=END= ღ นิติผูกพัน ღ -นิติผูกพัน- 25/03/2562 UP!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: =END= ღ นิติผูกพัน ღ -นิติผูกพัน- 25/03/2562 UP!!  (อ่าน 20646 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

หวัย ๆ อิพี่เริ่มรู้ใจ เริ่มเอนเอียง เริ่มหึงหวง แล้ว  อิอิ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เจ้ารุกให้หนักกว่านี้อีก  :hao3:

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3

ตอนที่ 19

ความรู้สึกที่ห้ามไม่ได้



“ช่วงนี้มึงก็เริ่มเตรียมอ่านหนังสือได้แล้ว” ผมพูดขึ้นขณะที่ผมกับเจ้าจอมนั่งกินข้าวด้วยกันในตอนเย็นวันหนึ่ง



“ผมไปอ่านที่ห้องพี่ได้หรือเปล่าครับ”



ผมขมวดคิ้วทำหน้างง มันมีเหตุจำเป็นอะไรถึงต้องมาอ่านหนังสือห้องผมด้วยวะ “ห้องมึงก็มี”



“ก็ผมอยากอ่านกับพี่”



ผมหมดคำจะพูดเลยทำได้เพียงเงียบลง เจ้าจอมมันก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรผมอีกและนั่นแหละพออาทิตย์ต่อมาผมก็มีมันมานั่งจุมปุกอยู่บนโซฟาในห้องผมแล้ว ไม่รู้ว่าผมจะด่าหรือจะไล่มันยังไงดี เหมือนช่วงนี้พออยากจะพูดกับมันแรงๆแล้วก็กลัวว่ามันจะเก็บไปคิดเล็กคิดน้อยหรือน้อยใจผมอีก คือผมก็ไม่ได้ห่วงอะไรมันขนาดนั้นนะเว้ยแต่แค่ไม่อยากมีปัญหาแค่นั้นแหละ



“อ่านหนังสือไปสิวะจะจ้องกูทำไม?” ผมพูดออกมาอย่างหมดความอดทนเมื่อมันเอาแต่นั่งจ้องผมจนผมไม่เป็นอันทำอะไรแถมอ่านหนังสือก็ไม่รู้เรื่องด้วย ก็มันรู้สึกแปลกๆนี่หว่าใครโดนจ้องแบบนี้แล้วอ่านหนังสือได้อีกก็คือโคตรเจ๋งเลยนะครับ



“ผมก็แค่มองเองครับ ไม่ได้กวนอะไรพี่เลยนะ” มันแก้ตัวแต่ฟังโคตรไม่ขึ้น ไอ้ที่มันจ้องแบบนี้นี่แหละที่เขาเรียกว่ารบกวน ไม่มีสมาธิอ่านห่าเหวอะไรแล้วเนี่ย



“งั้นกูจะเข้าไปอ่านในห้อง” ผมท่าทาจะลุกมันก็รีบกุลีกุจอมาดึงรั้งแขนผมไม่ให้ลุกไปไหน



“โอเคครับ ผมไม่จ้องพี่แล้วก็ได้”



ผมมองมันนิ่ง สักพักก็ถอนหายใจแล้วดึงแขนตัวเองที่มันจับอยู่ออกจากมือมันแล้วนั่งลงเหมือนเดิม



“ถ้าจ้องอีกกูเข้าไปอ่านในห้องแน่” ขู่มันทิ้งท้ายก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับหนังสือตรงหน้าต่อ



จากนั้นเจ้าจอมมันก็ไม่ได้จ้องผมเหมือนตอนแรกอีก ระหว่างนั้นมันก็มีบ้างที่จะถามในส่วนเนื้อหาที่มันไม่เข้าใจ ผมก็ตอบๆไปเท่าที่ตัวเองรู้และได้เรียนมา พูดให้มันฟังเข้าใจง่ายๆและบอกให้มันลองอ่านแล้วสรุปตามความเข้าใจของตัวเองจะได้จำได้



“แล้วก็มาตราก็ไม่ต้องเป๊ะก็ได้ พวกคำว่า ‘ไซร้’ ‘ท่านว่า’ หรืออะไรที่ดูแล้วไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อความก็ไม่ต้องจำหรอก”



“ผมก็ท่องคำว่า ‘ท่านว่า’ อยู่ตั้งนาน”



“เออ ไม่ต้องจำหรอก แล้วนี่ท่องมาตราสี่ได้ยัง?”



“ได้บ้างครับแต่จำยังไม่แม่นเท่าไหร่”



“ก็พยายามจำให้ได้ จากข้อสอบที่กูจำๆได้ก็จะถามเกี่ยวกับการอุดช่องวางของกฎหมาย การตีความกฎหมาย ให้มึงอธิบายสาระสำคัญของมาตรานี้มาอะไรเทือกๆนี้แหละ” ผมบอกมันเพราะจำได้ลางๆว่าอาจารย์เคยออกประมาณนี้ อีกอย่างรุ่นพี่ปีก่อนผมเขาก็เก็งให้แบบนี้แล้วก็ออกจริงๆ “ลองไปหาข้อสอบเก่าๆมาลองทำหรือมาอ่านดูก็ช่วยได้”



“ครับ”



“แล้วก็พวกเรื่องผู้เยาว์ คนไร้ฯ คนเสมือนไร้ฯ พวกนี้มึงก็ฟังๆอาจารย์ดูว่าอาจารย์พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงบ้าง พยายามจำตัวอย่างหรือแบบฝึกหัดที่อาจารย์ให้ทำ”



“ครับ”



“อืม...อีกเรื่องคือผู้ไม่อยู่กับผู้สาบสูญอาจารย์มักจะออกสองเรื่องนี้รวมกันแต่ตอนนี้มึงคงยังเรียนไม่ถึงใช่ไหม?” ผมถามมันเพราะจำได้ว่าปีผมกว่าอาจารย์จะสอนเรื่องนี้ก็ใกล้ๆจะสอบแล้ว ผมก็เลยคิดว่าปีเจ้าจอมมันก็คงเป็นเหมือนกัน



“ครับ”



“นั่นแหละก็รออาจารย์สอนก่อนแล้วก็จับประเด็นเอา บางทีอาจารย์อาจจะมีแบบฝึกหัดให้เขียนถาม-ตอม มึงก็พยายามทำด้วยตัวเอง ถ้าไม่มั่นใจก็เอามาถามกูก่อนได้”



“ครับ”



“ส่วนมาตราประกอบก็รอให้อาจารย์ตัดมาตราให้ช่วงใกล้สอบอีกที ไม่เยอะหรอก ก็ดูว่าอาจารย์เน้นๆมาตราไหนก็จำๆมาตรานั้นไปก่อนจะได้ไม่เสียเวลา”



“ครับ”



“เออ...อีกอย่างกฎหมายมหาชนมึงก็อ่านเอกสารที่อาจารย์แจกให้ อ่านหนังสือประกอบไปด้วยอย่าชะล่าใจกับวิชานี้เด็ดขาด ถึงจะไม่มีมาตราให้ท่องเหมือนวิชาอื่นแต่ก็ยากพอสมควร”



“ครับ”



ผมหันไปมองมันที่เอาแต่พูดกับคำว่าครับก่อนจะทำอะไรไม่ถูกเมื่อมันเอาแต่นั่งจ้องผมแล้วยิ้มให้แบบนั้น ไอ้เด็กเวรเอ๊ย! ผมก็ว่าอยู่ทำไมมันพูดแต่คำว่าครับอย่างเดียว



“มองกูทำไมอีก?”



“ผมแค่กำลังตั้งใจฟังพี่ไงครับ”



“กูพูดเสร็จแล้วก็เลิกมองได้แล้ว”



มันทำหน้าเสียดายก่อนะจะยอมพยักหน้าทำตามที่ผมบอก “ก็ได้ครับ”



หลังจากที่นั่งอ่านนั่งติวหนังสือกันเป็นเวลานานก็ถึงเวลาที่ผมเห็นสมควรแล้วว่าต้องแยกย้ายกันไปนอนสักที ผมไล่ให้เจ้าจอมมันกลับห้องแต่มันกลับทำอิดออดบอกว่าง่วงเดินกลับไม่ไหวขอค้างที่ห้องผมแทน



"กลับไปเลยมึง เดินไปไม่ถึงสองนาทีก็ถึงแล้ว" ผมผลักหลังของมันให้เดินไปแต่มันกลับทำตัวแข็งเลยไม่ขยับเขยื้อนไปตามที่ผมต้องการ



"ง่วงมากเลยพี่ ตาจะปิดแล้วด้วยเดินไม่ไหวแน่" ดูมันอ้างครับ คิดว่าเหตุผลแค่นี้จะทำให้มันได้นอนที่ห้องผมหรือไงวะ



"มึงอย่าเวอร์ได้ปะวะ เดินแค่นี้จะไม่ไหวได้ไง"



“โธ่พี่ ไม่ไหวก็คือไม่ไหวนั่นแหละครับ”



“มึงจะนอนให้ได้เลยใช่ไหม?” ผมถามย้ำ เพราะรู้สึกว่ายิ่งบอกให้มันกลับเท่าไหร่มันก็จะยิ่งดื้อด้านอยู่เท่านั้น สู้หาลู่ทางอื่นให้มันนอนจะดีกว่า



“ครับ” แล้วมันก็ไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่ผมถามแถมยังพยักหน้าแข็งขันดูมีแรงขึ้นมาทันที



“งั้นมึงก็นอนตรงนี้แล้วกัน” ผมชี้ไปที่โซฟาข้างหลังให้มันเห็นว่านั่นแหละคือที่ที่มึงต้องนอน



เจ้าจอมมันหน้าเหวอก่อนจะเถียงผมขึ้นอีก “เฮ้ยพี่! ได้ไงอ่ะครับ ทีพี่ค้างห้องผมผมยังให้นอนบนเตียงนุ่มๆกับผมเลย”



ผมว่าแล้วว่ามันต้องอ้างแบบนี้ขึ้นมาแต่ยังไงล่ะไอ้คนที่เสนอให้ผมนอนบนเตียงก็มันไม่ใช่เหรอวะ ผมไม่ได้ขอร้องมันสักหน่อย



“หรือมึงจะกลับไปนอนบนเตียงนุ่มๆที่ห้องมึก็ได้นะ แล้วแต่..”



“ครับๆผมนอนที่นี่ก็ได้” มันแทรกขึ้นมาในขณะที่ผมยังพูดไม่จบแต่ก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องพูดอะไรยาวๆ



พอตกลงกันได้ผมก็เดินไปปิดไฟให้มัน เจ้าจอมมันมองตามผที่เดินเข้าห้องแต่ผมก็ไม่ได้สนใจแล้วเดินเข้าห้องไปนอนบ้าง



นอนไปได้ไม่นานผมก็ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าฝนกำลังตกอยู่ข้างนอก ผมมองออกไปทางระเบียงห้องก็พอดีกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาบนท้องฟ้าทำเอาผมสะดุ้งแต่ก็กลับมามีสติได้ นึกไปถึงคนด้านนอกทันทียิ่งฝนตกแบบนี้อุณหภูมิในห้องก็ยิ่งจะเย็นขึ้น



ผมเดินมาปรับเครื่องปรับอากาศของตัวเองก่อนจะเดินออกไปข้างนอกโดยที่ไม่ลืมหยิบผ้านวมในตู้ออกไปให้กับคนข้างนอกด้วย พอมาถึงหน้าโซฟาก็เห็นมันนอนขดตัวอยู่ ผมถอนหายใจเพราะก่อนหน้านั้นก็ลืมเอาผ้านวมออกมาให้มันห่มแถมไอ้เด็กนี่ก็ไม่เรียกร้องจะเอาก็เลยไม่ได้ฉุกคิดขึ้นมาว่ามันก็คงจะหนาวเหมือนกัน



สายฝนข้างนอกยังเทกระหน่ำลงมาและเหมือนจะแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมจัดการห่มผ้าให้มันเงียบๆไม่อยากปลุกคนหลับสบายให้ตื่นตอนนี้แต่จู่ๆไอ้คนที่ผมคิดว่ามันหลับกลับดึงแขนของผมอย่างแรงจนผมล้มลงไปทับอยู่บนตัวมัน



“ทำอะไรครับ?” มันกระซิบเสียงแผ่วอยู่ข้างใบหูเพราะหน้าของผมตอนนี้ซบลงอยู่กับบ่าของมัน



“อะไรของมึงวะ กูแค่เอาผ้าห่มมาให้” ผมดิ้นขลุกขลักตอนที่มือของมันเลื่อนมาโอบรอบเอวผมไว้แน่น “เจ้าจอมปล่อยกู”



“ตัวพี่อุ่นกว่าผ้าห่มอีกครับ” เสียงลมหายใจของมันกระชั้นชิดจนผมหายใจสะดุดไปจังหวะหนึ่งแต่ก็พยายามตั้งสติให้ได้มากที่สุด



“ปล่อยดิวะ” ผมก็ไม่ใช่คนแรงน้อยอะไรขนาดนั้นนะเว้ยแต่ด้วยความที่ไอ้เด็กนี่มันบ้าออกกำลังกายมันเลยมีแรงเยอะมากกว่าผมไง



“ผมไม่ทำอะไรพี่หรอกครับ”



ขนาดไม่ทำอะไรมึงยังกอดกูแน่นขนาดนี้เลยไอ้เด็กเวร!



“กูจะไปนอน” ผมพยายามเค้นเสียงออกมาตอนที่เจ้าจอมมันเอียงใบหน้าของมันเข้าใกล้ใบหน้าของผม



ผมชะงักนิ่งตอนที่มันค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ๆก่อนปลายจมูกของมันจะแตะลงที่ปลายจมูกของผมแผ่วเบา ลมหายใจของมันรินรดบนใบหน้าและเสียงหายใจที่เหมือนจะดังที่สุดในเวลานี้ทำเอาผมไม่กล้าขยับตัว



ถึงแม้ว่าภายในห้องนี้จะไม่ได้เปิดไฟแต่เมื่อสายฟ้าที่ฟาดลงพาดผ่านหน้าต่างกระจกที่ผมเปิดผ้าม่านไว้ก็ทำให้แสงของมันสว่างวาบขึ้นมาในช่วงจังหวะหนึ่งซึ่งทำให้ผมได้เห็นแววตาของเจ้าจอมที่แสดงออกถึงความรู้สึกบางอย่างกำลังจ้องมองผม



ผมเหมือนถูกมันสะกดด้วยแววตาคู่นั้น ยามที่มันไล่สายตามองใบหน้าของผมทำเอาหัวใจเต้นผิดจังหวะและแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสายตามันหยุดลงที่ริมฝีปาก โดยที่ไม่รู้ตัวผมก็เผลอเม้มปากของตัวเองก่อนลมหายใจจะสะดุดลงอีกครั้งเมื่อมันเอียงใบหน้าของตัวเองก่อนริมฝีปากของมันที่ผมกำลังจ้องมองอยู่จะเคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ



“ผมจูบ..ได้ไหมครับ” มันถามเสียงแผ่วชิดริมฝีปากของผม



แทนคำตอบผมจึงหลับตาลงกระทั่งรับรู้ได้ถึงริมฝีปากอุ่นนุ่มเข้ามาประทับจูบ มันแช่ริมฝีปากค้างไว้เนิ่นนานก่อนจะขยับปากขบเม้มริมฝีปากบนของผมจนต้องครางออกมา ปลายลิ้นของมันค่อยๆไล่เลียก่อนจะใช้ฟันขบกันจนผมต้องนิ่วหน้าและเป็นอีกครั้งที่มันปลอบประโลมด้วยริมฝีปากคู่นั้น



มันพยายามจะให้ผมเปิดปากออกแต่ผมก็ไม่ยอมจนสุดท้ายมันปล่อยให้ผมเป็นอิสระแต่เพียงไม่นานมันก็ประกบปากเข้ามาอีกครั้งตอนที่ผมกำลังหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด ลิ้นของมันค่อยๆลุกล้ำและไล่เลียอย่างช่ำชอง เสียงครางอื้ออึงอยู่ในลำคอ ต่างฝ่ายต่างพอใจในรสจูบที่มอบให้กัน จนเป็นมันที่ผละใบหน้าออกมา พลิกตัวผมให้นอนลงข้างล่างก่อนมันจะใช้แขนยันกับพนักพิงโซฟา ใบหน้ามันเคลื่อนลงมาหาผมอีกครั้ง มันดูดดึงริมฝีปากของผมจนบวมช้ำก่อนจะเคลื่อนใบหน้าลงต่ำมาหยุดที่ซอกคอ



ริมฝีปากได้รูปพรมจูบซ้ำๆ ก่อนจะขบกัดจนตัวผมสะดุ้ง



“ขอโทษครับ” เสียงมันกระซิบขอโทษใกล้ๆใบหูก่อนผมจะเป็นฝ่ายพลิกตัวมันลงข้างล่างแล้วเป็นฝ่ายประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของมันบ้าง



“อือ” เสียงมันครางออกมาด้วยความพอใจ



ผมดูดดึงกลีบปากมันก่อนจะส่งลิ้นเข้าไปทักทายข้างใน มันจูบตอบผมอย่างไม่ยอมแพ้จนได้ยินเสียงน้ำลายและเสียงจูบกันที่ค่อนข้างน่าอายแต่ในขณะนั้นที่อารมณ์กำลังพาไปไกลจึงลืมความเขินอายและมีเพียงความหวาบหวามในอารมณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น



มือไม้ของมันเริ่มปัดป่ายสะเปะสะปะอยู่บนตัวผมก่อนมันจะเคลื่อนมือไปวางไว้ที่สะโพกของผมแล้วลูบขึ้นลงเบาๆ ผมเคลื่อนใบหน้าลงต่ำจูบซับที่ซอกคอของเจ้าจอมก่อนจะสะดุ้งขึ้นอีกครั้งเมื่อมือของมันสอดเข้ามาแล้วบิดขยี้หัวนมของผม



“อื้อ..พอแล้ว” ผมห้ามเสียงพร่า



มันหยุดมือของตัวเองก่อนจะรั้งผมเข้าไปกอดไว้แน่น เสียงหอบหายใจของเราดังขึ้นพอๆกันและผมกับมันก็รับรู้ถึงส่วนล่างที่กำลังตื่นตัว



“ผม...ทำให้ไหมครับ” มือของมันเคลื่อนต่ำลงมาแต่ผมกลับส่ายหน้าแล้วจับมือของมันไว้



“ไม่ต้อง”



เมื่อลมหายใจกลับมาเป็นปกติ ผมก็บอกให้มันปล่อยผมลงเพราะผมจะได้กลับเข้าไปนอนในห้อง ยิ่งพอสติกลับมาก็ไม่ค่อยอยากอยู่ตรงนี้กับมันนานเท่าไหร่เหมือนจะพึ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบ้างก็ยิ่งกระดากอายมึงขึ้นเท่านั้น



เจ้าจอมมันไม่ได้อิดออดอะไร หนำซ้ำมันยังบอกว่ามันขอตัวกลับห้องของตัวเอง ผมไม่ได้เอ่ยห้ามอะไรนอกจากเดินไปส่งมันที่หน้าประตู มันยืนจ้องหน้าผมก่อนจะยิ้มออกมาและเป็นผมเองที่ต้องทำเป็นมองไปทาอื่นเพราะจู่ๆก็รู้สึกเขินกับรอยยิ้มของมัน



สะดุ้งสุดตัวขึ้นมาอีกครั้งตอนที่ปลายนิ้วของมันแตะลงที่ริมฝีปากของผมแล้วลากไล้ไปมา ผมมองมันที่ทำอย่างนั้นก่อนจะเผลอกลืนน้ำลายตอนที่มันเลียริมฝีปากของตัวเอง กระแอมไอเบาๆเพื่อเรียกสติให้กลับมาแต่ก็ไม่ทันไอ้เด็กบ้าที่จู่ๆก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม



“ฝันดีนะครับ...พี่ยีนส์”



มันบอกเสียงแผ่วก่อนลมร้อนที่อยู่ข้างหูของผมจะหายไปพร้อมกับเสียงปิดประตูของมันที่ดังขึ้นเรียกสติของผม






ผมยังหยุดคิดไม่ได้สักทีว่าทำไมคืนนั้นตัวผมเองถึงได้ยอมไอ้เจ้าจอมมันขนาดนั้น ผมพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองอยู่ซ้ำๆทั้งอารมณ์ตอนนั้นอาจจะพาไปหรือผมอาจจะง่วงจนขัดขืนไม่ไหวแต่เหมือนจะปฏิเสธใจของตัวเองไม่ได้ว่าจริงๆแล้วผมก็รู้สึกดีๆกับมัน



เคยได้ยินมาว่าความผูกพันมันน่ากลัวกว่าความรักและเป็นสิ่งที่ตัดขาดได้ยากกว่าความรัก เพื่อนหลายๆคนเคยบอกผมไว้ว่าความผูกพันที่ยิ่งนานก็ยิ่งเอาตัวเองออกมายาก ผมไม่เคยเชื่อมันเลยจนสุดท้ายก็ต้องกลับมาคิดทบทวนว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือเพราะผมผูกพันกับเจ้าจอมหรือเปล่าเลยทำให้เรื่องคืนนั้นเกิดขึ้น



ไม่อยากด่วนสรุปตัดสินใจความรู้สึกของตัวเองทันทีเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องรอบคอบเป็นอย่างมาก หากว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อเจ้าจอมมันคือความรู้สึกดีๆผมก็ไม่อาจปฏิเสธได้นอกจากยอมรับมัน การฝืนความรู้สึกตัวเองเป็นเรื่องที่ผมไม่คิดจะทำและไม่อยากจะทำเพราะอาจทำให้ตัวเราอึดอัดเองเปล่าๆ



อีกเรื่องคือผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เจ้าจอมมันทำในคืนนั้นเลยกลับกันคือเวลาเห็นหน้าของมันแล้วก็จะพาลไปนึกถึเงรื่องคืนนั้นแล้วเอาแต่คิดว่าถ้าได้จูบกันอีกจะเป็นยังไง มันมีแต่เรื่องแบบนี้มากมายอยู่ในหัวของผมทุกครั้งจนบางครั้งผมก็ต้านทานไม่ไหว ในเมื่ออยากจูบแล้วจะทำยังไงได้นอกจากต้องทำตามใจที่ตัวเองต้องการ



“อืม..” ผมครางเสียงแผ่วตอบรับลิ้นอุ่นๆของเจ้าจอมที่ค่อยลุกไล่เข้าในโพรงปาก จูบหวาบหวามที่กินเวลาไม่นานแต่ทำเอาใจเต้นแรง มือของผมเกาะเสื้อของมันไว้แน่นในขณะที่ลิ้นก็นัวเนียพันกันจนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียว



มือของเจ้าจอมค่อยๆเลื่อนลงไปที่ข้างเอวของผมก่อนจะลูบไล้ไปมา มืออีกข้างหนึ่งของมันก็ค่อยสอดลงตรงท้ายทอยของผมช้าๆก่อนจะปรับองศาของใบหน้าเพื่อให้จูบได้ถนัดขึ้น



มันผลักผมลงนั่งบนโซฟาก่อนใบหน้าของมันจะเคลื่อนต่ำลงมาใกล้และประทับจูบลงมาอีกครั้งจนเกิดเป็นเสียงจุ๊บหน้าอาย ผมแหงนหน้ารับจูบจากคนที่ยืนค่อมผมอยู่ก่อนมันจะผละออกไปปล่อยให้ผมได้หอบหายใจเข้าปอดบ้าง



“ปากบวมหมดแล้วครับ” มันว่าแล้วลูบไล้ริมฝีปากของผมเหมือนต้องการจะปลอบประโลม



“มึงดูดปากกูขนาดนี้จะไม่ให้บวดได้ยังไงวะ” อดที่จะบ่นไม่ได้ เล่นทั้งกัดทั้งดูดแบบนั้นถ้าไม่บวมก็ให้มันรู้ไป



“ก็....” มันทำหน้าเจ้าเล่ห์เหมือนกำลังจะพูดอะไรที่ผมต้องกระดากอายเลยแทรกมันขึ้นมาก่อน



“พอแล้วนะได้เด็กเวร ท่องมาตราได้แค่ห้ามาตราแล้วยังจะมาเอาเปรียบกูอีก”



ข้อตกลงที่มันได้จูบผมคือมันต้องท่องมาตราที่ผมบอกให้ได้และมันก็ท่องได้ตามข้อตกลงผมจึงเสียเปรียบมันไป จริงๆมันก็เป็นเพียงข้ออ้างของผมเท่านั้น แค่อยากมีข้ออ้างและเหตุผลว่าผมยอมให้มันจูบทำไมเท่านั้นเอง



“ถ้าท่องได้เยอะกว่านี้ผมจะได้มากกว่าจูบไหมครับ” มันถามอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมกับซบใบหน้าลงบนไหล่ของผม



ผมผลักหัวมันออกแล้วว่าไม่เต็มเสียง “ไม่รู้”



แทนที่ผมจะตอบมันว่าได้แต่ผมก็พูดในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าในอนาคตภายภาคหน้าผมจะยอมทำตามที่มันต้องการหรือเปล่า บอกแล้วไงครับว่าอนาคตยังไงก็ไม่แน่นอน ถึงตอนนั้นผมกับมันอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วก็ได้ใครจะไปรู้



“ถ้างั้นตอนนี้...ผมขอจูบอีกรอบได้ไหมครับ”



ผมมองหน้ามันอย่างลังเลไม่ได้ตอบคำถามแต่เป็นฝ่ายที่ขยับใบหน้าเข้าหามันเอง ได้ยินเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของมันใกล้ๆก่อนริมฝีปากจะเคลื่อนประกบกันอีกครั้งหนึ่ง...


//ยิ้มกรุ้มกริ่ม แหะๆ
#นิติผูกพัน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เอาให้ฝนตกไม่หยุดสักอาทิตย์นะ  :hao6:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ.....พี่ยีนส์

ตกหลุมพรางที่อิน้องเจ้าจอมมันขุดไว้ซะแระ  ตกหลุมจนโงหัวไม่ขึ้น  อิอิ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
แบบนี้จอมคงมีกำลังใจท่องมาตราได้อีกเยอะเลย

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่ 20

ความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบาย



ความสัมพันธ์ของผมกับเจ้าจอมยังคงสถานะเหมือนเดิม อาจจะมีบ้างที่เราสัมผัสกันและกันบ่อยขึ้นแต่ก็ไม่ได้เกินขอบเขตที่จะรับได้เท่าไหร่ ผมพยายามปล่อยใจตัวเองให้สบายๆไปกับความรู้สึกที่มีให้แก่เจ้าจอม มันจึงทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นไม่ต้องไปกังวลและคิดอะไรเยอะแยะ



“ช่วงนี้มีความสุขอะไรวะไอ้ยีนส์ หน้าบานเชียวมึง” ไอ้เป๋ามันเอ่ยทักผมที่เดินเข้ามานั่งในห้อง



ผมไหวไหล่กวนๆไม่ยอมตอบคำถามที่มันสงสัย



“คนมีความรักก็อย่างนี้แหละมึง” ไอ้เตอร์แม่งชักจะรู้เรื่องเยอะไปแล้ว ผมเลยส่งสายตาบอกให้มันหุบปากแต่มันก็ยังคงกวนตีนผมไม่เลิก “จริงไหมวะไอ้ยีนส์?”



ผมด่ามันแบบไม่มีเสียง ดีที่ไอ้เป๋ามันไม่ได้มองหน้าผมเลยไม่รู้เรื่องด้วย



“ความรัก?” เป๋ามันว่า “กับน้องอิงค์เหรอวะ?” คราวนี้มันหันมาหาผมบ้าง



ผมนิ่งไปเมื่อได้ยินชื่อน้องอิงค์ ช่วงนี้ผมกับน้องไม่ค่อยคุยกันเพราะผมเอาแต่อ่านหนังสือและขลุกอยู่แต่ในห้องกับเจ้าจอม พอไอ้เป๋ามันพูดชื่อน้องขึ้นมาผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองจะเอายังไงดีกับความสัมพันธ์ที่เริ่มยุ่งเหยิงแบบนี้



ผมรู้สึกดีกับอิงค์และก็รู้สึกดีกับเจ้าจอมไปพร้อมๆกัน…



อย่างที่รู้กันว่าถ้าเริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาอะไรๆก็ยิ่งจะยุ่งยากมากขึ้น และยิ่งเป็นความรู้สึกที่มีให้คนสองคนพร้อมกันแล้วด้วย มันเลยเป็นเรื่องที่ยากมากกว่าว่าสุดท้ายแล้วนั้นผมจะจัดการกับความสัมพันธ์แบบนี้ยังไง



สุดท้ายอาจจะมีใครคนหนึ่งเจ็บแต่ก็นั่นแหละถ้าเกิดไม่เลือกสักทางก็อาจจะเจ็บกันหมดทั้งสามคน



“อาจารย์มาแล้วเรียนเหอะ” ผมว่าเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ พอดีกับที่อาจารย์เดินเข้ามาในห้อง ผมเลยสามารถบ่ายเบี่ยงไม่ต้อบคำถามของไอ้เป๋าได้



“เปลี่ยนเรื่องเก่งจริงๆนะมึง” มันพึมพำแต่ผมก็ทำท่าไม่สนใจ มันจึงเลิกเซ้าซี้ผมไป



วันนี้ทั้งคาบผมรู้ตัวเองเลยว่าเรียนไม่รู้เรื่องและยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้เรียนเรื่องอะไรบ้าง เพราะเอาแต่คิดว่าตัวเองควรจะจัดการกับเรื่องความสัมพันธ์แบบนี้ยังไงดี ผมยอมรับว่าเห็นแก่ตัวแต่มันก็เลือกที่จะตัดใครสักคนออกยากมาก ในเมื่ออิงค์ไม่ผิด ผมก็ตัดน้องออกไม่ได้และเจ้าจอมมันก็ไม่ผิด ผมก็ตัดมันออกไม่ได้เช่นกัน



ผมไม่อยากให้ใครมาเป็นตัวเลือกของผมแต่ทำยังไงได้ในเมื่อสถานการณ์แบบนี้ผมก็คงต้องเลือกสักคน จะปล่อยให้มันคาราคาซังแบบนี้เรื่องมันก็จะยุ่งยากไปกันใหญ่



“วันนี้ไปติวกันห้องกูนะพวกมึง” ไอ้เตอร์มันว่า “เออ...ไอ้คินบอกไอ้ทาวน์มันด้วยว่าช่วงสอบกูปิดร้านไม่ต้องมาทำงาน”



“อืม” ไอ้คินมันตอบรับก่อนจะโทรหาแฟนของมัน



“แล้วจะเจอกันกี่โมงหรือจะไปตอนนี้เลย?” ผมถามมันบ้างเพราะตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงกว่าๆแล้ว



“สักทุ่มนึงแล้วกัน” ไอ้เป๋ามันตอบ “ขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน วันนี้กูค้างห้องมึงนะไอ้เตอร์”



“เออๆ” เตอร์หันไปหาไอ้หมอกและไอ้ไฟที่ยังคงเงียบ “แล้วพวกมึงสองคนล่ะจะมาหรือเปล่า?”



“กูไปสองทุ่ม” ไอ้ไฟมันตอบ



“เดี๋ยวกูตามไป เอาไอ้ทาวน์ไปด้วย”



“โอเค เจอกัน”



พวกเรานัดหมายกันเสร็จสรรพก็แยกย้ายไปทางใครทางมัน วันนี้ผมขับรถมาเรียนเองเพราะเจ้าจอมมันไม่มีเรียนเลยไม่ได้ติดรถมันมาเหมือนทุกๆวัน



พอกลับมาถึงห้องแล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าไอ้เจ้าจอมมันยังคงนอนอยู่บนโซฟาภายในห้องของผม เมื่อคืนมันมานอนกับผมที่ห้องแต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะนอนยาวขนาดนี้ นี่มึงนอนหรือซ้อมตายอ่ะถามจริง?



ผมเดินเข้าไปหามันก่อนจะยื่นมือไปตบๆเบาที่แก้มของเจ้าจอม เจ้าจอมที่ผมคิดว่ามันหลับอยู่กลับคว้าหมับเข้าที่ข้อมือผมก่อนจะดึงรั้งผมลงให้นั่งบนโซฟาที่มีพื้นที่เหลือเพียงน้อยนิด



“กลับมาแล้วเหรอครับ?” มันถามเสียงงัวเงีย ก่อนจะยกหลังมือของมันขึ้นมาขยี้ตาตัวเองเบาๆ



“อืม” ผมตอบมันพร้อมกับคว้ามือของมันที่กำลังขยี้ตาตัวเองอยู่ออก “เดี๋ยวตาก็แดง” ดุมันอีกนิดหน่อย



“อือ” มันครางงึมงำ กอดเอวผมไว้พร้อมกับซุกหน้าลงที่แผ่นหลังของผม “ผมเหมือนจะไม่สบายเลย” มันว่าเสียงเบาถูไถใบหน้าของตัวเองไปมา



ผมที่ได้ยินมันว่าอย่างนั้นก็รีบหันไปหาก่อนจะยกหลังมือขึ้นมาวางทาบลงบนหน้าผากของมันโดยที่เจ้าจอมก็นอนนิ่งๆให้ผมทำอย่างง่ายดาย



“ตัวรุมๆ” ผมพึมพำ “กินข้าวหรือยัง?”



“กินไปแล้วเมื่อตอนบ่ายโมงครับ” มันตอบเสียงเบา ยกมือขึ้นมาจับมือของผมที่วางอยู่บนหน้าผากของมัน “ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”



ผมพยักหน้า “งั้นก็นอนพักไปก่อน หกโมงจะปลุกให้กินข้าวกินยา”



“ผมนอนมาทั้งวันแล้ว”



ผมมันที่ทำท่าทางงอแงเหมือนเด็ก จนอดหมั่นไส้ไม่ไหวจึงยกมืออีกข้างที่ไม่ถูกมันจำไว้มาเขกหน้าผากมันเบาๆ



“ไม่นอนแล้วจะทำอะไร?” ในเมื่อรู้ดีแก่ใจว่าถ้าบังคับให้มันนอนยังไงมันก็คงไม่นอน อีกอย่างก็ดูเหมือนมันจะนอนมาทั้งวันแล้ว ถ้าได้ตื่นขึ้นมาทำอย่างอื่นบ้างก็อาจจะรู้สึกสดชื่นขึ้น



มันยันตัวขึ้นก่อนจะใช้มืออีกข้างค้ำยันกับโซฟาไว้ ใบหน้าของมันโน้มเข้ามาใกล้ๆก่อนจะประทับริมฝีปากอุ่นร้อนลงบนซอกคอของผมแผ่วเบา ผมครางอื้ออึง เอียงใบหน้าให้มันสัมผัสกับซอกคอของตัวเองมากขึ้น ริมฝีปากเจ้าจอมลากไล้แผ่วเบาก่อนจะขบเม้มดูดดึงจนผมต้องยกมือขึ้นมากำเสื้อมันไว้แน่น



ด้วยอุณหภูมิของร่างกายเจ้าจอมสูงมากกว่าปกติเลยยิ่งพลอยทำให้อารมณ์ของผมพุ่งสูงมากกว่าทุกครั้งที่ได้สัมผัสกัน ผมยกมือมือขึ้นลูบไล้แผ่นหลังกว้างก่อนจะเป็นฝ่ายประทับริมฝีปากที่หน้าผากของอีกคน



“ผมอยากจูบพี่..” มันว่าเสียงแผ่ว มองหน้าผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความปรารถนา



เมื่อถูกทั้งคำพูดและสายตาของมันยั่วยุ ผมจึงเป็นฝ่ายเริ่มโน้มใบหน้าเข้าไปหาก่อนจะคลอเคลียริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากของมัน ขบเม้มอย่างหยอกล้อก่อนจะไล้ลิ้นเลียแล้วดูดดึงจนได้ยินเสียงครางพอใจของคนที่โดนกระทำ พอได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งได้ใจ ผมค่อยๆสอดลิ้นเข้าไปในโพลงปากของเจ้าจอมก่อนจะได้รับการทักทายที่ดีจากมันด้วยการตอบรับจากปลายลิ้นที่ค่อนข้างฝืดเฝื่อนแต่กระนั้นจูบหวานๆที่มอบให้แก่กันก็สามารถลบล้างความเฝื่อนนั้นได้



เมื่ออารมณ์ยิ่งไต่ขึ้นสูงขึ้น ความร้อนแรงในรสจูบก็ยิ่งมากขึ้น เลื่อนมือลงไปในส่วนที่เริ่มแข็งขึงอยู่ภายใต้กางเกงนอนของคนที่เด็กกว่า มันครางเสียงค่ำพร่าก่อนจะขบกัดริมฝีปากผมจนต้องยกมือขึ้นมาตีที่ไหล่ของมัน



“ซนจังเลยครับ” มันว่าแล้วพรมจูบลงบนใบหน้าของผมจนทั่ว



“มันดันขากู” ผมว่าแล้วเหลือบตามองไปยังส่วนนั้นของมัน ไม่ใช่แค่ของเจ้าจอมหรอกที่เริ่มตื่นตัว ของผมก็รู้สึกอึดอัดไม่แพ้มัน



“งั้นช่วยหน่อยได้ไหมครับ” มันว่าเสียงอ้อนพลางก้มลงดูดดึงริมฝีปากของผมซ้ำๆ



ผมได้ไม่ทำการตอบรับแต่กลับคว้าหมับเข้าไปยังส่วนตรงนั้นก่อนจะลูบไล้เบาๆ “อยากให้กูช่วยเหรอ?”



“อือ” มันครางเสียงต่ำพร่าตอนที่ผมเริ่มใช้มือบีบขยำส่วนนั้นของมัน



ผมหัวเราะหึเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของมัน ก่อนจะใช้มือข้างนั้นค่อยๆล้วงเข้าไปในกางเกงนอนของเจ้าจอม เจ้าจอมมันจ้องมองการกระทำของผมอยู่เงียบๆ ทั้งผมและมันก็คงตื่นเต้นไม่แพ้กัน เมื่อส่วนนั้นโผล่พ้นออกมาข้างนอก ผมก็เริ่มรูดรั้งจนได้ยินเสียงสูดปากและเสียงหอบหายใจ



“อา...พี่ยีนส์”



ฝ่ามือของผมรูดรั้งส่วนนั้นของมันเป็นจังหวะเนิบนาบ ก่อนจะเพิ่มความเร็วแล้วผ่อนลงจนเจ้าจอมมันก้มหน้าลงมาซบลงที่ไหล่แล้วกัดผมคงเพราะโทษฐานที่แกล้งทำให้มันทรมาน ใช้นิ้วขยี้ส่วนปลายที่เริ่มมีน้ำเยิ้มออกมาก่อนจะหันไปหาเจ้าจอมที่กำลังหอบหายใจอยู่บนไหล่ตัวเอง



“เป็นไง..หืม?” ถามมันเสียงอ่อน ก้มหน้าลงไปกดจูบบนขมับของมันด้วยความเอ็นดู



“พี่อย่าแกล้งสิครับ” มันเงยหน้าทำตาอ้อน “มันทรมานมากรู้ไหม..”



จากนั้นผมก็เริ่มขยับรูดรั้งส่วนนั้นของมันอีกครั้ง เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆจนเด็กมันอารมณ์ยิ่งไต่ขึ้นสูง ริมฝีปากมันคอยแต่จะคลอเคลียอยู่บนร่างกาของผมโดยที่ผมก็ไม่ได้ห้ามปราม ยิ่งได้ยินเสียงครางของมันและเสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้นซ้ำๆที่ข้างหูก็รับรู้ได้ว่าส่วนนั้นของตัวเองก็อยากจะปลดปล่อยออกมาเช่นกัน



“อา...”



ความคิดนั้นสะดุดลงตอนที่ส่วนนั้นของมันปลดปล่อยอารมณ์ออกมาจนเลอะเต็มมือของผม มันหอบหายใจอย่างรุนแรงจนผมต้องยกมือขึ้นลูบหลัง ใช้เวลาสักพักลมหายใจของเจ้าจอมก็กลับมาเป็นปกติก่อนที่ไหล่ของผมจะรู้สึกหนักๆและพบว่าคนที่พึ่งปลดปล่อยไปเมื่อไม่นานหลับคาไหล่ของตัวเอง



ผมส่ายหน้าและพยุงให้มันนอนดีๆบนโซฟา หาทิชชู่มาทำความสะอาดส่วนนั้นของมันโดยที่ไม่ลืมทำความสะอาดมือของตัวเองไปด้วย ผมเช็คอุณหภูมิร่างกายของเจ้าจอมอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าตัวมันยังรุมๆอยู่ก็ไปหาเจลลดไข้ที่ตัวเองซื้อติดห้องไว้มาแปะให้มันและไม่ลืมที่จะห่มผ้าให้มันเสร็จสรรพ นั่งมองคนที่เพลียจากกิจกรรมเมื่อสักครู่และพิษไข้รวมกันสักพักก็เข้าไปจัดการตัวเองบ้าง



ผมยอมรับว่าหลังจากได้สัมผัสกันก็เริ่มมีความต้องการที่มากขึ้น ยิ่งได้อยู่ใกล้กันมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งห้ามความรู้สึกของตัวเองยากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายก็ไม่มีใครห้ามปรามในความอยากของตัวเอง การกระทำและผลที่เกิดขึ้นจึงออกมาในรูปแบบนี้



“อา...”



ผมครางเสียงต่ำพร่าขณะที่รูดรั้งส่วนนั้นของตัวเอง ในจินตนาการมีเพียงใบหน้าของเจ้าจอมตอนที่กำลังจะแตะขอบอารมณ์ ยิ่งนึกถึงเสียงครางชื่อตัวเองที่ออกมาจากปากของมัน อารมณ์ก็ยิ่งไต่ขึ้นสูงเรื่อยๆ ผมเร่งมือของตัวเองขยับรัวเร็วกระทั่งหยาดน้ำขาวขุ่นไหลทะลักออกมาจากส่วนปลายที่กำลังรูดรั้ง ขยับฝ่ามือรูดเบาๆเพื่อรีดน้ำแห่งอารมณ์ออกมาจนหมด แล้วใช้มือค้ำยันกับผนังห้องน้ำพร้อมกับหอบหายใจด้วยความแรง






“มึงเอามันมาด้วยเหรอวะ?” เสียงไอ้เป๋าถามขึ้นตอนที่ผมเดินเข้ามาในห้องของไอ้เตอร์ คงจะหมายถึงเจ้าจอมที่เดินตามหลังผมมา



“เออ มันขอมาด้วย” ผมตอบแค่นั้นก่อนจะมองหาเจ้าของห้อง “แล้วนี่ไอ้เตอร์มันไปไหน?”



“อยู่ในห้อง มันอาบน้ำอยู่”



ผมพยักหน้าก่อนจะบอกให้เจ้าจอมมันไปนั่งเล่นตรงโซฟา ส่วนผมก็แยกเดินไปหาไอ้พวกที่เหลือที่นั่งอยู่บนโต๊ะขนาดยาวอีกฝั่งหนึ่งซึ่งไอ้เตอร์มันซื้อมาเพื่อใช้อ่านหนังสือด้วยกันโดยเฉพาะ



“หวัดดีครับพี่ยีนส์” ไอ้ทาวน์ที่นั่งกินขนมข้างๆไอ้คินเอ่ยทัก



ผมพยักหน้าตอบรับมัน “ไอ้ทิมไม่มาด้วยเหรอ?” ถามไปถึงเพื่อนรักมันที่มักจะเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ



“มันไม่ว่างครับ ติดเล่นเกมอ่ะ”



เป็นอีกครั้งที่ผมต้องพยักหน้าก่อนจะวางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วเริ่มเปิดเนื้อหาที่นัดติวกันวันนี้



“แล้วนี่ติวไปถึงไหนกันแล้ว” ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูเนื้อหาที่ไอ้หมอกกำลังเขียนใส่สมุด



“ยังไม่เริ่มเลย รอไอ้เตอร์อาบน้ำเสร็จก็จะเริ่มนี่แหละ” มันตอบพลางก็เขียนไปพลาง “ส่วนไอ้ไฟบอกว่าไม่ต้องรอให้ติวกันไปก่อนเลย”



ผมฟังที่มันพูดจนจบก็ลุกขึ้นเดินกลับไปหาเจ้าจอมที่กำลังนั่งอ่านหนังสือของมันอยู่เงียบๆคนเดียว เห็นไอ้เป๋าไปนั่งข้างๆมันก็อาจจะไปช่วยบอกในส่วนที่เจ้าจอมมันไม่เข้าใจ



“ไอ้ยีนส์มาก็ดีละ น้องมึงไม่เข้าใจอ่ะมาอธิบายให้มันฟังหน่อย” ไอ้เป๋ากวักมือเรียกผมยิกๆ ถึงมันจะไม่เรียกผมก็เดินเข้าไปหาพวกมันอยู่แล้ว



พอผมมาถึง ไอ้เป๋ามันก็ลุกขึ้นแล้วปลีกตัวออกไป ผมนั่งลงข้างๆเจ้าจอมก่อนจะชะโงกหน้าไปดูเนื้อหาที่มันกำลังอ่านอยู่



“ไม่เข้าใจตรงไหน?”



มันเงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะก้มลงไปมองหน้าสือแล้วเอ่ยออกมา “ตรงนี้ครับ” พร้อมกับที่นิ้วของมันชี้ลงตรงเนื้อหาที่มันไม่เข้าใจ



ผมเลยเริ่มพูดอธิบายในส่วนเนื้อหาตรงนั้นช้าๆ เพราะจำได้ว่ามันไม่สบายและสมองคงจะคิดตามได้ช้าเช่นกัน เลยใช้วิธีนี้ เจ้าจอมมันยังดูเพลียๆอยู่แต่มันก็ดื้อด้านจะตามผมมาให้ได้ บอกว่าให้มันนอนพักผ่อนที่ห้องตัวเองก็ไม่ยอม สุดท้ายผมก็จนใจจะห้ามเลยยอมให้มันมาด้วยนี่แหละ



“เข้าใจไหม?” ผมเอ่ยถามย้ำเมื่ออธิบายให้มันฟังจบ



“ก็พอเข้าใจครับ”



ผมพยักหน้า มองมันอ่านหนังสือของตัวเองเงียบๆ ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วผมต้องมาเป็นพี่ติวให้กับใครสักคนและไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะสามารถติวให้คนอื่นเข้าใจเนื้อหาได้ขนาดนี้ ผมเคยคิดว่าความรู้ที่ตัวเองเรียนมาก็มีเพียงแค่งูๆปลาๆคงไม่สามารถไปสอนหรือให้ความรู้กับใครได้ แต่ใครจะไปรู้ล่ะครับพอมาได้เป็นพี่ติวจริงๆผมจะสามารถทำสิ่งที่ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะทำได้ ถึงแม้จะไม่ได้เก่งมากมายอะไรแต่แค่ติวให้ใครสักคนเข้าใจในเนื้อหานั้นๆผมก็รู้สึกภูมิใจในความรู้ที่ตัวเองมีมากแล้ว



“ไหวหรือเปล่า?” ผมถามมันเมื่อเห็นมันยกมือขึ้นมานวดศีรษะของตัวเอง



“ปวดหัวนิดหน่อยครับ” มันตอบก่อนจะหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมามองผมอีกครั้ง



“บอกให้นอนพักก็ไม่เชื่อ”



“ก็ผมอยากมาด้วย”



ผมส่ายหน้าแล้วหยิบหนังสือบนตักมันออกมาวางไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา “ไม่ต้องอ่านแล้ว ไปนอนเลย”



“แต่ผมพึ่งตื่นเองนะพี่”



ก็จริงอย่างที่มันว่า พอมันตื่นมาผมก็ไล่ให้มันไปอาบน้ำ กินข้าวกินยาเสร็จแล้วก็ขับรถมาคอนโดไอ้เตอร์



“ถ้าไม่นอนก็ไม่หายหรอกเจ้าจอม”



“ก็ผมไม่อยากนอน”



ผมตีหน้าดุก่อนจะว่าเสียงนิ่ง “มึงอย่าดื้อได้ไหมวะ?”



มันขบเม้มริมฝีปากตัวเอง มองหน้าของผมสักพักก่อนจะถอนหายใจ “ก็ได้ครับ”



เป็นเวลาพอดีที่ไอ้เตอร์มันเดินออกมาจากห้อง มันมองผมกับเจ้าจอมอย่างงุนงงก่อนผมจะลุกขึ้นไปหามันแล้วขอใช้ห้องนอนอีกห้องหนึ่งของมันให้เจ้าจอมมันไปนอนพักก่อน



“ตกลงมึงกับมันยังไงแน่?” ไม่วายมันก็ไม่ลืมตั้งคำถามกับความสัมพันธ์ของผมกับเจ้าจอม



ผมขี้เกียจจะคิดหาข้ออ้างเลยตอบมันไปตรงๆ “พูดยากว่ะ”



ว่าแค่นั้นเตอร์มันก็ตบไหล่ผมแล้วไม่ได้ถามอะไรอีก ผมพาเจ้าจอมมันเข้ามาในห้องนอนที่ไอ้เตอร์มันใช้เพื่อให้เพื่อนที่ต้องการค้างมานอน ในนั้นตกแต่งเหมือนกับในห้องนอนของมันแต่ขนาดห้องจะเล็กว่กาแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรในเมื่อแค่มีที่ให้ไอ้เด็กนี่นอนก็โอเคแล้ว



“นอนซะ” ผมว่าแล้วดันให้มันนอนลงบนเตียง “กูจะออกไปอ่านหนังสือแล้วจะเข้ามาดูเป็นระยะ”



“ครับ” มันตอบรับสิ่งที่ผมพูดก่อนจะหลับตาลงแล้วหลับไป






เตอร์ Part



ผมนั่งสังเกตอาการของไอ้ยีนส์ที่มันดูกังวลและหันไปมองทางห้องนอนแขกบ่อยๆ ดูท่าทางแค่นี้ก็พอจะเดาได้แล้วว่าไอ้น้องติวของมันสำคัญกับมันขนาดไหน แต่คนอย่างไอ้ยีนส์กว่าจะยอมรับอะไรง่ายๆก็ใช้เวลาพอสมควร



มันไม่ได้เริ่มเป็นตอนที่เจ้าจอมเข้ามาแต่นิสัยแบบนี้ของมันมีมาตั้งนานแล้วตั้งแต่คบกับแฟนคนแรก ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายมันก็เป็นแบบนี้หมด มันเป็นคนที่ค่อนข้างปากแข็ง ไม่ค่อยพูดความรู้สึกตัวเองออกมาสักเท่าไหร่



แต่หลังๆพอมันได้ยินคนที่มันเคยคบด้วยด่าบ่อยๆและหลายๆคนมันก็เริ่มปรับปรุงตัว มันเริ่มพูดความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นสังเกตได้จากตอนที่ผมเห็นมันคุยกับอิงค์ทางโทรศัพท์และยิ่งมันชอบแสดงออกด้วยการกระทำด้วยแล้วก็ยิ่งดีขึ้นไปใหญ่ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ากับเจ้าจอมไอ้ยีนส์มันแสดงออกยังไง



ในทีแรกปากก็บอกว่าเกลียดแสนเกลียดแต่ไม่รู้ไปไงมาไงถึงลงเอยกันแบบนี้ได้ อีกทั้งไอ้ยีนส์มันก็ยังไม่ได้เคลียร์เรื่องน้องอิงค์ ผมเดาได้เลยว่ามันชอบใครมากกว่ากันแต่อยู่ที่ว่ามันจะยอมรับความรู้สึกตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน ผมไม่รู้ แต่การกระทำของมันที่แสดงออกต่อเจ้าจอมเมื่อกี้ก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ถ้าเกิดมันไม่ห่วงมันก็ไม่แยแสเขาขนาดนั้นหรอก



ก็อย่างว่าคนมันฟอร์มเยอะแถมยังปากแข็งอีกพูดยากจริงๆครับ ผมก็ได้แต่มองดูมันห่างๆและรอคอยที่จะให้คำปรึกษากับมันถ้ามันต้องการ จะไปบังคับหรือกะเกณฑ์เรื่องความรู้สึกของมันไม่ได้หรอก แค่อยู่ตรงนี้แล้วทำหน้าที่เพื่อนให้ดีที่สุดเท่านั้นก็พอ



“กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บ”



ไม่รู้ว่ามันจะรู้ตัวหรือเปล่าว่านี่ไม่ใช้ครั้งแรกที่มันบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ตั้งแต่นั่งติวกันมาก็เป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนแล้วที่มันนั่งๆลุกๆแล้วบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เพื่อนคนอื่นก็อาจจะสังเกตเห็นอาการของมันแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรเพราะก็คงเข้าใจว่าไอ้ยีนส์มันก็ต้องการเวลาของมันเหมือนกัน



ส่วนเด็กนั่นดูก็รู้แล้วว่าชอบไอ้ยีนส์มากแค่ไหน ผมสังเกตเห็นอาการที่มันแสดงออกกับไอ้ยีนส์ในวันที่ไปกินเหล้าด้วยกันแล้วก็รู้ได้ทันที ไหนจะแววตาที่มันใช้มองไอ้ยีนส์อีกนั่นล่ะ มีแต่เพื่อนผมนั่นแหละที่ไม่ได้สังเกตอะไรเหมือนอย่างคนอื่น อย่างว่าแหละมันอยู่ด้วยกันมันก็คงจะชินเลยไม่ได้คิดอะไรแต่สายตาคนนอกอย่างผมก็มองอีกมุมหนึ่งไงเลยได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับมันทั้งสองคน



เอาเถอะ..เรื่องของคนสองคน ปล่อยให้มันจัดการกันเองก็แล้วกัน





ขอบคุณทุกคนมากๆนะคะ ส่วนตอนนี้ก็..แหะๆ //ยิ้มแห้งใส่ทุกคน

#นิติผูกพัน


ออฟไลน์ CHOMWAN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โิอ๊ยยยยยชัดเจนแล้วนะพี่~~ยอมรับใจตัวเองเซ่

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ขาดหมอนกับขวดนม ถ้ามีล่ะก็.....  o18

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
มันชัดเจนมากอย่างที่พาร์ทเฮียเตอร์บอกเลยนะพี่ยีนส์ ขอให้รู้ใจตัวเองไวๆว่าชอบใครมากกว่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เตอร์นี่ฉลาดล้ำลึก  มองขาด

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3

ตอนที่21

ตัวเลือก


สถานการณ์ตอนนี้ของผมไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไรทำไมรู้สึกเหมือนว่ารถไฟมันชนกันแปลกๆ



“อ้าวพี่ยีนส์ สวัสดีค่ะ”



ผมรับไหว้น้องอิงค์ด้วยความมึนงง หลังจากเรียนเสร็จผมก็เดินลงมาจากอาคารมองเห็นไกลๆว่าไอ้เจ้าจอมที่รอผมอยู่มันกำลังคุยกับผู้หญิงสักคนแต่ผมก็ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นน้องอิงค์ไปได้



ผมเหลือบมองหน้าไอ้เจ้าจอมที่ก็กำลังมองผมอยู่เช่นกัน ใบหน้าของมันนิ่งสนิทก่อนผมจะกระแอมเบาๆเหมือนคนมีความผิดอะไรสักอย่าง จากนั้นจึงเบี่ยงสายตามาหาน้องอิงค์ที่ยีนส์ยิ้มอยู่ข้างๆ



“ไปไงมาไงครับถึงมาที่คณะพี่ได้” ผมเอ่ยถามน้องด้วยความแปลกใจเพราะถ้าไม่นัดกับผมไว้ก็ไม่เคยจะเห็นน้องโผล่มาที่คณะของผมสักที



“อ้อ อิงค์มาหาพี่ยีนส์นั่นแหละค่ะ” น้องว่าแล้วส่งยิ้มให้ “พอดีใกล้จะสอบแล้วอาจจะไม่ได้เจอกันหรือคุยกันเลย อิงค์ก็เลยว่าจะชวนพี่ยีนส์ไปทานข้าวด้วยกันค่ะ”



มันเป็นการชวนปกติของคนที่คุยกันอยู่แล้ว เมื่อก่อนผมกับน้องก็ชวนกันไปไหนมาไหนแบบนี้นี่แหละแต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้คำชวนของน้องทำให้ผมรู้สึกว่าตอบรับยากเหลือเกิน จังหวะหนึ่งที่ผมหันไปหาเจ้าจอม มันก็ไม่ได้มองหน้าผมอีกแต่ใบหน้ามันก็ไม่ได้ดีขึ้นจากตอนแรกเลย ผมรู้ว่ามันคงไม่โอเคกับเหตุการณ์ตอนนี้เลยเลือกที่จะบอกมันก่อนที่จะตอบคำถามน้องอิงค์



“มึงไปรอที่รถก่อน กูขอคุยกับอิงค์แป๊บนึง” มันไม่ได้ตอบอะไรนอกจากมันจะฟังที่ผมบอกเสร็จแล้วก็เดินไปที่รถของมันทันที ผมถอนหายใจกับเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นก่อนจะปรับอารมณ์ของตัวเองแล้วหันไปหาน้องอิงค์ซึ่งกำลังมองตามไอ้เจ้าจอมมันอยู่ “แล้วจะนัดกันวันไหนดีครับ?”



อิงค์หันกลับมาแล้วทำหน้านึกคิด “เอาเป็นวันศุกร์ดีไหมคะ อิงค์จำได้ว่าอิงค์กับพี่ยีนส์เลิกเรียนพร้อมกัน”



“อืม เอางั้นก็ได้ครับ” ผมตอบตกลงน้องในที่สุด การตกลงไปกินข้าวกับน้องในครั้งนี้อาจจะทำให้สิ่งที่ผมกำลังสับสนอยู่มีทางออกขึ้นมาก็ได้ “งั้นถ้าพี่เลิกเรียนแล้วจะไปรับที่คณะนะครับ”



“ได้ค่ะ”



ผมกับอิงค์คุยกันอีกนิดหน่อย อิงค์ก็ขอตัวกลับ ส่วนผมก็เดินไปที่รถที่จอดรอผมอยู่ เมื่อเปิดประตูเข้าไปนั่งผมก็หันไปหาเจ้าของรถแต่มันกลับไม่ได้สนใจผมเลยสักนิด ผมถอนหายใจขึ้นมาอีกครั้งก่อนรถจะเคลื่อนตัวออกไปพร้อมกับบรรยากาศที่เงียบสนิทมาตลอดทาง






ผมพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงอย่างคนที่นอนไม่หลับ ตั้งแต่กลับมาผมกับเจ้าจอมก็ยังไม่ได้คุยกัน พอผมเริ่มชวนมันคุยมันก็เอาแต่ถามคำตอบคำเหมือนไม่อยากจะพูดกับผม ผมรู้ว่ามันคงไม่โอเคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ขึ้นตั้งแต่แรกและผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทั้งอิงค์และเจ้าจอมจะมาเจอกันในวันที่ความสัมพันธ์ยังคงไม่ชัดเจน



ก็ไม่ได้อยากโทษใครว่าผิด มันคงจะเป็นสิ่งที่ผมควรจะคิดได้สักทีว่าผมต้องการใครมากกว่ากัน ให้อยู่แบบนี้ผมก็เริ่มรู้สึกอึดอัดแต่ทำไงได้ในเมื่อความคิดและความรู้สึกของผมก็ยังคงสับสนอยู่เหมือนเดิม



เรื่องที่ผมตกลงไปกินข้าวกับอิงค์ก็อาจจะทำให้ผมคิดอะไรได้มากขึ้นกว่านี้ ถ้าให้ผมตัดสินทันทีผมว่ามันก็ไม่ใช่ ด้วยความที่ผมอยู่กับเจ้าจอมแทบตลอดเวลา เลยคิดว่ามันคงเป็นเพราะความใกล้ชิดและความผูกพันหรือเปล่าทุกอย่างระหว่างผมกับเจ้าจอมเลยเกิดขึ้น



ผมกับมันอาจจะไม่มีความรู้สึกอะไรให้กันมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้..



แต่ถ้าจะปล่อยให้เจ้าจอมมันเมินผมอยู่แบบนี้ผมก็ทนไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นจากที่นอนแล้วออกจากห้องเพื่อมากดกริ่งเรียกอีกคนที่อยู่ห้องข้างๆ



ผมพยายามรอมันอย่างใจเย็น บอกตัวเองว่าถ้าหากมันไม่เปิดประตูมันก็คงจะหลับอยู่ ก็เวลาขนาดนี้แล้วถ้ามันจะนอนก็คงไม่แปลก มีแต่ผมนี่แหละที่หลับไม่ลงอยู่คนเดียวเพราะเอาแต่คิดเรื่องของมัน



“พี่ยีนส์...”



ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่เรียกชื่อผม เจ้าจอมมันใส่ชุดนอนและสภาพมันก็ดูงัวเงียเหมือนคนพึ่งตื่น เห็นอย่างนี้แล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ไปรบกวนเวลานอนของมัน



“กูขอโทษนะแต่ว่า...ขอนอนด้วยได้ไหม?” ผมมองมันอย่างมีความหวัง ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรในการที่จู่ๆก็มาเคาะห้องมันกลางดึกแบบนี้



“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”



ถ้าเป็นเวลาปกติมันจะไม่ถามผมแบบนี้แต่ผมก็เข้าใจมันแหละว่าตอนนี้อารมณ์มันก็คงไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่



“แค่อยากนอนด้วย” ผมว่าแล้วขยับเดินเข้าไปใกล้มันที่ยืนอยู่หลังบานประตู “ขอเข้าไปหน่อยสิ” ไม่รอให้มันเอ่ยปากอนุญาตก็แทรกตัวเองเข้าไปในห้องของมันอย่างถือวิสาสะ เจ้าจอมมันไม่ได้ห้ามและผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มันทำหน้ายังไงเพราะพอเดินเข้ามาได้ผมก็มุ่งตรงไปที่ห้องนอนของมันทันที



ผมทิ้งตัวลงนอนฝั่งที่ตัวเองเคยนอน ได้ยินเสียงปิดประตูห้องและคนเป็นเจ้าของห้องก็เดินเข้ามา



“พี่มีอะไรหรือเปล่า?”



“มานอนดิ” ผมตบที่ว่างข้างตัวเพื่อเรียกให้มันมานอนบนเตียงด้วยกัน เห็นเจ้าจอมมันถอนหายใจสุดท้ายก็ยอมปิดไฟในห้องแล้วเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนอนตามที่ผมบอก



ทุกครั้งที่นอนด้วยกันมันไม่เคยนอนหันหลังให้ผมเลยสักครั้งแต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป พอมันทิ้งตัวลงนอนได้มันก็พลิกตัวไปอีกทางและไม่พูดถามอะไรผมอีก จนเป็นผมที่ต้องเป็นฝ่ายเขยิบเข้าไปหามัน ก่อนจะขยับใบหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้หลังคอของเจ้าจอมแล้วกดจูบลงแผ่วเบา เคลื่อนใบหน้าไปกระซิบถามมันข้างหู



“เป็นอะไร?” ก้มลงมองมันที่ข่มตานอนทั้งที่ผมก็ดูออกว่ามันยังไม่นอนจริงๆ “เจ้าจอม” ผมเรียกมันเสียงอ่อน ยกมือขึ้นลูบไล้กรอบหน้าได้รูปของคนที่แกล้งหลับ



เสียงมันถอนหายใจขึ้นมาอีกครั้งในความเงียบ ผมนิ่งรอมันอย่างนั้นด้วยความใจเย็น



“พี่คิดยังไงกับผมกันแน่?” มันลืมตาขึ้นแล้วหันหน้าเข้ามาหาผม กลายเป็นว่าตอนนี้เรากำลังนอนหันหน้าเข้าหากัน ใบหน้าห่างกันแค่เพียงลมหายใจกั้น “ถ้าพี่ไม่รู้สึกอะไรกับผมก็เลิกทำแบบนี้เถอะครับ”



ผมนิ่งเงียบ ประสานสายตากับมันในความมืด ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องพูดอะไรออกไปดี เหมือนว่าถ้าหากพูดอะไรออกไปตอนนี้ก็เหมือนจะไม่ดีขึ้นสักทาง



“กูขอโทษ...” ขอโทษที่ไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองรู้สึกยังกับมันในตอนนี้ ผมก็เป็นแค่คนโง่เง่าที่ต้องการเวลาในการคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง เป็นคนเห็นแก่ตัวที่ยังอยากรั้งคนสองคนไว้จนกว่าตัวเองจะตัดสินใจเลือกใครสักคนได้ ผมมันก็เป็นแค่คนๆหนึ่งที่ไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไรสักที



“ถ้าพี่จัดการความรู้สึกของตัวเองได้แล้วเราค่อยมาคุยกันดีกว่านะครับ” มันยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของผม ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามากดจูบบนหน้าผากของผมเนิ่นนานแล้วผละออก “นอนเถอะครับ ผมไม่ไปไหนหรอก ผมจะรอพี่อยู่ตรงนี้เหมือนเดิม ไม่ต้องกังวลนะครับ”



“ขอบคุณ” ผมว่าเสียงแผ่ว รู้สึกผิดที่ทำให้ใครสักคนหนึ่งต้องเสียเวลารอผมที่ไม่ยอมจัดการความรู้สึกของตัวเองสักที “ขอโทษที่ทำให้ต้องรอแต่ถ้าหากผลลัพธ์มันออกมาแล้วมึงไม่ใช่..”



คนที่กูเลือกล่ะ...



มันกดจูบลงบนริมฝีปากผมทำให้ผมต้องหยุดพูดคำๆนั้นออกมา “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้านั่นเป็นสิ่งที่พี่เลือกแล้วและพี่ก็มีความสุข ผมก็โอเค”



จ้องมองรอยยิ้มของมันที่ส่งมาให้กัน มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้แสดงถึงความสุขแต่มีเพียงความเศร้าสร้อยและความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ลึกๆภายใต้รอยยิ้มของมัน



“กูไม่อยากให้ใครต้องเจ็บ” ผมซบหน้าลงบนไหล่เจ้าจอม หลับตาลงเพราะความรู้สึกอึดอัดที่เกิดขึ้น “แต่มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็มีคนที่ต้องเจ็บอยู่ดี”



“อย่าคิดมากสิครับ ผมเข้าใจพี่เสมอนะไม่ต้องคิดมาก”



“กูแม่งนิสัยไม่ดีที่เก็บมึงกับอิงค์ไว้เป็นตัวเลือก พอเวลาที่กูต้องเลือกใครสักคน แล้วคนที่ไม่ถูกเลือกก็ต้องมาเจ็บเพราะกู”



“พี่ยีนส์ครับ...” มันว่าแล้วจับให้ผมผละออกมาจากไหล่ของมัน ก่อนมือของมันจะช้อนใบหน้าของผมขึ้นเพื่อให้สบตากัน “ฟังผมนะ...เรื่องความรู้สึกน่ะมันไม่มีใครห้ามได้หรอกนะครับ ผมบอกแล้วไงว่าถึงแม้จะไม่ถูกเลือกแต่ถ้าพี่มีความสุขในสิ่งที่พี่เลือกผมก็ยินดีด้วย ความรักน่ะไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องคบกันหรือต้องได้ครอบครองกันเสมอไปนะครับ แค่เพียงเห็นคนที่เรารักมีความสุขมันก็เพียงพอต่อคำว่ารักของผมมากแล้ว”



“มึงยิ่งพูดกูยิ่งรู้สึกผิด”



“อะไรเนี่ยพี่” เจ้าจอมมันขำก่อนว่าต่อ “ผมก็อุตส่าห์พูดให้ซึ้งๆแล้วเชียวดันมารู้สึกผิดอีก”



“เออ ก็รู้สึกผิดจริงๆนี่หว่า”



“ร้องไห้หรือเปล่าครับเนี่ยจะได้เปิดไฟดู..เป็นบุญตาของผมจริงๆ” มันว่าอยากหยอกล้อ ลูบแก้มผมเล่นเหมือนต้องการจะหาคราบน้ำตาบนใบหน้าของผมไปด้วย



“ไอ้เด็กเวร..”



มันหัวเราะขำสักพักเสียงหัวเราะของมันก็เงียบลง “นอนเถอะครับไม่ต้องคิดมากนะ ส่วนเหตุการณ์วันนี้พี่คงรู้ว่าผมไม่โอเคเท่าไหร่แต่ผมก็เข้าใจในเมื่อพี่กับอิงค์ก็คุยๆกันอยู่”



“อืม”



“อย่างที่บอกไปว่าผมรอพี่ได้แต่ถ้าพี่ได้คำตอบเมื่อไหร่ก็รีบบอกผมเลยนะครับ” มันกดจูบลงบนหน้าผากของผมอีกครั้งก่อนจะไล่ลงมาตรงปลายจมูกและหยุดลงที่ริมฝีปากเนิ่นนานแล้วผละออก “ตอนนี้ก็นอนได้แล้วครับ ดึกมากแล้ว”



มือของมันลูบไปมาอยู่บนแผ่นหลังของผม ผมยกมือขึ้นไปวางที่เอวเจ้าจอม กำเสื้อของมันไว้แน่นก่อนจะซบใบหน้าลงกับไหล่ของมันอย่างคนที่ต้องการที่พักพิง ทั้งที่จริงๆแล้วคนที่เจ็บปวดไม่แพ้กันอย่างเจ้าจอมก็คงต้องการใครสักคนมาช่วยปลอบใจแต่ผมก็ไม่สามารถทำได้อีกทั้งยังต้องให้มันเป็นคนมาปลอบตัวผมเอง



“ขอบคุณมึงมากนะ”



มีเพียงคำๆนี้ที่ผมต้องการจะบอกมัน ไม่อยากจะให้ความหวังใครไปมากกว่านี้ ยิ่งหวังมากก็ยิ่งเจ็บมากและผมก็ไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บเพราะความเห็นแก่ตัวของผมอีก






ฤดูกาลสอบปลายภาคมาถึงอย่างรวดเร็ว นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ต่างก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือไม่แม้แต่จะเงยหน้าคุยกับใคร นานๆครั้งเห็นจะได้ที่ต้องเปิดปากพูดแต่ส่วนใหญ่เรื่องที่พูดก็ไม่พ้นไปจากบทเรียนที่กำลังอ่านกันอยู่



แม้ว่าจะอ่านหนังสือล่วงหน้ากันมาแล้วสองเดือนแต่เราก็ไม่สามารถชะล่าใจให้กับวิชาสอบได้สักวิชา อันไหนที่คิดว่าง่ายก็อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด สำหรับคนที่เคยผ่านสนามสอบมาแล้วอย่างผมก็รู้ดีว่าทุกวิชาแม่งก็ยากพอๆกัน



ตั้งแต่เข้าช่วงสอบผมกับเจ้าจอมก็ไม่ค่อยได้เจอกัน ถึงจะบอกว่าผมเป็นพี่ติวก็ควรจะต้องติวให้มันช่วงสอบแต่ก็ทำไม่ได้เพราะผมก็ต้องอ่านของผม เจ้าจอมมันก็เกรงใจกลัวว่าผมจะอ่านสอบไม่ทันและเนื้อหาในหัวอาจจะตีกันได้ มันเลยเลือกที่จะไปอ่านและไปติวกับเพื่อนของมันส่วนผมก็แยกมาอ่านกับเพื่อนของตัวเองเช่นกัน



สำหรับเรื่องความสัมพันธ์ก็เหมือนจะต้องหยุดชะงักไปก่อนเหมือนเป็นการห่างที่ทำให้เราต่างฝ่ายต่างต้องคิดทบทวนกับตัวเองว่าจริงๆแล้วความรู้สึกนั้นมันคืออะไรกันแน่ เมื่อคราวนั้นที่ผมกับอิงค์ได้ไปกินข้าวด้วยกันก็ทำให้ผมคิดอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง มันอาจจะไม่ชัดเจนมากนักแต่ผมก็พอรู้ตัวแล้วว่าตัวเองต้องการอะไร



ผมยังจำได้ว่าเจ้าจอมมันเคยจะบอกอะไรผมสักอย่างแต่ผมก็ห้ามมันไว้ก่อนเพราะตอนนั้นตัวผมเองก็ยังไม่พร้อมที่จะฟัง ส่วนในตอนนี้ผมคิดว่าผมมีความพร้อมมากพอสมควรแล้ว ผมคิดไม่ออกเลยว่าวันนั้นผมจะแสดงท่าทางออกมายังไงดีหลังจากเจ้าจอมมันบอกสิ่งที่ตัวมันต้องการจะบอกผม



หลังจากสอบเสร็จ ผมกับเจ้าจอมจะเปิดใจคุยกันอีกครั้งและวันนั้นก็อาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่ผมก็ไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน ไม่ว่าจะยังไงผมก็ภาวนาว่าให้มันเป็นไปในทิศทางที่ดีก็พอ



พอได้ห่างกันแบบนี้ก็รู้สึกนึกถึงมันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร ในวันวันหนึ่งก็ต้องส่งข้อความเพื่อถามความเป็นไปกับมันตลอด มันเป็นอาการที่ผมรู้ดีว่ามันคืออะไรแต่ตอนนี้ยังไม่สามารถพูดออกไปได้เพราะต่างคนก็ต้องต่างโฟกัสกับเรื่องสอบของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากสอบแล้วก็ค่อยมาว่ากันใหม่



เจ้าจอม : กินข้าวหรือยังครับ?

ยีนส์ : อืม

ยีนส์ : มึงล่ะ?

เจ้าจอม : เรียบร้อยแล้วล่ะครับ

เจ้าจอม : ผมไปก่อนนะเพื่อนเรียกแล้ว

เจ้าจอม : ตั้งใจอ่านหนังสือนะครับ ผมเป็นกำลังใจให้

ยีนส์ : เออ

ยีนส์ : มึงก็เหมือนกัน

ยีนส์ : กูก็เป็นกำลังใจให้

เจ้าจอม : มีกำลังใจขึ้นมาทันทีเลยครับ

เจ้าจอม : (สติ้กเกอร์กระต่ายส่งหัวใจ)

ยีนส์ : ไปได้แล้วไอ้เด็กเวร!

เจ้าจอม : เขินแล้วก็เป็นแบบนี้ทุกที



ผมไม่ตอบอะไรมันอีกเพราะยิ่งตอบไปมันก็ยิ่งจะตอบมา ไม่ได้อ่านหนังสือหนังหากันพอดี



“อ่านหนังสือครับอย่ามัวแต่เล่นโทรศัพท์ครับ” ไอ้เป๋าสอดหน้าเข้ามาดูโทรศัพท์ของผม ดีที่ตัวเองล็อคหน้าจอไว้ทันก่อนที่มันจะเสนอหน้าเข้ามาดู “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวมีความสุขมากล่ะสิท่า”



“เออไอ้สัด” ผลักหัวมันไปทีเพราะข้อหาหมั่นไส้ ก่อนจะเปิดเนื้อหาในบทต่อไปแล้วเริ่มอ่านเงียบๆอีกครั้ง






ผมเดินออกมาจากห้องสอบในวิชาสุดท้ายของการสอบในภาคเรียนนี้ด้วยสภาพโซซัดโซเซ สภาพไม่ต่างกับซอมบี้เดินได้เท่าไหร่นัก เสียงพูดคุยงุ้งงิ้งเบาๆของพวกที่สอบเสร็จแล้วดังขึ้นให้ได้ยินแต่ผมก็ไม่สามารถจะจับใจความคำพูดของแต่ละคนได้สักเท่าไหร่เพราะตอนนี้สมองมันเบลอและต้องการการพักผ่อนมากจริงๆ



“เป็นไงทำได้ไหมมึง?” เพื่อนในคณะสักคนถามผมขึ้นขณะที่ผมกำลังเดินผ่านหน้ากลุ่มพวกมัน



“พอได้ว่ะแต่ไม่แน่ใจว่าจะถูกหรือเปล่า” ถึงแม้จะมั่นใจในบางข้อแต่ก็ไม่สามารถฟันธงได้หรอกครับว่าผมจะทำถูกตามที่อาจารย์เฉลยหรือเปล่า



พวกมันก็ตอบอืออาไปกับผมแล้วก็พูดนั่นพูดนี่ให้ผมฟัง ผมได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะขอตัวผละออกจากพวกมันมา จากสภาพตัวเองแล้วคงจะยืนพูดหรือยืนฟังใครพูดไม่ไหวแล้วล่ะครับ ร่างกายของผมพร้อมจะหลับได้ตลอดเวลาเลย



ช่วงสอบผมไม่ค่อยจะขับรถมาสอบเองสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะจ้างพี่วินหน้าคอนโดมารับ-ส่งผมตลอด ผมใช้บริการพี่เขาตั้งแต่ปีหนึ่งจนตอนนี้ปีสามแล้วก็ใช้บริการพี่วินคนเดิมอยู่และตอนนี้ผมกับพี่วินก็ซี้กันไปแล้วล่ะครับ



พอผมเดินมาถึงพี่วินก็ยื่นหมวกกันน็อคมาให้ผมก่อนพี่แกจะหัวเราะให้กับสภาพที่ไม่ค่อยเหมือนคนสักเท่าไหร่ของผม ไอ้ผมก็ไม่ได้ถือสาอะไรเพราะก็รู้ดีอีกนั่นแหละว่าสภาพของตัวเองมันตลกขนาดไหน เอาเถอะสภาพแบบนี้จะได้เห็นแค่ตอนช่วงสอบเท่านั้น



พี่วินพาผมซิกแซ็กตามตรอกนั้นตรอกนี้กระทั่งมาถึงคอนโด หลังจากลงจากรถผมไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินพี่เขาเนื่องจากผมได้จ่ายพี่วินตั้งแต่สอบวันแรกแล้ว เรียกว่าจ้างแบบเหมาจ่ายนั่นแหละ



“ขอบคุณมากพี่” ก่อนเดินเข้าคอนโดก็ไม่ลืมขอบคุณพี่เขา



“ไม่เป็นไรไอ้น้อง เอ็งก็พักผ่อนบ้างล่ะท่าทางเหมือนยังไม่ได้นอน”



“ครับพี่”



ผมเดินอย่างคนหมดสภาพเข้ามาภายในห้อง เดินพุ่งตรงไปในห้องนอนของตัวเองทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไร พอทิ้งตัวลงบนเตียงงนุ่มๆของตัวเองได้ไม่ถึงเสี้ยววินาทีผมก็หลับไปเลย



ตื่นมาอีกทีห้องก็มืดสนิท มือควานหาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ตรงไหนสักแห่งกำลังสั่นอยู่ใกล้ๆจนผมก็ชักจะรำคาญ ไอ้โทรศัพท์เครื่องนี้ล่ะมั้งที่เป็นตัวการทำให้ผมต้องลืมตาตื่นทั้งที่ยังนอนไม่ทันข้ามวัน



“อืม...” เอ่ยรับด้วยน้ำเสียงงัวเงีย อีกทั้งตาก็แทบจะลืมไม่ขึ้นก็เลยไม่ฝืนปิดมันไว้อย่างนั้น



(นอนอยู่เหรอครับ) เสียงคุ้นเคยของใครสักคนดังขึ้นจากปลายสาย ผมเอาโทรศัพท์ออกมาดูรายชื่อของคนโทรเข้าอีกครั้ง หรี่ตามองเพราะแสงสว่างจ้าบนหน้าจอ พอเห็นว่าเป็นรายชื่อของเจ้าจอมก็เอาโทรศัพท์แนบหูลงอีกครั้ง



“อือ” ตอบรับสั้นๆพร้อมกับอ้าปากหาวหวอด



(กินข้าวหรือยังครับ)



“ยัง”



(จะกินอะไรไหมครับเดี๋ยวซื้อไปให้)



“อะไรก็ได้”



(ข้าวผัดหมูแล้วกันนะครับ)



“อือ” ผมไม่เรื่องมาก มันอยากซื้ออะไรมาให้กินก็กินหมดแหละ ตอนนี้สมองแค่คิดว่าจะกินอะไรยังคิดไม่ออกเลย “อยู่ไหน”



(หอเพื่อนครับ เดี๋ยวอีกยี่สิบนาทีจะเอาข้าวไปให้นะครับ)



“อืม..”



ไม่นานสักเท่าไหร่ในความรู้สึกของผมเสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น ผมโอ้เอ้อยู่บนเตียงสักพักก็ลุกขึ้นเพื่อจะไปเปิดประตูให้กับคนที่มากดกริ่งอยู่นอกห้อง



“อ่านหนังสือจนไม่ได้นอนอีกแล้วใช่ไหมครับ?” มันถามพลางขมวดคิ้วมุ่น ผมส่ายหน้าแล้วเดินหนีมันไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา “ดื้อจริงๆเลย”



พอได้ยินมันว่าผมดื้อเหมือนเด็กๆแล้วก็ไม่วายชักสายตาใส่มัน “แล้วซื้ออะไรมาบ้างเยอะแยะ” ผมทำเปลี่ยนเรื่องเพราะขี้เกียจฟังมันบ่น



มันหรี่ตามองผมอย่างรู้ทันแต่ผมก็ทำลอยหน้าลอยตาก่อนมันจะตอบคำถามของผม “ข้าวผัดกับของหวานอีกนิดหน่อยครับ”



“แต่กูยังไม่หิวเลย” ตอนนี้ผมรู้สึกอยากนอนมากกว่ากินข้าวซะอีก



“กินก่อนครับแล้วจะปล่อยให้นอน” มันว่าแล้วเดินเข้ามาดึงแขนให้ผมลุกขึ้นแต่ผมก็ทำตัวแข็งหลังติดโซฟา ก็คนมันยังไม่หิวนี่หว่า “ลุกขึ้นครับพี่ยีนส์”



ทำเป็นเสียงดุทำตาดุใส่อีก คิดว่าน่ากลัวมากมั้ง...เออ ลุกก็ได้วะ!



ผมเดินตามมันต้อยๆไปยังโต๊ะกินข้าว เจ้าจอมมันเทอาหารใส่จานให้ผมเรียบร้อยแล้วผมก็เลยมีหน้าที่กินอย่างเดียวโดยที่ไม่ต้องทำอะไร



ระหว่างมื้ออาหารก็ไม่อยากให้เงียบเกินไปเดี๋ยวผมจะหลับคาจานข้าวซะก่อน ขนาดมีข้าวอยู่ในปากผมก็ยังหยุดหาวไม่ได้เลย



“สอบเสร็จวันไหน?” ผมจำได้ว่ามันสอบเสร็จหลังผมแต่ผมก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่ามันสอบเสร็จวันไหน



“อีกสามวันครับ”



“อืม..แล้วที่ผ่านมาทำข้อสอบได้ไหม?”



“พอได้ครับแต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่”



“แต่ก็ทำได้ใช่ไหมล่ะ” มันพยักหน้า ผมเลยว่าต่อ “ก็ดีแล้ว”



“แล้วพี่ล่ะครับสอบเป็นยังไงบ้าง?”



“ก็โอเคแต่สภาพหลังสอบก็อย่างที่เห็น” ผมไหวไหล่ ก็นะสภาพหลังสอบของเพื่อนๆผมก็ไม่ค่อยต่างจากผมเท่าไหร่หรอก



“กินข้าวเสร็จก็พักผ่อนเลยนะครับ เดี๋ยวผมก็ต้องกลับไปติวหนังสือกับเพื่อนต่อเหมือนกัน”



ผมเงยหน้าขึ้นมองมัน สำรวจทั่วใบหน้าของไอ้เด็กที่นั่งตรงข้ามก็พบว่ามันดูโทรมลงนิดหน่อย สภาพใต้ตาดำคล้ำเหมือนคนที่นอนไม่พอ แล้วตอนนั้นก็มาว่าผมดื้อไม่ยอมนอน มันแม่งก็เหมือนกันล่ะวะ



“แล้วนี่ได้นอนบ้างไหม?”



เมื่อได้ยินคำถามของผม มันก็ส่งยิ้มให้ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก “นอนสิครับ”



“แน่?” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ



“แน่ครับ ผมไม่โกหกหรอก กลัวคนแถวนี้จะเป็นห่วง” มันยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตามองผมอย่างหยอกล้อจนผมต้องเสตาหลบไปมองหมูในข้าวผัดตัวเองแทน



“เออไอ้สัด นอนบ้างอย่าหักโหม”



“ครับ รู้แล้วครับ” มันตอบรับพลางตะเบ๊ะรับผมอีก ไอ้เด็กเวรนี่!



พอกินข้าวเสร็จ ผมก็ไล่ให้เจ้าจอมมันไปนั่งที่โซฟารอผมระหว่างล้างจาน ผมบอกว่าอาหารย่อยแล้วค่อยไปติวกับเพื่อนต่อก็ได้ ตอนแรกมันก็ไม่ยอมหรอกแต่ผมก็ทำตาดุใส่มันนิดหน่อยมันก็เลยยอมทำตามอย่างจำนน



วางจานใบสุดท้ายลงก่อนจะเช็ดไม้เช็ดมือให้แห้งแล้วเดินออกจากครัวเพื่อมาพบว่าไอ้เด็กที่ผมให้มันไปนั่งย่อยอาหารกำลังหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา



ผมเดินเข้าไปมองมันใกล้ๆกันจะเกลี่ยเส้นผมของมันเล่นกระทั่งคนนอนหลับรู้สึกตัวตื่นผมก็ผละมือของตัวเองออก



“ถ้าง่วงก็นอนก่อนแล้วค่อยไปติวต่อพรุ่งนี้ก็ได้”



“ไม่เป็นไรครับ ได้นอนแค่นี้ก็โอเคแล้ว” มันพยุงตัวลุกก่อนจะลูบหน้าลูบตาตัวเอง



“งั้นก็ไปอาบน้ำอาบท่าที่ห้องก่อนแล้วค่อยไป” วิธีนี้อาจจะทำให้มันสดชื่นขึ้นมาได้แต่ก็ไม่มั่นใจหรอกนะครับ ถ้าคนมันจะหลับทำยังไงมันก็หลับอยู่ดี



“ครับ งั้นผมไปก่อนนะ” มันรับคำผมอย่างไม่อิดออดก่อนจะบอกลาไปพร้อมๆกัน



“อืม ขับรถดีๆถ้าไม่ไหวก็นอนพักก่อน”



มันพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาแนบริมฝีปากบนริมฝีปากของผมโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวมันก็ผละออก



“ฝันดีครับ”



จากนั้นมันก็เดินออกจากห้องปล่อยให้ผมนิ่งค้างอยู่คนเดียวแบบนั้น กว่าจะได้สติหัวใจก็เต้นรัวเร็วจนเหมือนจะกระเด็นออกมาจากอกอยู่รอมร่อ..




เหลืออีกไม่ถึงห้าตอนจะจบแล้ววว ขอขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามกันมากๆนะค้าาา ช่วงนี้อาจจะมาช้าหน่อยเน่อเรากำลังเร่งปั่นต้นฉบับอยู่ อีกอย่างกะคือติดดูสตรีมเกมพี่เอกมาก แหะๆ แล้วก็มีหลายคนถามเข้ามาว่าพี่ยีนส์จะได้รวมเล่มหรือเปล่า เดี๋ยวเรื่องนี้เราจะมาแจ้งอีกทีนะคะ ฝากด้วยเด้อจ้าา

#นิติผูกพัน


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เข้าย่าน "พัฒนาการ" แล้วสินะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ใกล้กันมากขึ้นแล้วนะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
รู้สึกชอบไฟแดงขึ้นมาทันที :katai1:

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3

ตอนที่ 22

คนที่ต้องเลือก
               

               

เจ้าจอมยังเหลือสอบอีกสองตัวแต่ดีหน่อยที่สองตัวที่เหลือนี้ไม่ได้หนักหนาเท่ากับวิชาแรกๆที่มันสอบ ผมก็เลยบอกให้มันนอนพักผ่อนก่อน ตื่นขึ้นมาผมจะช่วยติวให้ นั่นแหละมันก็เลยยอมนอน จนเย็นป่านนี้ก็ยังไม่ตื่นสงสัยร่างกายคงเพลียจริงๆ



อย่าว่าแต่มันเลย หลังจากที่ผมสอบเสร็จผมก็หลับเป็นตายอยู่ในห้องข้ามวันข้ามคืน พอได้นอนเต็มที่แล้วก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้งและความรู้สึกที่เด่นชัดที่สุดหลังจากตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองสอบเสร็จแล้วนั้นก็โล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ล่ะครับถึงแม้จะทำข้อสอบไม่ได้แต่มันก็โล่งใจที่การสอบมหาโหดในครั้งนี้ได้จบลงแล้ว เดี๋ยวค่อยรวบยอดไปเครียดอีกทีตอนเกรดออกแล้วกัน



ระหว่างที่เจ้าจอมมันกำลังหลับอยู่ ผมก็เตรียมตัวติวให้มันด้วยการอ่านเนื้อหาวิชานั้นและสรุปให้มันเข้าใจง่ายๆอีกที เช็คข้อสอบอีกห้าหกชุดไว้ให้มันทำ เตรียมให้มันเสร็จจนหมดทุกอย่างก็ถึงเวลาที่ต้องเข้าไปปลุกมันในห้องให้ตื่นสักที



สภาพของมันก็เหมือนเด็กที่สอบแล้วไม่ได้หลับไม่ได้นอนซึ่งสภาพของมันก็นับว่าดีกว่าผมในช่วงสอบอยู่มากพอสมควร ผมนั่งลงบนเตียงข้างที่ว่างก่อนจะยื่นมือไปตบแก้มมันเบาๆ



“เจ้าจอม” ลงแรงตบแก้มมันอีกสองสามที “ตื่นได้แล้ว”



“อืม...” มันครางงึมงำ พูดอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ



“พูดว่าไรวะ?” เงี่ยหูเข้าไปฟังใกล้ๆก่อนจะได้ยินเสียงหายใจและเสียงพูดของมันอีกครั้ง



“ขออีกห้านาทีครับ”



ผละออกมามองมันที่หลับต่อก่อนจะดึงผ้าห่มที่ร่นลงไปมาห่มให้มัน เอาเถอะแค่อีกห้านาทีคงไม่เป็นไรปล่อยให้มันพักผ่อนไปก่อน



“ครบห้านาทีแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตา จะได้กินข้าว” ผมสั่งมันก่อนออกจากห้อง ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินสิ่งที่ผมบอกหรือเปล่าแต่เดี๋ยวอีกห้านาทีผมก็จะมาปลุกมันอีกอยู่แล้ว



เมื่อครบห้านาทีตามที่มันได้ร้องขอ ผมก็เดินเข้าไปปลุกมันอีกครั้งในห้องนอนแต่คราวนี้คนที่คิดว่าคงยังไม่ตื่นกำลังนั่งบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงก่อนมันจะเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามาในห้อง



“ขอล้างหน้าก่อนนะครับ” มันว่าเสียงติดแหบ แล้วลุกขึ้นเดินไปยังห้องน้ำ



ผมเดินออกมาข้างนอกอีกครั้ง มานั่งรอมันตรงโต๊ะกินข้าว ไม่กี่นาทีต่อมาเจ้าจอมก็เดินลูบหน้าลูบตาเข้ามานั่งๆลงฝั่งตรงข้ามผม



มันยังคงดูเพลียๆและงัวเงียอยู่แต่สภาพมันตอนนี้ก็บอกได้เลยว่าดีขึ้นกว่าตอนก่อนที่มันจะนอน ในก่อนหน้านั้นสภาพมันเหมือนคนที่จะหลับกลางอากาศให้ได้ ผมเห็นแล้วก็สงสาร เข้าใจมันนั่นแหละเพราะตัวเองก็พึ่งผ่านสภาพนี้มาเมื่อไม่กี่วันก่อนเหมือนกัน ถ้าเกิดมันไม่ได้นอนพัก เจ้าจอมมันอาจจะน็อคไปเลยก็ได้



“ได้นอนแล้วโอเคขึ้นหรือยัง”



มันพยักหน้าหงึกหงักก่อนตอบ “ดีขึ้นเยอะเลยครับแต่ก็ยังมึนๆอยู่”



“อืม กินข้าวเสร็จแล้วก็พักก่อนสักแป๊บนึงแล้วค่อยเริ่มติวต่อ”



“โอเคครับ”



ระหว่างมื้ออาหาร ผมก็พยายามชวนมันคุยเพื่อให้สมองมันเริ่มทำงานและอาจจะช่วยให้มันสดชื่นขึ้นได้ ซึ่งสิ่งที่ผมคิดก็เกิดผลจริงๆ อาจจะไม่ได้มากมายแต่ในตอนนี้มันก็ดูโอเคขึ้น



“ถ้าผมสอบเสร็จแล้วเราไปเที่ยวกันไหมครับ” มันเงยหน้าขึ้นมองผม ก่อนจะกระแอมเบาๆแล้วว่าต่อ “แค่ผมกับพี่...สองคน”



ผมรู้สึกเก้อกระดากอย่างบอกไม่ถูก เสสายตาหลบไปมองอย่างอื่น ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อตั้งสติของตัวเองแล้วหันกลับมาสบสายตากับเจ้าจอมมันอีกครั้ง



“อืม”



ตอบตกลงมันไปหลังจากที่คิดไตร่ตรองไม่ถึงสองนาที มองมันที่ฉีกยิ้มกว้างมาให้จนแทบตาปิด ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหาแล้วผลักหน้าผากคนที่ดีใจออกนอกหน้าไปหนึ่งที



“ไปทะเลกันดีไหมครับ?”



“สอบให้เสร็จก่อนเถอะ”



“ก็ต้องวางแผนกันก่อนสิครับพี่”



ผมถอนหายใจใส่ไอ้เด็กที่ตื่นเต้นเกินเหตุ “เออ ทะเลก็ทะเล”



“จังหวัดไหนดีครับ ทางภาคใต้ก็สวยนะ”



บ๊ะ! ไอ้เด็กนี่ ผมว่าตอนนี้ในหัวมันคงไม่มีเรื่องสอบแล้วล่ะครับ



“ที่ไหนก็ได้”



“งั้นเอาเป็นภูเก็ตดีกว่าครับ ผมเคยไปกับครอบครัวครั้งสองครั้ง สวยดี”



“เออ”



“พักที่ไหนดีครับ เดี๋ยวผมไปหยิบโทรศัพท์มาเปิดหาก่อน”



“เจ้าจอม” ผมรีบเรียกชื่อเพื่อปรามมันไว้เพราะถ้าปล่อยให้มันได้ไปเอาโทรศัพท์มาตอนนี้ล่ะก็คงอีกยาวกับเรื่องไปเที่ยวแน่ๆ



“ครับ?”



ยังจะหันหน้ามาทำหน้างงใส่ผมอีก นี่มันไม่รู้ตัวหรือยังไงวะว่าทำไมผมถึงห้ามมันไว้



“กินข้าวให้หมดก่อน”



พยักพเยิดไปที่จานข้าวของมันที่ยังพร่องลงไปไม่ถึงครึ่งแต่กระนั้นเจ้าของจานข้าวอย่างไอ้คนตรงหน้าจิตใจมันก็ไม่ได้จดจ่ออยู่กับการกินข้าวอีกแล้ว



“อ่า...ครับ” มันพยักหน้าก่อนจะยิ้มแห้งใส่ผมที่ทำตาดุใส่ “ผมรีบไปหน่อย”



บางครั้งมันก็ทำตัวเหมือนเด็ก ทำให้ผมก็อดที่จะเอ็นดูมันไม่ได้



“กินเสร็จแล้วค่อยไป” สั่งกำชับมันอีกครั้ง กลัวมันจะลุกพรวดพราดเหมือนเมื่อกี้อีก นี่ถ้าผมไม่เรียกไว้มันก็คงจะหายไปจากโต๊ะอาหารทันทีเลยล่ะมั้งครับ






เจ้าจอมมันตื่นไปสอบแล้วตั้งแต่เมื่อเช้า ก่อนไปมันยังจะมายุบยิบกับตัวผมอีกแต่ผมก็ได้แต่นอนนิ่งๆเพราะความง่วงนอนที่ไม่สามารถทำให้ผมตื่นมาด่าหรือตอบโต้ไอ้เจ้าจอมมันได้ พอได้ยินเสียงดังฟอดสุดท้ายกับอะไรสักอย่างที่สูดลงบนแก้วตัวเองจากนั้นห้องทั้งห้องก็เงียบไปเลย



ผมหลับไปอีกรอบ ตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาสิบเอ็ดโมง เมื่อคืนผมอาศัยห้องเจ้าจอมมันนอนเพราะต้องอยู่ติวให้กับมัน และคืนนี้ก็คงต้องอาศัยมันอีกคืนเช่นกันเนื่องจากต้องติวสอบให้มันอีกนั่นแหละซึ่งก็เป็นวิชาสุดท้ายของมันในเทอมนี้แล้ว ก็อย่างที่บอกไปว่าสองวิชาสุดท้ายของมันไม่ค่อยหนักเท่าไหร่แต่ก็ดีแล้วล่ะครับไม่งั้นเจ้าจอมมันอาจจะอ่านไม่ทันแน่ๆ



วันนี้เจ้าจอมมันมีสอบครึ่งวันเช้า ส่วนพรุ่งนี้มันมีสอบครึ่งวันตอนบ่าย ผมว่าก็ดีแล้วล่ะมันจะได้มีเวลาอ่านเวลาเตรียมตัวของมันสักหน่อย



เจ้าจอมมันส่งข้อความมาบอกว่าจะซื้อข้าวมาให้ผม แล้วก็บ่นนิดหน่อยที่ผมตื่นสายจนไม่ได้กินข้าวเช้า มีการส่งท้ายอีกว่าซื้อปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ไว้ให้วางไว้ตรงโต๊ะกินข้าวข้างนอก ป่านนี้ไม่รู้ว่ามดจะขึ้นแล้วหรือยัง มันให้ผมไปกินรองท้องก่อนเพราะมันไม่รู้ว่าจะถึงห้องกี่โมง ผมก็ตอบเออออไป จากนั้นก็เดินไปหาน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ที่มันซื้อไว้ให้มากิน



ไม่นานก็เห็นคนเป็นเจ้าของห้องเปิดประตูเข้ามา มือของมันถือถุงของกินข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ถือกระดาษอะไรสักอย่างอยู่ในมือ มันเดินเอาของไปวางไว้ตรงโต๊ะกินข้าวก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆผม ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยพูดอะไร หัวหนักๆของมันก็ทิ้งลงหน้าขาของผมจนผมเกือบจะยกมือที่วางอยู่หน้าขาของตัวเองขึ้นไม่ทัน



“ขอพักแป๊บนึงนะครับ เหนื่อยมากเลย”



อยากจะโวยวายว่าถ้าจะพักก็เข้าไปพักในห้องสิวะแต่ก็ได้แค่เงียบแล้วปล่อยให้มันอาศัยขาของผมเป็นที่นอนไป



“แล้วกินข้าวมาหรือยัง?” ระหว่างนั้นก็ถามมันไปพลางๆ มือไม้ก็ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน งั้นก็วางแหมะไว้ที่หัวมันแล้วกัน



อืม..ผมมันก็ดูนิ่มดี



“ยังครับ รอกินพร้อมพี่” มันตอบทั้งที่เปลือกตายังคงปิดอยู่



ผมพยักหน้าส่วนมือก็เผลอลูบผมมันไปเรื่อยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะลูบนะแต่เข้าใจไหมครับว่าเผลออ่ะ พอเผลอแล้วก็ไม่อยากหยุดก็เลยตามเลยแล้วกัน



“สอบเป็นไงบ้าง”



เสียงมันถอนหายใจดังชัดจนผมชะงักมือ ไอ้ที่ถอนหายใจแบบนี้อย่าบอกนะว่ามึงทำไมได้…



“ผมพลาดไปข้อนึงแต่ข้อที่เหลือก็ทำได้ครับ”



ถึงว่าล่ะทำไมถอนหายใจ “ทำได้ก็ดีแล้ว”



“แต่ก็เสียดายข้อนั้นจริงๆ มันง่ายนิดเดียวแต่ผมดันลืม” มันบ่นพลางขมวดคิ้วมุ่นจนผมต้องเลื่อนมือไปคลึงหัวคิ้วของมันให้



“เอาน่า...” ผมก็ปลอบคนไม่เป็น ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้มันสบายใจดี ได้แต่นวดคลึงหัวคิ้วของมันไม่ให้ขมวดเข้าหากันและพยายามทำให้มันผ่อนคลายไปด้วย



เราเงียบกันไปสักพัก ผมคิดว่เจ้าจอมมันหลับไปแล้วแต่จู่ๆมันก็ถามผมขึ้นมา



“หิวหรือยังครับ”



ลืมไปเลยว่ายังไม่ทันได้กินข้าวด้วยกันทั้งคู่ คงเพราะผมพึ่งกินปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ไปแต่เจ้าจอมมันนี่สิไม่รู้ว่ากินอะไรรองท้องมาบ้างหรือยัง



“อืม ลุกไปล้างหน้าล้างตาก่อน”



พอได้ยินอย่างนั้นมันก็ลุกเข้าห้องมันไปล้างหน้าล้างตาพร้อมกับเปลี่ยนจากชุดนักศึกษามาเป็นชุดธรรมดาใส่อยู่ห้องปกติ



มื้ออาหารมื้อนั้นเรานั่งทานกันเงียบๆ เจ้าจอมมันคงเหนื่อยส่วนผมก็ไม่รู้จะชวนพูดอะไรเพราะไม่ใช่คนที่จะชวนใครพูดเก่งอยู่แล้วด้วยก็เลยได้แต่นั่งเงียบๆ จริงๆมันก็เป็นปกติของพวกผมทั้งสองคนนั่นแหละครับ บางมื้ออาหารถ้าเราไม่มีเรื่องคุยก็จะนั่งเงียบกันแบบนี้ ไม่ได้อึดอัดอะไรเลย



“คืนนี้พี่นอนที่นี่นะครับ”



พอถึงเวลาจะนอนผมก็ทำท่าจะกลับห้องแต่ไอ้เด็กนี่มันกลับรั้งผมไว้ให้อยู่กับมัน ผมก็ขี้เกียจเถียง ยังไงก็นอนมันมาสองสามคืนแล้ว ถ้าจะนอนอีกสักคืนจะเป็นไรไป สุดท้ายก็ต้องเดินไปล้มตัวลงนอนในที่ที่ของตัวเองก่อนเจ้าของห้องอย่างเจ้าจอมจะตามาล้มตัวนอนทีหลัง



“ผมจองรีสอร์ทที่จะไปพักไว้แล้วนะครับ” มันพูดขึ้นมาในความมืด



ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าของมัน “อืม...แล้วตกลงจะไปวันไหน?”



“หลังผมสอบเสร็จประมาณสองสามวันครับ”



“พักกี่วันล่ะ?”



“สามวันสองคืนครับ”



“ถามกูยัง?” ผมหันไปหามันก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นแต่ไม่รู้มันเห็นหรือเปล่าแต่หน้ามันตอนนี้ที่หันมาหาแล้วยิ้มให้ก็คงจะรู้



“ถามทำไมล่ะครับในเมื่อผมรู้อยู่แล้วว่าพี่ไม่ปฏิเสธผมแน่”



“มั่นใจขนาดนั้นเลย”



“แน่นอนครับ” น้ำเสียงมันทะเล้นจนอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วมาดีดหน้าผากมัน มันร้องโอดโอยกุมนิ้วที่ผมใช้ดีดหน้าผากมันไว้หับมือของตัวเอง พอจะสะบัดออกก็ไม่ยอมปล่อย



“สำออยจริงมึง”



มันขำกับคำด่าที่ไม่จริงจังของผมก่อนเราจะเงียบกันไปอีกครั้งและเป็นมันที่พูดขึ้นทำลายความเงียบ



“พอถึงวันนั้น...ผมมีเรื่องจะบอกพี่ด้วยครับ” น้ำเสียงงมันจริงจังและถึงแม้จะมืดผมก็ยงรู้สึกถึงสายตาของันที่กำลังจับจ้องผมอยู่ “ผมว่ามันถึงเวลาที่ผมกับพี่ต้องคุยกันสักที”



ผมเงียบไปอึดใจก่อนจะตอบรับมัน “อืม”



คงจะถึงเวลาแล้วที่เราสองคนควรจะพูดถึงความสัมพันธ์และวางสถานะของกันและกันให้ชัดเจนสักที...






ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเหมือนมีคนคุยกันอยู่แว่วๆ มือควานหาไปข้างๆตัวก็พบแต่ความว่างเปล่า สงสัยเจ้าจอมมันคงตื่นไปคุยโทรศัพท์ล่ะมั้งครับ ไอ้เสียงแว่วๆก็คงเป็นเสียงของมัน แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าได้ยินเสียงของผู้หญิงด้วยวะหรืออาจจะคิดไปเองมั้ง



นอนโอ้เอ้อยู่บนที่นอน กลิ้งไปกลิ้งมาจนผ้าห่มพันตัวสักพักก็ลุกขึ้นนั่ง กว่าจะสะบัดผ้าห่มออกจากตัวเองได้ก็ใช้เวลานานอยู่ ไม่น่าม้วนตัวเล่นแล้วเอามาพันตัวเองเลย



ผมลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำให้เรียบร้อย กะว่าจะออกไปบอกไอ้เจ้าจอมว่าผมจะกลับห้องไปอาบน้ำสักหน่อยแล้วจะมากินข้าวด้วยแต่ก็ไม่คิดเลยว่าพอเดินไปเปิดประตูออกเพียงนิดเดียวผมจะเห็นสิ่งที่ตัวเองไม่คิดเลยว่าจะได้เห็น



ภาพที่อิงค์ผละออกมาจากอ้อมกอดของเจ้าจอมและจากนั้นไม่นานผมก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังจูบกัน



ผมไม่ใช่คนที่ต้องทนยื่นนิ่งๆเพื่อมองภาพแบบนั้น ภาพที่ตัวเองไม่สมควรมาเห็นและภาพที่ทำให้ผมตาสว่างมากขึ้น ตอนแรกผมก็คิดไปเองว่าตัวเองคงเป็นฝ่ายที่ต้องเลือกแต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายคนที่ต้องมาเลือกจริงๆก็คือเจ้าจอม ผมไม่เคยรู้เลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมจะเป็นเพียงแค่ตัวเลือกของมัน



ผมก้าวฉับๆเดินออกจากห้องนอน ผ่านคนทั้งสองคนที่อยู่หน้าโซฟา ผมไม่ได้สนใจจะหันไปมอง ในเมื่อเจ้าจอมมันเลือกแล้ว ผมจะไปสนใจมันทำไมอีก ในเมื่อผมไม่ใช่คนที่มันเลือกแล้วผมจะอยู่ไปเพื่ออะไร



“พี่ยีนส์!”



เสียงของมันยังคงเรียกชื่อผมไม่หยุด ผมทำใจแข็งเดินออกมาจากห้องของมัน รู้ตัวว่าตอนนี้มันกำลังวิ่งตามผมมาแต่มันก็ตามไม่ทันในเมื่อผมกำลังปิดประตูใส่หน้าของมันอยู่



“พี่!..มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะ”



ผมไม่ได้ตอบโต้ นอกจากเดินไปนั่งที่โซฟา เหม่อลอยไปกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมไม่ทันได้ตั้งตัวว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง ใจผมไม่อยากจะเชื่อแต่ภาพที่เห็นมันก็ทำให้ผมเชื่อได้อย่างสนิทใจ ผมรู้ว่าตัวเองคงทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่ผมกลัวก่อนหน้านั้นคือใครสักคนต้องเจ็บแต่ไม่เคยคิดเลยว่าสุดท้ายคนที่เจ็บจะเป็นผมเอง...



เสียงของเจ้าจอมเงียบลงไปแล้วแต่แทนที่ด้วยเสียงโทรศัพท์และเสียงกดกริ่งหน้าห้องของผมที่ดังไม่หยุด ไม่รู้ว่าจะบอกว่าโชคดีได้หรือเปล่าที่ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากห้องมันทันทีหลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ผมคิดไม่ออกเลยว่าถ้าตอนนี้ผมลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องมันจะเป็นยังไง



ไม่ใช่แค่เรื่องโทรศัพท์ที่ผมคิดไม่ออก ตอนนี้ทุกอย่างในสมองผมตื้อไปหมด รับรู้เพียงความเสียใจที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด ผมไม่รู้ว่าทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ ผมไม่เคยนึกเอะใจเรื่องระหว่างอิงค์กับเจ้าจอมเลยสักนิด



ผมเหมือนคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยนอกจากเอาแต่สนใจเรื่องของตัวเอง จนสุดท้ายสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้นและเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาจนผมทำตัวไม่ถูก ทำได้เพียงถอยออกมาจากคนทั้งสองที่คงจะมีความรู้สึกตรงกัน ผมไม่ควรอยู่ตรงนั้นและไม่เคยเลยที่จะได้อยู่ตรงนั้น มันเป็นอีกคนมาตลอด ผมแค่คิดไปเองและเข้าใจผิดไปเอง ระหว่างแฟนเก่ากับผมที่เป็นเพียงคนแปลกหน้าก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามันจะเลือกใคร เรื่องทุกอย่างมันก็แค่ความสับสนของผมกับมันที่ใกล้ชิดกันและผูกพันกันเท่านั้นเอง



กระบอกตาเริ่มร้อนผ่าวเมื่อคิดได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงแค่ความสับสน ซบหน้าลงกับฝ่ามือของตังเองก่อนจะรู้สึกถึงความเปียกชื้น ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดที่ต้องร้องไห้แต่ไม่รู้ทำไมแค่คิดว่าที่ผ่านมามันไม่ใช่ความจริง ผมก็รู้สึกว่าทุกอย่างตรงหน้าพังทลายลงแบบไม่มีสิ้นดี



ใจผมพังตั้งแต่เห็นเจ้าจอมมันยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้อิงค์แล้ว ยิ่งผมคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วผมเป็นอะไรสำหรับมันกันแน่หรือมันคิดจะเก็บเอาไว้ทั้งสองคน แล้วที่ผ่านมาที่มันพูดออกมาล่ะคืออะไร มันแค่คำโกหกที่หลอกให้ผมดีใจและอยู่ในวังวนของมันใช่หรือเปล่า



สมองผมตื้อไปหมด...คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง



ตอนนี้มีเพียงน้ำตาที่ไหลลงมาเงียบๆเท่านั้น...




หายไปนานเลย ขอโทษเด้อ เราไม่ว่างเลย
#นิติผูกพัน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

่อ่าววว  ไหงโผล่มาเสริฟมาม่าซะงั้น

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มันเกิดอิหยัง  :hao4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อ้าว ไหงเป็นงี้ไปได้

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3

ตอนที่23

ความคิดถึง



หลังจากเกิดเรื่องวันนั้น วันถัดมาผมก็กลับบ้านของตัวเอง ผมไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดีแค่รู้สึกว่าผมต้องออกมาให้ห่างๆจากที่ตรงนั้น ผมไม่อยากแม้กระทั่งรับรู้ว่ามันอยู่ใกล้ๆผม บางทีการออกมาจากที่ตรงนั้นอาจจะทำให้ผมดีขึ้น



ผมรู้ดีว่าผมเสียใจ ผมหวังมากว่าสุดท้ายเราจะมีความสุขกันแต่นั่นแหละ ในเมื่อเราคาดหวังมากและไม่คิดว่าผลของความผิดหวังจะเป็นยังไง สุดท้ายก็กลายเป็นว่าผมต้องมานั่งเสียใจกับความรู้สึกที่ตัวเองให้กับมันไป ไม่ได้เผื่อใจสักนิดเลยว่าตัวเองจะเสียใจ



ตอนแรกผมก็คิดเอาเองว่าการกลับบ้านจะทำให้ผมหยุดคิดเรื่องของมันได้แต่ก็เปล่าเลยในเมื่อครั้งไหนที่ผมไม่มีอะไรทำหรือต้องอยู่คนเดียว ผมก็เอาแต่นั่งคิดเรื่องของมันทุกครั้งไป ไม่รู้สิครับ ผมพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเอามันออกไปจากความคิดของผมได้เลย บางทีผมก็รู้สึกเหนื่อยแต่จะทำยังไงได้ก็เรื่องมันพึ่งเกิดขึ้น จะให้หายวันนี้เลยมันก็คงไม่ได้หรอก



“พี่ยีนส์” ผมหันไปมองไอ้แยมน้องชายคนเดียวของผมที่ยืนเรียกผมอยู่ข้างหลังก่อนมันจะก้าวฉับๆเข้ามาหาผมที่นั่งอยู่ในสวนของบ้าน



“มีไร?”



“แม่เรียกอ่ะ”



“อืม” ผมทำเพียงตอบรับก่อนจะลุกขึ้นแต่ไอ้แยมน้องผมมันกลับคว้าข้อมือผมไว้ ผมหันไปมองมันที่กำลังจ้องผมอยู่ “มีอะไร?”



แยมมันมองสำรวจผมจนมันพอใจก็ตอบในสิ่งที่ผมสงสัย “ตั้งแต่พี่กลับมาบ้านก็ดูไม่ค่อยร่าเริงเลยอ่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า?”



ผมส่ายหน้า ยกมือขึ้นตบบ่ามันแล้วยิ้มให้ “เปล่าหรอก กูไปหาแม่ก่อน”



มันเหมือนจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมบอกแต่มันก็ไม่ได้ถามอะไรผมอีก “อือ ไปเถอะแม่รออยู่ที่ห้องทำงานนะ”



ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องทำงานของแม่ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะเพื่อขออนุญาตเข้าไปข้างใน ได้ยินเสียงแม่บอกให้เข้าไปได้ผมจึงบิดลูกบิดแล้วเดินเข้าไป ภายในห้องของแม่มีตู้หนังสือตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบและเรียบร้อย แบ่งเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจนตามประสาคนเจ้าระเบียบ



ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆแม่บนโซฟาตัวนุ่มที่แม่มักใช้อ่านหนังสือก่อนจะยิ้มให้ท่านแล้วเริ่มพูดเข้าเรื่องทันทีโดยไม่รอให้เสียเวลา



“แม่มีอะไรจะคุยกับผมครับ?”



แม่ไม่ได้ตอบคำถามผมทันที แม่ทำเพียงยื่นมือขึ้นมาลูบหัวผมก่อนจะเลื่อนลงมาลูบหน้าลูบตาของผมแผ่วเบา ผมเอียงแก้มรับกับฝ่ามือแม่โดยที่นิ้วโป้งของแม่ก็คอยเกลี่ยแก้มให้ผมเบาๆ



“ลูกมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” น้ำเสียงของแม่แสดงถึงความเป็นห่วงจนผมอดไม่ได้ที่จะโผเข้าไปกอดแม่แน่นพร้อมกับซุกหน้าลงบนอกท่านเหมือนเมื่อครั้งยังเด็กที่ผมมักจะทำแบบนี้บ่อยๆ



“ผมดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ผมพูดเสียงอู้อี้อยู่กับอกของแม่ คลายอ้อมกอดออกเพียงนิดเพื่อไม่ให้แม่อึดอัดจนเกินไป



มือของแม่คอยลูบหลังลูบหัวผมเป็นระยะในขณะที่ผมก็นิ่งเงียบรอฟังสิ่งที่แม่จะพูด



“ลูกรู้ตัวหรือเปล่าว่าตั้งแต่กลับมาลูกดูไม่ค่อยมีความสุขเลยนะ”



ผมไม่คิดว่าอาการของผมมันจะชัดเจนขนาดที่ทั้งน้องชายและแม่ของผมต้องพูดทักเหมือนกันขนาดนี้ ตลอดเวลาผมคิดว่าตัวเองเก็บอาการได้ดีมาตลอดแต่ไม่ใช่เลยในเมื่อคนในครอบครัวของผมไม่ได้คิดแบบนั้นและทุกคนก็รู้ดีว่าผมรู้สึกไม่โอเค



“ผมมีเรื่องก่อนกลับบ้านนิดหน่อยครับ” ผมยังไม่พร้อมที่จะเล่าอะไรให้ครอบครัวฟังตอนนี้ ในเมื่อเรื่องนี้มันจบไปแล้ว ผมก็ไม่อยากจะรื้อฟื้นหรือพูดถึงปล่อยให้มันผ่านไปเงียบๆแบบนี้ก็คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว “แต่มันจบแล้วล่ะครับ ผมไม่เป็นอะไรหรอก”

ผมผละออกจากอ้อมกอดแม่ มองหน้าของท่านก่อนจะยิ้มให้ว่าตัวผมเองไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆตามที่บอกไว้ แม่มองหน้าผมนิ่งก่อนจะพรูลมหายใจออก



“แม่จะเชื่อลูกก็แล้วกัน” แม่ผมก็เป็นแบบนี้ ท่านจะไม่เซ้าซี้หรือถามอะไรมากมายหากว่าผมไม่อยากเล่า ท่านเคารพในการตัดสินใจของลูกๆเสมอ ผมก็เลยรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้คุยกับท่าน “แต่ถ้ามีอะไรก็บอกแม่นะ ถึงแม่จะช่วยอะไรได้ไม่มากแต่แม่จะคอยเป็นผู้รับฟังที่ดีให้” ท่านว่าแล้วขำอย่างอารมณ์ดี



ผมหลุดขำไปกับแม่ก่อนที่จะยกมือขึ้นพนมไหว้บนอกของแม่ “ขอบคุณแม่นะครับที่เข้าใจผม”



 “ยีนส์” แม่เรียกผมขึ้นอีกครั้ง



“ครับแม่”



“แม่อยากให้ลูกรู้ไว้นะว่าทุกคนที่บ้านจะคอยรับฟังลูกเสมอ ถ้าเกิดลูกมีอะไรไม่สบายใจก็ระบายกับครอบครัวได้ แม่กับพ่อจะคอยรับฟังลูก ส่วนแยมมันก็ห่วงลูกมากนะ เอาแต่บอกให้แม่มาถามลูกว่าเป็นอะไรทำไมถึงดูไม่ค่อยมีความสุขเลย ทุกคนในบ้านรักและห่วงลูกนะ”



ผมพยักหน้าก่อนจะพนมมือไหว้กราบลงบนอกแม่ “ครับผมรู้ แต่เรื่องนี้ผมจะจัดการด้วยตัวผมเอง แม่เข้าใจผมนะครับ”



“อืม แม่เข้าใจลูกจ้ะ”



“ขอบคุณที่เข้าใจผมเสมอนะครับ”



แม่พยักหน้ารับ “ไปได้แล้วล่ะ ป่านนี้เจ้าแยมมันคงจะอยากรู้เรื่องเต็มแก่แล้ว”



“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับแม่”



“จ้ะ”



ผมเดินออกมาจากห้องแม่ด้วยความรู้สึกสบายใจมากกว่าก่อนหน้านี้ ความคิดผมเบาโหวงลง ไม่อึดอัดเหมือนในตอนแรก ผมไม่อยากเห็นคนที่ผมรักต้องเป็นห่วงเพราะผมไม่มีความสุข ในเมื่อผมเลือกที่จะกลับบ้านเพื่อมาลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ผมก็ต้องค่อยๆยอมรับกับสิ่งที่ได้เจอ ตลอดเวลาผมเอาแต่คิดว่าจะลืมแต่ไม่ได้คิดเลยว่าการยิ่งคิดแบบนั้นก็เหมือนกับการยึดติดและยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น



พอได้คุยกับแม่ ถึงแม้จะไม่ได้คุยอะไรกันมากมายแต่ก็สามารถทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่าการยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว



“คุยไรกับแม่อ่ะ”



ผมผงะเมื่อจู่ๆไอ้แยมน้องชายผมมันก็โผล่พรวดพราดออกมาจากข้างตู้เก็บของซึ่งไม่ห่างจากห้องแม่เท่าไหร่ ดูหน้าตาก็รู้เลยว่าอยากรู้อยากเห็นแค่ไหน และไม่ผิดจากที่แม่พูดไว้ว่าไอ้แยมมันคงรอฟังเรื่องของผมอยู่



“แอบฟังไม่ได้ยินหรือไง” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นผลักหัวมันด้วยความหมั่นไส้ปนเอ็นดูกับความอยากรู้อยากเห็นของน้องชายตัวเอง



“ถ้าได้ยินผมก็คงไม่ถามพี่หรอก”



ดูสิครับดูมันตอบผม นี่ถ้าไม่เห็นเป็นน้องผมด่าไปแล้วนะ



“เออ ไม่มีไรหรอก เรื่องผู้ใหญ่เด็กไม่ต้องรู้” ผมเลี่ยงไม่ตอบคำถามมันแต่ไอ้แยมมันก็ยังคงไม่ละความพยายาม เดินปาดหน้าปาดหลังจนผมต้องเขกกะโหลกมันไปอีกรอบ นี่ถ้าพ่อเห็นว่าผมทำแบบนี้กับน้อง ผมคงโดนด่าเละเพราะพ่อเคยบอกว่าอย่าไปเขกหัวน้องสมองน้องจะไม่ดี ผมก็ว่าอาจจะจริงตามที่พ่อพูดนั่นแหละเพราะไอ้แยมตอนนี้ก็อาการคล้ายๆแบบนั้นเลย



“นี่ผมก็สิบเจ็ดแล้วป่ะ เอาที่ไหนมาเด็กวะ” มันยังคงเถียงผมไม่เลิก



“เอองั้นเอาไว้สี่สิบกูจะเล่าให้ฟังแล้วกัน”



“โหยยย...ไรอ่ะ” มันโอดครวญ “นานขนาดนั้นผมคงลืมไปแล้วมั้งพี่”



“เออก็ช่วยไม่ได้” ผมยิ้มขำกับหน้ามู่ทู่ของมัน “ไปหาไรกินหน้าปากซอยป่ะ?”



“พี่เลี้ยงนะ” เนี่ยพอพูดถึงเรื่องกินก็ลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้มันยังโอดครวญอยากจะรู้เรื่องของผมให้ได้



ไอ้แยมนี่มันไอ้แยมจริงๆเลย



ผมนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์ไอ้แยมมาหาอะไรกินหน้าปากซอยซึ่งจะมีพวกร้านขายอาหารและของกินเล่นต่างๆขายอยู่เต็มไปหมด เวลากลับมาบ้านทีไรผมก็น้ำหนักขึ้นเพราะของกินพวกนี้ทุกที ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับแต่ละอย่างมันก็อร่อยทั้งนั้นเลยนี่หว่า



“มีร้านโตเกียวพึ่งมาเปิดใหม่ด้วยแหละพี่ อร่อยนะผมกินแล้ว” ไอ้แยมมันก็คอยสาธยายร้านที่พึ่งมาเปิดใหม่ให้ผมฟัง ระหว่างที่กำลังเดินผ่านร้านขายของกินต่างๆ มันทำเหมือนตัวเองเป็นไกด์นำเที่ยวกำลังพาผมซึ่งก็คงเป็นนักท่องเที่ยวเดินแนะนำสิ่งต่างๆที่ผมยังไม่เคยเห็น



เราเดินมาหยุดหน้าร้านขายโตเกียวที่ไอ้แยมมันบอกว่าพึ่งมาเปิดใหม่เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วและมันก็พึ่งได้ลองชิมไปเมื่อไม่กี่วันก่อน มันบอกว่ากินครั้งแรกก็ติดใจ ทุกๆวันมันก็มาซื้อกับเขาตลอดจนตอนนี้มันบอกว่าเจ้าของร้านยกให้มันเป็นลูกค้าประจำไปแล้ว



“หวัดดีพี่ วันนี้ผมพาพี่ชายมาอุดหนุนด้วยนะ” มันทักทายพ่อค้าร้านโตเกียวอย่างสนิทสนม เป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ขนาดผมกลับบ้านมาคำว่าสวัสดีของไอ้แยมผมก็ยังไม่เคยได้ยินเลย งงมากในจุดๆนี้



“อ้าวน้องแยม ดีเลยพี่จะได้มีลูกค้าเพิ่ม” พ่อค้าก็ตอบกลับอย่างเป็นมิตรพร้อมกับยิ้มทักทายให้ผมต้องยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน



“วันนี้เอาเหมือนเดิมนะพี่” ไอ้แยมมันก็สั่งโตเกียวของมันไปเสร็จสรรพแล้วหันมาหาผม “พี่เอาไรอ่ะ?”



ผมนิ่งคิด จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าครั้งล่าสุดที่ได้กินโตเกียวคือตอนไหน ตอนนี้ก็เลยเงอะงะไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรยังไงดี



“เอาเหมือนมึงนั่นแหละ” ผมว่าง่ายๆ



“โอเค” มันพยักหน้าหงึกหงัก “เอาแบบผมเพิ่มอีกชุดนะพี่”



“ได้ครับ นั่งรอตรงเก้าอี้กันก่อนนะ” พ่อค้ารับคำก่อนจะชี้ไปยังเก้าอี้สามสี่ตัวที่ตั้งอยู่ข้างๆ “รอไม่นานแต่ร้อนนิดหน่อยนะวันนี้”



“จริงพี่ ร้อนมาก” ไอ้แยมมันรับคำแล้วก็พูดแจ้วๆอยู่กับเขา ไอ้ผมที่ไม่รู้จะยืนอยู่ตรงนี้ทำไมก็เดินไปนั่งตรงเก้าอี้ข้างๆร้าน มองรถแล่นไปมาบนถนน



ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่บ้านก็มีไอ้แยมนี่แหละครับที่พาผมไปนู่นไปนี่ตลอด บางวันผมก็เป็นคนชวนแต่บางวันมันก็เป็นคนชวนผมและผมก็ไม่เคยปฏิเสธเพราะผมคิดว่าการได้ออกไปเที่ยวเล่นหรือได้จดจ่อกับอะไรสักอย่างมันจะทำให้ผมไม่ต้องไปนึกถึงเรื่องของใคร



ผมรู้ว่าการเอาแต่เศร้าและคิดถึงเรื่องนั้นมันไม่ดีต่อตัวผมแน่ๆแต่ผมก็ยังคงเลิกคิดไม่ได้ ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องมันถึงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ ถ้าหากเจ้าจอมมันจะอธิบายหรือบอกผมสักคำผมจะไม่ว่าเลยแต่มันไม่เคยคิดจะทำแบบนั้นจนกระทั่งมันเกิดเรื่องขึ้นและผมก็รับรู้ได้ด้วยตัวเอง ผมรู้สึกผิดหวังกับมันมากและไม่รู้ว่าผมจะมองหน้ามันได้หรือเปล่าหากได้เจอกันอีกครั้ง



ส่วนอิงค์ผมก็เคยรู้สึกผิดกับน้องที่ให้ความหวังทั้งที่ใจของผมรู้ดีว่าต้องการใคร ตั้งแต่ผมรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรผมก็พยายามห่างจากอิงค์ให้มากขึ้นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาผิดใจกันทีหลังแต่ใครมันจะไปคิดว่าเรื่องมันกลับตาลปัตรจนผมเองก็ตั้งรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ทัน



“พี่ยีนส์!”



ผมสะดุ้งตกใจเมื่อจู่ๆไอ้แยมมันก็เรียกผมเสียงดังอีกทั้งยังตบหลังผมเต็มแรงจนรู้สึกแสบๆคันๆไปหมด



“อะไรของมึง” ขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจพร้อมกับลูบหลังตัวเองเพื่อบรรเทาความเจ็บ



“ผมเรียกพี่ตั้งนานแล้วพี่ไม่ได้ยินนี่หว่า ไม่รู้ว่านั่งเหม่ออะไรอยู่” มันว่าแต่ก็ยังพอมีสำนึกอยู่บ้างที่พอเห็นผมเอามือลูบหลังมันก็มาช่วยผมด้วย “ขอโทษทีพี่ เจ็บมากเหรอ?”



“ก็เออสิวะ” ผมตอบมันไป “แล้วเรียกพี่ทำไม มีอะไร?”



“โตเกียวเสร็จแล้ว ผมเรียกพี่ให้จ่ายเงินไง” มันพยักพเยิดไปยังพ่อค้าที่ยืนยิ้มให้พวกผม ส่วนในมือไอ้แยมก็มีถุงโตเกียวอยู่ในมือสองถุง



“เออๆ”



ผมล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบแบงค์ร้อยยื่นให้พ่อค้าก่อนจะยืนรอเงินทอนไม่นานเขาก็ทอนคืนมาให้ พอกำลังจะหันไปบอกกับไอ้แยมว่ากลับบ้านกันแต่ผมก็ไม่พบตัวมันแล้ว ไม่รู้ว่าหายหัวไปไหนของมัน ถ้าให้ผมเดามันก็คงจะเดินไปร้านชานมไข่มุกร้านประจำมันนั่นแหละครับ



“วันหลังมาอุดหนุนอีกนะครับ” ก่อนจะเดินไปตามหาไอ้น้องชาย พ่อค้าโตเกียวก็พูดขึ้นพร้อมส่งยิ้มมาให้ ไอ้ผมก็ได้แต่ผงกหัวรับพร้อมรอยยิ้มแล้วจึงเดินไปตามหาไอ้แยมที่ร้านชานมไข่มุก






หลังจากนั่งกินข้าวและพูดคุยกับพ่อแม่หลังทานข้าวเสร็จแล้ว ผมก็ขอตัวขึ้นมาอาบน้ำบนห้องของตัวเอง วันนี้ไอ้แยมมันพาผมไปไหนของมันก็ไม่รู้ทั้งวันแต่ผมก็ไม่ได้ไม่อยากไปหรอกครับแค่อยากบ่นนิดหน่อยเท่านั้นแหละ แถมอากาศก็ร้อนฉิบหายเหนียวตัวไปหมดแล้วด้วย



พออาบน้ำเสร็จผมก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน เพลียทั้งแดดทั้งไอ้แยมแต่ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่เลยเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่น



สิ่งแรกที่ผมเปิดหน้าจอขึ้นมาเห็นคือสายที่ไม่ได้รับและข้อความมากมายของเจ้าจอมที่ส่งมาหาผมทุกวันหลังจากวันนั้น ผมไม่เคยเปิดอ่านและเลือกที่จะปัดทิ้งทุกครั้ง ผมเคยจะบล็อกมันไปหลายครั้งแล้วแต่สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้ คงเป็นเพราะเรื่องมันยังคงค้างคาและยังไม่เคลียร์สักเท่าไหร่ ในใจลึกๆผมก็อยากจะฟังมันอธิบายนะแต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะพูดคุยหรือเจอหน้ามันเลย



ผมยอมรับว่าผมยังคงคิดถึงมันตลอดแต่สิทธิ์ของผมก็คงทำได้แค่นี้แหละครับ ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้แล้วในเมื่อเจ้าจอมมันก็มีอิงค์ไปแล้ว



ยิ่งได้อยู่คนเดียวผมก็ยิ่งคิดมาก คิดไปเรื่อยและคิดเป็นตุเป็นตะ บางครั้งผมก็เอาแต่คิดเรื่องของมันกระทั่งหลับไปเลยก็มี ก็อย่างว่าเรื่องมันก็พึ่งจะเกิดขึ้น ผมคงลืมไปง่ายๆไม่ได้หรอก ผมทำได้แค่ทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นและต้องอยู่กับความรู้สึกนี้ให้ได้เท่านั้นแหละ มันอาจจะยากหน่อยแต่ผมเชื่อว่าผมสามารถผ่านมันไปได้แน่นอน



ผมไม่ใช่คนที่จะจมอยู่กับความเศร้าและเอาแต่ฟูมฟาย ผมเสียใจแน่ๆล่ะแต่ถ้ามัวแต่ฟูมฟายทุกอย่างมันอาจจะแย่ลงก็ได้ ไม่ใช่แค่ผมที่แย่แต่พ่อแม่และน้องของผมก็อาจจะเป็นห่วงผมและทำให้ทุกคนกังวลไปกับผมด้วย ผมจึงต้องเข้มแข็งเพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องของผม



ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะผม มันก็ต้องจบลงที่ผมเช่นกัน ผมไม่ยอมให้คนอื่นมาทุกข์ใจกับผมด้วยแน่ๆเพราะถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงจะยิ่งรู้สึกไม่ดีมากกว่า



อาทิตย์หน้าก็จะเป็นวันขึ้นปีใหม่แล้วด้วย ทุกปีผมจะนัดกับเพื่อนเพื่อไปเคาท์ดาวน์ด้วยกันแต่ปีนี้ผมรู้สึกอยากอยู่กับครอบครัวมากกว่าจึงปฏิเสธคำชวนของพวกมันไปและจัดทริปสั้นๆวันปีใหม่กับครอบครัว ตอนที่พ่อกับแม่รวมไปถึงไอ้แยมรู้ว่าปีนี้ผมจะอยู่ด้วยทุกคนก็ตกใจกันยกใหญ่แถมยังมาหาว่าผมอำเล่นอีก ผมก็ได้แต่ขำแล้วบอกทุกคนว่าปีนี้ผมจะอยู่ด้วยจริงๆ นั่นแหละพ่อเลยให้ไอ้แยมมันหาที่เที่ยวใกล้ๆเพื่อจัดทริปฉลองสั้นๆในวันปีใหม่ด้วยกัน



แค่ได้นึกถึงครอบครัวผมก็รู้สึกดีขึ้นมา อย่างที่หลายๆคนเคยบอกผมว่า วันหนึ่งถ้าเราไม่มีใครก็ยังคงมีครอบครัวที่ยังอยู่กับเรา ครอบครัวของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปแต่สำหรับครอบครัวของผมเมื่อได้อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ก็มีความรู้สึกอบอุ่นใจและมีความสุขทุกครั้ง เวลาผมต้องการใครก็จะมีครอบครัวนี่แหละครับที่จะอยู่กับผมเสมอ



ยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งฟุ้งซ่านไปไกล ผมกดปิดโทรศัพท์วางไว้ข้างหัวเตียงก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำและจัดการปิดไฟในห้องเพื่อเตรียมนอนสักที ตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อแล้วด้วย






เจ้าจอม Part



ผ่านมาหลายวันแล้วที่ผมไม่ได้เจอพี่ยีนส์ ผมพยายามทำทุกวิถีทางที่จะได้ไปเจอเขาแต่เขาก็ปิดกั้นผมหมดทุกทาง ผมอยากจะอธิบายให้พี่ได้เข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เขาก็ไม่อยู่ให้ผมอธิบาย ผมรู้และเข้าใจดีว่าหากใครเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เช่นกัน ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วผมก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ผมก็แค่อยากจะขอโอกาสให้ตัวเองได้อธิบายกับพี่ยีนส์สักครั้ง แล้วสุดท้ายผลลัพธ์มันจะเป็นยังไงผมก็จะเป็นคนรับมันไว้เอง



ตอนนี้ผมกระวนกระวายไปหมด อยากจะเจออยากจะพูดคุยกับเขาให้เขาได้เข้าใจแต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมร้อนใจไปหมดว่าพี่ยีนส์เขาจะไม่ยอมมาเจอผมแล้ว ถ้าหากมันจะเป็นแบบนั้นผมจะทำอะไรได้ล่ะครับยิ่งผมดื้อรั้นไปก็กลัวเขาจะรำคาญแล้วเกลียดขี้หน้าผม ถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆผมไม่ยอมแน่ ผมไม่อยากให้เขาต้องเกลียดผมเลย



“จอมกินข้าวได้แล้ว”



“ผมไม่หิวเลยพี่”  ผมตอบพี่ภูมิใจที่พึ่งเดินออกมาจากครัว



ตั้งแต่วันนั้นที่เกิดเรื่องและผมได้รู้ว่าพี่ยีนส์กลับบ้านไปแล้วจึงได้พาตัวเองมาหาพี่ภูมิใจที่อยู่อีกจังหวัดนึง พี่ถามผมตั้งแต่เห็นหน้ากันเลยว่าทะเลาะกับพี่ยีนส์ใช่ไหม ผมไม่รู้ว่าพี่รู้ได้ยังไงแต่ผมก็บอกพี่ตรงๆว่าใช่และอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่ฟังทั้งหมดซึ่งพี่ภูมิใจเมื่อได้ฟังจบแล้วเขาก็เงียบไปสักพักก่อนจะบอกผมว่าผมต้องให้เวลาพี่ยีนส์ได้คิดก่อนและเมื่อถึงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างพร้อมแล้วก็ค่อยกลับมาเคลียร์กันดีกว่า



ผมฟังในสิ่งที่พี่บอกทั้งหมดเพราะในตอนนี้พี่คือที่พึ่งเดียวของผมแล้วจริงๆและผมก็เชื่อว่าพี่ภูมิใจสามารถให้คำปรึกษาและคำแนะนำดีๆให้กับผมได้ บางวันจะมีพี่ณะแวะมาพูดคุยกับผมด้วยและพี่เขาก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นซึ่งผมเป็นคนเล่าให้เขาฟังเอง พี่ณะแนะนำผมเหมือนอย่างที่พี่ภูมิใจแนะนำและเสริมอีกว่าให้ผมไปคุยกับอิงค์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย  แม้อิงค์จะไม่รู้เรื่องผมกับพี่ยีนส์แต่หลังจากเกิดเรื่องอิงค์ก็ควรจะรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคืออะไร ผมไม่จำเป็นต้องบอกเขาทั้งหมดแค่ผมต้องเคลียร์ให้เขาเข้าใจว่าจริงๆแล้วผมกับพี่ยีนส์นั้นรักกัน



ใช่อยู่ว่าอิงค์ก็รู้แล้วว่าผมปฏิเสธความรักอิงค์แน่ๆแต่กับเรื่องพี่ยีนส์อิงค์ไม่เคยรู้มาก่อนผมจึงต้องบอกเรื่องนี้กับอิงค์ วันนั้นผมไม่ได้อธิบายอะไรให้อิงค์ฟังเพราะผมกำลังวุ่นวายใจอยู่แต่กับเรื่องของพี่ยีนส์ลืมคิดไปถึงอิงค์ที่ยืนร้องไห้เงียบๆอยู่ในห้อง ผมบอกให้อิงค์กลับไปก่อนและอิงค์ก็ฟังผมหลังจากนั้นผมกับอิงค์ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย



“แล้วส่งข้อความไปหายีนส์มันตอบกลับหรือเปล่า?”



ทุกๆวันผมจะคอยส่งข้อความไปหาพี่ยีนส์และจะโทรไปหาเขาบ้าง ผมแค่หวังว่าอาจจะมีสักวันที่เขารำคาญและตอบกลับข้อความไม่ก็รับสายผมแต่ผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเขาคงไม่ทำแบบนั้นแน่นอนแต่ในเมื่อเขาไม่ได้บล็อคช่องทางติดต่อผมก็ยังพอมีหวัง



“ไม่เลยครับ”



“อีกอาทิตย์เดียวก็เปิดเรียนแล้วจะทำยังไงต่อ?”



“ถ้าเปิดเรียนแล้วผมจะไปหาเขาครับ”



“แล้วถ้ายีนส์ไม่ยอมเจอล่ะ?”



“ผมก็จะไปหาพี่เขาทุกวันจนกว่าพี่เขาจะยอมคุยกับผม” ผมพูดอยางมุ่งมั่น คิดไว้แล้วด้วยว่าถ้าผมได้เจอพี่ยีนส์ผมจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่เขาฟัง



“ได้คุยกับเพื่อนยีนส์บ้างไหม เผื่อพวกนั้นช่วยได้”



จริงด้วย...ผมลืมคิดถึงพวกพี่ๆเขาเลยแต่พอคิดไปคิดมาผมก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับพี่ๆเขาเท่าไหร่หรอกครับกลัวเขาจะเกลียดขี้หน้าผมเพราะผมทำเพื่อนเขาเสียใจทว่าถ้าผมมัวแต่กลัวอยู่แบบนี้แล้วผมกับพี่ยีนส์จะเข้าใจกันได้ยังไง ฉะนั้นตอนนี้ผมอยากจะเอาชนะความกลัวของตัวเองและเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้



“ขอบคุณนะครับพี่”



พี่ภูมิใจเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้งเพื่อปล่อยให้ผมได้อยู่กับตัวเองและให้เวลาพูดคุยกับเพื่อนของพี่ยีนส์อย่างเป็นส่วนตัว ผมจำได้ว่าผมมีเบอร์พี่เป๋าอยู่ซึ่งพี่เป๋าน่าจะเป็นคนที่คุยด้วยแล้วผมไม่เกร็งที่สุดแต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดที่จะกลัวไม่ได้อยู่ดี



ผมใช้เวลาในการทำใจไปกว่าห้านาทีและสุดท้ายก็ตัดสินใจโทรไปหาพี่เป๋า



“ฮัลโหล สวัสดีครับพี่เป๋า” ผมเอ่ยทักทายพี่เขาก่อนเป็นอันดับแรก



(เออ ว่าไง?)



 ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมพี่เป๋าถึงรู้ว่าเป็นผมเพราะผมเคยโทรไปหาพี่เขาอยู่ช่วงนึงที่พี่ยีนส์ไปอ่านหนังสือกับพวกพี่เป๋าเนื่องจากในบางครั้งผมก็มีหน้าที่เอาข้าวไปส่งให้พวกพี่ๆเขาแล้วพอโทรหาพี่ยีนส์ไม่ติดก็ต้องโทรหาพี่เป๋าตลอดนี่แหละครับ



“ผมอยากจะขอคุยกับพี่เรื่องพี่ยีนส์หน่อยได้ไหมครับ?” ผมเกริ่นเข้าเรื่องทันทีโดยไม่ต้องรอให้เสียเวลา ผมไม่รู้ว่าพี่เป๋ารู้เรื่องผมกับพี่ยีนส์หรือเปล่าแต่ถึงเขาไม่รู้ก็อาจจะสังเกตเห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไประหว่างผมกับพี่ยีนส์แต่ตอนนี้ผมก็ไม่อยากเดาอะไรไปเองรอฟังจากพี่เป๋าคงจะดีกว่า



(ว่าแล้วเชียว)



“พี่รู้เหรอครับ?”



(ก็เออน่ะสิแต่กูไม่รู้อะไรมากหรอก ถามไอ้ยีนส์มันก็ไม่ยอมบอกอะไรเลย)



ผมอืออาในลำคอ ก็พอจะเดาได้ว่าพี่ยีนส์คงไม่พูดเรื่องระหว่างเรากับใครมากนัก คงเพราะเขาไม่มั่นใจหรือไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของเราก็เลยเลือกที่จะไม่พูดถึง



“งั้นผมเข้าเรื่องเลยนะครับพี่จะได้ไม่เสียเวลา”



(เออ พูดมา)



ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่เป๋าฟังรวมถึงตอบคำถามที่พี่เป๋าสงสัยบ้างในบางครั้งบางคราวที่พี่เขาถามขึ้น ผมไม่รู้ว่าการเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้กับพี่เป๋าฟังจะทำให้เขาเชื่อผมมากน้อยแค่ไหนแต่ผมก็พูดความจริงออกไปทั้งหมดว่าผมรู้สึกยังไงกับเพื่อนของเขาและเรื่องในวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทำไมพี่ยีนส์ถึงเข้าใจผิดผมได้



“ทั้งหมดก็เท่านี้แหละ ผมยืนยันว่าทั้งหมดคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นครับ”



(จากที่ฟังมึงพูดมามันก็อาจจะเป็นไปได้ที่พอไอ้ยีนส์เห็นมึงกับอิงค์อยู่ด้วยกันเลยเข้าใจผิด)



“แต่ผมก็ผิดที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”



(มึงอย่าโทษตัวเองดิวะ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกน่า)



“แล้วผมต้องทำยังไงดีครับพี่ ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้พี่ยีนส์เขาฟังผมแล้ว”



(กูก็ไม่รู้ว่ะ) พอได้ยินพี่เป๋าตอบมาแบบนั้นผมก็รู้สึกถึงความหวังที่เริ่มริบหรี่ลงแต่ก็รู้สึกได้ไม่นานพี่เป๋าก็เหมือนจะคิดอะไรออก (เอางี้นะ กูจะไปคุยกับพวกที่เหลือก่อนเผื่อพวกมันจะมีวิธีดีๆแนะนำเพราะถ้ามึงกับกูร่วมมือกันสองคนคงล่มแน่)



ผมเห็นด้วยนะครับที่พีเป๋าพูดมา พี่ยีนส์ไม่ใช่คนที่จะเข้าหาได้ง่ายๆแล้วยิ่งเป็นในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีแบบนี้อย่าหวังเลยครับว่าพี่ยีนส์เขาจะยอมคุยกับผม คงต้องหาตัวช่วยอย่างที่พี่เป๋าว่านั่นแหละคือทางเลือกที่ดีในตอนนี้



“ขอบคุณนะครับพี่”



(เออ ถ้าเกิดมันยอมคุยด้วยแล้วมึงก็อธิบายความจริงทั้งหมดให้มันฟังด้วยล่ะ ไอ้ยีนส์มันเข้าใจอะไรง่ายอยู่แล้วแต่แม่งก็จะชอบทำฟอร์มนิดหน่อย มึงก็ง้อๆอ้อนๆมันเดี๋ยวก็หายเอง)



“ครับพี่” ผมจะพยายามทำทุกอย่างที่พี่เป๋าแนะนำมาผมเชื่อว่าเพื่อนของพี่ยีนส์ต้องรู้จักพี่ยีนส์ดีที่สุด



(งั้นแค่นี้ก่อน ไว้กูคุยกับพวกนั้นเรียบร้อยเมื่อไหร่จะมาบอก)



“ครับพี่เป๋า ผมขอบคุณพี่มากๆนะครับ”



เมื่อวางสายจากพี่เป๋าเรียบร้อยแล้วความหวังที่เคยริบหรี่ก็กลับมามีความหวังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆคาดว่าคงจะเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์นับจากร้อย ผมเชื่อว่าหากได้คำแนะนำจากเพื่อนๆพี่ยีนส์แล้วอาจจะทำให้ผมกับพี่ยีนส์กลับมาคุยกันได้เหมือนเดิมอีกครั้ง มันอาจจะช้าหน่อยแต่ถ้ากลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ถึงช้ายังไงผมก็จะรอเพราะตอนนี้ผมคิดถึงพี่ยีนส์มากๆเลย...





มาลงให้ต่อแล้วว อาทิตย์นี้จะลงตอนจบด้วยเด้ออ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะค้าา
#นิติผูกพัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตอนใหม่มาแย้ว

สู้ ๆ นะเจ้าจอม

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อีน้องจะง้อไงเนี่ย อีพี่งอนแล้วหายจ้อย  o18

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่ 24

เคลียร์ใจ



วันปิดเทอมและปีใหม่ของผมผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่ก็มีความสุขที่ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เป็นปีที่เรียกได้ว่าอยู่กับครอบครัวคุ้มที่สุดเลยก็ว่าได้ครับ อย่างที่เคยบอกไปว่าในหลายๆปีที่ผ่านมาผมมักจะไปฉลองปีใหม่กับเพื่อนในกลุ่มซะส่วนใหญ่ทว่าปีนี้ที่มีเรื่องมากมายถาโถมเข้ามาผมเลยตัดสินใจว่าการได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวจะสามารถเยียวยาจิตใจผมได้ดีที่สุดแล้ว



ตั้งแต่กลับมาเรียนได้สองวันผมก็ยังคงไม่ได้เจอเจ้าจอม ผมไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะเป็นยังไงบ้างแต่ผมก็ไม่ได้อยากไปสนใจมันนักหรอก ในเมื่อผมกับมันมีสถานะเป็นเพียงพี่ติวน้องติวกันเท่านั้นไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ผมต้องไปอยากรู้เรื่องของมัน



ผมก็เอาแต่บอกตัวเองอยู่แบบนี้ทั้งที่จริงแล้วผมก็ยังคงอยากรู้ความเป็นไปของมันอยู่ทว่าก็ต้องข่มใจของตัวเองเอาไว้ในเมื่อเรื่องของผมกับมันเป็นไปไม่ได้แล้วจะให้ผมไปจมปลักอยู่ที่เดิมก็คงจะไม่เข้าท่าและไม่ใช่นิสัยของผมเลย



“อาทิตย์หน้าก็วันเกิดมึงแล้วป่ะวะไอ้ยีนส์?” เป๋ามันถามขึ้นกลางวงตอนที่ทุกคนในกลุ่มกำลังนั่งกินข้าวเที่ยงอยู่ในโรงอาหารหลังจากเรียนคาบเช้าเสร็จ



“น่าจะมั้ง ทำไม?” ร้อยวันพันปีไม่เคยถามถึงหรอกวันกงวันเกิดผมแต่จู่ๆมันเกิดมาถามแบบนี้ผมว่ามันต้องมีอะไรแน่ รู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้



“ก็ถามไง แล้วจะจัดป่ะ?”



“แล้วทุกปีกูเคยจัดรึป่าวล่ะ?” ผมถามให้มันได้คิด ทั้งที่มันก็รู้อยู่แล้วยังจะถามผมอีก



“ปีนี้มึงก็จัดสักหน่อยไง ไปเลี้ยงที่ร้านพี่พลก็ได้” ไอ้เป๋ามันเสนอ



พี่พลคือรุ่นพี่ที่ไม่รู้ว่ารุ่นไหนแต่อายุห่างกันกับพวกผมหลายปีมาก พี่เขาเป็นเจ้าของร้านเหล้ากึ่งผับนิดๆซึ่งเป็นร้านที่รุ่นพี่ในสาขาที่พวกผมสนิทแนะนำมาและจากนั้นเราก็พากันไปกินร้านพี่พลตลอด จริงๆมันก็เป็นร้านที่เด็กมหา’ลัยผมนิยมเข้ากันเยอะนั่นแหละ



“ทำไมมึงถึงดูอยากให้มีงานวันเกิดกูจังวะ” ผมถามมันอย่างสงสัย มองไปรอบๆก็เห็นไอ้พวกคนที่เหลือมันมองหน้ากันแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาส่วนไอ้เป๋าต้นเรื่องก็ทำหน้าเลิ่กลั่กอย่างคนมีพิรุธ ผมว่ามันชักจะเริ่มแปลกๆแล้วว่ะ



“นานๆทีมึงจะจัดไง อีกอย่างปีใหม่มึงก็ไม่ได้ไปฉลองกับพวกกูด้วยก็ถือโอกาสนี้ฉลองด้วยกันมึงว่าไม่ดีเหรอวะ?” มันพูดยาวเหยียดโดยไม่เว้นช่องว่างให้ผมได้เถียง พอคิดตามที่มันพูดแล้วก็เกิดรู้สึกว่าน่าสนใจดีและสิ่งที่มันพูดมาก็มีเหตุผล ผมก็เลยเลิกสงสัยไปนิดหน่อย



“เออ กูเห็นด้วยกับไอ้เป๋านะ” เป็นไอ้เตอร์ที่พูดขึ้นมาบ้าง “ไหนๆวันเกิดมึงก็อาทิตย์หน้าแล้วจัดสักหน่อยคงไม่เสียหายอะไรหรือมึงติดอะไรหรือเปล่า?”



ผมส่ายหน้าเพราะผมไม่ได้ติดอะไร ถ้าอยากให้จัดผมก็จัดได้แต่ผมแค่รู้สึกแปลกใจที่จู่ๆพวกมันมาสนใจวันเกิดผมเท่านั้นเอง “กูไม่ติดอะไร”



“งั้นมึงก็จะจัดใช่ไหม?” หมอกที่นั่งฟังเงียบๆอยู่นานเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง



“เออจัดก็จัดวะ”



พอผมตอบไปแบบนั้นก็ได้ยินเสียงเยสเบาๆแต่ก็ไม่ได้พูดทักท้วงอะไร ที่พวกมันอยากให้ผมจัดคงเพราะมันคงอยากดื่มเหล้ามั้งครับก็เลยคะยั้นคะยอผมให้ได้



“แล้วจะชวนใครเพิ่มอีกป่ะ?”



“ไม่อ่ะแต่ถ้าพวกมึงอยากเอาใครมาด้วยกูก็ไม่ว่า” ประโยคหลังผมหันไปบอกไอ้คินกับไอ้ไฟที่มีแฟนแล้วทั้งสองคนแต่ถ้าให้เดานะผมว่ามันไม่เอาแฟนมันมาหรอก



“ถ้าเกิดกูเอาคนรู้จักมาด้วยอ่ะได้ป่ะ” เป๋ามันแทรกขึ้น



“มึงรู้จักเขาแต่เขารู้จักมึงไหมถามแค่นี้” ผมตอบกลับมันกวนๆ



“ไอ้สัด กูคนอยากรู้จักเยอะจะตาย” มันเบะปากแล้วสำทับใส่ผมอีก “สรุปกูเอามาได้ไหม?”



“มึงจะเอามาทำเผือกอะไร งานวันเกิดกูก็ต้องรู้จักกูสิวะ” ผมว่า “แล้วนี่คนรู้จักมึงไม่ใช่เหรอจะเอามางานกูทำหอยอะไร”



“เอ้า...ก็มึงบอกเองว่าจะเอาใครมาก็ได้นี่หว่า”



“กูหมายถึงว่าจะชวนเพื่อนที่กูรู้จักมาด้วยก็ได้”



“อ่อ..แต่คนนี้มึงก็คงรู้จักแหละ งั้นตกลงกูเอาเขามางานมึงด้วยนะ” ผมงงมากว่ามันจะอะไรนักหนากับคนๆนี้อาจจะเป็นกิ๊กมันมั้งครับ



“เออๆจะเอามาก็เอามาแล้วกัน” สุดท้ายผมก็ต้องยอมให้มันเอามาอยู่ดี



“แต้งใจมาก”



ผมส่ายหัวอย่างระอาก่อนจะเริ่มว่าต่อ “งั้นใกล้ๆวันมึงช่วยเป็นธุระจองโต๊ะแล้วบอกพี่พลให้กูหน่อยแล้วกันนะ” ผมหันไปบอกไอ้เตอร์ที่มันสนิทกับพี่พลที่สุดในกลุ่ม ถ้ามันคุยกับพี่เขาน่าจะคุยง่ายๆหน่อย อย่าหวังว่าผมจะส่งไอ้เป๋ามันไปคุยเลยครับ มีหวังงานนี้เละไม่เป็นท่าแน่



“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้” มันตอบรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ



พอพูดคุยถึงเรื่องวันเกิดผมเรียบร้อยแล้วผมก็ลุกไปเข้าห้องน้ำกับไอ้เป๋า บอกให้พวกที่เหลือมันขึ้นไปรอที่ตึกเรียนก่อนเลยเดี๋ยวผมกับไอ้เป๋าจะตามไปทีหลังขอจัดการธุระส่วนตัวกันให้เสร็จก่อนทว่าเดินไปยังไม่ถึงครึ่งทางผมก็ต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาดันไปปะทะเข้ากับไอ้เจ้าจอม มันยืนนิ่งมองผมและผมก็มองมันกลับก่อนเราจะยืนจ้องตากันอยู่นานและเป็นผมเองที่ผละสายตาออกไปก่อน



ผมคิดว่ามันคงจะเดินเข้ามาหาผมเพื่อจะอธิบายอะไรก็ได้ที่มันต้องการพูดให้ผมฟังแต่มันก็ไม่ได้ทำอย่างที่ผมคิดไว้ ผมชำเลืองหางตาไปมองก่อนจะเห็นว่ามันเดินหายไปในโรงอาหารแล้ว  ผมหัวเราะเยาะตัวเองที่คิดว่ามันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมแต่พอมาเจอกันจริงๆแล้วมันกลับไม่พยายามจะอธิบายหรือเข้าหาผมเลยสักนิด ก็ใช่สิครับในเมื่อทุกอย่างมันก็ชัดเจนแล้วผมยังจะต้องการอะไรจากมันอีก



“ไอ้ยีนส์เป็นไรวะ มองไรอยู่อ่ะ?” ไอ้เป๋าที่คงจะเดินนำผมไปไกลแล้วเดินกลับมาหาผมที่ยังคงหยุดอยู่ที่เดิม อยู่ตรงจุดเดิมไม่ได้ไปไหน ยืนคิดอะไรที่ไร้สาระและทำร้ายความรู้สึกของตัวเอง ผมคอยย้ำตัวเองเสมอว่าให้หยุดคิด มันเหมือนจะทำได้แต่สุดท้ายก็กลับมาล้มเหลวอยู่ดีเมื่อได้เจอมัน



“ไม่มีไร ไปเหอะ” ผมตอบปัด ไม่อยากพูดถึงมันอีกและผมก็ไม่เคยเล่าให้เพื่อนตัวเองฟังด้วยเรื่องระหว่างผมกับเจ้าจอม



“แน่ใจนะมึง ไม่ได้มีเรื่องอะไรปิดพวกกูใช่ไหม?” เป๋ามันทำหน้าจริงจังซึ่งพอเห็นแบบนี้ผมก็ทำได้เพียงแค่พรูลมหายใจออกมายาวกว่าปกติ ผมไม่รู้ว่าถ้าผมจะพูดผมต้องเริ่มจากตรงไหนดีและอีกอย่างเรื่องมันก็ไม่มีอะไรแล้ว มันจบไปแล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะเล่าเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมา



“เออไม่มีอะไรหรอก” ในเมื่อเลือกแล้วที่จะไม่พูดผมก็ไม่มีทางพูดเรื่องนี้ออกไปแน่



“ไม่มีไรก็ดีแล้ว” มันว่า “ไปเหอะเยี่ยวจะแตกแล้วสัด”



ดีที่ไอ้เป๋ามันไม่ใช่คนเซ้าซี้อะไรมากผมก็เลยไม่ต้องคอยแถหรือหาคำตอบให้กับมันอีก ถึงมันจะเซ้าซี้ผมก็ไม่บอกมันหรอกครับ







หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วโดยที่ผมก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิมคือการตื่นนอนไปเรียนกินข้าวและกลับห้องมานอน ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิดเดียว อ้อ...คงจะมีนิดหน่อยก็ตรงที่ช่วงนี้ไอ้เป๋ามันชอบมาถามนู่นถามนี่ไม่ก็มาขอนอนที่ห้องของผมบ้างในบางวัน ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันเพราะเวลาถามมันทีไรมันก็ชอบตอบกวนตีนผมทุกที ผมก็เลยขี้เกียจถามหาเหตุผลจากมัน



วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ไอ้เป๋ามันขอมาอาศัยห้องของผมหลับนอนทว่าวันนี้มันมีเหตุผลให้ผมแล้วครับว่าห้องของมันไฟเสียมันก็เลยไม่อยากอยู่คนเดียว กว่าช่างจะมาซ่อมไฟที่ห้องมันให้ก็เป็นพรุ่งนี้เลย มันก็เลยหอบผ้าหอบผ่อนมานอนที่ห้องผมอย่างที่บอกไปนี่แหละ



“ยีนส์ กูอยากกินปลาซาบะว่ะ แถวหอมึงมีร้านอาหารญี่ปุ่นป่ะวะ?” นั่งๆนอนๆอยู่ดีๆมันก็หิว ลูบท้องตัวเองป้อยๆพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างคนคิดไม่ตก



“มี พึ่งมาเปิดเมื่ออาทิตย์ก่อน”



“เข้าทางเลย” มันตบเข่าฉาด ลุกขึ้นยืนปุบปับก่อนหันมาทางผม “งั้นไปกัน”



“เดี๋ยวนี้เลย?” ถามเพื่อความแน่ใจ



“ก็เออสิวะ รอใครมาตัดริบบิ้นล่ะฮึ ลุกๆ”



ผมได้แต่ลุกตามมันอย่างมึนงง เดินไปหยิบกระเป๋าเงินในห้องแล้วเดินออกมาหามันที่กำลังยืนกดโทรศัพท์ยิกๆพอมันเห็นผมก็ทำหน้าตื่นก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว ผมหรี่ตามองท่าทางพิรุธของมันแต่ไม่ได้ว่าอะไร



“ต้องเดินหรือขี่รถไปวะมึง” เป็นมันที่ถามขึ้นแต่ก็ยังคงปิดสีหน้าเลิ่กลั่กไม่ได้



ผมเลิกสนใจเป็นฝ่ายเดินนำมันออกจากห้อง “เดินไปก็ได้”



ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ผมกับมันจะไปอยู่ใกล้ๆหอผมไม่กี่ร้อยเมตรหรอกครับ ผมกลัวว่าหากขับรถไปจะยุ่งยากกับการหาที่จอดรถอีกเลยคิดว่าการเดินไปคงสะดวกกว่า



พวกผมใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีโต๊ะด้านในไม่ถึงสิบโต๊ะ มองจากด้านนอกเหมือนจะยังมีโต๊ะว่างอยู่แต่ก็ต้องบอกว่าถึงจะเป็นร้านเปิดใหม่ทว่าลูกค้าก็เรียกได้ว่าเกือบเต็มร้านเลย



ผมเป็นฝ่ายเดินนำโดยมีไอ้เป๋าเดินตามเข้ามาในร้านจังหวะที่กำลังมองหาโต๊ะว่างพลันสายตาของผมก็หยุดชะงักลงตรงใบหน้าอันคุ้นเคยที่ผมไม่ได้เห็นมาหลายวัน สายตาคู่นั้นกำลังมองมาที่ผมเหมือนกำลังจะสื่อความหมายบางอย่างแต่เพราะทิฐิและความโกรธของผมยังคงมีอยู่จึงไม่สามารถอ่านออกได้ ผมเลือกจะถอนหายใจคลายความอึดอัดก่อนจะละสายตามองมองหน้าไอ้เป๋าที่ทำปากพะงาบๆมองหน้าผมอยู่เช่นกัน



“มึงรู้เรื่องใช่ไหม?” ความสงสัยที่ผมเคยเก็บไว้ตอนนี้เหมือนจะชัดเจนมากขึ้นเมื่อผมได้มาเจอกับเจ้าจอมที่ร้านนี้ ใช่อยู่ว่ามันอาจจะเป็นความบังเอิญที่ทำให้ต้องมาเจอกันแต่ลางสังหรณ์และสถานการณ์ต่างๆที่ดูเป็นใจกลับทำให้ผมไม่เชื่ออย่างนั้น



“รู้อะไรวะ?” ไอ้เป๋ามันทำหน้างง “แล้วนั่นไอ้เจ้าจอมนี่มึงไม่ทักมันเหรอ?”



ผมหรี่ตามองท่าทางและสีหน้าไอ้เป๋า มันปกติจนผมคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่าผมคงคิดมากไปเอง



“ไม่มีอะไรหรอก หาที่นั่งเหอะ” ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม ดันไหล่มันให้เดินนำไปแล้วตัวเองก็เป็นฝ่ายเดินตาม ไอ้เป๋ามันไม่ได้เซ้าซี้ถามเรื่องเจ้าจจอมอีกซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้วล่ะ



“ทำไมเราไม่ไปนั่งกับเจ้าจอมมันอ่ะ มันก็มาคนเดียวนะมึง” ไม่วายไอ้เป๋ามันก็ยังหันมาถามถึงใครอีกคน



“มันอาจจะนัดเพื่อนมั้ง ช่างมันเหอะน่า จะสนใจมันทำไมวะ” ผมว่าสีหน้าหงุดหงิดและน้ำเสียงเริ่มแข็งขึ้นจากปกติจนไอ้เป๋ามันคงเดาได้ว่าผมไม่พอใจมันก็เลยเดินตรงไปที่โต๊ะว่างข้างหน้าทันที



หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ได้ไม่ถึงนาทีพนักงานประจำร้านก็เดินยิ้มแย้มเข้ามาทักทายแบบญี่ปุ่น ไม่รู้ว่าพูดอะไรผมฟังไม่ทันอีกอย่างคือฟังไม่รู้เรื่องด้วยแหละ พนักงานยื่นเมนูให้พวกผมคนละแผ่นก่อนจะพูดแนะนำเมนูให้พวกผมฟัง มันเป็นชื่อเมนูภาษาญี่ปุ่นซึ่งโคตรครีเอท ผมฟังแล้วยังรู้สึกชอบเลยแต่เรียกไม่ถูกหรอกต้องก้มไปอ่านเมนูตลอด ขนาดเมนูปลาซาบะของไอ้เป๋าเขายังครีเอทชื่อให้อ่านยากเลยครับ ชื่นชมเลยจริงๆ



“งั้นเอาอันนี้ครับไอ้ซาบะๆอะไรนี่แหละ” มันจิ้มเมนูปลาซาบะให้พนักงานเขาดู พนักงานก็จดๆใส่ไปในกระดาษแล้วอ่านทวนชื่อเมนูให้ไอ้เป๋ามันฟัง มันก็พยักหน้าหงึกหงัก “เอาข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย ซุปมิโสะ กิมจิแล้วก็ยำสาหร่ายด้วยครับ” มันดูเหมือนจะไม่หยุดสั่งยังคงนั่งมองเมนูเหมือนหาอะไรที่จะสั่งเพิ่มอีก “อยากกินข้าวหน้าปลาไหลว่ะ”



ผมได้ยินมันพึมพำทำหน้าเครียด คงกลัวกินไม่หมดเพราะเซ็ตแรกก็สั่งไปเยอะ





“สั่งมาดิ เดี๋ยวแบ่งกินกับกูก็ได้”



“มึงก็อยากกินเหรอ?”



“เออแต่กูกลัวกินไม่หมด”



“ดีล!งั้นเอาข้าวหน้าปลาไหลอีกหนึ่งครับ” ไม่รอช้ามันก็จัดการสั่งกับพนักงานทันที “มึงเอาไรเพิ่มอีกไอ้ยีนส์?”



“เอาแซลมอนย่างเกลือกับยำสาหร่ายครับ” ผมสั่งเมนูของตัวเองบ้าง “ข้าวเปล่าด้วยครับ”



พนักงานพยักหน้าก่อนจะก้มลงจดเมนู “รับน้ำดื่มเป็นอะไรดีครับ?”



“น้ำชาแล้วกันครับ”



“โอเคครับ เดี๋ยวรอสักครู่นะครับ” พนักงานว่าอย่างนั้นก็เดินออกไปเหลือเพียงผมกับไอ้เป๋าสองคน



ผมนั่งมองบรรยากาศร้านไปเรื่อยส่วนไอ้เป๋ามันก็เอาแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ ไม่รู้ว่ามันคุยกับใครนักหนา



“อย่าว่างั้นงี้เลยนะไอ้ยีนส์”



เงียบกันมานานจู่ๆมันก็พูดขึ้นโดยที่ไม่มีหัวเรื่องอะไรเลย “ว่าอะไร?”



“คือกูสงสัยมาก” ผมเห็นหน้ามันก็เข้าใจ สีหน้าสงสัยแบบขั้นสุด “จะด่ากูเสือกก็ได้นะแต่ขอถามหน่อย”



“อะไรล่ะวะ”



“มึงกับเจ้าจอมทะเลาะกันเหรอวะ?” สีหน้าของมันดูลำบากใจระคนสงสัยในสิ่งที่มันถาม



เมื่อได้ยินคำถามของมันผมก็ทำได้เพียงอึกอักไม่รู้จะตอบว่าอะไรและไอ้เป๋ามันรู้ได้ยังไงว่าพวกผมทะเลาะกัน ถ้าไม่ใช่พวกที่ชอบสังเกตชาวบ้านมันก็คงอาจจะรู้เรื่องอะไรมาแต่ผมเดาว่าคงอยากแรกซะมากกว่า



“คงงั้นมั้ง” ผมตอบแบบกำกวม ก็อย่างที่เคยบอกไปว่ามันจบไปแล้วผมก็ไม่อยากจะพูดถึงสักเท่าไหร่



“ทำไมไม่เคลียร์กันวะ ยังไงพวกมึงก็เป็นพี่ติวน้องติวกัน”



“ไม่เห็นมีอะไรจะต้องเคลียร์”



“เอ้าไอ้นี่! แล้วมึงก็จะปล่อยให้เป็นแบบนี้เนี่ยนะ”



“เออ เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วกูก็ไม่ได้อยากเป็นพี่ติวให้มันตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่”



“ทะเลาะเรื่องอะไรกันวะทำไมถึงขั้นขนาดมึงพูดแบบนี้ ตอนแรกก็เหมือนจะดีกันอยู่เลย”



“เรื่องอะไรก็ช่างมันเถอะ มึงก็เงียบได้ละกูขี้เกียจตอบ”



ไอ้เป๋ามันเกาหัวแกรกๆแต่ก็ยอมเงียบตามที่ผมขอ คงเห็นว่าผมดูไม่ค่อยพอใจตอนที่พูดถึงไอ้เด็กนั่นเลยยอมเงียบลงไม่ถามอะไรอีก



สักพักอาหารก็มาเสิร์ฟหางตาผมเหลือบไปเห็นเจ้าจอมมันเดินผ่านโต๊ะของผมเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำซึ่งต้องเดินผ่านทางนี้อยู่แล้ว ผมทำเป็นไม่สนใจแม้สายตาจะคอยเอาแต่เหลือบมองมันก็ตามแสร้งก้มหน้ากินข้าวของตัวเองไปเงียบๆไม่ให้ใครจับสังเกตได้







เจ้าจอม Part



เป็นการบังคับตัวเองยากที่สุดในชีวิตผมเลยก็ว่าได้ที่ต้องเห็นพี่ยีนส์อยู่ต่อหน้าแต่ผมไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเดินผ่านและแอบชำเลืองมองเขา พี่ยีนส์ดูท่าทางเหมือนไม่อยากจะเจอผมเท่าไหร่แค่หน้าของผมเขาก็แทบไม่เหลือบมองมาด้วยซ้ำ



ผมวางแผนกับพี่เป๋าเพื่อจะได้มาเจอเขาที่ร้านนี้และพี่เป๋าก็ทำตามแผนทุกอย่าง มันเป็นแผนปุบปับที่ผมพึ่งจะคิดได้และลงมือทำทันที โดนพี่เป๋าบ่นนิดหน่อยแต่เขาก็ยอมทำตาม ผมรู้สึกขอบคุณพี่เป๋ามากที่เขายอมช่วยผม วันนี้ผมแค่อยากจะเจอพี่ยีนส์ไม่ได้จะเข้าไปคุยอะไรหรอกเพราะรู้ว่าเขาคงไม่ยอมคุย ขนาดเดินเข้าร้านมาแล้วเจอผมนั่งอยู่ในร้านหน้าเขาก็เหมือนคนอยากจะกลับห้องเต็มทน



ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเคลียร์ ผมต้องเคลียร์กับพี่ยีนส์แน่ๆแต่เพียงว่ามันไม่ใช่วันนี้ ผมแค่รอเวลาอย่างที่พี่เป๋าและเพื่อนๆเขาบอก วันนั้นมันอาจจะดีกว่าวันนี้ก็ได้



เมื่อหลายวันก่อนผมได้คุยกับอิงค์แล้วและอิงค์เข้าใจผมทุกอย่าง เธอบอกว่าพอจะเดาออกได้บ้างจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอยังมีความรู้สึกดีๆให้ผมอยู่แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ อิงค์จะขอมาคุยกับพี่ยีนส์เพื่อเคลียร์เรื่องนี้ช่วยผมให้พี่ยีนส์เข้าใจแต่ผมก็เบรคเธอไว้ก่อน บอกอิงค์ว่ารออีกหน่อยอิงค์จะได้ช่วยผมแน่ๆ



พี่เป๋าส่งคลิปเสียงที่คุยกับพี่ยีนส์มาให้ผมฟัง รู้สึกเสียใจหน่อยๆที่เขาบอกว่าไม่อยากเป็นพี่ติวของผมอยู่แล้วแต่ผมก็รู้แหละว่าเขาพูดไปเพราะเขากำลังโกรธผมอยู่ มันก็เป็นธรรมดาที่ตอนโกรธจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาหรืออาจจะเป็นความรู้สึกจริงๆของเขาก็ได้ผมไม่รู้หรอกทว่าถ้าผมมองโลกในแง่ร้ายเกินไปมันก็ทำให้ผมรู้สึกแย่เองเลยเลือกที่จะมองในแง่ดีว่าพี่ยีนส์โกรธอยู่เลยพูดแบบนั้น



ผมเดินออกจากห้องน้ำซึ่งโต๊ะพี่ยีนส์เป็นโต๊ะที่ผมต้องเดินผ่าน ผมเห็นพี่ยีนส์เอาแต่ก้มหน้าไม่สนใจเลยว่าจะมีใครเดินผ่านโต๊ะของเขา สายตาของผมหันกลับไปมองที่พี่เป๋าบ้างก็เห็นเขาทำหน้าเห็นใจให้ผมแต่ก็ต้องเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อจู่ๆพี่ยีนส์ก็หันหน้ามอง ไม่ได้มองผมนะครับมองหน้าพี่เป๋าต่างหากล่ะ



ผมได้แต่ยิ้มกับตัวเองแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ มองแผ่นหลังของพี่ยีนส์ที่นั่งหันหลังให้ก่อนจะทอดถอนหายใจอย่างคนคิดไม่ตก เป็นแบบนี้แล้วรู้สึกอึดอัดมากเลยล่ะครับ






ต่อด้านล่าง
.
.
.

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
วันเกิดของผมที่ไอ้เป๋าตั้งหน้าตั้งตารอมากกว่าผมเป็นพิเศษก็มาถึงสักที ผมนัดพวกมันประมาณสามทุ่มให้มาเจอกันที่ร้านซึ่งใครจะมาช้ากว่านั้นก็ได้ผมไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้วแค่กำหนดเวลาพอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ คนที่ผมชวนมาก็มีแค่กลุ่มเพื่อนผมกับคนรู้จักอีกไม่กี่คน  ส่วนมากก็เป็นคนที่ผมสนิทจริงๆถึงจะชวนมา



บรรยากาศภายในร้านตอนนี้ค่อนข้างครึกครื้นและพลุกพล่านไปด้วยผู้คนซึ่งเกินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นนักศึกษา ดีหน่อยที่พวกผมจองโต๊ะไว้ตั้งแต่เนิ่นๆเลยได้โต๊ะที่ค่อนข้างอยู่ในมุมและเป็นส่วนตัวหน่อย เห็นว่าพี่พลเป็นคนจัดการเอาโต๊ะนี้ให้โดยเฉพาะ ในส่วนนี้ก็คงต้องขอบคุณไอ้เตอร์มันด้วยที่ประสานงานให้และทุกอย่างออกมาดีมาก



ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นวันเกิดแล้วอีกอย่างที่คงขาดไม่ได้เลยก็คือของขวัญ ผมบอกพวกมันว่าที่จริงแล้วไม่ต้องซื้ออะไรมาให้ก็ได้ทว่าพวกมันก็ไม่ฟังแต่ละคนก็หอบของขวัญมาชิ้นใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้วแต่คนไป ส่วนผมก็ต้องรับไว้ไม่ลืมบอกขอบคุณพวกมัน



“แล้วไหนคนที่มึงจะเอามาด้วยไอ้เป๋า” เมื่อสัปดาห์ก่อนผมจำได้ว่ามันบอกจะพาคนที่ทั้งผมและมันรู้จักมาด้วยแต่ตอนเดินเข้าร้านมาก็ไม่เห็นใครเดินตามหลังมัน ผมก็เลยสงสัย



“ยังไม่มา” มันยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดก่อนจะยื่นไปให้เพื่อนชงให้ใหม่ “รออีกนิดยังไม่ถึงเวลา”



ผมขมวดคิ้วฉับเอ่ยถามมันต่อ “ต้องมีกำหนดเวลาด้วยเหรอวะถึงจะมาได้”



“เออน่า ใจเย็นๆมึงได้เจอมันอยู่แล้ว”



เลือกที่จะเงียบไว้แล้วเก็บความสงสัยไว้คนเดียว ตอนนี้ยังขาดไอ้คินกับไอ้เตอร์ที่ยังไม่มา ไอ้เตอร์มันคงจะรอปิดร้านก่อนส่วนไอ้คินก็คงรอรับไอ้ทาวน์หลังจากไอ้เตอร์ปิดร้าน สองคนนั้นมันบอกแล้วว่าจะมาช้าผมก็เข้าใจ ผมบอกให้มันเอาไอ้ทิมกับไอ้ทาวน์มาด้วยก็ได้ยังไงผมก็สนิทกับมันสองคนอีกอย่างน้องมันก็อายุถึงแล้วด้วย พาพวกมันมาเปิดหูเปิดตาสักหน่อยคงไม่เสียหายอะไร



ไอ้เตอร์มันอาสาไปรับไอ้ทิมให้ส่วนไอ้ทาวน์รายนั้นก็ต้องมากับไอ้คินอยู่แล้วแหละครับก็แฟนมันนี่เนอะจะให้มากับคนอื่นได้ยังไง



พอถึงสี่ทุ่มผมก็เห็นไอ้ทาวน์เดินเข้าร้านมาข้างหลังมีไอ้คินเดินตามมาติดๆแทบจะสิงร่างกัน เบื่อพวกมันมากเลยครับแต่ก็น่ารักดีเวลาได้มอง



“สวัสดีครับพี่ๆ” ไอ้ทาวน์แทบจะยกมือไหว้รอบวง พวกผมทุกคนก็ต้องรับไหว้น้องมัน “นี่ของขวัญครับพี่ยีนส์ ผมกับพี่คินตั้งใจเลือกให้เลยนะ” มันยื่นถุงกระดาษมาให้ผม แอบส่องดูข้างในก็เห็นกล่องอยู่ในนั้นเดี๋ยวค่อยไปเปิดดูก็แล้วกัน



“ขอบใจมาก” ผมว่าแล้วบอกให้ไอ้พวกที่นั่งอยู่ขยับให้ไอ้คินกับไอ้ทาวน์ “ตามสบายเลย”



“ครับพี่”



ตอนนี้ก็ขาดไอ้เตอร์กับไอ้ทิมนี่แหละ อีกเดี๋ยวก็คงมาล่ะมั้ง เมื่อกี้เห็นมันส่งข้อความมาบอกว่ารอไอ้ทิมอาบน้ำอยู่ ไม่เกินสี่ทุ่มครึ่งคงจะมาถึง



“ใครจะไปเข้าห้องน้ำกับกูบ้าง?” หมอกมันยืนขึ้นเพื่อถามทุกคนในโต๊ะแต่ละคนก็ส่ายหน้ามีแต่ผมที่ลุกขึ้นแล้วพยักหน้า



“กูไป”



ผมกับไอ้หมอกเดินมาเข้าห้องน้ำด้วยกัน ระหว่างทางที่ต้องเดินผ่านก็มีคนคอยแต่จะส่งเหล้ามาให้พวกผมกินแต่พวกผมก็เลือกที่จะปฏิเสธคนเหล่านั้น ไม่สนว่าใครจะไม่พอใจ มาสถานที่แบบนี้แม้จะเป็นผู้ชายก็ต้องป้องกันตัวไว้ก่อน อีกอย่างคืนนี้ผมก็ไม่ค่อยอยากจะกินเหล้าเท่าไหร่ด้วย



“กูออกไปสูบบุหรี่ก่อน” ผมว่าตอนที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จ “มึงกลับโต๊ะไปก่อนเลย”



“เคๆ ยังไงก็รีบตามมา”



“อืม”



ผมกับไอ้หมอกแยกทางกัน ผมเดินไปหาที่สูบบุหรี่เงียบๆหลังร้านซึ่งเป็นที่ให้สูบบุหรี่โดยเฉพาะส่วนไอ้หมอกก็แยกเดินกลับโต๊ะไป



บริเวณนี้มีผู้คนประปรายไม่ได้เยอะมาก พอคนเก่าสูบเสร็จก็เดินออกไปคนใหม่ก็เข้ามา วนเวียนอยู่แบบนี้เรื่อยๆผมคนหนึ่งที่เดินออกไป ไม่ได้เดินกลับโต๊ะเลยทันทีแต่เลือกจะเดินออกไปยังหน้าร้าน หาม้านั่งข้างหน้านั่งคนเดียวเงียบๆ ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรทำไม่จู่ๆถึงรู้สึกไม่ดีขึ้นมา ผมจึงต้องมาหาที่เงียบๆเพื่อให้เวลากับตัวเองแล้วค่อยเดินกลับเข้าไปข้างใน



 เหนื่อยนะครับกับการติดอยู่กับความรู้สึกอะไรสักอย่าง ใจนึงผมก็อยากจะเคลียร์ให้มันจบๆไปแต่อีกใจนึงผมก็ไม่อยากแม้แต่จะคุยกับมันด้วยซ้ำ อีกทั้งเจ้าจอมมันก็ดูเหมือนจะไม่ได้อยากเคลียร์กับผมเท่าไหร่ด้วยไม่งั้นมันไม่ปล่อยเวลามานานขนาดนี้หรอก



ผมที่เคยได้อยู่กับมันเรียนรู้มาว่าเจ้าจอมมันก็มีนิสัยดื้อรั้นอยู่พอสมควร แม้ผมจะโกรธมันยังไงแต่มันก็จะดื้อดึงเพื่อให้คุยกับผมจนได้แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่เป็นมันที่กลับเงียบหายไปปล่อยให้ผมต้องคิดเอาเองว่าจริงๆแล้วที่ผ่านมามันรู้สึกอะไรกับผมบ้างหรือเปล่า...



หรือมันอาจจะคิดว่าการเงียบหายไปครั้งนี้ของมันคือสิ่งที่ดีแล้วจึงปล่อยให้ผมต้องอึดอัดแบบนี้คนเดียวไม่มารับผิดชอบความรู้สึกของผมเลย ถ้าให้พูดตรงๆผมก็เสียใจแหละเสียใจมากๆด้วย ถึงจะย้ำว่าไม่คิดอะไรแล้วมันจบไปแล้วแต่ใครมันจะทำใจได้วะ รู้ว่าต้องใช้เวลาแต่แม่งต้องนานขนาดไหนกัน ผมหงุดหงิดกับความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ฉิบหายเลย



“มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียวครับ”



ความคิดของผมหยุดชะงักลงเพราะเสียงที่คุ้นหูดังขึ้น ผมภาวนาให้ไม่ใช่คนที่ผมคิด จู่ๆกระบอกตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาซะดื้อๆ เวรเอ๊ย!ผมจะมาร้องอะไรตอนนี้วะ อาจจะไม่ใช่คนที่ผมคิดก็ได้



“..มึง...” สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมภาวนาก็ไม่เป็นจริง คนที่อยู่ตรงหน้าผมคือเจ้าจอมอย่างที่ผมคิดไว้ ผมจำเสียงมันได้และไม่เคยลืมด้วยซ้ำ



ผมลุกขึ้นทำท่าจะเดินหนีแต่กลับโดนมันคว้าข้อมือเอาไว้ ผมสะบัดออกอย่างแรงจนหลุดแต่มันก็ยังดันทุรังมาจับไว้เหมือนเดิม ผมหันกลับไปหามันก่อนจะยกหมัดขึ้นต่อยไปที่หน้ามันเต็มๆ เสียงหมัดของผมที่กระทบลงบนใบหน้าของมันดังขึ้นชัดเจน ผมไม่อยากทำแบบนี้แต่ความโกรธก็มีมากกว่าที่จะหักห้ามใจตัวเอง



“พี่ยีนส์อย่าพึ่งไปครับ” มันยังคงมีแรงคว้าตัวผมไว้ทันก่อนที่ผมจะเดินหนี ได้ยินเสียงมันซี๊ดปากเบาๆแต่ผมก็ไม่สนใจพยายามสะบัดตัวเองให้หลุดจากมัน “ฟังผมก่อนพี่”



“ฟังเหี้ยไรอีก กูไม่อยากฟัง!” ผมพูดนิ่งๆหยุดสะบัดแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมของมัน “กูไม่อยากฟังคำแก้ตัวของมึง”



“แต่มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะครับ”



“แล้วมึงรู้หรือไงว่ากูคิดอะไร”



“พี่กำลังเข้าใจผิด”



“งั้นเหรอ?”



“ช่วยฟังผมก่อนได้ไหมครับพี่ยีนส์” น้ำเสียงและแววตาของมันอ้อนวอนจนผมเกือบจะใจอ่อนจึงต้องหันหน้าหนีหอบหายใจอย่างรุนแรงระบายความหงุดหงิดและความโกรธของตัวเอง



“จะให้กูเชื่อคำโกหกมึงหรือไง กูไม่อยากฟัง”



“ผมขอร้องนะครับ ขอแค่พี่ฟังผมก่อนแล้วถ้าพี่จะเชื่อหรือไม่เชื่อผมก็แล้วแต่พี่” มันมองหน้าผม แววตาและน้ำเสียงของมันจริงจัง ไม่มีแม้แต่แววโกหกใดๆ “ได้ไหมครับ...”



ผมจ้องมันนิ่ง ไม่รู้ว่ามันต้องการอะไรอีก ผมกลัวว่าตัวเองจะยอมใจอ่อนกับมันง่ายๆแค่ได้ยินน้ำเสียงของมันและแววตาจริงใจของมันผมก็แทบจะยกโทษให้แล้ว



“กูแค่ต้องฟังใช่ไหม” ผมเอ่ยย้ำ สุดท้ายก็ใจอ่อนอยู่ดี



“ครับแค่ฟังผมแล้วสุดท้ายพี่จะตัดสินใจยังไงผมก็จะยอมรับ”



ผมได้แต่ทอดถอนหายใจหงุดหงิดตัวเองมากกว่าหงุดหงิดไอ้เจ้าจอมมันอีก “เออกูจะฟัง ตอนนี้ก็ปล่อยมือกูก่อนแล้วไปนั่งดีๆ”



มันยิ้มดีใจก่อนจะกุลีกุจอไปนั่งตรงม้านั่งที่ผมพึ่งลุกออกไป พอมันเห็นผมนั่งลงแล้วมันก็ยืดตัวตรงก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ผมฟัง



เจ้าจอม Part



ผมยกมือขึ้นจับแผลตรงมุมปากที่โดนพี่ยีนส์ต่อย มันรู้สึกเจ็บเวลาพูดจนต้องซี้ดปากขึ้นทุกครั้งแต่ก็สมควรแล้วล่ะครับที่ผมจะโดนเขาต่อยแบบนี้



“เรื่องวันนั้นไม่ใช่อย่างที่พี่คิด ตอนนั้นอิงค์มาหาผมที่ห้องก็จริง อิงค์มาเพื่อจะสารภาพรักกับผมซึ่งผมก็ปฏิเสธอิงค์ไปแล้ว อิงค์บอกว่าเข้าใจผมแต่ขอกอดเป็นครั้งสุดท้ายและผมก็ยอม ผมรู้ว่ามันไม่ดีแต่ผมก็สงสารอิงค์ ผมคิดแค่ว่าแค่กอดคงไม่เป็นอะไร ผมไม่ได้นึกไปถึงพี่เลยว่าถ้าหากพี่เห็นพี่จะรู้สึกยังไง ผมขอโทษนะครับ”



“ไม่ใช่แค่กอด” เขาพูดขัดขึ้น



“ครับไม่ใช่แค่กอดแต่เรื่องจูบผมไม่รู้จริงๆและไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยว่าอิงค์จะทำแบบนั้น ผมไม่ได้แก้ตัวนะครับ ที่บอกมาคือเรื่องจริงทั้งหมด”



“จบยัง?” พี่ยีนส์ยังคงเสียงแข็งเหมือนเดิม เขาอาจจะยังไม่เชื่อที่ผมเล่า คงต้องให้เวลาให้เขาได้คิดก่อน



“ครับ เรื่องที่เกิดขึ้นมันมีแค่นี้” ผมเอ่ย มองตาเขาด้วยแววตาอ้อนวอน “ขอบคุณนะครับที่รับฟังผม”



“อืม” เขาไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากตอบรับแค่นั้น



พี่ยีนส์ลุกขึ้นและทำท่าจะเดินไปแล้วแต่ยังไม่ทันจะก้าวขาออกผมก็เรียกเขาไว้ก่อน



“พี่ยีนส์ครับ”เขาไม่ได้หันมาแต่ผมรู้ว่าเขากำลังรอฟังสิ่งที่ผมจะพูดอยู่ “พี่ยังรู้สึกกับผมเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า..”



สิ่งที่ผมกลัวที่สุดในเวลานี้คือคำตอบของพี่ยีนส์หลังจากที่ถามออกไปพี่ยีนส์ก็ยังคงเงียบ ผมเริ่มใจไม่ดีแต่ก็เข้าใจว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นความรู้สึกก็อาจจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ได้



ใจของผมแทบร่วงเมื่อพี่ยีนส์เลือกที่จะเดินจากไปโดยไม่ตอบคำถามแต่เขากลับต้องหยุดชะงักการก้าวเดินของตัวเองเมื่อจู่ๆอิงค์ก็โผล่มาดักหน้าของเขา



“อิงค์ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมคะ พี่ยีนส์...”





เราแต่งดราม่าไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่เลยเขียนแล้วลบบ่อยมากสุดท้ายก็ได้เป็นตอนนี้ออกมาแต่จริงๆก็วางเรื่องไว้แบบนี้อยู่แล้วแค่อาจจะเขียนให้เข้าถึงอารมณ์ได้ยาก ยังไงก็ฝากติชมกันด้วยเด้อออ
อีกสองตอนก็จะจบแล้ว ขอบคุณทุกๆกำลังใจค่าาา

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :hao4:
พี่ยีนส์จะเอายังไง
 :m16:
 :3123:
 :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

อิงค์จะทำตามที่เคยรับปากไว้หรือป่าวน้อ?

รอลุ้นว่า  จะมีมาม่าเสริฟอีกไหม? กับสองตอนที่เหลือ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ฟัง ๆ ชะนีน้อยพูดหน่อย เผื่อนางจะมาดี  :hao4:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ยุ่งขิงเลยตอนนี้ ยีนส์อย่าลืมนะว่าตัวเองก็ยังไม่เคลียร์
คือรู้ คือเห็น แค่ไม่ได้คุยให้จบน่ะ รอดูอิงค์จะมาแบบไหน

เอ็นดูเจ้าจอม ถึงขั้นบ้าบอ เพ้อมาก อาการหนักด้วย
สำหรับเจ้าจอมเข้าใจได้ ดูน้องเป็นคนจริงจังอยู่

ยีนส์ก็น่าสงสารนะ ก็ปากแข็งมานาน พอจะยอมรับ
ก็ดันมาเจอเรื่องแบบนี้ไปอีก ทำใจยากไปเลย
ครอบครัวเยียวยาทุกสิ่ง ถ้าเข้าใจกันและดูแลกัน


ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 รอดูว่าอิงค์จะมาเคลียร์อย่างที่คุยกับจอมไว้หรือเปล่า

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3

ตอนที่25

ความรู้สึกของเราสองคน


ขาทั้งสองข้างของผมชะงักลงเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคืออิงค์ ผมไม่คิดว่าจะเจอน้องวันนี้ ไม่หรอกครับผมไม่เคยคิดว่าเราทั้งสามคนจะมาเจอกันในวันนี้ ไม่รู้ว่ามันเป็นวันบ้าอะไรแต่แม่งก็เกิดขึ้นแล้วไงผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ



“พี่ไม่สะดวก” หากเป็นปกติผมคงไม่พูดแบบนี้แต่ในสถานการณ์ตอนนี้แม้แต่หน้าน้องผมก็ไม่อยากมองด้วยซ้ำ



“แล้วพี่จะหนีกันไปแบบนี้ตลอดเหรอคะ?” คำถามของน้องทำให้ผมคิดได้



ใช่...ผมรู้ว่าตัวเองกำลังหนี หนีไปจากความรู้สึกที่อยู่ในส่วนลึกของใจ ผมหนีมาตลอดและไม่เคยยอมรับความรู้สึกของตัวเองเลย



“พี่ไม่ได้หนี” แต่ผมก็เลือกจะปฏิเสธความจริงไป



“ไม่หนีก็ฟังอิงค์พูดก่อนได้ไหมคะ” เสียงของน้องยังนุ่มนวลน่าฟังเหมือนเดิม คงจะเป็นผมเองที่เปลี่ยนไปเลยรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยิน



“มีอะไรต้องพูดอีกเหรอ?”



“อิงค์รู้ว่าจอมคงเล่าให้พี่ฟังหมดแล้วและก็รู้ด้วยว่าพี่คงไม่เชื่อจอม”



“แล้วยังไง” ผมปรับเสียงตัวเองไม่ให้ห้วนเกินไปแต่มันก็ยากเหลือเกิน



“แต่อิงค์ยืนยันว่าวันนั้นเป็นอย่างที่จอมเล่าจริงๆ” เมื่ออิงค์เห็นว่าผมยังคงเงียบจึงพูดขึ้นต่อ “อิงค์ไม่รู้ว่าวันนั้นพี่ยีนส์อยู่ในห้อง ถ้าเกิดอิงค์รู้คงไม่ทำเรื่องแบบนั้น อิงค์ขอโทษค่ะ อิงค์เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและความผิดไม่ใช่ของจอมเลยเป็นเพราะอิงค์ที่เห็นแก่ตัวเอง”



เสียงสะอื้นของอิงค์ทำให้ผมหันหน้าหนี ผมรับรู้ถึงความรู้สึกผิดและความเสียใจของน้อง น้ำเสียงของน้องสั่นขณะที่เล่าไปด้วยและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าจอมมันลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างๆผม



“พี่ขอเวลาหน่อยได้ไหม พี่รู้ว่าอิงค์กับมันคงไม่โกหกพี่หรอกแต่พี่ขอเวลาคิดอะไรสักหน่อยแล้วค่อยมาว่ากัน” ผมตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิด จู่ๆเรื่องนี้ก็ถาโถมเข้ามาจนผมตั้งรับไม่ทัน



“ได้ค่ะแต่อิงค์อยากบอกให้พี่ยีนส์รู้ไว้อย่างหนึ่งนะคะเผื่อมันอาจจะทำให้พี่ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น”



“อืม” ผมรออิงค์พูดประโยคถัดมา



“เจ้าจอมไม่ได้รักอิงค์เลยเพราะเรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว มีแต่อิงค์คนเดียวที่หวังว่าจะทำให้มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมแต่สำหรับจอมจบก็คือจบ คนที่เจ้าจอมรักตอนนี้ก็มีแค่พี่ยีนส์เท่านั้นค่ะ”



ผมชะงักไม่คิดว่าน้องจะพูดออกมา หันไปมองก็เห็นเจ้าจอมมันมองผมอยู่แล้ว รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่กอบกุมมือของตัวเองไว้ ผมไม่ได้สะบัดหนีอีกแล้วทำเพียงแค่นิ่งปล่อยไว้แบบนั้นก่อนจะหันกลับไปมองอิงค์อีกครั้ง



“ขอบคุณอิงค์นะ พี่เข้าใจแล้วล่ะ ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาด้วยนะ” ผมยังคงรู้สึกผิดกับอิงค์อยู่ที่ชอบเจ้าจอมแม้จะรู้แล้วว่าอิงค์ก็ไม่ได้ชอบผมแต่ผมก็ไม่ได้ซื่อสัตย์กับน้องตั้งแต่แรกเหมือนกัน



“อิงค์ก็ขอโทษพี่ยีนส์นะคะที่ทำให้วุ่นวายและเข้าใจเจ้าจอมผิดเพราะอิงค์”



“ช่างมันเถอะ” ผมยิ้มให้น้องแม้จะยิ้มได้ยังไม่เต็มที่ในความรู้สึกแต่สักวันผมก็คงจะยิ้มให้น้องได้เหมือนเดิมโดยที่ไม่รู้สึกอะไร “ไหนๆก็มาแล้วเข้าไปข้างในไหม วันนี้วันเกิดพี่มีเลี้ยงน่ะ” ผมถือโอกาสชวนน้อง ไม่ได้ชวนตามมารยาทแต่ชวนด้วยความจริงใจที่อยากให้น้องได้ร่วมงานวันเกิดของตัวเอง



“ไม่เป็นไรค่ะ อิงค์แค่จะมาอธิบายให้พี่ฟัง” น้องระบายยิ้มเช็ดน้ำตาออกจากแก้มตัวเอง “สุขสันต์วันเกิดนะคะ มีความสุขมากๆ”



“ขอบคุณครับ”



“งั้นอิงค์ขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” น้องยกมือไหว้เหมือนอย่างที่เคยทำ “เราไปก่อนนะจอม คุยกับพี่ยีนส์ดีๆล่ะ”



“อืม ขอบใจอิงค์มากนะ”



ผมมองอิงค์เดินขึ้นรถไปกับเพื่อนที่จอดรอรับอยู่ กระทั่งรถที่อิงค์นั่งขับออกไปจนลับสายตาแล้วผมก็ยังไม่ไหวติงแต่ก็รู้สึกได้ว่าคนที่ยืนกุมมือผมอยู่ค่อยๆบีบกระชับมือของมันกับผมให้แน่นมากขึ้นกว่าเดิม



“พี่ยีนส์ครับ” เสียงของมันดังขึ้นทำลายความเงียบระหว่างเรา



“มึงถามกูใช่ไหมว่ากูยังรู้สึกกับมึงเหมือนเดิมหรือเปล่า” ผมพูดโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้ามัน สิ่งที่อิงค์พูดมาให้ผมฟังตรงกับที่เจ้าจอมบอกผมทุกอย่าง มันทำให้ผมคิดได้เร็วขึ้นว่าจะให้เรื่องนี้มันเป็นยังไงต่อไป



“ครับ”



ในเมื่อการหนีของผมมันทำให้ผมเหนื่อยและไม่ใช่แค่ผมคนเดียว คนตามอย่างเจ้าจอมมันก็คงเหนื่อยไม่แพ้กัน ผมเลยตัดสินใจได้ว่าครั้งนี้ผมจะไม่หนีความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไปแล้ว



“อืม ยังเหมือนเดิม...”



“พี่ยีนส์...”



“อาจจะชอบมึงมากกว่าที่มึงคิดด้วยซ้ำ”



ตัวของผมโดนคว้าเข้าไปกอดทันทีที่พูดจบ เสียงหัวใจของเราทั้งสองคนดังขึ้นเป็นจังหวะเดียวกัน เจ้าจอมกอดกระชับผมแน่น ผมไม่ได้กอดกลับแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว



“ผมก็ชอบพี่ชอบมากๆครับ อาจจะกลายเป็นรักไปแล้วก็ได้” มันซบหน้าลงกับไหล่ของผม ความเปียกชื้นที่รู้สึกทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้มันกำลังร้องไห้ซึ่งไม่ต่างจากผมที่กำลังร้องไห้อยู่เช่นกัน



“มึงแม่ง!..” ผมยกมือขึ้นมากำแขนเสื้อมันไว้แน่น ความรู้สึกที่เคยเก็บไว้เหมือนได้ปลดปล่อยออกไปจนคลายความอึดอัดลง รู้สึกว่าตัวเบาโหวงเมื่อได้พูดสิ่งที่ตนเองรู้สึกออกมา



“ผมขอโทษที่ไม่เข้ามาคุยกับพี่ให้เร็วกว่านี้”



เออ...มันก็รู้ตัวนี่หว่า



“แล้วมึงปล่อยเวลาให้นานขนาดนี้ทำไม ทั้งที่กูกับมึงก็เจอกันแต่มึงกลับเอาแต่มองหน้ากูแล้วเดินหายไป” ตลอดทั้งอาทิตย์มันเกิดแบบนั้นขึ้นจริงๆซึ่งผมไม่เข้าใจ ในใจลึกๆของผมก็ยังหวังว่ามันจะเข้ามาพูดคุยหรืออธิบายอะไรสักอย่างให้ผมฟังแต่ทุกครั้งมันเอาแต่มองผมก่อนจะเดินหนีหายไป การกระทำของมันยิ่งทำให้ผมคิดมากและทำให้ผมคิดไปเองแล้วว่ามันคงจบลงเท่านี้



“ผมขอโทษครับ” เราผละออกจากกันเป็นผมที่ยื่นมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้มัน ไม่ได้อ่อนละมุนหรืออ่อนโยนเหมือนอย่างที่คิด ออกจะทำแรงและเช็ดลวกๆซะมากกว่า



“ถ้าจะหายไปก็หายไปเลยดิวะ ทำไมต้องมาเจอเหมือนให้ความหวังกันอยู่ได้ มึงแม่ง!” ขอด่ามันหน่อยเถอะ อดทนมานานแล้ว



“ผมไม่อยากให้พี่ลืมผมแต่ผมก็ยังเข้าไปคุยกับพี่ตอนนั้นไม่ได้”



“ทำไม?”



“มีคนบอกให้ผมรอเวลาเหมาะกว่านี้ซึ่งก็คือวันนี้ครับ”



ผมว่าผมพอจะเดาได้อยู่นะว่าเป็นใครและพวกมันคงรุมหัวกันวางแผนขึ้น ผมก็ว่าแล้วทำไมถึงอยากให้มีงานวันเกิดกันนักเพราะอย่างนี้นี่เอง



“มึงก็เชื่อพวกมัน?”



“ครับ” มันพยักหน้าเหมือนเด็กมีความผิดแล้วต้องสารภาพออกมาให้ฟัง “ผมกลัวว่าถ้าไม่ทำตาม...พี่ก็จะไม่ยอมคุยกับผม”



“เออดีจริงๆเลย”



“พี่ร้องไห้ทำไมครับ ดีใจใช่ไหมที่เราดีกันแล้ว”



“เงียบปากไปเลยมึง”



มันระบายยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาตรงหางตาให้ผม ใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำในตอนนี้ ดีที่บริเวณที่ยืนอยู่ค่อนข้างมืดและมีแสงสว่างส่องมาเพียงนิดเดียวจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเห็น



“ผมคิดถึงพี่มากๆนะครับ” มันเอาปลายจมูกแตะกับปลายจมูกของผม สายตาของเราประสานกันและรอยยิ้มของมันทำให้ผมตาพร่าไปชั่วขณะ



“เออ...กูก็เหมือนกัน” ผมพูดอ้อมแอ้มเสียงเบา



“เหมือนกันยังไงครับ?” แม้จะมืดแค่ไหนแต่เพราะใบหน้าของมันอยู่ใกล้ผมจึงได้เห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของมัน สายตาที่ไม่ได้เห็นมาหลายวันและผมก็…



“คิดถึงเหมือนกัน”



เจ้าจอมคว้าตัวผมเข้าไปกอดอีกครั้งก่อนจะกดจูบย้ำๆตรงไหล่ของผม



“ทำยังไงดีครับผมรู้สึกรักพี่มากเลย”



“พูดอะไรของมึงวะ”

“พูดว่ารักไงครับ”



ไอ้เวรเอ๊ย! ทำไมผมต้องมารู้สึกเขินกับคำพูดของมันด้วยวะ



“เงียบเลย!”



“ผมรักพี่นะ รักรักรัก รักมากๆถ้าจะให้รักมากกว่านี้ผมก็ยังไหวขอแค่พี่รักผมบ้างก็พอ รักไหมครับ?”



“อะไรของมึงอีก?” ผมขืนตัวออกจากอ้อมกอดของมันแต่เหมือนมันเอาแรงเฮือกสุดท้ายของชีวิตมารัดตัวผมไว้ทำให้ผมหลุดออกไปไม่ได้



“ว่าไงครับพี่รักผมไหม?” มันยังไม่ยอมแพ้ ถามต้อนให้ผมพูดคำๆนั้นออกมาให้ได้



“ก็บอกไปแล้วไงวะ” ถึงจะเป็นคำว่าชอบมากก็เถอะแต่มันก็เหมือนกันนั่นแหละ



“พี่บอกว่าชอบ..”



“มันก็เหมือนกัน”



“ไม่เหมือนสิครับ แค่ตัวสะกดยังไม่เหมือนกันเลย” ดูครับดูมันกวนตีนผม พอหายเศร้าก็กลับมาซ่าเหมือนเดิมเลยนะมึง



“เออ”



“เอออะไรครับ”



“เออรักก็รักวะ พอใจยัง”



“ที่สุดครับ”



ผมขืนตัวเองออกอีกครั้งและครั้งนี้มันก็ยอมปล่อยผมแต่โดยดี ไม่รู้ไปโดนตัวไหนมามันถึงเอาแต่ยิ้มแบบนี้ อย่าว่าแต่มันเลยครับผมก็ยิ้มเหมือนมันนั่นแหละ



“ไปได้ยัง?”



“ยังครับ”



“อะไรอีกวะ?” ผมขมวดคิ้วฉับ งงที่มันไม่ยอมให้ผมไปไหนสักที



“คำถามสุดท้ายแล้วครับ”



“รีบๆถามมาเลย ลีลาอยู่นั่นแหละ” ชักจะเริ่มหมั่นไส้มันขึ้นมาอีกแล้ว หน้าตาแม่งก็ดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดเดียว



มันมองสบตาผมแต่แววตาตอนนี้มีแต่แววหวานเชื่อมจนผมแทบอยากหลบตาแต่ในใจก็ยังรู้สึกว่าอยากมองมันไปเรื่อยๆและอยากมองให้นานกว่านี้เหมือนมีอะไรมาดึงดูดให้ผมไม่อาจละสายตาไปไหนได้



“ถ้าพี่รักผมแล้วงั้นเราคบกันไหมครับ?” รอยยิ้มของมันทำให้ผมใจเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งเมื่อได้ยินคำถามของมันก็ทำเอาผมแทบทำอะไรไม่ถูก



“มึงแม่ง...” ผมทำเป็นด่ากลบเกลื่อนทั้งที่หัวใจยังคงเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมมีคำตอบให้มันอยู่แล้ว มีตั้งแต่มันบอกว่ารักผมนั่นแหละ ผมคิดไว้ตั้งแต่ตอนนั้นหากเกิดว่ามันถามขึ้นมาและมันก็ถามผมขึ้นมาจริงๆ



“เชี่ย!!”



ผมหันขวับไปมองตามเสียงโวยวายของคนกลุ่มหนึ่ง ใช่ครับคนกลุ่มหนึ่งที่หลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ๆแต่เพราะอะไรก็ไม่รู้พวกมันถึงได้โผล่พรวดกันออกมาแล้วก็ยิ้มแห้งๆให้ผม



“โทษทีมึงพวกกูไม่ได้แอบฟังนะเว้ยแค่เดินผ่านมา” ไอ้เป๋าเป็นคนแรกที่แก้ตัวซึ่งแม่งไม่เนียนไงเดินผ่านมาบ้าอะไรยกโขยงกันมาเลยเชียว



“ไม่เนียน” ผมตอบกลับสั้นๆและพวกมันก็เอาแต่หัวเราะแหะๆใส่ผม



ผมส่ายหน้าระอาเข้าใจพวกมันแหละว่ามันก็ห่วงผมจึงออกมาดูและอีกอย่างก็คงมาดูด้วยว่าแผนที่วางไว้กับไอ้เจ้าจอมนั้นสำเร็จหรือเปล่าซึ่งพวกมันก็คงเห็นผลกันแล้ว



“ช่างพวกกูเถอะ แล้วนี่มึงตอบคำถามเจ้าจอมมันไปยังวะ น้องมันรอนานแล้วนะเว้ย” ไอ้หมอกก็อีกคน มันพยักพเยิดไปทางเจ้าจอมที่ยืนอยู่ข้างๆผม



“ไม่ต้องสนใจพวกกูนะมึง คิดซะว่าพวกกูมาเป็นพยานรักให้มึงแล้วกันเนอะๆ” ยังจะมีน่ามาเนอะอีกไอ้ห่าเป๋า มึงเนี่ยตัววางแผนแน่ๆ



เออเอายังไงก็เอาถึงผมจะไล่พวกมันก็คงไม่ไปกันหรอกอีกอย่างก็บอกโต้งๆกันต่อหน้าพวกมันนี่แหละ ไม่มีอะไรจะเสียแล้วด้วย ก่อนหน้านั้นพวกมันคงเห็นฉากสวีทของผมกับไอ้เจ้าจอมกันหมดแล้ว ยิ่งคิดแม่งยิ่งอายแต่ก็ทำหน้าด้านหน้าทนไว้เดี๋ยวพวกมันจะล้อ



“ว่าไงครับพี่ยีนส์ตกลงไหม?” นี่ก็ถามย้ำจังวะ แล้วนี่จะยิ้มอะไรนักหนาไม่รู้หรือไงวะว่าทำให้ผมต้องยิ้มตามมันอีกเนี่ย ไอ้เด็กเวรเอ๊ย!



ผมมองหน้าพวกเพื่อนๆทุกคนอีกครั้งพวกมันก็ทำหน้าที่ให้กำลังใจและคอยยุผมให้ตอบสักที ละสายตามามองที่เจ้าจอมมันบ้างเด็กนี่มันก็กำลังมองผมแต่แตกต่างจากเพื่อนของผมเพราะแววตาของมันตอนนี้เต็มไปด้วยความรักและความจริงใจซึ่งผมรู้สึกได้โดยทันทีที่สบตากับมัน



“อือ”



“อือไรวะไอ้ยีนส์”



“ไอ้เชี่ยเป๋าหุบปากไปเลย”



“บ๊ะ! ก็มึงตอบไม่เคลียร์นี่หว่า อือแล้วอะไรต่อละวะ”



“ก็คบไงไอ้ฟายถามมากจริงเลย”



“ก็แค่เนี้ย” แล้วพวกมันก็พร้อมใจกันประสานเสียง ขนาดไอ้ไฟที่ไม่ค่อยพูดมันยังอุตส่าห์พูดกับเขาเลยครับ นี่คงจะเตี๊ยมกันมาดีจริงๆ



“ไปๆพวกเราปล่อยให้เขาอยู่กันสองคนเถอะ” อยากจะด่าไอ้เป๋ามันมากเลยว่าพวกมึงควรรู้กันตั้งนานแล้วไหม



เมื่อพวกมันพากันเดินออกไป บริเวณนี้จึงเหลือแค่เพียงผมกับเจ้าจอมสองคน



“ขอฟังชัดๆอีกรอบได้ไหมครับ?” เจ้าจอมเดินเข้ามาใกล้อีกครั้งหลังจากเมื่อกี้มันเขยิบเว้นระยะห่างจากผมไปเวลาอยู่ต่อหน้าเพื่อน



“ฟังอะไร?”



“ที่พี่ตอบบเมื่อกี้ ผมอยากฟังชัดๆอีกครั้งได้ไหมครับ” ใครสั่งใครสอนให้ทำหน้าอ้อนเสียงอ้อนแบบนี้วะ ไอ้เด็กนี่นับวันชักเริ่มจะเอาใหญ่แล้ว



ถึงผมจะไม่อยากพูดซ้ำแล้วแต่เพราะเป็นมันจึงเป็นข้อยกเว้น ในเมื่อมันอยากฟังอีกครั้งผมก็จะพูดให้มันฟังและจะย้ำให้มันจำเอาไว้จะได้ไม่มาถามซ้ำอีก



เอาจริงๆก็ตื่นเต้นแหละแต่บอกแล้วไงว่าต้องทำเป็นหน้าด้านหน้าทน ในเมื่อมันก็มีความกล้าที่จะถามผมแล้ว ผมก็ต้องมีความกล้าที่จะตอบคำถามมันดิ อีกอย่างความรู้สึกที่ผมมีให้มันก็เอ่อล้นเกินกว่าที่จะเก็บไว้คนเดียวในเมื่อมันอยากฟังนักผมก็จะตอบให้มันฟังจนมันเบื่อไปเลย



“กูบอกว่ากูจะคบกับมึง...” เกิดอาการหน้าร้อนขึ้นมาซะดื้อๆดีที่ไฟไม่สว่างเจ้าจอมมันก็เลยไม่เห็นสีหน้าของผม “ชัดพอหรือยัง”



มันพยักหน้าหงึกหงัก “ชัดครับชัดมากด้วย”



“เอองั้นก็...” ยังไม่ทันที่จะพูดให้จบก็โดนมันจู่โจมด้วยการจูบปาก ผมตัวแข็งค้างก่อนจะคล้อยตามมันด้วยการขยับปากไปตามที่มันนำจากนั้นจึงผละออก



“ขอบคุณนะครับ ผมรักพี่นะ”



“เออ กูก็รักมึง”



ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันบอกรักแห่งชาติหรือเปล่า ผมกับมันถึงได้เอาแต่พูดคำว่ารักกันซ้ำๆอย่างไม่รู้จักเบื่อและกลับชอบด้วยซ้ำที่ได้พูดออกไป เหมือนความรู้สึกที่เคยแบกไว้มันเบาลง เบาจนอาจจะลอยได้เลยล่ะครับ เป็นความรู้สึกฟูๆที่หัวใจ รู้สึกว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาหลังจากที่ต้องห่อเหี่ยวและคิดมากกับเรื่องนี้อยู่หลายวัน



ทำไมผมเริ่มอธิบายได้เลี่ยนจังเลยวะ ก็นะคนมีความรักก็คงเป็นแบบนี้กันมั้งครับ



ผมมองมันที่ยังคงมีรอยยิ้มประดับไว้บนใบหน้า มองรอยยิ้มของมันที่ผมคิดถึงและมองทุกอย่างในตัวของมันที่ผมรัก ผมไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งผมกับมันจะลงเอยกับแบบนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าการมีมันอยู่ในชีวิตคือเรื่องดีๆอีกเรื่องหนึ่งของผมและไม่เคยคิดเลยว่าผมจะรักใครได้มากมายขนาดนี้



ผมระบายยิ้มจนเต็มแก้มก่อนจะคว้าตัวมันเข้ามากอดแล้วซบหน้าลงไปบนไหล่ของมันกดจูบย้ำอยู่ตรงนั้นซ้ำๆ ไม่ใช่แค่มันที่รักผมมากแต่ผมก็รักมันมากขนาดที่ว่าตัวผมเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย



“กูไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไงแต่กูจะพยายามรักษาทุกอย่างไว้และทำมันให้ดีที่สุด” กระซิบเสียงเบาทว่าหนักแน่นให้มันได้ยิน การกระชับกอดของเจ้าจอมทำให้ผมรับรู้ว่ามันได้ยินในสิ่งที่ผมบอกไป



“ผมก็เหมือนกันครับ”



“กูรักมึงมากนะเจ้าจอม”



“ผมก็รักพี่มากเหมือนกันครับพี่ยีนส์”



“อืม” ผมพยักหน้าหงึกหงักอยู่กับไหล่ของมันก่อนที่เราจะกอดกันนิ่งอยู่อย่างนั้น



นิ่งเพื่อฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นไปในจังหวะเดียวกัน มันประสานกันเป็นหนึ่งเดียวเหมือนความรักของผมกับมันที่มอบให้กัน



เมื่อยืนกอดกันจนพอใจแล้วก็ผละออก ต่างฝ่ายต่างเช็ดน้ำตาให้กันเงียบๆส่งยิ้มให้กันอีกครั้งก่อนจะเป็นมันที่คว้ามือผมไปจับไว้



“เข้าไปข้างในกันเถอะครับจะได้เป่าเค้กสักที”



“เค้กอะไร?”



“เค้กวันเกิดของพี่ไงครับ”



“วางแผนมาดีจริงๆนะพวกมึง”



เจ้าจอมมันขำทั้งที่โดนผมหยิกเข้าข้างเอวเหมือนกับว่ามันรู้สึกตลกมากกว่าที่จะเจ็บ



“ถ้าวางแผนไม่ดีผมก็ไม่ได้คบกับพี่สิครับ”



ถอนหายใจระอาไอ้เจ้าจอมกับเพื่อนผมเนี่ยเข้าขากันดีจริงๆ



“เออเก่งกันนัก”



เราสองคนเดินยังไม่ทันถึงโต๊ะก็ได้ยินเสียงนักร้องบนเวทีร้องเพลงแฮปปี้เบิดเดย์ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง พอหันไปหาเจ้าจอมเพื่อจะถามมันว่าทำไมต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ด้วยก็ไม่เห็นมันแล้ว ผมมองหามันไปทั่วเมื่อกี้ก็เดินมาด้วยกันอยู่ดีๆไหงมันหายไปได้วะ

 

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู~~ ยู~~


 

เสียงเพลงร้องแฮปปี้เบิดเดย์ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆจากตอนแรกที่มีเพียงนักร้องบนเวทีร้องให้ตอนนี้เกือบทุกคนในร้านก็ร่วมร้องเพลงเช่นกัน ผมโคตรอายเลยครับมองหาเพื่อนก็ไม่เห็นแต่ไม่นานสายตาของผมก็เจอคนที่หายไปในตอนแรก มือของมันถือเค้กไว้ทั้งสองข้าง ปากมันก็ร้องเพลงส่วนสายตาก็เอาแต่จดจ้องมาที่ผมพร้อมกับก้าวเดินเข้ามาหา ข้างหลังของมันมีพวกเพื่อนๆของผมที่เดินร้องเพลงมาเช่นกัน

 

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู~~ ยู~~

 

สิ้นเสียงของทุกคนผมก็ไล่สายตามองเพื่อนๆไล่มาเรื่อยๆจนถึงคนที่ยืนถือเค้กให้ตรงหน้าของผม เห็นแบบนี้ใครไม่ยิ้มก็บ้าแล้วครับ



“อธิษฐานก่อนครับค่อยเป่า” ตอนที่กำลังก้มหน้าเพื่อจะเป่าเทียนเจ้าจอมมันก็ห้ามผมไว้ก่อน



ผมยกสองมือขึ้นมาประสานกันเป็นท่าอธิฐานขอพรหลับตาลงแล้วขอสิ่งที่ต้องการในใจก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วเป่าเทียนวันเกิดจนดับหมดทุกเล่ม



“สุขสันต์วันเกิดนะครับ ผมขอให้พี่มีความสุขมากๆ”



“ขอบใจ”



เสียงโห่ฮาของเพื่อนๆและทุกคนในร้านดังขึ้นทันที ผมหันหน้าไปผงกหัวให้กับทุกคนเพื่อเป็นการขอบคุณ ทุกคนในร้านก็ปรบมือให้



“ไปที่โต๊ะกันเหอะ” ผมบอกพวกเพื่อนตัวเองเพราะยืนอยู่ตรงนี้มันเด่นเกินไปแม้จะไม่ทันแล้วแต่ผมก็ไม่อยากจะเด่นนานๆหรอกครับ



พอถึงโต๊ะทุกคนก็นั่งประจำที่ มีเพียงเจ้าจอมที่มันยังคงยืนถือเค้กและดูเงอะงะว่าจะนั่งตรงไหนดี ผมจึงเรียกให้มันมานั่งที่ว่างข้างๆกันซึ่งผมรู้แหละว่าเพื่อนมันจงใจเว้นไว้เพื่อที่จะให้เจ้าจอมมันได้นั่งข้างๆผม แสนรู้กันจริงๆเลยแต่ละคน



“วางเค้กไว้ก่อน” ผมบอกมัน มันก็ทำตามอย่างว่าง่าย “ก่อนอื่นเลยนะกูขอคุยกับพวกมึงหน่อย” ว่าแล้วก็มองหน้าเพื่อนของตัวเองเรียงคน



“คุยไรวะ?” ไอ้เป๋าถามแสร้งทำไม่รู้เรื่อง “มีเรื่องอะไรเหรอ?”



“มึงน่ะตัวดีเลย” ผมชี้หน้าคาดโทษ ไอ้เป๋าจึงทำเป็นหงอหลบหลังไอ้หมอก “แต่ก็..ขอบคุณพวกมึงทุกคนมาก ถ้าไม่มีพวกมึง กูกับมันคงไม่ได้เคลียร์กันสักที”



ถึงจะหมั่นใส้พวกมันหน่อยๆโดยเฉพาะไอ้เป๋าแต่ถ้าหากไม่มีพวกมันผมกับเจ้าจอมคงไม่ได้คบกันหรอกครับอีกอย่างผมก็ไม่ได้โกรธอะไรพวกมันด้วย รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำ



“เห็นไหมล่าาา กูนี่อุทิศตัวช่วยมึงเลยนะเว้ย” พอผมไม่ได้ด่าไอ้เป๋าก็โผล่หน้าออกมาทันที



“แล้วพวกมึงสองคนดีกันแล้วใช่ไหม?” ไอ้เตอร์ดึงเข้าเรื่องที่พอจะมีสาระกว่าไอ้เป๋าบ้าง เห็นมันยกมือขึ้นมาโบกหัวไอ้เป๋าจนเกือบหน้าทิ่มด้วยสงสัยจะรำคาญกับความไร้สาระของมัน



“อืม คบละ” ตอบเสร็จก็ยกเหล้าขึ้นกรอกปากรวดเดียวจนหมด



“ดีแล้วล่ะที่คบกัน ปากแข็งกันอยู่ได้ตั้งนาน” ไอ้หมอกว่า



ก็ยอมรับว่าตัวเองปากแข็งแต่ตอนนี้ก็เลิกปากแข็งแล้วไงครับถึงได้คบกันมันเนี่ย



“กูขอถามอย่างนึง สงสัยมาก” เป็นคำถามที่ผมยังไม่รู้เหตุผลจึงต้องถามกับไอ้พวกที่วางแผนซึ่งก็คือเพื่อนผมนั่นเอง “ทำไมมึงถึงบอกให้เจ้าจอมมาคุยกับกูวันนี้ ไอ้ที่คะยั้นคะยอให้จัดวันเกิดก็เพราะอย่างนี้ใช่ไหม?”



“เป๋ามึงตอบดิ” หมอกมันหันไปหาไอ้เป๋าแล้วผลักไหล่ให้ไอ้เป๋ามันตอบ



“กูอีกละ”



“ก็มึงตัวต้นคิด”



มันอึกอักเพราะเถียงไม่ได้จึงจำยอมต้องตอบสิ่งที่ผมถาม



“ใช่ จริงๆกูก็อยากให้พวกมึงคุยกันตั้งแต่เปิดเรียนแล้วแต่ติดที่ว่ามันหาโอกาสที่จะให้พวกมึงคุยกันยากไงเลยคิดว่าวันเกิดมึงนี่แหละคือโอกาสที่ดีที่สุด” คงจะเป็นการอธิบายที่จริงจังที่สุดในชีวิตของไอ้เป๋ามันแล้วครับ “เนี่ยพวกกูหวังดีเสมอนะเพื่อนยีนส์ที่รัก”



ผมทำหน้าเอือมเมื่อฟังมันพูดประโยคสุดท้าย “เออๆขอบใจไอ้สัด”



“ไม่เป็นไรเพื่อนรัก”



ถึงแม้บางครั้งพวกมันจะดูกวนตีนหรืออาจจะดูไม่สนใจผมแต่ผมก็รู้ว่าลึกๆแล้วพวกมันทุกคนก็ห่วงผมแต่แค่ไม่พูดออกมา พวกมันเลือกที่จะแสดงเป็นการกระทำมากกว่าเหมือนอย่างเรื่องนี้ที่มันทำให้ผมเห็นว่าพวกมันก็รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่ก้าวก่าย ปล่อยให้ผมเป็นคนตัดสินใจเองทว่าพวกมันก็จะช่วยในสิ่งที่พวกมันพอช่วยได้ให้เรื่องง่ายขึ้นอีกเยอะ



ผมคิดว่าถ้าหากพวกมันไม่ช่วยเรื่องวันนี้ ตอนนี้ผมกับเจ้าจอมอาจจะไม่ได้คุยกันเลยก็ได้ ถือซะว่าเรื่องราวของวันนี้เป็นอีกวันที่ผมคงจะจดจำไปตลอดล่ะครับ




ก็คือไม่ว่างมาลงเลย ล่าสุดพึ่งว่างเมื่อกี้ก็รีบมาลงให้เลย พรุ่งนี้รออ่านตอนจบกันด้วยนะค้าา ขอบคุณทุกๆกำลังใจนะคะที่อยู่กันจนมาถึงตอนนี้ ขอบคุณมากๆเลย
ปล. ฝากเรื่องต่อไปที่จะลงต่อจากเรื่องนี้ด้วยนะคะ สมชาติไม่ชอบนะค่ะ
#นิติผูกพัน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด