยู่หอเดียวกัน จะได้ไม่ต้องแวะส่งจูเนียร์กลางทางให้ลำบาก มันจะลำบากอะไรวะครับ ก็ทางผ่านไปหอผมเหมือนกัน แต่มันจะทำแบบนั้นก็แล้วแต่ครับ น้องสายมันผมก็ไม่อยากจะเข้าไปก้าวก่ายวุ่นวายอะไรมาก


               หลายวันมานี่หลังจากเลิกเรียนเสร็จผมกับมิชิก็ต้องเข้าไปซ้อมที่ชุมนุมเป็นกิจวัตรทุกวันจนไอ้จัสเริ่มบ่นว่าไม่มีเพื่อนกินข้าวเย็นบ้างล่ะ อยากไปเดินห้างบ้างล่ะ ก็ไม่รู้จะบ่นให้ได้อะไรขึ้นมานะครับ บ่นไปก็ไม่มีใครว่างไปกับมันอยู่ดี ขนาดเค้กที่ว่างๆ พอจะชวนจัสไปเดินเล่นที่ห้างกัน ไอ้มิชิมันก็ไม่ยอมให้ไปอยู่ดีไม่รู้จะหวงอะไรนักหนา นี่เพื่อนนะเว้ย
 
               


มีต่อค่ะ ...


หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 10 :: 'สานสัมพันธ์'] 181224
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 24-12-2018 15:29:49
:: Chapter 10 :: 'สานสัมพันธ์' 10/2



               “เมื่อไหร่พวกมึงจะเลิกซ้อมกันวะ... กูโคตรเบื่อเลยเลิกเรียนแล้วว่างฉิบหายไม่มีใครไปกินข้าวด้วยเลย” แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่ไอ้จัสยังคงบ่นเรื่องเดิม ถึงวันนี้พวกผมเลิกเรียนกันค่อนข้างเย็น แต่ยังไงพวกผมก็ต้องไปซ้อมที่ชุมนุมอยู่ดี

               “ไปเดินตลาดนัดกับเค้กไหมจัส” เค้กเอ่ยชวน ถ้าให้ผมเดา ผมว่าเค้กคงรำคาญที่มันบ่นไม่ยอมเลิกเสียที

               “โหย... ไม่เอาอะ ไปกันสองมันจะสนุกอะไร ทุกทีเราก็ไปด้วยกันหมด” ผมเห็นจัสทำท่าจะตกลงกับเค้กนะครับ แต่สายตาไอ้มิชิที่มองมานั้นทำไอ้จัสเปลี่ยนใจปฏิเสธเค้กไม่ยอมไปด้วยซะอย่างนั้น แน่ล่ะ ไอ้มิชิไม่มีทางยอมปล่อยให้เค้กไปกับไอ้จัสสองคนหรอก

               “งั้นไปที่ชุมนุมโฟล์คซองกับเค้กไหมล่ะ ไปรอมิชิกับวอร์มซ้อม... ซ้อมเสร็จแล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน”

               “จะได้ไปด้วยกันหรอ~ ได้ข่าวว่าเลิกซ้อมไอวอร์มก็ไปรอน้องไอติมขึ้นสแตนทุกวันอยู่แล้วนี่” ทำไปทำไมกลายมาวกเข้าเรื่องผมจนได้ครับไอ้เพื่อนคนนี้

               “เกี่ยวไรกับกูวะ... ก็น้องสายกูอะ น้องเลิกดึก อีกอย่างน้องก็อยู่หอเดียวกับกูด้วย... กูแวะรับน้องมันแปลกตรงไหน”

               “ก็ยังไม่ได้พูดว่าแปลกเลย... ทำไม ร้อนตัวอะไร”

               “เอ้า! ไอ้นี่”

               “เออ! กูไม่ไปด้วยหรอก... เฮ้อ… แม่ง! กลับหอก็ได้วะ”

               “พี่ๆ หวัดดีครับ” ยังไม่ทันที่ไอ้จัสจะเดินแยกออกไป เสียงปริศนาก็เอ่ยทักพวกผมขึ้นมาเสียก่อน

               “อ้าว! ไวท์! ทำไมวันนี้มาคนเดียวล่ะ” เป็นน้องไวท์ที่เดินเข้ามาทักพวกผมนั่นเอง แล้วเค้กก็เป็นคนแรกที่เอ่ยทักน้องก่อน

               “พวกจูกับไอไปขึ้นสแตนอะครับ... แต่ไวท์ซ้อมจูริสคอรัสเลยมาคนเดียว... แล้วพอดีวันนี้คนไม่ค่อยมากันเลยได้กลับไว” น้องตอบพลางอมยิ้มเล็กน้อย เสียงหวานๆ ของน้องเวลาอยู่ในคอรัสคงเพราะน่าดู คนละเรื่องกับเสียงแหบๆ อย่างผมเลย

               “อ่า... แล้วจะไปไหนต่อหรือเปล่า” เค้กเอ่ยถามต่อ พวกผมได้แต่ยืนนิ่งเหมือนปล่อยให้คนหน้าหวานสองคนยืนคุยกันตามประสาพี่สายน้องสาย

               “ไวท์ว่าจะไปหาจูกับไอติมที่สแตนอะครับ”

               “ไปตอนนี้อะหรอ... พวกสต๊าฟคงยังไม่ปล่อยเด็กปี1ลงจากสแตรหรอก... ไปรอจูเนียร์กับไอติมที่ชุมนุมโฟล์คซองกับพี่ไหม เดี๋ยวพี่วอร์มก็ต้องไปรับไอติมกลับหอเหมือนกัน” เค้กเอ่ยชวนน้องไวท์แล้วดูเหมือนว่าน้องจะตอบตกลงเสียด้วย ผมหันไปมองหน้าไอจัสที่ตอนนี้ยิ้มกว้างเสียเหลือเกิน ไม่มีปกปิดเลยนะเพื่อน ปากจะฉีกถึงหูแล้ว

               “ถ้าอย่างนั้นจัสไปด้วยดีกว่า... ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว”

               “ไหนว่าจะกลับหอไงมึง” มิชิเอ่ยถามอย่างรู้ทัน

               “ไม่กลับแล้ว... กลับไปก็ว่างอะ ไม่มีไรทำอยู่ดี กูไปรอพวกมึงที่ชุมนุมดีกว่า”

               “ไม่ค่อยเลยนะมึงอะ” ผมว่าต่อ โคตรหมั่นไส้เลยครับ อยากให้เห็นหน้ามันตอนนี้จริงๆ ยิ้มแป้นเหมือนลืมเรื่องที่บ่นพวกผมเมื่อกี้ไปจนหมดสิ้น

 
               มีน้องไวท์มานั่งรอด้วยก็ดีเหมือนกันนะครับ ผมเห็นตั้งแต่พวกเราเริ่มซ้อมเค้กยังคุยไม่หยุดเลย ดูสดใสกว่าทุกวันที่ได้แค่นั่งไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ส่วนไอ้จัสก็เนียนใช้ได้นั่งประกอบน้องไวท์เลยครับ แต่ไม่ต้องห่วง อย่างมันนี่หาจังหวะการมีส่วนร่วมในบทสนทนาของเค้กและไวท์ได้เป็นอย่างดี ท่าทางวันนี้มันคงจะมีความสุขน่าดู ระหว่างที่พวกผมกำลังเก็บอุปกรณ์และเครื่องดนตรีต่างๆ ก็เห็นน้องไวท์เดินกลับเข้ามาในห้องซ้อมพร้อมกับไอติมและจูเนียร์ แต่ดูเหมือนน้องสายของผมจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ถึงได้หน้าตาบูดบึ้งเหมือนโดนบังคับให้มายังไงอย่างนั้น

 
               “พี่ๆ สวัสดีครับ” เป็นจูเนียร์ที่เอ่ยทักทายถึงอย่างสดใสเช่นเคย ส่วนไอติมก็แค่ยกมือไหว้ทำความเคารพพวกผมเฉย

               “หน้าบูดเชียว ซ้อมสแตนมันเหนื่อยขนาดนั้นเลยหรอไอติม” ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซ็วน้อง แทนที่อีกคนจะตอบผมปากที่ยู่อยู่แล้วกลับยื่นออกมามากกว่าเดิม เห็นแล้วก็มันเขี้ยวเดี๋ยวก็เดินไปดึงเล่นเสียเลยนี่ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไร มิชิที่เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปรวมกลุ่มกับทุกคนและเรียกให้ผมหลุดออกจากความคิดเรื่อยเปื่อยของตัวเอง

               “มึงจะยืนกอดขาไมค์อีกนานไหมไอ้วอร์ม ทุกคนรออยู่เนี่ยเห็นไหม”

               “เออ ให้ไวเลยมึง กูหิวข้าวจะแย่แล้ว” ไอ้จัสสมทบทันที ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยนะ แต่ผมกอดขาไมค์ตอนไหนวะเนี่ย งงตัวเองเหมือนกันครับ ผมรีบเอาขาตั้งไมค์ไปวางชิดเข้ามุมค้วาเป้ตัวเองแล้วเดินนำทุกคนออกจากห้องชุมนุม
 

               มิชิอาสาให้จูเนียร์กับไวท์นั่งรถมันออกไปที่ร้านอาหารเพราะเค้กเองก็ไปกับมันด้วย ส่วนไอ้จัสได้แต่ทำหน้าหงอยก็ดันขี่บิ้กไบค์มาเองถึงจะอยากให้น้องไวท์ซ้อนแค่ไหนมันก็จะชัดเจนไปนิดถ้ามันไม่ชวนน้องจูเนียร์ซึ่งเป็นน้องสายมันให้ไปกับมันมากกว่าที่จะเป็นน้องไวท์ สุดท้ายก็เลยได้แต่จำใจขี่บิ้กไบค์ออกไปคนเดียว ส่วนคนที่นั่งปิดปากเงียบอยู่บนรถผมตอนนี้ก็ยังคงหน้าบึ้งตึงอยู่เหมือนเดิม ผมเปล่าบังคับน้องให้มากับผมเสียหน่อย เพื่อนๆ น้องต่างห่างที่บอกให้ไอติมมากับผม

 
               “เป็นอะไรหื้ม? ทำหน้าบอกบุญไม่รับตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว...”

               “เปล่าครับ... ผมก็แค่เหนื่อย อยากกลับไปนอน...”

               “ไม่หิวหรือยังไง ไปกินข้าวด้วยกันก่อนนะ แล้วเดี๋ยวพี่ไปส่งถึงหน้าห้องเลยเอา เลิกทำหน้าบึ้งได้แล้ว” ผมยีหัวน้องด้วยความเอ็นดู คนอะไรจะง่วงแล้วงอแงได้น่ารักขนาดนี้อะครับ ท่าทางจะขี้เซาใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย
 

               ผมกับไอติมมาถึงที่ร้านเป็นสองคนสุดท้ายเพราะมัวแต่วนหาที่จอดรถเนี่ยแหละครับ แล้วก็พบว่าพวกคุณเพื่อนได้จัดแจงสั่งอาหารทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว พอผมถามว่าไอติมอยากสั่งอะไรเพิ่มหรืออยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมน้องก็ได้แต่ส่ายหน้า พวกเราทานอาหารและพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ได้มาใช้เวลาด้วยกันแบบนี้ก็ดีเหมือนกันครับ ได้รู้จักน้องๆ แต่ละคนเพิ่มขึ้นเยอะเลย วันนี้ทำให้พวกเรารู้ว่าน้องไวท์ก็ไม่ได้เรียบร้อยอะไรขนาดนั้น ผมว่าก็คงเหมือนเค้กอะแหละ ถึงจะเรียบร้อยแค่ไหนมันก็ต้องมีมุมผู้ชายกวนๆ และสู้คนกับเขาบางเหมือนกัน นิสัยไม่ได้หวานเย็นเหมือนหน้าตาหรอกครับ
 

               “จะว่าไปไวท์ก็แอบเหมือนกระต่ายนะ”

               “ใช่ๆๆ พี่วอร์มคิดเหมือนจูเลยครับ”

               “ฮ่าๆๆ ใครๆ ก็พูดแบบนี้ทั้งนั้นเลย ตอนเด็กๆ ไวท์เคยเลี้ยงกระต่ายด้วยนะ” ผมพูดออกไปขำๆ ไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำ ตอนแรกก็กลัวว่าน้องจะโกรธหรือเปล่า แต่นอกจากน้องจะไม่โกรธแล้วยังยิ้มรับและชวนคุยต่ออีกต่างหาก

               “พี่อยากลองเลี้ยงบ้างจัง เลี้ยงยากไหมอ่ะไวท์”

               “มึงอยากเลี้ยงกระต่ายหรือเลี้ยงอะไรกันแน่จัส” ผมกำลังจะหัวเราะไปกับคำพูดของไอ้มิชิที่เอ่ยแทรกขึ้นมาขัดไอ้จัส แต่เมื่อเห็นว่ามันโดนเค้กหาดแขนไปสองสามทีผมเลยเงียบไว้ดีกว่า ส่วนไอ้จัสก็ได้แต่ถลึงตาใส่มิชิอย่างคาดโทษ

               “ไม่ยากหรอกครับ แต่ไวท์ว่ากระต่ายมันค่อนข้างจะบอบบางกว่าพวกหมาแมวอ่า...”

               “พูดแล้วก็อยากเลี้ยงหมาเลยอะ มาอยู่หอคนเดียวถ้ามีหมาเป็นเพื่อนสักตัวคงดี เนอะไอ”

               “หื้ม???” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมทำหน้าเหวอ ผมมเลยงงไปด้วยเลยทำจูเนียร์ถึงต้องหันมาพยักเพยิดกับไอติมตอนที่พูดเรื่องหมาด้วยนะ

               “ไอชอบหมามากครับ เวลาเครียดๆ หรือช่วงสอบนะ นั่งดูคลิปหมาได้ทั้งวันเลย แต่ผมก็งงว่าทั้งๆ ที่ชอบมาแต่ทำไมที่บ้านดันเลี้ยงแมวก็ไม่รู้ เสียดายที่หอผมไม่ให้เลี้ยงสัตว์ ไม่งั้นคงอดใจไม่ไหวไปหามาเลี้ยงแน่ๆ เลย” น้องจูเนียร์ยังคงเล่าเรื่องของเพื่อนรักตัวเองต่อไป

               “ก็เลี้ยงสิ...”

               “เออเนี่ย ถ้าว่างๆ ก็แวะไปเล่นกับลูกไอ้วอร์มที่ห้องมันดิ”

               “พี่วอร์มเลี้ยงหมาที่หอหรอครับ?!” แล้วอยู่ๆ ไอติมกันหันมาเบิกตากว้าง เอ่ยถามผมหลังจากที่ได้ยินคำบอกเล่าของไอ้จัส ก็เข้าใจว่าคงจะตกใจที่รู้ว่าผมแอบเลี้ยงหมาในหอ แต่ก็ไม่น่าจะตกใจขนาดนั้นนี่ครับ

               “อืม... ถ้าไออยากจะแวะมาเล่นกับมันก็ได้นะ มันคงดีใจเหมือนกันแหละที่จะได้มีเพื่อนเล่นใหม่ ทุกวันนี้ก็เมินพี่จะแย่ หมาอะไรก็ไม่รู้ ทั้งขี้งอนแถมยังโคตรเอาแต่ใจเลย” ผมเอ่ยขำๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครสนใจคำพูดผมเท่าไหร่

               “เดี๋ยวไอก็ต้องกลับหอกับพี่วอร์มอยู่แล้ว ลองแวะไปสิ” จูเนียร์หันมาบอกกับไอติมก่อนจะหันกลับไปสนใจกับอาหารตรงหน้าต่อ ส่วนไอติมก็ยังคงนั่งจ้องหน้าผมตาปริบๆ อยากรู้จริงๆ ว่าตอนนี้น้องกำลังคิดอะไรอยู่

               “มีอะไร?” ผมถามน้องที่ยังจ้องหน้าผมไม่เลิก อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ยังคงนิ่งเงียบ สุดท้ายผมก็เลยต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม

               “ผม... ไปเล่นกับน้องหมาที่ห้องพี่วอร์มได้จริงๆ หรอ”

               “เอ้า! ก็ได้ดิ! ใครห้ามล่ะไอติม” ผมตอบกลับ หน้าตาน้องตอนถามนี่จริงจังมากเหมือนกลัวว่าผมจะห้ามไม่ให้ไปเล่นกับเจ้าเบนโตะอย่างนั้นแหละ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่

               “โอเค~ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยววันนี้แวะไปเล่นด้วยเลย”

               “อืม... ดี! มานั่งเล่นห้องพี่เดี๋ยวจะได้คิดค่าไฟด้วยเลย”

               “โหพี่วอร์ม! โคตรงกอะ งั้นเดี๋ยวผมไปบอกข้างล่างว่าพี่แอบเลี้ยงหมา”

               “เฮ้ย! ล้อเล่นแค่นี้ ถึงกับต้องไปฟ้องข้างล่างเลยหรือยังไง” ผมผลักหัวน้องไปหนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยว จะว่าไปแล้วพอผมลองได้รู้จักน้องเพิ่มมากขึ้น ก็เพิ่งจะได้สัมผัสตัวตนว่าความจริงแล้วไอติมก็เป็นเด็กแสบคนนึง ว่าอะไรไปก็เถียงกลับตลอด

               “ก็ใครจะไปรู้เล่าว่าพี่วอร์มล้อเล่นอะ หน้านิ่งขนาดนั้น” นั่นไงพูดยังไม่ทันขาดคำ น้องก็เถียงผมกลับเสียแล้ว แถมยังทำปากยื่นปากยาวราวกำไม่พอใจเสียเต็มประดา เห็นแล้วมันน่าดึงปากยื่นๆ นั่นเล่นเสียให้เข็ด

               “นี่ซีเรียสป่ะเนี่ย! ฮ่าๆๆ ไปนั่งเล่นที่ห้องได้ ไม่คิดค่าไฟหรอกน่า แหม ว่าแต่พี่งก ใครกันแน่ที่ขี้งกเนี่ย”

               “พี่วอร์มแหละขี้งก!!!”

               “โอเคๆ ยอมแล้วๆ เหนื่อยจะเถียงด้วยแล้ว เด็กอะไร เถียงคำไม่ตกฟาก” ผมส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา เอาจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะเถียงไม่ชนะหรอกครับ ผมมั่นใจนะว่าผมก็เถียงคนเก่งในระดับนึง ไม่เชื่อไปถามเอาจากพวกเพื่อนๆ ผมได้เลย พวกมันชอบว่าผมขี้โวยวาย เถียงเก่ง ส่วนมากเวลามีเรื่องอะไรพวกมันก็เลยเลือกที่จะเงียบและยอมตามน้ำไปกับผมมากกว่า แต่กับไอติมเนี่ย เรียกว่าผมยอมให้น้องน่าจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคงได้นั่งเถียงกันจนหมดวันไม่ต้องกลับหอกันพอดี

               “เอ้อ~~~ งั้นพวกเรากลับหอกันดีกว่า... ไอ้วอร์มจะได้พาน้องสายไปเล่นกับหมาที่ห้องด้วย” เสียงไอจัสพูดแทรกขึ้นจนผมต้องหันไปมองหน้ามัน พูดอย่างนี้ต้องการจะสื่ออะไรวะครับเพื่อน ยังไม่ทันที่ผมจะได้โต้แย้งอะไร จัสก็จัดการตกลงกับมิชิและเค้กจนเสร็จสรรพ แต่เท่าที่ผมจับความได้ ผมว่ามันแถจนสีข้างถลอกหมดแล้วล่ะครับ

               “นี่กระเป๋าไอติม มึงทำตัวเป็นพี่สายที่ดีหน่อยวอร์ม น้องจะได้เคารพ มิชิกับเค้กต้องผ่านหอน้องจูอยู่แล้วเนอะ ฝากแวะส่งน้องด้วยแล้วกัน ส่วนน้องไวท์ เค้กไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวจัสเดินไปส่งให้ถึงที่เลย หอในใกล้ๆ แค่นี้เอง ตกลงตามนี้เนอะ โอเค ทุกคนแยกย้ายได้ ไว้เจอกันครับ” เพื่อนตัวโย่งรีบสรุปและพาน้องไวท์ออกเดินทันที ถึงแม้ว่าเค้กจะดูไม่ค่อยพอใจนักแต่สุดท้ายก็ยอมตามใจเพื่อนแต่โดยดี ผมว่าเค้กเองก็มองออกแหละครับว่าจัสมันคิดยังไง





TBC......
[/b]
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 10/02 :: 'สานสัมพันธ์'] 181224
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 24-12-2018 17:29:02
เราก็รู้ว่าจัสคิดยังไง :-[
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 10/02 :: 'สานสัมพันธ์'] 181224
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-12-2018 22:43:57
น่ารักจริง ๆ เลยน้องไอติม
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 11/01 :: 'ปิดบัง']
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 25-02-2019 16:30:47
   :: Chapter 11 :: 'ปิดบัง'  11/01






**น้องไอติม **


               วันนี้เป็นวันแข่งกีฬาของมหาลัยครับ ก็ที่ผมต้องขึ้นซ้อมสแตนกับจูเนียร์ทุกเย็นก็เพื่องานนี้นี่แหละครับ  ปี1 ต้องขึ้นสแตนเพื่อเป็นกองเชียร์ให้พวกนักกีฬาแล้วก็หลีดของคณะแข่งกับคณะอื่นๆ ครับ มันเหมือนงานกีฬาสีสมัยมัธยมเลยครับ แต่แค่ยิ่งใหญ่ อลังการกว่าแล้วก็แบ่งเป็นคณะไม่ได้แบ่งสีกัน แล้วมันก็คนละฟิลลิ่งกับสมัยเรียนมัธยมปลายเลยครับเพราะว่าตอนทำกีฬาสีสมัยมัธยมปลายทุกๆ คนจะสนิทสนมกันมากกว่านี้ ตอนนี้มีแต่เพื่อนใหม่แต่ถึงยังไม่สนิทกันแต่ก็รู้สึกสนุกสนานเพราะพี่ๆ กองสันทนาการช่วยกันบิ้วพวกเราให้สนุกตามไปได้ไม่ยาก
 
               พอนึกถึงงานกีฬาสีก็นึกถึงตอนมัธยมปลายนะครับ ตอนนั้นผมอยู่สีเดียวกับจูเนียร์เหมือนกันเพราะเราอยู่ห้องเดียวกัน ที่สำคัญได้อยู่สีเดียวกับพี่วอร์มด้วย ไม่แปลกใจเลยทำไมพี่วอร์มถึงเป็นพี่ว้ากได้ ก็ตั้งแต่พี่เขาคุมสแตนกีฬาสีตอนนั้นนั่นแหละครับ รุ่นน้องคนไหนที่ไม่ยอมเชื่อฟังเจอพี่วอร์มดุไปทีก็กริบกันทั้งสแตนเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่าเห็นพี่เขาตัวเล็กๆ แบบนั้นจะมีพลังเสียงคุมคนทั้งสแตนอยู่ได้
 
               “ไอติม!”  ไม่รู้ว่าผมนึกอะไรคนเดียวนานเกินไปหรือยังไง จูเนียร์ที่นั่งข้างๆ ผมถึงต้องเขย่าแขนเรียกผมซะแรงเลย เขย่าแรงอีกหน่อยมีหลัวแขนมได้หลุดติดมือจูเนียร์ไปแน่ๆ เลย
 
               “หือ! อะไรจู ตกใจหมดเลย”
               “เรียกหลายรอบแล้วเนี่ย ใจลอยคิดถึงพี่วอร์มอยู่หรือไง” ทำอย่างกับอ่านความคิดผมออกอย่างนั้นแหละเพื่อนคนนี้ชักจะน่ากลัวเกินแล้ว
 
               “เปล่า... ไอแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเฉยๆ”
               “เด็กเจซีจะเข้าสนามแล้วนะ”
               “อือๆ รู้แล้ว” ผมหันกลับไปสนใจที่สนามอีกครั้งและมองไปที่ทางเข้าสนามตามคำที่จูเนียร์บอก เป็นจังหวะเดียวกับที่ขบวนพาเหรดคณะสุดท้ายกำลังเดินเข้าสนามมาพอดีเลยครับ
 
               ปีนี้เป็นคณะวารสารที่เดินเข้าสนามเป็นคณะสุดท้าย ก็สมกับชื่อเสียงของคณะเขาที่เลื่องลือมานานแหละครับ อลังการงานช้างอย่างที่คิดไว้ ทั้งหลีดคณะรุ่นก่อนกับรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวก็เรียกเสียงกรี้ดเสียงเชียร์ดังกันลั่นสนามแล้ว แต่ที่ฮือฮาสุดน่าจะเป็นคนถือป้ายของคณะวารสารนั่นละครับ ได้ยินเพื่อนๆ ผู้หญิงในสแตนแอบกรี้ดกันใหญ่ เห็นว่าเป็นปี 1 เหมือนกันด้วย แต่ทำไมผมรู้สึกคุ้นๆ หน้าเขามากเลยครับ เหมือนคนรู้จักผมคนนึงเลย แต่อาจจะแค่หน้าคล้ายก็ได้ครับเพราะคนที่ผมรู้จักตอนนั้นยังตัวไม่สูงขนาดนี้เลย แต่เอ๊ะ! หรือว่าจะใช่กันนะ กับเพื่อนคนนี้ผมก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปีแล้วด้วย
 
               “เหม่ออะไรอีกแล้วเนี่ยไอติม”
               “โอ๊ย! จู~~~ ทำอะไรเนี่ย” เรียกเฉยๆ ก็รู้แล้วหน่า แต่เจ้าเพื่อนคนนี้ดันยกมือมาหยิกแก้มผมเฉยเลย ผมก็เจ็บเป็นนะครับ ได้แต่แอบบ่นอยู่ในใจแล้วลูบแก้มตัวเองเบาๆ
 
               “ก็ไอมัวแต่เหม่ออะ พี่ๆ เขาจะปล่อยให้ไปพักแล้วเนี่ย”
               “อ้าว จริงหรอ” สงสัยผมคงมัวแต่คิดเรื่องเพื่อนคนนั้นมากไปหน่อย มารู้ตัวอีกทีพิธีเปิดงานกีฬามหาลัยก็ใกล้จะจบแล้ว แถมเพื่อนๆ บางคนยังทยอยเดินลงจากแสตนแล้วด้วย
 
               “ก็มัวแต่เหม่อนี่ไง... ไปหาน้ำเย็นๆ ดื่มกันเถอะ แต่จูขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ อั้นมานานมาก ไม่ไหวแล้วอะ”
               “โหย ไปห้องน้ำตอนนี้คนเยอะแน่เลยอะ ไอไม่ปวด... ไอขอไม่ไปนะจู เดี๋ยวไปรอตรงโน้นแทนนะ” ผมชี้ไปบรเวณข้างๆ กองสันทนาการของคณะที่มีพี่ๆ กำลังแจกน้ำให้น้องๆ อยู่
 
               “เอางั้นก็ได้... งั้นเดี๋ยวจูจะรีบไปรีบมาก็แล้วกัน”
               .
               .
               .
**พี่วอร์ม**


               ทั้งที่วันนี้เป็นวันที่ทางมหาลัยให้หยุดแท้ๆ แต่ผมก็ต้องเสียสละวันหยุดที่จะได้นอนตื่นสายยอมตื่นแต่เช้าแล้วเข้ามหาลัยมาเป็นเพื่อนไอ้จัส ช่างเป็นเพื่อนที่ประเสิรฐอะไรแบบนี้ครับ หาไม่ได้ง่ายๆ นะครับเนี่ย ยอมออกมาด้วยแต่เช้าพร้อมโปรโมชั่นพิเศษช่วยมันยกของ ขนของอีกต่างหาก คิดไปคิดมาก็เหมือนมาเป็นลูกน้องคอยรับใช้มันยังไงอย่างนั้นเลยครับ
 
               “ไอ้มิชิกับเค้กไปไหนวะ ไม่เห็นหน้าแต่เช้าแล้วเนี่ย” จัสเอ่ยทักขึ้นมาหลังจากที่เพิ่งปล่อยน้องบนสแตนไปพักได้สักครู่ ถามผมแบบนี้แล้วผมต้องไปถามหาคำตอบจากใครต่อล่ะครับ
 
               “กูก็อยู่กับมึงตลอดเนี่ย จะไปรู้ไหม”
               “เอ้าไอ้นี่... ก็เผื่อมึงจะรู้ไง”
               “ไม่รู้โว้ย! รู้แค่มันบอกจะตามเข้ามาเที่ยงๆ บ่ายๆ” ผมตอบเท่าที่รู้มา ซึ่งคำตอบของผมไอ้จัสเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วเพราะมิชิเป็นคนบอกเองในไลน์กลุ่ม จะว่ามันยังไม่ได้อ่านก็ไม่น่าใช่เพราะผมก็เห็นว่าจพนวนคนที่อ่านแล้วมันก็ขึ้นครบทุกคนแล้ว
 
               “กูว่าไม่เข้ามาแล้วม้างงง สงสัยจะแอบไปเดทกับเค้กสองคนแน่ๆ”
               “ฮ่าๆๆ กูก็ว่างั้นอะ ไม่มีเรียนแถมงานกีฬานี่ก็ไม่ได้บังคับให้มาทุกคนด้วยนี่หว่า... เป็นกูก็ไม่มาหรอก”
               “ไม่ได้ไอ้วอร์ม มึงต้องมาเป็นเพื่อนกู” จัสรีบพูดดักทันที มันก็ตลกนะครับจะโวยวายทำไมก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ผมก็ยืนหัวโด่อยู่ข้างๆมันเนี่ย ถ้าผมตั้งใจจะไม่มาจริงๆ คงไม่มีทางที่จะเห็นแม้แต่เงาผมหรอกครับ
 
               “เออ! ถ้ากูไม่มาเดี๋ยวโดนมึงงอนใส่กูเป็นตุ๊ดอีก”
               “พี่วอร์มขา~ อย่าทิ้งน้องจัสไปนะคะ” อยู่ๆ เพื่อนตัวโย่งก็เอนตัวมากอดแขนผมก่อนจะทำเสียงเล็กเสียงน้อยออดอ้อนใส่จนผมขนลุกซู่ ทำอะไรไม่เกรงใจหน้าตาและส่วนสูงตัวเองเลย ไอ้บ้านี่ แถมนี่อยู่ในพื้นที่โล่งแจ้งท่ามกลางสาธารณชนขนาดนี้ อย่างน้อยก็ควรจะเกรงใจตำแหน่งอดีตทูตมหาลัยของตัวเองหน่อย แต่ผมว่าไอ้จัสมันก็คงไม่มีจะให้เสียตั้งแต่ก้าวกระโดดข้ามจากทูตมาเป็นกองสันแล้วล่ะ
 
               “เชี่ยจัส! กูขนลุก! มึงปล่อยแขนกูเดี๋ยวนี้!”
               “ฮ่าๆๆ มึงแม่ง ไม่เล่นกับกูหน่อยวะ เผื่อมีแฟนคลับที่จิ้นกูกับมึงอยู่แถวนี้เขาจะได้ฟินๆ ทีมพี่จัสกองสันพี่วอร์มโฟล์คซองงี้”
               “ใครเขาจะจิ้นกูกับมึง! มึงไปโน่นเลย แฟนคลับจริงๆ มึงมาแล้ว” ผมเพยิดหน้าไปที่หน้าซุ้มซึ่งมีรุ่นน้องผู้หญิงหลายคนมายืนออกันอยู่ แล้วผมก็จำได้ว่าน้องกลุ่มนี้เป็นแฟนคลับจัสมัน ถึงแม้จะอยู่ต่างคณะกันก็เถอะ แต่น้องๆ พวกนี้ก็มักจะเอาขนม เครื่องดื่ม และของอร่อยต่างๆ ติดไม้ติดมือมาฝากให้เพื่อนตัวโย่งของผมเสมอ
 
               หลังจากที่จัสเดินออกไปหาแฟนคลับของมัน เสียงจากแอพแชทก็ดังขึ้นมาทันที ผมก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูแล้วก็เจอข้อความจากเจ้าของไลน์ปริศนาคนเดิมที่ทักมา
 
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)  : วันนี้มีแข่งกีฬามหาลัยพี่วอร์มได้มาด้วยหรือเปล่าครับ
               (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)  : เห็นรุ่นพี่หลายคนลงแข่งฟุตบอลกันเยอะเลย พี่วอร์มได้ลงแข่งกับเขาด้วยหรือเปล่าครับเนี่ย
                (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg)  : ผมเห็นพี่ชอบเล่นฟุตบอลนี่นา พี่น่าจะลงแข่งด้วยนะครับ
 
               อย่างผมนะหรอครับจะไปลงแข่ง ถึงผมจะชอบเตะฟุตบอลเหมือนกันก็เถอะครับ แต่ชอบเตะสนุกๆ กับเพื่อนเป็นการออกกำลังเรียกเหงื่อมากกว่าที่จะไปแข่งจริงจังแบบนั้น หมอนี่ชักรู้เรื่องเกี่ยวกับผมมากเกินไปแล้วนะ
 
                 : ใกล้จะเที่ยงแล้วอย่าลืมหาอะไรทานด้วยนะครับ
                 : อ่อ! แล้วก็... ถ้าพี่ลงแข่งผมจะคอยเป็นกองเชียร์ให้นะครับพี่วอร์ม
 
               ผมยืนอ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอแต่ไม่ได้กดเข้าไปอ่านในแอพ ขืนเข้าไปอ่านตอนนี้เดี๋ยวคนที่ส่งมาจะหาว่ารออ่านไลน์เขาอีก ผมส่ายหน้าเบาๆ กับข้อความสุดท้ายก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์ แล้วสายตาผมก็พลันมองไปเจอกับน้องสายผมที่กำลังนั่งยองๆ ก้มหน้าก้มตาเล่นไอแพดมินิอยู่ใต้ต้นไม้พอดี อะไรจะจริงจังขนาดนั้น แถมยังนั่งอยู่คนเดียวอีกเห็นแบบนั้นผมเลยเดินไปหยิบขวดน้ำเปล่าแช่เย็นจากในถังน้ำแข็งแล้วเดินไปหาน้องทันที แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สังเกตเห็นผมเลยครับ นี่ขนาดเดินมาจะถึงตัวอยู่แล้วเนี่ย เอาแต่นั่งจ้องหน้าจอจนผมต้องเอาขวดน้ำเย็นๆ ไปแตะที่ข้างแก้มน้อง
 
               “อ๊ะ!!!” ผมหลุดขำออกมาเมื่อเห็นท่าทางตกใจจนสะดุ้งอย่างแรงแถมยังตาโตเป็นไข่ห่านของน้องไอติม ทำท่าอย่างกับเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ
 
               “พี่วอร์ม!!! มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?!” น้องทำหน้าเหวอก่อนจะรีบถามผมกลับ แล้วทำไมต้องตกใจอะไรขนาดนั้น
               “มาตั้งนานแล้ว... เอาแต่นั่งเล่นไอแพดนะเราอะ! มาขึ้นสแตนยังลงทุนพกมาด้วยอีก อะนี่น้ำ ได้ยัง” ผมย่อตัวลงนั่งยองๆข้างๆ น้องก่อนจะยื่นขวดน้ำไปให้
 
               “อ่า... ขอบคุณครับ”
               “แล้วจูเนียร์ไปไหนละ ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียว”
               “จูไปเข้าห้องน้ำอ่า... เดี๋ยวก็คงมา แล้วพี่วอร์ม... มาด้วยหรอครับ”
               “อ้าว มาสิ... ทำไมจะมาไม่ได้อะ นี่งานใหญ่ระดับมหาลัยเลยนะ” น้องก็ถามแปลกๆ นะครับ ทำไมผมจะมางานนี้ไม่ได้อะ ถึงจะไม่ได้มีหน้าที่อะไรเหมือนคนอื่นเขาก็เถอะ แต่งานกีฬามหาลัยก็ไม่ได้มีกฎตั้งไว้นี่ครับว่าภายในบริเวณสนามกีฬานั้นให้เข้าได้เฉพาะผู้ที่มีหน้าที่เท่านั้น เชื่อผมสิว่าเดี๋ยวตอนคอนเสิร์ตปิดงานช่วงค่ำๆ คนได้เยอะกว่านี้แน่ๆ
 
               “แล้วเมื่อกี้พี่วอร์ม... อ่า... ช่างมันเถอะครับ แล้วพี่ๆ คนอื่นไปไหนกันหมดล่ะ” ไอติมทำท่าเหมือนจะถามอะไรผมสักอย่างแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องอื่นแทนจนผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ทำแบบนี้มันค้างคาใจนะครับ
 
               “ไอ้จัสอยู่ที่ซุ้มคณะโน่น ส่วนมิชิกับเค้กเห็นบอกว่าจะตามเข้ามาตอนบ่ายนะ ว่าแต่... เมื่อกี้เราจะถามไรพี่เปล่า”
               “อ่า... ปะ... เปล่าครับไม่มีอะไร ไม่ได้จะถามอะไรหรอก”
               “น่าเชื่อมากเลยเนี่ย”
               “หง่า... จริงจริงนะ ไม่มีอะไรเลยครับ ผมลืมไปหมดแล้วด้วย”
               “แถเก่งจริงๆ นะเราอะ” ผมยกมือขี้ยีผมน้องอย่างมันเขี้ยวเมื่อเห็นน้องยกมือขึ้นโบกไปมากลางอากาศทำท่าปฏิเสธเรื่องเมื่อครู่ ไม่รู้เลยหรือยังไงว่าตัวเองน่ะ เป็นคนที่โกหกได้ไม่เนียนที่สุดเลย
 
               “โหยพี่วอร์มอะ ผมยุ่งหมดแล้วเนี่ย”
               “ทำไมๆ ผมยุ่งแล้วทำไม” ยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุครับ ยิ่งเห็นน้องบ่นผมยิ่งยีผมน้องเล่นต่อไป เวลาน้องทำปากยู่แบบนี้ทีไรเห็นแล้วมันอดแกล้งไม่ได้เลยครับ
 
               คนอะไร... ทำหน้ายู่แบบนี้ก็ยังน่ารัก... เฮ้อ... น่ารักมากเกินไปแล้วมั้งไอติม




“อ้าว! พี่วอร์มกับน้องไอติมนี่เอง นึกว่าใคร... งั้นผมขออนุญาติถ่ายรูปพี่น้องสายรหัสหน้าตาดีคิ้วบอยหน่อยนะครับ จะเอาไปลงเพจคณะ” น้องบอยปี 2 ที่เป็นสตาฟงานและเป็นตากล้องประจำรุ่นเดินเข้ามาขอพวกผมถ่ายรูปเพื่อเอาไปลงเพจคณะครับ ยอมรับครับว่าผมโดนเจ้ารุ่นน้องพวกนี้ขอถ่ายรูปไปลงเพจบ่อยๆ แต่กับน้องไอติมคงยังไม่เคยเจอแบบนี้ผมเลยหันไปถามคิวท์บอยที่อยู่ข้างๆ ผมก่อน
 
               “ถ่ายไหมไอติม”
               “ได้ครับพี่” ไอติมพยักหน้ารับก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้คนที่มาขออนุญาติถ่ายรูป จากที่หน้างออยู่เมื่อกี้ พอกล้องมาอยู่ตรงหน้าปุ๊บก็เลี่ยนเป็นสดใสทันทีเหมือนกดเปิดสวิชเลยครับ
 
               “อ่า... งั้นพี่วอร์มเขยิบมาชิดกับน้องไอติมหน่อยครับ โอเคครับ หนึ่ง... สอง...” เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นสองสามครั้งก่อนที่น้องบอยจะขอบคุณพวกเราอีกครั้งแล้วเดินออกไป
 
               “อะนี่... เอาไปอมจะได้ชุ่มคอ” ผมหยิบลูกอมรูปหัวใจรสระกำที่เหลืออยู่เพียงเม็ดเดียวจากในกระเป๋ากางเกงส่งไปให้น้อง ถึงชื่อรสชิตมันจะความหมายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็เถอะครับ
 
               “ขอบคุณนะครับพี่วอร์ม”
               “พี่ชอบกินมากเลยนะ นี่ยอมเอาเม็ดสุดท้ายให้ไอติมเลยนะ เวลาซ้อมร้องเพลงหนักๆ หรือก่อนเวทีพี่ก็ชอบก็อมเจ้านี่เนี่ยแหละ มันชุมคอดี แล้วก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพวกไอ้จัส ไอ้มิชิถึงชอบมาไถ ร้านสะดวกในมอ. หรือแถวหอก็มีขาย ราคาก็ไม่ได้แพงอะไรทำไมถึงไม่ไปซื้อกินเองก็ไม่รู้” ผมเล่าให้น้องฟังหลังจากที่น้องรับลูกอมไปจากผมแล้วเอ่ยขอบคุณพร้อมส่งรอยยิ้มแสนสดใสมาให้ ก็งงตัวเองเหมือนกันนะครับว่าจะพูดอะไรตั้งมากมายให้น้องฟังทำไม พูดไปเสียเยอะ จนเหมือนบ่นให้น้องฟังเสียมากกว่า
 
               “โหย~ งั้นพี่วอร์มเอาคืนไปไหม ผมไม่อยากได้ชื่อว่ามาไถพี่กินอีกคน...”
               “ไถอะไรเล่า นี่พี่เต็มใจให้กินไปเถอะเดี๋ยวต้องขึ้นสแตนต่อแล้วไม่มีเสียงไม่รู้ด้วยนะ เอ้อ! แล้วเย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะ ชวนเพื่อนๆ เรามาด้วยแล้วกัน” ผมดันมือน้องที่แบยื่นส่งลูกอมคืนมาให้ผมกลับไป เพื่อมแค่บ่นพวกเพื่อนๆ ให้ฟังเฉยๆ ไม่คิดว่าไอติมจะคิดจริงจังแบบนี้ แต่การยู่ปากพร้อมเสียงที่เหมือนตัดพ้อนิดๆ ของน้องมันก็ทำให้ผมต้องยิ้มออกมา
 
               “ได้คร้าบ~ เดี๋ยวถ้าเลิกแล้วผมไปหาแถวๆ ซุ้มกองสันทนาการแล้วกันนะ” ผมพยักหน้ารับน้องก่อนที่ไอติมจะขอตัวเดินแยกกลับออกไป ผมจึงเดินกลับไปหาจัสบ้างถึงแม้ว่ามันจะยังคงอยู่ท่ามกลางแฟนคลับของมันก็เถอะครับ
 
               จบงานกีฬาของมหาลัย แต่ละคณะก็แบ่งๆ กันได้รางวัลกลับบ้านกันไป ซึ่งคณะผมก็ยังคงรักษาแชมป์ฟุตซอลไว้ได้อีกปีจริงๆ ผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับงานนี้เท่าไหร่หรอกครับ แต่ก็ยอมรับว่าเวลาเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ตื่นเต้นดีใจเวลาได้รับรางวัลมันก็อดภูมิใจไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นแค่รางวัลแข่งกีฬาไม่กี่อย่างก็เถอะ
 
               หลังจากจบงานผมก็ยืนรอน้องไอติมตามที่นัดกันไว้ก่อนหน้านี้ที่แถวหน้าซุ้มกองสันทนาการของคณะ ข้างๆ ผมก็มีไอ้เพื่อนตัวสูงโย่งที่กำลังยืนถ่ายรูปกับแฟนคลับมันอยู่ ส่วนผมก็มีรุ่นน้องมาขอถ่ายรูปบ้างประปราย ไม่ได้เยอะเท่าจัสหรอกครับ ผมก็สงสัยเหมือนกันนะว่าไอ้การที่ผมยืนกอดอกทำหน้านิ่งแบบนี้มันทำให้คนอื่นกลัวจนไม่กล้าเข้าหาผมเลยหรือเปล่า แต่ก็ดีแล้วแหละครับ อากาศร้อนๆ แบบนี้ถ้ารุมเข้ามาถ่ายรูปกับผมเหมือนไอ้จัสผมคงรำคาญแย่ แล้วนี่ผมยังไม่ได้บอกจัสมันเลยนะครับว่าเดี๋ยว น้องไอติม น้องจูเนียร์ กับน้องไวท์ จะเดินมาหาที่กองสันทนาการด้วย ถ้ามันรู้คงดีดกว่าเดิมแน่ๆ ส่วนมิชิกับเค้กก็หายไปไหนไม่รู้ ไม่ได้ตามมาที่งานแล้วด้วย ทางสะดวกเลยสินะ
 
               “พี่วอร์ม~” เสียงสดใสเอ่ยทักผมจากที่ไกลๆ เสียงลอยมาก่อนตัวอีกครับ ผมหันมองตามต้นเสียงไปก็พบว่าเป็นน้องไอติมแล้วก็เพื่อนๆ เขานั่นละครับที่เดินเข้ามาหา เจ้าตัวหน้าตาดูมอมแมมมากๆ แต่ก็ยังคงรอยยิ้มสดใสไว้ได้ขนาดนี้แถมยังโบกมือทักทายผมอีก พลังเหลือล้นจริงๆ เลยนะเด็กคนนี้
 
               “มาแล้วหรอ เป็นไงบ้างเหนื่อยกันเปล่า” ผมเอ่ยถามน้องๆ ทันทีที่พวกน้องเดินมาถึงกัน
               “เหนื่อยมากเลยพี่วอร์ม แต่ก็สนุกดีเนอะ” ไอติมหันไปถามเพื่อนซี้ที่ขึ้นไปทำหน้าที่บนแสตนด้วยกัน
               “อือ... เหนื่อยแต่ก็สนุกดีครับพี่วอร์ม”
               “แล้วไวท์เป็นยังไงบ้าง งานฝั่งโน้นเหนื่อยไหม” ผมถามถึงน้องไวท์ที่ต้องไปช่วยงานกับชมรมประสานเสียงตั้งแต่การมาร้องเพลงมหาลัยในพิธีเปิดช่วงเช้าลากยาวไปตลอดทั้งวัน
 
               “นิดหน่อยครับ แต่ก็สนุกดีเหมือนกันครับ ได้ทำอะไรหลายอย่างเลย”
               “สมกับเพื่อนกันจริงๆ เลย เจ้าพวกนี้ คำตอบเหมือนกันเปี๊ยบ! เดี๋ยวไปกินข้าวกันนะ เอ้อ! วันนี้เค้กไม่ได้มาด้วยนะ สงสัยจะไปกับไอ้มิชิ... ไวท์ไปกับพวกพี่ได้ใช่ไหม” ผมบอกกับน้องด้วยความกังวลนิดๆ เพราะทุกครั้งที่ผ่านมาเค้กก็จะอยู่ด้วยตลอด
 
                    “ได้ค้าบ ถึงพี่วอร์มไม่ให้ไปไวท์ก็จะไปอะ หิวจะแย่อยู่แล้ว ฮ่าๆๆ” น้องไวท์พูดติดตลกพร้อมกับหัวเราะจนตาปิดพร้อมโชว์ฟันกระต่ายอีกต่างหาก เห็นแล้วมันน่าเอ็นดูจริงๆ ครับ สมน้ำหน้าจัสมันที่ไม่ได้เห็นภาพนี้ มัวแต่เซลฟี่กับสาวๆ ก็อดเห็นช็อตเด็ดไปแล้วกันนะ
 
               “โอเค งั้นเดี๋ยวรอไอ้จัสก่อน มันกำลังมีตติ้งกับแฟนคลับมันอยู่... นั่นไงมาพอดี” ผมพูดพลางหันไปมองที่หน้าซุ้มกองสันทนาการ เห็นเพื่อนตัวโย่งกำลังกระโดดโลดเต้นเข้ามาหาพวกผม คิดว่ามันน่าจะเห็นว่าน้องไวท์ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยแล้วมั้ง
 
               “เฮ่นโหล~ มาแล้ว รอนานเปล่า... อ้าว! น้องไวท์ก็มาด้วยหรอ” เห็นท่าทางแอคติ้งสุดโอเวอร์ของมันแล้วอยากจะถีบสักที
               “มาครับ” น้องไวท์ตอบพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้ไอ้จัส ผมนี่อยากจะอวดมันมากเลยอะครับ ว่าเมื่อกี้กระต่ายน้อยของมันยิ้มซะตาปิดเลย อย่างน่ารักอะ
 
               “โทษทีพอดีพี่เพิ่งเสร็จงาน”
               “งานแฟนมิตติ้งจัสอินสปอร์ตเดย์อะนะ”
               “อะไรมึง! มึงอะตัวดีเลยแองกรี้วอร์ม มีน้องมาฟ้องกูด้วยว่าเพื่อนพี่จัสอะทำหน้าตาน่ากลัวจนน้องไม่กล้าเข้าไปขอถ่ายรูปด้วยเลย” นี่ผมแค่แซ็วมันเล่นหน่อยเดียว ถึงกลับต้องเอาคืนผมขนาดนี้เลยหรอครับ
 
               “ทำไม... ก็หน้ากูเป็นแบบนี้แล้วกูผิดอะไร”
               “ไม่ผิดครับ เพื่อนไม่ผิด ไปๆๆ เราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า เดี๋ยวนายไออุ่นกลายเป็นนายไอร้อนแล้วจะยุ่ง” จัสรีบยกแขนขึ้นมาวางพาดบ่าผมก่อนจะพาเดินนำน้องๆ ออกไป นี่เห็นว่ามีน้องอยู่ด้วยนะ ไม่งั้นโดนเตะไปนานแล้วไอ้เพื่อนเลว
 
               
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 10/02 :: 'สานสัมพันธ์'] 181224
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 25-02-2019 16:31:15
หลังจากที่อิ่มท้องกันแล้วพวกเราทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับหอ โดยผมอาสามาส่งน้องไอติมเหมือนเดิม และแน่นอนว่าไอ้จัสมันก็รีบคว้าโอกาสที่จะไปส่งน้องไวท์ทันที ถึงขั้นลงทุนยอมขับรถไปส่งน้องจูเนียร์ก่อนจะวนกลับเข้ามหาลัยไปส่งน้องไวท์ที่หอในด้วย
 
               “โอย อิ่มจนจุกหมดแล้วเนี่ย” ไอติมบ่นออกมาขณะที่เรากำลังเดินไปรอลิฟท์ในหอพัก ท่าทางโอดโอยของน้องทำให้ผมต้องลอบอมยิ้ม
 
               “ก็ดูเรากินสิ กับข้าวมาถึงก็จัดหนักอย่างกับพายุเฮอริเคน” ผมเอ่ยแซวน้องที่กำลังงอตัวพร้อมกับยกมือลูบพุงตัวเองอยู่
               “ก็ตอนนั้นมันหิวอะพี่วอร์ม ถึงจะนั่งเชียร์อยู่บนสแตนเฉยๆ แต่ก็ต้องใช้เสียง ไหนจะต้องทำมือแปรอักษรอีก หมดพลังงานไปเยอะเลยนะครับ” ดูคนเรา แซ็วนิดแซ็วหน่อยบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลย
 
               “ฮ่าๆๆ งี้แหละหิวมากๆ เวลารีบกินเยอะๆ มันก็จุกอะดิ ไหวปะเนี่ย... ขึ้นไปบนห้องก็อย่าเพิ่งอาบน้ำแล้วกัน”
               “ทำไมอะพี่วอร์ม กินอิ่มแล้วห้ามอาบน้ำหรอ”
               “ใช่... ไม่รู้หรอ เขาว่ากินอิ่มๆ มาห้ามอาบน้ำ ไม่งั้นมันจะยิ่งจุกเสียดแน่นท้องมากกว่าเดิมอีก แล้วร่างกายเราจะไปโฟกัสกับการสร้างความอบอุ่นของร่างกายแทนการย่อยอาหารด้วย” ผมเอ่ยตามที่เคยได้ยินและได้อ่านข้อมูลผ่านตามาบ้าง
 
               “โห~ พี่วอร์มนี่น่าจะไปเรียนแพทย์มากกว่านิตินะเนี่ย”
               “เวอร์แล้ว... แล้วยังไง ตกลงไหวเปล่า... ถ้าไม่ไหวไปนั่งเล่นห้องพี่ก่อนไหม จะได้ไปเล่นกับเจ้าเบนโตะด้วย” ที่ผมเอ่ยชวนน้องนี่ผมหวังดีนะครับไม่อยากให้น้องปวดท้องไปมากกว่านี้ อย่างน้อยไปนั่งเล่นให้อาหารที่กินเข้าไปได้ย่อยก่อนสักหน่อย
 
               “อือๆ ไปก็ได้ครับ คิดถึงเบนโตะเหมือนกัน” เราตกลงกันเสร็จลิฟท์ที่รอก็มาถึงพอดีเลยครับ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันผมถึงรู้สึกดีใจที่น้องตอบตกลงรับคำชวนของผม ผมรู้แค่ว่าอยากจะอยู่ใกล้ๆ น้องเขาให้มากกว่านี้ ให้นานกว่านี้อีกนิดหน่อยก็เท่านั้น
 
               เมื่อมาถึงห้อง ผมก็ปล่อยให้น้องนั่งเล่นกับเบนโตะไปส่วนผมก็จัดโน่นจัดนี่ในห้องไปเรื่อยเปื่อย เพราะถ้าไปนั่งเล่นด้วยผมคงได้แต่นั่งมองไอติมแน่ๆ เลยครับ ความน่ารักสดใส และเสียงหัวเราะของน้องทำให้บรรยากาศรอบตัวน้องพลอยสดใสไปด้วยแถมยังชวนมองไปหมดเสียด้วย เจ้าสัตว์เลี้ยงแสนรักของผมก็รักเจ้านายของมันเหลือเกิน พอมีผู้มาเยือนมันถึงกลับไม่สนใจผมสักนิด ขนาดเรียกชื่อมันยังไม่แม้แต่จะหันมามองเลยครับ ไม่รู้ว่าตกลงเป็นหมาของผมหรือไอติมกันแน่
 
               “พี่วอร์ม~ เบนโตะมันหิวแน่ๆ เลยอะ”
               “ไอก็เห็นไม่ใช่หรอ เมื่อกี้พี่เทอาหารเม็ดให้มันยังไม่สนใจพี่เลย สงสัยอยากได้เจ้าของใหม่แล้วมั้ง”
 
               “ฮ่าๆๆ อะไรอะ น้อยใจหมาตัวเองก็ได้หรอ ว่าแต่มีพวกขนมหรือของกินเล่นอะไรให้มันกินไหมอ่า...” จะว่าผมน้อยใจหมาตัวเองหรอ ถ้าคิดดูดีๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะน้อยใจเจ้าเบนโตะหรือน้อยในเจ้าของเสียงหัวเราะใสๆ นั่นดี เพราะตั้งแต่เข้าห้องมาก็เหมือนว่าในห้องนี้มีกันอยู่แค่หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัว อย่าว่าแต่หมาเมินเลยครับ น้องไอติมก็ไม่สนใจผมเหมือนกันนั่นแหละ
 
               “อะนี่ แต่ให้มันกินแค่แท่งสองแท่งพอนะ เดี๋ยวกินขนมจนอิ่มแล้วไม่ยอมกินข้าวอีก ช่วงนี้มันยิ่งขี้เอาแต่ใจอยู่” ผมยื่นซองเจอร์กี้รสเนื้อซึ่งเป็นขนมขบเคี้ยวสำหรับสุนัขให้น้อง เจ้าตัวดีทันทีที่ได้กลิ่นขนมที่แสนโปรดปรานก็กระดิกหางดี๊ด้าและกระตายตักน้องไอติมทันที
 
               “ใจเย็นๆ สิเบนโตะ ไหนๆ นั่งลงก่อน เก่งมาก... ขอมือหน่อยสิ ขอมือๆ” ผมลอบมองไอติมที่กำลงัออกคำสั่งเจ้าเบนโตะด้วยสีหน้าจริงจัง เวลาผมสั่งนี่ไม่ชอบจะเชื่อฟังหรอกครับ แหม พอเป็นไอติมสั่งนี่ทำตัวว่านอนสอนง่ายเชียวนะ ให้นั่งก็นั่ง ขอมือก็ยื่นไปให้ทั้งสองข้าง พอน้องสั่งให้หมอบก็ยอมทำตามแต่โดยดี ไอ้หมาเห็นแก่กินเอ๊ย
 
               “แสนรู้เหมือนกันนะเนี่ย แต่พอก่อนเนอะ ไปกินข้าวไป” ไอติมยื่นซองขนมกลับมาให้ผมก่อนจะอุ้มเจ้าเบนโตะไปไว้หน้าชามอาหารเม็ดที่อยู่บริเวณมุมห้อง
 
               “อะไรเนี่ย ทีงี้ยอมกินเฉยเลยอะ ตกลงใครเป็นเจ้าของแกกันแน่เนี่ยเบนโตะ! โคตรสองมาตราฐาน”
               “คิดถึงกาแฟเลยอะ...” ระหว่างที่ผมตัดพ้อเจ้าเบนโตะอยู่นั้น ไอติมก็พูดขึ้นมาลอยๆ คำพูดของน้องสร้างความสงสัยและกระตุ้นความอยากรู้ของผมได้ดีทีเดียว ถ้าให้เดา ผมว่าน้องคงจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนกันเพียงแต่ว่าไม่ได้พามันมาอยู่ในหอพักด้วยเท่านั้น
 
               “หื้ม???”
               “แมวผมเอง นิสัยมันคล้ายๆ เจ้าเบนโตะนี่แหละ ใครรู้จักก็อิจฉาทั้งนั้น บอกว่าผมโชคดีที่ได้เลี้ยงแมวนิสัยแบบนี้”
               “ยังไงอะ...”
 
               “ก็... เวลาอยากเล่นด้วยหรือเรียกกาแฟก็จะมาหา ผมขอมือกาแฟได้ด้วยนะ” ไอติมพูดด้วยสีหน้ามีความสุข ยิ่งเห็นแววตาสดใสกับรอยยิ้มกว้างของน้องผมก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ น้องหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะเลื่อนหาอะไรบางอย่างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะยื่นหน้าจอมาจ่อตรงหน้าผม แล้วผมก็ถึงบ้างอ้อเมื่อเห็นคลิปสั้นๆ ที่น่าจะเป็นเจ้าตัวนั้นแหละ กำลังขอมือทั้งสองข้างจากเจ้าเหมียว มันแสนรู้จริงๆ เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเจอคนฝึกแมวได้เหมือนฝึกหมาเนี่ยแหละ แต่เดี๋ยวนะ ทำไมผมรู้สึกคุ้นๆ หน้าเจ้าแมวลายเสือหูตกตัวนี้จัง
 
               “อืม... น่ารัก แสนรู้จริงๆ มีรูปมันอีกไหม ขอดูหน่อยสิ”
               “น่ารักใช่ไหมล่ะ เลื่อนดูเอาเลยพี่”
 
               ผมรับโทรศัพท์มาจากน้องเพียงแค่เลื่อนไปที่รูปถัดไปผมก็รู้สึกชาไปทั้งหน้า รูปเจ้าแมวลายเสือกับปลอกคอสีแดงสดที่มีป้ายชื่อแผ่นสแตนเลสห้อยอยู่ มันเป็นรูปเดียวกับรูปดิสไลน์ปริศนาอันนั้นที่มักจะพิมพ์มาเล่าเรื่องราวต่างๆ นานากับผม ไลน์ที่บอกผมไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่าไม่จำเป็นต้องตอบ ขอแค่อ่านข้อความและคำบอกเล่าเหล่านั้นก็พอ คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวผม ผมไม่เข้าใจเลยอะ แล้วมันก็ไม่สมเหตุสมผลเลย ไอติมจะทำแบบนั้นทำไมวะ
 
               “ปวดหัวอะ ขอไปนอนพักก่อนนะ”
               “อ่า... ปวดมากไหมครับ ทานยาก่อนไหมพี่”
               “ไม่ต้องหรอก นอนพักเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”
               “งั้น... พี่พักเถอะครับ เดี๋ยวผมก็จะกลับแล้วเหมือนกัน...”
 
               ผมเดินเข้ามาที่ห้องนอนทันทีโดยไม่ได้ขานรับ หรือหันไปบอกลาน้องสักนิด ความรู้สึกตอนนี้มันสับสนและมึนงงไปหมด ทั้งๆ ที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวยแล้วเชียว ผมเกลียดการโกหกที่สุด เพราะผมถือว่าผมเป็นที่คนให้ใจกับทุกคนทั้งเพื่อน พี่ น้อง และคนรู้จัก ผมเชื่อมั่นมาตลอดว่าถ้าเราจริงใจกับใคร เขาจะสัมผัสถึงมันได้และจริงใจกับเราเช่นกัน แต่สิ่งที่ไอติมทำ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนของแข็งฟาดอย่างแรงลงมากลางหัว ทั้งๆ ที่ผมให้ใจกับน้องไปขนาดนี้แล้ว น้องกลับตอบแทนผมด้วยการโกหกอย่างนั้นหรอ

.

.

.

To be Continue...


 
             
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 12 :: 'เมินเฉย'] 190404
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 04-04-2019 16:09:45
             
:: Chapter 12 :: 'เมินเฉย'


               หลังจากทานข้าวกลางวันกับเพื่อนๆ เสร็จผมก็มานั่งที่โต๊ะกับเพื่อนๆ เป็นประจำเหมือนเช่นทุกวัน มาเจอเพื่อนๆ กลุ่มอื่น แล้วก็พวกรุ่นพี่ที่แวะเวียนเข้ามาทักทาย พูดคุยกันเป็นปกติ แต่อารมณ์และความรู้สึกของผมตอนนี้มันกับไม่ได้ดีเหมือนที่ผ่านมาน่ะสิครับ
               “ไอ... ไอ... ไอติมๆ”
               “หือ?” ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือมองจูเนียร์ที่ทำหน้าเซ็งใส่ผม อะไรอะ ก็ผมไม่ได้ยินที่เรียกนี่นา
               “มัวทำไรอยู่อะ เรียกตั้งนานแล้วเนี่ย”
               “ง่า... โทษที อ่านไลน์อยู่อะ ว่าแต่ มีไรหรอจู”
               “ไม่มีอะไร แค่จะถามว่ากินแตงโมไหม เนี่ยจะหมดแล้ว”
               “อ่า... จูกินเลย ไอยังอิ่มข้าวเที่ยงเมื่อกี้อยู่เลยอะ”
               “เค” จูเนียร์พยักหน้ารับแล้วหันไปคุยกับไวท์ต่อ จริงๆ ผมก็อยากจะหันไปนั่งคุยกับเพื่อนๆ บ้างนะ แต่มันยังมีบางอย่างที่มันยังค้างคาอยู่ในโทรศัพท์ เมื่อวานตอนที่ผมไปนั่งเล่นที่ห้องพี่วอร์มได้สักพักพี่เขาก็บ่นปวดหัว ผมเลยกลับมาที่ห้องเพื่อให้พี่เขาพักผ่อน แต่หลังจากนั้น ผมไลน์ไปถามพี่เขาก็ยังไม่ได้ตอบกลับมาเลยตั้งแต่ตอนนั้น ยังไม่แม้แต่จะอ่านเลยด้วยซ้ำ

               “พี่ๆ หวัดดีคร้าบ” เสียงจูเนียร์กับไวท์ดังขึ้น น่าจะเอ่ยทักรุ่นพี่สักคนที่แวะเข้ามาที่โต็ะ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักเพียงแค่เงยหน้ามองตามที่เพื่อนๆ ทัก
               “อ่า... หวัดดีครับพี่” ผมรีบยกมือไหว้รุ่นพี่แทบไม่ทัน เพราะคนที่เดินเข้ามาคือ พี่มิชิ พี่เค้ก พี่จัส แล้วก็พี่วอร์มที่ยังไม่ตอบไลน์ผมตั้งแต่เมื่อคืน
               “หวัดดีเด็กๆ ทานข้าวกันรึยังเอ่ย” พี่เค้กเอ่ยถามพวกเราก่อน ด้วยรอยยิ้มหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของพี่เขา ตำแหน่งเดือนโต๊ะจะเป็นของพี่เขาก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะไม่ว่าพี่เค้กจะทำอะไรมันก็ดูน่ามองไปเสียหมด
               “ทานแล้วครับพี่ เพิ่งทานมาเมื่อกี้เลย” ไวท์เป็นคนตอบคำถามพี่เค้กต่อ
               “นึกว่ายังไม่กินอะไรกันซะอีก พี่จะได้ชวนไปกินด้วยกัน” พี่จัสพูดต่อ ผมแอบสังเกตเห็นพี่เค้กกับพี่มิชิแอบมองหน้ากันแล้วยิ้มแปลกๆ แต่พี่วอร์มก็เอาแต่ยืนนิ่ง ไม่พูดอะไรสักคำ ทั้งๆ ที่ผมพยายามมองหน้าพี่วอร์มเพื่อจะถามเรื่องเมื่อวาน แต่พี่เขาก็ไม่ได้หันมามองผมเลยอะ
               “จัสจะขุนให้น้องอ้วนหรอไง”
               “ใช่แล้วเค้ก ขุนให้อ้วนๆ บ้าง เนี่ยตัวเล็กนิดเดียว ลมพัดทีเดียวแทบปลิวเลย” พี่จัสไม่พูดเปล่า แถมยังยกมือขึ้นมาโยกหัวไวท์เล่นอย่างสนุกมือจนเพื่อนผมได้แต่ยู่ปาก
               “ง่า... พี่จัสอะ ผมไวท์ยุ่งหมด”
               “เชี่ยจัส มึงแม่งโคตรไม่เนียน” เสียงพี่วอร์มพูดขึ้นมาก่อนจะผลักไหล่พี่จัสที่ยืนทำหน้ามึนๆ อยู่ ก่อนที่พี่ๆ เขาจะพากันหัวเราะ
               “เอ่อ... พี่วอร์ม...” ผมส่งเสียงเรียกพี่วอร์มที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไหร่
               “ว่า?”
               “เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง หายปวดหัวรึยังอ่า...” ผมเอ่ยถามพี่เขาเหมือนกับที่ถามไปในไลน์นั่นแหละครับ
               “ดีขึ้นแล้ว”
               “งั้น...”
               “พวกมึงจะไปกันยังวะเนี่ย กูหิวข้าว... ไม่งั้นเดี๋ยวกูเดินไปก่อนนะ” พี่วอร์มหันกลับไปเรียกพี่จัสกับพี่มิชิที่นั่งคุยกับเพื่อนๆ ผมอยู่ ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนผมโดนพี่เขาโกรธยังไงก็ไม่รู้
               “เออๆ ไปแล้วๆ มึงนี่ รีบหรอวะ”
               “เออ! กูหิว”
               “งั้นพวกพี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” พี่เค้กหันมาร่ำลาพวกผมก่อนจะเดินออกไปพร้อมพี่มิชิ ส่วนพี่จัสกับพี่วอร์มเดินนำไปก่อนแล้ว ผมสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติของพี่วอร์ม ไม่เข้าใจเลย ไลน์ไปก็ไม่ตอบ เวลาเจอกันก็ชอบหลบหน้า พอจะคุยด้วยก็ถามคำตอบคำ แบบนี้มันปกติที่ไหนกัน ไม่รู้ว่าผมทำอะไรให้พี่วอร์มโกรธหรือไม่พอใจหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมอึดอัดจะแย่แล้วนะ

               .
               .
               .

               เพราะความคิดมากมายที่ตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ทำให้ผมไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ถึงตัวผมจะนั่งอยู่ตรงนี้ แต่เหมือนจิตใจมันจะล่องลอยไปไกลแล้วครับ ผมกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างตอนนี้เลย
 
               “มึงเป็นไรวะวอร์ม” อยู่ๆ ไอ้จัสก็เอ่ยถามผมขึ้นมาเบาๆ หลังจากที่นั่งเงียบฟังอาจาร์ยบรรยายหน้าห้องเรียน ใช่ครับ พวกเรากำลังเรียนกันอยู่ และจู่ๆ ไอ้จัสก็ถามคำถามแปลกๆ ขึ้นมา ดึงให้ผมกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง
               “เป็นไร?”
               “เออมึงอะ... เป็นอะไร”
               “กูไม่ได้เป็นอะไรนี่” ผมบอกปัดออกไปแบบนั้น เพราะผมเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองทำไหร่ ว่าผมเป็นอะไรกันแน่ จะว่าโกรธ โมโหมันก็ไม่เชิง แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่อยากเจอหน้าไอติมตอนนี้ คงเหมือนโดนคนที่ไว้ใจทรยศหักหลังล่ะมั้ง มันก็เลยสับสนไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงดี
               “ไม่ได้เป็นไรก็เชี่ยละ เมื่อกี้ก่อนเข้ามาเรียนเดินสวนกับน้องไอติม... กูไม่เห็นมึงทักน้องเลย”
               “ก็... กู... ไม่เห็น”
               “ไม่เห็นกับผีสิ! กูยังทักน้องอยู่เลย! น้องก็ยังมองหน้ามึงอยู่เลยเนี่ย... มึงเป็นไรวะ”
               “กูไม่ได้เป็นอะไร... มึงอย่าถามอีกนะ กูจะเรียน” ผมหันไปโวยใส่ไอ้จัสสักหนึ่งทีก่อนที่มันจะเลิกสนใจผมแล้วหันไปสนใจสิ่งที่อยู่บนจอโปรเจคเตอร์กับคำบรรยายของอาจารย์ต่อ
 
               จริงๆ ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก ผมก็ปกติดี แต่เรื่องไอติมนั้น ผมยังรู้สึกไม่โอเคกับน้องเขาเท่าไหร่ จริงๆ ก็ไม่น่าจะโกหกกัน เรื่องที่บอกว่า แค่อยากบอก อยากเล่าหลายๆ อย่างให้ฟัง เพราะคงไม่มีโอกาสพูดมันต่อหน้าผม มันคืออะไรล่ะ เพราะทุกวันเราก็คุยกันอยู่แล้ว ผมไม่ได้โกรธอะไรน้องเขานะครับ ยอมรับว่าเริ่มรู้สึกดีๆ กับไอติมมากขึ้นทุกวันด้วยซ้ำ แต่พอเจอแบบนี้ผมเหมือนโดนหลอก เหมือนโดนหักหลัง แล้วแบบนี้ผมจะไว้ใจอะไรน้องเขาได้อีก ทั้งๆ ที่เป็นพี่น้องสายเดียวกันด้วยซ้ำ

               .
               .
               .

               ความรู้สึกแสนอึดอัดและบรรยากาศอึมครึมระหว่างผมกับพี่วอร์มถูกปล่อยเอาไว้โดยไม่ได้มีการพูดคุยกันหรือแก้ปัญหาใดๆ ทั้งนั้น จนถึงวันนี้เวลาก็ล่างเลยไปอาทิตย์กว่าๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าผมจะอยากให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรอกนะครับ แต่มันยังไม่มีโอกาสให้ผมได้คุยกับพี่เขาเลยต่างหาก เหมือนอยู่ดีๆ พี่เขาก็พยายามหายออกไปจากชีวิตผมเลยอะ
               “ไม่เห็นพี่วอร์มเลยเนอะช่วงนี้” ผมเงยหน้าขึ้นมองไวท์ที่อยู่ๆ ก็พูดถึงคนที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิดของผมขึ้นมาระหว่างที่พวกเรากำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ที่โรงอาหารใกล้ๆ ตึกคณะ
               “อือนั่นดิ... ไอติม เดี๋ยวนี้ได้เจอพี่วอร์มบ้างป่ะเนี่ย เห็นทุกทีพี่วอร์มก็แวะมาหาออกบ่อย” จูเนียร์หันมาถามผมต่อจากนั้น จะตอบยังไงดีล่ะ เพราะผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าพี่วอร์มหายหน้าหายตาไปไหน รู้สึกเหมือนทำของสำคัญบางอย่างหายเลย เอาจริงๆ ผมก็เจอพี่วอร์มบ่อยนะครับเพราะเราอยู่หอเดียวกัน แต่เวลาเจอพี่วอร์มผมก็ไม่กล้าเข้าไปทักหรอก เพราะผมรู้สึกว่าช่วงนี้พี่วอร์มพยายามหลบหน้าผม
               “ไม่ได้เจออะ” ผมตอบไปเพียงแค่นั้นก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ จะเรียกให้ถูกจริงๆ คงต้องบอกว่านั่งเขี่ยข้าวในจานมากกว่า ทั้งๆ ที่เป็นเมนูโปรดแท้ๆ แต่ทำไมวันนี้ผมถึงไม่รู้สึกถึงความอร่อยของมันเลยนะ แถมยังรู้สึกฝืดคอแปลกๆ อีกต่างหาก
               “มีปัญหาอะไรกับพี่วอร์มหรือเปล่าไอติม” ไวท์ถามผมอีกครั้ง
               “เปล่า... ไม่มี”
               “เชื่อก็แย่แล้ว...” จูเนียร์พูดต่อ แต่ผมพูดจริงๆ นะครับ เพราะผมน่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพี่เขาหรอก แต่พี่เขาน่ะ มีปัญหาอะไรกับผมรึเปล่าก็ไม่รู้ ถอนหายใจไปเป็นหลายร้อยครั้งแล้ว ก็ยังไม่ช่วยอะไรเลย
               “จริงๆ”
               “ไอเป็นเพื่อนจูมากี่ปีแล้ว... แค่นี้ทำไมจูจะดูไม่ออก... ช่วงนี้ไอดูไม่เหมือนเดิมอะ”
               “ใช่เลย ไอดูซึมๆ เศร้าๆ ยังไงก็ไม่รู้ง่ะ” ไวท์พูดเสริมพร้อมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยสุดๆ กับคำพูดของจูเนียร์

               ผมรวบช้อนส้อมก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เพื่อนผมนี่มองผมออกทุกเรื่องจริงๆ โดยเฉพาะจูเนียร์ ส่วนไวท์ ถึงจะเพิ่งมารู้จักกันไม่นานแต่ผมก็รู้สึกสนิทกับไวท์เร็วเหมือนรู้จักกันมาหลายปีเพราะความจริงใจของเขานี่แหละครับ ทำให้ผมรู้สึกไว้ใจและเขาก็สามารถเป็นที่ปรึกษาและให้คำปรึกษาได้ในหลายๆ เรื่อง

               “ไอก็ไม่รู้อะ... ไม่รู้จะพูดยังไง... ไอรู้สึกว่าพี่วอร์มเหมือนจะหลบหน้าไอ... แต่ไอก็ไม่รู้นะ ว่าไอไปทำอะไรให้พี่เขาโกรธเคืองหรือไม่พอใจอะไรรึเปล่า”
               “เฮ้ย... มันต้องมีสาเหตุดิ อยู่ๆ ทำไมพี่วอร์มถึงทำแบบนั้นกับไอได้... พี่วอร์มเป็นพี่สายไอด้วย มันก็จะแปลกๆ ไปหน่อยนะถ้าอยู่ๆ ก็มาเมินใส่ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรให้อะ” ที่จูเนียร์พูดมาผมก็คิดอยู่ทุกวันที่พี่วอร์มไม่ยอมคุยกับผมดีๆ นั่นแหละ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมพี่วอร์มถึงเป็นแบบนั้น
 
               แต่ก็นั่นแหละ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรน้ำตาก็จะไหลออกมาทุกที มันแย่มากจริงๆ นะครับที่ต้องกลายเป็นคนอ่อนแอแบบนี้ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเรื่องพวกนี้ แต่กับพี่วอร์มมันไม่ใช่เลย

               “ไอติม~ ไม่เอาไม่คิดมากน๊า~” จูเนียร์ยื่นมือมาจับมือผมเบาๆ เพื่อนจะรู้ไหม ว่ายิ่งทำแบบนี้ผมยิ่งอยากจะร้องไห้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอด เหมือนที่เขาว่ากันว่ายิ่งปลอบยิ่งร้องนั่นแหละครับ
               “งั้น... ไอลองไปถามพี่วอร์มตรงๆ เลยไหม ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอึดอัดแย่เลยนะ พี่วอร์มก็เป็นพี่สายไอด้วย... ถ้ามารู้สึกไม่ดีต่อกันแบบนี้จะยิ่งแย่เอานะ” ไวท์บอกกับผมด้วยความหวังดี แต่สิ่งที่ไวท์แนะนำมันทำได้ยากจัง ผมเองก็อยากจะทำแบบนั้นหรอกนะ แต่ก็กลัวใจตัวเองเหลือเกิน


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 12 :: 'เมินเฉย' ] 1900404
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 04-04-2019 16:11:53
วันนี้เป็นวันที่พวกรุ่นพี่ในคณะนัดรวมตัวกันที่โต๊ะ  ทุกๆ สัปดาห์มันจะมีวันนึงที่ทุกคนในคณะจะนัดเจอหน้ากันเพื่อพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบรวมถึงเรื่องการเรียนด้วย ใครว่างมาก็มา ใครไม่ว่างมาก็ไม่เป็นไร บรรยากาศที่โต๊ะตอนนี้กำลังครึกครื้นเพราะเป็นช่วงเวลาเลิกเรียน ส่วนผมกับเพื่อนๆ ก็มาถึงที่โต๊ะเป็นกลุ่มแรกๆ เนื่องจากว่าวันนี้อาจาร์ยปล่อยคลาสไวกว่าปกติ
 
               แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากที่พวกพี่มิชิ พี่เค้ก พี่จัส และพี่วอร์มเดินมาถึงที่โต๊ะ พวกพี่ปีสองและคนอื่นๆ ก็กล่าวทักทายกันเหมือนอย่างทุกที แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือพี่วอร์มไม่ได้เข้ามาทักทายพวกผมที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว มีก็แต่พี่มิชิ พี่จัสแล้วก็พี่เค้กที่เดินเข้ามาพูดคุยกับพวกผม ส่วนพี่วอร์มก็ขอปลีกตัวไปนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่คนเดียว
 
               “น้องไอติม~ เป็นไงบ้าง... เรียนสนุกไหม” พี่เค้กเป็นคนชวนผมคุยอย่างเป็นกันเองหลังจากที่พี่เขาคุยกับไวท์เสร็จ   
               “ก็ดีครับพี่เค้ก ยังไม่หนักเท่าไหร่” ผมส่งยิ้มให้พี่เค้กก่อนจะตอบ แล้วก็ส่งยิ้มรวมไปให้พี่จัสกับพี่มิชิที่ยืนล้อมพวกเราอยู่ด้วย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองพี่วอร์มที่นั่งกดโทรศัพท์อยู่โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
              “ไอ้วอร์ม! ธุระปะปังไรนักหนาวะมึง ไม่มาคุยกับน้องบ้าง” พี่จัสตะโกนบอกพี่วอร์มก่อนที่พี่วอร์มจะเงยหน้ามามองแบบเซ็งๆ ถ้าจะไม่อยากคุยกันขนาดนี้ จะมาให้อึดอัดทำไมกัน
               “เรื่องของกู...” พี่วอร์มตอบแค่นั้นแล้วก็ก้มลงไปสนใจโทรศัพท์ต่อ

               โคตรแย่เลยครับความรู้สึกนี้ ผมควรทำยังไงดี แค่นี้ก็รู้สึกอึดอัดไปหมดแล้ว พี่วอร์มคนเดิมที่ผมเคยรู้จักไม่เป็นแบบนี้เลย แต่เท่าที่ดูก็เห็นจะมีแค่ผมที่รู้สึกแบบนั้นเพราะพวกปี1 หลายๆ คนที่เอ่ยทักทายพี่วอร์ม พี่เขาก็เงยหน้าส่งยิ้มทักทายให้ทุกคน แต่ไม่ใช่กับผมแค่นั้นเอง เรื่องที่ผมคุยกับเพื่อนๆ เมื่อตอนเที่ยงย้อนกลับเข้ามาให้คิดอีกครั้ง หรือผมควรจะถามออกไปตรงๆ เลยดี ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
 
               “ไอ... โอเคเปล่า?” จูเนียร์หันมาถามผมเบาๆ ไม่โอเคก็ต้องโอเคแหละ สถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมจะทำอะไรได้ล่ะ
               “อืม... ไอโอเค”
               “ไปคุยกับพี่เขาไหม... เขาอาจจะอยากให้ไอไปทัก...” ไวท์หันมาคุยกับผมพลางลูบหลังเป็นการปลอบ หน้าผมพี่เขายังไม่อยากจะมองเลย ถ้าเข้าไปทักพี่วอร์มจะยอมคุยกับผมรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
               “ไม่ดีกว่า... พี่เขากำลังยุ่ง” ผมบอกกับเพื่อนก่อนจะเหลือบมองพี่วอร์มอีกครั้ง คราวนี้พี่วอร์มไม่ได้กดโทรศัพท์แล้วแต่กำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆ ในรุ่นผมที่เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ความรู้สึกมากมายมันจุกอกไปหมด ตลอดมาผมพยายามคิดในแง่ดีว่าพี่วอร์มไม่ได้โกรธอะไรผมหรอก แต่แบบนี้มันก็ชัดเจนเกินพอแล้วล่ะ พี่เขาตั้งใจเมินใส่ผมจริงๆ
               “น้องไอติม...” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน พี่จัสกำลังเอ่ยทักผม แต่ผมหยุดตัวเองไม่ได้ พอรู้ตัวอีกทีผมก็เดินมาหยุดตรงหน้าพี่วอร์มแล้ว ยังไงวันนี้ผมก็ต้องคุยกับพี่เขาให้รู้เรื่องให้ได้
               “พี่วอร์มครับ...”
               “มีอะไร”
               “ผมขอคุยกับพี่หน่อยได้ไหม” ผมเห็นสีหน้าพี่วอร์มเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วพี่เขาก็กลับไปทำหน้านิ่งเหมือนเดิม
               “ก็คุยสิ... มีอะไรว่ามา”
               “ผมขอคุยกับพี่แป๊ปนึงได้ไหม” ไม่รู้ว่าผมใช้น้ำเสียงโทนไหนคุยกับพี่วอร์ม แต่คนอื่นๆ ที่นั่งคุยกับพี่วอร์มอยู่ก่อนหน้านี้ ก็พากันลุกออกไปเสียดื้อๆ ความจริงมันก็ดี เพราะในเมื่อเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับคนอื่น ผมเองก็ไม่ได้ต้องการให้ใครเข้ามารับรู้เรื่องราวปัญหาระหว่างผมกับพี่เขาหรือต้องมาตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึมนี่เหมือนกัน
               “ก็ว่ามาสิ...”
               “ไปคุยที่อื่นได้ไหม”
               “ทำไม?”
 
               “ไอ้วอร์ม... มึงไปคุยกับน้องไอติมตรงโน้นไป... เชื่อกู คุยตรงนี้เดี๋ยวพาเสียบรรยากาศหมด” พี่จัสเดินเข้ามาแทรกก่อนจะไล่ให้พี่วอร์มให้ออกมาจากตรงนั้นก่อนที่บรรยากาศรอบข้างจะอึดอัดตามไปเสียก่อน ผมนึกขอบคุณพี่จัสในใจ เพราะเหมือนพี่เขาจะรู้ว่าผมอยากจะคุยเป็นการส่วนตัวกับพี่วอร์มจนพี่วอร์มต้องยอมลุกเดินออกไปให้ห่างจากโต๊ะคณะ

               ผมเดินตามพี่วอร์มออกมาหยุดที่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ ศาลาที่เคยจัดงานวันแรกพบ มันไม่ได้ไกลไปจากโต๊ะที่พวกเรานั่งมากนัก แต่มันก็ไกลพอที่คนอื่นจะไม่ได้ยินเรื่องที่ผมจะพูดกับพี่วอร์ม
 
               “มีอะไรไอติม”
               “พี่ไม่พอใจอะไรผมรึเปล่าครับ?” ผมพยายามข่มตัวเองไม่ให้เสียงสั่นและเริ่มถามคำถามที่คาใจผมมานานกับพี่วอร์ม
               “ไม่มี”
               “พี่แน่ใจนะ”
               “อืม...”
               “พี่บอกกับผมตรงๆ สิ ถ้าผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจ ผมจะได้แก้ไข...”
               “แก้ไขได้หรอ”
               “.....” ผมมองหน้าพี่วอร์มอย่างไม่เข้าใจ ผมไปทำอะไรให้พี่โกรธนักหนา ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงตอนที่พี่เขาพูดออกมามันฟ้องว่าผมต้องไปทำความผิดร้ายแรงอะไรไว้แน่ๆ พี่วอร์มถึงพูดออกมาด้วยความมั่นใจว่าผมคงไม่สามารถที่จะแก้ไขสิ่งที่ผมทำผิดต่อพี่เขาไว้ได้
               “ช่างมันเถอะไอติม... พี่ก็เป็นของพี่แบบนี้แหละ ไม่ต้องสนใจพี่หรอก...”
               “ไม่ให้สนใจได้ไง... ก็พี่เป็นพี่สายผมอะ แล้วอยู่ๆ พี่ก็เย็นชาใส่ผม จะให้ผมรู้สึกยังไงวะ ถ้าผมทำอะไรให้ไม่พอใจพี่ก็บอกดิ”ยอมรับว่าวินาทีนี้ผมเริ่มเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะ อยู่ดีๆ ทำตัวเย็นชาใส่ ผมทำอะไรผิดก็ไม่บอก จะให้ผมอยู่กับความอึดอัดแบบนี้ไปตลอดรึไง มีอะไรทำไมถึงไม่พูดมันออกมา
               “แล้วเราทำอะไรไว้ล่ะ รู้อยู่แก่ใจ เหอะ!”
               “ผมทำอะไร...” คำตอบของพี่วอร์มทำเอาผมเริ่มกลัว ไหนจะน้ำเสียงประชดประชันนั่นอีก แสดงให้เห็นว่าพี่เขาต้องไม่พอใจมากๆ ตอนนี้มือผมเริ่มเย็นและชื้นไปด้วยเหงื่อ ไม่อยากจะคาดเดาเลยว่าพี่วอร์มจะพูดอะไรออกมาอีก
               “เราเป็นน้องสายพี่... พี่บอกแล้วใช่ไหมว่ามีอะไรให้คุยกัน... เราสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่องถูกไหมไอติม”
               “แล้วผมทำอะไรผิด... ผมไม่รู้จริงๆ... อยู่ดีๆ พี่เย็นชาใส่ เมินใส่แบบนี้อะ จะทักทายพี่ก็หลบหน้าผม... ไลน์ไปก็ไม่ตอบ... พี่มีอะไรไม่พอใจก็พูดมาตรงๆ ดิ! ไม่บอกไม่พูดแล้วใครมันจะไปรู้วะ!!!” ไม่ไหวแล้วครับ พูดไปๆ เสียงผมมันก็เริ่มดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อย จนตอนนี้ผมรู้สึกว่าเสียงผมเริ่มสั่นจนแทบจะคุมไม่อยู่แล้ว
               “อยากให้พี่ตอบไลน์ไหนล่ะไอติม...” ตอนนี้ผมเหมือนโดนฆ้อนปอนด์หนักๆ ทุบลงที่กลางหัวเลยหลังจากได้ยินประโยคสุดท้ายของพี่วอร์ม ทั้งตัวและใบหน้ามันชาวาบไปหมด
               “พี่... รู้หรอ”
               “อืมรู้! แล้วก็รู้ด้วยว่าตัวเองแม่งเหมือนคนโง่เลยที่โดนคนใกล้ตัวหลอกเอาง่ายๆ”
               “มันไม่ใช่แบบนั้นนะ”
               “แล้วแบบไหนล่ะ อธิบายมาสิ บอกให้อ่านอย่างเดียวไม่ต้องตอบ... ขอร้องไม่ให้บล็อค... บอกแค่อยากจะเล่าหลายๆ เรื่องให้ฟัง... แล้วยังไง... ก็เหมือนคนโง่นี่ไง โง่ที่หลงเชื่อทุกอย่าง” สีหน้าผิดหวังของพี่วอร์มมันทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก เพราะถ้าเป็นเรื่องนี้ ผมเองที่ผิด ผมไม่คิดจะแก้ตัวอะไรเพียงแค่อยากอธิบายให้พี่เขาได้เข้าใจเท่านั้น
               “ผม... ไม่ได้หลอกพี่นะ”
               “ไม่ได้หลอกแล้วทำอะไร...”
               “พี่ไม่รู้หรอก... ที่ผมทำแบบนั้นผมมีเหตุผล”
               “เหตุผลอะไร!”
               “พี่วอร์ม... ผมไม่ได้มีเจตนาจะหลอกอะไรพี่ทั้งนั้น จริงๆ นะ... แล้วไลน์นั้น... ผมก็แค่รู้สึกอยากทำแบบนั้นจริงๆ”
               “หรอ... หลอกกันเนี้ยนะ... เหอะ! รู้สึกดี มีความสุขมากพอยัง แต่ก็ขอบใจนะ เรื่องแมวนั่น... ถ้าเราไม่เปิดรูปแมวตัวนั้นให้พี่ดูพี่ก็คงโง่มันไปแบบนั้นตลอดอะ” พี่วอร์มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ แต่ทำไมผมกับไม่ได้รู้สึกดีเลยที่เห็นรอยยิ้มนั้น
 
               ความรู้สึกตอนนี้มันใจหายอย่างบอกไม่ถูก ผมเข้าใจแล้วครับ ทั้งหมดมันเป็นผมที่พลาดเอง วันนั้นที่ผมไปนั่งเล่นที่ห้องพี่วอร์ม ผมดันเผลอเปิดรูปเจ้ากาแฟแมวของผมให้พี่วอร์มดูและรูปที่ผมใช้เป็นรูปดิสในไลน์นั้นก็อยู่ให้อัลบั้มนั้นด้วย เพราะพี่เขาเห็นรูปนั้นสินะเขาถึงรู้ว่าเป็นผม พี่วอร์มไม่ผิดหรอกครับที่จะโกรธผม เพราะเรื่องทั้งหมดผมพลาดเองจริงๆ
 
               “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่รู้สึกแบบนั้น...”
               “แล้วยังไง... ไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ทำไปแล้วป่ะ โคตรเสียความรู้สึกเลยว่ะไอติม... ทำไมวะ อยากจะคุยกันก็มาคุยกันตรงๆ คุยอย่างจริงใจดิ ทำแบบนี้ไปเพื่อไรวะ”
               “ก็ผมชอบพี่ไง! ชอบมานานแล้ว... แค่อยากคุยกับพี่แบบที่ผมอยากคุยมันผิดมากเลยหรอ... เออ! ยอมรับว่าผมผิด แต่ความรู้สึกที่คุยกับพี่ทั้งหมดในไลน์นั้นผมไม่เคยหลอกพี่เลยนะ... มันคือความรู้สึกทั้งหมดของผมจริงๆ ทุกอย่างที่ผมพิมพ์ส่งไปมันมาจากใจผมจริงๆ...”
 
               ไม่ไหวแล้วครับ ในเมื่อพี่วอร์มก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ผมเองก็กลั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่แล้วด้วย มันไม่มีอะไรจะเสียแล้วล่ะ ทุกวันนี้มันก็แย่มากพอแล้ว ถ้ามันจะแย่ไปกว่านี้บางทีมันก็อาจจะช่วยให้ผมตัดใจได้ง่ายขึ้น จริงๆ แล้วผมก็พอจะรู้แหละว่าถ้าผมพูดไปมันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด พี่วอร์มนิ่งไปหลังจากที่ผมบอกความรู้สึกทั้งหมดออกไปให้พี่เขาได้รับรู้
 
               “ชอบหรอ... คนชอบกันเขาทำกันแบบนี้หรอ... ไอติมรู้อะไรไหม สิ่งที่พี่เกลียดทีสุดคือการโกหก... ที่เราพูดมาทั้งหมด พี่จะเชื่ออีกได้ยังไงว่าเราพูดความจริง...”
               “พี่วอร์ม...”
               “พอแล้วไอติม... พี่เข้าใจแล้ว... พี่ไม่มีอะไรจะคุยแล้ว...”
               “พี่วอร์มผมขอโทษ” เหมือนคำพูดมันจุกอยู่ในลำคอเมื่อเห็นสายตาพี่วอร์มที่มองมาที่ผม ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับพี่วอร์มได้อีกนอกจากคำว่าขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ ผมอยากจะขอร้อง อ้อนวอนให้พี่เขาเชื่อผม ให้อภัยผม แต่มาคิดๆ ดูแล้ว ผมคงจะไม่คู่ควรที่จะได้รับสิ่งเหล่านั้นจากพี่วอร์มอีกแล้ว

               พังหมดแล้วครับ ทุกอย่างมันพังหมดแล้ว แล้วผมเองนี่แหละที่เป็นคนทำลายทุกอย่างเองกับมือ พี่วอร์มไม่ได้พูดอะไรอีกเลยก่อนจะเดินกลับออกไป ไม่แม้แต่จะหันหลังมามองหน้าผมสักนิด ผมมองตามหลังพี่วอร์มที่เดินไปเข้าไปคุยอะไรสักอย่างกับเพื่อนๆ แล้วเขาก็เดินออกไปจากโต๊ะ
 
               “ฮึก!” แล้วผมก็ร้องไห้ออกมาจนได้ หลังจากที่พี่วอร์มหันหลังเดินจากผมไป สิ่งที่ผมกลั้นไว้มานานก็พรั่งพรูออกมาเป็นน้ำตาที่ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้สักเท่าไหร่ เนื่องจากมีสายตาหลายคู่ที่กำลังมองมาที่ผม แต่มาถึงตอนนี้แล้วผมก็ไม่อายใครแล้วทั้งนั้น
 




              มันจบแล้วไอติม... ต่อจากนี้คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว...



.

.

.



To be Continue...
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 12 :: 'เมินเฉย' ] 1900404
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 04-04-2019 18:29:18
 :sad4: :sad4: :sad4: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 12 :: 'เมินเฉย' ] 1900404
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-04-2019 21:32:28
สงสารน้อง สงสารพี่วอร์ม
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 12 :: 'เมินเฉย' ] 1900404
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 05-04-2019 17:41:29
มาม่ามาแล้ว สงสารน้องจัง
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 13 :: 'ชัดเจน' ] 1900409
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 09-04-2019 10:06:16
:: Chapter 13 :: 'ชัดเจน'





**พี่วอร์ม**


               เรื่องเมื่อตอนเย็นนั้นผมยอมรับว่าโมโหและหงุดหงิดมากๆ ทำไมทุกคนทำเหมือนผมเป็นคนผิดที่ทำแบบนั้นกับไอติม คือผมก็มีสิทธิ์ปกป้องความรู้สึกตัวเองเปล่าวะ ผมเสียความรู้สึกที่โดนน้องหลอกเรื่องไลน์แปลกๆ นั่น แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้น้องเสียใจเพราะผมนี่หว่า แล้วผมก็ไม่ได้คิดด้วยว่าน้องจะรู้สึกแบบนั้นกับผม แล้วผมควรทำยังไงดี
 
               “เฮ้อ...” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่คิดอะไรไม่ออกได้แต่นอนนิ่งๆ บนเตียงมาสามชั่วโมงแล้ว หลังจากกลับมาจากที่มหาวิทยาลัย และเมื่อคิดอะไรไม่ออกผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อเข้ากลุ่มจับฉ่ายของผม เผื่อมันจะช่วยอะไรผมได้บ้าง
 
              นายไออุ่น :: นอนกันยังวะ

               J.U.S.T :: ยังเว้ยเพื่อนรัก กูก็รอมึงอยู่นี่แหละ... ยังไง ไหนเล่า

               It’s Michi :: เชี่ยจัส เรื่องงี้มึงนี่ไวเชียวนะ

               J.U.S.T :: อะ แน่นอน เรื่องนี้กูจะไม่พลาดนะครับ... กูติดตามผลงานของกูมานาน

              นายไออุ่น :: ผลงานไรของมึงวะจัส

               คะ-หนม-เค้ก :: คืองี้วอร์ม... จัสอะสงสัยเรื่องวอร์มกับน้องไอติมมานานแล้วแหละ จัสบอกว่าน่าจะมีซัมติง

               นายไออุ่น :: นั่นไงไอ้จัส!

               J.U.S.T :: แล้วจริงไหมล่ะครับเพื่อน ตอบครับ!

               นายไออุ่น :: อย่ามาทำเป็นสั่ง สัด! กูไม่ใช่รุ่นน้องมึงไอ้จัส

               It’s Michi :: อย่าเปลี่ยนเรื่องครับเพื่อน กูก็รอมึงเล่าอยู่เนี่ยวอร์ม ตกลงยังไงวะ เห็นมึงกับน้องไอติมคุยกันหน้าเครียดเลย

               คะ-หนม-เค้ก :: แล้วตอนที่วอร์มเดินออกมา เค้กเห็นน้องไอติมแอบร้องไห้ด้วยนะ

               นายไออุ่น :: เฮ้ย! ขนาดนั้นเลยเหรอเค้ก

               J.U.S.T :: เออ! มึงอะแม่งโคตรใจร้ายเลย เห็นพักหลังมานี่มึงก็เย็นชากับน้อง น้องจะทักก็ทำเป็นไม่เห็น พูดด้วยก็ถามคำตอบคำ เนี่ยน้องเขาซึมไปหลายวันเลยนะเว้ย
 

               ทำไมกลายเป็นผมที่ต้องรู้สึกผิดขนาดนี้วะ โดนไอ้จัสสวดยับเลยเนี่ย ตกลงพวกมันเพื่อนผมหรือว่าเพื่อนน้องวะครับ แทนที่จะได้คำปรึกษาจากพวกมันกลายเป็นเหมือนผมเข้ามาให้พวกมันรุมด่ามากกว่าเลย เค้กก็อีกคน มานิ่มๆ แต่พูดให้โคตรรู้สึกผิดอะ ทำไมไม่มีใครเห็นใจผมบ้างเลยเหรอวะ แต่ข้อมูลแต่ละคนนี่แน่นยิ่งกว่าหน่วยข่าวกรองอีกโดยเฉพาะไอ้จัส แม่ง!

 
               นายไออุ่น :: มึงบอกเหมือนมึงเป็นน้องเขาเองอะจัส

               J.U.S.T :: เออ! กูรู้ก็แล้วกันน่า

               นายไออุ่น :: รู้ได้ไง ใครบอกมึงหราาา ไอ้จัส

               It’s Michi :: อะๆ เอาตัวเองให้รอดก่อนครับเพื่อน เรื่องไอ้จัสปล่อยไว้ก่อนเลย... มึงอะ ตกลงยังไง แล้วมึงไปโกรธอะไรน้องไอติมเขา จะเล่าได้ยัง


               มิชินี่ก็อีกคน ไว้รอถึงตาผมก่อนเถอะ จะซักเรื่องเค้กให้ซีดเลย เอาให้ขาวสะอาดหมดจด ไอ้มิชิต้องได้สารภาพจนหมดเปลือกทุกขั้นตอน ทุกสถานการณ์ อย่าคิดว่าผมจะไม่ดูไม่ออก เดี๋ยวนี้กล้าปิดบังเพื่อนฝูง ทำมาเป็นพูดดีทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีคดีอยู่เหมือนกัน แต่เอาเถอะทีใครทีมัน อย่าเผลอก็แล้วกัน ผมจะเอาคืนพวกมันให้หมดเลย

 
               นายไออุ่น :: เรื่องมันยาวว่ะ... คร่าวๆ ได้ไหม

               J.U.S.T :: อะว่าไป

               นายไออุ่น :: น้องไอติม... เขาบอกชอบกูว่ะ

               คะ-หนม-เค้ก :: ก็ดีนี่น่า... น้องไอติมก็น่ารัก อีกอย่าง... เค้กดูออกนะว่าวอร์มก็รู้สึกดีกับน้องเขาเหมือนกัน

               It’s Michi :: ใช่เลย... เห็นด้วยกับเค้ก

               J.U.S.T :: ก็ไม่ได้อยากจะเป็นก้าง แต่ก็ต้องขอบอกว่าเห็นด้วยกับเค้กเหมือนกัน

               นายไออุ่น :: รู้สึกดีด้วยมันก็ใช่เว้ย... แต่แบบ... พวกมึงเข้าใจไหม…

 
               พวกมันควรจะเลิกอวยน้องแล้วเห็นใจผมบ้าง นี่ผมโดนหลอกนะ การกระทำของน้องทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลกหน้าโง่ที่นั่งอ่านข้อความบ้าๆ นั่นทุกวัน จนความรู้สึกดีมันค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทำไมคุณเพื่อนถึงไม่เห็นใจกันบ้างวะ เอาแต่บอกว่าไอติมน่ารักอยู่นั่นแหละ น่ารักแล้วยังไงวะ จะล้อเล่นกับความรู้สึกและความไว้ใจของใครก็ได้อย่างนั้นเหรอ เพื่อนๆ ครับ ได้โปรดเห็นใจนายไออุ่นคนนี้บ้างเถอะครับ ผมยกมือขึ้นยีหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดก่อนจะกดปุ่มส่งเสียงและเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนๆ ฟัง



.

.

.

.



**น้องไอติม**


               วันนี้รู้สึกเหมือนเป็นวันแย่ๆ ที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เหมือนจะแก้ปัญหาได้แต่ก็ไม่ทั้งหมด จริงอยู่ที่ความอึดอัดของผมที่มีมาร่วมสัปดาห์ได้ถูกปลดปล่อยออกไปหมดแล้ว เพราะผมได้รู้ถึงสาเหตุที่พี่วอร์มเย็นชาใส่ผมตลอดช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา ใช่ครับ ผมพลาดเอง เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะผม ผมทำให้พี่เขาไม่ไว้ใจในตัวผม  อีกทั้งความรู้สึกที่มีต่อพี่วอร์มของผมก็ได้ถูกบอกออกไปแล้ว แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลยสักนิด แล้วต่อจากนี้ผมจะกล้าเจอหน้าพี่เขาได้ยังไง

 
               “บ้าเอ๊ย! ร้องไห้อยู่นั่น” ไม่ได้อยากจะเป็นคนอ่อนแอหรือขี้แยอะไรตอนนี้หรอกนะครับ แต่มันห้ามไม่ได้จริงๆ น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาอยู่นั่นแหละ
 

               ผมพลิกตัวมานอนตะแคงข้างอีกฝั่งเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วมั้ง พยายามข่มตาให้หลับเพราะตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ตั้งแต่กลับมาที่ห้องก็ไม่เป็นอันทำอะไรเลย ได้แต่นอนร้องไห้มันอยู่แบบนี้แหละ ผมก็เบื่อตัวเองเหมือนกันนะ ที่เป็นคนอ่อนแอขนาดนี้
 

               ก๊อก ก๊อก 

 
               เสียงเหมือนมีคนเคาะประตูหน้าห้องผม แต่นี่มันจะเที่ยงคืนแล้ว มันจะมีใครมาเคาะห้องผมอีกล่ะ ผมอาจจะหูแว่ว หรือไม่ก็คงเป็นเสียงเคาะประตูห้องข้างๆ ล่ะมั้ง
 



               ก๊อก ก๊อก ก๊อก


 
               ชัดแล้ว เสียงเคาะประตูมันเป็นห้องผมนี่แหละ แต่เวลาแบบนี้ผมควรจะไปเปิดประตูไหม


 
               ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก


 
               เออ ไปก็ได้!  เสียงเคาะระรัวที่ประตูทำให้ผมต้องจำใจลุกไปอย่างเสียไม่ได้ ถ้าเปิดประตูออกไปแล้วไม่เจอใครนะจะด่าให้เลย คนยิ่งเศร้าๆ อยู่จะมาหลอกอะไรกันหนักหนาวะเนี่ย ผมกระชากประตูให้เปิดออกด้วยความหงุดหงิด แต่คนที่อยู่หน้าประตูนั่นยิ่งทำให้ผมตกใจหนักกว่าเดิม ไม่ใช่ผีหรือว่าไม่มีใครยืนอยู่หรอกนะครับ แต่เพราะคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูก็คือพี่วอร์มต่างหาก นี่ผมตาฟาดไปเปล่าเนี่ย
 
               “พะ... พี่วอร์ม... มีอะไรครับ”
               “หิวอะ ไปหาอะไรกินเป็นเพื่อนหน่อย”
               “หา!?”
               “ไม่ต้องหาแล้ว ไปด้วยกันนี่แหละ” พี่วอร์มพูดจบก็ดึงมือผมออกมาจากห้องจนผมเกือบใส่รองเท้าและล๊อคห้องแทบไม่ทัน


               ผมเดินตามพี่วอร์มออกมาจากหอพัก ข้ามสะพานลอยและเดินมาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระหลังมหาวิทยาลัยที่พวกเราชอบมานั่งกินด้วยกันบ่อยๆ เวลาไปเที่ยวกลับมาดึกๆ หรือทำกิจกรรมที่คณะจนดึกดื่น พี่วอร์มสั่งก๋วยเตี๋ยวมาให้ผมโดยไม่ต้องถามเพราะรู้อยู่แล้วว่าผมชอบกินอะไร ก็เนี่ย พี่ทำแบบนี้แล้วผมจะตัดใจจากพี่ได้ยังไง

 
               ก๋วยเตี๋ยวสองชามถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้า เอาจริงๆ ตั้งแต่กลับจากมหาวิทยาลัยผมเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน มัวแต่จมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง เพราะเรื่องนั้นมันทำให้ผมไม่ได้รู้สึกหิวอะไรเลยด้วยมั้ง แต่ตอนนี้กลิ่นหอมๆ ของน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวเข้มข้นในชามนั้นทำเอาผมต้องเอื้อมมือไปหยิบตะเกียบกับช้อนออกมาจากกล่องพลาสติกที่ไว้ใส่อุปกรณ์การกินที่วางอยู่บนโต๊ะ และแน่นอนว่าผมไม่ลืมที่หยิบออกมาเผื่อพี่วอร์มด้วย

 
               ผมลอบมองหน้าพี่วอร์มนิดหน่อย พี่เขาไม่ได้พูดอะไรได้แต่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวไปเงียบๆ ไม่เข้าใจว่าจะลากผมออกมาให้อึดอัดด้วยทำไม ผมจึงก้มหน้าจัดการก๋วยเตี๋ยวในชามผมบ้าง แต่ก่อนจะกินผมก็คีบชิ้นมะระตุ๋นไปวางในชามพี่วอร์มอย่างที่ทำประจำ จนลืมนึกไปว่าตอนนี้อะไรๆ มันก็ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

 
               “เอ่อ... ผมขอโทษ... ง่า... เดี๋ยวเอาใส่ทิชชู่”
               “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่กินเอง”
               “ครับ...” โอ๊ย อยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายตรงนี้เลย แต่ลิ้นตัวเองไม่อร่อยอะ ฮือ เลยได้แต่คีบเส้นก๋วยเตี๋ยวส่งเข้าปากแทนรีบๆ กินจะได้รีบๆ กลับ อึดอัดจะแย่แล้ว
               “เราชอบพี่จริงๆ เหรอ...”
               “แค่กๆๆ”

                ผมแทบสำลักเพราะอยู่ดีๆ พี่วอร์มก็ถามคำถามนี้ขึ้นมาด้วยเสียงเรียบ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วๆ ไป ผมเงยหน้ามองพี่เขาที่กินก๋วยเตี๋ยวหมดชามไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ แถมตอนนี้ยังนั่งจ้องผมอยู่ด้วย
 
               “เอ้า กินดีๆ สิ โอเคไหม”
               “อะ... โอเคครับ... เมื่อกี้... พี่วอร์มถามผมว่าอะไรนะ”
               “พี่ถามว่า... เราชอบพี่จริงๆ ใช่ไหม”
               “อือ... ครับ...”
               “แล้วทำไมถึงต้องใช้ไลน์นั้นคุยกับพี่ล่ะ”
               “คือว่า... จริงๆ แล้วผมอยากคุยกับพี่มานานแล้ว แต่ว่าไม่มีโอกาสได้คุยเลยต้องทำแบบนั้น... แล้วพอเข้ามหา’ลัยผมก็ไม่คิดว่าจะได้มาเป็นน้องสายพี่...”

 
               ผมสารภาพออกไป เพราะมาถึงขนาดนี้แล้วก็คงไม่มีอะไรจะต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว อีกอย่างสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็คงไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้แล้ว อย่างน้อยๆ ถ้าผมยอมเล่าและสารภาพทุกๆ อย่างให้พี่เขาฟัง พี่วอร์มก็อาจจะสัมผัสได้ถึงความจริงใจของผม แล้วกลับมาคุยกันเหมือนเดิมก็ได้ ถึงลึกๆ ผมจะรู้ดีว่าผมอาจจะหวังมากเกินไปก็ตาม

 
               “อยากคุยมานานแล้ว... นานนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
               “ก็... ตอนม.ปลาย”
               “อืม... จริงสินะ... เราจบจากโรงเรียนเดียวกันนี่เนอะ” ผมมองหน้าพี่วอร์มด้วยความสงสัย จู่ๆ ก็มาถาม มาอยากรู้อะไรเอาตอนนี้ รู้แล้วอะไรๆ จะดีขึ้นเหรอไง ก็ไม่น่าจะใช่ แล้วถ้ามันกลับแย่ลงไปกว่าเดิมอีก ผมจะทำยังไง
               “พี่... ถามทำไมอะครับ”
               “จริงๆ พี่เองก็น่าจะเอะใจตั้งแต่ชื่อไลน์แล้วเนอะ... เป็นอิโมรูปไอติมแบบนั้นน่ะ”


               พี่วอร์มจะพูดให้ผมรู้สึกผิดไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกพี่เขาสักหน่อย ถ้ามีวิธีอื่น ผมก็คงไม่ทำแบบนั้นหรอก อีกอย่าง ผมก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าพี่เขาจะกลับไปใช้เบอร์นั้น ตอนอยู่ม.4 กว่าผมจะได้เบอร์นั้นมาแทบลากเลือดเลยนะ แล้วพอพี่วอร์มเข้าปี1 พี่เขาก็เปลี่ยนเบอร์เฉยเลยอะ ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆ จะกลับมาให้เบอร์เดิม

 
               “จริงๆ แล้วพี่ก็ชอบเจ้าของไลน์นั้นนะ... ถึงจะไม่เคยคุยกัน แต่ก็ชอบที่ได้อ่านทุกเรื่องที่เขาส่งมาเล่านั่นแหละ...”
               “พะ... พี่วอร์ม... หมายถึง?”
               “เอาจริงๆ ก็อยากทำความรู้จักด้วยซ้ำไป... แต่ก็ไม่คิดว่าคนนั้นจะใกล้ตัวขนาดนี้”
               “ผะ... ผมขอโทษ”
               “พามาทำความรู้จักหน่อยสิ... อยากรู้จักเยอะๆ อยากรู้จักให้มากกว่านี้...” เดี๋ยวนะครับ ผมงงกับพี่วอร์มไปหมดแล้วนะ ที่พี่เขาพูดมันหมายความว่ายังไงกัน คำพูดของพี่วอร์มทำผมใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้วเนี่ย ฮือ
               “พี่อยากรู้จักเจ้าของไลน์นั้น... แล้วก็นะ ไอติม...”
               “ครับพี่”
               “ลองคบกับพี่ไหม”
               “พี่วอร์ม!?”

               

                   .

                   .

                   .



                   (มีต่อค่ะ)



หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 13 :: 'ชัดเจน' ] 1900409
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 09-04-2019 10:11:28

               “ตกใจอะไร รีบๆ ตอบสิ”
               “ตกใจดิพี่... อะไรอะ ผมงงไปหมดแล้วเนี่ย”


                ผมถามพี่วอร์มกลับไป ก็มันงงจริงๆ อะ อยู่ดีๆ ก็มาขอคบแบบนี้ ก่อนหน้านี้ยังโกรธผมอยู่เลย ใครจะไปตามทัน หน้าผมตอนนี้คงตลกมากแน่ๆ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะยิ้มดีใจหรือร้องไห้ดี ความรู้สึกตอนนี้มันตีกันยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว


               “พี่ควรจะงงมากกว่าไหม อยู่ดีๆ คนที่ส่งไลน์หาพี่ทุกวันทุกคืนกลับกลายมาเป็นรุ่นน้องสายรหัสเนี่ย... แล้วเรื่องของกินที่พี่ยามใต้หอฝากมาให้ทุกวันนี่ก็เราใช่ไหม” ถึงผมจะแนบโพสอิทข้อความสั้นๆ ไปด้วยทุกครั้งก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้ลงชื่อนี่นา
               “พี่รู้ได้ยังไง...”
               “ยังจะถามอีก... ไม่รู้แหละ ไอติมต้องรับผิดชอบที่ทำให้พี่รู้สึกดีด้วยเลย...”
               “ง่า... พี่วอร์ม...”
               “พี่ก็ชอบไอติมเหมือนกัน... เป็นแฟนกันได้ยัง”
               “เดี๋ยวดิพี่....” โอ๊ย!!! อะไรจะหักมุมแบบนี้ครับ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังโกรธจนไม่ยอมมองหน้ากันอยู่เลยอะ บทจะหายโกรธก็ลากมากินก๋วยเตี๋ยวด้วยแล้วมาขอเป็นแฟนง่ายๆ แบบนี้ก็ได้เหรอวะ อารมณ์แปรปรวนแถมยังขี้เอาแต่ใจอีก ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้อะ แล้วจ้องหน้ากันขนาดนี้ไม่คิดว่าผมจะเขินบ้างหรือยังไง
               “น้องชนานันท์... จะเป็นแฟนกับพี่วริทธิ์ไหมครับ”
               “อะ... ไอ้พี่บ้า... เขินนะเนี่ย” แหนะยังมายักคิ้วกวนใส่อีก ฮือออ ได้ทีนี่เอาใหญ่เลยนะ ผมไม่น่าไปตกหลุมคนแบบพี่วอร์มเลย หน้าร้อนไปหมดแล้วครับ
               “ตกลงว่า?”
               “อื้อ!”
               “อื้ออะไรครับ?”
               “ก็คบไง... พี่บ้าเอ๊ย”
               “ก็แค่นี้” พี่วอร์มยื่นมือมาขยี้หัวผมต่อ ไม่กงไม่กินมันแล้วครับก๋วยเตี๋ยว โดนผมสับเละเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ผมเขินนี่นา ใครจะไปคิดล่ะว่า สุดท้ายแล้วทางออกของปัญหาที่และบรรยากาศอึมครึมทั้งหมดจะกลายมาเป็นแบบนี้





               .


               .


               .




**พี่วอร์ม**


               เชื่อไหมครับว่าบรรยากาศตอนเดินมาร้านก๋วยเตี๋ยวกับตอนเดินกลับนี่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย ผมเดินจูงมือไอติมกลับมาที่หอ ตอนเดินผ่านประตูหน้าหอผมแอบเห็นลุงยามส่งยิ้มมาให้พวกผมสองคนด้วย ต่อจากนี้ลุงคงสบายแล้วไม่ต้องรับฝากของกินจากน้องแล้วล่ะ ก็ผมได้น้องเขามาเป็นแฟนแล้วนี่ไง พูดไปก็เขินแปลกๆ ขอเป็นแฟนทั้งทีดันไปขอที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ เหอๆ ถ้าพวกคุณเพื่อนทั้งหลายรู้ผมต้องโดนรุมประนามอีกแน่ๆ

 
               “แยกกันตรงนี้ก็ได้ครับ” น้องไอติมหันมาบอกผมขณะที่กำลังยืนรอลิฟท์กันอยู่
               “เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้อง”
               “ไม่ต้องหรอกพี่... ห้องผมอยู่ตั้งชั้น9 ห้องพี่อยู่ชั้น5 เอง เสียเวลาขึ้นลง”
               “ดื้อกับพี่เหรอ”
               “ง่า... เปล่าครับ” ไอติมส่งยิ้มแห้งๆ มาให้ผมก่อนจะห่อไหล่ลงเล็กน้อยพร้อมกับยู่ปาก ท่าทางแบบนี้มันโคตรน่ารักเลยครับ ชักจะหวงความน่ารักของน้องไม่อยากให้ใครมาเห็นไอติมในมุมน่ารักแบบนี้เลย ว่าแล้วผมก็กระชับมือที่จับกันอยู่ให้แน่นขึ้นแล้วพาน้องไอติมเดินเข้าลิฟท์และกดชั้น9 ทันที
               “ขอบคุณครับพี่วอร์ม... พี่ไปนอนได้แล้ว”
               “มาส่งเสร็จก็ไล่กลับง่ายๆ งี้เลยเหรอ”
               “ก็... มันดึกแล้วง่า... พรุ่งนี้พี่เรียนเช้านะ”
               “นี่รู้ตารางเรียนพี่หมดเลยเหรอ” ผมถามต่อจนน้องได้แต่ทำหน้าเหวอ ไอ้เด็กเด๋อของผมนี่จะน่ารักไปถึงไหนเนี่ย
               “ก็ไม่ได้รู้หมด ผมก็จำๆ เอาแหละ พรุ่งนี้วันอังคารพี่เรียนแปดโมง ผมเห็นพี่วอร์มวิ่งไปมหา’ลัยตอนเช้าบ่อยๆ”           
               “อืมมมม” ผมพยักหน้ารับ ทำเหมือนเชื่อคำพูดน้องเขา เชื่อก็บ้าแล้ว แต่เอาเถอะครับ เห็นว่าน้องน่ารักหรอกนะ ผมก็เลยไม่อยากจะขัดสรัทธาให้น้องเสียความมั่นใจ
               “อือ... พี่อะ ไปนอนได้แล้ว ผมก็ง่วงแล้วเหมือนกัน”
               “ไอติม...”
               “ครับ?”
               “พี่ขอโทษที่ทำให้ต้องร้องไห้นะ” เห็นตาบวมปูดของไอติมแล้วผมก็อยากจะด่าตัวเองเหมือนกัน ผมทำให้คนที่สดใสร่าเริงคนนึงต้องร้องไห้หนักขนาดนี้ได้ยังไงกัน ผมคงใจร้ายมากจริงๆ อย่างที่พวกไอ้จัสมันว่านั่นแหละ
               “ไม่เป็นไรหรอกครับ... มันผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะ... ต่อจากนี้ผมคงไม่ร้องไห้แล้วแหละ กะ... ก็... เราเป็นแฟนกันแล้วนี่” ไอติมพูดโดยไม่มองหน้าผม ใบหน้าแดงก่ำลามไปจนถึงหู เวลาน้องเขินนี่ก็น่ารักเหลือเกิน เห็นแล้วอยากจะแกล้งให้เขินบ่อยๆ จัง
               “ใครใช้ให้พูดจาน่ารักเนี่ย... หอมทีได้ไหม”
               “พี่บ้า! กลับห้องไปเลยไป” ไอติมผลักผมให้ออกห่างเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูห้องตัวเอง
               “อ่าๆ โอเคๆ ไปแล้วก็ได้... เราเข้าห้องแล้วก็รีบนอนนะ แล้วก็ฝันดีนะครับไอติม”
               “อือ... ฝันดีเหมือนกันครับพี่วอร์ม” ผมส่งยิ้มให้น้องไอติมอีกครั้ง ก่อนจะเดินมากดลิฟท์ กลับลงไปที่ชั้นห้าชั้นที่ผมอยู่ พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นไม่รู้ แต่เป็นตอนนี้ผมโคตรจะมีความสุขเลย


 
                (http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : ฝันดีนะครับ รักพี่วอร์มนะ


 
               ยังไม่ทันที่ผมจะเดินกลับถึงห้องดี ข้อความบอกฝันดีจากแอคเคาท์ไลน์ที่แสนคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ แต่ข้อความในวันนี้เห็นจะพิเศษกว่าวันไหนๆ ก็ตรงที่มีคำบอกรักิปดท้ายเนี่ยแหละ อีกอย่างผมเองก็รู้แล้วด้วยว่าเจ้าของข้อความปริศนาพวกนี้เป็นใคร ความรู้สึกที่ได้รับและอ่านข้อความพวกนี้กลับดียิ่งขึ้นไปอีก


 
               มีความสุขจังโว้ย

.

.

.

To be Continue...



ขยับความสัมพันธ์กันสักทีนะคะพี่วอร์ม น้องไอติม  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 13 :: 'ชัดเจน' ] 1900409
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 09-04-2019 14:52:09
ว้าว เป็นแฟนกันแล้ว
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 13 :: 'ชัดเจน' ] 1900409
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-04-2019 16:52:12
แรงมากพี่วอร์ม
เล่นซะน้องตั้งตัวไม่ทันเลย
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 14 :: 'เริ่มต้น' ] 1900412
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 12-04-2019 11:19:21
               

                         
                 
:: Chapter 14 :: 'เริ่มต้น'





**น้องไอติม**


               แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านผ้าม่านสีขาวเข้ามาภายในห้องนอน ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว รู้แค่ว่าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นหลังจากที่ผมตื่นได้สักพักทำให้รู้ว่าผมยังไม่สายแน่ๆ แต่ก็น่าแปลกที่วันนี้ผมดันตื่นก่อนที่เสียงนาฬิกาปลุกจะดังเสียอีก เพราะทุกทีจะเป็นผมเองที่ลุกขึ้นกดปิดมัน แถมบางวันยังกดเลื่อนปลุกขอนอนต่ออีกหน่อยอีกต่างหาก

 
               ผมลุกขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมกับบิดร่างกายสลัดความขี้เกียจออกไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปในแชท ข้อความล่าสุดที่ผมส่งไปหาพี่วอร์มเมื่อคืนมันยิ่งตอกย้ำว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนไม่ได้เป็นแค่พี่น้องสายรหัสอย่างเดียวแล้ว เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือเรื่องจริง

 
               ผมกดส่งข้อความไปหาพี่วอร์มที่ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง ตอนนี้แค่เจ็ดโมงกว่าๆ เองครับ ผมว่าพี่วอร์มยังไม่ตื่นแน่ๆ

 
               i - Chananan :: พี่วอร์มตื่นได้แล้ว
              i - Chananan :: สายแล้วนะ
 

               ผมส่งข้อความเข้าไปในแชทของเรา ก่อนที่จะลุกไปทำธุระส่วนตัวยามเช้าตามปกติซึ่งมันก็ใช้เวลาพอสมควร หวังว่าพี่วอร์มจะตื่นแล้วหลังจากที่ผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะยังคงเงียบกริบและไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ แบบนี้ไม่ตื่นแน่ๆ  ผมเลยรัวแชทและคอลไปหาพี่วอร์มอีกครั้ง แต่ก็ไม่สัญญานตอบรับ มันจะแปดโมงแล้วนะครับ หรือผมควรจะลงไปเคาะห้องพี่วอร์มเลยดี ไม่รู้ว่านอนหรือซ้อมตายกันแน่เนี้ย ตื่นยากจัง

 
               นายไออุ่น :: ตื่นแล้ว
               นายไออุ่น :: ตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงแล้ว
 

               ตื่นแล้วแต่ไม่ยอมตอบแชทเนี่ยนะ ผมก็รอไปสิครับ กลับกลายเป็นว่าพี่วอร์มตื่นนานแล้วเพียงแค่ไปอาบน้ำแต่งตัวเลยไม่เห็นแชท อันที่จริงเวลาเข้าเรียนคาบเช้าของเราทั้งคู่ตั้งเก้าโมงครับ เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงกว่าๆ ผมก็รู้แหละครับว่าถ้าเป็นปกติแล้วพี่วอร์มคงจะตื่นตอนเวลาใกล้เข้าเรียนแน่ๆ แต่วันนี้ มันเป็นวันแรกที่เราคบกัน พูดไปจะดูน่าหมั่นไส้หรือเปล่านะ แต่ผมแค่อยากพูดคุย อยากเจอหน้าพี่เขาก่อนจะเข้าเรียนก็แค่นั้นเอง แล้วดูสิ ไม่ยอมตอบแชทเนี่ยมันน่างอนไหมละครับ

 
               นายไออุ่น :: ไปหาอะไรกินที่โรงอาหารกันก่อนไหม
               นายไออุ่น :: เดี๋ยวพี่เลี้ยง
               i - Chananan :: เอาของกินมาล่อเหรอพี่วอร์ม
               นายไออุ่น :: แล้วจะกินไหมละ
               i - Chananan :: กิน!
               i - Chananan :: แต่พี่ต้องเลี้ยงผมทั้งวันเลยนะวันนี้
               นายไออุ่น :: อ่าว... ไหงงั้น
               i - Chananan :: ไม่รู้อะ
               i - Chananan :: อีกห้านาทีเจอกันหน้าลิฟท์เลยนะ
               นายไออุ่น :: อ่าๆ โอเคๆ


 
               ก๊อก ก๊อก ก๊อก


 
               ผมกดปิดโทรศัพท์เพื่อจะเตรียมตัวออกจากห้อง แต่อยู่ๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นต่อจากนั้น ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นห้องผมหรือเปล่าเลยยืนรอฟังอีกครั้งเผื่อว่าเสียเคาะเมื่อกี้จะเป็นของคนข้างห้องก็ได้


 
               ก๊อก ก๊อก
 


               แน่แล้วว่าเป็นห้องผมแน่ๆ แต่เวลาแบบนี้ใครจะมาเคาะห้องผมกันนะ มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่พี่วอร์มเคยบอกเมื่อตอนนั้นเลย เรื่องตำนานอาถรรพ์ชั้น 9 เนี่ย ฮือ แต่ผมก็ต้องเดินไปเปิดประตูอย่างช่วยไม่ได้เพราะเสียงเคาะประตูห้องก็ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง
 

               “มอร์นิ่งครับแฟน”
               “พี่วอร์ม!!! มาได้ยังไงเนี่ย!”


               คนที่มาเคาะประตูห้องผมก็คือพี่วอร์มนั่นเอง ทำเอาตกใจหมดเลยครับ อยู่ๆ ก็ขึ้นมาหาถึงห้องเลยเนี่ย เมื่อกี้เรายังคุยกันในแชทอยู่เลยว่าจะลงไปเจอกันหน้าลิฟท์ข้างล่าง เซอร์ไพรส์เก่งเหลือเกิน

 
               “อยากเจอหน้าไอติมไวไวอะ ก็เลยขึ้นมาหาเลยไง”
               “อื้อ~ เดี๋ยวก็ลงไปเจอกันแล้วไงครับ” ถึงจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นแฟนกันแล้ว แต่เวลาพี่วอร์มพูดแบบนี้ผมก็อดเขินไม่ได้สักที เป็นพี่วอร์มทีไรภูมิคุ้มกันผมติดลบทุกทีเลย แค่คำพูดธรรมดาๆ ก็ทำเอาหน้าร้อนไปหมดแล้วครับ
               “ก็คิดถึง... อยากเจอเดี๋ยวนี้ ตอนนี้เลย”
               “หง่า~ ก็เจอแล้วนี่ไงครับ” ไม่รู้ว่าหน้าตาผมตอนนี้เป็นยังไง รู้แค่ว่ามันหุบยิ้มไม่ได้ก็แค่นั้นเอง ถ้าพี่วอร์มยังเป็นแบบนี้ต่อไปผมคงได้สำลักความสุขตายเข้าสักวัน การที่คนที่เราชอบรู้สึกตรงกันกับเรา แล้วได้มาคบกันแบบนี้มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ นะครับ
               “งั้นเราไปหาอะไรกินกันดีกว่าเนอะ”
               “อือ... พี่วอร์มรอแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเอากระเป๋าก่อน” หลังจากนั้นพวกเราก็พากันเข้ามาในมหาวิทยาลัย บรรยากาศตอนเช้าวันนี้ค่อนข้างเงียบหรืออาจเป็นเพราะว่าพวกเราเข้ามากันเช้ากว่าปกติก็เป็นได้ แถมอากาศเช้านี้ยังเย็นสบายกว่าปกติด้วยเลยยิ่งทำให้ผมรู้สึกสบายใจและมีความสุขมากขึ้นไปอีก คนที่นั่งขับรถอยู่ข้างๆ ผม เพียงแค่ได้ลอบมองเสี้ยวหน้าของพี่เขามันก็ทำให้ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยครับ




               .




               .




               .




**พี่วอร์ม**



               หลังจากที่ผมไปส่งน้องเข้าเรียนแล้วผมก็เดินมาที่ห้องเรียนของตัวเองบ้าง วิชาเช้านี้ผมมีเรียนพร้อมจัสครับ ส่วนมิชิกับเค้กเรียนอีกเซคนึง มันเป็นความซวยที่ตอนลงทะเบียนเรียนพวกเราดันลงไม่ทันกัน วิชานี้เลยต้องแยกเรียนกันคนละเซคไปตามระเบียบครับ และแน่นอนว่าไอ้มิชิมันเลือกที่จะไปเรียนกับเค้กมากกว่าผมและไอ้จัส

 
               แต่วันนี้ผมต้องนั่งเรียนคนเดียวเนื่องจากไอ้จัสมีเหตุจำเป็นต้องไปส่งท่านแม่ที่ทำงานเนื่องจากรถของท่านเสีย ซึ่งจากอโศกกว่าจะมาถึงที่มหาวิทยาลัยมันคงมาไม่ทันคาบเช้าแน่ๆ เลยเหมาโดดคาบเช้าเสียเลย  ส่วนผมก็นั่งง่วงอยู่นี่ไงครับ ไม่มีเพื่อนนั่งคุยด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แล้วสิ่งที่พอจะช่วยไม่ให้ง่วงมากไปกว่านี้ก็คือการเล่นโทรศัพท์ครับ

 
               ผมกดเข้าไปดูรูปล่าสุดที่ถ่ายไว้ มันเป็นรูปที่ผมถ่ายน้องไอติมตอนที่ผมขึ้นไปหาน้องที่ห้องเมื่อเช้านี้ หน้าตาตอนน้องเปิดประตูออกมาเจอผมมันตลกมากเลยอะ ท่าทางจะตกใจมากจริงๆ ที่ผมแอบขึ้นไปหาก่อน ผมเลยแอบถ่ายเอาไว้โดยที่น้องไม่รู้ตัว ก็หน้าตาท่าทางเหวอๆ ของน้องมันน่ารักจะตายไปครับ ไม่รอช้า ผมกดส่งรูปนั้นไปให้น้องทันทีก่อนที่ผมจะเลิกสนใจโทรศัพท์และหันไปสนใจสิ่งที่อาจารย์กำลังสอนต่อ อาจารย์เล่นบอกว่ามันจะมีออกสอบขนาดนั้น พลาดไปก็แย่สิครับ

 
               i - Chananan :: อะไรอะ ถ่ายทำไมเนี่ย

 
               ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงผมถึงเพิ่งเห็นว่าไอติมส่งแชทโวยวายกลับมา ผมแชทคุยกับน้องสักพักอาจารย์ก็ปล่อยคลาส แต่น้องยังไม่เลิกเรียน ผมเลยตัดสินใจไปรอไอติมที่โต๊ะ น่าแปลกที่วันนี้บริเวณโต๊ะเงียบมาก สงสัยเพราะว่าอาจารย์เซคผมปล่อยเร็วเลยยังไม่ค่อยมีคนมาเท่าไหร่ และแน่นอนว่าเค้กกับมิชิก็น่าจะยังเรียนอยู่ แต่ก็ดีแล้วครับ เพราะถ้าสองคนนั้นเลิกเรียนพร้อมๆ กับผม ผมต้องโดนซักจนสะอาดเอี่ยมอ่องแน่ๆ เลย แล้วก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใดหรอกครับ ก็เรื่องน้องไอติมเนี่ยแหละ ใครจะไปคิดละครับ เมื่อวานผมยังโมโหใส่น้องจนคนเขาเห็นกันทั้งโต๊ะอยู่แล้ว แล้วมาวันนี้ผมกับน้องดันเป็นแฟนกันเสียอย่างนั้น มันก็ไม่แปลกหรอกครับที่ใครๆ จะตั้งคำถาม แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกครับ แค่ผมเข้าใจน้องแล้วน้องเข้าใจผมก็พอแล้ว

 
               “พี่วอร์ม!”


               เสียงสดใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึงเสียอีก ผมเงยหน้ามองเห็นไอติมกำลังเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาผม หน้าน้องขึ้นสีแดงและหอบนิดๆ เดินจากอาคารเรียนรวมมาถึงนี่ก็ไม่ได้ใกล้เท่าไหร่ แถมแดดตอนใกล้เที่ยงแบบนี้ก็แรงไม่ใช่เล่นเลย จะรีบร้อนอะไรขนาดนั้นครับ

               “ค่อยๆ เดินมาก็ได้ จะวิ่งทำไม หน้าแดงเหงื่อออกหมดแล้วเนี่ย พี่ไม่หนีไปไหนหรอก” ผมพูดขำๆ ก่อนที่น้องจะทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามผม
               “ก็กลัวพี่วอร์มรอนานอะครับ”
               “พี่รอได้หน่า” คำตอบของน้องทำเอาผมอยากหยิกแก้มนุ่มๆ ที่ตอนนี้ขึ้นสีระเรื่อนั่นจริงๆ เลยครับ ทำไมต้องน่ารักขนาดนี้วะครับ น้องจะรู้บ้างไหมเนี่ยว่าเพราะความน่ารักสดใสของน้องนี่แหละที่ทำให้ผมตกหลุมน้องโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็หาทางขึ้นจากหลุมไม่เจอเสียแล้ว
               “พี่วอร์มหิวไหม”
               “หิวแล้วล่ะสิ เราน่ะ อยากกินอะไรล่ะ”
               “อืม... ก็เริ่มหิวแล้ว... กินอะไรก็ได้ครับ ตามใจคนเลี้ยงเลย~”


                ไอติมพูดพร้อมกับเอียงคอหัวเราะคิกคัก ก็แน่ล่ะครับ วันนี้ผมต้องเลี้ยงน้องทั้งวันนี่นา ถูกใจเขาล่ะ แต่องศาการเอียงคอแบบนั้นมันชักจะน่ารักเกินไปแล้วนะไอติม ถ้าจับฟัดตรงนี้จะน่าเกลียดไปไหมครับเนี่ย มีแฟนน่ารักนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะครับ
 

               “อืม... งั้นออกไปกินข้าวข้างนอกกันไหม”
               “ออกไปข้างนอกเลยเหรอพี่วอร์ม จะกลับมาทันเรียนตอนบ่ายไหมอะ”
               “ทันสิ เราก็... รีบไปรีบกลับไง” จริงๆ แล้วผมแค่อยากพาไปที่ที่ไม่ต้องเจอคนรู้จักมากกว่าครับ อยู่ในมหาวิทยาลัยยังไงก็ต้องมีคนเห็น มีคนเจอพวกเราอยู่ด้วยกันแน่ๆ ผมขี้เกียจตอบคำถามน่ะครับ
               “โอเค~ ไปก็ได้ครับ”
               “โอเคงั้นไปกัน”


               ผมลุกขึ้นยืนอมยิ้มแล้วส่งมือไปหาน้อง ไอติมมองมือผมครู่นึงแล้วยื่นมือมาจับมือผมตอบพร้อมกับยิ้มตาหยีส่งให้จนผมเผลอฉีกยิ้มกว้างออกมาตามน้อง ตั้งแต่ได้รู้จักกับไอติมผมรู้สึกว่าโลกของผมสว่างขึ้นเยอะเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าเรื่องในอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงแต่มือนุ่มๆ ของน้องไอติมที่กำลังจับมือผมอยู่นั้นมันทำให้ผมคิดว่า ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นผมจะไม่มีวันปล่อยมือจากน้องเด็ดขาด
 

               พวกเราออกไปทานมื้อเที่ยงง่ายๆ กันเพราะไอติมมีเรียนต่อช่วงบ่าย แต่หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วผมเห็นว่ายังมีเวลาก็เลยชวนน้องไปนั่งเล่นที่คาเฟ่ก่อนจะได้ซื้อกาแฟทานด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้มีคนหลับคาห้องเรียนแน่ๆ เลย ทันทีที่เครื่องดื่มยกมาเสิร์ฟ ไอติมก็รีบร้องห้ามผมทันทีเมื่อเห็นว่าผมจะคว้าแก้วของตัวเองไปดู

 
               “ผมก็ขอถ่ายรูปก่อนนะ เดทแรกทั้งทีต้องเก็บไว้เป็นความทรงจำหน่อย...” ถึงแม้ว่าประโยคหลังน้องจะพึมพัมกับตัวเองเบาๆ แต่ผมก็ยังได้ยินอยู่ดี เราอยู่ใกล้กันแค่นี้เองนี้ครับ ภาพอีกคนที่กำลังตั้งใจตัดมุมและหาแสงในการถ่ายภาพเครื่องดื่มทั้งสองแก้วทำให้ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

 
               ถ้าใครหลายๆ คนมาพบเจอผมช่วงนี้ต้องเอ่ยปากทักแน่ๆ ว่าผมยิ้มบ่อยกว่าปกติ ก็แน่ล่ะครับ เพราะตอนนี้ไอติมคือความสุขของผม การได้ใช้เวลาทุกๆ นาทีร่วมกับน้องล้วนเป็นความทรงจำดีๆ ที่เราได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาและจะจดมันลงให้สมุดบันทึกความทรงจำของเราทั้งคู่ ผมยังจำวันแรกที่เจอน้องวันจับสายรหัสได้เลย ผมไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มของน้องจะทำให้ดอกไม้ที่เหี่ยวเฉานั้นกลับมาเบ่งบานได้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ รอยยิ้มของน้องสามารถทำให้หัวใจของผมพองฟูขึ้นกว่าเดิม

 
               โทรศัพท์ที่สั่นเตือนอยู่ตลอดเวลาทำให้ผมรู้ว่าพวกเพื่อนๆ ผมนั้นกำลังแชทคุยกันอยู่ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ผมปิดแจ้งเตือนไว้เหมือนเดิมก็ดีแล้วเนี่ย กลับมาเปิดไว้เผื่อจะมีเรื่องสำคัญแต่ก็เปล่าเลยครับหาสาระไม่ได้เหมือนเดิม ผมเหลือบมองโทรศัพท์อยู่พักหนึ่งหลังจากที่เอารถจอดที่ลานจอดรถใกล้ๆ อาคารเรียนรวม เมื่อครู่นี้ผมพาไอติมออกไปกินข้าวที่ห้างใกล้ๆ มหาวิทยาลัยและตอนนี้ผมก็กำลังจะไปส่งน้องเข้าเรียนวิชาช่วงบ่ายต่อ ไม่ต้องเดาเลยครับว่าข้อความในแชทที่รัวๆ มานั้นคือเรื่องอะไร แน่นอนว่าเป็นเรื่องผมล้วนๆ แต่ก็ปล่อยไว้แบบนั้นแหละครับ เดี๋ยวค่อยไปเคลียร์ทีเดียวตอนเจอหน้าพวกมัน


               และแน่นอนว่าเมื่อผมมาถึงที่โต๊ะผมก็โดนพวกเพื่อนรักแซวกันระงมเลยครับ นี่ที่แซวกันในแชทยังไม่พออีกหรือไง ดีนะที่ผมไปส่งไอติมที่ตึกเรียนเรียบร้อยแล้วถึงค่อยเดินมาที่โต๊ะ ไม่อย่างนั้นน้องคงเขินมากแน่ๆ

 
               “ยัง... ยังอีก... ยังไม่เลิกแซว พวกมึงนี่นะ”
               “แหม~~~ ก็ใครจะไปนึกวะ เมื่อวานเห็นมึงยังเกรี้ยวกราดใส่น้องไอติมอยู่เลย พอมาวันนี้พากันไปกินข้าวอัพรูปลงไอจีซะหวานแหวว” ไอ้จัสยังคงแขวะผมไม่หยุด นี่มันเป็นเจ้ากรรมนายเวรผม หรือคู่รักแค้นฝั่งหุ่นตั้งแต่ชาติปางก่อนของผมหรือเปล่าวะ พูดเสียผมรู้สึกผิดที่มีแฟนเลย
               “อะไร! กูยังไม่ทันทำอะไรเลย...”
               “มึงไม่ได้ทำแต่แฟนมึงทำ! แหม~ ลงรูปแท็กหากันซะด้วย ไวไฟฉิบหาย” คราวนี้เป็นไอ้มิชิที่แซวผมต่อ ทีนี้ล่ะสามัคคีกันเหลือเกิน กับเรื่องอื่นช่วยร่วมมือร่วมใจกันแบบนี้บ้างได้ไหมวะครับ
               “แล้วทำไมวะ... ก็คนเป็นแฟนกันลงรูปแท็กหากันมันผิดตรงไหน”
               “โว้ย หมั่นไส้!!! เมื่อคืนใครบอกวะว่าเสียความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้... สุดท้ายก็ไปสอยน้องเขามาเป็นแฟนเฉย” ไอ้จัสเสริม
               “ก็พวกมึงเองไม่ใช่หรือไงวะที่เชียร์กูให้คบกับน้องอะ” ผมบอกตามความจริง เพราะตั้งแต่เมื่อคืนที่ผมเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เพื่อนๆ ฟัง ทุกคนก็พร้อมใจกันเชียร์ให้ผมไปง้อน้องเองนี่ครับ
 

               แต่ความจริงมันก็ดีนะครับ ต้องขอบคุณพวกมันนี่แหละที่ทำให้ผมรู้ใจตัวเองจริงๆ ว่าผมก็รู้สึกไม่ต่างกันกับไอติม ส่วนเรื่องนั้นที่ทำให้ผมเสียความรู้สึกผมก็จะมองข้ามไปครับ ก็ในเมื่อคนที่ทำให้ผมรู้สึกดีในแชทนั้นมันก็คือคนเดียวกับคนที่ผมรู้สึกดีด้วยเวลาเจอหน้ากัน แล้วมันจะผิดตรงไหนล่ะครับถ้าผมอยากจะให้คนๆ นั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม

 
               “อย่าไปสนใจสองคนนี้เลยวอร์ม... ยังไงเค้กก็ยินดีด้วยนะที่วอร์มไม่ได้คิดร้ายๆ กับน้องไอติม อีกอย่าง... น้องไอติมก็น่ารักน่าเอ็นดูขนาดนั้น ถ้าปล่อยให้เข้าใจผิดกันแล้วเห็นน้องไปคบกับคนอื่นวอร์มจะทนได้เหรอ จริงไหม” เค้กเอ่ยยิ้มๆ คำพูดของเค้กทำเอาผมอยากจะเข้าไปกอดเค้กแน่นๆ แทนคำขอบคุณที่ทั้งคอยรับฟัง ช่วยให้คำปรึกษาและเข้าใจในตัวผม แต่ก็ทำได้แค่คิดอะครับ ถ้าผมทำแบบนั้นจริงๆ มีหวังไอ้มิชิได้กระชากผมไปต่อยแน่ๆ
               “อือ! ยังไงวอร์มก็ไม่มีทางปล่อยให้น้องไปเป็นของคนอื่นแน่นอนเค้ก” หลังจากที่ผมพูดจบประโยคก็มีเสียงโห่จากไอ้เพื่อนตัวโย่งทั้งสองคนดังตามมา อย่าให้ถึงตาพวกมึงบ้างก็แล้วกัน ไอ้จัส ไอ้มิชิ ผมจะซักให้ซีดเลยคอยดูเถอะ

 
               หลังจากที่เมื่อวานผมใช้เวลาส่วนมากอยู่กับไอติมจนโดนเพื่อนแซ็วไม่เลิก วันนี้ผมมีเรียนตอนสิบโมง ส่วนน้องมีเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้า ทั้งที่เมื่อคืนผมบอกน้องว่าจะเข้าไปส่งในมหาวิทยาลัยแต่น้องก็ยืนยันจะไปเองโดยอ้างว่าเพราะทุกครั้งก็ไปเอง มันก็จริงอยู่ครับ แต่ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนี่ครับ ผมก็อยากทำหน้าที่แฟนและรุ่นพี่ที่ดี แต่ในเมื่อน้องก็ยังยืนกรานจะไปเรียนเอง ผมก็ไม่ขัด ดีเหมือนกันจะได้นอนตื่นสายๆ หน่อย ซึ่งความจริงแล้วผมก็นอนตื่นสายเป็นประจำอยู่แล้ว ข้อความแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทเป็นอย่างแรกที่ผมเปิดดูหลังจากที่เพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน นอกจากข้อความจากไอติมแล้วก็มีพวกเพื่อนๆ ของผมนี่แหละครับ


               ผมกดเข้าไปดูในแชทกลุ่มจับฉ่ายก็เจอข้อความจากมิชิก่อนเป็นคนแรกเลยครับ แล้วเรื่องที่มันทักมาตั้งแต่ไก่โห่นี่ก็เป็นเรื่องของผมอีกแล้ว นี่มันไม่คิดจะหยุดแซวผมเลยใช่ไหมเนี่ย แค่ผมอัพรูปคู่ตัวเองกับน้องไอติมตอนห้าทุ่มเมื่อคืนนี้ลงไอจีเท่านั้นเอง แล้วที่ตั้งใจอัพรูปเวลานั้นก็เพราะไม่อยากให้มันข้ามไปเป็นอีกวันก็แค่นั้น ผมก็แค่อยากเก็บเรื่องราวดีๆ ในวันแรกที่ผมกับน้องคบกันมันผิดตรงไหน ไม่รู้ว่าที่แซวไม่เลิกนี่เพราะอิจฉาหรือว่าอะไร

 
               ผมนั่งแชทคุยกับเพื่อนๆ อยู่สักพักก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยไปเรียน ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาเก้าโมงกว่าๆ แล้วครับ แต่เค้กล่วงหน้าไปถึงมหาวิทยาลัยก่อนแล้ว รายนั้นน่ะเหมือนพระเจ้าสร้างเขาให้เกิดมาเพอร์เฟ็คเลยครับ ทั้งขยันและเรียนเก่ง ไหนจะหน้าตาที่ดึงดูดสายตาทั้งหญิงและชาย แถมอัธยาศัยดีเป็นมิตรกับทุกคนด้วยอีก ยอมครับยอม แค่ได้มาเป็นเพื่อนกับเค้กนี่ผมก็รู้สึกว่าตัวเองต้องมีบุญพอสมควรแล้วครับ






               

               .


               .



**น้องไอติม**



               “ง่วงจัง...”
               “ไม่คิดว่าคนอย่างไวท์จะบ่นง่วงกับเขาเป็นเหมือนกันด้วย ฮ่าๆๆ” ผมหันไปมองเจ้าของเสียงเล็กๆ ที่บ่นออกมาเบาๆ หลังจากที่หาวจนน้ำตาไหลไปเมื่อครู่ และเอ่ยแซวต่อทันที
               “อือ... ทำไมไวท์จะง่วงไม่ได้อ่า... ถึงจะตั้งใจไว้ว่าจะตั้งใจเรียนทุกคาบก็เถอะ แต่เรียนเช้าขนาดนี้... ฮือ... คิดถึงเตียงกับหมอนนิ่มๆ ที่หอจัง” ไวท์บ่นกลับมาเสียยกใหญ่จนผมอดขำไม่ได้ แต่ก็เข้าใจนะครับ เพราะเรียนเช้าแบบนี้ ใครๆ ก็ง่วงกันทั้งนั้นแหละครับ แถมเนื้อหาวิชาเช้านี้มันก็ชวนง่วงนอนเสียเหลือเกิน
               “จูก็ง่วงเหมือนกันเลยไวท์ เมื่อกี้ที่อาจารย์ปล่อยพักพอกลับมาเรียนก็นึกว่าจะหายง่วงบ้างแล้วนะ แต่ก็ไม่เลย” ผมส่ายหน้าเบาๆ กับเพื่อนทั้งสองที่ยังคงบ่นเรื่องความง่วงกันไม่ขาดปาก ผมเหลือบมองเวลาจากโทรศัพท์มือถือแล้วก็นึกถึงพี่วอร์มขึ้นมาทันทีเลยครับ วันนี้พี่วอร์มมีเรียนสิบโมงเช้า ไม่รู้ป่านนี้จะตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแล้วหรือยัง เมื่อเช้าผมแค่แชทไปบอกพี่เขาว่ากำลังจะออกมาเรียนแล้วเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าตอนนั้นพี่วอร์มคงจะยังไม่ตื่นแน่ๆ ว่าแล้วก็ทักไปหน่อยแล้วกัน เผื่อพี่เขาจะนอนเพลินจนลืมตื่น เดี๋ยวจะมาโวยวายโทษผมว่าไม่ยอมปลุกอีก
 

               นายไออุ่น : กำลังไปมหา’ลัยแล้วนะ
 

               ผมเข้าไปในโปรแกรมแชทยังไม่ถึงสิบวินาทีดี ยังไม่ทันที่จะกดเข้าไปให้ห้องที่ผมคุยกับพี่เขาด้วยซ้ำ แจ้งเตือนข้อความที่ถูกส่งมาจากพี่วอร์มก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอพอดี ตายยากจริงๆ
 
               i - Chananan :   :)
               นายไออุ่น : ตอบไวจัง ไม่เรียนเหรอ

 
               ไม่ให้ตอบไวได้ยังไงล่ะครับ ก็ผมกำลังจะเข้ามาส่งข้อความหาพี่วอร์มอยู่พอดี มันก็เลยต้องอ่านเลย ซึ่งถ้าอ่านแล้วไม่ตอบเดี๋ยวก็จะโดนบ่นอีก จริงไหมล่ะครับ

 
               i - Chananan : เรียนอยู่ ~ แต่มันง่วงอ่า
               นายไออุ่น : แอบหลับเปล่าเนี่ย ไม่ตั้งใจเรียน
               i - Chananan : ก็มันง่วงจริงๆ อ่า~ อยากกินโกโก้
               นายไออุ่น : ให้ซื้อไปให้ไหม
               i - Chananan : ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวก็เลิกแล้ว
 

               พี่วอร์มถามผมกลับ จริงๆ ผมก็แค่บ่นอยากกินเฉยๆ เอง ไม่ได้จะกินเวลานี้ เดี๋ยวนี้เลยสักหน่อย แต่การที่พี่วอร์มถามกลับมาแบบนี้มันก็ทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้จริงๆ พอเราเปลี่ยนสถานะจากพี่น้องสายรหัสมาเป็นแฟนกันแล้วเนี่ย พี่วอร์มดูเอาใจใส่ผมมากขึ้นกว่าเดิมอีก นับวันพี่เขาก็ยิ่งทำให้ผมหวั่นไหวและรู้สึกดีมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกวันๆ เลยครับ

 
               “ยิ้มใหญ่เลยนะ ไอติม” เสียงเพื่อนสนิทผมเอ่ยแซวขึ้นหลังจากที่ผมคุยแชทกับพี่วอร์มเสร็จ
               “อะไรของจูเนี่ย... ไอยิ้มไม่ได้เหรอ”
               “เปล่า~ ได้คบกับคนที่ตัวเองแอบชอบมานานแสนนานนี่มันดีจังเลยนะ”
               “นี่ไอติมแอบชอบพี่วอร์มมานานแล้วเหรอ” หลังจากที่จูเนียร์พูดจบ ไวท์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ถามแทรกทันที เราสามคนนั่งติดกันขนาดนี้แถมผมยังนั่งตรงกลางระหว่างไวท์กับจูเนียร์อีก ถ้าไม่ได้ยินก็คงแปลก
               “ก็...  อือ… ไอชอบพี่วอร์มมาตั้งนานแล้วล่ะ” ผมตอบไปตามความจริง เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องปิดบังกันหรอกครับ แต่ถ้าไวท์ไม่ถาม แล้วอยู่ๆ จะให้ผมมพูดขึ้นมาเลยมันก็ดูจะยังไงๆ อยู่ แต่ดูเหมือนว่าไวท์จะไม่ค่อยตกใจสักเท่าไหร่
               “ชอบมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายเลยเปล่าเนี่ย”
 “ไวท์รู้ได้ไงอะ” คราวนี้จูเนียร์เป็นคนถามคำถามนี้แทนผม
               “เดาเอาน่ะ... จริงๆ ไวท์เห็นพวกจูกับไอติมชอบคุยเรื่องของพี่วอร์มกันอยู่บ่อยๆ ไวท์เลยเดาเอา แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างที่เดาไว้จริงๆ หรอกนะ”


                ไวท์พูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ นี่ผมแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอครับ ถึงว่าล่ะ ไวท์ดูไม่ค่อยตกใจเลยที่รู้ว่าผมแอบชอบพี่เขามาตั้งนานแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนักหรอกครับ แค่เพื่อนๆ เข้าใจและโอเคกับการที่ผมคบกับผู้ชายด้วยกันนี่ก็ถือว่าดีมากแล้วครับ เพื่อนๆ ของพี่วอร์มเองก็น่ารักมากๆ เลย จะถือว่าผมโชคดีที่คนที่แอบชอบมานานรู้สึกตรงกันและยังมีเพื่อนๆ ที่แสนดีแบบนี้ก็ไม่ผิดหรอกครับ เพราะตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมากๆ คนหนึ่งเลยล่ะครับ




.

.

.



To be Continue...







แว้บมาต่อให้ก่อนหยุดสงกรานค่ะ
ใครไปเที่ยวก็ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ
สวัสดีวันปีใหม่ไทยค่ะ ^^


 :mew3:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 14 :: 'เริ่มต้น' ] 1900412
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 14-04-2019 16:18:51
 :man1:
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 15 :: 'ใส่ใจ' ] 1900422
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 22-04-2019 09:35:37
               
:: Chapter 15 :: 'ใส่ใจ'






**พี่วอร์ม**


               บางทีผมก็สับสนกับพวกเพื่อนรักของผมเหลือเกินเมื่อเช้ายังรุมด่าผมอยู่เลยที่ไม่ยอมตื่นไปส่งน้องเรียนเช้า แต่พอหมดคาบปุ๊บผมจะรีบไปหาไอติมเพื่อที่จะได้ไปทานมื้อเที่ยงกับน้องพวกมันก็ตัดพ้อต่อว่าผมอีก จะเอายังไงกันแน่วะครับ เอาใจยากเหลือเกิน


               ความจริงแล้วผมว่ามิชิมันก็คงไม่เดือนร้อนอะไรหรอก เพราะยังไงแล้วเค้กก็ไปกินข้าวกับมันอยู่ดี ก็จะมีแต่ไอ้จัสเนี่ยแหละ ที่ดูจะน่าสงสารกว่าใครเพื่อน แต่ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะถ้าไม่ทำใจให้ปลงมันก็คงต้องหาใครสักคนมาเป็นแฟนแล้วล่ะครับ ส่วนผมก็ไม่ใช่ว่ามีแฟนแล้วลืมเพื่อนหรอกนะครับ แต่ว่ายังไงวันนี้ผมก็ใช่เวลาส่วนมากอยู่กับเพื่อนเยอะกว่าอยู่แล้ว ช่วงเวลาสั้นๆ อย่างตอนพักกลางวันนี่ก็ขอให้ผมได้อยู่กับน้องหน่อยเถอะ
 

               หลังจากที่กินข้าวเที่ยงและแยกกับไอติมแล้ว พวกผมก็ขึ้นมาเรียนวิชาคาบบ่ายต่อ ผมรู้สึกว่าตาขวากระตุกแปลกๆ ตั้งแต่เช้าแล้วว่าวันนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้ไม่มีผิดเลยครับ เพราะว่าวันนี้อยู่ดีๆ อาจารย์ผู้ขึ้นชื่อว่าสอนโหด รีบประกาศแจ้งตั้งแต่ตอนต้นคาบเลยครับว่าจะปล่อยช้ากว่าปกติ โดยจะสอนปกติควบรวมกับการสัมนาไปเลยซึ่งจะกินเวลายาวนานกว่าการเรียนปกติไปอีกเกือบสองชั่วโมง และเนื่องจากอาจารย์จะปล่อยเลิกเรียนเสียเย็นขนาดนั้นผมจึงต้องแชทไปบอกไอติมให้กลับหอไปก่อนครับ ขืนให้น้องมานั่งแกร่วรอกลับพร้อมผมคงทรมานแย่ เพราะวันนี้ไอติมเองก็มีเรียนตั้งแต่เช้า น้องควรจะได้กลับไปพักผ่อน
 

               เมื่อตกลงกับน้องในแชทเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็นั่งเรียนแบบมาราธอนจนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงที่มันควรจะเป็นเวลาเลิกเรียนตามปกติแล้ว แอบเห็นเพื่อนบางกลุ่มชักชวนกันลุกเดินออกไปหาขนมและเครื่องดื่มทาน บางคนก็ลุกออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก บ้างก็ลุกออกไปเข้าห้องน้ำ เพราะว่านั่งเรียนกันมานานเกินไปก็คงจะอยากออกไปยืดเส้นยืดสายกันบ้างแต่คงไม่มีใครกล้าคิดจะโดดกลับก่อนหรอกครับ เพราะอาจารย์พูดดักไว้ก่อนแล้วว่าท้ายคาบจะมีควิซเก็บคะแนนถึงจะแค่ 5 คะแนนก็เถอะครับ แต่สำหรับคณะผมคะแนนอันน้อยนิดเพียงเท่านี้ก็สามารถตัดสินความเป็นความตายได้เลยล่ะครับ

 
               It’s Michi : ไอ้วอร์ม

 
               ผมเบนสายตาเหลือบมองข้อความที่ปรากฎขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ที่ผมวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหันไปมองทางด้านหลังห้อง เพราะไอ้คนที่ทักผมมามันคือมิชินั่นแหละครับ วันนี้พวกผมไม่ได้นั่งด้วยกันทั้งหมดเนื่องจากผมลืมเอาแว่นสายตาออกมาจากหอทำให้คนสายตาสั้นอย่างผมต้องย้ายตัวเองมานั่งบริเวณหน้าห้องเรียน แต่เนื่องจากที่นั่งด้านหน้ามันมีว่างแค่สองที่ผมเลยหนีบไอ้เพื่อนตัวสูงอย่างจัสมานั่งข้างผมด้วยครับ ส่วนมิชิกับเค้กก็นั่งกันอยู่ด้านหลังห้อง แต่ตอนนี้ไอ้คนที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นั้นกลับหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ครับ หายไปคนเดียวไม่ว่า เค้กก็ดันหายไปด้วยนี่สิ

 
               นายไออุ่น : ว่า?
               It’s Michi : กูเจอเด็กมึง
 

               มิชิส่งข้อความมาอีกครั้งพร้อมกับรูปถ่ายของไอติมที่นั่งอยู่บนม้านั่งชั้นล่างของอาคารเรียนนี้ สรุปแล้วไอ้เพื่อนตัวดีของผมนั้นลงไปเข้าห้องนั้นที่ชั้นล่างครับ โดยให้เหตุผลว่าอยากลงมาเดืนยืดเส้นยืดสายสักหน่อยเพราะนั่งเรียนมาหลายชั่วโมงติดต่อกันแล้วมันเมื่อย หนอย นี่ผมอุตส่าห์เปิดโอกาสให้นั่งเรียนด้วยกันกับเค้กสองคนแล้วยังจะพากันหนีลงไปเดินเล่นข้างล่างโดยไม่แม้แต่จะชวนผมอีกนะครับ แต่ช่างเถอะ ตอนนี้สิ่งที่ผมสนใจคือไอติมที่มานั่งรออยู่ใต้อาคารมากกว่า ก็ว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วนี่น่าว่าให้กลับหอไปก่อนเลย แล้วทำไมน้องถึงมานั่งรออยู่ตรงนี้เนี่ย
 



.


.


.




**น้องไอติม**


               นายไออุ่น : เลิกเรียนแล้วหรอไอติม
               i - chananan : อ้าว! พี่รู้ได้ไง
               นายไออุ่น : มิชิบอกเห็นเราอยู่ใต้ตึก
 

               นั่นไง ทั้งๆ ที่ผมอุตส่าห์แอบมารอเงียบๆ แล้วนะ ก็ดันมีคนแอบมาเห็นจนได้ พี่วอร์มจะหาว่าผมเป็นเด็กดื้ออีกไหมเนี่ย
 

               i - Chananan : อ่า... เลิกได้สักพักแล้วครับ
               นายไออุ่น : แล้วทำไมไม่กลับหอ พี่เลิกเย็นเลยนะ
               i - Chananan : เดี๋ยวผมรอ
               นายไออุ่น : จะรอที่ไหน เหมือนฝนจะตกแล้วด้วย

 
               ผมโดนพี่วอร์มบ่นชุดใหญ่เลยครับกว่าเราจะตกลงกันได้ ผมบอกกับพี่วอร์มว่าจะไปรอที่หอสมุดพี่เขาถึงยอม ไม่อย่างนั้นก็จะไล่ผมกลับหอท่าเดียวเลย ก็ดีเหมือนกันนะครับ รอที่หอสมุดแอร์เย็นๆ ไม่ร้อนด้วย แถมยังมีโซฟานุ่มๆ ให้นั่งรอสบายๆ สบายเสียจนผมงีบหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงเตือนบอกเวลาห้าโมงเย็นจากนาฬิกาดิจิตอลบนข้อมือผมนั่นแหละครับ นี่ผมหลับไปเกือบครึ่งชั่วโมงเลยเหรอเนี่ย ไม่รู้ป่านนี้พี่วอร์มจะเลิกเรียนหรือยัง
           

               ไม่ต้องคิดนานเลยครับ เมื่อผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นแจ้งเตือนข้อความจากพี่วอร์มปรากฏอยู่บนหน้าจอ มันเป็นรูปถ่ายผมตอนที่กำลังงีบหลับอยู่เมื่อสักครู่นี้กับข้อความที่ส่งมาว่า ‘หลับสบายไหม’ ผมรีบหันไปมองรอบตัวทันทีแต่ก็ไม่เจอพี่วอร์มอยู่แถวนี้เลย หายไปไหนของเขานะ

 
               i - Chananan : พี่วอร์มอยู่ไหนอะ
               นายไออุ่น : กลับหอแล้ว เห็นเราหลับอยู่พี่ไม่อยากกวน
 

               ทันทีที่ผมเห็นข้อความตอบกลับมาก็ถึงกับต้องลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจเลยครับ นี่พี่วอร์มเอาจริงดิ!  ฮื่อ อุตส่าห์มานั่งรอตั้งนานหนีกลับไปก่อนแบบนี้ได้ยังไงอะ ขี้โกงชะมัดเลย ผมรัวแชทถามพี่วอร์มอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ จนได้ยินเสียงหัวเราะที่แสนคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง
 

               “ฮ่าๆๆๆ คิดว่าพี่หนีกลับหอไปก่อนแล้วจริงดิ”
               “พี่วอร์มอะ! ใครจะไปรู้ ตกใจหมดเลยเนี่ย ผมนึกว่าพี่กลับไปแล้วจริงๆ นะ”


ผมได้แต่บ่นอุบ เพราะโดนนายไออุ่นคนนี้แกล้งเข้าให้อีกแล้ว ทำไมถึงได้ขี้อำแบบนี้นะ ไว้ผมต้องหาโอกาสเอาคืนพี่เขาบ้างเสียแล้วสิ ยอมถูกแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้พี่วอร์มต้องได้ใจแน่ๆ เลย
 

               “โอ๋~ แกล้งเล่นนิดเดียวเอง ตกใจจนหน้าซีดเป็นไก่ต้มเลยเนี่ย” ยังอีก ยังจะมีหน้าล้อกันอีก ยิ้มหน้าระรื่นขนาดนี้มีความสุขมากนักหรือยังไงที่ได้เห็นผมตกใจเนี่ย
       “พี่วอร์มอะ! รู้งี้กลับก่อนก็ดีอะ”
               “โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วครับ ไหนยิ้มก่อนเร็ว ยิ้มหน่อย~ เดี๋ยวไม่น่ารักนะ”
               “ก็ไม่น่ารักอยู่แล้วนี่” ผมพองแก้มพร้อมยู่ปากใส่หน้าพี่วอร์ม แกล้งผมแล้วยังมาหาว่าผมไม่น่ารักอีก แกล้งงอนเล่นตัวให้ตามง้อเสียให้เข็ดเลยจะดีไหม ต่อไปจะได้ไม่มาแกล้งอำผมอีก
               “ใครว่าล่ะ น้องไอติมของพี่วอร์มน่ารักที่สุดอยู่แล้ว”
               “.....”


                เล่นพูดแบบนี้จากที่ตั้งใจจะงอนให้นานกว่านี้ผมก็ดันหลุดยิ้มออกมาเสียก่อน หัวใจบ้า! หยุดเต้นโครมครามเดี๋ยวนี้นะ หลายคนอาจจะฟังดูแล้วจั๊กจี้ แต่ความจริงแล้วผมปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชอบเวลาที่พี่วอร์มพูดอะไรแบบนี้จัง


               “แหนะ... ยิ้มแล้ว~ เนี่ย ไอติมยิ้มแล้วน่ารักกว่าตอนหน้าบึ้งเป็นไหนๆ เลยนะ”
               “พอเลยพี่วอร์ม... ไม่ต้องพูดแล้ว”
               “หายโกรธพี่รึยังล่ะ”
               “ใครว่าผมโกรธพี่กัน... แค่งอนเฉยๆ เอง...” ประโยคสุดท้ายผมพูดเสียงแผ่วเบาออกแนวบ่นกับตัวเองมากกว่า เจอลูกอ้อนแบบนี้เข้าไปใครจะไปโกรธลงละครับ ผมยิ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีภูมิต้านทานต่อพี่เขาอยู่แล้วด้วย เจอแบบนี้ก็แย่สิครับ นับวันพี่วอร์มจะยิ่งรู้จักจุดอ่อนของผมดีเกินไปแล้ว
               “งั้นเรากลับกันดีกว่าเนอะ ขืนอยู่นานกว่านี้พี่ได้จับเราฟัดกลางหอสมุดแน่”
               “พี่วอร์ม!!!”
               “ก็ใครใช้ให้คุณแฟนน่ารักล่ะครับ” พี่วอร์มพูดพร้อมกับส่งยิ้มตาหยีมาให้ก่อนจะคว้ามือผมไปจับแล้วพาเดินออกไปจากหอสมุด ตอนนี้ผมได้แต่ภาวนาไม่ให้พี่เขาได้ยินเสียงหัวใจของผมที่เต้นรัวจนเหมือนจะหลุดออกมาเต้นข้างนอกนี้ นายไออุ่นคนนี้มีอิทธิพลกับหัวใจของผมมากเกินไปแล้วนะ มากเสียจนตัวผมเองยังไม่สามารถควบคุมมันได้เลย
 




.


.


.




**พี่วอร์ม**



               หลังจากที่หาอะไรกินกันเสร็จแล้วผมก็ชวนไอติมไปนั่งเล่นที่ห้องผมต่อ ด้วยความที่วันนี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่และผมก็อยากอยู่กับน้องต่อให้นานกว่านี้อีกหน่อย เลยชวนน้องให้มาแวะเล่นกับเจ้าเบนโตะที่ห้องผมก่อน แต่น้องก็อยู่นั่งเล่นที่ห้องผมได้ไม่นานเท่าไหร่หรอกครับ ก่อนที่ไอติมจะขอตัวกลับขึ้นห้องไปเพราะน้องบอกว่าอยากจะโทรศัพท์หาคุณแม่ ผมก็ไม่ได้รั้งน้องไว้หรือว่าอะไรหรอกครับ อีกอย่างพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดของพวกเราทั้งสองคนด้วย มีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันอยู่แล้ว และผมเองก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะชวนน้องออกไปเที่ยวด้วย ไหนๆ เราก็คบกันเป็นแฟนแล้ว จะออกไปเดทกับน้องสองคนก็คงไม่ผิดและไม่ใครว่าอะไรได้ด้วย

 
               เมื่อน้องไอติมกลับขึ้นห้องไปแล้ว ผมเองก็ไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายของผมเหมือนกัน วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องบอกว่าเหนื่อยมากๆ ครับ เนื่องจากเรียนมาราธอนตั้งแต่ช่วงเช้ายันเย็น แต่ถึงจะเหนื่อยกายมากขนาดนั้นแต่ผมกลับยิ้มได้เพราะมีกำลังใจดีๆ อย่างไอติมอยู่ข้างๆ ผม


               เรื่องวันนี้ที่น้องมานั่งรอผมที่อาคารเรียน ถึงผมจะดุน้องไปแบบนั้น แต่ความจริงแล้วผมดีใจนะครับที่ไอติมมานั่งรอผมที่ตึกแบบนั้น ผมรู้สึกถึงความห่วงใยและความใส่ใจจากใจจริงๆ ของน้องมากขึ้นเป็นพิเศษ พอผมทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็มานอนเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือตัวเองไปเรื่อยๆ ก็ตั้งใจว่าจะแชทหาไอติมอยู่เหมือนกันครับ แต่น้องบอกก่อนจะขึ้นไปที่ห้องว่าจะคุยโทรศัพท์กับคุณแม่ผมเลยยังไม่อยากไปกวนน้องตอนนี้ครับ จนเวลาล่วงเลยไปพอสมควรแล้วผมจึงตัดสินไปเข้าไปในห้องสนทนาระหว่างผมกับไอติม

 
               นายไออุ่น : นอนยัง

 
               ผมทักแชทไปหาน้องตอนเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ ไม่รู้ว่าดึกไปหรือเปล่าแต่คิดว่าน้องน่าจะคุยกับคุณแม่เสร็จแล้ว ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าน้องจะนอนหลับไปหรือยัง เพราะว่าวันนี้ก็เรียนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แต่พอเห็นว่าข้อความของผมที่ส่งไปนั้นขึ้นอ่านแล้วทันทีซึ่งทำให้รู้ว่าน้องยังไม่นอน ผมเลยเริ่มชวนน้องไปเที่ยวตามแผนที่วางไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ ก็ไม่ได้จะไปไหนไกลหรอกครับ ก็แค่อยากชวนไปเที่ยว ไปกินข้าว ไปดูหนังตามประสาคนเป็นแฟนกันนั่นแหละครับ แต่ไม่คิดว่าไอติมจะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น

 
               นายไออุ่น : ดีใจไรเบอร์นั้น
               i - Chananan : ก็นานๆ ทีจะได้ไปเที่ยว ตั้งแต่เปิดเทอมมายังไม่ได้ไปไหนเลย
               นายไออุ่น : อือ ก็พรุ่งนี้ไง แล้วนี่ทำอะไรอยู่ อาบน้ำแล้วใช่ไหม
               i - Chananan : เพิ่งอาบเสร็จเมื่อกี้เลย กำลังจะนอนแล้ว
 

               ไอติมส่งข้อความมาพร้อมกับรูปถ่ายของตัวเองที่อยู่ในชุดนอนลายไอศกรีมสีพาสเทลและกำลังนอนอยู่บนเตียง ทำเอาผมพูดไม่ออกเลยครับ รู้สึกเหมือนอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นคนใบ้ที่ทำเสียงตัวเองหล่นหายไปที่ไหนสักแห่ง มันเป็นรูปเซลฟี่ธรรมดานี่แหละครับ แต่ว่ามันน่ารักมาก น่ารักจนผมไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาบรรยายความน่ารักนี้ได้ ผมไม่รู้จะพิมอะไรตอบกลับไปจริงๆ นะครับ ทำได้แต่กดบันทึกรูปที่น้องส่งมาเก็บไว้ใรโทรศัพท์มือถือของตัวเองก็เท่านั้น

 
               ผมไม่รู้หรอกนะว่าที่ไอติมส่งรูปแบบนี้มาให้ผมนี่เพราะน้องไม่ได้คิดอะไรหรือว่ามีเจตนาตั้งใจจะยั่วผมกันแน่ แต่คนที่ได้แต่จ้องรูปผ่านหน้าจออย่างผมตอนนี้ใจมันเต้นรัวไปหมดแล้วครับ ยิ่งมองนานๆ ก็ยิ่งเห็นรายละเอียดของรูปได้มากขึ้น ยิ่งค่อยๆ พิจารณาทีละส่วนแล้วผมก็รู้สึกว่า ทั้งสีหน้าและแววตาของน้องมันดูอ้อนและชวนหลงใหลเสียเหลือเกิน ผมชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ แบบนี้มันตั้งใจยั่วกันชัดๆ เลย อยากจะพุ่งไปกอด ไปฟัดคนในรูปให้หนำใจ ไหนจะแก้มนุ่มๆ นั่นอีก น้องเพิ่งอาบน้ำเสร็จสองแก้มใสนั้นต้องหอมมากแน่ๆ ได้หอมสักฟอดก่อนนอนคงจะฝันดีน่าดู
 



.


.


.



**น้องไอติม**


               i - Chananan : พี่วอร์ม นอนแล้วหรอ...

 
               ผมพิมพ์แชทไปถามพี่วอร์มที่เงียบหายไปพักใหญ่ หลังจากที่ผมส่งรูปตัวเองที่ผมเพิ่งถ่ายไปให้ หรือว่าพี่วอร์มจะหลับไปแล้วจริงๆ แต่ว่าข้อความก็ขึ้นว่าอ่านแล้วนี่น่า จะว่าเปิดอ่านแล้วหลับก็ไม่น่าใช่ คนอะไรจะหลับง่ายปานนั้นครับ

 
               ก๊อก ก๊อก


               ผมรีบเงยหน้ามองที่ประตูห้องทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะ เอาอีกแล้ว ใครมาเล่นตลกอะไรตอนนี้ ทำไมถึงได้ชอบมีเสียงเคาะประตูตอนดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้อีกแล้วเนี่ย ฮือ แล้วเรื่องที่พี่วอร์มเคยเล่าให้ฟังตอนนั้นมันก็กลับมาวนเวียนในหัวผมอีกจนได้
 

               ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 
               ผมเงียบไปสักพักจนกว่าจะแน่ใจว่าเสียงเคาะประตูนั้นมันดังที่หน้าห้องของผมจริงๆ เมื่อแน่ใจแล้ว สุดท้ายผมเลยตัดสินใจลุกไปเปิดประตูห้องพลางสวดภาวนาในใจว่าขอให้อย่ามีเรื่องอะไรหลอนๆ เลย ยิ่งอยู่คนเดียวแบบนี้ด้วย ผมกลัวจริงๆ นะ

 
               “พี่วอร์ม!!! มาได้ไงเนี่ย!” ผมไม่รู้ว่าผมตกใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วครับ  ก็คนที่มาเคาะประตูห้องผมตอนนี้ก็คือพี่วอร์มอีกแล้ว จะแกล้งกันไปถึงไหนเนี่ย
               “ก็เดินขึ้นมาไง... จะให้พี่เหาะขึ้นมาหรอ”
               “ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะ ว่าพี่วอร์มจะขึ้นมาอะ... ได้ยินเสียงเคาะประตูดึกๆ ดื่นๆ ผมก็นึกว่า...”
               “นึกว่าผีหรอ แบร่!” พี่วอร์มรีบพูดแทรก แถมยังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมอีก แบบนี้มันน่าจะต่อยสักหมัด จะได้เลิกเล่นสักที ใครเขาให้มาล้อเล่นกับเรื่องพวกนี้กัน ไม่งั้นจะมีคำพูดที่ว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่หรือครับ
               “ไม่ต้องมาหลอกกันเลยนะ แล้วพี่วอร์มขึ้นมาทำไมเนี่ย ผมนึกว่าหลับไปแล้วซะอีก”
               “ขึ้นมาบอกฝันดีคนน่ารักไง”
               “อะ... อะไรเล่า... ก็บอกในแชทก็ได้นี่น่า...” ดูเหตุผลของพี่เขาสิครับ จะขึ้นมาทำให้ผมเขินทำไมเนี่ย จะให้เขินทุกเวลาตั้งแต่ตื่นยันนอนเลยหรือไง
               “ก็อยากมาเห็นคนน่ารักใส่ชุดนอนลายไอติมด้วยตาตัวเองไม่ใช่แค่เห็นผ่านรูปอะ”
               “แค่นี้เอง... ไม่เห็นต้องขึ้นมาเลย...” ช่วยด้วยครับ ผมไม่รู้จะเอาสายตาไปมองตรงไหนแล้ว ก็พี่วอร์มเล่นจ้องหน้าผมขนาดนี้ เขินจนน่าร้อนไปหมดแล้วเนี่ย
               “ไม่ได้หรอก... พี่ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเอง แล้วต้องได้เห็นแค่คนเดียวด้วย เข้าใจเปล่า”
               “อะ... อือ!”
               “ทำไมน่ารักแบบนี้นะเรา... อย่าไปทำตัวน่ารักแบบนี้กับใครที่ไหนนอกจากพี่นะ” พี่วอร์มพูดพร้อมยื่นมือมายีที่หัวผมเบาๆ ผมไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าพี่วอร์มเป็นคนขี้หวงขนาดนี้
               “รู้แล้วครับ... จะน่ารักกับพี่วอร์มคนเดียวเลย สัญญา”

 
               ฟอด!

 
               “พี่วอร์ม!!!” จู่ๆ พี่วอร์มก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มผมโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเลย เล่นไม่ขานรับ ไม่พูดไม่จาแต่มาหอมแทนแบบนี้ อีกนิดนึงผมจะหัวใจวายแล้วครับ โชคดีแค่ไหนที่ไม่มีใครอยู่แถวนี้ เพราะผมกับพี่วอร์มก็ยืนคุยกันอยู่หน้าห้องด้วย ถ้ามีใครมาเห็นเข้าผมต้องเขินจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแน่ๆ
               “อย่าเสียงดังสิไอติม เดี๋ยวห้องข้างๆ ก็ตื่นกันหมดหรอก”
               “ไม่ต้องเลย~ เพราะพี่วอร์มนั่นแหละ กลับห้องไปนอนเลย”
               “อะไรอะ... ยังไม่ทันได้เข้าห้องเลย ไล่กันแล้วหรอ”
               “ไม่ต้องเข้ามาเลย... พี่วอร์มอะ รีบกลับห้องไปนอนได้แล้ว ผมก็จะนอนแล้วเหมือนกัน” ผมรีบจับให้พี่วอร์มหนุนตัวออกจากหน้าห้องผมพร้อมดันหลังพี่เขาเบาๆ ให้ออกเดิน ขืนให้เข้ามาผมไม่ได้นอนแน่ๆ คืนนี้ แต่อีกคนก็ยังขืนตัวไว้และไม่ยอมไปเสียที ให้ตายเถอะ ทำไมถึงเอาแต่ใจเป็นแบบนี้นะ พอเห็นผมเริ่มหน้างอพี่วอร์มก็หัวเราะออกมาก่อนจะบอกลาผม
               “โอเคๆ พี่ไปก็ได้... งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะครับ แล้วก็เลิกหน้างอได้แล้วนะ”
               “ครับ พรุ่งนี้เจอกัน ฝันดีนะครับพี่วอร์ม”
               “นอนหลับฝันดีเหมือนกันนะครับ น้องไอติม” พี่วอร์มบอกฝันดีพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆ อีกครั้งก่อนจะเดินไปกดลิฟท์เพื่อกลับลงไปที่ห้องตัวเอง ผมโบกมือให้พี่วอร์มอีกรอบหลังจากที่พี่เขาเดินเข้าลิฟท์ไปแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่หายไปแน่ๆ คือรอยยิ้มของผมตอนนี้ แค่ประโยคบอกฝันดีของพี่วอร์มก็ทำให้หัวใจของผมอบอุ่นจนนอนหลับฝันดีอย่างที่พี่เขาบอกไว้จริงๆ



               .


               .


               .



**พี่วอร์ม**




               เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นในตอนเช้า ถ้าเป็นวันธรรมดาที่มีเรียนผมจะปล่อยให้มันดังไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างกายจะสั่งการให้ไปหยิบมันมากดรับสาย แต่วันนี้เป็นวันหยุดของผมและเสียงโทรศัพท์ที่กรีดร้องอยู่นั้นมันขัดจังหวะการนอนหลับแสนสบายของผม ทำเอาผมหัวเสียประเดิมการเริ่มต้นวันเลยทีเดียว โทรมาแต่เช้าแบบนี้ไม่ไอ้จัสก็ไอ้มิชิแน่ๆ ผมปล่อยให้โทรศัพท์มันดังอยู่อย่างนั้นจนมันเงียบไปสักพักแล้วผมก็ค่อยๆ เคลิ้มหลับอีกครั้ง แต่ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกจนผมสะดุ้งตื่น แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเสียงเรียกเข้าเสียงนี้ผมตั้งไว้สำหรับเฉพาะน้องไอติมโทรเข้ามาคนเดียว ผมรีบกดรับสายทันทีที่ตั้งสติได้ เกือบลืมไปแล้วเนี่ย ว่าวันนี้ผมนัดน้องไว้จะไปเที่ยวด้วยกัน

 
               “ตื่นแล้วหรอไอติม” ผมพยายามทำเสียงให้เป็นปกติแล้วเริ่มทักทายน้องไปหลังจากที่กดรับสาย
               “ผมตื่นนานแล้วครับ... ไหนใครนัดไว้ตอนเก้าโมง ป่านนี้แล้วยังไม่ตื่นอีก”
               “พี่ก็ตื่นแล้วนี่ไง...”
               “เพิ่งตื่นละสิไม่ว่า... เสียงแหบเสียงแห้งขนาดนี้ อีกอย่างผมแชทไปหาตั้งหลายครั้งไม่เห็นพี่วอร์มจะอ่านเลย... นี่ขนาดคอลไปหาแล้วด้วยนะ” ไอติมบ่นเสียงเล็กเสียงน้อย แค่ผมนึกตามว่าตอนนี้เจ้าตัวจะหน้ายุ่งแค่นั้นก็ทำเอารอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าผมแล้วล่ะครับ
               “อือ... เพิ่งตื่นก็ได้...”
               “เห็นไหมบอกแล้วว่าไม่ต้องนัดเช้าก็ได้ วันหยุดทั้งที”
               “ก็พี่อยากใช้เวลากับแฟนนานๆ อะ”
               “พะ... พอเลยไม่ต้องพูดแล้วครับ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเลย... นี่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วนะ” ถึงจะไม่เห็นหน้าผมก็พอรู้ครับว่าคนปลายสายกำลังเขินอยู่แน่ๆ อยากเห็นจังเลยว่าหน้าตาน่ารักนั่นจะแดงขนาดไหนกันนะ
               “อ่าว... เสร็จแล้วหรอ งั้นไอติมมารอพี่ที่ห้องไหม... รอพี่อาบน้ำจะได้มาเล่นกับเบนโตะไปพลางๆ ไง” ผมรีบเอ่ยชวนน้องอย่างน้อยก็ดีกว่าให้นั่งรอที่ห้องตัวเองคนเดียว ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วให้น้องลงมาอยู่ใกล้ๆ ดีกว่า
               “เอางั้นก็ได้ครับ... เดี๋ยวผมลงไปนะ”
 


.


.



.





**น้องไอติม**

               ผมลงมานั่งรอพี่วอร์มที่ห้องและเล่นกับเจ้าเบนโตะไม่นานนักพี่เขาก็แต่งตัวเสร็จพอดี กลิ่นน้ำหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพี่วอร์มทำเอาผมอดยิ้มไม่ได้ มันไม่ได้มีอะไรพิเศษตรงไหนหรอกครับ แต่เมื่อก่อนเวลาผมได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นนี้ผมก็จะคิดถึงพี่วอร์มตลอด ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าตอนนี้คนที่ผมคิดถึงมาตลอดจะมายืนอยู่ข้างๆ ผมได้ในเวลานี้


               “ยิ้มอะไร...” พี่วอร์มถามผมขณะที่เรากำลังยืนรอลิฟท์กันอยู่
               “เปล่ายิ้มสักหน่อย”
               “ไม่เนียนเลยนะ” พี่วอร์มส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะยีหัวผมแล้วยิ้มขำ ก็รู้ว่าพี่เขาไม่เชื่อที่ผมพูดหรอก แต่จะให้บอกว่าผมมีความสุขเพียงเพราะเรื่องกลิ่นน้ำหอมของพี่วอร์มมันก็คงจะแปลกไปหน่อย จริงไหมล่ะครับ
               “ก็ไม่มีอะไรสักหน่อย” ผมบอกปัดไปแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าแอพถ่ายรูปพอดีกับที่ลิฟท์มาจอดชั้นที่พวกเรารออยู่พอดี
               “อยู่ด้วยกันยังจะเล่นมือถืออีก... บนหน้าจอนั่นมันน่าสนใจกว่าคนข้างๆ อย่างพี่อีกเหรอไง” พี่วอร์มบ่นเบาๆ อยู่ข้างๆ แต่ผมไม่สนหรอก เพราะผมไม่ได้จะละเลยหรือเมินพี่เขาสักหน่อย ก็แค่อยากจะถ่ายอะไรเก็บไว้เป็นความทรงจำก็เท่านั้น ผมจัดการเปลี่ยนโหมดเป็นถ่ายวีดีโอต่อ
               “มาถ่ายคลิปกันพี่วอร์ม... ผมจะเอาไปลงไอจี”
               “จะถ่ายทำไมเนี่ย”
               “ก็อยากถ่ายอ่า...”

               ผมกดอัดวีดีโอโดยไม่ได้สนใจฟังเสียงคนบ่นข้างๆ แต่สักพักคนที่บ่นอยู่เมื่อครู่นี้ก็เขยิบเข้ามาเล่นกล้องกับผมด้วย จนลิฟท์ลงมาถึงลานจอดรถของหอพัก จะว่าไปผมก็ติดรถพี่วอร์มกลับหอมานานแล้วเหมือนกันนะครับ แต่พอมาวันนี้จะได้นั่งรถพี่เขา ไปเที่ยวด้วยกันทั้งวันหลังจากที่เพิ่งเปลี่ยนสถานะได้ไม่นาน แค่คิดใจก็เต้นรัวอีกแล้ว วันนี้ทั้งวันผมจะเก็บอาการตื่นเต้นไว้ได้ไหมนะ ผมว่าผมอาจจะเดินอมยิ้มทั้งวันจนเหมือนคนบ้าแน่ๆ เลย

 

.



.



.



To be Continue...

 

หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 15 :: 'ใส่ใจ' ] 1900422
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-04-2019 19:54:14
มดกัดไปหมดแล้วค่าาาาาาา
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 16 :: 'เดท' ] 1900429
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 29-04-2019 10:18:35
               

               
                 
:: Chapter 16 :: 'เดท'





**พี่วอร์ม**



               วันนี้สบายหน่อยครับในเมืองรถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ คงเพราะเราออกมากันแต่เช้าด้วยมั้งครับ ผมก็เลยมาถึงที่สยามไวหน่อยแถมที่จอดรถที่พารากอนยังโล่งอยู่เลยครับ วันนี้ผมชวนไอติมออกมาเที่ยวกันครับ มีหนังที่ผมอยากดูอยู่ด้วยพอดี บวกกับที่ผมอยากพาน้องออกมาเดินเล่นอยู่แล้วด้วย มีอะไรที่อยากทำกับน้องเยอะแยะไปหมดเลย ที่ผ่านมาน้องก็อยู่แต่ที่หอ จะเที่ยวทีก็มีแต่ห้างที่อยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยนั่นละครับ น่าเบื่อแย่เลย
 

               “ไอติมอยากกินอะไร?” ผมหันไปถามน้องหลังจากจองตั๋วหนังเสร็จ
               “อะไรก็ได้ครับพี่วอร์ม ผมกินได้หมดเลย”
               “ไม่เอาดิ... ไอติมอยากกินอะไรบอกมาเลย เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”
               “โหย... ไม่เอาอะ ผมเกรงใจ”
               “ดื้ออีกแล้ว”
               “ง่า... พี่วอร์มอะ อย่าตามใจผมมากนักสิครับ เดี๋ยวผมเคยตัวนะ” น้องพูดพลางกอดยกสองมือมากอดแขนผม ก็เป็นเสียแบบนี้แล้วจะไม่ให้ผมตามใจได้ยังไง ผมจะทำให้น้องเคยตัวเพราะแบบนี้ละ
               “ก็พี่อยากตามใจ... อะบอกมาอยากกินอะไร?”
               “งือ... งั้นพี่วอร์มแนะนำร้านก็ได้ครับ... ผมอยากกินอาหารญี่ปุ่น” ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยกมือบีบจมูกน้องเบาๆ ก็น้องใจตรงกับผมเลยอะ ผมเองก็อยากกินอาหารญี่ปุ่นพอดีเลย
               “ใจตรงกับพี่เลยนะ... งั้นปะ เดี๋ยวดูหนังจบแล้วพี่พาไปกินร้านอร่อยๆ ว่าแต่ตอนนี้หิวหรือเปล่า... ไปหาอะไรกินรองท้องกันก่อนไหม” ผมเอ่ยถามเพราะตั้งแต่ออกมาจากหอ เราก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันเลยนี่ครับ
               “ผมไม่ค่อยหิวอะ... แต่ถ้าพี่วอร์มหิวก็ไปหาอะไรกินเล่นก็ได้ครับ”
               “โอเค~ งั้นไปกัน” ผมเลื่อนมือไปจับประสานมือกับน้องแล้วพาเดินออกมา การที่ได้เดินจูงมือกันแบบนี้ในที่สาธารณะก็รู้สึกดีเหมือนกันนะครับ ผมไม่สนหรอกว่าใครจะมองยังไง แต่ตอนนี้ผมมีความสุขมากที่ได้เดินเคียงข้างกันแบบนี้

 
               เราเลือกร้านของกินกันอยู่พักใหญ่ไม่ใช่ว่าเลือกไม่ได้หรอกครับ แต่วันนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวกันเยอะแยะไปหมด ร้านอาหาร Fast Food ธรรมดาก็คนนั่งกันเต็มเลย สรุปแล้วเราเลยมานั่งกันที่ร้าน Subway เพราะถ้าเลือกมากกว่านี้ท่าทางจะไม่ทันได้กินอะไรเพราะนี่ก็ใกล้จะถึงเวลาที่หนังจะฉายแล้ว แต่คนที่ร้านนี้ก็ยังเยอะอยู่ดีผมเลยให้ไอติมไปสั่งแซนด์วิชที่เคาน์เตอร์แทนส่วนผมก็ไปนั่งจองโต๊ะไว้ให้
 

               “มาแล้ว~ พี่วอร์มจะกินไก่อบหรือทูน่า...”
               “แล้วเราอยากกินอะไร”
               “ผมอยากกินทูน่าง่ะ”
               “ก็เอาไก่อบมาให้พี่ดิ... จะถามทำไมเนี่ย”
               “ก็... เผื่อพี่วอร์มอยากกินทูน่า ผมก็ให้ทูน่าพี่ไง” น้องยิ้มจนตาหยีตอบผมก่อนจะยื่นห่อแซนด์วิชไก่อบมาให้ผม
               “พี่กินแบบไหนก็ได้... เรานั่นแหละอยากกินอะไรก็กินแบบนั้นสิ ไม่ต้องตามใจพี่ขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวพี่เคยตัวนะ” ถึงความจริงแล้วผมจะชอบกินทูน่าก็เถอะ แต่ในเมื่อน้องอยากกินผมก็ยอมให้ได้ทั้งนั้นแหละครับ
               “แหนะ... ยอกย้อนผมเหรอพี่วอร์ม” ผมยักไหล่ทั้งสองข้างทำไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่น้องพูด แล้วไอติมก็ทำปากยู่กลับมาตามที่ผมคิดไว้เลย เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวน่ารักสักทีเนี่ย เวลาไม่พอใจหรืองอนอะไรก็จะชอบทำหน้าแบบนี้ ไม่รู้ตัวบ้างหรือยังไง ว่ามันน่าฟัดแค่ไหน
               “ไอติม... พี่ไม่กินผัก...” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากแกะห่อแซนวิชออกมา ทั้งมะเขือเทศสีแดงสด หอมใหญ่ ผักใบเขียว ไหนจะแตงกวาดองอีก จัดเต็มมาครบชุดเลยครับ
               “อ้าว... ผมไม่รู้อะ... ก็เห็นมะระตุ๋นพี่ยังกินได้เลยนี่น่า”
               “นั่นมันข้อยกเว้น...”
               “อ่า... งั้นเอาผักมาให้ผมก็ได้ โหยอะไรอะ ทำไมพี่วอร์มไม่กินผักเนี่ย มีประโยชน์จะตาย... มานี่ๆ เดี๋ยวไอติมคนนี้จัดการเอง” คนอะไรบ่นยิ่งกว่าแม่ผมอีก ผมมองน้องที่หยิบผักจากแซนวิชของผมไปใส่ของตัวเองอย่างขำๆ อีกอย่างเวลาน้องพูดชื่อแทนตัวเองว่าไอติมมันน่ารักมากจริงๆ
               “รีบกินกันเถอะ หนังจะฉายแล้ว”

 
               หลังจากดูหนังจบ ที่วางแผนกันไว้ว่าจะไปกินอาหารญี่ปุ่นก็ต้องพับเก็บไปก่อน เนื่องจากยังอิ่มกับน้ำและป๊อปคอร์นที่ซื้อเข้าไปกินระหว่างดูหนังกันอยู่เลย เราจึงเลือกมาเดินเล่นกันตรงฝั่งสยามแทน นานๆ ทีจะได้มาเดินเล่นที่นี่ รู้สึกว่าอะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปเยอะเลยครับ มีร้านรวงมาเปิดใหม่เต็มไปหมด ทั้งร้านเสื้อผ้าและร้านอาหาร ดูแปลกตาดีเหมือนกัน

 
               “พี่วอร์ม... มีคาเฟ่หมาแมวด้วยอะ แวะกันไหม” ผมหยุดมองตามที่ไอติมบอก นี่ไงครับ นอกจากร้านเสื้อผ้าและร้านอาหารแล้วยังมีคาเฟ่หมาแมวมาเปิดที่นี่ด้วย แถวนี้นี่เรียกได้ว่ามีครบทุกอย่างเลย ใช้เวลาทั้งวันก็คงไม่พอ
               “ไปดิ” ไหนๆ ก็ไม่เคยเข้าคาเฟ่แบบนี้แล้ว เห็นก็แต่ในโซเชี่ยลที่เขาแชร์กัน ลองเข้าไปดูหน่อยก็ไม่เสียหาย แล้วมันก็ดีจริงๆครับที่พวกเราแวะเข้ามา ที่นี่มีทั้งสุนัขแล้วก็แมวหลากหลายสายพันธุ์ให้เล่นเต็มไปหมด และดูท่าทางไอติมก็จะชอบเอามากๆ เสียด้วย
 

               ผมปล่อยให้น้องเล่นกับเจ้าขนฟูเท้าปุยทั้งหลายไปก่อนและเมื่อผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก็พบกับตัวเลขแจ้งเตือนในวงกลมสีแดงกว่าร้อยทำให้ผมต้องกดเข้าไปดูทันทีแล้วก็พบว่าข้อความมากมายก่ายกองที่ปรากฏแจ้งเตือนอยู่บนหน้าจอนั้นมากจากแชทกลุ่มจับฉ่ายของพวกคุณเพื่อนตัวดีทั้งหลายของผมนั่นเอง

 
               “คุยอะไรกันเยอะแยะวะ”


                ผมได้แต่บ่นพึมพัมกับตัวเอง พอไล่สายตาย้อนอ่านข้อความพวกนั้นคร่าวๆ ก็พบว่าพวกมันหนีไปเที่ยวกันโดยไม่มีผม แถมยังมีการส่งรูปหมู่ที่ถ่ายด้วยกันสามคนมาลงกรุ๊ปอีก นัดกันไปเที่ยวไม่ชวนผมสักคำ พอผมตัดพ้อไปก็ดันช่วยกันรุมยำผมกลับมาอีก กลายเป็นความผิดผมซะอย่างนั้นที่หนีพวกมันมาเดทกับน้องไอติม ตรรกะอะไรของพวกมันวะครับ ก็ผมนัดน้องไว้ก่อนแล้วนี่นา ใครจะปุบปับนึกจะไปก็ไปอย่างพวกมันกัน

 
               “แหนะ! อย่าซนสิเจ้าตัวเล็กนี่! ห้ามกัดนะ! เดี๋ยวพี่ไอติมไม่ให้กินขนมเลยนะ”


               เสียงใสที่ถูกกดให้เข้มกว่าปกติดังขึ้น ดึงความสนใจของผมจากหน้าจอโทรศัพท์ให้หันไปมองต้นเสียงทันที ไอติมที่กำลังดุเจ้าขนฟูสีดำขลับที่สงสัยน่าจะคันเหงือกคันฟันซี่เล็กๆ ของมัน ก็เลยกำลังงับมือน้องเล่นอย่างเมามันไม่ยอมปล่อยเลยทีเดียว แล้วเจ้าตัวก็ดุลูกสุนัขบนตักอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับมันจะฟังภาษาคนรู้เรื่องอย่างนั้นแหละ
 

               “คุยกับหมารู้เรื่องด้วยหรือยังไงเรา”
               “พี่วอร์มอะ... ที่ตัวเองยังคุยกับเบนโตะเป็นตุเป็นตะเลย” ถึงประโยคหลังน้องจะตั้งใจแค่พึมพัมกับตัวเองแต่ผมก็ได้ยินอยู่ดี มัวแต่ก้มหน้าคุยกับเจ้าขนปุยบนตักจนไม่รู้ตัวเลยหรือยังไงว่าผมเขยิบเข้ามาหาจนใกล้ขนาดนี้แล้ว
               “ยิ้มเร็ว เดี๋ยวพี่ถ่ายรูปให้ จะได้เก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าโดนเจ้าตัวไหนงับมือ ฮ่าๆๆ” ไอติมยู่หน้าใส่ผมเล็กน้อยแต่ก็ยอมยิ้มและโพสท่าชูสองนิ้วให้ผมทันที

 
               จากนั้นผมก็เลยไปนั่งเล่นกับสุนัขตัวโตขนยาวสีน้ำตาลที่หมอบอยู่ใกล้ๆ โต๊ะของพวกเราบ้าง แต่ดูๆ แล้วมันจะอยากนอนมากว่าที่จะอยากเล่นกับผม ชีวิตของนายไออุ่นท่าทางจะเป็นมนุษย์หมาเมินอย่างแท้จริง ขนาดหมาที่เลี้ยงมากับมือทุกวันนนี้มันยังไม่ค่อยจะสนใจผมเลย มาเจอเจ้าขนฟูตัวนี้เมินอีกก็ไม่แปลกอะไรหรอกครับ นี่ผมลงทุนลงมานอนคุยกับมันที่พื้นเลยนะ สนใจกันหน่อยก็ไม่ได้ นอกจากจะหลับตาเบี่ยงหน้าหนีจากผมเล็กน้อยแล้วมันยังกรนใส่หน้าผมอีกอ่ะ ใจร้ายชะมัดเลย

 
               แล้วอยู่ดีๆ ก็มีอีกหนึ่งข้อความแจ้งเตือนใหม่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของผม มันคือแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นสำหรับการอัพรูป ซึ่งก็เป็นน้องไอติมนั่นเองที่อัพรูปและแท็กแอคเคาท์ของผม โอ้โห เล่นแรงใช้ได้นะครับ รูปน้องที่ผมอัพไปก่อนหน้านี้ผมแค่เหน็บความน่ารักของน้องนิดหน่อยเอง แต่นี่เล่นว่าผมกับเจ้าตัวที่กำลังนอนกรนอยู่ข้างๆ ว่าเป็นเพื่อนกันเฉยเลย
       
       
               แล้วพอกดเข้าไปดูในกรุ๊ปแชทที่ข้อความเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็พบว่า ผมกับน้องไอติมกำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาอย่างที่คิดไว้จริงๆ ถ้าทางคุณเพื่อนทั้งหลายของผมจะว่างมากจริงๆ แค่ว่างไม่พอ ไอ้จัสกับมิชิก็ยังจะขยันสร้างความร้าวฉานให้ผมกับน้องอีก แต่มันก็แค่พวกคอมเม้นที่มาเต๊าะน้องในรูปเก่าๆ ของน้องไม่ทำให้ผมสะเทือนหรอก กับเรื่องแค่นี้ถ้าผมหัวร้อนแล้วไประเบิดลงที่น้องก็แย่แล้วครับ

 
               “พี่วอร์ม… หิวยังอ่า…”
               “อะไรกัน เล่นจนหมดแรงป็อปคอร์นแล้วเหรอไง”
               “ก็ยังไม่หิวขนาดนั้นหรอกครับ แต่เจ้าตัวเล็กพวกนี้ดูเพลียๆ กันหมดแล้วอ่า... ผมเรียกมันก็ไม่มาหาสักตัวเลย”
               “โอเค ถ้าอย่างนั้นเราเดินกลับไปกัน กว่าจะถึงร้านก็คงหิวพอดี” ไอติมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับผมก่อนจะแวะร่ำลาเจ้าขนปุยทั้งหลายไม่ว่าจะตัวเล็กหรือตัวโต กว่าเราจะได้ออกจากร้านจริงๆ ก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียวครับ


               เมื่อมาถึงร้านคนที่งอแงเพราะความหิวในตอนแรกก็ตาลุกวาวทันที แต่เจ้าตัวกลับตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะสั่งรายการไหนดี อาจเป็นเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างคงดูน่ากินไปหมดในสายตาของไอติมผู้หิวโหยละมั้งครับ ผมนั่งมองน้องที่กำลังเปิดพลิกหน้ารายการหาอาหารไปมาอยู่พักใหญ่แล้ว แต่ก็ยังเลือกไม่ได้เสียที
 

               “ยังไงเรา ตกลงเลือกได้รึยังว่าจะกินอะไร หื้ม?”
               “ผมอยากกินปลาดิบอ่า... พี่วอร์มกินกับผมไหม”
               “เอาสิ พี่กินได้ทุกอย่างแหละ สั่งที่เราอยากกินเลย”
               “งั้นเอา ปลาดิบรวมหนึ่ง ปลาดิบสไลด์บางหนึ่ง แล้วก็ซูชิแซลม่อนลนไฟไส้ปลาไหลย่างครับ พี่วอร์มสั่งอะไรอีกไหม” ไอติมหันไปสั่งรายการอาหารที่ต้องการกับพนักงานก่อนจะหันกลับมาถามผม ท่าทางจะทั้งหิวและอยากกินปลาดิบมากจริงๆ
               “เอาแค่นั้นก่อนครับ ถ้าไม่พอกินค่อยสั่งเพิ่มดีกว่าเนอะ แค่นี้ก็เยอะแยะแล้วเนี่ย ฮ่าๆๆ” ผมบอกกับพนักงานที่ยืนรออยู่แล้วยีหัวคนตรงหน้าเล่นด้วยความหมั่นเขี้ยว ผมชอบเวลาที่ได้เห็นสีหน้าน้องยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้จัง ดวงตากลมใสของน้องเป็นประกายวิบวับสุดๆ ไปเลย
 

               นั่งรอไม่นานอาหารที่สั่งไปก็ถูกยกนำมาวางเสิร์ฟตรงหน้าพวกเรา ปลาดิบที่นี่ดูสดมากจริงๆ ครับ สีสันสวยงามของมันยั่วน้ำลายได้เป็นอย่างดีทีเดียว คนตรงหน้าผมก็นั่งงับตะเกียบเล่นก่อนจะช้อนตาขึ้นมามองผม จะอ้อนเอาอะไรอีกเนี่ย

 
               “กินเลยได้ไหมอ่า...” ไอติมเม้มปากแน่นพร้อมส่งสายตาอ้อนมาที่ผม นี่มันอะไรกันครับ แค่จะขอกินปลาดิบก่อนที่อาหารทุกอย่างจะมาครบนี่ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอครับ ใจผมบางหมดแล้ว อยากจะจับน้องมาหอมแก้มฟอดใหญ่เสียตอนนี้เลย
               “กะ... กินสิ กินเลย...”


               อยู่ๆ ก็เหมือนจะกลายเป็นคนติดอ่างไปเสียอย่างนั้นผมก็เลยต้องทำเป็นคีบแซลม่อนสีส้มสดป้อนน้องแก้เก้อ ยิ่งได้เห็นคนตรงหน้าหลับตาพริ้มเคี้ยวปลาดิบแก้มตุ่ยใจผมก็ยิ่งเต้นรัวหนักกว่าเดิม ก็รู้อยู่แหละครับว่าไอติมเป็นคนน่ารัก แต่ก็ไม่คิดว่าจะน่ารักไม่หยุดไม่หย่อนขนาดนี้ ผมอยากเก็บความน่ารักนี้ไว้ดูคนเดียวจริงๆ ไม่อยากให้ใครได้เห็นได้พบเจอน้องแบบนี้เลย

 
               “อิ่มมาก... พี่วอร์มเรียกเก็บเงินเลยก็ได้นะครับ คนรอคิวนอกร้านเต็มเลยอะ จะนั่งชิลต่อก็เกรงใจคนอื่นเขา” พวกเราใช้เวลาทานอาหารและพูดคุยกันไม่นานมากนักผมก็จัดการชำระเงินตามที่น้องบอก ไม่ใช่ว่าน้องจะให้ผมเลี้ยงตลอดหรอกนะครับ ไอติมเองก็เอ่ยปากจะหารกับผมเหมือนกัน แต่วันนี้ผมตั้งใจพาน้องมาเดทนี่ครับ แค่เลี้ยงแฟนวันเดียวเอง ผมไม่ถือว่าน้องเอาเปรียบหรอกครับ

 
               หลังจากคนที่บอกว่าอิ่มมากเมื่อครู่ก็เดินนำผมไปหยุดอยู่ที่ร้านไอศกรีมก่อนจะจัดการสั่งไอศรีมสตรอเบอร์รี่เพิ่มวิปครีมที่เจ้าตัวชอบพร้อมทั้งไอศกรีมช็อคโคแลตเพิ่มโอริโอ้และบราวนี่ของโปรดผมมาให้โดยคราวนี้น้องยืนกรานว่าจะเป็นฝ่ายเลี้ยงผมบ้าง ผมก็ไม่อยากให้เสียน้ำใจก็เลยยอมให้ไอติมเลี้ยง

 
               “ทำไมของพี่แก้วเล็กอ่ะ ของตัวเองนี่แก้วใหญ่เชียวนะ ไหนเมื่อกี้ใครบ่นอิ่ม”
               “พี่วอร์มอะ ไม่ต้องมาแซ็วเลย แก้วเล็กจะได้กินให้หมดก่อนไงครับ เดี๋ยวพี่วอร์มต้องขับรถนี่นา” ไอติมยู่ปากใส่ผมก่อนจะงับวิปครีมฟูฟ่องและไอศกรีมสีชมพูหวานเข้าปากด้วยความฟิน เชื่อแล้วล่ะครับ ว่าน้องชอบทานไอศกรีมมากจริงๆ สุดท้ายแล้วผมก็เดินไปกินไปจนหมดพอทีกับที่เดินออกมาถึงลานจอดรถพอดี




**น้องไอติม**
 




               หมดไปอีกหนึ่งวันที่แสนมีความสุขของผม วันนี้พี่วอร์มพาผมออกมาเที่ยวตั้งแต่ช่วงเช้าเลยครับ แถมเมื่อเช้าก็เป็นคนโทรปลุกผมก่อนด้วย ทั้งที่ส่วนมากผมจะเป็นฝ่ายโทรปลุกพี่เขามากกว่า วันนี้เราได้ทำอะไรหลายอย่างเลยครับ เวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆ และได้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารัก มันช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขจริงๆ ครับ

 
               “ยิ้มอะไรหืม?” นี่ผมคิดอะไรเพลินจนลืมตัวเผลอหันไปมองหน้าพี่วอร์มด้วยเหรอเนี่ย ไอติมเอ๊ย ทำตัวน่าอายอีกแล้ว
               “ปะ... เปล่าครับ ไม่มีอะไร... อืม... วันนี้รถเยอะจังเลยเนอะ” ผมเสมองออกไปนอกรถแล้วพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยกลบเกลื่อนสายตาล้อเลียนของพี่วอร์มที่มองมา ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ลานจอดรถของห้างครับกำลังเตรียมตัวจะกลับหอกันแล้ว
               “ไอติม...”
               “ครับ?”
               “ไอติมอะ จะละลายแล้วนะ” พี่วอร์มเพยิดหน้ามาที่ถ้วยไอติมในมือที่ผมแวะซื้อก่อนจะเดินมาขึ้นรถ แล้วมันก็เริ่มจะละลายเหมือนที่พี่วอร์มบอกจริงๆ
               “หง่า... จะละลายแล้วง่ะ! พี่วอร์มช่วยไอกินหน่อย” ผมตักไอศกรีมเข้าปากก่อนจะหันไปเอ่ยชวนคนข้างๆ ที่นั่งมองผมอยู่
               “แล้วซื้อทำไมตั้งถ้วยเบ้อเริ่ม... ละลายจนกินไม่ทันแลวเนี่ย”
               “ก็ไออยากกินอะ...” ผมตักไอศกรีมป้อนเข้าปากอีกคน ที่ไอศกรีมมันละลายไวเพราะอากาศมันร้อนต่างหาก ไม่ใช่ความผิดผมสักหน่อย พี่วอร์มจะบ่นผมทำไมก็ไม่รู้
               “ไอติมเลอะอะ”
               “หืม? ตรงไหน...”
               “ที่ปาก” ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากตามที่พี่วอร์มบอกตำแหน่งแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย
               “ไม่เห็นมี... พะ... พี่วอร์ม... จะทำอะ...!?” เหมือนทุกอย่างรอบกายจะพากันหยุดนิ่งไปหมด ตั้งแต่พี่วอร์มโน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วมอบจุมพิตเบาๆ ให้ที่มุมปากของผม นี่พี่วอร์มจูบผมเหรอ
               “เลอะตรงนี้ไง... รสสตอเบอรี่ด้วย... ขอชิมอีกหน่อยนะ”


                ผมที่กำลังตกอยู่ในสภาพมึนงงอยู่ได้เพียงไม่นานพี่วอร์มก็ก้มลงมาจูบที่ริมฝีปากผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้แค่จูบเบาๆ ธรรมดาแล้ว ริมฝีปากอุ่นๆ ของพี่เขากำลังขบเม้มกับริมฝีปากเย็นของผมช้าๆ ก่อนจะบดเบียดสัมผัสร้อนชื้นเข้ามาภายในโพรงปาก ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ผมได้รับมันกำลังจะทำให้ผมละลายเหมือนกับไอศกรีมในถ้วยที่ผมถืออยู่เลยครับ

 
               “อืม... ไอติมอร่อยจัง”
               “พะ... พี่วอร์ม!!!” ช่วยด้วยครับ ตอนนี้หน้าผมร้อนเหมือนมันกำลังจะระเบิดแล้ว ยังจะมีหน้ามายิ้มอีกดูสิครับคนเรา ฮือ ใจผมเต้นแรงแทบจะหลุดออกมาจากอกแล้วนะ ยิ่งในสถานการ์ณแบบนี้ ถึงฟิล์มกระจกรถมันจะมืดแต่ผมก็กลัวคนอื่นจะมาเห็นเหมือนกันนะ
               “เขินพี่เหรอ... จะว่าไป... นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราจูบกันสักหน่อย”
               “พะ...พี่วอร์มหมายความว่ายังไง...”
               “ตอนรับน้องไง... ฐานสุดท้ายอะ ไอติมจำไม่ได้เหรอ”


               อยู่ดีๆ พี่วอร์มพูดถึงเรื่องรับน้องขึ้นมา ใช่แล้ว วันนั้นฐานสุดท้ายในห้องเย็นที่ผมโดนกดดันให้จูบกับรุ่นพี่เพื่อแสดงความรักที่มีต่อโต๊ะ แล้วในที่สุดพี่วอร์มก็ออกมาเป็นคนที่ให้ผมจูบ แล้วตอนนั้นก็เป็นผมเองด้วยที่เลือกจะเป็นคนโน้มเข้าไปจูบพี่เขาก่อน ฮือ นึกถึงเรื่องนั้นในเวลานี้ยิ่งอายเข้าไปใหญ่เลย

 
               “จะกินไอติมต่อไหม... ละลายหมดถ้วยแล้วนั่น” เสียงพี่วอร์มที่เอ่ยถามผมขึ้นอีกครั้ง ดึงให้ผมหลุดออกจากภวังค์
               “มะ... ไม่กินแล้ว... อิ่มแล้วครับ”
               “เสียดายเหลืออีกตั้งเยอะ... แต่ไอติมถ้วยนี้อร่อยดีนะ หวานมากเลยอะ” พูดพร้อมกับส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ผมอีกครั้งจนผมอดไม่ไหวต้องยกมือฟาดเข้าไปที่ต้นแขนของพี่วอร์ม ใครใช้ให้พูดจาชวนเขินแบบนี้ล่ะครับ
               “พี่วอร์ม!!! หยุดเลย! รีบขับรถกลับหอเลย! ไม่ต้องพูดแล้ว...”


.


.



.


.

 
               น่าแปลกที่วันนี้รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเราสวนทางกับคนอื่นก็เป็นไปได้ ใช้เวลายังไม่ถึงชั่วโมงดีตอนนี้พี่วอร์มก็ขับมาถึงทางออกของทางด่วนที่มุ่งหน้าไปสู่มหาวิทยาลัยของพวกเราแล้วครับ แล้วจู่ๆ ความรู้สึกปวดจี๊ดก็แล่นเข้ามา เอาแล้วไงเจ้าแซลมอน เจ้ามากูโร่ เหล่าปลาดิบที่ทานไปเมื่อมื้อเย็นออกฤทธิ์แล้วแน่ๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าถ้ากินเข้าไปจะเป็นแบบนี้ แต่ผมก็กินมันอยู่ดี คนมันอยากกินนี่ครับ ไม่ได้กินตั้งนานแล้วด้วย ถ้าขืนผมบอกพี่วอร์มว่าผมแพ้ปลาดิบต้องอดกินแน่ๆ พี่วอร์มไม่มีทางยอมให้ผมกินเด็ดขาด เพราะฉะนั้นก็ต้องอดทนเอาไว้

 
               ผมขยำเสื้อที่บริเวณหน้าท้องกำมือเอาไว้แน่น หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความปวดได้บ้างแต่มันก็ไม่ดีขึ้นเลยจนผมต้องเริ่มนั่งตะแคงตัว แต่ท่าทางที่ดูบิดไปมาผิดท่านั่งแบบบี้คงทำให้พี่วอร์มผิดสังเกตและเอ่ยถามขึ้นมาจนได้
 

               “ไอติมเป็นอะไรรึเปล่า...”
               “เปล่าครับ... แค่ปวดท้องนิดหน่อย...” คำโกหกคำโตหลุดออกไปจากปากผม นิดหน่อยบ้าอะไรเล่า ปวดมาก ปวดจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้วเนี่ย ปวดจี๊ดเหมือนมีใครกำลังจับอวัยวะภายในท้องผมมาหมุนแล้วบิดจนเป็นเกรียวยังไงอย่างนั้นเลย ฮือ
               “ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ถึงหอแล้ว” พี่วอร์มเหยียบคันเร่งทันที รถทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วจนหน้ากลัว ผมอยากจะบอกให้พี่เขาขับช้าๆ ก็ได้ เพราะด้วยความเร็วขนาดนี้มันออกจะอันตรายไปหน่อย แต่ตอนนี้ผมแทบไม่มีแรงแม้จะตอบกลับพี่วอร์มเลยด้วยซ้ำ ครั้งก่อนๆ ที่เคยกินไม่เห็นมันจะปวดขนาดนี้เลยนี่นา

 
               เมื่อพี่วอร์มช่วยประคองผมว่าส่งถึงหน้าห้องแล้ว ผมเลยบอกให้พี่เขากลับไปพักผ่อน เพราะวันนี้ก็ออกพาผมเที่ยวตั้งแต่เช้าแล้วคงจะเหนื่อยไม่น้อยเลย แต่พี่เขากลับยืนกรานที่จะอยู่ดูแลผมจนกว่าผมจะหลับ แต่ปวดท้องขนาดนี้จะหลับลงได้ยังไงกันเนี่ย หรือผมควรจะล้วงคอดี ถ้าปล่อยไว้แบบนี้มันทรมานเกินไป

 
               “ปวดมากเลยเหรอ ดูสิเหงื่อแตกไปหมดแล้วเนี่ย... มียารึเปล่า”
               “ไม่มีเลยอ่า... ปวดเหมือนมีใครมาบิดเลย ฮือ...”
               “ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหมไอ...” ผมรีบส่ายหัวเป็นการปฏิเสธพี่วอร์มทันที ผมไม่อยากลุกไปไหนแล้วจริงๆ อย่างน้อยการที่ได้นอนจดอยู่แล้วนี้มันก็จะปวดน้อยลงบ้าง
               “จริงๆ เลยนะ ถ้าอย่างนั้น รอพี่แป๊บนึง เดี๋ยวจะลงไปหาซื้อยาให้ โอเคนะ แต่ถ้าไม่หายต้องไปโรงพยาบาลนะรู้เปล่า” พี่วอร์มที่ซุดตัวลงนั่งอยู่บนเตียงข้างผม ลูบหัวผมเบาๆ พร้อมกับทำเสียงดุ ก่อนจะรีบออกจากห้องไปเพื่อหาซื้อยาตามที่บอก ทำไมผมจะไม่รู้ว่าที่พี่เขาดุก็เพราะเป็นห่วง แต่ผมก็ไม่อยากจะโดนดุไปมากกว่านี้หรอกนะครับ

 
               นึกแล้วก็อดโทษตัวเองไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่ากินไม่ได้ก็ยังจะกิน แต่ปกติทุกครั้งมันก็แค่ท้องเสียไม่ได้รุนแรงอะไรนี่นา แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้ปวดขนาดนี้นะ ผมเดินเข้าออกห้องน้ำอยู่หลายรอบมาก นั่งแช่อยู่ในนั้นก็แล้วแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาการปวดก็ยังไม่ได้ทุเลาลงเลยครับ สุดท้ายก็ได้แต่มานอนบิดอยู่บนเตียงเหมือนเดิม ทำไมพี่วอร์มไปนานจัง เมื่อไหร่จะกลับมานะ ระหว่างที่ผมกับลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ความปวดก็แล่นจี๊ดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนกับทุกอย่างภายในและก้อนอะไรบางอย่างกำลังดันย้อนขึ้นมา

 
               อุ... แหวะ...

 
               ถึงแม้ผมจะพยายามพุ่งตัวไปที่ห้องน้ำอย่างเร็วที่สุดแล้วแต่มันก็ไม่ทันอยู่ดีครับ แทนที่สิ่งซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายและไม่พึงประสงค์นั้นจะถูกปลดปล่อยในโถชักโครกมันกลับกระจายอยู่เต็มพื้นเลย แถมบางส่วนก็ยังเปื้อนอ่างล้างหน้าอีก ฮือ ยังดีที่ไม่เปื้อนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ตอนนี้ไปด้วย

 
               “ไอติม!!! ไหวเปล่าเนี่ย...”
               “พี่วอร์ม! อย่าเพิ่งเข้ามา!!! ไม่ต้องเข้ามานะครับ อ้วกเลอะเทอะเต็มพื้นเลยอ่า...”
               “ไม่เป็นไรๆ แล้วโอเคขึ้นไหม ไอรีบๆ ออกมากินยาแล้วนอกพักเถอะ” พี่วอร์มยืนลูบหลังผมอยู่หน้าประตูและตบเบาๆ เป็นการปลอบ ผมไม่ได้ร้องไห้หรอกนะครับ แต่มันแสบคอไปหมด น้ำตามันก็เลยไหลออกมาด้วย

 
               พี่วอร์มพาผมกลับไปที่เตียงและให้นั่งพิงหัวเตียงไว้ก่อนเพื่อที่จะได้กินยา ผมเห็นพี่วอร์มค่อยๆ เทยาน้ำสีขาวขุ่นใส่ช้อนแล้วจ่อมาที่ปากผม ให้ตายเถอะ ตั้งแต่ไหนแต่ไรผมก็ไม่ค่อยจะถูกกับยาประเภทน้ำสักเท่าไหร่ แต่คราวนี้คงต้องยอมกินแล้วล่ะครับ กลิ่นหอมมินต์จากของเหลวตรงหน้าช่วยให้ผมคลายกังวลลงไปได้บ้าง รสชาติของมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก หลังจากที่ผมกินช้อนแรกไป พี่วอร์มก็ยังคงยื่นอีกช้อมมาอย่างต่อเนื่อง ผมเบะปากเล็กน้อยยังไม่ทันที่จะปฏิเสธพี่วอร์มก็รีบพูดดักคอผมขึ้นมาทันที


               “กินเร็วๆ เลย สองช้อนเอง กินให้หมดนะ หรือถ้าไม่อยากกิน ไอจะไปโรงพยาบาลแทนก็ได้นะ เดี๋ยวพี่พาไป” สุดท้ายผมก็ยอมจำนนกินไปสองช้อนเต็มๆ แล้วรีบดื่มน้ำตามทันทีถึงรสชาติมันจะไม่ได้แย่ แต่ยามันก็คือยาอยู่ดีนั่นแหละครับ พอผมล้มตัวลงนอนพี่วอร์มก็เดินกลับไปที่หน้าห้องน้ำ ถึงผมอยากจะพุ่งตัวไปห้ามมากแค่ไหน แต่ก็ทำได้เพียงส่งเสียงไปถาม
               “พี่วอร์มจะทำอะไรอ่า...”
               “เรานอนไปเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง
               “แต่ว่า... มันสกปรกอะ ทิ้งไว้แบบนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวไอตื่นมาทำเอง”
               “เล็กน้อยน่า เรื่องแค่นี้เอง ถ้าพี่จัดการไมได้แล้วพี่จะดูแลไอได้ยังไง หื้ม? รีบๆ นอนพักไปเลย ถ้าไม่ยอมนอนพี่จะพาไปโรงพยาบาลจริงๆ แล้วนะ” พี่วอร์มหันมาพูดขู่ผมพร้อมชี้นิ้วมาเป็นการคาดโทษ ผมเองก็ไม่ใช่คนดื้อด้านอะไรขนาดนั้นเพียงแต่ว่าเกรงใจพี่เขามากกว่า วันนี้เหนื่อยขับรถพาผมไปเที่ยวเล่นมาทั้งวันแล้วยังต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก รู้สึกผิดชะมัดเลยครับ ถ้าผมไม่ฝืนกินปลาดิบเข้าไปเหตุการณ์ก็คงไม่กลายมาเป็นแบบนี้

 
               หลังจากที่พี่วอร์มปิดประตูห้องน้ำผมก็ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวไหลลงกระทบกับพื้นกระเบื้องตอนนี้พี่วอร์มคงกำลังปล่อยให้สายน้ำช่วยชำระสิ่งไม่พึงประสงค์ที่ขับออกมาจากร่างกายของผม นอนฟังเสียงน้ำไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็รู้สึกง่วงขึ้นมาเสียเฉยๆ วันนี้ผมรู้สึกขอบคุณพี่วอร์มมากจริงๆ พี่เขาดีกับผมมาก ทั้งคอยตามใจ คอยดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง ถึงวันนี้ร่างกายผมจะป่วยแต่ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ผมก็มีความสุขและอิ่มเอมใจมากๆ เลยครับ



.



.



.



To be Continue...





TALK:;
แถวนี้มดเยอะมากเลยเนอะ
ช่วงนี้ก็หวานๆ อ่านสบายๆ เรื่อยๆกันไปก่อนนะคะ
แต่รับรองว่าตอนต่อๆ ไปเข้มข้นแน่นอน ฝากติดตามด้วยนะคะ
พูดคุยติชมในทวิต #หัวใจอุ่นไอรัก ได้เลยนะคะ




หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 17 :: 'วิตามิน' ] 1900520
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 20-05-2019 15:25:34
               

               
                 
:: Chapter 17 :: 'วิตามิน'




**พี่วอร์ม**



               เขาว่ากันว่าหากมีเราความสุขเวลามักจะเดินเร็วเสมอ ตั้งแต่ผมกับไอติมตกลงคบกันเป็นแฟนเราใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วยกันเสมอ ทุกวันที่ทั้งผมและน้องไม่มีเรียนเราก็มักจะออกไปเที่ยวด้วยกันหรือที่หลายๆ คู่เรียกมันว่าการเดท หากบางวันที่รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะออกไปข้างนอก ไอติมก็มักจะมานั่งเล่นและใช้เวลาทั้งวันอยู่กับผมและเจ้าเบนโตะที่ห้อง ถึงแม้ว่าผมจะเอ่ยปากบอกว่าให้ผมเป็นฝ่ายขึ้นไปหาน้องที่ห้องบ้างก็ได้ แต่เจ้าของห้องกลับปฏิเสธทันควันและยืนยันที่จะเป็นฝ่ายมาหาผมที่ห้องเอง บางทีเราก็แค่นั่งทานข้าวด้วยกัน นอนดูหนัง เล่นกับเจ้าเบนโตะไปเรื่อยเปื่อยจนหมดวันไปอย่างแสนธรรมดา แต่มันกลับเป็นวันที่แสนพิเศษและมีความหมายกับผมมากๆ ไม่มีครั้งไหนเลยที่รู้สึกอึกอัดหรือน่าเบื่อเมื่อผมได้อยู่กับไอติม

 
               แต่ช่วงที่ผ่านมานี่สิครับ เนื่องจากเป็นช่วงสอบปลายภาค ซึ่งสำหรับเด็กนิติศาสตร์อย่างพวกผมก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ท่องประมวลกฎหมาย และฝึกทำข้อสอบวนไปเท่านั้น ถึงบางครั้งไอติมกับเพื่อนๆ จะมานั่งอ่านหนังสือรวมกับพวกผมที่หอสมุดก็ตาม แต่เราแทบจะไม่ได้คุยกันเลยครับ เรียกได้ว่าอยู่กับกองหนังสือและเอกสารมากกว่าแฟนก็ว่าได้
 

               จนวันนี้ซึ่งเป็นวันสอบวันสุดท้ายก็มาถึง ปี1 มีสอบตัวสุดท้ายช่วงเช้า ส่วนปี3 อย่างผมกว่าจะเลิกก็เย็นนั่นแหละครับ เพราะเริ่มสอบตอนบ่ายถึงจะดีที่ยังพอมีเวลาให้อ่านเพิ่มเติม แต่ตอนนี้ผมอยากสอบให้มันจบๆ ไปมากกว่าครับ ตอนนี้คิดถึงเตียงที่ห้องมากๆ ช่วงสอบทีไรแทบไม่ได้นอนทุกทีเลยครับ นี่ผมก็ตื่นแต่เช้ามาส่งไอติมเข้าห้องสอบแล้วลากสังขารตัวเองมานั่งอ่านหนังสือต่อที่หอสมุดตามที่เค้กนัด ถ้าไม่มีเค้กผมว่าทั้งผม ไอ้จัส และมิชิก็คงยังไม่ตื่นและนอนตายกันอยู่ที่ห้อง
 

               “สอบเสร็จชวนน้องๆ ปี1 ไปกินข้าวด้วยกันดีไหม ช่วงปิดเทอมน่าจะแยกย้ายกันกลับบ้าน...”
               “เอาสิเค้ก พวกมึงว่าไง” ไอ้มิชิที่ขานรับข้อเสนอของเค้กทันควัน หันมาถามความคิดเห็นผมกับจัส จริงๆ ถ้าจะแสดงความยินยอมและเห็นด้วยไปขนาดนั้นแล้วไม่ต้องถามแล้วก็ได้มั้ง ไอ้คุณชายนี่
               “วอร์มยังไงก็ได้อยู่แล้วเค้ก”
               “จัดสิครับ รออะไร ไม่ได้กินข้าวกับน้องๆ นานแล้ว ตั้งแต่งานกีฬามหา’ลัยโน่น” ไอ้จัสเองก็ดีใจจนออกนอกหน้า ผมรู้ทันหรอกนะ ว่ามันไม่ได้ดีใจที่จะได้กินข้าวกับน้องสายตัวเองหรอก มันอยากกินข้าวกับน้องสายเค้กมากกว่า ถ้าปี2 อยู่ด้วยก็คงพากันไปกินทั้งหมดนั่นแหละครับ แต่ว่าจะสอบเสร็จกันไปตั้งแต่เมื่อสองสามวันก่อนแล้ว
               “ตกลง ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเค้กส่งข้อความไปบอกน้องไวท์เลย ทุกคนก็บอกน้องสายตัวเองด้วยนะ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะกดส่งข้อความไปหาไอติม แต่คาดว่าตอนนี้น้องน่าจะกำลังสอบอยู่ เดี๋ยวสอบเสร็จก็คงจะเปิดอ่านข้อความเองแหละครับ
 





**น้องไอติม**




               “โอ๊ย~ ในที่สุดก็สอบเสร็จสักที สมองจูตอนนี้นะ รู้สึกโล่ง~ ไปหมดเลย” จูเนียร์บ่นทันทีหลังจากที่เดินออกมาจากห้องสอบได้ไม่นานนัก ผมกับจูเนียร์ทำข้อสอบเสร็จในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่วนไวท์นั้นยังคงนั่งอยู่ในห้องสอบ และตอนนี้ก็เหลือเวลาสอบอีกเพียงแค่สิบนาทีเองครับ สงสัยไวท์จะเหมาจนครบหมดชั่วโมงแน่ๆ เลย ไม่รู้จะเอาท็อปเซคหรือยังไงกันนะ
               “อือ... เบาหัวเลยอะ รู้สึกเหมือนเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย สอบเสร็จหมดแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่ลุ้นคะแนน ฮือ... กลัวจัง” ผมบ่นต่อบ้าง เห็นเพื่อนๆ หลายคนที่เดินออกมาจากห้องสอบ พากันเปิดชีทดูแนวคำตอบที่น่าจะถูกต้องจากข้อสอบเก่ากันอยู่แถมยังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่างๆ นานา ว่าตอบอะไรกันไปบ้าง แต่ผมไม่ชอบทำแบบนั้นหรอกครับ ดูไปก็เสียความมั่นใจและเจ็บใจเปล่าๆ ถ้าเกิดว่าเราทำข้อสอบผิด มาขนาดนี้แล้วยังไงเราก็กลับไปแก้ไขอะไรมันไม่ได้อยู่ดี
               “พี่มิชิกับพี่จัสชวนไปกินข้าวฉลองหลังสอบเสร็จอะ”
               “หืม?” ผมหันไปมองข้อความบนหน้าจอมือถือของจูเนียร์ที่ยื่นมาให้ผมดู ก่อนที่โทรศัพท์ของผมจะสั่นขึ้นตามมาหลังจากนั้น แล้วก็เป็นข้อความจากพี่วอร์มนั่นแหละครับ ที่แจ้งเตือนปรากฏขึ้นมาตอนนี้ พี่วอร์มเองก็แชทมาบอกเรื่องที่จะไปกินข้าวเย็นนี้เหมือนกัน
 

               หลังจากที่รอไวท์ออกมาจากห้องสอบ พวกเราก็ตัดสินใจกลับหอกันก่อนครับ ถึงแม้ว่าใจนึงผมจะอยากไปหาพี่วอร์มที่หอสมุดก่อนก็เถอะ แต่เห็นตว่าพี่ๆ เขากำลังติวหนังสือกันเลยไม่ขอไปกวนดีกว่า เพราะเดี๋ยวช่วงบ่ายพี่ๆ ก็ต้องเข้าห้องสอบกันแล้ว อีกอย่างยังไงเย็นนี้เราก็ได้เจอกันอยู่แล้ว
 

               เมื่อถึงเวลานัดพี่วอร์มก็ขับรถมารับผมกับเพื่อนๆ ที่หอซึ่งก็มีเหตุผิดพลาดทางเทคนิคเล็กน้อยแต่ก็หาข้อสรุปได้และผ่านไปด้วยดีครับ พอมาถึงที่ห้างสรรพสินค้าพี่วอร์มก็พาผมมุ่งหน้าไปที่ร้าน คาดว่าพวกพี่ๆ เขาคงจองโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้ว
 

               “อ้าว... ไหนมึงว่าจะไปรับน้องแค่คนเดียวไง แล้วทำไมจูเนียร์กับไวท์ถึงไปกับไอ้จัสวะ” พี่มิชิเอ่ยถามหลังจากที่ผมกับพี่วอร์มเดินเข้ามาในร้านพิซซ่าซึ่งมีพี่มิชิกับพี่เค้กมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
               “มันบอกว่าจะให้กูอยู่กับไอติมสองคนไม่อยากเป็นก้างขวางคอ มันเลยขอพาน้องสายกับน้องไวท์ไปพร้อมมัน... มึงว่ามันอ้างไหม” พี่วอร์มบ่นกับพี่มิชิต่อจากนั้นจนพี่มิชิกับพี่เค้กพากันหัวเราะออกมา เอาจริงๆ ผมเองก็งงเหมือนกันนะครับ เพราะตอนแรกพี่วอร์มบอกว่าจะมารับผมกับเพื่อนๆ แค่คนเดียว ทำไปทำมา ไม่รู้ทำไมพี่จัสถึงขับรถตามมาด้วยก็ไม่รู้ ผลสุดท้ายเลยออกมาตามที่พี่วอร์มว่านั่นแหละครับ
               “เอาหน่า ปล่อยๆ มันไปเถอะ ไหนๆ ก็จะปิดเทอมแล้ว ให้มันทำคะแนนหน่อย”
               “เออสิ นี่ก็เห็นแก่เพื่อนหรอกเว้ย ถ้าไม่อย่างนั้นนะมันโดนกูด่าไปแล้ว โทษฐานทำตัวเรื่องมากชิบหาย”
               “นินทาอะไรผมครับคุณวอร์ม... หัวร้อนอีกแล้วเหรอ” ยังไม่ทันขาดคำ พี่จัสก็เดินเข้ามาพร้อมๆ กับไวท์และจูเนียร์ที่กำลังยืนทำหน้างงๆ อยู่พอดี สงสัยคงเป็นเพราะเห็นผมแอบขำละมั้ง
               “ตายยากจังเลยครับคุณจัส”
               “ก็ผมขับรถตามคุณมาติดๆ นะครับ เสียเวลาแค่หาที่จอดรถเอง”
               “บุญน้อยก็แบบนี้อะครับ”
               “พอๆๆ พอเลยทั้งสองคน มาๆ มานั่งกันได้แล้วจะยืนเถียงกันทำไมเนี่ย” ผมนึกขอบคุณพี่เค้กที่ช่วยห้ามครับ ไม่อย่างนั้นวันนี้พวกเราคงจะไม่ได้นั่งที่โต๊ะกันแน่ๆ
 






**พี่วอร์ม**





               “ปิดเทอมกลับบ้านหรือเปล่าไวท์” เค้กเอ่ยถามน้องสายตัวเองหลังจากที่พวกเราลงมือจัดการกับพิซซ่าและไก่บาร์บีคิวที่สั่งมาไปได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว
               “ก็ว่าจะกลับครับพี่เค้ก ไวท์คิดถึงบ้านอะ อีกอย่างจะกลับไปช่วยงานที่บ้านด้วยครับ”
               “ที่บ้านน้องไวท์ทำอะไรหรอ” คราวนี้ไม่ใช่เสียงพี่สายของน้องไวท์ที่ถามหรอกนะครับ แต่เป็นไอ้จัสที่ถามแทรกขึ้นมาด้วยแววตาที่แสนกระตือรือร้น อยากจะรู้คำตอบเสียเหลือเกิน หน้าตาหน้าหมั่นไส้มากครับพูดเลย
               “ที่บ้านไวท์ทำโฮมสเตย์ที่แม่กำปองอะครับ”
               “จริงหรอน้องไวท์! โหย ดีจังเลยอะ พี่อยากไปเที่ยวที่นั่นมากเลยนะ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที” เสียงตื่นเต้นของไอ้จัสทำเอาพวกผมสามคนเหลือบมองและสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย เข้าทางเชียวนะไอ้โย่ง
               “ไว้ถ้าพี่จัสจะไปเที่ยวก็บอกไวท์นะครับ ถึงโฮมสเตย์ของบ้านไวท์จะไม่ค่อยสวยเก๋เหมือนที่อื่น แต่บรรยายกาศที่นั่นสวยไม่แพ้ใครเลย” น้องไวท์บอกพร้อมอมยิ้มน้อยๆ ผมเชื่อว่าถ้ามีวันว่างเมื่อไหร่ ไอ้จัสมันต้องหาทางไปเที่ยวบ้านน้องจนได้แน่ๆ
               “พี่ไปแน่นอนครับ”
               “เนี่ย จัสเขาชอบไปเที่ยวอะไรแบบนี้มากเลยนะไวท์ ไปคนเดียวก็เคยไปมาแล้ว ชีพจรลงเท้ามาก ขี่บิ๊กไบค์ไปกลับกรุงเทพ -เชียงรายก็เคยมาแล้วนะ” เค้กพูดแทรกขึ้นมาทำเอาไอ้จัสยิ้มหน้าบานเลยครับ ก็แหม พี่สายน้องไวท์อย่างเค้กเล่นปูทางให้ขนาดนี้แล้ว ผมว่าไอ้จัสต้องหาโอกาสสมนาคุณให้เพื่อนผมแดงงามๆ แล้วล่ะครับงานนี้
               “ถ้ามึงไปก็ไปอุดหนุนกิจการบ้านน้องเขาด้วยล่ะ” มิชิพูดเสริม ไอ้นี่ก็เห็นดีเห็นงามตามเค้กไปหมดเสียทุกอย่างจนผมเริ่มหมั่นไส้แล้วล่ะครับ
               “ไปแค่เที่ยวนะเว้ย อย่าไปขอไลน์สาวๆ เจ้าถิ่นมาอีกล่ะ มึงนี่นะ ไปไหนก็ได้ของแถมติดไม้ติดมือมาด้วยตลอด” ผมแกล้งแซวเพื่อน ถึงจะไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดก็เถอะครับ เพราะความจริงแล้วเพื่อนผมมันก็อยู่เฉยๆ ของมันนั่นแหละครับ เป็นฝ่ายสาวๆ เสียเองที่เข้ามาขายขนมจีบให้ แต่มันอดไม่ได้นี่ครับ เห็นหน้าตาเบิกบานของมันแล้วหมั่นไส้
               “เชี่ยวอร์ม! กูเคยไปขอไลน์สาวที่ไหน ไม่มีเลยเหอะ พูดจาเลอะเทอะ น้องๆ อย่าไปฟังที่ไอ้วอร์มมันพูดนะ... ไอ้วอร์มนี่แหละตัวดี เห็นสาวที่ไหนหน้าตาดีหน่อยไม่ได้ เที่ยวไปหยอดขอเบอร์เขามาเรื่อย” เอาแล้วไหมล่ะเพื่อน ไหงกลายมาเป็นแบบนี้วะ
               “พูดจาไม่เก็บลูกๆ ในปากเลยนะมึง... อย่ามาทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยกดิวะ! ไอติมอย่าไปฟังมันนะ ไอ้จัสมันขี้โม้” ผมรีบหันไปบอกคนน่ารักที่นั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ ผม
               “จริงเหรอพี่วอร์ม นี่ไอเกือบเชื่อแล้วนะเนี่ย” นั่นไงครับ ไอติมของผมก็ดันรับมุกไปเล่นกับมันอีก เยี่ยมจริงๆ
               “ฮ่าๆๆ มึงแม่งกากสัด จะเล่นไอ้จัสเสือกเข้าตัวเองเฉย” ไอ้มิชิได้ทีก็รีบทับถมผมทันที ไม่เคยจะช่วยอะครับ ดีเหลือเกิน
               “อะนะ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะพวกมึง” ผมเป็นอย่างที่ไอ้จัสมันพูดที่ไหนกันล่ะครับ ตั้งแต่จบมัธยมปลายมา อย่าว่าแต่คบใครหรือมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเลยครับ แค่คนคุยยังไม่มีเลยครับ



               เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นมาอีกครั้ง.. พวกเรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ทั้งเรื่องการสอบที่เพิ่งผ่านไปบ้าง เรื่องที่ปิดเทอมนี้จะไปไหนบ้าง.. จะว่าไปแล้ว ไอติมเองก็มีบ้านอยู่ต่างจังหวัดเหมือนกันแล้วผมก็คิดไว้แล้วละว่าน้องต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัดช่วงปิดเทอมนี้ด้วย  ผมคงคิดถึงน้องน่าดู
 


               หลังจากที่พวกเราทานมื้อค่ำและต่อด้วยของหวานกันจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ตัดสินใจที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อนเสียที เพราะวันนี้ก็ใช้ทั้งพลังกายและพลังใจในสนามสอบกันมาอย่างหนักหนาแล้ว แน่นอนว่าผมกับไอติมกลับด้วยกัน ส่วนน้องจูเนียร์และน้องไวท์นั้น ไอ้จัสเป็นคนอาสาไปส่งเองซึ่งเค้กก็ไม่ได้คัดค้านอะไร มิชิก็เลยยิ้มไม่หุบเลยครับทีนี้
 




**น้องไอติม**



               ทันทีที่เจ้าของห้องเปิดประตูเดินนำผมเข้าไปในห้อง เจ้าหมาน้อยก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ ส่วนเจ้านายของมันน่ะเหรอครับ ตอนนี้ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงทั้งๆ ที่ยังใส่แว่นตาอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมรู้ครับว่าพี่วอร์มเหนื่อย เพราะดูจากท่าทางแล้วคงจะโต้รุ่งอ่านหนังสือติดกันหลายวัน ไม่ค่อยได้พักผ่อนสักเท่าไหร่ผมถึงไม่อยากจะมารบกวนพี่เขาและขอแยกจะกลับห้องตอนที่เรากลับมาถึงหอยังไงล่ะครับ แต่อีกคนกลับไม่ยอมแถมยังรั้งข้อมือผมไว้แล้วจูงมาจนถึงห้องนี่แหละครับ ผมอมยิ้มและส่ายหัวเล็กน้อยให้กับคนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงก่อนจะเดินไปเทอาหารเม็ดให้เจ้าเบ็นโตะ

 
               “ไอติม~ มานั่งนี่เร็ว มานั่งใกล้ๆ หน่อย...” เสียงแหบอันเป็นเอกลักษณ์ของพี่วอร์มดังขึ้นทั้งที่เจ้าตัวยังคงหลับตาอยู่ น้ำเสียงเจือไปด้วยความออดอ้อน ผมทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เดี๋ยวนี้ชักจะอ้อนเก่งใหญ่แล้วนะครับ พี่วอร์มปรือตาขึ้นมามองเล็กน้อยพร้อมย้ายหัวตัวเองมานอนหนุนที่ตักของผมทันที
               “เหนื่อยก็นอนพักนะครับ” ผมบอกกับพี่วอร์มพลางเล่นผมนิ่มของพี่เขาอย่างเพลินมือ ผมชอบเวลาที่พี่วอร์มไม่ได้จัดแต่งทรงผมแล้วปล่อยให้มันปรกหน้าผากลงมาตามธรรมชาติแบบนี้มากๆ ครับเลย มันทำให้นึถึงตอนสมัยมัธยมเลย
               “คืนนี้ไอติมอยู่กับพี่ได้ไหม เดี๋ยวปิดเทอมไอกลับบ้านเราก็จะไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันแหนะ”
               “ใครบอกพี่วอร์มกันครับ ว่าไอจะกลับบ้าน...”


                คนที่นอนหลับตาอยู่นั้นลืมตาขึ้นมาจ้องหน้าผมทันที สายตานั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและงุนงง ผมค่อยๆ ถอดแว่นสายตาออกก่อนจะแกล้งบีบจมูกพี่วอร์มเล่นด้วยความมันเขี้ยว



               “ปิดเทอมนี้ไอไม่กลับบ้านหรอกครับ ไอจะอยู่กับพี่วอร์มนี่แหละ จะตามไปทุกที่เลยด้วย เอาให้เบื่อกันไปข้างเลย ถึงเวลาจะมาไล่ให้ไอกลับบ้านไอก็ไม่ไปแล้วนะครับ แบบนี้ยังจะอยากให้ไออยู่ด้วยอีกรึเปล่า”


                 ผมจ้องตาพี่เขากลับไป ตอนนี้คนที่นอนหนุนตักผมอยู่กำลังคลี่ยิ้มกว้างด้วยความพอใจ รอยยิ้มแบบนี้ของพี่วอร์มมันอันตรายต่อใจผมจริงๆ พี่เขาจะได้ยินเสียงหัวใจของผมที่กำลังเต้นโครมครามราวกับมีใครมารัวกลองอยู่แถวนี้ไหมนะ


               “ไม่มีวัน พี่ไม่มีทางไล่ไอไปไหนเด็ดขาด สำหรับพี่ ให้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาไปทั้งชีวิตเลยก็ยังได้ ไอติมต่างหาก จะหนีพี่ไปไหนก่อนรึเปล่า” พี่วอร์มกุมมือผมไว้ก่อนจะจุมพิตลงที่หลังฝ่ามือผมเบาๆ ทำไมตอนนี้ผมได้รู้สึกร้อนไปหมดแบบนี้นะทั้งๆที่แอร์ห้องพี่วอร์มก็ออกจะเย็นฉ่ำขนาดนี้ หน้าผมต้องหน้าแดงมากแน่ๆ เลย
               “ไม่มีวันครับ ถ้าพี่วอร์มไม่ไล่ไอก็จะอยู่กับพี่วอร์มไปแบบนี้แหละ ทุกๆ วัน... ตลอดชีวิตเลย... แต่ตอนนี้ลุกไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะครับ จะได้มานอนพัก ไม่ได้นอนมากี่วันแล้วเนี่ย ไอจะได้ขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเหมือนกัน”
               “โอเคเลย แต่ไอไม่ต้องไปหรอก... อาบที่นี่แหละ เสื้อผ้าพี่ก็มีเยอะแยะ เอ~ หรือว่าเราจะอาบพร้อมกันเลยดี”
               “พี่วอร์ม!!! ไม่ต้องเลย ใครจะอาบน้ำพร้อมพี่กัน ไปเลยครับ เข้าห้องน้ำไปเลย” ผมปาผ้าขนหนูใส่พี่วอร์มไปเต็มแรง ทำไมถึงพูดเรื่องอะไรพวกนี้ออกมาได้ด้วยหน้าเรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติแบบนี้นะ มีแค่ผมคนเดียวหรือยังไงที่รู้สึกเขิน ตลอดช่วงปิดเทอม ผมจะต้องทำยังไงถึงจะรับมือกับนายไออุ่นที่พร้อมจะหลอมละลายไอติมคนนี้ได้ตลอดเวลากันนะ


               .

               .



               .



**พี่วอร์ม**



               ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม แต่ชีวิตเด็กปี3 อย่างพวกผมกลับโดนสั่งให้ทำรายงานส่งวันเปิดเทอมเสียนี่ โครตเซ็ง แต่ก็บ่นไปอย่างนั้นแหละครับ ปิดเทอมตั้งนานใครมันจะไปนั่งทำรายงานทุกวันกัน เพราะเพิ่งปิดเทอมผมก็เลยตัดสินใจอยู่หาข้อมูลเตรียมรายงานต่อสักหน่อยยังไม่กลับบ้าน ไม่งั้นคงเที่ยวเพลินจนไม่ได้ทำแน่ๆ แต่คนที่งัวเงียและงอแงอยู่ข้างๆ ผมนี่สิ บอกให้นอนพักอยู่ห้องแล้วบ่ายๆ ค่อยออกมาหาผมก็ไม่เชื่อ ยืนยันจะออกมาแต่เช้าพร้อมผมให้ได้


               “พี่วอร์ม... ไออยากกินช็อคปั่นที่ศูนย์หนังสือง่า...”
               “อืม... ก็ไปซื้อดิ”
               “ไปด้วยกันสิ ไอไม่อยากเดินไปคนเดียวอะ นะ นะ ไปกับไอนะ”
               “แต่พี่หาข้อมูลอยู่อะ ทำไมวันนี้งอแงจังครับ หื้ม?” ผมลูบหัวคนที่กำลังเอนตัวมาพิง คลอเคลียและซบไหล่ผมอยู่เบาๆ จริงๆ ผมก็ไม่ได้ยุ่งขนาดที่ว่าจะออกไปซื้อน้ำเป็นเพื่อนน้องไม่ได้หรอกครับ แต่เวลาน้องอยากได้อะไร ก็จะมาอ้อนเอาแบบนี้ตลอด ผมก็อยากจะแกล้งเขาบ้าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมยอมตามใจจนเสียนิสัย
               “อยู่เฉยๆ แล้วมันง่วงนี่นา วันนี้พี่วอร์มยังไม่ได้กินกาแฟเลยไม่ใช่เหรอ ไปซื้อกาแฟกับไอนะ”
               “เดี๋ยวชงกาแฟสำเร็จรูปตรงนี้กินเอาก็ได้”
               “ง่ะ พักก่อนไม่ได้เหรอ นี่พี่นั่งจ้องหน้าจอมาเป็นชั่วโมงแล้วนะครับ ไปเถอะนะ เดี๋ยวกลับมาแล้วไอช่วยอ่าน ช่วยสรุปให้” ไอติมยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะให้ผมออกไปร้านกาแฟ เมื่อเห็นว่าผมยังคงนิ่งและพยายามเขยิบตัวออกห่างจากเขา ไอติมก็เขยิบตามแถมยังก้มลงมาเอาหน้าถูแขนผมก่อนจะเอาคางมาเกยแขนผมไว้แล้วยังจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊กตามผมอีก
               “เด็กดื้อ! เด็กเอาแต่ใจ” ผมยกมือขึ้นไปขยี้หัวน้องด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะบีบจมูกเขาไปอีกหนึ่งที ส่วนเด็กเอาแต่ใจที่ว่าก็พยักหน้าไปมาเพื่อจะให้คางของตัวเองเคาะกับแขนผมเบาๆ คนเราเลี้ยงแมวนี่จำเป็นน้องนิสัยเหมือนแมวด้วยไหมครับ อ้อนเก่งจริง
               “ไม่ดื้อ... ไอเป็นเด็กดีของพี่วอร์มตลอดแหละ ขอช็อคปั่นแก้วนึง สัญญา จะไม่ดื้อไม่ซน ไม่นอกใจด้วย นะครับ” ไอติมยู่ปากก่อนจะทำเสียงอ้อนกว่าเดิม ไม่ต้องบอกทุกคนก็คงจะเดาใช่ไหมครับ แน่นอนว่าผมก็ใจอ่อน ยอมแพ้ให้น้องอีกตามเคย
               “อะ ไปก็ไป...”
             



              ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 17 :: 'วิตามิน' ] 1900520
เริ่มหัวข้อโดย: myj514 ที่ 20-05-2019 15:27:35
ต่อ


           คนที่อ้อนแล้วจะลากผมให้ไปซื้อช็อคปั่นที่ศูนย์หนังสืออยู่เมื่อครู่นี้ หลังจากที่ได้สิ่งที่ต้องการสมใจแล้วก็กำลังนั่งเงียบดูดเครื่องดื่มสุดโปรดอย่างสบายอารมณ์เลยครับ ไหนใครบอกว่าจะช่วยผมทำรายงานกันนะ พอมีของกินแล้วเงียบเลย นอกจากช็อคปั่นที่เจ้าตัวบ่นอยากกินแล้วยังมีขนมติดไม้ติดมือกลับมาด้วยอีกหลายอย่างเลยทีเดียว จริงๆ ผมก็ไม่ได้จะว่าอะไรน้องหรอกครับ แค่ไอติมยอมออกจากหอแต่เช้าแล้วเข้ามานั่งเป็นเพื่อนผมทำรายงานนี่ผมก็เกรงใจน้องจะแย่แล้ว


               “ฮัลโหลๆ งือ... ไม่มีใครอยู่เลยเหรอครับ ยังไม่ตื่นกันหรือยังไง” นั่งหาข้อมูล พิมพ์งานเงียบๆ อยู่พักใหญ่ คนข้างๆ ผมก็พูดอะไรขึ้นมาคนเดียวจนผมต้องหันไปมองด้วยความสงสัย
 

               แล้วก็เป็นอย่างที่คิดครับ ผมเห็นน้องกำลังโบกไม้โบกมือให้กับโทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วก็บ่นอะไรไปเรื่อย แน่นอนว่าไอติมกำลัง live อยู่ครับ แต่เวลาเช้าขนาดนี้จะมีใครตื่นมาเล่นโทรศัพท์กันละครับ แถมเป็นช่วงปิดเทอมอีก บรรดาวัยรุ่นรวมถึงเด็กมหาวิทยลัยส่วนมากคงยังนอนหลับฝันหวานกันอยู่ เจ้าลูกแมวของผมท่าทางได้คุยคนเดียวแน่ๆ เลย


               “มาแล้วๆ โอ๊ะ! มาห้าคนแล้ว สวัสดีคร้าบ~” น้ำเสียงตื่นเต้นและรอยยิ้มสดใสของไอติมทำเอาผมต้องโละความคิดก่อนหน้านี้ทิ้งไปเลยครับ ผมก็ลืมไปเลยว่าเจ้าลูกแมวนี่มีคนติดตามในไอจีเป็นหลักพันคน ถ้าไม่มีคนเข้ามาดู live เลยนี่สิแปลก แต่ก็เอาเถอะครับ ให้เล่นสนุกไปดีกว่าให้น้องต้องมานั่งเบื่อๆ เซ็งๆ
               “ตอนนี้ไอติมอยู่ไหนเหรอ... แท๊น! นี่ไง ลองทายดูสิครับ ว่าไออยู่ที่ไหน~” ไอติมยกโทรศัพท์ขึ้นมาเหนือหัวก่อนจะเลื่อนโทรศัพท์ไปรอบๆ ผมว่าน้องน่าจะเปลี่ยนเป็นกล้องหลังแล้วแพลนไปรอบๆ ให้คนที่มาดู live เห็นนั่นแหละครับ
               “โห~ ทายกันถูกด้วยอะ เก่งจัง... ขนาดไม่ได้เรียนที่นี่กันนะเนี่ย ทายถูกได้ยังไงอะ ฮ่าๆๆ”



                เสียงหัวเราะสดใสของน้องทำเอาผมยิ้มตามได้ไม่ยาก น้องจะทำให้ผมเสียสมาธิในการทำงานก็คราวนี้ละ เพราะผมเอาแต่ลอบมองหน้าน้อง สองหูของผมก็ได้ยินแต่เสียงใสหวานที่ชวนคุยเจื้อยแจ้ว ตัวหนังสือมากมายที่อยู่บนหน้าจอตรงหน้ามันช่างไม่น่ามองเลยสักนิดเมื่อเทียบกับรอยยิ้มของไอติม
 
               “ปิดเทอมแล้วทำไมไม่กลับบ้าน... อืม... ไอไม่อยากกลับเองแหละ อีกอย่างก็ปิดแค่ไม่กี่อาทิตย์เองครับ แล้วคุณแม่ไอก็บอกว่าไม่ต้องกลับบ้านหรอก เปลืองค่ารถ ค่าเครื่องบินเปล่าๆ ฮ่าๆๆ” ผมยิ้มขำอีกครั้งกับคำตอบที่ไอติมบอกกับผู้ชม live เข้าใจพูดเหลือเกินนะเรา เห็นความน่ารักสดใสของน้องผมชักนึกหวงขึ้นมาแล้วสิ เล่นน่ารักให้คนอื่นเห็นไปทั่วแบบนี้ก็แย่สิครับ แค่นี้ยังมีคนมาชื่นชอบไม่เยอะพอหรือยังไง
               “ไอติม... นี่มันโซนเงียบนะ เสียงดังแบบนี้เดี๋ยวก็โดนประกาศเตือนหรอก” ผมแกล้งเอ็ดน้องด้วยน้ำเสียงที่เย็นและเรียบนิ่งสุดๆ ความจริงแล้วบริเวณที่พวกเรานั่งอยู่ถึงจะเป็นโซนเงียบก็จริงแต่มันค่อนข้างอยู่ลึกและปลีกตัวออกมาจากโต๊ะตัวอื่นๆ พอสมควรครับแถมยังมีชั้นหนังสืออีกมากมายห้อมล้อมอยู่ด้วย แน่นอนว่าอาจารย์บรรณารักษ์ที่นั่งอยู่ในห้องทำงานอีกฟากฝั่งของหอสมุดไม่มีทางได้ยินที่น้องพูดหรอกครับ
               “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง... แถวนี้ไม่มีใครนอกจากเราเลยนี่นา... ถ้าไอกระซิบแบบนี้เพื่อนๆ ได้ยินกันไหมอ่า...” ไอติมหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย น้องกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ก็ยังไม่วายหาข้ออ้างและไม่ยอมสิ้นสุดการ live ของตัวเองอยู่ดี
               “แต่พี่ไม่มีสมาธิทำงาน... เมื่อไหร่จะเลิกสักที... ไม่เป็นไร ถ้าไอยังจะ live อยู่แบบนี้เดี๋ยวพี่ไปนั่งตรงอื่นก็ได้”
               “ง่ะ... ใครดุไอเหรอ คนนี้เลย~ พี่วอร์มเลยครับ ขี้บ่นเนอะ ดูสิมีแต่คนว่าพี่วอร์มใจร้าย ไอยังไม่ได้เสียงดังขนาดนั้นสักหน่อย” น้องขยับเอาคางมาเกยไว้กับแขนผมอีกครั้งแถมยังเอากล้องมาจ่อหน้าอีก ผมได้แต่ตีหน้ายุ่งแสร้งทำเป็นไม่พอใจ
               “พี่วอร์มยิ้มหน่อย~ หน้าบึ้งแบบนี้เดี๋ยวแฟนคลับหายหมดไอไม่รู้ด้วยนะ”


                ไอติมยังคงพยายามอ้อนให้ผมยิ้มไม่รู้ว่าตั้งใจจะเอาคืนผมหรือว่าอะไร แต่ดูเหมือนผู้ติดตามทั้งหลายของน้องจะมีคนคอยยุยงให้ผมกับน้องแตกแยกกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนมากเป็นผู้ชายเสียด้วย แต่ขอโทษนะครับไอติมเป็นแฟนผมแล้ว ผมไม่ปล่อยให้ใครมาแทรกกลางแล้วแย่งไปง่ายๆ หรอกนะ ความคิดเห็นต่างๆ ที่ผ่านตานั้นกลับทำให้อารมณ์ของผมขุ่มมัวหนักกว่าเดิม จนกระทั่งบางข้อความที่ถูกส่งมาจากแฟนคลับของผมทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าผมทันที ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีพี่สาวสายเทคของพวกเราอยู่ด้วย

 
               TOPU.HandsomeBoy : คู่รักมาแรงแห่งปีการศึกษานี้เลย #ทีมวอร์มไอติม
               WarmItimFC : #ทีมวอร์มไอติม >///<
               Dazzling.Dia : ไอ้วอร์มเลิกเก๊กได้แล้ว หมั่นไส้จริง ขอฟินๆ หน่อยสิ
               ทาสยัยลูกแมว : ดูยัยน้องอ้อนแฟนสิ น่ารักขนาดนี้ พี่วอร์มยังไม่ใจอ่อนอีกเหรอ


 

               “เจ้เพชร... นี่มาดูกับเขาด้วยเหรอ ทำไมตื่นเช้าจังวะครับ”
               “พี่เพชร พี่สายเราอะเหรอพี่วอร์ม” ไอติมทำหน้างงๆ ก่อนจะหันมามองหน้าผมที่นอกจากจะหายบึ้งแล้วยังเอ่ยทักทายหนึ่งในผู้ชม live ของน้องอีกด้วย ด้วยความที่ผู้ติดตามน้องค่อนข้างเยอะก็เลยอาจจะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่สำหรับผมน่ะ จำได้แม่นเลยครับ
 

               Dazzling.Dia : เพิ่งตื่น เข้ามาเจอว่าน้องliveอยู่พอดีเลยแวะมาดู แล้วก็เจอแกทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่นี่ไง ไอ้วอร์ม
 

               “อะไรกันเจ้ หน้าตาผมออกจะแฮบปี้” ผมฉีกยิ้มกว้างให้กล้องเป็นการยืนยันว่าผมอารมณ์ดีสุดๆ แถมยังมีความสุขมากด้วย
               “พี่เพชรสวัสดีคร้าบ~” ไอติมเอ่ยทักพี่เพชรซึ่งเป็นพี่ปีบัณฑิตตอนที่น้องเข้ามาเป็นปี1 พอดีก่อนจะพูดคุยกับคนที่มาดูliveน้องต่ออีกเล็กน้อยและจบการ live ในที่สุด


 
               ช่วงมื้อเที่ยงผมพาน้องออกมาทานข้าวที่โรงอาหารกลางด้วยความที่ขี้เกียจเดินไกลและไม่อยากจะวนรถไปหาที่จอดให้เสียเวลา ถึงแม้อาหารที่นี่จะไม่ได้อร่อยมากแต่ไอติมตอบตกลงข้อเสนอของผมแต่โดยดี เพียงแต่ตอนที่จะเดินกลับเข้าหอสมุดนั้น น้องหันมาบอกผมให้กลับไปนั่งที่โต๊ะก่อนเลย เพราะไอติมจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าไร ความจริงน้องจะไปเดินเล่นข้างนอกก่อนก็ยังได้ ยังไงเสียวันนี้ผมก็คงจะอยู่หอสมุดจนเย็นนั่นแหละครับเพราะตั้งใจว่าจะหาหนังสือที่ต้องใช้และยืมให้เสร็จเรียบร้อย วันอื่นจะได้ไม่ต้องออกมาอีก ถ้าข้อมูลที่ต้องการมีเพียงพอแล้วผมจะนั่งพิมพ์ที่ห้องหรือร้านกาแฟตามห้างที่ไหนก็ได้ อย่างน้อยไอติมก็จะได้ไม่ต้องมานั่งแกร่วอยู่กับผมแบบวันนี้
 

               ระหว่างที่ผมกำลังผลิกหนังสือเล่มหนาเพื่อหาข้อมูลที่ต้องใช้อยู่นั้นก็สัมผัสได้ถึงความเย็นจากขวดแก้วเล็กๆ ที่แนบแก้มอยู่ เมื่อเงยหน้าละสายตาจากหนังสือตรงหน้าก็พบกับรอยยิ้มหวานของไอติมที่เป็นคนถือขวดน้ำผลไม้สกัดอันมีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตาแนบแก้มผมอยู่นั่นเอง
 

               “ดื่มหน่อยนะครับ ไอเห็นพี่วอร์มจ้องทั้งคอมทั้งหนังสือมาทั้งวันแล้ว ตาล้าแย่”
               “ไหนใครบอกจะไปเข้าห้องน้ำ หายไปซื้อเจ้านี่มาให้พี่หรอ แฟนใครทำไมน่ารักจัง” ผมรับขวดแก้วสีชาขวดเล็กมาจากมือน้อง อีกด้านหนึ่งของขวดมีกระดาษโน้ตเล็กแนบมาด้วย บนนั้นมีข้อความที่ถูกบรรจงเขียนด้วยลายมือน่ารักแสนคุ้นตา
 


               ไอเบอร์รี่ ผสมวิตามินไอ บำรุงสายตา ปิ๊ง!
 

               “ขอบคุณนะครับ... ขอบคุณไอติมที่คอยเอาใจใส่นายไออุ่นคนนี้มาโดยตลอด...”


               ผมหันไม่คว้ามือน้องมาจุมพิตที่หลังมือเบาๆ ผมยังจำของทุกอย่างที่ไอติมฝากลุงยามมาให้ผม หรือแอบมาแขวนไว้ที่หน้าประตูห้องได้เสมอ กระดาษโน้ตทุกแผ่น ผมเก็บมันเอาไว้อย่างดี ความเอาใจใส่ของน้องไม่เคยลดน้อยหรือเปลี่ยนไปเลย ถึงตอนนี้เราจะเป็นแฟนกันแล้ว แต่ไอติมก็ยังคอยดูแลเทคแคร์ผมอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ผมรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้คนอย่างไอติมมาเป็นคนรัก คอยอยู่เคียงข้างกันในทุกๆ วัน

.

.

.

To be Continue...
หัวข้อ: Re: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 17 :: 'วิตามิน' ] 1900520
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 21-05-2019 07:32:39
:กอด1: :pig4: :กอด1: