(END)#ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (9/12/61) หน้า 3 รบกวนย้ายได้เลยจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (END)#ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (9/12/61) หน้า 3 รบกวนย้ายได้เลยจ้า  (อ่าน 10505 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

Billie : :L2: :pig4:  (ขอบคุณขอรับ)

snowboxs :
รอลุ้น แผนการณ์สองพี่น้อง
แล้วก็ลุ้นคุณพริ้งว่าจะทะกระไร
หลังจากที่เห็นตี๋ไปนอนบ้านริมน้ำกับหมอเต้

( ขอบคุณขอรับ คุณพริ้งเธอมีแผนการมากมาย ส่วนสองพี่น้องนั้น ก็แอบเจ้าเล่ห์)


ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนที่ 15
.
.
.
ดวงตาที่เฝ้ามอง

.
.
.
.
.
เมื่อสองพี่น้องวางแผนร่วมกัน ทั้งคิมม่อน และบาส ก็เริ่มดำเนินตามแผนการที่ตนเองวางไว้ เริ่มจากที่ คิมม่อน ตามรับ ตามส่งคอปเตอร์ทุกวัน
.
บาสเองก็ตามพี่ชายมาด้วย ทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อมาหาวิธีตีสนิทกับหมอก็อต ซึ่งก็ใช้เวลาไม่มากนัก เพราะหมอก็อตเองก็ชอบคนน่ารักเป็นทุน
.
บาสนั้นเข้าข่ายคนน่ารักที่หมอก็อตชอบ จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ที่บาสจะดำเนินตามแผนการของตนเอง และพี่ชายได้
.
หมอก็อตเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่า บาสเข้าหาตนเองเพราะอะไร แต่เมื่อผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้ เจ้าตัวจึงไม่คิดจะพูดอะไร เพียงแต่เล่นไปตามเกมของอีกคน
.
แต่เรื่องของหัวใจ มักไม่ใช่ของเล่น นับจากวันแรกที่บาสเข้าตีสนิทกับหมอก็อต และหมอก็อตยอมเล่นตามเกม จนถึงวันนี้ เหมือนทั้งคู่จะตกหลุมของกันและกัน
.
บาสนั้นบอกว่าตัวเองแค่ทำตามแผน เพื่อพี่ชาย และสิ่งที่ตนเองต้องการ ส่วนหมอก็อต ก็คิดว่าตัวเองแค่เล่นสนุกๆ กับคนน่ารักๆ ไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว
.
แต่สุดท้าย ทั้งคู่กับหลงรักกันจริงๆ หมอก็อตเอง จากที่คิดว่าเล่นๆ ก็เริ่มหึงหวงบาส ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเป็น
.
ตัวบาสเองก็ออกอาการน้อยใจทุกครั้ง ที่หมอก็อตโปรยเสน่ห์ให้คนอื่น ทั้งคู่แสดงออกว่าหวงกันและกันแบบไม่รู้ตัว
.
ส่วนคิมม่อนเอง ก็ออกอาการหวงน้องชายเช่นกัน ทั้งที่ตอนแรก คิดว่าน้องชายไม่มีทางตกหลุมของตัวเอง แต่เมื่อเห็นสิ่งที่น้องเป็น ก็ออกอาการหวงน้องขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
.
คอปเตอร์จึงกลายเป็นตัวกลาง ระหว่างทั้งสามคน คอยแก้ปัญหาที่สองพี่น้อง และคู่บัดดี้ของตนเองอย่างหมอก็อต
.
ดูทั้งสามเหมือนจะทะเลาะกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่ คิมม่อน แค่หวงน้อง เพราะเห็นว่าก็อตออกจะเจ้าชู้ กลัวน้องตัวเองจะโดนหลอก
.
แต่หมอก็อตเองก็พยายามที่จะทำให้คิมม่อนเห็นว่า ตนเองรักน้องบาสจริง ส่วนบาสนั้น ก็พยายามปรับปรุงตัวเอง เพื่อปรับตัวเข้าหาหมอก็อตเช่นกัน
.
ด้านคอปเตอร์ ก็โดนคิมม่อนรุกคืบเข้ามาในใจเรื่อยๆ โดยทั้งหมดของการกระทำ ของคิมม่อน อยู่ในสายตาของท่านชาย เต ตะวัน หม่อมเนตรดาว และคุณชายเตชณัฐ
.
คิมม่อนนั้น เดิมก็เป็นเพื่อนสนิทกับคุณชายเต้อยู่แล้ว การจะเข้าออกบ้านเพื่อนสนิทของตนเอง จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เจ้าตัวก็ออกตัวว่า ตนเองนั้นชอบพอน้องชายของคุณชายเตชณัฐ อย่างคอปเตอร์อยู่แล้ว
.
ซึ่งเรื่องนี้ ทั้งวังอภิบาลบริรักษ์ ก็รับทราบกันดี และตัวคอปเตอร์เองนั้น ก็ดูจะมีใจเอนเอียงให้เพื่อนพี่ชายอย่างคิมม่อนอยู่มาก จึงไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของคิมม่อน ที่จะเปิดตัว ตนเองว่าชอบบุตรชายคนเล็กของท่านชาย และหม่อม ผู้เป็นเจ้าของวัง
.
ด้านคุณชายเตชณัฐ หลังจากที่พาน้องกลับเรือนได้ในครั้งแรก ครั้งต่อๆไปจึงมีตามมา และทุกครั้งที่กลับเรือนริมน้ำ ความรู้สึกที่มีอยู่ มันก็เอ่อล้นเสียทุกครั้ง
.
“ น้องตี๋ครับ เย็นนี้กลับเรือนพร้อมพี่นะครับ ”
.
คุณชายเตชณัฐเอ่ยบอกน้อง หลังจากคล้อยหลังสุธีร์ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ นิสิตแพทย์จึงต้องรายงานผลการทำงาน กับแพทย์พี่เลี้ยง
.
ตี๋จึงเข้ามารายงานการทำงาน ในรอบสัปดาห์ พร้อมกับบัดดี้ของตนเอง อย่างสุธีร์ และเมื่อรายงานเสร็จสิ้น สุธีร์จึงขอตัวกลับก่อน เนื่องจากต้องไปทำธุระต่อ ในห้องจึงเหลือเพียงคุณชายเต้ และตี๋เท่านั้น
.
“ หรือว่าน้องมีธุระต้องไปทำก่อน ”
.
“ ผมไม่ได้มีธุระอะไรแล้วครับ ตอนแรกว่าจะกลับบ้าน แต่คงไม่สะดวกแล้วล่ะครับ เพราะผมนัดสุธีร์มาทำงานวิจัยเล็กกันวันมะรืน ”
.
ตี๋บอกถึงแผนงานที่ตน และเพื่อนนิสิตแพทย์อย่างสุธีร์ นัดกันไว้ เพราะหากว่าวันหยุดที่สามารถกลับบ้านได้ ตี๋ก็มักจะกลับไปหาป๊า กับม๊า ของตนเองที่ต่างจังหวัด
.
“ ถ้าอย่างนั้น ก็กลับเรือนกับพี่ได้ใช่ไหมครับ ”
.
ตี๋ไม่ได้ตอบรับด้วยคำพูด หากแต่พยักหน้ารับคำชวนอย่างขัดเขิน เพราะตนเองไม่เคยชินเลยสักครั้ง ที่จะตอบรับคำชวน ให้กลับเรือนริมน้ำพร้อมคุณชายเต้
.
“ ตกลงตามนี้นะครับ แต่เดี๋ยวเราแวะที่บ้านของท่านพ่อก่อนนะครับ ท่านบ่นถึงอยู่ แล้วเราค่อยไปเรือนริมน้ำกันต่อ ”
.
เมื่อน้องตกลงรับคำชวน คุณชายเตชณัฐจึงบอกแผนการเพิ่มเติม ว่าตนเองต้องการพาน้องไปที่วังของท่านชายตะวันเสียก่อน
.
คุณชายเตชณัฐ ไม่ชอบที่จะเรียกบ้านของท่านพ่อตนเองว่าวัง อย่างที่คนอื่นทั่วไปเรียกกัน แต่จะเรียกว่าบ้านเสียมากกว่า เพราะรู้สึกถึงความเป็นครอบครัว ซึ่งท่านชายตะวันเอง ก็ชอบที่จะให้ทุกคนเรียกบ้านเช่นกัน
.
“ จะดีหรือครับ เกรงใจท่านชายกับหม่อม ”
.
ตี๋บอกด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ แม้ว่าคุณชายเต้จะพาตนเองไปกราบบิดา และมารดาของคุณชายแล้ว และท่านทั้งสองก็เอ็นดูตนเองไม่น้อย แต่ตี๋ก็ประหม่าเสียทุกครั้ง
.
“ เกรงใจอะไรกันครับ ท่านพ่อ กับหม่อมแม่บ่นคิดถึงเราให้พี่ฟัง แถมยังต่อว่าพี่ว่า ไม่ยอมพาน้องไปกราบท่านบ้าง ”
.
คุณชายเต้ตอบน้อง ตนเองนั้นพาตี๋ไปกราบบิดา และมารดาตั้งแต่แรก พร้อมกับเล่าเรื่องทุกอย่าง ให้ท่านทั้งคู่ฟัง ซึ่งเมื่อมารดาของตน เมื่อเห็นหน้าตี๋ครั้งแรก ก็ยังตกใจอยู่พอควร เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอ คนที่เคยเป็นคนรักของท่านเทียดเต้ เมื่อสมัยอดีต
.
เรื่องความเป็นมาของท่านเทียดเต้ และคนรักของท่านเทียดนั้น ท่านชายตะวัน และหม่อมเนตรดาว รับรู้มาบ้างแล้ว จากคุณยายของคุณชายเตชณัฐ หรือว่าแม่ของของคุณเนตรดาวนั่นเอง
.
ท่านชายตะวัน เมื่อได้ฟังเรื่องราวในคราแรก ก็ยังไม่ปักใจเชื่อนักว่า บุตรชายของตน จะเป็นบรรพบุรุษมาเกิดใหม่ ตามที่ได้รับฟัง
.
แต่เมื่อคุณชายเตชณัฐยิ่งโต ก็ยิ่งคล้าย รวมถึงเรื่องราวหลายๆอย่าง ที่เกิดขึ้น ทำให้ท่านชายตะวัน เชื่อตามอย่างไม่สงสัยอะไรอีก
.
แต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนหัวสมัยใหม่ ไม่ยึดติดกับยศ หรือหน้าตาทางสังคม ที่เป็นเพียงเปลือกนอกใดๆ ท่านชายจึงไม่เคยกีดกัน หรือกะเกณฑ์ให้บุตรเป็นไปตามที่ตนเองต้องการ
.
“ ไม่ขนาดนั้นมั้งครับ พี่เต้โอเวอร์เองมากกว่า ”
.
“ น้อยไปสิ ถ้าไม่เชื่อพี่ ไปถามหมอเตอร์ก็ได้นะ ”
.
“ คงอยู่ให้ถามหรอกครับ ป่านนี้โดนคุณคิมม่อนพาไปไหนต่อไหนแล้วมั้ง ”
.
คุณชายโยนให้ตี๋ไปถามคอปเตอร์ ว่าเรื่องที่ตนพูดนั้นจริงหรือไม่ แต่ตี๋ก็ตอบกลับไปอย่างมั่นใจว่า หมอเตอร์น้องชายของคุณชายเต้นั้น คงโดนคิมม่อนพาไปไกลแล้วมากกว่า
.
“ ช่างคู่นั้นเขาเถอะ หากเตอร์เขาจะรัก เขาจะชอบ พี่ก็ไม่ขัด คิมม่อนก็เพื่อนพี่ รู้จักกันมานาน ว่าแต่เพื่อนเราเถอะ จะหลอกน้องบาสหรือเปล่า ”
.
คุณชายเตชณัฐไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ตี๋แซว เพราะเชื่อว่าคิมม่อนรักชอบน้องชายของตนจริง และคอปเตอร์เองก็มีใจให้คิมม่อนด้วย
.
แต่คุณชายเตชณัฐก็ยังแอบกังวลเรื่องของหมอก็อต กับน้องชายของคิมม่อนอย่างบาส เพราะหมอก็อตนั้น เจ้าชู้ไม่หยอก
.
“ อย่าห่วงคู่นั้นเลยครับพี่เต้ ไอ้ก็อตน่ะ เห็นเจ้าชู้ไม่ฟันไปทั่ว แต่ถ้ามันรักใคร ก็รักจริงแหละครับ ผมกับมันรู้จักกันตั้งแต่สมัยหัวยังเกรียน จีบสาวยังไม่เป็นด้วยซ้ำ ”
.
ตี๋ช่วยยืนยันว่าหมอก็อต เพื่อนของตนไม่ใช่คนไม่ดีอะไร แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนพวกเจ้าชู้ แต่ก็เหมือนแค่เจ้าตัว ยังไม่เจอคนที่ใช่ แต่ถ้าเจอ ก็พร้อมจะหยุดกับคนที่ตนรักเช่นกัน
.
“ ได้ยินเรายืนยันพี่ก็เบาใจ เพราะคู่นี้เริ่มด้วยการเล่นกับความรู้สึกของตัวเองทั้งคู่ แต่จะว่าใครผิด ก็คงต้องไปเอาเรื่องเพื่อนพี่แล้วล่ะ มีอย่างที่ไหน ส่งน้องชายตัวเองมาแยกคนที่ตัวชอบ ออกจากศัตรูหัวใจ ”
.
คุณชายเต้บ่นไปถึงคิมม่อน ที่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง แต่ก็เบาใจที่ตี๋ช่วยยืนยันว่า หมอก็อตไม่ได้คิดหลอกบาส
.
“ เชื่อเถอะครับ ไอ้ก็อตมันหยุดที่น้องบาสจริงๆ ผมยังอยากขอบคุณน้องบาสเลยนะครับ ที่ทำให้เพื่อผมเจอรักที่มันตามหาเสียที ”
.
ตี๋ว่า ขณะที่เดินตามคุณชายเตชณัฐมาที่ลานจอดรถ ก็อตเพื่อนของตนเองนั้น เป็นคนที่ไม่เชื่อในความรัก เพราะเคยโดนหักอกมาก่อน เจ้าตัวจึงกลายเป็นเพลย์บอยอย่างปัจจุบัน
.
“ ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขาไปแล้วกัน เรามาคุยเรื่องของเราดีกว่า ”
.
คุณชายเต้หันมากส่งสายตาเจ้าเล่ห์ ให้คนที่เดินเคียงข้างตนเอง ซึ่งก็เพียงพอให้ตี๋หน้าขึ้นสีได้อย่างไม่ต้องสงสัย
.
นี่คงเป็นสิ่งที่ตี๋ คล้ายกับตัวตนของคนรักท่านเทียดเต้ในอดีต เพราะตี๋คนนั้น มักจะเขินอายเสียทุกครั้ง ที่โดนหยอกเอิน
.
“ พอเลยพี่เต้ อย่ามาทำหน้าแบบนี้ใส่ผมนะ ไม่งั้นผมจะบอกหม่อมแม่ว่า พี่เต้รังแกผม ”
.
“ อ้าว!!! ไหนว่าเกรงใจท่าน แต่ไหงจะฟ้องท่านเรื่องพี่ซะแล้วล่ะ ”
.
“ พอเลยพี่เต้ หยุดล้อกันเลยนะ ขึ้นรถไปเลยไป ”
.
ตี๋เห็นว่าตนเอง ไม่สามารถสู้สายตาพราวระยับของคุณชายเต้ได้ จึงพยายามจะหาตัวช่วย แต่เหมือนยิ่งพูด ก็เหมือนจะยิ่งเข้าตัวมากกว่าเดิม เจ้าตัวจะแก้เขินด้วยการไล่ให้คุณชายเตชณัฐ ไปทำหน้าที่สารถีของตนเองแทน
.
“ จ้าๆ พี่ไม่ล้อแล้วก็ได้ ตกลงเราไปหาท่านพ่อ กับหม่อมแม่กันก่อนนะครับ ”
.
“ เดินมาด้วยขนาดนี้ คงไม่ไปมั้ง ยังจะถามเพื่อ ”
.
ตี๋งุบงิบ พูดอุบอิบในคอ แต่คุณชายเต้ก็ยังหูดีพอที่จะจับใจความได้ ริมฝีปากสวยจึงยกยิ้มพึงใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เพราะแค่นี้ตี๋หน้าหน้าแดงไปถึงหูแล้ว
.
เมื่อตี๋คาดเข็มขัดเสร็จ คุณชายเตชณัฐจึงค่อยๆเลื่อนรถออกจากซอง แล้วขับมุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่คุยกันไว้ก่อนหน้า โดยไม่ทันเห็นสายตาคู่หนึ่งที่มองมาอย่างหมายมาด
.
.
.
.
.
*******************************************************
.
.
.
.
.
ใครแอบมองอยู่
.
แล้วต้องการอะไรกันแน่.....
.
ขออภัยที่หาย(หัว)ไปนาน
.
.

ขอบคุณทุกแรงใจขอรับ
.
หากพบคำผิด สะกิดได้เลยขอรับ
.
.
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ตอนที่ 16
.
.
.
แรงอาฆาตที่ไม่ปล่อยวาง

.
.
.
เรือนไม้หลังใหญ่ซ่อนตัวอยู่หลังเงาไม้ แม้จะทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ส่งให้บรรยากาศโดยรอบเงียบและ วังเวง
.
แม้ว่าตัวเรือน จะอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันกับ เรือนไทยหลังใหญ่ด้านหน้า แต่เรือนหลังนี้กับไม่มีใครกล้าเฉียดกายเข้าใกล้นัก แม้เวลาจำเป็นต้องทำความสะอาด ก็มักจะเป็นเวลาที่เจ้าของเรือนใหญ่อยู่ด้วยเสมอ
.
ความเงียบ และวังเวงของเรือนไม้หลังนี้ คล้ายจะเป็นเรื่องเล่า ที่ถ่ายทอดกันปากต่อปาก ของบรรดาแม่บ้าน และคนสวน
.
แม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน เหล่าแม่บ้าน ก็ไม่คิดจะเข้าใกล้ หากไม่จำเป็น ไม่ต้องพูดถึงเวลากลางคืน ที่มักจะมีเสียงหวีดหวิว คล้ายเสียงคนกรีดร้อง ดังผ่านเงาไม้ให้ได้ขนลุกกันทั่วหน้า
.
กรี๊ด......
.
เสียงกรีดร้องด้วยความคับแค้นในใจ ดังขึ้นจากภาพเจ้าของเรือนคนเก่า ที่แขวนไว้ประดับผนังเรือน เมื่อได้รับฟังเรื่องราวจากวิญญาณบ่าวของตน
.
“ มึงว่ากระไรนะอีปริก มึงบอกว่ามันอยู่ด้วยกันแล้วกระนั้นรึ ”
.
น้ำเสียงเกรี้ยวกราด พร้อมกับอารมณ์ที่พวยพุ่ง ส่งให้เกิดลมหมุนวนขึ้นในเรือน ตามแรงอารมณ์ที่ขัดเคือง
.
“ เจ้าค่ะ คุณเต้กำลังจะพามันมาที่เรือนริมน้ำ ”
.
วิญญาณบ่าว ที่นั่งพับเพียบเบื้องหน้ารูปนั้น รายงานความเป็นไป ที่ตนเองได้เฝ้ามองดู แก่นายของตน
.
“ มันช่างหยามหน้ากูนัก มันเป็นแค่เศษเสี้ยวดวงจิต แต่ก็ยังคอยเป็นหนามยอกอก ให้กูปวดใจ ”
.
แรงอาฆาตที่ส่งออกมา ทำให้วิญญาณบ่าวถึงกับสะท้าน แต่ก็มิอาจจะเลี่ยงหนีไปไหนได้ ทำได้เพียงนั่งรอให้แรงอารมณ์นั้นบรรเทาลง
.
“ เมื่อไหร่เธอจักเลิกอาฆาตแค้นเสียทีเล่า แม่พริ้ง ”
.
เสียงทุ้มนุ่มของชาย ผู้ที่อยู่ในภาพเดียวกันเอ่ยขึ้น ขัดอารมณ์ที่กำลังคลุ้มคลั่งของหญิงสาว ผู้ได้ชื่อว่า เป็นภรรยาแต่งของตน
.
“ คุณพี่จักพูดกระไรได้ก็นี่เจ้าคะ เพราะเจ้าคุณพี่กำลังเสพสุขอยู่กับมัน ”
.
น้ำเสียงที่แสดงอารมณ์ขัดเคืองอย่างชัดเจน ไม่ได้ทำให้บุรุษในภาพหวั่นไหว หรือกริ่งเกรง เพราะน้ำเสียงที่กล่าวต่อนั้น ยังคงเรียบรื่น ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
.
“ มิมีใครมีความสุขดอกแม่พริ้ง ฉันเองก็มิได้สุขเช่นที่เธอว่า ”
.
“ คุณพี่จักมิได้มีความสุขได้เยี่ยงไรเล่าเจ้าคะ ”
.
“ แม่พริ้ง เมื่อใดเธอจักปล่อยวางเสียทีเล่า เพลาก็ผ่านมามิใช่น้อย ไยเธอจึงเก็บไฟแค้น แล้วให้มาสุมทรวงอยู่เยี่ยงนี้เล่า ”
.
ท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ กล่าวกับภรรยาในนามของตน
.
“ คุณพี่จักมาเข้าใจหัวอกอิฉันได้เยี่ยงไรเล่า ทั้งตอนอยู่ คุณพี่ก็มิเคยสนใจไยดีอิฉัน แม้กระทั่งตอนนี้ ที่คุณพี่เป็นเพียงแค่วิญญาณ คุณพี่ก็ยังห่วงมัน ”
.
แม่พริ้งระบายความคับแค้นในอก ต่อว่าวิญญาณของผู้ที่เป็นสามี เมื่อคราที่มีชีวิต อีกฝ่ายนั้นไม่เคยจะสนใจในตัวเธอ แม้กระทั่งเพลานี้ สามีก็มิเคยเห็นเธอในสายตา
.
“ แม่พริ้ง เธอลองตรองดูอีกคราเถิดว่า ฉันเคยแจ้งความเรื่องนี้ ต่อเธอรึไม่ ”
.
วิญญาณท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ ยังคงใจเย็น ที่จักพูดคุยกับอีกฝ่าย เพราะต้องการให้ดวงวิญญาณดวงนี้ หลุดพ้นจากความอาฆาตแค้นเสียที
.
.
.
.
.
******************************************************
.
.
.
.
.
ศาลาริมน้ำเรือนพระยาไชยปราการ กำลังต้อนรับแขกจากเรือนพระยาทิพยโอสถ คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ ติดตามมารดามายังเรือนท่านพระยาไชยปราการ
.
“ ดื่มน้ำก่อนเจ้าค่ะ คุณหลวง ”
.
มือเรียวสวยของธิดาเจ้าของเรือน รับขันน้ำลอยดอกมะลิจากบ่าว ส่งต่อให้คุณหลวงหนุ่ม ซึ่งคุณหลวงก็รับน้ำใจนั้นไว้
.
“ ขอบใจแม่พริ้ง ต้องขอภัยที่ฉันมารบกวนเยี่ยงนี้ ”
.
คุณหลวงยกขันน้ำขึ้นแตะริมฝีปาก ก่อนจักส่งคืนให้หญิงสาวตรงหน้า
.
“ มิเป็นใดดอกเจ้าค่ะ มิได้รบกวนอันใดเลย ”
.
คุณหลวงหนุ่ม พิศมองหญิงสาวตรงหน้า ผู้ที่มารดาต้องการจักได้ไปเป็นสะใภ้ แต่ตนเองนั้นมิได้มีใจสมัคร ที่จักออกเรือนไปกับคนตรงหน้า
.
แม่พริ้ง ธิดาคนโตของท่านพระยาไชยปราการ งามพร้อมด้วยกิริยา และรูปโฉม ดังเช่นคำที่เล่าลือ กันปากต่อปาก หากยังไม่มีใครรู้ถึงนิสัยใจคอลึกๆภายใน
.
แต่คุณหลวงนั้น มิได้ต้องตา หรือต้องใจ กับความสวยงาม เย้ายวนตรงหน้า เพราะทั้งใจกายของตน ยกให้กับผู้เป็นที่รักเสียสิ้นแล้ว
.
“ แม่พริ้ง รู้ใช่รึไม่ว่า คุณแม่ของฉัน มาที่เรือนท่านพระยาไชยปราการด้วยการใด ”
.
คุณหลวงมิปล่อยเวลาเสียไป เมื่อเจ้าตัวเอ่ยถามความกับแม่หญิงตรงหน้า ซึ่งก็ได้รับคำตอบด้วยการพยักหน้าอย่างเอียงอาย
.
บ่าวคนสนิทของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้วยนั้น ลูบเท้าผู้เป็นนาย ด้วยต้องการปลอบว่ายังมีตนที่นั่งอยู่ด้วย
.
“ อิฉันพอจักทราบมาบ้างเจ้าค่ะ ”
.
“ เยี่ยงนั้นก็ดีแล้ว แต่ความที่ฉันจักแจ้งต่อแม่นั้น เป็นความสัจจริง ฉันมิต้องการจักปิดบังกระไรแม่ ”
.
คุณหลวงว่า แลรอดูปฏิกิริยาของคนที่นั่งฟังไปด้วย
.
“ ความที่ฉันแจ้งกับแม่พริ้งคือ ฉันมีคนที่ฉันรักอยู่แล้ว แลฉันก็มิต้องการจักมีใครอื่นอีก ฉันอยากจักขอร้องแม่พริ้ง แม่พริ้งช่วยปฏิเสธให้ฉันได้รึไม่ ”
.
คุณหลวงแจ้งความจำนงของตน ว่าต้องการให้หญิงสาวตรงหน้า ปฏิเสธการทาบทามสู่ขอของคุณหญิงแย้ม ทำให้หญิงสาวนิ่งอึ้งไป
.
“ เหตุใดเล่าเจ้าค่ะ เหตุใดคุณหลวงจึงกล่าวเยี่ยงนี้ กับนายของอิฉัน ”
.
บ่าวคนสนิทของหญิงสาว เอ่ยขึ้นมาแทนนายของตน ที่นั่งเงียบเมื่อได้ฟังความจริงจากปากของคุณหลวงหนุ่ม
.
“ ฉันแจ้งต่อแม่พริ้ง เพราะฉันมิอยากให้แม่พริ้ง ต้องแต่งกับคนที่ไม่มีทางรักแม่ไปมากว่าน้องสาวได้ ”
.
“ อิฉันมิได้ใจแคบ หากคุณหลวงจะมีอนุ แต่เหตุใดคุณหลวงจึงตัดรอนอิฉันเยี่ยงนี้เล่า ”
.
เมื่อได้สติ พริ้งจึงถามความ ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงตัดรอนตนเอง เพียงเพราะมีคนรักอยู่แล้ว แม้ว่าตนจักมิได้ใจกว้าง ยอมให้สามีมีเมียเล็ก เมียน้อย อย่างปากว่า แต่ก็ไม่คิดว่า อีกฝ่ายจะตัดรอนตนเองเยี่ยงนี้
.
“ ฉันมิได้ต้องการมีอนุ ฉันจึงมาขอร้องแม่พริ้งเยี่ยงนี้ แม่พริ้งเองรึก็งดงาม จนเป็นที่เล่าลือ ฉันมิอยากให้แม่ต้องมาช้ำใจกับฉัน ”
.
คุณหลวงให้เหตุผล กับหญิงสาว แต่เหมือนกับแม่พริ้งนั้น มิใคร่จักพอใจเท่าใดนัก
.
“ หากอิฉันงดงามเช่นที่คุณหลวงว่า เหตุใดคุณหลวงจึงตัดรอนอิฉันเช่นนี้เล่า ”
.
“ แม่พริ้ง ฉันมีคนที่ฉันรักแล้ว ฉันให้สัญญากับตนเอง แลคนรักของฉันว่า ฉันจักมิรักใครอื่นอีก ขอให้แม่เข้าใจฉันด้วยเถิด ”
.
คุณหลวงขอร้องอีกครา ด้วยคุณหลวงมิต้องการให้หญิงสาวตรงหน้า เข้ามามีบ่วงกรรมไปกับตน เพราะตนเองนั้น ไม่อาจจะรักใครอื่นได้อีก จึงไม่อยากดึงให้หญิงสาวผู้นี้ ให้ต้องก้าวเข้ามา โดยที่ตนเองไม่สามารถให้สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการได้
.
“ แล้วอย่างไรเล่าเจ้าคะ คุณหลวงมีคนรักแล้ว เหตุใดจักแต่งกับอิฉันไม่ได้ ”
.
แม่พริ้งยังคงดึงดัน ไม่ยอมจักทำตามคำขอร้องของคุณหลวงหนุ่ม เธอมั่นใจว่า ตนเองนั้นงาม และความงามของตน จักต้องมัดใจคุณหลวงหนุ่มตรงหน้าได้
.
“ แม่พริ้ง ฉันขอเถิด ”
.
“ หากคุณหลวงมิต้องการออกเรือนไปกับอิฉัน เหตุใดไม่บอกคุณแม่ของคุณหลวงเองเล่าเจ้าคะ มาแจ้งแก่อิฉันเพื่อการใด ”
.
เมื่อได้ฟังคำของหญิงสาวตรงหน้า คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์จึงได้แต่ทอดถอนใจ เมื่อคนตรงหน้าดื้อดึง แลไม่ฟังคำขอร้องของตน
.
“ เอาเถิดแม่พริ้ง ฉันจักถือว่า ฉันได้แจ้งแก่แม่แล้ว แลให้แม่นั้นตัดสินใจเอาเองเถิด แลหากความใดต่อจากนี้ไป ฉันก็จักถือว่า วันนี้ฉันได้บอกทุกเรื่องแก่แม่แล้วเช่นกัน ”
.
คุณหลวงเห็นว่า การที่ตนเองติดตามมารดามาเพื่อขอร้องคนตรงหน้า ไม่ประสบผลตามที่คิด จึงได้แต่ปลงกับชะตา แลปล่อยให้เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป
.
“ เจ้าค่ะ อิฉันรับรู้ความที่คุณหลวงแจ้งแล้ว อีปริก กลับเรือน ”
.
เมื่อเห็นว่า ชายหนุ่มตรงหน้ามิได้มีท่าทีเช่นคนอื่น ที่มาแวะเวียนมา แม่พริ้งจึงรู้สึกขัดใจเป็นอย่างยิ่ง
.
เพราะชายหนุ่มที่เข้ามาเรือนของบิดา ทุกคนต้องการจักได้ตนไปเป็นแม่ศรีเรือนทั้งสิ้น คงมีแต่คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์เสียกระมัง ที่ปฏิเสธตนเองอย่างไม่ไว้หน้า
.
แลเมื่อเป็นเช่นนี้ ตนก็ไม่มีทางที่จักยอมได้ ไม่มีทางที่คุณหลวงหนุ่ม จักไม่มีใจให้แก่ตน คนที่อยู่ร่วมเรือน ร่วมเรียงเคียงหมอนกัน เหตุใดจักไม่รักกัน
.
.
.
.
.
*****************************************************
.
.
.
.
.
เมื่อเห็นว่าวิญญาณของภรรยาแต่ง กำลังครุ่นคิดถึงความในอดีต เจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
.
“ แล้วอย่างไรเล่าเจ้าคะ ”
.
วิญญาณของแม่พริ้งส่งเสียงขึ้นอีกครา หลังจากนึกย้อนความ ตามสิ่งที่อีกฝ่ายได้บอกแก่ตนเองเมื่อครั้งอดีต
.
“ ปล่อยวางเสียเถิดแม่ อย่าเอาทิฐิมาเป็นบ่วงรัดตัวเลย ”
.
“ ปล่อยวางรึเจ้าคะ แล้วให้คุณพี่ไปเสพสม เสพสุขกับมัน อย่าได้ฝันไปเลยเจ้าค่ะ ถ้าอิฉันไม่ได้ ไอ้ อีหน้า ไหนก็ไม่มีทางได้ ”
.
“ แม่พริ้ง ใจเธอช่างเต็มไปด้วยแรงทิฐิ แลมิยอมจักยอมรับความเป็นจริง เห็นทีฉันคงมิอาจจักเปลี่ยนใจเธอได้จริงๆ ”
.
วิญญาณของท่านเจ้าพระยา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ด้วยว่าไม่ว่าจะตอนเป็น หรือตอนตาย หญิงสาวตรงหน้าก็ทิฐิแรง แลมิยอมรับความจริงใดๆ
.
“ ไม่มีทางดอกเจ้าค่ะคุณพี่ อิฉันไม่มีทางให้คุณพี่กับมัน ได้มีความสุขกันแน่ แม้มันว่าจักเป็นแค่เศษเสี้ยวดวงจิตของคุณพี่ กับมันก็ตาม อิฉันจักตามทำลายเสียให้สิ้น ”
.
“ ใจเธอช่างร้ายนัก เมื่อใดเธอจักหยุดก่อกรรม ”
.
“ เมื่อเห็นมันกับคุณพี่ ต้องทนทุกข์เยี่ยงที่อิฉันเคยเป็นไงเจ้าคะ ”
.
วิญญาณของแม่พริ้งกล่าวด้วยจิตอาฆาต จนทำให้อากาศด้านนอกปั่นป่วนอีกครา แต่ท่านเจ้าพระยาก็มิได้หวั่นเกรง
.
“ เอาเถิด หากเธอจักยึดมั่น ถือมั่น ไฟนั้นก็จักเผาตัวเธอเอง ”
.
สิ้นคำ ท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ก็หันหลัง เดินกลับไปด้านในรูปภาพ ที่จองจำตนเองเอาไว้ ใจก็ได้แต่ภาวนาให้เสี้ยวดวงจิตของตนเอง และคนที่รักปลอดภัย
.
“ คุณพริ้งจักให้บ่าวทำเยี่ยงไรต่อเจ้าคะ ”
.
เมื่อเห็นว่า ท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ เดินกลับไปด้านในภาพแล้ว วิญญาณบ่าวรับใช้จึงเอ่ยถามนายของตนอีกครา
.
“ ในเมื่อมันอยากมาที่นี่ กูก็จักให้มันมา ”
.
วิญญาณแม่พริ้งกล่าวรอดไรฟัน
.
“ เจ้าค่ะ คุณพริ้ง ”
.
“ อีปริก อีคนที่มึงว่าหน้าคล้ายกูนั้น มันอยู่ที่ใด ”
.
วิญญาณแม่พริ้งถามบ่าวของตน ถึงหมอพริ้ง คนที่หน้าตาคล้ายตนเอง
.
“ เธอก็เป็นหมอ เช่นเดียวกับเสี้ยวดวงจิตของท่านเจ้าพระยาเจ้าค่ะ แลยังอยู่ในโรงหมอที่เดียวกับมันด้วยเจ้าค่ะ ”
.
นางปริกตอบนายของตน แลขยายความเพิ่ม ตามที่ตนคิดว่านายของตนต้องการรู้อีกด้วย
.
“ ดีนัก กูจักได้มิต้องเปลืองแรงมาก ”
.
“ แม่พริ้งในภาพว่าขึ้น เมื่อได้ฟังความจากบ่าวของตน แววตาสมใจเมื่อนึกแผนการบางอย่างได้
.
“ อีปริก มึงไปพามันมาหากู ”
.
“ เจ้าค่ะคุณพริ้ง บ่าวจักรีบไปทำตามที่คุณพริ้งต้องการประเดี๋ยวนี้ ”
.
แล้ววิญญาณของบ่าว ที่คอยภักดีต่อแม่พริ้งนายของตน ก็สลายร่างโปรงแสงกลายเป็นควันสีดำพุ่งผ่านช่องว่างของประตูออกไป
.
รอยยิ้มร้ายแต่งแต้มบนใบหน้าที่ยังคงงดงาม แม้มิได้มีกายเนื้อเช่นกาลก่อน มันรอยยิ้มที่ดูน่ากลัว เมื่อรอยยิ้มนั้น เต็มไปด้วยแรงอาฆาต ที่ไม่เคยปล่อยวาง ไม่ว่าจะเป็น หรือตาย
.
.
.
.
.
*******************************************************
.
.
.
.
.
วิญญาณของคุณพริ้งคิดจะทำอะไร
.
แล้วทำไมต้องพาหมอพริ้งมาหาตนเอง
.
คุณพริ้งต้องทำอะไรกันแน่
.
แล้วหมอพริ้งจะกลายเป็นเหยื่อ
.
หรือจะกลายเป็นผู้ล่า
.
ท่านที่หลงเข้ามา ท่านมิได้ตาฝาด
.
ข้าเจ้าลงตอนต่อไปแล้วจริงๆ
.
ช่วยส่งแรงใจให้คุณชายเต้ กับน้องตี๋ ให้ผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปได้ด้วยนะขอรับ
.
ขอบคุณทุกแรงใจ ที่มีให้กันขอรับ
.
.
.
.

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
.
.
ตอนที่ 17
.
.
.
ครอบครัว

.
.
.
.
.
รถยนต์คันงามเลี้ยวเข้าประตูรั้วอัลลอย ผ่านซุ้มไม้ประดู่ เข้าสู้ตัวบ้านด้านใน วังอภิบาลบริรักษ์ยังคงความสง่างาม ตัวอาคารไม่ได้ใหญ่โต ด้วยท่านชายเต ตะวัน ผู้เป็นเจ้าของ ไม่โปรด ท่านชายต้องการบ้านที่พักอาศัย มิได้ต้องการสิ่งปลูกสร้างอวดความร่ำรวย
.
เมื่อรถยนต์คุ้นตาแล่นเข้ามา แม่บ้านจึงตระเตรียมน้ำเย็น และของว่างมาต้อนรับ อีกคนก็ไปเรียนหม่อม ว่าคุณชายเตชณัฐมาถึงแล้ว
.
“ มาพอดีเลยค่ะคุณชาย หม่อมท่านเพิ่งจะมาถามเลยเชียวว่า คุณชายมาหรือยัง วันนี้หม่อมลงครัวเองเลยนะคะ ”
.
“ ขอบคุณครับ แล้วนี่เจ้าเตอร์กลับมาหรือยังครับ ”
.
“ มาแล้วค่ะ ก่อนหน้าคุณชายครู่เดียว คุณคิมม่อนเธอมาส่ง หม่อมท่านเลยชวนให้ทานมื้อเย็นด้วยกัน ”
.
แม่บ้านวัยกลางคนเข้ามาทักคุณชายเตชณัฐ พร้อมยังรายงานเรื่องที่หม่อมเนตรดาวสอบถามให้คุณชายทราบ รวมถึงบอกอีกด้วยว่า หม่อมเนตรดาวเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง
.
“ ครับ แล้วท่านพ่อล่ะครับ ”
.
“ ท่านชายกลับมาตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ เห็นหม่อมท่านว่าไปทานข้าวกับเพื่อนๆมา ตอนนี้อยู่ในห้องหนังสือค่ะ ส่วนหม่อม ป้าให้เด็กไปเรียนแล้วค่ะว่า คุณชายกลับมาแล้ว ”
.
แม่บ้านคนเดิม รายงานตามสิ่งที่คุณชายเตชณัฐต้องการทราบ และเพิ่มเติมตามที่คิดว่าคุณชายเตชณัจต้องการทราบเพิ่ม
.
“ ขอบคุณครับ รู้ใจผมจริงๆนะครับ ไม่ต้องถามก็ตอบแล้ว ”
.
“ ไม่ต้องมาแหย่ป้าค่ะ เอาใจคนแก่เก่งจริงๆเชียว พาคุณตี๋ไปกราบท่านชาย กับหม่อมด้านในเถอะค่ะ เดี๋ยวป้าขอไปบอกพวกเด็กๆจัดโต๊ะก่อน ”
.
ว่าจบจึงแยกย้ายกัน คุณชายเตชณัฐ พาคนรักอย่างตี๋เข้าไปกราบท่านพ่อ และหม่อมเนตรดาว ผู้เป็นมารดา ส่วนหน้าแม่บ้านแยกไปทำหน้าที่ของตนต่อ
.
.
.
มื้อเย็นวันนี้ ของวังอภิบาลบริรักษ์ มีแขกหน้าเดิมสองคน คนแรกคือคิมม่อน ที่แวะเวียนมาทานมื้อเย็นกับเจ้าของวัง บ่อยกว่าบุตรชายของท่านชายตะวัน อย่างคุณชายเตชณัฐเสียอีก
.
คิมม่อนนั้น มาฝากตัวเป็นลูกชายอีกคนของวังอภิบาลบริรักษ์ เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งความจริงแล้ว คิมม่อนไม่จำเป็นต้องมาฝากเนื้อ ฝากตัวอะไรอีก เพราะเจ้าตัว เข้าออกวังมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว
.
แต่ที่มาฝากตัวใหม่นั้น เจ้าตัวเอ่ยปากบอกความรู้สึกของตน ที่มีต่อบุตรชายบุญธรรมของท่านชายตะวัน อย่างคอปเตอร์ และขออนุญาตที่จะคบหากับคอปเตอร์
.
ท่านชายตะวัน ผู้มีความคิดเปิดกว้าง และไม่คิดจะกะเกณฑ์ ตีกรอบกับลูกอยู่แล้ว จึงไม่ได้ขัดข้องอะไร เพราะคิมม่อนเองนั้น ท่านชายก็เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย
.
นิสัยใจคออย่างไร ก็รับรู้มาตลอด และคอปเตอร์เอง ก็ดูมีใจให้คิมม่อนด้วยเช่นกัน ท่านชายจึงอนุญาตให้คิมม่อม คบหากับคอปเตอร์ได้ โดยมีผู้ใหญ่รับรู้ทั้งสองฝ่าย
.
หลังจากจบมื้อเย็น ท่านชายและหม่อมจึงขอตัวขึ้นไปเอนหลัง ปล่อยให้หนุ่มๆอยู่กันตามลำพัง
.
“ ไงคิม นายมาทุกวันเชียวนะ กลัวเตอร์เปลี่ยนใจหรือไง ”
.
คุณชายเตชณัฐ แหย่เพื่อนสนิท หลังจากท่านพ่อ และหม่อมแม่ คล้อยหลังออกไปไม่นาน
.
“ แล้วไง แกจะว่ายังไงก็ช่าง คิดว่าฉันสะทกสะท้านเหรอ ไม่มีเสียล่ะ ”
.
คิมม่อนเองก็ใช่ว่าจะยอม เพราะเจ้าตัวนั้น ไม่มีท่าทีอย่างที่ปากว่าจริงๆ
.
“ ว่าแต่ฉัน แกเองก็ตามน้องตี๋แบบไม่คลาดสายตาเหมือนกันแหละวะ ”
.
คิมม่อนว่ากลับ
.
แต่คุณชายเตชณัฐ ไม่ได้ตอบโต้เพื่อนสนิทด้วยคำพูด แต่เป็นการกระทำแทน เพราะเจ้าตัวก้มหอมแก้มน้องแทนคำตอบ
.
ส่วนคนที่โดนหอมแก้มแบบไม่ทันตั้งตัว ก็ได้แต่นั่งหน้าแดง ด้วยความเขิน และไม่คิดว่าคุณชายจะกล้าทำอะไรแบบนี้
.
“ อะไรวะ ทีฉันแกให้มองแต่ตา แล้วทำไมแกเอาเปรียบฉันแบบนี้ล่ะ อีกอย่างน้องตี๋เขาเป็นลูกมีพ่อ มีแม่เปล่าวะ แกทำแบบนี้ ทางนู้นเขารู้ยัง ”
.
คิมม่อมถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะระหว่างตนเองกับคอปเตอร์นั้น คุณชายเตชณัฐไม่อนุญาตให้ล่วงเกินคอปเตอร์ไปมากกว่าจับมือ
.
“ อย่ามาเยอะคิม เรื่องน้องตี๋ ฉันไปขอที่บ้านน้องมาแล้ว ป๊า กับม๊า กับพี่น้องที่บ้าน ก็เข้าใจ ”
.
คุณชายตอบคำถามของเพื่อนสนิท ว่าตนเองเข้าตามตรอก ออกตามประตูแล้ว ไม่ทำอะไรให้คนที่ตนเองรัก ต้องเสื่อมเสียอย่างแน่นอน
.
“ เฮ้ย!!! จริงดิ แกไปบ้านน้องมาตอนไหนวะ ไม่บอกกันบ้างเลยนะ นี่ถ้าไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันจะรู้ไหมวะ ”
.
คิมม่อนตัดพ้อเพื่อน ที่ไม่ยอมเล่าอะไรให้ตนเองฟังบ้าง
.
“ ใช่สิ ตอนนี้ฉันมันหมดประโยชน์แล้วนิ ใครจะมาสนใจ ใช่ไหมครับน้องเตอร์ ”
.
คิมม่อนแหน็บแนมเพื่อนตนเอง แล้วก็หันไปเรียกร้องความสนใจจากคอปเตอร์ ให้มาเป็นพวกของตนเอง
.
“ เกินไปไหมคิม แกนี่มันสร้างโอกาส หาเรื่องแหย่เตอร์ให้เขินได้ตลอดนะ ”
.
“ แน่นอนครับผม ว่าแต่แกไปบ้านน้องตี๋มา แล้วเป็นไงบ้าง เล่ามาซะดีๆ ไม่งั้นฉันจะถามน้องตี๋ของแกแทน ”
.
คิมม่อนรับสมอ้างตามที่คุณชายว่า ก่อนจะวกกลับมาเรื่องที่ตนเองสงสัยไว้ก่อนหน้านี้
.
“ก็ดีนะ บ้านน้องต้อนรับดีเลยล่ะ ”
.
คุณชายตอบ พลางนึกย้อนกลับไปในครั้งแรก ที่ตนเองขอให้น้องพาไปกราบพ่อ แม่ ของน้อง แม้ตี๋จะบ่ายเบี่ยง แต่คุณชายเต้ก็สามารถหว่านล้อม จนน้องคล้อยตามได้ในที่สุด
.
.
.
.
.
***************************************
.
.
.
.
.
ในเสี้ยวหนึ่งของท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ ทำให้คุณชายเตชณัฐได้รับรู้ผ่านความทรงจำเหล่านั้น
.
ท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ได้มอบเครื่องทอง เครื่องประดับ เพชร พลอย น้ำงาม แลเบี้ยอัฐ ให้กับครอบครัวของคนรัก
.
เพราะอยากดูแล และไม่ต้องการให้บุตรคนอื่น ในครอบครัวของคนรัก ต้องกลายเป็นทาสเหมือนน้องน้อยของตน
.
คุณชายเตชณัฐขับรถพาตี๋กลับบ้าน โดยตี๋บอกทางเป็นระยะ จากเมืองหลวงขับเข้าสู่ชานเมือง จังหวัดที่ไม่ไกลกรุงเทพมากนัก
.
รถยนต์ขนาดกลาง แล่นมาจอดหน้าชานบ้านเรือนไทย ที่ผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมไทยและจีน ได้อย่างลงตัว
.
เรือนหลังใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง โดยมีเรือนหลังเล็กลงมา ปลูกสร้างอยู่ในเขตรั้วเดียวกัน ซึ่งตี๋บอกกับคุณชายเตชณัฐว่า เป็นบ้านของพี่ๆ ที่ออกเรือนไปแล้ว แต่มารดาของตนไม่อยากให้ลูกต้องอยู่ห่างกัน จึงให้ลูกปลูกบ้านเสียในรั้วเดียวกัน
.
เมื่อมาถึง ทุกคนต้อนรับเป็นอย่างดี เพราะตี๋ได้เล่าเรื่องของตนเอง ให้ครอบครัวได้รับรู้ทุกเรื่อง ไม่ได้ปิดปังอะไร
.
ตอนที่ได้เห็นหน้าคุณชายเตชณัฐครั้งแรก บิดา และมารดาของตี๋ ดูจะตกใจไม่น้อย เพราะไม่คิดว่า ตนเองจะได้เจอคนที่เป็นผู้มีพระคุณของครอบครัวในอดีต
.
ป๊าของตี๋ พูดถึงเรื่องราวที่เล่าต่อกันมา จากรุ่นพ่อ แม่ว่า คุณเต้เมื่อครานั้น ได้นำของมีค่ามาให้ และบอกให้นำไปตั้งตัว
.
ซึ่งนายเล้งผู้เป็นบิดาของน้องน้อย ก็พาครอบครัวมาบุกเบิกที่ดิน ซึ่งเป็นของครอบครัวในตอนนี้ ลงทุนทำนา และค้าข้าว ติดต่อค้าขายกับสำเภาจีน รับสินค้าจากชาวต่างชาติมาขาย
.
ก่อนกิจการจะค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น และพัฒนาขึ้นตามยุคสมัย อย่างเช่นในตอนนี้ ครอบครัวของตี๋ มีที่นาให้เช่า ค้าข้าว กิจการโรงสี และยังนำเข้าสินค้าอีกมากมาย
.
แต่ทั้งบ้าน ก็ไม่มีใครที่ฟุ้งเฟ้อ ด้วยถูกสั่งสอนให้รู้ค่าของเงิน หลังจากที่ทานอาหารมื้อใหญ่ กับบ้านของตี๋ คุณชายเต้ได้เห็นมุมมองที่เกี่ยวกับคนรักมากขึ้น
.
เมื่อบรรดาพี่ๆ และหลานๆ แยกย้ายกลับบ้านของคน ตี๋จึงชวนคุณชายไปนั่งเล่นที่ศาลาริมแม่น้ำ
.
“ บ้านตี๋น่ารักดีนะครับ ”
.
คุณชายเต้เอ่ยขึ้น เมื่อทั้งคู่เข้ามานั่งในศาลาแล้ว
.
“ เวียนหัวดีไหมครับ โดยเฉพาะเจ้าแสบทั้งหลาย ”
.
ตี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อพูดถึงครอบครัวของตนเอง
.
“ น่ารักดี คุณแม่ของตี๋ท่านมองการณ์ไกล ที่ให้ปลูกบ้านในรั้วเดียวกัน เพราะเวลาปู่ ย่า แก่ตัว อย่างน้อยก็ยังมีหลานมาวิ่งเล่นให้คลายเหงา ”
.
“ ใช่ครับ คุณแม่ท่านก็ว่าอย่างนี้ ท่านว่า พื้นที่บ้านเรามีตั้งมากมาย จะย้ายออกไปสร้างบ้านให้ไกลทำไม ”
ตี๋เห็นด้วยกับความคิดของคุณชายเตชณัฐ
.
“ ป๊า กับคุณแม่ ดูไม่แปลกใจอะไรเลย ที่พี่กับตี๋คบกัน ”
.
“ อ้าว แล้วจะให้ท่านแปลกใจอะไรเหรอครับ ”
.
คุณชายเต้เอ่ยถึงเรื่องที่บิดา และมารดาของตี๋ ดูไม่แปลกใจที่บุตรชายของตน รักชอบกับผู้ชายด้วยกัน เพราะตามที่คุณชายเคยได้รับฟังมา คนจีนมักอยากให้ลูกชายมีหลานสืบสกุล
.
“ เห็นป๊าพูดไทยคำ จีนคำ แบบนั้น แต่ความคิดนี่อย่างวัยรุ่นนะครับ บางวันป๊ายังชวนหลานๆ เข้ากลุ่มตีบอสในเกมส์ออนไลน์ด้วยซ้ำ ”
.
ตี๋ว่าขำๆ เมื่อนึกถึงความเป็นวัยรุ่น ไม่ตกยุคของบิดาตนเอง
.
“ ขนาดนั้นเลยเหรอครับ ”
.
“ ขนาดนี้ล่ะครับ อย่างที่เห็น เจ้าแสบหลานๆผมน่ะ ติดท่านทั้งนั้น ”
.
คุณชายทำหน้าคล้ายไม่เชื่อ เพราะภาพที่เห็นคือ ป๊าของตี๋ดูเป็นคนเหมือนจะหัวเก่าไม่น้อย จากการแต่งตัว และคำพูด
.
“ โดนป๊าหลอกแล้วครับพี่เต้ ไม่เชื่อเดี๋ยวรอดูพรุ่งนี้ ”
.
แม้ในตอนที่ได้ฟังครั้งแรก คุณชายเต้ไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องยอมรับด้วยภาพ เมื่อป๊าที่เป็นคนยุคเก่า แต่งตัวด้วยเสื้อกล้าม กางเกงบอล เป็นหัวหน้าแก้งค์พาหลายๆออกกำลัง ด้วยการปั่นจักรยานตอนเช้า
.
และสิ่งที่ได้ฟังจากปากของบิดาของตี๋อีกครั้ง ก็ทำให้คุณชายเต้หมดกังวล กับเรื่องที่ตนรักกับบุตรชายคนเล็กของบ้านนี้
.
“ อาเต้ ป๊าฝากอาตี๋อีด้วย ป๊าไม่อยากให้เกิดเรื่องเศร้าเหมือนรุ่นปู่ ย่า สมัยกระนู้น รักกัน ก็ดูแลกันและกัน ป๊าขอแค่นี้ อาเต้จะรับป๊ากับม๊าได้ไหม ”
.
“ ได้ครับ ผมจะดูแลน้องให้ดี เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ ผมเองไม่ต้องการให้เรื่องเมื่อครั้งนั้น เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ”
.
ป๊าของตี๋เอ่ยฝากฝัง ให้คุณชายเต้ช่วยดูแลบุตรชายของตน ซึ่งคุณชายเองก็รับปาก และสัญญากับใจว่าจะต้องทำให้ได้
.
“ ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก อาเต้อย่าคิดมากไป ป๊าขอบใจ บ้านของเราก็ได้ท่านช่วยไว้มาก ไม่อย่างนั้น คงไม่มีอย่างทุกวันนี้ ”
.
ป๊าขอบใจที่คุณชายเต้รับปากตนเอง พลางนึกถึงเรื่องที่ท่านเจ้าพระยา ได้ให้ทรัพย์สินจนมาตั้งตัวได้ และครอบครัวก็มีความสุขเช่นทุกวันนี้
.
คุณชายอยู่ทานอาหารเช้าที่บ้าน ซึ่งมีเพียงป๊า ม๊า และตี๋เท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ตี๋บอกว่าจะมาพร้อมหน้ากันตอนมื้อเย็นเท่านั้น
.
หลังจากรับมื้อเช้าเสร็จ คุณชายก็กราบลาเจ้าของบ้าน เพราะตนเองกับบุตรชายคนเล็กอย่างตี๋ คุยกันไว้ว่า จะแวะไปไหว้พระ ทำบุญที่วัดในตัวเมือง และแวะเที่ยวระหว่างทางกลับกรุงเทพด้วย
.
“ เสียดายจัง มาคราวนี้ไม่เจอหลวงปู่ ”
.
ตี๋เอ่ยขึ้น เมื่อคุณชายขับรถออกมาได้สักพัก
.
“ หลวงปู่ ใครหรือครับ ”
.
คุณชายถามขึ้นด้วยความสงสัย
.
“ พูดไปพี่เต้อาจจะไม่เชื่อ ”
.
“ ทำไมล่ะครับ ทำไมคิดว่าพี่จะไม่เชื่อ พี่เจอเรื่องเหลือเชื่อมาขนาดนี้แล้ว ”
.
“ นั่นสิครับ ผมก็ลืมนึกไป ”
.
ตี๋ยิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบของคุณชาย
.
“ พี่เต้จำพี่สุก เมื่อครั้งนั้นได้ไหมครับ ”
.
“ จำได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ”
.
“ นั่นล่ะครับหลวงปู่ที่ผมพูดถึง ”
.
ตี๋ว่าด้วยรอยยิ้ม และยิ่งยิ้มกว้างขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าตกใจ ปนแปลกใจของคุณชาย
.
“ นายสุกคนนั้นน่ะเหรอ พี่ก็อยากจะขอบคุณ แล้วก็ขอโทษเขาเหมือนกัน ”
.
คุณชายเต้กล่าวตอบน้อง ด้วยน้ำเสียงเศร้า ระคนเสียใจ ที่ตนเองในอดีต เป็นสาเหตุให้อีกฝ่ายต้องจากไป
.
“ หลวงปู่ท่านไม่ได้โกรธพี่เต้หรอกครับ เชื่อสิ ”
.
ตี๋ปลอบใจพี่
.
“ แล้วทำไมน้องถึงบอกว่า มาคราวนี้ไม่ได้เจอท่านล่ะ เราไปหาท่านไม่ได้เหรอ ”
.
คุณชายเต้ถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดก่อนหน้าของน้อง
.
“ ท่านออกธุดงค์น่ะครับ แต่อีกไม่นานคงกลับ ท่านยังฝากผมไว้เลยนะว่า ให้ผมพาพี่ไปพบท่านด้วย ”
.
ตี๋ตอบคำถามของพี่ ว่าทำไมไม่สามารถไปหาหลวงปู่ได้ในตอนนี้
.
“ ตอนแรกที่ท่านบอก ผมไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าจะได้เจอพี่เต้ แต่ท่านว่า เราสองคนมีชะตาต้องกัน ยังไงก็ต้องได้เจอ ”
.
“ อย่างนั้นหรือครับ ดีเลย พี่จะได้กราบท่าน แล้วท่านไม่ได้บอกอะไรน้องมากกว่านี้หรือครับ ”
.
“ ไม่ได้บอกอะไรเลยครับ หลวงปู่บอกแค่นี้เอง ผมก็ถามนะ แต่ท่านไม่ยอมบอก ท่านว่าไม่ใช่เรื่องที่ผมควรรู้ในตอนนั้น ”
.
ตี๋บอกเล่าเรื่องที่ได้รับฟังมาจากหลวงปู่ให้พี่ฟัง ซึ่งคุณชายเต้นั้นก็พยักหน้ารับรู้
.
“ แล้วท่านจะกลับมาจำวัดอีกเมื่อไหร่ครับ ท่านบอกไว้หรือเปล่า ”
.
คุณชายเต้ถามเรื่องที่ตนสงสัย
.
“ ไม่ได้บอกหรอกครับ แต่คิดว่าเร็วๆนี้ เพราะท่านไปธุดงค์อย่างนี้ทุกปี และจะกลับมาจำวัด ตามเวลาเดิมเหมือนทุกที ”
.
“ ถ้าอย่างนั้น เราค่อยกลับมากราบท่าน ไม่รู้ว่าท่านจะบอกอะไร พี่เองก็มีเรื่องอยากรบกวนท่านอยู่เหมือนกัน ”
.
เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากน้อง คุณชายจึงคลายสงสัย แต่ก็มีเรื่องอื่นให้สงสัยแทน ด้วยไม่รู้ว่าหลวงปู่ที่เคยเป็นบ่าวเรือนริมน้ำเมื่อกาลก่อน ต้องการจะบอกอะไรกับตนเอง
.
แต่ยิ่งคิด ก็ยิ่งกังวลไปเอง ตอนนี้คุณชายเตชณัฐ อยากจะใช้เวลากับน้องให้มากที่สุด เพราะไม่รู้ว่า เรื่องราวในวันต่อไปจะเป็นเช่นไร
.
.
.
.
.
***************************************
.
.
.
.
.
หลวงปู่มีอะไรจะบอกคุณชายกันแน่
.
แล้วเรื่องอะไรที่คุณชายเป็นกังวล
.
ช่วยให้กำลังใจคุณชายกับน้องด้วยนะขอรับ
.
ขอบคุณทุกแรงใจขอรับ
.
พบเจอคำผิด สะกิดได้เลยขอรับ
.
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.
.


ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

Billie : ขอบคุณจ้า

สีหราช : ขอบคุณจ้า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ลืมเปลี่ยนหัวตอนนะ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

Billie : ขอบคุณขอรับ ตามไปแก้บัดเดี๋ยวนี้จ้า


ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนที่ 18
.
.
.
ห้องสุดท้าย

.
.
.
.
.
เมื่อวัน และคืนเดินทาง ความสัมพันธ์ของผู้คนจึงก้าวตามไป นิสิตแพทย์กวีทัศน์ หรือหมอก็อต สานสัมพันธ์กับบรรณวิชญ์ หรือน้องบาสที่เจ้าตัวชอบเรียก จากที่คิดว่าจะคบกันเล่นๆ กลับกลายเป็นคู่รักที่น่าอิจฉาอีกคู่
.
เพราะกวีทัศน์แม้จะมีเวลาไม่มากนัก เพราะต้องฝึกงานที่โรงพยาบาลเกือบทุกวัน หากว่ามีเวลาว่าง เจ้าตัวก็จะชักชวนบรรณวิชญ์ไปเที่ยว
.
เช่นเดียวกับบรรณวิชญ์เอง หากว่างก็จะมาหา เพราะรู้ว่างานแพทย์นั้นไม่มีเวลาว่างมากอย่างคนอื่นๆ
.
ส่วนคิมม่อน หลังจากทำตัวเป็นพี่หวงน้องอยู่พักใหญ่ ก็ปลงตกว่า นั่นคือสิ่งที่น้องเลือก ตนเองคงได้แต่มองอยู่ห่างๆ และคอยประคองเมื่อยามน้องพลาด
.
ด้านความรักระหว่างเจ้าตัวกับคอปเตอร์ ก็ค่อยๆเป็น ค่อยๆไปเหมือนเดิม แต่แน่นเฟ้น อาจไม่ได้หวือหวา หรือหวานหยด แต่ก็ละมุน ละไม
.
ด้านสุธีร์ แม้ว่าจะไม่ได้มีคนรักเป็นตัวเป็นตน แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รีบอะไร เพราะคิดว่าลองมองอะไรไปเรื่อยๆ หากเจอสิ่งที่ใช่ก็พร้อมจะหยุด
.
ฝั่งของคุณชายเตชณัฐ กับน้องตี๋ ตีรณ หากจะบอกว่า เพราะความหนหลังทำให้ทั้งคู่ผูกพันกันมา แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง
.
ที่เป็นอย่างนั้นเพราะคุณชายเตชณัฐคิดว่า แม้ไม่มีเสี้ยววิญญาณของคุณเทียด ตนเองก็พร้อมจะทำให้น้องรักได้
.
ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้น เพราะตี๋เอง แม้จะมีความทรงจำแต่หนหลัง หากมันเป็นเพียงส่วนเล็กๆ และจำตัวเองก็รู้ว่า ตนเองนั้น ต่างจากน้องน้อยเมื่อครั้งอดีตมากมาย จนเกือบไม่มีอะไรที่เหมือนกัน นอกจากหน้าตา
.
“ ช่วงนี้ต้องเจอหมอพริ้งตลอด ตี๋ไหวไหมครับ ถ้าไม่ไหวจริงๆก็พักนะ พี่เป็นห่วง ”
.
คุณชายเตชณัฐสั่งความคนรักของตน เมื่อเดินมาส่งอีกคนหน้าแผนก ที่ตี๋ต้องเรียนรู้ก่อนจะจบการฝึกงาน
.
“ ครับ ผมจะดูแลตัวเองอย่างดี อีกอย่างหมอพริ้งก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อครานั้น ”
.
ตี๋บอกกับคนรักให้สบายใจ ทั้งที่ในใจนั้น อดจะหวั่นๆไม่ได้ มีบางอย่างที่เจ้าตัวรู้สึกได้ว่า หมอพริ้งเปลี่ยนไปจากเดิม
.
ในวันแรกที่เจอหมอพริ้ง เธอดูใจดี และไม่มีทีท่าเหมือนคุณพริ้งเลย ตลอดการฝึกงานในวิชาแพทย์ ต้องเจอกับหมอพริ้งอยู่บ้าง เธอก็น่ารัก ยิ้มแย้ม ทั้งสีหน้า และแววตา
.
แต่เมื่อไม่นานมานี้ ที่เพิ่งเจอเมื่อตอนที่สรุปงานประจำสัปดาห์ ตี๋ได้เจอกับหมอพริ้ง ครั้งนี้หมอพริ้งดูแปลกไปจากเดิม บางครั้งแววตาหมอพริ้งที่มองมาที่ตนนั้นดูน่ากลัว มันเป็นแววตาที่เห็นแล้วทำให้ขนลุก พาให้ตัวสั่นสะท้าน แม้จะเพียงแว่บเดียว ก่อนจะกลับไปเป็นแววตาเดิม
.
นั่นก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนที่มีความกลัวฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก แม้จะเพียรพยายามบอกกับตนเองสักเพียงไหนก็ตามว่า หมอพริ้งคนนี้ ไม่ใช่คุณพริ้งคนนั้น แต่ส่วนหนึ่งในกายก็คอยเตือนอยู่เสมอว่า คนนี้อันตราย อย่าเผลอตัวไปนัก
.
อย่างไรก็ตาม ตี๋ไม่ได้พูดความกังวลในใจของตนออกไปให้คนรักรู้ เพราะไม่อยากให้คุณชายเตชณัฐ ต้องมาคอยเป็นห่วงตนเองอยู่ตลอด
.
“ ครับๆ พี่เชื่อ เพราะพี่เชื่อคนที่พี่รักเสมอ แต่ถ้าไม่ไหวจริงอย่าฝืนนะครับ พี่เป็นห่วง น้องก็รู้ใช่ไหม ”
.
คุณชายเตชณัฐรับคำคนรักของตน แต่ก็ไม่วายกำชับน้อง เพราะไม่อยากให้อีกคนต้องฝืนตัวเองจนเกินไป
.
ไม่ใช่ว่าตนเองจะดูไม่ออกว่า ตี๋คนรักของตนนั้น มีเรื่องปิดบังอยู่ แต่คุณชายเตชณัฐก็เลือกที่จะไม่ถามเอาความต่อ เพราะเชื่อว่า เมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายพร้อม ก็คงจะพูดออกมาเอง และตนนั้นก็เชื่อใจคนรักอย่างที่เอ่ยบอกไปจริงๆ
.
“ งั้นผมไปก่อนนะครับ ”
.
“ ครับ เดี๋ยวตอนพักพี่ไปหานะ อย่าแอบหนีไปคนเดียวอีกล่ะ ”
.
คุณชายเตชณัฐกำชับอีกครั้ง เพราะหลายวันก่อน เจ้าตัวดีของตนแอบหนีไปนั่งกินข้าวคนเดียว ไม่ยอมบอกใคร ทำเอาใจหายใจคว่ำไม่น้อย
.
“ คร้าบบบบ ไม่รู้ว่าผมมีแฟน หรือมีป๊าคนที่สองกันแน่ สั่งจังเลย ไปแล้ว ตั้งใจทำงานนะครับคุณหมอเต้ ”
.
ตี๋ลากเสียงยาว และยังล้อเลียนว่าคุณชายเป็นเหมือนป๊าคนที่สอง ก่อนจะหลบฉากออกไปเมื่อเห็นว่าคุณชายเตรียมจะว่าอีกครั้ง
.
คุณชายเตชณัฐได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ กับสิ่งที่น้องทำ แต่ก็ดีใจที่เห็นคนรักยิ้มได้ ร่าเริง ไม่เหมือนอดีต ที่น้องน้อยจะเจียมตนอยู่เสมอ
.
แต่หากถามว่าตัวเขาในตอนนี้ รักน้องในแบบไหนมากกว่ากัน คุณชายก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะความรักของตนนั้น รักก็คือรัก ไม่ว่าคนที่คนรักจะเป็นแบบไหน
.
หลังจากแยกกับคุณชายเตชณัฐแล้ว ตี๋จึงเริ่มงานในส่วนของตนเอง พร้อมกับสุธีร์ คู่วิจัยของตน
.
เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว นิสิตแพทย์ก็จะจบการฝึกประสบการณ์ในโรงพยาบาล งานวิจัยของตี๋และสุธีร์นั้นเกือบสมบูรณ์แล้ว เพราะได้แพทย์พี่เลี้ยงช่วยเหลือทุกอย่าง เหลือเพียงนำเสนองาน ก็ถือว่าสมบูรณ์
.
“ ตี๋ นายวันนี้หมอพริ้งดูแปลกๆไหม หรือผมคิดไปเอง ”
.
สุธีร์เอ่ยถามคู่วิจัยของตน หลังจากออกตรวจคนไข้กับหมอพริ้งมาจนครบ และกำลังเดินกลับเข้าห้องพักแพทย์ เพื่อสรุปงาน
.
“ ไม่มั้ง ”
.
“ ยังจะมามั้งอีก นายก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ถึงคู่เราจะไม่ได้คุยกับหมอพริ้งบ่อยเหมือนคู่คอปเตอร์ กับก็อต แต่ผมว่า ปกติหมอพริ้งไม่ใช่แบบนี้นะ ”
.
สุธีร์ออกความคิดเห็น ถึงหมอพริ้งจะไม่ใช่แพทย์พี่เลี้ยงของกลุ่มตน เหมือนคุณชายเตชณัฐ แต่ก็ได้เจอกันเป็นประจำ ทำให้ได้พูดคุยกับหมอพริ้งมาพอสมควร
.
“ แล้วนายว่าหมอพริ้งแปลกยังไง ”
.
ตี๋เองก็รู้สึกได้เช่นกันว่า วันนี้หมอพริ้งดูแปลกไปจริงๆ อย่างที่สุธีร์ว่า ความกลัวที่อยู่ในกายนั้นมันฟ้อง มือที่จับปากกาเขียนอาการของคนไข้ สั่นจนแทบอ่านข้อความไม่ได้ แต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ใครรู้
.
“ ไม่รู้สิ แต่แววตาหมอพริ้งแปลกไป มองแล้วสยองๆยังไงไม่รู้ แถมบางทีนะ แกหันมองนายแบบ... ยังไงดีล่ะ เหมือนแค้นมานานอะไรแบบนี้ ”
.
“ คิดมากน่า หมอพริ้งจะมาแค้นอะไรผม ”
.
สิ่งที่สุธีร์บอกนั้น ตี๋เองก็รับรู้ได้ แต่เลือกที่จะเฉไฉแทน
.
“ อ้าวใครจะรู้ อาจเพราะนายแย่งคุณชายหมอมาก็ได้ ใครๆเขาก็พูดกันนี่ ”
.
สุธีร์ว่า ความที่คนในโรงพยาบาลพูดกันไว้หนาหู ก่อนที่ตี๋จะเข้ามาฝึกประสบการณ์ เสียงเล่าลือว่า หมอพริ้งนั้นชอบพอคุณชายหมอ และทั้งคู่เคยเรียนด้วยกัน ก็ยิ่งทำให้เสี่ยงเล่าลือนั้นมากขึ้นไปอีก
.
จริงอย่างที่สุธีร์ว่า แต่คุณชายเตชณัฐก็ยืนยันว่า ตนเองกับหมอพริ้งไม่เคยคิดอะไรกันไปมากกว่าเพื่อนร่วมชั้น จนกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงาน
.
“ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ มาสรุปเคสวันนี้กันดีกว่า เดี๋ยวไม่เสร็จ ไม่รู้ด้วยนะ วันนี้มีนัดไม่ใช่รึไง ”
.
“ เออๆ ไม่ต้องมาทำหน้ารู้ทันเลย เขียนรายงานไปเลย ”
.
ตีรณเปลี่ยนเรื่อง มาแซวสุธีร์เพราะวันนี้เจ้าตัวมีนัด ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะสุธีร์เองก็ไม่อยากโดนเพื่อนแซวเช่นกัน
.
หลังจากสรุปงานเช้าเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาพักพอดี คุณชายเตชณัฐที่เพิ่งเสร็จจากงานของตน ก็มาหาคนรักที่ห้องพักแพทย์ ก่อนทั้งคู่จะไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน
.
แม้จะมีเวลาไม่มากนัก เพราะต้องกลับขึ้นไปตรวจคนไข้ตอนบ่าย แต่คุณชายเตชณัฐก็พยายามจะใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่าที่สุด
.
“ ตอนเย็นพี่รอที่เดิมนะครับ ”
.
เมื่อผ่านมื้อกลางวันไป ทั้งคู่แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ โดยคุณชายเตชณัฐไม่ลืมที่จะกำชับคนรักอีกครั้ง
.
“ ครับๆ ผมไม่ลืมหรอกน่า ทำอย่างกับว่าตัวเองจะไม่เข้าฟังสรุปงานตอนเย็นอย่างนั้นแหละ หรือวันนี้พี่เต้ไม่เข้าฟังครับ ”
.
ตี๋แหย่คนรัก ก่อนจะถามขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้ เพราะสัปดาห์นี้เป็นเวรของหมอพริ้ง ที่จะเข้าฟังสรุปงานประจำวัน แต่หากมีเวลาว่าง ไม่ได้ขึ้นตรวจ คุณชายเตชณัฐก็จะเข้าฟังด้วยเสมอ แม้จะไม่ใช่เวรของตนเองก็ตาม เช่นเดียวกับหมอพริ้ง เธอเองก็เข้าฟังทุกครั้งที่สามารถทำได้
.
“ พี่ไม่แน่ใจครับ เพราะช่วงบ่ายพี่มีเคสผ่าตัด ไม่รู้ว่าจะเสร็จทันเราหรือเปล่า เอาเป็นว่า ถ้าเราเสร็จก่อน ก็รอพี่ก่อนนะครับ ”
.
“ รับทราบขอรับ ”
.
คุณชายเตชณัฐบอกน้อง ซึ่งคนน้องก็รับทราบพี่ ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกกันไปทำหน้าที่ของตนเอง
.
.
.
.
.
*****************************************************
.
.
.
.
.
“ มีใครสงสัย จะสอบถามอะไรเพิ่มไหมคะ ”
.
เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้องประชุมเล็ก หลังจากจบการสรุปงาน ซักถาม และตอบข้อสงสัย เสร็จสิ้นลง
.
“ ถ้าไม่มีข้อสงสัยอะไรแล้ว วันนี้ก็ปิดเคสได้ค่ะ ”
.
“ขอบคุณครับ ”
.
เมื่อไม่มีใครซักถามอะไรอีก ผู้ใหญ่สุดในห้องจึงกล่าวจบงานในวันนี้ เสียงขอบคุณของทุกคนกล่าวขอบคุณ ก่อนคนที่มีนัดจะขอแยกตัวออกไป
.
“ หมอตี๋ คุณว่างหรือเปล่าคะ ”
.
“ ครับ คุณหมอพริ้งมีอะไรหรือเปล่าครับ ”
.
“ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่จะขอแรงให้ช่วยถือเอกสารไปส่งที่ห้องน่ะค่ะ ”
.
“ ครับ ”
.
หมอพริ้งว่า พร้อมกับหันไปมองแฟ้มงานของทุกคนที่เพิ่งสรุปกันไป แม้ว่าตี๋จะสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงขอให้ตนเองช่วย ทั้งที่แฟ้มงานก็ไม่ได้มากมายจนถือได้ไม่หมด
.
“ ให้ผมช่วยไหมครับ ”
.
“ ขอบคุณค่ะหมอเตอร์ แต่ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ พอดีหมออยากคุยกับหมอตี๋ด้วย ได้ไหมคะหมอตี๋ ”
.
คอปเตอร์เองก็แปลกใจเช่นกันว่า ทำไมหมอพริ้งจึงเรียกไม่ไหว้วานตน เพราะตนเองเป็นนิสิตแพทย์ในความดูแลของหมอพริ้งโดยตรง แต่เมื่อได้ฟังเหตุผล ก็พอจะเข้าใจ
.
เมื่อไม่มีใครสงสัยอะไร หมอพริ้งจึงออกเดินนำออกไป ตี๋หันมาสบตาคอปเตอร์อีกครั้ง ก่อนจะก้าวเท้าตามหมอพริ้งออกไป
.
หมอพริ้งเดินไปตามทางในตึก ไม่ได้รีบร้อนอะไร เพียงแต่ทางเดินนี้ทำให้ตี๋แปลกใจ จนต้องเอ่ยถามออกไป
.
“ คุณหมอพริ้งจะไปไหนก่อนหรือครับ ”
.
“ เดินตามมา อย่าพูดมาก ”
.
“ ครับ คุณหมอพริ้งว่าอะไรนะครับ ”
.
เสียงที่ได้ยินนั้นแหบพร่า จนไม่สามารถจับใจความได้ ตี๋จึงเอ่ยถามอีกครั้ง
.
“ ไม่มีอะไรหรอก หมอลืมงานไว้น่ะ เพิ่งนึกได้ ก็เลยว่าจะไปเอาก่อน ”
.
หมอพริ้งตอบ แต่ไม่ได้หันหน้ากลับมา เสียงที่ได้ยินนั้น ทำให้ตี๋แปลกใจ และสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ มันไม่เหมือนเสียงหมอพริ้งเสียทีเดียว มันเหมือนมีเสียงของใครอีกคนแทรกอยู่
.
เดินทางที่ก้าวตามคนด้านหน้าไปนั้น สุดทางอยู่ที่ห้องสุดท้าย ตี๋แปลกใจไม่น้อยว่า หมอพริ้งลืมอะไรไว้ เพราะหมอพริ้งไม่น่าจะมีหน้าที่ในห้องนี้
.
“ หมอพริ้งลืมอะไรไว้ที่นี่หรือครับ ”
.
ตี๋เลือกที่จะถามออกไป
.
“ ไม่ต้องถามมาก เดินเข้าไป ”
.
ไม่เพียงไม่ตอบ แต่หมอพริ้งกับเปิดประตูแล้วดันอีกคนเข้าไป ด้วยแรงที่เกินกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆจะทำได้
.
“ คุณหมอพริ้งจะทำอะไรครับ ”
.
“ กูมิใช่มัน ”
.
“ หมายความยังไง คุณหมอหมายถึงอะไร ”
.
ตี๋ตกใจ และงง แต่มากไปกว่านั้นคือความกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ถึงจะพยายามปลุกปลอบตัวเองแค่ไหน มันก็ไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
.
“ กูมิใช่มัน มึงจำกูริได้เชียวรึ ”
.
“ พี่ปริก ”
.
“ เออกูเอง แลมึงมิตัวมายกตัวเสมอกู กูมิเคยมีน้อง ”
.
ใบหน้าของคนในอดีตที่ซ้อนทับขึ้นมา ทำให้ตี๋หมดแรงกะทันหัน แม้อยากจะสู้ แต่ร่างกายนั้นไม่ยอมรับฟัง
.
“ มึงนี่เกิดมาเพื่อเป็นมารความรักของนายกูจริงเชียว เมื่อครานั้นกูจับมึงขัง มึงยังจะออกมาได้อีก แต่ครานี้ กูจักมิยอมให้มึงไปเป็นมารของนายกูได้อีก ”
.
เสียงของนางปริกในร่างหมอพริ้งเอ่ยขึ้นอย่างเครียดแค้น พร้อมกับเดินหน้าเข้าร่างที่สั่นเทาด้วยความกลัว
.
“ คุณหมอพริ้ง ได้สติเสียทีเถอะครับ ”
.
“ มึงไม่ต้องเรียกมันดอก ป่านนี้มันอยู่กับนายกูนู่น ช่างเป็นคนดีเสียเหลือเกิน วันนี้จักเป็นวันตายของมึง ครานั้นกูมิได้ฆ่ามึงกับมือ แต่ครานี้ มึงจักต้องตายด้วยมือกู ”
.
นางปริกสาวเท้าเข้าหา พร้อมกับหยิบกรรไกรสำหรับตกแต่งบาดแผล ออกจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ ย่างสามขุมเข้าหา
.
“ ครานั้นมึงเป็นเยี่ยงไรเล่า ทรมานรึไม่ ครานี้มึงมิต้องกลัว กูจักปราณีมึงให้มาก ”
.
ตี๋นั้นพยายามจะควบคุมความกลัวของตนเอง แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ เมื่อใจถึงไปถึงความเจ็บปวดเมื่อคราก่อน
.
“ หยุดก่อกรรมเสียทีเถิดพี่ปริก ”
.
“ มึงมิต้องมาพูดดีกับกู อย่างไรเสีย วันนี้จักต้องเป็นวันตายของมึง ”
.
“ โอ๊ะ!!! ”
.
ตี๋อุทานขึ้นเมื่อด้านหลังชนเตียงกลางห้อง แล้วล้มลงบนนั้น เป็นจังหวะเดียวกับนางปริกก้าวเท้ามาถึงพอดี
.
“ ปล่อยผม ”
.
ตี๋ว่าเมื่อโดนอีกฝ่ายคว้าข้อเท้าไว้ ทั้งยังพยายามจะขืนตัวออกจากการเกาะกุม
.
“ โอ๊ย!!! ”
.
ตี๋ยกขาอีกข้างที่ว่างอยู่ ยันอีกคนออกไป ถึงตอนนี้ตี๋ไม่สนใจแล้วว่า ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นหญิง หรือชาย ใต้จิตสำนึกรู้เพียงแต่ ตนเองจะต้องหนีออกไปให้ได้
.
“ มึงกล้าถีบกูกระนั้นรึ ”
.
เสียงแค้นเคืองที่อีกคนว่า ทำให้คนที่กลัวอยู่แล้ว ยิ่งกลัวหนักกว่าเดิม
.
“ มึงรู้รึไม่ว่า เหตุใดกูจึงพามึงมาที่นี่ อีนังหมอคนนี้มันขัดขืนกูนัก กว่ากูจะครองร่างมันได้เยี่ยงนี้ นายกูก็ต้องเหนื่อยไปด้วย ”
.
นางปริกว่า พลางเดินเข้าหาตี๋ไปด้วย ตี๋ถอยหลังหนีไปเรื่อย ใจนั้นอยากจะออกไปห้องสุดท้ายนี้เต็มทน แต่ติดที่ว่า ทางออกเพียงทางเดียวนั้น ต้องเดินผ่านอีกฝ่ายออกไป
.
“ มึงมิต้องคิดหนีดอก เยี่ยงไรมึงก็หนีกูมิพ้น ”
.
“ โอ๊ย!!! ”
.
สิ้นเสียงนางปริกก็กระโจนเข้ามา พร้อมกับเงื้อกรรไกรในมือ ปักลงบนไหล่ของตี๋ ที่ช่องเก็บร่างสุดท้าย ชิดผนัง
.
“ มึงมิควรเกิดมาแต่แรก หากมิมีมึง คุณเต้จักต้องรักนายกู แลนายกูมิต้องเป็นเยี่ยงนี้ ”
.
“ อ๊า!!! ปล่อยผมไปเถิด ”
.
“ มึงมิต้องไหว้กู มึงมิเคยหลาบจำ แลมิเคยจำใส่กบาลหัวแม้แต่น้อย มึงไหว้กูมากี่ครา แล้วกูเคยปล่อยมึงไปรึไม่ ”
.
ตี๋ร้องอย่างตระหนก ปนเจ็บปวดเมื่ออีกฝ่ายถอนกรรไกรออกจากไหล่ แล้วปักลงหน้าขาของตน ก่อนจะยกมือไหว้ขอร้องอีกคน
.
นางปริกมิได้ไยดีคำร้องขอแม้แต่น้อย นางดึงเลื่อนช่องเก็บร่างที่อยู่ตรงหน้าออก แล้วออกแรงผลักคนที่กำลังตระหนกเข้าไป
.
ตี๋ที่บาดเจ็บอยู่แล้ว เมื่อโดนผลักจึงเสียหลักล้มลงในช่องเก็บร่างตามแรงของคนผลัก ภายในช่องนั้น มีร่างของใครคนหนึ่งนอนทอดกายอยู่ก่อนแล้ว
.
“ อย่างน้อยมึงควรจักดีใจ ที่กูยังใจดี ไม่ปล่อยให้มึงต้องตายเพียงลำพัง ”
.
ว่าแล้วนางปริกก็เลื่อนช่องเก็บร่างกลับเข้าที่เดิม แล้วล็อคสลักด้านนอก ไม่สนใจเสียงทุบประตูจากด้านใน เสียงทุบประตูเบาลงเรื่อยๆ พร้อมกับร่างของหมอพริ้ง เช็ดคราบเลือดบนพื้นเสร็จ
.
ช่องเก็บร่างนั้นอยู่ด้านในของห้องสุดท้าย ด้านหน้าเป็นห้องอาบน้ำ ทำความสะอาด แต่งตัว มีเตียงกว้างหลังสุดท้ายของร่างไร้ลมหายใจ
.
ภายในห้องมีอุปกรณ์ทำความสะอาดคราบเลือด และมีภาชนะจัดเก็บ จึงไม่เป็นที่สงสัยนักหากในห้องนี้จะมีผ้าเปื้อนเลือดสักผืน
.
ร่างนั้นยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเสียงทุบประตูนั้นเบาลงเรื่อยๆ จนเงียบไปในที่สุด ขาเรียวสวยก้าวออกจากห้อง พร้อมกับกดล็อคซ้ำอีกครั้ง แล้วเดินออกไป โดยไม่แม้จะหันกลับมามองด้านหลังอีก
.
.
.
.
.
***************************************************
.
.
.
.
.
ฝากน้องตี๋ไว้ในช่องเก็บร่างก่อนนะขอรับ
.
.
ขอบคุณทุกแรงใจขอรับ
.
พบเจอคำผิด สะกิดได้เลยขอรับ
.
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนที่ 19
.
.
.
พบเจอ

.
.
.
.
.
ว่ากันว่า คนเราเมื่อวิญญาณออกจากร่าง จะไปตามทางของผลแห่งกรรมที่ตนเองเคยทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิต
.
ตี๋ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ตนเองจะได้มาสัมผัสกับคำกล่าวเหล่านี้ด้วยตนเอง ในเวลาที่รวดเร็วจนเกินกว่าจะตั้งตัวทัน
.
ความเย็นรอบตัวทำให้เรี่ยวแรงที่มีเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ พอๆกับสติ ที่ไม่อาจจะประคองเอาไว้ได้
.
เมื่อเริ่มทำใจได้ว่า คนที่ทำร้ายตน คงไม่มีทางปล่อยตนให้รอดออกไป มือที่พยายามทุบประตูจนเจ็บจึงทิ้งลงข้างตัว แล้วปล่อยร่างที่ไม่อาจฝืนให้นอนราบตามแรงโน้มถ่วง
.
ตี๋ได้แต่พึมพำกล่าวขอโทษร่างแข็งเย็นซีด ที่ตนเองนอนทับอยู่ และขออโหสิกรรมไปพร้อมกัน เพราะตนเองมาสร้างความลำบากให้เจ้าของร่าง แม้ว่าร่างจะหมดลมหายใจไปแล้ว
.
อนุสติสุดท้าย ยังคงคิดถึงคนที่เป็นที่รัก ไม่รู้ว่าป่านนี้อีกคนจะรู้ไหมว่าตนเองหายไป จะตามหาตนเจอหรือเปล่า หรืออาจจะรอตนอยู่ที่ห้องเดิมนั้น
.
“ พี่เต้......”
.
น้ำเสียงแผ่วเบาที่เอ่ยเรียกชื่อคนรัก ก่อนสติรับรู้จะปิดลงโดยสิ้นเชิง
.
.
.
.
.**************************************************************
.
.
.
.
.
“ พี่เต้...... ”
.
คุณชายเต้เหลือบมองตามเสียงที่ได้ยิน เพราะน้ำเสียงนั้น ตนเองจำได้ดีว่า เป็นเสียงของคนรัก แต่ก็ไม่เจอใคร
.
สองเท้าก้าวยาวๆ เมื่อความร้อนรุ่มในใจเพิ่มขึ้นโดยไม่มีที่มา ทั้งที่เมื่อตอนเที่ยงยังไม่อาการเหล่านี้แม้แต่น้อย
.
แต่จู่ๆตนเองก็รู้สึกกระวนกระวาย เป็นห่วงคนรักอย่างบอกไม่ถูก แต่ด้วยภาระหน้าที่ จำต้องพยายามปรับอารมณ์ให้สงบ แล้วไปทำหน้าที่แพทย์ของตนเอง
.
“ หมอพริ้ง!!! ”
.
“ค...คะ ”
.
คุณชายเต้เอ่ยเรียกเพื่อนร่วมวิชาชีพ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าพอดี และแม้จะรู้สึกถึงอะไรบ้างอย่างที่แปลกไป แต่ด้วยใจที่ร้อนรนจึงทำให้คุณชายเลือกที่จะถามสิ่งที่ตนอยากรู้แทน
.
“หมอพริ้งประชุมงานวันนี้เสร็จแล้วหรือครับ ”
.
“ ค่ะ ”
.
คุณชายเต้ยกข้อมือเพื่อดูเวลา พบว่ามันเร็วกว่าปกติมากทีเดียว
.
“ ครับ แล้ว....”
.
“ คืออิ....พริ้งรู้สึกไม่ค่อยดีน่ะค่ะ ก็จะกลับแล้ว ขอตัวนะคะ ”
.
ไม่ทันที่คุณชายเต้จะพูดจบ หมอพริ้งก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน ท่าทางนั้นเหมือนไม่เป็นตัวเอง จนคุณชายเต้ยังแปลกใจ แต่เพราะมีเรื่องที่กังวล เจ้าตัวจึงไม่ต่อความกับคนที่เพิ่งเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
.
“ อ้าว!!! เตอร์ จะกลับแล้วเหรอ ”
.
คุณชายเต้ทักน้องชายของตน เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปิดประชุมห้องประชุมออกมาพอดี
.
“ ครับพี่เต้ พี่คิมน่าจะใกล้ถึงแล้ว แล้วตี๋ยังคุยงานกับหมอพริ้งไม่เสร็จหรือครับ ”
.
คอปเตอร์ตอบพี่ชาย พลางถามพี่ชายถึงอีกคนที่น่าจะเดินกลับมาพร้อมพี่ชายของตน เพราะพี่ชายคงไม่ทิ้งอีกคน มาคนเดียวแน่ๆ
.
“ ครับ ตี๋ทำไมหรือครับ ”
.
คุณชายสงสัยในคำถามของน้องชาย จึงเอ่ยถาม เพื่อให้น้องอธิบายใหม่
.
“ ก็หมอพริ้งให้ตี๋ช่วยถือแฟ้มงานวันนี้ไปส่ง ผมเสนอตัวช่วย แต่หมอพริ้งบอกว่า มีเรื่องอยากคุยกับตี๋ นี่หายกันไปตั้งนานแล้ว พี่เต้ไม่เจอตี๋หรือครับ หรือว่าว่าพี่เต้ไม่ได้แวะห้องพัก ”
.
“ พี่เพิ่งเจอหมอพริ้ง เธอบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายเลยประชุมเร็วขึ้น แต่พี่ไม่เห็นตี๋ในห้องนะ ”
.
“ อ้าว!!! แล้วตี๋ไปไหนแล้วครับนี่ คุยเสร็จก็น่าจะกลับมา ก็นัดกับพี่เต้ไว้ไม่ใช่หรือครับ ”
.
เมื่อได้รับฟังสิ่งที่คอปเตอร์ ความกังวลใจในก็ยิ่งเพิ่มพูน ตี๋ไม่ใช่คนที่ไม่รักษาเวลา และหากจะไปไหน ก็มักจะบอกตนก่อนทุกครั้ง
.
“ พี่ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ เมื่อครู่พี่คุยกับหมอพริ้ง ดูเธอแปลกๆไป เหมือนไม่ใช่หมอพริ้ง ตอนแรกพี่ไม่ได้สนใจอะไร แต่พอมาเป็นแบบนี้แล้ว พี่ว่าต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง ”
.
“ แล้วเราจะเอายังไงต่อครับ ”
.
“ เดี๋ยวเราโทรบอกคิมม่อนก่อนแล้วกัน พี่จะไปขอดูกล้องก่อน ”
.
“ ครับ เดี๋ยวผมกับพี่คิมตามไปนะครับ ”
.
แม้จะอยู่ในอาการร้อนรนเพียงใด แต่คุณชายเต้ก็ยังมีสติ คอปเตอร์เองนั้นก็บอกทราบเรื่องราวของพี่ชายกับตี๋มาบ้าง ก็พลอยจะตกใจไปด้วย แต่ก็รับคำของพี่ชาย
.
ขายาวก้าวเร็วๆจนเกือบจะเป็นวิ่ง แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ เมื่อใจนั้นไปก่อนตัวเสียมากมาย คุณชายเต้ได้แต่ปลุกปลอบตนเองว่า น้องคงไม่เป็นอะไร หรือคงแค่ไปทำธุระส่วนตัวเท่านั้น และใจก็หวังให้มันเป็นเช่นที่คิด ไม่อยากให้เกิดอะไรไปเกินกว่านี้เลย
.
.
.
.
.
***********************************************************
.
.
.
.
.
ท่ามกลางเมฆหมอกสีขาวที่มองไม่เห็นแม้แต่ปลายนิ้วตนเอง ตี๋ได้แต่นั่งกอดเข่าโดยไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน
.
“ หนาวรึ ”
.
เสียงที่ดังขึ้นเหนือศีรษะ ทำให้ตี๋เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงนั้น น้ำเสียงที่ฟังอ่อนละมุน ฟังแล้วรู้สึกคุ้นเคย
.
“ เฮ้ย!!! ”
.
ตี๋อุทานเสียงหลง เมื่อใบหน้าที่เห็นนั้น เหมือนกับตนเองอย่างกับส่องกระจก ทั้งที่ก่อนหน้านั้น มีแต่หมอกทึบมองไม่เห็นอะไร แต่ทำไมตนเองถึงเห็นคนตรงหน้าได้ชัดนัก
.
“ มิต้องตกใจไปดอก ”
.
“ คุณเทียดอย่างนั้นเหรอ ”
.
เสียงที่กล่าวมานั้นคล้ายจะพูดกับตัวเองเสียมากกว่า แต่กระนั้น อีกคนก็ยังส่งยิ้มอ่อนๆใน คล้ายจะยอมรับเป็นนัยๆ
.
“ คุณเทียดมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ”
.
เมื่อพอมีสติขึ้นมาบ้าง ตี๋จึงเอ่ยถามอีกคน
.
“ คนที่ควรถามมิใช่ฉันรึ ฉันควรถามพ่อเสียมากกว่ากระมังว่า เหตุใดพ่อจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ”
.
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของคุณเทียดตนเอง และเหมือนจะเป็นเช่นนั้น ว่าเหตุใดตนเองจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วมาเจอคุณเทียด ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอเช่นนี้
.
“ ฉันอยู่ที่นี่มาเป็นร้อยปีแล้ว แม้ฉันจักมิยินดีก็ตาม ”
.
น้ำเสียงนั้นแฝงรอยเศร้าสร้อย จนคนฟังพลอยเศร้าไปด้วย
.
“ คุณเทียดเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น ”
.
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของตนเองในอดีตยิ่งทำให้ตี๋นั้นอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหนหลังมากขึ้นกว่าเดิม
.
“ พ่ออยากฟังกระนั้นรึ ”
.
“ ครับ แม้ว่าผมจะรับรู้เรื่องราวมาบ้าง แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่รู้ และอยากรู้ ”
.
“ พ่ออยากจะรู้เรื่องใดก่อนกันเล่า ”
.
“ เรื่องแรกเลยคือ ตอนนี้คุณเทียดอยู่ที่ไหนครับ ผมทราบแค่ว่าคุณเทียดโดนคุณหญิงพริ้งกักขังวิญญาณเอาไว้ เรื่องที่สอง หากคุณเทียดโดนกักขัง ทำไมผมจึงมีเสี้ยวของวิญญาณคุณเทียดได้ แล้ว.... ”
.
“ ทีละเรื่องมิได้รึพ่อ ”
.
เมื่อมีโอกาสได้ถาม ตี๋จึงไม่ลังเลที่เอ่ยถามในสิ่งที่ตนอยากรู้มานาน แต่โดนอีกฝ่ายปรามไว้เสียก่อน
.
“ ฉันรู้ว่าพ่อสงสัยนัก แต่ฉันจักค่อยเล่าไปทีละเรื่อง.... ”
.
เรื่องเมื่อครานั้นเกิดขึ้นเพราะคุณเต้มิได้รักใคร่เจ้าสาวของตน แต่จำต้องแต่งงานตามความต้องการของมารดา แม้จะพยายามบ่ายเบี่ยงมาตลอด สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ
.
ฝ่ายของเจ้าสาวเองนั้น แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า ว่าที่เจ้าบ่าวไม่ได้ต้องการตนเองมาเป็นภรรยา แต่ก็ยังดึงดัน ด้วยเชื่อมั่นในตนเองว่าสักวันอีกฝ่ายต้องรักใคร่ชอบพอตน
.
แต่เมื่อความมิได้เป็นเช่นที่ต้องการ หญิงสาวผู้สมบูรณ์พร้อมด้วยรูปลักษณ์ จึงคั่งแค้นในอก เก็บกักความริษยารอวันเอาคืน
.
เมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ ต้องได้ด้วยกล หากไม่ได้ด้วยกล ก็ต้องใช้มนต์คาถา แต่มิว่าจะพยายามเท่าไหร่ ผู้เป็นสามีก็มิได้ตกอยู่ในอาณัติอย่างที่เฝ้าฝัน ความคิดอยากเอาชนะจึงกลายเป็นความอาฆาตแค้น ที่พร้อมจะฟาดฟันทุกอย่างที่ขวางหน้า
.
แล้วความอาฆาตแค้นของผู้หญิงก็เป็นฝ่ายชนะ เมื่อเจ้าตัวสามารถกำจัดคนที่ขวางทางออกไปได้ แล้วกักขังศัตรูของตนเอาไว้ แม้ยามที่ไม่มีลมหายใจแล้วก็ตาม
.
“ แล้วคุณเทียดรู้ไหมครับว่าคุณพริ้งขังคุณเทียดไว้ที่ไหน
.
ตี๋เอ่ยขึ้นหลังจากเงียบฟังมานาน
.
“ รูปถ่ายของฉัน แต่ฉันมิรู้ดอกว่า รูปใบนั้นอยู่ที่ใด ฉันรู้เพียงแค่คุณพริ้งเธอเก็บไว้ใกล้ตัวเท่านั้นเอง ”
.
“ ถ้าอย่างนั้น แล้วทำไมผมจึงมีเสี้ยววิญญาณของคุณเทียดได้ล่ะครับ ”
.
ตี๋ถามต่อในเรื่องที่ตนอยากรู้
.
“ คงเป็นเพราะนาฬิกาเรือนนั้นที่พี่เต้ให้ไว้กระมัง นาฬิกานั้นเปรียบเหมือนความรักของเราสองคน ฉันผูกพันกับมันยิ่งนัก ฉันจำได้ว่าได้ฝากเวลาของตนเองไว้ให้พี่เต้ก่อนที่จักสิ้นใจ เสี้ยววิญญาณของเราคงจักอยู่กับนาฬิกาโดยที่ไม่รู้ตัวกระมัง ฉันก็มิแน่ใจนักดอก ”
.
“ ถ้าเป็นอย่างนี้ ที่พี่เต้มีความทรงจำของท่านพระยาอภิบาลบริรักษ์ ก็น่าจะเป็นเหมือน ๆ กันมั้ง ”
.
ตี๋พึมพำกับตนเอง แต่เมื่อทุกอย่างรอบตัวนั้นเงียบสนิท จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วิญญาณอีกดวงจะได้ยิน
.
“ พี่เต้ไปเกิดแล้วกระนั้นรึ ดีจริง ”
.
น้ำเสียงยินดีจากใจจริงของอีกฝ่าย ทำให้ตี๋ไม่อยากจะแก้ไขความเข้าใจผิดนั้น แต่ไม่อาจทำได้ เพราะตนเองอยากรู้วิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณทั้งสองดวง
.
“ ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอกครับ ”
.
“ พ่อพูดกระไร ฉันมิเข้าใจ ”
.
“ ที่ผมจะบอกคือ พี่เต้ของคุณเทียดก็โดนคุณพริ้งเธอกักขังไว้เหมือนกัน แต่ที่มาเกิดใหม่ก็คงเหมือนผมที่มีเสี้ยววิญญาณของคุณเทียดนั่นแหละ ”
.
“ โธ่!!! พี่เต้ ”
.
เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากเสี้ยวหนึ่งของตนเอง จึงทำได้เพียงถอดถอนใจให้กับชะตาของตน และคนที่รัก
.
“ คุณพริ้งเธอดื้อรั้นนัก ”
.
“ อย่าเรียกว่าดื้อรั้นเลยครับ เขาเรียกว่าทิฐิเยอะ ไม่ยอมมองความเป็นจริงมากกว่า คนอะไรตายแล้วยังอาฆาตไม่เลิก แล้วคุณเทียดพอจะรู้วิธีที่จะปลดปล่อยทุกคนไหมครับ ”
.
ตี๋ว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนจะถามอีกเรื่องที่สงสัยแทน
.
“ ฉันเองก็มิรู้กระไรนักดอก ”
.
“ หรือครับ คุณเทียดลองนึกดีๆ คุณพริ้งหรือบ่าวของเธอเคยพูดอะไรเกี่ยวเรื่องนี้บ้าง ”
.
วิญญาณของผู้ที่เป็นเทียดนิ่งคิดตามคำของผู้เป็นส่วนหนึ่งของตน
.
“ ฉันก็มิใคร่แน่ใจนัก หากก็พอมีบ้างที่ได้ฟังพี่ปริกบอกเล่าบางเรื่องกับคุณพริ้ง ”
.
“ เขาพูดว่าอะไรครับ ”
.
“ ที่ได้ฟังก็เพียงส่วนหนึ่ง พ่อแน่ใจรึว่ามันจักสำเร็จ ”
.
“ ไม่รู้หรอกครับ แค่อยากลองพยายามดูนะครับ ”
.
“ กระนั้นรึ สิ่งที่ฉันได้ยินนั้นก็มิใคร่ชัดนัก คุณพริ้งเธอเอ่ยถามแม่ปริก หลังจากรับรูปที่จองจำฉันไว้ เมื่อครั้งกลับมาจากบ้านหมอมนต์ดำ ที่ไปทำพิธีมา ”
.
“ นั่นล่ะ เขาว่าอะไรบ้าง ”
.
ตี๋เร่ง เมื่อเห็นว่าเรื่องเริ่มจะเข้าเค้ามากขึ้น
.
“ ฉันมิได้ยินดอกว่าพี่ปริกพูดว่ากระไร เพราะตอนนั้นฉันยังมิใคร่มีสตินัก แต่เสียงของคุณพริ้งที่ฉันได้พอจักได้ยิน เธอพูดว่า ‘ มันจักมิมีทางออกมาได้ดอก ก็ในมันเมื่อตายไปแล้ว ร่างรึก็เผาจนสิ้น มันจักมีเลือดมาจากที่ใดได้ ’ ”
.
เมื่อได้ฟังคำบอกของเจ้าของเสี้ยววิญญาณในร่างของตน ตี๋ก็มีพอความหวังขึ้นมาบ้าง รอยยิ้มจึงแต่งแต้มบนใบหน้า ก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนึกถึงบางเรื่องได้
.
“ พ่อเป็นกระไรไป ประเดี๋ยวก็ยิ้ม ประเดี๋ยวก็ทำหน้าราวกับจะร้องไห้เยี่ยงนี้ ”
.
“ ผมยิ้มเพราะผมคิดว่าผมพอจะมีวิธีปลดปล่อยคุณเทียด กับท่านพระยาได้ แต่ที่ผมเศร้าก็เพราะผมคงไม่มีโอกาสได้ทำตามที่คิดอีกแล้ว ”
.
“ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า ”
.
“ ผมโดนผีบ่าวของคุณพริ้งทำร้าย แล้วขังไว้ในช่องเก็บร่าง จนวิญญาณของผมมาเจอคุณเทียดนี่ไงครับ ผมถึงบอกว่า ผมไม่มีโอกาสได้ทำแล้ว ”
.
“ ตายจริง!!! ฉันนี่แย่จริงเชียว ลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเป็นอะไร แล้วพ่อออกมานานเยี่ยงนี้ไม่ดีแน่ ไปเถิด ฉันจะพาพ่อกลับไปส่งที่ทางเดิมที่พ่อมา ”
.
แล้ววิญญาณของตี๋ จึงจับจูงมือวิญญาณหลงทางของคนที่เป็นส่วนหนึ่งของตนเอง นำพากลับไปทางเดิม
.
“ คุณเทียดครับ ผมคงตายแล้วล่ะครับ ”
.
ตี๋เอ่ยขึ้นหลังจากเดินตามหลังอีกฝ่ายมาชั่วครู่
.
“ ยังดอก พ่อยังมิสิ้นดอก แต่หากยังมิรีบ แลอยู่นานไปกว่านี้ พ่อคงจักสิ้นลมหายใจเป็น เร่งเท้าอีกนิด ใกล้จักถึงแล้ว พ่อเห็นลำแสงลิบๆนั่นรึไม่ ”
.
“ เห็นครับ อย่างนั้นคุณเทียดก็ออกไปพร้อมผมได้สิ ”
.
ตี๋มองตามมือของอีกฝ่าย และเห็นแสงสว่างจุดเล็กๆอย่างที่อีกฝ่ายจริงๆ
.
“ หากออกไปได้ ฉันคงออกไปเสียนานแล้ว ”
.
“ ทำไมล่ะครับ ถ้าผมไปได้ คุณเทียดก็ต้องไปได้สิ ”
.
ตี๋ยังคงสงสัย หากว่าตนเองออกได้ แล้วทำไมคุณเทียดของตนจึงออกไปไม่ได้
.
“ ฉันถูกสะกดเอาไว้อย่างที่พ่อรู้ ฉันมิสามารถออกไปไหนหากมิได้คลายมนต์นั้น ”
.
“ แต่.... ”
.
“ เย็นใจก่อนพ่อ ฟังฉันเสียให้จบ ที่พ่อได้เจอกับฉันครานี้ พ่อยังมิได้สิ้นใจตามที่พ่อคิด ที่ฉันรู้ได้ก็เพราะวิญญาณที่สิ้นใจไปแล้ว จักมิมีไอชีวิตดอก แต่พ่อยังมีอยู่ แม้นจักเต้นแผ่วเบาเสียแทบไม่รู้สึกก็ตามที รีบไปเสีย ก่อนที่พ่อจักมิมีโอกาสอีก ”
.
วิญญาณของผู้เป็นเทียดพาทายาทของตนมาส่งจนถึงปากทาง ตี๋เองก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองเดินมาจนถึงจุดแสงสว่างเล็กๆ ที่มองเห็นไกลก่อนหน้านั้นแล้ว
.
“ ไปเถิด พ่อยังมีคนที่รอพ่ออยู่ กลับไปทำสิ่งที่พ่อคิด ฉันจักอวยพรให้ เรื่องของฉันคงจักต้องฝากให้พ่อช่วยเป็นธุระให้เสียแล้ว ”
.
“ คุณเทียดกลับไปด้วยกันไม่ได้เหรอครับ ”
.
“ มิได้ดอก แค่มาส่งพ่อตรงนี้ฉันก็จักมิไหวอยู่แล้ว พ่อไปเถิด อย่าชักช้าอีกเลย ”
.
ตี๋ไม่เข้าใจสิ่งที่วิญญาณของคุณเทียดตนเองบอกนัก แต่ร่างตรงหน้าที่ค่อยๆเลือนราง จนไม่อาจมองเห็นได้ก็ทำให้ตกใจไม่น้อย
.
“ คุณเทียด คุณเทียดอยู่ไหนครับ ”
.
“ ฉันมิเป็นไรดอก แต่พ่อรีบไปเสีย ฉันยินดีนักที่ได้เจอพ่อในครานี้ แม้จักเจอในที่ๆไม่ควรเจอก็ตามที พ่อรีบไปเถิด ประเดี๋ยวจักไม่ทันการ ”
.
“ คุณเทียด คุณเทียด ”
.
และไม่ว่าตี๋จะพยายามเรียกอย่างไร ก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆตอบกลับมาอีก แสงสว่างด้านหน้าตนเองนั้นก็ลดขนาดลงไปเรื่อยๆ ตนเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะกลับไปยังร่างของตนได้ จะถามใครก็ไม่ได้
.
“ พี่เต้ ช่วยน้องด้วย ”
.
สุดท้ายคนที่ตนเองนึกถึงเมื่อยามคับขัน ก็ยังเป็นคนเดิมเช่นทุกที ตี๋รวบรวมความคิด สติที่กระจาย ให้กลับมารวมอยู่คนรักของตน เพื่อหวังให้เขาคนนั้นมาช่วยตนเองออกจากที่แห่งนี้เสียที
.
.
.
.
.
**************************************************
.
.
.
.
พาน้องตี๋มาส่งขอรับ เอาใจช่วยน้องด้วยนะขอรับ
.
พบ เห็น คำผิดสะกิดบอกได้เลย
.
ขอบคุณทุกแรงใจขอรับ
.
.
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.


ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

กาแฟมั้ยฮะจ้าว  : ขอบคุณขอรับ
   
Billie : ขอบคุณขอรับ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนที่ 20
.
.
.
คอยเคียงข้าง

.
.
.
.
.
สองเท้าก้าวเร็วตามใจ พาให้ร่างสูงสมส่วนของคุณชายเต้วิ่งไปตามทางที่นำสู่ห้องเก็บร่าง กว่าจะได้ความว่า ตี๋กับหมอพริ้งหายไปทางไหนกัน ก็เสียเวลาไปพอควร
.
ใจของคุณชายเตชณัฐนั้นไปถึงเสียก่อนตัว ด้วยความเป็นห่วงกังวลสารพัด ห้องเก็บร่างนั้นไม่ใช่ห้องเล็กๆ ที่มีช่องเก็บไม่กี่ตู้
.
คุณชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าคนรักของคนอยู่ที่ไหน ในห้องที่เงียบเชียบไร้ลมหายใจเช่นนี้
.
“ ตี๋ ครับ ตี๋อยู่ไหน ตอบพี่หน่อย ”
.
ปากก็เรียก มือก็ไล่ปลดสลักประตู เลื่อนหาคนรักที่คาดว่าจะถูกคนใจร้ายขังเอาไหว้ในช่องใด ช่องหนึ่ง
.
“ พี่เต้ ใจเย็นนะครับ ”
.
“ จะให้พี่ใจเย็นยังไงไหว ”
.
คอปเตอร์ที่สิ่งตามมาพร้อมคิมม่อนเอ่ยปลอบพี่ชาย ทั้งที่ปกติแล้วพี่ชายมักจะควบคุมสติได้เป็นอย่างดี
.
“ ใจเย็นๆ ถ้าแกเปิดหาทุกช่องขนาดนี้ มันจะยิ่งเสียเวลา แล้วก็รบกวนพวกเขาด้วย สงบสติ แล้วค่อยพิจารณาความผิดปกติ ”
.
“ จะให้ฉันเย็นใจกระนั้นรึ น้องจักเป็นเยี่ยงก็มิรู้ ปล่อยให้น้องสิ้นใจต่อหน้าฉันอีก ฉันทนมิไหวดอก ”
.
เมื่อความร้อนรนในอกมีมากกว่าสติ คุณชายจึงหลุดตัวตนของใครบางตนออกมาโดยไม่รู้ตัว
.
“ เต้ ใจเย็น ค่อยๆหายใจลึก ฉันรู้ว่าแกห่วงน้อง เชื่อฉัน นะตั้งสติก่อน ”
.
“ ขอบใจนายมาคิมม่อน ”
.
คุณชายเตชณัฐพยายามคุมอารมณ์ของตน ตามที่เพื่อนบอก และพบว่าท่านเทียดเต้เข้ามาซ้อนทับชั่วขณะ
.
“ พี่เต้ พี่คิมม่อน มาดูตรงนี้หน่อยเร็ว ใช่รอยเลือดไหมครับ ”
.
คอปเตอร์ร้องเรียกอีกสองคน เพราะระหว่างที่คิมม่อนพยายามเรียกสติให้พี่ชาย ตนเองนั้นพยายามสังเกตความผิดปกติในห้องไปด้วย
.
“ คิดว่าใช่ แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจากช่องฝั่งนี้ พี่ว่าถ้าตี๋บาดเจ็บก็คงถอยหนีได้ไม่ไกล ”
.
เมื่อมีสติ คุณชายเต้จึงมีความสุขุม รอบคอบอีกครั้ง เพราะหากใจร้อน ก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างช้าลง ตามที่คิมม่อนเตือนสติ
.
“ เฮ้ย ไอ้คุณชายดูรอยนี่หน่อย ใช่คราบเลือดไหม ”
.
คิมม่อนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นคราบสีจางๆบนประตูช่องเก็บร่าง ซึ่งต่างจากช่องอื่นๆ ที่ไม่มีรอยคราบอะไรเลย
.
“ ไหนครับ คิดว่าน่าจะเป็นรอยน้ำยาเช็ดคราบเลือด ”
.
“ เฮ้ย!!! ”
.
คอปเตอร์ที่อยู่ใกล้กว่าหันมาดูตามที่คิมม่อนบอก แล้วบอกสิ่งที่คิดว่าใช่ออกมา แต่คุณชายเตชณัฐกับดึงสลักล็อกประตูแล้วเปิดออก
.
“ ตี๋!!! ”
.
และก็เป็นอย่างที่กังวล ตี๋ถูกขังเอาไว้ในช่องเก็บร่างช่องนี้จริงๆ
.
“ ตี๋ ตี๋ ตื่นสิครับ ลืมตามองพี่หน่อย ไม่เอาแบบนี้นะครับ ”
.
คุณชายค่อยๆบรรจงอุ้มน้องออกจากช่องเก็บ ร่างเย็นเฉียบ บาดแผลตัวคนรัก รับรอยเลือดที่แข็งตัวเพราะอุณหภูมิที่เย็นจัด ยิ่งทำให้ใจของคุณชายเจ็บยิ่งกว่าโดนมีดกรีด
.
“ ตื่นมองพี่สิคนดี พี่มิยอมให้น้องทิ้งพี่ไปเยี่ยงนี้ดอก พี่พาจักน้องกลับมา ”
.
ภาพของพี่ชายที่พยายามยื้อชีวิตคนรักไว้อย่างสุดความสามารถ ทำให้คอปเตอร์ได้แต่ปล่อยให้หยดน้ำใสไหลริน
.
ทำไมตนเองจะดูไม่ออกว่า ตี๋นั้นไม่มีลมหายใจแล้ว แต่ที่ยืนนิ่งก็เพราะทำใจกับภาพตรงหน้าไม่ได้เสียมากกว่า
.
“ พี่เต้ครับ ตี๋..... ”
.
“ ไม่ตี๋ยังอยู่ ตี๋รอพี่มาช่วย พี่ต้องทำได้ ”
.
คอปเตอร์พยายามจะบอกพี่ชาย แต่คุณชายเต้เองนั้นไม่ยอมรับว่า คนรักของตนจะจากไปแบบนี้
.
‘พี่เต้ ช่วยน้องด้วย ’
.
น้ำเสียงแผ่วเบาอันแสนคุ้นเคย
.
.
.
ติ๊ด...ติ๊ด...
.
เสียงสัญญาณชีพดังเป็นจังหวะ บ่งบอกอัตราการหายใจของคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง ภายนอกนั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วก็จริง แต่คนที่หลับก็ยังไม่ลืมตาตื่นเสียที
.
“ อาเต้ ไปพักบ้างเถอะ อาตี๋อีไม่เป็นอะไรแล้ว ”
.
ป๊าของตี๋ว่าขึ้น หลังจากเห็นคุณชายเตชณัฐนั่งเฝ้าข้างเตียงคนรักไม่ห่าง ตั้งแต่วันแรกที่พวกตนทราบข่าว ในตอนนั้น ลูกชายของตนดูภายนอกเหมือนไม่เป็นอะไรมาก แต่จากที่ได้รับฟังมานั้น บุตรชายของตนหยุดหายใจไปแล้ว แต่ก็ได้ความไม่ยอมแพ้ของคุณชายเตชณัฐ ที่ทำให้ตี๋กลับมาหายใจอีกครั้ง
.
“ ผมไม่เป็นไรครับ ”
.
คุณชายตอบคนที่สูงวัยกว่าด้วยรอยยิ้มอ่อนแรง อีกทั้งยังกุมมือคนบนเตียงไว้ไม่ปล่อยเช่นเคย
.
“ โยมมิต้องกังวลไปดอก อย่างไรเสียโยมตี๋ก็ปลอดภัยแล้ว อาตมาเองก็มีส่วนผิด ที่ไม่เตือนโยมให้เร็วกว่านี้”
.
“ ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกครับ ”
.
พระภิกษุรูปเดียวในห้องเอ่ยขึ้น เมื่อตนทราบข่าวหลังจากกลับจากธุดงค์ ก็เดินทางมาเยี่ยมในทันที แม้ว่าจะละทางโลก หันไปศึกษาทางธรรม แต่ใจนั้นก็ยังห่วงคนที่ตนเองเคยให้ความเอ็นดูเหมือนน้องชาย
.
“ ก่อเวรกันไม่จบสิ้น อาตมาได้แต่หวังว่า เวรกรรมที่จองจำกันมา จะถึงคราสิ้นสุดเสียที ”
.
“ ผมเองก็หวังอย่างนั้นครับ แต่ผมไม่รู้ว่าจะช่วยท่านเทียดกับคนรักของท่านได้ยังไง ”
.
“ อาตมาเองก็จนใจ ด้วยอาตมาก็ไม่รู้ที่กักขังวิญญาณ ทำได้เพียงแผ่เมตตา อุทิศกุศลให้จิตอาฆาตนั้นได้รับบุญ ทุเลาความพยาบาทลง ”
.
เมื่อไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่ารอ และอุทิศบุญให้จิตของวิญญาณพยาบาทลดความอาฆาต มาดร้ายลง
.
ตี๋ยังคงนอนไม่ได้สติแม้ว่าภายนอกจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว บาดแผลภายนอกก็สมานตัวดี ไม่มีอะไรน่ากังวล เพียงแต่เจ้าตัวยังไม่ยอมตื่นเท่านั้น
.
ด้านคุณหมอพริ้งเอง ก็หายตัวไปตั้งแต่วันเกิดเรื่อง ไม่มาทำงาน และไม่มีใครทราบว่าเจ้าตัวหายไปไหน และไม่มีใครสามารถติดต่อเจ้าตัวได้เลย
.
เกือบสัปดาห์ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยจึงเริ่มมีอาการตอบสนอง และคนที่สามารถรับรู้ได้เป็นคนแรกคือคนที่นั่งฝั่งอยู่ข้างเตียงไม่เคยห่าง
.
“ ตี๋ เป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้า ได้ยินพี่รึไม่ ”
.
เมื่อร่างบนเตียงเริ่มขยับตอบสนอง คุณชายเต้จึงเอ่ยเรียกน้องเบาๆ พลางสังเกตอาการของคนบนเตียงไปด้วย
.
ลูกตาใต้เปลือกตา ขยับ ขะยุก ขยิก ก่อนจะปรือขึ้นช้าๆ แล้วหลับลงอีกครั้ง กระพริบ เพื่อปรับแสงสว่าง อย่างคนที่ไม่ชินแสง
.
“ พี่เต้ ”
.
น้ำเสียงอ่อนแรง แหบพร่า เอ่ยเรียกหาบุรุษที่อยู่ในคลองสายตา และเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน
.
“ ตี๋ พี่ดีใจยิ่งนัก พี่นึกว่าจักเสียเจ้าไปเช่นครานั้นเสียแล้ว ขอบน้ำใจเจ้าที่ยังสู้เพื่อพี่ ”
.
คุณชายเต้รวบร่างอ่อนแรงของคนรักขึ้นกอดแนบอก พรมจูบทั่วใบหน้า น้ำเสียงนั้นสั่นพร่าเจือสะอื้น
.
“ ตี๋อยู่นี่แล้วขอรับ พี่เต้อย่าได้หวั่นใจอีกเลย ”
.
ตี๋ยกมือที่อ่อนแรงของตนกอดตอบคุณชายเตชณัฐ ไม่ว่าอย่างไร ในครานี้เขาจักไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมให้ใครมารังแกได้เช่นคราก่อน
.
“ ตายจริง พี่นี่แย่จริงเชียว เจ้าเพิ่งฟื้น กลับมิยอมดูแล มัวแต่รำพึง รำพัน ให้เราต้องระคายใจ รอประเดี๋ยวหนาเจ้า พี่ขอตรวจอาการสักประเดี๋ยว ”
.
คล้ายจะรู้ตัวว่าตนเองมิได้ตรวจอาการน้องน้อย เพราะมัวแต่ดีใจ จนลืมหน้าที่ของแพทย์
.
“ ไม่เป็นไรครับ พี่เต้อย่าว่าตัวเองเลย ”
.
ตี๋ส่งยิ้มอ่อนในคนรัก เพราะคุณชายเตชณัฐเป็นคนที่มักจะโทษตนเองว่าดูแลตนเองไม่ดีเสมอ
.
“ อาการน้องไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ดื่มน้ำก่อน เดี๋ยวพี่จะโทรบอกทุกคนว่าน้องตื่นแล้ว ”
.
เมื่อเห็นว่าอาการของน้องทุกอย่างไม่อะไรน่ากังวลอีก คุณชายเตชณัฐจึงกลับมาสุขุมเยือกเย็นเช่นเดิมอีกครั้ง
.
“ ผมหลับไปนานไหมครับ ”
ตี๋เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคุณชายเตชณัฐจดบันทึกอาการลงในพอร์ทเรียบร้อยแล้ว
.
“ ถ้ารวมวันนี้ด้วยก็ครบสัปดาห์พอดี เราทำพี่ใจหายมากรู้ไหม ”
.
“ ครับๆ ผมขอโทษ ”
.
“ พี่ดีใจ ที่เจ้ายังอยู่ตรงนี้ ใจพี่จักขาดเสียให้ได้ เมื่อเห็นเจ้านอนนิ่ง จนจับลมหายใจไม่ได้ ”
.
“ พี่เต้ครับ ไม่เอาครับ ผมตอนนี้ไม่ใช่น้องน้อยของคุณเต้แล้วครับ พี่เต้ก็เหมือนกัน ตอนนี้พี่เต้คือพี่เต้ ใช่ไหมครับ ”
.
ตี๋ว่าขึ้น เมื่อเห็นว่าคุณชายเตชณัฐยัง ติดอยู่ในความทรงจำของคุณเต้เมื่อคราก่อน
.
“ พี่รู้ครับว่าตี๋ไม่ใช่น้องน้อยของคุณเต้ แต่บางทีพี่ก็คุมตัวเองไม่ได้ ยิ่งเห็นเราในสภาพนั้น พอนึกถึงทีไร มันก็พาลนึกไปไกลถึงคราวก่อนนู้น ”
.
คุณชายเต้ว่า ตนเองรู้ว่าตอนนี้ตี๋คือตี๋ แต่ในจิตใต้สำนึก ก็อดกังวลไม่ได้ ยิ่งเห็นน้องเจ็บโดยที่ตนเองไม่สามารถทำอะไรได้ ความเป็นคุณเต้เมื่อคราอดีตก็ย้อนขึ้นมา
.
“ ตี๋ หลวงปู่ท่านมาเยี่ยมตี๋ด้วยนะ ”
.
“ หรือครับ แล้วท่านสบายดีไหม ”
.
“ ท่านสบายดีตามอัตภาพ ท่านว่าท่านเตือนเราช้าไป ไม่คิดว่าทางนู้นจะเร่งลงมือพี่เองก็ดูแลตี๋ไม่ดี ทำให้เราต้องเจ็บตัวซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ”
.
“ ไม่ใช่ความผิดใครหรอกครับ อ้อ พี่เต้ครับ แล้วผมจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ครับ ”
.
“ คงอีกสอง สามวันนะ พี่อยากให้แผลสมานตัวอีกนิด แข็งแรงขึ้นอีกหน่อย แม้ว่าภายนอกในตอนนี้เราเหมือนจะไม่เป็นอะไร แต่รู้ไหมเราหยุดหายใจไปตั้งนาน จนพี่แทบขาดใจตามเชียวนะ ”
.
คุณชายเต้ตอบน้อง
.
“ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ได้นอนชาร์จพลังเต็มที่แล้ว ออกวันพรุ่งเลยได้ไหมครับ ”
.
“ ไม่ได้!!! ”
.
คำปฏิเสธที่ไม่ได้มีแค่เสียงเดียว แต่เสียงนั้นรวมไปถึงคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา แต่ทันได้ยินบทสนทนานี้พอดี
.
“ ลื้อพักไปยาวๆเลยอาตี๋น้อย ”
.
“ สวัสดีครับคุณป๊า คุณม๊า ”
.
“ ซาหวาดลีอาคุงหมอ อย่าเพิ่งตามใจอีนะ ให้อีนอนพักไปก่อน อีชอบดื้อ ”
.
คุณป๊า คุณม๊าของตี๋รับไหว้คุณชายเตชณัฐ ก่อนที่คนเป็นป๊าจะพูดตัดความหวังของบุตรชายที่อยากออกจากโรงพยาบาลเสียวันนี้
.
“ โธ่ป๊า ผมไม่เป็นอะไรแล้ว นี่ก็ตื่นแล้ว หลับเอาแรงไปตั้งหลายวันแล้ว ตอนนี้แข็งแรงมาก ”
.
“ ลื้ออย่ามาพูดดีอาตี๋ หัวใจอั๊วจะหลุดตามลื้อไปแล้ว ซนให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ เห็นแก่ม๊านะ นอนพักอีกหน่อยเถอะลูก ”.
.
“ อาตมาเห็นด้วยนะ โยมควรจะพักให้หายดีเสียก่อน เรื่องอะไรในใจ คงพอมีเวลา หากรีบเกินไปนัก ก็มิใช่จะดี ”
.
“ นมัสการครับหลวงปู่ ”
.
พระภิกษุเอ่ยขึ้น หลังจากที่นิ่งฟังอยู่ และคล้ายจะรับรู้สิ่งที่อยู่ในใจของคนป่วยที่เพิ่งฟื้น
.
“ หลวงปู่ทราบแล้วหรือครับ ”
.
“ อาตมาไม่รู้หรอกโยม แต่สีหน้าของโยม เหมือนคนที่กำลังคิดจะทำอะไรอยู่ อาตมาก็คิดว่า คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโยมทั้งคู่ ”
.
“ ตี๋ เรื่องอะไรบอกพี่ได้ไหม ”
.
“ นั่นสิ เรื่องอะไร บอกม๊ากับป๊าได้ไหม ”
.
เมื่อทุกคนถาม คราแรกตี๋เองไม่อยากบอกให้ทุกรู้ เพราะกลัวทุกคนจะเป็นห่วง แต่เห็นทีว่าจะไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรกเสียแล้ว
.
“ บอกพี่เถอะตี๋ ให้พี่ได้รู้ พี่เป็นห่วงเรารู้ไหม ทุกคนเป็นห่วงเรา อย่าทำอะไรเกินตัว พี่ขอร้องเถอะ ”
.
เมื่อถูกร้องขอด้วยน้ำเสียง แววตา จากคนที่รักตนเอง ทั้งคุณชายเตชณัฐ คุณป๊า คุณม๊า ตี๋จึงจำเป็นต้องยอมเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ
.
“ ผมรู้แล้วว่า น้องน้อยถูกขังอยู่ที่ไหน แต่ผมไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน ”
.
ตี๋บอกเรื่องที่คนรับรู้มาให้ทุกคนได้ฟัง
.
“ เดี๋ยวอาตี๋ สรุปว่าลื้อรู้ รึไม่รู้กันแน่ หม่าม๊างงแล้วนะ ”
.
“ โยมรู้ว่าดวงจิตของโยมตี๋ เมื่อครั้งก่อนถูกขังที่ใด แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ขังนั้นตอนนี้นี้ถูกเก็บไว้ที่ไหน ใช่ไหม ”
.
เมื่อคนพูดไม่ได้ขยายความเพิ่ม หลวงปู่ผู้ยังห่วงน้องในอดีตจึงช่วยขยายความ ตามที่ตนเข้าใจ
.
“ ครับหลวงปู่ ผมรู้ว่าคุณเทียดตี๋ถูกกักขังไว้ในไหน แต่ไม่รู้ว่าของนั้นอยู่ที่ไหน แต่ถ้าให้ผมเดา เท่าที่ได้รู้มา ของสิ่งนั้นต้องเก็บอยู่ไม่ไกลตัวคุณพริ้ง ”
.
ตี๋บอกความคิดของตน ว่าตนคาดเดาอะไรไว้ แต่ก็ไม่ได้บอกออกไปทั้งหมด
.
“ เอาเถอะครับ เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยคิดต่อ เอาไว้ให้เราดีขึ้นกว่านี้ก่อน ตอนนี้ต้องพักแล้ว เพิ่งฟื้นก็ไม่ควรหักโหมร่างกาย ”
.
“ จริงอย่างอาคุงหมอว่า อาตี๋ ลื้อต้องพักอีกหน่อย อย่าดื้อรู้ไหม ม๊า กับ ป๊า เป็นห่วงนะรู้ไหม ”
.
“ ครับม๊า ผมจะพักให้หายดีเลยครับ ”
.
แม้ว่าไม่อยากจะพักอย่างที่ปากว่า แต่ตี๋ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่อยากให้คนที่รักเป็นห่วง โดยเฉพาะคุณชายเตชณัฐที่มองตนด้วยสายตารู้ทัน
.
“ ทุกคนวางใจเถอะครับ ผมจะดูแลน้องอย่างดี มีอะไรจะรีบแจ้งให้ทราบทันที ”
.
“ เอางั้นนั้นล่ะ อาคุณหมอก็อย่าไปตามใจอีมากล่ะ ม๊าฝากอีด้วยนะ ”
.
“ ป๊าฝากดูอาตี๋ด้วยนะคุงหมอ ”
.
“ ครับ คุณป๊า คุณม๊า ”
.
“ เอาเถอะ เยี่ยมกันแต่พอดี ปล่อยให้โยมตี๋ได้พัก เรากลับกันได้แล้ว ”
.
“ กราบลาครับหลวงปู่ ”
.
คุณชายเตชณัฐ เดินไปส่งทุกคนที่หน้าประตู เมื่อทุกคนกลับออกไปแล้วจึงหันกลับมาหาคนที่นอนอยู่อีกครั้ง
.
“ ไม่เอาแบบนี้แล้วนะครับ อย่าทำให้พี่ใจจะขาดแบบนี้อีกนะครับ อย่าทำอะไรโดยไม่บอกพี่นะครับ อะไรที่คิดไว้ในใจตอนนี้ บอกพี่ได้ไหมครับ ”
.
“ พี่เต้ ”
.
ตี๋เรียกอีกคนเสียงอ่อน เพราะรู้ว่าพี่เต้ของตนคิดมาก และคอยแต่โทษตัวเอง
.
“ ครับ ผมสัญญาครับ ”
.
ตี๋สัญญากับคนรัก เต้พยักหน้ารับ เพราะรู้ว่าเมื่อสัญญาแล้ว ตี๋จะรักษาสัญญานั้นเสมอ หากทำไม่ได้ เจ้าตัวจะขอยกเลิกเอง
.
“ ครั้งนี้เราจะสู้ไปด้วยกันนะครับ พี่จะไม่ปล่อยให้เราต้องสู้คนเดียวอีก ”
.
ตี๋รับคำ แม้ไม่รู้ว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่ตนก็พร้อมจะสู้ และอยากให้เรื่องความอาฆาต ริษยา จบลงเสียคราวนี้ ไม่อยากจะให้ผูกเวรกันต่อไป
.
.
.
.
.*****************************************
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.
.


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :ling1: :serius2:

ยายคุณพริ้ง ทำไมต้องใจราย แล้วยังยึดติดอีกนะ
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

   Billie : ขอบคุณขอรับ คุณพริ้งเธออาฆาตไม่เลิกขอรับ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนจบ
.
.
.
ด้วยใจภักดิ์

.
.
.
.
หลายวันผ่านไป ตี๋แข็งแรงขึ้นมาก อาการบาดเจ็บดีขึ้นจนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คุณชายเตชณัฐจึงยอมให้คนรักออกจากโรงพยาบาลได้ตามความต้องการ
.
“ ออกจากโรงบาลได้ก็จริง แต่พี่ไม่ยอมให้เราไปทำอะไรเสี่ยงๆหรอกนะ หยุดคิดไปเลย ”
.
คุณชายเต้ว่าขึ้นราวกับจะรู้ว่าคนรักของคนต้องการจะทำอะไรต่อ หลังจากได้ออกจากโรงพยาบาลวันแรก
.
“ โธ่ พี่เต้ อย่าห้ามผมเลย ผมรู้ว่าพี่เองก็อยากจะช่วยท่านเทียดทั้งคู่เหมือนกันแหละ ”
.
“ พี่ไม่เถียงว่าพี่อยากช่วย แต่การช่วยก็ไม่ได้หมายความพี่จะต้องให้เราไปทำอะไรเสี่ยงๆนะ และพี่เองก็เชื่อว่าท่านทั้งสองก็เข้าใจ ”
.
คุณชายเต้ว่า แม้ว่าตนเองอยากช่วยบรรพบุรุษของตนให้หลุดจากบ่วงนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากให้ตี๋ในตอนนี้ต้องไปเสี่ยงอะไรอีกแล้ว
.
.
.
“ ไอ้คุณชาย หมอพริ้งกลับมาทำงานหรือยัง ”
.
เสียงคิมม่อนถามเพื่อนของตน เมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่ควรจะถามแล้ว คิมม่อนและคอปเตอร์เลือกที่จะรอคนป่วยที่ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านในวันนี้ อยู่ที่เรือนแทน
.
“ ไม่เลย หายไปตั้งแต่วันนั้นแหละ ”
.
ทุกคนนั่งคุยกันที่เรือนริมน้ำ ตี๋เองก็อยากรู้ข่าวของคุณหมอพริ้งเช่นกัน
.
“ ผมรู้สึกว่า หมอพริ้งโดนบังคับ ”
.
“ นายเข้าข้างคนที่ทำร้ายตัวเองเหรอ ”
.
คอปเตอร์ออกอาการไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนว่า
.
“ นั่นสิ นายใจอ่อนเหมือนเคยเลย ”
.
คิมม่อนที่เห็นด้วยกับคอปเตอร์ พูดเสริมขึ้น
.
“ ไม่ได้ใจอ่อน แต่พูดตามที่ได้ฟังมา พี่เต้เชื่อผมนะครับ หมอพริ้งเธอโดนบังคับ ผมได้ยินวิญญาณของแม่ปริกพูดครับ ”
.
ตี๋แก้ต่างให้ตัวเอง พร้อมกับโน้มน้าวให้คุณชายเต้เชื่อในสิ่งที่ตนว่าด้วย
.
“ อย่าเพิ่งเถียงกันเลยครับ วันนี้ตี๋พักผ่อนให้เต็มที่ครับ พรุ่งนี้เราต้องเจออะไรอีกมากแน่ ๆ ”
.
คุณชายเต้ ไม่อยากให้ทุกคนกังวลไปมากจนเกินไป จึงกล่าวตัดบท แล้วไล่ให้คนรักไปพัก เพราะทุกคนตกลงกันไว้ว่า จะเริ่มตามหาที่กักขังวิญญาณของท่านเทียดทั้งสองในวันรุ่งขึ้น
.
หลังจากที่คุย และตกลงกันมาก่อนหน้า ในช่วงที่ตี๋ยังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ตี๋บอกเล่าเรื่องราวที่ได้ฟังมาจากคุณเทียดของตน บวกกับความคิดเห็นของตน จึงได้ข้อสรุปว่า
.
วิญญาณของทุกคนน่าจะอยู่ที่เรือนของคุณพริ้งเมื่อหลังอดีต และวิญญาณของคุณเทียดตี๋ และคุณเทียดเต้ ก็น่าจะถูกขังอยู่ในภาพที่ประดับอยู่บนเรือน
.
ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้ คุณชายเต้เองก็เห็นด้วย เพราะตนจำภาพประดับของคุณพริ้งที่เคยเห็นที่เรือนหลังนั้นได้ แต่ที่ไม่เคยเห็นเลยก็คือ ภาพของคุณเทียดตี๋
.
ส่วนวิธีที่ปลดปล่อยทุกคนออกมา ตี๋ออกความคิด ตามที่ได้ฟังคุณเทียดของตนเล่า ก็คือ น่าจะใช้เลือดของเจ้าของร่างที่โดนจองจำ แต่เมื่อคุณเทียดตี๋สิ้นไปนานมากแล้ว คงไม่มีเลือดมาปลดปล่อยตัวเองได้
.
ตี๋จึงคิดว่า เมื่อตนหรือส่วนหนึ่งของคุณเทียด ก็น่าจะใช้เลือดของตนเองได้ ซึ่งคุณชายเต้เองก็ไม่ค้าน
.
แต่ปัญหาของทุกคนคือ จะเข้าไปในเรือนปิดตายของคุณพริ้งได้ยังไง เรื่องนี้จึงต้องขอความช่วยเหลือหลวงปู่
.
แม้ว่าจะไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่ทุกคนก็มองไม่เห็นทางอื่นใด นอกจากขอพึ่งบารมีพระพุทธคุณ ด้วยคิดว่า อย่างน้อย ผลบุญของทุกคนจะนำพาให้วิญญาณของคุณพริ้งพบทางสว่างได้
.
เมื่อได้ข้อตกลงอันเป็นที่พอใจของทุกคนแล้ว ทุกคนจึงทำตามข้อตกลงนั้นอย่างเต็มใจ รุ่งเช้าของวันถัดมา คิมม่อน และคอปเตอร์ รับหน้าที่ไปนิมนต์หลวงปู่มาที่เรือน
.
ส่วนป๊า กับม๊าของตี๋นั้น เจ้าตัวขอไว้ว่า ให้รอฟังข่าวอยู่ที่วังท่านชายเต เพราะไม่อยากห่วงหน้า พะวงหลัง
.
ทั้ง 4 คน รวมทั้งพระภิกษุอีก 1 รูป มายืนพร้อมกันที่หน้าเรือนไทยหลังเก่า ที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
.
เสียงลมหวีดหวิว คล้ายขู่มิให้ใครย่างก้าวเข้าสู่บันไดเรือน ท้องฟ้าที่เคยแจ่มใส ก็ค่อยแปรปรวน เหมือนจะข่มขวัญผู้มาเยือน ว่าเจ้าของเรือนมิยินยอมให้ใครรุกล้ำพื้นที่ของตน
.
“ มันมากันแล้ว อีปริก มึงลงไปไล่มันไปเสียให้พ้นหน้ากู ”
.
เสียงสั่งการจากภาพของคุณพริ้งที่ผนังเรือน เกรี้ยวกราดอย่างเคย เมื่อสิ่งที่หวังไว้ไม่เป็นอย่างหวัง
.
“ มึงช่างดิ้นรนมาหาที่ตายนัก ครานั้นมึงรอดมาได้ แต่อย่าหวังว่ามึงมาถึงเรือนกูวันนี้ จะรอดกลับออกไป ”
.
“ พอเสียเถิดแม่พริ้ง เธอควรจักปล่อยวางเสียบ้าง ”
.
“ ปล่อยวางรึเจ้าคะ ปล่อยให้คุณพี่มันได้เสพสุขกันเยี่ยงนั้นรึเจ้าคะ อย่าได้หวังเลย เมื่ออิฉันมิมีความสุข แลคุณพี่กับมันก็อย่าได้มีความสุขกันเลย ”
.
“ เมื่อไหร่เธอจะหลุดพ้นกันแม่พริ้ง ”
.
“ อิฉันยอมเป็นอยู่เยี่ยงนี้ แต่อิฉันจักมิมีวันยอมให้คุณพี่กับมันได้สมหวัง ”
.
“ จนป่านนี้ เธอก็ยังยึดมั่น ถือมั่น ฉันก็จนใจกับเธอแล้วจริง ๆ แม่พริ้ง ”
.
แม่พริ้งสั่งให้บ่าวของตนลงไปขัดขวางคนที่มาเยือนเรือนตน โดยที่ตนไม่ต้องการ หากวิญญาณคุณเต้นั้น พยายามจะโน้มน้าวใจของภรรยาในนามของตนอีกครา แต่ก็ไม่สำเร็จเช่นทุกครั้ง คุณเต้จึงจำยอม แล้วเลี่ยงออกไปอย่างเคย
.
“ ดี อยู่เงียบ ๆ ไปเช่นเคยนะเจ้าคะ อย่ามาสอดการของอิฉันอีก เพราะเยี่ยงไร คุณพี่ก็ทำอะไรอิฉันมิได้ ”
.
เมื่อเห็นว่าคุณเต้มิไยดีการที่ตนจะทำอีก คุณพริ้งจึงกล่าวเยาะเย้ยตามหลังชายคนที่เธอต้องการเอาชนะ แม้ว่าวันที่ไม่มีลมหายใจแล้วก็ตาม
.
“ นังพริ้ง มึงไปจัดการพวกมันเสีย อย่าให้มันขึ้นมาบนเรือนกูได้ ”
.
หมอพริ้งที่นอนนิ่งอยู่ ลืมตาขึ้นทันที่ที่ได้ยินเสียงสั่งจากวิญญาณในภาพ แม้ว่าตัวเองจะไม่ยินยอม แต่ก็ไม่อาจฝืนได้ จำต้องลุกขึ้นไปทำตามที่โดนสั่ง
.
“ พวกมึงรนหาที่กันยิ่งนัก นายกูอยู่เงียบๆแล้ว เหตุใดพวกมึงจึงมาวุ่นวายมิยอมเลิก แลมึง ไอ้สุก อย่านึกว่าเป็นพระแล้วกูจักต้องไหว้สา ”
.
เมื่อทุกคนก้าวเท้าเหยียบบันไดขั้นแรก วิญญาณของบ่าวอย่างแม่ปริก ก็ปรากฏร่างขึ้นขวาง ตามคำสั่งของนายตน
.
“ โยมปริก เมื่อใดโยมจักเห็นทางสว่าง ปล่อยวางเสียเถิด สิ่งที่โยมพริ้งทำ มันไม่ถูก โยมมิรู้หรอกรึ ”
.
“ แล้วอย่างไร มันก็มิใช่เรื่องของมึงเช่นกัน เมื่อครั้นก่อนยังมิเข็ดอีกรึ หรืออยากตายด้วยมือกูอีกรอบ เป็นพระแลมิอยู่ส่วนพระ ”
.
อร๊าย!!!!!
.
ร่างโปร่งแสงของวิญญาณพุ่งตรงเข้ามาพระภิกษุ แต่ก็ไม่อาจเข้ามาทำอะไรได้ ซ้ำยังกระเด็นออกไปคล้ายกับชนอะไรบางอย่าง
.
“ มึงทำอะไรกูไอ้สุก อย่าคิดว่ากูจะยอม ”
.
ว่าจบก็พุ่งเข้าหาหลวงปู่อีกรอบ และก็เป็นเช่นเดิม แต่คล้ายว่าครั้งนี้จะได้รับบาดเจ็บมากกว่าเดิม
.
“ ปล่อยวางเสียเถิดโยม โยมจักมิต้องเจ็บอีก อาตมามิได้ทำอะไรโยมเลย อาตมาเพียงแผ่เมตตาให้โยม แต่เป็นจิตอาฆาตของโยมต่างหาก ที่ทำร้ายตัวโยมเอง ”
.
“ มึงอย่าทำมาเป็นพูดดี กูเห็นว่าร่ายบทสวดมนต์ดำใส่กู ”
.
“ มิใช่มนต์ดำอะไร ที่อาตมาสวดเป็นเป็นบทแผ่เมตตา แลบทพุทธคุณ ไม่มีมนต์ใดยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธคุณดอกโยม แลพระพุทธคุณก็มิได้ทำร้ายผู้ใด ”
.
“ มึงอย่าปดกู เยี่ยงไรกูก็ไม่เชื่อ แลวันนี้กูจักจัดการพวกมึงให้นายกู ”
.
กรี๊ด.....
.
เสียงกรีดร้องของดวงวิญญาณ ร้องอย่างเจ็บปวด เมื่อพยายามเข้ามาขวาง แต่ก็ต้องถอยกลับไป คล้ายกับมีมือที่มองไม่เห็นผลักไส
.
คุณชายเต้ ตี๋ คิมม่อน และคอปเตอร์ ทุกคนพร้อมใจกันตั้งใจแผ่เมตตาให้กับวิญญาณหลงผิดอย่างแม่ปริก แต่เมื่อเจ้าตัวมิยินดีรับ จึงกลายเป็นโดนสะท้อนกลับไปเสียแทน
.
เมื่อเดินขึ้นมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย หน้าบานประที่ลั่นดาลจากด้านใน คุณชายเต้จึงก้าวนำทุกคนมาด้านหน้าเสียเอง
.
บานประตูที่เคยปิดตายมานาน ค่อยๆเปิดออก พร้อมกับร่างของใครคนหนึ่งที่พุ่งเข้าหา พร้อมอาวุธในมือ
.
คุณชายเต้คล้ายจะรับรู้อยู่แล้วจึงยกมือขึ้นจับข้อมือของผู้ที่เข้ามาทำร้ายตน พร้อมกับออกแรงผลักร่างเล็กกว่าให้ถอยกลับไป เบี่ยงตัวให้ทุกคนขึ้นมาบนเรือน
.
กรี๊ด...............
.
เสียงกรีดร้องโหยหวนของวิญญาณในภาพ เมื่อเห็นว่า คนของตนไม่อาจขัดขวางการมาเยือนของคนที่ตนไม่ประสงค์ได้
.
“ อีพริ้ง อีปริก พวกมึงมิได้ความ จัดการมันเสีย ”
.
เสียงร้องสั่ง พร้อมกับวิญญาณบ่าวของคุณพริ้งที่พุ่งเข้าหาอีกรอบ แต่ก็เป็นเช่นเดิม เมื่อมาแรงเท่าไหร่ ก็โดนผลกระทบกลับไปเท่านั้น
.
หมอพริ้งที่เมื่อครู่โดนคุณชายเต้ผลักจนล้ม กลับลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นสั่งการ แววตาไหววูบอยู่เพียงครู่ ก่อนจะกลับมาเป็นดวงตาแข็งก้าว
.
มีดเล่มยาวในมือพุ่งเข้าหาคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทันที คิมม่อนที่มองอยู่แต่แรก เบี่ยงตัวหลบ ทำให้ร่างเล็กของหมอพริ้งถลาไปด้านหน้า ก่อนจะตั้งหลักแล้วหันกลับมาอีกครั้ง
.
“ ชายเต้ ไปจัดการตรงนู้น หมอพริ้งนี่ฉันจัดการเอง ”
.
“ เธอโดนสะกดแน่ๆเลย เป็นอย่างที่ตี๋สงสัยจริง ๆ ด้วย พี่คิมม่อนระวังตัวนะ พี่เต้ กับตี๋ไม่ต้องห่วงผมกับพี่คิมม่อน พวกเราจัดการได้”
.
คอปเตอร์ร้องบอกพี่ชายของตน เมื่อเห็นว่าคุณชายเต้พะวงกับพวกตน
.
“ ดูแลตัวเองด้วยนะ คิมม่อน ฉันฝากน้องด้วย ”
.
เมื่อเอ่ยปากฝากฝังน้องชายตนเอง กับเพื่อนสนิท และได้รับการพยักหน้าตอบกลับมา คุณชายเต้จึงจับมือคนรัก เดินเข้าไปด้านใน
.
“ มีความสุขกันเสียจริงนะเจ้าคะ ถึงขนาดพากันมาเย้ยอิฉันถึงเรือน คุณพี่ยังใจร้ายไม่เปลี่ยน ”
.
เสียงจากภาพที่ยังคงงดงาม แม้ว่าจะผ่านเวลามานับร้อยปี แต่ภาพนั้นยังดูสวยสด ราวกับกาลเวลาไม่สามารถทำอะไรได้
.
“ คุณพริ้ง ปล่อยวางเถอะครับ ”
.
“ มึงเป็นใคร จึงมาสั่งกู เห็นว่าคุณพี่รัก จึงไม่เห็นหัวผู้ใด วันนี้มึงอย่าคิดว่าจะออกไปจากเรือนกูได้ ”
.
“ ผมไม่ได้สั่ง ผมขอร้อง และผมก็ไม่ใช่ท่านเทียดด้วย ผมคือผม ”
.
ตี๋เอ่ยขอให้วิญญาณหญิงสาวปล่อยวาง แต่ก็เหมือนกับทุกครั้ง ที่วิญญาณของเธอไม่คิดจะฟังใคร
.
“ ผมขอร้อง เลิกแล้วต่อกันเถอะครับ ที่ผ่านมา ผมขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ”
.
“ คุณพี่ไม่เคยรักอิฉันเลยรึเจ้าคะ ”
.
“ แม่พริ้ง ฉันรักเธอนะ รักเธออย่างพี่ชายพึงรักน้องสาว ฉันมิได้รักใคร่เธอฉันชู้สาว ”
.
“ แล้วคุณพี่มาแต่งงานกับอิฉันทำไมเจ้าคะ มาให้ความหวังอิฉันทำไม ”
.
“ แม่พริ้ง ฉันเคยขอร้องเธอแล้ว ตั้งแต่ครั้งนั้น ตัวแม่เองมิใช่รึ ที่ดึงดันมิยินยอม ฉันรู้ว่าฉันผิด ฉันก็ยอมอยู่กับเธอมาตลอด ในครานั้นฉันไม่โทษใคร หากจะมีคนผิด ก็คงเป็นฉันเอง ฉันขอโทษ ”
.
คุณชายเต้กล่าวกับวิญญาณในภาพ
.
“ มันมิสายไปรึเจ้าคะ คุณพี่บอกว่ายอมอยู่กับอิฉัน แต่คุณพี่ก็มิได้ลืมมัน คุณพี่มิเคยมีอิฉันในใจเลย ”
.
ลมหมุนพัดแรงขึ้น เมื่อสิ้นเสียงแห่งความไม่พอใจของคุณพริ้ง
.
“ แม่พริ้ง ปล่อยทุกคนไปเถิด ฉันขอร้อง ”
.
“ ไม่เกี่ยวกับคุณพี่ อยู่ในที่ของคุณพี่เถอะ ”
.
วิญญาณของคุณพริ้งตวาดคุณเต้ที่อยู่ในภาพเดียวกับตน
.
“ คุณพี่ห่วงมันนัก อิฉันยิ่งอยากจักทำให้มันตายต่อหน้าคุณพี่อีกครา ”
.
สิ้นเสียงคุณพริ้ง ลมรอบเรือนก็กระโชกอีกครั้ง หมอพริ้งที่เดิมนั้นสู้อยู่กับคิมม่อน ก็ผละออก แล้วเดินเข้าหาตี๋แทน
.
“ อีปริก มึงอย่าให้มันรอดออกจากเรือนกูไปได้ ”
.
“ เจ้าค่ะคุณพริ้ง ”
.
หมอพริ้งตอบ แต่น้ำเสียงนั้นแข็งทื่อ ไม่ต่างจากแววตา หากว่ามองในชั่วพริบตาหนึ่ง จะเห็นหยดน้ำใสที่หางตาของเจ้าตัว
.
“ ตี๋ระวัง!!! ”
.
แต่เหมือนเสียงของคุณชายเต้จะช้ากว่ามือของเจ้าตัว ที่ดึงตัวคนรักหลบได้ทัน แต่ก็ทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บแทน
.
“ เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดก่อกรรมกับผู้อื่นเสียทีแม่พริ้ง ”
.
คุณชายเต้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน ต่างจากเดิม จนตี๋ที่ประคองอยู่ต้องลูบแขนให้อีกคนใจเย็นลง
.
“ ทำไมเจ้าคะ แล้วที่คุณพี่ทำกับอิฉันเล่า มิเป็นไรเยี่ยงนั้นรึ อิฉันไม่เจ็บกระนั้นรึ ”
.
“ ฉันไม่รู้จักว่ากระไรกับเธอดีแม่พริ้ง ตาเธอนั้นมืดบอด เพราะความริษยา แลใจเธอนั้นก็ดำเสียยิ่งกว่าขนกา เธอเที่ยวโทษคนนั้น คนนี้ แลมิเคยมองตัวเองบ้างเล่า ว่าทำเยี่ยงใดไว้บ้าง ”
.
“ แล้วมันใช่คุณพี่รึเจ้าคะ ที่ทำให้อิฉันต้องเป็นเยี่ยงนี้ ”
.
“ ถึงเพลานี้ เธอก็ยังมิวายกล่าวโทษคนอื่น ฉันผิด ฉันยอมรับ แต่เธอเองเล่า เหตุใดจึงดื้อดึงนัก ”
.
“ พี่เต้ ใจเย็นก่อนครับ ”
.
“ มึงมิต้องแสร้งเป็นคนดี ไอ้ขี้ข้า เพราะมึงเพียงคนเดียว คุณพี่จึงไม่เห็นหัวกู ”
.
ตี๋พยายามปลอบให้คุณชายเต้อารมณ์เย็นลง แต่เหมือนจะไม่เป็นผลนัก เพราะคล้ายกับว่า เจ้าตัวอยู่ใกล้กับท่านเต้ และรับรู้ถึงอารมณ์เกรี้ยวกราด ของท่านได้มากขึ้น
.
ตี๋เองก็ไม่ใช่ไม่รับรู้ความกลัวของท่านเทียดตนเอง แต่ก็ยังพยายามปลอบใจตนเองว่า ตนคือตีรณ ไม่ใช่ตี๋เมื่อครั้งอดีต ตนไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายได้ง่าย ๆ อีก
.
“ เมื่อพวกมึงมิเคยเห็นกู แลมาหาเรื่องกูถึงเรือน เมื่อเข้ามาแล้วก็อย่าหวังจักได้ออกไป ไม่เว้นแม้แต่มึงไอ้สุก อย่าคิดว่าเป็นพระแล้วกูจักไม่กล้า อีปริก เผาเสียอย่างให้เหลือ ให้พวกมันเป็นผีเฝ้าเรือนอยู่กับกูกันให้หมดนี่ล่ะ ”
.
“ เจ้าค่ะ ”
.
สิ้นเสียง วิญญาณของปริกในร่างของหมอพริ้ง ก็จุดไฟที่ผ้าคลุมโต๊ะที่อยู่ในเรือน เปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว ด้วยเชื้อเพลิงเป็นไม้ และจากลมที่โหมเข้าใส่
.
“ ฮ่าๆๆๆ ตายเป็นผีเฝ้าเรือนกูเสียให้หมด อย่าแส่มาหาเรื่องกูถึงที่ดีนัก ”
.
เสียงหัวเราะอย่างได้ใจของวิญญาณในภาพ ทำให้คนที่ได้ยินเสียขวัญไปไม่น้อย บวกกับเปลวไฟที่โหมอยู่รอบตัว ก็ยิ่งทำให้ทุกคนตื่นตระหนกมากขึ้น
.
“ โยมเต้ ไปปลดภาพบนผนังนั่นเสีย แล้วก็ปลดปล่อยวิญญาณของท่านเต้ กับตี๋ เสียก่อน ”
.
“ ไอ้สุก มึงนี่มันแส่ไม่เข้าเรื่อง ”
.
คุณพริ้งในภาพตวาดลั่นเรือน เมื่อหลวงปู่ให้คุณชายเต้ปลดภาพบนผนัง แรงลมโหมไฟเข้าขวางไม่ให้คุณชายเต้เข้าถึงภาพบนผนังได้
.
แต่คุณชายเต้ก็ไม่ยอมแพ้กับเปลวไฟนั้น เมื่อเจ้าตัวกระโจนข้ามไปอย่างไม่กลัวความร้อนของไฟที่ลุกโชน
.
“ อย่ามายุ่งกับอิฉันนะเจ้าคะ ”
.
เสียงในภาพร้องขัด เมื่อเห็นว่าคุณชายเต้พยายามปลดภาพของตนออกจากผนัง
.
“ เลิกเคียดแค้นจองเวรกันเสียทีเถิดแม่พริ้ง ฉันขอล่ะ ”
.
เจ้าคุณอภิบาลบริรักษ์ เอ่ยขอกับคุณพริ้ง พร้อมพยายามห้ามไม่ให้คุณพริ้งทำอะไรได้สะดวก เพื่อเปิดทางให้ลูก หลานของตน ทำสิ่งที่ตนเองไม่อาจทำได้ให้สำเร็จ
.
ทันทีที่มือเปื้อนหยดเลือดของคุณชายเต้ สัมผัสกับรูปบนผนัง กลุ่มควันสีขาวก็ค่อย ๆ ลอยออกมา พร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างเคียดแค้น ของวิญญาณคุณพริ้งที่อยู่ในภาพ
.
“ ไม่ มันไม่มีทางเป็นไปได้ ”
.
วิญญาณคุณพริ้ง กล่าวออกคล้ายกับเพ้อ เมื่อกลุ่มควันนั้นรวมตัวเป็นรูปร่างของชายที่ตนหมายปอง
.
“ สมมุติฐานของตี๋เป็นจริง ”
.
คิมม่อนเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นโครงร่างของดวงวิญญาณตรงหน้า ส่วนตนเองนั้น ก็กอดคอปเตอร์ไว้ไม่ปล่อย พยายามให้อีกคนบาดเจ็บน้อยที่สุด
.
“ ขอบคุณทุกคนมาก ”
.
“ ออกไปได้แล้วอย่างไร หึ คุณพี่คิดว่าจะช่วยพวกมันออกจากเรือนนี้ได้กระนั้นรึ ฝันไปเถอะ ”
.
เมื่อเห็นว่าดวงวิญญาณของคนที่ตนกักขังไว้ หลุดออกมา วิญญาณของคุณพริ้งจึงพุ่งตามออกมาด้วยเช่นกัน
.
“ คุณพี่ไม่สามารถออกจากเรือนนี้ไปได้ดอกเจ้าค่ะ หากอิฉันไม่ยินยอม รวมถึงพวกมันด้วย แลคุณพี่คงมิลืมใช่ไหมเจ้าคะว่า คนที่คุณพี่รักหนักหนายังอยู่ในกำมืออิฉัน ”
.
วิญญาณคุณพริ้งพูดขึ้นอย่างอาฆาต
.
“ เลิกจองเวรกันเถิดโยม อาตมาขอบิณฑบาต ”
.
“ อย่ามาปากดีไอ้ขี้ข้า มึงเป็นพระแล้วอย่างไร วันนี้กูจะทำให้มึงขาดจากศีลเอง ”
.
ไม่มีใครคาดคิดว่า วิญญาณของคุณพริ้งจะเข้าสิงร่างหมอพริ้งแทนบ่าวของตน แล้วพุ่งเข้าหาพระภิกษุรูปเดียวบนเรือน
.
“ กรี๊ด!!!!.....”
.
แต่ร่างของหมอพริ้งที่โดนควบคุมกลับกระเด็นออกมา ทั้งที่ยังไม่ทันถึงตัวของหลวงปู่ พร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
.
“ จิตที่อาฆาต ไม่ว่าอย่างไรก็แพ้ให้พุทธคุณ แม้ว่าโดยจักใช้ร่างผู้อื่นก็ตาม หยุดก่อเวรเสียเถิด อย่าให้หมอคนนี้ ต้องร่วมก่อกรรมไปกับโยมอีกเลย เห็นแก่ลูก หลานของโยมเถอะ ”
.
“ ไม่กูไม่ยอม ”
.
คุณพริ้งในร่างของหมอพริ้งพุ่งเข้าหาหลวงปู่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ คิมม่อนเข้าขวางไว้เสียก่อน
.
“ หมอพริ้ง ผมรู้ว่าคุณไม่อยากทำแบบนี้ ต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายนี้ให้ได้ ”
.
คิมม่อนจับตัวของหมอพริ้งไว้ พยายามเรียกสติของเจ้าตัวให้กลับมา
.
“ มึงปล่อยกู มึงเองก็ร้ายนัก ทำตัวเป็นพ่อสื่อ อย่าคิดว่ากูไม่รู้ ”
.
คุณพริ้งตะคอกใส่คิมม่อนที่จับร่างของหมอพริ้ง ทั้งคู่ยื้อยุดใส่กัน ส่วนคอปเตอร์นั้นวิ่งไปหาพี่ชายตนเองพร้อมกับตี๋
.
“ พี่เต้ เป็นอย่างไรบ้างครับ ”
.
ตี๋ที่เห็นรอยแผลไฟลวกบนกายของคนรัก เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
.
“ ไม่เป็นไรครับ แค่ภายนอก ตอนนี้เราต้องหารูปของคุณเทียดตี๋ก่อน ”
.
“ ผมว่าต้องอยู่ในรูปนี้นั่นล่ะครับ เท่าที่ฟังตี๋เล่า คุณพริ้งเธอต้องเก็บไว้ใกล้ตัว ซึ่งก็ไม่น่ามีที่อื่นแล้ว ”
.
คอปเตอร์เสนอความคิด เมื่อคุณชายเต้บอกให้ช่วยหาที่ซ่อนของรูปท่านเทียดตี๋
.
ทั้งสามช่วยกันพลิกหาที่ซ่อน แต่ก็ยังไม่เจอ ตี๋ที่จึงคิดว่า ในกรอบรูปนี้ต้องมีกลไก อะไรซ่อนอยู่ เจ้าตัวจึงยกกรอบรูปไม้โบราณขึ้นฟาดกับเสาเรือน เพื่อทำลายกลไกนั้นทิ้ง
.
.
.
(ต่อด้านล่าง)
.
.
.


ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
.
.

(ต่อจากด้านบน)
.
.
.

.
“ อย่า!!!! มึงอย่ายุ่งกับของกู ”
.
เสียงวิญญาณของคุณพริ้งร้องขึ้นทันที ที่เห็นว่าตี๋กำลังทำอะไร พร้อมกับพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากการยื้อยุดของคิมม่อน

.
คุณชายเต้เห็นดังนั้นจึงคิดว่า รูปของท่านเทียดตี๋ต้องซ่อนอยู่ในนี้อย่างแน่นอน แต่คงต้องต้องทำลายกรอบรูปนี้ให้ได้เสียก่อน
.
“ เฮ้ย!!! ”
.
คอปเตอร์อุทานขึ้นอย่างตกใจ เมื่อมีกลุ่มควันสีดำพุ่งเข้าใส่พวกตน ที่หาวิธีทำลายกรอบรูปของคุณพริ้ง
.
เมื่อเห็นว่าไม่อาจหลุดจากแรงของคิมม่อนได้ คุณพริ้งจึงทิ้งร่างของหมอพริ้ง แล้วพุ่งเข้าใส่คนที่กำลังท้าทายตนเองแทน
.
“ อีปริก มึงออยู่ไหน ออกมาช่วยกูเดี๋ยวนี้ ”
.
เมื่อเห็นว่าตนไม่สามารถสู้ได้คนเดียว คุณพริ้งจึงเรียกหาวิญญาณผู้ภักดีแทน
.
“ คุณพริ้ง ช่วยอิฉันด้วยเจ้าค่ะ อิฉันร้อนเหลือเกิน ”
.
“ ไอ้สุก มึงทำกระไรอีกปริก ”
.
คุณพริ้งหันตามเสียงเรียกของบ่าว จึงเห็นว่าวิญญาณของบ่าวตนเองอยู่ในวงล้อมสีทองอร่าม แม้แต่ตนเองก็ไม่สามารถแตะต้องได้
.
“ ไม่มีใครทำร้ายนางปริกดอก มีเพียงตัวมัน ใจมันเท่านั้น ที่ทำร้ายตัวเอง พระท่านเพียงแผ่เมตตาให้ แต่จิตใจใฝ่ร้ายของมัน จึงทำให้มันเจ็บปวด เมื่อใดที่มันเลิกอาฆาต มันก็จักเป็นสุข เธอเองก็เช่นกันแม่พริ้ง ”
.
ท่านเต้ขวางหน้าคุณพริ้ง พร้อมกับเอ่ยบอกสิ่งที่นางปริกกำลังเผชิญอยู่
.
“ คุณพี่คิดจักขวางอิฉันกระนั้นรึเจ้าคะ ”
.
“ เจอแล้ว!!! นี่ไง ”
.
“ พวกมึง!!! ”
.
เสียงร้องอย่างดีใจหันเหความสนใจของคุณพริ้งไป เมื่อหาสิ่งที่ต้องการเจอ ภาพถ่ายใบเก่า ซ่อนตัวอยู่ในกระดาษด้านในกรอบรูป
.
คุณพริ้งตะโกนขึ้นอย่างโมโห เมื่อเห็นสิ่งที่ตนเองพยายามซ่อน ในมือของศัตรูความรัก อย่างตี๋
.
“ เอาเลยตี๋ เร็วเข้า เดี๋ยวท่านเต้ขวางไว้ไม่ได้ ”
.
คอปเตอร์เร่งให้ตี๋ปลดปล่อยคนในภาพใบเก่า รอยยิ้มที่คล้ายกับตี๋ในตอนนี้ แต่คนในภาพนั้น มีแววตาที่เศร้ากว่า
.
กลุ่มควันสีขาวโปร่งแสงค่อย ๆ ลอยออกจากภาพ ทันทีที่หยดเลือดของตี๋สัมผัสภาพ เสียงกรีดร้องอย่างขัดใจของคุณพริ้ง ที่พยายามจะเข้าขวาง แต่ก็โดนท่านเต้ฉุดรั้งไว้ จนกระทั่งกลุ่มควันรวมตัวเป็นร่างเงาเลือนรางของใครคนหนึ่ง
.
“ ขอบใจเจ้ามาก ”
.
วิญญาณของตี๋ที่ถูกปลดปล่อย หลังจากถูกกักขังมานับร้อยปี เอ่ยขอบใจทายาทของตน แล้วจึงลอยตัวไปยืนเคียงข้างวิญญาณของท่านเต้
.
“ พวกมึง อย่าคิดว่ากูจักยอม พวกมึงต้องตายกันอยู่ที่นี่ อย่าหวังจักได้ออกไป ทั้งผีทั้งคน มึงคิดรึว่า ออกมาจากรูปได้ แล้วมึงจักได้เสพสมกัน ”
.
วิญญาณคุณพริ้งว่า พร้อมกับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ ล้อมรอบทางหนีไว้ทั้งหมด
.
ฮ่าๆๆๆๆ......
.
“ อยากอยู่ด้วยกันนัก ก็ตายไปพร้อมกันเสียที่นี่ล่ะ แส่หาเรื่องกับกูกันนัก ”
.
วิญญาณคุณพริ้งหัวเราะอย่างสะใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสามารถออกจากเรือนนี้ได้ เพราะไม่เพียงแค่รูปติดผนัง ที่เธอสั่งให้บ่าวอย่างนางปริกทำ แต่รวมถึงเรือนหลังนี้ด้วยเช่นกัน หากเธอไม่ยินยอม หรือไม่มีใครถอนมนต์นั้นได้ เมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่สามารถออกไปได้เช่นกัน
.
“ โยมพริ้ง มิได้ทำมนต์แค่เพียงในรูป แต่เธอลงมนต์ที่เรือนหลังนี้ด้วย ”
.
“ กว่าจะรู้ ก็สายไปแล้ว เยี่ยงไรพวกมึงก็ต้องเป็นผีเฝ้าเรือนกู ทั้งพระที่ชอบแส่ ทั้งคนที่ชอบสอด อย่าหวังจะได้ออกไปเลย ฮ่าๆๆๆ....”
.
ข้อสันนิษฐานของหลวงปู่ ได้รับการยืนยันจากคุณพริ้ง ว่าเป็นเรื่องจริง
.
“ แม่พริ้ง เธอช่างร้ายนัก ฉันชังเธอนัก ”
.
“ แล้วอย่างไรเจ้าคะ คุณพี่ก็มิคิดจักรักอิฉันอยู่แล้ว อยู่กันไปเยี่ยงนี้ สาแก่ใจอิฉันนัก ”
.
ท่านเต้ที่ตระกรองกอดน้องน้อยของตนเอ่ยขึ้น แต่คุณพริ้งมิได้รู้สึกอะไรอีก นอกจากความสาใจที่ทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในบ่วงของตนเองได้
.
“ หมอพริ้ง หมอพริ้งครับ เป็นยังไงบ้างครับ ”
.
ตี๋ที่คล้ายจะนึกอะไรได้ เขย่าตัวพยายามปลุกหมอพริ้ง ที่นอนหมดหมดสติอยู่ให้ตื่นขึ้นมา
.
“ นั่นมึงจักทำอะไรไอ้ขี้ข้า ”
.
คุณพริ้งโวยวายขึ้น เมื่อเห็นสิ่งที่ตี๋พยายามทำ แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงตัวตี๋ได้ เนื่องจากท่านเต้ขวางเอาไว้
.
คุณชายเต้คล้ายจะเข้าใจสิ่งที่คนรักของตนต้องการ จึงช่วยเรียกเพื่อนของตนอีกแรง
.
“ คุณชายเต้ หมอตี๋ พริ้ง...พริ้ง ”
.
เมื่อได้สติ หมอพริ้งก็ร่ำไห้ โผกอดคุณชายเต้
.
“ พริ้งขอโทษ พริ้งควบคุมตัวเองไม่ได้ พริ้งรู้ตัว แต่พริ้งทำอะไรไม่ได้เลย ”
.
“ ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ”
.
หมอพริ้งละล่ำ ละลักบอกแทบไม่เป็นคำ ตี๋กับคุณชายเต้จึงลูบหลังปลอบ ให้เธอคลายกังวล
.
“ หมอพริ้งอยากช่วยพวกเราไหมครับ ผมถามจากใจ และผมก็ขอคำตอบจากใจ ไม่ใช่คำถามที่ฝืนใจนะครับ ”
.
“ ค่ะ พริ้งอยากช่วย ถึงพริ้งจะไม่รู้อะไรในสิ่งที่เกิดขึ้น ว่ามันเกิดจากอะไร แต่ถ้าพริ้งช่วยได้ พริ้งก็จะทำค่ะ ”
.
คุณชายเต้ถามหมอพริ้ง และก็ได้คำตอบกลับมาในทันที ทุกคนยิ้มให้หมอพริ้ง เมื่อเห็นว่าหมอพริ้งไม่ได้ต้องการให้เรื่องเป็นแบบนี้
.
“ ผมอยากจะขอให้หมอพริ้งช่วยถอนมนต์ ที่สาปแช่งเรือนหลังนี้ พร้อมกับทุกคนในเรือน ได้ไหมครับ ”
.
“ พริ้งยินดีค่ะ พริ้งต้องทำอะไรบ้างคะ ”
.
หมอพริ้งยิ้มตอบคุณชายเต้ แม้ว่ารอยยิ้มนั้นดูอ่อนแรง แต่เธอก็พยายามจะทำตามคำขอของคุณชายเต้ให้ดีที่สุด
.
คุณชายเต้รับรู้ได้ว่า ไม่ใช่แค่พวกตนที่เข้ามาในเรือนวันนี้ แต่เรือนหลังนี้ยังกักขังบ่าวไพร่ ที่ไม่ยินยอมไว้อีกมาก ตนเองจึงขอร้องหมอพริ้งไปเช่นนั้น
.
“ ผมก็ไม่รู้ว่าจะใช่ไหมนะครับ แต่ก็อยากให้หมอพริ้งลองดู ”
.
“ ค่ะ พริ้งจะลองทำตามที่คุณชายเต้บอก ”
.
เสียงตะโกนของคุณพริ้งดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่สามารถเข้ามาขัดขวางสิ่งที่คุณชายเต้ขอให้หมอพริ้งทำได้ เนื่องจากท่านเต้ คอยขัดขวางอยู่ และหลวงปู่เองก็สวดบทแผ่เมตตาให้ ทำให้วิญญาณคุณพริ้งอ่อนแรงลงกว่าเดิม
.
“ ทำใจให้สงบนะครับ ผมขอให้หมอพริ้งตั้งใจ ออกปากปลดปล่อยทุกสิ่งบนเรือนหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน หรือดวงวิญญาณ แล้วก็ขอให้หมอพริ้ง หยดเลือดของตนเองลงไปที่พื้นเรือน ”
.
คุณชายเต้บอกสิ่งที่ตนคิด หมอพริ้งนั้นก็ทำตามสิ่งที่คุณชายเต้บอก ตี๋ คิมม่อน และคอปเตอร์มองด้วยความหวังว่า จะสำเร็จ
.
ทันทีที่หมอพริ้งอธิษฐานตามที่คุณชายเต้บอก พร้อมกับหยดเลือดของตนลงที่พื้นเรือน วิญญาณคุณพริ้งก็กรีดร้อง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้
.
กลุ่มควันจำนวนมาก  พวยพุ่งออกจากทุกทางของเรือน บ่าวไพร่เมื่อครั้งอดีต ที่ถูกกักขังอย่างไม่เต็มใจ ได้รับการปลดปล่อย
.
“ขอบคุณท่านเจ้าคุณขอรับ/เจ้าค่ะ ”
.
เสียงขอบคุณจากดวงวิญญาณ กลบเสียงกรีดร้องด้วยความไม่พอใจของคุณพริ้ง
.
“ คุณเต้รีบออกไปเถิดขอรับ อีกประเดี๋ยวเรือนหลังนี้คงไหม้หมดทั้งหลัง ”
.
“ ใช่เจ้าค่ะ พวกบ่าวจักเปิดทางให้คุณเต้เองเจ้าค่ะ ”
.
วิญญาณบ่าวไพร่ชายหญิงเอ่ยกับคุณชายเต้
.
“ ขอบคุณทุกคนมากครับ ”
.
ดวงวิญญาณของบ่าวไพร่ ช่วยกันเปิดทางให้กลุ่มของคุณชายเต้ ออกจากเรือนที่กำลังจะล้ม เสียงกรีดร้องของคุณพริ้งดังอยู่ด้านหลัง แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
.
“ จบสิ้นกันเสียที ”
.
คุณชายเต้เอ่ยขึ้นหลังจากออกจากเรือนได้ ทุกคนได้แต่ยืนมองเรือนไม้โบราณ ที่ถูกไฟไหม้จนเหลือเพียงซากสีดำ กับเสียงกรีดร้องของเจ้าของเรือน ที่ไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และยังหลงยึดติดอยู่ในวังวนของตน
.
“ เราขอบใจพวกเจ้านัก ”
.
น้ำเสียงทุ้มเย็น ของเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์กล่าวขอบคุณทุกคน
.
“ ฉันขอขอบคุณทุกคนนะ ”
.
น้องน้อยของท่านพระยากล่าวขอบคุณเช่นกัน
.
“ เราขอให้เจ้าทั้งคู่สมหวังในชีวิตรักครั้งนี้ ขอให้ความดีที่เจ้าทั้งคู่กระทำ คอยเป็นเกราะคุ้มครองเจ้าทั้งคู่ ให้ปลอดภัยจากสิ่งทั้งปวง ”
.
ท่านเต้อวยพรให้คุณชายเต้ และคนรัก
.
“ ตี๋ ฉันขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ พี่คิมม่อน ฉันขอบน้ำใจพี่มาก พี่คอยช่วยฉันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเมื่อครั้งก่อน จนมาครั้งนี้ ขอบน้ำใจขอรับ ”
.
“ ไปกันเถอะ ถึงเวลาของพวกเราแล้ว ”
.
ท่านเต้ และน้องน้อยเอ่ยขอบคุณทุกคนอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งคู่จะค่อยสลายเป็นละอองใส ๆ หายไปกับท้องฟ้าเบื้องบน
.
“ แล้วเราจะทำยังไงกับรูปสองใบนี้ดี ”
.
คิมม่อนถามขึ้น เมื่อทุกคนกลับมาที่เรือนริมน้ำ ปฐมพยาบาล อาการบาดเจ็บกันเรียบร้อยแล้ว คุณชายเต้ให้คนของตนไปส่งคุณหมอพริ้งที่โรงพยาบาล แม้ว่าหมอพริ้งจะปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้บาดเจ็บอะไรก็ตาม
.
เหตุการณ์ไฟไหม้เรือนไม้ด้านหลัง เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ คล้ายกับเรือนหลังนั้น โดนบังตาจากคนภายนอกอยู่แล้ว ซึ่งคุณชายเต้เอง ก็ไม่อยากให้ใครมาสืบเรื่อง หาความอะไรอีก
.
“ นั่นสิ เอาไงดี ”
.
คอปเตอร์เองก็อยากรู้เช่นกัน จึงเอ่ยปากถามด้วยอีกคน
.
“ หลวงปู่คิดว่าควรทำอย่างไรดีครับ ”
.
คุณชายเต้หันมาถามพระภิกษุที่นั่งอยู่ด้วย
.
“ แล้วแต่โยมเห็นสมควรเถิด อาตมาไม่มีความเห็นใด ๆ ”
.
“ ถ้าอย่างนั้น ผมเห็นว่าในเมื่อไม่อะไรที่ผูกมัดกันแล้ว ผมก็อยากจะให้ท่านทั้งสองจากไป อย่างไม่เหลือสิ่งผูกมัดอะไรอีก ผมจะขอเผารูปทั้งสองใบนี้ ”
.
คุณชายเต้บอกสิ่งที่ตนคิด ซึ่งได้รับการพยักหน้ารับจากทุกคน
.
“ แต่ ยังมีอีกสิ่งที่ผมอยากทำ ก่อนที่จะทำลายภาพสองใบนี้ ”
.
คุณชายเต้บอกสิ่งที่ต้องเองคิดไว้อีกย่าง
.
“ แกอยากทำไรอีกวะ แต่งงานกับหมอตี๋ก่อนรึไง ”
.
คิมม่อนถามขึ้นอย่างติดตลก ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มจากทุกคนได้ดี
.
“ ตลกแล้วคิมม่อน ผมอยากบวชครับ ขอความกรุณาหลวงปู่ด้วยนะครับ ผมอยากจะอุทิศบุญให้กับคุณพริ้ง ผมอยากให้เธอพบทางสว่างของเธอ ไม่อยากให้เธอหลงในวังวนไม่จบสิ้น ”
.
คุณชายบอกความในใจของตน
.
“ ตี๋ไม่โกรธพี่นะครับ พี่ขอบวชให้คุณพริ้งเธอ อย่างน้อย ก็ช่วยให้พี่จิตใจสงบขึ้น พี่ขอทำให้สิ่งที่ท่านเทียดอยากทำ แต่ไม่อาจทำได้ เมื่อครั้งนั้น ”
.
“ ผมจะโกรธพี่เต้ทำไมครับ ผมเองก็อยากบวชให้ทุกคนเหมือนกัน แต่คงต้องหลังจากฝึกงานจบ ตอนนี้ก็ได้แต่ร่วมอนุโมทนากับพี่เต้ด้วยนั่นล่ะครับ ”
.
“ เออ ๆ เห็นด้วย ฉันร่วมอนุโมทนาด้วย ”
.
“ ผมด้วยครับ ”
.
“ อย่างนั้นก็ตามใจโยม อาตมาร่วมอนุโมทนาเช่นกัน พร้อมเมื่อใดก็ไปหาอาตมาที่วัดได้ตลอด อาตมาจักแจ้งท่านพระครูเจ้าอาวาสไว้ให้ก่อน ”
.
เมื่อทุกคนเห็นพร้อมต้องกัน คุณชายเต้จึงยิ้มออกมาด้วยความยินดี และเมื่อนำความต้องการไปบอกกับท่านพ่อ และหม่อมแม่ ทั้งสองก็ยินดีเป็นอย่างมาก
.
งานบวชของคุณชายเต้ ไม่ได้จัดงานอะไรมากมาย มีเพียงพ่อแม่ ญาติ และเพื่อนที่สนิทสนมเท่านั้นที่มาร่วมงาน
.
.
.
“ นมัสการครับหลวงพี่ ”
.
ตี๋ก้มกราบพระเต้ หลังจากที่ประเคนอาหารเพลให้พระเต้ วันนี้ เรือนริมน้ำทำบุญ เลี้ยงพระ เบื่ออุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณทุกดวง ที่เคยอาศัยอยู่ในเรือนแห่งนี้
.
“ เจริญพรโยม วันนี้ฝึกงานวันสุดท้ายแล้ว อาตมายินดีด้วยนะ ”
.
“ ขอบคุณครับ ต้องขอบคุณหลวงพี่ ที่ช่วยสอนผมทุกเรื่อง ”
.
ตี๋สนทนาอีกหลายประโยค ก่อนจะถอยออกมาให้พระท่านได้ฉันเพล ร่วมกับพระรูปอื่น เมื่อพระท่านฉันเพลเสร็จ ท่านก็ให้ ศีล ให้พร
.
คิมม่อนนิมนต์ให้พระท่านช่วยประพรมน้ำมนต์ จนทั่วเรือน เพื่อเป็นสิริมงคล จวบจนพระท่านเจริญพระพุทธมนต์จนจบ
.
เสียงอนุโมทนา สาธุดังขึ้นรอบเรือน แม้ว่าจะเป็นเสียงแผ่วเบา แต่ตี๋ และพระเต้ ผู้เคยเป็นเจ้าของเรือน และยังเป็นมาจนถึงปัจจุบันนั้น รับรู้ถึงเสียงนั้นได้
.
เมื่อเสร็จพิธีสงฆ์ เจ้าภาพอย่างตี๋ ที่รับหน้าที่เป็นเจ้าของบ้านแทนพระ จึงเชิญชวนแขกไปรับประทานอาหารเที่ยงด้านล่าง
.
เวลาเคลื่อนคล้อย จนแขกคนสุดท้ายขอตัวกลับ ในเรือนจึงเหลือเพียง ตี๋และพระเต้ เพราะเพื่อนสนิทของพระอย่างคิมม่อน และคอปเตอร์เดินไปส่งท่านชายกับหม่อม
.
“ โยมพร้อมแล้วใช่ไหม ”
.
พระเต้ถามขึ้น เมื่อเดินมาถึงศาลาริมน้ำ แล้วนั่งลงบนตั่งตัวเล็ก ที่ที่ครั้งหนึ่งท่านเทียดทั้งสอง เจอกันเป็นคราแรก
.
“ ครับ ขอให้ผมได้ส่งท่านทั้งคู่ พร้อมหลวงพี่อีกครั้งนะครับ ”
.
แม้จะรูปว่าท่านเทียดทั้งสอง ได้รับการปลดปล่อยจากบ่วงที่เหนี่ยวรั้งทั้งคู่ไว้ แต่พระเต้ และตี๋ก็อยากจะร่วมทำบุญ แผ่ส่วนกุศลให้ทั้งทั้งคู่อีกครั้ง รวมถึงทุกดวงวิญญาณ ที่เคยร่วมทุกข์สุขกันมา
.
“ เช่นนั้นก็เริ่มเถอะ ”
.
ถาดสังกะสีใบย่อม ใส่รูปใบเก่า เปื้อนคราบสีน้ำตาลจากหยดเลือดของพระเต้ เมื่อครั้งก่อน ตี๋จุดไฟลนกระดาษของภาพใบนั้น
.
เปลวไฟสีส้มแดงค่อยลามไปจนทั่ว พร้อมกับที่พระเต้เจริญพุทธมนต์ พร้อมทั้งแผ่เมตตาให้เจ้าของภาพใบนี้
.
“ ไม่กูไม่ไป กูไม่ยอม.....ปล่อยกู.... ”
.
เสียงที่แว่วตามสายลม ถึงความยึดมั่น ถือมั่นของคุณพริ้ง แม้ว่าดวงวิญญาณของตนนั้น จักต้องไปชดใช้กรรมของตนแล้วก็ตาม
.
“ ช่างเป็นดวงวิญญาณที่แรงแค้นน่ากลัวนัก ”
.
พระเต้เอ่ยขึ้นหลังจากที่จบบทสวดแผ่นส่วนกุศล พร้อมกับภาพถ่ายใบเก่าถูกไฟเผาจนเหลือเพียงเถ้าสีดำ
.
“ ที่นี้ก็ท่านเทียดทั้งสอง โยมเองก็ตั้งใจ ตั้งจิตให้เป็นกุศลนะโยมตี๋ ”
.
“ครับ ”
.
พระเต้เอ่ยบอก ตี๋รับคำ พร้อมกับตั้งจิตให้เป็นกุศล แล้วจุดไฟที่ปลายขอบกระดาษ ภาพถ่ายใบเก่า รูปคู่ของท่านเทียดทั้งสอง ที่ยังคงส่งยิ้มให้กัน
.
เปลวไฟค่อยลุกไหมภาพใบเก่า พร้อมกับข้อความคำสัญญา คำฝากรักของคนทั้งคู่ด้านหลัง
.
.
.
.
“ ขอบน้ำใจเจ้าทั้งคู่นัก..... ความดีที่เจ้ามี จักคุ้มครองเจ้า เราขออวยพร ”
.
เสียงอวยพร พร้อมร่างโปร่งแสงคู่หนึ่ง ที่จับมือกันอยู่ตลอด ส่งรอยยิ้มสุดท้ายให้ ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป พร้อมกับรอยน้ำตาของตี๋ ที่หลั่งออกมาโดยที่ตนเองก็ไม่รู้ตัว พระเต้ส่งยิ้มอ่อนให้ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว กับความรักของทั้งคู่
.
ความแค้น ความอาฆาต การพลัดพราก บ่วงเวรที่ผูกดวงวิญญาณที่ภักดีต่อกัน จบสิ้นลงเสียที
.
ต่อจากนี้ คงเป็นวันที่เปี่ยมสุข วิญญาณรัก ที่ผูกสัญญาสมัครของท่านเต้ และคนรักอย่างน้องน้อย หรือตี๋ เมื่อครานั้น ไม่ต้องเศร้าหมอง ตรอมตรม เพราะการจากลา ดังเช่นกาลก่อน......”
.
.
.
.
.
.....ด้วย.....ชะตา ชักนำมา มาบรรจบ
.
.
ใจ.....ประสบ พบรักแท้ แน่วแน่หมาย
.
.
ภักดิ์....จิตปอง ครองเคียงคู่ มิเคลื่อนคลาย
.
.
สองใจกาย ร่วมพันผูก ตราบสิ้นกาล.....
.
.
.
.
.
.
.....ด้วยใจภักดิ์.....
.
.
.
.
จบบริบูรณ์.......
.
.
.
.
.

.
.
.
.
#ขอบคุณทุกการติดตาม
.
#ขอบคุณทุกความคิดเห็น
.
#ขอบคุณขอรับ
.
.
.
.
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

ยายคุณพริ้ง  :เฮ้อ:  ปลงไม่ได้ปล่อยไม่ได้ก็เจ็บต่อไป
ขอบคุณที่แบ่งปั่น 

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด