O o ๐ . . ลู ก อิ จ ฉ า . . ๐ o O บทที่สิบเก้า 09-Aug
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: O o ๐ . . ลู ก อิ จ ฉ า . . ๐ o O บทที่สิบเก้า 09-Aug  (อ่าน 21516 ครั้ง)

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สงสารน้อง :hao5:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
จุ้น ทำไมยอมให้เขาจูบง่ายๆ ละ ผิดหวังมาก :angry2:

ออฟไลน์ liner

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-4
ตอนที่สิบสี่
แมวของเกื้อกูลชื่อจุ้นจ้าน

Past :: เกื้อกูล

      การวิ่งคือกิจกรรมยามว่างของผม ไม่ใช่เพราะผมรักในการวิ่งหรอกครับ แต่ชอบบรรยากาศในเวลาเช้ามากกว่า มันเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งต่างๆ ในการดำเนินชีวิตหลังจากต้องเผชิญอยู่กับความมืดมิดมาเสียนาน ผมชอบเวลาที่ความมืดนั้นเจือจางด้วยความสว่าง มันค่อยๆลดบทบาทความมืดลง เปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานให้กับทุกสิ่ง เป็นความหวัง เป็นกำลังใจ ให้ต่อสู้ และก้าวเดินต่อไป ความสว่างสื่อสารผ่านสายลมเอื่อยๆในยามเช้าว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ และผมจะเป็นเช่นดั่งแสงสว่างของเขา

     แล้วแสงสว่างก็ได้นำทางเขาก้าวเข้ามาวนเวียนใกล้ๆผมเสมอ ผมจะไม่เรียกสิ่งนั้นว่าความบังเอิญแต่ผมจะเรียกสิ่งนั้นว่าโอกาส กลยุทธ์ต่อไปของผมไม่ใช่ความโชคดีแต่มันคือความพยายาม และตัวเร่งปฏิกิริยาคือสถานการณ์

     ผมหยุดยืนมองคนตัวเล็กเขามองซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่ง จึงปูเสื่อ เอาหนังสือมาตั้งสามสี่เล่ม แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ เสียบหูฟัง ไม่ได้หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เพียงแต่ยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายรูป สักพักก็มีแจ้งเตือนในอินสตราแกรมที่ผมกดติดตาม ผมเปิดขึ้นมองภาพที่ถูกโพส เป็นภาพครึ่งหน้าที่ติดเพียงดวงตา ใบหู หูฟัง และส่วนของหนังสือ อดขำไม่ได้หนังสือพวกนั้นเป็นเพียงเครื่องประกอบฉากในรูปอย่างนั้นหรอกเหรอ ผมนั่งมองเขานอนอย่างนั้นอยู่นาน จนรู้สึกอยากแกล้งปะทุขึ้นมา จึงเอาน้ำราดหัวเดินไปหาเขา ก้มมองหน้าที่หลับตาพริ้มฟังเพลง ใบหน้านวลใส ขนตาเป็นแพยาวงอนอย่างกับดัดมา จมูกเล็กๆรับกับใบหน้า ริมฝีปากบางเสียจนน่าจุมพิต ถ้าน้ำบนหัวผมไม่หยดจนเขารู้สึกตัว มีหวังผมได้สัมผัสเจ้าปากสีคาราเมลอ่อนนั่นแน่ๆ   

 “ฝนตก” เขาเอ่ยขึ้น ไม่ยอมลืมตา แต่ดันลุกขึ้นพรวดพราด

“โป๊ก!” “โอ้ย!”

“ก้มมาหาหอกอะไร” เสียงเหวขึ้น เมื่อรู้ว่าหน้าผากที่ชนกันนั้นคือหน้าผากผม เสียดายน่าจะได้สักจูบเหมือนในภาพยนตร์

“จุ้น ทำไมไม่ไปนอนดีดีที่บ้าน”  ผมพูเสียงเข้ม มานอนที่นี่ได้ยังไง คนเยอะแยะ เกิดมาถูกใจเขา ผมก็แย่สิ ยังไม่ได้ทำคะแนนเลย

“หะ เรียกว่าอะไรนะ”

“จุ้น” ผมคิดว่า จุ้นจ้าน น่าจะเหมาะกับเขามากกว่า ผมชอบหน้าหงุดหงิดหงุ่นง่าน ของเขามากกว่าหน้าเศร้าๆในอินสตราแกรม

“ชื่อ จุน ห่างกัน สามปี เป็นพี่” ลูกแมวกำลังขู่ฟ่อ ไม่สบอารมณ์

“คิดอย่างนั้นหรอ”

“เออ”

“แล้วจะไปไหน” เขารีบม้วนเสื่อ ท่าทางเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

“ยุ่ง”

“ห้ามไปไหน วันนี้วันเสาร์ เตี่ยกับคุณแม่จะกลับมา” ผมพูดดักไว้ก่อน เขาต้องมีแผนจะไปไหนแน่ๆ เหมือนเขาจะหลบหน้าผมกลายๆ

“รู้แล้ว” เสียงฟึดฟัดตอบกลับมา

     เที่ยงนี้ ไม่ใช่สิ บ่ายโมงกว่าแล้ว พี่จันทราตั้งโต๊ะ เราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เตี่ยคุณแม่ลูกชายและลูกสะใภ้ คิดไปก็อดยิ้มไปไม่ได้ เขาทำผมอารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง การกลับบ้านมาดีอย่างนี้นี่เอง ผมหยอกล้อเขาบ้างสนทนากับคุณแม่บ้าง เมื่อกิจกรรมจบลง มองคนทำหน้าคว่ำอยู่ข้างๆ น่าฟัดชะมัด เหมือนลูกแมวโดนขัดใจเสียมากกว่า เพราะเขาต้องไปซื้ออุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ให้กับผม เราจะไปกันสองคน เรียกเดทดีไหมนะ ความจริงผมซื้อเองได้ แต่อยากให้เขาเลือกให้มากกว่า อยากมีโมเมนต์เลือกของด้วยกันเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามัน ขอบพระคุณครับคุณแม่

     ขับรถพาลูกแมวขี้หงุดหงิดมายังห้างสรรพสินค้า ลูกแมวขู่ฟ่อตลอดทาง เกือบโดนกัดเข้าให้เสียแล้ว วนหาที่จอดรถเสียนาน คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องปกติของวันหยุด เมื่อหาที่จอดได้แล้ว กำลังเข้าตัวห้าง เห็นเขาทำปากขมุบขมิบ ลูบแขนไปมา ท่าทีดูตลกชอบกล   

 “หนาว?” ผมถามอย่างสงสัยในท่าที เดินชิดเข้าไปใกล้ๆ

“ป่าว คนเยอะไม่ชอบ เดินออกห่างๆ หน่อย”

“คิดว่าต้องการความอบอุ่น” ผมพูดเสียงแซว

“โตแล้ว ไม่ใช่เด็กมีปัญหา ไม่ได้ขาดความอบอุ่น” เขาโวยวาย ท่าทางน่ารักเสียมากกว่า   

 “อ้าว จุน”

“สวัสดีครับพี่ปลื้ม”  ใครวะ ผมขมวดคิ้วสงสัย ชื่อปลื้ม ดูเท่ดี อาจจะเป็นเพราะชอปที่ใส่อยู่แต่เตี้ยไปหน่อยสูงกว่าจุ้นของผมไม่มาก ดวงตาดูใสๆ ยิ้มมีลักยิ้ม ก็น่ารักดี

“เราลืมหมวกไว้บนรถพี่ ไปเอาไหมครับ”

“เอ่อ... จุนมากับน้องอะครับพี่” สายตาที่มองแมวของผมนั้น เอาคำว่าน่ารักคืนมา ไอ้ลักยิ้มมหาประลัย

“จุ้นนนนนน หิวข้าวแล้วอ่า” ผมใช้เสียงอ้อนแสดงความเป็นเจ้านายของแมว

“นี่กูล น้องผม ส่วน นี่พี่ปลื้มพี่ที่ชมรมค่ายอาสาพัฒนา”

“ไม่ใช่น้อง แล้วก็ไม่อยากรู้จัก” ถ้าแยกเขี้ยวได้คงทำไปแล้ว 

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับจุน อย่าคิดมากนะครับ คิ้วเป็นปมแล้ว”

“จุ้น มานี่” ผมกระชากแมวออกจากไอ้ลักยิ้มเอามือลูบหน้าจุ้น คงสนิทกันมากขนาดถึงเนื้อถึงตัว หงุดหงิดชะมัด

“เดี๋ยวกูล หยุดก่อน เป็นบ้าอะไรหะ”

“พูดดีดีไม่เป็นรึไง” ผมพูดเสียงหงุดหงิด ก็มันน่าหงุดหงิดไหมละ แมวของผมถูกไอ้บ้าที่ไหนรู้มาแสดงความสนิทสนม แมวผมก็คุ้นเคยกับเจ้านั้นน้อยเสียเมื่อไหร่ รอยยิ้มแมว สายตาแมว ดูยังไงก็รู้ว่าปลื้มเขาชัดๆ   

“เอ่อ... หิวขนาดนั้นเลยหรอ”

“....” เกือบหลุดหัวเราะไปแล้วครับ แมวคิดว่าผมโมโหหิวสินะ เพิ่มอีกหนึ่ง situation กินข้าวนอกบ้าน  ก็ดีไม่น้อย


      พวกเราเดินหาโซนเสื้อผ้านักศึกษา อุปกรณ์จิปาถะ ส่วนใหญ่จุ้นเป็นคนเลือกผมเป็นเพียงหุ่น เหมือนแม่บ้านเลือกของให้สามีไปทำงาน มีข้อถกเถียงกันเล็กน้อย และผมก็ได้แง่มุมดีดีจากเขา เพราะเขาเชื่อว่า “เครื่องแบบ” เป็นสัญลักษณ์ภายนอกพื้นฐานในการจำแนกคนแต่ละประเภทเบื้องต้น ทั้งยังทำให้เรามีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ควรประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไร เป็นตัวช่วยในการระบุตัวตน สิ่งแรกที่คนภายนอกมองคือภาพลักษณ์ เช่น ตำรวจแต่งเครื่องแบบ เราจึงอนุมานได้ว่าบุคคลนี้สามารถช่วยเราได้แน่นอนเมื่อเราเกิดปัญหา ผมจึงหยิบเสื้อนักศึกษา แขนยาว แขนสั้น กางเกงอย่างละห้าตัว ห้าวันพอดี โดนเทศนาไปยกหนึ่ง เป็นแม่บ้านที่ขี้บ่นชะมัด ผมยิ้ม ตอบ แม่ค้า ที่สายตาแวววาว มองทางผมทีมองทางเขาที อยากตอบเป็นคำพูดเหลือเกินว่า คิดถูกแล้วครับ คนนี้ภรรยาผม

 “เปิดเทอมค่อยไปซื้ออุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่สหกรณ์มหาวิทยาลัยแล้วกัน”

“ขอบใจ”

    หลังจากที่เราตระเวนสำรวจเส้นทางอยู่เสียดึกดื่น คนข้างกายสัปหงกชนคอนโซลรถไปแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่ยอมนอนลงไปเสียที เขาตีกับความคิดอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวส่ายหน้าบ้างทำท่าทางแปลกๆบ้าง น่าขำเป็นบ้า เจ้าแมวเด๋อเอ้ย จนกระทั่งรถติดไฟแดง ผมจึงค่อยๆปรับเบาะลงให้เขาได้นอนลงอย่างสบาย

 “ง่วงหรอ นอนดีดี”

“อืมมมมมม”

     ผมขับรถเทียบฟุตบาทบริเวณหน้าบ้าน ลูกแมวตัวน้อยเวลานอนแล้วน่าเอ็นดูเสียจนผมห้ามใจไหว เขาจะรู้ตัวบ้างไหมว่าตัวเองเป็นแม่เหล็ก ดึงดูดได้ทุกทีเมื่ออยู่ใกล้ๆ

“Kiss me” ผมบอกแล้วว่าเขาคือแม่เหล็กเพราะหลักจากที่ผมยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆเขา เขาใช้ปากยกขึ้นมาดูดปากผมให้จมลงไปกับปากของเขา ผมจึงค่อยๆดูดลิ้มชิมรสริมฝีปากสีคาราเมลอ่อน ให้รสชาติหวานหอม น่าหลงไหล ละเลียดชิมอยู่นาน จนเขาหายใจไม่ทัน  ครั้งแรกที่จูบหรอกหรือนี่ ไม่ประสาเช่นนี้ ผมถอนจูบออกมา ลูบหน้าเจ้าแมวอย่างทะนุถนอม สางแนวผมสีดำปนน้ำตาล มันนุ่มนิ่มอย่างกับขนแมวเสียจริง เจ้าแมวคงชอบให้ลูบแบบนี้ ผมสังเกตได้จากรอยยิ้มพริ้มเพราอย่างมีความสุขจนล้นออกมา

    เมื่อคืนผมยังมีความสุขดีแท้ๆ หลังจากกลับจากวิ่งในตอนเช้า เมื่อถึงบ้าน ผมได้ถามหาจุ้นจากพี่จันทรา ได้ความว่า เขาไม่อยู่ออกไปข้างนอก วันอาทิตย์นี่นะ ควรอยู่บ้านกับครอบครัว ไม่ควรออกไปไหน อารมณ์ขุ่นมัวอยู่แบบนั้นทั้งวัน อินสตราแกรมก็ไร้ความเคลื่อนไหว ไปไหนของเขานะ ผมรอเขาจนถึงค่ำ มืดแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แวว ผมเดินไปเดินมาริมรั้วหลายรอบ พี่จันทราออกมาถามว่าผมทำอะไรมืดๆ ผมตอบกลับไปว่า ฝึกความอดทน ต้องอดทนสิ รอนานขนาดนี้ต้องใช้ความอดทนเยอะมาก ยุงจะหามผมได้อยู่แล้วนี่ และสิ่งที่ผมรอก็มาถึง สามทุ่ม กับไอ้ลักยิ้มนั่นอีกแล้ว คงไปไหนมาไหนกันทั้งวัน สติเริ่มขาด ปล่อยให้ความโกรธเข้าครองงำ   

 “มาส่งกันดึกๆกี่ครั้งแล้ว ดึกขนาดนี้ไม่ค้างคืนเลยละ”

“เป็นบ้าหรอ สามทุ่มนี่นะ”

“วันก่อนเที่ยงคืน”

“โอ้ย รำคาญ เป็นเตี่ยหรอ”

“ทำตัวแย่ ขนาดนี้ เตี่ยรู้บ้างไหมนะ”

“เป็นอะไร เหงาหรอ หาเรื่องคนอื่นอยู่ได้”

“ไปหาคุณแม่ก่อน แม่มีเรื่องจะคุยด้วย”

     ผมต้องควบคุมสติอยู่นาน แต่ผมสำรองแผนไว้แล้วละครับ ปิดหนทาง ไม่ให้เหตุการณ์เกิดซ้ำ แผนผมมีความรัดกุมและคิดทบทวนรอบคอบดีแล้ว ด้วยการยืมมือคุณแม่  ใครจะหาว่าผมร้ายกาจอย่างไร ก็ช่างเขา เจตจำนงของผมมีเขาคนเดียว
 
 “มานี่หน่อยสิ จุน”

“ครับ” เขานั่งลงโชฟาหันหน้าเข้าหาคุณแม่ ผมยืนมองหน้าใสๆของเขา

“จุน รู้ใช่ไหมว่าน้องเพิ่งกลับมา น้องยังไม่เคยชินกับเมืองไทยเท่าไหร่ เพื่อนก็ยังไม่ค่อยมี ช่วงนี้ แม่จึงอยากให้จุนอยู่เป็นเพื่อนน้องไปก่อนได้ไหม” ผมยิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ

“ได้.... ครับ”

“แม่หมายถึงตลอดเวลา ได้ไหม” ขอบคุณครับแม่เหมือนที่เราคุยกันไว้เลยครับ

“ครับ”

“ได้ยินแล้วใช่ไหม ทำตามที่พูดด้วยละ”  ผมเข้าไปดักหน้าเขาระหว่างกลับห้องนอน ย้ำเตือนเจ้าแมวอีกครั้งเขาจะได้จำได้อย่างแม่นยำ ฝันดีนะเจ้าแมวของผม



Guide Line Thanks.
ปล. เอาความ crazy แมวจุ้น ของกูลมาฝาก พระเอกเราน่ารัก ใช่ไหม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2018 12:31:26 โดย liner »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ไอ้เด็กเอาแต่ใจ

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
อ่านในมุมของกูล แล้วน่ารักจัง ^^

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ไม่อยากให้จุ้นยอมให้คนอื่นจูบง่ายๆ แบบนี้เลย จุ้นควรต่อยเมื่อได้สตินะจุ้นของพี่.. :serius2: :serius2: :z6: :z6:

ออฟไลน์ ppnplg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
นี่มันโครตเด็กเอาแต่ใจเลยอะ5555555555 ทำอะไรไม่ได้เนี่ย
ต้องบอกแม่ ต้องอ้างแม่ ใช้แม่เป็นข้ออ้างตลอดดดดก
โถวเด็กน้อย

ออฟไลน์ liner

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-4
ตอนที่ สิบห้า
เพราะเหมือนกันจึงรู้ว่าจริง


     เคยรู้มาว่าการหลั่งของ*น้ำตาถูกควบคุมโดยต่อมน้ำตา รองรับภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของร่างกาย ช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา ป้องกันอันตรายจากสิ่งสกปรกเข้าดวงตา แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่า แท้จริงแล้วน้ำตาควบคุมด้วยความรู้สึก รองรับภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของจิตใจด้วยเช่นกัน และไม่เคยรู้เลยว่าการหลั่งของน้ำตานั้นต้องหลั่งให้กับความรู้สึกลักษณะรูปแบบไหน จะหลั่งปริมาณเท่าไหร่ ความรู้สึกสับสนมันหลั่งน้ำตาได้ไหม ความไม่ชัดเจนของความรู้สึกควรหลั่งน้ำตาหรือไม่
 
     ผมเดินออกมาจากสถานบันเทิงแห่งนั้น เพียงลำพัง ไม่มีใครตามผมมา และผมไม่ได้ตามใครไป ขอใช้เวลาขอความคิด ขอใช้หัวใจ พิจารณาเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามา สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันคืออะไรกัน ผมเตะฝุ่น มันก็ฟุ้งเข้าตาเข้าจมูก เตะหินก้อนใหญ่ ก็เจ็บชาไปทั้งเท้า แต่ก็ยังไกลหัวใจ ความเจ็บแปลบทำให้ใจนั้นชาไม่หาย ผมไม่ได้ชอบบีม แต่ผมก็หาความหมายความรู้สึกระหว่างผมกับกูลไม่ได้ ผมกลัว กลัวเหลือเกินว่ามันจะพัฒนาไปในรูปแบบนั้น ซึ่งความเป็นได้ควรเป็นศูนย์ เราเป็นพี่น้องกัน กูล คือความหวัง คือความภาคภูมิใจของครอบครัว ส่วนผมก็แค่อยากให้ครอบครัวภาคภูมิใจ จุดหมายท้ายสุดของเราบรรจบลงที่เดียวกัน ดังนั้นผมจะไม่เป็นเช่นอุปสรรค ที่แล้วมาระบบป้องกันน้อยเกินไป ผมจะสร้างแนวป้องกันขึ้นมาใหม่เสริมแนวป้องกันเดิม เพื่อผลประโยชน์แก่ทุกคน และเพื่อตัวเอง

    เดินเอามือซุกโค้ทไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน น่าขำสิ้นดี แม้แต่ในความจริงยังหาความชัดเจนไม่ได้ สายลมโบกพัดในยามค่ำคืน เย็นยวบไปในความรู้สึก จนต้องเอามือลูบถูกันไปมาให้พอบรรเทา อากาศหนาวท่ามกลางหมู่ดาวพราวระยับ ความมืดมิดสรรสร้างความเหงาได้ดีเหลือเกิน ไฟฟ้ารายทางสีส้มแสดตัดกับสีดำมิดกับท้องฟ้า หันไปมองเห็นเงาตะคุ่มตรงถังขยะใกล้เสาไฟฟ้า ผมไม่ได้สนใจสถานการณ์นั้นแค่เพียงหันมอง ให้พออุ่นใจอยู่บ้างว่าเงาตะคุ่มนั้นคงเป็นคน แต่ความอุ่นใจไม่ได้อยู่กับเรานาน รถยนต์ยี่ห้องดังสีดำมันแววขับผ่านไปจอดด้านหน้า มีผู้ชายสูงใหญ่ในชุดหนังทั้งตัวสวมแว่นกันแดดสีดำ ปรี่ตรงมาทางผม สัญชาตญาณบอกผมตอนนั้นว่า พวกเขาคือคนไม่ดี ผมก้าวเท้าถอยหลัง ดูท่าที แน่ใจแล้วว่าเขาตั้งใจมาทำอันตราย จึงหมุนตัวหันหลังวิ่งกลับไปทางเดิมที่จากมา เสียงฝีเท้าวิ่งไล่ตามจนทัน เขาผลักผมลงพงหญ้าข้างทาง ผมกลิ้งหลุนๆ ตามแรงผลัก เขาเข้ามาถึงตัว ผมตะโกนร้องขอความช่วยเหลือเผื่อใครผ่านมาได้ยิน เขารีบเอามืออุดปากไว้ พูดคำแสนแปลกจนต้องหยุดฟัง

“ไปกับผมดีดีเถอะครับคุณ”



“จุ้น!!”

     เสียงปืนดังกัมปนาท แต่ผมกลับได้เย็นเสียงกูลชัดเจน เขาเรียกชื่อผม สายตาเขาดีใจที่เจอผม แต่แล้วร่าง ร่างนั้นทิ้งตัวลงบนขอบถนน ต่อหน้าต่อตา ชายชุดดำรีบเข้าไปคว้าปืนจากชายอีกคนที่ลั่นไก แล้วจึงพากันหนีออกไป ผมมองร่างกูลที่ล้มลง เลือดอาบนองบนพื้นถนนเต็มไปหมด ตะโกนไปร้องไห้ไปจนเสียงแห้ง แต่ไม่มีใครได้ยิน เหมือนหัวใจมันจะขาดอยู่ตรงนั้น มือไม้สั่นไปหมด ไม่เคยเห็นเลือดมากมายขนาดนี้มาก่อน พยายามแบกเจ้าเด็กยักษ์ให้ลุกขึ้น แต่เรี่ยวแรงกลับไม่มี ผมอ่อนแอเกินไป พร่ำขอโทษที่ผมเป็นสาเหตุ ไม่นานมีพลเมืองดีมาช่วยพวกเรา เขาช่วยพยุงกูลขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาล

    ผมก้มหน้าร้องไห้หน้าห้องฉุกเฉิน พยาบาลเวรพยายามเข้ามาซักประวัติ ผมไม่สามารถให้คำตอบเขาได้เลย ผมเหม่อลอย เหม่อจนสติดับวูบ จนได้กลิ่นแอมโมเนีย จึงฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง พยาบาลบอกว่าติดต่อญาติได้แล้ว ผมถามหากูลจากพยาบาล ขอลุกออกไปห้องฉุกเฉินอีกครั้งได้ไหม เมื่อเขาอนุญาต ผมจึงค่อยๆลุก เดินไปรอหน้าห้องฉุกเฉินตามเดิม ผมทั้งภาวนา ทั้งขอพรหวังว่ากูลจะไม่เป็นอะไร แอบมองผ่านช่องเล็กๆนั้น อยู่หลายครั้ง เดินวนอยู่อย่างนั้น ช่วยอะไรไม่ได้เลย



“เพี๊ยะ” คุณแม่ตบผม จนหน้าหันไปตามแรงมือ เขาร้องไห้ไม่มีแม้เสียง แววตาตัดพ้อ ผิดหวัง 

“แกเอาน้องไปที่แบบนั้นได้ยังไง” คุณแม่หมายจะทุบตีผมอีกครั้ง เตี่ยเข้ามาห้ามไว้ได้เสียก่อน นี่คงเป็นอีกสาเหตุที่ผมต้องเสียใจ ผมทำความภาคภูมิใจคุณแม่จบลง ครั้งนี้ก็สมควรแล้ว ผมทำอย่างท่านว่าจริงๆ มันก็เป็นเพราะผมโง่เขลา ไปสถานที่อโคจรแห่งนั้น เอาตัวเองไปอยู่ในที่เสี่ยงๆแบบนั้น ด้วยรนหาที่ของผมเองทั้งหมด

    และเป็นอีกครั้งที่ความน้อยเนื้อต่ำใจเข้ามาแทรก คุณแม่ไม่เคยลงไม้ลงมือกับผมเลยสักครั้ง หรือเพราะครั้งนี้เป็นลูกชายคนโปรด ไม่สิ เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ที่ได้รับอันตราย คุณแม่ถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ คุณแม่มีท่าทีจะพูดจะต่อว่าผมอีกครั้งด้วยอารมณ์โทสะ แต่เตี่ยได้ห้ามคุณแม่ไว้เสียก่อน ทำให้ท่านหงุดหงิดที่โดนขัดขวาง ผมจึงก้าวเดินออกมาจากสถานการณ์ตรงหน้า ไม่ให้เขาเห็นหน้าดีกว่า พาลอารมณ์ไม่ดีเสียเปล่าๆ อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจเบื้องต้นของพวกเขา   


“บรรลุนิติภาวะแล้ว ทำไมไม่ให้ฉันพูดกับเขา”

“มันยังไม่ถึงเวลา”

“ต้องให้กูลตายก่อนอย่างนั้นหรือ”

     คล้ายผมได้ยินเสียงบทสนทนาระหว่างเตี่ยกับคุณแม่ดังขึ้นในห้องพักฟื้น กูลปลอดภัยแล้วครับกระสุนไม่ได้โดนจุดสำคัญอะไร กระสุนทะลุช่วงหลังระหว่างซี่โครงพอดิบพอดี แต่กระสุนฝังตัวในช่องท้อง ทำให้ลำไส้เสียหายบางส่วน หมอผ่ากระสุนออกและเย็บปิดบาดแผลเรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้ให้ทานอาหารอ่อนไปก่อน ผมจดจำได้เกือบทุกรายละเอียดที่คุณหมอแจ้งไว้ ผมจะชดเชยสิ่งที่ได้ทำลงไป


Knock knock


“ขอเข้าไปนะครับ” ผมเคาะประตูเข้าไป แม้จะขัดบทสนทนาซึ่งไม่รู้ว่าเกี่ยวกับตัวผมหรือไม่เพราะผมบรรลุนิติภาวะได้ไม่นาน อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ ก็เป็นได้ เมื่อผมเข้าไปบทสนทนาก็ตัดจบ คุณแม่ยังโกรธผมอยู่เพราะท่านเดินไปนั่งลงบนโชฟา แหงนหน้าไปทางอื่น แม้หน้าผมท่านก็คงไม่อยากมอง การทำเช่นนั้นทำให้ใจกระตุกไม่น้อย น้ำตาแทบจะไหลออกมา เป็นเตี่ยที่เดิน เข้ามาคว้าไหล่ผมแล้วบีบเบาๆ ทำให้จิตใจได้รับความอบอุ่นขึ้นมาบ้าง เราสองคนยืนมองคนเจ็บที่ยังไม่ฟื้นจากการหลับไปนานจวนจะครบวัน ไม่นาน คุณแม่ลุกเดินออกไปท่านไม่ได้พูดอะไรทิ้งท้าย ไม่มีแม้ปรายตามามองกลับมา เตี่ยไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่เดินตามออกไป เขาทราบดีว่าผมอาสาจะเป็นคนเฝ้าไข้กูล จนกว่าเขาจะหายดีออกจากโรงพยาบาล มันเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า

“นะ...น้ำ” ผมรีบหยิบแก้วรินน้ำเปล่า ปักหลอดลงไป ส่งป้อนให้กับเขา

“แค่จิบก่อนนะ คุณหลับไปนาน” เป็นคุณหมอที่บอกให้ผมทำเช่นนั้น ยื่นน้ำให้กูลจิบแล้วผมจึงเรียกพยาบาล เข้ามาดูอาการ พยาบาลเข้ามา จับชีพจร ตรวจนั้น ดูนี่ ตามกระบวนการ จดบันทึก ปรับน้ำเกลือแล้วจึงค่อยออกไป ให้คนไข้ได้พักผ่อนเพราะนี่ก็เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว

“คิดถึงจัง”

“อะไรนะครับ” ผมเลือกใช้สรรพนามแบบนี้เป็นการดีกว่า มันคือสิ่งที่ถูกต้องมาตั้งแต่แรก

“อยากลืมตาขึ้นมาชะมัด แต่เตี่ยกับคุณแม่ไม่ออกไปเสียที อยากเจอหน้าจุ้นเป็นคนแรก” บางที่นี่คือสิ่งที่ชัดเจนของกูล ผมไม่อาจรับมันได้เพราะยังไงเราก็คือพี่น้องกันในทางนิตินัย เขาคือทุกสิ่งของครอบครัว

“ถ้าจะเข้าห้องน้ำก็บอกนะครับ เรียกได้ตลอดเวลา” ผมเลือกที่จะเปลี่ยนบทสนทนาดีกว่า

“จุ้นนนนนน” กูลคว้าท่อนแขนผมไปลูบๆคลำๆ จับมือซ้ำๆอยู่อย่างนั้น พยายามชักมือกลับแล้วแต่ไม่สามารถทำแรงได้ ประเดี๋ยวสายน้ำเกลือจะหลุด ได้แต่ส่ายหน้า เพราะความป่วยทำให้เขาค่อนข้างเป็นเด็กขี้อ้อน เอาแต่ใจ

“ปล่อยมือก่อนครับ ผมเมื่อย”
หลังจากเขาจับมืออยู่อย่างนั้นได้สักพัก จึงขอถอนมือออก ให้ระบบป้องกันท่ผมสร้างขึ้นได้ทำงานบ้าง

“ทำไมเย็นชา ผมทำอะไรผิดเหรอ” ไม่ผิด กูล ไม่เคยทำอะไรผิดเลย มีแต่ผมทั้งนั้นที่ผิด ผิดตั้งแต่รู้ตัวเองว่ามียังลมหายใจ บางทีผมเองน่าจะเป็นคนที่ถูกยิงตายอยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ ไม่น่า ร้องตะโกนให้คนช่วย เพราะกูลได้ยินเสียงผมใช่ไหม ถึงได้เกิดเรื่องราวแบบนี้ ผมรีบหันไปปาดน้ำตา ก่อนมันจะหยดลง แสดงความโง่เขลาให้เขาได้เห็น

“ผมขอโทษนะ ที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดเป็นแบบนี้ คุณไม่น่าไปส่งผมที่นั่น คุณไม่น่ารอผม คุณไม่น่าเข้ามาช่วยผมเลยด้วยซ้ำ”

“จุ้น!! ทำไมเป็นแบบนี้วะ หรือ ผมไม่ควรฟื้นขึ้นมา”
เขาคว้าตัวผมเข้าไปกอด เสียงเขาอู้อี้ อยู่กับอกของผม น้ำตาดันไหลเป็นทาง หัวใจเจ้ากรรมอ่อนยวบเมื่อได้ยินประโยคตัดพ้อนั้น กับสัมผัสกอดรัดเอวไว้แนบแน่น

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

“แล้วมันอย่างไหนวะ” น้ำเสียงของเขายังคงเศร้าไม่เปลี่ยนจากเมื่อครู่

“.....” ผมไม่สามารถอธิบายคำตอบเหล่านั้นให้เขาฟังได้ มันกระทบกระเทือนไปเสียทุกเรื่องคนโง่อย่างผมคงเอามายำรวมปนเปเทผสมกันจนมั่ว ต่อให้กลั่นกลายเป็นเหตุผลยังไงมันก็ฟังไม่ขึ้น

“ที่ผมทำทั้งหมดก็เพราะ ผมรักจุ้น”

“ดีแล้วละ พี่น้องกันก็ต้องรักกันไว้”

"โธ่เว้ย !!" เขาโวยวายจนสายน้ำเกลือหลุด เลือดแดงไหลหยดลงบนชุดโรงพยาบาล ผมตกใจ หมายจะคว้ามืดให้ยกขึ้นสูงกันเลือดไหล แต่เขากลับทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิด ในขณะที่สติเรายังอยู่ครบสมบูรณ์ดี

“อื้อ..........”


     ใจกระตุกวูบโหวงไปครู่ใหญ่ เขาคว้าคอผมก้มต่ำลงไปจนได้องศา บดจูบอย่างเอาแต่ใจ ทั้งสายตา ทั้งการกระทำ มันแฝงได้ด้วยความเสน่หา เขารักผมจริงๆอย่างนั้นหรือ การกระทำที่ผ่านมาทั้งหมดมันเกิดจากเขาสนใจผมใช่ไหม มันเกิดเรื่องผิดแผกเช่นนี้ได้อย่างไร ผมไม่รู้เลย เสียงดูดริมฝีปากอย่างหยาบโลน ย้ำเตือนความจริงทุกขณะว่ามันเป็นความรัก และความรู้สึกของผมตอนนี้ก็หาคำตอบให้กับความรู้สึกเหล่านั้นได้แล้วเช่นกัน มันตรงกันอย่างน่าประหลาด เพราะเรารู้สึกเหมือนกันจึงรับรู้ว่ามันคือความจริง เราต่างก็ชอบกัน





“น้องจุน”

"พี่จัน”   



Guide Line Thanks.
ปล. อาจจะน้อยหน่อย แต่จะอัพบ่อยๆชดเชย
ปล. เอาผลงานวิจัยที่อ่านแล้วชอบมาฝาก

นักชีวเคมีแห่งศูนย์วิจัยน้ำตา ชื่อ วิลเลี่ยม เฟรย์ ได้ให้ความสนใจและทำการศึกษาวิจัย เรื่องของน้ำตา มาเป็นเวลานานกว่า 15 ปี ได้เขียนผลการวิจัยไว้น่าสนใจคือ

            การหลั่งน้ำตาของคนเรานั้นถูกควบคุมโดยต่อมน้ำตา ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดความเข้มของน้ำตาและควบคุมปริมาณการขับถ่ายธาตุแมงกานีส รวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นขณะที่อารมณ์เปลี่ยนแปลงออกไปจากร่างกาย และพบว่า ปริมาณของแร่ธาตุต่างๆ ที่มีในน้ำตานั้น มากกว่าที่มีในกระแสเลือดถึง 30 เท่า และได้อธิบายว่า การที่ผู้ร้องไห้จะสบายขึ้น เป็นเพราะว่าร่างกายได้ขจัดเอาสารเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่มีความทุกข์ออกไปจากร่างกายพร้อมน้ำตานั่นเอง ในการศึกษาของเฟรย์พบว่าผู้ชาย 73% และผู้หญิง 75% ที่กล่าวว่ารู้สึกสบายขึ้นหลังการร้องไห้


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้อออ

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
พี่จันทร์​เข้ามาเจอเต็มตาเลย​ น้องจุ้นโดนใครตามรึป่าวคะ​ คุณแม่​จะบอกไรกะน้องอ่ะ

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
 :laugh: ขุ่นแม่ทำไมใจร้ายกับจุ้นแบบเน้คะ !!!

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
หรือคนที่มาตามจุนจะเป็นคำสั่งจากครอบครัวจริงๆของจุนกันอะ เพราะที่พ่อแม่กูลเถียงกันมันเหมือนมีเค้าว่าพ่อแม่กูลต้องรู้อะไรแน่ๆ

ออฟไลน์ จุ๊บจิ๊บจ๊ะจ๋า

  • I LOVE MY SMILE
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1892
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-4
 :hao5:สงสารจุ้น ทำไมแม่ทำแบบนี้ๆๆๆ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น้องจุ้นเป็นลูกมาเฟียหรอลูกกกก
พี่จันล่ะ เป็นคนของบ้านเดิมมาคอยดูแลลับ ๆ งี้หรอ งื้ออออ งง

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ใครจะทำร้ายจุ้นอ่ะ

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
คุณแม่อย่าว่าจุนเลยน๊าาาาา
ตอนนี้ดราม่าจริงๆ พี่จันคงไม่เติมดราม่าอะไรอีกนะ
กระซิกๆ

ออฟไลน์ liner

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-4
ตอนที่ สิบหก
ความรู้สึกกับประสบการณ์


“น้องจุน”


“พี่จัน”


     เวลาเกือบสี่ทุ่ม พี่จันทราเอาข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้ามาให้ผลัด มีขนม นม เนย สิ่งที่ผมชอบ หอบหิ้วเอามาฝาก พี่จันทรากลัวว่าคนเฝ้าจะไม่สบายเอาเสียก่อน ความหวังดีนี้กลับตอกย้ำคำเตือนคำสอนที่สอนผมอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่ระยะหลังที่กูลกลับมา เธอคอยเฝ้าคอยห่วงเป็นพิเศษ เธอคอยเอานมอุ่นๆมาให้ดื่ม ห่มผ้า ปิดประตูลงกลอนให้อย่างดี เป็นเพราะเธอกลัว กลัวว่าเรื่องราวจะลงเอยแบบนี้ แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่เขาคาดการณ์ไว้ พวกเรากำลังทำสิ่งต้องห้าม 

“มีอะไรจะอธิบายพี่หรือไม่คะ หรือ พี่ไม่สมควรได้รับคำอธิบายใดใด” น้ำตาเอ่อไหลไม่ขาดสาย แววตาผิดหวังของคนที่เลี้ยงผมมา คนที่คอยอยู่ข้างๆผมอย่างแท้จริง ผมทำให้เธอร้องไห้ ผมทำให้เธอเสียใจ ผมทำให้เธอผิดหวัง และผมทำอะไรอีกหลายอย่างที่ผิดพลาด มันเกินจะให้อภัย

“ผม คือ ผมขอโทษ” พนมมือก้มกราบแนบอก ได้แต่สะอึกสะอื้น ตัวสั่นเทิ้ม มือบางๆของเธอคอยลูบหัวปลอบประโลมอย่างทุกที
 
“พี่ควรจะทำอย่างไรต่อไปดี บอกพี่หน่อยได้ไหมน้องจุน” พี่จันทราเอ่ยถามเสียงเรียบ มือยังคงสาละวนลูบหลังไปมา 

“ผมควรจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมใช่ไหม” สิ่งที่ผมคิด เห็นจะมีแต่ทางนี้ทางเดียว มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย ตัดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ มันยังไม่เจ็บมาก เพราะถ้ายังฝืนทนกันต่อไป คุณแม่ เตี่ย หรือ สังคมรอบข้าง มันจะบังคับให้เราทั้งคู่จบลงแบบนี้อยู่ดี

“ไม่ได้ครับ ผมไม่ยอม” เสียงเขาพูดดังขึ้น กูลผุดลุก ทั้งที่ยังเจ็บ เขาพยายามลงจากเตียง ผมต้องรีบเข้าไปพยุงแต่เขากลับทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด กูลก้มลง นั่งคุกเข่าต่อหน้าพี่จันทรา

“คุณกูล”

“ผมขอโอกาส สำหรับเราสองคนได้ไหมครับ” เสียงเขาจริงจัง สายตาเว้าวอนขอโอกาส เขาเริ่มพนมมือขึ้น ยอมทิ้งความทะนงในศักดิ์ศรีที่มีอยู่ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ของเรา แม้มันเพิ่งจะเริ่มต้น ทำไมถึงกล้าทำแบบนี้  เขากำลังจะก้มลงกราบ แต่พี่จันทรารับมือคู่นั้นไว้เสียก่อน เลือดที่มือเขาเริ่มแห้งกรัง แต่เลือดที่แผลบริเวณแผ่นหลังซึมออกมาเป็นดวงใหญ่ติดชายเสื้อของโรงพยาบาล

“ขึ้นบนเตียงก่อนนะคะคุณ เดี๋ยวพี่เรียกพยาบาลมาให้”


     หลังจากพยาบาลเข้ามาทำแผล เจาะสายน้ำเกลือเรียบร้อยแล้ว พยาบาลได้ออกไปแล้วสักพัก แต่บรรยากาศยังคงอึมครึม เราสามคนนั่งจ้องกันเงียบไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรสิ่งใดขึ้นมาทำลายบรรยากาศขมุกขมัวนี้


“ตอนนั้นผมสิบห้า ในวันเกิดของผม ผมได้รู้จักคน คนๆหนึ่งผ่านทางรูปภาพ ผ่านทางข้อความบรรยายความรู้สึก เพียงแค่นั้นผมก็รู้ว่าคนนี้ทำไมช่างเหงาเหลือเกิน ตอนแรกเพียงคิดว่ามันคือการหลงใหล คลั่งใคร่ ในงานศิลปะอย่างทั่วไป แต่มันไม่ใช่ ผมกลับหลงเสน่ห์เขาอย่างต้องมนต์สะกด หลงเสน่ห์ดวงตาที่ไม่ว่ารูปจะถ่ายออกมาต่างสถานที่ ต่างสถานการณ์อย่างไร แววตากลับสะท้อนความรู้สึกในแบบเดิมๆ รู้ตัวอีกทีก็ละสายตาจากคนนี้ไม่ได้แล้ว เป็นเวลายาวนานถึงสองปี ความรู้สึกที่ผมบ่มเพาะ จนมากขึ้นเข้าไปทุกที ผมหวง ผมห่วง ผมอยากดูแลเขาคนนี้ จุ้น คือจุดรวมความรู้สึกของผม เขาคือขุมพลังคือแรงบันดาลใจคือสิ่งที่จะทำให้ผมก้าวเดินต่อไป”

     นิทานของกูลเรื่องนี้ มันตลกดี ใครจะรักคนในรูปภาพ คนที่อยู่ในคำบรรยายได้มากขนาดนั้น  ไม่ใช่พระอภัยมณี ที่ หลงรักนางละเวง เพียงเพราะเห็นรูปภาพแล้วเกิดความปรารถนา มันเป็นเพียงจินตนาการที่คนเขียนขึ้น เขาแต่งขึ้น และกูลอาจจะเขียนเรื่องราวพวกนี้ขึ้นมาก็ได้ ถ้าไม่ใช่ตลอดการพูด เขามองมาที่ผม สายตาที่จริงใจกำลังเล่า กำลังบอกให้ผมฟัง สายตาเขาบอกว่า ไม่มีใครเชื่อไม่เป็นไร ขอแค่ผมเชื่อ ให้ผมเชื่อความรู้สึกของเขา แค่นั้นก็พอ

 
“แล้วคิดว่าผลกระทบที่เกิดตามมาทีหลัง พวกคุณจะมีพลังพอที่จะต่อสู้กับผลกระทบนั้นรึป่าว”

“ขอสารภาพตามตรงว่าผมก็กังวล แต่เมื่อเทียบกับระยะเวลาที่ผมอดทนมาตลอดสองปี ผมจะไม่ทิ้งมัน เพราะอุปสรรคข้างหน้าไม่ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่ ความเชื่อผม บอกผมว่า จะข้ามผ่านมันไปได้” อีกครั้งที่ความจริงใจของกูลสื่อสารออกมา ผมรับรู้ได้จากน้ำเสียง สำเนียงที่หนักแน่นจริงจัง ไม่เหมือนเด็กที่เอาแต่ใจอย่างที่แล้วมาเลยสักนิด แต่....ผมไม่สามารถรับมันไว้ได้จริงๆ
 
    เพราะผมนั้นไม่มีความมั่นใจเลย ว่าจะสามารถสู้กับสถานการณ์ข้างหน้าที่จะเกิดขึ้นได้ดีพอ ที่เป็นอยู่ตอนนี้เหมือนหลักปักเลน ผมไม่มีกำลัง หรือแรงพอที่จะต่อสู้ ผมเป็นคนขี้ขลาด ผมเป็นคนขี้กลัว ผมเป็นคนไม่ชอบอยู่กับความวุ่นวาย และถ้าอนาคตข้างหน้ามันจะเกิดอะไรขึ้น ผมคงรับมันไม่ไหวจริงๆ สิ่งที่ผมทำได้คือการหลีกหนีความจริง นี่คือวิธีการของคนขี้ขลาดแต่มันปลอดภัยสำหรับทุกคน       
   
“แต่ผมขอยอมแพ้ ผมไม่เห็นหนทางที่จะสู้ได้เลย ทั้งครอบครัวของเรา ทั้งสังคมรอบข้าง ทั้งอนาคตข้างหน้าที่เราจะต้องเติบโตขึ้น เราสองคนยังอ่อนต่อประสบการณ์ในทุกๆด้าน กับผมที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะ หรือ กูลที่ยังไม่แม้แต่บรรลุนิติภาวะ เราไม่สามารถเดาเส้นทางในอนาคตได้เลยว่ามันจะดี ความเชื่ออย่างเดียวมันไม่พอหรอก พวกเราหยุดกันแค่นี้เถอะกูล”

“ไม่!! ผมออกเดินมานาน เห็นเพียงหลังคุณไกลลิบๆเป็นเป้าหมายแรก จนวันหนึ่งผมตามทัน ผมพยายามทุกอย่างทุกวิถีทาง เพื่อให้คุณหันมามอง แล้วคุณก็มองมาที่ผม ผมรับรู้ได้ว่าไม่ได้รู้สึกไปคนเดียวอีกแล้ว เราเดินมาอยู่ในจุดเริ่มต้นแล้วด้วยซ้ำ แต่ไม่ทันไรคุณจะสะบัดมือผมออกแล้วสละสิทธิ์อย่างนั้นเหรอ จุ้น มองตาผมแล้วตอบหน่อยได้ไหม ว่าคุณไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้สึกกับผมเลยสักนิด” เสียงกูลหนักแน่นในช่วงแรกแล้วค่อยๆลดลงอย่างไม่มั่นใจในคำถามที่ส่งมา

     สับสน คือ อาการที่แก้ไม่หายไปสักที ความพยายามของเขาที่บอกเล่ามา รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก แต่ก็มีปัจจัยอีกมากมายที่แทรกเข้ามาในความคิดเหมือนกัน ผมตัดสินใจไม่ได้ เลือกไม่ได้จริงๆว่าควรไปทางไหน ควรทำอย่างไร เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์มันสำคัญใน แต่ถ้าผมไม่คิดที่จะเรียนรู้ ผมก็คงจะไม่มีประสบการณ์


“คุณควรบอกเรื่องนี้กับคุณท่าน” พี่จันทราพูดขึ้น เธอพูดกับกูล

“พี่จัน ไม่ได้นะครับ ไม่ได้” ผมส่ายหน้าปฏิเสธทั้งน้ำตา เข้าไปกุมมือพี่จันทราเพื่อขอร้อง เขย่าเบาๆเพื่อให้เธอรับรู้ว่าผมทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้

“ครับ หลังจากออกจากโรงพยาบาล หรือ โทรไปบอกตอนนี้ก็ได้นะครับ”

“กูล” ผมครางเสียงเบา ทำไมเด็กยักษ์มันบ้าขนาดนี้ ผมเดินเข้าไปหาเขา จะขอให้เขาล้มเลิกความตั้งใจบ้าๆนั้นเสีย แต่เขากลับดึงเข้าไปกอด นี่มันต่อหน้าพี่จันทรา ยังบ้าดีเดือดไม่หาย อาการปางตายไม่ได้ช่วยให้เขาสำนึกได้เลย  เขายังกอดรัดอย่างกลัวว่าผมจะดิ้นหนีไป

“เพราะตั้งแต่ผมฟื้นขึ้นมา จุ้น คุณทำร้ายความรู้สึกผมมากเกินไป ผมจะสร้างความมั่นใจให้ตัวเองผมผิดตรงไหน ต่อให้คุณปฏิเสธอีกเป็นพันครั้ง ยังไงผมก็จะดื้อเหมือนเดิม”


“พี่ยังนั่งอยู่ตรงนี้นะคะ” พี่จันทราพูดทำลายสถานการณ์ตรงหน้า เพราะกูลเริ่มซุกไซร้ ผมมากเกินควร คือผมมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ ปล่อยให้เด็กยักษ์มันทำตามอำเภอใจ ทั้งที่เรื่องยังคุกรุ่นไม่จางหาย แต่ผมก็ทำได้เพียงก้มหน้าที่เห่อร้อนแดงซ่านไปทั้งตัว ใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ อับอายก็อับอาย จะดิ้นออกก็กลัวเขาจะเจ็บ

“ผมแค่อยากแสดงความรักให้พี่เห็น แต่ความจริงพี่ก็เห็นมาตลอดใช่ไหม” หะ! หมายความว่าอย่างไร ที่กูลพูดหมายถึงพี่จันทรารู้มาตลอดอย่างนั้นหรือ ตั้งแต่ตอนไหน ผมทำหน้าสงสัยถามพี่จันทรา

“ใช่ค่ะ พี่ไม่เคยห้ามตรงๆได้เลย แต่พี่ก็ไม่โอเคกับเรื่องพวกนี้ แม้กระทั่งตอนนี้ พี่พยายามป้องกันทุกอย่างทุกทางแล้ว แต่มันก็ยังไม่พอ กับความรู้สึก ต่อสู้ยากจริงๆ ตอนนี้พี่จะดูอยู่ห่างๆ พี่จะปล่อยไปก่อน พี่กลับนะคะ”

“ขอบคุณครับ” ผมผละตัวออกจากกูล พนมมือไหว้ลาพี่จันทรา เธอโอบกอดลูบหัวอยู่ซ้ำๆ จนน้ำตาเกือบแตกอีกรอบ

“เพื่อความเป็นเด็กดีมาตลอดของน้องจุน เด็กสายตาเศร้าของพี่ ไม่ต้องร้องนะคะ” พี่จันซากระซิบข้างหูขณะปลอบ เราได้ยินกันเพียงแค่สองคน เหตุผลหลักๆของเธอ

“ผมลงไปส่งนะครับ”

“ไม่ต้องค่ะ ดูแลคนป่วยเถอะ อ้อ! เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีนะคะ” พี่จันทราพูดเสียงดัง ปรายสายตาไปมองกูลกับผมสลับกัน เธอหมายถึงเราทั้งสองคน เธอพูดไว้แค่นั้นแล้วกลับออกไป


       บรรยากาศที่เราอยู่กันสองคน ไม่ได้กระอักกระอวน แต่มันเคอะเขินไปเสียหมด เขาจ้องมองมาที่ผมไม่วางตา ความรู้สึกบอกอย่างนั้น ผมเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปจ้องมองสบตาเขา ตอนนี้เข้าใจแลวว่าอาการอายม้วนเป็นยังไง เหนือสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกดีอบอวลไปทั่วทั้งหัวใจ โล่งอกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก  ถ้าโลกนี้มีเพียงเราสองคนคงจะดี

“จุ้นครับ อยากเข้าห้องน้ำ”

“เข้าสิ”

“ป่วยอยู่ มาช่วยหน่อย” เสียงเขาออดอ้อน จึงเผลอหันไปสบสายตาคู่นั้น โอ้ย! หัวใจจะพัง ทำไมต้องรู้สึกรุนแรงแบบนี้ หลบสายตาแทบไม่ทัน ผมอาจจะเข้าขั้นหลงสายตาเขาให้แล้ว ตบหน้าผากเรียกสติอยู่หลายที เดินไปหาเขาทั้งๆที่ก้มหน้าอยู่แบบนั้น สะดุดขาตัวเองไปทับเขาอีก

“ขอ....ขอโทษ เจ็บมากไหม” พูดไปลนลานไป มือไม้สะเปะสะปะ อยากดูอาการ กลัวเขาเจ็บก็กลัว อาการเขินก็ยังไม่หาย จนเผลอไปสบตาอีกครั้งจนได้

“จุ๊บ.....................” เขาพรมจูบซ้ำๆที่หน้าผาก จูบอยู่อย่างนั้น หน้าผากผมคงเปื่อยยุ่ยแล้วแน่ๆ แต่คงไม่มากเท่าหัวใจอ่อนเหลว เต้นเร็วแรงจนจะหลุดออกจากขั้ว ทับกันขนาดนี้เขาต้องรู้แน่ ว่าใจผมเต้นแรงขนาดไหน

“นี่ พอก่อนได้ไหม ไม่เข้าห้องน้ำแล้วเหรอ” ทุบไหล่เบาๆให้เขาปล่อยผมแล้วเลิกจุ๊บหน้าผากเสียที หน้าร้อนหูร้อนแทบลุกเป็นไฟ

“ก็จุ้นน่ารักนี่   ใครจะไปทนไหว อย่าทำตัวแบบนี้ให้ใครเห็นเด็ดขาด ผมหวง”

“ใครจะไปห้ามได้วะ” ใช่ ใครจะไปห้ามตัวเองได้เมื่ออยู่กับเขาความเป็นตัวเองมันขาดหายไปหมด ควบคุมไม่ได้อย่างไรไม่รู้ ทั้งอารมณ์ ทั้งความรู้สึก ทั้งหัวใจ มันรวนไปหมด

“พาไปห้องน้ำหน่อยนะ” ผมพยุงกูลเข้าห้องน้ำ ถือสายน้ำเกลือไว้ด้านนอกปิดประตูแง้มๆไว้

“คุณโอเคไหม”

“I’m not sure, ผมจับของผมไม่ถนัดจุ้นช่วยหน่อยสิ”

“ได้สิ แต่ต้องตัดมือคุณทิ้งก่อน” โว้ย! ใจดีด้วยแล้วทะลึ่ง ไม่น่าชอบคนแบบนี้เลย เจ็บมือก็ไม่ใช่ น่าจับตัดแขนให้ขาด

“ทำไมใจร้าย” เขาทำธุระเรียบร้อย ออกมายังไม่ทันประตูห้องน้ำก็คว้าผมไปหอมแก้ม ฟอดใหญ่ พร่ำเพรื่อเกินไปแล้ว จะไม่ให้ได้หายใจหายคอบ้างเลยหรืออย่างไร 

“กูล!! ถ้ามันบ่อยไป ผมอาจจะตายได้”

“จุ้น คุณ........” สีหน้าเขาตกใจ คงกลัวผมตายจริงๆ



“ผมเขิน”





Guide Line Thanks.
ปล. ดำเนินเรื่องมาเกินครึ่งแล้ว อยากเขียนไปเรื่อยๆ แต่มันยากมากเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
อยากให้จุ้นสมหวัง..
แต่ความรักครั้งนี้อุปสรรคมันใหญ่หลวงเหลือเกิน..จุ้นจะรับมือกับพ่อแม่ไหวมั้ยหนอ..  :m15: :m15: :m15:
.
..
นี่ไม่ห่วงกูลเลยนะ ขานั้นเข้มแข็ง แถมเป็นลูกที่แม่รักมากอีกตางหาก..เผลอๆ รู้เรื่องเข้า แม่จะไล่จุ้นออกจากบ้านรึเปล่าก็ไม่รู้  :katai1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จ้าาาา

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เด็ก

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มันแปลก ๆ แหะ

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
นึกถึงดราม่าข้างหน้าแล้วก็ปวดตับ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เฮ้ออ หนทางอีกยาวไกล

ออฟไลน์ liner

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-4
ตอนที่สิบเจ็ด
เพราะสายตาบอกว่าเหงา


      เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วหลังจากเหตุการณ์เลือดตกยางออก ความสัมพันธ์ของเราเป็นไปในทิศทางที่ดี เขาเข้ามาเติมเต็มความเป็นเด็กที่ผมขาดหายไป เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันสองคน ทำอะไรด้วยกันมากมายหลายอย่าง อย่างที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ความรู้สึกดีดีเพิ่มมากขึ้น พวกเราเพลินและเผลอหลงลืมสิ่งรอบข้าง ความเคยชินเป็นภัยเงียบที่คอยกัดกินความสัมพันธ์อย่างช้าๆ ความประมาท ไม่ระมัดระวังทำให้เราพลั้งพลาด

     สุดสัปดาห์นี้เราอยู่กันที่ปราณบุรี เป็นวันพักผ่อนแรกที่ครอบครัวของเราออกต่างจังหวัด เรามากันพร้อมหน้าพร้อมตา ครอบครัวเรามากันหมดทั้งบ้าน ไม่เว้นแม่แต่พี่จันทรา ยังมีเจ้าก่อที่หนีบพี่ปลื้มมาด้วย ท่าทางพี่ปลื้มคล้ายจะโดนบังคับมา ผมยังไม่รู้คำตอบระหว่างพวกเขาสองคน อยากรู้นะ แต่ไม่อยากถาม กลัวเสียมารยาทละลาบละล้วงเรื่องคนอื่น เรามาด้วยรถตู้ของบริษัท เตี่ยบอกว่าประหยัดดี ส่วนเรื่องของที่พัก ก็ตามประสาคนมีอันจะกินมักซื้อบ้านพักตากอากาศเอาไว้ใช้พักผ่อนส่วนตัวหลายๆที่ แต่เตี่ยก็คือเตี่ย ทุกการลงทุนย่อมต้องมีผลกำไร เพราะบ้านพักหลายๆ หลังที่เตี่ยสร้างไว้ จะปล่อยให้เช่าแบบชั่วคราว เซอร์วิซแบบโรงแรมมีแม่บ้านประจำมีพนักงานในการรับจอง ผมตามพี่ปลื้มขึ้นไปนั่งเบาะหลังสุด เจ้าก่อตามหลังผมขึ้นมา ขอสลับที่กันกับผม สุดท้ายเด็กยักษ์ก็ลากผมไปนั่งด้วย ใช้เวลาไม่นานก็ถึงปราณบุรี

“กูล ผมนอนกับพี่ปลื้มนะ” ผมไม่ได้คุยกับพี่ปลื้มนานพอควร ไลน์ หรือ สื่อช่องทางอื่นก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย เด็กยักษ์มันไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ ผมก็ค่อนข้างแคร์เขามากขึ้นกว่าแต่ก่อน เขามักจะเช็คข้อความในสมาร์ทโฟนของผมอยู่บ่อยครั้ง คล้ายแม่บ้านจับผิดสามียังไงไม่รู้ เด็ดสุดคงจะเป็น ไล่ด่าคนที่อินบ็อกเข้ามาจีบผม ซึ่งปกติผมจะปล่อยผ่าน ไม่ได้ตอบกลับอย่างเด็กยักษ์มันทำให้ผมได้หงุดหงิดบ่อยๆ

“ไม่ได้ ถึงจะเป็นพี่ข้างบ้านไอ้ก่อ ผมก็ยังไม่ไว้ใจคนที่เคยมาจีบคุณ”

“ผมไม่ได้ชอบพี่ปลื้มแล้ว”

“นี่ แสดงว่าเมื่อก่อนคุณ...... โว้ย!! ทำไมต้องทำให้ผมเป็นบ้าด้วยวะ” เด็กเอาแต่ใจลากผมขึ้นมาชั้นบนของบ้าน ผลักดันผมเข้าไปด้านใน โยนกระเป๋าเสื้อผ้า สัมภาระ ทิ้งไป ไล่ตะบี้ตะบันจูบผมอย่างเอาแต่ใจ หายใจหายคอแทบไม่ทัน พักหลังๆยิ่งหนักข้อขึ้นทุกวัน ยังดีหน่อยเพียงแค่จูบไม่ได้เกินเลยไปมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นผมคงแย่ จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปสู้กับเด็กยักษ์อย่างกูล

“อื้อ.... ปล่อยก่อน” ผมทุบไหล่รัวๆ เพื่อให้เขาปล่อยจากพันธนาการ มือที่อยู่ไม่สุกกำลังจะเกี่ยวขอบกางเกงผมลง แล้วจะให้ไว้ใจนอนกับเขาได้อย่างไร จอมฉวยโอกาส

“จุ้นนนนนนน ขออีกหน่อยได้ไหม”

“ไม่เอาแล้ว ไม่งั้นผมจะหนีไปนอนกับพี่จันด้านล่าง ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัย ผมจะเอาอะไรไปสู้เด็กเอาแต่ใจอย่างคุณ”

“ผมควบคุมตัวเองได้น่า อีกหน่อยนะ” ผมหันไปคว้ากระเป๋าผมขึ้นมา ตั้งใจจะไปนอนกับพี่จันทราจริงๆ ถ้าเด็กมันจะยังพูดไม่รู้ความ ไม่น่าสงสารเลยสักนิด

“ก็ได้ ก็ได้ ผมยอมแล้ว” เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นยอมแพ้ สีหน้าเหมือนเด็กถูกขัดใจ ผมจึงเอากระเป๋าไปเก็บ นำเสื้อผ้าแขวนไว้ในตู้ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกค่อนข้างครบครัน อย่างกับโรงแรมห้าดาว เลื่อนม่านออกไปก็เห็นวิวทะเลเลยละ เลื่อนประตูออกไปลมหอบอายทะเลพัดเข้ามากระทบกับใบหน้า รู้สึกดีชะมัด เห็นพี่ปลื้ม เดินชายหาดคนเดียวไกลๆ ทำไมถึงได้เดินออกไปคนเดียวนะ ผมคิด


“กูล ไปเดินสำรวจชายหาดนะ”

“อื้อ ผมไม่ไปนะขอพักสายตาสักครู่ แดดร้อนเอาหมวกไปด้วยละ”

     ผมรีบเดินออกมาเพื่อจะตามพี่ปลื้มให้ทัน ดูเขาไม่สบายใจอย่างไรไม่รู้ ทั้งท่าทีตั้งแต่แรกก็รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจมาด้วยกัน เขาเงียบไปมากกว่าเมื่อก่อน รอยยิ้มที่มีให้ผม หรือสายตาที่อ่อนโยนนั่น ไม่ได้มองมาทางผมเลยด้วยซ้ำ รู้สึกลึกๆว่าเขาคงไม่อยากเจอหน้าผมสักเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไม ยังไงผมก็ยังเหมือนเดิม ผมอยากคุยกับเขา พี่ปลื้มเป็นคนดีถ้าผมช่วยอะไรเขาได้บ้างผมก็จะทำ จะใช้คำว่าตอบแทนที่เขาเคยทำอะไรดีดีให้กับผมก็ได้


“พี่ปลื้ม”
     ผมตะโกนเรียก ให้เขาหยุดเดินเพราะผมเริ่มเหนื่อยแล้วที่จะวิ่งตามให้ทัน คนอะไรเดินเร็วชะมัด แล้วเขาก็หยุดหันมามองตามเสียงเรียก เขาถอนหายใจเมื่อรู้ว่าเป็นผมที่ตามมา

“เดินเร็วมาก วิ่งตามแทบไม่ทัน ยิ่งขาสั้นๆอยู่ด้วย”
“เย่!  ยิ้มแล้ว น่าจะเป็นสิ่งดีดีในรอบวัน”

“เวอร์ไป” พี่ปลื้มขยี้หัวผมเบาๆ ชอบสัมผัสนี้จัง ความรู้สึกเดิมๆเริ่มกลับมา

“พี่พักก่อนได้ไหม เหนื่อยมาก” พี่น่าจะรู้ว่าผมวิ่งตามมา เสียงลมหายใจแรงขนาดนี้ยังใจร้ายจะเดินต่ออีก

“ฮ่าๆ ทำไมเราตลกขึ้น”

“โท่ ก็ว่าไป”

“เหมือนจะดูมีความสุขมากกว่า หรือ เพราะพี่ไม่ได้จีบแล้วเลยดูสบายใจขึ้น”

“เอาจริงๆก็มีส่วน เพราะพี่ปลื้มเป็นคนดีมาก ผมเลยคิดว่าผมคงไม่เหมาะ”

“ชอบคนอื่นอยู่แล้วก็บอก”

“ใช่ที่ไหนกันเล่า” 

“กับกูลเป็นยังไง”

“พี่รู้?”

“ก่อบอกพี่หนะ”

“แล้ว...เอ่อ ผมถามพี่ได้ไหม”

“เรื่องไหน เรื่องพี่กับก่อเหรอ”

“ครับ” ผมพูดเสียงอ่อนลง อยากจะขอโทษ ผมไม่น่าถามเลยเพราะสายตาพี่ปลื้มเศร้าลงไป เหมือนว่าเขาไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องนี้


“ผมขอโทษครับ ที่ทำให้ไม่สบายใจ เอาอย่างนี้ขากลับผมให้พี่ขี่หลังเลย” ผมอยากเห็นคนๆนี้ยิ้มมากกว่า เขาเป็นคนยิ้มแล้วโลกทั้งโลกสว่างสดใสขึ้นมาทันตา ไม่คู่ควรกับความเศร้าเลยสักนิด แต่ตอนนี้ เขาเอาแต่ถอนหายใจอยู่หลายครั้ง มองออกไปทางท้องทะเลกว้างใหญ่ ไม่ได้หันมาให้คำตอบผม จนคิดว่าเอาอย่างไรดี ผมทำเสียบรรยากาศไปเสียแล้ว


“ก่อเป็นเด็กที่บ้านอยู่ติดกัน พี่จะเจอก่อทุกๆปิดเทอมของเขา เขาเป็นเด็กร่าเริง ชอบเอาใจ จนติดตลก เขาเหมือนน้องชาย ตอนนั้นก่อเป็นเด็กน่าสงสารที่เข้มแข็งมากๆ พ่อแม่เขาแยกทางกัน ก่อต้องไปอยู่กับแม่ที่ต่างประเทศ แล้วจะกลับมาอยู่กับพ่อทุกๆปิดเทอม เฉลี่ยกัน ก่อ ไม่เคยแสดงด้านแย่ หรือแสดงความอ่อนแอให้เห็นเลยสักครั้ง ทั้งๆที่ พ่อของเขาไม่ได้มีเวลาให้มากนัก ก่อเลยติดพี่แจ อยู่กับพี่ทั้งวันหรือบางคืนก็นอนด้วยกันที่บ้านของพี่ เราสนิทกันมาก จนกระทั่งปีหนึ่งเขากลับมา แล้วรู้ว่าพี่ไม่ชอบผู้หญิง ก่อรับไม่ได้ และต่อต้านอย่างหนัก เรามึงตึงต่อกัน เราไม่ได้คุยกันเหมือนเก่า เขาจะพูดจาร้ายๆใส่พี่หลายสิ่งหลายอย่าง แต่พี่ก็ไม่ได้ใส่ใจในคำพูดของเขา เพราะตอนนั้นพี่มีแฟน พี่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับแฟนของพี่ พี่จึงไม่มีเวลาให้เขา พี่มักจะเจอเขาอยู่ที่บ้านทุกครั้งเวลาพี่กลับ เขาจะพูดด่าพี่เสียๆหายๆ เป็นอังกฤษบ้างไทยบ้าง จนบ้างครั้งพี่ก็ตลก ขำหน้าดำหน้าแดง สุดท้ายเป็นก่อเองที่โมโหแล้วเดินตึงตังกลับไปนอนบ้านของเขา จนวันที่เขากลับประเทศ พี่ไม่ได้ไปส่งเขาเช่นเดิมอย่างที่เคยทำ พี่คิดแค่ว่ามันก็เรื่องปกติจะไปจะกลับ ยังไงปิดเทอมหน้าเขาก็กลับมาอยู่ดี คุณแม่ของพี่เล่าให้ฟังว่า ก่อชอบมาป้วนเปี้ยนอยู่ที่บ้านเพื่อรอพี่กลับมา นั่งๆนอนๆของเขาอยู่คนเดียว ขอแค่ได้เจอหน้าพี่แล้วเขาถึงจะยอมกลับ คุณแม่หัวเราะในความติดพี่ของก่อ แต่พี่ไม่ได้หัวเราะไปกับคุณแม่ พี่กลับรู้สึกว่าในตอนนั้นก่อคงเหงามากแค่ไหนนะ เขารอพี่ทุกวัน ทำอย่างนั้นไปทำไม เราไม่ได้บังเอิญเจอกันตอนพี่กลับบ้าน เขารอเจอหน้าพี่ต่างหาก รอทุกวันจนกลับต่างประเทศ ไม่รู้ว่าตอนที่อยู่สนามบินเขาจะรอพี่ด้วยหรือเปล่า พี่นะโคตรรู้สึกผิดเลยที่ทิ้งเขาให้อยู่คนเดียว พี่แค่อยากขอโทษ”


“พี่ปลื้ม พอก่อนก็ได้ครับ พี่อย่าร้องสิ” โอ้ย!! ผมทำอะไรลงไป เป็นผมเองที่รู้สึกผิดเหมือนผมบังคับให้เขาเล่า พี่ปลื้มกลับส่ายบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล เขาเช็ดน้ำตาลวกๆ แล้วเล่าต่อ


“จนปิดเทอมที่ผ่านมา เขาก็กลับมาเมืองไทยเช่นเคย คุณแม่บอกกับพี่ว่าก่อกลับมาแล้วนะ มาได้สองสามวันแล้ว เขาไม่มาเจอพี่ เขาคงโกรธมากจริงๆ ตอนนั้นพี่เลิกรากับแฟนไปแล้ว พี่ไม่มีใครเลย จึงมีเวลาให้คิด คิดว่าจะชดเชยให้เขา จะขอโทษเขา แล้วเราจะกลับมาเป็นพี่น้องที่สนิทกันเหมือนเคย พี่เลยไปหาเขาที่บ้านเพื่อจะขอโทษ
“มาทำไม”
ก่อพูดเสียงแข็งใส่ ตอนนั้นเขานั่งดูรายการกีฬาอยู่ที่บ้านคนเดียว ไร้พ่อของเขาเหมือนเดิม เขาเป็นเด็กที่ไม่เรียกร้องหรือโหยหาความรักจากผู้เป็นพ่อเลยสักนิด เป็นเด็กที่เข้าใจผู้ใหญ่ที่ต้องทำงาน เพื่อเลี้ยงดูส่งเสียครอบครัวใหม่ของพ่อซึ่งอยู่อีกบ้าน เขาเข้าใจในความสำคัญของสถาบันครอบครัว ถ้าพ่อของเขามาดูแลเขาครอบครัวใหม่ของพ่อคงมีปัญหาเหมือนกัน เขาเคยพูดให้พี่ฟังแบบนี้ แต่แววตากลับไม่ใช่อย่างที่พูดเลย แล้วเด็กอย่างก่อก็ไม่เคยกลับไปบอกแม่เขาเลยว่าอยู่ที่เมืองไทย เขาต้องอยู่คนเดียว 
“เอ่อ... พี่อยากจะมาขอโทษ” เพราะเสียงแบบนั้นพี่เลยประหม่า ไม่กล้าเข้าใกล้เขา จนก่อเริ่มหมดความอดทน สิ่งที่อยู่ในใจเลยปะทุออกมา
“พี่รู้ไหม ทั้งๆที่พี่เป็นคนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของผม ผมคงคิดผิด ผิดที่สำคัญตัวเองผิดไป พี่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย พี่ไม่เข้าใจผมเลย” เขาพูดประโยคนี้แล้วเขาร้องไห้ พี่ไม่เคยเห็นความอ่อนแอของเขาเลยสักครั้ง แต่เป็นเรื่องของพี่เขาจึงอ่อนแอ อ่อนแอจนหลั่งน้ำตา ตอนนั้นนะพี่อยากจะเข้าไปปลอบเขา เด็กตัวสูงที่ยืนร้องไห้
“ต้องให้ผมชอบผู้ชายเหมือนพี่ใช่ไหม พี่ถึงจะอยู่กับผม พี่ถึงจะไม่ไปไหน พี่ถึงจะไม่ทิ้งให้ผมรอ” เขาเขย่าตัวพี่จนสั่นไปหมด จะเข้าไปกอดก็กลัวก่อรังเกียจที่พี่เป็นแบบนี้ พี่จึงทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่เฉยๆ
“พี่รู้ไหมผมสับสนขนาดไหน ผมต้องอยู่กับความสับสนนั้นคนเดียว คิดคนเดียว ตัดสินใจคนเดียว ตอนนี้ผมตัดสินใจได้แล้วละ พี่ไปเสียเถอะ ไปอยู่กับแฟนของพี่ ส่วนผม อยู่ตรงนี้คนเดียวได้ สบายมาก” ก่อปาดน้ำตาแล้วยิ้มเฝื่อนมาให้ ดันหลังให้พี่ออกจากบ้านของเขา แล้วปิดประตู พี่จึงต้องถอยออกมา พรุ่งนี้ก่อคงดีขึ้น
     แต่พี่คิดผิด เพราะหลังจากพี่กลับบ้านไป ก่อก็บินกลับประเทศ ตอนเช้าประตูหน้าบ้านใส่กุญแจดังเดิม ดั่งเช่นตอนที่ก่อเปิดเทอมอยู่ที่โน่น ก็ไม่แปลกอะไรเพราะคนที่รู้จักที่นี่ ก็คงมีเพียงพ่อของเขากับครอบครัวของพี่ นอกนั้นเขาก็ไม่มีใคร เมื่อเขาไม่มีใครเขาก็ต้องกลับ แต่คนที่แปลกคือพี่ พี่คงชอบก่อที่ไม่ใช่พี่น้องคนสนิทกันเหมือนเมื่อก่อน แล้วถ้าไม่ผิดก่อก็คงชอบพี่เหมือนกัน พี่จึงตัดสินใจบินตามก่อไป เราจะต้องพูดกันให้รู้เรื่องดีกว่าการหนีปัญหาอะไรพวกนี้ สามวันพี่ซื้อตั๋วทำเรื่องลาหยุดเรียนพร้อมหาข้อมูลที่อยู่จากพ่อของเขา ให้เหตุผลที่บ้านว่าอยากไปเที่ยวประเทศนี้นานแล้ว จะไปพักอยู่กับก่อ ติดต่อกันไว้แล้ว ความจริงไม่เลย ไปตายเอาดาบหน้าล้วนๆ ตอนนั้นนึกไปแล้วยังขำ ทำไมทุ่มเทขนาดนั้นวะ
      แต่สุดท้ายสิ่งพี่ก็ต้องบินกลับมา เพราะ พี่ไปดักรอเขาที่ไฮสคูล หลังเลิกเรียน แล้วพี่ก็ได้เจอเขาจริงๆ เด็กเอเชียตัวสูงโย่งหัวดำหน้าตาหล่อเหลา ดูโดดเด่น กำลังเดินออกมา เขาดูเป็นธรรมชาติมาก ความสดใสกลับมาเหมือนเมื่อก่อน ตอนที่เราอยู่ด้วยกัน แต่เขาไม่ได้ออกมาคนเดียว มีผู้หญิงแหม่มผมทอง ควงเขาออกมาด้วยกัน ตอนนั้นนะคิดว่าคงต้องเป็นเพื่อนกันแน่ๆ เลยเดินตามพวกเขาไปเรื่อยๆ ลัดสวนสาธารณะ แล้วพวกเขาก็จูบกัน ก่อจูบกับผู้หญิงคนนั้น ต่อหน้าต่อตา สิ่งที่คิดไว้มันพังไปหมด พี่ยืนตัวแข็งทื่อก้าวขาไม่ออก จนก่อค่อยๆหัน มาแล้วเจอพี่ เขาชะงักไปเล็กน้อย
     ตอนนั้นน้ำตาพี่ดันไหลไม่หยุด คิดได้แต่เพียงว่าต้องออกไปจากที่นี่ ทำบ้าอะไรอยู่วะ พี่จึงวิ่งออกมาเลย วิ่งไปเรื่อยๆกลัวเขาตามมา สุดท้ายเหนื่อยจึงหยุด หันไปเผื่อว่าเขาจะตามมา แต่ไม่เลย ไม่มีแม้แต่เงาของเขา คนบ้าที่วิ่งพล่านไปเอง เขาไม่ได้ชอบเรา เขาไม่ได้หลอกเรา เราต่างหากที่หลอกตัวเอง คิดไปเอง รู้สึกไปเองว่าเขาคิดเหมือนกัน การตีความหมายแย่มาก ต้องกลับไปเรียนใหม่เสียแล้ว ประโยคที่ว่า “ต้องให้ผมชอบผู้ชายเหมือนพี่ใช่ไหม พี่ถึงจะอยู่กับผม” ตีแสกหน้าอย่างจัง เขาไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเขาชอบพี่ ห้าวันพี่นอนทำใจที่โรงแรมไม่ได้ออกไปไหน คิดๆไปก็ตลกดีเที่ยวต่างประเทศแต่กลับขลุกตัวอยู่แต่ในโรงแรม บินกลับพร้อมความช้ำ อกหักที่เจ็บโคตรๆ ดันไปชอบผู้ชายแท้ๆเข้าให้ เขาไม่ชอบเราในแบบนั้น กลับมาก็เรียนอย่างหนัก ทำกิจกรรมอย่างคนบ้าคลั่ง แต่ก็ยังไม่เลิกคิดถึงเขาสักที ภาพเก่าๆที่เราอยู่ด้วยกัน ย้อนเข้ามาทำให้พี่เจ็บทุกที คงเป็นไปในแบบเดิมไม่ได้แม้แต่คำว่าพี่น้อง จนคิดว่า พี่ต้องมีแฟนสักคนเพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ แล้วจุนก็คือคนนั้น”


“คิดจะเอาผมไปเป็นตัวแทนเหรอ ผมขออนุญาตโกรธพี่นะ” ผมกอดอกทำท่าทีขึงขัง ไม่ได้โกรธพี่ปลื้มจริงหรอก แค่ไม่อยากให้บรรยากาศตึงเครียดไปมากกว่านี้


 “ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ชอบจุนเพราะ รอยยิ้ม ความสดใส ความร่าเริง แต่พี่เห็นแววตาเศร้าของจุนนะ แววตาที่โดดเดี่ยว เหมือนโดนทิ้งให้อยู่คนเดียว แต่จุนก็เข้มแข็ง เหมือนเขา คงเหงามากใช่ไหม พี่เลยอยากดูแลจุน”


“เพราะพี่อยากดูแลก่อ มากกว่า”


“ก็คงใช่ แต่ตอนนี้ไม่แล้วละ เขาเข้มแข็งมากเกินไป จนตอนนี้พี่รู้สึกเหมือนไม่รู้จักเขาเลย ก่อคนนั้นหายไป”


“พี่ปลื้ม หนีมาอีกแล้ว” ไม่ทันที่พี่ปลื้มจะพูดต่อ ก่อ ก็เดินเข้ามาลากแขนพี่ปลื้มออกไป ทำให้ผมก็ต้องลุกขึ้นเดินตามพี่ปลื้มไปด้วย เดินเรียบหาดที่ไม่ค่อยมีผู้คน พี่ปลื้มก็ได้สะบัดมือ ผลักเด็กก่ออย่างแรงลงไปนอนจมกองทราย ผมพยายามจะช่วยก่อเพราะเหมือนทรายจะเข้าตา ผมมองหาร้านขายน้ำเพื่อมาล้างตา แต่พี่ปลื้มวิ่งลงไปในทะเล ลงไปเรื่อยๆ เผลอพริบตาเดียวพี่ปลื้มก็หายไป

“ก่อ พี่ปลื้มหายไปในทะเลแล้ว”

“ปลื้ม”

     เด็กก่อตะโกนเสียงดังลั่น อย่างตกใจ เขากระโดดดำลงไปในน้ำ ผมตั้งสติโทรหากูล บอกว่าพี่ปลื้มจมน้ำ ออกมาช่วยหน่อยได้ไหม ผมว่ายน้ำไม่เป็นได้แต่ตะโกนหาให้คนช่วย

ขอให้พี่ปลื้มไม่เป็นอะไร




Guide Line Thanks.
ปล. บางตอนเป็นบทเล่าโดยพี่ปลื้ม เล่าเรื่องราวให้จุนฟังอย่างตั้งใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-08-2018 01:36:49 โดย liner »

ออฟไลน์ Phaakram

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น้องกูล งอนแล้ว

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สงสารพี่ปลื้ม

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ก่อเอ็งทำไรพี่ปลื้มเนี่ย :ling3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด