Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 17 :: 'วิตามิน' ] 1900520
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Heart Melt :: หัวใจอุ่นไอรัก ♨ ❄ ☀ ☃ [:: Chapter 17 :: 'วิตามิน' ] 1900520  (อ่าน 16364 ครั้ง)

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
:: Chapter 10 :: 'สานสัมพันธ์' 10/2



               “เมื่อไหร่พวกมึงจะเลิกซ้อมกันวะ... กูโคตรเบื่อเลยเลิกเรียนแล้วว่างฉิบหายไม่มีใครไปกินข้าวด้วยเลย” แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่ไอ้จัสยังคงบ่นเรื่องเดิม ถึงวันนี้พวกผมเลิกเรียนกันค่อนข้างเย็น แต่ยังไงพวกผมก็ต้องไปซ้อมที่ชุมนุมอยู่ดี

               “ไปเดินตลาดนัดกับเค้กไหมจัส” เค้กเอ่ยชวน ถ้าให้ผมเดา ผมว่าเค้กคงรำคาญที่มันบ่นไม่ยอมเลิกเสียที

               “โหย... ไม่เอาอะ ไปกันสองมันจะสนุกอะไร ทุกทีเราก็ไปด้วยกันหมด” ผมเห็นจัสทำท่าจะตกลงกับเค้กนะครับ แต่สายตาไอ้มิชิที่มองมานั้นทำไอ้จัสเปลี่ยนใจปฏิเสธเค้กไม่ยอมไปด้วยซะอย่างนั้น แน่ล่ะ ไอ้มิชิไม่มีทางยอมปล่อยให้เค้กไปกับไอ้จัสสองคนหรอก

               “งั้นไปที่ชุมนุมโฟล์คซองกับเค้กไหมล่ะ ไปรอมิชิกับวอร์มซ้อม... ซ้อมเสร็จแล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน”

               “จะได้ไปด้วยกันหรอ~ ได้ข่าวว่าเลิกซ้อมไอวอร์มก็ไปรอน้องไอติมขึ้นสแตนทุกวันอยู่แล้วนี่” ทำไปทำไมกลายมาวกเข้าเรื่องผมจนได้ครับไอ้เพื่อนคนนี้

               “เกี่ยวไรกับกูวะ... ก็น้องสายกูอะ น้องเลิกดึก อีกอย่างน้องก็อยู่หอเดียวกับกูด้วย... กูแวะรับน้องมันแปลกตรงไหน”

               “ก็ยังไม่ได้พูดว่าแปลกเลย... ทำไม ร้อนตัวอะไร”

               “เอ้า! ไอ้นี่”

               “เออ! กูไม่ไปด้วยหรอก... เฮ้อ… แม่ง! กลับหอก็ได้วะ”

               “พี่ๆ หวัดดีครับ” ยังไม่ทันที่ไอ้จัสจะเดินแยกออกไป เสียงปริศนาก็เอ่ยทักพวกผมขึ้นมาเสียก่อน

               “อ้าว! ไวท์! ทำไมวันนี้มาคนเดียวล่ะ” เป็นน้องไวท์ที่เดินเข้ามาทักพวกผมนั่นเอง แล้วเค้กก็เป็นคนแรกที่เอ่ยทักน้องก่อน

               “พวกจูกับไอไปขึ้นสแตนอะครับ... แต่ไวท์ซ้อมจูริสคอรัสเลยมาคนเดียว... แล้วพอดีวันนี้คนไม่ค่อยมากันเลยได้กลับไว” น้องตอบพลางอมยิ้มเล็กน้อย เสียงหวานๆ ของน้องเวลาอยู่ในคอรัสคงเพราะน่าดู คนละเรื่องกับเสียงแหบๆ อย่างผมเลย

               “อ่า... แล้วจะไปไหนต่อหรือเปล่า” เค้กเอ่ยถามต่อ พวกผมได้แต่ยืนนิ่งเหมือนปล่อยให้คนหน้าหวานสองคนยืนคุยกันตามประสาพี่สายน้องสาย

               “ไวท์ว่าจะไปหาจูกับไอติมที่สแตนอะครับ”

               “ไปตอนนี้อะหรอ... พวกสต๊าฟคงยังไม่ปล่อยเด็กปี1ลงจากสแตรหรอก... ไปรอจูเนียร์กับไอติมที่ชุมนุมโฟล์คซองกับพี่ไหม เดี๋ยวพี่วอร์มก็ต้องไปรับไอติมกลับหอเหมือนกัน” เค้กเอ่ยชวนน้องไวท์แล้วดูเหมือนว่าน้องจะตอบตกลงเสียด้วย ผมหันไปมองหน้าไอจัสที่ตอนนี้ยิ้มกว้างเสียเหลือเกิน ไม่มีปกปิดเลยนะเพื่อน ปากจะฉีกถึงหูแล้ว

               “ถ้าอย่างนั้นจัสไปด้วยดีกว่า... ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว”

               “ไหนว่าจะกลับหอไงมึง” มิชิเอ่ยถามอย่างรู้ทัน

               “ไม่กลับแล้ว... กลับไปก็ว่างอะ ไม่มีไรทำอยู่ดี กูไปรอพวกมึงที่ชุมนุมดีกว่า”

               “ไม่ค่อยเลยนะมึงอะ” ผมว่าต่อ โคตรหมั่นไส้เลยครับ อยากให้เห็นหน้ามันตอนนี้จริงๆ ยิ้มแป้นเหมือนลืมเรื่องที่บ่นพวกผมเมื่อกี้ไปจนหมดสิ้น

 
               มีน้องไวท์มานั่งรอด้วยก็ดีเหมือนกันนะครับ ผมเห็นตั้งแต่พวกเราเริ่มซ้อมเค้กยังคุยไม่หยุดเลย ดูสดใสกว่าทุกวันที่ได้แค่นั่งไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมา ส่วนไอ้จัสก็เนียนใช้ได้นั่งประกอบน้องไวท์เลยครับ แต่ไม่ต้องห่วง อย่างมันนี่หาจังหวะการมีส่วนร่วมในบทสนทนาของเค้กและไวท์ได้เป็นอย่างดี ท่าทางวันนี้มันคงจะมีความสุขน่าดู ระหว่างที่พวกผมกำลังเก็บอุปกรณ์และเครื่องดนตรีต่างๆ ก็เห็นน้องไวท์เดินกลับเข้ามาในห้องซ้อมพร้อมกับไอติมและจูเนียร์ แต่ดูเหมือนน้องสายของผมจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ถึงได้หน้าตาบูดบึ้งเหมือนโดนบังคับให้มายังไงอย่างนั้น

 
               “พี่ๆ สวัสดีครับ” เป็นจูเนียร์ที่เอ่ยทักทายถึงอย่างสดใสเช่นเคย ส่วนไอติมก็แค่ยกมือไหว้ทำความเคารพพวกผมเฉย

               “หน้าบูดเชียว ซ้อมสแตนมันเหนื่อยขนาดนั้นเลยหรอไอติม” ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซ็วน้อง แทนที่อีกคนจะตอบผมปากที่ยู่อยู่แล้วกลับยื่นออกมามากกว่าเดิม เห็นแล้วก็มันเขี้ยวเดี๋ยวก็เดินไปดึงเล่นเสียเลยนี่ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไร มิชิที่เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปรวมกลุ่มกับทุกคนและเรียกให้ผมหลุดออกจากความคิดเรื่อยเปื่อยของตัวเอง

               “มึงจะยืนกอดขาไมค์อีกนานไหมไอ้วอร์ม ทุกคนรออยู่เนี่ยเห็นไหม”

               “เออ ให้ไวเลยมึง กูหิวข้าวจะแย่แล้ว” ไอ้จัสสมทบทันที ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยนะ แต่ผมกอดขาไมค์ตอนไหนวะเนี่ย งงตัวเองเหมือนกันครับ ผมรีบเอาขาตั้งไมค์ไปวางชิดเข้ามุมค้วาเป้ตัวเองแล้วเดินนำทุกคนออกจากห้องชุมนุม
 

               มิชิอาสาให้จูเนียร์กับไวท์นั่งรถมันออกไปที่ร้านอาหารเพราะเค้กเองก็ไปกับมันด้วย ส่วนไอ้จัสได้แต่ทำหน้าหงอยก็ดันขี่บิ้กไบค์มาเองถึงจะอยากให้น้องไวท์ซ้อนแค่ไหนมันก็จะชัดเจนไปนิดถ้ามันไม่ชวนน้องจูเนียร์ซึ่งเป็นน้องสายมันให้ไปกับมันมากกว่าที่จะเป็นน้องไวท์ สุดท้ายก็เลยได้แต่จำใจขี่บิ้กไบค์ออกไปคนเดียว ส่วนคนที่นั่งปิดปากเงียบอยู่บนรถผมตอนนี้ก็ยังคงหน้าบึ้งตึงอยู่เหมือนเดิม ผมเปล่าบังคับน้องให้มากับผมเสียหน่อย เพื่อนๆ น้องต่างห่างที่บอกให้ไอติมมากับผม

 
               “เป็นอะไรหื้ม? ทำหน้าบอกบุญไม่รับตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว...”

               “เปล่าครับ... ผมก็แค่เหนื่อย อยากกลับไปนอน...”

               “ไม่หิวหรือยังไง ไปกินข้าวด้วยกันก่อนนะ แล้วเดี๋ยวพี่ไปส่งถึงหน้าห้องเลยเอา เลิกทำหน้าบึ้งได้แล้ว” ผมยีหัวน้องด้วยความเอ็นดู คนอะไรจะง่วงแล้วงอแงได้น่ารักขนาดนี้อะครับ ท่าทางจะขี้เซาใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย
 

               ผมกับไอติมมาถึงที่ร้านเป็นสองคนสุดท้ายเพราะมัวแต่วนหาที่จอดรถเนี่ยแหละครับ แล้วก็พบว่าพวกคุณเพื่อนได้จัดแจงสั่งอาหารทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว พอผมถามว่าไอติมอยากสั่งอะไรเพิ่มหรืออยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมน้องก็ได้แต่ส่ายหน้า พวกเราทานอาหารและพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ได้มาใช้เวลาด้วยกันแบบนี้ก็ดีเหมือนกันครับ ได้รู้จักน้องๆ แต่ละคนเพิ่มขึ้นเยอะเลย วันนี้ทำให้พวกเรารู้ว่าน้องไวท์ก็ไม่ได้เรียบร้อยอะไรขนาดนั้น ผมว่าก็คงเหมือนเค้กอะแหละ ถึงจะเรียบร้อยแค่ไหนมันก็ต้องมีมุมผู้ชายกวนๆ และสู้คนกับเขาบางเหมือนกัน นิสัยไม่ได้หวานเย็นเหมือนหน้าตาหรอกครับ
 

               “จะว่าไปไวท์ก็แอบเหมือนกระต่ายนะ”

               “ใช่ๆๆ พี่วอร์มคิดเหมือนจูเลยครับ”

               “ฮ่าๆๆ ใครๆ ก็พูดแบบนี้ทั้งนั้นเลย ตอนเด็กๆ ไวท์เคยเลี้ยงกระต่ายด้วยนะ” ผมพูดออกไปขำๆ ไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำ ตอนแรกก็กลัวว่าน้องจะโกรธหรือเปล่า แต่นอกจากน้องจะไม่โกรธแล้วยังยิ้มรับและชวนคุยต่ออีกต่างหาก

               “พี่อยากลองเลี้ยงบ้างจัง เลี้ยงยากไหมอ่ะไวท์”

               “มึงอยากเลี้ยงกระต่ายหรือเลี้ยงอะไรกันแน่จัส” ผมกำลังจะหัวเราะไปกับคำพูดของไอ้มิชิที่เอ่ยแทรกขึ้นมาขัดไอ้จัส แต่เมื่อเห็นว่ามันโดนเค้กหาดแขนไปสองสามทีผมเลยเงียบไว้ดีกว่า ส่วนไอ้จัสก็ได้แต่ถลึงตาใส่มิชิอย่างคาดโทษ

               “ไม่ยากหรอกครับ แต่ไวท์ว่ากระต่ายมันค่อนข้างจะบอบบางกว่าพวกหมาแมวอ่า...”

               “พูดแล้วก็อยากเลี้ยงหมาเลยอะ มาอยู่หอคนเดียวถ้ามีหมาเป็นเพื่อนสักตัวคงดี เนอะไอ”

               “หื้ม???” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมทำหน้าเหวอ ผมมเลยงงไปด้วยเลยทำจูเนียร์ถึงต้องหันมาพยักเพยิดกับไอติมตอนที่พูดเรื่องหมาด้วยนะ

               “ไอชอบหมามากครับ เวลาเครียดๆ หรือช่วงสอบนะ นั่งดูคลิปหมาได้ทั้งวันเลย แต่ผมก็งงว่าทั้งๆ ที่ชอบมาแต่ทำไมที่บ้านดันเลี้ยงแมวก็ไม่รู้ เสียดายที่หอผมไม่ให้เลี้ยงสัตว์ ไม่งั้นคงอดใจไม่ไหวไปหามาเลี้ยงแน่ๆ เลย” น้องจูเนียร์ยังคงเล่าเรื่องของเพื่อนรักตัวเองต่อไป

               “ก็เลี้ยงสิ...”

               “เออเนี่ย ถ้าว่างๆ ก็แวะไปเล่นกับลูกไอ้วอร์มที่ห้องมันดิ”

               “พี่วอร์มเลี้ยงหมาที่หอหรอครับ?!” แล้วอยู่ๆ ไอติมกันหันมาเบิกตากว้าง เอ่ยถามผมหลังจากที่ได้ยินคำบอกเล่าของไอ้จัส ก็เข้าใจว่าคงจะตกใจที่รู้ว่าผมแอบเลี้ยงหมาในหอ แต่ก็ไม่น่าจะตกใจขนาดนั้นนี่ครับ

               “อืม... ถ้าไออยากจะแวะมาเล่นกับมันก็ได้นะ มันคงดีใจเหมือนกันแหละที่จะได้มีเพื่อนเล่นใหม่ ทุกวันนี้ก็เมินพี่จะแย่ หมาอะไรก็ไม่รู้ ทั้งขี้งอนแถมยังโคตรเอาแต่ใจเลย” ผมเอ่ยขำๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครสนใจคำพูดผมเท่าไหร่

               “เดี๋ยวไอก็ต้องกลับหอกับพี่วอร์มอยู่แล้ว ลองแวะไปสิ” จูเนียร์หันมาบอกกับไอติมก่อนจะหันกลับไปสนใจกับอาหารตรงหน้าต่อ ส่วนไอติมก็ยังคงนั่งจ้องหน้าผมตาปริบๆ อยากรู้จริงๆ ว่าตอนนี้น้องกำลังคิดอะไรอยู่

               “มีอะไร?” ผมถามน้องที่ยังจ้องหน้าผมไม่เลิก อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ยังคงนิ่งเงียบ สุดท้ายผมก็เลยต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม

               “ผม... ไปเล่นกับน้องหมาที่ห้องพี่วอร์มได้จริงๆ หรอ”

               “เอ้า! ก็ได้ดิ! ใครห้ามล่ะไอติม” ผมตอบกลับ หน้าตาน้องตอนถามนี่จริงจังมากเหมือนกลัวว่าผมจะห้ามไม่ให้ไปเล่นกับเจ้าเบนโตะอย่างนั้นแหละ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่

               “โอเค~ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยววันนี้แวะไปเล่นด้วยเลย”

               “อืม... ดี! มานั่งเล่นห้องพี่เดี๋ยวจะได้คิดค่าไฟด้วยเลย”

               “โหพี่วอร์ม! โคตรงกอะ งั้นเดี๋ยวผมไปบอกข้างล่างว่าพี่แอบเลี้ยงหมา”

               “เฮ้ย! ล้อเล่นแค่นี้ ถึงกับต้องไปฟ้องข้างล่างเลยหรือยังไง” ผมผลักหัวน้องไปหนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยว จะว่าไปแล้วพอผมลองได้รู้จักน้องเพิ่มมากขึ้น ก็เพิ่งจะได้สัมผัสตัวตนว่าความจริงแล้วไอติมก็เป็นเด็กแสบคนนึง ว่าอะไรไปก็เถียงกลับตลอด

               “ก็ใครจะไปรู้เล่าว่าพี่วอร์มล้อเล่นอะ หน้านิ่งขนาดนั้น” นั่นไงพูดยังไม่ทันขาดคำ น้องก็เถียงผมกลับเสียแล้ว แถมยังทำปากยื่นปากยาวราวกำไม่พอใจเสียเต็มประดา เห็นแล้วมันน่าดึงปากยื่นๆ นั่นเล่นเสียให้เข็ด

               “นี่ซีเรียสป่ะเนี่ย! ฮ่าๆๆ ไปนั่งเล่นที่ห้องได้ ไม่คิดค่าไฟหรอกน่า แหม ว่าแต่พี่งก ใครกันแน่ที่ขี้งกเนี่ย”

               “พี่วอร์มแหละขี้งก!!!”

               “โอเคๆ ยอมแล้วๆ เหนื่อยจะเถียงด้วยแล้ว เด็กอะไร เถียงคำไม่ตกฟาก” ผมส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา เอาจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะเถียงไม่ชนะหรอกครับ ผมมั่นใจนะว่าผมก็เถียงคนเก่งในระดับนึง ไม่เชื่อไปถามเอาจากพวกเพื่อนๆ ผมได้เลย พวกมันชอบว่าผมขี้โวยวาย เถียงเก่ง ส่วนมากเวลามีเรื่องอะไรพวกมันก็เลยเลือกที่จะเงียบและยอมตามน้ำไปกับผมมากกว่า แต่กับไอติมเนี่ย เรียกว่าผมยอมให้น้องน่าจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคงได้นั่งเถียงกันจนหมดวันไม่ต้องกลับหอกันพอดี

               “เอ้อ~~~ งั้นพวกเรากลับหอกันดีกว่า... ไอ้วอร์มจะได้พาน้องสายไปเล่นกับหมาที่ห้องด้วย” เสียงไอจัสพูดแทรกขึ้นจนผมต้องหันไปมองหน้ามัน พูดอย่างนี้ต้องการจะสื่ออะไรวะครับเพื่อน ยังไม่ทันที่ผมจะได้โต้แย้งอะไร จัสก็จัดการตกลงกับมิชิและเค้กจนเสร็จสรรพ แต่เท่าที่ผมจับความได้ ผมว่ามันแถจนสีข้างถลอกหมดแล้วล่ะครับ

               “นี่กระเป๋าไอติม มึงทำตัวเป็นพี่สายที่ดีหน่อยวอร์ม น้องจะได้เคารพ มิชิกับเค้กต้องผ่านหอน้องจูอยู่แล้วเนอะ ฝากแวะส่งน้องด้วยแล้วกัน ส่วนน้องไวท์ เค้กไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวจัสเดินไปส่งให้ถึงที่เลย หอในใกล้ๆ แค่นี้เอง ตกลงตามนี้เนอะ โอเค ทุกคนแยกย้ายได้ ไว้เจอกันครับ” เพื่อนตัวโย่งรีบสรุปและพาน้องไวท์ออกเดินทันที ถึงแม้ว่าเค้กจะดูไม่ค่อยพอใจนักแต่สุดท้ายก็ยอมตามใจเพื่อนแต่โดยดี ผมว่าเค้กเองก็มองออกแหละครับว่าจัสมันคิดยังไง





TBC......
[/b]

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เราก็รู้ว่าจัสคิดยังไง :-[

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น่ารักจริง ๆ เลยน้องไอติม

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
   :: Chapter 11 :: 'ปิดบัง'  11/01






**น้องไอติม **


               วันนี้เป็นวันแข่งกีฬาของมหาลัยครับ ก็ที่ผมต้องขึ้นซ้อมสแตนกับจูเนียร์ทุกเย็นก็เพื่องานนี้นี่แหละครับ  ปี1 ต้องขึ้นสแตนเพื่อเป็นกองเชียร์ให้พวกนักกีฬาแล้วก็หลีดของคณะแข่งกับคณะอื่นๆ ครับ มันเหมือนงานกีฬาสีสมัยมัธยมเลยครับ แต่แค่ยิ่งใหญ่ อลังการกว่าแล้วก็แบ่งเป็นคณะไม่ได้แบ่งสีกัน แล้วมันก็คนละฟิลลิ่งกับสมัยเรียนมัธยมปลายเลยครับเพราะว่าตอนทำกีฬาสีสมัยมัธยมปลายทุกๆ คนจะสนิทสนมกันมากกว่านี้ ตอนนี้มีแต่เพื่อนใหม่แต่ถึงยังไม่สนิทกันแต่ก็รู้สึกสนุกสนานเพราะพี่ๆ กองสันทนาการช่วยกันบิ้วพวกเราให้สนุกตามไปได้ไม่ยาก
 
               พอนึกถึงงานกีฬาสีก็นึกถึงตอนมัธยมปลายนะครับ ตอนนั้นผมอยู่สีเดียวกับจูเนียร์เหมือนกันเพราะเราอยู่ห้องเดียวกัน ที่สำคัญได้อยู่สีเดียวกับพี่วอร์มด้วย ไม่แปลกใจเลยทำไมพี่วอร์มถึงเป็นพี่ว้ากได้ ก็ตั้งแต่พี่เขาคุมสแตนกีฬาสีตอนนั้นนั่นแหละครับ รุ่นน้องคนไหนที่ไม่ยอมเชื่อฟังเจอพี่วอร์มดุไปทีก็กริบกันทั้งสแตนเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่าเห็นพี่เขาตัวเล็กๆ แบบนั้นจะมีพลังเสียงคุมคนทั้งสแตนอยู่ได้
 
               “ไอติม!”  ไม่รู้ว่าผมนึกอะไรคนเดียวนานเกินไปหรือยังไง จูเนียร์ที่นั่งข้างๆ ผมถึงต้องเขย่าแขนเรียกผมซะแรงเลย เขย่าแรงอีกหน่อยมีหลัวแขนมได้หลุดติดมือจูเนียร์ไปแน่ๆ เลย
 
               “หือ! อะไรจู ตกใจหมดเลย”
               “เรียกหลายรอบแล้วเนี่ย ใจลอยคิดถึงพี่วอร์มอยู่หรือไง” ทำอย่างกับอ่านความคิดผมออกอย่างนั้นแหละเพื่อนคนนี้ชักจะน่ากลัวเกินแล้ว
 
               “เปล่า... ไอแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเฉยๆ”
               “เด็กเจซีจะเข้าสนามแล้วนะ”
               “อือๆ รู้แล้ว” ผมหันกลับไปสนใจที่สนามอีกครั้งและมองไปที่ทางเข้าสนามตามคำที่จูเนียร์บอก เป็นจังหวะเดียวกับที่ขบวนพาเหรดคณะสุดท้ายกำลังเดินเข้าสนามมาพอดีเลยครับ
 
               ปีนี้เป็นคณะวารสารที่เดินเข้าสนามเป็นคณะสุดท้าย ก็สมกับชื่อเสียงของคณะเขาที่เลื่องลือมานานแหละครับ อลังการงานช้างอย่างที่คิดไว้ ทั้งหลีดคณะรุ่นก่อนกับรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวก็เรียกเสียงกรี้ดเสียงเชียร์ดังกันลั่นสนามแล้ว แต่ที่ฮือฮาสุดน่าจะเป็นคนถือป้ายของคณะวารสารนั่นละครับ ได้ยินเพื่อนๆ ผู้หญิงในสแตนแอบกรี้ดกันใหญ่ เห็นว่าเป็นปี 1 เหมือนกันด้วย แต่ทำไมผมรู้สึกคุ้นๆ หน้าเขามากเลยครับ เหมือนคนรู้จักผมคนนึงเลย แต่อาจจะแค่หน้าคล้ายก็ได้ครับเพราะคนที่ผมรู้จักตอนนั้นยังตัวไม่สูงขนาดนี้เลย แต่เอ๊ะ! หรือว่าจะใช่กันนะ กับเพื่อนคนนี้ผมก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปีแล้วด้วย
 
               “เหม่ออะไรอีกแล้วเนี่ยไอติม”
               “โอ๊ย! จู~~~ ทำอะไรเนี่ย” เรียกเฉยๆ ก็รู้แล้วหน่า แต่เจ้าเพื่อนคนนี้ดันยกมือมาหยิกแก้มผมเฉยเลย ผมก็เจ็บเป็นนะครับ ได้แต่แอบบ่นอยู่ในใจแล้วลูบแก้มตัวเองเบาๆ
 
               “ก็ไอมัวแต่เหม่ออะ พี่ๆ เขาจะปล่อยให้ไปพักแล้วเนี่ย”
               “อ้าว จริงหรอ” สงสัยผมคงมัวแต่คิดเรื่องเพื่อนคนนั้นมากไปหน่อย มารู้ตัวอีกทีพิธีเปิดงานกีฬามหาลัยก็ใกล้จะจบแล้ว แถมเพื่อนๆ บางคนยังทยอยเดินลงจากแสตนแล้วด้วย
 
               “ก็มัวแต่เหม่อนี่ไง... ไปหาน้ำเย็นๆ ดื่มกันเถอะ แต่จูขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ อั้นมานานมาก ไม่ไหวแล้วอะ”
               “โหย ไปห้องน้ำตอนนี้คนเยอะแน่เลยอะ ไอไม่ปวด... ไอขอไม่ไปนะจู เดี๋ยวไปรอตรงโน้นแทนนะ” ผมชี้ไปบรเวณข้างๆ กองสันทนาการของคณะที่มีพี่ๆ กำลังแจกน้ำให้น้องๆ อยู่
 
               “เอางั้นก็ได้... งั้นเดี๋ยวจูจะรีบไปรีบมาก็แล้วกัน”
               .
               .
               .
**พี่วอร์ม**


               ทั้งที่วันนี้เป็นวันที่ทางมหาลัยให้หยุดแท้ๆ แต่ผมก็ต้องเสียสละวันหยุดที่จะได้นอนตื่นสายยอมตื่นแต่เช้าแล้วเข้ามหาลัยมาเป็นเพื่อนไอ้จัส ช่างเป็นเพื่อนที่ประเสิรฐอะไรแบบนี้ครับ หาไม่ได้ง่ายๆ นะครับเนี่ย ยอมออกมาด้วยแต่เช้าพร้อมโปรโมชั่นพิเศษช่วยมันยกของ ขนของอีกต่างหาก คิดไปคิดมาก็เหมือนมาเป็นลูกน้องคอยรับใช้มันยังไงอย่างนั้นเลยครับ
 
               “ไอ้มิชิกับเค้กไปไหนวะ ไม่เห็นหน้าแต่เช้าแล้วเนี่ย” จัสเอ่ยทักขึ้นมาหลังจากที่เพิ่งปล่อยน้องบนสแตนไปพักได้สักครู่ ถามผมแบบนี้แล้วผมต้องไปถามหาคำตอบจากใครต่อล่ะครับ
 
               “กูก็อยู่กับมึงตลอดเนี่ย จะไปรู้ไหม”
               “เอ้าไอ้นี่... ก็เผื่อมึงจะรู้ไง”
               “ไม่รู้โว้ย! รู้แค่มันบอกจะตามเข้ามาเที่ยงๆ บ่ายๆ” ผมตอบเท่าที่รู้มา ซึ่งคำตอบของผมไอ้จัสเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วเพราะมิชิเป็นคนบอกเองในไลน์กลุ่ม จะว่ามันยังไม่ได้อ่านก็ไม่น่าใช่เพราะผมก็เห็นว่าจพนวนคนที่อ่านแล้วมันก็ขึ้นครบทุกคนแล้ว
 
               “กูว่าไม่เข้ามาแล้วม้างงง สงสัยจะแอบไปเดทกับเค้กสองคนแน่ๆ”
               “ฮ่าๆๆ กูก็ว่างั้นอะ ไม่มีเรียนแถมงานกีฬานี่ก็ไม่ได้บังคับให้มาทุกคนด้วยนี่หว่า... เป็นกูก็ไม่มาหรอก”
               “ไม่ได้ไอ้วอร์ม มึงต้องมาเป็นเพื่อนกู” จัสรีบพูดดักทันที มันก็ตลกนะครับจะโวยวายทำไมก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ผมก็ยืนหัวโด่อยู่ข้างๆมันเนี่ย ถ้าผมตั้งใจจะไม่มาจริงๆ คงไม่มีทางที่จะเห็นแม้แต่เงาผมหรอกครับ
 
               “เออ! ถ้ากูไม่มาเดี๋ยวโดนมึงงอนใส่กูเป็นตุ๊ดอีก”
               “พี่วอร์มขา~ อย่าทิ้งน้องจัสไปนะคะ” อยู่ๆ เพื่อนตัวโย่งก็เอนตัวมากอดแขนผมก่อนจะทำเสียงเล็กเสียงน้อยออดอ้อนใส่จนผมขนลุกซู่ ทำอะไรไม่เกรงใจหน้าตาและส่วนสูงตัวเองเลย ไอ้บ้านี่ แถมนี่อยู่ในพื้นที่โล่งแจ้งท่ามกลางสาธารณชนขนาดนี้ อย่างน้อยก็ควรจะเกรงใจตำแหน่งอดีตทูตมหาลัยของตัวเองหน่อย แต่ผมว่าไอ้จัสมันก็คงไม่มีจะให้เสียตั้งแต่ก้าวกระโดดข้ามจากทูตมาเป็นกองสันแล้วล่ะ
 
               “เชี่ยจัส! กูขนลุก! มึงปล่อยแขนกูเดี๋ยวนี้!”
               “ฮ่าๆๆ มึงแม่ง ไม่เล่นกับกูหน่อยวะ เผื่อมีแฟนคลับที่จิ้นกูกับมึงอยู่แถวนี้เขาจะได้ฟินๆ ทีมพี่จัสกองสันพี่วอร์มโฟล์คซองงี้”
               “ใครเขาจะจิ้นกูกับมึง! มึงไปโน่นเลย แฟนคลับจริงๆ มึงมาแล้ว” ผมเพยิดหน้าไปที่หน้าซุ้มซึ่งมีรุ่นน้องผู้หญิงหลายคนมายืนออกันอยู่ แล้วผมก็จำได้ว่าน้องกลุ่มนี้เป็นแฟนคลับจัสมัน ถึงแม้จะอยู่ต่างคณะกันก็เถอะ แต่น้องๆ พวกนี้ก็มักจะเอาขนม เครื่องดื่ม และของอร่อยต่างๆ ติดไม้ติดมือมาฝากให้เพื่อนตัวโย่งของผมเสมอ
 
               หลังจากที่จัสเดินออกไปหาแฟนคลับของมัน เสียงจากแอพแชทก็ดังขึ้นมาทันที ผมก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูแล้วก็เจอข้อความจากเจ้าของไลน์ปริศนาคนเดิมที่ทักมา
 
                 : วันนี้มีแข่งกีฬามหาลัยพี่วอร์มได้มาด้วยหรือเปล่าครับ
                 : เห็นรุ่นพี่หลายคนลงแข่งฟุตบอลกันเยอะเลย พี่วอร์มได้ลงแข่งกับเขาด้วยหรือเปล่าครับเนี่ย
                  : ผมเห็นพี่ชอบเล่นฟุตบอลนี่นา พี่น่าจะลงแข่งด้วยนะครับ
 
               อย่างผมนะหรอครับจะไปลงแข่ง ถึงผมจะชอบเตะฟุตบอลเหมือนกันก็เถอะครับ แต่ชอบเตะสนุกๆ กับเพื่อนเป็นการออกกำลังเรียกเหงื่อมากกว่าที่จะไปแข่งจริงจังแบบนั้น หมอนี่ชักรู้เรื่องเกี่ยวกับผมมากเกินไปแล้วนะ
 
                 : ใกล้จะเที่ยงแล้วอย่าลืมหาอะไรทานด้วยนะครับ
                 : อ่อ! แล้วก็... ถ้าพี่ลงแข่งผมจะคอยเป็นกองเชียร์ให้นะครับพี่วอร์ม
 
               ผมยืนอ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอแต่ไม่ได้กดเข้าไปอ่านในแอพ ขืนเข้าไปอ่านตอนนี้เดี๋ยวคนที่ส่งมาจะหาว่ารออ่านไลน์เขาอีก ผมส่ายหน้าเบาๆ กับข้อความสุดท้ายก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์ แล้วสายตาผมก็พลันมองไปเจอกับน้องสายผมที่กำลังนั่งยองๆ ก้มหน้าก้มตาเล่นไอแพดมินิอยู่ใต้ต้นไม้พอดี อะไรจะจริงจังขนาดนั้น แถมยังนั่งอยู่คนเดียวอีกเห็นแบบนั้นผมเลยเดินไปหยิบขวดน้ำเปล่าแช่เย็นจากในถังน้ำแข็งแล้วเดินไปหาน้องทันที แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สังเกตเห็นผมเลยครับ นี่ขนาดเดินมาจะถึงตัวอยู่แล้วเนี่ย เอาแต่นั่งจ้องหน้าจอจนผมต้องเอาขวดน้ำเย็นๆ ไปแตะที่ข้างแก้มน้อง
 
               “อ๊ะ!!!” ผมหลุดขำออกมาเมื่อเห็นท่าทางตกใจจนสะดุ้งอย่างแรงแถมยังตาโตเป็นไข่ห่านของน้องไอติม ทำท่าอย่างกับเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ
 
               “พี่วอร์ม!!! มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?!” น้องทำหน้าเหวอก่อนจะรีบถามผมกลับ แล้วทำไมต้องตกใจอะไรขนาดนั้น
               “มาตั้งนานแล้ว... เอาแต่นั่งเล่นไอแพดนะเราอะ! มาขึ้นสแตนยังลงทุนพกมาด้วยอีก อะนี่น้ำ ได้ยัง” ผมย่อตัวลงนั่งยองๆข้างๆ น้องก่อนจะยื่นขวดน้ำไปให้
 
               “อ่า... ขอบคุณครับ”
               “แล้วจูเนียร์ไปไหนละ ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียว”
               “จูไปเข้าห้องน้ำอ่า... เดี๋ยวก็คงมา แล้วพี่วอร์ม... มาด้วยหรอครับ”
               “อ้าว มาสิ... ทำไมจะมาไม่ได้อะ นี่งานใหญ่ระดับมหาลัยเลยนะ” น้องก็ถามแปลกๆ นะครับ ทำไมผมจะมางานนี้ไม่ได้อะ ถึงจะไม่ได้มีหน้าที่อะไรเหมือนคนอื่นเขาก็เถอะ แต่งานกีฬามหาลัยก็ไม่ได้มีกฎตั้งไว้นี่ครับว่าภายในบริเวณสนามกีฬานั้นให้เข้าได้เฉพาะผู้ที่มีหน้าที่เท่านั้น เชื่อผมสิว่าเดี๋ยวตอนคอนเสิร์ตปิดงานช่วงค่ำๆ คนได้เยอะกว่านี้แน่ๆ
 
               “แล้วเมื่อกี้พี่วอร์ม... อ่า... ช่างมันเถอะครับ แล้วพี่ๆ คนอื่นไปไหนกันหมดล่ะ” ไอติมทำท่าเหมือนจะถามอะไรผมสักอย่างแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องอื่นแทนจนผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ทำแบบนี้มันค้างคาใจนะครับ
 
               “ไอ้จัสอยู่ที่ซุ้มคณะโน่น ส่วนมิชิกับเค้กเห็นบอกว่าจะตามเข้ามาตอนบ่ายนะ ว่าแต่... เมื่อกี้เราจะถามไรพี่เปล่า”
               “อ่า... ปะ... เปล่าครับไม่มีอะไร ไม่ได้จะถามอะไรหรอก”
               “น่าเชื่อมากเลยเนี่ย”
               “หง่า... จริงจริงนะ ไม่มีอะไรเลยครับ ผมลืมไปหมดแล้วด้วย”
               “แถเก่งจริงๆ นะเราอะ” ผมยกมือขี้ยีผมน้องอย่างมันเขี้ยวเมื่อเห็นน้องยกมือขึ้นโบกไปมากลางอากาศทำท่าปฏิเสธเรื่องเมื่อครู่ ไม่รู้เลยหรือยังไงว่าตัวเองน่ะ เป็นคนที่โกหกได้ไม่เนียนที่สุดเลย
 
               “โหยพี่วอร์มอะ ผมยุ่งหมดแล้วเนี่ย”
               “ทำไมๆ ผมยุ่งแล้วทำไม” ยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุครับ ยิ่งเห็นน้องบ่นผมยิ่งยีผมน้องเล่นต่อไป เวลาน้องทำปากยู่แบบนี้ทีไรเห็นแล้วมันอดแกล้งไม่ได้เลยครับ
 
               คนอะไร... ทำหน้ายู่แบบนี้ก็ยังน่ารัก... เฮ้อ... น่ารักมากเกินไปแล้วมั้งไอติม




“อ้าว! พี่วอร์มกับน้องไอติมนี่เอง นึกว่าใคร... งั้นผมขออนุญาติถ่ายรูปพี่น้องสายรหัสหน้าตาดีคิ้วบอยหน่อยนะครับ จะเอาไปลงเพจคณะ” น้องบอยปี 2 ที่เป็นสตาฟงานและเป็นตากล้องประจำรุ่นเดินเข้ามาขอพวกผมถ่ายรูปเพื่อเอาไปลงเพจคณะครับ ยอมรับครับว่าผมโดนเจ้ารุ่นน้องพวกนี้ขอถ่ายรูปไปลงเพจบ่อยๆ แต่กับน้องไอติมคงยังไม่เคยเจอแบบนี้ผมเลยหันไปถามคิวท์บอยที่อยู่ข้างๆ ผมก่อน
 
               “ถ่ายไหมไอติม”
               “ได้ครับพี่” ไอติมพยักหน้ารับก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้คนที่มาขออนุญาติถ่ายรูป จากที่หน้างออยู่เมื่อกี้ พอกล้องมาอยู่ตรงหน้าปุ๊บก็เลี่ยนเป็นสดใสทันทีเหมือนกดเปิดสวิชเลยครับ
 
               “อ่า... งั้นพี่วอร์มเขยิบมาชิดกับน้องไอติมหน่อยครับ โอเคครับ หนึ่ง... สอง...” เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นสองสามครั้งก่อนที่น้องบอยจะขอบคุณพวกเราอีกครั้งแล้วเดินออกไป
 
               “อะนี่... เอาไปอมจะได้ชุ่มคอ” ผมหยิบลูกอมรูปหัวใจรสระกำที่เหลืออยู่เพียงเม็ดเดียวจากในกระเป๋ากางเกงส่งไปให้น้อง ถึงชื่อรสชิตมันจะความหมายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็เถอะครับ
 
               “ขอบคุณนะครับพี่วอร์ม”
               “พี่ชอบกินมากเลยนะ นี่ยอมเอาเม็ดสุดท้ายให้ไอติมเลยนะ เวลาซ้อมร้องเพลงหนักๆ หรือก่อนเวทีพี่ก็ชอบก็อมเจ้านี่เนี่ยแหละ มันชุมคอดี แล้วก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพวกไอ้จัส ไอ้มิชิถึงชอบมาไถ ร้านสะดวกในมอ. หรือแถวหอก็มีขาย ราคาก็ไม่ได้แพงอะไรทำไมถึงไม่ไปซื้อกินเองก็ไม่รู้” ผมเล่าให้น้องฟังหลังจากที่น้องรับลูกอมไปจากผมแล้วเอ่ยขอบคุณพร้อมส่งรอยยิ้มแสนสดใสมาให้ ก็งงตัวเองเหมือนกันนะครับว่าจะพูดอะไรตั้งมากมายให้น้องฟังทำไม พูดไปเสียเยอะ จนเหมือนบ่นให้น้องฟังเสียมากกว่า
 
               “โหย~ งั้นพี่วอร์มเอาคืนไปไหม ผมไม่อยากได้ชื่อว่ามาไถพี่กินอีกคน...”
               “ไถอะไรเล่า นี่พี่เต็มใจให้กินไปเถอะเดี๋ยวต้องขึ้นสแตนต่อแล้วไม่มีเสียงไม่รู้ด้วยนะ เอ้อ! แล้วเย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะ ชวนเพื่อนๆ เรามาด้วยแล้วกัน” ผมดันมือน้องที่แบยื่นส่งลูกอมคืนมาให้ผมกลับไป เพื่อมแค่บ่นพวกเพื่อนๆ ให้ฟังเฉยๆ ไม่คิดว่าไอติมจะคิดจริงจังแบบนี้ แต่การยู่ปากพร้อมเสียงที่เหมือนตัดพ้อนิดๆ ของน้องมันก็ทำให้ผมต้องยิ้มออกมา
 
               “ได้คร้าบ~ เดี๋ยวถ้าเลิกแล้วผมไปหาแถวๆ ซุ้มกองสันทนาการแล้วกันนะ” ผมพยักหน้ารับน้องก่อนที่ไอติมจะขอตัวเดินแยกกลับออกไป ผมจึงเดินกลับไปหาจัสบ้างถึงแม้ว่ามันจะยังคงอยู่ท่ามกลางแฟนคลับของมันก็เถอะครับ
 
               จบงานกีฬาของมหาลัย แต่ละคณะก็แบ่งๆ กันได้รางวัลกลับบ้านกันไป ซึ่งคณะผมก็ยังคงรักษาแชมป์ฟุตซอลไว้ได้อีกปีจริงๆ ผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับงานนี้เท่าไหร่หรอกครับ แต่ก็ยอมรับว่าเวลาเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ตื่นเต้นดีใจเวลาได้รับรางวัลมันก็อดภูมิใจไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นแค่รางวัลแข่งกีฬาไม่กี่อย่างก็เถอะ
 
               หลังจากจบงานผมก็ยืนรอน้องไอติมตามที่นัดกันไว้ก่อนหน้านี้ที่แถวหน้าซุ้มกองสันทนาการของคณะ ข้างๆ ผมก็มีไอ้เพื่อนตัวสูงโย่งที่กำลังยืนถ่ายรูปกับแฟนคลับมันอยู่ ส่วนผมก็มีรุ่นน้องมาขอถ่ายรูปบ้างประปราย ไม่ได้เยอะเท่าจัสหรอกครับ ผมก็สงสัยเหมือนกันนะว่าไอ้การที่ผมยืนกอดอกทำหน้านิ่งแบบนี้มันทำให้คนอื่นกลัวจนไม่กล้าเข้าหาผมเลยหรือเปล่า แต่ก็ดีแล้วแหละครับ อากาศร้อนๆ แบบนี้ถ้ารุมเข้ามาถ่ายรูปกับผมเหมือนไอ้จัสผมคงรำคาญแย่ แล้วนี่ผมยังไม่ได้บอกจัสมันเลยนะครับว่าเดี๋ยว น้องไอติม น้องจูเนียร์ กับน้องไวท์ จะเดินมาหาที่กองสันทนาการด้วย ถ้ามันรู้คงดีดกว่าเดิมแน่ๆ ส่วนมิชิกับเค้กก็หายไปไหนไม่รู้ ไม่ได้ตามมาที่งานแล้วด้วย ทางสะดวกเลยสินะ
 
               “พี่วอร์ม~” เสียงสดใสเอ่ยทักผมจากที่ไกลๆ เสียงลอยมาก่อนตัวอีกครับ ผมหันมองตามต้นเสียงไปก็พบว่าเป็นน้องไอติมแล้วก็เพื่อนๆ เขานั่นละครับที่เดินเข้ามาหา เจ้าตัวหน้าตาดูมอมแมมมากๆ แต่ก็ยังคงรอยยิ้มสดใสไว้ได้ขนาดนี้แถมยังโบกมือทักทายผมอีก พลังเหลือล้นจริงๆ เลยนะเด็กคนนี้
 
               “มาแล้วหรอ เป็นไงบ้างเหนื่อยกันเปล่า” ผมเอ่ยถามน้องๆ ทันทีที่พวกน้องเดินมาถึงกัน
               “เหนื่อยมากเลยพี่วอร์ม แต่ก็สนุกดีเนอะ” ไอติมหันไปถามเพื่อนซี้ที่ขึ้นไปทำหน้าที่บนแสตนด้วยกัน
               “อือ... เหนื่อยแต่ก็สนุกดีครับพี่วอร์ม”
               “แล้วไวท์เป็นยังไงบ้าง งานฝั่งโน้นเหนื่อยไหม” ผมถามถึงน้องไวท์ที่ต้องไปช่วยงานกับชมรมประสานเสียงตั้งแต่การมาร้องเพลงมหาลัยในพิธีเปิดช่วงเช้าลากยาวไปตลอดทั้งวัน
 
               “นิดหน่อยครับ แต่ก็สนุกดีเหมือนกันครับ ได้ทำอะไรหลายอย่างเลย”
               “สมกับเพื่อนกันจริงๆ เลย เจ้าพวกนี้ คำตอบเหมือนกันเปี๊ยบ! เดี๋ยวไปกินข้าวกันนะ เอ้อ! วันนี้เค้กไม่ได้มาด้วยนะ สงสัยจะไปกับไอ้มิชิ... ไวท์ไปกับพวกพี่ได้ใช่ไหม” ผมบอกกับน้องด้วยความกังวลนิดๆ เพราะทุกครั้งที่ผ่านมาเค้กก็จะอยู่ด้วยตลอด
 
                    “ได้ค้าบ ถึงพี่วอร์มไม่ให้ไปไวท์ก็จะไปอะ หิวจะแย่อยู่แล้ว ฮ่าๆๆ” น้องไวท์พูดติดตลกพร้อมกับหัวเราะจนตาปิดพร้อมโชว์ฟันกระต่ายอีกต่างหาก เห็นแล้วมันน่าเอ็นดูจริงๆ ครับ สมน้ำหน้าจัสมันที่ไม่ได้เห็นภาพนี้ มัวแต่เซลฟี่กับสาวๆ ก็อดเห็นช็อตเด็ดไปแล้วกันนะ
 
               “โอเค งั้นเดี๋ยวรอไอ้จัสก่อน มันกำลังมีตติ้งกับแฟนคลับมันอยู่... นั่นไงมาพอดี” ผมพูดพลางหันไปมองที่หน้าซุ้มกองสันทนาการ เห็นเพื่อนตัวโย่งกำลังกระโดดโลดเต้นเข้ามาหาพวกผม คิดว่ามันน่าจะเห็นว่าน้องไวท์ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยแล้วมั้ง
 
               “เฮ่นโหล~ มาแล้ว รอนานเปล่า... อ้าว! น้องไวท์ก็มาด้วยหรอ” เห็นท่าทางแอคติ้งสุดโอเวอร์ของมันแล้วอยากจะถีบสักที
               “มาครับ” น้องไวท์ตอบพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้ไอ้จัส ผมนี่อยากจะอวดมันมากเลยอะครับ ว่าเมื่อกี้กระต่ายน้อยของมันยิ้มซะตาปิดเลย อย่างน่ารักอะ
 
               “โทษทีพอดีพี่เพิ่งเสร็จงาน”
               “งานแฟนมิตติ้งจัสอินสปอร์ตเดย์อะนะ”
               “อะไรมึง! มึงอะตัวดีเลยแองกรี้วอร์ม มีน้องมาฟ้องกูด้วยว่าเพื่อนพี่จัสอะทำหน้าตาน่ากลัวจนน้องไม่กล้าเข้าไปขอถ่ายรูปด้วยเลย” นี่ผมแค่แซ็วมันเล่นหน่อยเดียว ถึงกลับต้องเอาคืนผมขนาดนี้เลยหรอครับ
 
               “ทำไม... ก็หน้ากูเป็นแบบนี้แล้วกูผิดอะไร”
               “ไม่ผิดครับ เพื่อนไม่ผิด ไปๆๆ เราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า เดี๋ยวนายไออุ่นกลายเป็นนายไอร้อนแล้วจะยุ่ง” จัสรีบยกแขนขึ้นมาวางพาดบ่าผมก่อนจะพาเดินนำน้องๆ ออกไป นี่เห็นว่ามีน้องอยู่ด้วยนะ ไม่งั้นโดนเตะไปนานแล้วไอ้เพื่อนเลว
 
               

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
หลังจากที่อิ่มท้องกันแล้วพวกเราทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับหอ โดยผมอาสามาส่งน้องไอติมเหมือนเดิม และแน่นอนว่าไอ้จัสมันก็รีบคว้าโอกาสที่จะไปส่งน้องไวท์ทันที ถึงขั้นลงทุนยอมขับรถไปส่งน้องจูเนียร์ก่อนจะวนกลับเข้ามหาลัยไปส่งน้องไวท์ที่หอในด้วย
 
               “โอย อิ่มจนจุกหมดแล้วเนี่ย” ไอติมบ่นออกมาขณะที่เรากำลังเดินไปรอลิฟท์ในหอพัก ท่าทางโอดโอยของน้องทำให้ผมต้องลอบอมยิ้ม
 
               “ก็ดูเรากินสิ กับข้าวมาถึงก็จัดหนักอย่างกับพายุเฮอริเคน” ผมเอ่ยแซวน้องที่กำลังงอตัวพร้อมกับยกมือลูบพุงตัวเองอยู่
               “ก็ตอนนั้นมันหิวอะพี่วอร์ม ถึงจะนั่งเชียร์อยู่บนสแตนเฉยๆ แต่ก็ต้องใช้เสียง ไหนจะต้องทำมือแปรอักษรอีก หมดพลังงานไปเยอะเลยนะครับ” ดูคนเรา แซ็วนิดแซ็วหน่อยบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลย
 
               “ฮ่าๆๆ งี้แหละหิวมากๆ เวลารีบกินเยอะๆ มันก็จุกอะดิ ไหวปะเนี่ย... ขึ้นไปบนห้องก็อย่าเพิ่งอาบน้ำแล้วกัน”
               “ทำไมอะพี่วอร์ม กินอิ่มแล้วห้ามอาบน้ำหรอ”
               “ใช่... ไม่รู้หรอ เขาว่ากินอิ่มๆ มาห้ามอาบน้ำ ไม่งั้นมันจะยิ่งจุกเสียดแน่นท้องมากกว่าเดิมอีก แล้วร่างกายเราจะไปโฟกัสกับการสร้างความอบอุ่นของร่างกายแทนการย่อยอาหารด้วย” ผมเอ่ยตามที่เคยได้ยินและได้อ่านข้อมูลผ่านตามาบ้าง
 
               “โห~ พี่วอร์มนี่น่าจะไปเรียนแพทย์มากกว่านิตินะเนี่ย”
               “เวอร์แล้ว... แล้วยังไง ตกลงไหวเปล่า... ถ้าไม่ไหวไปนั่งเล่นห้องพี่ก่อนไหม จะได้ไปเล่นกับเจ้าเบนโตะด้วย” ที่ผมเอ่ยชวนน้องนี่ผมหวังดีนะครับไม่อยากให้น้องปวดท้องไปมากกว่านี้ อย่างน้อยไปนั่งเล่นให้อาหารที่กินเข้าไปได้ย่อยก่อนสักหน่อย
 
               “อือๆ ไปก็ได้ครับ คิดถึงเบนโตะเหมือนกัน” เราตกลงกันเสร็จลิฟท์ที่รอก็มาถึงพอดีเลยครับ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันผมถึงรู้สึกดีใจที่น้องตอบตกลงรับคำชวนของผม ผมรู้แค่ว่าอยากจะอยู่ใกล้ๆ น้องเขาให้มากกว่านี้ ให้นานกว่านี้อีกนิดหน่อยก็เท่านั้น
 
               เมื่อมาถึงห้อง ผมก็ปล่อยให้น้องนั่งเล่นกับเบนโตะไปส่วนผมก็จัดโน่นจัดนี่ในห้องไปเรื่อยเปื่อย เพราะถ้าไปนั่งเล่นด้วยผมคงได้แต่นั่งมองไอติมแน่ๆ เลยครับ ความน่ารักสดใส และเสียงหัวเราะของน้องทำให้บรรยากาศรอบตัวน้องพลอยสดใสไปด้วยแถมยังชวนมองไปหมดเสียด้วย เจ้าสัตว์เลี้ยงแสนรักของผมก็รักเจ้านายของมันเหลือเกิน พอมีผู้มาเยือนมันถึงกลับไม่สนใจผมสักนิด ขนาดเรียกชื่อมันยังไม่แม้แต่จะหันมามองเลยครับ ไม่รู้ว่าตกลงเป็นหมาของผมหรือไอติมกันแน่
 
               “พี่วอร์ม~ เบนโตะมันหิวแน่ๆ เลยอะ”
               “ไอก็เห็นไม่ใช่หรอ เมื่อกี้พี่เทอาหารเม็ดให้มันยังไม่สนใจพี่เลย สงสัยอยากได้เจ้าของใหม่แล้วมั้ง”
 
               “ฮ่าๆๆ อะไรอะ น้อยใจหมาตัวเองก็ได้หรอ ว่าแต่มีพวกขนมหรือของกินเล่นอะไรให้มันกินไหมอ่า...” จะว่าผมน้อยใจหมาตัวเองหรอ ถ้าคิดดูดีๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะน้อยใจเจ้าเบนโตะหรือน้อยในเจ้าของเสียงหัวเราะใสๆ นั่นดี เพราะตั้งแต่เข้าห้องมาก็เหมือนว่าในห้องนี้มีกันอยู่แค่หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัว อย่าว่าแต่หมาเมินเลยครับ น้องไอติมก็ไม่สนใจผมเหมือนกันนั่นแหละ
 
               “อะนี่ แต่ให้มันกินแค่แท่งสองแท่งพอนะ เดี๋ยวกินขนมจนอิ่มแล้วไม่ยอมกินข้าวอีก ช่วงนี้มันยิ่งขี้เอาแต่ใจอยู่” ผมยื่นซองเจอร์กี้รสเนื้อซึ่งเป็นขนมขบเคี้ยวสำหรับสุนัขให้น้อง เจ้าตัวดีทันทีที่ได้กลิ่นขนมที่แสนโปรดปรานก็กระดิกหางดี๊ด้าและกระตายตักน้องไอติมทันที
 
               “ใจเย็นๆ สิเบนโตะ ไหนๆ นั่งลงก่อน เก่งมาก... ขอมือหน่อยสิ ขอมือๆ” ผมลอบมองไอติมที่กำลงัออกคำสั่งเจ้าเบนโตะด้วยสีหน้าจริงจัง เวลาผมสั่งนี่ไม่ชอบจะเชื่อฟังหรอกครับ แหม พอเป็นไอติมสั่งนี่ทำตัวว่านอนสอนง่ายเชียวนะ ให้นั่งก็นั่ง ขอมือก็ยื่นไปให้ทั้งสองข้าง พอน้องสั่งให้หมอบก็ยอมทำตามแต่โดยดี ไอ้หมาเห็นแก่กินเอ๊ย
 
               “แสนรู้เหมือนกันนะเนี่ย แต่พอก่อนเนอะ ไปกินข้าวไป” ไอติมยื่นซองขนมกลับมาให้ผมก่อนจะอุ้มเจ้าเบนโตะไปไว้หน้าชามอาหารเม็ดที่อยู่บริเวณมุมห้อง
 
               “อะไรเนี่ย ทีงี้ยอมกินเฉยเลยอะ ตกลงใครเป็นเจ้าของแกกันแน่เนี่ยเบนโตะ! โคตรสองมาตราฐาน”
               “คิดถึงกาแฟเลยอะ...” ระหว่างที่ผมตัดพ้อเจ้าเบนโตะอยู่นั้น ไอติมก็พูดขึ้นมาลอยๆ คำพูดของน้องสร้างความสงสัยและกระตุ้นความอยากรู้ของผมได้ดีทีเดียว ถ้าให้เดา ผมว่าน้องคงจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนกันเพียงแต่ว่าไม่ได้พามันมาอยู่ในหอพักด้วยเท่านั้น
 
               “หื้ม???”
               “แมวผมเอง นิสัยมันคล้ายๆ เจ้าเบนโตะนี่แหละ ใครรู้จักก็อิจฉาทั้งนั้น บอกว่าผมโชคดีที่ได้เลี้ยงแมวนิสัยแบบนี้”
               “ยังไงอะ...”
 
               “ก็... เวลาอยากเล่นด้วยหรือเรียกกาแฟก็จะมาหา ผมขอมือกาแฟได้ด้วยนะ” ไอติมพูดด้วยสีหน้ามีความสุข ยิ่งเห็นแววตาสดใสกับรอยยิ้มกว้างของน้องผมก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ น้องหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะเลื่อนหาอะไรบางอย่างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะยื่นหน้าจอมาจ่อตรงหน้าผม แล้วผมก็ถึงบ้างอ้อเมื่อเห็นคลิปสั้นๆ ที่น่าจะเป็นเจ้าตัวนั้นแหละ กำลังขอมือทั้งสองข้างจากเจ้าเหมียว มันแสนรู้จริงๆ เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเจอคนฝึกแมวได้เหมือนฝึกหมาเนี่ยแหละ แต่เดี๋ยวนะ ทำไมผมรู้สึกคุ้นๆ หน้าเจ้าแมวลายเสือหูตกตัวนี้จัง
 
               “อืม... น่ารัก แสนรู้จริงๆ มีรูปมันอีกไหม ขอดูหน่อยสิ”
               “น่ารักใช่ไหมล่ะ เลื่อนดูเอาเลยพี่”
 
               ผมรับโทรศัพท์มาจากน้องเพียงแค่เลื่อนไปที่รูปถัดไปผมก็รู้สึกชาไปทั้งหน้า รูปเจ้าแมวลายเสือกับปลอกคอสีแดงสดที่มีป้ายชื่อแผ่นสแตนเลสห้อยอยู่ มันเป็นรูปเดียวกับรูปดิสไลน์ปริศนาอันนั้นที่มักจะพิมพ์มาเล่าเรื่องราวต่างๆ นานากับผม ไลน์ที่บอกผมไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่าไม่จำเป็นต้องตอบ ขอแค่อ่านข้อความและคำบอกเล่าเหล่านั้นก็พอ คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวผม ผมไม่เข้าใจเลยอะ แล้วมันก็ไม่สมเหตุสมผลเลย ไอติมจะทำแบบนั้นทำไมวะ
 
               “ปวดหัวอะ ขอไปนอนพักก่อนนะ”
               “อ่า... ปวดมากไหมครับ ทานยาก่อนไหมพี่”
               “ไม่ต้องหรอก นอนพักเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”
               “งั้น... พี่พักเถอะครับ เดี๋ยวผมก็จะกลับแล้วเหมือนกัน...”
 
               ผมเดินเข้ามาที่ห้องนอนทันทีโดยไม่ได้ขานรับ หรือหันไปบอกลาน้องสักนิด ความรู้สึกตอนนี้มันสับสนและมึนงงไปหมด ทั้งๆ ที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวยแล้วเชียว ผมเกลียดการโกหกที่สุด เพราะผมถือว่าผมเป็นที่คนให้ใจกับทุกคนทั้งเพื่อน พี่ น้อง และคนรู้จัก ผมเชื่อมั่นมาตลอดว่าถ้าเราจริงใจกับใคร เขาจะสัมผัสถึงมันได้และจริงใจกับเราเช่นกัน แต่สิ่งที่ไอติมทำ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนของแข็งฟาดอย่างแรงลงมากลางหัว ทั้งๆ ที่ผมให้ใจกับน้องไปขนาดนี้แล้ว น้องกลับตอบแทนผมด้วยการโกหกอย่างนั้นหรอ

.

.

.

To be Continue...


 
             

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
             
:: Chapter 12 :: 'เมินเฉย'


               หลังจากทานข้าวกลางวันกับเพื่อนๆ เสร็จผมก็มานั่งที่โต๊ะกับเพื่อนๆ เป็นประจำเหมือนเช่นทุกวัน มาเจอเพื่อนๆ กลุ่มอื่น แล้วก็พวกรุ่นพี่ที่แวะเวียนเข้ามาทักทาย พูดคุยกันเป็นปกติ แต่อารมณ์และความรู้สึกของผมตอนนี้มันกับไม่ได้ดีเหมือนที่ผ่านมาน่ะสิครับ
               “ไอ... ไอ... ไอติมๆ”
               “หือ?” ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือมองจูเนียร์ที่ทำหน้าเซ็งใส่ผม อะไรอะ ก็ผมไม่ได้ยินที่เรียกนี่นา
               “มัวทำไรอยู่อะ เรียกตั้งนานแล้วเนี่ย”
               “ง่า... โทษที อ่านไลน์อยู่อะ ว่าแต่ มีไรหรอจู”
               “ไม่มีอะไร แค่จะถามว่ากินแตงโมไหม เนี่ยจะหมดแล้ว”
               “อ่า... จูกินเลย ไอยังอิ่มข้าวเที่ยงเมื่อกี้อยู่เลยอะ”
               “เค” จูเนียร์พยักหน้ารับแล้วหันไปคุยกับไวท์ต่อ จริงๆ ผมก็อยากจะหันไปนั่งคุยกับเพื่อนๆ บ้างนะ แต่มันยังมีบางอย่างที่มันยังค้างคาอยู่ในโทรศัพท์ เมื่อวานตอนที่ผมไปนั่งเล่นที่ห้องพี่วอร์มได้สักพักพี่เขาก็บ่นปวดหัว ผมเลยกลับมาที่ห้องเพื่อให้พี่เขาพักผ่อน แต่หลังจากนั้น ผมไลน์ไปถามพี่เขาก็ยังไม่ได้ตอบกลับมาเลยตั้งแต่ตอนนั้น ยังไม่แม้แต่จะอ่านเลยด้วยซ้ำ

               “พี่ๆ หวัดดีคร้าบ” เสียงจูเนียร์กับไวท์ดังขึ้น น่าจะเอ่ยทักรุ่นพี่สักคนที่แวะเข้ามาที่โต็ะ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักเพียงแค่เงยหน้ามองตามที่เพื่อนๆ ทัก
               “อ่า... หวัดดีครับพี่” ผมรีบยกมือไหว้รุ่นพี่แทบไม่ทัน เพราะคนที่เดินเข้ามาคือ พี่มิชิ พี่เค้ก พี่จัส แล้วก็พี่วอร์มที่ยังไม่ตอบไลน์ผมตั้งแต่เมื่อคืน
               “หวัดดีเด็กๆ ทานข้าวกันรึยังเอ่ย” พี่เค้กเอ่ยถามพวกเราก่อน ด้วยรอยยิ้มหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของพี่เขา ตำแหน่งเดือนโต๊ะจะเป็นของพี่เขาก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะไม่ว่าพี่เค้กจะทำอะไรมันก็ดูน่ามองไปเสียหมด
               “ทานแล้วครับพี่ เพิ่งทานมาเมื่อกี้เลย” ไวท์เป็นคนตอบคำถามพี่เค้กต่อ
               “นึกว่ายังไม่กินอะไรกันซะอีก พี่จะได้ชวนไปกินด้วยกัน” พี่จัสพูดต่อ ผมแอบสังเกตเห็นพี่เค้กกับพี่มิชิแอบมองหน้ากันแล้วยิ้มแปลกๆ แต่พี่วอร์มก็เอาแต่ยืนนิ่ง ไม่พูดอะไรสักคำ ทั้งๆ ที่ผมพยายามมองหน้าพี่วอร์มเพื่อจะถามเรื่องเมื่อวาน แต่พี่เขาก็ไม่ได้หันมามองผมเลยอะ
               “จัสจะขุนให้น้องอ้วนหรอไง”
               “ใช่แล้วเค้ก ขุนให้อ้วนๆ บ้าง เนี่ยตัวเล็กนิดเดียว ลมพัดทีเดียวแทบปลิวเลย” พี่จัสไม่พูดเปล่า แถมยังยกมือขึ้นมาโยกหัวไวท์เล่นอย่างสนุกมือจนเพื่อนผมได้แต่ยู่ปาก
               “ง่า... พี่จัสอะ ผมไวท์ยุ่งหมด”
               “เชี่ยจัส มึงแม่งโคตรไม่เนียน” เสียงพี่วอร์มพูดขึ้นมาก่อนจะผลักไหล่พี่จัสที่ยืนทำหน้ามึนๆ อยู่ ก่อนที่พี่ๆ เขาจะพากันหัวเราะ
               “เอ่อ... พี่วอร์ม...” ผมส่งเสียงเรียกพี่วอร์มที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไหร่
               “ว่า?”
               “เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง หายปวดหัวรึยังอ่า...” ผมเอ่ยถามพี่เขาเหมือนกับที่ถามไปในไลน์นั่นแหละครับ
               “ดีขึ้นแล้ว”
               “งั้น...”
               “พวกมึงจะไปกันยังวะเนี่ย กูหิวข้าว... ไม่งั้นเดี๋ยวกูเดินไปก่อนนะ” พี่วอร์มหันกลับไปเรียกพี่จัสกับพี่มิชิที่นั่งคุยกับเพื่อนๆ ผมอยู่ ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนผมโดนพี่เขาโกรธยังไงก็ไม่รู้
               “เออๆ ไปแล้วๆ มึงนี่ รีบหรอวะ”
               “เออ! กูหิว”
               “งั้นพวกพี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” พี่เค้กหันมาร่ำลาพวกผมก่อนจะเดินออกไปพร้อมพี่มิชิ ส่วนพี่จัสกับพี่วอร์มเดินนำไปก่อนแล้ว ผมสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติของพี่วอร์ม ไม่เข้าใจเลย ไลน์ไปก็ไม่ตอบ เวลาเจอกันก็ชอบหลบหน้า พอจะคุยด้วยก็ถามคำตอบคำ แบบนี้มันปกติที่ไหนกัน ไม่รู้ว่าผมทำอะไรให้พี่วอร์มโกรธหรือไม่พอใจหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมอึดอัดจะแย่แล้วนะ

               .
               .
               .

               เพราะความคิดมากมายที่ตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ทำให้ผมไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ถึงตัวผมจะนั่งอยู่ตรงนี้ แต่เหมือนจิตใจมันจะล่องลอยไปไกลแล้วครับ ผมกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างตอนนี้เลย
 
               “มึงเป็นไรวะวอร์ม” อยู่ๆ ไอ้จัสก็เอ่ยถามผมขึ้นมาเบาๆ หลังจากที่นั่งเงียบฟังอาจาร์ยบรรยายหน้าห้องเรียน ใช่ครับ พวกเรากำลังเรียนกันอยู่ และจู่ๆ ไอ้จัสก็ถามคำถามแปลกๆ ขึ้นมา ดึงให้ผมกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง
               “เป็นไร?”
               “เออมึงอะ... เป็นอะไร”
               “กูไม่ได้เป็นอะไรนี่” ผมบอกปัดออกไปแบบนั้น เพราะผมเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองทำไหร่ ว่าผมเป็นอะไรกันแน่ จะว่าโกรธ โมโหมันก็ไม่เชิง แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่อยากเจอหน้าไอติมตอนนี้ คงเหมือนโดนคนที่ไว้ใจทรยศหักหลังล่ะมั้ง มันก็เลยสับสนไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงดี
               “ไม่ได้เป็นไรก็เชี่ยละ เมื่อกี้ก่อนเข้ามาเรียนเดินสวนกับน้องไอติม... กูไม่เห็นมึงทักน้องเลย”
               “ก็... กู... ไม่เห็น”
               “ไม่เห็นกับผีสิ! กูยังทักน้องอยู่เลย! น้องก็ยังมองหน้ามึงอยู่เลยเนี่ย... มึงเป็นไรวะ”
               “กูไม่ได้เป็นอะไร... มึงอย่าถามอีกนะ กูจะเรียน” ผมหันไปโวยใส่ไอ้จัสสักหนึ่งทีก่อนที่มันจะเลิกสนใจผมแล้วหันไปสนใจสิ่งที่อยู่บนจอโปรเจคเตอร์กับคำบรรยายของอาจารย์ต่อ
 
               จริงๆ ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก ผมก็ปกติดี แต่เรื่องไอติมนั้น ผมยังรู้สึกไม่โอเคกับน้องเขาเท่าไหร่ จริงๆ ก็ไม่น่าจะโกหกกัน เรื่องที่บอกว่า แค่อยากบอก อยากเล่าหลายๆ อย่างให้ฟัง เพราะคงไม่มีโอกาสพูดมันต่อหน้าผม มันคืออะไรล่ะ เพราะทุกวันเราก็คุยกันอยู่แล้ว ผมไม่ได้โกรธอะไรน้องเขานะครับ ยอมรับว่าเริ่มรู้สึกดีๆ กับไอติมมากขึ้นทุกวันด้วยซ้ำ แต่พอเจอแบบนี้ผมเหมือนโดนหลอก เหมือนโดนหักหลัง แล้วแบบนี้ผมจะไว้ใจอะไรน้องเขาได้อีก ทั้งๆ ที่เป็นพี่น้องสายเดียวกันด้วยซ้ำ

               .
               .
               .

               ความรู้สึกแสนอึดอัดและบรรยากาศอึมครึมระหว่างผมกับพี่วอร์มถูกปล่อยเอาไว้โดยไม่ได้มีการพูดคุยกันหรือแก้ปัญหาใดๆ ทั้งนั้น จนถึงวันนี้เวลาก็ล่างเลยไปอาทิตย์กว่าๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าผมจะอยากให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรอกนะครับ แต่มันยังไม่มีโอกาสให้ผมได้คุยกับพี่เขาเลยต่างหาก เหมือนอยู่ดีๆ พี่เขาก็พยายามหายออกไปจากชีวิตผมเลยอะ
               “ไม่เห็นพี่วอร์มเลยเนอะช่วงนี้” ผมเงยหน้าขึ้นมองไวท์ที่อยู่ๆ ก็พูดถึงคนที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิดของผมขึ้นมาระหว่างที่พวกเรากำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ที่โรงอาหารใกล้ๆ ตึกคณะ
               “อือนั่นดิ... ไอติม เดี๋ยวนี้ได้เจอพี่วอร์มบ้างป่ะเนี่ย เห็นทุกทีพี่วอร์มก็แวะมาหาออกบ่อย” จูเนียร์หันมาถามผมต่อจากนั้น จะตอบยังไงดีล่ะ เพราะผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าพี่วอร์มหายหน้าหายตาไปไหน รู้สึกเหมือนทำของสำคัญบางอย่างหายเลย เอาจริงๆ ผมก็เจอพี่วอร์มบ่อยนะครับเพราะเราอยู่หอเดียวกัน แต่เวลาเจอพี่วอร์มผมก็ไม่กล้าเข้าไปทักหรอก เพราะผมรู้สึกว่าช่วงนี้พี่วอร์มพยายามหลบหน้าผม
               “ไม่ได้เจออะ” ผมตอบไปเพียงแค่นั้นก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ จะเรียกให้ถูกจริงๆ คงต้องบอกว่านั่งเขี่ยข้าวในจานมากกว่า ทั้งๆ ที่เป็นเมนูโปรดแท้ๆ แต่ทำไมวันนี้ผมถึงไม่รู้สึกถึงความอร่อยของมันเลยนะ แถมยังรู้สึกฝืดคอแปลกๆ อีกต่างหาก
               “มีปัญหาอะไรกับพี่วอร์มหรือเปล่าไอติม” ไวท์ถามผมอีกครั้ง
               “เปล่า... ไม่มี”
               “เชื่อก็แย่แล้ว...” จูเนียร์พูดต่อ แต่ผมพูดจริงๆ นะครับ เพราะผมน่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพี่เขาหรอก แต่พี่เขาน่ะ มีปัญหาอะไรกับผมรึเปล่าก็ไม่รู้ ถอนหายใจไปเป็นหลายร้อยครั้งแล้ว ก็ยังไม่ช่วยอะไรเลย
               “จริงๆ”
               “ไอเป็นเพื่อนจูมากี่ปีแล้ว... แค่นี้ทำไมจูจะดูไม่ออก... ช่วงนี้ไอดูไม่เหมือนเดิมอะ”
               “ใช่เลย ไอดูซึมๆ เศร้าๆ ยังไงก็ไม่รู้ง่ะ” ไวท์พูดเสริมพร้อมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยสุดๆ กับคำพูดของจูเนียร์

               ผมรวบช้อนส้อมก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เพื่อนผมนี่มองผมออกทุกเรื่องจริงๆ โดยเฉพาะจูเนียร์ ส่วนไวท์ ถึงจะเพิ่งมารู้จักกันไม่นานแต่ผมก็รู้สึกสนิทกับไวท์เร็วเหมือนรู้จักกันมาหลายปีเพราะความจริงใจของเขานี่แหละครับ ทำให้ผมรู้สึกไว้ใจและเขาก็สามารถเป็นที่ปรึกษาและให้คำปรึกษาได้ในหลายๆ เรื่อง

               “ไอก็ไม่รู้อะ... ไม่รู้จะพูดยังไง... ไอรู้สึกว่าพี่วอร์มเหมือนจะหลบหน้าไอ... แต่ไอก็ไม่รู้นะ ว่าไอไปทำอะไรให้พี่เขาโกรธเคืองหรือไม่พอใจอะไรรึเปล่า”
               “เฮ้ย... มันต้องมีสาเหตุดิ อยู่ๆ ทำไมพี่วอร์มถึงทำแบบนั้นกับไอได้... พี่วอร์มเป็นพี่สายไอด้วย มันก็จะแปลกๆ ไปหน่อยนะถ้าอยู่ๆ ก็มาเมินใส่ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรให้อะ” ที่จูเนียร์พูดมาผมก็คิดอยู่ทุกวันที่พี่วอร์มไม่ยอมคุยกับผมดีๆ นั่นแหละ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมพี่วอร์มถึงเป็นแบบนั้น
 
               แต่ก็นั่นแหละ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรน้ำตาก็จะไหลออกมาทุกที มันแย่มากจริงๆ นะครับที่ต้องกลายเป็นคนอ่อนแอแบบนี้ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเรื่องพวกนี้ แต่กับพี่วอร์มมันไม่ใช่เลย

               “ไอติม~ ไม่เอาไม่คิดมากน๊า~” จูเนียร์ยื่นมือมาจับมือผมเบาๆ เพื่อนจะรู้ไหม ว่ายิ่งทำแบบนี้ผมยิ่งอยากจะร้องไห้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอด เหมือนที่เขาว่ากันว่ายิ่งปลอบยิ่งร้องนั่นแหละครับ
               “งั้น... ไอลองไปถามพี่วอร์มตรงๆ เลยไหม ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอึดอัดแย่เลยนะ พี่วอร์มก็เป็นพี่สายไอด้วย... ถ้ามารู้สึกไม่ดีต่อกันแบบนี้จะยิ่งแย่เอานะ” ไวท์บอกกับผมด้วยความหวังดี แต่สิ่งที่ไวท์แนะนำมันทำได้ยากจัง ผมเองก็อยากจะทำแบบนั้นหรอกนะ แต่ก็กลัวใจตัวเองเหลือเกิน


(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
วันนี้เป็นวันที่พวกรุ่นพี่ในคณะนัดรวมตัวกันที่โต๊ะ  ทุกๆ สัปดาห์มันจะมีวันนึงที่ทุกคนในคณะจะนัดเจอหน้ากันเพื่อพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบรวมถึงเรื่องการเรียนด้วย ใครว่างมาก็มา ใครไม่ว่างมาก็ไม่เป็นไร บรรยากาศที่โต๊ะตอนนี้กำลังครึกครื้นเพราะเป็นช่วงเวลาเลิกเรียน ส่วนผมกับเพื่อนๆ ก็มาถึงที่โต๊ะเป็นกลุ่มแรกๆ เนื่องจากว่าวันนี้อาจาร์ยปล่อยคลาสไวกว่าปกติ
 
               แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากที่พวกพี่มิชิ พี่เค้ก พี่จัส และพี่วอร์มเดินมาถึงที่โต๊ะ พวกพี่ปีสองและคนอื่นๆ ก็กล่าวทักทายกันเหมือนอย่างทุกที แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือพี่วอร์มไม่ได้เข้ามาทักทายพวกผมที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว มีก็แต่พี่มิชิ พี่จัสแล้วก็พี่เค้กที่เดินเข้ามาพูดคุยกับพวกผม ส่วนพี่วอร์มก็ขอปลีกตัวไปนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่คนเดียว
 
               “น้องไอติม~ เป็นไงบ้าง... เรียนสนุกไหม” พี่เค้กเป็นคนชวนผมคุยอย่างเป็นกันเองหลังจากที่พี่เขาคุยกับไวท์เสร็จ   
               “ก็ดีครับพี่เค้ก ยังไม่หนักเท่าไหร่” ผมส่งยิ้มให้พี่เค้กก่อนจะตอบ แล้วก็ส่งยิ้มรวมไปให้พี่จัสกับพี่มิชิที่ยืนล้อมพวกเราอยู่ด้วย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองพี่วอร์มที่นั่งกดโทรศัพท์อยู่โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
              “ไอ้วอร์ม! ธุระปะปังไรนักหนาวะมึง ไม่มาคุยกับน้องบ้าง” พี่จัสตะโกนบอกพี่วอร์มก่อนที่พี่วอร์มจะเงยหน้ามามองแบบเซ็งๆ ถ้าจะไม่อยากคุยกันขนาดนี้ จะมาให้อึดอัดทำไมกัน
               “เรื่องของกู...” พี่วอร์มตอบแค่นั้นแล้วก็ก้มลงไปสนใจโทรศัพท์ต่อ

               โคตรแย่เลยครับความรู้สึกนี้ ผมควรทำยังไงดี แค่นี้ก็รู้สึกอึดอัดไปหมดแล้ว พี่วอร์มคนเดิมที่ผมเคยรู้จักไม่เป็นแบบนี้เลย แต่เท่าที่ดูก็เห็นจะมีแค่ผมที่รู้สึกแบบนั้นเพราะพวกปี1 หลายๆ คนที่เอ่ยทักทายพี่วอร์ม พี่เขาก็เงยหน้าส่งยิ้มทักทายให้ทุกคน แต่ไม่ใช่กับผมแค่นั้นเอง เรื่องที่ผมคุยกับเพื่อนๆ เมื่อตอนเที่ยงย้อนกลับเข้ามาให้คิดอีกครั้ง หรือผมควรจะถามออกไปตรงๆ เลยดี ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
 
               “ไอ... โอเคเปล่า?” จูเนียร์หันมาถามผมเบาๆ ไม่โอเคก็ต้องโอเคแหละ สถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมจะทำอะไรได้ล่ะ
               “อืม... ไอโอเค”
               “ไปคุยกับพี่เขาไหม... เขาอาจจะอยากให้ไอไปทัก...” ไวท์หันมาคุยกับผมพลางลูบหลังเป็นการปลอบ หน้าผมพี่เขายังไม่อยากจะมองเลย ถ้าเข้าไปทักพี่วอร์มจะยอมคุยกับผมรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
               “ไม่ดีกว่า... พี่เขากำลังยุ่ง” ผมบอกกับเพื่อนก่อนจะเหลือบมองพี่วอร์มอีกครั้ง คราวนี้พี่วอร์มไม่ได้กดโทรศัพท์แล้วแต่กำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆ ในรุ่นผมที่เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ความรู้สึกมากมายมันจุกอกไปหมด ตลอดมาผมพยายามคิดในแง่ดีว่าพี่วอร์มไม่ได้โกรธอะไรผมหรอก แต่แบบนี้มันก็ชัดเจนเกินพอแล้วล่ะ พี่เขาตั้งใจเมินใส่ผมจริงๆ
               “น้องไอติม...” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน พี่จัสกำลังเอ่ยทักผม แต่ผมหยุดตัวเองไม่ได้ พอรู้ตัวอีกทีผมก็เดินมาหยุดตรงหน้าพี่วอร์มแล้ว ยังไงวันนี้ผมก็ต้องคุยกับพี่เขาให้รู้เรื่องให้ได้
               “พี่วอร์มครับ...”
               “มีอะไร”
               “ผมขอคุยกับพี่หน่อยได้ไหม” ผมเห็นสีหน้าพี่วอร์มเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วพี่เขาก็กลับไปทำหน้านิ่งเหมือนเดิม
               “ก็คุยสิ... มีอะไรว่ามา”
               “ผมขอคุยกับพี่แป๊ปนึงได้ไหม” ไม่รู้ว่าผมใช้น้ำเสียงโทนไหนคุยกับพี่วอร์ม แต่คนอื่นๆ ที่นั่งคุยกับพี่วอร์มอยู่ก่อนหน้านี้ ก็พากันลุกออกไปเสียดื้อๆ ความจริงมันก็ดี เพราะในเมื่อเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับคนอื่น ผมเองก็ไม่ได้ต้องการให้ใครเข้ามารับรู้เรื่องราวปัญหาระหว่างผมกับพี่เขาหรือต้องมาตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึมนี่เหมือนกัน
               “ก็ว่ามาสิ...”
               “ไปคุยที่อื่นได้ไหม”
               “ทำไม?”
 
               “ไอ้วอร์ม... มึงไปคุยกับน้องไอติมตรงโน้นไป... เชื่อกู คุยตรงนี้เดี๋ยวพาเสียบรรยากาศหมด” พี่จัสเดินเข้ามาแทรกก่อนจะไล่ให้พี่วอร์มให้ออกมาจากตรงนั้นก่อนที่บรรยากาศรอบข้างจะอึดอัดตามไปเสียก่อน ผมนึกขอบคุณพี่จัสในใจ เพราะเหมือนพี่เขาจะรู้ว่าผมอยากจะคุยเป็นการส่วนตัวกับพี่วอร์มจนพี่วอร์มต้องยอมลุกเดินออกไปให้ห่างจากโต๊ะคณะ

               ผมเดินตามพี่วอร์มออกมาหยุดที่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ ศาลาที่เคยจัดงานวันแรกพบ มันไม่ได้ไกลไปจากโต๊ะที่พวกเรานั่งมากนัก แต่มันก็ไกลพอที่คนอื่นจะไม่ได้ยินเรื่องที่ผมจะพูดกับพี่วอร์ม
 
               “มีอะไรไอติม”
               “พี่ไม่พอใจอะไรผมรึเปล่าครับ?” ผมพยายามข่มตัวเองไม่ให้เสียงสั่นและเริ่มถามคำถามที่คาใจผมมานานกับพี่วอร์ม
               “ไม่มี”
               “พี่แน่ใจนะ”
               “อืม...”
               “พี่บอกกับผมตรงๆ สิ ถ้าผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจ ผมจะได้แก้ไข...”
               “แก้ไขได้หรอ”
               “.....” ผมมองหน้าพี่วอร์มอย่างไม่เข้าใจ ผมไปทำอะไรให้พี่โกรธนักหนา ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงตอนที่พี่เขาพูดออกมามันฟ้องว่าผมต้องไปทำความผิดร้ายแรงอะไรไว้แน่ๆ พี่วอร์มถึงพูดออกมาด้วยความมั่นใจว่าผมคงไม่สามารถที่จะแก้ไขสิ่งที่ผมทำผิดต่อพี่เขาไว้ได้
               “ช่างมันเถอะไอติม... พี่ก็เป็นของพี่แบบนี้แหละ ไม่ต้องสนใจพี่หรอก...”
               “ไม่ให้สนใจได้ไง... ก็พี่เป็นพี่สายผมอะ แล้วอยู่ๆ พี่ก็เย็นชาใส่ผม จะให้ผมรู้สึกยังไงวะ ถ้าผมทำอะไรให้ไม่พอใจพี่ก็บอกดิ”ยอมรับว่าวินาทีนี้ผมเริ่มเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะ อยู่ดีๆ ทำตัวเย็นชาใส่ ผมทำอะไรผิดก็ไม่บอก จะให้ผมอยู่กับความอึดอัดแบบนี้ไปตลอดรึไง มีอะไรทำไมถึงไม่พูดมันออกมา
               “แล้วเราทำอะไรไว้ล่ะ รู้อยู่แก่ใจ เหอะ!”
               “ผมทำอะไร...” คำตอบของพี่วอร์มทำเอาผมเริ่มกลัว ไหนจะน้ำเสียงประชดประชันนั่นอีก แสดงให้เห็นว่าพี่เขาต้องไม่พอใจมากๆ ตอนนี้มือผมเริ่มเย็นและชื้นไปด้วยเหงื่อ ไม่อยากจะคาดเดาเลยว่าพี่วอร์มจะพูดอะไรออกมาอีก
               “เราเป็นน้องสายพี่... พี่บอกแล้วใช่ไหมว่ามีอะไรให้คุยกัน... เราสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่องถูกไหมไอติม”
               “แล้วผมทำอะไรผิด... ผมไม่รู้จริงๆ... อยู่ดีๆ พี่เย็นชาใส่ เมินใส่แบบนี้อะ จะทักทายพี่ก็หลบหน้าผม... ไลน์ไปก็ไม่ตอบ... พี่มีอะไรไม่พอใจก็พูดมาตรงๆ ดิ! ไม่บอกไม่พูดแล้วใครมันจะไปรู้วะ!!!” ไม่ไหวแล้วครับ พูดไปๆ เสียงผมมันก็เริ่มดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อย จนตอนนี้ผมรู้สึกว่าเสียงผมเริ่มสั่นจนแทบจะคุมไม่อยู่แล้ว
               “อยากให้พี่ตอบไลน์ไหนล่ะไอติม...” ตอนนี้ผมเหมือนโดนฆ้อนปอนด์หนักๆ ทุบลงที่กลางหัวเลยหลังจากได้ยินประโยคสุดท้ายของพี่วอร์ม ทั้งตัวและใบหน้ามันชาวาบไปหมด
               “พี่... รู้หรอ”
               “อืมรู้! แล้วก็รู้ด้วยว่าตัวเองแม่งเหมือนคนโง่เลยที่โดนคนใกล้ตัวหลอกเอาง่ายๆ”
               “มันไม่ใช่แบบนั้นนะ”
               “แล้วแบบไหนล่ะ อธิบายมาสิ บอกให้อ่านอย่างเดียวไม่ต้องตอบ... ขอร้องไม่ให้บล็อค... บอกแค่อยากจะเล่าหลายๆ เรื่องให้ฟัง... แล้วยังไง... ก็เหมือนคนโง่นี่ไง โง่ที่หลงเชื่อทุกอย่าง” สีหน้าผิดหวังของพี่วอร์มมันทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก เพราะถ้าเป็นเรื่องนี้ ผมเองที่ผิด ผมไม่คิดจะแก้ตัวอะไรเพียงแค่อยากอธิบายให้พี่เขาได้เข้าใจเท่านั้น
               “ผม... ไม่ได้หลอกพี่นะ”
               “ไม่ได้หลอกแล้วทำอะไร...”
               “พี่ไม่รู้หรอก... ที่ผมทำแบบนั้นผมมีเหตุผล”
               “เหตุผลอะไร!”
               “พี่วอร์ม... ผมไม่ได้มีเจตนาจะหลอกอะไรพี่ทั้งนั้น จริงๆ นะ... แล้วไลน์นั้น... ผมก็แค่รู้สึกอยากทำแบบนั้นจริงๆ”
               “หรอ... หลอกกันเนี้ยนะ... เหอะ! รู้สึกดี มีความสุขมากพอยัง แต่ก็ขอบใจนะ เรื่องแมวนั่น... ถ้าเราไม่เปิดรูปแมวตัวนั้นให้พี่ดูพี่ก็คงโง่มันไปแบบนั้นตลอดอะ” พี่วอร์มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ แต่ทำไมผมกับไม่ได้รู้สึกดีเลยที่เห็นรอยยิ้มนั้น
 
               ความรู้สึกตอนนี้มันใจหายอย่างบอกไม่ถูก ผมเข้าใจแล้วครับ ทั้งหมดมันเป็นผมที่พลาดเอง วันนั้นที่ผมไปนั่งเล่นที่ห้องพี่วอร์ม ผมดันเผลอเปิดรูปเจ้ากาแฟแมวของผมให้พี่วอร์มดูและรูปที่ผมใช้เป็นรูปดิสในไลน์นั้นก็อยู่ให้อัลบั้มนั้นด้วย เพราะพี่เขาเห็นรูปนั้นสินะเขาถึงรู้ว่าเป็นผม พี่วอร์มไม่ผิดหรอกครับที่จะโกรธผม เพราะเรื่องทั้งหมดผมพลาดเองจริงๆ
 
               “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่รู้สึกแบบนั้น...”
               “แล้วยังไง... ไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ทำไปแล้วป่ะ โคตรเสียความรู้สึกเลยว่ะไอติม... ทำไมวะ อยากจะคุยกันก็มาคุยกันตรงๆ คุยอย่างจริงใจดิ ทำแบบนี้ไปเพื่อไรวะ”
               “ก็ผมชอบพี่ไง! ชอบมานานแล้ว... แค่อยากคุยกับพี่แบบที่ผมอยากคุยมันผิดมากเลยหรอ... เออ! ยอมรับว่าผมผิด แต่ความรู้สึกที่คุยกับพี่ทั้งหมดในไลน์นั้นผมไม่เคยหลอกพี่เลยนะ... มันคือความรู้สึกทั้งหมดของผมจริงๆ ทุกอย่างที่ผมพิมพ์ส่งไปมันมาจากใจผมจริงๆ...”
 
               ไม่ไหวแล้วครับ ในเมื่อพี่วอร์มก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ผมเองก็กลั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่แล้วด้วย มันไม่มีอะไรจะเสียแล้วล่ะ ทุกวันนี้มันก็แย่มากพอแล้ว ถ้ามันจะแย่ไปกว่านี้บางทีมันก็อาจจะช่วยให้ผมตัดใจได้ง่ายขึ้น จริงๆ แล้วผมก็พอจะรู้แหละว่าถ้าผมพูดไปมันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด พี่วอร์มนิ่งไปหลังจากที่ผมบอกความรู้สึกทั้งหมดออกไปให้พี่เขาได้รับรู้
 
               “ชอบหรอ... คนชอบกันเขาทำกันแบบนี้หรอ... ไอติมรู้อะไรไหม สิ่งที่พี่เกลียดทีสุดคือการโกหก... ที่เราพูดมาทั้งหมด พี่จะเชื่ออีกได้ยังไงว่าเราพูดความจริง...”
               “พี่วอร์ม...”
               “พอแล้วไอติม... พี่เข้าใจแล้ว... พี่ไม่มีอะไรจะคุยแล้ว...”
               “พี่วอร์มผมขอโทษ” เหมือนคำพูดมันจุกอยู่ในลำคอเมื่อเห็นสายตาพี่วอร์มที่มองมาที่ผม ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับพี่วอร์มได้อีกนอกจากคำว่าขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ ผมอยากจะขอร้อง อ้อนวอนให้พี่เขาเชื่อผม ให้อภัยผม แต่มาคิดๆ ดูแล้ว ผมคงจะไม่คู่ควรที่จะได้รับสิ่งเหล่านั้นจากพี่วอร์มอีกแล้ว

               พังหมดแล้วครับ ทุกอย่างมันพังหมดแล้ว แล้วผมเองนี่แหละที่เป็นคนทำลายทุกอย่างเองกับมือ พี่วอร์มไม่ได้พูดอะไรอีกเลยก่อนจะเดินกลับออกไป ไม่แม้แต่จะหันหลังมามองหน้าผมสักนิด ผมมองตามหลังพี่วอร์มที่เดินไปเข้าไปคุยอะไรสักอย่างกับเพื่อนๆ แล้วเขาก็เดินออกไปจากโต๊ะ
 
               “ฮึก!” แล้วผมก็ร้องไห้ออกมาจนได้ หลังจากที่พี่วอร์มหันหลังเดินจากผมไป สิ่งที่ผมกลั้นไว้มานานก็พรั่งพรูออกมาเป็นน้ำตาที่ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้สักเท่าไหร่ เนื่องจากมีสายตาหลายคู่ที่กำลังมองมาที่ผม แต่มาถึงตอนนี้แล้วผมก็ไม่อายใครแล้วทั้งนั้น
 




              มันจบแล้วไอติม... ต่อจากนี้คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว...



.

.

.



To be Continue...

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สงสารน้อง สงสารพี่วอร์ม

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
มาม่ามาแล้ว สงสารน้องจัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
:: Chapter 13 :: 'ชัดเจน'





**พี่วอร์ม**


               เรื่องเมื่อตอนเย็นนั้นผมยอมรับว่าโมโหและหงุดหงิดมากๆ ทำไมทุกคนทำเหมือนผมเป็นคนผิดที่ทำแบบนั้นกับไอติม คือผมก็มีสิทธิ์ปกป้องความรู้สึกตัวเองเปล่าวะ ผมเสียความรู้สึกที่โดนน้องหลอกเรื่องไลน์แปลกๆ นั่น แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้น้องเสียใจเพราะผมนี่หว่า แล้วผมก็ไม่ได้คิดด้วยว่าน้องจะรู้สึกแบบนั้นกับผม แล้วผมควรทำยังไงดี
 
               “เฮ้อ...” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่คิดอะไรไม่ออกได้แต่นอนนิ่งๆ บนเตียงมาสามชั่วโมงแล้ว หลังจากกลับมาจากที่มหาวิทยาลัย และเมื่อคิดอะไรไม่ออกผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อเข้ากลุ่มจับฉ่ายของผม เผื่อมันจะช่วยอะไรผมได้บ้าง
 
              นายไออุ่น :: นอนกันยังวะ

               J.U.S.T :: ยังเว้ยเพื่อนรัก กูก็รอมึงอยู่นี่แหละ... ยังไง ไหนเล่า

               It’s Michi :: เชี่ยจัส เรื่องงี้มึงนี่ไวเชียวนะ

               J.U.S.T :: อะ แน่นอน เรื่องนี้กูจะไม่พลาดนะครับ... กูติดตามผลงานของกูมานาน

              นายไออุ่น :: ผลงานไรของมึงวะจัส

               คะ-หนม-เค้ก :: คืองี้วอร์ม... จัสอะสงสัยเรื่องวอร์มกับน้องไอติมมานานแล้วแหละ จัสบอกว่าน่าจะมีซัมติง

               นายไออุ่น :: นั่นไงไอ้จัส!

               J.U.S.T :: แล้วจริงไหมล่ะครับเพื่อน ตอบครับ!

               นายไออุ่น :: อย่ามาทำเป็นสั่ง สัด! กูไม่ใช่รุ่นน้องมึงไอ้จัส

               It’s Michi :: อย่าเปลี่ยนเรื่องครับเพื่อน กูก็รอมึงเล่าอยู่เนี่ยวอร์ม ตกลงยังไงวะ เห็นมึงกับน้องไอติมคุยกันหน้าเครียดเลย

               คะ-หนม-เค้ก :: แล้วตอนที่วอร์มเดินออกมา เค้กเห็นน้องไอติมแอบร้องไห้ด้วยนะ

               นายไออุ่น :: เฮ้ย! ขนาดนั้นเลยเหรอเค้ก

               J.U.S.T :: เออ! มึงอะแม่งโคตรใจร้ายเลย เห็นพักหลังมานี่มึงก็เย็นชากับน้อง น้องจะทักก็ทำเป็นไม่เห็น พูดด้วยก็ถามคำตอบคำ เนี่ยน้องเขาซึมไปหลายวันเลยนะเว้ย
 

               ทำไมกลายเป็นผมที่ต้องรู้สึกผิดขนาดนี้วะ โดนไอ้จัสสวดยับเลยเนี่ย ตกลงพวกมันเพื่อนผมหรือว่าเพื่อนน้องวะครับ แทนที่จะได้คำปรึกษาจากพวกมันกลายเป็นเหมือนผมเข้ามาให้พวกมันรุมด่ามากกว่าเลย เค้กก็อีกคน มานิ่มๆ แต่พูดให้โคตรรู้สึกผิดอะ ทำไมไม่มีใครเห็นใจผมบ้างเลยเหรอวะ แต่ข้อมูลแต่ละคนนี่แน่นยิ่งกว่าหน่วยข่าวกรองอีกโดยเฉพาะไอ้จัส แม่ง!

 
               นายไออุ่น :: มึงบอกเหมือนมึงเป็นน้องเขาเองอะจัส

               J.U.S.T :: เออ! กูรู้ก็แล้วกันน่า

               นายไออุ่น :: รู้ได้ไง ใครบอกมึงหราาา ไอ้จัส

               It’s Michi :: อะๆ เอาตัวเองให้รอดก่อนครับเพื่อน เรื่องไอ้จัสปล่อยไว้ก่อนเลย... มึงอะ ตกลงยังไง แล้วมึงไปโกรธอะไรน้องไอติมเขา จะเล่าได้ยัง


               มิชินี่ก็อีกคน ไว้รอถึงตาผมก่อนเถอะ จะซักเรื่องเค้กให้ซีดเลย เอาให้ขาวสะอาดหมดจด ไอ้มิชิต้องได้สารภาพจนหมดเปลือกทุกขั้นตอน ทุกสถานการณ์ อย่าคิดว่าผมจะไม่ดูไม่ออก เดี๋ยวนี้กล้าปิดบังเพื่อนฝูง ทำมาเป็นพูดดีทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีคดีอยู่เหมือนกัน แต่เอาเถอะทีใครทีมัน อย่าเผลอก็แล้วกัน ผมจะเอาคืนพวกมันให้หมดเลย

 
               นายไออุ่น :: เรื่องมันยาวว่ะ... คร่าวๆ ได้ไหม

               J.U.S.T :: อะว่าไป

               นายไออุ่น :: น้องไอติม... เขาบอกชอบกูว่ะ

               คะ-หนม-เค้ก :: ก็ดีนี่น่า... น้องไอติมก็น่ารัก อีกอย่าง... เค้กดูออกนะว่าวอร์มก็รู้สึกดีกับน้องเขาเหมือนกัน

               It’s Michi :: ใช่เลย... เห็นด้วยกับเค้ก

               J.U.S.T :: ก็ไม่ได้อยากจะเป็นก้าง แต่ก็ต้องขอบอกว่าเห็นด้วยกับเค้กเหมือนกัน

               นายไออุ่น :: รู้สึกดีด้วยมันก็ใช่เว้ย... แต่แบบ... พวกมึงเข้าใจไหม…

 
               พวกมันควรจะเลิกอวยน้องแล้วเห็นใจผมบ้าง นี่ผมโดนหลอกนะ การกระทำของน้องทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลกหน้าโง่ที่นั่งอ่านข้อความบ้าๆ นั่นทุกวัน จนความรู้สึกดีมันค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทำไมคุณเพื่อนถึงไม่เห็นใจกันบ้างวะ เอาแต่บอกว่าไอติมน่ารักอยู่นั่นแหละ น่ารักแล้วยังไงวะ จะล้อเล่นกับความรู้สึกและความไว้ใจของใครก็ได้อย่างนั้นเหรอ เพื่อนๆ ครับ ได้โปรดเห็นใจนายไออุ่นคนนี้บ้างเถอะครับ ผมยกมือขึ้นยีหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดก่อนจะกดปุ่มส่งเสียงและเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนๆ ฟัง



.

.

.

.



**น้องไอติม**


               วันนี้รู้สึกเหมือนเป็นวันแย่ๆ ที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เหมือนจะแก้ปัญหาได้แต่ก็ไม่ทั้งหมด จริงอยู่ที่ความอึดอัดของผมที่มีมาร่วมสัปดาห์ได้ถูกปลดปล่อยออกไปหมดแล้ว เพราะผมได้รู้ถึงสาเหตุที่พี่วอร์มเย็นชาใส่ผมตลอดช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา ใช่ครับ ผมพลาดเอง เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะผม ผมทำให้พี่เขาไม่ไว้ใจในตัวผม  อีกทั้งความรู้สึกที่มีต่อพี่วอร์มของผมก็ได้ถูกบอกออกไปแล้ว แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลยสักนิด แล้วต่อจากนี้ผมจะกล้าเจอหน้าพี่เขาได้ยังไง

 
               “บ้าเอ๊ย! ร้องไห้อยู่นั่น” ไม่ได้อยากจะเป็นคนอ่อนแอหรือขี้แยอะไรตอนนี้หรอกนะครับ แต่มันห้ามไม่ได้จริงๆ น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาอยู่นั่นแหละ
 

               ผมพลิกตัวมานอนตะแคงข้างอีกฝั่งเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วมั้ง พยายามข่มตาให้หลับเพราะตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ตั้งแต่กลับมาที่ห้องก็ไม่เป็นอันทำอะไรเลย ได้แต่นอนร้องไห้มันอยู่แบบนี้แหละ ผมก็เบื่อตัวเองเหมือนกันนะ ที่เป็นคนอ่อนแอขนาดนี้
 

               ก๊อก ก๊อก 

 
               เสียงเหมือนมีคนเคาะประตูหน้าห้องผม แต่นี่มันจะเที่ยงคืนแล้ว มันจะมีใครมาเคาะห้องผมอีกล่ะ ผมอาจจะหูแว่ว หรือไม่ก็คงเป็นเสียงเคาะประตูห้องข้างๆ ล่ะมั้ง
 



               ก๊อก ก๊อก ก๊อก


 
               ชัดแล้ว เสียงเคาะประตูมันเป็นห้องผมนี่แหละ แต่เวลาแบบนี้ผมควรจะไปเปิดประตูไหม


 
               ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก


 
               เออ ไปก็ได้!  เสียงเคาะระรัวที่ประตูทำให้ผมต้องจำใจลุกไปอย่างเสียไม่ได้ ถ้าเปิดประตูออกไปแล้วไม่เจอใครนะจะด่าให้เลย คนยิ่งเศร้าๆ อยู่จะมาหลอกอะไรกันหนักหนาวะเนี่ย ผมกระชากประตูให้เปิดออกด้วยความหงุดหงิด แต่คนที่อยู่หน้าประตูนั่นยิ่งทำให้ผมตกใจหนักกว่าเดิม ไม่ใช่ผีหรือว่าไม่มีใครยืนอยู่หรอกนะครับ แต่เพราะคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูก็คือพี่วอร์มต่างหาก นี่ผมตาฟาดไปเปล่าเนี่ย
 
               “พะ... พี่วอร์ม... มีอะไรครับ”
               “หิวอะ ไปหาอะไรกินเป็นเพื่อนหน่อย”
               “หา!?”
               “ไม่ต้องหาแล้ว ไปด้วยกันนี่แหละ” พี่วอร์มพูดจบก็ดึงมือผมออกมาจากห้องจนผมเกือบใส่รองเท้าและล๊อคห้องแทบไม่ทัน


               ผมเดินตามพี่วอร์มออกมาจากหอพัก ข้ามสะพานลอยและเดินมาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระหลังมหาวิทยาลัยที่พวกเราชอบมานั่งกินด้วยกันบ่อยๆ เวลาไปเที่ยวกลับมาดึกๆ หรือทำกิจกรรมที่คณะจนดึกดื่น พี่วอร์มสั่งก๋วยเตี๋ยวมาให้ผมโดยไม่ต้องถามเพราะรู้อยู่แล้วว่าผมชอบกินอะไร ก็เนี่ย พี่ทำแบบนี้แล้วผมจะตัดใจจากพี่ได้ยังไง

 
               ก๋วยเตี๋ยวสองชามถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้า เอาจริงๆ ตั้งแต่กลับจากมหาวิทยาลัยผมเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน มัวแต่จมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง เพราะเรื่องนั้นมันทำให้ผมไม่ได้รู้สึกหิวอะไรเลยด้วยมั้ง แต่ตอนนี้กลิ่นหอมๆ ของน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวเข้มข้นในชามนั้นทำเอาผมต้องเอื้อมมือไปหยิบตะเกียบกับช้อนออกมาจากกล่องพลาสติกที่ไว้ใส่อุปกรณ์การกินที่วางอยู่บนโต๊ะ และแน่นอนว่าผมไม่ลืมที่หยิบออกมาเผื่อพี่วอร์มด้วย

 
               ผมลอบมองหน้าพี่วอร์มนิดหน่อย พี่เขาไม่ได้พูดอะไรได้แต่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวไปเงียบๆ ไม่เข้าใจว่าจะลากผมออกมาให้อึดอัดด้วยทำไม ผมจึงก้มหน้าจัดการก๋วยเตี๋ยวในชามผมบ้าง แต่ก่อนจะกินผมก็คีบชิ้นมะระตุ๋นไปวางในชามพี่วอร์มอย่างที่ทำประจำ จนลืมนึกไปว่าตอนนี้อะไรๆ มันก็ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

 
               “เอ่อ... ผมขอโทษ... ง่า... เดี๋ยวเอาใส่ทิชชู่”
               “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่กินเอง”
               “ครับ...” โอ๊ย อยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายตรงนี้เลย แต่ลิ้นตัวเองไม่อร่อยอะ ฮือ เลยได้แต่คีบเส้นก๋วยเตี๋ยวส่งเข้าปากแทนรีบๆ กินจะได้รีบๆ กลับ อึดอัดจะแย่แล้ว
               “เราชอบพี่จริงๆ เหรอ...”
               “แค่กๆๆ”

                ผมแทบสำลักเพราะอยู่ดีๆ พี่วอร์มก็ถามคำถามนี้ขึ้นมาด้วยเสียงเรียบ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วๆ ไป ผมเงยหน้ามองพี่เขาที่กินก๋วยเตี๋ยวหมดชามไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ แถมตอนนี้ยังนั่งจ้องผมอยู่ด้วย
 
               “เอ้า กินดีๆ สิ โอเคไหม”
               “อะ... โอเคครับ... เมื่อกี้... พี่วอร์มถามผมว่าอะไรนะ”
               “พี่ถามว่า... เราชอบพี่จริงๆ ใช่ไหม”
               “อือ... ครับ...”
               “แล้วทำไมถึงต้องใช้ไลน์นั้นคุยกับพี่ล่ะ”
               “คือว่า... จริงๆ แล้วผมอยากคุยกับพี่มานานแล้ว แต่ว่าไม่มีโอกาสได้คุยเลยต้องทำแบบนั้น... แล้วพอเข้ามหา’ลัยผมก็ไม่คิดว่าจะได้มาเป็นน้องสายพี่...”

 
               ผมสารภาพออกไป เพราะมาถึงขนาดนี้แล้วก็คงไม่มีอะไรจะต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว อีกอย่างสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็คงไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้แล้ว อย่างน้อยๆ ถ้าผมยอมเล่าและสารภาพทุกๆ อย่างให้พี่เขาฟัง พี่วอร์มก็อาจจะสัมผัสได้ถึงความจริงใจของผม แล้วกลับมาคุยกันเหมือนเดิมก็ได้ ถึงลึกๆ ผมจะรู้ดีว่าผมอาจจะหวังมากเกินไปก็ตาม

 
               “อยากคุยมานานแล้ว... นานนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
               “ก็... ตอนม.ปลาย”
               “อืม... จริงสินะ... เราจบจากโรงเรียนเดียวกันนี่เนอะ” ผมมองหน้าพี่วอร์มด้วยความสงสัย จู่ๆ ก็มาถาม มาอยากรู้อะไรเอาตอนนี้ รู้แล้วอะไรๆ จะดีขึ้นเหรอไง ก็ไม่น่าจะใช่ แล้วถ้ามันกลับแย่ลงไปกว่าเดิมอีก ผมจะทำยังไง
               “พี่... ถามทำไมอะครับ”
               “จริงๆ พี่เองก็น่าจะเอะใจตั้งแต่ชื่อไลน์แล้วเนอะ... เป็นอิโมรูปไอติมแบบนั้นน่ะ”


               พี่วอร์มจะพูดให้ผมรู้สึกผิดไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกพี่เขาสักหน่อย ถ้ามีวิธีอื่น ผมก็คงไม่ทำแบบนั้นหรอก อีกอย่าง ผมก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าพี่เขาจะกลับไปใช้เบอร์นั้น ตอนอยู่ม.4 กว่าผมจะได้เบอร์นั้นมาแทบลากเลือดเลยนะ แล้วพอพี่วอร์มเข้าปี1 พี่เขาก็เปลี่ยนเบอร์เฉยเลยอะ ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆ จะกลับมาให้เบอร์เดิม

 
               “จริงๆ แล้วพี่ก็ชอบเจ้าของไลน์นั้นนะ... ถึงจะไม่เคยคุยกัน แต่ก็ชอบที่ได้อ่านทุกเรื่องที่เขาส่งมาเล่านั่นแหละ...”
               “พะ... พี่วอร์ม... หมายถึง?”
               “เอาจริงๆ ก็อยากทำความรู้จักด้วยซ้ำไป... แต่ก็ไม่คิดว่าคนนั้นจะใกล้ตัวขนาดนี้”
               “ผะ... ผมขอโทษ”
               “พามาทำความรู้จักหน่อยสิ... อยากรู้จักเยอะๆ อยากรู้จักให้มากกว่านี้...” เดี๋ยวนะครับ ผมงงกับพี่วอร์มไปหมดแล้วนะ ที่พี่เขาพูดมันหมายความว่ายังไงกัน คำพูดของพี่วอร์มทำผมใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้วเนี่ย ฮือ
               “พี่อยากรู้จักเจ้าของไลน์นั้น... แล้วก็นะ ไอติม...”
               “ครับพี่”
               “ลองคบกับพี่ไหม”
               “พี่วอร์ม!?”

               

                   .

                   .

                   .



                   (มีต่อค่ะ)




ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

               “ตกใจอะไร รีบๆ ตอบสิ”
               “ตกใจดิพี่... อะไรอะ ผมงงไปหมดแล้วเนี่ย”


                ผมถามพี่วอร์มกลับไป ก็มันงงจริงๆ อะ อยู่ดีๆ ก็มาขอคบแบบนี้ ก่อนหน้านี้ยังโกรธผมอยู่เลย ใครจะไปตามทัน หน้าผมตอนนี้คงตลกมากแน่ๆ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะยิ้มดีใจหรือร้องไห้ดี ความรู้สึกตอนนี้มันตีกันยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว


               “พี่ควรจะงงมากกว่าไหม อยู่ดีๆ คนที่ส่งไลน์หาพี่ทุกวันทุกคืนกลับกลายมาเป็นรุ่นน้องสายรหัสเนี่ย... แล้วเรื่องของกินที่พี่ยามใต้หอฝากมาให้ทุกวันนี่ก็เราใช่ไหม” ถึงผมจะแนบโพสอิทข้อความสั้นๆ ไปด้วยทุกครั้งก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้ลงชื่อนี่นา
               “พี่รู้ได้ยังไง...”
               “ยังจะถามอีก... ไม่รู้แหละ ไอติมต้องรับผิดชอบที่ทำให้พี่รู้สึกดีด้วยเลย...”
               “ง่า... พี่วอร์ม...”
               “พี่ก็ชอบไอติมเหมือนกัน... เป็นแฟนกันได้ยัง”
               “เดี๋ยวดิพี่....” โอ๊ย!!! อะไรจะหักมุมแบบนี้ครับ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังโกรธจนไม่ยอมมองหน้ากันอยู่เลยอะ บทจะหายโกรธก็ลากมากินก๋วยเตี๋ยวด้วยแล้วมาขอเป็นแฟนง่ายๆ แบบนี้ก็ได้เหรอวะ อารมณ์แปรปรวนแถมยังขี้เอาแต่ใจอีก ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้อะ แล้วจ้องหน้ากันขนาดนี้ไม่คิดว่าผมจะเขินบ้างหรือยังไง
               “น้องชนานันท์... จะเป็นแฟนกับพี่วริทธิ์ไหมครับ”
               “อะ... ไอ้พี่บ้า... เขินนะเนี่ย” แหนะยังมายักคิ้วกวนใส่อีก ฮือออ ได้ทีนี่เอาใหญ่เลยนะ ผมไม่น่าไปตกหลุมคนแบบพี่วอร์มเลย หน้าร้อนไปหมดแล้วครับ
               “ตกลงว่า?”
               “อื้อ!”
               “อื้ออะไรครับ?”
               “ก็คบไง... พี่บ้าเอ๊ย”
               “ก็แค่นี้” พี่วอร์มยื่นมือมาขยี้หัวผมต่อ ไม่กงไม่กินมันแล้วครับก๋วยเตี๋ยว โดนผมสับเละเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ผมเขินนี่นา ใครจะไปคิดล่ะว่า สุดท้ายแล้วทางออกของปัญหาที่และบรรยากาศอึมครึมทั้งหมดจะกลายมาเป็นแบบนี้





               .


               .


               .




**พี่วอร์ม**


               เชื่อไหมครับว่าบรรยากาศตอนเดินมาร้านก๋วยเตี๋ยวกับตอนเดินกลับนี่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย ผมเดินจูงมือไอติมกลับมาที่หอ ตอนเดินผ่านประตูหน้าหอผมแอบเห็นลุงยามส่งยิ้มมาให้พวกผมสองคนด้วย ต่อจากนี้ลุงคงสบายแล้วไม่ต้องรับฝากของกินจากน้องแล้วล่ะ ก็ผมได้น้องเขามาเป็นแฟนแล้วนี่ไง พูดไปก็เขินแปลกๆ ขอเป็นแฟนทั้งทีดันไปขอที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ เหอๆ ถ้าพวกคุณเพื่อนทั้งหลายรู้ผมต้องโดนรุมประนามอีกแน่ๆ

 
               “แยกกันตรงนี้ก็ได้ครับ” น้องไอติมหันมาบอกผมขณะที่กำลังยืนรอลิฟท์กันอยู่
               “เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้อง”
               “ไม่ต้องหรอกพี่... ห้องผมอยู่ตั้งชั้น9 ห้องพี่อยู่ชั้น5 เอง เสียเวลาขึ้นลง”
               “ดื้อกับพี่เหรอ”
               “ง่า... เปล่าครับ” ไอติมส่งยิ้มแห้งๆ มาให้ผมก่อนจะห่อไหล่ลงเล็กน้อยพร้อมกับยู่ปาก ท่าทางแบบนี้มันโคตรน่ารักเลยครับ ชักจะหวงความน่ารักของน้องไม่อยากให้ใครมาเห็นไอติมในมุมน่ารักแบบนี้เลย ว่าแล้วผมก็กระชับมือที่จับกันอยู่ให้แน่นขึ้นแล้วพาน้องไอติมเดินเข้าลิฟท์และกดชั้น9 ทันที
               “ขอบคุณครับพี่วอร์ม... พี่ไปนอนได้แล้ว”
               “มาส่งเสร็จก็ไล่กลับง่ายๆ งี้เลยเหรอ”
               “ก็... มันดึกแล้วง่า... พรุ่งนี้พี่เรียนเช้านะ”
               “นี่รู้ตารางเรียนพี่หมดเลยเหรอ” ผมถามต่อจนน้องได้แต่ทำหน้าเหวอ ไอ้เด็กเด๋อของผมนี่จะน่ารักไปถึงไหนเนี่ย
               “ก็ไม่ได้รู้หมด ผมก็จำๆ เอาแหละ พรุ่งนี้วันอังคารพี่เรียนแปดโมง ผมเห็นพี่วอร์มวิ่งไปมหา’ลัยตอนเช้าบ่อยๆ”           
               “อืมมมม” ผมพยักหน้ารับ ทำเหมือนเชื่อคำพูดน้องเขา เชื่อก็บ้าแล้ว แต่เอาเถอะครับ เห็นว่าน้องน่ารักหรอกนะ ผมก็เลยไม่อยากจะขัดสรัทธาให้น้องเสียความมั่นใจ
               “อือ... พี่อะ ไปนอนได้แล้ว ผมก็ง่วงแล้วเหมือนกัน”
               “ไอติม...”
               “ครับ?”
               “พี่ขอโทษที่ทำให้ต้องร้องไห้นะ” เห็นตาบวมปูดของไอติมแล้วผมก็อยากจะด่าตัวเองเหมือนกัน ผมทำให้คนที่สดใสร่าเริงคนนึงต้องร้องไห้หนักขนาดนี้ได้ยังไงกัน ผมคงใจร้ายมากจริงๆ อย่างที่พวกไอ้จัสมันว่านั่นแหละ
               “ไม่เป็นไรหรอกครับ... มันผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะ... ต่อจากนี้ผมคงไม่ร้องไห้แล้วแหละ กะ... ก็... เราเป็นแฟนกันแล้วนี่” ไอติมพูดโดยไม่มองหน้าผม ใบหน้าแดงก่ำลามไปจนถึงหู เวลาน้องเขินนี่ก็น่ารักเหลือเกิน เห็นแล้วอยากจะแกล้งให้เขินบ่อยๆ จัง
               “ใครใช้ให้พูดจาน่ารักเนี่ย... หอมทีได้ไหม”
               “พี่บ้า! กลับห้องไปเลยไป” ไอติมผลักผมให้ออกห่างเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูห้องตัวเอง
               “อ่าๆ โอเคๆ ไปแล้วก็ได้... เราเข้าห้องแล้วก็รีบนอนนะ แล้วก็ฝันดีนะครับไอติม”
               “อือ... ฝันดีเหมือนกันครับพี่วอร์ม” ผมส่งยิ้มให้น้องไอติมอีกครั้ง ก่อนจะเดินมากดลิฟท์ กลับลงไปที่ชั้นห้าชั้นที่ผมอยู่ พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นไม่รู้ แต่เป็นตอนนี้ผมโคตรจะมีความสุขเลย


 
                : ฝันดีนะครับ รักพี่วอร์มนะ


 
               ยังไม่ทันที่ผมจะเดินกลับถึงห้องดี ข้อความบอกฝันดีจากแอคเคาท์ไลน์ที่แสนคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ แต่ข้อความในวันนี้เห็นจะพิเศษกว่าวันไหนๆ ก็ตรงที่มีคำบอกรักิปดท้ายเนี่ยแหละ อีกอย่างผมเองก็รู้แล้วด้วยว่าเจ้าของข้อความปริศนาพวกนี้เป็นใคร ความรู้สึกที่ได้รับและอ่านข้อความพวกนี้กลับดียิ่งขึ้นไปอีก


 
               มีความสุขจังโว้ย

.

.

.

To be Continue...



ขยับความสัมพันธ์กันสักทีนะคะพี่วอร์ม น้องไอติม  :katai2-1:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ว้าว เป็นแฟนกันแล้ว

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
แรงมากพี่วอร์ม
เล่นซะน้องตั้งตัวไม่ทันเลย

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
               

                         
                 
:: Chapter 14 :: 'เริ่มต้น'





**น้องไอติม**


               แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านผ้าม่านสีขาวเข้ามาภายในห้องนอน ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว รู้แค่ว่าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นหลังจากที่ผมตื่นได้สักพักทำให้รู้ว่าผมยังไม่สายแน่ๆ แต่ก็น่าแปลกที่วันนี้ผมดันตื่นก่อนที่เสียงนาฬิกาปลุกจะดังเสียอีก เพราะทุกทีจะเป็นผมเองที่ลุกขึ้นกดปิดมัน แถมบางวันยังกดเลื่อนปลุกขอนอนต่ออีกหน่อยอีกต่างหาก

 
               ผมลุกขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมกับบิดร่างกายสลัดความขี้เกียจออกไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปในแชท ข้อความล่าสุดที่ผมส่งไปหาพี่วอร์มเมื่อคืนมันยิ่งตอกย้ำว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนไม่ได้เป็นแค่พี่น้องสายรหัสอย่างเดียวแล้ว เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือเรื่องจริง

 
               ผมกดส่งข้อความไปหาพี่วอร์มที่ไม่รู้ว่าตื่นหรือยัง ตอนนี้แค่เจ็ดโมงกว่าๆ เองครับ ผมว่าพี่วอร์มยังไม่ตื่นแน่ๆ

 
               i - Chananan :: พี่วอร์มตื่นได้แล้ว
              i - Chananan :: สายแล้วนะ
 

               ผมส่งข้อความเข้าไปในแชทของเรา ก่อนที่จะลุกไปทำธุระส่วนตัวยามเช้าตามปกติซึ่งมันก็ใช้เวลาพอสมควร หวังว่าพี่วอร์มจะตื่นแล้วหลังจากที่ผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะยังคงเงียบกริบและไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ แบบนี้ไม่ตื่นแน่ๆ  ผมเลยรัวแชทและคอลไปหาพี่วอร์มอีกครั้ง แต่ก็ไม่สัญญานตอบรับ มันจะแปดโมงแล้วนะครับ หรือผมควรจะลงไปเคาะห้องพี่วอร์มเลยดี ไม่รู้ว่านอนหรือซ้อมตายกันแน่เนี้ย ตื่นยากจัง

 
               นายไออุ่น :: ตื่นแล้ว
               นายไออุ่น :: ตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงแล้ว
 

               ตื่นแล้วแต่ไม่ยอมตอบแชทเนี่ยนะ ผมก็รอไปสิครับ กลับกลายเป็นว่าพี่วอร์มตื่นนานแล้วเพียงแค่ไปอาบน้ำแต่งตัวเลยไม่เห็นแชท อันที่จริงเวลาเข้าเรียนคาบเช้าของเราทั้งคู่ตั้งเก้าโมงครับ เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงกว่าๆ ผมก็รู้แหละครับว่าถ้าเป็นปกติแล้วพี่วอร์มคงจะตื่นตอนเวลาใกล้เข้าเรียนแน่ๆ แต่วันนี้ มันเป็นวันแรกที่เราคบกัน พูดไปจะดูน่าหมั่นไส้หรือเปล่านะ แต่ผมแค่อยากพูดคุย อยากเจอหน้าพี่เขาก่อนจะเข้าเรียนก็แค่นั้นเอง แล้วดูสิ ไม่ยอมตอบแชทเนี่ยมันน่างอนไหมละครับ

 
               นายไออุ่น :: ไปหาอะไรกินที่โรงอาหารกันก่อนไหม
               นายไออุ่น :: เดี๋ยวพี่เลี้ยง
               i - Chananan :: เอาของกินมาล่อเหรอพี่วอร์ม
               นายไออุ่น :: แล้วจะกินไหมละ
               i - Chananan :: กิน!
               i - Chananan :: แต่พี่ต้องเลี้ยงผมทั้งวันเลยนะวันนี้
               นายไออุ่น :: อ่าว... ไหงงั้น
               i - Chananan :: ไม่รู้อะ
               i - Chananan :: อีกห้านาทีเจอกันหน้าลิฟท์เลยนะ
               นายไออุ่น :: อ่าๆ โอเคๆ


 
               ก๊อก ก๊อก ก๊อก


 
               ผมกดปิดโทรศัพท์เพื่อจะเตรียมตัวออกจากห้อง แต่อยู่ๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นต่อจากนั้น ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นห้องผมหรือเปล่าเลยยืนรอฟังอีกครั้งเผื่อว่าเสียเคาะเมื่อกี้จะเป็นของคนข้างห้องก็ได้


 
               ก๊อก ก๊อก
 


               แน่แล้วว่าเป็นห้องผมแน่ๆ แต่เวลาแบบนี้ใครจะมาเคาะห้องผมกันนะ มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่พี่วอร์มเคยบอกเมื่อตอนนั้นเลย เรื่องตำนานอาถรรพ์ชั้น 9 เนี่ย ฮือ แต่ผมก็ต้องเดินไปเปิดประตูอย่างช่วยไม่ได้เพราะเสียงเคาะประตูห้องก็ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง
 

               “มอร์นิ่งครับแฟน”
               “พี่วอร์ม!!! มาได้ยังไงเนี่ย!”


               คนที่มาเคาะประตูห้องผมก็คือพี่วอร์มนั่นเอง ทำเอาตกใจหมดเลยครับ อยู่ๆ ก็ขึ้นมาหาถึงห้องเลยเนี่ย เมื่อกี้เรายังคุยกันในแชทอยู่เลยว่าจะลงไปเจอกันหน้าลิฟท์ข้างล่าง เซอร์ไพรส์เก่งเหลือเกิน

 
               “อยากเจอหน้าไอติมไวไวอะ ก็เลยขึ้นมาหาเลยไง”
               “อื้อ~ เดี๋ยวก็ลงไปเจอกันแล้วไงครับ” ถึงจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นแฟนกันแล้ว แต่เวลาพี่วอร์มพูดแบบนี้ผมก็อดเขินไม่ได้สักที เป็นพี่วอร์มทีไรภูมิคุ้มกันผมติดลบทุกทีเลย แค่คำพูดธรรมดาๆ ก็ทำเอาหน้าร้อนไปหมดแล้วครับ
               “ก็คิดถึง... อยากเจอเดี๋ยวนี้ ตอนนี้เลย”
               “หง่า~ ก็เจอแล้วนี่ไงครับ” ไม่รู้ว่าหน้าตาผมตอนนี้เป็นยังไง รู้แค่ว่ามันหุบยิ้มไม่ได้ก็แค่นั้นเอง ถ้าพี่วอร์มยังเป็นแบบนี้ต่อไปผมคงได้สำลักความสุขตายเข้าสักวัน การที่คนที่เราชอบรู้สึกตรงกันกับเรา แล้วได้มาคบกันแบบนี้มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ นะครับ
               “งั้นเราไปหาอะไรกินกันดีกว่าเนอะ”
               “อือ... พี่วอร์มรอแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเอากระเป๋าก่อน” หลังจากนั้นพวกเราก็พากันเข้ามาในมหาวิทยาลัย บรรยากาศตอนเช้าวันนี้ค่อนข้างเงียบหรืออาจเป็นเพราะว่าพวกเราเข้ามากันเช้ากว่าปกติก็เป็นได้ แถมอากาศเช้านี้ยังเย็นสบายกว่าปกติด้วยเลยยิ่งทำให้ผมรู้สึกสบายใจและมีความสุขมากขึ้นไปอีก คนที่นั่งขับรถอยู่ข้างๆ ผม เพียงแค่ได้ลอบมองเสี้ยวหน้าของพี่เขามันก็ทำให้ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยครับ




               .




               .




               .




**พี่วอร์ม**



               หลังจากที่ผมไปส่งน้องเข้าเรียนแล้วผมก็เดินมาที่ห้องเรียนของตัวเองบ้าง วิชาเช้านี้ผมมีเรียนพร้อมจัสครับ ส่วนมิชิกับเค้กเรียนอีกเซคนึง มันเป็นความซวยที่ตอนลงทะเบียนเรียนพวกเราดันลงไม่ทันกัน วิชานี้เลยต้องแยกเรียนกันคนละเซคไปตามระเบียบครับ และแน่นอนว่าไอ้มิชิมันเลือกที่จะไปเรียนกับเค้กมากกว่าผมและไอ้จัส

 
               แต่วันนี้ผมต้องนั่งเรียนคนเดียวเนื่องจากไอ้จัสมีเหตุจำเป็นต้องไปส่งท่านแม่ที่ทำงานเนื่องจากรถของท่านเสีย ซึ่งจากอโศกกว่าจะมาถึงที่มหาวิทยาลัยมันคงมาไม่ทันคาบเช้าแน่ๆ เลยเหมาโดดคาบเช้าเสียเลย  ส่วนผมก็นั่งง่วงอยู่นี่ไงครับ ไม่มีเพื่อนนั่งคุยด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แล้วสิ่งที่พอจะช่วยไม่ให้ง่วงมากไปกว่านี้ก็คือการเล่นโทรศัพท์ครับ

 
               ผมกดเข้าไปดูรูปล่าสุดที่ถ่ายไว้ มันเป็นรูปที่ผมถ่ายน้องไอติมตอนที่ผมขึ้นไปหาน้องที่ห้องเมื่อเช้านี้ หน้าตาตอนน้องเปิดประตูออกมาเจอผมมันตลกมากเลยอะ ท่าทางจะตกใจมากจริงๆ ที่ผมแอบขึ้นไปหาก่อน ผมเลยแอบถ่ายเอาไว้โดยที่น้องไม่รู้ตัว ก็หน้าตาท่าทางเหวอๆ ของน้องมันน่ารักจะตายไปครับ ไม่รอช้า ผมกดส่งรูปนั้นไปให้น้องทันทีก่อนที่ผมจะเลิกสนใจโทรศัพท์และหันไปสนใจสิ่งที่อาจารย์กำลังสอนต่อ อาจารย์เล่นบอกว่ามันจะมีออกสอบขนาดนั้น พลาดไปก็แย่สิครับ

 
               i - Chananan :: อะไรอะ ถ่ายทำไมเนี่ย

 
               ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงผมถึงเพิ่งเห็นว่าไอติมส่งแชทโวยวายกลับมา ผมแชทคุยกับน้องสักพักอาจารย์ก็ปล่อยคลาส แต่น้องยังไม่เลิกเรียน ผมเลยตัดสินใจไปรอไอติมที่โต๊ะ น่าแปลกที่วันนี้บริเวณโต๊ะเงียบมาก สงสัยเพราะว่าอาจารย์เซคผมปล่อยเร็วเลยยังไม่ค่อยมีคนมาเท่าไหร่ และแน่นอนว่าเค้กกับมิชิก็น่าจะยังเรียนอยู่ แต่ก็ดีแล้วครับ เพราะถ้าสองคนนั้นเลิกเรียนพร้อมๆ กับผม ผมต้องโดนซักจนสะอาดเอี่ยมอ่องแน่ๆ เลย แล้วก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใดหรอกครับ ก็เรื่องน้องไอติมเนี่ยแหละ ใครจะไปคิดละครับ เมื่อวานผมยังโมโหใส่น้องจนคนเขาเห็นกันทั้งโต๊ะอยู่แล้ว แล้วมาวันนี้ผมกับน้องดันเป็นแฟนกันเสียอย่างนั้น มันก็ไม่แปลกหรอกครับที่ใครๆ จะตั้งคำถาม แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกครับ แค่ผมเข้าใจน้องแล้วน้องเข้าใจผมก็พอแล้ว

 
               “พี่วอร์ม!”


               เสียงสดใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึงเสียอีก ผมเงยหน้ามองเห็นไอติมกำลังเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาผม หน้าน้องขึ้นสีแดงและหอบนิดๆ เดินจากอาคารเรียนรวมมาถึงนี่ก็ไม่ได้ใกล้เท่าไหร่ แถมแดดตอนใกล้เที่ยงแบบนี้ก็แรงไม่ใช่เล่นเลย จะรีบร้อนอะไรขนาดนั้นครับ

               “ค่อยๆ เดินมาก็ได้ จะวิ่งทำไม หน้าแดงเหงื่อออกหมดแล้วเนี่ย พี่ไม่หนีไปไหนหรอก” ผมพูดขำๆ ก่อนที่น้องจะทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามผม
               “ก็กลัวพี่วอร์มรอนานอะครับ”
               “พี่รอได้หน่า” คำตอบของน้องทำเอาผมอยากหยิกแก้มนุ่มๆ ที่ตอนนี้ขึ้นสีระเรื่อนั่นจริงๆ เลยครับ ทำไมต้องน่ารักขนาดนี้วะครับ น้องจะรู้บ้างไหมเนี่ยว่าเพราะความน่ารักสดใสของน้องนี่แหละที่ทำให้ผมตกหลุมน้องโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็หาทางขึ้นจากหลุมไม่เจอเสียแล้ว
               “พี่วอร์มหิวไหม”
               “หิวแล้วล่ะสิ เราน่ะ อยากกินอะไรล่ะ”
               “อืม... ก็เริ่มหิวแล้ว... กินอะไรก็ได้ครับ ตามใจคนเลี้ยงเลย~”


                ไอติมพูดพร้อมกับเอียงคอหัวเราะคิกคัก ก็แน่ล่ะครับ วันนี้ผมต้องเลี้ยงน้องทั้งวันนี่นา ถูกใจเขาล่ะ แต่องศาการเอียงคอแบบนั้นมันชักจะน่ารักเกินไปแล้วนะไอติม ถ้าจับฟัดตรงนี้จะน่าเกลียดไปไหมครับเนี่ย มีแฟนน่ารักนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะครับ
 

               “อืม... งั้นออกไปกินข้าวข้างนอกกันไหม”
               “ออกไปข้างนอกเลยเหรอพี่วอร์ม จะกลับมาทันเรียนตอนบ่ายไหมอะ”
               “ทันสิ เราก็... รีบไปรีบกลับไง” จริงๆ แล้วผมแค่อยากพาไปที่ที่ไม่ต้องเจอคนรู้จักมากกว่าครับ อยู่ในมหาวิทยาลัยยังไงก็ต้องมีคนเห็น มีคนเจอพวกเราอยู่ด้วยกันแน่ๆ ผมขี้เกียจตอบคำถามน่ะครับ
               “โอเค~ ไปก็ได้ครับ”
               “โอเคงั้นไปกัน”


               ผมลุกขึ้นยืนอมยิ้มแล้วส่งมือไปหาน้อง ไอติมมองมือผมครู่นึงแล้วยื่นมือมาจับมือผมตอบพร้อมกับยิ้มตาหยีส่งให้จนผมเผลอฉีกยิ้มกว้างออกมาตามน้อง ตั้งแต่ได้รู้จักกับไอติมผมรู้สึกว่าโลกของผมสว่างขึ้นเยอะเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าเรื่องในอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงแต่มือนุ่มๆ ของน้องไอติมที่กำลังจับมือผมอยู่นั้นมันทำให้ผมคิดว่า ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นผมจะไม่มีวันปล่อยมือจากน้องเด็ดขาด
 

               พวกเราออกไปทานมื้อเที่ยงง่ายๆ กันเพราะไอติมมีเรียนต่อช่วงบ่าย แต่หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วผมเห็นว่ายังมีเวลาก็เลยชวนน้องไปนั่งเล่นที่คาเฟ่ก่อนจะได้ซื้อกาแฟทานด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้มีคนหลับคาห้องเรียนแน่ๆ เลย ทันทีที่เครื่องดื่มยกมาเสิร์ฟ ไอติมก็รีบร้องห้ามผมทันทีเมื่อเห็นว่าผมจะคว้าแก้วของตัวเองไปดู

 
               “ผมก็ขอถ่ายรูปก่อนนะ เดทแรกทั้งทีต้องเก็บไว้เป็นความทรงจำหน่อย...” ถึงแม้ว่าประโยคหลังน้องจะพึมพัมกับตัวเองเบาๆ แต่ผมก็ยังได้ยินอยู่ดี เราอยู่ใกล้กันแค่นี้เองนี้ครับ ภาพอีกคนที่กำลังตั้งใจตัดมุมและหาแสงในการถ่ายภาพเครื่องดื่มทั้งสองแก้วทำให้ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

 
               ถ้าใครหลายๆ คนมาพบเจอผมช่วงนี้ต้องเอ่ยปากทักแน่ๆ ว่าผมยิ้มบ่อยกว่าปกติ ก็แน่ล่ะครับ เพราะตอนนี้ไอติมคือความสุขของผม การได้ใช้เวลาทุกๆ นาทีร่วมกับน้องล้วนเป็นความทรงจำดีๆ ที่เราได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาและจะจดมันลงให้สมุดบันทึกความทรงจำของเราทั้งคู่ ผมยังจำวันแรกที่เจอน้องวันจับสายรหัสได้เลย ผมไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มของน้องจะทำให้ดอกไม้ที่เหี่ยวเฉานั้นกลับมาเบ่งบานได้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ รอยยิ้มของน้องสามารถทำให้หัวใจของผมพองฟูขึ้นกว่าเดิม

 
               โทรศัพท์ที่สั่นเตือนอยู่ตลอดเวลาทำให้ผมรู้ว่าพวกเพื่อนๆ ผมนั้นกำลังแชทคุยกันอยู่ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ผมปิดแจ้งเตือนไว้เหมือนเดิมก็ดีแล้วเนี่ย กลับมาเปิดไว้เผื่อจะมีเรื่องสำคัญแต่ก็เปล่าเลยครับหาสาระไม่ได้เหมือนเดิม ผมเหลือบมองโทรศัพท์อยู่พักหนึ่งหลังจากที่เอารถจอดที่ลานจอดรถใกล้ๆ อาคารเรียนรวม เมื่อครู่นี้ผมพาไอติมออกไปกินข้าวที่ห้างใกล้ๆ มหาวิทยาลัยและตอนนี้ผมก็กำลังจะไปส่งน้องเข้าเรียนวิชาช่วงบ่ายต่อ ไม่ต้องเดาเลยครับว่าข้อความในแชทที่รัวๆ มานั้นคือเรื่องอะไร แน่นอนว่าเป็นเรื่องผมล้วนๆ แต่ก็ปล่อยไว้แบบนั้นแหละครับ เดี๋ยวค่อยไปเคลียร์ทีเดียวตอนเจอหน้าพวกมัน


               และแน่นอนว่าเมื่อผมมาถึงที่โต๊ะผมก็โดนพวกเพื่อนรักแซวกันระงมเลยครับ นี่ที่แซวกันในแชทยังไม่พออีกหรือไง ดีนะที่ผมไปส่งไอติมที่ตึกเรียนเรียบร้อยแล้วถึงค่อยเดินมาที่โต๊ะ ไม่อย่างนั้นน้องคงเขินมากแน่ๆ

 
               “ยัง... ยังอีก... ยังไม่เลิกแซว พวกมึงนี่นะ”
               “แหม~~~ ก็ใครจะไปนึกวะ เมื่อวานเห็นมึงยังเกรี้ยวกราดใส่น้องไอติมอยู่เลย พอมาวันนี้พากันไปกินข้าวอัพรูปลงไอจีซะหวานแหวว” ไอ้จัสยังคงแขวะผมไม่หยุด นี่มันเป็นเจ้ากรรมนายเวรผม หรือคู่รักแค้นฝั่งหุ่นตั้งแต่ชาติปางก่อนของผมหรือเปล่าวะ พูดเสียผมรู้สึกผิดที่มีแฟนเลย
               “อะไร! กูยังไม่ทันทำอะไรเลย...”
               “มึงไม่ได้ทำแต่แฟนมึงทำ! แหม~ ลงรูปแท็กหากันซะด้วย ไวไฟฉิบหาย” คราวนี้เป็นไอ้มิชิที่แซวผมต่อ ทีนี้ล่ะสามัคคีกันเหลือเกิน กับเรื่องอื่นช่วยร่วมมือร่วมใจกันแบบนี้บ้างได้ไหมวะครับ
               “แล้วทำไมวะ... ก็คนเป็นแฟนกันลงรูปแท็กหากันมันผิดตรงไหน”
               “โว้ย หมั่นไส้!!! เมื่อคืนใครบอกวะว่าเสียความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้... สุดท้ายก็ไปสอยน้องเขามาเป็นแฟนเฉย” ไอ้จัสเสริม
               “ก็พวกมึงเองไม่ใช่หรือไงวะที่เชียร์กูให้คบกับน้องอะ” ผมบอกตามความจริง เพราะตั้งแต่เมื่อคืนที่ผมเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เพื่อนๆ ฟัง ทุกคนก็พร้อมใจกันเชียร์ให้ผมไปง้อน้องเองนี่ครับ
 

               แต่ความจริงมันก็ดีนะครับ ต้องขอบคุณพวกมันนี่แหละที่ทำให้ผมรู้ใจตัวเองจริงๆ ว่าผมก็รู้สึกไม่ต่างกันกับไอติม ส่วนเรื่องนั้นที่ทำให้ผมเสียความรู้สึกผมก็จะมองข้ามไปครับ ก็ในเมื่อคนที่ทำให้ผมรู้สึกดีในแชทนั้นมันก็คือคนเดียวกับคนที่ผมรู้สึกดีด้วยเวลาเจอหน้ากัน แล้วมันจะผิดตรงไหนล่ะครับถ้าผมอยากจะให้คนๆ นั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม

 
               “อย่าไปสนใจสองคนนี้เลยวอร์ม... ยังไงเค้กก็ยินดีด้วยนะที่วอร์มไม่ได้คิดร้ายๆ กับน้องไอติม อีกอย่าง... น้องไอติมก็น่ารักน่าเอ็นดูขนาดนั้น ถ้าปล่อยให้เข้าใจผิดกันแล้วเห็นน้องไปคบกับคนอื่นวอร์มจะทนได้เหรอ จริงไหม” เค้กเอ่ยยิ้มๆ คำพูดของเค้กทำเอาผมอยากจะเข้าไปกอดเค้กแน่นๆ แทนคำขอบคุณที่ทั้งคอยรับฟัง ช่วยให้คำปรึกษาและเข้าใจในตัวผม แต่ก็ทำได้แค่คิดอะครับ ถ้าผมทำแบบนั้นจริงๆ มีหวังไอ้มิชิได้กระชากผมไปต่อยแน่ๆ
               “อือ! ยังไงวอร์มก็ไม่มีทางปล่อยให้น้องไปเป็นของคนอื่นแน่นอนเค้ก” หลังจากที่ผมพูดจบประโยคก็มีเสียงโห่จากไอ้เพื่อนตัวโย่งทั้งสองคนดังตามมา อย่าให้ถึงตาพวกมึงบ้างก็แล้วกัน ไอ้จัส ไอ้มิชิ ผมจะซักให้ซีดเลยคอยดูเถอะ

 
               หลังจากที่เมื่อวานผมใช้เวลาส่วนมากอยู่กับไอติมจนโดนเพื่อนแซ็วไม่เลิก วันนี้ผมมีเรียนตอนสิบโมง ส่วนน้องมีเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้า ทั้งที่เมื่อคืนผมบอกน้องว่าจะเข้าไปส่งในมหาวิทยาลัยแต่น้องก็ยืนยันจะไปเองโดยอ้างว่าเพราะทุกครั้งก็ไปเอง มันก็จริงอยู่ครับ แต่ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนี่ครับ ผมก็อยากทำหน้าที่แฟนและรุ่นพี่ที่ดี แต่ในเมื่อน้องก็ยังยืนกรานจะไปเรียนเอง ผมก็ไม่ขัด ดีเหมือนกันจะได้นอนตื่นสายๆ หน่อย ซึ่งความจริงแล้วผมก็นอนตื่นสายเป็นประจำอยู่แล้ว ข้อความแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทเป็นอย่างแรกที่ผมเปิดดูหลังจากที่เพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน นอกจากข้อความจากไอติมแล้วก็มีพวกเพื่อนๆ ของผมนี่แหละครับ


               ผมกดเข้าไปดูในแชทกลุ่มจับฉ่ายก็เจอข้อความจากมิชิก่อนเป็นคนแรกเลยครับ แล้วเรื่องที่มันทักมาตั้งแต่ไก่โห่นี่ก็เป็นเรื่องของผมอีกแล้ว นี่มันไม่คิดจะหยุดแซวผมเลยใช่ไหมเนี่ย แค่ผมอัพรูปคู่ตัวเองกับน้องไอติมตอนห้าทุ่มเมื่อคืนนี้ลงไอจีเท่านั้นเอง แล้วที่ตั้งใจอัพรูปเวลานั้นก็เพราะไม่อยากให้มันข้ามไปเป็นอีกวันก็แค่นั้น ผมก็แค่อยากเก็บเรื่องราวดีๆ ในวันแรกที่ผมกับน้องคบกันมันผิดตรงไหน ไม่รู้ว่าที่แซวไม่เลิกนี่เพราะอิจฉาหรือว่าอะไร

 
               ผมนั่งแชทคุยกับเพื่อนๆ อยู่สักพักก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยไปเรียน ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาเก้าโมงกว่าๆ แล้วครับ แต่เค้กล่วงหน้าไปถึงมหาวิทยาลัยก่อนแล้ว รายนั้นน่ะเหมือนพระเจ้าสร้างเขาให้เกิดมาเพอร์เฟ็คเลยครับ ทั้งขยันและเรียนเก่ง ไหนจะหน้าตาที่ดึงดูดสายตาทั้งหญิงและชาย แถมอัธยาศัยดีเป็นมิตรกับทุกคนด้วยอีก ยอมครับยอม แค่ได้มาเป็นเพื่อนกับเค้กนี่ผมก็รู้สึกว่าตัวเองต้องมีบุญพอสมควรแล้วครับ






               

               .


               .



**น้องไอติม**



               “ง่วงจัง...”
               “ไม่คิดว่าคนอย่างไวท์จะบ่นง่วงกับเขาเป็นเหมือนกันด้วย ฮ่าๆๆ” ผมหันไปมองเจ้าของเสียงเล็กๆ ที่บ่นออกมาเบาๆ หลังจากที่หาวจนน้ำตาไหลไปเมื่อครู่ และเอ่ยแซวต่อทันที
               “อือ... ทำไมไวท์จะง่วงไม่ได้อ่า... ถึงจะตั้งใจไว้ว่าจะตั้งใจเรียนทุกคาบก็เถอะ แต่เรียนเช้าขนาดนี้... ฮือ... คิดถึงเตียงกับหมอนนิ่มๆ ที่หอจัง” ไวท์บ่นกลับมาเสียยกใหญ่จนผมอดขำไม่ได้ แต่ก็เข้าใจนะครับ เพราะเรียนเช้าแบบนี้ ใครๆ ก็ง่วงกันทั้งนั้นแหละครับ แถมเนื้อหาวิชาเช้านี้มันก็ชวนง่วงนอนเสียเหลือเกิน
               “จูก็ง่วงเหมือนกันเลยไวท์ เมื่อกี้ที่อาจารย์ปล่อยพักพอกลับมาเรียนก็นึกว่าจะหายง่วงบ้างแล้วนะ แต่ก็ไม่เลย” ผมส่ายหน้าเบาๆ กับเพื่อนทั้งสองที่ยังคงบ่นเรื่องความง่วงกันไม่ขาดปาก ผมเหลือบมองเวลาจากโทรศัพท์มือถือแล้วก็นึกถึงพี่วอร์มขึ้นมาทันทีเลยครับ วันนี้พี่วอร์มมีเรียนสิบโมงเช้า ไม่รู้ป่านนี้จะตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแล้วหรือยัง เมื่อเช้าผมแค่แชทไปบอกพี่เขาว่ากำลังจะออกมาเรียนแล้วเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าตอนนั้นพี่วอร์มคงจะยังไม่ตื่นแน่ๆ ว่าแล้วก็ทักไปหน่อยแล้วกัน เผื่อพี่เขาจะนอนเพลินจนลืมตื่น เดี๋ยวจะมาโวยวายโทษผมว่าไม่ยอมปลุกอีก
 

               นายไออุ่น : กำลังไปมหา’ลัยแล้วนะ
 

               ผมเข้าไปในโปรแกรมแชทยังไม่ถึงสิบวินาทีดี ยังไม่ทันที่จะกดเข้าไปให้ห้องที่ผมคุยกับพี่เขาด้วยซ้ำ แจ้งเตือนข้อความที่ถูกส่งมาจากพี่วอร์มก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอพอดี ตายยากจริงๆ
 
               i - Chananan :   :)
               นายไออุ่น : ตอบไวจัง ไม่เรียนเหรอ

 
               ไม่ให้ตอบไวได้ยังไงล่ะครับ ก็ผมกำลังจะเข้ามาส่งข้อความหาพี่วอร์มอยู่พอดี มันก็เลยต้องอ่านเลย ซึ่งถ้าอ่านแล้วไม่ตอบเดี๋ยวก็จะโดนบ่นอีก จริงไหมล่ะครับ

 
               i - Chananan : เรียนอยู่ ~ แต่มันง่วงอ่า
               นายไออุ่น : แอบหลับเปล่าเนี่ย ไม่ตั้งใจเรียน
               i - Chananan : ก็มันง่วงจริงๆ อ่า~ อยากกินโกโก้
               นายไออุ่น : ให้ซื้อไปให้ไหม
               i - Chananan : ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวก็เลิกแล้ว
 

               พี่วอร์มถามผมกลับ จริงๆ ผมก็แค่บ่นอยากกินเฉยๆ เอง ไม่ได้จะกินเวลานี้ เดี๋ยวนี้เลยสักหน่อย แต่การที่พี่วอร์มถามกลับมาแบบนี้มันก็ทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้จริงๆ พอเราเปลี่ยนสถานะจากพี่น้องสายรหัสมาเป็นแฟนกันแล้วเนี่ย พี่วอร์มดูเอาใจใส่ผมมากขึ้นกว่าเดิมอีก นับวันพี่เขาก็ยิ่งทำให้ผมหวั่นไหวและรู้สึกดีมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกวันๆ เลยครับ

 
               “ยิ้มใหญ่เลยนะ ไอติม” เสียงเพื่อนสนิทผมเอ่ยแซวขึ้นหลังจากที่ผมคุยแชทกับพี่วอร์มเสร็จ
               “อะไรของจูเนี่ย... ไอยิ้มไม่ได้เหรอ”
               “เปล่า~ ได้คบกับคนที่ตัวเองแอบชอบมานานแสนนานนี่มันดีจังเลยนะ”
               “นี่ไอติมแอบชอบพี่วอร์มมานานแล้วเหรอ” หลังจากที่จูเนียร์พูดจบ ไวท์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ถามแทรกทันที เราสามคนนั่งติดกันขนาดนี้แถมผมยังนั่งตรงกลางระหว่างไวท์กับจูเนียร์อีก ถ้าไม่ได้ยินก็คงแปลก
               “ก็...  อือ… ไอชอบพี่วอร์มมาตั้งนานแล้วล่ะ” ผมตอบไปตามความจริง เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องปิดบังกันหรอกครับ แต่ถ้าไวท์ไม่ถาม แล้วอยู่ๆ จะให้ผมมพูดขึ้นมาเลยมันก็ดูจะยังไงๆ อยู่ แต่ดูเหมือนว่าไวท์จะไม่ค่อยตกใจสักเท่าไหร่
               “ชอบมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายเลยเปล่าเนี่ย”
 “ไวท์รู้ได้ไงอะ” คราวนี้จูเนียร์เป็นคนถามคำถามนี้แทนผม
               “เดาเอาน่ะ... จริงๆ ไวท์เห็นพวกจูกับไอติมชอบคุยเรื่องของพี่วอร์มกันอยู่บ่อยๆ ไวท์เลยเดาเอา แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างที่เดาไว้จริงๆ หรอกนะ”


                ไวท์พูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ นี่ผมแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอครับ ถึงว่าล่ะ ไวท์ดูไม่ค่อยตกใจเลยที่รู้ว่าผมแอบชอบพี่เขามาตั้งนานแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนักหรอกครับ แค่เพื่อนๆ เข้าใจและโอเคกับการที่ผมคบกับผู้ชายด้วยกันนี่ก็ถือว่าดีมากแล้วครับ เพื่อนๆ ของพี่วอร์มเองก็น่ารักมากๆ เลย จะถือว่าผมโชคดีที่คนที่แอบชอบมานานรู้สึกตรงกันและยังมีเพื่อนๆ ที่แสนดีแบบนี้ก็ไม่ผิดหรอกครับ เพราะตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมากๆ คนหนึ่งเลยล่ะครับ




.

.

.



To be Continue...







แว้บมาต่อให้ก่อนหยุดสงกรานค่ะ
ใครไปเที่ยวก็ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ
สวัสดีวันปีใหม่ไทยค่ะ ^^


 :mew3:

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
               
:: Chapter 15 :: 'ใส่ใจ'






**พี่วอร์ม**


               บางทีผมก็สับสนกับพวกเพื่อนรักของผมเหลือเกินเมื่อเช้ายังรุมด่าผมอยู่เลยที่ไม่ยอมตื่นไปส่งน้องเรียนเช้า แต่พอหมดคาบปุ๊บผมจะรีบไปหาไอติมเพื่อที่จะได้ไปทานมื้อเที่ยงกับน้องพวกมันก็ตัดพ้อต่อว่าผมอีก จะเอายังไงกันแน่วะครับ เอาใจยากเหลือเกิน


               ความจริงแล้วผมว่ามิชิมันก็คงไม่เดือนร้อนอะไรหรอก เพราะยังไงแล้วเค้กก็ไปกินข้าวกับมันอยู่ดี ก็จะมีแต่ไอ้จัสเนี่ยแหละ ที่ดูจะน่าสงสารกว่าใครเพื่อน แต่ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะถ้าไม่ทำใจให้ปลงมันก็คงต้องหาใครสักคนมาเป็นแฟนแล้วล่ะครับ ส่วนผมก็ไม่ใช่ว่ามีแฟนแล้วลืมเพื่อนหรอกนะครับ แต่ว่ายังไงวันนี้ผมก็ใช่เวลาส่วนมากอยู่กับเพื่อนเยอะกว่าอยู่แล้ว ช่วงเวลาสั้นๆ อย่างตอนพักกลางวันนี่ก็ขอให้ผมได้อยู่กับน้องหน่อยเถอะ
 

               หลังจากที่กินข้าวเที่ยงและแยกกับไอติมแล้ว พวกผมก็ขึ้นมาเรียนวิชาคาบบ่ายต่อ ผมรู้สึกว่าตาขวากระตุกแปลกๆ ตั้งแต่เช้าแล้วว่าวันนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้ไม่มีผิดเลยครับ เพราะว่าวันนี้อยู่ดีๆ อาจารย์ผู้ขึ้นชื่อว่าสอนโหด รีบประกาศแจ้งตั้งแต่ตอนต้นคาบเลยครับว่าจะปล่อยช้ากว่าปกติ โดยจะสอนปกติควบรวมกับการสัมนาไปเลยซึ่งจะกินเวลายาวนานกว่าการเรียนปกติไปอีกเกือบสองชั่วโมง และเนื่องจากอาจารย์จะปล่อยเลิกเรียนเสียเย็นขนาดนั้นผมจึงต้องแชทไปบอกไอติมให้กลับหอไปก่อนครับ ขืนให้น้องมานั่งแกร่วรอกลับพร้อมผมคงทรมานแย่ เพราะวันนี้ไอติมเองก็มีเรียนตั้งแต่เช้า น้องควรจะได้กลับไปพักผ่อน
 

               เมื่อตกลงกับน้องในแชทเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็นั่งเรียนแบบมาราธอนจนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงที่มันควรจะเป็นเวลาเลิกเรียนตามปกติแล้ว แอบเห็นเพื่อนบางกลุ่มชักชวนกันลุกเดินออกไปหาขนมและเครื่องดื่มทาน บางคนก็ลุกออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก บ้างก็ลุกออกไปเข้าห้องน้ำ เพราะว่านั่งเรียนกันมานานเกินไปก็คงจะอยากออกไปยืดเส้นยืดสายกันบ้างแต่คงไม่มีใครกล้าคิดจะโดดกลับก่อนหรอกครับ เพราะอาจารย์พูดดักไว้ก่อนแล้วว่าท้ายคาบจะมีควิซเก็บคะแนนถึงจะแค่ 5 คะแนนก็เถอะครับ แต่สำหรับคณะผมคะแนนอันน้อยนิดเพียงเท่านี้ก็สามารถตัดสินความเป็นความตายได้เลยล่ะครับ

 
               It’s Michi : ไอ้วอร์ม

 
               ผมเบนสายตาเหลือบมองข้อความที่ปรากฎขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ที่ผมวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหันไปมองทางด้านหลังห้อง เพราะไอ้คนที่ทักผมมามันคือมิชินั่นแหละครับ วันนี้พวกผมไม่ได้นั่งด้วยกันทั้งหมดเนื่องจากผมลืมเอาแว่นสายตาออกมาจากหอทำให้คนสายตาสั้นอย่างผมต้องย้ายตัวเองมานั่งบริเวณหน้าห้องเรียน แต่เนื่องจากที่นั่งด้านหน้ามันมีว่างแค่สองที่ผมเลยหนีบไอ้เพื่อนตัวสูงอย่างจัสมานั่งข้างผมด้วยครับ ส่วนมิชิกับเค้กก็นั่งกันอยู่ด้านหลังห้อง แต่ตอนนี้ไอ้คนที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นั้นกลับหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ครับ หายไปคนเดียวไม่ว่า เค้กก็ดันหายไปด้วยนี่สิ

 
               นายไออุ่น : ว่า?
               It’s Michi : กูเจอเด็กมึง
 

               มิชิส่งข้อความมาอีกครั้งพร้อมกับรูปถ่ายของไอติมที่นั่งอยู่บนม้านั่งชั้นล่างของอาคารเรียนนี้ สรุปแล้วไอ้เพื่อนตัวดีของผมนั้นลงไปเข้าห้องนั้นที่ชั้นล่างครับ โดยให้เหตุผลว่าอยากลงมาเดืนยืดเส้นยืดสายสักหน่อยเพราะนั่งเรียนมาหลายชั่วโมงติดต่อกันแล้วมันเมื่อย หนอย นี่ผมอุตส่าห์เปิดโอกาสให้นั่งเรียนด้วยกันกับเค้กสองคนแล้วยังจะพากันหนีลงไปเดินเล่นข้างล่างโดยไม่แม้แต่จะชวนผมอีกนะครับ แต่ช่างเถอะ ตอนนี้สิ่งที่ผมสนใจคือไอติมที่มานั่งรออยู่ใต้อาคารมากกว่า ก็ว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วนี่น่าว่าให้กลับหอไปก่อนเลย แล้วทำไมน้องถึงมานั่งรออยู่ตรงนี้เนี่ย
 



.


.


.




**น้องไอติม**


               นายไออุ่น : เลิกเรียนแล้วหรอไอติม
               i - chananan : อ้าว! พี่รู้ได้ไง
               นายไออุ่น : มิชิบอกเห็นเราอยู่ใต้ตึก
 

               นั่นไง ทั้งๆ ที่ผมอุตส่าห์แอบมารอเงียบๆ แล้วนะ ก็ดันมีคนแอบมาเห็นจนได้ พี่วอร์มจะหาว่าผมเป็นเด็กดื้ออีกไหมเนี่ย
 

               i - Chananan : อ่า... เลิกได้สักพักแล้วครับ
               นายไออุ่น : แล้วทำไมไม่กลับหอ พี่เลิกเย็นเลยนะ
               i - Chananan : เดี๋ยวผมรอ
               นายไออุ่น : จะรอที่ไหน เหมือนฝนจะตกแล้วด้วย

 
               ผมโดนพี่วอร์มบ่นชุดใหญ่เลยครับกว่าเราจะตกลงกันได้ ผมบอกกับพี่วอร์มว่าจะไปรอที่หอสมุดพี่เขาถึงยอม ไม่อย่างนั้นก็จะไล่ผมกลับหอท่าเดียวเลย ก็ดีเหมือนกันนะครับ รอที่หอสมุดแอร์เย็นๆ ไม่ร้อนด้วย แถมยังมีโซฟานุ่มๆ ให้นั่งรอสบายๆ สบายเสียจนผมงีบหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงเตือนบอกเวลาห้าโมงเย็นจากนาฬิกาดิจิตอลบนข้อมือผมนั่นแหละครับ นี่ผมหลับไปเกือบครึ่งชั่วโมงเลยเหรอเนี่ย ไม่รู้ป่านนี้พี่วอร์มจะเลิกเรียนหรือยัง
           

               ไม่ต้องคิดนานเลยครับ เมื่อผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นแจ้งเตือนข้อความจากพี่วอร์มปรากฏอยู่บนหน้าจอ มันเป็นรูปถ่ายผมตอนที่กำลังงีบหลับอยู่เมื่อสักครู่นี้กับข้อความที่ส่งมาว่า ‘หลับสบายไหม’ ผมรีบหันไปมองรอบตัวทันทีแต่ก็ไม่เจอพี่วอร์มอยู่แถวนี้เลย หายไปไหนของเขานะ

 
               i - Chananan : พี่วอร์มอยู่ไหนอะ
               นายไออุ่น : กลับหอแล้ว เห็นเราหลับอยู่พี่ไม่อยากกวน
 

               ทันทีที่ผมเห็นข้อความตอบกลับมาก็ถึงกับต้องลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจเลยครับ นี่พี่วอร์มเอาจริงดิ!  ฮื่อ อุตส่าห์มานั่งรอตั้งนานหนีกลับไปก่อนแบบนี้ได้ยังไงอะ ขี้โกงชะมัดเลย ผมรัวแชทถามพี่วอร์มอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ จนได้ยินเสียงหัวเราะที่แสนคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง
 

               “ฮ่าๆๆๆ คิดว่าพี่หนีกลับหอไปก่อนแล้วจริงดิ”
               “พี่วอร์มอะ! ใครจะไปรู้ ตกใจหมดเลยเนี่ย ผมนึกว่าพี่กลับไปแล้วจริงๆ นะ”


ผมได้แต่บ่นอุบ เพราะโดนนายไออุ่นคนนี้แกล้งเข้าให้อีกแล้ว ทำไมถึงได้ขี้อำแบบนี้นะ ไว้ผมต้องหาโอกาสเอาคืนพี่เขาบ้างเสียแล้วสิ ยอมถูกแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้พี่วอร์มต้องได้ใจแน่ๆ เลย
 

               “โอ๋~ แกล้งเล่นนิดเดียวเอง ตกใจจนหน้าซีดเป็นไก่ต้มเลยเนี่ย” ยังอีก ยังจะมีหน้าล้อกันอีก ยิ้มหน้าระรื่นขนาดนี้มีความสุขมากนักหรือยังไงที่ได้เห็นผมตกใจเนี่ย
       “พี่วอร์มอะ! รู้งี้กลับก่อนก็ดีอะ”
               “โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วครับ ไหนยิ้มก่อนเร็ว ยิ้มหน่อย~ เดี๋ยวไม่น่ารักนะ”
               “ก็ไม่น่ารักอยู่แล้วนี่” ผมพองแก้มพร้อมยู่ปากใส่หน้าพี่วอร์ม แกล้งผมแล้วยังมาหาว่าผมไม่น่ารักอีก แกล้งงอนเล่นตัวให้ตามง้อเสียให้เข็ดเลยจะดีไหม ต่อไปจะได้ไม่มาแกล้งอำผมอีก
               “ใครว่าล่ะ น้องไอติมของพี่วอร์มน่ารักที่สุดอยู่แล้ว”
               “.....”


                เล่นพูดแบบนี้จากที่ตั้งใจจะงอนให้นานกว่านี้ผมก็ดันหลุดยิ้มออกมาเสียก่อน หัวใจบ้า! หยุดเต้นโครมครามเดี๋ยวนี้นะ หลายคนอาจจะฟังดูแล้วจั๊กจี้ แต่ความจริงแล้วผมปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชอบเวลาที่พี่วอร์มพูดอะไรแบบนี้จัง


               “แหนะ... ยิ้มแล้ว~ เนี่ย ไอติมยิ้มแล้วน่ารักกว่าตอนหน้าบึ้งเป็นไหนๆ เลยนะ”
               “พอเลยพี่วอร์ม... ไม่ต้องพูดแล้ว”
               “หายโกรธพี่รึยังล่ะ”
               “ใครว่าผมโกรธพี่กัน... แค่งอนเฉยๆ เอง...” ประโยคสุดท้ายผมพูดเสียงแผ่วเบาออกแนวบ่นกับตัวเองมากกว่า เจอลูกอ้อนแบบนี้เข้าไปใครจะไปโกรธลงละครับ ผมยิ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีภูมิต้านทานต่อพี่เขาอยู่แล้วด้วย เจอแบบนี้ก็แย่สิครับ นับวันพี่วอร์มจะยิ่งรู้จักจุดอ่อนของผมดีเกินไปแล้ว
               “งั้นเรากลับกันดีกว่าเนอะ ขืนอยู่นานกว่านี้พี่ได้จับเราฟัดกลางหอสมุดแน่”
               “พี่วอร์ม!!!”
               “ก็ใครใช้ให้คุณแฟนน่ารักล่ะครับ” พี่วอร์มพูดพร้อมกับส่งยิ้มตาหยีมาให้ก่อนจะคว้ามือผมไปจับแล้วพาเดินออกไปจากหอสมุด ตอนนี้ผมได้แต่ภาวนาไม่ให้พี่เขาได้ยินเสียงหัวใจของผมที่เต้นรัวจนเหมือนจะหลุดออกมาเต้นข้างนอกนี้ นายไออุ่นคนนี้มีอิทธิพลกับหัวใจของผมมากเกินไปแล้วนะ มากเสียจนตัวผมเองยังไม่สามารถควบคุมมันได้เลย
 




.


.


.




**พี่วอร์ม**



               หลังจากที่หาอะไรกินกันเสร็จแล้วผมก็ชวนไอติมไปนั่งเล่นที่ห้องผมต่อ ด้วยความที่วันนี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่และผมก็อยากอยู่กับน้องต่อให้นานกว่านี้อีกหน่อย เลยชวนน้องให้มาแวะเล่นกับเจ้าเบนโตะที่ห้องผมก่อน แต่น้องก็อยู่นั่งเล่นที่ห้องผมได้ไม่นานเท่าไหร่หรอกครับ ก่อนที่ไอติมจะขอตัวกลับขึ้นห้องไปเพราะน้องบอกว่าอยากจะโทรศัพท์หาคุณแม่ ผมก็ไม่ได้รั้งน้องไว้หรือว่าอะไรหรอกครับ อีกอย่างพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดของพวกเราทั้งสองคนด้วย มีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันอยู่แล้ว และผมเองก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะชวนน้องออกไปเที่ยวด้วย ไหนๆ เราก็คบกันเป็นแฟนแล้ว จะออกไปเดทกับน้องสองคนก็คงไม่ผิดและไม่ใครว่าอะไรได้ด้วย

 
               เมื่อน้องไอติมกลับขึ้นห้องไปแล้ว ผมเองก็ไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายของผมเหมือนกัน วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องบอกว่าเหนื่อยมากๆ ครับ เนื่องจากเรียนมาราธอนตั้งแต่ช่วงเช้ายันเย็น แต่ถึงจะเหนื่อยกายมากขนาดนั้นแต่ผมกลับยิ้มได้เพราะมีกำลังใจดีๆ อย่างไอติมอยู่ข้างๆ ผม


               เรื่องวันนี้ที่น้องมานั่งรอผมที่อาคารเรียน ถึงผมจะดุน้องไปแบบนั้น แต่ความจริงแล้วผมดีใจนะครับที่ไอติมมานั่งรอผมที่ตึกแบบนั้น ผมรู้สึกถึงความห่วงใยและความใส่ใจจากใจจริงๆ ของน้องมากขึ้นเป็นพิเศษ พอผมทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็มานอนเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือตัวเองไปเรื่อยๆ ก็ตั้งใจว่าจะแชทหาไอติมอยู่เหมือนกันครับ แต่น้องบอกก่อนจะขึ้นไปที่ห้องว่าจะคุยโทรศัพท์กับคุณแม่ผมเลยยังไม่อยากไปกวนน้องตอนนี้ครับ จนเวลาล่วงเลยไปพอสมควรแล้วผมจึงตัดสินไปเข้าไปในห้องสนทนาระหว่างผมกับไอติม

 
               นายไออุ่น : นอนยัง

 
               ผมทักแชทไปหาน้องตอนเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ ไม่รู้ว่าดึกไปหรือเปล่าแต่คิดว่าน้องน่าจะคุยกับคุณแม่เสร็จแล้ว ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าน้องจะนอนหลับไปหรือยัง เพราะว่าวันนี้ก็เรียนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แต่พอเห็นว่าข้อความของผมที่ส่งไปนั้นขึ้นอ่านแล้วทันทีซึ่งทำให้รู้ว่าน้องยังไม่นอน ผมเลยเริ่มชวนน้องไปเที่ยวตามแผนที่วางไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ ก็ไม่ได้จะไปไหนไกลหรอกครับ ก็แค่อยากชวนไปเที่ยว ไปกินข้าว ไปดูหนังตามประสาคนเป็นแฟนกันนั่นแหละครับ แต่ไม่คิดว่าไอติมจะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น

 
               นายไออุ่น : ดีใจไรเบอร์นั้น
               i - Chananan : ก็นานๆ ทีจะได้ไปเที่ยว ตั้งแต่เปิดเทอมมายังไม่ได้ไปไหนเลย
               นายไออุ่น : อือ ก็พรุ่งนี้ไง แล้วนี่ทำอะไรอยู่ อาบน้ำแล้วใช่ไหม
               i - Chananan : เพิ่งอาบเสร็จเมื่อกี้เลย กำลังจะนอนแล้ว
 

               ไอติมส่งข้อความมาพร้อมกับรูปถ่ายของตัวเองที่อยู่ในชุดนอนลายไอศกรีมสีพาสเทลและกำลังนอนอยู่บนเตียง ทำเอาผมพูดไม่ออกเลยครับ รู้สึกเหมือนอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นคนใบ้ที่ทำเสียงตัวเองหล่นหายไปที่ไหนสักแห่ง มันเป็นรูปเซลฟี่ธรรมดานี่แหละครับ แต่ว่ามันน่ารักมาก น่ารักจนผมไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาบรรยายความน่ารักนี้ได้ ผมไม่รู้จะพิมอะไรตอบกลับไปจริงๆ นะครับ ทำได้แต่กดบันทึกรูปที่น้องส่งมาเก็บไว้ใรโทรศัพท์มือถือของตัวเองก็เท่านั้น

 
               ผมไม่รู้หรอกนะว่าที่ไอติมส่งรูปแบบนี้มาให้ผมนี่เพราะน้องไม่ได้คิดอะไรหรือว่ามีเจตนาตั้งใจจะยั่วผมกันแน่ แต่คนที่ได้แต่จ้องรูปผ่านหน้าจออย่างผมตอนนี้ใจมันเต้นรัวไปหมดแล้วครับ ยิ่งมองนานๆ ก็ยิ่งเห็นรายละเอียดของรูปได้มากขึ้น ยิ่งค่อยๆ พิจารณาทีละส่วนแล้วผมก็รู้สึกว่า ทั้งสีหน้าและแววตาของน้องมันดูอ้อนและชวนหลงใหลเสียเหลือเกิน ผมชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ แบบนี้มันตั้งใจยั่วกันชัดๆ เลย อยากจะพุ่งไปกอด ไปฟัดคนในรูปให้หนำใจ ไหนจะแก้มนุ่มๆ นั่นอีก น้องเพิ่งอาบน้ำเสร็จสองแก้มใสนั้นต้องหอมมากแน่ๆ ได้หอมสักฟอดก่อนนอนคงจะฝันดีน่าดู
 



.


.


.



**น้องไอติม**


               i - Chananan : พี่วอร์ม นอนแล้วหรอ...

 
               ผมพิมพ์แชทไปถามพี่วอร์มที่เงียบหายไปพักใหญ่ หลังจากที่ผมส่งรูปตัวเองที่ผมเพิ่งถ่ายไปให้ หรือว่าพี่วอร์มจะหลับไปแล้วจริงๆ แต่ว่าข้อความก็ขึ้นว่าอ่านแล้วนี่น่า จะว่าเปิดอ่านแล้วหลับก็ไม่น่าใช่ คนอะไรจะหลับง่ายปานนั้นครับ

 
               ก๊อก ก๊อก


               ผมรีบเงยหน้ามองที่ประตูห้องทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะ เอาอีกแล้ว ใครมาเล่นตลกอะไรตอนนี้ ทำไมถึงได้ชอบมีเสียงเคาะประตูตอนดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้อีกแล้วเนี่ย ฮือ แล้วเรื่องที่พี่วอร์มเคยเล่าให้ฟังตอนนั้นมันก็กลับมาวนเวียนในหัวผมอีกจนได้
 

               ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 
               ผมเงียบไปสักพักจนกว่าจะแน่ใจว่าเสียงเคาะประตูนั้นมันดังที่หน้าห้องของผมจริงๆ เมื่อแน่ใจแล้ว สุดท้ายผมเลยตัดสินใจลุกไปเปิดประตูห้องพลางสวดภาวนาในใจว่าขอให้อย่ามีเรื่องอะไรหลอนๆ เลย ยิ่งอยู่คนเดียวแบบนี้ด้วย ผมกลัวจริงๆ นะ

 
               “พี่วอร์ม!!! มาได้ไงเนี่ย!” ผมไม่รู้ว่าผมตกใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วครับ  ก็คนที่มาเคาะประตูห้องผมตอนนี้ก็คือพี่วอร์มอีกแล้ว จะแกล้งกันไปถึงไหนเนี่ย
               “ก็เดินขึ้นมาไง... จะให้พี่เหาะขึ้นมาหรอ”
               “ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะ ว่าพี่วอร์มจะขึ้นมาอะ... ได้ยินเสียงเคาะประตูดึกๆ ดื่นๆ ผมก็นึกว่า...”
               “นึกว่าผีหรอ แบร่!” พี่วอร์มรีบพูดแทรก แถมยังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมอีก แบบนี้มันน่าจะต่อยสักหมัด จะได้เลิกเล่นสักที ใครเขาให้มาล้อเล่นกับเรื่องพวกนี้กัน ไม่งั้นจะมีคำพูดที่ว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่หรือครับ
               “ไม่ต้องมาหลอกกันเลยนะ แล้วพี่วอร์มขึ้นมาทำไมเนี่ย ผมนึกว่าหลับไปแล้วซะอีก”
               “ขึ้นมาบอกฝันดีคนน่ารักไง”
               “อะ... อะไรเล่า... ก็บอกในแชทก็ได้นี่น่า...” ดูเหตุผลของพี่เขาสิครับ จะขึ้นมาทำให้ผมเขินทำไมเนี่ย จะให้เขินทุกเวลาตั้งแต่ตื่นยันนอนเลยหรือไง
               “ก็อยากมาเห็นคนน่ารักใส่ชุดนอนลายไอติมด้วยตาตัวเองไม่ใช่แค่เห็นผ่านรูปอะ”
               “แค่นี้เอง... ไม่เห็นต้องขึ้นมาเลย...” ช่วยด้วยครับ ผมไม่รู้จะเอาสายตาไปมองตรงไหนแล้ว ก็พี่วอร์มเล่นจ้องหน้าผมขนาดนี้ เขินจนน่าร้อนไปหมดแล้วเนี่ย
               “ไม่ได้หรอก... พี่ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเอง แล้วต้องได้เห็นแค่คนเดียวด้วย เข้าใจเปล่า”
               “อะ... อือ!”
               “ทำไมน่ารักแบบนี้นะเรา... อย่าไปทำตัวน่ารักแบบนี้กับใครที่ไหนนอกจากพี่นะ” พี่วอร์มพูดพร้อมยื่นมือมายีที่หัวผมเบาๆ ผมไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าพี่วอร์มเป็นคนขี้หวงขนาดนี้
               “รู้แล้วครับ... จะน่ารักกับพี่วอร์มคนเดียวเลย สัญญา”

 
               ฟอด!

 
               “พี่วอร์ม!!!” จู่ๆ พี่วอร์มก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มผมโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเลย เล่นไม่ขานรับ ไม่พูดไม่จาแต่มาหอมแทนแบบนี้ อีกนิดนึงผมจะหัวใจวายแล้วครับ โชคดีแค่ไหนที่ไม่มีใครอยู่แถวนี้ เพราะผมกับพี่วอร์มก็ยืนคุยกันอยู่หน้าห้องด้วย ถ้ามีใครมาเห็นเข้าผมต้องเขินจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแน่ๆ
               “อย่าเสียงดังสิไอติม เดี๋ยวห้องข้างๆ ก็ตื่นกันหมดหรอก”
               “ไม่ต้องเลย~ เพราะพี่วอร์มนั่นแหละ กลับห้องไปนอนเลย”
               “อะไรอะ... ยังไม่ทันได้เข้าห้องเลย ไล่กันแล้วหรอ”
               “ไม่ต้องเข้ามาเลย... พี่วอร์มอะ รีบกลับห้องไปนอนได้แล้ว ผมก็จะนอนแล้วเหมือนกัน” ผมรีบจับให้พี่วอร์มหนุนตัวออกจากหน้าห้องผมพร้อมดันหลังพี่เขาเบาๆ ให้ออกเดิน ขืนให้เข้ามาผมไม่ได้นอนแน่ๆ คืนนี้ แต่อีกคนก็ยังขืนตัวไว้และไม่ยอมไปเสียที ให้ตายเถอะ ทำไมถึงเอาแต่ใจเป็นแบบนี้นะ พอเห็นผมเริ่มหน้างอพี่วอร์มก็หัวเราะออกมาก่อนจะบอกลาผม
               “โอเคๆ พี่ไปก็ได้... งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะครับ แล้วก็เลิกหน้างอได้แล้วนะ”
               “ครับ พรุ่งนี้เจอกัน ฝันดีนะครับพี่วอร์ม”
               “นอนหลับฝันดีเหมือนกันนะครับ น้องไอติม” พี่วอร์มบอกฝันดีพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆ อีกครั้งก่อนจะเดินไปกดลิฟท์เพื่อกลับลงไปที่ห้องตัวเอง ผมโบกมือให้พี่วอร์มอีกรอบหลังจากที่พี่เขาเดินเข้าลิฟท์ไปแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่หายไปแน่ๆ คือรอยยิ้มของผมตอนนี้ แค่ประโยคบอกฝันดีของพี่วอร์มก็ทำให้หัวใจของผมอบอุ่นจนนอนหลับฝันดีอย่างที่พี่เขาบอกไว้จริงๆ



               .


               .


               .



**พี่วอร์ม**




               เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นในตอนเช้า ถ้าเป็นวันธรรมดาที่มีเรียนผมจะปล่อยให้มันดังไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างกายจะสั่งการให้ไปหยิบมันมากดรับสาย แต่วันนี้เป็นวันหยุดของผมและเสียงโทรศัพท์ที่กรีดร้องอยู่นั้นมันขัดจังหวะการนอนหลับแสนสบายของผม ทำเอาผมหัวเสียประเดิมการเริ่มต้นวันเลยทีเดียว โทรมาแต่เช้าแบบนี้ไม่ไอ้จัสก็ไอ้มิชิแน่ๆ ผมปล่อยให้โทรศัพท์มันดังอยู่อย่างนั้นจนมันเงียบไปสักพักแล้วผมก็ค่อยๆ เคลิ้มหลับอีกครั้ง แต่ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกจนผมสะดุ้งตื่น แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเสียงเรียกเข้าเสียงนี้ผมตั้งไว้สำหรับเฉพาะน้องไอติมโทรเข้ามาคนเดียว ผมรีบกดรับสายทันทีที่ตั้งสติได้ เกือบลืมไปแล้วเนี่ย ว่าวันนี้ผมนัดน้องไว้จะไปเที่ยวด้วยกัน

 
               “ตื่นแล้วหรอไอติม” ผมพยายามทำเสียงให้เป็นปกติแล้วเริ่มทักทายน้องไปหลังจากที่กดรับสาย
               “ผมตื่นนานแล้วครับ... ไหนใครนัดไว้ตอนเก้าโมง ป่านนี้แล้วยังไม่ตื่นอีก”
               “พี่ก็ตื่นแล้วนี่ไง...”
               “เพิ่งตื่นละสิไม่ว่า... เสียงแหบเสียงแห้งขนาดนี้ อีกอย่างผมแชทไปหาตั้งหลายครั้งไม่เห็นพี่วอร์มจะอ่านเลย... นี่ขนาดคอลไปหาแล้วด้วยนะ” ไอติมบ่นเสียงเล็กเสียงน้อย แค่ผมนึกตามว่าตอนนี้เจ้าตัวจะหน้ายุ่งแค่นั้นก็ทำเอารอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าผมแล้วล่ะครับ
               “อือ... เพิ่งตื่นก็ได้...”
               “เห็นไหมบอกแล้วว่าไม่ต้องนัดเช้าก็ได้ วันหยุดทั้งที”
               “ก็พี่อยากใช้เวลากับแฟนนานๆ อะ”
               “พะ... พอเลยไม่ต้องพูดแล้วครับ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเลย... นี่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วนะ” ถึงจะไม่เห็นหน้าผมก็พอรู้ครับว่าคนปลายสายกำลังเขินอยู่แน่ๆ อยากเห็นจังเลยว่าหน้าตาน่ารักนั่นจะแดงขนาดไหนกันนะ
               “อ่าว... เสร็จแล้วหรอ งั้นไอติมมารอพี่ที่ห้องไหม... รอพี่อาบน้ำจะได้มาเล่นกับเบนโตะไปพลางๆ ไง” ผมรีบเอ่ยชวนน้องอย่างน้อยก็ดีกว่าให้นั่งรอที่ห้องตัวเองคนเดียว ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วให้น้องลงมาอยู่ใกล้ๆ ดีกว่า
               “เอางั้นก็ได้ครับ... เดี๋ยวผมลงไปนะ”
 


.


.



.





**น้องไอติม**

               ผมลงมานั่งรอพี่วอร์มที่ห้องและเล่นกับเจ้าเบนโตะไม่นานนักพี่เขาก็แต่งตัวเสร็จพอดี กลิ่นน้ำหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพี่วอร์มทำเอาผมอดยิ้มไม่ได้ มันไม่ได้มีอะไรพิเศษตรงไหนหรอกครับ แต่เมื่อก่อนเวลาผมได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นนี้ผมก็จะคิดถึงพี่วอร์มตลอด ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าตอนนี้คนที่ผมคิดถึงมาตลอดจะมายืนอยู่ข้างๆ ผมได้ในเวลานี้


               “ยิ้มอะไร...” พี่วอร์มถามผมขณะที่เรากำลังยืนรอลิฟท์กันอยู่
               “เปล่ายิ้มสักหน่อย”
               “ไม่เนียนเลยนะ” พี่วอร์มส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะยีหัวผมแล้วยิ้มขำ ก็รู้ว่าพี่เขาไม่เชื่อที่ผมพูดหรอก แต่จะให้บอกว่าผมมีความสุขเพียงเพราะเรื่องกลิ่นน้ำหอมของพี่วอร์มมันก็คงจะแปลกไปหน่อย จริงไหมล่ะครับ
               “ก็ไม่มีอะไรสักหน่อย” ผมบอกปัดไปแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าแอพถ่ายรูปพอดีกับที่ลิฟท์มาจอดชั้นที่พวกเรารออยู่พอดี
               “อยู่ด้วยกันยังจะเล่นมือถืออีก... บนหน้าจอนั่นมันน่าสนใจกว่าคนข้างๆ อย่างพี่อีกเหรอไง” พี่วอร์มบ่นเบาๆ อยู่ข้างๆ แต่ผมไม่สนหรอก เพราะผมไม่ได้จะละเลยหรือเมินพี่เขาสักหน่อย ก็แค่อยากจะถ่ายอะไรเก็บไว้เป็นความทรงจำก็เท่านั้น ผมจัดการเปลี่ยนโหมดเป็นถ่ายวีดีโอต่อ
               “มาถ่ายคลิปกันพี่วอร์ม... ผมจะเอาไปลงไอจี”
               “จะถ่ายทำไมเนี่ย”
               “ก็อยากถ่ายอ่า...”

               ผมกดอัดวีดีโอโดยไม่ได้สนใจฟังเสียงคนบ่นข้างๆ แต่สักพักคนที่บ่นอยู่เมื่อครู่นี้ก็เขยิบเข้ามาเล่นกล้องกับผมด้วย จนลิฟท์ลงมาถึงลานจอดรถของหอพัก จะว่าไปผมก็ติดรถพี่วอร์มกลับหอมานานแล้วเหมือนกันนะครับ แต่พอมาวันนี้จะได้นั่งรถพี่เขา ไปเที่ยวด้วยกันทั้งวันหลังจากที่เพิ่งเปลี่ยนสถานะได้ไม่นาน แค่คิดใจก็เต้นรัวอีกแล้ว วันนี้ทั้งวันผมจะเก็บอาการตื่นเต้นไว้ได้ไหมนะ ผมว่าผมอาจจะเดินอมยิ้มทั้งวันจนเหมือนคนบ้าแน่ๆ เลย

 

.



.



.



To be Continue...

 


ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มดกัดไปหมดแล้วค่าาาาาาา

ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
               

               
                 
:: Chapter 16 :: 'เดท'





**พี่วอร์ม**



               วันนี้สบายหน่อยครับในเมืองรถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ คงเพราะเราออกมากันแต่เช้าด้วยมั้งครับ ผมก็เลยมาถึงที่สยามไวหน่อยแถมที่จอดรถที่พารากอนยังโล่งอยู่เลยครับ วันนี้ผมชวนไอติมออกมาเที่ยวกันครับ มีหนังที่ผมอยากดูอยู่ด้วยพอดี บวกกับที่ผมอยากพาน้องออกมาเดินเล่นอยู่แล้วด้วย มีอะไรที่อยากทำกับน้องเยอะแยะไปหมดเลย ที่ผ่านมาน้องก็อยู่แต่ที่หอ จะเที่ยวทีก็มีแต่ห้างที่อยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยนั่นละครับ น่าเบื่อแย่เลย
 

               “ไอติมอยากกินอะไร?” ผมหันไปถามน้องหลังจากจองตั๋วหนังเสร็จ
               “อะไรก็ได้ครับพี่วอร์ม ผมกินได้หมดเลย”
               “ไม่เอาดิ... ไอติมอยากกินอะไรบอกมาเลย เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”
               “โหย... ไม่เอาอะ ผมเกรงใจ”
               “ดื้ออีกแล้ว”
               “ง่า... พี่วอร์มอะ อย่าตามใจผมมากนักสิครับ เดี๋ยวผมเคยตัวนะ” น้องพูดพลางกอดยกสองมือมากอดแขนผม ก็เป็นเสียแบบนี้แล้วจะไม่ให้ผมตามใจได้ยังไง ผมจะทำให้น้องเคยตัวเพราะแบบนี้ละ
               “ก็พี่อยากตามใจ... อะบอกมาอยากกินอะไร?”
               “งือ... งั้นพี่วอร์มแนะนำร้านก็ได้ครับ... ผมอยากกินอาหารญี่ปุ่น” ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยกมือบีบจมูกน้องเบาๆ ก็น้องใจตรงกับผมเลยอะ ผมเองก็อยากกินอาหารญี่ปุ่นพอดีเลย
               “ใจตรงกับพี่เลยนะ... งั้นปะ เดี๋ยวดูหนังจบแล้วพี่พาไปกินร้านอร่อยๆ ว่าแต่ตอนนี้หิวหรือเปล่า... ไปหาอะไรกินรองท้องกันก่อนไหม” ผมเอ่ยถามเพราะตั้งแต่ออกมาจากหอ เราก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันเลยนี่ครับ
               “ผมไม่ค่อยหิวอะ... แต่ถ้าพี่วอร์มหิวก็ไปหาอะไรกินเล่นก็ได้ครับ”
               “โอเค~ งั้นไปกัน” ผมเลื่อนมือไปจับประสานมือกับน้องแล้วพาเดินออกมา การที่ได้เดินจูงมือกันแบบนี้ในที่สาธารณะก็รู้สึกดีเหมือนกันนะครับ ผมไม่สนหรอกว่าใครจะมองยังไง แต่ตอนนี้ผมมีความสุขมากที่ได้เดินเคียงข้างกันแบบนี้

 
               เราเลือกร้านของกินกันอยู่พักใหญ่ไม่ใช่ว่าเลือกไม่ได้หรอกครับ แต่วันนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวกันเยอะแยะไปหมด ร้านอาหาร Fast Food ธรรมดาก็คนนั่งกันเต็มเลย สรุปแล้วเราเลยมานั่งกันที่ร้าน Subway เพราะถ้าเลือกมากกว่านี้ท่าทางจะไม่ทันได้กินอะไรเพราะนี่ก็ใกล้จะถึงเวลาที่หนังจะฉายแล้ว แต่คนที่ร้านนี้ก็ยังเยอะอยู่ดีผมเลยให้ไอติมไปสั่งแซนด์วิชที่เคาน์เตอร์แทนส่วนผมก็ไปนั่งจองโต๊ะไว้ให้
 

               “มาแล้ว~ พี่วอร์มจะกินไก่อบหรือทูน่า...”
               “แล้วเราอยากกินอะไร”
               “ผมอยากกินทูน่าง่ะ”
               “ก็เอาไก่อบมาให้พี่ดิ... จะถามทำไมเนี่ย”
               “ก็... เผื่อพี่วอร์มอยากกินทูน่า ผมก็ให้ทูน่าพี่ไง” น้องยิ้มจนตาหยีตอบผมก่อนจะยื่นห่อแซนด์วิชไก่อบมาให้ผม
               “พี่กินแบบไหนก็ได้... เรานั่นแหละอยากกินอะไรก็กินแบบนั้นสิ ไม่ต้องตามใจพี่ขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวพี่เคยตัวนะ” ถึงความจริงแล้วผมจะชอบกินทูน่าก็เถอะ แต่ในเมื่อน้องอยากกินผมก็ยอมให้ได้ทั้งนั้นแหละครับ
               “แหนะ... ยอกย้อนผมเหรอพี่วอร์ม” ผมยักไหล่ทั้งสองข้างทำไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่น้องพูด แล้วไอติมก็ทำปากยู่กลับมาตามที่ผมคิดไว้เลย เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวน่ารักสักทีเนี่ย เวลาไม่พอใจหรืองอนอะไรก็จะชอบทำหน้าแบบนี้ ไม่รู้ตัวบ้างหรือยังไง ว่ามันน่าฟัดแค่ไหน
               “ไอติม... พี่ไม่กินผัก...” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากแกะห่อแซนวิชออกมา ทั้งมะเขือเทศสีแดงสด หอมใหญ่ ผักใบเขียว ไหนจะแตงกวาดองอีก จัดเต็มมาครบชุดเลยครับ
               “อ้าว... ผมไม่รู้อะ... ก็เห็นมะระตุ๋นพี่ยังกินได้เลยนี่น่า”
               “นั่นมันข้อยกเว้น...”
               “อ่า... งั้นเอาผักมาให้ผมก็ได้ โหยอะไรอะ ทำไมพี่วอร์มไม่กินผักเนี่ย มีประโยชน์จะตาย... มานี่ๆ เดี๋ยวไอติมคนนี้จัดการเอง” คนอะไรบ่นยิ่งกว่าแม่ผมอีก ผมมองน้องที่หยิบผักจากแซนวิชของผมไปใส่ของตัวเองอย่างขำๆ อีกอย่างเวลาน้องพูดชื่อแทนตัวเองว่าไอติมมันน่ารักมากจริงๆ
               “รีบกินกันเถอะ หนังจะฉายแล้ว”

 
               หลังจากดูหนังจบ ที่วางแผนกันไว้ว่าจะไปกินอาหารญี่ปุ่นก็ต้องพับเก็บไปก่อน เนื่องจากยังอิ่มกับน้ำและป๊อปคอร์นที่ซื้อเข้าไปกินระหว่างดูหนังกันอยู่เลย เราจึงเลือกมาเดินเล่นกันตรงฝั่งสยามแทน นานๆ ทีจะได้มาเดินเล่นที่นี่ รู้สึกว่าอะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปเยอะเลยครับ มีร้านรวงมาเปิดใหม่เต็มไปหมด ทั้งร้านเสื้อผ้าและร้านอาหาร ดูแปลกตาดีเหมือนกัน

 
               “พี่วอร์ม... มีคาเฟ่หมาแมวด้วยอะ แวะกันไหม” ผมหยุดมองตามที่ไอติมบอก นี่ไงครับ นอกจากร้านเสื้อผ้าและร้านอาหารแล้วยังมีคาเฟ่หมาแมวมาเปิดที่นี่ด้วย แถวนี้นี่เรียกได้ว่ามีครบทุกอย่างเลย ใช้เวลาทั้งวันก็คงไม่พอ
               “ไปดิ” ไหนๆ ก็ไม่เคยเข้าคาเฟ่แบบนี้แล้ว เห็นก็แต่ในโซเชี่ยลที่เขาแชร์กัน ลองเข้าไปดูหน่อยก็ไม่เสียหาย แล้วมันก็ดีจริงๆครับที่พวกเราแวะเข้ามา ที่นี่มีทั้งสุนัขแล้วก็แมวหลากหลายสายพันธุ์ให้เล่นเต็มไปหมด และดูท่าทางไอติมก็จะชอบเอามากๆ เสียด้วย
 

               ผมปล่อยให้น้องเล่นกับเจ้าขนฟูเท้าปุยทั้งหลายไปก่อนและเมื่อผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก็พบกับตัวเลขแจ้งเตือนในวงกลมสีแดงกว่าร้อยทำให้ผมต้องกดเข้าไปดูทันทีแล้วก็พบว่าข้อความมากมายก่ายกองที่ปรากฏแจ้งเตือนอยู่บนหน้าจอนั้นมากจากแชทกลุ่มจับฉ่ายของพวกคุณเพื่อนตัวดีทั้งหลายของผมนั่นเอง

 
               “คุยอะไรกันเยอะแยะวะ”


                ผมได้แต่บ่นพึมพัมกับตัวเอง พอไล่สายตาย้อนอ่านข้อความพวกนั้นคร่าวๆ ก็พบว่าพวกมันหนีไปเที่ยวกันโดยไม่มีผม แถมยังมีการส่งรูปหมู่ที่ถ่ายด้วยกันสามคนมาลงกรุ๊ปอีก นัดกันไปเที่ยวไม่ชวนผมสักคำ พอผมตัดพ้อไปก็ดันช่วยกันรุมยำผมกลับมาอีก กลายเป็นความผิดผมซะอย่างนั้นที่หนีพวกมันมาเดทกับน้องไอติม ตรรกะอะไรของพวกมันวะครับ ก็ผมนัดน้องไว้ก่อนแล้วนี่นา ใครจะปุบปับนึกจะไปก็ไปอย่างพวกมันกัน

 
               “แหนะ! อย่าซนสิเจ้าตัวเล็กนี่! ห้ามกัดนะ! เดี๋ยวพี่ไอติมไม่ให้กินขนมเลยนะ”


               เสียงใสที่ถูกกดให้เข้มกว่าปกติดังขึ้น ดึงความสนใจของผมจากหน้าจอโทรศัพท์ให้หันไปมองต้นเสียงทันที ไอติมที่กำลังดุเจ้าขนฟูสีดำขลับที่สงสัยน่าจะคันเหงือกคันฟันซี่เล็กๆ ของมัน ก็เลยกำลังงับมือน้องเล่นอย่างเมามันไม่ยอมปล่อยเลยทีเดียว แล้วเจ้าตัวก็ดุลูกสุนัขบนตักอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับมันจะฟังภาษาคนรู้เรื่องอย่างนั้นแหละ
 

               “คุยกับหมารู้เรื่องด้วยหรือยังไงเรา”
               “พี่วอร์มอะ... ที่ตัวเองยังคุยกับเบนโตะเป็นตุเป็นตะเลย” ถึงประโยคหลังน้องจะตั้งใจแค่พึมพัมกับตัวเองแต่ผมก็ได้ยินอยู่ดี มัวแต่ก้มหน้าคุยกับเจ้าขนปุยบนตักจนไม่รู้ตัวเลยหรือยังไงว่าผมเขยิบเข้ามาหาจนใกล้ขนาดนี้แล้ว
               “ยิ้มเร็ว เดี๋ยวพี่ถ่ายรูปให้ จะได้เก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าโดนเจ้าตัวไหนงับมือ ฮ่าๆๆ” ไอติมยู่หน้าใส่ผมเล็กน้อยแต่ก็ยอมยิ้มและโพสท่าชูสองนิ้วให้ผมทันที

 
               จากนั้นผมก็เลยไปนั่งเล่นกับสุนัขตัวโตขนยาวสีน้ำตาลที่หมอบอยู่ใกล้ๆ โต๊ะของพวกเราบ้าง แต่ดูๆ แล้วมันจะอยากนอนมากว่าที่จะอยากเล่นกับผม ชีวิตของนายไออุ่นท่าทางจะเป็นมนุษย์หมาเมินอย่างแท้จริง ขนาดหมาที่เลี้ยงมากับมือทุกวันนนี้มันยังไม่ค่อยจะสนใจผมเลย มาเจอเจ้าขนฟูตัวนี้เมินอีกก็ไม่แปลกอะไรหรอกครับ นี่ผมลงทุนลงมานอนคุยกับมันที่พื้นเลยนะ สนใจกันหน่อยก็ไม่ได้ นอกจากจะหลับตาเบี่ยงหน้าหนีจากผมเล็กน้อยแล้วมันยังกรนใส่หน้าผมอีกอ่ะ ใจร้ายชะมัดเลย

 
               แล้วอยู่ดีๆ ก็มีอีกหนึ่งข้อความแจ้งเตือนใหม่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของผม มันคือแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นสำหรับการอัพรูป ซึ่งก็เป็นน้องไอติมนั่นเองที่อัพรูปและแท็กแอคเคาท์ของผม โอ้โห เล่นแรงใช้ได้นะครับ รูปน้องที่ผมอัพไปก่อนหน้านี้ผมแค่เหน็บความน่ารักของน้องนิดหน่อยเอง แต่นี่เล่นว่าผมกับเจ้าตัวที่กำลังนอนกรนอยู่ข้างๆ ว่าเป็นเพื่อนกันเฉยเลย
       
       
               แล้วพอกดเข้าไปดูในกรุ๊ปแชทที่ข้อความเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็พบว่า ผมกับน้องไอติมกำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาอย่างที่คิดไว้จริงๆ ถ้าทางคุณเพื่อนทั้งหลายของผมจะว่างมากจริงๆ แค่ว่างไม่พอ ไอ้จัสกับมิชิก็ยังจะขยันสร้างความร้าวฉานให้ผมกับน้องอีก แต่มันก็แค่พวกคอมเม้นที่มาเต๊าะน้องในรูปเก่าๆ ของน้องไม่ทำให้ผมสะเทือนหรอก กับเรื่องแค่นี้ถ้าผมหัวร้อนแล้วไประเบิดลงที่น้องก็แย่แล้วครับ

 
               “พี่วอร์ม… หิวยังอ่า…”
               “อะไรกัน เล่นจนหมดแรงป็อปคอร์นแล้วเหรอไง”
               “ก็ยังไม่หิวขนาดนั้นหรอกครับ แต่เจ้าตัวเล็กพวกนี้ดูเพลียๆ กันหมดแล้วอ่า... ผมเรียกมันก็ไม่มาหาสักตัวเลย”
               “โอเค ถ้าอย่างนั้นเราเดินกลับไปกัน กว่าจะถึงร้านก็คงหิวพอดี” ไอติมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับผมก่อนจะแวะร่ำลาเจ้าขนปุยทั้งหลายไม่ว่าจะตัวเล็กหรือตัวโต กว่าเราจะได้ออกจากร้านจริงๆ ก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียวครับ


               เมื่อมาถึงร้านคนที่งอแงเพราะความหิวในตอนแรกก็ตาลุกวาวทันที แต่เจ้าตัวกลับตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะสั่งรายการไหนดี อาจเป็นเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างคงดูน่ากินไปหมดในสายตาของไอติมผู้หิวโหยละมั้งครับ ผมนั่งมองน้องที่กำลังเปิดพลิกหน้ารายการหาอาหารไปมาอยู่พักใหญ่แล้ว แต่ก็ยังเลือกไม่ได้เสียที
 

               “ยังไงเรา ตกลงเลือกได้รึยังว่าจะกินอะไร หื้ม?”
               “ผมอยากกินปลาดิบอ่า... พี่วอร์มกินกับผมไหม”
               “เอาสิ พี่กินได้ทุกอย่างแหละ สั่งที่เราอยากกินเลย”
               “งั้นเอา ปลาดิบรวมหนึ่ง ปลาดิบสไลด์บางหนึ่ง แล้วก็ซูชิแซลม่อนลนไฟไส้ปลาไหลย่างครับ พี่วอร์มสั่งอะไรอีกไหม” ไอติมหันไปสั่งรายการอาหารที่ต้องการกับพนักงานก่อนจะหันกลับมาถามผม ท่าทางจะทั้งหิวและอยากกินปลาดิบมากจริงๆ
               “เอาแค่นั้นก่อนครับ ถ้าไม่พอกินค่อยสั่งเพิ่มดีกว่าเนอะ แค่นี้ก็เยอะแยะแล้วเนี่ย ฮ่าๆๆ” ผมบอกกับพนักงานที่ยืนรออยู่แล้วยีหัวคนตรงหน้าเล่นด้วยความหมั่นเขี้ยว ผมชอบเวลาที่ได้เห็นสีหน้าน้องยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้จัง ดวงตากลมใสของน้องเป็นประกายวิบวับสุดๆ ไปเลย
 

               นั่งรอไม่นานอาหารที่สั่งไปก็ถูกยกนำมาวางเสิร์ฟตรงหน้าพวกเรา ปลาดิบที่นี่ดูสดมากจริงๆ ครับ สีสันสวยงามของมันยั่วน้ำลายได้เป็นอย่างดีทีเดียว คนตรงหน้าผมก็นั่งงับตะเกียบเล่นก่อนจะช้อนตาขึ้นมามองผม จะอ้อนเอาอะไรอีกเนี่ย

 
               “กินเลยได้ไหมอ่า...” ไอติมเม้มปากแน่นพร้อมส่งสายตาอ้อนมาที่ผม นี่มันอะไรกันครับ แค่จะขอกินปลาดิบก่อนที่อาหารทุกอย่างจะมาครบนี่ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอครับ ใจผมบางหมดแล้ว อยากจะจับน้องมาหอมแก้มฟอดใหญ่เสียตอนนี้เลย
               “กะ... กินสิ กินเลย...”


               อยู่ๆ ก็เหมือนจะกลายเป็นคนติดอ่างไปเสียอย่างนั้นผมก็เลยต้องทำเป็นคีบแซลม่อนสีส้มสดป้อนน้องแก้เก้อ ยิ่งได้เห็นคนตรงหน้าหลับตาพริ้มเคี้ยวปลาดิบแก้มตุ่ยใจผมก็ยิ่งเต้นรัวหนักกว่าเดิม ก็รู้อยู่แหละครับว่าไอติมเป็นคนน่ารัก แต่ก็ไม่คิดว่าจะน่ารักไม่หยุดไม่หย่อนขนาดนี้ ผมอยากเก็บความน่ารักนี้ไว้ดูคนเดียวจริงๆ ไม่อยากให้ใครได้เห็นได้พบเจอน้องแบบนี้เลย

 
               “อิ่มมาก... พี่วอร์มเรียกเก็บเงินเลยก็ได้นะครับ คนรอคิวนอกร้านเต็มเลยอะ จะนั่งชิลต่อก็เกรงใจคนอื่นเขา” พวกเราใช้เวลาทานอาหารและพูดคุยกันไม่นานมากนักผมก็จัดการชำระเงินตามที่น้องบอก ไม่ใช่ว่าน้องจะให้ผมเลี้ยงตลอดหรอกนะครับ ไอติมเองก็เอ่ยปากจะหารกับผมเหมือนกัน แต่วันนี้ผมตั้งใจพาน้องมาเดทนี่ครับ แค่เลี้ยงแฟนวันเดียวเอง ผมไม่ถือว่าน้องเอาเปรียบหรอกครับ

 
               หลังจากคนที่บอกว่าอิ่มมากเมื่อครู่ก็เดินนำผมไปหยุดอยู่ที่ร้านไอศกรีมก่อนจะจัดการสั่งไอศรีมสตรอเบอร์รี่เพิ่มวิปครีมที่เจ้าตัวชอบพร้อมทั้งไอศกรีมช็อคโคแลตเพิ่มโอริโอ้และบราวนี่ของโปรดผมมาให้โดยคราวนี้น้องยืนกรานว่าจะเป็นฝ่ายเลี้ยงผมบ้าง ผมก็ไม่อยากให้เสียน้ำใจก็เลยยอมให้ไอติมเลี้ยง

 
               “ทำไมของพี่แก้วเล็กอ่ะ ของตัวเองนี่แก้วใหญ่เชียวนะ ไหนเมื่อกี้ใครบ่นอิ่ม”
               “พี่วอร์มอะ ไม่ต้องมาแซ็วเลย แก้วเล็กจะได้กินให้หมดก่อนไงครับ เดี๋ยวพี่วอร์มต้องขับรถนี่นา” ไอติมยู่ปากใส่ผมก่อนจะงับวิปครีมฟูฟ่องและไอศกรีมสีชมพูหวานเข้าปากด้วยความฟิน เชื่อแล้วล่ะครับ ว่าน้องชอบทานไอศกรีมมากจริงๆ สุดท้ายแล้วผมก็เดินไปกินไปจนหมดพอทีกับที่เดินออกมาถึงลานจอดรถพอดี




**น้องไอติม**
 




               หมดไปอีกหนึ่งวันที่แสนมีความสุขของผม วันนี้พี่วอร์มพาผมออกมาเที่ยวตั้งแต่ช่วงเช้าเลยครับ แถมเมื่อเช้าก็เป็นคนโทรปลุกผมก่อนด้วย ทั้งที่ส่วนมากผมจะเป็นฝ่ายโทรปลุกพี่เขามากกว่า วันนี้เราได้ทำอะไรหลายอย่างเลยครับ เวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆ และได้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารัก มันช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขจริงๆ ครับ

 
               “ยิ้มอะไรหืม?” นี่ผมคิดอะไรเพลินจนลืมตัวเผลอหันไปมองหน้าพี่วอร์มด้วยเหรอเนี่ย ไอติมเอ๊ย ทำตัวน่าอายอีกแล้ว
               “ปะ... เปล่าครับ ไม่มีอะไร... อืม... วันนี้รถเยอะจังเลยเนอะ” ผมเสมองออกไปนอกรถแล้วพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยกลบเกลื่อนสายตาล้อเลียนของพี่วอร์มที่มองมา ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ลานจอดรถของห้างครับกำลังเตรียมตัวจะกลับหอกันแล้ว
               “ไอติม...”
               “ครับ?”
               “ไอติมอะ จะละลายแล้วนะ” พี่วอร์มเพยิดหน้ามาที่ถ้วยไอติมในมือที่ผมแวะซื้อก่อนจะเดินมาขึ้นรถ แล้วมันก็เริ่มจะละลายเหมือนที่พี่วอร์มบอกจริงๆ
               “หง่า... จะละลายแล้วง่ะ! พี่วอร์มช่วยไอกินหน่อย” ผมตักไอศกรีมเข้าปากก่อนจะหันไปเอ่ยชวนคนข้างๆ ที่นั่งมองผมอยู่
               “แล้วซื้อทำไมตั้งถ้วยเบ้อเริ่ม... ละลายจนกินไม่ทันแลวเนี่ย”
               “ก็ไออยากกินอะ...” ผมตักไอศกรีมป้อนเข้าปากอีกคน ที่ไอศกรีมมันละลายไวเพราะอากาศมันร้อนต่างหาก ไม่ใช่ความผิดผมสักหน่อย พี่วอร์มจะบ่นผมทำไมก็ไม่รู้
               “ไอติมเลอะอะ”
               “หืม? ตรงไหน...”
               “ที่ปาก” ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากตามที่พี่วอร์มบอกตำแหน่งแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย
               “ไม่เห็นมี... พะ... พี่วอร์ม... จะทำอะ...!?” เหมือนทุกอย่างรอบกายจะพากันหยุดนิ่งไปหมด ตั้งแต่พี่วอร์มโน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วมอบจุมพิตเบาๆ ให้ที่มุมปากของผม นี่พี่วอร์มจูบผมเหรอ
               “เลอะตรงนี้ไง... รสสตอเบอรี่ด้วย... ขอชิมอีกหน่อยนะ”


                ผมที่กำลังตกอยู่ในสภาพมึนงงอยู่ได้เพียงไม่นานพี่วอร์มก็ก้มลงมาจูบที่ริมฝีปากผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้แค่จูบเบาๆ ธรรมดาแล้ว ริมฝีปากอุ่นๆ ของพี่เขากำลังขบเม้มกับริมฝีปากเย็นของผมช้าๆ ก่อนจะบดเบียดสัมผัสร้อนชื้นเข้ามาภายในโพรงปาก ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ผมได้รับมันกำลังจะทำให้ผมละลายเหมือนกับไอศกรีมในถ้วยที่ผมถืออยู่เลยครับ

 
               “อืม... ไอติมอร่อยจัง”
               “พะ... พี่วอร์ม!!!” ช่วยด้วยครับ ตอนนี้หน้าผมร้อนเหมือนมันกำลังจะระเบิดแล้ว ยังจะมีหน้ามายิ้มอีกดูสิครับคนเรา ฮือ ใจผมเต้นแรงแทบจะหลุดออกมาจากอกแล้วนะ ยิ่งในสถานการ์ณแบบนี้ ถึงฟิล์มกระจกรถมันจะมืดแต่ผมก็กลัวคนอื่นจะมาเห็นเหมือนกันนะ
               “เขินพี่เหรอ... จะว่าไป... นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราจูบกันสักหน่อย”
               “พะ...พี่วอร์มหมายความว่ายังไง...”
               “ตอนรับน้องไง... ฐานสุดท้ายอะ ไอติมจำไม่ได้เหรอ”


               อยู่ดีๆ พี่วอร์มพูดถึงเรื่องรับน้องขึ้นมา ใช่แล้ว วันนั้นฐานสุดท้ายในห้องเย็นที่ผมโดนกดดันให้จูบกับรุ่นพี่เพื่อแสดงความรักที่มีต่อโต๊ะ แล้วในที่สุดพี่วอร์มก็ออกมาเป็นคนที่ให้ผมจูบ แล้วตอนนั้นก็เป็นผมเองด้วยที่เลือกจะเป็นคนโน้มเข้าไปจูบพี่เขาก่อน ฮือ นึกถึงเรื่องนั้นในเวลานี้ยิ่งอายเข้าไปใหญ่เลย

 
               “จะกินไอติมต่อไหม... ละลายหมดถ้วยแล้วนั่น” เสียงพี่วอร์มที่เอ่ยถามผมขึ้นอีกครั้ง ดึงให้ผมหลุดออกจากภวังค์
               “มะ... ไม่กินแล้ว... อิ่มแล้วครับ”
               “เสียดายเหลืออีกตั้งเยอะ... แต่ไอติมถ้วยนี้อร่อยดีนะ หวานมากเลยอะ” พูดพร้อมกับส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ผมอีกครั้งจนผมอดไม่ไหวต้องยกมือฟาดเข้าไปที่ต้นแขนของพี่วอร์ม ใครใช้ให้พูดจาชวนเขินแบบนี้ล่ะครับ
               “พี่วอร์ม!!! หยุดเลย! รีบขับรถกลับหอเลย! ไม่ต้องพูดแล้ว...”


.


.



.


.

 
               น่าแปลกที่วันนี้รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเราสวนทางกับคนอื่นก็เป็นไปได้ ใช้เวลายังไม่ถึงชั่วโมงดีตอนนี้พี่วอร์มก็ขับมาถึงทางออกของทางด่วนที่มุ่งหน้าไปสู่มหาวิทยาลัยของพวกเราแล้วครับ แล้วจู่ๆ ความรู้สึกปวดจี๊ดก็แล่นเข้ามา เอาแล้วไงเจ้าแซลมอน เจ้ามากูโร่ เหล่าปลาดิบที่ทานไปเมื่อมื้อเย็นออกฤทธิ์แล้วแน่ๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าถ้ากินเข้าไปจะเป็นแบบนี้ แต่ผมก็กินมันอยู่ดี คนมันอยากกินนี่ครับ ไม่ได้กินตั้งนานแล้วด้วย ถ้าขืนผมบอกพี่วอร์มว่าผมแพ้ปลาดิบต้องอดกินแน่ๆ พี่วอร์มไม่มีทางยอมให้ผมกินเด็ดขาด เพราะฉะนั้นก็ต้องอดทนเอาไว้

 
               ผมขยำเสื้อที่บริเวณหน้าท้องกำมือเอาไว้แน่น หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความปวดได้บ้างแต่มันก็ไม่ดีขึ้นเลยจนผมต้องเริ่มนั่งตะแคงตัว แต่ท่าทางที่ดูบิดไปมาผิดท่านั่งแบบบี้คงทำให้พี่วอร์มผิดสังเกตและเอ่ยถามขึ้นมาจนได้
 

               “ไอติมเป็นอะไรรึเปล่า...”
               “เปล่าครับ... แค่ปวดท้องนิดหน่อย...” คำโกหกคำโตหลุดออกไปจากปากผม นิดหน่อยบ้าอะไรเล่า ปวดมาก ปวดจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้วเนี่ย ปวดจี๊ดเหมือนมีใครกำลังจับอวัยวะภายในท้องผมมาหมุนแล้วบิดจนเป็นเกรียวยังไงอย่างนั้นเลย ฮือ
               “ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ถึงหอแล้ว” พี่วอร์มเหยียบคันเร่งทันที รถทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วจนหน้ากลัว ผมอยากจะบอกให้พี่เขาขับช้าๆ ก็ได้ เพราะด้วยความเร็วขนาดนี้มันออกจะอันตรายไปหน่อย แต่ตอนนี้ผมแทบไม่มีแรงแม้จะตอบกลับพี่วอร์มเลยด้วยซ้ำ ครั้งก่อนๆ ที่เคยกินไม่เห็นมันจะปวดขนาดนี้เลยนี่นา

 
               เมื่อพี่วอร์มช่วยประคองผมว่าส่งถึงหน้าห้องแล้ว ผมเลยบอกให้พี่เขากลับไปพักผ่อน เพราะวันนี้ก็ออกพาผมเที่ยวตั้งแต่เช้าแล้วคงจะเหนื่อยไม่น้อยเลย แต่พี่เขากลับยืนกรานที่จะอยู่ดูแลผมจนกว่าผมจะหลับ แต่ปวดท้องขนาดนี้จะหลับลงได้ยังไงกันเนี่ย หรือผมควรจะล้วงคอดี ถ้าปล่อยไว้แบบนี้มันทรมานเกินไป

 
               “ปวดมากเลยเหรอ ดูสิเหงื่อแตกไปหมดแล้วเนี่ย... มียารึเปล่า”
               “ไม่มีเลยอ่า... ปวดเหมือนมีใครมาบิดเลย ฮือ...”
               “ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหมไอ...” ผมรีบส่ายหัวเป็นการปฏิเสธพี่วอร์มทันที ผมไม่อยากลุกไปไหนแล้วจริงๆ อย่างน้อยการที่ได้นอนจดอยู่แล้วนี้มันก็จะปวดน้อยลงบ้าง
               “จริงๆ เลยนะ ถ้าอย่างนั้น รอพี่แป๊บนึง เดี๋ยวจะลงไปหาซื้อยาให้ โอเคนะ แต่ถ้าไม่หายต้องไปโรงพยาบาลนะรู้เปล่า” พี่วอร์มที่ซุดตัวลงนั่งอยู่บนเตียงข้างผม ลูบหัวผมเบาๆ พร้อมกับทำเสียงดุ ก่อนจะรีบออกจากห้องไปเพื่อหาซื้อยาตามที่บอก ทำไมผมจะไม่รู้ว่าที่พี่เขาดุก็เพราะเป็นห่วง แต่ผมก็ไม่อยากจะโดนดุไปมากกว่านี้หรอกนะครับ

 
               นึกแล้วก็อดโทษตัวเองไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่ากินไม่ได้ก็ยังจะกิน แต่ปกติทุกครั้งมันก็แค่ท้องเสียไม่ได้รุนแรงอะไรนี่นา แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้ปวดขนาดนี้นะ ผมเดินเข้าออกห้องน้ำอยู่หลายรอบมาก นั่งแช่อยู่ในนั้นก็แล้วแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาการปวดก็ยังไม่ได้ทุเลาลงเลยครับ สุดท้ายก็ได้แต่มานอนบิดอยู่บนเตียงเหมือนเดิม ทำไมพี่วอร์มไปนานจัง เมื่อไหร่จะกลับมานะ ระหว่างที่ผมกับลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ความปวดก็แล่นจี๊ดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนกับทุกอย่างภายในและก้อนอะไรบางอย่างกำลังดันย้อนขึ้นมา

 
               อุ... แหวะ...

 
               ถึงแม้ผมจะพยายามพุ่งตัวไปที่ห้องน้ำอย่างเร็วที่สุดแล้วแต่มันก็ไม่ทันอยู่ดีครับ แทนที่สิ่งซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายและไม่พึงประสงค์นั้นจะถูกปลดปล่อยในโถชักโครกมันกลับกระจายอยู่เต็มพื้นเลย แถมบางส่วนก็ยังเปื้อนอ่างล้างหน้าอีก ฮือ ยังดีที่ไม่เปื้อนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ตอนนี้ไปด้วย

 
               “ไอติม!!! ไหวเปล่าเนี่ย...”
               “พี่วอร์ม! อย่าเพิ่งเข้ามา!!! ไม่ต้องเข้ามานะครับ อ้วกเลอะเทอะเต็มพื้นเลยอ่า...”
               “ไม่เป็นไรๆ แล้วโอเคขึ้นไหม ไอรีบๆ ออกมากินยาแล้วนอกพักเถอะ” พี่วอร์มยืนลูบหลังผมอยู่หน้าประตูและตบเบาๆ เป็นการปลอบ ผมไม่ได้ร้องไห้หรอกนะครับ แต่มันแสบคอไปหมด น้ำตามันก็เลยไหลออกมาด้วย

 
               พี่วอร์มพาผมกลับไปที่เตียงและให้นั่งพิงหัวเตียงไว้ก่อนเพื่อที่จะได้กินยา ผมเห็นพี่วอร์มค่อยๆ เทยาน้ำสีขาวขุ่นใส่ช้อนแล้วจ่อมาที่ปากผม ให้ตายเถอะ ตั้งแต่ไหนแต่ไรผมก็ไม่ค่อยจะถูกกับยาประเภทน้ำสักเท่าไหร่ แต่คราวนี้คงต้องยอมกินแล้วล่ะครับ กลิ่นหอมมินต์จากของเหลวตรงหน้าช่วยให้ผมคลายกังวลลงไปได้บ้าง รสชาติของมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก หลังจากที่ผมกินช้อนแรกไป พี่วอร์มก็ยังคงยื่นอีกช้อมมาอย่างต่อเนื่อง ผมเบะปากเล็กน้อยยังไม่ทันที่จะปฏิเสธพี่วอร์มก็รีบพูดดักคอผมขึ้นมาทันที


               “กินเร็วๆ เลย สองช้อนเอง กินให้หมดนะ หรือถ้าไม่อยากกิน ไอจะไปโรงพยาบาลแทนก็ได้นะ เดี๋ยวพี่พาไป” สุดท้ายผมก็ยอมจำนนกินไปสองช้อนเต็มๆ แล้วรีบดื่มน้ำตามทันทีถึงรสชาติมันจะไม่ได้แย่ แต่ยามันก็คือยาอยู่ดีนั่นแหละครับ พอผมล้มตัวลงนอนพี่วอร์มก็เดินกลับไปที่หน้าห้องน้ำ ถึงผมอยากจะพุ่งตัวไปห้ามมากแค่ไหน แต่ก็ทำได้เพียงส่งเสียงไปถาม
               “พี่วอร์มจะทำอะไรอ่า...”
               “เรานอนไปเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง
               “แต่ว่า... มันสกปรกอะ ทิ้งไว้แบบนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวไอตื่นมาทำเอง”
               “เล็กน้อยน่า เรื่องแค่นี้เอง ถ้าพี่จัดการไมได้แล้วพี่จะดูแลไอได้ยังไง หื้ม? รีบๆ นอนพักไปเลย ถ้าไม่ยอมนอนพี่จะพาไปโรงพยาบาลจริงๆ แล้วนะ” พี่วอร์มหันมาพูดขู่ผมพร้อมชี้นิ้วมาเป็นการคาดโทษ ผมเองก็ไม่ใช่คนดื้อด้านอะไรขนาดนั้นเพียงแต่ว่าเกรงใจพี่เขามากกว่า วันนี้เหนื่อยขับรถพาผมไปเที่ยวเล่นมาทั้งวันแล้วยังต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก รู้สึกผิดชะมัดเลยครับ ถ้าผมไม่ฝืนกินปลาดิบเข้าไปเหตุการณ์ก็คงไม่กลายมาเป็นแบบนี้

 
               หลังจากที่พี่วอร์มปิดประตูห้องน้ำผมก็ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวไหลลงกระทบกับพื้นกระเบื้องตอนนี้พี่วอร์มคงกำลังปล่อยให้สายน้ำช่วยชำระสิ่งไม่พึงประสงค์ที่ขับออกมาจากร่างกายของผม นอนฟังเสียงน้ำไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็รู้สึกง่วงขึ้นมาเสียเฉยๆ วันนี้ผมรู้สึกขอบคุณพี่วอร์มมากจริงๆ พี่เขาดีกับผมมาก ทั้งคอยตามใจ คอยดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง ถึงวันนี้ร่างกายผมจะป่วยแต่ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ผมก็มีความสุขและอิ่มเอมใจมากๆ เลยครับ



.



.



.



To be Continue...





TALK:;
แถวนี้มดเยอะมากเลยเนอะ
ช่วงนี้ก็หวานๆ อ่านสบายๆ เรื่อยๆกันไปก่อนนะคะ
แต่รับรองว่าตอนต่อๆ ไปเข้มข้นแน่นอน ฝากติดตามด้วยนะคะ
พูดคุยติชมในทวิต #หัวใจอุ่นไอรัก ได้เลยนะคะ





ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
               

               
                 
:: Chapter 17 :: 'วิตามิน'




**พี่วอร์ม**



               เขาว่ากันว่าหากมีเราความสุขเวลามักจะเดินเร็วเสมอ ตั้งแต่ผมกับไอติมตกลงคบกันเป็นแฟนเราใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วยกันเสมอ ทุกวันที่ทั้งผมและน้องไม่มีเรียนเราก็มักจะออกไปเที่ยวด้วยกันหรือที่หลายๆ คู่เรียกมันว่าการเดท หากบางวันที่รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะออกไปข้างนอก ไอติมก็มักจะมานั่งเล่นและใช้เวลาทั้งวันอยู่กับผมและเจ้าเบนโตะที่ห้อง ถึงแม้ว่าผมจะเอ่ยปากบอกว่าให้ผมเป็นฝ่ายขึ้นไปหาน้องที่ห้องบ้างก็ได้ แต่เจ้าของห้องกลับปฏิเสธทันควันและยืนยันที่จะเป็นฝ่ายมาหาผมที่ห้องเอง บางทีเราก็แค่นั่งทานข้าวด้วยกัน นอนดูหนัง เล่นกับเจ้าเบนโตะไปเรื่อยเปื่อยจนหมดวันไปอย่างแสนธรรมดา แต่มันกลับเป็นวันที่แสนพิเศษและมีความหมายกับผมมากๆ ไม่มีครั้งไหนเลยที่รู้สึกอึกอัดหรือน่าเบื่อเมื่อผมได้อยู่กับไอติม

 
               แต่ช่วงที่ผ่านมานี่สิครับ เนื่องจากเป็นช่วงสอบปลายภาค ซึ่งสำหรับเด็กนิติศาสตร์อย่างพวกผมก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ท่องประมวลกฎหมาย และฝึกทำข้อสอบวนไปเท่านั้น ถึงบางครั้งไอติมกับเพื่อนๆ จะมานั่งอ่านหนังสือรวมกับพวกผมที่หอสมุดก็ตาม แต่เราแทบจะไม่ได้คุยกันเลยครับ เรียกได้ว่าอยู่กับกองหนังสือและเอกสารมากกว่าแฟนก็ว่าได้
 

               จนวันนี้ซึ่งเป็นวันสอบวันสุดท้ายก็มาถึง ปี1 มีสอบตัวสุดท้ายช่วงเช้า ส่วนปี3 อย่างผมกว่าจะเลิกก็เย็นนั่นแหละครับ เพราะเริ่มสอบตอนบ่ายถึงจะดีที่ยังพอมีเวลาให้อ่านเพิ่มเติม แต่ตอนนี้ผมอยากสอบให้มันจบๆ ไปมากกว่าครับ ตอนนี้คิดถึงเตียงที่ห้องมากๆ ช่วงสอบทีไรแทบไม่ได้นอนทุกทีเลยครับ นี่ผมก็ตื่นแต่เช้ามาส่งไอติมเข้าห้องสอบแล้วลากสังขารตัวเองมานั่งอ่านหนังสือต่อที่หอสมุดตามที่เค้กนัด ถ้าไม่มีเค้กผมว่าทั้งผม ไอ้จัส และมิชิก็คงยังไม่ตื่นและนอนตายกันอยู่ที่ห้อง
 

               “สอบเสร็จชวนน้องๆ ปี1 ไปกินข้าวด้วยกันดีไหม ช่วงปิดเทอมน่าจะแยกย้ายกันกลับบ้าน...”
               “เอาสิเค้ก พวกมึงว่าไง” ไอ้มิชิที่ขานรับข้อเสนอของเค้กทันควัน หันมาถามความคิดเห็นผมกับจัส จริงๆ ถ้าจะแสดงความยินยอมและเห็นด้วยไปขนาดนั้นแล้วไม่ต้องถามแล้วก็ได้มั้ง ไอ้คุณชายนี่
               “วอร์มยังไงก็ได้อยู่แล้วเค้ก”
               “จัดสิครับ รออะไร ไม่ได้กินข้าวกับน้องๆ นานแล้ว ตั้งแต่งานกีฬามหา’ลัยโน่น” ไอ้จัสเองก็ดีใจจนออกนอกหน้า ผมรู้ทันหรอกนะ ว่ามันไม่ได้ดีใจที่จะได้กินข้าวกับน้องสายตัวเองหรอก มันอยากกินข้าวกับน้องสายเค้กมากกว่า ถ้าปี2 อยู่ด้วยก็คงพากันไปกินทั้งหมดนั่นแหละครับ แต่ว่าจะสอบเสร็จกันไปตั้งแต่เมื่อสองสามวันก่อนแล้ว
               “ตกลง ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเค้กส่งข้อความไปบอกน้องไวท์เลย ทุกคนก็บอกน้องสายตัวเองด้วยนะ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะกดส่งข้อความไปหาไอติม แต่คาดว่าตอนนี้น้องน่าจะกำลังสอบอยู่ เดี๋ยวสอบเสร็จก็คงจะเปิดอ่านข้อความเองแหละครับ
 





**น้องไอติม**




               “โอ๊ย~ ในที่สุดก็สอบเสร็จสักที สมองจูตอนนี้นะ รู้สึกโล่ง~ ไปหมดเลย” จูเนียร์บ่นทันทีหลังจากที่เดินออกมาจากห้องสอบได้ไม่นานนัก ผมกับจูเนียร์ทำข้อสอบเสร็จในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่วนไวท์นั้นยังคงนั่งอยู่ในห้องสอบ และตอนนี้ก็เหลือเวลาสอบอีกเพียงแค่สิบนาทีเองครับ สงสัยไวท์จะเหมาจนครบหมดชั่วโมงแน่ๆ เลย ไม่รู้จะเอาท็อปเซคหรือยังไงกันนะ
               “อือ... เบาหัวเลยอะ รู้สึกเหมือนเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย สอบเสร็จหมดแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่ลุ้นคะแนน ฮือ... กลัวจัง” ผมบ่นต่อบ้าง เห็นเพื่อนๆ หลายคนที่เดินออกมาจากห้องสอบ พากันเปิดชีทดูแนวคำตอบที่น่าจะถูกต้องจากข้อสอบเก่ากันอยู่แถมยังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่างๆ นานา ว่าตอบอะไรกันไปบ้าง แต่ผมไม่ชอบทำแบบนั้นหรอกครับ ดูไปก็เสียความมั่นใจและเจ็บใจเปล่าๆ ถ้าเกิดว่าเราทำข้อสอบผิด มาขนาดนี้แล้วยังไงเราก็กลับไปแก้ไขอะไรมันไม่ได้อยู่ดี
               “พี่มิชิกับพี่จัสชวนไปกินข้าวฉลองหลังสอบเสร็จอะ”
               “หืม?” ผมหันไปมองข้อความบนหน้าจอมือถือของจูเนียร์ที่ยื่นมาให้ผมดู ก่อนที่โทรศัพท์ของผมจะสั่นขึ้นตามมาหลังจากนั้น แล้วก็เป็นข้อความจากพี่วอร์มนั่นแหละครับ ที่แจ้งเตือนปรากฏขึ้นมาตอนนี้ พี่วอร์มเองก็แชทมาบอกเรื่องที่จะไปกินข้าวเย็นนี้เหมือนกัน
 

               หลังจากที่รอไวท์ออกมาจากห้องสอบ พวกเราก็ตัดสินใจกลับหอกันก่อนครับ ถึงแม้ว่าใจนึงผมจะอยากไปหาพี่วอร์มที่หอสมุดก่อนก็เถอะ แต่เห็นตว่าพี่ๆ เขากำลังติวหนังสือกันเลยไม่ขอไปกวนดีกว่า เพราะเดี๋ยวช่วงบ่ายพี่ๆ ก็ต้องเข้าห้องสอบกันแล้ว อีกอย่างยังไงเย็นนี้เราก็ได้เจอกันอยู่แล้ว
 

               เมื่อถึงเวลานัดพี่วอร์มก็ขับรถมารับผมกับเพื่อนๆ ที่หอซึ่งก็มีเหตุผิดพลาดทางเทคนิคเล็กน้อยแต่ก็หาข้อสรุปได้และผ่านไปด้วยดีครับ พอมาถึงที่ห้างสรรพสินค้าพี่วอร์มก็พาผมมุ่งหน้าไปที่ร้าน คาดว่าพวกพี่ๆ เขาคงจองโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้ว
 

               “อ้าว... ไหนมึงว่าจะไปรับน้องแค่คนเดียวไง แล้วทำไมจูเนียร์กับไวท์ถึงไปกับไอ้จัสวะ” พี่มิชิเอ่ยถามหลังจากที่ผมกับพี่วอร์มเดินเข้ามาในร้านพิซซ่าซึ่งมีพี่มิชิกับพี่เค้กมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
               “มันบอกว่าจะให้กูอยู่กับไอติมสองคนไม่อยากเป็นก้างขวางคอ มันเลยขอพาน้องสายกับน้องไวท์ไปพร้อมมัน... มึงว่ามันอ้างไหม” พี่วอร์มบ่นกับพี่มิชิต่อจากนั้นจนพี่มิชิกับพี่เค้กพากันหัวเราะออกมา เอาจริงๆ ผมเองก็งงเหมือนกันนะครับ เพราะตอนแรกพี่วอร์มบอกว่าจะมารับผมกับเพื่อนๆ แค่คนเดียว ทำไปทำมา ไม่รู้ทำไมพี่จัสถึงขับรถตามมาด้วยก็ไม่รู้ ผลสุดท้ายเลยออกมาตามที่พี่วอร์มว่านั่นแหละครับ
               “เอาหน่า ปล่อยๆ มันไปเถอะ ไหนๆ ก็จะปิดเทอมแล้ว ให้มันทำคะแนนหน่อย”
               “เออสิ นี่ก็เห็นแก่เพื่อนหรอกเว้ย ถ้าไม่อย่างนั้นนะมันโดนกูด่าไปแล้ว โทษฐานทำตัวเรื่องมากชิบหาย”
               “นินทาอะไรผมครับคุณวอร์ม... หัวร้อนอีกแล้วเหรอ” ยังไม่ทันขาดคำ พี่จัสก็เดินเข้ามาพร้อมๆ กับไวท์และจูเนียร์ที่กำลังยืนทำหน้างงๆ อยู่พอดี สงสัยคงเป็นเพราะเห็นผมแอบขำละมั้ง
               “ตายยากจังเลยครับคุณจัส”
               “ก็ผมขับรถตามคุณมาติดๆ นะครับ เสียเวลาแค่หาที่จอดรถเอง”
               “บุญน้อยก็แบบนี้อะครับ”
               “พอๆๆ พอเลยทั้งสองคน มาๆ มานั่งกันได้แล้วจะยืนเถียงกันทำไมเนี่ย” ผมนึกขอบคุณพี่เค้กที่ช่วยห้ามครับ ไม่อย่างนั้นวันนี้พวกเราคงจะไม่ได้นั่งที่โต๊ะกันแน่ๆ
 






**พี่วอร์ม**





               “ปิดเทอมกลับบ้านหรือเปล่าไวท์” เค้กเอ่ยถามน้องสายตัวเองหลังจากที่พวกเราลงมือจัดการกับพิซซ่าและไก่บาร์บีคิวที่สั่งมาไปได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว
               “ก็ว่าจะกลับครับพี่เค้ก ไวท์คิดถึงบ้านอะ อีกอย่างจะกลับไปช่วยงานที่บ้านด้วยครับ”
               “ที่บ้านน้องไวท์ทำอะไรหรอ” คราวนี้ไม่ใช่เสียงพี่สายของน้องไวท์ที่ถามหรอกนะครับ แต่เป็นไอ้จัสที่ถามแทรกขึ้นมาด้วยแววตาที่แสนกระตือรือร้น อยากจะรู้คำตอบเสียเหลือเกิน หน้าตาหน้าหมั่นไส้มากครับพูดเลย
               “ที่บ้านไวท์ทำโฮมสเตย์ที่แม่กำปองอะครับ”
               “จริงหรอน้องไวท์! โหย ดีจังเลยอะ พี่อยากไปเที่ยวที่นั่นมากเลยนะ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที” เสียงตื่นเต้นของไอ้จัสทำเอาพวกผมสามคนเหลือบมองและสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย เข้าทางเชียวนะไอ้โย่ง
               “ไว้ถ้าพี่จัสจะไปเที่ยวก็บอกไวท์นะครับ ถึงโฮมสเตย์ของบ้านไวท์จะไม่ค่อยสวยเก๋เหมือนที่อื่น แต่บรรยายกาศที่นั่นสวยไม่แพ้ใครเลย” น้องไวท์บอกพร้อมอมยิ้มน้อยๆ ผมเชื่อว่าถ้ามีวันว่างเมื่อไหร่ ไอ้จัสมันต้องหาทางไปเที่ยวบ้านน้องจนได้แน่ๆ
               “พี่ไปแน่นอนครับ”
               “เนี่ย จัสเขาชอบไปเที่ยวอะไรแบบนี้มากเลยนะไวท์ ไปคนเดียวก็เคยไปมาแล้ว ชีพจรลงเท้ามาก ขี่บิ๊กไบค์ไปกลับกรุงเทพ -เชียงรายก็เคยมาแล้วนะ” เค้กพูดแทรกขึ้นมาทำเอาไอ้จัสยิ้มหน้าบานเลยครับ ก็แหม พี่สายน้องไวท์อย่างเค้กเล่นปูทางให้ขนาดนี้แล้ว ผมว่าไอ้จัสต้องหาโอกาสสมนาคุณให้เพื่อนผมแดงงามๆ แล้วล่ะครับงานนี้
               “ถ้ามึงไปก็ไปอุดหนุนกิจการบ้านน้องเขาด้วยล่ะ” มิชิพูดเสริม ไอ้นี่ก็เห็นดีเห็นงามตามเค้กไปหมดเสียทุกอย่างจนผมเริ่มหมั่นไส้แล้วล่ะครับ
               “ไปแค่เที่ยวนะเว้ย อย่าไปขอไลน์สาวๆ เจ้าถิ่นมาอีกล่ะ มึงนี่นะ ไปไหนก็ได้ของแถมติดไม้ติดมือมาด้วยตลอด” ผมแกล้งแซวเพื่อน ถึงจะไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดก็เถอะครับ เพราะความจริงแล้วเพื่อนผมมันก็อยู่เฉยๆ ของมันนั่นแหละครับ เป็นฝ่ายสาวๆ เสียเองที่เข้ามาขายขนมจีบให้ แต่มันอดไม่ได้นี่ครับ เห็นหน้าตาเบิกบานของมันแล้วหมั่นไส้
               “เชี่ยวอร์ม! กูเคยไปขอไลน์สาวที่ไหน ไม่มีเลยเหอะ พูดจาเลอะเทอะ น้องๆ อย่าไปฟังที่ไอ้วอร์มมันพูดนะ... ไอ้วอร์มนี่แหละตัวดี เห็นสาวที่ไหนหน้าตาดีหน่อยไม่ได้ เที่ยวไปหยอดขอเบอร์เขามาเรื่อย” เอาแล้วไหมล่ะเพื่อน ไหงกลายมาเป็นแบบนี้วะ
               “พูดจาไม่เก็บลูกๆ ในปากเลยนะมึง... อย่ามาทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยกดิวะ! ไอติมอย่าไปฟังมันนะ ไอ้จัสมันขี้โม้” ผมรีบหันไปบอกคนน่ารักที่นั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ ผม
               “จริงเหรอพี่วอร์ม นี่ไอเกือบเชื่อแล้วนะเนี่ย” นั่นไงครับ ไอติมของผมก็ดันรับมุกไปเล่นกับมันอีก เยี่ยมจริงๆ
               “ฮ่าๆๆ มึงแม่งกากสัด จะเล่นไอ้จัสเสือกเข้าตัวเองเฉย” ไอ้มิชิได้ทีก็รีบทับถมผมทันที ไม่เคยจะช่วยอะครับ ดีเหลือเกิน
               “อะนะ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะพวกมึง” ผมเป็นอย่างที่ไอ้จัสมันพูดที่ไหนกันล่ะครับ ตั้งแต่จบมัธยมปลายมา อย่าว่าแต่คบใครหรือมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเลยครับ แค่คนคุยยังไม่มีเลยครับ



               เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นมาอีกครั้ง.. พวกเรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ทั้งเรื่องการสอบที่เพิ่งผ่านไปบ้าง เรื่องที่ปิดเทอมนี้จะไปไหนบ้าง.. จะว่าไปแล้ว ไอติมเองก็มีบ้านอยู่ต่างจังหวัดเหมือนกันแล้วผมก็คิดไว้แล้วละว่าน้องต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัดช่วงปิดเทอมนี้ด้วย  ผมคงคิดถึงน้องน่าดู
 


               หลังจากที่พวกเราทานมื้อค่ำและต่อด้วยของหวานกันจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ตัดสินใจที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อนเสียที เพราะวันนี้ก็ใช้ทั้งพลังกายและพลังใจในสนามสอบกันมาอย่างหนักหนาแล้ว แน่นอนว่าผมกับไอติมกลับด้วยกัน ส่วนน้องจูเนียร์และน้องไวท์นั้น ไอ้จัสเป็นคนอาสาไปส่งเองซึ่งเค้กก็ไม่ได้คัดค้านอะไร มิชิก็เลยยิ้มไม่หุบเลยครับทีนี้
 




**น้องไอติม**



               ทันทีที่เจ้าของห้องเปิดประตูเดินนำผมเข้าไปในห้อง เจ้าหมาน้อยก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ ส่วนเจ้านายของมันน่ะเหรอครับ ตอนนี้ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงทั้งๆ ที่ยังใส่แว่นตาอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมรู้ครับว่าพี่วอร์มเหนื่อย เพราะดูจากท่าทางแล้วคงจะโต้รุ่งอ่านหนังสือติดกันหลายวัน ไม่ค่อยได้พักผ่อนสักเท่าไหร่ผมถึงไม่อยากจะมารบกวนพี่เขาและขอแยกจะกลับห้องตอนที่เรากลับมาถึงหอยังไงล่ะครับ แต่อีกคนกลับไม่ยอมแถมยังรั้งข้อมือผมไว้แล้วจูงมาจนถึงห้องนี่แหละครับ ผมอมยิ้มและส่ายหัวเล็กน้อยให้กับคนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงก่อนจะเดินไปเทอาหารเม็ดให้เจ้าเบ็นโตะ

 
               “ไอติม~ มานั่งนี่เร็ว มานั่งใกล้ๆ หน่อย...” เสียงแหบอันเป็นเอกลักษณ์ของพี่วอร์มดังขึ้นทั้งที่เจ้าตัวยังคงหลับตาอยู่ น้ำเสียงเจือไปด้วยความออดอ้อน ผมทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เดี๋ยวนี้ชักจะอ้อนเก่งใหญ่แล้วนะครับ พี่วอร์มปรือตาขึ้นมามองเล็กน้อยพร้อมย้ายหัวตัวเองมานอนหนุนที่ตักของผมทันที
               “เหนื่อยก็นอนพักนะครับ” ผมบอกกับพี่วอร์มพลางเล่นผมนิ่มของพี่เขาอย่างเพลินมือ ผมชอบเวลาที่พี่วอร์มไม่ได้จัดแต่งทรงผมแล้วปล่อยให้มันปรกหน้าผากลงมาตามธรรมชาติแบบนี้มากๆ ครับเลย มันทำให้นึถึงตอนสมัยมัธยมเลย
               “คืนนี้ไอติมอยู่กับพี่ได้ไหม เดี๋ยวปิดเทอมไอกลับบ้านเราก็จะไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันแหนะ”
               “ใครบอกพี่วอร์มกันครับ ว่าไอจะกลับบ้าน...”


                คนที่นอนหลับตาอยู่นั้นลืมตาขึ้นมาจ้องหน้าผมทันที สายตานั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและงุนงง ผมค่อยๆ ถอดแว่นสายตาออกก่อนจะแกล้งบีบจมูกพี่วอร์มเล่นด้วยความมันเขี้ยว



               “ปิดเทอมนี้ไอไม่กลับบ้านหรอกครับ ไอจะอยู่กับพี่วอร์มนี่แหละ จะตามไปทุกที่เลยด้วย เอาให้เบื่อกันไปข้างเลย ถึงเวลาจะมาไล่ให้ไอกลับบ้านไอก็ไม่ไปแล้วนะครับ แบบนี้ยังจะอยากให้ไออยู่ด้วยอีกรึเปล่า”


                 ผมจ้องตาพี่เขากลับไป ตอนนี้คนที่นอนหนุนตักผมอยู่กำลังคลี่ยิ้มกว้างด้วยความพอใจ รอยยิ้มแบบนี้ของพี่วอร์มมันอันตรายต่อใจผมจริงๆ พี่เขาจะได้ยินเสียงหัวใจของผมที่กำลังเต้นโครมครามราวกับมีใครมารัวกลองอยู่แถวนี้ไหมนะ


               “ไม่มีวัน พี่ไม่มีทางไล่ไอไปไหนเด็ดขาด สำหรับพี่ ให้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาไปทั้งชีวิตเลยก็ยังได้ ไอติมต่างหาก จะหนีพี่ไปไหนก่อนรึเปล่า” พี่วอร์มกุมมือผมไว้ก่อนจะจุมพิตลงที่หลังฝ่ามือผมเบาๆ ทำไมตอนนี้ผมได้รู้สึกร้อนไปหมดแบบนี้นะทั้งๆที่แอร์ห้องพี่วอร์มก็ออกจะเย็นฉ่ำขนาดนี้ หน้าผมต้องหน้าแดงมากแน่ๆ เลย
               “ไม่มีวันครับ ถ้าพี่วอร์มไม่ไล่ไอก็จะอยู่กับพี่วอร์มไปแบบนี้แหละ ทุกๆ วัน... ตลอดชีวิตเลย... แต่ตอนนี้ลุกไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะครับ จะได้มานอนพัก ไม่ได้นอนมากี่วันแล้วเนี่ย ไอจะได้ขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเหมือนกัน”
               “โอเคเลย แต่ไอไม่ต้องไปหรอก... อาบที่นี่แหละ เสื้อผ้าพี่ก็มีเยอะแยะ เอ~ หรือว่าเราจะอาบพร้อมกันเลยดี”
               “พี่วอร์ม!!! ไม่ต้องเลย ใครจะอาบน้ำพร้อมพี่กัน ไปเลยครับ เข้าห้องน้ำไปเลย” ผมปาผ้าขนหนูใส่พี่วอร์มไปเต็มแรง ทำไมถึงพูดเรื่องอะไรพวกนี้ออกมาได้ด้วยหน้าเรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติแบบนี้นะ มีแค่ผมคนเดียวหรือยังไงที่รู้สึกเขิน ตลอดช่วงปิดเทอม ผมจะต้องทำยังไงถึงจะรับมือกับนายไออุ่นที่พร้อมจะหลอมละลายไอติมคนนี้ได้ตลอดเวลากันนะ


               .

               .



               .



**พี่วอร์ม**



               ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม แต่ชีวิตเด็กปี3 อย่างพวกผมกลับโดนสั่งให้ทำรายงานส่งวันเปิดเทอมเสียนี่ โครตเซ็ง แต่ก็บ่นไปอย่างนั้นแหละครับ ปิดเทอมตั้งนานใครมันจะไปนั่งทำรายงานทุกวันกัน เพราะเพิ่งปิดเทอมผมก็เลยตัดสินใจอยู่หาข้อมูลเตรียมรายงานต่อสักหน่อยยังไม่กลับบ้าน ไม่งั้นคงเที่ยวเพลินจนไม่ได้ทำแน่ๆ แต่คนที่งัวเงียและงอแงอยู่ข้างๆ ผมนี่สิ บอกให้นอนพักอยู่ห้องแล้วบ่ายๆ ค่อยออกมาหาผมก็ไม่เชื่อ ยืนยันจะออกมาแต่เช้าพร้อมผมให้ได้


               “พี่วอร์ม... ไออยากกินช็อคปั่นที่ศูนย์หนังสือง่า...”
               “อืม... ก็ไปซื้อดิ”
               “ไปด้วยกันสิ ไอไม่อยากเดินไปคนเดียวอะ นะ นะ ไปกับไอนะ”
               “แต่พี่หาข้อมูลอยู่อะ ทำไมวันนี้งอแงจังครับ หื้ม?” ผมลูบหัวคนที่กำลังเอนตัวมาพิง คลอเคลียและซบไหล่ผมอยู่เบาๆ จริงๆ ผมก็ไม่ได้ยุ่งขนาดที่ว่าจะออกไปซื้อน้ำเป็นเพื่อนน้องไม่ได้หรอกครับ แต่เวลาน้องอยากได้อะไร ก็จะมาอ้อนเอาแบบนี้ตลอด ผมก็อยากจะแกล้งเขาบ้าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมยอมตามใจจนเสียนิสัย
               “อยู่เฉยๆ แล้วมันง่วงนี่นา วันนี้พี่วอร์มยังไม่ได้กินกาแฟเลยไม่ใช่เหรอ ไปซื้อกาแฟกับไอนะ”
               “เดี๋ยวชงกาแฟสำเร็จรูปตรงนี้กินเอาก็ได้”
               “ง่ะ พักก่อนไม่ได้เหรอ นี่พี่นั่งจ้องหน้าจอมาเป็นชั่วโมงแล้วนะครับ ไปเถอะนะ เดี๋ยวกลับมาแล้วไอช่วยอ่าน ช่วยสรุปให้” ไอติมยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะให้ผมออกไปร้านกาแฟ เมื่อเห็นว่าผมยังคงนิ่งและพยายามเขยิบตัวออกห่างจากเขา ไอติมก็เขยิบตามแถมยังก้มลงมาเอาหน้าถูแขนผมก่อนจะเอาคางมาเกยแขนผมไว้แล้วยังจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊กตามผมอีก
               “เด็กดื้อ! เด็กเอาแต่ใจ” ผมยกมือขึ้นไปขยี้หัวน้องด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะบีบจมูกเขาไปอีกหนึ่งที ส่วนเด็กเอาแต่ใจที่ว่าก็พยักหน้าไปมาเพื่อจะให้คางของตัวเองเคาะกับแขนผมเบาๆ คนเราเลี้ยงแมวนี่จำเป็นน้องนิสัยเหมือนแมวด้วยไหมครับ อ้อนเก่งจริง
               “ไม่ดื้อ... ไอเป็นเด็กดีของพี่วอร์มตลอดแหละ ขอช็อคปั่นแก้วนึง สัญญา จะไม่ดื้อไม่ซน ไม่นอกใจด้วย นะครับ” ไอติมยู่ปากก่อนจะทำเสียงอ้อนกว่าเดิม ไม่ต้องบอกทุกคนก็คงจะเดาใช่ไหมครับ แน่นอนว่าผมก็ใจอ่อน ยอมแพ้ให้น้องอีกตามเคย
               “อะ ไปก็ไป...”
             



              ต่อด้านล่าง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ myj514

  • MЧ J ♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ต่อ


           คนที่อ้อนแล้วจะลากผมให้ไปซื้อช็อคปั่นที่ศูนย์หนังสืออยู่เมื่อครู่นี้ หลังจากที่ได้สิ่งที่ต้องการสมใจแล้วก็กำลังนั่งเงียบดูดเครื่องดื่มสุดโปรดอย่างสบายอารมณ์เลยครับ ไหนใครบอกว่าจะช่วยผมทำรายงานกันนะ พอมีของกินแล้วเงียบเลย นอกจากช็อคปั่นที่เจ้าตัวบ่นอยากกินแล้วยังมีขนมติดไม้ติดมือกลับมาด้วยอีกหลายอย่างเลยทีเดียว จริงๆ ผมก็ไม่ได้จะว่าอะไรน้องหรอกครับ แค่ไอติมยอมออกจากหอแต่เช้าแล้วเข้ามานั่งเป็นเพื่อนผมทำรายงานนี่ผมก็เกรงใจน้องจะแย่แล้ว


               “ฮัลโหลๆ งือ... ไม่มีใครอยู่เลยเหรอครับ ยังไม่ตื่นกันหรือยังไง” นั่งหาข้อมูล พิมพ์งานเงียบๆ อยู่พักใหญ่ คนข้างๆ ผมก็พูดอะไรขึ้นมาคนเดียวจนผมต้องหันไปมองด้วยความสงสัย
 

               แล้วก็เป็นอย่างที่คิดครับ ผมเห็นน้องกำลังโบกไม้โบกมือให้กับโทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วก็บ่นอะไรไปเรื่อย แน่นอนว่าไอติมกำลัง live อยู่ครับ แต่เวลาเช้าขนาดนี้จะมีใครตื่นมาเล่นโทรศัพท์กันละครับ แถมเป็นช่วงปิดเทอมอีก บรรดาวัยรุ่นรวมถึงเด็กมหาวิทยลัยส่วนมากคงยังนอนหลับฝันหวานกันอยู่ เจ้าลูกแมวของผมท่าทางได้คุยคนเดียวแน่ๆ เลย


               “มาแล้วๆ โอ๊ะ! มาห้าคนแล้ว สวัสดีคร้าบ~” น้ำเสียงตื่นเต้นและรอยยิ้มสดใสของไอติมทำเอาผมต้องโละความคิดก่อนหน้านี้ทิ้งไปเลยครับ ผมก็ลืมไปเลยว่าเจ้าลูกแมวนี่มีคนติดตามในไอจีเป็นหลักพันคน ถ้าไม่มีคนเข้ามาดู live เลยนี่สิแปลก แต่ก็เอาเถอะครับ ให้เล่นสนุกไปดีกว่าให้น้องต้องมานั่งเบื่อๆ เซ็งๆ
               “ตอนนี้ไอติมอยู่ไหนเหรอ... แท๊น! นี่ไง ลองทายดูสิครับ ว่าไออยู่ที่ไหน~” ไอติมยกโทรศัพท์ขึ้นมาเหนือหัวก่อนจะเลื่อนโทรศัพท์ไปรอบๆ ผมว่าน้องน่าจะเปลี่ยนเป็นกล้องหลังแล้วแพลนไปรอบๆ ให้คนที่มาดู live เห็นนั่นแหละครับ
               “โห~ ทายกันถูกด้วยอะ เก่งจัง... ขนาดไม่ได้เรียนที่นี่กันนะเนี่ย ทายถูกได้ยังไงอะ ฮ่าๆๆ”



                เสียงหัวเราะสดใสของน้องทำเอาผมยิ้มตามได้ไม่ยาก น้องจะทำให้ผมเสียสมาธิในการทำงานก็คราวนี้ละ เพราะผมเอาแต่ลอบมองหน้าน้อง สองหูของผมก็ได้ยินแต่เสียงใสหวานที่ชวนคุยเจื้อยแจ้ว ตัวหนังสือมากมายที่อยู่บนหน้าจอตรงหน้ามันช่างไม่น่ามองเลยสักนิดเมื่อเทียบกับรอยยิ้มของไอติม
 
               “ปิดเทอมแล้วทำไมไม่กลับบ้าน... อืม... ไอไม่อยากกลับเองแหละ อีกอย่างก็ปิดแค่ไม่กี่อาทิตย์เองครับ แล้วคุณแม่ไอก็บอกว่าไม่ต้องกลับบ้านหรอก เปลืองค่ารถ ค่าเครื่องบินเปล่าๆ ฮ่าๆๆ” ผมยิ้มขำอีกครั้งกับคำตอบที่ไอติมบอกกับผู้ชม live เข้าใจพูดเหลือเกินนะเรา เห็นความน่ารักสดใสของน้องผมชักนึกหวงขึ้นมาแล้วสิ เล่นน่ารักให้คนอื่นเห็นไปทั่วแบบนี้ก็แย่สิครับ แค่นี้ยังมีคนมาชื่นชอบไม่เยอะพอหรือยังไง
               “ไอติม... นี่มันโซนเงียบนะ เสียงดังแบบนี้เดี๋ยวก็โดนประกาศเตือนหรอก” ผมแกล้งเอ็ดน้องด้วยน้ำเสียงที่เย็นและเรียบนิ่งสุดๆ ความจริงแล้วบริเวณที่พวกเรานั่งอยู่ถึงจะเป็นโซนเงียบก็จริงแต่มันค่อนข้างอยู่ลึกและปลีกตัวออกมาจากโต๊ะตัวอื่นๆ พอสมควรครับแถมยังมีชั้นหนังสืออีกมากมายห้อมล้อมอยู่ด้วย แน่นอนว่าอาจารย์บรรณารักษ์ที่นั่งอยู่ในห้องทำงานอีกฟากฝั่งของหอสมุดไม่มีทางได้ยินที่น้องพูดหรอกครับ
               “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง... แถวนี้ไม่มีใครนอกจากเราเลยนี่นา... ถ้าไอกระซิบแบบนี้เพื่อนๆ ได้ยินกันไหมอ่า...” ไอติมหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย น้องกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ก็ยังไม่วายหาข้ออ้างและไม่ยอมสิ้นสุดการ live ของตัวเองอยู่ดี
               “แต่พี่ไม่มีสมาธิทำงาน... เมื่อไหร่จะเลิกสักที... ไม่เป็นไร ถ้าไอยังจะ live อยู่แบบนี้เดี๋ยวพี่ไปนั่งตรงอื่นก็ได้”
               “ง่ะ... ใครดุไอเหรอ คนนี้เลย~ พี่วอร์มเลยครับ ขี้บ่นเนอะ ดูสิมีแต่คนว่าพี่วอร์มใจร้าย ไอยังไม่ได้เสียงดังขนาดนั้นสักหน่อย” น้องขยับเอาคางมาเกยไว้กับแขนผมอีกครั้งแถมยังเอากล้องมาจ่อหน้าอีก ผมได้แต่ตีหน้ายุ่งแสร้งทำเป็นไม่พอใจ
               “พี่วอร์มยิ้มหน่อย~ หน้าบึ้งแบบนี้เดี๋ยวแฟนคลับหายหมดไอไม่รู้ด้วยนะ”


                ไอติมยังคงพยายามอ้อนให้ผมยิ้มไม่รู้ว่าตั้งใจจะเอาคืนผมหรือว่าอะไร แต่ดูเหมือนผู้ติดตามทั้งหลายของน้องจะมีคนคอยยุยงให้ผมกับน้องแตกแยกกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนมากเป็นผู้ชายเสียด้วย แต่ขอโทษนะครับไอติมเป็นแฟนผมแล้ว ผมไม่ปล่อยให้ใครมาแทรกกลางแล้วแย่งไปง่ายๆ หรอกนะ ความคิดเห็นต่างๆ ที่ผ่านตานั้นกลับทำให้อารมณ์ของผมขุ่มมัวหนักกว่าเดิม จนกระทั่งบางข้อความที่ถูกส่งมาจากแฟนคลับของผมทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าผมทันที ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีพี่สาวสายเทคของพวกเราอยู่ด้วย

 
               TOPU.HandsomeBoy : คู่รักมาแรงแห่งปีการศึกษานี้เลย #ทีมวอร์มไอติม
               WarmItimFC : #ทีมวอร์มไอติม >///<
               Dazzling.Dia : ไอ้วอร์มเลิกเก๊กได้แล้ว หมั่นไส้จริง ขอฟินๆ หน่อยสิ
               ทาสยัยลูกแมว : ดูยัยน้องอ้อนแฟนสิ น่ารักขนาดนี้ พี่วอร์มยังไม่ใจอ่อนอีกเหรอ


 

               “เจ้เพชร... นี่มาดูกับเขาด้วยเหรอ ทำไมตื่นเช้าจังวะครับ”
               “พี่เพชร พี่สายเราอะเหรอพี่วอร์ม” ไอติมทำหน้างงๆ ก่อนจะหันมามองหน้าผมที่นอกจากจะหายบึ้งแล้วยังเอ่ยทักทายหนึ่งในผู้ชม live ของน้องอีกด้วย ด้วยความที่ผู้ติดตามน้องค่อนข้างเยอะก็เลยอาจจะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่สำหรับผมน่ะ จำได้แม่นเลยครับ
 

               Dazzling.Dia : เพิ่งตื่น เข้ามาเจอว่าน้องliveอยู่พอดีเลยแวะมาดู แล้วก็เจอแกทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่นี่ไง ไอ้วอร์ม
 

               “อะไรกันเจ้ หน้าตาผมออกจะแฮบปี้” ผมฉีกยิ้มกว้างให้กล้องเป็นการยืนยันว่าผมอารมณ์ดีสุดๆ แถมยังมีความสุขมากด้วย
               “พี่เพชรสวัสดีคร้าบ~” ไอติมเอ่ยทักพี่เพชรซึ่งเป็นพี่ปีบัณฑิตตอนที่น้องเข้ามาเป็นปี1 พอดีก่อนจะพูดคุยกับคนที่มาดูliveน้องต่ออีกเล็กน้อยและจบการ live ในที่สุด


 
               ช่วงมื้อเที่ยงผมพาน้องออกมาทานข้าวที่โรงอาหารกลางด้วยความที่ขี้เกียจเดินไกลและไม่อยากจะวนรถไปหาที่จอดให้เสียเวลา ถึงแม้อาหารที่นี่จะไม่ได้อร่อยมากแต่ไอติมตอบตกลงข้อเสนอของผมแต่โดยดี เพียงแต่ตอนที่จะเดินกลับเข้าหอสมุดนั้น น้องหันมาบอกผมให้กลับไปนั่งที่โต๊ะก่อนเลย เพราะไอติมจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าไร ความจริงน้องจะไปเดินเล่นข้างนอกก่อนก็ยังได้ ยังไงเสียวันนี้ผมก็คงจะอยู่หอสมุดจนเย็นนั่นแหละครับเพราะตั้งใจว่าจะหาหนังสือที่ต้องใช้และยืมให้เสร็จเรียบร้อย วันอื่นจะได้ไม่ต้องออกมาอีก ถ้าข้อมูลที่ต้องการมีเพียงพอแล้วผมจะนั่งพิมพ์ที่ห้องหรือร้านกาแฟตามห้างที่ไหนก็ได้ อย่างน้อยไอติมก็จะได้ไม่ต้องมานั่งแกร่วอยู่กับผมแบบวันนี้
 

               ระหว่างที่ผมกำลังผลิกหนังสือเล่มหนาเพื่อหาข้อมูลที่ต้องใช้อยู่นั้นก็สัมผัสได้ถึงความเย็นจากขวดแก้วเล็กๆ ที่แนบแก้มอยู่ เมื่อเงยหน้าละสายตาจากหนังสือตรงหน้าก็พบกับรอยยิ้มหวานของไอติมที่เป็นคนถือขวดน้ำผลไม้สกัดอันมีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตาแนบแก้มผมอยู่นั่นเอง
 

               “ดื่มหน่อยนะครับ ไอเห็นพี่วอร์มจ้องทั้งคอมทั้งหนังสือมาทั้งวันแล้ว ตาล้าแย่”
               “ไหนใครบอกจะไปเข้าห้องน้ำ หายไปซื้อเจ้านี่มาให้พี่หรอ แฟนใครทำไมน่ารักจัง” ผมรับขวดแก้วสีชาขวดเล็กมาจากมือน้อง อีกด้านหนึ่งของขวดมีกระดาษโน้ตเล็กแนบมาด้วย บนนั้นมีข้อความที่ถูกบรรจงเขียนด้วยลายมือน่ารักแสนคุ้นตา
 


               ไอเบอร์รี่ ผสมวิตามินไอ บำรุงสายตา ปิ๊ง!
 

               “ขอบคุณนะครับ... ขอบคุณไอติมที่คอยเอาใจใส่นายไออุ่นคนนี้มาโดยตลอด...”


               ผมหันไม่คว้ามือน้องมาจุมพิตที่หลังมือเบาๆ ผมยังจำของทุกอย่างที่ไอติมฝากลุงยามมาให้ผม หรือแอบมาแขวนไว้ที่หน้าประตูห้องได้เสมอ กระดาษโน้ตทุกแผ่น ผมเก็บมันเอาไว้อย่างดี ความเอาใจใส่ของน้องไม่เคยลดน้อยหรือเปลี่ยนไปเลย ถึงตอนนี้เราจะเป็นแฟนกันแล้ว แต่ไอติมก็ยังคอยดูแลเทคแคร์ผมอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ผมรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้คนอย่างไอติมมาเป็นคนรัก คอยอยู่เคียงข้างกันในทุกๆ วัน

.

.

.

To be Continue...

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด