ตอนที่ 18ผมกำลังสงสัยว่าระหว่างแผลที่ถูกยิงกับแผลที่หัวใจอย่างไหนจะหายก่อนกัน หากถามไอ้แนนมันคงด่าผมว่าโง่มากที่แค่นี้ก็คิดหาคำตอบไม่ได้ เพราะแผลที่ร่างกายไม่นานก็จะหายดี แม้ว่าตอนที่มือลูบผ่านจะรู้สึกเป็นกังวลว่ามันจะเจ็บขึ้นมาอีกไหม แต่เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งมันจะหายสนิทซึ่งอาจหลงเหลือแผลเป็นให้ได้เห็นต่างหน้าอยู่บ้างก็ตาม ทว่าแผลที่ใจมันจะไม่หายดี ยิ่งหัวใจที่ถูกทำแผลสดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า...ถ้าอยากหายคงต้องหวังพึ่งปาฏิหาริย์เท่านั้น
“มึงอยู่ได้แน่นะไอ้ขวัญ” ไอ้แนนถามย้ำเป็นรอบที่ล้าน มันตั้งท่าอยู่บนมอเตอร์ไซค์ สตาร์ทเครื่องเรียบร้อยแต่ก็ไม่บิดคันเร่งออกไปเสียที “อยู่บ้านหลังใหญ่คนเดียวเลยนะเว้ย”
“เออน่า กูอยู่ได้ พรุ่งนี้พี่โมก็เข้ามาอยู่เป็นเพื่อน” ผมตอบอย่างเอือมๆ กับความเป็นห่วงเกินเบอร์ของไอ้แนน “มึงเถอะ รีบกลับไปหาฝนได้แล้ว เมียกำลังท้อง ดูแลหน่อย”
“แต่มึงก็น่าเป็นห่วงไง เพิ่งโดนยิงมา” ไอ้แนนยังไม่คลายสีหน้ากังวล มันพูดไปถอนหายใจไป “อย่างน้อยให้กูบิดมอเตอร์ไซค์ไปส่งบ้านก็ยังดี”
“นั่งมอเตอร์ไซค์กูก็โดนสอยร่วงอีกดิวะ มึงรีบไปได้แล้วไอ้แนน ไม่ต้องห่วงกู”
“ก็ได้ๆ แต่มีอะไรก็ไลน์มานะเว้ย”
“เออๆ อย่าสั่งเสียเยอะ”
“ปากมึงนี่นะ กูไปแล้ว” ไอ้แนนส่งค้อนให้วงใหญ่ก่อนมันจะบิดคันเร่งขับออกไป เหลือแต่ผมที่ยืนอยู่หน้าโรงพยาบาล
วันนี้หมอยอมให้ผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมนอนนานกว่าเคสผ่าตัดทั่วไปเพราะคุณธนิกที่เป็นเหมือนผู้ปกครองไม่อนุญาตให้ออก เขามีอำนาจกว่าหมอเจ้าของไข้อีกนะคิดดูเถอะ แต่ผมก็ไม่ได้แย้งอะไร ไม่ต้องออกไปไหนก็ดีเหมือนกัน ได้นอนกระดิกเท้าสบายๆ อยู่ในห้องผู้ป่วยวีไอพี กินอยู่อย่างดี มีทีวีดูตลอดทั้งวัน ถือเป็นเรื่องดีๆ สำหรับคนช้ำรักอย่างผม ส่วนไอ้แนนก็มาเฝ้าบ้างตามโอกาสเพราะมันต้องดูแลเมียมันด้วย ผมจึงอยู่อย่างเงียบๆ เหงาๆ ซะส่วนใหญ่
แต่นั่นแหละ...ผมไม่เป็นไร
อย่างที่บอกกับคุณธนิกว่าผมโอเคกับทุกอย่างในตอนนี้
แม้จะรู้ว่าต้องกลับไปอยู่บ้านหลังใหญ่ที่เคยอยู่กับเขา มองเห็นความทรงจำที่เราทำร่วมกันเต็มไปหมด แต่...ใช่ครับ ผมอยู่ได้
ไหวไม่ไหว...ก็อีกเรื่อง
ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าระหว่างรอคนขับรถของคุณธนิกมารับ ตอนนี้ไม่กล้าเสี่ยงไปไหนมาไหนเอง แผลโดนยิงยังไม่หายดี ความเจ็บยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ คิดขึ้นเมื่อไหร่ก็เจ็บเมื่อนั้น ผมจึงเลี่ยงที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยงโดนสอยอีกรอบ กลัวตายก็ยอมรับ แต่กลัวเจ็บมันมากกว่า เจ็บแล้วไม่ตายมันทรมานมากกว่าหลายร้อยเท่า
ท้องฟ้าวันนี้เป็นสีฟ้าตามชื่อเรียกของมัน มีเมฆสีขาวก้อนเล็กๆ แต้มอยู่ตรงจุดนั้นจุดนี้บ้าง แต่เท่าที่เห็นก็โล่งสบายตา แสงอาทิตย์อ่อนๆ ในยามเช้าก็ไม่ได้รบกวนการมองเห็นมากนัก ผมจึงเอาแต่ยืนมองราวกับคาดหวังว่าจะได้เห็นเรื่องมหัศจรรย์ปรากฎขึ้นบนนั้น แต่แท้จริงแล้วในหัวผมกลับว่างเปล่า
ผมก็แค่มองเห็น...แต่ไม่ได้คาดหวังให้มีอะไรเกิดขึ้นมา
เกือบยี่สิบนาทีที่ผมยืนรับลมและแสงแดดก่อนที่จะมีรถเบนซ์สีดำสวยมาจอดเทียบตรงหน้า ผมยกยิ้มให้กับชะตาชีวิตของตัวเอง เปรียบเทียบกับช่วงเวลาของชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากเป็นเมื่อก่อนผมคงซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไอ้แนนกลับไปนอนสำออยอยู่ในบ้านเช่าหลังเล็กๆ นั้นแล้ว แต่ตอนนี้กลับต้องขึ้นรถราคาหลายล้านเพื่อกลับบ้านหลังใหญ่ที่ก็แค่ขนาดใหญ่ ไม่ได้เต็มไปด้วยความสุขเหมือนบ้านเช่าของผม
“อ้าว...” ผมร้องขึ้นแค่นั้นเพราะเมื่อเปิดประตูรถ คนขับที่ควรจะเป็นลุงกล้วยกลับกลายเป็นเจ้านายของลุงกล้วยเสียอย่างนั้น แต่ผมไม่อิดออดอะไรมาก ใครมารับก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้วตอนนี้ ผมเข้าไปนั่งบนเบาะข้างคนขับ ระมัดระวังตัวเองมากพอควรเพราะยังรู้สึกกังวลเรื่องแผลที่ท้อง
“ไม่ถามหน่อยเหรอ” คุณธนิกเอ่ยเสียงเรียบพลางถือวิสาสะคาดเข็มขัดนิรภัยให้ผม จังหวะที่เราใกล้ ผมได้กลิ่นหอมจากตัวเขา เป็นกลิ่นสะอาดที่คุ้นเคย ทั้งที่ไม่ได้กลิ่นนี้มาหลายวันเพราะเขาไม่ได้มาเยี่ยมอีกหลังจากที่บุกมาในคืนนั้น ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแต่ก็ยังจำได้ดี
ผมนี่มัน...เหมือนหมายิ่งกว่าไอ้หลงอีกล่ะมั้ง
“ไม่ครับ” ผมตอบปฏิเสธ มองตรงไปข้างหน้า “รู้ว่ายังไงพี่ก็ต้องมา”
“ลุงกล้วยแค่ไม่ว่าง”
“ข้ออ้าง ผมรู้”
“พี่ให้ลุงกล้วยไปรับนิ่ม”
ผมแค่นยิ้ม รู้สึกอยากหัวเราะเพราะเขาดูเหมือนอยากยัดเยียดความเจ็บปวดให้กับผมเสียเหลือเกิน ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น หากมองสีหน้าผมบ้าง เห็นแววตาของผมบ้าง เขาก็คงจะรู้ว่าผมแทบจะไม่ไหวแล้ว
“พี่นิกแปลกเนอะ” ผมว่าพลางยกนิ้วไล้ไปตามสันกรามของเขา โดยที่เขาไม่ได้ปัดมือผมออก กลับทำแค่มองตาดุอย่างปรามๆ “ให้คนขับรถไปรับว่าที่เจ้าสาว แต่ตัวเองกลับต้องเสียเวลามารับน้องชายอย่างผม”
“ไม่มีใครว่างแล้วนอกจากพี่”
“ว่างแล้วทำไมไม่ไปรับคุณนิ่ม” คำถามของผมไม่ได้รับคำตอบ เขาเงียบ จงใจใช้สมาธิขับรถเพื่อหลบเลี่ยงความรู้สึก “ผมสำคัญกับพี่ นั่นแหละคำตอบ”
“ขวัญพัฒน์”
“ไม่ต้องเรียกเสียงดุครับพี่นิก”
“ดื้อใหญ่แล้วนะ”
คนดื้ออย่างผมได้แต่หัวเราะกวนๆ ใส่เขา เพราะ...ไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ ผมก็แค่ต้องเขียนบทให้ตัวเองยังไหวต่อหน้าเขา ก็แค่ต้องปิดบาดแผลขนาดใหญ่ แต่ที่จริงกลับทำได้แค่ใช้มือปิดมันไว้โดยไม่สนใจมองเลือดที่ไหลทะลักออกมา
ปิดไม่มิดหรอกผมรู้
แต่คุณธนิกไม่รู้กับผมนี่...เขาไม่รู้หรอกว่าที่เขาทำอย่างนี้ มันยิ่งทำให้ผมเจ็บ
ทั้งที่ควรปล่อยให้ผมรออยู่ในที่ของผมต่อไปอย่างเงียบๆ ผมบอกแล้วว่าผมรอได้ ถ้าไม่ใช่การกลับมาอย่างถาวร ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาบ่อยๆ เพราะผมไม่เก่งพอที่จะให้ใครมาหันหลังเดินจากไปครั้งแล้วครั้งเล่า ผมกลัวเผลอร้องไห้ กลัวเผลอว่าจะแสดงความเสียใจให้ได้เห็น แต่เหมือนเขาไม่รู้หรือรู้แต่กำลังสับสนกับตัวเองกันแน่
ไปๆ กลับๆ อย่างนี้คนที่กำลังจะแย่ก็คือผมนะครับคุณธนิก
“หิวมั้ย” เขาถามขึ้นในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ท่ามกลางการจราจรที่โคตรวุ่นวายในเช้าวันศุกร์ ผมมองคันนั้นขับปาดคันนี้ คันนี้เบียดคันนั้นจนรู้สึกอยากจับรถแต่ละคันมากองรวมกันแล้วโยนระเบิดเข้าไปสักสองลูก ถนนจะได้โล่งสักที
อยากย่นระยะอยู่กับเขาให้สั้นกว่านี้
เพราะผมกำลังจะหลุดการควบคุม
“ไม่ครับ กินโจ๊กไปเรียบร้อย”
“แต่พี่หิว”
ผมเดาะลิ้นกับกระพุ้งแก้ม รู้สึกอยากทำหน้ากวนตีนใส่เขาให้มากเผื่อเขาจะเปลี่ยนใจไม่พาผมไปนั่งกินข้าวด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเมื่ออีกไม่กี่นาทีต่อมาเขาเลี้ยวรถเข้าปั๊มน้ำมัน ขับไปจอดในซองจอดรถหน้าเซเว่นแทนที่จะเป็นร้านอาหารสักร้านตามรายทาง
“น้องขวัญ”
ผมใจสั่นทุกทีเวลาเขาเรียกแบบนี้ ทั้งๆ ที่บอกว่าไม่อนุญาตให้เรียกเขาว่าพี่นิกแล้ว แต่บางครั้งเขาก็เรียกผมว่าน้องขวัญ
ไม่ยุติธรรม!
“จ๋าพี่” นั่นแหละ คนอย่างผมมันย้อนแย้งในตัวเอง รู้สึกเสียเปรียบอย่างไรแต่ก็ยังหันไปขานรับพร้อมกับยิ้มหวานให้เขา “จะเอาอะไรจากน้องขวัญจ๊ะ”
คุณธนิกยื่นมือมาบีบแก้มผม เขาบีบแรงจนผมต้องยกมือขึ้นตีข้อมือของเขา พอโวยวายก็ถูกเขาดึงเข้าไปจูบ แต่ก็เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็ผละออกแล้วทำสีหน้าเหมือนคนที่กำลังกลืนยาขม
คง...ลืมตัว
“พี่นิก” ผมเรียกเขา ดึงมือเขามากุมแม้เขาจะพยายามดึงออก แต่ผมก็กุมไว้แน่น “ฝืนทำไมครับ อยู่กันสองคน เราก็เป็นแฟนกัน บอกผมสิว่าพี่นิกชอบที่ทำเมินผม ชอบที่ทำเย็นชากับผม คุณนิ่มไม่รู้หรอกพี่ว่าเราทำอะไรกันหรือเรารู้สึกยังไงต่อกัน สถานะนี้มีแค่เราสองคน แล้วต่อหน้าผมจะฝืนไปเพื่ออะไรครับ”
“ไม่มีใครรู้ แต่พี่ก็รู้ไงขวัญ” คุณธนิกบอกเสียงเครียด “พี่กำลังจะแต่งงานกับนิ่ม แล้วเรื่องของเรา...”
“ผมไม่ฟัง” ผมตัดบทที่เขาจะพูดทันที “พี่นิกแคร์คุณนิ่มเหรอครับ”
“แคร์”
ไอ้ขิมอยู่ไหนวะ ส่งคนมายิงหัวผมดิ ยิงแล้วก็ให้มันควักหัวใจผมออกไปกระทืบซ้ำด้วย ผมอยากรู้ว่ามันจะเจ็บมากกว่าคำพูดของคุณธนิกไหม
“รักคุณนิ่มเหรอ” ผมควรต้องตบปากตัวเองเพราะคำถามที่ถามออกไปเหมือนกับส่งมีดให้เขาแทงซ้ำลงบนแผลที่กำลังมีเลือดไหลไม่หยุด
“มันเป็นความรู้สึกดี” เขาตอบเสียงแผ่ว แต่ผมเหมือนโดนถีบลงสู่เหวลึกทั้งๆ ที่ปีนขึ้นมาได้ครึ่งทางแล้ว
สำหรับผมรักก็คือรัก ชอบก็คือชอบ ความรู้สึกดีห่าเหวอะไรนี่คือความรู้สึกแบบไหน จะมารู้สึกดีอะไร ไม่เข้าใจเว้ย!
“พี่นิกรักผม” ผมเตือนให้เขาได้รู้ตัว ตอนนี้เขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าความรู้สึกที่มีต่อผมมันรุนแรงแค่ไหน ผมถึงต้องเป็นฝ่ายเตือนสติ ถ้าถามว่าผมกลัวไหม ผมกลัวนะ กลัวความรู้สึกดีจะพัฒนาไปเป็นความรัก แต่...ผมก็มั่นใจมากพอว่าถ้าจะพัฒนา คงพัฒนามานานแล้วเพราะคุณนิ่มกับคุณธนิกไม่ได้รู้จักกันแค่วันสองวัน ด้วยเหตุนั้น... “ตอบผมสิครับว่าผมเข้าใจไม่ผิด”
“พี่ไม่ได้รัก”
แม่ง...
“ขอโทษนะที่ให้ความหวัง”
ผมว่า...
“ขอโทษที่ทำให้คิดไกล ขวัญไม่ต้องรอพี่แล้วนะ”
ผมไม่ไหว...
“โกหกผมไม่พอ ยังโกหกตัวเองอีกเหรอครับพี่นิก” ผมบอกแล้วนะว่าผมเป็นคนดื้อ ผมอาจจะไม่ได้แสดงออกว่าตัวเองก้าวร้าวอะไรมาก แต่ผมก็ไม่ใช่คนดี ผมชอบบทบาทพลเมืองดี ทว่าผมไม่ได้ชอบเป็นคนดีที่ทำได้แค่ร้องไห้ “ถ้าไม่มีความสุขขนาดนี้ ผมล่มงานแต่งพี่จริงๆ นะ”
“น้องขวัญ” น้ำเสียงของเขาคราวนี้แข็งกร้าว “อย่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“พี่นิกต่างหากที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย แถมยังทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้มันเป็นเรื่องขึ้นมา” น้ำเสียงของผมก็ไม่ได้ต่างจากเขา เพราะผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดจาดีมากนัก ผมกำลังหัวร้อน หัวใจของผมก็กำลังเจ็บหนัก ปากแผลกว้างขึ้นจนปิดไว้ไม่ได้แล้ว “ผมบอกแล้วนะว่าผมรอได้ แต่พี่ก็ต้องต่อชีวิตให้ผมหน่อย อยู่กับผมเราก็เป็นแฟนกันเหมือนเดิม แค่นี้ทำให้ไม่ได้เหรอวะ”
“ทำไม่ได้แล้ว”
“พี่ปฏิเสธผมไม่ได้หรอกพี่นิก เพราะหัวใจของพี่ไม่ปฏิเสธผม” ผมจิ้มนิ้วลงไปบนอกซ้ายของเขา “ตรงนี้ของพี่เป็นของผม มันตกเป็นทาสของผมแล้ว ถ้าผมไม่ปล่อย พี่ก็ยกให้ใครไม่ได้ ตัวของพี่จะอยู่ที่ใครไม่สำคัญ แต่หัวใจของพี่อยู่ที่ผมก็พอ”
“เป็นคนที่คุยไม่รู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ผมเป็นมานานแล้ว” ผมบอกเสียงห้วน ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาแล้วจูบที่ปลายคางได้รูปเบาๆ “ถ้าพี่เลิกมองผมด้วยความรู้สึกเหมือนผมเป็นกระต่ายน้อยขนฟู พี่ก็จะเห็นว่าผมเป็นยังไง”
“ขวัญก็ยังเป็นขวัญ” คุณธนิกไม่ได้คล้อยตาม เขาผลักผมให้กลับมานั่งตามเดิม พร้อมกับพูดเสียงเรียบ “เป็นเด็กดื้อแต่ก็เป็นเด็กดี”
ผมเกลียดความรู้สึกผิดที่เริ่มโหมกระหน่ำราวกับพายุที่พร้อมจะถล่มป้อมปราการในใจของผมทุกเมื่อ คุณธนิกชอบมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน แม้ว่าตอนนี้เขาจะพยายามปิดซ่อนความรู้สึก แต่ผมก็รู้ว่าเขายังรู้สึก แต่ผมไม่ได้เป็นเด็กดีอย่างที่เขาคิด ผมมีมุมเกเร มีมุมเห็นแก่ตัว และมีผมในอีกหลายๆ ด้านที่ไม่เคยให้เขาได้เห็น เพราะต่อหน้าเขาผมเป็นเพียงขวัญพัฒน์ที่น่าสงสารและจิตใจดี
“ครับ” ผมรับคำพร้อมรอยยิ้ม “ผมเป็นเด็กดีของพี่นิก”
แต่ไม่ว่าจะเป็นผมแบบไหน คนนั้นก็คือผม ผมไม่ได้โกหกใคร แต่ผมแค่เลือกว่าจะปฏิบัติอย่างไรต่อคนที่ผ่านเข้ามาในโลกของผมเท่านั้น
“อืม” เขามีทีท่าอ่อนลงเล็กน้อย “เป็นเด็กดีก็อย่าดื้อให้มาก”
“ดื้อเพราะอยากอยู่ใกล้พี่นิก น้องไม่เรียกว่าดื้อ”
“แต่พี่ไม่อยากอยู่ใกล้น้องขวัญแล้ว”
“งั้นก็ทำตามใจพี่นิกเถอะครับ” ความสุขของเขาต้องมาอันดับแรก “ทำตามความสบายใจของพี่ จะผลักไสผมก็ได้ แต่ผมจะเป็นคนทำตามความรู้สึกของพี่นิกเอง”
ผมดื้อดึงเพราะอยากทำให้เรื่องราวในระหว่างทางของผมมีเรื่องดีๆ ให้น่าจดจำ มันยังไม่ถึงเวลาเลยด้วยซ้ำที่เราจะบอกลา แต่ตอนนี้เขากลับพยายามทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย พอคิดถึงความถูกต้องก็ถอยหนี แต่พอคิดอยากทำตามความรู้สึกก็กลับมา ทั้งที่ผมเดินหน้าเข้าหาเขาโดยไม่กลัวอะไรแท้ๆ ผมเจ็บผมยังบอกว่าโอเคเลย แต่ทำไมเขาถึงผลักไสผมอย่างนี้วะ ในเมื่อไม่ว่ายังไงผมก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นต่อชีวิตให้ผมอีกหน่อยไม่ได้เหรอ แค่เวลาสั้นๆ ก็ได้ ช่วยมีความสุขไปกับผมที...
ตอนนี้เราต่างก็นั่งเงียบ ผมกำลังคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
“พี่ไม่อยากให้แฟนพี่ต้องเป็นชู้ ขวัญเข้าใจพี่ไหม” คุณธนิกพูดขึ้นมาในที่สุด เขาคงอดทนจนใกล้จะระเบิดอารมณ์เต็มทีแล้ว แต่ถามว่าผมกลัวไหม ตอบเลยว่าไม่ “เข้าใจพี่สักทีว่าตอนนี้มันไม่ได้แล้ว ขวัญอยากเป็นชู้เหรอ อยากเป็นรองคนอื่นเหรอ รักษาใจตัวเองบ้าง เจ็บอยู่ไม่ใช่ แล้วจะฝืนไปทำไม”
“ผมไม่ได้ฝืน ผมบอกแล้วว่าผมจะเป็นทุกอย่างให้พี่”
“แต่พี่ไม่ต้องการไง! มันจะเจ็บมากกว่านี้นะขวัญถ้าพี่หรือขวัญยังไม่หยุด”
คำพูดของเขามีคำไหนที่ไม่เหมือนของแหลมคมที่คอยทิ่มตำหัวใจบ้าง ถ้ามีบอกผมนะ ผมจะอัดเสียงเก็บไว้เยียวยาตัวเอง
“อย่าพูดอย่างนี้กับผมพี่นิก” ผมไม่คิดหรอกว่าการพูดคุยกับเขาจะยากเย็นขนาดนี้ คนที่เข้าใจแต่ก็พยายามทำเหมือนไม่เข้าใจมันน่าซัดให้หน้าหงาย “อย่าพูดถ้าพี่ก็คอยแต่จะหาโอกาสมาหาผมบ่อยๆ ตอนที่พี่เดินไปจากผมครั้งแรก ผมบอกตัวเองว่าผมรอไหว ผมอยู่ในที่ของผมได้ พี่จะทำอะไรก็ตามสบายเลย ผมโอเค แต่หลังจากที่มันมีครั้งที่สองและเหมือนจะมีครั้งต่อๆ ไป ผมต้องมาคิดใหม่ว่าผมควรทำยังไงกับพี่ดี พี่กลับมาหาผมแล้วก็ไป ผมไม่อยากพูดว่าอย่ามาอีก เพราะมันไม่ดีต่อความรู้สึกของเรา แต่เพราะรู้ว่าพี่ทนไม่ไหว พี่อยากอยู่กับผมใจจะขาดใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ใช่” เขายังคงปฏิเสธ ปากแข็งจนน่าจูบให้หายซึนเสียที “พี่จะไม่มาหาขวัญแล้วหลังจากนี้ วันนี้พี่แค่มารับไปส่งที่บ้านก็เท่านั้น”
“เชื่อเถอะว่าเดี๋ยวพี่ก็มา ไม่มาให้เห็นก็คงแอบมาไม่ให้ผมรู้” ผมเหนื่อยแล้วที่ต้องพูด แต่ก็ยังต้องพูดคุยกันให้จบเรื่องจบราวกันไป “อย่ามารู้สึกผิดงี่เง่ากับแค่คนที่พี่รู้สึกดี เห็นแก่ตัวแล้วแคร์ความรู้สึกของผมบ้าง ใจของพี่มันบาปไปแล้วพี่นิก พี่จะแต่งงานกับเขาทั้งที่ยังรักผม แค่นี้มันก็ผิดตั้งแต่แรก ถ้ามันไม่มีความสุขนักก็มานี่ มาหาผม มาตกนรกไปด้วยกัน ต่อให้อยู่ในนรก แต่ถ้าในนรกมีพี่ ผมก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ทำให้ผมไม่ได้เหรอวะพี่”
ผมชัดเจนมากขนาดนี้แล้ว ถ้าเขายังปฏิเสธก็ต้องยอมรับ ผมไม่เก่งเรื่องการพูดโน้มน้าวเพราะจากประสบการณ์ที่เคยอ้อนขอซื้อของเล่นกับน้าลีก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ แค่ของเล่นยังล้มเหลวไม่เป็นท่าแล้วนับประสาอะไรกับการเปลี่ยนใจคนทั้งคน
“พี่นิกต้องเลือกครับ ระหว่างผมกับคุณนิ่ม พี่ต้องเลือกแล้ว” ผมยอมรับว่าปากไวทั้งที่ใจไม่กล้าพอจะฟังคำตอบ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เลือก ริงโทนโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาหลุดความสนใจจากผมแล้วรับสาย
ผมได้ยินทุกการสนทนา ได้ยินแม้แต่เสียงปลายสายที่เล็ดลอดเข้ามา
เจ้าหญิงกับชายขอทาน มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่ตั้งช้อยส์แบบนี้
“พี่จะลงไปซื้อข้าว เรารออยู่ในรถก็ได้” เขาบอกหลังจากวางสาย “อ้อ...เดี๋ยวลุงกล้วยจะมารับเราที่นี่ เพราะพี่ต้องไปลองชุดแต่งงาน”
ต่อให้โลกพลิกกลับด้านยังไง ก็รู้ว่าเจ้าชายต้องเลือกเจ้าหญิง
“ครับ” ผมรับคำสั้นๆ รู้สึกชาไปกับคำตอบกรายๆ ของเขา “ผมรอที่ม้านั่งดีกว่า คุณธนิกซื้อของเสร็จจะได้ออกไปเลย ไม่เสียเวลา”
“อืม”
ผมลงจากรถ เดินตัวลอยๆ ไปนั่งที่ม้านั่งหน้าเซเว่น รู้สึกเหมือนจะลอยได้จริงเพราะขนาดว่ารองเท้าเหยียบพื้นแต่ละก้าวก็ไม่รู้สึก ในตัวมันวูบโหวง ว่างเปล่าเหมือนหัวใจถูกควักออกมา
ไม่รู้ว่าไอ้ขวัญร่างไหนที่มั่นหน้าถามเขาไปแบบนั้น เพราะถ้าผมรู้คงจะฆ่าทิ้งแล้วกลบมันฝังดินไปซะ
T. : มิสเตอร์เค วันอาทิตย์เอายังไงครับ
ระหว่างกำลังนั่งทอดอารมณ์รอคอยลุงกล้วย มิสเตอร์ทีก็ส่งข้อความมาได้ถูกจังหวะ เพราะตอนนี้ผมต้องการแค่ได้คุยกับใครสักคน
K. : เขมินทรานัดผมที่คอนโดฯ แถวสุขุมวิท คุณพอจะให้ความปลอดภัยกับผมยังไงได้บ้าง
T. : ใช้ปืนเป็นไหมครับ
K. : เป็นครับ แต่ผมไม่ฆ่าใครแน่ๆ
T. : เอาไว้ป้องกันตัวครับ ไม่ได้ให้ไปยิงใคร
K. : ก็ได้ครับ ส่วนคนของเขมินทรา คุณช่วยกันให้ออกห่างด้วย ถ้าคุยกันตัวต่อตัว รับรองผมไม่แพ้
T. : แต่ผมก็ยังคิดว่ามันเสี่ยงเกินไป คุณไม่ควรไปเจอเขมินทรานะครับมิสเตอร์เค
K. : ไม่ต้องห่วง ผมก็ไม่ได้โตมาในทุ่งลาเวนเดอร์ ถ้าไม่รุมผม ผมก็พอสู้ไหว
T. : แล้วเรื่องมือปืนล่ะครับ คุณจะไม่ให้ผมตามสืบจริงเหรอ ผมว่าผมพอจะรู้เบาะแสบ้าง
K. : ปล่อยให้ตำรวจจัดการเถอะครับ วุ่นวายแต่จะหาตัว เดี๋ยวก็หัวปั่นกันพอดี ใครจะยิงไม่สำคัญหรอก เพราะตอนนี้ผมยังไม่ตาย แต่ถ้าผมตายขึ้นมาจริงๆ ฝากมิสเตอร์ทีจัดการส่งมันไปหาผมที่นรกด้วย ตัวตัวในนรกก็เท่ไม่หยอก
T. : คุณนี่เป็นคนยังไงนะ บางทีผมก็ไม่เข้าใจคุณ
K. : อย่ามาเข้าใจผม เพราะผมก็ไม่เข้าใจตัวเอง ว่าแต่เรื่องที่คุณธนิกจะแต่งงาน คุณเฮิร์ตบ้างมั้ย
T. : ผมทำใจได้มานานแล้ว ตอนนี้ก็ปกติครับ
K. : แต่ผมทำใจไม่ได้ว่ะคุณ
T. : คุณพูดทั้งที่รู้ว่าเขมินทราจะล่มงานแต่งเหรอครับ รู้อยู่แล้วว่างานจะไม่เกิดขึ้นแต่ก็ยังเฮิร์ตเหรอ
K. : น้องผมมันทำแน่ แต่จะทำสำเร็จไหมใครจะรู้ มันต้องสู้กับคุณธนิษฐา ของแรงเลยนะคนนั้น อาจจะแพ้ก็ได้
T. : แล้วคุณจะไม่ช่วยเหรอครับ
K. : ยืมมือคุณหน่อยได้ไหมล่ะ
T. : กลัวคะแนนตกเหรอ ผมว่าต่อให้คุณร้าย ยังไงธนิกก็รักคุณ
K. : ผมเพิ่งมั่นหน้าไปเมื่อกี้แล้วก็โดนเขาถีบหงายหลัง ขอเถอะ อย่าทำให้ผมมั่นหน้าขึ้นมาอีก เอาเป็นว่าผมฝากเรื่องวันอาทิตย์ด้วยละกันนะมิสเตอร์ที
T. : รับบัญชาครับมิสเตอร์เค วันอาทิตย์เก้าโมงหาทางมาเจอผมให้ได้นะครับ ส่วนวันงานแต่ง ผมหวังว่าคุณจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่ดีนะ อย่าพาเจ้าบ่าวหนีก็พอ
K. : ถ้าผมพาหนีจริงคุณต้องเป็นคนแรกที่มาช่วยผมอุ้ม
T. : ได้ครับ การทำตามคำขอของคุณ มันอยู่ในข้อตกลงของพันธมิตรอยู่แล้ว
การได้พูดคุยกับคนหัวอกเดียวกันทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาบ้าง ผมเก็บโทรศัพท์มือถือลงในถุงผ้าที่ทางโรงพยาบาลแจกให้ซึ่งผมใส่ยาที่ต้องกินกับโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องไว้ในนั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่ารถของคุณธนิกไปหรือยัง เพราะมันก็ตั้งนานแล้วที่ผมแชทคุยกับมิสเตอร์ที ทว่ารถของเขาก็ยังอยู่ที่เดิม
ผมนั่งรอพลางเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือเพื่อฆ่าเวลา เกือบสิบโมงลุงกล้วยก็มารับ ผมขึ้นรถโดยไม่ได้หันไปมองหรือร่ำลาคุณธนิก เพราะวันนี้ผมโดนหมัดฮุกหนักหน่วงจนต้องขอถอยไปตั้งหลักอยู่ในมุมของตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาในการตั้งหลักนานแค่ไหน ผมว่าครั้งนี้ผมเจ็บหนักกว่าทุกครั้ง ปากแผลกว้างมากเกินไป
สัญญากันแล้วว่าผมจะรอแต่คนที่สัญญากันไว้กลับบอกว่าไม่ต้องรอแล้ว เชื่อผมเถอะว่าเก่งแค่ไหนก็ต้องร้องไห้ไปอีกสองสามวัน
ผมกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ รู้เลยว่ากลายเป็นคนขี้ระแวงไปแล้วเพราะระหว่างนั่งรถก็หันซ้ายหันขวา บางทีเห็นวินมอเตอร์ไซค์ขี่ใกล้เข้าหน่อยก็ผวา กลัวจะเป็นมือปืนมาตามเก็บ แต่นั่นแหละ ผมเพ้อเจ้อมากเกินไป ลุงกล้วยก็เอาแต่หัวเราะกับท่าทางของผม ดูเหมือนลุงจะไม่กลัวเลยว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย คุยกันไปคุยกันมาก็สืบความได้ว่าเคยเป็นทหารรับจ้าง เรื่องบู๊ลุงก็พอตัวแถมยังมีปืนเก็บไว้ในรถ ตัวผมจึงรู้สึกว่าได้อยู่ในเซฟโซนขึ้นมาฉับพลัน อาการหวาดผวาจึงหายไปแล้วกลับมาสุนทรีย์กับเพลงของลุงสุรพล นักร้องคนโปรดของลุงกล้วยไปตลอดทาง
ลุงกล้วยส่งผมถึงบ้านแล้วก็ขอตัวกลับไปทำหน้าที่ต่อ ผมไม่ได้ละลาบละล้วงถามเพียงแค่ร่ำลาและบอกให้ลุงขับขี่อย่างปลอดภัย แยกกับลุงกล้วยก็เดินมานั่งชิงช้าที่คุณธนิกทำไว้ให้ ผมถีบขากับพื้นเพื่อให้ชิงช้าแกว่งตามแรง รู้สึกดีเหมือนความคิดที่ไม่เป็นรูปร่างกำลังถูกเหวี่ยงออกจากหัว ความร่มรื่นช่วยให้ผ่อนคลายแต่ความเงียบสงบทำให้ความคิดวิ่งพล่านอีกครั้ง
ถ้าน้าลีมองอยู่คงต้องหัวเราะผมแน่ เพราะคนเรียนไม่เก่งอย่างผมกำลังทำหน้าคิดหนักจนคิ้วขมวดมุ่น ไม่สมกับเป็นผม น้าคงพูดอย่างนั้น ผมยังจำที่น้าเคยพูดได้ว่า ‘ไอ้ขวัญเอ้ย ถ้ามีเหตุผลมันยากนัก ก็ทำตามความรู้สึกเถอะลูก จะดีหรือจะร้ายต่างก็เป็นบทเรียนทั้งนั้น มีชีวิตเดียวใช้ให้คุ้ม อย่ามัวแต่คิดตีกรอบให้ตัวเองแต่ก็อย่าทำเกินขอบเขตที่ควรทำ รู้จักผิดชอบชั่วดี แต่ก็อย่าดีจนถูกเอารัดเอาเปรียบ และก็อย่าฉลาดจนไปเอาเปรียบคนอื่นเขานะลูก’
น้าลีไม่ใช่นักปรัชญาชีวิต คำสอนของน้าจึงอาจจะงงๆ ไปบ้าง หรือผมงงไปเองก็ไม่แน่ใจ แต่ผมก็ค่อยๆ เข้าใจมันทีละเล็กทีละน้อย เมื่อก่อนผมอาจจะไม่มีกรณีตัวอย่างให้ทำความเข้าใจ ทว่าตอนนี้ผมเข้าใจแจ่มแจ้งและรู้แล้วว่าต่อจากนี้ควรทำอย่างไรต่อไป
************************
[ต่อด้านล่าง]