BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่ EP30- It's been you and always will [9.9.20 UP!]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: BEGIN AGAIN ที่เก่าเวลาเดิม แต่ EP30- It's been you and always will [9.9.20 UP!]  (อ่าน 15907 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตังจะขออะไรกันนะ?

ป.ล.  พี่แดนตายด้วยสาเหตุอะไรอ่ะ?

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
#Special (1) Until we meet again
«ตอบ #62 เมื่อ08-06-2019 14:19:16 »

Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#Special (1) Until we meet again



‘เอี๊ยดดดดดดด’


เสียงล้อรถบดไปกับพื้นถนนดังลั่นอยู่ในหูเมื่อผมเหยียบเบรกอย่างกระทันหันแต่มันก็ไม่ทันเมื่อรถพ่วงคันใหญ่ที่พุ่งเข้ามาไม่ได้ชะลอความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย และมันคงเป็นโชคร้ายที่มันพุ่งชนเข้าที่ด้านของคนขับพอดี เสี้ยวนาทีนั้นมันไม่มีทางหนี ผมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย


ความเจ็บปวดมันวิ่งพล่านไปทั้งร่าง กลิ่นคาวเลือดมันอบอวนรายล้อมคละคลุ้ง สมองของผมกำลังสั่งการให้ร่างกายของผมเคลื่อนย้ายออกไปจากตรงนี้ แต่ไม่ว่าพยายามซักแค่ไหน ร่างกายก็เหมือนไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว แน่นิ่ง จนไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เหมือนทุกส่วนของร่างกายได้ถูกตัดขาดจากการควบคุมของสมองไปหมดสิ้น


มันคงไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับผมอีกต่อไปแล้วใช่ไหม...



เขาว่ากันว่าคนที่ใกล้ตายจะมีเวลาทบทวนเรื่องราวต่างๆในชีวิตที่ผ่านมา แม้อาจเป็นแค่เสี้ยววินาทีแต่ภาพแฟลชแบคที่ไหลย้อนมามันก็เพียงพอให้จดจำไปจนหมดลมหายใจ


เหมือนผมกำลังนั่งดูหนังจอใหญ่อยู่ในห้องที่มืดมิด มองไม่เห็นอะไรนอกจากภาพความทรงจำที่กำลังฉายอยู่เบื้องหน้า ภาพเคลื่อนไหวเริ่มต้นตั้งแต่วันแรกที่ผมจำความได้ มันหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆก่อนจะช้าลงเหมือนให้ผมลำลึกถึงเหตุการณ์ ณ ช่วงเวลานั้น


ผมมองเห็นตัวเองในตอนเด็กๆ พี่ธาร พ่อ และ แม่ที่กำลังอุ้มไอ้ฟ้าเอาไว้ เรายืนอยู่ที่หน้าปราสาทใหญ่โต จำได้ว่าตอนนั้นครอบครัวเราไปเที่ยวที่ดิสนีย์แลนด์ฮ่องกงด้วยกันเป็นครั้งแรก ไอ้ฟ้ากำลังร้องไห้เพาะกลัวมาสคอต์ตัวอะไรซักอย่าง หน้าตามันตอนนั้นน่าเกลียดชะมัด


ผมกระพริบตาถี่ๆเมื่อภาพเหตุการณ์มันหมุนไปอย่างรวดเร็วจนเก็บรายละเอียดเอาไว้ไม่ทันก่อนที่มันจะมาหยุดตรงที่ผมกำลังยื่นกล่องแหวนให้พี่ธารในวันแต่งงานของพี่ธารกับพี่บัวในพิธีแบบคริสต์ จำได้ว่าวันนั้นแม่ยิ้มสวยมากกว่าวันไหนๆซะอีก


และภาพก็หมุนวนด้วยความเร็วอีกครั้งก่อนกลับมาเป็นปกติ


อืม… นั่นรับน้องแล้วสินะ ภาพที่เห็นใต้ตึกคณะวันนั้นมีผม ไอ้บอย ไอ้เต๋า ไอ้วิน และไอ้ตุลย์ที่ซิ่วไปอยู่มหาลัยชื่อดังแถวรังสิตตั้งแต่ยังไม่จบปีหนึ่ง เรากำลังรุมแย่งกันยืนบนกระดาษแผ่นเล็กมากบนพื้นท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆและรุ่นพี่สันทนาการ และก็เป็นไอ้วินที่มักจะวินสมชื่อเสมอ


ภาพตัดมาที่ห้องในคอนโดที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมหาวิทยาลัยนัก ครั้งแรกกับการใช้ชีวิตคนเดียวของผมเริ่มต้นที่นี่ แต่จะว่าไปก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่คนเดียวจริงๆหรอก เพราะผมพาเจ้าคอตตอนมาอยู่ด้วย คอตตอนมันเป็นแมวลูกโทนไม่มีพี่น้อง แม่ของมันชื่อแคนดี้ซึ่งเป็นแมวของคุณย่า แต่อยู่ๆวันหนึ่งมันก็หายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ตอนนั้นคอตตอนเพิ่งจะอายุได้แค่เดือนกว่าๆ เพราะอย่างนั้นผมก็เลยกลายเป็นพ่อมันอย่างสมบูรณ์


แล้วภาพก็เคลื่อนไหวหมุนไปด้วยความเร็วอีกครั้ง ก่อนจะหยุดลงที่ภาพใบหน้าของใครบางคน คนที่เป็นเหมือนลมหายใจของผม


“พี่แดน”


เสียงเรียกอ้อนๆดังขึ้นหลังจากที่เจ้าของใบหน้าน่ารักนั้นลืมตาตื่น ผมเห็นตัวเองเดินเข้าไปในจอภาพนั้นก่อนจะนั่งลงแล้วยีกลุ่มผมนุ่มลื่นมือเล่นเบาๆ


“ตังขี้เกียจอ่ะ ไม่ไปได้ไหม?”  สองแขนเล็กๆถูกส่งมากอดรอบเอวผมไว้ทั้งๆที่เจ้าตัวยังไม่ลุกขึ้นจากที่นอน ใบหน้าน่ารักซุกลงที่ข้างเอวเหมือนลูกแมวขี้อ้อน


“ให้ตังอยู่บ้านนอนกอดพี่แดนทั้งวันยังดีกว่าอีก”  พูดเสียงอู้อี้ มือก็ยังกอดแน่นไม่ปล่อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างเคย


แล้วนั่น...มันก็ทำให้ผมแพ้ให้คนขี้อ้อนอีกจนได้


ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันนะว่าไอ้เด็กห้าวเป้งพูดจาไม่รื่นหูคนนั้นยิ่งนานวันก็ยิ่งเหมือนลูกแมวขี้อ้อนได้ขนาดนี้ นึกถึงครั้งแรกที่ได้เผชิญหน้ากันอย่างจริงจังก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ วันนั้นเป็นวันรับน้องรวมของคณะ ผมรับหน้าที่เป็นพี่ว้ากซึ่งจริงๆมันไม่ใช่ตัวผมเอาซะเลย แต่ก็ขัดอะไรไม่ได้เพราะไอ้พวกเพื่อนเวรมันบอกว่าเวลาที่ผมทำหน้านิ่งๆมันดูเย็นชาไร้ความรู้สึกและไม่น่าเข้าหา


อืม...หน้าผมมันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ


ตอนนั้นผมตีหน้านิ่งพยายามบังคับตัวเองให้ดูเฉยเมยไร้ความรู้สึกที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ส่วนน้องน่ะเหรอ หน้าซีดอย่างกับไก่ต้มไปเลยล่ะ


"คุณมีปัญหาอะไรกับผมงั้นเหรอ คุณ...ตัง" ผมอ่านชื่อที่ป้ายคล้องคอนั่น ในที่สุดก็ได้รู้จักชื่อซักที เกือบจะหลุดยิ้มแต่ก็ต้องตีหน้านิ่งเอาไว้


"ปะ เปล่าครับ" คนหน้าซีดตอบเสียงสั่น มันดูน่ารักแต่ก็น่าแกล้งไปในเวลาเดียวกันอย่างบอกไม่ถูก


นี่เป็นครั้งแรกที่น้องรับรู้ถึงการมีตัวตนของผมซึ่งมันก็ติดลบจนไม่รู้ว่าจะกู้คะแนนยังไงไหว แต่ทำไงได้ล่ะ มาสายโหดแบบนี้แล้วก็คงต้องไปให้สุดทางล่ะมั้ง



แต่ถ้าจะให้ผมพูดถึงครั้งแรกของผมที่ได้เจอน้องจริงๆล่ะก็...มันไม่ถึงกับเป็นรักแรกพบหรืออะไรขนาดนั้นหรอกนะ แต่ก็ไม่รู้ทำไมผมถึงได้หยุดยืนแอบดูอยู่เป็นนานสองนาน


ก็ไม่รู้ว่าเคยเห็นกันไหมนะ คนที่ยืนคุยกับแมวจรที่ปีนไปนอนบนหลังคารถตัวเองเหมือนสนิทสนมกันมาแต่ชาติปางก่อน ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเปิดรถไปหยิบซองขนมเลียมานั่งยองๆข้างรถแล้วเอาให้แมวเลียจนหมดห่อ


หน้าตาหยิ่งซะขนาดนั้น...แต่พอยิ้มแล้วผมดันลืมใบหน้าขาวๆนั่นไม่ได้เลย





และหลังจากวันนั้นก็ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่คิดถึงเจ้าของรอยยิ้มน่ารักนั่น


ก็ตกหลุมรักไปแล้ว จะให้ทำยังไงได้ล่ะ






“มึงชอบน้องตังเอกแจปเหรอวะ?”



ไอ้บอยกับไอ้เต๋ามันแทบจะโพล่งออกมาพร้อมกัน ใบหน้าอมยิ้มกรุ่มกริ่มนั่นบอกเลยว่าโคตรน่ากระทืบ


“อืม” ผมตอบรับสั้นๆ ก็ไม่รู้จะปฏิเสธไปทำไมในเมื่อมันเป็นเรื่องจริง


แล้วพวกมันก็ไม่เลิกที่จะโห่แซวด้วยเสียงประหลาด รู้สึกรำคาญพวกแม่งนิดหน่อยก็เลยลุกหนีออกมา แล้วก็โชคดีชะมัดเพราะวันนี้ผมก็ได้เจอน้องอีกแล้ว…


มือหนึ่งถือแก้วโค้กมือหนึ่งกอดถุงขนมสีเหลืองสดใสเอาไว้ แต่ตาน่ะไม่ได้มองทางที่เดินเลยซักนิด ผมก็แค่ยืนอยู่เฉยๆ อืม...แต่จะเรียกว่าจงใจยืนขวางทางก็ได้


แล้วใครจะไปเชื่อว่าน้องจะเดินมาชนผมซะเต็มรักจริงๆ เสื้อนักศึกษาของผมเปียกชุ่มไปด้วยโค้ก แต่จริงๆนั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก


“เช็ด” ผมบอกสั้นๆเมื่อดึงมือคนตัวเล็กให้เดินตามมาถึงในห้องน้ำ น้องมันช้อนตาขึ้นมามองผมแต่ก็ยังไม่ยอมตอบรับอะไร ดวงตากลมมีแววขัดเคืองใจ นั่นมันยิ่งน่าแกล้งเป็นบ้า


“ถะ ถอยไป ดะ ดิ่วะ” น้องผลักผมออกอย่างลนลานเมื่อผมแกล้งเดินเข้าไปประชิด ท่าทางตลกๆนั่นทำให้ผมอดอมยิ้มเล็กๆไม่ได้


ริมฝีปากบางสวยขมุบขมิบเหมือนกำลังสาปแช่งผมอยู่ในขณะที่สองมือก็ขยี้เสื้อผมอย่างแรงเหมือนโกรธแค้นกันมานาน อดไม่ได้ที่ต้องหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูปเอาไว้ เจ้าตัวก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ แถมยังสะบัดน้ำใส่หน้าตัวเองให้ผมดูอีกต่างหาก


ซุ่มซ่ามชะมัด แต่ก็โคตรน่ารักเลย...




ผมยืนมองคนที่กำลังวิ่งรอบสนามฟุตบอลด้วยท่างทางหอบเหนื่อยกว่าคนปกติหลายเท่า ดูก็รู้ว่าน้องเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายตัวถึงได้เล็กแค่นั้น เห็นแล้วก็สงสารนะ แต่คนที่สั่งให้น้องวิ่งก็คือผมเองนี่แหละ คราวนี้ผมไม่ได้จะแกล้งน้องหรอกนะ แต่คนที่ทำผิดก็ต้องโดนลงโทษ ถึงสิ่งที่น้องทำจะเป็นการช่วยเพื่อนก็ตาม


“ไอ้แดนสิบรอบมันเยอะไปป่ะวะ? ตัวแม่งเล็กนิดเดียวโคตรน่าสงสารอ่ะ” ไอ้เต๋ามันเดินมากอดคอผมก่อนจะพูดออกมา


“มึงก็ทำมันลงเนอะ” ผมถอนหายใจก่อนดึงแขนหนักๆของมันออกจากบ่า


“งั้นก็ฝากมึงไปบอกให้พอเลยแล้วกัน”


ได้ยินเสียงมันหัวเราะไล่หลังตอนที่กำลังผละออกมาซื้อน้ำก่อนจะหยิบอมยิ้มรสคาราเมลติดมือมาด้วยหนึ่งอัน


ก็เพราะเวลาเหนื่อยๆแล้วได้กินของหวานมันก็จะหายเหนื่อยเร็วขึ้นยังไงล่ะ






“มึงแม่งทำอะไรไม่ระวังเลย”
ผมสบถใส่ไอ้วินอย่างหัวเสียหลังจากที่หิ้วปีกเด็กขาเจ็บไปที่หน่วยพยาบาลกลับมา


“กูไม่ได้ตั้งใจป่ะล่ะ เดี๋ยวกูก็จะไปขอโทษน้องมันอยู่แล้ว” ผมพยักหน้าแล้วคว้าเอาขวดน้ำใกล้ๆขึ้นมาดื่มเพื่อเตรียมตัวเข้าประจำฐานเหมือนเดิม


“ไอ้บอยบอกว่านั่นเด็กมึง” ไอ้วินมันยิ้มก่อนจะพูดต่อ


“ถึงว่าประคบประหงมเหลือเกินไอ้สัด”


แล้วก็เป็นเพราะไอ้บอยรู้โลกรู้ ตอนนี้น้องมันก็เลยกลายเป็น ‘เด็กผม’ ไปซะแล้ว







เป็นหลายวันที่ผมไม่ได้เจอน้องอีกเลยหลังจากรับน้องใหญ่ของคณะ จริงๆมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะไม่ได้เจอน้องบ่อยๆเพราะว่าเราอยู่กันคนละเอก ตารางเรียนก็แทบจะไม่ตรงกัน แต่วันนี้พอออกจากห้องกิจกรรมมา ใครจะไปคิดว่าน้องจะยืนรออยู่ตรงนั้นได้ล่ะ


“พี่ดินแดน”


“มีอะไร?” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่จริงๆก็แค่เกร็กขรึมไปอย่างนั้น


“เอาของพี่คืนไป” ฝ่ามือเรียวเล็กล้วงผ้าเช็ดหน้าสีเทาออกมาจากกระเป๋าสะพายก่อนจะยื่นมาตรงหน้า ผมรับมันมาก่อนจะเอายัดใส่กระเป๋าเสื้อแบบไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่ผมสนใจคือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ต่างหาก


เราเงียบกันอยู่ครู่หนึ่งเหมือนเป็นสัญญาณอะไรซักอย่าง


“งั้นผม…”


“อยากกินซูชิ ไปกินด้วยกันหน่อยดิ่” พูดขัดออกไปแบบนั้นก่อนจะคว้ามือน้องมาจับแล้วเดินออกไปซะดื้อๆ


“เห้ยพี่!” คนที่โดนผมจับมือร้องออกมาเสียงหลง แต่ก็เงียบลงเมื่อผมคลายมือออกแต่ก็ไม่ได้ปล่อย มันอาจจะเป็นเพราะถ้าเสียงดังจะกลายเป็นจุดสนใจของคนอื่นก็ได้ที่ทำให้น้องไม่โวยวายอะไร ปล่อยให้ผมเดินจับมืออยู่แบบนั้นจนไปถึงที่จอดรถ


และวันนั้นก็เป็นวันที่เราได้เดทกันครั้งแรกจริงๆ


ถึงจะเป็นเดทแบบมึนๆก็เถอะ







และผมก็รู้ว่าเราควรพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่ผมกำลังบอกกับตัวเองอยู่ ถึงมันจะทำให้ผมต้องเสียเวลารวบรวมข้อมูลรายงานใหม่เพราะไอ้เด็กขี้โวยวายมันสาดนมชมพูใส่กระดาษแบบสอบถามของผมซะเปียกชุ่มไปหมด แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่วันนี้ผมไม่ได้หยิบแมคบุ๊คไปโรงอาหารด้วย


“มึงควรรับผิดชอบ” แค่แกล้งขู่นิดหน่อย ก็ไม่คิดหรอกว่าน้องจะตามมาช่วยผมทำรายงานที่คอนโดผมจริงๆ


ใบหน้าน่ารักเกยค้ำอยู่บนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยเมื่อเจ้าตัวกำลังเพ่งอ่านตัวหนังสือที่ผมเขียนอยู่ในกระดาษ บนตักก็มีเจ้าคอตตอนนอนขดอยู่ เกินหน้าเกินตาพ่อมันเหลือเกิน


ผมกลับมานั่งพิมพ์รายงานต่อเองเมื่อสั่งให้คนที่กินช้าเก็บจานไปล้าง คนที่เดินตามมาที่หลังทิ้งตัวลงนั่งมองผมอยู่บนโซฟาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดอะไรอยู่หลายที อยากจะแกล้งให้มาทำให้อยู่หรอก ติดแค่กลัวมันจะไม่เสร็จทันพรีเซนต์พรุ่งนี้น่ะสิ


“ถ้าพี่ทำเองผมจะกลับแล้วนะ”


แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังอยากให้น้องนั่งอยู่ด้วยกันอยู่ดี


“ฝากคอตตอนหน่อย เมื่อย” ก็เลยต้องอุ้มเจ้าคอตตอนออกจากตักไปส่งให้คนที่นั่งทำหน้าเหวออยู่บนโซฟาแล้วหันกลับมานั่งทำงานต่อ


ใครจะไปคิดล่ะว่าหันไปอีกทีจะนอนกอดกันหลับทั้งคนทั้งแมวไปแล้ว เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น ช่วยไม่ได้ก็เลยต้องอุ้มเข้าไปนอนบนเตียงให้เจ้าตัวได้นอนหลับสบายก่อนที่ผมจะกลับออกมานั่งทำงานต่อจนเกือบเช้า


เจ้าเด็กขี้โวยวายนั่น ตื่นมาจะทำหน้ายังไงนะ







ผมตัดสินใจเดินขึ้นมาที่ห้องเรียนของน้องเมื่อไม่ได้รับการติดต่อใดๆจากคนที่น่าจะออกจากห้องของผมเมื่อตอนสายเพราะมีเรียนบ่าย เมื่อเช้าผมทำแซนด์วิชเผื่อไว้ให้ ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวแสบจะหยิบมันมากินหรือเปล่า ผมไม่ได้โน๊ตบอกไว้ด้วยสิ


เสียงจอแจหลังเลิกคลาสเงียบกริบหลังจากที่ผมก้าวเข้ามาในห้อง ทุกคนหันมามองที่ผมแทบจะเป็นตาเดียว ยกเว้นคนที่ผมตั้งใจมาหานี่แหละที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเก็บของลงกระเป๋าเป้ แต่ก็นะ พอเงยหน้ามาเห็นผมเท่านั้นแหละ


“กูไปก่อนนะ!” พูดจบก็ดึงแขนเสื้อผมลากออกจากห้องไปอย่างเร็วเลย ท่าทางลนๆนั่นน่ารักดีเป็นบ้า


ผมรับคีย์การ์ดที่ถูกส่งมาจากมือน้องก่อนที่จะพูดคุยกันต่อแค่สองสามประโยค


“ไม่มีไรแล้วผมไปนะ เพื่อนรอ”


ผมได้แต่พยักหน้าเบาๆ แม่งเอ้ย แม้แต่ประโยคโง่ๆอะไรก็ได้ที่จะพูดเพื่อรั้งน้องเอาไว้ผมก็ดันนึกมันไม่ออก แต่อะไรก็ได้ช่วยทำให้น้องหันกลับมาทีได้ไหม


สาบานเลยว่าถ้าน้องหันกลับมา ผมจะเดินหน้าแบบไม่มีถอยอีกแล้ว


1 ก้าว

2 ก้าว

3 ก้าว


แล้วผมก็ต้องเปิดยิ้มกว้างทั้งที่หัวใจกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อสองขาเรียวเล็กนั้นหยุดลงก่อนที่ใบหน้าน่ารักจะหันกลับมา และผมก็ไม่รอช้าที่จะก้าวตรงไปหยุดอยู่ข้างหน้าน้องในทันที


“ไปกินข้าวด้วยกันไหม…?”


“อื้อ”



คำเดียวแค่สั้นๆ แต่พอได้ยินแบบนั้นแล้วโคตรมีความสุขเลยว่ะ











น้องหายไป…


ผมกำลังถูกหลบหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย สาเหตุก็คงจะเป็นเพราะเรื่องที่ผมตั้งใจจูบหน้าผากน้องมันวันก่อนน่ะแหละ วันนั้นน้องไม่ได้หลับ ผมรู้ และที่ผมทำไปก็เพราะอยากจะให้น้องมันรู้ว่า ไอ้ที่มาขู่ผมฟ่อๆห้ามไม่ให้ผมไปยุ่งกับเบลรุ่นน้องในเอกนั่นมันไม่ได้มีความหมายอะไรกับผมเลยซักนิด


ก็ไอ้ที่ผมพูดว่า มึงจีบได้ กูก็จีบได้ นั่นหมายถึงจีบเจ้าตัวเองต่างหากล่ะ ชวนไปกินข้าว ชวนไปดูหนัง ตามจีบตามวอแวขนาดนี้ยังคิดว่าผมจะไปชอบคนอื่นได้อีกเหรอวะ จะซื่อบื้อเกินไปหน่อยแล้วมั้ง


‘นี่เด็กใครวะ’

‘หน้าคุ้นๆมั๊ยไอ้แดน’

‘AlwaysWin Sent you a photo’


ผมเปิดอ่านข้อความในไลน์ที่ไอ้วินเป็นคนส่งมาก่อนจะกดเข้าไปดูรูปที่มันส่งต่อมาอีก เป็นรูปน้องกับเจ้าเด็กแฝดนั่นที่ร้านเหล้าหลังมอ แล้วนั่นก็ทำให้ผมต้องคว้ากุญแจรถออกจากห้องไปแทบจะทันที


“ไอ้...พี่ดิน แดน...ไอ้เหี้ย ภาพหลอน” ฝ่ามือเรียวตบแก้มผมแปะๆก่อนที่เจ้าขอฝ่ามือจะสบัดหัวเบาๆแต่ก็ทำให้เจ้าตัวเซถลาเกือบล้มลงกับพื้นจนผมต้องรีบคว้าเอวบางมากอดเอาไว้


“ไอ้ปอกูจะอ้วกว่ะ” เสียงงึมงัมดังขึ้นจากคนที่ซุกหน้าอยู่กับอกผม แม่งหวยจะออกที่กูไหมล่ะ


“กูอยู่นี่ต่างหาก” เสียงพูดกลั้วขำของหนึ่งในฝาแฝดดังขึ้นก่อนที่อีกคนจะหัวเราะเสียงดังแล้วพูดบางอย่างออกมาให้ผมหายงุ่นง่านที่เห็นไอ้ตัวดื้อนี่เมาไม่เป็นท่า


“ถ้าพี่บอกว่ามาเพราะไอ้ตังเรียกผมก็จะเชื่ออ่ะ แม่งพูดชื่อพี่มาร้อยครั้งแล้วมั้งตั้งแต่นั่งมาเนี่ย”








“ผมไม่ได้เป็นเกย์!” เสียงตะโกนดังลั่นก่อนที่สองมือที่ติดสั่นจะผลักหน้าอกผมแรงๆอยู่หลายทีจนผมต้องรวบข้อมือบางเอาไว้


“ตัง…” ผมเรียกในขณะที่อีกคนได้แต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตา ไหล่เล็กๆยังคงสั่นเทาในขณะที่เจ้าตัวก็กำลังคงเปล่งคำพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวออกมา


“พี่เข้าใจป่ะวะว่าผมไม่ได้เป็น…”


ผมเม้มปากแน่นในขณะที่มือที่กำข้อมือบางไว้จะค่อยๆคลายออก วันนี้...มันคงเป็นวันสุดท้าย ในเมื่อท้ายที่สุดแล้วน้องมันก็เลือกที่จะสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อกันผมออกไปจากชีวิต


“โอเคตัง พี่ยอมแพ้”


ปล่อยมือไปแล้ว และก็คงจะไม่มีโอกาสได้จับเอาไว้อีกแล้วสินะ


แต่อยู่ๆฝ่ามือบางก็ถูกส่งขึ้นมากำเสื้อตรงหน้าอกผมไว้จนยับย่น ดวงตาสวยมีประกายสั่นไหวและเต็มไปด้วยนัยบางอย่างมากมาย


“แล้วทำไมแม่งต้องเป็นพี่ด้วยวะ”


“ทำไมไอ้หัวใจเฮงซวยนี่แม่งต้องเต้นแรงแค่ตอนที่อยู่กับพี่ด้วย?”


ผมรวบตัวน้องเข้ามากอดแน่นด้วยแรงทั้งหมดที่มีหลังจากที่ดวงตาคู่สวยเงยขึ้นมาสบตากันก่อนจะกระซิบบอกน้องว่านั่นมันเป็นสิ่งที่ดีแล้ว และผมดีใจมากแค่ไหนที่มันเป็นแบบนั้น


“เราคบกันนะ”






ผมกระพริบตาถี่ๆหลายครั้งเมื่อจอความคิดมันดับวูบลงและแทนด้วยเสียงไซเรนของรถพยาบาลที่ดังขึ้นจนอื้ออึงอยู่ในหู เลือดที่ไหลซึมเข้ามาในตาทำให้ผมมองอะไรไม่เห็น แต่ความรู้สึกมันเหมือนว่ากำลังถูกรายล้อมด้วยกลุ่มคนที่กำลังสนทนากันเซ็งแซ่


“คุณๆ คุณได้ยินผมหรือเปล่า?”


ได้ยินสิ ผมได้ยิน


“เขาเสียเลือดมาก ผมว่าคงช็อคหมดสติไปแล้ว”
 

นั่นหมายถึงผมเหรอ


“คุณ….”


“ผมว่าเขาไม่รอดแล้ว”


ไม่นะ ใครก็ได้ช่วยผมที


“หลีกทางให้เจ้าหน้าที่ด้วยครับ ถอยด้วยครับ”


ใช่ ช่วยผมนะ


ผมยังไม่อยากตาย…..









xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


หายไปนานมาก ขอโทษด้วยค่ะ
ใครลืมแล้วก็อ่านย้อนเก่าก่อนนะคะ T-T
สัญญาว่าถึงจะดองนานแค่ไหนก็จะเขียนให้จบค่ะ
บีสอง
Twitter @B2YFICTION

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ง่า...รอที่จะรู้ว่า 

น้องตังจะทำอย่างไรให้พี่มันฟื้น

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#23


‘ติ๊ด’

‘ติ๊ด’

‘ติ๊ด’

เสียงสัญญาณอะไรซักอย่างที่ดังขึ้นต่อเนื่องเรียกให้ผมค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ ใบหน้าของใครบางคนที่เลือนลางปรากฏขึ้นตรงหน้าก่อนจะมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาให้ได้ยิน

“ป๊าคะ ม๊าคะ ตังฟื้นแล้วค่ะ”

ผมกระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับโฟกัสให้ภาพที่พร่าเบลอค่อยๆชัดเจนขึ้น แต่พอคิดจะขยับตัวก็ต้องยอมแพ้เมื่ออาการปวดจี๊ดที่หัวและไหล่ข้างขวามันทำให้ผมไม่สามารถขยับได้อย่างที่ใจนึก

“น้องตังของม๊า” ฝ่ามืออุ่นๆทาบลงที่ข้างแก้มผม น้ำเสียงอ่อนโยนของม๊าสั่นเครือเล็กๆ ผมหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะลืมขึ้นมาใหม่ และในตอนนี้ผมก็มองทุกอย่างได้ชัดเจนขึ้น

“ม๊า…” ผมเอ่ยเรียก ม๊าพยักหน้าก่อนจะลูบที่ข้างแก้มผมเบาๆ

“ป๊า…เฮียเต้…”

และคนสุดท้ายที่ผมมองเห็นในสายตาตอนนี้

“เบล.…”

ภาพเหตุการณ์หลายอย่างที่ประดังประเดเข้ามาในสมองทำให้ผมต้องหลับตาลงอีกครั้ง

“ฮึก…”

ไม่ว่าจะพยายามกลั้นสักเท่าไหร่สุดท้ายผมก็ปล่อยให้ตัวเองสะอื้นออกมาอยู่ดี มันเหมือนกับเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่เป็นทั้งฝันร้ายและฝันดีในเวลาเดียวกัน

ฝัน….ที่ยาวนานเหลือเกิน

“ตังเจ็บตรงไหนหรือเปล่าลูก? ป๊ากดกริ่งเรียกพยาบาลสิคะ”

“ฮึก…”

“ตังคะ เจ็บตรงไหน ค่อยๆพูดออกมานะ ใจเย็นๆ” ฝ่ามือเล็กๆของเบลกุมมือผมเอาไว้แล้วบีบเบาๆ แต่น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นกลับมีน้ำหนักราวกับหินก้อนโตที่กดทับหน้าอกผมเอาไว้จนหายใจไม่ออก ความรู้สึกผิดมันวิ่งวนเข้ามาในใจอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นภาพของใครอีกคนก็ยังแจ่มชัดในความรู้สึกของผมอยู่ดี

พี่แดน…

“ทุกอย่างปกติ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ” คุณหมอหันไปพูดกับป๊าและม๊าหลังจากที่เข้ามาตรวจเช็คอาการของผมอยู่พักใหญ่

“แต่น้องผม…”

“หมอคิดว่าคนไข้อาจจะรู้สึกเจ็บที่บาดแผลหรืออาจจะมีความฝังใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครับ” และนั่นทำให้ผมเลือกที่จะพลิกตัวหันหลังให้กับเสียงสนทนาที่ได้ยิน

ผมไม่ได้อยากร้องไห้ให้ทุกคนเป็นห่วง และสิ่งที่ผมเลือกนั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ผมคืนชีวิตให้พี่แล้วนะ

“ตัง” เสียงเรียกของเฮียเต้พร้อมฝ่ามือกว้างที่วางไว้บนไหล่ทำให้ผมต้องเม้มปากแน่นเพื่อสกัดกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้ก่อนจะโต้ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ตังแค่ เจ็บ แผล จริงๆ เฮีย”

เฮียเต้ไม่ได้พูดอะไรอีก ฝ่ามือกว้างลูบหัวผมเบาๆก่อนจะละออกไป เมื่อเสียงป๊ากับม๊าที่พูดคุยกับคุณหมอเงียบลง

ผมไม่ได้หันหลังกลับไปอีกจนกระทั่งหลับไปอีกครั้งและตื่นขึ้นมาในกลางดึกที่เงียบเฉียบ โคมไฟข้างหัวเตียงที่เปิดทิ้งไว้ทำให้มองเห็นว่าวันนี้เป็นม๊ากับพี่แป้งที่มานอนเป็นเพื่อนผม

ผมลุกขึ้นนั่งชันเข่าขึ้นมากอดไว้ด้วยแขนข้างเดียว ความเงียบเป็นเหมือนแรงดึงดูดให้มวลความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวและหมุนวนอยู่ในท้องก่อนที่มันจะค่อยๆรุนแรงขึ้นจนผมควบคุมมันไม่ได้ สุดท้าย ก็ต้องปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาอีกจนได้

“ฮึก…” ฟุบหน้าลงกับหัวเข่าโดยที่ยังใช้มือปิดปากเอาไว้ แต่ผมขอได้ไหม…

อย่าให้ม๊าตื่นขึ้นมาได้ยินผมเลยนะ



ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้วหลังจากที่ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงในห้องพิเศษของโรงพยาบาล เหตุการณ์ต่อเนื่องจากวันนั้นที่ผมขับรถชนกับต้นไม้ใหญ่ที่ข้างทางแล้วสลบไป ไอ้ป่านเล่าว่าผมไม่รู้สึกตัวเลยตลอดเวลาสามวัน ใช่ ที่นี่มันแค่สามวันเท่านั้นเอง

“น้องตังอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะลูก?” หม่าม๊าที่มีสีหน้าดีขึ้นจากวันก่อนเอ่ยถาม ผมยิ้มก่อนจะส่ายหัวเบาๆ แล้วพูดต่อ
“ม๊ากับป๊ากลับไปพักผ่อนเถอะครับ ตังอยู่ได้”

เอาจริงๆอาการผมดีขึ้นมากแล้ว ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วจนคุณหมอยังตกใจ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่รู้สึกตัวดูเหมือนอาการจะแย่เอามากๆ สัญญาณชีพเต้นเบาจนทุกคนใจไม่ดี แต่พอฟื้นขึ้นมาทุกอย่างกลับเป็นปกติ เหลือแค่รอยกระดูกร้าวที่ไหล่ขวากับหัวที่มีรอยเย็บเล็กๆเพราะมันแตกแค่นั้น

“ม๊าก็อยู่ได้ค่ะ” ม๊าลูบแก้มผมเบาๆแล้วส่งยิ้มสวยให้

“ทำไมม๊าดื้อ” ผมแกล้งว่า

“ดื้อเหมือนลูกชายค่ะ” ม๊าบอกแล้วหัวเราะเบาๆจนผมยู่หน้าใส่ มีที่ไหนล่ะม๊า เขามีแต่ลูกเหมือนแม่ต่างหาก

“น้องตังพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวม๊าออกไปทานข้าวกับป๊าแปบหนึ่งนะคะ”  ผมพยักหน้าในขณะที่ม๊าก็กดปรับเตียงลงแล้วพากันเดินออกจากห้องไปพร้อมกับป๊า 

เงียบอีกแล้ว….

ผมเงยหน้ามองเพดานสีขาวแล้วก็ต้องเม้มปากเข้าหากันเมื่อรู้สึกว่าขอบตามันร้อนผ่าว มันไม่ใช่ความรู้สึกเศร้าหรือเสียใจ เพราะมันประเมินไม่ได้เลยว่าผมดีใจมากแค่ไหนเมื่อตอนนี้พี่แดนยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าตอนนี้พี่แดนอยู่ที่ไหนหรือใช้ชีวิตทุกวันยังไง จะมีความสุขดีหรือเปล่า

แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงความรู้สึกเดียวที่ไม่ว่ายังไงผมก็สลัดมันออกจากหัวใจไม่ได้

‘คิดถึง’ มันร้ายแรงและทรมานมากขนาดนี้เลยเหรอ

ผมงอตัวเขาหากันทั้งๆที่กอดตัวเองไว้ ไม่ว่าผ้านวมผืนใหญ่ที่ห่มอยู่จะหนาซักแค่ไหนมันก็ไม่อุ่นเมื่อความรู้สึกที่เคยโดนโอบกอดจากวงแขนกว้างยังไม่จางไปไหน ผมยังคงจำได้ทุกอย่าง

“ผม ฮึก คิดถึงพี่นะ”

แต่ก็มีเพียงแค่ความเงียบงันเท่านั้นที่เป็นเหมือนดั่งคำตอบของความรู้สึก 

เสียงฝีเท้าหนักๆดังใกล้เข้าทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัวก่อนที่จะลืมตาตื่นเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหู

“คิดถึงจังครับ”  และวงแขนกว้างก็รวบตัวผมเข้าไปกอดไว้ ใบหน้าคมที่แสนคิดถึงขยับเข้ามาใกล้จนเป็นสิ่งเดียวที่มองเห็นก่อนที่ริมฝีปากอุ่นสีธรรมชาติจะกดจูบลงมาเบาๆ

“ผมคิดถึงพี่มากกว่าอีก” กระซิบชิดริมฝีปากก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มจูบพี่แดนก่อนบ้าง ผมกอดร่างกายหนาไว้ในอ้อมแขน เราต่างจูบกันและกันอยู่อย่างนั้นอย่างไม่รู้เบื่อ

“ผมรักพี่นะ….รักมากที่สุด” พร่ำบอกรักในขณะที่ริมฝีปากก็ยังเคล้าเคลียอยู่บนริมฝีปากอุ่น   

แต่อยู่ๆร่างกายที่เคยอุ่นก็เริ่มเย็นเยียบ

“พี่แดน…”

ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น แต่ยิ่งกอดแน่นเท่าไหร่ก็เหมือนกอดผืนทรายที่ค่อยๆไหลออกไปจนไม่หลงเหลืออะไรอีก

“พี่แดน ไม่!”

ผมสะดุ้งสุดตัวตื่นก่อนจะลุกขึ้นมาหอบหายใจแรงๆ ความปวดที่หัวไหล่ซ้ายเริ่มเล่นงานเมื่อผมขยับตัวเร็วจนเผลอท้าวมันลงกับขอบเตียง

“ฮึก…”

น้ำตาที่ไหลล้นออกมาจากหางตาทำให้ผมต้องรีบยกมือขึ้นปาดมันออกเพราะเสียงประตูห้องที่กำลังถูกเปิดออกแล้วมันก็คงจะช้าเกินไปเมื่อป๊ากับมารีบเดินตรงเข้ามาที่ข้างเตียง

“น้องตังเป็นอะไรคะลูก?” หม่าม๊าลูบหลังผมเบาๆ ในขณะที่ป๊าก็มีสีหน้าไม่ดีเท่าไหร่นัก

“เจ็บตรงไหนบอกป๊าสิลูก” เสียงทุ้มของป๊าขรึมลงอย่างเป็นกังวลแบบที่ผมไม่เคยได้ยิน แล้วนั่นมันก็ทำให้ความพยายามของผมพังทลายไม่มีชิ้นดี ผมทำให้ป๊ากับม๊าเป็นกังวลอีกจนได้

“ฮึก…”
“แบบนี้ มัน ฮึก เจ็บจังเลยป๊า”

“คนเก่งของม๊าไม่ร้องนะคะ” ฝ่ามืออุ่นทาบลงที่แก้มก่อนจะเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน ในขณะที่ป๊าก็ลูบหัวผมเบาๆ

“เดี๋ยวมันก็ผ่านไปนะลูก”



“ตังเป็นยังไงบ้างคะ?” คำถามพร้อมรอยยิ้มเล็กๆของคนที่เดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงเหมือนกับทุกวัน

“ดีขึ้นมากแล้วครับ” ผมตอบก่อนจะยิ้มน้อยๆให้

จากวันที่ผมฟื้นจนถึงวันนี้เบลไม่เคยพูดเรื่องที่บอกเลิกผมอีกเลย เบลยังคงดูแลผมอย่างดี นั่นยิ่งทำให้ปมที่อยู่ในใจของผมขมวดเข้าหากันแน่นขึงเข้าไปอีก

“หิวไหมคะ? ม๊าบอกว่าวันนี้ตังกินข้าวน้อยมากกก” เสียงเล็กๆน่ารักลากยาวในท้ายประโยคในขณะที่เจ้าของคำพูดก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง และยังคงเป็นเหมือนทุกวันที่ป๊ากับม๊าจะปล่อยให้เบลกับผมได้อยู่กันตามลำพัง

“เปล่านะครับ ม๊าโกหกเบลแล้วล่ะ”

“กินแอปเปิ้ลไหม เดี๋ยวเบลปอกให้นะ” 

“ไม่เป็นไรครับ”

“ดูทีวีไหม?” ผมส่ายหัวเบาๆ มองคนที่ยังกระตือลือล้นก่อนจะต้องเม้มปาก ความรู้สึกผิดมันเริ่มเอ่อล้นขึ้นมาจนอัดแน่นอยู่ในอก ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนที่จะตัดสินใจเปล่งเสียงเรียกออกไป

“เบลครับ”

แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของเบลที่ดังขึ้นก็แย่งความสนใจของเบลไปจากผมจนได้ ใบหน้าสวยเงยขึ้นมามองผมหลังจากที่ก้มมองที่หน้าจอโทรศัพท์แต่ยังไม่ได้กดรับสาย

“เดี๋ยวเบลมานะคะ”

ชั่วครู่หนึ่งในแววตาสวยนั้นวูบไหวในขณะที่เบลยิ้มน้อยๆให้ผมก่อนจะลุกเดินออกไปที่นอกระเบียงเพื่อรับสาย

“ตังคะ”

“เบลไปทำธุระเถอะ ตังโอเคครับ” ผมพูดออกไปแบบนั้นเพราะพอจะเดาได้ เบลเดินเข้ามาจับมือผมไว้ก่อนจะบีบเบาๆ

“ขอโทษนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เบลจะมาอยู่เป็นเพื่อนตังทั้งวันเลย” เบลยิ้มน้อยๆก่อนจะทำตาโตเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

“อืม ใช่สิ ตังคะ พรุ่งนี้จะมีพี่ๆจากสโมมาเยี่ยมนะคะ”

“อ่า...ครับ”

“เจอกันพรุ่งนี้นะคะ” 

พี่จากสโมเหรอ….ผมไปรู้จักกับใครตอนไหนนะ ?




ช่วงเวลากลางคืนที่เงียบงันกลับมาเยี่ยมผมอีกครั้งหลังจากที่เจ้ตวงกับเฮียกิจพาน้องต่อมาอยู่เล่นเป็นเพื่อนผมจนถึงหัวค่ำ และเพราะวันนี้ไอ้ปอกับไอ้ป่านต้องไปงานเลี้ยงกับที่บ้านก็เลยไม่ได้มาอยู่กับผมจนดึกดื่นเหมือนทุกวันนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าช่วงเวลากลางคืนในวันนี้มันยาวนานกว่าวันไหนๆ

เป็นครั้งแรกที่ผมตัดสินใจหยิบเจ้าไอโฟนสีดำของตัวเองขึ้นมากดเปิดเครื่อง ที่วอลเปเปอร์หน้าจอปรากฏรูปภาพผมกับเบลที่ถ่ายคู่กัน ไม่ใช่รูปเจ้าก้อนกลมสีเทานั่นอย่างที่คุ้นตา มีข้อความในไลน์ที่ขึ้นแจ้งเตือนให้อ่านอยู่มากมายแต่ก็ไม่มีอันไหนที่ทำให้ผมสนใจอยากจะอ่านเพราะชื่อไลน์ของคนที่เคยขึ้นอยู่เป็นอันดับแรกนั้นไม่มีอีกแล้ว

อินสตาแกรมเป็นแอพลิเคชั่นต่อไปที่ผมเลือกที่จะกดเข้าไปดู ไม่มีภาพเจ้าแมวเทาหน้าอ้วนตัวนั้นรวมถึงภาพของเจ้าของมันที่ผมกำลังคิดถึงจนจะเป็นบ้าอยู่เลยซักภาพเดียว….

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดหนักๆก่อนจะกดพิมพ์ชื่อแอคเค้าท์ที่จำได้ขึ้นใจในช่องค้นหาในขณะที่ในใจก็ลุ้นว่าในตอนนี้มันจะเป็นชื่อเดียวกับที่ผมจำได้หรือเปล่า

dindanvongvrp

หัวใจมันเต้นแรงจนปวดหนึบอยู่ในอก และชื่อพร้อมรูปโปรไฟล์ที่ปรากฎขึ้นก็ทำให้ปลายนิ้วที่ติดสั่นและชื้นไปด้วยเหงื่อของผมแตะเข้าไปดูอย่างอัตโนมัติ

พี่แดน...

ผมก้มหน้าลงซบที่หัวเข่าในขณะที่มือก็กำเจ้าไอโฟนไว้แน่น ความรู้สึกหลายอย่างมันประดังประเดเข้ามาในหัวจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ขอบตาที่ร้อนผ่าวทำให้ผมต้องยกหลังมือขึ้นปาดหยดน้ำที่เอ่อล้นออกมาอย่างลวกๆแล้วกดเข้าไปที่ภาพล่าสุด

ใบหน้าคมที่มีเหงื่อผุดพราวนั้นกำลังยิ้มให้กับกล้องโดยที่สองมือก็กำลังยกตระกร้าส้มใบใหญ่ ดูจากแบ็คกราวน์ที่ถึงแม้มันจะเบลอก็ตามทีแต่ก็รู้ได้ว่ามันน่าจะเป็นไร่ส้มที่ไหนซักที่ รอยยิ้มที่มีความสุขนั่นอดที่จะทำให้ผมยิ้มตามไม่ได้เลย ยิ้มทั้งๆที่น้ำตามันก็ยังไม่ยอมหยุดไหลซักที

ภาพต่อมาเป็นเจ้าแมวก้อนกลมที่กำลังใส่หมวกชาวเขาทรงสามเหลี่ยม หน้ากลมๆนั่นดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์ซักเท่าไหร่เลย ตลกชะมัด

เลื่อนดูไปเรื่อยๆภาพในความทรงจำมันก็ค่อยๆไหลกลับเข้ามาในสมอง พี่แดนก็ยังคงเป็นพี่แดนคนที่ลงรูปถ่ายอะไรอยู่ไม่กี่อย่างคนนั้น

และภาพนี้ที่ผมกำลังกดดูอยู่มันถูกถ่ายในฟิสเนสที่คอนโด แต่มันไม่ใช่รูปเซลฟี่

แล้ว...ใครกันนะที่เป็นคนถ่ายภาพนี้

อยู่ๆก็รู้สึกหน่วงในใจเมื่อภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเจอในฟิตเนสนั่นก็ฉายขึ้นมาในสมอง มันคงจะไม่ใช่เธอหรอกใช่ไหม มันอาจจะเป็นไอ้ฟ้าก็ได้ที่เป็นคนถ่ายให้

แต่เงาลางๆที่สะท้อนในกระจกนั่นก็ทำให้ผมต้องรู้สึกผิดหวัง

เงาของผู้หญิง แล้วเธอก็ผมยาวมากด้วย

ผมเม้มปากก่อนจะใช้หลังมืออีกข้างที่ว่างปาดน้ำตาตัวเองที่ไหลไม่หยุดอย่างน่ารำคาญลวกๆก่อนจะสไลด์ภาพในอินสตาแกรมไปเรื่อยๆด้วยปลายนิ้ว มีหลายรูปที่ไม่ใช่ภาพเซลฟี่ แม้กระทั่งรูปอาหารเช้าง่ายๆที่ผมคุ้นเคยดี เพียงแต่ในรูปที่เห็นมันก็ไม่ได้มีแค่ชุดเดียว

และภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนที่ผมจะปล่อยให้โทรศัพท์ร่วงลงบนที่นอนเพราะมือมันสั่นเกินกว่าที่จะจับอะไรไหวอีกแล้วก็คือรูปที่พี่แดนถ่ายคู่กับผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่ผมไม่เคยเห็นหน้า…

พี่แดนยิ้ม และมันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและความหมายดีๆที่ผมสัมผัสได้

“ฮึก…”

เหมือนตื่นจากความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า และความจริงหลังตื่นจากความฝันก็ทำให้หัวใจมันเจ็บจนแทบจะขาด

มันไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อโลกแห่งความเป็นจริงในตอนนี้...

ผมก็เป็นแค่คนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิตของพี่แดนเลย



TBC


ขอบคุณที่ยังไม่ลืมกันนะคะ
ยืนยันเหมือนเดิม ดองนานยังไงก็จะเขียนให้จบค่ะ
ขอคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้บ้างนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4: :L1:

ดีใจ มาต่อแล้ว

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ย้อนกลับมาที่ไทม์ไลน์ปกติ เวลาปกติ  เหตุการณ์จะเป็นไงน้อ?

อิพี่แดนจะยังคงให้ความสนใจน้องตังเหมือนไทม์ไลน์นั้นไหม?

คงต้องมาลุ้นกัน

ป.ล. มาต่อเร็ว ๆ น้า

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ lovejinjunno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ฮือออออ เป็นตอนที่ร้องไห้หนักมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#24



ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงสายของวัน เอาจริงๆผมก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองหลับไปตอนไหนหรือได้นอนไปกี่ชั่วโมง มันตื่น เพราะร่างกายตื่นก็เท่านั้น อาการบาดเจ็บต่างๆมันเริ่มหายไปจนแทบจะไม่รู้สึกเจ็บอะไรแล้ว ซึ่งอีกแค่ 2-3 วันผมก็จะได้ออกจากโรพยาบาลไปพักฟื้นที่บ้านต่อได้

“น้องตังอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ?” หม่าม๊าร้องทักขึ้นเมื่อผมลุกขึ้นนั่งบนเตียง ฝ่ามือบางลูบหัวผมเบาๆพร้อมรอยยิ้มบางๆ

“ตังกินอะไรก็ได้ม๊า” ผมตอบและพยายามยิ้มเหมือนอย่างเคย หม่าม๊าส่ายหัวก่อนจะใช้ฝ่ามืออุ่นโอบแก้มผมทั้งสองข้าง

“น้องตังผอมไปมากเลยรู้ไหมลูก”

“เป็นอะไร บอกหม่าม๊าได้ไหมครับ?” ผมจับมือที่ติดสั่นน้อยๆของม๊าเอาไว้ก่อนจะเป็นฝ่ายกอดร่างอุ่นเอาไว้ด้วยสองมือ

“ตังไม่ได้เป็นอะไรม๊า ตังแค่อยากออกจากโรพยาบาลแล้ว อยากให้ป๊ากับม๊าพักผ่อน”

“งั้นน้องตังก็ต้องกินเยอะๆสิคะ จะได้แข็งแรง”

“ครับม๊า วันนี้ตังจะกินเยอะๆเลย”

“ดีค่ะ”

“ฉะนั้นวันนี้ม๊าต้องกลับไปพักผ่อนที่บ้านนะ เดี๋ยววันนี้ตังอยู่กับไอ้ปอไอ้ป่านเอง” ผมบอก ม๊ายิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ

“ตกลงค่ะลูกชาย” 





และมันก็ผ่านไปอีกวันกับการใช้ชีวิตในโรงพยาบาล ไอ้ปอกับไอ้ป่านที่มาเฝ้าผมตั้งแต่เมื่อวานตอนนี้กำลังออกไปซื้อเสบียงมาตุนเพิ่มเพราะที่มันซื้อมาเมื่อวานไอ้ป่านมันฟาดเรียบไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน

เสียงประตูที่เปิดออกพร้อมเสียงพูดคุยของคนหลายคนทำให้ผมต้องยันตัวเพื่อลุกขึ้นนั่ง เป็นเบลที่เดินเข้ามาพร้อมๆกับพวกรุ่นพี่อีกสองสามคนทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเบลโทรมาบอกผมว่าที่จะมีพี่ๆจากสโมสรนักศึกษามาเยี่ยมผมเมื่อวานขอเลื่อนเป็นวันนี้แทน

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ในขณะที่ทุกคนก็ส่งยิ้มให้แล้วทักทายกลับมา

“แข็งแรงเร็วๆนะครับน้องตัง ผมขอวางตรงนี้นะ” พี่วินวางกระเช้าผลไม้ไว้ที่โต๊ะกระจกตัวเตี้ยข้างหน้าโซฟาก่อนจะหันซ้ายขวาเหมือนกำลังหาอะไรซักอย่าง 

“ปุ่น แล้วช่อดอกไม้อ่ะ?”

“คนถือเขาแวะคุยโทรศัพท์อยู่หน้าห้องนู่นค่ะ ขอบคุณค่ะน้องเบล” พี่ปุ่นบุ้ยใบ้ชี้มือไปที่หน้าประตู ก่อนจะหันไปรับแก้วน้ำที่เบลส่งให้

พูดคุยกันได้ซักพักพี่วินกับพวกพี่ๆที่เหลือก็ย้ายไปนั่งที่โซฟาเหลือแค่เบลที่ยังนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงผมเหมือนอย่างเคย ส่วนไอ้ปอกับไอ้ป่านพอรู้ว่าเบลมาก็เลยขอกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านแล้วค่อยกลับมาตอนเย็นๆแทน ก็พอจะรู้เจตนาของมันสองคนแหละครับ แต่แค่ในตอนนี้ระหว่างผมกับเบลมันคงจะกลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว

ซักพักเสียงประตูห้องที่ถูกเปิดออกก็เป็นจุดสนใจเดียวที่ทำให้ทุกคนในห้องหันไปมองเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา และการปรากฏตัวของใครบางคนก็แทบทำให้ผมลืมหายใจ

“กูนึกว่ามึงจะไม่เข้ามาแล้วไอ้ห่า” พี่วินร้องทักคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาที่ผมเสียงดัง ช่อดอกทานตะวันสีเหลืองสดใสถูกยื่นออกมาข้างหน้าทำให้ผมต้องยื่นมือออกไปรับทั้งๆที่มือยังติดสั่น

“แผลดูดีกว่าวันแรกเยอะเลยนะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคยดังก้องอยู่ในหัว ถึงผมจะไม่เข้าใจในความหมายที่เขาต้องการจะสื่อออกมา แต่แค่น้ำเสียงนุ่มทุ้มนั่นที่มันสะท้อนไปสะท้อนมาอยู่ในหูก็ทำให้หัวใจผมเต้นแรงจนเจ็บหน้าอกไปหมด

ผมไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป มันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่พี่เขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ ข้างหน้าผม ใบหน้าคมคายนั้นยังคงเหมือนเดิม เหมือนกับที่เด่นชัดอยู่ในทุกห้วงความทรงจำ

“ดีแล้วที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก” คนพูดยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ฝ่ามือกว้างถูกยกขึ้นมาแตะเบาๆที่ข้างผ้าก๊อซที่แปะทับรอยเย็บบนหน้าผาก

“พี่...แดน” ผมยกมือขึ้นแค่ไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่จะได้สัมผัสฝ่ามือกว้างก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าอย่างแรงมาปะทะให้เจ้าตัวชักมือออกจากผมไปทันที ดวงตาคมวูบไหวก่อนที่คนตรงหน้าจะหลับตาลงชั่วครู่แล้วลืมตาขึ้นมาด้วยสายตาที่แปลกไปไม่เหมือนเดิม แล้วถอยตัวห่างออกไปอีกก้าว

“พี่แดนคะ น้ำค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ดวงตาคมละออกไปจากผมแล้ว ความวูบโหวงตีตื้นอยู่ในอกทำให้ผมต้องเม้มปากแน่นเมื่อความรู้สึกทุอยากที่ประทุอยู่ข้างในมันเหมือนจะล้นทะลักออกมา ทั้งๆที่ห่างกันแค่ไม่ถึงสองก้าวแต่มันกลับไกลจนจับต้องไม่ได้อีกแล้ว

“ตังจำพี่แดนได้ไหมคะ?” 

จะจำไม่ได้ ได้ยังไง ก็ไม่เคยลืมเลยซักที

“วันนั้น ที่ตังขับรถชน พี่แดนเขาเป็นคนที่เข้าไปช่วยตังนะคะ เบลตกใจมากตอนที่มาถึงโรงพยาบาลแล้วเห็นเลือดเต็มเสื้อพี่แดนไปหมด”

“เลือด...พี่...แดน..เหรอ” 

เป็นพี่เขาที่ขมวดคิ้วให้กับสรรพนามที่หลุดจากปากผมอีกครั้ง ดวงตาคมฉายแววสับสนไปชั่วขณะ แล้วนั่นก็ทำให้ทุกอย่างที่ตีรวนอยู่ข้างในตัวผมล้นทะลักออกมาจนหมด

“ฮึก…” ภาพความทรงจำในวันนั้นถูกย้อนกลับเข้ามาในสมองผมจนหมดอีกครั้ง ทั้งร่องรอยบาดแผลบนใบหน้าคม ทั้งร่างกายหนาที่เต็มไปด้วยเลือดนั่น…

วันนั้น...มันเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน

“ฮึก...ผม ขอโทษ…” 

ช่อดอกไม้สีสดใสตกลงไปที่พื้นอย่างช่วยไม่ได้เมื่อผมไม่มีแรงที่จะถือมันเอาไว้อีกแล้ว เสียงเรียกชื่อผมจากใครต่อใครที่ดังเซ็งแซ่เป็นเหมือนแค่ลมที่พัดผ่านออกไปจากหัว ทุกอย่างรอบตัวมันมืดไปหมดเหลือเพียงภาพจำที่ยังคงฉายชัดอยู่ในสมอง

“พี่แดน ตัง ขอ..โทษ..”

“น้อง...เอ่อ ตัง”

“ผม ขอ โทษ”

“ตัง” เสียงเรียกทุ้มๆที่ดังขึ้นพร้อมความอบอุ่นของอ้อมกอดจากวงแขนกว้างยิ่งทำให้น้ำตามันไหลไม่หยุด ความรู้สึกมากมายมันเอ่อล้นออกมาจนเรียบเรียงไม่ถูก

“ฮึก ขอ โทษ”

“ชู่ว์ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” ฝ่ามืออุ่นลูบเบาๆบนหัวในขณะที่มืออีกข้างก็ลูบแผ่นหลังขึ้นลงเป็นการปลอบประโลม มันกลายเป็นว่าตอนนี้เป็นผมเองที่กำลังกอดคนตรงหน้าเอาไว้แน่น

“ไม่เป็นไร” เสียงพร่ำบอกไม่ดังนักยังคงดังอยู่ข้างหู ความอื้ออึงในสมองมันเริ่มเบาบางลงช้าๆ ความอบอุ่นจากร่างกายหนาทำให้ปลายนิ้วที่เย็นจนชาค่อยๆกลับเข้าสู่อุณหภูมิปกติอีกครั้ง

“ตัง ขอโทษ..”

“ครับพี่รู้”







ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบ่าย ความวุ่นวายสงบลงด้วยการที่ใครซักคนตามหมอเข้ามาด้วยความตกใจ ตอนนี้พี่ๆทุกคนกลับไปแล้ว โดยได้รับคำอธิบายจากคุณหมอว่าเรื่องที่เบลบอกผมอาจจะไปกระตุ้นความทรงจำในวันนั้นซึ่งความหวาดกลัวมันทำให้ผมเกิดความสับสนและร้องหาคนที่เป็นคนช่วยเหลือ ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วมันใช่ เพียงแต่มันเป็นคนละเหตุการณ์ก็เท่านั้น จากสายตาท่าทางแล้วผมรู้ว่าทุกคนยังคงคาใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครถามหรือพูดถึงมันอีก รวมถึงพี่แดนด้วยเช่นกันที่กลับออกไปโดยที่เราไม่ได้แม้แต่จะพูดล่ำลาอะไรกันอีก

บรรยากาศในห้องยังคงปกคลุมไปด้วยความเงียบ ความอึดอัดที่รายล้อมอยู่รอบตัวผมกับเบลมันเหมือนกับฝุ่นหนาๆที่ทำให้เราต่างก็หายใจไม่สะดวก

“ตังคะ เบลขอโทษนะ” แล้วก็เป็นเบลที่ทำลายความเงียบที่อึดอัดระหว่างเรา มือเล็กบีบฝ่ามือผมเบาๆทั้งๆที่เจ้าตัวก็เพิ่งจะหยุดร้องไห้ได้ไม่นาน

“ถ้าเบลไม่พูดถึงเรื่องนั้น….”

“ไม่หรอก เบลไม่ต้องขอโทษตังนะ”

“เบลไม่ผิดเลย ทุกอย่างมันเป็นเพราะตังเอง คนที่ผิดมันเป็นตังเอง”

ใช่ ผิดมาตั้งแต่แรกและตลอดมา

“ที่ผ่านมาขอบคุณมากนะ” ผมบีบฝ่ามือเล็กนั้นตอบเบาๆก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆเมื่อตั้งใจจะพูดในสิ่งที่คิดทบทวนอยู่ในหัวมาตลอด

“และก็ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เคยทำให้เบลเสียใจ ขอโทษที่ละเลยความรู้สึกของเบลมาตลอด”

บ่อยครั้งในช่วงเวลาที่คบกันที่ผมละเลยไป หรือแม้กระทั่งวันนี้ผมก็ทำเบลหล่นหายไปจากความทรงจำอีกครั้งเมื่อผมเอาแต่ร้องเรียกแค่ใครอีกคนที่เฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเขาคนนั้นจะไม่รับรู้อะไรก็ตาม

“ที่เบลบอกเลิกวันนั้น...ตังเข้าใจแล้วครับ”

ไม่มีคำพูดตอบรับใดๆกลับมามีเพียงแค่อ้อมกอดจากวงแขนเล็กๆที่โถมเข้ามากอดผมเอาไว้ทั้งตัวพร้อมกับเสียงร้องไห้ มันแปลกที่เราต่างก็ร้องไห้แต่มันกลับทำให้ความอึดอัดใจระว่างเรามันจางลงไปจนแทบจะไม่เหลืออะไรคั่งค้างเอาไว้อีกแล้ว





“กูเลิกกับเบลจริงๆแล้วนะ” ผมตัดสินใจเปิดปากเล่าให้ไอ้ปอกับไอ้ป่านฟังเมื่อมันสองคนกลับเข้ามาในตอนเกือบจะค่ำ ไอ้ปอมันเลิกคิ้วก่อนจะละสายตาออกจากหน้าจอโทรศัพท์ไปมองหน้าไอ้ป่าน

“ถ้ามึงโอเค”

“อืม กูโอเค”

“แต่สภาพมึงกูว่าไม่ว่ะ”

“เหี้ยนี่” ผมปัดไอ้นิ้วชี้ยาวๆของไอ้ป่านออกได้ก่อนที่มันจะมาจิ้มหน้าผากผมได้ มันแค่นหัวเราะก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงคนไข้ข้างๆผม

“ตัง เรื่องวันนี้มันยังไง?” เป็นไอ้ปอที่เอ่ยถามขึ้นก่อนจะเดินมานั่งที่ปลายเตียงอีกคน ผมเม้มปากก่อนจะส่ายหัวเบาๆเป็นคำตอบ

“พวกกูเป็นห่วงมึงนะ”

“ไม่ตอบกูก็ได้ แต่มึงลองดูตัวเองสิ ผอมจนจะไม่เหลืออะไรแล้วนะ แล้วที่มึงร้องไห้ทุกวันคิดว่าพวกกูไม่รู้เหรอ” ไอ้ป่านบอกเสียงเครียด

“มัน…” ผมเม้นปากก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพรูลหายใจออก

“ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนว่ะ” พยายามจะแค่นหัวเราะแล้วแต่มันก็ทำไม่ได้ จนต้องยกสองมือขึ้นปิดหน้าตัวเองแทน

“ไม่เป็นไรนะตัง กูขอโทษ” ไอ้ป่านมันดึงผมเข้าไปกอดแล้วพึมพำขอโทษซ้ำๆ พวกมันเป็นห่วงผมนั่นมันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย แล้วก็เป็นหลายนาทีที่พวกเราต่างเงียบ กกลายเป็นบรรยากาศแบบที่เราต่างไม่คุ้นชิน เพราะปกติเวลาที่พวกเราอยู่ด้วยกันมันมักจะมีแต่เสียงโต้เถียงกันและเสียงหัวเราะบ้าบอแค่เท่านั้น

“ป่าน” ผมเอ่ยเรียกก่อนจะดันตัวเองออกมาซึ่งมันก็ผละตัวเองออกแบบไม่โต้แย้งอะไร ผมสูดหายใจลึกก่อนที่จะค่อยๆพยามพูดออกมา และสัมผัสได้ว่ามันสองคนก็กำลังตั้งใจฟังอยู่

“สมมตินะว่า...พวกมึงฝัน ฝันว่ารักใครคนหนึ่ง...มากๆ” ผมเม้มปากก่อนจะเช็ดน้ำตาตัวเองที่เริ่มรื้นออกมาที่หัวตาด้วยหลังมืออย่างลวกๆ

“และเขาก็รักมึงมากๆ มันแบบ...ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน โคตรมีความสุข...แล้ววันหนึ่งมึงก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เข้าต้องตาย..ฮึก…เขา ตาย”

“แต่...มึงมีพรวิเศษอยู่หนึ่งข้อ…” ผมยังคงเล่าต่อไป  ถ้าเป็นเวลาปกติมันคงผลักหัวผมแล้วด่าว่าเพ้อเจ้อ แต่วันนี้ไอ้ปอได้แต่นิ่งฟังในขณะที่ไอ้ป่านขมวดคิ้วเล็กๆแต่ก็ยังคงเงียบเพื่อฟังต่อ

“มึงสามารถขอ ให้เขาฟื้นกลับมามีชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยมีข้อแม้ว่า...เขาจะลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวมึง ลืมทุกสิ่ง ทุกอย่าง….”

“และถ้าพวกมึงมีโอกาสได้เจอเขาอีกครั้ง...มึงจะทำยังไงต่อไป?” คำถามของผมไม่ถูกปล่อยไว้นาน เพราะเพียงไม่ถึงนาทีมันก็ได้รับคำตอบ

“กูจะจีบเขา” ไอ้ป่านพูดติดตลก แต่ในน้ำเสียงก็เจือความจริงจังอยู่ด้วย

“ถ้าบอกว่าฝัน มันก็เป็นแค่ความฝัน” เสียงไอ้ปอที่แทรกขึ้นมาทำให้ผมกับไอ้ป่านต้องเงยหน้าขึ้นมองเมื่อมันเดินมายืนอยู่ข้างๆ

“แต่ถ้ามึงตื่นขึ้นมาแล้วยังมีโอกาสได้เจอเขาจริงๆ แสดงว่านี่คือโอกาสที่มึงจะได้แก้ตัวที่ทำทุกอย่างพลาดไป แล้วกูก็จะบอกมึงเหมือนกับไอ้ป่านนะว่า กูก็จะจีบเขาเหมือนกัน”

“แล้วถ้าโอกาสมันเป็นศูนย์ล่ะ” ผมถามต่อ ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเหมือนกัน แต่พอได้ยินคำตอบของไอ้แฝดแล้วมันทำให้รู้สึกใจเบาขึ้นมานิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก

“คำว่าโอกาสเป็นศูนย์มันไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของคนที่ลงมือทำหรอกครับคุณชายตัง”

“แต่ก่อนที่มึงจะตื่นจากฝัน มึงต้องนอนก่อนครับถึงจะฝันแล้วตื่น” ไอ้ป่านมันตัดบทก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงคนป่วย

“ฉะนั้นกูขอไปฝันถึงริสะจังเมียในอนาคตกูก่อนนะ”

“เพ้อเจ้อชิบหาย” ไอ้ปอมันด่าแฝดตัวเองก่อนจะส่ายหัวทำหน้าหน่ายแล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้มันถึงดึงคอเสื้อน้องมันจนไอ้ป่านแทบหงายหลัง

“เฮ้ยเดี๋ยว”

“สรุปฝึกงานนี่ยังไง?”

“เหี้ย เจ็บ”

“เออ กูคุยกับพี่กุ๊กแล้ว เหลือแค่ส่งเอกสารนี่แหละ เราทั้งสามคน” นั่นสิ ไทม์ไลน์ในตอนนี้คืออีกไม่กี่เดือนผมต้องไปฝึกงานแล้วนี่นะ

“ทำดีมากไอ้น้อง”

จะว่าไปก็นึกถึงบรรยากาศที่ไปฝึกงานในตอนนั้น มันมีเหตุการณ์อะไรต่างๆที่เกิดขึ้นไม่น้อยเหมือนกันนะ ได้รู้จักอะไรใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ ซึ่งมันก็มีทั้งเรื่องดีๆ และเรื่องที่ผมก็กลัวถ้ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง จะว่าไปเรื่องของไอ้ปอกับโยเนะมุระจะเกิดขึ้นเหมือนเดิมหรือเปล่านะ?

แต่ในส่วนของผม….

“กูว่า กูจะไม่ไปกับพวกมึงว่ะ” ผมพูดต่อในขณะที่ไอ้แฝดมันเงียบ

“กูหมายถึง กูอาจจะขอเลื่อนฝึกงานไปก่อน”

“มึงจะเอาแบบนั้นเหรอ” ไอ้ป่านมันทำหน้าเสียดายอย่างไม่ปิดบัง

“กูแค่อยากลงมือทำอะไรซักอย่างก่อนน่ะ” ไอ้ปอมันแค่ยิ้มมุมปากน้อยๆก่อนจะพยักหน้าแล้วกดเปิดไฟหัวเตียงคนไข้ให้ผมแล้วเดินไปปิดไฟในส่วนอื่นๆก่อนจะไปทิ้งตัวลงนอนข้างๆไอ้ป่านแล้วเอ่ยคำพูดออกมาด้วยเสียงไม่ดังนัก

“เออตัง มึงเคยได้ยินหรือเปล่า?”

“หื้ม?”

“เขาว่ากันว่าถ้าเราฝันร้าย สุดท้ายมันจะกลายเป็นดีนะ”

แล้วมันก็เป็นคำพูดที่ทำให้ผมยิ้มได้ในความสลัวของค่ำคืนนี้

ก็ขอให้มันดีอย่างที่มึงว่าแล้วกันนะปอ







พอมีเวลาก็รีบปั่นมาต่อให้ค่ะ
ตอนหน้าก็จะพยายามรีบมา ขอคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้บ้างนะคะ
อีกซักตอนสองตอนจะจ่ายค่าตัวให้พี่แดนมาโซโล่บ้าง มาช่วยแม่ๆไขข้อข้องใจที :)
ยืนยันคำเดิม ดองนานแค่ไหนก็จะเขียนให้จบค่ะ อยู่ด้วยกันไปนานๆนะคะ
B2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ดีใจที่เห็นตอนใหม่คลอดออกมา

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#25





วันแรกของการอยากลองทำอะไรซักอย่างของผม นั่นก็คือ….


การที่มันผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรซักอย่างเหมือนเดิม





วันที่ 2

วันนี้ผมได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว





วันที่ 3

ผมกลับมาเรียนตามปกติ และ อีก 3 สัปดาห์หลังจากนี้คือการสอบไฟนอล และ อีก 1 สัปดาห์หลังจากนั้นคือการเริ่มต้นฝึกงาน และผมก็ได้ยื่นเรื่องปฏิเสธการฝึกงานไปแล้ว ซึ่งมันโชคดีที่คณะผมไม่ได้ซีเรียสอะไรกับการฝึกงาน และถ้าให้พูดตรงๆผมก็ไม่ได้ต้องการประสบการณ์เพื่อไปสมัครงานที่ไหนอยู่แล้ว และผมก็มีเรื่องที่อยากจะทำ ถึงแม้ว่าไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก็ตาม


เพราะจากวันนั้น ผมก็ไม่มีโอกาสได้เจอกับพี่แดนอีกเลย….
บางครั้งมันก็เหมือนกับว่าผมกำลังวิ่งตามเงาของอะไรบางอย่าง ที่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนสุดท้ายผมก็ฉวยมันมาไว้ในมือไม่ได้อยู่ดี





วันที่ 4

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม ผมเดินออกมาที่ลานจอดรถหลังตึกหลังจากที่แยกย้ายกับพวกไอ้ฝาแฝดเพราะไม่รู้จะอยู่ม.ไปทำอะไรเมื่อคนที่อยากเจอก็ไม่มีเรียนในวันนี้ แต่เมื่อกดกุญแจเพื่อเปิดประตูรถตัวนุ่มนิ่มบางอย่างที่มาคลอเคลียอยู่กับขาก็ทำให้ต้องก้มหน้าลงไปมองแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเจ้าก้อนนุ่มนิ่มนั่นไม่ใช่คุณสีส้มเหมือนเช่นเคย กลับเป็นเจ้านุ่มนิ่มขนสีเทา และดวงตาสีเหลืองเข้มที่คุ้นเคยนั้นทำให้ผมรีบทรุดตัวลงไปนั่งยองๆกับพื้น


“คะ คอตตอนเหรอ?”


“เมี๊ยว” เจ้าก้อนกลมสีเทาเงยหน้าขึ้นมองผมก่อนจะส่งเสียงตอบรับเหมือนอย่างเคย ผมรวบเจ้าก้อนขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะยืนขึ้นแล้วหอมลงบนหัวกลมๆนั่นแรงๆ


“เราคิดถึง นะ” ผมเม้มปากเมื่อความรู้สึกบางอย่างมันตีขึ้นมาในอก ดวงตาสีเหลืองแวววาวยังคงจ้องมองผมนิ่งๆก่อนที่เจ้าของดวงตานั่นจะไซร้หัวกลมๆกับท่อนแขนผมเบาๆ


ผมไม่รู้ว่าเจ้าคอตตอนมาอยู่ตรงนี้ตอนนี้ได้ยังไง ผมรู้แค่ว่าการได้กอดก้อนกลมๆนิ่มๆนี้ไว้เป็นสิ่งปลอบประโลมใจผมได้ดีที่สุดตั้งแต่ลืมตาตื่นกลับมาที่นี่อีกครั้ง


“คอตตอน!” และเสียงฝีเท้าหนักๆพร้อมกับเสียงตะโกนร้องเรียกจากข้างหลังก็ทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะหันไปมอง


“ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้หะ?” คำพูดที่ดูเหมือนจะกำลังโมโหนั้นถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่บอกก็รู้ว่าเอ็นดูเจ้าก้อนกลมในอ้อมกอดผมขนาดไหน มุมปากหยักที่ยักยิ้มน้อยๆทำให้หัวใจของผมเต้นแรงจนสมองมันวิ้งค์ไปหมด


“คือ แมว” คนตรงหน้าชี้นิ้วมาข้างหน้า และมันก็ทำให้ผมตื่นจากภวังค์อีกครั้ง ก่อนจะรีบยัดเจ้าก้อนกลมคืนให้กับอ้อมแขนกว้างของคนตรงหน้า


“ขะ ขอโทษครับ”


“ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ?” ในที่สุดเสียงทุ้มก็เอ่ยทักทายผมบ้าง


“ครับ”


“ดีแล้ว” ผมเงยหน้ามองคนที่ส่งยิ้มมาให้ เรื่องราวมากมายไหลย้อนเข้ามาในหัวเมื่อสบสายตากับคนตรงหน้า


“ครับ..” ทั้งๆที่มีเรื่องที่อยากจะพูดตั้งมากมาย ทั้งๆที่ซ้อมกับตัวเองมาเป็นร้อยครั้งว่าถ้าได้เจอพี่เขาแล้วจะต้องพูดอะไร แต่สุดท้ายสิ่งที่พูดออกมาได้กลับมีแค่เท่านี้


“แขน...ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม?” แล้วมันก็หนักกว่าเดิมที่ครั้งนี้ผมทำได้แค่พยักหน้า เพราะมันหนักอึ้งไปหมดทุกอย่าง


“ถ้ายังเจ็บก็ไม่ต้องฝืนหรอกครับ”  ฝ่ามือกว้างที่วางมาบนหัวเหมือนกุญแจที่ปลดล็อคความรู้สึกที่กำลังท่วมท้นอยู่ข้างใน ผมพยักหน้าอีกครั้งกับคำพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนั่น ไม่ทันรู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อ แต่พี่แดนก็ยังไม่ได้เดินหนีไปไหน ยังคงยืนอุ้มเจ้าก้อนกลมไว้เบื้องหน้าพร้อมกับส่งมือมาลูบหัวผมเป็นระยะ



ผม...กอดพี่เขาได้ไหมนะ



และแขนที่กำลังยกขึ้นเพื่อทำตามสัญชาตญาณก็ต้องถูกทิ้งลงข้างตัวอีกครั้งเมื่อเสียงเรียกของพี่บอยทำให้เราต้องผละตัวออกจากกันอย่างอัตโนมัติ


“เจอแล้วก็ไม่บอกนะไอ้ห่า ให้กูหาซะหอบ” พี่บอยที่ถือกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงสีน้ำตาลเดินตรงเข้ามาให้ให้ผมต้องรีบใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกอย่างลวกๆ


“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เมื่อพี่บอยกำลังมองหน้าผมสลับกับพี่แดนไปมา


“หวัดดีครับ” เขายิ้มก่อนจะทักทายกลับมาบ้างก่อนจะหันไปถามพี่แดนที่ยืนอยู่ข้างๆ ดวงตาพี่บอยยังคงเปล่งประกายวิบวับเหมือนอย่างเคย เพียงแต่ไม่ได้พูดเล่นหัวกับผมเหมือนก่อน


“นี่ใช่น้องป่ะ?” มันคงหมายถึงผม แต่ไม่รู้ในความหมายไหน เพราะอยู่ๆพี่แดนก็หลบสายตาไปก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแกนๆแบบติดรำคาญเล็กๆ


“เออ”


“น่ารักเหี้ย” น้ำเสียงทะเล้นที่ดังขึ้นไม่ดังนักเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนพูดที่ตอนนี้ทำตัวงอเบาๆเพราะโดนถองด้วยศอกโดยคนที่ยืนทำหน้าเบื่อใส่ก่อนจะหันมาส่งยิ้มเล็กๆให้ผม


“อย่าไปสนใจมัน”


“สนได้แค่มึงงี้เหรอไอ้แดน มึงมันไอ้ตัวร้าย แปบนะมึงแปบนะ” คนจีบปากจีบคอพูดยกมือขึ้นชี้หน้าพี่แดนก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องอยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นรับสาย


“เออ เจอแล้ว มึงไปนั่งหาโค้กเย็นๆแดกก่อนเลย เออ กูจัดการเพื่อนมึงแปบ ไอ้สัดหาแมวเจอเป็นครึ่งชั่วโมงละเสือกซุ่ม เออ แค่นี้”


“ไร้สาระ” คนพูดส่ายหน้าเบาๆก่อนจะหันกลับมาสนใจผมอีกครั้ง ผมก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ยังไง มันกระอักกระอ่วนจนไม่รู้จะพูดอะไรหรือทำอะไรจนได้ก้มลงมองเจ้าก้อนกลมที่พี่เขาอุ้มเอาไว้ ถึงได้พูดถามออกไป


“พี่..จะพาคอตตอนไปไหนเหรอ...ครับ”


แต่มันกลับทำให้กระอักกระอ่วนกว่าเดิมไปซะแบบนั้น เมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าขมวดคิ้วรวมถึงพี่บอยที่ทำตาโตแล้วมองหน้าผมสลับกับพี่แดนไปมาก่อนจะอุทานประหลาดๆ


“นั่นแน่ะ”


“ไม่ คือ ผมได้ยิน พี่เรียกน้องเมื่อกี้ไง อืม ใช่ไหมคอตตอน” ผมยิ้มเจื่อนก่อนจะรัวคำแก้ตัวออกไป พร้อมกับยกมือชื้นเหงื่อขึ้นลูบหัวกลมๆสีเทาไปมาเบาๆ


“เมี๊ยว” และก็ไม่ผิดหวังเมื่อเจ้าก้อนกลมมันก็รับมุกผมด้วย เลยอดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยปากชมคุณเขาซักหน่อย


“good boy”


แต่อยู่ๆสัมผัสอุ่นๆจากฝ่ามือที่วางลงบนหัวก็ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะสะดุดเข้ากับรอยยิ้มที่หยักโค้งขึ้นจากมุมปากของคนตรงหน้า ดวงตาคมที่ทอดมองลงมามันสะท้อนแววตาอบอุ่นแบบที่คุ้นเคยจนหัวใจผมเต้นแรงจนเจ็บหน้าอกไปหมด


“พี่จะพาคอตตอนไปฉีดวัคซีนครับ พอดีเจ้าตัวดื้อมันหนีวิ่งมาหาน้องตังซะก่อน”


“โอ้โห้ ฟุ้งมาก”


รีแอคชั่นจากประโยคนั้นทำให้เราผละออกจากกันอย่างอัตโนมัติอีกครั้ง


“เอ่อ…” ผมเม้มปากเบาๆก่อนที่อีกคนจะยกมืออีกข้าที่ว่างเกาท้ายทอยแก้เก้อ


“คือ..”


“เอางี้ดีกว่า” คนที่ยังถือกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงสีน้ำตาลเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนจะดึงเจ้าก้อนกลมออกจากอ้อมแขนของพี่แดนไปจัดแจงใส่กระเป๋าแล้วยัดใส่ฝ่ามือกว้างของพี่แดน แล้วหันมาพูดกับผม


“น้องครับ”


“คะ ครับ”


“พอดีพี่นึกได้ว่ามีธุระกระทันหัน จริงๆนึกออกเมื่อกี้นี้แหละ ฝากน้องพาเพื่อนพี่ไปส่งที่โรงพยาบาลสัตว์หน้ามอหน่อยได้ไหมอ่ะครับ คือรถมันเสียเข้าอู่อยู่อ่ะครับ” รัวมาเป็นชุดแบบไม่หยุดหายใจก่อนจะฉีกยิ้มกว้างจนผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ พี่บอยนี่มันพี่บอยจริงๆสิน่า


“ได้ครับ” ผมตอบรับก่อนที่พี่บอยจะชูนิ้วโป้งให้แล้วหันไปตบไหล่เพื่อนสองสามทีแล้ววิ่งออกไปจนพี่แดนตะโกนไล่หลังซะเสียงดัง


“ไอ้ห่าบอย!”


“คือ เพื่อนพี่มันล้อเล่นน่ะ พี่ไปก่อนนะ”


“แต่ผมอยากพาไปครับ” ไวเท่าความคิดเมื่อมือผมเอื้อมไปดึงชายเสื้อของพี่เขาได้ทันแล้วเอ่ยออกไปทันที พี่แดนดูงงๆนิดหน่อยแต่ก็ยังยิ้มส่งกลับมาเป็นคำตอบ


“ถ้าไม่ว่าอะไรพี่ขับให้ไหม?” พี่เขาพูดขึ้นมาในตอนที่ผมกำลังเปิดประตูฝั่งคนขับค้างเอาไว้ ผมพยักหน้าแทบจะทันทีกก่อนจะรับกระเป๋าใส่เจ้าก้อนกลมมาถือไว้แล้วเดินอ้อมไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งแทน ยอมรับว่าทั้งตื่นเต้นและประหม่ากว่าครั้งไหนๆ แต่ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้รถมันติดจนไม่ต้องขยับเลยก็ยิ่งดี


ความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาทำให้ผมต้องแอบหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ แต่ใครจะไปคิดว่าพี่แดนก็กำลังมองมาที่ผม พอสบตากันมันก็อดไม่ได้ที่ต้องหัวเราะแก้เขินด้วยกันทั้งคู่ การที่ผมได้มีโอกาสได้อยู่ใกล้ๆพี่แดนอีกครั้ง แม้เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันแต่บรรยากาศในตอนนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีเป็นบ้า


เพลงจากเพลย์ลิสต์ใหม่ที่ผมใส่เอาไว้ดังคลอเบาๆอยู่ในตอนนี้ที่เราสองคนต่างคนต่างเงียบ พี่แดนดูค่อนข้างจะผ่อนคลายเมื่อเพลงทุกเพลงที่ผมเปิดในตอนนี้เป็นเพลย์ลิสต์ที่ผมเลียนแบบมาจากเขาเอง ผมจะบอกให้ว่าพี่แดนน่ะแฟนตัวยงของ ed sheeran เลยแหละ


ปลายนิ้วชี้เรียวยาวเคาะตามจังหวะเพลงเบาๆเมื่อตอนที่รถติดไฟแดง เสียงฮัมเพลงเบาๆในลำคอก็ทำให้ผมต้องเผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ก่อนที่จะร้องคลอเบาๆในท่อนสุดท้ายแบบไม่ดังนัก


When I'm away, I will remember how you kissed me
Under the lamppost back on Sixth street
Hearing you whisper through the phone,
"Wait for me to come home"


แต่ผมก็มั่นใจว่าพี่แดนต้องได้ยินมันแน่นอน



ไม่นานอย่างที่ใจหวังพี่แดนก็หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าที่จอดรถของโรพยาบาลสัตว์ ผมเปิดประตูรถกก่อนที่จะเดินหิ้วกระเป๋าใส่เจ้าคอตตอนเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า พี่แดนที่เดินตามมาส่งมือมารับกระเป๋าไปถือเอาไว้เองก่อนจะเดินนำผมเข้าไปด้านใน ผมจะคิดไปเองว่าพี่เขายังอยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อนด้วยเหมือนเมื่อก่อนที่เคยทำได้ใช่ไหม? ก็เพราะถึงตอนนี้พี่แดนก็ยังไม่ยอมส่งกุญแจรถคืนผมเลย หรือบางทีพี่เขาอาจจะลืม แต่ก็ช่างเถอะผมไม่คิดจะร้องท้วงอยู่แล้ว


ที่นั่งรอตรงโซฟาไม่กว้างพอที่จะนั่งข้างกันได้ผมจึงทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม และกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงที่วางหันหน้ามาทางผมทำให้เห็นเจ้าก้อนกลมทำหน้าไม่พอใจได้อย่างชัดเจนจนผมอดไม่ได้ที่จะหยิบมือถือออกเปิดอินสตาแกรมแล้วกดถ่ายมันเอาไว้


“ผมลงสตอรี่ได้ไหม?” ผมเอ่ยถามออกไปเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามันไม่ได้เป็นเหมือนก่อน แต่คนที่นั่งตรงข้ามก็พยักหน้า


“ได้ครับ อ่าว...ถ่ายติดพี่ด้วยเหรอ?” พี่แดนถามเมื่อผมหันหน้าจอไปให้ดู พี่แดนเอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์ออกจากมือผมแล้วเงียบไปซักพักจนผมเกือบใจฝ่อ แต่สุดท้ายพี่เขาก็กดพิมพ์อะไรบางอย่างก่อนจะส่งคืนมาให้


ผมก้มลงมองชื่อที่ถูกกดแท๊กเข้ามาในคลิปก่อนจะต้องเม้มปากกลั้นยิ้มจนเกือบจะกลั้นไม่อยู่เมื่อได้ยินประโยคที่พี่แดนพูดออกมาแบบไม่ดังเท่าไหร่นักก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นหิ้วกระเป๋าใส่เจ้าก้อนกลมเดินตรงเข้าไปที่ห้องตรวจตามคิว


“ถ้าอยากเห็นคอตตอนบ่อยๆก็ฟอลมานะ”




“ขอโทษทีที่ทำให้เสียเวลา” พี่แดนบอกก่อนจะล้วงกุญแจรถผมออกมาจากกระเป๋ากางเกงเมื่อนึกได้ว่าลืมคืนตั้งแต่ตอนที่มาถึงจนตอนนี้เจ้าก้อนกลมผมโดนเข็มจิ้มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมส่ายหน้าก่อนจะรับกระเป๋าใส่เจ้าก้อนกลมมาถือไว้แทนที่จะรับกุญแจรถตัวเอง


“รถติดแบบนี้แท๊กซี่มันหายากนะครับ” พูดจบก็หมุนตัวเดินนำออกไปก่อนบ้าง ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมทำตัวมึนได้ขนาดนี้เหมือนกันนะ คิดแล้วก็อายเหมือนกันแหละ


แต่ยังไม่ทันได้ผลักประตูออกไป คนที่เดินสวนเข้ามาก็เดินตรงมาหยุดอยู่ข้างหน้าผมพลางเอียงคอสงสัยก่อนจะหันไปคุยกับคนที่เดินตามผมมาด้านหลังแทน


“แดนอยู่ที่นี่จริงๆด้วย”


“บอยบอกแก้วเหรอครับ”


“เปล่าหรอกค่ะ แก้วจำได้ว่าวันนี้คอตตอนต้องมาฉีดวัคซีนที่นี่ต่างหาก ไลน์ถามแดนแล้วด้วย แต่แดนไม่ตอบแก้วก็เลยลองแวะมาดูค่ะ” น้ำเสียงหวานฟังดูแล้วเจือความงอนนิดหน่อย ใบหน้าสวยยู่น้อยๆแบบไม่ได้น่าเกลียด และผมสีดำเข้มที่ตัดกับผิวขาวยิ่งทำให้กรอบหน้าดูชัด และมันก็ทำให้ผมนึกออกว่าเคยเห็นเธอในไอจีของพี่แดนมาก่อนหน้านี้แล้ว


“แล้วนี่…” ใบหน้าสวยหันมามองที่ผมก่อนจะเอ่ยเสียงออกมา


“น้องชื่อตัง เป็นรุ่นน้องแดนเอง แล้วนี่...” พี่แดนตอบ และก่อนที่พี่เขาจะแนะนำอีกคนให้ผมรู้จักบ้าง น้ำเสียงหวานๆก็เอ่ยแทรกขึ้นมาซะก่อน


“พี่ชื่อแก้วค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”





TBC


ขอโทษที่ไม่ได้เอามาลงต่อนานเลยค่ะ
วันนี้จะลงให้ทันตอนปัจจุบันคือตอนที่ 30 เลยค่ะ








ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
EP26 - Maybe it's worth to try : )
Part ดินแดน






“พี่แดน…”


“ผมรักพี่นะ”


“พี่แดน ได้ยินไหม?”


“ตังรักพี่แดนนะ”


“พี่แดน…”



เสียงเรียกนั้นค่อยๆไกลออกไปสวนทางกับสติสัมปชัญญะของผมที่กำลังกลับคืนมาเมื่อเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นจากความฝัน


ความฝัน….อีกแล้วเหรอวะ ?


ผมลืมตาขึ้นก่อนจะขยับตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงเหมือนทุกวัน เจ้าคอตตอนที่พักหลังๆผมมักจะเห็นว่าไปนั่งอยู่ข้างประตูระเบียงทุกครั้งที่ผมตื่นกระโดดขึ้นมานั่งข้างๆก่อนจะร้องทักทายเสียงดังจนผมต้องอุ้มมานอนบนตัก


“เดี๋ยวนี้ตื่นก่อนทุกวันเลยนะ” ผมหอมหัวกลมๆของมันเบาๆก่อนจะอุ้มมันขึ้นมาเสมอใบหน้าเพื่อจ้องดวงตาสีเหลืองแวววาวนั่น และมันก็ไม่มีคำตอบให้เหมือนเคย


แต่ก็นั่นแหละ ตั้งแต่ผมเริ่มฝันแปลกๆเมื่อสองเดือนก่อน มันเหมือนกับบรรยากาศรอบๆตัวผมเปลี่ยนไปอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งมันก็เหมือนกับว่าผมกำลังใช้ชีวิตอยู่กับใครซักคนในห้องนี้ จนบางทีก็เผลอเรียกชื่อใครบางคนออกไป


แต่พอรู้สึกตัว…มันก็เป็นแค่การที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันแค่นั้นเอง


‘ตัง’  นี่คือชื่อของคนที่ผมฝันถึงมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา และที่คาดไม่ถึงคือคนๆนั้นมีตัวตนจริงๆ และเขาก็ไม่ได้อยู่ไกลจากผมเลย


ผมเคยเจอเขาตอนรับน้องใหญ่ของคณะ จำได้ว่าตอนนั้นผมลงโทษเขาด้วยนะ ผมสั่งให้เขาวิ่งรอบสนามสิบรอบ แต่พอเอาเข้าจริงเห็นแล้วก็สงสาร ตัวก็เล็กแบบนั้น วิ่งไปก็หยุดหอบไป อดไม่ได้เลยเอาน้ำกับอมยิ้มคาราเมลหวานๆไปวางไว้ให้ข้างๆกระเป๋า


ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องเขาได้หยิบมันไปหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆเขาไม่มีทางรู้หรอกว่าเป็นผมที่เอาไปวางเอาไว้ เพราะถ้ารู้...เขาคงไม่มีทางที่จะหยิบมันไปแน่ๆ


หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยได้คุยอะไรกันอีก ผมไม่แน่ใจว่าน้องจะจำผมได้ไหม แต่ผมจำน้องเขาได้นะ แล้วก็จำได้ว่าน้องเขาเป็นแฟนกับรุ่นน้องในเอกของผมด้วย… และก็ไม่รู้ทำไมที่ผมรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจกับมันเลยซักนิดโดยเฉพาะในตอนนี้ที่ผมฝันถึงเขาแทบทุกครั้งที่หลับตานอนแบบนี้


นั่นก็เพราะในความฝันนั้น…
น้องเขาเป็นของผม


ทุกอย่างมันเหมือนความจริงมาก มากเสียจนผมโคตรหงุดหงิดที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยเมื่อต้องเจอเขา ต้องคอยแอบหลบตาทุกครั้งที่ต้องเดินสวนกัน มันรู้สึกบ้ามากกับการที่เรามีความรู้สึกบางอย่างลึกๆข้างในกับใครซักคนทั้งๆที่แทบจะไม่เคยแม้กระทั่งจะคุยกันมาก่อน


และครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้เข้าใกล้และสัมผัสตัวน้องมันก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผมตกใจจนแทบบ้า แต่ก็คิดว่าเป็นโชคดีแค่ไหนที่ผมตัดสินใจขับรถตามน้องออกมา หลังจากบังเอิญเห็นน้องที่ร้านเหล้าร้านหนึ่งไม่ไกลจากมหาลัย


รถน้องเกิดอุบัติเหตุ และผมก็แทบจะเสียสติตอนที่เห็นว่ามีเลือดไหลลงมาเต็มแก้มขาวๆของเขา


“ตัง” ผมเรียกชื่อเขาพลางลูบข้างแก้มขาวที่เปื้อนเลือดเบาๆว่ายังมีสติรับรู้อยู่หรือเปล่า


“ตัง ได้ยินพี่ไหม?” ดวงตาสวยฝืนปรือขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้ผมต้องใช้แขนเสื้อตัวเองซับเลือดที่กำลังจะไหลเข้าไปในดวงตานั่น


“หลับตาไว้นะ” และดวงตาสวยที่ปิดลงทำให้ผมรับรู้ได้ว่าน้องยังคงมีสติอยู่


“ไม่ต้องกลัว เจ้าหน้าที่กำลังมาแล้ว” ผมปลอบน้องไปแบบนั้นทั้งๆที่มือของตัวเองก็กำลังสั่นไม่น้อย ร่างบอบบางที่กำลังบาดเจ็บตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกปวดแปลบในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และถึงอยากจะดึงน้องเข้ามากอดปลอบแค่ไหนก็ต้องห้ามตัวเองเอาไว้เมื่อเราไม่ควรขยับหรือเคลื่อนย้ายร่างกายคนเจ็บจนกว่าเจ้าหน้าที่จะมาถึงจุดเกิดเหตุ


ใบหน้าขาวซีดลงตัดกับสีแดงของเลือดที่ผมพยายามจะหยุดมันไม่ให้ไหลลงมา ฝ่ามือเล็กที่เริ่มเย็นถูกส่งขึ้นมาจับมือผมไว้ก่อนที่ริมฝีปากบางจะพยายามพูดอะไรซักอย่าง


“ขอโทษ…”


“ครับ ?”


“พี่แดน...ตังขอโทษ..” เป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่คนพูดจะนิ่งไปเพราะหมดสติ คำถามมากมายวิ่งเข้ามาในสมองของผมตามด้วยความรู้สึกมากมายที่ถ่วมท้นเข้ามาจนผมแทบจะตั้งสติรับมันไม่ไหว สิ่งที่น้องพูดออกมาคืออะไร มันหมายความว่ายังไง


“พี่แดน” ที่น้องพูดถึงมันคือผมใช่หรือเปล่า ?


แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าเป็นผม ?


และที่สำคัญ คำพูดนี้มันเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความฝัน เพียงแต่ว่าคนที่นอนหมดสติด้วยร่างกายที่เปื้อนเลือดในเหตุการณ์ในฝันนั้นมันเป็น….ตัวผมเอง


จิตใจผมกลับมาสงบอีกครั้งเมื่อมาถึงโรงพยาบาลและหมอบอกว่าอาการของน้องไม่ได้ถึงขั้นสาหัส ผมมองไอโฟนสีดำที่อยู่ในมือตัวเองอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจกดเปิดหน้าจอขึ้นมาอีกครั้ง มันคือโทรศัพท์ของน้องซึ่งยังคงถูกล็อคเอาไว้เหมือนครั้งแรกที่ผมกดเปิดมันเมื่อต้องการจะติดต่อกับเพื่อนสนิทหรือครอบครัวของเขา


หัวใจผมเริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อกำลังกดตัวเลขที่ปรากฎขึ้นในสมอง ตัวเลขที่เป็นรหัสปลดล็อคโทรศัพท์ของ “ตัง” คนที่อยู่ในความฝัน นิ้วมือที่ชื้นเหงื่อสั่นจนผมรู้สึกได้เมื่อกดตัวเลขตัวสุดท้ายและหน้าโฮมก็ปรากฏขึ้นมาทันที


เพราะมันคือรหัสเดียวกันจริงๆ


ผมสติแตก หัวใจมันเต้นแรงจนเป็นเสียงเดียวที่ได้ยินอยู่ในหัว มือไม้ที่สั่นกำลังเกะกะไปหมดเมื่อไม่รู้จะเอามันวางไว้ที่ไหน


“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ” ผมสบถก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมตัวเองแรงๆ แต่อยู่ๆไอโฟนในมือที่เริ่มสั่นก่อนจะได้ยินเสียงริงโทนเรียกเข้าก็ทำให้ผมต้องยุติทุกความรู้สึกเอาไว้แล้วรีบกดรับสาย เป็นคนชื่อปอที่โทรเข้ามา และผมก็จำได้อีกว่าคนๆนี้เป็นเพื่อนสนิทกับน้องที่ผมมักจะฝันเห็นในหลายๆเหตุการณ์ในฝัน


ผมรีบแจ้งข่าวกับปลายสายก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวขอบคุณและบอกกับผมว่าจะรีบมาแล้วตัดสายทันที


ผมกลับไปเยี่ยมน้องอีกครั้งในวันถัดมา เราไม่มีโอกาสได้คุยอะไรกันเพราะน้องยังคงนอนไม่ได้สติ ใบหน้าขาวดูซีดกว่าเดิมจนเห็นได้ชัด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย


"ม๊าขอบคุณนะลูกที่ช่วยน้องเอาไว้ ถ้าน้องตังเป็นอะไรไปม๊ากับป๊าก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง" แม่ของน้องเดินเข้ามาจับมือผมทันทีที่สองฝาแฝดแนะนำว่าผมเป็นคนเจอน้องตอนเกิดอุบัติเหตุแล้วยังช่วยเป็นธุระให้ด้วย


"น้องจะต้องไม่เป็นอะไรครับ เดี๋ยวก็คงฟื้นแล้ว"


ถึงผมจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในวันถัดมาน้องก็ยังคงไม่ฟื้นอยู่ดี


ผมไม่ได้กลับไปเยี่ยมน้องอีกเลยตั้งแต่วันนั้นเพราะต้องรีบกลับมาที่เชียงใหม่แล้วก็ยังไม่มีโอกาสปลีกตัวกลับกรุงเทพได้เลยซักที แต่ก็ต้องขอบคุณไอ้วินที่มันโทรมาในวันถัดมาว่าน้องอาการดีขึ้นและฟื้นแล้วหลังจากที่นอนไม่ได้สติอยู่สามวันเต็ม


"มึงจะลงมาเยี่ยมน้องเมื่อไหร่ ?" เป็นคำถามที่มันถามผมตอนนั้น


"ต้องไปเยี่ยมเหรอวะ"


"อย่าทำมาเป็น มึงโทรถามอาการน้องกับกูวันละสามเวลาหลังอาหาร จนกูคิดว่าตัวเองเป็นหมอเจ้าของเคสน้องเขาแล้วป้ะ"


"กูก็แค่อยากแน่ใจว่าน้องเขาจะปลอดภัย"


"อ่ะเหรอ….งั้นมึงก็รีบมาดูเองให้เห็นกับตาเลยพ่อ" มันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆก่อนจะตัดสายไป


และไฟล์ทสุดท้ายของวันนั้นก็พาผมกลับมาถึงกรุงเทพจนได้



ผมมองช่อดอกทานตะวันสีเหลืองสดใสที่ถือไว้ในมือก่อนจะสูดหายใจแรงๆเพื่อระบายความประหม่าก่อนจะผลักประตูห้องผู้ป่วยพิเศษเข้าไปเป็นคนสุดท้ายเมื่อทุกคนเข้าไปกันได้ซักพัก


ใบหน้าขาวของคนป่วยที่นั่งอยู่บนเตียงเรียกให้ผมก้าวตรงเข้าไปหาโดยไม่ได้สนใจคนอื่นๆที่ยืนรอบข้างเขาเลยด้วยซ้ำ


ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นในขณะที่ฝ่ามือเล็กก็ยื่นออกมารับช่อดอกไม้จากมือของผมเข้าไปถือเอาไว้ และฝ่ามือบางๆนั้นก็กำลังสั่นจนผมเองก็รู้สึกได้


"แผลดูดีกว่าวันแรกเยอะเลยนะ" ถึงจะเอ่ยทักออกไป คนถูกทักก็ยังเงียบไม่มีคำตอบ ดวงตาสวยที่ยังคงจ้องมองผมเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาคลอหน่วยโดยที่เจ้าตัวก็คงยังไม่ทันได้สังเกตุ ความรู้สึกโหยหาที่สัมผัสได้จากความรู้สึกและแววตานั้นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะเบาๆบนผ้าก๊อซที่ถูกติดไว้บนหน้าผากเนียน


“ดีแล้วที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก”


ผมยิ้มให้กับดวงตากลมสวยของคนเจ็บที่ช้อนมองขึ้นมา ใบหน้าขาวๆที่ถึงจะมีแววหม่นหมองไม่สดใสเหมือนในภาพความฝัน แต่ผมก็ยังอยากมองหน้าเขาอยู่ดี แต่แล้วเสียงเรียกที่ดังขึ้นจากข้างหลังก็ทำให้ผมต้องตื่นจากภวังค์ความคิดแล้วรีบชักมือกลับมา


"พี่แดนคะ น้ำค่ะ"


นี่มันไม่ใช่ความฝันของมึงไอ้แดน ผมบอกกับตัวเอง และที่สำคัญ ตัวจริงของเขาก็กำลังส่งแก้วน้ำมาให้มึงกินอยู่นี่!


ผมก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเว้นระยะ อยู่ๆก็รู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกอีกแล้ว ความไม่เข้าใจหลายๆอย่างมันประดังประเดเข้ามาในหัวจนมั่วไปหมด เบลอจนไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าในห้องเขาพูดเรื่องอะไรกัน จนได้ยินน้องเรียกชื่อตัวเองอีกครั้งนั่นแหละถึงได้รู้สึกตัว


“พี่แดน...ตัง ขอโทษ..”


อยู่ๆน้องก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกับพร่ำคำขอโทษออกมาไม่ขาด แรงสะอื้นจนตัวโยนนั้นทำให้ผมละความคิดทุกอย่างแล้วรวบตัวน้องเข้ามากอดทันทีโดยไม่สนใจอะไรอีก ความรู้สึกคุ้นเคยทำให้ผมต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นโดยที่น้องเองก็กอดผมตอบเช่นกัน


“ขอโทษ..”


ผมก็ไม่รู้ว่าที่น้องพูดหมายความว่าอะไร แต่ไม่ว่ามันจะหมายความถึงอะไร ผมก็ไม่ได้กังขาอะไรกับคำขอโทษนั้นเลย ไม่เลยซักนิดเดียว


“ตัง ขอโทษ”


ผมลูบแผ่นหลังบางขึ้นลงเบาๆเพื่อให้คนที่กำลังสะอื้นรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะกระซิบเบาๆที่ข้างหูเพื่อให้เราได้ยินกันเพียงแค่สองคน


“ครับพี่รู้”





เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเรียกผมให้ตื่นจากภวังค์ แล้วก็เป็นไอ้บอยที่โทรมาเหมือนเคย


“เออ แปบ” ผมกรอกเสียงลงไปก่อนจะลุกไปเปิดประตูให้มันเข้ามาในห้อง


“ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอพ่อ?” มันถามพลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาและก็ไม่ลืมที่จะหยิบรีโมทย์ขึ้นมากดเปิดทีวีไปด้วย


“มึงรีบเหรอ” ผมบอกก่อนจะส่ายหัวเดินเข้าไปในส่วนของห้องนอนเพื่อหยิบผ้าขนหนูเตรียมตัวเข้าไปอาบน้ำ


จริงๆวันนี้ผมไม่มีคลาสเรียน แต่ต้องพาคอตตอนไปฉีดวัคซีนที่คลีนิกแถวๆมหาลัยแล้วผมก็ไม่มีรถเพราะเพิ่งเอาเข้าอู่ไปเมื่อวาน และไอ้บอยก็มีนัดคุยงานกับมิสธันยาพอดีผมเลยให้มันมารับด้วย


อาบน้ำแต่งตัวเสร็จออกมาก็เห็นลูกชายตัวเองมานั่งคอตั้งดูซีรี่ย์ใน Netflix เป็นเพื่อนไอ้บอยแล้ว


“คอตตอน come on”


เรียกไปได้ซักพักเจ้าตัวกลมก็เดินทำหน้ามู่ทู่มาหา ตาสีเหลืองวาวฉายแววไม่พอใจเมื่อเห็นกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงในมือผมถูกรูดซิปลงแต่ก็ยอมนั่งเฉยให้ผมอุ้มเข้ากระเป๋าโดยไม่ขัดขืน


บรรยากาศในมหาลัยช่วงนี้จะคึกคักกว่าเดิมหน่อยเพราะใกล้จะสอบไฟนอลแล้ว ส่วนตัวผมแทบจะไม่ต้องซีเรียสอะไรเพราะเทอมสุดท้ายนี้เรียนแค่สามรายวิชาเท่านั้น ส่วนจะซีเรียสน่ะก็คงเป็นเรื่องโปรเจครีสอร์ทใหม่ที่พ่อส่งต่อให้ผมตอนนี้มากกว่า


"เมี๊ยว"


ได้ยินเสียงประท้วงดังขึ้นจากกระเป๋าทำให้ต้องก้มหน้าลงไปดู เจ้าลูกชายทำตาขวางก่อนจะร้องประท้วงเสียงดังอีกครั้งผมถึงได้เปิดกระเป๋าแล้วพามาวางไว้บนตัก วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน เลยดูเหมือนเจ้าตัวดื้อจะหงุดหงิดง่ายกว่าปกตินิดหน่อย


"ลูกมึงจะข่วนหน้ากูไหมวะ?" ไอ้เต๋าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมันร้องถาม คู่นี้เขาไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไหร่ คนอะไรไม่รู้กลัวแมว


"มึงโทรตามไอ้บอยดิ่ว่าเสร็จยัง?" พูดไม่ทันจบดีก็เห็นตัวสูงๆของมันเดินมาแต่ไกล แต่ยังไม่ทันได้พูดพร่ำทำเพลงอะไรไอ้ตัวดื้อก็หนีออกจากตักผมวิ่งหายไปซะเฉยๆ เห็นอ้วนๆแบบนั้นวิ่งเร็วอย่าบอกใครเชียวล่ะ


"คอตตอน"


ผมเรียกก่อนจะวิ่งตาม เอาจริงๆนะปกติไอ้ลูกชายผมมันก็ไม่เคยทำตัวเกเรแบบนี้เลย วันนี้เป็นอะไรของมันขึ้นมาล่ะเนี่ย


"คอตตอน stop!"


วิ่งเลาะมาเรื่อยๆจนถึงที่จอดรถตรงหลังตึกคณะ และภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ผมชะลอฝีเท้าลงแล้วเปลี่ยนเป็นหยุดยืนมองแทน

จากมุมนี้เขาคงไม่ทันสังเกตุเห็นผมหรอก


จะว่าแปลกใจกับภาพที่เห็นแต่ความรู้สึกของผมมันกลับรู้สึกคุ้นชิน และผมก็กำลังลุ้นว่าสิ่งที่ตัวเองคาดหวังจะเกิดขึ้นหรือเปล่า


ถ้ามันเกิดขึ้นจริง....


แล้วผมก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นคนตัวบางรวบเจ้าตัวดื้อขึ้นมากอดแล้วฝังจมูกลงบนหัวสีเทากลมๆนั่น คอตตอนไม่ได้ขัดขืนอะไรเลย แถมดูแล้วเจ้าตัวจะพอใจกับอ้อมกอดเล็กๆนั่นด้วย


ผมรู้สึกว่ามันบ้ามากกับสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่ในหัว แต่ผมก็เลือกที่จะลองทำมันดู ผมสาวเท้าเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าน้อง เขาทำหน้าตกใจ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดคือน้องไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยจนผมต้องเป็นฝ่ายออกปากทักทายเขาก่อน


แล้วเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเพราะมันก็เป็นอีกครั้งที่น้องเจอหน้าผมแล้วก็เริ่มร้องไห้ออกมาอีกแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมไม่อยากให้เขาเป็นแบบนี้เลย


เรายืนอยู่ตรงนั้นด้วยกันพักใหญ่ ทั้งๆที่ผมก็ไม่เข้าใจความรู้สึกในตอนนี้เหมือนกัน มันรู้แค่ว่าผมไม่อยากละสายตาไปจากเขา ไม่อยากให้เขาต้องร้องไห้เลยได้แต่ลูบกลุ่มผมลื่นมือนั้นเบาๆแล้วบอกน้องว่าไม่เป็นอะไรแล้วนะ แล้วก็เป็นโชคดีอีกอย่างที่เจ้าคอตตอนก็ไม่งอแงและทำตัวดีพอที่จะอยู่นิ่งๆให้ผมอุ้มด้วยแขนข้างเดียวอยู่แบบนั้น


"เจอแล้วก็ไม่บอกนะไอ้ห่า ให้กูหาซะหอบ" เสียงของไอ้บอยที่ดังขึ้นจากข้างหลังทำให้คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างหน้าผงะ ก่อนจะใช้หลังมือปาดน้ำตาออกจกแก้มขาวของตัวเองลวกๆ แล้วส่งยิ้มให้กับคนที่เข้ามาใหม่


"สวัสดีครับ"


แล้วไอ้บอยก็ทำท่าจับผิดผมเหมือนเคย เพราะหลายครั้งที่ผมแอบมองน้อง...มันก็มักจะจับได้ตลอด


"ก็เข้าไปจีบเลยดิ่วะ" มันเคยพูดประโยคนี้กับผม


ยอมรับว่าผมเคยจะทำตามที่มันบอกจริงๆ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายไม่ใช่เหรอวะที่จะเดินเข้าไปจีบใครซักคนที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน และที่สำคัญคือ เขามีแฟนอยู่แล้ว


ผมสลัดคำพูดมันออกจากหัวก่อนจะโต้ตอบความไร้สาระของมัน ดวงตากลมมองผมกับไอ้บอยสลับกันไปมาก่อนที่ริมฝีปากบางที่ถูกเจ้าตัวเม้มเอาไว้เหมือนกำลังใช้ความคิดจะคลี่ออกแล้วเอ่ยคำพูดออกมาแบบไม่ดังเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้ลมหายใจผมสะดุดอีกครั้ง


"พี่..จะพาคอตตอนไปไหนเหรอ...ครับ"


"ไม่ คือ ผมได้ยิน พี่เรียกน้องเมื่อกี้ไง" คนตรงหน้าผมรัวคำแก้ตัวออกมาอย่างลนลานทั้งๆที่ยังไม่มีใครเอ่ยถามอะไรเลยด้วยซ้ำ


"อืม ใช่ไหม คอตตอน"  ฝ่ามือบางถูกยกขึ้นมาลูบบนหัวเจ้าตัวดื้อเบาๆพลางขอความคิดเห็น แถมไอ้ลูกชายผมมันก็รับมุกซะด้วยสิ

และท่าทางของน้องที่มีต่อเจ้าดื้อของผมก็ทำให้ผมตัดสินใจจะพิสูจน์สิ่งที่ตัวเองค้างคาใจมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา


"ถ้าไม่ว่าอะไรพี่ขับให้ไหม?" ผมเอ่ยออกไปเมื่อน้องตกลงจะเป็นคนไปส่งผมที่คลีนิก แล้วน้องก็ตกลงทันที ซึ่งอะไรที่ทำให้น้องไว้ใจผมได้ขนาดนั้นวะ


เพลย์ลิสต์เพลงที่กำลังเล่นให้ได้ฟังอยู่ตอนนี้ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ไม่ยากเมื่อทุกเพลงที่ได้ฟังมันเป็นเพลงโปรดของผมทั้งนั้น


"ed sheeran อีกละ" คำพูดที่เคยได้ยินจากในความฝันทำให้ผมต้องแอบหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาสบตาผมแล้วก็ต้องหัวเราะกลบเกลื่นความเขินไปด้วยกันทั้งคู่


เรามาถึงคลีนิกในไม่กี่อึดใจ และผมก็เลือกที่จะเก็บกุญแจรถน้องใส่กระเป๋ากางเกงไว้โดยไม่คืนให้เจ้าตัวอย่างที่ควรจะทำ แต่น้องก็ไม่ได้ท้วงอะไร ตรงกันข้าม เขาดูสนุกกับการที่ได้เล่นกับเจ้าคอตตอนอยู่เรื่อยๆแบบนี้ซะด้วยซ้ำ


"ผมลงสตอรี่ได้ไหม?" ใบหน้าน่ารักเงยขึ้นมาถามพร้อมกับหันจอไอโฟนมาให้ดูคลิปที่เจ้าตัวถ่ายเอาไว้ซึ่งถ่ายติดผมด้วย และก็ถ้าเป็นอย่างนั้น....


"ถ้าอยากเห็นคอตตอนบ่อยๆ ก็ฟอลมานะ"


มันก็ควรต้องมีชื่อผมแท๊กอยู่ด้วยสิ จริงไหม ?


การฉีดวัคซีนของเจ้าดื้อผ่านไปอย่างไม่มีปัญหาและไม่ได้ใช้เวลามากนัก แต่ก่อนที่ผมกับน้องจะได้กลับบ้าน แก้วก็ผลักประตูเข้ามาซะก่อน


"แดนอยู่ที่นี่จริงๆด้วย" เธอร้องทักเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าน้องและผม


"บอยบอกแก้วเหรอครับ" ผมถาม ทั้งๆที่ก็คิดว่าคงจะไม่ใช่


"เปล่าหรอกค่ะ แก้วจำได้ว่าวันนี้คอตตอนต้องมาฉีดวัคซีนที่นี่ต่างหาก ไลน์ถามแดนแล้วด้วย แต่แดนไม่ตอบแก้วก็เลยลองแวะมาดูค่ะ" เธออธิบาย ก่อนจะหันไปสนใจคนที่ยืนเงียบอยู่ข้างหน้าผม


"แล้วนี่…"


“น้องชื่อตัง เป็นรุ่นน้องแดนเอง แล้วนี่...” แนะนำไม่ทันจบแก้วก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน ทำให้คนที่ยืนเงียบยิ่งนิ่งเข้าไปอีก


“พี่ชื่อแก้วค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”


น้องไม่ได้ตอบอะไรออกไปมีเพียงใบหน้าขาวที่เงยขึ้นมามองผม และดวงตาสวยนั้นกำลังฉายแววสงสัย ซึ่งผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเท่าไหร่ เพราะหลายๆคนมักจะเข้าใจผิดว่าผมกับแก้วกำลังคบกันอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น เพียงแต่ว่าเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ และตอนนี้แก้วก็พักอยู่ที่คอนโดเดียวกันกับผม แต่ถ้าให้พูดจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าแก้วอาจจะรู้สึกกับผมมากกว่าความเป็นเพื่อนแบบที่เป็นอยู่ แต่เพราะว่าแก้วเองก็ไม่เคยพูดออกมาตรงๆซึ่งนั่นก็ทำให้ผมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธการกระทำที่บางครั้งมันล้ำเส้นความเป็นเพื่อนแบบปกติไปบ้าง


" กลับคอนโดพร้อมแก้วเลยไหมคะแดน วันนี้แก้วขับรถมาค่ะ"


เพียงแต่วันนี้ผมคงจะปล่อยให้มีคนเข้าใจผิดความสัมพันธ์ของผมกับแก้วไปแบบนั้นไม่ได้อีกแล้วล่ะ


"ไม่เป็นไรครับ วันนี้แดนต้องพาน้องไปทานข้าวด้วย" ผมปฏิเสธก่อนจะยกมือขึ้นวางบนไหล่บางของคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหน้า คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่มุมปากบางจะยกยิ้มขึ้นนิดหน่อยเมื่อเราสบตากัน


"งั้นแก้ว.."


"แก้วขับรถกลับดีๆนะครับ แดนกับน้องขอตัวก่อนนะ" ผมดันไหล่บางของน้องไปข้างหน้าเบาๆก่อนที่เจ้าตัวจะออกเดินโดยที่ผมเองก็ยังไม่ละมือออกจากไหล่บางของเขา


"ตัง" ผมเรียกก่อนที่คนที่กำลังดึงเข็มขัดนิรภัยมาเสียบตัวล็อคที่เบาะฝั่งข้างคนขับจะหันกลับมาจึงได้เอ่ยถาม


"พาสต้าแซลมอนรมควันดีไหม?" น้องจะรู้นัยที่ซ่อนอยู่ในคำถามของผมหรือเปล่านะ


แต่รอยยิ้มกว้างที่เปิดขึ้นบนใบหน้าน่ารักก็ทำให้หัวใจผมเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ


และเมื่อเจ้าของรอยยิ้มพยักหน้าเร็วๆหลายครั้งแล้วส่งเสียงตอบรับออกมา


"อื้อ ตังคิดถึงมันมากๆเลย"


มันก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องเปิดยิ้มกว้างออกมาเช่นเดียวกัน



TBC

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
EP27 - One way ticket





สอบไฟนอลผ่านไปแล้วโดยสวัสดิภาพ ช่วงนี้เลยเป็นช่วงที่ทุกคนจะหาเรื่องพักผ่อนสมองก่อนที่จะต้องเริ่มฝึกงานในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า ผมเองก็กำลังเก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางกับเขาด้วยเหมือนกัน และเสียงเปิดประตูอย่างถือวิสาสะก็ทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมอง มารยาทดีเด่นแบบนี้คงหนีไม่พ้นไอ้แฝดนรกอย่างเคย


“อธิบายก่อนไหม หื้ม” ไอ้ป่านมันเดินเข้ามาดักหน้าผมที่หันกลับมาเก็บกระเป๋าต่อโดยไม่สนใจการปรากฏตัวของมันสองพี่น้อง


“เก็บกระเป๋าไปไหนจ๊ะ? หายดีแล้วแรดเลยเหรอ” มันลากเสียงยาวพลางทำท่าจับผิดจนผมต้องหลุดยิ้มออกมากับความโอเว่อร์แอคติ้งของมัน


“ก็บอกในไลน์แล้วไง” ผมตอบแบบปัดๆไปจนมันจิ๊ปากใส่


‘กู...ต้องไปช่วยงานรุ่นพี่ที่ต่างจังหวัดว่ะ’  ก็อาจจะเพราะข้อความที่ผมใช้ปฏิเสธคำชวนไปเที่ยวทะเลของพวกมันน่ะแหละที่ทำให้พวกมันย้ายตัวเองมาหาผมได้แบบนี้อ่ะ

 
“รุ่นพี่คนไหนเอ่ย?” คราวนี้เป็นไอ้ปอที่กลิ้งตัวลงจากที่นอนมาดึงเสื้อที่ผมกำลังจะยัดเข้ากระเป๋าออกจากมือผม ริมฝีปากมันยิ้ม แต่ตาคมจ้องหน้าผมอย่างจับผิดไม่เลิก


“ก็…” ผมเว้นจังหวะ สายตาใฝ่รู้ของมันสองคนจ้องผมขเม็งเชียว


“พี่แดนไง” มันสองคนหันไปมองหน้ากันก่อนจะหันกลับมาจ้องผมใหม่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม


“พี่ดินแดนเอกอิงก์ คนที่ช่วยกูอ่ะ” มันสองคนยังเงียบแต่ก็พยักหน้ารับ ผมคว้าเสื้อตัวที่อยู่ในมือไอ้ปอมายัดใส่กระเป๋าตามด้วยของใช้อีกสองสามอย่างก่อนจะรูดซิบปิดแล้วใช้เท้าเขี่ยมันไปชิดกำแพงเพื่อไม่ให้เกะกะทางเดิน


“ไปสนิทกันตอนไหนวะ” ไอ้ป่านมันเกาหัวงงๆก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน


“พี่ดินแดนเอกอิงก์ อย่าบอกนะว่า…” ไอ้ปอมันขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้


“เออ กูจะไปเชียงใหม่” ผมตอบมันอย่างพอจะเดาได้ ไอ้แฝดมันหันไปส่งสัญญาณต่างดาวใส่กันสักพักไอ้ป่านมันก็หันมาพูดกับผมด้วยโทนเสียงที่สูงกว่าปกติซัก35เท่า


“ว้อทท มึงจริงจังเหรอธนพัฒน์?”


“อือฮึ” ผมพยักหน้าให้มันสองทีก่อนจะเบียดตัวลงบนที่นอนอีกคน


“แล้วมึงบอกป๊ากับม๊ายัง?”


“บอกแล้ว” ผมตอบสั้นๆ นอกจากป๊ากับม๊าจะไม่ว่าอะไรแล้ว ยิ่งพอบอกว่าเป็นพี่แดนม๊ายิ่งสนับสนุนด้วยนะเอ้อ


ไอ้ป่านยังขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ พวกมันเงียบกันไปซักพักก่อนที่ไอ้ปอจะเป็นคนทำลายความเงียบออกมาบ้าง


“อยากไปเองใช่ไหม?” เสียงมันขรึมขึ้นนิดหน่อยบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังจริงจัง


“อื้อ กูอยากไปเอง อยากไปมากๆ” ผมยิ้มก่อนจะย้ำคำตอบอย่างหนักแน่น เมื่อมันเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจอยากจะทำที่สุดในตอนนี้ ผมอยากจะรู้จักพี่แดนให้มากกว่านี้ อยากจะรู้จักทุกสิ่งที่แวดล้อมรอบๆตัวพี่เขา อยากจะรับรู้ทุกอย่างในสิ่งที่ผมเคยปฏิเสธมันมาก่อน และครั้งนี้ผมจะไม่ทางวิ่งหนีมันอีก


‘เอ็งต้องมีความพยายามด้วยสิวะ’ เสียงที่ผุดขึ้นจากความทรงจำเหมือนจะคอยย้ำ ก็ไม่รู้ว่าท่านเทวดาจะยังคอยมองผมอยู่ไหม แต่ตอนนี้ผมพยายามสุดตัวเลยนะ หน้าด้านขอตามเขาไปก็ทำมาแล้วด้วย นึกแล้วก็อายว่ะ


วันนั้น…


หลังจากที่กลับจากคลีนิกที่พาเจ้าก้อนกลมไปฉีดวัคซีน จะเรียกว่ามันเป็นครั้งแรกก็ได้ที่ผมมีโอกาสไปที่คอนโดของพี่แดน ซึ่งก็ใช่ มันเป็นคอนโดที่เราเคยอยู่ด้วยกันในช่วงเวลานั้น ทุกอย่างแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยน เพียงแค่ว่ามันไม่มีของอะไรที่เป็นของผมอยู่เลยก็เท่านั้น
 

ทั้งๆที่ตื่นเต้นจนมือชื้นไปด้วยเหงื่อ แต่ใจผมมันกลับอุ่นแบบแปลกๆ แม้กระทั่งไอ้โซฟาสีเทาตัวนี้ที่ผมกำลังนั่งอยู่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีจนพูดไม่ถูก มันมีหลากหลายความทรงจำที่เกิดขึ้นตรงนี้ ไม่เว้นแม้แต่…


การจูบกันครั้งแรก…


“ร้อนเหรอ?” ผมส่ายหน้าให้กับคำถามที่ได้รับ พี่แดนยิ้มก่อนที่จะก้มหน้าลงมาหากันแล้วพูดต่อ


“หน้าเราแดงมากเลยรู้ไหม?” แล้วถ้าพี่มันไม่เดินเข้าครัวไปซะก่อนก็คงจะได้เห็นคนหน้าไหม้ทั้งที่ไม่ได้ตากแดดแน่ๆล่ะ


เรานั่งดูซีรี่ย์ใน Netflix อยู่ด้วยกันเงียบๆโดยมีเจ้าคอตตอนนอนขดตัวอยู่บนตักของผม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษมีเพียงแค่เวลาที่เราปล่อยให้มันไหลผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ดึงความสนใจของพี่แดนไปจากหน้าจอก่อนจะลุกเดินหายไป อยากจะรู้ว่าใครโทรมา แต่ก็ต้องบอกตัวเองไว้ว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะถาม


จับใจความไม่ได้แล้วว่าตอนนี้ซีรี่ย์ในจอเล่นไปถึงไหนเหมือนสมาธิมันหดหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้ ไม่ทันรู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเจ้าก้อนกลมกระโดดลงจากตักไปนอนบนเบาะของตัวเองเมื่อไหร่  จนกระทั่งพี่แดนเดินเข้ามา เขาก็ยังไม่วางโทรศัพท์อยู่ดี


“ครับ ขอแดนเซาะหากำหนึ่ง” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนจะคลายออกเมื่อเปิดแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยที่อยู่ข้างหน้าผม


“ปะแล้วครับ ใจ่ตี่มีแพทเทิร์นกับตัวอย่างผ้าอยู่ 2 ชิ้น แม่นก่อครับ”


“ลูกค้าญี่ปุ่นก่อปี้บี”


“อ่า..ครับ แดนจะปิ๊กขึ้นไปวันผูกครับ”


อาจจะเป็นเพราะผมจ้องเขานานเกินไป คนที่กดวางสายแล้วจึงหันมาหาผมก่อนจะยิ้มเล็กๆที่มุมปาก


“ผ้าตีนจกน่ะ รู้จักไหมครับ?” เสียงทุ้มๆเอ่อถาม พลางหยิบตัวอย่างผ้าในมือส่งให้ผมดู ส่วนผมก็ได้แค่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ


“มันคือผ้าฝ้ายทอมือแบบมีลวดลายของภาคเหนือน่ะ” พี่แดนอธิบายต่อ ผมพยักหน้ารับช้าๆ แต่ก็ยังงงๆ คนที่นั่งข้างกันถึงได้หัวเราะออกมา


“คุณแม่พี่ทำร้านขายผ้าทอน่ะ โทษที” พี่แดนอธิบายเสียงกลั้วขำ


“อ๋อ”


“แล้วเมื่อกี้...ผมได้ยินว่าลูกค้าญี่ปุ่นเหรอครับ?” ผมหันไปพูดกับคนที่นั่งข้างๆ พอสบตาคมนั้นแล้วก็ต้องรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน


“คือตังไม่ได้แอบฟังพี่คุยโทรศัพท์นะ คือมันได้ยินเฉยๆอ่ะ”


“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยครับ” พี่แดนยังพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วขำก่อนจะยิ้มเล็กๆที่มุมปากแล้วพูดต่อ


“ใช่ เป็นลูกค้าญี่ปุ่น เขาจะเข้ามาดีลงานพรุ่งนี้”


“แล้วพี่ต้องไปเชียงใหม่พรุ่งนี้เช้าเลยเหรอ?”


“ใช่ครับ” คนตอบยิ้มเนือยๆก่อนจะเอนหลังนั่งพิงโซฟา ผมเม้มปากอย่างช่างใจก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก


“เป็นแบบนี้บ่อยไหม?”   


“พี่ชินแล้วล่ะ ไม่เหนื่อยหรอก” พี่แดนตอบเหมือนเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่


“แต่พรุ่งนี้คงจะเหนื่อยหน่อย” ผมเลิกคิ้ว คนพูดประโยคนี้เลยอมยิ้มก่อนจะพูดต่อ


“สำเนียงภาษาอังกฤษของคนญี่ปุ่นเข้าใจลำบากนิดหนึ่งอ่ะ”


“อ๋อ” ผมครางรับ อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมาบ้างก่อนที่ห้องจะเงียบลงเพราะฉากที่กำลังฉายอยู่ในซีรี่ย์ตอนนี้เป็นช่วงเดธแอร์พอดี


“ถ้ามีอะไรที่ผมทำได้….ผมอยากช่วยพี่นะ” ก็ลองเสี่ยงที่จะพูดออกไปแบบนั้นทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำใจที่จะฟังคำตอบ ได้ยินเสียงคนข้างๆขยับตัวเบาๆก็ยังไม่กล้าหันไปมองอยู่ดี


“ถ้าอย่างนั้น เอาไว้โทรคุยกันนะครับ” 


ผมยังจำรอยยิ้มที่มากับคำพูดของพี่แดนวันนั้นได้ แล้วก็ยังจำความรู้สึกของตัวเองได้ดีอีกว่าเขินกับรอยยิ้มนั่นมากขนาดไหน

 
แล้วเสียงพูดของไอ้ป่านที่ดังขึ้นมาพร้อมฝ่ามือกว้างที่ผลักหัวผมแบบไม่แรงเท่าไหร่ก็เรียกให้ผมตื่นจากภวังค์ความคิดถึงใครอีกคนได้ 


“ไม่ต้องยิ้มกว้างขนาดนั้นก็ได้ กูเชื่อแล้วว่ามึงอยากไปจริงๆ”




*




ผมลากกระเป๋าเดินออกจากเกทที่สนามบินเชียงใหม่หลังจากเครื่องแลนด์ได้ไม่นาน อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นช่วงเช้าของวันธรรมดาผู้คนถึงไม่พลุกพล่านเท่าไหร่นัก และเดินออกมายังไม่ทันถึงด้านนอกก็เห็นคนที่เพิ่งคุยโทรศัพท์กันเมื่อเช้ากำลังยืนดูนาฬิกาข้อมืออยู่ไม่ไกล แต่ถึงจะไกลผมก็มองเห็นพี่เขาเป็นคนแรกอยู่ดี


“หวัดดีครับ” ผมทักคนที่ส่งยิ้มเล็กๆให้ตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง พี่แดนพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยถามเมื่อเริ่มออกเดินมาด้วยกัน


“หิวไหมอ่ะเรา?”   


“ตอนนี้ยังครับ แล้วพี่แดนกินอะไรมาหรือยัง?”


“ร้องท้องมานิดหน่อยแล้วครับ งั้น..ถ้าตังยังไม่หิวก็ไปกินที่บ้านเลยดีไหม?” คนพูดหันมายิ้ม และนั่นก็ทำให้ผมแอบหน้าร้อนอีกแล้ว

 
ขับรถออกมาจากสนามบินได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบ้านที่พี่แดนว่า ซึ่งมันอยู่ภายในบริเวณรีสอร์ทที่เป็นของครอบครัวพี่เขานั่นแหละ บ้านไม้หลังใหญ่นี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ บรรยากาศดีจนไม่รู้จะพูดยังไง เรียกได้ว่ามันเป็นทำเลทองเลยล่ะ


แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเคยมาที่บ้านหลังนี้ เพียงแต่ว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันทำให้ผมแทบจะจำอะไรไม่ได้ ทั้งบรรยากาศทั้งผู้คน มันมีแต่ความเสียใจที่กัดเซาะความรู้สึกผมจนไม่เหลืออะไรเลย


“ตัง”


“ตัง”


“อ่ะ ครับ” ผมหลุดจากภวังค์เมื่อเจ้าของบ้านส่งเสียงเรียกจนต้องเกาท้ายทอยแก้เขินเมื่อมายื่นเหม่ออยู่หน้าบ้านเขาซะอย่างนั้น


“เข้าบ้านก่อน” ฝ่ามือใหญ่แตะที่หัวไหล่ผมเบาๆก่อนจะดันให้เดินเข้าบ้านไปด้วยกัน


“อ่าว มากั๋นแล้วก๊ะ?” ผมยกมือไหว้แม่เอื้องที่ละมือออกจากการปอกผลไม้แล้วหันมาสนใจผมกับพี่แดนที่เดินเข้ามา


“สวัสดีครับ”


“สวัสดีจ้า” เธอตอบรับก่อนจะหันไปพูดกับลูกชายตัวเองด้วยรอยยิ้ม


“หั๋นอ้ายแดนฝั่งออกไปตะเจ้า นึกว่าจะไปฮับสาวบ้านไหนมาหื้อแม่ผ่อตั๋วซะอีก”


“แม่กะว่าไปเรื่อย แดนก็บอกแล้วว่าจะไปฮับรุ่นน้อง”


“จ้า แม่ก่ะแซวเล่นบ่ดาย” แม่เอื้องหัวเราะเบาๆก่อนจะหันมาสบตาผมที่ยังคงยืนทำหน้าไม่ถูก


“นั่งก่อนสิลูก ทำตัวตามสบายนะครับ”


“ครับ”


แม่เอื้องนั่งคุยกับผมและพี่แดนอยู่ซักพักก็ขอตัวเอาผลไม้ไปให้คุณพ่อในห้องทำงานพร้อมทั้งไล่ให้เราไปหาข้าวกินกันซะก่อนค่อยเริ่มทำอะไร ซึ่งพี่แดนก็ไม่ได้พาผมออกไปไหนเพราะเป้าหมายก็คือโต๊ะอาหารของที่บ้านนี่แหละ


“เดี๋ยวตอนบ่ายพี่จะแวะไปที่ร้านผ้า เสร็จแล้วเราไปไหว้พระธาตุกันดีไหม?”


“ดีครับ”


“งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จพี่ให้เวลาเราพักสองชั่วโมงนะ” คนพูดยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ซึ่งตอนนี้มันบอกเวลาเกือบจะ 11 โมงแล้วล่ะ


“แล้ว…”


“ว่าไงครับ?”


“เปล่าครับ” ผมยิ้มก่อนจะส่ายหน้า ก่อนหน้านี้ตื่นเต้นอยากจะมาแทบตาย เอาเข้าจริงตอนนี้โคตรประหม่าเลยให้ตายสิวะ


“อีกสองชั่วโมงเจอกันครับ” คนพูดยิ้มเมื่อหยุดส่งผมที่หน้าห้องก่อนจะเดินแยกไปอีกทางเพราะบอกผมว่าจะไปคุยงานกับพ่อต่อ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่แดนต้องช่วยงานที่บ้านเยอะมากขนาดนี้ ไม่เหมือนกับผมที่แทบจะไม่เคยทำอะไรเลย มีแต่เรียนแล้วก็เที่ยวเล่นไปวันๆ นึกแล้วก็สงสารป๊ากับม๊าเหมือนกันนะที่มีลูกแบบผมเนี่ย


“เฮ้อออ” ได้แต่ถอนหายใจแล้วก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่ม กลิ่นหอมสะอาดของน้ำยาปรับผ้านุ่มทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะดึงหมอนใบใหญ่มากอดไว้


นึกย้อนกลับไปตอนที่เริ่มคุยกับพี่แดนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บางครั้งมันมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ผมก็อดที่จะเข้าข้างตัวเองไม่ได้ มันรู้สึกเหมือนกับว่าพี่แดนเองก็รู้จักผมมาก่อน แล้วยิ่งได้เจอกัน คุยกันต่อหน้า แววตาของพี่เขาที่มองมา...มันไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมเลย


แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง?
พี่เขาก็ผ่านเรื่องแบบนั้นมาเหมือนกับผมงั้นเหรอ!?


ท่าจะบ้า ผมส่ายหัวให้กับความคิดของตัวเอง


และถ้าพี่เขาผ่านเหตุการณ์นั้นมาเหมือนกับผมจริง….


พี่แดนก็คงจะไม่ดีกับผมแบบนี้หรอก เพราะหลังจากที่เราทะเลาะกันวันนั้น ผมกับพี่เขาก็ไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกเลย…


และเสียงเคาะประตูที่หน้าห้องก็ดึงผมออกจากภวังค์ความคิดอีกครั้ง


“ครับ” ขานรับแล้วก็รีบสวมสลิเปอร์ที่ถอดทิ้งไว้อย่างไม่เป็นระเบียบก่อนจะออกไปเปิดประตู


“เร็วไป 30 นาที” คนพูดยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ผมยิ้มตอบ ดีซะอีกที่พี่มาเร็ว ผมไม่ได้อยากมาเพื่ออยู่คนเดียวซักหน่อย


“เราจะไปกันเลยไหม?” ผมถามคนที่ยังยิ้มในหน้าก่อนที่พี่แดนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ


“ไปก็ไปครับ”



ถนนในเมืองเชียงใหม่ช่วงบ่ายๆก็ไม่ต่างอะไรจากในกรุงเทพมากนัก เรียกได้ว่ารถติดไม่เบาเลยทีเดียวแหละ ผมมองสองข้างทางที่เรียกได้ว่าแปลกตาไปมากจากที่เคยมาเที่ยวกับครอบครัวเมื่อตอนยังเป็นเด็ก เอาจริงๆตอนเด็กๆผมก็จำอะไรไม่ค่อยได้หรอกเพราะเวลาอยู่บนรถก็เอาแต่เล่นเกมส์ แล้วก็งอแงใส่ม๊า


ไม่นานเท่าไหร่พี่แดนก็พาผมมาถึงที่หมาย ด้วยว่าจริงๆแล้วร้านผ้าทอของแม่เอื้องก็ไม่ได้อยู่ไกลจากบ้านซักเท่าไหร่ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมกำลังค่อนข้างอึ้งอ่ะ เพราะถ้าจะให้ถูกพี่แดนควรจะพูดคำว่าบริษัทแทนคำว่าร้านจะดีกว่ามั้ง


พี่แดนพาผมเดินผ่านโถงใหญ่ที่ประดับด้วยผ้าทอหลากหลายลวดลายผสมผสานกับดอกไม้เมืองหนาวหลากหลายสีสัน มันคลาสสิคแต่ก็ดูทันสมัยในคราวเดียวกัน


“สวัสดีเจ้าอ้ายแดน”  ผู้หญิงที่สวมชุดผ้าทอพื้นเมืองเอ่ยทักทายก่อนที่พี่แดนจะทักทายตอบ พอมาสังเกตุดูแล้วพนักงานที่นี่ใส่ชุดผ้าทอกันทุกคนเลยแฮะ


“สวัสดีครับ”


“วันนี้ปี้บีเข้ามาก่อครับ?”


“ปี้บีออกไปกลุ่มแม่บ้านที่แม่แจ่มตั้งแต่ตะเจ้าแล้วเจ้า น่าจะปิ๊กมามะแลงเลย”


“อ่า ผมกะลืมไปเลย” พี่แดนครางรับ ก่อนจะหันมาทางผมแล้วแนะนำออกมาเป็นภาษากลาง


“ตัง คนนี้ชื่อพี่ปุ๊ก พี่ปุ๊กครับ นี่น้องตังนะ”


“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ก่อนที่เธอจะรีบโบกมือไปมาแล้วบอกผมว่าไม่ต้องยกมือไหว้ก็ได้


“จริงๆวันนี้พี่จะพาตังมาทำความรู้จักกับพี่บีก่อน ส่วนใหญ่งานในร้านพี่บีจะเป็นคนดูแล พี่เองยังไม่รู้เรื่องเท่าพี่บีเลยครับ ยังเป็นเด็กฝึกงานอยู่เหมือนกัน” พี่แดนพูดกลั้วขำ พี่ปุ๊กเองก็หัวเราะเบาๆเหมือนกับเห็นด้วยกับเรื่องที่พี่แดนบอกผมเหมือนกัน


“คงต้องพรุ่งนี้แล้วล่ะค่ะ”


และหลังจากที่ผมนั่งรอพี่แดนเข้าไปเช็คอีเมลลูกค้าได้ซักพักพี่เขาก็ชวนผมออกจากร้านมุ่งหน้าไปไหว้พระธาตุตามที่บอกกับผมตั้งแต่เมื่อเช้า และถึงวันนี้จะเป็นวันธรรมดาคนก็ยังดูคึกคักไม่ต่างจากวันหยุดซักเท่าไหร่


ระหว่างทางลงพี่แดนแวะจอดรถตรงจุดชมวิวก่อนจะชวนผมออกมานั่งรับลมที่ศาลา ผมว่าพี่เขาคงดูออกอ่ะว่าตอนนี้ผมโคตรเวียนหัวเลย


“ไหวไหมเรา?”


“ไม่ค่อยจะดีเลยพี่” ผมตอบตามจริง แล้วมันก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนถามได้อย่างดังเลย


“เดี๋ยวมากับพี่บ่อยๆก็ชิน” ผมเม้มปากก่อนจะเสมองวิวข้างหน้า แต่ละอองฝุ่นที่ฟุ้งจนเกือบไม่เห็นฟ้าก็ไม่ทำให้ผมเห็นวิวทิวทัศน์อะไรหรอก


“ที่ไหนก็มีแต่ฝุ่น” แล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา


“ตังชอบกินส้มไหม?” อยู่ๆคนข้างๆก็ตั้งคำถามให้ผมหันกลับไปหา พี่เขาจะรู้ไหมว่าผมชอบจังเวลาที่พี่เขาเรียกชื่อผมออกมาแบบนี้

 
“ก็กินได้ครับ” ผมตอบ


“เดี๋ยวถ้ามีเวลาพี่จะพาไปไร่ส้มของพี่ชายพี่ที่ฝาง บรรยากาศดีกว่าที่นี่เยอะเลย” พี่แดนพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะเปิดยิ้มมุมปาก


“รับรองเลยว่าตังจะรักเชียงใหม่จนไม่อยากกลับเลยล่ะ”

 

กลับลงมาในเมืองพี่แดนก็ไม่ได้ขับรถตรงกลับบ้านอย่างที่ผมคิด แต่พี่เขาก็ไม่ทำให้ผมต้องแปลกใจนานเมื่อเขาต่อสายโทรหาแม่เอื้องว่าวันนี้จะไม่กินข้าวเย็นที่บ้านก่อนจะหันมาถามผมว่าอยากกินอะไรหลังจากที่วางสายแล้ว


“ผม..” จะตอบว่าอะไรก็ได้แม่งก็ดูจะเป็นคนน่ารำคาญไปหน่อยมั้งวะ ผมตัดสินใจไม่พูดต่อก่อนจะหันไปสนใจร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ข้างทางเหมือนถนนทองหล่อ


“ซูชิไหมครับ?” ผมหันกลับมาถามคนขับ


“ดีเหมือนกันครับ” แล้วพี่เขาก็ยิ้มอย่างที่ผมคิดซะด้วย


กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็ไม่ใช่ง่าย ขนาดมากับคนพื้นที่ยังขนาดนี้ ถ้าผมมาเองคงไม่ต้องจอดแล้วล่ะ


เราเลือกที่นั่งด้านในสุดที่โชคดีว่ามันยังว่าง เพราะลูกค้าค่อนข้างจะเยอะเพียงแต่ส่วนมากจะมากันเป็นกลุ่มใหญ่ ผมมองเมนูก่อนจะขมวดคิ้ว เพราะก็เออนั่นแหละ ผมเคยชอบกินซูชิที่ไหนวะ


“ยากิโมโนะร้านนี้อร่อยนะ” และอยู่ๆคำพูดของพี่แดนก็ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นจากเมนู หัวใจมันเต้นตุบๆ จนหนวกหูไปหมด


“เอ่อ...พี่หมายถึง บางทีเราอาจจะไม่ชอบซูชิ ก็ได้”


“คือ พี่แค่เดาน่ะ” คนที่พูดเสมองไปทางอื่นเหมือนกำลังจะมองหาพนักงานให้มารับออเดอร์ซะเดี๋ยวนี้อย่างไรอย่างนั้น


“ถ้าแบบนั้นพี่แดนสั่งให้ตังหน่อยได้ไหมครับ?” ผมพูดออกไปทั้งๆที่ในใจมันยังสั่นระรัว มันตื่นเต้นจนรู้สึกว่าแม้แต่มือก็ยังสั่น


และคำตอบที่ได้ก็ทำให้ต้องยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว


“ได้สิครับ”
 




TBC

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 EP28 - Long way to go (1/2)





บางทีการตื่นเช้ามันก็ไม่ได้แย่ไปซะทุกวันหรอก : )


ผมหยิบเจ้าไอ้โฟนขึ้นมาปิดการแจ้งเตือนก่อนจะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาเมื่อมันยังมีเวลาให้นอนขี้เกียจอีกพักใหญ่ จิ้มนิ้วเข้าไปในอินสตาแกรมที่มันมีแจ้งเตือนที่ยังคงค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผมลงรูปยากิโมโนะชุดใหญ่เอาไว้แล้วก็ต้องยิ้มเหมือนกับคนบ้าเมื่อหนึ่งในคอมเม้นต์นั้นมาจากแอคเค้าท์ที่ชื่อว่า dindanvongvrp


‘ พรุ่งนี้นะ : ) ’  สั้นๆ แล้วก็คงมีแค่พี่แดนกับผมที่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอะไร

@dindanvongvrp วันนี้แล้วครับ  : )


ผมตอบข้อความแล้วมุดหน้าลงกับหมอนด้วยความรู้สึกเขินแปลกๆก่อนจะวางโทรศัพท์ลงที่โต๊ะข้างเตียงโดยไม่ได้ตอบข้อความเหม็นเบื่อของไอ้พี่น้องแฝดนรกนั่น แต่ก็นั่นแหละ อีกไม่เกิน 72ชั่วโมงมันต้องวีดีโอคอลมาแน่ เชื่อผมสิ


‘ก๊อกๆ'

“ครับ”อาบน้ำแต่งตัวเสร็จซักพักก็ได้ยินเสียงเคาะที่หน้าประตู ผมขานรับก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู แล้วมันก็ไม่ได้ผิดจากที่คาดเมื่อเปิดประตูออกไปก็เจอคนที่คิดเอาไว้จริงๆ


“พี่ไม่ได้มาเร่งเราใช่หรือเปล่า?” คนถามยิ้มที่มุมปากเล็กๆ ส่วนผมก็ได้แต่รีบส่ายหน้าปฏิเสธ


“ไม่ครับ ตังเสร็จนานแล้ว” ผมรีบหันกลับไปหยิบกระเป๋าสะพายกับโทรศัพท์ แล้วเดินกลับออกมาอีกครั้งก่อนที่พี่แดนจะชวนลงไปนั่งกินข้าวเช้าพร้อมพ่อและแม่ จากนั้นก็พาผมออกไปที่ร้าน


เช้าวันนี้แดดไม่ได้แรงเหมือนกับเมื่อวาน ท้องฟ้าออกจะครึ้มฝนซะด้วยซ้ำ แต่วิวสองข้างทางก็ไม่ได้แปลกตาไปจากเมื่อวานเลย เพลงในเพลย์ลิสต์ที่กำลังเล่นอยู่ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเพลงของ Ed Sheeran เหมือนเคย แต่ที่แปลกก็คือไม่รุ้ทำไมแค่คนข้างๆหันมายิ้มให้กันตอนที่รถติด หัวใจผมแม่งก็เต้นแรงโครมครามจนหูแทบแตกเลยให้ตายเถอะ


เข้ามาถึงร้านพี่แดนก็บอกให้ผมไปนั่งรอในห้องทำงานที่เคยเข้ามาเมื่อวาน ก่อนจะเดินหายออกไปแล้วเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับใครอีกคนที่ผมไม่รู้จัก ผมไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนไม่ว่าจะเป็นความทรงจำจากครั้งไหนก็ตาม
 

ผู้ชายตัวเล็กที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมยกยิ้มน้อยๆ ใบหน้าขาวเนียนละเอียด ริมฝีปากอิ่มสีสวยได้รูป ดวงตากลมโตนั้นทำให้ผมเผลอจ้องเขาอย่างเสียมารยาท


“อ่าว พี่นึกว่าน้องนภซะอีกค่ะ” คนตัวเล็กแตะที่แขนแกร่งของพี่แดนเบาๆก่อนจะเอ่ยออกมา แล้วน้ำเสียงและคำลงท้ายประโยคก็สนับสนุนว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นถูกต้องแล้ว


“เอ่อ..สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เพราะรู้สึกว่าถึงเขาจะตัวเล็กกว่าผมแต่คงจะอายุมากกว่าเพราะขนาดพูดกับพี่แดนยังแทนตัวเองว่าพี่เลย


“ตัง นี่พี่บีนะ”  คงเป็นเพราะไอ้หน้าเหวอๆของผมตอนนี้ล่ะมั้งพี่แดนถึงได้แนะนำคนตัวเล็กตรงหน้าให้ผมรู้จักด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะเบาๆ


“ปี้บีครับ อันนี่น้องตังนะ”


“ตี่แดนเล่าว่ารุ่นน้องจะมาฝึกงาน ปี้กะกึดว่าเป็นน้องนพแหมซ้ำค่ะ ก็ว่าอยู่ทำไมถึงพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ว่าแต่คนนี้บ่เกยหันแดนอู้ถึงมาก่อนเลยนะ” 


คำพูดที่เหมือนว่าผมไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยดังขึ้นจากคนที่ตัวเล็กกว่าโดยที่พี่แดนไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้มตอบรับ และเพราะว่าคำพูด น้ำเสียง ท่าทาง หรือแววตาที่กำลังมองมาที่ผม มันมีความรู้สึกไม่ชอบใจแผงอยู่ ถึงแม้ผมอาจจะฟังไม่ค่อยถนัดแต่ก็ทำให้รู้สึกแย่ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


“แล้วมะเดี่ยวนี้พักอยู่ที่บ้านป้อเลี้ยงกะว่าจะใดเจ้า” คนถามเบนสายตาที่มองผมหันไปเงยหน้าถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆตัวเอง


“ใช่ครับ แดนว่าเราไปนั่งคุยกันดีกว่า” เป็นพี่แดนที่ตอบก่อนจะเดินมาแตะที่ไหล่ผมเป็นเชิงบอกให้เดินไปนั่งพร้อมกัน และมันก็ทำให้ผมรู้สึกคลายความอึดอัดได้บ้างเมื่อพี่เขาเลือกที่จะใช้ภาษากลางแทน


“พักที่รีสอร์ตไม่สะดวกกว่าเหรอคะ” คนชื่อพี่บียังคงถาม ก่อนที่ริมฝีปากสีสวยจะคลี่ยิ้มออกนิดหน่อยเมื่อผมไม่ตอบคำถามของเขา ก็มันจะให้ตอบว่าอะไรได้วะ


“พี่ไม่ได้อะไรหรอกนะคะ แค่คิดว่าบางทีน้องตังอาจต้องการพื้นที่ส่วนตัวน่ะ พี่เองยังชอบอยู่คนเดียวเลยค่ะ”


อารมณ์ที่ดีๆมาตั้งแต่เมื่อเช้าเริ่มจางหายไปเพียงแค่ได้ยินคำพูดไม่กี่ประโยคจากคนตรงหน้า มันใช่ ที่ผมไม่ชอบใจคำพูดและแววตาที่มีนัยอะไรบางอย่างของเขา แต่ก็อดที่จะยอมรับไม่ได้เลยว่าผมอาจจะกำลังรบกวนพื้นที่ของครอบครัวของพี่แดนอยู่ก็ได้ มันเหมือนโดนด่าว่าคิดไม่เป็นเหรอว่าเราไม่ควรไปล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของใครถ้าไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น


แล้วตอนนี้ผมควรจะทำยังไง ?


อยู่ๆสมองมันก็ตื้อจนคิดอะไรไม่ออกไปซะดื้อๆ หันไปมองผู้ร่วมบทสนทนาอีกคนที่ยังคงเงียบก็รู้สึกวูบโหวงในท้องแปลกๆเมื่อกำลังคิดว่าถ้าหากพี่แดนจะถามผมกลับมาว่า “ตังอยากไปพักที่รีสอร์ทหรือเปล่า?” ผมก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตอบว่า “ครับ” ซึ่งผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย


“แดนสะดวกให้น้องพักที่บ้านมากกว่าครับ”


แต่แล้วคำพูดพร้อมรอยยิ้มของคนที่นั่งข้างๆกันก็ทำให้ความรู้สึกแย่ๆของผมสลายไปในชั่วพริบตา และไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัวอะไรฝ่ามืออุ่นๆก็วางลงบนหัวแล้วขยี้เบาๆ


“ไม่ให้ตอบครับ พี่บังคับ”


การเรียนรู้เรื่องผ้าเริ่มขึ้นหลังจากที่พี่แดนตัดบทไปแบบนั้น ส่วนพี่บีก็แค่ยิ้มมุมปากแล้วทำเหมือนไม่ได้เอาสาระอะไรกับสิ่งที่พูดคุยกันไปก่อนหน้านี้ บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยจะโอเคเท่าไหร่ แต่ก็ยอมรับเลยว่าพอเข้าเรื่องงานแล้วพี่เขาจริงจังมากๆ ยิ่งพอเล่าถึงรายละเอียดเกี่ยวกับผ้าแต่ละลาย น้ำเสียงพี่เขานั้นยิ่งมีชีวิตชีวาและน่าฟัง


“เที่ยงนี้เรากินอะไรกันดีล่ะ” พี่แดนถามหลังจากที่พนักงานกำลังทะยอยกันออกไปพักกลางวันกันได้ซักพักแล้ว


“เจ้าถิ่นแนะนำหน่อยสิครับ” ผมตอบ


“อืม...เนื้อตุ๋นดีไหม?”


“ดีครับ” ผมตอบรับพร้อมทั้งหันไปยิ้ม โดยพี่เขาก็ยิ้มตอบก่อนจะพากันเดินออกมาที่หน้าร้านแล้วก็เห็นว่ามีแค่พี่บีคนเดียวที่ยังคงสาละวนกับดิสเพลย์ผ้าที่หน้าร้าน


“พี่บีออกไปกินข้าเที่ยงด้วยกันไหมครับ” พี่แดนเอ่ยชวน แต่อีกคนส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับยิ้มน้อยๆที่มุมปากสวย


“ไปเตอะค่ะ ปี้ห่อข้าวเกียมมาแล้ว”


“จะอั้นแดนจะซื้อขนมมาฝากเน้อ” พี่แดนยิ้มก่อนที่จะหันมาชวนผมเดินออกไปด้วยกัน


เดินที่เรียกว่าเดินจริงๆน่ะ เพราะร้านเนื้อตุ๋นที่พี่แดนว่ามันอยู่ในซอยไม่ไกลกับร้านมากนัก แต่ช่วงเที่ยงๆแบบนี้ก็ต้องทำใจหน่อยแล้วว่าคนต้องเยอะแน่ๆ ดังนั้นพี่แดนจึงชวนผมเดินไปร้านเบอเกอรี่ที่อยู่ถัดออกไปอีกไม่ไกลเพื่อซื้อขนมไปฝากพี่บีและคนอื่นๆก่อนที่จะเดินวนกลับมาที่ร้านเนื้อตุ๋นอีกครั้ง แล้วผมก็ไม่ผิดหวังเลยเพราะว่ามันอร่อยมากจริงๆ ถึงร้านจะเล็กจนเราต้องแชร์โต๊ะร่วมกับคนอื่น ก็เถอะ


“เรียนงานจากพี่บีเป็นยังไงบ้าง” พี่แดนชวนผมคุยในระหว่างที่เรากำลังเดินกลับร้านตอนบ่ายแก่ๆ เพราะตอนที่ผมเรียนเรื่องผ้า พี่แดนก็เข้าไปทำงานในห้องทำงานของตัวเอง


“พี่เขาเก่งมากเลยพี่แดน รายละเอียดเป๊ะมาก” พี่ถามเรื่องงาน ผมก็ตอบตามจริง แต่ไม่นับรวมเวลาที่ดวงตาสวยๆนั่นมองผมเหมือนกับจับผิดอะไรซักอย่างอยู่บ่อยๆอ่ะนะ


“ใช่ ก็ตั้งแต่พี่จำได้ พี่บีเขาก็สนใจเรื่องผ้ามาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ ที่บ้านพี่บีมีกี่ทอผ้าด้วยนะ” อาจจะเป็นเพราะคิ้วของผมมันกำลังขมวดเข้าหากันเลยทำให้พี่แดนพูดต่อโดยที่ผมไม่ต้องถาม


“พี่รู้จักกับบ้านพี่บีมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ อีกอย่าง พี่สาวของพี่บีก็เป็นพี่สะใภ้พี่ด้วย” คนพูดยิ้มในขณะที่ผมกำลังนึกตามสิ่งที่พี่แดนบอก พี่สะใภ้ ก็หมายความว่าพี่สาวของพี่บีเป็นภรรยาของพี่ธาร บางทีตอนนั้น….ผมอาจจะเคยเจอเธอแล้วก็ได้


“อ๋อ” ผมตอบรับในลำคอเบาๆ ก่อนที่เราจะคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปอย่างตรงนี้คือซอยอะไร ร้านนั้นขายอะไร ร้านนี้ขายอะไร จนกลับมาถึงที่ร้าน


บ่ายนี้ผมไม่ได้ติดตามพี่บีเหมือนเมื่อตอนเช้าเพราะกำลังเอาข้อมูลที่จดไว้มาหาคำศัพท์เฉพาะที่ไม่เข้าใจ ซึ่งมันก็เยอะมาก เพราะส่วนใหญ่ที่เรียนมาจะเน้นคำศัพท์เฉพาะด้านเกี่ยวกับการท่องเที่ยว การผลิตรถยนต์และอิเลคทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่


“เครียดขนาดนั้นเลยเหรอ” คนที่เดินมาทิ้งตัวนั่งที่โซฟาข้างๆผมเอ่ยถามยิ้มๆ ซึ่งก็ใช่ ผมเลยพยักหน้ารัวๆเลย


“ศัพท์เฉพาะเยอะมากเลยพี่แดน”


“ค่อยๆหาก็ได้ครับ ค่อยๆเรียนรู้ ไม่ต้องซีเรียสนะ” พี่แดนบอกก่อนจะเอนหลังพิงโซฟา


“ก็ลูกค้าจะเข้ามาอีกทีพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอครับ”


“ก็ใช่ครับ”


“นั่นไง ตังกลัวทำไม่ได้ ไม่อยากเกะกะพี่ด้วย” ผมพูดออกไปตามจริง เพราะถ้าไปนั่งเอ๋อตอนเขาดีลงานกันผมต้องแย่แน่ๆ


“ฝั่งนู้นเขามีล่ามมาด้วยครับไม่ต้องห่วง” พี่แดนตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่มันทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว


“เอ้า” ครั้งก่อนที่คุยโทรศัพท์กันพี่เขาไม่ได้บอกผมแบบนี้นี่


พี่แดนยิ้มก่อนจะพูดต่อ


“ที่ชวนมาพี่ไม่ได้จะใช้งานเราหนักขนาดนั้นซะหน่อย คิดว่าพี่ใจร้ายแบบนั้นเลยเหรอเนี่ย”


“ก็ไม่ใช่แบบนั้น…” ผมได้แต่บอกเสียงอ่อยจนอีกคนหัวเราะออกมาเบาๆ


“จริงๆแล้วพี่ใจร้ายกว่านั้นต่างหาก”


“หะ” ผมหันไปมองคนที่เหมือนกับว่ากำลังมองผมอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว


“เพราะพี่จะยึดตัวตังไว้ที่นี่จนหมดปิดเทอมเลยล่ะ”


สรุปก็เดธแอร์ คนพูดยิ้มทิ้งท้ายก่อนลุกหนีกันไปซะดื้อๆปล่อยให้ผมนั่งปัดหน้าจอไอแพดสไลด์ไปมาเพราะทำอะไรไม่ถูก พี่แดนแม่ง อะไรของพี่วะ


เย็นวันนี้ก็เหมือนเดิม พี่แดนกับผมไม่ได้กลับไปกินข้าวที่บ้านเพราะเมื่อวานพี่แดนบอกว่าจะพาผมไปร้านอิซากายะที่ทำยากิโมโนะอร่อยกว่าร้านที่พาผมไปเมื่อวานอีก ดูจากเส้นทางที่พี่แดนพามามันย้อนกลับมาทางที่บ้านและเลยมาแค่ไม่กี่กิโลเท่านั้นเอง ร้านนี้เป็นร้านอาหารเล็กๆตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำ เป็นร้านเหล้าที่มีบรรยากาศอบอุ่นแปลกๆบอกไม่ถูก


“いらっしゃいませ!” เสียงทักทายดังฟังชัดตามสไตล์ร้านอาหารญี่ปุ่น ในร้านมีเค้าท์เตอร์บาร์เล็กๆ กับโต๊ะนั่งอีกเพียงสองโต๊ะซึ่งมีจับจองนั่งอยู่แล้ว


“แดนคุงมาแล้ว” คุณลุงที่ยืนอยู่หลังเค้าท์เตอร์ส่งเสียงทักทายพี่แดนด้วยสำเนียงภาษาไทยแปร่งๆอย่างคุ้นเคย ทำให้ผมก้มหัวให้เล็กน้อยเป็นการทักทาย


“เพื่อนกันเหรอ” คุณลุงที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นคนญี่ปุ่นร้องถาม แต่อาจจะเพราะเป็นคนต่างชาติคำถามก็เลยฟังแปลกๆ เพราะจริงๆผมคิดว่าเขาจะถามว่าพาเพื่อนมาเหรอ หรือไม่ก็มาด้วยกันเหรอ มากกว่า


“มาด้วยกันครับจี้จัง” พี่แดนตอบยิ้มๆก่อนจะชวนผมนั่งเก้าอี้ที่หน้าเค้าท์เตอร์บาร์ เห็นไหมล่ะพี่แดนยังเข้าใจเหมือนผมเลย แต่ทำไมยิ้มจี้จังดูกรุ่มกริ่มแปลกๆก็ไม่รู้


“เอาเหมือนเดิมนะ”


“ครับ แต่ขอเพิ่มหมูสามชั้นย่างเกลือด้วยนะครับจี้จัง” พี่แดนตอบก่อนที่จี้จังจะหันกลับไปทำสิ่งที่ค้างมืออยู่ซักครู่


“พี่มาบ่อยเหรอ” ผมหันไปถามคนที่นั่งข้างๆ


“ตอนม.ปลายบ่อยนะ แต่ตอนนี้ถ้ามีเวลามาก็มาบ้าง”


“ม.ปลาย แต่นี่มันร้านเหล้านะพี่” ผมท้วง พี่แดนหัวเราะแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

 
“เอ้า เชิญๆ” จี้จังวางถาดที่ใส่ขวดและแก้วเซรามิกเล็กๆเล็กสองใบไว้ตรงกลางระหว่างผมกับพี่แดนก่อนจะวางจานสี่เหลี่ยมเล็กๆที่วางหมูสามชั้นและอกไก่ย่างไว้อย่างละสองไม้มาให้


“อันนี้จี้จังโฮมเมด” จี้จังชี้มือมาที่ขวดเซรามิกรูปร่างแปลกตาที่พี่แดนกำลังรินใสแก้วแล้วส่งให้ผม


“อุเมะชุ เคยดื่มไหม?”


“เคยครับ” ผมตอบคำถามจี้จังก่อนจะยกแก้วเซรามิกใบเล็กขึ้นมาลองดมกลิ่น


“ของจี้จังนะเป็นที่หนึ่งเลย” จี้จังยังขายของไม่หยุด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเหล้าบ๊วยแกกลิ่นดีจริงๆ


“เบานะ” คนที่นั่งข้างๆผมร้องเตือน แต่ผมเคยกินน่า


“ฮึก แค่กๆ” กระดกหมดแก้วถึงกับสำลัก โอ้โห้ กลิ่นละมุนแบบนั้นทำไมมันแรงขนาดนี้วะ


“ดื้อ” ฝ่ามือใหญ่ลูบหลังผมหนักๆ แต่กลับพูดกลั้วขำจนเสียงขึ้นจมูก


“โอเคไหม”


“แม่ง ทำไมโคตรแรงเลยวะพี่” ผมสบถคำหยาบออกไปอย่างลืมตัว แต่พี่แดนก็ดูไม่ได้ติดใจอะไรนอกเสียจากยังนั่งขำไม่เลิก


“อย่าดูถูกเหล้าเหนือสิเด็กน้อย” ผมยู่หน้าใส่คนขี้ขำก่อนจะพูดกรอกหูคนข้างๆอย่างเสียงดังฟังชัด


“ผมไม่เด็กแล้วครับ”



ก็นั่นแหละ พี่มันหันมาทำเป็นเลิกคิ้วมองผมตาโตอย่างล้อเลียนจนน่าทุบให้ซักที แต่จะทำอะไรเขาได้ล่ะ มากสุดก็ได้แค่ทำหน้าข่มขู่เขาไปอย่างนั้น แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าแค่นี้จะทำให้เขายกมือยอมแพ้กันง่ายๆเลย


“โอเคๆ พี่ยอมครับ”


อาจจะเป็นเพราะผ่านอะไรมาเยอะถึงทำให้จี้จังมีเรื่องเล่ามากมายที่ฟังแล้วไม่เบื่อ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่แดนถึงชอบมานั่งที่นี่อยู่บ่อยๆ เรานั่งอยู่ที่ร้านของจี้จังยาวไปจนถึงสี่ทุ่มโดยที่ไม่ได้สั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอลมาเพิ่มอีก นอกซะจากยากิโมโนะที่เหลือแค่ไม้เสียบกองอยู่เกือบ20ไม้ จี้จังย่างได้อร่อยมากสมราคาคุยของพี่แดนจริงๆ โดยเฉพาะหมูสามชั้นย่างเกลือที่ผมซัดไปซะหลายไม้ แอบสังเกตุว่าพี่แดนกินแต่อกไก่ย่างกับเห็ดและต้นหอมญี่ปุ่นย่าง คือไม่ว่าจะเป็นพี่แดนคนไหนก็ยังคีพคลีนไม่เปลี่ยน ถ้าไม่นับเรื่องดื่มแอลกอฮอลล่ะก็นะ


ผมกดอัพสตอรี่ที่คุยกับจี้จังโดยที่ผมพูดภาษาญี่ปุ่นและจี้จังพูดภาษาไทย มุกตึ่งโป๊ะของจี้จังใช้ได้ที่เดียวล่ะเพราะคนข้างๆผมหัวเราะจนตัวงอ นั่งหัวเราะไปได้ซักพักอยู่ๆสัญญาณแจ้งเตือน video calling ก็เด้งขึ้นที่หน้าจอ ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมล่ะว่าใครโทรมา


“ว่าไง” ผมกดรับสาย แต่ก็ส่งสัญญาณบอกให้พวกมันรู้ว่าผมอยู่ข้างนอกอย่าโวยวายให้มันดังมากนัก


“ไม่ว่าไงจ้าคุณชาย เงียบเหมือนหายเข้าป่าช้าไปเลยน้า” ไอ้ป่านมันยื่นหน้าเข้ามาทัก ก็ดูปากมันแล้วกัน


“นั่นบ้านมึงไงป่าน”


“เหรอตัง แล้วถามจริงคุณอยู่เชียงใหม่หรือโตเกียวอ่ะครับ ผมสับสน”


“เรื่องกู” ผมตัดบท คนที่นั่งข้างๆผมนี่ก็ยังไงเอาแต่นั่งยิ้มขำไม่เลิก


“จริงๆกูมีเรื่องจะเม้าท์ แต่เอาไว้ก่อนดีกว่า ไอ้พี่เหี้ยแม่งมาละ” ไอ้ป่านมันทำหน้าเซ็งจากนั้นก็เป็นไอ้ปอที่ยื่นหน้าเข้ามาในจอแทน


“หน้าระรื่นจังนะ” มันทักผม ปากผีพอกันทั้งพี่ทั้งน้อง


“แล้วไงอ่ะครับ” ผมถามมันกลับมันยักไหล่แล้วก็หายไปจากจอซะดื้อๆ


“แค่นี้” ไอ้ป่านพูดก่อนจะกดตัดสายไป ผมวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะ หันมามองคนข้างๆก็ยังเห็นว่าพี่ีแดนยังนั่งหันหน้ามาทางผมเหมือนกับเมื่อกี้ มุมปากโค้งก็ยังยกยิ้มเล็กๆ


“เพื่อนที่เป็นฝาแฝดใช่ไหม” เขาถาม


“ใช่พี่ ไม่แฝดธรรมดาด้วย แฝดนรก” ผมตอบพี่แดนก่อนจะหัวเราะ พี่แดนส่ายหัวยิ้มๆก่อนที่จะถามถึงวีรกรรมของผมกับไอ้สองแฝดจนผมต้องเล่ายาวไปยันระหว่างขับรถกลับบ้าน ถึงบ้านแล้วก็ยังไม่จบนะ


“พี่แยกออกไหมว่าคนไหนไอ้ปอคนไหนไอ้ป่าน” ผมยื่นโทรศัพท์ที่มีรูปพวกผมสามคนให้พี่แดนดูหลังจากที่จอดรถแล้ว พี่แดนขมวดคิ้วเล็กๆก่อนจะหยิบไอโฟนของผมไปดูใกล้ๆ


อยู่ๆผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อกำลังคิดว่าพี่แดนในตอนนั้นสามารถแยกออกว่าคนไหนเป็นคนไหนโดยไม่ต้องต้องเสียเวลาคิดให้เหนื่อย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เขาสังเกตจากตรงไหน เพราะเพื่อนในเซคบางคนยังแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ 


“พี่เดานะ” เขาออกตัว


“พี่ว่าคนนี้ปอ ส่วนคนนี้ป่าน” แล้วพี่เขาก็เลือกถูกจริงๆจนผมอดที่จะทึ่งไม่ได้


“พี่รู้ได้ไงอ่ะ” ผมถามคนที่ส่งไอโฟนคืนผม


“ความลับ” พี่แดนบอกก่อนที่จะเดินนำผมเข้าบ้านไปก่อนจนผมต้องรีบเดินตามด้วยความอยากรู้ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรหรอกเพราะพี่เขาไม่ยอมบอกเอาแต่ยิ้มขำอย่างเดียว


“พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบนะครับ พี่ว่าจะเข้าร้านสายๆหน่อย” พี่แดนบอกผมเมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง


“ครับ”


“แต่ต้องลงมากินข้าวเช้านะ” เขาสำทับ ผมก็พยักหน้ารับ


“แล้วก็...ฝันดีนะครับ” พี่เขายิ้มก่อนจะวางมือบนหัวผมแล้วขยี้เบาๆ


สัมผัสจากฝ่ามืออุ่นและแววตาที่มองมานั้นยังคงเหมือนพี่แดนคนเดิมคนนั้น จะว่าผมเข้าข้างตัวเองก็ได้แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ มันอาจจะมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราต้องพูดคุยเพื่อเรียนรู้กันและกัน แต่ความรู้สึกเมื่อได้สัมผัสกันนั้นมันกลับคุ้นเคยไม่เปลี่ยน ผมจับฝ่ามือกว้างที่ยังคงวางค้างไว้บนหัวมาจับไว้ ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาเรียกให้ผมยกฝ่ามือนั้นมาทาบไว้ที่ข้างแก้มของตัวเอง


“ตังต้องฝันดีแน่ๆเลย” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่ยังคงเงียบ ก่อนที่ปลายนิ้วโป้งอุ่นจะไล้ที่แก้มผมเบาๆ


“พี่ก็เหมือนกันครับ” 



TBC

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
EP28 - Long way to go (2/2)





เช้าวันนี้ไม่ต้องบอกก็รู้เลยใช่ไหมว่าผมโคตรเขินแค่ไหนเมื่อเปิดประตูห้องนอนมาเจอพี่แดนที่ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง ก็ไม่ได้อยากเผาแต่คนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างหน้าผมก็หูแดงจนเห็นได้ชัดเหมือนกันน่ะแหละ


นึกแล้วก็ยังอายอ่ะ มาพูดอะไรแบบนั้นก่อนนอนมันทำให้นอนหลับฝันดีได้ที่ไหนกันเล่า นอนใจเต้นตึกตักกันไปน่ะสิ และเพราะลงมาสายก็เลยต้องนั่งกินข้าวเช้าด้วยกันสองคนแบบนี้อีกด้วย แม่ง...เขินจังวะ


“ตัง”


“ตัง”


“ตังครับ”


“อ่า...ครับ” ผมขานรับก่อนจะเม้มปากกลั้นเขินเมื่อในหัวของผมมันดันได้ยินเสียงคำว่า “ที่รัก” จากความทรงจำที่พี่แดนชอบเรียกผมเวลาที่ต้องการความสนใจตามมาซะอย่างงั้นน่ะ


“ก่อนเข้าร้านไปรีสอร์ทกับพี่ก่อนไหม” พี่แดนทวนคำถามอีกครั้งผมเลยรีบพยักหน้ารับ


“ไปครับ”


ขับรถออกมาจากตัวบ้านแค่ไม่นานก็เข้าสู่โซนรีสอร์ท ซึ่งจริงๆเราจะใช้รถกอล์ฟที่จอดไว้ที่โรงรถของที่บ้านมาก็ได้ เพียงแต่ว่าวันนี้พี่แดนบอกว่าที่ขับรถมาเพราะจะเลยไปที่ร้านเลยจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมาให้เสียเวลา


ตลอดถนนเส้นที่เราขับผ่านจะถูกปกคลุมไปด้วยเงาของต้นไม้ใหญ่ ซึ่งพี่แดนเล่าว่าเกือบจะทั้งหมดนี้ถูกปลูกด้วยฝีมือของคุณปู่ และคุณพ่อก็ยังคงดูแลพวกมันอย่างดี ผ่านโซนที่พักแบบวิลล่าเข้ามาไม่ไกลเท่าไหร่พี่แดนก็พาผมมามาหยุดที่อาคารสามชั้นขนาดกลางที่เป็นล๊อบบี้สำหรับเช็คอิน และเป็นห้องจัดเลี้ยง โดยที่ชั้นสองเป็น ฟิตเนส ห้องอาหาร สระว่ายน้ำรวม และชั้นที่สามเป็นออฟฟิศที่มีบรรยากาศไม่ค่อยเป็นทางการเท่าไหร่ ทุกคนส่งเสียงทักทายพี่แดนอย่างเป็นกันเองโดยไม่ลืมจะเผื่แแผ่รอยยิ้มมาให้กับผมด้วยก่อนจะหันไปทำงานของตัวเองต่อ


“ป้อเลี้ยงบ่ได้อยู่ในห้องหน่ะเจ้าคุณแดน” เสียงทักดังขึ้นเมื่อพี่แดนกำลังจะผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานที่อยู่ด้านหลังสุดของออฟฟิศ

 
“อ่า..เหรอครับ” พี่แดนรับคำแต่ก็ผลักประตูเข้าไปที่ด้านในอยู่ดี


“ตังรอพี่ในห้องนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่มานะครับ”


“ครับ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวนิ่มที่มุมห้อง ไม่ทันได้คิดอะไรประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคุณพ่อของพี่แดนที่เดินเข้ามา


“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้เป็นการทักทาย เพราะเมื่อเช้านี้ผมไม่ได้เจอกับท่านเหมือนกับทุกวัน


“มาดูงานกับพี่เขาเหรอ” ท่านเดินมานั่งตรงโซฟาตรงข้ามผมก่อนจะเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ


“ก็...ครับ”


“แล้วชอบที่นี่ไหม?” พ่อเลี้ยงชลธีถาม ใบหน้าคมมีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ตรงนี้แหละที่ผมคิดว่าพี่แดนเหมือนพ่อจัง


“ชอบครับ รีสอร์ทคุณพ่อสวยมากเลยครับ”

 
“ของพ่อที่ไหนล่ะ ของเจ้าแดนมันต่างหาก” พ่อบอกพร้อมหัวเราะเบาๆก่อนที่พี่แดนจะผลักประตูเข้ามา พร้อมกับอุ้มเจ้าก้อนกลมสีเทาคุ้นตาเข้ามาด้วย


“คอตตอน!” ผมเด้งตัวลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหาพี่แดนอย่างลืมตัว พี่แดนยิ้มก่อนจะส่งเจ้าขนนุ่มนิ่มมาให้ผมได้อุ้มบ้าง


“พี่พาคอตตอนมาด้วยเหรอ ไม่เห็นบอกตังเลย”


“พี่ก็เพิ่งได้เจอเหมือนกันแหละครับ ปู่ย่าเขายึดตัวไว้ไม่ปล่อยมาหาพี่เลย” พี่แดนพยักหน้าไปทางพ่อตัวเองก่อนที่ท่านจะทำเป็นไม่สนใจแล้วหันมาพูดกับผมแทน


“ชอบแมวเหรอเรา”


“ชอบครับ” ผมเงยหน้าขึ้นจากเจ้าก้อนกลมบนตักก่อนจะตอบ พ่อยิ้มมุมปากน้อยๆก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตัวเอง พร้อมกับพี่แดนที่เดินตามไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของท่านด้วย


“ตกลงกึ๊ดออกละก้าว่าจะเป๋นรูปแบบจะใด?” ผมได้ยินพ่อถาม ก่อนที่พี่แดนโต้ตอบกลับไปบ้าง จับใจความได้คร่าวๆว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างที่พักอะไรซักอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหนยังไง


“เดี๋ยวแดนว่าจะลองไปอู้กับอ้ายธารแหมกำก่อนครับ”


“แล้วจะไปเมื่อใด”


“น่าจะวันผูกครับ เพราะถ้าจบดีลงานกับลูกก้าใหม่วันนี้ตี่ร้านผ้ากบ่น่าจะมีอะหยั๋งแล้วครับ”


“ถือโอกาสพาน้องไปเที่ยวด้วยล่ะสิ” แล้วอยู่ๆภาษาเหนือที่ฟังเพลินๆก็กลายเป็นภาษากลางขึ้นมาซะอย่างนั้น และผมว่ามันต้องเกี่ยวกับผม แต่ผมก็ยังไม่กล้าหันไปมองอยู่ดี และคำถามกลายๆของพ่อก็ไม่มีคำตอบรับอะไรจากพี่แดน ได้ยินก็แต่เสียงหัวเราะไม่ดังนักจากคนเป็นพ่อเท่านั้น


“ดูเจ้าคอตตอนสิ ปกติเคยนอนพริ้มให้ใครอุ้มซะที่ไหน” ผมชะงักมือพลางมองเจ้าก้อนกลมที่เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยดวงตาสีเหลืองแวววาว แต่เท่าที่ผมจำได้ครั้งแรกที่เจอกัน...เจ้าก้อนกลมก็ยอมให้ผมอุ้มเล่นนี่นา


“นั่นสิครับพ่อ นี่ขนาดเพิ่งเจอกันแค่สองครั้งเองนะครับ”

 
“หื้ม? จริงเหรอ"


"พ่อถามจริง คุยกันมานานเท่าไหร่แล้ว” และคำถามของพ่อก็ทำให้ลมหายใจผมสะดุด หัวใจเต้นเร็วด้วยความประหม่า สองมือเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อจนเจ้าคอตตอนกระโดดลงจากตักแล้วเดินไปทางโต๊ะทำงานที่ด้านหลัง คนถูกถามเงียบไปซักพักก่อนจะตอบออกมาให้ผมได้ยิน


“ก็...เดือนกว่าแล้วครับ”


และคำตอบโดยปราศจากคำแก้ต่างของพี่แดนก็ทำให้หัวใจผมมันเต้นแรงจนหูอื้อไปหมด

พี่หมายความว่าอะไร…
ผมไม่อยากเข้าข้างตัวเองนะ


“ถ้าจะอั้นผมเข้าร้านก่อนเน่อครับป้อ" และผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อฝ่ามืออุ่นมาวางอยู่บนหัวจากทางด้านหลังโซฟาโดยไม่ทันรู้ตัวว่าพี่แดนเดินมาหยุดอยู่ตรงนี้แล้ว


“ไปกันเถอะ”


“อะ อื้อ” 




เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อหลังจากที่เดินออกมาจากห้องทำงานของพ่อ จนแม้กระทั่งตอนนี้ที่กำลังนั่งอยู่บนรถระหว่างทางไปร้าน ความเงียบในตอนนี้มันไม่ได้ทำให้อึดอัด แต่ความตื่นเต้นของผมก็ยังไม่คลายลง ผิดกับพี่แดนที่ยังคงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ไม่สิ ผมก็ควรจะทำตัวเป็นปกติได้แล้ว


"พี่แดน" ผมเอ่ยเรียกเมื่อรถกำลังติดไฟแดง


"ครับ?"


"คืนนี้...ผมขอคอตตอนไปนอนด้วยได้ไหม?" ลองเอ่ยถามออกไป พี่แดนหัวเราะเบาๆก่อนจะตอบ


"ตังต้องไปขอพ่อแล้วล่ะ"


ผมยู่หน้าให้กับคำตอบ พี่แดนหัวเราะก่อนจะวางมือลงบนหัวผมแล้วขยี้เบาๆ


"เดี๋ยวพี่พาไปขอ"


"พี่พูดแล้วนะ" ผมหันไปสัมทับ พี่แดนยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะละมือไปจับพวงมาลัยด้วยสองมือเหมือนเดิม


มาถึงที่ร้านพี่บีที่เตรียมเอกสารทั้งหมดเรียบร้อยแล้วก็ยื่นมาให้ผมกับพี่แดนคนละหนึ่งชุดก่อนที่จะออกไปเตรียมตัวอย่างผ้าที่โต๊ะทำงานของตัวเองที่หน้าร้านปล่อยให้ผมกับพี่แดนอยู่กันตามลำพังในห้อง แต่เราก็ไม่ได้คุยอะไรกันเพราะพี่แดนก็นั่งทำงานของตัวเองเงียบๆโดยที่ผมเองก็ค้นหาคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นตามเอกสารที่ได้รับมาจากพี่บี


พูดถึงพี่บี บางทีผมก็รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจความคิดเขาเท่าไหร่ บางครั้งการกระทำและคำพูดของเขาก็ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่ชอบผม แต่บางครั้งดวงตาสวยๆของเขาที่มองมาที่ผมมันก็ดูเศร้าแแบบแปลกๆยังไงก็บอกไม่ถูก แต่ถ้าจะให้พูดตามที่ผมรู้สึก ผมคิดว่าพี่บีต้องชอบพี่แดนแน่ ๆ

ชอบ เหมือนกับที่ผม...


 ผมเม้มปากเมื่อความรู้สึกบางอย่างมันตีรวนขึ้นมาในอก


'หึง' 


ใช่ ผมรู้สึกแบบนั้นทั้งๆที่ก็ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย


ผมก็บอกไม่ได้ว่าผมรู้สึกกับพี่แดนมากมายขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน แต่พอถึงวันที่ต้องเสียเขาไปผมก็คิดไม่ออกเลยว่าตัวเองจะมีชีวิตต่อไปยังไง ผมเคยคิดว่าผมคงอยู่ไม่ไหวถ้าต้องมีชีวิตอยู่กับความทรงจำที่เต็มไปด้วยพี่แดนโดยที่เขาไม่มีวันหวนกลับมา แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการที่พี่แดนจะได้กลับมามีชีวิตเป็นของตัวเองอีกครั้ง ชีวิตที่เป็นอิสระ ปลอดภัย และมีความสุข ถึงแม้ว่าจะไม่มีผมอยู่ในนั้นก็ตาม


ผมยังจำความรู้สึกครั้งแรกที่เห็นหน้าพี่แดนผ่านอินสตาแกรมของเขาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ตื่นขึ้นมาได้ มันดีใจมากๆที่รุ้ว่าพี่เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ แต่ก็เจ็บปวดและเสียใจมากที่สุดเหมือนกันที่เราไม่มีกันและกันอีกต่อไปแล้ว และเพียงแค่คิดว่าถ้าพี่แดนแค่เดินผ่านไปโดยไม่มองกันในวันที่เราอาจจะได้เจอกันด้วยความบังเอิญ แค่นั้นมันก็เจ็บจนต้องปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง


"เป็นอะไรครับ เครียดเหรอ?" ผมเงยหน้ามองคนที่เอ่ยถาม พี่แดนนั่งลงข้างๆก่อนจะจับมือที่ผมเผลอกำเอาไว้แน่นขึ้นมาคลายออกช้าๆแล้วคลึงปลายนิ้วโป้งอุ่นอยู่บนฝ่ามือผมเบาๆ


"คือ...เปล่าครับ" ผมตอบก่อนจะยิ้มให้คนที่ยังจับมือกันไว้จนอุ่นใจ


"พรุ่งนี้ไปฝางกันนะ" 


"พ่อเลี้ยงนทีธารเขาอยากได้คนงานเก็บส้มเพิ่มพอดี" พี่แดนพูดเสียงกลั้วหัวเราะจนผมกก็อดไม้ได้ที่จะยิ้มตามก่อนจะแกล้งว่า


"โห้ นึกว่าจะพาไปเที่ยว นี่หลอกผมไปใช้แรงงานเหรอเนี่ย" พี่แดนหัวเราะ แต่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อพี่บีก็เดินเข้ามาพอดี


"ลูกค้า...กำลังจะเข้ามาแล้วค่ะ" พี่บีชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าฝ่ามือกว้างของพี่แดนกำลังจับมือผมเอาไว้ แต่ซักพักใบหน้าสวยก็เรียบเฉยเหมือนเดิม


"พี่รอที่ห้องประชุมนะคะ" พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนที่ร่างแบบบางจะเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรต่อ ฝ่ามือกว้างของพี่แดนละออกจากมือผมก่อนจะเปลี่ยนมาวางบนหัวผมแล้วยีเบาๆ


"ไปกัน" 


การดีลงานกับลูกค้าวันนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ น่าจะเป็นเพราะฝั่งนู้นมีล่ามที่มืออาชีพโคตรๆมาด้วย และตัวคนญี่ปุ่นเองก็พยายามสื่อสารภาษาอังกฤษกับพี่แดนโดยตรงด้วยเพื่อไม่ให้มีการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ผมเองก็มีหน้าที่แค่ฟังแล้วก็จดในส่วนที่สำคัญแล้วก็แอบฟังไปด้วยว่าเวลาที่ฝั่งนั้นเขาคุยกันเองมันมีอะไรที่นอกเหนือจากที่ล่ามแปลหรือเปล่า ก็หัวร้อนนิดหน่อยแหละที่แอบได้ยินฝั่งนู้นชมพี่แดนไม่ขาดปาก จะหล่อ จะเก่ง จะสุภาพอะไรนักล่ะ




"พี่บี เย็นนี้กินข้าวด้วยกันนะครับ"


“ได้ค่ะ” คนตัวเล็กพยักหน้าก่อนจะส่งยิ้มสวยกลับมาให้พี่แดน แล้วหมดโควต้าตอนสบตากับผมพอดี พี่บีหุบยิ้มก่อนจะเอ่ยคำถามออกมาโดยที่มองหน้าผมไปด้วย

 
“ร้านเดิมที่พาพี่ไปบ่อยๆหรือเปล่าคะ?”

 
“อืม...ร้านนั้นก็ได้ครับ” พี่แดนตอบรับมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง ร้านเดิมที่ไปด้วยกันบ่อยๆงั้นเหรอ มันต้องบ่อยแค่ไหนถึงไม่ต้องพูดชื่อร้านก็เข้าใจกันได้น่ะ

 
“ว่าแต่น้องตังชอบอาหารเมืองไหมคะ?” มุมปากสวยยกยิ้มในขณะที่เอ่ยถาม ไม่ได้คิดไปเอง และค่อนข้างแน่ใจเลยว่าตอนนี้พี่บีกำลังเริ่มจะปั่นผมอีกแล้วว่ะ


“ถ้าเป็นของกินผมก็กินได้ทุกอย่างแหละครับ”


“ดีจัง”

 
“ครับ” ผมตอบรับคนที่ยังส่งสายตามองมา พี่บีเลิกคิ้วก่อนจะหันไปคุยกับพี่แดนเหมือนไม่อยากสนใจอะไรผมอีก

 
“จะอั้นเดี๋ยวปี้ออกไปก่อนเลยเน่อ ปะกั๋นตี่ร้านค่ะ”


ไม่ทันได้มีใครได้ก้าวขาออกไปไหน อยู่ๆฝนก็เทลงมาแบบไม่บอกไม่กล่าว แต่จริงๆมันก็เริ่มครึ้มๆมาตั้งแต่บ่ายๆแล้วล่ะ พี่บีละมืออกจากประตูกระจกก่อนจะเดินย้อนกลับมาวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะตัวเองอีกครั้ง


"ไปพร้อมกันดีกว่าครับพี่บี เดี๋ยวแดนไปส่งที่บ้านเอง" พี่แดนร้องบอกก่อนจะหันมาสบตาผม แล้วยิ้ม


"ไปกันเถอะ"


ก็ยังดีที่มันยังไม่เหมือนในละครที่ต้องมาแย่งกันนั่งข้างหน้า เพราะพี่บีก็ยอมเดินไปเปิดประตูด้านหลังแล้วขึ้นไปนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างเงียบๆ เราไม่ได้คุยอะไรกันมากนักเพราะว่าฝนตกหนักมากพี่แดนจึงค่อนข้างจะต้องใช้สมาธิในการขับรถพอสมควร ไม่นานก็มาถึงที่ร้านอาหารอย่างปลอดภัย และโชคดีมากที่ที่จอดรถของร้านมีหลังคาแล้วมีทางเชื่อมที่เดินเข้าจากหลังร้านได้ด้วย

"สั่งไหมคะ?" พี่บียิ้มแล้วส่งเมนูมาให้ผม มันก็มีหลายอย่างหน้าตาน่ากิน เคยเห็นบ้างไม่เคยเห็นบ้าง เอาจริงปกติก็ไม่ค่อยเคยกินอาหารเหนืออะไรแบบนี้หรอก แต่ก็ไม่แปลกใช่ป่ะล่ะก็ที่บ้านไม่เคยทำให้กินนี่


"อันนี้แกงฮังเล สีมันดูน่ากลัวแต่ไม่เผ็ดครับ" เป็นพี่แดนที่ขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ๆแล้วยื่นหน้าเข้ามาดูเมนูที่อยู่ในมือผมด้วยกัน


"ใส่หมูสามชั้นด้วย พี่ว่าตังต้องชอบแน่ๆ" พี่แดนพูดกลั้วขำ


"งั้นผมเอาอันนี้"


"แล้วอันนี้คืออะไรครับ" ผมชี้รูปที่มันเป็นก้อนข้าวทรงสามเหลี่ยมสีน้ำตาลเข้มที่ห่อในใบตอง มันดูน่ากินดีนะ


"อ่า...อันนี้คือข้าวกั้นจิ้นครับ แต่ว่ามันใส่เลือดหมูนะ" ไหนวะเลือด ผมขมวดคิ้วพี่แดนเลยอธิบายต่อโดยไม่ต้องรอให้ถาม


"พี่หมายถึง เขาเอาเลือดหมูสดๆมาผสมกับข้าวแล้วเอาไปนึ่งน่ะ"

 
"ง่า งั้นไม่เอาครับ" ผมส่ายหัวปฏิเสธด้วยความรวดเร็ว วิธีทำมันดูสยองๆยังไงพิกล


"เอาอันนี้ดีกว่า" ผมชี้รูปซี่โครงหมูย่างที่มันดูเบสิกสุดนี่แหละ พี่แดนหัวเราะก่อนจะสั่งอะไรอีกอย่างแล้วหันไปถามพี่บีบ้าง


"พี่เอายำจิ้นไก่กับแกงแคแล้วกันค่ะ"


นั่งรออาหารมาเสิร์ฟได้ซักพักพี่แดนก็หันไปพูดกับพี่บีเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้


"พี่บัวโทรบอกพี่บีหรือยังครับ?"


"เรื่องวันเกิดน้องเหนือใช่ไหมคะ?" พี่บียิ้มก่อนจะพูดต่อ


"บัวโทรมาแล้วค่ะ แต่พี่รอบัวพาหลานมาบ้านใหญ่ก็ได้ค่ะ พี่ไม่อยากทิ้งร้าน" พี่บีตอบก่อนที่อาหารจะมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ แต่ก็ยังไม่มีใครสนใจจะเริ่มลงมือเพราะว่ายังคุยกันไม่จบ


"ไปด้วยกันเถอะครับ แดนว่าจะไปซักสองสามวันเอง" ผมเม้มปาก มือก็ถือช้อนส้อมเก้ๆกังๆเพราะไม่รู้ว่าถ้าเริ่มกินเลยจะดีไหม หรือควรจะนั่งรอเขาคุยกันก่อนโดยที่จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในบทสนทนานั้นด้วยซ้ำ


"งั้นก็ได้ค่ะ" พี่บีตอบรับ ก่อนที่พี่แดนจะหันมาสนใจผมจนได้ ก็ไม่ได้อยากจะงี่เง่าอะไร มันก็แค่ทำตัวไม่ถูกเฉยๆ พี่แดนไม่ได้พูดอะไรแต่เลือกที่จะตักชิ้นหมูสามชั้นนุ่มๆในแกงมาใส่ไว้ในจานผมแล้วยิ้มน้อยๆ ผมตัดสินใจตักมันเข้าปากโดยไม่พูดอะไรเหมือนกันเพราะว่าคนที่เขาตักมาให้ยังไม่ละสายตาไปไหน ยังคงนั่งอมยิ้มมองผมอยู่อย่างนั้น

 
"อร่อยไหมครับ?"

 
"อร่อยครับ" ผมยิ้มตอบ เพราะมันอร่อยมากจริงๆอ่ะ พี่แดนยิ้มรับก่อนจะลงมือกินบ้าง

 
"เอ้าคุณแม่" เสียงทักดังขึ้นที่ข้างโต๊ะทำให้ผมเงยขึ้นมอง ก็เห็นพวกพี่สาวทรานส์เจนเดอร์สองคนส่งยิ้มมาให้ก่อนที่พวกเขาจะหันไปทักทายพี่บีต่อ

 
"มากิ๋นข้าวกับป้อเลี้ยงอีกแล้วแอ้"

 
"จิ๊! จะไปปาก"

 
"สวัสดีเจ้าป้อเลี้ยง"

 
"หยังมาหมั่นแซวแต้ว่าครับมินนี่"  ผมมองคนที่โต้ตอบพร้อมรอยยิ้มเล็กๆก่อนที่คนชื่อมินนี่จะหัวเราะแล้วหันไปพูดคุยกับพี่บีต่อซักพัก จนพี่แดนชวนให้นั่งที่โต๊ะเดียวกัน

 
"ไม่ดีกว่าค่ะ ไม่อยากเป็นก้าง" แล้วจากที่พูดเหนือจนลิงหลับ อยู่ๆก็พูดภาษากลางขึ้นมาซะเฉยๆ

 
"อุ้ย ไม่ใช่สิ วันนี้มีคนอื่นมาด้วยนี่นา" เคยไหมล่ะ กินข้าวอยู่ดีๆก็รู้สึกหน้าชา ผมวางช้อนก่อนจะหันไปมองหน้าคนพูดแบบเต็มๆ ริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีแดงนั่นยังคงแย้มยิ้มเหมือนไม่มีนัยอะไรมากไปกว่าที่ต้องการจะสื่อ แต่ในทางกลับกันพวกเธอกำลังปั่นผมแบบเต็มๆเลยล่ะ แล้วมันก็ได้ผลดีด้วย

 
"ไปไหนกะไป ก่อยว่ากั๋นใหม่"  เป็นพี่บีที่ตัดบทพร้อมรอยยิ้มก่อนที่พวกเพื่อนสาวของเธอจะล่ำลาแล้วเดินไปนั่งโต๊ะอื่นที่ไม่ไกลนัก
 

"ตัง"
 

"ตังครับ"
 

"ผมอิ่มแล้วครับ" ผมตอบก่อนจะส่งยิ้มแกนๆให้พี่แดน ผมรู้นะว่าแบบนี้มันทำให้บรรยากาศมันดูแย่ แต่ผมก็พยายามที่สุดแล้วนะ เพราะปกติแล้วผมคงไม่มานั่งเงียบแบบนี้หรอก ผมคงแสดงอาการหรือตอกกลับคนพวกนั้นไปแล้ว

 
แต่พอมานึกดูอีกที ที่พวกเธอพูดมันก็ไม่ผิด ณ ตอนนี้ ที่นี่ ผมก็เป็น “คนอื่น” อย่างที่พวกเธอว่าจริงๆนั่นแหละ

 
“ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” ผมบอกก่อนที่จะดันเก้าอี้แล้วลุกขึ้น แต่ไม่ทันได้เดินออกไปไหนฝ่ามือกว้างก็ขว้าข้อมือผมเอาไว้แล้วลุกขึ้นตามมาด้วย

 
เราเดินออกไปพร้อมกันทั้งๆที่พี่แดนยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากข้อมือผม ฝ่ามือกว้างนั้นอุ่น แต่มือผมก็ยังเย็นอยู่ดี เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อ และจุดมุ่งหมายที่เราเดินไปก็ไม่ใช่ห้องน้ำอย่างที่ผมอ้าง มันกลับเป็นแค่มุมๆหนึ่งในร้านที่ค่อนข้างลับตาคนอยู่ซักหน่อย ที่ด้านนอกฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย และมันก็ตกกระทบกับกระจกจนเป็นฝ้า มันเหมือนกับความรู้สึกของผมยังไงก็บอกไม่ถูก มันอึดอัด ฝ้าฟาง และไม่ชัดเจน

 
“เดี๋ยวไปส่งพี่บีแล้วเรากลับบ้านกัน” พี่แดนวางมือไว้บนหัวผมแล้วขยี้เบาๆเหมือนเคย

 
“เสียดายวันนี้ฝนตก” และคำพูดของพี่แดนก็ทำให้ผมละสายตาจากกระจกด้านหน้าที่มีหยาดฝนตกกระทบเป็นสาย แล้วหันกลับไปมองใบหน้าคมที่มองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว

 
“จำถนนข้างหลังรีสอร์ทที่เราผ่านมาเมื่อเช้าได้ไหมครับ” ผมพยักหน้า พี่แดนเลยพูดต่อ

 
“ตอนกลางคืนเขามีตลาดโต้รุ่งนะ” พี่แดนพูดกลั้วขำ ทำให้ผมอดที่จะยิ้มตามไม่ได้เมื่อรู้ว่าที่พี่แดนพูดมันหมายความว่าอะไร

 
“แล้วมีร้านโจ๊กไหมครับ?”

 
“เจ้าดังเลยล่ะ”   



TBC

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
EP29 - hold me, please






“แดนคะ” น้ำเสียงหวานๆที่มาพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินตรงเข้ามาทำให้ผมต้องเงยหน้าจากจานอาหารเช้าขึ้นมอง


“คุณลุงคุณป้าสวัสดีเจ้า” เธอยิ้มหวานก่อนจะหันหลังกลับไปรับตะกร้าใส่ของฝากจากคนที่เดินตามมาข้างหลัง


“ไหว้พระเตอะลูก หนูแก้วลุกกรุงเทพมาเมื่อใดหย่ะ”


“ตะวาวันซืนเจ้าป้า นี่จ้าว แก้วซื้อขนมมาฝากคุณลุงคุณป้าตวย”


“ขอบใจมากลูก แล้วหนูกินอะไรมาหรือยัง?” แม่เอื้องเอ่ยถามคนที่เดินอ้อมเก้าอี้ไปทิ้งตัวลงข้างๆพี่แดนเหมือนเป็นความเคยชิน ผมก็ได้แต่มองโดยที่ไม่ได้ทักทายอะไรออกไป เพราะดูเหมือนเธอจะไม่เห็นผม หรือจริงๆคือไม่ได้ใส่ใจมากกว่า


“ยังย่ได้กินเตื่อจ้าว ตั้งอกตั้งใจมาฝากต้องตี่บ้านป้านี่เลยเจ้า” เธอหัวเราะน้อยๆท้ายประโยคด้วยท่าทางน่ารัก แม่เอื้องก็ยิ้มรับก่อนจะสั่งให้แม่บ้านไปเตรียมข้าวต้มมาให้เธออีกคน


“วันนี้แดนว่างไหมคะ? แก้วว่าจะขอเข้าไปดูตัวอย่างผ้าที่ร้านหน่อยค่ะ” เธอหันไปถามคนที่เพิ่งวางช้อนลงในชาม พี่แดนยกน้ำขึ้นดื่มก่อนจะตอบ


“ถ้าเรื่องผ้าตัดยูนิฟอร์มของพี่กานต์แก้วเข้าไปคุยกับพี่ปุ๊กได้เลยครับ”


“แล้วแดนล่ะคะ”


“วันนี้แดนจะพาตังไปที่ไร่พี่ธาร” พี่แดนพูดก่อนจะหันมา ผมเลยได้แต่ยิ้มเจื่อนเมื่ออีกคนที่หันตามมาทำหน้าเหมือนเพิ่งเห็นว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย


“น้องคนนี้…” เธอทำท่าคิดก่อนจะพูดต่อ


“อ๋อ ที่เจอกันที่คลีนิกใช่ไหมคะ?” เธอถาม


“ครับ สวัสดีครับพี่แก้ว” ผมพยักหน้าก่อนจะเอ่ยทักทายเธอเพื่อไม่ให้เสียมารยาท


“สวัสดีค่ะ ว่าแต่ไปไร่พี่ธารเหรอคะแดน ช่วงนี้เป็นฤดูเก็บส้มนี่นา แก้วขอไปด้วยได้ไหมคะ?” เธอหันไปจับต้นแขนพี่แดนเขย่าเบาๆเหมือนเป็นการอ้อนกรายๆ ผมที่ไม่รู้จะพูดหรือทำอะไรได้ก็เลยต้องก้มหน้าลงมองถ้วยข้าวต้มของตัวเองเพราะไม่อยากยกมือถือขึ้นมาเล่นบนโต๊ะอาหารที่มีผู้ใหญ่นั่งอยู่ด้วย


“แดนไปหลายวันครับ”


“แก้วกลับเองก็ได้ค่ะ เดี๋ยวให้ลุงหนันไปรับ”


“พี่กานต์จะไม่ว่าเอาเหรอครับแก้ว?”


“ไม่ว่าหรอกค่ะ นะคะแดน นะ” ยิ่งผมไม่อยากที่จะสนใจหูมันก็ยิ่งได้ยินเสียงของเธอได้ชัดเจน ฝ่ามือเล็กๆยังคงเขย่าต้นแขนแกร่งเบาๆ ยิ่งน้ำเสียงอ้อนๆอย่างน่ารักนั่น ผมบอกตามตรงเลยว่าผมไม่ชอบ ไม่ชอบมากๆเลยด้วย


“คุณป้าจ้าว” 


“เอาๆ หมู่สูก็ตกลงกันเองเตอะลูก แม่กับป้อขอตัวไปเตียวย่อยหน่อยหนึ่ง”  แม่เอื้องพูดพลางยิ้มน้อยๆ


“ไปเตอะแม่ แหมปึ๊ดขึ้นไปฮับอ้ายคอตตอนตวย” พ่อเลี้ยงชลธีเอ่ยก่อนจะจูงมือภรรยาเดินออกไปจากโต๊ะอาหาร


“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวขึ้นไปเอากระเป๋าก่อนนะครับ” ผมตัดบท จะเอายังไงกันก็เอาเถอะ แต่ผมไม่อยากอยู่ในสถาณการณ์แบบนี้แล้วไง เชิญอ้อนกันไปให้พอใจเลย


“ตัง” ผมหยุดชั่ววินาทีเมื่อได้ยินเสียงพี่แดนเรียก แต่ก็ตัดสินใจเดินต่อไปเพราะรู้ตัวดีว่าไม่สามารถกำจัดอารมณ์งี่เง่าของตัวเองได้หมดในตอนนี้


ผมเดินกลับลงมาด้านล่างเมื่อถึงเวลาที่เราจะออกเดินทาง แล้วก็เป็นแบบที่คาดเมื่อผมเห็นพี่แก้วยังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่ห้องรับแขก เธอเงยหน้าขึ้นมองแต่พอเห็นว่าเป็นผมก็ก้มหน้าลงเล่นโทรศัพท์ต่อโดยไม่ได้พูดอะไร


“ลงมาไม่รอพี่เลยครับ” พี่แดนเดินมาวางมือลงบนไหล่ผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอย่างเคย แต่ถึงอย่างนั้นอารมณ์งี่เง่าของผมมันก็ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง เลยอดไม่ได้ที่จะหันไปบอกด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะดัง โดยที่ก็ลืมไปว่าอาจจะมีคนกำลังสนใจมองเราอยู่


“ก็ตังไม่รู้ว่าพี่แดนจะไป..” แต่ก็พูดไม่ทันจบเมื่อนิ้วชี้เรียวยาวของพี่แดนถูกส่งมาทาบไว้บนริมฝีปากของตัวเอง ผมชะงักก่อนจะปัดมือพี่แดนออกแบบไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นนาทีที่กระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก ผมเงยหน้ามองพี่แดนโดยที่ดวงตาคมนั้นก็มองตอบกลับมา ความรู้สึกอึดอัดแปลกๆทำให้ผมหลุบตาลงก่อนจะเอ่ยขอโทษออกไปเสียงแผ่ว


“ขอโทษครับ”  ให้ตายเถอะ ผมไม่ชอบความรู้สึกตอนนี้เลยจริงๆ แต่พี่แดนกลับส่ายหัวก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะถูกส่งมาวางบนหัวผมแล้วขยี้เบาๆเหมือนเคย


“พี่ก็ขอโทษครับ” ผมเงยหน้าขึ้นทั้งๆที่ฝ่ามือกว้างยังวางอยู่บนหัว และดวงตาคมที่อ่อนแสงลงก็ทำให้ผมรู้ว่าพี่แดนก็ยังคงเป็นพี่แดนที่ใจดีกับผมเสมอ ใจดีไม่เคยเปลี่ยนเลย


“แก้วว่าเราไปกันเลยดีไหมคะ?”


“ครับ” เสียงพูดที่ดังขึ้นทำให้ผมกับพี่แดนผละออกจากกันเล็กน้อยก่อนที่พี่แดนจะตอบรับและวางมือลงบนไหล่ผมพลางรุนหลังให้เดินออกไปพร้อมกันจนถึงรถที่จอดรอไว้ที่หน้าบ้าน แล้วก็ไม่ลืมที่จะหันหลังไปบอกคนที่ตามมาด้วย


“แก้วนั่งข้างหลังดีกว่าครับ จะได้เป็นเพื่อนคุยกับพี่บีนะ”


เราแวะรับพี่บีที่หน้าบ้านก่อนจะมุ่งหน้าออกนอกเมืองทันที จะว่าไปก็อดจะขำกับโมเม้นต์กระอักกระอ่วนตอนพี่บีเปิดรถมาเจอพี่แก้วไม่ได้ ดูก็รู้ว่าคงจะไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไหร่
 



ผมละสายตาจากท้องฟ้าสีเข้มหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังขับรถ แต่แอบมองได้ไม่นานก็ถูกจับได้ซะแล้ว พี่แดนหันมามองผมก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆมาให้แล้วเอ่ยถาม


“อยากแวะตรงไหนไหม?”


“ไม่ครับ”


“แล้วพี่บีกับแก้วล่ะครับ?”


“ไม่ล่ะค่ะ” เป็นครั้งแรกที่แทบจะประสานเสียงกันตอบเลยทีเดียว


ผมหันหน้าออกไปมองที่หน้าต่างด้านข้างอีกครั้งเมื่อในรถกลับมาเงียบไม่มีเสียงพูดคุยอะไรเหมือนเคย และเพราะออกมานอกเมืองได้ซักพักแล้วรถที่วิ่งบนถนนก็เริ่มบางตาลง สองข้างทางเริ่มสับเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าบ้างสวนผลไม้พื้นเมืองบ้าง สีเขียวๆที่ตัดสลับไปมามองแล้วก็เพลินตาดีเหมือนกัน


“ถ้าง่วงก็นอนได้เลยนะ” ผมไม่ได้ตอบรับอะไรออกไปจนกระทั่งฝ่ามือกว้างของพี่แดนมาวางลงบนหัวแล้วขยี้เบาๆ


“ไม่ง่วงครับ” ผมตอบ แต่อยู่ๆก็มีความรู้สึกเหมือนเบาะที่นั่งโดนดึงจากข้างหลังก่อนที่จะมีหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างหลังโผล่มา


“แดนคะ แก้วว่าจะถาม โอ๊ย” อยู่ดีๆพี่แก้วก็ร้องออกมาทำให้ผมต้องเอี้ยวตัวไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นโดยที่พี่แดนก็มองผ่านกระจกมองหลัง


“นั่งหนิ๋มๆน้อยคะ แหมเดียวน้องแดนเบรกทีกะปุ้งทะลุกระจกไปปุ้นเนาะ”


“แก้วกำลังคุยกับแดนอยู่นะคะพี่บี”


“นั่งอู้ดีๆแดนเขาก่อได้ยิน บ่าต้องเสนอหน้าขนาดนั้นกะได้ค่ะ”


แล้วเรื่องมันก็จบตอนที่อีกคนถอนหายใจอีกคนยกยิ้มมุมปากแล้วก็นหันหน้ากันไปคนละทาง ส่วนผมก็เอี้ยวตัวกลับมานั่งเหมือนเดิม


“กดเปลี่ยนเพลงให้พี่หน่อยได้ไหมครับ?” อยู่ๆคนที่กำลังขับรถก็หันมาบอกด้วยเสียงไม่ดังนัก ผมพยักหน้าก่อนจะจรดปลายนิ้วลงที่จอทัชสกรีน แล้วเลื่อนๆดูไปเรื่อยๆ พลางเอ่ยถามออกไปเมื่อตัดสินใจไม่ถูก
 

“เพลงอะไรดีอ่ะ”


“ตามใจตังเลย” และคำตอบที่ได้ก็ทำให้ผมตัดสินใจกดเข้าเพลย์ลิสต์ที่พี่แดนชอบฟังอยู่บ่อยๆจนเจ้าตัวหันมายิ้มตาปิดใส่ผม


“ใจตรงกับพี่เหรอครับ”


ก็ไม่รู้ยังไงหรอก แต่..ไอ้อารมณ์ขุ่นๆมัวๆมันหายไปไหนหมดแล้ววะ!




จากที่ขับรถออกมาได้เกือบ2ชั่วโมง เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางกันซักที ผมอดจะตื่นตาตื่นใจกับสองข้างทางที่เห็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้ ยอมรับเลยว่าไม่เคยเห็นสวนผลไม้ที่ใหญ่มากขนาดนี้มาก่อน มันแบบดูสุดลูกหูลูกตาไปหมด


“เตรียมตัวไว้เลยครับน้องคนงานใหม่” พี่แดนพูดก่อนจะหัวเราะเบาๆเมื่อผมยู่หน้าใส่ จะว่าไปก็อยากลองเก็บดูเหมือนกันแฮะ มันดูน่าสนุกดีเหมือนกัน แต่ผมคงเก็บแล้วปอกใส่ปากมากกว่าจะเก็บใส่ตะกร้าเหมือนชาวบ้านเค้า


พอพ้นเขตไร่ส้มขึ้นมาก็เป็นสวนดอกไม้กว้างๆ มีดอกไม้หลากหลายสีสันก่อนจะเห็นบ้านทรงไทยประยุกต์ตั้งอยู่ไม่ไกล และก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่พี่แดนก็พาพวกเรามาหยุดรถตรงหน้าบ้านหลังนั้น


“มากันแล้ว” เสียงทักทายดังขึ้นจากคนที่เดินมาหยุดยืนที่หน้าบ้านพร้อมรอยยิ้มสวย ในวงแขนของเธอก็กำลังอุ้มเด็กหญิงแก้มยุ้ยน่าตาจิ้มลิ้มน่ารักอยู่ด้วย


ผู้หญิงคนนี้…


“สวัสดีครับเอื้อยบัว”


 อ่า...ผมจำเธอได้แล้ว เป็นเธอเองที่ส่งธูปให้กับผมในตอนนั้นก่อนที่ผมจะหมดสติไปแล้วได้เจอกับท่านเทวดาเป็นครั้งสุดท้าย


“อาแดน น้าบี” เด็กน้อยยิ้มร่าแล้วดิ้นขลุกขลักเพื่อให้คนเป็นแม่ปล่อยเธอลงยืนกับพื้นก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาหาพี่แดน


“ไงคะคนสวย” พี่แดนทักทายก่อนจะอุ้มเด็กหญิงแก้มยุ้ยขึ้นมา แต่พอพี่บียกแขนขึ้นทำท่าจะอุ้มเด็กน้อยก็รีบโผเข้าอ้อมแขนเล็กๆทันทีจนพี่แดนต้องรีบส่งให้


“น้าบีๆ เหนือคิดถึงน้าบีที่ฉุด” เด็กน้อยว่าทำให้คนเป็นน้าต้องให้รางวัลด้วยการหอมแก้มยุ้ยๆนั่นทั้งสองข้าง


“น้าบีก็คิดถึงน้องเหนือค่ะ” 


“แล้วไม่คิดถึงอาแดนเหรอครับ” พี่แดนเย้าด้วยรอยยิ้มทำให้เด็กน้อยต้องรีบแก้ตัว


“คิดถึงอาแดน คิดถึงน้าบี คิดถึงฉองคนเลย”


“แล้วเมื่อไหร่คนสวยของน้าจะพูดสอเสือชัดซักทีคะ” พี่บีพูดแล้วหัวเราะทำเอาคนเป็นแม่ต้องหัวเราะตาม


“เปิ้นก็สอนจนบ่ฮู้จะสอนจะใดละบี” 


“แหมน้อยเข้าโฮงเฮียนแล้วก็สีท่าจะอู้ชัดขึ้นมาผ่องน่ะล่ะ”


“เอื้อยบัวสวัสดีเจ้า”


“อ่าว น้องแก้ว บ่ได้ปะกั๋นเมินเลยหนาคะ เป๋นจะใดมาจะใดนิ” พี่บัวรับไหว้พี่แก้วก่อนจะทำหน้างงเล็กน้อย


“ยุ่งๆหลายเรื่องจ้าว แดนเขาก็ยุ่งเลยบ่ค่อยได้มาตวยกั๋นเลยเจ้า” พี่บัวพยักหน้ารับคำตอบพร้อมยิ้มน้อยๆก่อนที่จะเหลือบสายตามองมาที่พี่แดน


“อ่า...พี่บัว นี่ตังครับ คือคนที่แดนจะพามา” พี่แดนตอบสายตานั้นเป็นภาษากลางก่อนจะวางมือลงบนไหล่ จนผมต้องรีบยกมือไหว้ทักทายพี่เขา


“สวัสดีครับ”


“สวัสดีค่ะ” พี่บัวส่งยิ้มสวยให้ผม แต่กลับหันไปบอกกับพี่แดนในประโยคถัดมา


“น่ารักนะคะ”


อา..ตอนนี้ผมควรจะทำหน้ายังไงนะ คือ พี่เขาหมายถึงผมเหรอ?


“มากันเหนื่อยๆขึ้นไปพักกันก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวพ่อเลี้ยงกลับมาจะได้กินกลางวันกันค่ะ น้องเหนือมากับคุณแม่เร็ว เดี๋ยวเราพาพี่คนสวยไปดูห้องกันนะคะ” เธอพูดแล้วเตรียมจะไปอุ้มลูกสาวตัวอวบของเธอจากพี่บี แต่เด็กน้อยส่ายหน้าก่อนจะกอดคอพี่บีแน่น


“ไม่เอา เหนือจะอยู่กับน้าบี”


“จ่างเตอะบัว ตั๋วไปเตอะ เปิ้ลจะผ่อหลานหื้อ”


“คืนนี้น้าบีนอนกับน้องเหนือนะคะ” เด็กน้อยอ้อนเสียงใส ทำเอาคนเป็นน้ายิ้มหวาน


“ได้สิคะ” พี่บีหอมแก้มยุ้ยๆไปฟอดใหญ่ เอาจริงๆผมก็อยากจะหอมบ้างเหมือนกันนะเนี่ย ว่าไปก็คิดถึงน้องต่อซะแล้วสิเนี่ย
 

“แดน หื้อตังนอนห้องปี้กะได้หนา ห้องปี้ กว้างกว่าห้องแขกปะเล้อจะได้บ่อึดอัด”


ผมแยกกับพี่แดนเมื่อเขาเดินมาส่งที่หน้าห้องของพี่บี แต่ก่อนจะแยกกันพี่แดนก็ไม่ลืมที่จะชี้ให้ดูว่าห้องพี่เขาอยู่ตรงไหนก่อนจะนัดเวลากันว่าจะลงไปข้างล่างตอนกี่โมง ผมวางกระเป๋าเป้ลงที่ข้างโต๊ะเครื่องแป้ง ประตูระเบียงถูกเปิดเอาไว้จนมองเห็นสวนดอกไม้กว้าง รวมถึงไร่ส้มที่มองเห็นจนสุดลูกตา ผมเดินออกไปยืนดูได้ซักพักก็ต้องล่าถอยเข้ามาเปิดแอร์แล้วทิ้งตัวนอนบนเตียงกว้าง เพราะวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสแดดแรงขนาดนี้มันก็ร้อนเอามากๆด้วย


ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหนมารู้สึกตัวก็ตอนที่ได้ยินเสียงเหมือนมีคนไขกุญแจแล้วเดินเข้ามา แต่ส่วนของที่นอนที่หลบมุมจากประตูทำให้มองไม่เห็นว่าเป็นใคร หรือผมแค่หูฝาด หรือเป็นเจ้าของห้องเขาจะเข้ามาเอาอะไรหรือเปล่านะ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาควรจะเคาะประตูเรียกผมไม่ใช่เหรอ


ผมเหวี่ยงเท้าลงจากเตียงก่อนจะเดินตรงไปที่ประตู มันยังปิดล็อคอยู่ เพียงแต่ประตูห้องน้ำทางด้านขวามันกลับเปิดออก หัวใจผมเริ่มเต้นแรงขึ้นอย่างหวาดๆ มาถึงครั้งแรกก็จะโดนดีเลยเหรอวะ ?


คิดได้ก็รีบคว้าลูกบิดประตูเตรียมจะวิ่งออกไป แต่อยู่ๆก็มีวงแขนมากอดเอวผมไว้จากข้างหลังแล้วดึงกลับเข้ามาในห้องอย่างเร็ว จะอ้าปากร้องก็ร้องไม่ออก แต่พอตั้งสติได้ก็กระทืบเท้าลงข้างหลังอย่างแรงจนวงแขนปริศนานั้นปล่อยออกจากเอวผมทันที ผมรีบหันไปเผชิญหน้าแล้วผลักมันออกอย่างแรงก่อนจะยืนหอบด้วยความตกใจได้เพียงครู่เดียว ไอ้มนุษย์ปริศนาก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี


ผมชี้หน้ามัน ในขณะที่มันก็ชี้หน้าผมกลับมา แม่งเอ้ย!


ทำไมการได้เจอกับมันทุกครั้งของผมแม่งไม่เคยมีโมเม้นต์ดีๆเหมือนกับคนอื่นเขาบ้างวะเนี่ย ผมถอนหายใจหน่ายๆก่อนจะถอยไปยืนพิงโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ด้านหลังตัวเอง และเป็นเพราะผมรู้จักมันอยู่แล้วเลยทำให้ผมตั้งสติได้ก่อนมันที่ตอนนี้ทำตาโตเหมือนกับเจอผี


“มึง...เป็นใครวะ?”


“กูชื่อตัง” ผมแนะนำตัว มันพยักหน้าก่อนจะเสยผมแล้วเท้าแขนไปด้านหลังโดยที่สายตามันก็ยังกำลังสำรวจหน้าผมอยู่


“แล้วมึงเข้ามาทำอะไรที่ห้องบี?” คำถามของมันทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้น บีเลยเหรอไอ้ฟ้า ปีนเกลียวจังนะมึง


“พี่บีให้กูมานอนห้องนี้” ผมเน้นคำ มันหรี่ตาลงน้อยๆเหมือนกำลังประมวนผลอะไรอยู่ในสมอง แต่ก่อนที่ผมกับมันจะได้คุยอะไรกันต่อเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจนทั้งผมทั้งมันต้องหันไปมองพร้อมกัน


“ตัง” และเสียงเรียกที่ตามมาก็เฉลยให้รู้ว่าเป็นพี่แดนเองที่เป็นคนเคาะประตู แต่ก่อนที่ผมจะได้ขานรับ ไอ้ฟ้ามันก็เด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอนมายืนอยู่ตรงหน้าผม กอดอกแล้วก้มหน้าลงมาใกล้จนผมผงะถอยหลัง แต่ก็ไปไหนไม่ได้เพราะติดโต๊ะเครื่องแป้งที่ตัวเองยืนพิงอยู่เมื่อครู่


“ตังครับ อยู่ในห้องหรือเปล่า?” อยู่ๆไอ้ฟ้ามันก็ยักยิ้มมุมปาก สายตามันเริ่มวิบวับแปลกๆจนผมต้องออกแรงผลักมันออกจากตัวอย่างเร็ว


“ครับ” ผมขานรับพลางเดินไปเปิดประตูโดยมีไอ้ฟ้ายืนกอดอกและมองผมทุกการกระทำโดยที่ไม่ขยับไปไหน 


“นอนอยู่เหรอครับ” พี่แดนยิ้มมุมปากน้อยๆก่อนที่จะวางมือลงบนหัวและลูบผมให้ ไอ้นอนก็ใช่ครับ แต่ที่หัวยุ่งนี่เพราะฟัดกับหมามานิดหน่อยมากกว่า


“พี่ธารมาแล้วเหรอครับ” ผมถาม พี่แดนพยักหน้ารับแต่ยังไม่ได้พูดอะไรก็มีเสียงพูดแทรกขึ้นมาก่อนจากด้านหลังผมเอง


“เอ้า ไม่มานอนด้วยกันต่อแล้วเหรอ..ครับ” มันเน้นคำว่าครับหนักๆแล้วมายืนฉีกยิ้มอยู่ข้างๆ ไอ้เหี้ยนี่กวนตีนผมอีกแล้วเนี่ย


“มาเมื่อใด?” พี่แดนพูดเสียงขรึม ไอ้ฟ้ามันยักไหล่ก่อนจะตอบ


“สักบึ๊ดล่ะ  หื้อลุงหนานสมมาส่ง” 


“แล้วเข้าไปได้จะใด?”  พี่แดนยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ไอ้คนถูกถามมันกลับหัวเราะ


“ไม่สืบสวนน้องตอนนี้น่า ผมเจ็ทแล็กนะขอนอนก่อน” ไอ้ฟ้าพูดก่อนทำท่าจะหันหลังกลับเข้าไปในห้องแต่ก็ไม่ทันเมื่อฝ่ามือกว้างของพี่แดนเกี่ยวคอเสื้อมันจากข้างหลังแล้วลากมันออกมาซะก่อน


“ห้องมึงอยู่ตรงนู้น”


“กับน้องนี่โหดจัง ไม่มีเสียงสองเสียงสามเลยเนอะ” มันจัดคอเสื้อตัวเองหลังจากที่พี่แดนปล่อยมือพลางบ่นด้วยน้ำเสียงกวนประสาทก่อนจะหันมายิ้มให้ผมอีกที


“ไปนอนต่อด้วยกันไหมครับ” แล้วก็ยังไม่เลิกกวนประสาทด้วยการเน้นคำสุภาพ ผมเลยได้แต่ถอนหายใจใส่อย่างหน่ายๆ พี่แดนไม่ได้พูดอะไรต่อแค่แตะฝ่ามือลงบนไหล่ผมก่อนจะดันเข้าให้กลับเข้าห้องแล้วตามเข้ามาด้วยกัน ผมได้ยินเสียงไอ้ฟ้ามันหัวเราะไปพร้อมๆกับเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินออกไปก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง ก็เนี่ยนะ เจอมันกี่ครั้งก็ยังกวนตีนไม่เคยเปลี่ยน


“เมื่อกี้” พี่แดนเกริ่น


“มันชื่อน่านฟ้า น้องชายพี่เอง”


“มันค่อนข้างจะกวนประสาทนิดหน่อย” พูดมาถึงตรงนี้ผมเลยหัวเราะก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ


“ตังก็ว่างั้น” ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะ พี่แดนถอนหายใจก่อนที่จะยิ้มตาม


“ที่หลังเข้าห้องแล้วล็อคด้วยนะครับ” คำพูดของพี่แดนเรียกให้ผมขมวดคิ้วเล็กๆ


“ตังล็อคแล้วนะ แต่ไอ้...เอ่อ น่านฟ้ามันไขกุญแจเข้ามา” แต่หลังจากที่พูดจบกลับเป็นพี่แดนที่ขมวดคิ้วจนเป็นปม ก่อนทำท่าจะเดินออกไปจนผมต้องดึงแขนไว้ก่อน


“ไปกินข้าวกันก่อนไหมครับ?” พี่แดนหยุดอยู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าเบาๆแล้วยอมเดินตามแรงดึงของผม แล้วเป็นฝ่ายเลื่อนฝ่ามือกว้างมาจับมือผมไว้ซะเองแล้วเดินไปด้วยกัน



บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเสียงหัวเราะบ้างเวลาที่น้องเหนือพูดเจื้อยแจ้วน่ารัก พี่ธารหรือพ่อเลี้ยงนทีธารก็มีบรรยากาศเหมือนกับที่ผมเคยเจอในตอนนั้น และถึงเขาจะเป็นคนเคร่งขรึม พูดน้อย แต่ก็เป็นสามีและคุณพ่อที่อบอุ่นมาก


แต่ก็นั่นแหละ เรียบง่ายยังไงมันก็มีจุดที่ผมแอบเซ็งอยู่เหมือนกันแหละ อย่างเช่นว่าก็มีคนที่เหมือนจะยึดพี่แดนไว้คุยกับตัวเองคนเดียวอยู่คนหนึ่ง ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรก็นั่งกินข้าวไปเหลือบมองคนนู้นคนนี้ไปเรื่อยเปื่อย สบตากับพี่บีบ้างเป็นบางครั้ง แต่พี่เขาก็ละสายตาไปอย่างไม่มีอะไรทุกครั้งที่หลานสาวตัวน้อยเรียกให้สนใจ 


“น้องตังชอบน้ำตกไหมคะ?” เป็นพี่บัวที่เอ่ยถามผมด้วยรอยยิ้ม


“ชอบครับ”


“ที่ท้ายไร่เรามีน้ำตกนะคะ ถึงจะไม่ใหญ่แต่ก็สวย”


“แดนก็พาน้องไปสิ” เป็นพี่ธารที่พูดต่อจากภรรยา ผมก็เลยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เพราะไม่รู้ว่าพี่แดนได้ยินที่พ่อเลี้ยงเขาบอกหรือเปล่า


“ผมจะชวนน้องอยู่แล้วครับ” เสียงคนที่นั่งอยู่ซ้ายมือผมตอบ ผมไม่ได้หันไปจนกระทั่งพี่เขาพูดต่อ


“งั้นซัก 4 โมงเราไปกันไหม?”


“แก้วไปด้วยนะคะ ดีจังที่เอาเสื้อผ้ามาเผื่อด้วย กะแล้วค่ะว่าแดนต้องพาไปน้ำตกแน่ๆ” คนที่พูดต่อทำให้ผมมองเลยไปถึงต้นเสียง พี่แก้วพูดจบก็ยิ้ม ผมหันหน้ากลับมาที่เดิมแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆให้กับพี่บัวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วผมตอบตัวเองในใจ แต่ก็อดรู้สึกงี่เง่านิดๆไม่ได้ที่พี่แก้วพูดเหมือนกับว่าคุ้นเคยกับที่นี่และรู้ใจพี่แดนทุกอย่าง เพราะมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอก แต่มันก็รวมถึงทุกเรื่องที่เธอพูดออกมาตั้งแต่เราเดินมานั่งที่โต๊ะนี่แหละ


“ได้ยินแว่วๆ จะไปไหนกันเหรอ?” ไอ้คนมาใหม่มันเดินมาหยุดที่ข้างโต๊ะอาหาร ปากก็พูดไปส่วนมือก็ลูบหัวหลานตัวน้อยที่ยังยึดตักพี่บีอยู่ไม่ไปไหน


“หล่ายต่า” พี่ธาารตอบ มันพยักหน้าก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างข้างๆพี่บี แล้วเอาส้อมในจานพี่บีจิ้มหมูทอดมาใส่ปากตัวเอง


“บีเติมข้าวหน่อยฟ้าหิว”  ผมเงยหน้าไปมองคนที่พูด พี่บีถอนหายใจก่อนจะหอมแก้มหลานสาวตัวน้อยแล้วกระซิบอะไรซักอย่าง น้องเหนือพยักหน้ารับก่อนจะยอมลงจากตักพี่บีแล้ววิ่งไปอ้อนคุณพ่อขาแทน ส่วนพี่บีก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบโถใส่ข้าวที่ป้าแม่บ้านวางไว้ที่โต๊ะริมประตู ก่อนที่จะมาตักลงในจานข้าวของตัวเองที่ตอนนี้โดนไอ้ฟ้ายึดไปแล้ว

 
“เมื่อใดจะเป๋นคนใหญ่น่านฟ้า”  พี่ธารพูดแบบหน่ายๆ แต่ไอ้คนที่นั่งเคี้ยวข้าวเต็มปากก็ดูจะไม่สนใจอะไร ก่อนที่พี่ธารจะเปลี่ยนเป้าหมายมาหาพี่บีแทน


“บีก่อไปตวยใจ๋มันตลอด”

 
“ตวยใจ๋ฟ้าคนเดียวมันก่อถูกแล้ว” ไอ้คนที่ก้มหน้าก้มตากินมันเงยขึ้นมาตอบก่อนจะหันไปฉีกยิ้มใส่พี่บีที่ทำหน้าดุใส่แต่มันก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย





(ต่อข้างล่างนะคะ มันยาวเกินโพสต์ไม่พอค่ะ)



ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เราแยกกันไปเตรียมตัวเมื่อนัดเวลากันเสร็จสรรพ สรุปว่ามีสมาชิกที่ไปทั้งหมด 5 คน คือ ผม พี่แดน ไอ้ฟ้า พี่แก้ว และ พี่บีที่ดูไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่เพราะอยากอยู่บ้านเล่นกับหลานจนพี่บัวต้องคะยั้นคะยอให้ไปเที่ยวบ้าง แต่ผมว่าเอาจริงๆที่พี่บีไปน่าจะเป็นเพราะรำคาญไอ้ฟ้ามากกว่า


ผมเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นก่อนจะหยิบแค่โทรศัพท์มือถือติดมือลงมาด้วย ว่าจะออกไปเดินเล่นรอบๆบ้านรอเวลา แต่พอเดินออกไปทางข้างบ้านก็เห็นสองพี่น้องเขายืนคุยอะไรกันอยู่ก่อนแล้ว


“กำนี้จะไปหยะแหมซ้ำหนา” พี่แดนพูดเสียงขรึมดูจริงจัง ผมเลยหยุดเดินเพราะไม่อยากเข้าไปแทรก


“ฮู้แล้วครับ ฮู้แล้วๆๆ ฮู้แล้ววว” แต่น่านฟ้ายังไงก็เป็นน่านฟ้าแหละครับ มันยังคงตอบรับแบบไม่จริงจังเท่าไหร่ พี่แดนถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ และคำพูดนั้นก็เหมือนตอกขาผมให้หยุดอยู่กับที่เมื่อเริ่มจะรู้แล้วว่าเขาคุยกันเรื่องอะไรอยู่


“ถ้าคนตี่อยู่ในห้องเป๋นคนอื่นจะหยะจะใด ยิ่งถ้าเป๋นแม่ญิ๋งแหมซ้ำ”


ลองคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว มันก็จริงอย่างที่พี่แดนพูด ถ้าเป็นผู้หญิงมันคงจะไม่ดีแน่ๆ แต่ถึงแม้จะเข้าใจ แต่หัวใจมันเริ่มหน่วงขึ้นมาแล้ว และยิ่งได้ยินชื่อของคนที่รบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลาในตอนนี้ มันก็อดที่จะงี่เง่าไม่ได้


“อ้ายหมายถึงปี้แก้ว?”


“เคสนี้ว่าจะนั้นมันก่อแม่น”


จริงๆแล้วพี่ไม่ได้ห่วงว่าจะเป็นคนอื่นหรือใครที่ไหนใช่ไหม พี่ก็แค่หวงเพราะเป็นเขา ความรู้สึกอึดอัดมีตีตื้นขึ้นมาแน่นอยู่ในอก เมื่อรู้ว่าความห่วงหวงนั้นมันไม่ได้เป็นของผมเหมือนในตอนนั้นอีกแล้ว


ก็ใช่สิ ตอนนี้เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่นะ

ไม่ใช่แฟน

ไม่ใช่คนที่รู้จักคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก

จะเอาอะไรกับคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่ถึง 2 เดือนล่ะจริงไหม ?


ผมสูดหายใจลึกๆก่อนที่จะตัดสินใจเดินกลับไปอีกทางโดยไม่สนใจจะฟังสิ่งที่พี่น้องเขาคุยกันอีกแล้ว ใจมันปวดจนอึดอัด ร้อนที่เบ้าตาจนต้องเงยหน้าขึ้น แต่อยู่ๆเสียงโทรศัพท์ที่กำไว้ในมือก็ดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นใครโทรมาผมก็กดรับอย่างไม่ลังเล


“ไอ้ป่าน” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีที่รับ พวกมันมักจะมาถูกเวลาเสมอ ผมก้าวเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆในขณะที่ก็ฟังในสิ่งที่มันเล่าไปด้วย มันเล่าเรื่องที่ฝึกงานให้ฟังโดยที่เมนหลักก็คือนินทาฝาแฝดตัวเองน่ะแหละ


“จริงป่ะ” ผมถามพลางหัวเราะเบาๆ แต่ก็ไม่รู้ทำไมไอ้ป่านถึงเงียบเสียงลง


‘มึงกำลังไม่โอเคใช่ไหม?’


ผมพยักหน้าทั้งๆที่ก็รู้ว่ามันไม่เห็น ปลายจมูกที่ปวดหนึบทำให้ผมต้องสูดหายใจเข้าก่อนที่จะตอบ


“อื้อ” และก็เลือกที่จะบอกความรู้สึกของตัวเองโดยไม่ได้ปิดบังอะไร


“อย่าบอกไอ้ปอนะ” ผมสำทับ มันถอนหายใจ


“เออ สัญญาว่ากลับไปแล้วจะเล่าให้ฟัง” ผมตอบรับสิ่งที่มันถาม ก่อนจะสูดหายใจแรงๆแล้วหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อถูกมันกวนประสาทเหมือนเคย


“น้องพ่องสิ เออ แค่นี้” ผมวางสายก่อนที่จะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้เหล็กใต้ต้นไม้ใหญ่ สายลมที่พัดเบาๆทำให้ผมหลับตาลงก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้


มีโอกาสแล้วก็ต้องพยายาม เทวดาองค์หนึ่งเคยสอนผมเอาไว้แบบนั้น แต่ถ้าพยามแล้วไม่มีประโยชน์ มันก็ควรต้องพอได้แล้ว ใช่ไหมท่านเทวดา


ผมหลับตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ พอลืมตาขึ้นก็เป็นพี่แดนที่กำลังยืนมองผมอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาคมนั้นที่ทอดมองมา ผมเดามันไม่ออกแล้วว่าเจ้าขอมันมีความรู้สึกแบบไหน อาจจะเป็นเพราะเข้าใจในความรู้สึกอีกด้านมันเลยทำให้ผมไม่กล้าเข้าข้างตัวเองอีกแล้วมากกว่า


“อยู่นี่เอง”


“ขอโทษครับ จะไปกันแล้วใช่ไหม?” ผมตอบก่อนจะรีบดีดตัวลุกขึ้นยืนโดยที่ไม่ได้สบตากับคนที่ยังยืนอยู่แล้วเดินเลี่ยงจากกรอบสายตาเขา


“ตัง”


“ไปเถอะครับ เดี๋ยวคนอื่นรอ” ผมตัดบทก่อนจะเดินล่วงหน้ามาก่อน

 
ทุกคนรออยู่ตามที่คาด ผมเอ่ยขอโทษทุกคนก่อนจะเลือกเปิดประตูด้านหลังของรถกระบะ 4WD ที่เป็นพาหนะที่จะพาเราไปที่น้ำตกท้ายไร่ เป็นพี่บีที่ก้าวตามขึ้นมาและปิดท้ายด้วยไอ้ฟ้า พี่แดนมองมาเหมือนจะพูดอะไรซักอย่างแต่พอผมหันหน้าไปอีกทางเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ และเมื่อผู้โดยสารคนสุดท้ายขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ เราก็ได้ออกเดินทางกันซักที


แดดค่อนข้างจะร่มลงเยอะแล้วเมื่อเรามาถึง มันเป็นน้ำตกแค่ชั้นเดียวเล็กๆแต่มีแอ่งน้ำกว้างให้ได้เล่นน้ำอย่างสะดวก และมันก็สวยอย่างที่เจ้าของไร่เขาบอกเอาไว้จริงๆ


ผมนั่งลงก่อนที่จะเอาเท้าแช่ลงในน้ำ มันเย็นจนแอบสะดุ้งแต่ก็รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย ไม่ทันได้ถ่ายคลิปลงไอจีก็มีคนเดินมานั่งลงข้างๆ เป็นพี่แดนเหมือนเคยแต่มันก็คงจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีใครอีกคนตามมาด้วย


“แดนคะ เล่นน้ำกัน” เธอเอ่ยชวน


“แก้วลงก่อนได้เลยครับ แดนว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้อีกสักพัก” พี่แดนตอบ พี่แก้วพยักหน้าก่อนจะถอดเสื้อเชิ้้ตตัวใหญ่ออกแล้ววางไว้ข้างตัวพี่แดนเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงขาสั้นแล้วเดินลงน้ำไปจากตรงนั้น แต่ก็ไม่วายหันกลับมา


“ตามมาเร็วๆนะคะ”


ผมกับพี่แดนไม่ได้คุยอะไรกัน เป็นเพราะผมกำลังรวบรวมความกล้าที่จะพูดสิ่งที่มันอัดอั้นอยู่ในใจ ในขณะที่อีกฝั่งที่มองเห็นเป็นพี่บีที่โดนไอ้ฟ้าลากลงน้ำไปแล้ว มันหัวเราะชอบใจเมื่อโดนอีกคนต่อว่าเสียงดังแล้วโดนฝ่ามืออรหันต์ฟาดไหล่กว้างไปหลายที
 

“พี่/ผม” และบทจะพูดก็พูดออกมาพร้อมกันซะอย่างนั้น


“ตังพูดก่อนเลย” พี่แดนบอก แต่ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรน้ำที่กระเพื่อมอยู่ตรงหน้าก็ทำให้รู้ว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาข้างหน้า


“แดนคะ จำตรงนู้นได้ไหมที่แดนเคยห้ามไม่ให้แก้วกระโดดลงมา” เธอชี้ไปตรงโขดหินที่ผมกะความสูงได้ประมาณสองเมตร


“อ่า ครับ” คนที่นั่งข้างๆผมตอบรับ ส่วนคนที่ตัวเปียกปอนก็เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า


“วันนี้แก้วขอขึ้นไปได้ไหม?” เธอถาม แต่เพราะพี่แดนไม่ได้พูดอะไรตอบเธอถึงพูดต่อ


“งั้นก็ไปเล่นน้ำด้วยกันสิคะ มาเที่ยวทั้งทีจะนั่งกันอยู่เฉยๆทำไม” ชั่วครู่นั้นพี่แก้วหันมามองหน้าผม ผมถอนหายใจก่อนจะเมินหน้าหนี โอเค ผมรู้ตัวว่าทำตัวแย่ใส่เธอ แต่ผมก็ไม่ชอบคำพูดของเธอเหมือนกัน


ไม่มีใครพูดอะไรก่อนที่พี่แก้วจะเดินกลับลงไปที่เดิม แล้วกำลังจะปีนขึ้นอีกฝั่งที่เธอชี้ให้ดูเมื่อครู่ มันเป็นช่วงเวลาที่เร็วมากหลังจากที่ผมได้ยินพี่แดนสบถออกมาเสียงดังแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแล้วพุ่งตัวลงน้ำไปทันที


และแค่เสี้ยวนาทีพี่แดนก็ขึ้นไปยืนอยู่บนโขดหินนั้นที่ใครอีกคนกำลังยืนอยู่ด้วยกัน และมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมเองก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากตรงนั้นเช่นเดียวกัน


ก็ไม่รู้จะเดินไปไหนหรอก แค่ไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว ตัวผมตอนนี้มันก็แค่ส่วนเกินดีๆนี่แหละ ยิ่งได้ยินเสียงของวัตถุบางอย่างที่ตกลงมากระทบน้ำพร้อมเสียงพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์ก็ทำให้ผมยิ่งสาวเท้าเดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว


“โอ้ย” ผมอุทานก่อนจะก้มหน้าลงไปดูที่เท้าเพราะดันโง่ไปเตะแง่หินที่โผล่ขึ้นมาจากดิน โชคดีที่มันไปถึงกับได้เลือด แต่แม่งเจ็บชิบ


“เหี้ยเอ้ย มึงนี่แม่งโง่จังวะ” ผมสบถกับตัวเองก่อนจะนั่งลงไปกับพื้นนั่นแหละ ตาที่เริ่มพร่าเลือนพร้อมจมูกที่เริ่มปวดทำให้ต้องสูดลมหายใจเข้าก่อนจะฟุบหน้าลงกับเข่าที่ชันขึ้นมากอดไว้ ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่มันไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกผมมันดีขึ้นได้เลย


ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อเริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะรีบปาดน้ำตาออกลวกๆ ก็ไม่รู้น้ำตามันมาจากไหนหนักหนาเอามือปาดเท่าไหร่ก็ไม่หมดเลยต้องดึงเสื้อขึ้นมาเช็ดแทน ไม่อยากจะพูดถึงสภาพ เละเทะไม่มีชิ้นดี


“ตัง” เสียงเรียกดังจากข้างหลัง ผมไม่ได้หันกลับไปทันทีเพราะกำลังปรับลมหายใจให้เป็นปกติก่อนจะหันกลับไป ฝืนยิ้มนิดหน่อยมันก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถอะไร


“ทำไมเลิกเล่นกันเร็วจังครับ” ผมถาม บังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น ก็เพิ่งจะรู้ว่ามันทำยากเหมือนกัน


“กลับกันเถอะ” พี่แดนไม่ได้ตอบคำถามผม ฝ่ามือกว้างยื่นมา แต่พอมันสัมผัสที่แขนผมก็ชักหลบไปไว้ข้างหลัง มันคงไม่ดีถ้าพี่เขาจะจับมือผมต่อหน้าคนที่กำลังมองมาที่เรา และผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่สายตาเธอกำลังบอกผมว่าตอนนี้เธอไม่ชอบผมมากกว่าเมื่อก่อนซะอีก


“ตังครับ” พี่แดนพูดเสียงขรึม ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังอารมณ์ไม่ดี มันเป็นครั้งแรกเลยนะตั้งแต่ผมเจอเขาในตอนนี้ที่พี่เขาใช้น้ำเสียงแบบนี้กับผม


ผมเม้มปากก่อนจะรีบสาวเท้าเดินนำออกไปทั้งๆที่รู้สึกปวดแปลบที่เท้า เจ็บก็ช่างแม่งเหอะ ดีกว่าอยู่ตรงนี้แล้วรู้สึกแย่กับการที่ไม่เป็นที่พอใจของใครซักคน


เดินกลับมาถึงที่รถก็เห็นไอ้ฟ้ากับพี่บีที่ยืนรออยู่แล้ว ทั้งสองคนไม่ได้ว่าอะไรแต่ผมก็รู้สึกกระดากถ้าจะไม่พูดอะไรเลย


“ผมไม่นึกว่าจะเลิกเล่นกันเร็ว ขอโทษนะที่ต้องให้รอ”


“ที่หลังจะเดินไปไหนก็บอกก่อนนะคะ แดนเขาเป็นห่วงน้องตังนะ” พี่บีบอก แต่น้ำเสียงก็ไม่ได้พูดเป็นเชิงตำหนิอะไร สองมือก็ยังสาละวนกับการเช็ดผมให้ไอ้ฟ้าที่นั่งอยู่ท้ายกระบะ เป็นห่วงหรือหงุดหงิดล่ะ แต่ถึงจะคิดก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องพูดออกไป
 

มองเห็นคนสองคนที่กำลังเดินกลับมาด้วยกันแล้วก็ต้องรีบเมินหน้าหนี ก็ว่าทำไมถึงช้าจนคนขาเจ็บอย่างผมยังเดินมาถึงก่อนตั้งนาน ก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ท่าที่ประคองกันเดินมาขนาดนั้นก็นะ ผมเม้มปากเมื่อต้องอดทนกับก้อนความรู้สึกแย่ๆที่กำลังตีรวนกันอยู่ในท้องก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งข้างไอ้ฟ้าแล้วหันไปชวนมันคุย


“นั่งแบบนี้กลับไปถึงไร่เลยได้ป่ะวะ?”


“อยากกลิ้งตกรถเป็นลูกหมาก็เอา” มันพูดติดตลก ก่อนจะพูดต่อเพราะว่าผมไม่ได้โต้ตอบอะไร


“แต่ถ้ามึงไม่อยากนั่งข้างหน้าก็คลานเข้าไปนั่งลึกๆเดี๋ยวกูปิดท้ายให้” มันพูดกลั้วขำนิดๆแต่ก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยที่อย่างน้อยมันก็ยังพูดเล่นกับผม


“กูเดินก็ได้มั้ง ไม่ได้เป็นหมานะถึงต้องคลาน” ผมตอบ มันหัวเราะก่อนจะลงไปจากท้ายกระบะแล้วไม่ลืมที่จะยกท้ายปิดให้ผมจริงๆ


ผมนั่งเอาหลังพิงกับตัวรถโดยเหยียดขายาวไปทางท้ายกระบะ ตอนนี้แดดร่มแล้วก็ไม่ค่อยจะร้อนซักเท่าไหร่ เอาจริงๆผมก็ไม่ค่อยได้มาเที่ยวอะไรแบบนี้เลยนะ เป็นสายขี้เกียจชอบนอนดูซีรี่ย์โง่ๆอยู่ที่ห้องมากกว่า ไอ้แฝดมันถึงชอบเรียกผมว่าคุณชายตังไง


คิดแล้วก็น่าขำ กูแม่งมาทำอะไรที่นี่วะ


ผมหลับตาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ไม่ทันที่รถจะเคลื่อนตัวก็มีอีกคนที่กระโดดขึ้นมาที่ท้ายกระบะ แล้วก็เป็นพี่เขา คนที่ผมไม่อยากจะสู้หน้าด้วยเลยในตอนนี้ ผมขยับตัวไปชิดทางด้านซ้ายมือเมื่อเขาเข้ามานั่งข้างๆด้วยท่าเดียวกัน


ลมที่พัดสวนมาเริ่มแรงขึ้นเมื่อรถเคลื่อนที่ออกจากจุดจอด มุ่งหน้ากลับไปทางเดิมที่เราผ่านมา ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีวนิลาแซมด้วยแสงสีทอง ผมคงจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายมันเก็บไว้ถ้าไม่ได้อยู่ในบรรยากาศที่อึดอัดแบบนี้


“พี่ขอโทษ” อยู่ดีๆเสียงทุ้มก็ดังขึ้นมาท่ามกลางเสียงลมที่กำลังตีปะทะ


“ครับ” ตอบออกไปทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าพี่เขาขอโทษให้กับอะไร ไม่รู้เลย


ผมตัดทุกโอกาสที่จะทำให้เกิดบทสนทนาขึ้นระหว่างเราโดยการหันไปนั่งเท้าคางอยู่กับด้านข้างของกระบะ ปล่อยให้สายลมแรงพัดใส่หน้าจนกลบเสียงทุกอย่าง ทั้งจากความจริง และเสียงในความคิดของตัวเอง


กลับมาถึงบ้านทุกคนก็แยกย้านกันไปอาบน้ำกก่อนจะลงมาทานอาหารเย็นด้วยกันในช่วงหัวค่ำ บรรยากาศยังคงเหมือนกับเมื่อกลางวัน ขาดไปก็เพียงแต่พี่แก้วที่ขอไม่ลงมาร่วมโต๊ะโดยให้เหตุผลว่าเจ็บข้อเท้ามากจนเดินไม่ไหว พูดคุยกันที่โต๊ะอาหารได้ซักพักทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน


ผมถอนหายใจก่อนจะก้มลงมองเท้าตัวเองที่เริ่มมีอาการบวมขึ้นนิดหน่อย ถ้าไม่ฝืนเดินมาก มันก็คงจะไม่บวมขนาดนี้ แล้วพรุ่งนี้จะเดินยังไงวะเนี่ย ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากไลน์ พอเปิดดูข้อความแล้วก็ได้แต่ปล่อยหน้าจอค้างไว้อย่างนั้นซักพัก


‘กำลังจะนอนแล้วครับ’  ในที่สุดก็เลือกที่จะพิมพ์ตอบกลับไป แต่ไม่ทันได้ละโทรศัพท์ออกจากมือก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาซะก่อน


“เปิดประตูให้พี่หน่อยได้ไหมครับ?”


ผมก้าวเท้าลงจากเตียงก่อนจะค่อยๆเดินไปหยุดที่ประตู


“พี่แค่เอาของมาให้” คนที่อยู่อีกฝั่งประตูบอก ก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้ของที่ว่ามันคืออะไรแต่สุดท้ายผมก็ยอมเปิดประตูให้พี่แดนอยู่ดี


พี่แดนไม่ได้ก้าวเข้ามายังคงยืนอยู่ตรงหน้าประตูเหมือนมีเส้นที่ขีดแบ่งไว้ไม่ให้ล่วงล้ำ ผมเม้มปากสนิทเมื่อสายตาคมที่ทอดมองมามันสื่อนัยยะอะไรบางอย่าง


“เจ็บมากไหมครับ?” ฝ่ามือกว้างคลี่ออกให้เห็นหลอดยาที่เจ้าตัวกำไว้ แล้วมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมโถมตัวใส่ร่างกายอบอุ่นของคนข้างหน้าแล้วกอดเอาไว้แน่นก่อนจะพยักหน้ากับแผ่นอกกว้าง


“เจ็บ มาก” วงแขนแกร่งกอดผมตอบกลับทันทีที่จบประโยคนั้น ปลายจมูกอุ่นจรดลงที่ข้างขมับผมก่อนที่พี่แดนจะเอ่ยคำพูดด้วยเสียงนุ่มทุ้มให้ได้ยิน



“แล้วตังจะยังมีโอกาสให้พี่อยู่ไหมครับ?”




TBC

ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
#Special Extend



เนื่องจากว่าอีก 2 ตอนก็จะจบแล้ว
ตอนนี้เราก็เลยจะมาขยายความในบางเหตุการณ์ที่ทุกคนอาจจะสงสัยอยู่ค่ะ


จะเริ่มจากตอนที่ 9 - A very new life นะคะ
มันเป็นตอนที่น้องตังขอพรท่านเทวดาให้ข้ามมาอีก 2 ปีแล้วโผล่มาก็กลายเป็นว่าตัวเองคบกับพี่แดนไปแล้วเฉยเลย คือตั้งแต่ตอนนี้มันเป็นจุดเปลี่ยนหลายอย่าง คือน้องก็ไม่รู้ว่าในเวลา 2 ปีที่ผ่านมาที่คบกับพี่แดนแล้วตัวเองเป็นแบบไหน ฉะนั้นท่าทาง คำพูดคำจา สรรพนามที่ใช้แทนตัวก็เลยดูแปลกไปจนพี่แดนเองก็รู้สึกได้ ก็คิดมากมาตลอดว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างตัวเองกับน้อง ฟีลเหมือนเพลงเสียงที่เปลี่ยนอ่ะค่ะ แต่ก็พยายามจะทำตัวให้เหมือนเดิม ก็รักเขามากอ่ะเนอะ


แต่ในขณะที่พี่กลัวน้องบอกเลิกเพราะหมดรักกัน แต่ดันกลับกันตรงที่ว่าพอยิ่งอยู่ด้วยกันทุกวันน้องก็ค่อยๆตกหลุมรักพี่เขาขึ้นมาซะงั้น เริ่มมีมาครบทุกอารมณ์ ทั้งรัก ทั้งหลง ทั้งหึง มาหมดเลย จนในตอนที่ 19 - Something wanna tell ก็ยอมบอกกับคนอื่นว่า “ผมมีแฟนแล้วครับ”


และตอนที่ 20 - Naked ก็เปลือยทุกความรู้สึกเลยค่ะ บอกรักพี่เขา เริ่มใช้สรรพนามแทนตัวด้วยชื่อ ซึ่งมันก็ปลดล็อคความกลัวของพี่แดนออกเลย ถ้าจำได้ในตอนนี้ จะมีซีนที่พี่แดนพูดว่า “พี่คงคิดมากไปเองจริงๆ”


(*เรื่องสรรพนามแทนตัวที่ในปัจจุบันน้องจะแทนตัวเองว่า ตังบ้าง ผมบ้าง อันนี้มันขึ้นอยู่กับบริบทในตอนนั้นๆค่ะ อ้างอิงจากตัวเราเองนี่แหละค่ะ บางที่ก็ชื่อ บางทีก็หนู บางทีก็เค้า บางทีก็เรา ประมาณนี้ค่ะ)


แต่ก็นั่นล่ะค่ะ พอรักเขาไปเต็มๆกลับเริ่มกลัวเพราะตัวเองไม่รู้เรื่องราวใน 2 ปีที่ผ่านมาเลย จะถามก็ไม่กล้า ตอนที่ 21 - Missing Truth ก็ตามชื่อตอนเลยค่ะ ความจริงที่หายไป ทุกคนอาจจะงงว่าพี่แดนโผล่มาในห้างได้ยังไงใช่ไหมคะ คือร้านขายผ้าของแม่มีชอปอยู่ที่กรุงเทพค่ะ แล้วเช้าวันนั้นก่อนที่จะบินไปเชียงใหม่พี่แดนแวะไปเอารายงานบัญชีกับตัวอย่างผ้าที่จะเอาไปคุยกับลูกค้า ซึ่งก็แน่นอนว่าน้องตัง(คนนี้)ไม่รู้เรื่องนี้ค่ะ ก็เลยโป๊ะ พอพี่ถามหาความจริงก็ตอบไม่ได้ จะเล่าเรื่องย้อนเวลาข้ามเวลาก็ก็คิดว่าใครจะเชื่อล่ะ  มันก็เลยเป็นความจริงที่พูดออกไปไม่ได้ ทุกอย่างก็เลยพังไปหมด


แล้วเรื่องมันก็มาหนักตอนที่ 22 - Decision เพราะว่าพี่แดนดันมาเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตไปก่อน มันเลยทำให้น้องตังคิดอะไรหลายๆอย่างได้ ก็เลยเกิดจุดเปลี่ยนอีกครั้งด้วยการที่น้องขอกลับไปที่ปัจจุบันที่ตัวเองจากมาแทน โดยมีคำขอสุดท้ายที่เราไม่ได้เขียนให้ทุกคนรู้ว่า สิ่งที่น้องขอก็คือ ถึงจะกลับมาที่ปัจจุบันแล้วแต่ก็ขอที่จะไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเองกับพี่แดนค่ะ


ในส่วนของเหตุการณ์ปัจจุบันก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้วค่ะนอกจากทั้งคู่ต้องทำตามหัวใจของตัวเองเนอะ : ) แน่นอนว่าอุปสรรคมันต้องมีบ้างอยู่แล้ว ทุกตัวละครลับที่โผล่ออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่ในอดีตนะคะ เพียงแต่ว่าช่วงเวลาที่ตังสคิปผ่านไป2ปีนั้นทำให้น้องไม่รู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเท่านั้นเองค่ะ


จากตรงนี้ก็ขอให้ทุกคนมาลุ้นเรื่องราวของพี่แดนกับน้องตังด้วยกันไปจนจบด้วยนะคะ : )


ป.ล. จบจากเรื่องหลักนี้เราจะเขียนตอนพิเศษเป็น side story ของ 2 คู่ค่ะ ใบ้ไว้ก่อนว่าถึงไทม์ไลน์ในชีวิตน้องตังจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแต่ก็ไม่มีผลกระทบกับไทม์ไลน์ชีวิตของคนอื่นค่ะ พระพรหมท่านลิขิตไว้แล้วอ่ะเนอะ


ป.ล. อันนี้ลืมเล่า เรื่องการอู้คำเมืองที่ปกติแล้วบ้านอื่นอาจจะไม่ค่อยพูดกันแล้ว แต่บ้านพี่แดนเขาถือค่ะ พูดภาษาอื่นได้ก็ต้องไม่ลืมภาษาบ้านเกิดตัวเอง ถ้าสังเกตุทุกคนจะเห็นว่าพี่แดนไม่ได้อู้เมืองกับแก้วนะคะ ส่วนแก้วที่อู้เมืองกับบ้านพี่แดนก็เพราะทุกคนอู้เมืองกันหมดค่ะ



ออฟไลน์ B2Fictions

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
EP 30 - It's been you and always will (PART 1/2)

 **ตอนนี้ครึ่งแรกจะเป็นพาร์ทพี่แดน ส่วนครึ่งหลังจะเป็นพาร์ทน้องตังค่ะ**



                                                                                                                                                                                               
ตั้งแต่เช้าวันนี้มันไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจผมเลยซักอย่าง มันผิดพลาดไปหมด ผิดพลาดจนผมโคตรหงุดหงิดตัวเอง ผมไม่ได้จะโทษใคร เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพราะตัวผมเองทั้งนั้น ถ้าเมื่อเช้าผมเด็ดขาดพอที่จะปฏิเสธแก้ว น้องก็คงจะไม่หมางเมินผมแบบนี้ และถ้าเมื่อตอนเย็นที่น้ำตกนั่นผมไม่ปล่อยให้น้องคลาดสายตาไป น้องก็คงจะไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้


“เธอทำบ้าอะไรของเธอหะ!?” ผมตะคอกเมื่อโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ แก้วดูตกใจมาก มันก็น่าจะต้องเป็นแบบนั้นเพราะผมไม่เคยเสียงดังใส่ใครแบบนี้มาก่อน


“คือ แก้ว ขอโทษ”


“เธอรู้ แต่ก็เอาความเป็นห่วงเพื่อนของเรามาทำให้น้องเข้าใจเราผิด”


“แก้วไม่ได้..แดนคะ” ผมส่ายหัวอย่างหัวเสียก่อนจะเดินลุยน้ำขึ้นมาก่อน โดยที่แก้วก็เดินตามขึ้นมาแล้วรั้งแขนผมเอาไว้


“เราชอบน้องแบบไหน เรารู้ว่าเธอรู้” ผมหันกลับไปสบตาเธอ พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ก่อนจะเอ่ยคำพูดสุดท้ายแล้วรีบเดินไปตามทางที่เห็นว่าน้องเดินหายไป แต่แก้วก็ยังเดินตามมาแล้วมันก็ยิ่งทำให้เรื่องมันยุ่งยากเข้าไปอีก


“กลับกันเถอะ” ผมข่มความหงุดหงิด พยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ แต่มันก็คงยังไม่ปกติพอ


“ตังครับ” ผมเรียกน้องอีกครั้งเมื่อสายตาตัดพ้อนั้นจ้องมาที่ผมก่อนที่เจ้าตัวจะหันหน้าหนีแล้วสาวเท้าเดินออกไปก่อน และตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าน้องน่าจะเจ็บเท้าแต่เจ้าตัวก็ยังฝืนเดินด้วยความเร็วโดยที่ไม่หันกลับมามองกันอีก


ผมรีบสาวเท้าเดินตามออกไป มันเกือบจะทันถ้าไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บของคนที่เดินตามมาข้างหลัง


“โอ้ย”


ผมหยุดเดินก่อนจะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง


“แก้วเจ็บจริงๆ” เพราะผมยังคงยืนหันหลังให้แก้วถึงได้พูดออกมา


“ช่วยแก้วก่อนได้ไหม เรื่องนั้นแก้วเข้าใจแล้ว”


เดินกลับมาถึงรถก็เป็นอย่างที่คาด น้องไม่เปิดโอกาสให้ผมได้คุยอะไรด้วยอีก หรือแม้แต่ตอนที่กลับมาถึงบ้าน บนโต๊ะอาหารผมก็ไม่ได้อยู่ในสายตาน้องเลย


‘นอนหรือยังครับ?’  ในที่สุดผมก็เลือกที่จะกดส่งข้อความออกไปเมื่ออดทนต่อความงุ่นง่านของตัวเองไม่ไหว และก็ไม่ใช่แค่นั้นเมื่อตอนนี้ผมพาตัวเองมายืนอยู่ที่หน้าห้องน้องแล้ว


ยังไม่มีข้อความใดๆตอบกลับมา ความร้อนรนมันตีรวนอยู่ในอกจนเผลอกำหลอดยาทาแก้ปวดในมือจนแน่น แต่ในที่สุดน้องก็ตอบกลับมาแม้จะเป็นข้อความตัดรอนกันก็ตามที


‘กำลังจะนอนแล้วครับ’


และผมก็จะไม่ปล่อยโอกาสให้ลอยหลุดมือไปอีกแล้ว


“เปิดประตูให้พี่หน่อยได้ไหมครับ พี่แค่เอาของมาให้” ผมพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก ความคาดหวังที่ไม่รู้จะสมหวังหรือเปล่ามันทำให้หน้าอกแน่นขนัด แต่แล้วเสียงประตูที่เปิดออกมันก็ทำให้ผมหายใจได้สะดวกขึ้น


“เจ็บมากไหมครับ?” ผมถามเมื่อใบหน้าน่ารักเงยขึ้นสบตากัน แพขนตาเปียกชื้นเมื่อดวงตากลมคลอด้วยน้ำตา และไม่ทันจะได้พูดอะไรน้องก็โถมตัวเข้ามากอดผมไว้


“เจ็บ มาก” เสียงปนสะอื้นที่ตอบกลับมาทำให้ผมต้องกระชับอ้อมแขนกอดร่างกายบางเอาไว้แน่นแล้วจรดปลายจมูกลงข้างขมับ กลิ่นกายหอมที่คุ้นเคยจากในความฝันมันบ่งบอกให้ผมรู้ว่า มันถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องทำให้มันกลายเป็นความจริงซักที


“แล้วตังจะยังมีโอกาสให้พี่อยู่ไหมครับ?” ผมถามออกไปเมื่อคนในอ้อมกอดคลายอาการสะอื้น น้องไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแต่ก็พยักหน้าอยู่กับอกผม แล้วมันก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมามากทีเดียว


“ถ้าอย่างนั้น ตังไปกับพี่ได้ไหม?” น้องคลายกอดออกก่อนจะมองผมด้วยดวงตากลมที่มีความเคลือบแคลงสงสัยแต่ก็ยอมตอบตกลงกลับมาในที่สุด


ผมขับรถออกมาจากตัวบ้านลัดไปทางเส้นทางเล็กๆในสวนดอกไม้ไม่ถึง15นาทีก็มาถึงจุดหมาย มันเป็นบ้านพักหลังเล็กๆที่พวกผมสามพี่น้องเรียกมันว่า safe house เป็นที่ๆรู้กันว่าหากใครคนใดคนหนึ่งมาที่นี่ คนนั้นมีสิทธิ์ที่จะไม่รับโทรศัพท์ ไม่รับการติดต่อใดๆ โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องบอกให้คนอื่นรับรู้ก่อนและต้องไม่ขาดการติดต่อเกิน 2 วัน และครั้งนี้ก่อนจะขับรถออกจากบ้านใหญ่ผมก็ไลน์บอกพี่ธารกับไอ้ฟ้าเอาไว้แล้ว ผมดับเครื่องจอดรถที่หน้าบ้าน มันไม่ได้รกร้างเพราะถึงจะเรียกว่าเป็น safe house แต่พี่ธารก็คอยให้คนมาดูแลอยู่เสมอในตอนที่ไม่มีใครอยู่


ผมเปิดประตูลงจากรถแล้วอ้อมไปฝั่งผู้โดยสารแล้วเปิดประตูออกเมื่อคนที่พามาด้วยยังไม่ขยับตัวไปไหนเพียงแต่ปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวแค่นั้น ดวงตากลมยังจัองมองไปยังบ้านที่อยู่ข้างหน้า ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเหมือนกำลังใช้ความคิดกับเรื่องอะไรบางอย่าง


“พี่แดน!” น้องเรียกชื่อผมเสียงดังเมื่อผมตัดสินใจช้อนร่างกายบางขึ้นมาอุ้มไว้ เจ้าตัวขัดขืนแต่ผมก็กระชับกอดเอาไว้แน่น


“พรุ่งนี้มันจะบวม ตังคงไม่อยากให้พี่อุ้มเดินทั้งวันหรอกใช่ไหมครับ” ผมบอกด้วยเสียงกลั้วขำแบบไม่จริงจัง แต่มันก็ทำให้คนที่ขัดขืนยอมอยู่นิ่งๆให้ผมอุ้มไปที่เก้าอี้ไม้ที่ชานหน้าบ้าน


ผมผละออกไปเปิดไฟจากโทรศัพท์เพื่อหากุญแจบ้านที่ซ่อนไว้ตรงกระถางดอกไม้เล็กๆริมหน้าต่าง ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า มีเพียงตะเกียงเจ้าพายุที่ตั้งไว้ที่ชานหน้าบ้าน และข้างหน้าต่างด้านในบ้านเท่านั้น และผมก็เลือกที่จะจุดมันขึ้นเพื่อให้แสงสว่างกับเราในตอนนี้


น้องไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแต่ดวงตากลมสวยก็คอยเฝ้ามองว่าผมกำลังทำอะไร ผมไขประตูเข้าไปในบ้าน จุดตะเกียงอีกอันที่อยู่ด้านใน สำรวจความเรียบร้อยแล้วผละออกมาหาคนที่ยังนั่งรออยู่ก่อนจะย่อตัวนั่งลงข้างหน้าเก้าอี้ที่น้องนั่งอยู่


และดวงตากลมสวยยังคงจ้องมองมาที่ผม ความวูบไหวในแววตามันบ่งบอกความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งหวั่นไหว ไม่มั่นใจ และสับสน


“คืนนี้เราจะอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครคนอื่นนอกจากเราแค่สองคน” ผมจับมือน้องเอาไว้ก่อนจะพูดต่อเมื่อน้องยังคงเงียบ


“แต่ถ้าตังไม่โอเค เราจะกลับบ้านใหญ่กัน”


และก็เป็นอีกครั้งที่ไม่มีคำตอบอะไรหลุดมาจากริมฝีปากอิ่มสวยนั้น มีเพียงดวงตาสวยที่ทอดลงมามองสบกับตาผมเงียบๆ และมันไม่ใช่เพราะแรงโน้มถ่วงหรืออะไรที่ทำให้ริมฝีปากของเราเคลื่อนใกล้เข้าหากัน นั่นเพราะเราต่างก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเราถึงได้จูบ และเพราะอะไรเราถึงได้สวมกอดกันอยู่ในตอนนี้


เราจูบกันเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่รู้จักและปารถนา ไม่ได้เร่งเร้ารุนแรง แต่ก็แนบแน่นด้วยความโหยหาในสัมผัส มันเป็นเหมือนความคุ้นเคยที่ขาดหาย และเราต่างก็ต้องการจะเติมเต็มให้กันและกัน


ผมรวบร่างกายบางขึ้นมาอุ้มไว้อีกครั้งในขณะที่ริมฝีปากก็ยังคลอเคลียจูบกันไม่ห่าง ก่อนที่จะพาร่างกายบางไปวางลงบนเตียงนุ่ม เราผละริมฝีปากออกเพื่อสบตากัน และประกบจูบกันอีกครั้งเมื่อเราต่างก็ยังต้องการ


เป็นเวลาที่เงียบไปหลายนาที อาจจะเป็นชั่วโมงหรือมากกว่านั้นที่เรานอนหันหน้าเข้าหากัน มองหน้ากัน จับมือ และจูบกันอยู่อย่างนั้นจนความรู้สึกดีๆมันพองตัวคับอยู่ในอก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีสิ่งที่ควรจะทำผมถึงได้หยัดกายลุกขึ้นนั่ง


“ทายาที่เท้าหน่อยนะครับ” ผมเปล่งคำพูดออกไปในที่สุดก่อนจะลงไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นโดยที่น้องก็ลุกขึ้นนั่งตาม


“พี่แดน เดี๋ยวตังทำเอง” น้องชักขากลับแต่ก็ไม่เร็วไปกว่าผมที่จับเอาไว้ได้ทันและบังคับให้น้องวางฝ่าเท้าลงบนหน้าขาก่อนจะหยิบหลอดยาทาแก้ฟกช้ำออกจากกระเป๋ากางเกงที่ใส่ติดมาด้วยแล้วบรรจงป้ายยาลงไปที่หลังเท้าทางด้านขวาที่เริ่มบวมช้ำและห้อเลือด

 
“พี่แดน” ผมเงยหน้าตามเสียงเรียก ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆให้กับสายตาที่เป็นกังวลนั่น


“ตังก็เคยทายาให้พี่ ดุพี่ด้วยจำได้หรือเปล่า” ผมยิ้มให้กับคนที่กำลังทำหน้าตกใจสุดขีด ก่อนจะละล่ำละลักออกมาไม่เป็นประโยค


“ทะ ทำไม พี่”


“มันเคยเกิดขึ้นใช่ไหม?” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ ผมเคยเห็นเหตุการณ์นั้นในความฝัน และทุกอย่างผมยังจำได้ เหมือนมันเป็นความทรงจำในเรื่องที่เกิดขึ้นจริง มันฝังแน่นอยู่ในสมองและหัวใจของผมอยู่ตลอดเวลา


“สิ่งที่ตังเก็บไว้ เล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมครับ?” ผมตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าน้องจะตอบออกมาแบบไหน มันอาจจะเป็นเรื่องบ้าๆที่ผมฝันไปแค่คนเดียว แต่ลึกๆแล้วผมกลับมั่นใจ


“พี่แดน จะเชื่อ ตังใช่ไหม?” ในที่สุดน้องก็เปล่งคำพูดออกมาจนได้ และถึงจะอึกอักไม่มั่นใจ แต่ผมก็เชื่อเต็มร้อยไปแล้วว่าทุกอย่างที่น้องจะพูดออกมามันเป็นเรื่องจริง


ผมลุกขึ้นล้างมือกับน้ำในขวดที่ตั้งไว้มุมห้องก่อนจะมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างๆคนที่กำลังสูดลมหายใจเข้าแรงๆแล้วเริ่มเล่าเรื่องออกมาช้าๆ


“มันเริ่มตั้งแต่วันที่รถชน…”


ผมนั่งฟังอย่างเงียบๆโดยที่ไม่ได้ขัด แล้วมันก็ตรงกับสิ่งที่ผมฝันจริงๆ ถึงในฝันมันจะไม่เรียบเรียงเป็นเรื่องเป็นราวก็ตาม มีบางจังหวะที่น้องเว้นช่วงไปทำให้ผมต้องเอื้อมมือไปจับฝ่ามือขาวนั้นไว้ บีบเบาๆเพื่อให้รู้ว่าผมกำลังฟัง และเชื่อทุกอย่างที่เขาเล่า


“แต่พอข้ามเวลามา ตังก็กลายเป็นแฟนพี่เฉยเลย” น้องหัวเราะ ทั้งๆที่ก็ยังไม่หยุดร้องไห้ มันน่าเอ็นดูจนผมอดไม่ได้ที่จะฝังจมูกลงบนหน้าผากเนียน


“ในฝัน มันไม่ชัดว่าเราเริ่มกันที่ตรงไหน...” ผมเริ่มเล่าบ้าง และคราวนี้ก็เป็นน้องที่เงียบฟังผม

 
“แต่พี่จำความรู้สึกได้ว่าตอนที่เห็นเรายิ้มให้เจ้าส้มที่ลานจอดรถหลังคณะ หัวใจพี่เต้นแรงมาก ตอนนั้นตังน่ารักมากรู้ไหม”


“ผมไม่เห็นรู้ตัวเลย” คนที่อุบอิบตอบเหมือนจะเขิน แต่ก็ยิ้มน่ารักให้ผม


เราสลับกันเล่าเรื่องในฝั่งของตัวเองไปมา จริงจังบ้าง ตลกบ้าง แต่อยู่ๆน้องก็เงียบไปก่อนจะหันมามองผมด้วยแววตาสำนึกผิด ฝ่ามือขาวทั้งสองข้างส่งมาทาบที่ข้างแก้มของผมเอาไว้


“ถึงพี่แดนจะโกรธ แต่พี่แดนไม่เกลียดตังได้ไหม” คำพูดนั้นช่างเว้าวอน ผมส่ายหน้าเมื่อรู้ว่าน้องกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไรก่อนจะส่งมือขึ้นมาทาบบนหลังมือน้องข้างหนึ่ง


“สัญญาได้ไหมว่ามีอะไรเราจะพูดกันตรงๆ ไม่โกหกกัน” ผมบอกคนที่เริ่มน้ำตาคลออีกครั้งจนต้องส่งมือไปเช็ดออกให้เมื่อในที่สุดมันก็ไหลลงมาที่ข้างแก้มขาว


“ไม่เอาสิ จะร้องทำไมครับ” ได้จังหวะก็ดึงร่างแบบบางมาไว้ในอ้อมแขนแล้วกอดน้องเอาไว้ทั้งตัว


“ตัง ไม่ได้ ตั้งใจ มันแค่ ไม่รู้จะพูดยังไง” คนที่กลั้นสะอื้นอธิบาย


“ตังขอโทษ”


“ชู่วว” ผมโยกตัวน้องเบาๆเป็นการปลอบก่อนจะพูดเบาๆที่ข้างหูในประโยคที่เคยพูดมาแล้วก่อนหน้านี้


“พี่รู้ครับ เคยบอกไปแล้วตังยังจำได้ไหม” ใบหน้าขาวเงยหน้าขึ้นมองผมทันทีที่จบประโยค ก่อนจะพยักหน้ารับ


“เรื่องนั้นตังไม่ต้องไปนึกถึงมันแล้วนะ” ผมจับมือขาวขึ้นมากุมไว้ ไล้ปลายนิ้วโป้งเบาๆบนหลังมืออุ่น มองเข้าไปในดวงตาสวยที่จ้องมาที่ผมอยู่ก่อนหน้าแล้ว


“พี่อยู่ตรงนี้” ผมจับฝ่ามือเล็กขึ้นมาทาบที่ข้างแก้มของตัวเอง


“ขอบคุณนะครับที่กลับมาหากัน” น้องยิ้มในขณะที่ดวงตาสวยยังคงชุ่มไปด้วยน้ำตา ผมไล้นิ้วโป้งบนแก้มเนียนช้าๆก่อนที่น้องจะยกมือขึ้นมาจับมือผมเอาไว้แล้วจรดริมฝีปากอิ่มลงมาจูบบนหลังมือผม และไม่เกินอึดใจผมก็ดึงน้องมากอดไว้อีกครั้ง ตระกองกอดกันแล้วผ่อนร่างลงบนเตียงนุ่ม เราเริ่มจูบกันอีกครั้ง และก็ไม่รู้ว่าจูบนี้มันจะไปสิ้นสุดที่ตอนไหน


ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหนแต่เราก็ยังนอนคุยกันอยู่อย่างนี้ มันมีอีกหลายเรื่องที่เราสองคนต่างคนต่างไม่เคยรู้ แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะผมกับน้องยังมีเวลาเรียนรู้กันไปอีกนานเลย


“พี่แดน”


“ครับ?”  ผมตอบรับเสียงเรียกจากคนในอ้อมกอด


“กลับมาคบกับตังได้ไหม?” คำพูดของน้องทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆจนคิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น


“เราไม่เคยเลิกกันเลยต่างหาก” 


จบประโยคนั้นก็ทำให้คนที่ขมวดคิ้วมุ่นเผยรอยยิ้มน่ารัก และผมก็อดไม่ได้ที่จะกดจูบลงไปบนริมฝีปากอิ่มอีกครั้งอย่างห้ามใจไม่ไหว

 
“ปากตังจะแตกแล้วนะ” น้องบ่นแต่ก็หัวเราะ


“หมั่นเขี้ยวแฟนจัง” ผมยีกลุ่มผมลื่นมือไม่แรงนักก่อนที่น้องจะขยับเข้ามาซุกหน้าอยู่กับอก ผมเลยสอดแขนเข้าไปให้เขาหนุนแทนหมอน 


“ง่วงแล้วเหรอครับ?”


“หึ” น้องปฏิเสธอยู่ในลำคอแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ


“อืม...แล้ว...ตังยังได้เจอเขาอยู่ไหม?”


“พี่หมายถึง ท่านน่ะ” ผมถามด้วยความอยากรู้ ผมไม่เคยเจอ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะท่านหรือเปล่าที่ทำให้ผมฝันถึงเรื่องของเราแบบนั้น


“ไม่ครับ ไม่เจออีกเลย” น้องตอบเสียงหงอย


“อืม..” ผมรับคำแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ เราปล่อยเวลาให้ผ่านไปในอ้อมกอดของกันและกันก่อนที่ผมจะตัดสินใจลุกขึ้นมาดับตะเกียง

 
“พี่แดน”


“อยู่นี่ครับ” ผมส่งมือไปให้น้องจับแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างกันเหมือนเดิม ปรับสายตากับความมืดได้ซักพักก็เริ่มมองเห็นทุกอย่างแม้มันจะเลือนลางเพราะในคืนเดือนหงายแบบนี้มันก็ไม่ได้มืดสนิทเท่าไหร่นัก


“ฝันดีนะครับ” ผมกดจมูกลงบนกลุ่มผมหอมก่อนที่น้องจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วจูบที่ปลายคางผมเบาๆเป็นการตอบรับ


ผมลืมตาตื่นอีกครั้งในความเงียบ รอบตัวมันมืดไปหมดจนมองอะไรไม่เห็น แต่อยู่ๆแสงไวท์เอ้าท์ที่ส่องเข้ามาก็ทำให้ต้องยกมือขึ้นบังเพราะปรับสายตาไม่ทัน



“ได้ข่าวว่าอยากเจอ” เสียงที่ดังขึ้นทำให้ผมหันไปมองรอบตัว แต่ก็มองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด


“ท่านเหรอ?” ผมเปล่งเสียงถามออกไป แล้วอยู่ๆเงามืดก็แหวกออกพร้อมกับมีใครคนหนึ่งเดินออกมาจากตรงนั้น เขาทิ้งตัวลงนั่งบนอากาศแล้วอยู่ๆมันก็กลายเป็นโซฟามารองรับเอาไว้ได้ทัน


“อือฮึ ข้านี่แหละ” ผมยืนมองอย่างทึ่งๆ ก่อนที่ท่านจะกระตุกยิ้มที่มุมปาก


“ไม่สนุกหรอก น่าเบื่อจะตาย” พูดจบก็ยกถ้วยชาที่ไม่รู้มันมาจากไหนขึ้นมาดื่ม ผมหัวเราะเมื่อนึกถึงเรื่องที่น้องเล่าว่าท่านชอบถือวิสาสะอ่านความคิดคนอื่น น้องใช้คำนี้จริงๆนะ


“ไอ้เด็กโง่นั่น” ท่านเทวดาเบ้ปากอย่างขัดใจ ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง


“มีความสุขกันก็ดีแล้ว รักษากันไว้ให้ดีล่ะ”


“ขอบคุณนะครับ” ผมบอก แต่เทวดาที่นั่งเอนหลังพิงโซฟาตัวนุ่มปัดมือไปมา


“ข้าไปดีกว่า” พูดจบท่านก็ลุกขึ้นยืน แล้วโซฟาก็หายวับไปกับตา


“ฝากบอกเจ้าตังด้วยว่าข้าดีใจด้วยนะ” ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนไหล่ผมสองสามทีก่อนที่ท่านจะหายวับไปกับความมืด แล้วไม่ทันไรตัวผมก็เหมือนถูกผลักตกลงจากที่สูงจนสะดุ้งตื่นอย่างแรง


ผมปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ น้องยังคงหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดผม สายลมเย็นๆที่พัดผ่านหน้าต่างในเวลาเกือบรุ่งสางทำให้ผมต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง




TBC



เนื้อเรื่องตอนนี้มีการอ้างอิงเหตุการณ์จากตอนอื่นค่อนข้างเยอะ
ถ้าใครลืมย้อนกลับไปอ่านก่อนได้นะคะ : )

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด