(END)#ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (9/12/61) หน้า 3 รบกวนย้ายได้เลยจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (END)#ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (9/12/61) หน้า 3 รบกวนย้ายได้เลยจ้า  (อ่าน 10502 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

เรียน   ท่านสมาชิกทุกท่านทราบและโปรดดำเนินการอย่างเคร่งครัด

เรื่อง  กฎกติกาและมารยาท

          กรุณาอ่านข้อความข้างล่างที่แนบมาด้วยข้าล่างนี้   ด้วยความระมัดระวังยิ่ง

เพราะเป็นบรรทัดฐานที่พึงยึดและปฏิบัติตามอย่างไม่สามารถพิจารณาเป็นอื่นได้

หากผู้ใดฝ่าฝืน  ทางเราจะดำเนินการลงโทษอย่างเด็ดขาดต่อไป


      จึงเรียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน

                                                                                 นับถือ

                                                                            อิเจ้  โมดุเรเตอร์


..................................................................................................


ขอฝากตัวด้วยขอรับ

.
.
.
.
.
#ด้วยใจภักดิ์

...นำเรื่อง...


คนเราจะรักกันนั้น อะไรคือตัวกำหนด เชื้อชาติหรือ ฐานันดรหรือ ชั้นวรรณะหรือ ฐานะหรือ ม่านประเพณีหรือ ขนบธรรมเนียมหรือ ใครเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ คนเราจะรักกันนั้นไม่ใช่ใช้ใจที่บริสุทธิ์รักกันหรอกหรือ แล้วอะไรที่บอกว่า คนสองคนไม่มีสิทธิ์จะรักกัน มันผิดหรือที่เลือกเกิดไม่ได้ มันผิดอะไรที่เกิดไม่เท่าเทียมกัน มันผิดด้วยหรือที่เป็นแค่คนต่ำต้อย แล้วผิดอะไรที่ไม่ใช่คนที่ถูกหมายหมั้นไว้แต่แรก ก็ในเมื่อ ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ความรักมันห้ามกันได้ด้วยหรือ ห้ามมิให้คนสองคนรักกัน บังคับให้คนที่มิได้กันกันมารักกัน แล้วมันผิดไหมที่จะรักกัน ทั้งที่ทุกสิ่งรอบตัวบอกว่า...........

..........ความรักครั้งนี้มันผิด……….


...........มันไม่สมควรเกิด……….

.........................แล้วเรายังจะรักกันได้อีกไหม...............................


.....‘ คุณหลวงมิควรลงมาที่นี่ขอรับ ’…..

…..‘ อันใดเล่าพ่อที่ว่ามิควร ’…..



…..‘ เหตุใดพ่อจึงมินอนเคียงหมอนกับพี่เล่า ’…..

…..‘ กระผมเป็นเพียงบ่าวเท่านั้นขอรับ’…..



…..‘ ลูกยังมิอยากมีคู่หมายขอรับ ’…..

…..‘ แต่ลูกถึงวัยที่สมควรจะมีคู่ครองแล้ว ’.....



…..‘ กายแลใจของกระผม มีเพียงคุณหลวงเท่านั้น ’.....

…..‘ ใจพี่ก็มีเพียงเจ้าคนเดียว ’……



…..‘ มิว่าใครจะพูดว่าเยี่ยงไร แต่พี่ให้เจ้ารู้ว่า พี่รักเจ้าเสมอ ’.....
.....‘ แต่ความรักของเรามันมิควรจะเกิด ’…..


…..‘ เขาเป็นคนของลูก ไยมิให้ลูกลงโทษเขาเอง ’…..

…..‘ มันก็แค่ขี้ข้า ใครจะลงโทษก็เหมือนกัน ’…..



…..‘ บ่าวขออภัย บ่าวนั้นบุญน้อยเกินไป ’…..

…..‘ หากแม้นมิได้เคียงข้างเจ้า พี่จะมิรักใครอีก ’.....



…..‘ รอพี่นะคนดี ’.....

…..‘ กระผมรอคุณหลวงอยู่เสมอ ’.....


ความรักที่ต้องก้าวผ่านหลากปัญหา

ความรักที่ถูกขัดขวาง




..........แล้วรักครั้งนี้จะเป็นเช่นไร..........



..........ด้วยใจภักดิ์……….




..........แล้วพบกันขอรับ..........


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2018 13:43:33 โดย Ice_Iris »

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: #ด้วยใจภักดิ์....บทนำ (10/7/61) หน้า 1
«ตอบ #1 เมื่อ10-07-2018 13:42:10 »

รอติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
Re: #ด้วยใจภักดิ์....บทนำ (10/7/61) หน้า 1
«ตอบ #2 เมื่อ10-07-2018 15:35:44 »


 ขอบคุณขอรับ @winndy



ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: #ด้วยใจภักดิ์....บทนำ (10/7/61) หน้า 1
«ตอบ #3 เมื่อ10-07-2018 23:14:01 »

รอ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
Re: #ด้วยใจภักดิ์....บทนำ (10/7/61) หน้า 1
«ตอบ #4 เมื่อ11-07-2018 08:17:32 »



ขอบคุณขอรับ @แมวดำ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: #ด้วยใจภักดิ์....บทนำ (10/7/61) หน้า 1
«ตอบ #5 เมื่อ11-07-2018 09:31:03 »

รอติดตามต่อคราบบบ เอา +1 ไปก่อนเรยยย :a2:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
Re: #ด้วยใจภักดิ์....บทนำ (10/7/61) หน้า 1
«ตอบ #6 เมื่อ11-07-2018 12:01:34 »



ขอบคุณขอรับ @กาแฟมั้ยฮะจ้าว

บวก +1 เช่นกันขอรับ (ไม่โกงน้า)

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

#ด้วยใจภักดิ์

ตอนที่ 1
ทิวาสวัสดิ์ขอรับ นำตอนแรกมาส่งขอรับ รบกวนติ ชมด้วยขอรับ
.....สู่การเป็นทาส.....
ก่อนเข้าเรื่อง ฟิคเรื่องนี้มิได้มีเจตนาดูหมิ่นใดๆ แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วยขอรับ
รศ. 100 ( พ.ศ. 2424 ) สยามประเทศ ในตอนนี้นับว่าเป็นปีที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมากที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า การกสิกรรม ไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดิน อยู่อย่างสงบ สยามประเทศเปิดการค้าขายกับนานาประเทศ จากแรกเริ่มที่มีเพียงเพื่อนบ้านใกล้เคียง เมื่อเปิดการค้าก็มีสำเภาใหญ่น้อย ขนสินค้าเข้ามาแลกเปลี่ยน อีกสิ่งที่เข้ามาพร้อมการค้านั่นก็คือ พ่อค้า วานิช กุลีแบกหาม ที่ติดเรือสำเภาเข้ามาทำงานหาเลียงชีพ
สำเภาจีนเป็นเรือสินค้าที่เข้ามาทำการแลกเปลี่ยน ซื้อ ขาย กับสยามมาช้านาน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชุมชนชาวจีนจะมีมากในสยามประเทศ แม้ว่าชาวจีนจะเข้ามาทำการค้ากับสยามประเทศ แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่เข้ามาเพื่อตั้งรกราก ประกอบอาชีพ มิได้มาเพื่อค้าขายแต่เพียงอย่างเดียว
ในเพิงพักหลังเล็กเกินกว่าจะเรียกได้ว่าบ้าน แต่กลับมีผู้อยู่อาศัยเกือบสิบคน ทั้งเด็กเล็กๆที่ยังแบเบาะ เด็กเล็กที่โตขึ้นมาอีกนิดหน่อย เด็กที่พอเดินได้เตาะแตะ เด็กโตที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง เด็กโตที่พอจะอุ้มน้องน้อยได้ เด็กโตที่พอจะช่วยเหลืองานบ้านได้ และที่โตสุดน่าจะไม่ 14 ปี
“ อาตี๋ใหญ่ อั๊วอยากให้ลื้อช่วยอั๊วกับแม่ลื้อจะได้ไหม ”
เสียงของชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นเมื่อเข้ามาในเพิงพักหลังเล็ก เอ่ยปากกับเด็กน้อยที่ดูโตสุดในบรรดาเด็กๆที่อยู่ในเพิงพัก
“ อาปามีอะไรให้กระผมช่วยหรือขอรับ ”
เด็กน้อยตัวผอม ผิวขาว แต่คล้ำแดด วางผ้าห่มผืนเล็กบนตัวน้องน้อย ที่ตนเห่กล่อมจนหลับ ก่อนจะเอ่ยถามผู้เป็นบิดา
“ ตี๋ใหญ่ ลื้อรู้ใช่ไหมว่า อีกไม่นานอาพลู แม่ลื้อก็จะคลอดน้องลื้อที่อยู่ในท้องอี อีกคน ”
ผู้เป็นบิดาเริ่มเกริ่นเรื่อง เด็กน้อยที่นั่งฟังก็พยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่บิดากำลังพูดถึง ว่าครอบครัวของตนกำลังจะมีอีกหนึ่งชีวิตที่จะลืมตาดูโลกในไม่ช้า ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเอ่ยต่อ
“ อั๊วก็ไม่อยากจะทำแบบนี้ แม่ลื้อเองก็ค้าน แต่ความจริงมันก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ว่า บ้านเรามีอัฐไม่พอที่จะเลี้ยงลูกๆ ได้ทุกคน เฮ้อ.......”
ผู้เป็นพ่อพูดความในใจ ก่อนจะถอนหายใจยาว เหมือนต้องใช้ความพยายาม ข่มความลำบากใจอย่างมากในการพูดในครั้งนี้ แต่คนเป็นลูกก็อดทนรอพ่อพูดต่อ
“ อั๊วอยากจะขอให้ลื้อขายตัว อั๊วก็ไม่อยากจะทำแต่....... ”
“ กระผมเข้าใจขอรับอาปา อาปาไม่ต้องกังวลใจ อย่างน้อยถ้าอาปาพากระผมไปขายตัว บ้านเราก็น่าจะพอมีอัฐเพิ่มอีกสักนิด ”
เด็กชายเอ่ยขัดบิดา เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของผู้เป็นพ่อ เขาเข้าใจฐานะของบ้านตนเองดี ตัวเขาเองนั้นยังมิได้โตมากพอจะหาอัฐได้ ถึงแม้อายุจะพอจะทำงานได้แล้วก็ตาม แต่ด้วยร่างกายของเขานั้นเล็กกว่าเด็กในวัยเดียวกันอยู่มาก เนื่องจากการกินอยู่ไม่ได้สมบูรณ์มากนัก เมื่อออกไปขอทำงานแลกเบี้ย อัฐ ก็ไม่มีนายเงินอยากจะเรียกใช้ เขาจึงทำได้เพียงช่วยแม่เลี้ยงน้องๆ และปลูกข้าว ปลูกผัก หาปลา ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ก็เท่านั้น ครั้งหนึ่งเขาเคยขอออกไปช่วยพ่อ ซึ่งเป็นกุลีอยู่ที่เรือสำเภา แต่เมื่อนายเงินมาเห็นเข้า ก็ไล่ออกมา เพราะเห็นว่าตัวเขาเล็ก ไม่คุ้มกับเบี้ยที่ต้องจ่ายให้ ทำให้เบี้ยที่หาได้มาจากบิดาเพียงคนเดียว ซึ่งมันก็ไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดู 9 ชีวิต และ อีกไม่กี่เพลา น้องเล็กในท้องแม่ก็คงจะคลอดออกมาอีก 1 คน
“ อั๊วไม่อยากทำเลยอาตี๋ อั๊วคงเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้ ”
“ กระผมมิเป็นใดดอกขอรับอาปา ”
เด็กชายเอ่ยปลอบใจบิดา ที่สีหน้าเศร้าหมอง และลำบากใจกับเรื่องที่ต้องตัดสินใจในครานี้ แต่ถ้าการที่ตนเองต้องขายตัวออกไปแล้วนั้น ทำให้อาปา แม่ และน้องๆ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แม้เพียงสักนิดตนเองก็พอใจแล้ว
“ อาปาจะพากระผมไปที่เรือนใดฤาขอรับ ”
เด็กชายถามพ่อของตน ตนเองเผื่อใจไว้แล้ว และก็คิดเอาไว้บ้างเช่นกันว่า หากตนเองสามารถหาเบี้ย อัฐได้ ไม่ว่าทางใด ตนเองก็อยากจะทำ และในครั้งนี้ ที่พ่อเอ่ยปากขอตนนั้น ไม่ได้เหนือจากที่ตนเองเคยคิดเอาไว้มากเท่าใดนัก เพราะเขาคิดเอาไว้ว่า หากแม่คลอดน้อง เขาก็จะช่วยแม่ดูแลน้องอีกสักระยะ ซึ่งตอนนั้นตนเองก็น่าจะพอขายตนได้ ตนก็อยากจะขายตัวเพื่อนำเงินมาให้อาปากับแม่
“ ลื้อไม่โกรธอั๊วนะอาตี๋ใหญ่ ”
ผู้เป็นพ่อยังไม่คลายใจ แม้ว่าลูกชายจะมิได้โวยวาย หรือต่อต้าน คนเป็นพ่อ แม่ หากเลือกได้ก็มิอยากจะขายลูกตนเองหรอก
“ กระผมจะโกรธอาปาทำไมกัน นี่มันก็เป็นสิ่งที่กระผมคิดไว้บ้างเหมือนกันว่า เมื่อแม่คลอดน้องสักระยะ กระผมก็จะขอให้อาปาพาไปหานายเงินขอรับ ”
เด็กชายบอกให้พ่อตนคลายใจ ว่ามิได้บังคับขืนใจตนเองแต่อย่างใด ตนเองนั้นเต็มใจที่จะทำจริงๆ
“ อั๊วบอกลื้อไว้ก่อน เดี๋ยวอาพลูมาอีก็ร้องไห้อีก อั๊วก็ไม่อยากจะคุยตอนอีอยู่ด้วย ลื้อเข้าใจใช่ไหม ”
พ่อเด็กชายว่า ตนมาคุยกับลูกชายคนโตเพียงลำพัง ไม่ได้บอกภรรยา แม้ว่าจะรู้กันอยู่ก่อนแล้ว แต่หากต้องคุยกันต่อหน้าคนเป็นแม่ มันก็ยากที่แม่จะอยากให้ลูกไป แม้จะเข้าใจก็ตาม
“ อั๊วจะพาลื้อไปเรือนพระยาทิพยโอสถ ท่านพระยาแลเป็นคนดี มีเมตตา ชาวบ้านเขาคุยกันว่า ท่านช่วยเหลือคนยาก ใครเจ็บป่วยท่านก็ให้เบี้ย ให้ยา ท่านน่าจะช่วยเหลือ ”
“ แล้วอาปาจะไปเมื่อใดขอรับ ”
เด็กชายเอ่ยถาม เมื่อผู้เป็นพ่อพูดจบ เขาไม่ได้รู้เรื่องเหล่านี้มากนัก เพราะวันๆหนึ่งก็อยู่แค่ทุ่งนา ริมหนอง หาผัก หาปลา มิได้รู้ว่าบ้านไหน เรือนใด ดีหรือร้าย
“ คงเป็นวันรุ่งนั่นล่ะ แต่ก็ต้องหลังจากอาพลูอีออกไปนาเสียก่อน อั๊วไม่อยากให้อีรู้ตอนนี้ ถึงอีจะรู้บ้าง แต่ก็ใช่จะเห็นด้วย ลื้อก็เอาน้องเข้านอนแล้ว ออกมาเจออั๊วที่ชายทุ่งแล้วกัน ”
“ กระผมเข้าใจแล้วขอรับ ”
เด็กชายตอบรับ แม้จะเผื่อใจไว้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ นี่เขาจะไม่ได้ช่วยแม่เลี้ยงเจ้าตัวน้อยๆ พวกนั้นอีกแล้ว อีกทั้งเจ้าตัวที่อยู่ในครรภ์ของแม่ เขาคงไม่ได้เห็นว่าจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย แต่เขาก็ไม่ได้เสียใจอะไรมากมาย อย่างน้อยๆ พรุ่งนี้อาปาก็จะได้เบี้ย อัฐ น้องๆก็จะได้กินอิ่มมากกกว่าเดิม
เรือนไทยหลังงามที่อยู่เบื้องหน้า เป็นที่น่าตื่นตาสำหรับเด็กน้อยเป็นอย่างมาก เนื่องจากเจ้าตัวมิเคยได้ไปไหน ที่เคยไปก็มีแค่ริมทุ่ง ท้องนา ลำคลอง หรืออย่างมากก็ท่าเรือที่ไปช่วยงานผู้เป็นพ่อเท่านั้น มิได้เคยเข้ามากลางเมืองเลยสักครั้ง ทุกสิ่งอย่างที่ผ่านตาล้วนแล้วแต่เป็นของแปลกตาสำหรับตนเองเป็นอย่างมาก
ชายชาวจีนพาลูกชายคนโตเดินมาจนถึงเขตเรือนใหญ่เบื้องหน้า ชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่หน้าบานประตูรั้วจึงเอ่ยถามความตามหน้าที่
“ เจ้าสองคนจะไปไหนกัน ”
“ อั๊ว เอ่อ กระผมมาพบท่านพระยาขอรับ ”
ชายจีนกล่าวตอบตามความเคยชิน ก่อนจะรีบเปลี่ยนคำให้ดูสุภาพกว่าเดิม
“ มีการอันใดต้องพบท่านพระยา ท่านพระยากำลังพักผ่อนอยู่ มิควรจะกวนใจ ”
ชายร่างใหญ่ผู้ดูแลประตูบอกเป็นกลายๆ ว่าไม่อนุญาตให้เข้ามาในเขตเรือนหลังงามด้านหลังที่ตนเองยืนยามอยู่
“ อ่า...กระผมจะพาลูกชายมาฝากตัวขอรับ ช่วยเมตตาพวกเราเถิดขอรับ ”
ชายชายจีน และเด็กชายยกมือไหว้ชายหนุ่มเบื้องหน้า อย่างไงเสียวันนี้เขามาแล้วจะให้เสียทีมิได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องได้พบใครบ้าง
“ เอาเถิดๆ ไม่ต้องไหว้ข้าดอก ข้าก็เป็นขี้ข้าเขาเหมือนกัน ข้าจะไปเรียนท่านให้ แต่ความว่าอย่างไร ก็แล้วแต่บุญ กรรมของเอ็งแล้ว ”
“ ขอบคุณขอรับพี่ชาย ”
เด็กชายยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้งก่อนที่ชายหนุ่มร่างใหญ่เดินหายเข้าไปในรั้วเรือนหลังงาม เด็กชายมองตามหลังไปอย่างมีความหวัง
ผ่านไปพักใหญ่ จนคนที่คอยเกือบจะท้อ ชายหนุ่มคนเดิมที่เดินไปแจ้งความก็กลับออกมา พร้อมบอกให้เพื่อนของคนที่ยืนขวางประตูเปิดทางให้ทั้งคู่เข้ามา เด็กชายและบิดาเดินตามชายคนเดิมมาจนถึงศาลาขนาดย่อม ข้างเรือนใหญ่ เด็กชายเหลียวมองรอบตัวอย่างสนใจ
“ กราบท่านพระยากับคุณหญิงท่านเสียพวกเอ็ง ”
ชายหนุ่มที่นำทางบอกกับสองพ่อลูก ที่ดูเหมือนจะยังมิรู้ความการเข้าหาผู้ใหญ่ เด็กชายตัวเล็กนั่นมิเท่าใด ออกจะเรียบร้อยอยู่มาก แต่ชายกลางคนดูจะไม่คุ้นชินมากนัก
“ มิเป็นใดดอกไอ้ผิน ข้ามิถือความ แล้วมาหาข้านี่มีอะไรรึ”
ผู้เป็นใหญ่ในบ้านเอ่ยขึ้น ชายกลางคนท่าทางมีสง่านั่งอยู่ฟูก ด้านหน้ามีตั่งตัวเล็กวางพานหมากพลู ข้างขวาเป็นหญิงสาวที่ดูมีอายุ แต่น้อยกว่าเจ้าของเรือน นุ่งโจงห่มสไบสีเหลืองไข่ ดวงหน้างดงาม แม้จะดูมีอายุแล้วก็ตาม ส่วนด้านซ้ายเป็นหญิงสาวที่อายุพอสมควร แต่งเติมหน้าด้วยชาดสีแดง นุ่งโจง ห่มสไบสีแดงเลือดนก แม้จะดูงาม แต่ก็มิเท่าคนแรก
“ อั๊ว....เอ่อ กระผมเอาลูกชายมาฝากตัวขอรับท่าน ”
พ่อของเด็กชายแจ้งความต้องการ พร้อมกับเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อให้ผู้ที่ตนกำลังสนทนาด้วยเห็นบุตรชายที่พูดถึง
“ อย่างนั้นรึ อายุเท่าใดกัน ดูยังเล็กนัก ”
“ ย่าง 14 แล้วขอรับ อาตี๋ใหญ่อีเก่งนะขอรับ เห็นตัวเล็กๆอย่างนี้ แต่ทำทำงานได้หลายอย่าง จะทำนา หาปลา หรือเก็บผัก หุงหาอาหาร อีก็พอทำได้ขอรับ อีไม่เกี่ยงงาน ไม่เกียจคร้านดอกขอรับ ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านพระยาเอ่ยถาม ด้วยความที่กลัวว่าท่านจะมิรับบุตรชายของตน ชาวชายจีนจึงรีบบอกถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มทำได้
ท่านพระยาที่ได้ฟังยิ่งสิ่งที่ชายตรงหน้าพูด ก็มิได้ว่ากระไร เพียงแค่เอ่ยถามต่อถึงสิ่งที่คนทั้งคู่เบื้องหน้ายังมิได้บอกแก่ตน อาจเป็นเพราะกลัว หรือจะเกรง ก็มิทราบได้
“ ไม่ต้องรีบพูดไปดอก ข้ายังมิว่ากระไร ข้าแค่อยากรู้อายุ เห็นตัวเล็กนัก ว่าแต่เจ้ากับลูกเจ้าชื่อว่ากระไรกัน ยังมิบอกชื่อข้า แต่จะยกเขาให้ข้า เช่นนี้คงไม่งามกระมัง ”
คนเป็นพ่อเมื่อฟังคำของท่านพระยาจบก็สะดุ้งตกใจ เพราะจริงอย่างท่านว่า ตนกับบุตรชายยังมิได้บอกชื่อเรียกขาน เช่นนี้ใครเขาจะเอา มาถึงก็จะขอความช่วยเหลือ แต่มิบอกว่าตนเป็นใคร
“ อั๊ว...เอ่อ กระผมชื่อเล้งขอรับ เป็นกุลีจีนอยู่ที่ท่าน้ำในตลาด ส่วนอาตี๋นี่เป็นลุกชายของกระผมขอรับ กระผมเรียกอีว่าอาตี๋ใหญ่ขอรับ ”
ท่านพระยาพยักหน้ารับคำ ไม่ถือสากับท่าทางลุกลี้ ลุกลน ของชายจีน แต่เมื่อมองไปยังลุกชายที่ชายจีนพูดถึง เด็กชายแม้จะตัวเล็ก แต่นั่งอย่างสงบ ไม่ได้มีอาการตื่นตระหนก คงเพราะได้รับการสั่งสอนเรื่องกิริยามารยาทมาบ้าง
“ เอ็งจะเอาลูกมาขายก็พูดออกมาให้สิ้นความ ไยต้องอ้อมค้อม แหมเอาลูกมาฝากตัว เรือนท่านพระยามิใช่โรงทาน... ”
“ แม่แย้ม พูดกระไรเยี่ยงนี้ ”
หญิงสาวด้านซ้ายมือของท่านพระยาว่าขึ้น แววตาที่มองคนทั้งคู่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ฉายแววเหยียดเย้ย ทั้งคำพูดก็ถากถางมิแพ้กัน แต่ก่อนจะได้กล่าวไปมากกว่านี้ หญิงสาวอีกคนก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ พี่หญิงก็เห็นอยู่ว่ามันจะลูกมาขายให้คุณพี่ เหตุใดต้องมากความ ”
หญิงสาวด้านซ้ายว่าขึ้นอย่างไม่พอใจนักที่โดนตำหนิ แต่ก่อนจะได้เอ่ยอะไรมากไปกว่าเดิม ท่านพระยาก็ยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ อายุย่าง 14 แล้วรึ เอาเถอะๆ อาเล้ง ข้าตกลงจะรับไว้..... ”
“ คุณพี่เรือนเรามีบ่าวไพร่ตั้งมากมาย จะรับมาให้เปลืองข้าว เปลืองอัฐอีกทำไมเจ้าคะ ”
“ เอาน่าแม่แย้ม เรือนเรามีบ่าวมากก็จริงอยู่ จะเพิ่มมาอีกสักคน คงเปลืองขึ้นเท่าใดดอก อีกอย่างดูหน่วยก้านแล้ว ข้าเห็นว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับเราได้ เจ้าเห็นว่าอย่างไร่เล่าแม่พิม ”
ท่านพระยาคุยกับนายเล้ง คุณหญิงแย้มดูจะไม่ชอบใจนักจึงขัดขึ้น แต่ท่านพระยาก็ตกลงใจจะรับไว้แล้ว แต่ท่านก็ยังหันมาถามคุณหญิงด้านขวาด้วยเช่นกัน
“ น้องคิดว่า รับไว้ก็เหมาะเจ้าค่ะ ดูท่าทางจะเรียบร้อย ว่านอน สอนง่ายอยู่ อีกอย่าง น้องคิดว่ารับมาเป็นบ่าวรับใช้ของพ่อเต้ก็คงดี เพราะบ่าวในเรือนเราก็มีแต่อายุห่างกับพ่อเต้จนเกินไป มิสะดวกนัก เด็กน้อยนี่อายุก็ไม่ห่างมากนัก น้องเห็นด้วยกับคุณพี่เจ้าค่ะ แม่แย้มเล่า คราก่อนยังบ่นอยู่มิใช่รึว่าอยากให้พ่อเต้มีบ่าวรับใช้ส่วนตัว ”
คุณหญิงพิมตอบท่านพระยา เธอเองเห็นด้วยกับผู้เป็นสามี ที่จะรับเด็กน้อยแววตาซื่อๆ คนนี้ไว้ เพราะดูจากกิริยาท่าทางแล้ว คงจะมิได้กระโดก กระเดกเยี่ยงเด็กวัยเดียวกัน ให้หัวหน้าบ่าวในเรือนสอนเพิ่มอีกสักหน่อยก็คงจะเป็นบ่าวรับใช้ส่วนตัวของบุตรชายของท่านพระยาได้ แต่คุณหญิงเองก็ยังให้เกียรติคุณหญิงแย้ม ผู้ซึ่งเป็นมารดาของบุตรชายอยู่
“ ถ้าคุณพี่เห็นว่าสมควร น้องก็มิมีอันใดจะขัดเจ้าค่ะ ”
คุณหญิงแย้มกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม เพราะอย่างน้อยๆ เธอก็มีส่วนในการตัดสินใจครั้งนี้ และเธอก็ต้องการหาบ่าวส่วนตัวให้บุตรชายอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะอย่างนั้นก็ใช่จะเสียเรื่องไปทั้งหมด
“ อย่างนั้นก็ดี ข้าตกลงรับเจ้าตี๋นี่ไว้ เรียกว่าตี๋ได้ใช่ไหม ไอ้ขำ เอ็งไปดูสิว่าพ่อเต้อยู่ที่ใด หากพบแล้วก็บอกพ่อเต้ว่าข้าเรียกหา ส่วนเอ็งนายเล้ง เอ็งตามไอ้มั่นไป เรื่องค่าตัวทาสข้าให้มันเป็นคนจัดการ ”
ท่านพระยาพยักหน้ารับเมื่อเห็นว่าจบเรื่อง ก่อนจะสั่งบ่าวที่นั่งอยู่คนหนึ่งไปตามบุตรชาย และสั่งให้นายมั่นซึ่งเป็นหัวหน้าทาสชาย ซึ่งตนเองเป็นคนให้จัดการเรื่อง เบี้ย อัฐ ค่าตัวของทาสที่รับเข้ามาใหม่
“ ขอบคุณขอรับท่านพระยา ขอบคุณขอรับ อาตี๋ใหญ่ อยู่บ้านท่านก็ทำตัวให้ท่านเอ็นดู อย่าเกียจคร้าน หากมีอัฐเมื่อใด อั๊วจะมาไถ่ตัวลื้อ ”
นายเล้งสั่งสอนลูกชายอีกครั้ง เด็กชายกอดผู้เป็นพ่อ น้ำตาหยดใสๆ ไหลรินเงียบๆ เป็นภาพที่สะเทือนใจคนมองไม่น้อย แต่เมื่อเลือกแล้ว ก็ต้องยอมรับ
“ กระผมจะตั้งใจทำงานมิให้ท่านลำบากใจขอรับอาปา กระผมฝากแม่กับน้องๆด้วยนะขอรับ ”
เด็กชายเอ่ยฝากน้องๆ และมารดากับพ่ออีกครั้ง ก่อนที่นายมั่นจะพานายเล้งเดินออกไป ซึ่งเด็กชายก็มองตามหลังบิดาจนลับสายตา
“ เจ้าคุณพ่อเรียกหาลูกหรือขอรับ ”
ผู้เดินเข้ามาในศาลาเป็นเด็กหนุ่ม นุ่งโจง สวมเสื้อแขนกระบอก เอ่ยถามผู้เป็นพ่อหลังจากเข้ามานั่งในศาลาเรียบร้อยแล้ว
“ ใช่แล้วพ่อเต้ พ่อเห็นว่าเจ้าจักเข้ารับราชการ ก็น่าจะมีบ่าวรับใช้ส่วนตัว คราก่อนเจ้าบอกพ่อว่า บ่าวที่มีอยู่อายุห่างกับลูกเกิน พอเหมาะ พอดีว่าวันนี้มีกุลีจีนพาลูกมาฝาก พ่อเห็นว่าอายุมันไม่ห่างลูกมากนัก จึงอยากมันคอยรับใช้ลูก ลูกเห็นเป็นประการใด ”
ท่านพระยาเอ่ยถามบุตรชายคนโต ซึ่งคราหนึ่งตนเคยให้บ่าวชายคอยช่วยงานบุตรชาย ที่เพิ่งเข้ามาเรียนรู้งาน แต่บุตรของตนนั้นไม่ขอรับจากเหตุผลที่ว่า บ่าวที่ให้ไปติดตามรับใช้นั้นอายุห่างจากตนเองเกินไป
“ หากเจ้าคุณพ่อเห็นว่าเหมาะ ลูกก็ไม่ขัดข้องขอรับ ลูกจะรับไว้ตามที่เจ้าคุณพ่อเห็นสมควร หากแต่เมื่อใดที่ลูกรู้สึกว่ามันไม่สามารถช่วยงานลูกได้ ลูกก็ขอคืนบ่าวผผู้นั้นกลับไปนะขอรับ ”
คุณเต้เหลือบมองบ่าวที่เจ้าคุณพ่อพูดถึง เด็กชายตัวเล็ก ผิวคล้ำแดด นุ่งเตี่ยวสีซีดผืนเดียว นั่งก้มหมอบอยู่กับพื้น ก่อนตอบรับความหวังดีของเจ้าคุณพ่อ แม้ว่าตัวเองนั้นมิได้ต้องการจะมีบ่าวรับใช้ส่วนตัว เพราะมิอยากให้ใครมาวุ่นวาย ด้วยนิสัยรักความเป็นส่วนตัว แต่ก็มิอาจจะขัดความหวังดีของเจ้าคุณพ่อ แลรวมไปถึงคุณหญิงแม่ที่เคยเปรยๆ เรื่องนี้มาก่อนหน้า จึงแบ่งรับ แบ่งสู้ไปก่อน ให้ผ่านไปสักพักค่อยขอคืนตัวบ่าวคนนี้กลับไปให้เรือนใหญ่
“ เอาเถิดพ่อเต้ หากต่อไปลูกคิดว่า ไอ้บ่าวคนนี้มันไม่ดี ลูกจะคืนเรือนใหญ่พ่อก็มิขัด แค่พ่อ แม่โหญ่ แลแม่เล็ก ก็อยากให้ลูกมีบ่าวรับใช้ คอยช่วยงานบ้าง ”
ท่านพระยาทราบดีว่า บุตรชายมิได้ชอบให้มีบ่าวรับใช้ใกล้ชิด เพราะรักความเป็นส่วนตัว แต่เพราะคุณหญิงแย้มเอ่ยขอ อีกครั้งคุณญิงพิมก็เห็นด้วย ที่บุตรชายคนโต ซึ่งเริ่มเรียนรู้งานในกรม ควรจะมีบ่าวไว้รับใช้
“ แล้วมันชื่อกระไรรึ เจ้าคุณพ่อ เจ้าเองก็เช่นกันนั่งก้มหน้า ก้มตา ข้าจะเห็นได้อย่างไร ”
คุณเต้ถามชื่อของบ่าวคนใหม่ที่เจ้าคุณพ่อยกให้ ก่อนจะหันมาดุเด็กชาที่นั่งหมอบก้มหน้า ไม่กล้าสู้สายตาอยู่ที่พื้น ทำให้เด็กชายสะดุ้ง รีบเงยหน้าขึ้นตอบคำถามนั้นอย่างตกใจ
“ กระผมชื่อตี๋ใหญ่ขอรับ........ ”
******************************************

พี่เต้ และน้องตี๋ได้เจอกันแล้วนะขอรับ แม้ว่าจะยังมิได้คุยกันตรงๆ ยังไม่ได้มองหน้ากันเต็มตา เนื่องจากน้องตี๋นั่งก้มหน้า ไม่กล้าสู้สายตาพี่เต้ แต่ตอนต่อไป คงได้ใกล้ชิดกันแล้ว คงได้มองกันแบบ ตามองตา แล้วพี่เต้จะหาทางส่งน้องคืนเรือนใหญ่ หรือจะเก็บน้องไว้ข้างตัวกันแน่ รบกวนติดตามตอนต่อไปขอรับ
********************************************
อธิบายเพิ่มหลังฉาก
ตัวละครในตอน
1. นายเล้ง กุลีจีน ชายชาวจีนที่อพยพมาพึ่งพระเมตตาในสยามประเทศ แต่งงานกับหญิงไทย มีบุตร – ธิดา 8 คน รวมคนที่ยังอยู่ในครรภ์
2. นางพลู (มาแต่ชื่อ) หญิงไทยที่แต่งงานกับนายเล้ง เป็นแม่บ้าน แม่เรือนเฉกเช่นหญิงไหย แม้ไม่อยากจะให้สามีเอาลูกชายไปขาย แต่ก็มิอาจขัดได้
3. พระยาทิพยโอสถ นายเงินที่นายเล้งนำบุตรชายมาขาย ขุนนางดูแลเรื่องยา มีความรู้ด้านยาสมุนไพร รวมด้านการรักษาพยาบาล เนื่องด้วยสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ มีภรรยาหลายคน แต่ก็รักและเกรงใจคุณหญิงพิมอยู่มาก
4. คุณหญิงพิม ภรรยาหลวง เป็นคนใจดี มีเมตตาต่อบ่าวไพร่ มีคุณธรรม แม้มิได้อยากให้สามีมีภรรยาน้อย แต่ก็มิอาจจะขัดได้ เนื่องจากตนเองไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อีก เคยตั้งครรภ์ แต่แท้งเสียก่อน เนื่องจาก อาการเจ็บป่วย จนไม่สามารถมีบุตรได้อีก จึงรักบุตร – ธิดา ของสามีหุกคนเหมือนเช่นบุตรของตน โดยเฉพาะบุตรชายตนโตของท่านพระยา
5. คุณหญิงแย้ม ภรรยาคนที่สองของพระยาทิพยโอสถ บุตรสาวคหบดีที่ถูกผู้เป็นบิดายกให้ตกแต่งเข้าเรือนพระยาทิพยโอสถ เพื่อยกระดับตนเอง และขยายพื้นที่ค้าขาย คุณหญิงแย้มเป็นมารดาของบุตรชายตนโตของท่านพระยา และเป็นอีกคนที่มีอำนาจรองจากคุณหญิงแย้ม เป็นคนที่เหยียดคนที่ด้อยกว่า แม้ว่าภรรยาคนอื่นๆ จะมิชอบใจคุณหญิงแย้ม แต่ก็มิอาจสู้อำนาจของคุณหญิงแย้มได้
6. อาตี๋ใหญ่ หรือตี๋ บุตรชายคนโตของนายเล้ง ถูกพ่อนำมาขายตัวเป็นทาส แม้จะมิได้ขัดขืน และยอมรับต่อสิ่งที่เป็น เพราะอยากให้แม่และน้องๆ ได้กินอิ่ม เด็กน้อยเรียบร้อย เนื่องจากจากอยู่กับผู้เป็นแม่ และเลี้ยงน้องๆ ใจเย็น อ่อนโอน แต่ก็เข้มแข็ง
7. คุณเต้ บุตรชายคนโตของท่านพระยาทิพยโอสถ และคุณหญิงแย้ม รักสันโดด ตวามเป็นส่วนตัว แต่ดูโตเกินอายุ เนื่องจากเป็นพี่ชายคนโต เริ่มเข้ามาเรียนรู้งานด้านการแพทย์ และพยาบาล เป็นคนสุขุม มีเหตุผล เป็นที่รักของบ่าวไพร่ นิสัยนั้นต่างจากผู้เป็นมารดาเป็นอย่างมาก หากไม่มีใครรู้มาก่อน คงคิดว่าคุณเต้เป็นบุตรชายของคุณหญิงพิม กับท่านพระยามากกว่าจะเป็นคุณหญิงแย้ม
************************************************
ตัวอย่างตอน แรกพบ สบตา
‘ เหตุใดคุณเต้ต้องจ้องมองบ่าวขนาดนั้นขอรับ ’
‘ หากข้าไม่ดูใกล้ๆ จะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่เอ็งกำลังทำนั้น ถูกใจข้าฤาไม่ ’
‘ ตี๋ ข้าอยากไปเดินเล่น เอ็งไปเดินเล่นเพื่อนข้าได้ฤาไม่ ’
‘ ตี๋เอ็งเห็นพระจันทร์นั่นไหม จันทร์ว่างาม แต่คนที่อยู่ข้างข้าก็งามไม่แพ้จันทร์ ’
.....................ด้วยใจภักดิ์.......................
…..Mariner_IX….
ปัจฉิมลิขิต
ดูเหมือนคุณเต้จะไม่อยากได้น้องตี๋ มีแอบคิดในใจหาวิธีไล่กลับ แต่ต้องรอดูต่อไปขอรับ
รบกวนเข้ามาชมด้วยขอรับ


ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
..........แรกพบ สบตา..........

 (ตอนที่ 2)

   คุณเต้ บุตรชายคนโตของท่านพระยาทิพยโอสถ กับคุณหญิงแย้ม อายุย่าง 18 ปี กำลังศึกษางานด้านการแพทย์ กับหมอชาวต่างชาติ ตัวเขาเองชอบความสันโดษ จึงขอเจ้าคุณพ่อย้ายออกมาอยู่ที่เรือนริมน้ำ ซึ่งเป็นเรือนหลังเล็กแยกออกจากเรือนใหญ่ แต่ถึงแม้ว่าเจ้าคุณพ่อ แม่ใหญ่ แม่เล็ก จะยอมให้เขาย้ายออกมาคนเดียว แต่ก็อยากให้เขามีบ่าวไว้เรียกใช้ แต่ด้วยความที่ต้องการจะอยู่คนเดียว จึงมิยอมรับใครมาเป็นบ่าวประจำเรือน

   หลายครั้งที่คุณหญิงแย้ม พยายามจะส่งบ่าวของตนเองมาให้บุตรชาย แต่ก็โดนคุณเต้ส่งคืนเสียทุกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ต่างกันออกไป สุดท้ายคุณหญิงแย้มต้องมาขอความช่วยเหลือจากคุณหญิงพิม แม้ไม่ค่อยอยากจะทำ แต่ก็ไม่อยากให้ลูกชายลำบากที่ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีบ่าวไว้เรียกใช้ คุณหญิงพิมก็เห็นดีด้วยว่าอย่างน้อย คุณเต้ก็น่าจะมีบ่าวไว้เรียกใช้บ้าง สุดท้ายก็มาจบที่ท่านพระยา แต่ก็โดนคุณเต้ปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า บ่าวที่ส่งมานั้นอายุห่างจากตนมากเกินไป

   “ กระผมชื่อตี๋ใหญ่ขอรับ หรือจะเรียกว่าตี๋ก็ได้ขอรับ ”

   เด็กชายลูกครึ่งจีนบอกชื่อของตนกับนายคนใหม่ ที่ตนจะต้องไปรับใช้ เท่าที่ฟังเมื่อครู่ คุณเต้ผู้ซึ่งจะเป็นนายของตนนั้น ดูจะไม่อยากรับบ่าวรับใช้เท่าใดนัก แต่ตนก็จะทำหน้าที่ของตนให้ดี ให้สมกับที่ได้รับความไว้ใจ

   “ มันชื่อตี๋ พ่อเรียกลูกมาบอกไว้ก่อน แต่ก่อนที่มันจะไปรับใช้ลูก พ่อจะให้ไอ้มั่นมันดูแล สั่งสอนสักเพลาหนึ่งก่อน มันจะได้ไม่ไปทำอะไรให้ขัดตาลูก ”

   “ ท่านพ่อเห็นว่ากระไรลูกก็มิขัดดอกขอรับ ให้เจ้ามั่นบอกเรื่องที่ควร หรือไม่ควร ลูกไม่อยากให้มันไม่รู้ความ ว่าลูกไม่ชอบสิ่งใด เย็นนี้ก็ให้นายมั่นพามันไปที่เรือนริมน้ำแล้วกันขอรับท่านพ่อ ”

   คุณเต้ตอบบิดา เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อย เมื่อได้สบตา แววตาซื่อๆ ยอมรับในชะตาที่ถูกขาย แต่ก็แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น กริยาที่นั่งอย่างสงบผิดกับลูกเจ็ก ลูกจีนที่เขาเคยเห็น ดวงตากลมใส ไร้แววอยากได้อยากมี ทะเยอทะยาน ต่างจากคนที่คุณหญิงแย้มส่งมา แววตาของคนที่ยอมรับพร้อมจะเชื่อฟัง ดูคล้ายจะอ่อนแอ แต่ก็แลดูเข้มแข็งในแบบของตัวเอง

   “ หากท่านพ่อไม่มีอะไรแล้วลูกขอตัวก่อนขอรับ เมื่อครู่อ่านตำราฝรั่งค้างไว้ ”

   “ เอาเถอะ ไม่มีกระไรแล้วล่ะ แต่ลูกจะให้ไอ้ตี๋ไปรับใช้ลูกวันนี้เลยรึ มันจะรู้ความได้เท่าใดเชียว แต่ก็เอาเถิดพ่อจะกำชับไอ้มั่นให้มันสอนให้ถี่ถ้วน จะได้ไม่กวนใจลูก ลูกจะกลับไปอ่านตำราฝรั่งต่อก็ไปเถอะ ”

   แม้ท่านพระยาจะไม่เห็นด้วยนักที่จะให้ทาสใหม่ไปรับใช้บุตรชายที่รักสันโดษในวันแรกที่รับเข้ามา เพราะมันยังไม่รู้กฎ ระเบียบ หรือความชอบ ไม่ชอบ ของเจ้านาย ซึ่งมันอาจจะกลายเป็นเรื่องกวนใจไปแทน แต่ด้วยรู้นิสัยของลูกอยู่พอควร แม้ว่าบุตรชายจะยอมรับบ่าวไว้ก็จริง แต่ก็มักจะหาทางส่งคืนมาอย่างนิ่มนวล ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน แต่จะว่าอย่างไรได้ ก็ต้องปล่อยไป แม้เขาจะเข้าใจว่า บุตรชายต้องการจะศึกษาตำราฝรั่งเงียบๆ แต่คนเป็นแม่ก็ไม่อยากให้ลูกลำบาก จะเรียกใช้บ่าวไพร่สักทีก็ต้องเดินมาเรือนใหญ่ ก็คงต้องกำชับไอ้มั่นให้บอกสอนเจ้าทาสใหม่นี่ให้ถี่ถ้วนอย่างที่บอกบุตรชายไป


*************************


   เรือนริมน้ำ เรือนหลังย่อมปลูกยกพื้นอยู่ริมน้ำสมชื่อ มีชานบ้านส่วนยื่นออกไปในน้ำ จะเรียกว่าเรือนแพก็มิได้ เพราะปลูกเรือนตั้งเสาบนพื้นดิน มีแค่บางส่วนที่อยู่ในน้ำ นอกจากจะมีชานยื่นไปในน้ำแล้ว ยังมีศาลาริมน้ำอีกเช่นกัน

   ตี๋ยืนมองเรือนริมน้ำด้านหน้าตนเองอย่างพิจารณา ก่อนจะเข้ามายังเรือนหลังนี้ นายมั่นหัวหน้าทาสชายเรียกตนไปสั่งสอน บอกถึงกฎ ระเบียบ สิ่งใดควร สิ่งใดมิควร บอกถึงนิสัยของเจ้าของเรือน ว่ามิใคร่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวาย ดังนั้นสิ่งที่ควรกระทำคือ หากต้องทำความสะอาดเรือน  ก็ควรเข้ามาทำตอนคุณเต้ออกมาด้านนอกแล้ว หากคุณเต้มิได้เรียกหา ก็ไม่ควรเข้ามาวุ่นวาย เพราะคุณเต้ชอบที่จักอ่านตำราเงียบๆ ไม่ชอบให้ใครเข้าไปรบกวน คนเก่าที่เคยมาอยู่ก่อนหน้า เป็นคนของคุณหญิงแย้ม เข้ามาวุ่นวายกับคุณเต้จนเกินไป เพราะเป็นคำสั่งของคุณหญิงแย้ม จึงไม่มีใครอยู่ได้นาน

   เด็กหนุ่มที่กึ่งนั่ง กึ่งนอน อ่านตำราอยู่บนเตียงที่กลางศาลาริมน้ำ ดวงหน้าที่ตั้งใจกับสิ่งที่กำลังทำ โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ดูมีสมาธิกับสิ่งที่อ่านเป็นอย่างมาก นี่กระมังที่พี่มั่นย้ำนักหนาว่า ห้ามส่งเสียงดัง หรือรบกวนคุณเต้

   ตี๋เดินเข้ามาด้านหน้าศาลา และนั่งลงเงียบๆด้านนอก มิได้เข้ามาในศาลาที่คุณเต้อยู่แต่อย่างไร ตอนนี้ยังมิถึงเพลาอาหารเย็น ยังสามารถรอให้คุณเต้อ่านตำราต่อไปได้อีกพอควร เขาไม่กล้าเข้าไปในเรือนริมน้ำเพียงลำพัง เพราะยังไม่ได้รับคำสั่งจากเจ้าของเรือน ที่ทำได้ตอนนี้คือ นั่งรอคุณเต้เท่านั้น

   เต้แบนสายตาจากตำราเล็กน้อย เพื่อดูคนที่เดินเข้ามา แต่ก็มิได้ส่งเสียงอะไร บ่าวคนใหม่ของเขาเลือกที่จะนั่งรอเงียบๆ อยู่นอกศาลาริมน้ำ มิได้เข้ามากวนเขาแต่อย่างไร ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อยอย่างพอใจในตัวทาสคนใหม่ แต่ก็ต้องรอดูต่อไปว่าจะนั่งเงียบไปได้แค่ไหน เพราะบ่าวที่คุณหญิงแม่ส่งมาให้เขานั้น ไม่มีใครที่จะนั่งรอเงียบๆ ได้นาน มักจะเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเขามากจนเกินไป ตามคำสั่งของคุณหญิงแย้ม

   เวลาเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ จากบ่ายคล้อยจนใกล้ค่ำ คุณเต้ก็ยังมิลุกไปไหน บ่าวคนใหม่เริ่มกระวน กระวายใจ แต่ก็ยังรักษาความสงบเอาไว้ได้ ใจหนึ่งก็อยากจะเอ่ยถาม แต่อีกใจหนึ่งก็มิกล้า คนเป็นบ่าวถอนหายใจเบา ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากศาลาเรือนริมน้ำ

   คล้อยหลังของคนที่ลุกไป คนที่นั่งอ่านตำราก็เงยหน้าขึ้นมอง เขาสังเกตบ่าวคนใหม่อยู่เป็นระยะๆ แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ เพราะมัวแต่นั่งก้มหน้า ไม่มีการรบกวนเขาแต่อย่างไร นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขานึกพอใจในตัวทาสคนใหม่ ไม่ยุ่มย่าม ไม่สอดรู้ ซื่อๆ แต่ก็คงต้องรอดูต่อว่าจะดีได้สักกี่เพลา

   ด้านตี๋ที่เดินออกจากศาลาริมน้ำเนื่องจากใกล้ถึงเพลาอาหารเย็นแล้ว แต่นายคนใหม่ของตนยังมิลุกไปไหน เท่าที่นายมั่นบอกไว้ก่อนมา เจ้านายทุกคนจะรับประทานอาหารพร้อมกันบนเรือนใหญ่  แต่ส่วนมากคุณเต้จะแยกมาทานคนเดียวที่เรือนริมน้ำ นอกเสียจากท่านพระยาจะเรียกหา จึงจะมาทานพร้อมทุกคนบนเรือนใหญ่ เนื่องจากคุญเต้มิใคร่จะชอบภรรยาคนอื่นของท่านพระยาเท่าไหร่นัก

   ตี๋เดินมาถึงโรงครัวที่นายมั่นพามารู้จักไว้ก่อนหน้า เขาเดินเข้ามาหาหัวหน้าคนครัว เพื่อขอให้ช่วยจัดสำรับสำหรับคุณเต้ ซึ่งเพียงเอ่ยแจ้งความจำนง สำรับอาหารหน้าตาสวยงามก็พร้อมสรรพ เสมือนคนครัวจะรู้อยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่รอให้ใครมายกไป



   ร่างเงาที่เดินอยู่กลางทางชัดขึ้นเมื่อคนเดินใกล้เข้ามา คราแรกนั้นเขานึกว่าบ่าวคนใหม่คงจะถอดใจ แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเขาเห็นสิ่งอยู่ในมือของบ่าวคนนี้ เขาวางตำราฝรั่งในมือลง มองคนที่ถือสำรับอาหารอยู่ด้านนอกศาลา คอยให้เขาเอ่ยปากอนุญาตเจ้าตัวจึงเดินเข่าเอาสำรับมาวางที่ตั่งตัวเล็ก

   “ คุณเต้รับอาหารเย็นเลยรึไม่ขอรับ ”

   “ เอ็งวางไว้หน้าข้าเยี่ยงนี้ มิใช่บังคับให้ข้ากินเลยดอกรึ ”

   “ หาใช่ไม่ขอรับ บ่าวเพียงแต่..... ”

   “ มิต้องมากความดอก อีกประเดี๋ยวข้าจะจัดการเอง เอ็งจะไปไหนก็ไป ”

   เต้เอ่ยตัดความ เขารู้สึกชอบใจที่ได้เห็นหน้าตาตื่นตระหนกของตี๋ จึงอดไม่ได้ที่จะหยอกไปบ้าง และก็เป็นอย่างที่คิด หน้าที่ว่าตระหนกอยู่แล้วยิ่งดูตื่นตกใจไปกว่าเดิม ปากเล็กๆ นั้นอ้าๆ หุบๆ คล้ายคนนึกคำพูดไม่ออก ดวงตาซื่อๆที่เขาชอบเบิกกว้างกว่าเดิม ทั้งที่ปกติก็กลมโตอยู่แล้ว เห็นแล้วก็อยากจะแกล้งคนตรงหน้าอีก แต่ก็ต้องอดใจไว้

   “ เหตุใดเอ็งจึงยังมิไปอีก ”

   เต้ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่ตนออกปากไล่ให้ออกไป ยังมิไปไหน คนตัวเล็กเพียงแค่ถอยออกไปนั่งรอที่นอกศาลาเช่นที่รอเมื่อตอนบ่าย 

   “ บ่าวรอคุณเต้ทานอาหารก่อนขอรับ เผื่อคุณเต้จักเรียกใช้บ่าวขอรับ ”

   “ ข้าบอกให้เอ็งไป มิใช่ให้มานั่งเฝ้าข้า ”

   ตี๋ตอบคำถาม แม้จะโดนไล่ให้ไปอีกรอบ แต่เจ้าตัวก็ยังนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม ทำให้คนที่ออกปากไล่ถึงสองรอบต้องลุกออกมาจากที่นั่ง

   “ หากเอ็งยังพูดมิรู้ความเยี่ยงนี้ เราคงจักอยู่ร่วมกันมิได้ ”

   “ บ่าวต้องขออภัยขอรับ แต่หน้าที่ของบ่าวคือรอรับใช้คุณเต้ขอรับ ”

   “ แต่ข้าสั่งให้เอ็งออกไป มิได้ยินรึ ”

   ช่างเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่เสียเหลือเกินในความคิดของเต้ เขาไม่อยากให้คนตรงหน้ามานั่งรอเขา มองเขากิน เขามิใคร่จะชอบนัก แต่คนตรงหน้าดูเหมือนจะไม่เข้าใจ

   “ ไปเสีย เพลานี้เป็นมื้อเย็นของพวกบ่าวไพร่แล้ว หากเอ็งไปช้า จะมิเหลือสิ่งใดให้กิน ยิ่งเอ็งเพิ่งมาใหม่ คงมิมีใครแบ่งสำรับไว้ให้ดอก อีกอย่างข้ามิชอบให้ใครมานั่งมองข้ากิน ”

   “ มิเป็นไรดอกขอรับ อย่างน้อยก็มีข้าวเหลือ บ่าวกินกับอะไรก็ได้ขอรับ บ่าวจักไม่มองตอนคุณเต้ทานดอกขอรับ ”

   นี่เขาพูดขนาดนี้แล้วคนตรงหน้ายังมิเข้าใจอีกหรือว่า เขาอยากให้เจ้าตัวไปกินข้าว กินปลาเสียก่อน ตัวก็เล็กแค่นี้ หากไม่ไปตอนมื้ออาหาร เห็นทีจะเหลือแต่ข้าวเปล่าอย่างที่เจ้าตัวเล็กนี่ว่านั่นล่ะ แล้วเพลาใดจักตัวโตกัน แต่พูดไปก็คงเหมือนลมผ่านเข้าหูซ้าย ออกหูขวาเสียกระมัง เมื่อคนที่เหมือนจะหัวอ่อน กับดื้อด้านมิยอมฟัง ตั้งมั่นในหน้าที่เสียมากปานนี้

   “ เจ้าตี๋ เอ็งกลับที่โรงครัว บอกคนครัวให้จัดสำรับให้ข้าอีกสำรับ ”

   เมื่อไล่เยี่ยงใดก็คงไม่ไป ก็คงต้องทำเยี่ยงนี้ อย่างน้อยคนตัวเล็กก็รับคำโดยมิได้ข้องใจอันใจว่า เหตุใดเขาจึงต้องการสำรับอาหารเพิ่ม

   ตี๋รับคำคุณเต้ คิดในใจไปพลางว่า เหตุใดคุณเต้จึงต้องการสำรับเพิ่มทั้งๆที่ยังมิได้แตะต้องสำรับเดิมแม้แต่น้อย แต่ก็อีกนั่นล่ะ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอันใด ก็ใช่เรื่องที่ตนต้องมาพะวงสงสัยในเรื่องของนาย ตนมีหน้าที่รับฟัง และทำตามสิ่งที่นายสั่ง


   เวลาผ่านไปชั่วเคี้ยวหมากจืด(1) ตนตัวเล็กเดินกลับมาพร้อมสำรับอาหารปรุงใหม่ ในถ้วยเบญจรงค์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เต้วางช้อนอาหาร ตี๋เดินเข่านำสำรับอาหารชุดใหม่มาวางแทนชุดเดิมที่เต้เพิ่งวางช้อนไป
   “ ข้าอิ่มแล้ว เก็บสำรับไปเถิด ”
   “ แต่..... ”
   “ ส่วนสำรับนั้นเอ็งยกขึ้นไปบนเรือนให้ข้าแล้วกัน ”

   ยังมิทันได้พูดอะไร คุณเต้ก็สั่งความเสียก่อน แม้ตี๋จะสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็เลือกที่จักไม่ถามต่อ และทำตามคำสั่งโดยดี เต้ลอบยิ้มพอใจเมื่อเห็นตี๋ทำตามสิ่งที่ตนต้องการโดยไม่ถามสิ่งใดต่อให้มากความ

   อากาศยามใกล้ค่ำเย็นลงมากกว่าเดิม ยิ่งอยู่ริมน้ำยิ่งเย็นกว่าเรือนด้านในที่อยู่ถัดไป โดยรอบเรือนถัดออกไปนั้นจุดคบไฟส่องทางไว้ตลอดแนวทางเดิน แต่รอบเรือนริมยังมิมีใครมาจุดคบไฟ หากเป็นเพลาก่อนหน้านี้ บ่าวคนอื่นจักมากจุดคบไฟโดยรอบเรือน ส่วนตะเกียงที่อยู่บนเรือนนั้น คุณเต้จักเป็นคนจุดเอง เพราะไม่ต้องใครใครขึ้นมายุ่มย่ามบนเรือนของตน แต่เพลานี้ไม่มีบ่าวผู้ใดเลยที่มาจุดคบไฟรอบเรือนเช่นเพลาก่อน เหตุเนื่องมาจาก เพลานี้เรือนริมน้ำมีทาสใหม่เข้ามาดูแลแล้ว

   “ คุณเต้รอประเดี๋ยวนะขอรับ บ่าวจุดไต้รอบเรือนประเดี๋ยวเดียว ”

   ตี๋ว่า และมิรอให้คุณเต้ตอบรับหรือปฏิเสธ เจ้าตัวก็วางสำรับที่ถืออยู่ ก่อนจักหันไปหยิบคบไฟใกล้มือกึ่งเดิน กึ่งวิ่งออกไปจุดไฟต่อจากอันที่อยู่ห่างออกไป และถือคบไฟกลับมาต่อไฟกับอันที่ปักไว้ตามแนวทางเดิน และรอบเรือน ก่อนจักปักคบลงบนพื้น หยิบตะเกียงน้ำมันที่แขวนอยู่ที่โคนบันไดต่อไฟ และถือกลับมาหานายของตน

   “ เอ็งถือตะเกียงเช่นนี้แล้ว จักถือสำรับอาหารไปให้ข้าได้เยี่ยงไรกัน ”

   เต้เอ่ยปากขึ้นเมื่อเห็นว่าบ่าวคนใหม่ของคนเดินกลับมา มือหนึ่งถือตะเกียงเจ้าพายุอันใหญ่ไว้ในมือ ตี๋มองสิ่งที่อยู่ในมือตน สลับกับสำรับอาหารที่ตนเองวางไว้ก่อนหน้า ก็เห็นจักจริงเช่นที่คุณเต้ว่า เขาจักถือทั้งสองอย่างไปพร้อมกันได้เช่นไร

   ตี๋ได้แต่ส่งสายลุแก่โทษไปให้เจ้านายใหม่ของคน เพราะตนผิดเองที่ละเลยต่อหน้าที่ ไม่ได้จุดคบไฟไว้ก่อน ลืมนึกถึงว่าต้องทำสิ่งใดก่อนหลัง

   “ เอาเถิดมิต้องกังวลไป ข้ามิลงโทษเอ็งด้วยเรื่องเท่านี้ดอก เอ็งวางสำรับไว้ที่ศาลานี้ก่อน แล้วขึ้นไปจุดตะเกียงบนเรือนเสีย เพลานี้ก็ยังมิได้มืดจนมองไม่เห็น ”

   คุณเต้ยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาลุแก่โทษของตนตัวเล็ก ก่อนจะก้าวนำทาสคนใหม่ไปเรือนริมน้ำ เพลานี้เป็นช่วงโพล้เพล้ ก็ยังมิได้มืดจนมองมิเห็น อย่างที่ตนว่าไว้ แต่ดูเหมือนทาสคนใหม่จะตื่นตระหนกเสียจนแลดูน่ารังแกให้ตระหนกยิ่งกว่าเดิม แต่เขาก็เลือกจะไม่ทำ เพราะถึงจักดูน่ารังแกแค่ไหน แต่ก็น่าสงสารด้วยเช่นกัน

   บนเรือนนั้นเป็นเรือนเดี่ยว(2) มีเรือนนอน ระเบียง ชานเรือน มีเรือนครัวแต่มิได้ใหญ่โตมากนัก คงเป็นเพราะมีโรงครัวแยกออกไปอยู่แล้ว ตี๋วางตะเกียงในมือลงก่อนจะหยิบไต้ที่วางไว้ไม่ไกลจากตะเกียงอันเล็กต่อไฟไปจุดตะเกียงอันอื่น

   เต้มองคนที่เดินจุดตะเกียงตามจุดที่วางไว้ ทำให้บนเรือนสว่างขึ้นมาก ดวงหน้าของตนตัวเล็กล้อแสงจากเปลวไฟแลดูละมุนกว่าเดิม

   “ คุณเต้จักอาบน้ำเลยรึไม่ขอรับ บ่าวจักได้ต้มน้ำ”

   หลังจากจุดไฟตะเกียงจนสว่างทั้งเรือนแล้ว ตี๋จึงคลานเข่าเข้ามาหาเต้ซึ่งนั่งรออยู่เบาะผืนเล็ก ซึ่งปูไว้คู่กับตั่งขนาดย่อมที่ชานเรือน

   “ ยังมิอาบดอก แล้วก็ไม่ต้องต้มน้ำ เพราะข้าชอบอาบน้ำเย็นมากกว่า อีกอย่างตอนนี้ก็ยังไม่ได้หนาวกระไรมากนัก อ้อ แล้วสำรับอาหาร เอ็งเก็บมาแล้วรึ ”

   เต้ตอบคำถามทาสคนใหม่ ก่อนจะถามกลับไปถึงเรื่องก่อนหน้าที่เจ้าตัวเล็กคล้ายจะลืมไปชั่วขณะ นั่นก็พอจะทำให้เขาได้เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของตี๋ได้

   “ ขออภัยขอรับคุณเต้ บ่าวลืมเสียสนิท ประเดี๋ยวบ่าวจักลงไปยกขึ้นมาขอรับ ”

   เต้ส่ายหน้าด้วยความขบขัน ระคนเอ็นดู แม้ตี๋จักพยายามทำตนให้เหมือนผู้ใหญ่สักเท่าใด แต่กระนั้นแล้วความจริงที่ว่า เจ้าตัวเป็นเด็กชายอายุยังไม่เต็ม 14 ปี ที่เพิ่งผ่านการโกนจุก(3) ก้าวย่างเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น

   “ คุณเต้จักรับอาหารเพิ่มเลยรึไม่ขอรับ ”

   เต้เงยหน้าจากตำราเล่มเล็กในมือ มองคนที่นั่งถือสำรับอาหารอยู่ตรงหน้าตนเอง พลางถอนหายใจเบาๆ เขามองตี๋ที่วิ่งลงไปเก็บสำรับที่เขาทานไปแล้วก่อนหน้ามาวางไว้ที่หน้าเรือน และยกสำรับที่เขาสั่งให้ไปยกมาเพิ่มขึ้นมาให้เขาอีกครั้ง

   “ ตี๋ เอ็งยังจำได้รึไม่ ข้าบอกว่าข้าอิ่มแล้ว เอ็งจะให้ข้ากินหมดทั้งสองสำรับเลยรึ ”
   
   “ แต่คุณเต้..... ”

   “ ข้ากระไรรึ ข้ามิได้ท้องยุ้งพุงกระสอบ(4) เพียงแค่สำหรับเดียวข้าก็อิ่มมากแล้ว ”

   เต้มองคนตัวเล็กที่ทำสงสัยเหลือประมาณ เขาอดที่จะแย้มยิ้มมิได้ สีหน้าทาสคนใหม่ของเขาช่างน่าขันยิ่งนัก แววตาซื่อๆ นั้นตรึงใจเขามากทีเดียว

   “ ข้าให้เอ็งยกมาก็จริง แต่มิใช่ว่าข้าจักกินเอง สำรับอาหารนี้ข้ายกให้เอ็ง ”

   เต้บอกสิ่งที่เขาต้องการ เขาให้คนตัวเล็กนี้ไปยกสำรับอาหารมาเพิ่มก็เพราะคิดว่า หากบ่าวคนนี้ของเขายืนยันที่จักอยู่รอรับใช้เขาระหว่างมื้ออาหาร ข้าวปลาที่เตรียมไว้สำหรับบ่าวไพร่คงหมดเสียก่อน แม้แต่ข้าวเปล่าก็คงมิเหลือถึงทาสที่เข้ามาใหม่เป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้เมื่อใดเจ้าตัวเล็กจะมีเนื้อหนังขึ้นมา

   “ แต่มันมิควรขอรับ สำรับนี้เป็นของคุณเต้ หากยกให้บ่าว มีหวังเหากินหัว(5)บ่าวเป็นแน่ขอรับ ”

   “ เอ็งกล้าขัดข้ารึ ”

   “ มิได้ขอรับ หากแต่มันมิเหมาะขอรับ หากใครรู้เข้ามันมิดีขอรับ ”

   “ ก็เพราะข้าคิดไว้แล้ว ข้าจึงให้เอ็งยกสำรับขึ้นมาบนเรือน เพราะบนเรือนนี้ข้ามิให้ใครมายุ่มย่าม เอ็งก็กินข้าวเสีย หากเอ็งคิดว่าจักกลับไปกินที่โรงครัว ป่านคงเหลือแต่หม้อเปล่าเสียแล้วกระมัง ”

   เต้ว่า พร้อมใช้สายตากึ่งบังคับให้ตี๋ทำตามสิ่งที่ตนสั่ง ส่วนคนที่โดนบังคับอย่างตี๋ก็มีสีหน้ากระอัก กระอ่วนใจที่ต้องทำตามสิ่งที่คนเป็นนายสั่ง

   “ แต่คุณเต้ขอรับ.... ”

   “ หากเอ็งยังขัดข้า เราคงอยู่ร่วมกันมิได้ แค่เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้เอ็งยังขัดข้า หากเรื่องใหญ่กว่านี้เอ็งจะทำตามที่ข้าต้องการรึ ”

   ตี๋พยายามจะบ่ายเบี่ยง ด้วยมิกล้าจะกินอาหารสำรับเดียวกับเจ้านาย แต่เต้ก็หายอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ เขาพูดขัดขึ้นก่อนที่ตี๋จะพูดจบ

“ ว่าอย่างไร เอ็งจักกินข้าวในสำรับนั้น หรือจักให้ข้าส่งตัวเอ็งกลับไป แลเรียกอัฐคืนจากพ่อเอ็ง ”

   เต้ทำเสียงดุ พร้อมกับขู่คนตัวเล็ก เพราะต้องการให้คนตัวเล็กกินข้าวเย็นเสียที เขาทราบอยู่แล้วในสิ่งที่ตี๋พยายามบ่ายเบี่ยง เหตุใดเขาจักไม่ทราบ ถ้าเขาให้ตี๋กินอาหารในสำรับที่เตรียมให้เขา หากบ่าวไพร่คนอื่นมาเห็นคงจักเอาไปพูดกันสนุกปาก แล้วคนที่จักเดือดร้อนคงหนีไม่พ้นทาสคนนี้ ที่เขาพึงใจอยู่มาก
   “ เอาเถิดตี๋ กินข้าวเสีย ข้ามิได้อยากบังคับเอ็ง หากแต่ข้าห่วงเอ็ง ตัวก็เล็กเท่านี้ หากมิได้กินข้าว กินปลาเพลาใดจักตัวโตกันเล่า เอ็งมาใหม่เยี่ยงนี้ มิมีใครจักเว้นมื้อเย็นไว้ให้ดอก กินเสีย วันพรุ่งหากเอ็งอยากจะรอรับใช้ข้าระหว่างมื้ออาหารอีก เอ็งก็เตรียมสำรับของเอ็งมาพร้อมกับสำรับของข้าเสีย มิเช่นนั้นข้าจะให้เอ็งกินจากสำรับของข้าดังเช่นวันนี้ ”

   เต้มิอาจจะทำสีหน้าดุตี๋ได้นาน ด้วยเห็นหน้าที่จวนเจียนจักร้องไห้ แต่ก็อดกลั้นเอาไว้แล้วก็พาให้สงสาร เขาจึงเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ่อนนุ่ม พูดโน้มน้าว แต่ก็มิวายขู่ไปอีกสักนิดอยู่ดี

   “ ขอรับคุณเต้ วันรุ่งบ่าวจักมิให้เป็นเช่นวันนี้ขอรับ ”

   ตี๋รับคำด้วยนัยน์แดงเรื่อ พร้อมกับยกสำรับที่ปรุงขึ้นสำหรับเจ้านาย สำรับที่เขาคิดว่าชาตินี้คงได้แต่มอง มิเคยคิดว่าจะได้ลิ้มรส แต่คุณเต้เจ้านายที่เขาเพิ่งจักรับใช้ได้ไม่ถึงวัน กลับยกให้เขาด้วยความเป็นห่วง เขาตั้งปณิธานในใจอย่างเงียบๆว่า เขาจักรับใช้คุณเต้ด้วยความภักดี

   เต้มองทาสใหม่ของตนค่อยๆละเลียดชิมอาหารที่ละน้อย ด้วยสายตาที่ตนมิคิดว่าจักมองใครเช่นนี้ มันเป็นสายตาของผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็ก แต่มันแฝงไปด้วยความพึงพอใจที่ตนก็มิอาจจักอธิบายได้




**********************************




เชิงอรรถ

(1)   ชั่วเคี้ยวหมากจืด  เป็นสำนวนที่ใช้บอกเวลา โดยเทียบกับระยะเวลาในการเคี้ยวหมาก ๑ คำ คือตั้งแต่เริ่มเคี้ยวหมากจนหมากจืดหมดคำ การเคี้ยวหมากของคนแต่ก่อนเรียกว่า กินหมาก แต่ไม่ได้กินจริง ส่วนมากจะนำหมาก ใบพลูที่บ้ายปูนแล้ว เคี้ยวรวมไปกับเกล็ดพิมเสน กานพลู สีเสียด ใบเนียม และเครื่องหอมอื่นๆ เคี้ยวไปพอหมากพลูผสมกับน้ำลายกลายเป็นน้ำหมากสีแดงก็บ้วนทิ้งเสียครั้งหนึ่งแล้วเคี้ยวต่อไป พอมีน้ำหมากก็บ้วนน้ำหมากทิ้ง ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมากหมดรส เรียกว่า หมากจืด จึงคายชานหมากทิ้ง คนโบราณกะระยะเวลาที่เคี้ยวหมากคำหนึ่ง ๆ จนจืด ซึ่งเป็นเวลาประมาณ ๒๐-๓๐ นาที มาใช้อธิบายช่วงเวลาหนึ่ง เช่น เรารออยู่นานชั่วเคี้ยวหมากจืดเห็นจะได้ กว่าเขาจะพาเราเข้าไปพบท่านเจ้าคุณ จากที่นี่ถ้าเดินไปบ้านกำนัน ก็ไกลชั่วเคี้ยวหมากจืดนั่นแหละ  ในสมัยโบราณยังไม่มีนาฬิกาบอกเวลา จึงมักคำนวณเวลาด้วยการเปรียบเทียบกับสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำ สำนวน ชั่วเคี้ยวหมากจืด ปัจจุบันคนที่ไม่เข้าใจจึงใช้แผลงว่า *ชั่วเคี้ยวหมากแหลก ซึ่งไม่ถูก

(2)   เรือนเดี่ยว เป็นเรือนสำหรับครอบครัวเดี่ยว สร้างขึ้นโดยมีประโยชน์ใช้สอยที่เพียงพอกับครอบครัวเล็ก ๆอาจ เป็นเรือนเครื่องผูก เรือนเครื่องสับ หรือผสมผสานกันก็เป็นได้แล้วแต่ฐานะ ประกอบด้วย เรือนนอน 1 หลัง เรือนครัว 1 หลัง ระเบียงยาว ตลอดเป็นตัวเชื่อมระหว่างห้องนอนกับชาน
เรือนเครื่องผูก
-   เป็นเรือนที่ก่อสร้างแบบง่าย ๆ ในลักษณะอาคารชั่วคราว หรือกึ่งถาวร
-   วัสดุที่ใช้มักจะเป็นไม้ไผ่ การผูกรัดส่วนต่าง ๆ ของอาคารเข้าด้วยกันจะใช้ตอกและหวาย
-   หลังคามุงด้วย จาก แฝก ใบตองตึง หรือหญ้าคา ตามแต่วัสดุในแต่ละพื้นที่
-   ฝามักจะเป็นฝาขัดแตะ ในภาคใต้มักนิยมสานแบบเสื่อลำแพน
-   พื้นมีทั้งไม้ฟาก (ไม้ไผ่ผ่าครึ่งแล้วทุบให้แบน) และไม้จริง
-   เสาเรือนมีทั้งไม้ไผ่และไม้จริง ตามแต่ขนาดและการใช้งานของเรือน

เรือนเครื่องสับ
-  ฐานราก มีการก่อสร้างโดย 2 วิธีคือ ใช้เป็นงัว คือมีไม้ 3 หรือ 4 ท่อน วางเรียงซ้อนกันและตั้งเสาลงข้างบน อีกวิธีหนึ่งคือ ใช้แระ คือการตัดไม้เป็นรูปสี่เหลี่ยม หรือกลม รองไปบนก้อนหลุม ฐานรากจะรับน้ำหนักเสา ซึ่งเสาจะอยู่บนแระ ส่วนที่ฐานรากจะเป็นงัว จะมีไม้กงพัดวางลงไป
-  เสา
- พื้น
- ฝา หมายถึง สิ่งที่กั้นระหว่างภายในและภายนอกของเรือน ฝาเรือนในเรือนเครื่องสับมีหลายประเภท ซึ่งถูกนำมาใช้ต่างกันตามประโยชน์ใช้สอย ที่พบเห็นเป็นส่วนใหญ่ในเรือนนอนคือ ฝาประกนและฝาสายบัว และฝาไหลในเรือนครัว
•   ฝาประกน หมายถึง ฝาเรือนไม้จริงที่ประกอบกันด้วยการเข้าลิ้น โดยลูกนอนหรือไม้แนวนอน จะถูกบรรจุในโครงไม้แนวตั้งเป็นแนวสลับกัน คล้ายแนวการก่ออิฐ และบรรจุด้วยลูกฟักไม้จริงในระหว่างช่องสี่เหลี่ยม โดยลูกฟักมักถูกประดับตกแต่งให้สวยงาม
•   ฝาสายบัว หมายถึง ฝาเรือนที่มีลักษณะคล้ายฝาประกนที่ไม่มีลูกนอน โดยโครงไม้แนวตั้งคล้ายฝาประกน ส่วนช่องว่างระหว่างโครงไม้นั้นถูกบรรจุด้วยไม้ เมื่อมองรูปด้านของฝาจะเห็นไม้แนวตั้งเป็นหลัก ทำให้มีลักษณะเหมือนสายบัว
•   ฝาไหล หมายถึง ฝาเรือนสองชั้น สามารถเลื่อนในแนวนอนเพื่อให้ช่องว่างของไม้แนวตั้งที่ตีสลับกัน ซ้อนทับกันเพื่อเกิดช่องเปิดเพื่อระบายอากาศ นิยมใช้กับเรือนครัว
-   หลังคา

(3)   การโกนจุก ตามประเพณีโบราณ เมื่อเด็กมีอายุพอควร ก็ไว้ผมเกล้าจุกให้มิได้ตัด พอเด็กย่างเข้าขีดรู้ เจริญวัย คือ เด็กชายอายุย่างเข้า ๑๓ ปี อย่างมากไม่เกิน ๑๕ ปี เด็กหญิงอายุย่างเข้า ๙ ปีอย่างมากก็เพียง ๑๑ ปี บิดามารดาก็จะจัดการทำพิธีตัดจุกให้ ซึ่งเรียกว่า “ พิธีมงคลโกนจุก ” เมื่อผ่านพิธีการโกนจุกแล้ว จะถือเสมือนว่า เข้าสู้วัยการเป็นผู้ใหญ่ เด็กหญิงจักต้องรักนวล สงวนตัว เป็นต้น


(4)   ท้องยุ้งพุงกระสอบ เป็นสำนวน หมายถึง คนที่มีความสามารถในการกินได้มากผิดผกติ คนที่กินจุ

(5)   เหากินหัว , เหาจะขึ้นหัว เป็นสำนวน หมายถึง ทำตัวอาจเอื้อมหรือเอาอย่างเจ้านาย หรือผู้สูงศักดิ์ ถือว่าเป็นอัปมงคล เช่น ทำตัวเทียมเจ้าระวังเหาจะขึ้นหัวนะ



**************************

   คุยกันท้ายบท

   สวัสดีขอรับ ข้าเจ้าขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่มาช้า (มาก) มิขอแก้ตัวอันใดขอรับ มีเพียงคำขอโทษ ข้าเจ้าขออภัยอย่างมากขอรับ และที่สำคัญ ตอนนี้ข้าเจ้ายังเขียนมิถึงตัวอย่างที่ให้ไว้ในบทที่แล้ว

   นี่ก็เป็นอีกเรื่องขอรับ ข้าเจ้าคำนวณผิดพลาดไปอย่างมาก ถึงเนื้อหาที่จะลงในแต่ละบท ข้าเจ้ามิกล้าสัญญา แต่ข้าเจ้าจะพยายามทำให้ดีที่สุดขอรับ

   ในบทนี้นั้นไม่มีใครอื่นเลยขอรับ เขาอยู่กันสองต่อสอง คุณเต้ปากแข็งแต่ก็แอบห่วงน้องตี๋ ส่วนน้องตี๋ ก็มุ่งมั่นกับหน้าที่ของตนเอง จนไม่รู้ว่าพี่ห่วง

   ในบทต่อไปเขาทั้งคู่คงจะหวานกันกว่านี้ แต่น้องตี๋ก็ยังเจียมเนื้อ เจียมตัวอยู่เช่นเคย ส่วนพี่เต้ก็ยังจะหาเรื่องหยอกน้องไปเรื่อย รบกวนติดตามตอนต่อไปขอรับ

   ขออนุญาตใช้บทตัวอย่างเดิมขอรับ

‘ เหตุใดคุณเต้ต้องจ้องมองบ่าวขนาดนั้นขอรับ ’
   ‘ หากข้าไม่ดูใกล้ๆ จะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าสิ่งที่เอ็งกำลังทำนั้น ถูกใจข้ารึไม่ ’


   ‘ ตี๋ ข้าอยากไปเดินเล่น เอ็งไปเดินเล่นเพื่อนข้าได้รึไม่ ’
   ‘ ตี๋เอ็งเห็นพระจันทร์นั่นไหม จันทร์ว่างาม แต่คนที่อยู่ข้างข้าก็งามไม่แพ้จันทร์ ’

   ‘ ตี๋เอ็งว่าความรักเป็นเช่นไรกัน ’
   ‘ บ่าวมิรู้ขอรับ ’

.....................ด้วยใจภักดิ์.......................




โปรดติดตามตอนต่อไป




…..Mariner_IX….


   


ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
……….สายสัมพันธ์..........

ตอนที่ 3



   นับจากคราแรกจนถึงเพลานี้ ตี๋เข้ามาอยู่ที่เรือนริมน้ำเกือบสามเดือนแล้ว งานของเขาส่วนใหญ่หมดไปกับการดูแลเรือน ดายหญ้า ตัดไม้ หากเมื่องานที่เรือนริมน้ำแล้ว(1) เขาจักไปช่วยงานอื่นๆ เช่นบ่าวทั่วไป ตอนนี้เขารู้จักบ่าวในเรือนมากขึ้นจากวันแรก


   หากแม้ในคราแรกมิใคร่จะมีใครอยากจะคุยกับตี๋เท่าใดนัก เหตุเนื่องมาจาก เขาเป็นบ่าวที่เข้ามาใหม่ กอรปกับเหมือนทุกคนจะมิใคร่ชอบใจนักเมื่อเขาได้ไปรับใช้เรือนริมน้ำ โดยข้ามหน้าของบ่าวไพร่ในเรือนอีกมากที่อยู่มาก่อน แต่ก็มิมีใครจักพูดกระไรได้ เนื่องจากเป็นคำสั่งของท่านพระยา


   แต่เมื่อเพลาผ่านไป ตี๋ก็ค่อยๆปรับตัวเข้าหาบ่าวไพร่อื่นได้ ด้วยความที่เป็นคนอ่อนน้อม หนักเอา เบาสู้ มิได้เกียจคร้านงาน เขามาช่วยงานอื่นๆ ในเรือนใหญ่ มิได้ทำแค่ส่วนของเรือนริมน้ำ ดังเช่นบ่าวคนก่อนๆ ที่เคยรับใช้เรือนริมน้ำ เมื่อเสร็จงานที่เรือนริมน้ำก็มิใคร่จะมาช่วยงานที่เรือนใหญ่ อาจเพราะถือว่าตนเป็นบ่าวของเรือนริมน้ำ มีหน้าที่ดูแลเรือนริมน้ำ เรือนใหญ่มิใช่การของตน


   ตี๋ช่วยงานอื่นทั่วไป มิได้จำเพาะว่าต้องทำแค่เรือนที่ตอนเองรับใช้ คราแรกๆ บ่าวไพร่คนอื่นก็กลั่นแกล้งเขาบ้าง ใช้ให้ทำในส่วนของตนบ้าง แต่ตี๋ก็มิได้ปริปากพูดกระไร เขาทำตามโดยดี แม้จะรู้ว่ามิมีใครพอใจตนเท่าใดนักก็ตาม แต่เมื่อหลายเพลาเข้า บ่าวที่กลั่นแกล้งกลับกลายเป็นเกลอกันเสียได้ แม้อายุจักห่างกันก็ตามที


   “ ไอ้ตี๋ วันนี้คุณเต้ท่านจักกลับเรือนเพลาใด ”


   “ ท่านมิได้สั่งความไว้ดอก พี่สุกมีอันใดรึ ”

   “ มิมีอันใดดอก แค่จะชวนเอ็งไปจับปลาที่หนอง เห็นว่าช่วงนี้ชุมนัก ”
   

   “ แล้วพี่สุกจะไปเมื่อใด หากไม่บ่ายมากฉันคงไปด้วยได้ แต่หากบ่ายคล้อยจนเกินไปเกรงจะกลับมามิทันคุณเต้ท่าน ”


   “ มิบ่ายมากดอก งานตรงนี้แล้วเมื่อใดข้ากับไอ้ผล แลพี่มั่นก็จักไปกันแล้ว หากได้มากก็จักได้นำให้พวกป้าม้วนแกไปปรุงมื้อเย็น ”


   “ กระนั้นฉันคงไปด้วยได้ แต่หากบ่ายมากฉันต้องขอกลับก่อน ประเดี๋ยวจักมิทันคุณเต้กลับเรือน ”


   “ เออๆ เช่นนั้นก็แล้วแต่เอ็ง ข้ามิได้บังคับ ”


   “ ขอบใจพี่สุกมาก ประเดี๋ยวฉันขอไปแจ้งพี่มั่นเสียก่อน ”


   “ เอ็งจักไปแจ้งพี่มั่นเรื่องกระไรรึ พี่มั่นก็จักไปด้วยอยู่แล้ว ”


   “ อย่างน้อยก็แจ้งพี่เขาไว้ก่อน ฉันเพิ่งมาใหม่หาย อยู่ๆจักหายไปไม่บอกใครมันคงมิใคร่ดีนัก ”


   “ เออๆ แล้วแต่เอ็งเถิด แจ้งพี่มั่นไว้ก่อนดี ประเดี๋ยวไอ้พวกปากเบามันจักไปฟ้องนายได้ว่า เอ็งหนีงาน ข้าก็ลืมนึกไป ”


   “ ถ้าอย่างนั้นฉันไปแจ้งพี่มั่นก่อนนะพี่สุก ”


   บทสนทนาจบลงเมื่อตี๋ละมืองานที่ทำอยู่ เดินออกไปหานายมั่นซึ่งเป็นหัวหน้าทาส แม้ในเพลานี้เขาจักมีเพื่อนอยู่บ้าง แต่ใช่ว่าทั้งหมดจักชอบพอในตัวทาสใหม่ ถึงจักมีคนชอบ หากก็มีคนที่ไม่ชอบด้วยเช่นกัน การที่ตนเองซึ่งเป็นทาสที่รับมาใหม่ จักไปไหนคงต้องแจ้งหัวหน้าทาสให้รับรู้ เพราะหากมีเรื่องกระไรเกิดขึ้น อย่างน้อยเขาก็ได้แจ้งหัวหน้าทาสให้รับรู้ไว้ก่อนแล้ว มิได้ไหนโดยมิได้บอกกล่าว



******************************



   เพลาบ่ายคล้อยหากแต่ยังมิใช่เพลาที่คุณเต้จักกลับเรือน ตี๋ นายสุก นายผล แลหัวหน้าทาสอย่างนายมั่น เดินกลับเรือนพระยาทิพยโอสถ ในมือมีปลาช่อนตัวเขื่อง 4 - 5 ตัว ปลาสังกะวาด(2) แลปลาตัวโตๆในข้องใบใหญ่(3) อีกจำนวนหนึ่ง
   

   “ มื้อนี้คงได้กินห่อหมกปลาช่อนเสียกระมังพี่มั่น คราก่อนป้าม้วนแกบ่นอยู่ว่าคุณหญิงท่านอยากกินอยู่ แต่ยังมิมีปลา เห็นทีวันนี้ป้าม้วนคงได้ลงครัวเองเป็นแน่ ”


   “ นั่นสิไอ้สุก มิได้กินรสมือป้าแกมาหลายเพลาแล้ว ”


   “ เอ็งก็พูดเสียดัง ประเดี๋ยวนางปริกมาได้ยินมิอดกันหมดรึ ”


   นายสุก นายผลผลเดินคุยกันระหว่างทางกลับเรือน โดยมีนายมั่น แลทาสใหม่อย่างตี๋เดินรั้งท้าย ป้าม้วนที่นายสุก นายผลเอ่ยถึงนั้นคือ หัวหน้าคนครัว มีหน้าที่จัดการดูแลอาหารภายในเรือนทั้งหมด มิว่าจะเป็นบนเรือนใหญ่ เรือนเล็กของอนุภรรยาของท่านพระยา รวมมาจนถึงเรือนริมน้ำ


   นางม้วนเป็นหัวหน้าคนครัวมีหน้าที่จัดเตรียมสำรับสำหรับเจ้านาย ซึ่งนางจักเป็นคนปรุงเอง ต่างจากอาหารที่เลี้ยงบ่าวไพร่ในเรือน จักมีคนครัวคนอื่นๆ ช่วยกันปรุง แต่หากเมื่อมีเครื่องปรุง หรือของสด อื่นๆ มากนางก็จักปรุงเสียทีเดียวกัน แต่แยกหม้อสำหรับเจ้านายเป็นสัดส่วนต่างหากออกไป


   “ เห็นจะจริงอย่างเอ็งว่านั่นล่ะไอ้สุก แลปลาสังกะวาดนี่ก็เช่นกัน ท่านพระยาเองก็เคยเปรยกับข้าอยู่ว่ามิได้กินแกงเหงาหงอด(4) มาหลายเพลา วันนี้ไปมิเสียเที่ยวจริงเทียว ”


   นายมั่นเอ่ยขึ้นถึงสิ่งท่านพระยาเคยเปรยกับตนไว้ ตนนั้นจะไปตลาดหาซื้ออยู่ นับว่าเป็นโอกาสดีทีเดียวที่ได้ปลามาวันนี้


   “ พี่มั่นฉันขอกลับเรือนริมน้ำก่อนนะจ๊ะ เมื่อครู่ได้ยินเสียงตีฆ้อง 4 ครั้งแล้ว(5) ”

   ตี๋แจ้งแก่นายมั่นเมื่อช่วยกันนำปลาที่จับได้มายังโรงครัว เขาต้องกลับไปที่เรือนริมน้ำ เพราะใกล้เพลาที่คุณเต้จักกลับเรือนแล้ว ซึ่งปกติคุณเต้จักออกจากกรม แลกลับถึงเรือนหลังทางการย่ำฆ้อง 5 ครั้ง



******************************



   ยามเย็นเลยเพลาที่คุณเต้ แลพระยาทิพยโอสถจักกลับเรือนมาพอสมควร คุณหญิงพิม คุณหญิงแย้ม อนุภรรยา และบุตร ธิดาของท่านพระยาจึงมานั่งรอท่านที่ศาลาด้านล่าง


   พระยาทิพโอสถ แลคุณเต้บุตรชายคนโต ก้าวขึ้นจากเรือเมื่อเทียบท่าน้ำหน้าเรือน โดยมีบ่าวชายช่วยจับกราบมิให้เรือโคลง แต่วันนี้นอกจากคุณเต้ แลท่านพระยาแล้วยังมีเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง หน้าตานั้นดูอย่างไรก็คงมิใช่คนไทยแท้ๆ คาดคะเนด้วยสายตาแล้วอายุคงประมาณคุณเต้ มิมาก น้อย ไปกว่ากันนัก


   “ สวัสดีขอรับคุณหญิงแม่ ”


   “ ไหว้พระเถิดพ่อ หายไปเสียนานเลยนะพ่อคิม เที่ยวเมืองอีหรอบ(6) จนลืมแม่เสียกระมัง ”


   เด็กหนุ่มที่มาพร้อมกับท่านพระยา แลคุณเต้สวัสดีทักทายคุณหญิงพิม คุณหญิงแย้ม ด้วยความสนิทสนม


   “ กลับกันมาเหนื่อยๆ รับน้ำก่อนดีกว่าเจ้าค่ะคุณพี่ ”


   คุณหญิงแย้มรับขันเงินในน้ำลอยดอกมะลิจากบ่าวส่งให้ท่านพระยา ซึ่งท่านพระยาก็รับน้ำใจของคุณหญิงไว้


   “ ขึ้นเรือนกันเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจักถึงมื้อเย็นแล้ว แม่ม้วนแจ้งนายมั่น แลพวกบ่าวชายไปจับปลามาได้เยอะเชียว วันนี้มีแกงเหงาหวอดที่คุณพี่เปรยว่าอยากทานเมื่อวันก่อนด้วยนะเจ้าคะ ”


   “ งั้นรึ เห็นทีวันนี้คงจักเจริญอาหารอีกเป็นแน่ ลูกเต้ วันนี้มากินเสียด้วยกันบนเรือนนะ พ่อคิมก็ด้วยวันนี้ถือเป็นโอกาสดี รู้รึไม่คุณหญิง วันนี้ลูกชายเราได้รับยศใหม่แล้วนะ ”


   ท่านพระยารับคำของคุณหญิงพิม แลหันมาสั่งความบุตรชายให้ขึ้นมารับประทานบนเรือนพร้อมกับเด็กหนุ่มที่มาพร้อมกัน ก่อนจะหันกลับมาคุยกับคุณหญิงของตนถึงเรื่องดีๆ ในวันนี้


   “ กระนั้นรึเจ้าคะคุณพี่ แล้วเพลาลูกเต้ได้รับยศขั้นใดแล้วเจ้าคะ ”


   “ เพลานี้ท่านเจ้ากรมประทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นท่านหมื่น(7)แล้ว แลให้ศักดินา(7) 500 ไร่ อีกมินานก็คงก้าวขึ้นไปอีก เห็นท่านว่ารอให้พ่อเต้อายุมากว่านี้อีกสักหน่อย จักทูลขอพระราชทานยศให้เพิ่ม ”


   ท่านพระยาว่าด้วยน้ำเสียงยินดี แลไปถึงผู้ที่ได้รับฟังก็ร่วมยินดีไปด้วย โดยเฉพาะคุณหญิงแย้ม ซึ่งเป็นมารดาของคุณเต้ แต่ก็ยังมีอนุภรรยาของท่านพระยาที่มิใคร่จะดีใจไปด้วย


   “ ดีจริงเชียว เพลาหน้าแม่จักต้องเรียกลูกว่าพ่อหมื่นเสียแล้วกระมัง ”


   “ แม่ใหญ่ก็หยอกลูกเกินไปขอรับ ”


   คุณเต้ว่า เมื่อได้ฟังคุณหญิงพิมกระเซ้า ส่วนคุณหญิงแย้มก็ยิ้มรับ


   “ เจ้าคุณพ่อ แม่ใหญ่ แม่เล็ก ลูกขอกลับเรือนไปผลัดเปลี่ยนผ้าสักประเดี๋ยวนะขอรับ แล้วเกลอเล่า จักขึ้นเรือนใหญ่พร้อมเจ้าคุณพ่อ รึจักไปที่เรือนของฉันก่อน ”


   คุณเต้แจ้งความจำนงกับท่านพระยาว่า ตนจักขอกลับมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนของตนก่อน แลหันมาถามเกลอของตนที่พาพร้อมกัน
   

   “ ฉันไปเรือนเจ้าก่อนดีกว่า เจ้าคุณพ่อขอรับ กระผมขอไปที่เรือนเจ้าเต้ก่อนนะขอรับ ประเดี๋ยวจักมาที่เรือนใหญ่พร้อมเจ้าเต้ ”

   “ เอาเถิด ไปผลัดผ้าเสียก่อนก็ดี พ่อเองก็จักไปผลัดผ้าเช่นกัน ”


   ท่านพระยารับคำ ก่อนที่ทุกคนจักแยกย้ายกันไปตามที่แจ้งกันไว้ ท่านพระยา คุณหญิงพิม คุณหญิงแย้ม อนุภรรยา แลบุตร ธิดา เดินขึ้นเรือนใหญ่ ส่วนคุณเต้แลเกลอที่มาด้วยเดินกลับเรือนริมน้ำ



   ระหว่างทางเดินกลับเรือนริมน้ำ ในยามใกล้ค่ำ ตี๋ถือตะเกียงเจ้าพายุส่องทาง แม้จักจุดไต้ตามแนวทางเดินไว้แล้วก็ตามที


   เต้มองตามหลังของคนที่ถือตะเกียงส่องทาง แลย้อนกลับมายังเกลอของตนที่เดินมาพร้อมกัน สายตาของเกลอนั้นมองบ่าวของตนด้วยสายตาที่ตนมิใคร่จักชอบใจนั้น


   “ เต้ เจ้าได้บ่าวคนใหม่แล้วรึ หน่วยก้านดีที่เดียวเชียว ”


   “ คิมม่อน ”


   คุณเต้ปรามด้วยน้ำเสียง เมื่อเห็นถึงสายตา แลน้ำเสียงของคิมม่อนที่มองบ่าวคนใหม่ของตนอย่างถูกใจ ทั้งที่ก่อนหน้าเขามิเคยปรามเกลอคนนี้ของตนมาก่อน


   “ กระไรรึ เมื่อก่อนมิเห็นเคยปรามฉัน ”


   “ ตี๋ยังเล็กนัก ฉันมิอยาก..... ”

   “ เอาเถิด ฉันมิได้ว่ากระไร เอาเป็นว่าฉันรับรู้ไว้แล้ว ”


   “ แต่จักว่าไปดูท่าท่างซื่อๆ ดีนะ ”
   
   “ คิมม่อน ”


   แม้คิมม่อนออกปากว่าเข้าใจในสิ่งที่เกลอของตนต้องการ แต่ก็อดจะกระเซ้าเพื่อนหน้าตายของตนมิได้ นั่นทำให้เต้ต้องเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียกึ่งฉิว กึ่งระอา แต่ก็ทราบแล้วว่าเพื่อนตนแค่จักหยอกเล่น




*******************************

(ต่อโพสต์ด้านล่าง)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
……….สายสัมพันธ์..........

ตอนที่ 3 (ต่อจากด้านบน)



   เสียงหัวเราะบนเรือนใหญ่ดังขึ้นเป็นระยะ หลังมื้ออาหารผ่านไป แลเสียงที่พูดคุยเล่าเรื่องต่างๆ นั้นก็เป็นเสียงของแขกอย่างคิมม่อน ที่สรรหาเรื่องมาเล่าอย่างออกรส


   ยามเมื่อน้ำค้างเริ่มลงหนักขึ้น แขกผู้มาเยือนเรือนพระยาทิพยโอสถ ก็ขอลากลับเรือน โดยมีบ่าวในเรือนพายเรือไปส่ง


   เมื่อคิมม่อนลากลับ คุณเต้จึงลาเจ้าคุณพ่อ คุณหญิงพิม แลคุณหญิงแย้มกลับเรือนตนเช่นกัน ตี๋เดินถือตะเกียงเจ้าพายุส่องทางให้นายของตน ทั้งที่แนวทางเดินนั้นจุดคบไฟไว้แล้ว



   คุณเต้มองบ่าวของตนอย่างไม่ใคร่จักพอใจนัก เมื่อบ่าวของตนนุ่งผ้าเตี่ยว(8)ผืนเดียว ผิวขาวอย่างลูกเจ็ก ลูกจีน แต่คล้ำแดด หากก็ยังละออตา ยิ่งเมื่ออยู่กับแสงไฟเช่นนี้


   ไม่มีคำสนทนาใดเกิดขึ้นระหว่างทางเดิน คุณเต้เก็บความมิใคร่จักชอบใจนั้นไว้ด้วยคิดจักมาชำระความที่เรือนตน มิอยากให้บ่าวไพร่อื่นที่ชอบสอดรู้นำเรื่องของเรือนตนไปนินทา


   “ ตี๋ เหตุใดเจ้าจึงนุ่งผ้าเตี่ยวยาวแค่คืบเพียงนี้ เสื้อก็มิสวม ”


   เต้ว่าขึ้นหลังจากขึ้นมาบนเรือน นั่งลงที่ชานเรือนเรียบร้อยแล้ว เขาดุด้วยสายตา แลน้ำเสียง ให้อีกคนรู้ถึงอารมณ์ที่มิใคร่พอใจของตน


   “ บ่าวมิมีผ้าโจงผืนใหญ่ดอกขอรับ มีเพียงผ้าเตี่ยวเท่านั้นขอรับ ”


   ตี๋ตอบตามความจริง ทำให้เต้ที่ได้ฟังคิดตามในบางสิ่งที่ตนหลงลืมไป บ่าวชายนั้นก็มิได้สวมเสื้อ ทั้งยังนุ่งผ้าถกเขมร(9) เพื่อให้สะดวกต่อการทำงาน ซึ่งเขาก็มิเคยสนใจเรื่องเหล่านี้มาก่อน ด้วยเห็นจนชินตา แต่เมื่อมาเป็นคนตัวเล็กที่นั่งหมอบอยู่เบื้องหน้าตนแล้ว ตนมิใคร่จักอยากให้ถอดเสื้อ แลนุ่งผ้าเตี่ยวสั้นแค่คืบ หรือแม้กระทั่งจักนุ่งโจงถกเขมร


   สิ่งที่เต้รู้สึกกับตี๋ มันมิเหมือนนายที่ห่วงบ่าว แต่มันคล้ายจักมากกว่านั้น ซึ่งตัวเขาเองก็ยังมิแน่ใจตนเองมากนัก ณ เพลานี้ตนรู้เพียงมิชอบให้บ่าวของตนแต่งกายเยี่ยงนี้


   แต่หากจักให้ตี๋นุ่งโจง แลสวมเสื้ออย่างตน ก็เกรงว่าตี๋จักมีภัย เนื่องด้วยคงมีบ่าวที่มิพอใจตี๋เป็น แลบ่าวพวกนั้นคงจักหาเรื่องกลั่นแกล้งเป็นแน่


   “ เอาเกิด ข้าเองก็ลืมนึกไป ประเดี๋ยวเจ้าตามข้าไปในห้องด้วยแล้วกัน ”


   “ ขอรับคุณเต้ ”


   ตี๋รับคำผู้เป็นนายโดยมิได้ไตร่ถามกระไรต่อ ก้าวเท้าตามนายของตนเข้าไปในเรือนนอนด้านหลังชานเรือน มองคุณเต้ที่เดินไปหยิบผ้าโจงผืนงามจากหีบส่งให้ตน


   “ รับไปสิ ข้าให้เจ้าเป็นรางวัล ที่เจ้าทำงานถูกใจข้า ”


   คุณเต้ยื่นผ้าโจงของตน 5 ผืน ให้ตี๋ แต่คนตัวเล็กเบื้องหน้ายังมิยอมรับ จนเขาต้องเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


   “ กระไรรึ รึเจ้ามิอยากรับรางวัลจากข้า ”


   “ มิได้ขอรับ ผ้าโจงของคุณเต้งามนัก คงมิเหมาะกับบ่าว บ่าวมิกล้ารับดอกขอรับ ”


   “ ข้าให้เจ้ามิเกี่ยวว่าเหมาะรึไม่ รับไปเสีย แลใช้แทนผ้าเตี่ยวของเจ้า หากใครถามก็บอกมันผู้นั้นไปว่าข้าให้เป็นรางวัลที่เจ้าทำงานถูกใจข้า เข้าใจรึไม่ ”


   เต้ตัดบทเพราะไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธของตี๋อีก เพราะคนตัวเล็กนี้ช่างหาข้ออ้างเก่งยิ่งนัก ยิ่งเถียงกัน จักยิ่งมากความ เขามิอยากให้ใครมองบ่าวของเขา เหมือนสายตาที่คิมม่อนมองวันนี้ แต่หากว่าคิมม่อมมิมองตี๋ในวันนี้ เขาก็ยังมิได้คิดกระไร


   อีกเรื่องที่เขาอยากให้ทำ คือเรื่องเสื้อ เขาก็มิใคร่ชอบใจนักที่จักให้บ่าวคนนี้ของเขามิสวมเสื้อเยี่ยงนี้ แต่หากให้สวมเสื้ออยู่กับเรือนก็จักเป็นข้อสงสัย แลไปถึงคำนินทา ว่าเหตุใดบ่าวตัวเล็กของเขาจึงแต่งกายเยี่ยงเจ้านาย นั่นก็จักนำภัยมาสู่คนของเขาได้




******************************




   นับจากวันที่ได้รับยศแลศักดินาใหม่ เต้ก็มีการงานในความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ณ ตอนนี้เขาเข้าทำงานด้านการแพทย์กับเจ้ากรมอย่างเต็มตัว แต่เขาก็ยังมิหยุดที่จักศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม


   “ น้ำขอรับคุณเต้ ”


   ตี๋ส่งขันน้ำให้คุณเต้ ก่อนจักรับสัมภาระมาจากคนเรือมาถือไว้ หนังสือ แลตำราก็เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกมากนัก หลังจากที่คุณเต้ได้รับยศเพิ่ม


   “ ขอบใจ เจ้าถืองานตามข้ามาที่เรือนเลยนะ วันนี้ยังมีงานค้างอีกหลายเรื่องนัก ”


   เต้สั่งงานบ่าวของตน วันนี้เขานำหนังสือ แลงานอื่นๆ กลับมาทำที่เรือน เนื่องด้วยเขาไม่สามารถทำให้แล้วที่กรมได้หมด


   “ คุณเต้จักอาบน้ำเลยรึไม่ขอรับ บ่าวจักไปเตรียมน้ำ ”


   “ ยังมิต้อง ข้าจักทำงานวันนี้ให้แล้วเสียก่อน ”


   “ ขอรับ ”


   ตี๋รับคำ เขาวางหนังสือของคุณเต้ไว้บนตั่งตัวเล็ก แลถอยออกมานั่งรอนอกชานเรือน เมื่อคุณเต้ก้าวเข้าไปในเรือนนอน เพื่อผลัดผ้า


   เต้เดินออกจากเรือนนอนเหลือบมองบ่าวของตนเสียทีหนึ่ง ริมฝีปากยกยิ้มอย่างพึงใจ เมื่อเห็นว่าบ่าวของนั่งรอเงียบๆ แลนุ่งโจงที่เขาเคยให้ไว้


   สองบ่าวนั่งอยู่บนเรือนเงียบๆ มิมีใครพูดคุย ตี๋เหลือบมองนายของตนเป็นระยะ เช่นกันกับที่เต้ก็ส่งสายตามองบ่าวของตนเช่นกัน


   เมื่อใกล้ถึงมื้ออาหาร ตี๋จึงคลานเข่าออกไป เดินไปโรงครัวเพื่อนำสำรับอาหารมาให้นาย นอกจากนั้น เขายังหิ้วห่อข้าวที่ปริกคนครัวช่วยจัดใส่ห่อไว้ให้ ซึ่งเกือบทุกเขาต้องขอให้พี่ปริกเตรียมห่อข้าวเช่นนี้ไว้ให้ เพราะเขามักจักกลับมามิทันมื้ออาหาร เนื่องด้วยคุณเต้มิใคร่จักรับมื้อเย็นทันทีที่เขายกสำรับไปให้


   คราหลังจากที่คุณเต้ยกสำรับของตนให้เขาแล้ว คุณเต้มักจักบังคับให้เขากินข้าวพร้อมกันกับตน แลคุณเต้ยังเอื้อเฟื้อตักอาหารในสำรับให้เขาอีกด้วย


   เต้มองตามหลังคนที่เพิ่งก้าวลงเรือนไป เขาถูกใจตี๋มากอย่างที่ตนก็นึกตกใจตัวเอง มันคงเป็นความเอ็นดู หรือมากกว่านั้นเขายังมิกล้ายอมรับ


   “ คุณเต้จักรับมื้อเย็นเลยหรือไม่ขอรับ ”


   “ วางไว้ก่อน อีกประเดี๋ยวหนึ่ง งานตรงนี้ใกล้แล้ว แล้ว ”


   ตี๋ถามเมื่อยกสำรับกลับมาถึงเรือน แลเห็นคุณเต้กำลังมองมาที่ตน แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาว่า คุณเต้ต้องปฏิเสธ ซึ่งครานี้ก็เป็นเช่นนั้น


   “ ตี๋ เจ้าอ่าน เขียนได้บ้างรึไม่ แลอยากเรียนเขียนอ่านบ้างรึไม่ ”


   เต้ถามขึ้น ส่วนคนที่โดนถามกลับสะดุ้งตกใจในสิ่งที่ได้ยินเสียอย่างนั้น เพราะไม่ใช่เรื่องปกติเลยที่นายเงินจักถามทาสเรื่องการเรียนอ่านเขียน


   “ ตกใจกระไรรึ ข้าถามก็ตอบ มิใช่นั่งตกใจ ”


   “ บ่าวพออ่าน เขียนได้บ้างขอรับ หลวงตาที่วัดท่านเมตตาสั่งสอนขอรับ ”


   “ อืม แล้วเจ้าอยากจักเรียนเพิ่มรึไม่ ”


   “ ได้รึขอรับ บ่าวอยากเรียนขอรับ แต่...... ”


   ตี๋ตอบด้วยน้ำเสียดีใจ เมื่อคุณเต้ถามว่าอยากจักเรียนรู้หนังสือรึไม่ แต่ปลายเสียงนั้นแผ่วลงเมื่อตนเองนึกถึงฐานะของตนได้


   “ อยากเรียนก็คืออยากเรียน มิต้องมีแต่ แลเจ้าบอกว่าพอรู้มาบ้างแล้ว คงมิยากเกินจักสั่งสอนกระมัง ”


   เต้ว่าพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าบ่าวของตนดีใจกับสิ่งที่ตนถาม แต่ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าดีใจนั้นจึงม่อยลง


   “ หากเจ้าอยากเรียน ข้าจักสอนให้ แลเมื่อเจ้ารู้หนังสือมากขึ้นจักได้ช่วยงานข้าได้มากขึ้นเช่นกัน ”


   เต้กล่าว พร้อมมองสีหน้า แลแววตาดีใจของตนตรงหน้าไปด้วย เขาเพิ่งนึกได้เมื่อเห็นงานที่มากล้นของตน หากว่ามีคนมาช่วยก็คงจักแล้วได้ไวกว่าเดิม ซึ่งหากคนที่จักเข้ามาช่วยเขานั้นเป็นคนตัวเล็กนี้ ตี๋ก็จักต้องตามเขาเข้ากรมไปด้วยกัน หากเมื่อต้องเข้ากรม ตี๋ก็จักต้องแต่งกายให้มิดชิด สวมเสื้อแลนุ่งโจง มิต้องเปลือยอกเช่นตอนอยู่เรือน



******************************



   หลังจากที่เต้เริ่มสอนเรื่องเรียนเขียนอ่านกับตี๋ในครานั้น บัดนี้ตี๋นั้นเริ่มเขียนอ่านคล่องขึ้นจากเดิมมากนัก ทำให้ครูอย่างเต้พอใจเป็นอย่างมาก แลความรู้สึกของเต้เองที่เคยติดค้างในใจตนในคราแรกนั้น ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจใจตัวเองมากขึ้น



   ส่วนหนึ่งเขาต้องขอบคุณเกลออย่างคิมม่อน ที่แนะนำเขา เมื่อเขานำเรื่องที่เขาเป็นไปปรึกษา คิมม่อนเป็นเกลอที่มีความคิดต่างไปจากคนในพระนคร อาจเนื่องมาจากเจ้าตัวมีบิดาเป็นฝรั่ง แลเดินทางไปบ้านเกิดบิดาบ่อยครั้ง ความคิดจึงมิเหมือนใคร


   คิมม่อนชี้แจงจนเขาแจ้งใจว่า เขาชอบบ่าวของตนแบบใด แลคิมม่อนยังกล่าวอีกว่า ตนเองก็เป็นเช่นกัน คิมม่อนเองก็มีคนที่ใจหมายปอง คิมม่อนว่าพวกเขามิใช่พวกแรกในพระนครที่คิดเล่นสวาท(10) หากแต่ก่อนหน้าก็มีเกิดขึ้นมามิใช่น้อย แต่นั่นมิใช่เรื่องที่เปิดเผยได้


   หลังจากเต้ปรึกษาคิมม่อน ความรู้สึกเขาก็ชัดเจนขึ้นว่า เขารู้สึกเยี่ยงไรกับตี๋ แต่ความรู้สึกนี้เขามิอาจจักบอกใครได้ ลำพังตัวเขานั้นมิเป็นไร แต่กับบ่าวอย่างตี๋ อย่างเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ตี๋คงจักต้องโดนลงโทษเป็นแน่ นั่นเป็นเรื่องที่เขาจักต้องระวังให้มาก



**********************************



   “ เหตุใดคุณเต้ต้องจ้องมองบ่าวเยี่ยงนี้ขอรับ ”


   “หากข้ามิได้ดูใกล้ๆ จะรู้ได้อย่างไรเล่าว่า สิ่งที่เจ้ากำลังทำนั้น ถูกใจข้ารึไม่ ”


   ตี๋เอ่ยถามนายของตน เมื่อเห็นว่าคุณเต้นั่งมองสิ่งที่ตนเองกำลังทำเสียใกล้ จนศีรษะเกือบจักชนกัน ส่วนคุณเต้นั้นก็ตอบ แต่ก็มิได้ถอยห่างออกไปแต่อย่างไร


   ลมหายใจอุ่นๆ ที่ปะทะหน้านั้นทำให้คนที่โดนมองวูบไหวในอกแปลกๆ โดยที่ตนเองก็มิอาจบอกได้ว่ามันเป็นกระไรกันแน่

   เต้พิศมองคนที่นั่งหน้าขึ้นสีเรื่อๆ อย่างพึงใจ แก้มนวลนั้นเจือสีแดงจาง ยิ่งมองยิ่งหลงไปให้เสน่ห์ ทั้งที่คนทำคงจักมิรู้ตัว


   “ คุณเต้ถอยออกไปสักนิดได้รึไม่ขอรับ บ่าวเขียนมิถนัด ”


   ตี๋บอกคนที่นั่งข้างตนให้ช่วยถอยออกไป โดยความจริงแล้วนั้นมิใช่ว่าเขียนมิถนัด หากแต่ยิ่งคุณเต้นั่งใกล้เขาเท่าใด ใจเขาก็เต้นเร็วเท่านั้น


   “ วันนี้พอแค่นี้ก่อน คืนนี้พระจันทร์งามนัก ข้าอยากจะไปเดินเล่น ตี๋เจ้าจักไปกับข้าได้รึไม่ ”


   เต้เอ่ยขึ้น พลางแหงนมองจันทร์ดวงโตบนฟ้า ส่วนบ่าวอย่างตี๋ เมื่อนายบอก แม้มิได้สั่ง แต่เขารึจักกล้าปฏิเสธ


   “ ขอรับคุณเต้ รอประเดี๋ยวนะขอรับ บ่าวขอเก็บตำราตรงนี้ก่อน ”


   น้ำค้างยามค่ำลงแรงขึ้นแล้ว หากคนสองคนที่เดินอยู่นั้นมิใคร่ใส่ใจ เต้เดินนำตี๋ไปตามทางเดินจากเรือนสู่ศาลาริมน้ำ เพลานี้ดึกพอสมควรแล้ว บ่าวไพร่ที่เคยเดินให้เห็นก็มิมีแล้ว จักมีก็เพียงแต่ บ่าวชายที่ยืนยามในคืนนี้เท่านั้น


   เพลามิถึงชั่วอึดใจทั้งคู่ก็ถึงศาลาริมน้ำ คุณเต้ออกไปยืนรับลมที่นอกศาลา ติดกับท่าจอดเรือ พลางแหงนมองจันทร์บนฟ้า ก่อนจักเอ่ยประโยคที่ทำให้คนมาด้วยหน้าร้อนผ่าวขึ้นอย่างมิทันตั้งตัว



   “ ตี๋เจ้าเห็นพระจันทร์นั่นไหม จันทร์ว่างามแล้ว แต่คนที่อยู่ข้างข้าก็งามไม่แพ้จันทร์ ”


   มิเพียงแต่คำพูด คุณเต้ยังหันมายิ้มให้ ส่งให้ใจที่เต้นแรงเมื่อแรกได้ยินประโยคนั้น กลับยิ่งแรงเต้นขึ้นไปอีก ใจดวงนั้นเต้นแรงเสียจนตนเกรงว่า คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าจักได้ยิน


   แต่ตี๋มิได้ตอบกระไรกลับไป เพราะตัวเองทำได้เพียงนั่งใจเต้นไม่เป็นส่ำ แลรู้สึกว่าใบหน้าของตนนั้นร้อนผ่าวขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ


   เต้มองตนตัวเล็กที่นั่งมองตนเอง หากก็มิมีคำใดหลุดออกจากปากเล็กๆนั่น มีเพียงใบหน้า แลใบหูขึ้นสีระเรื่อ แม้ว่าเป็นเพลาค่ำก็มองเห็นได้


   “ ตี๋ เจ้าว่าความรักนั้นเป็นเช่นไรกัน แลคนรักกันนั้นเป็นเยี่ยงใด ”




***********************************










เชิงอรรถ


(1)   แล้ว เป็นคำวิเศษ หมายถึง ลักษณะอาการกระทําใดๆ เสร็จ สิ้น จบ ล่วงไป หรือสุดสิ้นลง เช่น กินแล้ว ทำแล้ว นอนแล้ว หรือต่อแต่นั้นเริ่มใหม่อีกระยะหนึ่ง (จะเป็นการกระทําอย่างเดียวกัน หรือต่างกันแล้วแต่กรณี) เช่น กินแล้วนอน ขึ้นรถแล้วลงเรือ
เป็นคำกิริยา หมายถึง จบ สิ้น เสร็จ เช่น งานแล้วหรือยัง



(2)   ปลาสังกะวาด หรือ ปลายอน เป็นสกุลของปลากระดูกแข็งในอันดับปลาหนังจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) ที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด โดยพบแล้วประมาณ 26 ชนิด มีรูปร่างโดยรวม คือ ลำตัวลื่นไม่มีเกล็ด หัวโต ตามีขนาดเล็ก ปากกว้าง รูจมูกคู่หลังอยู่ใกล้รูจมูกคู่หน้ามากกว่านัยน์ตา และอยู่เหนือระดับขอบบนของลูกนัยน์ตา มีหนวด 2 คู่สั้นหรือยาวแล้วแต่ชนิด (ริมปากบน 1 คู่ และคาง 1 คู่) มีฟันที่กระดูกเพดานปากชิ้นกลางและชิ้นข้าง แต่ในบางชนิดอาจหดหายไปเมื่อปลามีอายุมากขึ้น รูปร่างอ้วนป้อม ครีบทั้งหมดโดยเฉพาะครีบหลังและครีบอกตั้งชี้ตรง และมีก้านแข็ง นัยน์ตาอยู่เหนือระดับมุมปากเล็กน้อย ท้องไม่เป็นสันคม ครีบท้องมีก้านครีบแขนง 6 ก้าน มีขนาดรูปร่างที่แตกต่างออกไปตั้งแต่ 1 ฟุต ไปจนถึงเกือบ 3 เมตร แต่โดยทั่วไปจะมีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 1-1.5 เมตร



(3)   ข้อง เป็นคำนาม หมายถึง เป็นเครื่องจักสานชนิดหนึ่ง สานด้วยผิวไม้ไผ่ ปากแคบอย่างคอหม้อ มีฝาปิดเปิดได้ เรียกว่า ฝาข้อง ฝาข้องมีชนิดที่ทำด้วยกะลามะพร้าว และใช้ไม้ไผ่สานเป็นรูปกรวย ปลายกรวยแหลมปล่อยเป็นซี่ไม้ไว้เรียกว่า งาแซง ข้องใช้สำหรับใส่ ปลาปู กุ้ง หอย กบ เขียด หรือตะข้องก็เรียก



(4)   แกงเหงาหงอด เป็นตัวแทนของอาหารสมัยอยุธยา ที่มีหลักฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจาก “ซุป” ของโปรตุเกส ยุคนี้มีพริก หอม กระเทียม เป็นวัตถุดิบในการปรุงแล้ว มีลักษณะคล้ายกับแกงส้ม ปรุงแบบพริกแกงส้ม มีพริกชี้ฟ้าสดสีเหลือง พริกชี้ฟ้าแดงแห้ง หอม กระเทียม วัตถุดิบจากโปรตุเกส มาผสมกับกะปิบ้านเรา ผสมกันเป็นแกงชนิดใหม่


(5)   ย่ำฆ้อง เป็นการบอกเวลาในอดีต เมื่อครั้งนาฬิกายังไม่แพร่หลาย ขณะนั้นจะมีเฉพาะสถานที่สำคัญอย่างศาลาว่าการ หรือวัดเท่านั้นที่จะมีนาฬิกาใช้ ฉะนั้นจึงต้องมีการส่งสัญญาณ เพื่อบอกเวลาให้คนทั่วไปทราบ จะได้กะประมาณการดำเนินชีวิตในแต่ละวันได้อย่างถูกต้อง การส่งสัญญาณดังกล่าวจะใช้เครื่องมือที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัน  กลายเป็นที่มาของหน่วยนับเวลาที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง


   ในตอนกลางวันจะบอกเวลาโดยอาศัยการตีฆ้อง  ซึ่งจะให้เสียงดัง “โหม่ง”  โดยชั่วโมงแรกของวันตามทัศนะคนไทยคือ ๗ นาฬิกา ( เพราะนับจากเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นประมาณ ๖ นาฬิกา  ไม่ได้ถือตามฝรั่งที่เอาเวลา ๑ นาฬิกาเป็นชั่วโมงแรกของวัน ) ทางการก็จะตีฆ้อง ๑ ครั้ง กลายเป็น ๑ โหม่ง หรือ ๑ โมงเช้า เวลา ๘ นาฬิกาก็จะตี ๒ ครั้ง เป็น ๒ โมงเช้า เวลา ๙ นาฬิกาก็จะ ๓ ครั้งเป็น ๓ โมงเช้า เรื่อยไปจนถึงเวลา ๑๑ นาฬิกาหรือ ๕ โมงเช้า บางครั้งก็จะเรียกว่า “เวลาเพล”  ตามเวลาที่พระฉันเพล  ส่วนเวลา ๑๒ นาฬิกาจะเรียกว่า  “เที่ยงวัน”



   ชั่วโมงแรกหลังจากเที่ยงวันก็จะกลับมาตีฆ้อง ๑ ครั้งอีกที  เวลา ๑๓ นาฬิกาจึงเรียกว่า ๑ โมงบ่าย หรือบ่าย ๑ โมง เวลา ๑๔ นาฬิกาก็จะตี ๒ ครั้ง เป็นบ่าย ๒ โมง เรื่อยไปจนถึงเวลา ๑๖ และ ๑๗ นาฬิกา อาจเรียกว่าบ่าย ๔ โมง บ่าย ๕ โมง  (ตามลำดับ) หรือจะเรียกว่า ๔ โมงเย็น ๕ โมงเย็น (ตามลำดับ) ก็ได้ แต่วิธีเรียกอย่างหลังจะเป็นที่นิยมมากกว่าในปัจจุบัน ส่วนเวลา ๑๘ นาฬิกานั้นจะเรียก ๖ โมงเย็นก็ได้ แต่ในอดีตจะใช้คำว่า “ย่ำค่ำ”  เพราะเป็นเวลาคาบเกี่ยวระหว่างกลางวันกับกลางคืน  พระก็มักตีกลองรัวในเวลานี้ก็อาจเรียกว่า ย่ำกลอง ได้เช่นกัน



   คำว่า “ย่ำ” พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “ก. เหยียบหนัก ๆ ซ้ำ ๆ ถ้าเหยียบในลักษณะเช่นนั้นอยู่กับที่ เรียกว่า ย่ำเท้า เดินในลักษณะคล้ายคลึงเช่นนั้น ตีกลอง หรือฆ้องถี่ ๆ หลายครั้งเพื่อบอกเวลาสำหรับเปลี่ยนยาม เรียกว่า ย่ำกลอง ย่ำฆ้อง, ย่ำยาม ก็เรียก, ถ้ากระทำในเวลาเช้า เรียกว่า ย่ำรุ่ง (ราว ๖ นาฬิกา), ถ้าทำในเวลาค่ำ เรียกว่า ย่ำค่ำ (ราว ๑๘ นาฬิกา)


   เวลา ๑๘ นาฬิกานี้ พระมักจะ ย่ำกลอง ย่ำฆ้อง หรือ ย่ำระฆัง เพื่อบอกเวลาสิ้นสุดวันให้ชาวบ้านในชนบทได้รับรู้  ครั้นความเจริญมีมากขึ้นจนทุกบ้านต่างมีนาฬิกาใช้  บทบาทของการย่ำกลองจึงหมดไป



(6)   เมืองอีหรอบ คำโบราณ เป็นคำนาม แปลว่า ยุโรป หมายความว่า ฝรั่ง เช่น ดินอีหรอบเข้าอีหรอบ หมายความว่า ทําตามแบบฝรั่ง


(7)   หมื่น เป็นระดับยศ หรือ บรรดาศักดิ์ คือ ระดับชั้นของข้าราชการไทยในสมัยโบราณ แบ่งออกได้เป็น 8 ระดับ

-   เจ้าพระยา
-   พระยา
-   พระ หรือ จมื่น
-   หลวง
-   ขุน
-   หมื่น
-   พัน
-   นาย หรือ หมู่
-   หมายเหตุ สมเด็จเจ้าพระยา เป็นบรรดาศักดิ์พิเศษที่ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นในบางรัชกาล

•   ศักดินา คือ ตัววัดในการปรับไหม และ พินัย ในกรณีขึ้นศาล คนที่ถือศักดินาสูง เมื่อทำผิดจะถูกลงโทษหนักกว่าผู้มีศักดินาต่ำ การปรับในศาลหลวง ค่าปรับนั้นก็เอาศักดินาเป็นบรรทัดฐานการกำหนดระบบศักดินาขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์ในการกำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน หน่วยที่ใช้ในการกำหนดศักดินา ใช้จำนวนไร่เป็นเกณฑ์ แต่มิได้หมายความว่าศักดินาจะเป็นข้อกำหนดตายตัวเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดิน


•   ศักดินา ไม่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นวิธีการลำดับ"ศักดิ์"ของบุคคลตั้งแต่ พระมหาอุปราช ขุนนาง ข้าราชการ ลงไปจนถึงไพร่และทาส โดยกำหนดจำนวนที่นามากน้อยตามศักดิ์ของคนนั้น พระมหาอุปราชมีศักดินา 100,000 ไร่ และสูงสุดของขุนนางคือ ชั้นเจ้าพระยามีศักดินา 10,000 ไร่ คนธรรมดาสามัญมีศักดินา 25 ไร่ ทาสมีศักดินา 5 ไร่ เป็นต้น


(8)   ผ้าเตี่ยว เป็นคำนาม หมายถึง ผ้าคาดปากหม้อกันไม่ให้ไอระเหยออกมา ผ้าขัดหนอกซับระดู ผ้าผืนเล็กเฉพาะปิดของลับ ใบตองชิ้นยาวคาดกลัดห่อขนม (ภาษาถิ่นภาคเหนือ) กางเกง ตัวอย่างเช่น ชาวบ้านบางคนก็ยังมั่นคงอยู่กับจารีตเก่าด้วยการนุ่งผ้าเตี่ยวหรือโสร่งคาดผ้าขะม้า ในที่นี้ผู้แต่งขอความถึง ผ้านุ่งผืนเล็กนุ่งอย่างโจงกระเบน


(9)   ถกเขมร เป็นคำกิริยา คือ การนุ่งผ้าโจงกระเบนดึงชายให้สูงร่นขึ้นไปเหนือเข่า ขัดเขมร ก็ว่า



(10)    เล่นสวาท เป็นคำกิริยา แปลว่า เลี้ยงเด็กชายเป็นลูกสวาท หรือกิจกรรมทางเพศระหว่างชายกับชาย ในที่นี้ผู้แต่งขอแปลความว่า การที่ผู้ชายมีคู่รักเป็นผู้ชายด้วยกัน




************************************




ตัวละครเพิ่มเติม


1 นายสุก , นายผล บ่าวชายในเรือนพระยาทิพยโอสถ ที่เคยแกล้งตี๋ แต่เพลานี้กลับนับถือกันเป็นพี่น้อง


2 ป้าม้วน หัวหน้าแม่ครัว


3 พี่ปริก คนครัว


4 คิมม่อน (ขาดไม่ได้เลย) สหายของคุณเต้ เป็นลูกครึ่ง มิใช่ชาวสยามโดยแท้ มีมารดาเป็นแม่หญิงไทย แต่บิดาเป็นชาวอีหรอบ



   ซึ่งเท่าที่ผู้เขียนหาข้อมูลมานั้น เริ่มมีตั้งแต่ในสมัยอยุธยา เนื่องจากมีการเข้ามาค้าขาย เผยแผ่ศาสนาของชาวยุโรป และมีเรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์



   และเมื่อเมืองสยามทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ใน พ.ศ. 2389 นั้น เป็นการเปิดการค้าเสรีมากขึ้น ทำให้มีชาวต่างชาติเข้ามาในไทย ทั้งทำการค้า เผยแพร่วัฒนธรรม ศาสนา อารยะธรรมด้านสถาปัตยกรรม และอื่นๆ ซึ่งทำให้มีลูกครึ่งเพิ่มขึ้นการเดิม



************************************



คุยกับคนแต่ง



   ก่อนอื่นข้าเจ้าต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ที่ข้าเจ้าช่างล้าช้ายิ่งนัก มิขอแก้ตัวขอรับ แต่ข้าเจ้าจักพยายามปรับปรุง และในบทนี้นั้น ท่านอาจมิชอบใจกับเชิงอรรถท้ายบท ที่มีเสียมากมาย


   แต่ข้าเจ้าขอนำเรียนว่า ข้าเจ้าเพียงต้องการนำเสนอเกร็ดความรู้ไปพร้อมกับเนื้อเรื่อง หากเป็นการรบกวน ทำให้ท่านเสียอรรถรสในการอ่าน ข้าเจ้าก็จักต้องอภัยขอรับ


   และเรื่องนี้สอนให้ข้าเจ้ารู้ว่า เรามิควรหลับในชั่วโมงประวัติศาสตร์ เพราะข้าเจ้าพบเจอปัญหาเมื่อตอนเขียนบทนี้ เนื่องด้วยข้าเจ้าพยายามนึกถึงเรื่องประวัติศาสตร์ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบ ซึ่งมันช่างยากนักแล และนั่นก็ทำให้ข้าเจ้าบ่นๆ กับพี่ท่านหนึ่งว่า ‘หนูอยากเปลี่ยนแนวแล้ว’ แต่คุณพี่ท่านนั้นก็บอกว่า ไม่ทันแล้วน้องเอ๋ย เพราะฉะนั้น ข้าเจ้าจึงพยายามจักหาข้อมูลให้ใกล้เคียงความเป็นจริงในสมัยต่อไป (ร้องไห้)


   ขอกล่าวถึงตัวละครที่เพิ่มขึ้นมาอย่างคิมม่อน ซึ่งคิมม่อนเป็นตัวแปรที่ทำให้คุณเต้ออกอาการหวงน้อง เท่านั้นยังมิพอ คิมม่อนยังเป็นที่ปรึกษาด้านหัวใจให้อีกด้วย


   แลในบทนี้นั้น หลังจากคุณเต้ที่ยอมรับหัวใจ แลความรู้สึกของตัวเองแล้ว คุณเต้ก็เริ่มเกี้ยวน้องให้ได้เขินกันไป ส่วนน้องก็ยังเด็กน้องนัก แต่ก็เขินไปกับพี่เช่นกัน


   สุดท้ายข้าเจ้าคงต้องบอกว่า รบกวนติดตามตอนต่อไปด้วยนะขอรับ แล้วพบกันขอรับ




.....................ด้วยใจภักดิ์.......................




โปรดติดตามตอนต่อไป




…..Mariner_IX….





ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
   สีหราช : ขอบคุณขอรับ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนที่ 4/1

...............ใจผูกใจ...............



   หลังจากที่ผ่านคืนที่เต้ออกมาชมจันทร์ ความสัมพันธ์ระหว่างนายแลบ่าวก็เหมือนจักชัดเจนขึ้น เต้ชัดเจนในความรู้สึกของของตน แลยอมรับสิ่งที่ตนรู้สึกอย่างมิมีข้อแม้

   คิมม่อนที่ทราบเรื่องของเต้เป็นอย่างดี ก็มักจักมาเยือนเรือนพระยาทิพยโอสถบ่อยขึ้น ด้วยนานาสาเหตุ ไม่ว่าจักเป็น นำเครื่องหอมจากเมืองฝรั่ง มาให้คุณหญิงทั้งสอง นำผ้าแพร แลเครื่องประดับมาให้เลือก แต่สาเหตุหลักของการมาเรือนพระยาทิพโอสถนั้น คนที่ทราบดีกว่าใครคือเจ้าของเรือนริมน้ำ ว่าคิมม่อนมาเรื่อนพระยาทิพยโอสถด้วยการใด

   เพราะทุกครั้งที่มาเรือนพระยาทิพยโอสถ สิ่งที่คิมม่อนต้องกระทำนั่นคือ การมายั่วยุเต้ที่เรือนริมน้ำ ด้วยการนั่งมองทาสเรือนริมน้ำ พร้อมกับถ้อยคำที่คิมม่อนหยอกเย้าทาสรับใช้ของเรือนให้ได้ประหม่าไม่เว้นวัน แลคิมม่อนนั้นพึงใจเป็นอย่างมากเช่นกันที่เห็นเต้ ออกอาการมิใคร่จักชอบใจนัก ที่เห็นตนเย้าแย่ทาสของเรือน แต่คิมม่อนก็มิใคร่ใส่ใจนัก ยังคงหาหาเรื่องมาที่เรือนมิได้ขาด จนเต้อยากจักให้บิดาของเจ้าตัวส่งกลับอยู่ที่เมืองฝรั่งเสียเหลือเกิน

   “ เอาน่าเต้ ฉันเห็นว่าบ่าวของเจ้าซื่อดีนัก แลฉันก็เอ็นดูอยู่มาก จึงอยากจักหยอกเล่นบ้าง มิเห็นเจ้าต้องเคืองฉันเลย ”

   “ แต่ฉันมิชอบ เจ้าเองก็รู้มิใช่รึ เหตุใดจึงชอบยั่วยุฉันนัก ”

   “ เต้ ฉันบอกแล้วว่าฉันมีคนที่สมัครใจปองแล้ว เจ้ามิต้องกังวล แลฉันก็มิใคร่ชอบที่จักแย่งของเพื่อน เจ้าสบายใจเถิด ฉันก็แค่หยอก เพราะฉันอยากเห็นเจ้าหวงนั่นล่ะ ”

   “ แต่ฉันมิสนุกด้วยเลยนะคิมม่อน ”

   “ เพราะเจ้าหวง แลหึงทาสของเจ้ามากนั่นประไร ฉันก็แค่ทำให้เจ้ารู้ใจตัวเองมากขึ้น ”

   “ ขอบใจเพื่อนเกลอ เจ้าเองก็ว่าฉันชอบพอบ่าวคนนี้อยู่มาก มากเสียจนฉันเองก็ยังตกใจ เพราะมันเป็นเรื่องที่ฉันไม่เคยได้คาดคิดมาก่อน แต่เจ้าเองก็รู้มิใช่รึว่า เรื่องของฉันมันเป็นเรื่องที่พึงระวังเป็นอย่างมาก ”

   “ ฉันเข้าใจนะ เอาเป็นว่า ฉันมิหยอกเจ้าแลบ่าวของเจ้าแล้ว แต่สิ่งที่เจ้าพึงระวังมากกว่านี้ก็คือ สิ่งที่เจ้าแจ้งแก่ใจดี กับฉันที่รู้เรื่องนี้ดี เจ้าจักแสดงอาการหึง แลหวง เท่าใดก็ย่อมได้ แต่นอกเรือนนั่น มันมิใช่ แลฉันอยากจักเตือนอีกเรื่อง กำแพงมีหู ประตูมีช่อง(1) ถึงเจ้าจักมั่นใจว่า บนเรือนนี้มิมีผู้ใดขึ้นมา แต่เจ้าก็อย่าได้นอนใจนัก พวกสอดรู้ก็มีมากเช่นกัน แล้วยิ่งเจ้าใส่ใจบ่าวของเจ้าเท่าใด นั่นจักยิ่งทำให้พวกสอดรู้ ริษยามากขึ้นเท่านั้น ”

   คิมม่อนเอ่ยขึ้นยาวๆ ทั้งคู่นั่งอยู่บนชานเรือน ที่ต่อเติมเพิ่มให้ยื่นออกไปริมน้ำ โดยมีบ่าวประจำเรือนเช็ดถูเรือนอยู่ห่างออกไป

   เต้ทอดสายตามองแผ่นหลังเล็กของคนที่ตนพึงใจ แล้วคิดตามคำพูดของเกลอ วันนี้เขามิได้เข้ากรมด้วยเป็นวันพักของตน เขาแลคิมม่อนที่มาเยี่ยมเยือน จึงมานั่งสนทนากันบนเรือนริมน้ำ ด้วยมิอยากเห็นสายตาสอดรู้ของบ่าวไพร่

   สิ่งที่คิมม่อนว่ามานั้นไม่ผิดแม้แต่น้อย เขาทราบอยู่ก่อนแล้ว แม้เขาจักมิได้อยู่เรือนมากนัก แต่สายตาที่เห็นบ่าวคนอื่นมองบ่าวรับใช้ของตน เขาก็แจ้งใจได้

   แลยิ่งมากขึ้นเมื่อเขายกผ้าโจงให้เป็นรางวัลเมื่อคราก่อน ใช่ว่าเขาจักไม่ถามไถ่คนของตน ว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นรึไม่ แต่ตี๋กับมิยอมบอกเขา แต่ก็ใช่เขาจักดูมิออก

   เมื่อผ้าโจงผืนยาวที่เขาให้ผืนหนึ่ง บัดนี้กลายเป็นผืนสั้น แลมีรอยปะ ชุน(2) ยามเมื่อเขาถาม เจ้าตัวก็บอกว่าตนเองทำงานมิทันระวัง ทำให้ผ้าขาด จนต้องแบ่งผ้าออกเป็นแบ่ง 2 ผืน แลตี๋ก็มิเคยนุ่งผ้าผืนอื่นอีก นอกจากผืนนั้น

   หากเมื่อเขาถาม ตี๋ก็จักบ่ายเบี่ยง หลบตา แลตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า มิอยากให้ผ้าผืนอื่นเลอะ แลเสียดายผ้าผืนงามที่ต้องสกปรกเพราะตน

   “ ขอบใจเจ้ามากนะคิมม่อน ฉันจักระวังให้มากกว่านี้ ”

   “ มิเป็นใดดอก ฉันก็อยากให้เพื่อนสมหวัง ”

   “ อยากให้ฉันสมหวัง แล้วเมื่อใดเกลอจักพาคนที่หมายปองมาให้ฉันรู้จักบ้าง รึกลัวฉันจักหยอกเล่นเช่นที่เจ้าทำกับฉัน จึงมิกล้าแนะนำให้ได้รู้กัน ”

   เต้ว่า พร้อมกับหยอกคิมม่อนกลับ เรื่องที่คิมม่อนมิยอมพาคนที่ตนเองต้องตามาให้รู้จัก แม้ตนจักทราบมาบ้างว่า คนที่คิมม่อนหมายใจไว้นั้น มิใช่คนไทย หากแต่เป็นลูกครึ่งฝรั่งเช่นเดียวกับตัวคิมม่อนเอง แต่เต้มิเคยได้พบหน้าเลยสักครั้ง

   “ เอาเถิด มิต้องหยอกฉันนัก เอาไว้เจ้าตัวเขายินยอมกับฉันเมื่อใด ฉันจักมามาให้เพื่อนเกลอเช่นเจ้ารู้จักเป็นแน่ ”

   คิมม่อนว่า เขานั้นหมายใจคนที่ตนชอบพอ แต่คนที่ตนชอบนั้นยังมิได้ตอบรับไมตรี เขาจึงมิกล้าจักแนะนำให้เพื่อนรู้จัก

   “ เอาเป็นวันนี้ฉันกลับก่อนจะดีกว่า นี่ก็ใกล้ค่ำ ประเดี๋ยวจักเข้าไปลาคุณหญิงแม่ แลเจ้าคุณพ่อเสียทีเดียว ”

   “ มิอยู่รับมื้อเย็นด้วยกันก่อนรึ ”
   
   “ วันนี้เห็นทีคงจักต้องขอตัว เอาไว้คราหน้าดีกว่า ”

   คิมม่อนว่า ก่อนทั้งคู่จักเดินลงจากเรือนริมน้ำ เพื่อไปลาเจ้าของเรือน เต้หันมองบ่าวของตนอีกครั้ง ก่อนจักก้าวเท้าตามเพื่อนลงจากเรือนไป





******************************




   “ นี่ไอ้สุก เอ็งว่าบ่าวเรือนคุณหญิงแย้มมองพวกเราแปลกๆ รึไม่วะ ”

   “ นั่นสิไอ้ผล ข้าก็นึกว่าข้าคิดไปคนเดียว เห็นทีต้องระวังตัวกันแล้วล่ะ โดยเฉพาะเอ็ง ไอ้ตี๋ ”

   นายผล เอ่ยถามนายสุกขณะที่เจ้าตัวกำลังตัดกิ่งไม้ให้เป็นพุ่มสวย ส่วนนายสุกซึ่งนั่งดายหญ้าอยู่ไม่ห่างกันนัก ตี๋เองก็เก็บกิ่งไม้ที่นายสุกตัด รวมเป็นกอง เพื่อนำไปทิ้ง

   “ ทำไมรึพี่สุก เหตุกระไรฉันจึงต้องระวังตัว ฉันมิได้ทำสิ่งใดนี่จ๊ะ ”

   “ เอ็งมิได้ทำ แต่คนมันมิชอบหน้าเอ็ง มันก็หาเรื่องผิดมาให้จนได้นั่นล่ะ รึไม่ไอ้พวกนั้นอาจจักหาความเอ็ง เหมือนที่เอ็งโดนตัดผ้าโจงนั่นล่ะ ”

   “ เออ อย่างที่ไอ้สุกมันว่านั่นล่ะ บ่าวอย่างพวกเราถึงจะเป็นขี้ข้าท่านเจ้าคุณเหมือนกัน แต่ไอ้พวกนั้นมันถือว่า หญิงแย้มถือหางมันอยู่ มันถึงเหิมเกริม มิเกรงใคร ”

   “ ส่วนเอ็งไอ้ตี๋ เหตุใดเอ็งก็มิบอกคุณเต้ท่าน ยิ่งเอ็งทำเยี่ยงนี้ ประเดี๋ยวพวกมันจักได้ใจ ยิ่งหาความเอ็งมากขึ้นไปอีก ”

   “ เอ็งพูดเยี่ยงนี้ก็มิถูกเสียทีเดียวไอ้สุก หากไอ้ตี๋มันแจ้งความแก่คุณเต้ท่าน เอ็งคิดรึว่าไอ้อีพวกนั้นจักมิยิ่งแค้นเคืองหนักกว่าเดิม ”

   “ เออ เห็นจะจริงอย่างเอ็งว่าไอ้ผล ข้าเองก็มิทันได้นึก เอาเป็นเอ็งจักต้องระวังไว้ให้มาก ข้ามิอยากเห็นเอ็งโดนรังแก ”

   “ จ้าพี่ผล พี่สุก ฉันจักระวังตัวให้มาก ”

   ทั้งสามคนว่าถึงเรื่องที่ตี๋โดนรังแก เมื่อคราที่ได้รับรางวัลเป็นผ้านุ่งผืนงามจากนายเรือนริมน้ำ สิ่งนั้นยังความมิพอใจให้บ่าวในเรือนอีกหลายคน เนื่องด้วยคุณเต้มิเคยให้รางวัลผู้ใดมากก่อน แต่นั่นเป็นเพราะเรือนริมน้ำมิเคยมีทาสรับใช้ที่ถูกใจเจ้าของเรือนนั่นเอง

   “ เออไอ้ผล งานภูเขาทองปีนี้เอ็งจักไปกับข้ารึไม่ ”

   “ งานภูเขาทองรึ ที่พระนครเขาห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์(3) แล้วรึ ข้ามิทันดู ”

   “ เอ็งจักทันดูกระไร วันๆหากแล้วจากงาน เอ็งก็เดินตามนางมา มิได้ห่าง คงอีกไม่กี่เพลากระมัง ข้าจักได้ไปงานมงคลของเอ็งเป็นแน่ ”

   นายสุกถามเรื่องงานภูเขา ซึ่งกำลังจักมีขึ้น แลหยอกนายผลเรื่องที่นางผลกำลังเกี้ยวบ่าวหญิงในเรือน ซึ่งนางมาที่นายสุกพูดถึงนั้นก็ดูจักชอบพอนายผลอยู่ไม่น้อย

   “ งานนี้ข้ามีรึจะพลาด เอ็งก็ถามไป ข้าจักพาแม่มาไปเที่ยวชมงาน เผื่อจับเหมาะเคราะห์ดี แม่มาใจอ่อนตกลงปลงใจกับข้าเสียในคราเดียวกัน ”

   นายผลตอบ แลบอกต่ออีกว่าจักพานางมาไปเที่ยวชมงานด้วย

   “ แล้วเอ็งเล่าไอ้ตี๋ จักไปกับพวกข้ารึไม่ ”

   “ ฉันไปได้รึขอรับพี่สุก ”

   “ ได้สิวะ เหตุใดจักมิได้กัน ท่านพระยาอนุญาตให้พวกบ่าวไพร่ไปเที่ยวงานได้ทุกปี แลให้อัฐกับทุกคนด้วย แต่นั่นจักต้องมิได้หนีเวรยามไปนะ ”

   นายสุกว่า ทุกปีที่มีงานภูเขาทอง ท่านพระยาจักแจกอัฐแก่บ่าวไพร่ เพื่อนำไปทำบุญนมัสการองค์พระเจดีย์ แลเที่ยวชมงาน

   “ กระนั้นรึพี่สุก ฉันเองก็อยากไปจ้า เพราะฉันยังมิเคยได้ไปสักครา ได้แต่มองอยู่ไกล แต่ฉันยังมิกล้าบอกพี่ตอนนี้ดอก ฉันจักต้องถามคุณเต้ท่านเสียก่อน หากคุณเต้ท่านอนุญาต ฉันก็จักไป ”

   ตี๋ตามนายสุกไปตามที่คิด เพราะตนเองก็ยังมิแน่ใจนักว่า คุณเต้จักเรียกใช้ตนรึไม่ หากจะให้นายสุก แลคนอื่นคอยตนเองเพียงก็ดูจักมิควรนัก

   “ เอาเถิด เอ็งก็ไปขออนุญาตคุณเต้ท่านเสีย ท่านใจดีอยู่ดอกกระมัง คงมิห้ามดอก ”

   “ จ้าพี่สุก ฉันจักลองไปขอคุณเต้ท่าน ”

   ตี๋ตอบด้วยรอยยิ้ม เนื่องด้วยว่าตนนั้นอยากไปเที่ยวงานภูเขาทอง แต่ตั้งแต่เล็กมิเคยได้ไป ตอนเมื่ออยู่กับแม่ แลอาปา ก็มิได้ไป เนื่องด้วยตนทราบดีว่า แม่ แลอาปามิได้มีอัฐมากมายเพียงนั้น หากครานี้มีโอกาส ตนก็อยากจักไปเที่ยวงานสักครา

   แลเป็นดังเช่นนายสุก แลนายผลบอกไว้ เมื่อท่านพระยากับมาจากกรม ท่านเรียกรวมบ่าวไพร่ แจกอัฐให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม มิมีใครได้น้อยมากไปกว่ากัน




**************************************



   เสียงจิ้งหรีดเรไร ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว สายลมอ่อนๆ พัดพลิ้ว ยามค่ำเย็นชื้นด้วยไอน้ำค้าง หากแต่ว่าเรือนริมน้ำนั้นเย็นกว่า ด้วยเย็นจากสายน้ำด้านล่างเรือนด้วย แต่ที่เย็นกว่าน้ำค้าง แลพื้นน้ำก็คือมือของบ่าวเรือนริมน้ำนี่กระมัง

   “ ตี๋ เจ้าเป็นกระไร รึว่ากับข้าวมิถูกปาก ”

   “ มิได้ขอรับ กับข้าวมื้อนี้อร่อยมากขอรับ ”

   “ แล้วเหตุใดเจ้ามิยอมกินเสียที ”

   “ บ่าว....เอ่อ..... ”

   “ รึเจ้ากินมิถนัด ข้าจักป้อนให้ ”

   เต้ใช้ช้อนเงินคันงามตักอาหารจากสำรับของตนส่งให้ถึงปากเล็ก แต่อีกคนก็มิยอมรับเสียอย่างนั้น แต่เต้เองก็มิละความพยายาม เพราะเจ้าตัวใช้สายตากึงบังคับให้ตี๋กินอาหารที่ตนป้อน

   “ หากเจ้ามิยอมกินเอง ข้าก็จักป้อนเจ้า แต่หากเจ้ายังมิยอมกินอีก ข้าก็จักมิกินเช่นกัน ”

   เมื่อเห็นว่าตี๋มิยอมกินอาหารที่ตนป้อน เต้จึงดึงมือกลับมา วางช้อนลงบนจานของตน เอ่ยบอกอีกคนว่า หากอีกฝ่ายมิยอมกิน เขาก็จักยอมอดด้วย

   “ คุณเต้ขอรับ มันมิควรดอกขอรับ จักให้บ่าวกินข้าวร่วมวงกับนาย ”

   ตี๋ว่า พลางส่ายหน้าอย่างมิอาจยอมรับสิ่งที่นายของตนต้องการได้

   “ ตี๋ ข้านึกว่าเจ้ากับข้าจักรู้สึกเช่นเดียวกัน วันนั้นข้ายังบอกเจ้ามิชัดเจนอีกรึ ”

   เต้ว่าเสียงเรียบ พาให้คนที่ได้ยินใจเต้นไม่เป็นส่ำ พลางนึกกลับไปวันที่คุณเต้เดินชมจันทร์



   ‘ ตี๋ เจ้าว่าความรักนั้นเป็นเช่นไรกัน แลคนรักกันนั้นเป็นเยี่ยงใด ’

   ตอนนั้นตี๋มิทันตั้งตัว แลมิได้ตอบว่ากระไร คุณเต้ก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

   ‘ ข้าเองก็มิรู้ดอกว่า ความรักเป็นเช่นใด แลตัวข้าเองก็มิเคยมี หากเห็นมาบ้างเท่านั้น แต่เจ้ารู้รึไม่ว่า ความรักที่ข้าเห็นนั้น กับความรักที่กำลังเกิดกับตัวข้านั้น ช่างต่างกันมากเสียจริง ’

   เต้ระบายความในใจ ซึ่งตี๋เองก็ทำได้เพียงรับฟังเงียบๆ ด้วยมิรู้จักพูดกระไรดี

   ‘ ข้ารู้ว่าสิ่งที่ข้ากำลังเป็นนั้น มันผิดจากจารีต ประเพณี แลมิมีใครจักยอมรับได้ แต่เจ้าเคยได้ยินรึไม่ว่า ความรักมันห้ามกันมิได้ ’

   เต้ยังคงพูดต่อ

   ‘ คราแรกนั้นข้ามิอาจจักยอมรับที่ตนเป็นได้ดอก แต่ยิ่งนาน ข้ายิ่งแจ้งแก่ใจตน ว่าข้านั้นรู้สึกเช่นไร ’

   ‘ ข้าชอบเจ้านะตี๋ เจ้าคงคิดว่ามันเร็ว แต่ข้าเองอยากให้เจ้าเชื่อใจข้า ว่าข้าชอบเจ้ามากจริงๆ ’

   สิ้นคำของเต้ ตี่ที่นั่งฟังมาโดยตลอดจึงชะงักงัน กว่าที่จักเอ่ยคำพูดใดได้ก็หลายอึดใจทีเดียว

   ‘ แต่มันมิถูกขอรับ บ่าวเป็นชาย แลคุณเต้ก็เป็นชาย เช่นนี้แล้วจักรักกันได้เยี่ยงไร ฟ้ามิผ่ารึขอรับ ’

   แต่ตี๋ก็คือตี๋ เด็กน้อยซื่อๆ คนเดิม ตี๋มิได้บอกว่าไม่ชอบเต้ หากแต่เจ้าตัวกลับบอกว่ามันมิควรแทน  ซึ่งนั่นพอเป็นความหวังให้กับเต้ได้

   ‘ ตี๋เจ้าคิดเยี่ยงไรกับข้าบ้างรึไม่ ’

   เต้ถามต่อ

   ‘ บ่าว.....บ่าวมิรู้ขอรับ ”

   ‘ มิรู้กระไร เจ้าเป็นเช่นข้ารึไม่ ข้าเข้าใกล้เจ้าคราใด ใจข้าช่างปั่นป่วนนัก ประเดี๋ยวก็เต้นเร็วเสียจนข้าเจ็บในอก ประเดี๋ยวก็เจ็บแปลบยามเห็นใครมองเจ้า แลมิอยากให้ใครได้สัมผัสตัวเจ้า มิอยากให้ใครมองเจ้า เจ้าเป็นเช่นนี้บ้างรึไม่ ’

   เต้บอกสิ่งที่ตนเป็น เขามิใคร่ให้ใครมองตี๋ แลมิอยากให้ตี๋มองใคร มิต้องการให้ผู้ใดสัมผัสผิวของคนตรงหน้า ยิ่งมิอยากให้คนตรงหน้าไปสัมผัสใครนอกจากตนเอง

   ‘ บ่าว...คือ บ่าว... ’

   ‘ เจ้ากระไร บอกให้ข้าได้ฟังได้รึไม่ ’

   เต้หว่านล้อมตนตัวเล็กตรงหน้าเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโอน เขาอยากจักรู้แม้เพียงสักน้อยว่า คนตรงหน้านี้ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

   ‘ บ่าวโง่ขอรับ บ่าวมิรู้จริงๆ ขอรับ ’

   ‘ แค่สิ่งที่ตนเป็น เอ็งยังมิรู้อีกรึ อย่ามาปดข้าเลย ตอบให้ข้าชื่นใจหน่อยเถิด ’

   เต้พยายามถามความจากตี๋ต่อ เขาเชื่อว่าตี๋นั้นต้องรู้สึกเช่นที่เขารู้สึกบ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะหากเจ้าตัวไม่รู้สึกกระไร เหตุใดจึงต้องเขินอายทุกครั้งที่เข้าใกล้เขา

   ‘ บ่าวมิรู้จริงๆขอรับ บ่าว...... บ่าวไม่รู้ว่ามันคือกระไรดอกขอรับ แต่บ่าวใจเต้นแรงทุกครั้งที่คุณเต้เข้าใกล้ แลไม่รู้ว่ามันคือกระไร ยามเมื่อเห็นคุณเต้ยิ้มให้ บ่าวรู้สึกร้อนไปทั้งร่าง ’

   เมื่อได้ฟังสิ่งที่ตี๋ว่า เขาอยากจักคว้าตัวคนตรงหน้ามากอด หากก็ต้องยั้งใจไว้ ด้วยมิได้อยู่แต่เพียงลำพัง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว  อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่า เขามิได้ชอบตี่อยู่ฝ่ายเดียว



   เต้นั่งมองคนที่คล้ายจักตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง หากเขาเดามิผิด คนตัวเล็กนี้คงจักคิดถึงเรื่องเมื่อคราเดินชมจันทร์แน่ ก็สีหน้าของเจ้าตัวฟ้องเสียหมด ประเดี๋ยวซีด ประเดี๋ยวแดงระเรื่อ

   “ ที่นี้เจ้าจักร่วมวง กินข้าวกับข้าได้รึยัง ”

   “ เอ่อ... คุณเต้ขอรับ ”

   “ มิต้องขัด หากเจ้ามิกินเอง ข้าก็จักป้อน เลือกมา ”

   เมื่อเห็นว่าตี๋มิยอมโดยง่าย เต้จึงตัดบทเสียเอง

   “ เป็นเยี่ยงไรบ้าง อร่อยรึไม่ ”

   “ ขอรับ คุณเต้หนาวรึขอรับ หากหนาวรอประเดี่ยวนะขอรับ บ่าวจักไปหยิบผ้าคลุมให้ขอรับ ”

   ตี๋ตอบ แลถามกลับ เพราะเต้นั้นนั่งชิดกับตนเสียเกิน อาจเป็นด้วยอากาศยามค่ำนั้นค่อนข้างเย็น เพราะหากเป็นที่บ้านหลังเล็กของตน เมื่ออากาศเย็น ทุกคนจักมานั่งใกล้กัน เพื่อให้อบอุ่น

   “ ข้ามิได้หนาว อย่าได้ตระหนกไป ข้าเพียงแค่อยากนั่งใกล้เจ้า ได้รึไม่เล่า ”

   เต้คว้าข้อมือของตนที่ผุดลุกขึ้น แลจักวิ่งไปหยิบผ้าคลุมดังเช่นที่ตนเองว่า แต่เมื่อตนตัวเล็กได้ฟังคำของที่คุณเต้ว่าแล้ว ใบหน้าเล็กนั้นจึงขึ้นสีแดงระเรื่อน่ามอง

   เต้ยิ้มขำเมื่อเห็นอาการประดักประเดิด(4) ของตี๋ ด้วยไม่รู้ว่าจักทำสิ่งใดดี แต่ต้องหลุดขำออกมาอย่างมิอาจกลั้นได้เมื่อ ตี๋คล้ายจักลืมตัว หันมาส่งตาค้อนให้ตน หากเมื่อนึกบางอย่างได้ก็มีท่าทางลุกลี้ลุกลนเสียแทน

   “ เจ้าเป็นกระไรกันแน่ ประเดี๋ยวจักค้อน ประเดี๋ยวก็ตกใจ พี่ตามอารมณ์เจ้ามิทันแล้ว ”

   คำสรรพนามที่เปลี่ยนไปของเต้ ยิ่งทำให้ตี๋ตระหนกขึ้นไปอีก เมื่อเต้เปลี่ยนมาแทนตนเองว่าพี่เสียอย่างนั้น หากแม้นจักตระหนกเพียงใด ใจของตี๋นั้นเต้นรัวยิ่งกว่า

   “ เมื่อครู่คุณเต้ว่ากระไรนะขอรับ บ่าวได้ยินมิถนัด ”

   ตี๋ถามอีกครั้ง เพื่อจักยืนยันว่าตนนั้นหูแว่ว คิดไปเองรึไม่

   “ ก็ถามว่าเจ้าเป็นกระไร ประเดี๋ยวหน้าแดง ประเดี๋ยวก็หันมาค้อน แล้วยังทำหน้าตกใจเสียอีก ”

   เต้ตอบ โดยละคำพูดของตนไว้เป็นบางคำ ซึ่งเมื่อตี๋ได้ฟังในครานี้ก็พนักหน้ากับตัวเองเบาๆว่า เมื่อครู่ตนคงหูแว่วไปเองว่า คุณเต้แทนตนเองว่า ‘ พี่ ’

    “แล้วเมื่อใดเจ้าจักนั่งลง แลกินข้าวเสียที พี่หิวแขวนท้องรอพ่อจนแสบท้องไปหมดแล้ว ”

   ชัดเจน ครานี้ชัดเจนยิ่งนัก คุณเต้แทนตนเองว่าพี่ แลเรียกเขาว่าพ่อ มือที่ว่าเย็นอยู่แล้วยิ่งเย็นเยียบขึ้นไปอีก มิรู้ว่าคุณเต้จักหยอกเขาเล่นไปถึงไหน

   “ พี่มิได้หยอกพ่อเล่นดอก พี่พูดจริง แลรู้สึกจริงดังคำพูด เมื่อใดเล่าพ่อจักเข้าใจพี่ ”

   ยังมิพอ คุณเต้คล้ายจักมีญาณวิเศษ ล่วงรู้สิ่งที่เขาคิดในใจ แล้วนี่เขาจักทำเช่นไรดีเล่า อย่างนี้มิเท่ากับว่า คุณเต้รู้ทุกอย่างที่เขาคิด แลรู้สึกแล้วรึ ตี๋คิดในใจตนเอง

   “ ฮ่าๆๆๆ ”

   เต้ที่นั่งมองตี๋อยู่ตลอดอดมิได้จนขำออกมาเสียดัง จากที่พยายามกลั้นเอาไว้ ด้วยมิอยากให้ตี๋เขินอายไปกว่าเดิม

   เขามิได้อ่านใจได้ดังเช่นที่ตี๋กังวล แต่ที่เขาพอจักรู้ว่าตี๋ นึก หรือคิดกระไร นั้นก็เพราะเจ้าตัวเป็นคนที่คิด รึนึกกระไร ก็แสดงออกทางสีหน้าเสียหมด แลเขาเองก็ชอบที่จักมองใบหน้าเล็กๆนั้นแสดงความรู้สึกต่างๆออกมา

   “ เอาเถิดๆ มากินข้าวกันดีกว่า กับข้าวเย็นหมดแล้วกระมัง วันนี้พี่ไปขอโรงครัวให้เพิ่มข้าวแลกับข้าวเชียวนะ ”

   เต้ว่า วันนี้เขาไปโรงครัว เพื่อขอในคนครัวเพิ่มอาหารในสำรับของเขาให้มากขึ้น ด้วยเหตุที่เขาเหนื่อยงาน จึงต้องการทานอาหารให้มากขึ้น ซึ่งความจริงแล้ว เขาต้องการจักกินข้าวกับคนตรงหน้านี่ต่างหาก เพราะหากเขาขอสำรับอีกชุด เกรงว่าจักเป็นที่สงสัยเกินไป

   “ คุณเต้มิพูด แลเรียกบ่าวเยี่ยงนี้ได้รึไม่ขอรับ ”

   ตี๋ยอมนั่งลงข้างกายของเต้ ด้วยคิดว่ากระไรเสียก็คงขัดคุณเต้มิได้ แต่ก็มิอาจปล่อยให้คุณเต้เรียกตนเช่นนั้นได้

   “ แล้วพ่อคิดว่า พ่อขัดพี่ได้รึไม่เล่า ”

   เต้ตอบ พลางยิ้มในใบหน้า แต่ก็ต้องหลุดขันอีกครา เมื่อตี๋งั้นยู่หน้า แลถอนหายใจ ซึ่งในสายตาของเต้นั้น เขาเห็นว่ามันเป็นกิริยาที่น่าเอ็นดู

   “ บ่าวจักขัดกระไรคุณเต้ได้เล่าขอรับ ”

   ว่าจบก็หันหน้าหนี เมื่ออีกคนก้มหน้าลงมาหา ยังให้พวงแก้มเนียนขึ้นสีอีกครั้ง แลใจดวงน้อยเต้นระรัวจนเจ็บอก ทั้งที่เพิ่งจักกลับมาเต้นปกติไปได้ครู่เดียว

   “ ข้าวของเจ้าทำไมจึงจืดซีดนัก มิมีรสชาติอันใดเลย ข้าวรึก็ไม่หอม แลแข็งกระด้าง ”

   เต้ฉวยโอกาสตอนที่ตี๋กำลังขัดเขิน ตักข้าวในถ้วยเล็กของตี๋ขึ้นชิม แต่สิ่งที่เขารับรู้ได้นั้น มันช่างแย่เสียจริง มันต่างจากข้าว แลกับข้าวในสำรับเขามากนัก

   ซึ่งสิ่งที่เต้รับรู้ได้นั้นก็มิได้ผิดเสียทีเดียว ข้าวแลกับข้าวที่ปรุงขึ้นเพื่อเลี้ยงบ่าวไพร่นั้น มิได้แย่ เพียงแต่มันมิได้นุ่ม แลหอมดอกมะลิเช่นของเจ้านาย กับข้าวก็เช่นกัน เนื่องจากจำนวนบ่าวไพร่มีมาก รสอาหารจึงเจือจางไปบ้าง มิได้เข้มข้นดั่งเช่นที่ปรุงให้ผู้เป็นนาย

   “ พ่อมิต้องกินแล้ว กินสำรับเดียวกับพี่ดีกว่า ”

   “ มันมิควรขอรับ แค่นี้คุณเต้ก็เมตตาบ่าวมากแล้ว อีกอย่างประเดี๋ยวคุณเต้มิอิ่มท้องนะขอรับ ”

   เต้ส่ายหน้าเมื่อได้ฟังสิ่งที่ตี๋แย้ง ตี๋ก็ยังคงเป็นตี๋ ที่นึกถึงผู้อื่นก่อนตนเอง เจียมตัว แลมิมีความทะเยอทะยาน ดังเช่นทาสคนอื่น

   “ มัวแต่เถียงกัน เพลาใดจักได้กินข้าวกัน มิต้องเถียงแล้ว ข้าวของพ่อ พี่จักกินด้วย แลข้าวของพี่ พ่อก็จักต้องกินกับพี่ด้วย เช่นนี้ถือว่าเป็นธรรมรึไม่ ”

   เต้มิปล่อยให้ตี๋สรรหาข้ออ้างมาใช้กับตนอีก เขาจึงตัดความแลตักข้าวในถ้วยของตี๋เข้าปากอีกครา แม้นรสชาติจักมิได้ดีนัก แต่เมื่อตี๋กินได้ เขาก็กินได้เช่นกัน

   “ มาพี่ป้อนจักดีกว่า หากพ่อกินเอง พ่อก็จักกินแค่ในถ้วยของพ่อเสียกระมัง พี่ป้อนนั่นล่ะดีแล้ว ”

   เต้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าตี๋ยังมิยอมตักอาหารเสียที พลางตักอาหารในสำรับของตนส่งให้อีกฝ่ายด้วย แลเมื่อตี๋มิยอมกิน เขาจึงส่งสายตาดุไปให้ เจ้าตัวจึงยอม

   “ คุณเต้ทำเช่นนี้ เหากินหัวบ่ายเป็นแน่ ”

   “ เหาจักกินหัวพ่อได้เยี่ยงไรกัน ให้เมื่อพี่อยากจักป้อนข้าวคนที่พี่พึงใจ ”

   เต้ว่า เมื่อเห็นว่าตี๋แม้จักยอมให้ตนป้อน แต่ก็ยังมิวายที่จักบ่นไปตามเรื่อง เขาตักข้าวกินเองบ้าง ป้อนคนข้างๆ บ้าง เพราะตี๋มิยอมจักอาหารในถ้วยอื่น นอกจากอาหารในถ้วยของตน

   “ พ่อนี่เด็กเสียจริง ดูสิ กินเยี่ยงไรกัน ข้าวจึงติดปากเช่นนี้ ”

   เต้ว่า พลางหยิบเม็ดข้าวที่ติดข้างปากของตี๋ออก แต่แทนที่จักทิ้งไป เต้กับเอาข้าวเม็ดใส่ปากตนเองเสียแทน ยังให้ตี๋หน้าแดงออย่างมิทันตั้งตัวอีกครา

   กว่ามื้ออาหารจักหมดลง ตี๋รู้สึกว่าตนเองตัวคล้ายจักเป็นไข้เสียให้ได้ ด้วยประเดี๋ยวก็ร้อนซู่ ประเดี๋ยวก็หนาว ส่วนคนที่เป็นต้นเหตุก็มิใช่คนอื่นไกล เจ้าของเรือนริมน้ำอย่างคุณเต้นั่นปะไร



(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
(ต่อจากด้านบน)

ตอนที่ 4/2
.....ใจผูกใจ.....



   เมื่อสิ้นมื้ออาหาร คุณเต้ก็ชักชวนมานั่งชมจันทร์ที่ชานเรือน ติดฝั่งน้ำ พระจันทร์ดวงโต แลน้ำก็ปริ่มตลิ่ง ด้วยใกล้วันเพ็ญเดือนสิบสองแล้วนั่นเอง

   “ ตี๋ พ่ออยากจักไปเที่ยวงานภูเขาทองรึไม่ ”

   เต้ถามขึ้นเมื่อตี๋เดินมานั่งที่ชานเรือน ตนเองจึงถือโอกาสเอนศีรษะหนุนตักคนที่นั่งอยู่เสีย มิเพียงแค่นั้น เต้ยังฉวยเอามามือของคนตัวเล็กกว่ามากุมไว้อีกด้วย ยังให้คนเป็นบ่าวสะบัดร้อน สะบัดหนาว(5)อีกครา

   “ บ่าวไปได้รึขอรับ ”

   “ แล้วเหตุใดจักมิได้เล่า เจ้าคุณพ่ออนุญาต แลให้อัฐกับบ่าวทุกคน หากใครมิได้เป็นเวรยามก็ไปได้ แต่หากเป็นเวรยามก็สลับกันไป งานมิได้จัดแค่วันเดียว ”

   “ บ่าวอยากไปขอรับ พี่สุก แลพี่ผลก็ชักชวนอยู่ขอรับ แต่บ่าวยังมิกล้าตอบ ด้วยอยากจักถามคุณเต้ก่อน หากคุณเต้จักเรียกใช้ บ่าวจักได้บอกให้พี่สุก พี่ผลมิต้องรอบ่าว ”

   ตี๋ว่า หากเต้เรียกใช้เขาจริง เขาก็คงมิกล้าจัด แลเขาก็มิอาจให้พี่สุก พี่ผลรอเขาได้เช่นกัน ด้วยเกรงใจทั้งคู่เกินไป แต่จักให้เขาไปเองคนเดียวเขาก็ไปมิถูก ด้วยมิเคยไปคนเดียวเลยสักครา

   “ พ่ออยากไปกระนั้นรึ งั้นก็เอาสิ พี่จักพาไป แลบอกนายสุก นายผลด้วย ไปเสียด้วยกัน วันรุ่งพี่จักบอกนายมั่นให้เตรียมเรือไว้ แลจักให้นายสุก นายผลเป็นคนพายไป แต่พี่จักพาพ่อไปวันมะรืนแล้วกันนะ ไปวันที่เขาลอยประทีปกันนั่นล่ะ แลจักได้ลอยกระทงเสียทีเดียว ”

   เต้ว่ายาวโดยมิปล่อยให้ตี๋ขัด จักเรียกว่า มัดมือชกก็มิผิด เขามิอยากให้ตี๋ขัดเขานั่นล่ะ หากปล่อยให้ไปเอง คงมิพ้นจักต้องเดินไป ระยะทางก็มิใช่จักใกล้ แลไปทางเรือจักสะดวกกว่านัก เพราะสามารถจอดเรือที่หน้าวัดได้นั่นเอง

   เขาทั้งคู่นั่งอยู่ที่ชานเรือนจนน้ำค้างลงหนักขึ้น เต้จึงชักชวนตี๋กลับเข้าเรือนนอน ตี๋เองนั้นกำลังจักหยิบเสื่อที่หน้าห้องเช่นทุกเคยด้วยความเคยชิน แต่มือของใครบางคนกลับฉุดรั้งให้ต้องก้าวเท้าตาม

   เรื่องนี้ก็เช่นกัน ตั้งแต่เมื่อคราชมจันทร์ครั้งนั้น เต้ก็มิเคยปล่อยให้ตี๋นอนหน้าห้องเช่นเดิมอีก แม้จักเสี่ยงที่มีจักพวกสอดรู้มาเห็น แต่เขาก็มีเหตุผลเอาไว้แล้ว

   แต่ถึงกระนั้น แม้ตี๋จักยอมเข้ามานอนในเรือนนอนพร้อมกัน ด้วยเหตุผลที่เขาบอกเจ้าตัวไว้ แต่ตี๋ก็ยังมิยอมที่จักมานอนร่วมเตียงกับเขา แม้เต้จักพยายามอุ้มเจ้าตัวตอนหลับ แต่ตี๋นั้นเป็นคนที่รู้ตัวไว พอจักอุ้มคราใด เจ้าตัวก็รู้สึกตัวเสียทุกที เต้จึงได้แต่รอเวลา

   ตี๋เดินเข้ามาจัดเตียงให้คุณเต้อีกครั้ง เพื่อดูว่าเรียบดีแล้วรึไม่เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงมาจัดที่นอนของตนเองบ้าง เสื่อผืนเล็กปูบนพื้นเรือน หมอน แลผ้าห่ม เครื่องนอนของบ่าวไพร่มิได้มีกระไรมากไปมากนี้นัก

   เมื่อเห็นว่าคุณเต้ขึ้นเตียงเรียบร้อยแล้ว ตี๋จึงปลดมุ้งลง จัดเก็บปลายทับเข้ากับฟูกนอน กันมิให้ยุง รึแมลงเข้าไป จากนั้นเขาจึงเป่าตะเกียงให้ดับ แล้วล้มตัวนอนบนที่นอนของตน

   แสงจันทร์ข้างขึ้นบนท้องฟ้า ส่องผ่านหน้าต่างซึ่งเปิดรับลม ทำให้เห็นคนที่หลับอยู่ที่พื้นได้อย่างค่อนข้างจักชัด เต้ค่อยๆจรดฝีเท้าให้เงียบเท่าที่จักทำได้ เพราะมิต้องการให้คนที่หลับอยู่ตื่น

   “ คุณเต้ ”

   ตี๋อุทานขึ้นอย่างตระหนก เมื่อรู้สึกถึงใครอีกคนที่เข้ามานอนบนเสื่อผืนเดียวกับตน นี่มิใช่คืนแรกที่คุณเต้ลงมานอนกับตนบนพื้น หากเป็นมาตั้งแต่คราวันชมจันทร์ครั้งนั้น คุณเต้พยายามจักให้ตนขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยกัน แต่เขาก็ปฏิเสธ เมื่อคุณมิสามารถให้เขาขึ้นไปนอนบนเตียงกับท่านได้ คุณเต้จึงลงมานอนกับเขาที่พื้นเสียแทน

   “ คุณเต้มิควรลงมานอนเยี่ยงนี้นะขอรับ แลรุ่งเช้าคุณเต้จักปวดหลัง ปวดไหล่อีก ”

   “ อันใดเล่าที่พ่อว่ามิควร แลหากพ่อเกรงว่าพี่จักปวดหลัง ไหล่ เหตุใดจึงมิยอมนอนบนฟูกกับพี่เล่า หากพ่อยังมิยอมนอนกับพี่ พี่ก็จักลงมานอนกับพ่อเยี่ยงนี้ พ่อจักไม่สงสาร แลเห็นใจพี่บ้างเชียวรึ ที่พี่จักต้องปวดหลัง ปวดไหล่ เข้ากรมอยู่ทุกวัน ”

   เต้กล่าวขึ้น เขารู้ว่าตี๋เป็นคนขี้สงสาร แลเห็นใจผู้อื่น ห่วงผู้อื่น เขาจึงใช้เหตุนี้มาให้ตี๋เห็นใจเขา แลยอมขึ้นไปนอนกับเขาเสียที ที่พื้นนี่ทั้งแข็ง ทั้งเย็น แลแมลงเล็กน้อยก็กวนใจ มิรู้ว่าคนตัวเล็กนอนหลับได้เยี่ยงไร

   แต่จักถึงอย่างไรตี๋ก็ยังมิยอมจักขึ้นไปนอนกับเต้  ด้วยตี๋คิดว่า อีกไม่กี่เพลา คุณเต้ก็จักทนที่จักต้องนอนบนพื้นมิได้ แลกลับขึ้นไปนอนบนเตียงเช่นเดิม

   เมื่อตี๋มิได้ตอบกระไรอีก เต้จึงถือวิสาสะพาดแขนของตนบนเอวคนข้างตัว แลหลับไปพร้อมกันทั้งอย่างนั้น  แม้ว่าจักปวดเมื่อยไปบ้าง แต่เมื่อลงมานอนเรื่อยๆเขาก็เริ่มชิน จนอาการปวดเมื่อยนั้นคลายลงมาก หากเทียบกับได้นอนกอดคนที่ตนพึงใจ




******************************




   จันทร์ดวงโตลอยเด่นอยู่ขอบฟ้า วันนี้เป็นคืนเพ็ญเดือนสิบสอง พระจันทร์ขึ้นขึ้นเร็ว แลคล้ายจักดวงโตขึ้นอีกด้วย น้ำในลำคลองนั้นก็ขึ้นปริ่มตลิ่ง

   ท่าน้ำหน้าเรือนริมน้ำ นายมั่นเตรียมเรือมาดเก๋ง(6) ไว้ที่ท่าน้ำหน้าเรือน ท่านพระยา คุณหญิง อนุภรรยา แลบุตร ธิดา คนอื่นนั้นล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เนื่องด้วยคุณเต้นั้นขอว่าจักไปเอง

   “ ไอ้สุก ไอ้ผล เอ็งพายเรือให้ดี ส่วนเอ็งไอ้ตี๋ คอยรับใช้คุณเต้ท่านด้วย อย่าได้เที่ยวเพลินจนลืมหน้าที่ตัวเองเสียล่ะ เอ็งทั้งคู่ก็ด้วย ไอ้สุก ไอ้ผล แลนางมา เอ็งก็ช่วยไอ้ตี๋มันก็แล้วกัน ”

   นายมั่นสั่งความบ่าวที่ตนดูแล นางมานั้นได้ติดตามมาด้วย คราแรกนางมาเองก็มิกล้าจักนั่งเรือไปพร้อมคุณเต้ แลจักนัดพบนายผลที่หน้าองค์พระเจดีย์ แต่คุณเต้เห็นว่าจักต้องไปที่เดียวกันอยู่แล้ว จึงให้นั่งเรือไปพร้อมกันเสียทีเดียว

   “ จ้าพี่มั่น พี่มั่นมิต้องกังวล ”

   นายสุกตอบรับคำสั่งความของนายมั่น ซึ่งนายมั่นเองก็พยักหน้ารับ แลเมื่อทุกคนขึ้นเรือ แลคุณเต้เข้าไปนั่งในเก๋งเรือแล้ว นายมั่นจึงผลักหัวเรือออกจากท่า ให้นายสุก นายผลช่วยกันพายต่อเพื่อไปงานภูเขาทอง




******************************




   เสียงอึกทึกดังแผ่วมาตามลม แสงไฟจากโคมตะเกียงหลากสีสัน เสียงปะทัด ดอกไม้เพลิงสีสวยก็มิยิ่งหย่อนกัน แลยิ่งได้ยินชัดขึ้นเมื่อเรือเข้าใกล้ท่าเรือหน้าวัด

   นายผล นายสุกจอดเรือบริเวณท่าน้ำหน้าวัด เพื่อให้เจ้านายลงก่อน แลตนเองจึงค่อยหาที่ผูกเรือ เพราะโดยรอบท่าน้ำนั้นมิให้ผูกเรือ จักต้องออกไปผูกเรือไกลขึ้นสักหน่อย

   “ คุณเต้ขอรับ ประเดี๋ยวกระผม แลไอ้ผลจักไปหาที่ผูกเรือตรงกระโน้นนะขอรับ ”

   นายสุกแจ้งแก่คุณเต้ ว่าตนแลนายผลจักต้องเอาเรือไปผูกอีกที่หนึ่ง

   “ กระนั้นก็ได้ เอาเยี่ยงนี้แล้วกัน ข้าจักแยกไปตรงนี้ แลมาพบกันอีกทีตอน 2 ยาม(7) ”

   เต้แจ้งแก่บ่าวว่าตนจักแยกไป แลนัดแนะให้ทุกคนกลับมาพบกันที่ท่าน้ำนี้ตอน 2 ยาม

   “ ขอรับ/เจ้าค่ะ คุณเต้ ”

   นายสุก นายผล แลนางมา รับคำ คุณเต้จึงพยักหน้ารับคำนั้น แลส่งสายตาให้บ่าวรับใช้ของตนเดินไปกลับตนเองด้วย เมื่อแต่ละคนแยกกันออกไปแล้ว เต้จึงพาตี๋มาไหว้องค์พระ แลพระบรมสารีริกธาตุ

   เพลานี้อยู่นอกเรือน ผู้คนมากมายนัก จักทำกระไรเยี่ยงอยู่ที่เรือนริมน้ำมิได้ มิเช่นนั้น คนตัวเล็กของเขาจักมีภัย

   “ ตี๋ พ่อเดินข้างพี่นะ ประเดี๋ยวจักหลง คนเยอะเยี่ยงนี้ แลพ่อยังมิเคยมา จักยิ่งลำบาก ”

   เต้ว่า ใจเขาอยากจักคว้ามือเล็กๆนั้นมากุมไว้ แลเดินไปด้วยกัน แต่หากทำเยี่ยงนั้นจักเป็นจุดสนใจของผู้คนเสียเปล่าๆ

   “ ขอรับคุณเต้ ”

   ตี๋ในวันนี้นุ่งผ้าโจงผืนสวยที่คุณเต้มอบให้เมื่อคราก่อน แลสวมเสื้อคอกลม ติดกระดุม 5 เม็ด เรียบๆ มิได้ฉูดฉาด

   ทั้งคู่เดินชมงานไปด้วยกัน แวะชิมขนมตามร้านที่ตั้งขาย ตี๋มองทุกอย่างด้วยความสนใจ แม้บางครั้งจักหยุดเดินบ้าง แต่เต้ก็มิได้รำคาญแต่อย่างใด

   เต้มองคนตัวเล็กที่หยุดมองการแสดงด้วยความสนใจไปเสียทุกอย่าง ปากเล็กๆ ดวงตาซื่อๆ ที่ตนชอบมองอยู่เสมอนั้นสนใจทุกอย่างรอบตัว เมื่อเห็นกระไรก็จักหยุดดู แลชี้ชวนให้เขาดูไปด้วย

   “ คุณเต้ขอรับ อันนี้เรียกว่ากระไรขอรับ แลเขามิบาดเจ็บดอกรึ”

   “ อันนั้นรึ เขาเรียกนอนดาบ(8) มันเป็นการแสดงว่าเขาอยู่ยงคงกระพัน ”

   แลอีกมากมายหลายคำถามที่คนตัวเล็กที่ตื่นตากับการละเล่นหันมาถามคุณเต้ อย่างเมื่อผ่านการเล่น โตฬ่อแก้ว(9) เจ้าตัวก็หยุดดูแลซักถามเช่นเดิม

   การละเล่นในงานภูเขาทองนั้นมีหลายอย่างละลานตา ตี๋นั้นเดินชมไปทุกที จนลืมไปว่าตนเองเป็นใคร แลคนที่เดินตามนั้นเป็นใคร แต่เต้ก็มิได้ว่ากระไรเลย เขาพอใจที่จักเห็นตี๋มีความสุข

   แสงสว่างแลสีสันสันจากดอกไม้เพลิงทำให้คนตัวเล็กแหงนมอง แลยิ้มอย่างชอบใจ โรงมวยที่แวะเข้าไปดูก็สนุกยิ่งนัก แต่ตนเองก็มิได้อยู่นาน ด้วยเกรงจักเที่ยวชมได้มิครบที่

   ออกจากโรงมวย ตี๋จึงชักชวนคุณเดินต่อไปที่การละเล่นที่อยู่ข้างกัน เขามิรู้จักว่าเรียกว่ากระไร เห็นแต่ว่าคนเล่นนั้นถือหางนกยูงในมือข้างละกำ แลทรงตัวร่ายรำอยู่บนราวลวด คุณเต้บอกว่านั่นคือการ รำแพน(10)

   เต้พาตี๋เดินออกจากวงรำแพน ไปชมหุ่นละครโรงเล็ก ดูเชิดหุ่นกระบอก แวะซื้อขนมบุหลันดั้นเมฆ(11) ขนมตะลุ่ม(12) แลขนมเกสรชมพู(13) ที่ขายอยู่ข้างโรงหุ่นละคอน

   เมื่อออกจากโรงหุ่นละครเล็ก เต้พาตี๋เดินชมโรงลำตัด(14) ยี่เก(15) งิ้วจีน(16) ญวนหก(17) โขนกลางแปลง(18) แลการละเล่นอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อผ่านร้านขนมใดน่ากินก็จักซื้อให้คนตัวเล็กได้ลิ้มลอง

   สองบ่าวนายเดินชมงานไปเรื่อยๆ แลหันมายิ้มให้กันเป็นระยะ จนมาถึงร้านรวงริมฝั่งน้ำ บนพื้นน้ำมีการเล่นเพลงเรือ(19) แลลอยเรือประทีปอยู่กลางน้ำ

   “เราลอยกระทงกันเถิดพ่อ อีกมินานจักถึงเพลาที่แจ้งไว้กับนายสุก นายผลแล้ว ”
   
   เต้ว่าพลางชักชวนตี๋ไปลอยกระทงริมฝั่งน้ำ เขามิได้นำกระทงมา จึงขอแบ่งดอกไม้ ธูป เทียนจากชาวบ้านที่ออกร้านขายของ แลนั่งทำกระทงของตนไปด้วย หากคุณเต้ก็ให้อัฐตอบแทน แม้แม่ค้านั้นมิอยากยอมก็ตามที

   เมื่อได้กระทงดอกไม้ง่ายๆ ทั้งคู่จึงมาลอยที่ริมฝั่งน้ำ แสงเทียนมากมายส่องสว่างกลางผืนน้ำ กระทงน้อยใหญ่ลอยตามสายน้ำ นำพาสิ่งที่ผู้คนอธิษฐานให้ลอยตามน้ำ

   เต้ ตี๋ นั่งอธิษฐานในใจเงียบๆ แลปล่อยกระทงให้ลอยไปตามน้ำเยี่ยงของคนอื่น เมื่อลอยกระทงออกไปแล้ว เต้จึงหันมาถามคนข้างกาย

   “ เมื่อครู่พ่ออธิษฐานว่ากระไรบ้าง ”

   “ บ่าวก็ขอขมา ลาโทษ แม่คงคา ดังเช่นที่เคยนั่นล่ะขอรับ ”

   ตี๋ว่า พลางหลบสายตาของเต้ที่มองอย่างจับผิด ตนเองมิกล้าจักเอ่ยออกไปดอกว่า ตนนั้นขอให้ตัวเองมีบุญ แลวาสนาที่จักได้อยู่ข้างอีกฝ่ายไปตราบนานเท่านาน

   เต้เห็นอาการหลบสายตาของตี๋จึงยกยิ้ม ด้วยรู้อยู่แล้วว่าตี๋มิได้บอกความจริงแก่ตนเสียทั้งหมด ตี๋เป็นคนที่โกหกมิเป็น หากเมื่อเจ้าตัวมิพูดความจริง ก็มักจักหลบตาเยี่ยงครานี้

   “ เอาเถิด พ่อจักอธิษฐานกระไรพี่ก็มิได้ว่า แค่พี่อยากจักบอกว่า พี่อธิษฐานขอให้เราได้สมหวังกับรักในครานี้ แลให้แม่คงคาเป็นพยานว่า พี่นั้นสมัครใจรักพ่อจริงๆ ”

   เพียงเท่านี้ที่เต้ว่า แต่คนฟังเยี่ยงตี๋นั้นใจเต้นระรัว เหมือนจักหลุดออกมานอกอก เขานั้นดีใจ แลปลื้มใจนักที่คุณเต้ให้ความสำคัญกับบ่าวอย่างเขาเช่นนี้
 


   นอกจากการออกร้านของคนสยามแล้ว ยังมีการออกร้านของชาวต่างชาติอีกด้วย เต้พาตี๋เดินชมของที่ชาวต่างชาตินำมาวางให้คนสยามชม ตี๋นั้นตื่นตากับทุกสิ่งที่เห็น ยิ่งทำให้เต้ยินดีไปด้วย ที่ได้พาเด็กน้อยของตนมาเที่ยวชมงานเยี่ยงนี้

   “ อันนี้เรียกว่ากระไรรึขอรับ ”

   ตี๋ถามด้วยคำถามเดิมๆ ซ้ำๆ แต่เต้ก็มิรำคาญเลยที่จักต้องตอบ

   “ นาฬิกาพกของชาวฝรั่ง พ่ออยากได้รึไม่ ”

   สิ้นคำถาม ตี๋ก็ส่ายหน้าเสียผมปลิว เต้ยกยิ้มอย่างขันๆ แล้วจึงหันไปคุยกับคนขายนาฬิกาด้วยภาษาที่ตี๋ฟังมิออก

   “ ช่างเขาบอกว่า นาฬิกานี้สามารถสลักชื่อลงไปได้ พี่จึงให้เขาสลักชื่อพี่ แลชื่อพ่อ ลงไปทั้งสองเรือน ”

   เต้หันมาบอกเมื่อเห็นว่าตี๋นั้นมีสีหน้าสงสัย

   “ คุณเต้จักซื้อให้บ่าวรึขอรับ บ่าวมิกล้ารับดอกขอรับ มันคงจักหลายอัฐนัก ”

   “ พี่มิได้ซื้อให้พ่อ แต่พี่ซื้อให้คนที่พี่รัก ”

   ตี๋นั้นเกือบจักดีใจอยู่แล้ว เมื่อคุณเต้บอกว่า มิได้ซื้อนาฬิกาเรือนงามนั้นให้ตน แต่ต้องตระหนกไปยิ่งกว่าเดิม เมื่อคุณเต้แจ้งว่าซื้อให้คนรัก แลรับนาฬิกาการชาวฝรั่งที่ส่งให้หลังจากสลักชื่อไว้แล้วใส่มือของตน ก่อนจักหันไปพูดบางอย่าง ให้อัฐกับพ่อค้าชาวฝรั่ง

   “ พี่จักเก็บไว้เรือนหนึ่ง แลให้พ่อเก็บไว้อีกเรือน พี่อยากจักให้นาฬิกาของเราเดินไปพร้อมกัน ”

   เต้พูดขึ้นอีกครั้งหลังเดินร้านขายนาฬิกา สิ่งที่เต้พูดนั้นช่างมีผลกับใจดวงน้อยของตี๋ยิ่งนัก ดวงหน้างามซับสีเลือด มือน้อยยกนาฬิกาเรือนใหม่ขึ้นมองท่ามกลางแสงจันทร์ ชื่อของตน แลชื่อของคนที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นเด่นชัดอยู่บนฝาครอบตัวเรือน แลมันก็เด่นชัดในใจของเขาทั้งคู่เช่นกัน




*****************************




เชิงอรรถ
(1)   กำแพงมีหู ประตูมีช่อง (สำนวน) การที่จะพูดหรือทำอะไรให้ระมัดระวัง แม้จะเป็นความลับเพียงไรก็อาจมีคนล่วงรู้ได้

(2)   ชุน (คำกิริยา) ซ่อมผ้าหรือแหเป็นต้นที่ขาดทะลุเป็นรูให้เป็นเนื้อเดียวกัน ด้วยการถักหรือด้วยวิธีอื่น ๆ (คำนาม) เครื่องมือสําหรับถัก

(3)   ห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์ งานเทศกาลนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ณ พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) จะเริ่มด้วยการห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์ก่อนวันงาน ๓ วัน เพื่อเป็นเครื่องหมายประกาศให้รู้ว่างานจะเริ่มขึ้นแล้ว การห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์ เป็นวิธีการประชาสัมพันธ์อันชาญฉลาด เนื่องจากในสมัยก่อนไม่มีการประชาสัมพันธ์อันรวดเร็วเช่นปัจจุบัน การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงให้จัดพิธีห่มผ้าแดงขึ้น จึงเป็นสัญลักษณ์ให้ชาวพระนครได้มองเห็นแต่ไกล และทราบว่างานภูเขาทองที่ทุกคนรอคอยกำลังจะมาถึงอีกวาระหนึ่ง

(4)   ประดักประเดิด (คำวิเศษ)  รีๆ รอๆ ที่ทําให้รู้สึกลําบาก ยุ่งยากกาย หรือใจ ขัดๆ ไม่ คล่อง

(5)   สะบัดร้อน สะบัดหนาว  (คำกิริยา) ครั่นเนื้อครั่นตัว มีอาการคล้ายจะเป็นไข้เพราะเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว โดยปริยายหมายความว่า มีความเร่าร้อนใจกลัวว่าจะถูกลงโทษหรือถูกตำหนิเป็นต้น เช่น ผู้ที่ทำความผิดไว้ พอเห็นผู้บังคับบัญชามาก็รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาว ร้อน ๆ หนาว ๆ หรือ หนาว ๆ ร้อน ๆ ก็ว่า

(6)   เรือมาด , เรือมาดเก๋ง เป็นเรือเก่าแก่ชนิดหนึ่งของไทย ขุดจากซุงไม้สัก ตะเคียน ขนาดต่างๆกันตามประเภทของเรือ โดยทั่วไปมีขนาด 3.5-4.5 เมตร เมื่อขุดภายในและโกลน (เกลาไว้ , ทำเป็นรูปเลาๆ) เป็นรูปมาด (ถ้าเพียงแต่ขุดไว้ แต่ยังไม่ได้เบิก เรียกว่ามาดเรือโกลน) ใช้ไฟลนให้เนื้อไม้ร้อนแล้วหงายใช้ปากกา ( เครื่องสำหรับหนีบของใช้ทำด้วยไม้หรือเหล็กก็มี) จับปากเรือผายออกให้ได้วงสวยงามเป็นเรือท้องกลม หัวท้ายรีรูปร่างคล้ายเรือพายม้า แต่หัวท้ายเรือแบนกว้างกว่า ไม่เสริมกราบ แต่มีขอบทาบปากเรือภายนอก เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของปากเรือ กลางลำกว้างเสริมกง เป็นระยะ หัวท้ายเรือมีแอกสั้นๆ ไม่ยื่นมากไว้ผูกโยงเรือ และแอกเหยียบขึ้นลงเรือ มีหลายขนาด ขนาดเล็กใช้พาย ขนาดใหญ่นิยมแจวมากกว่าพาย ใช้บรรทุกของหนัก ถ้าเดินทางไกลก็มีประทุนปูพื้นกลางลำเรือ จะเรียกว่าเรือมาดประทุน หากมีเก๋งกลางลำเรือจะเรียกเรือมาดเก๋ง สามารถทำประทุน และปูพื้นใช้อยู่อาศัยแทนบ้านเรือนได้

(7)   ยาม เป็นการนับเวลากลางคืนในประเทศไทยสมัยโบราณ และพบในการพากย์ภาพยนตร์จีนที่เรียกว่า ชั่วยาม โดยในจีนแบ่ง 1 วันเป็น 12 ชั่วยามตามที่บอกไว้ในธงชาติสาธารณรัฐจีน ขณะที่หนึ่งยามของไทยมีค่าประมาณ 3 ชั่วโมง หลักการนับยามตามบาลี

คำว่า “ยาม” ที่เรานับกันตามแบบไทย ๆ กับ “ยาม” ของแขกตามที่ปรากฏในบาลีนั้นแตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะคืนหนึ่งเราแบ่งเป็น 4 ยาม ยามละ 3 ชั่วโมง

•   ตั้งแต่ย่ำค่ำ คือ 18 นาฬิกา ถึง 3 ทุ่ม (21 นาฬิกา) เป็นยามที่ 1
•   หลังจาก 21 นาฬิกา หรือ 3 ทุ่ม ไปถึง 24 นาฬิกา หรือ เที่ยงคืน เราเรียกว่า ยาม 2 หรือ 2 ยาม
•   หลัง 24 นาฬิกา ไปถึงตี 3 (3 นาฬิกา) เราเรียกว่า ยาม 3
•   และหลังจากตี 3 ไปจนย่ำรุ่ง หรือ 6 นาฬิกา เราเรียกว่า ยาม 4 ซึ่งเป็นยามสุดท้ายของคืน

8 นอนดาบ (คำนาม)  การเล่นทำนองแสดงกล หรือแสดงความอยู่ยงคงกระพัน คือ ตั้งปลายหอกหรือหงายคมดาบเรียงกันเป็นแถว ผู้เล่นนอนลงบนนั้น บางครั้งทำเป็นขั้นบันได หงายคมดาบวางเป็นขั้นๆ แล้วเหยียบไต่ขึ้นไป

9 โตฬ่อแก้ว (คำนาม) การเล่นสิงโตแบบญวน ที่มีตัวประกอบ ๖ คน ผูกเป็นเรื่องสั้น ๆ มีคนล่อแก้ว , ญวนหก ก็เรียก

10 รำแพน  (คำนาม) การเล่นอย่างโบราณชนิดหนึ่งในการพระราชพิธี ผู้เล่นนุ่งผ้าหยักรั้งสวมเสื้อคอกลม มือทั้ง ๒ ถือหางนกยูงข้างละกำ รำออกท่าต่าง ๆ เลี้ยงตัวอยู่บนราวลวด ในที่นี้ผู้แต่งขอใช้เป็นคำนาม
      (คำกิริยา) แผ่หางกระดกขึ้นหรือแผ่ปีกแล้วเดินกรีดกรายไปมา (ใช้แก่นกยูง นกหว้า และนกแว่น)

11 ขนมบุหลันดั้นเมฆ ลักษณะของขนมจะคล้ายขนมน้ำดอกไม้ เป็นขนมชาววังคิดประดิษฐ์ขึ้นให้มีสีสันอุปมาอุปไมยเลียนแบบเพลงไทย ‘บุหลันลอยเลื่อน’ ซึ่งเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 มี 2 ส่วน คือ ส่วนตัวขนม ทำจากแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำดอกอัญชัน น้ำตาลทราย หยอดลงบนถ้วยตะไล เมื่อนำไปนึ่งตรงกลางจะบุ๋มลงไป ส่วนตัวหน้าขนม ประกอบด้วย ไข่ กะทิ น้ำตาลมะพร้าว และนำไปนึ่งต่อจนสุก

12  ขนมตะลุ่ม หรือขนมหน้าสังขยา เป็นขนมไทยโบราณ ๆ คล้ายๆ กับขนมถ้วย ที่หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ หรือเคยได้ยินชื่อ แต่ยังไม่เคยเห็นวิธีการทำหรือไม่เคยเห็นตัวขนมจริง ๆ ขนมชนิดนี้ เป็นขนมไทยโบราณที่มีมาไม่ต่ำกว่าร้อยปี และไม่พบประวัติว่าใครเป็นคนค้นคิด หรือว่าทำขนมนี้ขึ้นในเทศกาลหรือโอกาศใดๆขนมตะลุ่ม มี สองส่วน คือส่วนตัวขนม ทำแป้งข้าวเจ้า แป้งเท้ายายม่อม แป้งมันสำปะหลัง น้ำปูนใส และหางกะทิ นำไปนึ่งจนสุก ส่วนของตัวหน้า ได้แก่ หัวกะทิ ไข่ และน้ำตาล ใส่แป้งข้าวเจ้าเล็กน้อย แล้วเทลงบนตัวที่สุกแล้ว นำไปนึ่ง เวลาเสิร์ฟตัดเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีคำหรือลักษณะตามชอบ เวลาจะรับประทานควรรับประทานพร้อมกันเพราะให้รสชาติที่หวาน มัน และมีกลิ่นหอมของกะทิยามรับประทานในคำเดียวกัน


13 ขนมเกสรชมพู  เป็นขนมไทยโบราณชนิดหนึ่ง ลักษณะจะคล้ายๆ ข้าวเหนียวแก้ว แต่ต่างกันตรงที่ส่วนประกอบหลักเป็นมะพร้าวทึนทึก แต่มีความหวาน และวาวคล้ายๆ กัน เกสรชมพู่ต่างกับเกสรลำเจียกตรงที่รูปลักษณะ และส่วนผสมบางอย่างคือ เกสรชมพู่ทำเป็นคำๆ คล้ายกับเกสรชมพู่จริงๆ เกสรลำเจียก จะปั้นเป็นลักษณะรียาว หรือคล้ายๆ กระเปาะ และไม่ใส่ผงวุ้นในการทำนั้นเอง

14 ลำตัด เป็นเพลงพื้นบ้านพื้นเมืองชนิดหนึ่งของไทย ซึ่ง นิยมร้องกันในเขตภาคกลาง ทั้งนี้ มีต้นตอมาจาก “ ลิเกบันตน”ของชาวมลายู ในต้นรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยลิเกบันตนดังกล่าว มีรูปแบบของการแสดงแยกออกเป็น 2 สาขา สาขาหนึ่ง เรียกว่า” ฮันดาเลาะ” และ “ ลากูเยา” และลิเกบันตนลากูเยา มีลักษณะของการแสดงว่ากลอนสดแก้กัน โดยมีลูกคู่คอยรับ เมื่อต้นบทร้องจบ ต่อมาเมื่อมีการดัดแปลงกลายเป็นภาษาไทยทั้งหมด จึงเรียกกันว่า” ลิเกลำตัด” ในระยะแรก และเรียกสั้น ๆ ในเวลาต่อมาว่า “ ลำตัด” ซึ่งมีลักษณะของเพลง และทำนองเพลงที่นำมาให้ลูกคู่รับ โดยมากก็มักตัดมาจากเพลงร้องหรือเพลงดนตรีอีกชั้นหนึ่ง

15 ยี่เก (คำนาม) ลิเก , การเล่นคล้ายละครรำ ดัดแปลงมาจากละครมลายู

16 งิ้วจีน หรือ อุปรากรจีน เป็นการแสดงที่ผสมผสานการขับร้องและการเจรจาประกอบกับลีลาท่าทางของนักแสดงให้ออกเป็นเรื่องราว โดยสมัยนั้นได้นำเอาเหตุการณ์ต่างๆ ในพงศาวดารและประวัติศาสตร์มาดัดแปลงเป็นบทแสดง รวมทั้งยังมีการนำเอาความเชื่อทางประเพณีและศาสนาเข้าไปผสมผสานกับการแสดงงิ้วด้วย เดิมประเทศจีนมีงิ้วราว 300 กว่าประเภท ส่วนใหญ่จะเป็นงิ้วท้องถิ่น ส่วนงิ้วระดับประเทศ เช่น งิ้วปักกิ่ง, งิ้วเส้าซิง, งิ้วเหอหนัน และงิ้วกวางตุ้ง โดยงิ้วปักกิ่งเป็นงิ้วที่มีชื่อเสียงมากที่สุด โดยปัจจุบันถือเป็นตัวแทนงิ้วประจำชาติจีน

17 ญวนหก การแสดงกายกรรมของชาวญวนที่ขึ้นไปหกคะเมนตีลังกาอยู่บนปลายไม้ ทางราชการไทยตื่นเต้นกับการแสดงนี้มากถึงกับตั้ง "กรมญวนหก" ฝึกหัดกันเป็นเรื่องเป็นราว

18 โขนกลางแปลง เป็นการแสดงโขนแสดงกลางแจ้ง บนพื้นดิน หรือกลางสนามหญ้า สันนิษฐานว่าเป็นการแสดงโขนประเภทแรก จัดแสดงตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ไม่ทราบต้นกำเนิดแน่ชัด

19 เพลงเรือ เป็นเพลงพื้นบ้านที่เล่นกันในฤดูน้ำหลาก เป็นเพลงปฏิพากย์ชนิดเดียวที่ร้องเล่นกลางลำน้ำโดยพ่อเพลงและแม่เพลงอยู่คนละลำ จังหวัดที่เล่นเพลงเรือ ได้แก่ จังหวัดที่อยู่ริมแม่น้ำในภาคกลาง เช่น อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี และพิษณุโลก เพลงเรือส่วนใหญ่จะถนัดร้องบทชิงชู้




******************************





   สวัสดีขอรับ ข้าเจ้าโผล่หน้ามารายงานตัวแล้วขอรับ พร้อมกับเอาตอนต่อไปมาส่งแก่ทุกท่าน

   ในตอนนี้นั้นมิได้มีกระไรมากนัก ส่วนใหญ่จักเป็นคุณเต้ที่ชอบแกล้งน้องตี๋

   ข้าเจ้าต้องขออภัยอีกครา หากอธิบายท้ายบทนั้นเยอะเกินไป ข้าเจ้าเพียงต้องการจักนำเสนอเกร็ดสาระประกอบกันไป หากท่านใดมิต้องการจักทัศนา ก็เลื่อนผ่านเลยขอรับ

   ข้าเจ้ามิทราบเลยว่าตอนนี้จักเป็นที่พึงใจของมุกท่านรึไม่ แต่ข้าเจ้าพยายามที่จักทำออกให้ให้ดีที่สุด

   เชิงอรรถตอนท้าย หากมีข้อมูลใดผอดพลาด ข้าเจ้าจักต้องกราบขออภัยด้วยขอรับ ด้วยข้าเจ้าเองนั้นศึกษามาเพียงพื้นฐาน

   ส่วนเรื่องงานภูเขาทอง หรืองานมนัสการพระบรมสารีริกธาตุ ณ พระบรมบรรพต ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหารนั้น หากมีสิ่งใดผิดพลาดไป ข้าเจ้าขอน้อมรับขอรับ เนื่องด้วยข้าเจ้ายังมิเคยไปเที่ยวงานภูเขาทองเลยสักครา ที่แต่งออกมานั้นได้จากมโน แต่ตัวอักษรจากหน้าเว็บเท่านั้น

   สุดท้ายข้าเจ้าคงต้องบอกว่า รบกวนติดตามตอนต่อไปด้วยนะขอรับ แล้วพบกันขอรับ




.....................ด้วยใจภักดิ์.......................




โปรดติดตามตอนต่อไป




…..Mariner_IX….


ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เขินแทนตี๋ :-[

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
 Cyclopbee : ขอบคุณขอรับ

เขินๆกันไป

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

กาแฟมั้ยฮะจ้าว : ขอบคุณขอรับ

+เป็ด

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนที่ 5


..............ความที่มิได้ก่อ...............



   งานภูเขาทองในครานั้นผ่านมาหลายเพลา นายผล นางมา ออกเรือนไปเมื่อหลายวันก่อน หลังจากที่นายผลเฝ้าเกี้ยวพาราสีอยู่นานที นางมาก็ยินยอมพร้อมใจที่จักออกเรือนด้วย

   ท่านพระทิพยโอสถเมตตาเป็นผู้ใหญ่สู่ขอนางมาให้นายผล แลยังช่วยจัดงานให้ภายในเรือนอีกด้วย ก่อนจักมอบอัฐ ให้เป็นขวัญถุงแก่ทั้งคู่ กระนั้น นางมา แลนายผลก็ยังคงเป็นบ่าวอยู่ที่เรือนพระยาทิพยโอสถ เพราะยังมิมีเบี้ย อัฐ มาไถ่ถอนตัว

   ส่วนเต้นั้นก็มีงานมากขึ้น ด้วยได้รับยศใหม่ แลราชทินนาม(1) เป็นหลวงอภิบาลบริรักษ์ ดูแลด้านการแพทย์สมัยใหม่ร่วมกับหมอชาวต่างชาติ

   คราที่ได้รับยศนั้น คุณหญิงแย้มยินดีเป็นอย่างมา มอบของขวัญให้บุตรชายมาหลายอย่างนัก เช่นเดียวกับท่านพระยาทิพยโอสถ แลคุณหญิงพิม

   ครานั้นคุณหญิงแย้มให้บ่าวไพร่จัดเตรียมเรือน แลอาหารทั้งคาว หวานเสียยกใหญ่ เพื่อร่วมยินดีกับบุตรชายของตน

   คิมม่อนเองก็มาร่วมยินดีด้วย หลังจากมิได้มาเยือนเรือนพระยาทิพยโอสถเสียนาน ส่วนคุณหลวงที่เพิ่งจักได้รับยศมานั้นก็มิได้ยินดีนัก ที่คุณหญิงแย้มจักจัดงานเยี่ยงนี้ แต่ก็มิอาจขัดกระไรมากได้

   


********************************************


   มือเล็กหยิบนาฬิกาพกที่ได้รับมาจากคนที่ตนรัก แลเคารพ ออกจากชายพก(2) ขึ้นดู ตี๋มิได้สนใจเข็มบนตัวเรือน หากดวงตากลมโตนั้นมองชื่อที่สลักอยู่บนฝาครอบตัวเรือน รอยยิ้มแต้มบนใบหน้าสวย ก่อนที่จักเก็บนาฬิกาแสนรักไว้ในที่ ที่ตนรู้เพียงผู้เดียว ทั้งที่ปกติแล้วตี๋จักพกนาฬิกาเรือนนี้ติดตัวไปด้วยทุกครั้ง ตั้งแต่ที่ได้รับมา

   หลังจากที่แล้วจากงานที่เรือนริมน้ำ ตี๋จึงไปช่วยบ่าวไพร่คนอื่น เช่นที่เคยเป็น

   “ ไอ้ตี๋ เอ็งมาช่วยข้ายกไม้ตรงนี้ประเดี๋ยว ”

   “ จ้ะ พี่สุก ”

   “ ไอ้สุก ตรงนั้นใกล้แล้วรึไม่ ”

   “ เออๆ ตรงนี้ยกไม้ไปวางก็แล้ว แล้ว เอ็งมีกระไรรึ ”

   “ มาช่วยข้าตรงนี้ประเดี๋ยว ข้ายังเหลือกล้าไม้อีกหลายต้นนักเชียว หากแล้วมิทันใจท่าน ประเดี๋ยวจักโดนใส่ความอีก ”

   “ เออๆ เอ็งก็อย่าพูดดังไป ประเดี๋ยวพวกสอพอมันจักหาเรื่องไปฟ้องนายมัน แลเราจักหลังลาย ”

   ตี๋ไปช่วยงานนายสุก นายผล ที่กำลังปลูกต้นไม้ตามความต้องการของคุณหญิงแย้ม อยู่หลังเรือน ซึ่งเรื่องที่นายสุกว่านั้น เกิดขึ้นคราที่ไปเที่ยวงานภูเขาทอง

   บ่าวเรือนคุณหญิงแย้มที่ ไม่ใคร่ชอบหน้าพวกตนนัก นำความไปแจ้งแก่คุณหญิงแย้มว่า นายสุก นายผล แลนางมา ร่วมถึงตัวของบ่าวรับใช้ของเต้อย่างตี๋ ว่าตีตนเสมอท่าน

   หากครานั้นคุณเต้มิได้กลับเรือนก่อนเพลาปกติ คงจักโดนลงหวายกันเป็นแน่ แลความในครั้งนั้น ยิ่งทำให้บ่าวเรือนคุณหญิงแย้ม มิชอบหน้าพวกตนมากยิ่งไปกว่าเดิม

   “ ว่าก็ว่า วันนี้ข้าใจมิใคร่ดีนัก ตาขวารึก็เขม่นไม่หยุด ”

   “ แล้วเอ็งจักเอ่ยขึ้นมาเพื่อกระไรกัน ”

   “ เอ้า ก็ข้าใจมิดีจริงๆ วันนี้นอกจากท่านพระยา แลคุณหลวงเข้ากรมแล้ว คุณหญิงพิมนั้นก็มิอยู่เรือน เห็นนางมาว่าท่านให้ป้าม้วนจัดสำรับอาหาร จักไปถวายเพลพระคุณเจ้า ”

   “ เออ ยิ่งฟังเอ็งว่า ข้าก็ใจมิดีไปด้วย ”

   “ ใจมิดีเรื่องกระไรกันพี่สุก พี่ผล ”

   นายผล นายสุกคุยกันระหว่างที่กำลังขุดดิน เพื่อปลูกต้นไม้ ตี๋ที่ช่วยอยู่ข้างกันฟังมาหลายเพลาจึงอดที่จักสงสัยมิได้

   “ นี่ยังยังมิรู้ดอกรึว่า วันที่มิมีใครอยู่เรือนเยี่ยงนี้ เป็นวันที่ทาสไร้นายคุ้มกะลาหัวอย่างข้า หรือทาสที่นายมิอยู่เยี่ยงเอ็งนั้น จักมีภัยโดยง่าย ”

   “ เหตุใดเล่าพี่สุก เหตุใดจึงจักมีภัย ”

    “ เออ เอ็งเพิ่งมาอยู่มินานนัก คงจักมิรู้ความมาก่อน ข้าจักบอกให้เอ็งได้ระวังตัว บ่าวเรือนคุณหญิงแย้มนั้นปากเบายิ่งนัก แลยังชอบใส่ความคนอื่นไปทั่ว คุณหญิงแย้มเองก็เป็นที่หวาดกลัวของบ่าวไพร่ หากท่านมิพอใจใคร ท่านก็จักสั่งลงหวายได้โดยง่าย ”

   “ ถูกเยี่ยงไอ้ผลมันว่า แลวันนี้มิมีใครอยู่เรือน หากคุณหญิงพิมท่านอยู่เรือน คุณหญิงแย้มก็จักมิอาจลงโทษบ่าวไพร่ตามใจตนได้มากนัก ด้วยคุณหญิงพิมท่านคอยปรามอยู่ แต่วันนี้ข้าว่า ขี้ข้าเยี่ยงเราคงจักต้องประหวั่นใจเป็นแน่ ”

   นายสุกกระซิบตอบ พร้อมแลซ้ายขวา เมื่อเห็นว่ามิมีใครอยู่แถวนั้นจึงว่าต่อ

   “ ยิ่งเมื่อคราก่อน พวกเรารอดตัวมาด้วยคุณหลวงท่านช่วยไว้ ไอ้ อีปากเปราะพวกนั้น คงผูกใจเจ็บมิเลิกดอก วันนี้ข้าเสียวหลังตัวเองมิน้อยเชียว ”

   “ เออ รู้ก็รู้กันอยู่ อย่ามาพูดมากให้เสียการ เร่งมือเข้า จักได้แล้วเสียที ”

   นายสุกว่า ก่อนที่ทั้งสามจักช่วยกันขุดหลุม ปลูกต้นไม้ ตามที่ได้รับงานมา เร่งมือเพื่อให้งานนั้นแล้วโดยไว


   เมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนมากลางศีรษะ ต้นไม้ที่ลงหลุมปลูกไปนั้นได้เกินกึ่งหนึ่ง ทั้งสามจึงวางมือ แลเดินไปกินข้าวที่โรงครัว เมื่อผ่านมื้ออาหารไปจึงกลับมาขุดหลุม ลงกล้าไม้ต่อ

   เพลาผ่านไปจนงานที่ทำอยู่ใกล้แล้ว นายผลนั้นเงยหน้าจากหลุมดินที่ตนกำลังกลบอยู่ จึงเห็นว่ามีบ่าวคนหนึ่งเดินมาทางพวกตน

   “ ไอ้ตี๋ เอ็งว่างอยู่รึไม่ ”

   “ อ้าว อีหยิบ เอ็งมิตามองรึไร ก็เห็นว่าไอ้ตี๋มันลงต้นไม้ให้คุณท่านกับพวกข้าอยู่ ”

   “ กูมิได้ถามมึงไอ้สุก อย่าสอด หากมิอยากหลังลาย ”

   นางทาสที่เดินมาเอ่ยถามขึ้น แต่มิทันที่ตี๋จักได้ตอบ นายสุกนั้นชิงตอบไปเสียก่อน จนนางหยิบที่นายสุกเรียกนั้นมิชอบใจ

   “ อ้าวอีนี่ ข้ายังได้ทำกระไรผิด เหตุใดจักมาลงหวายข้าได้  ”

   “ หากมึงยังมิหยุดพูดมาก อย่าหาว่ากูมิเตือน หุบปากของมึงเสียจะดีกว่าไอ้ขี้ข้า ”

   “ อ้าวอีหยิบ เอ็งแลข้ามันก็ขี้ข้าเขาเหมือนกัน.... ”

   “ พี่หยิบมีกระไรรึ ”

   นายสุกมิชอบใจนักที่นางหยิบจิกหัวเรียกตนเยี่ยงนั้น ตี๋เห็นว่าหากปล่อยไว้เรื่องคงมิจบ แลจักเป็นผลเสียต่อพวกตนเสียมากกว่า จึงชิงถามความนางหยิบเสียก่อน

   “ คุณหญิงแย้มเรียกหามึง จักให้ไปช่วยงานบนเรือน ”

   “ แล้วบ่าวที่เรือนคุณหญิงมีตั้งมาก เหตุใดจึงมาเรียกไอ้ตี๋กันเล่า ”

   “ แล้วเป็นเยี่ยงไร เหตุใดจักเรียกใช้มิได้ รึมึงริอาจทำตัวเกียจคร้านการงาน ท่านเรียกหาจึงมิอยากไป ”

   “ มันคร้านการงานที่ใดกัน ก็เห็นอยู่ว่า มันก็ทำอยู่ คงมีแต่.... ”

   “ หามิได้ดอกพี่หยิบ ฉันจักไปหาท่านประเดี๋ยวนี้ พี่สุก พี่ผล ฉันฝากต้นไม้ที่เหลือด้วยนะจ๊ะ ”

   เมื่อเห็นว่าเรื่องชักจักใหญ่ตัวโตขึ้น ด้วยนายสุกเองก็มิชอบใจที่บ่าวเรือนคุณหญิงแย้มมาเรียกใช้ผู้อื่น ทั้งที่งานเหล่านั้นเป็นงานของตน แลเป็นเช่นอยู่เนื่องๆ หากคุณหญิงเจ้าของเรือนเองมิห้ามปรามบ่าวของตน ทำให้บ่าวพวกนั้นได้ใจ ยิ่งเรียกใช้ผู้อื่นไปทั่ว โดยที่ตนไปหลบพักอย่างสุขใจ

   “ เอ็งระวังตัวไว้ให้มากนะไอ้ตี๋ ข้ามิใคร่ไว้ใจเลย ”

   นายสุกกระซิบบอก ก่อนตี๋จักเดินตามนางหยิบไปด้านหน้าเรือน เพื่อไปพบคุณหญิงแย้มตามคำสั่งที่ได้รับมา

   “ คุณหญิงเจ้าคะ บ่าวพาไอ้ตี๋มาแล้วเจ้าค่ะ ”

   คุณหญิงแย้มนั่งชมเครื่องทองอยู่บนชานเรือน แลมีบ่าวไพร่นั่งพัดอยู่มิห่าง

   “ สวัสดีขอรับคุณหญิง คุณหญิงมีกระไรจักเรียกใช้บ่าวรึขอรับ ”

   ตี๋เอ่ยถามเมื่อนั่งลง แลกราบคุณหญิงแล้ว

   “ ข้าเห็นว่าเอ็งว่างอยู่ แลงานบนเรือนยังมีอีกมาก บ่าวข้าก็ยังทำงานมิแล้ว เอ็งขัดกระไรรึไม่ หากข้าจักให้เอ็งมาช่วยสักประเดี๋ยว ”

   “ มิได้ขอรับ คุณหญิงมีกระไรให้บ่าวรับใช้ขอรับ ”

   “ มิมีกระไรนักดอก ข้าเอาเครื่องทองออกมาดู ว่าจักสวมไปงานบุญสงกรานต์ แต่คงจักมิได้สวมมานาน เครื่องทองพวกนี้จึงหมองนัก แลข้าจักใช้อีพวกนี้ก็เห็นว่ามันมือหนักนัก ประเดี๋ยวเครื่องทองข้าจักเสียหาย เสียมากกว่า ”

   คุณหญิงแย้มว่า

   “ ขอรับคุณหญิง บ่าวจักเบามือให้มากขอรับ ”

   “ ดี ข้าจักเอนหลังสักประเดี๋ยว ”

   คุณหญิงตอบรับ พลางส่งสายตาบางอย่างกับบ่าวของตน โดยที่ตี๋มิได้สังเกต

   ตี๋นั่งเช็ดทำความสะอาดเครื่องทองของคุณหญิงแย้มอยู่เงียบๆ ที่หน้าชานเรือน ใบหน้าเล็กๆ แลสายตามิได้มองไปรอบตัว เนื่องด้วยสนใจเพียงเครื่องทองในมือตนเท่านั้น


**************************************


   “ ไอ้สุก เร่งมือเข้า อย่าช้าที ข้าเป็นห่วงไอ้ตี๋นัก ข้ามิไว้ใจบ่าวเรือนคุณหญิงแย้ม มิรู้ว่าจะรังแกไอ้ตี๋อีกรึไม่ ”

   “ เออ ข้าก็เร่งอยู่ แต่หากไอ้ตี๋โดนรังแกจริง แล้วเอ็งกับข้าจะทำเยี่ยงใดได้ แค่หน้าเรือนยังมิรู้ว่าจักได้เข้าไปรึไม่ ”

   “ ข้าก็มิรู้ แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีทางบ้างกระมัง ”



**************************************


   เพลาเดินไปเรื่อยๆ กว่าตี๋จักทำความสะอาดเครื่องทองชิ้นชุดท้ายแล้ว ก็ได้ยินเสียงย่ำฆ้องเสีย 2 ครั้งแล้ว

   เมื่องานแล้ว ตี๋จึงวางเครื่องทองชิ้นสุดท้ายใส่คืนที่ แต่ยังมิทันที่จักยกไปคืนคุณหญิง เสียงแหลมๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน

   “ ไอ้ตี๋ ไอ้ขี้ข้านั่นเอ็งคิดจักทำกระไร ”

   “ กระไรรึพี่หยิบ ฉันจักเอาเครื่องทองไปคืนคุณหญิงท่านขอรับ ”

   “ แต่ที่ข้าเห็นมิเป็นเยี่ยงนั้น ”

   “ กระไรอีหยิบ เอะอะกระไรกัน ”

   “ ไอ้ขี้ข้านี่ มันจักขโมยเครื่องทองของคุณหญิงเจ้าค่ะ ”

   “ มึงว่ากระไรนะอีหยิบ ”

   “ ไอ้ตี๋มันจะขโมยเครื่องทองเจ้าค่ะ คุณหญิง ”

   “ มิใช่นะขอรับ บ่าวมิได้...... ”

   “หุบปาก ข้ายังมิได้ถามเอ็ง อย่าสอด ”

   “ เอ็งเห็นจริงรึไม่อีหยิบ ”

   “ บ่าวเห็นจริงๆ เจ้าค่ะ ”

   มิทันที่ตี๋จักได้แก้ไขความเข้าใจผิดของนางหยิบ หากนางหยิบนั้นโวยวายเสียจนคุณหญิงแย้มผู้เป็นเจ้าของเรือน ออกมาถามความ

   แล้วก็เช่นกัน ตี๋มิทันได้ชี้แจงความว่ากระไร ก็โดนนางหยิบใส่ไคล้เสียก่อน แลคุณหญิงเองก็มิยอมฟังความจากตี๋

   “ บ่าวมิได้ทำเยี่ยงพี่หยิบว่านะขอรับ บ่าวเพียงจักนำเครื่องทองมาคืนคุณหญิงขอรับ ”

   “ มันโกหกเจ้าค่ะ คุณหญิง บ่าวเห็นมันจักขโมยจริงๆ เจ้าค่ะ แลกูไม่มีน้องเยี่ยงมึง มึงมิต้องมานับญาติกับกู ”

   ตี๋พยายามแก้ต่างให้ตนเอง แต่นางหยิบนั้นมิยอม นางยังยืนว่า นางเห็นตี๋จักขโมยจริงอย่างที่ตนว่า พลางส่งสายตาไปให้นายของตน ซึ่งคุณหญิงเองก็มีสีหน้าพึงใจเช่นกัน

   “ มึงจักแก้ตัวว่ากระไร ไอ้ตี๋ หลักฐานยังคามือมันอยู่เลยเจ้าค่ะ ”

   นางหยิบว่า พลางชี้มือมาที่ตี๋ ซึ่งยังถือถาดใส่เครื่องทองอยู่

   “ เห็นจักจริงเยี่ยงมึงว่า มึงไปค้นตัวมันสิว่า มันแอบเอาเครื่องทองข้าซุกไว้ที่ใดบ้าง ”

   “ เจ้าค่ะ คุณหญิง ”

   คุณหญิงว่า พลางให้บ่าวของตนไปค้นตัวตี๋ ว่าได้ซุกซ่อนเครื่องทองของตนไว้หรือไม่

   นางหยิบฉวยเอาถาดเครื่องทองจากมือตี๋ส่งให้บ่าวอีกคน แลเริ่มค้นตัวตี๋ตามที่ได้รับคำสั่งความจากคุณหญิงแย้ม

   “ นี่เจ้าค่ะคุณหญิง ”

   นางหยิบค้นตัวตี๋ แลหยิบเอาสร้อยทองเส้นหนึ่งออกมา

   “ มึงจักแก้ตัวเยี่ยงไร หลักฐานมัดแน่นเยี่ยงนี้แล้ว อีหยอด มึงไปเรียกไอ้คอนมาหากู กูจักสั่งสอนไอ้ขี้ข้านี่ ”

   “ บ่าวมิได้ทำขอรับ แลทองเส้นนั้นบ่าวก็ได้อยู่ในชุดเครื่องทองที่คุณหญิงให้บ่าวทำความสะอาด ”

   ตี๋แย้งความ ด้วยตนจำได้ว่า ทองเส้นที่นางหยิบพบนั้น ตนมิได้เห็นในชุดเครื่องทองที่นั่งทำความสะอาดอยู่เมื่อหลายเพลาก่อน

   “ จักมิใช่ได้เยี่ยงไร บ่าวอย่างมึงคงมิมีปัญญาจักมีได้ดอกกระมัง ทองเส้นนี้หลายอัฐนัก ”

   นางหยิบว่า พลางหันมามองนายของตน ซึ่งคุณหญิงแย้มเองนั้นยืนยิ้มอย่างสมใจ เมื่อเห็นว่าเรื่องเป็นไปตามที่ตนต้องการ

   “ ไอ้คอนมาแล้วเจ้าค่ะคุณหญิง ”

   นางหยอด บ่าวเรือนคุณหญิงแย้ม ซึ่งรับคำสั่งความให้ไปตามนายคอน กลับมาถึงพร้อมกับบ่าวชาย รูปร่างกำยำ

   “ ดี ไอ้คอน มึงเอาไอ้ขี้ข้านี่ไปโยงที่เสาเรือน แลลงหวายให้หนัก ให้มันหลาบจำ มันริอาจจักขโมยของ  ของข้า ”

   “ คุณหญิงขอรับ บ่าวมิได้ทำจริงๆขอรับ ”

   ตี๋พยายามขืนตัวจากนายคอน ที่เข้ามาฉุด ดึง แลลากร่างเล็กจากพื้นเรือน แต่คุณหญิงหาได้ฟังความนั้นแต่อย่างไร นายคอนจึงกึ่งดึง กึ่งลาก ตี๋ไปลงหวายตามที่คุณหญิงสั่ง


************************************


    ด้านล่างเรือน พุ่มไม้ที่มิไกลมากนัก มีร่างของใครหลบอยู่ นายผล นายสุก รีบทำงานของตน มาแอบดูอยู่ข้างเรือน แลได้ยินเรื่องทั้งหมด แม้จักไม่สามารถเห็นความบนเรือนได้ แต่ทั้งคู่ก็มั่นใจได้ว่า ตี๋นั้นคงจักโดนใส่ความอยู่เป็นแน่

   “ ไอ้สุก เอ็งคิดออกรึยังว่าจักช่วยไอ้ตี๋ได้เยี่ยงไร ”

   “ เราก็ขึ้นไปช่วยตอนนี้เลยสิวะ ”

   นายผลถามนายสุก นายสุกก็ตอบความ แลจักเดินขึ้นเรือนไปดังคำที่ตนว่าไว้ แต่ติดที่โดนนายผลดึงแขนไว้เสียก่อน

   “ ไอ้โง่เอ๊ย หากเอ็งแลข้า ผลีผลามขึ้นไปบนเรือนคุณหญิงท่านตอนนี้ ก็หลังลายกันหมดนี่ล่ะ มิได้ช่วยไอ้ตี๋แล้วยังจักเจ็บตัวด้วยนั่นประไร ”

   “ เออ จริงอย่างเอ็งว่าข้าก็ลืมตัวไป ด้วยอยากช่วยไอ้ตี๋ เยี่ยงนั้นเราจักทำกระไรดีเล่า ”

   “ เอ็งก็อย่าเร่งข้านัก ข้าก็กำลังคิดอยู่ ”

   “ รึเราจักรอให้คุณเต้ท่านกลับมาเสียก่อน แล้วค่อยแจ้งแก่ท่าน ให้ท่านมาช่วยไอ้ตี๋ ”

   “ รอคุณเต้กลับเรือน ไอ้ตี๋มิตายคาหวายดอกรึ ไอ้คอนนั้นมิเคยเบามืออยู่แล้ว มันชอบนักที่ได้ลงหวายบ่าวคนอื่น แลเพลานี้เพิ่งจักย่ำฆ้องเพียง 2 ครั้ง กว่าคุณเต้จักกลับ....... ”

   นายผลว่า ด้วยหากรอเต้กลับเรือน นั่นก็คงจักช้าเกิน เพราะตามปกติแล้ว เต้มักกลับเรือนหลังย่ำฆ้องไปแล้ว 5 ครั้ง ซึ่งกว่าจักถึงเพลานั้น ตี๋คงจักโดนลงหวายไปนักหนาแล้ว

   แต่แล้วคล้ายว่านายผลจักนึกกระไรได้ เมื่ออยู่เจ้าตัวก็หยุดพูดไปเสียอย่างนั้น

   “ กระไรไอ้ผล เอ็งนึกกระไรได้ใช่รึไม่ ”

   “ เออ ข้าพอจักนึกออกแล้วว่าใครพอจักช่วยไอ้ตี๋ได้ ”

   “ ใครเล่า เอ็งก็ว่ามาเสียที มัวแต่อมพะนำอยู่ได้ ”

   “ เออๆ ก็คุณเต้ไงเล่า ”

   “ คุณเต้ เข้ากรมตั้งแต่เมื่อเช้า แลยังมิกลับเรือน หากเอ็งจักลืมไป ”

   “ เออ ข้าจำได้ ว่าคุณเต้เข้ากรม แต่ที่เอ็งกับข้าต้องทำคือ ไปตามคุณเต้ให้กลับเรือน บัดเดี่ยวนี้ ”

   “ ไปตามคุณเต้ เอ็งก็พูดไป จากเรือนกว่าจักเดินลัดทุ่งจนถึงพระนคร แลจักวิ่งก็ตามที ไอ้ตี๋ก็ขาดใจเสียก่อนกระมัง ตัวก็เล็กเท่านั้น ”

   “ โอ๊ย ไอ้โง่ใครจักเดินไปกัน ข้าหมายความว่า เราจักเอาเรือไป ”

   “ เอาเรือไป ก็ต้องขโมยนั่นประไร เอ็งหาเรื่องเพิ่มแล้วไหมเล่า ”

   “ มิมีใครรู้ดอก พี่มั่นพายเรือให้คุณหญิงพิม แลกว่าจักกลับเรือนคงเพลาเย็นโน่น อีกอย่างเพลานี้บ่าวช่างสอดของเรือนคุณหญิงแย้มก็มิมีใครใคร่สนใจกระไรดอก เพราะพวกมันมีเรื่องให้ดูอยู่บนเรือนโน่น แลทางสะดวก เอ็งกับข้ารีบไปเสียแต่ตอนนี้ หากช้าจักไม่ทันการ ”

   นายผลร่ายยาว พลางลากนายสุกไปทางโรงเก็บเรือ เพื่อจักไปตามนายของเรือนริมน้ำ เพื่อมาช่วยคนที่พวกตนรักเยี่ยงน้องชายให้ทันโทษครั้งนี้

   “ อีกอย่างหนึ่งนะไอ้สุก ข้าเชื่อว่าคุณเต้ท่านต้องช่วยมิให้เราโดนลงโทษหนักดอก แม้เอ็งกับข้าจักขโมยเรือไปก็ตามที ”

   นายผลเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ระหว่างที่กึ่งเดิน กึ่งวิ่งไปที่โรงเก็บเรือ เพื่อมิให้บ่าวคนอื่นสนใจตนทั้งคู่เกินไป นายผลแน่ใจเป็นหนักหนาว่า อย่างน้อยๆ หากเต้ได้ฟังความ ก็คงจักช่วยผ่อนโทษของตนกับนายสุกในครั้งนี้ได้



*********************************************


   “ ไอ้ผลเอ็งพายให้มันเร็วกว่านี้หน่อยมิได้รึ ”
   
   “ ไอ้สุก ข้าก็พายสุดกำลังแล้วนะโว๊ย อย่าบ่นนักเลย ท่าเรือจักถึงอยู่นั่นแล้ว ”

   นายผล นายสุก ที่แอบเข้าโรงเก็บเรือที่เรือนของพระยาทิพยโอสถได้ คว้าเอาเรือบด(3) เพื่อมิให้เป็นจุดสังเกตจนเกินไป แลทั้งคู่ก็ช่วยกันพายเข้าพระนคร

   “ สวัสดีจ้าพี่ชาย กระผมชื่อผลขอรับ แลด้านหลังนั่นชื่อไอ้สุกขอรับ พวกเราเป็นบ่าวเรือนพระยาทิพยโอสถขอรับ เรามีความด่วนจักต้องรีบแก่คุณเต้ เอ้ย คุณหลวง.... หลวงกระไรนะไอ้สุก ”

   เมื่อพายเรือมาถึงนายผล นายสุกก็หาที่ผูกเรือ แลวิ่งตามทางจนถึงประตูเมือง ซึ่งมีทหารยามยืนเวรประจำอยู่

   นายผลแจ้งชื่อของตน แลชื่อของนายสุก บอกความว่าเป็นบ่าวเรือนใด แลมาเพื่อพบใคร หากแต่เจ้าตัวกับตกประหม่าอยู่พอดู อีกทั้งเมื่ออยู่เรือนนายเงิน พวกตนมิได้เรียกราชทินนามของเต้บ่อยนัก จึงจำมิค่อยมั่นนัก จึงหันมากระซิบถามนายสุกที่อยู่ด้านข้างเสียทีหนึ่ง

   “ คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ ขอรับพี่ชาย ”

   นายสุกที่นึกได้ จึงรีบแจ้งออกไป

   “ ใช่ๆ ขอรับ หลวงอภิบาลบริรักษ์ ขอรับ ”

   นายผลสำทับคำของนายสุกอีกคราหนึ่ง

   “ แล้วเอ็งมีความใดจักแจ้ง ก็บอกข้ามา ข้าจักนำความไปแจ้งแก่คุณหลวงท่านให้ ”

   ทหารยามตอบรับคำขอของนายผล เมื่อเห็นท่าที แลอาการของคนที่มองดูก็รู้ได้ว่า มีเรื่องร้อนใจมากจริงๆ ทั้งที่ปกติแล้ว ตั้งแต่ตนรับหน้าที่ยืนยามประตูมาหลายเพลา บ่าวเรือนพระยาทิพยโอสถ มิเคยมีความใดมาแจ้งต่อนายเลยสักครา หากครานี้คงเป็นความที่สำคัญมากกระมัง

   “ ข้าทั้งคู่ขอพบคุณหลวง เพื่อแจ้งความเองได้รึไม่ขอรับ ”

   “ บ๊ะ ไอ้นี่ เอ็งมิไว้ใจข้ากระนั้นรึ ข้ารับปากว่าจักไปแจ้งให้ ก็คือจักไปแจ้งให้ แลพวกเอ็งจักมากความไปเยี่ยงไร ”

   “ มิใช่เยี่ยงนั้นขอรับพี่ชายกระผมเพียงแค่.... ”

   “ ขอรับพี่ชาย ไอ้สุกมันคงเกรงจักโดนคุณหญิงท่าน ลงโทษน่ะขอรับ เพราะคุณหญิงท่านสั่งความว่าให้แจ้งแก่คุณเต้ เอ้ย คุณหลวงท่าน  กระผมต้องขอโทษพี่ชายด้วยนะขอรับ ”

   นายผลรีบขัด เมื่อเห็นว่านายประตูนั้นมิใคร่จักพอใจนักที่พวกตนมิยอมบอกความไปแจ้งแก่นายด้านใน แลดึงดันจักเข้าไปเอง

   “ เยี่ยงนั้นก็แล้วไป ว่าความพวกเอ็งมาเสีย ข้าจักนำความไปแจ้งแก่คุณหลวงท่านให้ หากปล่อยให้เอ็งเขาไปเอง ข้าจักมีโทษได้ ขอให้เข้าใจข้าด้วยเช่นกัน ”

   “ ขอรับพี่ชาย แลต้องฝากพี่ชายช่วยเรียนคุณหลวงท่านว่า ที่เรือนมีเรื่องใหญ่ขอรับ จักขอให้คุณหลวงกลับเรือนในเพลานี้นี้ขอรับ แลเรียนท่านว่า กระผมไอ้ผล แลไอ้สุก นำความมาแจ้งขอรับ ”

   นายประตูรับคำของทั้งคู่ แลรับปากว่าจักแจ้งความให้ครบถ้วน ก่อนจักฝากฝังเวรยามของตนไว้ที่เพื่อนที่ยืนยามด้วยกัน ก่อนจักเดินเข้ามา ด้านใน

   นายผล นายสุก เดินวนไปมา ด้วยความร้อนใจ เนื่องด้วยนายประตูที่เข้าไปแจ้งความกับนายของคนนั้นยังมิออกมา นับความได้ก็เลย ชั่วเวลาเคี้ยวหมากจืดได้สัก 2 คำ แล้วกระมัง

   เงาของคนที่เดินมุ่งหน้ามาทางประตูที่นายสุก นายผล ยืนรออยู่ขัดเจนขึ้นในคลองสายตา คุณหลวงหนุ่มเดินมุ่งหน้ามาที่ประตูหน้าพระนคร

   หลังจากที่เต้ได้รับความแจ้งจากนายทวารเฝ้าประตูว่า มีบ่าวจากเรือนพระยาทิพยโอสถมาขอเข้าพบตน แต่ตามกฎแล้วนายทหารยามมิอาจจักอนุญาตให้บ่าวไพร่นั้นเข้ามาด้านในได้ ยามประตูจึงเป็นผู้นำความมาแจ้งแก่ตน

   ในคราแรกที่ทราบว่ามีบ่าวจากเรือนมาขอพบนั้น เขาก็ใจมิใคร่จักดีนัก แลเมื่อได้ฟังความจนสิ้น ใจเขานั้นก็ยิ่งร้อนลนไปกว่าเดิม

   ด้วยคนที่มาแจ้งความนั้นแก่ตนนั้น เป็นบ่าวที่สนิทกับตี๋ของตนมากที่สุด แลเรื่องที่มาแจ้งความแก่ตนคงมิแพ้เรื่องของตี๋เป็นแน่ ใจนั้นไปก่อนตัว ใจเขานั้นแล่นกลับไปที่เรือนเสียตั้งแต่ได้ฟังความ หากด้วยภาระ แลหน้าที่รับผิดชอบก็มิอาจทำให้ตนกลับเรือนได้ดังใจนึก

   กว่าจักจัดการงานที่รับผิดชอบ แลขอลากับท่านเจ้ากรม ก็เสียเวลาไปมากโข หากมิติดที่ว่า เขามิอาจจักวิ่งในกรมได้ เขาวิ่งไปเสียนานแล้ว มิมาเดินอยู่เยี่ยงนี้

   “ คุณเต้ขอรับ... ”

   “ มิต้องกล่าวอันใด ”

   เต้เอ่ยขัดขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้าประตู แลนายสุกก็เอ่ยขึ้น

   “ ฉันให้เป็นสินน้ำใจ ”

   เต้ส่งอัฐให้นายประตูทั้งคู่ เดินนำบ่าวทั้งสองของเรือนพระยาทิพยโอสถออกไป แลเมื่อห่างออกมาจนแน่ใจว่า จักมิใครได้ยินความ จึงเอ่ยถามนายสุก นายผล

   “ พวกเอ็งมีกระไรรึ ”

   ถามออกไป ขาก็ก้าวไปตามทาง ใจก็หวังว่าเรื่องที่บ่าวทั้งคู่ที่ตนถามความนั้น จักแจ้งความในเรื่องที่มิใช่เรื่องที่ตนกังวล

   “ คุณเต้รีบเถิดขอรับ กระผม แลไอ้สุกจักเล่าบนเรือขอรับ เรืออยู่ทางนี้ขอรับ ”

   สิ่งที่ที่นายผลตอบแม้จักมิได้ความกระไรมาก เพียงแค่ให้ตนรีบ แต่เพียงเห็นสีหน้ากังวลของบ่าวทั้งสองแล้ว เขาก็มิคิดจักชักช้าเช่นกัน

   มือหยาบของคนเป็นบ่าวปลดเชือกหัวเรือบดลำเล็ก ทันที่ ที่มาถึง แลเมื่อเต้ก้าวขึ้นเรือ ทั้งก็คู่ก็เร่งฝีพายโดยรู้จักเหน็ดเหนื่อย

   “ ไอ้ตี๋โดนลงหวายขอรับ ”
   ความเพียงประโยคเดียวของบ่าว ที่แจ้งแก่เต้มีเพียงประโยคสั้นๆ หากแต่ทำให้ใจเขาร้อนยิ่งกว่าไฟลน เขาอยากให้เรือเคลื่อนให้ไวกว่านี้ ให้ไวเท่าที่ใจเขาต้องการ แลหากมีไม้พายเพิ่ม เขาจักไม่รีรอเลยที่จักช่วย เพื่อให้เรือลำเล็กนี้ถึงเรือนเร็วขึ้น แม้เพียงสักน้อยก็ยังดี



*******************************************



เชิงอรรถ


(1)   ราชทินนาม คือ นาม หรือชื่อที่ได้รับพระราชทานซึ่งแสดงถึงตำแหน่ง หน้าที่ของขุนนางด้วย โดยราชทินนามนั้นจะอยู่ต่อท้าย บรรดาศักดิ์ไทย นอกจากนี้ ราชทินนามยังใช้สำหรับประกอบสมณศักดิ์ที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานมาให้


(2)   ชายพก (คำนาม) ริมผ้านุ่งที่ดึงรวบขึ้นมาไขว้ไว้ที่บริเวณสะดือแล้วดึงชายข้างใดข้างหนึ่งให้มีลักษณะคล้ายถุงเล็ก ๆ เหน็บไว้ที่เอวใส่เงินหรือหมากเป็นต้นได้



(3)   เรือบด เป็นชื่อเรือต่อขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มี 2 แบบคือ


-    แบบเรียว หัวท้ายเรียว มีแผ่นไม้ตัดเป็นรูปโค้งปีกกาปิดส่วนหนึ่งของด้านบนหัว และท้ายเรือ ทำให้เคลื่อนที่ได้โดยใช้พาย บางครั้งใช้พาย 2 ใบ เพราะเรือขนาดเล็ก หัว และท้ายเรือเหมือนกัน สามารถกลับหัวเป็นท้ายเรือได้ทันที ต่อขึ้นจากไม้สักหรือไม้อื่นๆ คงมีกำเนิดจากรูปแบบเรือบดของตะวันตก ที่เรียกว่า เรือคะยัก ใช้เป็นเรือฉุกเฉินติดมากับเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ เรือบดแบบไทยนี้นิยมใช้ประจำบ้านเพื่อการเดินทางไปมาในลำน้ำที่ไม่ไหลเชี่ยว และมีระยะทางไม่ไกลมากนัก หรือใช้สำหรับข้ามฟาก ลำคลอง พื้นที่พบเห็นมากคือในแถบภาคกลางของประเทศไทยเกือบทุกจังหวัด

-   แบบหัวเรือเรียวท้ายตัดอย่างเรือทหาร เรือแบบนี้เป็นเรือแบบตะวันตก บางครั้งเรียกว่าเรือกรรเชียง เพราะใช้กรรเชียงแทนพาย ต่อขึ้นจากไม้หรือเหล็ก ใช้ประโยชน์ในการโดยสารหรือกรรเชียงเพื่อความเพลิดเพลิน (เช่น ตกปลา ชมวิว ออกกำลังกาย) เรือแบบนี้พบเห็นไม่มากนัก




*************************************



สวัสดียามดึกขอรับ

ข้าเจ้ามารายงานตัวพร้อมตอนใหม่ (ของนิยายรายอาทิตย์)

ขออภัยทุกท่านยิ่งนักที่ปล่อยให้รอเสียหลายเพลา

แลตอนใหม่นี้ก็มิไคร่มีเนื้อความกระไรมาก(น้ำเยอะมาก)

หากท่านชมแล้วรู้สึกว่าอารมณ์มันยังมิสุด ข้าเจ้าจักต้องกราบขออภัย

ข้าเจ้ายอมรับโดยดุษฎีว่า ข้าเจ้าตัดจบเอาไว้เพียงแค่นี้

ทั้งที่ความตั้งใจเดิม ความจักยาวกว่านี้นัก

แต่ข้าเจ้าขอยกยอดให้ไปบทต่อไปขอรับ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมขอรับ

แลข้าเจ้าคงจักต้องเอ่ยประโยคเดิมซ้ำอีกครา

สุดท้ายข้าเจ้าคงต้องบอกว่า รบกวนติดตามตอนต่อไปด้วยนะขอรับ แล้วพบกันขอรับ




.....................ด้วยใจภักดิ์.......................




โปรดติดตามตอนต่อไป



…..‘ เขาเป็นคนของลูก ไยมิให้ลูกลงโทษเขาเอง ’…..

…..‘ มันก็แค่ขี้ข้า ใครจะลงโทษก็มิต่างกัน ’…..




…..Mariner_IX….

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :sad11:

เศร้า

ขอบคุณสำหรับเกร้ดความรู้ด้วยนะ

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


Billie : ขอบคุณขอรับ

+เป็ดน้า 

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนที่ 6

………………..ดวงใจพี่………………..




นับจากวันแรกที่ตี๋ก้าวเขามาเป็นทาสเรือนพระยาทิพยโอสถ แม้จักบอกว่าตนเองเต็มใจ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง หากว่าลึกๆ ลงไปแล้วเขาก็อดจักน้อยใจในชะตาของตนเองมิได้

เขาเกิดในครอบครัวของไพร่ มิใช่ลูกของคุณพระ หรือพระยาที่ไหน แต่ครอบครัวของเขานั้นรักใคร่กันดี ถึงมิได้เป็นเจ้านาย แต่ก็เป็นไท มิใช่ทาส

แต่เมื่อครอบครัวเริ่มใหญ่ขึ้น เขามีน้องเล็กๆ อีกหลายคน จึงเป็นเหตุให้เบี้ยอัฐที่พอมีนั้นเริ่มขัดสน มิเพียงพออีกต่อไป

เขาเป็นพี่คนโต ที่ถูกปลูกฝังให้รัก แลดูแลน้องๆ เขาจึงมิอาจทนเฉยอยู่ได้ เขามิอาจปล่อยให้น้องๆ หิวได้ แลมิอาจปล่อยให้น้องๆ ต้องนอนหนาวได้

เมื่อผู้เป็นพ่อเอ่ยขอ เขาจึงมิขัด เขาใคร่ครวญเอาไว้แล้วว่า สักวันที่เขาโตพอ เขาจะต้องช่วยหาอัฐให้ได้บ้าง




***************************************




บ่าวไพร่หญิงชายแอบชะเง้อแลดูเรื่องบนเรือนคุณหญิงแย้ม ด้วยพอจักทราบความมาว่า คุณหญิงเจ้าของเรือนเรียกหานายคอน ซึ่งทุกครั้งที่เรียกหานั้น เหตุก็คงมิพ้นเรื่องลงหวายใครสักคนเป็นแน่

แต่ถึงกระนั้น ก็มิมีบ่าวไพร่คนใดกล้าพอที่จักไปแอบดูให้ใกล้เรือน ได้แต่ชะเง้อ ชะแง้กันอยู่ห่างๆ ด้วยเกรงจักโดนลงหวายไปด้วย เพราะความขึ้นชื่อของนายเรือน เป็นที่หวั่นเกรงของเหล่าทาสทั้งหลาย

เสียงหวายกระทบเนื้ออ่อนดังขึ้นอยู่เนื่องๆ แผ่นหลังเล็กแตกยับ แลย้อมด้วยสีแดง หากคนสั่งนั้นยังมิพอใจ

ร่างเล็กๆ ที่โดนผูกโยงอยู่กับเสาเรือน สะท้านเฮือกทุกครั้งที่หวายกระทบแผ่นหลัง ดวงตากลมโตฉ่ำน้ำตา ฟันเล็กกัดฝีปากของตนจนซ้ำ แลมีเลือดซึม

ตี๋พยายามที่จักแจ้งแก่คุณหญิงแย้มว่า ตนมิได้หยิบฉวยทองเส้นนั้น แลสร้อยทองนั้นก็มิได้อยู่ในชุดเครื่องทองแต่แรก หากคุณหญิงก็มิยินดีจักรับฟัง

เขาพยายามแจ้งแก่คุณหญิงจนเสียงแห้ง หากท่านก็มิรับฟัง หากความที่ได้ฟังจากปากของเจ้าของเรือน ทำให้เขาก้มหน้ารับบทลงโทษ โดยมิได้อุทธรณ์ใดๆ อีก เขาพยายามที่จักเก็บเสียงร้องของตนไว้ให้มากที่สุด

‘ กูรู้ว่ามึงมิได้ทำ แต่กูพอใจที่จักลงหวายมึง กูมิพอใจมึงอยู่มากนัก แลเพลานี้ช่างเหมาะนักแลมึงจักได้จำใส่กะโหลกของมึงไว้ว่า มิควรทำให้กูมิพอใจ ’

สิ่งที่คุณหญิงแจ้งแก่เขา มันช่างเป็นเรื่องที่ตี๋มิได้คาดคิด แค่เพียงมิพอใจก็สั่งลงหวาย เพียงเพื่อความพอใจของตน แต่กระนั้นแล้ว เขาเป็นเพียงทาส ก็คงทำได้เพียงก้มหน้ารับโทษที่ตนมิได้ก่อ


***************************************


“ คุณเต้ขอรับ เย็นใจลงสักประเดี๋ยวเถิดขอรับ ”

“ เอ็งจักให้ข้าเย็นใจได้เยี่ยงไร เพลานี้มิรู้ว่าแม่เล็กลงหวายตี๋ไปเพียงใดแล้ว เอ็งสองคนเร่งมืออีกมิได้รึ ”

“ บ่าวแลไอ้ผลเร่งมือเต็มแรงแล้วขอรับ แลโค้งน้ำหน้าก็จักถึงเรือนแล้วขอรับ ”

นายสุกเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าคุณหลวงหนุ่มกระวน กระวายใจมิน้อย เร่งตน แลเพื่อนให้เร่งมือตั้งแต่ออกจากพระนครมา

คุณเต้แม้จักยังคงรักษาท่าทีนิ่ง สงบ สมกับเป็นเจ้านายไว้ได้ หากน้ำเสียงติดกังวล ที่เอ่ยเร่งพวกตนแทบจักทุกอึดใจ ก็ทำให้เขาทั้งคู่แจ้งใจได้มิน้อยว่า คุณเต้เป็นห่วงเจ้าตี๋มากเพียงใด

ทันที่ที่เรือเข้าเทียบท่า ทั้งที่ยังมิได้จอดดี เต้ก้าวเท้าออกจากเรือ โดยมิรอให้นายสุก นายผลจอดเรือเทียบท่าให้ดีเสียก่อน

ใจเขานั้นแทบจักมิอยู่กับตัว ด้วยเป็นห่วงคนในดวงใจของตนยิ่งนัก เขาพอจักทราบมามิน้อยว่า คุณหญิงแย้ม ผู้เป็นมารดาของตนนั้น มิใคร่จักพอใจทาสของตนอยู่มาก เพราะตี๋มิใช่คนขี้ประจบ แลมิเคยสอดรู้เรื่องของนาย แม่เล็กจึงไม่ได้ความใดจากปากของตี๋ ดังเช่นทาสคนก่อนๆ ที่ท่านส่งมาคอยสอดส่องตน

หากมิติดสายตาของบ่าวไพร่ในเรือนที่มองมาอย่างใคร่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงกลับเรือนในเพลานี้ ทั้งที่ปกติ เขาจักกลับเรือนช้ากว่านี้มากนัก เขาคงจักกระโจนไปให้ถึงเรือนคุณหญิงแย้มโดยไว

นายสุก นายผล เกือบจักร้องตะโกนออกมาด้วยความตะหนก เมื่อคุณเต้ก้าวออกจากเรือ ทั้งที่เรือยังมิเทียบท่าสนิทดี ก่อนจะผลุนผลันเดินออกจาท่าน้ำไป หากกลับมารักษาท่าทางให้สงบ เมื่อเห็นสายตาใคร่รู้ได้ทันท่วงที

เมื่อนำเรือเข้าโรงเก็บ นายสุก นายผล แทบจักกระโจนตามหลังคุณเต้ไป ด้วยเห็นหลังคุณเต้ไวๆ แม้นจักเดินด้วยอาการสงบมิให้เป็นที่ผิดสังเกตของบ่าวไพร่ หากคุณเต้ก็ช่างก้าวเท้าไวนัก

“ คุณเต้รอบ่าวด้วยขอรับ ”

บ่าว ไพร่ที่มาแอบชะเง้อ ชะแง้อยู่หน้าเรือนคุณหญิงแย้ม พากันแยกย้ายเมื่อเย็นสายตามิใคร่พอใจของคุณหลวงหนุ่ม ทั้งที่เพลาปกติ คุณหลวงมิเคยใช้สายตาเยี่ยงนี้กับผู้ใดมาก่อน

เมื่อบ่าว ไพร่ แยกย้ายไปทำการ งานของตนแล้ว เต้ก็มิรอช้าที่จักสาวเท้าขึ้นเรือนของผู้เป็นมารดา ใจนั้นยังหวังว่า คนที่ตนเป็นห่วงจักมิเป็นกระไรมาก

“ อีหยอด มึงไปเอาน้ำมามาสาดมัน กูยังมิสาใจ ”

“ เอาน้ำเกลือเลยดีรึไม่เจ้าคะคุณหญิง ”

“ อีนี่ กว่ามึงจักได้น้ำเกลือตามปากมึงว่า คุณหญิงพี่มิกลับมาแล้วรึ เหตุใดมึงมิคิดไว้ก่อน แลเพิ่งจักมาถาม มันน่าลงหวายมึงก่อนนัก ”

“ เจ้าค่ะ บ่าวจักไปประเดี๋ยวนี้ ”

เสียงพูดคุยที่ได้ยินตั้งแต่ยังมิทันไดก้าวขึ้นเรือน ทำให้ใจของเต้เต้นมิเป็นส่ำ ด้วยมิคิดว่ามารดาของตนโหดร้ายถึงเพียงนี้ ขายาวเร่งก้าวขึ้นเรือน หวังจักไปหาดวงใจของตนให้ไวขึ้น แม้เพียงสักนิด

ภาพเบื้องหน้าที่เห็นในคลองสายตาทันทีที่ก้าวพ้นบันไดขั้นบนสุด ทำให้เต้แทบจักหลังน้ำตา ร่างเล็กของคนที่เป็นดังลมหายใจของตน สิ้นสติมิได้รับรู้การมาของตนเลย ริมฝีปากมีหยดเลือดไหลซึม แลซ้ำเป็นรอยฟัน แผ่นหลังเล็กๆที่ตนโอบกอดอยู่ทุกคืน มีรอยหวายเสียเต็มจนแทบจักมิมีที่ว่าง เลือดสีแดงสดไหลอาบหลังบาง แลหยดลงบนพื้นที่เจ้าตัวยืนอยู่ เส้นผม แลผ้านุ่งที่สวมอยู่นั้นเปื้อนเลือดจากบาดแผลบนแผ่นหลัง แลเปียกชื้นจากหยาดน้ำ นี่คงมิใช่ครั้งแรกเสียแล้วกระมังที่ คนตัวเล็กสิ้นสติ

ซ่า!!!

สายน้ำสาดมาใส่ร่างของคนที่ยืนอยู่ มิใช่ร่างเล็กด้านหลัง มิมีใครทันสังเกตว่าเต้เดินขึ้นเรือนมาเมื่อใด หากเต้นั้นเข้ามาในเพลาที่ทาสหญิงจักสาดน้ำใส่ร่างของตี๋พอดิบ พอดี

“ ว๊าย!!! ตาเถร ยายชี ”

“ พ่อเต้!!! ”

เสียงอุทานดังขึ้นเกือบพร้อมกันเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามานั้นเป็นใคร เต้มิได้เอ่ยอะไรเพียงแค่ลูบน้ำออกจากหน้า แลปรายตาขึ้นมองคนทำ

“ นี่มันกระไรกันขอรับแม่เล็ก ”

เต้เอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบทั้งที่ในใจนั้นร้อนลุ่ม ด้วยอยากจักเข้าไปดูคนตัวเล็กด้านหลัง หากก็มิอาจจักทำได้ในทันที

“ ตายแล้วพ่อเต้ เหตุใดลูกมิให้สุ่มเสียงก่อน อีหยิบมึงไปหาผ้ามาในลูกกูเช็ดหน้า เช็ดตัวประเดี๋ยวนี้ ”

คุณหญิงหันไปสั่งบ่าว แลจับจูงมือบุตรชายให้มานั่งที่ชานเรือน

“ คุณแม่ยังมิตอบลูกเลยว่านี่มันเรื่องกระไรกัน ”

“ มิมีกระไรดอกพ่อเต้ แม่เพียงลงหวายบ่าวไพร่ให้มันหลาบจำ แลมิทำผิดอีก ”

“ มันมิหนักเกินไปรึขอรับ นั่นมันก็มิมีสติแล้ว เหตุจึงต้องสาดน้ำใส่เยี่ยงนี้อีก ”

เต้เอ่ยถาม อย่างข่มอารมณ์ แสร้งทำเป็นมิรู้ความมาก่อน แลมิรู้ว่าผู้ใดเป็นคนผิด ทั้งที่ในใจนั้นอยากจักเอ่ยถามมารดาของตนเสียนักหนาว่า เหตุใดจึงทำการเยี่ยงนี้กับคนของตน

“ มิหนักดอกลูก มันทำผิด แลปากแข็งนัก มิยอมรับว่าตนเป็นคนทำ หากหาความว่า แม่เป็นผู้ใส่ความมัน เช็ดหน้า เช็ดตาเสียก่อนพ่อเต้ ”

คุณหญิงแย้มว่า พลางหยิบผ้าที่บ่าวนำมาให้ส่งให้บุตรขาย ก่อนจักหันไปมองคนที่ถูกลงหวาย แลเมื่อเห็นว่านายคอนนั้นยืนบังร่างนั้นจนมิเห็นว่าผู้ใด จึงยกยิ้มพอใจ ที่บ่าวของตนช่างรู้งาน

“ แลบ่าวผู้นั้นเป็นใครรึขอรับ แลมันทำกระไรผิดขอรับ ”

เต้เช็ดน้ำออกจากหน้า แลเหลือบมองตามสายตาของมารดา ร่างเล็กๆ นั้นถูกบ่าวร่างใหญ่บังจนมิอาจมองเห็นได้ จึงแสร้งถามความออกไป

“ มันริอ่านเป็นขโมย แลมันจักขโมยเครื่องทองของแม่ หากว่าอีหยิบนั้นเห็นก่อน มิเช่นนั้นมันคงหยิบฉวยกลับไป แม่ก็นึกเอ็นดูว่าขยันขันแข็ง มิคิดว่าก่อนว่าจักมือไวเยี่ยงนี้ ”

คุณหญิงว่า พลางหันมามองทางบ่าวที่ตนเอ่ยถึง แลนางทาสก็พยักหน้ารับคำ ว่าเห็นความเป็นจริงเช่นที่นายของตนว่า

“ กระนั้นรึขอรับ มันเป็นใครกัน ความว่ามันเป็นผู้ทำจริงรึขอรับ ”

“ ช่างเถิดพ่อ มันจักเป็นใครก็ช่าง แม่ลงโทษมันไปแล้ว แลมันจักมิได้ขโมยได้เยี่ยงไร ในเมื่ออีหยิบค้นตัวมัน แลพบสร้อยทองของแม่จริง ”

คุณหญิงแย้มว่า พลางฉวยข้อมือบุตรชายที่กำลังจักลุกขึ้น ให้นั่งลงตามเดิม

“ พ่อเต้กลับเรือนเร็วเยี่ยงนี้ มีกระไรด่วนกระนั้นรึ ”

คุณหญิงแย้มเปลี่ยนเรื่อง พยายามหันเหความสนใจของบุตรชาย ที่มองไปยังร่างของบ่าวที่ถูกโยงอยู่กับเสาเรือน

“ มิมีการใดด่วนดอกขอรับ ลูกเพียงรู้สึกมิใคร่สบายตัวนัก จึงขอลาท่านเจ้ากรมกลับมาก่อน แลทราบความจากบ่าวว่า คุณหญิงแม่อยู่เรือน จึงเข้ามาหาขอรับ ”

เต้ว่าพลางลุกขึ้น เพราะเขามิอาจจักทำใจเย็นต่อได้ เขาห่วงคนที่ถูกทำโทษยิ่งนัก แต่ก็มิอาจผลีผลามจนเกินงาม

เต้เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้านายคอน โดยที่คุณหญิงห้ามมิทัน หากว่านายคอนเองมิยอมจักหลบทาง แลนั่งลงเมื่อเจ้านายเดินมาตรงเยี่ยงบ่าวคนอื่น

“ เหตุใดเอ็งจึงมิหลบข้า ”

เต้ว่า เมื่อเห็นว่าบ่าวชายผู้นี้มิยอมหลบตน มิเพียงไม่หลบ ซ้ำยังยืนขวาง นายคอนเหลือบตามองคุณหญิงแย้ม เมื่อเห็นว่าท่านส่งสายตาบางอย่างให้ ซึ่งตนเข้าใจดี

เมื่อเห็นว่าบ่าวผู้นี้มิยอมถอยเป็นแน่ เต้จึงเดินอ้อมไปเสีย ภาพที่เห็นต่อหน้านั้น ช่างเจ็บในใจเสียยิ่งกว่าเมื่อคราแรกที่มอง

คนตัวเล็กของตนนั้นบอบซ้ำยิ่งนัก มิเพียงรอยหวายบนแผ่นหลัง ใบหน้าเล็กๆ ที่ตนเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเพลานั้น ซ้ำไปด้วยรอยมือของใครสักคนที่ยังเด่นชัด ดวงตากลมที่ดึงดูดใจตั้งแต่คราแรกที่เห็น ปิดสนิท หากยังมีคราบน้ำตาเกาะ นี่คนตัวเล็กของเขาต้องเจ็บแค่ไหนกัน กว่าเขายังกลับมาในเพลานี้

“ เขาเป็นคนของลูก ไยมิให้ลูกลงโทษเขาเอง ”

เต้หันมาถามความกับมารดา หลังจากเห็นคนที่โดนลงหวายเต็มตา ว่ามันที่ผู้เป็นมารดาหาความนั้นคือใคร

“ มันก็แค่ขี้ข้า ใครจะลงโทษก็มิต่างกัน เหตุใดลูกจักต้องมิพอใจแม่เยี่ยงนี้ ”

คุณหญิงแย้มเชิดหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าความที่ตนพยายามปกปิด มิต้องการให้บุตรชายทราบ นั้น มิอาจทำได้ แลนึกคาดโทษบ่าวไพร่ที่ริอ่านนำความไปแจ้งแก่บุตรชายของตนอยู่ใจ ด้วยความที่ว่า ตนมิใคร่เชื่อว่า บุตรชายหาจักแวะมาเยือนตนที่เรือนหากมิมีเหตุอันควร รึมิมีใครไปแจ้งความเป็นแน่ พลางปรายมองมองบ่าวสองคนที่นั่งอยู่ที่หน้าบันไดเรือน

นายสุก นายผล สะดุ้งเฮือกในทันที เมื่อเห็นสายตามาดร้ายจากคุณหญิงแย้ม เขาสองคนหลบตาแทบมิทัน

“ ไอ้บ่าวสองตัวนี้มันไปแจ้งความกระไรแก่พ่อกัน เรื่องของตนก็มิใช่ ช่างสอดรู้นัก มันน่าลงหวายเสียให้หมด ”

“ มิมีผู้ใดไปแจ้งความแก่ลูกดอกขอรับ แม่เล็กอย่าได้หาความกับผู้อื่น ”

เต้ว่า พลางส่งสายตามายังนายผล นายสุก พร้อมพยักหน้าเบาๆ แต่นายผล นายสุก นั้นเข้าใจสิ่งที่คุณหลวงหนุ่มต้องการแจ้งแก่พวกตนเป็นอย่างดี ด้วยตนทั้งคู่ก็รอเพลานี้อยู่เช่นกัน

นายผล นายสุก คลานเข่าผ่านคุณหญิงแย้ม โดยมิกล้าจักเงยหน้าขึ้นมอง หากเมื่อมาใกล้ถึงคนตัวเล็กที่พวกตนห่วงเสมอน้องชาย นายคอนที่นั่งลงตั้งแต่เมื่อคุณหญิงเดินมา ขยับร่างมาบัง มิให้ทั้งคู่ผ่าน หากมันก็มิได้มีกระไร เมื่อเขาเงยหน้ามองคุณเต้ ก็ได้รับการพยักหน้าเบาๆให้ ทั้งคู่จึงค่อยหลบนายคอนไป แลไปช่วยปลดเชือกออกจากข้อมือของคนที่มิมีสติ

เต้มองตามบ่าวชายอีกสองคนที่เป็นคนไปแจ้งความแก่ตน นายสุก นายผล เบามืออยู่พอควรทำให้เขาเบาใจไปได้บ้างว่า ตี๋ของตนจักไม่บอบซ้ำไปกว่าเดิม

หากสายตาคมก็ยังแลเห็นรอยซ้ำรอบข้อมือเล็ก มีเลือดไหลซึม ยิ่งเห็นเขายิ่งเจ็บในอก หากเลือกได้ เขาจักเลือกที่จักเป็นคนเจ็บเสียเอง

“ หากมิมีกระไรแล้ว ลูกขอตัวคนของลูกคืนนะขอรับ ”

เต้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระด้าง หากในน้ำเสียงนั้นก็ยังให้ความเคารพในตัวมารดาของตนอยู่

“ พ่อเต้ จักทำเยี่ยงนี้มิได้ ”

“ เหตุใดจักมิได้กันรึขอรับ ของที่ว่าบ่าวของลูกคิดจักขโมยนั้นรึก็ได้คืนแล้ว แลคุณแม่เล็กเองก็ลงโทษบ่าวของเรือนลูกไปแล้ว ยังมีเหตุกระไรอีกรึขอรับ ”

คุณหญิงแย้มนั้นยังมิยอมให้บุตรชายนำตัวทาสของตนกลับเรือน  หากเต้เองก็มิยอมเช่นกัน แม้คำพูดนั้นจักเคารพมารดา หากความกระด้างในน้ำเสียงก็ทำให้คนเป็นแม่จับความรู้สึกนั้นได้

“ เอาเถิดพ่อเต้ หากพ่อคิดว่าเยี่ยงนั้นถูก แลดีแล้ว แม่ก็มิขัดกระไรพ่ออีก ”

คุณหญิงแย้มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แลสีหน้าเศร้าสร้อย เช่นทุกครั้งที่ต้องการให้ทุกคนเห็นใจตน หากเต้นั้นกับมองข้ามยิ่งที่มารดาทำ

“ กระนั้นแล้ว ลูกขอลากลับเรือนเลยนะขอรับ ”

เต้กราบลามารดา พร้อมกลับส่งสายตาให้นายสุก นายผล พยุงคนตัวเล็กกลับเรือนไปพร้อมกัน แม้เต้จักเห็นสีหน้ามิใคร่พอใจของมารดา แต่เขาเลือกที่จักทำเป็นมองไม่เห็นไปเสีย

ขายาวก้าวเดินลงจากเรือนพร้อมบ่าวชายทั้งสองคน ในอ้อมแขนของนายสุกมีร่างเล็กของตี๋อยู่ หากเป็นไปได้แล้ว เต้นั้นอยากจักเป็นคนอุ้มเจ้าดวงใจเสียเอง แต่หากทำเช่นนั้น ตี๋จักยิ่งมิปลอดภัยกว่าเดิม เขาจึงทำได้เพียงก้าวยาวๆ ให้ถึงเรือนโดยไว



***************************************



ต่อด้านล่าง




ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ตอนที่ 6 (ต่อจากด้านบน)



“ วางตรงนี้ก่อน นายสุก เอ็งไปขอน้ำร้อนที่โรงครัว บอกว่าข้าสั่ง แลเอ็งนายผล เอาอ่างใส่น้ำฝนมาให้ข้า ”

เมื่อถึงเรือนริมน้ำ เต้จึงสั่งความให้บ่าวทั้งคู่ไปเตรียมในสิ่งที่ตนต้องการ เขาให้นายสุกวางตี๋บนฟูกที่ปูไว้ที่ชานเรือน ก่อนที่ตนเองจักเดินเข้าเรือนนอนด้านหลัง เพื่อจัดเตรียมยา

นายสุกกลับมาพร้อมกาต้มน้ำใบย่อม แลมิต้องรอให้คุณหลวงสั่งความ เขาเทน้ำในกาใส่อ่างทองเหลือง ซึ่งนายผลใส่น้ำเตรียมไว้แล้ว

“ ขอบใจเอ็งสองคนมาก เอ็งกลับไปพักก่อนเถิด ต่อจากนี้ข้าจักทำเอง ”

เต้เอ่ยขึ้นหลังจากเตรียมยาพร้อมแล้ว แลเมื่อเห็นว่าบ่าวชายนั้นเตรียมน้ำไว้เสมือนรู้ใจตนว่าตนต้องการกระไร

เพลาผ่านไปชั่วประเดี๋ยว เต้เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าบ่าวที่ตนบอกให้กลับไปก่อนนั้น ยังมิลุกไปไหน

“ เอ็งสองคนมีกระไรอีกรึ ”

“ คือกระผม...... ”

เต้ถามขึ้น เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ยังมิยอมไปตามที่ตนต้องการ แต่บ่าวชายนั้นคู่นั้นกับอึกอัก มิกล้าตอบ แลคล้ายจักพยายามให้อีกคนเป็นคนเอ่ยบอก

“ คือกระผมสองคนยังมิกล้าไปตอนนี้ขอรับ ”

“ ทำไมรึ เอ็งมีการใดกัน อ้อ..... ”

ท้ายที่สุดแล้วนายผลนั้นเป็นคนเอ่ยตอบคุณหลวง เนื่องจากเพื่อนตนมิยอมจักช่วยตอบ แลเมื่อเต้เห็นอาการหวั่นใจ แลตื่นกลัว ของทั้งสองคนก็พลันจักเข้าใจเหตุผลของทั้งคู่ขึ้นมาลางๆ

“ เอ็งความความผิดใช่รึไม่ ”

“ ขอรับคุณเต้ กระผมสองคนขโมยเรือ แลออกจากเรือนโดยมิได้แจ้งผู้ใด เพียงเท่านี้ก็มิอยากจักนึกนึกโทษของตนเองแล้วขอรับ ซ้ำยังทำให้คุณหญิงแย้มท่านมิพอใจเสียมากโขอีก อุ้ย!!! ”

นายผลตอบตามตรง ด้วยตนแลเพื่อนนั้นหวั่นเกรงหวายจักลงหลังมิใช่น้อย แลยังจำแรงหวายจากมือของหัวหน้าทาสอย่างนายมั่น เมื่อครั้งแอบหนีไปเที่ยวเมื่อคราก่อนหน้านั้นได้ แต่ก็ต้องสะดุ้งจากศอกของนายสุก เมื่อตนพูดถึงความมิพอใจของคุณหญิงแย้ม

“ มิเป็นใดหรอกนายสุก ข้ามิถือโทษ แลคุณแม่เล็กเองก็ทำเกินไปจริงๆ ”

เต้ว่า หากสายตามิได้ละออกจากร่างเล็กตรงหน้า เขาเช็ดตัวตี๋อย่างเบามือที่สุด เท่าที่จักทำได้ ด้วยมิอยากให้อีกคนเจ็บไปกว่าเดิม

นายผล นายสุก นั้นเห็นทุกอย่าง แต่ก็มิได้เอ่ยกระไรออกไป เนื่องด้วยเป็นเรื่องของเจ้านาย บ่าวอย่างตนคงมิอาจจักสอดได้

“ ข้าเชื่อใจพวกเอ็งได้รึไม่ ”

“ ขอรับ บ่าวจักมิแพร่งพรายเรื่องบนเรือนนี้เป็นเด็ดขาด ”

เต้ถาม แลนายผล นายสุกนั้นดูจักเข้าใจคำตอบของคุณหลวงเต้เป็นอย่างดี ว่าคุณหลวงนั้นต้องการสิ่งใด

แม้ตนเอง แลนายผลจักมิใคร่เข้าใจเรื่องเยี่ยงนี้นัก แต่ก็มิคิดขัดขวาง หากนั่นเป็นความสุขของคนที่ตนรักเยี่ยงน้องชาย แต่ก็อดหวั่นใจอีกมิได้ว่า น้องชายของตนจักต้องเจอเรื่องร้ายแรงอีกเป็นแน่

“ เอ็งสองไปรอข้าหน้าเรือน แลปิดประตูเรือนให้ข้าเสียด้วย ข้ามิอยากจักให้ใครมาสอดรู้เรื่องเรือนข้า ประเดี๋ยวข้าจักไปคุยกับเจ้าคุณพ่อให้ แลเอ็งก็มิต้องกังวลเรื่องนางมา ข้าจักจัดการเสียทีเดียว”

เต้ว่า ทำให้นายผล ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แลยิ้มเต็มหน้าด้วยความยินดี เมื่อคนเป็นนายใส่ใจบ่าวไพร่เยี่ยงตน ด้วยตนนั้นอดกังวลอยู่มิน้อยว่า หากคุณเต้ช่วยตนกับนายสุกไว้ได้ คนที่จักรับเคราะห์โดยมิรู้อิโหน่ยอิเหน่ไปด้วยคงมิพ้นนางมา ซึ่งเป็นภรรยาของตน หากเมื่อคุณเต้รับปากเยี่ยงนี้แล้ว ตนนั้นก็เบาใจไปมากโข

นายสุกตบบ่าเพื่อนเบาๆ ก่อนจักก้มกราบแลคลานเข่าออกจากชานเรือน ปิดประตูลั่นดาลตามคำสั่งความ หากก่อนปิดนั้นส่งสายตาไล่มองพวกสอดรู้ที่เดินมาเมียงมองด้วยความใคร่รู้ ก่อนทั้งคู่จักนั่งหันหลังให้คุณหลวงแลบ่าวตัวเล็กของคุณหลวง

เมื่อนายสุก นายผล รับปาก ว่าจักมิแพร่งพรายเรื่องบนเรือนริมน้ำ เต้นั้นเบาใจขึ้นมากนัก  ด้วยอย่างน้อยตี๋จักมีคนช่วยดูแลยามเขามิอยู่เรือน เขาเชื่อแววตาของบ่าวชายทั้งคู่นั้นว่า ทั้งสองคนหวังดีกับตี๋น้อยของเขาอย่างแน่นอน

มือใหญ่หากการกระทำนุ่มนวล แผ่วเบาเฉกเช่นคนเป็นแพทย์หลวงพึงมี เช็ดคราบเลือด แลคราบสกปรกบนร่างของผู้เป็นดวงใจ

น้ำในอ่างทองเหลืองเปลี่ยนเป็นสีแดงจางเมื่อเขาชุบผ้าลงในอ่าง แลบิดพอหมาด แล้วกลับมาเช็ดตัวคนรักของตนต่อ

ตี๋ครางเบาๆ ทุกคราที่ผ้าสะอาดสัมผัสผิว หากก็ยังมิรู้สึกตัว แต่ใจของคนที่เช็ดทำความสะอาดรอยแผลบนร่างของคนรักนั้นแทบขาด เมื่อได้ยินเสียงครางนั้น

ตี๋จักเจ็บเพียงไหนกัน ริมฝีบางบางที่เขาเฝ้ามองซ้ำเป็นรอยฟัน เจ้าตัวเล็กคงจักเจ็บมิน้อยเลยที่ต้องกัดลงกลั้นเสียง

มุมปากเล็กๆนั้นก็มีรอยซ้ำมิแพ้บนใบหน้า เขามิรู้ว่าผู้ใดเป็นคนลงมือทำร้ายคนตัวเล็กของเขา หากให้เดา คงมิผิดไปจากบ่าวหญิงของคุณแม่เล็กเป็นแน่ เขาเก็บความคุกรุ่นไว้ในใจ หากเมื่อใดสบโอกาส เขาจักมิยอมให้ตี๋ต้องเจ็บตัวแบบนี้อีก

เมื่อเช็ดทำความสะอาดจนทั่ว เต้จึงลงมือใส่ยา มือหนาแตะยาจากตลับยากลิ่นหอม เนื้อละเอียด ซึ่งทาสทั่วไปคงมิมีโอกาสจักได้ใช้ แต่เขามิคิดเสียดาย เพราะตี๋มิใช่ทาส หากแต่เป็นคนรัก

ตี๋สะดุ้งเมื่อเนื้อยาเย็นแตะลงบนผิว แม้จักมิได้แสบเช่นยาสมานแผลทั่วไป แต่ก็ยังแสบอยู่มิน้อยกับแผลสดแลฝังลึกบนแผ่นหลัง

เต้เบามืออย่างสุดกำลัง เพราะทุกครั้งที่ตี๋สะดุ้ง แลส่งเสียงคราง ใจเขาแทบจักขาดตามไปด้วย หากเจ็บแทนได้เขาจักทำ หากแบ่งความเจ็บปวดมาได้ เขาจักแบ่งมาเสียทั้งหมด

หยาดน้ำอุ่นที่หยดลงใบหน้า ทำให้เปลือกตาของคนที่สิ้นสติค่อยขยับกระพริบ ภาพเลือนรางเบื้องหน้านั้น ทำให้ตี๋ต้องกระพริบตาอีกครั้งเพื่อมองให้ชัดขึ้น

“ คุณเต้ โอ๊ย!!! ”

“ เจ็บมากรึไม่ พ่อนอนลงก่อนเถิด ”

เมื่อภาพที่เห็นชัดขึ้น ตี๋นั้นรีบลุกขึ้น ด้วยความเคยชิน โดยลืมตัวไปเสียว่าตนนั้นบาดเจ็บอยู่ นายสุก นายผลนั้นได้ยินเสียงก็แทบจักถลามาหา หากคุณหลวงส่งสายตาห้ามไว้เสียก่อน ทั้งคู่จึงนั่งลงที่เดิม

“ คุณเต้ร้องไห้รึขอรับ คุณเต้เจ็บตรงไหนกัน บ่าวจักช่วยกระไรคุณเต้ได้บ้างขอรับ ”

ตี่ถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แลตื่นตระหนก เมื่อลืมตาตื่นแลเห็นคุณเต้ของตนกำลังหลั่งน้ำตา โดยมิสนใจตัวว่าจักเจ็บรึไม่

“ พี่มิเป็นไรดอก พ่อนั่นล่ะที่เป็น ใจพี่จักขาดเสียให้ได้ ”

ตี๋ยกมือสั่นๆของตนขึ้น ด้วยหมายจักเช็ดคราบน้ำตาบนในหน้าคม หากยังมิทันถึง มืออุ่นของอีกคนก็คว้ามากุมไว้เสียก่อน

“ พ่อนอนพักเสีย พี่จักไปจัดการงานสักประเดี๋ยว แลจักกลับหา ”

“ คุณเต้ขอรับ บ่าวมิได้ทำเช่นคุณหญิงท่านว่านะขอรับ ”

ตี๋ผวาขึ้นคว้ามือของเต้ เมื่อเห็นว่าอีกคนผละออกไป ก่อนจักพยายามแจ้งความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ตนมิได้ทำ

“ พี่รู้ว่าพ่อมิได้ทำ พี่เชื่อใจคนที่พี่รักเสมอ พ่อมิต้องกังวลสิ่งใด นอนพักเสีย ประเดี๋ยวพี่จักกลับมา ”

“ ขอบคุณขอรับ ดีจริงที่วันนี้บ่าวมิได้พกนาฬิกาของคุณเต้ไปด้วย มิเช่นนั้นคงจักโดนริบเป็นแน่แท้ ”

ตี๋เอ่ยขึ้นเบาๆ พร้อมรอยยิ้มบาง ตนดีใจที่วันนี้มิได้นำนาฬิกาพกเรือนสวยนั้นติดตัวไปด้วย หากโดนพบ เรื่องคงมิจบเช่นนี้แน่

“ เห็นพ่อยังยิ้มได้ พี่ก็คลายใจ หากพี่อยากจักบอกพ่อว่า สิ่งใดก็มิสำคัญกับพี่ไปกว่าตัวพ่อปลอดภัยดอก ”

เต้ประคองให้ตี่นอนพัก ลงที่ชานเรือน ใจจริงแล้ว เขาอยากจักอุ้มเจ้าตัวเล็กนี่เข้ามาพักในเรือนนอนเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยนิสัยของตี๋แล้ว เจ้าตัวคงจักต้องลงมานอนที่เสื่อด้านล่างแทนที่จักเป็นฟูกบนเตียงของเขาเป็นแน่

ดวงตาคู่สวยหรี่ปรือลงจากพิษบาดแผล ความอ่อนเพลียทำให้ตี๋หลับไปอีกครั้ง เต้แนบฝีปากของตนบนหน้าผากของคนหลับ ดึงผ้าแพรผืนงามเนื้อลื่น ขึ้นห่มร่างเล็กอย่างเบามือ ด้วยมิอยากให้โดนรอยแผลบนหลัง ก่อนจักก้าวออกจากเรือน พร้อมนายสุก นายผล ที่นั่งรออยู่แต่แรก หากมิลืมคล้องประแจหน้าเรือน ด้วยมิต้องการให้ใครเข้ามาในเรือนของตนได้




******************************************



กว่าที่คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์จักออกจากเรือนก็เป็นเพลาย่ำค่ำเสียแล้ว หากคุณหลวงนั้นมิได้สนใจแต่อย่างใด สองเท้าก้าวเดินไปเรือนพระยาทิพยโอสถ ด้วยต้องการจักจัดการความเสียให้แล้วโดยไว

“ อ้าวพ่อเต้ มาหาพ่อถึงเรือนมีกระไร แลมิมาให้ไวกว่านี้ จักได้ร่วมสำรับกัน ”

“ ลูกขออภัยขอรับเจ้าคุณพ่อ ที่มิได้แจ้งไว้ก่อนว่าจักมา ”

“ พ่อเต้ก็พูดเสียดูห่างเหินจริงเชียว พ่อ ลูก อยากจักพบหน้ากันต้องแจ้งความกันล่วงหน้าเชียวรึ ”

เต้มาถึงเรือนของเจ้าคุณทิพยโอสถเมื่อเลยมื้ออาหารไปแล้ว นัยน์ตาคมกวาดมองเสียรอบหนึ่ง หลังจากกราบผู้เป็นบิดา แลคุณหญิงพิมแล้ว แต่มิพบคุณหญิงแย้ม คุณหญิงพิมนั้นเอ่ยหรอกบุตรชายเสียคราหนึ่ง

“ เอาเถิด แม่ลูกหยอกกันพอหอมปากหอมคอ พ่อเต้มีกระไรรึ ”

“ ลูกอยากจักขอคำปรึกษาเจ้าคุณพ่อขอรับ ”

“ เรื่องกระไรเล่า หากพ่อช่วยได้พ่อจักช่วยเต็มกำลัง ”

“ มิมีอันใดหนักหนาดอกขอรับ ลูกต้องการจักไถ่ตัวทาสจากเจ้าคุณพ่อขอรับ ลูกนั้นอยากจักได้ทาสไปช่วยงานที่เรือนเพิ่ม ด้วยลูกต้องการให้เจ้าตี๋มาช่วยจัดตำรา แลหนังสือ กระนั้นลูกต้องการบ่าวช่วยพายเรือ ด้วยงานของลูกบางคราต้องอยู่ถึงย่ำค่ำ แลมิอยากให้เจ้าคุณพ่อต้องรอนาน หากจักต้องรอลูกกลับเรือนพร้อมกัน ”

“ อิฉันเห็นด้วยกับพ่อเต้เจ้าค่ะ เจ้าคุณพี่ พ่อเต้เป็นถึงคุณหลวง ก็สมควรจักมีบ่าวไพร่ไว้คู่เรือนให้สมฐานะ ”

เต้เอ่ยถึงความต้องการของตนโดยมิคิดอ้อมค้อม ซึ่งคุณหญิงพิมเองก็เห็นควรไปด้วย เพราะเต้นั้นมียศแลราชทินนาม ขั้นหลวงแล้ว ก็ควรจักมีบ่าวไว้ช่วยงานให้สมควรแก่ฐานะ

“ เห็นจักจริงเช่นแม่พิมว่า พ่อเองก็มิทันนึก แล้วลูกต้องการบ่าวคนไหนบ้างรึ พ่อจักให้ไอ้มั่นมั่นส่งตัวไปที่เรือนของลูก แลลูกมิต้องไถ่ตัวพวกมันดอก พ่อจักยกให้ลูกเป็นของกำนัล ให้สมกับยศแลราชทินนาม ”

“ หรือหากลูกมิพึงใจบ่าวในเรือน รึถูกใจมันผู้ใด แม่จักให้ไอ้มั่นช่วยเป็นธุระจัดการหามาให้ ”

“ ลูกกราบขอบพระคุณเจ้าคุณพ่อ แลแม่ใหญ่มากขอรับ ลูกยังมิต้องการทาสนอกเรือนเพิ่ม ลูกพึงใจทาสอยู่สามคน แลอยากจักขอทั้งสามนี้ ขอรับ ”

“ ไอ้มั่นเอ็งจัดไอ้อี ที่ลูกกูต้องการ แลสั่งสอนเสียก่อนจักส่งไปเรือนริมน้ำ ”

“ ขอรับ ท่านเจ้าคุณ กระผมจักจัดตามที่คุณเต้ท่านต้องการขอรับ ”

เต้ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเรื่องที่ตนต้องการเป็นไปตามหมายมั่นไว้ แลเจ้าคุณพ่อ คุณหญิงพิม มิได้เอ่ยถามความที่เกิดในวันนี้ นั่นเขาพอจักเดาไว้บ้างว่า คงมิมีใครกล้าเรียนให้ทั้งคู่ทราบเป็นแน่

“ ลูกกราบลาเจ้าคุณพ่อ คุณแม่ใหญ่ขอรับ ”

เมื่อเห็นว่าสิ่งทีตนเองต้องการนั้นสำเร็จลุล่วง เต้จึงขอลากลับเรือน โดยที่ใจเขานั้นมิได้อยู่ที่ตัว หากแต่อยู่กับคนที่นอนเจ็บอยู่ที่เรือนริมน้ำเสียแต่แรกแล้ว



******************************************



หลังจากผ่านเหตุการณ์ครานั้นมาเกือบเดือน เต้ดูแลตี๋อย่างใกล้ชิด โดยมิยอมให้ตี๋ลุกออกจากเรือนนอนแม้แต่น้อย

“ คุณเต้ขอรับ บ่าวมิได้เจ็บหนักเช่นวันแรกแล้วขอรับ เหตุจึงมิยอมให้บ่าวออกไปช่วยงานพวกพี่ๆ เขาเสียทีขอรับ บ่าวเกรงใจพี่เขายิ่งนัก ที่ตนเอาแต่นอนอยู่เยี่ยงนี้ ”

ตี๋เอ่ยถามขึ้น ขณะที่เต้นั้นกำลังแตะยาทาบนแผ่นหลังอย่างเบามือ รอยหวายเต็มแผ่นหลังเล็กเมื่อคราก่อน บัดนี้ทุเลาลงมาก จนเห็นเป็นรอยแดงจางๆ ด้วยได้ยาชั้นดีที่ผู้เป็นนายทาให้อย่างใส่ใจ แลมิยอมให้ตนทำการ ทำงานกระไรทั้งสิ้น

ในวันแรกๆ นั้น ตี๋มิสบายด้วยพิษบาดแผล จนทำให้คุณหลวงต้องเฝ้าเช็ดตัว ป้อนยาเสียทั้งคืน โดยมิยอมปล่อยให้ใครช่วย ทั้งผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ป้อนข้าว ป้อนน้ำ ทายา จนเมื่อบาดแผลฉกรรจ์นั้นดีขึ้นมาก จนตกสะเก็ด แต่เต้ก็ยังมิยอมให้ตี๋ลุกจากเตียง

แม้ในช่วงกลางวันที่เจ้าตัวต้องเข้ากรม เต้นั้นฝากฝังไว้ตี๋กับนางมา บ่าวที่ตนขอมาจากเรือนเจ้าคุณพ่อ ช่วยดูแลเรื่องกับข้าว กับปลา ยูกยามิให้ขาด

นางมานั้นทราบความจากนายผลก็มิได้รังเกียจ หากยังช่วยดูแลตี๋ตามคำสั่งของคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์อย่างเคร่งครัด

“ รอจนกว่าแผลจักหายนั่นล่ะพ่อ ”

“ แผลบ่าวหายดีแล้วขอรับ..... โอ๊ย!!! ”

“ หากหายดีแล้วไยพ่อต้องร้องเสียงดังด้วยเล่า ”

“ บ่าวตกใจขอรับ อยู่ๆคุณเต้ก็เพิ่มแรงมือเยี่ยงนั้น ”

“ มิต้องเถียง พี่ว่ายังมิหายก็คือยังมิหาย ไยพ่อจักต้องเคืองพี่ด้วยเล่า พี่ห่วงพ่อมากมิรู้ดอกรึ แลพ่ออยากเห็นขาดใจเสียตรงนี้ ”

ตี๋พยามยามจักบอกว่าตนเองหายดีแล้ว หากมือที่กำลังทายาอยู่นั้นก็เพิ่มแรงกดเสียจนตนเองต้องหลุดร้องออกมา

เต้วางตลับยาลงข้างเตียงที่มีคนตัวเล็กนอนคว่ำหน้าอยู่ แลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย จนคนที่ได้ฟังนั้นรู้สึกผิดที่ทำให้อีกคนรู้สึกเยี่ยงนั้น

“ บ่าวขอโทษขอรับ บ่าวเพียงแค่มิอยากเอาเปรียบพี่ๆ เขา ”

ตี๋ว่าเสียงอ่อย ทำให้เต้ที่นึกอยากจักโกรธที่ตี๋มิคิดห่วงตนเองเช่นที่เขาเป็นห่วงอีกคนเสียมากมาย หากก็โกรธอีกคนไม่ลง

“ พ่อมิต้องกังวล พ่อหายดีเมื่อใด พี่มีการ แลงานให้พ่อช่วยอีกมากนัก แต่เพลานี้ พ่อควรจักพักผ่อนเสียมากๆ ”

เต้ว่า พลางหยิบตลับยาขึ้นมาทาต่อ ยานี้เป็นตำรับยาหลวง ให้ผลดีนักแล หากตัวยากที่ใช้เป็นส่วนประสมนั้นค่อนข้างหายาก จึงมีราคาหลายอัฐนัก แต่เขามิคิดจักเสียดาย หากยาตลับนี้ทำให้คนรักของเขาหายดีเช่นเดิม เขามิต้องการให้ผิวเนื้อเนียนบนหลังเล็กนี้จักต้องเป็นรอย แม้มันจักยากเต็มทีก็ตาม

“ พ่อง่วงแล้วรึไม่ ”

เต้เอ่ยถามหลังจากทายาเสร็จ แลนอนกอดคนตัวเล็กบนเตียงของตน ตั้งแต่ตี๋เจ็บหนัก เขาก็มิยินยอมให้อีกคนต้องทนนอนบนพื้นเรือนได้อีก

“ คุณเต้ต้องการกระไรรึขอรับ บ่าวจักออกไปหยิบให้ ”

“ สิ่งที่พี่ต้องการ พ่อมิจำเป็นต้องลุกไปหยิบดอก เพราะสิ่งนั้นอยู่ตรงหน้าพี่แล้ว ”

เต้ตอบตี๋ว่าตนมิได้ต้องการสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจาก คนที่อยู่ตรงหน้าตน ตาคมมองหน้าคนที่อยู่ให้อ้อมแขน แสงจากจันทร์ข้างขึ้นนั้นส่งให้ดวงหน้าของตี๋ตรึงตาคนมองยิ่งนัก

“ หากพี่ขอสิ่งที่พี่ต้องการ พ่อจักให้พี่ได้รึไม่ ”

แววตาแวววาวที่ตี๋ได้สบผ่านแสงจันทร์นั้น สะท้อนความวาบหวาม ส่งให้ร่างกายร้อนวูบอย่างมิรู้สาเหตุ ใบหน้าร้อนแดงเรื่ออย่างมิตั้งใจ

“ เยี่ยงไรเล่าพ่อ หากพี่ขอ พ่อจักให้พี่รึไม่ ”

เต้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง แลแนบริมฝีปากบนดวงตากลมโตที่แสนซื่อ ตี๋นั้นแม้นจักมิเคยกับเรื่องที่คุณเต้ต้องการจักสื่อ หากก็มิใช่ว่าจักมิรู้ความนัยที่ซ่อนมา

ใบหน้าน้อยเอียงหลบอย่างเขินอาย ส่งให้เต้พึงใจ สิ่งที่เขาถามไปนั้น เขามิได้ต้องการคำตอบแต่อย่างไร เขาพอใจที่จักได้นอนกอดคนตัวเล็กเช่นนี้เรื่อยไป โดยมิต้องการให้มีกระไรลึกซึ้งเกินไปกว่านี้ หากน้ำคำที่ได้ยินจากตี๋ทำให้เขาต้องเอ่ยถามซ้ำอีกครา

“ หากคุณเต้ต้องการ บ่าวก็มิขัดขอรับ ”

“ พ่อว่ากระไรนะ พี่ได้ยินมิถนัด ”

แม้จักได้ยิน แต่เต้ก็อยากจักฟังซ้ำว่าตนมิได้ฟังผิด แลดวงหน้าที่แดงเรื่อลามไปทั้งตัวของคนในอ้อมกอดก็ทำให้เขากระจ่างใจได้มิรอให้อีกฝ่ายเอ่ยซ้ำแต่อย่างไร

“ พ่อแน่ใจแล้วรึ ”

“ หากเป็นคุณเต้ บ่าวก็มิมีสิ่งใดให้กลัวขอรับ ”

ชัดยิ่งกว่าชัด แม้เสียงที่ตี๋ตอบนั้นมิได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ แต่เต้นั้นได้ยินเสียเต็มดวงใจ เขามิเคยคิดหักหาญน้ำใจของคนรัก เขาอยากรอให้ตี๋พร้อมที่จักให้เขาอย่างเต็มใจ

ม่านพัดพลิ้วตามแรงลม เสียงเรไรเร่าร้องส่งสาร แสงจันทร์ส่องผ่านช่องหน้าต่าง ร่างของใครสักคนค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าหาอีกคนอย่างช้าๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ สายลม แลเสียงจิ้งหรีด เรไร เป็นพยานในค่ำคืนแสนหวานอันยาวไกลคืนนี้




******************************************




สวัสดีขอรับ หาย(หัว)ไปนาน ข้าเจ้ากลับมาแล้วขอรับ

ขอจบตอนที่ฉากเข้าพระ เข้านายของคุณหลวง กับบ่าวน้อยของคุณหลวง

ให้แสงจันทร์ สายลม จิ้งหรีด เรไร เป็นคนบรรยายต่อขอรับ ข้าเจ้ามิอาจบรรยายได้ดีนักขอรับ

ในตอนนี้มิมีเชิงอรรถแทรกขอรับ ด้วยมิมีคำที่ต้องขยายความเพิ่มนั่นเอง

แต่หากมีคำใดที่ท่านอ่านแล้วมิเข้าใจ สอบถามได้เลยขอรับ

ข้าเจ้าขอบคุณทุกการติดตาม ทุกความคิดเห็น ทุกความรู้สึก

แลข้าเจ้าขอเอ่ยประโยคเดิมๆ เก่าๆ

รบกวนติดตามตอนต่อไปด้วยนะขอรับ





ด้วยใจภักดิ์





MARINER_IX



…..‘ เหตุใดพ่อจึงมินอนเคียงหมอนกับพี่เล่า ’…..
…..‘ กระผมเป็นเพียงบ่าวเท่านั้นขอรับ’…..

…..
……..
………..
………….
……………

…..‘ ลูกยังมิอยากมีคู่หมายขอรับ ’…..
…..‘ แต่ลูกถึงวัยที่ควรจะมีคู่ครองแล้ว ’.....

…..
……..
………..
………….
……………

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

 ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว : ขอบคุณขอรับ

+เป็ดจ้า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

เหมือนจะหวาน ..แต่กลิ่นมาม่าก็โชยมาเนืองๆ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

 Billie : ขอบคุณขอรับ

 ไม่ดราม่าเท่าไหร่(มั้ง)ขอรับ พอน้ำตาซึมๆเองขอรับ

+เป็ดจ้า

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนที่ 7 (7/1)

...........จำต้องยอม...........


   แสงทองสาดส่อง ไก่โต้งตัวโตส่งเสียงขัน นกน้อยโผบินออกจากรังนอน น้ำค้างบนยอดหญ้า ค่อยๆ ระเหยไป เมื่อเพลาเช้ามาเยือนอีกครา

   ทุกชีวิตยังคงดำเนินไปตามหน้าที่ของตน มิได้ว่างเว้น ใครมีการใครก็รับผิดชอบการนั้นเสียให้แล้ว หากแต่มีบางคนที่มิยอมจักอยู่นิ่ง ทั้งที่โดนห้ามปราม

   วันนี้ตี๋มิได้ตามคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์เข้ากรม เนื่องว่าคุณหลวงนั้นต้องติดตามเจ้ากรมไปตรวจรักษาที่นอกเมือง แลไม่อยากให้คนรักของตนต้องเหนื่อยไปด้วย คุณหลวงจึงให้ตี๋อยู่เสียที่เรือน แลกำชับให้บ่าวที่เหลือดูแลเป็นอย่างดี

   “ ไอ้ตี๋ ข้าบอกว่า มิให้เอ็งทำ นี่เอ็งหูหนักนักเชียว พูดกระไรก็มิฟัง ”

   นายสุกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ด้วยตน รวมถึง นายผล นางมา พยายามจักห้ามมิให้ตี๋มาช่วยงานพวกตน แต่มิเคยสำเร็จ

   “ โถ่ พี่สุก ฉันก็เป็นบ่าวเช่นเดียวกับพี่ๆ เหตุใดจักทำงานกระไรมิได้เล่า ”

   “ แต่เอ็งเป็นเมียคุณเต้ท่าน ท่านสั่งมิให้เอ็งทำมิใช่รึ ”

   “ พี่มิได้รังเกียจฉันใช่ไหม ”

   ตี๋ว่าเสียงแผ่ว ด้วยเรื่องที่ตนเป็นอยู่นั้น มิมีใครรู้ นอกจากคนที่เรือนริมน้ำ ที่รู้ว่าตนแลคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์นั้นมีความสัมพันธ์เช่นไร

   “ ไอ้ตี๋ หากข้ารังเกียจเอ็ง ข้าเอาเรื่องเอ็งไปโพนทะนาถึงไหนๆ แล้ว มิต้องมาคอยระแวด ระวังแบบนี้ดอก คุณเต้ท่านดีต่อข้ามาก แลไอ้ผล กับนางมาก็เช่นกัน มิมีใครรังเกียจเอ็งดอก หากรังเกียจเอ็งจริง ข้ามิปล่อยให้เอ็งกับคุณเต้ทำเรื่องบัดสีเช่นที่คนอื่นเขาว่ากันดอก ”

   นายสุกบอกคนที่ตนรักเหมือนน้องชาย ซึ่งที่ตนว่ามานั้น ไม่ได้ผิดไปจากที่คิดแม้แต่น้อย เขา นายผล นางมา หากว่ามิได้รักตี๋เช่นน้องชาย แลเคารพคุณเต้ยิ่งนักแล้ว เขาคงมิปล่อยให้ทั้งคู่ทำเรื่องบัดสีเยี่ยงนี้ แต่หากสิ่งที่คุณเต้กระทำให้พวกตนเห็นแก่ตา รู้ด้วยใจแล้ว สิ่งที่คุณเต้กับตี๋เป็นนั้น พวกตนยินดีที่จักช่วยอย่างเต็มกำลัง

   “ ตี๋ไหนๆ ก็ไหนแล้ว เอ็งพอจักบอกข้าได้บ้างรึไม่ว่า เอ็งกับคุณเต้รักกันแล้วเป็นเยี่ยงไรบ้าง ”

   “ พี่สุก ถามกระไรเยี่ยงนี้เล่า บัดสีนัก ”

   ตี๋ว่า ด้วยน้ำเสียงขัดเขิน พลางรู้สึกถึงเลือดในร่างนั้นไหลพลุ่งพล่านขึ้นมากะทันหัน ใจก็อดประหวัดไปนึกถึงค่ำคืนนั้นเสียมิได้



************************************************************



   ‘ หากเป็นคุณเต้ บ่าวก็มิขัดขอรับ ’

   ตี๋จำคำของตนได้แม่นยิ่งนัก หากว่าหลังจากนั้น ตนก็คล้ายจักไม่มีสติขึ้นมาครามครัน ด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง

   หากมารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อเพลาเช้ามาเยือน จำได้ว่า ตอนนั้นคุณเต้กำลังป้อนยาน้ำรสขมปร่าให้ตนเองอยู่ หากว่าวิธีป้อนยาของคุณเต้นั้น นึกถึงคราใด ก็ให้ขัดเขินยิ่งนัก

   เต้ยกถ้วยยาขึ้นเป่าให้คลายความร้อน คนตัวเล็กที่เหมือนจักหายไข้ดีแล้ว กลับป่วยขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อผ่านค่ำคืนอันแสนหวานของเขาทั้งคู่ เมื่อยาอุ่นกำลังดี เต้จึงยกถ้วยยาขึ้นจรดริมฝีปาก เขาดื่มยาในถ้วยเสียเต็มอึก ก่อนจักประคองคนตัวเล็กที่ยังนอนไม่ได้สติขึ้น

   น้ำยาอุ่นกำลังดีส่งผ่านจากริมฝีปากของคนตัวโต สู่ปากบางของคนตัวเล็กที่ยังหลับมิได้สติ หากว่ายาในถ้วยนั้นยังมิหมด เต้จึงทำเช่นเดิมอีกครา และอีกครา จนยาอึกสุดท้ายในถ้วยหมดลง หากว่าเต้นั้นก็ยังมิยอมจักละริมฝีปากออกจากปากเล็กของอีกคน

   ตี๋นั้นเคลิ้มหลับไปด้วยความอ่อนเพลียที่ถูกเต้รังแกด้วยความวาบหวาม แลพิษไข้ที่กลับมาเยือนอีกครา รู้สึกตัวตื่นเมื่อลมหายใจของตนคล้ายจักถูกแย่งชิง มือเล็กจึงยกขึ้นปัดไป่ สะเปะสะปะ ทั้งที่ยังไม่ตื่นดีนัก

   เต้รวมมือของน้องน้อย ที่พยายามจักปัดใบหน้าของตน ก่อนจักละใบหน้าตนจากริมฝีปากของน้อง มาพรมจูบนิ้วมือเล็กๆ นั้นแทน

   “ คุณเต้ ทำกระไรรึขอรับ ”

   ตี๋ถามขึ้นน้ำเสียงงัวเงีย เนื่องด้วยเพิ่งรู้สึกตัว แลยังรู้สึกมิใคร่สบายตัวนัก

   “ พ่อก็เห็นมิใช่รึ เหตุใดจึงถามพี่อีกเล่า รึจักต้องให้พี่เล่าเสียให้กระจ่างอีกครา แต่พี่นั้นเกรงว่าพ่อจักขัดเขินเสียกว่าเก่า ”

   เต้ว่า พลางส่งสายตาพราวระยับกลับไป ส่วนตี๋ที่ได้ฟังคำนั้นก็ขัดเขินเช่นคำกล่าวอ้าง หากจักขืนตัวออก แต่อีกคนก็มิยินยอม จงทำได้เพียงซุกหน้าแดงๆ ด้วยความขัดเขินกับแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย

   “ คุณเต้ กล่าวกระไร บัดสีนัก ”

   “ บัดสีเยี่ยงไรกัน ผัวเมียจักแสดงความรักกัน เช่นนี้ก็บัดสีรึ ”

   “ คุณเต้ ”

   ตี๋ว่าด้วยเสียงอ่อน ด้วยมิรู้จักทำเช่นไรดี คุณเต้ก็ช่างหน้าทนนัก หากมิได้พูดเปล่า มือนั้นยังรังแกร่างกายของตนให้รู้สึกวาบหวามไปด้วย

   “ เหตุใดคุณเต้จักต้องป้อนยาบ่าวเยี่ยงนี้ด้วยเล่าขอรับ ”

   “ เยี่ยงใดกันที่พ่อว่า.....อ้อ ”

   เต้ยังมิวายหยอกล้อกับตี๋ ยิ่งเห็นใบหน้าเล็กๆ นั้นแดงระเรื่องด้วยความขัดเขิน เขาก็ยิ่งอยากจักแกล้งเสียอีกครา

   “ พ่อจักว่าพี่ ที่พี่ป้อนยาเจ้าด้วยปากกระนั้นรึ แล้วพ่อจักให้พี่ป้อนเจ้าเยี่ยงไรได้เล่า ป้อนด้วยช้อน พ่อก็มิรู้สึกตัว แลยานั้นหกเสียหมด ต้องลำบากนางมาไปเคี่ยวให้อีก ”

   “ แล้วเหตุใดคุณเต้มิปลุกบ่าวเล่าขอรับ ”

   “ ปลุกพ่อรึ พี่มิเห็นเหตุอันใดต้องปลุกพ่อ พ่อมิสบาย ไยต้องปลุกด้วยเล่า ป้อนแบบนี้นั้นดีเสียอีก ยาที่ว่าขมนัก แต่พี่นั้นเห็นว่ามันช่างหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งเสียอีก ”

   สิ้นคำของเต้ หน้าเล็กๆที่แดงระเรื่ออยู่แล้ว ยิ่งซับสีเลือดมากขึ้นมากเดิม เต้เห็นแล้วก็เกรงว่าเจ้าตัวเล็กนั้นจักเลือดออกจากผิวเสียก่อน จึงจำต้องอดใจไว้เพียงเท่านี้

   “ เมื่อคราพ่อเจ็บหนัก พี่ก็ป้อนยาเช่นนี้ทุกมื้อ มิเห็นพ่อจักขัดเขินพี่เลย ”

   แต่แล้วเต้ก็อดที่จักหยอกน้องเสียอีกครา ท้ายแล้วคนช่างหยอกก็ได้ค้อนวงโตกลับมา หากว่าเจ้าตัวกลับชอบใจเสียอีกที่เห็นน้องทำเช่นนั้น

   “ บ่าวมิคุยกับคุณเต้แล้ว ”

   ตี๋ที่มิอาจจักสู้ชนะคนช่างหยอกได้ จึงสะบัดหน้าหนี แลดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นคลุมหน้า เต้เมื่อเห็นว่าน้องขัดเขินเกินทน จนต้องหนีหน้า จึงเลิกที่หยอกน้อง แลค่อยๆ ประคองน้องนอนบนเตียงอย่างทะนุถนอม แลดึงผืนผ้าขึ้นห่มให้อย่างดี



************************************************************


   “ เอ็งมิต้องทำหน้าตาเยี่ยงนี้ได้รึไม่เล่า ข้าเห็นแล้วชวนให้ใจข้าเตลิด ”

   นายสุกว่าเมื่อเห็นว่าตี๋ที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของตน ทำหน้าแดงระเรื่อขึ้น เขาก็เดาได้มิยากดอกว่า เรื่องกระไรกันที่ทำให้น้องชายตนหน้าแดงขึ้นได้ เรื่องนั้นก็คงมิแพ้เรื่องของคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ดอกกระมัง

   “พี่สุก อย่าหยอกฉันเลย แค่นี้ฉันก็มิรู้ว่าจักทำเยี่ยงไรแล้ว ”

   ตี๋ว่าพลางส่งสายตากึ่งขอร้อง แลให้เห็นใจตน

   “ เออ ข้าก็หยอกเล่นดอก เห็นเอ็งมีความสุขดี ข้าก็ดีใจด้วย แลวันนี้คุณเต้ท่านจักกลับเรือนเพลาใดกัน ออกนอกพระนครเยี่ยงนี้ ”

   “ ฉันก็มิรู้ดอก คุณเต้ท่านมิได้แจ้งไว้ เห็นทีว่าวันนี้คงกลับค่ำเป็นแน่ ”

   เสียงพุดคุยของบ่าวเรือนริมน้ำ ยังคงดังอยู่เป็นระยะ หากก็ไม่ได้ดังเกินกว่าพวกสอดรู้จักได้ยิน แลเมื่อนายผล นางมากลับมาเสียงหยอกเสียงอย่างเป็นกันเองก็มากขึ้น ยังผลให้พวกสอดรู้อิจฉาอยู่มาก หากก็มิอาจทำการใดได้ ด้วยบ่าวทั้งสี่ของเรือนริมน้ำนั้น เป็นของคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ แลคุณหลวงมิยินยอมให้ผู้ใดมาใช้ ไหว้วานบ่าวเรือนตน จึงทำให้บ่าวไพร่ขี้อิจฉาทั้งมิชอบใจนัก




************************************************************




   เย็นค่ำ เรือของพระยาทิพยโอสถเข้าเทียบท่า คุณหญิงพิม คุณหญิงแย้ม พร้อมหน้าด้วยเมียเล็กๆ ของท่านพระยา ออกมาต้อนรับผู้เป็นสามีที่ท่าเรือเช่นเดิม

   วันนี้พระยาทิพยโอสถ แลคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ นั้นต้องติดตามท่านเจ้ากรมออกไปดูแลชาวเมืองนอกพระนครด้วยกัน จึงกลับเรือนมาพร้อมกัน

   “ พ่อเต้ วันนี้ขึ้นเรือนใหญ่รับมื้อค่ำด้วยกัน แม่มีเรื่องอยากจักสนทนาด้วย ”

   “ ขอรับคุณแม่เล็ก ”

   คุณหญิงแย้มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามี แลบุตรชายดื่มน้ำดับกระหาย แลเช็ดหน้า เช็ดตาแล้ว

   “ นายสุก เอ็งเอาหีบยากลับเรือนไปก่อน ข้าจักไปเรือนเจ้าคุณพ่อ ”

   “ ขอรับคุณเต้ ”

   เต้หันมาสั่งความนายสุก ให้รับหีบยาไปเก็บที่เรือน แลตนเองนั้นยังมิได้กลับเรือน จักต้องขึ้นเรือนใหญ่ตามความประสงค์ของผู้เป็นมารดา ซึ่งนายสุกนั้นรับคำ ด้วยรู้ว่าตนต้องทำการใดต่อ โดยมิต้องรอให้คุณเต้สั่งความให้มากมาย

   เมื่อเต้เห็นว่านายสุกรับคำ แลคล้ายจักเข้าใจความที่ต้องการ ก็เบาใจลงมาก ด้วยตนมิอาจจักพูดกระไรได้มาก เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณหญิงแย้ม

   เมื่ออาหารผ่านไปด้วยเสียงสนทนาเบาๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นคุณหญิงแย้มที่ถามไถ่บุตรชายเสียมากกว่า ส่วนคุณหลวงหนุ่มก็ตอบเท่าที่จำเป็น

   “ คุณพี่เจ้าคะ อิฉันเห็นว่าปีนี้พ่อเต้ก็ย่าง 20 แล้ว แลยศถาบรรดาศักดิ์รึก็มิใช่ด้อย อิฉันเห็นว่าเพลานี้เหมาะนักที่พ่อเต้สมควรจักมีคู่หมาย คุณพี่คิดเห็นประการใดเจ้าคะ ”

   คุณหญิงแย้มเอ่ยขึ้นหลังผ่านมื้ออาหารไป แลบรรดาเมียเล็กๆ ของท่านพระยากลับไปยังที่ของคนแล้ว บนเรือนใหญ่เหลือเพียงท่านพระยา คุณหญิงพิม คุณหลวง ตัวคุณหญิงแย้มเอง แลบ่าวไพร่ที่นั่งรอเรียกใช้อยู่ห่างอีกไม่กี่คน

   “ ลูกมิเห็นด้วยขอรับ ”

   “ กระไรกันพ่อเต้ แม่มิได้ถามลูก ขัดผู้ใหญ่เยี่ยงนี้มิเหมาะนะพ่อ ”

   เต้ขัดขึ้นเมื่อได้ฟังความประสงค์ของคุณหญิงแย้ม ที่เรียกตนให้ขึ้นมารับมื้อค่ำบนเรือนใหญ่ หากก็โดนตำหนิ เมื่อตนขัดขึ้น เต้จึงทำได้เพียงนั่งนิ่งๆ เพื่อระงับอารมณ์ของตน โดยคุณหญิงพิมนั้นแตะมือเบาๆ เพื่อให้ตนเย็นใจลง

   “ พ่อก็เห็นด้วยกับแม่แย้มอยู่หลายส่วน ลูกเองก็ถึงวัยที่จักออกเรือนได้ มิอายใคร ลูกมิเห็นเช่นนั้นรึ ”

   “ ลูกยังมิได้บวชเรียน แลลูกยังต้องการจักศึกษาด้านการแพทย์ให้มากกว่านี้ขอรับ หากให้ลูกมีคู่หมายเสียตอนนี้ ลูกเกรงว่าจักมิอาจดูแลคู่หมายของตนได้ดีนักขอรับ ”

   เต้บอกถึงเหตุผลที่ตนยังมิต้องการจักมีคู่หมาย ซึ่งเหตุผลที่ว่านั้นเป็นเพียงบางส่วน หากในความจริงแล้ว เขามิต้องการจักมีคู่หมายเลยเสียมากกว่า ด้วยเขามีคนที่เขาสมัครใจรักไปแล้ว

   “ เรื่องบวชเรียนนั้น พ่อก็พอจักเข้าใจ แลอีกไม่กี่เพลาลูกก็ครบเกณฑ์ หากเรื่องศึกษาตำรานั้น พ่อว่าก็หมั้นหมายไว้ก่อน แลค่อยศึกษานิสัยกันไป แม่พิมเห็นว่ากระไรเล่า ”

   “ อิฉันว่า ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน(1) จักมิดีกว่ารึเจ้าคะ ”

   “ คุณพี่พิม หากว่าเป็นเช่นคุณพี่ว่า แม่หญิงดีพร้อม มิถูกผู้อื่นหมั้นหมายไปหมดแล้วหรือเจ้าคะ ”

   “ มิกระนั้นดอกแม่แย้ม ลูกยังมิพร้อม เหตุใดจักต้องบังคับกันเล่า ”

   ท่านเจ้าคุณทิพยโอสถหันมาถามความกับคุณหญิงพิม หากสิ่งที่คุณหญิงพิมว่านั้น มิใคร่จักถูกใจคุณหญิงแย้มนัก

   “ มิได้ดอกเจ้าค่ะ อิฉันแค่นำความมาปรึกษา หากคุณพี่มิเห็นด้วยก็มิเป็นไร อิฉันถูกใจแม่พริ้ง ธิดาของท่านพระยาไชยปราการนัก แม่พริ้งเองรึก็มีบุตรขุนนางอีกเพียรมาเกี้ยวพาราสี หากมิรีบทาบทามไว้ก่อน คงมิทันการ ”

   คุณหญิงแย้มสรุปความเสียเอง ทั้งที่แต่แรกนั้นต้องการถามความเห็นของผู้เป็นสามี หากคุณหญิงพิมซึ่งเป็นภรรยาหลวงมิเห็นด้วย แลท่านพระยาเองนั้นก็เกรงใจคุณหญิงพิมมิน้อย คุณหญิงแย้มเห็นว่าการนั้นจักมิได้ตามต้องการ จึงถือโอกาสรวบรัดตัดตอนเสียในคราเดียว

   “ ลูกยังมิอยากมีคู่หมายขอรับ ”

   “ แต่ลูกถึงวัยที่ควรจะมีคู่ครองแล้ว ”

   “ แต่ลูกมิต้องการ.... ”

   “ เอาเถิด พ่อเต้ แม่แย้ม จักเถียงกันไปให้อายบ่าวไพร่มัน เอาเป็นว่า เรื่องคู่หมั้น คู่หมายนั้น รอให้พ่อเต้บวชเรียนเสียก่อนจักดีกว่า ถึงเพลานั้น หากแม่พริ้งยังผูกใจสมัคร ก็ค่อยว่ากันที่ครา รึคุณพี่คิดเห็นประการใดเจ้าคะ ”

   “ แม่พริ้งจักต้องมีใจมั่นในพ่อเต้อยู่แล้วเจ้าค่ะ เรือนรึก็มิได้ห่างกันมาก แลพ่อเต้กับแม่พริ้งเองก็รู้จักกันมาแต่เล็กแต่น้อย ”

   คุณหญิงพิมเห็นว่า เต้นั้นคงมิยอมจักหมั้นหมายเพลานี้เป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ คุณหญิงแย้มก็คงมิยอมเช่นกัน ทางเดียวที่พอจักแก้ไขความเฉพาะหน้านี้ได้ ก็คงจักมีแค่ประวิงเพลาออกไปอีกสักพัก

   “ เอาเช่นที่แม่พิมว่าเห็นจักดี รอให้พ่อเต้บวชเรียนเสียก่อน อีกไม่กี่เพลาพ่อเต้ก็จักครบเกณฑ์แล้ว ”

   “ เช่นนั้นอิฉันจักไปทาบทามแม่พริ้งไว้เสียแต่เนิ่นๆ หากช้าประเดี๋ยวท่านเจ้าคุณไชยปราการจักยกให้ผู้อื่นไปเสีย ”

   เมื่อเห็นว่าความเป็นไปตามที่ต้องหมายใจ คุณหญิงแย้มจึงขอลากลับเรือนตน ด้วยหมายมาดเรื่องนี้ไว้ว่าจักต้องลุล่วงด้วยดี

   เมื่อตัวต้นเรื่องกลับเรือน เต้จึงขอลากลับเรือนตนเช่นกัน เขามิรู้ว่าคนที่เรือนนั้นยังรอเขามารับมื้อเย็นด้วยรึไม่ แม้เขาจักสั่งความไปกับนายสุกแล้วก็ตามที หากว่าตี๋น้อยนั้นช่างดื้อเสียนี่กระไร



************************************************************

ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
(ต่อจากด้านบน 7/2)


   ความเรื่องคุณหลวงหนุ่มจักหมั้นหมายลามไวเสียยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง(2) ไม่รู้ว่าเริ่มต้นที่ผู้ใด หากความที่ว่าต่อๆ กันไปภายในเรือนท่านพระยานั้น ล้วนแต่ถูกปรุงแต่งให้เกินจริงยิ่งนัก

   เต้นำความมิสบายใจเรื่องนี้มาปรึกษาเกลอรักอย่างคิมม่อนในเพลาต่อมา หากคำที่ได้ฟังนั้น แม้จักมิถูกหู แลถูกใจ แต่เขาก็ปฏิเสธกับความจริงที่คิมม่อนว่ามิได้

   “ ฉันเห็นด้วยนะ เกลอควรจักมีคู่หมั้นหมายได้แล้ว ”

   “ คิมม่อน ฉันนำความมาปรึกษา มิใช่ให้พ่อมายุแยงกัน ”

   “ ฉันมิได้ยุแยง หากฉันมองที่ความเป็นจริง เจ้าลองตรองดูเถิดว่า มันจริงเช่นที่ฉันว่ารึไม่ ”

   “ เยี่ยงใดกัน ”

   “ เต้ หากว่าเจ้ายอมหมั้นหมายกับแม่หญิงที่คุณหญิงแม่เลือกมาให้ คนที่จักปลอดภัยก็เป็นคนรักของเจ้าเอง หากเจ้ามีคู่หมายหมั้นไว้แล้ว คุณหญิงแม่ก็คงมิใคร่สนใจคนรักของเจ้าเยี่ยงกาลก่อน ด้วยมิต้องคอยจับผิดว่าเจ้ายังไปอุ้มชูใครขึ้นมา ”

   เต้คิดตามสิ่งที่คิมม่อนว่า หากเมื่อตรองดูแล้วก็เห็นเป็นจริงอยู่มาก หากตนมีคู่หมั้นหมายแล้ว คุณหญิงแม่คงมิเข้ามาสอดส่องเรื่องในเรือนริมน้ำให้ต้องระวังกันทุกฝีก้าว

   “ เห็นจักจริงเช่นเจ้าว่า ขอบใจมากเพื่อนเกลอ ”

   “ มิเป็นไรดอก ฉันเองนั้นก็รอดตัวไปที่คุณพ่อมิใช่ชาวสยาม แลคุณแม่นั้นก็มิคิดคลุมถุงชน(3) กัน ”

   คิมม่อนว่าขึ้นอย่างขำขัน ด้วยตนเองนั้นมีบิดาเป็นชาวต่างชาติ ที่มิได้กะเกณฑ์เรื่องคู่ครองของตนนัก แลมารดาก็มิได้ก้าวก่ายเรื่องคู่ครองเช่นกัน

   “ เช่นนั้นฉันต้องขอลากลับเสีย รบกวนมาหลายเพลานัก ”

   “ เกรงใจฉัน รึว่าห่วงคนที่เรือนกันแน่เล่า ”

   คิมม่อนอดที่จักหยอกเพื่อนอีกครั้งก่อนที่จักแยกย้ายกันกลับเรือน เต้นั้นหวั่นใจกับเรื่องนี้อยู่มิน้อย ความที่เขาจักหมั้นนั้นรู้กันทั่วเรือน

   เขามิจะได้กังวลกับความนั้นเลย หากความนั้นมิทำให้ตี๋น้อยของเขาเศร้าลง แม้ว่าตี๋จักมิพูด รึถามความกระไร หากแววตาที่เศร้าหมอง มิสดใสเช่นเดิม ก็ทำให้เขาประจักษ์ใจได้มิยาก




************************************************************




   ยามค่ำมาเยือนอีกครา ร่างของคนสองคนโอบกอดด้วยใจเสน่หา เช่นคืนก่อน หากสิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งหลังผ่านค่ำคืนอันแสนหวานคือบทสนทนาเดิมๆ ซ้ำๆ

   “ เหตุใดพ่อจึงมินอนเคียงหมอนกับพี่เล่า ”

   “ บ่าวเป็นเพียง บ่าวเท่านั้นขอรับ ”

   “ พ่อมิเคยเป็นบ่าวในสายตาพี่ ในสายตาพี่ พ่อคือเมียรัก ที่พี่รัก แลมิอาจจักมีใครมาเทียบเคียง ”

   “ แต่อีกมินาน คุณเต้ก็จักต้องหมั้นหมาย เมื่อถึงเพลานั้น บ่าวก็คงจักต้องเจียมตัวให้มากกว่าเดิม ”

   “ คนดี ฟังพี่นะ พี่มิได้ต้องการจักหมั้นหมายเช่นที่บ่าวไพร่เขาว่ากัน หากพี่มิอาจขัดคุณหญิงแม่ได้ แต่เหตุผลที่สำคัญนั้น เมื่อพี่หมั้นหมายสมใจคุณหญิงแม่ท่าน ท่านคงจักมิมาหาความรังแกทูนหัวของพี่อีก พี่จำต้องยอมทำเพื่อพ่อถึงเพียงนี้ ไยพ่อมิเชื่อใจพี่เล่า ”

   “ บ่าวขอโทษขอรับ แต่บ่าวนั้นก็อดน้อยใจในวาสนาของตนมิได้ ”

   “ คนดีจักน้อยใจไปไย มิว่าพี่จักต้องหมั้นหมาย หรือความร้ายจนต้องออกเรือน แต่ใจพี่นั้น พี่ให้เจ้าเพียงผู้เดียว ”

   เต้พยายามจักบอกเล่าความจำเป็นที่ตนจำต้องทำตามสิ่งที่ผู้เป็นมารดาต้องการ เขาคิดไว้แล้วว่าตี๋นั้นต้องน้อยใจ หากก็มิยอมจักพูดบอก

   “ พ่อมิเชื่อใจพี่กระนั้นรึ ”

   “ มิได้ขอรับ บ่าวเชื่อคุณเต้ขอรับ ”

   “ เช่นนั้น พ่อจักเรียกชื่อพี่สักหวานๆ สักครา แลแทนตัวเองว่าน้องได้รึไม่เล่า ”

   “ แต่มันมิควรดอกขอรับ ”

   “ การใดเล่าที่มิควร พ่อเป็นเมีย เรียกพี่ว่าพี่นั้นก็ถูกต้องยิ่งนัก มีกระไรมิควรกัน ”

   “ แต่บ่าว...... อื้อ ”

   “ เช่นนั้นก็เอาเถิด หากพ่อมิยอมเรียกพี่ว่าพี่ พี่ลงโทษพ่อเยี่ยงนี้แล ”

   วิธีลงโทษที่คุณหลวงหนุ่มว่านั้น ช่างเป็นการลงโทษที่เป็นประโยชน์แก่ตนเสียยิ่งนัก เมื่อวิธีของคุณหลวงนั้นคือ แนบริมผีมือของตนกับคนช่างเถียงตรงหน้า

   “ ว่าอย่างไรเล่า จักยอมเรียกพี่ได้แล้วรึไม่ ”

   “ ขอรับคุณ อื้อ ”

   “ ว่ากระไรคนดี ”

   ยังมิทันจักเอ่ยจบ ริมฝีมากของคนตัวโตก็ประกบลงมาเสียก่อน คำเรียกขานด้วยความเคยชินจึงต้องกลืนลงคอไป

   “ ขอรับพี่เต้ ”

   “ กระไรนะ พี่ได้ยินมิถนัด ”
   
   “ พี่เต้ ”

   เมื่อตี๋ยอมเรียกตนว่าพี่ หัวใจในอกนั้นช่างพองโตเสียจนคับแน่น ความรู้สึกเต็มตื้น ด้วยความที่พยายามมาหลายครา แต่ก็มิเคยสำเร็จ หากรู้ว่าวิธีนี้ได้ผล เขานั้นคงใช้ไปเสียนานแล้ว



*********************************************



   เรือนพระยาทิพยโอสถมีงานบุญครั้งใหญ่ เมื่อบุตรชายคนโต คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ ถึงเกณฑ์ที่จักเข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์ งานฉลองจัดขึ้นที่เรือนใหญ่ บ่าวไพร่จัดเตรียมงานกันเป็นระวิง

   คนที่แย้มยิ้ม ยินดีคงจักเป็นใครไปเสียไม่ได้ นอกเสียจาก บิดา มารดาของผู้ที่กำลังจักก้าวเข้าครองไตรจีวร เข้าสู่ร่มพระพุทธศาสนา

   กำหนดการบวชเรียนของคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ คือหนึ่งพรรษา แลผู้ที่คอยดูแลตลอดพรรษานั้นคือ บ่าวเรือนริมน้ำอย่างนายสุก

   เดิมทีนั้นคุณหลวงอยากจักให้คนรักของตนเป็นผู้รับงานดูแลพระใหม่เช่นตน แต่เมื่อได้ฟังคำของน้องน้อยเมื่อคราที่เขาขอนั้น เขาก็แจ้งใจ แลมิคิดบังคับน้อง

   “ มิใช่ว่าน้องมิอยากดูแลรับใช้คุณพี่นะขอรับ แต่เป็นเพราะว่า น้องมิอยากรบกวนสมาธิในการศึกษาพระธรรมของคุณพี่ ”

   “ น้องจักรบกวนพี่ได้เยี่ยงใดกัน พี่มิเห็นจักเป็นเช่นนั้นสักครา ”

   “ ให้พี่สุกเป็นโยมอุปัฏฐาก(4) จักดีกว่าขอรับ คนที่เรือนจักเอาไปพูดมิได้ว่า น้องไปรบกวนพระสงฆ์ ”

   “ เอาเถิด หากน้องพึงใจเช่นนี้พี่ก็มิขัด แลไปเยี่ยมเยือนพี่บ้าง ”

   “ ขอบพระคุณ คุณพี่มากขอรับที่เข้าใจ ”

   หากว่าอยู่กันเพียงสองคน คำเรียกหานั้นจักเป็นไปอย่างอ่อนหวานฉันท์คนรัก แต่เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางผู้คน สถานะของทั้งคู่ก็จักเป็นนาย บ่าวดังเดิม

   แม้ว่ามิชอบใจ แต่ก็มิอาจจักขัดต่อม่านประเพณีได้ สิ่งที่เขาทั้งคู่เป็นอยู่ นับเป็นเรื่องบัดสีของคนหมู่มาก การทำสิ่งใดจึงต้องพึงระวังเสียมากกว่าเดิม

   หลังจากพ้นพรรษา หลวงอภิบาลบริรักษ์จึงลาสิกขาบท กลับมาอยู่เรือน แลเข้ากรมเช่นเดิม หากสิ่งที่พยายามจักประวิงเวลาไว้เมื่อคราก่อนนั้น คล้ายจักใกล้เข้ามา

   เมื่อเย็นค่ำของวัน หลังจากที่ทุกคนรับมื้อเย็นบนเรือนใหญ่ คุณหญิงแย้มจริงแจ้งความว่าตนนั้นได้ทาบทาม สู่ขอแม่พริ้ง บุตรีท่านพระยาไชยปราการให้คุณหลวงผู้เป็นบุตรชาย

   แม้ว่าการกระทำนั้นจักดูข้ามหน้า ข้ามตาของท่านพระยา ผู้เป็นสามี แลคุณหญิงพิม ซึ่งเป็นภรรยาเอก แต่คุณหญิงแย้มก็มิใคร่ใส่ใจ

   มิเท่านั้น การนั้นยังความมิพอใจให้กับคุณหลวงอยู่มิน้อย หากก็มิสามารถผ่อนผันกระไรได้อีก เนื่องจากก่อนหน้านั้น ตนขอว่าจักบวชเรียนเสียก่อน ครานี้จึงมิอาจบิดพลิ้วได้

   “ แต่ลูกยังต้องการศึกษาความรู้ด้านการแพทย์เสียให้กระจ่าง เกรงว่าจักมิมีเพลา แลสามารถดูแลแม่พริ้งได้ดีนัก ”

   “ ก็มิเป็นไรดอก แม่สนทนากับท่านพระไชยปราการ แลคุณหญิงเพ็ญแล้ว ท่านมิขัดกระไร หากพ่อจักศึกษาเพิ่มเติม แม่พริ้งเองก็เองก็เห็นงามด้วย ”

   “ เอาเถิดพ่อเต้ เรื่องก็มีถึงขั้นนี้ แม่แย้มเองก็ตระเตรียมการไว้เสียมาก หากลูกมิยินยอม เห็นทีฝ่ายนั้นคงจักมาถอนหงอก(5)เรือนเราเสียกระมัง ”

   คุณหญิงพิมตัดสินความเมื่อเห็นว่าคุณหญิงแย้มตระเตรียมการเสียเสร็จสรรพ หากจักปฏิเสธไปก็คงจักมิงามนัก จักเสียผู้ใหญ่กันเสียหมด

   ท่านพระยาทิพยโอสถนั้นมิได้ร่วมออกความคิดเห็น เนื่องด้วยตนให้เรื่องการออกเรือนของบุตร ธิดา เป็นสิทธิ์ของผู้เป็นภรรยา

   งานหมั้นหมายของหลวงอภิบาลบริรักษ์จัดขึ้นอย่างสมฐานะของทั้งสองเรือน คุณหลวงนั้นแม้มิอยากจักเข้าพิธี แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ จำต้องฝืนใจตน แม้ว่าแม่พริ้งที่เป็นคู่หมาย จักเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม ด้วยรูปโฉม แลกิริยามารยาท แต่ตนนั้นก็มินึกอยากจักรักใคร่ฉันชู้สาว หากจักนึกรัก ก็คงเป็นได้เพียง น้องสาวเท่านั้น

   งานหมั้นหมายผ่านพ้นไปด้วยดี หากสิ่งที่ตามมานั้นคือ แม่พริ้งที่มักจักมาเยือนเรือนท่านพระยาอยู่บ่อยครั้ง ด้วยคุณหญิงแย้มนั้นชักชวน แลต้องการให้บุตรชายผูกใจรักหญิงสาวที่ตนเลือกให้

   ถึงจักมาเยือนที่เรือนบ่อยครั้ง แต่แม่พริ้งมิได้ไปเยือนเรือนริมน้ำของคู่หมั้นบ่อยนัก ด้วยติดที่ว่ามันจักมิงาม ด้วยตนเป็นหญิงจักเข้าหาอีกฝ่ายมากจนเกินงาม ก็มิควร เกรงจักเป็นขี้ปากผู้คนได้แม้ว่าใจหญิงนั้นอยากจักสานสัมพันธ์กับคู่หมั้นเสียให้มากกว่านี้

   “ คนดี น้องมิสบายตรงไหนรึไม่ พี่รุนแรงกับน้องเกินไปรึไม่ ”

   “ น้องมิเป็นใดขอรับ ”

   “ มิเป็นไรได้เยี่ยงไรกัน หากมิเป็นไร ไยน้องน้อยของพี่จึงมีสีหน้าคล้ายจักร้องไห้เยี่ยงนี้เล่า ”

   “ น้องมิเป็นไรจริงๆ ขอรับ คุณพี่อ่อนโอนกับน้องมาก มากเสียจนน้องกลัว ”

   “ ทูนหัวของพี่เกรงสิ่งใดกัน ”

   “ น้องกลัวสิ่งที่มีในเพลานี้จักกลายเป็นเพียงความฝัน ที่เมื่อลืมตาตื่น ทุกอย่างจักสลายหายไป น้องกลัวว่าเมื่อใดที่คุณพี่จักต้องออกเรือน ความอ่อนโอนที่คุณพี่มีให้น้อง จักต้องเป็นของผู้อื่น น้องรู้ว่าสิ่งที่น้องหวั่นนั้นมันมิควร น้องเป็นเพียงบ่าวในเรือน แต่น้องกับหวังสิ่งที่เกินตัว...... ”

   “ มิมีสิ่งใดที่พ่อหวังเกินตัวดอก ยอดรักของพี่ พี่ดีใจยิ่งนักที่ได้ฟังคำเจ้าเยี่ยงนี้ แลน้องของพี่มิต้องกังวลสิ่งใด พี่มิอาจจักขัดความต้องการของผู้ใหญ่ท่านได้ แต่สิ่งที่ทำได้นั้นคือ พี่รักพ่อ ยอดดวงใจของพี่ ”

   ทั้งคู่ยังคงนอนกอดกันท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง ตี๋นั้นหวั่นเกรงว่าสิ่งที่มีในตอนนั้นจักเป็นเพียงความฝัน เพราะคู่หมั้นหมายของคุณเต้นั้นช่างเหมาะสมกันอย่างที่ทุกคนว่า ตนนั้นเป็นเพียงแค่บ่าว ซ้ำยังเป็นชาย ไหนเลยจักมีสิ่งใดไปสู้แม่หญิงผู้เพียบพร้อม

   “ ทูนหัว พี่ขอให้น้องจำให้แม่นมั่น แม้ว่าพี่จักต้องออกเรือนไปกับผู้ใด แต่ใจของพี่นั้นอยู่กับน้องมิเสื่อมคลาย เมื่อพี่รัก พี่จักรักจนหมดใจ มิเหลือแบ่งให้ใครได้อีก ”

   “ แต่น้อง.... ”

   “ มิมีแต่ดอก ไม่ว่าเยี่ยงไร หรือจักเกิดกระไรขึ้นต่อจากเพลานี้ พี่ขอให้น้องมั่นในรักของพี่ แลพี่นั้นก็จักมั่นให้ตัวน้องเช่นกัน เราจักข้ามผ่านมันไปด้วยกัน ”

   คุณหลวงว่า พลางกระชับคนให้อ้อมแขนให้แน่นขึ้น ริมฝีปากแนบชิดหน้าผาก ดวงตา แก้มนวล แลสุดท้ายที่ปากบาง รวมกับต้องการปลอบประโลม ขับกล่อม ให้น้องน้อยฝันดี

   ตี๋พริ้มตารับสัมผัสจากคุณหลวงหนุ่ม ก่อนจักขยับตัวเข้าซุกซบอกอุ่นเช่นทุกคืน แม้ว่าจักมิได้นอนเคียงหมอน เช่นที่คุณหลวงออกปากถาม แต่วงแขนแข็งแรงนั้นกับเป็นหมอนใบนุ่มเสียแทน

   เต้มองคนเจียมตนที่ขยับกายเข้าหา แม้จักมิยอมนอนร่วมหมอนใบเดียวกัน เพราะน้องน้อยนั้นถือว่าตนต่ำศักดิ์ แลเจียมนื้อ เจียมตัว หากก็ซุกซบอยู่ในวงแขน นั้นก็เป็นสิ่งที่คุณหลวงพึงใจไม่แพ้กัน

   เต้แนบจุมพิตบนกลุ่มผมนุ่มของคนที่อิงแอบ กระชับวงแขนโอบกอด ดึงผ้าแพรผืนงามขึ้นคลุมกายตนแลน้องน้อย ก่อนจักปิดเปลือกตาเข้าสู่นิทราไปด้วยกัน




************************************************************




เชิงอรรถ

(1)   ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน (สํานวน , สุภาษิต) หมายถึงการจะทำใดให้ผู้อื่นนั้น ก็ต้องถามความต้องการของผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรง อย่าเอาความคิดของผู้ทำเป็นตัวตัดสินใจหลัก

(2)   ไฟลามทุ่ง (สำนวน) หมายถึง กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

(3)   คลุมถุงชน (สำนวน , คำนาม) หมายถึง ลักษณะการแต่งงานที่ผู้ใหญ่จัดการให้ทั้งสองฝ่าย โดยที่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงไม่ได้รู้จัก หรือคุ้นเคยกันมาก่อน

(4)   โยมอุปัฏฐาก (คำนาม) หมายถึง ผู้บำรุง , ผู้ดูแล , ผู้รับใช้ , (มักใช้สำหรับพระสงฆ์) เรียกเป็นสามัญว่า โยมอุปัฏฐาก ถ้าเป็นหญิงใช้ว่า อุปัฏฐายิกา (ในที่นี้ขอให้ความหมายตามความเข้าใจว่า เด็กวัด ผู้คอยรับใช้พระภิกษุ)

(5)   ถอนหงอก (คำกริยา , สำนวน ) หมายถึง ไม่นับถือความเป็นผู้ใหญ่ พูดว่าให้เสียผู้ใหญ่ เช่น การที่ผู้ใหญ่โดนเด็กหรือผู้น้อยว่ากล่าวทำให้เสียหาย ไม่มีความเคารพนับถือผู้ใหญ่




************************************************************


แนะนำตัวละครเพิ่มเติม

แม่พริ้ง บุตรีท่านพระยาไชยปราการ คู่หมั้นหมายของคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์



********************************************


สนทนาหลังฉาก


ทิวาสวัสดิ์ขอรับ กลับมาพบกันอีกครา กับฟิครายอาทิตย์ (คุณพี่ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้)

ต้องขออภัยในความล่าช้าด้วยขอรับ

รบกวนทุกท่านช่วยจับผิดด้วยนะขอรับ ข้าเจ้าพยายามตรวจทานแล้ว

แต่มิแน่ใจว่าจักมีคำผิดหลงเหลืออีกมากน้อย

หากพบเจอรบกวนกระซิบแจ้งข้าเจ้าด้วยขอรับ

ขอบพระคุณขอรับ

ขอบคุณทุกข้อความ ทุกความรู้สึกเช่นเคยขอรับ

พบกันใหม่ตอนหน้าขอรับ

รบกวนติดตามตอนต่อไปด้วยนะขอรับ



...........ด้วยใจภักดิ์..........

MARINER_IX

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด