บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62 [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บุปผาร้อยราตรี Yaoi (จีนโบราณ) Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน. up.21/07/62 [จบ]  (อ่าน 14042 ครั้ง)

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
สนุกค่ะ รออ่านต่อนะคะ :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[21]

เพ่ยเยว่เผิงเดินไปตามทาง มองใบประกาศด้วยใบหน้าที่พึงพอใจ แต่มันก็ยังไม่ถึงที่สุด เพียงแค่นี้มันไม่ได้ทำให้สกุลลู่เดือดร้อนจนออกมาดิ้นรนได้ ถ้าเช่นนั้น คงต้องทำมากกว่านี้ นางหันไปมองใบหน้าของชายอีกคนที่มุมมืด พยักหน้าให้กันก่อนที่ชายคนนั้นจะเดินออกมาด้วยท่าทางตื่นตระหนกและหวาดกลัวได้สมบทบาทที่ถูกว่าจ้างไว้ ชาวบ้านต่างตกใจกับท่าทางของชายผู้นั้นจนหลบหลีกเป็นทางกว้างให้ชายผู้นั้นเดินเข้ามากลางฝูงชน ใบหน้าหวาดหวั่นและเนื้อตัวสั่นระริกทำให้ผู้คนรอบข้างเริ่มพูดคุยกันเบาๆ

“ปะ ปีศาจ! ปีศาจมันจะฆ่าข้า ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!” มือของเขายื่นออกไปจับขาของผู้คนรอบข้างอย่างขอความช่วยเหลือ ใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา เสื้อผ้าก็มีร่องรอยของเลือดติดอยู่

“กรี๊ด! เลือด!” เมื่อมีคนเริ่มสังเกตเห็นรอยบนเสื้อนั้น เสียงร้องที่หวั่นวิตกก็เริ่มดังขึ้นมา ทุกคนเริ่มถอยห่างจากเขาอย่างรวดเร็ว มิมีใครอยากจะยุ่งเกี่ยวกับความเป็นความตาย แม้ในใจจะเวทนาสักเพียงใดก็ตาม

“เจ้า! ปีศาจที่ใดกัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่!” แต่แม้จะหวาดกลัวเขาก็ยังไม่อาจจะทิ้งความหอมหวานของเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าได้ ทุกคนต่างรอฟังคำตอบจากชายที่ยังคงนั่งตัวสั่นอยู่บนพื้น

เพ่ยเยว่เผิงเริ่มทำหน้าที่ของนาง นางเบียดผู้คนเข้าไปด้วยใบหน้าท่าทางที่บ่งบอกถึงความตกใจ เข้าไปพยุงร่างชายผู้นั้นให้ยืนขึ้นด้วยความสงสาร แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ทั้งสองต่างก็เตรียมการกันมาอย่างดี เพ่ยเยว่เผิงดึงผ้าเช็ดหน้าของตนออกมา เช็ดไปตามใบหน้าของชายหนุ่มอย่างเบามือ แสดงให้คนทั้งตลาดได้เห็นในความเมตตาและความมีน้ำใจไม่คิดรังเกียจผู้ที่ต่ำต้อยกว่านางแม้แต่น้อย

“เจ้าบอกมาเถิด ในเมืองซิ่นจือมิมีใครคิดนิ่งดูดายหรอกนะ เล่ามาเถิด” มือบางยังคงซับน้ำบนใบหน้าอย่างอ่อนโยน ผู้คนรอบข้างจึงพยักหน้าและตอบรับกับคำพูดของนาง

“ใช่ๆ เจ้าว่ามาเถิด ปีศาจที่ไหนกันที่ทำร้ายเจ้าจนมีสภาพเช่นนี้?”

“นั่นสิ คุณหนูเพ่ยกล่าวถูกต้องแล้ว เมืองซิ่นจือมิมีผู้ใดไร้น้ำใจ เมื่อเจ้าถูกทำร้ายเช่นนี้ พวกเราก็มิติดจะนิ่งดูดายหรอก เล่ามาเถิดเฉียนเล่อ” เฉียนเล่อที่แกล้งทำท่าหวาดหวั่นเริ่มกระตุกยิ้มมุมปากโดยไม่ให้ผู้ใดได้เห็นก่อนที่ท่าทีจะกลับเป็นใบหน้าที่หวาดกลัวอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับคนรอบข้าง แววตาสั่นๆ อย่างลังเลว่าเขาควรจะพูดไหม ทั้งที่ในใจนั้นเขาอยากจะรีบจบเรื่องนี้เสียที จะได้รับเงินแล้วไปเสีย

“ปีศาจผมสีเงิน มัน...มันทำร้ายข้า เพียงเพราะข้าเดินผ่านบ้านสกุลลู่ มันก็เข้ามาจู่โจมข้าทันที ขะ ข้าตกใจกลัวมาก มันขู่ข้าว่าหากไม่อยากตายก็อย่ายุ่งกับสกุลลู่อีกเด็ดขาด!” เสียงนินทาดังขึ้นจนหนาหู ความหวาดหวั่นเริ่มเกาะกุมเข้าไปสู่หัวใจของคนทุกผู้ จากใบประกาศที่ไร้มูลในยามนี้มีผู้เคราะห์ร้ายมายืนยัน เช่นนั้นคงมิใช่การกลั่นแกล้งหรือข่าวโคมลอยใดๆ สกุลลู่แห่งนั้นมีปีศาจอาศัยอยู่จริงๆ สินะ

ชาวบ้านทุกคนเริ่มหวั่นวิตก ลูกเด็กเล็กแดงถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นแม่แทบจะทันทีที่สิ้นเสียงบอกเล่า แม้ว่าบางคนจะยังมิอยากจะเชื่อ ด้วยคุณงามความดีของแม่ทัพลู่ในคราก่อนจากรุ่นสู่รุ่นมันทำให้หลายคนทำใจเชื่อไม่ลง แต่ในใจนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถูกเอนเอียงไปตามคำพูดของเฉียนเล่อกว่าครึ่งไปแล้ว เพ่ยเยว่เผิงมองภาพความวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มกริ่มในใจ นางมั่นใจเลยว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จะต้องมีผู้คนไม่น้อยที่จะทำความเดือดร้อนจนสกุลลู่อยู่ไม่เป็นสุข แต่คิดไปคิดมา...นางเป็นผู้เคราะห์ร้ายอีกคนก่อนจะเป็นผู้นำก็คงดี นางเริ่มร้องไห้ออกมาแม้ไม่ดังนัก แต่ก็เรียกความสนใจได้อย่างดี

“คุณหนูเพ่ย ท่านเป็นอะไรหรือ?” เสียงของชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างห่วงใย เมื่อใบหน้างดงามนองไปด้วยหยาดน้ำตา

“ข้า...ฮึก ข้าคิดว่า พี่เฟยหลงของข้าคงจะถูกเจ้าปีศาจล่อลวงเป็นแน่ ฮึก” นางยังคงเล่นละครร้องไห้ต่อหน้าฝูงชนไม่หยุด ทรุดกายทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างไม่อายใคร “ข้าถูกทาบทามจากท่านป้าเหม่ยหลิน ให้เป็นสะใภ้ ก่อนนี้ข้าและพี่เฟยหลง ฮือ รักกันมาก ฮึก จนเมื่อมีบุรุษผู้นั้น บุรุษผมสีเงินผู้เป็นปีศาจ ฮึก ฮือ เขาล่อลวงพี่เฟยหลง ใช้เล่ห์กลบางอย่างทำให้พี่เฟยหลง ฮึก เป็นของเขา ฮือๆ ในตอนนี้พี่เฟยหลงเกลียดข้า ผลักไสไล่สงข้า ฮือ ข้าเสียใจนัก ฮือๆ”

“ชั่วช้ายิ่งนัก! มิใช่เพียงทำร้ายคน แต่กลับตัดสายสัมพันธ์รัก จะเอาไว้มิได้ ต้องกำจัดให้สิ้นซาก!”

“ใช่! กำจัดมันเสียให้สิ้น หาไม่แล้วพวกเราเองคงอยู่ที่เมืองซิ่นจืออย่างสงบสุขมิได้!”

มันได้ผล เพ่ยเยว่เผิงลอบยิ้มในใจอย่างสมใจ จากนี้พวกชาวบ้านคงจักจัดการต่อให้นางอย่างไม่ต้องห่วง ใบหน้าหวานหลบซ่อนสายตาพึงพอใจเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่แสนโศกเศร้าของนางเอง ทว่าในใจกลับปีติอย่างเต็มที่ รอคอยความหายนะที่กำลังจักไปเยือนสกุลลู่อย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ สกุลลู่ก็คงจะนิ่งเงียบไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้อีกแล้ว อย่างไรการที่ชาวบ้านจะบุกเข้าไปเพื่อจัดการกับปีศาจ พี่เฟยหลงของนางก็คงจะร้อนรนได้บ้าง

มือบางกำจนแน่นยามนึกถึงอ้อมกอดของลู่เฟยหลงที่มีหยางเถาอยู่ในนั้น หากมันถูกแทนที่ด้วยนางได้ นางคงมิต้องทำเช่นนี้ แต่ในเมื่อพี่เฟยหลงของนางหมายจะอยู่ร่วมกับปีศาจ นางก็จะทำให้พี่เฟยหลงได้เห็นว่า...เขาคิดผิดมากเพียงใด ที่มิเลือกนางเป็นคู่ครอง!

เสียงร้องไห้ของเหล่าเด็กน้อยเริ่มดังขึ้น เมื่อการพูดคุยเริ่มดังขึ้นตามอารมณ์ เหล่าชาวบ้านต่างก็ไม่มีใครสนใจใดๆ ว่าตนเองมาทำสิ่งใดกันแน่ แท้จริงแล้วพวกเขาควรจะจับจ่ายใช้สอยกันมากกว่า แต่เมื่อเกิดคำเล่าลือเรื่องปีศาจ และการที่มีคนผู้หนึ่งมาร่ำร้องว่าถูกปีศาจทำร้ายยิ่งทำให้พวกเขา หยุดสนใจเรื่องของตนเอง

หลายคนที่เริ่มพาบุตรหลานกลับไป แต่ก็มีอีกหลานคนที่ยังจับกลุ่มพูดคุยไม่จบสิ้น หนึ่งในนั้นคือเฉียนเล่อและเพ่ยเยว่เผิง นางจะยังมิอาจวางใจได้ หากยังมิได้คำสรุปอันเป็นที่สิ้นสุด เพ่ยหยว่เผิงจึงพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เฉียนเล่อทำตามแผนการขั้นต่อไป เฉียนเล่อที่เห็นสัญญาณจึงพูดขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

“ข้าขอออกความเห็นหน่อยเถิด ข้าเป็นผู้เสียหาย หากจะให้ข้าเสนอทางออก ข้าว่าคืนนี้ควรจะบุกไปสกุลลู่ รวบรวมผู้คนแล้วไปจัดการกับต้นตอ ข้าว่า...จะต้องเป็นต้นท้อพันปีที่อยู่ในจวนของสกุลลู่แน่ๆ!” พวกชาวเมืองที่ยังเหลืออยู่จึงเริ่มมองหน้ากันอย่างเห็นด้วยกับความคิดของเฉียนเล่อ

“ข้าเห็นด้วย! ข้าว่าคืนนี้ควรอย่างยิ่งที่จะบุกไป หากปล่อยเวลาไว้ คงไม่พ้นพวกเราทุกคนถูกปีศาจดูดกลืนวิญญาณจนสิ้น! ข้ายอมไม่ได้!”

“ใช่! เราต้องกำจัดปีศาจ!”

ทุกเสียงตอบรับกันเป็นเสียงเดียว เพ่ยเยว่เผิงที่ได้ยินถึงกับยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ คืนนี้...เรื่องสนุกกำลังจะเกิดขึ้น ความโกลาหลของชาวเมืองซิ่นจือที่จะทำให้สกุลลู่เกิดความปั่นป่วนจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ ดูจากความหวานกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจของแต่ละคน ย่อมไม่จบเพียงแค่การตัดต้นท้อพันปี ไม่แน่ว่าสกุลลู่อาจจะถูกขับไล่ไสส่งให้ออกจากตัวเมืองซิ่นจือไปก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงภายในใจของนางคงจะสุขจนล้น ทั้งได้แก้แค้นเอาคืน และได้กำจัดเจ้าปีศาจชั่วช้าที่กล้าใช้เล่ห์กลปีศาจมาล่อลวงพี่เฟยหลงของนาง นางจะไม่ให้อภัย

“ไฟ...ข้าจะให้คนอื่นๆ เตรียมไฟไปด้วย หากตัดมันมิได้ก็จงเผามันให้วอดวายเสีย!” ชายวัยสามสิบคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหวาดหวั่นแต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่ ดูจากท่าทีของชาวเมืองในยามนี้คงไม่จบง่ายๆ เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อย ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไปบ้านของตนเอง เฝ้ารอให้อาทิตย์ตกดินและจันทราขึ้นสู่ฟากฟ้า เมื่อนั้น...ก็จะถึงเวลาลงมือ

เพ่ยเยว่เผิงแยกออกมาอย่างเงียบๆ โดยมิมีผู้ใดสนใจ นางเดินกลับไปยังบ้านสกุลเพ่ยอย่างสุขใจโดยมีสาวใช้เดินตามมาเงียบๆ ในใจของพวกนางนั้นอยากจะเอ่ยห้ามปรามคุณหนูเสียเหลือเกิน หากแต่พวกนางเป็นเพียงสาวใช้จะมีความสามารถใดไปหยุดสิ่งที่คุณหนูคิดจะทำได้ ในตอนที่คุณหนูเอ่ยเรื่องของบุรุษผู้มีเส้นผมสีเงินนั้นพวกนางรู้สึกได้ถึงความรู้สึกขนลุก แต่เมื่อได้ยินถึงการตัดทำลายต้นท้อ พวกนางกลับสัมผัสได้ถึงลางร้ายและหายนะที่จะบังเกิดขึ้น

ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ แต่มิใช่เพียงสาวใช้ของเพ่ยเยว่เผิงเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงเรื่องนั้น แต่เป็นทุกผู้ในเมืองซิ่นจือต่างหากที่สัมผัสถึงลางร้ายได้ หากแต่พวกเขาเลือกจะมิสนใจมันเท่ากับการทำลายปีศาจสำหรับเมืองที่แสนสงบสุขอย่างซิ่นจือ มีหรือที่การมีปีศาจกำเนิดขึ้นมาจะไม่เกิดความหวาดกลัว ต่อให้ผู้ที่ยืนอยู่ฝ่ายปีศาจจะเป็นผู้มีคุณธรรมเพียงใด แต่คำว่าปีศาจก็มิต่างจากพวกชั่วร้ายที่หมายจะดูดวิญญาณของพวกเขาแม้แต่น้อย การกำจัดจึงสำคัญกว่าเสียงร่ำร้องเตือน

ความหายนะจะบังเกิด ผู้ใดเล่าจะเชื่อได้หากยังมิเกิดขึ้น

ย่องไม่มีทาง!!

เสียงคำรามของท้องฟ้าที่เคยสดใสไร้หมู่เมฆ บัดนี้กลับปกคลุมไปด้วยเมฆดำที่ลอยเคลื่อนมาราวกับจะเกิดพายุใหญ่ ลมโหมกระพือพัดให้ใบไม้ปลิวไหวอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งหยดน้ำจากฟากฟ้า มีเพียงลมที่ยังคงพัดอย่างแรงราวกับจะระบายความโกรธของผู้ใด

มิมีใครรู้ ทุกคนเพียงคิดว่าเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของปีศาจร้ายเท่านั้น

แต่เบื้องบนอันสูงส่งกลับไม่ปรานีใดๆ ชายผู้หล่อเหลาในชุดสีขาวทองกำลังเกิดความพิโรธอย่างสุดจะห้ามได้ แม้แต่บิดาและคนรักของเขาก็เช่นกัน อารมณ์ของเขาในตอนนี้มิมีผู้ใดอยากจะเข้าใกล้ ความโกรธเกรี้ยวโกรธาเกิดขึ้นจากคำพูดจาของเหล่ามนุษย์ในโลก ที่หมายจะรวมตัวกันเพียงเพื่อจะทำลายสิ่งหนึ่งอันเป็นสิ่งสำคัญของเขา ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึง ดวงตาแดงฉานราวกับหมู่มารแต่กลับไร้ซึ่งกลิ่นของมารร้ายแม้แต่น้อย ความบริสุทธิ์ของเขาสูงส่งเกินกว่าผู้ใด และความโกรธเกรี้ยวของเขาก็รุนแรงเกินกว่าผู้ใดด้วยเช่นกัน

หากหมายจะทำลายสิ่งอันเป็นที่รัก ก็จงเตรียมตัวพบกับหายนะของข้าผู้นี้เสีย!

บุรุษผู้นั้นได้เพียงแต่คำรามในใจอย่างแค้นเคือง ภาพเหตุการณ์จากครั้งเก่าเฝ้าหลอกหลอนจนเขามิสามารถลบมันให้หายออกไปได้ สิ่งที่ย้ำเตือนให้เขายังคงยืนหยัดอยู่ตรงนี้ก็มีเพียงแค่นั้น แค่สิ่งที่แสนสำคัญอันเป็นที่รักยิ่ง แต่หากเมื่อมันถูกทำลายจนย่อยยับ เขาจะกระหน่ำซ้ำความฉิบหายแก่พวกมันทุกตัวที่กล้าเอื้อมมือมาแตะของสำคัญ

“สงบใจเจ้าไว้ก่อนเถิดลูกรัก ยังมิถึงเวลา นี่เป็นเคราะห์กรรมของเขา เจ้าจะยื่นมือเข้าไปมิได้!” ผู้เป็นพ่อเอื้อนเอ่ยตักเตือนเพื่อเรียกสติที่กำลังถูกโทสะบดบังให้ได้ตื่นขึ้น

“พวกมันจะทำลาย...สิ่งที่ข้าเฝ้าถนอมมา ท่านพ่อจะให้ข้ายืนมองเขาตายเช่นนั้นหรือ!” ผู้เป็นบิดามีหรือจะไม่ปวดร้าวใจ เมื่อเฝ้าถนอมมามากกว่า แต่เมื่อมันคือลิขิตของชะตา ผู้เป็นเง็กเซียนทำได้เพียงหลีกทางและเฝ้ามองเงียบๆ เท่านั้น

“พ่อเป็นเง็กเซียน จะทำการใดคงมิได้ เจ้าก็รู้การขัดชะตามิได้มีผลดีใดๆ กับเขาเลย เขาเป็นผู้เลือกหนทางนี้ เช่นนั้นก็จะต้องรับเคราะห์กรรมจนกว่าจะจบสิ้น แต่ลูกข้า เจ้าไม่...” มือหนายกขึ้นห้าม ดวงตากร้าวไปด้วยโทสะที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ ชะตาหรือสิ่งใดก็ช่าง แต่หากจะให้เขายืนมองคนผู้นั้นดับดิ้นสิ้นไปด้วยน้ำมืออันสกปรกของเหล่ามนุษย์เขาย่อมทำมิได้ บางครั้งเขาเองยังอดคิดมิได้ว่า เพราะเหตุใดท่านพ่อของเขาจึงยังสามารถยืนเฉยอยู่ได้ทั้งๆ ที่มีคนมาทำลายดวงใจเช่นนี้

“ข้ามิสนใจชะตากรรมหรือสิ่งใด ข้าจะมิยอมให้เขาดับสิ้นเพียงเพราะเจ้ามนุษย์ชั่วช้าผู้นั้น!” มือบางของคนรักลูบแขนของเขาเลาๆ ราวกับจะปลอบโยน ตัวเขานั้นมิอยากเห็นการทะเลาะกันของพ่อลูกเลยสักนิด แต่การจะขัดต่อชะตาก็ผิดเช่นกัน

“ท่านผู้เฒ่า...ชะตาของเขาถึงจุดจบในครานี้หรือไม่?” เสียงหวานเอ่ยถามผู้ถือดวงชะตาอย่างเคร่งเครียด

“ตอบท่านหมิงเซ่อ ในครานี้เขายังมิถึงตาย หากแต่ก็ยังมิมีหนทางใดพอบรรเทาได้” หมิงเซ่อมองใบหน้าของคนรักอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเบิกตากว้างแล้วเอ่ยบางคำออกมา

“เช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ท่านพี่ ท่านพ่อ...” เขาชะงักหันมองคนรักราวกับจะถามความคิดเห็น

“เจ้ามีวิธีใดหรือ...”

“คืออย่างนี้...” พวกเขารอฟังคำจากปากบางอย่างตั้งใจ ก่อนที่ทุกคนจะอึ้งไปกับมัน แผนการของหมิงเซ่อนั้นช่างยอดเยี่ยม และง่ายดายต่อการจะทำ มิต้องมีผู้บาดเจ็บ มิได้ผิดกฎของชะตา ทุกอย่างล้วนแต่เป็นความบังเอิญ และในความบังเอิญ ก็จะเกิดผลอันดี

จากอากาศที่แปรปรวนไปมาทำให้ซ่งหยุนเฟิงหยุดมือที่จับพู่กัน เขาจับนิ้วมือแตะคำนวณบางอย่างก่อนจะเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้รู้ ดูเหมือนความวุ่นวายจะเกิดขึ้นมาแล้ว ทั้งๆ ที่เขาเคยเอ่ยเตือนไปแต่ดูเหมือนคุณหนูผู้นั้นมิได้สนใจในคำเตือนของเขาแม้แต่น้อย ยังคงกระทำตามชะตาที่แสนเลวร้ายนั่นไม่หยุด ทั้งที่เขาเอ่ยเตือนไปด้วยความหวังดีแท้ๆ แต่เหตุใดหนอจึงได้ชอบเดินไปหาหุบเหวลึกนัก หากได้รู้ผลแห่งการกระทำนั้น...คุณหนูผู้นั้นคงจะคิดใหม่

ซ่งหยุนเฟิงได้แต่ถอนหายใจ ทุกอย่างล้วนเกิดจากฟ้าลิขิต และดูเหมือนในครานี้ ฟ้าจะพิโรธเสียแล้ว หายนะที่คุณหนูผู้นั้นคิดจะนำเข้าสู่สกุลลู่ นางจะรู้หรือไม่ว่ามันคือการนำเข้าสู่ตนเองทั้งหมด เพียงแค่คิดจะทำก็มีโทษแสนหนักหนาแล้ว นี่ถึงกับนำพาให้ผู้อื่น... เฮ้อ! เขาคงมิอาจจะช่วยนางได้มากนัก แต่จะให้ยืนเฉยมองความพิโรธลงสู่กลางหัวนางเขาก็คงทำมิได้ ทางเดียวที่เขาจะทำได้มีเพียงบรรเทาเหตุการณ์ให้เบาบางลง ลดทอนโทษอันแสนหนักหนาของนางลงเท่านั้น

เยี่ยหวูวางน้ำชาลงบนโต๊ะ มองสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมสลับกับเหนื่อยหน่ายใจอย่างงุนงง เขามิค่อยได้เห็นอาจารย์แสดงสีหน้าเช่นนี้นัก ในยามปกติมีเพียงใบหน้าที่แสนเรียบเฉยและเย็นชาเท่านั้น ซึ่งแม้ว่าเขาจะชาชินกับมันแล้ว แต่การที่ได้เห็นสีหน้าเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วของอาจารย์ในยามนี้ช่างกวนใจเขาจนต้องเอ่ยถามออกมา

“มีสิ่งใดหรือขอรับ ท่านอาจารย์” ซ่งหยุนเฟิงอ้าปากราวกับจะเอ่ยบอกเล่า แต่ก็พลันหุบปากเสียสนิททันทีที่นึกขึ้นได้ว่า มันจะเป็นการเผยความลับสวรรค์ได้ เขาจึงได้แต่ส่ายหน้า

“มิมีสิ่งใดหรอก อาจารย์เพียงแค่เหนื่อยเท่านั้น” เยี่ยหวูไม่คิดจะซักไซ้ด้วยรู้ดีว่า หากอาจารย์มิพูดก็มิควรเซ้าซี้ให้มากความ จะนำมาแต่โทสะของอาจารย์เสียมากกว่า

เยี่ยหวูจำได้ว่าในครั้งหนึ่งนั้น เขาเคยเซ้าซี้ถามมากมายเสียจนอาจารย์โกรธทำโทษให้เขายืนแบกน้ำสองถังอยู่ครึ่งวัน อาจารย์กล่าวว่า บางเรื่องมิใช่สิ่งที่จะพูดออกมาได้ หากพูดแล้วถึงชีวิต ใครบ้างเล่าอยากจะเอ่ยออกมา การเอ่ยถามอย่างไม่นึกถึงผลที่ตามมาของผู้อื่น เป็นสิ่งมิควรอย่างยิ่ง และเขาเองก็จำได้มิเคยลืม นับตั้งแต่วันนั้นเขาจึงมิเคยทำเช่นนั้นอีก หากอาจารย์ไม่คิดจะเล่า นั่นหมายความถึงเรื่องใหญ่ที่มิอาจจะพูดได้ เขาเรียนรู้มันอย่างดี

ซ่งหยุนเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ผู้เป็นศิษย์มิคิดจะเอ่ยถามอันใดอีก เขาเริ่มวางแผนในหัวอย่างเงียบๆ ทั้งที่มือของเขายังคงใช้พู่กันเขียนอักษรไล่ปีศาจไม่หยุด เมื่อคิดได้ดังใจคิด ซ่งหยุนเฟิงก็ได้แต่คลายสีหน้าที่เคร่งเครียดลง จนมันหายไปในที่สุด

ยามราตรีในค่ำคืนนี้ เมื่อดวงจันทราทอแสงจะเกิดภัยร้าย ด้วยความผิดที่แสนหนักหนา หายนะจะนำพาให้พบกับความพิโรธของเหล่าเทพเซียน

เขามองอักษรในที่ถูกเขียนขึ้นมาจากความรู้สึกในกระดาษด้วยความรู้สึกตกใจ หันมองร่างผู้เป็นศิษย์แล้วโล่งใจเมื่อเยี่ยหวูไม่ได้อยู่ข้างหลังเขาอีกแล้ว เยี่ยหวูออกไปเมื่อใดมิอาจรู้ แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่มิได้เห็นเนื้อความในจดหมายนี้ ในใจของซ่งหยุนเฟิงเริ่มหวาดหวั่นถึงภัยร้าย เขาต้องรีบจัดการให้มันทุเลาลง มิเช่นนั้น เมืองซิ่นจือคงเหลือเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น

ขออย่าให้เหตุการณ์เลวร้ายลงไปกว่านี้เลย

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
(ต่อจ้า)

หยางเถาที่เฝ้ารอคอยให้ดวงจันทราขึ้นสู่นภาอันกว้างใหญ่นั้นก้าวออกมาอย่างเร่งรีบ เวลาของเขาเหลืออีกเพียงไม่กี่ราตรีก่อนจะสูญสลายไปตามสัญญาที่ให้ไว้แก่องค์เง็กเซียน ทว่าเพียงปลายเท้าสัมผัสพื้นดิน ความเจ็บปวดก็พลันวูบไหวอยู่ในหัวใจดวงน้อยจนร่างบางต้องชะงักฝีเท้าตนเอง หยางเถาหมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เขายกมือขึ้นมาแตะตรงที่เสียดร้าวกลับไม่รู้สึกใดๆ เลย เพียงครู่เดียวเท่านั้นที่เขารู้สึกร้าวราน แต่เพียงครู่เดียวราวกับกะพริบตา มันก็หายไปเหมือนมิเคยเกิดขึ้น

ความสุขกำลังจะหายไปหรือ?

มิรู้ว่าด้วยเหตุใดเขาจึงได้รู้สึกเช่นนี้ มือข้างนั้นยังคงลูบบริเวณตำแหน่งของหัวใจอย่างแผ่วเบา ลูบเหมือนกับว่ากำลังปลอบประโลมมิให้ดวงใจน้อยๆ ต้องพะวงถึงเรื่องนี้ สีหน้าของหยางเถาสะกดกลั้นความเคร่งเครียดและหวาดกลัวเอาไว้จนมิด ฝืนแต่งเติมรอยยิ้มออกมาประดับเอาไว้มิให้ผู้ใดได้รู้ถึงความหวาดกลัวที่ซ่อนกายอยู่ ร่างบางค่อยๆ เดินเจ้าไปหาลู่เฟยหลงที่กำลังยืนส่งรอยยิ้มที่แสนรักใคร่มาให้

หยางเถายิ้มตอบกลับอย่างเช่นเคย อากาศในค่ำคืนนี้ช่างหนาวเหน็บจนชวนให้ขนลุกแปลกๆ แต่หยางเถาและลู่เฟยหลงก็มิได้สนใจความเปลี่ยนของบรรยากาศรอบข้าง พวกเขาทั้งสองเพียงจดจ่ออยู่กับการมองใบหน้าของอีกคนอย่างตั้งใจ ความหวานแผ่กว้างไปทั่วทั้งบริเวณ เหล่ามวลดอกไม้ที่อยู่ในการหลับใหลยังต้องเขินอาย หยางเถาหลบสายตาคมที่ยังไม่หยุดจับจ้องด้วยท่าทางเคอะเขิน จนลู่เฟยหลงอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้

“เจ้าช่างเก่งกาจนักหยางเถา” นัยน์ตาคู่สวยสีอำพันจ้องใบหน้าหล่อของเฟยหลงอย่างไม่เข้าใจ เขาเก่งกาจอันใดกัน เขายังมิได้ทำสิ่งใดเลยสักนิด

“ข้าหรือ...ข้าเก่งกาจเรื่องใดกัน?” เฟยหลงอมยิ้มนัยน์ตาวาวพราวระยับด้วยความเจ้าเล่ห์ เอื้อมมือขึ้นจับปอยผมทัดใบหูจนมองเห็นรอยแดงบนผิวแก้มได้อย่างชัดเจน

“เจ้าช่างเก่งกาจ เพียงแค่เจ้าเดินมายังสามารถทำให้หัวใจข้าเต้นแรง” หยางเถาเม้มปากแน่นมิยอมให้หลุดยิ้ม ใบหน้าหวานยิ่งก้มลงมองพื้นหลบซ่อนร่องรอยระเรื่อไว้จากสายตาคม แต่เฟยหลงก็มิอาจจะยอมได้ ปลายนิ้วเชยคางมนขึ้นมาให้สบตากับเขาอย่างจริงจัง

“อย่าได้ทำหน้าตาเช่นนี้กับผู้ใด แม้แต่กับข้าเลยเจ้าดอกท้อ” เฟยหลงเสียงแหบพร่าด้วยเกลียวอารมณ์ แต่ดูเหมือนหยางเถามิได้เข้าใจมันด้วยเลย คิ้วเรียวหมุ่นลงด้วยความคาใจ

“เพราะเหตุใดกัน?” เขาน่าเกลียดอย่างนั้นหรือ? เฟยหลงยิ้มอ่อนพร้อมกับลูบไล้ผิวแก้ม ไล่ลงบนลำคอขาวอย่างเบามือ จินตนาการว่าได้กดริมฝีปากลงไปสัมผัสมันอย่างรักใคร่

“เฟยหลง...” สติถูกดึงกลับมาอีกครั้งด้วยเสียงเรียกขานของผู้เป็นที่รัก

“เพราะมันช่างยั่วอารมณ์เหลือเกิน ข้ากลัวเจ้าจะช้ำเสียก่อน หากยังคงทำใบหน้าเช่นนี้” ริมฝีปากของหยางเถายิ่งเม้มแน่น นัยย์ตาสีอำพันสั่นระริกด้วยความหวั่นไหว

สายลมพัดวูบมาพาให้จมูกของเฟยหลงได้สูดดมกลิ่นกายอันหอมหวานของคนตรงหน้าเต็มปอด กลิ่นที่เขาชอบและหวังจะได้กลิ่นมันไปในทุกคืนทุกวัน แต่มันก็เป็นไปมิได้ ด้วยเฟยหลงนั้นรู้ดีว่าอีกไม่นาน เวลาอันแสนสุขก็จะจบลงแล้ว ช่วงเวลาที่เขากำลังได้ใช้มันกำลังจะจากหายไปกับสายลมในอีกไม่กี่ราตรี เพียงแค่คิด หัวใจของลู่เฟยหลงก็ร้าวราน ความเจ็บแผ่กระจายไปจนทั่ว จนเขาต้องหมุ่นหน้าลง อาการเจ็บแปลบที่คล้ายถูกมือล่องหนบีบหัวใจเล่นเป็นจังหวะมันช่างทรมาน

“นายน้อยขอรับ! แย่แล้วขอรับ!”

เสียงของเหวินฉายที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทำให้เฟยหลงต้องหันไปมองอย่างสงสัย สีหน้าของเหวินฉายนั้นซีดเซียว ซ้ำยังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว มันทำให้เฟยหลงต้องดึงร่างของหยางเถามาซ่อนเอาไว้ด้านหลังตนทันที เสียงที่ร้องเรียกและเสียงที่ดังออกมาจากทางหน้าบ้าน ปลุกให้เฉินลี่ฟู่ต้องออกมาดูอย่างสงสัยด้วยเช่นกัน เฉินลี่ฟู่มองใบหน้าของคนรักที่แทบจะไม่มีสีเลือดด้วยความเคร่งเครียด ดึงเอาคนรักเข้ามาเผชิญหน้า

“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าบาดเจ็บที่ใด!” เหวินฉายส่ายหน้าแล้วดึงตัวออกห่างก่อนจะหันไปมองลู่เฟยหลงอีกครั้ง

“ข้าไม่เป็นไร แต่นายน้อยขอรับ ในตอนนี้พวกชาวเมืองกำลังจะบุกเข้ามาในบ้านแล้วขอรับ! พวกเขามีอาวุธมาด้วย ข้าเกรงว่าจะเป็นเพราะข่าวลือในช่วงนี้ เพราะข้าได้ยินพวกเขากล่าวว่าจะมา...เอ่อ” เหวินฉายลังเลด้วยความไม่กล้า ลอบมองใบหน้าของหยางเถาเป็นระยะ จนเฟยหลงต้องรีบเอ่ยถาม

“ว่าอย่างไร เจ้ารีบพูดมาเถิด” เหวินฉายสูดลมหายใจเพื่อรวบรวมความกล้า หลับหูหลับตาพูดออกมาในที่สุด

“พวกเขากล่าวว่า จะมา เอ่อ จะมากำจัดปีศาจขอรับ!” เฟยหลงใจหายวาบ มองคนตัวเล็กด้านหลังที่ตัวสั่นอย่างห่วงใย ใบหน้าหล่อเหลาแทบจะสะกดกลั้นเอาโทสะที่พุ่งขึ้นมาเอาไว้ไม่อยู่ เฉินลี่ฟู่ที่เห็นได้แต่ดึงเหวินฉายออกมาจากจุดนั้นแล้วพากลับเข้าไปในห้อง เรื่องในครั้งนี้เป็นสิ่งพิสูจน์รักแท้ของลู่เฟยหลงและหยางเถาผู้นั้น เขาและถังเหวินฉายทำได้เพียงยืนมองและเอาใจช่วย แต่หากเกิดสิ่งใดเกินกว่ากำลังของลู่เฟยหลง เขาจะไม่ลังเลที่จะออกไปช่วยอย่างแน่นอน

“เจ้าดึงข้ามาทำไมกัน!” เหวินฉายที่ถูกดึงมาสะบัดแขนหนีการเกาะกุมพร้อมกับสายตาไม่พอใจที่จับจ้องใบหน้าของคนรักอย่างเอาเรื่อง เฉินลี่ฟู่ได้แต่ถอนหายใจ เขาเข้าใจดีว่าเพราะเหตุใดเหวินฉายของเขาจึงได้โกรธเคืองเช่นนี้

“เจ้าจะอยู่ตรงนั้นมิได้ ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นห่วงพวกเขา แต่ตอนนี้เจ้าทำได้เพียงแค่เฝ้ามองห่างๆ เตรียมพร้อมกับเหตุการณ์รุนแรงเท่านั้น” เหวินฉายสับสน ใจของเขานั้นอยากจะกลายเป็นโล่คอยปกป้องนายน้อยและคุณชายหยางเถาเต็มที่ แต่เจ้าลูกเต่าตรงหน้านี่คงไม่ยอมให้เขาไปง่ายๆ เป็นแน่

“เจ้ากำลังทำให้ข้า กลายเป็นคนขี้ขลาด” เฉินลี่ฟู่ยิ้มละมุน มองใบหน้าของคนรักด้วยแววตาหวาน

“เจ้ามิได้ขี้ขลาด ข้ารู้ดีว่าเจ้าเก่งกาจเพียงใด แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องนี้ต้องให้นายน้อยของเจ้าเป็นผู้จัดการ เขาคือเจ้าบ้าน มิใช่เจ้า!” เหวินฉายเม้มปากแน่นแต่ก็ยินยอมพยักหน้าตกลง แต่เหวินฉายก็มิได้นิ่งดูดาย เขาเดินไปหาไม้ท่อนใหญ่มาถือไว้ พร้อมกับการแง้มประตูมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ ดังที่คนรักได้กล่าวไว้

เขามองเห็นคุณชายหยางเถาที่มองนายน้อยของเขาด้วยแววตารู้สึกผิด ราวกับตนเองเป็นต้นเหตุของปัญหาในครั้งนี้ ความห่วงใยจากนายน้อยเองก็ช่างชัดเจนเหลือเกิน ทั้งสองกอดกันเสียแนบแน่นราวกับกลัวว่าจะมิมีโอกาสนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง เหวินฉายสะท้านวูบในอกด้วยความสงสาร เพียงไม่นานนี้เท่านั้นที่นายน้อยและคุณชายหยางเถาได้มีความสุข กลับต้องมาเจอเหตุการณ์อันแสนเลวร้ายอีกครั้ง

สองมือกำเข้าหากันจนแน่น ยามคิดถึงครั้งเมื่อได้ร่วมโต๊ะอาหารกัน คำบอกกล่าวของนายน้อยยังคงชัดเจนในความทรงจำของเหวินฉาย คุณหนูเพ่ยผู้นั้นช่างร้ายกาจยิ่งนัก กล้าปล่อยเรื่องเช่นนี้เล่นงานสกุลลู่จนเกิดเหตุการณ์บานปลาย นำชาวเมืองซิ่นจือให้บุกเข้ามายังบ้านสกุลลู่โดยมิเกรงกลัวต่อสิ่งใด ยิ่งในยามวิกาลเช่นนี้อีกเล่า การที่ดึงดันจะเข้ามาด้วยการใช้กำลังนั้นถือว่าผิดแล้ว ซ้ำยังนำเอาอาวุธอันตรายเข้ามาอีก มิเท่ากับการปล้นหรอกหรือ

ฝ่ายลาเฟยหลงยังคงกอดรัดร่างบางของหยางเถาไว้แน่น มิยินยอมให้ร่างบอบบางในอ้อมกอดมอบตนเองให้แก่พวกชาวเมือง หยางเถานั้นคิดว่าการนำตัวเองไปให้พวกชาวเมืองจะทำให้ลู่เฟยหลงและสกุลลู่รอดพ้นจากคำครหาเหล่านี้ อีกทั้งบ่าวรับใช้ในบ้านจักได้ไม่เดือดร้อนเพราะตัวของเขา หยางเถาร้องไห้น้ำตานอง เสียงสะอื้นไห้ดังอยู่กับอกแกร่ง เรี่ยวแรงทั้งหมดของเขาถูกใช้กับการดิ้นรนขัดขืนหนีออกจากอ้อมกอดของลู่เฟยหลง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามดิ้นรนอย่างไร ลู่เฟยหลงก็ยังคงกอดเขาเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยเขาออกแม้แต่น้อย

เสียงดังโวยวายจากชาวเมืองซิ่นจือยิ่งใกล้เข้ามา แสงไฟจากคบเพลิงส่องนำร่างของพวกเขามา จนลู่เฟยหลงที่เห็นรีบเอาตัวมาบดบังร่างของหยางเถาเอาไว้จนมิด เขาไม่คิดจะมอบหยางเถาให้กับใคร ยิ่งไม่ยอมให้หยางเถาต้องถูกทำร้ายด้วยเช่นกัน หากผู้ใดหมายจะทำร้ายดวงใจของเขา เขาจะไม่มีวันให้อภัยมันอย่างแน่นอน!

“นั่นไงๆ มันอยู่นั่น!” หนึ่งในชาวเมืองชี้มายังลู่เฟยหลงและหยางเถาที่ตัวสั่นอย่างน่าสงสารอยู่ไม่ไกลจากต้นท้อ

“ฆ่ามันซะ มันเป็นปีศาจ มันทำร้ายคน!” หยางเถาหน้าซีดเผือด ความงุนงงเกิดขึ้นในหัวอย่างช่วยไม่ได้ นี่เขาไปทำร้ายใครตั้งแต่เมื่อใดกัน

“พวกท่านคิดจะทำอะไร! บุกรุกบ้านของข้าในยามนี้ พร้อมอาวุธในมือ มันใช่เรื่องสมควรหรือ!” ลู่เฟยหลงพูดด้วยใบหน้าจริงจังและจับจ้องด้วยสายตาคมดุดันอย่างเอาเรื่อง แต่พวกชาวเมืองกลับไม่ได้เกรงกลัวสักนิด สิ่งใดเล่าจะน่ากลัวกว่าความตาย เมื่อตัวอันตรายอย่างปีศาจยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาในตอนนี้

“คุณชายลู่เฟยหลง หากท่านยอมปล่อยเจ้าปีศาจนั่นมาให้พวกข้า พวกข้าสัญญาว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับทุกคนในบ้านสกุลลู่อย่างแน่นอน!” มือหนากระชับข้อมือบางเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหายไป ยืดตัวบดบังร่างบอบบางเอาไว้ไม่ยอมทำตามคำพูดของอีกคน

“ข้าไม่ให้! พวกท่านกล้าแย่งชิงคนรักของข้า กล่าวหาว่าเขาคือปีศาจ ช่างกล้าเหลือเกิน!” ลู่เฟยหลงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บใจนัก คำก็ปีศาจ สองคำก็ปีศาจ! คนพวกนี้ช่างหูเบาเหลือเกิน! ชาวเมืองคนหนึ่งเอาขวานชี้หน้าอย่างเจ็บแค้น ทั้งที่ตนเองมิได้ถูกกระทำใดๆ เพียงแค่ตามคนอื่นมาเท่านั้น

“คุณชายลู่! กล่าวให้ดี! คนรักของท่านคือคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงผู้แสนดีต่างหาก! จะเป็นบุรุษปีศาจผู้นี้ไปได้อย่างไร! หรือท่านถูกมันล่อลวงเสียจนลุ่มหลงมัวเมาไปแล้วกัน!” เสียงกล่าวราวกับเจ็บแค้นใจทำให้ลู่เฟยหลงยิ้มเยาะออกมาอย่างไม่พอใจ

“ใครกันคนรักข้า? เจ้าหรือข้าคือลู่เฟยหลง?” คนถูกถามหน้าแดงด้วยโทสะชี้หน้าลู่เฟยหลงด้วยความโกรธเคือง

“นี่เจ้า!”

“ข้าทำไม? ข้าคือลู่เฟยหลง มิเคยสักครั้งจะมีใจให้กับเพ่ยเยว่เผิง คนที่หัวใจของข้าปรารถนาจะอยู่ร่วมชั่วนิรันดร์มิใช่เพ่ยเยว่เผิงที่แสนร้ายกาจ แต่เป็นหยางเถาคนรักที่แสนดีของข้า!” ทุกคนต่างยิ้มเยาะเย้ยในความหน้ามืดตามัวของคุณชายลู่เฟยหลง ชาวเมืองต่างก็คิดว่าเขาคงถูกปีศาจล่อลวงมานานจนฟั่นเฟือนมองเจ้าปีศาจที่ร้ายกาจเป็นคนรักที่แสนดี ซ้ำยังกล่าวหาว่าคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงผู้อ่อนโยนเป็นหญิงร้ายกาจอีก หามิใช่ว่าวิปลาส จะเป็นอย่างไรไปได้อีก

“จับมันมา! หากจับมันมิได้ก็ตัดต้นท้อเสีย!” พวกเขามิคิดจะต่อปากต่อคำใดๆ ให้มากความอีก เมื่อผลสุดท้ายคุณชายลู่ผู้นี้ก็มิอาจจะตาสว่างได้ ย่อมเหลือเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะกระทำทุกอย่างด้วยตนเอง ปกป้องตนเองและครอบครัวจากปีศาจที่ชั่วร้าย แม้ว่าพวกเขาจะไม่เห็นก็ตาม แต่เส้นผมสีเงินย่อมบ่งบอกได้อย่างดีว่า คนผู้นี้มิใช่มนุษย์!

“ไปจับมันมา!” สิ้นเสียงสั่งการ หลายคนเริ่มล้อมกายของเฟยหลงเอาไว้ เมื่อลู่เฟยหลงกำลังมองไปอีกทาง เฉียนเล่อก็กระชากเอาร่างที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลังออกมาทันที

“อ๊ะ!” ความเจ็บปวดบริเวณข้อมือส่งผลให้หยางเถาร้องออกมา ใบหน้าหวานหมุ่นลงซ้ำร้ายนัยน์ตาหวานสีอำพันยังคลอไปด้วยน้ำตา

เหล่าชาวเมืองยืนนิ่งงันจนแทบจะลืมหายใจ ความงดงามยามอีกฝ่ายช้อนสายตาขึ้นมองโดยมีน้ำฉ่ำวาวท้าทายแสงจันทร์ยิ่งชวนให้หลงใหล หลายคนเคลิบเคลิ้มไปกับความงดงามที่สะดุดใจนั้น จนลืมเลือนสิ่งที่ตนเองคิดจะทำไปหมดสิ้น เฉียนเล่อเองก็มิเคยคาดคิดว่า คนผู้นี้ที่ถูกเขากล่าวหาว่าเป็นปีศาจจะงดงามดึงดูดใจได้ถึงเพียงนี้ แม้เขามิใช่ลาเฟยหลง แต่ถ้าให้เขาเลือกระหว่างคุณหนูเพ่ยผู้นั้นกับบุรุษร่างน้อยคนนี้ เขาก็มิลังเลที่จะเลือกคนตรงหน้าเลยเช่นกัน!

แต่นี่มิใช่เรื่องส่วนตัว อย่างไรก็คือการค้า แม้จะรู้สึกผิดอย่างไร ก็มิอาจทรยศเงินที่ถูกจ่ายมาได้

“เจ้า! ปล่อยมือคนของข้าเดี๋ยวนี้!” ลู่เฟยหลงกระชากแขนอีกช้างของหยางเถากลับมาด้วยความไม่พอใจ ใครอนุญาตให้มันแตะต้องเจ้าดอกท้อ! ต้องมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะจับต้องกายของอีกฝ่ายได้

“คุณชายลู่! ท่านช่างวิปลาสไปแล้วหรือ จะปกป้องปีศาจเพื่อเหตุใด?”

“หยางเถามิใช่ปีศาจ! พวกเจ้าต่างหากที่รังแกคนไม่มีทางสู้!” เฟยหลงกัดฟันกรอดด้วยความโมโห เขาอยากเจอตัวการใหญ่ แต่นางผู้นั้นกลับหลบอยู่หลังกำแพงบ้านสกุลเพ่ย ช่างไร้ยางอายเสียจริง!

“เลิกพูดมากความ ตัดต้นท้อเดี๋ยวนี้!”

“ไม่อย่านะ!” หยางเถาถลาร่างหวังจะเข้าไปห้ามปรามคนเหล่านั้น แต่ด้วยความหวาดกลัวว่าจะเป็นอันตราย ลู่เฟยหลงจึงกอดเอวเล็กเอาไว้ไม่ยอมปล่อย หยาดน้ำตาไหลรินลงผิวแก้ม มองภาพคนเหล่านั้นที่ง้างขวานขึ้นสูงหวังจะตัดลงบนลำต้นที่ใหญ่โตอย่างแรง

แต่ไม่ทันที่พวกชาวเมืองจะได้กระทำตามใจคิดก็พลันถูกซัดจากใครบางคนจนต่างพากันล้มลงสู่พื้น ถลาไปไกลจากต้นท้อและหยางเถา ร่างบอบบางชะงัก แหงนหน้าขึ้นมองผู้มีพระคุณอย่างซาบซึ้งใจ แต่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังในชุดสีขาวกับเส้นผมสีดำสนิทกลางแสงจันทร์เท่านั้น ทว่า...ความรู้สึกที่แสนคุ้นเคยและคิดถึงกลับท่วมท้นหัวใจของหยางเถาจนขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนทรุดกายลงพื้น บุรุษลึกลับมองชาวเมืองที่พยายามพยุงตนเองล้มด้วยใบหน้าเรียบเฉย พัดราคาแพงสีดำลายมังกรถูกคลี่ออกมาพัดด้วยท่วงท่าสบายๆ ใบหน้าของผู้มาใหม่ไร้ซึ่งอารมณ์แต่ดวงตากลับฉายแววกร้าว

“รังแกคน สวรรค์จะลงโทษพวกเจ้าเอา รู้หรือไม่?” เหล่าชาวเมืองต่างพากันมองหน้าผู้มาใหม่อย่างไม่พอใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว วรยุทธ์ของคนผู้นี้มิธรรมดา ดูก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือ หากพวกเขาลงมือผลีผลามรังแต่จะหาความเดือดร้อนเข้ามาสู่ตนเองเสียมากกว่า เจียจงค้อมกายลงต่ำมือประสานกันอย่างนอบน้อมพร้อมกับเอ่ยบอกเล่าความจริง

“ท่านจอมยุทธ์อย่าได้เข้าใจผิด ข้าและพวกชาวเมืองเพียงพากันมาจัดการกับปีศาจเท่านั้น ด้วยเจ้าเฉียนเล่อบอกพวกข้าว่าถูกปีศาจผู้มีเส้นผมสีเงินทำร้ายจนบาดเจ็บ” เฉียนเล่อหน้าซีดตัวสั่นเมื่อถูกจอมยุทธ์นิรนามผู้นี้จับจ้อง มิอาจรู้ได้ว่าเพราะเหตุใด เพียงแค่สบสายตากับจอมยุทธ์ท่านนี้ เขาก็รู้สึกว่าตนเองคล้ายจะขาดอากาศหายใจเสียดื้อๆ รู้สึกราวกับไร้ที่จะยืน ไร้ที่จะพักพิง และไร้สิ่งใดให้ยึดเหนี่ยว ราวกับตัวเขาถูกบีบบังคับให้กลั้นใจตายเสียเดี๋ยวนั้น

“ถูกแล้ว ท่านจอมยุทธ์โปรดเข้าใจด้วย สวรรค์เองก็จะลงโทษพวกเราได้อย่างไร ในเมื่อเราเพียงแค่กำจัดปีศาจให้สิ้นเท่านั้น พวกข้าทำความดี เหตุใดจอมยุทธ์จึงได้กล่าวว่าพวกข้าจะถูกสวรรค์ลงโทษกัน?” ใบหน้าเรียบเฉยที่แผ่ไอความเย็นยะเยือกออกมารอบกายปรายตามองผู้กล่าวอ้างว่าตนทำความดีอย่างเยาะเย้ย ความคิดว่าตนทำถูก ตนกำลังทำความดีช่างเป็นจุดเด่นของพวกมนุษย์เสียจริง ทั้งที่มิได้รู้สิ่งใดอย่างแน่ชัด กลับกล้ากล่าวอ้างว่าตนทำดี เฮอะ! ช่างน่าหัวเราะนัก!

“หากเจ้ามั่นใจว่าการกระทำของพวกเจ้าถูกแล้ว ก็อย่าหาว่าข้ามิเตือน แต่ข้าขอบอกพวกเจ้าไว้! หากเจ้าแตะต้องต้นท้อแม้แต่นิดเดียว ข้าจะไม่ให้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เช่นกัน!” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดจนลมหายใจของหลายๆ คนชะงัก น้ำเสียงของคนผู้นั้นมิไก้ล้อเล่นแต่อย่างใด ต่อให้คนผู้นี้จะมิได้มีอาวุธ แต่สีหน้าและคำพูดของเขาช่างสามารถทำให้พวกชาวเมืองทั้งหลายหวาดผวาจนร่างกายสั่นไปหมด

ไอสังหารแผ่ออกมาปกคลุมไปจนทั่วพื้นที่ แม้ว่าเจ้าตัวจะเพียงโบกพัดในมืออย่างไม่สนใจสิ่งใด แต่พวกเขารู้ดี หากแม้ขยับเข้าใกล้ต้นท้อพันปีสักก้าวคงมิอาจจะหายใจต่อไปได้อีก พวกชาวเมืองต่างพากันมองหน้าลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างเกรงกลัว แต่หากมิอาจจะกำจัดปีศาจไปได้ คงอยู่กันอย่างไม่สงบ ไหนจะต้องมาคอยหวาดระแวงกลัวว่าบุรุษผมสีเงินผู้นั้นจะมาไล่ทำร้าย ไล่ฆ่าเมื่อใด ก็คงมิต่างจากถูกจิมยุทธ์ผู้นี้สังหารหรอกกระมัง!

“ตัดต้นท้อ!” เมื่อตัดสินใจได้เสียงของหลายๆ คนก็ดังขึ้นราวกับเรียกขวัญกำลังใจให้ตนเอง แต่ทว่าสีหน้าของจอมยุทธ์นิรนามผู้นั้นกลับดำทะมึนขึ้นมา รอยยิ้มเหี้ยมที่ชวนให้ขนลุกปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็มิอาจจะหยุดความพยายามของพวกชาวเมืองได้ พัดสีดำถูกรวบเก็บคล้ายว่าเขากำลังจะเอาจริงขึ้นมานั้น ทำให้ชาวเมืองบางคนถึงกับหยุดชะงักและเริ่มลังเล

หยุดโทสะของเจ้าเสีย! อย่าได้กระทำสิ่งที่เจ้ากำลังคิด!

ทั้งที่เสียงนั้นเป็นเสียงที่คุ้นเคย แต่ความโกรธที่ถูกผู้คนเหล่านี้โหมกระพือยิ่งทำให้เขาแผ่รังสีฆ่าฟันออกมาไม่หยุด ทั้งที่ตนเองก็รู้ดีว่า หากลงมือไปจะเกิดสิ่งใดขึ้น แต่หากจะให้เขายืนมองคนผู้นั้นถึงแก่ความตาย เขายอมมิได้! ต่อให้สวรรค์บันดาลโทสะลงมาสู่เขา ต่อให้ต้องถูกกักขังไปอีกกี่พันอีก เพียงเขาสามารถช่วยเอาไว้ได้สักครั้ง เพียงสักครั้งเขาก็ยินยอมรับโทษ!









TBC







     เอ๊!!!! ใครอ่ะๆๆๆ ใครโผล่มาาาาาา  พี่จ้าวววว พี่จ้าวของเมียยย แค่กๆ ขอโทษค่ะ แมวลืมตัว เราต้องโฟกัสที่พี่เฟยหลงสิเนอะๆ อย่าลืมหยอดปุกหมูรอพาคุณหมอสุดหล่อทั้ง9ห้องไปไว้ที่บ้านนะคะ 

ออฟไลน์ Rabbitongrass

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อยากจะบอกบุญคนที่รออ่านว่าลองเอาชื่อเรื่องไปค้นในอากู่ครับ

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[22]

“หยุดมือก่อน! ได้โปรดเถิดท่าน อย่าได้ทำเช่นนี้ ข้าจะพูดเองขอรับ!” แต่เขามิทันจะได้ลงมือใดๆ เสียงของคนผู้หนึ่งก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทางที่แสนเคารพ ซ่งหยุนเฟิงปาดเหงื่อของตน เขามาทันอย่างหวุดหวิด เกือบเกิดการสังหารหมู่ไปเสียแล้ว แต่จะให้คนสูงส่งเช่นนี้ต้องมีเลือกเปื้อนมือจากการกระทำของพวกมนุษย์เช่นพวกเขามิได้

“เจ้า...เป็นใครกัน?”

“ข้าน้อยมีนามว่าซ่งหยุนเฟิง ขอท่านโปรดยั้งมือก่อน ข้าเป็นนักพรต ข้าสามารถเปลี่ยนใจของพวกเขาได้ ให้ข้าได้ลองเถิดขอรับ” ชายผู้นั้นยอมหยุดมือ ตามคำอ้อนวอนของซ่งหยุนเฟิง ปรายตามองพวกน่าสังหารก่อนจะพยักหน้าตอบรับกับซ่งหยุนเฟิงไป เหล่าชาวเมืองต่างรู้สึกโล่งใจราวกับถูกช่วยชีวิตเอาไว้ทั้งที่ยังมิได้เกิดสิ่งใดขึ้น ซ่งหยุนเฟิงหันไปเผชิญหน้ากับทุกคนในเมืองอย่างจริงจัง เขาอยากจะทำให้ทุกอย่างถูกต้องก่อนที่สวรรค์จะลงโทษพวกเขา

“ท่านนักพรต ท่านมาก็แล้ว! โปรดกำจัดปีศาจตนนี้ด้วยเถิด มันทำร้ายคน อีกหน่อยมันคงสังหารผู้คนในเมือง” ซ่งหยุนเฟิงมองความโง่เขลาตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจ เหตุใดถึงได้กล่าววาจาร้ายแรงเช่นนี้ มิรู้หรือไรว่าผู้ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้านั้น เพียงขยับปลายนิ้วพวกเขาก็สามารถจะตายลงโดยไม่ต้องทำสิ่งใดให้มากมาย

“พวกท่านจะบอกว่า บุรุษผมสีเงินทางด้านหลังของข้า คือปีศาจงั้นหรือ?” ทุกคนพยักหน้าตอบ เมื่อทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

“ใช่แล้วท่านนักพรต มันเที่ยวไล่ทำร้ายชาวเมือง ซ้ำยังใช้เล่ห์ปีศาจล่อลวงคุณชายลู่เฟยหลงไปจากคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงอีก!” น้ำเสียงของคนพูดคล้ายคนเจ็บแค้นใจ ทั้งที่ตนเองมิใช่ผู้ถูกกระทำยังโกรธได้ถึงเพียงนี้ คุณหนูเพ่ยผู้นั้นเล่าจะเจ็บปวดเพียงใด เมื่อต้องสูญเสียชายอันเป็นที่รักให้กับปีศาจเช่นนี้!

“ข้าว่าพวกท่านเข้าใจผิดไปเสียแล้วล่ะ”

“ท่านหมายความว่าอย่างไรกันที่ว่าเข้าใจผิด?” ซ่งหยุนเฟิงได้แต่ถอนหายใจกับปัญหาที่เพ่ยเยว่เผิง หญิงผู้นั้นเป็นผู้ก่อขึ้นมา เป็นเพราะคำลวงและคำโป้ปดที่ชักนำให้หายนะเข้ามาใกล้เมืองซิ่นจือแห่งนี้

“ข้ามาที่นี่เองเมื่อคืนก่อน เป็นผู้มาตรวจสอบตามที่ลู่ฮูหยินได้เชิญข้ามาเพราะสงสัยเช่นเดียวกับพวกท่าน หากแต่สิ่งที่ข้าได้กลับมิใช่ปีศาจแต่อย่างใด...” ทุกคนเริ่มตกใจและลังเล แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดปักใจเชื่อคำของซ่งหยุนเฟิงนัก

“หากมิใช่ปีศาจแล้วจะเป็นสิ่งใดกัน? มนุษย์หรือไร!” เสียงคล้ายคำเยาะเย้ยดังออกมาจากคนถามแต่ซ่งหยุนเฟิงมิได้ใส่ใจในอารมณ์นั้นไม่ สิ่งที่เขาควรจะห่วงตอนนี้คือชีวิตกี่ชีวิตที่จะต้องตายด้วยน้ำมือของคนผู้นั้น ผู้ที่สูงส่งแต่มากไปด้วยความปรานีอย่างที่สุดแล้ว

“แน่นอนว่าย่อมมิใช่ แต่เมื่อมิใช่ปีศาจแล้วพวกท่านจะหวาดกลัวไปทำไมกัน ที่พวกท่านมาก็เพราะปีศาจมิใช่หรือ ในเมื่อรู้เช่นนี้แล้วจะดึงดันทำร้ายเขาไปทำไม” เฉียนเล่อเริ่มลนลาน หากทุกคนยอมกลับง่ายๆ มิเท่ากับแผนการมิสำเร็จหรอกหรือ เช่นนี้เงินแม้แต่อีแปะเดียวเขาก็คงมิได้

“เพราะมันทำร้ายคนในเมืองอย่างไรเล่า!” ซ่งหยุนเฟิงเลิกคิ้วมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจริงจังระคนสงสัย

“ผู้ใด?”

“ก็...” ครั้งเมื่อหันกลับไปหาเจ้าตัวการอย่างเฉียนเล่อก็กลับมิได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว การที่เฉียนเล่อหายไปเช่นนี้ทำให้ชาวเมืองต่างตกใจและทำสิ่งใดมิถูก ใบหน้าของพวกเขาเริ่มซีดเผือด เริ่มรับรู้ชะตาของการบุกรุกจวนของแม่ทัพลู่ในยามนี้ แย่แล้ว แย่แน่ๆ คำคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวของพวกเขาจนแทบจะสำรอกมันออกมา

ตุบ!

ทว่ามิทันได้หวาดกลัวจนหายกลัว ร่างของเฉียนเล่อก็ถูกโยนมาจากทางด้านหลังของพวกเขาอย่างแรงจนกระเด็นกระแทกเข้ากับพื้นดิน เลือกสีแดงถูกพ่นออกมาจากปากของเฉียนเล่อจนเต็มพื้นดิน เฉินลี่ฟู่เดินเข้ามาใกล้ร่างที่สะบักสะบอมอย่างมั่นคงแต่กลับดูข่มขวัญไม่น้อย เขาเกลียดนัก คนที่วิ่งหนีแล้วปล่อยให้ผู้อื่นเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง ในเมื่อสร้างมันมาด้วยกันก็จงรับผลกรรมนั้นไปร่วมกันเสีย!

ฝ่าเท้าของเฉินลี่ฟู่กระแทกอกของเฉียนเล่อจนเจ็บไปหมด มือทั้งสองข้างได้แต่จับข้อเท้าของเฉินลี่ฟู่เอาไว้แน่น พยายามดึงออกสักเท่าไหร่ก็มิมีทางยกมันออกไปได้ สีหน้าของเฉินลี่ฟู่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยที่ทำให้เฉียนเล่อรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก

“เจ้าจักรีบไปที่ใดกัน...มิอยู่รอรับกรรมของเจ้าก่อนหรือ?”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร! อึก!” ฝ่าเท้ากระแทกลงกลางอกอีกครั้งจนเฉียนเล่อใบหน้าบิดเบี้ยว หยางเถาและเฟยหลงเห็นท่าไม่ดีจึงได้รีบเข้ามาหมายจะห้ามปราม

“ลี่ฟู่! หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เดี๋ยวมันตายจะทำอย่างไร!” เสียงของเหวินฉายดังขึ้นพร้อมกับแรงดึงที่แขนจนเฉินลี่ฟู่ยอมปล่อยให้เจ้าเฉียนเล่อรอดจากฝ่าเท้าไป ใบหน้าที่เคยเหี้ยมโหด กลับมายิ้มอ่อนหวานใส่ถังเหวินฉายราวกับประจบประแจง

“ข้าแค่ลืมตัวเท่านั้น ฉายเอ๋อร์เจ้าอย่าโกรธข้าเลย...” เหวินฉายได้แต่ส่ายหัวกับความใจร้อนของคนรัก หากมิเข้ามาห้าม มิรู้ว่าป่านนี้เจ้านั่นจะเป็นเช่นไร

“เฉียนเล่อ! บอกท่านนักพรตเสียสิว่าเจ้าถูกบุรุษผมสีเงินผู้นั้นทำร้ายใช่หรือไม่?” เมื่อถูกเอ่ยถามด้วยคำถามเช่นนี้ เฉียนเล่อก็ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ยอมปริปากพูดใดๆ

“หากยังไม่ยอมเปิดปาก ข้าจะส่งเจ้าให้กับท่านพ่อเป็นผู้จัดการ!” เฉียนเล่อตาโตและหวาดหวั่น รีบคุกเข่าอ้อนวอนต่อเฉินลี่ฟู่อย่างรวดเร็ว เพราะหากเขาถูกส่งตัวให้นายอำเภอผู้เป็นบิดาของเฉินลี่ฟู่ เขาคงมิพ้นถูกลงโทษอย่างหนักแน่!

“อยะ อย่านะขอรับ ข้ายอมแล้ว ข้าถูกคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงว่าจ้างให้ใส่ความสกุลลู่ว่าถูกปีศาจทำร้ายขอรับ!” ใบหน้าของชาวเมืองต่างเต็มไปด้วยอาการตกตะลึง คำพูดของเฉียนเล่อจะว่าไม่จริงก็ไม่จริง จะว่าจริงพวกเขาก็ไม่รู้ได้ ทว่าท่าทางที่ขุดเข่าขอร้องอ้อนวอนของเฉียนเล่อก็ทำให้ในใจของพวกเขาลังเล

“เจ้า! เจ้ากล้าหลอกพวกข้ารึ! เฉียนเล่อ!!” เฉียนเล่อนั้นไม่ได้สนใจสายตาตำหนิติเตียนที่ส่งมาให้เขาแม้แต่น้อย หากว่ามันช่วยให้เขามิต้องเข้าคุก มิต้องถูกคุมขังได้เขาก็ยอมจะพูดกล่าวหานางผู้นั้น

“เจ้ามีอะไรมายืนยันกัน! มิใช่ว่าคิดจะใส่ร้ายคุณหนูเพ่ยเพื่อเอาตัวรอดรึ!” เสียงก่นด่าของชาวเมืองบางคนเริ่มหนาหู เฉียนเล่อเริ่มคิด ในใจว้าวุ่นด้วยไม่แน่ใจนักว่าจะมีสิ่งใดยืนยันได้ แต่เขาก็เบิกตาเมื่อนึกได้ถึงบางสิ่ง

“มี! ข้ามีๆ” เฉียรเล่อจับไปตามตัวราวกับกำลังค้นหาบางสิ่ง ก่อนที่จะล้วงเอากระดาษที่พับไว้ออกมา สีหน้าของเฉียนเล่อนั้นเต็มไปด้วยความดีใจ มือถือกระดาษที่พับอยู่ยื่นออกไปตรงหน้าเพื่อส่งให้กับเฉินลี่ฟู่ได้พิสูจน์ด้วยสายตา

เฉินลี่ฟู่เปิดกระดาษนั่นออก จนเห็นว่ามันคือสิ่งใด สายตาเหลือบมองเฉียนเล่อครู่หนึ่งก่อนจะพับมันเก็บเอาไว้ตามเดิม

“เห็นแล้วใช่ไหม ข้ามิได้โกหกนะ”

“อืม สิ่งนี้ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่าสิ่งที่เจ้าพูดมานั้น เชื่อถือได้” คำยืนยันจากปากของเฉินลี่ฟู่ยิ่งทำให้เหล่าชาวเมืองเริ่มกระวนกระวายใจ หากว่านี่คือเรื่องจริง เช่นนั้นคงเป็นพวกเขาเองที่ผิด เข้ามาบุกรุกมิพอ ยังคิดจะทำร้ายคนในบ้านสกุลลู่อีก แต่เมื่อความจริงปรากฏพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ายอมรับความผิดเท่านั้น

ความละอายแก่ใจแล่นขึ้นมาจุกอก บางคนเริ่มยิ้มอย่างหวาดกลัวกับเรื่องที่พวกเขาได้กระทำลงไป บรรยากาศโดยรอบเริ่มกระอักกระอ่วนใจ ในยามนี้ ผู้คนจากที่เริ่มหนาตาก็ค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ จนเหลือเพียงคนที่อยู่แถวหน้าเท่านั้น เฉินลี่ฟู่เห็นความเลวร้ายที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน คนในเมืองเป็นเช่นนี้เองหรือ กล้าทำแต่เมื่อความจริงปรากฏกลับไม่สามารถยอมรับได้ เฉินลี่ฟู่ได้แต่เหยียดยามพวกเขาด้วยสายตา แต่กับคนที่ยังคงยืนอยู่ในตอนนี้เท่ากับยังพอมีความเป็นคนอยู่บ้าง

“คุณชายเฉิน สิ่งนั้นคืออะไรหรือ โปรดบอกกล่าวแก่พวกข้าด้วยเถิดว่าจะใช้พิสูจน์คำพูดของเฉียนเล่อได้อย่างไร?” เฉินลี่ฟู่ยกกระดาษขึ้นมาคลี่ออกแล้วยื่นออกไปท่ามกลางสายตาของเหล่าชาวเมืองที่ยังหลงเหลือ

“นี่คือตัวเงินสกุลเพ่ย พวกเจ้าคิดว่ามันสามารถยืนยันได้หรือไม่เล่า?” ยิ่งได้รู้ว่าคือสิ่งใดเหล่าชาวเมืองยิ่งหน้าซีดเผือด ความมั่นใจก่อนหน้าหายไปราวกับมิเคยมีมาก่อน เป็นเช่นนี้แล้วคงไม่พ้นถูกกล่าวหาอย่างไร้มูล เมื่อถูกพิสูจน์ออกมาแล้วว่า สกุลลู่มิได้เก็บซ่อนปีศาจ อีกทั้งยังมิออกหน้ามาทำสิ่งใดต่อผู้ปล่อยข่าวลือ ด้วยเมื่อรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ

ปีศาจหรือ เฮอะ! คุณหนูผู้นั้นเสียมากกว่าที่เป็นปีศาจ กล้าดีอย่างไรใส่ร้ายสกุลลู่ที่สูงส่งเช่นนี้

เหล่าบรรพบุรุษสกุลลู่ต่างทำสิ่งดีงามมาเสมอ มิเคยเบียดเบียนผู้คน หากมีภัยอันตราย สกุลลู่จะมิอยู่เฉยออกหน้าช่วยจัดการให้อย่างมิเกรงกลัว หากเกิดความขาดแคลนไม่ว่าจะสิ่งใดขึ้นกับชาวเมืองซิ่นจือ ก็เห็นมีเพียงไม่กี่สกุลเท่านั้นที่จะแจกจ่ายอาหารให้กับพวกเขา หนึ่งในนั้นย่อมเป็นสกุลลู่

แล้วสกุลเพ่ยเล่า? ทำสิ่งใดบ้าง?

จะต้องมีความกล้าเท่าใดจึงได้ใส่ร้ายในเรื่องเช่นนี้ต่อสกุลลู่ อีกทั้งยังกล้าปลุกปั่นใช้พวกเขามาเป็นดาบเพื่อทำลายสกุลลู่อีก! ในใจของเหล่าชาวบ้านเริ่มเกลียดชัง หากพ้นผ่านในเรื่องนี้ไป เห็นทีว่าสกุลเพ่ยคงจะต้องรับสิ่งที่กระทำลงไปเสียบ้าง คุณหนูเพ่ยผู้ที่เคยแสดงราวกับแสนดีหนักหนา แท้จริงเป็นเพียงปีศาจร้ายในคราบมนุษย์เท่านั้น แล้วเช่นนี้หรือที่คุณชายลู่จะรักใคร่ดั่งคนรัก งดงามแต่เพียงรูปกาย มีหรือจะต้องใจผู้ใดได้นาน!

“มีสิ่งใดเกิดขึ้น!” เสียงอันทรงอำนาจดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทุกสายตาหันไปจับจ้องพร้อมหลบทางให้ผู้มาใหม่ได้เดินเข้ามา รอบกายของจิ้นเหอถูกบรรยากาศอันแสนกดดันแผ่ออกมาจนชาวเมืองถึงกับลนลานด้วยความกลัว

“ท่านพ่อ! ท่านแม่!”

“หยางเถา! เจ้าเป็นอะไร เกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดเจ้าจึงได้ต้องหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังของเฟยหลงเช่นนั้น?” ร่างของเหม่ยหลินรีบสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ ดึงร่างบอบบางที่ถูกซ่อนอยู่เบื้องหลังของเฟยหลงเข้ามากอดจนแน่น ตวัดสายตามองเหล่าชาวเมืองด้วยความขุ่นเคือง ยิ่งยามได้เห็นหยาดน้ำตาและร่างกายที่สั่นระริก โทสะยิ่งถูกกระตุ้นให้พุ่งสูงจนไม่อาจจะระงับเอาไว้ได้

“ผู้ใดรังแกลูกช้า! ก้าวออกมาเดี๋ยวนี้!” เสียงตวาดดังลั่นจนชาวเมืองต้องก้มหน้าอย่างหลบเลี่ยงสายตาที่กวาดหาตัวคนผิด อี้เหม่ยหลินไม่คิดเลยว่าจะโกรธได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่นางมิเคยรังแกผู้ใดในเมืองแต่พวกชาวเมืองกลับพาคนมาบุกจวนสกุลลู่ในยามนี้ ซ้ำยังถือเอาอาวุธมาอย่างมิคิดเกรงกลัวต่อสิ่งใด เหม่ยหลินลูบหลังลูบศีรษะของหยางเถาอย่างปลอบประโลม ยิ่งได้เห็นร่างที่บาดเจ็บอยู่เบื้องหน้า นางยิ่งหรี่ตามองจ้องไปที่เฉียนเล่ออย่างรอคอยคำตอบ

“ฮูหยินระงับโทสะของเจ้าก่อน”

“แต่ท่านพี่...” ลู่จิ้นเหอยกมือขึ้นห้ามปรามมิยอมให้อี้เหม่ยหลินกล่าวสิ่งใดต่อ ความอบอุ่นจาหกายของผู้ที่เรียกตนว่าลูกนั้น ทำให้หยางเถาสะท้านด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เผลอพักพิงศีรษะลงกับอกของเหม่ยหลินอย่างลืมตัว

“เอาล่ะ ใครจะบอกข้าได้บ้าง ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในบ้านข้า?” เฉินลี่ฟู่ปรายตามองเหล่าตัวปัญหาที่บัดนี้ได้แต่ยืนนิ่งไม่คิดพูดจาใดๆ อย่างขุ่นเคือง เป็นเหวินฉายมากกว่าที่เริ่มบอกเล่าเหตุการณ์ขึ้นมา

“เรียนนายท่าน ชาวเมืองพวกนี้บุกเข้ามาที่นี่เพราะถูกคุณหนูเพ่ยเยว่เผิงและเฉียนเล่อผู้นี้ หลอกให้มาทำร้ายสกุลลู่ ด้วยเหตุผลว่าสกุลลู่แอบเก็บซ่อนปีศาจเอาไว้ อีกทั้งเฉียนเล่อผู้นี้ยังอ้างว่าถูกคุณชายหยางเถาทำร้ายจนบาดเจ็บขอรับ” ลู่จิ้นเหอมองเฉียนเล่อที่ทรุดกายอยู่บนพื้นด้วยแววตาเรียบเฉย หากแต่ความรู้สึกที่แผ่ซ่านออกมากลับกดดันจนเฉียนเล่อลนลานด้วยความกลัว

“ท่านแม่ทัพลู่ โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ขะ ข้าเพียงถูกคุณหนูเพ่ยจ้างมาเท่านั้น มิได้มีเจตนาจะทำร้ายพวกท่านเลย โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะขอรับ” เฉียนเล่อกลัวจนต้องโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรงหลายครั้งหวังให้ลู่จิ้นเหอปล่อยตนไปสักครั้ง เขาพลาด เขาพลาดที่รับงานของคุณหนูผู้นั้น เขาพลาดไปจริงๆ

“เหตุผลเพียงข่าวที่เล่าลือออกไป ทำให้พวกเจ้าทุกคนถึงกับบุกเข้ามาในจวนของข้าเลยอย่างนั้นหรือ? เพียงเพราะมีคำพูดบอกกับพวกเจ้าว่าบุตรชายของข้าเก็บซ่อนปีศาจ ก็สามารถทำให้พวกเจ้าเข้ามารังแกสกุลลู่ได้หรือ? มิได้เห็นข้าอยู่ในสายตาเลยใช่หรือไม่!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตะคอกจนเหล่าชาวเมืองพากันหวาดหวั่น แข้งขาอ่อนแรงจนต้องคุกเข่าลงกับพื้น

“ท่านแม่ทัพลู่ โปรดอภัยให้พวกข้าเถิด พวกข้าสัญญาว่าจะมิยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก อภัยให้พวกข้าเถิดนะขอรับ”

“เข้าจะว่าอย่างไร เฟยหลง หยางเถา” ลู่จิ้นเหอหันไปถามบุตรชายกับสหายอันเป็นที่รักซึ่งบัดนี้กำลังจมอยู่กับอกของอี้เหม่ยหลิน มีเพียงเส้นผมสีเงินเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้

“ข้าอย่างไรก็ได้ขอรับ ข้ายอมรับการตัดสินใจของหยางเถาขอรับท่านพ่อ” ลู่จิ้นเหอพยักหน้ารับรู้ในคำตอบ จึงได้หันไปถามความเห็นจากหยางเถาที่บัดนี้เงยหน้าออกจากอกของเหม่ยหลินแล้ว

“ข้า...มิถือโทษขอรับ อย่างไรพวกเขาก็ยังมิได้ทำร้ายขะ เอ่อ ต้นท้อ อีกทั้งยังเป็นความเข้าใจผิด ข้าจึงคิดว่าควรปล่อยให้พวกเขากลับไป” หยางเถาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มบางเบา เขาคิดเช่นนั้นจริงๆ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามตัดต้นท้อหรือจะเป็นการเข้าใจว่าหมายจะฆ่าเขาก็ได้เช่นกัน หากแต่พวกเขาล้วนถูกชักนำมา มันมิใช่ความผิดของคนเหล่านั้นทั้งหมด และเขาเองก็เหลือเวลาไม่นาน ไม่อยากจะให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันกับใครหลายๆ คน

“เช่นนั้นก็แล้วกันไปเสีย แต่หากว่ามีอีกครา เห็นทีข้าคงมิอาจนิ่งเฉยให้สกุลลู่ถูกรังแกเป็นแน่!” น้ำเสียงของลู่จิ้นเหอดุดันเต็มเปี่ยมไปด้วยความข่มขวัญ จนทุกคนตัวสั่นราวกับลูกนกที่ถูกจับจ้องจากพญาอินทรีย์ ลู่จิ้นเหอมิใช่จะวางใจเสียทีเดียว สายตาคมจับจ้องปฏิกิริยาของชาวเมืองแต่ละคนอย่างกดดัน เขาจะมิยอมให้บุตรชายต้องเป็นอันตราย ทั้งที่ตัวเขาหรือคือแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ใดก็เกรงขาม ชนะศึกรบมาหลายสนาม หากมิสามารถปกป้องบุตรชายหรือเหล่าเด็กในจวนได้ คงมิเท่ากับไร้ซึ่งความสามารถหรอกหรือ!

ชาวเมืองต่างพากันหวาดหวั่น แต่ด้วยตนเองทั้งนั้นที่ทำให้เกิดความรู้สึกกลืนมิเข้าคายมิออกเช่นนี้ เพียงเพราะหลงชื่อหน้าตาใสซื่อและงดงาม หลงเชื่อหยามน้ำตาของคุณหนูผู้นั้น จึงได้มายังบ้านสกุลลู่โดยมิมีหลักฐานใด หนำซ้ำพยานที่คิดว่าสามารถยืนยันได้ กลับเปิดปากว่าถูกว่าจ้างมาเสียอีก มิแปลกเลยที่พวกเขาต่างพากันเข่าอ่อน คุกเข่าลงโขกศีรษะกับพื้นแรงๆ จนศีรษะเต็มไปด้วยรอยแดง ทว่า...สำหรับลู่จิ้นเหอและอี้เหม่ยหลินแล้ว กลับไม่สามารถเทียบได้กับความรู้สึกหวาดกลัวของเฟยหลงและหยางเถาแม้แต่น้อย

“พวกข้าต้องขออภัยต่อสกุลลู่ด้วยอีกครั้ง และชอบคุณน้ำใจจากเจ้าด้วยนะที่มิเอาความกับพวกข้า บุญคุณนี้ข้าและพวกชาวบ้านจะมิมีวันลืม!” ชาวเมืองคนหนึ่งกล่าวบอกแก่ตัวหยางเถา ซึ่งเขาเองก็เพียงพยักหน้ารับเบาๆ เท่านั้น สายตาของเหล่าชาวเมืองที่มองมาต่างก็เต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกผิด ก่อนที่พวกชาวเมืองทุกคนจะหันหลังและรีบกลับออกไปจากจวนสกุลลู่ รวมถึงนักพรตซ่งด้วยเช่นกันเมื่อพบว่าเรื่องราวกระจ่างแจ้งแล้ว

ตอนนี้จึงมีเพียงผู้กล้าที่มิทราบนามเท่านั้นที่เป็นคนแปลกหน้า ทุกสายตาจึงกลายเป็นจับจ้องบุคคลลึกลับที่เข้ามาช่วยเหลือแทนอย่างเสียไม่ได้ ลู่เฟยหลงก้าวออกมาข้างหน้า มองบุรุษร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทราบซึ้งในน้ำใจของอีกฝ่าย ทั้งที่มิใช่เรื่องของตนเอง แต่กลับยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ชายผู้นี้ก็นับว่าหาได้ยากยิ่ง ลู่เฟยหลงยกมือขึ้นประสาน ค้อมกายลงเล็กน้อย

“ท่านจอมยุทธ์ ข้าต้องขอขอบคุณท่านมากที่เข้ามาช่วยข้าและคนรักของข้าได้ทันเวลา” หากแต่คนตรงหน้าเพียงพยักหน้ารับเบาๆ เท่านั้น ก่อนที่สายตาจะจับจ้องที่หยางเถาผู้ยืนอยู่เบื้องหลังของอี้เหม่ยหลิน เฟยหลงมองแววตาอ่อนโยนที่จับจ้องคนรักของตนเองแล้วคิ้วกระตุก ในหัวใจคันยุบยับจนรู้สึกขัดเคืองใจ

“ขอบคุณท่านมาก...” หยางเถารู้สึกตัวว่าตนถูกจับจ้อง จึงได้แต่เอ่ยออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา คนถูกเอ่ยขอบคุณยิ้มออกมาด้วยใบหน้าอ่อนโยน ความเอ็นดูนั้นล้นเหลืออยู่ในดวงตาคู่คมจนไม่ว่าผู้ใดที่มองเห็นก็รับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มีความรู้สึกมิธรรมดากับหยางเถา

“มิเป็นไร แค่เจ้า...ปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว”

“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมไอที่เต็มไปด้วยความดุดัน เมื่อความละมุนและความอ่อนโยนแผ่กระจายออกมาจากคนทั้งสอง เฟยหลงมิสามารถทนมองเฉยๆ ได้ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น อีกทั้งไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นเช่นไร แต่หยางเถาเพิ่งจะได้กายมนุษย์ จะเกี่ยวข้องกับผู้อื่นที่มิใช่เขาได้อย่างไรกัน ก็เขาเป็นคนเดียวที่ได้พบหยางเถา มิใช่หรือ?

“ท่านคือ...” หยางเถาเอ่ยถามออกมา แม้ว่าตนจะมั่นใจว่ามิเคยรู้จักคนผู้นี้มาก่อน แต่กลับรู้สึกว่าผูกพันจนไม่สามารถอธิบายออกมาได้

“นามของข้าคือจ้าวมู่”

“จอมยุทธ์จ้าว ข้าและสกุลลู่ขอขอบคุณน้ำใจของท่าน ที่ช่วยเหลือในครานี้ บุญคุณของท่าน สกุลลู่จะไม่มีวันลืม” ลู่จิ้นเหอกล่าวขอบคุณออกไปอย่างจริงใจ แม้ว่าจะมองเห็นสายตาแปลกๆ ยามมองหยางเถาและอารมณ์ที่ขึ้นสูงจนใบหน้าบูดบึ้ง จะต่อว่าตรงนี้ก็มิได้ บุตรชายของเขาคงมิลืมใช่หรือไม่ ว่าคนผู้นี้เพิ่งจะช่วยเหลือตนไป

“อย่าได้คิดเป็นบุญคุณกันเลย ข้าเพียงแค่ผ่านมาก็เท่านั้น”

“เช่นนั้นให้ข้าและภรรยาเลี้ยงอาหารท่านจอมยุทธ์จ้าวหน่อยเถิด” จ้าวมู่ได้แต่ส่ายศีรษะ ใช่ว่าจะมิอยากอยู่ การได้มองใบหน้าที่แสนคิดถึงสุดใจนานๆ ผู้ใดบ้างเล่าที่มิอยากอยู่ แต่ด้วยตัวของเขาเองยังมีหน้าที่ ยังมิสามารถหยุดพักได้ในตอนนี้ แววตาของจ้าวมู่จึงได้เต็มไปด้วยความเสียดายยามมองใบหน้าของหยางเถา

“ข้าคงต้องขอปฏิเสธแม่ทัพลู่และลู่ฮูหยิน ด้วยข้ายังมีที่ที่จะต้องไปอีกไกลนัก” ลู่จิ่นเหอหันมองใบหน้าของภรรยาอย่างขอความเห็น แต่เมื่อสุดท้ายยื้อเอาไว้มิได้ก็มีแต่จะต้องปล่อยให้ผู้มีพระคุณจากไปเท่านั้น

“หากเช่นนั้นคราวหน้าข้าจะขอเลี้ยงอาหารท่านสักมื้อ” จ้าวมู่ยิ้มอ่อนแม้ว่านัยน์ตาจะมิได้ยิ้มตาม แต่ก็มีความอ่อนโยนและปรานีอยู่ในนิจ

“หากพบกันคราวหน้า ข้าย่อมรับปากแน่นอน” แต่จะมีคราวหน้าหรือไม่นั้น ย่อมสุดแล้วแต่บิดาข้า

“ข้าขอตัว ลาคุณชายลู่เฟยหลงและเจ้า...หยางเถา ข้าขอลาทุกท่าน ไว้พบกันใหม่...”

หากแต่เมื่อเพียงจ้าวมู่หันหลังให้เท่านั้น ความรู้สึกเจ็บยอกในอกก็เล่นงานหยางเถาจนหายใจไม่ออก ความรู้สึกประหลาดเหตุใดจึงได้เกิดขึ้นเพียงเพราะจอมยุทธ์จ้าวผู้นี้กำลังเดินไกลออกไป หยางเถาใจสั่น ภาพตรงหน้าดูเชื่องช้าจนต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้ มือข้างหนึ่งเอื้อมไปราวกับจะคว้าเขาเอาไว้มิยอมให้ไปไหน แต่ปลายนิ้วที่ควรสัมผัสอากาศ กลับสัมผัสได้ถึงเนื้อผ้าชั้นดีของคนตรงหน้าแทน

กลัว! อย่าไป!

หัวใจของหยางเถาร่ำร้องอยู่เพียงสองคำนี้ เพราะเหคุใดเขาเองก็มิสามารถหาคำตอบมาได้ รู้เพียงแค่มิอาจทนให้คนผู้นี้เดินจากไปได้ ทว่าพอหยางเถาสัมผัสเนื้อผ้าจากชุดของจ้าวมู่ ทั้งหยางเถาและจ้าวมู่ก็พลันชะงักไปกับเหตุการณ์นั้น แม้แต่บุคคลที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ยังเบิกตากว้างกับสิ่งที่หยางเถากระทำ ด้วยไม่คิดว่าตัวหยางเถาจะกล้าทำเช่นนี้

หัวใจของจ้าวมู่พลันเต้นระรัว ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองคนที่ดึงตนเอาไว้อย่างคาดหวัง ยิ่งเขามองหาความหวังจากร่างบางก็ยิ่งมืดมน ความหวังที่มีเพียงริบหรี่กับดับไปอย่างนั้น แววตาของคนที่จ้าวมู่คาดหวังบางสิ่งนั้น มีเพียงแค่ความสับสนและฝ่ามือเล็กที่ค่อยๆ ปล่อยชายเสื้อของจ้าวมู่ออก

สีหน้าของหยางทั้งเศร้าหมองสลับกับความอับอาย นี่เขาทำอะไรลงไปกันนะ เหตุใดจึงได้กล้าดึงชายเสื้อของผู้มีพระคุณเอาไว้เช่นนี้ ถ้าหากมิเจอความเจ็บร้าวที่ข้อมืออีกข้าง ที่ตอนนี้ถูกเฟยหลงจับเอาไว้แน่นพร้อมออกแรงบีบ เขาคงยังหาสติตนเองไม่พบ กระทำสิ่งที่น่าอายลงไปทั้งที่ไม่เข้าใจตนเองเช่นนี้

หยางเถาเงยหน้าขึ้นสบตากับจ้าวมู่ แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาจากแววตาของคนตรงหน้าคือความเจ็บปวดและความผิดหวังจนชวนให้ใจหาย ตอนนี้เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด แต่ภายในใจของหยางเถานั้นบีบรัดจนแน่นอกไปหมด มันทรมานอย่าไม่อาจจะอธิบายออกมาให้เข้าใจเป็นถ้อยคำได้ แต่เขาสามารถบอกได้เพียงว่า มันรู้สึกราวกับว่าจะขาดใจ หยาดน้ำตาสีใสไหลรินลงสองแก้ม ตัวเขาไม่อาจห้ามปรามความรู้สึกได้ ทำได้เพียงแค่ปลดปล่อยออกมาให้มันไหลริน

สำหรับเฟยหลงการได้เห็นคนรักกำลังเอื้อมมือออกไปคว้าชายอื่นเอาไว้ ราวกับรั้งมิอยากให้จากไปมันคือความเจ็บปวดที่แสนขื่นขม ยิ่งเห็นแววตาทุกข์ทรมานของหยางเถาเขาเองก็ยิ่งปวดร้าวในใจ คนผู้นี้สำคัญอันใดกันแน่สำหรับหยางเถา แต่จะอย่างไรเขาก็มิเคยคิดจะปล่อยให้หยางเถาไปจากเขาอย่างแน่นอน ต่อให้กี่หมื่นพี่พันผู้คนบนโลกนี้ที่หยางเถาอาวรณ์ เขาก็จะดึงร่างบางกลับมาให้หันมาสนใจเพียงเขาเท่านั้น

“หยางเถา...เจ้าจะทำสิ่งใด” มิใช่คำตำหนิ เพียงแต่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหยียบเย็นก็เท่านั้น คนอย่างลู่เฟยหลง หากได้ลองรักแล้ว มิเคยคิดจะปล่อยให้ไป แม้ว่าคู่แข่งจะดีกว่าสักเพียงใดก็ตาม

“ข้า...ข้าไม่รู้” นัยน์ตาดอกท้อของหยางเถาฉายแววมึนงง ทั้งที่น้ำตายังมิหยุดไหลแต่หยางเถากลับมิได้สนใจ ปาดมันทิ้งไปอย่างไม่ไยดี

“จอมยุทธ์จ้าวขออภัยด้วย เมื่อครู่ข้าเพียงแค่หน้ามืดจะเป็นลมเท่านั้นจึงได้คว้าชายเสื้อท่านเอาไว้” ผิดหวังเหลือเกิน ทั้งที่รู้ว่ามิควรตั้งความหวังไว้แต่ก็ยังทำ จ้าวมู่ยิ้มอ่อนโยนทั้งที่ทรมานใจอย่างแสนสาหัส เอ่ยคำตอบรับด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลอย่างแผ่วเบา

“มิเป็นไร ข้าต้องไปแล้ว ขอตัว”

ความหวังสำหรับมนุษย์เป็นดั่งของหวานที่ช่วยประโลมหัวใจให้หายเจ็บปวด แต่สำหรับเขากลับคิดว่า ความหวังที่ไร้หวัง มันก็มิต่างอะไรกับยาพิษร้ายแรงที่ถูกราดลงไปบนแผลสดที่ยังมิได้รับการรักษา แต่จะทำเช่นไรได้ในเมื่อตัวเขาเองที่เลือกมันเองทั้งสิ้น มิเคยคิดจะฟังคำเตือนของผู้ใด รู้ทั้งรู้ว่า...มิใช่เช่นเดิม ก็ยังปล่อยให้หัวใจได้คาดหวัง ความเจ็บปวดที่แล่นอยู่ในแผ่นอกสะท้านจนรวดร้าวไปหมด แต่จ้าวมู่มิใช่บุรุษที่อ่อนแอ ต่อให้พ่ายแพ้จนย่ำแย่ก็มิมีวันล้มลงให้ผู้ใดได้เห็น

หยางเถา...เหตุใดเจ้าจึงจำพี่ไม่ได้กัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2019 16:38:50 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
(ต่อจ้า)

หลังจากจ้าวมู่เดินจากไป ถังเหวินฉายก็ดึงให้เฉินลี่ฟู่เดินตามตนเองไปด้วยรู้ว่านายน้อยของตนนั้นต้องการจะอยู่ลำพังกับหยางเถา แม้แต่มารดาและบิดาของลู่เฟยหลงก็หลบฉากออกมา ทิ้งให้ทั้งสองเผชิญหน้ากันด้วยบรรยากาศที่แสนอึดอัดใจ สายตาของลู่เฟยหลงจับจ้องคนรักเอาไว้อย่างดุดัน ความไม่พอใจแล่นริ้วขึ้นมาจนแทบจะระเบิด ภาพเมื่อครู่ยังคงติดตาและค้างคาใจจนเฟยหลงมิอาจจะปล่อยผ่านไปได้

คนผู้นั้นก็มิใช่ขี้เหร่ กลับหล่อเหลาสมชายจนเรียกได้ว่าในปฐพีนี้ไร้ผู้เทียบเทียมก็ว่าได้เลย การที่เข้าดอกท้อจับจ้องไปที่คนผู้นั้น ใช้มือนุ่มที่เขาเคยได้กุมเอาไว้เหนี่ยวรั้งมิยินยอมให้เขาจากไป มันช่างไม่ต่างจากถูกกระชากหัวใจออกไปอย่างรุนแรง อีกทั้งแววตาที่อาวรณ์ หากมิใช่ว่ารักมั่นหรือรักมาก มีหรือจะมีแววตาต่อกันเช่นนั้น ยิ่งคิดเฟยหลงก็ยิ่งมีโทสะจนต้องขบกรามตนเองเอาไว้เพื่อระงับความโกรธเกรี้ยวที่แล่นริ้วขึ้นมา มือที่จับแขนอันบอบบางของเจ้าดอกท้อเผลอกำแน่นจนอีกคนร้องออกมา

“โอ๊ย! ข้าเจ็บ” แม้จะมีความโกรธอยู่มาในหัวใจ แต่เมื่อเสียงนุ่มเจือไปด้วยความเจ็บปวด แรงบีบที่มือก็ผ่อนลงจนเหลือไว้เพียงการรั้งไว้มิให้หนีหาย

“เข้าชอบคนผู้นั้นหรือ?” เฟยหลงกัดฟันเอ่ยถามทั้งที่มิได้อยากถามให้ตนเองต้องเจ็บ

“เจ้าหมายถึง...คุณชายจ้าวหรือ?” จะมีผู้ใดอีกเล่า! เฟยหลงพยักหน้าตอบ ใบหน้านิ่งเฉยจนน่ากลัวแต่ความน่ากลัวที่แท้จริงคือแววตาคู่นั้นที่มีความดุดันอยู่ภายใน

“ข้ามิได้ชอบคุณชายจ้าวเช่นที่เจ้ากำลังคิด”

“หากมิใช่ชอบ แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องรั้งเขาเอาไว้ ราวกับมิอยากแยกจากเช่นนั้นด้วย” นัยน์ตาคมทอประกายความเจ็บปวดจนหยางเถาต้องยกมือขึ้นลูบผิวแก้มของเฟยหลงอย่างปลอบประโลม เกลี่ยเอาความปวดร้าวออกไปจากดวงตา

“ข้ามิอยากแยกจากจริงดังที่เจ้ากล่าว หากแต่มิใช่เพราะข้าชอบเขาเช่นที่ข้ารักเจ้าเสียเมื่อไหร่” เฟยหลงหน้าดำสลับแดง จะเขินก็มิสุดเมื่อคำกล่าวของหยางเถาแน่ชัดแล้วว่ามิอยากให้จ้าวมู่ได้จากไป แต่ประโยคบอกรักผ่านริมฝีปากแดงนั่นกลับมีอิทธิพลเหนือกว่า

“เพราะเหตุใด หากมิใช่เจ้ารักเขา แล้วจะมีสาเหตุใดได้อีก” เสียงถอนหายใจดังออกมาจากร่างบางอย่างหนักใจ

“ข้าอธิบายมิถูก ตัวข้านั้นยามที่คุณชายจ้าวกำลังจะจากไป หัวใจของข้าร่ำร้องว่าให้หยุดเขา มันเจ็บราวกับกำลังจะถูกทิ้ง เหมือนข้ากำลังจะสูญเสียพี่ชายคนสำคัญไป” ยิ่งคิดถึงหัวใจดวงน้อยก็ยิ่งบีบรัดตัวแน่น ทรมานเสียจนหายใจไม่ออก หยางเถาไม่สามารถอธิบายอะไรได้ดีกว่านี้แล้ว สำหรับเขามันเป็นเช่นที่เขากล่าวออกไปจริงๆ มิได้โกหกเลยแม้แต่น้อย หากแต่ว่า...มันแปลกเกินกว่าจะร้องขอให้เฟยหลงเชื่อในคำพูดของเขาได้

หยางเถายืนนิ่งรอรับความเจ็บปวดทางจิตใจหากเฟยหลงคิดจะเดินจากไป แต่สิ่งที่ได้กลับมา กลับเป็นสองแขนที่เหนี่ยวรั้งให้ร่างบอบบางเข้าสู่อ้อมกอดจนจมลงไปในแผ่นอก มือหนาลูบกลุ่มผมสีเงินสลวยเบาๆ พร้อมกับริมฝีปากที่จุมพิตกลุ่มผมนั่นอย่างรักใคร่ ตัวหรือก็เล็กเพียงเท่านี้แท้ๆ หากมีผู้ใดมาปกป้องดูแลย่อมต้องโหยหาคล้ายผู้ขาดซึ่งบิดามารดาเป็นแน่แท้ เรื่องนี้เขาเองย่อมเข้าใจหยางเถาดี เจ้าดอกท้อของเขาโหยหาการปกป้องจากครอบครัว

“ข้าเชื่อเจ้า...เชื่อเจ้าอย่างแน่นอน” นัยน์ตาดอกท้อรื้อไปด้วยหยาดใส ร่างกายบอบบางในอ้อมกอดอันอบอุ่นสั่นเลาๆ ราวกับลูกนก เฟยหลงเชื่อเขา แม้ว่ามันจะเป็นเหตุผลที่เขายังมองว่าไร้สาระและเตรียมใจจะถูกผลักไสจากเฟยหลงแล้วก็ตาม แต่เฟยหลงกลับมิได้คิดทอดทิ้ง เชื่อแม้ว่าเหตุผลที่เขาบอกจะมิได้เพียงพอ มันช่างทำให้หัวใจดวงน้อยของเขาอุ่บวาบราวกับได้รับแสงตะวันหลังจากถูกความเหน็บหนาวกลืนกิน

“เจ้า...เชื่อข้าจริงๆ นะ” ลู่เฟยหลงยิ้มขำกับคำถามของร่างบาง

“เชื่อสิ ข้าเชื่อเจ้าเสมอล่ะเจ้าดอกท้อ หากเข้าบอกว่าพี่ชาย ข้าก็จะมองเขาเป็นพี่ชาย เช่นเดียวกันกับเจ้า ดีหรือไม่” หยางเถาปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลรินลงสู่ผิวแก้ม พยักหน้ารับระรัวพร้อมรอยยิ้มกว้างที่แสนสุขใจ

“อื้อ...” เฟยหลงยิ้มเอ็นดู ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากใบหน้าหวานอย่างเบามือ

“แต่ห้ามเจ้ารั้งผู้ใดไว้อีกนะ เข้าใจรึไม่?” หยางเถาหลุบตาลง ใบหน้าหวานเริ่มหมองเศร้าแม้แต่รอยยิ้ม

“จะให้ข้ามีเวลาใดไปรั้งผู้อื่นอีกเล่า ในเมื่อข้าใกล้จะต้องจากลากับเจ้าแล้ว” ลมหายใจของเฟยหลงสะดุด มิได้ลืมคำนวณไปแต่อย่างใด หากแต่เพราะในคืนนี้มีเรื่องร้ายแรงจนเกือบสูญเสียหยางเถาและต้นท้อไป เขาจึงได้หลงลืมมันไปชั่วขณะ

นี่หยางเถากำลังจะไปจากเขาแล้วหรือ

พอได้ยินได้คิดเช่นนั้น จู่ๆ ความปวดหนึบก็แล่นเข้ามาจู่โจมหัวใจของลู่เฟยหลงจนหายใจไม่ออก ทรมานเสียจนอยากจะตายไปเสียให้พ้นๆ หากหายใจอยู่แล้วมิมีหยางเถา เขาจะยังหายใจไปเพื่ออะไรกัน หากชีวิตที่เหลือนับจากนี้ไปมิอาจจะมองเห็นรอยยิ้มของเจ้าดอกท้อได้ เขาก็ไม่อยากจะมีมันอีกแล้ว

“ข้ามิอยากให้มันมาถึง ข้าอยากจะอยู่กับเจ้าไปอีกทั้งชีวิต” แต่เฟยหลงและหยางเถาต่างก็รู้ดีว่ามันไม่มีวันที่จะเป็นไปได้ ทุกวันนี้ที่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันนั้น ก็นับว่าสวรรค์ได้เมตตาพวกเขาทั้งสองเหลือเกินแล้ว

ลู่เฟยหลงกระชับอ้อมกอดจนแน่น หวังจะกักเก็บกลิ่นหอมจากกายบางให้ได้เนิ่นนานที่สุด ทั้งที่หัวใจของเราทั้งสองคนต่างก็ผูกพันธ์กันและกันจนแน่นด้วยความรัก แต่กลับพ่ายแพ้แต่กฎแห่งสวรรค์ กฎที่ตั้งขึ้นมากีดกันมิยินยอมให้เราทั้งสองได้ครองคู่กัน ในอ้อมกอดใต้เงาจันทร์...ทั้งสองต่างปลอบประโลมใจกันและกันอย่างไม่อาจจะทำสิ่งใดได้ เมื่อถูกลิขิตให้ต้องแยกจาก ก็ทำได้เพียงก้มหน้ารับมันเท่านั้น ใช้ช่วงเวลาที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะมีได้

มิให้ต้องเสียใจว่าเมื่อครั้งหนึ่งที่เคยมีเวลาแต่มิได้กระทำ









TBC



แล้วตกลงว่า ท่านพี่จ้าวมู่เป็นใครกันคะ ใครรู้มากระซิบบอกแมวหน่อยสิ เดี๋ยวแบ่งก้างปลาให้แทะเล่น ใกล้จะถึงตอนจบแล้ว แมวก็ยิ่งเครียด กลัวว่างานจะออกมาไม่ดี เฮ้อออ แต่ยังไงก็จะสู้ค่ะ สู้!!!
ปล. จะลงทีเดียวเลยนะคะ ยาวๆไปจ้าาาา เลิ่กลั่กเพราะความกลัว คิกค้ากกก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2019 16:39:09 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[23]

Note : ก่อนหน้านี้แมวได้ทำการเปลี่ยนชื่อตัวละครสองตัวนะคะ นั่นคือ ลู่เหม่ยหลิน เป็น อี้เหม่ยหลิน / เพ่ยหลิง เป็น จางเยว่หลิง นอกนั้นเนื้อหายังคงเดิมจ้า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ตั้งแต่ตอนที่ 23 เป็นต้นไป แมวจะ Note ไว้บนนิยายนะคะ



Chapter 23.

ในช่วงเวลาที่ดึกสงัด ความหนาวเหน็บจากอากาศไม่ได้ทำให้ร่างสูงของจ้าวมู่ลดละฝีเท้าลงไปเลย ความรวดเร็วในการเคลื่อนที่ยังคงเป็นดั่งสายลม เส้นผมสีดำปลิวไปตามแรงลมเมื่อร่างสูงเคลื่นกายไปข้างหน้า สีหน้าเรียบเฉยชวนให้ร่างสูงชวนมองอย่าที่สุด แสงจันทร์ที่สาดส่องมายังใบหน้าเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ช่วยให้ชายหนุ่มดูน่าหลงใหล

จ้าวมู่ใช้ความเร็วเคลื่อนกายไปตามแนวชายป่าจวบจนถึงสุดเขตแดนของเหล่ามนุษย์ ซึ่งถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยม่านพลังกั้นเอาไว้ระหว่างทั้งสองภพ มิให้ผู้ใดทั้งมนุษย์และปีศาจได้ล่วงล้ำเขตแดนของกันและกัน หากมีมนุษย์ผู้ใดเดินผ่านม่านพลังนี้ ก็จะเกิดเป็นวังวนส่งคนผู้นั้นย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นใหม่ แต่หากเป็นปีศาจก็จะถูกม่านพลังนั้นกั้นเอาไว้มิยินยอมให้ออกมา

สำหรับจ้าวมู่ เส้นทางแห่งนี้นั้นตนชำนาญที่สุด ด้วยในครั้งอดีต ที่แห่งนี้ก็มิต่างจากบ้านอีกแห่งหนึ่งของตนเองเช่นกัน ร่างสูงพาตนเองผ่านม่านพลังเข้าไปอย่างรวดเร็ว เพียงร่างกายแทรกเข้าไป ม่านพลังสีแดงก็แยกออกให้ผู้เป็นใหญ่ก้าวล้ำเข้าไปภายในอย่างไม่อิดออดใดๆ สายตาของจ้าวมู่มองไปรอบกาย นานเพียงไหนแล้วหนอที่มิได้มาเยือนที่แห่งนี้ บ้านที่ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยอยู่

ภายในภพมารนั้นมีกลิ่นไม่ค่อยชวนให้รื่นรมย์ใจ ด้วยเหล่าปีศาจน้อยใหญ่เป็นจำพวกกินเนื้อทิ้งกระดูก จึงเกิดกลิ่นที่ไม่ค่อยดีมากนัก เหล่าปีศาจมากมายจึงอยากจะออกไปยังภพมนุษย์ด้วยแดนมนุษย์นั้นมีอากาศที่บริสุทธิ์ กว่ามาก ตอนนี้จุดที่จ้าวมู่กำลังยืนอยู่ทางไปแดนหานเฟิง ที่นั่นจะมีอากาศเย็นและเงียบสงบกว่าที่นี่มากนัก ด้วยหานเฟิงคือที่สำหรับไว้ให้ปีศาจที่ต้องการบำเพ็ญตบะและฝึกวิชาต่างๆ

จ้าวมู่มุ่งหน้าตรงไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย มองดอกไม้สีฉูดฉาดที่ผู้ใดก็ตามในภพมารต่างก็รู้ดีว่ามันคือพิษ หากถูกพิษจากเกสรของมันแล้ว มิมีวิชาการรักษาใดมารักษามันได้ เพียงแค่สองชั่วยามก็จะถึงแก่ความตายในทันที แววตาของจ้าวมู่คมกล้าขึ้นยามได้มองดอกไม้เหล่านั้นตามริมทาง ที่นี่มีมากเหลือเกินจนเขาเองคิดจะเอามันไปใช้ แต่กฎก็คือกฎ เขามิสามารถพรากชีวิตของมนุษย์ได้ และไม่สามารถฝืนชะตาของพวกมนุษย์ได้เช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่ทำให้จ้าวมู่มาที่แห่งนี้

หลังจากเคลื่อนกายด้วยความเร็วมานานพอสมควรในที่สุดร่างสูงก็หยุดลงตรงถ้ำรูปลักษณ์คล้ายมังกรด้วยสีหน้านิ่งสงบ สองเท่าก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว เพียงลมพัดวูบหนึ่งจ้าวมู่ก็มาถึงปากถ้ำเสียแล้ว จ้าวมู่ค่อยๆ ก้าวเข้าไปภายใน มองหาร่างอันคุ้นตาของใครบางคนที่มิได้พบมานานพอควร

จ้าวมู่ยกยิ้มมุมปากเมื่อสายตามองเห็นร่างบางของใครบางคนที่กำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่บนหินก้อนใหญ่ ท่าทางที่แสนสบายอารมณ์ช่างน่าหมั่นไส้เช่นเดิมมิเคยเปลี่ยน ความขี้เกียจของโจวจื่อหมิงเป็นที่รู้กันทั่วทั้งภพมาร แม้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายจะงดงาม หากแต่นิสัยกลับเต็มไปด้วยความเกียจคร้านอย่างถึงที่สุด

“จื่อหมิง...”

“...” ไร้เสียงใดตอบกลับ มีเพียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอจากอีกฝ่ายเท่านั้น

“จื่อหมิง...”

“อืม...อย่ากวนข้านะ ข้าจะนอน” จ้าวมู่คิ้วกระตุก มือหนาเกร็งตามอารมณ์ขุ่นที่ถูกเสียงนุ่มและมือเล็กๆ ป่ายปัดราวกับจะไล่ให้ไปไกลๆ ความอดทนของจ้าวมู่ขาดผึง มือใหญ่คว้ากระชากเอาคนที่ยังจมอยู่ในห้วงนิทราให้ร่วงหล่นลงมาสู่พื้นดิน โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเจ็บปวดหรือไม่

“โอ๊ย! ใครทำข้า!” เสียงร้องและท่าทางที่บ่งบอกความไม่พอใจทำให้จ้าวมู่ยืดตัวไขว้มือทั้งสองเอาไว้ที่หลังแทน

“ข้าเอง” โจวจื่อหมิงหันมองใบหน้าหล่อเหลาเบื้องหน้าให้เต็มตาอีกครั้ง ก่อนที่ใบหน้างดงามจะซีดเผือด ดวงตาหวานเบิกกว้างอย่างตกใจ ใครจะไปคาดคิดว่าคนที่มาปลุกจะเป็นอดีตท่านผู้ครองแดนปีศาจอย่างจ้าวมู่ ก็ไหนว่ากลับสวรรค์ไปแล้ว จะมาทำไมอีกกัน!

“ฮะๆ อามู่...เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใดกัน” โจวจื่อหมิงมองจ้าวมู่ด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ เก็บขาหาท่านั่งที่ดูสงบเสงี่ยมเหลือเกินเมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้นี้ จ้าวมู่มองสหายร่างบางอย่างไร้อารมณ์ สำหรับจ้าวมู่แล้วการเห็นท่าทางแบบนั้นของโจวจื่อหมิงเป็นสิ่งที่คุ้นเคยจนเรียกได้ว่าชินชา

“อามู่...เจ้ามีอะไรหรือ?”

“ข้ามีงานให้เจ้าทำ” สำหรับโจวจื่อหมิงมันหมายความว่า ต้องทำไม่ใช่ให้ทำ คำสั่งชัดๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็คือคำสั่งจากเบื้องบนที่เขาไม่สามารถบ่ายเบี่ยงได้ แต่คนอย่างโจวจื่อหมิง...หากมิได้ตอบโต้ไปบ้างคงจะมิสามารถหลับตานอนลงไปได้

“หากข้าไม่ทำ?”

“ทำ!” เสียงดุดันลอดผ่านไรฟันออกมาอย่างไม่พอใจ แม้สีหน้าและท่วงท่าจะไร้ปฏิกิริยาข่มขวัญใดๆ แต่สำหรับโจวจื่อหมิงแล้ว ย่อมรู้ดีว่าอันตรายเพียงใด

“ว่ามา...” จ้าวมู่พิงผนังหินเย็นๆ ของตัวถ้ำอย่างไม่รีบร้อนใดๆ ท่วงท่าแสนสบายนั้นเรียกอาการหมั่นไส้จากโจวจื่อหมิงได้อย่างดี สีหน้าของโจวจื่อหมิงแทบจะเรียกได้ว่าเหม็นเบื่อสหายเจ้าปัญหาของตนได้เป็นอย่างดี

“ข้าต้องการให้เจ้าสร้างฝันร้าย ที่ทรมานเกินกว่าจะตายได้แก่มนุษย์ผู้หนึ่ง” โจวจื่อหมิงมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย มิใช่ว่าเทพ มีกฎห้ามทำร้ายมนุษย์มิใช่หรอกหรือ?

“เจ้า...เป็นเทพมิใช่หรืออามู่? ทำเช่นนั้นจะมิผิดกฎหรือไร?”

“ข้าเป็นเทพจริง แต่ข้ามิได้กระทำสิ่งใดนี่? เป็นเจ้าต่างหากที่ลงมือทำ” จ้าวมู่กล่าวหน้าตายโดยไม่สนใจปฏิกิริยาใดๆ จากโจวจื่อหมิงสักนิดเดียว สิ่งที่เขาปรารถนาคือการสร้างความทรมานให้แก่คนผู้นั้น คนที่ทำให้เรื่องมันอยู่ในจุดที่ย่ำแย่ คนอย่างจ้าวมู่จะมิมีวันปล่อยให้ผู้ร้ายรอดไป

โจวจื่อหมิงมองใบหน้าอันเรียบเฉยที่เอ่ยคำกล่าวโทษว่าเป็นเขาต่างหากที่กระทำสิ่งผิดบาป การโยนบาปคือเรื่องถนัดของเหล่าเทพหรือไรกัน จ้าวมู่จึงได้กล้ากระทำเช่นนี้โดยมิรู้สึกรู้สาใดๆ รู้สึกอยากกลอกตาไปมา ไม่ก็จิกกัดหรือด่าออกไปบ้าง แต่โจวจื่อหมิงหาได้มีความกล้าไม่ เพราะรู้ดีว่าหากพูดหรือด่าทอท่านผู้ครองแดนปีศาจไป ชีวิตอันแสนมีค่าของโจวจื่อหมิงคงต้องดับดิ้นกลายเป็นผงธุลีเป็นแน่

จ้าวมู่จับจ้องใบหน้าหวานที่เหยเกก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มประจบอย่างไม่สนใจมากตัก เขาเพียงต้องการคำตอบรับเท่านั้นจากอีกฝ่าย แม้ว่าจ้าวมู่และโจวจื่อหมิงจะเป็นสหายที่ค่อนข้างสนิทมากกว่าผู้ใด แต่ก็มิใช่ว่าจะสามารถยอมรับให้อีกฝ่ายปฏิเสธงานที่สำคัญนี้ได้ คำตอบเพียงหนึ่งเดียวที่จ้าวมู่ปรารถนาจะฟังคือคำว่าตกลงเท่านั้น แม้ว่าเขาจะต้องลงมือหนักๆ ให้อีกฝ่ายตกลงก็ตามที

“เจ้า ฮึ่ม! ก็ได้ ข้าทำ! ให้ตายเถอะ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องเป็นข้าด้วยนะ” เสียงบ่นพึมพำเขาๆ ราวกับไม่อยากให้อีกคนได้ยิน แต่แม้ว่าจะเบาสักเท่าใด ความเงียบงันในถ้ำกระดูกมังกรนี้ก็ทำให้มันดังอยู่ดี จ้าวมู่ยิ้มเย็นมองอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาดุดัน

“เพราะเจ้าเป็นมารฝันอย่างไรเล่า หรือเจ้าลืมไปเสียแล้ว หืม...จื่อหมิง?” โจวจื่อหมิงชะงัก ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยใบหน้าเจื่อนๆ เมื่อถูกจับได้ว่าลืมหน้าที่ตนเอง

“ฮ่าๆ ข้าก็เพียงแค่บ่นไปเช่นนั้นเองอามู่ เจ้าจะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไมกัน” เขาเพียงถอนหายใจออกมาแล้วขยับกายเข้าหาจนใกล้เสียยิ่งกว่าใกล้ โจวจื่อหมิงสะดุ้ง ถอยหนีจนชิดกำแพงด้วยความหวาดกลัว เขาจะฆ่าข้าหรือ จะสังหารข้าหรือไม่!

“เจ้าต้องสร้างฝันให้นาง ฝันที่ทำให้ทุกข์ทรมานจนอยากจะตาย แต่ก็มิอาจจะตายได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?” โจวจื่อหมิงพยักหน้ารัวๆ อย่างเอาตัวรอด สร้างฝันสำหรับมารฝันมิใช่เรื่องยาก สิ่งที่น่ากลัวกว่าการไม่ได้นอนคือคนตรงหน้านี้ต่างหาก

“เข้าใจๆ ข้ารู้แล้ว แต่ข้าจะต้องสร้างฝันเช่นนั้นไปนานเพียงใด?”

รอยยิ้มชวนขนลุกทั้งที่ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยร่องรอยความคับแค้นใจที่มิอาจจะลงมือสังหารด้วยตนเองได้ ช่างชวนให้โจวจื่อหมิงตัวสั่นและหวาดกลัวแทนเสียเหลือเกิน เขาไม่อยากเป็นคนผู้นั้น ไม่ว่าหญิงงามหรือบุรุษผู้ใด การทำให้อามู่เจ็บแค้นใจได้คงมิใช่เรื่องธรรมดา แต่กล้าหาเรื่องจ้าวมู่ผู้นี้ก็นับว่าไม่กลัวตายแล้ว เช่นนั้น...หากทำให้ตายอย่างง่ายดายเขาคงถูกอีกฝ่ายฉีกออกเป็นชิ้นๆ แน่

“จนกว่านางจะตาย”

จนกว่าจะตาย มิใช่ว่าตลอดอายุขัยของมนุษย์หรือ! โจวจื่อหมิงเริ่มตัดพ้อกับตนเองในใจ โดยทั่วไปแล้วมนุษย์นั้นจะมีอายุขัยอยู่ที่80-90ปี ซึ่งหากมีการแย่งชิงอายุขัยมนุษย์มา มนุษย์ผู้นั้นก็จะสิ้นใจแต่ก็จะวนเวียนอยู่ที่โลกมนุษย์เพราะยังมิถึงเวลาที่จะตาย สำหรับปีศาจเช่นพวกเขา อายุขัยมนุษย์มันช่างน้อยนิดนัก เพิ่งการพลังการฝึกได้เพียง1ใน8ส่วนเท่านั้น แต่การบำเพ็ญกลับทรมานยิ่งกว่าแต่ผลสำเร็จย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน แต่สำหรับพวกปีศาจปลายแถวที่หวังจะใช้หนทางลัดเพื่อเพิ่มพลังนั้น การแย่งชิงอายุขัยของมนุษย์จึงเป็นเหมือนสิ่งที่ล่อตาล่อใจเสียเหลือเกิน

อาณาเขตที่กั้นเอาไว้ไม่ได้ช่วยหยุดยั้งพวกปีศาจได้ทุกตัว เพียงแค่ยับยั้งพวกพลังต่ำสุดไว้เท่านั้น ส่วนพวกที่บำเพ็ญมานานกว่า100ปี มันจะไม่สามารถกั้นขวางได้ แต่จะถูกทางฝั่งเทพบนสวรรค์คอยจัดการแทน เช่น หมิงเซ่อที่เป็นคนรักของอามู่ และเป็นคนจำพวกคล้ายๆ กับเขา เพราะเขาเองก็ชอบนักกับการก่อกวน กลั่นแกล้งพวกอ่อนแอกว่า แต่หมิงเซ่อ...เจ้าบ้านั่นไม่เคยเลือก เขาและหมิงเซ่อแทบจะสนิทกันมากเพราะเราทั้งสองชอบการป่วนคนมากมาย จนเรียกได้ว่าเป็นที่หวาดระแวงยามได้เห็นหน้า

“อามู่...นางเป็นใคร?”

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

“เดี๋ยวๆ ช้าๆ ข้ายังอยากกลับไปนอนนนนนนน” คอเสื้อด้านหลังถูกผู้เป็นเทพอย่างจ้าวมู่กระชากจนตัวปลิวไปตามลม มิใช่ว่าตัวของเขานั้นเบาหรืออย่างไร แต่โจวจื่อหมิงเพียงแค่ถูกลากไปด้วยความเร็วสูงเท่านั้น ฝีเท้าที่เคลื่อนผ่านจุดต่างๆ ด้วยความเร็วนั้น ทำเอาภาพตรงหน้าเบลอไปหมด ขนาดว่าตนเองเป็นปีศาจ เป็นมารฝันที่น่าเกรงขามยังถูกหิ้วเป็นแมวได้

หากมีผู้ใดมาพบเห็น คงหมดสภาพการเป็นปีศาจอย่างแน่นอน

มารฝันหรือโจวจื่อหมิงอยากจะร้องไห้ออกมาเสียงดังๆ ดีดดิ้นตะโกนป่าวร้องให้ผู้ใดได้รู้ว่าเจ้าเทพผู้สูงส่งผู้นี้ โหดร้ายกับปีศาจตัวเล็กๆ อย่างเขาได้อย่างไม่มีเมตตาธรรม โจวจื่อหมิงรู้สึกเหมือนอยากจะสำรอกเอาสิ่งที่ทานเข้าไปออกมาเสียให้หมด แต่ก็ทำไม่ได้ ด้วยรู้ดีว่าหากปลดปล่อยมันออกมาในตอนนี้ คงมีแต่เขานี่ล่ะที่เปรอะเปื้อน

จ้าวมู่ยังคงเคลื่อนกายไปข้างหน้าอย่างไม่คิดจะหยุดพักใดๆ ในใจที่ร้อนไปด้วยไฟแห่งความแค้นนั้นหมายมั่นจะทำให้นางผู้นั้นได้เจ็บปวดเสียจนแม้คิดจะจบชีวิต ก็มิอาจจะตายลงไปได้ ชีวิตที่แสนทรมานจนไร้ความสิ้นสุดคือสิ่งตอบแทนที่นางทำกับคนผู้นั้น จิตใจหรือช่างดำมืด หากเขามิลงมือกระทำสิ่งใดไปบ้าง ไม่แน่ว่าตัวเขาเองนี่ล่ะที่จะกลายเป็นปีศาจ กำจัดมนุษย์ที่แสนสกปรกผู้นั้นให้หมดไปจากโลกใบนี้ ใบหน้าที่แสนงดงามมิได้ช่วยให้นางดูงดงามตามไปเลย ภายในที่เน่าเฟะกลับชวนให้พะอืดพะอมเสียยิ่งกว่าซากสิ่งมีชีวิตที่ถูกกัดกินในแดนปีศาจเสียอีก

ต่ำช้า ไร้ยางอาย ทำร้ายผู้บริสุทธิ์

หากจะค้นหาผู้ใดที่ช่วงช้ายิ่งกว่านี้จะมีหรือไม่ ความซื่อสัตย์ก็มิเคยได้เห็น มีเพียงความโหดร้ายที่มอบให้ผู้คนในอาณัติ แล้วจะให้มีชีวิตสงบสุขได้อย่างไร!

“อามู่! ข้าจะตายเพราะเจ้าลากข้าอยู่แล้วนะ!” แต่ไม่ว่าจะร้องเรียกอย่างไร จ้าวมู่ก็มิได้ยินเลยสักคำเดียว เรียกเสียงถอนหายใจจากโจวจื่อหมิงได้อย่างดี

“อามู่...เจ้าใจเย็นลงหน่อยเถอะ ข้ากลัวจะตายก่อนไปถึงงานที่เจ้าจะให้ทำ” นั่นล่ะ จ้าวมู่จึงยอมลดฝีเท้าลงไป มือหนาปล่อยออกจากเสื้อของโจวจื่อหมิงช้าๆ เมื่อร่างกายสูงใหญ่ของตนเองหยุดนิ่งลงกลางป่า นัยน์ตาคมสะท้อนความรู้สึกผิดจนโจวจื่อหมิงต้องนิ่งงันไปครู่ใหญ่

“ขอโทษด้วย ข้าร้อนใจเกินไป เจ้าเจ็บหรือ?” น้ำเสียงเจือไปด้วยความห่วงใยจนชวนให้ใจสั่น หากแต่โจวจื่อหมิงแล้ว ไม่ต่างจากการตบหัวพร้อมกับลูบหลังเสียมากกว่า

“เอาเถอะ เล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงคิดจะให้ข้า...ทำร้ายมนุษย์” จ้าวมู่ทอดสายตาออกไปยังป่ากว้างที่ไร้ความสิ้นสุด ปล่อยให้ความนึกคิดไหลผ่านออกไปจากสายตา

“รู้เพียงว่า คนของข้าเจ็บปวด คนที่ช้ารักและห่วงใยทุกข์ทรมานจนข้าไม่อาจจะทนมองอยู่เฉยๆ ได้! ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง และเจ้า...ต้องทำมันให้กับข้า” โจวจื่อหมิงได้แต่เพียงส่ายหน้ากับความแค้นที่สลักแน่นจนฉายชัดออกมาทั้งแววตาและสีหน้าของคนเป็นสหาย ใช่ว่าจะมิเข้าใจ ในคราก่อนก็เคยมีเรื่องราวเช่นนี้ หากแต่เมื่อครั้งนั้นต่างออกไป เมื่อคนที่ลงมือทำร้ายคนสำคัญของจ้าวมู่เป็นปีศาจ มิใช่มนุษย์ดังเช่นในครั้งนี้

สำหรับโจวจื่อหมิงแล้ว การสร้างฝันอันแสนร้ายกาจมิใช่เรื่องยากเลย กลับกันมันช่างเป็นสิ่งที่เพียงแค่กระดิกนิ้วเท่านั้นก็สามารถเกิดฝันอันน่าสยดสยองได้ แต่ด้วยความที่เป็นสหาย การจะให้สหายรักอย่างจ้าวมู่ต้องมาทุกข์ใจกับสิ่งที่กระทำในวันข้างหน้า เขาเองก็ย่อมไม่อาจจะให้มันเกิดได้ โจวจื่อหมิงเบนสายตาจับจ้องดวงตาคู่คมที่เต็มไปด้วยเพลิงแห่งความคั่งแค้น

“เจ้ามั่นใจใช่หรือไม่อามู่? หากข้าทำดังเจ้าสั่งลงไปแล้ว เจ้าจะมิมาเสียใจในภายหลัง” จ้าวมู่แค่นยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน อย่างเขาน่ะหรือจะมาเสียใจหากคนผู้นั้นถูกทำให้ตายทั้งเป็น มิมีวันนั้นหรอก!

“ข้ามั่นใจว่าข้าจะยิ้มเยาะและหัวเราะด้วยความสะใจ หากมันจะทรมานจนอยากตายมากเพียงใดก็มิอาจตายได้!” เมื่อได้ยินคำยืนยันอันหนักแน่น ใจของโจวจื่อหมิงที่เดิมทีมีความเกียจคร้านอยู่นั้น ก็ไม่อาจจะเกียจคร้านได้อีกต่อไป จึงต้องพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้

จ้าวมู่กระชับช่วงเอวบางของผู้เป็นสหายจนแน่น ก่อนจะกระโดดใช้วิชาตัวเบาทะยานออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วโดยมิได้สนใจสักนิดว่าทิวทัศน์ที่ผ่านมางดงามหรือมีสิ่งใด สิ่งที่สุมอยู่ในหัวใจของจ้าวมู่มีแต่ความเคียดแค้นและชิงชังจนอยากจะฆ่าให้ตายเสียด้วยซ้ำ แต่หากมิใช่เพราะกฎเกณฑ์ของสวรรค์มีหรือที่เขาจะหยุด

ต่างจากโจวจื่อหมิงอย่างสิ้นเชิง คนถูกโอบเอวบางไว้ลอบมองเสี้ยวหน้าของจ้าวมู่อย่างไม่อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ นัยน์ตาคู่นั้นสะท้อนความห่วงใยออกมาจนล้นเหลือ ห่วงเหลือเกินว่าสหายของเขาจะควบคุมตนเองมิได้และลงมือฆ่ามนุษย์ผู้นั้นเสียตั้งแต่ที่เห็นหน้า มิใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ แต่ถึงจะเข้าใจก็มิอยากให้กระทำ อีกทั้งเขายังคงง่วงนอน อยากจะกลับถ้ำกระดูกมังกรแล้วไปพักเสียที

ซึ่งมันคงมิใช่เร็วนี้เป็นแน่ เมื่อคำขาดเรื่องระยะเวลานั้นคือคำว่าไม่มีที่สิ้นสุด หรือตลอดอายุขัยของมนุษย์ ก็เท่ากับเขายังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแสนนาน พอคิดถึงเรื่องการสร้างฝันที่กำลังต้องทำก็อดรู้สึกโกรธเคืองมนุษย์ผู้นั้นไม่ได้ หากมิใช่เพราะมัน ป่านนี้เขาคงได้หลับนอนอย่างสบายใจไปแล้ว แต่นี่อะไร เป็นมนุษย์แท้ๆ แทนที่จะอยู่ส่วนมนุษย์กลับทำให้จ้าวมู่ โอรสแห่งองค์เง็กเซียนพิโรธเสียได้ แล้วเป็นอย่างไร แทนที่เจ้ามนุษย์นั่นจะรับกรรมแต่เพียงผู้เดียวกลับกลายเป็นเขาที่ต้องมารับกรรมสร้างความฝันที่แสนโหดร้ายไร้ที่สิ้นสุด

ยิ่งคิดใบหน้าของโจวจื่อหมิงก็แทบจะร้องไห้ ใครเล่าจะมาเข้าใจว่าความสุขของมารฝันเองก็คือการนอนหลับพักผ่อน มิใช่การที่จะต้องตามผู้ใดไปเพื่อจัดการกับความฝันของคนผู้นั้น เหตุใดสวรรค์มิเรียกตัวบุตรชายของท่านกลับไปเสียที องค์เง็กเซียนจะทราบหรือไม่ว่าบุตรชายของตนมาทำความเดือดร้อนให้เขาแบบนี้ ทำให้เขามิได้หลับนอนอย่างเต็มที่ ซ้ำยังหนีบเข้าผ่านเขตกั้นมาเพื่อชำระความแค้นส่วนตนเช่นนี้!

ให้ตายเถอะองค์เง็กเซียน ท่านเกลียดอันใดข้า?

แต่เมื่อตกอยู่ในห้วงความคิดก็หลงลืมไปว่าใช้เวลามานานเท่าใด ในตอนนี้รู้เพียงว่าร่างที่ขยับกายมาอย่างต่อเนื่องนั้นหยุดชะงักลง จนโจวจื่อหมิงต้องมองออกไปรอบๆ สิ่งที่เห็นตอนนี้คือภายในจวนที่สวย แม้จะเป็นยามค่ำคืนแต่ก็มิได้ลดทอนความงดงามลงไปเลยแม้แต่น้อย หากแต่กลิ่นเหม็นของความชั่วร้ายนี่มาจากที่ใดกัน แม้ว่าสำหรับปีศาจเช่นเขาจะมิได้คิดว่ามันเหม็น แต่สำหรับเทพอย่างจ้าวมู่หรือผู้มีสัมผัสนั้น ย่อมรู้ดีว่าที่นี่เหม็นกลิ่นความชั่วร้ายเหลือเกิน

“ที่นี่คือ?”

“จวนของมนุษย์ผู้นั้นอย่างไรเล่า ตามข้ามา”

จ้าวมู่เดินนำร่างของโจวจื่อหมิงให้ตามเข้าไปในห้อง มือหนาเปิดประตูออก ปรากฏร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งใบหน้างดงามหยดย้อย หลับใหลอย่างสุขใจอยู่บนเตียง โจวจื่อหมิงเดินเข้ามาภายในอย่างไม่รีบร้อน กวาดตามองใบหน้างดงามของหญิงแปลกหน้าอย่างครุ่นคิด จะเป็นไปได้หรือที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถสร้างความไม่พอใจให้กับสหายของเขาที่เป็นเทพได้? หนำซ้ำมนุษย์ผู้นั้นยังเป็นเพียงหญิงสาวอีกต่างหาก

ความคาใจที่ตกตะกอนอยู่บนใบหน้าของโจวจื่อหมิงมิอาจจะลอดพ้นสายตาของจ้าวมู่ไปได้ เขายังคงจับจ้องสายตาสงสัยของผู้เป็นสหายอยู่อย่างนั้นเงียบๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายคิดใคร่ครวญทุกความเป็นไปได้ โดยไม่อธิบายสิ่งใดให้กระจ่างแจ้ง เขาพูดไปหมดแล้ว บอกไปแล้วว่ามนุษย์ผู้นี้ทำร้ายคนที่เขารัก ทำร้ายคนที่เขาห่วงใยที่สุดในชีวิต เมื่อกล้าแตะต้องคนสำคัญของจ้าวมู่ ก็อย่าหวังว่าจะสามารถอยู่ได้อย่างเป็นสุข!

“นางหรือที่เจ้าจะให้ข้า...สร้างความฝัน?” หญิงตัวเล็กๆ ที่นอนหลับอย่างเป็นสุขผู้นี้หรือที่สหายของเขานั้น เคียดแค้นเสียจนไม่อาจจะทนได้

จ้าวมู่มองใบหน้าของสหาย แววตาฉายความคั่งแค้นออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ถูกต้อง...เป็นนางที่ข้าต้องการให้เจ้าทำ”

โจวจื่อหมิงหน้าเจื่อน สีหน้าขาวซีดราวกับกระดาษบ่งบอกได้ดีว่ามิอยากทำสักนิด “จะดีหรือ ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นปีศาจ เป็นมารฝันผู้ชั่วร้าย แต่ก็มิเคยรังแกหญิงนางใดนะ”

จ้าวมู่ปล่อยบรรยากาศเย็นยะเยือกออกมา จนโจวจื่อหมิงต้องยิ้มขำพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างยอมแพ้ “ข้ารู้แล้วๆ ข้าจะทำตามคำสั่งเดี๋ยวนี้ล่ะขอรับท่านจ้าวสวรรค์” คำพูดประชดประชันหาได้ทำให้ร่างสูงโกรธเคืองไม่ กลับกันใบหน้าเรียบเฉยกระตุกยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจที่โจวจื่อหมิงรับทำ

“ดี! อย่าลืมที่ข้าบอกเจ้าละจื่อหมิง ให้นางทรมานที่สุด แต่ห้ามให้นางตาย เมื่อไหร่ที่นางใกล้จะสิ้นใจเจ้าจงปลุกนางเสีย จวบจนกว่านางจะสิ้นอายุขัย!”

เป็นเพราะเจ้าคิดทำร้ายคนสำคัญของข้า หญิงชั่วช้ามิสมควรได้รับความตายที่ง่ายดายเช่นนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปคือบทเรียนที่จะคงอยู่ตราบชั่วชีวิตของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเข้มแข็งสักเพียงใด ความทรมานก็จะค่อยๆ บั่นทอนจิตใจของเจ้าอย่างช้าๆ จวบจนเจ้าปรารถนาความตาย แต่จะมิมีวันใดที่ข้าจะมอบมันให้กับเจ้า จงอยู่กับความแค้นของข้าไปชั่วชีวิตเถิด เพ่ยเยว่เผิง!

จ้าวมู่หายออกไปจากห้องราวกับมิเคยได้ก้าวเข้ามาในห้องนี้ เหลือเพียงแค่โจวจื่อหมิงเท่านั้นที่ยังคงอยู่และจ้องมองใบหน้าอันงดงามของเพ่ยเยว่เผิงบนเตียงอย่างเย็นชา

“หน้าตาเจ้าหรือก็ออกจะงดงาม เหตุใดจึงได้มีความชั่วร้ายอยู่ในจิตใจจนทำให้อามู่แค้นเคืองเจ้าได้ถึงเพียงนี้” ปลายนิ้วปัดเส้นผมออกจากใบหน้าของเพ่ยเยว่เผิงช้าๆ ราวกับว่าอ่อนโยนเหลือเกิน ทั้งที่สายตามีแต่ความเย็นชาเสียจนหากเพ่ยเยว่เผิงลืมตาขึ้นมาคงจะกลัวเสียจนตัวสั่น

“น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ เจ้าไม่น่ารนหาเรื่องเลยจริงๆ แต่สำหรับแค้นของอามู่ก็คือส่วนของอามู่ ส่วนที่เจ้าทำให้ข้ามิได้นอน ข้าจะคิดกับเจ้าจนเจียนตายเชียว!”

โจวจื่อหมิงละมือออกจากใบหน้าของเพ่ยเยว่เผิงทันทีโดยไม่มีความอ้อยอิ่งใดๆ ราวกับว่าขยะแขยงเหลือทนหากต้องสัมผัสผิวกายของนางไปมากกว่านี้ รังเกียจที่จะต้องกายของมนุษย์ที่โสมม มีเพียงความชั่วร้ายอยู่ภายในจิตใจ สายลมพัดอย่างแรงจนประตูที่เปิดอ้าปิดลงอย่างแรง แต่เพ่ยเยว่เผิงกลับยังคงหลับสนิทอย่างไม่รับรู้สิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้น



TBC



กรี๊ดดดด พี่โจววว พี่จ้าววว มองมาทางนี้ค่าา แมวเอาตอนใหม่มาเสริฟแล้วนะคะ อย่าลืมวางปลาทูให้แมวด้วยนะ อีกแค่สองตอน เราก็จะจบกันแล้ววววว เย้~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2019 16:39:29 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[24]

Note : ก่อนหน้านี้แมวได้ทำการเปลี่ยนชื่อตัวละครสองตัวนะคะ นั่นคือ ลู่เหม่ยหลิน เป็น อี้เหม่ยหลิน / เพ่ยหลิง เป็น จางเยว่หลิง นอกนั้นเนื้อหายังคงเดิมจ้า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ตั้งแต่ตอนที่ 23 เป็นต้นไป แมวจะ Note ไว้บนนิยายนะคะ





Chapter 24.

เฟยหลงยังคงยืนเฝ้ารอการมาของหยางเถาอยู่ที่หน้าต้นท้อเช่นทุกค่ำคืน หากแต่ด้วยคืนนี้นั้นเป็นดั่งคืนพิเศษที่เขา...หวังจะพาเจ้าดอกท้อออกไปเปิดหูเปิดตา ได้พบเห็นความงดงามในโลกของมนุษย์นี้สักครั้ง เพียงแค่ต้องคิดว่าอีกคนกำลังจะจากไป หัวใจของเฟยหลงก็เจ็บปวดจนแทบจะขาดใจอยู่รอนๆ ดวงตาคมทอดมองไปยังดวงดาราที่พร่างพรายอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอย่างคนที่กำลังจะสิ้นเรี่ยวแรง

ทุกข์ใดก็มิเคยทรมานเขาได้เลยสักครั้ง สำหรับลู่เฟยหลงนั้นจะตั้งสติรับกับเหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นมา แต่สำหรับเรื่องของหยางเถาแล้ว เพียงแค่ต้องคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะจากเขาไป เขาก็ไม่สามารถทนหายใจต่อไปได้อีก ทุกสิ่งไร้ซึ่งความหมาย หากมิมีคนเคียงข้างเช่นหยางเถา เจ้าดอกท้อดอกน้อยที่คอยยิ้มแย้มให้กับเขา

ลู่เฟยหลงก้มลงเก็บดอกท้อที่ร่วงลงสู่พื้นดิน ปัดเศษดินที่ติดมาอย่างเบามือและทะนุถนอม กลิ่นหอมมิได้หายไปเลยแม้สักนิด ยังคงหอมรัญจวนใจเช่นเดิมในทุกคราที่เขาได้สูดลมหายใจเข้าไป จากหนึ่งดอกก็เป็นสอง จากสองก็เป็นสามไปอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ มันมากมายเสียจนลู่เฟยหลงใจหาย จนต้องมองขึ้นไปบนกิ่งเล็กๆ นั่นอีกครั้งว่ายังเหลืออีกเท่าไหร่ แต่จำนวนที่มีกลับน้อยเสียจนเฟยหลงหวาดกลัว กลัวว่าอีกคนจะต้องหายไป

“เจ้าดอกท้อ...” ร่างสูงเอ่ยพึมพำออกมาราวกับละเมอ เอื้อมมือออกไปข้างหน้าหมายจะแตะต้องดอกสีชมพูบนกิ่งนั่นสักครั้งก่อนมันจะร่วงโรย แต่สิ่งที่ได้สัมผัสกลับเป็นเส้นผมสีเงินของยอดดวงใจแทน

“เฟยหลง...เจ้าเป็นอะไรหรือ?” หยาบเถาที่เพิ่งจะออกมามองเห็นความปวดร้าวในดวงตาของเฟยหลงอย่างชัดเจน จนต้องเอ่ยถามออกมาให้ได้รู้ ลู่เฟยหลงลูบเส้นผมสีเงินนั้นอย่างเบามือ ใช้ดอกท้อเล็กๆ ค่อยๆ แซมไปบนศีรษะของหยางเถาช้าๆ อย่างไม่รีบร้อน จนบัดนี้เส้นผมสีเงินมีดอกท้อสีสดประดับอยู่ชวนให้ร่างบางตรงหน้าน่ามองขึ้นไปอีก

“มิได้เป็นอะไร เพียงแค่คิดถึงเจ้าก็เท่านั้น” คำหวานอันหลอกลวงมีหรือที่หยางเถาจะมิรู้ได้ วันนี้คือวันสุดท้ายของเขาที่จะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับบุคคลอันเป็นที่รัก ได้มอบรอยยิ้มและความสุขให้กับลู่เฟยหลงได้อย่างเต็มที่

แม้ว่าแท้จริงแล้วในหัวใจของหยางเถาจะร้างรานจนอยากจะร่ำไห้สักเพียงใด บนใบหน้าก็จะต้องมีเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนเท่านั้น จะให้ลู่เฟยหลงเห็นน้ำตาของตนมิได้อย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นก็คงมิต่างอะไรกับการที่เขา โยนความเศร้าลงในจิตใจของอีกฝ่าย ลู่เฟยหลงควรมีเพียงรอยยิ้ม ควรมีความสุขที่สุดในราตรีนี้ หากยังมีเขาอยู่ จะมิยอมให้เฟยหลงได้มีน้ำตา แม้จะต้องมาจากเขาก็ตาม ลู่เฟยหลงจับมือบางที่แสนอ่อนนุ่มมากถมเอาไว้ ก่อนจะจรดริมฝีปากจุมพิตแผ่วเบาลงบนหลังมือนั้น

“คิดถึงเจ้าเหลือเกินยอดรัก เจ้าดอกท้อของข้า” หยางเถาได้แต่ยิ้มอ่อน ความคิดถึงช่างมากล้นเสียจนไม่อาจจะลบหายได้เพียงค่ำคืนเดียว เขาทั้งสองรู้ดีว่าเวลาเพียงเท่านี้ มิเพียงพอต่อใจของพวกเขา

“ข้าก็คิดถึงเจ้าเฟยหลง คิดถึงเจ้าเสมอ”

และจะคิดถึงตลอดไป แม้จะไร้ซึ่งร่างกายและวิญญาณก็ตาม

อยากอ้อนวอนให้สายลมช่วยพัดพาความเจ็บปวดให้เลือนหายไป แต่เพียงสายลมมิอาจจะทำได้แม้แต่เศษเสี้ยวความเจ็บปวดในใจดวงนี้ หากวอนขอต่อจันทรา ก็มิแน่ว่าจะช่วยดับความทุกข์ใจครั้งนี้ได้ ทั้งสองต่างคนต่างก็รู้ดีในเวลาที่จำกัด ทั้งที่อยากทำอะไรอีกมากมายนักแต่กลับถูกกีดกันจากเวลา ไม่ว่าจะกี่พันค่ำคืน จะกี่สิบภพชาติ สำหรับลู่เฟยหลงและหยางเถาก็มิอาจจะเพียงพอให้เขาได้ใช้เวลาร่วมกันไปได้

“คืนนี้ในตลาดครึกครื้น เจ้าสนใจจะไปเที่ยวชมหรือไม่เล่า เถาเอ๋อร์” คนถูกเรียกชื่อด้วยเสียงหวานหน้าแดงก่ำ

“เหตุใดจึงได้ครึกครื้นนัก มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือ?” เฟยหลงยิ้มบางๆ กระชับมือนุ่มจนแน่นแล้วพาเดินไปหาบิดาและมารดาของตนที่เฝ้ารออยู่ก่อนแล้ว

“คืนนี้มีงานหยวนเซียว ท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยโคม ข้าคิดว่าเจ้าจะต้องชอบเป็นแต่”

แม้ว่าปากจะเอ่ยคำพูดออกมาเช่นนั้น แต่ในใจกลับสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตาทั้งสองคู่ทอดมองไปยังพื้นที่ต้องเดินผ่าน ราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าตนเองหลีกหนีไปไม่พ้น และไม่อาจจะทนฝืนมันได้ จึงต้องหันมองไปที่อื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตนเองเข้าไว้ จะได้มิร่ำไห้ออกมาให้อับอาย

ลุ่เฟยหลงจับจูงมือเล็กเอาไว้ นำไปหาบิดามารดาที่นั่งรออยู่ก่อนอย่างใจเย็น เดินผ่านเหล่าบ่าวรับใช้ทั้งชายหญิง ทุกคนล้วนแต่ให้ความเคารพกับหยางเถามิต่างจากคนสกุลลู่คนใดเลย ยิ่งได้รู้ว่าฮูหยินนั้นเอ็นดูและรักใคร่ทุกคนในจวนจึงค่อยๆ ให้ความเคารพแก่หยางเถาไปเช่นกัน หยางเถาส่งยิ้มให้อี้เหม่ยหลินและลู่จิ้นเหอเมื่อเดินมาจนพบพวกเขาที่นั่งรอตนอยู่

“เถาเอ๋อร์…มาแล้วหรือ หิวรึไม่?” อี้เหม่ยหลินเอ่ยถามออกมาอย่างดีใจ รอยยิ้มของนางนั้นจริงใจจนหยางเถายิ้มตามไม่ยากเย็น เหม่ยหลินเดินเข้ามาหาหยางเถาก่อนที่มืออ่อนนุ่มแต่เหี่ยวย่นตามวัยจะหยิบบางสิ่งออกมายื่นให้เขา

“สิ่งนี้คืออะไรหรือขอรับ?” หยางเถาจับจ้องบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับกิ่งไม้สั้นๆ สีขาวสวยสบายตาที่มีสลักลวดลายคล้ายดอกท้ออยู่บนนั้น อี้เหม่ยหลินระบายยิ้มอ่อนโยนออกมาลูบศรีษะเล็กๆ ของหยางเถาอย่างเบามือ

“นี่เรียกว่าปิ่นหยก ป้าได้รับปิ่นหยกนี้ต่อมาจากท่านแม่ของป้า จากนี้มันเป็นของเจ้า ป้ายกมันให้เจ้านะเถาเอ๋อร์”

“แต่มันมีค่าต่อท่านป้านะขอรับ ยกให้ข้าเช่นนี้มันออกจะ…” สายตาของหยางเถาสับสน แม้ในใจจะดีใจที่ได้รับการปรานีและความเอ็นดูอย่างเปี่ยมล้น แต่ทว่าของที่แสนสำคัญ เขาก็คงมิอาจจะรับมันได้

อี้เหม่ยหลินคล้ายจะเข้าใจในความคิดของหยางเถาได้ นางกุมฝ่ามือของหยางเถาเอาไว้แน่น ราวกับจะส่งผ่านความจริงใจและความปรารถนาที่จะส่งมอบสิ่งนี้ให้กับหยางเถาได้เข้าใจ

“เพราะมันมีค่าเช่นนั้นอย่างไรเล่าป้าจึงได้มอบมันให้แก่เจ้า…”

“รับไปเถิดหยางเถา ท่านแม่หรืออุตส่าห์ให้ของเช่นนี้แก่เจ้า มันย่อมเป็นของเจ้า มาเถิด…ข้าจะปักให้เจ้าเอง”

เฟยหลงค่อยๆ รวบผมของหยางเถาขึ้นไปสูงจนกลายเป็นมวยผมเขาจึงได้ใช้ปิ่นสีขาวนวลปักเอาไว้ ร่างสูงค่อยๆ ถอยออกมามองใบหน้างามยามไร้ซึ่งผมที่เคยแผ่สยายกลางหลัง ใจของเฟยหลงกระตุกอย่างไม่อาจจะห้ามได้ เมื่อใบหน้าที่เคยงามหยาดเยิ้มของหยางเถายามนี้ปรากฏแต่ความน่ารักน่าใคร่ที่หากมีผู้ใดเห็นต่างก็ต้องการครอบครองความงดงามนี้อย่างแน่นอน

“เจ้าช่างงดงามเหลือเกินเถาเอ๋อร์ของป้า ป้าคิดมิผิดจริงๆ ที่มอบมันให้แก่เจ้า” ใบหน้าของร่างบางร้อนผ่าว ทั้งสายตาและคำกล่าวชื่นชมล้วนแต่เจาะจงมาที่เขาทั้งสิ้น ความแปลกใหม่ที่ถูกชมเชยจากผู้อื่นนั้นสำหรับหยางเถาแล้ว คงทำใจให้ชินกับมันคงจะยากเหลือเกิน

“ท่านป้า…ชมข้าเกินไปแล้วขอรับ” เหม่ยหลินได้แต่หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ การได้เห็นแก้มนวลทั้งสองข้างของหยางเถาแดงก่ำกับสายตาที่มิรู้ว่าควรจะเอาไปวางที่ใดก็ช่างน่ารื่นรมย์เสียเหลือเกิน

ลู่จิ้นเหอยกชาขึ้นจิบขณะที่มองภาพการกลั่นแกล้งรังแกด้วยความเอ็นดูจนอีกคนมิรู้ว่าควรจะทำสีหน้าเช่นไรดี จิ้นเหอส่ายศีรษะกับการกระทำของฮูหยินตนเองและบุตรชายเพียงคนเดียวอย่างหน่ายใจ เป็นเช่นนี้นี่เล่า หากผู้ใดได้รับความเอ็นดูจากคนสกุลลู่ล้วนแต่จะต้องเขินอายเสียจนแทบจะม้วนตัวลงไปนอนอยู่บนพื้น สองแม่ลูกแสดงความรักอันมากล้นแก่หยางเถาอย่างมิหยุดหย่อน ตัวจิ้นเหอกลับทำเพียงนั่งมองภาพนั้นอย่างสบายใจ จะอย่างไรการที่บ้านกลับมาเป็นบ้าน กลับมาสงบสุขไร้ซึ่งการว่าร้ายหรือการคิดร้าย มีเพียงความรักใคร่ที่อบอวลอยู่ในบ้าน เช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าอยู่บ้านอย่างแท้จริง

หลังจากที่ได้รับของอันแสนสำคัญอย่างปิ่นหยกเนื้ออ่อนลายดอกท้อ ก็ทำให้หยางเถาในนามนี้ดูแปลกตาเสียจนเพียงแค่เดินออกจากจวนสกุลลู่ไป เหล่าคุณชายและชายหนุ่มทั้งหลายต่างพากันเมียงมองเจ้าดอกท้อดอกนี้จนแทบจะเหลียวหลัง

หยางเถาคอยแต่ลูบคลำปิ่นเนื้ออ่อนบนศีรษะไม่หยุดมือ ราวกับว่าหวงแหนเสียจนหวาดกลัวว่าหากพลั้งเผลอไป เจ้าหยกเนื้ออ่อนที่เล็กยิ่งกว่ากิ่งของเขาจะหายไปทันที ยางที่มือเล็กๆ จับต้องไปบนปิ่นหยกใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานที่ดึงดูดสายตาของทุกผู้ได้

ช่างงดงามเสียจริง งดงามจนมิอาจจะห้ามใจของตนเองได้

มิว่าผู้ใดก็คิดเช่นนั้น ความจริงที่ถูกเอ่ยออกมาเมื่อมิอาจจะละสายตาไปจากร่างบอบบางที่สวมอาภรณ์สีขาวสะอาดไปได้

“แม่นาง…ปิ่นนี้ ข้ามอบให้เจ้า โปรดรับไว้ด้วยเถิด”

ซิ่วหยูมองร่างบางจับปิ่นตนเองแล้วอมยิ้มน้อยๆ อยู่นาน จึงได้ตัดสินใจเดินเข้าร้านเพื่อเลือกปิ่นลายเหมยมาให้คนที่ทำให้หัวใจเต้นระรัว ซิ่วหยูมิเคยสักครั้งที่จะตกหลุมรักผู้ใดโดยมิรู้จักมาก่อนเช่นนี้ ปิ่นนี้…มีไว้เพื่อซื้อเวลาให้เปิดทางเพื่อเขาจะได้รู้จักคนงามให้มากขึ้น แต่สายตาที่เต็มไปด้วยความรักของซิ่วหยูหลับทำให้ชายหนุ่มรูปหล่อ ใบหน้าคมคายที่ก่อนนี้มีเพียงความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมราวกับจะฆ่าฟันซิ่วหยูให้ตายตกไป

“อภัยด้วยคุณชาย หากแต่ข้ามิอาจจะรับปิ่นของท่านได้ และข้า…มิใช่สตรี” ซิ่วหยูมึนงงไม่อาจจะเข้าใจได้เลยว่าเพราะเหตุใด ในเมื่ออีกคนก็แสดงออกชัดเจนว่าพึงพอใจกับปิ่นบนศีรษะ แล้วการที่เขาหาปิ่นอันงดงามนี้มาให้ เหตุใดกันเล่าจึงปฏิเสธ อีกทั้งยังต้องตกใจกับคำพูดของร่างบางที่บอกกับเขาว่า มิใช่สตรีอีก ทั้งที่งดงามเช่นนั้นน่ะหรือ

แต่ก็มิเป็นไร แม้จะเป็นบุรุษ ทว่าก็งดงามยิ่งกว่าตรีนางใด

“เพราะเหตุใดหรือ หากเจ้ามิชื่นชอบลายนี้ พรุ่งนี้ข้าจะให้…”

“เขาผู้นี้มิอาจจะรับปิ่นจากผู้ใดได้อีกแล้วล่ะ” เฟยหลงเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะที่พยายามสะกดเอาไว้

“เพราะเหตุใด?” ซิ่วหยูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดห้วนไร้การเป็นมิตร แต่สำหรับเฟยหลงแล้วมิได้ทำให้เขาเกรงกลัวหรืออย่างใด กลับกัน…มันกลับยิ่งทำให้เฟยหลงวาดแขนลงบนไหล่ลาดของหยางเถา ดึงร่างบอบบางเข้าสู่อ้อมกอดอุ่นทั้งที่ดวงตามีแต่ความเย้ยหยัน

คิดจะมาตีสนิท หลอกกินเต้าหู้เจ้าดอกท้อของเขาหรือ…ฝันไปเถิด!

“เพราะปิ่นชิ้นนี้พิเศษยิ่งกว่าปิ่นชิ้นใดๆ ในโลกนี้”

“จะพิเศษกว่าได้เยี่ยงไร! ในเมื่อเนื้อหยกจากปิ่นของข้าย่อมเป็นหยกเนื้อดีกว่าและลวดลายก็งดงามกว่า หากเขาได้ปักปิ่นของข้าเอาไว้ มันจะยิ่งทำให้เขางดงามยิ่งขึ้นอีกอย่างแน่นอน!” ซิ่วหยูกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ คนผู้นี้ช่างกล้าดีเหลือเกินถึงได้กล่าวเปรียบเทียบของในมือเขากับสิ่งไร้ค่าบนศีรษะงามนั่น จะมองเช่นไรก็เป็นเพียงปิ่นไร้ค่า!

“ของหมั้นจากมารดาข้า ฮูหยินสกุลลู่ พอจะพิเศษได้หรือไม่?” ลู่เฟยหลงยิ้มเยาะเย้ยใบหน้าซีดขาวของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ หยางเถาเป็นของเขาผู้ใดกล้าแย่งชิงไปเขาจะมิไว้หน้ามันอย่างเด็ดขาด

ซิ่วหยูได้แต่มองคนงามถูกโอบไหล่ผ่านหน้าไปอย่างหมดหวัง เขาเบนสายตาลงมามองปิ่นในมืออย่างเศร้าใจ ปิ่นของเขา ยังมิทันได้ถูกคนงามจับต้องเสียด้วยซ้ำ ก็ต้องกลายเป็นหมัน ไร้คนมอง ไร้คนครอบครองเช่นเดียวกับหัวใจเขา ช้าเกินไป เขาเจอคนงามช้าเกินไป ก็คงได้แต่ยอมรับมัน

หยางเถาลอบมองหน้าหล่อเหลาของเฟยหลงอย่างไม่เข้าใจ ของหมั้นคือสิ่งใด มิใช่ว่าฮูหยินหยิบยื่นให้เขาเพราะเอ็นดูหรอกหรือ? ลู่เฟยหลงรับรู้ได้ถึงการจับจ้องจากดวงตากลมโตสีอำพัน เขายิ้มให้ร่างบางอย่างใจดี ดวงตาจ้องกลับอย่างรักใคร่

“จ้องข้าด้วยเหตุใดเล่า หืม?” น้ำเสียงติดล้อเลียนเสียมากกว่าจริงจัง

“ของหมั้นคือสิ่งใดหรือ? ข้ามิเห็นเข้าใจเลย แล้วเหตุใดของหมั้นจึงได้สำคัญเล่า?” ลู่เฟยหลงหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู มือหนาปัดปอยผมออกจากใบหน้างามที่ต้องแสงจันทร์อย่างเขามือ

“ของหมั้น คือสิ่งที่บ่งบอกว่า…”

เฟยหลงก้มหน้าลงกระซิบเบาๆ จนริมฝีปากร้อนปัดผ่านผิวแก้มไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“เจ้า…เป็นของข้า ข้าจับจองเจ้าเอาไว้แล้วมิยอมให้ผู้ใดมาแย่งชิงไปได้” แก้มที่เคยขาวแดงปลั่งไปด้วยสีเลือดเมื่อความร้อนแล่นผ่านใบหน้ายามได้ยินคำหวานจากชายผู้กุมดวลใจ หยางเถากัดปากตนเองเอาไว้แน่น หลบเลี่ยงสายตาเจ้าชู้ที่อีกฝ่ายใช้มองด้วยการเดินหนีไปเสียดื้อๆ ไม่น่าเอ่ยถามหาความหมายเลย เขาทำให้ตัวเองต้องมาเผชิญกับการใจเต้นแรงแบบนี้ รู้สึกราวกับกำลังจะตายเสียเดี๋ยวนั้น

“ล้อข้าเล่นอยู่เรื่อยเลย” ทั้งที่เป็นเพียงคำพูดลม แต่เฟยหลงกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน มือหนากุมมือบางเอาไว้ให้หยุดเดิน ดึงสายตาของคนขี้อายกลับมาสบตากันอย่างไม่เร่งรีบใดๆ

“ล้อเล่นที่ใด ข้าจับจองเจ้าจริงๆ ทั้งกายเจ้าและใจของเจ้า ข้ามิยอมแบ่งให้ผู้ใดหรอกนะ เจ้าดอกท้อ”

หยางเถาอายม้วนเสียจนมิรู้ว่าควรจะทำสีหน้าเช่นไรดี แก้มนวลยิ่งแดงระเรื่อจนแทบจะแดงไปทั้งใบหน้า คนช่างพูดก็เหลือเกิน มิมีการเว้นว่างให้ได้หายใจหายคอเลยสักนิด มือบางถูกยกขึ้นมาจรดริมฝีปากของเฟยหลง กดย้ำแนบแน่นราวกับว่ามิปรารถนาจะผละออกแม้แต่น้อย ความน่ารักของหยางเถากำลังทำให้เขาอยู่ในห้วงความปรารถนาที่มิควร ร้อนรุ่มไปทั้งกายจนอยากจับหยางเถามากลืนกินเสียเดี๋ยวนี้ อยากลิ้มลองนักว่าคนเบื้องหน้าที่เขาหลงใหลจะมีรสชาติเช่นไร หวานหอมดั่งลูกท้อหรือไม่

แต่เพียงแหงนเงยใบหน้าขึ้นมาสบตากลมโตสีอำพันใสแจ๋ว ดวงตาของเฟยหลงก็พลันเบื่อหน่ายเมื่อเห็นคนสนิทของตนกำลังเดินเข้ามาใกล้ โดยข้างกายนั้นคือเฉินลี่ฟู่และเหล่าเด็กน้อยอีกสามคน

“โอ้…มิคิดว่าจะพบเจอเจ้าที่นี่นะลู่เฟยหลง” เฉินลี่ฟู่ยกพัดขึ้นมาโบกเบาๆ แอบเหน็บแนมชายผู้เคยเป็นคู่แข่งอย่างติดนิสัยจนถังเหวินฉายต้องแอบหยิกต้นแขนแล้วถลึงตาใส่อย่างไม่ชอบใจนัก

“นั่นเจ้านายข้านะเจ้าบ้า!” เฉินลี่ฟู่ยักไหล่ เอ่ยถามอย่างไม่นึกอายใครด้วยเสียงไม่เบานัก

“ก็แค่เจ้านายมิใช่หรือ ทีข้าเป็นสามีเจ้ามิเห็นเจ้าจะสนใจข้าบ้าง” เหวินฉายอ้าปากค้าง จะด่าก็มิรู้จะต่อว่าด้วยคำใด จะว่าอายหรือก็ใช่ เด็กมากมายไหนจะนายน้อยและคุณชายหยางอีก เขามิควรอับอายหรือ?

“เจ้า!!” เหวินฉายขบเคี้ยวเขี้ยวฟันตนเองอย่างกระดากอาย ใบหน้าทั้งแดงทั้งดำสลับไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ ยิ่งเห็นว่าเจ้าตัวปัญหายักคิ้วหลิ่วตาลอยหน้าลอยตาอย่างไม่รู้สึกรู้สายิ่งอยากจะทุบตีเสียให้ตายลงตรงนั้น

“เด็กพวกนี้คือใครหรือเหวินฉาย?”

“นายน้อย เด็กทั้งสามคนนี้คือน้องชายของข้าเองขอรับ ข้าเอ็นดูพวกเขา อีกทั้งยังมิมีผู้ใดดูแล ข้าจึง…ดูแลพวกเขาเอง” เหวินฉายกล่าวเสียงเบาหวิว มองใบหน้าของเด็กทั้งสามอย่างหวาดกลัวว่าพวกเขาจะสะเทือนใจ หยางเถามองควันสีดำที่ขมุกขมัวอยู่รอบๆ ตุ๊กตามอมแมม ในอ้อมกอดขอเด็กสาวหน้าตาน่าเอ็นดูอย่างสนใจ จนร่างบางย่อกายลงต่ำ ปัดปลายนิ้วไปตามเส้นผมสีดำของเด็กคนนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“เจ้าชื่ออะไรหรือ?” อี้เหมยสบตาของหยางเถา ก่อนจะมอบรอยยิ้มไร้เดียงสาให้

“ข้าชื่ออี้เหมย”

“แล้วที่เจ้ากอดอยู่เล่า ชื่ออะไร” อี้เหมยตื่นเต้น ยากนักที่จะมีคนเอ่ยถามถึงฉีอันอันของนาง รอยยิ้มของเด็กน้อยจึงกว้างขึ้นทันที

“พี่ชาย นี่คือฉีอันอัน นางเป็นเพื่อนข้าเอง พี่ชายชื่ออะไรหรือ?”

“ฉีอันอัน อี้เหมย…ข้าชื่อหยางเถา เจ้าชอบดอกไม้หรือไม่?” เด็กน้อยพยักหน้า ดอกไม้งดงามสีสันมากมี เด็กอย่างอี้เหมยจึงชอบนักยามได้เด็ดมาเล่น หยางเถาเอื้อมมือขึ้นเหนือศีรษะ หยิบเอาดอกท้อสีชมพูออกจากเส้นผมมาสองดอก ก่อนจะยื่นออกไปให้กับอี้เหมย เฟยหลงยืนมองการพูดคุยของหนึ่งคนโตกับหนึ่งเด็กน้อยอย่างสนใจ ยามได้เห็นใบหน้าของหยางเถาอ่อนโยนระคนเอ็นดู เขาก็มองมันเสียจนลืมเลือนในทุกสิ่ง

“ข้าชอบมากพี่หยางเถา พี่จะให้ข้าหรือ”

“ใช่แล้ว…นี่คือดอกท้อ ข้าจะให้เจ้าแน่นอน หากเจ้าให้ข้ายืมฉีอันอันสักหน่อย” เด็กน้อยมีสีหน้าลังเล ก้มลองตุ๊กตามอมแมมในมือตนเองสลับกับดอกท้อสีสวยใจมือของพี่ชายผมสีเงินอย่างชั่งใจ

“ไม่นานหรอก ข้าจะคืนให้เจ้าแน่นอน” อี้เหมยยิ้มกว้างยื่นตุ๊กตาที่แสนมอมแมมออกไปให้หยางเถาไร้ซึ่งอาการหวงแหนเช่นก่อนหน้านี้

“ฝากดูแลฉีอันอันด้วยนะเจ้าคะ พี่หยางเถา”

“แน่นอน ข้าจะดูแลนางแทนเจ้าเอง”

หยางเถาจับตุ๊กตาตัวน้อยนั่นเอาไว้ มองร่างเล็กที่ยิ้มร่าวิ่งตามร่างของเด็กชายอีกสองคนไปด้วยความตื่นเต้น บนศีรษะเล็กๆ ถูกประดับด้วยดอกท้อสีสวยที่หยางเถาเป็นผู้มอบให้ก่อนที่สายตาคู่สวยจะก้มลงมองตุ๊กตาตัวน้อยในมือของตนเองอีกครั้ง

“นายน้อย ข้ากับเจ้าลูกเต่านี่ขอตัวก่อนนะขอรับ ไปกับข้า!”

“ฉายเอ๋อร์ อย่าลากข้าสิ สามีเจ้าเจ็บนะ” เหวินฉายลากเฉินลี่ฟู่ไปอย่างทุลักทุเล ร่างสูงบ่นไปตลอดทางแต่ท่าทีขัดขืนของเฉินลี่ฟู่กลับไร้ซึ่งความจริงจัง อีกทั้งใบหน้ายังยิ้มกรุ้มกริ่มจนน่าหมั่นไส้ แต่เหวินฉายกลับมิได้เห็นเลยสักนิด กลับเอาแต่คิดจะลากบุคคลเจ้าปัญหาอย่างเฉินลี่ฟู่ออกไปมากกว่า

ลู่เฟยหลงมองคนข้างกายอย่างสนใจ สายตาของหยางเถายังมิได้ละออกจากตุ๊กตาตัวน้อยของเด็กผู้นั้นเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว หยางเถาลูบเบาๆ อย่างเหม่อลอย จนร่างสูงมิสามารถคาดเดาได้เลยว่าร่างบางกำลังครุ่นคิดสิ่งใด

“เจ้าเป็นอะไรหรือเจ้าดอกท้อ…เหตุใดจึงได้สนใจตุ๊กตาตัวนี้นัก หรือเจ้าชอบมัน?” หยางเถามิได้ตอบสิ่งใด ทว่าสายตาของเขากลับทอประกายความหม่นหมองในใจออกมา

“เจ้าเป็นอะไรเจ้าดอกท้อ บอกข้าสิ” เฟยหลงร้อนใจกับสายตาของหยางเถายิ่งนัก หัวใจรวดร้าวกับความหมองเศร้าในแววตาของร่างบาง

“น่าสงสารนัก…ทั้งที่ยังเยาว์วัย กลับต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายมากมาย” มือบางยังคงไล่ไปตามโครงหน้าตุ๊กตาตัวนั้น ความสงสาร ความหดหู่และความเห็นใจแผ่กระจายออกมาจากร่างบางเสียจนคนที่ยืนอยู่เคียงข้างยังสามารถรับรู้ได้

“เจ้ารู้หรือว่าเด็กผู้นั้นเจอสิ่งใดมา” หยางเถาเพียงส่ายศีรษะเบาๆ ดวงตาที่เศร้ากลับยิ่งเศร้ายิ่งขึ้นไป

“มิอาจรู้ เพียงแต่ข้ารู้สึกได้ก็เท่านั้นว่านางเผชิญความเศร้ามามากมายเหลือเกิน” น่าสงสารนัก ช่างน่าสงสารอะไรเช่นนี้ มิน่าเล่า เจ้าตุ๊กตาตัวนี้จึงได้…

“แล้วเหตุใดเจ้าจึงได้สนใจตุ๊กตาตัวนี้นักเล่า?”

“เพราะตุ๊กตาตัวนี้นั้น…มีแต่ไอความเศร้า และข้า…ปล่อยให้ข้างกายของเด็กน้อยผู้นั้นมีแต่ความโศกเศร้ารอคอยวันกัดกินจิตใจไม่ได้” ร่างบางกอดตุ๊กตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าเอาไว้จนแน่น

“เช่นนั้นก็นำมันไปทิ้งเถิด เจ้าเองก็มิควรจะอยู่ใกล้มันนะหยางเถา”

“ข้าสัญญากับอี้เหมยไว้แล้ว จะทิ้งได้อย่างไรกัน”

“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำเช่นไรเล่า?” ริมฝีปากบางขบเม้มแน่น ดวงตาสับสนจนคนมองต้องถอนหายใจ

“ข้า…จะดึงไอความเศร้า เข้าสู่กายของข้าเอง” เฟยหลงกระชากร่างของหยางเถาเข้าหาตนอย่างร้อนใจ ใบหน้าฉายชัดถึงความไม่ยินยอมให้กระทำตามที่อีกฝ่ายคิด

“ไม่ได้! ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำเช่นนั้นแน่!”

“เฟยหลงฟังข้า…อย่างไรข้าก็ต้องสูญสลาย หากข้าสามารถช่วยเด็กผู้หนึ่งได้มิดีกว่าหรือ เจ้าจะบอกว่ายินดีมองดูเด็กน้อยร่าเริงผู้นั้นถูกความหมองเศร้ากัดกินเช่นข้าหรือ เจ้าจะใจร้ายเพียงนั้นเชียว?”

“แต่เจ้า…” เฟยหลงพูดไม่ออก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสับสนและขัดแย้งกันของตัวเอง ในใจของร่างสูงนั้น ไม่อาจจะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่ามิอาจให้ทำ แต่การที่จะต้องมองยอดดวงใจกลืนกินสิ่งที่ทำร้ายตนเอง ใครบ้างเล่าจะทนได้ หยางเถายิ้มกับความสับสนของเฟยหลง มือบางค่อยจับมือของเฟยหลงขึ้นมาแนบแก้มเย็นชืดลงไป

“ข้ารู้ว่าเข้าห่วงข้า แต่ข้ามิเป็นไรจริงๆ” เฟยหลงรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงคำปลอบโยน หัวใจของเขาทรมาน ยิ่งเห็นความอ่อนโยนของหยางเถาที่พร้อมจะเอาตนเองเข้าปกป้องเด็กตัวเล็กๆ เช่นอี้เหมย เฟยหลงยิ่งเจ็บปวด เหตุใดสวรรค์มิเห็นความดีของยอดดวงใจเขาบ้าง เหตุใดจึงคิดพรากเราจากกันเร็วถึงเพียงนี้ เฟยหลงเกลี่ยปลายนิ้วลงบนแก้มใสที่ไร้ไออุ่นเบาๆ ก่อนจะทอดถอนใจออกมาอย่างไม่อาจจะทำอะไรได้อีก

“บอกข้าสิว่าเจ้ายังมิได้นำไอความเศร้าโศกเช้าสู่กายตนเอง” ร่างบางหลบตา ใครจะกล้าโกหกกัน

“ข้าเพียงแค่อยากช่วยเด็กผู้นั้น” มือหนาดึงคนตัวเล็กเข้าสู่อ้อมกอด ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงไฟสวยงามมากมายที่ลอยอยู่ ทั้งที่คืนนี้มันควรจะเป็นค่ำคืนที่แสนสุข แต่ดวงตาของเฟยหลงกลับสั่นระริกอย่างปวดร้าว อ้อมแขนยิ่งกระชับร่างบางในอ้อมกอดแน่นขึ้น

“ข้ารู้…แต่จะให้ข้าทำอย่างไร ในเมื่อข้ารักเจ้าเกินกว่าจะทนได้” หยางเถายิ้มอยู่กับอกกว้าง

“ข้ามิเป็นไรหรอก อย่าห่วงเลยนะ” ริมฝีปากร้อนจุมพิตลงบนหน้าผากเล็กอย่างรักใคร่ เมื่อไม่อาจจะห้ามปรามได้ เขาก็คงทำได้เพียงพาคนตรงหน้าสนุกกับเวลาที่เหลืออยู่

“ไปกันเถิด…ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมให้ทั่วเชียว”

ทั้งสองต่างจับจูงมือกันไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ในใจของเฟยหลงยังคงมิอาจจะวางใจได้ แต่เพื่อให้หยางเถาได้สบายใจและสนุกไปกับงานในครั้งนี้ เฟยหลงนำโคมออกมา ลวดลายสวยสะดุดตาหยางเถาจนคนตัวเล็กมองมันอย่างตื่นเต้น หยางเถาเฝ้ามองไฟที่ถูกจุดในโคมอย่างตั้งใจ ทุกอย่างถูกสายตาคู่สวยสีอำพันจับจ้องอย่างสนอกสนใจโดยไม่คลาดสายตา

เฟยหลงและหยางเถาค่อยๆ ประคองโคมในมืออย่าทะนุถนอม ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนจะยกโคมในมือขึ้นสู่ท้องฟ้า มันล่องลอยขึ้นไปช้าๆ ท่ามกลางสายตาของเฟยหลงและหยางเถาที่จับจ้องอยู่ สำหรับเฟยหลงมันไม่ได้พิเศษเช่นเดียวกับปีก่อน แต่ความพิเศษของมันคือคนข้างๆ ที่ยืนอยู่กับเขามากกว่า แต่สำหรับหยางเถา คืนนี้คือความพิเศษที่สุด ด้วยสิ่งที่ได้มาพบมากระทำนั้น ล้วนแต่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน

มันงดงามยิ่งนักยามอยู่ในมือ…

แต่กลับงดงามยิ่กว่ายามล่องลอยอยู่บนฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ ล่องลอยจนคล้ายกับหมู่ดาวที่ส่องแสง

ลู่เฟยหลงลอบมองคนข้างกายที่บัดนี้ยิ้มกว้างจนดวงตาทั้งสองข้างเล็กลงราวกับจันทร์เสี้ยว ใบหน้างดงามต้องแสงสว่างจนชวนให้หลงใหล หัวใจของลู่เฟยหลงเต้นแรง ดูเหมือนความงดงามของหยางเถาจะเป็นสิ่งอันตรายต่อหัวใจของเขาเหลือเกินแล้ว เพราะในยามนี้มันเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาฟ้องว่า เจ้าของหัวใจดวงนี้กำลังตื่นเต้นเพียงแค่จับจ้องใบหน้าของยอดดวงใจเท่านั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2019 16:39:48 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
(ต่อจ้า)

กว่าค่อนคืนที่ลู่เฟยหลงพาหยางเถาเที่ยวชมความงดงามของเทศกาลที่ถูกจัดขึ้น จนเมื่ออีกฝ่ายเริ่มออกอาการเมื่อยล้าจึงได้แยกกลับ หยางเถาส่งตุ๊กตาคืนสู่เจ้าของเดิม เด็กน้อยยิ้มกว้างเมื่อรู้สึกแตกต่างทั้งที่เป็นตุ๊กตาตัวเดิม อี้เหมยกลับรู้สึกว่า มันชวนให้มีความสุขจนกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้ หยางเถาบอกลาทั้งถังเหวินฉายและเฉินลี่ฟู่ก่อนจะเดินเคียงข้างเฟยหลงแยกกลับไปอีกทาง ทิ้งให้คู่รักพร้อมเด็กอีกสามคนได้สนุกสนานกันไปต่อ

ท้องฟ้าที่ยังคงมีแสงจากโคมที่ถูกลอยทั่ว เสียงพูดคุยยังคงดังมาให้ได้ยินอยู่ตลอดทาง ค่ำคืนนี้ช่างเต็มไปด้วยความครื้นเครง ความสนุกสนานที่หยางเถาเองมิเคยได้รู้เลยว่ามีอยู่ หลายพันปีที่ผ่านมา ตัวหยางเถานั้นเป็นเพียงต้นท้อในจวนสกุลลู่ ถูกกำแพงล้อมไว้จนมิอาจจะเห็นสิ่งใดได้นอกจากเหล่าดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่รอบๆ ครั้งเมื่อนึกถึงวันเวลาที่เคยอยู่อย่างเดียวดาย หยางเถาก็รู้สึกสะท้านในอกอย่างไม่อาจจะอธิบายได้ เพราะหากผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป เขาก็จะสลายจากไปจากผู้เป็นที่รักตลอดกาล

เฟยหลงและฟยางเถาต่างเดินมาจนถึงหน้าจวนในที่สุด มือหนายังกระชับมือบางเอาไว้แน่น จับจูงเดินผ่านเหล่าบ่าวรับใช้ไปอย่างไม่อายสายตา ทั้งสองเข้าไปหาบิดาและมารดาของเฟยหลงที่ยังคงรอคอยการกลับมาของพวกเขาอยู่ อี้เหม่ยหลินยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างของบุตรชายเดินเคียงข้างมากับหยางเถา นางยิ้มอย่างเอ็นดูจนถังลี่หยางที่ยืนอยู่ใกล้เคียงยังรู้สึกได้ถึงความรักใคร่เอ็นดูในแววตาของนาง

“กลับมากันแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง” หยางเถายิ้มกว้าง ดวงตาสีอำพันพราวระยับราวกับเด็กน้อยเจอสิ่งถูกใจ

“ท่านป้า สนุกมากเลยขอรับ เจ้าโคมพวกนั้นลอยขึ้นฟ้าไป สว่างราวกับหมู่ดาวเลยขอรับ ข้าชอบมากเลย!” ศีรษะของหยางเถาถูกมือของเหม่ยหลินลูบอย่างเบามือ ใบหน้าของนางยิ่งทวีความอ่อนโยนขึ้น

“งั้นหรือ…เจ้าชอบหรือหยางเถา สวยมากใช่รึไม่”

“ขอรับ ดูไปแล้วช่างคล้ายกับดวงดาวบนฟ้าเลย” เหม่ยหลินหัวเราะแผ่วเบา ไม่เว้นแม้แต่เฟยหลงหรือลู่จิ้นเหอเองก็ตาม ล้วนแต่หัวเราะออกมาทั้งนั้น ความน่าเอ็นดูที่ตื่นตาตื่นใจต่อสิ่งที่ได้พบเห็นช่างชวนให้หลงรักไปตามๆ กัน

“ดีแล้ว เจ้าชอบก็ดีแล้ว”

น่าเอ็นดูอะไรเช่นนี้

“พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด เดี๋ยวแม่จะให้ซูหนิงยกเอาขนมไปให้ที่ห้องของเจ้านะเฟยหลง”

“ขอรับท่านแม่ ไปเถิดหยาเถา” ลู่เฟยหลงแตะแขนของหยางเถาเป็นการชักชวนให้ได้ไปที่ห้องเพื่อรอขนมที่คนข้างๆ อยากจะทาน

“งั้นข้าไปนะขอรับท่านป้า ท่านลุง”

“จ้ะ…ไปพักผ่อนเถิด”

หยางเถาค้อมกายลงต่ำส่งยิ้มหวานให้กับลู่จิ้นเหอและอี้เหม่ยหลินด้วยท่าทีที่แสนน่าเอ็นดู จนผู้ใหญ่ทั้งสองต่างหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มด้วยความรู้สึกที่เต็มล้นไปด้วยรัก หากใครมองเห็นต่างก็ต้องรับรู้ได้ว่า ภายในสกุลลู่นั้น…ตอนนี้ช่างเต็มไปด้วยรัก ทั้งอี้เหม่ยหลิน ลู่จิ้นเหอ หรือแม้แต่ลู่เฟยหลงต่างก็มีใจรักใคร่เอ็นดูในตัวของคนผู้เดียวเท่านั้น

บุรุษผู้มีเส้นผมสีเงิน…







TBC



น้องงงง ในที่สุดน้องก็ได้รับความรักสักที จุดพลุ!! อย่าลืมวางปลาทูกับของเล่นแมวนะคะ คิกๆ

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[25]

Chapter 25.

หยางเถาและลู่เฟยหลงต่างนั่งทานขนมที่ลู่เหม่ยหลินให้ซูหนิงยกมาให้อย่างเอร็ดอร่อย สำหรับเฟยหลง…ขนมพวกนี้มันก็เหมือนทุกๆ ปี แต่เมื่อละสายตามองร่างเล็กที่อยู่ตรงข้ามแล้ว นี่คงเป็นความพิเศษสำหรับหยางเถาอย่างแน่นอน ดวงตาสีอำพันถึงได้พราวระยับยิ่งกว่าหมู่ดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน เฟยหลงเฝ้ามองใบหน้าหวานของคนรักอยู่อย่างไม่คิดจะละสายตา มองริมฝีปากอิ่มที่ต้องอ้ารับเจ้าขนมในมือเข้าไปกัดอย่างสนใจ ทุกอย่างที่หยางเถากระทำล้วนเป็นสิ่งดึงดูดใจของเขาทั้งสิ้น ทั้งน่ามองและน่าหลงใหล

หยางเถาก้มหน้าลงต่ำเมื่อรู้ตัวว่าถูกสายตาของเฟยหลงจับจ้องจนเขาต้องเขินอาย เพียงแค่เขายินดีกับการได้ทานขนมอร่อยๆ นี่ เฟยหลงจำเป็นจะต้องจับจ้องเขาอยู่เช่นนี้ด้วยหรือ รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของเฟยหลงก็เช่นกัน ยิ้มเช่นนั้นในยามที่มองเขา มิเท่ากับเป็นการทำให้เขาใจเต้นแรงยิ่งขึ้นหรอกหรือ หยางเถารู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ขนมที่กลืนลงไปเริ่มฝืดเคืองลำคอจนต้องยกชาขึ้นมาดื่ม นี่เขาเขินเสียจนทำตัวมิถูกแล้วนะ

ภายใต้ความรู้สึกเขินอายที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศรอบกาย หยางเถากลับมีสีหน้าหมองเศร้าลงจนน่าสงสาร ขนมในมือถูกลูบไล้เล่นคล้ายมิอยากอาหารขึ้นมาเสียอย่างนั้น นัยน์ตาสีอำพันทอดมองออกไปอย่างเหม่อลอย จนคนที่จับจ้องอยู่อย่างลู่เฟยหลงยังต้องสงสัย

“เจ้าเป็นอะไรไปหรือ เจ้าดอกท้อ”

“ข้า…หวาดกลัวนัก” เฟยหลงขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ สิ่งใดกันคือความหวาดกลัวของเจ้าดอกท้อน้อยของเขา

“เจ้าหวาดกลัวสิ่งใดหรือ บอกกล่าวแก่ข้าได้หรือไม่” หยางเถาสบตากับร่างสูง น้ำเสียงของเฟยหลงนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย จนหัวใจคนฟังต้องสั่นสะท้านในอก ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างสะกดกลั้น ดวงตาหวานสั่นระริกยามจ้องเข้าไปในดวงตาคู่คมนั้น

“เจ้าจำได้หรือไม่ ว่าคืนนี้…เป็นคืนที่เท่าใดแล้ว” เมื่อได้ยินคำถามจากหยางเถา ลู่เฟยหลงพลันชะงักไปในทันใด เหตุใดเขาจะจำมิได้เล่า ค่ำคืนสุดท้ายที่จะได้อยู่กับยอดดวงใจ มีหรือเขาจะลืมมัน ยิ่งคิดเฟยหลงก็ยิ่งปวดร้าว ดวงตาฉายแววเจ็บปวดจนหยางเถาเองเสียอีกที่ต้องมองหลบสายตา

เหตุใดจึงเร็วนัก ทั้งที่เขาและหยางเถาผ่านเรื่องเลวร้ายมาต่างๆ นานา แต่กลับมีช่วงเวลาแสนสุขเพียงน้อยนิด

“ข้ามิมีทางจะลืม…แต่มิอยากยอมรับเช่นกัน” เขาพูดความจริง หากจะให้ยอมรับว่าเมื่อสิ้นราตรีนี้จะต้องสูญเสียดวงใจอันเป็นที่รักไป เขา…ทนมิได้

“แต่…หากผ่านพ้นคืนนี้ไป ข้าจะ…”

“อย่า…อย่าเอ่ยออกมา” ปลายนิ้วของเฟยหลงแตะลงบนริมฝีปากของหยางเถาเพื่อห้ามปรามไม่ยินยอมให้ได้เอ่ยจนจบประโยค

“…”

“เจ้ากำลังจะทำให้ข้าตายลงไปช้าๆ” ดวงตาหวานสั่นระริก พลันหลบเลี่ยงการสบตาปล่อยให้หยดน้ำตาค่อยไหลออกมา เฟยหลงกุมมือบางเลื่อนฝ่ามือเล็กขึ้นมาสัมผัสที่อกข้างซ้าย

“เจ้ารับรู้ถึงมันหรือไม่ หัวใจข้าในยามนี้ เจ็บปวดยิ่งนัก”

“ฮึก…” หยางเถาได้แต่ผินหน้าหนี หัวใจของเขาเองก็ปวดร้าวมิแพ้กัน หากต้องจากเฟยหลงไป…

“อยู่กับข้าเถิด อย่าจากข้าไปเลย”

แต่มันช่างเลื่อนลอยนัก เมื่อในความเป็นจริงแล้วนั้นไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด ตะโกนป่าวร้องดังเท่าใด ก็มิได้ทำให้ความจริงที่ว่า เมื่อผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป เขาจะมิอาจพบหยางเถาได้อีก

“อย่าไปจากข้าเลย” น้ำเสียงทุ้มต่ำสั่นไปด้วยอารมณ์เศร้าโศก เขาไม่อาจจะยอมรับได้ว่าต่อแต่นี้จะไม่มีคนผู้นี้อยู่เคียงข้างกายอีกแล้ว ทั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี ทั้งที่อุปสรรคขอเขามันเพิ่งจะหมดไป แต่กลับหมดไปพร้อมกับเวลาของคนในอ้อมแขน

ยิ่งคิด ลู่เฟยหลงก็ยิ่งเจ็บปวด แขนทั้งสองข้างโอบรัดร่างบอบบางของหยางเถาไว้จนแนบแน่น ราวกับกลัวเหลือเกินว่า เมื่อคลายมันออกสักเพียงเล็กน้อย คนคนนี้จะหายไปตลอดกาล

“แม้ใจข้าจะปรารถนาสักเพียงใด ฮึก แต่มันก็มิอาจ ฮึก ทำให้ข้าเปลี่ยนแปลงมันได้”

ใช่…เมื่อสวรรค์ลิขิต มีหรือจะขัดได้ แม้จะปรารถนาสักเพียงใดก็ตาม

เฟยหลงยืนปวดใจกับความเป็นจริง หากสามารถเลือกจะหลับตาและเฝ้าฝันหาว่ามีเพียงเขาและหยางเถาอยู่ด้วยกันจนแก่ชราได้คงจะดีไม่น้อย ทั้งที่หยางเถาคือความสุขเพียงหนึ่งเดียวที่เขามี คือความสุขเพียงหนึ่งเดียวที่เขาได้ค้นพบ แต่แล้วสวรรค์ก็มาพรากความสุขเพียงหนึ่งเดียวของเขาไป ลู่เฟยหลงปวดใจจนแทบจะไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนอยู่ ได้แต่เพียงกอดกระชับอ้อมแขนแข็งแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า เพื่อยืนยันกับตนเองว่าบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง มิได้จากไปไหน

หยางเถาโอบกอดเฟยหลงกลับด้วยสองมือที่สั่นระริก ฝังใบหน้าของตนลงกับแผ่นอกของเฟยหลง ซึมซับกลิ่นกายและสัมผัสของลู่เฟยหลงเอาไว้ก่อนจะมิมีโอกาส หากสวรรค์ไม่เห็นใจ เขาคงจะยังเป็นต้นท้อมิต่างจากต้นไม้อื่นๆ หากสวรรค์มิเมตตา เขาคงมิมีโอกาสได้กอด ได้รักคนผู้นี้อีกแล้ว แม้ความรักจะมีทุกข์มากมายนับล้านเท่าเม็ดทราย แต่ก็ไม่อาจจะทำให้รักของเขาสูญสลายไปจากใจได้ มันกลับยิ่งทำให้เราสองรักกันมากขึ้น

สิ่งที่เขาหวาดกลัวคือ…เมื่อไม่มีเขาแล้ว ลู่เฟยหลงจะเป็นเช่นไร จะทุกข์ทรมานใจมากมายเสียจนทำร้ายตนเองหรือไม่ เขากลัวเหลือเกินว่าความรักของเขาจะกายเป็นยาพิษที่ทำร้ายคนที่เขารัก เพราะหากมันเป็นเช่นนั้น เขาคง…โทษตนเองที่ดึงดันปรารถนาร่างมนุษย์จนทำร้ายคนที่เขารัก

“นับว่าสวรรค์เมตตาแล้วที่ทำให้ข้า ฮึก ได้พบเจ้า” หยางเถาแม้อยากจะยิ้มเพียงได้ ก็ทำได้เพียงสะกดกลั้นกลืนก้อนสะอื้นลงไปอย่างยากลำบาก

“หากการพบกันเพียงชั่วครู่คือลิขิตฟ้า…ข้าก็มิเคยนึกเสียใจที่ได้รักเจ้า หยางเถา”

หากช่วงเวลาจากนี้ไปจะต้องพบเจอความทุกข์ทรมานอีกนับร้อยพัน ขอเพียงมีใจรักมั่นต่อคนในอ้อมกอด เขาก็มั่นใจว่าจะผ่านพ้นมันไปได้ แต่หากไร้ซึ่งคนในอ้อมกอด ตัวเขาจะเป็นเช่นไรก็ไม่อาจจะรู้ได้

“นับจากนี้ไป หากไร้ซึ่งตัวข้า ได้โปรด...สัญญากับข้า…ว่าเจ้าจะอยู่อย่างมีความสุข ใช้ชีวิตแทนข้าที่ไร้วาสนา ฮึก ฮือ เจ้าทำให้ข้าได้หรือไม่” ทั้งที่ปวดร้าวจนอยากจะตายเสียให้พ้นๆ แต่เมื่อคนรักของเขาปรารถนาเช่นนั้น เขาก็จะยิ้มออกมา

“ข้า…” ลู่เฟยหลงพูดมิออก แววตาท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจ

“เฟยหลง ฮึก…” ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากแก้มนวล ฝืนยิ้มอ่อนโยนให้ทั้งที่ใจแทบขาด

“ข้ามิอาจจะสัญญากับเจ้าได้ว่า นับจากนี้ไปข้าจะมีความสุข เพราะสำหรับข้าแล้ว ชีวิตที่ไร้เจ้า…มันมิต่างจากตายทั้งเป็น”

เขาสัญญาได้เสมอ หากหยางเถาปรารถนาให้เขาอยู่ต่อโดยไร้ซึ่งหยางเถาเคียงข้างกาย เขาจะทำให้ หากแต่เขามิอาจจะสัญญาได้ว่า จากนี้ไป…เขาจะมีความสุขได้ เมื่อความสุขของเขาคือหยางเถาเพียงผู้เดียว

“เมื่อไม่มีเจ้าแล้ว ข้าจะมีความสุขได้อย่างไร”

เพียงเรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็เข้าใจ หากไร้ซึ่งหัวใจแล้ว…จะมีชีวิตได้เช่นไรกัน มันคงมิต่างจาก มีร่างกายหากแต่ไร้วิญญาณ

“เฟยหลง…ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้า”

“ได้ทุกสิ่ง…” หยางเถาลังเลเล็กน้อยก่อนจะยอมสบตาคมอย่างจริงจัง

“ข้าอยากให้เราทั้งสอง…เป็นหนึ่งเดียวกัน”

ราวกับถูกฟ้าผ่ากลางศีรษะ ลู่เฟยหลงตัวแข็งทื่อ มองคนรักด้วยความตกใจด้วยมิคาดคิดว่า หยางเถาจะเป็นผู้กล่าวขอร้องในเรื่องเช่นนี้ มิใช่ว่าเขาไร้เดียงสา กระทำมิเป็นเหมือนเด็กแรกรุ่น เพียงแต่เขารักหยางเถามาก และไม่เคยคิดว่าหยางเถาจะเป็นฝ่ายร้องขอเช่นนี้ ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ เขินอายเสียจนน่าเอ็นดู

“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ หากมิเข้าในความหมายของมัน ก็อย่าได้กล่าวเช่นนี้”

เพราะข้า…จะห้ามตัวเองมิได้

“ข้ารู้…ข้าเพียง อยากจดจำเจ้าไว้ทุกสิ่ง อยากให้เราทั้งสองได้ใช้เวลาสุดท้ายด้วยกัน เป็นความทรงจำที่จะมิมีวันลืม” ลู่เฟยหลงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะเต็มไปด้วยความจริงจัง

“รอข้าประเดี๋ยว”

ลู่เฟยหลงผละออกห่างจากหยางเถา เขาเดินไปยังแสงเทียนที่ถูกจุดไว้ให้ห้องได้สว่างก่อนจะลงมือดับมันทันที จนในห้องเต็มไปด้วยความมืดมิด หยางเถามองการกระทำเช่นนั้นอย่างไม่เข้าใจ แต่ทว่าเมื่อห้องมืดลงแล้ว ดวงตาสีอำพันเองก็มองไม่เห็นสิ่งใด ได้แต่เฝ้ารอให้ลู่เฟยหลงเดินเข้ามาหาตนเองเท่านั้น

ร่างสูงรอจนดวงตาของเขาคุ้นชินกับความมืดจึงเดินมาหาหยางเถา ประคองใบหน้างดงามที่มีเพียงแสงจันทร์สลัวสาดส่องเข้ามาให้ได้เห็น ความงดงามของหยางเถาทำให้หัวใจของลู่เฟยหลงเต้นรัว เลือดในกายเดือดพล่านไปหมดจนยากจะระงับเอาไว้ได้ ริมฝีปากจูบลงบนแก้มใสเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมายังกลีบปากบาง ร่างสูงจูบคนในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบาก่อนจะถอนริมฝีปากออกแล้วบดจูบลงมาใหม่อีกครั้งอย่างรุนแรงตามแรงอารมณ์

“อื้อ…”

หยางเถาตัวสั่นระริก ขาเริ่มอ่อนแรงเมื่อถูกอีกฝ่ายมอบจูบอันดูดดื่มให้ มือทั้งสองข้างเกาะไหล่หนาเพื่อพยุงกายมิให้ทรุดกายลงไปกองกับพื้น เฟยหลงเหมือนจะรู้จึงโอบเอวบางเอาไว้มิให้ร่วงหล่น ประคองร่างบอบบางเอาเข้าอ้อมกอดจนแนบแน่น รับรู้ถึงอาการสั่นเบาๆ ของร่างกาย

ในหัวของหยางเถามึนงงไปหมด สองตาพร่าเบลอจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น รสจูบหวานๆ...ชักนำให้ร่างบางคล้ายล่องลอยอยู่ในอากาศ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตนเองสัมผัสกับเตียงตั้งแต่เมื่อใด มือหนาค่อยๆ ปลดชุดสีขาวสะอาดตาออกช้าๆ จนผิวขาวละออปรากฏแก่สายตาให้ได้เชยชม ริมฝีปากของเฟลหลงผละออกจากกลีบปากบางที่ถูกดูดดึงจนบวมเจ่อ ขยับจูบเบาๆ ไปตามแก้มใสไล่ไปจนถึงลำคอขาว

กลิ่นกายชวนให้เลือดในร่างร้อนผ่าว ยิ่งได้ลูบไล้ผิวเนียน บีบขยำความอ่อนนุ่มตามร่างกายอย่างจุดอารมณ์กระสันให้โหมกระพือ ลู่เฟยหลงแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเองช้าๆ ยามที่สายตาจับจ้องยอดอ่อนไหวบนแผ่นอกบาง ยอดสีหวานชูชันรับสายตาราวกับเชื้อเชิญให้ลิ้มลองจนเฟยหลงอดไม่ได้ต้องก้มลงไปหยอกล้อกับมัน

“อ๊ะ!”

แผ่นอกบางแอ่นรับสัมผัสร้อนที่เปียกชื้น ริมฝีปากของเฟยหลงดูดดึงขบเม้มจนร่างกายของหยางเถาสั่นสะท้าน สะอื้นฮักกับความเสียวซ่านจนทนไม่ไหว ผมสีเงินกระจายแผ่อยู่เตียง ใบหน้างดงามแดงระเรื่อแหงนเงยขึ้นอย่างไม่อาจจะทานทนได้ไหว จุดอ่อนสองจุดบนแผ่นอกถูกลิ้นสากตวัดเลียสลับดูดดึงจนยอดอกแดงก่ำไปหมด

สองมือจิกชุดของตนที่อยู่ใกล้มืออย่างต้องการระบายความกระสันที่จู่โจม รสชาติหวานล้ำยังคงติดตรึงอยู่ที่ปลายลิ้นจนไม่อยากจะผละออก แต่ก็กลัวว่าหากยังดึงดันจะรังแกเจ้ายอดชูชันนั่นต่อไป คงได้ถูกเขารังแกเสียจนบวมช้ำยิ่งกว่านี้จนเจ้าของต้องร้องไห้ออกมา มือหนาของเฟยหลงจับแท่งพู่กันร้อนเอาไว้ในมือ ขยับรูดรั้งทั้งที่ริมฝีปากยังคงหยอกล้อกับเม็ดไข่มุกสีหวานอย่างหลงใหล

ร่างกายเล็กสั่นสะท้านเบาๆ ใบหน้าแดงก่ำตามอารมณ์หวานที่ขึ้นสูง ริมฝีปากเผยอส่งเสียงหวานฉ่ำออกมาให้ได้ยินจนลู่เฟยหลงปวดหนึบไปทั้งร่าง แท่งพู่กันร้อนใต้เสื้อผ้าปรารถนาเหลือเกินที่จะได้รุกล้ำเข้าไปยังจีบรักสีแดงที่ปรากฏขึ้นให้เห็น ลู่เฟยหลงละริมฝีปากออกจากเม็ดไข่มุกสีระเรื่อ ไล่ริมฝีปากร้อนจุมพิตไปตามหน้าท้องแบนราบจนถึงแท่งพู่กันที่ฉ่ำเยิ้มชวนให้ลิ้มลอง

“อ๊า…” หยางเถาแหงนใบหน้าขึ้นส่งเสียงครางลั่นเมื่อแท่งพู่กันของตนถูกริมฝีปากร้อนระอุกลืนกินจนสุดความยาว ดูดกลืนหยาดรักสีหวานที่ไหลออกมาจากปลายพู่กันอย่างเอร็ดอร่อย ลู่เฟยหลงเพลิดเพลินไปกับรสชาติหวานที่ปลายลิ้นได้สัมผัส เขาละเมียดละไมชิมรสหวานอย่างช้าๆ ทั้งขยับมือรูดรั้งจนหยางเถาดิ้นพล่านด้วยความเสียวซ่านอย่างไม่เคยพานพบ

สมองของหยางเถาขาวโพลน ดวงตาสีอำพันพร่าเบลอไปหมด คิดอะไรไม่ออกแม้แต่อย่างเดียว ได้แต่จิกทึ้งเส้นผมของลู่เฟยหลงเพื่อระบายอาการเสียวซ่านที่เล่นงานเขาอยู่

หยางเถาช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน เพียงแค่ใช้ปลายลิ้นแตะและสัมผัสลงไปที่กายเนื้อ ก็ทำราวกับจะระเบิดกายปลดปล่อยความหวานออกมาให้เขาได้ดื่มดิน แต่เขาไม่อาจจะเร่งรีบได้ ด้วยนี่คือค่ำคืนแรกของคนรักของเขา เขาจะต้องทะนุถนอมยอดดวงใจให้ได้รับความอิ่มเอมเปรมใจไปด้วยกัน มิใช่ตักตวงแต่เพียงลำพังดังเช่นเมื่อแรกรุ่นหวังทดลองเช่นเขาเมื่อคราวยังเยาว์วัย

“อื้อ อ๊ะ จะ จะ อ๊า” ทั้งที่เขาคิดจะรั้งรอ แต่ก็ยังเผลอลืมตัวเร่งเร้าจนหยางเถาไปถึงปลายฝั่งฝันเสียก่อนแล้ว ลู่เฟยหลงกลืนหยาดรักลงไปในลำคอจนหมด ก่อนจะใช้ปลายลิ้นของตนเลียไปตามริมฝีปากราวกับต้องการเก็บทุกหยดหยาดของหยางเถาจนหมดสิ้น มิให้หลงเหลือ

หยางเถานอนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สมองมึนและเบลอไปหมดจนไม่อาจจะรับรู้ได้ว่าในยามนี้วิ่งที่ลู่เฟยหลงนำออกมาป้ายลงบนจีบรักสีหวานนั้นคือสิ่งใด แต่ทว่าเมื่อรุกล้ำนำปลายนิ้วเข้าไปสำรวจ หยางเถาก็ผวาเฮือกอย่างตกใจ

“อะ อะไร มันคืออะไรเฟยหลง อื้อออ ข้าอึดอัดเหลือเกิน” เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ อย่างเอ็นดู ร่างเปลือยเปล่าที่ถูกแสงจันทร์อันน้อยนิดส่องมาช่างยั่วยวนใจให้ย่ำยีอย่างรุนแรงเสียเหลือเกิน ยิ่งได้จับจ้องแก้มสีแดงราวกับผลแอปเปิ้ลนั่นอีก มันยิ่งทำให้แท่งพู่กันของเขา คึกคะนองเต็มตัว

“ขี้ผึ้ง…มันจะทำให้เจ้าไม่เจ็บ ข้าต้องเตรียมเจ้าเสียก่อนให้พร้อมสำหรับข้า”

ใช่ เพราะเขานั้นใหญ่เกินไปสำหรับช่องทางเล็กๆ นั่น

มันอาจจะทำให้หยางเถาเจ็บมากก็ได้ และเขาไม่อาจจะบุ่มบ่ามกระทำในทันใดได้จริงๆ

“ตะ แต่ อืม ข้ารู้สึกแปลกๆ อ๊ะ” เพียงแค่ลู่เฟยหลงขยับนิ้ว หยางเถาก็บีบรัดเสียจนนิ้วที่อยู่ภายในคับแน่นไปหมด อาการเกร็งตัวของหยางเถา ลู่เฟยหลงรู้ดีว่าเพราะความไม่คุ้นชิน นิ้วเรียวจึงได้งอลงพยายามควานหาจุดกระสันที่จะทำให้หยางเถาของเขา เคลิบเคลิ้มไปกับมัน

“อ๊า!”

ในที่สุดเขาก็พบมันเสียที

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลู่เฟยหลงเมื่อหยางเถาร้องครางออกมา แผ่นอกแอ่นขึ้นสูงราวกับกำลังตกใจ นี่มันคืออะไร หยางเถาตั้งคำถามกับตนเอง ทั้งที่มันยังคงอึดอัดเช่นเดิม แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงอาการวูบวาบที่แล่นผ่านไปทั่วร่างกายของเขา มันดีเหลือเกิน หยางเถารู้สึกราวกับกำลังล่องลอยไปบนปุยเมฆ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกลู่เฟยหลงเพิ่มจำนวนนิ้วเข้ามาเป็นสามตั้งแต่เมื่อใด 

“อ๊ะ อ๊า” หยางเถาไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้อีก เขาขยับสะโพกตอบโต้จังหวะการเข้าออกของนิ้วทั้งสาม จีบรักสีหวานเปิดอ้ารับปลายนิ้วเข้าไปอย่างว่าง่ายจนลู่เฟยหลงพึงพอใจ ช่องทางด้านหลังชื้นแฉะทำให้เกิดเสียงทุกครั้งที่ปลายนิ้วขยับเข้าออก

“หยางเถา…ยอดรักของข้า”

ลู่เฟยหลงกระซิบเสียงพร่า จูบแก้มใสบางเบาอย่างรักใคร่ขณะเดียวกันนั้น ปลายนิ้วใหญ่ก็ถูกดึงออกจากจีบรักสีหวานเมื่อลู่เฟยหลงรับรู้ได้ว่า ร่างบางของหยางเถาพร้อมแล้วสำหรับเขา

“เจ้าพร้อมแล้ว” หยางเถาบิดกายอยู่ใต้ร่างอย่างยั่วยวนโดยมิได้ตั้งใจ หากแต่ความวาบหวามที่ถูกปล่อยค้างไว้ทำให้หยางเถาแทบขาดใจ

“อื้อ ทำข้า ได้โปรด”

เสียงร้องอ้อนวอนสั่นพร่าช่างยั่วเย้าให้ลู่เฟยหลงติดบ่วงตัณหาเข้าไปอย่างรวดเร็ว ความองอาจที่ผงาดท้าทายสายตาถูกมือใหญ่จับจ่อที่จีบรัก ก่อนที่จะค่อยๆ ดันกายเข้าไปทีละนิดอย่างเชื่องช้า ทั้งที่ในใจร้อนเร่า เร่งเร้าให้แทรกกายเข้าไปจนสุด ให้ความอ่อนนุ่มที่แสนชุ่มฉ่ำได้โอบรอบรัดกายของเขาอย่างแนบแน่น

หยางเถาเกร็งตัวเมื่อมีบางสิ่งสอดแทรกเข้ามา แม้ว่าจะถูกเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนแล้วแต่เมื่อสิ่งที่ถูกจับจ่อเข้ามาในกายนั้น มีขนาดใหญ่กว่านิ้วมือทั้งสาม อีกทั้งจีบรักที่มิเคยถูกเชยชมกำลังปริแตกอย่างช้าๆ ริมฝีปากของหยางเถาจึงถูกฟันขาวของเจ้าตัวกัดเอาไว้อย่างแรง จิกมือลงกับผ้าอย่างแรงเพื่อระบายความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้น เฟยหลงที่เห็นปากบางถูกกัดจนแดงก็อดใจไม่ไหว ก้มลงบดจูบแสนเร่าร้อนชักชวนให้หยางเถาได้ลงเพลิดเพลินไปกับรสหวานของจูบจนลืมความเจ็บปวด

มือหนาถูกเลื่อนขึ้นมาบนแผ่นอกกว้าง สะกิดหยอกเย้าปลายยอดไข่มุกสีสวยจนเจ้าของต้องสะดุ้งแอ่นกายเข้าหาปลายนิ้วจนไม่ได้คิดว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการยั่วให้อีกฝ่ายดันกายเข้ามาจนสุด

“อื้อ!!” หยางเถาเบิกตากง้างเมื่อถูกความเจ็บปวดเบื้องล่างดึงสติกลับคืนมา มือบางพยายามดันร่างสูงออกห่าง หากแต่มิใช่เพราะเกิดเปลี่ยนใจใดๆ เพียงแต่เขาเจ็บเกินไปหวังให้อีกคนได้หยุดการกระทำก่อนเพียงชั่วครู่ก็ยังดี ทว่าเฟยหลงกลับมิยอมเข้าใจ ทั้งยังดึงดันแทรกความองอาจเข้ามาจนสุดแนบแน่นมิเหลือช่องว่างใดอีก หยางเถาสั่นไปทั้งร่าง เจ็บปวดรวดร้าวไปถึงกระดูกจนต้องหลั่งน้ำตา แต่ก็มิอาจจะร้องออกมาได้ เพียงแต่จิกเล็บลงบนไหล่หนาเพื่อระบายเท่านั้น ลู่เฟยหลงหยุดกายแน่นิ่ง มองใบหน้าของคนรักใต้ร่างที่บัดนี้คล้ายสะอื้นเบาๆ ปนเสียงครางหวานอย่างสงสาร

“เจ้าเจ็บหรือ”

หยางเถาพยักหน้าอย่างไม่โกหก “เจ็บ…แต่ข้าทนได้”

ทั้งที่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เสียงครางหวานคล้ายเจ็บจนไม่อาจจะทนได้แต่กลับบอกว่าทนได้ หากมิใช่ว่านี่คือครั้งแรกของหยางเถา เขาคงไม่อาจจะหยุดตนเองไม่ให้สอดแทรกกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรงได้แน่

“เจ้าจะมิเจ็บอีกแน่นอน ข้าสัญญา”

ลู่เฟยหลงเริ่มขยับกายเมื่อแรงรัดจากจีบรักค่อยๆ คลายตัวไปมากแล้วอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกจังหวะกลับเน้นย้ำจนหยางเถาใบหน้าเหยเก ความเจ็บเบื้องล่างใช่จะหายไปหมดสิ้น แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความเสียวซ่านที่ถูกเติมเข้ามาจนไม่สามารถแยกได้ออกว่า สิ่งไหนที่มีมากกว่า

“อ๊ะ อื้อ” หยางเถาครางเสียงหวาน บิดกายไปมาด้วยความทรมานที่ถูกรักจากคนที่รัก อ้อมกอดของเฟยหลงร้อนแรงจนแทบเผาไหม้เขาและเฟยหลงให้มอดไหม้ แต่ก็มีความหอมหวานที่น่าหลงใหลล่อลวงให้กระโจนเข้าไปหา ลู่เฟยหลงส่งเสียงครางต่ำอย่างพอใจเมื่อถูกคนรักรัดกายจนแทบจะแตกสลาย ความองอาจขยายจนใหญ่คับช่องทางเล็กๆ และลู่เฟยหลงรู้ดีว่าร่างบอบบางนั้นพร้อมสำหรับบทรักที่ร้อนแรงนี้แล้ว

ปลายลิ้นตวัดเลียไปรอบๆ เม็ดไข่มุก ก่อนที่ฟันขาวจะกัดลงไปเบาๆ จนหยางเถาร้องลั่น แอ่นกายขึ้นราวกับส่งขนมเข้าปากอีกคนอย่างลืมตัว สะโพกหนาทำหน้าที่ขยับเข้าออกอย่างชำนาญ จากจังหวะที่เชื่องช้าก็แปรเปลี่ยนเป็นรวดเร็วจนคนถูกกระแทกกระทั้นอย่างหยางเถาเสียวซ่านจนทนแทบไม่ไหว

มือหนากอบกุมความองอาจของหยางเถาเอาไว้ในมือขณะที่ขยับสะโพกเข้าออกอย่างรุนแรงและรวดเร็ว มือของเขาก็เร่งเร้าจนหยางเถาส่ายหน้าไปมาราวกับร้องขอ

“อ๊ะ อ๊า พะ พอแล้ว อ๊า ช้าจะ ฮึก จะไป อื้อ แล้ว ฮ๊า”

“ไปพร้อมข้ายอดรัก ช้าจะปลดปล่อยมันพร้อมๆ กับเจ้า”

สิ้นเสียงของเฟยหลง ร่างบางก็ร้องครวญครางอย่างไม่เป็นภาษา ความองอาจในช่องทางเล็กๆ ถูกกระแทกถี่ยิบจนหยางเถาแทบจะขาดใจตายให้รู้แล้วรู้รอด ความรู้สึกของหยางเถาคล้ายถูกพาให้ลอยขึ้นสูงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนที่ความเสียวซ่านจะพวยพุ่งออกมาจากปลายยอดของความองอาจของเขา และรับรู้ได้ถึงความร้อนที่ฉีดพุ่งเข้ามาภายในกาย

“ฮึก…” สองร่างหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะนอนก่ายกอดกันอย่างนั้น โดยที่เฟยหลงมิได้ถอนกายออกมาเลยแม้แต่น้อย

“รักข้า…รักข้าอีก” เสียงหวานของหยางเถาเรียกร้องพร้อมๆ กับมือเล็กที่ลูบไล้ไปทั่วแผ่นอก ดวงตาสีอำพันทอดมองคนบนร่างด้วยแววตาเรียกร้องจนความองอาจที่สงบลงผงาดขึ้นมาใหม่อีกครา

“เจ้าจะมิได้นอน ทั้งคืนเชียว”

บทรักแสนร้อนแรงถูกบรรเลงจวบจนใกล้สว่าง สองร่างยังมิยอมแยกจากหรือถอนกายออกห่างกันเลยสักครั้งเดียว จากบทเพลงหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่จนเสียงครวญครางแทบจะกลายเป็นเพียงเสียงหอบหายใจที่ไร้เรี่ยวแรง แต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยความหวานล้ำของความรักที่งอกเงย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
(ต่อจ้า)

ลู่เฟยหลงปัดเส้นผมสีเงินออกจากใบหน้าหวาน จับจ้องมองใบหน้าอันงดงามด้วยแววตารักใคร่เอ็นดู ริมฝีปากค่อยๆ บรรจงจุมพิตที่หน้าผากของหยางเถาเบาๆ ก่อนจะกลับมาสบตาอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม

“เจ้างดงามเสมอ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อแรกที่เริ่มข้าได้พบเจ้า” ตำหวานเป็นเช่นดั่งคำลวง ใครจะว่าเป็นเช่นนั้นช่างมันปะไร สำหรับเฟยหลง เขาเพียงแค่เอ่ยความจริงออกไปให้คนที่เขารักสุดหัวใจได้รับรู้ หยางเถายิ้มอ่อนแก้มใสแดงก่ำไปด้วยสีเลือด

“มิสู้จันทราบนท้องฟ้าไปได้หรอก”

“จันทราสักกี่ล้านดวง ไหนเลยจะงามสู้เจ้าได้กัน หากบนท้องฟ้ามีเจ้าอยู่บนนั้น ดวงจันทราหรือจะฉายแสงได้”

“เจ้า! ชมข้าเกินไป” หยางเถาทำได้เพียงกัดริมฝีปากบางของตนแล้วก้มหน้า เขินอายกับคำหวานที่ถูกมอบให้

“หากเจ้าอยู่กับข้าตลอดไปได้คงดี…” แววตาคมวูบไหวสะท้อนความรู้สึกปวดใจกับบางสิ่งที่ใกล้เข้ามา

“ข้าเองก็ปรารถนาเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าและข้าย่อมรู้ดีว่ามัน…เป็นไปมิได้”

แม้จะรักกันสักเท่าใด ก็มิอาจครองคู่กันได้ เป็นลิขิตสวรรค์

“หากการพบกันเพียงชั่วครู่คือลิขิตฟ้า ข้าก็มิเคยนึกเสียใจที่ได้รักเจ้า หยางเถา” ลู่เฟยหลงใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มใสอย่างเบาๆ ก่อนจะถูกมือบางจับเอาไว้แล้วแนบลงกับแก้มตน

“ข้าก็ดีใจที่ข้าได้รักเจ้า”

ทั้งที่มันงดงามอย่างที่ควรเป็น ทว่าเพียงแค่เวลาเท่านี้มิได้เพียงพอเลยสำหรับพวกเขาทั้งคู่ เวลาเพียงหนึ่งร้อยราตรีช่างสั้นเหลือเกิน ดอกท้อดอกสุดท้ายร่วงโรยลงสู่พื้นดิน หมู่ดาวนับร้อยพันต่างส่องแสงสว่างราวกับมิอยากให้ยามค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป

หยางเถาและลู่เฟยหลงต่างพากันสวมเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนที่ดวงตาสีอำพันจะหันไปเห็นแสงรำไรที่ปลายขอบฟ้า เมื่อมันส่งสัญญาณบอกกับเขาว่า เวลาแห่งความสุขของเขา กำลังน้อยลงไปทุกที แม้จะอยากยิ้มให้กว้างมากเพียงใด เขาก็ทำได้เพียงกลั้นน้ำตา มิอาจจะปฏิเสธได้เลยว่า ตัวเขากำลัง…หวาดกลัว

“เฟยหลง…” เสียงหวานแหบแห้งอย่างน่าสงสาร ลู่เฟยหลงเพียงยิ้มและหันกลับมาสบตาอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่เมื่อเห็นแสงที่แตะปลายขอบฟ้าร่างสูงก็ชะงักไป แขนกว้างวาดกอดเอาร่างบอบบางเข้าสู่อ้อมอก เขาไม่อยากจะเสียไป หากการโอบกอดหยางเถาเอาไว้ว่าจะทำให้ไม่อาจจะเสียอีกคนไปได้ เขาจะไม่มีวันปล่อยอย่างเด็ดขาด

แต่มันก็เพียงแค่สิ่งที่คิดเท่านั้น

เมื่อความเป็นจริงตรงหน้า คือร่างของหยางเถาที่จางลงอย่างช้าๆ จนโปร่งแสง

“ไม่…ข้า ข้ายังไม่พร้อม ยังไม่พร้อมจะเสียเจ้าไป” เขาไม่พร้อม และไม่มีวันใดที่จะพร้อมรับมัน หยางเถาหลับตาปล่อยให้น้ำตารินไหลทั้งที่หัวใจแหลกสลาย เขาเองก็ไม่พร้อม…ไม่เคยพร้อมจะไป

“อย่า…ร้องไห้เพราะข้าเลย” ตัวเขาไม่มีค่าให้จดจำถึงเพียงนั้น เป็นเพียงบุปผาดอกเล็กๆ ที่อาจเอื้อมหวังประดับแจกัน ทว่าก็สุขได้เพียงไม่นาน มือบางดันร่างกายของเฟยหลงออก ก่อนจะเอื้อมไปปาดไล่น้ำตาจากใบหน้าหล่อเหลาออก

“มิมีเจ้า…ข้าจะอยู่ได้อย่างไร” ใจเขาคงขาดรอน เหมือนตายทั้งที่ยังคงมิสิ้นลม

“อยู่เพื่อข้าอย่างไรเล่า” แค่เพื่อเขา อยู่เพื่อเขาเท่านั้น หากลู่เฟยหลงสิ้นใจก็ใช่ว่าจะพบเจอเขา เมื่อเขารู้ดีว่า กำลังจะแตกสลายในไม่ช้า

“เจ้า…ต้องมีรอยยิ้ม ฮึก แทนข้า” หยางเถากัดริมฝีปาก พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สะอื้นออกมา ทั้งที่น้ำตายังคงไหลมิหยุด แต่ริ้มฝีปากก็ต้องพยายามฝืนยิ้มให้ได้

“ข้าจะยิ้มได้หากมีเจ้า…ข้ายังมิพร้อมจะเสียเจ้าไป”

มิไปมิได้หรือ? ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็คาดหวัง ทั้งที่มันสิ้นหวัง แต่เขาก็ยังโง่งมหวังอยู่เช่นนั้น ร่างกายของหยางเถาเริ่มจางลงไปอีก เมื่อแสงตะวันกำลังไล่ความมืดมิดออกไป ก็มิต่างจากกำลังพรากเอาหัวใจและวิญญาณของเขาไปเช่นกัน

“ข้าอยากอยู่กับเจ้า อยากอยู่กับเจ้าชั่วชีวิต” สองร่างกอดกันแน่นเพราะรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ เมื่อตอบตกลงย่อมต้องยอมรับ และเมื่อถึงเวลาจ่ายคืน ก็มิสามารถอิดออดได้ แต่ใครเล่าจะเข้าใจ เมื่อความรักที่งอกเงยขึ้นมาแล้วนั้น ช่างสุกงอมและหลอมรวมหัวใจทั้งสองดวงเข้าด้วยกัน

หากหนึ่งหายไป อีกหนึ่งจะอยู่ได้อย่างไรกัน

“ลู่เฟยหลง…ข้ารักเจ้า” อ้อมแขนกระชับแน่นขึ้นเมื่อได้ยินคำว้ารัก ทั้งที่เป็นคำกล่าวที่ควรยินดี แต่ในตอนนี้ เขามิอาจจะยินดีกับเรื่องเล็กน้อยนี้ได้

“อย่า…อย่าทิ้งข้า หากรักข้า ได้โปรด…อย่าไป”

เหตุใดจึงรวดเร็วนัก เขายังมิอาจจะทำใจยอมรับมันได้

“สวรรค์! ช้ามิเคยขอร้องอ้อนวอนสิ่งใด! ได้โปรด ข้าขอเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น อย่าพรากหยางเถาไปจากข้าเลย อย่านำเขาไปจากข้า!” แม้จะอ้อนวอนจนเสียงดังมากมายเพียงใด ร่างกายที่โปร่งใสก็ไร้ซึ่งท่าทีที่จะกลับมาเป็นเหมือนเก่า

สวรรค์ช่างโหดร้ายต่อเขานัก นำพาความรักมาให้ได้รู้จัก แต่กลับมิยินยอมให้เขาได้ครอบครอง

“ข้ารักเจ้าเฟยหลง จะรักเจ้าตลอดไป” หยางเถามิตอบรับคำขอ เพียงแต่เน้นย้ำคำว่ารักให้เขาได้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ต้องการ! หากคำว่ารักมาพร้อมกับการจากไปของหยางเถาตลอดกาล

“ไม่ ไม่เอา อย่าไปจากข้า อย่าทิ้งข้าไป” หยางเถายิ้มอย่างอ่อนแรง มองใบหน้าของชายผู้เป็นที่รักราวกับจะจดจำและสลักเขาเอาไว้ให้ลึกสุดใจ มือบางลูบใบหน้าหล่อเหลาอย่างเบามือ สัมผัสครั้งสุดท้ายที่มีเพียงความเย็นจากมือบาง

“ข้า…รักเจ้า” เสียงบอกรักครั้งสุดท้ายที่กำลังจะหายไป พร้อมกับดอกท้อดอกสุดท้ายที่ร่วงหล่นเช่นกัน

“ไม่!!!!” ร่างในอ้อมแขนบัดนี้เหลือเพียงอากาศเท่านั้น ลู่เฟยหลงพยายามคว้าความว่างเปล่าตรงหน้าอย่างแรงราวกับว่าหากช้าไป เขาจะไม่สามารถจับต้องหัวใจตนเองได้อีก ทั้งที่จริงแล้ว…เขารู้ดีว่า บัดนี้…เขาได้สูญเสียคนที่รักสุดหัวใจไปแล้วตลอดกาล

“หยางเถา ฮึก หยะ หยางเถา เจ้า อย่าแกล้งข้า ออกมาเถอะ” สายตาคมกวาดไปจนทั่วทั้งห้องที่บัดนี้ แสงสว่างลอดเข้ามาจนมองเห็นทุกสิ่ง เฟยหลงที่คิดจะเดินหาร่างของคนรักต้องหยุดชะงักลงเมื่อสายตาของเขาพบกับลูกท้อลูกเล็กหล่นอยู่ตรงปลายเท้า

“หยาง…เถา” มือหนาค่อยๆ ประคองลูกท้อขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ลู่เฟยหลงร้องไห้จนไม่เหลือมาดของคุณชายแห่งจวนสกุลลู่ เขากอดลูกท้อลูกเล็กๆ เอาไว้ในอ้อมอก ทั้งที่ยังไม่สามารถหยุดน้ำตาที่ไหลลงมาได้ ร่างทั้งร่างสั่นไปด้วยแรงสะอื้น ปากก็พร่ำเรียกหาเพียงคนผู้เดียวเท่านั้น เพียงแค่ชื่อของคนรักที่จากไป

ลู่เฟยหลงไม่อาจจะยอมรับได้ เขายังคงกอดลูกท้อเอาไว้จนแน่น ราวกับนั่นคือคนรักของเขาที่ยังอยู่ เมื่อสิ่งนี้คือสิ่งที่หยางเถาทิ้งเอาไว้ให้เขา เขาจะไม่มีวันทำลายมัน ไม่มีวันให้มันบอบช้ำ จะถนอมมัน เฝ้ารอวันที่ยอดดวงใจของเขาจะกลับมาอีกครั้ง แม้จะรู้ว่า…ไม่มีวันนั้นก็ตาม





The End



จบแล้วจ้าาา //หลบรองเท้าและข้าวของ อย่าน๊าาา ใครก็ห้ามฆ่าแมวเด็ดขาด ไม่งั้นแมวจะไม่ลงตอนพิเศษด้วย งอแง มันจบจริงๆนะสำหรับตอนหลัก แต่ตอนพิเศษแมวไม่บอกหรอกว่าจะมีอะไร คิกค้ากก รอลุ้นเอานะจ๊ะทุกคนนนนน //สะใจ!!!!

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
Special I ก่อนดอกท้อจะผลิบาน...

วันนี้แสงตะวันช่างร้อนจนเหล่าหมู่แมกไม้และเหล่าดอกไม้ทั้งหลายต่างพากันหันหนี แม้จะอยากขยับเข้ามาพึ่งพิงร่มเงาของข้ามากสักเพียงใด แต่เมื่อหยั่งรากลงพื้นดินก็เท่ากับหมดสิทธิ์ที่จะเคลื่อนกายไปไหน ข้าที่เป็นต้นไม้ใหญ่ก็พยายามยื่นกิ่งก้านออกไปช่วยเหลือพวกเขาเสมอ

ทั้งที่พวกเขาคือเพื่อนของข้า แต่ข้ากลับต้องมองพวกเขาค่อยๆ ตายไปอย่าช่วยอะไรมิได้

พวกเขาต่างงดงาม ชวนให้เหล่ามนุษย์ตื่นตาตื่นใจและมีรอยยิ้มไปกับความงามนั้น

ยิ่งนานวันเข้า เหล่ามนุษย์ก็ลืมเลือนตัวตนของข้า ข้าถูกความงดงามของเหล่าดอกไม้บดบังการมีตัวตนไปจนหมดสิ้น สายตาของเหล่ามนุษย์ มิมีผู้ใดเหลือสายตาไว้เพื่อมองข้าเลย

แต่ข้ามิได้เสียใจมากเท่ากับวันที่ข้า ต้องมองดูเหล่าเพื่อนพ้องล้มตายจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ พวกเขาต่างเคยเบ่งบาน เคยงดงามเฉกเช่นบุปผาแห่งสรวงสวรรค์ แต่เมื่อนานวันเข้า พวกเขาก็ค่อยๆ ร่วงโรยรา ทิ้งข้าไว้แต่เพียงลำพัง ข้าโศกเศร้า เสียใจแต่มิอาจจะทำสิ่งใดได้ ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นไปตามวัฏจักรของมัน เหมือนเช่นข้า…ที่สักวันคงต้องตายไป

แต่เวลาก็ล่วงเลยมานานนับพันปี

เป็นเวลานานนักที่ตัวข้าต้องเฝ้ามองดูการจากไป ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไร้ที่สิ้นสุด ข้าต้องทุกข์ทนทรมาน ต้องเสียใจกับการสูญเสียงเพื่อนของข้ามาตลอด

เมื่อใดข้าจะหลุดพ้น จะสิ้นสุดความทรมานนี้เสียที

ข้าจึงมิยอม…ผลิบาน มิยอมออกดอกหรือผลแม้แต่ครั้งเดียว ข้าเจ็บปวดนัก แม้จะมีเพื่อนสักกี่ครั้งกี่หน ข้าก็ต้องโดดเดี่ยวเช่นเดิม จ้องมองพวกเขาจากข้าไปเช่นเดิม ไม่ว่าจะกี่ปี ข้าก็ยังคงต้องโดดเดี่ยวไร้ผู้ใดมาเป็นเพื่อนเคียงข้าง

จากพื้นที่ที่ไร้ผู้คน ก็ก่อเกิดเป็นแหล่งอาศัยของเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย บุรุษรูปงามผู้หนึ่งได้รับที่ที่ข้าหยั่งรากลึกไว้เป็นที่อาศัย เขาสร้างความยิ่งใหญ่ขึ้นมาอย่างช้าๆ จากเล็กน้อยไปจนกว้างขวาง บุรุษผู้นั้นมีรูปโฉมที่ชวนมอง หญิงผู้ใดได้พบเจอต่างก็หลงใหลเขากันทั้งนั้น

เขาสว่างไสว รอยยิ้มชวนให้เขินอายสำหรับสตรีทั่วไป

แต่สิ่งที่ชวนให้ตกใจยิ่งกว่าคือ…ทั้งที่ข้าถูกบดบังด้วยความงดงามของเหล่ามวลดอกไม้นานาพันธุ์ เขากลับมองมาที่ข้าแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เขาคือคนที่มองเห็นตัวตนที่ไร้ผู้ใดจะสนใจ เขาไม่เพียงแต่มองเห็น…เขากลับยังเดินฝ่าความงดงามทั้งหลายมาเพื่อข้า เพียงเพื่อข้าที่ไร้สิ่งใดดึงดูดใจ

“โดดเดี่ยวหรือ…”

ใช่ ข้าโดดเดี่ยวยิ่งนัก

“ข้าได้รู้มาว่าเจ้ามิยอมผลิดอกออกผล เป็นเช่นนั้นเพราะสิ่งใดหรือ?” เขากำลังพูดกับข้า ทั้งแววตาและน้ำเสียงช่างมีแต่ความอ่อนโยน มือของเขาสัมผัสเปลือกนอกสีเข้มอย่างปลอบประโลม

“หรือเพราะเจ้าโศกเศร้ากับความโดดเดี่ยวนี้…” ตัวข้าโบกสะบัดกิ่งก้านจนเกิดลมเอื่อยๆ พัดเขาจนเส้นผมสีดำปลิวไปตามแรง หากแต่เขายังคงยิ้มให้ข้าราวกับเข้าใจตัวข้าเป็นอย่างดี

“หากเป็นเพราะความโดดเดี่ยวที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ เช่นนั้น…ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเอง”

จะอยู่กับข้างั้นหรือ เหล่ามวลดอกไม้ต่างก็ล้มหายไปจากข้าทั้งสิ้น เขาน่ะหรือที่จะสามารถมาลบความโดดเดี่ยวของข้าได้ ย่อมไม่มีวันเป็นเช่นนั้นแน่!

“เพราะเจ้าเอาแต่โศกเศร้า ข้าจึงจะเรียกเจ้าว่าท้อโศกศัลย์”

ทั้งที่เป็นเพียงมนุษย์ แต่กลับคิดจะเปลี่ยนความโดดเดี่ยวของข้างั้นหรือ ช่างกล้าเสียจริง

แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านพ้นไปนานนับสิบปี ลู่อี้เหรินผู้นี้กลับทำเช่นที่เขาพูดไว้จริงๆ เขาแต่งงานมีบุตรชายและบุตรสาวแต่กลับมิเคยลืมเลือนข้า เขาคอยแวะเวียนมาหาข้าเสมออย่างไม่เคยขาด เขายังคงยิ้มแย้มให้แก่ข้า ยังคงมองข้าด้วยแววตาอ่อนโยนเฉกเช่นคราแรกที่ได้พบกัน ข้าเฝ้ามองเขากับภรรยาของเขา รักใคร่กลมเกลียวกันอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจในความรู้สึกของเขาทั้งสอง

แต่แล้วเด็กคนนั้นก็ก้าวเข้ามาหาข้าด้วยใบหน้าที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นบิดาอย่างลู่อี้เหริน ข้าจับจ้องเขาเช่นเดียวกับเขาที่จับจ้องข้า ก่อนที่จะยกยิ้มให้ข้าราวกับว่าเขามองเห็นตัวตนของข้า

“ท่านพ่อขอรับ!” เด็กน้อยผู้นั้นส่งเสียงเรียกลู่อี้เหรินให้หันมาสนใจตนเอง ทั้งที่พี่น้องคนอื่นๆ ต่างพากันไปชื่นชมเหล่าดอกไม้ที่เบ่งบานตามฤดู

“ว่าอย่างไรเสี่ยวหยู” เด็กน้อยนามว่าลู่ฉินหยูยังคงใช้ดวงตากลมที่ปรากฏความดุดันมองข้าไม่วางตา

“ข้าชอบเขาขอรับ”

เขาหรือ? เขาที่ว่า…คือข้าเช่นนั้นหรือ?

“ฮ่าๆ เช่นนั้นหรือ เข้าชอบเขาเช่นนั้นหรือ ดีๆ” เจ้าไม่ควรจะหัวเราะเพียงเพราะบุตรชายของเจ้าบอกว่าชอบข้าหรอกนะ เด็กคนนี้บอกเจ้าว่าชอบข้า ข้าที่เป็นต้นไม้ เจ้าเข้าใจหรือไม่

ทั้งที่ลู่อี้เหรินควรจะตกใจมากกว่านี้ แต่เขากลับยิ้มและหัวเราะอย่างถูกใจเหลือเกิน

“ขอรับ ข้าอยากได้เขา ยกเขาให้ข้านะขอรับท่านพ่อ” ปลายนิ้วเล็กๆ ชี้มายังข้า ทั้งที่ไม่ควรจะมีความรู้สึกเช่นนี้ แต่ข้ากลับรู้สึกได้ว่า ตัวข้ากำลังสั่น ใบไม้ของข้ากำลังรับแรงสะเทือนของข้าจนปลิวไหว

เพียงเพราะคำว่าชอบ ของเด็กผู้นั้น กลับทำให้ข้าเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ข้ามองร่างของเด็กผู้นั้นที่ยืนอยู่เคียงข้างผู้เป็นบิดาอย่างครุ่นคิด หากเขาชอบข้า เช่นนั้นเขาจะอยู่กับข้าใช่หรือไม่นะ

“เอาสิ…หากวันใดพ่อมิสามารถอยู่กับเขาได้อีกแล้ว คงต้องให้เจ้า…ช่วยอยู่กับเขาแทนข้า”



ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ ลู่ฉินหยูยิ่งโตวันโตคืนจนรูปร่างและใบหน้าหล่อเหลาจนน่าอิจฉา เขามิเคยลืมคำพูดในวันนั้น ที่บอกกับอี้เหรินว่าชอบข้า เขาวนเวียนมาหาข้าทุกครั้งที่มีโอกาส พร่ำบอกว่าชอบข้าอยู่ทุกวี่วัน แม้แต่พี่สาวพี่ชายและน้องชายของเขาล้วนแต่ส่ายหน้ากับการยึดติดกับข้า บางครั้งถึงขั้นต้องมาลากเขาไปเพราะเขาเอาแต่มาหยุดอยู่เบื้องหน้าของข้า

สำหรับผู้อื่นการที่บุตรชายคนที่สามแห่งสกุลลู่มายืนเอ่ยคำว่า ข้าชอบเจ้า กับต้นไม้ เห็นทีคงมิใช่เรื่องปกติ แต่ว่าเขาก็ยังคงดึงดัน จะยืนอยู่กับข้าไม่ไปไหน หนักแน่นและไม่คิดเปลี่ยนใจ ในใจของข้าอุ่นวาบ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่เกิดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ทั้งที่ข้ามีเพื่อนมาแล้วนับร้อยปี แต่กับเจ้าเด็กคนนี้นั้น ช่างพิเศษยิ่งนัก เขาทำให้ข้า ปรารถนาในสิ่งที่มิควร ปรารถนาที่จะอยู่กับเขาไปจนชั่วนิรันดร์

บัดนี้บุตรชายและบุตรสาวของอี้เหรินต่างตบแต่งมีครอบครัวกันจนหมด เหลือเพียงฉินหยูเท่านั้นที่มิว่าอย่างไรก็มิยอมตบแต่งกับผู้ใดเสียที

แต่ต่อให้หลีกเลี่ยงเช่นไร ก็ย่อมมีวันที่มิอาจจะหลีกเลี่ยงอีกได้

เมื่อมารดาของฉินหยูเลือกสะใภ้ให้ฉินหยูตบแต่งกัน ให้ครอบครัวกลายเป็นครอบครัว จนเขามิหลงเหลือเวลาใดๆ ให้ข้าอีก

ทั้งที่ข้า…คิดว่าหลุดพ้นจากความโดดเดี่ยวนี้แล้วแท้ๆ

ทั้งที่ข้าคิดว่าตัวข้าจะสามารถมีความสุขได้แล้ว แต่มันกลับเป็นเพียงหมอกควันแห่งมายาที่ตัวข้าคาดหวังมันเพียงเท่านั้น อายุขัยมนุษย์หรือจะสามารถอยู่กับข้าได้ตลอดไป ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้แน่ ข้ามันก็เพียงหวังลมๆ แล้งๆ มิเคยแหงนหน้าขึ้นมองสักครั้งว่าจันทรามิได้ปรากฏในตอนกลางวัน

ความทรมานใจทำให้ข้าปิดกั้นตัวเอง ไม่ตอบรับสิ่งใดต่อฉินหยูอีก แม้ว่าเขาจะมาหาข้าบ้างในบางโอกาส แต่ข้ากลับโลภมาก อยากได้เวลาของเขาทั้งหมด ข้าดื้อดึงเหลือเกิน หากมิได้ทั้งหมด เศษเสี้ยวใดๆ ข้าก็มิรับ ข้าจะมิหันกลับไปมองและอยู่ตรงส่วนที่ข้าพอใจเท่านั้น หากเพราะความผูกพันอันแสนประหลาดนี้ทำให้ข้าทุกข์ทรมาน เช่นนั้นก็เพียงแค่ไม่สนใจผู้ใดอีก คงหยุดความทรมานของข้าได้

เพียงแค่ข้ากลับไปเป็นต้นท้อโศกศัลย์ ต้นท้อที่ไร้ดอกไร้ผลเพียงเพราะความโศกเศร้าของข้าเอง

ช้ามองเมินทุกครั้งที่ฉินหยูเข้ามาใกล้ ไม่มองไม่สนใจที่เขากระทำใดๆ ทั้งสิ้น เขาเป็นมนุษย์ มิมีวันรู้ว่าข้าคิดเช่นไร มิมีวันเข้าใจว่าในตอนนี้ ข้าและเขามิใช่สหายหรืออะไรอีก ฉินหยูมีสิ่งที่ต้องสนใจ และข้า…มิใช่สิ่งนั้น แม้จะทรมานกับความโดดเดี่ยว แม้ความอ้างว้างจะน่ากลัวเพียงใด แต่ข้าที่เคยอยู่กับมันมาเนิ่นนาน จะมิสามารถอยู่กับมันอีกได้เช่นนั้นหรือ ข้าต้องทำได้อย่างแน่นอน ข้าเชื่อเช่นนั้น

ฉินหยูยังคงมาพูดคุยกับข้า ราวกับว่าข้าสามารถตอบรับเขาได้ ทั้งที่ข้ามิได้สนใจเขาอีกแล้ว หัวใจข้าด้านชานัก หลายสิบปีมานี้ ข้าเคยชินเหลือเกินกับการอยู่เพียงผู้เดียว มิว่าใครก็ไม่สามารถมาลบเลือนความอ้างว้างของข้าได้จริงๆ ข้าเป็นท้อโศกศัลย์ ต้นท้อที่ถูกสาปให้ไม่สามารถมีผู้ใดเคียงกายได้เนิ่นนาน นั่นเพราะข้า มีชะตาที่ต้องโดดเดี่ยวเท่านั้น

ฉินหยูแก่ชรา เขามีลูกๆ น่ารักกว่าสามคน ข้าเองก็มองพวกเขาเตอมโต แต่มิได้มีความสนใจใดๆ อีก อาจจะเป็นเพราะข้าเลือกตัดใจทิ้งทุกสิ่ง ตัวตนของข้าจึงได้ลดน้อยลง ผู้คนเริ่มมองมิเห็นข้าอีกแล้ว พวกมนุษย์มองเห็นเพียงความงดงามของเหล่าดอกไม้ มิใช่ข้าที่โดดเดี่ยวไร้สีสัน

ความเขียวขจีมิอาจทัดเทียมกับสีสัน ข้าซึ้งใจกับสิ่งที่ได้รู้เหลือเกิน

“ข้าชอบเจ้า…”

ข้ามิอยากฟัง ทั้งที่ข้ามิอยากฟัง เหตุใดฉินหยูจึงยังคงพูดมันกับข้า

“ข้าชอบเจ้ามากๆ นะเจ้าต้นท้อ”

ข้าไม่สามารถเชื่อผู้ใดได้อีกแล้ว สำหรับข้าแล้ว เจ้าได้จากข้าไปเนิ่นนานเสียแล้ว ข้าในตอนนี้ ไม่คิดจะฟังเจ้าอีกแล้ว

“แค่กๆ ข้ากำลังจะตาย รู้หรือไม่” ฉินหยูทิ้งตัวลงนั่งข้างข้า เอนหลังพิงกับลำต้นใหญ่ของข้าราวกับต้องการพักพิง แต่เขามิเคยรู้…ว่าเขากำลังทำให้ข้า อ่อนแออีกแล้ว

“ข้าผิดต่อเจ้า ทั้งที่บอกว่าชอบเจ้า กลับทิ้งเจ้าให้ต้องโดดเดี่ยวเสมอ”

ไม่…ข้าไม่อยากฟัง

“เจ้าอาจจะโกรธข้า แต่ข้าปรารถนาให้เจ้าเข้าใจข้า ข้าไม่สามารถทิ้งหน้าที่ของข้าได้” ใบหน้าของฉินหยูช่างเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย แต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้ม ทว่ามันช่างดูขมขื่นเสียเหลือเกิน

“หากชีวิตหน้าข้าได้พบเจ้าอีกครั้ง ข้าปรารถนาเหลือเกิน ที่จะอยู่กับเจ้าให้นาน หากเจ้าเป็นมนุษย์ ข้าคงพาเจ้าไปเที่ยว ไปดูสิ่งต่างๆ ให้เจ้าได้สนุกได้ยิ้ม หัวเราะไปกับข้า อึก! แค่กๆ” ข้าได้แต่มองฉินหยูที่ไอออกมาอย่างทรมาน ของเหลวสีแดงสดถูกฉินหยูพ่นออกมาจากริมฝีปาก ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดฉินหยูจึงได้ทรมานนัก

“หากเจ้า อึก เป็น มะ มนุษย์ แค่กๆ ก็ อึก คง ดะ ดี” ริมฝีปากของฉินหยูเปื้อนยิ้ม รอยยิ้มที่คล้ายคาดหวังที่ข้าไม่เข้าใจ ฉินหยูคงเหนื่อย จึงได้หลับไปเช่นนี้ ข้าเสียใจนัก ที่ไม่อาจจะห่มไออุ่นให้เขาได้ เสียใจที่ทำได้เพียงเป็นแหล่งพักพิงได้เท่านั้น บุตรชายและบุตรสาวของฉินหยูต่างวิ่งออกมาอย่างตื่นตระหนก มองฉินหยูที่นอนนิ่งอย่างเสียใจ

“พี่ใหญ่ ท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นเช่นไรบ้าง” บุตรชายคนโตของฉินหยูถอนหายใจแล้วส่ายหน้า ข้าไม่อาจเข้าใจในการกระทำเช่นนั้น ได้แต่มองส่งร่างของสหายคนสำคัญที่ถูกอุ้มเข้าไปในตัวบ้านอย่างไม่อาจละสายตา เสียงร้องบางอย่างกำลังบอกข้าว่า ข้าจะไม่ได้พบกับฉินหยู เด็กน้อยที่เคยบอกว่าชอบข้าอีกแล้ว จะไม่มีเด็กผู้นั้นให้ข้าได้นึกรำคาญใจอีกแล้ว

ทำไมนะ ทำไมหัวใจของข้าถึงเจ็บปวดนัก

ฉินหยูเพียงแค่หลับไป แค่หลับไปชั่วครู่ วันพรุ่งนี้ ฉินหยูจะต้องมาคุยกับข้าอีกแน่ เพียงแค่ข้าเฝ้ารอ













แต่การเฝ้ารอของข้าช่างว่างเปล่า ฉินหยูหายไปจากที่นี่ ไม่ว่าข้าจะมองออกไปทางใด ก็มิเคยพบเห็นฉินหยูอีก ฉินหยูที่มักจะยิ้มแย้มออกมาหาข้า มักจะมาพูดกับข้าด้วยคำว่าชอบเจ้า กลับหายไปจากข้า

อีกแล้วสินะ ข้าต้องโดดเดี่ยวอีกแล้วใช่หรือไม่ เมื่อไหร่ข้าจะหลุดพ้นจากความเจ็บปวดนี้เสียที เมื่อไหร่ข้าจึงจะสามารถอยู่กับผู้ใดได้ตลอดไปเสียที ข้าไม่อยากจะต้องโศกเศร้ากับความโดดเดี่ยวของข้าอีกแล้ว ข้าไม่อยากพบเจอทันอีกแล้ว ข้าอยากหยุดมัน อยากหยุดความโหดร้ายนี้ให้มันจบสิ้น

เวลาผ่านไปเนิ่นนานนัก สกุลลู่ยังคงรุ่งเรืองขึ้น ข้าเองก็ยังคงอยู่ที่นี่ไม่เคยไปไหน เฝ้ามองลูกหลานของสหายคนสำคัญเติบโตอย่างจดจ่อ หวังเพียงว่าสักวันข้าจะพบกับฉินหยูอีกครั้ง ฉินหยูที่บอกว่าชอบข้า ฉินหยูที่ในตอนนี้มิอาจจะรู้ได้ว่า…ไปอยู่ที่ใด

ยิ่งสายลมโหมพัด พายุฝนกระหน่ำตกหนักจนตัวข้าเปียกโชก ความหนาวเย็นไม่เคยทำให้ตัวข้าที่เป็นต้นท้อต้องทรมานเลยสักครั้ง แต่ความหนาวเหน็บภายนอกนั้นเป็นกลับพัดพาเอาความทรมานในใจของข้าให้ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นต่างหาก เหล่าดอกไม้ต่างๆ รอบกายข้า บ้างก็มิอาจจะทนต่อแรงลมจนต้องล้มตายไปในที่สุด ทั้งที่ข้าก็พยายามแผ่ร่มเงาของตนออกไป เพื่อปกป้องพวกเขาอย่างสุดความสามารถ แต่กลับช่วยอะไรพวกเขามิได้

สุดท้ายก็เหลือเพียงข้าแค่ผู้เดียวที่ยังคงอยู่

เหลือเพียงข้าที่มิอาจล้มตายไปอย่างผู้ใด…

จวนเวลาเลยผ่านไปกว่า500ปี ข้ามองสกุลลู่ที่บัดนี้มิได้เติบโตและรุ่งเรืองอีกต่อไปแล้ว ข้ามิอาจจะหาสาเหตุได้เพราะตัวข้าเป็นเพียงต้นท้อเท่านั้น แต่ข้ากลับเสียใจ เสียใจแทนบรรพชนสกุลลู่ที่เร่งสร้างความรุ่งเรืองแก่สกุลลู่ขึ้นมา กลับต้องมาพังทลายล้มลงเสียไม่เป็นท่าเช่นนี้ หากฉินหยูรู้...คงทรมานใจ

500ปีที่ผ่านมานี้ทำให้ข้าได้รู้ความจริงข้อหนึ่งที่ข้าเฝ้ามองหามานาน นั่นคือฉินหยู สหายคนสำคัญของข้าหายไปไหน แท้จริงแล้ว ฉินหยูมิได้จากไปไหนเลย เขาเพียงหมดสิ้นซึ่งอายุขัยของมนุษย์ ด้วยมนุษย์นั้นมีอายุขัยที่สั้นนัก เพียงไม่ถึง100ปีก็สิ้นลมหายใจ ตายตกไปเสียแล้ว ข้าที่เป็นต้นท้อมาเนิ่นนาน ได้แต่ต้องเฝ้ามองสหายคนแล้วคนเล่า ต้นแล้วต้นเล่า ตายไปต่อหน้าต่อตา

ข้ายังมีสิ่งใดให้เรียกว่าความสุขอีกหรือ

อี้เหริน เจ้าช่างตั้งชื่อข้าได้เหมาะนัก ท้อโศกศัลย์...ช่างเหมาะจะเรียกข้าเสียจริง

ข้าได้แต่ยิ้มและหัวเราะไปกับสายลม ปล่อยให้ความโศกเศร้าและโดดเดี่ยวกัดกินรอยยิ้มให้มันสูญหายไปอย่างช้าๆ จิตใจไร้สิ่งใดยึดมั่นจนกลายเป็นเลื่อนลอย ปล่อยผ่านคือและวันไปโดยมิคิดจะสนใจใดๆ ได้แต่กลืนกินแสงจันทราเข้าสู่ลำต้นหล่อเลี้ยงมันด้วยจิตวิญญาณของข้าเอง พลังหยินที่เรียกว่าพิษสำหรับมนุษย์ สำหรับข้ามันช่างให้ความรู้สึกดีเหลือเกิน ข้าคงไม่อาจจะเป็นสหายกับมนุษย์ผู้ใดได้ และอาจจะไม่เหมาะจะมีความรู้สึกนึกคิดเช่นผู้ใดอีกเช่นกัน

กาลเวลาที่หมุนเวียนผันเปลี่ยนไป ความเป็นมนุษย์เริ่มรุกล้ำเข้ามาใกล้ ราวกับจะมิยอมให้ข้าหนีหายไปจากมัน ทั้งที่ตัวข้าเลือกแล้วว่าจะไม่สนใจมนุษย์ผู้ใดอีก เพราะทุกสิ่งล้วนแต่ต้องแตกดับและสิ้นชีวิตไปอยู่ดี แต่ข้าก็ยังถูกจองจำอยู่ตรงที่เดิม มิอาจจะขยับไปที่ใดได้ ต้องทนเฝ้ามองสกุลลู่ที่ไร้อำนาจ ตัดพ้อต่อสวรรค์ ตัดพ้อต่อโชคชะตา ทั้งที่พวกเขาเองต่างหากที่ทำให้มันมิหลงเหลือสิ่งใด

500ปีผ่านไปอีกครั้ง ข้าก็ยังคงนั่งมองสิ่งเก่าๆ ที่เป็นเช่นเดิมหมุนผ่านไป ข้าไร้ใจหรือแน่นอนว่าย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ทว่าในความไร้หัวใจของข้า ล้วนแต่ถูกความเศร้าหมองกัดกินเสียจนด้านชาเท่านั้น ในที่สุดสกุลลู่ก็พ้นเคราะห์กรรม เมื่อบุตรชายคนหนึ่งของสกุลลู่ที่มีนามว่าลู่ฮุ่ยเจิงผู้นี้ ช่างคล้ายกับอี้เหรินนัก ลู่ฮุ่ยเจิงขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้จนดิ้นรนหลุดออกจากความลำบากที่บรรพบุรุษทำเอาไว้ได้

ข้าเผลอดีใจกับเขา ดีใจที่ในที่สุดก็มีลูกหลานคนหนึ่งของสหายรัก นำความรุ่งเรืองกลับมายังสกุลของสหายเก่า แต่ข้าลืมไป...ลืมไปว่าข้ามิควรจะสนใจในตัวตนของเหล่ามนุษย์อีกแล้ว เขาในตอนนี้เพียงแค่ความโดดเดี่ยวมันก็ดีเหลือเกินแล้ว หากมิใส่ใจต่อสิ่งใด ก็จะไม่มีวันเจ็บปวดขึ้นมา และข้าช่างโชคดีเหลือเกินที่ทำเช่นนั้นได้

ลู่ฮุ่ยเจิงตบแต่งกับหญิงสาวคนหนึ่ง นางเป็นหญิงที่งดงามและเพียบพร้อม ทั้งที่เป็นเช่นนั้นทว่าข้ากลับไม่อาจสัมผัสได้ถึงความรักของทั้งสอง ต่างจากเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายฮุ่ยเจิงเสียอีก เด็กผู้นั้นกลับทำให้รอบกายของลู่ฮุ่ยเจิงเต็มไปด้วยบรรยากาศแสนหวานและรอยยิ้ม มิว่าเด็กผู้นั้นจะบ่นอะไรออกมา จะทำหน้าตาราวกับโกรธเคืองสักเพียงใด ลู่ฮุ่ยเจิงก็เพียงหัวเราะและยิ้มรับ บางครั้งก็ตอบรับคำสั้นๆ ทั้งที่มีเพียงเท่านั้น ข้ากลับสัมผัสได้ว่า...นี่ต่างหากคือรักที่แท้จริง

“หลานข้าคลอดแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ลี่หยาง” ถังลี่หยางที่ยืนอยู่เคียงข้างยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้ารับคำของเจ้านายเท่านั้น

“ข้าปลื้มใจเหลือเกิน ในที่สุด...จวนแห่งนี้ก็จะมีผู้ดูแลเสียที”

“ถึงอย่างไรนายท่านก็ต้องรอจนนายน้อยเติมโตขึ้นอีกนะขอรับ”

“หึหึ นั่นสิ” ลู่ฮุ่ยเฟิงทอดสายตามองมายังข้า ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามิเคยสนใจในตัวข้าสักครั้ง เขาหลงใหลให้กับความงดงามของเหล่าดอกไม้ ข้าที่มีเพียงความขจีหรือจะไปสู้ผู้ใดได้อีก ลู่ฮุ่ยเจิงเดินเข้ามาหาข้าช้าๆ ก่อนจะหยุดอยู่เบื้องหน้าข้าโดยมีถังลี่หยางเดินตามมาติดๆ ฝ่ามือของลู่ฮุ่ยเจิงสัมผัสลำต้นของข้าเบาๆ ใช้มืออันอบอุ่นลูบเปลือกผิวของข้าอย่างแผ่วเบา

“รู้หรือไม่ลี่หยาง...”

“อะไรหรือขอรับนายท่าน”

“ตระกูลข้านั้น บอกต่อกันมาอย่างยาวนานว่า วันหนึ่งจะมีผู้มาดูแลต้นท้อต้นนี้ เขาจะมาทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ข้ามิเคยเข้าใจเลยสักครั้ง ไม่ว่าข้าหรือพี่น้องคนใดต่างก็มิได้สนใจต้นท้อที่ไร้ดอกต้นนี้ แล้วผู้ใดกันที่จะมาดูแลต้นท้อที่มิเคยผลิดอกสักครา” นั่นสิ...ตัวข้าเองเป็นเพียงท้อไร้ดอก เป็นเพียงท้อโศกศัลย์ที่กลืนกินพลังหยาง หล่อเลี้ยงด้วยความโศกเศร้า ผู้ใดไหนเลยจะปรารถนามาดูแลข้า เพราะเพียงแค่มองเห็นข้า ยังยากจะมี ตัวตนของข้ามิเคยอยู่ในสายตาผู้ใด

“หากบรรพบุรุษของนายท่านกล่าวเช่นนั้นจริง...สักวันหนึ่งจะต้องมีคนผู้นั้นมาอย่างแน่นอนขอรับ”

“ข้าก็หวัง...ให้เป็นเช่นนั้น”

แต่ข้ามิคาดหวังใดๆ เพราะหากข้าจดจ่อและคิดคาดหวัง ตัวข้าก็จะมีความโศกเศร้าเพิ่มขึ้น เพียงตอนนี้ข้าก็มิอาจจะรับมันได้อีกแล้ว ตัวขาจึงเลือกจะมิสนใจสิ่งใดๆ เฝ้ามองเพียงท้องฟ้า นับวันเวลาที่ผันผ่านไปเท่านั้น หากข้าจดจ่อกับสิ่งมีชีวิต ตัวข้าเองที่จะต้องปวดร้าว และข้า...มิอาจรับไหวอีก

เนิ่นนานหลายปีจนเส้นผมของลู่ฮุ่ยเจิงกลายเป็นสีขาว ข้าก็พบความแปลกใจที่ในวันนี้ข้างหายของเขานั้นมีเด็กชายผู้หนึ่งเคียงข้างมา และข้ายิ่งตกใจเมื่อเด็กผู้นั้นชี้มาที่ข้า มองเห็นตัวตนของข้าจากความงดงามที่ชวนให้มอง ข้ารู้สึกประหลาดอย่างอาจจะอธิบาย ได้แต่รอคอยเพียงเพื่ออยากมองใบหน้าของเด็กผู้นั้นชัดๆ ทั้งที่มิควรคาดหวัง แต่ข้ากลับหยุดความคาดหวังให้ดับลงไปมิได้

เด็กน้อยผู้นั้นมองฮุ่ยเจิงที่เดินออกไป ตัวของเขาวิ่งเล่นกับเหล่าสัตว์เล็กๆ และสนุกสนานกับเด็กชายที่เดินเคียงข้างเขามา ข้ามองมันด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่หายไปจากข้ามาเนิ่นนาน ทว่าบัดนี้ มันกลับมาแล้ว กลับมาพร้อมกับความรู้สึกที่ข้าไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นซ้ำสอง เพราะรู้ดีว่ามันจะจบเช่นไร ทั้งที่ข้ารู้ดีกลับหยุดยั้งมันเอาไว้ไม่ได้ เด็กน้อยผู้นั้นชะงักขาตนเองที่กำลังวิ่งให้หยุดลง ก่อนที่ร่างของเขาจะหมุนตัวกลับมาที่ข้า พร้อมกับฝีเท้าที่เร่งเดินมาหาข้าอย่างรวดเร็ว จนเขามายืนอยู่เบื้องหน้าข้าแล้ว และข้าเองก็ตกใจเช่นกัน

เด็กผู้นี้...ช่างคล้ายฉินหยูเหลือเกิน

ใบหน้าของเด็กน้อยผู้นี้ช่างเหมือนเหลือเกิน เหมือนกับลู่ฉินหยูของข้าเมื่อยามเยาว์วัยนัก ทั้งดวงตาหรือแม้แต่รอยยิ้มของเด็กผู้นั้นก็คล้ายเสียจนราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกัน

“มีอะไรหรือขอรับนายน้อย ต้นไม้ต้นนี้มีสิ่งใดที่แปลกประหลาดหรือขอรับ”

เด็กน้อยท่าทางเปรอะเปื้อนไปทั้งร่างกาย เอ่ยถามเด็กน้อยผู้นั้นที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับฉินหยูอย่างไม่เข้าใจ ข้ามองตรงไปยังเด็กผู้นั้น เด็กน้อยเองก็มองข้ามิยอมหลบเลี่ยงสายตาไปเช่นเดียวกัน ใจข้าเต้นระทึก เสียงบางอย่างร่ำร้องและเรียกหาให้ข้าโอนเอนกิ่งก้านเข้าไปหาเด็กผู้นั้น ทว่าข้าหรือจะทำได้ จะทำได้เช่นไรเล่า เมื่อเด็กผู้นั้นอาจจะมิใช่...มิใช่สหายของข้าคนนั้น

ทั้งที่เกิดความสับสนใจหัวใจข้า แต่ทว่าข้ากลับปรารถนาที่จะให้มันเป็นจริงเสียเหลือเกิน ทั้งที่ข้าอยากให้มันจบลงไปแล้วมิต้องเริ่มมันขึ้นมาอีก แต่จะทำได้หรือ ใจข้าทานทนต่อความปรารถนาที่เรียกร้องได้จริงๆ หรือ เด็กน้อยผู้นั้นทั้งที่มีเพียงใบหน้ารอยยิ้ม และดวงตาเท่านั้นที่คล้ายคลึง ข้ายังแทบทนไม่ได้ ตื้นตันและดีใจจนท่วมท้นเช่นนี้ มีหรือที่ข้าจะหยุดยั้งตนเองเอาไว้ได้อีก

ไม่มีทาง ข้ามิได้แข็งแกร่งดุจดั่งหินผา

ที่ผ่านมาหลายร้อยปี เพียงเพราะฉินหยูหายไปจากข้า มิได้มาให้ข้าพบ ข้าจึงได้ทำใจแข็ง ยอมทานทนรับความโดดเดี่ยวเอาไว้ในหัวใจของตนเอง มิยอมสนิทกับผู้ใดอีก ที่จริงแล้วมันก็เพียงเพราะข้าเฝ้ารอ เฝ้ารอที่จะพบฉินหยูอีกสักครั้ง ฉินหยูที่เคยพร่ำเพ้อบอกว่าชอบข้า แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงต้นไม้ที่มิสามารถขยับเขยื้อนได้ตามใจปรารถนา

เด็กน้อยผู้นั้นมองข้าอย่างแน่วแน่ ดวงตาคมดุมองข้าอย่างจับจ้องโดยที่ข้ายังคงมองเขากลับไปเช่นกัน ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจะกว้างขึ้นเล็กน้อย แต่กลับยิ้มไปทั้งดวงตา ฝ่ามือเล็กไล่ไปตามเปลือกไม้ของข้า เหมือนดังเช่นที่ฉินหยูมักจะทำกับข้าอยู่เสมอ สัมผัสอันแสนคุ้นเคยกระตุ้นให้ห้วงอารมณ์ที่แสนอ่อนไหวของข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ

คิดถึง คิดถึงเจ้าเหลือเกิน

ทั้งที่อยากจะเอ่ยคำนี้สักพี่ครั้ง ข้าก็ทำได้เพียงแค่โบกกิ่งให้ใบอันเขียวขจีของข้าได้ลู่ไปจนเกิดแรงลม ทั้งที่ข้าปรารถนาอยากจะบอกออกไป แต่กลับทำไม่ได้ ใจข้าร้าวรานมากเท่าใด ก็มิอาจให้เจ้ารับรู้ได้ การเป็นข้านั้น ทรมานยิ่งนักเจ้ารู้หรือไม่ เจ้าเวียนว่ายตายเกิด ทว่าข้ากลับต้องทุกข์ทนอยู่กับการจากไปของเจ้าและเหล่าดอกไม้อื่นๆ ทั้งที่ข้าอยากอยู่กับเจ้า แต่ข้าก็เป็นเพียงต้นท้อ ต้นท้อที่ไร้สีสันให้ผู้ใดได้สนใจ มีเพียงความโศกเศร้าที่แผ่ออกมาจากข้าเท่านั้นที่มีตัวตน

“ข้าก็คิดถึงเจ้านัก” ศีรษะของเด็กน้อยแตะลงบนเปลือกไม้ของข้าราวกับต้องการให้ข้าได้รับรู้มันด้วยหัวใจ ราวกับเขารับรู้ได้ถึงความคิดถึงที่ข้ามี

“นายน้อย...” สำหรับเด็กอีกคน นี่คงมิได้ปกตินัก การที่เห็นเจ้านายของตนเอ่ยคำว่าคิดถึงกับต้นไม้ มิมีผู้ใดหรอกที่ไม่มองว่ามันแปลก

“ข้า...มาตามสัญญาแล้วนะ”

ข้ารู้ และครั้งนี้จะเป็นข้าที่อยู่กับเจ้าเอง

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
(ต่อจ้า)

จากวันนั้นไปข้าก็ได้รู้นามของเด็กน้อยคนนั้น ที่มิใช่ลู่ฉินหยูอีกต่อไป ทว่าเป็นลู่เฟยหลงไปแล้ว ในครานี้ลู่เฟยหลงต้องเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงกับผู้เป็นบิดาและมารดา เหลือเพียงข้าเท่านั้นที่มิได้ไปที่ใด ยังคงเฝ้ารอคำสัญญาที่จะได้ใช้มันด้วยกัน เฝ้ารอว่าสักวันหนึ่งนั้น ลู่เฟยหลงจะกลับมา กลับมาเคียงข้างกันดังเช่นที่เขาปรารถนาในภพที่เขายังเป็นลู่ฉินหยู

ข้าเฝ้าอ้อนวอนภาวนา ร้องขอต่อองค์เง็กเซียนและกักเก็บพลังจากจันทราอย่างสม่ำเสมอ วิงวอนให้ท่านเทพบนสวรรค์ผู้สูงศักดิ์ได้โปรดเห็นใจต่อข้าผู้นี้ที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการมีชีวิตและร่างกายเช่นมนุษย์ทั่วไป เพียงเพื่อเขา เขาผู้นั้นที่สักวันจะกลับมาหาข้า

และในที่สุด...สวรรค์ก็ตอบรับข้า

องค์เง็กเซียนลงมาหาข้าด้วยองค์เอง ใบหน้าขององค์เง็กเซียนนั้นมีร่องรอยความโศกเศร้าประหลาดที่ข้ามิอาจเข้าใจได้ แววตาที่มองข้าราวกับพบบางสิ่งที่สูญหายทว่ากลับกำลังจะเสียมันไปอีกครั้ง ข้า...ไม่เข้าใจ

“เจ้าปรารถนาสิ่งใด” น้ำเสียงอันทรงพลังเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย แต่หัวใจข้ากลับสั่นและปวดหนึบ

“ข้านั้นปรารถนาจะได้ใช้เวลากับเขาผู้นั้นขอรับ ปรารถนาจะได้รูปกายเช่นดังมนุษย์ทั่วไปเพื่อที่ข้าจะได้อยู่กับเขาขอรับ” องค์เง็กเซียนถอนหายใจ มองข้าราวกับว่ามิแปลกใจในสิ่งที่ข้าร้องขอ แต่แววตาของพระองค์กลับเต็มไปด้วยความเศร้าโศก

“หากข้าให้เจ้า ย่อมรู้ใช่หรือไม่ ว่าย่อมมิอาจจะได้มาโดยมิแลกเปลี่ยน” มิมีสิ่งใดได้มาโดยเปล่า ข้อนี้ข้าย่อมรู้ดี และข้าย่อมเตรียมใจมาแล้ว สำหรับทุกสิ่ง

“ข้าทราบดีขอรับ...แต่ไม่ว่าสิ่งที่ข้าต้องสูญเสียจะเป็นสิ่งใด ข้ายินยอมทั้งสิ้น” องค์เง็กเซียนเม้มริมฝีปาก นัยน์ตาคู่ดุสั่นไหว

“เพียงเพื่อเขา ไม่ว่าสิ่งใดก็จะแลกเช่นนั้นหรือ?” ข้ายิ้มกลับไปอย่างมีความสุข ขอเพียงได้อยู่ชิดใกล้เขาผู้นั้น มิว่าสิ่งใด

“มิว่าสิ่งใด ข้าก็พร้อมยอมแลกมันอย่างแน่นอนขอรับพระองค์”

“หากเจ้ามั่นใจเช่นนั้นแล้ว ข้าคง...ห้ามอะไรเจ้ามิได้”

ข้าเพียงยิ้มและก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม

“จากนี้ไปเป็นเวลาหนึ่งร้อยราตรี เจ้าจะมีร่างกายดั่งเช่นมนุษย์ทั่วไป แต่ทว่าสิ่งที่เจ้าต้องแลกมันมา คือจิตวิญญาณของเจ้า” ข้าเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าขององค์เง็กเซียนอย่างไม่เข้าใจ

“เมื่อสิ้นสุดหนึ่งร้อยราตรี เจ้า...จะดับสูญไปดั่งเช่นวัฏจักรอื่นๆ โดยไม่มีข้อแม้” ดับสูญเช่นนั้นหรือ

หากนั้นคือข้อแลกเปลี่ยนเพียงเพื่อคนที่ข้าเฝ้ารอ

“ข้ายินยอมรับมันขอรับ ขอบพระทัยองค์เง็กเซียนที่กรุณาต่อข้า”

“ไม่...” องค์เง็กเซียนหันหลังให้ข้า “มันมิใช่ความกรุณาของข้า แต่เป็นสิ่งที่เจ้าปรารถนาต่างหาก”

องค์เง็กเซียนหายไปราวกับว่ามิเคยปรากฏตัวต่อหน้าข้ามาก่อน ข้าได้แต่มองภาพติดตาขององค์เง็กเซียนด้วยหัวใจที่ปวดหนึบ มิอาจจะเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใด ได้แต่เพียงปล่อยผ่านมันไปก็เท่านั้น

หนึ่งร้อยราตรีเพื่อแลกกับชีวิตทั้งชีวิตของข้า นับว่าคุ้มแล้ว เพียงแค่ได้พบเจอเจ้า ได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้าเท่านั้นเฟยหลง เพียงเพื่อเจ้า ข้ายอมทิ้งทุกสิ่ง แม้แต่ชีวิตของข้าเอง

“เจ้าคือผู้ใดกัน?”

“เจ้ามาจากที่ใดหรือ?”

“ข้ามาจาก...ที่นั่น”

“จากต้นท้อหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? เจ้าจะบอกข้าว่าเจ้าออกมาจากต้นท้อได้เช่นนั้นหรือ”

“ถูกแล้ว ข้าออกมาจากต้นท้อจริงๆ”

“เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น"

"..."

"หรือเพราะเจ้ารังเกียจที่ข้ามิใช่มนุษย์ เจ้าจึงได้มองข้าเช่นนั้นใช่หรือไม่"

"ข้าหรือรังเกียจ? เห็นข้าเป็นเช่นคนใจแคบเช่นนั้นหรือ? "

"ข้าเพียงแปลกใจก็เท่านั้น มิได้รังเกียจใดๆ ในตัวเจ้าเลย บอกช้าหน่อย เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ? "

“ข้าชื่อหยางเถา…”


แม้เจ้าจะจำสิ่งใดมิได้ ข้าก็ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างเจ้าเท่านั้น ข้าจะทำตามสิ่งที่เจ้าปรารถนา จะใช้เวลาอยู่กับเจ้า จวบจนชีวิตของข้าจะดับสูญไป ลู่เฟยหลง







มาแล้วจ้าาาา เอาความหลังของน้องมาเสริฟก่อนเลยแล้วกัน จะปวดตับกระชากไตก็ต้องไปกันให้สุดเนอะ เราจะได้นับทิชชู่ที่เช็ดน้ำตาไปพร้อมกัน~

ปล. เนื่องจากทางเล้ามีกฎว่าห้ามลบเนื้อหา เพราะงั้นแมวจะลงตอนพิเศษให้อ่านแค่ตอนเดียวนะคะ ถ้าหากใครต้องการอ่านตอนพิเศษเพิ่มโปรดค้นหาเรื่องนี้จากgoogle นะคะ แต่มีเวลาเพียงสองอาทิตย์เท่านั้นนะคะ จากนั้นแมวจะทำการลบเนื้อหาตอนพิเศษในเว็บอื่นๆทันทีและไม่มีการลงซ้ำเด็ดขาด ขอบพระคุณที่ติดตามอ่านมานะคะ
:pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2019 16:41:11 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เราอยากให้สมหวังจัง

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 735
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ไปหาอ่านตอนพิเศษเพิ่ม
แล้วอยากรู้เลยว่าหยางเถากับเง็กเซียน
เกี่ยวข้องกันยังไง?
ยังมีปมค้างอยู่เลยจะมีเรื่องต่อไหม?

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

ออฟไลน์ nonocong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เนื้อเรื่องสนุกมากเลยค่ะ
เราชอบอ่านแนวจีนโบราณมากๆ
แต่ว่าเรื่องนี้จบไม่เคลียเลยค่ะ
ยังมีปมที่ยังไม่ได้ไขอีกหลายเรื่องเลยค่ะ
จ้าวมู่เป็นอะไรกับอย่างเถา และองค์เง๊กเซียนเป็นอะไรกับหยางเถาด้วย


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด