ตอนที่สิบสาม
คนเจ้าแผนการ
เอ่อ..... นี่คือการแต่งตัวไปสถานบันเทิงจริงๆหรือ มองตัวเองในกระจกแล้วน่าจะไปไม่รอด เห็นแค่เพียงใบหน้าดีหน่อยศีรษะโดนจัดทรงจนเรียบแปล้ ไม่ต้องใส่หมวก ไม่อย่างนั้นคงจะเหลือแต่ลูกกะตาเป็นแน่ เพียงเท่านี้ก็แปลกประหลาดชอบกล โค้ทสีครีมเข้มยาวจนเกือบคลุมเข่า แผงคอเป็นเฟอร์กูลบอกว่าเป็นขนมิ้ง ลักษณะมันคลายแผงคอของสิงโต กางเกงเป็นยีนส์เดฟดำค่อนข้างอึดอัด ตัวนี้เป็นของผมเองใส่ได้ครั้งเดียวเท่านั้นมันไม่เหมาะกับผมเลยไม่คิดจะใส่ แต่ต้องกลับเอามาใส่เพราะไม่อย่างนั้นต้องซื้อใหม่เป็นสีครีมเข้มให้เข้าสีของโค้ทตามที่กูลเซ็ตไว้ตั้งแต่แรก เสื้อด้านในเป็นเชิ้ตขาวแขนยาว เป็นเสื้อนักศึกษานี่และครับ ไม่ซื้อหรอกเปลืองมากเกินไปแล้ว ติดกระดุมทุเม็ดจนถึงลำคอ ถ้าใส่เน็กไทด้วย ผมคิดว่าไม่น่าจะไปสถานบันเทิงแล้วละ ก้มมองรองเท้าหนังหุ้มข้อสีดำ ยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมมันใหม่จัง พอดีกับเท้าของผมเลย ทำหน้าสงสัยอยู่นาน กูลเลยบอกว่า ซื้อไว้นานแล้ว ตอนนั้นสวยดี อยากได้ จึงตัดสินใจซื้อเลย สรุป ผิดไซส์ แต่เสียดายไม่อยากทิ้ง เลยเก็บเอาไว้ กูลมันดูแลของของมันดีเลยทีเดียว มันจึงยกให้ผม เพราะเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
“ไม่มั่นใจเลยวะ” กูลขับรถมาส่งผมหน้าร้าน แต่ไม่กล้าลงไป ใครจะกล้าละครับ มองไปรอบๆไม่เห็นจะมีใครแต่งตัวแบบผมสักคน ถึงข้างในมันจะหนาวมาก แต่ไม่น่าจะหนาวถึงขนาดต้องแต่งตัวแบบนี้หรือเปล่า เกิดข้อโต้แย้งในใจ แย่จัง เกิดมาดันแพ้แอลกอฮอล์อยู่คนเดียว
“เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวผมเข้าไปเป็นเพื่อนจุ้นด้วย เอ่อ....จะนั่งคนละโต๊ะกับจุ้น” กูลเลื่อนมือเข้ามากุมมือให้กำลังใจ ความประหม่าค่อยๆหายไปทีละนิด
“คุณยังไม่บรรลุนิติภาวะ”
“เห็นไหม มันมีโซน restaurant คิดว่ารุ่นพี่จุ้นเขาต้องเลือกจัดโซนนี้มากกว่า มีปีหนึ่งด้วยนิ คงเข้าโซนผับไม่ได้เช่นผม”
“อย่างนั้น ผมก็ไม่เข้าโซนผับก็ได้นี่”
“ใช่ จุ้นไม่ต้องเข้าไปโซนนั้นหรอก ถอดโค้ทแล้วฝากไว้ที่ผม โซน restaurant ไม่หนาวหรอก” เป็นความคิดที่ดี ผมรีบถอดโค้ทตัวหนาส่งให้กูล เขาเดินเข้าไปข้างในร้าน หามุมนั่งค่อนข้างไกลออกไป มองตามไปจดจำตำแหน่งที่นั่งของกูลไว้ แล้วจึงเข้าไปในร้าน เห็นพี่พลอย พี่บี มาก่อนแล้ว จึงไม่เคอะเขินมากนัก ที่จะเดินเข้าไปยังโต๊ะที่นั่งกันเกือบครบแล้ว
“สวัสดีครับพี่พลอบ พี่บี” พนมมือขึ้นไหว้รุ่นพี่ทั้งสอง พี่บีเรียนวิศวกรรมศาสตร์ สายพี่บีเป็นผู้ชายทั้งหมด พวกเขามองมาทางผมเป็นตาเดียว
“เอ่อ.... ผมจุนบัญชีปีสามครับ” ผมยกมือเกาท้ายทอย มองแบบนี้รู้สึกประหม่าไม่น้อยเหมือนกัน
“หว่า!! นึกว่าเฟรชชี่ แต่งตัวอย่างกับปีหนึ่ง” หนึ่งในสายตาพวกนั้นพูดขึ้น น่าจะหมายถึงผม
“เออ!! นี่จุน คนนี้ปีสามชื่อดิน ปีสองชื่อก้อง นั่นปีหนึ่งชื่อเทป ส่วนปากหมาเมื่อครู่ มันชื่อบีมปีสาม น้องชายพี่เอง” พี่บีขัดขึ้น แนะนำตัวพวกเขาให้ผมรู้จัก
“สวัสดีอีกครั้งครับ”
“โห!! มารยาทงาม ฝึกไปประกวดนางสาวไทยป่ะ” คนพูดคือคนเดิมที่วิจารณ์ผมในครั้งแรก เป็นอะไรกับผมมากป่าววะ ผมคิดในใจ
“พี่พลอย เจ้าน้ำมัน ยังไม่มาอีกหรอครับ” ผมไม่สนใจคำพูดนั้น หันไปถามพี่พลอย
“พี่ไลน์ไปตามแล้วนะ เดี๋ยงคงมา”
น้ำมัน เป็นเด็กที่มีความเป็นศิลปินสูงมาก ไม่น่าจะมาเรียนสายบริหารบัญชี น่าจะไปเรียนทางด้านศิลปกรรมมากกว่า ผมเคยถามน้องนะว่า ทำไมเลือกเรียนบัญชี ตอนเผลอไปเห็นน้องมันนั่งวาดรูป ลายเส้นอย่างสวย น้องมันหันมาตอบว่า คนเราชอบหลายอย่างไม่ได้หรือ ทำไมคนวาดรูปได้จำเป็นต้องเรียนจิตรกรรมอย่างเดียว เรียนบัญชีไม่ได้หรืออย่างไร ผมแทบกราบขอโทษมัน ที่พูดไม่ทันคิด คนแค่สงสัย ผมไม่ค่อยเจอมันเท่าไหร่หรอกหลานรหัสคนนี้ กิจกรรมก็ไม่ค่อยเข้าร่วม แต่บริหารเราไม่ได้กะเกณฑ์เรื่องกิจกรรมอยู่แล้ว แบบผ่านไปผ่านมาบริเวณมหาวิทยาลัยแล้วบังเอิญเจอ อันนี้ยากมาก เด็กคนนี้ ไม่มีทางได้เจอ ต้องนัดเป็นพิธีรีตองอะไรทำนองนี้ ถึงจะเจอหน้ามันสักครั้ง แต่น้องมันไม่เคยผิดนัดสักครั้ง
Line Message :: Kool20:26 กระเถิบออกไปนั่งที่อื่นดิ ไอ้หัวล้านนั่นมองตามตาแทบถลนแล้ว
ผมยกสมาร์ทโฟนขึ้นดู ใครไลน์เข้ามา ผมเปิดเข้าไปดูไม่เคยมีประวัติการคุยคงเพิ่มเพื่อนผิดคน
ทักผิดคนแล้วครับ 20:28 read
20:28 โว้ย!! จำไม่ได้ก็หัดบันทึกชื่อเฉพาะไว้บ้างสิ
ใครจะไปจำโปรไฟล์รูปชินจังได้ละวะ 20:29 read (อ๋อ!! Kool กูล เอาจริงๆผมไม่เคยคุยไลน์กับกูล ใช้วิธีการโทรหากันเป็นส่วนใหญ่ ผมไม่ค่อยอยากจะคุยกับมันสักเท่าไหร่)
20:30 ทำไมยังไม่ขยับ
ไหนใครหัวล้าน ไม่เห็นมี 20:31read
20:32 โง่ แล้วยังตาถั่วอีก นั่งตรงข้ามนั่นไง (อ๋อ! บีม มันหัวล้านที่ไหนกันเล่า นั่นเขาเรียกว่าทรงสกิลเฮด)
“มองอะไร” ผมละสายตาจากสมาร์ทโฟน รู้สึกจริงๆว่ามีคนจ้องอยู่
“ป่าว!! แค่สงสัยว่าไม่ร้อนหรือไง ติดกระดุมถึงคอ”
“ยุ่งน่า เรื่องส่วนตัว” ผมก็อยากจะตอกกลับให้แสบกว่านี้ แต่คิดคำไม่ออก
“คนเรา เมื่อเจออะไรที่น่าสนใจ มันมักจะสงสัยอยู่ตลอดเวลา”
“ไอ้ดิน!!” บีมหันไปถลึงตาใส่เพื่อนของมัน
“ครับ เพื่อนบีม” คนตอบกลับก็ยียวนเสียจริง
“สวัสดีครับ ขอโทษครับที่มาช้า” เด็กน้ำมัน มาแล้วครับ มันใส่กางเกงนอนขายาว เสื้อแขนยาว รองเท้าแตะ ผมขยับให้มันนั่งลงข้างผม
“ทำไมแต่งตัวแบบนี้วะ” เพลงค่อนข้างดังผมเลยกระซิบถาม
“ผมอาบน้ำแล้ว เดี๋ยว คุยเสร็จ กินเสร็จ ตอนกลับจะได้เข้านอนเลย ขี้เกียจอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหลายรอบ”
“ล้ำ!!” ยกย่องความคิดน้องมันจริงๆครับ
“ว่าแต่ผม พี่เหอะ ไปงานกาล่าที่ไหน ไม่ร้อนหรือไง”
“เออ!! ร้อน” ตอนนี้เริ่มร้อนละ ผมจึงปลดกระดุมคอลงสองเม็ด พับแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้าง พอสบายขึ้นหน่อย
Line Message :: Kool20:54 ปลดกระดุมคอทำไม ไอ้หัวล้านมองจุ้นอีกแล้ว
เขาจะมองก็เรื่องของเขา 20:55 read (น่ารำคาญเสียจริง จะคุยกับใครยังไม่ทันจะรู้ความก็ไลน์เข้ามาขัดจังหวะ)
20:56 ชอบให้มันมองหรือไง
แล้วมันจะทำไม 20:56 read (เด็กยักษ์ชวนทะเลาะอีกแล้ว)
20:57 ถ้าไม่ขยับออกจะเดินเข้าไป
โว้ย!! อะไรหนักหนาวะ 20:58 read
“น้ำมัน เปลี่ยนที่กับพี่หน่อยได้ไหม”
“ทำไมหรอพี่” น้ำมันถามอย่างสงสัย
“เอาน่า” น้ำมันก็สลับที่กับผมโดยดี องศามันเปลี่ยนแค่นิดเดียว บีมมันขมวดคิ้วคงสงสัยว่าเปลี่ยนทำไม
“ร้อนแล้วละสิ กว่าจะทำตัวเหมือนคนปกติได้” บีมพูดขึ้นลอยๆ
“บีมคะ นี่น้องพี่ค่ะ เราจะไปสวดมนต์กันต่อ” พี่พลอยดูกลั้วหัวเราะ
“อ๋อครับ คนแปลกเหมือนกัน” บีมแซวพี่พลอย
“น่าจะแปลกทั้งสายมากกว่า” ดินพูดขึ้นบ้าง
“ขอโทษครับพี่บี วิศวะนี่ขี้เสือกเหมือนกันหมดไหมครับ” น้ำมันพูดขึ้น เสียงอูยยยยยย ดังขึ้นพร้อมกัน ผมขอติดแฮทแท็กทีมน้ำมัน เจ้าได้พูดแทนใจพี่ไปหมดแล้ว นี่แหละครับสายบู้ที่แท้จริง
“น้องๆ แต่งชุดแบบนี้ไปจะตามไปนอนห้องพี่หรอครับ” ก้องพูดขึ้นบ้าง ฝ่ายเสนอจากวิศวกรรมศาสตร์
“พ่อ!! พี่อนุญาตหรือยังครับ” น้ำมันฝ่ายค้านจากบริหารธุรกิจ เน้น พ่อ เสียงดังฟังชัดเลยละขอรับ
พวกเรานั่งกินนั่งดื่มและผลัดกันโต้วาทีกันไปเรื่อยฝั่งผมก็ส่งน้ำมันไปตอบโต้เกือบทั้งหมด ฝั่งนั้นก็สลับกันบ้างเป็นทีมทำงานที่เข้าขากันดี แต่ฝ่ายผมก็ไม่เพลี่ยงพล้ำให้หรอก น้ำมันมันชอบยกเหตุผลที่เหนือความคาดหมาย แต่บีมมันก็กัดแต่ผมแปลกๆ ทั้งสายตาที่จ้องมองมา ขนาดผมไม่เถียงไม่อยากจะยุ่งด้วยสักเท่าไหร่ รำคาญไลน์ที่เด้งมาตลอด แบตเตอรี่ของผมจะหมดก็เพราะมันนี่แหละ หลังๆผมไม่อ่าน ไม่ตอบก็รัวส่งมา ผมต้องรีบเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง ชะเง้อมองมันดูบ้าง ท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่าน คงหัวเสียไม่น้อย ผมละสะใจปนสงสารที่ต้องนั่งคนเดียว จากนั้นพวกเราก็ส่งน้องปีหนึ่งกลับ พวกพี่ปีสูงก็จะเข้าไปโซนผับด้านใน ผมกำลังจะเอ่ยปฏิเสธแต่พี่พลอยขอไว้ก่อน ให้เหตุผลว่าบัญชีมีพี่คนเดียวไม่เหมาะ แต่ผมค้านแล้วนะว่าผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์ พี่พลอยรู้แต่ขอผมไปเป็นเพื่อนจะได้ไหม ผมจึงอ่อนใจ ตอบตกลง
ผมไลน์ไปหากูล บอกว่าจะเข้าไปด้านในแล้ว ไม่ต้องรอกลับก่อนได้เลย กูลจึงตอบกลับมาให้ไปเอาโค้ทที่เจ้าตัวก่อนเข้าไป ผมจึงขอตัวเดินไปหากูล
“กลับก่อนได้เลยนะ” ผมบอกกูลเมื่อมาถึงโต๊ะที่เขานั่ง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวนอนรอที่รถ” กูลยื่นโค้ท จัดแจงใส่ให้ผมจนเข้าที่ สายตาคนในร้านหลายโต๊ะมองมาแปลกๆ ไม่ให้แปลกได้อย่างไรเล่า โคตรจะเด่น
“อืม เอาอย่างนั้นก็ได้”
“มีอะไรโทรมาเลย ให้นึกถึงผมเป็นคนแรก ตกลงไหม”
“อือ”
“อ้อ! ใครส่งอะไรให้ดื่ม ห้ามรับจากเขา ห้ามถอดโค้ท ห้ามทำความรู้จักกับใครอื่นใดทั้งสิ้น”
“รู้แล้วน่า โตแล้วเข้าผับได้” ผมตอบเสียงรำคาญ นับวันจะยิ่งทำตัวเหมือนพ่อขึ้นทุกที
บรรยากาศข้างในเสียงดังอึกทึก ปวดหูมาก แออัด หายใจไม่สะดวก ไม่รู้ว่าเพราะโค้ทหรือเพราะคน ไม่เห็นมีใครใส่โค้ทมาเลย สายตาหลายคู่จ้องมองมาทางผม อย่างใคร่รู้ เสียงขำของบีมดังไม่ขาดระยะตั้งแต่ประตูทางเข้า พี่พลอยหยุดไปแล้ว เขาชมว่าผมน่ารักดี แต่ไม่ได้ช่วยให้ผมโล่งใจขึ้นเลย เหมือนเอาผ้านวมคลุมเดินยังไงไม่รู้ จังหวะเพลงเป็นอีดีเอ็ม เหมาะกับสายเต้นเสียมากกว่า ซึ่งตรงข้ามกับผมลิบลับ
“นี่!! หยุดหัวเราะได้ไหม” ผมเหว คนข้างๆ บีมมันก็ยังไม่หยุดขำผมเสียที
“ใส่โค้ทแล้วดุจัง คนเรา”
“แล้ว ออกไปไกลๆหน่อย”
“หะ! ไม่ได้ยิน” เสียงเพลงมันดังมากจนผมต้องเขย่งเข้าไปใกล้หูของบีม
“ออกไปหน่อย อึดอัด” มันไม่ขยับออก ยิ่งเบียดกว่าเก่าจนผมต้องขยับเบียดพี่พลอยไปด้วย
“พี่ครับ โต๊ะตรงโน่นฝากมาครับ” ผมมองไปตามมือของบริกรชี้ไป เห็นชายหนุ่มแต่งตัวดียกแก้วเบียร์ยิ้มตอบทักทายกลับมา สิ่งที่ได้มาเป็นนามบัตร พร้อมค็อกเทลแก้วหนึ่ง บีมเอามือมาพาดบ่าแล้วคว้าแก้วค็อกเทลดื่มรวดเดียวจนหมด
“วู้วววววววว” เสียงโห่ เสียงแซว จากสายวิศวะดังผสมปนเปกับเสียงดนตรี ผมจึงสลัดมือบีมออกจากไหล่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
พูดถึงเรื่องห้องน้ำ ผมเป็นคนชอบเข้าห้องน้ำเสียมากกว่ายืนที่โถฉี่ เพราะเป็นคนชอบถอดกางเกงลงเกือบถึงเข่า จะได้ไม่กระเด็นโดนเข็มขัดหรือกางเกง อีกอย่างจังหวะความห่างระยะโถมันได้องศามากกว่า ไม่กระเด็นไกล แล้วจะได้แต่งตัวใหม่ให้ดีในห้องน้ำด้วยมันส่วนตัว เสร็จแล้วผมก็จะเช็ดโถให้ทุกครั้งเพื่อสะดวกต่อคนที่จะใช้ครั้งต่อไป เสร็จแล้วผมจึงออกมาล้างมือ เห็นบีมยืนอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไม ไม่เคยเห็นหน้า” บีมขึ้นพูดขณะล้างมือ
“เรียนบัญชีหรือไง” ผมก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร คำถามประเภทบ่นเสียมากกว่า
“ก็....น่าสนใจดี”
“อะไรนะ” เสียงเขางึมงำ ผมจึงถามย้ำอีกครั้ง
“ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”
“จะเอาไปทำไม แบตเตอรี่หมด?” ผมถามอย่างสงสัย ล้วงสมาร์ทโฟนขึ้นมา ไม่ทันจะยื่นให้ บีมคว้าเอาไปเสียก่อน กดหยุกหยิกอยู่เสียนาน
“ไม่เคยโดนจีบหรือไง”
“หะ! จีบ” ผมตกใจ กับคำพูดที่ชัดเจนค่อนข้างสวนทางกับหน้าตา
“เอ๋อ แบบนี้ไง ถึงไม่รู้อะไร แล้วอย่าไปให้โทรศัพท์ใครง่ายๆ เข้าใจไหม” เขาส่งคืนสมาร์ทโฟน แล้วจะเดินออกไป ผมจึงคว้าไหล่ไว้ก่อน
“เดี๋ยว! จีบไม่ได้”
“มีแฟนแล้ว” บีมทำหน้าสงสัย
“เอ่อ..... ยัง”
“แล้วทำไมถึงจีบไม่ได้ ขอเหตุผลดีดีสักข้อสิ”
“ผมไม่ได้ชอบคุณ คือผมเป็นผู้ชายคุณก็เป็นผู้ชาย อีกอย่างผมยังเรียนไม่จบ”
“เหตุผลยังไม่ผ่าน”
“....” สีหน้าผมกังวล ขมวดคิ้วย่น ยังคิดหาเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำให้เรื่องวุ่นวายไปมากกว่านี้ ทำไมถึงต้องสนใจผมด้วย คนอื่นตั้งเยอะตั้งแยะ ผมไม่อยากแบกหน้าเอาความผิดหวังไปให้เตี่ยกับคุณแม่
“อย่างนั้นผมขอทดสอบคุณได้ไหม”
“ทดสอบอะไร”
ผมพูดจบคำบีมก้มลงมาจูบผม ละเมียดดูดริมฝีปาก ขบเม้ม ให้ความรู้สึกวาบหวามในช่วงท้องน้อย กลิ่นเหล้าคละคลุ้งเล็กน้อย จนเคลิ้ม ตัวผมอ่อนลงจนผิงผนังช่วย ผมรู้ว่ามันคือสิ่งผิดปกติที่ผมไม่ได้ผลักบีมออกไป จนบีมเป็นฝ่ายถอนจูบออกไปเอง
เสียงทุบประตูอย่างดังผมจึงหันไปมอง เป็น กูล ที่ยืนมองผมกับบีมจูบกัน ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เข้ามาตั้งแต่ตอนไหน ถ้าไม่ได้ยินเสียงดังผมก็ยังคงไม่รู้สึกตัว สายตาเขามองมาที่ผมอย่างตำหนิ ติเตียน ผิดหวังในตัวของผม ไม่ได้แสดงถึงความโกรธเกรี้ยว โมโห แล้วเขาก็เดินหนีออกไปจากตรงนั้น ไม่เอะอะโวยวาย ไม่ทำลายข้าวของ ไม่เข้ามาต่อยบีม หรือ ทำร้ายร่างกายใคร ไม่มีแม้แต่เสียงตะโกนหรือพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจ อย่างเคยเป็น
สิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นได้จากดวงตาคู่นั้น คือ “น้ำตา” น้ำตาที่เคลือบดวงตาจนใส มันเอ่อจนเกือบล้นออกมา....
Guide Line Thanks.
ปล. แผนการของคนอยากไปเฝ้า เอ้ย! เอาใหม่ อยากไปด้วย
ปล. เด็กน้อยร้องไห้แล้วง่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา