สวัสดีครับ! คุณธนิก ตอนพิเศษ 06/11/2018 Page 27
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สวัสดีครับ! คุณธนิก ตอนพิเศษ 06/11/2018 Page 27  (อ่าน 137397 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mynun

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
ทำไมว่าคุณธนิกรัก นี้รักหรอ ?
อ้อ รักกันแต่ทำร้ายกันขนาดนี้ วอนอย่ารักเลย
คนที่จะรักกัน เขาไม่ทำร้ายกันหรอกเนอะ 
 :z2:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 574
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ฮึก..ขอบคุณนะคะ..ฮึก..ที่ไม่ให้ตอนนี้มันเศร้าเกินไป *ปาดน้ำตา*  :o12: :sad4:

คุณธนิกทำแบบนี้ทำไม ทั้งพานิ่มมาเยี่ยมน้อง ทั้งให้น้องเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว เดาแบบเข้าข้างคุณธนิกไว้ก่อนว่าน่าจะเป็นรีเควสจากนิ่ม แต่คุณธนิกจะปฏิเสธอะไรไม่ได้เลยเรอะ!!! ดูจากที่นิ่มตามคุณธนิกแจแล้วคิดว่าเธอน่าจะไม่ธรรมดา แต่ก็อยากให้ธรรมดาบ้าง แค่ราชินีใจร้ายก็หืดขึ้นคอแล้ว  :katai1:

ชอบที่ขวัญกับขิมคุยกัน แซะกัน อวดผัวกัน ตล๊ก

 :pig4:

ออฟไลน์ Snufflehp

  • It feels like nobody ever knew me until you knew me
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +978/-17
ตอนที่ 18



ผมกำลังสงสัยว่าระหว่างแผลที่ถูกยิงกับแผลที่หัวใจอย่างไหนจะหายก่อนกัน หากถามไอ้แนนมันคงด่าผมว่าโง่มากที่แค่นี้ก็คิดหาคำตอบไม่ได้ เพราะแผลที่ร่างกายไม่นานก็จะหายดี แม้ว่าตอนที่มือลูบผ่านจะรู้สึกเป็นกังวลว่ามันจะเจ็บขึ้นมาอีกไหม แต่เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งมันจะหายสนิทซึ่งอาจหลงเหลือแผลเป็นให้ได้เห็นต่างหน้าอยู่บ้างก็ตาม ทว่าแผลที่ใจมันจะไม่หายดี ยิ่งหัวใจที่ถูกทำแผลสดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า...ถ้าอยากหายคงต้องหวังพึ่งปาฏิหาริย์เท่านั้น

“มึงอยู่ได้แน่นะไอ้ขวัญ” ไอ้แนนถามย้ำเป็นรอบที่ล้าน มันตั้งท่าอยู่บนมอเตอร์ไซค์ สตาร์ทเครื่องเรียบร้อยแต่ก็ไม่บิดคันเร่งออกไปเสียที “อยู่บ้านหลังใหญ่คนเดียวเลยนะเว้ย”

“เออน่า กูอยู่ได้ พรุ่งนี้พี่โมก็เข้ามาอยู่เป็นเพื่อน” ผมตอบอย่างเอือมๆ กับความเป็นห่วงเกินเบอร์ของไอ้แนน “มึงเถอะ รีบกลับไปหาฝนได้แล้ว เมียกำลังท้อง ดูแลหน่อย”

“แต่มึงก็น่าเป็นห่วงไง เพิ่งโดนยิงมา” ไอ้แนนยังไม่คลายสีหน้ากังวล มันพูดไปถอนหายใจไป “อย่างน้อยให้กูบิดมอเตอร์ไซค์ไปส่งบ้านก็ยังดี”

“นั่งมอเตอร์ไซค์กูก็โดนสอยร่วงอีกดิวะ มึงรีบไปได้แล้วไอ้แนน ไม่ต้องห่วงกู”

“ก็ได้ๆ แต่มีอะไรก็ไลน์มานะเว้ย”

“เออๆ อย่าสั่งเสียเยอะ”

“ปากมึงนี่นะ กูไปแล้ว” ไอ้แนนส่งค้อนให้วงใหญ่ก่อนมันจะบิดคันเร่งขับออกไป เหลือแต่ผมที่ยืนอยู่หน้าโรงพยาบาล

วันนี้หมอยอมให้ผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมนอนนานกว่าเคสผ่าตัดทั่วไปเพราะคุณธนิกที่เป็นเหมือนผู้ปกครองไม่อนุญาตให้ออก เขามีอำนาจกว่าหมอเจ้าของไข้อีกนะคิดดูเถอะ แต่ผมก็ไม่ได้แย้งอะไร ไม่ต้องออกไปไหนก็ดีเหมือนกัน ได้นอนกระดิกเท้าสบายๆ อยู่ในห้องผู้ป่วยวีไอพี กินอยู่อย่างดี มีทีวีดูตลอดทั้งวัน ถือเป็นเรื่องดีๆ สำหรับคนช้ำรักอย่างผม ส่วนไอ้แนนก็มาเฝ้าบ้างตามโอกาสเพราะมันต้องดูแลเมียมันด้วย ผมจึงอยู่อย่างเงียบๆ เหงาๆ ซะส่วนใหญ่

แต่นั่นแหละ...ผมไม่เป็นไร

อย่างที่บอกกับคุณธนิกว่าผมโอเคกับทุกอย่างในตอนนี้

แม้จะรู้ว่าต้องกลับไปอยู่บ้านหลังใหญ่ที่เคยอยู่กับเขา มองเห็นความทรงจำที่เราทำร่วมกันเต็มไปหมด แต่...ใช่ครับ ผมอยู่ได้

ไหวไม่ไหว...ก็อีกเรื่อง

ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าระหว่างรอคนขับรถของคุณธนิกมารับ ตอนนี้ไม่กล้าเสี่ยงไปไหนมาไหนเอง แผลโดนยิงยังไม่หายดี ความเจ็บยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ คิดขึ้นเมื่อไหร่ก็เจ็บเมื่อนั้น ผมจึงเลี่ยงที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยงโดนสอยอีกรอบ กลัวตายก็ยอมรับ แต่กลัวเจ็บมันมากกว่า เจ็บแล้วไม่ตายมันทรมานมากกว่าหลายร้อยเท่า

ท้องฟ้าวันนี้เป็นสีฟ้าตามชื่อเรียกของมัน มีเมฆสีขาวก้อนเล็กๆ แต้มอยู่ตรงจุดนั้นจุดนี้บ้าง แต่เท่าที่เห็นก็โล่งสบายตา แสงอาทิตย์อ่อนๆ ในยามเช้าก็ไม่ได้รบกวนการมองเห็นมากนัก ผมจึงเอาแต่ยืนมองราวกับคาดหวังว่าจะได้เห็นเรื่องมหัศจรรย์ปรากฎขึ้นบนนั้น แต่แท้จริงแล้วในหัวผมกลับว่างเปล่า

ผมก็แค่มองเห็น...แต่ไม่ได้คาดหวังให้มีอะไรเกิดขึ้นมา

เกือบยี่สิบนาทีที่ผมยืนรับลมและแสงแดดก่อนที่จะมีรถเบนซ์สีดำสวยมาจอดเทียบตรงหน้า ผมยกยิ้มให้กับชะตาชีวิตของตัวเอง เปรียบเทียบกับช่วงเวลาของชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากเป็นเมื่อก่อนผมคงซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไอ้แนนกลับไปนอนสำออยอยู่ในบ้านเช่าหลังเล็กๆ นั้นแล้ว แต่ตอนนี้กลับต้องขึ้นรถราคาหลายล้านเพื่อกลับบ้านหลังใหญ่ที่ก็แค่ขนาดใหญ่ ไม่ได้เต็มไปด้วยความสุขเหมือนบ้านเช่าของผม

“อ้าว...” ผมร้องขึ้นแค่นั้นเพราะเมื่อเปิดประตูรถ คนขับที่ควรจะเป็นลุงกล้วยกลับกลายเป็นเจ้านายของลุงกล้วยเสียอย่างนั้น แต่ผมไม่อิดออดอะไรมาก ใครมารับก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้วตอนนี้ ผมเข้าไปนั่งบนเบาะข้างคนขับ ระมัดระวังตัวเองมากพอควรเพราะยังรู้สึกกังวลเรื่องแผลที่ท้อง

“ไม่ถามหน่อยเหรอ” คุณธนิกเอ่ยเสียงเรียบพลางถือวิสาสะคาดเข็มขัดนิรภัยให้ผม จังหวะที่เราใกล้ ผมได้กลิ่นหอมจากตัวเขา เป็นกลิ่นสะอาดที่คุ้นเคย ทั้งที่ไม่ได้กลิ่นนี้มาหลายวันเพราะเขาไม่ได้มาเยี่ยมอีกหลังจากที่บุกมาในคืนนั้น ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแต่ก็ยังจำได้ดี

ผมนี่มัน...เหมือนหมายิ่งกว่าไอ้หลงอีกล่ะมั้ง

“ไม่ครับ” ผมตอบปฏิเสธ มองตรงไปข้างหน้า “รู้ว่ายังไงพี่ก็ต้องมา”

“ลุงกล้วยแค่ไม่ว่าง”

“ข้ออ้าง ผมรู้”

“พี่ให้ลุงกล้วยไปรับนิ่ม”

ผมแค่นยิ้ม รู้สึกอยากหัวเราะเพราะเขาดูเหมือนอยากยัดเยียดความเจ็บปวดให้กับผมเสียเหลือเกิน ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น หากมองสีหน้าผมบ้าง เห็นแววตาของผมบ้าง เขาก็คงจะรู้ว่าผมแทบจะไม่ไหวแล้ว

“พี่นิกแปลกเนอะ” ผมว่าพลางยกนิ้วไล้ไปตามสันกรามของเขา โดยที่เขาไม่ได้ปัดมือผมออก กลับทำแค่มองตาดุอย่างปรามๆ “ให้คนขับรถไปรับว่าที่เจ้าสาว แต่ตัวเองกลับต้องเสียเวลามารับน้องชายอย่างผม”

“ไม่มีใครว่างแล้วนอกจากพี่”

“ว่างแล้วทำไมไม่ไปรับคุณนิ่ม” คำถามของผมไม่ได้รับคำตอบ เขาเงียบ จงใจใช้สมาธิขับรถเพื่อหลบเลี่ยงความรู้สึก “ผมสำคัญกับพี่ นั่นแหละคำตอบ”

“ขวัญพัฒน์”

“ไม่ต้องเรียกเสียงดุครับพี่นิก”

“ดื้อใหญ่แล้วนะ”

คนดื้ออย่างผมได้แต่หัวเราะกวนๆ ใส่เขา เพราะ...ไม่อยากให้เขาไม่สบายใจ ผมก็แค่ต้องเขียนบทให้ตัวเองยังไหวต่อหน้าเขา ก็แค่ต้องปิดบาดแผลขนาดใหญ่ แต่ที่จริงกลับทำได้แค่ใช้มือปิดมันไว้โดยไม่สนใจมองเลือดที่ไหลทะลักออกมา

ปิดไม่มิดหรอกผมรู้

แต่คุณธนิกไม่รู้กับผมนี่...เขาไม่รู้หรอกว่าที่เขาทำอย่างนี้ มันยิ่งทำให้ผมเจ็บ

ทั้งที่ควรปล่อยให้ผมรออยู่ในที่ของผมต่อไปอย่างเงียบๆ ผมบอกแล้วว่าผมรอได้ ถ้าไม่ใช่การกลับมาอย่างถาวร ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาบ่อยๆ เพราะผมไม่เก่งพอที่จะให้ใครมาหันหลังเดินจากไปครั้งแล้วครั้งเล่า ผมกลัวเผลอร้องไห้ กลัวเผลอว่าจะแสดงความเสียใจให้ได้เห็น แต่เหมือนเขาไม่รู้หรือรู้แต่กำลังสับสนกับตัวเองกันแน่

ไปๆ กลับๆ อย่างนี้คนที่กำลังจะแย่ก็คือผมนะครับคุณธนิก

“หิวมั้ย” เขาถามขึ้นในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ท่ามกลางการจราจรที่โคตรวุ่นวายในเช้าวันศุกร์ ผมมองคันนั้นขับปาดคันนี้ คันนี้เบียดคันนั้นจนรู้สึกอยากจับรถแต่ละคันมากองรวมกันแล้วโยนระเบิดเข้าไปสักสองลูก ถนนจะได้โล่งสักที

อยากย่นระยะอยู่กับเขาให้สั้นกว่านี้

เพราะผมกำลังจะหลุดการควบคุม

“ไม่ครับ กินโจ๊กไปเรียบร้อย”

“แต่พี่หิว”

ผมเดาะลิ้นกับกระพุ้งแก้ม รู้สึกอยากทำหน้ากวนตีนใส่เขาให้มากเผื่อเขาจะเปลี่ยนใจไม่พาผมไปนั่งกินข้าวด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเมื่ออีกไม่กี่นาทีต่อมาเขาเลี้ยวรถเข้าปั๊มน้ำมัน ขับไปจอดในซองจอดรถหน้าเซเว่นแทนที่จะเป็นร้านอาหารสักร้านตามรายทาง

“น้องขวัญ”

ผมใจสั่นทุกทีเวลาเขาเรียกแบบนี้ ทั้งๆ ที่บอกว่าไม่อนุญาตให้เรียกเขาว่าพี่นิกแล้ว แต่บางครั้งเขาก็เรียกผมว่าน้องขวัญ

ไม่ยุติธรรม!

“จ๋าพี่” นั่นแหละ คนอย่างผมมันย้อนแย้งในตัวเอง รู้สึกเสียเปรียบอย่างไรแต่ก็ยังหันไปขานรับพร้อมกับยิ้มหวานให้เขา “จะเอาอะไรจากน้องขวัญจ๊ะ”

คุณธนิกยื่นมือมาบีบแก้มผม เขาบีบแรงจนผมต้องยกมือขึ้นตีข้อมือของเขา พอโวยวายก็ถูกเขาดึงเข้าไปจูบ แต่ก็เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็ผละออกแล้วทำสีหน้าเหมือนคนที่กำลังกลืนยาขม

คง...ลืมตัว

“พี่นิก” ผมเรียกเขา ดึงมือเขามากุมแม้เขาจะพยายามดึงออก แต่ผมก็กุมไว้แน่น “ฝืนทำไมครับ อยู่กันสองคน เราก็เป็นแฟนกัน บอกผมสิว่าพี่นิกชอบที่ทำเมินผม ชอบที่ทำเย็นชากับผม คุณนิ่มไม่รู้หรอกพี่ว่าเราทำอะไรกันหรือเรารู้สึกยังไงต่อกัน สถานะนี้มีแค่เราสองคน แล้วต่อหน้าผมจะฝืนไปเพื่ออะไรครับ”

“ไม่มีใครรู้ แต่พี่ก็รู้ไงขวัญ” คุณธนิกบอกเสียงเครียด “พี่กำลังจะแต่งงานกับนิ่ม แล้วเรื่องของเรา...”

“ผมไม่ฟัง” ผมตัดบทที่เขาจะพูดทันที “พี่นิกแคร์คุณนิ่มเหรอครับ”

“แคร์”

ไอ้ขิมอยู่ไหนวะ ส่งคนมายิงหัวผมดิ ยิงแล้วก็ให้มันควักหัวใจผมออกไปกระทืบซ้ำด้วย ผมอยากรู้ว่ามันจะเจ็บมากกว่าคำพูดของคุณธนิกไหม

“รักคุณนิ่มเหรอ” ผมควรต้องตบปากตัวเองเพราะคำถามที่ถามออกไปเหมือนกับส่งมีดให้เขาแทงซ้ำลงบนแผลที่กำลังมีเลือดไหลไม่หยุด

“มันเป็นความรู้สึกดี” เขาตอบเสียงแผ่ว แต่ผมเหมือนโดนถีบลงสู่เหวลึกทั้งๆ ที่ปีนขึ้นมาได้ครึ่งทางแล้ว

สำหรับผมรักก็คือรัก ชอบก็คือชอบ ความรู้สึกดีห่าเหวอะไรนี่คือความรู้สึกแบบไหน จะมารู้สึกดีอะไร ไม่เข้าใจเว้ย!

“พี่นิกรักผม” ผมเตือนให้เขาได้รู้ตัว ตอนนี้เขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าความรู้สึกที่มีต่อผมมันรุนแรงแค่ไหน ผมถึงต้องเป็นฝ่ายเตือนสติ ถ้าถามว่าผมกลัวไหม ผมกลัวนะ กลัวความรู้สึกดีจะพัฒนาไปเป็นความรัก แต่...ผมก็มั่นใจมากพอว่าถ้าจะพัฒนา คงพัฒนามานานแล้วเพราะคุณนิ่มกับคุณธนิกไม่ได้รู้จักกันแค่วันสองวัน ด้วยเหตุนั้น... “ตอบผมสิครับว่าผมเข้าใจไม่ผิด”

“พี่ไม่ได้รัก”

แม่ง...

“ขอโทษนะที่ให้ความหวัง”

ผมว่า...

“ขอโทษที่ทำให้คิดไกล ขวัญไม่ต้องรอพี่แล้วนะ”

ผมไม่ไหว...

“โกหกผมไม่พอ ยังโกหกตัวเองอีกเหรอครับพี่นิก” ผมบอกแล้วนะว่าผมเป็นคนดื้อ ผมอาจจะไม่ได้แสดงออกว่าตัวเองก้าวร้าวอะไรมาก แต่ผมก็ไม่ใช่คนดี ผมชอบบทบาทพลเมืองดี ทว่าผมไม่ได้ชอบเป็นคนดีที่ทำได้แค่ร้องไห้ “ถ้าไม่มีความสุขขนาดนี้ ผมล่มงานแต่งพี่จริงๆ นะ”

“น้องขวัญ” น้ำเสียงของเขาคราวนี้แข็งกร้าว “อย่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

“พี่นิกต่างหากที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย แถมยังทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้มันเป็นเรื่องขึ้นมา” น้ำเสียงของผมก็ไม่ได้ต่างจากเขา เพราะผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดจาดีมากนัก ผมกำลังหัวร้อน หัวใจของผมก็กำลังเจ็บหนัก ปากแผลกว้างขึ้นจนปิดไว้ไม่ได้แล้ว “ผมบอกแล้วนะว่าผมรอได้ แต่พี่ก็ต้องต่อชีวิตให้ผมหน่อย อยู่กับผมเราก็เป็นแฟนกันเหมือนเดิม แค่นี้ทำให้ไม่ได้เหรอวะ”

“ทำไม่ได้แล้ว”

“พี่ปฏิเสธผมไม่ได้หรอกพี่นิก เพราะหัวใจของพี่ไม่ปฏิเสธผม” ผมจิ้มนิ้วลงไปบนอกซ้ายของเขา “ตรงนี้ของพี่เป็นของผม มันตกเป็นทาสของผมแล้ว ถ้าผมไม่ปล่อย พี่ก็ยกให้ใครไม่ได้ ตัวของพี่จะอยู่ที่ใครไม่สำคัญ แต่หัวใจของพี่อยู่ที่ผมก็พอ”

“เป็นคนที่คุยไม่รู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ผมเป็นมานานแล้ว” ผมบอกเสียงห้วน ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาแล้วจูบที่ปลายคางได้รูปเบาๆ “ถ้าพี่เลิกมองผมด้วยความรู้สึกเหมือนผมเป็นกระต่ายน้อยขนฟู พี่ก็จะเห็นว่าผมเป็นยังไง”

“ขวัญก็ยังเป็นขวัญ” คุณธนิกไม่ได้คล้อยตาม เขาผลักผมให้กลับมานั่งตามเดิม พร้อมกับพูดเสียงเรียบ “เป็นเด็กดื้อแต่ก็เป็นเด็กดี”

ผมเกลียดความรู้สึกผิดที่เริ่มโหมกระหน่ำราวกับพายุที่พร้อมจะถล่มป้อมปราการในใจของผมทุกเมื่อ คุณธนิกชอบมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน แม้ว่าตอนนี้เขาจะพยายามปิดซ่อนความรู้สึก แต่ผมก็รู้ว่าเขายังรู้สึก แต่ผมไม่ได้เป็นเด็กดีอย่างที่เขาคิด ผมมีมุมเกเร มีมุมเห็นแก่ตัว และมีผมในอีกหลายๆ ด้านที่ไม่เคยให้เขาได้เห็น เพราะต่อหน้าเขาผมเป็นเพียงขวัญพัฒน์ที่น่าสงสารและจิตใจดี

“ครับ” ผมรับคำพร้อมรอยยิ้ม “ผมเป็นเด็กดีของพี่นิก”

แต่ไม่ว่าจะเป็นผมแบบไหน คนนั้นก็คือผม ผมไม่ได้โกหกใคร แต่ผมแค่เลือกว่าจะปฏิบัติอย่างไรต่อคนที่ผ่านเข้ามาในโลกของผมเท่านั้น

“อืม” เขามีทีท่าอ่อนลงเล็กน้อย “เป็นเด็กดีก็อย่าดื้อให้มาก”

“ดื้อเพราะอยากอยู่ใกล้พี่นิก น้องไม่เรียกว่าดื้อ”

“แต่พี่ไม่อยากอยู่ใกล้น้องขวัญแล้ว”

“งั้นก็ทำตามใจพี่นิกเถอะครับ” ความสุขของเขาต้องมาอันดับแรก “ทำตามความสบายใจของพี่ จะผลักไสผมก็ได้ แต่ผมจะเป็นคนทำตามความรู้สึกของพี่นิกเอง”

ผมดื้อดึงเพราะอยากทำให้เรื่องราวในระหว่างทางของผมมีเรื่องดีๆ ให้น่าจดจำ มันยังไม่ถึงเวลาเลยด้วยซ้ำที่เราจะบอกลา แต่ตอนนี้เขากลับพยายามทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย พอคิดถึงความถูกต้องก็ถอยหนี แต่พอคิดอยากทำตามความรู้สึกก็กลับมา ทั้งที่ผมเดินหน้าเข้าหาเขาโดยไม่กลัวอะไรแท้ๆ ผมเจ็บผมยังบอกว่าโอเคเลย แต่ทำไมเขาถึงผลักไสผมอย่างนี้วะ ในเมื่อไม่ว่ายังไงผมก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นต่อชีวิตให้ผมอีกหน่อยไม่ได้เหรอ แค่เวลาสั้นๆ ก็ได้ ช่วยมีความสุขไปกับผมที...

ตอนนี้เราต่างก็นั่งเงียบ ผมกำลังคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

“พี่ไม่อยากให้แฟนพี่ต้องเป็นชู้ ขวัญเข้าใจพี่ไหม” คุณธนิกพูดขึ้นมาในที่สุด เขาคงอดทนจนใกล้จะระเบิดอารมณ์เต็มทีแล้ว แต่ถามว่าผมกลัวไหม ตอบเลยว่าไม่ “เข้าใจพี่สักทีว่าตอนนี้มันไม่ได้แล้ว ขวัญอยากเป็นชู้เหรอ อยากเป็นรองคนอื่นเหรอ รักษาใจตัวเองบ้าง เจ็บอยู่ไม่ใช่ แล้วจะฝืนไปทำไม”

“ผมไม่ได้ฝืน ผมบอกแล้วว่าผมจะเป็นทุกอย่างให้พี่”

“แต่พี่ไม่ต้องการไง! มันจะเจ็บมากกว่านี้นะขวัญถ้าพี่หรือขวัญยังไม่หยุด”

คำพูดของเขามีคำไหนที่ไม่เหมือนของแหลมคมที่คอยทิ่มตำหัวใจบ้าง ถ้ามีบอกผมนะ ผมจะอัดเสียงเก็บไว้เยียวยาตัวเอง

“อย่าพูดอย่างนี้กับผมพี่นิก” ผมไม่คิดหรอกว่าการพูดคุยกับเขาจะยากเย็นขนาดนี้ คนที่เข้าใจแต่ก็พยายามทำเหมือนไม่เข้าใจมันน่าซัดให้หน้าหงาย “อย่าพูดถ้าพี่ก็คอยแต่จะหาโอกาสมาหาผมบ่อยๆ ตอนที่พี่เดินไปจากผมครั้งแรก ผมบอกตัวเองว่าผมรอไหว ผมอยู่ในที่ของผมได้ พี่จะทำอะไรก็ตามสบายเลย ผมโอเค แต่หลังจากที่มันมีครั้งที่สองและเหมือนจะมีครั้งต่อๆ ไป ผมต้องมาคิดใหม่ว่าผมควรทำยังไงกับพี่ดี พี่กลับมาหาผมแล้วก็ไป ผมไม่อยากพูดว่าอย่ามาอีก เพราะมันไม่ดีต่อความรู้สึกของเรา แต่เพราะรู้ว่าพี่ทนไม่ไหว พี่อยากอยู่กับผมใจจะขาดใช่ไหมล่ะ”

“ไม่ใช่” เขายังคงปฏิเสธ ปากแข็งจนน่าจูบให้หายซึนเสียที “พี่จะไม่มาหาขวัญแล้วหลังจากนี้ วันนี้พี่แค่มารับไปส่งที่บ้านก็เท่านั้น”

“เชื่อเถอะว่าเดี๋ยวพี่ก็มา ไม่มาให้เห็นก็คงแอบมาไม่ให้ผมรู้” ผมเหนื่อยแล้วที่ต้องพูด แต่ก็ยังต้องพูดคุยกันให้จบเรื่องจบราวกันไป “อย่ามารู้สึกผิดงี่เง่ากับแค่คนที่พี่รู้สึกดี เห็นแก่ตัวแล้วแคร์ความรู้สึกของผมบ้าง ใจของพี่มันบาปไปแล้วพี่นิก พี่จะแต่งงานกับเขาทั้งที่ยังรักผม แค่นี้มันก็ผิดตั้งแต่แรก ถ้ามันไม่มีความสุขนักก็มานี่ มาหาผม มาตกนรกไปด้วยกัน ต่อให้อยู่ในนรก แต่ถ้าในนรกมีพี่ ผมก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ทำให้ผมไม่ได้เหรอวะพี่”

ผมชัดเจนมากขนาดนี้แล้ว ถ้าเขายังปฏิเสธก็ต้องยอมรับ ผมไม่เก่งเรื่องการพูดโน้มน้าวเพราะจากประสบการณ์ที่เคยอ้อนขอซื้อของเล่นกับน้าลีก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ แค่ของเล่นยังล้มเหลวไม่เป็นท่าแล้วนับประสาอะไรกับการเปลี่ยนใจคนทั้งคน

“พี่นิกต้องเลือกครับ ระหว่างผมกับคุณนิ่ม พี่ต้องเลือกแล้ว” ผมยอมรับว่าปากไวทั้งที่ใจไม่กล้าพอจะฟังคำตอบ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เลือก ริงโทนโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาหลุดความสนใจจากผมแล้วรับสาย

ผมได้ยินทุกการสนทนา ได้ยินแม้แต่เสียงปลายสายที่เล็ดลอดเข้ามา

เจ้าหญิงกับชายขอทาน มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่ตั้งช้อยส์แบบนี้

“พี่จะลงไปซื้อข้าว เรารออยู่ในรถก็ได้” เขาบอกหลังจากวางสาย “อ้อ...เดี๋ยวลุงกล้วยจะมารับเราที่นี่ เพราะพี่ต้องไปลองชุดแต่งงาน”

ต่อให้โลกพลิกกลับด้านยังไง ก็รู้ว่าเจ้าชายต้องเลือกเจ้าหญิง

“ครับ” ผมรับคำสั้นๆ รู้สึกชาไปกับคำตอบกรายๆ ของเขา “ผมรอที่ม้านั่งดีกว่า คุณธนิกซื้อของเสร็จจะได้ออกไปเลย ไม่เสียเวลา”

“อืม”

ผมลงจากรถ เดินตัวลอยๆ ไปนั่งที่ม้านั่งหน้าเซเว่น รู้สึกเหมือนจะลอยได้จริงเพราะขนาดว่ารองเท้าเหยียบพื้นแต่ละก้าวก็ไม่รู้สึก ในตัวมันวูบโหวง ว่างเปล่าเหมือนหัวใจถูกควักออกมา

ไม่รู้ว่าไอ้ขวัญร่างไหนที่มั่นหน้าถามเขาไปแบบนั้น เพราะถ้าผมรู้คงจะฆ่าทิ้งแล้วกลบมันฝังดินไปซะ





T. : มิสเตอร์เค วันอาทิตย์เอายังไงครับ





ระหว่างกำลังนั่งทอดอารมณ์รอคอยลุงกล้วย มิสเตอร์ทีก็ส่งข้อความมาได้ถูกจังหวะ เพราะตอนนี้ผมต้องการแค่ได้คุยกับใครสักคน





K. : เขมินทรานัดผมที่คอนโดฯ แถวสุขุมวิท คุณพอจะให้ความปลอดภัยกับผมยังไงได้บ้าง

T. : ใช้ปืนเป็นไหมครับ

K. : เป็นครับ แต่ผมไม่ฆ่าใครแน่ๆ

T. : เอาไว้ป้องกันตัวครับ ไม่ได้ให้ไปยิงใคร

K. : ก็ได้ครับ ส่วนคนของเขมินทรา คุณช่วยกันให้ออกห่างด้วย ถ้าคุยกันตัวต่อตัว รับรองผมไม่แพ้

T. : แต่ผมก็ยังคิดว่ามันเสี่ยงเกินไป คุณไม่ควรไปเจอเขมินทรานะครับมิสเตอร์เค

K. : ไม่ต้องห่วง ผมก็ไม่ได้โตมาในทุ่งลาเวนเดอร์ ถ้าไม่รุมผม ผมก็พอสู้ไหว

T. : แล้วเรื่องมือปืนล่ะครับ คุณจะไม่ให้ผมตามสืบจริงเหรอ ผมว่าผมพอจะรู้เบาะแสบ้าง

K. : ปล่อยให้ตำรวจจัดการเถอะครับ วุ่นวายแต่จะหาตัว เดี๋ยวก็หัวปั่นกันพอดี ใครจะยิงไม่สำคัญหรอก เพราะตอนนี้ผมยังไม่ตาย แต่ถ้าผมตายขึ้นมาจริงๆ ฝากมิสเตอร์ทีจัดการส่งมันไปหาผมที่นรกด้วย ตัวตัวในนรกก็เท่ไม่หยอก

T. : คุณนี่เป็นคนยังไงนะ บางทีผมก็ไม่เข้าใจคุณ

K. : อย่ามาเข้าใจผม เพราะผมก็ไม่เข้าใจตัวเอง ว่าแต่เรื่องที่คุณธนิกจะแต่งงาน คุณเฮิร์ตบ้างมั้ย

T. : ผมทำใจได้มานานแล้ว ตอนนี้ก็ปกติครับ

K. : แต่ผมทำใจไม่ได้ว่ะคุณ

T. : คุณพูดทั้งที่รู้ว่าเขมินทราจะล่มงานแต่งเหรอครับ รู้อยู่แล้วว่างานจะไม่เกิดขึ้นแต่ก็ยังเฮิร์ตเหรอ

K. : น้องผมมันทำแน่ แต่จะทำสำเร็จไหมใครจะรู้ มันต้องสู้กับคุณธนิษฐา ของแรงเลยนะคนนั้น อาจจะแพ้ก็ได้

T. : แล้วคุณจะไม่ช่วยเหรอครับ

K. : ยืมมือคุณหน่อยได้ไหมล่ะ

T. : กลัวคะแนนตกเหรอ ผมว่าต่อให้คุณร้าย ยังไงธนิกก็รักคุณ

K. : ผมเพิ่งมั่นหน้าไปเมื่อกี้แล้วก็โดนเขาถีบหงายหลัง ขอเถอะ อย่าทำให้ผมมั่นหน้าขึ้นมาอีก เอาเป็นว่าผมฝากเรื่องวันอาทิตย์ด้วยละกันนะมิสเตอร์ที

T. : รับบัญชาครับมิสเตอร์เค วันอาทิตย์เก้าโมงหาทางมาเจอผมให้ได้นะครับ ส่วนวันงานแต่ง ผมหวังว่าคุณจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่ดีนะ อย่าพาเจ้าบ่าวหนีก็พอ :)

K. : ถ้าผมพาหนีจริงคุณต้องเป็นคนแรกที่มาช่วยผมอุ้ม

T. : ได้ครับ การทำตามคำขอของคุณ มันอยู่ในข้อตกลงของพันธมิตรอยู่แล้ว



การได้พูดคุยกับคนหัวอกเดียวกันทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาบ้าง ผมเก็บโทรศัพท์มือถือลงในถุงผ้าที่ทางโรงพยาบาลแจกให้ซึ่งผมใส่ยาที่ต้องกินกับโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องไว้ในนั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่ารถของคุณธนิกไปหรือยัง เพราะมันก็ตั้งนานแล้วที่ผมแชทคุยกับมิสเตอร์ที ทว่ารถของเขาก็ยังอยู่ที่เดิม

ผมนั่งรอพลางเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือเพื่อฆ่าเวลา เกือบสิบโมงลุงกล้วยก็มารับ ผมขึ้นรถโดยไม่ได้หันไปมองหรือร่ำลาคุณธนิก เพราะวันนี้ผมโดนหมัดฮุกหนักหน่วงจนต้องขอถอยไปตั้งหลักอยู่ในมุมของตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาในการตั้งหลักนานแค่ไหน ผมว่าครั้งนี้ผมเจ็บหนักกว่าทุกครั้ง ปากแผลกว้างมากเกินไป

สัญญากันแล้วว่าผมจะรอแต่คนที่สัญญากันไว้กลับบอกว่าไม่ต้องรอแล้ว เชื่อผมเถอะว่าเก่งแค่ไหนก็ต้องร้องไห้ไปอีกสองสามวัน

ผมกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ รู้เลยว่ากลายเป็นคนขี้ระแวงไปแล้วเพราะระหว่างนั่งรถก็หันซ้ายหันขวา บางทีเห็นวินมอเตอร์ไซค์ขี่ใกล้เข้าหน่อยก็ผวา กลัวจะเป็นมือปืนมาตามเก็บ แต่นั่นแหละ ผมเพ้อเจ้อมากเกินไป ลุงกล้วยก็เอาแต่หัวเราะกับท่าทางของผม ดูเหมือนลุงจะไม่กลัวเลยว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย คุยกันไปคุยกันมาก็สืบความได้ว่าเคยเป็นทหารรับจ้าง เรื่องบู๊ลุงก็พอตัวแถมยังมีปืนเก็บไว้ในรถ ตัวผมจึงรู้สึกว่าได้อยู่ในเซฟโซนขึ้นมาฉับพลัน อาการหวาดผวาจึงหายไปแล้วกลับมาสุนทรีย์กับเพลงของลุงสุรพล นักร้องคนโปรดของลุงกล้วยไปตลอดทาง

ลุงกล้วยส่งผมถึงบ้านแล้วก็ขอตัวกลับไปทำหน้าที่ต่อ ผมไม่ได้ละลาบละล้วงถามเพียงแค่ร่ำลาและบอกให้ลุงขับขี่อย่างปลอดภัย แยกกับลุงกล้วยก็เดินมานั่งชิงช้าที่คุณธนิกทำไว้ให้ ผมถีบขากับพื้นเพื่อให้ชิงช้าแกว่งตามแรง รู้สึกดีเหมือนความคิดที่ไม่เป็นรูปร่างกำลังถูกเหวี่ยงออกจากหัว ความร่มรื่นช่วยให้ผ่อนคลายแต่ความเงียบสงบทำให้ความคิดวิ่งพล่านอีกครั้ง

ถ้าน้าลีมองอยู่คงต้องหัวเราะผมแน่ เพราะคนเรียนไม่เก่งอย่างผมกำลังทำหน้าคิดหนักจนคิ้วขมวดมุ่น ไม่สมกับเป็นผม น้าคงพูดอย่างนั้น ผมยังจำที่น้าเคยพูดได้ว่า ‘ไอ้ขวัญเอ้ย ถ้ามีเหตุผลมันยากนัก ก็ทำตามความรู้สึกเถอะลูก จะดีหรือจะร้ายต่างก็เป็นบทเรียนทั้งนั้น มีชีวิตเดียวใช้ให้คุ้ม อย่ามัวแต่คิดตีกรอบให้ตัวเองแต่ก็อย่าทำเกินขอบเขตที่ควรทำ รู้จักผิดชอบชั่วดี แต่ก็อย่าดีจนถูกเอารัดเอาเปรียบ และก็อย่าฉลาดจนไปเอาเปรียบคนอื่นเขานะลูก’

น้าลีไม่ใช่นักปรัชญาชีวิต คำสอนของน้าจึงอาจจะงงๆ ไปบ้าง หรือผมงงไปเองก็ไม่แน่ใจ แต่ผมก็ค่อยๆ เข้าใจมันทีละเล็กทีละน้อย เมื่อก่อนผมอาจจะไม่มีกรณีตัวอย่างให้ทำความเข้าใจ ทว่าตอนนี้ผมเข้าใจแจ่มแจ้งและรู้แล้วว่าต่อจากนี้ควรทำอย่างไรต่อไป





************************



[ต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ Snufflehp

  • It feels like nobody ever knew me until you knew me
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +978/-17
ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันอาทิตย์ เช้าแห่งการนัดหมายกับเขมินทรา ในใจกังวลเล็กน้อยขณะกำลังสวมฮู้ดสีดำกับกางเกงยีนส์ทรงกระบอก ความกังวลของผมไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขมินทราแต่เกิดขึ้นจากการที่ต้องหาทางหลบเลี่ยงคนของคุณธนิกที่คอยมาตรวจตราความปลอดภัยให้ ผมรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่เห็นพวกเขาแต่ตอนนี้รู้สึกหวั่นใจหากต้องถูกรายงานว่าออกจากบ้านในเช้าตรู่ทั้งที่เจ้าของบ้านอื่นๆ ในโครงการก็อาจจะนอนหลับฝันดีอยู่ด้วยซ้ำ

ตลอดสองวันที่ผ่านมาผมนอนไม่ค่อยหลับ คนในกระจกที่จ้องมองกลับมาจึงมีตาเหมือนหมีแพนด้า ใต้ตาคล้ำและบวมเล็กน้อย รู้ดีว่าอาการนอนไม่หลับไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของเด็กหนุ่มแข็งแรงสมบูรณ์ดีอย่างผมแต่จะทำอย่างไรได้เมื่อหัวใจไม่รักดีถูกความคิดถึงเล่นงาน เข้าไปอาบน้ำเห็นอ่างที่เคยรักกันกับเขาก็น้ำตาไหล เปิดตู้เย็นเห็นกุนเชียงก็ยิ่งน้ำตาตกใน อาการของผมค่อนข้างหนักแต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ทั้งวัน อย่างมากผมก็ร้องแค่ยี่สิบนาทีแล้วเวลาที่เหลือหลังจากนั้นก็พยายามแชทหาเขา ผมส่งไปเป็นร้อยๆ ข้อความแต่เขาอ่านแล้วตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ยอมใจกับความหินนี้และยอมใจในความหน้าด้านของตัวเองด้วย แต่วันนี้เรื่องของเขาคงต้องพับเก็บไว้ก่อนเพราะผมมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ

ผมเลือกเวลาออกจากบ้านในตอนที่แน่ใจแล้วว่าคนของคุณธนิกกินกาแฟที่ผมซื้อมาให้จากเซเว่นจนหมดแก้ว ยานอนหลับที่มิสเตอร์ทีหามาให้ได้ผลชะงัด เมื่อเห็นว่าคนของคุณธนิกม่อยหลับไปทีละคน ผมจึงเดินดุ่มออกมาหน้าหมู่บ้าน แวะทักทายพี่ รปภ. เพื่อไม่ให้เกิดพิรุธใดๆ พูดคุยกันพอหอมปากหอมคอแล้วผมก็ปลีกตัวออกมาโดยบอกว่าจะไปหาข้าวเช้ากินที่ร้านโจ๊กฝั่งตรงข้าม ซึ่งผมเสียเวลากว่ายี่สิบนาทีถึงจะขึ้นมานั่งบนรถของมิสเตอร์ทีได้

“คุณดูไม่กังวลนะครับ” มิสเตอร์ทีพูดในขณะที่ยังคงให้ความสนใจกับการจราจรบนท้องถนน

“ผมต้องกังวลกับอะไรล่ะ” ผมย้อนถาม ตรวจเช็คปืนพกสั้นที่มิสเตอร์ทีหามาให้ มันพอเหมาะมือ น้ำหนักใช้ได้ คิดว่าตอนเหนี่ยวไกยิง ข้อมือของผมคงรับแรงถีบไหว แต่ก็ภาวนาเหมือนกันว่าจะไม่ต้องใช้มันจริงๆ

“เรายังไม่รู้จุดประสงค์ของเขมินทรานะครับ ไปครั้งนี้คุณเสี่ยงมาก”

“เพราะไม่รู้ผมถึงต้องไป แล้วผมคงต้องกังวลมากกว่านี้ถ้าไม่มีคุณไปด้วย อย่างน้อยคุณก็เตรียมการช่วยผมอยู่แล้ว” ไม่รู้ว่าผมไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ผมเชื่อว่าถ้าหากผมต้องโดนมีดโดนปืน มิสเตอร์ทีจะเป็นคนเรียกรถพยาบาลให้มาช่วยอย่างทันท่วงที ไม่ปล่อยให้ผมนอนตายอย่างเดียวดายแน่นอน

“เราประมาทไม่ได้นะครับ คุณรู้ดีว่าตัวคุณเองสำคัญกับข้อตกลงของเรายังไง”

“ผมรู้ว่าเราต้องให้คุณธนิกได้ทุกอย่างร้อยเปอร์เซ็น” ผมขยับหัวเล็กน้อยพลางสำรวจปืนพกในมือ “แต่ผมจะสำคัญก็ต่อเมื่อชื่อของผมอยู่ในพินัยกรรมจริงๆ”

“มีชื่อของคุณอยู่ในนั้น ผมยืนยันได้”

ความมั่นใจของมิสเตอร์ทีทำให้ผมเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะถามความข้องใจที่มี “แล้วเขมินทราล่ะ”

“เขามีชื่ออยู่ในพินัยกรรมฉบับแรก แต่ล่าสุดพ่อของคุณเรียกทนายเข้าพบ คุณธนิษฐาที่น่าจะรู้อะไรดีๆ มาจากทนายของพ่อคุณหลุดปากออกมาว่ามีการแก้ไขพินัยกรรม ชื่อของเขมินทราถูกตัดออก”

“ทำไมถึงตัดชื่อน้องของผมออกล่ะ”

“ไม่ทราบครับ”

“อืม แต่คุณธนิษฐานี่น่าสงสารนะ” ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะ “เขารู้ทุกอย่างแต่ก็ไม่ได้ทุกอย่างอย่างที่หวัง”

“เพราะพ่อของคุณเชื่อว่าเขาฆ่าแม่ของคุณไงล่ะครับ เขาก็เลยเป็นคนที่พ่อของคุณทั้งรักทั้งเกลียด เกลียดแต่ทำลายไม่ได้ รักแต่ก็ฝืนใจจะดูแล” มิสเตอร์ทีตอบอย่างรู้ดี แต่ผมก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่ว่ารู้ดีนี่มันมีความจริงสักแค่ไหน

“แต่เขาก็ยังได้รักษาการแทนพ่อที่กำลังป่วย”

“เขาเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายนี่ครับ ถ้าพ่อของคุณไม่ทำพินัยกรรมยกทุกอย่างให้คุณ เรื่องก็ไม่ยุ่งยากเลย เพราะตามกฎหมายแล้วธนิกที่เป็นทายาทโดยธรรมกับคุณธนิษฐาที่เป็นคู่สมรสจะมีสิทธิ์ในมรดกหลังจากพ่อของคุณตาย ส่วนคุณกับเขมินทราที่ยังไม่มีการเซ็นรับรองว่าเป็นบุตรก็จะไม่ใช่อุปสรรคสำหรับพวกเขา แต่เกมเปลี่ยนแล้วเพราะตอนนี้คุณอยู่ในฐานะผู้รับพินัยกรรมครับมิสเตอร์เค ผมต้องเตือนว่าคุณต้องระวังตัวให้มากหน่อย เพราะในพินัยกรรมนั้นระบุชื่อของคุณคนเดียว”

ผมพยักหน้ารับชะตากรรมแม้จะไม่เข้าใจความคิดของคนที่ยกทุกอย่างให้คนกระจอกอย่างผม เขาต้องการอะไรจากวินมอเตอร์ไซค์ที่จบการศึกษาแค่ระดับมอปลายวะ เอาไปให้คุณธนิกนู่น ดีกรีปริญญาโทจากต่างประเทศนี่ความสามารถไม่เข้าตาเลยหรือไง คิดไปก็หัวร้อนเปล่าๆ ผมก็เลยพยายามควบคุมจังหวะหายใจ สูดเข้าผ่อนออกจนปกติแล้วจึงได้พูดคุยกับมิสเตอร์ทีต่อ “งั้นระหว่างนี้คุณธนิษฐาจะยักยอกหรือกอบโกยยังไงก็ได้อยู่แล้วใช่ไหมครับ เขาจะฮุบทุกอย่างไประหว่างนี้ก็ได้หรือเปล่า”

“อย่าลืมคุณแขไขสิครับ เขายังอยู่ทั้งคน ทำไม่ได้ง่ายๆ เขาเป็นน้องสาว หุ้นที่เขาถือก็มากพอควร อำนาจในการบริหารตอนนี้ก็ไม่น้อยไปกว่าคุณธนิษฐาแถมกรรมการในบอร์ดบริหารคนอื่นๆ ก็อยู่ข้างเขา”

ก็จริงตามที่มิสเตอร์ทีว่า น้องสาวของพ่อคนนั้นยังอยู่และคงเป็นตัวอันตรายพอๆ กับคุณธนิษฐา

“ปล่อยสองคนนั้นงัดกันดีไหม เขารู้กำลังรบของกัน แต่ผมไม่รู้อะไรเลย สู้ยังไงก็แพ้ราบคาบแน่”

มีแค่ใจจะเอาอะไรไปสู้เขา ในเมื่อผมมันคนกระจอก

“แต่กำลังรบของคุณคือกำลังรบที่สองคนนั้นต้องการนะครับ”

“ปล่อยผมกลับไปขับวินเถอะมิสเตอร์ที ผมสะดวกแบบนั้นและมีความสุขมากกว่า” พอพูดขึ้นก็คิดถึงหน้าพวกพี่ๆ ที่ซุ้มวินแล้ว ตอนนี้ถ้าผมอยู่ที่ซุ้มก็คงคุยโขมงเรื่องผลฟุตบอลเมื่อคืนและพูดเกทับกันไปมาอย่างสนุกสนาน แต่ดูผมสิ นอกจากจะไม่สนุกแล้วยังต้องมาจับปืนที่ไม่เคยคิดอยากจับ เมื่อสองปีก่อนในวัยคึกคะนองก็มองว่าเท่ดีเพราะผมก็เด็กผู้ชายทั่วไปที่เติบโตมาในสังคมสีเทา ไอ้แนนก็ยิงเป็นแต่จะแม่นไม่แม่นก็ค่อยว่ากัน แต่ตอนที่ไอ้วันกับไอ้ทิวนักเลงประจำซอยมันเผลอทำปืนลั่นใส่เพื่อนร่วมชั้นจนเดี้ยงเข้าโรงพยาบาล ตอนนั้นแหละเป็นตอนที่ผมรู้เลยว่ามันเป็นอาวุธอันตราย ไอ้สองนักเลงเข้าสถานพินิจตามระเบียบ ปืนที่มันเอามาจากลูกพี่นักเลงของมันก็โดนยึดและลูกพี่ของมันก็ถูกแจ้งข้อหาด้วย คงตั้งแต่นั้นล่ะมั้งที่ผมกับไอ้แนนเลิกยุ่งกับไอ้สองนักเลงและเลิกคิดว่าการพกปืนเป็นเรื่องเท่ไปโดยปริยาย

ของอันตราย...อยู่ในมือคนผิดก็ยิ่งอันตราย

“มิสเตอร์ที ผมพูดจริงๆ นะ ผมยังไม่เห็นความสำคัญของสิ่งที่ผมจะได้จากพ่อ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อทำอะไรถึงรวยล้นฟ้า ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้คิดจะให้คนอย่างผม ผมมีความสุขกับชีวิตเงียบๆ อยู่ในบ้านเช่าหลังเล็ก แล้วหาเช้ากินค่ำไปวันๆ ผมชอบชีวิตแบบนั้น เวลาที่คิดว่าใกล้สิ้นเดือนแล้วแต่เงินค่าเช่าบ้านยังขาดอีกตั้งห้าร้อยบาท มันเป็นสีสันในชีวิตของผมไปแล้ว ผมต้องการแค่นั้นจริงๆ แล้วทำไมต้องเป็นผมที่มาวุ่นวายกับเรื่องนี้ด้วย”

มิสเตอร์ทีหันมามองผมแล้วคลี่ยิ้ม “ผมจำกัดความคนอย่างคุณไม่ถูกเลยมิสเตอร์เค ผมเจอคนมาหลายประเภท ในสังคมที่ต้องแก่งแย่ง มีแต่คนอยากสุขสบาย คงมีแต่คุณที่ขาดความทะเยอะทะยาน” ถึงตรงนี้คู่สนทนาของผมทำหน้าหน่ายแล้วพูดต่อ “ใครๆ ที่ไม่ใช่คุณล้วนอยากถือหุ้นบ่อน้ำมัน เป็นเจ้าของสายการบิน บริหารธุรกิจคาสิโน อ้อ...เหมืองเพชรด้วยครับ ไม่นานมานี้เพิ่งลงทุนทำด้านนั้น ได้ยินว่าสามีคุณแขไขวุ่นอยู่กับเหมืองเพชรอยู่เกือบสองปี” มิสเตอร์ทีหยุดพักเพื่อให้ผมประมวลผล เมื่อเห็นว่าผมไม่ถามอะไรจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ที่ผมว่ามานั้นเป็นธุรกิจหลักที่พ่อของคุณเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ส่วนธุรกิจยิบย่อยภายใต้ชื่อของบริษัทแม่อย่างเช่นบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ธนิกดูแลอยู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่คุณจะได้รู้ทั้งหมดตอนที่ได้ครอบครองทุกอย่างแล้ว โลกที่พวกเขากำลังแก่งแย่งกันเพื่อขึ้นเป็นพระเจ้า มีเงินเป็นอำนาจนะครับมิสเตอร์เค”

“อำนาจนั้นคงเหยียบวินมอเตอร์ไซค์อย่างผมแบนติดพื้นได้ไม่ยากสินะ” ผมเผลอถอนหายใจอย่างแรง แค่คิดว่าจะต้องดูแลอะไรที่เกินความสามารถแบบนั้นก็ตัวสั่นแล้ว เงินน่ะก็อยากได้ แต่ผมแค่อยากได้เงิน ไม่อยากวุ่นวายกับอะไรทั้งนั้น “ที่จริงผมก็พอจะเข้าใจความโกรธของพวกเขา พอเข้าใจแล้วผมก็โกรธใครไม่ลง เพราะไม่แปลกถ้าจะมีใครคิดฆ่าผมหรือเขมินทรา พวกเขาเหนื่อยกันมามาก พยายามเพื่อสิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนผมแค่ใช้สิทธิ์ของคนที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขมาชุบมือเปิบ แต่ผมคิดว่าผมไม่ผิดหรอกนะ ที่ผิดคงเป็นคนที่ทำให้เรื่องนี้วุ่นวายต่างหาก พ่อของผมคงเป็นคนแปลกๆ ใช่ไหม เขากล้าวางทุกสิ่งที่เขาไขว่คว้ามาได้ไว้กับผมที่ไม่มีความสามารถพอแถมยังไม่เห็นหัวคนที่เหนื่อยมากับเขา เขาบริหารทั้งหมดคนเดียวไม่ได้หรอกจริงมั้ยมิสเตอร์ที ทั้งคุณธนิษฐา คุณแขไขและคุณธนิกรวมถึงคนอื่นๆ ในบอร์ดบริหารเหนื่อยมากับเขาทั้งนั้น แต่เขายังกล้ายกให้ผม ทำให้ผมคิดนะว่าถ้าไม่รักผมมากเขาก็คงต้องเกลียดผมมากถึงได้ทำเรื่องที่มองเห็นปัญหาชัดๆ แบบนี้ คิดเอาผมล่อเป้าหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“คุณเป็นคนฉลาดคิดนะมิสเตอร์เค แต่บางทีคุณอาจจะมองพ่อของคุณอย่างอคติอยู่ก็ได้” มิสเตอร์ทีบอกพลางกระตุกยิ้มมุมปาก เขาไม่ใช่คนอารมณ์ดีนักหรอกแม้ว่าจะชอบยิ้ม แต่รอยยิ้มของเขาไปไม่ถึงดวงตาเลยสักครั้ง “เพราะเขารู้สึกผิดและรักพวกคุณมาก ทั้งคุณและเขมินทรา”

“อาจจะรักน้องของผมมากกว่ามั้งครับเพราะเขาตัดชื่อเขมินทราออกไปแล้ว เหลือแต่ผมที่เป็นเป้านิ่งให้ยิงอยู่คนเดียว” คนอื่นอาจจะบอกว่าผมโชคดี แต่ผมกลับรู้สึกว่านี่คือโชคร้ายชัดๆ ถ้ารักผมก็แค่เจียดเงินให้ผมสักร้อยล้านก็ได้ แค่นั้นผมก็อยู่สบายไปได้ทั้งชาติแล้ว ไม่ต้องยกอย่างอื่นให้หรอก ไม่ต้องการ ผมคิดอย่างเหนื่อยใจ รู้สึกเหมือนได้ยินมัจจุราชกำลังตะโกนเรียกชื่อผมมาจากในนรก “ว่าแต่มิสเตอร์ทียืนยันหน่อยสิว่าในธุรกิจของพ่อ ไม่มีพวกธุรกิจมืด”

“อ่า...มันก็ไม่ใช่ธุรกิจมืดหรอกครับ แต่...ผมขอตอบว่าเป็นสีเทาละกัน เพราะมันไม่มีสีขาวหรือสีดำในโลกของธุรกิจหรอกมิสเตอร์เค บางอย่างก็ต้องซื้อด้วยเงิน บางอย่างก็ต้องใช้กำลังแย่งชิงมา คนแข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด โลกมันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่คุณสบายใจได้ว่าไม่มีเรื่องการค้ายา ค้ามนุษย์หรือค้าอาวุธสงคราม”

“โห...เสียดาย อดแจ้งความจับกุม แล้วผมจะได้หมดปัญหา”

“คนผิดกลายเป็นคนบริสุทธิ์ได้ถ้าเงินมากพอ”

แล้วคนที่ผมอยากให้ผิดนี่ก็ดันเงินหนาซะด้วย พอเอามาเรียงกันเป็นตั้งคงหนายิ่งกว่าหนังสือประมวลกฎหมาย

“ไม่ใช่ทุกคนนะที่ซื้อได้ด้วยเงิน” ผมอมยิ้มที่คำพูดของตัวเองเท่ไม่หยอก ไอ้แนนคงอดปลื้มใจที่ได้เป็นเพื่อนกับผมหากรู้ว่าผมศรัทธาในพลังของคนดีมากแค่ไหน พวกหนังซุปเปอร์ฮีโร่ไม่ได้สร้างมาแค่ให้คิดว่าเท่หรอกนะ อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งที่คิดอยากเป็นธานอสที่แค่ดีดนิ้วคนก็ตายไปครึ่งจักรวาล ครับ...เข้าใจไม่ผิด สำหรับผมแล้วธานอสคือซุปเปอร์ฮีโร่ พอๆ กับที่ชื่นชอบยานามิ ไลท์ ในเดธโน๊ต

“คนแบบนั้นตายเร็วทุกคนครับ” คำพูดพร้อมรอยยิ้มของมิสเตอร์ทีทำให้ผมไม่กล้าเล่นมุขบอกเลยว่าผมชอบเล่นบทบาทของพลเมืองดี ไม่อย่างนั้นคงเป็นลางว่าจะได้นอนตายอย่างหมาข้างถนนในเร็วๆ นี้แน่

มิสเตอร์ทีขับมาถึงคอนโดฯ ที่ผมนัดหมายกับเขมินทราไว้ในเวลาเกือบสิบโมง ก่อนลงจากรถเขากำชับให้ระวังตัว ผมรับปากพลางก้าวลงแล้วตรงไปที่ประตูทางเข้า แค่เพียงไปถึงพี่รปภ. ที่ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ก็ส่งยิ้มให้ ไม่ต้องแสดงบทบาทอะไรมากมายเพราะผมหน้าเหมือนเขมินทรา แค่บอกว่าลืมคีย์การ์ดเข้าคอนโดฯ แค่นั้นพี่รปภ.ก็ช่วยเปิดประตูให้แล้ว

ทุกอย่างง่ายดายจริงๆ แค่หน้าเหมือนไอ้น้องนรก

1809 คือเลขห้องที่เขมินทราบอกไว้ในแชท ผมไม่แน่ใจว่าเลขหนึ่งมาจากอะไร แต่ 809 คือชั้นแปดห้องที่เก้า ผมเดินมาตามทางที่มีลูกศรชี้นำ กังวลอยู่เหมือนกันว่าหากเปิดเข้าไปในห้องแล้วลูกน้องของเขมินทรารอสาดห่ากระสุนใส่ผมจะม้วนตัวหลบทันไหม บอกเลยว่ายังไม่พร้อมกายกรรมตอนนี้แต่นั่นก็แค่ความคิดที่เหมือนในหนังแอคชั่นที่เคยดู เพราะเมื่อเคาะห้องและประตูถูกเปิด ผมก็พบเพียงแฝดน้องที่หน้าเหมือนกันกับผมแต่รูปร่างผอมบางกว่า

ไม่อยากยอมรับว่าอ้วน แต่เขมินทราผอมกว่าผมมาก มันเหมือนจะผอมลงกว่าที่เคยเจอกันครั้งก่อนด้วยซ้ำ

“นึกว่าจะไม่มา” เขมินทราพูดพลางเดินไปนั่งไขว่ห้างที่โซฟา ชุดคลุมอาบน้ำแหวกขึ้นจนเห็นขาอ่อน “นั่งสิ ยืนนานไม่เมื่อยหรือไง”

ผมนั่งลงบนโซฟาอีกตัว มั่นใจว่าในระยะห่างที่นั่งนี้ หากเขมินทรามีมีดซ่อนไว้ใต้เสื้อคลุมพร้อมจ้วงแทง ผมก็จะหลบทัน

“มึงใส่ชุดแบบนี้ต้อนรับแขกหรือไง อย่าคิดจะยั่วกูไอ้ขิม มึงไม่เซ็กซี่พอ”

“มึงคิดดีๆ บ้างเป็นไหมไอ้ขวัญ” เขมินทราทำหน้าถมึงทึงใส่ “กูใส่ชุดนี้เพราะมีเหตุผลเว้ย!”

“งั้นก็เข้าเรื่องเลย มีเวลาไม่มาก”

“เอาเรื่องพี่ธนิกก่อน” เขมินทราว่าพลางพิงหลังกับพนักด้วยท่าทางสบายๆ แต่สีหน้าของมันไม่ได้สบายตาม ไม่รู้ว่าตั้งแต่เกิดมามันเคยยิ้มบ้างไหม หรือถนัดแค่ทำหน้าบูดเบี้ยว “กูจะล้มงานแต่งให้ก็ได้ แต่แลกกับเอกสารที่มึงเก็บไว้”

ผมหัวเราะขึ้นมาทันที รู้สึกขบขันกับสิ่งที่ได้ยิน “ไอ้ขิม ถามจริงเถอะ มึงคิดว่ากูจะยอมแลกเหรอ”

คนถูกถามชะงักไปเพียงครู่ก่อนจะละล่ำละลักถาม “แล้วมึงไม่อยากให้งานแต่งล่มหรือไง”

“กูก็อยาก” ผมเหยียดยิ้มมองคนที่เหมือนผมราวกับภาพสะท้อน เขมินทรายกมือขึ้นจับสาบเสื้อคลุมของตัวเองเมื่อเห็นว่าผมจ้องมอง “แต่ล่มก็ดี ไม่ล่มก็ได้ไง แต่งหรือไม่แต่งพี่นิกก็ไปจากกูไม่ได้ เดี๋ยวก็ซมซานกลับมา”

เพิ่งถูกถีบหน้าหงายแต่ผมก็ตั้งหลักได้แล้ว หลังจากผ่านการร้องไห้ไร้สาระอยู่สองวันผมก็...โอเค

“กูเกลียดความมั่นใจของมึงจริงๆ นะไอ้ขวัญ” เขมินทรามีสีหน้าบิดเบี้ยว แฝดน้องของผมยังควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีเลย เอาแต่หัวร้อนเกรี้ยวกราด ทว่าคิดจะทำงานใหญ่ “เพื่อนหมาบ้ามึงรู้ไหมว่ามึงเป็นคนแบบนี้”

“เพื่อนกูก็ต้องรู้จักกูดี แต่กูก็ไม่จำเป็นต้องทำไม่ดีใส่คนที่ดีกับกูมั้ยขิม”

“มึงเป็นคนยังไงกันแน่ไอ้ขวัญ พูดตามตรงว่ากูตามอารมณ์มึงไม่ทัน”

“แล้วมาตามทำไม ใครขอมึง”

“สัด!” เขมินทราสบถ หากเราเป็นตัวละครในการ์ตูน ตอนนี้ที่หัวเล็กๆ ของแฝดน้องคงมีไฟลุกท่วม “กูเสือกเองก็ได้!”

ผมไม่ใส่ใจที่อีกฝ่ายโกรธ แต่กำลังคิดว่าถ้าผมโกรธ สีหน้าของผมจะเหมือนกับเขมินทราตอนนี้ไหม เพราะถ้าเหมือนก็คงแย่หน่อย มันบูดบึ้งยิ่งกว่ามีสัมภเวสีเข้าสิงเสียอีก

“แล้วตกลงมึงจะไม่ช่วยกูจริงๆ เหรอพี่” ดูเหมือนมันฝืนใจมากที่จะเรียกผมว่าพี่ ทั้งกัดปากทั้งกลอกตา ถ้ามันฝืนใจขนาดนั้นก็เรียกผมว่าไอ้เหี้ยพี่ต่อไปก็ได้ อย่างนั้นผมคงสบายใจมากกว่า

“กูไม่ช่วย” ผมยืนกรานความคิด “แล้วกูก็บอกมึงเลยว่าต่อให้มึงได้เอกสารนั่นไป ก็ไม่มีประโยชน์ พ่อไม่ใส่ชื่อมึงไว้ในพินัยกรรม เขาตัดชื่อมึงออกแล้ว”

“กูรู้ว่าพ่อไม่รักกู” สีหน้าเจ็บปวดของเขมินทราทำให้ผมชะงักไปเพียงครู่ ผิดแล้ว...ผมว่าพ่อรักมันต่างหากถึงไม่ให้มันมาวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ “ไม่เคยมีใครรักกู แม้แต่คนเป็นพี่อย่างมึง”

ยอมรับก็ได้ว่าผมอาจจะไม่ได้รัก...แต่ผมก็ไม่ได้เกลียดมันสักหน่อย

“อย่าดึงดราม่าใส่กูไอ้ขิม กูไม่ได้ร้ายกับมึงตั้งแต่แรก แต่เป็นมึงเองที่เข้าหากูด้วยจุดประสงค์ไม่ดี”

ผมจำได้นะว่าแทบประสาทกินเพราะมัน ผมไม่ลืมหรอกเรื่องที่มันข่มขู่ ผมอยู่ด้วยความหวาดระแวงว่าจะมีใครบุกเข้าบ้านมาฆ่า กลัวกล่องไปรษณีย์ที่ส่งมาถึงบ้านทุกครั้ง แล้วจะให้ผมรักมันลงได้ยังไง ไม่เกลียดก็บุญแค่ไหนแล้ว

“ก็มึง...กับพี่ธนิก มึงเยาะเย้ยกูก่อน” เขมินทราหยุดไว้เท่านั้น ผมรู้ว่าแววตาที่สื่อเต็มไปด้วยอารมณ์แบบไหน

“ตอนแรกมึงบอกว่ามึงไม่รักเขา ตอนที่มึงยังเล่นบทน้องชายแสนดีที่พัดพรากจากกันกับกู มึงก็ว่าเขาไม่ดีสารพัด เตือนกูด้วยว่าระวังเขาหลอก แล้วกูจะรู้ไหมว่ามึงรู้สึกกับเขามากขนาดนี้”


ออฟไลน์ Snufflehp

  • It feels like nobody ever knew me until you knew me
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +978/-17
บอกตามตรงว่าต่อให้ผมรู้...ผมก็จะทำตามความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี แต่ผมก็คงพยายามต่อไปเงียบๆ ไม่แข่งกับใคร ไม่ชิงดีชิงเด่นว่าใครได้รับมากกว่ากันระหว่างผมกับเขมินทรา

“รักแรกสี่ปีมึงลืมลงมั้ยล่ะ” ความเจ็บปวดฉายชัดบนดวงหน้า ผมเลือกที่จะเงียบแล้วมองความเจ็บปวดนั้นโดยไม่ออกความเห็น “กูยอมรับก็ได้ว่าโกหกมึงเพราะไม่คิดว่าเขาจะรักมึงด้วยไง กูหลอกตัวเองว่ากูลืมเขาได้ แต่มันไม่ใช่ สี่ปีที่อยู่ด้วยกัน กูรัก...กูให้ทุกอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็หลอกกู เขาไม่ได้รักกู กูก็รู้ เขาหลอกให้กูรัก แต่กูก็ไม่เคยโกรธ กูยังรักเขา เต็มใจให้เขาหลอกด้วยซ้ำ กูทำให้ขนาดนี้แต่กลับเป็นมึงที่เขารักจริงๆ แล้วกูต้องรู้สึกยังไงเหรอ กูที่ทำทุกอย่างต้องทนมองมึงกับเขารักกัน ทั้งๆ ที่กูยังลืมไม่ได้ ทั้งๆ ที่ความทรมานยังอยู่กับกู”

เขมินทราแหวกสาบเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นผิวขาวใส แต่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ที่ต้นแขนซ้ายเป็นรอยยาว ที่หน้าท้องเป็นรอยจุดขนาดเท่าเส้นผ่านศูนย์กลางของบุหรี่หลายรอย และเมื่อเขมินทราหันหลังให้ผม รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ก็ปรากฎให้เห็น มันเหมือนแผลที่เกิดจากการถูกเหล็กร้อนๆ ทาบลงไปบนผิว

“ธนิษฐา” แววตาของเขมินทราเต็มไปด้วยโทสะแต่มีความกลัวแฝงอยู่ในนั้น “ทำรอยทั้งหมดนี้ มันไม่เคยฆ่าใครตายก็จริง แต่มันทรมานจนคนคนนั้นอยากตายให้พ้นๆ”

ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากในขณะที่น้ำใสๆ ไหลอาบแก้มของเขมินทรา แฝดน้องของผมคงไม่รู้ตัวเพราะแววตาดูเลื่อนลอยราวกับเจ้าของไม่ได้นั่งอยู่ตรงหน้าผม

“มันเกลียดแม่ เกลียดกูกับมึง แต่กูรักลูกมัน กูรักพี่ธนิก แต่มึงรู้ไหม เขาปกป้องใครไม่ได้ ในวันที่กูเลือกที่จะตาย เขาก็เลือกแม่ของเขาแทนที่จะเป็นกู” เขมินทรายื่นข้อมือมาตรงหน้า ผมเห็นรอยแผลเป็นอีกรอยอยู่บนนั้น เป็นรอยกรีดลึกจากของแหลมคม มันคงถูกซ่อนอยู่ใต้นาฬิกาข้อมือที่ผมเห็นเขมินทราใส่มาตลอด “มึงจะไม่เชื่อกูก็ได้ไอ้ขวัญ แต่อีกไม่นานมึงจะโดนเหมือนกัน”

หลังจากที่เขมินทราพูดจบ เราต่างก็นิ่งเงียบ ผมจมอยู่ในความคิดส่วนเขมินทราคงกำลังนึกถึงอดีตเพราะสีหน้านั้นเต็มไปด้วยความรวดร้าว ถ้าถามว่าผมรู้สึกอย่างไรที่ได้เห็นรอยแผลเป็นพวกนั้นบนร่างกายของคนที่หน้าเหมือนกันกับผม แว๊บแรกผมรู้สึกโกรธจนแทบอยากทำให้คนที่ลงมือกับเขมินทราได้รับรอยพวกนี้บ้าง มันเป็นความรู้สึกชั่วครู่เหมือนตอนที่รู้ว่าไอ้หลงถูกฆ่าตาย เป็นความรู้สึกที่แล่นเข้ามาเพียงไม่กี่วินาทีเหมือนตอนที่เห็นรูปที่น้าลีถูกทรมาน

แต่...นั่นแหละ ความรู้สึกของผมจบที่ตรงนั้น ความโกรธของผมไม่ยาวนาน มันหายไปแค่เพราะมันเป็นเรื่องที่ ‘ผ่านมาแล้ว’

“ขิม ถ้ามึงบอกว่าเขาไม่เคยฆ่าใครตาย งั้นคนสั่งยิงก็ไม่ใช่เขาสินะ”

“อืม ไม่ใช่” เขมินทราบอกพลางกัดริมฝีปาก “ธนิษฐาชอบทรมาน มันสนุกกับการเห็นเหยื่อค่อยๆ ตายมากกว่าจะยิงเปรี้ยงเดียวแล้วให้หลุดพ้น”

“แล้วใคร”

“มึงจะไม่เชื่อกูก็ได้ แต่คนที่สั่งยิงมึง เขาอยู่ข้างพี่ธนิก” เขมินทราเหยียดยิ้มหยัน “กูบอกแล้วนะว่ามึงเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากเกินไป ทั้งที่แม้แต่กูก็ใกล้ได้ไม่เท่ามึง”

“แล้วทำไมมึงถึงโดนยิงไปด้วยไอ้ขิม” ผมตั้งคำถามพลางมองหาความจริงในแววตาของคนตรงหน้า “ถ้าเป็นคนที่อยู่ข้างคุณธนิก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องรู้ว่าคนไหนขวัญพัฒน์ คนไหนเขมินทรา”

“กูสวมรอยเป็นมึงไง” เขมินทราตอบหน้าตาย “แค่แต่งตัวกะโหลกกะลากับทำหน้าโง่ๆ ก็เป็นมึงได้ไม่ยาก หน้ากูกับมึงเหมือนกัน มองผ่านๆ ก็แยกไม่ออกหรอก ไม่งั้นมึงคงผ่านรปภ. ขึ้นมาไม่ได้จริงไหม”

“แล้วมึงสวมรอยเป็นกูไปทำซากอะไร”

“ไปหาพี่ธนิก”

ความรู้สึกบางอย่างเข้าโจมตีผม มันคล้ายความรู้สึกผิดหวังแต่ไม่ถึงขั้นนั้น ผมก็บอกไม่ถูก แค่จู่ๆ หัวใจก็ปวดหน่วงขึ้นมา เพราะคุณธนิก...ไม่บอกอะไรผมเลย ถ้าเขาเจอกับเขมินทราก็น่าจะบอกให้ผมรู้บ้าง เป็นแบบนี้แล้วผมกลับเอาแต่คิดว่าที่ผ่านมาคงมีอีกหลายเรื่องที่ผมยังไม่รู้ คงมีอีกหลายเรื่องที่เขายังปิดบัง

พูดในฐานะคนที่ลงเรือลำเดียวกันและมีเป้าหมายเหมือนกัน ผมควรรู้

และหากพูดในฐานะแฟน เรื่องที่เขาเจอกับคนรักเก่าที่รักกันนานถึงสี่ปี ผมยิ่งควรรู้

แต่ผมกลับทำหน้าโง่รับฟังจากเขมินทรา

“นอกจากอยากได้สมบัติแล้วอยากได้ผัวกูด้วย ถูกมั้ย” ผมกดความรู้สึกพ่ายแพ้ไว้ในใจก่อนจะยียวนถามไอ้แฝดนรก มันขึงตามองกลับมาทันทีที่ผมจี้ถูกจุด

“ของกูก่อนเถอะไอ้ขวัญ มึงมาทีหลัง”

ใช่...ผมมาทีหลังตั้งหลายปี

“แล้วยังไง...เขารู้ไหมว่าเป็นมึง”

เขมินทรานิ่งงันไปเพียงครู่ก่อนจะพยักหน้า “รู้ เขารู้ทันทีว่าไม่ใช่มึง”

“ไม่รู้ก็แย่”

“ช่วยปลอบกูหน่อยไอ้พี่เหี้ย”

ผมเบ้ปากใส่เขมินทรา อยากตบกบาลสั่งสอนมันสักที แต่กลัวจะมีมวยขึ้นมาเสียก่อนที่จะพูดคุยกันจบจึงได้แต่บอกให้มันหายโง่ว่า “นี่ไอ้ขิม กูก็ไม่ได้อยากจะพูดให้มึงดีใจ แต่ที่เขาแยกออก เพราะเขารู้จักมึงมาสี่ปี เข้าใจไหม มันไม่ใช่เพราะเขารู้ว่าเป็นกู แต่เพราะเขารู้ว่าเป็นมึงต่างหาก”

“ทำไมกูต้องเกิดมาหน้าเหมือนมึงด้วย” เขมินทราถามด้วยสีหน้ากลั้นยิ้มอย่างน่าหมั่นไส้ “กูเอาแต่คิดทุกครั้งว่าที่เขาอยู่กับมึงเพราะมึงหน้าเหมือนกู เขายังลืมกูไม่ได้ ตอนรักกัน...เขาดีกับกูมาก ทุกอย่างมันดีจนกูไม่เคยคิดถึงวันที่จะไม่มีเขา กูเข้าใจมาตลอดว่าเขายังรักกู”

บางที...ไอ้น้องโง่ก็อาจจะเข้าใจถูกแล้วก็ได้

“มึงฝันไอ้ขิม ตื่นเถอะ” แต่ผมไม่บอกให้มันดีใจหรอกนะ เวลาเห็นมันยิ้มแล้วน่าถีบให้หงาย

“ไม่มั่นหน้าสักนาทีจะตายไหม”

ผมยักไหล่ ไม่ใส่ใจกับคำต่อว่า “เอาเถอะ มึงจะคิดยังไงก็เรื่องของมึง แล้วนี่หมดเรื่องจะคุยหรือยัง”

“ก็ถ้ามึงบอกว่าชื่อกูไม่มีในพินัยกรรม กูก็ไม่มีอะไรจะคุยแล้ว”

ไม่แน่ใจว่าทำไมหัวใจของผมถึงรู้สึกแบบนี้ แต่มันปวดแปลบเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของเขมินทรา “มึงจะอยากได้ไปทำไมกับไอ้ของที่เอาติดตัวไปตอนตายไม่ได้ ชีวิตก็เป็นของมึง ใช้มันไปสิ ไม่มีจะแดกก็มาขับวินกับกูก็ได้ เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงทำไมขิม รอยบนตัวมึงยังไม่พอเหรอวะ”

ผมไม่ได้เป็นห่วงมันนะ แต่ผมก็แค่...ไม่อยากให้ใบหน้าที่เหมือนกับผมราวกับภาพสะท้อนเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ขวัญพัฒน์คือคนที่ยิ้มเก่ง ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหนผมก็ยิ้มสู้ได้ เพราะฉะนั้นคนที่มีใบหน้าเหมือนกันกับผมก็ควรจะยิ้มเก่งเหมือนผมบ้าง

“ขวัญ มึงรู้ไหมว่าแม่ถูกทรมานจนฆ่าตัวตาย ก็จริงที่อาจจะไม่ได้เลี้ยงดู ไม่มีความผูกพัน แต่ยังไงเขาก็เป็นแม่ เขาอุ้มท้องเรามาเก้าเดือน อดทนให้เราได้เกิดมา ถ้าเขาไม่อดทนมึงคิดเหรอว่ากูกับมึงจะได้นั่งอยู่ตรงนี้ แล้วมึงจะปล่อยให้คนที่ทำให้แม่ตายได้ทุกอย่างที่ควรเป็นของเราไปเหรอ มึงเอาแต่พูดว่ามึงไม่ยุ่ง ทั้งที่พ่อเห็นคนอย่างมึงเป็นลูกมากกว่ากูที่พยายามแทบตาย”

“ตัดพ้อไปกูก็ช่วยอะไรมึงไม่ได้”

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าดีแล้วล่ะที่ในเรื่องวุ่นวายพวกนี้ ไอ้น้องโง่ไม่ได้ถูกดึงเข้ามาด้วย เพราะมันยิ้มไม่เก่งเหมือนผม ควบคุมตัวเองได้แย่แล้วก็คงอารมณ์ร้อนวิ่งเข้าหาความตายเป็นว่าเล่น เป็นผมน่ะดีแล้ว

“มึงช่วยได้แต่มึงไม่ช่วย”

“งั้นมึงจะทำยังไง จะฆ่ากูเหรอ ฆ่ากูแล้วสวมรอยเลยดีมั้ย”

“กูฆ่ามึงแน่ไอ้ขวัญ แต่หลังจากที่กูส่งธนิษฐาไปลงนรก”

“หรือไม่อย่างนั้นมึงอาจจะลงนรกก่อนถ้าขืนยังไปตอแยกับธนิษฐา” ผมบอกพลางลุกขึ้นเดินไปนั่งใกล้ไอ้แฝดนรกแล้วผลักหน้าผากมันให้หงายหลัง “กูไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงทำมึง หาเหตุผลจากคนที่เกลียดไปก็เท่านั้น แต่ถ้ามึงยังคิดแก้แค้น ชีวิตมึงพังแน่ขิม ช่วงวัยอย่างเรามีเรื่องให้ทำอีกหลายเรื่อง มึงจะเรียน จะแรด จะเที่ยว จะมั่วผู้ชายหรือจะผลาญเงินเล่นยังไงก็ทำไป พ่อเลี้ยงมึงรวยอยู่แล้ว ปล่อยหมามันกัดกันไปสิ รอดูเฉยๆ ก็พอ อาจมีบางตัวหลุดฝูงมากัดก็แค่ตั้งรับให้ดี มึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปตะลุมบอนด้วย สุดท้ายอาจตายยกฝูงก็ได้ อาจมีแค่กูกับมึงที่เหลือรอด แล้ววันนั้นมึงจะฆ่ากูกูก็ไม่ว่า ตอนนี้อยู่เฉยๆ ไปก่อนเถอะ”

เขมินทราทำท่าจะเถียง แต่ผมชี้หน้าขู่มัน ไม่คิดว่ามันจะกลัวหรอก แต่มันก็ทำหน้าหงอใส่ ทั้งๆ ที่มิสเตอร์ยิ้มสยามอย่างผมทำหน้าดุไม่เป็นเลยสักนิด

“แต่เรื่องพี่ธนิกกูเฉยไม่ได้” เขมินทราว่าเสียงแผ่ว “กูรอดูเฉยๆ ไม่ได้หรอกไอ้ขวัญ”

“อยากทำอะไรก็ทำ แต่งานแต่งพี่นิก ถ้ามึงล่ม มึงบวกกับธนิษฐาแน่ เขาอยากได้คุณนิ่มเป็นสะใภ้ขนาดนั้น”

“แล้วมึงว่าถ้าเจ้าสาวตาย...”

“กูแจ้งตำรวจจับมึงเอง ไม่ต้องถึงมือธนิษฐาหรอกไอ้ขิม”

“งั้นเอาไอ้หมาบ้าเพื่อนมึงมาใช้งานหน่อย ภาพฉาวของเจ้าสาวคงสะเทือนอะไรได้บ้าง”

ความคิดแต่ละอย่างดีๆ ทั้งนั้น ไอ้น้องเวรนี่! ผมว่าพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงคนรวยของมันคงสปอล์ยจนเสียนิสัย

“เจอตีนกูก่อน ไอ้แนนมีเมียแล้ว เมียมันกำลังท้องด้วย แล้วคุณนิ่มก็เป็นผู้หญิง มึงจะทำเรื่องระยำอย่างนี้ไม่ได้”

เขมินทราปากคว่ำ แววตาดื้อรั้นจนผมตบกบาลมันไปเต็มๆ เหนี่ยว “โอ๊ย! มึงมันพี่เหี้ย ตบหัวกูทำไม!”

“อย่าทำเรื่องไม่ดี”

“แค่คิดล่มงานแต่งชาวบ้านก็ไม่ดีแล้วมั้ย มึงเถอะ อันนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ แล้วมึงจะล่มงานยังไง”

“ทำไมโยนมาให้กูคิด”

“ก็กูคิดอะไรก็ไม่ดีเลยสักอย่าง”

“ความคิดกูก็ไม่ได้ดีกว่ามึงนักหรอกไอ้น้องโง่” ผมมีหน้าที่ค้าน ไม่ได้มีหน้าที่คิด เพราะให้ผมคิดผมก็คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงให้เขายกเลิกงานแต่งอย่างสมเหตุสมผล “งานแต่งจะล่มได้ก็มีสองกรณีที่กูคิด กรณีแรกเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวไม่ไปร่วมงาน ซึ่งเจ้าสาวถ้าไม่ลักพาตัวแม่งก็ต้องรอขบวนขันหมากแบบตั้งหน้าตั้งตาคอย ส่วนเจ้าบ่าวก็คงไม่ต่างกัน ความเป็นคนดีค้ำคออยู่ เล่นบทลูกกตัญญูตั้งแต่เด็กจนโตคงเปลี่ยนนิสัยยาก อีกกรณีคือคนสำคัญของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย มึงคิดดูว่าถ้าธนิษฐาตายหรือพ่อมึงตาย งานล่มชัวร์”

“ไหนมึงพูดว่าจะไม่ฆ่าใคร ความคิดมึงก็ระยำไม่ต่างจากกูหรอกไอ้ขวัญ แล้วพ่อกูก็พ่อมึงมั้ย มึงคิดอยากให้พ่อตายเลยเหรอ มึงโคตรเลวเลยไอ้ขวัญ ถึงพ่อจะไม่รักกู แต่กูก็สงสารเขานะเว้ย”

“กูเผื่อกรณีมีอุบัติเหตุ มึงก็โวยวายใหญ่โตไปได้ คนบอบบางอย่างกูจะไปฆ่าใครลงวะ” ผมว่าอย่างฉุนๆ จะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นผมไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น ก็แค่ยกตัวอย่างให้เขมินทราฟัง แต่มันเล่นใหญ่เกินเบอร์ไปมากทีเดียว

“ปล่อยคลิปฉาวพี่นิ่มไม่ง่ายกว่าเรอะ”

ผมสงสัยจริงๆ นะว่าที่เขมินทรามันร้าย มันร้ายด้วยสมองหรือมันดับเครื่องชนใส่อย่างเดียว แต่ดูจากการที่มันทำตัวร้ายโจ่งแจ้งโดยการส่งคนมาอุ้มผมก็พอจะรู้แล้วว่าไม่ค่อยมีสมอง

“สมัยไหนแล้วไอ้ขิม มึงคิดว่าแม่สามีอย่างธนิษฐาจะซีเรียสแค่เรื่องคลิปเหรอ ถ้าเขาอยากได้ลูกสะใภ้รวยขนาดนั้น เรื่องคลิปนี่เด็กๆ ไปเลย”

เขมินทราทำหน้าปั้นยาก เงียบอยู่นานแล้วก็เสนอความเห็นที่ไร้ประโยชน์ว่า “งั้นก็ขังพี่ธนิกไว้เถอะ ถ้ามึงไม่อยากลักพาตัวเจ้าสาว”

“ทำอย่างนั้นก็เตรียมบวกกับธนิษฐาเต็มรูปแบบ” เอาจริงๆ ผมแม่งไม่อยากสู้กับใคร ถ้าถามผมเรื่องที่คุณธนิกจะแต่งงาน ผมว่าผมพอทำใจได้ แม้ไม่รู้ว่าวันงานจะทุรนทุรายมากแค่ไหน แต่ผมทำใจยอมรับได้มานานแล้ว ก็เลยไม่ดิ้นเท่าเขมินทรา

“มึงไม่สู้หรือไง” เขมินทรามองผมด้วยสายตาที่มองคนขี้ขลาดตาขาว

“กูบอกแล้วว่ากูเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วกูก็เพิ่งโดนยิงมา ชีวิตวัยรุ่นอยากเข้าผับเข้าบาร์ ไม่ใช่เข้าโรงบาลเป็นว่าเล่น”

“คุยกับมึงนี่กูเหนื่อยจริงๆ ตอนร่างโง่ว่าเหนื่อยแล้ว ร่างผีเข้าผีออกนี่กูหมดคำจะพูด” เขมินทรามีทีท่าเหนื่อยอ่อนจริงๆ แต่ผมควรเหนื่อยมากกว่าไหมที่ต้องมาคุยกับคนร้ายๆ อย่างมันเนี่ย! “สรุปมึงจะเอายังไง ล่มหรือไม่ล่ม”

“ขอกูดูเชิงก่อน ยังไงซะพี่นิกก็หนีกูไม่รอดหรอก”

“ร่างร่านของมึงก็ไม่เบานะไอ้พี่เหี้ย พี่ธนิกรู้ไหมว่ามึงเป็นขนาดนี้”

ผมยักคิ้วพลางเหยียดยิ้ม “กูก็ไม่ได้ปิดนี่ แต่ชั้นเชิงในการแสดงออกของกูกับมึงต่างกันนะขิม มึงก็เลยดูร่านกว่า”

“อะ…ไอ้…"

ปึงๆ ๆ ๆ ๆ

เสียงทุบประตูทำให้ผมกับเขมินทราชะงักงัน บทสนทนาของเรานิ่งค้างไว้เท่านั้น ก่อนเจ้าของห้องจะมองหน้าผมด้วยความหวาดระแวง

“มึงพาใครมาด้วย” เขมินทราถามในขณะที่ประตูยังถูกทุบไม่หยุด “วันนี้กูอุตส่าห์ให้ลูกน้องพ่อเลี้ยงหยุดงาน แต่มึงผิดสัญญาเหรอไอ้สัดพี่”

“กูมากับพันธมิตรของกูสองคน ส่งกูแล้วเขาก็รออยู่ข้างล่าง ระบบความปลอดภัยคอนโดฯ มึงก็ดีนี่ เขาขึ้นมาไม่ได้อยู่แล้ว” ผมว่าพลางรู้สึกกังวลใจเพราะเสียงเคาะตอนนี้เปลี่ยนเป็นเสียงกระแทกราวกับมีคนไม่ต่ำกว่าสองคนกำลังช่วยกันพังประตูเข้ามา “สงสัยน่าจะคนอื่น มึงไปอยู่ในห้องนอนแล้วก็โทรแจ้งตำรวจ เดี๋ยวกูรับหน้าไว้ให้”

ผมก็ไม่ใช่คนดีอะไร แต่ว่าอย่างน้อยผมก็มีปืนป้องกันตัว อีกอย่างแทนที่จะกองรวมกันตายตรงนี้ ให้อีกคนหลบไปขอความช่วยเหลือน่าจะดีกว่า

“มึงไม่ได้เก่งไปกว่ากูนะไอ้ขวัญ” แต่ไอ้แฝดนรกมันรั้น เถียงผมกลับจนอยากสับมือบนหลังคอให้มันสลบจะได้สงบปากเดี๋ยวนี้

“แต่กูมีปืน” ผมว่าพลางชูอาวุธร้ายให้เห็น พอปลดล็อกเซพแล้วยกขึ้นเล็ง เขมินทราก็ผงะถอยหลัง

“มึงมันพี่เหี้ยจริงๆ มาหากูแต่พกปืนมาด้วย”

“มึงไว้ใจได้ที่ไหน หลอกกูมาฆ่ารึเปล่าก็ไม่รู้ไง กูป้องกันตัวไว้ก่อน แต่มึงรีบไป รีบเข้าไปในห้อง” ไม่รู้เพราะผมตะคอกหรือเพราะกลัวปืนในมือผมกันแน่ เขมินทราจึงรีบวิ่งไปที่ประตูฝั่งซ้ายมือทันที ส่วนผมก็ไม่ได้นั่งโง่ต้อนรับผู้บุกรุก ผมกระโดดไปด้านหลังโซฟาพลางไลน์ไปขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ทีที่รออยู่ด้านล่าง

หัวใจของผมเต้นระส่ำในขณะที่กำลังซ่อนตัวอยู่หลังโซฟา ด้านหน้าของผมคือตู้โชว์สารพัดของสะสมของเขมินทรา ทำให้ได้รู้ว่าไอ้แฝดนรกของผมมันมีความชอบแบบไหน ผมนับวินาทีอยู่ในใจขณะที่มองซุปเปอร์ฮีโร่ในตู้ชั้นแรก มันคงชอบกัปตันอเมริกามากพอๆ กับที่ผมชอบธานอส


ออฟไลน์ Snufflehp

  • It feels like nobody ever knew me until you knew me
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +978/-17
ขณะที่กำลังเลื่อนสายตาขึ้นมองชั้นสองของตู้โชว์ ประตูที่ทนแรงกระแทกไม่ไหวก็ถูกพังเข้ามา ผมเห็นภาพผู้บุกรุกในเงาสะท้อนของกระจก คนสามคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ลักษณะท่าทางโดยรวมแล้วไม่น่าผ่านการรักษาความปลอดภัยของคอนโดฯ ขึ้นมาได้ แต่นั่นแหละ มันขึ้นมาแล้วพร้อมอาวุธครบมือ ปืนหนึ่งกระบอกในมือคนที่ตัวหนาที่สุด ติดอุปกรณ์เก็บเสียงเสร็จสรรพ อีกสองคนถือมีดสั้นสีเงินวาววับ มันสะท้อนแสงไฟจนแสบตายามที่เผลอจ้องมอง

ผมรู้สึกถึงความกลัวที่แล่นริ้วขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ภาพสะท้อนเงาในกระจกเห็นผู้บุกรุกกำลังกวาดตามองทั่วห้อง ผมตัวสั่นจนแทบอยากอาเจียนแต่มือของผมก็จับแน่นที่กระบอกปืน

บอกแล้วใช่ไหมว่าผมอยากเป็นธานอสที่แค่ดีดนิ้วคนก็ตายไปครึ่งจักรวาล เพราะฉะนั้นผมก็หวังว่าถ้าผมแค่เหนี่ยวไก ผู้บุกรุกอีกสามคนก็คงล้มตายเช่นกัน

แต่ผม...ไม่ใช่นักแม่นปืน

หนึ่งในผู้บุกรุกย่างสามขุมข้ามห้องไปที่ประตูฝั่งซ้าย ส่วนอีกสองคนเดินเข้ามาใกล้บริเวณที่ผมซ่อนตัว ได้ยินเสียงพวกมันหัวเราะ เสียงราวกับมัจจุราชกำลังเรียกหาผม

“ให้ตายเถอะ ทำไมต้องส่งมาเล่นกับเด็กด้วยวะ” เสียงทุ้มต่ำระคายหูดังลั่นห้อง “แต่เพราะในรูปขาวน่าขยี้หรอกถึงรับงาน มึงเอาคนไหนไอ้ศักดิ์ คนพี่หรือคนน้อง”

“ขอสองว่ะ”

ความคิดระยำของชายร่างใหญ่สองคนทำให้ผมแทบลั่นไกปืนเสียเดี๋ยวนั้น แต่มือของผมสั่นเทา ความกลัวทำให้เรี่ยวแรงลดถอยลง ผมรู้จุดประสงค์แล้วว่าพวกมันถูกส่งมาเพื่อทำอะไร

“จุ๊ๆ ๆ เจอหนูหลบอยู่หลังโซฟาหนึ่งตัว”

“งั้นอีกตัวคงอยู่ในห้อง”

ผมเหนื่อยกับการที่ต้องบอกใครต่อใครว่าผมเป็นแค่คนขับวินมอเตอร์ไซค์ที่ไร้สาระและบ้าบอไปวันๆ ไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่ ไม่ใช่นักแม่นปืน ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการชกต่อย ในนิทานเรื่องที่ผมอ่านผมก็เป็นเพียงแค่ชายขอทาน แต่ทำไมสถานการณ์ต่างๆ ถึงบังคับให้ผมต้องสู้

ปึง! ปึง! ปึง!

เสียงประตูห้องนอนที่ถูกกระแทกทำให้ผมสะดุ้งเฮือกจนเผลอผุดลุกขึ้นจากที่ซ่อน ทั้งๆ ที่กลัวแต่ก็เสือกอยากเบนความสนใจของพวกมันสักเล็กน้อย ผมไม่ได้ห่วงไอ้แฝดนรกนั่นหรอก...ก็แค่คิดว่าผมน่าจะมีทางรอดมากกว่า

“โอ้วววว น่าเอากว่าที่คิดไว้ พร้อมมาเล่นกันมั้ยจ๊ะหนุ่มน้อย” เสียงสากระคายหูทำให้ผมรู้สึกสะอิดสะเอียน

พอยืนประจันหน้ากับพวกมัน รอยยิ้มน่าขยะแขยงก็ปรากฎให้เห็น ผมถอยหลังไปจนชิดผนังห้อง พลางยกปืนที่ถืออยู่ขึ้นเล็ง ผู้บุกรุกหน้าเหี้ยมที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้ต่างชะงักแล้วมองผมราวกับเห็นตัวประหลาด

“เล่นของแรงนะไอ้เด็กนี่” หนึ่งในนั้นว่าเสียงเครียด ก่อนใบหน้าเหี้ยมจะยิ้มเย้ยราวกับคิดเอาเองว่าคนที่ยืนขาสั่นอย่างผมไม่กล้ายิง มันจึงก้าวสามขุมมาหาอย่างไม่กลัวตาย

ปัง!

นิ้วของผมลั่นไกปืน แรงถีบจากการยิงทำให้มือที่ประคองไว้ทั้งสองข้างชาไปชั่วขณะ ไอ้หน้าเหี้ยมคนหนึ่งส่งเสียงโวยวาย ส่วนอีกคนกระโดดหลบไปอีกทาง ผมแน่ใจว่าเสียงปืนของผมจะทำให้เจ้าของห้องอื่นๆ ได้ยินแล้วรีบให้ความช่วยเหลือแต่ก็มีอีกกรณีที่เลวร้ายก็คือได้ยินแต่ก็กลัวโดนลูกหลงจนนิ่งเฉย

ถ้าเชื่อตามดวงโชคร้ายของผมก็คงจะเป็นกรณีเลวร้ายนั่นแหละ เพราะป่านนี้แล้วข้างห้องยังไม่ออกมาเป็นไทยมุงเลย!!

“ไอ้เวรนั่น!” ผมส่งเสียงตะคอก รู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเอง เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมจะตะคอกใส่ใครด้วยความรู้สึกแบบนี้ ทั้งโมโหทั้งกลัว “มึงออกห่างประตูเดี๋ยวนี้! ออกมา!!”

“มึงคิดว่ามึงจะขู่กู...”

ปัง!

มือของผมชาจนเจ็บเพราะกระสุนนัดที่สอง ผมไม่ได้ตั้งใจจะยิงโดนใคร แต่เพราะแรงถีบกับความไม่แข็งแรงของกำลังแขนทำให้วิถีกระสุนไปโดนแขนของไอ้หน้าเหี้ยมที่ยืนอยู่หน้าประตูโดยบังเอิญ เสียงของมันร้องโหยหวนเพราะบาดแผลที่มีเลือดทะลักก่อนมันจะกัดฟันแน่นแล้วยิงสวนกลับมา แต่ผมก้มหลบอย่างไม่คิดชีวิต ใบหน้าของคุณธนิกผุดวาบขึ้นมาในหัว มันเป็นความรู้สึกอยากเจอในขณะที่ความตายคืบคลานเข้ามาใกล้

กระสุนนัดแรกจากมันโดนตู้กระจกเสียงดัง เพล้ง! เศษกระจกกระจายไปทั่วบริเวณที่ผมก้มหลบ ไอ้หน้าเหี้ยมอีกสองคนหลบเศษกระจกที่กระเด็นออกเพราะแรงกระสุนเป็นพัลวัน ความชุลมุนเกิดขึ้นเมื่อผมยิงสวนไปอีกนัด ยิงมั่วๆ โดยไม่หวังผลด้วยความกลัวจับใจ แต่เพราะมีอาวุธที่สามารถตอบโต้ได้อยู่ในมือผมจึงค่อนข้างอุ่นใจขึ้นมาบ้างว่าถ้ามีใครหน้าไหนกล้าเข้าใกล้ ผมจะยิงใส่มันอย่างไม่ลังเล

“ไอ้เด็กเหี้ยเอ้ย! ไอ้ลันมึงอ้อมไปอีกทาง!!” เสียงไอ้หน้าเหี้ยมที่อยู่ใกล้ผมที่สุดดังขึ้น แต่มันไม่กล้าเข้ามาใกล้กว่านี้ มันมองมาที่ผมด้วยความระแวดระวังพลางออกคำสั่งให้เพื่อนของมันเดินมาล้อมผมไว้ “ไอ้กิตมึงเป็นไง!!”

“เจ็บสิวะ ถามมาได้!!” ไอ้คนที่กำลังเลือดอาบแขนตะโกนลั่น “ไม่มีใครบอกว่าไอ้เด็กเวรนี่มันมีปืน! มึงรับงานมายังไงไม่เช็กให้ดีวะไอ้โง่เอ้ย!!”

“กูจะรู้มั้ย! ไอ้จิวมันก็รับมาอีกที! ไว้กลับไปถามมันเองเว้ย!!” ไอ้คนที่อยู่ใกล้ผมตะโกนกลับด้วยความหงุดหงิด ใบหน้าของมันถมึงทึง ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองราวกับจะขยี้ผมให้แหลก

“แล้วเอาไงดีวะไอ้ศักดิ์ เสียงปืนคงเรียกพ่อมึงมาแล้วตอนนี้ ไอ้บีที่ให้เฝ้าข้างล่างไว้ก็ถ่วงได้ไม่นานนักหรอก”

“แต่ถ้างานไม่เสร็จ นายจ้างฆ่าพวกมึงแน่!”

ก่อนที่ไอ้หน้าเหี้ยมสามคนจะหารือกันเสร็จ คนอีกกลุ่มก็กรูกันเข้ามาในห้อง รวดเร็วจนผมหรือพวกมันไม่ทันตั้งตัว จำนวนคนห้าคนกับอาวุธปืนครบมือทำให้ไอ้หน้าเหี้ยมสามคนถึงกับหน้าถอดสี พวกมันทำหน้าเหมือนเห็นผี ใบหน้าเหี้ยมซีดเผือดพร้อมกันนั้นก็ยกมือชูขึ้นเหนือหัวประกาศยกธงขาวด้วยความกลัวตาย

ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคนที่เดินเข้าห้องมาเป็นคนสุดท้ายคือมิสเตอร์ที

“คุณมาช้ามิสเตอร์ที ผมเกือบได้ฆ่าคนตาย” น้ำเสียงของผมคงอ่อนแรงไม่ต่างกับขาทั้งสองข้าง เพราะตอนนี้กำลังไถตัวลงนั่งกับพื้น ไม่สนแม้ว่าเศษกระจกจะตกเกลื่อนอยู่รอบตัว

“ผมต้องจัดการกับทีมรปภ. ข้างล่าง วุ่นวายจนแทบจะฆ่าคนตายเหมือนกัน” สีหน้าของมิสเตอร์ทีราบเรียบ แต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคุกรุ่น “เขมินทราอยู่ไหน”

“ผมให้เข้าไปหลบในห้องนอน”

“มิสเตอร์เค ผมบอกคุณแล้วนะว่าคุณสำคัญกับข้อตกลงของเรา” มิสเตอร์ทีพูด แต่ครั้งนี้สีหน้าราบเรียบของเขาเผยความโกรธขึ้งให้เห็น “ถ้าคุณเป็นอะไรไป...”

“อย่าโทษผม! มันเป็นความผิดของคุณที่จัดการทุกอย่างได้ช้าถึงได้เกิดเรื่องบ้าๆ นี่ขึ้น! อีกอย่างนะมิสเตอร์ทีนอกจากผมกับเขมินทราก็มีแต่คุณที่รู้การนัดหมาย ผมเกือบคิดไปแล้วด้วยซ้ำว่าคุณส่งไอ้พวกระยำนี่มา” ผมบอกออกไปตามตรงก่อนจะกวาดตามองไอ้สามเหี้ยมที่ถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ “ถ้าใช่ล่ะก็นี่คงเป็นละครปาหี่ดีๆ นี่เอง”

“ผมเป็นพันธมิตรของคุณมิสเตอร์เค แล้วถ้าคุณสงสัยผม ทำไมไม่สงสัยเขมินทราล่ะ เพราะที่นี่คือห้องของเขา คอนโดฯ นี้ทั้งตึกก็ของพ่อเลี้ยงเขา คนที่อยู่ที่นี่คือคนของเขาทั้งหมด เขมินทราสร้างสถานการณ์กำจัดคุณได้ง่ายๆ นะ พูดให้คิดแค่นี้”

ผมรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน บางทีคำพูดของมิสเตอร์ทีก็ฟังดูมีเหตุผล เขมินทราที่หลบอยู่เงียบๆ ในห้องไม่ส่งเสียงกระโตกกระตากเลยแม้แต่น้อยมาจนถึงตอนนี้ ไอ้สามเหี้ยมที่รู้ว่าในห้องมีผมกับเขมินทรา มันพูดคุยกันถึงรูปถ่าย ตกลงแบ่งหน้าที่ว่าใครจะจัดการคนพี่คนน้อง ทั้งๆ ที่ห้องนี้เป็นของเขมินทราเพียงคนเดียว ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงแล้วคนที่บุกเข้ามาทำร้ายเขมินทราก็ไม่น่าจะรู้ว่าวันนี้ผมอยู่ด้วย ไม่มีความบังเอิญเกิดขึ้นแน่ๆ มีแต่ความตั้งใจล้วนๆ ทว่าไม่ว่าจะใครก็ไว้ใจไม่ได้ ตอนนี้แม้แต่รอยยิ้มของรปภ. ที่ให้ผมขึ้นคอนโดฯ มาก็ยังน่าสงสัย

“โอเคมิสเตอร์ที ยังไงซะปืนที่คุณให้มาก็ช่วยผมไว้” ผมคืนปืนให้กับมิสเตอร์ทีพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกเหมือนคนที่จมน้ำอยู่นานแล้วเพิ่งได้อากาศหายใจ บอกตามตรงว่าผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นแต่ก็ต้องยอมรับว่าเพราะปืนกระบอกนี้ผมถึงยังไม่เข้าตาจน คำพูดของมิสเตอร์ทีจึงมีน้ำหนักขึ้นมาเล็กน้อย แต่ผมก็ไม่คิดว่าเป็นฝีมือของเขมินทรา “ผมไม่รู้ว่าตำรวจจะมาที่นี่ไหมเพราะผมให้เขมินทราเป็นคนแจ้งความ แต่คุณเก็บกวาดให้เรียบร้อยดีกว่า ขืนส่งตัวให้ตำรวจเดี๋ยวก็โดนปล่อยตัวออกมาอยู่ดี พวกมันเป็นอันตรายกับผม”

“ตามบัญชาครับ” มิสเตอร์ทีเหยียดยิ้มออกมา แววตาเย็นชาของเขาทอดมองไปยังไอ้สามเหี้ยมที่ปิดปากเงียบไม่พูดไม่จาเมื่อตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ “คุณไปทำแผลดีกว่ามิสเตอร์เค แผลที่ใต้ตาของคุณคงลึกน่าดู ผมแนะนำให้ไปโรงพยาบาล”

พอถูกทักขึ้นความเจ็บแสบก็เข้ามาเยือน ผมยกมือขึ้นลูบบาดแผลใต้ตา ค่อนข้างแน่ใจว่าเกิดจากเศษกระจกที่กระเด็นมาโดน เลือดสีแดงที่ไหลอาบแก้มก็ส่งกลิ่นคาวคลุ้ง ผมเพิ่งรู้สึกตัวตอนนี้เองว่ามีแผลลึกแค่ไหนและโชคดีที่มันไม่ทำให้ผมกลายเป็นผู้ชายตาบอดไปจริงๆ เพราะแค่ตาบอดเรื่องความรักก็แย่เต็มทีแล้ว

แน่นอนว่าไม่ใช่เวลาตัดพ้อชีวิต แต่ก็ขอให้ผมได้หยุดพักกับเรื่องตลกร้ายพวกนี้บ้าง

“ครับ ผมจะไปโรงพยาบาล” ผมรับปากมิสเตอร์ทีก่อนจะเดินไปยังหน้าประตูห้องนอน ประตูยังคงปิดสนิท ผมยกมือขึ้นเคาะหลายครั้งแต่ก็ไม่มีการตอบสนองกลับมา ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นที่ดังเล็ดลอด “ขิม! ได้ยินกูมั้ย ทุกอย่างโอเคแล้ว! เปิดประตู!”

ผมไม่สนว่านี่จะเป็นละครฉากหนึ่งที่เขมินทราสร้างขึ้นหรือเป็นเรื่องจริงที่คนอื่นยัดเยียดความโหดร้ายให้ แต่ผมก็เต็มใจจะเล่นตามบทบาทของพี่ชาย เพราะไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไร เขมินทราก็คือน้องชายของผมอยู่ดี

น้องชายที่ผมก็ไม่ได้อยากมี ไม่ได้นึกอยากห่วง แต่ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น

เมื่อเขมินทราไม่ยอมเปิดประตู ผมจึงต้องหันหน้าไปหาพันธมิตรเพียงหนึ่งเดียว ถ้าในนิทานเรื่องที่อ่านผมเป็นชายขอทาน มิสเตอร์ทีก็คงเป็นพ่อมดที่คอยเสกของใส่กะลาทองคำและอำนวยให้เส้นทางสู่ปราสาทของเจ้าชายราบรื่น เพราะเขาเป็นพ่อมดที่หลงรักเจ้าชายแต่ไม่เคยยอมเผยตัวให้เจ้าชายได้เห็น มีเพียงชายขอทานอย่างผมที่รู้จักเขา “มิสเตอร์ที ฝากดูเขมินทราด้วย ต่อให้นี่จะใช่หรือไม่ใช่ฝีมือเขา คุณก็ช่วยรับคำขอของผมทีนะ”

“ครับ ภายใต้สัญญาพันธมิตรของเราแล้วผมจะรับฟังทุกคำขอของคุณ ตอนนี้ไปโรงพยาบาลได้แล้วครับ ผมเตรียมคนรถไว้ให้คุณอยู่ข้างล่าง”

ผมพยักหน้าแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเขมินทรา ความเหนื่อยล้าเข้าเกาะกุมจิตใจ รู้ดีทีเดียวว่านี่ไม่ใช่ทางของผม ผมไม่เหมาะกับความวุ่นวายพวกนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ที่โดนยิงก็คงเป็นปีชงของผมอย่างจริงจัง เพราะเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาแค่สองวันก็ต้องกลับเข้าไปอีก ทว่าวันนี้ที่มาก็ไม่ได้มีอะไรเสียเปล่า ผมเสี่ยงไปบ้างแต่ผมก็ได้รู้ในหลายๆ เรื่อง ผมได้เห็นบาดแผลของเขมินทรา แผลทั้งทางร่างกายและจิตใจ ผมได้รู้ถึงความรู้สึกของน้องชายตัวเองและได้รู้ว่าในเกมแห่งความละโมบนี้ผมไว้ใจใครไม่ได้เลยสักคนเดียว

.....................To be Continue......................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :L2:

รักน้ำ รักปลา รักเธอนะจ๊ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ขวัญกับขิมเป็นแฝดนรกมากเวลาอยู่ด้วยกัน.
แต่น่ารักนะ คือมั่นหน้ากันมากกกกกกกกกกกกก
ว่าแต่ ใครบ่งการ ใครอยู่เบื้องหลังยังไงเนี่ยยย

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ดราม่าหนัก

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
โอ๊ยย เครียดแทน

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7
โคตรกากเลยคุณธนิก เหอะ!!!!!! สงสารขวัญกับขิมที่ต้องมารักคนแบบนี้ แม่ง ยิ่งตอนอ่านว่าขิมเคยโดนทรมานนะ อยากให้คนทำแม่งรับรู้ความเจ็บปวดเหมือนกัน ให้ขสัญเล่นเป็นบทตัวร้ายที่จิตหน่อย ค่อยๆทรมานฝ่ายตรงข้าวช้าๆ สุดท้ายเอาไปปล่อยป่าค่อยๆให้สัตว์ร้ายมากิน ถึงจะตายก็ไม่ตายป่าว ยังมีคุณประโยชน์ให้เพื่อนร่วมโลก อีกอย่างอยากให้ขวัญระบายความอัดอั้นตันใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย ไหนๆทั้งหมดก็เกิดจากอินางแม่มดโรคจิต ก็มห้ความทรมานทั้งหมด ตกไปอยู่ที่มันเหอะ ส่วนอิคุณธนิกก็ช่างหัวแม่มมัน กากสัสรัสเซีย แค่ปกป้องคนที่ตัวเองรักยังไม่ทำ ดีแต่พูดคำหวานหลอกลวงไปวันๆ แทบไม่มัตวามจริงใจให้คนรักตัวเองเลย ไม่ว่าขิมหรือขวัญ อิคุณธนิกก็สมควรไปตายให้หนอนแดกค่ะ คนกระจอกของทุกๆปี

ปล.อยากแนบรูปตัวเองตอนอ่านตอนนี้จบมาก อยู่ก็รู้สึกสมเพช แล้วก็ยิ้มมุทปากเฉย หึ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ยิงกันสนั่นห้อง มิสเตอร์ทีรึเปล่าที่ส่งคนมายิง 2 แฝด
ใครๆ ก็เป็นผู้ต้องสงสัยแล้วละนาทีนี้

พอฟังเรื่องขิมแล้วสงสาร คุณธนิกโคตรเห็นแก่ตัว
ขนาดคบกัน 4 ปี พอขิมจะตายเลือกแม่ซะอย่างนั้น
คนแบบนี้ไม่ควรให้ความรู้สึกดีด้วยเลยสักนิดนะ


ขอบคุณมากๆ นะคะ เนื้อเรื่องตอนนี้ยาวสะใจมาก :katai2-1:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
สนุกมากกก ครบรสยิ่งกว่าอายิโนโมโต  ทั้งดราม่า ทั้งขำ ทั้งเอ็นดู ทั้งแอคชั่น ชีวิตน้องขวัญนี่มันวาไรตี้จริงๆ ชอบมากค่ะ ไม่เสียแรงที่เกาะคุณ สนฟ มาทุกเรื่อง

ไปค่ะไป ไปต่อยาวๆด้วยกัน ไม่ขอเดาหรือเลือกข้างใดๆทั้งสิ้น เพราะ...เดาไม่ถูกเลย 55555 มันน่าเชื่อไปหมด รอตามติดๆ อย่างเดียวเลยค่าา แต่...แต่มีสิ่งนึงที่มั่นใจ เกลียดอิพี่นิกคนเลือดเย็น(ไม่สุด)มากกก 55555 อะไรของแกร๊ เดี๋ยวรัก เดี๋ยวห่างเหิน ไหวไหมพี่นิก?  :laugh:

ออฟไลน์ BChampa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คนสั่งยิงอยู่ข้างคุณธนิก

ขวัญเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากเกินไป

ขิมรักคุณธนิกมาสี่ปี = สี่ปีที่โดนหลอก

ขิมถูกธนิษฐาทรมานจนอยากตายแต่คุณธนิกเลือกน้องสาว
แม่ถูกทรมาน จนแม่ต้องฆ่าตัวตาย

ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว เดี๋ยวขอกูอันเชิญโคนันก่อน ถามว่ามีใครตายเหรอเจ้าเด็กวายป่วงทุกย่างก้าวนั่นจะมา ก็ไอ้คุณธนิกไง

กาก ขี้ขลาด เห็นแก่ได้แต่ไร้ความรับผิดชอบ ทำเป็นแน่ ทำเป็นคนจริงเจ้าเล่ห์แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้แม่กับน้องจูงจมูกทำชั่วโดยเอาการทำงานหนักควรได้ผลตอบแทนมาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ห้ามปราม

ถ้าสุดท้ายคุณธนิกยังเป็นพระเอกนี่จะบอกให้แก๊งพ่อบ้านใจกล้ารุมยำตีน ความเป็นพระเอกไม่ได้เศษขี้เล็บของเสี่ยโปรด เฮียทองเลย แม้แต่พ่อพ่ายยังดีกว่าเลย

คุณธนิกไม่ควรได้ใคร ไม่ควรเหลืออะไรเลยแม้แต่ขวัญหรือขิม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2018 08:25:26 โดย BChampa »

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
มีแค่ 3 คนที่รู้เรื่องนี้ไหม ถ้าให้คิด

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
T น่าสงสัยมากบอกเลย
นิ่ม นี่เราสงสัยได้ไหมอ่ะ
ขิม นี่เฉยๆนะ ไม่สงสัยเท่าไร

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 574
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
สนุกมากค่ะ ยาวจุใจ
ตอนคุยกับคุณธนิกในรถนี่ชอบน้องขวัญมาก
น้องแบบสุดแล้ว พูดทุกอย่าง แต่คุณธนิกเนี่ย.. o12

เรื่องแผลของขิม ทำให้เริ่มโกรธคุณอีกแล้วแฮะ
กตัญญูกับแม่แต่ทำให้คนอื่นเจ็บปวด แบบนี้มันไม่ใช่แล้ว
รู้ทั้งรู้ว่าแม่ตัวเองเป็นยังไงแต่ยังลากขวัญเข้ามาเป็นเป้าอีก
น้องขวัญไม่น่ามารักคนๆนี้เลย

 :pig4:


ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
พี่เหี้ยน้องโง่คุยกันน่าเอ็นดู ฮ่าๆ  ตีนคงกระตุกตลอดการสนทนา
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกแย่กับคุณธนิก นางกากมาก
กากกว่าพี่ทองตรูยอมจดทะเบียนสมรสอ่ะ

ออฟไลน์ Justccwpo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารขวัญหนูลู้กกกกกกกก เห้อแค่วินมอไซต์ต้องเจออะไรขนาดนี้ด้วยหรอ

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
สงสารขิม อย่าให้ขิมเป็นตัวร้ายเลย พระเอกก็อย่าสมหวังง่ายๆนะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ที่ผ่านมาขิมก็ไม่ได้โกหกเรื่องโดนทำร้าย แต่สงสัยมิสเตอร์ทีตั้งแต่ขวัญโดนยิงแล้ว ปล่อยขิมไว้แบบนี้จะดีเหรอ เครียดเลยค่ะ ขวัญก็ไม่เบา ชอบตอนแฝดอยู่ด้วยกัน น่ารักมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ezi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เจ็บกว่านี้มีไหมม จัดมาเอาให้ซ้ำๆๆๆ ลงไปที่แผลเดิมๆ
ไม่อยากให้ขิมร้ายยกับขวัญเลยย เวลาเค้าคุยกันก้เป็นพี่น้องที่ฮาดีอ่ะ



ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ชอบโมเมนต์​พี่น้องของสองแฝดเค้าคุยกันนะคะ​ แล้วก็ไม่คิดว่าจะเป็นขิม​ด้วย​ ใครก็ไม่รู้​ มีแต่อันตรายอยู่​รอบตัว

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ยิ่งอ่านก็ยิ่งเครียด เพราะเดาไม่ถูกเลยว่าเป็นฝีมือใครกันแน่

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
พี่เหี้ยน้องโง่คุยกันน่าเอ็นดู ฮ่าๆ  ตีนคงกระตุกตลอดการสนทนา
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกแย่กับคุณธนิก นางกากมาก
กากกว่าพี่ทองตรูยอมจดทะเบียนสมรสอ่ะ

พี่ทองคงสะดุ้ง 55555555555

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :z6:  กากคือธนิต

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อยากรู้แล้วอ่ะว่าใครคือคุณที  :katai1:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
สนุกค่ะ ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นว่าใครเป็นคนบงการ

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
"คนบอบบางอย่างกูจะไปฆ่าใครลงวะ" เจอประโยคนี้ของขวัญเข้าไปถึงกับหลุดหัวเราะเลยค่ะ รู้สึกว่าเวลาขวัญอยู่กับขิมจะเป็นตัวของตัวเองมากนะชอบเวลาสองคนนี้อยู่ด้วยกันตลกดี
เรื่องนี้คนที่อ่อนที่สุดคงจะเป็นธนิกสินะ
คนที่ไม่น่าไว้ใจที่สุดก็น่าจะเป็นมิสเตอร์ทีรู้ทุกเรื่องของคนทุกคน

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
ปวดตับกันเลยทีเดียว  :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด