ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
* * * * * * * * * *
Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก
สารบัญ
คำโปรย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3869069#msg3869069)
:: INTRO:: (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3877282#msg3877282)
:: Chapter 1 :: 'แรกพบ'
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3877288#msg3877288)
:: Chapter 2 :: 'บังเอิญ'
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3877922#msg3877922)
:: Chapter 3 :: 'สังสรรค์'
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3879774#msg3879774)
:: Chapter 4 :: 'ละลาย'
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3881017#msg3881017)
:: Chapter 5 :: 'ฝากรัก'
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3883870#msg3883870)
:: Chapter 6 :: 'เป็นใจ'
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3886838#msg3886838)
:: Chapter 7 :: 'รับน้อง'
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3888684#msg3888684)
:: Chapter 8 :: 'จูบกัน'
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3894466#msg3894466)
:: Chapter 9 :: 'ห่วงใย'
(https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3909041#msg3909041)
:: Chapter 10 :: 'สานสัมพันธ์ ' (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3926626#msg3926626)
:: Chapter 11 :: 'ปิดบัง' (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3948807#msg3948807)
:: Chapter 12 :: 'เมินเฉย' (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3961699#msg3961699)
:: Chapter 13 :: 'ชัดเจน' (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3963133#msg3963133)
:: Chapter 14 :: 'เริ่มต้น' (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3964008#msg3964008)
:: Chapter 15 :: 'ใส่ใจ' (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3967198#msg3967198)
:: Chapter 16 :: 'เดท' (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3969250#msg3969250)
:: Chapter 17 :: 'วิตามิน' (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67957.msg3975585#msg3975585)
By. PuddingJelly & MY J
Twiiter Hastag : #หัวใจอุ่นไอรัก
(https://emojipedia-us.s3.amazonaws.com/thumbs/160/google/55/soft-ice-cream_1f366.png)
*คำโปรย*
" ทำไมใครๆ ก็พากันโอ๋น้องไปหมด เพียงเพราะความน่ารักของ 'ไอติม' หรือยังไงกัน ถึงผมจะหัวร้อนง่ายจนโดนเพื่อนไล่ให้ไปเปลี่ยนชื่อจาก 'นายไออุ่น' ให้เป็นนายไอร้อนก็เถอะ แต่หลายๆ เรื่องมันก็น่าโมโหจริงๆ นี่! "
* * * * * * * * * *
พูดคุย ติ ชม หรือแนะนำได้ค่ะ ยินดีรับฟังทุกความเห็น และสามารถพูดคุยผ่านhastag #หัวใจอุ่นไอรัก ได้ในTwiiter เลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
MY J
:: Chapter 2 :: 'บังเอิญ'
**พี่วอร์ม**
และแล้วการเรียนวันแรกของชีวิตปี3 ของผมก็เริ่มขึ้น วันแรกก็สายเลย ซวยฉิบชาย เอารถเข้าไปตอนนี้ตึกคณะจะมีที่จอดรึเปล่าก็ไม่รู้ ไอ้เพื่อนเวรทั้งหลังก็ไม่มีใครโทรปลุกผมสักคน เจริญจริงๆ แต่อย่างน้อยในความซวยก็ยังพอมีความโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง เพราะวิชาที่เรียนวันนี้เป็นเซคใหญ่และไม่มีการเช็คชื่อ ไมอย่างนั้นผมคงงานเข้าเต็มๆ
“ฮัลโหล เชี่ยจัส ทำไมมึงไม่โทรปลุกกูวะ สายเลยเนี่ย”
(รับสายปุ๊บก็ด่ากูเลยนะ อุตส่าห์จะโทรมาบอกว่าจารย์ยังไม่เข้า)
“อ้าว หรอวะ เออๆ กูกับลังไป มึงได้จองที่ไว้ให้กูเปล่า”
(ที่ว่างเยอะแยะมึง กูว่าคงมีคนสายกว่ามึงเพียบอะ ฝากแวะซื้อกาแฟให้มิชิหน่อยดิ)
“สัด! กูสายแล้วเนี่ย พวกมึงยังมีหน้ามาใช้กูไปซื้อกาแฟอีก เลิกแล้วค่อยแดกเหอะ แค่นี้นะ เดี๋ยวเจอกัน”
ผมวางสายก่อนจะตั้งใจมองหาช่องว่างในลานจอดรถ จากหอผมเข้ามาในตัวหมาลัยใช้เวลาไม่นานอะไรหรอกครับ แค่ไปวนกลับรถแป๊บเดียวก็ถึง แต่การหาที่จอดรถในเช้าวันจันทร์สำหรับคนที่เรียนสิบโมงนี่มันอยากกว่างมเข็มในมหาสมุดอีก ก็เพราะว่าพวกที่เขาเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้าได้จับจองพื้นที่ไว้หมดแล้วยังไงล่ะครับ เสียเวลาโคตร ขอสักช่องให้ผมเถอะ
หลังจากที่สวดภาวนาในใจไปประมาณสิบแปดล้านตลบ ผมก็ได้ที่จอดรถที่ลานตรงข้ามหอสมุด ถึงมันจะเดินไกลหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีที่จอดอะครับ ผมรีบวิ่งไปที่ตึกเรียนกด้วยความไวแสงและเปิดประตูเข้าไปในห้องเรียนจากด้านหลังห้อง และมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาจารย์เดินเข้ามาทางประตูด้านหน้าพอดี เฉียดฉิวชิหาย ผมกวาดสายตามองหาว่าไอ้คุณเพื่อนทั้งหลายมันนั่งอยู่ตรงไหนกัน คงตอบขอบคุณไอ้มิชิกับเค้ก เพราะให้ห้องนั้นมีหัวทองกับหัวแดงอยู่แค่สองคน จึงทำให้ผมสามารถหาพวกมันเจอได้ไม่ยาก
“อเมริกาโน่กูอะ” และนั่นคือประโยคแรกที่ออกมาจากปากไอ้มิชิทันทีที่เห็นหน้าผม ผมเลยเอาสันสมุดเคาะหัวมันไปหนึ่งที
“เพื่อนมาเรียนสายแล้วยังมีกระจิตกระใจมาถามหากาแฟจากเพื่อนอีกหรอครับ ไอ้คุณชาย”
“อ้าวจัส มึงไม่ได้บอกมันหรอว่าจารย์ยังไม่เข้า”
“บอกแล้ว กูสั่งกาแฟให้มึงแล้วด้วย”
“ยังไม่เข้ากับผีดิ! ถ้ากูมัวแต่ไปซื้อกาแฟให้มึงกูได้มาไม่ทันจารย์เข้าจริงๆ แน่”
“เค้กดูดิ วอร์มแม่งไม่มีน้ำใจกับเพื่อนกับฝูงเลยอะ” ดูมัน หันไปอ้อนเค้กเฉย ผมกรอกตาไปมาด้วยความเอือมก่อนจะกางสมุดและหยิบปากกาออกมาเพื่อเตรียมจดสิ่งที่อาจารย์จะพูดในวันนี้ แต่แล้วก็มีบางสิ่งมาดึงความสนใจของผมไปเสียก่อน
ติ๊ง
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : วันนี้เริ่มเรียนวันแรกก็สู้ๆ นะครับ
ผมลอบอมยิ้มเล็กน้อย จะว่าไปไลน์นี้มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะครับ เหมือนมีคนคอยใสใจ่รายละเอียดของเราและให้กำลังใจแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน
“ฮั่นแน่ คุยกับสาวที่ไหนมึง ยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่คนเดียวเลยนะ” ผมรีบกดล็อคโทรศัพท์แล้วยัดมันลงไปในประเป๋ากางเกงทันที ไอ้จัสแม่ง ทีเรื่องพวกนี้นี่ตาไวตลอด เวลาจดสไลด์ตามอาจารย์ ทำไมมึงไม่มองให้เร็วจดให้ทันแบบนี้บ้างวะ
“เปล่า... พวกไลน์โฆษณา ขายของไรก็ไม่รู้”
“มึงอย่ามาเนียน ก็กูเห็นอยู่ว่ามึงแอบยิ้ม”
“สัด! กับเรื่องเรียนเคยตั้งใจแบบนี้บ้างไหมมึง โน่น จารย์แจกชีทอะ มึงไปเอามาหน่อยดิ” ผมเอ่ยปากไล่ให้มันไปหยิบเอกสารที่อาจารย์หยิบออกมาตั้งไว้กลางห้องทันที เพราะห้องบรรยายนี้เป็นแบบไล่ระดับและที่นั่งที่พวกผมนั่งอยู่นั้นค่อนมาบริเวณหลังห้อง ผมขี้เกียจขึ้นลงบันได ก็เลยใช้ความขายาวของเพื่อนให้เป็นประโยชน์
ระยะเวลาสองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว นี่ขนาดเรียนเช้ายังง่วงขนาดนี้ พวกวิชาคาบบ่ายจะเหลืออะไรครับ ผมบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะเก็บของทุกอย่างลงไปในเป้ แล้วโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงผมก็สั่นอีกครั้งแล้วผมก็พบว่ามันเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากเจ้าของไลน์เจ้าเดิมกับเมื่อเช้า
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : เที่ยงแล้ว อย่าลืมหาอะไรทานด้วยนะครับ
ถ้าจะส่งมาเช้าสายบ่ายเย็นขนาดนี้ โทรมาปลุกผมด้วยก็จะเป็นพระคุณ นั่นคือสิ่งที่ผมคิด แต่แน่นอนว่าผมไม่ได้พิมพ์ตอบเพียงแค่เข้าไปอ่านแล้วก็กดออกมาเหมือนเช่นเคย
“บ่ายว่างนี่ ออกไปกินปลาเผากันไหมมึง”
“ร้านยังไม่เปิดไหมล่ะ เขาเปิดเย็นๆ โน่น กินไรกันดีวะ”
“เค้กอยากลงไปดูชีทหน่อยอะ เผื่อมีวิชาไหนมีชีทใหม่ๆ ออกแล้วจะได้อ่านตุนไว้ก่อนเลย” ระหว่างที่ไอ้จัสกับมิชิกำลังเถียงกันเรื่องของกิน เค้กก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“วอร์มไปด้วย เทอมนี้ต้องพยายามดึงคะแนนขึ้นหน่อย โหมปีหน้ากลัวจบไม่สวย ฮ่าๆๆ พวกมึงอะ หยุดตีกันได้ละ” พูดจบผมก็โอบไหล่เค้กเดินลงบันไดมาด้วยกันทันที สักพักก็ได้ยินเตียงฝีเท้าวิ่งลงบันไดตามๆ กันมา ความจริงแล้วผมกับเค้กเป็นคนจังหวัดเดียวกันครับ แถมยังเข้ามาเรียนมัธยมปลายที่กรุงเทพเหมือนกันด้วย แต่ก็เพิ่งมารู้จักกันตอนเข้ามหาลัยเนี่ยแหละครับ
“ตกลงวันนี้จะกินอะไรกันอะ ท้องกูร้องใหญ่ละเนี่ย”
“ตอนบ่ายไปดูหนังกันป่ะ ถ้าดูก็เดี๋ยวออกไปกินที่ห้างเลย เรื่องที่เค้กอยากดูไง” พอเห็นไอ้จัสตั้งท่าทางปฏิเสธ ไอ้มิชิมันก็รีบลากเค้กมาอ้างทันที
“พวกมึงไปกันเหอะ กูอยากกลับไปนอน เย็นๆ ถ้ากลับมาแล้วจะไปตีแบตหรือวิ่งก็เรียกกูด้วยละกัน”
“ตกลงมึงจะไปกับพวกกูป่ะจัส”
“ไป! กูไม่ปล่อยให้มึงไปกับเค้กสองคนหรอกคร้าบ ไอ้คุณชาย”
“เออๆ เอารถกูไปนะ งั้นพวกกูแยกตรงนี้เลยนะ” มิชิคว้าเอกสารปึกใหญ่ในมือเค้กไปช่วยถือก่อนจะเดินนำออกไปพร้อมๆกับเค้ก แล้วไอ้จัสก็พุ่งตัวไปแทรกตรงกลางระหว่างสองคนนั้นทันทีแถมยังเอาแขนยาวๆ ของมัน พากบ่าทั้งคู่ด้วย เอาเข้าไป ยังมีหน้าหันกลับมาส่งยิ้มกวนตีนให้ผมอีก ถ้ามันยังไม่เลิกนิสัยแบบนี้นะ ผมว่ามันได้ตายคามือไอ้มิชิสักวันแน่ๆ
ผมกลับมาถึงหอด้วยความเซ็ง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร เคยเป็นกันไหมครับ มันเบื่อไปหมดซะทุกอย่าง ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร อยากนอนเฉยๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทุกอย่างมันเนือยไปหมด แต่ยังไงตอนนี้เรื่องปากท้องก็ต้องมาก่อน เพราตอนนี้น้ำย่อยคงออกมากัดกร่อนกระเพราะผมจนจะขาดแล้วมั้ง แสบท้องไปหมดแล้วเนี่ย ด้วยความขี้เกียจผมเลยไม่ได้ขึ้นห้องเพื่อเอาเอกสารไปเก็บก่อน แต่เลือกที่จะตรงไปที่ฟู้ดคอร์ทเลย
ขณะที่ผมกำลังจะเดินกลับจากร้านน้ำมานั่งที่โต๊ะก็เห็นว่ารุ่นน้องปี1 ทั้งสามคนกำลังเดินคุยกันอย่างออกรสเข้ามาสู่บริเวณฟู้ดคอร์ท ใช่แล้วครับ สามคนนั้นคือน้องไอตติม น้องไวท์และน้องจูเนียร์ แต่สิ่งที่สะดุดตาผมมากที่สุดก็คือคนที่มัดจุกใส่เสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงขาสั้นลายไอศกรีมสมกับชื่อเจ้าตัวนั่นแหละ ทั้งๆ ที่เพื่อนก็ยังใส่ชุดนักศึกษากันอยู่เต็มยศ น้องกลับแต่งตัวสบายๆ แบบนี้ แอบโดดเรียนแน่ๆ
“อ้าว... พี่วอร์มสวัสดีครับ”
“พี่วอร์มอยู่หอนี้หรอครับ” จูเนียร์เป็นคนเอ่ยทักผมขึ้นมาก่อน ตามมาด้วยคำถามของน้องไวท์ ส่วนน้องสายผมน่ะหรอ ไม่พูดอะไรสักคำเพียงแค่ยกมือขึ้นมาไหว้ทำความเคารพผมเท่านั้น
“ใช่... เหมือนจะมีคนแถวนี้ลืมเอาปากมานะ”
“อ่า...” ไอติมที่ยืนก้มหน้ามองพื้นอยู่รีบหันมามองผมทันที นี่ผมแค่แซ็วเล่นเฉยๆ ทำไมน้องถึงต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วยวะ เมื่อกี้ยังหัวเราะเสียงดังกับเพื่อนอยู่เลย พอมาเจอผมดันเงียบเฉย
“ไอติมมันไม่ค่อยสบายอะครับ เมื่อเช้าบ่นปวดหัวนี่ก็เลยไม่ได้ไปเรียน”
“ปวดหัวจนเสียงหายเลยเนอะ อืมๆ” คำบอกเล่าจากจูเนียร์ก็ทำให้ผมหายข้องใจทันที ถึงว่าล่ะ น้องไม่ได้ไปเรียนจริงๆ ยิ่งเห็นน้องทำตัวไม่ถูกผมก็เลยยิ่งอยากจะแกล้งมากขึ้นไปอีก คนที่โดนผมแซ็วตอนนี้กำลังยื่นหน้าหงิกพองแก้มด้วยความไม่พอใจที่ผมไม่เลยเหน็บเขาเสียที ท่าทางแบบนั้น คิดว่าน่ารักมากมั้ง
อืม... แม่งโคตรน่ารักเลยว่ะ
“งั้นพวกผมขอตัวไปหาอะไรกินก่อนนะครับ” น้องไวท์เอ่ยขึ้น ทั้งสามคนยกมือไหว้และเอ่ยลาผมก่อนจะรีบเดินไปอีกฝั่งนึงของฟู้ดคอร์ท มีเพื่อนเป็นองค์รักษ์หรือยังไงกัน ทำไมน้องถึงชอบทำเป็นไม่สนใจผมวะ ชอบทำเป็นเมินผมแบบนี้มันจะเกินไปหน่อยมั้ง ดีนะครับที่ความน่ารักของน้องวันนี้ทำให้ผมพอมองข้ามเรื่องนี้ไปได้บ้าง ไม่อย่างนั้นคงได้อารมณ์เสียอีกแน่ๆ ไม่มีใครชอบการถูกมองข้ามหรือว่าทำเหมือนไม่มีตัวตนหรอก จริงไหมครับ
**น้องไอติม**
“โอ๊ย ทำไมต้องมาเจอพี่วอร์มด้วยเนี่ย แล้วดูสภาพไอดิจู ดูดิไวท์ ฮือ ขายหน้าชะมัดเลยอะ”
“ไวท์ว่าก็น่ารักออก ไม่เห็นต้องอายเลย”
“เออจริง พี่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ไออะคิดมาก” จูเนียร์เอ่ยสมทบไวท์ที่กำลังโยกจุกผมเล่นไปมาอย่างอารมณ์ ส่วนจูเนียร์ก์หันมายืดแก้มผมเล่นอีก เอาเข้าไปครับ แค่นี้ผมก็อายคนอื่นเขาจะแย่แล้ว ยังมาเล่นบ้าๆ อะไรกันเอีกเนี่ย
วันนี้พวกเรามีเรียนวิชาพื้นฐานครับ ซึ่งถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วมันจะเป็นวิชาที่จะต้องเชคชื่อก็เถอะ แต่ผมกับไวท์ดันโชคดีเรียนเซคเดียวกัน ไวท์เลยแจ้งอาจารย์ให้แล้วว่าผมไม่สบาย นอกจานั้นยังจดเลคเชอร์มาให้ผมลอกอีก การมีไวท์เป็นเพื่อนนี่ยิ่งกว่าถูกหวยอีกครับ เพราะนอกจากจะตั้งใจเรียนแล้วลายมือยังสวยเหมือนสั่งพิมพ์อีก
ส่วนผมที่ไม่สบายก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว คือเมื่อเช้าผมปวดหัวแล้วมึนๆ นิดหน่อยเลยตื่นมากินยาแล้วก็นอนต่อจนเพื่อนๆ พากันมาหาหลังเรียนเสร็จเนี่ยแหละครับ ผมก็เลยอยู่ในสภาพอย่างที่เห็น ก็อยู่แต่ในห้องนี่ครับ ใครๆ ก็แต่งตัวตามสบายทั้งนั้นแหละครับ จริงไหม แล้วอีกอย่างใครจะไปคิดว่าจะมาเจอพี่วอร์มที่นี่กัน ถึงจะแอบดีใจที่ได้รู้ว่าอยู่หอเดียวกันก็เถอะ แต่วันนี้ผมไม่พร้อมเจอพี่เขาจริงๆ
“ใจลอยไปไหนแล้วไอติม ข้าวได้แล้วนั่น ป้าแกเรียกจนจะโมโหแล้วนะ”
“โทษทีๆ มาแล้วครับป้า” ผมรีบพุ่งตัวไปที่ร้านข้าวที่สั่งไว้ทันที ส่วนจูเนียร์ก็อาสาเดินไปซื้อน้ำให้
“อยู่หอเดียวกันแบบนี้ก็สืบไม่ยากแล้วดิ” จูเนียร์เปิดประเด็นทันทีที่กลับมาถึงโต๊ะ แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะโอเครึเปล่าที่จะพูดเรื่องนี้ตอนนี้ เพราะไวท์ก็อยู่ด้วย
“สืบอะไรหรอ” ไวท์ถามขึ้นมาด้วยสีหน้างงๆ ผมได้แต่ถลึงตาใส่จูเนียร์ไปหนึ่งที ไม่ใช่ว่าจะปิดบังอะไรหรอกนะครับ แต่ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันมีเวลาของมัน เอาไว้ให้ถึงเวลานั้นก่อน เอาไว้ให้ผมมั่นใจและพร้อมจริงๆ เดี๋ยวผมจะเป็นคนบอกเอง
“เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอก ใช่ไหมจู ฮ่าๆๆ”
“อ่า... ใช่ๆ พูดไปเรื่อยเปื่อนอะ ไม่มีอะไรหรอก” ไวท์จ้องหน้าผมกับจูเนียร์สลับกันไปมาอยู่พักนึงแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มแล้วหันกลับไปสนใจเย็นตาโฟในชามต่อ
พอพวกเราทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้วไวท์ก็ขอตัวกลับก่อน เพราะไวท์เป็นคนเดียวที่อยู่หอใน ส่วนผมกับจูเนียร์อยู่หอนอก ถึงจะไม่ได้เป็นรูมเมทกันแต่จูเนียร์ก็มาใช้เวลาอยู่ห้องผมบ่อยกว่าอยู่ห้องตัวเองอีกละมั้ง หลังจากที่แจกกับไวท์แล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะปรึกษาเรื่องที่เจ้าเพื่อนซี้เปิดประเด็นทิ้งไว้ได้เสียที
“จูว่าพี่วอร์มอยู่ตึกเดียวกับไอเลยป่ะ”
“ไม่รู้ดิ แต่หอนี้ก็มีแค่สองตึกไม่ใช่หรอ มันก็ต้องสักตึกนึงนั่นแหละ”
“ก็ใช่... แต่ตึกนึงมีตั้งหลายชั้น แถมแต่ละชั้นก็มีหลายห้องอีก แล้วไอจะรู้ได้ยังอะ”
“เดี๋ยวถามพี่มิชิกับพี่จัสให้เลยเอาไหม แต่ถามจริงๆ เถอะ รู้ไปแล้วจะทำอะไรอะ แค่อยากรู้เฉยๆ?”
“ก็... ตอนนี้ยังคิดไม่ออก... ถ้าจูไปถามพวกพี่ๆ เขาต้องสงสัยแน่เลยอะ ไม่ได้ๆ”
“แล้วจะเอายังไง”
“ไม่รู้อะ...” ผมอยู่ปากแล้วพองแก้มใส่จูเนียร์ ก็ตอนนี้ผมยังคิดอะไรไม่ออกจริงๆ นีนา แค่รู้สึกว่าการที่ได้อยู่หอเดียวกันมันน่าจะทำให้ผมมีโอกาสที่จะได้เจอ ได้พูดคุยกับพี่เขาบ่อยขึ้นก็เท่านั้นเอง ที่ผ่านมาเจอพี่เขาทีไรผมก็ทำตัวไม่ถูก พูดอะไรไม่ออกทุกทีเลย
“เอาอย่างนี้ไหม ระหว่างนี้ก็ ถ้าเกิดไออยากซื้อขนมหรืออะไรฝากให้พี่เขาก็ฝากพี่ยามใต้หอไว้ แล้วเราก็ค่อยๆ สืบกันเอาเองจะได้เนียนๆ ด้วยดีไหม” จูเนียร์เสนอความคิดเห็น จริงๆ ผมว่ามันก็ดีนะครับ เพราะถ้าอยู่ๆ ผมไปซื้ออะไรต่อมิอะไรให้พี่เขา พี่วอร์มอาจจะปฏิเสธที่จะรับหรือไม่พอใจก็เป็นได้ ผมเคยเห็นรุ่นพี่บางคน ยิ่งเป็นพี่ใหญ่เขายิ่งไม่โอเคกับอะไรแบบนี้ เพราะเหมือนเป็นการไปดูถูกเขาโดยให้เหตุผลว่าคนเป็นพี่ต่างหากที่ต้องเลี้ยง ต้องดูแลน้องซึ่งผมไม่เห็นด้วยสักนิด แค่มองว่ามันเป็นน้ำใจและความหวังดีเล็กๆ น้อยๆ จากรุ่นน้องก็ได้นี่นา
“โอเค ตามนั้นละกัน ขึ้นห้องกันเถอะ ไม่อยากอยู่ข้างล่างในสภาพนี้นาน เดี๋ยวเจอคนรู้จักอีก”
“งั้นจูกลับเลยละกัน ว่าจะกลับไปจัดของซะหน่อย ไว้เจอกันนะไอ คืนนี้อย่านอนดึกนะ เดี๋ยวปวดหัวอีก”
“รู้แล้วน่า กลับดีๆ นะ”
และระหว่างที่ผมยืนรอลิฟอยู่นั้น ดองทายดูสิครับว่าพอลิฟเปิดออกมาแล้วผมเจอใคร อย่างที่ทุกคนคิดนั่นแหละครับ พี่วอร์มเดินออกมาจากลิฟด้วยชุดเสื้อยืดและกางเกงบอล ดูเหมือนพี่เขากำลังจะออกไปออกกำลังกายแน่ๆ เลย อย่างน้อยๆ ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าพี่เขาอยู่ตึกเดียวกับผม
“อ้าว! เจอกันอีกแล้วนะ”
“ครับ...” ถึงในใจจะอยากชวนคุยและตอบกลับไปให้มากกว่านั้นก็เถอะ แต่ผมบอกแล้วไงว่าสภาพผมตอนนี้ไม่พร้อมพบเจอผู้คนสุดๆ แล้วก็เวรกรรมจริงๆ เลย ที่ผมต้องมาเจอพี่วอร์มถึงสองรอบแบบนี้อะ ฮือ
“อ่อ ลืมไปน้องไม่มีเสียง ขอให้เสียงกลับมาปกติไวๆ ละกัน ไปละ” พี่วอร์มเอ่ยลาผมแล้วออกจากหอไป ทิ้งให้ผมต้องยืนรอลิฟใหม่ส่วนผมด้วยอาการจิตใจล่องลอย ถ้าไม่หยุดคุยกับพี่เขา ป่านนี้ผมนอนตีพุงสบายใจอยู่บนห้องแล้ว ยิ่งมองสภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกลิฟแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด เฮ้อ หมดกันภาพลักษณ์ผม ท่าทางพี่วอร์มจะเป็นคนขี้ฝังใจด้วยสิครับ ดูอย่างเรื่องที่ผมไม่สบายสิ พูดไม่เลิก ความจริงผมไม่ได้เสียงหายสักหน่อยแค่ไม่รู้จะพูดอะไรกับพี่เขาต่างหาก
i – Chananan :: ฮือออออ จู~~~ ช่วยด้วย
Jooniior :: เป็นอะไร
i – Chananan :: เมื่อกี้เจอพี่วอร์มอีกแล้วอะ
Jooniior :: แล้ว?
i – Chananan :: ไอไม่อยากเจออะ ฮือ จูก็เห็นสภาพไอวันนี้ไม่ใช่หรอ
Jooniior :: แล้วพี่วอร์มว่าไงอะ
i – Chananan :: ก็ไม่ว่าไง แค่บอกให้เสียงกลับมาไวๆ ...
Jooniior :: 555555555555555555555555555 ตลก
i – Chananan :: *สติ้กเกอร์ลายแมวโมโห*
ไม่เห็นจะขำตรงไหนเลย ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะจูเนียร์นั่นแหละไม่รู้จะไปบอกพี่วอร์มทำไม แล้ววันนี้ก็ไม่รู้จะบังเอิญเจอพี่เขาบ่อยอะไรนักหนา ได้แต่คิดแล้วก็นอนดีดดิ้นกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง วันนี้ผมทำอะไรผิดหรอครับ แค่โดดเรียนคาบเดียวเองนะ เบื้องบนต้องกลั่นแกล้งกันถึงขนาดนี้เลยหรอ ระหว่างที่ผมกำลังงอแงและตัดพ้อโชคชะตะอยู่นั้น เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น
Q.pid เพิ่มคุณเป็นเพื่อน
ยังไม่ทันที่ผมจะหายสงสัยว่าคนที่แอดมานั้นเป็นใคร ข้อความที่ถูกส่งมาก็เป็นคำตอบได้อย่างดี เขาคือเจ้าของคำใบ้ตัวสูง คิ้วเข้ม มีนามเป็นกามเทพนั่นเอง
Q.pid :: ไอติม นี่พี่คิวเองนะ ขอโทษนะที่วันจับสายไม่ได้ไปอะ แล้วก็เพิ่งมาแอดไลน์วันนี้อะ
i – Chananan :: สวัสดีครับพี่ ไม่เป็นไรเลยแล้วนี่พี่คิวหายดีแล้วหรอครับ
Q.pid :: หายแล้วๆ พรุ่งนี้ว่างเปล่า พี่จะเอาชีทบางส่วนไปให้อะ
i – Chananan :: ไอเรียนทั้งวันเลยพี่คิว พักเที่ยงได้ไหมครับ
Q.pid :: ได้ๆ เดี๋ยวพี่เอาไปให้ที่ตึกคณะแล้วกันนะ
i – Chananan :: ขอบคุณมากครับพี่ เจอกันพรุ่งนี้
Q.pid :: *สติกเกอร์คิวปิดส่งวิ้ง*
พี่คิวปิดนี่ก็ดูจะเป็นคนน่ารักดีเหมือนกันนะครับ ท่าทางจะตลกด้วยอะ ดูจากสติ้กเกอร์ที่พี่เขาส่งมาแล้วตลกชะมัด วิ้งได้แบบประหลาดมาก แลบลิ้นปลิ้นตาด้วยอะ ว่าแต่พรุ่งนี้ผมจะรู้ได้ยังไงว่าพี่เขาคือคนไหน รูปดิสในไลน์ก็ดันเป็นรูปวิวไปอีก คงต้องรอให้พี่คิวเข้ามาทักเอง หรือผมจะทักไปถามพี่วอร์มดีอะ แค่นึกถึงสภาพตัวเองตอนเจอที่พี่วอร์มก็ทำให้ผมรีบสะบัดความคิดนี้ออกไปทันที ช่างเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เองแหละ
.
.
.
To be Continue...
:: Chapter 3 :: 'สังสรรค์'
**พี่วอร์ม**
วันนี้ผมมีเรียนช่วงเช้า แล้วว่างยาวกว่าจะเรียนอีกตัวก็สี่โมงเย็นเลย แล้วดันเป็นวิชาที่เรียนชั่วโมงเดียว ใครมันจัดตารางแบบนี้วะครับ ยังดีที่เป็นวันศุกร์ จะสงสารก็แค่ได้จัสกับไอ้มิชิที่พอเลิกเรียนตอนห้าโมงปุ๊บก็ต้องรีบบึ่งรบกลับบ้าน แต่พวกมันก็ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นหรอกครับ กลับบ้างไม่กลับบ้างนอกเสียจากว่าสัปดาห์ไหนที่ที่บ้านตามตัวจริงๆ ก็ต้องกลับโดยไม่มีเงื่อนไข
อย่างที่บอกว่าวันนี้ผมต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า เมื่อวานก็ไปวิ่งมาด้วยเลยนอนเร็วกว่าปกติ พอตื่นมาก็เจอข้อความยาวเหยียดที่ถูกส่งมาจากเจ้าไลน์ดิสรูปเจ้าแมวลายเสือนั่น ความจริงมันถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแหละ แต่ผมเพิ่งจะได้เปิดอ่านก็ตอนนี้
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : พี่วอร์มหลับรึยังครับ
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : ไม่อ่านแฮะ สงสัยหลับแล้วแน่เลยอะ ฝันดีนะครับ
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : แต่ขอผมบ่นหน่อยเถอะ ตื่นมาไม่ต้องตกใจนะครับ ข้ามๆมันไปก็ได้นะ
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : พี่เคยเจอวันที่แบบโคตรซวยไหม แบบไม่รู้จะอะไรนักหนา ซวยซ้ำซวยซ้อน บางทีโลกก็กลมไปจนน่ากลัว คนบางคนก็กวนประสาทแบบไม่มีขีดจำกัดอะ ย้ำคิดย้ำทำอยู่ได้ แล้วผมก็ดันซวยต้องเจอคนแบบนั้นวันละหลายๆ รอบอะพี่ หรือพี่ว่าคนนั้นเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรผมอะ ถ้าผมไปทำบุญมันหายไหม หรือเขาว่าทำบุญร่วมกันก็จะอยู่ด้วยกันอีกอะ....
อะไรของมันวะ บ่นอะไรเยอะแยะ ถึงผมจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ก็เถอะ แต่เจ้าของไลน์นี่คงอัดอั้นกับไอ้บ้านั่นจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่บ่นขนาดนี้อะ ถึงจะงงๆ แต่ก็ตลกดีแต่ไอ้คนกวนประสาทแบบไม่มีขีดจำกัดนี่มันจะมีใครให้มากกว่าไอ้จัสอีกหรอวะครับ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย แถมผมยังเจอมันแทบจะตลอดทั้งวันด้วย ไม่ใช่แค่วันละหลายๆ รอบ หรือมันเป็นเจ้ากรรมนายเวรผมที่มาให้รูปแบบเพื่อนวะ ขณะที่ผมกำลังนึกตามคำบอกเล่าของเจ้าของไลน์อยู่นั้น ข้อความใหม่ก็เด้งขึ้นมา กลายเป็นว่าผมเปิดอ่านข้อความของเขาทันที
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ก็สู้ๆ นะครับพี่วอร์ม
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : วันนี้อ่านซะเร็วเชียว
ก็ผมเปิดหน้าแชทค้างไว้อยู่ไหมล่ะ อ่านเร็วอะไร ผมกดล็อคหน้าจอแล้วลงลิฟเพื่อไปที่ลานจอดรถ พอลงมาถึงชั้นล่างก็อดนึกถึงเจ้าเด็กหัวจุกเมื่อวานไม่ได้ เวลาน้องอยู่ที่มหาลัยกับตอนอยู่หอนี่อย่างกับคนละคนเลย เท่าที่ผมเจอไอติมมาไม่กี่วันตอนเปิดเทอมผมก็รู้สึกว่าน้องมีความคล้ายไอ้มิชิอยู่เหมือนกัน คือเป็นคนแต่งตัวดีและค่อนข้างเนี๊ยบ ถึงส่วนมากเด็กปี1 จะแต่งชุดนักศึกษาเป็นหลักก็ตามแต่ผมก็เคยเห็นน้องแต่งชุดไปรเวทบ้าง ซึ่งแน่นอนว่ามันคนละเรื่องกับที่ผมเจอไอติมที่หอเมื่อวานนี้
พอจบวิชาแรกไอ้มิชิก็ชวนพวกผมไปหาอะไรกินและเดินเลยที่ห้าง แต่ไอ้จัสบอกว่าเมื่อคืนมันเล่นเกมส์เพลินไปหน่อย สรุปคือมันยังไม่ได้นอนเลยจะกลับหอไปนอน ส่วนผมก็ขี้เกียจไปอะครับ ก็จริงที่ว่าตอนนี้มันเพิ่ง 10 โมง กว่าจะเรียนอีกทีก็มีเวลาตั้งหลายชั่วโมง แต่ห้างนี้พวกผมก็เดินกันมาตั้ง 3 ปีแล้วอะ จะไปทำไมบ่อยๆ วะครับ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ผมเลยตัดสินใจซื้อแซนวิชกับน้ำขวดนึงรองท้องแล้วไปหามุมเงียบๆ งีบที่คอมมอนคณะแทน ผมเพิ่งจะพักสายตาไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนเปิดประจูเข้ามาพร้อมกับเสียงพูดคุยกัน คงเพราะใกล้จะถึงเวลาพักเที่ยงแล้วคนก็เลยเยอะขึ้น เมื่อผมหันไปมองก็พบกับน้องโต๊ะปี2 ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่สามสี่คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือน้องสายผมเอง
“อ้าว! พี่วอร์ม หวัดดีครับ มางีบหรอพี่”
“เออ ตื่นเพราะพวกมึงคุยกันเนี่ยแหละ”
“ขอโทษครับ...” ผมเห็นไอ้คิวหน้าเจื่อนแล้วก็อดขำไม่ได้ คิวปิดมันเป็นเด็กตัวสูง ดูโต แต่จริงๆ แล้วซื่อฉิบชาย ซื่อแบบตามคนไม่ค่อยทันอะครับ จริงใจใสซื่อ สุภาพเรียบร้อย แสนดี เพราะน้องมันเป็นคนแบบนี้ผมถึงไม่ค่อยสนิทกับน้องมันเท่าไหร่ ค่อนข้างจะเกรงใจน้องมันด้วยซ้ำ อยู่กับไอ้คิวทีไรผมรู้สึกตัวเองโคตรหบายคาย โครตสถุลเลยอะ
“ล้อเล่นเว๊ย คิดมากไปได้ แล้วนี่มาทำไรกันอะ”
“พวกผมนัดเอาชีทมาให้น้องปี1 อะครับ แต่น้องเลิกกันเที่ยงอะ”
“อ่อ... แล้วนี่โอเคแล้วใช่เปล่าวะ”
“โอเคแล้วครับพี่ ขอบคุณพี่วอร์มมากเลยที่ไปจับสายแทนผมอะ”
“ไม่เห็นต้องขอบคุณ น้องมึงก็น้องกูเหมือนกันป่ะวะ” ผมตบบ่าน้องเบาๆ ก่อนจะกลับมานั่งแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกครั้ง เวลาผ่านสักพักผมก็ได้ยินเสียงใสที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อวันก่อน คงหายป่วยแล้วสินะ ความจริงผมก็รู้แหละ ว่าอาการปวดหัวของน้องมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเสียงของน้องหรอกครับ แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันเวลาอยู่ต่อหน้าผม จากคนชั่งเจรจราน้องถึงกลายเป็นคนพูดน้อยไปซะอย่างนั้นไม่ค่อย
“ไอติมมาแล้วหรอ”
“พี่คิว? ไอกำลังคิดอยู่เลยว่าไอจะหาพี่เจอได้ยังไง อุตส่าห์ไปส่องดิสก็ดันเป็นรูปวิวซะอีก”
“ฮ่าๆๆ อย่าลืมสิ ว่าพี่ปี2 มีรูปน้องปี1 อยู่นะ อะนี่ชีทของเทอมแรก แต่มันยังขาดอีก 2-3 วิชานะ ขอเวลาพี่จัดก่อน”
“ได้เลยคร้าบ ไม่มีปัญหา ขอบคุณมากนะครับ” ผมยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ แต่บทสนทนาทั้งหมดผมก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน เมื่ไอติมเริ่มเอ่ยขอบคุณและร่ำลาพวกปี2 เลยก็เลยลุกขึ้นยืนแล้วมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่น้องกำลังเดินผ่านโต๊ะที่ผมนั่งอยู่พอดี
“พี่วอร์ม....”
“อือ เจอกันสักทีนะ จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกันอีก”
“ง่า...” ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้น ไอติมถึงกับหน้าจ๋อยไปเลย
การที่ผมต้องไปจับน้องสายแทนไอ้คิวมันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอกครับ แถมการที่ผมจะได้สนิทกับน้องสายมันก็ดีเสียอีก แต่เจอไอติมที่ไรมันก็นึกอยากจะแกล้งน้องขึ้นมาทุกที เวลาเจ้าเด็กนี่ทำหน้าเด๋อด๋า หรือหน้าหงอยมันยิ่งน่าเอ็นดู
“ไม่ไปกินข้าวหรอไง จะยืนทำหน้าเศร้าหูตกอีกนานไหม”
“พี่วอร์ม! ผมไม่ใช่หมานะ!”
“ก็ยังไม่ได้บอกว่าเป็นหมาเลย...”
“ผมไม่มีเวลามาทะเลาะกับพี่หรอกนะ ไปละครับ” น้องไอติมกับสองเพื่อนซี้ที่ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลาอย่างจูเนียร์กับไวท์ก็ยกมือไหว้ผมก่อนจะพากันเดินหอบชีทออกจากคอมมอนไป
ไอติมน่ะไม่เหมือนหมาหรอกครับ น้องเหมือนแมวต่างหาก ใครโดนอ้อนเข้าไปถ้าไม่ใจแข็งพอนะ ผมว่าร้อยทั้งร้อยก็คงต้องยอมทั้งนั้นแหละ แล้วดูเมื่อกี้สิ ขู่ฟ่อๆ เลย ถ้าขืนแกล้งนานกว่านี้ผมคงจะโดนแมวตะปบเอาแน่ๆ
ผมนั่งฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อยสักพักไอจัสก็มาหา ผมกับมันเลยเลือกที่จะย้ายไปนั่งโต๊ะที่ใหญ่ขึ้น เพราะไอ้มิชิเองก็บอกว่ากำลังวนหาที่จอดรถอยู่ เพียงไม่นานคุณชายผมทองก็มาถึงคอมมอน แต่แปลกตรงที่ว่ามันดันมาคนเดียวนี่สิ
“อ้าว... แล้วเค้กไปไหนวะ”
“โดนตามตัวไปตึกกิจกรรมอะ คาบนี้คงไม่ได้เข้าแล้วว่ะ” ผมไม่ได้เอ่ยอะไรเพราะไอ้จัสก็ถามแทนผมเรียบร้อยแล้ว ส่วนคำตอบของมิชิก็ทำให้ผมหายข้องใจแล้ว ยังไม่ทันที่จะได้เปลี่ยนเรื่องคุย พวกเราก็ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
BLสระอู :: คืนนี้กูว่าง พวกมึงพาปี 1 มาแนะนำดิ๊
พวกผมมองหน้ากันทันที่เห็นแจ้งเตือนปรากฏบนหน้าจอ ข้อความที่เด่นหราอยู่นั้นถูกส่งมาจากพี่ปี 4 นามว่าพี่บีแอลสระอู หรือเฮียบลู พี่สายของไอ้จัสกับมิชิ คือพวกมันสองคนเป็นสายโคกัน ไม่ใช่สายวัวนะครับ หมายถึงว่ามีพี่สายคนเดียวกันเพราะปีผมน้องดันเยอะกว่าพี่ก็เลยทำให้ไอ้พี่บีแอลสระอูมมันต้องเทคน้อง 2 คน แล้วเมื่อผมโดนพี่สายเทไปซิ่ว ผมก็เลยกลายเป็นโคไปกับพวกมันด้วย นั่นคือสาเหตุที่ว่าพวกเราทั้งหมดก็สนิทกับเฮียบลู
J.U.S.T. :: แล้วปี 2 อะเฮีย
BLสระอู :: กูรู้จักแล้วไหมล่ะ ไอ้จัส
It’s Michi :: ผมกำลังจะบอกว่าน้องแพรวกลับบ้าน
BLสระอู :: ปี 1 มันอยู่กันครบป่ะล่ะ ไอ้วอร์ม มึงพาน้องมึงมาด้วยนะ
นายไออุ่น :: ผมไม่ใช่สายเฮีย ผมเกี่ยวไรด้วยอะ
BLสระอู :: เอ๊ะ ไอ้นี่! ก็ไม่ใช่กูหรือไงครับ ที่เทคมึงมาพร้อมๆ กับไอ้จัสไอ้มิชิเนี่ย พูดจาวอนตีนนะมึง
มิชิกับไอ้จัสระเบิดหัวเราะออกมา แน่ล่ะครับ ถ้าอยู่ต่อหน้าผมไม่กล้ากวนประสาทเฮียบลูขนาดนี้หรอก มีหวังได้โดนถีบจริงๆ แน่ แต่ผมก็ขี้เกียจไปเหมือนกันนะ คือผมไม่ใช่สายแอลไง ปกติส่วนมากเน้นเป็นหน่วยเก็บศพ มิชิก็ดูไม่ค่อยจะอยากไปเท่าไหร่ เห็นจะมีก็แต่ไอ้จัสละมั้งที่กระดี๊กระด๊าอยากไป
BLสระอู :: ตกลงพวกมึงจะไปไม่ไป?
ผมเห็นมิชิก้มหน้าพิมพ์อะไรบางอย่าง แต่ไม่ใช่ข้อความในแชทของเฮียบลูแน่ๆ เพราะ ยังไม่มีใครพิมตอบอะไรกลับไปเลย
“นานๆ เฮียจะเลี้ยงนะเว้ย พวกมึงห้ามชิ่ง”
“แต่กูต้องไปหาเค้ก....”
“พวกมึงสองคนนี่ชักจะยังไงๆ นะ มึงคิดเหมือนกูไหมบีสอง”
“กูก็ว่างั้นแหละ บีหนึ่ง มิชิมึงห้ามชิ่ง มึงเป็นสายตรงเฮียมันนะ ก็ชวนเค้กไปด้วยดิวะ จะยากอะไร”
BLสระอู :: หายเงียบอีก ไอ้เด็กพวกนี้ ผู้ใหญ่ถามก็ตอบดิวะ เดี๋ยวสอยเรียงตัวเลยนี่
นายไออุ่น :: กลัวแล้วคร้าบบบบบ ไปก็ไป ผมชอบของฟรีอยู่แล้ว
It’s Michi :: ผมพาเค้กไปด้วยได้ป่ะครับ
BLสระอู :: น้องเค้กกกก ได้ดิวะ พามาเลย กูก็คิดถึงน้องเค้กเหมือนกัน
J.U.S.T. :: ทำไมผมสัมผัสได้ถึงเสียงสอง ผ่านตัวหนังสือวะเฮีย
BLสระอู :: ไม่ต้องพูดมากละมึง เจอกันตึกคณะ
.
.
.
ตอนแรกที่พวกผมโทรไปชวนน้องๆ ปี1 ทุกคนก็ดูตื่นเต้นดีใจ ก็ดูอายุแต่ละคนสิครับเพิ่งจะถึงเกณฑ์ได้ไม่นานเอง โดยเฉพาะไอติมนี่เฉียดฉิวมาก ถึงจะอย่างนั้น ทุกคนก็รับปากขันแข็งตอนที่พวกผมถามว่าเคยดื่มกันรึเปล่า ดื่มได้แน่นะ แต่เอาจริงๆ พวกน้องจะตอบว่าอะไร หรือต่อให้คอแข็งแค่ไหน พวกผมที่เป็นรุ่นพี่ก็มีหน้าที่ต้องคอยดูและรับผิดชอบน้องๆ แต่ละคนอยู่ดี และเมื่อเวลาผ่านไปได้แค่ชั่วโมงกว่าๆ สถานการ์มันก็เริ่มเลวร้าย(?)
“ฮ่าๆๆ มึงดูไอ้จู เมาเรื้อนฉิบชาย ไปเต้นบ้าอะไรกับกำแพงวะ”
“เวรแล้ว กูไปห้องน้ำแป๊บเดียว ทำไมมึงไม่ดูน้องวะจัส”
มิชิตรงปรี่เข้าไปพยุงน้องจูเนียร์ พร้อมกับเอ่ยขอโทษโต๊ะข้างๆ แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กจะแรงเยอะใช้ได้ แถมไม่ยอมให้มิชิมันพากลับมาที่โต๊ะง่ายๆ ด้วย น้องยังคงพยายามดิ้นและขืนตัวจะกลับไปเต้นกับกำแพงให้ได้ เห็นแล้วเหนื่อยแทน ไอ้จัสก็นั่งดื่มอย่างเดียวเลย ใจคอไม่คิดจะช่วยเพื่อนกับน้องตัวเองบ้างเลยหรือยังไงวะ ตัดภาพมาที่น้องอีกสองคนที่เหลือ ฟุบโต๊ะหลับไปหนึ่ง ส่วนอีกคนก็ยังรับแก้วที่ไอ้พี่บลูชงแล้วส่งให้อย่างต่อเนื่องทั้งๆ ที่ตัวโอนเอนจนจะนั่งไม่อยู่อยู่แล้ว
“ไอติมพอได้แล้ว... ไอ้พี่บลู นี่ก็ชงส่งให้น้องจังเลย”
“ไอติมเป็นเด็กดี น่ารัก ว่าานอนสอนง่าย กูชอบบบ”
ไอ้พี่บลูมันไม่ได้พูดเฉยๆ เพราะมือใหญ่ถูกส่งมาลูบหัวคนเป็นน้องเบาๆ แล้วมันก็ไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เพราะพี่มันเลื่อนมือมาหยิกแก้มน้องเล่นอีกต่างหาก แถมน้องก็ยังส่งยิ้มหวานกลับไปให้อีก เออ เอาเข้าไป เมาแล้วปล่อยเนื้อปล่อยตัวจริงๆ ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมหงุดหงิดแปลกๆ คงเป็นเพราะผมรู้นิสัยไอ้พี่บลูดีละมั้ง
“พอเลยพี่ เห็นน้องเมาหน่อยไม่ได้เลยนะ ไม่ต้องส่งให้น้องแล้ว”
“ไรวะ ทำตัวเป็นหมาหวงก้างไปได้ เหล้าก็ยังเหลืออีกตั้งเยอะ ช่วยๆ กันดื่มดิวะ มึงไม่อยากให้น้องดื่มมึงก็ดื่มแทนดิ”
“ฉิบชาย... น้องจูจะอ้วก”
“เค้กฝากดูไวท์ด้วยนะวอร์ม” คนผมแดงหันมาบอกผมก่อนจะรีบเดินไปช่วยมิชิพากันลากน้องจูเนียร์ออกไปข้างนอกร้าน เห็นสภาพแล้วก็อนาถ ไม่ได้ต่างอะไรจากพวกผมตอนปี 1 เท่าไหร่เลย ผมเองนี่แหละที่เมาอย่างกับหมา ยังดีที่มิชิกับไอ้จัสมันคอแข็ง เลยรอดมาได้ ไม่งั้นคงเละเทะ หลังจากนั้นผมก็ดื่มแค่พอเป็นพิธี บางครั้งก็นั่งดื่มน้ำแต่อัดลมด้วยซ้ำ เพราะต้องคอยเป็นคนเก็บศพขับรถพาคุณเพื่อนทั้งหลายกลับไปส่งที่หอ
“ร้อน...”
“ไอติมไม่ต้องดื่มแล้ว เมาแล้วเนี่ย”
“อื้อ... ไอเมาแล้ว... ไอร้อนง่า”
“น้องไอติมแม่ง เมาแล้วอ่อยฉิบชาย”
“มึงหุบปากไปเลยไอ้จัส”
“เออ ไอ้จัสมึงเงียบๆ แล้วมาช่วยกูแดกนี่”
เฮียบลูล็อคคอเพื่อนตัวสูงของผมไว้ก่อนจะยกแก้วเหล้าที่แทบจะเป็นเหล้าเพียวๆ กรอกปากไอ้จัส มันโวยวายอยู่สักพัก แต่ก็ยอมดื่มต่อไปเงียบๆ ผมว่าสองคนนั้นก็เริ่มตึงๆ แล้วเหมือนกันแหละ เล่นเทเหล้าเอาแบบนั้น มิกเซอร์แทบไม่ได้แตะ จะคอแข็งแค่ไหนจัดเพียวๆ ไปแบบนั้นก็ต้องมีมึนๆ กันบ้างแหละ
“น้องจูไม่ไหวแล้วอะพี่บลู เค้กกับมิชิขอพาน้องกลับก่อนนะครับ”
“เออๆ กลับกันดีๆ นะเว้ย”
“ไวท์... ไวท์ลุกไหวไหม”
“อ้าว... เค้กจะพาน้องไวท์กลับด้วยอ่อ?”
“ใช่สิ ก็ไวท์เป็นน้องเค้กนะ จะให้เค้กทิ้งน้องไว้ที่นี่หรอไง” คำพูดของเค้กทำเอาไอ้จัสมันอึ้งไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร มิชิกับเค้กหันไปร่ำลาเฮียบลูก่อนจะพาน้องทั้งสองคนออกไปจากร้าน
ส่วนผมก็ได้แต่ถอนหายใจนั่งมองเจ้าของหัวเล็กที่นั่งปรือตาซบไหล่ผมอยู่ตอนนี้ ไม่รู้ว่าน้องมันปลดกระดุม 2 เม็ดบนออกไปตอนไหน แถมตอนนี้นอกจากเสียงหวานที่จะบ่นร้อนแล้ว มือเรียวก็ยังพยายามแบะคอเสื้อออกอีก เพราะไม่ได้ติดกระดุมเสื้อ ภาพตรงหน้ามันก็เลยเหมือนน้องพยายามจะเปิดโชว์ผิวขาวๆ กับกระดูกไหปลาร้าของตัวเองให้ชาวบ้านดู
“เซ็กซี่สัด น่าจับกดโคตรๆ เลยว่ะ”
“นั่นปากมึงหรอวะ ไอ้จัส! กูจะพาน้องกลับแล้วมึงจะกลับพร้อมกูไหม”
“ไรวะ พวกมึงจะทิ้งกูหรอ”
“น้องเมามากแล้วจริงๆ อะเฮีย ผมขอโทษ”
“มึงกลับเหอะ เดี๋ยวกูอยู่ต่อกับเฮียเอง”
“เอางั้นก็ได้ มึงขับรถกลับดีๆ ล่ะวอร์ม ส่วนไอ้จัส มึงมานี่ ชน!”
.
.
.
**น้องไอติม**
พอได้ออกมาข้างนอก เจอที่โล่งกว้าง ได้สูดอากาศเข้าปอดค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เสียงดนตรีที่ดังกึกก้องตอนอยู่ข้างในมันทำให้ผมปวดหัวนิดหน่อยเหมือนมันจะปวดตึบๆ ตามจังหวะบีทดนตรีเลยครับ แต่ตอนนี้มันเงียบสงบมากเลย อาการปวดหัวก็เหมือนจะหายไปด้วย
“เฮ้ย! ไหวไหมเนี่ย”
พี่วอร์มเอ่ยถามกับผมหลังจากที่เราแยกกับรุ่นพี่และเพื่อนคนอื่นๆ ออกมาแล้ว ถ้าบอกว่าไหวก็คงจะโกหกเก่งเกินไป เพราะสภาพผมตอนนี้แทบจะเดินหน้าทิ่มอยู่แล้ว ยังดีที่ผมเกาะแขนพี่วอร์มเอาไว้อยู่ ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปนอนกลิ้งเป็นหมาข้างถนนแน่ๆ
“อะ... อืมมมม ก็ยังหวายอยู่ครับ อึ้ก!”
ผมพยายามตั้งใจตอบคำถามพี่วอร์มกลับไป แต่ดันสะอึกออกมาด้วยซะงั้น โคตรน่าอายเลยอะ ผมแอบเห็นพี่เขาขำด้วยแหละ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าโลกมันหมุนไปหมด ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดื่มไปทั้งหมดกี่แก้ว รู้แค่ว่าพี่บลูชงเหล้าแล้วยัดใส่มือผมทุกแก้วเลย บางแก้วยังไม่ทันจะหมดพี่บลูก็หยิบไปผสมให้ใหม่แล้ว แง ไม่น่าเกรงใจพี่บลูเลยอะ แต่พี่เขาดูน่ากลัวผมจะกล้าปฏิเสธได้ยังไง ถ้าไม่ดื่มก็กลัวพี่เขาจะโกรธเอา
“อึ้ก! อุ้บ!” ผมยกมือขึ้นปิดปากเพราะรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมันขึ้นมาจุกที่ลำคอ ฮือ ข้าวกระเพราะไก่กรอบเมื่อตอนเย็นมันกำลังจะออกมาแล้ว
“เอ้า! เอาเข้าไป ไหวป่ะเนี่ย”
“ผม... รู้สึกอยากจะอ้วกง่ะ...”
“นั่นไง งั้นไปหาอะไรร้อนๆ กินก่อนไหม เดี๋ยวแม่งอ้วกแตกบนรถอีก” ผมไม่สามารถตอบคำถามพี่วอร์มเป็นคำพูดได้เลย ผมได้แต่พยักหน้ารับไป
“เดี๋ยวพาไปกินเตี๋ยวน่องไก่มะระตุ๋นหลังมอแล้วกัน”
พี่วอร์มพูดจบก็ดึงมือผมไปจับแล้วพาเดินออกไป ถึงแม้ว่าผมจะมึนแค่ไหนแต่ผมก็ยังมีสติมากพอที่จะรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนะครับ ต้องขอบคุณอาการมึนแอลกอฮอล์ของผมตอนนี้มากๆ ไม่อย่างนั้นพี่วอร์มต้องจับได้ว่าผมแอบเขินพี่เขาอยู่แน่ๆ ผมรู้สึกว่าที่หน้าผมมันร้อนมากก็ตอนที่พี่เขาดึงมือไปจับแล้วพาจูงมาที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนี่ยแหละ ฮือ เขินเป็นบ้าเลย
.
.
.
**พี่วอร์ม**
คนตรงหน้าไม่พูดไม่จาเอาแต่ก้มหน้าจดจ่ออยู่กับชามก๋วยเตี๋ยว ก่อนจะควานหาและตักชิ้นมะระมาวางแหมะใส่ลงในชามของผม พร้อมกับยู่ปากน้อยๆ ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้วะ ก็น้องมันน่ารักจริงๆ จะให้ผมชมว่าอะไรได้ล่ะครับ แต่ผมก็ยังไม่ลืมคำสอนของเฮียบลูหรอกนะ คำสอนที่ว่า อย่ากินกันเองในโต๊ะ เพราะไม่อย่างนั้น โต๊ะมันจะแตก! แต่เฮียมันจะรู้บ้างไหม ว่าน้องสายคุณชายผู้แสนดีของมันแอบมีซัมติงกับเดือนโต๊ะ ถึงมิชิมันจะยังไม่ได้พูดอะไร แต่ผมว่าผมก็ดูไม่ผิดหรอก
“ตักมาให้ทำไม...”
“ก็... ผมไม่ชอบมะระอะ มันขม...”
“พลาดแล้ว นี่อะของดีจะตาย ร้านนี้ทำอร่อยไม่ขม หวานจะตาย ลองชิมดูดิ”
“ไม่เอาอะ พี่กินเถอะครับ”
“แหม ที่เหล้าขมจะตายแดกเอาๆ ไม่มีบ่นเลยนะ”
น้องไม่ได้เถียงอะไรผมได้แต่เม้มปากแน่นมองผมอยู่สักพัก แต่พอโดนผมจ้องกลับไปก็หลบสายตาแล้วก้มหน้าชิมน้ำซุปแทน เอาจริงๆ ตอนนี้ผมก็ทำตัวไม่ค่อยถูกหรอกนะ จะพูดเพราะๆ ดีๆ กับน้อง คำพูดไอ้พวกปี 2 ก็ลอยมา แต่จะให้พูดหยาบกับน้องเหมือนที่พูดกับเพื่อนมันก็รู้สึกแปลกๆ ผมลอบมองคนตรงหน้าเป็นระยะพร้อมๆ กับจัดการก๋วยเตี๋ยวในชามตัวเอง
หลังจากที่น้องตั้งใจกินก๋วยเตี๋ยวมากโดยไม่สนใจผม อยู่ๆ น้องก็เงยหน้าขึ้นมานั่งเท้าคางพร้อมกับเอามือสองข้างยืดและคลึงแก้มตัวเองเล่น ทำเพื่ออะไรวะครับ ทำไมไอติมถึงเป็นคนที่น่ารักเรี่ยราดขนาดนี้วะ ใช้คำว่าน่ารักเปลืองฉิบชาย ผมเห็นแล้วก็จะลองฟัดแก้มนุ่มๆ นั่นบ้างเหมือนกันนะ
“อิ่มแล้วใช่ไหม จะได้กลับสักที ง่วง...”
“อ่า... กลับเลยก็ได้ครับ”
ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะขึ้นไปส่งน้องถึงห้องแต่ไอติมกลับยืนยันว่าไม่เป็นไรและปฏิเสธความหวังดีของผม ผมก็เลยแวะจอดส่งให้น้องลงตรงหน้าหอเพื่อขึ้นลิฟไปเองส่วนผมก็วนรถไปจอดก่อนจะขึ้นห้องตัวเองมา ง่วงฉิบชายเลยครับตอนนี้ เพราะเมื่อบ่ายที่ตั้งใจว่าจะงีบก็ดันไม่ได้งีบ แถมตอนเย็นว่าจะรีบกลับหอไปพักหลังเลิกเรียนก็ดันโดนไอ้พี่บลูลากไปก๊งอีกเนี่ย แผนรวนไปหมดเลย ไม่ได้ไปก๊งเปล่าๆ แต่ดันมีหน้าที่ต้องดูแลรับผิดชอบชีวิตคนอื่นอีก เหนื่อยชะมัด ถึงแม้ว่าวันนี้ถึงอะไรๆ จะดูผิดแผนไปหน่อย แต่ผมก็ถือว่าเป็นวันที่ดีอีกวันนึงเลยแหละ
.
.
.
To be Continue...
:: Chapter 7 :: 'รับน้อง'
[/b]
มาถึงวันรับน้อง ถึงแม้ว่าปี 2 จะจัดเตรียมรถบัสไว้สำหรับให้รุ่นพี่ด้วยก็ตามแต่พวกผมตัดสินใจที่จะขับรถไปกันเอง โดยตกลงกันว่าจะเอารถไอ้มิชิไป ส่วนใครจะขับก็แล้วแต่เพราะพวกเราขับรถกันได้ทุกคน ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
“จะออกเลยป่ะ หรือจะออกพร้อมน้อง”
“ออกเลยก็ได้มั้งมึง เดี๋ยวค่อยไปแวะจอดรอที่ปั๊ม จะได้ซื้อน้ำหวานด้วย” ไอ้จัสเป็นคนตอบคำถามของมิชิ ส่วนน้ำหวานที่มันว่าก็ไม่ใช่น้ำแดงเฮลซ์บลูบอยหรือน้ำอัดลมหรอกครับ ก็พวกแอลกอฮอล์ ทั้งหลายนั่นแหละครับ
“ตกลงใครขับ วอร์มมึงจะขับป่ะ”
“กูง่วงว่ะ ขอกูงีบก่อน ถ้าแวะปั๊มแล้วจะเปลี่ยนเดี๋ยวกูขับให้”
“เออๆ งั้นพวกมึงไปนั่งข้างหลังไป” มิชิเอ่ยปากไล่ผมกับจัสแล้วหันไปเปิดประตูข้างคนขับให้เค้ก การกระทำไม่ค่อยชัดเจนเลยนะครับคุณเพื่อน
ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเราก็เดินทางมาถึงปั๊มที่ปีจัดงานได้ทำการประสานขออนุญาตใช้สถานที่ให้เด็กปี 1 ทำภารกิจแล้ว ผมก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าปีนี้ตั้งกติกาของภารกิจไว้ยังไง ตอนพวกผมแค่ให้เต้นไก่ย่างกลางปั๊มเอง ชิลมากยังไม่ทันรู้สึกถึงความอับอายเลยครับ
“พวกมึงจะดื่มอะไรกันบ้างครับคุณเพื่อน”
“แค่เบียร์ก็พอมั้งมึง เหล้าเดี๋ยวพวกพี่บิ๊ก เฮียบลู สมาชิกกสร.ทั้งหลายก็คงขนไปกันอยู่แล้วเปล่าวะ” ผมตอบไอ้จัสไปตามความจริง เพราะผมก็เห็นพวกพี่ๆ สมาชิกกสร.หรือกองทุนสุราประจำโต๊ะขนเหล้า โซดา ไปกันเพียบ ถ้าอยากกินก็แค่ไปขอร่วมวงกับพวกพี่เขา ยังไงพวกรุ่นพี่เขาก็ชอบให้ไปนั่งดื่มด้วยกันเยอะๆ อยู่แล้ว
“เค้กจะเอาอย่างอื่นเปล่า”
“ก็ไปซื้อด้วยกันหมดนี่แหละ เค้กอยากได้ค็อกเทลอะ แต่ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีรสอะไรบ้าง ต้องไปดูก่อน ไปกันเถอะ” เค้กเกาะไหล่มิชิแล้วพากันวิ่งนำออกไป เห็นบอกอยากกินค็อกเทลแบบนี้ไม่ใช่ว่าคออ่อนหรือดื่มไม่เก่งอะไรหรอกนะครับ ผมเนี่ยคออ่อนที่สุดในกลุ่มแล้ว ส่วนคนที่คอแข็งที่สุดก็คนผมแดงที่วิ่งไปโน่นแล้วนั่นแหละครับ เหตุผลที่เค้กไม่กินเหล้ากินเบียร์ก็เพราะเค้กบอกว่ารสชาติของมันไม่อร่อย แต่พวกว้อดก้ารสหวานๆ ทั้งหลายนี่เค้กคนเดียวกินได้เป็นขวดอะครับ
ระหว่างที่พวกผมกำลังช่วยกันยกเครื่องดื่มหลากสีที่ซื้อมาใส่ท้ายรถ รถบัสของพวกเด็กปี 1 ก็เดินทางมาถึงปั๊มพอดี ผมเห็นพวกปีจัดงานให้น้องๆ มานั่งเรียงแถวรวมตัวกันก่อนจะเริ่มจับมัดผมมัดจุก และแต่งเติมใบหน้าของน้องๆ ด้วยลวดลายที่หลากหลาย เห็นแล้วมันก็คันมือยิกๆ อยากจะไปร่วมเติมบ้าง
“พวกมึง ไปวาดหน้าน้องกัน”
“จะดีหรอวอร์ม ต้องเป็นพี่ว้ากกันไม่ใช่หรอ”
“ไปเหอะเค้ก พี่ว้ากแล้วยังไง ยิ่งดีเสียอีก แกล้งน้องสบายเลย” เวลาเห็นไอ้มิชิมันยกยิ้มมุมปากแบบนี้มันก็แอบมีความชั่วร้ายนิดๆ เหมือนกันนะครับ ผมหันไปมองไอ้ตัสที่ยกเบียร์แพคสุดท้ายใส่ท้ายรถเสร็จ มันเองก็ไม่ได้ขัดอะไรแถมยังยกมือขึ้นมาหักข้อนิ้วเล่นอีก งานนี้ท่าทางน้องจูเนียร์จะโดนจัดหนักเสียแล้วครับ
“พวกพี่ขอแจมด้วยได้ป่ะ” จัสเอ่ยขึ้นกลางวง ทำเอาทั้งเด็กปี 1 และปี 2 หันมามองทางพวกเราเป็นตาเดียว ทำอะไรไม่เคยปรึกษากันก่อนเลย พวกน้องปีจัดงานก็คงจะงงไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ แต่รุ่นพี่เอ่ยปากขนาดนี้แล้ว น้องๆก็ต้องยอมไปตามระเบียบแหละครับ
“น้องจูเนียร์ที่รัก ไหนๆ พี่ดูหน่อยซิ เอาแก้มแดงๆ ดีกว่าเนอะ จะได้ดูสุขภาพดี” เสียงเป็ดๆ ของจัสลอยมาเข้าหูผมที่อยู่ถัดมาอีกสองแถว ถามจริงๆ เถอะครับ เล่นเบอร์นี้แล้วตอนไปว้ากน้องนี่จะยังมีใครกลัวหรือเคารพมันไหมวะ ไอ้มิชิก็ได้แต่ยืนส่ายหัวไปมาก่อนจะ เอาหนังยางไปมัดจุกเป็นน้ำพุตรงกลางหัวให้น้อง
“พี่วอร์ม...”
“ดูเหมือนจะมาไม่ทันเติมหน้าแฮะ เป็นแมวไปแล้วนี่”
“พี่คิววาดให้เมื่อกี้เลยครับ...”
“อืม... เดี๋ยวเติมหูให้” ผมไม่มีหูแมวมาเติมให้น้องจริงๆ หรอกครับ ก็แค่จะมัดจุกเล็กให้ไอติมสองข้าง ให้มันดูคล้ายๆ หูนั่นแหละ กวาดสายตามองไปรอบๆ ดูแล้ว น้องถือว่าโชคดีมากนะครับ ที่มีแค่สีดำแต้มอยู่ปลายจมูก กับหนวดที่แก้มอีกข้างละสามเส้น ผมเห็นสภาพน้องบางคนที่แทบจำไม่ได้ว่าเป็นใคร ไอ้คิวมันใจดีกับน้องเกินไปไหม
“เสร็จแล้ว” ผมเคาะหัวน้องไปเบาๆ หนึ่งทีเมื่อน้องเงยหน้าขึ้นมาแลบลิ้นให้ผม ทำแบบนี้กับรุ่นพี่ก็ได้หรอวะ แต่เอาเถอะครับ ผมจะเห็นแก่ความรักรักของน้องแล้วกัน อีกอย่างถ้าเริ่มดุน้องตั้งแต่ตอนนี้ก็กลัวมันจะแกร่วเสียเปล่าๆ เอาไว้ถึงเวลาค่อยเอาจริงแล้วกัน
พอถูกแต่งเติมหน้าและมัดผมจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องไปทำภารกิจ ซึ่งปี2 กำหนดไว้ง่ายมาก เพียงแค่ให้น้องๆ ไปบูมคณะเพื่อขอข้าวกล่องอาหารกลางวันของแต่ละกลุ่มเท่านั้นเอง แต่ไม่รู้ด้วยความดวงดีของกลุ่มไอติมหรือยังไงก็ไม่รู้ พี่พนักงานร้านที่น้องต้องไปดันเป็นสาวประเภทสองซึ่งไม่ยอมจบง่ายๆ เพียงแค่การบูม พี่เขาเรียกร้องให้น้องๆ ออกมาเต้นโชว์โดยเฉพาะหนุ่มทั้งๆ ต้องเข้าไปคลอเคลียจนกว่าพี่แกจะถูกใจถึงได้ข้าวกล่องมา
ผมยืนมองกลุ่มไอติมใส่เต็มเต้นอย่างเต็มที่แล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ น้องกล้าแสดงออกมากๆ ไม่ได้มีท่าทีเขินอายอะไรเลย แถมตอนแรกที่พวกน้องผู้ชายเกี่ยงกันว่าใครจะออกไปเต้นกับพี่เขา น้องยังอาสาเสนอตัวออกไปเต้นเป็นคนแรกอีก แถมยังเต้นไปหัวเราะไปสดใสสุดๆ เป็นเด็กที่พลังบวกล้นเหลือจริงๆ ผมว่าพี่เขาก็คงแบบความสดใสของน้องนี่แหละ ถึงยอมใจอ่อนให้ข้าวน้องมา
“ไอ้วอร์ม ไปกันเถอะมึง จะยืนยิ้มดูน้องไอติมเต้นอีกนานไหม”
“สัด! ก็ยืนรอพวกมึงไหมล่ะ เห็นพากันตามไปดูน้องจูกับน้องไวท์หมดอะ” ผมเถียงกลับไอ้จัสทันที ก็มันจริงนี่ครับ เพราะว่าจูเนียร์กับไวท์ได้กลุ่มเดียวกัน พวกคุณเพื่อนของผมก็เลยพอกันตามไปดูกลุ่มนั้นหมด ผมก็แค่มายืนดูน้องผมรอพวกมันเอง พูดเสียเหมือนกับว่าผมเป็นคนผิดอย่างนั้นแหละ
“พอๆ เลิกเถียงกันแล้วขึ้นรถไปมึง”
“เค้กว่าเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวต้องไปเตรียมฐานปี3 อีกนะ” ผมไม่ได้ต่อความอะไร เพราะสิ่งที่เค้กพูดมาก็ถูก ถึงปี 2 จะเป็นปีจัด แต่พวกเราเองก็มีฐานที่ต้องเตรียมเหมือนกัน ผมจึงรีบเดินกลับไปที่รถแล้วพวกเราก็มุ่งหน้าไปยังที่พักเพื่อเก็บข้าวของและเตรียมตัวสำหรับการเป็นพี่ฐาน
พอมาถึงที่พัก น้องฝ่ายสถานที่ก็รีบวิ่งเอากุญแจห้องมาให้พวกผมพร้อมกับนำทางไปยังห้องพัก ผมเห็นว่าเพื่อนบางคนมาถึงก่อนแล้ว พวกเราก็เลยแค่ขนสัมภาระเข้าไปวางไว้ในห้องโดยยังไม่ได้จัดอะไรแล้วรีบออกมาจับคำใบ้ประจำตัวที่จะใช้ในฐานของปี 3
“อะไรวะ ทำไมกูต้องได้ลูกหมาด้วยอะ” ผมโวยวายเมื่อไอ้จัสเอาป้ายคล้องคอที่เขียนว่า ‘ลูกหมา’ ส่งให้ผม
จริงๆ ตอนนี้พวกผมกำลังเตรียมฐานของปี3 อยู่ครับ ซึ่งเกมมันไม่ได้ยากเลย มันเป็นเกมที่ให้รุ่นน้องใช้สมอง ไหวพริบและความคิดสร้างสรรในการแต่งเรื่องเล่าจากคำใบ้ที่พวกผมทำไว้ให้ แต่มันจะยุ่งยากตรงที่น้องๆ ต้องหารุ่นพี่ที่คล้องป้ายตรงกับคำใบ้ที่จับมาแล้วก็มาเล่าเรื่องอะไรก็ได้ให้มีทั้งคำใบ้ที่ได้ กับตัวเองและรุ่นพี่อยู่ในเรื่องเดียวกันภายใน 30 วินาทีครับ ถ้าเล่าไม่ได้หรือเล่าไม่จบก็โดนทำโทษไปครับ
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครมันเป็นคนคิดเกมนี้นะครับ แต่เห็นเค้กบอกว่ามันช่วยให้รุ่นพี่กับรุ่นน้องได้สนิทกันมากขึ้น แถมอีกอย่างเป็นวิธีที่ทำให้พวกน้องๆ จำชื่อพี่ๆ คนอื่นได้ด้วยนอกเหนือจากพี่สายตัวเอง ฟังเหตุผลแล้วก็พอเข้าใจได้แหละครับ
“ก็มึงจับเอง... กูยัดเยียดให้มึงซะเมื่อไหร่” เออ ก็จริงของมัน เพราะพวกเราเพิ่งจับคำใบ้กันไปก่อนจะเดินมาเตรียมฐานนี่แหละครับ
“เหมาะกับมึงดีนะไอ้วอร์ม” ไม่ทันขาดคำ ไอ้มิชิก็รีบแซะผมทันที ขอบใจมากเพื่อนรัก
“ไอ้นี่... เป็นลูกหมาก็น่ารักโว้ย! ดีกว่าของมึงอะ ไอ้รถเมล์” ผมหันไปด่าไอ้มิชิที่ได้คำใบ้เป็นคำว่า ‘รถโดยสารประจำทาง’ ต่อ จนไอ้จัสและเค้กที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็พากันหัวเราะไปด้วย
“เค้กอ่า... อย่าหัวเราะดิ เสียความมั่นใจหมดเลยเนี่ย” นั่นไง ไอ้มิชิหันไปอ้อนเค้กจริงๆ ด้วย ผมหันไปสบตากับจัสอย่างรู้กัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้แซ็วอะไรมัน พวกสต๊าฟปีสามก็พาน้องๆ ปี1กลุ่มแรกเดินมาที่ฐานของพวกเราแล้ว
“คล้องป้ายแล้วพลิกคำใบ้ไว้ด้านในด้วยนะครับปีสาม” เสียงใครสักคนตะโกนบอกพวกเรา ก่อนที่ผมจะทำแบบนั้นแล้วไปยืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ เพื่อนรอฟังน้องๆ แต่ละคนเล่าเรื่อง
“วันก่อนครับ เดินเข้าไปในป่า... เจอพี่เต้ยคนสวยกำลังเก็บดอกไม้ บีมเลยถามว่าจะเก็บไปทำอะไร พี่เต้ยคนสวยบอกว่าจะเก็บมาให้บีมไง! จบครับ” จบเรื่องเล่าสั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความของน้องปี1คนแรกที่ได้คำใบ้เป็นคำว่า ‘ดอกไม้’ และตรงกับป้ายของพี่ปี3 ที่เป็นผู้หญิง ทำเอาเพื่อนๆ รุ่นน้องและรุ่นผมต่างพากันโห่แซ็วน้องคนชื่อบีมกันระงม
ผมว่าเกมมันก็ตลกดีนะครับ ไม่รู้ว่าน้องๆ มันจะเล่าเรื่องอะไรแล้วจะออกมาในรูปแบบไหน บางคนก็เล่าเรื่องได้แบบออกนอกโลก ไปยังกับในหนังแอดเวนเจอร์ บางคนก็ง่ายๆ บางคนที่มีความกล้าหน่อยก็ได้โอกาสเต๊าะรุ่นพี่ไปในตัว แต่บางคนที่คิดอะไรไม่ออกก็ไม่ได้เล่าอะไรเลย เอาแต่ยืนอ้ำอึ้งจนต้องโดนทำโทษให้ออกมาเต้นแร้งเต้นกาบ้าบอให้เพื่อนดู
“ต่อไป น้องไวท์ครับ เชิญจับคำใบ้เลยครับ” ไอ้โปเต้เพื่อนในรุ่นผมที่เป็น MC เกมฐานนี้เรียกน้องไวท์น้องสายของเค้กให้ออกมาจับคำใบ้จากกล่อง
“ร่ม...” น้องไวท์พูดออกมาเบาๆ แต่ทุกคนก็ยังได้ยินมันอยู่ดี
“เชี่ย” ไอ้จัสอุทานออกมาเสียงดังจนทุกคนหันไปมอง แต่พวกผมอะหลุดขำออกมาก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะคำใบ้ ‘ร่ม’ ก็คือมันนั่นแหละ
“พูดจาไม่เพราะเลยครับคุณจัส... แต่ตกใจโอเวอร์ขนาดนี้... คำใบ้ว่าร่มต้องเป็น พี่จัส แน่ๆ เลยใช่มั้ยคร้าบ” ไอ้โปเต้ถือโทรโข่งเดินตรงเข้ามาหาหลังจากพูดจบ
“เออ!” ไอ้จัสตอบก่อนจะเหล่มองน้องไวท์เล็กน้อย สายตามันดูไม่น่าไว้ใจเอาซะเลยครับ
“อะ! จับเวลา! เริ่มได้ครับน้องไวท์”
“เอ่อ...” น้องไวท์ทำหน้านึกอยู่สักพัก ข้างๆ ผมมีเค้กคอยช่วยลุ้นให้น้องพูดออกมาอยู่ ส่วนไอจัสก็ยืนกอดอกรอฟังน้องไวท์เล่าเรื่องอยู่ อยากให้เห็นท่ามันตอนนี้มากครับ โคตรขี้เก๊กเลย เห็นแล้วหมั่นไส้ชะมัด
“อืม... เอาไงดี...” น้องไวท์ยืนบ่นพึมพัมเบาๆ เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ จนผมเริ่มจะลุ้นตามแล้วครับ พูดสิครับน้อง ไม่อย่างนั้นได้โดยทำโทษแน่ๆ
“ผ่านไป10 วิแล้วนะครับน้อง... อยากโดนทำโทษหรือไงครับ! พูดสิครับ พูด!!!”
“อ่า… เช้าวันหนึ่ง… อากาศอึมครึมและมีฝนตก ไวท์ออกจากบ้านไม่ได้… แต่พี่จัสก็กางร่มมารับไวท์ที่บ้าน... ไวท์เลยออกจากบ้านไปพร้อมกับพี่จัส... จบครับ” หลังบจากจบเรื่องเล่าของน้องไวท์ พวกปีสามก็ส่งเสียงโห่แซ็วเรื่องเล่าของน้องไวท์กันเสียยกใหญ่
“ไอ้จัส ทำไมมึงไปรับน้องเขาที่บ้านได้วะ”
“เออ! มึงแม่งทำตัวเป็นคนดี ที่จริงหลอกน้องไปทำเรื่องแย่ๆ ใช่ไหม ฮ่าๆๆ” เพื่อนๆ ตะโกนแซ็วไอ้จัสเรียกเสียงหัวเราได้ดี เอาจริงๆ ผมเห็นไอจัสมันแอบยิ้มด้วยแหละ ไอ้บ้าเอ้ย ทำเป็นเก็กขรึมมาตั้งนานสุดท้ายก็หลุดว่ะ กากฉิบชาย
“คนต่อไป... น้องไอติม! เชิญออกมาจับคำใบ้ได้เลยครับ” ไอ้โปเต้คนเดิม ตะโกนเรียกน้องคนต่อไปออกมาซึ่งก็คือน้องไอติมของสายผมนั่นเอง
น้องเหมือนมีเพื่อนเป็นกองเชียร์ส่วนตัวยังไงอย่างนั้นเลยครับ แค่ลุกจากที่นั่งมาเพื่อนๆ ก็ส่งเสียงเชียร์กันยกใหญ่ แล้วดูเจ้าตัวสิ ก็แจกยิ้มเรี่ยราดให้เพื่อนๆ ด้วยอีก ไม่รู้ใครสอนให้ยิ้มแบบนี้นะครับ คงคิดว่าทำแบบนั้นแล้วน่ารักมากมั้งน่ะ
แต่ก็... อืม น่ารักจริงๆ นั่นแหละครับ...
“ลูกหมาครับ...”
“เฮ้ย!” ผมส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจหลังจากยืนคิดอะไรเพลินๆ ก็ไอติมจับคำใบ้ได้คำว่า ‘ลูกหมา’ แล้วมันก็ตรงกับป้ายที่ผมคล้องอยู่นี่ไง
“โอ้โห... อะไรจะเป๊ะขนาดนี้” ไอ้มิชิเอ่ยพูดอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่ผมกำลังหันป้ายที่มีคำว่า ‘ลูกหมา’ ออกมาด้านนอก
“โว๊ววว!!! ลูกหมา คือพี่วอร์มนั่นเองนะคร้าบบ” MC ประจำฐานพูดใส่โทรโข่งพร้อมกับเดินมาที่ผม
“เอ๊ะๆๆ น้องไอติมกับพี่วอร์ม เป็นพี่น้องสายเดียวกันนี่นา... แบบนี้ก็ไม่น่าจะยากเนอะ อะ งั้นเริ่มเลยละกัน” ผมเห็นน้องกัดริมฝีปากตัวเองอย่างคิดหนักหลังจากที่ไอ้โปเต้พูดจบ ไอติมคงกำลังคิดเรื่องที่ต้องเล่าอยู่แน่ๆ แต่ไอ้ท่าทางกัดริมฝีปากแล้วทำหน้าครุ่นคิดนี่มันโคตรจะน่ารักอะไรแบบนี้วะครับ
“จับเวลา! เริ่มได้”
“อืม... จะเล่ายังไงดี...” น้องไอติมเดินเข้ามาใกล้ผมแต่ก็ยังทำหน้าคิดหนักอยู่ ไม่พอแค่นั้น เจ้าตัวยังยกนิ้วขึ้นมาจิ้มที่แก้มประกอบการคิดอีก ผมนี่อยากจะเขย่าตัวน้องแรงๆ แค่นึกเรื่องเล่าจำเป็นต้องทำตัวน่ารักขนาดนี้เลยหรอ
“ใกล้จะหมดเวลาแล้วนะครับน้อง”
“อ่า... นึกออกแล้ว...” ผมแทบหลุดขำที่น้องไอติมทำหน้าดีใจเมื่อนึกออก มันเหมือนมีดวงไฟอยู่บนหัวโผล่ ปิ๊ง! ขึ้นมาเหมือนในการ์ตูน
“นึกออกแล้วก็พูดดิ” ผมรีบบอกน้องเมื่อเวลามันใกล้จะหมดเต็มที มัวแต่ทำตัวน่ารักอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวถ้าโดนทำโทษขึ้นมาละก็จะยังยิ้มออกไหมนะ
“พี่วอร์มพาลูกหมาไปหาหมอ... ลูกหมาฟันหลอเพราะลูกอมขนมหวาน... คุณหมอเปลี่ยนฟันให้ใหม่ไม่เนิ่นนาน... พี่วอร์มก็พาลูกหมากลับมาบ้าน... มาหาไอติม! เย้!”
“เหยดดดด”
“ฮิ้ว!!! กลับบ้านมาหาไอติม”
“อย่างกับพ่อแม่ลูกเลยว่ะ”
ผมว่าแล้ว หลังจากน้องไอติมเล่าจบ ไอ้พวกเพื่อนๆ ก็ ส่งเสียงแซ็วกับเรื่องเล่าของไอติม แต่ยอมรับนะครับว่าไอติมฉลาดเล่าเรื่องมาก นึกอะไรไม่ออกก็เอานิทานที่เคยเล่าติดปากตอนสมัยประถมมาเล่า เพียงแค่ดัดแปลงนิดหน่อย แต่นั่นแหละครับ ไอ้พวกปีสามก็แซ็วกันระงมตามเคย
“หุบปากไปเลยพวกมึง” ผมหันไปว่าใส่เพื่อนๆ ก็ไม่รู้มันจะแซ็วอะไรนักหนา ก็พวกมันทั้งนั้นไม่ใช่หรือไงที่ตั้งกติกาฐานให้เป็นแบบนี้
“โห... โคตรดุเลย หมาพันธุ์ไหนวะครับเนี่ย ไอ้คุณวอร์ม”
“เชี่ย กูไม่ใช่หมาไหม”
“ฮ่าๆๆ” ผมเลิกสนใจที่เพื่อนแซ็วแล้วหันกลับไปมองน้องไอติมที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าผม หน้าตาน้องดูงงๆ ที่เห็นพวกพี่ปีสามส่งเสียงแซ็วแต่ก็ยังยิ้มแห้งๆ ออกมาจนผมต้องยกสันมือขึ้นตีที่หน้าผากน้องเบาๆ
“ผ่านแล้ว! กลับไปนั่งที่ไป” ผมบอกน้องหลังจากที่ตีเหม่งน้องไปเบาๆ เจ้าเด็กเด๋อนี่ จะมึนอะไรนักหนา
“อ่า... ขอบคุณครับ” ไอติมพูดขอบคุณพร้อมกับยิ้มตาหยีใส่แล้วรีบหันหลังกระโดดโลดเต้นกลับเข้าไปหาเพื่อนๆ คงเพราะดีใจที่ตัวเองไม่โดนทำโทษ มันจะน่ารักสดใสไปถึงไหนครับเนี่ย พลังเหลือเฟือเลยจริงๆ น้องดูเป็นคนที่พลังบวกในตัวเยอะมาก ใครได้อยู่ใกล้ๆ ก็คงพากันได้รับพลังบวกจากน้องไปหมด
เมื่อน้องกลุ่มสุดท้ายที่มาทำภารกิจฐานของปี 3 กำลังจะเอ่ยลา ละครฉากใหญ่ก็กำลังเริ่มขึ้นเช่นกัน เมื่อน้องปี 2 วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อมกับเอ่ยถามหาน้องปี 1 คนนึง แต่กลับไม่มีใครเห็น หรือรู้เลยว่าน้องคนนั้นหายตัวไปไหน น้องปีจัดงานพาเด็กๆ ปี 1 ทั้งหมดให้มานั่งรวมกันกลางลานกว้างพร้อมกับให้สัญญาณว่าถึงคิวที่พวกผมจะต้องออกโรง
“ไม่มีใครเห็นน้องใบพลูเลยจริงๆ หรอ” คนที่หายไปคือน้องที่ค่อนข้างเงียบ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นแล้วก็ไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษ แน่นอนว่าน้องไม่ได้หายไปจริงๆ หรอกครับ เพราะก็พวกปีจัดงานนั่นแหละ ที่เป็นคนแอบมาพาน้องออกไป เพราะเด็กปี 1 ทุกคนจะถูกปิดตาอยู่เวลาที่ย้ายและเปลี่ยนฐาน มันก็ไม่ได้ยากอะไรที่จะพาตัวน้องคนนึงออกไป จริงไหมล่ะครับ
“น้องครับ เป็นเพื่อนกัน ทำไมไม่ดูแลกัน ปล่อยให้เพื่อนหายไปแบบนี้ได้ยังไง แล้วถ้าเพื่อนเป็นอะไรขึ้นมา จะทำยังไง” ไอ้มิชิเปิดฉากด้วยสีหน้านิ่งและน้ำเสียงเรียบสนิท บทเย็นชาๆ แบบนี้เข้ากับมันดีนักแหละครับ ถ้าผมเป็นน้องผมก็เกร็งนะ ถึงจะไม่ดุด่าหรือพูดจาหยาบคาย แต่มันก็เย็นชาจนน่ากลัว
ผมปล่อยให้มิชิกับจัสพูดกดดันน้องปี 1 ไปเรื่อย ในใจน้องบ้างคนคงคิดเตลิดไปต่างๆ นานาแล้ว ว่าถ้าเกิดมีคนร้ายแอบเข้ามาปนเปกับพวกเราแล้วลักพาตัวเพื่อนไปจริงๆ จะทำยังไง แล้วตอนนี้เพื่อนคนนั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ไอ้จัสจงใจกดดันน้องที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับน้องใบพลู แต่สำหรับผมน่ะ ต้องใช้วิธีเดียวกันกับตอนที่พวกผมเป็นปีจัดครับ รับรองได้ผล
“มึงพอเหอะไอ้จัส กูว่าด่าปี1 ไปก็เท่านั้นว่ะ ปีจัด!!! พวกมึงออกมายืนเรียงเลยนะ จัดงานภาษาอะไรวะ มึงไปเอาลูกเขามา ทำไมไม่ดูและให้ดี น้องมันเพิ่งเข้ามา มึงจะให้ดูแลกันเองหรอวะ! ถ้าอย่างนั้นมึงจะปิดตาน้องหาพระแสงอะไร แล้วพี่จูงประจำกลุ่มมึงทำห่าอะไรอยู่ ทำไมไม่ดูน้อง!!!”
“เห้ย ไอ้วอร์มมึงใจเย็นดิวะ” ไอ้มิชิที่ตีหน้านิ่งได้บทคุณชายเย็นชาไปเมื่อครู่รีบมาจับบ่าผมเอาไว้ เป็นพ่อพระไปอีกแต่ขอโทษนะ ในเมื่อผมได้รับบทบาทนี้แล้วก็ต้องไปให้สุดครับ น้องปีจัดขอร้องมา ผมก็จะจัดให้ จัดเต็มด้วย แต่ก็แอบน้อยใจเหมือนกันนะ บทเกรี้ยวกราดโหดร้ายนี่ชอบโยนให้กูจังเลย แค่เป็นผู้ชายเสียงแหบนี่มันผิดมากหรอครับ
“ขอโทษครับ/ขอโทษค่ะ”
“พวกมึงไม่ต้องมาขอโทษกู! มึงไปขอโทษน้อง!!! อย่าให้กูเห็นพวกมึงไปโทษน้องอีกนะ หน้าที่ตัวเองยังทำได้ไม่ดียังจะหน้าด้านไปโทษน้องว่าไม่ดูแลกันอีก พวกมึงรีบไปหาน้องให้เจอเลยนะ ไป!!!” พวกปีจัดรีบขานรับผมก่อนจะให้น้องปี 1 ปิดผ้าผูกตากลับไปเหมือนเดิมแล้วย้ายน้องไปฐานริมทะเลทันที
ตอนที่ผมตะโกนต่อว่าพวกปี 2 อยู่นั้น ผมแอบเหลือไปเห็นไอติมนี่นั่งกอดเข่าเบ้ปากอยู่ น้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ไอติมเงยหน้ามามองผมเป็นระยะ แล้วก็ฟุบหน้าลงไปกับเข่าตัวเอง น้องจะกลัวจนไม่กล้าเข้าหาผมไหมเนี่ย ถ้าภาพลักษณ์ชายหนุ่มแสนอบอุ่นของนายไออุ่นคนนี้พังละก็ ผมไม่ปล่อยไอ้ตูนไว้แน่ โยนบทนี้มาให้ผมเล่น แถมตอนบรีฟก็ย้ำจังเลยว่าขอโหด ไอ้เวร ผมเสียหายนะเนี่ย
“เชี่ยวอร์ม มึงไปอัดอั้นมาจากไหนวะ กูเห็นกูยังกลัวอะ สัด!”
“มึงไม่ต้องเลยเชี่ยจัส ไหนมึงว่าจะเสริมกูไง เสือกทำตัวเป็นคุณชายเย็นชาเนียนไปกับไอ้มิชิเฉยเลยนะ มึงอะ”
“กูเกือบเชื่ออะมึง อินเนอร์แรงมาก วอร์มอีสแองกรี้สุดๆ อะมึง”
“พอไหมล่ะมิชิ ก็ไอ้ตูนมันบรีฟกูมาเนี่ย พวกมึงต้องช่วยกูเลยนะ น้องกลัวกูหมดแล้วมั้งเนี่ย”
“สุดยอดเลยวอร์ม เค้กนั่งมองหน้าไอติมกับไวท์นะ แบบจะร้องไห้อยู่แล้วอะ กินน้ำก่อน ใช้เสียงไปเยอะคอแห้งแย่” ผมรับขวดน้ำเย็นฉ่ำมากจากเค้กก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง ผมคงใช้พลังไปเยอะมากจริงๆ แหละครับ รู้สึกหน้าร้อนไปหมดแล้ว
“หายเหนื่อยยังวะ จะได้ตามไปฐานสปา”
“พวกมึงไปกันก่อนเลยก็ได้ กูอาจจะไม่ไป” ผมตอบไอ้จัสไป ฐานสปาที่ว่าคือฐานริมทะเลครับที่ปีจัดงานจะขุดทรายบริเวณหาดไว้เป็นเหมือนอุโมงค์ให้น้องลงไปคลาน แล้วก็จะถูกพี่ๆ ละเลงสารพัดสิ่งใส่ ทั้งสาคู น้ำแดง แชมพู สาหร่าย เรียกได้ว่ามีแต่เละกับเละ โดยน้องแต่ละคนจะมีป้ายชื่อคำผวนของตัวเองห้อยคออยู่ด้วย เพื่อที่ตอนคลานไปสุดทางแล้วจะได้ถ่ายรูปร่วมกับพี่ๆ ในสายด้วยสภาพที่อนาถที่สุดในชีวิตเท่านั้นแหละครับ
“มึงจะไม่ไปถ่ายรูปกับน้องไอติมหรอวะ ไหนๆ ก็มาแล้ว”
“เออๆ ไปก็ไปวะ” จัสกับมิชิรีบมาประกบผมคนละข้างแล้วกอดคอพาผมเดินไป โดยมีเค้กเดินอมยิ้มอยู่ข้างๆ ถึงผมจะไปแต่ก็คงไม่ได้ไปร่วมละเลงกับเขาหรอกครับ ไม่อยากจะให้น้องเกลียดผมไปมากกว่านี้ เอาเป็นว่าแค่ไปร่วมชมและถ่ายรูปสายเท่านั้นพอ ผมว่านะ น่ารักๆ อย่างไอติมน่าจะโดนเละเลยแหละ เพราะอย่างตอนที่ปีผมรับน้อง เค้กนี่ก็ฉ่ำไปด้วยน้ำแดง แถมยังมีเม็ดแมงลักติดเต็มผมไปหมดอีก คนน่ารักก็มักจะเละเป็นพิเศษแบบนี้แหละครับ
.
.
.
To be Continue...
Talk : พี่วอร์มทำน้องร้องไห้แล้วเนี้ย :hao3:
:: Chapter 10 :: 'สานสัมพันธ์' 10/1
**น้องไอติม**
ถึงจะจบกิจกรรมรับน้องของโต๊ะไปก็ใช่ว่ากิจกรรมของน้องใหม่อย่างพวกผมจะจบลงไปด้วยหรอกนะครับ เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันกีฬามหาลัยแล้ว ถึงคณะผมจะไม่ได้บังคับให้ขึ้นสแตนทุกคนก็เถอะแต่ด้วยความที่ปีนี้คณะนิติศาสตร์อยู่รวมกันกับคณะแพทย์ศาสตร์ซึ่งคนฝั่งเขามีไม่พอที่จะทำให้สแตนเต็ม ก็เลยมาขอความร่วมมือหาอาสาสมัครไปช่วยขึ้นสแตนแล้วจูเนียร์ก็ดันมือไวกรอกชื่อตัวเองกับชื่อผมไปด้วยเฉยเลย ยังดีที่ไวท์เอ่ยปากห้ามไว้ทัน ไม่อย่างนั้นคงได้วุ่นวายไปด้วยแน่ๆ เพราะไวท์เองได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในวงขับร้องประสานเสียงของคณะซึ่งก็มีซ้อมตอนเย็นแทบทุกวัน
“จูนะจู ทำอะไรไม่ปรึกษากันก่อนเลยอะ”
“โธ่ไอ ไหนบอกอยากทำกิจกรรมเยอะๆ ใช้ชีวิตมหาลัยให้คุ้มไง แล้วทีนี้ทำไมถึงมาว่าจูอ่า” เลิกเรียนแล้วก็อยากจะกลับไปนอนพักสักหน่อยแต่จูเนียร์เพื่อนรัดันหาเรื่องมาให้ต้องกลับดึกอีก แล้วขึ้นสแตนเนี่ยผมได้ข่าวมาว่าเค้าซ้อมกันหนักและเลิกดึกมากด้วยแค่คิดก็เหนื่อยจะแย่แล้ว
“ไม่เอา ไม่ทำหน้างอสิเพื่อนรัก~ เอาหน่า~ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วอะ เอางี้ เดี๋ยวจูเลี้ยงข้าวไอมื้อเย็นนี้เลยดีไหม”
“ไม่เอา..”
“โธ่... ไออ่า... โกรธจูจริงๆ หรอเนี่ย”
“ไม่เอาแค่นี้... จูต้องเลี้ยงไอติมไอด้วย... ไอถึงจะหายโกรธ”
“ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ เลยนะ นี่แหนะ!” พูดจบจูก็ยกมือขึ้นมาดีดหน้าผากผมเบาๆ แต่ถึงจะเบามันก็รู้สึกนิดนึงเหมือนกันนะครับ นี่ง้อผมอยู่ไม่ใช่หรอ ทำไมถึงกล้ามาทำร้ายร่างกายผมล่ะ
“โอ้ย! อะไรเนี่ย! มาดีดหน้าผากไอทำไม... ยังไม่หายโกรธเลยนะ”
“ก็นี่ไงจะพาไปซื้อไอติมเนี่ย... ยังพอเหลือเวลาอีกหน่อยก่อนขึ้นสแตน ไปเซเว่นกัน”
“เย้! จูเนียร์น่ารักจังเลย~ เพื่อนใครเนี่ย”
“พอเลยไม่ต้องมาอ้อน... จูไม่ใช่พี่วอร์มนะ”
“ง่ะ... ทำไมต้องพูดถึงพี่วอร์มด้วย...” นั่นน่ะสิ พอจูเนียร์พูดถึงพี่วอร์มขึ้นมาผมก็อดนึกถึงพี่เขาไม่ได้ ไม่ได้นึกถึงสิ ถ้าจะให้ถูกน่าจะต้องเรียกว่าคิดถึง เพราะหลังจากงานรับน้องแล้วผมก็ไม่ค่อยจะได้เจอหน้าพี่วอร์มเลย ไม่ใช่แค่กับพี่วอร์มคนเดียวนะครับ กับพวกรุ่นพี่ปีสองปีสาม ก็ไม่ค่อยได้เจอพวกพี่ๆ เขาเลยครับ มีเจอบ้างเวลาเดินสวนกันแต่ก็ได้แค่ยกมือไหว้ทักทายไปแค่นั้นแล้วก็แยกย้ายกัน อยากรู้จังว่าตอนนี้พี่วอร์มกำลังทำอะไรอยู่นะ
**พี่วอร์ม**
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : พี่วอร์มเลิกเรียนหรือยังครับ วันนี้เหนื่อยไหม
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : ฮ่าๆๆ ผมจะถามทำไมก็ไม่รู้ เพราะพี่ก็ไม่ได้ตอบผมอยู่แล้วนี่เนอะ
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : (สติ๊กเกอร์แมวหัวเราะ)
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : แต่ผมเนี่ยสิ ต้องเหนื่อยแน่ๆ เลิกเรียนแล้วยังมีเรื่องให้ทำอีกเยอะแยะเลย อยากจะนอนพักสักหน่อย แต่คงไม่ได้นอนแล้วอะ =(
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : พี่วอร์มคงกำลังกลับไปนอนที่ห้องแล้วแน่ๆ เลยอะ ยังไงก็ขับรถดีๆ นะครับ
ผมอ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอมือถือก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ บ่นมารัวๆ ขนาดนี้ มาดูเองไหมว่าตอนนี้ได้กลับไปนอนอย่างที่มันบ่นมาหรือเปล่า
“เฮ้ยวอร์ม! เจอกันมึง”
“เจอกันพรุ่งนี้นะวอร์ม”
“อือ! เจอกันพรุ่งนี้” ผมบอกพร้อมโบกมือลามิชิกับเค้กที่เดินแยกไปที่รถตัวเองอย่างเนือยๆ อาทิตย์นี้ผมต้องเริ่มเข้าชุมนุมเพื่อซ้อมร้องเพลงกับเพื่อนๆ ในชุมนุมโฟล์คซองแล้ว ไอ้มิชิก็เป็นมือกีตาร์ของวง ส่วนเค้กไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในวงหรอกครับ แค่มานั่งรอเป็นเพื่อนพวกผมเท่านั้นแหละ แต่นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลรอง ส่วนเหตุผลหลักน่าจะเป็นเพราะว่าเค้กต้องกลับเข้าหอพร้อมมิชิมากกว่าครับ จริงๆ จะกลับเองก็ได้แหละ แต่ไอ้มิชิมันน่าจะรั้งเค้กไว้ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ แค่ไม่พูดเท่านั้นแหละ ส่วนไอ้จัสน่ะหรอ เลิกเรียนเสร็จก็ขี้บิ๊กไบค์ลูกรักกลับหอไปนานแล้วละครับ
ผมหันกลับมามองที่โทรศัพท์อีกครั้งพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ กับไลน์เจ้าปัญหาจอมขี้บ่นที่มีเรื่องมาบ่นให้อ่านทุกวันก่อนจะเก็บมันลงกระเป๋าแล้วเดินไปที่รถของผมเองบ้าง
วันแรกที่เข้าชุมนุมก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่คุยกันเรื่องกิจกรรมของมหาลัยว่าจะมีทำอะไรบ้าง เราจะขึ้นเล่นงานไหนกันบ้าง แล้วก็แบ่งเวลาซ้อมกันยังไงบ้าง หลังจากนั้นก็ได้ซ้อมดนตรีกันอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับนี่แหละครับ ถึงวันนี้จะไม่ได้ทำอะไรมากมายแต่ก็เหนื่อยไม่ใช่เล่นเลยครับ เพราะวันนี้หลังจากเลิกเรียนแล้วพวกผมก็มาเข้าห้องชุมนุมเลยทันทีไม่ได้พักเลย อิจฉาไอ้จัสจริงๆ ป่านนี้คงนอนตากแอร์ที่ห้องสบายใจเฉิบไปละ
“ทำไมวันนี้รถเยอะจังวะ” ผมบ่นกับตัวเองนี่ละครับ จะรีบกลับหอซะหน่อย แต่ดันเจอรถติดกันตั้งแต่ในมหาลัยนี่ก็มันก็อดบ่นไม่ได้อะครับ จริงๆ จะว่าไปแล้วผมก็นึกถึงเจ้าของไลน์ปริศนานั่นที่ชอบไลน์มาบ่นให้ผมอ่านทุกวัน ปกติผมก็ไม่ใช่คนขี้บ่นอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่วันนี้มันก็น่าบ่นจริงๆ นั่นแหละครับ
ผมกำลังบ่นในใจไปเรื่อยเปื่อย สายตาก็ดันดีเหลือเกินเหลือบไปเห็นคนหน้าคุ้นๆ ที่จำได้ว่าล่าสุดเจอหน้ากันที่ห้องสมุดตอนช่วงก่อนสอบกลางภาค ใช่ครับ ตอนนี้ผมเจอไอติมกับจูเนียร์กำลังเดินอยู่บนฟุตบาทข้างหน้า และผมก็จำได้ว่าไอติมอยู่หอเดียวกับผม แถมไอติมยังเป็นน้องสายผมด้วยอีกถ้าไม่แวะรับให้ขึ้นรถมาด้วยกันก็จะดูน่าเกลียดไปหน่อย ถูกไหมครับถึงน้องจะไม่เห็นผมก็เหอะ แต่ผมเห็นน้องแล้วอะ
“ไอติม... จูเนียร์...” ผมชะลอรถไปจอดเทียบริมฟุตบาทก่อนจะลดกระจกลงแล้วตะโกนถามน้องสองคนที่เดินอยู่ด้วยกัน
“อ้าว! พี่วอร์มนี่เอง! นึกว่าใคร” เป็นจูเนียร์ที่เอ่ยทักผมก่อน ส่วนน้องสายผมหรอ ได้แต่ยกมือไหว้ผมและส่งยิ้มเจื่อนๆ มาให้ทำไมวะครับ เจอหน้าผมแล้วมันลำบากใจขนาดนั้นเลยหรอ
“อืม... กำลังจะกลับหอกันหรอ”
“ใช่ครับพี่วอร์ม กำลังเดินไปขึ้นรถกลับหอ”
“จูเนียร์กลับหอคนเดียวใช่ไหม เพื่อนเราไม่กลับด้วยว่างั้น เห็นยืนเงียบเชียว”
“ง่ะ... ผมก็จะกลับเหมือนกัน” ไอติมรีบตอบพร้อมกับปากยู่จนผมอยากจะบีบปากเจ้าเด็กนี่จริงๆ ชอบทำหน้าแสนงอนอะไรเบอร์นี้วะครับ
“งั้นขึ้นมา กลับหอด้วยกัน… เดี๋ยวพี่ไปส่งจูเนียร์ด้วย”
“อ่า...” ผมเห็นจูเนียร์กับไอติมมองหน้ากันทำท่าเหมือนลังเลจะพูดอะไรกันสักอยางแต่ก็ไม่พูด รถคันหลังก็ตามมาอีก
“เอ้า! จะไปไม่ไปเนี่ย! เร็วๆเข้า! มีรถตามหลังมา... ขึ้นมาเถอะ พี่ไม่พาไปขายหรอก”
“อ่า... ครับๆ ไอติมนั่งหน้าไปนะ เดี๋ยวจูนั่งหลังเอง” จูเนียร์บอกกับไอติมก่อนจะรีบเปิดประตูด้านหลังรถขึ้นไปนั่งก่อนทันทีส่วนไอติมก็ได้ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ไม่ยอมขึ้นรถสักที
“จะกลับไหมครับน้องไอติมครับ?” ผมชะโงกหน้าไปถามน้องอีกครั้งจนน้องยอมเปิดประตูรถขึ้นมานั่งข้างๆ ผม กว่าจะขึ้นกันมาได้ ผมว่าไอ้คันหลังมันคงด่าบรรพษุรุษผมไปเรียบร้อยแล้วละครับ
“ทำไมถึงกลับกันดึกอะ” ผมเอ่ยถามน้องๆ หลังจากขับออกมาจากตรงนั้นได้ไม่นาน
“พวกเรามีขึ้นสแตนอะครับ” ไอติมหันมาบอกผมเลยทำให้ผมนึกขึ้นได้ครับว่าพวกเด็กปี1 ต้องมีขึ้นสแตนเชียร์งานกีฬามหาลัย เพราะตอนผมอยู่ปี1 ผมเองก็เคยขึ้น แต่จริงๆ แล้วคณะผมก็ไม่ได้บังคับให้ขึ้นกันทุกคนหรอกนะครับ อยู่ที่ความสมัครใจมากกว่า ถ้าปีไหนอยู่กับคณะที่คนเยอะเด็กคณะผมก็แทบไม่ต้องขึ้นเลยด้วยซ้ำ
“อ่า... แล้วทำไมถึงไปขึ้นสแตนกันได้อะ เรียนกันกว่าจะเลิกก็เย็นแล้วยังไปขึ้นสแตนกันต่ออีก ไม่เหนื่อยหรือไง”
“ก็จูอะ... ไปลงชื่อขึ้นสแตนคนเดียวไม่พอยังใส่ชื่อผมลงไปด้วยอะ เลยต้องมาเหนื่อยด้วยเลยเนี่ย แทนที่จะได้กลับหอไปนอนพัก” ไอติมบ่นออกมาทันทีหลังจากที่ผมถามจบ บ่นไปก็ทำหน้ายู่ปากยื่นไป ผมนี่อยากจะบีบปากน้องจริงๆ ยิ่งมองก็ยิ่งมันเขี้ยวอะครับ
“โธ่~ ก็บอกว่าจะเลี้ยงข้าวเป็นการไถ่โทษไง... ไอเลิกบ่นได้แล้วน่า” จูเนียร์ชะโงกหน้ามาบอกไอติมที่นั่งทำหน้างออยู่เบาะหน้าพลางเอามือจิ้มแก้มเพื่อนรักเบาๆ
“ไม่ต้องเลย~”
“แบบนี้ก็ต้องกลับกันดึกทุกวันเลยอะดิ” ผมพูดแทรกน้องๆ เพราะกลัวว่าน้องจะเถียงกันไปเถียงกันมาไม่ยอมหยุด
“ก็คงจะอย่างนั้นอะครับพี่วอร์ม” น้ำเสียงที่ออกแนวประชดประชันเพื่อนของไอติมทำเอาผมหลุดขำ
“ฮ่าๆ ก็อย่างนี้แหละ... เหนื่อยหน่อยแต่ก็สนุกดีออกนะ อืม... ว่าแต่... เหนื่อยๆ แบบนี้ไปหาอะไรกินกันไหม ไอติม จูเนียร์ เดี๋ยวมื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” ไม่ได้หน้าใหญ่อยากเปย์อะไรหรอกนะครับ เห็นน้องบ่นเหนื่อยกัน ในฐานะที่ผมเป็นรุ่นพี่และยิ่งเป็นพี่สายรหัสน้องด้วย อย่างน้อยก็ควรจะเทคน้องบ้างเพื่อเป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกันถูกไหมครับ
“โห~ อยากไปมากเลยครับพี่วอร์ม... แต่จูเพิ่งนึกได้อะว่าวันนี้นัดเฟซทามกับคุณแม่ไว้ตอนสามทุ่มอะ... เนี้ยใกล้เวลาแล้วด้วยอะ ให้ไอติมไปกับพี่วอร์มสองคนแล้วกัน”
“อ้าว! ไหนจูบอกจะเลี้ยงข้าวไอไง”
“เอาเป็นพรุ่งนี้เที่ยงแทนได้ไหมละไอติม... นี่ไงไปกับพี่วอร์ม พี่วอร์มเลี้ยงเนอะๆ”
“แล้วทำไมไม่ไปด้วยกันก่อนละจูเนียร์ อีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะสามทุ่ม กินข้าวแป้ปเดียวคงไม่นานหรอก เดี๋ยวพี่ไปส่งหน้าหอเราด้วย” ผมหันไปบอกน้องที่ทำท่าหยิบกระเป๋าเป้มาสะพายไว้ อะไรจะรีบร้อนขนาดนั้น
“คือ... จูมีอะไรต้องทำก่อนอะครับ ไว้คราวหน้านะครับพี่วอร์ม เดี๋ยวพี่วอร์มจอดส่งจูตรงป้ายรถข้างหน้านี่ก็ได้ครับ”
“จูอ่า... จะไปเลยหรอ? ให้พี่วอร์มไปส่งที่หอก่อนไหม” ไอติมหันไปทำหน้าอ้อนใส่เพื่อน เพิ่งเคยเห็นน้องทำหน้าอ้อนใกล้ๆแบบนี้เป็นครั้งแรกครับ
โคตรจะน่ารัก
“นั่นสิ เดี๋ยวไอ้มิชิกับไอ้จัสมันรู้แล้วจะฆ่าพี่เอานะที่ไม่ยอมไปส่งน้องจูที่หอ”
“จูมั่นใจว่าพี่จัสกับพี่มิชิจะไม่มีทางรู้เรื่องนี้เด็ดขาดครับ!” น้องหันมาบอกขณะที่ผมเทียบรถจอดที่ป้ายรถใกล้ๆ ประตูเข้าออกของรั้วมหาลัยตามที่น้องบอก
“ขอบคุณพี่วอร์มที่แวะรับพวกเรานะครับ... จูฝากไอติมด้วยนะครับพี่”
“แค่นี้สบายมาก ไม่มีปัญหา จูเนียร์ก็กลับดีๆ ล่ะ”
“ครับ! เจอกันพรุ่งนี้นะไอ... กินข้าวให้อร่อยนะ ไปล่ะ” จูเนียร์บอกกับไอติมก่อนจะรีบกระโดดลงจากรถไป ทำให้ตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับน้องสายของผมที่นั่งอยู่บนรถกันสองคน ความเงียบเข้ามาครอบคลุมอีกครั้ง ถึงมันจะไม่ได้อึดอัดจนลำบากใจแต่ผมก็อยากให้บรรยากาศมันดีกว่านี้
“เรา... กินอะไรกันดีอะ”
“อะไรก็ได้ครับ... จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ จูเนียร์ก็กลับไปแล้ว... เอาไว้วันอื่นค่อย...”
“จะปฏิเสธพี่อีกคนหรอ ไม่อยากกินข้าวด้วยกันขนาดนั้นเลยหรือไง”
“มะ... ไม่ใช่แบบนั้นครับ! คือผมเกรงใจพี่วอร์มอะ ก็พี่บอกจะเลี้ยงทั้งผมและจูเนียร์แต่ตอนนี้จูกลับหอไปแล้วอะ ผมก็แค่เกรงใจ... ถ้างั้นไปกินข้าวด้วยกันแต่ต่างคนต่างจ่ายได้เปล่า” ไอติมอธิบายให้ผมฟังเสียยืดยาว ทำไมถึงได้คิดมากขนาดนี้
“เรื่องแค่นี้เอง... เกรงจงเกรงใจอะไรนักหนา พี่เป็นพี่สายเราป่ะ เลี้ยงข้าวน้องสายนี่ผิดตรงไหน เลิกคิดมากได้แล้ว เดี๋ยวไปกินข้าวมันไก่กันดีกว่า... ห้ามดื้อนะ พี่หิวจะแย่ เดี๋ยวก็กินเราแทนซะหรอก”
“พี่วอร์ม! ผมไม่ใช่ข้าวมันไก่นะ! ไปเลยรีบพาไปกินข้าวเลย! คนอะไรโมโหหิวแล้วจะมากินคนอื่น บ้าไปแล้ว” ผมเห็นไอติมกระเถิบไปนั่งติดริมประตูแล้วกอดอกทำปากขมุบขมิบกำลังบ่นเรื่องที่ผมพูดเมื่อครู่ ทำอย่างกับกลัวว่าผมจะไปกินน้องเข้าให้จริงๆอย่างนั้นแหละ เด็กนี่จะรู้ไหมเนี่ยว่าคำว่ากินในความหมายของผมมันคืออะไร คนอะไรแกล้งสนุกชะมัด
หลังจากวันนั้นที่ผมเจอน้องๆ ระหว่างทางกลับหอ ก็กลายเป็นว่าผมกับน้องกลับหอพร้อมกันทุกวันเลยครับ ทั้งไอติมและจูเนียร์ แต่หลังๆ นี่จะมีแค่ผมกับไอติมที่กลับด้วยกันสองคนบ่อย เพราะไอ้มิชินั่นละชิงตัวน้องจูเนียร์กลับไปด้วยกันโดยให้เหตุผลว่าจูเนียร์เป็นน้องสายมัน แล้วอีกอย่าง ผมกับไอติมอยู่หอเดียวกัน จะได้ไม่ต้องแวะส่งจูเนียร์กลางทางให้ลำบาก มันจะลำบากอะไรวะครับ ก็ทางผ่านไปหอผมเหมือนกัน แต่มันจะทำแบบนั้นก็แล้วแต่ครับ น้องสายมันผมก็ไม่อยากจะเข้าไปก้าวก่ายวุ่นวายอะไรมาก
หลายวันมานี่หลังจากเลิกเรียนเสร็จผมกับมิชิก็ต้องเข้าไปซ้อมที่ชุมนุมเป็นกิจวัตรทุกวันจนไอ้จัสเริ่มบ่นว่าไม่มีเพื่อนกินข้าวเย็นบ้างล่ะ อยากไปเดินห้างบ้างล่ะ ก็ไม่รู้จะบ่นให้ได้อะไรขึ้นมานะครับ บ่นไปก็ไม่มีใครว่างไปกับมันอยู่ดี ขนาดเค้กที่ว่างๆ พอจะชวนจัสไปเดินเล่นที่ห้างกัน ไอ้มิชิมันก็ไม่ยอมให้ไปอยู่ดีไม่รู้จะหวงอะไรนักหนา นี่เพื่อนนะเว้ย
มีต่อค่ะ ...
:: Chapter 10 :: 'สานสัมพันธ์' 10/2
“เมื่อไหร่พวกมึงจะเลิกซ้อมกันวะ... กูโคตรเบื่อเลยเลิกเรียนแล้วว่างฉิบหายไม่มีใครไปกินข้าวด้วยเลย” แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่ไอ้จัสยังคงบ่นเรื่องเดิม ถึงวันนี้พวกผมเลิกเรียนกันค่อนข้างเย็น แต่ยังไงพวกผมก็ต้องไปซ้อมที่ชุมนุมอยู่ดี
“ไปเดินตลาดนัดกับเค้กไหมจัส” เค้กเอ่ยชวน ถ้าให้ผมเดา ผมว่าเค้กคงรำคาญที่มันบ่นไม่ยอมเลิกเสียที
“โหย... ไม่เอาอะ ไปกันสองมันจะสนุกอะไร ทุกทีเราก็ไปด้วยกันหมด” ผมเห็นจัสทำท่าจะตกลงกับเค้กนะครับ แต่สายตาไอ้มิชิที่มองมานั้นทำไอ้จัสเปลี่ยนใจปฏิเสธเค้กไม่ยอมไปด้วยซะอย่างนั้น แน่ล่ะ ไอ้มิชิไม่มีทางยอมปล่อยให้เค้กไปกับไอ้จัสสองคนหรอก
“งั้นไปที่ชุมนุมโฟล์คซองกับเค้กไหมล่ะ ไปรอมิชิกับวอร์มซ้อม... ซ้อมเสร็จแล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน”
“จะได้ไปด้วยกันหรอ~ ได้ข่าวว่าเลิกซ้อมไอวอร์มก็ไปรอน้องไอติมขึ้นสแตนทุกวันอยู่แล้วนี่” ทำไปทำไมกลายมาวกเข้าเรื่องผมจนได้ครับไอ้เพื่อนคนนี้
“เกี่ยวไรกับกูวะ... ก็น้องสายกูอะ น้องเลิกดึก อีกอย่างน้องก็อยู่หอเดียวกับกูด้วย... กูแวะรับน้องมันแปลกตรงไหน”
“ก็ยังไม่ได้พูดว่าแปลกเลย... ทำไม ร้อนตัวอะไร”
“เอ้า! ไอ้นี่”
“เออ! กูไม่ไปด้วยหรอก... เฮ้อ… แม่ง! กลับหอก็ได้วะ”
“พี่ๆ หวัดดีครับ” ยังไม่ทันที่ไอ้จัสจะเดินแยกออกไป เสียงปริศนาก็เอ่ยทักพวกผมขึ้นมาเสียก่อน
“อ้าว! ไวท์! ทำไมวันนี้มาคนเดียวล่ะ” เป็นน้องไวท์ที่เดินเข้ามาทักพวกผมนั่นเอง แล้วเค้กก็เป็นคนแรกที่เอ่ยทักน้องก่อน
“พวกจูกับไอไปขึ้นสแตนอะครับ... แต่ไวท์ซ้อมจูริสคอรัสเลยมาคนเดียว... แล้วพอดีวันนี้คนไม่ค่อยมากันเลยได้กลับไว” น้องตอบพลางอมยิ้มเล็กน้อย เสียงหวานๆ ของน้องเวลาอยู่ในคอรัสคงเพราะน่าดู คนละเรื่องกับเสียงแหบๆ อย่างผมเลย
“อ่า... แล้วจะไปไหนต่อหรือเปล่า” เค้กเอ่ยถามต่อ พวกผมได้แต่ยืนนิ่งเหมือนปล่อยให้คนหน้าหวานสองคนยืนคุยกันตามประสาพี่สายน้องสาย
“ไวท์ว่าจะไปหาจูกับไอติมที่สแตนอะครับ”
“ไปตอนนี้อะหรอ... พวกสต๊าฟคงยังไม่ปล่อยเด็กปี1ลงจากสแตรหรอก... ไปรอจูเนียร์กับไอติมที่ชุมนุมโฟล์คซองกับพี่ไหม เดี๋ยวพี่วอร์มก็ต้องไปรับไอติมกลับหอเหมือนกัน” เค้กเอ่ยชวนน้องไวท์แล้วดูเหมือนว่าน้องจะตอบตกลงเสียด้วย ผมหันไปมองหน้าไอจัสที่ตอนนี้ยิ้มกว้างเสียเหลือเกิน ไม่มีปกปิดเลยนะเพื่อน ปากจะฉีกถึงหูแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นจัสไปด้วยดีกว่า... ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว”
“ไหนว่าจะกลับหอไงมึง” มิชิเอ่ยถามอย่างรู้ทัน
“ไม่กลับแล้ว... กลับไปก็ว่างอะ ไม่มีไรทำอยู่ดี กูไปรอพวกมึงที่ชุมนุมดีกว่า”
“ไม่ค่อยเลยนะมึงอะ” ผมว่าต่อ โคตรหมั่นไส้เลยครับ อยากให้เห็นหน้ามันตอนนี้จริงๆ ยิ้มแป้นเหมือนลืมเรื่องที่บ่นพวกผมเมื่อกี้ไปจนหมดสิ้น
มีน้องไวท์มานั่งรอด้วยก็ดีเหมือนกันนะครับ ผมเห็นตั้งแต่พวกเราเริ่มซ้อมเค้กยังคุยไม่หยุดเลย ดูสดใสกว่าทุกวันที่ได้แค่นั่งไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ส่วนไอ้จัสก็เนียนใช้ได้นั่งประกอบน้องไวท์เลยครับ แต่ไม่ต้องห่วง อย่างมันนี่หาจังหวะการมีส่วนร่วมในบทสนทนาของเค้กและไวท์ได้เป็นอย่างดี ท่าทางวันนี้มันคงจะมีความสุขน่าดู ระหว่างที่พวกผมกำลังเก็บอุปกรณ์และเครื่องดนตรีต่างๆ ก็เห็นน้องไวท์เดินกลับเข้ามาในห้องซ้อมพร้อมกับไอติมและจูเนียร์ แต่ดูเหมือนน้องสายของผมจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ถึงได้หน้าตาบูดบึ้งเหมือนโดนบังคับให้มายังไงอย่างนั้น
“พี่ๆ สวัสดีครับ” เป็นจูเนียร์ที่เอ่ยทักทายถึงอย่างสดใสเช่นเคย ส่วนไอติมก็แค่ยกมือไหว้ทำความเคารพพวกผมเฉย
“หน้าบูดเชียว ซ้อมสแตนมันเหนื่อยขนาดนั้นเลยหรอไอติม” ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซ็วน้อง แทนที่อีกคนจะตอบผมปากที่ยู่อยู่แล้วกลับยื่นออกมามากกว่าเดิม เห็นแล้วก็มันเขี้ยวเดี๋ยวก็เดินไปดึงเล่นเสียเลยนี่ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไร มิชิที่เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปรวมกลุ่มกับทุกคนและเรียกให้ผมหลุดออกจากความคิดเรื่อยเปื่อยของตัวเอง
“มึงจะยืนกอดขาไมค์อีกนานไหมไอ้วอร์ม ทุกคนรออยู่เนี่ยเห็นไหม”
“เออ ให้ไวเลยมึง กูหิวข้าวจะแย่แล้ว” ไอ้จัสสมทบทันที ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยนะ แต่ผมกอดขาไมค์ตอนไหนวะเนี่ย งงตัวเองเหมือนกันครับ ผมรีบเอาขาตั้งไมค์ไปวางชิดเข้ามุมค้วาเป้ตัวเองแล้วเดินนำทุกคนออกจากห้องชุมนุม
มิชิอาสาให้จูเนียร์กับไวท์นั่งรถมันออกไปที่ร้านอาหารเพราะเค้กเองก็ไปกับมันด้วย ส่วนไอ้จัสได้แต่ทำหน้าหงอยก็ดันขี่บิ้กไบค์มาเองถึงจะอยากให้น้องไวท์ซ้อนแค่ไหนมันก็จะชัดเจนไปนิดถ้ามันไม่ชวนน้องจูเนียร์ซึ่งเป็นน้องสายมันให้ไปกับมันมากกว่าที่จะเป็นน้องไวท์ สุดท้ายก็เลยได้แต่จำใจขี่บิ้กไบค์ออกไปคนเดียว ส่วนคนที่นั่งปิดปากเงียบอยู่บนรถผมตอนนี้ก็ยังคงหน้าบึ้งตึงอยู่เหมือนเดิม ผมเปล่าบังคับน้องให้มากับผมเสียหน่อย เพื่อนๆ น้องต่างห่างที่บอกให้ไอติมมากับผม
“เป็นอะไรหื้ม? ทำหน้าบอกบุญไม่รับตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว...”
“เปล่าครับ... ผมก็แค่เหนื่อย อยากกลับไปนอน...”
“ไม่หิวหรือยังไง ไปกินข้าวด้วยกันก่อนนะ แล้วเดี๋ยวพี่ไปส่งถึงหน้าห้องเลยเอา เลิกทำหน้าบึ้งได้แล้ว” ผมยีหัวน้องด้วยความเอ็นดู คนอะไรจะง่วงแล้วงอแงได้น่ารักขนาดนี้อะครับ ท่าทางจะขี้เซาใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย
ผมกับไอติมมาถึงที่ร้านเป็นสองคนสุดท้ายเพราะมัวแต่วนหาที่จอดรถเนี่ยแหละครับ แล้วก็พบว่าพวกคุณเพื่อนได้จัดแจงสั่งอาหารทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว พอผมถามว่าไอติมอยากสั่งอะไรเพิ่มหรืออยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมน้องก็ได้แต่ส่ายหน้า พวกเราทานอาหารและพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ได้มาใช้เวลาด้วยกันแบบนี้ก็ดีเหมือนกันครับ ได้รู้จักน้องๆ แต่ละคนเพิ่มขึ้นเยอะเลย วันนี้ทำให้พวกเรารู้ว่าน้องไวท์ก็ไม่ได้เรียบร้อยอะไรขนาดนั้น ผมว่าก็คงเหมือนเค้กอะแหละ ถึงจะเรียบร้อยแค่ไหนมันก็ต้องมีมุมผู้ชายกวนๆ และสู้คนกับเขาบางเหมือนกัน นิสัยไม่ได้หวานเย็นเหมือนหน้าตาหรอกครับ
“จะว่าไปไวท์ก็แอบเหมือนกระต่ายนะ”
“ใช่ๆๆ พี่วอร์มคิดเหมือนจูเลยครับ”
“ฮ่าๆๆ ใครๆ ก็พูดแบบนี้ทั้งนั้นเลย ตอนเด็กๆ ไวท์เคยเลี้ยงกระต่ายด้วยนะ” ผมพูดออกไปขำๆ ไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำ ตอนแรกก็กลัวว่าน้องจะโกรธหรือเปล่า แต่นอกจากน้องจะไม่โกรธแล้วยังยิ้มรับและชวนคุยต่ออีกต่างหาก
“พี่อยากลองเลี้ยงบ้างจัง เลี้ยงยากไหมอ่ะไวท์”
“มึงอยากเลี้ยงกระต่ายหรือเลี้ยงอะไรกันแน่จัส” ผมกำลังจะหัวเราะไปกับคำพูดของไอ้มิชิที่เอ่ยแทรกขึ้นมาขัดไอ้จัส แต่เมื่อเห็นว่ามันโดนเค้กหาดแขนไปสองสามทีผมเลยเงียบไว้ดีกว่า ส่วนไอ้จัสก็ได้แต่ถลึงตาใส่มิชิอย่างคาดโทษ
“ไม่ยากหรอกครับ แต่ไวท์ว่ากระต่ายมันค่อนข้างจะบอบบางกว่าพวกหมาแมวอ่า...”
“พูดแล้วก็อยากเลี้ยงหมาเลยอะ มาอยู่หอคนเดียวถ้ามีหมาเป็นเพื่อนสักตัวคงดี เนอะไอ”
“หื้ม???” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมทำหน้าเหวอ ผมมเลยงงไปด้วยเลยทำจูเนียร์ถึงต้องหันมาพยักเพยิดกับไอติมตอนที่พูดเรื่องหมาด้วยนะ
“ไอชอบหมามากครับ เวลาเครียดๆ หรือช่วงสอบนะ นั่งดูคลิปหมาได้ทั้งวันเลย แต่ผมก็งงว่าทั้งๆ ที่ชอบมาแต่ทำไมที่บ้านดันเลี้ยงแมวก็ไม่รู้ เสียดายที่หอผมไม่ให้เลี้ยงสัตว์ ไม่งั้นคงอดใจไม่ไหวไปหามาเลี้ยงแน่ๆ เลย” น้องจูเนียร์ยังคงเล่าเรื่องของเพื่อนรักตัวเองต่อไป
“ก็เลี้ยงสิ...”
“เออเนี่ย ถ้าว่างๆ ก็แวะไปเล่นกับลูกไอ้วอร์มที่ห้องมันดิ”
“พี่วอร์มเลี้ยงหมาที่หอหรอครับ?!” แล้วอยู่ๆ ไอติมกันหันมาเบิกตากว้าง เอ่ยถามผมหลังจากที่ได้ยินคำบอกเล่าของไอ้จัส ก็เข้าใจว่าคงจะตกใจที่รู้ว่าผมแอบเลี้ยงหมาในหอ แต่ก็ไม่น่าจะตกใจขนาดนั้นนี่ครับ
“อืม... ถ้าไออยากจะแวะมาเล่นกับมันก็ได้นะ มันคงดีใจเหมือนกันแหละที่จะได้มีเพื่อนเล่นใหม่ ทุกวันนี้ก็เมินพี่จะแย่ หมาอะไรก็ไม่รู้ ทั้งขี้งอนแถมยังโคตรเอาแต่ใจเลย” ผมเอ่ยขำๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครสนใจคำพูดผมเท่าไหร่
“เดี๋ยวไอก็ต้องกลับหอกับพี่วอร์มอยู่แล้ว ลองแวะไปสิ” จูเนียร์หันมาบอกกับไอติมก่อนจะหันกลับไปสนใจกับอาหารตรงหน้าต่อ ส่วนไอติมก็ยังคงนั่งจ้องหน้าผมตาปริบๆ อยากรู้จริงๆ ว่าตอนนี้น้องกำลังคิดอะไรอยู่
“มีอะไร?” ผมถามน้องที่ยังจ้องหน้าผมไม่เลิก อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ยังคงนิ่งเงียบ สุดท้ายผมก็เลยต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
“ผม... ไปเล่นกับน้องหมาที่ห้องพี่วอร์มได้จริงๆ หรอ”
“เอ้า! ก็ได้ดิ! ใครห้ามล่ะไอติม” ผมตอบกลับ หน้าตาน้องตอนถามนี่จริงจังมากเหมือนกลัวว่าผมจะห้ามไม่ให้ไปเล่นกับเจ้าเบนโตะอย่างนั้นแหละ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่
“โอเค~ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยววันนี้แวะไปเล่นด้วยเลย”
“อืม... ดี! มานั่งเล่นห้องพี่เดี๋ยวจะได้คิดค่าไฟด้วยเลย”
“โหพี่วอร์ม! โคตรงกอะ งั้นเดี๋ยวผมไปบอกข้างล่างว่าพี่แอบเลี้ยงหมา”
“เฮ้ย! ล้อเล่นแค่นี้ ถึงกับต้องไปฟ้องข้างล่างเลยหรือยังไง” ผมผลักหัวน้องไปหนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยว จะว่าไปแล้วพอผมลองได้รู้จักน้องเพิ่มมากขึ้น ก็เพิ่งจะได้สัมผัสตัวตนว่าความจริงแล้วไอติมก็เป็นเด็กแสบคนนึง ว่าอะไรไปก็เถียงกลับตลอด
“ก็ใครจะไปรู้เล่าว่าพี่วอร์มล้อเล่นอะ หน้านิ่งขนาดนั้น” นั่นไงพูดยังไม่ทันขาดคำ น้องก็เถียงผมกลับเสียแล้ว แถมยังทำปากยื่นปากยาวราวกำไม่พอใจเสียเต็มประดา เห็นแล้วมันน่าดึงปากยื่นๆ นั่นเล่นเสียให้เข็ด
“นี่ซีเรียสป่ะเนี่ย! ฮ่าๆๆ ไปนั่งเล่นที่ห้องได้ ไม่คิดค่าไฟหรอกน่า แหม ว่าแต่พี่งก ใครกันแน่ที่ขี้งกเนี่ย”
“พี่วอร์มแหละขี้งก!!!”
“โอเคๆ ยอมแล้วๆ เหนื่อยจะเถียงด้วยแล้ว เด็กอะไร เถียงคำไม่ตกฟาก” ผมส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา เอาจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะเถียงไม่ชนะหรอกครับ ผมมั่นใจนะว่าผมก็เถียงคนเก่งในระดับนึง ไม่เชื่อไปถามเอาจากพวกเพื่อนๆ ผมได้เลย พวกมันชอบว่าผมขี้โวยวาย เถียงเก่ง ส่วนมากเวลามีเรื่องอะไรพวกมันก็เลยเลือกที่จะเงียบและยอมตามน้ำไปกับผมมากกว่า แต่กับไอติมเนี่ย เรียกว่าผมยอมให้น้องน่าจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคงได้นั่งเถียงกันจนหมดวันไม่ต้องกลับหอกันพอดี
“เอ้อ~~~ งั้นพวกเรากลับหอกันดีกว่า... ไอ้วอร์มจะได้พาน้องสายไปเล่นกับหมาที่ห้องด้วย” เสียงไอจัสพูดแทรกขึ้นจนผมต้องหันไปมองหน้ามัน พูดอย่างนี้ต้องการจะสื่ออะไรวะครับเพื่อน ยังไม่ทันที่ผมจะได้โต้แย้งอะไร จัสก็จัดการตกลงกับมิชิและเค้กจนเสร็จสรรพ แต่เท่าที่ผมจับความได้ ผมว่ามันแถจนสีข้างถลอกหมดแล้วล่ะครับ
“นี่กระเป๋าไอติม มึงทำตัวเป็นพี่สายที่ดีหน่อยวอร์ม น้องจะได้เคารพ มิชิกับเค้กต้องผ่านหอน้องจูอยู่แล้วเนอะ ฝากแวะส่งน้องด้วยแล้วกัน ส่วนน้องไวท์ เค้กไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวจัสเดินไปส่งให้ถึงที่เลย หอในใกล้ๆ แค่นี้เอง ตกลงตามนี้เนอะ โอเค ทุกคนแยกย้ายได้ ไว้เจอกันครับ” เพื่อนตัวโย่งรีบสรุปและพาน้องไวท์ออกเดินทันที ถึงแม้ว่าเค้กจะดูไม่ค่อยพอใจนักแต่สุดท้ายก็ยอมตามใจเพื่อนแต่โดยดี ผมว่าเค้กเองก็มองออกแหละครับว่าจัสมันคิดยังไง
TBC......
[/b]
:: Chapter 11 :: 'ปิดบัง' 11/01
**น้องไอติม **
วันนี้เป็นวันแข่งกีฬาของมหาลัยครับ ก็ที่ผมต้องขึ้นซ้อมสแตนกับจูเนียร์ทุกเย็นก็เพื่องานนี้นี่แหละครับ ปี1 ต้องขึ้นสแตนเพื่อเป็นกองเชียร์ให้พวกนักกีฬาแล้วก็หลีดของคณะแข่งกับคณะอื่นๆ ครับ มันเหมือนงานกีฬาสีสมัยมัธยมเลยครับ แต่แค่ยิ่งใหญ่ อลังการกว่าแล้วก็แบ่งเป็นคณะไม่ได้แบ่งสีกัน แล้วมันก็คนละฟิลลิ่งกับสมัยเรียนมัธยมปลายเลยครับเพราะว่าตอนทำกีฬาสีสมัยมัธยมปลายทุกๆ คนจะสนิทสนมกันมากกว่านี้ ตอนนี้มีแต่เพื่อนใหม่แต่ถึงยังไม่สนิทกันแต่ก็รู้สึกสนุกสนานเพราะพี่ๆ กองสันทนาการช่วยกันบิ้วพวกเราให้สนุกตามไปได้ไม่ยาก
พอนึกถึงงานกีฬาสีก็นึกถึงตอนมัธยมปลายนะครับ ตอนนั้นผมอยู่สีเดียวกับจูเนียร์เหมือนกันเพราะเราอยู่ห้องเดียวกัน ที่สำคัญได้อยู่สีเดียวกับพี่วอร์มด้วย ไม่แปลกใจเลยทำไมพี่วอร์มถึงเป็นพี่ว้ากได้ ก็ตั้งแต่พี่เขาคุมสแตนกีฬาสีตอนนั้นนั่นแหละครับ รุ่นน้องคนไหนที่ไม่ยอมเชื่อฟังเจอพี่วอร์มดุไปทีก็กริบกันทั้งสแตนเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่าเห็นพี่เขาตัวเล็กๆ แบบนั้นจะมีพลังเสียงคุมคนทั้งสแตนอยู่ได้
“ไอติม!” ไม่รู้ว่าผมนึกอะไรคนเดียวนานเกินไปหรือยังไง จูเนียร์ที่นั่งข้างๆ ผมถึงต้องเขย่าแขนเรียกผมซะแรงเลย เขย่าแรงอีกหน่อยมีหลัวแขนมได้หลุดติดมือจูเนียร์ไปแน่ๆ เลย
“หือ! อะไรจู ตกใจหมดเลย”
“เรียกหลายรอบแล้วเนี่ย ใจลอยคิดถึงพี่วอร์มอยู่หรือไง” ทำอย่างกับอ่านความคิดผมออกอย่างนั้นแหละเพื่อนคนนี้ชักจะน่ากลัวเกินแล้ว
“เปล่า... ไอแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเฉยๆ”
“เด็กเจซีจะเข้าสนามแล้วนะ”
“อือๆ รู้แล้ว” ผมหันกลับไปสนใจที่สนามอีกครั้งและมองไปที่ทางเข้าสนามตามคำที่จูเนียร์บอก เป็นจังหวะเดียวกับที่ขบวนพาเหรดคณะสุดท้ายกำลังเดินเข้าสนามมาพอดีเลยครับ
ปีนี้เป็นคณะวารสารที่เดินเข้าสนามเป็นคณะสุดท้าย ก็สมกับชื่อเสียงของคณะเขาที่เลื่องลือมานานแหละครับ อลังการงานช้างอย่างที่คิดไว้ ทั้งหลีดคณะรุ่นก่อนกับรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวก็เรียกเสียงกรี้ดเสียงเชียร์ดังกันลั่นสนามแล้ว แต่ที่ฮือฮาสุดน่าจะเป็นคนถือป้ายของคณะวารสารนั่นละครับ ได้ยินเพื่อนๆ ผู้หญิงในสแตนแอบกรี้ดกันใหญ่ เห็นว่าเป็นปี 1 เหมือนกันด้วย แต่ทำไมผมรู้สึกคุ้นๆ หน้าเขามากเลยครับ เหมือนคนรู้จักผมคนนึงเลย แต่อาจจะแค่หน้าคล้ายก็ได้ครับเพราะคนที่ผมรู้จักตอนนั้นยังตัวไม่สูงขนาดนี้เลย แต่เอ๊ะ! หรือว่าจะใช่กันนะ กับเพื่อนคนนี้ผมก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปีแล้วด้วย
“เหม่ออะไรอีกแล้วเนี่ยไอติม”
“โอ๊ย! จู~~~ ทำอะไรเนี่ย” เรียกเฉยๆ ก็รู้แล้วหน่า แต่เจ้าเพื่อนคนนี้ดันยกมือมาหยิกแก้มผมเฉยเลย ผมก็เจ็บเป็นนะครับ ได้แต่แอบบ่นอยู่ในใจแล้วลูบแก้มตัวเองเบาๆ
“ก็ไอมัวแต่เหม่ออะ พี่ๆ เขาจะปล่อยให้ไปพักแล้วเนี่ย”
“อ้าว จริงหรอ” สงสัยผมคงมัวแต่คิดเรื่องเพื่อนคนนั้นมากไปหน่อย มารู้ตัวอีกทีพิธีเปิดงานกีฬามหาลัยก็ใกล้จะจบแล้ว แถมเพื่อนๆ บางคนยังทยอยเดินลงจากแสตนแล้วด้วย
“ก็มัวแต่เหม่อนี่ไง... ไปหาน้ำเย็นๆ ดื่มกันเถอะ แต่จูขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ อั้นมานานมาก ไม่ไหวแล้วอะ”
“โหย ไปห้องน้ำตอนนี้คนเยอะแน่เลยอะ ไอไม่ปวด... ไอขอไม่ไปนะจู เดี๋ยวไปรอตรงโน้นแทนนะ” ผมชี้ไปบรเวณข้างๆ กองสันทนาการของคณะที่มีพี่ๆ กำลังแจกน้ำให้น้องๆ อยู่
“เอางั้นก็ได้... งั้นเดี๋ยวจูจะรีบไปรีบมาก็แล้วกัน”
.
.
.
**พี่วอร์ม**
ทั้งที่วันนี้เป็นวันที่ทางมหาลัยให้หยุดแท้ๆ แต่ผมก็ต้องเสียสละวันหยุดที่จะได้นอนตื่นสายยอมตื่นแต่เช้าแล้วเข้ามหาลัยมาเป็นเพื่อนไอ้จัส ช่างเป็นเพื่อนที่ประเสิรฐอะไรแบบนี้ครับ หาไม่ได้ง่ายๆ นะครับเนี่ย ยอมออกมาด้วยแต่เช้าพร้อมโปรโมชั่นพิเศษช่วยมันยกของ ขนของอีกต่างหาก คิดไปคิดมาก็เหมือนมาเป็นลูกน้องคอยรับใช้มันยังไงอย่างนั้นเลยครับ
“ไอ้มิชิกับเค้กไปไหนวะ ไม่เห็นหน้าแต่เช้าแล้วเนี่ย” จัสเอ่ยทักขึ้นมาหลังจากที่เพิ่งปล่อยน้องบนสแตนไปพักได้สักครู่ ถามผมแบบนี้แล้วผมต้องไปถามหาคำตอบจากใครต่อล่ะครับ
“กูก็อยู่กับมึงตลอดเนี่ย จะไปรู้ไหม”
“เอ้าไอ้นี่... ก็เผื่อมึงจะรู้ไง”
“ไม่รู้โว้ย! รู้แค่มันบอกจะตามเข้ามาเที่ยงๆ บ่ายๆ” ผมตอบเท่าที่รู้มา ซึ่งคำตอบของผมไอ้จัสเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วเพราะมิชิเป็นคนบอกเองในไลน์กลุ่ม จะว่ามันยังไม่ได้อ่านก็ไม่น่าใช่เพราะผมก็เห็นว่าจพนวนคนที่อ่านแล้วมันก็ขึ้นครบทุกคนแล้ว
“กูว่าไม่เข้ามาแล้วม้างงง สงสัยจะแอบไปเดทกับเค้กสองคนแน่ๆ”
“ฮ่าๆๆ กูก็ว่างั้นอะ ไม่มีเรียนแถมงานกีฬานี่ก็ไม่ได้บังคับให้มาทุกคนด้วยนี่หว่า... เป็นกูก็ไม่มาหรอก”
“ไม่ได้ไอ้วอร์ม มึงต้องมาเป็นเพื่อนกู” จัสรีบพูดดักทันที มันก็ตลกนะครับจะโวยวายทำไมก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ผมก็ยืนหัวโด่อยู่ข้างๆมันเนี่ย ถ้าผมตั้งใจจะไม่มาจริงๆ คงไม่มีทางที่จะเห็นแม้แต่เงาผมหรอกครับ
“เออ! ถ้ากูไม่มาเดี๋ยวโดนมึงงอนใส่กูเป็นตุ๊ดอีก”
“พี่วอร์มขา~ อย่าทิ้งน้องจัสไปนะคะ” อยู่ๆ เพื่อนตัวโย่งก็เอนตัวมากอดแขนผมก่อนจะทำเสียงเล็กเสียงน้อยออดอ้อนใส่จนผมขนลุกซู่ ทำอะไรไม่เกรงใจหน้าตาและส่วนสูงตัวเองเลย ไอ้บ้านี่ แถมนี่อยู่ในพื้นที่โล่งแจ้งท่ามกลางสาธารณชนขนาดนี้ อย่างน้อยก็ควรจะเกรงใจตำแหน่งอดีตทูตมหาลัยของตัวเองหน่อย แต่ผมว่าไอ้จัสมันก็คงไม่มีจะให้เสียตั้งแต่ก้าวกระโดดข้ามจากทูตมาเป็นกองสันแล้วล่ะ
“เชี่ยจัส! กูขนลุก! มึงปล่อยแขนกูเดี๋ยวนี้!”
“ฮ่าๆๆ มึงแม่ง ไม่เล่นกับกูหน่อยวะ เผื่อมีแฟนคลับที่จิ้นกูกับมึงอยู่แถวนี้เขาจะได้ฟินๆ ทีมพี่จัสกองสันพี่วอร์มโฟล์คซองงี้”
“ใครเขาจะจิ้นกูกับมึง! มึงไปโน่นเลย แฟนคลับจริงๆ มึงมาแล้ว” ผมเพยิดหน้าไปที่หน้าซุ้มซึ่งมีรุ่นน้องผู้หญิงหลายคนมายืนออกันอยู่ แล้วผมก็จำได้ว่าน้องกลุ่มนี้เป็นแฟนคลับจัสมัน ถึงแม้จะอยู่ต่างคณะกันก็เถอะ แต่น้องๆ พวกนี้ก็มักจะเอาขนม เครื่องดื่ม และของอร่อยต่างๆ ติดไม้ติดมือมาฝากให้เพื่อนตัวโย่งของผมเสมอ
หลังจากที่จัสเดินออกไปหาแฟนคลับของมัน เสียงจากแอพแชทก็ดังขึ้นมาทันที ผมก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูแล้วก็เจอข้อความจากเจ้าของไลน์ปริศนาคนเดิมที่ทักมา
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : วันนี้มีแข่งกีฬามหาลัยพี่วอร์มได้มาด้วยหรือเปล่าครับ
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : เห็นรุ่นพี่หลายคนลงแข่งฟุตบอลกันเยอะเลย พี่วอร์มได้ลงแข่งกับเขาด้วยหรือเปล่าครับเนี่ย
(http://www.mediafire.com/convkey/77da/0z3s7mism2jaczrzg.jpg) : ผมเห็นพี่ชอบเล่นฟุตบอลนี่นา พี่น่าจะลงแข่งด้วยนะครับ
อย่างผมนะหรอครับจะไปลงแข่ง ถึงผมจะชอบเตะฟุตบอลเหมือนกันก็เถอะครับ แต่ชอบเตะสนุกๆ กับเพื่อนเป็นการออกกำลังเรียกเหงื่อมากกว่าที่จะไปแข่งจริงจังแบบนั้น หมอนี่ชักรู้เรื่องเกี่ยวกับผมมากเกินไปแล้วนะ
: ใกล้จะเที่ยงแล้วอย่าลืมหาอะไรทานด้วยนะครับ
: อ่อ! แล้วก็... ถ้าพี่ลงแข่งผมจะคอยเป็นกองเชียร์ให้นะครับพี่วอร์ม
ผมยืนอ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอแต่ไม่ได้กดเข้าไปอ่านในแอพ ขืนเข้าไปอ่านตอนนี้เดี๋ยวคนที่ส่งมาจะหาว่ารออ่านไลน์เขาอีก ผมส่ายหน้าเบาๆ กับข้อความสุดท้ายก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์ แล้วสายตาผมก็พลันมองไปเจอกับน้องสายผมที่กำลังนั่งยองๆ ก้มหน้าก้มตาเล่นไอแพดมินิอยู่ใต้ต้นไม้พอดี อะไรจะจริงจังขนาดนั้น แถมยังนั่งอยู่คนเดียวอีกเห็นแบบนั้นผมเลยเดินไปหยิบขวดน้ำเปล่าแช่เย็นจากในถังน้ำแข็งแล้วเดินไปหาน้องทันที แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สังเกตเห็นผมเลยครับ นี่ขนาดเดินมาจะถึงตัวอยู่แล้วเนี่ย เอาแต่นั่งจ้องหน้าจอจนผมต้องเอาขวดน้ำเย็นๆ ไปแตะที่ข้างแก้มน้อง
“อ๊ะ!!!” ผมหลุดขำออกมาเมื่อเห็นท่าทางตกใจจนสะดุ้งอย่างแรงแถมยังตาโตเป็นไข่ห่านของน้องไอติม ทำท่าอย่างกับเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ
“พี่วอร์ม!!! มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?!” น้องทำหน้าเหวอก่อนจะรีบถามผมกลับ แล้วทำไมต้องตกใจอะไรขนาดนั้น
“มาตั้งนานแล้ว... เอาแต่นั่งเล่นไอแพดนะเราอะ! มาขึ้นสแตนยังลงทุนพกมาด้วยอีก อะนี่น้ำ ได้ยัง” ผมย่อตัวลงนั่งยองๆข้างๆ น้องก่อนจะยื่นขวดน้ำไปให้
“อ่า... ขอบคุณครับ”
“แล้วจูเนียร์ไปไหนละ ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียว”
“จูไปเข้าห้องน้ำอ่า... เดี๋ยวก็คงมา แล้วพี่วอร์ม... มาด้วยหรอครับ”
“อ้าว มาสิ... ทำไมจะมาไม่ได้อะ นี่งานใหญ่ระดับมหาลัยเลยนะ” น้องก็ถามแปลกๆ นะครับ ทำไมผมจะมางานนี้ไม่ได้อะ ถึงจะไม่ได้มีหน้าที่อะไรเหมือนคนอื่นเขาก็เถอะ แต่งานกีฬามหาลัยก็ไม่ได้มีกฎตั้งไว้นี่ครับว่าภายในบริเวณสนามกีฬานั้นให้เข้าได้เฉพาะผู้ที่มีหน้าที่เท่านั้น เชื่อผมสิว่าเดี๋ยวตอนคอนเสิร์ตปิดงานช่วงค่ำๆ คนได้เยอะกว่านี้แน่ๆ
“แล้วเมื่อกี้พี่วอร์ม... อ่า... ช่างมันเถอะครับ แล้วพี่ๆ คนอื่นไปไหนกันหมดล่ะ” ไอติมทำท่าเหมือนจะถามอะไรผมสักอย่างแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องอื่นแทนจนผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ทำแบบนี้มันค้างคาใจนะครับ
“ไอ้จัสอยู่ที่ซุ้มคณะโน่น ส่วนมิชิกับเค้กเห็นบอกว่าจะตามเข้ามาตอนบ่ายนะ ว่าแต่... เมื่อกี้เราจะถามไรพี่เปล่า”
“อ่า... ปะ... เปล่าครับไม่มีอะไร ไม่ได้จะถามอะไรหรอก”
“น่าเชื่อมากเลยเนี่ย”
“หง่า... จริงจริงนะ ไม่มีอะไรเลยครับ ผมลืมไปหมดแล้วด้วย”
“แถเก่งจริงๆ นะเราอะ” ผมยกมือขี้ยีผมน้องอย่างมันเขี้ยวเมื่อเห็นน้องยกมือขึ้นโบกไปมากลางอากาศทำท่าปฏิเสธเรื่องเมื่อครู่ ไม่รู้เลยหรือยังไงว่าตัวเองน่ะ เป็นคนที่โกหกได้ไม่เนียนที่สุดเลย
“โหยพี่วอร์มอะ ผมยุ่งหมดแล้วเนี่ย”
“ทำไมๆ ผมยุ่งแล้วทำไม” ยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุครับ ยิ่งเห็นน้องบ่นผมยิ่งยีผมน้องเล่นต่อไป เวลาน้องทำปากยู่แบบนี้ทีไรเห็นแล้วมันอดแกล้งไม่ได้เลยครับ
คนอะไร... ทำหน้ายู่แบบนี้ก็ยังน่ารัก... เฮ้อ... น่ารักมากเกินไปแล้วมั้งไอติม
“อ้าว! พี่วอร์มกับน้องไอติมนี่เอง นึกว่าใคร... งั้นผมขออนุญาติถ่ายรูปพี่น้องสายรหัสหน้าตาดีคิ้วบอยหน่อยนะครับ จะเอาไปลงเพจคณะ” น้องบอยปี 2 ที่เป็นสตาฟงานและเป็นตากล้องประจำรุ่นเดินเข้ามาขอพวกผมถ่ายรูปเพื่อเอาไปลงเพจคณะครับ ยอมรับครับว่าผมโดนเจ้ารุ่นน้องพวกนี้ขอถ่ายรูปไปลงเพจบ่อยๆ แต่กับน้องไอติมคงยังไม่เคยเจอแบบนี้ผมเลยหันไปถามคิวท์บอยที่อยู่ข้างๆ ผมก่อน
“ถ่ายไหมไอติม”
“ได้ครับพี่” ไอติมพยักหน้ารับก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้คนที่มาขออนุญาติถ่ายรูป จากที่หน้างออยู่เมื่อกี้ พอกล้องมาอยู่ตรงหน้าปุ๊บก็เลี่ยนเป็นสดใสทันทีเหมือนกดเปิดสวิชเลยครับ
“อ่า... งั้นพี่วอร์มเขยิบมาชิดกับน้องไอติมหน่อยครับ โอเคครับ หนึ่ง... สอง...” เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นสองสามครั้งก่อนที่น้องบอยจะขอบคุณพวกเราอีกครั้งแล้วเดินออกไป
“อะนี่... เอาไปอมจะได้ชุ่มคอ” ผมหยิบลูกอมรูปหัวใจรสระกำที่เหลืออยู่เพียงเม็ดเดียวจากในกระเป๋ากางเกงส่งไปให้น้อง ถึงชื่อรสชิตมันจะความหมายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็เถอะครับ
“ขอบคุณนะครับพี่วอร์ม”
“พี่ชอบกินมากเลยนะ นี่ยอมเอาเม็ดสุดท้ายให้ไอติมเลยนะ เวลาซ้อมร้องเพลงหนักๆ หรือก่อนเวทีพี่ก็ชอบก็อมเจ้านี่เนี่ยแหละ มันชุมคอดี แล้วก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพวกไอ้จัส ไอ้มิชิถึงชอบมาไถ ร้านสะดวกในมอ. หรือแถวหอก็มีขาย ราคาก็ไม่ได้แพงอะไรทำไมถึงไม่ไปซื้อกินเองก็ไม่รู้” ผมเล่าให้น้องฟังหลังจากที่น้องรับลูกอมไปจากผมแล้วเอ่ยขอบคุณพร้อมส่งรอยยิ้มแสนสดใสมาให้ ก็งงตัวเองเหมือนกันนะครับว่าจะพูดอะไรตั้งมากมายให้น้องฟังทำไม พูดไปเสียเยอะ จนเหมือนบ่นให้น้องฟังเสียมากกว่า
“โหย~ งั้นพี่วอร์มเอาคืนไปไหม ผมไม่อยากได้ชื่อว่ามาไถพี่กินอีกคน...”
“ไถอะไรเล่า นี่พี่เต็มใจให้กินไปเถอะเดี๋ยวต้องขึ้นสแตนต่อแล้วไม่มีเสียงไม่รู้ด้วยนะ เอ้อ! แล้วเย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะ ชวนเพื่อนๆ เรามาด้วยแล้วกัน” ผมดันมือน้องที่แบยื่นส่งลูกอมคืนมาให้ผมกลับไป เพื่อมแค่บ่นพวกเพื่อนๆ ให้ฟังเฉยๆ ไม่คิดว่าไอติมจะคิดจริงจังแบบนี้ แต่การยู่ปากพร้อมเสียงที่เหมือนตัดพ้อนิดๆ ของน้องมันก็ทำให้ผมต้องยิ้มออกมา
“ได้คร้าบ~ เดี๋ยวถ้าเลิกแล้วผมไปหาแถวๆ ซุ้มกองสันทนาการแล้วกันนะ” ผมพยักหน้ารับน้องก่อนที่ไอติมจะขอตัวเดินแยกกลับออกไป ผมจึงเดินกลับไปหาจัสบ้างถึงแม้ว่ามันจะยังคงอยู่ท่ามกลางแฟนคลับของมันก็เถอะครับ
จบงานกีฬาของมหาลัย แต่ละคณะก็แบ่งๆ กันได้รางวัลกลับบ้านกันไป ซึ่งคณะผมก็ยังคงรักษาแชมป์ฟุตซอลไว้ได้อีกปีจริงๆ ผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับงานนี้เท่าไหร่หรอกครับ แต่ก็ยอมรับว่าเวลาเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ตื่นเต้นดีใจเวลาได้รับรางวัลมันก็อดภูมิใจไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นแค่รางวัลแข่งกีฬาไม่กี่อย่างก็เถอะ
หลังจากจบงานผมก็ยืนรอน้องไอติมตามที่นัดกันไว้ก่อนหน้านี้ที่แถวหน้าซุ้มกองสันทนาการของคณะ ข้างๆ ผมก็มีไอ้เพื่อนตัวสูงโย่งที่กำลังยืนถ่ายรูปกับแฟนคลับมันอยู่ ส่วนผมก็มีรุ่นน้องมาขอถ่ายรูปบ้างประปราย ไม่ได้เยอะเท่าจัสหรอกครับ ผมก็สงสัยเหมือนกันนะว่าไอ้การที่ผมยืนกอดอกทำหน้านิ่งแบบนี้มันทำให้คนอื่นกลัวจนไม่กล้าเข้าหาผมเลยหรือเปล่า แต่ก็ดีแล้วแหละครับ อากาศร้อนๆ แบบนี้ถ้ารุมเข้ามาถ่ายรูปกับผมเหมือนไอ้จัสผมคงรำคาญแย่ แล้วนี่ผมยังไม่ได้บอกจัสมันเลยนะครับว่าเดี๋ยว น้องไอติม น้องจูเนียร์ กับน้องไวท์ จะเดินมาหาที่กองสันทนาการด้วย ถ้ามันรู้คงดีดกว่าเดิมแน่ๆ ส่วนมิชิกับเค้กก็หายไปไหนไม่รู้ ไม่ได้ตามมาที่งานแล้วด้วย ทางสะดวกเลยสินะ
“พี่วอร์ม~” เสียงสดใสเอ่ยทักผมจากที่ไกลๆ เสียงลอยมาก่อนตัวอีกครับ ผมหันมองตามต้นเสียงไปก็พบว่าเป็นน้องไอติมแล้วก็เพื่อนๆ เขานั่นละครับที่เดินเข้ามาหา เจ้าตัวหน้าตาดูมอมแมมมากๆ แต่ก็ยังคงรอยยิ้มสดใสไว้ได้ขนาดนี้แถมยังโบกมือทักทายผมอีก พลังเหลือล้นจริงๆ เลยนะเด็กคนนี้
“มาแล้วหรอ เป็นไงบ้างเหนื่อยกันเปล่า” ผมเอ่ยถามน้องๆ ทันทีที่พวกน้องเดินมาถึงกัน
“เหนื่อยมากเลยพี่วอร์ม แต่ก็สนุกดีเนอะ” ไอติมหันไปถามเพื่อนซี้ที่ขึ้นไปทำหน้าที่บนแสตนด้วยกัน
“อือ... เหนื่อยแต่ก็สนุกดีครับพี่วอร์ม”
“แล้วไวท์เป็นยังไงบ้าง งานฝั่งโน้นเหนื่อยไหม” ผมถามถึงน้องไวท์ที่ต้องไปช่วยงานกับชมรมประสานเสียงตั้งแต่การมาร้องเพลงมหาลัยในพิธีเปิดช่วงเช้าลากยาวไปตลอดทั้งวัน
“นิดหน่อยครับ แต่ก็สนุกดีเหมือนกันครับ ได้ทำอะไรหลายอย่างเลย”
“สมกับเพื่อนกันจริงๆ เลย เจ้าพวกนี้ คำตอบเหมือนกันเปี๊ยบ! เดี๋ยวไปกินข้าวกันนะ เอ้อ! วันนี้เค้กไม่ได้มาด้วยนะ สงสัยจะไปกับไอ้มิชิ... ไวท์ไปกับพวกพี่ได้ใช่ไหม” ผมบอกกับน้องด้วยความกังวลนิดๆ เพราะทุกครั้งที่ผ่านมาเค้กก็จะอยู่ด้วยตลอด
“ได้ค้าบ ถึงพี่วอร์มไม่ให้ไปไวท์ก็จะไปอะ หิวจะแย่อยู่แล้ว ฮ่าๆๆ” น้องไวท์พูดติดตลกพร้อมกับหัวเราะจนตาปิดพร้อมโชว์ฟันกระต่ายอีกต่างหาก เห็นแล้วมันน่าเอ็นดูจริงๆ ครับ สมน้ำหน้าจัสมันที่ไม่ได้เห็นภาพนี้ มัวแต่เซลฟี่กับสาวๆ ก็อดเห็นช็อตเด็ดไปแล้วกันนะ
“โอเค งั้นเดี๋ยวรอไอ้จัสก่อน มันกำลังมีตติ้งกับแฟนคลับมันอยู่... นั่นไงมาพอดี” ผมพูดพลางหันไปมองที่หน้าซุ้มกองสันทนาการ เห็นเพื่อนตัวโย่งกำลังกระโดดโลดเต้นเข้ามาหาพวกผม คิดว่ามันน่าจะเห็นว่าน้องไวท์ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยแล้วมั้ง
“เฮ่นโหล~ มาแล้ว รอนานเปล่า... อ้าว! น้องไวท์ก็มาด้วยหรอ” เห็นท่าทางแอคติ้งสุดโอเวอร์ของมันแล้วอยากจะถีบสักที
“มาครับ” น้องไวท์ตอบพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้ไอ้จัส ผมนี่อยากจะอวดมันมากเลยอะครับ ว่าเมื่อกี้กระต่ายน้อยของมันยิ้มซะตาปิดเลย อย่างน่ารักอะ
“โทษทีพอดีพี่เพิ่งเสร็จงาน”
“งานแฟนมิตติ้งจัสอินสปอร์ตเดย์อะนะ”
“อะไรมึง! มึงอะตัวดีเลยแองกรี้วอร์ม มีน้องมาฟ้องกูด้วยว่าเพื่อนพี่จัสอะทำหน้าตาน่ากลัวจนน้องไม่กล้าเข้าไปขอถ่ายรูปด้วยเลย” นี่ผมแค่แซ็วมันเล่นหน่อยเดียว ถึงกลับต้องเอาคืนผมขนาดนี้เลยหรอครับ
“ทำไม... ก็หน้ากูเป็นแบบนี้แล้วกูผิดอะไร”
“ไม่ผิดครับ เพื่อนไม่ผิด ไปๆๆ เราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า เดี๋ยวนายไออุ่นกลายเป็นนายไอร้อนแล้วจะยุ่ง” จัสรีบยกแขนขึ้นมาวางพาดบ่าผมก่อนจะพาเดินนำน้องๆ ออกไป นี่เห็นว่ามีน้องอยู่ด้วยนะ ไม่งั้นโดนเตะไปนานแล้วไอ้เพื่อนเลว
:: Chapter 12 :: 'เมินเฉย'
หลังจากทานข้าวกลางวันกับเพื่อนๆ เสร็จผมก็มานั่งที่โต๊ะกับเพื่อนๆ เป็นประจำเหมือนเช่นทุกวัน มาเจอเพื่อนๆ กลุ่มอื่น แล้วก็พวกรุ่นพี่ที่แวะเวียนเข้ามาทักทาย พูดคุยกันเป็นปกติ แต่อารมณ์และความรู้สึกของผมตอนนี้มันกับไม่ได้ดีเหมือนที่ผ่านมาน่ะสิครับ
“ไอ... ไอ... ไอติมๆ”
“หือ?” ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือมองจูเนียร์ที่ทำหน้าเซ็งใส่ผม อะไรอะ ก็ผมไม่ได้ยินที่เรียกนี่นา
“มัวทำไรอยู่อะ เรียกตั้งนานแล้วเนี่ย”
“ง่า... โทษที อ่านไลน์อยู่อะ ว่าแต่ มีไรหรอจู”
“ไม่มีอะไร แค่จะถามว่ากินแตงโมไหม เนี่ยจะหมดแล้ว”
“อ่า... จูกินเลย ไอยังอิ่มข้าวเที่ยงเมื่อกี้อยู่เลยอะ”
“เค” จูเนียร์พยักหน้ารับแล้วหันไปคุยกับไวท์ต่อ จริงๆ ผมก็อยากจะหันไปนั่งคุยกับเพื่อนๆ บ้างนะ แต่มันยังมีบางอย่างที่มันยังค้างคาอยู่ในโทรศัพท์ เมื่อวานตอนที่ผมไปนั่งเล่นที่ห้องพี่วอร์มได้สักพักพี่เขาก็บ่นปวดหัว ผมเลยกลับมาที่ห้องเพื่อให้พี่เขาพักผ่อน แต่หลังจากนั้น ผมไลน์ไปถามพี่เขาก็ยังไม่ได้ตอบกลับมาเลยตั้งแต่ตอนนั้น ยังไม่แม้แต่จะอ่านเลยด้วยซ้ำ
“พี่ๆ หวัดดีคร้าบ” เสียงจูเนียร์กับไวท์ดังขึ้น น่าจะเอ่ยทักรุ่นพี่สักคนที่แวะเข้ามาที่โต็ะ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักเพียงแค่เงยหน้ามองตามที่เพื่อนๆ ทัก
“อ่า... หวัดดีครับพี่” ผมรีบยกมือไหว้รุ่นพี่แทบไม่ทัน เพราะคนที่เดินเข้ามาคือ พี่มิชิ พี่เค้ก พี่จัส แล้วก็พี่วอร์มที่ยังไม่ตอบไลน์ผมตั้งแต่เมื่อคืน
“หวัดดีเด็กๆ ทานข้าวกันรึยังเอ่ย” พี่เค้กเอ่ยถามพวกเราก่อน ด้วยรอยยิ้มหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของพี่เขา ตำแหน่งเดือนโต๊ะจะเป็นของพี่เขาก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะไม่ว่าพี่เค้กจะทำอะไรมันก็ดูน่ามองไปเสียหมด
“ทานแล้วครับพี่ เพิ่งทานมาเมื่อกี้เลย” ไวท์เป็นคนตอบคำถามพี่เค้กต่อ
“นึกว่ายังไม่กินอะไรกันซะอีก พี่จะได้ชวนไปกินด้วยกัน” พี่จัสพูดต่อ ผมแอบสังเกตเห็นพี่เค้กกับพี่มิชิแอบมองหน้ากันแล้วยิ้มแปลกๆ แต่พี่วอร์มก็เอาแต่ยืนนิ่ง ไม่พูดอะไรสักคำ ทั้งๆ ที่ผมพยายามมองหน้าพี่วอร์มเพื่อจะถามเรื่องเมื่อวาน แต่พี่เขาก็ไม่ได้หันมามองผมเลยอะ
“จัสจะขุนให้น้องอ้วนหรอไง”
“ใช่แล้วเค้ก ขุนให้อ้วนๆ บ้าง เนี่ยตัวเล็กนิดเดียว ลมพัดทีเดียวแทบปลิวเลย” พี่จัสไม่พูดเปล่า แถมยังยกมือขึ้นมาโยกหัวไวท์เล่นอย่างสนุกมือจนเพื่อนผมได้แต่ยู่ปาก
“ง่า... พี่จัสอะ ผมไวท์ยุ่งหมด”
“เชี่ยจัส มึงแม่งโคตรไม่เนียน” เสียงพี่วอร์มพูดขึ้นมาก่อนจะผลักไหล่พี่จัสที่ยืนทำหน้ามึนๆ อยู่ ก่อนที่พี่ๆ เขาจะพากันหัวเราะ
“เอ่อ... พี่วอร์ม...” ผมส่งเสียงเรียกพี่วอร์มที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไหร่
“ว่า?”
“เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง หายปวดหัวรึยังอ่า...” ผมเอ่ยถามพี่เขาเหมือนกับที่ถามไปในไลน์นั่นแหละครับ
“ดีขึ้นแล้ว”
“งั้น...”
“พวกมึงจะไปกันยังวะเนี่ย กูหิวข้าว... ไม่งั้นเดี๋ยวกูเดินไปก่อนนะ” พี่วอร์มหันกลับไปเรียกพี่จัสกับพี่มิชิที่นั่งคุยกับเพื่อนๆ ผมอยู่ ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนผมโดนพี่เขาโกรธยังไงก็ไม่รู้
“เออๆ ไปแล้วๆ มึงนี่ รีบหรอวะ”
“เออ! กูหิว”
“งั้นพวกพี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” พี่เค้กหันมาร่ำลาพวกผมก่อนจะเดินออกไปพร้อมพี่มิชิ ส่วนพี่จัสกับพี่วอร์มเดินนำไปก่อนแล้ว ผมสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติของพี่วอร์ม ไม่เข้าใจเลย ไลน์ไปก็ไม่ตอบ เวลาเจอกันก็ชอบหลบหน้า พอจะคุยด้วยก็ถามคำตอบคำ แบบนี้มันปกติที่ไหนกัน ไม่รู้ว่าผมทำอะไรให้พี่วอร์มโกรธหรือไม่พอใจหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมอึดอัดจะแย่แล้วนะ
.
.
.
เพราะความคิดมากมายที่ตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ทำให้ผมไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ถึงตัวผมจะนั่งอยู่ตรงนี้ แต่เหมือนจิตใจมันจะล่องลอยไปไกลแล้วครับ ผมกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างตอนนี้เลย
“มึงเป็นไรวะวอร์ม” อยู่ๆ ไอ้จัสก็เอ่ยถามผมขึ้นมาเบาๆ หลังจากที่นั่งเงียบฟังอาจาร์ยบรรยายหน้าห้องเรียน ใช่ครับ พวกเรากำลังเรียนกันอยู่ และจู่ๆ ไอ้จัสก็ถามคำถามแปลกๆ ขึ้นมา ดึงให้ผมกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง
“เป็นไร?”
“เออมึงอะ... เป็นอะไร”
“กูไม่ได้เป็นอะไรนี่” ผมบอกปัดออกไปแบบนั้น เพราะผมเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองทำไหร่ ว่าผมเป็นอะไรกันแน่ จะว่าโกรธ โมโหมันก็ไม่เชิง แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่อยากเจอหน้าไอติมตอนนี้ คงเหมือนโดนคนที่ไว้ใจทรยศหักหลังล่ะมั้ง มันก็เลยสับสนไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงดี
“ไม่ได้เป็นไรก็เชี่ยละ เมื่อกี้ก่อนเข้ามาเรียนเดินสวนกับน้องไอติม... กูไม่เห็นมึงทักน้องเลย”
“ก็... กู... ไม่เห็น”
“ไม่เห็นกับผีสิ! กูยังทักน้องอยู่เลย! น้องก็ยังมองหน้ามึงอยู่เลยเนี่ย... มึงเป็นไรวะ”
“กูไม่ได้เป็นอะไร... มึงอย่าถามอีกนะ กูจะเรียน” ผมหันไปโวยใส่ไอ้จัสสักหนึ่งทีก่อนที่มันจะเลิกสนใจผมแล้วหันไปสนใจสิ่งที่อยู่บนจอโปรเจคเตอร์กับคำบรรยายของอาจารย์ต่อ
จริงๆ ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก ผมก็ปกติดี แต่เรื่องไอติมนั้น ผมยังรู้สึกไม่โอเคกับน้องเขาเท่าไหร่ จริงๆ ก็ไม่น่าจะโกหกกัน เรื่องที่บอกว่า แค่อยากบอก อยากเล่าหลายๆ อย่างให้ฟัง เพราะคงไม่มีโอกาสพูดมันต่อหน้าผม มันคืออะไรล่ะ เพราะทุกวันเราก็คุยกันอยู่แล้ว ผมไม่ได้โกรธอะไรน้องเขานะครับ ยอมรับว่าเริ่มรู้สึกดีๆ กับไอติมมากขึ้นทุกวันด้วยซ้ำ แต่พอเจอแบบนี้ผมเหมือนโดนหลอก เหมือนโดนหักหลัง แล้วแบบนี้ผมจะไว้ใจอะไรน้องเขาได้อีก ทั้งๆ ที่เป็นพี่น้องสายเดียวกันด้วยซ้ำ
.
.
.
ความรู้สึกแสนอึดอัดและบรรยากาศอึมครึมระหว่างผมกับพี่วอร์มถูกปล่อยเอาไว้โดยไม่ได้มีการพูดคุยกันหรือแก้ปัญหาใดๆ ทั้งนั้น จนถึงวันนี้เวลาก็ล่างเลยไปอาทิตย์กว่าๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าผมจะอยากให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรอกนะครับ แต่มันยังไม่มีโอกาสให้ผมได้คุยกับพี่เขาเลยต่างหาก เหมือนอยู่ดีๆ พี่เขาก็พยายามหายออกไปจากชีวิตผมเลยอะ
“ไม่เห็นพี่วอร์มเลยเนอะช่วงนี้” ผมเงยหน้าขึ้นมองไวท์ที่อยู่ๆ ก็พูดถึงคนที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิดของผมขึ้นมาระหว่างที่พวกเรากำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ที่โรงอาหารใกล้ๆ ตึกคณะ
“อือนั่นดิ... ไอติม เดี๋ยวนี้ได้เจอพี่วอร์มบ้างป่ะเนี่ย เห็นทุกทีพี่วอร์มก็แวะมาหาออกบ่อย” จูเนียร์หันมาถามผมต่อจากนั้น จะตอบยังไงดีล่ะ เพราะผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าพี่วอร์มหายหน้าหายตาไปไหน รู้สึกเหมือนทำของสำคัญบางอย่างหายเลย เอาจริงๆ ผมก็เจอพี่วอร์มบ่อยนะครับเพราะเราอยู่หอเดียวกัน แต่เวลาเจอพี่วอร์มผมก็ไม่กล้าเข้าไปทักหรอก เพราะผมรู้สึกว่าช่วงนี้พี่วอร์มพยายามหลบหน้าผม
“ไม่ได้เจออะ” ผมตอบไปเพียงแค่นั้นก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ จะเรียกให้ถูกจริงๆ คงต้องบอกว่านั่งเขี่ยข้าวในจานมากกว่า ทั้งๆ ที่เป็นเมนูโปรดแท้ๆ แต่ทำไมวันนี้ผมถึงไม่รู้สึกถึงความอร่อยของมันเลยนะ แถมยังรู้สึกฝืดคอแปลกๆ อีกต่างหาก
“มีปัญหาอะไรกับพี่วอร์มหรือเปล่าไอติม” ไวท์ถามผมอีกครั้ง
“เปล่า... ไม่มี”
“เชื่อก็แย่แล้ว...” จูเนียร์พูดต่อ แต่ผมพูดจริงๆ นะครับ เพราะผมน่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพี่เขาหรอก แต่พี่เขาน่ะ มีปัญหาอะไรกับผมรึเปล่าก็ไม่รู้ ถอนหายใจไปเป็นหลายร้อยครั้งแล้ว ก็ยังไม่ช่วยอะไรเลย
“จริงๆ”
“ไอเป็นเพื่อนจูมากี่ปีแล้ว... แค่นี้ทำไมจูจะดูไม่ออก... ช่วงนี้ไอดูไม่เหมือนเดิมอะ”
“ใช่เลย ไอดูซึมๆ เศร้าๆ ยังไงก็ไม่รู้ง่ะ” ไวท์พูดเสริมพร้อมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยสุดๆ กับคำพูดของจูเนียร์
ผมรวบช้อนส้อมก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เพื่อนผมนี่มองผมออกทุกเรื่องจริงๆ โดยเฉพาะจูเนียร์ ส่วนไวท์ ถึงจะเพิ่งมารู้จักกันไม่นานแต่ผมก็รู้สึกสนิทกับไวท์เร็วเหมือนรู้จักกันมาหลายปีเพราะความจริงใจของเขานี่แหละครับ ทำให้ผมรู้สึกไว้ใจและเขาก็สามารถเป็นที่ปรึกษาและให้คำปรึกษาได้ในหลายๆ เรื่อง
“ไอก็ไม่รู้อะ... ไม่รู้จะพูดยังไง... ไอรู้สึกว่าพี่วอร์มเหมือนจะหลบหน้าไอ... แต่ไอก็ไม่รู้นะ ว่าไอไปทำอะไรให้พี่เขาโกรธเคืองหรือไม่พอใจอะไรรึเปล่า”
“เฮ้ย... มันต้องมีสาเหตุดิ อยู่ๆ ทำไมพี่วอร์มถึงทำแบบนั้นกับไอได้... พี่วอร์มเป็นพี่สายไอด้วย มันก็จะแปลกๆ ไปหน่อยนะถ้าอยู่ๆ ก็มาเมินใส่ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรให้อะ” ที่จูเนียร์พูดมาผมก็คิดอยู่ทุกวันที่พี่วอร์มไม่ยอมคุยกับผมดีๆ นั่นแหละ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมพี่วอร์มถึงเป็นแบบนั้น
แต่ก็นั่นแหละ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรน้ำตาก็จะไหลออกมาทุกที มันแย่มากจริงๆ นะครับที่ต้องกลายเป็นคนอ่อนแอแบบนี้ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเรื่องพวกนี้ แต่กับพี่วอร์มมันไม่ใช่เลย
“ไอติม~ ไม่เอาไม่คิดมากน๊า~” จูเนียร์ยื่นมือมาจับมือผมเบาๆ เพื่อนจะรู้ไหม ว่ายิ่งทำแบบนี้ผมยิ่งอยากจะร้องไห้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอด เหมือนที่เขาว่ากันว่ายิ่งปลอบยิ่งร้องนั่นแหละครับ
“งั้น... ไอลองไปถามพี่วอร์มตรงๆ เลยไหม ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอึดอัดแย่เลยนะ พี่วอร์มก็เป็นพี่สายไอด้วย... ถ้ามารู้สึกไม่ดีต่อกันแบบนี้จะยิ่งแย่เอานะ” ไวท์บอกกับผมด้วยความหวังดี แต่สิ่งที่ไวท์แนะนำมันทำได้ยากจัง ผมเองก็อยากจะทำแบบนั้นหรอกนะ แต่ก็กลัวใจตัวเองเหลือเกิน
(ต่อด้านล่าง)
:: Chapter 13 :: 'ชัดเจน'
**พี่วอร์ม**
เรื่องเมื่อตอนเย็นนั้นผมยอมรับว่าโมโหและหงุดหงิดมากๆ ทำไมทุกคนทำเหมือนผมเป็นคนผิดที่ทำแบบนั้นกับไอติม คือผมก็มีสิทธิ์ปกป้องความรู้สึกตัวเองเปล่าวะ ผมเสียความรู้สึกที่โดนน้องหลอกเรื่องไลน์แปลกๆ นั่น แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้น้องเสียใจเพราะผมนี่หว่า แล้วผมก็ไม่ได้คิดด้วยว่าน้องจะรู้สึกแบบนั้นกับผม แล้วผมควรทำยังไงดี
“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่คิดอะไรไม่ออกได้แต่นอนนิ่งๆ บนเตียงมาสามชั่วโมงแล้ว หลังจากกลับมาจากที่มหาวิทยาลัย และเมื่อคิดอะไรไม่ออกผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อเข้ากลุ่มจับฉ่ายของผม เผื่อมันจะช่วยอะไรผมได้บ้าง
นายไออุ่น :: นอนกันยังวะ
J.U.S.T :: ยังเว้ยเพื่อนรัก กูก็รอมึงอยู่นี่แหละ... ยังไง ไหนเล่า
It’s Michi :: เชี่ยจัส เรื่องงี้มึงนี่ไวเชียวนะ
J.U.S.T :: อะ แน่นอน เรื่องนี้กูจะไม่พลาดนะครับ... กูติดตามผลงานของกูมานาน
นายไออุ่น :: ผลงานไรของมึงวะจัส
คะ-หนม-เค้ก :: คืองี้วอร์ม... จัสอะสงสัยเรื่องวอร์มกับน้องไอติมมานานแล้วแหละ จัสบอกว่าน่าจะมีซัมติง
นายไออุ่น :: นั่นไงไอ้จัส!
J.U.S.T :: แล้วจริงไหมล่ะครับเพื่อน ตอบครับ!
นายไออุ่น :: อย่ามาทำเป็นสั่ง สัด! กูไม่ใช่รุ่นน้องมึงไอ้จัส
It’s Michi :: อย่าเปลี่ยนเรื่องครับเพื่อน กูก็รอมึงเล่าอยู่เนี่ยวอร์ม ตกลงยังไงวะ เห็นมึงกับน้องไอติมคุยกันหน้าเครียดเลย
คะ-หนม-เค้ก :: แล้วตอนที่วอร์มเดินออกมา เค้กเห็นน้องไอติมแอบร้องไห้ด้วยนะ
นายไออุ่น :: เฮ้ย! ขนาดนั้นเลยเหรอเค้ก
J.U.S.T :: เออ! มึงอะแม่งโคตรใจร้ายเลย เห็นพักหลังมานี่มึงก็เย็นชากับน้อง น้องจะทักก็ทำเป็นไม่เห็น พูดด้วยก็ถามคำตอบคำ เนี่ยน้องเขาซึมไปหลายวันเลยนะเว้ย
ทำไมกลายเป็นผมที่ต้องรู้สึกผิดขนาดนี้วะ โดนไอ้จัสสวดยับเลยเนี่ย ตกลงพวกมันเพื่อนผมหรือว่าเพื่อนน้องวะครับ แทนที่จะได้คำปรึกษาจากพวกมันกลายเป็นเหมือนผมเข้ามาให้พวกมันรุมด่ามากกว่าเลย เค้กก็อีกคน มานิ่มๆ แต่พูดให้โคตรรู้สึกผิดอะ ทำไมไม่มีใครเห็นใจผมบ้างเลยเหรอวะ แต่ข้อมูลแต่ละคนนี่แน่นยิ่งกว่าหน่วยข่าวกรองอีกโดยเฉพาะไอ้จัส แม่ง!
นายไออุ่น :: มึงบอกเหมือนมึงเป็นน้องเขาเองอะจัส
J.U.S.T :: เออ! กูรู้ก็แล้วกันน่า
นายไออุ่น :: รู้ได้ไง ใครบอกมึงหราาา ไอ้จัส
It’s Michi :: อะๆ เอาตัวเองให้รอดก่อนครับเพื่อน เรื่องไอ้จัสปล่อยไว้ก่อนเลย... มึงอะ ตกลงยังไง แล้วมึงไปโกรธอะไรน้องไอติมเขา จะเล่าได้ยัง
มิชินี่ก็อีกคน ไว้รอถึงตาผมก่อนเถอะ จะซักเรื่องเค้กให้ซีดเลย เอาให้ขาวสะอาดหมดจด ไอ้มิชิต้องได้สารภาพจนหมดเปลือกทุกขั้นตอน ทุกสถานการณ์ อย่าคิดว่าผมจะไม่ดูไม่ออก เดี๋ยวนี้กล้าปิดบังเพื่อนฝูง ทำมาเป็นพูดดีทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีคดีอยู่เหมือนกัน แต่เอาเถอะทีใครทีมัน อย่าเผลอก็แล้วกัน ผมจะเอาคืนพวกมันให้หมดเลย
นายไออุ่น :: เรื่องมันยาวว่ะ... คร่าวๆ ได้ไหม
J.U.S.T :: อะว่าไป
นายไออุ่น :: น้องไอติม... เขาบอกชอบกูว่ะ
คะ-หนม-เค้ก :: ก็ดีนี่น่า... น้องไอติมก็น่ารัก อีกอย่าง... เค้กดูออกนะว่าวอร์มก็รู้สึกดีกับน้องเขาเหมือนกัน
It’s Michi :: ใช่เลย... เห็นด้วยกับเค้ก
J.U.S.T :: ก็ไม่ได้อยากจะเป็นก้าง แต่ก็ต้องขอบอกว่าเห็นด้วยกับเค้กเหมือนกัน
นายไออุ่น :: รู้สึกดีด้วยมันก็ใช่เว้ย... แต่แบบ... พวกมึงเข้าใจไหม…
พวกมันควรจะเลิกอวยน้องแล้วเห็นใจผมบ้าง นี่ผมโดนหลอกนะ การกระทำของน้องทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลกหน้าโง่ที่นั่งอ่านข้อความบ้าๆ นั่นทุกวัน จนความรู้สึกดีมันค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทำไมคุณเพื่อนถึงไม่เห็นใจกันบ้างวะ เอาแต่บอกว่าไอติมน่ารักอยู่นั่นแหละ น่ารักแล้วยังไงวะ จะล้อเล่นกับความรู้สึกและความไว้ใจของใครก็ได้อย่างนั้นเหรอ เพื่อนๆ ครับ ได้โปรดเห็นใจนายไออุ่นคนนี้บ้างเถอะครับ ผมยกมือขึ้นยีหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดก่อนจะกดปุ่มส่งเสียงและเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนๆ ฟัง
.
.
.
.
**น้องไอติม**
วันนี้รู้สึกเหมือนเป็นวันแย่ๆ ที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เหมือนจะแก้ปัญหาได้แต่ก็ไม่ทั้งหมด จริงอยู่ที่ความอึดอัดของผมที่มีมาร่วมสัปดาห์ได้ถูกปลดปล่อยออกไปหมดแล้ว เพราะผมได้รู้ถึงสาเหตุที่พี่วอร์มเย็นชาใส่ผมตลอดช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา ใช่ครับ ผมพลาดเอง เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะผม ผมทำให้พี่เขาไม่ไว้ใจในตัวผม อีกทั้งความรู้สึกที่มีต่อพี่วอร์มของผมก็ได้ถูกบอกออกไปแล้ว แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลยสักนิด แล้วต่อจากนี้ผมจะกล้าเจอหน้าพี่เขาได้ยังไง
“บ้าเอ๊ย! ร้องไห้อยู่นั่น” ไม่ได้อยากจะเป็นคนอ่อนแอหรือขี้แยอะไรตอนนี้หรอกนะครับ แต่มันห้ามไม่ได้จริงๆ น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาอยู่นั่นแหละ
ผมพลิกตัวมานอนตะแคงข้างอีกฝั่งเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วมั้ง พยายามข่มตาให้หลับเพราะตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ตั้งแต่กลับมาที่ห้องก็ไม่เป็นอันทำอะไรเลย ได้แต่นอนร้องไห้มันอยู่แบบนี้แหละ ผมก็เบื่อตัวเองเหมือนกันนะ ที่เป็นคนอ่อนแอขนาดนี้
ก๊อก ก๊อก
เสียงเหมือนมีคนเคาะประตูหน้าห้องผม แต่นี่มันจะเที่ยงคืนแล้ว มันจะมีใครมาเคาะห้องผมอีกล่ะ ผมอาจจะหูแว่ว หรือไม่ก็คงเป็นเสียงเคาะประตูห้องข้างๆ ล่ะมั้ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ชัดแล้ว เสียงเคาะประตูมันเป็นห้องผมนี่แหละ แต่เวลาแบบนี้ผมควรจะไปเปิดประตูไหม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เออ ไปก็ได้! เสียงเคาะระรัวที่ประตูทำให้ผมต้องจำใจลุกไปอย่างเสียไม่ได้ ถ้าเปิดประตูออกไปแล้วไม่เจอใครนะจะด่าให้เลย คนยิ่งเศร้าๆ อยู่จะมาหลอกอะไรกันหนักหนาวะเนี่ย ผมกระชากประตูให้เปิดออกด้วยความหงุดหงิด แต่คนที่อยู่หน้าประตูนั่นยิ่งทำให้ผมตกใจหนักกว่าเดิม ไม่ใช่ผีหรือว่าไม่มีใครยืนอยู่หรอกนะครับ แต่เพราะคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูก็คือพี่วอร์มต่างหาก นี่ผมตาฟาดไปเปล่าเนี่ย
“พะ... พี่วอร์ม... มีอะไรครับ”
“หิวอะ ไปหาอะไรกินเป็นเพื่อนหน่อย”
“หา!?”
“ไม่ต้องหาแล้ว ไปด้วยกันนี่แหละ” พี่วอร์มพูดจบก็ดึงมือผมออกมาจากห้องจนผมเกือบใส่รองเท้าและล๊อคห้องแทบไม่ทัน
ผมเดินตามพี่วอร์มออกมาจากหอพัก ข้ามสะพานลอยและเดินมาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระหลังมหาวิทยาลัยที่พวกเราชอบมานั่งกินด้วยกันบ่อยๆ เวลาไปเที่ยวกลับมาดึกๆ หรือทำกิจกรรมที่คณะจนดึกดื่น พี่วอร์มสั่งก๋วยเตี๋ยวมาให้ผมโดยไม่ต้องถามเพราะรู้อยู่แล้วว่าผมชอบกินอะไร ก็เนี่ย พี่ทำแบบนี้แล้วผมจะตัดใจจากพี่ได้ยังไง
ก๋วยเตี๋ยวสองชามถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้า เอาจริงๆ ตั้งแต่กลับจากมหาวิทยาลัยผมเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน มัวแต่จมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง เพราะเรื่องนั้นมันทำให้ผมไม่ได้รู้สึกหิวอะไรเลยด้วยมั้ง แต่ตอนนี้กลิ่นหอมๆ ของน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวเข้มข้นในชามนั้นทำเอาผมต้องเอื้อมมือไปหยิบตะเกียบกับช้อนออกมาจากกล่องพลาสติกที่ไว้ใส่อุปกรณ์การกินที่วางอยู่บนโต๊ะ และแน่นอนว่าผมไม่ลืมที่หยิบออกมาเผื่อพี่วอร์มด้วย
ผมลอบมองหน้าพี่วอร์มนิดหน่อย พี่เขาไม่ได้พูดอะไรได้แต่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวไปเงียบๆ ไม่เข้าใจว่าจะลากผมออกมาให้อึดอัดด้วยทำไม ผมจึงก้มหน้าจัดการก๋วยเตี๋ยวในชามผมบ้าง แต่ก่อนจะกินผมก็คีบชิ้นมะระตุ๋นไปวางในชามพี่วอร์มอย่างที่ทำประจำ จนลืมนึกไปว่าตอนนี้อะไรๆ มันก็ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“เอ่อ... ผมขอโทษ... ง่า... เดี๋ยวเอาใส่ทิชชู่”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่กินเอง”
“ครับ...” โอ๊ย อยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายตรงนี้เลย แต่ลิ้นตัวเองไม่อร่อยอะ ฮือ เลยได้แต่คีบเส้นก๋วยเตี๋ยวส่งเข้าปากแทนรีบๆ กินจะได้รีบๆ กลับ อึดอัดจะแย่แล้ว
“เราชอบพี่จริงๆ เหรอ...”
“แค่กๆๆ”
ผมแทบสำลักเพราะอยู่ดีๆ พี่วอร์มก็ถามคำถามนี้ขึ้นมาด้วยเสียงเรียบ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วๆ ไป ผมเงยหน้ามองพี่เขาที่กินก๋วยเตี๋ยวหมดชามไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ แถมตอนนี้ยังนั่งจ้องผมอยู่ด้วย
“เอ้า กินดีๆ สิ โอเคไหม”
“อะ... โอเคครับ... เมื่อกี้... พี่วอร์มถามผมว่าอะไรนะ”
“พี่ถามว่า... เราชอบพี่จริงๆ ใช่ไหม”
“อือ... ครับ...”
“แล้วทำไมถึงต้องใช้ไลน์นั้นคุยกับพี่ล่ะ”
“คือว่า... จริงๆ แล้วผมอยากคุยกับพี่มานานแล้ว แต่ว่าไม่มีโอกาสได้คุยเลยต้องทำแบบนั้น... แล้วพอเข้ามหา’ลัยผมก็ไม่คิดว่าจะได้มาเป็นน้องสายพี่...”
ผมสารภาพออกไป เพราะมาถึงขนาดนี้แล้วก็คงไม่มีอะไรจะต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว อีกอย่างสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็คงไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้แล้ว อย่างน้อยๆ ถ้าผมยอมเล่าและสารภาพทุกๆ อย่างให้พี่เขาฟัง พี่วอร์มก็อาจจะสัมผัสได้ถึงความจริงใจของผม แล้วกลับมาคุยกันเหมือนเดิมก็ได้ ถึงลึกๆ ผมจะรู้ดีว่าผมอาจจะหวังมากเกินไปก็ตาม
“อยากคุยมานานแล้ว... นานนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็... ตอนม.ปลาย”
“อืม... จริงสินะ... เราจบจากโรงเรียนเดียวกันนี่เนอะ” ผมมองหน้าพี่วอร์มด้วยความสงสัย จู่ๆ ก็มาถาม มาอยากรู้อะไรเอาตอนนี้ รู้แล้วอะไรๆ จะดีขึ้นเหรอไง ก็ไม่น่าจะใช่ แล้วถ้ามันกลับแย่ลงไปกว่าเดิมอีก ผมจะทำยังไง
“พี่... ถามทำไมอะครับ”
“จริงๆ พี่เองก็น่าจะเอะใจตั้งแต่ชื่อไลน์แล้วเนอะ... เป็นอิโมรูปไอติมแบบนั้นน่ะ”
พี่วอร์มจะพูดให้ผมรู้สึกผิดไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกพี่เขาสักหน่อย ถ้ามีวิธีอื่น ผมก็คงไม่ทำแบบนั้นหรอก อีกอย่าง ผมก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าพี่เขาจะกลับไปใช้เบอร์นั้น ตอนอยู่ม.4 กว่าผมจะได้เบอร์นั้นมาแทบลากเลือดเลยนะ แล้วพอพี่วอร์มเข้าปี1 พี่เขาก็เปลี่ยนเบอร์เฉยเลยอะ ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆ จะกลับมาให้เบอร์เดิม
“จริงๆ แล้วพี่ก็ชอบเจ้าของไลน์นั้นนะ... ถึงจะไม่เคยคุยกัน แต่ก็ชอบที่ได้อ่านทุกเรื่องที่เขาส่งมาเล่านั่นแหละ...”
“พะ... พี่วอร์ม... หมายถึง?”
“เอาจริงๆ ก็อยากทำความรู้จักด้วยซ้ำไป... แต่ก็ไม่คิดว่าคนนั้นจะใกล้ตัวขนาดนี้”
“ผะ... ผมขอโทษ”
“พามาทำความรู้จักหน่อยสิ... อยากรู้จักเยอะๆ อยากรู้จักให้มากกว่านี้...” เดี๋ยวนะครับ ผมงงกับพี่วอร์มไปหมดแล้วนะ ที่พี่เขาพูดมันหมายความว่ายังไงกัน คำพูดของพี่วอร์มทำผมใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้วเนี่ย ฮือ
“พี่อยากรู้จักเจ้าของไลน์นั้น... แล้วก็นะ ไอติม...”
“ครับพี่”
“ลองคบกับพี่ไหม”
“พี่วอร์ม!?”
.
.
.
(มีต่อค่ะ)
:: Chapter 14 :: 'เริ่มต้น'
**น้องไอติม**
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านผ้าม่านสีขาวเข้ามาภายในห้องนอน ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว รู้แค่ว่าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นหลังจากที่ผมตื่นได้สักพักทำให้รู้ว่าผมยังไม่สายแน่ๆ แต่ก็น่าแปลกที่วันนี้ผมดันตื่นก่อนที่เสียงนาฬิกาปลุกจะดังเสียอีก เพราะทุกทีจะเป็นผมเองที่ลุกขึ้นกดปิดมัน แถมบางวันยังกดเลื่อนปลุกขอนอนต่ออีกหน่อยอีกต่างหาก
ผมลุกขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมกับบิดร่างกายสลัดความขี้เกียจออกไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปในแชท ข้อความล่าสุดที่ผมส่งไปหาพี่วอร์มเมื่อคืนมันยิ่งตอกย้ำว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนไม่ได้เป็นแค่พี่น้องสายรหัสอย่างเดียวแล้ว เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือเรื่องจริง
ผมกดส่งข้อความไปหาพี่วอร์มที่ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง ตอนนี้แค่เจ็ดโมงกว่าๆ เองครับ ผมว่าพี่วอร์มยังไม่ตื่นแน่ๆ
i - Chananan :: พี่วอร์มตื่นได้แล้ว
i - Chananan :: สายแล้วนะ
ผมส่งข้อความเข้าไปในแชทของเรา ก่อนที่จะลุกไปทำธุระส่วนตัวยามเช้าตามปกติซึ่งมันก็ใช้เวลาพอสมควร หวังว่าพี่วอร์มจะตื่นแล้วหลังจากที่ผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะยังคงเงียบกริบและไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ แบบนี้ไม่ตื่นแน่ๆ ผมเลยรัวแชทและคอลไปหาพี่วอร์มอีกครั้ง แต่ก็ไม่สัญญานตอบรับ มันจะแปดโมงแล้วนะครับ หรือผมควรจะลงไปเคาะห้องพี่วอร์มเลยดี ไม่รู้ว่านอนหรือซ้อมตายกันแน่เนี้ย ตื่นยากจัง
นายไออุ่น :: ตื่นแล้ว
นายไออุ่น :: ตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงแล้ว
ตื่นแล้วแต่ไม่ยอมตอบแชทเนี่ยนะ ผมก็รอไปสิครับ กลับกลายเป็นว่าพี่วอร์มตื่นนานแล้วเพียงแค่ไปอาบน้ำแต่งตัวเลยไม่เห็นแชท อันที่จริงเวลาเข้าเรียนคาบเช้าของเราทั้งคู่ตั้งเก้าโมงครับ เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงกว่าๆ ผมก็รู้แหละครับว่าถ้าเป็นปกติแล้วพี่วอร์มคงจะตื่นตอนเวลาใกล้เข้าเรียนแน่ๆ แต่วันนี้ มันเป็นวันแรกที่เราคบกัน พูดไปจะดูน่าหมั่นไส้หรือเปล่านะ แต่ผมแค่อยากพูดคุย อยากเจอหน้าพี่เขาก่อนจะเข้าเรียนก็แค่นั้นเอง แล้วดูสิ ไม่ยอมตอบแชทเนี่ยมันน่างอนไหมละครับ
นายไออุ่น :: ไปหาอะไรกินที่โรงอาหารกันก่อนไหม
นายไออุ่น :: เดี๋ยวพี่เลี้ยง
i - Chananan :: เอาของกินมาล่อเหรอพี่วอร์ม
นายไออุ่น :: แล้วจะกินไหมละ
i - Chananan :: กิน!
i - Chananan :: แต่พี่ต้องเลี้ยงผมทั้งวันเลยนะวันนี้
นายไออุ่น :: อ่าว... ไหงงั้น
i - Chananan :: ไม่รู้อะ
i - Chananan :: อีกห้านาทีเจอกันหน้าลิฟท์เลยนะ
นายไออุ่น :: อ่าๆ โอเคๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมกดปิดโทรศัพท์เพื่อจะเตรียมตัวออกจากห้อง แต่อยู่ๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นต่อจากนั้น ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นห้องผมหรือเปล่าเลยยืนรอฟังอีกครั้งเผื่อว่าเสียเคาะเมื่อกี้จะเป็นของคนข้างห้องก็ได้
ก๊อก ก๊อก
แน่แล้วว่าเป็นห้องผมแน่ๆ แต่เวลาแบบนี้ใครจะมาเคาะห้องผมกันนะ มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่พี่วอร์มเคยบอกเมื่อตอนนั้นเลย เรื่องตำนานอาถรรพ์ชั้น 9 เนี่ย ฮือ แต่ผมก็ต้องเดินไปเปิดประตูอย่างช่วยไม่ได้เพราะเสียงเคาะประตูห้องก็ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง
“มอร์นิ่งครับแฟน”
“พี่วอร์ม!!! มาได้ยังไงเนี่ย!”
คนที่มาเคาะประตูห้องผมก็คือพี่วอร์มนั่นเอง ทำเอาตกใจหมดเลยครับ อยู่ๆ ก็ขึ้นมาหาถึงห้องเลยเนี่ย เมื่อกี้เรายังคุยกันในแชทอยู่เลยว่าจะลงไปเจอกันหน้าลิฟท์ข้างล่าง เซอร์ไพรส์เก่งเหลือเกิน
“อยากเจอหน้าไอติมไวไวอะ ก็เลยขึ้นมาหาเลยไง”
“อื้อ~ เดี๋ยวก็ลงไปเจอกันแล้วไงครับ” ถึงจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นแฟนกันแล้ว แต่เวลาพี่วอร์มพูดแบบนี้ผมก็อดเขินไม่ได้สักที เป็นพี่วอร์มทีไรภูมิคุ้มกันผมติดลบทุกทีเลย แค่คำพูดธรรมดาๆ ก็ทำเอาหน้าร้อนไปหมดแล้วครับ
“ก็คิดถึง... อยากเจอเดี๋ยวนี้ ตอนนี้เลย”
“หง่า~ ก็เจอแล้วนี่ไงครับ” ไม่รู้ว่าหน้าตาผมตอนนี้เป็นยังไง รู้แค่ว่ามันหุบยิ้มไม่ได้ก็แค่นั้นเอง ถ้าพี่วอร์มยังเป็นแบบนี้ต่อไปผมคงได้สำลักความสุขตายเข้าสักวัน การที่คนที่เราชอบรู้สึกตรงกันกับเรา แล้วได้มาคบกันแบบนี้มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ นะครับ
“งั้นเราไปหาอะไรกินกันดีกว่าเนอะ”
“อือ... พี่วอร์มรอแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเอากระเป๋าก่อน” หลังจากนั้นพวกเราก็พากันเข้ามาในมหาวิทยาลัย บรรยากาศตอนเช้าวันนี้ค่อนข้างเงียบหรืออาจเป็นเพราะว่าพวกเราเข้ามากันเช้ากว่าปกติก็เป็นได้ แถมอากาศเช้านี้ยังเย็นสบายกว่าปกติด้วยเลยยิ่งทำให้ผมรู้สึกสบายใจและมีความสุขมากขึ้นไปอีก คนที่นั่งขับรถอยู่ข้างๆ ผม เพียงแค่ได้ลอบมองเสี้ยวหน้าของพี่เขามันก็ทำให้ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยครับ
.
.
.
**พี่วอร์ม**
หลังจากที่ผมไปส่งน้องเข้าเรียนแล้วผมก็เดินมาที่ห้องเรียนของตัวเองบ้าง วิชาเช้านี้ผมมีเรียนพร้อมจัสครับ ส่วนมิชิกับเค้กเรียนอีกเซคนึง มันเป็นความซวยที่ตอนลงทะเบียนเรียนพวกเราดันลงไม่ทันกัน วิชานี้เลยต้องแยกเรียนกันคนละเซคไปตามระเบียบครับ และแน่นอนว่าไอ้มิชิมันเลือกที่จะไปเรียนกับเค้กมากกว่าผมและไอ้จัส
แต่วันนี้ผมต้องนั่งเรียนคนเดียวเนื่องจากไอ้จัสมีเหตุจำเป็นต้องไปส่งท่านแม่ที่ทำงานเนื่องจากรถของท่านเสีย ซึ่งจากอโศกกว่าจะมาถึงที่มหาวิทยาลัยมันคงมาไม่ทันคาบเช้าแน่ๆ เลยเหมาโดดคาบเช้าเสียเลย ส่วนผมก็นั่งง่วงอยู่นี่ไงครับ ไม่มีเพื่อนนั่งคุยด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แล้วสิ่งที่พอจะช่วยไม่ให้ง่วงมากไปกว่านี้ก็คือการเล่นโทรศัพท์ครับ
ผมกดเข้าไปดูรูปล่าสุดที่ถ่ายไว้ มันเป็นรูปที่ผมถ่ายน้องไอติมตอนที่ผมขึ้นไปหาน้องที่ห้องเมื่อเช้านี้ หน้าตาตอนน้องเปิดประตูออกมาเจอผมมันตลกมากเลยอะ ท่าทางจะตกใจมากจริงๆ ที่ผมแอบขึ้นไปหาก่อน ผมเลยแอบถ่ายเอาไว้โดยที่น้องไม่รู้ตัว ก็หน้าตาท่าทางเหวอๆ ของน้องมันน่ารักจะตายไปครับ ไม่รอช้า ผมกดส่งรูปนั้นไปให้น้องทันทีก่อนที่ผมจะเลิกสนใจโทรศัพท์และหันไปสนใจสิ่งที่อาจารย์กำลังสอนต่อ อาจารย์เล่นบอกว่ามันจะมีออกสอบขนาดนั้น พลาดไปก็แย่สิครับ
i - Chananan :: อะไรอะ ถ่ายทำไมเนี่ย
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงผมถึงเพิ่งเห็นว่าไอติมส่งแชทโวยวายกลับมา ผมแชทคุยกับน้องสักพักอาจารย์ก็ปล่อยคลาส แต่น้องยังไม่เลิกเรียน ผมเลยตัดสินใจไปรอไอติมที่โต๊ะ น่าแปลกที่วันนี้บริเวณโต๊ะเงียบมาก สงสัยเพราะว่าอาจารย์เซคผมปล่อยเร็วเลยยังไม่ค่อยมีคนมาเท่าไหร่ และแน่นอนว่าเค้กกับมิชิก็น่าจะยังเรียนอยู่ แต่ก็ดีแล้วครับ เพราะถ้าสองคนนั้นเลิกเรียนพร้อมๆ กับผม ผมต้องโดนซักจนสะอาดเอี่ยมอ่องแน่ๆ เลย แล้วก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใดหรอกครับ ก็เรื่องน้องไอติมเนี่ยแหละ ใครจะไปคิดละครับ เมื่อวานผมยังโมโหใส่น้องจนคนเขาเห็นกันทั้งโต๊ะอยู่แล้ว แล้วมาวันนี้ผมกับน้องดันเป็นแฟนกันเสียอย่างนั้น มันก็ไม่แปลกหรอกครับที่ใครๆ จะตั้งคำถาม แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกครับ แค่ผมเข้าใจน้องแล้วน้องเข้าใจผมก็พอแล้ว
“พี่วอร์ม!”
เสียงสดใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึงเสียอีก ผมเงยหน้ามองเห็นไอติมกำลังเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาผม หน้าน้องขึ้นสีแดงและหอบนิดๆ เดินจากอาคารเรียนรวมมาถึงนี่ก็ไม่ได้ใกล้เท่าไหร่ แถมแดดตอนใกล้เที่ยงแบบนี้ก็แรงไม่ใช่เล่นเลย จะรีบร้อนอะไรขนาดนั้นครับ
“ค่อยๆ เดินมาก็ได้ จะวิ่งทำไม หน้าแดงเหงื่อออกหมดแล้วเนี่ย พี่ไม่หนีไปไหนหรอก” ผมพูดขำๆ ก่อนที่น้องจะทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามผม
“ก็กลัวพี่วอร์มรอนานอะครับ”
“พี่รอได้หน่า” คำตอบของน้องทำเอาผมอยากหยิกแก้มนุ่มๆ ที่ตอนนี้ขึ้นสีระเรื่อนั่นจริงๆ เลยครับ ทำไมต้องน่ารักขนาดนี้วะครับ น้องจะรู้บ้างไหมเนี่ยว่าเพราะความน่ารักสดใสของน้องนี่แหละที่ทำให้ผมตกหลุมน้องโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็หาทางขึ้นจากหลุมไม่เจอเสียแล้ว
“พี่วอร์มหิวไหม”
“หิวแล้วล่ะสิ เราน่ะ อยากกินอะไรล่ะ”
“อืม... ก็เริ่มหิวแล้ว... กินอะไรก็ได้ครับ ตามใจคนเลี้ยงเลย~”
ไอติมพูดพร้อมกับเอียงคอหัวเราะคิกคัก ก็แน่ล่ะครับ วันนี้ผมต้องเลี้ยงน้องทั้งวันนี่นา ถูกใจเขาล่ะ แต่องศาการเอียงคอแบบนั้นมันชักจะน่ารักเกินไปแล้วนะไอติม ถ้าจับฟัดตรงนี้จะน่าเกลียดไปไหมครับเนี่ย มีแฟนน่ารักนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะครับ
“อืม... งั้นออกไปกินข้าวข้างนอกกันไหม”
“ออกไปข้างนอกเลยเหรอพี่วอร์ม จะกลับมาทันเรียนตอนบ่ายไหมอะ”
“ทันสิ เราก็... รีบไปรีบกลับไง” จริงๆ แล้วผมแค่อยากพาไปที่ที่ไม่ต้องเจอคนรู้จักมากกว่าครับ อยู่ในมหาวิทยาลัยยังไงก็ต้องมีคนเห็น มีคนเจอพวกเราอยู่ด้วยกันแน่ๆ ผมขี้เกียจตอบคำถามน่ะครับ
“โอเค~ ไปก็ได้ครับ”
“โอเคงั้นไปกัน”
ผมลุกขึ้นยืนอมยิ้มแล้วส่งมือไปหาน้อง ไอติมมองมือผมครู่นึงแล้วยื่นมือมาจับมือผมตอบพร้อมกับยิ้มตาหยีส่งให้จนผมเผลอฉีกยิ้มกว้างออกมาตามน้อง ตั้งแต่ได้รู้จักกับไอติมผมรู้สึกว่าโลกของผมสว่างขึ้นเยอะเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าเรื่องในอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงแต่มือนุ่มๆ ของน้องไอติมที่กำลังจับมือผมอยู่นั้นมันทำให้ผมคิดว่า ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นผมจะไม่มีวันปล่อยมือจากน้องเด็ดขาด
พวกเราออกไปทานมื้อเที่ยงง่ายๆ กันเพราะไอติมมีเรียนต่อช่วงบ่าย แต่หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วผมเห็นว่ายังมีเวลาก็เลยชวนน้องไปนั่งเล่นที่คาเฟ่ก่อนจะได้ซื้อกาแฟทานด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้มีคนหลับคาห้องเรียนแน่ๆ เลย ทันทีที่เครื่องดื่มยกมาเสิร์ฟ ไอติมก็รีบร้องห้ามผมทันทีเมื่อเห็นว่าผมจะคว้าแก้วของตัวเองไปดู
“ผมก็ขอถ่ายรูปก่อนนะ เดทแรกทั้งทีต้องเก็บไว้เป็นความทรงจำหน่อย...” ถึงแม้ว่าประโยคหลังน้องจะพึมพัมกับตัวเองเบาๆ แต่ผมก็ยังได้ยินอยู่ดี เราอยู่ใกล้กันแค่นี้เองนี้ครับ ภาพอีกคนที่กำลังตั้งใจตัดมุมและหาแสงในการถ่ายภาพเครื่องดื่มทั้งสองแก้วทำให้ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ถ้าใครหลายๆ คนมาพบเจอผมช่วงนี้ต้องเอ่ยปากทักแน่ๆ ว่าผมยิ้มบ่อยกว่าปกติ ก็แน่ล่ะครับ เพราะตอนนี้ไอติมคือความสุขของผม การได้ใช้เวลาทุกๆ นาทีร่วมกับน้องล้วนเป็นความทรงจำดีๆ ที่เราได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาและจะจดมันลงให้สมุดบันทึกความทรงจำของเราทั้งคู่ ผมยังจำวันแรกที่เจอน้องวันจับสายรหัสได้เลย ผมไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มของน้องจะทำให้ดอกไม้ที่เหี่ยวเฉานั้นกลับมาเบ่งบานได้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ รอยยิ้มของน้องสามารถทำให้หัวใจของผมพองฟูขึ้นกว่าเดิม
โทรศัพท์ที่สั่นเตือนอยู่ตลอดเวลาทำให้ผมรู้ว่าพวกเพื่อนๆ ผมนั้นกำลังแชทคุยกันอยู่ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ผมปิดแจ้งเตือนไว้เหมือนเดิมก็ดีแล้วเนี่ย กลับมาเปิดไว้เผื่อจะมีเรื่องสำคัญแต่ก็เปล่าเลยครับหาสาระไม่ได้เหมือนเดิม ผมเหลือบมองโทรศัพท์อยู่พักหนึ่งหลังจากที่เอารถจอดที่ลานจอดรถใกล้ๆ อาคารเรียนรวม เมื่อครู่นี้ผมพาไอติมออกไปกินข้าวที่ห้างใกล้ๆ มหาวิทยาลัยและตอนนี้ผมก็กำลังจะไปส่งน้องเข้าเรียนวิชาช่วงบ่ายต่อ ไม่ต้องเดาเลยครับว่าข้อความในแชทที่รัวๆ มานั้นคือเรื่องอะไร แน่นอนว่าเป็นเรื่องผมล้วนๆ แต่ก็ปล่อยไว้แบบนั้นแหละครับ เดี๋ยวค่อยไปเคลียร์ทีเดียวตอนเจอหน้าพวกมัน
และแน่นอนว่าเมื่อผมมาถึงที่โต๊ะผมก็โดนพวกเพื่อนรักแซวกันระงมเลยครับ นี่ที่แซวกันในแชทยังไม่พออีกหรือไง ดีนะที่ผมไปส่งไอติมที่ตึกเรียนเรียบร้อยแล้วถึงค่อยเดินมาที่โต๊ะ ไม่อย่างนั้นน้องคงเขินมากแน่ๆ
“ยัง... ยังอีก... ยังไม่เลิกแซว พวกมึงนี่นะ”
“แหม~~~ ก็ใครจะไปนึกวะ เมื่อวานเห็นมึงยังเกรี้ยวกราดใส่น้องไอติมอยู่เลย พอมาวันนี้พากันไปกินข้าวอัพรูปลงไอจีซะหวานแหวว” ไอ้จัสยังคงแขวะผมไม่หยุด นี่มันเป็นเจ้ากรรมนายเวรผม หรือคู่รักแค้นฝั่งหุ่นตั้งแต่ชาติปางก่อนของผมหรือเปล่าวะ พูดเสียผมรู้สึกผิดที่มีแฟนเลย
“อะไร! กูยังไม่ทันทำอะไรเลย...”
“มึงไม่ได้ทำแต่แฟนมึงทำ! แหม~ ลงรูปแท็กหากันซะด้วย ไวไฟฉิบหาย” คราวนี้เป็นไอ้มิชิที่แซวผมต่อ ทีนี้ล่ะสามัคคีกันเหลือเกิน กับเรื่องอื่นช่วยร่วมมือร่วมใจกันแบบนี้บ้างได้ไหมวะครับ
“แล้วทำไมวะ... ก็คนเป็นแฟนกันลงรูปแท็กหากันมันผิดตรงไหน”
“โว้ย หมั่นไส้!!! เมื่อคืนใครบอกวะว่าเสียความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้... สุดท้ายก็ไปสอยน้องเขามาเป็นแฟนเฉย” ไอ้จัสเสริม
“ก็พวกมึงเองไม่ใช่หรือไงวะที่เชียร์กูให้คบกับน้องอะ” ผมบอกตามความจริง เพราะตั้งแต่เมื่อคืนที่ผมเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เพื่อนๆ ฟัง ทุกคนก็พร้อมใจกันเชียร์ให้ผมไปง้อน้องเองนี่ครับ
แต่ความจริงมันก็ดีนะครับ ต้องขอบคุณพวกมันนี่แหละที่ทำให้ผมรู้ใจตัวเองจริงๆ ว่าผมก็รู้สึกไม่ต่างกันกับไอติม ส่วนเรื่องนั้นที่ทำให้ผมเสียความรู้สึกผมก็จะมองข้ามไปครับ ก็ในเมื่อคนที่ทำให้ผมรู้สึกดีในแชทนั้นมันก็คือคนเดียวกับคนที่ผมรู้สึกดีด้วยเวลาเจอหน้ากัน แล้วมันจะผิดตรงไหนล่ะครับถ้าผมอยากจะให้คนๆ นั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม
“อย่าไปสนใจสองคนนี้เลยวอร์ม... ยังไงเค้กก็ยินดีด้วยนะที่วอร์มไม่ได้คิดร้ายๆ กับน้องไอติม อีกอย่าง... น้องไอติมก็น่ารักน่าเอ็นดูขนาดนั้น ถ้าปล่อยให้เข้าใจผิดกันแล้วเห็นน้องไปคบกับคนอื่นวอร์มจะทนได้เหรอ จริงไหม” เค้กเอ่ยยิ้มๆ คำพูดของเค้กทำเอาผมอยากจะเข้าไปกอดเค้กแน่นๆ แทนคำขอบคุณที่ทั้งคอยรับฟัง ช่วยให้คำปรึกษาและเข้าใจในตัวผม แต่ก็ทำได้แค่คิดอะครับ ถ้าผมทำแบบนั้นจริงๆ มีหวังไอ้มิชิได้กระชากผมไปต่อยแน่ๆ
“อือ! ยังไงวอร์มก็ไม่มีทางปล่อยให้น้องไปเป็นของคนอื่นแน่นอนเค้ก” หลังจากที่ผมพูดจบประโยคก็มีเสียงโห่จากไอ้เพื่อนตัวโย่งทั้งสองคนดังตามมา อย่าให้ถึงตาพวกมึงบ้างก็แล้วกัน ไอ้จัส ไอ้มิชิ ผมจะซักให้ซีดเลยคอยดูเถอะ
หลังจากที่เมื่อวานผมใช้เวลาส่วนมากอยู่กับไอติมจนโดนเพื่อนแซ็วไม่เลิก วันนี้ผมมีเรียนตอนสิบโมง ส่วนน้องมีเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้า ทั้งที่เมื่อคืนผมบอกน้องว่าจะเข้าไปส่งในมหาวิทยาลัยแต่น้องก็ยืนยันจะไปเองโดยอ้างว่าเพราะทุกครั้งก็ไปเอง มันก็จริงอยู่ครับ แต่ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนี่ครับ ผมก็อยากทำหน้าที่แฟนและรุ่นพี่ที่ดี แต่ในเมื่อน้องก็ยังยืนกรานจะไปเรียนเอง ผมก็ไม่ขัด ดีเหมือนกันจะได้นอนตื่นสายๆ หน่อย ซึ่งความจริงแล้วผมก็นอนตื่นสายเป็นประจำอยู่แล้ว ข้อความแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทเป็นอย่างแรกที่ผมเปิดดูหลังจากที่เพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน นอกจากข้อความจากไอติมแล้วก็มีพวกเพื่อนๆ ของผมนี่แหละครับ
ผมกดเข้าไปดูในแชทกลุ่มจับฉ่ายก็เจอข้อความจากมิชิก่อนเป็นคนแรกเลยครับ แล้วเรื่องที่มันทักมาตั้งแต่ไก่โห่นี่ก็เป็นเรื่องของผมอีกแล้ว นี่มันไม่คิดจะหยุดแซวผมเลยใช่ไหมเนี่ย แค่ผมอัพรูปคู่ตัวเองกับน้องไอติมตอนห้าทุ่มเมื่อคืนนี้ลงไอจีเท่านั้นเอง แล้วที่ตั้งใจอัพรูปเวลานั้นก็เพราะไม่อยากให้มันข้ามไปเป็นอีกวันก็แค่นั้น ผมก็แค่อยากเก็บเรื่องราวดีๆ ในวันแรกที่ผมกับน้องคบกันมันผิดตรงไหน ไม่รู้ว่าที่แซวไม่เลิกนี่เพราะอิจฉาหรือว่าอะไร
ผมนั่งแชทคุยกับเพื่อนๆ อยู่สักพักก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยไปเรียน ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาเก้าโมงกว่าๆ แล้วครับ แต่เค้กล่วงหน้าไปถึงมหาวิทยาลัยก่อนแล้ว รายนั้นน่ะเหมือนพระเจ้าสร้างเขาให้เกิดมาเพอร์เฟ็คเลยครับ ทั้งขยันและเรียนเก่ง ไหนจะหน้าตาที่ดึงดูดสายตาทั้งหญิงและชาย แถมอัธยาศัยดีเป็นมิตรกับทุกคนด้วยอีก ยอมครับยอม แค่ได้มาเป็นเพื่อนกับเค้กนี่ผมก็รู้สึกว่าตัวเองต้องมีบุญพอสมควรแล้วครับ
.
.
**น้องไอติม**
“ง่วงจัง...”
“ไม่คิดว่าคนอย่างไวท์จะบ่นง่วงกับเขาเป็นเหมือนกันด้วย ฮ่าๆๆ” ผมหันไปมองเจ้าของเสียงเล็กๆ ที่บ่นออกมาเบาๆ หลังจากที่หาวจนน้ำตาไหลไปเมื่อครู่ และเอ่ยแซวต่อทันที
“อือ... ทำไมไวท์จะง่วงไม่ได้อ่า... ถึงจะตั้งใจไว้ว่าจะตั้งใจเรียนทุกคาบก็เถอะ แต่เรียนเช้าขนาดนี้... ฮือ... คิดถึงเตียงกับหมอนนิ่มๆ ที่หอจัง” ไวท์บ่นกลับมาเสียยกใหญ่จนผมอดขำไม่ได้ แต่ก็เข้าใจนะครับ เพราะเรียนเช้าแบบนี้ ใครๆ ก็ง่วงกันทั้งนั้นแหละครับ แถมเนื้อหาวิชาเช้านี้มันก็ชวนง่วงนอนเสียเหลือเกิน
“จูก็ง่วงเหมือนกันเลยไวท์ เมื่อกี้ที่อาจารย์ปล่อยพักพอกลับมาเรียนก็นึกว่าจะหายง่วงบ้างแล้วนะ แต่ก็ไม่เลย” ผมส่ายหน้าเบาๆ กับเพื่อนทั้งสองที่ยังคงบ่นเรื่องความง่วงกันไม่ขาดปาก ผมเหลือบมองเวลาจากโทรศัพท์มือถือแล้วก็นึกถึงพี่วอร์มขึ้นมาทันทีเลยครับ วันนี้พี่วอร์มมีเรียนสิบโมงเช้า ไม่รู้ป่านนี้จะตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแล้วหรือยัง เมื่อเช้าผมแค่แชทไปบอกพี่เขาว่ากำลังจะออกมาเรียนแล้วเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าตอนนั้นพี่วอร์มคงจะยังไม่ตื่นแน่ๆ ว่าแล้วก็ทักไปหน่อยแล้วกัน เผื่อพี่เขาจะนอนเพลินจนลืมตื่น เดี๋ยวจะมาโวยวายโทษผมว่าไม่ยอมปลุกอีก
นายไออุ่น : กำลังไปมหา’ลัยแล้วนะ
ผมเข้าไปในโปรแกรมแชทยังไม่ถึงสิบวินาทีดี ยังไม่ทันที่จะกดเข้าไปให้ห้องที่ผมคุยกับพี่เขาด้วยซ้ำ แจ้งเตือนข้อความที่ถูกส่งมาจากพี่วอร์มก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอพอดี ตายยากจริงๆ
i - Chananan : :)
นายไออุ่น : ตอบไวจัง ไม่เรียนเหรอ
ไม่ให้ตอบไวได้ยังไงล่ะครับ ก็ผมกำลังจะเข้ามาส่งข้อความหาพี่วอร์มอยู่พอดี มันก็เลยต้องอ่านเลย ซึ่งถ้าอ่านแล้วไม่ตอบเดี๋ยวก็จะโดนบ่นอีก จริงไหมล่ะครับ
i - Chananan : เรียนอยู่ ~ แต่มันง่วงอ่า
นายไออุ่น : แอบหลับเปล่าเนี่ย ไม่ตั้งใจเรียน
i - Chananan : ก็มันง่วงจริงๆ อ่า~ อยากกินโกโก้
นายไออุ่น : ให้ซื้อไปให้ไหม
i - Chananan : ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวก็เลิกแล้ว
พี่วอร์มถามผมกลับ จริงๆ ผมก็แค่บ่นอยากกินเฉยๆ เอง ไม่ได้จะกินเวลานี้ เดี๋ยวนี้เลยสักหน่อย แต่การที่พี่วอร์มถามกลับมาแบบนี้มันก็ทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้จริงๆ พอเราเปลี่ยนสถานะจากพี่น้องสายรหัสมาเป็นแฟนกันแล้วเนี่ย พี่วอร์มดูเอาใจใส่ผมมากขึ้นกว่าเดิมอีก นับวันพี่เขาก็ยิ่งทำให้ผมหวั่นไหวและรู้สึกดีมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกวันๆ เลยครับ
“ยิ้มใหญ่เลยนะ ไอติม” เสียงเพื่อนสนิทผมเอ่ยแซวขึ้นหลังจากที่ผมคุยแชทกับพี่วอร์มเสร็จ
“อะไรของจูเนี่ย... ไอยิ้มไม่ได้เหรอ”
“เปล่า~ ได้คบกับคนที่ตัวเองแอบชอบมานานแสนนานนี่มันดีจังเลยนะ”
“นี่ไอติมแอบชอบพี่วอร์มมานานแล้วเหรอ” หลังจากที่จูเนียร์พูดจบ ไวท์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ถามแทรกทันที เราสามคนนั่งติดกันขนาดนี้แถมผมยังนั่งตรงกลางระหว่างไวท์กับจูเนียร์อีก ถ้าไม่ได้ยินก็คงแปลก
“ก็... อือ… ไอชอบพี่วอร์มมาตั้งนานแล้วล่ะ” ผมตอบไปตามความจริง เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องปิดบังกันหรอกครับ แต่ถ้าไวท์ไม่ถาม แล้วอยู่ๆ จะให้ผมมพูดขึ้นมาเลยมันก็ดูจะยังไงๆ อยู่ แต่ดูเหมือนว่าไวท์จะไม่ค่อยตกใจสักเท่าไหร่
“ชอบมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายเลยเปล่าเนี่ย”
“ไวท์รู้ได้ไงอะ” คราวนี้จูเนียร์เป็นคนถามคำถามนี้แทนผม
“เดาเอาน่ะ... จริงๆ ไวท์เห็นพวกจูกับไอติมชอบคุยเรื่องของพี่วอร์มกันอยู่บ่อยๆ ไวท์เลยเดาเอา แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างที่เดาไว้จริงๆ หรอกนะ”
ไวท์พูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ นี่ผมแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอครับ ถึงว่าล่ะ ไวท์ดูไม่ค่อยตกใจเลยที่รู้ว่าผมแอบชอบพี่เขามาตั้งนานแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนักหรอกครับ แค่เพื่อนๆ เข้าใจและโอเคกับการที่ผมคบกับผู้ชายด้วยกันนี่ก็ถือว่าดีมากแล้วครับ เพื่อนๆ ของพี่วอร์มเองก็น่ารักมากๆ เลย จะถือว่าผมโชคดีที่คนที่แอบชอบมานานรู้สึกตรงกันและยังมีเพื่อนๆ ที่แสนดีแบบนี้ก็ไม่ผิดหรอกครับ เพราะตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมากๆ คนหนึ่งเลยล่ะครับ
.
.
.
To be Continue...
แว้บมาต่อให้ก่อนหยุดสงกรานค่ะ
ใครไปเที่ยวก็ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ
สวัสดีวันปีใหม่ไทยค่ะ ^^
:mew3:
:: Chapter 17 :: 'วิตามิน'
**พี่วอร์ม**
เขาว่ากันว่าหากมีเราความสุขเวลามักจะเดินเร็วเสมอ ตั้งแต่ผมกับไอติมตกลงคบกันเป็นแฟนเราใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วยกันเสมอ ทุกวันที่ทั้งผมและน้องไม่มีเรียนเราก็มักจะออกไปเที่ยวด้วยกันหรือที่หลายๆ คู่เรียกมันว่าการเดท หากบางวันที่รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะออกไปข้างนอก ไอติมก็มักจะมานั่งเล่นและใช้เวลาทั้งวันอยู่กับผมและเจ้าเบนโตะที่ห้อง ถึงแม้ว่าผมจะเอ่ยปากบอกว่าให้ผมเป็นฝ่ายขึ้นไปหาน้องที่ห้องบ้างก็ได้ แต่เจ้าของห้องกลับปฏิเสธทันควันและยืนยันที่จะเป็นฝ่ายมาหาผมที่ห้องเอง บางทีเราก็แค่นั่งทานข้าวด้วยกัน นอนดูหนัง เล่นกับเจ้าเบนโตะไปเรื่อยเปื่อยจนหมดวันไปอย่างแสนธรรมดา แต่มันกลับเป็นวันที่แสนพิเศษและมีความหมายกับผมมากๆ ไม่มีครั้งไหนเลยที่รู้สึกอึกอัดหรือน่าเบื่อเมื่อผมได้อยู่กับไอติม
แต่ช่วงที่ผ่านมานี่สิครับ เนื่องจากเป็นช่วงสอบปลายภาค ซึ่งสำหรับเด็กนิติศาสตร์อย่างพวกผมก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ท่องประมวลกฎหมาย และฝึกทำข้อสอบวนไปเท่านั้น ถึงบางครั้งไอติมกับเพื่อนๆ จะมานั่งอ่านหนังสือรวมกับพวกผมที่หอสมุดก็ตาม แต่เราแทบจะไม่ได้คุยกันเลยครับ เรียกได้ว่าอยู่กับกองหนังสือและเอกสารมากกว่าแฟนก็ว่าได้
จนวันนี้ซึ่งเป็นวันสอบวันสุดท้ายก็มาถึง ปี1 มีสอบตัวสุดท้ายช่วงเช้า ส่วนปี3 อย่างผมกว่าจะเลิกก็เย็นนั่นแหละครับ เพราะเริ่มสอบตอนบ่ายถึงจะดีที่ยังพอมีเวลาให้อ่านเพิ่มเติม แต่ตอนนี้ผมอยากสอบให้มันจบๆ ไปมากกว่าครับ ตอนนี้คิดถึงเตียงที่ห้องมากๆ ช่วงสอบทีไรแทบไม่ได้นอนทุกทีเลยครับ นี่ผมก็ตื่นแต่เช้ามาส่งไอติมเข้าห้องสอบแล้วลากสังขารตัวเองมานั่งอ่านหนังสือต่อที่หอสมุดตามที่เค้กนัด ถ้าไม่มีเค้กผมว่าทั้งผม ไอ้จัส และมิชิก็คงยังไม่ตื่นและนอนตายกันอยู่ที่ห้อง
“สอบเสร็จชวนน้องๆ ปี1 ไปกินข้าวด้วยกันดีไหม ช่วงปิดเทอมน่าจะแยกย้ายกันกลับบ้าน...”
“เอาสิเค้ก พวกมึงว่าไง” ไอ้มิชิที่ขานรับข้อเสนอของเค้กทันควัน หันมาถามความคิดเห็นผมกับจัส จริงๆ ถ้าจะแสดงความยินยอมและเห็นด้วยไปขนาดนั้นแล้วไม่ต้องถามแล้วก็ได้มั้ง ไอ้คุณชายนี่
“วอร์มยังไงก็ได้อยู่แล้วเค้ก”
“จัดสิครับ รออะไร ไม่ได้กินข้าวกับน้องๆ นานแล้ว ตั้งแต่งานกีฬามหา’ลัยโน่น” ไอ้จัสเองก็ดีใจจนออกนอกหน้า ผมรู้ทันหรอกนะ ว่ามันไม่ได้ดีใจที่จะได้กินข้าวกับน้องสายตัวเองหรอก มันอยากกินข้าวกับน้องสายเค้กมากกว่า ถ้าปี2 อยู่ด้วยก็คงพากันไปกินทั้งหมดนั่นแหละครับ แต่ว่าจะสอบเสร็จกันไปตั้งแต่เมื่อสองสามวันก่อนแล้ว
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเค้กส่งข้อความไปบอกน้องไวท์เลย ทุกคนก็บอกน้องสายตัวเองด้วยนะ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะกดส่งข้อความไปหาไอติม แต่คาดว่าตอนนี้น้องน่าจะกำลังสอบอยู่ เดี๋ยวสอบเสร็จก็คงจะเปิดอ่านข้อความเองแหละครับ
**น้องไอติม**
“โอ๊ย~ ในที่สุดก็สอบเสร็จสักที สมองจูตอนนี้นะ รู้สึกโล่ง~ ไปหมดเลย” จูเนียร์บ่นทันทีหลังจากที่เดินออกมาจากห้องสอบได้ไม่นานนัก ผมกับจูเนียร์ทำข้อสอบเสร็จในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่วนไวท์นั้นยังคงนั่งอยู่ในห้องสอบ และตอนนี้ก็เหลือเวลาสอบอีกเพียงแค่สิบนาทีเองครับ สงสัยไวท์จะเหมาจนครบหมดชั่วโมงแน่ๆ เลย ไม่รู้จะเอาท็อปเซคหรือยังไงกันนะ
“อือ... เบาหัวเลยอะ รู้สึกเหมือนเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย สอบเสร็จหมดแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่ลุ้นคะแนน ฮือ... กลัวจัง” ผมบ่นต่อบ้าง เห็นเพื่อนๆ หลายคนที่เดินออกมาจากห้องสอบ พากันเปิดชีทดูแนวคำตอบที่น่าจะถูกต้องจากข้อสอบเก่ากันอยู่แถมยังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่างๆ นานา ว่าตอบอะไรกันไปบ้าง แต่ผมไม่ชอบทำแบบนั้นหรอกครับ ดูไปก็เสียความมั่นใจและเจ็บใจเปล่าๆ ถ้าเกิดว่าเราทำข้อสอบผิด มาขนาดนี้แล้วยังไงเราก็กลับไปแก้ไขอะไรมันไม่ได้อยู่ดี
“พี่มิชิกับพี่จัสชวนไปกินข้าวฉลองหลังสอบเสร็จอะ”
“หืม?” ผมหันไปมองข้อความบนหน้าจอมือถือของจูเนียร์ที่ยื่นมาให้ผมดู ก่อนที่โทรศัพท์ของผมจะสั่นขึ้นตามมาหลังจากนั้น แล้วก็เป็นข้อความจากพี่วอร์มนั่นแหละครับ ที่แจ้งเตือนปรากฏขึ้นมาตอนนี้ พี่วอร์มเองก็แชทมาบอกเรื่องที่จะไปกินข้าวเย็นนี้เหมือนกัน
หลังจากที่รอไวท์ออกมาจากห้องสอบ พวกเราก็ตัดสินใจกลับหอกันก่อนครับ ถึงแม้ว่าใจนึงผมจะอยากไปหาพี่วอร์มที่หอสมุดก่อนก็เถอะ แต่เห็นตว่าพี่ๆ เขากำลังติวหนังสือกันเลยไม่ขอไปกวนดีกว่า เพราะเดี๋ยวช่วงบ่ายพี่ๆ ก็ต้องเข้าห้องสอบกันแล้ว อีกอย่างยังไงเย็นนี้เราก็ได้เจอกันอยู่แล้ว
เมื่อถึงเวลานัดพี่วอร์มก็ขับรถมารับผมกับเพื่อนๆ ที่หอซึ่งก็มีเหตุผิดพลาดทางเทคนิคเล็กน้อยแต่ก็หาข้อสรุปได้และผ่านไปด้วยดีครับ พอมาถึงที่ห้างสรรพสินค้าพี่วอร์มก็พาผมมุ่งหน้าไปที่ร้าน คาดว่าพวกพี่ๆ เขาคงจองโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้ว
“อ้าว... ไหนมึงว่าจะไปรับน้องแค่คนเดียวไง แล้วทำไมจูเนียร์กับไวท์ถึงไปกับไอ้จัสวะ” พี่มิชิเอ่ยถามหลังจากที่ผมกับพี่วอร์มเดินเข้ามาในร้านพิซซ่าซึ่งมีพี่มิชิกับพี่เค้กมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“มันบอกว่าจะให้กูอยู่กับไอติมสองคนไม่อยากเป็นก้างขวางคอ มันเลยขอพาน้องสายกับน้องไวท์ไปพร้อมมัน... มึงว่ามันอ้างไหม” พี่วอร์มบ่นกับพี่มิชิต่อจากนั้นจนพี่มิชิกับพี่เค้กพากันหัวเราะออกมา เอาจริงๆ ผมเองก็งงเหมือนกันนะครับ เพราะตอนแรกพี่วอร์มบอกว่าจะมารับผมกับเพื่อนๆ แค่คนเดียว ทำไปทำมา ไม่รู้ทำไมพี่จัสถึงขับรถตามมาด้วยก็ไม่รู้ ผลสุดท้ายเลยออกมาตามที่พี่วอร์มว่านั่นแหละครับ
“เอาหน่า ปล่อยๆ มันไปเถอะ ไหนๆ ก็จะปิดเทอมแล้ว ให้มันทำคะแนนหน่อย”
“เออสิ นี่ก็เห็นแก่เพื่อนหรอกเว้ย ถ้าไม่อย่างนั้นนะมันโดนกูด่าไปแล้ว โทษฐานทำตัวเรื่องมากชิบหาย”
“นินทาอะไรผมครับคุณวอร์ม... หัวร้อนอีกแล้วเหรอ” ยังไม่ทันขาดคำ พี่จัสก็เดินเข้ามาพร้อมๆ กับไวท์และจูเนียร์ที่กำลังยืนทำหน้างงๆ อยู่พอดี สงสัยคงเป็นเพราะเห็นผมแอบขำละมั้ง
“ตายยากจังเลยครับคุณจัส”
“ก็ผมขับรถตามคุณมาติดๆ นะครับ เสียเวลาแค่หาที่จอดรถเอง”
“บุญน้อยก็แบบนี้อะครับ”
“พอๆๆ พอเลยทั้งสองคน มาๆ มานั่งกันได้แล้วจะยืนเถียงกันทำไมเนี่ย” ผมนึกขอบคุณพี่เค้กที่ช่วยห้ามครับ ไม่อย่างนั้นวันนี้พวกเราคงจะไม่ได้นั่งที่โต๊ะกันแน่ๆ
**พี่วอร์ม**
“ปิดเทอมกลับบ้านหรือเปล่าไวท์” เค้กเอ่ยถามน้องสายตัวเองหลังจากที่พวกเราลงมือจัดการกับพิซซ่าและไก่บาร์บีคิวที่สั่งมาไปได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว
“ก็ว่าจะกลับครับพี่เค้ก ไวท์คิดถึงบ้านอะ อีกอย่างจะกลับไปช่วยงานที่บ้านด้วยครับ”
“ที่บ้านน้องไวท์ทำอะไรหรอ” คราวนี้ไม่ใช่เสียงพี่สายของน้องไวท์ที่ถามหรอกนะครับ แต่เป็นไอ้จัสที่ถามแทรกขึ้นมาด้วยแววตาที่แสนกระตือรือร้น อยากจะรู้คำตอบเสียเหลือเกิน หน้าตาหน้าหมั่นไส้มากครับพูดเลย
“ที่บ้านไวท์ทำโฮมสเตย์ที่แม่กำปองอะครับ”
“จริงหรอน้องไวท์! โหย ดีจังเลยอะ พี่อยากไปเที่ยวที่นั่นมากเลยนะ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที” เสียงตื่นเต้นของไอ้จัสทำเอาพวกผมสามคนเหลือบมองและสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย เข้าทางเชียวนะไอ้โย่ง
“ไว้ถ้าพี่จัสจะไปเที่ยวก็บอกไวท์นะครับ ถึงโฮมสเตย์ของบ้านไวท์จะไม่ค่อยสวยเก๋เหมือนที่อื่น แต่บรรยายกาศที่นั่นสวยไม่แพ้ใครเลย” น้องไวท์บอกพร้อมอมยิ้มน้อยๆ ผมเชื่อว่าถ้ามีวันว่างเมื่อไหร่ ไอ้จัสมันต้องหาทางไปเที่ยวบ้านน้องจนได้แน่ๆ
“พี่ไปแน่นอนครับ”
“เนี่ย จัสเขาชอบไปเที่ยวอะไรแบบนี้มากเลยนะไวท์ ไปคนเดียวก็เคยไปมาแล้ว ชีพจรลงเท้ามาก ขี่บิ๊กไบค์ไปกลับกรุงเทพ -เชียงรายก็เคยมาแล้วนะ” เค้กพูดแทรกขึ้นมาทำเอาไอ้จัสยิ้มหน้าบานเลยครับ ก็แหม พี่สายน้องไวท์อย่างเค้กเล่นปูทางให้ขนาดนี้แล้ว ผมว่าไอ้จัสต้องหาโอกาสสมนาคุณให้เพื่อนผมแดงงามๆ แล้วล่ะครับงานนี้
“ถ้ามึงไปก็ไปอุดหนุนกิจการบ้านน้องเขาด้วยล่ะ” มิชิพูดเสริม ไอ้นี่ก็เห็นดีเห็นงามตามเค้กไปหมดเสียทุกอย่างจนผมเริ่มหมั่นไส้แล้วล่ะครับ
“ไปแค่เที่ยวนะเว้ย อย่าไปขอไลน์สาวๆ เจ้าถิ่นมาอีกล่ะ มึงนี่นะ ไปไหนก็ได้ของแถมติดไม้ติดมือมาด้วยตลอด” ผมแกล้งแซวเพื่อน ถึงจะไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดก็เถอะครับ เพราะความจริงแล้วเพื่อนผมมันก็อยู่เฉยๆ ของมันนั่นแหละครับ เป็นฝ่ายสาวๆ เสียเองที่เข้ามาขายขนมจีบให้ แต่มันอดไม่ได้นี่ครับ เห็นหน้าตาเบิกบานของมันแล้วหมั่นไส้
“เชี่ยวอร์ม! กูเคยไปขอไลน์สาวที่ไหน ไม่มีเลยเหอะ พูดจาเลอะเทอะ น้องๆ อย่าไปฟังที่ไอ้วอร์มมันพูดนะ... ไอ้วอร์มนี่แหละตัวดี เห็นสาวที่ไหนหน้าตาดีหน่อยไม่ได้ เที่ยวไปหยอดขอเบอร์เขามาเรื่อย” เอาแล้วไหมล่ะเพื่อน ไหงกลายมาเป็นแบบนี้วะ
“พูดจาไม่เก็บลูกๆ ในปากเลยนะมึง... อย่ามาทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยกดิวะ! ไอติมอย่าไปฟังมันนะ ไอ้จัสมันขี้โม้” ผมรีบหันไปบอกคนน่ารักที่นั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ ผม
“จริงเหรอพี่วอร์ม นี่ไอเกือบเชื่อแล้วนะเนี่ย” นั่นไงครับ ไอติมของผมก็ดันรับมุกไปเล่นกับมันอีก เยี่ยมจริงๆ
“ฮ่าๆๆ มึงแม่งกากสัด จะเล่นไอ้จัสเสือกเข้าตัวเองเฉย” ไอ้มิชิได้ทีก็รีบทับถมผมทันที ไม่เคยจะช่วยอะครับ ดีเหลือเกิน
“อะนะ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะพวกมึง” ผมเป็นอย่างที่ไอ้จัสมันพูดที่ไหนกันล่ะครับ ตั้งแต่จบมัธยมปลายมา อย่าว่าแต่คบใครหรือมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเลยครับ แค่คนคุยยังไม่มีเลยครับ
เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นมาอีกครั้ง.. พวกเรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ทั้งเรื่องการสอบที่เพิ่งผ่านไปบ้าง เรื่องที่ปิดเทอมนี้จะไปไหนบ้าง.. จะว่าไปแล้ว ไอติมเองก็มีบ้านอยู่ต่างจังหวัดเหมือนกันแล้วผมก็คิดไว้แล้วละว่าน้องต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัดช่วงปิดเทอมนี้ด้วย ผมคงคิดถึงน้องน่าดู
หลังจากที่พวกเราทานมื้อค่ำและต่อด้วยของหวานกันจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ตัดสินใจที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อนเสียที เพราะวันนี้ก็ใช้ทั้งพลังกายและพลังใจในสนามสอบกันมาอย่างหนักหนาแล้ว แน่นอนว่าผมกับไอติมกลับด้วยกัน ส่วนน้องจูเนียร์และน้องไวท์นั้น ไอ้จัสเป็นคนอาสาไปส่งเองซึ่งเค้กก็ไม่ได้คัดค้านอะไร มิชิก็เลยยิ้มไม่หุบเลยครับทีนี้
**น้องไอติม**
ทันทีที่เจ้าของห้องเปิดประตูเดินนำผมเข้าไปในห้อง เจ้าหมาน้อยก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ ส่วนเจ้านายของมันน่ะเหรอครับ ตอนนี้ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงทั้งๆ ที่ยังใส่แว่นตาอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมรู้ครับว่าพี่วอร์มเหนื่อย เพราะดูจากท่าทางแล้วคงจะโต้รุ่งอ่านหนังสือติดกันหลายวัน ไม่ค่อยได้พักผ่อนสักเท่าไหร่ผมถึงไม่อยากจะมารบกวนพี่เขาและขอแยกจะกลับห้องตอนที่เรากลับมาถึงหอยังไงล่ะครับ แต่อีกคนกลับไม่ยอมแถมยังรั้งข้อมือผมไว้แล้วจูงมาจนถึงห้องนี่แหละครับ ผมอมยิ้มและส่ายหัวเล็กน้อยให้กับคนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงก่อนจะเดินไปเทอาหารเม็ดให้เจ้าเบ็นโตะ
“ไอติม~ มานั่งนี่เร็ว มานั่งใกล้ๆ หน่อย...” เสียงแหบอันเป็นเอกลักษณ์ของพี่วอร์มดังขึ้นทั้งที่เจ้าตัวยังคงหลับตาอยู่ น้ำเสียงเจือไปด้วยความออดอ้อน ผมทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เดี๋ยวนี้ชักจะอ้อนเก่งใหญ่แล้วนะครับ พี่วอร์มปรือตาขึ้นมามองเล็กน้อยพร้อมย้ายหัวตัวเองมานอนหนุนที่ตักของผมทันที
“เหนื่อยก็นอนพักนะครับ” ผมบอกกับพี่วอร์มพลางเล่นผมนิ่มของพี่เขาอย่างเพลินมือ ผมชอบเวลาที่พี่วอร์มไม่ได้จัดแต่งทรงผมแล้วปล่อยให้มันปรกหน้าผากลงมาตามธรรมชาติแบบนี้มากๆ ครับเลย มันทำให้นึถึงตอนสมัยมัธยมเลย
“คืนนี้ไอติมอยู่กับพี่ได้ไหม เดี๋ยวปิดเทอมไอกลับบ้านเราก็จะไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันแหนะ”
“ใครบอกพี่วอร์มกันครับ ว่าไอจะกลับบ้าน...”
คนที่นอนหลับตาอยู่นั้นลืมตาขึ้นมาจ้องหน้าผมทันที สายตานั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและงุนงง ผมค่อยๆ ถอดแว่นสายตาออกก่อนจะแกล้งบีบจมูกพี่วอร์มเล่นด้วยความมันเขี้ยว
“ปิดเทอมนี้ไอไม่กลับบ้านหรอกครับ ไอจะอยู่กับพี่วอร์มนี่แหละ จะตามไปทุกที่เลยด้วย เอาให้เบื่อกันไปข้างเลย ถึงเวลาจะมาไล่ให้ไอกลับบ้านไอก็ไม่ไปแล้วนะครับ แบบนี้ยังจะอยากให้ไออยู่ด้วยอีกรึเปล่า”
ผมจ้องตาพี่เขากลับไป ตอนนี้คนที่นอนหนุนตักผมอยู่กำลังคลี่ยิ้มกว้างด้วยความพอใจ รอยยิ้มแบบนี้ของพี่วอร์มมันอันตรายต่อใจผมจริงๆ พี่เขาจะได้ยินเสียงหัวใจของผมที่กำลังเต้นโครมครามราวกับมีใครมารัวกลองอยู่แถวนี้ไหมนะ
“ไม่มีวัน พี่ไม่มีทางไล่ไอไปไหนเด็ดขาด สำหรับพี่ ให้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาไปทั้งชีวิตเลยก็ยังได้ ไอติมต่างหาก จะหนีพี่ไปไหนก่อนรึเปล่า” พี่วอร์มกุมมือผมไว้ก่อนจะจุมพิตลงที่หลังฝ่ามือผมเบาๆ ทำไมตอนนี้ผมได้รู้สึกร้อนไปหมดแบบนี้นะทั้งๆที่แอร์ห้องพี่วอร์มก็ออกจะเย็นฉ่ำขนาดนี้ หน้าผมต้องหน้าแดงมากแน่ๆ เลย
“ไม่มีวันครับ ถ้าพี่วอร์มไม่ไล่ไอก็จะอยู่กับพี่วอร์มไปแบบนี้แหละ ทุกๆ วัน... ตลอดชีวิตเลย... แต่ตอนนี้ลุกไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะครับ จะได้มานอนพัก ไม่ได้นอนมากี่วันแล้วเนี่ย ไอจะได้ขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเหมือนกัน”
“โอเคเลย แต่ไอไม่ต้องไปหรอก... อาบที่นี่แหละ เสื้อผ้าพี่ก็มีเยอะแยะ เอ~ หรือว่าเราจะอาบพร้อมกันเลยดี”
“พี่วอร์ม!!! ไม่ต้องเลย ใครจะอาบน้ำพร้อมพี่กัน ไปเลยครับ เข้าห้องน้ำไปเลย” ผมปาผ้าขนหนูใส่พี่วอร์มไปเต็มแรง ทำไมถึงพูดเรื่องอะไรพวกนี้ออกมาได้ด้วยหน้าเรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติแบบนี้นะ มีแค่ผมคนเดียวหรือยังไงที่รู้สึกเขิน ตลอดช่วงปิดเทอม ผมจะต้องทำยังไงถึงจะรับมือกับนายไออุ่นที่พร้อมจะหลอมละลายไอติมคนนี้ได้ตลอดเวลากันนะ
.
.
.
**พี่วอร์ม**
ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม แต่ชีวิตเด็กปี3 อย่างพวกผมกลับโดนสั่งให้ทำรายงานส่งวันเปิดเทอมเสียนี่ โครตเซ็ง แต่ก็บ่นไปอย่างนั้นแหละครับ ปิดเทอมตั้งนานใครมันจะไปนั่งทำรายงานทุกวันกัน เพราะเพิ่งปิดเทอมผมก็เลยตัดสินใจอยู่หาข้อมูลเตรียมรายงานต่อสักหน่อยยังไม่กลับบ้าน ไม่งั้นคงเที่ยวเพลินจนไม่ได้ทำแน่ๆ แต่คนที่งัวเงียและงอแงอยู่ข้างๆ ผมนี่สิ บอกให้นอนพักอยู่ห้องแล้วบ่ายๆ ค่อยออกมาหาผมก็ไม่เชื่อ ยืนยันจะออกมาแต่เช้าพร้อมผมให้ได้
“พี่วอร์ม... ไออยากกินช็อคปั่นที่ศูนย์หนังสือง่า...”
“อืม... ก็ไปซื้อดิ”
“ไปด้วยกันสิ ไอไม่อยากเดินไปคนเดียวอะ นะ นะ ไปกับไอนะ”
“แต่พี่หาข้อมูลอยู่อะ ทำไมวันนี้งอแงจังครับ หื้ม?” ผมลูบหัวคนที่กำลังเอนตัวมาพิง คลอเคลียและซบไหล่ผมอยู่เบาๆ จริงๆ ผมก็ไม่ได้ยุ่งขนาดที่ว่าจะออกไปซื้อน้ำเป็นเพื่อนน้องไม่ได้หรอกครับ แต่เวลาน้องอยากได้อะไร ก็จะมาอ้อนเอาแบบนี้ตลอด ผมก็อยากจะแกล้งเขาบ้าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมยอมตามใจจนเสียนิสัย
“อยู่เฉยๆ แล้วมันง่วงนี่นา วันนี้พี่วอร์มยังไม่ได้กินกาแฟเลยไม่ใช่เหรอ ไปซื้อกาแฟกับไอนะ”
“เดี๋ยวชงกาแฟสำเร็จรูปตรงนี้กินเอาก็ได้”
“ง่ะ พักก่อนไม่ได้เหรอ นี่พี่นั่งจ้องหน้าจอมาเป็นชั่วโมงแล้วนะครับ ไปเถอะนะ เดี๋ยวกลับมาแล้วไอช่วยอ่าน ช่วยสรุปให้” ไอติมยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะให้ผมออกไปร้านกาแฟ เมื่อเห็นว่าผมยังคงนิ่งและพยายามเขยิบตัวออกห่างจากเขา ไอติมก็เขยิบตามแถมยังก้มลงมาเอาหน้าถูแขนผมก่อนจะเอาคางมาเกยแขนผมไว้แล้วยังจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊กตามผมอีก
“เด็กดื้อ! เด็กเอาแต่ใจ” ผมยกมือขึ้นไปขยี้หัวน้องด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะบีบจมูกเขาไปอีกหนึ่งที ส่วนเด็กเอาแต่ใจที่ว่าก็พยักหน้าไปมาเพื่อจะให้คางของตัวเองเคาะกับแขนผมเบาๆ คนเราเลี้ยงแมวนี่จำเป็นน้องนิสัยเหมือนแมวด้วยไหมครับ อ้อนเก่งจริง
“ไม่ดื้อ... ไอเป็นเด็กดีของพี่วอร์มตลอดแหละ ขอช็อคปั่นแก้วนึง สัญญา จะไม่ดื้อไม่ซน ไม่นอกใจด้วย นะครับ” ไอติมยู่ปากก่อนจะทำเสียงอ้อนกว่าเดิม ไม่ต้องบอกทุกคนก็คงจะเดาใช่ไหมครับ แน่นอนว่าผมก็ใจอ่อน ยอมแพ้ให้น้องอีกตามเคย
“อะ ไปก็ไป...”
ต่อด้านล่าง