ตอนที่25
ความรู้สึกของเราสองคน
ขาทั้งสองข้างของผมชะงักลงเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคืออิงค์ ผมไม่คิดว่าจะเจอน้องวันนี้ ไม่หรอกครับผมไม่เคยคิดว่าเราทั้งสามคนจะมาเจอกันในวันนี้ ไม่รู้ว่ามันเป็นวันบ้าอะไรแต่แม่งก็เกิดขึ้นแล้วไงผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ
“พี่ไม่สะดวก” หากเป็นปกติผมคงไม่พูดแบบนี้แต่ในสถานการณ์ตอนนี้แม้แต่หน้าน้องผมก็ไม่อยากมองด้วยซ้ำ
“แล้วพี่จะหนีกันไปแบบนี้ตลอดเหรอคะ?” คำถามของน้องทำให้ผมคิดได้
ใช่...ผมรู้ว่าตัวเองกำลังหนี หนีไปจากความรู้สึกที่อยู่ในส่วนลึกของใจ ผมหนีมาตลอดและไม่เคยยอมรับความรู้สึกของตัวเองเลย
“พี่ไม่ได้หนี” แต่ผมก็เลือกจะปฏิเสธความจริงไป
“ไม่หนีก็ฟังอิงค์พูดก่อนได้ไหมคะ” เสียงของน้องยังนุ่มนวลน่าฟังเหมือนเดิม คงจะเป็นผมเองที่เปลี่ยนไปเลยรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยิน
“มีอะไรต้องพูดอีกเหรอ?”
“อิงค์รู้ว่าจอมคงเล่าให้พี่ฟังหมดแล้วและก็รู้ด้วยว่าพี่คงไม่เชื่อจอม”
“แล้วยังไง” ผมปรับเสียงตัวเองไม่ให้ห้วนเกินไปแต่มันก็ยากเหลือเกิน
“แต่อิงค์ยืนยันว่าวันนั้นเป็นอย่างที่จอมเล่าจริงๆ” เมื่ออิงค์เห็นว่าผมยังคงเงียบจึงพูดขึ้นต่อ “อิงค์ไม่รู้ว่าวันนั้นพี่ยีนส์อยู่ในห้อง ถ้าเกิดอิงค์รู้คงไม่ทำเรื่องแบบนั้น อิงค์ขอโทษค่ะ อิงค์เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและความผิดไม่ใช่ของจอมเลยเป็นเพราะอิงค์ที่เห็นแก่ตัวเอง”
เสียงสะอื้นของอิงค์ทำให้ผมหันหน้าหนี ผมรับรู้ถึงความรู้สึกผิดและความเสียใจของน้อง น้ำเสียงของน้องสั่นขณะที่เล่าไปด้วยและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าจอมมันลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างๆผม
“พี่ขอเวลาหน่อยได้ไหม พี่รู้ว่าอิงค์กับมันคงไม่โกหกพี่หรอกแต่พี่ขอเวลาคิดอะไรสักหน่อยแล้วค่อยมาว่ากัน” ผมตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิด จู่ๆเรื่องนี้ก็ถาโถมเข้ามาจนผมตั้งรับไม่ทัน
“ได้ค่ะแต่อิงค์อยากบอกให้พี่ยีนส์รู้ไว้อย่างหนึ่งนะคะเผื่อมันอาจจะทำให้พี่ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น”
“อืม” ผมรออิงค์พูดประโยคถัดมา
“เจ้าจอมไม่ได้รักอิงค์เลยเพราะเรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว มีแต่อิงค์คนเดียวที่หวังว่าจะทำให้มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมแต่สำหรับจอมจบก็คือจบ คนที่เจ้าจอมรักตอนนี้ก็มีแค่พี่ยีนส์เท่านั้นค่ะ”
ผมชะงักไม่คิดว่าน้องจะพูดออกมา หันไปมองก็เห็นเจ้าจอมมันมองผมอยู่แล้ว รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่กอบกุมมือของตัวเองไว้ ผมไม่ได้สะบัดหนีอีกแล้วทำเพียงแค่นิ่งปล่อยไว้แบบนั้นก่อนจะหันกลับไปมองอิงค์อีกครั้ง
“ขอบคุณอิงค์นะ พี่เข้าใจแล้วล่ะ ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาด้วยนะ” ผมยังคงรู้สึกผิดกับอิงค์อยู่ที่ชอบเจ้าจอมแม้จะรู้แล้วว่าอิงค์ก็ไม่ได้ชอบผมแต่ผมก็ไม่ได้ซื่อสัตย์กับน้องตั้งแต่แรกเหมือนกัน
“อิงค์ก็ขอโทษพี่ยีนส์นะคะที่ทำให้วุ่นวายและเข้าใจเจ้าจอมผิดเพราะอิงค์”
“ช่างมันเถอะ” ผมยิ้มให้น้องแม้จะยิ้มได้ยังไม่เต็มที่ในความรู้สึกแต่สักวันผมก็คงจะยิ้มให้น้องได้เหมือนเดิมโดยที่ไม่รู้สึกอะไร “ไหนๆก็มาแล้วเข้าไปข้างในไหม วันนี้วันเกิดพี่มีเลี้ยงน่ะ” ผมถือโอกาสชวนน้อง ไม่ได้ชวนตามมารยาทแต่ชวนด้วยความจริงใจที่อยากให้น้องได้ร่วมงานวันเกิดของตัวเอง
“ไม่เป็นไรค่ะ อิงค์แค่จะมาอธิบายให้พี่ฟัง” น้องระบายยิ้มเช็ดน้ำตาออกจากแก้มตัวเอง “สุขสันต์วันเกิดนะคะ มีความสุขมากๆ”
“ขอบคุณครับ”
“งั้นอิงค์ขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” น้องยกมือไหว้เหมือนอย่างที่เคยทำ “เราไปก่อนนะจอม คุยกับพี่ยีนส์ดีๆล่ะ”
“อืม ขอบใจอิงค์มากนะ”
ผมมองอิงค์เดินขึ้นรถไปกับเพื่อนที่จอดรอรับอยู่ กระทั่งรถที่อิงค์นั่งขับออกไปจนลับสายตาแล้วผมก็ยังไม่ไหวติงแต่ก็รู้สึกได้ว่าคนที่ยืนกุมมือผมอยู่ค่อยๆบีบกระชับมือของมันกับผมให้แน่นมากขึ้นกว่าเดิม
“พี่ยีนส์ครับ” เสียงของมันดังขึ้นทำลายความเงียบระหว่างเรา
“มึงถามกูใช่ไหมว่ากูยังรู้สึกกับมึงเหมือนเดิมหรือเปล่า” ผมพูดโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้ามัน สิ่งที่อิงค์พูดมาให้ผมฟังตรงกับที่เจ้าจอมบอกผมทุกอย่าง มันทำให้ผมคิดได้เร็วขึ้นว่าจะให้เรื่องนี้มันเป็นยังไงต่อไป
“ครับ”
ในเมื่อการหนีของผมมันทำให้ผมเหนื่อยและไม่ใช่แค่ผมคนเดียว คนตามอย่างเจ้าจอมมันก็คงเหนื่อยไม่แพ้กัน ผมเลยตัดสินใจได้ว่าครั้งนี้ผมจะไม่หนีความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
“อืม ยังเหมือนเดิม...”
“พี่ยีนส์...”
“อาจจะชอบมึงมากกว่าที่มึงคิดด้วยซ้ำ”
ตัวของผมโดนคว้าเข้าไปกอดทันทีที่พูดจบ เสียงหัวใจของเราทั้งสองคนดังขึ้นเป็นจังหวะเดียวกัน เจ้าจอมกอดกระชับผมแน่น ผมไม่ได้กอดกลับแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
“ผมก็ชอบพี่ชอบมากๆครับ อาจจะกลายเป็นรักไปแล้วก็ได้” มันซบหน้าลงกับไหล่ของผม ความเปียกชื้นที่รู้สึกทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้มันกำลังร้องไห้ซึ่งไม่ต่างจากผมที่กำลังร้องไห้อยู่เช่นกัน
“มึงแม่ง!..” ผมยกมือขึ้นมากำแขนเสื้อมันไว้แน่น ความรู้สึกที่เคยเก็บไว้เหมือนได้ปลดปล่อยออกไปจนคลายความอึดอัดลง รู้สึกว่าตัวเบาโหวงเมื่อได้พูดสิ่งที่ตนเองรู้สึกออกมา
“ผมขอโทษที่ไม่เข้ามาคุยกับพี่ให้เร็วกว่านี้”
เออ...มันก็รู้ตัวนี่หว่า
“แล้วมึงปล่อยเวลาให้นานขนาดนี้ทำไม ทั้งที่กูกับมึงก็เจอกันแต่มึงกลับเอาแต่มองหน้ากูแล้วเดินหายไป” ตลอดทั้งอาทิตย์มันเกิดแบบนั้นขึ้นจริงๆซึ่งผมไม่เข้าใจ ในใจลึกๆของผมก็ยังหวังว่ามันจะเข้ามาพูดคุยหรืออธิบายอะไรสักอย่างให้ผมฟังแต่ทุกครั้งมันเอาแต่มองผมก่อนจะเดินหนีหายไป การกระทำของมันยิ่งทำให้ผมคิดมากและทำให้ผมคิดไปเองแล้วว่ามันคงจบลงเท่านี้
“ผมขอโทษครับ” เราผละออกจากกันเป็นผมที่ยื่นมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้มัน ไม่ได้อ่อนละมุนหรืออ่อนโยนเหมือนอย่างที่คิด ออกจะทำแรงและเช็ดลวกๆซะมากกว่า
“ถ้าจะหายไปก็หายไปเลยดิวะ ทำไมต้องมาเจอเหมือนให้ความหวังกันอยู่ได้ มึงแม่ง!” ขอด่ามันหน่อยเถอะ อดทนมานานแล้ว
“ผมไม่อยากให้พี่ลืมผมแต่ผมก็ยังเข้าไปคุยกับพี่ตอนนั้นไม่ได้”
“ทำไม?”
“มีคนบอกให้ผมรอเวลาเหมาะกว่านี้ซึ่งก็คือวันนี้ครับ”
ผมว่าผมพอจะเดาได้อยู่นะว่าเป็นใครและพวกมันคงรุมหัวกันวางแผนขึ้น ผมก็ว่าแล้วทำไมถึงอยากให้มีงานวันเกิดกันนักเพราะอย่างนี้นี่เอง
“มึงก็เชื่อพวกมัน?”
“ครับ” มันพยักหน้าเหมือนเด็กมีความผิดแล้วต้องสารภาพออกมาให้ฟัง “ผมกลัวว่าถ้าไม่ทำตาม...พี่ก็จะไม่ยอมคุยกับผม”
“เออดีจริงๆเลย”
“พี่ร้องไห้ทำไมครับ ดีใจใช่ไหมที่เราดีกันแล้ว”
“เงียบปากไปเลยมึง”
มันระบายยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาตรงหางตาให้ผม ใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำในตอนนี้ ดีที่บริเวณที่ยืนอยู่ค่อนข้างมืดและมีแสงสว่างส่องมาเพียงนิดเดียวจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเห็น
“ผมคิดถึงพี่มากๆนะครับ” มันเอาปลายจมูกแตะกับปลายจมูกของผม สายตาของเราประสานกันและรอยยิ้มของมันทำให้ผมตาพร่าไปชั่วขณะ
“เออ...กูก็เหมือนกัน” ผมพูดอ้อมแอ้มเสียงเบา
“เหมือนกันยังไงครับ?” แม้จะมืดแค่ไหนแต่เพราะใบหน้าของมันอยู่ใกล้ผมจึงได้เห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของมัน สายตาที่ไม่ได้เห็นมาหลายวันและผมก็…
“คิดถึงเหมือนกัน”
เจ้าจอมคว้าตัวผมเข้าไปกอดอีกครั้งก่อนจะกดจูบย้ำๆตรงไหล่ของผม
“ทำยังไงดีครับผมรู้สึกรักพี่มากเลย”
“พูดอะไรของมึงวะ”
“พูดว่ารักไงครับ”
ไอ้เวรเอ๊ย! ทำไมผมต้องมารู้สึกเขินกับคำพูดของมันด้วยวะ
“เงียบเลย!”
“ผมรักพี่นะ รักรักรัก รักมากๆถ้าจะให้รักมากกว่านี้ผมก็ยังไหวขอแค่พี่รักผมบ้างก็พอ รักไหมครับ?”
“อะไรของมึงอีก?” ผมขืนตัวออกจากอ้อมกอดของมันแต่เหมือนมันเอาแรงเฮือกสุดท้ายของชีวิตมารัดตัวผมไว้ทำให้ผมหลุดออกไปไม่ได้
“ว่าไงครับพี่รักผมไหม?” มันยังไม่ยอมแพ้ ถามต้อนให้ผมพูดคำๆนั้นออกมาให้ได้
“ก็บอกไปแล้วไงวะ” ถึงจะเป็นคำว่าชอบมากก็เถอะแต่มันก็เหมือนกันนั่นแหละ
“พี่บอกว่าชอบ..”
“มันก็เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนสิครับ แค่ตัวสะกดยังไม่เหมือนกันเลย” ดูครับดูมันกวนตีนผม พอหายเศร้าก็กลับมาซ่าเหมือนเดิมเลยนะมึง
“เออ”
“เอออะไรครับ”
“เออรักก็รักวะ พอใจยัง”
“ที่สุดครับ”
ผมขืนตัวเองออกอีกครั้งและครั้งนี้มันก็ยอมปล่อยผมแต่โดยดี ไม่รู้ไปโดนตัวไหนมามันถึงเอาแต่ยิ้มแบบนี้ อย่าว่าแต่มันเลยครับผมก็ยิ้มเหมือนมันนั่นแหละ
“ไปได้ยัง?”
“ยังครับ”
“อะไรอีกวะ?” ผมขมวดคิ้วฉับ งงที่มันไม่ยอมให้ผมไปไหนสักที
“คำถามสุดท้ายแล้วครับ”
“รีบๆถามมาเลย ลีลาอยู่นั่นแหละ” ชักจะเริ่มหมั่นไส้มันขึ้นมาอีกแล้ว หน้าตาแม่งก็ดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดเดียว
มันมองสบตาผมแต่แววตาตอนนี้มีแต่แววหวานเชื่อมจนผมแทบอยากหลบตาแต่ในใจก็ยังรู้สึกว่าอยากมองมันไปเรื่อยๆและอยากมองให้นานกว่านี้เหมือนมีอะไรมาดึงดูดให้ผมไม่อาจละสายตาไปไหนได้
“ถ้าพี่รักผมแล้วงั้นเราคบกันไหมครับ?” รอยยิ้มของมันทำให้ผมใจเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งเมื่อได้ยินคำถามของมันก็ทำเอาผมแทบทำอะไรไม่ถูก
“มึงแม่ง...” ผมทำเป็นด่ากลบเกลื่อนทั้งที่หัวใจยังคงเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมมีคำตอบให้มันอยู่แล้ว มีตั้งแต่มันบอกว่ารักผมนั่นแหละ ผมคิดไว้ตั้งแต่ตอนนั้นหากเกิดว่ามันถามขึ้นมาและมันก็ถามผมขึ้นมาจริงๆ
“เชี่ย!!”
ผมหันขวับไปมองตามเสียงโวยวายของคนกลุ่มหนึ่ง ใช่ครับคนกลุ่มหนึ่งที่หลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ๆแต่เพราะอะไรก็ไม่รู้พวกมันถึงได้โผล่พรวดกันออกมาแล้วก็ยิ้มแห้งๆให้ผม
“โทษทีมึงพวกกูไม่ได้แอบฟังนะเว้ยแค่เดินผ่านมา” ไอ้เป๋าเป็นคนแรกที่แก้ตัวซึ่งแม่งไม่เนียนไงเดินผ่านมาบ้าอะไรยกโขยงกันมาเลยเชียว
“ไม่เนียน” ผมตอบกลับสั้นๆและพวกมันก็เอาแต่หัวเราะแหะๆใส่ผม
ผมส่ายหน้าระอาเข้าใจพวกมันแหละว่ามันก็ห่วงผมจึงออกมาดูและอีกอย่างก็คงมาดูด้วยว่าแผนที่วางไว้กับไอ้เจ้าจอมนั้นสำเร็จหรือเปล่าซึ่งพวกมันก็คงเห็นผลกันแล้ว
“ช่างพวกกูเถอะ แล้วนี่มึงตอบคำถามเจ้าจอมมันไปยังวะ น้องมันรอนานแล้วนะเว้ย” ไอ้หมอกก็อีกคน มันพยักพเยิดไปทางเจ้าจอมที่ยืนอยู่ข้างๆผม
“ไม่ต้องสนใจพวกกูนะมึง คิดซะว่าพวกกูมาเป็นพยานรักให้มึงแล้วกันเนอะๆ” ยังจะมีน่ามาเนอะอีกไอ้ห่าเป๋า มึงเนี่ยตัววางแผนแน่ๆ
เออเอายังไงก็เอาถึงผมจะไล่พวกมันก็คงไม่ไปกันหรอกอีกอย่างก็บอกโต้งๆกันต่อหน้าพวกมันนี่แหละ ไม่มีอะไรจะเสียแล้วด้วย ก่อนหน้านั้นพวกมันคงเห็นฉากสวีทของผมกับไอ้เจ้าจอมกันหมดแล้ว ยิ่งคิดแม่งยิ่งอายแต่ก็ทำหน้าด้านหน้าทนไว้เดี๋ยวพวกมันจะล้อ
“ว่าไงครับพี่ยีนส์ตกลงไหม?” นี่ก็ถามย้ำจังวะ แล้วนี่จะยิ้มอะไรนักหนาไม่รู้หรือไงวะว่าทำให้ผมต้องยิ้มตามมันอีกเนี่ย ไอ้เด็กเวรเอ๊ย!
ผมมองหน้าพวกเพื่อนๆทุกคนอีกครั้งพวกมันก็ทำหน้าที่ให้กำลังใจและคอยยุผมให้ตอบสักที ละสายตามามองที่เจ้าจอมมันบ้างเด็กนี่มันก็กำลังมองผมแต่แตกต่างจากเพื่อนของผมเพราะแววตาของมันตอนนี้เต็มไปด้วยความรักและความจริงใจซึ่งผมรู้สึกได้โดยทันทีที่สบตากับมัน
“อือ”
“อือไรวะไอ้ยีนส์”
“ไอ้เชี่ยเป๋าหุบปากไปเลย”
“บ๊ะ! ก็มึงตอบไม่เคลียร์นี่หว่า อือแล้วอะไรต่อละวะ”
“ก็คบไงไอ้ฟายถามมากจริงเลย”
“ก็แค่เนี้ย” แล้วพวกมันก็พร้อมใจกันประสานเสียง ขนาดไอ้ไฟที่ไม่ค่อยพูดมันยังอุตส่าห์พูดกับเขาเลยครับ นี่คงจะเตี๊ยมกันมาดีจริงๆ
“ไปๆพวกเราปล่อยให้เขาอยู่กันสองคนเถอะ” อยากจะด่าไอ้เป๋ามันมากเลยว่าพวกมึงควรรู้กันตั้งนานแล้วไหม
เมื่อพวกมันพากันเดินออกไป บริเวณนี้จึงเหลือแค่เพียงผมกับเจ้าจอมสองคน
“ขอฟังชัดๆอีกรอบได้ไหมครับ?” เจ้าจอมเดินเข้ามาใกล้อีกครั้งหลังจากเมื่อกี้มันเขยิบเว้นระยะห่างจากผมไปเวลาอยู่ต่อหน้าเพื่อน
“ฟังอะไร?”
“ที่พี่ตอบบเมื่อกี้ ผมอยากฟังชัดๆอีกครั้งได้ไหมครับ” ใครสั่งใครสอนให้ทำหน้าอ้อนเสียงอ้อนแบบนี้วะ ไอ้เด็กนี่นับวันชักเริ่มจะเอาใหญ่แล้ว
ถึงผมจะไม่อยากพูดซ้ำแล้วแต่เพราะเป็นมันจึงเป็นข้อยกเว้น ในเมื่อมันอยากฟังอีกครั้งผมก็จะพูดให้มันฟังและจะย้ำให้มันจำเอาไว้จะได้ไม่มาถามซ้ำอีก
เอาจริงๆก็ตื่นเต้นแหละแต่บอกแล้วไงว่าต้องทำเป็นหน้าด้านหน้าทน ในเมื่อมันก็มีความกล้าที่จะถามผมแล้ว ผมก็ต้องมีความกล้าที่จะตอบคำถามมันดิ อีกอย่างความรู้สึกที่ผมมีให้มันก็เอ่อล้นเกินกว่าที่จะเก็บไว้คนเดียวในเมื่อมันอยากฟังนักผมก็จะตอบให้มันฟังจนมันเบื่อไปเลย
“กูบอกว่ากูจะคบกับมึง...” เกิดอาการหน้าร้อนขึ้นมาซะดื้อๆดีที่ไฟไม่สว่างเจ้าจอมมันก็เลยไม่เห็นสีหน้าของผม “ชัดพอหรือยัง”
มันพยักหน้าหงึกหงัก “ชัดครับชัดมากด้วย”
“เอองั้นก็...” ยังไม่ทันที่จะพูดให้จบก็โดนมันจู่โจมด้วยการจูบปาก ผมตัวแข็งค้างก่อนจะคล้อยตามมันด้วยการขยับปากไปตามที่มันนำจากนั้นจึงผละออก
“ขอบคุณนะครับ ผมรักพี่นะ”
“เออ กูก็รักมึง”
ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันบอกรักแห่งชาติหรือเปล่า ผมกับมันถึงได้เอาแต่พูดคำว่ารักกันซ้ำๆอย่างไม่รู้จักเบื่อและกลับชอบด้วยซ้ำที่ได้พูดออกไป เหมือนความรู้สึกที่เคยแบกไว้มันเบาลง เบาจนอาจจะลอยได้เลยล่ะครับ เป็นความรู้สึกฟูๆที่หัวใจ รู้สึกว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาหลังจากที่ต้องห่อเหี่ยวและคิดมากกับเรื่องนี้อยู่หลายวัน
ทำไมผมเริ่มอธิบายได้เลี่ยนจังเลยวะ ก็นะคนมีความรักก็คงเป็นแบบนี้กันมั้งครับ
ผมมองมันที่ยังคงมีรอยยิ้มประดับไว้บนใบหน้า มองรอยยิ้มของมันที่ผมคิดถึงและมองทุกอย่างในตัวของมันที่ผมรัก ผมไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งผมกับมันจะลงเอยกับแบบนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าการมีมันอยู่ในชีวิตคือเรื่องดีๆอีกเรื่องหนึ่งของผมและไม่เคยคิดเลยว่าผมจะรักใครได้มากมายขนาดนี้
ผมระบายยิ้มจนเต็มแก้มก่อนจะคว้าตัวมันเข้ามากอดแล้วซบหน้าลงไปบนไหล่ของมันกดจูบย้ำอยู่ตรงนั้นซ้ำๆ ไม่ใช่แค่มันที่รักผมมากแต่ผมก็รักมันมากขนาดที่ว่าตัวผมเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย
“กูไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไงแต่กูจะพยายามรักษาทุกอย่างไว้และทำมันให้ดีที่สุด” กระซิบเสียงเบาทว่าหนักแน่นให้มันได้ยิน การกระชับกอดของเจ้าจอมทำให้ผมรับรู้ว่ามันได้ยินในสิ่งที่ผมบอกไป
“ผมก็เหมือนกันครับ”
“กูรักมึงมากนะเจ้าจอม”
“ผมก็รักพี่มากเหมือนกันครับพี่ยีนส์”
“อืม” ผมพยักหน้าหงึกหงักอยู่กับไหล่ของมันก่อนที่เราจะกอดกันนิ่งอยู่อย่างนั้น
นิ่งเพื่อฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นไปในจังหวะเดียวกัน มันประสานกันเป็นหนึ่งเดียวเหมือนความรักของผมกับมันที่มอบให้กัน
เมื่อยืนกอดกันจนพอใจแล้วก็ผละออก ต่างฝ่ายต่างเช็ดน้ำตาให้กันเงียบๆส่งยิ้มให้กันอีกครั้งก่อนจะเป็นมันที่คว้ามือผมไปจับไว้
“เข้าไปข้างในกันเถอะครับจะได้เป่าเค้กสักที”
“เค้กอะไร?”
“เค้กวันเกิดของพี่ไงครับ”
“วางแผนมาดีจริงๆนะพวกมึง”
เจ้าจอมมันขำทั้งที่โดนผมหยิกเข้าข้างเอวเหมือนกับว่ามันรู้สึกตลกมากกว่าที่จะเจ็บ
“ถ้าวางแผนไม่ดีผมก็ไม่ได้คบกับพี่สิครับ”
ถอนหายใจระอาไอ้เจ้าจอมกับเพื่อนผมเนี่ยเข้าขากันดีจริงๆ
“เออเก่งกันนัก”
เราสองคนเดินยังไม่ทันถึงโต๊ะก็ได้ยินเสียงนักร้องบนเวทีร้องเพลงแฮปปี้เบิดเดย์ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง พอหันไปหาเจ้าจอมเพื่อจะถามมันว่าทำไมต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ด้วยก็ไม่เห็นมันแล้ว ผมมองหามันไปทั่วเมื่อกี้ก็เดินมาด้วยกันอยู่ดีๆไหงมันหายไปได้วะ
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู~~ ยู~~ เสียงเพลงร้องแฮปปี้เบิดเดย์ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆจากตอนแรกที่มีเพียงนักร้องบนเวทีร้องให้ตอนนี้เกือบทุกคนในร้านก็ร่วมร้องเพลงเช่นกัน ผมโคตรอายเลยครับมองหาเพื่อนก็ไม่เห็นแต่ไม่นานสายตาของผมก็เจอคนที่หายไปในตอนแรก มือของมันถือเค้กไว้ทั้งสองข้าง ปากมันก็ร้องเพลงส่วนสายตาก็เอาแต่จดจ้องมาที่ผมพร้อมกับก้าวเดินเข้ามาหา ข้างหลังของมันมีพวกเพื่อนๆของผมที่เดินร้องเพลงมาเช่นกัน
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู~~ ยู~~
สิ้นเสียงของทุกคนผมก็ไล่สายตามองเพื่อนๆไล่มาเรื่อยๆจนถึงคนที่ยืนถือเค้กให้ตรงหน้าของผม เห็นแบบนี้ใครไม่ยิ้มก็บ้าแล้วครับ
“อธิษฐานก่อนครับค่อยเป่า” ตอนที่กำลังก้มหน้าเพื่อจะเป่าเทียนเจ้าจอมมันก็ห้ามผมไว้ก่อน
ผมยกสองมือขึ้นมาประสานกันเป็นท่าอธิฐานขอพรหลับตาลงแล้วขอสิ่งที่ต้องการในใจก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วเป่าเทียนวันเกิดจนดับหมดทุกเล่ม
“สุขสันต์วันเกิดนะครับ ผมขอให้พี่มีความสุขมากๆ”
“ขอบใจ”
เสียงโห่ฮาของเพื่อนๆและทุกคนในร้านดังขึ้นทันที ผมหันหน้าไปผงกหัวให้กับทุกคนเพื่อเป็นการขอบคุณ ทุกคนในร้านก็ปรบมือให้
“ไปที่โต๊ะกันเหอะ” ผมบอกพวกเพื่อนตัวเองเพราะยืนอยู่ตรงนี้มันเด่นเกินไปแม้จะไม่ทันแล้วแต่ผมก็ไม่อยากจะเด่นนานๆหรอกครับ
พอถึงโต๊ะทุกคนก็นั่งประจำที่ มีเพียงเจ้าจอมที่มันยังคงยืนถือเค้กและดูเงอะงะว่าจะนั่งตรงไหนดี ผมจึงเรียกให้มันมานั่งที่ว่างข้างๆกันซึ่งผมรู้แหละว่าเพื่อนมันจงใจเว้นไว้เพื่อที่จะให้เจ้าจอมมันได้นั่งข้างๆผม แสนรู้กันจริงๆเลยแต่ละคน
“วางเค้กไว้ก่อน” ผมบอกมัน มันก็ทำตามอย่างว่าง่าย “ก่อนอื่นเลยนะกูขอคุยกับพวกมึงหน่อย” ว่าแล้วก็มองหน้าเพื่อนของตัวเองเรียงคน
“คุยไรวะ?” ไอ้เป๋าถามแสร้งทำไม่รู้เรื่อง “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“มึงน่ะตัวดีเลย” ผมชี้หน้าคาดโทษ ไอ้เป๋าจึงทำเป็นหงอหลบหลังไอ้หมอก “แต่ก็..ขอบคุณพวกมึงทุกคนมาก ถ้าไม่มีพวกมึง กูกับมันคงไม่ได้เคลียร์กันสักที”
ถึงจะหมั่นใส้พวกมันหน่อยๆโดยเฉพาะไอ้เป๋าแต่ถ้าหากไม่มีพวกมันผมกับเจ้าจอมคงไม่ได้คบกันหรอกครับอีกอย่างผมก็ไม่ได้โกรธอะไรพวกมันด้วย รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำ
“เห็นไหมล่าาา กูนี่อุทิศตัวช่วยมึงเลยนะเว้ย” พอผมไม่ได้ด่าไอ้เป๋าก็โผล่หน้าออกมาทันที
“แล้วพวกมึงสองคนดีกันแล้วใช่ไหม?” ไอ้เตอร์ดึงเข้าเรื่องที่พอจะมีสาระกว่าไอ้เป๋าบ้าง เห็นมันยกมือขึ้นมาโบกหัวไอ้เป๋าจนเกือบหน้าทิ่มด้วยสงสัยจะรำคาญกับความไร้สาระของมัน
“อืม คบละ” ตอบเสร็จก็ยกเหล้าขึ้นกรอกปากรวดเดียวจนหมด
“ดีแล้วล่ะที่คบกัน ปากแข็งกันอยู่ได้ตั้งนาน” ไอ้หมอกว่า
ก็ยอมรับว่าตัวเองปากแข็งแต่ตอนนี้ก็เลิกปากแข็งแล้วไงครับถึงได้คบกันมันเนี่ย
“กูขอถามอย่างนึง สงสัยมาก” เป็นคำถามที่ผมยังไม่รู้เหตุผลจึงต้องถามกับไอ้พวกที่วางแผนซึ่งก็คือเพื่อนผมนั่นเอง “ทำไมมึงถึงบอกให้เจ้าจอมมาคุยกับกูวันนี้ ไอ้ที่คะยั้นคะยอให้จัดวันเกิดก็เพราะอย่างนี้ใช่ไหม?”
“เป๋ามึงตอบดิ” หมอกมันหันไปหาไอ้เป๋าแล้วผลักไหล่ให้ไอ้เป๋ามันตอบ
“กูอีกละ”
“ก็มึงตัวต้นคิด”
มันอึกอักเพราะเถียงไม่ได้จึงจำยอมต้องตอบสิ่งที่ผมถาม
“ใช่ จริงๆกูก็อยากให้พวกมึงคุยกันตั้งแต่เปิดเรียนแล้วแต่ติดที่ว่ามันหาโอกาสที่จะให้พวกมึงคุยกันยากไงเลยคิดว่าวันเกิดมึงนี่แหละคือโอกาสที่ดีที่สุด” คงจะเป็นการอธิบายที่จริงจังที่สุดในชีวิตของไอ้เป๋ามันแล้วครับ “เนี่ยพวกกูหวังดีเสมอนะเพื่อนยีนส์ที่รัก”
ผมทำหน้าเอือมเมื่อฟังมันพูดประโยคสุดท้าย “เออๆขอบใจไอ้สัด”
“ไม่เป็นไรเพื่อนรัก”
ถึงแม้บางครั้งพวกมันจะดูกวนตีนหรืออาจจะดูไม่สนใจผมแต่ผมก็รู้ว่าลึกๆแล้วพวกมันทุกคนก็ห่วงผมแต่แค่ไม่พูดออกมา พวกมันเลือกที่จะแสดงเป็นการกระทำมากกว่าเหมือนอย่างเรื่องนี้ที่มันทำให้ผมเห็นว่าพวกมันก็รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่ก้าวก่าย ปล่อยให้ผมเป็นคนตัดสินใจเองทว่าพวกมันก็จะช่วยในสิ่งที่พวกมันพอช่วยได้ให้เรื่องง่ายขึ้นอีกเยอะ
ผมคิดว่าถ้าหากพวกมันไม่ช่วยเรื่องวันนี้ ตอนนี้ผมกับเจ้าจอมอาจจะไม่ได้คุยกันเลยก็ได้ ถือซะว่าเรื่องราวของวันนี้เป็นอีกวันที่ผมคงจะจดจำไปตลอดล่ะครับ
ღ
ก็คือไม่ว่างมาลงเลย ล่าสุดพึ่งว่างเมื่อกี้ก็รีบมาลงให้เลย พรุ่งนี้รออ่านตอนจบกันด้วยนะค้าา ขอบคุณทุกๆกำลังใจนะคะที่อยู่กันจนมาถึงตอนนี้ ขอบคุณมากๆเลย
ปล. ฝากเรื่องต่อไปที่จะลงต่อจากเรื่องนี้ด้วยนะคะ สมชาติไม่ชอบนะค่ะ
#นิติผูกพัน