(END)#ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (9/12/61) หน้า 3 รบกวนย้ายได้เลยจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (END)#ด้วยใจภักดิ์....ตอนจบ (9/12/61) หน้า 3 รบกวนย้ายได้เลยจ้า  (อ่าน 10504 ครั้ง)

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :sad11:

ขมๆหวานๆ สงสารทั้งคู่

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
   Billie : ขอบคุณขอรับ  หวานบ้าง ขมบ้าง ปนๆกันไปขอรับ
ปล. +1 จ้า

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนที่ 8

...........จำใจจาก...........

หลังจากที่ขอเชิงบังคับบุตรชายหมั้นหมายกับแม่หญิงที่ตนเลือก คุณหญิงแย้มก็พยายามจักเป็นแม่สื่อ โดยการชักชวนให้คุณหนูพริ้ง คู่หมั้นหมายของบุตรชายมาที่เรือนอยู่เป็นเนื่องๆ ด้วยหวังว่าบุตรชายจักเห็นความน่ารัก เพียบพร้อมของคู่หมั้น
แต่สิ่งที่คุณหญิงมิคาดคิดก็คือ คุณหลวงหนุ่มมิเคยจักอยู่เรือนให้พบหน้า ด้วยหน้าที่การงานในความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ทำให้คุณหลวงนั้นต้องเดินทางออกนอกพระนครมิใคร่ได้อยู่ในกรม แลมิได้กลับเรือนแต่วันเหมือนอย่างเดิม
หากจะให้คุณหนูพริ้งรั้งรออยู่ที่เรือน ก็เกรงจักค่ำเสียเกินไป แม้นว่าจักหมั้นหมายกันแล้ว แต่การที่แม่หญิงจักมาอยู่เรือนชายจนเย็นย่ำ ก็มิงามนัก
“ ลูกกราบลาคุณหญิงแม่เจ้าค่ะ เพลาหน้าหากมีโอกาสลูกจักมาเยี่ยมเยือนอีกครา ”
“ พ่อเต้ก็ก็กระไรนัก มิเคยจักอยู่ติดเรือน น้องมาเรือนก็มิเคยพบหน้า ”
“ คุณหญิงแม่อย่าโกรธเคืองพี่เต้เลยเจ้าค่ะ การที่พี่เต้รับผิดชอบนั้นมิอาจจักละทิ้งได้ พริ้งเองยังอดเห็นใจพี่เต้มิได้ ”
“ ถึงกระนั้นก็เถิด พ่อเต้ก็มิควรปล่อยให้แม่พริ้งมานั่งรอเยี่ยงนี้ ”
คุณหญิงแย้มสนทนากับแม่พริ้ง ก่อนที่แม่พริ้งจักกราบลากลับเรือน คุณหญิงพิมที่นั่งอยู่ด้วยนั้นก็มิได้เอ่ยขัดกระไร เมื่อคู่หมั้นหมายของคุณหลวงหนุ่มเข้ามากราบลา
“ เจ้าคุณพี่ แลพี่หญิงพิมเองก็ให้ท้ายพ่อเต้ยิ่งนัก มิห้ามปราบพ่อเต้เสียบ้างเล่าเจ้าคะ ”
คุณหญิงแย้มหันกลับมาหาความกับคุณหญิงพิมเสียแทน หลังจากที่ส่งคุณหนูพริ้ง ลงเรือกลับเรือนตนไปแล้ว
“ แม่แย้มจักให้ฉันปรามกระไรพ่อเต้เล่า พ่อเต้ก็บอกแม่แย้มไว้ก่อนแล้วมิใช่รึว่า ยังมิพร้อมที่จะมีคู่หมั้นหมาย ด้วยเกรงว่าจักมิสามารถดูแลได้ ”
“ คุณพี่หญิง ”
คุณหญิงพิมย้อนความคราเมื่อคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ มิยินดีจักหมั้นหมาย ด้วยภาระการงานที่เพิ่มขึ้น แลยังมิอาจจักวางมือได้
“ น้องมิคุยกับคุณพี่หญิงแล้ว ช่างให้ท้ายพ่อเต้เสียจนลูกมิยอมฟังน้องเลย กราบลาเจ้าค่ะ ”
ว่าจบคุณหญิงแย้มก็สะบัดหน้าหนี เดินลงจากเรือน กลับเรือนของตน คุณหญิงพิมจึงส่ายหน้าอย่างระอาเสียแทน
ย่ำค่ำเรือมาดเข้าเทียบท่าน้ำหน้าเรือน คุณหลวงหนุ่มก้าวขึ้นจากเรือ ขันเงินใส่น้ำลอยดอกมะลิหอมเย็น ส่งให้ถึงมือ ตามด้วยผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเหยาะน้ำอบ กลิ่นหอมอ่อนๆ
เต้มองคนที่ส่งให้ตนด้วยแววตารักใคร่มิปิดบัง ด้วยที่ตรงนี้มิมีใครอื่นนอกจากบ่าวที่ไว้ใจได้ของเรือนริมน้ำ
ตี๋ก้มหลบสายตาพราวระยับ ดวงหน้าขึ้นสีระเรื่อ จักให้ผ่านมานานเท่าใด เขาก็มิเคยชินเสียที กับสายตาหยอกเย้าของคุณหลวงหนุ่ม
“ วันนี้เป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ ”
“ หนักเอาการเชียว ชาวเมืองด้านนอกนั้นมิค่อยรู้เรื่องการแพทย์เท่าใดนัก แลพี่ก็ยังด้อยประสบการณ์ คงจักต้องศึกษาให้มาก ”
“ กระนั้นรึขอรับ เช่นนั้นน้องจักเตรียมเครื่องเขียนเพิ่มให้นะขอรับ ”
“ ขอบใจน้องนัก แต่ถึงจักเหนื่อยเพียงใด แค่เห็นหน้าน้อง พี่ก็มีแรงแล้ว ”
เต้ก็ยังเป็นเต้ เป็นคุณหลวงช่างแกล้งให้คนรักขัดเขิน ด้วยชอบมองใบหน้าขึ้นสีระเรื่อของอีกคน
คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ยังคงต้องออกไปนอกเมืองอยู่ทุกวัน แลกลับเรือนเสียเย็นค่ำ บางครา ก็มิได้กลับเรือน แม้ว่าจักเป็นห่วงคนที่เรือน แต่ก็มิอาจจักละทิ้งหน้าที่ได้
เมื่อมิอาจเลี่ยงได้ ด้วยหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ หลวงอภิบาลบริรักษ์จึงได้แต่สั่งความบ่าวอีกสามคนให้ช่วยดูแลคนตัวเล็ก แลสั่งความน้องให้อยู่แต่ในเรือน
แต่ถึงจะอย่างนั้น เมื่อเกิดมาเป็นบ่าว ก็มิอาจจะเลี่ยงนายได้ เมื่อคุณหญิงแย้ม พร้อมด้วยคุณหนูพริ้ง คู่หมั้นหมายของคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์มาเยือนเรือนริมน้ำ
คุณหญิงแย้มดึงดันที่จะขึ้นเรือน ทั้งที่นายสุก นายผล แจ้งความว่า คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์มิให้ผู้อื่นขึ้นเรือน แต่คุณหญิงนั้นใช้ความเป็นมารดา ทำให้ไม่สามารถที่จะรั้งได้
ตี๋นั่งจัดตำราอยู่ที่ชานบ้าน นางมานั้นกำลังปัดกวาดเรือน คราแรกที่ได้ยินเสียงเอะอะที่หน้าเรือน ตี๋เองก็พอจะเดาได้ว่า อย่างไรเสียก็คงมิอาจจักหลบเลี่ยงได้อีก
“ กราบคุณหญิงแย้ม คุณหนูพริ้ง ขอรับ ”
“ สบายกันเสียจริงบ่าวเรือนนี้ พ่อเต้นี่ก็กระไร ปล่อยให้เคยตัวเยี่ยงนี้ แม่พริ้งคงจักต้องเหนื่อยมากเสียแล้วกระมัง ”
“มิขนาดนั้นดอกเจ้าค่ะคุณหญิงแม่ ”
บ่าวบนเรือนกราบคุณหญิงแย้ม แลคุณหนูพริ้ง แต่คล้ายกับว่าคุณหญิงจักมิสนใจบ่าวนัก เพราะเจ้าตัวหันมาสนทนากับคุณหนูพริ้งที่มาด้วยกันแทน
เมื่อขึ้นมาบนเรือนริมน้ำ คุณหญิงแย้มก็พาคุณหนูพริ้งชมเรือนริมน้ำเสียทั่ว พร้อมคำกล่าวที่ทำให้ใจของบ่าวตัวน้อยเรือนริมน้ำต้องสั่นไหว
“ แม่พริ้งเห็นว่าเรือนริมน้ำเป็นเยี่ยงไรบ้าง ถูกใจรึไม่ อีกไม่กี่เพลา แม่พริ้งจักต้องมาเป็นนายเรือนนี้แล้ว ”
เพียงไม่กี่ประโยคแต่มันช่างเหมือนคมมีดที่กรีดบนใจคนฟัง มันเจ็บเสียยิ่งกว่าตอนโดนลงหวาย ครานั้นเพียงเจ็บตัว ไม่กี่เพลาก็หาย แต่ครานี้ เขาคงหนีความจริงมิพ้น
หลายเพลาผ่านพ้นไป คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์แล้วจากการออกตรวจชาวเมืองจึงกลับเรือนหลังจากที่มิได้กลับมาหลายเพลา
หากการกลับเรือนในครานี้ คล้ายจักมีบางอย่างรบกวนใจอยู่บางๆ แต่คุณหลวงเองพยายามจักไม่ใส่ใจ แต่คุณหลวงหนุ่มนั้นกังวลกับคนที่เรือนริมน้ำเสียแทน ยิ่งทราบความจากนายผล ว่าคุณหญิงแย้ม แลคุณหนูพริ้งมาที่เรือนริมน้ำ
“ ตี๋ น้องมีเรื่องกระไรในใจกระนั้นรึ ”
“ มิมีกระไรดอกขอรับ พี่เต้กลับมาเหนื่อย พักผ่อนเถิดขอรับ ”
“ พ่ออย่าปดพี่เลย นายผลเล่าความที่คุณหญิงแม่มาที่เรือนให้พี่ฟังแล้ว ”
“ มิมีกระไรจริงๆขอรับ ”
“ คนดี มิว่าคุณหญิงจักพูดว่ากระไร พ่อมิต้องฟังดอก เรือนนี้พี่จักมิให้ใคร เพราะเรือนนี้เป็นเรือนรักของเรา ของเราเท่านั้น คนดีของพี่ ”
“ พี่เต้ น้องกลัว หากวันใดที่พี่ต้องออกเรือน แลเรือนแห่งจักต้องกลายเรือนหอของพี่แลคุณหนูพริ้ง น้องคง.... ”
“ จักมิเป็นเช่นนั้น พี่สัญญา มิต้องกังวล พี่รักพ่อคนเดียว แลจักมิมีใครอื่นมาแทนที่คนดีของพี่ได้ ”
เมื่อคุณหลวงหนุ่มอยู่เรือน ความกังวลต่างๆก็คล้ายจักได้รับการปัดเป่า หากบางอย่างที่ตี๋รับรู้ได้นั่นคือ คุณหลวงมีบางเรื่องที่มิยอมบอก
“ พี่เต้มีเรื่องกระไรมิยอมบอกน้องรึไมขอรับ ”
“ เหตุใดน้องจึงว่าเยี่ยงนั้นเล่า ”
“ แม้พี่เต้มิบอก แต่น้องก็รู้สึกได้ขอรับ พี่เต้บอกน้องได้รึไม่ขอรับ ให้น้องช่วยแบ่งเบาความไม่สบายใจของพี่บ้าง ได้รึไม่ขอรับ ”
“ มิมีกระไรมากดอกพ่อ... ”
“ พี่เต้... ”
คุณหลวงหนุ่มมิยอมจักบอกความสบายใจ แลพยายามบ่ายเบี่ยง หากว่าอีกคนมิยอม แลเมื่อถามด้วยน้ำเสียงนุ่มๆมิได้ผล น้ำเสียงของคนตัวเล็กจึงแข็งจึงโดยมิรู้ตัว
“ เอาเถิดพ่อ พี่ยอมแล้ว มิต้องดุพี่ดอก ”
แม้จักว่าเยี่ยงนั้น แต่สายตาพราวระยับนั้นก็ทำให้อีกคนขัดเขินได้เช่นเคย
“ ที่พี่มิบอก เพราะมิอยากให้พ่อมาพะวงไปกับพี่ด้วย ”
“ แต่น้องอยากช่วยพี่ได้บ้าง รึคุณพี่เห็นว่า น้องมิมีความสามารถพอกันขอรับ จึงมิยอมแจ้งแก่น้อง ”
“ มิใช่เยี่ยงนั้น พี่ทราบแจ้งแก่ใจดีว่าน้องเป็นห่วงพี่ แลน้องต้องการช่วยพี่ แต่พี่ขอเพลาอีกประเดี๋ยวได้รึไม่ หากพี่พร้อมกว่านี้พี่จักแจ้งแก่คนดีมิปิดบัง ”
ท้ายที่สุดแล้วคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ก็มิยอมจักบอกความกังวลในใจ แม้ว่าตี๋จักทั้งพยายามทั้งขอร้อง ทั้งกึ่งขู่ แต่ก็มิสำเร็จ
แต่ว่ากันว่า ความลับมิมีในโลก คำนี้เห็นจะเป็นความจริง เมื่อเย็นวันหนึ่ง ตี๋มารับคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ ที่ท่าเรือเช่นเคย ความที่ได้ยินโดยบังเอิญนั้นมิใช่เรื่องเล็กๆเลย
“ เหตุใดพี่เต้จึงมิตอบรับเล่าขอรับ ”
“ ตอบรับเรื่องกระไรรึพ่อ ”
“ อย่ามาเฉไฉขอรับ น้องรูว่าคุณพี่ทราบดีว่า น้องหมายความถึงเรื่องใด ”
เมื่อกลับถึงเรือน ตี๋ก็มิยอมให้ติดค้างในใจ เขาเอ่ยความที่ได้ฟังเมื่อครู่ทันที
“ แลเรื่องนี้ด้วยรึไม่ ที่ติดอยู่ในใจพี่ตลอดเพลา หลังจากกลับจากออกตรวจไข้เมื่อคราก่อน ”
“ เฮ้อ... ก็เพราะเป็นเยี่ยงนี้ พี่จึงมิอยากบอกพ่อ พี่มิอยากให้พ่อทราบความนี้เลยจริงๆ ”
“ พี่เต้เห็นน้องเป็นเยี่ยงไรเล่าขอรับ ความสำคัญเยี่ยงนี้จึงมิยอมแจ้ง รึเกรงว่าน้องจักขัดขวาง... ”
“ ตี๋มิเคยคิดเยี่ยงนั้น แต่ที่พี่มิยอมบอกพ่อนั้น พี่มีเหตุผล ”
“ เหตุผลใดเล่าขอรับ รึเหตุผลที่ว่าน้องเป็นเพียงบ่าว มิควรจักรู้เรื่องของนายกัน ”
“ มิเอา มิกล่าวเยี่ยงนี้ พี่ขอโทษ ที่พี่มิยอมบอกพ่อ เอาเถิด เพลานี้พี่จักเล่าความทุกอย่างแก่พ่อ มิต้องร้องดอก ”
เมื่อเห็นน้ำตาของน้องน้อย คุณหลวงก็มิอาจจะใจแข็งอยู่ได้ แลเขาอยากจักแก้ไขความเข้าของน้องน้อยไปพร้อมกัน
“ ที่พี่มิบอกแก่พ่อนั้น เพราะพี่มิคิดจักตอบรับ แต่เจ้าคุณพ่อนั้น ชิงตอบท่านเจ้ากรมไปเสียก่อน พี่นั้นประวิงเวลาท่าน ด้วยจักมาปรึกษาพ่อ แต่พี่ก็มิอาจจักตัดใจปรึกษาได้ แลวันรุ่ง พี่จักไปแจ้งกับท่านเจ้ากรมเสียใหม่ ว่าพี่มิต้องการ ”
“ ทำไมเล่าขอรับ หากคุณพี่ไปศึกษาเพิ่มเติมเช่นที่ท่านพระยาว่า คุณพี่จักได้ความรู้ แลจักก้าวหน้ากว่าเดิมยิ่งนัก ”
“ ความรู้พี่ศึกษาจากตำราที่สยามเราก็ได้ แลความก้าวหน้า พี่ก็มิได้หวังกระไรมาก พี่ศึกษาการแพทย์ เพราะพี่ต้องการจักรักษาผู้คน มิได้ต้องการสิ่งอื่นใด ”
“ แต่... ”
“ มิมีแต่ดอก วันรุ่งพี่จักไปชี้แจงต่อท่านเจ้ากรม ว่าพี่นั้นมิอาจรับประสงค์ แลความหวังดีของท่านได้ ”
“ ทำไมเล่าขอรับ ทั้งที่คุณพี่พยายามศึกษาตำรามากมาย แต่เมื่อมีโอกาสเพิ่มเหตุใดจึงปฏิเสธเล่าขอรับ ”
“ พี่เป็นห่วงพ่อ แลอย่างที่พี่บอก พี่ศึกษาตำราที่สยามเราก็ได้ มิต้องไปไกลถึงเมืองวิลาส(1)ดอก ”
“ เพราน้องเองหรือขอรับ ที่คุณพี่มิยอมตอบรับ ”
“ มิใช่ดอก พี่เป็นห่วงพ่อส่วนหนึ่ง แลพี่นั้นต้องการศึกษาภาษาเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง... ”
“ น้องอยากให้คุณพี่ไปขอรับ ”
“ พ่อว่ากระไรนะ ”
คุณหลวงพยายามจักอธิบายความ ว่าเหตุใดตนจึงมิอยากไปศึกษาตำราที่เมืองวิลาศ ซึ่งหากเป็นก่อนหน้าที่ยังมิเจอน้อง เขานั้นวางแผนไว้ว่า เมื่อถึงเพลาที่เหมาะสม จักขอเจ้าคุณพ่อไปศึกษาเพิ่มเติม
แต่ในครานี้ มันมิเป็นเยี่ยงนั้นแล้ว ด้วยตนมีคนที่ต้องการจักดูแล ด้วยมิอาจไว้ใจบ่าวในเรือนคุณหญิงแย้ม แลที่สำคัญ ตัวคุณหญิงแย้มเองก็มิอาจจักวางใจได้
มิเท่านั้น ตอนนี้ตนนั้นยังมีคู่หมั้นหมาย ทั้งคุณหญิงแย้มถือข้างคุณหนูพริ้งเสียมาก แลตนเองนั้นยังมิรู้นิสัยคุณหนูพริ้ง หากก็มิอาจวางใจกระไรได้
แล้วคนตรงหน้านี้ จักรู้ความกังวลของเขาบ้างรึไม่ เหตุใดจึงพูดให้เขาไปเยี่ยงนี้ มิห่วงตนเองบ้างรึไร
“ น้องบอกว่า น้องอยากให้คุณพี่ได้ไปศึกษาที่เมืองวิลาศขอรับ ”
“ เหตุใดพ่อจึงว่าเยี่ยงนี้ มิรู้รึว่าพี่ห่วงพ่อยิ่งนัก ”
“ คุณพี่ห่วงน้องนั้น น้องกราบขอบพระคุณ คุณพี่นัก แต่น้องมิอาจปล่อยให้คุณพี่จักต้องเสียโอกาสดีๆเยี่ยงนี้ ”
“ มิเป็นไรดอก มิไปตอนนี้ ก็มิเป็นไร พี่เองก็มิได้ต้องการนัก ”
“ คุณพี่อย่าปดน้องเลยขอรับ แม้นน้องจักมิได้ร่ำเรียนกระไรมาก แต่น้องว่าน้องทราบความในใจของพี่ได้ ”
ตี๋ว่า เขาพอจักดูออกว่า คุณหลวงนั้นต้องการจักไปศึกษาด้านการแพทย์เพิ่มเติม เพียงแต่ยังมิมีโอกาส แต่เมื่อมีโอกาสแล้ว เหตุใดเล่าจึงมิยอมไป
หากเหตุนั้นเป็นเพราะตัวเอง ตนนั้นก็มิยินยอม ตนมิต้องการให้คุณหลวงต้องมากังวลจนต้องเสียการ แลอยากให้คุณหลวงได้ทำความสิ่งที่ทุ่มเทมาแต่แรก
“ พี่มิอยากไปแล้ว พี่ต้องการอยู่ดูแลพ่อ แลศึกษาที่สยาม ”
“ พี่เต้ขอรับ น้องมิต้องการเยี่ยงนี่เลยขอรับ หากเป็นเพราะที่ทำให้พี่เต้ตัดสินสินเยี่ยงนี้ น้องยิ่งรู้สึกมิดียิ่งนัก ”
“ พี่ห่วงพ่อยิ่งนัก พี่มิต้องการจักจากพ่อไปไกลเยี่ยงนั้น ”
เต้ว่าเมื่อได้ฟังคำของน้องน้อยแล้ว น้องนั้นรู้ว่าเขาทุ่มเทศึกษาตำรามากมาย แลมีเคยมีความคิดว่าจักต้องไปศึกษาเพิ่ม แต่ตอนนี้เขามิอาจตัดใจไปได้
“ น้องกราบขอบพระคุณขอรับ แต่น้องมิอยากเป็นคนที่เหนี่ยวรั้งพี่เต้ไว้ น้องขอได้รึไม่ขอรับ น้องขอให้พี่เต้ทำความต้องการแต่แรกได้รึไม่ ”
“ ตี๋ หากพี่ไป มันมิใช่เพียงแค่ประเดี๋ยว ประด๋าว มิใช่เหมือนเมื่อคราพี่ต้องออกนอกเมือง หากพี่ไปเมืองวิลาศ พี่ก็มิรู้ว่าจักต้องไกลน้องไปนานเพียงไหน ”
คุณหลวงว่าความยาว พร้อมทั้งถอนหายใจอย่างอัดอั้น เรื่องครานี้เขาเก็บไว้กับตัวเสียนานแล้ว เขาเคยคิดจักบอก แลถามไถ่น้องน้อย แต่ก็เกรงว่าความจักออกมาเป็นเช่นตอนนี้ เขาจึงเลือกที่จักนิ่งไว้เสีย
“ น้องมิเป็นใดดอกขอรับ น้องกราบ คุณพี่อย่าปฏิเสธท่านเจ้ากรมเลยนะขอรับ ”
“ พ่อมิอยากให้พี่อยู่ด้วยดอกรึ เหตุใดจึงอยากไล่พี่ไปไกลนัก ”
“ น้องมิอยากให้คุณพี่ไป แต่น้องก็มิอาจจักเห็นแก่ตัวได้ พี่มิเข้าใจน้องกระนั้นรึขอรับ ”
ตี๋ตอบด้วยคำของคุณหลวงด้วยน้ำตา ตนมิได้ต้องการให้พี่ไป แต่ก็มิอาจจักเห็นแก่ตัวเหนี่ยวรั้งพี่เขาไว้ได้ เขาต้องการจักเห็นพี่เต้ก้าวไปสู่สิ่งที่ทุ่มเทมาตลอด
ใครจะรู้ว่าใจเขานั้นมันเจ็บเพียงใด เขาไม่รู้เลยว่า หากต้องห่างกันเขาจักทนได้เพียงใด เจ็บตัวนั้นไม่นานก็คงหาย หากใจเขานั้นมันเจ็บกว่า
“ พี่เข้าใจพ่อ แต่พี่นั้นห่วงพ่อนัก หากพี่ไปไกลห่าง พ่อจักเป็นเยี่ยงไร เพียงพี่ออกไปนอกเมืองมิกี่เพลา พ่อยังซ้ำไปทั้งตัว หากพี่มิอยู่แล้วใครจักดูแลพ่อเล่า ”
คุณหลวงว่า พลางกอดกระชับอ้อม บรรจงแนบจูบบนกลุ่มผมนุ่ม แม้ว่าจะมิใครบอกตน แต่ร่องรอยเขียวซ้ำบนตัวน้องน้อย ก็ทำให้เขาแจ้งใจได้
“ น้องมิเป็นไรขอรับ เจ็บกายเพียงเล็กน้อย ประเดี๋ยวก็หายขอรับ แต่น้องมิอยากให้คุณพี่ต้องพะวงกับน้อง น้องจักดูแลรักษาตัวให้ดี น้องจักรอคุณพี่ขอรับ ”
“ คนดี พี่... ”
“ นะขอรับ น้องขอ น้องอยากเห็นแพทย์หลวงจากเมืองวิลาศ ว่าจักเก่งกาจปานใด แต่หากเป็นคุณพี่แล้ว คงจักเก่งกว่าหมอฝรั่งเป็นแน่ ”
“ หากน้องว่าเยี่ยงนั้น พี่จักเร่งศึกษา แลกลับมาหาพ่อ พี่มิกล้าคิดเลย หากพี่ไปไกล คุณหญิงแม่จักรังแกเจ้ารึไม่ พี่จักฝากพ่อไว้กับคุณแม่ใหญ่ อย่างน้อยๆ คุณแม่เล็กคงมิอาจจักทำกระไรมาก ”
“ น้องกราบขอบพระคุณขอรับ ”
หยดน้ำตาของน้อง ทำให้ใจเขาเจ็บนัก เขารู้ว่าน้องมิต้องการเยี่ยงนี้ แต่ก็มิอาจจักทำความต้องการของตนได้ น้องเจียมตนเสมอ มิเคยเรียกร้องสิ่งใด มิเคยต้องการสิ่งของมีค่า
หากเขามิไป มิว่าจักด้วยเหตุผลใด แต่คนที่จักต้องรับน้ำคำของคน คงเป็นคนที่เรือนริมน้ำนี่เป็นแน่ แล้วน้องน้อยของเขาจักต้องเจ็บซ้ำน้ำใจอีกเพียงใดเล่า
หากเขาเลือกได้ เขาก็มิอยากจักเกิดเป็นนาย เขาอยากเกิดเป็นเพียงชายคนหนึ่ง ที่สามารถทำการใดได้ตามใจตน มิใช่ต้องคอยหลบเลี่ยงเยี่ยงทุกวันนี้
***************************************
เมื่อตอบรับว่าจักไปศึกษาด้านการแพทย์ หมายกำหนดการนั้นก็แสนจักเร็วนัก คุณหลวงหนุ่มเหลือเพลาอีกไม่กี่ราตรีเท่านั้น ก็จักต้องออกเดินทาง
เมื่อเป็นเช่นนั้น คุณหลวงจึงมิยอมปล่อยคนรักให้ห่างกาย หากต้องเข้ากรม ก็พาไปด้วย อยู่เรือนก็ตระกรองกอด
คำรักที่พร่ำบอกทุกค่ำคืน โอบกอดแนบเนื้อนวล เก็บเกี่ยวทุกราตรี จนถึงราตรีสุดท้าย เมื่อรุ่งเช้า ตนจักต้องขึ้นเรือออกจากสยาม
คุณหลวงเอ่ยฝากบ่าวเรือนริมน้ำกับคุณหญิงพิม โดยแจ้งว่า ระหว่างที่ตนมิอยู่เรือน ตนขอให้คุณหญิงพิมเป็นผู้ดูแลเรือนริมน้ำ บ่าวทั้งสี่ของเรือนนั้น ตนยกให้คุณหญิงพิมผู้ดูแล เรียกใช้ แลตักเตือน สั่งสอน เหตุนี่ยังความมิพอใจให้คุณหญิงแย้มพอดู เนื่องตนต้องการจักจัดการกับบ่าวเรือนริมน้ำ แต่เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ ก็คงทำกระไรมิได้มากเช่นเคย
วันเดินทาง ตี๋มิได้ไปส่งคุณหลวงที่ท่าเรือใหญ่ หากเพียงส่งคุณเต้แค่หน้าเรือน เขามิอยากจักร้องไห้ให้คุณเต้เห็น แลเป็นห่วงจนมิอาจตัดใจไป จนเสียการ
ตนเองอยากจะส่งรอยยิ้มให้ มิใช่คราบน้ำตา แลคุณเต้นั้นจักเข้าใจดี เพราะมิได้เรียกร้องให้ตนต้องไปส่งที่ท่าเรือแต่อย่างไร
“ เดินทางปลอดภัยนะลูก แลอย่าลืมส่งจดหมายมาหาแม่บ้าง ”
คุณหญิงพิมกำชับคุณหลวงอภิบาลบริรักษ์อีกครา ก่อนที่คุณหลวงจักกราบลา ขึ้นเรือที่กำลังถอยออกจากท่าไป
นับตั้งแต่วันนั้น คุณหลวงส่งจดหมายเขียนเล่าเรื่องราวเมื่อยามศึกษาอยู่ต่างเมือง มาหาท่านเจ้าคุณ คุณหญิงพิม แลคุณหญิงแย้มอยู่เนื่องๆ หากคนที่มิเคยได้ข้อความในจดหมายเลยนั่นก็คือคุณหนูพริ้งผู้เป็นคู่หมาย ยังความมิพอใจแก่คุณหญิงแย้ม เมื่อบุตรชายมิไถ่ถามเรื่องราวของคู่หมั้นสักครา
ตี๋นั้นได้จดหมายจากคุณหลวงเช่นกัน หากแต่มิได้รับจากท่านพระยา เช่นคนที่เรือน แต่ได้รับจากสหายของคุณหลวงที่ทราบความระหว่างตนแลคุณหลวงดี
คิมม่อนมาเยี่ยมเรือนพระยาทิพยโอสถทุกคราที่ได้รับจดหมาจากเพื่อน แลรับจดหมายจากบ่าวตัวน้อยเพื่อส่งคืนให้คนไกลเช่นกัน
คุณหญิงพิมรับตี๋ขึ้นมาช่วยงานบนเรือนใหญ่ ด้วยความที่คุณหลวงสอนหนังสือให้ ตี๋จึงรู้หนังสือ แลช่วยอ่านให้คุณหญิงพิมฟัง
คุณหญิงมิเคยให้บ่าวที่คุณหลวงอภิบาลบริรักษ์ห่างสายตา ด้วยคุณหลวงนั้นกำชับเสียหนักหนาว่า ให้ตนช่วยดูแล สั่งสอน แลช่วยปกป้องจากคุณหญิงแย้ม
ตนนั้นพอจักมองออกว่า คุณหลวงหนุ่มนั้นมีใจสมัครกับบ่าวของตนอยู่มิน้อย หากตนก็มิได้เอ่ยกระไรออกไป ตนเองเฝ้าดูตี๋อยู่ หากว่าตี๋นั้นมิเคยกระทำการใดให้ขัดเคือง มิเคยนำความมิสบายใจให้คุณหลวง ตนจึงนิ่งเสีย แลเฝ้าดูอยู่ห่างๆ
หากเมื่อตนได้อยู่ใกล้ชิดบ่าวของเรือนริมน้ำคนนี้ของบุตรชาย จึงรู้ว่าเหตุใดบุตรชายจึงเอ็นดูนัก ตี๋เป็นเด็กเรียนรู้ไว รู้จักกาลเทศะ เจียมตน แลนอบน้อม เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ ตนเองจึงให้ความเอ็นดูบ่าวคนนี้เช่นกัน
ด้านคุณหญิงแย้มนั้นก็พาคุณหนูพริ้งมาเยือนเรือนมิได้ขาด ซึ่งความก่อนหน้านั้น คุณหญิงแย้มต้องการจักให้คุณหลวงออกเรือนเสียก่อน แล้วจึงเดินทางไปต่างแดน พร้อมกับคุณหนูพริ้ง แต่คุณหลวงมิยินยอม แลด้วยเพลาที่ท่านเจ้ากรมแจ้งมานั้น ก็กระชั้นเกินกว่าจะกระทำได้ คุณหญิงแย้มจึงต้องยอม หากก็สั่งความไว้ว่า เมื่อไหร่คุณหลวงกลับเมือง จักต้องจัดขันหมากไปสู่ขอคุณหนูพริ้งมาประเพณี
ส่วนตี๋นั้นแม้ว่าจักโดนกลั่นแกล้ง รังแก แต่ก็ได้คุณหญิงพิมช่วยไว้เสียทุกครา แลเมื่อคุณหญิงพิมออกปาก จึงไม่ใคร่มีกล้ามากนัก จะมีบ้างเพลาที่คุณหญิงมิทราบ
เมื่อกาลหนุนเวียนเปลี่ยนผ่าน จากวันเป็นคืน จากคืนเป็นเดือน จากเดือนเลื่อนเป็นปี แลหลายปี จดหมายจากคุณหลวงส่งถึงเรือน ความแจ้งว่าตนนั้นได้ศึกษาจบแล้ว แลกำลังเดินทางกลับเมือง
คุณหญิงแย้มเมื่อคราทราบความ ก็จัดเตรียมงานเพื่อต้อนรับ หากก็มิทัน เพราะคุณหลวงนั้นกลับมาพร้อมกับเรือที่นำจดหมายมา ด้วยมิต้องการความวุ่นวาย ถึงกระนั้น ที่เรือนใหญ่ก็มีงานฉลองเล็กๆอยู่ดี
หลังจากค่ำคืนนั้น คุณหลวงก็เข้ารายงานตัวกับท่านเจ้ากรม แลได้รับยศใหม่เป็น พระอภิบาลบริรักษ์ ดูแลด้านการแพทย์สมัยใหม่
“ พ่อคิดถึงพี่รึไม่ พี่คิดถึงพ่ออยู่ทุกเพลา ”
“ น้องก็คิดถึงคุณพี่ แลกลัวไปเสียทุกอย่าง ”
หลังจากผ่านช่วงเวลาอันแสนหวาน ที่คุณพระเรียกร้องทดแทนที่มิได้เจอเสียนาน ถ้อยคำเอ่ยความคิดจึงเริ่มขึ้น
“ มิต้องเกรงกระไรแล้ว พี่อยู่ตรงหน้าพ่อแล้ว คนดีของพี่ ”
คุณพระปลอบประโลมร่างน้อยในวงแขน จูบซับน้ำตาให้น้องน้อย เขารู้ว่าน้องต้องอดทนมากมายนัก เขานับถือน้ำใจน้อง ความในจดหมายมิเคยเล่าถึงความเป็นอยู่ของตน มีเพียงความถามไถ่ความเป็นอยู่ของเขาเท่านั้น
แต่เขานั้นพอได้ทราบความจากคิมม่อนอยู่บ้าง สหายคนนี้ช่วยเขาไว้มาก หากมิมีคิมม่อน เขาก็มิรู้จักติดต่อกับตี๋ได้เยี่ยงไร คิมม่อนบอกเล่าเรื่องในเรือนที่ได้รับฟังจากนายผล นายสุก นางมา บ่าวที่ซื่อสัตย์ แจ้งว่าคนรักของเขานั้นต้องเผชิญอะไรบ้าง ยามที่เขามิอยู่ แต่อย่างน้อย เขานั้นเบาใจไปได้ว่า คุณแม่ใหญ่เอ็นดูตี๋มากพอดู
หากเมื่อกลับเรือน ผ่านไปได้มิเท่าใด เรื่องร้อนใจก็เข้ามา คุณหญิงแย้มนั้นต้องการให้เขาออกเรือน ด้วยปล่อยปละละเลยคู่หมั้นของตนมาหลายเพลา แลจักให้เขาใช้เรือนริมน้ำเป็นเรือนหอ แต่เขามิเห็นด้วย เขาจึงคัดค้าน โดยมีคุณหญิงพิมช่วยออกหน้าให้
กำหนดการออกเรือนของเขากับคุณหนูพริ้งจึงเลื่อนออกไปจนกว่าเรือนหอจักสร้างเสร็จ แม้ว่ามันมิได้นาน แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีเพลาอยู่ตามลำพังกับคนรัก
“ อีกมิกี่เพลา คุณพี่จักต้องออกเรือนแล้ว ”
ตี๋เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียสั่นเครือในคืนหนึ่ง โดยมีผู้เป็นสามีตระกรองกอดอยู่ด้านหลัง
“ เหตุใดพ่อจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเช่นนี้เล่า ใจพี่มิดีเลย ”
“ มิมีกระไรดอกขอรับ น้องเพียงแค่อยากจักร่วมยินดีกับคุณพี่ แต่น้องเกรงว่า น้องคงมิอาจพูดว่ายินดีได้เต็มปาก น้องต้องขออภัยขอรับ ”
แม้พยายามจักไม่ร้องไห้ แต่น้ำตานั้นกับมิยอมเชื่อฟัง หากเจ้าตัวนั้นก็พยายามกลั้นสะอื้น เอ่ยจนจบประโยค
“ น้องมิต้องยินดี เพราะพี่เองมิได้ยินดีกระไรเลย พี่มิใคร่จักมีคู่แต่แรกแล้ว หากมิใช่ว่า ต้องรักษาหน้าคุณหญิงแม่ แลเจ้าคุณพ่อ พี่นั้นคงถอนหมั้นไปเสียนานแล้ว พี่มิมีใจให้คุณหนูพริ้ง แม้เพียงน้อย ด้วยใจพี่นั้นให้พ่อจนสิ้นแล้ว ”
คุณพระปลอบน้องน้อย เขาเข้าใจความรู้สึกของน้อง ด้วยนิสัยของน้องแล้ว คงจักโทษตนเองอยู่เสียกระมังว่า เพราะตนมิคู่ควร มิมีสิทธิ์ใดๆในตัวเขา น้องจึงกล่าวเยี่ยงนี้
“ ตัวแลใจของพี่ เป็นของน้อง แลมันจะมิมีวันเปลี่ยนเป็นอื่น พี่สัญญากับพ่อ ”
“ คุณพี่ น้องหวงคุณพี่ได้ใช่รึไม่ขอรับ ”
เมื่อรักมาก ก็อยากจักหวงเอาไว้เพียงคนเดียว แต่เพราะตนเป็นเพียงทาส ทั้งยังเป็นชาย จึงมิมีความคู่ควรใดๆเลย แต่เพราะรัก จึงมิอาจจักตัดใจได้ จึงต้องอดทน แม้ว่าจักมาก่อน แต่ก็เป็นแค่เพียงคนในเงา มิอาจจักออกสู่แสงสว่างได้
“ ทุกอย่างของพี่เป็นของพ่อ พ่อจักหวงเท่าใดพี่มิว่า พี่ยินดียิ่งนัก หากพี่มิอาจจักพาคนดีมายืนเคียงข้างได้เช่นผู้อื่น แต่พ่อมิต้องกลัว เมื่อมาอยู่เคียงข้างพี่มิได้ พี่จักถอยหลังไปเคียงพ่อเอง ”
มันมิใช่คำรักอ่อนหวาน แต่มันเต็มไม่ด้วยความหนั่นแน่นที่คุณพระอภิบาลบริรักษ์ให้คำมั่น เขามิสามารถจักให้น้องน้อยมายืนเคียงข้างอยู่เบื้องหน้าได้เช่นแม่หญิงที่คุณหญิงจัดหา ก็มิเป็นไร เมื่ออยู่เคียงข้างมิได้ เข้าก็พร้อมจักถอยหลังเพื่ออยู่กับคนที่ตนรัก
แม้ว่าเขาจักต้องออกเรือนไป เขามิคิดจักทิ้งที่รักไว้ด้านหลัง เขาจะจับมือน้องน้อยไปด้วย หากจะว่าเขาเลวร้าย เขาก็ยอม แต่เขาจะมิยอมปล่อยมือคู่นี้เป็นอันขาด
************************************************
เชิงอรรถ
(1) วิลาศ (คำวิเศษ) หมายถึง ที่เป็นของยุโรป (เป็นคําที่ชาวอินเดียในสมัยก่อนเรียกชาวตะวันตกโดยเฉพาะชาวอังกฤษ) เช่น สาคูวิลาด เหล็กวิลาดผ้าวิลาศ
******************************************
มารายงานตัวขอรับ
บทนี้ไม่มีอะไรมาก(ไม่มีจริงๆ) คือใจความหลักของบทมันมีนิดเดียวขอรับ
สุดท้ายมันได้แค่นี้จริงๆ ต้องขออภัยพี่ทั้งสองท่านด้วยขอรับ (กราบ)
และต้องกราบขออภัยท่านผู้อ่าน หากมันมิลื่นไหล แลวกวนไปบ้าง
คุณเต้จักต้องออกเรือนแล้วขอรับ
แลมิรู้ว่านายหญิงคนใหม่นั้นจักเป็นเช่นไร
จักมาดี รึจักมาร้าย
รบกวนติดตามด้วยนะขอรับ
แลขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกความรู้สึก ขอบพระคุณขอรับ
ปัจฉิมลิขิต
ลองเปิดเพลงนี้ฟังไปด้วยก็ได้ขอรับ
คืนสุดท้าย https://www.youtube.com/watch?v=YDPI4YGYPTo
..........ด้วยใจรัก.........
Mariner _IX

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2018 15:26:34 โดย Ice_Iris »

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนที่ 9 (1)


.........จำจากลา..........


เพลาหลายเดือนต่อมา เรือนหอที่ปลูกสร้างขึ้นใหม่ เพื่อสมฐานะของผู้ครองเรือนก็แล้วเสร็จ กำหนดการออกเรือนจึงกระชั้นเข้ามา

งานมงคลที่ถูกกำหนดขึ้น ทำให้ใจของคนต่างความรู้สึกกันออกไป เต้นั้นอยากจักเลื่อนเพลาให้ไกลออกไป เขาพยายามทำทุกทางที่จักให้เพลาไกลออกไป

แต่สุดท้าย มิว่าจักพยายามประวงเพลาสักเพียงใด เขาก็ไม่สามารถยังหลบหลีกได้ งานมงคลสองของเรือนใหญ่ ถูกจัดขึ้นอย่างสมฐานะของทั้งสองเรือน

ผู้หลัก ผู้ใหญ่ ร่วมหลั่งน้ำอวยพร ให้ชีวิตคู่ราบรื่น มีลูกหลานสืบสุกล แต่ใครจะรู้บ้างว่า ใจของเจ้าบ่าวมิได้ยินดี แลยินยอมจักมานั่งบนตั่งสั่งน้ำสังข์ หากก็จำต้องยอม

สายตาคมมองไปรอบๆงาน หาคนที่เป็นดั่งดวงใจ แลกลับต้องผิดหวังอีกครา เพราะตั้งแต่พิธีช่วงเช้า ล่วงมาจนถึงถวายเพล หลั่งน้ำสังข์ เต้ยังไม่เห็นน้องน้อยแม้แต่นิด

ทั้งที่คืนก่อนงาน เจ้าตัวเล็กยังนอนหลับอยู่กับตน หากเมื่อถึงกำหนดงาน น้องน้อยก็หายหน้าไป มิรู้ว่าจักไปร้องไห้เสียที่ใด สิ่งที่เขากลัว คือเขาไม่สามารถจักปลอบน้องได้

งานมงคลผ่านพ้นจนถึงพิธีส่งตัว เรือนนอนหลังใหม่ เตียงและฟูกหลังใหม่ ไม่ทำเต้รู้สึกอยากหลับนอนแม้แต่นิด ในใจของเขาตอนนี้ คิดคำนึงถึงเตียงหลังเล็กที่เรือนริมน้ำเสียมากกว่า

เมื่อส่งตัวเข้าหอแล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจึงปล่อยให้คู่บ่าว สาว อยู่กันตามลำพัง แต่ใจของเจ้าบ่าวนั้นมิใคร่อยากจะอยู่แม้แต่น้อย

“ คุณพี่จักอาบน้ำก่อนรึไม่เจ้าคะ น้องจักไปเตรียมให้ ”

“ มิเป็นไรดอก แม่พริ้ง เธอเองก็เหนื่อยมามิน้อย เธอไปอาบก่อนเถิด ”

ภรรยาแต่งของคุณพระเอ่ยถาม เมื่อทั้งคู่อยู่กันตามลำพังในเรือนนอน แต่คำกล่าวที่ตอบกลับมานั้น ห่างเหินจนคนฟังสัมผัสได้

คุณพระกลับเข้ามาในเรือนนอนอีกครั้ง หลังจากอาบน้ำ ชำระล้างความเหนื่อยล้าทั้งกาย ใจมาทั้งวัน

คุณหนูพริ้งรั้งรอสามีอยู่บนเตียงหลังใหญ่ คุณพระปรายตามองภรรยา หากก็มิได้พูดกระไร เจ้าตัวเดินอ้อมมาอีกด้านของตียง แล้วล้มตัวลงนอน

“ คุณพี่เมื่อยรึไม่เจ้าคะ น้องจักนวดให้ ”

“ แม่พริ้งเองก็เหนื่อยมาทั้งวัน พักผ่อนเถิด ”

คุณพระมิใส่ใจกับท่าทางเชิญชวนของภรรยาสาว หากกลับนอนหันหลัง แลยกผ้าขึ้นคลุมกาย ปิดตา เลี่ยงหลีกการสนทนา

เต้อยากจักให้คืนนี้ผ่านไปโดยไว ตนนั้นอยากกลับไปเรือนริมน้ำยิ่งนัก แต่ติดที่ว่า มิอาจทำได้ เพราะคนของคุณหญิงแย้ม แลคนของเรือนพระยาไชยปราการ นั้นถูกส่งมาเป็นบ่าวรับใช้ อยู่กันเต็มเรือนจึงมิอาจขยับกายไปได้ จำต้องทนนอนร่วมหอกับภรรยาตามประเพณี




************************************




หลังจากออกเรือนคุณพระอภิบาลบริรักษ์ นอนค้างที่เรือนหอเพียงคืนแรก แลออกจากเรือนเสียตั้งแต่ไก่ยังมิโห่ ยังความขัดเคืองในนายหญิงของเรือนมิน้อย หากว่าคุณพระก็มิใคร่ใส่ใจ

ตี๋น้อยยังคงรับใช้ที่เรือนริมน้ำ แลตามเข้าไปรับใช้คุณพระในกรมเช่นเดิม หากเมื่อคุณพระจักต้องออกนอกเมือง ก็จักฝากฝังน้องน้อยไว้กับคุณหญิงพิม

แม่พริ้งนั้นเมื่อออกเรือนกับคุณพระแล้ว มักจักมาเยี่ยมเยือนคุณหญิงแย้มอยู่เป็นนิจ ทำให้เป็นคนโปรดยิ่งไปกว่าเดิม แลก็นำความเรื่องคุณพระมิใคร่กลับเรือนมาปรึกษา

“ คุณหญิงแม่เจ้าคะ ลูกมิอยากจักน้อยใจ แต่คุณพี่ก็มิยอมจักกลับเรือนบ้างเลย ลูกถามก็อ้างว่ามิใคร่สะดวก ”

“ มิเป็นไรดอก ประเดี๋ยวแม่จักคุยกับพ่อเต้เอง แม่พริ้งมิต้องน้อยอก น้อยใจไป ”

“ ลูกกราบขอบพระคุณ คุณหญิงแม่เจ้าค่ะ ”

คุณพริ้งก้มกราบคุณหญิงแย้ม หากก็ซ่อนแววตา แลสีหน้าพึงใจ ไว้ใต้ดวงหน้าที่ใครเห็นนั้นจักต้องสงสาร เมื่อผู้เป็นสามีมิยอมกลับเรือน

เย็นในวันเดียวกัน คุณหญิงแย้มมารอพบคุณพระที่ท่าน้ำ แลบังคับให้คุณพระกลับไปนอนที่เรือนหอเสียบ้าง

คุณพระเองก็มิอยากจักขัดใจ ด้วยเกรงว่าคุณหญิงแย้มจักรังแกคนของตน เพราะสายตาของผู้เป็นมารดานั้น มิใคร่น่าวางใจ

แม้ว่าคุณพระจักยอมมานอนที่เรือนหอจริงตามความต้องการ แต่คุณพระก็มิทำกระไรเลย นอกจากมาเพื่อพักผ่อน เมื่อเข้าห้อง คุณพระก็เลี่ยงที่จักพูดคุย แลแสร้งหลับหนีเสียทุกครั้ง

คุณพริ้งเก็บความมิพอใจเอาไว้ เมื่ออยู่ต่อหน้าสามี ท่านพระยา แลคุณหญิงทั้งสอง เจ้าตัวจักเป็นแม่หญิงเรียบร้อย อ่อนหวาน โอนอ่อนตามเสียทุกอย่าง หากเมื่ออยู่ลำพัง เจ้าตัวก็พร้อมจักทำลายทุกอย่างที่ขวางทางตน

เรือนริมน้ำจำต้องต้อนรับภรรยาแต่งของคุณพระ เมื่อคุณพริ้งมาเยือนที่เรือน เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เฉกเช่นคนเป็นนายควรกระทำ

แต่ในความเป็นจริง เจ้าตัวเพียงมาดูหน้าบ่าว ที่เป็นต้องใจของผู้เป็นสามีเสียให้ชัด คราก่อนที่เจอนั้น ตนมิได้ใส่ใจ

“ เป็นขี้ข้าก็เจียมตัวไว้บ้าง อย่าเผยอหน้าให้มากนัก ”

เมื่อได้ความตามใจหมาย คุณพริ้งจึงลงจากเรือน กลับเรือนของตน แต่ก็ทิ้งความให้คนที่เรือนได้สะท้านในใจ

“ ตี๋น้องมีอะไรมิสบายใจรึ นายผลว่าวันนี้แม่พริ้งมาที่เรือน มีกระไรรึไม่เล่า ”

“ มิมีกระไรขอรับ คุณพริ้งเธอมาถามไถ่สารทุกข์ สุกดิบ ทั่วๆไปขอรับ ”

“ จริงรึ พ่อปดคนมิเก่ง รู้ตัวรึไม่ ”

“ มิมีจริงๆขอรับ ”

“ เอาเถิด พ่อว่าไม่ พี่ก็จักเชื่อเช่นนั้น ”

คุณพระสอบถามน้อง เพราะตนได้ความมาจากนายผลว่า วันนี้ภรรยาแต่งของตนมาที่เรือนริมน้ำ แต่ก็มิมีใครทราบว่า เจ้าตัวคุยกระไรกับคนตัวเล็กของเขารึไม่

“ พี่เต้ขอรับ น้องมิอยากให้พี่เต้มาที่เรือนริมน้ำทุกคืนเยี่ยงนี้ ”

“ น้องว่ากระไรนะ ”

ความที่ออกจากปากน้อง ทำให้คุณพระตื่นตระหนกมิน้อย แลสอบถามอีกคราว่า ตนได้ยินมิผิดความไป

“ น้องว่า น้องมิอยากให้คุณพี่มาที่เรือนริมน้ำทุกคืน ”

เมื่อได้ฟังอีกครา แลความนั้นก็ชัดแจ้ง คุณพระยิ่งร้อนในอก ด้วยต้องการจักทราบความว่า เหตุใดน้องน้อยจึงกล่าวเยี่ยงนี้

“ มีเหตุกระไรกัน เหตุใดน้องจึงกล่าวเยี่ยงนี้ ”

“ น้องมิอยากทำผิดไปมากกว่านี้ขอรับ น้องเหมือนเห็นแก่ตัว ที่เก็บคุณพี่ไว้คนเดียว ”

“ คนดี น้องมิได้เห็นแก่ตัว แต่พี่มิยินยอมจักไป อย่าไล่พี่เยี่ยงนี้ น้ำคำของน้องมันทรมานใจพี่นัก ”

“ น้องขอโทษขอรับ แต่น้องก็รู้ตัวดีว่า น้องเป็นเพียงทาสคนหนึ่ง แลคุณพริ้งเธอเพิ่งออกเรือนมา เธอก็คงต้องการให้คุณพี่ใส่ใจเธอบ้าง... ”

“ ตี๋ พี่บอกไปแล้วว่า พี่มิเคยเข้าหอกับแม่พริ้ง พี่มิเคยเกินเลย พี่ไปนอนที่เรือนโน้น ก็เพียงมิอยากขัดใจ พี่ไปแต่ตัว แต่ใจพี่มิเคยออกห่างพ่อแม้เพียงน้อย ”

“ แต่อีกมินาน พี่เต้จักต้องมีคุณหนูตัวเล็กๆ ”

“ พี่มิคิดจักมีบุตร เจ้าคุณพ่อมีลูกตั้งมาก แลอีกมินานก็จักออกเรือได้ คร้านจะเลี้ยงกันมิหวาด มิไหว ”

คุณพระปลอบน้อง ด้วยไม่รู้ว่าน้องนักคิดมากไปเพียงใด เขามิต้องการจักมีบุตร เขามิต้องการให้แม่หญิงใดต้องมาติดอยู่กับเขา เขาเคยบอกแม่พริ้งไปแล้ว แต่แม่พริ้งนั้นมิยินยอม ดึงดันจักออกเรือนกับเขาเสียให้ได้ เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ เขาก็มิอาจจะเปลี่ยนกระไรได้อีก

“ นอนเถิด เหนื่อยมานักแล้วคนดีของพี่ พี่รักพ่อนัก แลพี่มิคิดจักรักใครอีก พ่ออย่าผลักไสพี่อีกเลย พี่กับแม่พริ้ง คงมีวาสนากันแค่นี้เท่านั้น ”

เต้ลูบหลัง ขับกล่อมน้องน้อยเช่นทุกคืน เขาจะทำมันให้ดีที่สุด หากใครจักว่าเขาเลว เขาก็น้อมรับ แต่เขามิอาจจักทิ้งคนรักไปที่ใดอีกได้

เมื่อนานวันแม่หญิงเรียบร้อยเมื่อวันวานนั้นก็แปรเปลี่ยน แม่พริ้งนั้นเก็บความแค้นไว้ และเริ่มชำระความกับทุกคนที่นำความนั้นมาให้ตน โดยมิคิดย้อมกลับมาดูว่า ตนเองนั้นก้าวเข้าสู่วังวนนี้ด้วยตนเอง

คุณหญิงพิมนั้นเห็นแววความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าที่อ่อนน้อม ก็ให้อเนจอนาถใจนัก แลนึกเห็นใจคุณหญิงแย้มอยู่บ้าง

คุณหญิงแย้มผู้เป็นต้นเรื่องนั้น ก็พูดกระไรมิได้ แม้ว่าจักโดนเด็กรุ่นลูกว่ากล่าว เพราะคนเป็นผู้ชักชวนแม่พริ้งมาเอง

“ คุณหญิงช่วยกระไรอิฉันมิได้เลย ”

เสียงที่ดังขึ้นในเรือนคุณหญิงแย้ม เกี้ยวกราดไม่มีความเคารพใดๆหลงเหลือ มีแต่ความอยากเอาชนะเท่านั้น

“ แม่พริ้ง เบาเสียงลงหน่อยเถิด อายบ่าวไพร่มันบ้าง ”

“ มีกระไรต้องอายเจ้าคะ หากพวกมันปากมาก ก็ทำให้มันพูดมิได้เสียก็สิ้นเรื่อง ”

ความในคำกล่าวนั้นยังผลให้บ่าวในเรือนสะดุ้งเฮือก แลความโหดร้ายของแม่หญิงพริ้งที่พอได้ทราบความมา ก็มากเสียจนมิมีใครกล้าสบตา

“ แล้วแม่พริ้งจักให้แม่ทำเยี่ยงไรเล่า พ่อเต้รึไปที่เรือนอยู่มิได้ขาด ”

“ ไปนอนแล้วก็กลับกระนั้นรึเจ้าคะ เจ้าคุณพ่อ คุณหญิงแม่ของอิฉันท่านรึอยากอุ้มหลาน ”

“ เอาเถิดแม่พริ้ง เรื่องของผัว เมีย จักให้แม่ทำกระไรได้มากเล่า พ่อเต้นั้นรึออกเรือนไปแล้ว ถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แม่ก็มิอาจจักบังคับกระไรได้มากเช่นกาลก่อน เรื่องในเรือนของแม่พริ้ง แม่พริ้งคงจักต้องแก้เอง แม่ยุ่งยากมาก คงมิงามนัก ”

คุณหญิงแย้มว่า ด้วยบุตรชายนั้นออกเรือนแล้ว ถือว่าโตเต็มตัว เรื่องในเรือนก็ถือว่าเป็นเรื่องของผัว เมีย ตนเป็นเพียงคนนอก คงจะทำกระไรมากมิได้

“ เหตุใดคุณหญิงกล่าวเยี่ยงนี้เล่าเจ้าคะ เมื่อคราก่อนบอกว่า จักอิฉันทุกเรื่อง ”

“ แม่ก็ช่วยให้แม่พริ้งได้ตกแต่ง ออกเรือนไปกับพ่อเต้สมใจหมายของเราแล้ว แลเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องในมุ้ง ในเรือน แม่คงช่วยกระไรมิได้ดอก ”

“ คุณหญิงแม่!!  ได้เจ้าค่ะ เมื่อคุณหญิงแม่ว่าเยี่ยงนี้ อิฉันจักถือว่า อิฉันเป็นเมียแต่ง เป็นนายของเรือน หากว่าทำกระไรไป ก็อย่าว่าอิฉันไม่เห็นหัวผู้ใหญ่นะเจ้าคะ ”

ว่าจบคุณพริ้ง กับบ่าวของตนจึงสะบัดหน้ากลับเรือนตน หลังจากนั้น คุณพริ้งก็มิมาเยือนเรือนคุณหญิงอีก ทั้งเรือนใหญ่ก็มิไป

ความร้ายกาจของคุณพริ้งนั้นมีให้เห็นอยู่เนื่องๆ แต่เมื่อเป็นเรื่องนอกเรือนตน คุณหญิงพิมก็มิสามารถจักเข้าไปยุ่งได้

“ พ่อเต้ แม่ขอคุยสักประเดี๋ยวได้รึไม่ ”

“ ขอรับคุณแม่ใหญ่ ”

คุณหญิงพิมมารอพบบุตรชายของท่านพระยาที่ท่าน้ำ เพื่อจักพูดคุย แลแจ้งความให้ระวังตน ด้วยเห็นว่าสะใภ้ใหญ่นั้นซ่อนความร้ายไว้มาก

“ คุณแม่ใหญ่มีกระไรรึขอรับ ไปคุยกันที่เรือนดีกว่า ”

คุณเต้เชิญคุณหญิงพิมให้มาคุยที่เรือนริมน้ำ เพราะมิอาจจักคุยที่ท่าน้ำได้ ด้วยมีบ่าวของคุณพริ้งอยู่มาก

“ น้ำขอรับคุณหญิง ”

“ ขอบใจ ”

เมื่อถึงเรือน แลนั่งพักเรียบร้อย ตี๋ก็ส่งขันเงินใส่น้ำลอยดอกมะลิให้คุณหญิงพิม

“ แม่อยากจักเตือนพ่อเต้เรื่องแม่พริ้ง แม่พริ้งนั้นร้ายลึกนัก แม่เกรงว่าลูกจักมิทันมารยาหญิง ”

“ ลูกกราบขอบพระคุณ คุณแม่ใหญ่ขอรับ ลำพังตัวลูก ลูกมิได้เกรงกระไร แต่ลูกห่วงคนที่ลูกรักเสียมากกว่า ”

คุณเต้ตอบ แลหันมาทางคนรักที่นั่งอยู่ด้านข้าง คุณหญิงพิมมองตามสายตาของบุตรชายนอกสายเลือด แลให้ต้องทอดถอนใจ

“ แม่เข้าใจพ่อเต้  หากคนที่ลูกผูกใจสมัคร เป็นเช่นผู้อื่น แม้เป็นทาส แม่ก็จักส่งเสริมให้ได้ออกเรือน แต่คนที่ลูกรักนั้น แม่มิอาจจักช่วยให้ออกเรือนได้ ”

“ มิเป็นไรขอรับ เพียงคุณแม่ใหญ่เมตตาลูก แลคนที่ลูกรัก เพียงเท่านี้ลูกก็มิรู้จักกล่าวเยี่ยงไรได้แล้วขอรับ ”

“ ตี๋เอ็งก็เช่นกัน ระวังตัวไว้ให้หนัก แม่พริ้งร้ายกว่าแม่แย้มนัก แม่แย้มน่ะเปิดเผย ร้ายก็ร้ายเสียให้เห็น แต่แม่พริ้งหาเป็นเช่นนั้นไม่ ”

“ บ่าวกราบขอบพระคุณ คุณหญิงขอรับ ที่เมตตาบ่าว บ่าวจักระวังตนให้มากขอรับ ”

“ พ่อเต้ แม่มิไว้ใจแม่พริ้ง วันนี้ได้สนทนากับพระคุณเจ้า ท่านจึงให้เครื่องรางแม่มา แม่จึงนำมาให้พ่อเก็บไว้กับตัว ”

“ ขอบคุณขอรับ ความจริงแม่ใหญ่มิต้องลำบากเยี่ยงนี้เลย ”

“ ว่าไม่ได้ดอกพ่อ ประเดี๋ยวแม่พริ้งคิดทำการมิควร ทำเสน่ห์ยาแฝกพ่อเล่า พ่อจักทำยี่ยงไร ”

“ เอ่อ... แม่พริ้งคงมิกล้าเยี่ยงนั้นดอกขอรับ มันบาปนัก ”

“ พ่อเต้ ลูกเป็นชายมีรึจักทันมารยาหญิง แม่สู้ไปขอท่านหลวงพ่อที่วัด เพื่อให้ลูกเอาไว้คุ้มกาย หากมิคิดถึงตน ก็คิดถึงคนที่อยู่ข้างลูก ยามใดหากลูกต้องเสน่ห์จริง คนข้างลูกจักเป็นเยี่ยงไร ”

คุณหญิงพิมยืนยันจักให้คุณพระเก็บเครื่องรางไว้กับตัว เพื่อคุ้มกายหากมีใครคิดร้าย จักได้มิเป็นภัย

“ ลูกขอบพระคุณแม่ใหญ่มากขอรับ ที่ช่วยเตือนสติ ลูกจักเก็บไว้กับตัว แลดูแลคนของลูกให้สุดกำลัง ”




*******************************




“ อีกปริกไหนมึงบอกว่าไอ้อาจารย์นั่นเก่งนักหนา เหตุใดพี่เต้จึงมิยอมมาหากู ”

เสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นบนเรือนของคุณพริ้ง บ่าวไพร่ที่ได้ยินต่างสะดุ้งเฮือก แม้ว่าชื่อที่ออกมานั้นจักมิใช่ตนก็ตาม

“ บ่าวมิรู้เจ้าค่ะ บ่าวจักไปเค้นความมาให้นะเจ้าคะ คุณพริ้งเย็นใจลงสักนิดเถิด ทูนหัวของบ่าว ”

“ อีกปริก หากมึงมิใช่บ่าวที่กูถูกใจ แลทำงานมิให้กูมิเคยพลาด กูคงมิเก็บมึงไว้ดอก ”

หลังจากครานั้น บ่าวคนสนิทของคุณพริ้งจึงต้องไปหาความว่าเหตุใดคุณพระอภิบาลบริรักษ์จึงมิต้องมนต์เสน่ห์

“ อีไพร่ มึงมีกระไร ”

“ พ่อหมอเจ้าคะ นายของอิฉันให้มาเรียนถามว่า เหตุใดเสน่ห์ของพ่อหมอจึงมิได้ผล ”

“ กระไรนะ กูทำเสน่ห์มามากนัก ยังมิเคยพลาด อีไพร่ มึงเอากระไรมาพูด ”

“ จริงเจ้าค่ะ คุณพระมิได้ต้องเสน่ห์ แลมิได้หลงใหลนายของอิฉันแม้เพียงน้อย ”

“ มันเป็นใคร กูจักเพ่งดู ”

ว่าจบหมอเสน่ห์ก็บริกรรมคาถา ด้วยภาษาที่ฟังมิออก ส่องดูในขันน้ำที่อยู่ตรงหน้า บ่าวหญิงนั้นพลางชะโงกดูตามไปด้วย

“ หึๆ เยี่ยงนี้เองรึ เป็นพระมิอยู่ส่วนพระ มาวุ่นวายกับเรื่องทางโลก มึงกลับไปบอกนายมึง กูรู้ความแล้ว ประเดี๋ยวกูจักจัดการให้ ”

“ เจ้าค่ะพ่อหมอ แลนายของอิฉันอยากจะทราบว่า พ่อหมอมียาสั่ง(1)รึไม่เจ้าคะ ”

“ ยาสั่ง นายมึงจะเอาไปทำกระไร ”

“ นายอิฉันมิพอใจบ่าวอยู่คนเจ้าค่ะ แต่ยังทำกระไรมิได้ จึงอยากได้ยาสั่งเจ้าค่ะ ”

“ ไอ้มีมันก็มี แต่มันหลายอัฐนัก นายเอ็งจะเอารึ ”

“ อัฐในถุงนี้พอรึไม่เจ้าคะ ”

ว่าแล้วก็วางถุงใส่อัฐที่หน้าพ่อหมอ หมอทำเสน่ห์หยิบถุงนั้นขึ้นถือ แลคำนวณน้ำหนักของอัฐที่อยู่ในถุง

“ ก็พอได้อยู่ นายมึงรึก็แปลกนัก แค่ทาสคนเดียวต้องใช้ยาสั่ง ฆ่าทิ้งเสียก็สิ้นความ ”

หมอเสน่ห์ว่าพลางหยิบของที่อีกฝ่ายต้องการส่งให้ แลบอกว่าทาสคนเดียว มิต้องใช้ยาสั่ง หากฆ่าทิ้งเสียก็มิใช่เรื่องยาก

“ อย่างไรก็เรื่องของนายอิฉัน พ่อหมอได้อัฐแล้วก็เงียบไว้เสีย อิฉันลาล่ะเจ้าค่ะ ”

แล้วนางทาสก็ลากลับ เพื่อนำความที่ได้จากหมอเสน่ห์กับไปแจ้งต่อนายตน แลนำยาที่ได้ไปให้นายของตนด้วย

“ ไอ้หมอเสน่ห์มันว่าเยี่ยงนั้นรึ หึครานี้ถือเสียว่ากูมิมีดวง แลของที่กูสั่งความไป ได้มารึไม่ ”

“ ได้เจ้าค่ะ คุณพริ้งจักให้บ่าวทำเยี่ยงใดเจ้าคะ ”

“ เอากรอกปากมึงกระมังอีโง่ เอาไปให้ไอ้ขี้ข้าเรือนริมน้ำมันกินสิ ”

“ ทั้งเรือนเลยรึเจ้าคะ ”

“ กระไร มึงทำมิได้ กระนั้นรึ ”

“ ได้เจ้าค่ะ บ่าวจักทำตามที่คุณพริ้งต้องการเจ้าค่ะ ”

พริ้งสั่งความให้บ่าวคนสนิทนำยาที่ได้มาไปใช้กับบ่าวเรือนริมน้ำเสียทั้งหมด เพราะตนไม่นั้นมิชอบใจบ่าวเรือนริมน้ำทั้งหมด

นางปริกบ่าวคนสนิทของพริ้ง เนื่องจากเป็นบ่าวเติบโตมาพร้อมกับคุณพริ้ง แลเป็นพี่เลี้ยง นางปริกนั้นทำได้ทุกอย่างตามที่คุณพริ้งสั่ง มิเลือกว่าความนั้นจักผิดรึถูก จึงทำให้เจ้าตัวเป็นที่ไว้ใจของคุณพริ้งยิ่งนัก

นางปริกถือโหลใส่ขนมหวานเดินมาเรือนริมน้ำ นางมา นายผลที่วันนี้เป็นหน้าที่ของนายสุกที่ต้องพายเรือให้คุณพระ จึงอยู่เรือน

“ ข้าเราขนมมาให้ คุณพริ้งเธอเมตตา เห็นว่าเหนื่อยกันนัก กินเสียสิ ”

นางมา มองหน้านายผล ด้วยต้องการความคิดเห็น นายผลนั้นมิใคร่ไว้ใจบ่าวของคุณพริ้งนัก แต่ก็ไม่สามารถขัดได้ เมื่อคุณพริ้งเดินเข้ามาเสียแทน

“ ทำไม ก่ะ...ฉันอยากให้ม่ะ... เอ็งสองช่วยชิมรสเสียหน่อย พวกเอ็งอยู่เรือนนี้ น่าจักรู้ว่าคุณพระชอบรสใด ”

ท้ายที่สุดแล้ว นางมา กับนายผลก็มิอาจเลี่ยงได้ จำต้องชิมขนมจากเรือนคุณพริ้ง เสียคนละชิ้น แต่นั่นก็ยังความพอใจให้คุณพริ้งยิ่งนัก

หากว่าก็มิมีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้น ทำให้ทั้งคู่คลายใจไปได้บ้าง ว่านี่คงมิใช่เล่ห์เหลี่ยมอะไรจากเรือนคุณพริ้ง

หากครานั้นมิใช่ครั้งแรกที่นางปริกจะนำขนมมาให้บ่าวเรือนริมน้ำได้ชิม แต่เวียนมาให้ลองลิ้มรสกันทั่วทุกคน แลบางคราคุณพริ้งก็มาด้วยตัวเอง

“ วันนี้เป็นเยี่ยงไรบ้างอีกปริก ”

“ พวกมันกินยากันครบทุกคนแล้วเจ้าค่ะ ”

“ ดี มึงทำได้ดี ถูกใจกูนัก ”

“ คุณพริ้งจักสั่งเลยรึไมเจ้าคะ ”

“ ยังก่อนอีปริก กูจักค่อยให้มันตายช้าๆ ตายเร็วมันง่ายไป ”

“ แต่คุณพริ้งเจ้าคะ คุณพระเป็นแพทย์หลวงนะเจ้าคะ หากยื้อเพลามากกว่านี้ บ่าวเกรงว่าคุณพระจักทราบเสียก่อน ”

“ ที่มึงว่ามาก็มีเหตุผล แต่กูยังอยากทรมานพวกมันอีกสักประเดี๋ยว คุณพระเองก็มิอยู่เรือน กว่าจักกลับก็คงอีกหลายเพลา ”

คุณพริ้งยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อความที่ตนต้องการนั้น ใกล้จักลุล่วง ไอ้อีที่เรือนริมน้ำจักต้องได้รับการสั่งสอน ที่พวกมันกล้ากระด้าง กระเดื่องกลับตน



ขอแบ่งเป็นตอนย่อย 2 ตอนขอรับ เนื่องจากไม่สามารถลงหมดได้ในโพสต์เดียว

รบกวนติดตามต่อที่

ตอนที่ 9 (2)

ขอบคุณขอรับ




ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ต่อจากตอนที่ 9 (1)
.
.
.
.
ตอนที่ 9 (2)
.
.
.........จำจากลา..........

.
.
.
.
บ่าวเรือนริมน้ำเริ่มเจ็บออดๆ แอดๆ โดยมิรู้สาเหตุ แลคนที่จักช่วยรักษา เช่นคุณพระอภิบาลบริรักษ์ก็มิอยู่เรือน คนในเรือนจึงหาหยูกยากันตามประดามี(2)

ฝากคุณพระอภิบาลบริรักษ์นั้น ด้วยหน้าที่รับผิดชอบ จึงมิอาจหลบเลี่ยงได้ จำต้องเดินทางออกนอกพระนคร เพื่อตรวจรักษาชาวเมือง

แต่ใจของคุณพระก็มิสู้ดี ด้วยรู้สึกคล้ายมีบางอย่างกวนใจ แลเป็นห่วงคนที่เรือนอย่างบอกมิถูก หากก็มิอาจจักทิ้งไป คุณพระจึงเร่งมือตรวจรักษาชาวเมือง เพื่อให้แล้วการโดยไว เพราะใจของคนพระร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็น

การออกตรวจรักษาชาวเมืองในครานี้ หลายเพลานัก เนื่องจากมีเด็กเล็ก แลคนแก่ที่ป่วยง่ายอยู่มาก

เมื่อชาวเมืองคนสุดท้ายจากไป คุณพระก็กราบลาท่านพระยาที่ออกตรวจด้วยกัน กลับเรือนในทันที มิรั้งรออยู่ โดยแจ้งความแก่ท่านเจ้ากรมว่า ตนนั้นรู้สึกมิใคร่ดี ร้อนรุ่มในใจ เกรงกว่าที่เรือนจักเกิดความร้าย

ท่านพระยาเมื่อได้ฟังความจากคุณพระอภิบาลบริรักษ์ ก็มิคิดจักขัดกระไร เพียงแต่อำนวยพรให้ว่า เดินทางแคล้วคลาด แลมิมีความอันใดที่เรือนอย่างที่คุณพระเป็นกังวล

พระอภิบาลบริรักษ์ออกเดินทางทันทีที่ได้รับอนุญาต โดยมิรั้งรอ ทั้งที่อีกมิกี่เพลาก็จักย่ำค่ำแล้ว แต่ใจที่ร้อนเกินทน คุณพระหนุ่มจึงออกเดินทางทันที

ด้วยระยะทางที่มิได้ใกล้ แม้ว่าจักเร่งฝีพายมิได้ได้หยุด แต่กว่าจักเดินทางผ่านหัวเมืองเข้าสู่พระนคร ก็กินเพลามิใช่น้อย

ฝีพายผลัดเปลี่ยนกันอีกครา อีกมิไกลก็จักเข้าพระนครแล้ว เหลืออีกไม่กี่โค้งน้ำ คุณพระก็จักกลับถึงเรือนที่จากไปเสียหลายนาน

“ คุณพริ้งเจ้าคะ ทูนหัวของบ่าวเจ้าคะ อยู่แถวนี้ริไม่เจ้าคะ ”

“ มึงมีอะไรอีปริก โหวกเหวก โวยวาย ห่างหวายเสียนานกระมัง ”

“ คุณพริ้งจักลงหวายบ่าวก็ได้เจ้าค่ะ แต่ให้บ่าวแจ้งความให้แล้วเสียก่อน ”

นางปริกวิ่งขึ้นเรือน เรียกหานายของคน ยังความให้คุณพริ้งที่กำลังพักอยู่ในเรือนต้องออกมาดูหน้าบ่าวที่ขัดเพลาพักของตน

“ กระไรของมึง หากความมิสำคัญ กูจักลงหวายเสียให้หนัก ”

“ เจ้าค่ะๆ สำคัญมากเจ้าค่ะ ”

นางปริกเล่าความกระไรมิได้มาก ด้วยยังหอบหายใจไม่หยุด

“ ว่ามาอย่าช้าที ก่อนที่กูจักหมดความอดทน ”

“ คุณพระเจ้าค่ะ คุณพระกำลังจักกลับเรือนแล้ว ”

“ มึงว่ากระไรนะ คุณพี่นะรึจักกลับเรือน ยังเหลือเพลาอีกหลายวันนัก เหตุใดคุณพี่จักกลับมาก่อน รึว่าเลี่ยงการที่นอกพระนคร แล้วมึงแน่ใจได้เยี่ยงไรว่าเป็นคุณพี่ ”

“ ไอ้พวงเจ้าค่ะ ไอ้พวงมันเห็นเจ้าค่ะ มันจักพายเรือไปหาปลา แต่มันเห็นคุณที่ท่าน้ำหน้าพระนครเจ้าค่ะ ”

“ กระไรกัน เหตุใดคุณพี่จึงเร่งรัดกลับเรือน ”

“ มิใช่เพลามาหาเหตุเจ้าค่ะ คุณพริ้งจักต้องจัดการขี้ข้าเรือนริมน้ำ ก่อนที่คุณพระจักกลับถึงเรือนเจ้าค่ะ ”

“ เอาเถิด แม้ว่ากูจักทรมานพวกมันยังไม่หนำใจ แต่กูจักปล่อยมันไป กูจักมิฆ่ามันเสียพร้อมกันดอก แต่กูจักค่อยๆฆ่าที่ละคนอย่างช้าๆ มิเช่นนั้น คุณพระอาจจักสงสัยกูได้ ”

“ เจ้าค่ะ ทูนหัวของบ่าวช่างปราดเปรื่องนัก เราไปที่เรือนริมน้ำกันเถิดเจ้าค่ะ ”

แล้วสองนายบ่าวก็ลงจากเรือนของตน เพื่อไปเรือนริมน้ำ เรือนอันเป็นที่รักของคุณพระอภิบาลบริรักษ์

“ เป็นเยี่ยงไรเล่าพวกมึง เห็นว่าเจ็บป่วย คุณพริ้งเธอเมตตามาเยี่ยมเยือน สำนึกใส่หัวไว้เสียให้มาก ”

นางปริกว่า เห็นอาการของคนที่เรือนริมน้ำ โดยแต่ละคนนั้นมีอาการดีขึ้นมากแล้ว ตามความต้องการของนายตน แต่ก็มีอีกคนที่อาการมิสู้ดีนัก

“ มึงไอ้ตี๋ เป็นเยี่ยงไรเล่า ใกล้ตายแล้วรึไม่ ”

“ พี่ปริก เหตุใดพี่จึงว่าเยี่ยงนี้ พูดจามิเป็นมงคล ”

นางมาว่าขึ้น เมื่อนางปริกถามถึงอาการของน้องชายของทุกคน

“ ฉันดีขึ้นมาแล้วพี่ปริก ขอบพระคุณคุณพริ้งด้วยที่เมตตา ”

ตี๋ตอบนางปริกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง มิมีแรง ดวงหน้าที่เคยสดใสก็หมองคล้ำอย่างคนมิได้พัก เรี่ยวแรงที่เคยมีก็หดหาย แม้แต่จักหายใจ ยังต้องใช้ความพยายามเสียมาก

“ เออกูจักบอกคุณพริ้งให้ ”

ว่าแล้วนางปริกก็ออกจากเรือนพักของบ่าวเรือนริมน้ำ นำความที่ได้เห็นไปบอกนายคนที่รั้งรออยู่ด้านนอก

“ ดีนัก กูยังไม่ให้มันตายตอนนี้ดอก แต่ก็คงมิเกินวันรุ่ง อีปริกมึงไปหาไอ้หมอเสน่ห์นั่น แลบอกให้มันทำตามประสงค์ของกู กูจักให้รางวัลมันอย่างงาม ”

เมื่อสั่งความบ่าวคนสนิทคุณพริ้งจึงกลับเรือน ปล่อยให้นางปริกไปทำตามที่สั่ง อีกประเดี๋ยวคุณพระคงกลับเรือน ตนเองมิควรจักอยู่ตรงนี้ประเดี๋ยวจักเสียการใหญ่

คุณพระกลับถึงเรือนก็ได้รับความแจ้งจากนายสุก ที่มารอรับอยู่ที่ท่าน้ำ ความที่ได้ฟังนั้นแทบจักทำให้ร่างกายสิ้นเรี่ยวแรง แต่ใจก็สั่งให้สองเท้าก้าวออกไป

ร่างเล็กของผู้เป็นดวงใจนอนหลับอยู่บนเสื่อในที่พักของบ่าวด้านล่าง น้องผ่ายผอมลงเสียมาก ทั้งที่ก่อนที่ตนจักออกไปตรวจชาวเมือง น้องดูแข็งแรง แลมีน้ำมีนวล เพลาผ่านมาเพียงไม่นานนัก เหตุใดจึงทรุดลงถึงเพียงนี้

“ พี่ขอโทษ พี่เป็นแพทย์หลวง แต่กับมิได้ดูแลพ่อ ”

เต้กระซิบข้างหูคนหลับ ก่อนจักประคองน้องขึ้นแอบบอก แล้วอุ้มขึ้นเรือนของตน โดยมีบ่าวผู้ซื่อสัตย์เดินตามอย่างเป็นห่วง

“ เหตุใดตี๋จึงป่วยหนักเยี่ยงนี้ ”

คุณพระเอ่ยถามความกับบ่าว หลังจากที่วางน้องน้อยบนเตียงของตนแล้ว น้องยังหลับ แต่บางคราก็ส่งเสียงครางเบาๆ คล้ายจักเจ็บปวด แต่ก็มิได้ตื่น

“ บ่าวไม่ทราบขอรับ ก่อนหน้านี้ พวกบ่าวแข็งแรงดี แต่เมื่อหลายเพลาก่อน ทุกคนก็เริ่มเจ็บป่วย บ่าวมิได้ใส่ใจ ด้วยคิดว่าเพราะเปลี่ยนฤดู จึงเป็นไข้หัวลม(3) จึงได้หายากันตามประดามี แล้วอาการก็ดีขึ้น แต่เจ้าตี๋ ทั้งที่ช่วงที่พวกบ่าวป่วยนั้น มิได้มีทีท่าว่าจักเจ็บป่วย ซ้ำยังเป็นคนหาหยูกยาให้เสียด้วยซ้ำ ”

นายสุกเล่าความ ตามสิ่งที่ประสบมา คุณพระนิ่งฟัง มิได้แทรกความแต่อย่างไร เพราะต้องการจักรู้สาเหตุทั้งหมด

“ แต่แล้วเมื่อไม่กี่เพลาก่อนหน้าคุณพระจักกลับ ตี๋ก็ล้มเจ็บ คุณหญิงพิมท่านเชิญหมอในพระนครมาดูอาการ แต่หมอท่านก็มิอาจทราบสาเหตุ ”

“ กระนั้นรึ ฉันขอบใจพวกเอ็งมาก ที่คอยดูแลตี๋ให้ ประเดี๋ยวฉันจักตรวจดูอีกครา ”

เมื่อได้ฟังจนสิ้นความ เต้จึงเริ่มตรวจไข้คนรักอีกครา ซึ่งแม้จักตรวจดูก็มิมีกระไรผิดปกติ แต่น้องน้อยนั้นหายใจแผ่วเบาเสียจนแทบจับไม่ได้

“ คุณพระขอรับ ”

“ กระไรรึนายผล ”

“ คือตี๋นั้นบอกพวกบ่าวว่า หายใจแล้วเจ็บในอก แลหายใจมิใคร่สะดวก บางครานั้นก็ตัวร้อนเสียแทบไหม้ บางคราก็ตัวเย็นเยียบจนน่าตกใจ ท่านหมอที่คุณหญิงพิมเชิญมา จึงเจียดยา(4)รักษาไข้ไว้ขอรับ คุณพระจักดูรึไม่ขอรับ ”

“ เช่นนั้นรึ คงต้องรบกวนนายผลไปหยิบยาที่หมอเจียดมาให้ฉันดูเสียแล้ว ”

นายผลนั้นไปหยิบยาสมุนไพรมาให้คุณพระ ซึ่งคนที่รับหน้าที่ต้มยานั้นคือนางมา ผู้เป็นภรรยาของตนเอง

“ อิฉันเคี่ยวยาตามที่หมอท่านแจ้งไว้ทุกอย่างเจ้าค่ะ ”

นางมาว่า เมื่อเห็นคุณพระดูส่วนประกอบของสมุนไพรในห่อยา นางเป็นคนต้มยาจึงแจ้งความไปตามจริง

“ ขอบใจทุกคนมาก ไปพักกันเถิด ฉันจักดูแลตี๋เอง แลขอบใจทุกคนนัก ”

“ พวกเราหลับมิลงดอกขอรับคุณพระ ยิ่งเมื่อย่ำค่ำ ตี๋นั้นไอออกมาเป็นเลือดสีคล้ำนัก แลน้องก็บอกพวกบ่าวว่าเหนื่อย บ่าวใจคอมิดีเลยขอรับ ”

“ จริงขอรับ แต่ดีนักเชียวที่คุณพระกลับเรือน อย่างน้อยตี๋จักได้มีแรงต่อสู้ ”

บ่าวทั้งสามเห็นพร้องต้องกันว่า คืนนี้พวกตนคงนอนมิหลับ ด้วยใจพะวง เป็นห่วงน้อง ตี๋นั้นอาการมิสู้ดีนัก แลเมื่อย่ำค่ำก็ไอเป็นเลือดเสียมาก

“ ไอเป็นเลือดกระนั้นรึ มากรึไม่ ”

“ พอดูเชียวขอรับ พอไอแล้วตี๋ก็สิ้นสติเลยขอรับ ”

เมื่อได้ฟังความเพิ่มจากบ่าวทั้งสาม สีหน้าของคุณพระอภิบาลบริรักษ์นั้นก็ให้กังวลยิ่งกว่าเดิม ด้วยตนเป็นหมอ แต่กลับไม่สามารถช่วยกระไรคนรักได้ แม้จักตรวจดูอย่างละเอียดตามตำราที่ได้ศึกษามา ตี๋นั้นก็มีได้มีกระไรผิดปกติ

มิมีอาการใดที่จักเป็นสาเหตุในการเจ็บป่วยครานี้ ลมหายใจแม้จักแผ่วเบาแต่ก็สม่ำเสมอ มิได้กระชั้นถี่ หรือขาดห้วง ยิ่งตรวจดู คุณพระยิ่งอับจน

เพลานั้นเดินไปเรื่อยๆ จากยามดึกล่วงเข้าสู่ใกล้สว่าง ตี๋ที่นอนหลับบนเตียงเริ่มกระสับกระส่าย เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดซึมขึ้นตัวร่าง เนื้อตัวนั้นประเดี๋ยวร้อน ประเดี๋ยวเย็น เต้นั่งเฝ้าน้องมิได้ละสายตาแม้เพียงน้อยมือคู่เดิมที่คอยโอบประคอง ซับเหงื่อ ลูบหลัง หวังให้น้องคลายเจ็บ

แค่กๆๆ

เสียงไอถี่ๆ พร้อมกับหยดน้ำสีคล้ำส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง แต่คนที่นั่งซ้อนหลังคนเจ็บก็มิได้รังเกลียด เต้ซับเลือดจากมุมปากน้อง ใจคนเป็นพี่นั้นแทบขาดเสียทุกครั้งที่น้องไอ

“ พี่เต้ กลับมารึขอรับ น้องขออภัยที่มิได้ออกไปรับ ”

เสียงกระซิบแผ่วเบาคล้ายคนมิมีแรงเอ่ยขึ้น แต่ก็ดังพอให้คนที่เฝ้ามองอยู่ตลอดรับรู้ได้

“ มิเป็นไร น้องเจ็บถึงเพียงนี้ไยจึงต้องห่วงเรื่องเล็กน้อย ”

“ น้องมิเป็นกระไรมากดอกขอรับ อีกประเดี๋ยวก็หาย พี่เต้กลับเรือนแล้ว น้องดีใจนัก ”

“ พี่ก็ดีใจที่ได้กลับเรือนมาเจอพ่อ คนดีของจักต้องหาย ”

“ ขอรับ ”

ตี๋รับคำของเต้ ก่อนจักหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เขารู้ว่าตนเองคงมิอาจฝืนร่างกายไปได้มากกว่านี้แล้ว

ตี๋รู้ว่าเพลาของตนนั้นใกล้หมดลงทุกที ทุกครั้งที่สูดลมหายใจเข้านั้น ช่างเหมือนคมมีดกรีดลงไปในเนื้อ มันเสียดทุกครั้งที่ผ่อนลมหายใจออก คล้ายกับมีคนเอาเข็มมาทิ่มแทงเสียตัวร่าง

“ พี่เต้ขอรับ น้องหนาว กอดน้องแน่นกว่านี้อีกนิดได้รึไม่ ”

“ ได้สิ กระไรจักไม่ได้เล่า ”

เมื่อรู้ว่านี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่จักได้อยู่กับคนที่ตนรัก ตี๋จึงอ้อน วอนขออย่างมิคิดจักเขินอายเช่นเคย คุณพระนั้นคล้ายจักรับรู้ได้

“ พี่รักน้องนัก เหตุใดพี่จักทำให้น้องมิได้ ”

หยดน้ำใสๆกลิ้งลงบนใบหน้าของน้องน้อย เขามิได้อยากอ่อนแอ มิได้อยากร้องไห้ แต่เขาก็มิสามารถจักห้ามมันได้จริงๆ

มิไกลนัก บ่าวอีกสามคนก็จำต้องหลั่งน้ำตาให้กับคนทั้งคู่เช่นกัน ก่อนที่นายสุกจักเรียกให้อีกสองคนขยับถอยห่างออกมา ด้วยอยากให้คุณพระแลน้องชายของตนได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง

“ พี่เต้ น้องเหนื่อยนัก แลอยากพักเสียเหลือเกิน ”

“ อยู่กับพี่อีกประเดี๋ยวได้รึไม่ ”

เมื่อได้ฟังคำของน้อง เต้นั้นยิ่งหลั่งน้ำตาแห่งความเสียใจมากขึ้น เขาอยากเห็นแก่ตัวเหนี่ยวรั้งน้องไว้ รู้ทั้งรู้ว่าน้องเจ็บ แต่เขาก็มิอาจตัดใจได้

“ พี่เต้อย่าร้องเลยขอรับ ยิ้มให้น้องเห็นอีกสักคราได้รึไม่ น้องชอบรอยยิ้มของพี่นัก ”

ตี๋ยกมืออันสั่นเทาของตนเองขึ้น ก่อนที่มือใหญ่ที่แข็งแรงกว่าจักรวบฝ่ามือเล็กนั้นขึ้นแนบแก้ม แล้วก้มลงจูบหน้าผากชื้นเหงื่อของน้อง

“ ได้สิ พี่จักยิ้มให้งามที่สุด ”

“ งามจริงๆขอรับ น้องสุขใจยิ่งนัก ”

เต้ยิ้มให้น้องทั้งน้ำตา เขาพยายามยิ้มให้น้อง หากน้องชอบสิ่งใด เขาจักทำให้ แลตี๋นั้นก็เห็นว่ารอยยิ้มของพี่นั้น เป็นรอยยิ้มที่งดงาม ตนเองจักจดจำรอยยิ้มนี้ไปจนลมหายใจสุดท้าย

“ พี่เต้ น้องขออภัยนัก น้องคงทำบุญมาเพียงแค่นี้ ”

น้ำเสียงนั้นแผ่วลงจนแทบมิได้ยิน เต้กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น เขาอยากจักจำจดทุกสัมผัสที่มีกับน้องน้อย

“ รอพี่นะคนดี ”

“ น้องจักรอพี่เต้เสมอขอรับ ”

เต้กระซิบบอกน้อง แลก็ได้รับคำมั่นกลับมากัน มืออันสั่นเทาของน้องน้อยพยายามหาบางอย่างที่ชายพกของตนเอง

“ เวลาของน้องคงมิอาจจักเดินไปพร้อมพี่เต้ได้แล้ว น้องขอฝากเวลาของน้อง ให้พี่ช่วยใช้แทนน้องด้วยนะขอรับ ”

ตี๋ส่งนาฬิกาพก ที่ตนเก็บไว้กับตัวมาตลอด คืนให้กับคนที่ให้มา หลังจากนี้ ตนคงมิอาจจักดูเวลาที่เดินไปพร้อมกันได้เสียแล้ว เพราะอีกมิกี่อึดใจ เวลาของตนคงจักหยุดลง

“ หลับเถิดคนดี พี่ขอโทษที่เหนี่ยวรั้งน้องไว้ หากแม้นมิได้เคียงข้างพ่อ พี่จักมิรักใครอีก พักเสียนะคนดี พี่จักอยู่ข้างพ่อตรงนี้ แลพ่อจักอยู่ในใจพี่ตลอดไป ”

คุณพระอภิบาลบริรักษ์กระซิบบอกน้องน้อย พลางโยนตัวเบาๆ คล้ายจักขับกล่อมให้น้องฝันดี มิต้องทนทุกข์ใดๆอีก

รอยยิ้มเล็กๆแต้มบนใบหน้าของน้องน้อย ตี๋หลับตาพริ้มอย่างมีความสุข มือที่กอบกุมอยู่กับชายที่ตนรักค่อยๆล่วงลงแนบข้างลำตัว พร้อมๆกับหยาดน้ำตามากมายของคุณพระหนุ่ม

เสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นในยามใกล้รุ่งบาดหัวใจของผู้ที่ได้ยินยิ่งนัก นางมายกผ้าขึ้นซับน้ำตาที่มิอาจกลั้นได้ นายผลกอดประคองกอดคนรักของตน นายสุกปล่อยให้หยดน้ำใสๆไหลอาบหน้า โดยมิมีแรงจักยกมือขึ้นเช็ด

เรือนริมน้ำคงจักเงียบเหงา เมื่อน้องน้อยผู้ครองใจเจ้าของเรือนจากลาไกล ความหวานชื่นที่เคยมีคงจักกลายเป็นภาพจำ

ไกลออกไป ไม่มากนัก รอยยิ้มสมใจแต่งแต้มบนใบหน้างดงาม หากแอบซ่อนความร้ายกาจไว้ภายใน..........
.
.
.
.
.
.
.

จบ..........
.
.
.
.
.
.
******************************************
.
.
.
.
.
.
.
เชิงอรรถ

(1)   ยาสั่ง (คำนาม) ยาพิษจําพวกหนึ่งที่เชื่อกันว่า ถ้าผู้ใดกินเข้าไปแล้วจะต้องตาย เมื่อไปกินอาหารที่กําหนด หรือตามเวลาที่กําหนดไว้

(2)   ประดามี (ภาษาพูด , คำวิเศษ) ทั้งหมด , บรรดามี , ทั้งหมดที่มี , เท่าที่มี

(3)   ไข้หัวลม (คำนาม) ไข้ที่มักเกิดเพราะถูกอากาศเย็นต้นฤดูหนาว

(4)   เจียดยา (คำกิริยา) ซื้อยาแผนโบราณ ในที่นี้หมายถึง หมอสั่งยาให้ไปหาซื้อ

.
.
.
.
.
.
******************************************
.
.
.
.


หากข้าเจ้ากล่าวเยี่ยงนี้ ข้าเจ้าจักมีชีวิตรอดรึไม่ขอรับ

แต่มันเป็นความจริงขอรับ

มันจบแล้วขอรับ

ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม

ทุกท่านที่สละเวลาเข้ามารับชม

ตอนนี้มันจบแค่นี้ขอรับ (แอ้ก!!....เหมือนจะโดนใครถีบ)

ตอนนี้จบแค่นี้จริงๆขอรับ (ยังมันยังไม่เลิก)

ขอบคุณทุกท่าน

ขอบคุณทุกความคิดเห็น

ขอบคุณทุกความรู้สึก

ขอบคุณทุกกำลังใจ

ขอบคุณขอรับ
.
.
.
.
.
.
รบกวนติดตามตอนต่อไป......

ปัจฉิมลิขิต

ฝากเพลง(ประกอบฟิค)ไว้ด้วยขอรับ เปิดคลอไป เพื่ออรรถรสในการอ่านขอรับ

      เพลง... รักเธอนิรันดร์ (รอยรักรอยอดีต)
.
.
      - ศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์
.
.
https://www.youtube.com/watch?v=d-AvXHMv2G8
.
.
.
.
.
.
..........ด้วยใจภักดิ์........

Maruner_IX






 

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :m15:

ทำไมถึงใจร้าย
เศร้า

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ร้องไห้หนักมากเลย สงสารทั้งคู่อ่ะ

ขอให้อีพริ้งรูตันไปจนตายนะ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

Billie : ขอบคุณขอรับ ต่อไปก้ไม่เศร้าเท่าไหร่ขอรับ

snowboxs : ขอบคุณขอรับ อย่าเพิ่งใจร้อนน้า พริ้งยังอยู่อีกนานขอรับ นางจะตามไปราวีต่อ

+1 นะจ๊ะ


ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ตอนที่ 10

.
.
.
.
เมื่อเวลาหมุนเวียน

.
.
.
.
ม่านบนเวทีรูดปิดอย่างช้าๆ เสียงเพลงประกอบดังคลอเบาๆ เสียงพูดคุยถึงเรื่องที่เพิ่งจะดูจบ เสียงคนเดินออกจากจุดที่นั่งอยู่ ไม่สามารถทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์รู้สึกตัวแต่อย่างไร
.
“ หมอเต้...ชายเต้....ไอ้คุณเต้!!! ”
.
“ ครับ ว่าอย่างไร ทำไมเรียกซะดังเลย ”
.
“ ครับเพื่อนครับ กระผมเรียกคุณชายตั้งแต่คนอื่นเริ่มลุก จนตอนนี้คนออกไปหมดแล้ว เจ้าหน้าที่เขาจะปิดประตูขังอยู่แล้ว คุณเพื่อนก็ไม่ได้ยิน แล้วจะให้กระผมทำอย่างไรครับ บุญแค่ไหนแล้วครับ ที่กระผมไม่ตบหน้าเรียกสติคุณเพื่อนน่ะครับ ”
.
จริงอย่างที่คนพูดว่า ผู้ชมทยอยออกจากโรงละครจนหมดแล้ว ในโรงละครตอนนี้จึงแค่เต้ กับเพื่อนเท่านั้น อาจเป็นเพราะเต้ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองจึงไม่ได้ยินเสียงเรียกของเพื่อนแต่แรก ทำให้เจ้าของเสียงต้องเรียกดังขึ้นนั่นเอง
.
“ โทษที ฉันคงเหม่อไปจริงๆ ”
.
“ ไม่ได้เหม่อ แต่แกอ่ะหลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวเลย ทำอย่างกับเป็นนักแสดงเสียเอง ”
.
เพื่อนที่มาด้วยกันว่า พร้อมกับเอ่ยแซวไปด้วย
.
“ เต้ ฉันถามแกจริงๆ เหอะ ทำไมแกชอบดูอะไรแบบนี้วะ ดูคนเดียวไม่เท่าไหร่ ชวนฉันมาด้วยทำไม ละครพีเรียด มันไม่เข้ากับหน้าฉันอย่างมาก พูดเลย ”
.
“ มีตรงไหนไม่เข้า นายก็ไม่ได้ดูอินเตอร์นักหรอกคิมม่อน ”
.
เต้ว่าเพื่อนที่มาด้วยกัน วันนี้ทั้งคู่มาดูละครเวที โดยเต้นั้นชวนคิมม่อนมาด้วย ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันทั้งแต่สมัยเด็กเลยทีเดียว
.
ละครเวทีที่ทั้งคู่เข้ามาชมวันนี้ นำเสนอความรักในมุมมองที่ไม่เป็นที่ยอมรับนัก อาจจะเรียกได้ว่า เป็นความรัก ในความลับเลยทีเดียว
.
เรื่องราวนั้นย้อนกลับไปในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ความรักของนายเงิน กับบ่าวชาย โดยทั้งคู่รักกันมาก แต่ก็ไม่อาจจะสมหวังดังปรารถนา
.
เพราะทั้งคู่ไม่อาจฝืนขนบธรรมเนียมประเพณีไปได้ ความรักที่ตั้งอยู่บนความไม่ถูกต้องในสมัยนั้น แต่กลับเป็นรักที่บริสุทธิ์ ไม่ต่างจากคู่อื่น
.
แต่สุดท้าย ทั้งคู่นั้นกลับต้องแยกจากกันตลอดกาล เมื่ออีกคนถูกลอบทำร้ายจนไม่อาจจะมีชีวิตต่อไปได้
.
“ อะไร ฉันออกจะหน้าอินเทรนด์ขนาดนี้ แกมั่วแล้วไอ้คุณชาย ”
.
คิมม่อนไม่ยอมรับ เมื่อเพื่อนของตนบอกว่า หน้าของเขานั้นไม่อินเตอร์ ซึ่งความจริงแล้ว มันไม่เป็นอย่างนั้น
.
“ นี่ชายเต้ แกยังไม่ตอบฉันเลยนะเว้ย ว่าทำไมชอบดูอะไรแบบนี้ ”
.
“ มันไม่สนุกหรือไงคิมม่อน ”
.
“ บอกไม่ถูกว่ะ ไม่ใช่มันไม่สนุก คือจะพูดอย่างไรดีวะ คือนักแสดงเขาเล่นได้ดีมาก จนทำให้คนรู้สึกตามไปด้วย แต่ฉันไม่ชอบอะไรที่มันเศร้าแบบนี้ อะไรวะ รักกันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ”
.
คิมม่อนนึกถึงเรื่องที่ตน และเพื่อนเพิ่งจะชมไป ไม่ใช่ตนเองไม่ชอบละครแนวย้อนยุค ตนเองนั้นดูได้ทุกแนว แต่ที่ตินั่นคือ เรื่องเมื่อครู่มันจบแบบเศร้าเกินไป
.
“ ก็นั่นมันสมัยนั้นความรักแบบนั้นเป็นเรื่องผิดมาก ไม่เหมือนตอนนี้ที่สังคมเปิดกว้าง ”
.
“ แต่ไม่เห็นต้องถึงขนาดวางยากันนี่หว่า ”
.
“ มันเป็นเรื่องความริษยา ของคน ไหนว่าไม่ชอบไง ”
.
“ ไม่ได้บอกว่าไม่ชอบ แต่ถ้ามีอย่างนี้ในชีวิตจริงนะ ฉันขอหนีคนหนึ่งล่ะ ผู้หญิงอะไรน่ากลัวชะมัด ”
.
คิมม่อนว่า พลางเอามือลูบแขนตัวเอง บอกให้รู้ว่า กลัวจริง เพราะถ้าเจอแบบนี้ เขาคงไม่กล้ายุ่งหรอก ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะสวยแค่ไหน
.
“ แสดงว่า ถ้าไม่ร้ายนายก็ขอร่วมได้ใช่ไหม ”
.
เต้ถามด้วยน้ำเสียงกึ่งแซว ด้วยรู้ว่าเพื่อนตนเองเป็นชายเจ้าสำราญ แต่ตอนนี้ มีคนที่กำลังเดินหน้าสานสัมพันธ์อยู่
.
“ บ้าเหรอ ฉันหยุดแล้วเว้ย แกอย่ามาหาเรื่อง ”
.
“ ให้มันจริง เสืออย่างแกจะยอมหยุดได้เหรอ ”
.
“ เออคอยดูได้เลย ว่าที่พี่เขย ฉันจะจีบน้องเตอร์ ให้ได้ คอยดู ”
.
“ ฉันจะคอยดู ”
.
คิมม่อนกำลังสานสัมพันธ์กับคอปเตอร์ หรือน้องเตอร์ ที่เจ้าตัวว่า คอปเตอร์เป็นน้องชายบุญธรรมของเต้ ซึ่งมีคนนำคอปเตอร์มาวางทิ้งไว้ที่หน้าวังท่านพ่อของคุณชายเต้
.
“ ว่าแต่คุณชายจะไปไหนต่อขอรับ กระผมจะเป็นสารถีให้ ”
.
คิมม่อนถามขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงที่ลานจอดรถ
.
“ แล้วแต่นายเลย ฉันหิวแล้ว ถ้านายจะใจดีเลี้ยงข้าวกันจะดีมาก ”
.
“ เอ๊า แล้วไมแกไม่กลับไปกินที่วังวะ ”
.
“ ฉันไม่อยากไปรบกวน นี่ก็ดึกแล้ว ”
.
“ เออๆ แล้วคืนนี้นอนไหนครับคุณชาย กระผมจะได้เลือกเส้นทางถูก ”
.
“ กลับเรือนดีกว่า พรุ่งนี้ไม่มีงานอะไร ”
.
“ ตามนั้น ”
.
คิมม่อนว่าก่อนจะออกตัว พาตนและเพื่อนกลับที่พัก เต้นั้นมีที่พักหลายแห่ง หากว่าต้องทำงานในวันรุ่งขึ้น จะพักที่บ้านพักของโรงพยาบาล ที่ตนเองทำงานอยู่ บางครั้งก็กลับวังของท่านพ่อ แต่บางครา เขาก็จะมานอนที่เรือนไทย ซึ่งเป็นบ้านเดิมของแม่
.
“ นี่ชายเต้ ฉันอยากรู้มานานล่ะ ว่าทำไมท่านชายถึงมาใช้ราชกุลของบ้านแม่นายวะ ”
.
คิมม่อนเอ่ยถามขึ้น ขณะที่ขับรถหาร้านอาหารริมทาง เพื่อฝากท้องในยามดึก
.
“ เรื่องนี้หรือ ต้องเท้าความกลับไปสมัยเสด็จปู่เลย ท่านพ่อเล่าให้ฟังว่า ที่วังของท่านกับที่เรือนฝั่งแม่ฉันน่ะ ผูกสมัครกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรียกได้ว่า เกี่ยวดองกันมาตั้งแต่สมัยท่านเทียดเลย พอมาถึงสมัยที่ต้องตั้งสกุลมาเรียกใช้ ท่านก็เลยขอใช้ราชทินนามของท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ และเห็นว่าสกุลนี้ก็เข้ากับงานด้านการแพทย์ และยังเป็นการรำลึกถึงท่านเทียด ที่ท่านทำคุณงามความดีไว้ ”
.
คุณชายเต้เล่าถึงเรื่องอดีต ว่าเหตุใดบ้านตนจึงใช้สกุลฝั่งมารดา แทนที่จะใช้ราชทินนามฝั่งบิดามาตั้งเป็นนามสกุล
.
“ อ้อ คิดแล้วก็แปลกใจนะ บ้านฉันกับแกนี่นอกจากจะเป็นเพื่อนกันตอนนี้แล้ว สมัยปู่ทวดยังเป็นเพื่อนกันอีก ”
.
คิมม่อนว่า พลางหักรถเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง เมื่อเจอร้านอาหารที่ตนหมายตา โดยบ้านของเขากับคุณชายเต้นั้น เป็นเพื่อน เป็นเกลอเก่ากันตั้งแต่สมัยปู่ทวด หรือท่านเทียดเลยทีเดียว
.
ในตอนแรกนั้น คิมม่อนเองก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ด้วยหลักฐานรูปภาพ และจดหมายที่เขียนถึงกัน ก็ทำให้เขายอมเชื่อ
.
เท่านั้นยังไม่พอ เขายังได้ชื่อตามบรรพบุรุษของตัวเอง นั่นคือท่านเทียดคิมม่อน ยังไม่น่าตกใจเท่าเรื่องที่ว่า หากนำรูปถ่ายสมัยนั้นของท่านเทียดมาเทียบกับหน้าของตนเองตอนนี้ใครเห็นก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือคนๆเดียวกัน
.
เช่นเดียวกับคุณชายเต้ ที่เขาเรียกว่าคุณชายนั้นก็เพราะว่า เพื่อนของเขาคนนี้ เป็นบุตรของท่านชาย ซึ่งชายเต้นั้นก็เป็นเพื่อนกับตนมาตั้งแต่สมัยเด็กเลยทีเดียว
.
คุณชายเต้เองนั้นก็ได้ชื่อตามท่านตาทวด หรือท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ ชื่อเดิมของท่านคือ คุณเต้ และไม่เพียงเหมือนแต่ชื่อ เพื่อนของเขาคนนี้ก็มีใบหน้าละม้ายคล้ายท่านเจ้าพระเจ้าเสียแทบจะเป็นคนเดียวกัน
.
พ่อ แม่ และ ญาติ หลายๆคนเคยบอกว่า ตนเองกับเต้นั้น คือคุณเทียดกลับชาติมาเกิด ซึ่งคิมม่อนก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่า มันจะจริงหรือ
.
แต่ถ้าจะให้มองความเป็นไปได้ เขาว่าชายเต้นี่มีความเป็นไปได้จริงๆ เพราะท่านเทียดเต้ กับคุณชายเต้ เป็นหมอเหมือนกัน
.
“ คิดอะไรของนาย ฉันถามว่าจะกินอะไรก็ไม่ตอบ จนฉันสั่งไปหมดแล้วเนี่ยะ ”
.
เต้ที่เห็นเพื่อนตัวเองนั่งเงียบไป ตนถามว่าจะกินอะไรก็ไม่ตอบ ตนเองจึงสั่งอาหารที่เพื่อนชอบไปแทน เพราะเกรงใจคนยืนรอรับรายการอาหาร
.
“ เออ อะไรก็กินได้น่า ฉันไม่เรื่องมาก ฉันกำลังคิดถึงเรื่องของเราไง ”
.
“ เรื่องของเรา เรื่องอะไรอีกล่ะคราวนี้ ”
.
ชายเต้ว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนใจเล็กน้อย เพราะเพื่อนของตนเองชอบหาเรื่องปวดหัวมาให้บ่อยๆ ด้วยความที่เป็นคนช่างสงสัย คิมม่อนจึงมีแต่เรื่องอยากรู้เต็มไปหมด
.
“ ไม่มีอะไรมาก ก็คิดเรื่องที่พ่อ กับแม่ชอบพูดบ่อยๆ ไงว่า เราเป็นท่านเทียดมาเกิด คิดแล้วก็ขำ ”
.
“ แล้วยังไง ”
.
“ เอ๊า นี่คุณชาย ไม่ใช่แค่ฉัน แกก็เป็นเหมือนกัน แกคิดว่ามันไม่น่าแปลกหรือไง ”
.
“ มันก็ใช่ แต่ฉันคิดว่าตัวเองไม่ใช่คุณเทียด ”
.
“ ก็ใช่ไง สมัยนี้แล้ว จะเชื่อมันต้องพิสูจน์ได้ ”
.
“ ขอบคุณครับ กินข้าวกันเถอะ จะได้กลับเรือนไม่ดึกมากว่านี้ ”
.
“ เออๆ อยากกลับเรือนจริงๆ นะแกเนี่ยะ ”
.
เต้ขอบคุณพนักงานเมื่อได้รับอาหารที่สั่งไป ก่อนจะบอกให้คิมม่อนเลิกสงสัย เลิกหาคำตอบแล้วกินข้าว เพื่อจะได้กลับที่พัก
.
.
.
.
“ นายจะไม่พักที่นี่จริงๆ เหรอ นี่ก็ดึกแล้วนะคิมม่อน ”
.
“ไม่ล่ะ ฉันว่าจะกลับไปนอนที่เรือนคุณปู่ ไปให้ท่านเห็นหน้าบ้าง เดี๋ยวเกิดน้อยใจ ตัดฉันออกจากกองมรดกจะยุ่ง แล้วอีกอย่าง พูดเหมือนเรือนนี้ กับเรือนคุณปู่ฉันห่างกันเนอะ ไม่เกินสิบนาทีก็ถึงเปล่าวะ ”
.
“ ตามใจนะ ฉันก็แค่เป็นห่วง ไม่อยากให้ขับรถคนเดียว ”
.
“ เออๆ ขอบคุณครับคุณเพื่อน ถ้าแกบ่นมากมากนี้ก็เป็นพ่อฉันได้เลยนะ ไปแล้ว เดี๋ยวถึงจะไลน์มาบอกนะครับคุณชายเต้ ”
.
ว่าแล้วคิมม่อนก็โบกมือลาคุณชายเต้ ขึ้นรถขับกลับไปที่พักของตนเอง เต้ยืนส่ายหัวให้กับท่าทางของเพื่อน เมื่อคิมม่อนขับรถออกไปจนลับสายตาเจ้าตัวจึงปิดประตูรั้ว
.
เต้ไม่ได้รบกวนในใครมาเปิดประตู และเลือกที่จะเดินเข้ามา เพราะเห็นว่าดึกแล้ว และตนเองก็มีกุญแจรั้ว ไม่อยากปลุกใคร
.
เรือนแห่งนี้ยังคงความเป็นเรือนไทยโบราณในสมัยรัตนโกสินทร์ แม้ว่าจะแปลงเปลี่ยนไปบ้างเนื่องจากกาลเวลา ทำให้ต้องบูรณะใหม่ และเพิ่มโครงสร้างให้แข็งแรง แต่ยังเก็บรายละเอียดดังเดิมไว้ทั้งหมด
.
แสงไปจากหลอดไฟส่องสว่างทางเดินให้แสงเหลืองนวล เต้ก้าวเท้าอย่างไม่เร่งรีบ เขาโทรมาแจ้งคุณยายไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า จะเข้ามาพัก แต่บอกให้คุณยายนอนก่อนไม่ต้องรอ
.
ความคุ้นเคยเกิดขึ้นทุกครั้งที่เต้มาเยือนเรือนคุณยาย มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จริงอยู่ว่าตนเองไม่ได้เชื่อว่า ตนนั้นจะเป็นคุณเทียดมาเกิด อย่างที่ผู้ใหญ่ว่ากัน แต่ความรู้สึกบางอย่างนั้น เขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้
.
เมื่อคราวก่อนที่แม่จะตั้งครรภ์เขานั้น คุณแม่เล่าว่า ท่านฝันถึงท่านเทียด ท่านมาหา แล้วบอกว่าฝากให้สานต่อด้วย ฝากให้ช่วยคนที่ท่านรักด้วย
.
หลังจากนั้น คุณแม่ก็ตั้งครรภ์ และเมื่อรู้ว่าทารกในครรภ์เป็นผู้ชาย หลายคนก็เริ่มจะเชื่อว่า เขาต้องเป็นท่านเทียดแน่ๆ
.
เมื่อเขาคลอด แม่จึงตั้งชื่อเขาตามนามเดิมของท่านเทียด และเมื่อนานวันเข้า เขาเจริญเติบโต เค้าโครงหน้าตายิ่งให้คล้ายท่านเทียดไปเสียทุกอย่าง ทุกคนจึงได้ลงความเห็นว่า เขาต้องเป็นท่านเทียดแน่ๆ
.
“ กลับมาแล้วครับท่านเทียด ”
.
เต้เอ่ยขึ้นเมื่อไขกุญแจประตูหน้าเรือน เรือนนี้เป็นเรือนเดิมของท่านเทียด เป็นเรือนที่ท่านเทียดเต้รักมาก ท่านไม่ยอมให้ใครขึ้นมาวุ่นวายเลย แม้แต่คุณหญิงพริ้ง ซึ่งเป็นภรรยา ท่านอยู่ที่นี่จนลมหายใจสุดท้าย ตามที่ได้ฟังมาจากคุณยาย ซึ่งก็เล่ากันต่อมา
.
ท่านเทียดสิ้นที่เรือนหลังนี้ หลังจากที่ท่านสิ้น เรือนหลังนี้ก็ปิดตายตามคำสั่งเสียของเจ้าของเรือนนับแต่นั้นมา แม้ว่ามีคนพยายามจะเปิดหลายครา แต่ก็ไม่สำเร็จ ด้วยคล้ายมีอะไรบางประการคอยขัดขวาง จนมาถึงสมัยของคุณทวด ท่านเอ่ยขอด้วยว่าต้องการจะซ่อมแซมเรือน ที่กำลังทรุดโทรม โดยให้คำมั่นว่า จะไม่เคลื่อนย้ายอะไรโดยไม่จำเป็น และจะเก็บเรื่องภายในเรือนไว้เป็นความลับดั่งเช่นความตั้งใจของเจ้าของเรือน
.
เมื่อคุณทวดแจ้งความประสงค์ และรับปากว่าจะรักษาความในเรือนเอาไว้ ให้สมกับที่ท่านเจ้าของเรือนต้องการ แล้วประตูที่เคยปิดตาย ก็เปิดออกเสียง่ายๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ไม่ว่าใครจะพยายามเท่าใด ก็ไม่สามารถเปิดได้
.
หลังจากที่ประตูเรือนเปิดออก คุณทวดจึงก้าวขึ้นบนเรือนกับคนสนิท เดินผ่านชานเรือนเข้าสู่เรือนนอนด้านใน โดยไม่สนใจสภาพทรุดโทรมภายนอก ก่อนจะมองหาบางอย่าง และเมื่อพบ จึงให้คนสนิทนั้นหยิบยกออกมา แต่ก็ไม่สามารถยกขึ้น คุณทวดจึงเอ่ยบอกเจ้าของเรือน
.
‘ หลานจะดูแลให้นะเจ้าคะ ท่านลุงไม่ต้องกังวล หลานจะไม่นำความไปบอกใคร แลของในกำปั่นนี้ เมื่อหลานซ่อมแซมเรือนจนแล้วเพลาใด หลานจะนำมาคืน ’
.
เมื่อสิ้นคำ กำปั่นที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้นั้น กลับยกขึ้นได้โดยง่าย เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ คุณทวดจึงออกจากเรือนริมน้ำ แล้วนำกำปั่นที่ได้มาเก็บรักษาไว้อย่างดี จนกระทั่ง งานซ่อมแซม และปรับปรุงเรือนริมน้ำแล้วเสร็จ ท่านจึงยกกำปั่นนั้นกลับคืนสู่เรือนริมน้ำ
.
คุณชายเต้นั้น ได้รับกุญแจเรือนริมน้ำซึ่งเป็นเรือนเก่าของท่านเทียด เมื่ออายุครบ 18 ปี ตามคำสั่งเสียของคุณทวด
.
เต้นั้นชอบเรือนริมน้ำมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยได้ขึ้นเรือนสักครั้ง เพราะคนที่ถือกุญแจเรือนมีแค่คุณยาย และคุณยายจะเปิดให้แม่บ้านมาทำความสะอาดแค่เดือนละ 2 ครั้ง ตามคำสั่งที่ได้รับจากท่านทวด และทุกครั้ง คุณยายจะอยู่จนกว่าจะทำความสะอาดเสร็จ และจะเป็นคนปิดประตูเรือนเองทุกครั้ง
.
ครั้งแรกที่ได้กุญแจเรือนริมน้ำ เต้นั้นรู้สึกว่าเหมือนได้กลับบ้านอย่างแท้จริง มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ว่าสุขหรือเศร้า
.
เมื่อได้เป็นเจ้าของเรือนคนใหม่ เต้ไม่รอช้าที่จะย้ายตัวเองมาพัก คืนแรกที่นอนเรือนริมน้ำ เขาฝันถึงท่านเทียด ท่านมาบอกให้เขาช่วยคนที่ท่านรัก
.
ท่านเทียดที่เขาเห็นนั้นดูเศร้าหมอง เต้ถามว่าจะช่วยได้อย่างไร ท่านไม่ตอบความเพียงแต่ส่ายหน้าให้เขา พร้อมกับยื่นกุญแจดอกเล็กๆให้ แล้วท่านก็หายไป พร้อมกับที่ตนเองรู้สึกตัวตื่น
.
เมื่อตื่นลืมตา เรื่องที่ไม่สาสารถพิสูจน์ได้ก็ปรากฏ เต้ไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องลี้ลับ เพราะตนเองนั้นอยู่กับวิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่คิดลบหลู่ กุญแจดอกเล็กในฝันนั้น มาอยู่ในมือของตนเองเสียแล้ว
.
ในฝันท่านบอกว่า กุญแจดอกนี้ใช้ไขกำปั่นที่อยู่ในหีบใต้เตียง เขาจึงก้าวลงจากเตียง ดึงหีบที่วางอยู่ใต้เตียงออกมา เมื่อเปิดฝาหีบออก จึงเห็นกำปั่นเหล็กขนาดเล็กกว่าหีบเล็กน้อยอยู่ด้านใน
.
เต้เปิดกำปั่นด้วยกุญแจที่ได้มา ของที่อยู่ในกำปั่นนั้นเป็นภาพถ่ายเก่า สมุด กล่องใส่จดหมาย ถุงผ้าปักลายอ่อนช้อย แม้ว่าสีจะซีดไปตามกาลเวลา ด้านในมีนาฬิกาพกเรือนเล็ก ตัวฝาเรือนสลักชื่อผู้เป็นเจ้าของ
.
เมื่อเต้เห็นทุกอย่างที่อยู่ในกำปั่น ทุกอย่างที่เก็บรักษาไว้อย่างดี แม้ว่าจะผ่านเวลามาเป็นร้อยปี แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ทันทีที่เปิดนั่นคือ ความสุข ความเศร้า ความเหงา ความรัก ความผิดหวัง ที่ปะปนคละเคล้ากันอยู่ และนั่นทำให้เต้ หลั่งน้ำตาโดยไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ว่า เขาร้องไห้ทำไม เหตุใดน้ำตาของเขาจึงไหลออกมา เพียงแค่เปิดกำปั่นโบราณใบนี้
.
.
.
.
.
.
********************************************
.
.
.
.
.
ผู้ปรากฏนาม
.
.
เต้ , หมอเต้ , คุณชายเต้
.
....> นายแพทย์หม่อมราชวงศ์ เตชณัฐ อภิบาลบริรักษ์
.
..... เตชณัฐ (เต – ชะ – นัด) = นักปราชญ์ผู้มีอำนาจมาก
.
.
คิมม่อน
.
....> คมฐิพัฒน์ พณิชศาสตร์
.
.....คมฐิพัฒน์ (คะ-มะ-ถิ-พัด) = การมาถึงของความเจริญที่มั่นคง
.
.
คอปเตอร์
.
คิรากร อภิบาลบริรักษ์
.
......คิรากร (คิ-รา-กอน) = กระทำซึ่งถ้อยคำ
.
.
.
.
.
.
***************************************************
.
.
.
.
.
.
สวัสดีขอรับ ตอนนี้อาจจะสั้นๆหน่อย
.
ตอนนี้หลายท่านคงพอเดาได้ว่าจะต้องออกมาประมาณนี้
.
หากว่าเมื่ออ่านไปแล้วรู้สึกว่า ไม่ลื่นไหล สะดุดอารมณ์ ข้าเจ้าต้องขออภัยอย่างยิ่งขอรับ
.
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามา ขอบคุณทุกความรู้สึก ขอบคุณทุกข้อความ ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่
.
รบกวนติดตามต่อไปด้วยนะขอรับ
.
.
ปัจฉิมลิขิต ด้านล่างนี้ เป็นข้อมูลเพิ่มเติมด้านอายุ สามารถข้ามได้เลยขอรับ แต่หากท่านใดต้องการทัศนา ข้าเจ้าก็ขอเชิญชวนขอรับ
.
.
.
.
.
บรรยายเพิ่ม
.
.
.
ว่าด้วยข้อมูลอายุ
.
.
รัชสมัย ร.5
.
2411 - 2453 = 42
.
ตี๋เกิด = 2396 (เจอคุณเต้ ปี พ.ศ. 2410 ตอนนั้นตี๋ อายุ 14)
.
คุณเต้เกิด = 2396 - 4 = 2392 (คุณเต้อายุมากกว่าตี๋ 4 ปี)
.
อายุตี๋ เมื่อ พ.ศ. 2410 = 14
.
อายุคุณ เมื่อ พ.ศ. 2410 = 18
.
2410 = 14,18 เจอกัน
.
2412 = 16,20 คบกัน
.
2416 = 20,24 คุณเต้ไปเรียน
.
2418 = 22,26 กลับมาอยู่อีก 2 ปีสุดท้าย
.
คุณเต้อยู่คนเดียว
.
2453 - 2418 = 35 ปี
.
26 + 35 = 61 ปี (อายุ ณ ตอนนั้น)
.
รัชสมัย ร. 6
.
2453 - 2468 = 15
.
61 + 15 = 76 (อายุคุณเต้)
.
รัชสมัย ร.7
.
2468 + 2477 = 9
.
อายุสุดท้าย = 78
.
ฉะนั้น คุณเต้เสียชีวิตในปี 2470 ( 2468 + 2 )
.
ร. 8
.
2477 + 2489 = 12
.
.
.
กทม. ปี 2560
.
อายุรวมของคุณเต้ 2560 - 2392 = 168
.
เต้อดีต = ปู่ทวด(เทียด)
.
น้องสาวเต้อายุน้อยกว่าเต้ 24 ปี
.
เกิด = 2416
.
แต่งงาน อายุ 18 ปี 2434
.
มีทวด ปี 2455
.
ทวด เกิด 2455 (เต้อายุ 63 เป็นลุง)
.
ทวดแต่งงาน อายุ 18 = 2473
.
มียายตอน ปี 2497
.
ทวดอายุ 85 = 2535
.
ยายเกิด 2492 (เต้อายุ 100 เป็นปู่)
.
แต่งงาน 20 ปี 2512
.
มีแม่เต้ ปี 2512 (เต้อายุ 120 เป็นทวด)
.
แม่เต้แต่งงาน อายุ 2533
.
มีเต้(ปัจจุบัน) ปี 2534 (เต้อายุ 142 เป็นเทียด)
.
ปัจจุบัน ปี 2560 เต้อายุ 2534-2560 = 26
เทียดเต้อายุ 168 ปี
.
.
.
..........ด้วยใจภักดิ์..........
.
.
.
Mariner_IX
.


ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
หวังอย่างยิ่งว่าชาตินี้ชายเต้จะไม่ต้องโดดเดี่ยวไปจนสิ้นลมนะ

นับถือคุณคนเขียนมากมาย ทำการบ้านดีมาก
จะติดตามต่อไปแน่นอนค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :hao4: เศร้าเนาะที่ต้องอยู่โดยไม่มีคนที่รัก

อยากรู้ความสัมพันธ์กับพริ้งว่าเป็นอย่างไร

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ iamtsubame

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตี๋น่าสงสารมาก  :sad4:
คุณเต้น่าสงสารกว่า ต้องอยู่อย่างทรมาณจิตใจอีกหลายสิบปี กว่าจะหมดกรรม  :o12:
ไหนบอกว่าไม่เศร้าไง  :ling3:
คุณหลอกดาว!!! :ling1:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

snowboxs : ขอบคุณขอรับ ชาตินี้ได้เจอกันขอรับ ไม่เศร้ามากขอรับ

Billie : ขอบคุณขอรับ เรื่องความสัมพันธ์ของ พริ้งกับ พี่เต้ในอดีต จะค่อยเฉลยขอรับ

iamtsubame : ขอบคุณขอรับ พี่เต้เข้มแข็งขอรับ ข้าเจ้าไม่ได้หลอกน้า ไม่เศร้ามากขอรับ

+1 ทุกท่านขอรับ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนที่ 11

.
.
.
....ประสบ พบหน้า.....

.
.
.
หลังจากที่เปิดกำปั่นโบราณของคุณเทียด เรื่องราวที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ภายในนั้น ทำให้เต้ได้รู้เรื่องราวเมื่อคราหลังมากขึ้น
.
คุณเทียดเขียนบันทึกเรื่องราวของตนเองไว้ในสมุด มันไม่ได้มีแค่เล่ม หรือสองเล่ม แต่มีมากกว่านั้นนัก
.
เรื่องราวมากมายที่เล่าผ่านตัวอักษร ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านการแพทย์ หรือในเรื่องชีวิตประจำวัน หากว่าทุกเรื่องจะถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ทำให้เห็นถึงความมีระเบียบของคนเขียน
.
คุณชายเตชณัฐ มิได้สนใจจะหยิบตำราทางการแพทย์ ทั้งที่มันเป็นความรู้ที่ตนเองควรจะได้ศึกษา แต่กลับเลือกหยิบบันทึกอีกเล่มแทน
.
บันทึกเล่มนี้นั้น เป็นเรื่องราวเมื่อคราที่ท่านเทียดยังเป็นเพียงหมอฝึกหัด กำลังเรียนรู้งานด้านการแพทย์กับหมอชาวต่างชาติ
.
กระดาษสีเหลืองกรอบไปตามกาลเวลา ทำให้ต้องเปิดอย่างระมัดระวัง เรื่องราวชีวิตเมื่อครั้งวัยหนุ่ม ถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษร
.
ความรักครั้งแรกกับทาสในเรือน ที่ท่านเทียดเก็บเป็นความลับ มีเพียงแค่คนสนิทที่ไว้ใจได้ไม่กี่คนที่ล่วงรู้
.
คุณชายเต้อ่านบันทึกเล่มนั้นด้วยน้ำตา ที่ไหลออกมาโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว ความรัก ความเศร้าที่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือ ที่แม้จะเก่าไปตามกาลเวลา แต่ไม่ได้ทำให้กลิ่นไอที่ซ่อนอยู่ลดลงไปแม้แต่น้อย
.
เมื่อรัก แต่ต้องหลบซ่อน เมื่อรัก แต่ต้องปิดบัง เมื่อรัก แต่มิอาจอยู่ร่วมกัน ทุกตัวอักษรที่ร้อยเรียง ส่งให้คนที่ได้อ่านซึมซาบไปกับความรักมั่นของคนเขียน
.
อีกสิ่งหนึ่งที่คุณชายเตชณัฐได้รับรู้จากบันทึกนั่นก็คือ ท่านเทียดมิได้รักใคร่ ชอบพอคุณหญิงพริ้งผูเป็นภรรยาแต่งแม้แต่น้อย
.
ท่านมีคนรักอยู่แล้ว หากแต่เป็นเพียงทาสในเรือน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากสิ่งที่ทำให้รักในครานั้นของท่านไม่อาจสมหวังนั่นก็คือ คนรักของท่านเป็นชาย เรื่องราวของทั้งคู่จึงจบลงด้วยความผิดหวัง
.
คุณเทียดจำต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่มารดาหามาให้ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าภรรยาในนามเท่านั้น
.
เท่าที่ได้ฟังมาก่อนหน้า ทุกคนมักพูดกันว่า ท่านเทียดเป็นคนที่รักมั่น จึงมีเพียงคุณหญิงเป็นภรรยาเอกเพียงผู้เดียว
.
แต่เมื่อได้อ่านความผ่านตัวอักษรนี้แล้ว ทำให้คุณชายต้องเปลี่ยนความเข้าใจเสียใหม่ โดยสิ้นเชิง เป็นความจริงที่คนเก่าแก่ว่ากันมา คุณเทียดรักมั่น จึงไม่มีภรรยาคนอื่นอีก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ท่านเทียดไม่ได้รักมั่นกับคุณเทียดพริ้ง ผู้เป็นคู่ชีวิต ตามที่ทุกคนกล่าวไว้ แต่คุณเทียดนั้นมั่นในรักที่มีต่อบ่าวชายคนนั้น
.
เมื่อได้รู้ความให้ครั้งแรก คุณชายเต้ก็ตกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยตนเองคิดมาตลอดว่า คุณเทียดรักคุณเทียดพริ้งมาก จึงไม่มีใครอื่นอีก
.
หลังจากได้อ่านเรื่องราวของคุณเทียดผ่านทุกตัวอักษร คุณชายเต้ได้เห็นความรักมั่นที่ท่านเทียดมีต่อชายคนรัก
.
ทุกเรื่องราวถูกบันทึกไว้ในสมุดหลายเล่ม จดหมายที่เขียนถึงกันเมื่อครั้งต้องห่างไกล ความกังวล ความอึดอัด ที่ต้องหลบซ่อน ถูกถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ ให้คนที่เป็นลื่อ(1)อย่างคุณชายเต้ได้รับรู้
.
ความคับแค้นใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้ แม้จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนรัก แต่อาจทำอะไรได้ ด้วยไม่มีหลักฐานที่ชัดแจ้ง ทำได้เพียงเก็บคับแค้นไว้ในใจ และระบายผ่านตัวหนังสือเสียแทน
.
เรื่องราวในบันทึก ทำให้คนรุ่นหลังอย่างคุณชายเต้ได้ทราบถึงความขัดแย้งของบุคคลในครอบครัว ครอบครัวของเขานั้นไม่ใช่ครอบครัวที่น่าอิจฉาอย่างที่คนภายนอกคิดแม้แต่น้อย
.
คุณเทียดพริ้งไม่มีทายาทแม้แต่คนเดียว แต่คุณเทียดเต้ก็ไม่คิดแต่งงานใหม่ คนเก่าแก่เล่ากันต่อมาว่าคุณเทียดเต้รักคุณเทียดพริ้ง จนไม่คิดจะมีภรรยารอง นี่คงไม่ใช่ความจริง ที่คุณเทียดพริ้งไม่มีทายาทไม่ใช่เพราะร่างกายไม่แข็งแรง แต่เป็นเพราะคุณเทียดเต้ไม่คิดจะเกินเลยเสียมากกว่า
.
คุณเทียดเต้เก็บทุกอย่างเอาไว้ภายใต้ความสงบ ใช้ชีวิตร่วมภรรยาแต่งตลอดจนวาระสุดท้าย แต่ที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย คุณเทียดเต้ไม่เคยแสดงความรักใดๆกับคุณหญิงพริ้งผู้เป็นภรรยา แม้จะอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยา แต่คุณเทียดเต้นั้นไม่เคยค้างบนเรือนของคุณหญิงแม้แต่คืนเดียว
.
นี่คือความจริงที่อาจไม่มีใครเคยรู้ เพราะคนที่รู้เรื่องนั้นไม่คิดจะบอกอะไรออกไป ความคับแค้นใจถูกระบายผ่านตัวอักษรตัวแล้วตัวเล่า ผ่านสายตาของคนรุ่นหลัง
.
ในบันทึกนั้นกล่าวถึงคุณพริ้งเอาไว้พอควร ด้วยเจ้าของบันทึกทราบดีว่า คุณหญิงผู้เป็นภรรยานั้นมีความคับแค้นต่อตนอยู่มาก เท่านั้นยังไม่พอ คุณหญิงพริ้งมีจิตใจอาฆาตมาดร้ายอยู่มากมายนัก
.
ในความที่เขียนไว้นั้น ส่วนหนึ่งบอกว่า เป็นความผิดของตนเองที่มิอาจจะให้ความรักในแบบที่ผู้เป็นภรรยาแต่งต้องการได้ เพราะตนนั้นรักมั่นอยู่กับผู้เป็นเจ้าของดวงใจเพียงผู้เดียว
.
หากจะโทษว่าเป็นความผิดของใคร ความผิดนั้นก็คงจะมีเท่าๆกัน แต่สิ่งที่เจ้าของบันทึกไม่อาจยอมรับได้นั่นคือ เหตุใดหญิงสาวผู้เพียบพร้อมจึงมีจิตใจมืดดำ
.
เมื่อคุณชายเต้อ่านเรื่องราวที่บันทึกไว้ผ่านไปพอควร พบเรื่องให้ชวนสงสัยมากมาย ทั้งเรื่องที่กล่าวถึงคนรัก และกล่าวหาตนเองที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้
.
เรื่องราวบางอย่างที่คุณหญิงพริ้งผู้เป็นภรรยาแต่งกระทำต่อคนรักของตน แต่ตนไม่อาจช่วยคนรักได้ แม้จะพยายามทำดีต่อคุณหญิงพริ้ง พยายามถามความให้รู้แจ้ง แต่คุณหญิงเธอก็ไม่ยอมเชื่อ และไม่ยอมบอกอะไร
.
ความในบันทึกของท่านเทียด กล่าวไว้ว่า คนที่ตนรักถูกจองจำ ท่านได้ความนี้จากปากของคุณหญิงพริ้ง แต่ที่ท่านไม่ทราบนั่นคือ ท่านไม่รู้ว่าคุณหญิงพริ้งได้กระทำการใดไปบ้าง และจองจำคนที่ท่านรักไว้ที่ใด
.
นี่คงเป็นสาเหตุที่ท่านมาบอกตนเองในฝันกระมัง ที่ว่าให้ช่วยคนที่ท่านรัก แต่เมื่อถามว่าจะให้ช่วยอย่างไร ท่านจึงส่ายหน้า เพราะตัวท่านเมื่อครานั้นก็ไม่ทราบความเช่นกัน
.
หลังจากอ่านบันทึกไปบางส่วน เรื่องราวความรัก ความลับที่ถูกเก็บเอาไว้ภายในเรือนริมน้ำนี้จึงทำให้คุณชายเต้ประจักษ์แก่ใจได้โดยไม่ต้องมีใครบอก
.
คุณชายเต้จำได้ว่า หลังจากได้เปิดกำปั่น และทราบความบางส่วนไปบ้างแล้ว เขาเชื่อว่า คนที่อยู่ในเหตุครานั้นอย่างคุณทวดต้องทราบเรื่องราวเมื่อครั้งหลังเป็นแน่
.
และเรื่องราวเหล่านั้น คงจะต้องถูกสั่งความผ่านมา และคนที่รับเรื่องครานั้นคงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากคุณยายของตน
.
คุณชายเต้สอบถามเรื่องราวจากคุณยาย แต่ท่านไม่ได้เล่าอะไรมากไปกว่าสิ่งที่คุณชายเต้ได้รับรู้จากบันทึก ท่านเพียงกล่าวว่า
.
‘ หลานเปิดกำปั่นของท่านตาแล้วใช่ไหม ยายเองก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก ยายเองก็เกิดไม่ทันช่วงที่ท่านมีชีวิต แต่เท่าที่ได้ฟังจากคุณทวดของหลาน ท่านเทียดเต้ของหลานน่ะ ท่านต้องเสียคนรักไป เพียงเพราะความริษยา ’
.
คุณยายเล่าความที่ได้รับฟังต่อมาจากผู้เป็นมารดาของตน หรือคุณทวด แม้ว่าท่านจะเกิดไม่ทันช่วงเวลาที่เกิดเรื่อง แต่ท่านทวดก็ได้รู้เรื่องราวแสนเศร้า ด้วยความที่ท่านติดท่านลุง ซึ่งเป็นพี่ชายของแม่มาก ท่านทวดจึงทราบความจากปากลุงไม่น้อย
.
ไม่เพียงเท่านั้น ท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ ยังให้ความไว้ใจหลานคนนี้มากมายนัก ถึงขนาดฝากฝังเรือนริมน้ำให้ช่วยดูแลต่อ หากตนไม่อยู่ และยังฝากความให้หาทางช่วยเหลือคนที่ท่านรักอีกด้วย
.
คุณทวดพยายามที่จะทำตามความต้องการของท่านลุง แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ ด้วยทุกครั้งจะต้องมีบางอย่างเข้ามาขัดขวางเสมอ เมื่อท่านยายโตจนรู้ความ ท่านทวดจึงฝากฝังภาระหน้าที่นี้ต่อให้กับบุตรสาวของตน
.
จนมาถึงคราคุณแม่ของคุณชายเต้เอง เมื่อคุณแม่เล่าความฝันที่ตนฝันถึงท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์ ผู้เป็นคุณทวด ก่อนที่จะตั้งครรภ์ ท่านฝากให้สานต่อทีสิ่งท่านไม่อาจทำได้ และเมื่อรู้ว่าเด็กน้อยในครรภ์เป็นชาย คุณยายท่านจึงฝากความหวังไว้ที่เด็กน้อย
.
และเมื่อคุณชายเต้เติบโต เค้าโครงหน้าหน้านั้น ยิ่งคล้ายกับท่านเจ้าพระยาอภิบาลบริรักษ์เมื่อครั้งยังหนุ่มมากทีเดียว ยิ่งโตก็ยิ่งคล้าย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา หรือแม้กระทั่งนิสัย จนท่านชายตะวันผู้เป็นบิดายังต้องยอมรับ
.
Rrrrrrr.....
.
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ปลุกให้คนที่นั่งอ่านสมุดเล่มเก่าในมือ ให้เงยหน้าขึ้นมอง รายชื่อที่แสดงบนหน้าจอทำให้คุณชายเต้วางสมุดลงอย่างเบามือ
.
“ สวัสดีครับอาจารย์ มีเคสด่วนหรือครับ ”
.
“ ขอโทษทีหมอเต้ ผมโทรมารบกวนเสียดึก ไม่มีเคสด่วนหรอก แต่ผมเพิ่งออกจากห้องผ่าตัด แล้วนึกขึ้นได้ว่า พรุ่งนี้คุณหยุด ”
.
ปลายสายเอ่ยขอโทษ ก่อนจะเริ่มบอกถึงสาเหตุที่ตนโทรมาเสียดึกดื่น แต่คุณชายเต้ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกไป ด้วยทราบดีถึงความจำเป็นในงานที่ตนเลือก
.
“ ไม่เป็นอะไรหรอกครับอาจารย์ ผมเองก็ยังไม่เข้านอน ว่าแต่พรุ่งนี้มีอะไรด่วนหรือครับ ”
.
“ มันก็ไม่เชิงว่าด่วนอะไรหรอกนะ แต่ผมอยากจะรบกวนให้หมอเต้ช่วย คือพรุ่งนี้จะมีนักศึกษาแพทย์ เข้ามาฝึกงานที่โรงพยาบาล ผมอยากจะขอให้หมอเต้ช่วยเป็นพี่เลี้ยง คู่กับหมอพริ้ง คุณจะสะดวกไหม ”
.
“ อ้อ พรุ่งนี้หรือครับ ผมจะเข้าไปดูคอปเตอร์เหมือนกันครับ รายนั้นก็ไปฝึกงานเหมือนกัน ”
.
“ อ้อจริงสิ หนูเตอร์ก็เริ่มปีนี้เหมือนกัน ผมนี่คงแก่แล้ว เริ่มหลงลืม ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวคงได้เจอเพื่อนๆจากที่อื่น ว่าแต่หมอเต้จะเข้ามากี่โมงล่ะ ”
.
“ โธ่อาจารย์ยังไม่แก่ขนาดนั้นหรอกครับ ”
.
คุณชายเต้หยอกอาจารย์หมอ ซึ่งเป็นแพทย์ที่ปรึกษาของตน เพราะตนเองนั้นกำลังศึกษาเวชเฉพาะทาง จึงขอเรียนรู้จากอาจารย์แพทย์ท่านนี้
.
“ พรุ่งนี้ผมคงเข้าไปสายๆหน่อย ปล่อยให้เจ้าเตอร์ได้เรียนรู้จากพี่ๆท่านอื่นไปก่อน ตอนแรกผมคิดว่าจะแค่เข้าไปให้กำลังใจ ”
.
“ คุณสะดวกหรือเปล่า ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวผมส่งให้หมอท่านอื่นก็ได้ ”
.
“ ไม่เป็นไรครับ ผมสะดวก ถือว่าให้น้องๆเขาช่วยรื้อฟื้นความหลังสมัยผมต้องออกฝึกงาน ”
.
“ ถ้าคุณไม่ขัดข้องผมก็ดีใจ ได้ทายาทเจ้าของโรงพยาบาลมาเป็นพี่เลี้ยงแบบนี้ ”
.
“ โธ่อาจารย์ครับ อย่าล้อเล่นแบบนี้เลย ผมก็แพทย์คนหนึ่งนั่นล่ะครับ ”
.
“ คุณก็ถ่อมตัวตลอด เอาเถอะๆ ผมฝากด้วยนะ เดี๋ยวผมไปฝากเรื่องไว้กับพนักงานก่อน เขาแจ้งผมมาตั้งแต่วันก่อน ผมก็ลืม มัวแต่วิ่งวุ่นเรื่องอื่นอยู่ ”
.
“ ครับอาจารย์ เดี๋ยวสายๆ สักประมาณ 10.00 น. ผมเข้าไปครับ ”
.
คุณชายเต้คุยกับปลายสายอีก 4 – 5 ประโยค ก่อนจะตัดสายไป ปีนี้เป็นปีที่คอปเตอร์ น้องชายบุญธรรมของตนจะเข้าศึกษางานที่โรงพยาบาล เป็นหนึ่งในวิชาที่นักศึกษาแพทย์ต้องเรียนรู้การทำงานจริงในโรงพยาบาล
.
คุณชายเต้คิดว่าไหนๆก็เป็นวันหยุด จึงจะเข้าไปให้กำลังน้องชาย แต่เมื่อมีงานเข้ามา ตนก็ไม่ได้ขัดข้อง เป็นแพทย์พี่เลี้ยงก็คงดีเหมือนกัน
.
เมื่อคิดได้เช่นนั้น คุณชายจึงเก็บสมุดบันทึกเล่มเก่าใส่กำปั่น ดังเดิม กดล็อคกุญแจที่คล้องอยู่ ของสิ่งเดียวในกำปั่นที่คุณชายเต้พกติดตัวตลอดเวลาคือ นาฬิกาพกเรือนเล็ก
.
ด้วยความรู้สึกลึกๆบอกว่า สักวันหนึ่ง นาฬิกาเรือนนี้ จะพาตนเองไปหาเจ้าของชื่ออีกคนที่สลักไว้ในตัวเรือน
.
.
.
**************************************
.
.
.
เช้าวันใหม่ ที่แสนวุ่นวายสำหรับใครหลายคน คอปเตอร์ในชุดนักศึกษาแพทย์ชั้นปีสุดท้าย พร้อมที่จะออกหาประสบการณ์จริงในโรงพยาบาล
.
“ วันนี้ลูกชายแม่ดูดีนะเนี่ยะ ”
.
หม่อมเนตรดาวผู้เป็นมารดาบุญธรรมทักลูกชายที่กำลังจะออกไปหาประสบการณ์จริง ที่โรงพยาบาลในเครือ
.
“ คุณแม่ ผมก็แต่งตัวแบบนี้ทุกวัน ไม่เห็นมีอะไรแปลกไปสักหน่อย ”
.
“ จ้า ไม่แปลก แล้วลูกจะไปพร้อมแม่เลยไหม ”
.
“ ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมไปเองดีกว่า เดี๋ยวใครเขาจะว่าผมเป็นเด็กเส้น ”
.
“ จ้าพ่อคุณ ท่านชายดูสิคะ ดูลูกชายคนนี้ว่า ”
.
“ เอาน่าคุณเนตร ลูกอยากไปเองก็ปล่อยเขาเถอะ เตอร์เองออกเดินทางได้แล้ว เดี๋ยวสายนะลูก หรือรอใครมารับ ”
.
“ ท่านพ่อ ไม่มีใครมารับหรอกครับ ผมไปเอง ”
.
“ อย่างนั้นรึ พ่อนึกว่าลูกจะมีสารถีมารับ เห็นแวะมาขายขนมจีบแถวนี้เสียจนพ่อเบื่อหน้าแล้ว ”
.
“ ท่านพ่อ!!! ”
.
ท่านชายตะวันแหย่ลูกชายบุญธรรม ส่วนคนที่โดนแกล้งนั้นก็ไม่นึกว่าจะโดนท่านพ่อหยอกเล่นอย่างนี้ แม้ปกติแล้วท่านชายตะวันจะเป็นคนสนุกสนาน ไม่ถือยศใดๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะล้อเล่นแบบนี้
.
“ เอาเถอะ ไม่ต้องมาทำหน้าแดงใส่พ่อ พ่อกับแม่ไปทำงานก่อนดีกว่า ไม่อยากเห็นคนหน้าแดง ปากก็ว่าไม่ชอบ พอโดนล้อหน่อยก็หน้าแดง ”
.
“ ท่านพ่อ!!! ”
.
“ หึ หึ ”
.
แม้ปากจะบอกว่าไม่อยากล้อ แต่ท้ายที่สุดแล้วท่านชายก็หยอกเย้าลูกชายอีกครั้ง ก่อนจะควงแขนหม่อมของตนขึ้นรถไปทำงานตามที่บอกไว้ ปล่อยให้บุตรชายบุญธรรมยืนหน้าแดงอยู่กับเหล่าแม่บ้าน ที่ปิดปากกลั้นยิ้มไปตามๆกัน
.
ส่วนคอปเตอร์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้อีกจึงขอให้คนขับรถช่วยขับรถมาส่งที่ป้ายรถโดยสาร เพื่อเรียกรถไปโรงพยาบาลที่ต้องเข้าฝึกงาน
.
.
.
*****************************
.
.
.
สวัสดีน้องน้องนักศึกษาแพทย์ทุกคนนะคะ พี่ชื่อกิ่ง เป็นเจ้าหน้าที่ของที่นี่ ตอนนี้รับหน้าที่อธิบายโครงสร้างของโรงพยาบาลให้น้องๆทุกคนฟัง แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น พี่ขอทราบชื่อน้องๆก่อนนะคะ จะได้เรียกหากันถูก ”
.
เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายให้แนะนำเบื้องต้นกับศึกษาแพทย์กล่าวต้อนรับ และสอบถามชื่อของแต่ละคน
.
“ สวัสดีครับ ผมก็อต กวีทัศน์ มาจาก...... ครับ”
.
นักศึกษาแพทย์คนแรกแนะนำตัว โดยเจ้าตัวเป็นที่รูปร่างสูง แต่ไม่ได้เก้งก้าง เรียกว่าสูงแต่สมส่วน
.
“ สวัสดีครับ คอปเตอร์ คิรากร จาก... ”
.
“ ครับ ผมสุธีร์ มาจาก.... ”
.
“ ครับผม ตี๋ ตีรณ ครับ มาจากที่เดียวกับก็อตครับ ฝากตัวด้วยครับ ”
.
คนสุดท้ายบอกชื่อตัวเอง พร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ทุกคน ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน
.
“ อ้าว มาที่เดียวกับหมอก็อต แล้วทำไมไปนั่งเสียห่างเลยล่ะคะ ”
.
“ เห็นหน้ากันมาหลายปี เรียนคลาสเดียวกันตลอด แถมยังต้องฝึกงานที่เดียวกันอีก เลยขอนั่งห่างๆกันบ้างนะครับ ”
.
ก็อตตอบคำถามพร้อมกับส่งสายตาเล็กๆน้อยให้กับเจ้าหน้าที่คนเดิม
.
“ แหม มีอารมณ์ขันเหมือนกันนะคะ นึกว่าจะเป็นพวกคร่ำเคร่งกับตำราอย่างเดียว ”
.
“ โธ่พวกผมก็คนธรรมดานะครับ จะให้อยู่แต่กับตำรา มันก็ไม่ไหวหรอกครับ ชีวิตต้องมีสีสันกันบ้าง ใช่ไหมครับหมอเตอร์ ผมเรียกอย่างนี้ได้ใช่ไหมครับ ”
.
ก็อตว่า แถมยังส่งสายตาเจ้าชู้ให้กับคนที่นั่งข้างๆตนเองอีกด้วย ส่วคอปเตอร์ได้แต่พยักหน้ารับว่าสามารถเรียกได้ตามที่อีกฝ่ายขอ
.
“ พอค่ะ พอ อย่าเพิ่งจีบกันให้เก้งอย่างดิฉันอิจฉา เรามาฟังสาระกันก่อนนะคะ เดี๋ยวจบจากนี้ค่อยจีบกันต่อนะคะ ”
.
กิ่งเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแซวว่าที่คุณหมอ โดยเฉพาะก็อต ที่มีท่าทีจะจีบคอปเตอร์ตั้งแต่แรก
.
“ ตามที่ทราบนะคะ น้องนักศึกษาแพทย์มีกันแค่สี่คน เพราะทางเรารับแค่จำนวนจำกัด น้องๆทุกคนจะมีแพทย์พี่เลี้ยง โดยพี่จะให้น้องจับกลุ่มกันนะคะ ว่าใครจะอยู่ใคร พี่ไม่บังคับนะคะ ”
.
เมื่อกิ่งอธิบายจบ ก็อตเลือกที่จะคู่กับคอปเตอร์ที่นั่งอยู่ข้างกัน โดยให้เหตุผลว่า อยากแลกเปลี่ยนความรู้กัน เพราะตนเองและตี๋นั้นมาจากที่เดียวกันอยู่แล้ว ทำให้ตี๋ และสุธีร์ ซึ่งมาจากที่เดียวกับคอปเตอร์ได้คู่กัน
.
เมื่อจับคู่กันเสร็จ กิ่งจึงอธิบายเรื่องที่ควรทราบต่างๆให้ว่าที่แพทย์ทั้งสี่ฟัง โดยใช้วีดิทัศน์ แต่ไม่ได้พาไปชมสถานที่จริง เพราะอยากให้นักศึกษาแพทย์ได้พยายามด้วยตัวเอง
.
“ เอาล่ะค่ะ ตอนนี้พี่จะแจ้งชื่อของพี่เลี้ยงของน้องๆแพทย์ฝึกหัดทั้งสองกลุ่มนะคะ กลุ่ม น้องหมอเตอร์ กับน้องหมอก็อต ส่งตัวแทนออกมาจับฉลากค่ะ เช่นกันจ้า กลุ่มน้องหมอตี๋ กับน้องหมอสุธีร์ ส่งตัวแทนมาเลยจ้า ”
.
ก็อตเป็นผู้ออกมาจับฉลาก ส่วนอีกกลุ่ม สุธีร์เป็นคนออกมา
.
“ เปิดเลยจ้า ใครได้หมอคนไหนเป็นพี่เลี้ยง ”
.
“ ของผมพญ. สุภัทร วิจิตธาร ครับ ”
.
ก็อตอ่านชื่อในฉลากที่ตนเองจับได้
.
“ ของกลุ่มผม นพ.มรว. เตชณัฐ อภิบาลบริรักษ์ ครับ ”
.
สุธีร์อ่านชื่อที่ตนจับได้
.
“ กลุ่มน้องหมอก็อต กับน้องหมอเตอร์ ได้หมอพริ้งเป็นพี่เลี้ยง ส่วนกลุ่มของน้องหมอสุธีร์ กับน้องหมอตี๋ ได้คุณชายหมอเต้นะคะ อีกเดี๋ยวคุณหมอทั้งสองท่านจะเข้ามาแนะนำตัวให้รู้จักนะคะ ใครมีอะไรสงสัย อยากถามถามได้เลยนะคะ คุณหมอทั้งสองท่านนี้จะเป็นพี่เลี้ยงให้จนน้องแพทย์ฝึกหัด ฝึกงานจบเลย ”
.
ตี๋นิ่งไปตั้งแต่ได้ยินชื่อที่เพื่อนใหม่อย่างสุธีร์อ่าน เขาไมรู้ว่าตนเองเป็นอะไร แต่ใจนั้นเต้นแรงจนเจ็บ ความรู้สึกโหยหา ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่ไม่เคยพบ หรือรู้จักเจ้าของชื่อมาก่อน
.
เสียงของเจ้าหน้าที่ดังผ่านหูไป โดยที่ตนเองไม่อาจจับใจความใดๆได้ แต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่บานประตู ด้วยความรู้สึกที่เหมือนกำลังรอคอยสิ่งสำคัญ จนไม่อาจจะละสายไปได้
.
เสียงเปิดประตูเพียงแผ่วเบา พร้อมกับคนที่ก้าวเข้ามา คนแรกเป็นหญิงสาวใบหน้างดงาม แต่ก็ไม่ดึงดูดความสนใจของคนที่ตกอยู่ในภวังค์ไปได้
.
แต่สำนึกลึกๆในใจบอกว่าให้หนี แต่สองเท้ากลับก้าวไม่ออก จนกระทั่งหญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาในห้อง ร่างกายที่เริ่มเครียดเกร็งกลับสั่นน้อยๆ แต่ยังไม่ทันให้ใครได้สังเกตเห็น ก็มีสิ่งดึงดูดสายตาไปเสียก่อน
.
คุณชายเต้เปิดประตูตามหลังคุณหมอสุภัทร เพื่อนร่วมวิชาชีพ ก่อนจะเดินมาหน้าห้องประชุมเล็กที่ใช้ต้อนรับนักศึกษาแพทย์ฝึกหัด
.
ก่อนที่จะเข้ามานั้น นาฬิกาเรือนเล็กที่พกติดตัวคล้ายจะสั่นไหวอยู่ในกระเป๋าเสื้อ ทั้งที่ก่อนหน้า ไม่เคยเป็นมาก่อน จิตใจของตนก็เช่นกัน
.
ใจที่เคยนิ่งสงบ กลับเต้นระรัวขึ้น ราวกลับกำลังตื่นเต้นดีใจ เขาก็ไม่รู้สาเหตุที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนเองเช่นกัน
.
จนกระทั่งวินาทีที่เปิดประตูให้หมอสุภัทร แล้วก้าวเดินตามเข้ามาให้ห้อง ใจที่เต้นระรัวอยู่ก่อนหน้า ก็ยิ่งเต้นแรงกว่าเดิมจนรู้สึกเจ็บ แต่สิ่งที่ได้เห็นหลังจากก้าวมาอยู่หน้าห้อง ก็เป็นสิ่งที่ตอบทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
.
ใบหน้าของใครบางคนที่ส่วนลึกในใจยังคงจำได้ แม้ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้ เป็นความรู้สึกของตนเอง หรือความรู้สึกของท่านเทียด แต่มันคือความยินดีจนไม่อาจบรรยายได้
.
ตี๋มองหน้าของคนที่ก้าวตามหลังคุณหมอสาว ใจที่เคยหวาดกลัวหญิงสาวที่ก้าวเข้ามาก่อนหน้านั้น ค่อยๆผ่อนคลายลง
.
“ พี่เต้ ”
.
ประโยคสุดท้ายที่ออกจากปาก ก่อนที่เจ้าของเสียงจะทรุดฮวบลงไป พร้อมกับหยดน้ำใสที่ไหลออกมา
.
“ ตี๋!!! ”
.
แม้จะเพิ่งพบหน้าเป็นครั้งแรก แต่ชื่อที่ออกจากจิตสำนักภายในก็ทำให้คุณชายเต้ร้องเรียกอีกคนออกมา พร้อมกับสาวเท้าเข้ามาคว้าร่างเล็กของอีกคนไว้ทันก่อนจะล้มลง
.
อ้อมกอดอุ่นที่คุ้นเคย ทำให้ตี๋ปรือตาขึ้นมอง รอยยิ้มน้อยๆประดับบนใบหน้า ก่อนที่สติสุดท้ายจะหลุดลอยออกไป
.
.
.
.
.
*******************************************
.
.
.
.
.
อธิบายเพิ่ม
.
(1) ลื่อ = ลูกของเหลน
.
.
(ขอใส่ผังลำดับญาติไว้เพื่อให้ไม่งงกันนะขอรับ)
.
.
.
.
นักแสดงเพิ่มเติม
.
.
ก็อต กวีทัศน์ (กะ – วี – ทัด) = มีความคิดเห็นฉลาด
.
ตี๋ ตีรณ (ตี – รน) = ผู้มีปัญญาเป็นเลิศ
.
สุธีร์ (สุ – ที) = คนมีปัญญา , นักปราชญ์
.
สุภัทร (สุ – พัด) = ดีงาม , ประเสริฐ
.
ตะวัน (ตะ – วัน ) = ดวงอาทิตย์ , พระอาทิตย์
.
เนตรดาว (เนด – ดาว) = ผู้มีดวงตางดงามดุจดวงดาว
.
.
.
********************************
.
.
.
สวัสดีขอรับ กลับมารายงานตัวอีกครั้ง
.
สำหรับตอนนี้ พี่เต้ กับ น้องตี๋ได้เจอกันแล้ว (แม้จะแป๊ปเดียว)
.
ข้าเจ้าต้องขออภัยในเรื่องการออกฝึกงานของนักศึกษาแพทย์ หากว่ามันผิดไปจากความเป็นจริง ข้าเจ้าน้อมรับขอรับ เนื่องด้วยข้าเจ้าไม่ทราบจริงๆว่า นักศึกษาแพทย์ที่ออกฝึกงานนั้น เขามีแพทย์พี่เลี้ยงหรือไม่
.
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชม
.
ขอบคุณทุกกำลังที่ส่งมา
.
ขออภัยหากมีคำผิด รบกวนแจ้งได้ทันที ข้าเจ้าจะรีบไปแก้ให้ไว
.
รบกวนติดตามตอนต่อไป
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์................
.
.
Mariner_IX

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 o13

ได้เจอกันแล้ว ดีใจ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ได้เจอกันสักทีนะ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
   Billie : ขอบคุณจ้า

        snowboxs : ขอบคุณจ้า

 +1 จ้า

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนที่ 12

.
.
.
.
ความหนหลัง

.
.
.
.
เพดานสีเขียวอ่อนสบายตา คือสิ่งแรกที่เห็นเมื่อดวงตาเปิดเพื่อรับภาพ ตี๋กระพริบตาเพื่อปรับแสงอีกครั้ง ก่อนจะลืมตาขึ้น
.
“ เป็นอย่างไรบ้างครับ ดีขึ้นหรือยัง ”
.
“ ดีแล้วครับ ผมเป็นอะไรครับ ”
.
“ แกเป็นลมไงเพื่อนตี๋ บอกแล้วว่าให้มาก่อนล่วงหน้า จะได้พักชิวๆ ”
.
ตี๋ถามคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง แม้เหมือนจะคุ้นหน้า เหมือนเคยรู้จัก แต่ก็ยังไม่รู้จัก แต่คนที่ตอบคำถามกลับเป็นก็อต เพื่อนของตี๋ที่อยู่เฝ้าเพื่อน เป็นคนตอบแทน
.
“ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้วนี่นา ”
.
“ แล้วไงล่ะ เป็นไง ทีนี้เชื่อหรือยัง ว่าควรมาก่อน”
.
ก็อตว่า เพราะคบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ก็อตจึงรู้จักเพื่อนดี และรู้ว่าตี๋มักจะขี้ลืม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน คือทั้งคู่เดินทางมาเข้าพักที่ห้องพัก เพื่อเตรียมตัวเข้าฝึกหัดการเป็นแพทย์
.
แต่ตี๋นั้นลืมหยิบหนังสือส่งตัวมาส่งโรงพยาบาล และไม่ใช่ว่ารู้ตอนกลางวัน คือมารู้ว่าลืมก็ตอนเตรียมเอกสารที่จะใช้ในวันรุ่งขึ้น ทำให้ต้องกลับไปเอา
.
แถมระหว่างทางเจออุบัติเหตุ ทำให้ไม่สามารถผ่านทางได้ กว่าจะไป กว่าจะกลับ แม้ว่าระยะทางไม่ห่างกันมาก แต่เมื่อเจอเหตุขวางถนน กว่าจะได้กลับห้องพักก็เกือบเช้า
.
พอกลับมาถึงทั้งก็อต และตี๋ต้องเตรียมตัวมาโรงพยาบาล ตัวก็อตนั้นไม่เท่าไหร่ เพราะได้หลับมาในรถบ้าง บอกให้ผลัดกันขับ ตี๋เองก็ไม่ยอม เพราะเกรงใจเพื่อน ที่มาด้วยแล้วยังต้องช่วยขับรถให้ ทั้งที่เป็นความสะเพร่าของตัวเอง สุดท้าย ตี๋จึงเป็นคนขับเองทั้งไปและกลับ
.
“ จ้าคุณเพื่อน คราวหลังจะไม่เถียงแล้ว ”
.
ตี๋ทำเสียงล้อเลียนเพื่อนตัวเอง และรับสมอ้างตามที่เพื่อนว่า ตนวูบไปเพราะไม่ได้นอนเมื่อคืน ตนเองไม่อยากจะให้เพื่อนกังวล จึงไม่คิดแก้ความเข้าใจผิดนั้นว่า จริงๆแล้วตนเองนั้นไม่ได้หมดสติเพราะไม่ได้นอน แต่ที่สิ้นสติไปก็เพราะความรู้สึกกลัวที่มันบีบคั้นอยู่ภายใน
.
คุณชายเต้มองก็อต และตี๋หยอกล้อกันด้วยความสนิทสนม โดยไม่ได้แทรกอะไร ทั้งที่ในใจนั้นสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเป็นความกลัว ว่าจะสูญเสียของรักไป
.
“ ขอบคุณ คุณชายหมอมากนะครับ ที่ช่วยพาเพื่อนผมมา ”
.
“ ไม่เป็นไรครับ แล้วก็เรียกชื่อผมอย่างเดียวก็ได้ ไม่ต้องเรียกเสียเต็มยศขนาดนั้น ปล่อยให้คุณกิ่งแกเรียกไปคนเดียวเถอะ เพราะคงต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน สนิทกันไว้จะดีกว่า ”
.
ก็อตขอบคุณ คุณชายเต้ ที่พาเพื่อนของตนมานอนพักในห้องตรวจของคุณหมอเอง ส่วนคุณชายเต้ก็ไม่อยากให้ใครเรียกตนเองยาวๆ แบบกิ่ง เพราะกิ่งนั้นเป็นเพื่อนกับตนเองมาก่อน แล้วเพื่อนคนนี้ก็ชอบอะไรที่มันไม่เหมือนคนอื่น
.
“ เดี๋ยวรอให้น้ำเกลือหมดก่อนค่อยกลับนะครับ ตอนนี้เพื่อนคนอื่นกลับไปหมดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาเรียนรู้งาน ”
.
“ ขอบคุณครับ ”
.
ก็อตและตี๋ขอบคุณ คุณหมอเจ้าของห้อง ส่วนคุณชายเต้ก็รับไหว้ขอบคุณของนิสิตแพทย์ทั้งคู่ แล้วจึงตัดใจเดินออกมานั่งที่โต๊ะตรวจแทน
.
ก็อตนั้นปล่อยให้เพื่อนนอนพักไป ไม่ได้กวนอะไร แต่เหมือนเจ้าตัวจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเริ่มออกอาการอยู่ไม่สุข
.
“ เป็นอะไรของแกวะไอ้ก็อต เดี๋ยวมองนาฬิกา เดี๋ยวมองขวดน้ำเกลือ ”
.
“ ไอ้ตี๋ ถ้ากูจะเร่งน้ำเกลือ มึงจะโอเคไหม ”
.
“ อ้าวไอ้นี่หาเรื่องกูล่ะ จะบ้าหรือไง กูช็อกขึ้นมาทำไง ”
.
ตี๋ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าก็อตออกอาการอยู่ไม่สุข เดี๋ยวมองขวดน้ำเกลือ เดี๋ยวก้มดูเวลา และเมื่ออยู่กันเฉพาะเพื่อน สรรพนามที่ใช้เรียกกันก็เปลี่ยนไป
.
“ เพราะกูรู้ไง กูถึงไม่ทำ ไม่งั้นทำไปนานแล้วล่ะ มันจะได้หมดเร็วๆ ”
.
“ มึงจะรีบไปไหนวะ ถ้ารีบอ่ะมึงไปก่อนได้เลยเว้ย เพราะตอนนี้น้ำเกลือเหลืออีกค่อนขวด หยดขนาดนี้ กว่าจะหมด เกือบค่ำล่ะมึง ”
.
ตี๋บอกก็อต เพราะน้ำเกลือในขวดเหลืออีกมาก และกว่าจะหมดก็ต้องใช้เวลา เพราะถ้าเร่งน้ำเกลือมากไปอาจทำให้ช็อกได้
.
“ กูเห็นแล้ว มึงจะย้ำทำแมวอะไร เดี๋ยวกูถอดเข็มออกไปเททิ้งก่อน แล้วมาเจาะให้มึงใหม่เลยนี่ ”
.
“ เอ๊าไอ้คุณเพื่อน มึงจะทำกูได้เหรอ กูเป็นคนป่วยนะโว้ย ว่าแต่มึงดูเวลานี่ มึงมีนัดอีกแล้วใช่ไหม ”
.
“ เอออ่ะดิ กูเพิ่งนึกได้ตอนอ่านไลน์เมื่อกี้ ”
.
“ เอ๊า งั้นมึงก็ไปดิ เคยพลาดด้วยมึงอ่ะ เด็กมาหาขนาดนี้ ”
.
“ ไอ้นี่พูดซะกูเสียหาย น้องเขาเสนอ กูก็แค่สนองเปล่าวะ แล้วมึงจะให้กูทิ้งมึงไปหาสาว ทั้งที่เพื่อกูนอนแดกน้ำเกลือเนี่ยะนะ ”
.
ก็อตกับตี๋เถียงกันอยู่ในห้อง ส่วนคุณชายเต้ก็นั่งฟังเงียบๆ ไม่คิดจะเอาไปแทรก เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของเพื่อน และถึงจะบอกว่าเถียงกัน แต่ก็ใช้เสียงเบาๆ หากเป็นตนเองนั้นได้ยินเสียเอง
.
“ มึงไปเหอะ นี่โรงพยาบาลนะโว้ย แล้วกูก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่วูบเอง นี่ดีขึ้นมาแล้ว อีกอย่างห้องพักก็อยู่แค่นี้เอง เดินไปก็ถึง มึงไปเหอะ กูไม่อยากขัดความสุขที่ต้องระบายของเพื่อน ”
.
“ ไอ้นี่ พูดจาให้เข้ากับหน้าตาหน่อยดิวะ หน้าตาก็ดี แต่ปากนี่ฟาร์มหมาชัด ”
.
ก็อตว่าเพื่อน ตี๋เป็นคนที่หน้าตาดี แม้ว่าจะมีเชื้อจีนมาจากต้นตระกูล แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตาตี่เป็นอาตี๋ โครงหน้าละมุนด้วยส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างพ่อ และแม่ ดูไม่แข็งกระด้างอย่างผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้ดูอ่อนหวานเหมือนผู้หญิง แต่อยู่ที่ตรงกลางของความพอดี
.
“ กูเป็นห่วงมึงนะ กลัวไม่ได้ฟันหญิง มึงไปเหอะ คุณชายหมอก็อยู่ เกิดเป็นอะไรไป เขาคงไม่ปล่อยให้กูตายหรอก ”
.
“ มึงไม่เป็นไรแน่นะ ”
.
“ เออไม่เหอะ กูไม่เป็นไร ได้น้ำเกลือช่วยขนาดนี้ กูสดชื่นมาก ”
.
“ เออๆ ดูแลตัวเองนะมึง เดี๋ยวกูฝากมึงไว้กับคุณชายหมอ มึงก็อย่าทำหมาในปากหลุดให้เขาเห็นนะ ”
.
“ ไอ้ก็อต!!! ”
.
แม้ก็อตจะไม่อยากไปเท่าไหร่ เพราะห่วงเพื่อน แต่เมื่อเห็นว่าตี๋ไม่ได้เป็นอะไรมาก และเห็นว่าเพื่อนอยู่กับคุณหมอ ก็คลายใจไปบ้าง เขาจึงตัดสินใจรับคำชวนของคนในโทรศัพท์ แต่ก็แอบว่าเพื่อนก่อนไป
.
“ คุณชายหมอครับ ผมขอรบกวนฝากเพื่อนด้วยนะครับ พอดีผมมีธุระครับ ”
.
“ เรียกแค่ชื่อดีกว่าครับ เอาเถอะครับ มีธุระก็ไปทำก่อน เพื่อนเราก็ไม่เป็นอะไร เดี๋ยวน้ำก็หมดแล้ว ไม่ได้รบกวนอะไร ”
.
“ ขอบคุณครับ ตี๋ฉันไปก่อนนะ ผมขอตัวก่อนครับ ”
.
ก็อตขอบคุณ คุณชายเต้ที่รับปากจะดูแลเพื่อนต่อให้ ก่อนจะตะโกนบอกลาเพื่อน แล้วจึงขอตัวกลับไปธุระตามที่บอกไว้
.
เมื่อก็อตเดินออกไป คุณชายเต้จึงเดินเข้ามาดูคนที่นอนอยู่บนเตียง ตาคมมองดูหยดน้ำเกลือ เมื่อเห็นว่ายังหยดตามปกติ จึงหันมามองคนบนเตียงตรวจแทน
.
วงหน้าที่อยู่ในความทรงจำ ความรู้สึกเบื้องลึกนั้นช่างรุนแรงจนตัวเองยังแปลกใจ เพราะมันใจว่าไม่เคยเจอ หรือรู้จักคนตรงหน้ามาก่อน แต่ความรู้สึกนั้นกับโหยหา แต่เมื่อได้ฟังคำสนทนาที่แสดงความสนิทสนมของเพื่อน ยิ่งทำให้ใจเจ็บ
.
“ ตี๋... ”
.
เสียงเรียกแผ่วเบานั้นทำให้คนที่แกล้งหลับลืมตาขึ้นมอง ใจดวงน้อยเจ็บปลาบเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่เหมือนตัดพ้อของคนเรียก
.
“ พี่เต้... ”
.
เพียงคำเดียวที่ออกจากปาก ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะถูกรวบกอดจากคนที่ยืนอยู่ อ้อมกอดที่คุ้นเคย กลิ่นไอที่คุ้นชิน ทำให้ตี๋ยกมือขึ้นกอดตอบ แทนที่จะผลักไสคนที่เพิ่งเจอหน้า แต่กลับมารวบกอดตนเอง
.
“ พี่ขอโทษ พี่ดูแลเจ้ามิดี ”
.
คำที่พูดมานั้นคุณชายเต้ไม่แน่ใจว่าเขาขอโทษทำไม ทั้งที่ตนเองเพิ่งได้พบหน้า แต่ทำไมต้องขอโทษ และบอกว่าดูแลไม่ดีด้วย
.
“ มิใช่ความผิดของคุณพี่ หากว่าน้องนั้นบุญน้อยเอง ”
.
เมื่อได้ฟังคำขอโทษ ตี๋เองก็ตอบรับกลับไป ซึ่งตนเองก็ยังแปลกใจ เขาไม่แน่ใจว่าตนเองพูดอะไรออกไป สิ่งที่พูดนั้น มันเหมือนออกมาจากความรู้สึกในใจที่เก็บเอาไว้
.
ไม่เพียงแค่คำพูด แต่น้ำตาก็ไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวอีกด้วย มันเป็นความโหยหา ความเศร้า อาดูร ที่ออกมาจากเบื้องลึกของความรู้สึก
.
.
.
.
.
******************************
.
.
.
.
.
ร่างงามก้าวขึ้นเรือนริมน้ำที่เคยหมายมาดมาหลายครา แต่มิเคยได้ขึ้น มาหนนี้ หน้าเรือนมิได้มีอ้ายอีตัวใดคอยเฝ้าเช่นเคย
.
เสียงสะอื้นไห้ที่ดังแว่วผ่านมา ทำให้มุมปากสีชาดยกยิ้มพอใจ เจ้าของร่างกรีดกรายเข้ามาจนถึงหน้าเรือนนอน
.
“ คุณพริ้งขึ้นมาแต่เมื่อใดขอรับ ”
.
เสียงของบ่าวในเรือนทำให้คุณพระหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เข้าใหม่ ภรรยาแต่งของตนยืนยกยิ้มสมใจ โดยมีบ่าวคนสนิทอยู่ด้านหลัง พระอภิบาลบริรักษ์บรรจงวางร่างเย็นซีดลงอย่างแผ่วเบา ก่อนเอ่ยถามความผู้มาใหม่
.
“ เธอมาที่เรือนนี้ด้วยความใดแม่พริ้ง ”
.
“ ทำไมรึเจ้าคะ เรือนของผัว มันก็เหมือนเรือนของเมีย อิฉันเป็นเมียคุณพี่ เหตุใดจักมาผัวมิได้เล่า ”
.
“ แต่ที่นี่มิต้อนรับเธอ กลับไปเสีย ”
.
“ กระไรหรือเจ้าคะ อิฉันเห็นว่าเรือนเงียบไป จึงเป็นห่วงแวะมาถามความ เหตุใดคุณพี่จึงตัดรอนน้องเยี่ยงนี้เล่า ”
.
แม่พริ้งว่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายจักร้องไห้ เมื่อโดนคุณพระหนุ่มตัดรอน อย่างมิคิดจักไว้หน้า พร้อมกลับพาตนเองก้าวมายืนข้างสามีในนามของตน
.
“ แม่พริ้งเธอ.... ”
.
คุณพระเอ่ยได้เพียงนั้น ก็เหมือนจะพูดกระไรต่อมิได้ เหมือนคนที่กำลังเจ็บ และต่อสู้อะไรบางอย่าง ส่วนแม่พริ้งเธอยิ้มอย่างยินดี เมื่อเห็นอาการของคุณพระผู้เป็นสามี
.
“ เจ็บรึไม่เจ้าคะ ถ้าเจ็บอย่าฝืนสิเจ้าคะคุณพี่ ยิ่งคุณพี่ฝืน จะยิ่งเจ็บนะเจ้าคะ ”
.
แม่พริ้งว่าเมื่อเห็นอาการเจ็บปวดที่แสดงออกทางสีหน้าของคุณพระ เมื่อคุณพระมิยินยอมตามที่เธอต้องการ
.
“ คุณพริ้งทำกระไรคุณพระขอรับ ”
.
“ มิใช่ความของพวกมึง อย่าสอดหากยังไม่อยากตาย แต่จะว่าไป อีกมินานพวกมึงก็จักเป็นต้องเหมือนมัน ”
.
นายผลที่เห็นว่าคุณพระมีอาการมิใคร่ดี จึงถามความจากคุณพริ้ง ว่าเธอทำกระไรนายเรือนริมน้ำ แต่สิ่งที่คุณพริ้งตอบ ทำให้บ่าวเรือนริมน้ำขนลุกทั้งร่าง
.
“ เธอหมายความว่าเยี่ยงไรแม่พริ้ง ”
.
“ ก็หมายความตามที่อิฉันว่าไปนั่นล่ะเจ้าค่ะ มีความใดไม่แจ้งรึเจ้าคะ ”
.
คุณพระถามเมื่อได้ฟังคำของภรยาแต่งด้วยความไม่เข้าใจ แต่แม่พริ้งเองก็ตอบเช่นเดิม มิยอมให้ความกระจ่างแต่อย่างใด
.
“ เธอทำกระไรตี๋กระนั้นรึแม่พริ้ง ”
.
“ เหมือนจะเข้าใจความนี้แล้วนี่เจ้าคะ ใช่เจ้าคะ คุณพี่เข้าใจมิผิด แต่จักโทษอิฉันก็มิควรดอกเจ้าค่ะ คงต้องโทษตัวคุณพี่เอง หากคุณพี่มิทำเยี่ยงนี้กับอิฉัน อิฉันก็คงไม่ทำดอกเจ้าค่ะ ”
.
คุณพริ้งเธอว่า แต่ยังมิยอมปล่อยมือจากคุณพระผู้เป็นสามี แม้คุณพระจักพยายามฝืนตัวออก แต่ก็มิอาจสู้แรงได้
.
“ เพราะคุณพี่มิไยดีอิฉัน แลยังทำบัดสี กับบ่าวชาย อิฉันมิงามตรงใดเจ้าคะ คุณพี่จึงมิยอมร่วมหอกับอิฉัน แลบ่าวสาวในเรือนมีมากมาย หากคุณพี่จักชอบพอ อิฉันก็ไม่ได้ขัดข้อง แต่คุณพี่กลับเลือกไอ้ขี้ข้านี่ คุณพี่จักให้อิฉันเอาหน้าไปไว้ที่ใดเจ้าคะ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ”
.
คุณพริ้งระบายความในอก ที่เก็บเข้าในใจมาหลายเพลา ด้วยน้ำเสียงที่แค้นเคือง ที่มิอาจทำให้สามีหันมามองตนเองได้
.
“ ฉันบอกเธอแต่แรกแล้วมิใช่รึ ว่าฉันมิได้ชอบพอเธอ แลฉันมีคนที่ฉันรักอยู่แล้ว แต่เธอก็ดึงดันจักแต่ง ทั้งที่เธอจักปฏิเสธเสียก็ได้ ”
.
“ กระไรรึเจ้าคะ อิฉันรักคุณพี่ เหตุใดอิฉันจักมิเลือกคุณพี่เล่า ”
.
“ เยี่ยงนี้เธอจักโทษใครได้เล่า ในเมื่อเธอเลือกเยี่ยงนี้เอง แลเธอก็มิได้รักฉันดอก เธอเพียงต้องการเอาชนะฉันก็เท่านั้น ”
.
คุณพระฝืนพูด แม้ว่าจะเจ็บในกายเพียงใด แต่ก็มิยินยอมจักตกอยู่ภายใต้อำนาจที่โดนบังคับทำ คุณพระพยายามจักตั้งจิตให้นิ่ง ตามที่เคยเล่าเรียนเมื่อคราบวชเป็นพระ เพื่อมิให้ตนเองต้องตกเป็นอยู่ใต้อำนาจที่โดนกระทำ
.
“ คุณพี่จักพูดกระไรก็พูดเถิดเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวคุณพี่ก็จักต้องรักอิฉัน ”
.
คุณพริ้งว่า เพราะแม้คุณพระจักพยายามต่อต้านอำนาจคุณไสยที่เธอทำ แต่สุดท้ายอีกมินาน ก็จักต้องตกอยู่ให้อำนาจของเธอ
.
“ แล้วอีกอย่างนะเจ้าคะ ถึงมันจะตายไปแล้ว อิฉันก็มิยอมให้มันไปดีดอกเจ้าค่ะ มันจักต้องทรมานมากกว่าที่อิฉันเป็น มันจักมิได้ไปผุดไปเกิด แลอ้ายอีที่เรือนนี้ จักต้องตายตกไปตามกัน ”
.
คุณพริ้งว่าพลางชี้หน้าบ่าวทุกคนบนเรือน พร้อมกับเรื่องที่เธออาฆาตไว้ว่า แม้ว่าคนที่สิ้นใจไปแล้ว เธอก็จักมิยอมปล่อย
.
“ ทำไมใจเธอจึงโหดร้ายเยี่ยงนี้แม่พริ้ง ”
.
คุณพระที่พยายามครองสติเอาไว้ให้มั่น แต่ก็มิอาจจะทำได้นาน เพราะความเจ็บปวดที่รุมเร้า จนแทบจักมิอาจจะประคองสติไว้ได้อีก เมื่อความเจ็บนั้นกำลังจะดึงให้ตนสิ้นสติ
.
“ พอเสียทีเถิดแม่พริ้ง ”
.
เสียงที่ดังขึ้นหน้าเรือน ทำให้ทุกคนหันมามองผู้ที่มาใหม่เสียพร้อมกัน คุณหญิงพิมเดินขึ้นเรือนมาพร้อมบุตรสาวคนรองของท่านพระยาผู้เป็นสามี
.
“ นี่มิใช่การใดของคุณแม่นะเจ้าคะ ความนี้เป็นเรื่องของผัวเมีย มิใช่เรื่องความคุณหญิงแม่แม้แต่น้อย ”
.
“ หากเป็นเพียงเรื่องผัวเมียเช่นที่แม่พริ้งว่า แม่ก็จักมิยุ่ง แต่เห็นที่เรื่องที่แม่พริ้งกระทำอยู่ตอนนี้ แม่คงมิยุ่งมิได้ แม่พริ้งกำลังก่อกรรมมิรู้ตัวดอกรึ เลิกเสียเถิด อย่าได้ก่อกรรมเยี่ยงนี้อีกเลย ”
.
คุณหญิงพิมเอ่ยขอกับคุณพริ้ง ขอให้เลิกในสิ่งที่ทำเสีย เพื่อมิให้เป็นการก่อเวร สร้างกรรมให้กับตนเองอีก
.
“ นี่หรือเจ้าคะที่ว่าไม่ยุ่ง คุณหญิงแม่กำลังก้าวก่ายเรื่องในเรือนของอิฉันกับคุณพี่ มิรู้ตัวเลยเจ้าคะ ”
.
คุณพริ้งเธอว่า เพราะการที่คุณหญิงยื่นมาเข้ามาขัดขวางการที่เธอต้องการนั้น ก็เป็นเหมือนก้าวก่ายเรื่องในเรือนของเธอ
.
“ หากเธอมิหลงผิด แม่คงมิก้าวก่ายเรื่องในเรือนแม่ดอก ไอ้ผล เอ็งน้ำมนต์นี่ไปให้พ่อเต้ ”
.
“ อีปริก ”
.
คุณหญิงพิมว่า พร้อมกับส่งขันน้ำมนต์ให้กับบ่าวของบุตรชาย แต่คุณพริ้งก็เรียกให้บ่าวของคนเข้าขัดขวาง ด้วยสังหรณ์ว่าน้ำมนต์นั้นจักช่วยล้างคุณไสยของเธอได้
.
“ เอาสิ หากมึงเข้ามากูจักขอลองตบผู้หญิงเสียครานี้ ”
.
นายสุกปราดเข้ามาขวางมิให้นางบ่าวเข้าถึงขันน้ำมนต์ที่คุณพิมยื่นให้เพื่อนบ่าว แต่นางปริกนั้นก็มิฟัง จะพยายามเข้าไปแย่งเสียให้ได้
.
คุณพริ้งเองเมื่อเห็นว่าบ่าวมิอาจทำตามใจได้ เธอจึงพยายามแย่งเสียเอง แต่นางมานั้นก็มิยอมให้เธอผ่านเข้ามาแย่งได้เช่นกัน
.
“ พวกมึงอยากตายกันเสียพร้อมกันกระนั้นรึ เยี่ยงนั้นก็ตายเสียพร้อมกันในเพลานี้ รักกันนักมิใช่รึ ”
.
เมื่อเห็นว่ามิอาจสู้ได้ คุณพริ้งเธอจึงใช้คุณไสยที่เธอทำไว้ก่อนหน้า สั่งให้คุณคนที่ขวางหน้าเธอตายตกไปตามกัน
.
เพียงสิ้นคำสั่งให้ตาย นายสุกนั้นก็ปล่อยมือจากผมของนางปริก นางมาทรุดตัวลงไปที่พื้นเรือน นายผลที่กำลังประคองขันน้ำมนต์เอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพื่อจักส่งขันน้ำมนต์ให้นายของตน ก่อนจะสิ้นลมต่อหน้าของคุณพระที่รับขันน้ำมนต์ขึ้นดื่ม
.
กรี๊ด.....
.
คุณพริ้งกรีดร้องเมื่อคุณพระดื่มน้ำมนต์ในขันนั้นแล้ว บุตรสาวคนรองที่มาพร้อมคุณหญิงพิมเข้าประคอง เมื่อเห็นว่าคุณหญิงพิมตระหนกกับเสียงของคุณพริ้ง
.
“ แก่ก็มิอยู่ส่วนแก่ คุณหญิงทำเยี่ยงนี้อย่าหาว่าอิฉันร้ายนะเจ้าคะ อีปริกกลับ ”
.
คุณพริ้งว่า พร้อมกับเรียกบ่าวของตนกลับเรือน ทิ้งให้ความเศร้า และความสูญเสียมาเยือนเรือนริมน้ำ เมื่อมิใช่แค่คนเดียวที่ต้องจักต้องจากไปเพราะความเคืองแค้น แต่เป็นบ่าวเรือนริมน้ำที่จงรักภักดีต่อนายของตนเสียทั้งหมด
.
“ พ่อเต้เป็นเยี่ยงไรบ้าง แม่กลิ่นช่วยแม่ที ”
.
คุณหญิงพิมเข้ามาประคองบุตรชาย ที่มีสติมากขึ้น
.
“ ขอบคุณคุณแม่ใหญ่ขอรับ หากมิได้คุณแม่ช่วย ลูกคงตกอยู่ใต้อำนาจคุณไสยเป็นแน่ ”
.
“ แม่พริ้งเธอร้ายนัก แม่มิคิดว่าเธอจะใจคอโหดร้ายเยี่ยงนี้ ฆ่าคนโดยมิรู้สึกรู้สากระไร แม้แต่เด็กน้อยในท้องก็มิคิดละเว้น ”
.
คุณหญิงพิมว่า พร้อมกับมองร่างบ่าวผู้ซื่อสัตย์ ที่ยอมปกป้องนายจนตนเองต้องสิ้นลมหายใจ แลที่น่าอนาถใจคงเป็นบ่าวหญิงเพียงคนเดียวที่กำลังตั้งครรภ์
.
“ พวกเขาซื่อสัตย์ต่อลูกมากเหลือเกินขอรับ ลูกมิรู้จักตอบแทนพวกได้เยี่ยงไร ”
.
คุณเต้เอ่ยกับมารดา พร้อมกับหยาดน้ำตาแห่งความเสียใจ คราแรกนั้นต้องเสียคนที่เป็นดั่งดวงใจ แล้วยังต้องมาสูญเสียบ่าวผู้ซื่อสัตย์ จนแม้แต่ชีวิตก็ให้ได้เยี่ยงนี้
.
“ จัดงานให้สมเกียรติที่เขาเสียสละตนเองเพื่อลูก แลช่วยเหลือครอบครัวที่เหลือของเขาตามสมควร หรือลูกเห็นควรประการใด ก็กระทำตามนั้นเถิดพ่อ ”
.
“ ลูกคงจักต้องรบกวนคุณแม่ใหญ่แล้วขอรับ ”
.
คุณเต้ว่าพร้อมกับมองร่างไร้ลมหายใจของบ่าวบนเรือน มือหมาโอบประคองร่างน้องน้อย ไว้แนบอก เหมือนครั้งที่น้องยังอยู่ด้วย
.
“ ฉันขอบใจทุกคนมาก ที่ซื่อสัตย์และเสียสละให้ฉันถึงเพียงนี้ หากเรามีบุญต่อกัน ก็ขอให้ฉันได้ตอบแทนทุกคนบ้าง ”
.
คุณเต้เอ่ยลาบ่าวของตน เมื่อบ่าวจากเรือนใหญ่มาช่วยตามจัดการตามที่ตนเอ่ยขอกับคุณหญิงพิมผู้เป็นมารดา
.
เหลือเพียงร่างของน้องน้อย ที่นอนหลับอยู่บนเตียงในเรือนนอนเท่านั้น ที่เขาขอเป็นผู้จัดการทุกอย่างเอง โดยมิให้ผู้ใดช่วย
.
คุณพระทำพิธีกรรมทางศาสนาในน้องน้อย เขาไม่รู้ว่าน้องน้อยจักถูกกักขังเยี่ยงที่แม่พริ้งกล่าวไว้หรือไม่ แต่เขาหวังว่า น้อยน้องจักต้องหลุดพ้น แม้จักยากเย็นเพียงใด เขาจะต้องหาหนทางช่วยน้องน้อยจากแม่พริ้งให้จงได้
.
หลังจากประกอบพิธีทางศาสนา คุณพระได้นำเถ้ากระดูก คืนให้กับครอบครัวของน้อง แลมอบทรัพย์สินอีกจำนวนหนึ่งเพื่อไว้ตั้งตัว
.
“ ฉันฝากนาฬิกาเรือนนี้ไว้ให้เจ้าของด้วย ฉันเชื่อว่า อีกมินาน ตี๋จักต้องได้รับ ”
.
คุณเต้จูบลานาฬิกาพกที่เป็นสื่อใจของตนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจักมอบคืนให้ครอบครัวของน้องเก็บรักษา โดยหวังว่าวันหนึ่งน้องจักต้องได้รับคืนไป
.
.
.
.
.
***************************
.
.
.
.
.
กรี๊ด..........
.
อีกด้านหนึ่ง เสียงกรีดร้องแหลมสูง ดังขึ้นภายในเรือนไม้หลังเก่า ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากเรือนริมน้ำมากนัก
.
“ อีปริก เหตุใดมันจึงเป็นเยี่ยงนี้ได้ ครานั้นมึงบอกว่ามันมิอาจไม่เกิดได้เยี่ยงไรเล่า ”
.
“ ทูนหัวของบ่าว เย็นใจลงหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ”
.
“ มึงยังจักให้กูเย็นใจอีกรึ เมื่อคราคุณพี่กูยังมิได้ชำระความกับมึง มาครานี้อีก แล้วเหตุใดกูจึงไม่อาจรับรู้ถึงมันได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นครั้งของคุณพี่อีก มึงไปหาความมาแจ้งแก่กูประเดี๋ยวนี้ ”
.
หญิงในภาพถ่ายใบเก่า ซึ่งติดไว้บนผนังเรือนเกี้ยวกราดใส่วิญญาณที่นั่งพับเพียบอยู่เบื้องหน้า ถึงเหตุที่ตนเองมิอาจทราบได้ ทั้งที่มั่นใจเป็นหนักหนา แต่ก็ไม่เป็นตามที่ตั้งใจ ทั้งยังสั่งความให้วิญญาณตนนั้นไปหาความมาแจ้งแก่ตน คล้อยหลัง เมื่อดวงวิญญาณที่นั่งอยู่หายออกไป จึงมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
.
“ เพราะใจเธอมันอำมหิต แลพระก็มิเข้าข้างคนผิดเช่นไรเล่า ”
.
“ คุณพี่จักเอ่ยกระไรก็ตามแต่ใจคุณเถิดเจ้าค่ะ แม้คุณพี่จะช่วยให้เศษเสี้ยวของมันหลุดไปได้ แต่วิญญาณดวงใหญ่ของมันก็จักต้องอยู่กับอิฉันเรื่อยไป มิต่างจากคุณพี่เอง ”
.
“ เธอนั้นคงมิอาจจะเห็นทางธรรมได้เสียแล้วแม่พริ้ง ใจเธอมืดบอดไปเสียหมด ”
.
“ แล้วอย่างไรเล่าเจ้าคะ อิฉันจะเป็นเยี่ยงไรก็ช่างเถิด อย่างน้อยคุณพี่และมันก็จักต้องติดอยู่กับอิฉันไปตลอดกาล ”
.
“ ฉันเชื่อว่า สักวันพ่อเต้จักต้องช่วยน้องได้ แลเธอจักต้องได้รับผลกรรมที่ก่อ ”
.
“ มันจักมิมีวันนั้นดอกเจ้าค่ะ คุณพี่กับมันจักมิมีทางหลุดพ้นไปได้ ”
.
ร่างเงาในรูปภาพมิยอมรับกับสิ่งที่ได้ยิน และหมายมั่นว่าวิญญาณที่เธอกักขังจะไม่มีทางหลุดรอดออกไปได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
.
.
.
.
.
**********************************
.
.
.
.
.
สวัสดีขอรับ นำตอนที่ 12 มาส่งขอรับ
.
บทนี้อาจจะอ่านแล้วดูแปลกๆไปบ้าง เนื่องจากข้าเจ้าสับสนในตัวเอง เพราะภาษานั้นสลับกันระหว่างยุคปัจจุบัน กับในอดีต
.
หากอ่านแล้วสะดุดต้องขออภัยด้วยนะขอรับ
.
พาแม่พริ้งกลับมาส่ง พร้อมบ่าวคนสนิท รบกวนเอ็นดูนางด้วยนะขอรับ
.
ขอบคุณทุกความรู้สึก ทุกความคิดเห็น
.
รบกวนติดตามตอนต่อไปด้วยขอรับ
.
.
.
.
.
..........ด้วยใจภักดิ์..........
.
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.
.


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :เฮ้อ:

พริ้งคือคนที่รักแต่ตัวเองจริงๆ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
จองจำกันยาวนานมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

   Billie : ขอบคุณขอรับ พริ้งเป็นคนที่ดดนความแค้นครอบงำจ้า

       snowboxs : ขอบคุณขอรับ แล้วเวลาจะพามาพบกันขอรับ


ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ตอนที่ 13

.
.
.
.
เมื่อเข็มนาฬิกาหมุน

.
.
.
.
สองร่างที่กอดกันเงยหน้ามองกันอีกครั้ง เมื่อครู่นั้นทั้งคู่เหมือนถูกดึงกลับให้ได้รับรู้เรื่องราวในอดีต
.
“ คุณชาย ”
.
“ เรียกพี่เหมือนเช่นเดิมได้รึไม่พ่อ ”
.
“ แต่ผมไม่ใช้ตี๋คนนั้น และคุณชายเองก็ไม่ใช่ด้วยเหมือนกัน ผมเข้าใจถูกไหม ”
.
“ ใช่ พี่ไม่ใช่ท่านเทียดเต้ แต่พี่ก็อยากให้เราเรียกพี่เหมือนเมื่อคราก่อนนั้น ไม่ได้รึ ”
.
“ โอ๊ยฟังแล้วจั๊กจี้หูมากคุณชาย เอาความจริง ผมกับคุณชายเราเพิ่งได้คุยกันจริงๆคือตอนนี้ ทำไมคุณชายต้องให้ผมเรียกคุณชายแบบสนิทสนมด้วยล่ะ ”
.
“ ตี๋ ”
.
คุณชายเตชณัฐเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ เมื่ออีกคนทำเขาใจหาย ที่ทำเหมือนไม่สนใจกัน แต่เมื่อมองอีกทีจึงรู้ว่าโดนแกล้งเสียแล้ว
.
“ โอ๋ๆ นะครับ อย่างที่บอกแหละครับ ถึงแม้ว่าผมจะได้รับรู้ความสมัยก่อนโน้น แต่ก็ใช่ว่าเราต้องกลับไปเหมือนเดิมนี่นา ”
.
“ ตี๋ ”
.
“ โถ่ พี่เต้ ไม่เอาไม่ทำหน้าแบบนี้ ผมแค่อยากให้ผ่อนคลายบ้างอะไรบ้าง ทำหน้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ ไม่เหนื่อยหรือไง ”
.
ตี๋ยังเล่นไม่เลิก แต่เมื่อเห็นว่าคุณชายเตชณัฐไม่สนุกด้วยจึงเลิก แล้วเข้าเรื่องแทน
.
“ พี่เต้จะให้ผมทำยังไง ผมกับพี่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ เศษเสี้ยววิญญาณที่หลุดออก เศษเสี้ยวความรักของพี่เต้ กับตัวผม ที่ถูกเก็บไว้ในนาฬิกาเรือนนี้ ”
.
ตี๋หยิบนาฬิกาพกเรือนเก่าขึ้น ซึ่งเขาได้มันมาจากคุณย่า พร้อมกับจดหมายเก่าๆฉบับหนึ่ง ที่ถูกปิดผลึกไว้อย่างดี
.
ครอบครัวของตี๋สืบเชื้อสายมาตั้งแต่ช่วงกลางของกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวจีนที่โล้สำเภามาจากแผ่นดินใหญ่ มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเมืองสยาม
.
แต่ด้วยความที่มีลูกมาก และไม่อาจจะเลี้ยงดูได้ จึงจำต้องพาลูกชายคนโตมาขายตัวเป็นทาส แล้วเรื่องราวก็พลิกผัน เมื่อได้รับอัฐจำนวนมากไปตั้งตัว จากนายเงินของบุตรชาย
.
แต่ข่าวร้ายที่ได้รับรู้คือ ครอบครัวของตนได้สูญเสียบุตรชายคนโตไปตลอดกาล ทั้งนี้ นายเงินได้ฝากของไว้ให้รักษา เพื่อรอเจ้าของกลับคืนมา
.
แม้ผ่านเวลามาเป็นร้อยปี หลังจากวันนั้น วันที่ต้นตระกูลของตี๋รับของนั้นไว้ และเก็บรักษาไว้ตามที่คนฝากต้องการ แม้ไม่รู้ว่า จะรู้ได้อย่างไร ว่าใครจะได้เป็นเจ้าของสิ่งรับฝากไว้
.
จนของสิ่งนั้น ส่งมาถึงมือตี๋เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เข็มนาฬิกาเรือนเก่าที่เคยนิ่งสนิท ไม่เดินมาตลอด แม้จะพยายามไขลานเท่าไหร่ กลับมาเดินได้อีกครั้ง ทั้งที่อยู่ในมือของเด็กน้อยไม่ประสา ทุกคนในบ้านจึงลงความเห็นว่า ตี๋น้อยคือเจ้าของนาฬิกาเรือนนี้
.
“ พี่รู้ แต่เราก็รู้สึกตรงกันไม่ใช่หรือไง ความรู้สึกโหยหาน่ะ ”
.
“ อันนี้ไม่เถียง ผมเจ็บทุกทีที่นึกถึงเรื่องให้อดีต มันคงเป็นความรู้สึกของเสี้ยววิญญาณของท่านเทียดตี๋ของผม เหมือนที่ผมรู้สึกกลัวคุณหมอพริ้งตั้งแต่แรกเห็นหน้า ”
.
“ พี่เข้าใจ ครั้งแรกที่พี่เจอพริ้ง พี่ก็เกลียดเธอมาก อย่างที่หาสาเหตุไม่ได้ แต่พี่ก็ค่อยๆลดลงมานะ เพราะพริ้งเองก็ไม่ใช่คุณพริ้ง ไม่มีแม้แต่เสี้ยววิญญาณเหมือนเราสองคน ”
.
“ อ้าว!!! แล้วทำไม.... ”
.
“ หมอพริ้งถึงคล้ายคุณพริ้งใช่ไหม ”
.
“ รู้แล้วยังจะถาม ท่านเต้ไม่กวนแบบนี้ซะหน่อย ”
.
ตี๋งึมงำ แต่เต้ก็ได้ยิน เพราะเขานั่งกอดน้องอยู่นั่นเอง
.
“ ก็พี่ไม่ใช่ท่านไง ทีเราเองก็ไม่เหมือนน้องน้อยเลย เพราะน้องน้อยน่ะขี้อาย ไม่กล้าต่อคำหรอก ”
.
เต้ว่า แล้วก็อดจะขำกับท่าทางของตี๋ในตอนนี้ไม่ได้ ตี๋ในตอนนี้ช่างกล้าต่อล้อต่อเถียง ไม่มีเค้าความเจียมตนเหมือนก่อน
.
“ ก็แล้วไงเล่า ผมไม่น่ารักแบบท่านแล้วจะทำไม ”
.
“ ไม่ทำไมหรอก พี่แค่จะบอกว่า ไม่ว่าจะตอนนี้ หรือตอนไหน พี่ก็ยังรักน้องของพี่อยู่เสมอ แล้วตี๋ล่ะ รู้สึกเหมือนพี่บ้างไหม ”
.
“ ช่างกล้าพูดนะ ถ้าไม่เหมือนจะยอมให้กอดไหมล่ะ ไม่น่าถาม ”
.
“ หึ หึ... ”
.
“ หยุดขำเลยนะ ไม่งั้นโกรธ ”
.
คุณชายเต้ขำคำพูดของตี๋ แม้จะพยายามไม่ขำให้ได้ยินแล้วแต่ก็อดไม่ได้จริงๆ แต่นอกเหนือจากความขำขันแล้ว ความรู้สึกเต็มตื้นนั้นก็ช่างรุนแรง เหมือนได้ของรักกลับคืน เป็นยิ่งกว่าความยินดี ที่อีกคนก็ใจตรงกัน
.
“ ช่างเป็นคำขู่ที่น่ากลัวจริงๆ ”
.
“ พี่เต้!!! ”
.
“ จ้าๆ พี่ยอมแพ้ ”
.
“ ฮึ้ย!!! ”
.
“ พี่ไม่แกล้งแล้ว หันหน้ามาคุยกันดีๆ ดีกว่านะ เราอย่าปล่อยเวลาให้เสียไปอีกเลย เพราะกว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้ง มันช่างนานเหลือเกิน พี่ไม่อยากจะรออีกแล้ว ”
.
คุณชายว่า เพราะตนไม่อาจปล่อยเวลาให้ผ่านไปได้
.
“ พี่เต้จะทำยังไงล่ะ เราไม่รู้อะไรเลยนะ ที่รู้ก็มีแค่นิดเดียว ผมเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับท่านเทียดตี๋มากนัก รู้แค่ว่าท่านเป็นใคร แล้วตัวเองต้องทำอะไร จากในจดหมายที่พี่ทิ้งไว้ให้นั่นแหละ ”
.
“ ตี๋ ไม่เอาแบบนี้ครับ อย่าล้อพี่นักเลย ”
.
ตี๋บอกในสิ่งที่ตนเองรับรู้ ว่าตนก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก เพราะความในจดหมายที่ได้รับมา บอกแต่ให้ตนเองช่วยคนรักของเจ้าของจดหมาย หรือก็คือคนที่อยู่ข้างตัวในตอนนี้
.
“ พี่เองก็ไม่ได้ทราบอะไรมากเหมือนกัน เพราะท่านเทียดเต้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คุณพริ้งขังวิญญาณของน้องน้อยไว้ที่ไหน ”
.
“ โอ๊ย แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ หรือว่าจะไปถามคุณหมอพริ้งคนนั้น ”
.
“ พี่เพิ่งบอกไปเองว่า หมอพริ้งไม่ใช่คุณพริ้งไง ขี้ลืมจริง ”
.
“ ก็เพราะใครชวนเปลี่ยนเรื่องล่ะ ”
.
“ จ้าพี่ผิด พอใจหรือยังครับ ที่หมอพริ้งคล้ายคุณพริ้งมากก็เพราะ ต้นตระกูลหมอพริ้งก็คือน้องชายของคุณพริ้งน่ะ ”
.
“ หมายความว่า คุณหมอพริ้งเป็นลูก เป็นหลาน ของคุณพริ้ง ”
.
“ ก็คงจะแบบนั้น เหมือนที่เราก็เป็นลูก เป็นของท่านเทียดไง ”
.
“ แล้วทำไมคุณหมอพริ้งถึงไม่มีเสี้ยววิญญาณเหมือนเราล่ะครับ ”
.
“ อันนี้พี่ก็ไม่ทราบนะครับ ท่านเทียดเต้เองก็คงไม่ทราบ ”
.
“ แล้วเราจะเริ่มจากจุดไหนครับ เราไม่รู้อะไรเลย แล้วผมว่านะ ท่านท่านเองก็น่าจะโดนขังเหมือนกันนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นพี่เต้คงไม่มีแค่เสี้ยววิญญาณเหมือนผมหรอก ”
.
“ พี่ก็คิดอย่างนั้น เอาเป็นว่าวันนี้เรากลับไปพักก่อน เดี๋ยวค่อยๆคิดกันอีกทีว่า เราจะทำอะไรต่อ แล้วต้องเริ่มที่ตรงไหน ”
.
“ ก็ได้ครับ แต่ผมจะทำยังไง พอเจอคุณหมอพริ้ง ร่างกายมันเหมือนไม่ยอมฟัง มันกลัวไปเอง ”
.
“ ตี๋ต้องตั้งสติให้มั่น พี่เองก็เองก็เคยเป็น เมื่อตอนเจอกันครั้งแรก เป็นมากกว่าน้องนัก ”
.
“ พี่เต้ ”
.
“ พี่...เดี๋ยวนะครับพี่ขอตั้งสติก่อน ”
.
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องของคุณหมอพริ้ง แม้ว่าคุณชายเต้จะควบคุมตัวเองได้ดีแล้ว แต่เมื่อเห็นน้องกลัว ความโกรธของท่านเทียด ก็คล้ายจะพลุ่งพล่านกว่าเดิม
.
“ พี่เองกว่าจะคุมตัวเองได้ ก็นานเหมือนกัน แต่ดีที่ท่านเทียดเต้แต่เดิมนั้น ไม่ใช่คนใจร้อน และท่านก็มีสติอยู่เสมอ แต่เมื่อท่านโกรธ ก็อารมณ์รุนแรงเหมือนกัน ดูอย่างเมื่อครู่สิ ”
.
คุณชายเต้อธิบายให้น้องเข้าใจ
.
“ ผมจะพยายามครับ แต่เหมือนท่านตี๋ของผมนี่ จะกลัวมากจริงๆ ”
.
ตี๋บอกความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจให้พี่ฟัง
.
“ ครับ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ”
.
คุณชายเต้ปลอบน้องเหมือนอย่างที่เคยทำ เมื่อครั้งอดีต
.
“ วันนี้กลับไปที่เรือนกับพี่นะครับ ”
.
“ แล้วเพื่อนผมล่ะครับ ”
.
“ นิสิตแพทย์กวีทัศน์น่ะนะ ป่านนี้อยู่กับสาวที่ไหนแล้วมั้ง มีธุระกับคนในไลน์นี่ ”
.
“ พี่เต้ ทำไมปากร้ายแบบนี้เนี่ยะ ”
.
“ หรือพี่พูดผิดล่ะ ”
.
“ เออๆ ไม่เถียง ก็จริงนั่นแหละ แต่จะให้ผมไปกับพี่ ทั้งๆที่เพิ่งเจอหน้ากันเนี่ยะนะ เกินไปไหม ”
.
ตี๋ว่าขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณชายหมอผู้ดูสุขุม ในสายตาทุกคนออกอาการปากร้ายไม่แพ้ใคร
.
“ แต่พี่อยากอยู่กับพ่อนะคนดี ”
.
คุณชายเต้เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกโหยหาภายใน
.
“ แต่น้อง... ”
.
“ พี่สัญญา ว่าจักมิทำกระไรน้อง นะคนดี พี่เพียงต้องการอยู่กับพ่อเท่านั้น ”
.
“ หากพี่สัญญาเยี่ยงนี้ น้องก็จักไปด้วย ”
.
แม้ว่าจะเพิ่งพบหน้า ความรักที่มีต่อกัน ก็ทำให้ตี๋ตกลงที่จะไปตามคำชวนของคุณชายเต้ ด้วยความรู้สึกที่โหยหาไม่ต่างกัน
.
.
.
“ มึงว่ากระไรนะอีปริก มันจะมาที่เรือนกระนั้นรึ ”
.
“ เจ้าค่ะ คุณเต้ ท่านจักพามันมาที่เรือนริมน้ำเจ้าค่ะ ”
.
“ ดีเหลือเกิน กูจักได้จัดการมันเสียครานี้ ”
.
เสียงมาดร้ายของวิญญาณที่ไม่ยอมปล่อยวาง สั่งการวิญญาณบ่าวของคน
.
“ มึงไปจับตาดูมันเสีย แล้วนำความมาบอกกู ”
.
“ เจ้าค่ะคุณพริ้ง ”
.
ร่างเงาที่เดิมนั้น นั่งพับเพียบอยู่หน้ารูปติดผนัง รับคำก่อนจะค่อยๆสลายหายไปตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
.
.
.
.
.
************************************
.
.
.
.
.
.
สวัสดีขอรับ มิตรรัก นักอ่านทุกท่าน
.
ข้าเจ้าพาคุณชายเต้ และน้องตี๋มาส่งขอรับ
.
คำพูดอาจจะงงๆอยู่บ้าง เพราะข้าเจ้าอยากจะปล่อยให้ความรู้สึกของท่านเทียดเต้ออกมา สลับความคิดของคุณชายเต้ คำอาจจะสลับๆกันบ้าง
.
ขอบคุณทุกท่านที่ส่งแรงใจ
.
หากพบคำผิด หรืออ่านไม่ได้ความ สะกิดได้เต็มที่ขอรับ
.
ทุกแรงใจ คือแรงผลักดัน
.
คุณพริ้งเธอต้องการทำอะไร
.
แล้วตี๋น้อยจะสามารถผ่านไปได้หรือไม่
.
.
.
รบกวนติดตามต่อด้วยขอรับ
.
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
Mariner_IX
.


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :fire:

ง่าาาาตายแล้วยังไม่หยุดอิ๊ก ทำไมเป็นผีไม่น่ารักแบบนี้

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

Billie  : ขอบคุณขอรับ คุณพริ้งเธอแค้นมากขอรับ
ปล. +1 จ้า

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
หมอพริ้งไม่มีเศษเสี้ยวของแม่พริ้งจริงเหรอ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
กาแฟมั้ยฮะจ้าว : ขอบคุณจ้า

snowboxs : ไม่มีจ้า

ปล. +1 จ้า

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0



ตอนที่ 14

.
.
.
.
.
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ต้องเอาด้วยกล

.
.
.
.
.
หลังจากที่ตี๋ ตกลงใจกลับเรือนริมน้ำพร้อมคุณชายเตชณัฐ คุณชายก็ไม่ได้ล่วงเกินตี๋แม้แต่น้อยตามที่รับปากไว้ คุณชายทำเพียงแค่นอนกอด แล้วหลับไปด้วยกัน
.
เช้าวันรุ่งขึ้น ตี๋มาโรงพยาบาลพร้อมคุณชายเตชณัฐ ส่วนกวีทัศ หรือหมอก็อต กลับห้องพักแล้วไม่เจอเพื่อน แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไร เพราะตี๋ส่งข้อความไปบอกไว้ก่อนแล้ว
.
วันนี้กวีทัศน์จึงตั้งใจมาล้อเพื่อนโดยเฉพาะ แต่เหมือนฟ้ามีตา เพราะมีบางอย่างเบี่ยงเบนความสนใจของเขาเอาไว้ก่อน เมื่อเจ้าตัวเห็นคอปเตอร์ ที่กำลังก้าวลงจากรถคันหรู โดยมีสารถีหน้าหล่อ ปิดประตูเดินตามหลังมาติดๆ
.
“ ไอ้ตี๋ หมอเตอร์มากับใครวะ มึงรู้เปล่า ”
.
กวีทัศน์ขยับเข้ามาถามเพื่อน ซึ่งเดินมาพร้อมคุณชายเตชณัฐ โดยลืมเรื่องที่ตั้งใจมาจะมาแซวไปชั่วขณะ
.
“ กูไม่รู้ กูก็เห็นเหมือนมึงแหละ ”
.
“ เออๆ กูค่อยไปถามหมอเตอร์เองก็ได้ เพราะกูคู่กับหมอเตอร์ ยังไงก็ได้อยู่ด้วยกัน ตลอดช่วงนี้อยู่แล้ว ”
.
กวีทัศน์เลิกสนใจเพื่อนอย่างตี๋ แล้วเดินไปหาคอปเตอร์ เพื่อชวนกันเข้าไปด้านใน ปล่อยให้ตี๋ยืนงงกับอารมณ์ ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเพื่อนตัวเอง
.
“ ไปข้างในกันเถอะครับหมอเตอร์ เดี๋ยวจะสายเอานะครับ ”
.
“ เอ่อ...ครับ ”
.
แล้วกวีทัศน์ก็จูงมือหมอเตอร์ที่ยังงงๆอยู่ ให้เข้าไปด้านใน ท่ามกลางสายตาแปลกใจ และไม่ค่อยพอใจ ของคุณชายเตชณัฐ และคิมม่อน
.
“ หมอนั่นเป็นใครวะ ไอ้คุณชาย มาจับมือน้องเตอร์ของฉันได้ไง ”
.
“ นิสิตแพทย์กวีทัศน์น่ะหรือ ”
.
“ ถ้าหมายถึงไอ้คนหน้าด้าน ที่กล้าจับมือน้องเตอร์น่ะ ก็คงใช่ล่ะ ”
.
“ อ้อ นิสิตแพทย์กวีทัศน์ หรือหมอก็อต เขาจับคู่กับเตอร์ตลอดช่วงนี้ แล้วอีกอย่างเตอร์ไม่ใช่ของนายนะคิม ถ้าฉันจำไม่ผิด ”
.
“ อ้าว ไอ้คุณชาย แกไม่เข้าข้างเพื่อนอย่างฉันเลยรึไง ”
.
“ เรื่องหัวใจ ใครก็บังคับกันไม่ได้คิมม่อน นายน่าจะรู้ ”
.
“ เออๆ ยังไงฉันก็ไม่ยอมแพ้ ไอ้คนที่เพิ่งเจอน้องเตอร์หรอกโว้ย ”
.
คิมม่อนว่าอย่างหมายมาด เพราะตนเองไม่มีทางยอมแพ้ใครง่ายๆ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไอ้คนที่เพิ่งเจอน้องเตอร์ อย่างไอ้หมอฝึกหัด ยังไงก็แล้วแต่ เขาต้องได้ใจของคนที่ตัวเองชอบแน่ๆ
.
“ นายเคยได้ยินไหม ไอ้คุณชาย ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ต้องเอาด้วยกล นายคิดว่าฉันจะยอมแพ้ง่ายๆรึไง ไม่มีทางเสียล่ะ ”
.
“ ก็แล้วแต่นาย แต่คอปเตอร์ ไม่ใช่สิ่งของ นายเข้าใจนะ ”
.
“ ฉันไม่เคยเห็นน้องเตอร์เป็นอย่างที่นายว่า เชื่อใจกันบ้างดิ แล้วขอไว้เลยบอกว่า แกต้องได้ฉันเป็นน้องเขยแน่ๆ ไอ้คุณชายหมอ ”
.
คิมม่อนไม่ยอมแพ้ เพราะตนรู้จักกับคอปเตอร์มาก่อน และรู้จักกับครอบครัวของอีกฝ่ายดี แม้แต่ท่านชายเต ตะวัน กับหม่อมเนตรดาว ตนเองก็รู้จัก ไม่มีทางที่จะแพ้ คนที่เพิ่งเจออย่างหมอก็อตอะไรนั่น ง่ายๆ อย่างแน่นอน
.
“ ว่าแต่แกพาลูกใครเขาด้วยมาวะ หน้าคุ้นๆเหมือนเคยเห็น ”
.
“ น้องตี๋ ”
.
“ อ๋อ...น้องตี๋นี่เอง ห๊ะ!!! อะไรนะ ”
.
คิมม่อนพยักหน้าเข้าใจ ตามสิ่งที่คุณชายเตชณัฐว่า ก่อนจะอุทานออกมา เหมือนเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างได้
.
“ ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม ไอ้คุณชาย แกกำลังจะบอกว่า น้องตี๋คนนั้น ตอนนี้ ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ”
.
“ ก็ไม่เชิง ตี๋ก็เป็นเหมือนฉันแหละ เราไม่ใช่เสียทีเดียว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เราคือส่วนหนึ่ง ของท่านเทียด ”
.
“ โอ๊ย!!! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะ นี่ยังมีอะไรที่ฉันไม่รู้อีกไหมวะ นอกจากแก น้องตี๋ แล้วก็หมอพริ้ง ที่เคาะพิมพ์บรรพบุรุษออกมาขนาดนี้เนี่ย ”
.
“ นายลืมนับตัวเองไปคนหนึ่ง คิมม่อน ”
.
คุณชายเตชณัฐว่า ก่อนจะเลิกสนใจอีกฝ่าย โดยปล่อยให้คิมม่อน ยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ส่วนเจ้าตัวก็ชักชวนน้อง ให้เดินเข้ามาด้านในเสียแทน
.
“ คิมม่อน เป็นเพื่อนของพี่เอง น้องคงพอจะจำได้ใช่ไหม ”
.
คุณชายถามน้อง เมื่อเดินเข้ามาด้านในของโรงพยาบาลแล้ว
.
“ พอได้ครับ แต่ผมไม่คิดว่า จะได้เจอคุณคิมม่อนด้วย ”
.
ตี๋ตอบคำถามของพี่ เมื่อหลายคนที่เคยอยู่ในอดีต กลับมามีชีวิตในปัจจุบันอีกครั้ง ตนเองจึงไม่คิดจะแปลกใจอะไร เพราะมันคงเป็นบุญ วาสนา ที่มีต่อกัน
.
“ แต่น้องดูไม่แปลกใจอะไรเลยนะ ”
.
“ ผมเลิกแปลกใจแล้วครับ คิดมากก็ปวดหัว สู้เอาเวลาไปเรียนรู้งานในวอร์ดดีกว่า ”
.
“ จ้า ว่าแต่พร้อมหรือยังครับ ”
.
“ พร้อมตั้งแต่มาแล้วเหอะ ไอ้ก็อตพาหมอเตอร์ไปรอในห้องเป็นชาติแล้ว ส่วนสุธีร์ก็น่าจะมาแล้วมั้ง มีแต่ผมเนี่ยแหละมั้ง ที่มัวแต่ปล่อยให้พี่เต๊าะ ถึงยังไม่ได้ไปรวมกับคนอื่นสักที ”
.
“ ครับๆ เดี๋ยวพี่ไปส่ง แล้วถ้าสงสัยอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้ เพราะว่ายังไง พี่ก็เป็นพี่เลี้ยงของเราอยู่แล้ว ”
.
“ ครับพ่อ... ”
.
“ ไม่อยากเป็นพ่อ แต่อยากเป็น.... ”
.
“ พอเลย ไม่คุยด้วยแล้ว ผมเข้าห้องไปรอฟังการแบ่งงานดีกว่า ”
.
เมื่อเห็นว่ายิ่งคุย ตนเองยิ่งเสียทีคุณชายหน้านิ่ง แต่แอบเจ้าเล่ห์ ตี๋จึงหาทางเลี่ยง เพราะไม่อยากให้ตนเองเสียทีคนเจ้าเล่ห์ไปกว่านี้
.
คุณชายเองก็ไม่ได้ขัดอะไรอีก เพราะไม่อยากให้น้องสาย หากมัวแต่แกล้งน้อง เดี๋ยวน้องจะสายตั้งแต่วันแรกๆ ซึ่งคงไม่ดีนัก
.
.
.
.
****************************************************
.
.
.
.
.
เมื่อลั่นวาจากับเพื่อนไว้ว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล คิมม่อนจึงเริ่มวางแผนในใจเงียบๆ และมองหาผู้ร่วมแผนการของตน
.
“ บาส น้องบาสครับ น้องบาสสุดที่รักของพี่คิมม่อน ”
.
คิมม่อนส่งเสียงเรียกใครบางคน ทันทีที่เจ้าตัวเดินเข้ามาในบ้านของตัวเอง
.
“ อย่าไอ้พี่คิม อย่ามาเรียกกันด้วยน้ำเสียงชวนสยองแบบนี้ ”
.
เด็กหนุ่มร่างเล็ก ซึ่งหากมองด้วยสายตา ก็คงสูงไม่เกิน 170 เซนติเมตร เดินออกมาจากด้านในตัวบ้าน เมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคย เรียกชื่อของตนเอง ด้วยน้ำเสียงหวานหู จนน่าขนลุก
.
“ โธ่น้องบาสครับ พี่เรียกน้องอย่างนี้ ไม่ดีตรงไหนกัน ”
.
“ ก็ตรงที่มันชวนสยองไง แล้วบอกมาเลยดีกว่า ว่ามีเรื่องอะไรมาให้ช่วยอีก แค่อ้าปากก็เห็นยันรูก้นแล้ว ไม่ต้องมาลีลา ”
.
“ เออๆ รู้ดีจริงๆ แล้วนี่พี่นะโว้ย พูดกับพี่ กับเชื้อให้มันเพราะๆ หน่อยไม่ได้รึไง ”
.
“ อย่า ขอร้อง พี่คิม แค่คิดก็ขนลุกแล้ว มีอะไรก็ว่ามา เร็วๆ ”
.
บาส บรรณวิชญ์ น้องชายของคิมม่อน ทั้งคู่ไม่เคยคุยกันด้วยคำหวาน เพราะสนิทกันเกินกว่า จะเรียกหากันด้วยถ้อยคำหวานหู
.
ส่วนตัวของบาสเอง แม้ว่าจะห่างจากคิมม่อนหลายปี เพราะตอนนี้ เจ้าตัวกำลังศึกษาอยู่ชั้น ปี 1 แต่กับคิมม่อนแล้ว ทั้งคู่จะพูดคุยกันอย่างสนิทสนม แบบเพื่อนมากกว่าพี่น้อง แต่ตัวบาสเองนั้น ให้ความเคารพคิมม่อน ในฐานะที่เป็นพี่ชายเสมอ
.
“ คือพี่มีเรื่องมาให้แกช่วย เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ”
.
แล้วคิมม่อนก็เล่าเรื่องราวที่เจอมาให้น้องชายฟัง พร้อมกับบอกถึงแผนการของตัวเอง และเรื่องที่ต้องการให้คนน้องช่วยเหลือ
.
“ สรุปคือ ตอนนี้ ม.ค.ป.ด. พี่เตอร์ไปแล้ว พี่คิมก็เลยอยากให้ผมไปแยกไอ้หมอฝึกหัดนั่น ออกจากพี่เตอร์ ใช่ป่ะ ”
.
บาสสรุปรวบยอด หลังจากที่ฟังพี่เล่าถึงเรื่องราวทั้งหมด
.
“ เออ อย่างนั้นแหละ เข้าใจถูกต้องไอ้น้องรัก แล้วอะไรคือ ม.ค.ป.ด. วะ ”
.
“ โอ๊ย!!! ม.ค.ป.ด. ก็หมอคาบไปแด..ก ไง แก่แล้วก็งี้แหละ ไม่ทันมุกเลย ว่าแต่ถ้าผมช่วยพี่แล้วผมจะได้อะไรไม่ทราบ ”
.
บาสไม่ยอมรับปากช่วยโดยง่าย อย่างว่า ครอบครัวของบาส และคิมม่อน เป็นนักธุรกิจ การจะทำอะไรสักอย่าง จะต้องได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุน
.
“ ไอ้น้องขี้งกเอ๊ย อยากได้อะไรวะรอบนี้ ”
.
คิมม่อนนั้นรู้นิสัยน้องดี ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร เจ้าตัวจึงไม่ออกอาการอะไรมาก เพราะอย่างไรเสีย ก็ถือว่า ให้น้องไป แถมยังเมินคำจิกกัดไปด้วย เพราะถ้ายิ่งต่อความ ก็ยิ่งยาว
.
“ พูดกันง่ายๆแบบนี้ค่อยดีหน่อย ผมอยากได้รถสักคัน เอาไว้ขับไปเรียน คงไม่มากไปใช่ไหมครับ ”
.
เมื่อเห็นว่า พี่ไม่ต่อความกับตนเองต่อ บาสจึงบอกถึงข้อแลกเปลี่ยน ว่าตนเองต้องการอะไร หากทำตามที่พี่ชายต้องการสำเร็จ
.
“ จะเอารุ่นไหน สีอะไร ถ้าแยกไอ้หมอกิ๊กก๊อก ออกจากน้องเตอร์ได้ เดี๋ยวพาไปซื้อเลย แถมแกยังได้พี่สะใภ้น่ารักๆอีกคนด้วย ”
.
“ พูดแล้วไม่คืนคำนะครับพี่ชาย ”
.
“ เออ ทำให้ได้อย่างที่พูดก่อนเหอะ ”
.
“ คอยดูความสำเร็จได้เลย มือชั้นนี้แล้ว เออขอรายละเอียดด้วยล่ะ จะได้รู้จักเป้าหมายไว้ก่อน ”
.
บาสบอกให้พี่ชายหารายละเอียด ของคนที่ให้ตนไปตีสนิท แล้วแยกออกจากคอปเตอร์ ว่าที่พี่สะใภ้ ซึ่งบาสนั้นถือคติว่า จะทำอะไร ก็ต้องรู้ข้อมูลของอีกฝ่ายไว้ก่อน
.
“ ได้ เดี๋ยวจัดการให้ ”
.
“ งั้นก็ดีล ตามนี้เลย ”
.
“ จัดไปน้องรัก ”
.
เมื่อตกลงกันได้ สองพี่น้อง จึงมีจุดหมายที่ต่างกัน แต่เป้าหมายเดียวกัน คนน้องนั้นกำลังคิดว่า ตนเองจะจัดการอย่างไรกับหมอฝึกหัด ผู้เป็นคู่แข่งของพี่ชาย
.
ส่วนคิมม่อนเอง ก็มองถึงแผนการขั้นต่อไป ว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ไอ้หมอกิ๊กก๊อก ที่ตนเองแอบว่าในใจ อยู่กับคอปเตอร์ตามลำพัง
.
สองพี่น้องมองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มให้กัน เมื่อคิดว่า สิ่งที่วางแผนไว้ในใจ ต้องเป็นไปตามที่ต้องการอย่างแน่นอน
.
.
.
.
.
**********************************************
.
.
.
.
.
ตัวละครเพิ่มเติม
.
.
บาส บรรณวิชญ์ น้องชายของคิมม่อน
.
( บรรณวิชญ์ = บัน – นะ – วิด แปลว่า ผู้ฉลาดในเรื่องหนังสือ )
.
.
.
.
คิมม่อนวางแผนการอะไร
.
แล้วจะสามารถแยกหมอ(กิ๊กก๊อก)ก็อต ออกจากว่าที่หวานใจของตัวเองได้หรือไม่
.
ส่วนน้องบาสจะมีแผนการอะไร มาพิชิตใจหมอก็อต
.
มาเอาใจช่วยให้พี่คิมม่อน กับน้องบาสกันด้วยนะขอรับ
.
ขอบคุณแรงใจที่ส่งให้กัน
.
หากพบคำผิด หรืออ่านแล้วไม่ได้ใจความ รบกวนสะกิดด้วยนะขอรับ
.
ต้องรบกวนติดตามต่อด้วยขอรับ
.
.
.
.
.
...............ด้วยใจภักดิ์..............
.
.
.
.
Mariner_IX
.
.
.
.


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
รอลุ้น แผนการณ์สองพี่น้อง
แล้วก็ลุ้นคุณพริ้งว่าจะทะกระไร
หลังจากที่เห็นตี๋ไปนอนบ้านริมน้ำกับหมอเต้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด