ผมกับคุณธนิกกำลังยืนงงอยู่ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง แม้ว่าการเดินทางจะเลทจากเวลาที่ตั้งใจกันเอาไว้ แต่ผมไม่ได้หงุดหงิดอะไรเพราะเขาตีตั๋วพิเศษพาทัวร์สวรรค์อยู่สามรอบ เชื่อแล้วว่าอดทนมานานและอัดอั้นมากจริงๆ
“จะป่วยมั้ยเนี่ยน้องขวัญ” คุณธนิกท่าทางเป็นกังวลตั้งแต่ออกจากบ้านมาแล้ว เรามาด้วยรถแท็กซี่ งดใช้บริการลุงกล้วยเพราะเขาไม่อยากให้ใครรู้ ออกจากบ้านตีห้าครึ่ง สะพายเป้คนละใบแล้วออกมายืนรอแท็กซี่หน้าหมู่บ้าน เดินผ่านพี่ยามยังเห็นนั่งหน้าง่วงอยู่กับกาแฟกระป๋อง แต่ตลอดทางเขาก็เอาแต่ถามถึงสภาพร่างกายที่ถูกเขาเอารัดเอาเปรียบเกือบชั่วโมง “นั่งรถไฟจะไม่กระเทือนเหรอ เปลี่ยนไปเป็นรถทัวร์วีไอพีหรือนั่งเครื่องดีกว่าไหม”
“ผมไหวครับ” ผมตอบพลางกัดขนมปังที่ซื้อมาจากเซเว่น ที่จริงพอถึงหัวลำโพงก็ไปกินโจ๊กกับคุณธนิกมาแล้ว แต่เพราะออกแรงไปเยอะผมจึงหิวเอามากๆ ตามประสาเด็กกำลังโต “ไม่ต้องห่วงนะ เด็กหนุ่มสุขภาพแข็งแรงอย่างผมไม่ป่วยง่ายๆ ยาแก้ปวดก็กินไปแล้ว เดินชิวเลย”
“ขอให้จริง ถ้าป่วยขึ้นมาพี่ฟาดแน่”
“ฟาดแบบที่ตีแรงๆ หรือฟาดแบบ...”
“แบบนี้!” เขาบีบแก้มพลางก้มลงมาจุ๊บริมฝีปากของผมและผละออกไปอย่างรวดเร็ว “ตี”
“ไม่เรียกตีซะหน่อยพี่นิก” ผมเถียง ยื่นหน้าไปหอมแก้มเข้า “ตีต้องแบบนี้ ใช้ปากตี แหะๆ”
“หัวเราะแก้เขินก็ได้ด้วยเหรอ”
“ต้องได้แล้ว ไม่แก้เขินผมหัวใจวายตายได้เลย”
“นึกว่าตายคาอกพี่ตั้งแต่ออนท็อปให้แล้ว”
ผมมองค้อน อยากตีเขาแรงๆ ที่ทำให้นึกถึงเรื่องน่าเขินไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา แต่ก็ตีไม่ลง กลัวเขาเจ็บ “อย่า-พูด-ถึง!!”
คุณธนิกหัวเราะพลางยื่นมือมาขยี้หัวผมเบาๆ “ตัวก็แค่นี้ ทำไมทำให้พี่เป็นได้ขนาดนี้วะ”
“ไม่ได้ทำอะไรเลย พี่นิกทำตัวเอง” ผมย่นจมูกใส่คนชอบปรักปรำ ก่อนจะฉีกขนมปังป้อนให้เขา เขาอ้าปากรับแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ แต่ก็ยังไม่ยอมจบประเด็น
“ไม่ทำเลยเนอะ รอยเต็มตัวพี่”
“วุ้ย! ก็บอกว่าอย่าพูดถึง วกเข้าตลอดอะ”
“ก็ในหัวพี่มันคิดแต่เรื่องนี้”
“ถึงว่าจ่ายค่าแท็กซี่เกิน ไม่มีสตินี่เอง ดีนะที่ลุงคนขับเขาท้วง”
ค่าแท็กสี่สองร้อยแต่คุณเขายื่นแบงค์ห้าร้อยแล้วบอกไม่ต้องทอน ไอ้ผมก็นึกว่าใจดีให้ทิปจนอยากด่า แต่ที่ไหนได้...ดีนะที่ลุงคนขับถามย้ำว่าไม่ต้องทอนจริงเหรอ ผมจึงได้รีบหาแบงค์ร้อยจ่ายให้แล้วรับแบงค์ห้าร้อยคืน
“แล้วทำไมน้องขวัญไม่ท้วง”
“ไม่มีสติเหมือนกัน เบลอๆ”
“ว่าแต่พี่” เขาว่าเสียงกลั้วหัวเราะพลางบีบจมูกของผม “แต่จะไม่ถามว่าทำไม เพราะเดี๋ยวเล่นมุขใส่พี่”
“กลัวมุขเบลอว่ารักแถบเหรอ”
ผมถามลองเชิงไปอย่างนั้น ไม่ได้หวังคำตอบจริงจัง แต่คุณธนิกกลับตอบแบบจริงจังว่า “ไม่กลัวมุข แต่กลัวเผลอตอบกลับว่ารักเหมือนกัน”
ไอ้...ฉิบ...หาย!!
ในใจของผมตะโกนเรียกไอ้แนนเพื่อนซี้ไปแล้ว ป่านนี้มันคงตื่นด้วยอาการจามติดกันไม่หยุด แต่...แต่! แต่ผมต้องการที่ระบายก่อนหัวใจจะออกมาเต้นนอกอก ไอ้แนนต้องได้รับรู้เรื่องนี้และมันต้องกรีดร้องไปกับผม
คุณธนิกแม่ง...
“ดีนะที่ผมไม่เล่น” ผมยกมือขึ้นทาบอกซ้าย หวังให้มันสงบลงหน่อย “อันตรายต่อการเต้นของหัวใจ”
“อ่า…” คุณธนิกหูแดง พลางเสมองไปทางอื่น ในขณะที่ผมก็ทำไม่ต่างจากเขา
บ้าเอ้ย! หัวใจของผมยังเต้นแรงไม่หยุดเลย
ทั้งที่รู้ดีแต่ก็ยังเผลอคาดหวัง ผมแม่ง...มีความสุขมากจริงๆ จนอยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ ระหว่างที่เรานั่งรอขบวนรถด่วนพิเศษรอบแปดโมงครึ่งที่จะพามุ่งสู่จังหวัดเชียงใหม่ด้วยกัน ที่ชานชาลาแห่งนี้จะเป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ผมไม่มีวันลืม ใบหูแดงๆ ของคุณธนิก รอยยิ้มของเขา กระเป๋า เสื้อผ้า รวมไปถึงกลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้ในวันนี้ ผมแน่ใจว่าผมจดจำทุกรายละเอียดได้ดี
“น้องขวัญ” คุณธนิกเอ่ยเรียกหลังจากที่นั่งเงียบๆ เกลี่ยนิ้วกับนิ้วมือของผมอยู่นาน
“ครับ” ผมขานรับ เผลอหันไปมองเขาที่เหมือนว่าจะมองผมอยู่นานแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านีเสหน้ามองคนละทางแท้ๆ
“เป็นแฟนกัน”
คำพูดของเขาทำให้ผมนิ่งงันไปเพียงครู่ ก่อนจะเลิกคิ้วมองใบหน้าหล่อเหลาที่มีแต่ความจริงจัง เขาไม่ได้กำลังล้อเล่นและไม่ได้กำลังลังเลหรือมีเรื่องให้กังวล เขาเหมือนคนที่ตัดสินใจดีแล้วที่จะพูดถ้อยคำที่มีผลต่อเราทั้งคู่ออกมา เพราะเราต่างรู้ถึงความเป็นไปไม่ได้ แต่เราต่างไม่เคยควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้เลย
“น้องดื้อนะ” ผมเตือนพลางยิ้มกว้างให้เขา “แล้วก็ขี้หึงมากด้วย”
“ไม่มากเท่าพี่หรอก” เขาแย้ง แววตาดุทำให้ผมต้องขยับเข้าไปกอดแขนเขาอย่างอ้อนๆ “ถ้าเราดื้อพี่ก็จะดุ จะตีด้วย”
“ชอบแฟนดุจัง เอวดุยิ่งชอบ ขยับรัวๆ”
“น้อง!” เขาหน้าแดง ร้องเสียงเข้ม “พูดอีกตีนะครับ”
“ไม่พูดแล้วค้าบ” ผมไถศีรษะกับต้นแขนของเขา รู้เลยว่าเขาแพ้ทาง เพราะเขากำลังปั้นหน้าดุทั้งที่กลั้นยิ้ม “น้องขอโทษ ห้ามตีๆ เดี๋ยวเจ็บ แต่ตีด้วยปากได้ ใช้...เอิ่ม...ตีก็ได้”
“อะไร”
“มือจ้า”
เขาถอนหายใจใส่พลางผลักหน้าผากผมหนึ่งที “ดื้อเก่ง กวนเก่ง”
“น่ารักเก่งด้วย”
“ขวัญพัฒน์”
“ยอมค้าบ แด๊ดดี้ดุจัง”
“น้องงง!”
คุณธนิกเหมือนแด๊ดดี้ แต่แด๊ดดี้สำหรับผมไม่ได้หมายถึงพ่อและเขาก็คงรู้ ก็แบบว่า...ผมไม่เก่งภาษาอังกฤษนี่นา เคยแต่ศึกษากับชาวญี่ปุ่น เห็นเธอเรียกชายคนรักว่าแด๊ดดี้ ผมก็อยากเรียกบ้าง แหะ แต่ขืนแกล้งบ่อยๆ แด๊ดดี้ฟาดผมด้วยมือใหญ่ๆ ของเขาแน่
“พี่นิกรู้ป่าวว่าเป็นแฟนกันแล้วจับมือกันได้นะ” ผมส่งนิ้วก้อยไปสะกิดนิ้วก้อยของเขา “จับฟรีไม่คิดเงินด้วย”
“มากกว่าจับก็ทำมาแล้วมั้ย”
“ไม่โรแมนติก!”
“อะๆ” เขาทำเหมือนต้องยอมอย่างเสียไม่ได้ แต่คนที่ทำเหมือนฝืืนใจกลับจับมือของผมไว้แน่น “จับมือแล้วทำอะไรอีก”
“ทำรัก”
“พูดอีกทีดิ๊”
“ง่ะ ดุ๊ดุ” ผมแทบจะยกมือไหว้ขออภัยเมื่อเห็นแววตาดุของเขา แต่เพราะมืออีกข้างโดนจับไว้ก็เลยทำได้แค่ส่งสายตาออดอ้อนให้ หากถามว่าสายตาออดอ้อนเป็นยังไง ผมก็คงตอบว่าก็แค่ใช้ฟิลเตอร์ในการมองเหมือนมองน้าลีตอนขอออกไปเที่ยวงานลอยกระทงและต้องกลับดึกกับไอ้แนน นั่นแหละ...สายตาออดอ้อน...มั้ง
“อย่าเล่นมากน้องขวัญ ถ้าพี่ทนไม่ไหวขึ้นมา ชานศาลาพี่ก็เปลี่ยนเป็นม่านรูดได้”
“คนกามแห่งปี”
“ตบตีแฟนด้วยความรักพี่ก็ถนัด”
“พี่นิกดุร้ายอีกแล้ว”
“ตบตีด้วยปากครับ”
“งั้นน้องจะดื้อ!”
“พอเถ๊อะ!”
“ฮ่าๆ ๆ”
คุณธนิกตัวจริงเป็นคนตลกนะรู้ยัง ตอนทำงานเขาก็เก๊กขรึมไปอย่างนั้น แต่ตอนที่อยู่กับผมก็จะมีหลายร่าง คงเพราะเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากกว่าแปดชั่วโมงต่อวัน ผมจึงโชคดีที่ได้เห็น เล่นได้บ้างไม่ได้บ้างก็ค่อยปรับกันไป ผมเด็กกว่าเขาก็ลำบากหน่อยเพราะบางทีก็พูดไม่คิด อยู่ด้วยกันมาก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยทะเลาะ แต่ไม่เคยสักครั้งที่จะทะเลาะกันรุนแรง เขาเป็นผู้ใหญ่มากแต่บางครั้งก็ย้อนแย้ง ทำตัวเหมือนเด็ก เรื่องที่ทะเลาะกันบ่อยที่สุดก็คือเรื่องที่ผมชอบได้แผลจากอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ แต่เขาเองที่ชอบทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ทุกอย่างระหว่างเราดีมากจนบางครั้งผมก็อยากจะตบตีตัวเองที่เผลอคิดไปว่าเขมินทราจะได้อย่างที่ผมได้ไหม แล้วผม...ได้มากกว่าที่ใครๆ เคยได้หรือเปล่า
ครับ...ผมเป็นเด็กไม่ดีเลย ว่าแต่คนอื่นโลภ ตัวผมก็โลภเหมือนกัน
โลภที่อยากจะเป็นคนสำคัญของคุณธนิกเพียงคนเดียว
“พี่นิกว่าถ้าเราไม่รู้ปลายทาง การเดินทางจะเป็นยังไง” ผมถามขึ้นในขณะที่มองรถไฟเข้าหลายขบวนบนราง ยานพาหนะที่จะพาผมกับคุณธนิกหนีไปจากความวุ่นวาย “เป็นไปได้ไหมที่รถไฟจะไม่หยุดวิ่ง เป็นไปได้หรือเปล่าที่สถานีปลายทางจะหายไป”
“ทุกขบวนที่จะออกวิ่ง ก็ต้องมีสถานีต้นทางกับสถานีปลายทาง ความเป็นไปได้มันมีอยู่เท่านั้น เดินทางนานแค่ไหนสักวันก็ต้องถึงอยู่ดี” เขาพูดพลางจับมือผมแน่นขึ้น “แต่ปลายทางของทุกคนไม่เหมือนกัน อาจมีใครบางคนลงระหว่างทาง พอถึงสถานีถัดไปก็มีคนขึ้นมาใหม่”
“แล้วถ้าบนรถไฟมีแค่เราสองคนล่ะพี่นิก ถ้าผมไม่ยอมให้รถไฟหยุดวิ่ง ไม่ให้มันถึงสถานีปลายทาง ไม่ให้คนอื่นขึ้นมา”
“งั้นพี่คงต้องรวยมากๆ ถึงจะซื้อรถไฟทั้งขบวนให้น้องได้”
“ผมจะทำให้พี่รวยมากๆ เอง เพราะฉะนั้นซื้อรถไฟให้ผมนะ”
“ไว้ถึงเวลานั้น ซื้อเครื่องบินให้ดีกว่า” เขาคลี่ยิ้มหน้ามองในขณะที่เราหันมาสบตากัน “อยากพาน้องขวัญบินไปบนท้องฟ้ากว้างๆ เป็นอิสระจากความวุ่นวาย”
“ขอบคุณครับ ผมจะรอนะพี่นิก” ผมบอกเสียงหนักแน่น “แล้วก็...อย่าบอกเลิกผม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าพี่นิกจะต้องไปเป็นของใคร แต่อย่าบอกเลิกกัน ผมรอพี่นิกอยู่ที่เดิม แม้ว่าสุดท้ายแล้วพี่นิกจะเลือกไปกับเครื่องบิน แต่ผมก็จะรออยู่ที่สถานีรถไฟ”
“รอผิดที่แล้วเราจะได้เจอกันเหรอ”
“เปลี่ยนสถานีรถไฟเป็นสนามบินสิครับ รวยแล้วทำอะไรก็ได้”
“ฮ่าๆ ๆ ไอเดียดีมาก งั้นก็รอพี่ที่เดิมนะ”
“ครับผม!”
สุดท้าย...แม้จะไม่มีใครมาเลยก็ตาม แต่ผมก็จะรออยู่ที่เดิม เพราะผมเลือกแล้ว ชีวิตของผมเลือกเขาแล้ว ผมเลือกที่จะเดินทางไปกับเขา ถ้าจุดจบของเราคือการจากลา งั้นผมจะเปลี่ยนให้มันเป็นคำสัญญาของการรอคอย ผมอาจจะต้องรอไปตลอดชีวิต แต่ไม่เป็นไร เพราะผมรอด้วยความเชื่อที่ว่าเขา...จะกลับมา
“พี่นิกครับ ไปขึ้นรถไฟกันเถอะ” ผมลุกขึ้น ยื่นมือไปตรงหน้าเขา “ไปใช้ชีวิตของเราและมีความสุขไปด้วยกันนะครับ”
หากเป็นในละคร ผมก็อยากให้ขึ้นคำว่า จบบริบูรณ์เสียตรงนี้
จบตรงที่คุณธนิกยื่นมือมาจับมือผมพร้อมรอยยิ้มและลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน
ปัง!!
เสียงแสบแก้วหูดังลั่นชานชาลาก่อนความเจ็บจะแล่นริ้วขึ้นจนผมโอนเอนจนแทบล้ม แต่กลับมีมือที่สั่นเทากับเสียงร้องตะโกนของเขาช่วยเอาไว้ สีหน้าของเขาซีดเผือดตัดกับสีแดงฉานบนท้องของผมที่เริ่มกระจายเป็นวงกว้าง
“พี่...นิก” ผมพยายามเรียกชื่อเขา ไม่กล้าพอที่จะยื่นมือไปสัมผัส เพราะสีหน้าของเขา...ทรมานยิ่งกว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น “คุณธนิก...ครับ ทำไมต้อง...ร้องไห้...ด้วย”
ริมฝีปากที่ผมมักจะแอบจุ๊บก่อนนอนบ่อยๆ นั้นขยับให้เห็น แต่ผมไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดอะไร ผมได้ยินแค่เสียงของผู้คนที่กำลังโหวกเหวกโวยวาย ทว่า...ท่ามกลางผู้คนที่กำลังแตกตื่น ผมกลับเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน
“เจ็บ...” ผมอยากอ้อน เพราะกลัวว่าจะไม่ได้อ้อนเขาอีก “น้อง...เจ็บ แต่...ว่า...เจ็บน้อยกว่าที่พี่นิก...ทำนิดหน่อย”
“พอแล้ว” เขากระซิบ น้ำเสียงสั่นเทาจนผมกลัว...กลัวว่าเขาจะขาดใจตายลงตรงหน้า
“ล้อ...เล่น...ครับ น้องไม่...เจ็บ...เลยนะ อย่าทำ...หน้า...แบบนี้”
แบ่งมาครึ่งหนึ่งได้ไหม ความเจ็บของคุณธนิก แบ่งมาให้ผม...เพราะผมเป็นเด็กหนุ่มสุขภาพดีและแข็งแรงมาก
“หยุดร้อง...ครับพี่..นิก น้อง...ไม่มี...แรง...ปลอบ”
“อย่าทิ้งพี่...อย่าทิ้งพี่นะครับ” เขาอ้อนวอนทั้งน้ำตา แม้ว่าผมจะขอร้องให้น้ำตาของเขาหยุดไหล แต่เขาไม่ฟังเลย
คุณธนิกตัวจริงคือคนดื้อแบบนี้นี่เอง
ผมนอนมองเขา ในขณะที่เสียงรอบข้างเริ่มหายไปจากโสตการรับฟังทีละเล็กละน้อย แต่เสียงร้องไห้ของเขายังคงดังชัดเจน
นี่...ผมถามอะไรหน่อย ถ้าผมเขียนบทให้ตัวเองได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้แล้วเพราะฉะนั้นอนุญาตให้ผมเขียนฉากจบของตัวเองได้ไหม
ฉากจบที่จะเป็นการเริ่มต้นความสุขของผมกับเขา
ฉากจบที่มีแค่รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะ
ไม่ใช่ฉากจบที่เขาต้องร้องไห้แทบจะขาดใจอย่างนี้
ผมไม่ได้จะทิ้งเขาไปไหน...เพราะผมจะรอเขาอยู่ที่เดิม
คนอย่างผมอาจจะไม่มีอะไรเลย บทบาทของผมอาจเป็นแค่ชายขอทาน ชายขอทานที่ไม่ควรทำให้เจ้าชายร้องไห้ แต่ว่า...คนอย่างผมน่ะ ไม่ยอมผิดสัญญาหรอกนะ
ผมจะรอจนกว่าจะเจอเขาแล้วพูดกับเขาอีกครั้งว่า ‘สวัสดีครับ คุณธนิก’
...................To be continue.....................
น้องขวัญคะ รักหนูนะ