พิมพ์หน้านี้ - =END= ღ นิติผูกพัน ღ -นิติผูกพัน- 25/03/2562 UP!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ฟองดูว์ ที่ 03-06-2018 21:27:18

หัวข้อ: =END= ღ นิติผูกพัน ღ -นิติผูกพัน- 25/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 03-06-2018 21:27:18
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




ღ นิติผูกพัน ღ

เมื่อผมต้องมาเป็นพี่ติวให้กับไอ้เด็กปีหนึ่งทั้งที่ตัวเองยังเอาตัวไม่ค่อยรอด แล้วนี่พวกมึงคิดว่ากูจะพาไอ้เด็กนี่มันรอดหรือไงวะ ฉิบหาย!!




เรื่องนี้เป็นเรื่องของพี่ยีนส์เพื่อนพี่คินที่มาจากเรื่อง เขาว่ากันว่า...
ถึงไม่เคยอ่านเรื่องนี้ก็อ่านรู้เรื่องแน่นอนค่ะ





ติดแท็ก #นิติผูกพัน ได้นะค้าา
ฝากติดตามด้วยค่าา
ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter (https://twitter.com/fongdue98)

:teach:


หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ 03/06/2561 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 03-06-2018 21:29:23

จุดเริ่มต้นของความผูกพัน



“ไอ้ห่าคิน ถ้ามึงจะมานั่งสวีทกับไอ้ทาวน์ให้พวกกูอิจฉาเล่นคราวหลังก็ไม่ต้อง จรัมม!” ผมบ่นไอ้เพื่อนสารเลวที่แม่งมีแฟนเด็กเข้าหน่อยก็เอามาอวดแม่งทุกวันอ่ะ จะอวดอะไรขนาดนั้นวะนี่ก็ขึ้นปีสามแล้วมันก็ยังไม่เลิกเอาแฟนมันมาอวดที่คณะสักที



“ไม่มีก็หุบปากไป”



ดูมันครับดูมันพูดกับเพื่อนผู้แสนจะอ่อนไหวและอ่อนโยนอย่างผม เลี้ยงเสียโซดาฟรีจริงๆโว้ยย!



“อย่าให้กูมีบ้างนะมึง!” ผมพูดอย่างหมายมั่น ถ้ามีบ้างผมนี่จะเอามาอวดเช้าสายบ่ายเย็น จะอวดจนพวกมึงเบื่อแล้วกูก็จะอวดจนกว่าพวกมึงจะร้องขอชีวิตอ่ะกูพูดเลยครับ



“ไอ้ยีนส์มึงก็อิจฉาอะไรเพื่อนขนาดนั้นวะ?”



ผมหันไปมองไอ้เป๋าคนพูดที่ตอนนี้นั่งแทะเมล็ดทานตะวันอยู่ข้างๆไอ้ไฟที่ทำหน้านิ่งแทบตลอดเวลา บางทีก็อยากถามมันว่าเมื่อยหน้าบ้างหรือเปล่าเพื่อนรักแต่ถ้าถามไปก็รู้ดีว่าจะโดนมันตวัดสายตาเชือดเฉือนมามองเลยเลือกที่จะหุบปากแล้วเก็บความสงสัยไว้ในใจคนเดียวดีกว่า



“กูไม่ได้อิจฉา กูแค่หมั่นไส้ไอ้ห่าเอ๊ย! มึงก็อีกคนว่างนักหรือไงวะถึงได้มานั่งออเซาะไอ้คินมันถึงคณะเนี่ย” หันไปว่าแฟนเด็กของไอ้คินมันบ้าง ไอ้ห่านี่ก็อีกคน ทำเป็นโวยวายเวลาไอ้คินมันหยอด โถ่เอ๊ย! กูนี่เห็นหรอกว่าหน้ามึงแดงฉิบหายเลยไอ้ทาวน์



“อะไรวะพี่ยีนส์ ก็เพื่อนพี่แม่งลากผมมาเองนี่หว่า”



“แล้วมึงก็ยอม?”



“ถึงไม่ยอมก็โดนบังคับมาอยู่ดีอ่ะ” มันว่าหน้าบึ้งซึ่งแม่งไอ้ทาวน์นี่พอได้กับไอ้คินปุ๊บความน่ารักก็แผ่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ จนบางทีผมก็แอบเคลิ้มอยู่เหมือนกัน อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น...



ผั่วะ!



“ห้ามมอง!” แล้วพ่อมันก็โคตรหวงฉิบหายเลยครับ



“เออๆ แรงควายฉิบ!” ทำได้เพียงเยียวยาอาการบาดเจ็บของตัวเองโดยการลูบหัวตัวเองป้อยๆ



“แล้วนี่เฮียเตอร์กับพี่หมอกไปไหนอ่ะครับ” ไอ้ทาวน์มันถามพวกผม ตั้งแต่มันมาถึงมันคงยังไม่เห็นไอ้เฮียเตอร์ของมันเลยน่ะครับ



“ไปขี้กับไอ้หมอก” ไอ้เป๋าที่ทดลองเป็นหนูแฮมเตอร์เป็นคนตอบไอ้ทาวน์



เด็กมันก็พยักหน้ารับรู้จากนั้นก็หันไปงุ้งงิ้งกับไอ้คินต่อ แล้วนี่คือทำไมผมต้องมานั่งมองพวกมันด้วยครับ ห่า!



หันหน้าหนีจากไอ้คู่รักแล้วก็ต้องมาเจอไอ้เป๋าแทะเมล็ดทานตะวันและไอ้ไฟที่นั่งหน้านิ่งไม่หือไม่อือ คือจะหันไปทางไหนก็เหมือนเจอแต่ทางตันไปหมดเลยอ่ะครับ โทษที...



“พวกมึงรู้หรือยังว่าวันนี้ทำไมไอ้ประธานคณะถึงได้นัดพวกเรามา” ก็ตัดสินใจถามคำถามพวกมันจะได้หันกลับมาสนใจคุยกับผมต่อ



“อยากรู้ก็ไปถามมันสิวะ กูจะไปรู้กับมันเรอะ!”



“ไอ้สัดเป๋า กูก็ถามเผื่อพวกมึงรู้ไง”



“มึงดูด้วยครับ ว่าเพื่อนมึงแต่ละคนสนใจโลกซะที่ไหน”



เออใช่...ผมลืมไปเลยว่าเพื่อนของผมและรวมไปถึงผมด้วยแม่งไม่เคยสนใจห่าเหวอะไรกันเลยสักคน...



“ถึงเวลาก็รู้เอง”



นี่ก็คือคำพูดปิดท้ายของไอ้คินที่ทำเอาผมไม่เปิดปากพูดหรือถามอะไรพวกมันอีกเลย



เวร…



เหมือนอย่างที่ไอ้คินมันได้พูดไว้ว่าถึงเวลาก็รู้เอง ตอนที่ไอ้ประธานคณะมันเดินเข้ามาแล้วพูดว่า



“วันนี้ที่นัดมาก็ไม่มีอะไรมากแค่จะให้จับฉลากเอาชื่อน้องติว”



อ่า...พวกคุณคงสงสัยว่าน้องติวคืออะไร



น้องติวก็คือน้องปีหนึ่งหน้าใสที่พวกเราชาวปีสามต้องคอยติวเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเรียนที่น้องปีหนึ่งไม่เข้าใจและช่วยดูแลน้องเวลาสอบซึ่งผมอยากจะคัดค้านระบบนี้ฉิบหาย คือกูก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้วป่ะครับ อะไรคือต้องมีน้องติวมาเป็นภาระของตัวเองอีกวะ



“และจะมีสิบคนที่ไม่ได้น้องไปนะ เพราะปีนี้น้องน้อยกว่าปีพวกเรา ฉะนั้นคนที่หยิบได้กระดาษเปล่าก็คือไม่ได้น้องนะ”



พอไอ้ประธานคณะมันพูดจบผมก็ได้แต่ภาวนาให้ตัวเองหยิบได้กระดาษที่ไม่มีรายชื่อจะได้ไม่ต้องมีน้องตงน้องติวให้มาเป็นภาระอะไรให้กับตัวเองอีก



“มึงเห็นน้องปีนี้กันหรือยังวะ?” ไอ้เป๋าหันมาถามผมที่ยืนรอหยิบกระดาษรายชื่อน้องอยู่ข้างหลังมัน



“เห็นแล้ว”



“เป็นไง?”



“ก็ดี”



ก็ดีในที่นี้ก็คือจำนวนมันน้อยก็ดี กูจะได้มีความเสี่ยงน้อยลงในการเป็นพี่ติวให้กับเด็กปีหนึ่งมัน



“หรอวะ?”



“เออ”



พอถึงคิวไอ้เป๋าหยิบมันก็สวดท่องอะไรของมันไป เป่ามนตร์อีกสามรอบและกว่าจะไปได้คือเพื่อนแทบยกตัวมันออกจากตรงนั้น เป็นห่าอะไรพอได้ชื่อมาแล้วอึ้งอย่างกับเปิดประตูไปเจอไอ้เตอร์ขี้อะไรอย่างนั้น



“ขอให้ไม่ได้ๆๆ” ผมพึมพำเหมือนลุ้นจับใบดำใบแดงแต่นี่จับรายชื่อน้องติว ภาวนาว่ากระดาษเปล่าๆ จนไอ้คนถือกล่องมันมองตาขวางแต่ผมก็ไม่สนใจ สุดท้ายก็ได้กระดาษติดมือมาอันหนึ่ง คิดว่านี่ล่ะใบนำโชคของกู ก็จะคล้ายสิงโต นำโชคหน่อยๆ



อ่ะโทษที...



หยิบมาได้ก็ต้องเปิดเลยเพราะต้องเขียนชื่อตัวเองใส่ในใบรายชื่อของน้องอีกทีจะได้รู้ว่านี่นะคือพี่ติวและน้องติวเวลาให้คำใบ้กับน้องจะได้เอาไปให้ถูกชื่อ



ผมแง้มๆกระดาษออก ไอ้คนเขียนใบรายชื่อนี่ก็กดดันกูจัง จะจ้องอะไรขนาดนั้นครับ รู้ตัวครับว่าตัวเองหล่อแต่ไม่ต้องมองขนาดนั้นก็ได้เนอะ



แง้มๆดูก็ยังมีแต่พื้นที่สีขาว เกือบจะโล่งใจแล้วว่าจะได้กระดาษเปล่าถ้าไม่เห็นหมึกสีดำโผล่ออกมา



ไอ้ฉิบหาย!



อยากจะปากระดาษทิ้งลงบนพื้นแล้วบดขยี้ให้แหลกสลายลงไปกับรองเท้าราคาห้าพันของตัวเองแต่ก็ข่มใจไว้มาลุ้นต่อถ้าหากได้ผู้หญิงก็คือยังดีไปแต่ถ้าผู้ชา..ย



“เจ้าจอม!”



เหี้ยเอ๊ย! มีผู้หญิงที่ไหนบ้างวะครับที่ชื่อเจ้าจอม ใครก็ได้ช่วยบอกผมที ฮรึก!



โทษที...



TBC....

ติดแท็ก #นิติผูกพัน ได้นะค้าา

ฝากติดตามด้วยค่าา

หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -จุดเริ่มต้นของความผูกพัน- 03/06/2561 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-06-2018 22:35:33
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -จุดเริ่มต้นของความผูกพัน- 03/06/2561 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-06-2018 03:06:24
รอการปะหน้ากัน  :katai3:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -จุดเริ่มต้นของความผูกพัน- 03/06/2561 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 05-06-2018 10:00:43
เปิดมาน่าติดตามผุดๆ
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -จุดเริ่มต้นของความผูกพัน- 03/06/2561 UP!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 07-06-2018 17:46:42

ไอ้เด็กนั่นชื่อเจ้าจอม



อกหักรักคุดยังไม่เจ็บเท่ากับการที่ต้องรู้ว่าตัวเองได้น้องติว ใช่ครับผมได้น้องติวแถมยังได้น้องติวเป็นผู้ชาย โอ๊ย! นี่คือจะภาวนาขอพรอะไรก็ดวงไม่ขึ้นจริงๆใช่มั้ยวะ



“ไอ้เชี่ยยีนส์แค่ได้น้องติวทำท่าจะเป็นจะตายไปได้”



แหมไอ้เตอร์ มึงไม่ได้น้องติวนี่มึงก็พูดได้ไง ไอ้สลัด! แล้วคือที่เจ็บใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือกลุ่มของผมทุกคนไม่มีใครได้น้องติวกันเลยสักคน ยกเว้นผมนี่ เป็นกูนี่ต้องมารับกรรมอยู่คนเดียว โธ่เว้ย!



ไอ้เป๋าพยักหน้าเห็นด้วยกับไอ้เตอร์มันแรงๆแล้วพูดเสริม “เออจริง เผลอๆได้น้องน่ารักเหมือนไอ้ทาวน์เนี่ยแจ๊คพ็อตไปอีก”



“อันนี้กูเห็นด้วยอีกเสียง” ไอ้คุณชายหมอกก็พยักหน้าหงึกหงักตามไปด้วย



“สัดไม่ต้องมายุ่งกับคนของกู” ไอ้คินนี่มันใช่เวลามาหวงมั้ย ถามจริง?



“หวงจริงเลยสัด” ผมบ่นมุบมิบไม่ให้มันได้ยินเดี๋ยวจะโดนมันด่าอีก คือพูดก็พูดเลยว่าผมยังไม่หายหมั่นไส้มันถึงแม้วันนี้มันจะไม่ได้เอาไอ้ทาวน์มานั่งทำตาแป๋วอยู่ด้วยก็ตาม



ถ้าถามว่าใครยังไม่ได้พูด ก็นั่นแหละครับไอ้ไฟคนเดิมเพิ่มเติมคือตอนนี้มันฟุบหลับอยู่เลยไม่ได้มาพูดโต้เถียงกับพวกผมแต่เอาจริงๆมั้ย ถึงมันจะไม่หลับมันก็นั่งนิ่งๆเฉยๆของมันอยู่ดีอ่ะครับ



“แล้วคืออะไรที่กูต้องมาได้น้องติวคนเดียววะ พวกมึงแม่งดวงดีฉิบหาย!”



พอได้ยินประโยคของผม พวกมันก็ทำหน้าทำตาแตกต่างกันไป ไอ้ห่าเป๋านี่พูดขึ้นมาคนแรกเลย



“คนดีก็เงี้ย” คือมึงด่ากูว่าชั่วไปเลยก็ได้ป่ะเป๋า ไม่ต้องมาพูดว่ามึงเป็นคนดงคนดีอะไร ไม่ใช่ความจริงเลยห่า!



“เวรกรรมมึงเยอะไง” ไอ้เตอร์นี่แม่งกูจะไปลอบวางเพลิงร้านสเต็กมึงคอยดู



“ทำใจเถอะ” มานิ่งๆสไตล์ไอ้หมอกแต่ถ้าจะดีกว่านี้ขอร้องเถอะว่ามึงอย่าแสยะยิ้มให้กูแบบนั้น สาดด!



“สม!” สั้นสุดและเจ็บสุดไม่ใช่ใครที่ไหนไอ้ห่าคินนั่นเองครับ



ส่วนไอ้ไฟคนสุดท้าย อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้มันหลับอยู่ ก็...ปล่อยมันไปเถอะครับ



“กูว่ากูต้องไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ล้างซวยบ้างแล้วจริงๆ” ผมบ่นให้พวกมันฟังอย่างหัวเสีย



“มันก็ไม่เห็นจะร้ายแรงอะไรขนาดนั้นนี่หว่า แค่มีน้องติวเอง มึงก็ถือซะว่าเป็นการติวและได้ทบทวนบทเรียนกับน้องด้วยไง ดีออก”



มึงก็พูดได้สิเป๋า ฮรุก!



“กูก็ว่าดีนะ น้องๆปีนี้ก็ดูโอเคกว่าปีก่อนๆด้วย พวกปีสองสามสี่ก็ชมกันเยอะอยู่ว่าปีนี้น้องน่ารักว่าง่ายซะอีก มึงอย่าพึ่งคิดมากดิวะ ยังไม่ได้เจอน้องเลยด้วยซ้ำ” ไอ้หมอกพูดกล่อมประสาทผม



คือไอ้หมอกนี่เป็นคนที่พูดกับใคร คนๆนั้นก็จะคล้อยตามมันไปหมด และผมก็เป็นอีกคนที่คล้อยตามคำพูดของมันทุกที....



“เออเอาวะ แม่ง! ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตก็แล้วกัน”



ถึงจะดูเหมือนยอมรับชะตากรรมของตัวเองได้แล้วแต่เมื่อถึงเวลาต้องแอบมาซุ่มดูตอนน้องได้คำใบ้พี่ติว ผม...ก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้เลย



“นี่กูลุ้นยิ่งกว่าผลบอลซะอีก” หันไปพูดกับไอ้เป๋าที่ผมชวนมันมาเป็นเพื่อนเพราะคนอื่นๆได้ทำการหนีหายตายจากผมตั้งแต่เลิกเรียนแล้ว ส่วนไอ้ห่าเป๋านี่มันหนีไม่ทันก็เลยต้องโดนผมลากมาด้วยความไม่สมยอม




“น้องๆปีนี้น่ารักทั้งนั้นเลยว่ะ” มันพูดประโยคนี้กับผมเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้



ตอนนี้พวกเราอยู่กันที่ลานกิจกรรม มีเด็กปีสามอย่างพวกผมยืนออกันอยู่ข้างหลังแถวของน้องๆโดยมีเด็กปีสองยืนอยู่ข้างหน้าแถวน้องเพื่อจะแจกคำใบ้ให้กับพวกเด็กๆปีหนึ่ง



“เอาล่ะครับ น้องๆก็ได้รู้กันไปแล้วนะครับว่าทำไมเราถึงต้องมีพี่ติว ตอนนี้ยังมีใครสงสัยอะไรอีกมั้ย?” ไอ้เก๋าหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมของปีสองบอกกับน้องๆที่นั่งทำหน้าสลอนไม่มีใครหือใครอือกับมันสักคน เหมือนพวกมันเป็นหุ่นยนตร์อ่ะครับ โทษที...



“ถ้าน้องๆสงสัยก็ถามได้เลยนะคะ” สาลี่สาวลูกครึ่งหรือก็คือพี่สันของปีสองบอกเสริมไอ้เก๋ามันอีก



ผมมองไอ้พวกเด็กๆปีหนึ่งจากข้างหลังก็ยังรู้เลยครับว่าพวกมันอยากกลับห้องไปนอนกันฉิบหายแล้วแต่ติดที่พวกแม่งไม่ยอมปล่อยพวกมันสักที ก็เลยได้แต่นั่งทำตาแป๋วมองพวกปีสองที่ยืนอยู่ข้างหน้านั่นแหละ



“งั้นถ้าไม่ใครสงสั..ย”



“ขออนุญาตครับ!”




ขวับ!



ทุกคนแทบจะหันไปมองเจ้าของเสียงขออนุญาตนั่นพร้อมกัน ผมกับไอ้เป๋าก็เป็นบุคคลเหล่านั้นเช่นกัน เมื่อกี้หันแรงจนคอผมแทบเคล็ดแล้วก็ต้องมาอึ้งกับไอ้หน้าหล่อที่ฉีกยิ้มกว้างส่งมอบให้กับทุกคนอย่างทั่วถึงอีก เหมือนมันนึกว่าตัวเองเป็นดาราดังอ่ะครับ โทษที...



มาสายยังจะมีหน้ามายิ้มอีกไอ้เด็กห่า!



“ขอโทษที่มาสายครับพี่” แล้วมันก็ยกมือไหว้ไปทั่วทุกสารทิศ คิดว่ามึงมาหาเสียงเลือกตั้งหรือไงวะไอ้เด็กนี่



“อ่า...ไม่เป็นไรครับ มาๆนั่งต่อแถวเพื่อนรอรับคำใบ้เลยครับ” ไอ้เก๋ามันก็กวักมือเรียกน้องยิกๆ ไอ้เด็กนั่นก็ทำตามอย่างว่าง่ายแต่ไม่วายโปรยยิ้มใส่ทุกคนอีก  พอเด็กนั่นมันนั่งลงเรียบร้อยแล้วไอ้เก๋าที่เหมือนจะเลิกสนใจไอ้เด็กนี่ก็พูดเสียงดังเหมือนพึ่งนึกได้ว่าต้องบอกอะไรกับไอ้เด็กนี่ก่อน “อ้อ! น้องอาจจะงงว่าทำไมต้องมารับคำใบ้ และมันคือคำใบ้ของอะไร พี่จะอธิบายให้ฟังครับคือพวกพี่จะให้น้องๆรับคำใบ้ของพี่ติวไป พี่ติวก็จะคล้ายๆติวเตอร์มาช่วยสอนช่วยเสริมในส่วนที่น้องไม่เข้าใจอะไรประมาณนั้นนั่นแหละครับ น้องเข้าใจมั้ยเอ่ย?”



“เข้าใจครับ” โอ้โห! ไอ้เด็กนี่ดูท่ามันจะยิ้มเก่งนะครับ ยิ้มแบบที่ยิ้มจริงๆนะไม่ใช่ยิ้มที่หมายถึงอย่างอื่น



“ครับ ในเมื่อทุกคนเข้าใจตรงกันแล้ว พี่ก็จะเรียกชื่อให้น้องๆมารับคำใบ้พี่ติวไปนะครับ”



“คร้าบบบ/ค่าาาา”



เสียงตอบรับยานขนาดนี้สงสัยพวกเด็กปีหนึ่งมันจะเริ่มง่วงกันแล้วมั้งครับ



“คนแรกครับ น้อง...น้องปลายคลื่นครับ”



เด็กคนแรกมันก็เดินเท่ห์ๆออกไป เป็นเด็กผู้ชายตัดผมทรงสกินเฮดแถมไถข้างเป็นรูปอะไรสักอย่างนี่แหละซึ่งผมงงมากว่ามันผ่านด่านไอ้พวกพี่ระเบียบไปได้ยังไง นอกจากมันจะไม่เข้ากิจกรรมอ่ะนะ



ผมมองเด็กสกินเฮดมันรับคำใบ้แล้วก็ยกมือขึ้นมาเกาหัวที่มีผมน้อยๆของมันอยู่นานสองนาน แล้วคือหน้าแม่งดูจะงงฉิบหายเลยครับ ขนาดมันกลับมานั่งที่ของตัวเองแล้วยังจ้องกระดาษด้วยหน้างงๆของมันอยู่เลย



พอไอ้เด็กคนแรกมันไปนั่งที่ ไอ้เก๋าก็เริ่มเรียกคนที่สองสามสี่และเรียกมาเรื่อยๆจนตอนนี้น้องที่ได้รับคำใบ้มาก็เริ่มนั่งเล่นโทรศัพท์ นั่งคุยกันไปแล้วครับและบางคนคือหลับไปแล้วด้วย เนี่ยตรงหน้าผมเลยไอ้เด็กแว่นเนี่ยหลับน้ำลายไหลพิงหลังเพื่อนมันไปแล้วล่ะครับ



“คนต่อไป...น้องเข็มทิศครับ” เจ้าของชื่อเข็มทิศลุกขึ้นเงียบๆไม่หือไม่อืออะไร มันเดินหน้านิ่งๆเข้าไปหาไอ้เก๋าคือหน้าแม่งพร้อมบวกได้ตลอดเวลาอ่ะครับ ท่าทางมันคุ้นๆว่าจะเหมือนเพื่อนในกลุ่มของผมอย่างไอ้คินกับไอ้ไฟเลย หรือนี่อาจจะเป็นทายาทหน้านิ่งคนต่อไปของพวกมันวะ โทษที...



แล้วคือรอมานานชาติเศษผมก็ยังคงไม่ได้ยินชื่อน้องติวของตัวเองอย่างไอ้ชื่อ...



“น้องเจ้าจอมครับ”



ใช่ครับไอ้เจ้าจอม ไอ้เหี้ย! น้องติวกูนี่หว่า!



“มึงๆนั่นชื่อน้องติวมึงป่ะวะ?” ไอ้เป๋าที่ยืนอยู่ข้างๆมันสะกิดผมยิกๆตอนที่ไอ้หัวหน้าฝ่ายกิจกรรมปีสองอย่างไอ้เก๋ามันพูดชื่อขึ้น



“เออ ไอ้เหี้ยกูตื่นเต้น”



คือก็ไม่รู้ว่าตัวเองตื่นเต้นอะไรแต่ก็รู้สึกตื่นเต้นฉิบหายตอนได้ยินชื่อเด็กนั่น ถึงจะไม่ใช่ผู้หญิงแต่ก็ขอให้น่ารักเหมือนอย่างไอ้ทาวน์ก็ได้วะ!



ผมก็ว่าไอ้เก๋ามันเรียกชื่อเสียงดังฟังชัดมากแล้วนะครับแต่ไอ้เจ้าของชื่อที่ชื่อเจ้าจอมก็ยังไม่โผล่หัวของมันมาให้ทุกคนยลโฉมสักทีหรือว่ามันจะไม่มาวะ



โธ่! แล้วที่กูเสียเวลามารอดูหน้ามึงคือไร๊? เสียเวลาเปล่างี้หรอวะ




“เฮลโหลวๆ น้องเจ้าจอมอยู่มั้ยครับ” มันเรียกเป็นครั้งที่สองไอ้เด็กที่ชื่อเจ้าจอมก็ยังไม่แสดงตัวออกมาสักที “ใครชื่อเจ้าจอมเอ่ยย...ถ้าไม่มีงั้นพี่....”



“เดี๋ยวพี่ๆไอ้นี่มันชื่อเจ้าจอมครับ”แล้วไอ้เด็กหัวสกินเฮดก็สะกิดเจ้าของชื่อเจ้าจอมมันยิกๆ



ผมหันไปมองก็ต้องตะลึง ไอ้ห่าเจ้าจอม ไอ้เหี้ย! กูขอลาออกจากการเป็นกูหน่อยครับ โทษที...



“ไอ้สัดเจ้าจอมมึงลุกขึ้นได้ละ ใช่เวลามาเต๊าะหญิงมั้ยสาดดดด” แล้วน้องหัวทรงสกินเฮดมันก็ลากเสียงยาวใส่ไอ้เด็กชื่อเจ้าจอมที่นั่งข้างมันและมันสองคนก็คงจะเป็นเพื่อนกัน



“ขอโทษทีครับพี่ ผมชื่อเจ้าจอมเองครับ”



ไอ้เหี้ยเจ้าจอมมึงควรสำนึกมั้ยว่าเวลานี้มึงไม่ควรจะหันไปยิ้มให้หญิงที่มึงพึ่งเต๊าะไป คือมึงต้องลุกขึ้นแล้วเดินไปรับคำใบ้ของกูต่างหากล่ะสัด!



“อ่า...นั่นสินะน้องติวของมึง”



เป๋าเพื่อนรัก ได้โปรดอย่าพูดย้ำเพื่อซ้ำเติมกู แค่ตอนที่กูหันไปเห็นเจ้าของชื่อเจ้าจอมก็แทบอยากจะร้องไห้กระซิกไปซบบ่าแม่กูที่บ้านแล้ว ฮรึก..



“หนะ...ไหนมึงบอกว่ามันจะน่ารักเหมือนไอ้ทาวน์วะ?” ผมพูดตะกุกตะกัก มองดูไอ้เด็กที่ชื่อเจ้าจอมเดินกลับมานั่งที่เดิมในแถวด้วยความช็อค



ไหนพวกเพื่อนเวรมันบอกว่าจะได้แบบน่ารักๆเหมือนไอ้ทาวน์วะ แล้วนี่อะไรมันคืออะไรที่ไอ้เด็กเจ้าจอมนี่มันแม่ง..



“ก็หล่อเกาหลีดีนะมึง”



ใช่ครับมันหล่อ แถมเวลายิ้มแล้วก็ยิ่งหล่อไปอีก ดูท่าทางแล้วไอ้เด็กนี่จะเฟรนลี่เข้าได้กับทุกเพศทุกวัยจริงๆ แค่ผมเห็นหน้ามันตอนนี้ก็เตรียมเหนื่อยไว้รอแล้วครับ



“ทำไมชีวิตกูมันถึงซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้วะ”



ผมยืนมองแผ่นหลังของไอ้เด็กที่ชื่อเจ้าจอม ไอ้เด็กที่มาสายและขอโทษด้วยการโปรยยิ้มให้ทุกคน ไอ้เด็กนั่นน่ะนะคือน้องติวของผม ว็อท!! น้องติวที่ผมต้องดูแลมันไปจนกว่าผมจะเรียนจบ น้องที่แม่งผมหวังให้เป็นยังไงก็ไม่เคยได้เป็นอย่างที่หวัง หวังให้เป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่ หวังจะให้เป็นผู้ชายน่ารักใสๆก็ไม่เชิงเพราะไอ้เด็กนี่ดันหน้าตาดีสไตล์เกาหลีพิมพ์นิยมแบบที่หลายคนชมชอบแล้วยิ่งไปกว่านั้นคือมันตัวพอๆกับผม ไอ้ที่หวังว่าจะได้ตัวเล็กน่ารักเวลาเดินก็ดุ๊กดิ๊กๆก็คือต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า



วงวาร!



แล้วผมก็ต้องมานั่งผิดหวังน้ำตาตกในกับไอ้เจ้าจอมเด็กยิ้มเก่งนี่อีก ยิ้มไปเลยมึงยิ้มจนทุกคนต้องร้องขอชีวิตมึงไปเลยไอ้น้องเต็มที่!



“น้องๆก็ได้รับคำใบ้ของตัวเองไปแล้วนะครับ เพื่อที่จะให้น้องๆหาพี่ติวได้ง่ายขึ้นพี่จะบอกใบ้ให้อีกอย่างหนึ่งคือพี่ติวที่ทุกคนได้ก็คือพี่ๆปีสามซึ่งตอนนี้พี่ๆเขาก็ยืนกันอยู่ข้างหลังของน้องครับ” ไอ้เก๋าพูดจบพวกเด็กปีหนึ่งมันก็หันขวับมามองพวกปีสามอย่างพวกผมที่ยืนกันอยู่



ผมสังเกตเด็กเจ้าจอมนั่นไอ้น้องติวของผม ไอ้ห่า! มึงช่วยสนใจหากูด้วยไม่ใช่ไปนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เต๊าะหญิงอยู่นั่นและเหมือนมันจะได้ยินคำที่ผมด่ามันในใจ ไอ้เด็กที่ชื่อเจ้าจอมมันก็หันหน้ามามองตามเพื่อนๆมัน ส่วนปากมันก็ยังคงทำหน้าที่ยิ้มได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง



มันไล่สายตาของมันไปเรื่อยและสุดท้ายสายตามันก็มาปะทะเข้ากับผม ผมทำเป็นเก๊กมองมันนิ่งๆไม่แสดงพิรุธอะไรให้มันได้รู้ว่าผมคือพี่ติวของมัน ไอ้เด็กนั่นมันก็ส่งยิ้มให้ผมแล้วละสายตาไปมองคนอื่นต่อ




“เอาล่ะครับ วันนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ สำหรับวันนี้ก็ขอบคุณน้องๆมากที่ให้ความร่วมมือและพี่ก็ขอให้น้องโชคดีในการหาพี่ติวของตัวเองนะครับ อ้อ พี่ให้เวลาแค่เพียงอาทิตย์เดียวนะครับ แล้วพี่จะนัดวันให้มาเจอกันที่นี่อีกที”



“ขอบคุณครับ/ค่ะ”



“ปีสองไม่มีอะไรแล้วนะครับ พี่ปีสามมีอะไรอยากจะพูดกับน้องมั้ยครับ” ไอ้เก๋ามันตะโกนจากข้างหน้ามาถามไอ้ประธานคณะปีสาม ไอ้นั่นมันก็ส่ายหัวตอบไปเป็นอันว่าไม่มีก็แยกย้ายกันได้ “โอเคครับ งั้นพี่ปล่อยน้องๆไปพักผ่อนกันตามอัธยาศัยได้เลยครับ”



แล้วพวกเด็กปีหนึ่งก็ลุกขึ้นพรึบพรับเหมือนพวกแม่งรีบอ่ะครับเพราะตอนนี้ลานกิจกรรมก็ไม่หลงเหลือเด็กปีหนึ่งมันสักคน



พวกเวรมึงจะรีบไปไหนกันวะ!






“ไงมึง เมื่อวานไปดูตัวน้องติวมาเป็นไงบ้างวะ?” ไอ้เตอร์มันถามพร้อมตักข้าวเข้าปากคำใหญ่



ตอนนี้พวกเราก็นั่งกันอยู่ที่โรงอาหารคณะไอ้ทาวน์มันครับเหตุผลเพราะไอ้คินมันกินข้าวไม่ลงเพราะคิดถึงแฟนเด็กของมัน พวกเราก็เลยต้องยกโขยงจากคณะตัวเองมาที่คณะของไอ้ทาวน์กัน



ผมยังยืนยันคำเดิมนะครับว่าผมนี่มันหมั่นไส้พวกมันฉิบหาย!



“ให้หน้ากูเป็นคำตอบ” ผมกรอกตาทำหน้าเอือมใส่ไอ้เตอร์ที่ถามคำถามที่นึกถึงทีไรก็ช้ำใจทุกที



“แสดงว่าดี”



“ดีพ่อง!



ถ้าไม่เกรงใจว่านี่โรงอาหารคณะอื่น ผมคงจับหัวไอ้เตอร์มาทุ่มลงจานข้าวมันแล้วล่ะครับ อะไรคือการที่กูทำหน้าอีกอย่างแล้วมันตีความไปอีกอย่างวะ



“มาๆถ้าอยากรู้กันนักเดี๋ยวกูจะเล่าให้พวกมึงฟังเอง” ไอ้เป๋าเป็นคนอาสาซึ่งก็ดีเพราะผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่



“เล่าเลยพี่เป๋านี่ผมรอฟังตั้งนานแล้วเนี่ย” ไอ้ทิมเพื่อนรักของไอ้ทาวน์มันเสร่อยื่นหน้าตัวเองเข้ามากลางวง ทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็นชัดเจนไม่มีการปิดบัง



นี่มึงขี้เสือกเหมือนที่ไอ้ทาวน์มันเคยเอามานินทาไว้จริงๆเลยไอ้ทิม



“ก็คืองี้อย่างที่พวกมึงรู้ว่าไอ้ห่านี่มันได้น้องติวใช่ม้ะแล้วทีนี้มันก็อยากได้ผู้หญิงแน่นอนว่าต้องไม่ได้อยู่แล้วเพราะมันดันหยิบได้กระดาษที่มีชื่อเขียนว่าเจ้าจอม”



“ชื่อเจ้าจอมก็อาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้ป่าวพี่?” ไอ้ทาวน์ที่ถูกไอ้คินมันแอบหอมแก้มเมื่อกี้ก็ยื่นหน้ามาถาม



“ก็ได้แหละแต่คือมึงเจ้าจอมอ่ะใครๆเห็นก็ต้องไม่คิดว่าแป็นผู้หญิงแล้วป่ะ?”



“ก็จริงของพี่ งั้นพี่เป๋าเล่าต่อเลยครับ โอ๊ย! ไอ้พี่คินอย่ามาทำรุ่มร่ามได้มั้ยวะเดี๋ยวต่อยแม่ง!” ประโยคหลังมันก็หันไปด่าไอ้คินที่ลวมลามผิดเวล่ำเวลา ไม่สนใจอะไรนอกจากการได้ดมๆหอมๆแฟนเด็กของมัน



“เออแล้วเมื่อวานก็เป็นวันที่ต้องแจกคำใบ้เด็กปีหนึ่งมัน ไอ้ห่านี่มันก็เลยไปดูหน้าน้องติวของตัวเอง พอมันเห็นมันก็ทำท่าจะเป็นจะตายอีกรอบเลย”



“ทำไมวะ?” ไอ้คุณชายหมอกมันถามอย่างไม่เข้าใจ



“ก็ไอ้น้องเจ้าจอมนั่นมันดันหล่อฉิบหายไม่ตรงกับที่มันหวังไว้ว่าจะน่ารักเหมือนไอ้ทาวน์มันไง” แล้วไอ้เป๋าก็โดนท่านคินมองแรงใส่เมื่อมันดันไปพูดถึงแฟนเด็กของไอ้คินมัน



“ผมเนี่ยนะน่ารัก? โว้ย! พวกพี่เอาอะไรมองว่าผมน่ารักวะ?” ไอ้คนที่โดนชมว่าน่ารักมันก็โวยวายใหญ่



“มึงน่ารักก็ถูกแล้ว”



“ไม่ต้องเลยไอ้พี่คิน นี่พี่ไปพูดกรอกหูเพื่อนมาใช่มั้ยว่าผมน่ารักอ่ะ”



“กูไม่ได้พูด”



“ผมไม่เชื่อหรอก”



อ่า....ปล่อยไอ้คู่รักมันทะเลาะกันไปเถะครับ ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก เรากลับมาเข้าเรื่องของผมกันต่อดีกว่านะครับ



“นี่มึงจะหาน้องติวหรือจะหาเมียไอ้สัด” ไอ้เตอร์ได้ทีก็ด่าผมเลย



มึงไม่เข้าใจกูอ่ะเตอร์



“มึงเข้าใจป่ะ ถ้ากูได้น้องน่ารักๆตัวเล็กๆถึงจะเป็นผู้ชายมันก็พอทำให้กูกระชุ่มกระชวยได้บ้าง แล้วมึงดูไอ้เด็กเจ้าจอมที่กูได้แม่ง! ตรงข้ามแทบจะทุกอย่างเลย” พอได้พูดผมก็บ่นยาวเหยียด พูดเสร็จก็หยิบน้ำขึ้นมากรอกปากเพราะคอแห้งอีก



“เหตุผลมึงนี่นะ” ไอ้หมอกมันพูดโดยมีไอ้ไฟส่ายหัวอยู่ข้างๆกัน



เออ นี่แหละเหตุผลกูพวกมึงจะทำไม!?



“แล้วนี่มึงให้คำใบ้อะไรน้องมันไปวะ?” ไอ้เป๋าพอมันเล่าเรื่องเสร็จก็เงียบไปนานและพอไม่มีใครถามอะไรผมอีกมันก็เลยเป็นคนคำถามคำถามผมต่อ



พอได้ยินคำถามของมัน ผมก็ยิ้มชั่วออกมา นึกถึงสิ่งที่ตัวเองเขียนในกระดาษคำใบ้แผ่นนั้นแล้วก็อยากจะหัวเราะดังๆให้คนทั้งมหา’ลัยได้ยิน ผมรับรองเลยว่าหากใครได้อ่านแล้วก็ต้องหาผมไม่เจอแน่ๆแม้กระทั่งไอ้เด็กเจ้าจอมนั่นก็ด้วย หึๆ



TBC....

ติดแท็ก #นิติผูกพัน ได้นะค้าา

ฝากติดตามด้วยค่าา
ติดตามข่าวสารได้ที่
Twitter (https://twitter.com/fongdue98)

หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ไอ้เด็กนั่นชื่อเจ้าจอม- 07/06/2561 UP
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-06-2018 18:33:31
ถามว่าอะไร อยากรู้ๆ  :mew2:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ไอ้เด็กนั่นชื่อเจ้าจอม- 07/06/2561 UP
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-06-2018 18:42:55
คำใบ้ น่าจะไม่ตรงกับความจริง ก๊ากกกกกก   :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ไอ้เด็กนั่นชื่อเจ้าจอม- 07/06/2561 UP
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 08-06-2018 16:46:16
รอยแดงปริศนา



ตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนๆและอาการปวดหัวก็เล่นงานอย่างรุนแรง พอจะลุกขึ้นก็ล้มตึงลงไปบนที่นอน พยายามอยู่นานสุดท้ายก็ล้มเลิกความตั้งใจของตัวเองไป นอนแช่อยู่บนเตียงไปเรื่อยๆเพราะจริงๆก็ยังไม่ถึงเวลาไปเรียน



เมื่อคืนจำได้ว่าเป็นวันเกิดของใครสักคนในคณะและสถานที่ที่นัดกันไปเลี้ยงก็ไม่พ้นร้านเหล้า ผมดื่มค่อนข้างหนัก...ไม่ล่ะ ผมว่าตัวเองดื่มหนักมากๆ ยิ่งมีเกมให้ต้องดวลกันอีกก็ยิ่งสนุก โดยมีกติกาว่าใครแพ้ต้องดื่มและไอ้คนที่แพ้บ่อยที่สุดก็มีแต่ผมคนเดียว



ไอ้ฉิบหาย!ผมว่าปีนี้ปีชงของผมแน่ๆเลยว่ะ



ไม่รู้ว่ากลับมานอนที่ห้องตัวเองได้ยังไงเพราะตอนสุดท้ายที่จำได้ก็ตอนที่ไอ้เป๋ามันยื่นแก้วมาให้ผมแล้วผมก็กระดกดื่มรวดเดียวจากนั้นภาพก็ตัดไปเลย ก็คงเป็นเพื่อนสักคนในกลุ่มผมนี่แหละมั้งที่มันเอาผมมาหย่อนไว้ที่คอนโดของผมเอง



จริงๆผมคอแข็งนะบอกไว้ก่อนแต่เมื่อคืนบอกแล้วว่าดื่มหนักสภาพก็เลยเป็นเหมือนอย่างตอนนี้นี่แหละ



“ตื่นแล้วหรอครับ?”



เสียงนุ่มๆทุ้มๆที่ลอยมาจากฝั่งห้องน้ำในห้องนอนของผมทำให้ผมต้องหันไปมองและก็พบว่า...



“ไอ้...”



“เจ้าจอมครับ”



ผมได้แต่อ้าปากมองมันด้วยความตะลึงและโคตรตกใจเมื่อเห็นไอ้เจ้าจอมมันยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำด้วยสภาพชุดคลุมอาบน้ำตัวเดียว



ไอ้เด็กนี่มันมาอยู่ห้องผมได้ไงวะเฮ้ย! นี่คือผมไม่เคยรู้จักมันจริงๆนะครับ



“มึง...มึงเข้ามาในห้องกูได้ยังไง!?”



ผมถามมันแต่มันกลับไม่ตอบ ไอ้เด็กนั่นมันส่งยิ้มให้ผมแล้วก้าวเดินช้าๆมายังเตียงที่ผมนอนอยู่ มันนั่งลงขอบเตียงข้างๆผมแล้วเอ่ยพูดขึ้นอีกครั้ง



“พี่จำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้จริงๆหรอครับ?” มันยังคงยิ้มและเป็นยิ้มที่แม่งผมดูยังไงก็กวนตีนฉิบหาย



“เรื่องเมื่อคืน?” ผมทวนคำถามมันซ้ำ



“ใช่ครับเรื่องเมื่อคืน” มันยังคงนั่งมองหน้าผมและส่งยิ้มให้ผมอยู่อย่างนั้น



“อะไรของมึง?” ผมจำไม่ได้จริงๆว่าเรื่องเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็บอกแล้วไงครับว่าภาพมันตัดไปเลย



“พี่จำไม่ได้จริงๆสินะ” มันยังคงยียวนผมไม่เลิก “ว่าแต่พี่ชื่ออะไรครับ?”



มันไม่ยอมบอกว่าเมื่อคืนมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ทำไมมันถึงมาอยู่ห้องผมได้แต่มันกลับเปลี่ยนเรื่องมาถามชื่อผมแทน



“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?” ผมไม่ตอบมันและเลือกจะถามสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ออกไปแทน



“จะไม่บอกชื่อผมก่อนหรอครับพี่?” มันทำเสียงสองใส่ผมและผมบอกเลยว่าไม่ได้ผลเพราะผมไม่นิยมผู้ชายที่ตัวแม่งพอๆกันกับผมเลย



“กูถามว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น” ผมกดเสียงต่ำ ยิ่งปวดหัวก็ยิ่งหงุดหงิด พอโดนไอ้เด็กนี่มันกวนประสาทก็โคตรๆหงุดหงิดขึ้นไปอีก



“เฮ้อ...พี่นี่น้า” มันถอนหายใจพร้อมส่ายหน้าไปมาใส่ผม



อะไรวะไอ้เด็กนี่ทำไมมันถึงกล้าทำท่าทางแบบนี้ใส่ผมได้วะ!



มันคงเห็นผมทำหน้าตึงและจ้องมันอย่างกับจะจับมันฆ่า มันเลยยอมเปิดปากอธิบายถึงเรื่องเมื่อคืน



“ก็เมื่อคืนเพื่อนพี่เอาพี่มาส่งที่คอนโด ตอนนั้นผมเห็นพี่เขาแล้วก็จำได้ว่าเป็นพี่คณะก็เลยเข้าไปถามว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย พี่เขาก็บอกว่าฝากเอาพี่ขึ้นห้องหน่อยบอกเลขห้องเสร็จสรรพแค่นั้นเขาก็ไปเลย ผมก็งงๆเหมือนกันแต่ก็เอาพี่มาส่งที่ห้อง จริงๆจะกลับแล้วถ้าไม่โดนพี่....”



มันเว้นจังหวะเหมือนอยากจะให้ผมลุ้นตาม ไอ้ฉิบหายมึงดูหน้ากูด้วยว่าอยากลุ้นไปกับมึงมั้ย



“กูทำอะไร?”



มันไม่ตอบแต่โน้มหน้าเข้ามาใกล้ผม ผมตั้งใจจะผลักแต่ไอ้เด็กนั่นมันกลับเบี่ยงหลบได้และก้มลงกระซิบที่ข้างหูของผม “โดนพี่อ้วกใส่น่ะสิครับ”



จบประโยคนั้นผมก็ผลักหน้ามันออกห่างจากตัวเอง ไอ้เด็กนั่นมันก็ไม่ได้อะไรทำเพียงหัวเราะขำกับท่าทางของผม



“เออขอโทษแล้วก็ขอบคุณด้วยที่เอากูมาส่งที่ห้อง”



“ไม่เป็นไรครับพี่”



“ว่าแต่มึงอยู่คอนโดนี้ด้วย?” ผมถามด้วยความแปลกใจเพราะจะเข้ามาในคอนโดได้ต้องเป็นคนที่มีคีย์การ์ดเพื่อแตะผ่านประตูข้างล่างเข้ามา



“ก็ใช่ครับ...ห้องข้างๆพี่นี่แหละ”



“เดี๋ยว! อยู่ห้องข้างๆกูแล้วทำไมมึงไม่กลับห้องตัวเองวะ?” ผมถามมันงงๆ ไม่เขาใจมันจริงๆว่าห้องก็อยู่แค่นี้ทำไมถึงไม่ยอมกลับห้องตัวเอง จะมาป้วนเปี้ยนอยู่ที่ห้องผมทำไม



“ผมก็รอให้พี่ตื่นมารับผิดชอบผมนี่ไง...พี่อ้วกใส่ผมเลยนะ เสื้อนี่เหม็นคลุ้งไปหมดเลย” มันว่ายิ้มๆ



“จะให้กูซักให้มั้ยล่ะ กูจะได้รับผิดชอบแล้วมึงก็จะได้รีบๆกลับห้องของตัวเอง”



“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมล้อเล่น จริงๆผมลืมคีย์การ์ดไว้ในรถแต่ขี้เกียจลงไปเอาเลยอาศัยนอนห้องพี่ก่อน เห็นว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้วด้วยแต่ผมนอนที่โซฟานะครับ ไม่ได้วุ่นวายกับห้องพี่ด้วย”



ผมพยักหน้าเออออไป ก็ถือว่าตอบแทนที่มันช่วยพาผมเอามาส่งที่ห้องและถือว่าเป็นการไถ่โทษที่ผมอ้วกใส่มันก็แล้วกัน จะได้หายกันไม่ติดหนี้บุญคุณกันอีก



“มึงคือน้องพี่ภูมิใจงั้นสิ?” ผมถามถึงรุ่นพี่ข้างห้องที่เรียนจบไปแล้ว เคยได้ยินพี่ภูมิใจมันเปรยๆไว้ว่าน้องชายจะมาอยู่ห้องพี่มันต่อเพราะพี่มันต้องไปทำงานอีกจังหวัดหนึ่ง ส่วนน้องชายแท้ๆก็สอบติดมหา’ลัยตามรอยพี่มันมา พี่ภูมิใจมันก็เลยยกห้องนี้ให้น้องชายตัวเอง



ไม่นึกว่าน้องชายพี่ภูมิใจก็คือไอ้เด็กเจ้าจอม...



“ใช่ครับ” มันยืนยันสิ่งที่ผมสงสัย



“อืม”



ผมว่าโลกนี่แม่งโคตรกลมเลยที่จู่ๆก็ส่งไอ้เด็กนี่มาให้ผมได้เจอ มันเป็นทั้งน้องติวและไอ้เด็กข้างห้องของผม ถึงแม้ว่าผมจะอยู่กันคนละโลกกับมันแค่ไหนแต่โลกก็ชอบเล่นตลก จับมันเหวี่ยงมาเจอกับผมจนได้สินะ



“พี่จะไม่บอกผมจริงๆเหรอครับว่าพี่ชื่ออะไร?” มันก็ยังคงอยากรู้ชื่อผม แต่ว่านะ...



“พี่ภูมิใจไม่ได้บอกหรือไง?” ใช่ครับ จริงๆพี่ภูมิใจน่าจะเล่าหรือบอกอะไรเกี่ยวกับผมบ้างป่ะวะ ซี้กันขนาดนั้นอ่ะ



“บอกครับแต่ผมอยากได้ยินจากปากพี่มากกว่า” มันก็ยกยิ้มกว้างส่งให้ผมอีก “แล้วตกลงพี่ชื่ออะไรล่ะครับ?”



ผมถอนหายใจ ไอ้เด็กนี่โคตรกวนประสาทเลยบอกตามตรง



“ยีนส์” ผมตอบสั้นๆห้วนๆมองไอ้เด็กเจ้าจอมที่ตาเป็นประกายเมื่อได้ยินชื่อของผม



“ผมเจ้าจอมนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับพี่ยีนส์”



“เออ!”






“กูขอถามว่าเมื่อคืนใครเอากูไปส่งที่คอนโด?”



เมื่อหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าตัวประจำหรือก็คือแหล่งนัดพบกันก่อนเข้าเรียนของพวกผม ผมก็เริ่มเปิดประเด็นคำถามขึ้นทันที



“กูเองครับเพื่อน” มองไอ้คนที่ตอบซึ่งก็เดาไม่ผิดเมื่อไอ้คนๆนั้นก็คือไอ้เป๋า



“แล้วทำไมไม่เอากูไปส่งที่ห้องวะ?”



“โทษทีเพื่อน พอดีกูรีบที่บ้านโทรตามว่ะ”



“ห่า! แล้วมึงก็เอากูไปฝากกับเด็กที่ไหนก็ไม่รู้น่ะนะ!”



“เด็กที่ไหนอะไรล่ะ นั่นก็น้องติวมึง”



“สัด!”



ด่ามันจบก็หยิบน้ำที่ฝากไอ้เตอร์ซื้อมาขึ้นดื่มอึกๆ พูดกับไอ้เป๋ามันทีไร รู้สึกจะคอแห้งมันทุกที



“แล้วเป็นไงบ้างวะเมื่อคืน?” ไอ้เป๋ามันยังคงไม่หยุด ผมเกลียดคำถามและหน้ามันตอนถามจริงๆ



“จะอะไรล่ะวะ กูก็อ้วกใส่น้องมันไง”



กว่าเด็กนั่นจะออกไปจากห้องผมได้ก็แทบจะทำให้ผมปวดหัวหนักกว่าเดิม ก็มันเล่นเดินป้วนเปี้ยนดูนู่นดูนี่แถมยังอาสาทำข้าวต้มให้ผมกิน ผมก็ไม่ได้ไล่หรือปฏิเสธอะไรมันจริงจังหรอกเพราะยังไงๆมันก็คือน้องติวของผมถึงแม้มันจะยังไม่รู้ก็เถอะว่าผมเป็นพี่ติวของมันแล้วอีกอย่างมันก็เป็นน้องชายของพี่ภูมิใจ พี่ชายที่ผมให้ความเคารพนับถือและเขาก็เคยฝากผมดูมันด้วย ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้มันที่ว่าก็คือไอ้เด็กเจ้าจอม



นี่ผมอยู่ยังไงวะถึงไม่รู้ว่าไอ้เด็กนี่มันมาอยู่ข้างห้องของตัวเอง...



“น้องเจ้าจอมมันก็ดูไม่ได้เลวร้ายอะไรดีนะมึง ดูอย่างเมื่อคืนดิเดินดุ่มๆมาถามว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย พอกูฝากเอามึงไปส่งที่ห้องน้องมันก็ไม่ได้ปฏิเสธแถมยังบอกให้กูขับรถกลับดีๆอีก มึงดู๊! น้องแม่งเด็กดี”



โธ่ๆไอ้เป๋า ที่มึงชมไอ้เด็กนั่นนี่เพราะว่ามันทำประโยชน์ให้กับมึงไงล่ะสาดดดด



“เดี๋ยวๆพวกมึงหยุดก่อนนะ คือพวกกูสามคนก็นั่งฟังกันมานานแล้วก็คือไม่เข้าใจ ช่วยอธิบายพวกกูที” ไอ้เตอร์มันพูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับทำหน้างงๆ



ผมหันไปมองไอ้ไฟก็นั่งเงียบไม่เห็นจะสนใจอยากรู้เรื่องผมเหมือนอย่างไอ้เตอร์ว่าเลย ส่วนไอ้หมอกก็นั่งกดโทรศัพท์เล่นเกมลับสมองของมันก็ไม่เห็นจะสนใจอะไรผมอีก ส่วนถ้าถามว่าไอ้คินหายไปไหน เหอะ! ก็คงจะอยู่กับแฟนมันที่ไหนสักที่น่ะสิครับจะไปไหนได้



สรุปแล้วคนที่อยากรู้จริงๆก็มีแค่ไอ้เตอร์เพียงคนเดียว



ไอ้เป๋ามันก็เลยจัดการเล่าให้ผมเลยครับ โดยที่ผมก็ได้แต่ฟังมันเล่าย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนอีกที จนมันเล่าจบไอ้เตอร์ก็หันมาถามสิ่งที่มันสงสัยต่อ



“มึงอ้วกใส่น้องเขาแล้วไงต่อวะ?”



“ก็ไม่ไงอ่ะ กูไม่รู้นี่หว่า พอตื่นเช้ามาก็เจอเด็กนั่นอยู่ในห้องมาบอกว่ากูอ้วกใส่ กูก็ขอโทษมันแค่นั้นแหละ”



ผมไม่ได้เล่ารายละเอียดต่างๆอีกมากมายเพราะแม่งขี้เกียจฉิบหายที่ต้องมานั่งอธิบายอะไรเยอะแยะทั้งที่ยังคงปวดหัวอยู่



“แค่นั้น?” ไอ้เตอร์มันเลิกคิ้วถามแต่มันจะไม่แปลกอะไรเลยถ้ามันไม่ยิ้มกรุ้มกริ่มส่งมาให้ผมแบบนั้น



“แล้วมึงจะให้มันมีอะไรอีก?”



ไอ้เตอร์ไม่ตอบ มันหันไปกระซิบกระซาบกับไอ้เป๋า ผมมองไอ้เป๋าที่ทำตาโตยกมือขึ้นปิดปากและมองหน้าผม ส่วนไอ้เตอร์มันก็หัวเราะหึๆจากนั้นมันสองคนก็หันหน้ามองกันแล้วพยักหน้าใส่กันหงึกๆสองที



“แล้วรอยแดงที่คอมึงคืออะไรวะ?”



สิ้นเสียงไอ้เป๋าและไอ้เตอร์ที่พูดพร้อมกัน ผมก็ขมวดคิ้วและยกมือขึ้นมาลูบคอตัวเองทันที



รอยแดง?



รอยแดงอะไรวะ?



“มึงไม่ได้ส่องกระจกก่อนออกจากห้องหรือไงวะ?” ไอ้หมอกที่ตอนแรกไม่ได้สนใจผม มันก็ถามขึ้นพร้อมกับที่มันก้มๆเงยๆมามองคอของผม



“ไม่ว่ะ กูรีบเลยไม่ได้ดูอะไร”



“มึงแน่ใจนะว่ามึงกับน้องติวไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ?”



ผมอยากตอบว่าโคตรแน่ใจ แต่พอเพื่อนมันยืนยันว่าผมมีรอยแดงที่คอจริงๆผมก็ชักจะไม่มั่นใจแล้วจริงๆว่าเมื่อคืนมันเป็นยังไงและเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับผมบ้าง



คนที่สามารถจะให้คำตอบกับเรื่องนี้ได้ก็คงมีเพียงไอ้เด็กเจ้าจอมนั่นเท่านั้นแหละ...






ผมยืนเคาะห้องไอ้เด็กเจ้าจอมนั่นนานหลายนาทีก็ไม่มีคนเปิด เลยตัดสินใจสอดกระดาษไว้ใต้ประตูมัน เขียนบอกมันว่ามีเรื่องจะคุยด้วยแค่นั้นก็กลับเข้าห้องไป



เข้าห้องมาได้สิ่งที่ทำอย่างแรกคือส่องกระจก ผมเอียงคอมองรอยแดงที่ไอ้เพื่อนทั้งหลายมัยยิ้มล้อทั้งวัน ไอ้รอยแดงเจ้าปัญหาที่ทำให้ผมแทบเรียนไม่รู้เรื่อง



ไอ้ห่า! เมาจนไม่รู้ว่าตัวเองไปโดนใครดูดคอมาขนาดนี้เลยหรอวะ?



จริงๆรอยอะไรแบบนี้ผมก็เคยได้ตอนมีอะไรกับคนอื่นแต่ตอนนั้นผมรู้และมีสติว่าใครเป็นคนทำ แตกต่างจากรอยนี้ที่ผมได้มาและผมไม่รู้ว่าใครมันดูดไว้จนแดงเป็นปื้นขนาดนี้ แล้วคือไม่รู้ว่าตัวเองตาบอดหรือยังไงเมื่อเช้าเลยไม่ได้สังเกตเห็นไอ้รอยแดงใหญ่ๆนี่เลยสักนิด



ผู้ต้องสงสัยคนแรกที่ผมพอจะคิดได้ก็มีแต่ไอ้เจ้าจอมและผมสงสัยแค่มันเพียงคนเดียวเพราะนอกจากไอ้เด็กนั่นแล้วผมก็คิดไม่ออกเลยว่าใครมันจะเป็นคนทำรอยนี่ไว้ ยิ่งสภาพเมื่อเช้าของไอ้เด็กนั่นมันก็ยิ่งส่อไปถึงอะไรต่อมิอะไร ผมไม่รู้ว่าตัวเองโดนมันลักหลับหรือเปล่าแต่ถ้าโดนจริงๆคนที่ถูกเสียบต้องไม่ใช่ผมแน่ๆเพราะผมไม่มีอาการเจ็บหรืออะไรทั้งนั้นเลย




ก็อกๆ



ไม่ต้องคิดไตร่ตรองอะไรให้มากมายผมก็รู้ว่าไอ้คนที่มาเคาะประตูห้องของผมก็คงเป็นไอ้เด็กนั่น



“พี่มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ?”



ผมเดาไม่ผิดว่าไอ้เด็กนั่นมันต้องเป็นมาเคาะประตูห้องผมแน่ๆ มือของมันชูกระดาษที่ผมเขียนเอาไว้แล้วสอดเข้าใต้ประตูห้องมันขึ้นมาให้ผมดู ดวงตาของมันก็สบจ้องกับดวงตาผมด้วยความสงสัยอยากรู้ว่าทำไมผมถึงอยากคุยกับมัน



“เข้ามาก่อนสิ”



ผมเดินนำมันเข้ามาในห้องแล้วพามันไปนั่งยังส่วนที่เป็นโซฟา มันก็เดินตามหลังผมมาแต่ก็ไม่ลืมจะปิดประตูให้ผมก่อน ผมหย่อนตัวลงนั่งโซฟาตัวกลางโดยมีเด็กนั่นนั่งลงโซฟาที่อยู่ข้างกันกับผม



“พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ?” มันมองหน้าผม เอียงคอถามด้วยความสงสัย



ผมถอนหายใจ ถ้ามันลักหลับผมจริงๆขึ้นมาก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเอายังไงต่อไปดี



“กูจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ” ผมเกริ่นก่อน



“ครับพี่” มันก็พยักหน้า ตั้งใจฟังสิ่งที่ผมจะพูด



“กูอยากรู้ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” จบประโยคของผม เด็กนั่นมันก็ยังนั่งนิ่ง ไม่มีพิรุธหรือแสดงอาการใดๆออกมาให้ผมเห็น



“ผมบอกพี่ไปแล้วนี่ครับเมื่อเช้า” มันตอบพาซื่อซึ่งผมแม่งคิดว่าหน้าอย่างมันคงไม่ได้ใส่ซื่อเหมือนที่มันกำลังแสดงอยู่ตอนนี้แน่ๆ



“เหรอ?”



“ครับ ถ้าพี่ไม่มีอะ...”



“แล้วรอยแดงที่คอกูล่ะ?” ผมขัดมันที่กำลังจะพูดขอตัวออกจากห้องผมพร้อมกับเอียงคอและชี้ให้มันดูรอยแดงเป็นปื้นตรงลำคอของผม รอยแดงปริศนาที่ผมก็ไม่รู้เลยว่าใครเป็นเจ้าของของมัน



“ครับ?” มันก็ยังคงทำหน้าซื่อ ยิ้มงงๆกับสิ่งที่ผมพูด



“รอยแดงที่คอกู มึงรู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนทำ?” ผมถามย้ำ ขยับเข้าไปใกล้มันที่นั่งอยู่ที่โซฟาอีกตัว จนตอนนี้มีเพียงพนักโซฟาที่กั้นผมกับมันไว้เท่านั้น



“ผมไม่รู้หรอกครับพี่”



“มึงแน่ใจ?”



“แน่ใจสิครับ” มันตอบอย่างมั่นใจ ผมที่จ้องตากับมันก็ไม่เห็นแววตาอะไรที่จะแสดงถึงพิรุธของมันเลยสักนิด “หรือพี่คิดว่า...”



มันเว้นจังหวะคำพูดของตัวเองแล้วค่อยๆยื่นใบหน้าของมันเข้ามาใกล้ใบหน้าของผมจนจมูกของเราแทบชนกันแต่ผมก็ไม่ได้ผละหนีอะไร อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครมันจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้วผละออกไปก่อนกัน



“อะไร?” ผมถามมันเสียงนิ่ง จริงๆพอได้มองไอ้เด็กนี่มันใกล้ๆแล้วก็คิดว่าผิวแม่งก็ดีฉิบหาย



“พี่คิดว่าผมเป็นคนทำงั้นหรอครับ?” มันกระตุกยิ้มและผมก็ไม่ยอมแพ้กระตุกยิ้มตามมันไปพร้อมกับยื่นหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้มันจนปลายจมูกของเราชนกัน



“ใช่มั้ยล่ะ?” รู้สึกถึงลมหายใจที่รดรินบนปลายจมูกของผม ลมหายใจแผ่วๆแต่กลับรู้สึกไม่อยากผละห่าง ผมคิดว่าเล่นกับไอ้เด็กนี่ก็สนุกดีเหมือนกัน



“ถ้าพี่อยากให้เป็นผมจริงๆ ก็คงเป็นผมนั่นแหละครับ” มันยิ้มและเป็นยิ้มที่ผมเห็นได้ชัดกว่าทุกครั้งเพราะตอนนี้หน้าเราใกล้กันจนสามารถมองเห็นรูขุมขนของอีกฝ่ายได้เลย



“หึ!” ผมหัวเราะในลำคอ คิดในใจว่าไอ้เด็กนี่มันก็ร้ายไม่เบาเหมือนกัน



“ผมไปได้หรือยังครับ?” มันเลิกคิ้วถามแล้วเป็นฝ่ายที่ผละออกจากผม



“ถ้ามึงบอกว่ามึงเป็นคนทำจริงๆ” ผมมองหน้ามันที่กำลังมองผมตอบและมุมปากของเราทั้งสองยังคงยกยิ้ม “กูก็ขอทำมึงกลับ เป็นการเอาคืนได้มั้ยล่ะ?”



มันไม่ได้ตอบโต้ผมแต่มันกลับยิ้มและมองหน้าผมอยู่แบบนั้น พอเห็นมันทำท่าจะลุกผมก็กระชากแขนมันไว้ให้มันนั่งลงกับโซฟาตามเดิม



“สิ่งที่พี่ควรรู้คือผมไม่ใช่คนทำ”



“แต่กูคิดว่ามึงเป็นคนทำและตอนแรกมึงก็ไม่ได้ปฏิเสธ” ไอ้เด็กนั่นมันหลุดหน้ายุ่ง หน้าที่ผมไม่เคยเห็นเพราะมันเอาแต่ยิ้ม พอได้เห็นก็รู้สึกพอใจขึ้นมาเมื่อทำให้มันหลุดมาดตัวเองได้



“ผมแค่พูดเล่น” มันปรับสีหน้าของตัวเองให้กลับมายิ้มเหมือนเดิม



“หรอ?” ผมเลิกคิ้วมองหน้ามัน  “แต่กูมีความเชื่อว่าสิ่งแรกที่คนเราพูดก็คือเรื่องจริงเสมอ”



เสียงมันจิ๊ปากอย่างไม่พอใจดังขึ้นเบาๆแต่ผมกลับได้ยินเพราะในห้องนี้มีกันเพียงแค่สองคน




“แค่ได้ทำรอยบนคอผมก็พอใช่มั้ยครับ?”



“ก็คงใช่” ผมยักไหล่ตอบ ปล่อยแขนมันที่เผลอจับอยู่นานออก



“งั้นก็เชิญครับ” มันว่าพร้อมเอียงคอเพื่อเปิดให้ผมได้ทำรอยไว้ที่คอของมัน



ผมยังคงนั่งนิ่งจ้องลำคอของมันอย่างสำรวจ ผิวมันขาวและดูเนียนละเอียด นั่นเป็นสิ่งที่ดึงดูดผมเขาไปใกล้ลำคอของมันมากขึ้นเรื่อยๆ



ผมเหลือบตามองหน้าของมัน คิดว่าอาจจะได้สบตากับไอ้เด็กนี่แต่ก็ไม่เลยมันกลับหลับตาลงและเม้มปากแน่นจนผมต้องยิ้มขำ ไอ้เด็กที่เคยแกล้งผมเมื่อเช้าไม่รู้มันหายไปไหน ไอ้เด็กที่ก้มลงกระซิบข้างๆหูผมมันอยู่ไหนแล้วล่ะแล้วไอ้เด็กใจกล้าที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆผมมันกลับบ้านไปแล้วหรือไงนะ



เด็กก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำนั่นแหละครับ



ผมเปลี่ยนเป้าหมายจากซอกคอของมัน เลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าไปชิดกับใบหูของไอ้เด็กเจ้าจอม ดูมันจะตกใจนิดหน่อยที่ผมเปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่ตรงนั้นแต่มันก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรผม



ผมยิ้มและเลือกที่จะพูดบางสิ่งออกไปให้มันได้รับรู้



“ขอโทษที พอดีกูทำไม่ลง”






TBC....

ติดแท็ก #นิติผูกพัน ได้นะค้าา

ฝากติดตามด้วยค่าา
ติดตามข่าวสารได้ที่
Twitter (https://twitter.com/fongdue98)


หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -รอยแดงปริศนา- 08/06/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 08-06-2018 17:23:39
กรี๊ด เรื่องใหม่ น้องเป็นคนทำรอยแน่ๆเลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -รอยแดงปริศนา- 08/06/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-06-2018 17:45:01
ใช่รอยจูบแน่หรอ ไม่ใช่ขึ้นมาหน้าแตกนะยีนส์  :hao3:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -รอยแดงปริศนา- 08/06/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-06-2018 19:48:13
สนุกละ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
พี่ติว น้องติว   :mew1:
ทั้งที่น้องจอม ผิวเนียน ผิวดี
พี่ยีนส์ กลับบอกว่า ทำรอยไม่ลง 
ยังไงๆ  ให้จอมเสียเซลฟ์หรอ  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -รอยแดงปริศนา- 08/06/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: พระจันทร์ยิ้ม ที่ 09-06-2018 20:31:56
 :hao7: :pig4:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -รอยแดงปริศนา- 08/06/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 06-07-2018 17:02:57
ตอนที่3

ความบังเอิญของโลกใบนี้


ผมอยากจะขำหน้าไอ้เด็กเจ้าจอมนั่นจริงๆ ยิ่งนึกถึงทีไรก็อยากลงไปขำกลิ้งกับพื้น ตอนที่ผมพูดประโยคนั้นหน้ามันนี่เหวอไปเลยครับ ไม่พอนะยังตวัดสายตามามองผมแบบไม่พอใจอีก



เอ้...ไอ้เด็กที่ยิ้มเก่งๆนี่มันหายไปไหนน้า



ผมโคตรรู้สึกพออกพอใจเลยที่สามารถทำให้มันหลุดมาดได้ แต่รู้อะไรมั้ยครับพอมันตั้งสติได้มันก็กลับมายิ้มให้ผมเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้วมันก็ขอตัวกลับห้องมันไปเลย



ไอ้ผมก็ไม่ได้รั้งให้มันอยู่ต่ออะไรหรอกเพราะจริงๆก็หมดธุระของตัวเองแล้วด้วยถึงแม้ตอนนี้จะยังสงสัยว่าใครมาดูดคอของผมแล้วฝากรอยแดงไว้เป็นปื้นใหญ่ขนาดนี้ก็เถอะ



ก็ช่างมันเถอะครับผมก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมายจากการตรวจดูส่วนอื่นๆในร่างกายของตัวเองแล้ว ผมจะปล่อยเรื่องนี้ให้มันผ่านๆไปไม่สนใจมันแล้วล่ะ



นั่งคิดอะไรนานๆก็ชักจะหิว ผมที่พอทำอาหารกินเองได้ก็ไม่อยากทำตอนนี้หรอกนะครับ หิวจนจะแดกโซฟาได้แล้วด้วยคงต้องไปหาอะไรกินแถวๆคอนโดสักหน่อย



ย่านคอนโดของผมก็ใกล้ๆกับตลาดของกินนี่แหละครับ ฝั่งตรงข้ามก็เป็นเซเว่น บอกได้เลยว่าสบายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว จริงๆกว่าคอนโดนี้จะมีห้องว่างก็นานอยู่พอสมควร ผมก็ได้ห้องต่อมาจากทวดรหัสที่จบไปแล้วเขาอยากปล่อยขายห้องพอดี ผมเลยรีบซื้อเก็บเอาไว้แล้วก็มาอยู่จนถึงปัจจุบันนี่แหละ



ผมเดินซื้อของในตลาดและเลือกซื้อของกินจนเต็มไม้เต็มมือก็เดินกลับคอนโดของตัวเอง ใกล้ๆแค่นี้รถราอะไรไม่จำเป็นสำหรับผมหรอกครับเพราะตลาดนี้ก็ห่างกับคอนโดผมแค่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง



ผมเดินฮึมฮัมเพลงไปเรื่อย ตาก็กวาดมองไปรอบๆบริเวณนั้นก่อนจะเห็นรูปร่างสูงของใครบางคนกำลังจะเดินข้ามถนนทั้งทีมีรถขับมุ่งตรงมายังทางที่มันกำลังจะเดินข้ามอยู่ 



โธ่...คงจะต้องเป็นเวลาที่ฮีโร่อย่างผมต้องออกโรงปกป้องประชาชนแล้วล่ะครับ



“เฮ้ย!”



เสียงของคนที่ถูกดึงรั้งกลับเข้ามาตรงริมทางเท้าทำให้คนแถวนั้นหันมามอง ผมเห็นหน้าของคนที่ผมช่วยไว้แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว



โลกแม่งคงแคบจริงๆนั่นแหละครับที่ทำให้ผมได้มาเจอไอ้เด็กเจ้าจอมมันอีกครั้งหลังจากแยกย้ายกันไปไม่กี่นาทีก่อน



“อ้าวพี่?” ไอ้เด็กนั่นมันทำหน้างงเมื่อหันมาแล้วเจอผมขมวดคิ้วมองมันอยู่



“เออ ข้ามถนนก็หัดดูรถซะบ้าง ตายมามันไม่คุ้ม” ว่าจบก็ก้าวขึ้นไปยืนข้างๆไอ้เด็กนั่นแต่ยืนให้ห่างพอประมาณเพื่อรอให้รถหมดจะได้ข้ามถนนสักที



ผมเหลือบไปมองทางไอ้เจ้าจอมก็เห็นมันกำลังมองผมอยู่เหมือนกัน ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูดสักที ผมเลยไม่ได้สนใจทำท่าจะข้ามถนนเมื่อรถหมดแต่ก่อนที่จะได้ก้าวเดินออกไปกลับได้ยินเสียงนุ่มๆของใครบางคนพูดออกมาให้ผมได้ยิน



“ขอบคุณนะครับพี่”



มองแผ่นหลังของเจ้าของเสียงนั่นเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วผมก็ต้องก้าวเดินตามมันไปด้วยอีกคน จะให้ยืนซึ้งใจอะไรนานเป็นชั่วโมงล่ะครับ กว่ารถจะหมดให้ข้ามถนนกลับคอนโดก็อีกนานเลย ค่อยมาซึ้งใจกับคำขอบคุณของไอ้เด็กนั่นตอนข้ามถนนเสร็จก็แล้วกัน






ครืดดด~~ ครืดดดด~



ผมลุกขึ้นจากโซฟาและวิ่งวุ่นหาโทรศัพท์ของตัวเองทั่วทั้งห้องเพราะจำไม่ได้ว่าเอามันไปวางไว้ที่ไหน อยากจะตบหัวตัวเองให้กระทบกับสมองจะได้นึกได้แต่แม่งก็กลัวเจ็บไงครับเลยต้องวิ่งวุ่นหาแบบนี้แทน



และผมก็ได้พบว่าโทรศัพท์ที่เดินหามาตั้งนานมันตั้งอยู่บนโซฟาซึ่งมีหมอนทับอยู่อีกที อยากจะกราบความขี้ลืมและความตาเซ่อของตัวเองจริงๆ



‘พี่ภูมิใจ’



พอยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูชื่อของคนที่โทรมาหาผมก็ต้องทำหน้าแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยจะโทรหาแต่นี่ที่โทรมาคงไม่พ้นเรื่องของไอ้เด็กนั่นแน่ๆ



“ครับพี่ภูมิใจ”



(เป็นไง สบายดีนะ?)



“ก็เรื่อยๆพี่ ดีบ้างไม่ดีบ้าง”



(อืม)



“แล้วพี่ล่ะ ทำงานที่นั่นโอเคป่ะ?”



(ก็ดี)



“เสียงพี่ดูเหนื่อยๆว่ะ งานหนักหรอวะพี่”



(นิดหน่อยว่ะ)



“อ่า..แล้วที่พี่โทรมานี่ไม่ใช่แค่จะโทรมาถามว่าผมสบายดีแค่นั้นใช่มั้ย?”



(อืม)



“พี่มีอะไรหรือเปล่า?” ถึงจะพอเดาออกว่าพี่ภูมิใจโทรมาเพื่อคุยเรื่องอะไรแต่ผมก็ต้องถามออกไปก่อนเพื่อจะเดาผิดไป



เขาเงียบไปสักพักก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยถามออกมา



(มึงเจอน้องกูแล้วใช่มั้ย)



ผมถอนหายใจทำหน้าเซ็งเมื่อนึกถึงไอ้เด็กเจ้าจอมน้องชายของพี่ภูมิใจที่ผมเคารพ ไอ้เด็กที่หน้าตากวนตีนและชอบยิ้มเหมือนคนบ้าตลอดเวลา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นน้องชายของพี่ภูมิใจได้เพราะไอ้พี่ภูมิใจมันแม่งหน้านิ่งหน้าเดียวตลอดเวลาที่ได้เจอกันเลย



“ครับพี่” ผมตอบไปด้วยเสียงเนือยๆ ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาสายตาจดจ้องกับโทรทัศน์ที่มีแมวกับหนูวิ่งไล่กันส่วนหูก็ฟังสิ่งที่คนปลายสายกำลังจะพูด



(อืม กูรบกวนฝากมึงดูมันหน่อยแล้วกัน)



ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ โตเป็นควายขนาดนั้นแล้วทำไมต้องให้คนอื่นมาคอยดูแลด้วยวะ



“แต่น้องพี่มันก็โตแล้วนะ คงไม่อยากให้ใครมาดูแลหรอกมั้งพี่”



(เฮ้อ...ถึงกูพูดไปมึงคงไม่เข้าใจ เอาเป็นว่ายังไงกูก็รบกวนมึงช่วยๆดูมันหน่อย ถ้ามีอะไรก็โทรมาบอกกูได้ตลอด)



พี่ภูมิใจมันก็คงจะลำบากใจไม่น้อยแต่เพราะคงห่วงไอ้เด็กเจ้าจอมนั่นจริงๆถึงขนาดโทรมาบอกให้ผมช่วยดูมันให้ ผมรู้จักนิสัยพี่ภูมิใจเขาพอสมควร เขาเป็นคนที่กล้าได้กล้าเสีย เป็นคนที่ใจดีแต่หน้าตาออกจะดุไปหน่อย ขอให้ช่วยอะไรพี่ภูมิใจก็จะพยายามช่วยตลอดและเขาจะเป็นคนที่ไม่เคยขอหรือรบกวนอะไรคนอื่นเลยสักนิดแม้กระทั่งผม แต่ตอนนี้พี่ภูมิใจกลับขอให้ผมดูไอ้เด็กเจ้าจอมให้ มันก็เลยยากที่จะปฏิเสธเพราะคนที่ขอคือพี่ภูมิใจ



ผมนิ่งคิดและทบทวนอะไรหลายๆอย่าง ถึงยังไงตัวผมเองก็ได้เป็นพี่ติวมันแล้วด้วยถ้าจะให้แค่ดูมันแค่นิดหน่อยมันก็คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงของผมสักเท่าไหร่หรอก...มั้ง



“ได้ครับพี่” แม้เสียงตอบจะเบาหวิวแต่มันก็เป็นการตกลงสิ่งที่พี่ภูมิใจขอมาและสิ่งที่เขาขอมันยังน้อยกว่าสิ่งที่เขาเคยทำให้ผมตอนเขาอยู่ที่นี่ซะอีก



ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจของพี่ภูมิใจเข้าก็แล้วกัน...



(ขอบใจมึงมาก)



“ไม่เป็นไรพี่”



(อืม กูมีเรื่องจะรบกวนมึงแค่นี้ ถ้ามีอะไรก็โทรมาหากูได้ตลอด)



“ครับพี่ภูมิใจ”



วางสายจากพี่ภูมิใจไปก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟาพร้อมกับเอามือก่ายหน้าผากของตัวเองไว้ เคยคิดว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับไอ้เด็กเจ้าจอมนั้นแม้มันจะเป็นน้องติวผมก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับมัน แล้วดูตอนนี้สิผมต้องมาคอยดูมันให้พี่ภูมิใจอีก ไม่เข้าใจจริงๆเลยว่าพี่ภูมิใจจะห่วงอะไรมันนักหนาโตจนหมาเลียตูดไม่ถึงขนาดนั้นแล้ว



“เฮ้อ...”



แต่ก็ช่างเถอะ ไอ้เด็กนั่นมันก็ดูไม่ได้เลวร้ายอะไรเท่าไหร่ ถ้าได้ทำความรู้จักกันมากกว่าที่เป็นอยู่ผมอาจจะซี้กับมันเหมือนซี้กับพี่ภูมิใจก็ได้ล่ะมั้ง





เสียงอาจารย์ในห้องไม่ได้ทำให้ผมสนใจมากไปกว่าตารางหนังที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือของตัวเองสักเท่าไหร่ วันนี้มีนัดไปดูหนังกับน้องอิงค์สาวอักษรที่คุยกันมาเดือนกว่าๆ เรียกได้ว่าคุยนานที่สุดแล้วก็ได้



ผมรู้จักน้องอิงค์ตอนที่ไปวันเกิดของรุ่นน้อง เราเจอกันที่นั่นและทำความรู้จักกันตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ก็เดือนกว่าแล้ว น้องเขาก็เป็นคนน่ารักดีครับ ไม่โวยวายหรือวีนเหมือนคนอื่นๆที่ผมเคยคุยด้วย จะเป็นคนนิ่งๆหน่อย เข้าใจและไม่จู้จี้จุกจิกผมเลยสักนิดเดียว เป็นคนที่พูดตรงมากๆจนบางทีผมก็ตกใจแต่เอาจริงๆก็ชอบนะครับ น้องดูไม่ได้แสแสร้งหรือแกล้งทำอะไรดี



“ทำอะไรวะไอ้ยีนส์” ไอ้เตอร์ยื่นหน้าของมันเข้ามาดูโทรศัพท์ของผมที่กำลังจะกดเลือกรอบหนัง



“ซักผ้ามั้ง” ผมตอบมันกวนๆ กดจองที่นั่งและชำระเงินเรียบร้อยก็กดออกและล็อคหน้าจอโทรศัพท์



“ห่า! กวนตีนนะมึง”



“มึงก็เห็นๆอยู่ยังจะมาถามกูอีก”



“เออสัด กูขอโทษ” มันทำท่ายกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวเพื่อขอโทษผมอย่างประชดประชัน



ผมปัดมือพยักหน้าเข้าใจ “ไม่เป็นไรกูไม่ถือ”



“ห่า! กูประชดมั้ยล่ะ”



“อ้าวหรอ โทษทีวะพอดีกูเป็นคนซื่อๆเลยไม่รู้”



“ตอแหลที่หนึ่ง”



“ขอบคุณคร้าบบ” ผมยิ้มขำ เอ่ยขอบคุณคำชมของมัน



เอาเป๋ายื่นหน้ามาอีกคนแล้วมองผมกับไอ้เตอร์สลับกัน “พวกมึงสองตัวทะเลาะอะไรกันวะ ไม่เกรงใจอาจารย์ที่สอนอยู่เลยห่า”



“อ่ะ...โทษที”



“เออว่าแต่เมื่อกี้มึงทำอะไรยุกยิกๆกับโทรศัพท์วะ”



“ใส่ใจเก่งจริงๆพวกมึง”



ไอ้เพื่อนสองตัวมันยิ้มรับคำพูดของผม ผมก็ได้แต่ถอนหายใจใส่ไอ้สองตัวที่ทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรว่าสิ่งที่ผมพูดไปคือกำลังด่ามันว่าเสือกอยู่ หรือมันอาจจะรู้แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เพื่อกวนตีนผม



“ก็เพื่อนทั้งคนนี่หว่า ไม่ให้ใส่ใจเพื่อนแล้วจะไปใส่ใจหมาที่ไหนล่ะวะ เนอะไอ้เตอร์” มันหันไปพยักพเยิดกับไอ้เตอร์



ไอ้เตอร์มันก็พยักหน้ารับทำหน้าเห็นด้วยอย่างออกหน้าออกตา เห็นแล้วก็อยากเอานิ้วไปจิ้มเบ้าตามันสองตัวจริงๆเลย



“ใช่ กูเห็นด้วยที่สุด”



“ถ้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องกูก็คือจะนอนไม่หลับกันว่างั้น?”



“ใช่ครับเพื่อน ดังนั้นมึงควรรีบๆบอกให้พวกกูรู้สักที” ไอ้เป๋ามันตอบหน้าซื่อส่วนไอ้เตอร์ก็เป็นลูกคู่ทำเพียงพยักหน้ารับ



“เออๆ กูนัดดูหนังกับน้องอิงค์ไว้ พอใจยัง?” ผมตอบๆมันไปเพื่อตัดรำคาญพวกมันจะได้เลิกเซ้าซี้ผมแล้วหันกลับไปเรียนกันสักที นั่งคุยกันแบบนี้ก็เกรงว่าอาจารย์จะหยิบอะไรใกล้ๆมือมาปาใส่พวกผมจริงๆ



“อิงค์?” มันสองตัวหันหน้าไปมองกัน เหมือนจะกำลังปรึกษาและถามกันทางสายตาว่าอิงค์ที่ผมพูดถึงหมายถึงใครและมีความสัมพันธ์แบบไหนกับผมอยู่



“อิงค์เด็กอักษรหรอวะ” ไอ้เตอร์มันหันมาถาม มีไอ้เป๋าทำหน้าอยากรู้อยากเห็นข้างๆกัน



“เออ” ผมตอบมันไป



“เหยดดดด...คนนี้จริงจังหรอวะ คุยกันโคตรนาน” ไอ้เป๋ามันทำหน้าตาเหลือเชื่อใส่ผม



ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรที่ผมจะเริ่มคิดที่จะจริงจังกับใครสักคนนี่หว่า ไอ้พวกห่านี่ก็ทำเป็นเว่อร์ไปได้อย่างกับผมเจ้าชู้ประตูดินขนาดนั้นเลย ไม่อยากจะบอกว่าผมนี่เป็นคนที่ดีที่สุดในกลุ่มแล้วครับ พูดจริงๆถ้าไม่นับไอ้คินมันตอนนี้น่ะนะ รายนั้นตั้งแต่มีแฟนก็อยู่ในศีลในธรรมสุดๆ



“ก็คงงั้น” ผมยักไหล่ใส่พวกมัน ตอบคำถามไปแบบสบายๆไม่ต้องคิดนานหรือลังเลอะไรเลย



“นี่เพื่อนกูเตรียมจะสละโสดอีกคนแล้วหรอวะเนี่ย เชี่ยๆ แล้วต่อจากนี้ไปใครจะไปคอยเหล่สาวกับกูล่ะวะ” ผมผลักหน้าผากไอ้เป๋าจนมันหน้าหงาย พูดจงพูดจาเว่อร์ตลอดเลยไอ้ห่านี่



“สัด กูแค่คิดแต่อนาคตมันก็ไม่แน่หรอก”



ใช่...อนาคตมันก็ไม่แน่นอนหรอกว่าผมจะคบกับน้องเขาจริงๆหรือบางทีอาจจะเลิกคุยกันไปแล้วก็ได้ มันไม่แน่นอนหรอก



“เออพวกกูจะคอยดู” ไอ้เตอร์มันว่า



ผมยักไหล่เลิกสนใจไอ้สองตัวที่ไม่รู้นั่งซุบซิบอะไรกันต่อหลังจากที่คุยกันเสร็จ ถ้าให้ผมเดาคงจะเป็นเรื่องของผมนี่แหละมั้งครับ แต่ก็ช่างมันเถอะเป็นเรื่องปกติของไอ้เป๋ากับไอ้เตอร์มันล่ะเรื่องใส่ใจคนอื่นเก่งเนี่ยหรือจะเรียกว่าความสามารถพิเศษของมันก็คงไม่ผิดหรอก



หลายๆคนคงไม่เคยเห็นพวกเรามุมนี้กันสักเท่าไหร่ แต่มันก็แน่ล่ะครับเพราะพออยู่ข้างนอกก็ต้องคีพลุคคูลๆให้สาวกรี๊ดสักหน่อยให้สมกับเป็นแก๊งหล่อที่ใครต่อใครขนานนามให้พวกเรา



แต่ก็ยอมรับแหละครับว่าตัวเองหล่อจริงๆ จะปฏิเสธก็ยากเหมือนกันก็เลยต้องยอมรับความจริงให้จบๆไปว่าตัวเองหล่อ






พอเลิกเรียนผมก็โบกมือลาไอ้เพื่อนทั้งหลายที่ไม่ค่อยจะสนใจผมสักเท่าไหร่ก็เลยต้องเรียกร้องความสนใจอยู่นานให้พวกมันโบกมือลาผมกลับ นั่นล่ะครับผมถึงได้แยกย้ายกับพวกมันแล้วขับรถมารับน้องอิงค์ที่ตึกเรียนรวม



ผมจอดรถไว้ฝั่งตรงข้ามของตึกก็เดินข้ามถนนเพื่อมานั่งรอน้องที่ใต้อาคารเรียน มีโต๊ะว่างให้นั่งเยอะแยะคงเพราะตอนนี้ไม่มีคน เห็นบ้างสองสามโต๊ะแต่ก็เห็นนั่งฟุบหลับกันหมด ผมเลยเลือกเดินนั่งห่างๆโต๊ะพวกนั้นหน่อยเวลาเสียงดังจะได้ไม่รบกวนพวกมัน ถ้าตื่นมาแล้วเกิดมากระทืบผมเพราะผมเสียงดังปลุกมันตื่นนี่บ้าฉิบหายเลยนะครับ ไม่เอาด้วยหรอก



หยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความบอกน้องว่าผมมาถึงแล้วและกำลังรออยู่ข้างล่าง น้องก็อ่านแล้วตอบทันทีว่าอาจารย์ยังไม่ปล่อยให้ผมรอก่อน ผมก้ตอบโอเคไปให้น้องจากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ลงแล้วนั่งมองสิ่งแวดล้อมภายนอกแทน



ตึกเรียนรวมนี่ตอนปีหนึ่งผมาเรียนบ่อยมากเลยนะเพราะตอนนั้นต้องเรียนวิชาทั่วไปกับวิชาเสรีที่ต้องมาเรียนเฉพาะตึกนี้ ตอนนั้นวิชาหลักได้เรียนแค่ไม่กี่ตัว บางครั้งอาจารย์ก็งดคลาสบ่อยๆเลยทำให้พวกผมได้มาเรียนที่นี่มากกว่าเรียนที่ตึกคณะตัวเอง



พอขึ้นปีสองก็เริ่มห่างหายจากตึกเรียนรวม มีมาเรียนบ้างแต่ก็ไม่บ่อยเท่าปีหนึ่งแล้วยิ่งขึ้นปีสามเหมือนตอนนี้คือผมแทบจะไม่ได้เข้ามาเฉียดเลยถ้าหากว่าไม่ได้มาคอยรับคอยส่งน้องอิงค์เขา



นึกๆแล้วก็คิดถึงช่วงสมัยปีหนึ่งเหมือนกันนะ เป็นช่วงที่กำลังเริ่มปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ เข้ากับเพื่อนใหม่และยังต้องทำกิจกรรมอะไรเยอะแยะมากมายที่ไม่เคยได้ทำในตอนมัธยมอีก



คือตอนนั้นก็เข้าบ้างไม่เข้าบ้างแล้วแต่อารมณ์ ทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นแบบนั้นนั่นแหละ คือคนไม่ชอบทำกิจกรรมจะมาให้ทำกิจกรรมมันก็ไม่ใช่อะครับ ผมก็เลยไม่ค่อยได้เข้าร่วมอะไรแบบนั้นสักเท่าไหร่ อืม...คงไม่ใช่แค่ผมหรอก ทั้งกลุ่มผมนี่แหละตัวดีเลย มีกิจกรรมเมื่อไหร่ก็พากันโดดแทบจะทุกที



และถึงแม้กลุ่มผมจะหน้าตาดีกันสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่มีใครเลยสักคนที่จะสนใจไปประกวดเดือนคณะ คณะก็ดีครับไม่ได้บังคับอะไร เขาก็เลือกคนที่สมัครใจไป ได้ไม่ได้ตำแหน่งก็ค่อยว่ากันอีกที ผมว่ายังไงกองประกวดเขาก็ต้องดูแลเรื่องอะไรพวกนี้อยู่แล้วและปีนั้นก็ผิดคาดจริงๆที่ไอ้เดือนนิตินั่นมันได้รองเดือนมหา’ลัยมา ก็ดีใจกับมันด้วยล่ะครับ



“สวัสดีครับพี่ยีนส์”



ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงก็เจอเข้ากับไอ้เด็กเจ้าจอมที่ยืนส่งยิ้มมาให้ผมฝั่งตรงข้าม ตอนแรกกะว่าจะไล่มันไปแล้วแต่พอนึกถึงคำพูดพี่ภูมิใจก็ต้องพยักหน้าแกนๆรับคำสวัสดีมัน



“เออๆ”



“ผมขอนั่งด้วยได้มั้ยครับ?” มันถามแบบนั้นแต่มันก็เอาตัวมันนั่งลงตรงข้ามผมเรียบร้อยแล้ว ดูมันครับไอ้ห่าเจ้าจอมนี่กวนตีนฉิบหาย



“ถ้ามึงจะนั่งแล้วค่อยมาถามกูทีหลังก็ไม่ต้องถาม”



“ขอโทษครับพี่”



“เออกูก็ไม่ได้ว่าอะไร”



จากนั้นเราก็เงียบไปเหมือนไม่เรื่องจะคุยกัน ไอ้เด็กนั่นก็เอาแต่นั่งยิ้มแล้วหันไปมองรอบๆส่วนผมก็ได้แต่นั่งทำหน้าเซ็งๆรอน้องอิงค์อย่างคนไม่มีอะไรทำ ขนาดมีไอ้เด็กเจ้าจอมมันนั่งฝั่งตรงข้ามยังไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับมันเลยครับ



“พี่มานั่งรอใครเหรอครับ?” ไอ้เด็กนั่นมันถามตอนที่ผมกำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา



“มึงรู้ได้ยังไงว่ากูมานั่งรอใคร บางทีกูอาจจะมานั่งเล่นแถวนี้ก็ได้”



“หรอครับ? ผมก็แค่เดาว่าพี่มานั่งรอคน ไม่คิดว่าจะมานั่งเล่นที่นี่เฉยๆ” ผมพูดไปยิ้มไปตามปกติของมัน



อยากจะถามไอ้เด็กนี่จริงๆว่ามันเมื่อยปากบ้างหรือเปล่าทำไมถึงยิ้มได้มันได้ทั้งวี่ทั้งวันขนาดนั้นวะ ขนาดผมที่ต้องยิ้มให้สาวๆบางทีก็ยังเมื่อยเลย



“ทำไม ถ้ากูจะมานั่งเฉยก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรไม่ใช่เหรอ?”



“ก็คงไม่แปลกหรอกมั้งครับ”



“เออ แล้วมึงล่ะ ไม่มีเรียนแล้ว?” ผมถามมันกลับบ้าง



“ไม่มีครับ ผมมานั่งรอเพื่อน”



“อืม” ผมพยักหน้าเข้าใจ ไม่รู้จะชวนมันคุยอะไรต่อก็เลยเงียบแทน



“เมื่อคืนพี่ภูมิใจบอกว่าโทรหาพี่”



“ก็ตามนั้น”



“อ่า...ครับ” มันตอบรับพร้อมกับพยักหน้าขึ้นลง เหมือนอยากจะชวนพูดแต่มันก็ไม่มีเรื่องจะพูดอะไรประมาณนั้น ดูแล้วก็ตลกมันดีครับ



“แล้วมึงเป็นไงบ้าง?” ผมก็เลยตัดสินใจถามมันแทน



“พี่หมายถึง?” มันเอียงคอมองทำท่าทางงงกับคำถามของผมไม่น้อยเลย



“ก็เรื่องเพื่อนเรื่องเรียนอะไรแบบนี้ โอเคหรือเปล่า?”



มันนั่งนึกสักพักก็คลี่ยิ้มออกมา ตามันเป็นประกายและปากมันก็มีรอยยิ้มน่ามองจนทำให้ผมเผลอมองมันยิ้มอยู่นาน กระทั่งมันพูดขึ้นผมถึงได้รู้ตัวแล้วกระแอมไอนิดหน่อยที่จู่ๆก็เผลอเคลิ้มไปกับรอยยิ้มของมัน



“ก็ดีครับ ไม่มีปัญหาอะไร”



“อืม...ดีแล้ว”



มันยกแขนทั้งสองขึ้นมาตั้งไว้บนโต๊ะจากนั้นก็เท้าคางมองผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและดวงตาเป็นประกาย



“ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง”



ทำไมบรรยากาศมันเหมือนคนกำลังจีบกันเลยวะ



“อะ...เออ กูจะได้ไปบอกพี่ภูมิใจได้ว่าไม่ต้องเป็นห่วงมึงมาก” ก็ที่ถามไปแบบนั้นจริงๆก็ถามให้พี่ภูมิใจเขานั่นแหละ ก็เห็นพี่มันเป็นห่วงน้องขนาดนั้น



“อิงค์!”



ไอ้เด็กเจ้าจอมมันส่งเสียงเรียกชื่อที่ผมคุ้นเคยจากนั้นก็ลุกขึ้นไปหาน้องอิงค์ที่ผมนั่งรอมานานสองนานด้วยรอยยิ้ม



ไม่รู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันแต่ก็ดูจะคุยกันอย่างออกรสออกชาติและสนุกสนานอยู่ไม่น้อยเลยถึงได้พากันหัวเราะเสียงดังไม่เกรงใจผู้คนแถวนี้



จนกระทั่งสองคนนั้นเดินกลับมาที่โต๊ะที่ผมนั่งอยู่นั่นแหละจึงหยุดหัวเระกันแล้วหันมาสนใจผมที่กำลังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้สักที



“พี่ยีนส์สวัสดีค่ะ” น้องอิงค์ยกมือไหว้ผมที่ยิ้มรับไหว้ด้วยความเต็มใจ



“เราจะไปกันเลยมั้ย?” ผมถามน้อง



“ขออีกแป๊บนึงนะคะอิงค์ขอคุยกับเพื่อนหน่อย” เธอหันไปหาไอ้เด็กเจ้าจอม “อ่า...อิงค์ลืมแนะนำให้พี่ยีนส์รู้จักเลยค่ะ นี่....”



“ไม่ต้องหรอก พี่รู้จักแล้ว” ผมพูดขัดน้องอิงค์ขึ้นก่อน



อิงค์เลยมองหน้าผมจากนั้นก็หันไปมองหน้าเจ้าจอมมันต่อเพื่อต้องการคำยืนยัน



“อือ...เรากับพี่เขารู้จักกันแล้ว”



“อ๋อ...งั้นอิงค์ขอตัวคุยกับเจ้าจอมหน่อยนะคะพี่ยีนส์”



ผมมองทั้งสองคนสลับกันแม้จะงงนิดหน่อยที่เห็นไอ้เด็กเจ้าจอมกับอิงค์เป็นเพื่อนกันแต่ผมกพยักหน้ายอมให้อิงค์ไปคุยกับมัน



“ครับ พี่รออยู่นี่แหละ”



“งั้นเดี๋ยวอิงค์มานะคะ”



มองสองคนนั้นเดินออกไปคุยกันผมก็เลยต้องล้มตัวลงนั่งที่เดิมต่อ เด็กสองคนนั่นคงคุยกันไม่นานหรอกมั้งเดี๋ยวก็คงจะคุยกันเสร็จ



 แต่ผมก็สงสัยอยู่อย่างว่าทำไมไอ้เด็กเจ้าจอมที่อยู่ปีหนึ่งถึงได้มารู้จักอิงค์รุ่นพี่ที่อยู่ปีสองได้ มันน่าแปลกใจจริงๆแต่ก็คงไม่มีอะไรหรอก ถ้าให้เดาจากนิสัยไอ้เจ้าจอมมันก็คงรู้จักคนไปทั่วนั่นแหละ



จะว่าไม่นานก็ไม่ใช่จะว่านานก็ไม่ใช่อีกแต่ก็นั่นแหละหลัวงจากที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยคนเดียวอิงค์ก็เดินกลับมาหาผมที่นั่งรออยู่โดยปราศจากไอ้เด็กเจ้าจอม สงสัยมันจะกลับไปแล้วมั้งครับ



“อิงค์ขอโทษนะคะที่ทำให้พี่รอนานเลย” เธอว่าอย่างรู้สึกผิด



ผมก็พยักหน้าเข้าใจ “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ไปกันเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันดูหนัง”



ผมกับอิงค์พากันขึ้นรถเพื่อจะไปยังห้างสรรพสินค้าที่ได้จองตั๋วหนังไว้เรียบร้อยแต่ระหว่างขับรถสิ่งที่ค้างคาใจผมมันก็ไม่หายไปสักที ผมก็เลยตัดสินใจเลียบๆเคียงถามอิงค์เผื่อจะทำให้ผมคลายสงสัยได้บ้าง



“เอ่อ...พี่ถามอะไรนิดหน่อยได้มั้ยครับ?”



อิงค์หันมายิ้มให้ “ได้ค่ะ พี่ยีนส์มีอะไรหรือเปล่าคะ?”



“คือพี่สงสัยว่าอิงค์กับเจ้าจอมรู้จักกันได้ยังไง อ่า...คือไม่ใช่ว่าพี่คิดว่าอิงค์กับมันมีอะไรกันนะครับคือพี่แค่แปลกใจเฉยๆน่ะ”



“ฮ่าๆ อิงค์กับเจ้าจอมรู้จักกันมานานแล้วน่ะค่ะ พอดีเราเคยเรียนมัธยมที่เดียวกันค่ะ”



“อ๋ออย่างนี้นี่เอง” คือผมก็สงสัยอยู่ดีอ่ะเอาจริงๆแต่ก็ไม่อยากละลาบละล้วงอะไรให้น้องรำคาญผมเลยได้แต่นั่งเงียบ



ก็คิดว่าจะไม่มีใครพูดอะไรแล้วแต่หลังจากนั้นเสียงของอิงค์ก็ดังขึ้นทำให้ผมตั้งใจฟังสิ่งที่เธอกำลังจะพูด



“จริงๆแล้วเราสองคนเคยคบกันน่ะค่ะ” ผมเหลือบไปมองอิงค์น้อยๆก็เห็นเธอยังคงยิ้มอยู่



ถ้าเคยคบกันงั้นก็แสดงว่าตอนนี้ไอ้เด็กเจ้าจอมนั่นมันก็เป็นแฟนเก่าอิงค์สินะ...



อ่า...ช่วงนี้ทำไมถึงมีแต่เรื่องบังเอิญเกิดขึ้นกับผมบ่อยจริงๆเลยตั้งแต่ได้เจอกับไอ้เด็กเจ้าจอม



นี่ล่ะน้าาาา...ที่เขาบอกกันว่าความบังเอิญของโลกใบนี้มีอยู่จริงๆ






TBC...

เรากลับมาแล้วแต่มานิดนึงแต่ก็มานะ
#นิติผูกพัน
ฝากติดตามด้วยค่าา
ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter (https://twitter.com/fongdue98)






หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความบังเอิญของโลกใบนี้- 06/07/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-07-2018 18:12:24
จอมเป็นคนแบบไหนนะ ถึงทำให้พี่เป็นห่วงต้องฝากให้ยีนส์ดูแล  :hao4:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความบังเอิญของโลกใบนี้- 06/07/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-07-2018 23:06:03
น่าสงสัย......... :m16:
ทำไมต้องฝากน้องกับยีนส์
เจ้าจอมต้องมีอะไรที่น่ากังวลหรือ    :mew2: :really2: :hao3:

ยังสงสัยรอยแดงที่คอยีนส์ มันยังไง ที่มา มาได้ไง
หรือนี่คือเหตุที่พี่ภูมิใจฝากกับยีนส์
จอม ชอบไปทำรอยที่คอหนุ่มใช่หรือเปล่า   :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความบังเอิญของโลกใบนี้- 06/07/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 20-07-2018 14:35:27
ตอนที่4

รับหรือไม่รับ


วันนี้ผมต้องตื่นตั้งแต่เช้าเพราะมีเรียนแปดโมงครึ่ง วิชานี้สายไม่ได้เพราะอาจารย์ท่านนี้โหดเกินไปหากใครสายแม้แต่นาทีเดียวอาจารย์จะล็อคห้องและไม่ให้เข้าห้องเลย ฉะนั้นเมื่อถึงวันที่ต้องเรียนวิชาของอาจารย์คนนี้ผมก็ต้องตั้งนาฬิกาปลุกเสียงดังๆให้มันร้องปลุกผมตั้งแต่ตีห้า เอาสินี่ถ้าไม่ตื่นก็ได้หูแตกกันไปข้างอ่ะ



ดีที่เมื่อคืนผมนอนเร็วเพราะเพลียจากการไปเล่นบอลกับเพื่อนวันนี้ก็เลยตื่นตั้งแต่หกโมงแต่นาฬิกาก็ร้องปลุกผมตั้งสี่รอบแน่ะ นี่ไม่เขวี้ยงโทรศัพท์ตัวเองทิ้งก็บุญเท่าไหร่แล้ว



ผมลงมาหาอะไรกินที่ตลาดเช้าใกล้คอนโด ได้ข้าวต้มมาหนึ่งถุง ปาท่องโก๋สิบบาทและน้ำเต้าหู้ไม่หวานอีกหนึ่งถุง พอซื้อเสร็จก็เอากลับมากินที่ห้อง กะเวลาไว้แล้วว่าผมจะออกจากห้องตอนเจ็ดโมงครึ่งเผื่อรถติดต่างๆนาๆ



ตอนเดินกลับมาห้องตัวเองก็บังเอิญเห็นไอ้เด็กเจ้าจอมกำลังเดินออกมาจากห้องของมันด้วยชุดออกกำลังกายพอดี สงสัยมันคงจะไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสข้างล่างนี้ล่ะมั้ง ผมจะเดินผ่านและทำเป็นมองไม่เห็นมันแล้วแต่ไอ้เด็กบ้านั่นมันดันมาเห็นผมพอดีแล้วเรียกทักผมไว้ก่อน



“อรุณสวัสดิ์ครับพี่” มันโบกมือทักทายพร้อมกับยิ้มให้ผมตามฉบับของมัน เห็นหน้ามันแล้วก็เบื่อขี้หน้ามันฉิบหายทำไมผมต้องมาบังเอิญเจอมันทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกด้วยวะ



“เออ หวัดดี”



“ไปซื้ออะไรมาแต่เช้าครับ”



อยากจะตอบมันว่ามึงก็แหกตาดูสิไอ้ห่า ตาก็ไม่ได้บอดก็มองเอาเองไม่ต้องมาถามเพราะขี้เกียจตอบและขี้เกียจสนทนากับไอ้เด็กนี่ฉิบหาย



“ของกิน” ผมตอบสั้นๆทำท่าจะเดินหนีมันเข้าห้องแต่มันก็ยังจะถามผมต่ออีก เออถามให้จบเลยไอ้เด็กบ้า



“พี่มีเรียนเช้าเหรอครับ”



โว๊ะ! ใส่ชุดนักศึกษาตั้งแต่เช้าขนาดนี้นี่กูคงเรียนบ่ายมั้ง ช่วยใช้สมองมึงคิดด้วยไอ้เจ้าจอม



“อืม”



“ผมได้ยินมาว่าวันนี้เป็นวันเฉลยพี่ติว ไว้เจอกันนะครับ” มันโบกมือลาผมโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตอบหรือได้ตั้งตัวอะไร



ไอ้เด็กห่าไปไวมาไวยิ่งกว่าสัญญาณโทรศัพท์ผมซะอีก



แต่ว่าผมพึ่งรู้เมื่อกี้จากไอ้เจ้าจอมมันนั่นแหละว่าวันนี้เป็นวันเฉลยพี่ติว แล้วไอ้คำที่มันบอกว่าไว้เจอกันนี่มันหมายความว่ายังไง มันรู้แล้วเหรอว่าผมเป็นพี่ติวของมัน ผมว่าผมก็ไม่ได้แสดงพิรุธอะไรให้มันเห็นด้วยซ้ำนะแถมคำใบ้ที่ผมให้มันไปก็แสนจะยากขนาดนั้นมันคงไม่มีทางรู้หรอกเพราะดูมันก็ไม่ใส่ใจที่จะหาพี่ติวของมันเหมือนกัน



ช่างเถอะผมคงคิดมากไปเอง...






กว่าผมจะเดินทางฝ่าการจราจรที่ติดขัดมาถึงมหา’ลัยได้ก็เกือบแปดโมงสิบนาที ผมรีบวิ่งติดสปีดขึ้นอาคารเรียนไปอย่างรวดเร็วเพราะกลัวจะสายและไม่ทันเข้าเรียนของอาจารย์คนนี้



เอาจริงๆถ้าข้อสอบอาจารย์ไม่ยากและอาจารย์ไม่ออกตรงตามเนื้อหาที่สอนผมก็ไม่เข้าหรอกในเมื่อวิชานี้อาจารย์เขาก็ไม่ค่อยเช็คชื่อเท่าไหร่แต่จะซวยมหาประลัยก็ตอนสอบนี่แหละถ้าไม่เข้าเรียนคลาสอาจารย์ท่านนี้



“โอ้โห นี้มึงวิ่งมาจากคอนโดหรือยังไงถึงได้หอบแดกขนาดนี้” ไอ้เป๋ามันร้องทักตอนที่ผมเข้ามาในห้องเรียนแล้วหย่อนก้นลงนั่งข้างๆมัน



“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่แหละวะ” ผมบ่นให้มันฟัง หายใจหอบแฮ่กๆเสมือนหมาที่อยู่หน้าเซเว่นมหา’ลัยเวลามันเหนื่อยหรือมันร้อน



แต่เอ๊ะ! ผมจะเอาตัวเองไปเทียบกับหมาทำไมวะ งง...



“แล้วนี่อะไรมึงพกปาท่องโก๋มากินในห้องด้วยเหรอวะ ระวังอาจารย์เห็นแล้วจะไล่ออกจากห้องนะเว้ย” ไอ้เป๋ามันว่าแล้วชี้ไปที่ถุงปาท่องโก๋ที่ผมหยิบติดมือมาด้วยเพราะกินไม่ทัน



ก็เพราะไอ้เด็กเจ้าจอมมันนั่นแหละที่มัวแต่ถามนู่นถามนี่ผมจนผมกินของที่ซื้อมาไม่ทัน นี่กินข้าวต้มกับน้ำเต้าหู้หมดก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว



“กูกลัวมาเรียนสายนี่หว่า” ตอบพร้อมกับยัดปาท่องโก๋เข้าปากตัวเองแล้วเคี้ยวหงับๆ



เจ้านี้อร่อยที่สุดในย่านนั้นแล้ว ถ้าวันไหนผมตื่นเร็วผมก็จะลงไปซื้อปาท่องโก๋กับเจ้านี้ตลอดแต่บางครั้งเขาก็เปิดขายถึงตอนเย็นผมที่ชอบตื่นสายและตื่นไม่ทันเขาตอนเช้าก็ยังพอได้กินอยู่



“อ่าว นี่มึงไม่รู้หรอว่าอาจารย์จะเลทไปสอนเก้าโมงครึ่ง”



ผมหันขวับไปมองไอ้เป๋าก่อนจะอุทานทั้งที่ปาท่องโก๋ที่พึ่งเอาเข้าปากยังคงคาปากอยู่แบบนั้น



“ห้ะ!? มึงพูดใหม่ซิ” ผมถามมันอีกรอบเพราะอาจจะหูแว่วหรือหูเพี้ยนไปเองที่ได้ยินอย่างนั้น



“ก็อาจารย์ขอเลทไปสอนตอนเก้าโมงครึ่งเห็นว่าติดธุระอะไรสักอย่างนี่แหละ”



ถึงว่าล่ะทำไมตอนนี้ผมไม่เห็นเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มเลยนอกจากไอ้เป๋า ซึ่งไอ้เป๋าเพื่อนผมเนี่ยเป็นขาประจำที่มาเรียนเช้า มาเรียนก่อนเวลาและมานั่งหน้าสลอนก่อนอาจารย์เขาสอน



แล้วเมื่อกี้ตอนเข้ามาทำไมผมถึงไม่ได้เอะใจอะไรเลยวะ สงสัยตอนนั้นคงรีบเลยไม่ทันได้สังเกตว่าเพื่อนในคณะนั่งอยู่ในห้องนี้ไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ ไอ้กะละมังถังหม้อเอ๊ย!!



“ทำไมมึงรู้แล้วทำไมกูไม่รู้”



“มึงถามตัวเองก่อนว่าเคยเปิดแจ้งเตือนแชทกลุ่มหรือเปล่า?” มันย้อนถามผมกลับซึ่งเป็นคำถามที่ผมไม่สามารถพูดอะไรกับมันได้อีก



อืม...ผมผิดก็ได้ที่ชอบปิดแจ้งเตือนแชทกลุ่มของคณะ ถือว่าเป็นบทเรียนก็แล้วกัน ถามว่าต่อไปจะเปิดแจ้งเตือนแชทกลุ่มมั้ย ก็ไม่แหละครับเพราะเวลาพวกคนในคณะคุยกันแจ้งเตือนแม่งรัวจนเครื่องค้างเลย ถึงแม้อาจจะพลาดเวลาอาจารย์แจ้งงดคลาสหรือแจ้งสอนเลทไปบ้างผมก็คิดว่าตัวเองไม่เป็นไรหรอก วันหลังก็ค่อยโทรถามเพื่อนมันเอาก็ได้ผมไม่ซีเรียส



“เออช่างแม่ง คิดว่าเผื่อเวลากินปาท่องโก๋ก็แล้วกัน” ผมตอบไอ้เป๋ามันไปแล้วหันมาสนใจกินปาท่องโก๋ของตัวเองต่อไม่ได้ชวนไอ้เป๋ามันคุยอะไรอีกเพราะมันกำลังเล่นเกมอยู่



พอคิดแบบนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย






หลังจากเรียนวิชามหาโหดกันเสร็จพวกผมกลุ่มหล่อก็มาหาอะไรกินที่โรงอาหารของคณะ เที่ยงๆแบบนี้คนก็เยอะปกติและเป็นที่ชินหูชินตากับสภาพแวดล้อมแบบนี้แล้ว



วันนี้ไอ้หมอกไม่มาเรียนเห็นว่าไม่สบายแต่มันไม่เป็นไรหรอกครับเรื่องเรียนในเมื่อไอ้ห่าหมอกนั่นฉลาดโดยที่ไม่ต้องเข้าฟังทุกคาบก็ยังได้ ไอ้หมอกมันหัวดีแถมขยันอีกทั้งยังมีพ่อเป็นถึงอัยการ อาจารย์หลายๆท่านจึงชื่นชมมันและมักจะเรียกมันทุกครั้งเมื่อมีกิจกรรมเกี่ยวกับพวกกฎหมาย



“คนเยอะไปหรือโต๊ะมันน้อยไปวะ?” ไอ้เตอร์ถามขึ้นตอนที่พวกเราหยุดยืนหาโต๊ะในโรงอาหาร



“นั่นดิแต่ก็ยังดีที่มีโต๊ะเหลือให้พวกเรานั่ง” ผมว่าแล้วชี้ไปที่โต๊ะว่างเพียงหนึ่งเดียว



ตอนนี้คงชักช้าและทำเพียงยืนมองไม่ได้ พวกผมเลยต้องรีบเดินเร็วๆไปจองโต๊ะแต่ก็ไม่ทันเมื่อมีใครบางคนมันมาตัดหน้าโต๊ะที่พวกผมหมายตาไว้ก่อน



โธ่เว้ย! อีกแค่ปลายนิ้วก้อยก็จะถึงโต๊ะแล้วเชียว



“อ้าวพี่ๆ สวัสดีครับ” ยังมีหน้ามาไหว้พวกผมอีก ดูพวกมันครับแต่พวกผมก็รับไหว้มันด้วยการพยักหน้าตอบรับไป



ผมมองหน้าไอ้เด็กเจ้าจอมที่ส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตรและมีเพื่อนมันอีกสองคนนั่งหน้าสลอนมองพวกผมที่ยืนค้ำหัวพวกมันอยู่



“ไม่มีโต๊ะแล้วว่ะ” ไอ้เป๋าว่าขึ้นอย่างเสียดายและทำหน้าสิ้นหวังสุดๆ



“ไปกินข้างนอกกันดีป่ะพวกมึง” ไอ้เตอร์มันถามและมองพวกผมเพื่อขอคำตอบ



“ไม่ทันหรอก อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เรียนแล้ว” ไอ้คินมันว่าอีกทำให้พวกผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย



จริงๆทุกครั้งก่อนเรียนวิชาถัดไปในวันนี้ก็เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงแหละถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ปล่อยเลทเนื่องจากอาจารย์บอกว่าเพื่อชดเชยให้เวลาที่อาจารย์มาสายและกลัวสอนเนื้อหาไม่ทัน พวกเราชาวคณะก็เลยต้องเลิกช้ากันไปเกือบสามสิบนาที



“เอ่อ...ถ้าพี่ไม่ถือก็นั่งกับพวกผมได้นะครับ” เสียงไอ้เจ้าจอมมันเสนอขึ้นทำเอาพวกผมหันไปมองและคิดว่าข้อเสนอที่มันบอกก็น่าสนใจดีเหมือนกัน



“เอาไง?” ไอ้ไฟถามด้วยหน้าง่วงๆ



“เออตามน้องมันว่าแหละ พวกพี่ขอนั่งด้วยแล้วกัน ขอบใจมาก” ไอ้เตอร์มันบอก พวกเราก็เลยเออออไปกับมันเพราะหากช้ากว่านี้ก็คงจะเข้าเรียนสาย



“ยินดีครับพี่” เจ้าจอมมันว่าแล้วยิ้มให้พร้อมกับที่มันย้ายที่ไปนั่งกับเพื่อนตัวเองอีกฝั่งและเว้นที่ไว้อีกฝั่งเพื่อให้พวกผมนั่ง



ทั้งกลุ่มผมและกลุ่มไอ้เจ้าจอมแยกย้ายกันไปซื้อข้าวโดยมีไอ้เป๋าเป็นคนเฝ้าโต๊ะไว้ให้และผมจะซื้อข้าวไปให้มันแทน



ผมแยกเดินมาซื้อข้าวมันไก่ร้านที่คนน้อยที่สุดเพราะขี้เกียจรอและหิวจนกระเพาะร้องดังแข่งกับเสียงคนได้เลยมั้ง ระหว่างรอก็ก้มนับเศษเหรียญที่ไอ้เป๋ามันเอาให้มาซื้อข้าว อยากจะด่ามันเหมือนกันที่ไม่ยอมชักแบงค์ยี่สิบในกระเป๋าออกมาให้ผมแต่ก็ช่างเถอะกับคนอย่างมันด่าไปก็เสียเปล่าอีกอย่างคุณป้าร้านขายข้าวก็คงต้องการเหรียญเหมือนกัน



“โอ๊ะ!”



ผมทำเหรียญสองบาทที่ทั้งเล็กทั้งบางหล่นลงพื้น มองมันกลิ้งหลุนๆแล้วไปหยุดอยู่ที่ปลายเท้าของใครคนหนึ่ง ผมกำลังจะก้มลงเก็บแต่ไม่ทันใครคนนั้นที่ก้มลงมาแล้วหยิบเหรียญสองบาทนั่นแต่หัวเราสองคนดันชนกันดังโป๊กจนร้องโอดโอยออกมาทั้งคู่



“ขอโทษครับๆ” เสียงอันคุ้นเคยทำให้ผมที่กำลังลูบหัวตัวเองเงยหน้ามองแล้วก็พบว่าเป็นไอ้เจ้าจอมที่กำลังขอโทษขอโพยผมอยู่



มึงอีกแล้วเหรอ!?



ผมมองมันอย่างเซ็งๆไม่ว่าจะไปที่ไหนหรืออยู่ในเหตุการณ์ไหนไอ้เด็กนี่ก็มักจะโผล่มาถูกที่ถูกเวลาเสมอเลย นี่โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับผมหรือเปล่าวะ ทำไมต้องให้ผมกับมันมาเจอกันบ่อยๆด้วย



“เออ ขอเงินคืนด้วย” ผมแบมือเพื่อขอเงินสองบาทที่หล่นลงพื้นเมื่อกี้คืน



“ครับ” มันยื่นมาวางไว้บนมือผมและยิ้มให้ผมเหมือนอย่างเคย



อยากจะขอซื้อหน้ายิ้มของมันไปทิ้งเหลือเกิน....



“ขอบใจ”



“ไม่เป็นไรครับ”



จากนั้นเจ้าจอมมันก็เดินแยกไปทางอื่นส่วนผมก็เข้าต่อคิวร้านข้าวมันไก่เหมือนเดิม เหลือคิวอีกสองคนผมกับไอ้เป๋าก็จะได้กินข้าวกันแล้ว






ตอนเลิกเรียนก่อนออกจากห้องประธานปีสามก็ย้ำกับพวกผมว่าให้ไปเจอกันที่ลานกิจกรรมเพราะวันนี้เป็นวันเฉลยพี่ติว ไอ้ผมก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่แต่ให้ทำไงอีกใจก็อยากไปเห็นหน้างงๆของไอ้เจ้าจอมเหมือนกันที่ตอนนี้มันก็คงยังแกะคำใบ้ของผมไม่ออกและมันคงไม่รู้ว่าผมเป็นพี่ติวของมัน



ครั้งนี้ผมต้องไปคนเดียวเพราะไอ้พวกเพื่อนๆสุดแสนที่จะรักผมทั้งหลายมันได้หนีผมไปไม่กี่วินาทีก่อนหน้าเห็นแล้วก็รู้เลยว่าพวกมันรักผมมากจริงๆ



ซึ้งใจว่ะ...ถุย!



พวกปีสามรวมไปถึงผมยกโขยงกันมาที่ลานกิจกรรมซึ่งตอนนี้มีเด็กปีหนึ่งนั่งหน้าสลอนกันอยู่ ส่วนปีสองก็ชวนน้องพูดคุยแก้เบื่อระหว่างรอพวกปีสามมา



“อ่า...พี่ปีสามมาแล้วครับ น้องๆสวัสดีพี่เขาหน่อย” ไอ้เก๋าประธานกิจกรรมประกาศใส่โทรโข่งที่มันคงเตรียมมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ



พวกเด็กปีหนึ่งและปีสองที่อยู่บริเวณนั้นก็หันมาสวัสดีตามที่ไอ้เก๋าบอกอย่างพร้อมเพรียงกันจากนั้นไอ้เก๋ามันจึงเริ่มพูดเข้าเรื่องที่นัดมาในวันนี้สักที



“มีใครรู้มั้ยครับว่าวันนี้ทำไมพวกพี่ถึงนั้นพวกเรามาที่ลานกิจกรรมแห่งนี้” ไอ้เก๋ามันถามพร้อมกับยกมือขึ้นเพื่อเป็นการแสดงว่าถ้าใครอยากตอบก็ยกมือขึ้นตอบพี่ได้เลย



เอาจริงๆถ้าเป็นผมผมก็คงจะบอกมันว่าถ้ามึงรู้มึงก็รีบๆพูดมา เสียเวลาฉิบหาย



“พี่นัดมาเฉลยพี่ติวค่า” น้องผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งข้างหน้าตอบเสียงดังฟังชัดด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว



ไอ้เก๋าก็พยักหน้าให้น้องแล้วส่งยิ้มให้ “ใช่ครับ วันนี้พวกพี่จะมาเฉลยพี่ติวของน้องๆกัน เดี๋ยวพี่จะมอบหน้าที่นี้ให้พี่สาลี่เป็นคนบอกน้องๆนะครับ”



สาลี่สาวลูกครึ่งเดินมาแทนที่ไอ้เก๋าพร้อมกับรับโทรโข่งไปถือไว้กับตัวเองก่อนจะเริ่มทักทายน้องด้วยความสดใสร่าเริงตามประสาพี่สันฯ



“สวัสดีค่าน้องๆที่น่ารักของพี่ วันนี้ก็รู้กันแล้วใช่มั้ยเอ่ยว่าพวกพี่นัดน้องๆมาทำอะไรกัน ก่อนอื่นเลยทุกคนเอาคำใบ้ที่พี่ให้เมื่ออาทิตย์ก่อนมากันครบใช่มั้ยจ๊ะหรือมีใครลืมเอามามั้ยเอ่ย...?”



“ครบค่า/ครบครับ”



“ดีมากจ้า ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาพี่จะเริ่มให้น้องๆไปหาพี่ติวของตัวเองแล้วยืนคู่กับพี่ไว้น้า ทุกคนเข้าใจมั้ยค้า”



“เข้าใจค่า/ครับ” เด็กปีหนึ่งตอบอย่างเสียงดังฟังชัด



“ถ้าเข้าใจแล้วก็ลุกไปหาพี่ติวของตัวเองแล้วอย่าลืมยื่นคำใบ้ให้พี่ติวดูด้วยนะจ๊ะ ส่วนใครที่ยังหาพี่ติวไม่ได้พวกพี่ก็จะมีรางวัลเล็กๆน้อยๆให้กับน้องน้า สู้ๆจ้าพี่ให้เวลาสิบนาทีนะคะ”



หลังจากนั้นเด็กปีหนึ่งมันก็พากันลุกขึ้นแตกฮือเดินหาพี่ติวของตัวเองไปทั่วลานกิจกรรม ตั้งแต่ผมมาผมยังไม่เห็นไอ้เด็กเจ้าจอมนั่นเลยคงเพราะไม่ได้สังเกตอีกอย่างผมก็ยืนอยู่ข้างหลังแถวเด็กปีหนึ่งมันก็เลยไม่สามารถมองเห็นหน้าและหามันเจอได้



เอาเถอะถึงมันจะมาแต่มันคงไม่รู้ว่าผมเป็นพี่ติวของมันแน่นอนเชื่อผมสิ!



ผมยืนกอดอกกระดิกนิ้วเท้าเล่นอย่างเพลิดเพลินและสบายอารมณ์เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไอ้เด็กนั่นมันคงจะหาผมไม่เจอและมันอาจจะได้รางวัลเล็กๆน้อยๆที่ผมเตรียมไว้แล้วฝากเด็กปีสองไปมอบให้แค่คิดก็อยากจะขำดังๆแล้วถ้าหากไม่กลัวว่าคนอื่นจะหาว่าบ้าที่ผมยืนหัวเราะคนเดียว



มองเด็กปีหนึ่งที่ทยอยจับคู่กับพี่ติวของตัวเองไปได้หลายคู่ บางคู่ไอ้พี่ติวมันก็ให้น้องแปลคำใบ้ของมันที่ให้น้องไปสงสัยมันจำไม่ได้แต่น้องๆก็เก่งดีครับที่แค่เห็นคำใบ้ก็สามารถรู้ได้เลยว่าใครเป็นเจ้าของ



เห้อม...ยืนนานๆก็ชักจะเมื่อยงั้นหนีกลับเลยดีกว่าเพราะยังไงผมก็คิดว่าไอ้เจ้าจอมมันคงไม่รู้ว่าผมเป็นพี่ติวของมันซึ่งข้อนี้จะให้ย้ำกี่ล้านรอบผมก็โคตรของโคตรมั่นใจเล...ย



ยังไม่ทันคิดจบก็มีเด็กหนุ่มท่าทางและหน้าตาที่ผมคุ้นเคยยืนหอบแฮ่กๆอยู่ตรงหน้าเห็นแล้วก็อยากจะอุทานคำหยาบที่มีบนโลกใบนี้ออกมาแต่ติดที่ว่าตอนนี้สมองว่างเปล่าเหลือเกิน



ไอ้เจ้าจอม!!



“พี่ยีนส์ผมหาตั้งนานมายืนอยู่ตรงนี้นี่เอง” มันก้มลงแล้วเอามือยันเข่าตัวเองไว้แล้วหอบแฮ่กๆอยู่ตรงหน้าผม



“หาทำไม?” ผมทำมึนไม่รู้เรื่องว่ามันจะหาผมทำไมทั้งที่ในใจก็หวั่นเหลือเกินว่ามันจะรู้แล้วว่าผมเป็นพี่ติวของมัน



เฮ้ย! แต่มันจะรู้ได้ไงในเมื่อคำใบ้ผมก็ยากขนาดนั้น



“นี่ครับ” มันยื่นกระดาษที่แสนคุ้นตามาให้ผมทำเอาผมเหงื่อตก



ในนั้นมีคำใบ้ที่ผมจำได้แม่นเพราะเป็นคนคิดเอง



“...”



คือคำใบ้ของผมล่ะ



“อะไร?” ผมยังทำรวนไม่ยอมรับกระดาษที่มันยื่นให้



มันยืดตัวขึ้นมาพูดกับผมดีๆหลังจากหอบเสร็จ นี่มึงไปวิ่งมาราธอนมาหรือไงอะไรมันจะเหนื่อยขนาดนั้นวะ



“ก็กระดาษคำใบ้ของพี่ไงครับ” เด็กตรงหน้ามันกลับมายิ้มให้ผมเหมือนเดิม



“รู้ได้ไง?”



“ก็...ผมคิดว่าคงมีพี่นี่แหละที่ใบ้อะไรแบบนี้ใส่กระดาษมา”



ถ้าไม่ติดว่ากระโดดถีบมันแล้วจะโดนข้อหาทำร้ายร่างกายผมจะทำไปนานแล้ว นี่มันเหมือนว่าผมเลยอ่ะว่าไม่มีใครในคณะนี้กวนประสาทโดยการใบ้คำอะไรแบบนี้ลงไปแล้ว



แหม...อยากให้มันไปดูไอ้พวกที่เหลือจริงๆว่ามันใบ้ยากและใบ้บ้าบอกว่าผมซะอีก



“เหตุผลอะไรของมึง” ผมเท้าเอวถาม อีกไม่นานจะพามันนั่งลงใต้ต้นไม้ที่ยืนอยู่ตอนนี้แล้วนะ เมื่อยขงเมื่อยขาไปหมดแล้ว



“จริงๆผมรู้มาจากคนรู้จักของพี่น่ะครับ” ถึงจะอยู่ในสถานการณ์ไหนไอ้เด็กเจ้าจอมนี่ก็สามารถโปรยยิ้มสวยๆได้ตลอดเวลาเหงือกแห้งขึ้นมาผมจะขำให้



“ใคร?” ผมถามอย่างสงสัย



คนที่รู้ว่าผมได้เจ้าจอมเป็นน้องติวก็มีเพียงกลุ่มผมและไอ้ทาวน์กับไอ้ทิมเท่านั้น ถ้ามันบอกว่ารู้มาจากคนรู้จักผมแสดงว่าคนๆนั้นต้องอยู่ในกลุ่มที่ผมคิดแน่ๆ



ฮึ่ม!...ไอ้ฉิบหายใครมันเป็นหนอนบ่อนไส้ทำข้อมูลสำคัญรั่วไหลไปได้วะ



“คือ...พี่เขาไม่ให้บอกครับ”



อ่ะ...คีย์เวิร์ดคือพี่แต่แล้วยังไงไอ้พวกน่าสงสัยมันก็อยู่ในกลุ่มที่เป็นรุ่นพี่ไอ้เจ้าจอมกันหมด



“ถ้ามึงไม่บอกงั้นกูไปละ” ผมทำท่าโบกมือลาแต่เจ้าจอมมันก็เรียกไว้ก่อน



“เดี๋ยวสิครับพี่ยีนส์”



“อะไรอีก?” ผมทำหน้าทำตาไม่เข้าใจทั้งที่ในใจยิ้มกริ่มไปแล้ว เอาซี่เล่นกับคนอย่างยีนส์ก็ต้องเจอแบบนี้แหละ



“เฮ้อ...ครับๆผมยอมบอกแล้วแต่พี่ต้องรับปากก่อนว่าพี่จะไม่ทำอะไรพี่เขา” มันว่าอย่างยอมแพ้ไม่วายยังมีข้อแม้ในประโยคหลังอีก



“เออๆ” ผมรับปากไปงั้นอ่ะแต่ในใจเตรียมแผนจัดการไอ้ตัวทำข้อมูลรั่วไหลเรียบร้อยแล้ว



เดี๋ยวก่อนมึงเดี๋ยวมึงเจอกู!



“พี่เป๋าครับ...พี่เป๋าบอกผม”



ผมตบเข่าฉาดเดาไว้ไม่มีผิดเลยว่าต้องเป็นมัน แล้วถ้าจะให้ผมเดาต่อมันคงบอกตอนวันที่ฝากให้ไอ้เจ้าจอมมันพาผมขึ้นห้องตอนผมเมาแน่ๆ



“มันบอกตอนไหน?” ผมถามต่อ



“ผมว่าพี่รู้แค่ใครบอกก็พอแล้วครับ”



“บอกมาถ้าไม่บอกกูไม่รับเป็นน้องติวจริงๆด้วย” ผมขู่มันทั้งที่ไม่รู้ว่ามันสนใจอยากได้ผมเป็นพี่ติวหรือเปล่าแต่ช่างเถอะถ้ามันไม่อยากได้มันจะมาตามหาผมทำไมแถมยังมายืนบอกถึงไอ้ตัวหนอนบ่อนไส้กับผมอีก



“ก็ได้ครับ พี่เป๋าบอกผมตอนที่ฝากพี่ให้ผมไปส่งที่ห้องตอนที่พี่เมาวันนั้นนั่นแหละครับเขาบอกเป็นค่าตอบแทนสำหรับการช่วยเหลือ”



กูว่าแล้วซื้อหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้บ้างวะแต่อะไรคือการที่มึงเอาข้อมูลสำคัญไปบอกไอ้เจ้าจอมแล้วบอกว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจเพื่อให้ดูดีวะไอ้ห่าเป๋า ยอมใจมึงเลย



“เออ ขอบใจ” ผมทำท่าจะเดินหนีเพื่อไปจัดการไอ้เป๋าที่คงนอนเล่นเกมอยู่ที่ห้องของมัน



“เดี๋ยวครับพี่!” แต่ก็โดนไอ้เจ้าจอมมันรั้งแขนไว้จนผมต้องหันกลับไปมอง



“อะไรอีก?”



มันยิ้มแล้วเขยิบมาใกล้ผมพอประมาณ



“พี่รับผมเป็นน้องติวหรือยังครับ?” มันถามเสียงนุ่มพร้อมกับมองตาผมเป็นประกายแต่ว่านะมึงไม่คิดจะปล่อยแขนกูเลยหรือไงไอ้เจ้าจอม



ผมบิดแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมของมันและมันก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ถอนหายใจอย่างจำนนแล้วตอบคำถามมันจากนั้นก็เดินออกไปทันที



“เออรับ”






TBC....

ยังรอกันอยู่ม้ายยยย ขอโทษเด้อที่มาช้าไปแก้พล็อตเรื่องนิดหน่อยตอนนี้คิดว่าโอเคแล้วค่าา
#นิติผูกพัน

ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter (https://twitter.com/fongdue98)
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -รับหรือไม่รับ- 20/07/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-07-2018 19:43:49
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -รับหรือไม่รับ- 20/07/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-07-2018 21:11:46
เป๋าจะเจ็บหนักหรือเปล่านะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -รับหรือไม่รับ- 20/07/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 02-09-2018 16:02:49
ตอนที่5

ผมเลี้ยงพี่เอง



ผมนั่งมองหน้าไอ้เป๋าเพื่อคาดคั้นความจริงกับมันมาเป็นเวลานาน แต่ไอ้เพื่อนเวรมันยังไม่ยอมรับและปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่ผมกล่าวโทษมัน ดูมันสิครับตอแหลที่สุดในโลกเลย



“สรุปว่ามึงเป็นคนบอกไอ้เจ้าจอมใช่มั้ยว่ากูเป็นพี่ติวของมัน?” ไม่รู้ว่าผมถามมันเป็นรอบที่เท่าไหร่แต่ผมก็จะขอถามย้ำมันไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะยอมรับสารภาพออกมา




“บ๊า!! ใครมันจะไปบอก มึงเชื่อมันหรือไง?” เนี่ยเพราะเสียงสูงของมันนี่แหละที่ทำให้ผมไม่อยากจะเชื่อคำปฏิเสธของไอ้เป๋ามัน



“เออ กูเชื่อ”



“นี่มึงเชื่อคนอื่นมากกว่าเพื่อนรักอย่างกูเหรอวะไอ้ยีนส์ ฮรุก...กูเสียใจ” มันทำเป็นบีบน้ำตาคงจะคิดว่าวิธีนี้จะทำให้ผมเชื่อมันได้แต่เสียใจเถอะไอ้ห่าเป๋านี่มึงแสดงได้กากเรียกพี่เลย



“มึงหยุดตอแหลแล้วพูดความจริงสักทีไอ้ห่า!”



มันมองหน้าผมที่คงจะบึ้งตึงไม่น้อยก่อนจะขยับนั่งบนเตียงนอนของมันดีๆ



“สัญญาก่อนว่าถ้ากูพูดความจริงแล้วมึงจะไม่โกรธกู ไม่ทำอะไรกูด้วย” มันว่าแล้วหยิบหมอนใกล้ๆตัวมาตั้งการ์ดทำท่าป้องกันผมที่นั่งอยู่ตรงโซฟาปลายเตียงของมัน



“ไม่!” ผมตอบไปอย่างที่คิด “นี่มึงคิดว่าที่กูมาหามึงถึงห้องแค่เพื่อมาถามความจริงจากมึงเฉยๆหรือไงห้ะ?”



“อ้าวไอ้สัด งั้นกูไม่บอกแล้ว”



“มึงอย่าลีลา มึงพูดความจริงออกมาเดี๋ยวนี้!”



“ขู่กูจังเลยห่ามึง กูก็แค่บอกน้องมันนิดๆหน่อยๆเอง” มันว่าเสียงเบาแต่ผมก็ยังได้ยิน



“มึงบอกอะไรมันไปบ้าง?”



มันทำท่าลังเลจะไม่ตอบแต่ผมก็จ้องเขม็งมันอยู่สุดท้ายมันเลยเปิดปากพูดออกมา



“ก็...เออไอ้ห่าอย่าจ้องกูแบบนั้นดิวะมันกดดัน” ไอ้เป๋าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้



เอาจริงๆผมก็อยากจะขำหน้ามันตอนนี้มากเลยนะแต่ก็ต้องนั่งเก๊กไว้ก่อนไอ้เป๋านี่ยิ่งแกล้งยิ่งสนุกจริงๆ



“ยังอีก ยังจะมาต่อรองอีก รีบๆพูดเลย” ผมใช้โอกาสตอนที่ไอ้เป๋ามันก้มหน้าบ่นกับหมอนตัวเองหัวเราะเบาๆ ไอ้ห่าเอ๊ยเห็นแล้วก็สงสารมันนะครับ ดูดิหน้าหงอยหน้างอเหมือนเด็กที่โดนเพื่อนรังแกมาจากโรงเรียนเลยว่ะ



“เออๆ รีบจังวะ กูก็แค่บอกเด็กมันว่าอยู่ใกล้ๆตัวมันตอนนี้ก็แค่นั้นเอง ก็ไม่คิดว่ามันจะฉลาดขนาดรู้ว่าเป็นมึงนี่หว่า”



“แล้วตอนนี้ของมึงน่ะตอนไหน มึงบอกมันตอนไหนทำไมมันถึงได้รู้ ไหนบอกกูซิ?” ผมเลิกคิ้วถามต่อ มองหน้ามันเพื่อกดดันให้มันยอมพูด



ไม่อยากจะบอกว่าไอ้เป๋าเพื่อนผมคนนี้มันเป็นโรคภูมิแพ้ความกดดันครับ ยิ่งกดดันมากเท่าไหร่มันจะยิ่งพูดความจริงออกมาเท่านั้น ผมก็เลยต้องใช้วิธีนี้เพื่อพูดคุยกับมันจะได้รู้เรื่องจริงๆ



มันทำตาหลุกหลิกแล้วเบนสายตาไปทางอื่นไม่มองหน้าผม



“ก็ตอนนี้ก็ตอนนั้นนั่นแหละมึง เข้าใจยากจังวะ” ยังไม่สำนึกอีก ยังจะมาบ่นใส่กูอีก



“เออกูเข้าใจยาก มึงเล่าแบบละเอียดๆหน่อยดิ้”



“มึงก็รู้แค่ว่ากูบอกมันก็พอแล้วไม่ใช่หรอวะ เนี่ยกูก็บอกมึงไปแล้วว่ากูบอกน้องมันนิดหน่อยแต่น้องมันเสือกฉลาดเองที่รู้ว่าเป็นมึงอ่ะ”





“เหอะ มึงนี่นะ!”



“เออ ก็กูนี่แหละ” ดูมันย้อนผมครับ เลวมากนี่เพื่อนใครเอามันไปเก็บที



ผมทำหน้าเหม็นเบื่อมันแล้วว่าต่อ “ไอ้เจ้าจอมมันบอกกูว่ามึงบอกมันวันที่มึงฝากมันหิ้วกูขึ้นห้อง ใช่หรือไม่ใช่?”



“ก็เอ้อออ...ถ้ามันว่าอย่างนั้นก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ กูก็จำไม่ค่อยได้แล้ว”



“มึงจะไม่บอกกูจริงๆใช่มั้ยไอ้ห่า”



“มึงก็..ไหนๆน้องมันก็รู้แล้วอีกอย่างถึงมึงจะรู้ความจริงมึงจะทำอะไรอ่ะเจ้าจอมมันก็เป็นน้องติวมึงอยู่ดี อโหสิกรรมให้กูเถอะ กูไหว้ล่ะ”



ผมมองมันที่ยกมือขึ้นมาไหว้ท่วมหัว นี่ถ้าไม่ติดว่านั่งอยู่ไกลผมจะตบหัวมันให้หันเลยนะเอาจริงแต่ช่างเถอะผมจะปล่อยเรื่องนี้ไปก็ได้ อย่างมันว่านั่นแหละเจ้าจอมมันก็เป็นน้องติวของผมแล้วผมจะไปทำอะไรมันดีอีก



“เออ ไอ้ห่าครั้งนี้กูจะไม่เอาเรื่องมึงก็ได้ แต่...” ผมเว้นจังหวะให้มันได้ลุ้น



“แต่อะไรวะ มึงยกโทษให้กูแบบไม่มีข้อแม้ไม่ได้หรอวะ?”



“ไม่ได้”



“งั้นก็ว่ามา”



“แต่มึงต้องเลี้ยงหมูกระทะกู ตกลงมั้ยไอ้สัด”



“ก็ได้แค่นี้ขนหน้าแข้งกูไม่ร่วงหรอกแล้วจะไปตอนไหน?”



“เสาร์นี้ โอเคตกลงนะกูไปละ บายยยย”



ผมโบกมือลามันแล้วเดินออกจากห้องมันไปเลย ตอนนี้ไม่ต้องให้ผมเดาไอ้เป๋ามันก็คงนั่งทำหน้างงอยู่บนเตียงนอนของมันนั่นแหละครับ






วันเสาร์มาถึงอย่างรวดเร็ว ผมไม่ต้องรีบตื่นเพราะไม่มีเรียน ยังคงนอนเอกขเนกคุยแชทกับน้องอิงค์อยู่บนเตียงด้วยความแจ่มใส



ช่วงนี้ผมกับน้องอิงค์คุยกันบ่อยพอสมควรแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ค่อยไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อนหรอกครับเพราะน้องกับผมเวลาไม่ค่อยตรงกันสักเท่าไหร่



อย่างวันนี้ที่ผมชวนน้องไปเที่ยวน้องก็ไปไม่ได้เพราะติดงานของคณะ ผมก็ไม่ได้น้อยใจอะไรและก็เข้าใจน้องดีเลยไม่มีปัญหาทะเลาะอะไรกัน



เหมือนที่เคยบอกไว้ว่าผมคิดว่าอิงค์ก็โอเคที่จะมาอยู่ในฐานะแฟนของผม ผมโอเคกับสิ่งที่อิงค์เป็นทุกอย่างแต่ความรู้สึกของผมบอกว่าตอนนี้ยังไม่พร้อม ต้องรอเวลาที่สมควรก่อนจากนั้นแล้วจึงค่อยขอน้องเป็นแฟน



เอาจริงๆผมก็ไม่ค่อยมั่นใจตัวเองเหมือนกันว่าจะทำหน้าที่แฟนของน้องได้ดีหรือเปล่า ผมห่างหายจากการมีแฟนมาสมควร พอเริ่มคิดจะจริงจังกับใครสักคนผมเลยค่อนข้างจะคิดเยอะหาเหตุผลต่างๆนาๆมาหักล้างกัน จนบางทีผู้หญิงก็อาจจะทนไม่ไหวแล้วเป็นฝ่ายหายไปเลยก็มี



แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นข้อดีสำหรับผมในการเลือกคนที่จะมาเป็นแฟน ผมเคยเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วตกลงคบกันด้วยความถูกใจทั้งที่ยังไม่มีความชอบหรือความรักเลยสักนิดโดยคิดเอาเองว่าถ้าได้เป็นแฟนกันได้เรียนรู้กันก็คงจะรักกันไปเองแต่มันกลับไม่ใช่ในเมื่อนานไปทั้งผมและเขาเข้ากันไม่ได้เลยสักนิด สุดท้ายต่างฝ่ายก็ต่างเลิกรากันไป



หลังจากนั้นมาผมเลยเป็นคนที่ใช้เวลากับการรักใครสักคนพอสมควร...



เมื่ออิงค์ขอตัวไปทำงานผมก็ปิดหน้าต่างแชทของน้องไปจากนั้นก็เข้าเช็คโซเชี่ยลต่างๆของตัวเอง เมื่อไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจก็วางโทรศัพท์ลงข้างเตียงแล้วก็หลับต่อ



ค่อยตื่นมาหาอะไรกินสักตอนเที่ยงก็แล้วกัน






ผมตื่นขึ้นมาอีกทีตอนสิบเอ็ดโมงตอนแรกกะไว้ว่าจะตื่นตอนเที่ยงแต่ร่างกายของผมมันกลับตื่นก่อนก็เลยได้มาหาอะไรกินเร็วกว่าที่คิด



อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็หยิบกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ของตัวเองมาใส่ในกระเป๋ากางเกง เปิดประตูออกจากห้องก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ห้องข้างๆเปิดประตูออกมาเจอกันพอดี



“สวัสดีครับพี่ยีนส์” เจ้าจอมมันยิ้มทักทายผมที่กำลังจะเดินไปขึ้นลิฟต์



“หวัดดี”



“พี่จะไปไหนเหรอครับ”มันถามต่อระหว่างที่เรากำลังยืนรอลิฟต์ด้วยกัน



“กินข้าว” ผมตอบมันสั้นๆ มองตัวเลขหน้าลิฟต์ที่ค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ



“พอดีเลยครับ”



ผมหันไปมองมัน อะไรหมายความว่าพอดีของมันวะ



“พอดีอะไร มึงหมายความว่าอะไร?” ถามมันเพื่อความกระจ่าง



“ก็พี่จะไปกินข้าวส่วนผมก็จะไปกินข้าวเหมือนกันพอดีเลยครับ” มันว่าจบกันหันมายิ้มให้เป็นเวลาเดียวกันกับที่ลิฟต์มาถึงพอดี



ผมเดินเข้ามาในลิฟต์ก่อนมันส่วนเจ้าจอมก็เดินตามมาทีหลัง เมื่อประตูลิฟต์ปิดลงผมกูดกับมันต่อ



“แล้วยังไง?”



“ก็พี่สนใจไปกินด้วยกันมั้ยล่ะครับ?”



“ทำไมกูต้องไปกินกับมึง?”



“ผมนั่งกินคนเดียวก็เหงานะครับ ผมก็เลยคิดว่าพี่คงจะเหงาเหมือนกันเลยลองชวนดูเผื่อพี่จะอยากไปกินข้าวด้วยกัน ผมเลี้ยงก็ได้”



ผมหันไปพูดกับมันดีๆหลังจากที่คุยกันแล้วตามองประตูลิฟต์เป็นเวลานาน



“อะไรของมึง จะเลี้ยงกูทำไม กูมีเงินซื้อกินเองได้”



“โธ่พี่ คิดมากอะไรขนาดนั้นครับ ผมก็แค่เลี้ยงพี่ในฐานะที่พี่เป้นพี่ติวของผมเท่านั้นเองก็เหมือนกับการเลี้ยงสายรหัสอะไรแบบนี้น่ะครับ”



คือผมก็งงกับไอ้เจ้าจอมมันเหมือนกันนะ มีที่ไหนให้น้องเลี้ยงพี่วะ ทุกทีต้องพี่เลี้ยงน้องต่างหากแต่เอช่างมันเหอะสงสัยนี่คงเป็นวิธีใหม่สำหรับพวกพี่ติวน้องติวล่ะมั้ง



“เออเอางั้นก็ได้แต่กูไม่ได้เอากุญแจรถมานะ คงต้องกินแถวๆนี้” ก็ตอนแรกผมตั้งใจไปกินข้าวแถวๆคอนโดเองแต่พอดีเจอไอ้เด็กนี่แพลนของผมก็เลยพังไม่เป็นท่าเลย



“ไม่เป็นไรครับ ไปรถผมก็ได้” มันว่าพร้อมกับลิฟต์ที่เปิดออกพอดี



“เออตกลง”






ผมนั่งมองข้างทางไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะชวนไอ้เจ้าจอมมันคุยอะไรดีเพราะผมก็ไม่ได้มีเรื่องคุยหรือญาติดีกับมันตั้งแต่แรกแล้ว ก็อย่างที่รู้กันว่ามันเป็นน้องติวของผมอีกทั้งพี่ภูมิใจยังฝากมันให้ผมช่วยดูให้ ผมก็เลยยอมลดทิฐิลงมานั่งอยู่บนรถมันตอนนี้นี่ไง



“พี่ยีนส์ครับ”



“อะไร?” ผมหันกลับไปมองไอ้เจ้าจอมที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับขณะที่รถกำลังติดไฟแดง



“พี่ไม่ชอบผมหรอ?”



ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจกับสิ่งที่มันถามและงงว่ามันจะถามทำไม



“ทำไมถึงมาถามกูเรื่องนี้?”



“ก็ผมเห็นพี่ดูไม่ค่อยอยากคุยกับผมเท่าไหร่เลย เวลาเจอกันก็ชอบเดินผ่านผมตลอดถ้าเกิดผมไม่ทักไว้พี่ก็จะเดินผ่านผมไปเฉยๆใช่มั้ยล่ะครับ?”



รู้ดีอย่างกับมานั่งในใจผมเลยไอ้เด็กนี่ ผมก็ว่าตัวเองไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกขนาดนั้นนะหรือว่ามันจะฉลาดดูคนออกอย่างที่ไอ้เป๋าว่าวะ



“กูไม่ได้ไม่ชอบ ก็แค่...ไม่ค่อยถูกชะตากับมึงนิดหน่อย” ผมตอบมันไป เลี่ยงคำว่าไม่ชอบเป็นคำว่าไม่ถูกชะตาแทนจะได้ไม่รุนแรงกระทบจิตใจคนฟังมากนัก กลัวมันจะกระอักเลือดตายซะก่อน



“อืมมม....แล้วผมควรทำยังไงดีครับพี่ถึงยอมจะถูกชะตากับผม” มันว่าพลางหันมาเลิกคิ้วถามผมขณะรถกำลังติดไฟแดงพอดิบพอดี



“เรื่องแบบนี้มันต้องมีวิธีทำด้วยหรอวะ?” ผมถามมันงงๆ ก็คนมันงงจริงๆอ่ะครับ



“ต้องมีสิพี่” มันว่าแล้วยิ้มขำ



“โว้ยยย!กูไม่รู้ คนไม่ถูกชะตาก็คือไม่ถูกชะตาป่าววะ ทำไมต้องมาให้กูเลิกไม่ถูกชะตากับมึงด้วยวะเนี่ย”



“นั่นสินะครับ....แต่ผมก็เห็นใจพี่เหมือนกันนะที่ต้องได้คนไม่ถูกชะตาแบบผมมาเป็นน้องติวแถมยังอยู่ห้องข้างๆกันอีก”



“สัด! ไม่ต้องมาเห็นใจกู”



เจ้าจอมมันทำเพียงยิ้มขำจากนั้นก็หันไปขับรถต่อเพราะสัญญาณขึ้นไฟเขียวพอดี ส่วนผมก็นั่งเงียบๆหันหน้าออกไปมองข้างทางไม่ได้ชวนไอ้เด็กข้างๆมันคุยอะไรอีก



แค่คุยกันนิดเดียวผมก็เริ่มหมั่นไส้มันตะหงิดๆแล้วเหมือนกัน







ผมมองไอ้เด็กเจ้าจอมที่กำลังสั่งอาหารอย่างคล่องแคล่ว ถ้าให้ผมเดาร้านที่มันพาผมมาเลี้ยงข้าวคงจะเป็นร้านประจำไม่ก็ร้านโปรดของมัน



เอาจริงๆคือมันบอกว่าจะเลี้ยงข้าวผมใช่มั้ยล่ะครับแต่พอตอนสั่งก็ไม่มีการถามใดๆทั้งสิ้นว่าผมอยากกินอะไรนอกเหนือจากมันสั่งมั้ย พอมันสั่งอาหารเสร็จมันก็คืนเมนูให้พนักงานทันที ไม่มีหรอกจะยื่นเมนูมาให้ผมแล้วถามว่าอยากกินอะไรอีกมั้ย



ไอ้เวร...



“อาหารที่นี่อร่อยมากเลยนะพี่ผมรับรอง”



กูไม่ได้ต้องการการรับรองจากมึงมั้ยอ่ะบางทีกูแค่ต้องการเมนูอาหารแล้วสั่งอาหารที่กูอยากกินไง ยอมจ่ายเองก็ได้แต่ให้กูสั่งหน่อยเถ้ออออ



“ทำหน้าแบบนั้นไม่เชื่อผมล่ะสิ”



โอ๊ยยย!! อยากมอบตำแหน่งคิดเองเออเองให้กับไอ้เด็กนี่มันจริงๆโว้ยยย



“อ่า...หรือพี่โมโหหิวหรอครับ ทำไมทำหน้าดุจัง” มันว่าพร้อมกับยิ้มไปด้วย



ไอ้ห่าเอ้ยย! ไม่น่าตกลงมากินข้าวกับมันตั้งแต่แรกเลย เออไม่ใช่ดิ...ต้องบอกว่าไม่น่าเห็นแก่ของฟรีแล้วยอมมากินข้าวกับมันแบบนี้สิถึงจะถูก



“ไม่มีอะไรทำก็นั่งเงียบๆไป” เนี่ยเวลาอยู่ต่อหน้าไอ้เด็กนี่ต้องทำตัวนิ่งๆคูลๆเข้าไว้ครับ เด็กมันจะได้กลัวไม่กล้าเล่นหัวเรา



“มีนะครับแต่พี่ไม่ยอมทำด้วย” มันตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเคย



“ทำอะไรของมึงแล้วทำไมกูต้องทำด้วย?” ผมถามมันกลับ จ้องใบหน้าของมันที่ตอนนี้เริ่มดูชั่วๆเลวๆขึ้นมาทันที



“พี่คิดอะไรครับ ผมแค่หมายถึงว่าพี่ไม่ยอมคุยกับผม ผมก็เลยไม่มีอะไรทำไง”



สาบานว่าสิ่งที่มึงคิดกับสิ่งที่มึงพูดออกมามันคือสิ่งเดียวกัน โธ่เอ๊ยย! ดูหน้าก็รู้แล้วแม่งว่ามันต้องคิดอะไรไม่ดีอยู่แน่ๆ



“แต่กูไม่อยากคุยกับมึงไง”



“พี่นี่ใจร้ายจริงๆ”



“เออ”



ถ้าคิดว่าหลังจากนั้นเจ้าจอมมันจะยอมเงียบเพราะผมบอกว่าไม่อยากคุยกับมัน ผมบอกได้เลยว่าคิดผิดมากๆเพราะยิ่งบอกว่าไม่อยากคุยมันก็ยิ่งชวนคุยมากเท่านั้น เอาจริงมั้ย ผมว่าตอนนี้ไอ้เด็กนี่มันก็ไม่ได้อยากคุยกับผมนักหรอก สิ่งที่มันอยากทำจริงๆคือการกวนประสาทผมต่างหากล่ะ



“พี่ภูมิใจบอกว่าพี่เรียนเก่ง”



“พี่มันโกหกมึงแล้วมั้ง กูเนี่ยนะเรียนเก่ง”



“ครับ พี่ภูมิใจบอกมาแบบนั้น”



ผมอยากจะกดโทรออกไปหาพี่ภูมิใจมันจริงๆว่ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ไปบอกน้องตัวเองว่าผมเรียนเก่งแบบบนั้น จริงๆผมไม่ได้เรียนเก่งอะไรเลยแค่ไม่เคยติดเอฟมันก็แค่นั้นไงแต่ยังห่างไกลคำว่าเก่งอยู่มากโขหรือการที่ผมไม่ติดเอฟก็คือการเรียนเก่งแบบฉบับความเข้าใจของพี่ภูมิใจมันวะ



“มึงก็ไปเชื่ออะไรพี่มึงมาก กูไม่ได้เรียนกงเรียนเก่งอะไรสักนิดแค่พอถูๆไถๆไปได้เท่านั้นแหละ”



“งั้นผมก็ต้องรบกวนพี่ช่วยถูๆไถๆให้ผมเหมือนกันแล้วล่ะครับ”



ผมขมวดคิ้วกับคำพูดกำกวมของมัน พอมองหน้ามันก็เห็นแต่ออร่าความชั่วลอยออกมา “ถูๆไถๆอะไรของมึง”



“ก็ช่วยติวแบบถูๆไถๆไงครับหรือพี่คิดว่าจะหมายถึงอะไรได้อีก”



โหยยย! ผมไม่อยากจะพูดแต่ขอพูดหน่อยเถอะว่าไอ้เด็กเจ้าจอมนี่กวนประสาทที่สุดในโลกของผมเลย



“กูไม่รู้!” ตอบแบบเกรี้ยวกราดไปก่อนเผื่อนมันจะกลัวแล้วมากล้ากวนผมอีก



“หรอครับ?” มันถามยิ้มๆ สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่ามันแค่ยิ้มธรรมดาแต่สำหรับผมที่กำลังนั่งจ้องรอยยิ้มมันอยู่นั้นเห็นแต่ความกวนประสาทลอยเต็มไปหมดเลย



ฮึ่มมม....ผมชักจะทนไม่ไหวกับความกวนประสาทของมันแล้วนะครับ”



“เออ!”



“พี่นี่ดุจังเลยนะครับ”



“เรื่องของกู”



มันมองหน้าผมจากนั้นก็เอาแต่ยิ้มอยู่นานสองนานก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อว่า



“เฮ้อ....ใจดีกับผมหน่อยสิครับพี่ยีนส์ ผมจะเป็นเด็กดีนะ ไม่ดื้อกับพี่หรอก” มันว่าแล้วทำหน้าอ้อนๆใส่ผม



ไอ้ผมที่นั่งมองมันทำท่าแบบนั้นก็อยากจะตบกลางกะบาลมันสักที ตัวโตอย่างกับควายยังมาเสือกทำเสียงอ้อนทำหน้าตอแหลใส่อีก



ไอ้เจ้าจอมนี่แม่งหน้าอ้อนตีนจริงๆเลย



“มึงหยุดทำหน้าตอแหลใส่กูแล้วนั่งรออาหารเงียบๆได้มั้ยห้ะ!?” ผมว่าอย่างหมดความอดทน บางทีถ้ามันยอมทำตามที่ผมบอกผมก็จะยอมญาติดีกับมันอีกนิดนึงก็ได้



“พี่ก็ใจดีกับผมก่อนสิครับ”



ผมมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง โธ่เอ๊ย! โคตรพลาดเลยที่ยอมมานั่งกินข้าวกับมันเนี่ย



“เออจะทำอะไรก็เรื่องของมึงเลย” ผมว่าแล้วไม่สนใจมันที่กำลังมองผมอยู่



“อ่า...พี่โกรธผมหรอ...แต่จริงๆพี่ยีนส์ที่ไม่ใจดีแบบนี้ก็ดีเหมือนกันครับ”



ผมหันกลับไปมองหน้ามันอย่างคนไม่เข้าใจ



“ก็...ถ้าพี่ใจดีกับผมเมื่อไหร่ก็แสดงว่าเมื่อนั้นพี่คงตกหลุมรักผมเข้าแล้ว”



ผมอ้าปากพะงาบๆคิดคำด่าไอ้เด็กนี่อยู่หลายนาที คนบ้าอะไรหลงตัวเองฉิบหายเลย!



“พ่อง!”




 



#นิติผูกพัน

ฝากติดตามด้วยค่าา
ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter (https://twitter.com/fongdue98)

:teach:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ผมเลี้ยงพี่เอง- 02/09/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-09-2018 04:22:17
แต่ละคำพูด เล่นเอาอีพี่เถียงไม่ทันเลยอ่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ผมเลี้ยงพี่เอง- 02/09/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 29-09-2018 16:50:18
ตอนที่6

ยิ้มของพี่





ผมมองซ้ายแลขวาหากลุ่มเพื่อนตัวเองแต่จนแล้วจนรอดยังไงก็หาพวกมันไม่เจอ อะไรวะหรือวันนี้ผมมาเร็วเกินไปพวกมันก็เลยยังไม่มากัน



สุดท้ายแทนที่ผมจะเข้าไปหาที่นั่งในห้องเรียนก็ต้องหมุนตัวกลับไปหาอะไรกินที่โรงอาหารก่อน เออก็ดีเหมือนกันเมื่อเช้าผมก็รีบๆเลยไม่ได้กินอะไรมาเลย จริงๆผมไม่ใช่พวกชอบมาเรียนเช้าหรือตื่นเช้าอะไรหรอกครับถ้าหากว่าวันนี้น้องอิงค์ไม่ขอให้ผมไปส่งที่คณะ



น้องมีเรียนแปดโมงส่วนผมก็เก้าโมง จากปกติที่ถ้าเรียนเวลานี้ผมจะตื่นประมาณแปดโมงกว่าๆผมก็ต้องร่นเวลาตื่นมาเร็วอีกนิดประมาณหกโมงครึ่งจะได้พาน้องอิงค์ไปเรียนทันด้วย



แล้วยังไงล่ะครับพอส่งน้องไปเรียนเสร็จผมก็ต้องมาอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางคนในโรงอาหารอีกนี่ไง ไม่ใช่ว่าอยู่ไม่ได้แต่การมีเพื่อนนั่งอยู่ด้วยกันมันก็ดีกว่าป่าววะ



ผมนั่งกินข้าวเงียบๆคนเดียว เวลากินข้าวผมไม่ค่อยยกโทรศัพท์มาเล่นเท่าไหร่เพราะจริงๆแล้วผมก็ไม่ใช่คนติดโทรศัพท์มากนัก ตอนนี้ก็เลยเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินไม่สนใจอะไรใครทั้งนั้น



“ผมขอนั่งด้วยได้มั้ยครับ?”





ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงนั่นแล้วก็ต้องจิ๊ปากเซ็งๆพอได้เห็นว่าไอ้คนที่มาขอนั่งด้วยนั่นเป็นใคร



“ที่นั่งตั้งเยอะแยะก็ไปนั่งดิ” ผมชี้ไปให้มันดูรอบๆว่าที่นั่งในโรงอาหารตอนนี้ก็ว่างเต็มไปหมดทำไมมันถึงไม่เลือกไปนั่ง จะเดินมาขอนั่งด้วยกับผมทำไม



“แต่ผมอยากนั่งตรงนี้นะครับ” มันว่าแล้วยิ้มก่อนจะถือวิสาสะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามผม



ผมทำหน้าเอือมใส่มันแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรมันอีก ไอ้เจ้าจอมมันก็ไม่ได้ชวนผมคุยอะไรนอกจากนั่งอ่านอะไรเงียบๆของมันคนเดียวจนกระทั่งผมกินข้าวหมดมันก็ยังอ่านไม่หยุด



“อ่านอะไร?” ผมยื่นหน้าไปดู เห็นแวบๆว่าในนั้นมันจดอะไรยุกยิกไว้แต่ผมก็อ่านไม่ออก



“มาตรา15ครับ”



“เรียนกฎหมายเอกชน?”



“ครับ ผมกำลังทำความเข้าใจอยู่”



ผมพยักหน้าหงึกหงัก มาตรา15 เป็นมาตราแรกเลยที่เราต้องเรียนในกฎหมายเอกชน ผมจำได้ว่ากว่าจะท่องมาตรานี้จนจำได้ก็ต้องท่องซ้ำๆหลายรอบอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าท่องจำได้แล้วก็จบเลยนะครับ พอจำได้ก็ต้องมานั่งทำความเข้าใจอีกว่าต้องใช้อะไรยังไง ประมาณแบบแปลไทยเป็นไทยเป็นไทยอะไรประมาณนั้นเลยล่ะ



“แล้วเป็นไงเข้าใจหรือเปล่า?” ก็ไม่ได้อยากคุยกับเด็กเจ้าจอมมากนักหรอกแต่ถ้าจะให้อยู่เงียบๆมันก็อึดอัดเปล่าๆ



“ก็นิดหน่อยครับ แต่ถ้าได้ฟังอาจารย์อธิบายก็คงจะเข้าใจมากขึ้น” มันว่าแล้วส่งยิ้มมาให้ผม เป็นยิ้มที่จริงใจไม่ใช่ยิ้มขี้เล่นหรือยิ้มโปรยเสน่ห์อย่างที่มันชอบทำอย่างทุกที



“นี่มึงอ่านมาล่วงหน้าเหรอ?” ผมถามมันอย่างแปลกใจ ก็ไม่คิดนี่ครับว่าเจ้าจอมมันจะเป็นเด็กขยันขนาดที่อ่านบทเรียนมาล่วงหน้า ขนาดผมยังไม่เคยทำเลยนี่หว่า



“ครับ ผมก็ทำแบบนี้ปกตินะ”



อ่า...พอได้ยินคำตอบมันแล้วก็หมั่นไส้มันฉิบ!



ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยลองเชิงมันด้วยการให้มันท่องมาตรา15ให้ผมฟัง ดูซิว่าที่มันอ่านมามันจะจำได้ขนาดไหนกันเชียว



“ไหนลองท่องมาตรา15 มาให้กูฟังเป็นบุญหูหน่อย” ผมว่าพร้อมทำท่าแคะขี้หูกวนๆมัน



มันมองผมแล้วยิ้ม ไอ้ผมก็ได้แต่สงสัยว่ามันจะขยันยิ้มนักหนาไม่เมื่อยปากบ้างหรือไงก็ไม่รู้



ผมเอามือสองข้างท้าวคางตัวเองไว้แล้วมองหน้ามันพร้อมยักคิ้วให้สองจึก ส่วนหูก็กำลังรอฟังสิ่งที่มันกำลังจะพุดออกมา



“มาตรา 15  สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่าง ๆ ได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก”



ผมพยักหน้าหงึกหงัก ฟังมันท่องแล้วก็ต้องยอมรับเลยว่าไอ้เจ้าจอมมันก็ใช้ได้เหมือนกันนี่หว่า ไม่ได้มีดีแค่คุยโม้โอ้อวดแต่มันสามารถทำสิ่งที่มันพูดได้จริงๆ



“ก็ดี” ผมว่าสั้นๆ



“แค่ก็ดีหรอครับ ชมผมให้มากกว่านี้หน่อยสิ” มันมองผมแล้วทำหน้าเหมือนจะอ้อนแต่คือมันทำกับผมไงครับผมเลยคิดว่าหน้าแบบนี้เรียกอ้อนตีนต่างหาก



“รอมึงท่องบรรพ1 ให้ได้ครบทุกมาตราก่อนแล้วกูจะชม” ว่าจบผมก็ลุกขึ้นแล้วเดินหนีมาทันที ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเด็กมันแล้ว ตอนแรกก็คุยกันดีๆพอมันเริ่มกวนตีนผมก็เริ่มจะหมั่นไส้มันขึ้นมาอีกแล้ว






คืนวันศุกร์พวกผมพากันมาถล่มร้านไอ้เตอร์ ไม่รู้ว่าอารมณ์ไหนแต่จู่ๆพวกผมก็พากันมาร้านไอ้เตอร์โดยที่ไอ้เตอร์มันก็ไม่รู้หรอกครับเพราะพวกผมไม่ได้บอกว่าจะมา ส่วนไอ้คินบางทีมันก็มานั่งเฝ้าไอ้ทาวน์ทำงานอยู่ตลอดแล้วจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไหร่เมื่อมาถึงแล้วเจอมันที่นี่



“พวกเวร มาทำอะไรกันเยอะแยะวะ ร้านกูที่นั่งก็แทบจะไม่มีให้พวกมึงนั่งแล้วนะเว้ย” ไอ้เตอร์เหมือนจะโวยวายเพราะร้านมันคนเยอะทุกวันครับ บางทีก็เต็มบ้างอะไรบ้างแต่เหมือนจะโชคดีที่วันนี้ยังมีโต๊ะว่างให้พวกผมได้นั่งกัน



“ไม่มีได้ไงวะนี่เพื่อนนะแถมมาเป็นลูกค้าอีก ต้อนรับพวกกูดีๆหน่อยครับคุณ” ไอ้หมอกว่าแล้วตบไหล่ไอ้เตอร์ที่กำลังทำหน้าเอือมระอาใส่พวกผมอยู่



“เออๆ ไปนั่งโต๊ะนั้นก็แล้วกัน ส่วนนี่กระดาษอยากกินอะไรก็เขียนมาเสร็จแล้วก็เอามาให้กู เคนะ?” มันพูดเสร็จสรรพพวกผมก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วก็พากันเดินไปยังโต๊ะที่มันชี้ให้พวกผมนั่งได้



“ไอ้คินมึงไม่ไปนั่งด้วยกันวะ?”ผมถามมันที่ยังนั่งอยู่ตรงเคาเตอร์ ตามันก็เอาแต่มองแฟนมันที่กำลังไปรับออเดอร์กับลูกค้าอยู่



“เดี๋ยวตามไป”



พอมันตอบแค่นั้นผมก็เดินตามพวกที่เหลือมานั่งที่โต๊ะก่อนจะพากันเขียนเมนูที่อยากกินจนเต็มแผ่นกระดาษ ส่วนมากจะเป็นพวกอาหารจุกจิกที่ไม่ใช่มื้อใหญ่มันก็เลยดูเยอะ เขียนเสร็จก็ยื่นให้ไอ้เป๋ามันเอาไปส่งให้กับไอ้เตอร์ มันบ่นนิดหน่อยว่าทำไมมันต้องไปแต่นั่นแหละครับมันก็ได้แค่บ่นจากนั้นก็เดินเอาเมนูที่เขียนกันไว้ไปส่งให้ไอ้เตอร์มันจนได้นั่นแหละ



“เป็นไงมึง ช่วงนี้เห็นว่ากำลังแฮปปี้กับน้องอิงค์” ไอ้เป๋าพอมันกลับมานั่งได้ก็ถามผมขึ้นทันที ไม่คิดจะนั่งหายใจหายคอเลยสักนิดเดียว



“ก็เรื่อยๆ” ผมไหวไหล่ตอบไปแบบสบายๆ



จริงๆความสัมพันธ์ของผมมันก็เรื่อยๆอย่างที่ผมตอบนั่นแหละ อิงค์ก็ดูยังไม่พร้อมจะมีแฟนเหมือนเขายังมีไรที่ติดค้างอยู่ในใจ ส่วนผมก็เรื่อยๆคุยกันอย่างนี้มันก็สบายใจดีเหมือนกัน ความสัมพันธ์ของเราเลยไม่ได้ขยับไปไหน ออกจะแนวเรื่อยๆซะมากกว่า



“ยังไม่คบกันหรอวะ?” ไอ้หมอกมันละความสนใจจากโทรศัพท์ตัวเองมาถามผมบ้าง



“ยังว่ะ”



“ทำไมวะ?” คราวนี้ทั้งไอ้เป๋ากับไอ้หมอกถามออกมาพร้อมกัน



“ไม่รู้ว่ะ กูก็โอเคกับน้องนะ ตอนได้คุยกันหรือเจอกันมันก็สบายใจดีแต่มันเหมือนว่าน้องยังไม่ใช่ว่ะ กูว่าไม่ใช่ที่กูที่คิดนะอิงค์ก็คงคิดเหมือนกันกับกูแหละ”



ผมพูดจากที่ผมรู้สึกและเห็นเองแต่ตอนนี้ก็ด่วนสรุปอะไรไม่ได้หรอกคงต้องรอดูกันไปเรื่อยๆนั่นแหละ



“ค่อยๆดูกันไป มันไม่ง่ายหรอกนะเว้ยที่เราจะหาคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจอ่ะ ถ้ามึงเจอเขาแล้วก็อย่าปล่อยเขาไปล่ะ กูไม่อยากเห็นเพื่อนกูมานั่งเสียใจทีหลัง” หมอกมันว่าแล้วตบหลังผมปุๆ



“อือ ขอบใจพวกมึงมาก”



ไม่นานไอ้ทาวน์ก็เอาอาหารที่พวกผมสั่งไปมาเสิร์ฟโดยมีไอ้คินเป็นผู้ช่วยตามมาติดๆ บางทีผมก็อิจฉามันสองคนนะครับ ถ้าผมได้คนรักดีๆแบบนี้บ้างก็คงจะดี



เรานั่งพูดคุยกันจวบจนร้านปิดเลยต้องพากันช่วยไอ้เตอร์มันเก็บร้าน ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกครับนอกจากเก็บเก้าอี้ให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้น พอเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับห้องใครห้องมัน ผมต้องไปส่งไอ้เป๋ามันที่หอก่อนจากนั้นถึงจะได้กลับคอนโดตัวเอง ตอนนี้ก็เลยต้องมานั่งฟังไอ้เป๋ามันพูดแจ้วๆอยู่ในรถนี่แหละ



“เออ กูว่าจะถามนานแล้ว มึงเลิกเกลียดขี้หน้าน้องติวมึงหรือยังวะ”



ผมใช้หางตาเหลือบมองมันก่อนจะตอบไป “ก็เฉยๆ แต่ถ้ามันกวนตีนกูก็ด่ามัน”



“นี่มึงกับมันยังไม่เลิกตีกันอีก?”



“ตีกับผีน่ะสิ ก็แค่ด่าเวลามันกวนตีนกู บางครั้งมันก็ดีนั่นแหละแต่เอาจริงๆมันกวนตีนกูมากกว่าจะพูดดีๆกับกูอีก”



“มึงก็กวนตีนมันใช่ย่อยเหมือนกันนั่นแหละ”



“เอ้าไอ้สัด นี่กูเพื่อนมึงไง” ผมยื่นมือไปตบหัวมันไปทีนึง



“เออกูเพื่อนนี่แหละ มึงก็ดีกับมันหน่อย ดูท่าแล้วมันก็เป็นคนดีนั่นแหละแต่ติดที่กวนตีนไปหน่อย”



“ไม่หน่อยแล้วเหอะ”



ผมกับไอ้เป๋านั่งเถียงเรื่องไอ้เจ้าจอมจนผมขับมาถึงหอมัน ก็งงเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆไอ้เด็กนั่นถึงเป็นหัวข้อสนทนาของผมกับไอ้เป๋าได้



“ชอบใจมากที่มาส่ง ขับรถดีๆ”



“เออ ขอบใจ”






ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเสียงกริ่งที่ดังขึ้นหน้าห้อง ยื่นมือไปดูนาฬิกาในโทรศัพท์ก็พบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า ใครมันมาเอาป่านนี้วะ นี่ถ้าไม่มีธุระอะไรสำคัญจริงๆผมจะด่ามันให้



พอเปิดประตูแล้วเจอว่าใครอยู่หน้าห้องเท่านั้นแหละผมก็เตรียมง้างปากจะด่ามันทันทีแต่ไอ้เด็กห่านันมันกลับยกมือขึ้นเบรคคำพูดผมไว้ก่อน



“อย่าพึ่งด่าผมพี่ ผมแค่จะเอานี่มาให้”



ผมมองถุงปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ที่มันยกขึ้นให้ดูก็ต้องกระแอมเบาๆ “กูไม่ได้สั่งแล้วอีกอย่างมึงมากดกริ่งอะไรป่านนี้วะคนกำลังนอนอยู่ไม่รู้หรือไง”



“ขอโทษครับ ผมแค่เห็นพี่ชอบกินปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหูเจ้านี้ก็เลยซื้อมาฝาก” มันพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ไอ้ผมที่เห็นก็เลยไม่อยากว่าอะไรมันอีก ยังไงซะมันก็มีน้ำใจซื้ออะไรมาให้ผมกิน



“ขอบใจ แล้วกี่บาทล่ะ”



“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากซื้อให้”



ผมมองหน้ามันอย่างพิจารณา ไม่ใช่ว่าจะทำดีหวังผลหรอกนะ “แน่ใจ? ไม่ใช่ว่ามีอะไรนะ”



“ไม่มีครับ พี่อย่าระแวงผมดิ ผมออกจะเป็นคนดี”



“เอออวยตัวเองก็เป็นนะมึง งั้นขอบคุณละกันแต่วันหลังไม่ต้องซื้ออะไรมาให้กูแล้วกูเกรงใจ”



“ไม่ต้องเกรงใจครับ อีกอย่างถ้าวันหลังผมซื้อมาผมจะไม่เคาะประตูปลุกพี่แล้ว เดี๋ยวแขวนไว้ให้หน้าห้องก็ได้ครับไม่อยากรบกวนเวลานอนของพี่”



“ตามใจมึงก็แล้วกัน” จนใจจะห้ามมันจริงๆ ผมก็เลยตอบไปให้จบๆ



ไอ้เด็กนั่นพอได้ฟังคำตอบก็ยิ้มจนตาหยีให้ผม ผมเลยยิ้มตอบมันไปบางๆ คือไม่สังเกตก็ไม่เห็นหรอกครับว่าผมยิ้มให้มันอยู่แต่ไอ้เด็กนี่มันตาดีไง มันเลยพูดขึ้นมาเสียงดังจนผมหุบยิ้มแทบไม่ทันเลย



“พี่ยิ้มให้ผมเหรอ? เมื่อกี้พี่ยิ้มให้ผมจริงๆใช่ป่ะ?” มันพูดด้วยใบหน้าจื่นเต้นเหมือนเจอสิ่งมหัสจรรย์ของโลกอยู่ตรงหน้า มือมันเกือบยกมาเขย่าไหล่ผมแต่มันก็ห้ามตัวเองไว้ทันก่อนจะจ้องมองผมอย่างไม่เชื่อสายตา



“ยิ้มอะไรของมึง มั่วว่ะ”



“เฮ้ยๆแต่เมื่อกี้ผมเห็นพี่ยิ้มให้ผมนะ ผมแน่ใจเลยว่าไม่ได้ตาฝาด ถึงจะยิ้มบางๆแต่ผมก็เห็นนะเว้ยพี่” เห็นท่าทางของมันแล้วก็ตลกเหมือนกัน เหมือนเด็กที่แม่พาไปเที่ยวสวนสัตว์แล้วเห็นเสือขยิบตาให้อ่ะ



“แล้วมันจะอะไรกับยิ้มกูนักหนาวะ” ผมบ่นใส่มัน



“พี่ไม่รู้เหรอว่าตั้งแต่เรารู้จักกันพี่ไม่เคยยิ้มให้ผมเลยนะ”



ก็อาจจะจริงอย่างที่มันพูดล่ะมั้งว่าตั้งแต่ที่ผมกับมันได้รู้จักกันผมก็ไม่เคยยิ้มให้มันเลย ก็มีแต่มันนี่แหละที่ชอบแจกยิ้มเรี่ยราดไปทั่ว



“กูยิ้มแล้วมึงไม่เห็นเองรึป่าว” ผมก็พูดไปงั้นแหละ จำไม่ได้หรอกว่าเคยยิ้มให้มันหรือเปล่าแต่เอาจริงๆน่าจะไม่เคยยิ้มให้มันเลยต่างหาก



“ไม่ครับ พี่ไม่เคยยิ้มให้ผมเลย พี่รู้มั้ยเมื่อกี้ที่พี่ยิ้มให้ผม ใจผมกระตุกไปวูบนึงเลยนะ” มันพูดพร้อมกับยิ้มกว้างแล้วเอามือของตัวเองมาวางทาบไว้บนอกข้างซ้ายของมันเอง



“อะไรของมึงวะไร้สาระ ไปๆกูจะนอนต่อแล้ว ขอบใจสำหรับพวกนี้ด้วยก็แล้วกัน” ผมยกของที่มันซื้อมาให้ขึ้นแล้วพูดขอบคุณมัน



“ไม่เป็นไรครับ แค่ได้คำขอบคุณเป็นรอยยิ้มของพี่ผมก็ว่ามันดีมากแล้ว”



ผมล่ะเกลียดการพูดการจาของมันจริงๆ



“พูดอะไรวะกูขนลุก ไปๆกลับห้องมึงไปเลย” ไล่เป็นรอบที่สองมันก็ยังยิ้มยิ้มหน้าหล่อใส่ผมอีก อะไรของมันวะ ไม่ใช่ว่าเกิดพิศวาสอะไรผมขึ้นมาหรอกนะ



“ครับๆ ไล่ผมจัง”



“ไม่ได้ไล่กูจะไปนอน เออจริงๆก็ไล่นั่นแหละมึงก็กลับห้องตัวเองไปได้แล้ว มัวแต่มายืนยิ้มหน้าห้องคนอื่นอยู่ได้เป็นอะไรมากป่ะวะ”



“ไม่ได้เป็นอะไรครับ งั้นผมกลับห้องก่อนนะแล้วก็....” มันเหลือบตามองของกินที่มันซื้อมาให้ผมก่อนจะพูดต่ออีกว่า “ทานให้อร่อยนะครับ”



“เออ”



เจ้าจอมมันเดินกลับเข้าห้องของมันที่อยู่ข้างๆห้องผมไปแล้วผมก็ปิดประตูห้องของตัวเองลง เมื่อกี้ก็รู้สึกตลกทั้งผมกับมันเหมือนกันที่เอาแต่เถียงกันเรื่องยิ้มหรือไม่ยิ้ม



แค่ยิ้มบางๆให้ก็ดีใจเป็นเด็กไปได้ ไอ้เด็กบ้าเอ้ย!!







เรากลับมาต่อเรื่องนี้แล้ววว มีใคคิดถึงเรื่องนี้บ้างง อิอิ หลังจากไปเคลียร์เรื่องพี่ไฟมาเรียบร้อยก็ถึงคิวเคลียร์เรื่องพี่ยีนส์ต่อ555 อาจจะมาช้าหน่อยเด้อแต่เราจะพยายามจะมาสม่ำเสมอนะคะ

#นิติผูกพัน

ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter (https://twitter.com/fongdue98)

:teach:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ยิ้มของพี่- 29/09/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-09-2018 18:05:29
แค่ยิ้มนะเนี่ย เจอแยกเขี้ยว แล้วจะหนาว  :hao3:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ยิ้มของพี่- 29/09/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 05-10-2018 17:42:36
ตอนที่ 7

ขนมที่พี่ไม่ได้ตั้งใจซื้อ




หลังจากวันที่เจ้าจอมมันเอาปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้มาให้ผมที่ห้องก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว เจ้าจอมมันก็ทำอย่างที่มันเคยพูดไว้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าถ้ามันซื้อของกินมาให้ผมมันก็จะเอามาแขวนไว้ให้ผมที่หน้าประตูและไม่ได้เคาะห้องรบกวนผมอย่างวันแรกที่มันทำ



ผมเคยบอกมันไปแล้วว่าไม่ต้องซื้อมาให้แต่มันก็ไม่ฟัง มันเอาแต่บอกว่ามันแค่อยากซื้อมาให้ส่วนผมมีหน้าที่รับก็รับไปไม่ต้องมาเกรงใจอะไรมันเพราะยังไงมันก็เป็นน้องติวของผมและคงมีอะไรที่มันต้องขอความช่วยเหลือเรื่องเรียนจากผมอีกเยอะ ไอ้ผมก็เลยตามใจมัน อยากจะซื้อก็ซื้อมายังไงผมก็ไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้วนอกจากกินอย่างเดียว



‘วันนี้ร้านปาท่องโก๋ปิดผมเลยซื้อข้าวต้มปลามาให้ครับ’



ผมอ่านโพสต์อิทที่ติดมากับถุง มันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาร้านขายปาท่องโก๋ปิดมันก็จะหาซื้ออย่างอื่นมาให้ผมแทนทั้งๆที่จริงแล้วมันไม่จำเป็นต้องซื้อมาให้ผมก็ได้



พอมันมาทำดีด้วยผมก็เริ่มจะคุยดีกับมันนิดหน่อย เวลาเจอหน้าก็ทักทายบ้างแต่ก็เป็นบางครั้งเพราะทุกครั้งไอ้เด็กนี่มันจะชิงทักผมก่อนทุกที



จริงๆมันก็เป็นเด็กดีน่าคบหาคนหนึ่งนั่นแหละแต่ด้วยอคติและอะไรหลายๆอย่างก็เลยทำให้ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้ามันในตอนแรก พอได้มาสัมผัสกับนิสัยของมันจริงๆอคติที่ผมมีต่อมันก็ค่อยๆลดลงแต่ก็ไม่ได้ลดลงรวดเร็วอะไรขนาดนั้นหรอกครับ มันก็ลดลงแค่นิดเดียวเท่านั้นแหละ



“ครับ?” ผมกดรับโทรศัพท์เมื่อมีสายโทรเข้ามา



(พี่ยีนส์อยู่ห้องหรือเปล่าคะ พอดีอิงค์แวะมาแถวคอนโดพี่เลยเอาหนังสือที่ยืมไปมาคืนด้วย)



“อยู่ครับ เดี๋ยวพี่ลงไปรับข้างล่างนะ”



(อีกสักประมาณสิบนาทีนะคะตอนนี้อิงค์กำลังทำธุระอยู่)



“ได้ครับ ถ้าเสร็จแล้วส่งข้อความมานะเดี๋ยวพี่ลงไป”



(ขอบคุณค่ะ)



ผมคุยกับน้องอิงค์อีกนิดหน่อยก็วางสายไป รีบเทข้าวต้มปลาที่เจ้าจอมมันซื้อมาให้ใส่ถ้วยแล้วใช้เวลาสิบนาทีนั้นรีบจัดการให้เรียบร้อยผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลา



ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำผมก็จัดการข้าวต้มจนหมดเกลี้ยงจนแทบจะเลียถ้วยแล้ว ข้าวต้มเจ้านี้ก็อร่อยเหมือนกันครับรู้สึกว่าจะขายอยู่ตรงข้ามกับร้านปาท่องโก๋นั่นแหละ ต้องชมเจ้าจอมมันนะเนี่ยที่เลือกอาหารได้ถูกปากผมตลอดเลย



ผมมองข้อความที่อิงค์ส่งมาให้หลังจากผมล้างถ้วยเรียบร้อยแล้ว พอน้องบอกว่ามาถึงและกำลังรออยู่ข้างล่างผมก็รีบออกจากห้องเพื่อจะลงไปรับน้อง ก็คอนโดผมมันต้องใช้คีย์การ์ดเข้า ตอนนี้อิงค์ก็เลยยืนอยู่ข้างนอกคอนโดไม่สามารถเข้ามาข้างในได้เหมือนในคอนโดหลายๆที่



ออกมาก็เห็นอิงค์กำลังยืนกดโทรศัพท์อยู่หน้าคอนโดของผม ผมเลยต้องรีบเปิดประตูออกไปแล้วชวนน้องเข้ามาข้างในก่อนเพราะข้างนอกตอนนี้ร้อนเหลือเกิน



“สวัสดีค่ะพี่ยีนส์” น้องยกมือไหว้ผมเหมือนอย่างปกติทุกครั้งที่เจอกัน



“ครับ ไปข้างในก่อนเถอะตรงนี้ร้อนมาก” ผมเอามือป้องแดดที่ส่องมาถูกน้องแล้วก็พาน้องเดินเข้าไปข้างในคอนโด



“ขึ้นไปบนห้องก่อนมั้ย ไปดื่มน้ำดื่มท่าก่อน”



“พี่กำลังชวนอิงค์เข้าห้องหรอคะ?” น้องถามยิ้มๆไม่ได้จะว่าผมหรืออะไรเหมือนตั้งใจจะหยอกผมเล่นมากกว่า



“แล้วอิงค์อยากขึ้นไปบนห้องพี่หรือเปล่าล่ะ” ผมส่งสายตาเจ้าชู้ให้ น้องก็ขำๆแต่แก้มก็ขึ้นริ้วแดงจางๆ



“ก็ได้ค่ะ กำลังหิวน้ำพอดีเลย”



“งั้นไปครับ”



ผมเดินนำน้องไปที่ห้องของตัวเอง นี่พูดอยากลูกผู้ชายเลยว่าผมไม่ได้คิดจะทำอะไรน้องจริงๆก็แค่จะชวนน้องไปดื่มน้ำแค่นั้นเอง



แต่อิงค์ก็ดูไว้ใจผมเหมือนกันนะเพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่น้องมาหาผม แถมพอชวนไปกินน้ำที่ห้องก็ไปอย่างว่าง่ายไม่มีความระแวงกลัวว่าผมจะทำอะไรน้องทั้งสิ้นเหมือนน้องต้องการจะวัดใจผมล่ะมั้งว่าผมจะมีความเป็นสุภาพบุรษมากแค่ไหน



“ห้องสวยจังค่ะ”



พอเข้าห้องมาได้น้องก็มมองไปรอบๆห้องของผมอย่างตื่นตาตื่นใจ ก็ไม่ได้สวยอะไรมากหรอกครับ มันก็เป็นแนวแบบมินิมอลที่ผมชอบ น้องอิงค์ก็คงจะเป็นสายมินิมอลเหมือนกันเลยดูตื่นตาตื่นใจเมื่อเห็นห้องของผมล่ะมั้ง



“น้ำครับ” ผมยื่นน้ำให้น้อง น้องเลยละความสนใจจากห้องของผมมามองหน้าผมบ้าง



“ขอบคุณค่ะ”



“ชอบเหรอครับ?” ผมถามพร้อมกับนั่งลงบนโซฟาอีกตัวที่อยู่ถัดจากน้องอิงค์



“ชอบค่ะ สวยมากๆเลย”



พอเห็นแววตาและรอยยิ้มของน้องก็ทำให้ผมดีใจอยู่หน่อยๆที่สไตล์ห้องที่ผมเป็นคนเลือกแบบและจัดการเองมีคนชอบ



“พี่ดีใจเลยนะเนี่ย” ผมว่าแล้วหันไปยิ้มให้อิงค์ที่ยิ้มตอบผมเหมือนกัน



“อิงค์พูดจริงๆนะคะ ห้องพี่ยีนส์สวยมากจริงๆ พี่ยีนส์เป็นคนจัดการเองหมดเลยเหรอคะ?”



“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่บางอย่างก็ให้ช่างเขาทำให้ พอดีพี่ชอบห้องแนวๆนี้อยู่แล้วด้วย จริงๆที่บ้านพี่ก็ห้องประมาณนี้เลยนะ อารมณ์เหมือนได้กลับบ้านตลอดเวลาอะไรประมาณนั้น”



ผมว่าพลางขำเบาๆ เหตุผลอีกข้อที่แต่งห้องแบบนี้ก็เพื่อจะลดความคิดถึงบ้างนั่นแหละครับ เห็นผมอย่างนี้ผมก็เป็นคนติดบ้านคนหนึ่งเหมือนกันนะ



“อิงค์ก็ชอบแนวนี้เหมือนกันค่ะแต่ที่บ้านก็จัดให้เป็นแบบนี้ไม่ได้เลยเพราะต้องนอนกับพี่สาวอีกคน”



ผมมองอิงค์ที่พูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อยๆ คงจะชอบห้องของผมมากจริงๆนั่นแหละเล่นชมไม่ขาดปาก เห็นอะไรก็บอกว่าดีว่าสวยไปหมดเลย



“ส่วนคอนโดก็อยู่กับเพื่อนอีกใช่มั้ยล่ะ?” ผมถามน้องอย่างเอ็นดู มองๆดูแล้วเหมือนคุยกับลูกพี่ลูกน้องที่เป็นผู้หญิงของผมเลย



“ใช่คะ เฮ้อ...แต่ไม่เป็นไรหรอกอิงค์ว่าแบบที่อิงค์อยู่มันก็โอเคแล้วนั่นแหละแต่ถ้าได้แบบนี้ก็คงจะดีกว่า ช่างเถอะค่ะอิงค์ก็พูดไปเรื่อยแหละ” เธอว่าแล้วขำแหะๆมองมาทางผมที่มองอิงค์อยู่แล้ว “หืมม....พี่ยีนส์มองอิงค์อย่างนี้อิงค์ก็เขินแย่นะสิคะ”



“โทษครับๆมองเพลินไปหน่อย” ผมว่าแล้วยิ้มเมื่อเห็นอิงค์หน้าแดงขึ้นมา



“โธ่...พี่ล่ะก็หยอดจนอิงค์ไม่ทันได้ตั้งตัวเลย”



“ก็เห็นอิงค์เขินแล้วน่ารักดี” ผมยังว่าต่อพร้อมกับมองหน้าแดงๆของน้องไปด้วย



“พอแล้วค่ะพี่ยีนส์หยอดมากกว่านี้อิงค์จะทนไม่ไหวเอานะคะ อ้อ...” น้องเหมือนจะคิดอะไรออกก็เปิดกระเป๋าตัวเองออกมาแล้วหยิบหนังสือยื่นมาให้ผม “นี่คะหนังสือที่อิงค์ยืมพี่ไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ขอบคุณมากๆนะคะช่วยอิงค์ได้เยอะเลย”



“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นการไปกินข้าวด้วยกันดีมั้ยครับ?”



“ได้เลยค่ะ สำหรับพี่ยีนส์แล้วอิงค์เต็มใจเลี้ยงเสมอ”



“โห..ไม่ถึงต้องกับเลี้ยงพี่หรอกครับแค่ไปนั่งกินด้วยกันก็พอแล้ว” ช่วงนี้ผมเจอแต่คนเปย์ผมบ่อยจริงๆเลย



“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะถือว่าตอบแทนที่พี่ยีนส์ให้อิงค์ยืมหนังสือด้วย”



“ครับๆก็ได้ครับ งั้นเอาเป็นตอนเย็นดีมั้ยพอดีช่วงบ่ายพี่มีธุระต้องไปทำก่อนน่ะ”



“ได้ค่ะ งั้นอิงค์กลับก่อนนะคะไว้ตอนเย็นเจอกัน” อิงค์ลุกขึ้นยืนทำให้ผมต้องลุกตามไปด้วย



“ได้ครับ เอาไว้พี่โทรหาอีกทีนะ”



ผมกับอิงค์พากันเดินออกจากห้องประจวบเหมาะกับห้องตรงข้ามเปิดประตูออกมาเจอเราทั้งสองคนพอดี เจ้าจอมมันดูจะชะงักไปนิดหน่อยก่อนมันจะยิ้มตามแบบฉบับของมันขึ้นมาเหมือนปกติ



“สวัสดีครับ” มันยกมือขึ้นไหว้ผมแต่ไม่ได้ไหว้อิงค์ ก็เป็นแฟนเก่ากันนี่ครับจะให้ไปไหว้มันก็จะแปลกๆป่ะวะ



“จอมพักที่นี่เหรอ?” สรรพนามที่อิงค์ใช้เรียกเจ้าจอมมันแสดงได้ถึงความสนิทสนม



“อื้อ” มันพยักหน้าตอบ



“ไม่เห็นเคยบอกเลยว่าอยู่คอนโดเดียวกับพี่ยีนส์”



เจ้าจอมมันทำแค่ยิ้มไม่ได้ตอบอะไรอิงค์ ผมก็เลยหันไปคุยกับมันบ้าง



“ขอบใจสำหรับข้าวต้ม อร่อยดี” ผมว่าแล้วยักคิ้วให้มัน พอได้ยินอย่างนั้นไอ้เด็กตรงหน้ามันก็ยิ้มแป้น สงสัยดีใจที่ซื้ออาหารมาได้ถูกใจผม



“ไม่เป็นไรครับ แค่พี่ชอบผมก็ดีใจแล้ว” นี่ก็ขยันยิ้มให้ผมจังเลยวะ



“เออๆ”



“พี่ยีนส์กับจอมดูสนิทกันจังเลยค่ะ”



“พอดีพี่ยีนส์เป็นพี่ติวของเราน่ะ” เจ้าจอมมันตอบให้อิงค์หายข้องใจ แต่เอาจริงๆป่ะผมกับเจ้าจอมก็ไม่ได้สนิทกันอะไรขนาดนั้นป่ะวะ ช่างเถอะอธิบายไปก็คงเสียเวลาเปล่าๆในเมื่ออิงค์ก็เข้าใจอย่างนั้นไปแล้ว



“ดีจังเลยค่ะ” อิงค์ว่าแล้วส่งยิ้มให้ผมกับเจ้าจอมคนละทีก่อนที่จะเป็นผมที่ขอตัวไปส่งอิงค์ข้างล่าง ขืนเอาแต่ยืนคุยกับแบบนี้ก็คงไม่ได้กลับพอดี



“ขับรถดีๆนะครับ”



“ขอบคุณนะคะ ตอนเย็นเจอกันค่ะ”



ผมยืนโบกมือลาอิงค์ที่ขับรถออกไปแล้ว พอส่งน้องเสร็จผมก็ลากเท้ากลับห้องตัวเองเพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอกบ้าง






“กินไรมายังวะ?” ไอ้เป๋าถามขึ้นตอนที่ผมเดินมาถึงโต๊ะ



“เรียบร้อย แล้วนี่พวกที่เหลือมันยังไม่มาหรอวะ?” มองซ้ายขวาก็ไม่เห็นไอ้พวกที่เหลือ เห็นแต่ไอ้เป๋านี่แหละนั่งหน้าสลอนอยู่คนเดียว



วันนี้กลุ่มพวกผมนัดกันมาทำงานที่ห้องสมุด จำได้ว่านัดกันบ่ายโมงแต่ตอนนี้มันจะบ่ายครึ่งแล้วไอ้สี่ตัวหน้าหล่อนั่นก็ยังไม่โผล่หัวมากันสักที ไม่รู้ว่าพวกมันตื่นกันหรือยังเถอะ



“เออเดี๋ยวพวกมันก็มา เราแยกย้ายกันไปหาข้อมูลรอก่อนดีกว่า” ไอ้เป๋ามันว่าอย่างนั้นผมก็เลยพยักหน้าเห็นด้วย



“งั้นกูไปดูตรงนู้นก็แล้วกัน” ผมชี้ไปที่มุมหนึ่งไอ้เป๋ามันก็พยักหน้าตกลงจากนั้นเราก็เดินแยกกันไปหาหนังสือเพื่อนำมาทำงาน



เดินมาถึงตู้หนังสือเกี่ยวกับพวกกฎหมายผมก็ลงมือค้นหาทันทีเดี๋ยวจะเสียเวลานานแล้วงานจะไม่เสร็จ ก็กะไว้ว่าพอหาหนังสือเสร็จแล้วผมจะเห็นไอ้พวกที่เหลือมันโผล่หน้าของพวกมันมาสักที



“เจอกันอีกแล้วนะครับ”



หันไปมองตามเสียงคนพูดก็ต้องพรูลมหายใจออกมาทันที เออเจอกันอีกแล้วและเจอกันบ่อยซะเหลือเกินเลยห่ามึง ถึงเดี๋ยวนี้จะลดความไม่ชอบขี้หน้าลงแต่มันจำเป็นด้วยเหรอวะที่โลกต้องเหวี่ยงผมกับมันมาเจอกันตลอดแบบนี้



“เออ” ผมตอบไปแค่นั้นก็หันไปทำธุระของตัวเองต่อไม่ได้สนใจไอ้เจ้าจอมที่ยืนยิ้มทำหน้าหล่อข้างๆอีก



“พี่หาอะไรอยู่ครับ ผมช่วยมั้ย?”



อยากจะหันไปขอบคุณความมีน้ำใจของมันจริงๆ พ่อคุณเอ๊ย! ทำไมมึงถึงเป็นคนดีเฟรนลี่น่ารักขนาดนี้วะ ไม่แปลกใจเลยที่สาวๆจะหมายตามันหลายคน



“ไม่เป็นไร” ผมพูดพร้อมกับหันไปหามัน “แล้วมึงมาทำอะไร?”



“มาหาหนังสือครับ ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญเจอพี่ที่นี่”



มันพูดเหมือนกับว่าผมว่าหน้าตาอย่างพี่ไม่น่าใช่คนที่เข้าห้องสมุดเลยนะอะไรแบบนี้อ่ะ แต่มันกลับพูดอ้อมๆให้คนฟังแบบผมฟังแล้วดูดีขึ้นไง



“แล้ว...หาหนังสืออะไรล่ะเผื่อกูรู้จะได้บอก” ที่ถามนี่ไม่ได้พิศวาสอะไรมันขึ้นมาหรืออยากจะเป็นคนดีอะไรหรอกนะ ผมแค่อยากจะทำหน้าที่พี่ติวให้กับมันบ้างก็เท่านั้นเอง



“หนังสือเกี่ยวกับกฎหมายเอกกชนครับ พอดีผมต้องพรีเซ้นส์งานเกี่ยวกับเรื่องผู้ไม่อยู่ มาตรา48 น่ะครับ”



ผมฟังมันพูดไปพลางตาก็มองไล่หาหนังสือไปพลาง จำได้ลางๆว่าเคยเห็นหนังสือบุคคลอยู่แถวล็อคนี้เหมือนกันแต่ก็ไม่รู้นะว่าจะมีใครหยิบไปหรือยัง



“เหมือนจะไม่มีอยู่แถวนี้นะ” ผมพูดแล้วหันไปมองมันแต่พอหันไปเท่านั้นแหละก็เห็นมันกำลังมองหน้าผมแล้วยิ้มอยู่คนเดียว เป็นบ้าอะไรของมันอีกวะ “ยิ้มอะไรของมึง?”



“ไม่รู้ครับ ผมเห็นพี่หาหนังสือให้ผมอยู่ดีๆปากมันก็ยิ้มขึ้นมาเอง”



“บ้าป่ะ?” ไม่รู้ว่ามันบ้าหรือต้องการจะกวนประสาทผมกันแน่



มันไม่ได้ตอบอะไรนอกจากเอาแต่ยิ้มอยู่อย่างนั้นแล้วพอมันเมื่อยปากมันก็หยุดยิ้มแป้นแต่ก็ยังมีรอยยิ้มบางๆติดอยู่ที่ปากของมันซึ่งมันก็เป็นแบบนี้ตลอดเวลานั่นแหละสำหรับคนหน้ายิ้มอย่างมันก็ไม่แปลกอะไร



“ตรงนี้ไม่มีก็ไม่เป็นอะไรครับ เดี๋ยวผมไปหาดูล็อคอื่นก็ได้” ว่าเสร็จมันก็ทำท่าจะเดินออกไปจากตรงนี้แต่ผมก็ยกมือขึ้นมารั้งไหล่มันไว้ก่อน



“ถ้าในห้องสมุดไม่มีก็มายืมของกูได้ กูมีหนังสือวิชานี้อยู่” อยู่ดีๆวิญญาณคนดีก็เข้าสิงผมเลยทำให้พูดอะไรแบบนั้นออกไป เออแล้วทำไมวะไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ก็บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวนี้เกลียดขี้หน้าไอ้เด็กนี่น้อยลงแล้ว



“ขอบคุณนะครับพี่” เด็กมันพูดแล้วก็ยิ้มให้ผมอีก ขยันยิ้มจังเลยนะมึง



“อือ”






หลังจากพาอิงค์ไปทานอาหารเย็นเรียบร้อยผมก็ไปส่งน้องที่คอนโดจากนั้นก็แวะตลาดแถวใต้คอนโดตัวเองหาซื้อพวกฝอยทองกับเม็ดขนุนมากิน ตอนแรกก็ว่าจะซื้อมานิดเดียวแต่สงสัยหยิบเพลินไปหน่อยเลยได้ขนมสดมาหลายถุงเลย



ก่อนเข้าห้องตัวเองผมก็มาหยุดยืนที่ห้องข้างๆซึ่งมีไอ้เด็กหน้ายิ้มชอบกวนประสาทอาศัยอยู่ เคาะประตูห้องมันสองสามทีเจ้าของห้องมันก็เดินมาเปิดพร้อมกับเอาสภาพใส่แว่นหัวยุ่งๆมายืนตรงหน้าผม



“สภาพแม่งเหมือนไปรบมา ทำอะไรอยู่วะ?” ไม่ได้อยากจะถามหรอกนะแต่ปากมันก็ลั่นไปเองอ่ะ



“ทำงานครับ พอดีไม่มีหนังสือผมเลยต้องหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตแต่ไม่ค่อยมีข้อมูลเลย” มันพูดเสียงเนือยๆ



“กูบอกแล้วไงว่ากูมีหนังสืออยู่ให้มาเอาที่กู”



“ผมเคาะห้องพี่แล้วแต่พี่ไม่อยู่นี่ครับ ส่วนช่องทางติดต่อกับพี่ผมก็ไม่มี”



พูดซะผมรู้สึกผิดเลยที่ไม่อยู่ห้องจนทำให้มันไม่มีหนังสือเอาไปทำงานเลยเนี่ย



“เออๆเดี๋ยวเข้าไปเอาให้รออยู่นี่แหละ” ผมทำท่าจะเดินไปห้องของตัวเองแต่ก็คิดได้ว่าต้องเอาของกินที่ซื้อมาเยอะจนกินไม่หมดให้มันก่อน “อ่ะเอาไป...กูซื้อมาเกินเลยเอามาให้กิน”



มันมองหน้าผมแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ “ไม่ใช่ว่าตั้งใจซื้อมาให้ผมหรอกเหรอครับ”



“อะไรของมึง กูกลัวกินไม่หมดแล้วมันจะเสียต่างหากเลยเอามาให้ ไม่ได้ตั้งใจซื้อมาให้มึงเลยเหอะ” ใช่ครับผมคิดแบบนั้นจริงๆก็บอกแล้วไงว่าตอนหยิบมันหยิบเพลินจนได้ขนมมาเยอะแยะเลยเอามาแบ่งไอ้เด็กข้างห้องนี่กินดีกว่าปล่อยให้เสียใช่มั้ยล่ะ



“อ้อครับ ผมจะพยายามเชื่อก็แล้วกัน”



อยากจะยกนิ้วมาจิ้มตากับเอามือมาบีบปากของมันจริงๆจะมาทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ใส่ผมทำไมวะ ผมไม่ใช่สาวๆที่ชอบมันซะหน่อย



“เด็กเวร”



ว่าจบก็เดินเข้าห้องตัวเองไปเอาหนังสือให้กับไอ้เด็กเวรที่ผมพึ่งด่าไป เป็นบ้าหรือเปล่าก็ไม่รู้คนด่าแล้วยังจะยืนยิ้มไอ้อีก



“เอาไป” ยื่นหนังสือเล่มค่อนข้างหนาให้มันไป มันก็ยื่นมือมารับอย่างยินดีไม่วายก็ยิ้มให้ผมอีกนะ



“ขอบคุณนะครับพี่ทั้งเรื่องหนังสือ แล้วก็ขนม....” มันหยุดพูดแล้วขยับเข้ามาใกล้ผมที่ถอยหลังจนชนเข้ากับกำแพงที่อยู่ด้านหลัง ใบหน้าของมันโน้มเข้ามาใกล้ใบหูของผมก่อนจะกระซิบต่อว่า “...ที่พี่ไม่ได้ตั้งใจซื้อมา”



ผมเหลือบมองหน้ามันก่อนจะผลักอกมันให้ออกห่างจากผม ผมจิ๊ปากใส่มันพร้อมทำหน้าเอือมจากนั้นก็ยกมือขึ้นมาแล้วดีดหน้าผากไอ้เด็กบ้าแรงๆไปหนึ่งทีจนมันร้องโอดโอยยกมือขึ้นมากุมหน้าผากของตัวเองไว้



“สมน้ำหน้าไอ้เด็กเวร!”





ตอนนี้ก็ยังเรื่อยๆให้ทั้งสองคนทำความรู้จักกันไปก่อนเนอะ ส่วนอิงค์ก็เป็นอีกคนที่มีบทบาทสำคัญสำหรับสองคนนี้มากๆแต่ขออุบไว้ก่อน อิอิ
ปล. เราไปแอบเปิดนิยายเรื่องใหม่มาของฝากโต้ยเน่อออ ❖ห้วงแห่งความรัก❖

ขอบคุณสำหรับการติดตามและกำลังใจมากๆเลยน้าาา
#นิติผูกพัน
ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter (https://twitter.com/fongdue98)

:teach:


หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ขนมที่พี่ไม่ได้ตั้งใจซื้อ- 05/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-10-2018 19:07:20
มีเขินนะอีพี่.  :mew4:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ขนมที่พี่ไม่ได้ตั้งใจซื้อ- 05/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 15-10-2018 22:14:12
ตอนที่ 8

ยางแบนเป็นเหตุให้คนดีกัน



ผมยืนหัวเสียกับรถตัวเองมาเป็นเวลากว่าห้านาที ผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้รถผมยางแบนขนาดนี้ เมื่อเช้าตอนขับมาเรียนก็ยังปกติดีแต่พอตอนกำลังจะขับกลับคอนโดผมก็พบว่าล้อหน้าของรถผมแบนจนไม่รู้จะแบนยังไงแล้ว ไอ้แบนมันก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่มันจะมาแบนเอาตอนที่เพื่อนผมมันแยกย้ายกันกลับไปหมดแบบนี้ไม่ได้เว้ย



“เวรเอ๊ย! วันซวยอะไรของกูวะเนี่ย!”



ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ในไลน์กลุ่มว่าตอนนี้รถผมยางแบนต้องการเพื่อนมาช่วยด่วนๆ ส่งไปประมาณสองสามนาทีก็เป็นไอ้หมอกที่เป็นคนตอบกลับมาคนแรก



หมอก : ตอนนี้มึงอยู่ไหน?

ยีนส์ : อยู่ มอ. แม่งยังไม่ทันออกไปไหนเลยรถกูก็ยางแบนแล้ว

หมอก : เออๆรอนั่นแหละเดี๋ยวกูไปหา

ยีนส์ : ขอบใจ



ผมก็เลยเข้าไปนั่งในรถแล้วสตาร์ถรถไว้เพื่อตากแอร์ระหว่างรอไอ้หมอกมันมา หลังจากคุยกับไอ้หมอกคนอื่นๆก็พากันตอบแชท ถามว่าไปทำยังไงหรือขับอีท่าไหนถึงทำรถยางแบน ก็คือพวกมึงกูจะรู้มั้ยอ่ะ กูมารู้อีกทีล้อรถมันก็ยางแบนแล้วโว้ย



เป๋า : แล้วทำไมมึงไม่ถามล้อมึงวะว่าไปโดนอะไรมาถึงแบนขนาดนั้น

ยีนส์ : ไอ้สัด คำถามนี้คือมึงกลั่นกรองออกมาจากสมองมึงแล้วใช่มั้ย?

เป๋า : กูก็คิดอยู่นานเหมือนกันเด้อ

ยีนส์ : คำถามก็สมกับรอยหยักในสมองน้อยๆของมึงดี

เป๋า : ไอ้ห่า! ขนาดนี้แล้วมึงก็ด่าว่ากูโง่เลยเถอะ

ยีนส์ : มึงพูดเองน้าาาาา ^^



ก็ส่วนมากคนที่มากวนตีนก็จะมีแต่ไอ้เป๋ามันนี่แหละครับ คนอื่นเขาก็มีงานมีการไม่ก็มีแฟนกันไปแล้ว ส่วนมันน่ะหรอก็เป็นคนว่างๆเหงาๆไม่มีห่าอะไรให้ทำนอกจากกวนตีนเพื่อนไปวันๆนั่นแหละครับ



ผมขี้เกียจจะคุยกับมันก็เลยกดออกจากโปรแกรมแชทแล้วเข้าไปดูอะไรในเฟซบุ้คของตัวเอง เปิดเข้าไปก็พบว่ามีคนมาขอเป็นเพื่อน พอกดเข้าไปดูในแจ้งเตือนเท่านั้นแหละก็ต้องชะงักมือไว้เลยเมื่อเห็นว่าเป็นไอ้เด็กเจ้าจอม



ไม่แปลกใจหรอกถ้ามันจะหาเฟซบุ้คของผมเจอเพราะกลุ่มพวกผมทุกคนได้ลงในเพจอะไรสักอย่างของเด็กในมหา’ลัยทำขึ้นมา ในโพสต์พวกนั้นก็จะมีภาพ ชื่อและช่องทางที่จะสามารถติดตามได้ ผมจำได้เลยว่าช่วงแรกที่เพจนั้นลงภาพผม คนมาขอเป็นเพื่อนกับกดติดตามเยอะฉิบหายจนตกใจอ่ะ ผมไม่ได้รับทุกคนหรอกนะครับแค่รับๆคนที่รู้จักไว้เท่านั้นแหละ



บางทีการที่ผมเกิดมาหล่อก็อยู่ยากเหมือนกันนะเนี่ย



ผมไม่ได้รับไอ้เด็กเจ้าจอมเป็นเพื่อนทันทีแต่เลือกจะกดเข้าไปดูในหน้าโปรไฟล์มันก่อนเป็นอันดับแรก ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่คนจะกดติดตามเยอะขนาดนั้น มันก็ดังใช่ย่อยที่ไหนแถมยังเสือกเฟรนลี่ยิ้มให้คนอื่นไปทั่ว คนเขาก็เลยติดบ่วงมันได้ง่ายๆไง



หน้าทามไลน์ของมันก็มีโพสต์บ้างเพ้อบ้างตามประสา เห็นมันลงรูปล่าสุดอยู่ที่ร้านเค้กหน้า มอ. ก็รู้สึกอยากกินกาแฟขึ้นมา ถ้าจะฝากมันซื้อจะดีมั้ยวะ กลัวเสียฟอร์มเหมือนกันนะเว้ยอุตส่าห์เก๊กมาตั้งนาน เออแล้วทำไมวะคนเราจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไง ก็แค่อยากกินกาแฟแล้วฝากซื้อก็ไม่เห็นจะมีอะไรหน้าอายเลยนี่หว่า แถมกาแฟร้านนี้ก็อร่อยที่สุดและเป็นร้านโปรดของผมด้วย ฝากๆไปเหอะยังไงไอ้เด็กนี่มันก็คงจะซื้อมาให้ผมอยู่แล้วมั้ง



อย่างแรกก่อนจะฝากมันซื้อกาแฟคือผมต้องรับมันเป็นเพื่อนก่อน จากนั้นก็กดตัวเลือกส่งข้อความแล้วพิมพ์ไปหามัน



ยีนส์ : มึง อยู่ร้านเค้กหน้า มอ. ป่ะ?

เจ้าจอม : หือ...นี่ผมแปลกใจมากเลยนะที่พี่ทักผมมา ใช่ครับผมอยู่ร้านนี้

ยีนส์ : ฝากซื้อกาแฟหน่อยดิ เดี๋ยวเอาเงินให้

 เจ้าจอม : พี่ทักผมมาเพื่อสิ่งนี้ใช่มั้ยครับเนี่ย

ยีนส์ : ใช่ ทำไมฝากไม่ได้หรือไง ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

เจ้าจอม : โหยพี่...น้อยใจผมหรอ ผมแค่ถามเอง

ยีนส์ : น้อยใจที่หน้ามึงอ่ะไอ้เด็กเวร แล้วสรุปกูฝากซื้อได้ป่ะ

เจ้าจอม : ได้ครับได้ แล้วพี่จะเอากาแฟอะไรล่ะครับ

ยีนส์ : ลาเต้เย็น เอามาให้กูที่ลานจอดรถคณะ

เจ้าจอม : โอเคครับผม



ผมไม่ได้ตอบอะไรเด็กมันไปอีกก็เก็บโทรศัพท์ตัวเองใส่กระเป๋ากางเกงไว้ ตอนนี้ก็มาลุ้นกันเอานะครับว่าไอ้หมอกกับไอ้เจ้าจอมใครจะมาถึงก่อนกัน



และไม่ต้องให้ลุ้นนานไอ้เด็กหน้ายิ้มเฟรนลี่ไปทั่วก็โผล่หัวของมันมาแล้วมองซ้ายขวาเหมือนเด็กส่งยาเลยไอ้ฉิบหาย ผมก็เลยต้องรีบเดินลงจากรถตัวเองไปก่อนไอ้เด็กนี่มันจะทำตัวมีพิรุธจนคนอื่นโทรแจ้งตำรวจมาจับได้ ก็แค่เอากาแฟมาส่งมึงจะทำลับๆล่อๆทำเผือกอะไรวะ



“ถึงแล้วทำไมไม่ทักมาวะ” ผมสะกิดหลังเด็กที่ยืนหันหลังให้พร้อมพูดประโยคที่ผมสงสัยออกมา



มันหันมาหาผมพร้อมกับฉีกยิ้มตามสไตล์มันก่อนจะยื่นกาแฟที่ผมฝากมันซื้อมาให้ตรงหน้า “ก็ที่จอดรถมันก็ไม่ได้กว้างขนาดนั้นนี่ครับ”



“แล้วมึงไม่คิดบ้างหรือไงว่ากูอาจจะนั่งอยู่ในรถ”



“คิดครับ”



อ้าว...คิดแล้วทำไมไม่ทักกูมาก่อนวะ เวรกรรม..



“เออๆ ช่างแถอะ แล้วนี่กี่บาทล่ะ?” ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดก็รีบพูดเข้าเรื่องทันที



“ฟรีครับ”



“ฟรีได้ไงวะ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ



“ผมเลี้ยง”



“รวยมากหรือไง ไม่ต้อง” ผมปฏิเสธ



แค่ที่มันซื้อของกินมาให้เกือบทุกเช้าก็เกรงใจจะแย่แล้ว นี่ยังจะมาเลี้ยงกาแฟแก้วไม่กี่บาทผมอีก มันมากไป ถึงจะอ้างว่าเลี้ยงในฐานะที่ผมเป็นพี่ติว มันก็ไม่ใช่ป่ะวะ กูนี่อายเหมือนกันนะเว้ย เป็นทั้งพี่ติวทั้งพี่คณะแถมยังเป็นพี่ที่รู้จักกับพี่ชายมันอีก ยังไม่เคยเลี้ยงอะไรมันเลยด้วยซ้ำ



“ถือว่าเลี้ยงขอบคุณค่าหนังสือไงครับ” มันก็ตอบด้วยหน้ายิ้มๆอีกครั้ง



นี่ถ้าผมเป็นผู้ชายตัวบางร่างเล็กหรือเป็นผู้หญิงนะผมจะคิดว่ามันมาเปย์ผมเพราะจะจีบผมนะเนี่ยแต่มันไม่ใช่ไงกูนี่ตัวใหญ่อย่างกับควายแถมยังตัวเกือบๆเท่ามันอีกต่างหาก มันไม่มีทางพิศวาสผมแน่ๆอ่ะ วางเงินห้าบาทเลย



“ก็บอกว่าไม่ต้องไง พูดยากจังวะ” ผมขมวดคิ้วเริ่มจะรำคาญมันเต็มทน ก็คือผมอยากจ่ายก็ควรให้ผมจ่ายป่ะ แล้วเรื่องหนังสือผมก็ไม่ได้คิดว่ามันต้องมาตอบแทนอะไรด้วยซ้ำ



มันยืนมองผมเหมือนจะกดดันแต่ผมไม่มีทางยอมแพ้จึงมองมันกลับเหมือนกัน เอาดิให้มันรู้ไปว่าวันนี้ผมจะไม่ได้จ่ายค่ากาแฟของตัวเอง แม่ง! ปัญญาอ่อนฉิบหายจะฆ่ากันตายเพราะเรื่องเงินค่ากาแฟ



“เฮ้อ...ก็ได้ครับ แล้วแต่พี่” มันยกมือทำท่ายอมแพ้ “ค่ากาแฟห้าสิบบาทครับ”



ผมล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองหาเงินออกมาได้ก็ยื่นให้เด็กมัน “ไม่ต้องทอน” พอดีว่าเงินที่หยิบได้มันเป็นแบงค์ร้อย ถือว่าเป็นค่าเสียเวลาหรือค่าน้ำมันของเจ้าจอมมันไปเลย



“ขอบคุณครับ”



เออแปลก...คิดว่ามันจะปฏิเสธอีกว่าต้องทอนให้ได้แต่คราวนี้แม่งพูดง่าย อะไรของมันก็ไม่รู้ ผมก็เริ่มงงกับมันแล้วเหมือนกันครับ



“ขอบใจที่ซื้อมาให้” ว่าเสร็จก็ตั้งท่าจะเดินกลับรถของตัวเองเพื่อไปนั่งรอไอ้หมอกมันต่อ ไอ้ห่านี่ก็เหมือนกัน คือมึงขับรถมาจากต่างจังหวัดหรือไงวะทำไมถึงได้นานขนาดนี้



“เดี๋ยวครับพี่ยีนส์”



“ว่า?” หันกลับไปมองเด็กที่ยืนอยู่ข้างหลังพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามมัน



“รถพี่ยางแบนเหรอครับ?” มันชี้ไปที่ล้อรถของผมที่แบนจนน่าสงสารผมเลยพยักหน้าให้มัน “ผมช่วยมั้ยครับ?”



“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเพื่อนกูก็มา”



“ถ้างั้น...ให้ผมรอเป็นเพื่อนพี่มั้ยครับ?” มันยังคงเสนอตัวอย่างต่อเนื่อง



“กูอยู่คนเดียวได้”



“พี่จะเหงานะ” มันว่าแล้วยกยิ้มละมุน แล้วทำไมมึงต้องมายิ้มอย่างนี้ให้กูด้วยวะ ขนลุกไปหมดแล้วเด็กเวร



“เหงาบ้าบออะไรของมึง คนก็ออกจะเดินกันว่อนขนาดนี้”



“แล้วคนพวกนั้นเขาเข้ามาคุยกับพี่เหมือนที่ผมคุยกับพี่หรือเปล่าล่ะครับ” มันก็ยังคงถามต่อ อะไรของมันนักหนาวะ



“แล้วเขาจะเข้ามาคุยกับกูทำเผือกอะไรวะ ไม่ได้รู้จักอะไรกันสักหน่อย”



“นั่นไงครับ ถ้าพี่อยู่คนเดียวก็จะไม่มีเพื่อนคุยแต่ถ้าผมอยู่ด้วยพี่จะมีเพื่อนคุยนะครับ”



ผมถอนหายใจ ที่พูดอย่างนี้คือมันจะอยู่เป็นเพื่อนผมให้ได้ใช่มั้ย บางทีก็ไม่เข้าใจมันจริงๆว่าจะมาวนเวียนใกล้ๆผมแบบนี้ไปเพื่ออะไร



“ตกลงจะอยู่เป็นเพื่อนกูให้ได้ว่างั้น?” ผมถามย้ำมันอีกครั้ง



“ครับ” ตอบแบบไม่คิดห่าเหวอะไรเลย ตอบไวปานจรวดซะอีก



“เออแล้วแต่มึง” ขี้เกียจจะปฏิเสธมันแล้วเหมือนกัน



ผมส่งข้อความบอกไอ้หมอกว่านั่งอยู่แถวม้านั่งหน้าคณะ สายตาก็เหลือบมองไอ้เจ้าจอมที่กำลังนั่งมองผมอยู่ฝั่งตรงข้าม



“มองอะไร?” เพราะอึดอัดกับสายตาของมันผมเลยเลือกที่จะถามออกไปเพื่อให้มันหยุดจ้องผมสักที อีกอย่างจะได้เป็นการทำลายความเงียบเพื่อไม่ให้เกิดความอัดอัดในสถานการณ์แบบนี้ด้วย



“ผมแค่สงสัยว่าทำไมพี่ถึงดูไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่?”



“มึงเคยถามกูไปแล้ว”



“แต่พี่ก็ยังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน”



“กูไม่ได้ไม่ชอบมึง”



“อาห้ะ พี่เคยบอกว่าแค่ไม่ถูกชะตา”



“เออ”



“แล้วตอนนี้พี่เริ่มชอบผมบ้างหรือยัง?”



“ถามเหี้ยอะไรมึงวะ!”



“พี่คิดอะไรเนี่ย ผมหมายถึงว่าพี่เริ่มถูกชะตากับผมบ้างหรือยัง”



“ไม่รู้”



“ที่ผมทำดีกับพี่ไม่ใช่แค่เพราะว่าพี่เป็นพี่ติวของผมหรอกนะครับ ผมก็แค่อยากจะสนิทกับพี่แค่นั้นเอง”



“แล้วทำไมกูต้องสนิทกับมึง”



“ไม่รู้สิครับ ผมแค่รู้สึกว่าอยากรู้จักพี่ให้มากกว่านี้”



“ไอ้ห่า..พูดเหมือนจะจีบกู”



“ฮ่าๆ ได้หรือเปล่าล่ะครับ”



“หยุดคิดเลยไอ้เด็กเวร”



“ผมล้อเล่นน่า แล้วตกลงพี่เริ่มชอบผม...ไม่สิ พี่เริ่มถูกชะตากับผมบ้างหรือยังครับ”



“นิดนึง”



“โธ่...แค่นิดเดียวเองเหรอครับ”



“เออ...แล้วจะทำไมหรือจะให้กูตอบว่าตอนนี้ก็ยังเกลียดขี้หน้ามึงอยู่แบบนี้เหรอ?”



“โอเคครับๆ ผมยอมแล้ว แค่นิดนึงก็ยังดี แบบนี้ก็แสดงว่าของกินที่ผมซื้อให้ก็ไม่เสียเปล่า”



“นี่มึงซื้อของพวกนั้นเพราะหวังแบบนี้ใช่มั้ย”



“ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ครับ จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรหรอกครับผมแค่อยากซื้ออะไรให้พี่กินเพราะเห็นว่าพี่ตื่นไม่ทันทานข้าวเช้าเท่าไหร่”



“....”



“พี่รู้ใช่มั้ยล่ะครับว่ามื้อเช้าน่ะสำคัญที่สุด”



“....”



“ดังนั้นผมคิดว่าถ้าพี่ได้กินมื้อเช้าก็คงจะอารมณ์ดีแล้วก็จะใจดีกับผมแบบนี้ไงล่ะครับ”



“เออขอบใจสำหรับความเป็นห่วงที่หวังผลของมึงมากๆ”



“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ”



กว่าไอ้หมอกจะมาผมกับไอ้เจ้าจอมก็คุยกันจนคอแหบคอแห้งลำบากให้ต้องไปหาซื้อน้ำมากินกันอีก ก็นะยิ่งได้คุยกับเด็กมันก็ยิ่งรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่อีกอย่างผมก็รู้สึกสบายใจเหมือนกันที่มีคนคุยด้วยแบบนี้ อ๊ะๆนี่กูไม่ใช่คนไม่มีเพื่อนหรืออะไรนะครับ ผมแค่หมายถึงเรื่องบางเรื่องก็คุยกับเพื่อนไม่ได้เท่านั้นเอง



“แล้วสรุปมึงไปไหนมาตั้งนาน?” ผมถามไอ้หมอกที่กำลังยืนพิมพ์โทรศัพท์ยิกๆระหว่างรอช่างเปลี่ยนล้อให้



“ก็ไปส่งน้องแต่รถติดนิดหน่อยก็เลยมาช้า”



“ไอ้ห่า ไม่นิดละนานฉิบหาย”



“เออ โทษทีว่ะ”



“ไม่เป็นไร ก็ดีกว่ามึงไม่มาล่ะนะ”



มันพยักพเยิดไปทางไอ้เด็กเจ้าจอมที่ยืนอยู่ไกลๆ “แล้วนี่มึงมาอยู่กับน้องมันได้ไง?”



“กูฝากมันซื้อกาแฟมให้มันก็เลยอาสารอมึงเป็นเพื่อนกู”



“ได้ข่าวว่าตอนแรกไม่ชอบน้องมัน”



“นิดหน่อย แต่ตอนนี้ก็เริ่มโอเคละ”



“ดีแล้วไอ้ห่า น้องก็ดูจะนิสัยดียังจะไม่ชอบน้องเขาอีก”



“รู้แล้วน่า แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่ามันนิสัยดี พูดเหมือนกับรู้จักกับมัน”



“กูเดาเอา มึงคิดดูดิว่าใครที่ไหนมันจะซื้อกาแฟแล้วถ่อมาให้มึงถึงที่นี่ แล้วกูก็ดูออกด้วยว่าน้องมันรู้ว่ามึงไม่ค่อยชอบขี้หน้าน้องมันใช่มั้ยล่ะ เนี่ยถ้ากูเป็นน้องกูไม่ซื้อมาให้แดกหรอกกาแฟอ่ะ ไม่ชอบกูยังจะสั่งให้ซื้อของมาให้อีก โคตรเหี้ย!”



“อ้าว? ไอ้สัดหมอก นี่กูเพื่อนมึงไง”



“เออก็เพื่อนกูนี่แหละ กูแค่พูดให้มึงคิด” มันท้าวเอวมองผมก่อนจะว่าต่อ “แล้วกูก็อยากรู้เหลือเกินว่าน้องมันไปทำอะไรให้มึงถึงไม่ชอบน้องขนาดนั้น ไหนว่ามา?”



“มึงก็รู้ว่ากูไม่อยากได้น้องติว”



“แล้วยังไง?”



“ก็ไม่ไงอ่ะ ก็กูไม่อยากได้กูก็เลยไม่ชอบมัน”



“นี่อ่ะนะคือเหตุผลของมึง” มันเหมือนจะเริ่มหมั่นไส้ผมขึ้นมา ผมก็เลยทำหน้าหงอๆเผื่อเพื่อนจะสงสาร เวลาไอ้หมอกดุโคตรน่ากลัวฉิบหายเลยครับ



“อือ...โธ่มึงอย่าดุกูสิวะ”



“กูไม่ได้ดุกูแค่อยากให้มึงคิด ไอ้เป๋ามันเล่าให้กูฟังว่าช่วงหลังๆมานี้น้องก็ซื้อของกินมาให้มึงทุกเช้า บางครั้งมันก็คอยช่วยเหลือมึงเรื่องเล็กๆน้อยๆทั้งที่มันไม่ต้องทำก็ได้ แล้วอย่างนี้มึงยังจะไม่ชอบน้องมันอีกเหรอวะ”



“รู้แล้วน่า กูก็เริ่มทำดีกับมันแล้วนี่ไง”



“ไม่ใช่ว่าทำเฉพาะแค่วันสองวันหรอกนะ”



“ครับๆกูก็เริ่มรู้สึกผิดเหมือนกันนะไอ้ห่า น้องมันก็ดีขนาดนี้แล้วกูก็จะเลิกเมินมันแล้ว”



“ดี”



“ไอ้ห่าเอ๊ย! ดุอย่างกับพ่อกู”



“คนอย่างมึงนะถ้าไม่มาดุแบบนี้ก็คงคิดไม่ได้”



“ไหนว่าไม่ได้ดุ”



“ขี้เกียจจะคุยกับมึง”



“อ้าวไอ้เวร!”



พอช่างเปลี่ยนล้อให้ผมเรียบร้อยไอ้หมอกมันก็กลับไปพร้อมช่าง ตอนนี้ก็เลยเหลือผมกับไอ้เจ้าจอมยืนอยู่ด้วยกันสองคน



“แล้ว...รถมึงล่ะ?”



“อ๋อ รถผมอยู่ที่ร้านเค้กหน้า มอ.ครับ”



“แล้วเมื่อกี้มึงมายังไง?”



“ติดรถเพื่อนเข้ามาครับ”



“อือ งั้นก็ขึ้นรถเดี๋ยวไปส่ง”



“ครับ”



ระยะทางจากคณะผมมาถึงหน้า มอ.ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็มาถึง เจ้าจอมมันปลดเข็มขัดนิรภัยออกก่อนจะหันมาไหว้ขอบคุณ



“ขอบคุณนะครับพี่”



“อืม ไม่เป็นไร”



“งั้นผมไปนะครับ”



ผมเม้มปากรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก สายตาก็มองไปที่เจ้าจอมที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ



“เดี๋ยว!” ผมเรียกมันไว้



 มันหันหน้ามาหาผมพร้อมกับตั้งคำถาม “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”



“คือที่มึงถามกูว่ากูเลิกไม่ถูกชะตามึงหรือยัง จริงๆแล้ว...” ผมอึกอักก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป “กูแค่รู้สึกผิดหวังที่ได้มึงเป็นน้องติว เฮ้ยๆไม่ใช่ว่ามึงไม่ดีนะเว้ย คือกูอะไม่อยากได้น้องติวตั้งแต่แรกแล้วไง พอกูได้กูก็เลยหวังว่าจะได้น้องติวที่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายตัวเล็กๆน่ารักงี้ แต่ก็นั่นแหละมึงก็รู้ว่ากูไม่ได้...มันก็เลยรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยเลยทำให้กูพาลไม่ชอบขี้หน้ามึงไปด้วย”



“อ่า...ผมพอจะเข้าใจครับ”



“อือ นั่นแหละกูก็เลยอยากจะขอโทษมึงที่ก่อนหน้านี้เคยทำไม่ดีแล้วก็พูดไม่ดีด้วย”



“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรอยู่แล้วแต่ผมก็ดีใจนะที่ได้มาเป็นน้องติวของพี่”



“มึงพูดแบบนี้กูรู้สึกผิดเลยว่ะ”



“ฮ่าๆ พี่ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ” มันยื่นมือมาลูบที่บ่าผมเบาๆ “เอาเป็นว่าหลังจากนี้พี่ก็ต้องใจดีกับผมให้มากๆหน่อยนะครับ เริ่มจากเย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันมั้ยครับ?”



“ไอ้เวร...”



“ว่ายังไงครับ”



“เออๆ มาเคาะห้องก็แล้วกัน”



“ครับ งั้น...ผมขอโทรศัพท์พี่หน่อย”



ผมมองมันที่แบมือมาตรงหน้าก่อนจะล้วงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงให้ “ทำอะไร?”



มันไม่ได้ตอบนอกจากยิ้มอยู่คนเดียวแล้วกดมือถือผมสักพักมันก็คืนมาให้ผม



“นี่เบอร์ผมนะครับ”  แล้วมันก็เอาโทรศัพท์ตัวเองออกมากดก่อนจะโชว์ให้ผมดู “ผมเมมเบอร์พี่ไว้เรียบร้อยแล้วนะ ถ้ายังไงเดี๋ยวโทรหานะครับ”



“เออ ลงไปได้ละ” ผมรีบไล่มันเพราะจู่ๆก็รู้สึกประหม่ายังไงก็ไม่รู้



“ครับ ขับรถดีๆนะครับพี่”



“อือ”






ไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องมันเอื่อยๆไปหรือเปล่าถ้าใครรู้สึกว่ามันเอื่อยหรือไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่บอกกันได้เด้อเราจะได้ปรับปรุง

ขอบคุณสำหรับการติดตามและกำลังใจมากๆเลยน้าาา
ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter (https://twitter.com/fongdue98)

:teach:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ยางแบนเป็นเหตุให้คนดีกัน- 15/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 16-10-2018 00:42:45
ไม่เอื่อยนะคะ กำลังดีเลย จะรออ่านตอนต่อไปนะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ยางแบนเป็นเหตุให้คนดีกัน- 15/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-10-2018 01:41:42
ถึงห้องเจอเคาะประตูแน่  :hao3:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ยางแบนเป็นเหตุให้คนดีกัน- 15/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-10-2018 10:21:33
น้องจอม  :mew1:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ยางแบนเป็นเหตุให้คนดีกัน- 15/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 16-10-2018 19:12:58
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ยางแบนเป็นเหตุให้คนดีกัน- 15/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 19-10-2018 16:20:01
ตอนที่ 9

ผูกพันขึ้นอีกนิด



เจ้าจอมมันโทรมาบอกให้ผมลงไปหาที่ตลาดนัดที่อยู่ใกล้ๆคอนโดเพื่อจะมาซื้ออาหารขึ้นไปกินด้วยกันที่ห้องโดยยังไม่ได้ตัดสินใจกันเลยว่าจะไปกินห้องใคร



“แล้วทำไมถึงไม่ไปกินที่ร้านวะ?”



“อาหารที่นี่ก็อร่อยนะครับ อีกอย่างถ้าเราซื้อไปกินด้วยกันก็จะประหยัดด้วยนะพี่”



ผมคิดตามก็จริงอย่างที่มันว่า “ตามใจ”



“งั้นซื้อสักสามสี่อย่างไปกินด้วยกันนะครับ”



“อืม”



ผมกับเจ้าจอมช่วยกันเลือกอาหาร ส่วนมากมันก็จะถามผมว่าอยากกินอันนี้ไหม เอาอันนี้ไหม ผมก็ได้แต่พูดว่าแล้วแต่ มันก็หยิบให้แม่ค้าใส่ถุงแล้วจ่ายเงิน จากที่มันเคยบอกว่าจะซื้อแค่สามสี่ถุงตอนนี้ก็ปาไปเกือบจะหกถุงแล้วครับ ถ้าไม่ห้ามไว้ก่อนผมว่ามันคงจะเหมาร้านเขาไปแล้ว



“พอแล้ว ซื้ออะไรเยอะแยะ”



“อ่า..โทษทีพี่ พอดีผมซื้อเพลินไปหน่อย” มันว่าพร้อมยกมือขึ้นมาเกาหัว “พี่จะเอาอะไรอีกไหมครับ ของหวานไหม?”



“ซื้อมาแล้ว” ผมชูถุงขนมหวานให้มันดู “ซื้อมาเผื่อมึงด้วย”



มันยิ้มให้ผมก่อนจะมองถุงขนมหวานด้วยแววตาเป็นประกายเหมือนหมาได้กระดูก “ขอบคุณครับ”



“เออ ก็ต้องกินด้วยกันอยู่แล้วป่ะวะ” ผมพึมพำคนเดียวและคิดว่าไอ้เด็กตรงหน้ามันคงได้ยินถึงได้ยิ้มให้ผมแบบนั้น



“น้ำเต้าหู้ไหมครับ? วันนี้เฮียเขาเปิดนะ” มันชี้ไปที่ร้านน้ำเต้าหู้ที่อยู่อีกซีกหนึ่งของตลาด



ผมมองตามแล้วพยักหน้า “นำไปดิ”



เจ้าจอมมันเดินนำผมไปยังร้านน้ำเต้าหู้เจ้าประจำที่ผมมักจะมาซื้อบ่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้มาซื้อเองหรอกครับก็ไอ้เด็กที่เดินนำหน้าผมอยู่ตอนนี้เป็นคนอาสาซื้อมาให้ผมกินทุกเช้า ไม่รู้ว่าตอนนี้เฮียเขาจะจำหน้าผมได้หรือเปล่า อาจจะได้ลูกค้าประจำคนใหม่อย่างไอ้เจ้าจอมจนลืมผมไปแล้วล่ะมั้ง



พวกเราต้องยืนต่อคิวประมาณอีกสี่ห้าคิว อย่างว่าครับร้านขายน้ำเต้าหู้ที่นี่ก็มีอยู่ร้านเดียว ถ้าคนจะเยอะก็ไม่แปลกอะไร ระหว่างรอผมก็มองไปรอบๆตลาด เอาจริงๆคือลดความอึดอัดเวลาอยู่กับไอ้เด็กนี่มันเท่านั้นแหละ ไม่รู้สิพอได้มาอยู่กับมันสองต่อสองโดยที่ต้องทำตัวดีๆมันก็เกร็งแปลกๆเหมือนกัน



“พี่ดูอึดอัดนะครับ”



“เปล๊า! ใครอึดอัด ไม่มีเว้ย” ผมว่าลนๆ ถ้ามันไม่เชื่อก็ไม่แปลกหรอกครับ กูมีพิรุธขนาดนี้



มันยิ้มขำก่อนจะว่าต่อ “พี่ทำตัวตามสบายเถอะครับ”



“กูก็ทำอยู่นี่ไง”



“โอเคครับๆ ผมยอมพี่แล้ว”



ผมไม่ได้ตอบอะไรมันนอกจากมองนู่นมองนี่ไปเรื่อย ก็รู้สึกแหละว่าโดนไอ้เด็กเจ้าจอมมันมองมาเป็นระยะแต่ผมก็ทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่สนใจกระทั่งถึงคิวซื้อของตัวเองผมก็จัดการสั่งของที่อยากกินทันที



“เอาน้ำเต้าหู้ใส่แมงลักหนึ่งถุงครับ แล้วก็ปาท่องโก๋สิบบาท...” ผมหันไปหาเจ้าจอมก่อนจะถามมัน “มึงเอาอะไร?”



“เต้าหู้นมสดหนึ่งครับ” มันหันไปบอกเฮียที่พอฟังก็พยักหน้ารับ



“ไม่เห็นหน้านานเลยพ่อหนุ่ม” เฮียตักน้ำเต้าหู้ไปสายตาก็มองผมไปด้วย



“พอดีผมฝากน้องมาซื้อครับเฮีย”



“อ๋อ พ่อรูปหล่อคนนี้น่ะเหรอ?” เฮียบุ้ยปากมาทางเจ้าจอม



“ครับ”



“ถึงว่าล่ะทำไมเห็นพ่อหนุ่มเขาซื้อไปเยอะทุกวันเลย”



“แหะๆ” ผมยิ้มแห้งๆไม่รู้จะตอบเฮียยังไง



“คิดว่าซื้อไปกินกับแฟน”



โอ๊ย! เฮียพูดอะไรออกมาวะครับเนี่ย ทำผมขนตีนลุกไปถึงหัวเลย



“อ๋อ ซื้อให้ผมนี่แหละเฮีย พอดีน้องมันอยู่ข้างๆห้องผมน่ะครับ”



ไอ้เจ้าจอมแม่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยนอกจากเอาแต่ยืนยิ้มอย่างเดียว ไอ้เวรเอ้ย!!



ระหว่างนั้นเฮียก็ถามสัพเพเหระไปเรื่อย บ้างก็บ่นนู่นนี่ให้ผมฟัง ผมก็ตอบเออออไปกับเฮีย ดีที่ข้างหลังผมไม่มีคนต่อไม่งั้นนะโดนด่าตั้งแต่เฮียชวนคุยสามนาทีแรกแล้ว



“ทั้งหมดสี่สิบบาท”



ผมเป็นคนยื่นเงินจ่ายให้เฮียก่อนที่จะรับถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาถือไว้เอง “ขอบคุณครับ”






“ตกลงจะกินที่ห้องใคร?”



ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของผมสองคนคือการที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าเราจะกินข้าวที่ห้องใคร นี่ก็ยืนหน้าห้องกันมาตั้งนานแล้วด้วยก็ยังไม่ได้ผลสรุปสักที คือดึกป่านนี้แล้วจะได้กินข้าวกันตอนไหนวะ



“หัวก้อยกันครับ” เจ้าจอมมันว่าแล้วหยิบเหรียญออกจากกระเป๋ากางเกงของตัวเอง



“วิธีแม่งโคตรปัญญาอ่อน” ผมบ่นไปงั้นแต่ก็ยอมรับไม่ได้ว่าวิธีนี้เข้าท่าที่สุด



“ถ้าก้อยห้องพี่ ส่วนหัวห้องผม”



“อือ”



เมื่อผมตอบรับมันก็โยนเหรียญขึ้นก่อนจะเอาอีกมือมารับแล้วตะปบอีกมือลงไปเพื่อปิดเหรียญ มันค่อยๆเลื่อนมือตัวเองออกช้าๆทำเอาผมลุ้นตามมันไปด้วย ข้าวก็ไม่ต้องแดกกันแล้วครับ มายืนลุ้นเหรียญสนุกกว่า



“ก้อยครับ”



ผมมองเหรียญที่อยู่บนฝ่ามือมันก่อนจะพยักหน้ากับผลที่ออกมา ถ้าออกก้อยก็แสดงว่าต้องมากินข้าวห้องผมใช่ไหม



“แล้ววันอื่นจะมาโยนหัวก้อยแบบนี้อีกเหรอวะ?” ผมถามมันขณะที่เปิดประตูห้องของตัวเองไปด้วย



“ไม่ครับ เราก็เอาอย่างนี้สิครับง่ายดี วันนี้กินข้าวห้องพี่ส่วนพรุ่งนี้ก็กินข้าวห้องผม สลับกัน”



“อืม เข้าท่าดี”



“นี่แสดงว่าพี่ยอมกินข้าวกับผมทุกวันแล้วใช่ไหมครับ?”



ผมหันไปมองมันอย่างรวดเร็วจนคอแทบเคล็ดเลยยกมือมาบีบๆคลายเส้นหน่อย จากนั้นก็อึกอักหาเหตุผลมาตอบมัน ก็คนมันลืมตัวนี่หว่าเลยถามออกไปแบบนั้น ไม่คิดว่ามันจะถามกลับมาแบบนี้



“กูคิดว่ามันประหยัดดี ทำไม?..หรือจะไม่เอาแบบนี้ก็ได้” ผมทำโมโหกลบเกลื่อนแต่เจ้าจอมมันก็ทำเพียงมองหน้าผมแล้วยิ้มให้



“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยแค่ถามเองครับ”





“พูดมากว่ะ ไปๆไปหยิบจานในครัวมาใส่กับข้าวเลย” ทำทีเป็นไล่มันไปงั้นแหละ ไม่รู้จะพูดตอบอะไรมันแล้ว



“ครับผม” มันรับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะวิ่งแจ้นไปเอาจานในครัวตามที่ผมบอก



พอได้จานมาผมกับมันก็ช่วยกันเอาอาหารเทใส่จาน ผมเดินไปหยิบน้ำกับแก้วในครัวมาตั้งไว้บนโต๊ะกินข้าว เจ้าจอมมันเลื่อนจานที่ใส่ข้าวเรียบร้อยมาให้ผมส่วนของมันก็กำลังจะแกะออกจากถุง ผมนั่งรอจนมันจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เริ่มตักข้าวกินเงียบๆ



ระหว่างกินข้าวผมกับมันก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากนั่งกินข้าวด้วยกันเงียบๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดภาพออกเลยจนกระทั่งมันเกิดขึ้นจริงๆตรงหน้า ผมเคยคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่ได้ญาติดีกับมันแน่ๆแต่พอเวลาผันผ่านไปความคิดต่างๆของผมก็เริ่มเปลี่ยน ผมเริ่มเห็นอะไรในตัวของเจ้าจอมมันมากขึ้น มันเป็นเด็กดี เฟรนลี่ยิ้มง่ายเข้ากับคนอื่นง่ายมาก บางทีที่ผมไม่ชอบมันคงเป็นเพราะอิจฉามันล่ะมั้งที่มันมีคนเข้าหามากกว่าผมทั้งที่ผมกับมันก็หน้าตาดีไม่ต่างกันเลย ส่วนสูงก็พอๆกันดวยนะ แต่นั่นแหละมันยิ้มง่ายกว่า พูดคุยและเข้าหาง่ายกว่าก็เลยทำให้คนชอบมันเยอะ



“มองผมแบบนี้เริ่มชอบผมแล้วเหรอครับ”



อะ..กูขอเปลี่ยนทุกความคิดของตัวเองอีกครั้ง ไอ้เด็กเวรนี่แม่งกวนตีนมากๆครับ มันไม่ได้เฟรนลี่มันกวนตีนโว้ยย!!



“มึงอย่าพูดอะไรที่จะทำให้กูแดกข้าวไม่ลงขอร้องล่ะ” ผมทำหน้าปุเลี่ยนไอ้เด็กเจ้าจอมเห็นมันก็หัวเราะ



“แค่ล้อเล่นเองพี่ ดูทำหน้าเข้า”



ไอ้ห่า....มึงพูดก็พอไหม มือมึงอะไม่จำเป็นต้องยื่นมาจิ้มแก้มกูก็ได้ป่ะ แม่งคิกขุสัดๆ



ผมปัดมือมันออกก่อนจะทำหน้าดุใส่ “กวนตีน”



เสียงมันหัวเราะด้วยความชอบใจเริ่มทำให้ผมหงุดหงิดจึงยกเท้าของตัวเองไปเหยียบเท้าของมันที่อยู่ใต้โต๊ะเหมือนกันเต็มๆแรง



“โอ๊ยพี่! ผมเจ็บนะครับ” มันมองผมด้วยสายตาหมาตัดพ้อเจ้าของ



“เออก็ทำให้มึงเจ็บไง สมน้ำหน้า” พอได้ใช้ความรุนแรงแล้วก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที

“การทำร้ายร่างกายผมคือความสุขของพี่งั้นสินะครับ?”



คือแบบ...ผมว่าประโยคที่เจ้าจอมมันถามมันฟังแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ มันฟังดูจั๊กจี้อะ ไม่รู้ดิผมรู้สึกอย่างนั้นนะตอนที่ได้ยินมันถาม



“เออ จะมีความสุขมากกว่านี้อีกถ้ามึงเงียบ”



มันก็เอาแต่หัวเราะกับคำพูดของผมกระทั่งกินข้าวหมดแล้วสุดท้ายก็ยังต้องมาเถียงกันอีกว่าใครจะล้างจาน เออแม่ง...คือมันเป็นวันแรกไงครับก็เลยมีเถียงกันบ้าง ผมว่าวันต่อๆไปก็อาจจะดีขึ้นล่ะมั้งแต่เดี๋ยวนะนี่ทำไมผมต้องมาอธิบายอะไรแบบนี้ด้วยวะ มันเหมือนแบบ...คู่รักที่พึ่งคบกันอะ เวรเอ๊ย! ขนลุกไปหมดไอ้ฉิบหาย!



“เอางี้ครับ ถ้ากินห้องใคร อีกคนที่ไม่ใช่เจ้าของห้องก็ต้องล้างโอเคไหมครับ?” น้ำเสียงของมันยังคงนุ่มทุ้มน่าฟังและถ้าคนอื่นที่ไม่ใช่ผมมาฟังแบบนี้คงได้เคลิ้มกันไปข้างอะเพราะเสียงมันนุ่มมากจริงๆ



“แล้วทำไมไม่ให้เจ้าของห้องล้างไปเลยจะได้จบๆ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ เวลากินเสร็จก็ทิ้งจานไว้ให้เจ้าของห้องล้างแล้วก็แยกย้ายกลับห้องตัวเองมันก็ง่ายกว่าหรือเปล่าวะ



“ผมคิดว่าแบบที่ผมเสนอดีกว่านะครับ”



“ของกูง่ายกว่า”



“แต่ของผมเจ้าของห้องไม่ต้องเหนื่อยนะครับ”



“ยังไง?”



“ก็เจ้าของห้องต้องเช็ดโต๊ะแถมยังให้ใช้ห้องกินข้าวอีกไงครับ ถ้าอีกคนล้างจานมันก็คงจะดีกว่า เหมือนเวลาผมไปกินข้าวห้องเพื่อน ผมก็ต้องล้างจานให้เพื่อนประมาณนี้มั้งครับ”



“ไม่เห็นจะเข้าใจ กูว่าเอาแบบกูง่ายสุดๆแล้ว”



มันส่ายหน้าก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเหรียญออกมาอีกครั้ง ไอ้ฉิบหาย! เวลาที่ตัดสินใจไม่ได้คือต้องโยนเหรียญกันตลอดเลยหรือไงวะ



“เอาเหมือนเดิมพี่ก้อย ผมหัว”



ผมพยักหน้า ไหนๆก็เล่นกับมันมาตั้งแต่แรกแล้ว ครั้งนี้จะเล่นกับมันอีกหน่อยจะเป็นไรไป



ครั้งนี้เจ้าจอมมันหมุนเหรียญบนโต๊ะ ผมมองเหรียญกลิ้งหลุนๆด้วยความลุ้นสุดโต่งก่อนจะถอนหายใจเมื่อผลออกมาเป็นหัวแสดงว่าข้อเสนอที่เจ้าจอมพูดคือสิ่งที่เราต้องทำตาม



“ชัดเจนนะครับ” มันว่าแล้วยิ้มพร้อมเก็บเหรียญใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง



“เออ”



ไม่รู้มันจะหัวเราะอะไรหนักหนา ผมก็เลยได้แต่มองค้อนใส่มันแล้วมองไอ้เจ้าจอมมันเก็บจานชามไปล้างในครัวส่วนผมก็ไปหาผ้ามาเช็ดโต๊ะให้สะอาดแล้วไปยืนพิงกำแพงห้องครัวมองไอ้เด็กเจ้าจอมมันล้างจาน



นี่ไม่ได้อยากมายืนตรงนี้เลยนะครับอย่าเข้าใจผิด ผมก็แค่กลัวมันจะทำจานชามผมแตกเท่านั้นแหละเลยต้องมายืนดู



“แอบมองผมบ่อยจังเลยนะครับเดี๋ยวนี้”



กูว่าไอ้เด็กห่านี่มันต้องมีตาหลังแน่ๆครับเชื่อผมดิ ผมก็ว่าตัวเองยืนมองมันเงียบๆแล้วนะทำไมมันถึงรู้ได้วะว่าผมยืนอยู่ข้างหลังมัน



“หลงตัวเองฉิบหาย” ไหนๆมันก็รู้แล้วว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ผมก็เลยเดินไปดูมันล้างจานใกล้ๆสักหน่อย



“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่?” มันหันหน้ามาถามผมที่ยืนอยู่ข้างๆส่วนมือก็ขัดๆจานให้สะอาดไปด้วย



“เปล่าก็แค่มาดู”



“ไม่ต้องกลัวผมจะทำแตกหรอกครับ”



“เออรู้ก็ดี ถ้าทำแตกกูแดกหัวมึงแน่”



“โหดจังเลยครับ”



มีใครเคยบอกมันไหมครับว่ามันน่ะทำหน้าตาตอแหลได้กวนตีนที่สุดในโลกแล้ว



หลังจากล้างจานเสร็จผมก็แบ่งของหวานใส่ถุงให้เจ้าจอมมันไปกินที่ห้องเพราะว่ามันมีงานต้องทำต่อเลยอยู่กินด้วยกันที่ห้องผมไม่ได้ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยื่นถุงขนมที่แบ่งให้มันเรียบร้อยให้ไอ้เด็กเฟรนลี่ มันก็รับถุงไปถือไว้ก่อนจะพูดกับผม



“ขอบคุณนะครับพี่”



“ขอบคุณทำไมยังไงก็ช่วยกันออก”



“ผมไม่ได้ขอบคุณเรื่องนี้ครับ ผมขอบคุณเรื่องที่พี่ใจดีกับผมต่างหากล่ะ” มันว่าแล้วยิ้มพร้อมยักคิ้วให้ผมอีกสองจึก



“เออๆ กลับห้องมึงได้แล้วยืนยิ้มอยู่ได้” ผมโบกมือไล่มัน อยากอาบน้ำเต็มทนแล้ว

“ครับ ฝันดีนะครับพี่”



“เออดี”



มันโบกมือลาผมพร้อมกับยิ้มให้ตามแบบฉบับของมัน ผมทำหน้าละอาแต่ก็อดกระตุกมุมปากขึ้นนิดหน่อยตอนเห็นมันส่งยิ้มกว้างมาให้ จากนั้นต่างคนก็ต่างปิดประตูแยกย้ายเข้าห้องใครห้องมัน



เฮ้อ...เหลือเชื่อเลยว่าจะมีวันนี้...แม่งโคตรประหลาด







ผมกับเจ้าจอมยังคงแวะเวียนสลับกินข้าวห้องผมบ้างห้องมันบ้างมาประมาณหนึ่งอาทิตย์แล้ว ก็ดีครับแม้บางครั้งจะโดนมันกวนประสาทไปบ้างแต่คนอย่างผมน่ะไม่ยอมให้มันกวนอยู่ฝ่ายเดียวหรอก พอมันกวนผมก็จะด่าไม่ก็จะเอาคืนอะไรมันสักอย่างมันจะได้เงียบๆบ้างแต่ก็ดูมันไม่ค่อยจะสำนึกเท่าไหร่และดูเหมือนว่ายิ่งผมโมโหมันก็ยิ่งจะกวนตีนผมขึ้นไปอีก



“จะมีวันไหนไหมที่มึงจะเลิกกวนประสาทกูห้ะไอ้เด็กห่านี่!”



“พี่พูดเพราะๆกับผมสักประโยคสิครับแล้วผมจะเป็นเด็กดี”



“สัด! แค่คิดผื่นก็ขึ้นปากกูแล้ว” ผมว่าแล้วลูบขนแขนที่เริ่มชูชันขึ้นด้วยความขนลุก มันแม่งชอบกวนผมด้วยการพูดเสียงนุ่ม ยิ้มหวานๆแล้วยื่นหน้ามาใกล้จนรู้จมูกจะบานติดกันอยู่แล้ว



“ผมรู้น่าว่าพี่เขิน ไม่เป็นไรนะครับผมจะรอฟัง ผมเชื่อว่าสักวันพี่ต้องพูด”



ดูมันครับดูมันยิ้ม เวรเอ๊ย! คิดว่ายิ้มหวานๆที่ชอบใช้กับคนอื่นจะใช้ได้ผมกับผมเหรอวะ ไม่มีทางหรอกเว้ย! ผมไม่มีทางหลงไปกับคารมมันแน่ๆ มีแต่เห็นแล้วอยากเอามือมาบีบปากมันให้มันหุบยิ้มนี่แหละครับ



อะ...ว่าแล้วก็ขอทำหน่อยเถอะ หมั่นไส้มันฉิบหาย!



“อื้ออี้อ๋มเอ็บ” มันว่าเสียงอู้อี้พอผมได้ยินก็หัวเราะใส่



“ทีนี้จะเงียบได้ยัง?” ก็ลองมันไม่เงียบผมก็ไม่ปล่อยปากมันหรอก พูดมากฉิบหาย ไอ้พี่ภูมิใจมันก็ไม่เห็นจะพูดเก่งเหมือนไอ้เด็กนี่เลย แม่งความแตกต่างของสองพี่น้องคู่นี้จริงๆอะ



มันทำท่าจะส่ายหน้าแต่พอเห็นผมทำตาดุใส่มันก็พยักหน้าแล้วทำเสียงอู้อี้อีก “อื้อๆ อ๋มไอ้อู้ดแอ้ว”



ขอเวลาหัวเราะมันสามนาทีครับ ไอ้เหี้ยเอ๊ย! พูดเสียงตลกไม่พอหน้ามันก็ยังจะตลกอีก รู้งี้ผมทำแบบนี้ตั้งนานแล้วมันจะได้สงบปากสงบคำบ้าง



“ถ้ามึงพูดอีกโดนแน่”



มันลูบปากของตัวเองที่แดงเพราะโดนผมบีบป้อยๆก่อนจะมองค้อนใส่ผมที่กำลังยักคิ้วและทำหน้าเหนือกว่าใส่มัน



“พี่แม่งใจร้าย”



“กูเคยใจดีกับมึงหรือไง?”



“ก็เคยนะแต่หายาก”



“ไอ้เวร!”

“เอ้า! พอพูดความจริงก้มาด่าผมอีก เป็นอะไรครับประจำเดือนไม่มาเหรอ?” มันทำหน้ายียวนขนเท้าผมเริ่มกระตุกยิกๆ



“มึงจะแดกไหมข้าวถ้าไม่แดกก็กลับห้องไปเลย”



“โหย...พอเถียงไม่ได้ก็เปลี่ยนเรื่องไวเชียว”



“เดี๋ยวจะโดน”



“คร้าบๆกลัวแล้วคร้าบบบ”



นี่แหละครับวันๆผมก็จะต้องกลับมาสู้รับกับไอ้เด็กกวนประสาทนี่ทุกวันจนบางครั้งก็ปวดหัวเหมือนกันแต่ก็อดจะยอมรับไม่ได้หรอกว่าการที่มีมันอยู่ทำให้ผมไม่เหงาแล้วก็ไม่ต้องคอยไลน์ไปกวนประสาทเพื่อนในกลุ่มเพราะอะไรน่ะเหรอเพราะกูต้องมาโดนกวนประสาทจากไอ้เด็กเวรนี่แทนไงครับ!



โธ่...ชีวิต





ติดแท็ก #นิติผูกพัน ได้นะค้าา

ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter (https://twitter.com/fongdue98)

:teach:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ผูกพันขึ้นอีกนิด- 19/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-10-2018 17:35:52
เขินมากไหม คุณพี่  :hao3:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ผูกพันขึ้นอีกนิด- 19/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 20-10-2018 17:50:42
ตอนที่ 10

สิ่งที่แปลกใจแต่ไม่อยากรู้




“เพื่อนยีนส์ที่รัก ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้มีคนกินข้าวเย็นด้วยเหรอจ๊ะ” ไอ้เป๋าที่เพิ่งเดินกลับมาจากซื้อลูกชิ้นนั่งลงข้างๆผมก่อนจะถามคำถามที่บอกได้เลยว่าโคตรกวนตีน



“เพื่อนรักที่หน้ามึงอะแล้วจะมาจงมาจ๊ะห่าไรเดี๋ยวกูโบก” ผมยกมือทำท่าจะโบกไอ้เป๋ามันก็เอี้ยวหัวหลบแล้วหัวเราะพอใจที่กวนประสาทผมได้



เอางี้เลยครับ...ผมขอจัดให้ไอ้เป๋ากับไอ้เจ้าจอมเป็นบุคคลที่ชอบกวนประสาทผมที่สุดอันดับหนึ่งในชีวิตไปเลย แม่งไม่รู้พอได้กวนผมแล้วพวกมันจะมีความสุขอะไรกันนักหนา



“ทำไมต้องเกรี้ยวกราดใส่เพื่อน” มันทำหน้าเศร้าแกล้งตัดพ้อก่อนจะยัดลูกชิ้นเข้าปากพร้อมกันสองลูก



เห็นแล้วก็สงสารไม่ลงครับ...



“แล้วเที่ยงนี้สรุปจะไปกินข้าวที่คณะไอ้ทาวน์หรือคณะเรา?” ผมถามไอ้คินที่กดมือถือยิกๆแล้วทำหน้าบึ้งคนเดียว อะให้เดาว่าตอนนี้คงจะทะเลาะกับแฟนเด็กของมันไม่ก็ไอ้ทาวน์ไม่ยอมตอบแชท



“ไปกินกับทาวน์”



“โอเค ไปเลยไหมล่ะ?” เห็นมันทำหน้าบึ้งกว่าเดิมผมเลยคิดว่ามึงควรจะไปเจอแฟนมันได้แล้ว เดี๋ยวแม่งจะแผ่รังสีอำมหิตจนคนไม่กล้าเข้าใกล้อีก



“อือ ไปเลย”



พวกเราพากันยกโขยงมาที่คณะของไอ้ทาวน์ เดินเข้ามาในโรงอาหารก็เห็นไอ้ทิมโบกมือไหวๆให้มาแต่ไกล พอเดินเข้าไปจนถึงโต๊ะผมก็พอรู้สาเหตุที่ไอ้คินมันหน้าบึ้งทันที



เวรเอ๊ย! อาการแบบนี้หึงแฟนตัวเองกับเด็กผู้ชายที่นั่งข้างๆไอ้ทาวน์ชัวร์



“ทำไมมากันแค่สามคนอะพี่?” ไอ้ทิมมันถามก่อนจะดูดสมูทตี้โยเกิร์ตปั่นใส่ปาก



“พวกนั้นมันไปช่วยงานอาจารย์ก็เลยมากันแค่นี้แหละ” ไอ้เป๋าตอบพร้อมกับมองสิ่งที่ไอ้ทิมกินด้วยความสนใจ “มึงไปซื้อร้านไหนวะ น่ากินฉิบ”



“ร้านป้าเป็ดพี่ น้ำปั่นเด็ดทุกเมนูผมบอกเลย” ไอ้ทิมมันก็ภูมิใจนำเสนอเหลือเกิน ไม่พอยังจะดูดน้ำให้ดูอีกเพื่อยืนยันว่าน้ำปั่นอร่อยจริงๆ



“ไอ้ยีนส์ไปหาไรแดกกัน”



“ไอ้คินมึงจะแดกไร?” ผมหันไปถามไอ้คินที่เอาแต่จ้องไอ้ทาวน์ที่กำลังคุยกับน้องรหัสตัวเอง ไอ้ห่านี่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ พูดแจ้วๆจนไอ้คินมันจะจับแดกหัวอยู่แล้ว



“พวกมึงไปซื้อก่อนเลย” มันว่าแค่นั้นก็หันกลับไปสะกิดไอ้ทาวน์ที่นั่งข้างๆเพื่อเรียกร้องความสนใจ



เออ...เห็นแบบนี้แล้วก็ตลกดีเหมือนกัน



ผมปล่อยให้มันงุ้งงิ้งกับแฟนแล้วชวนไอ้เป๋ามันไปหาอะไรกิน หิวไม่ไหวแล้วเหมือนกันครับยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าเพราะวันนี้ไอ้เจ้าจอมมันตื่นสายเนื่องจากมันพึ่งได้นอนตอนตีสี่ไม่รู้ทำห่าอะไรมันอยู่ ผมก็เลยไม่ได้กินอะไรตอนเช้าเหมือนอย่างทุกวัน



“สรุปมึงจะกินอะไร?” ผมถามไอ้เป๋าที่เดินวนไปวนมาเหมือนมันเลือกไม่ถูก



“ไม่รู้ว่ะ”



“ไอ้เวร กูจะไปซื้อข้าวมันไก่แล้ว”



“เอองั้นกูไปซื้อน้ำปั่นก่อนก็แล้วกัน”



ผมกับมันแยกย้ายกันไปคนละร้าน ผมเดินมาถึงร้านข้าวมันไก่ก็ต้องยืนต่อคิวสองสามคน ร้านนี้ผมไม่เคยกินหรอกแต่ไอ้ทิมมันบอกว่าอร่อยก็เลยมาลองกินดู อีกอย่างข้าวมันไก่เป็นอาหารที่ทำไม่นานไม่ถึงห้านาทีก็ได้กินผมเลยเลือกเมนูนี้



“เอาข้าวมันไก่ผสมไก่ทอดพิเศษครับ” ผมสั่งแม่ค้าที่ยิ้มรับก่อนจะหันไปสับไก่ให้



ระหว่างยืนรอผมก็กวาดตาไปเรื่อยๆไม่ได้เจาะจงว่าจะมองอะไรแต่สุดท้ายสายตาก็ต้องมาสะดุดกับคนสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกันพลางขมวดคิ้วมุ่น



“มาอยู่ด้วยกันได้ไงวะ” ผมบ่นพึมพำแล้วมองเจ้าจอมกับอิงค์ที่กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ไม่เข้าใจว่าสองคนนั้นทำไมถึงมากินข้าวที่คณะนี้ทั้งที่ไม่ใช่คณะของทั้งสองคนเลยแต่ที่แปลกใจยิ่งกว่าคือทั้งสองคนมานั่งกินข้าวด้วยกันได้ยังไง



“ได้แล้วจ้ะ” ผมเลิกสนใจคนทั้งคู่ก่อนจะหันไปจ่ายเงินค่าข้าวแล้วหยิบจานข้าวมันไก่เดินกลับโต๊ะของตัวเองทั้งที่สมองก็ยังเอาแต่คิดว่าเจ้าจอมกับอิงค์มาอยู่ด้วยกันได้ยังไง



“ใครเหยียบตีนมึงมาทำไมทำหน้างั้นวะ?” ไอ้เป๋าเจ้าเดิมทักผมเป็นคนแรกเมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะ



“หน้ากูเป็นยังไง?” ผมถามมันกลับ



“เหมือนโดนเหยียบตีน ขมวดคิ้วทำหน้าเข้มทำเผือกไร?”



“หน้ากูเป็นแบบนั้นเหรอไอ้ทิม” ว่าพลางจ้วงข้าวเข้าปากแล้วหันไปมองไอ้ทิม



“ไม่นะพี่ พี่เป๋าเวอร์อะ ผมว่าหน้าพี่ก็ปกติป่ะ?” ไอ้ทิมมันตอบทำหน้าจริงจัง พอหันไปหาไอ้เป๋ามันก็แยกเขี้ยวใส่ไอ้ทิมอยู่



“จริงๆหน้ามึงก็ปกติแหละ ฮ่ะๆ” มันว่าแล้วขำ



“สัดแล้วจะบอกกูว่าทำหน้าเหมือนคนโดนเหยียบตีนทำไม”



“กูก็แค่เห็นน้องอิงค์มากับเจ้าจอม คิดว่ามึงจะหึงแต่ผิดคาดไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอวะ?” มันทำหน้าสงสัยจริงจัง ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนจะตอบมันไปตามที่รู้สึกจริงๆ



“ไม่อะแต่กูแค่แปลกใจนิดหน่อยที่สองคนนั้นมาด้วยกัน”



ถ้าจะบอกว่ามาเพราะเป็นแฟนเก่ากันมันก็แปลกๆป่ะวะแต่นั่นแหละจะมาด้วยกันหรือไม่มาด้วยกันผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นอะไร ถ้าเกิดอิงค์กับเจ้าจอมจะกลับมาคบกันผมก็ห้ามไม่ได้อะ ยังไงตอนนี้สถานะของผมกับอิงค์ก็ยังเป็นคนคุยที่คุยกันเหมือนพี่น้องมากกว่าและก็ยังไม่รู้เลยว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ได้มากน้อยแค่ไหน



“โธ่...ไรวะไม่สนุกเลย” ไอ้เป๋ามันทำหน้าเสียดาย คงอยากเห็นผมออกอาการมากกว่านี้ล่ะมั้ง



“เดี๋ยวกูโบก”



“เอาเลยพี่ยีนส์ผมเชียร์” ไอ้ทิมมันว่าแล้วหันไปยักคิ้วให้ไอ้เป๋าที่ตอนนี้โบกหัวไอ้ทิมเรียบร้อยแล้ว “โอ๊ย! เจ็บนะเว้ยพี่เป๋า!”



“เดี๋ยวมึงจะโดนมากกว่าโบก เอาไหมไอ้ห่า” มันว่าแล้วชี้หน้าขู่ ผมได้แต่ส่ายหัวระอาให้กับไอ้สองคนนี้ที่ชอบเล่นกันแบบนี้ประจำ



“ขอโทษคร้าบบ ผมกลัวแล้วคร้าบบ”



“ดีมากรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร หึๆ” มันทำหน้าชั่วร้ายใส่ไอ้ทิม ไอ้ทิมมันก็ทำท่าทางกลัวจนน่าตบ ดูก็รู้ว่าแม่งแกล้งกลัว



ผมเลิกสนใจไอ้สองคนที่เริ่มเล่นปัญญาอ่อนกันแล้วหันไปมองไอ้คิน อืม...จริงๆผมไม่ควรหันไปมองมันเลยครับเพราะแม่งนั่งงุ้งงิ้งกับไอ้ทาวน์จนผมแทบจะกลืนข้าวไม่ลง สุดท้ายสิ่งที่ดีที่สุดก็คงเป็นการก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบๆคนเดียว



ชีวิตผมแม่งน่าสงสารเหมือนกันนะครับ...เฮ้อ!






ผมมองไอ้เจ้าจอมที่เดินผิวปากอยู่ข้างๆระหว่างเลือกซื้อกับข้าวในตลาด ไม่รู้ไปอารมณ์ดีอะไรมาถึงมีท่าทางแบบนั้น ผมก็อยากรู้นะแต่ขี้เกียจถามอะก็เลยได้แต่ปล่อยๆไปแล้วนินทามันในใจแทน



“วันนี้กินอะไรกันดีครับ” มันหันมาถามผมที่เดินข้างๆมันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตามปกติ



“มึงเลือกเหอะเดี๋ยวกูไปซื้อของหวานตรงนู้นก่อน”



ผมไม่รอมันทักท้วงก็เดินแยกกับมันออกมาแล้วตรงไปที่ร้านขายขนมหวานที่ช่วงนี้ผมมาซื้อบ่อยๆ ผมเลือกนั่นเลือกนี่อยู่สักพักก็จ่ายเงินให้แม่ค้าก่อนจะเดินกลับไปหาไอ้เด็กเจ้าจอมที่กำลังเลือกซื้ออาหารอยู่



“กินข้าวด้วยกันหลายครั้งแล้วผมยังไม่รู้เลยว่าพี่ชอบกินอะไร” มันหันมามองผมที่หยุดยืนอยู่ข้างๆมัน



“จะรู้ไปทำไม?”



“ผมจะได้เลือกอาหารที่พี่ชอบถูกไงครับ”



“กูกินได้หมดแหละ รีบๆเลือกกูหิวแล้ว” ผมเร่งมันเพราะเห็นมันยังทำตัวอืดอาดไม่รีบเลือกอาหารสักที



“ครับๆ”



พอได้ของครบก็พากันเดินกลับห้อง วันนี้เป็นคิวห้องของไอ้เจ้าจอมที่เราใช้กินข้าว สภาพห้องมันก็คล้ายๆห้องผมเพราะห้องนี้เป็นห้องของพี่ภูมิใจมาก่อนการตกแต่งก็เลยไม่ต่างจากห้องผมเนื่องจากพี่ภูมิใจชอบห้องแนวเดียวกันกับผมและดูเหมือนว่าไอ้เจ้าจอมมันก็คงจะชอบห้องแนวๆนี้เหมือนกัน ตอนที่ผมเข้ามากินข้าวห้องมันในตอนแรกก็พูดอวดใหญ่เลยผมก็ได้แต่ตอบเออออไปไม่ได้บอกว่าห้องที่มันอวดเนี่ยช่างคนเดียวกันกับที่ทำห้องของผม



“เดี๋ยวผมไปเอาจานแป๊บนะครับ” มันว่าแล้วเดินไปที่ห้องครัวจากนั้นก็เดินออกมาพร้อมจานชามไว้ใส่อาหารและข้าวสวยร้อนๆ



เราช่วยกันเทอาหารใส่จานเงียบๆไม่มีบทสนทนาอะไร ถ้าพูดถึงตอนแรกที่ต้องมาอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้บอกได้เลยว่าผมอึดอัดแน่ๆแต่ตอนนี้ผมก็เริ่มจะชินเพราะเรากินข้าวด้วยกันทุกวันอีกอย่างบางครั้งผมก็ต้องมาช่วยติวไอ้เจ้าจอมในบางวิชาเลยทำให้พวกผมไม่อึดอัดเวลาอยู่ด้วยกันแล้วซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีๆมาก



“วันนี้มีแต่ของที่ผมชอบทั้งนั้นเลยครับ” มันเงยหน้าจากอาหารมามองผม “บอกไว้เผื่อพี่อยากรู้”



“กูจะอยากรู้ทำเผือกอะไร” อยู่กับมันถ้าไม่โดนมันกวนตีนวันนั้นก็คงจะเป็นวันที่โคตรแปลกมากๆแล้วล่ะครับ



มันไหวไหล่แล้วยิ้มก่อนตอบ “ไม่รู้สิครับ”



เออ...ช่างมันเถอะครับไม่ต้องไปสนใจมันหรอก คิดไปก็เหนื่อยสมองเปล่าๆผมว่าผมนั่งกินข้าวเงียบๆคนเดียวเหมือนเมื่อตอนกลางวันคงจะดีกว่าแต่ผมมีเรื่องสงสัยกับมันอยู่อะงั้นขอไม่เงียบแล้วกัน



“เมื่อเช้าทำไมถึงบอกว่าพึ่งได้นอนตอนตีสี่ ทำอะไรอยู่?”



“ดูหนังครับพอดีผมนอนไม่หลับก็เลยเปิดหนังดูเรื่อยๆมารู้ตัวอีกทีก็ตีสี่เข้าแล้ว” ผมก็นึกว่าเหตุผลของมันจะเป็นอ่านหนังสืออยู่ไม่ก็ทำงานอยู่อะไรแบบนั้น “ทำไมครับพี่เป็นห่วงผมเหรอ”



ผมมองรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของมันแล้วอยากจะยื่นมือไปบีบปากมันให้บี้ฉิบหาย “กูแค่ถามป่ะแม่งชอบมโน”



“โธ่...ก็คิดว่าเป็นห่วงกันซะอีก” มันแสร้งทำหน้าผิดหวังก่อนจะยิ้ม “แต่ผมรู้นะว่าพี่เป็นห่วงผมแต่ทำเป็นปากแข็งไปงั้นแหละ”



“แดกข้าวเงียบๆไปเลย” ผมว่าแล้วยัดช้อนของตัวเองที่ตักข้าวไว้ใส่ปากไอ้เจ้าจอมจนมันพูดไม่ได้แต่ยังจะส่งสายตาและยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ผมอีก



“มีป้อนด้วย” มันมองผมแล้วทำเป็นยิ้มแซว



“ถ้ามึงยังไม่เงียบกูจะเอากลับไปกินที่ห้องแล้วนะ!” ผมว่าอย่างโมโห แม่งชอบเล่นแบบนี้อยู่เรื่อยเลยเวลากินข้าว



“โอเคครับ ผมไม่เล่นแล้ว” ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่มันก็ยังคงมองหน้าผมที่เคี้ยวข้าวตุ้ยๆในปาก “แต่เวลาพี่เขินนี่ก็น่ามองเหมือนกันนะครับ”



“ไอ้เหี้ย!” ผมโวยวายโบกหัวมันไปทีหนึ่งเน้นๆแต่มันก็ไม่สะทกสะท้านกลับเอาแต่หัวเราะจนลั่นห้องส่วนผมก็ได้แต่ฟึดฟัดจนเจ้าจอมมันเห็นเลยเปลี่ยนจากหัวเราะมาเป็นระบายยิ้มอ่อนๆ



“ขอโทษครับไม่พูดแล้วครับ” มันว่าแล้วตักไก่ในไก่ผัดขิงมาใส่จานให้ผม “ยิ้มหน่อยสิครับพี่ หน้าบึ้งแบบนี้กินข้าวไม่อร่อยหรอกน้า”



“เรื่องของกู” ผมมองมันที่ทำหน้าเจื่อนลง มันอาจจะคิดว่าผมโกรธผมเลยพูดต่อ “แล้วกินข้าวใครเขามานั่งยิ้มกันวะ รีบๆแดกจะได้กินของหวานต่อ”



พอผมตักอาหารใส่จานให้มันบ้างมันก็ยิ้มขึ้นมาอีกรอบ



“ขอบคุณครับ” ก่อนมันจะก้มหน้าก้มตากินข้าวทั้งที่ปากยังเอาแต่ยิ้มอยู่ดี



หลังจากหมดช่วงเวลาของอาหารคาวเจ้าจอมมันก็เดินไปที่ตู้เย็นแล้วเปิดเอาขนมหวานต่างๆที่ผมซื้อมาออกมาใส่จานให้เรียบร้อย เราเปลี่ยนที่นั่งจากโต๊ะกินข้าวมานั่งกินกันบนพื้นหน้าโซฟาพร้อมกับนั่งดูละครในโทรทัศน์ไปด้วย



“พี่ชอบดูละครแบบนี้เหรอ?”



“ก็ไม่แต่ก็ดูได้”



“หรอครับ..ผมเห็นพี่ตั้งใจดูนึกว่าชอบซะอีก”



“ดูเรื่อยๆก็เพลินดี”



“แต่ผมไม่ชอบที่เขาตบตีแย่งผู้ชายกันเลย”



“อืม อันนี้กูก็ไม่ชอบ ยิ่งเสียงกรี๊ดๆนี่กูเบาเสียงโทรทัศน์แทบไม่ทัน”



“ฮ่าๆ เห็นด้วยครับ”



เราพากันคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยกระทั่งของหวานหมดก็ยังคงไม่หมดเรื่องจะคุย ผมอดที่จะแปลกใจกับตัวเองไม่ได้ว่าเปิดใจให้กับไอ้เด็กที่นั่งข้างๆมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ผมเล่าเรื่องที่ได้เจอมาให้มันฟังมันก็นั่งรับฟังและตอบรับผมเป็นอย่างดีส่วนมันก็จะพูดกวนประสาทผมบ้างหรือไม่ก็เล่าเรื่องตลกให้ฟังจนผมก็อดที่จะขำกับเรื่องที่มันเล่าไม่ได้



“แล้วที่กูบอกให้ท่องวันละห้ามาตราให้กูฟังน่ะท่องได้หรือยัง?”



“พรุ่งนี้ผมท่องได้แน่นอนครับ”



“เออกูจะรอฟัง” ผมว่าแล้วเก็บจานซ้อนกันเพื่อเอาไปล้าง “กูไปล้างจานก่อนมึงก้เอาผ้ามาเช็ดโต๊ะให้เรียบร้อยเดี๋ยวมดจะขึ้น”



“ครับผม”



ผมกับมันต่างคนต่างแยกย้ายทำหน้าที่ของตัวเอง เจ้าจอมมันเช็ดโต๊ะเสร็จก่อนเลยมาขอตัวไปอาบน้ำผมก็ไล่มันไปอาบ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องมาขอผมก็ได้ป่ะวะยังไงนี่ก็ห้องมัน พอผมล้างจานเสร็จก็คงจะกลับห้องตัวเองเลยเหมือนกัน



วางจานใบสุดท้ายลงบนชั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้าจอมเดินมาหยุดข้างๆ ผมมองมันที่กำลังมองผมอยู่อย่างไม่เข้าใจก่อนจะถาม



“มองทำไม?” ขมวดคิ้วทำหน้าดุใส่ไอ้เด็กหน้ายิ้ม



“เปล่าครับ” มันส่ายหน้าปฏิเสธแต่ยังไม่เลิกมองผมสักที



ผมเบะปากถอนหายใจ “เปล่าแล้วยังจะมองอีก”



“โธ่...มองก็ไม่ได้เหรอครับ”



“ไม่ได้โว้ยย” ผมโวยแล้วเดินนำมันออกจากครัว “กูกลับละ พรุ่งนี้เจอกัน”



มันเดินมาส่งผมที่หน้าประตู “พรุ่งนี้พี่อยากกินอะไรนอกจากปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ไหมครับ?”



“ข้าวต้มปลามาด้วยก็ดี” ผมตอบไม่ได้อิดออดที่มันจะซื้อให้



“โอเคครับ งั้นพรุ่งนี้เจอกันครับ” มันมองผมที่เปิดประตูห้องของตัวเองออก “ฝันดีครับพี่ยีนส์”



ผมพยักหน้าแล้วตอบรับ “อืม”




ชื่อตอนคือมั่วมากเวอร์

ขอบคุณสำหรับการติดตามและกำลังใจมากๆเลยน้าาา

ติดแท็ก #นิติผูกพัน ได้นะค้าา

ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter (https://twitter.com/fongdue98)

:teach:


หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -สิ่งที่แปลกใจแต่ไม่อยากรู้- 20/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-10-2018 02:37:47
มีการหึงเกิดขึ้นหรือเปล่านะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -สิ่งที่แปลกใจแต่ไม่อยากรู้- 20/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 21-10-2018 18:13:21
ตอนที่ 11

บอกคิดถึงโดยที่ไม่มีคำว่าคิดถึง




“พี่ยีนส์ผมวินิจฉัยข้อนี้ไม่ได้ ผมไม่เข้าใจ”



ผมหันกลับไปสนใจไอ้เจ้าจอมที่นั่งงุ่นง่านกับงานตัวเองอยู่นานแต่สุดท้ายมันก็ทำไม่เป็น



“ไหนเอาโจทย์มาอ่านดิ้” ผมรับโจทย์ที่มันยื่นมาให้ก่อนจะกวาดสายตาอ่านไปทีละบรรทัดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าจอมที่กำลังมองผมอยู่เหมือนกัน



“ว่ายังไงครับ?”



ผมก้มลงมองกระดาษอีกครั้งก่อนจะอธิบายโจทย์ให้มันฟัง “คือขวดอายุ17ปีใช่ไหม มันได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ซึ่งก็คือผู้แทนโดยชอบธรรมให้ประกอบธุรกิจขายหนังสือการ์ตูน พอหลังจากขายไม่นานธุรกิจมันก็รุ่งเรืองขึ้น ขวดก็เลยต้องการจะทำนิติกรรมโดยลำพังคือจะซื้อตู้หนังสือเพิ่มอีกหลายตู้ โจทย์จึงถามว่าขวดเนี่ยมันมีสิทธิจะทำเองได้ไหม”



“อ่า...ครับ” มันยังคงทำหน้างงผมเลยพูดต่อ



“มึงดูนะไอ้ขวดมันยังอายุ17ซึ่งนั่นก็หมายความว่า...?” ผมหยุดพูดแล้วมองหน้าเจ้าจอมเพื่อให้มันตอบ



“ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามมาตรา 19 ใช่ไหมครับ”



ผมพยักหน้าพูดต่อ “อืมนั่นแหละ...แล้วทีนี้มันอยากเปิดร้านขายการ์ตูนซึ่งเป็นการทำนิติกรรมอย่างหนึ่ง แต่การที่ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมได้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนนั่นก็คือพ่อแม่ จะเข้ามาตราไหนล่ะ?”



มันเปิดประมวลดูก่อนจะไล่สายตาหา “มาตรา 21 ครับ”



“ใช่ซึ่งในโจทย์ก็บอกไว้แล้วว่าพ่อแม่ยินยอม มึงคิดว่ามันจะเข้ามาตราไหน?”



“ผมไม่เข้าใจอันนี้นี่แหละ” มันยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ



ผมมองหน้ามันก่อนจะเปิดประมวลให้มันดู “มึงดู...คือโจทย์บอกว่ายินยอมแล้วก็ต้องเข้ามาตรา 27 ผู้แทนโดยชอบธรรมอาจให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ในการประกอบธุรกิจทางการค้าหรือธุรกิจอื่น ประมาณนี้เข้าใจไหม?”



“ผมขอลองทำดูก่อน”



“เออ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ค่อยถามกู”



จากนั้นมันก็ก้มหน้าก้มตาเขียนบนกระดาษ ผมก็มองไปที่กระดาษของมันแอบอ่านที่มันเขียนไปด้วย มันชะงักมือตอนกำลังจะเขียนวินิจฉัยโจทย์และไม่นานมันก็จรดปลายปากกาเขียนต่อไปเรื่อยๆกระทั่งมันหยุดเขียนแล้วเงยหน้ามามองผมพร้อมคิ้วของมันที่ขมวดมุ่นจนดูตลก



“อะไรอีกล่ะ?” ผมกลั้นยิ้มก่อนจะทำเสียงเข้มถามมัน



“แล้วตกลงจะทำได้หรือไม่ได้ครับ?”



“ก็ขวดมันได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ให้เปิดร้านขายหนังสือการ์ตูนแล้วใช่ไหมก็เลยทำให้ขวดมันบรรลุนิติภาวะในการขายหนังสือการ์ตูน ดังนั้นถ้าขวดมันต้องการจะซื้อตู้หนังสือเพิ่ม...มึงคิดว่ามันจะทำได้ไหมล่ะ?”



“ถ้าบรรลุนิติภาวะในเรื่องนี้แล้วก็แสดงว่า...ทำได้เหรอครับ”



“อืม”



“ขอบคุณครับ” มันยิ้มให้ผมก่อนจะก้มหน้าลงไปเขียนต่อ



มันเขียนอยู่สักพักก็อ่านทวนไปมาประมาณห้านาทีจากนั้นก็ยื่นกระดาษที่มันเขียนมาให้ผม ผมรับมา มองหน้ามันเพียงนิดแล้วก้มอ่านตัวหนังสือยุกยิกที่มันเขียนลงบนกระดาษ อ่านออกบ้างไม่ออกบ้างแต่ก็พอถูไถได้อยู่



“สรุปด้วย”



“อ่า..ผมลืมเลย แหะๆ” มันยิ้มแห้งก่อนจะรับกระดาษไปเขียนยุกยิกอีกครั้งจนเสร็จแล้วเอามาให้ผมดู



“ถูกแล้วสำหรับกูนะแต่อาจารย์กูไม่รู้”



“ไม่เป็นไรหรอกครับ ดีกว่าไม่มีส่ง”

เออว่ะ...ความคิดมันเข้าท่าดี ผมก็คิดแบบนี้บ่อยเหมือนกันตอนอาจารย์สั่งงานยิบย่อยแบบนี้ให้ทำ มันไม่มีคะแนนหรอกครับแต่อาจารย์จะเอาไว้ใช้เพื่อเช็คชื่อเท่านั้นแหละ



มันวางกระดาษลงบนโต๊ะก่อนจะยืนขึ้นแล้วบิดขี้เกียจไปมา ก้มหน้ามองผมที่กำลังเล่นเกมส์ยิ่งไข่ไดโนเสาร์อยู่



“พี่หิวไหมครับ?”



จะว่าไปผมก็มานั่งติวให้ไอ้เจ้าจอมที่ห้องของมันตั้งแต่บ่ายจนตอนนี้ก็เย็นย่ำเข้าไปแล้ว ระหว่างนั้นก็กินแค่พวกขนมขบเคี้ยวกับน้ำหวานนิดหน่อยแต่นั่นแหละมันไม่อิ่มหรอกครับ



“อือ ไปหาไรกินที่ตลาดเหอะ”



ว่าแล้วก็พากันเดินลงมาจากคอนโดเพื่อหาของกินประทังชีวิต ตอนแรกก็ไม่หิวมากหรอกครับแต่พอมาได้กลิ่นอาหารหอมๆในตลาดแล้วท้องก็ส่งเสียงร้องทันที



“วันนี้ซื้ออาหารที่พี่ชอบก็แล้วกันนะครับ” มันหันมาพูดระหว่างที่เรากำลังเดินไปซื้ออาหารที่ร้านประจำ



ผมไม่ได้พูดหรือปฏิเสธกับความคิดของมัน เลือกจะเดินตรงไปที่ร้านเพื่อจะได้เลือกอาหารแล้วเอาขึ้นไปกินที่ห้องเร็วๆ หิวจนไส้บิดอีกนิดนึงก็อาจจะขาดแล้วครับ



“พี่ชอบกินผัดกระเพราตับหมูเหรอครับ” เจ้าจอมมันก็ยังโผล่หน้าเข้ามาถามนู่นถามนี่ตอนที่ผมหยิบถุงอาหารแล้วยื่นให้แม่ค้า



พอผมหยิบน้ำพริกขึ้นมามันก็เอาแต่ถามว่าชอบกินอันนี้ด้วยเหรอ ผละออกไปหยิบแกงส้มมามันก็ยังคงถามคำถามเดิมอีก เหมือนเงาตามตัวเหมือนตัวเหลือบไรอะไรสักอย่างอะครับที่คอยเดินตามแล้วเกาะหลังถามอะไรเยอะแยะก็ไม่รู้ ไอ้ผมก็บ้าตามมันที่เอาแต่ตอบว่าเออๆไปซะหมดทุกคำถามเลย เอ้อเอากับมันสิ



“มึงหยุดถามสักที” เมื่อหมดความอดทนผมก็หันไปบอกมันที่ทำท่าทางกำลังอ้าปากจะถาม



“พี่รำคาญเหรอครับ ขอโทษครับ” มันทำหน้าหงอยก่อนจะยอมสงบปากสงบคำแล้วก้มหน้าลงมองพื้นเหมือนเด็กโดนแม่ดุเวลาดื้อ



ผมถอนหายใจแล้วส่ายหน้าพร้อมกระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ก็ท่าทางมันตลกจะไม่ให้ยิ้มตามได้ไงล่ะวะถึงจะบังคับให้ตัวเองไม่ยิ้มแต่มันก็ทำไม่ได้



“กูไม่ได้รำคาญ” มันทำเป็นช้อนตามองผมเหมือนเด็กแบ๊วๆเห็นแล้วอยากจะโบกหัวมันฉิบหายแต่ติดที่ว่าคนเยอะไปเลยทำไม่ได้ “แต่กูไม่มีสมาธิเลือกเฉยๆ”



ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมใจดีกับมันขนาดนี้ เอาเป็นว่าไม่ต้องหาเหตุผลหรืออะไรหรอก ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ดีแล้วผมจะได้ไม่ต้องแหกปากด่ามันตลอดเวลาหลังคุยกับมันทีไรต้องแดกยาอมแก้เจ็บคอทุกที



มันเงยหน้าแล้วฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้ผม ผมทำหน้าหน่ายหันกลับไปเลือกอาหารต่อโดยมีไอ้เจ้าจอมเดินตามต้อยๆแต่ไม่ได้ถามอะไรมากเหมือนตอนแรกแล้ว



ผมบอกแล้วไงถ้าคุยกับมันดีๆไอ้เด็กนี่มันก็เชื่อฟังอยู่แล้วแหละ



หลังจากเดินเข้ามาในห้องผมก็ไม่มีใครพูดอะไร ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเองโดยการไปหยิบจานชาน ช้อนและน้ำมาตั้งไว้บนโต๊ะกินข้าวเรียบร้อย ผมทำหน้าที่แกะอาหารลงใส่จานโดยมีเจ้าจอมมันนั่งมองอาหารตาละห้อยคงจะหิวมากล่ะครับเพราะพอผมหันไปมองมันก็เหมือนมองหมาที่รอกินอาหารกับเจ้าของขอบปากก็มีน้ำลายย้อยอยู่อีก คิดแล้วก็ตลก



“ขำอะไรครับ?” มันทำหน้างง



“ขำหมา”



ผมไม่ได้ขยายความอะไรปล่อยให้มันทำหน้างงอยู่แบบนั้นแต่เพียงไม่นานไอ้หมาตัวใหญ่ตรงหน้ามันก็ลืมเรื่องที่งงไปจนหมดสิ้นแล้วจัดการตักอาหารที่เทใส่จานเรียบร้อยแล้วเข้าปากแล้วเคี้ยวกร้วมๆ



“เหมือนจริงๆ” ผมมองมันแล้วพึมพำคนเดียวและมันคงไม่ได้ยินเพราะเอาแต่สนใจอาหารที่อยู่บนโต๊ะ



เวลาผ่านไปยังไม่ถึงไหนผมกับเจ้าจอมก็จัดการาหารบนโต๊ะไปจนหมดเกลี้ยง ผมหยิบน้ำขึ้นมาดื่นลอบมองไอ้เด็กที่นั่งตรงข้ามที่กำลังลูบท้องตัวเองป้อยๆ



“วันนี้กูไม่ได้ซื้อของหวานมา” จะบอกว่าลืมก็ได้ครับเพราะหิวมากล่ะมั้งก็เลยไม่ได้คิดว่าต้องซื้อของหวานมากินหลังจากทานอาหารคาวเสร็จ



“ไม่เป็นไรพี่ แค่นี้ก็อิ่มจนจุกแล้ว” มันว่าพลางขำออกมาเล็กน้อยและดูท่ามันจะจุกจริงๆนั่นแหละ



“เอองั้นนั่งย่อยก่อนก็แล้วกันค่อยไปล้างจาน”



“ครับ” มันรับคำไม่อิดออด



ผมกับมันนั่งย่อยด้วยกันที่โต๊ะกินข้าวระหว่างนั้นก็คุยกันเรื่องเรียนบ้าง เรื่องทั่วไปบ้างและมีเรื่องของพี่ภูมิใจแซมๆนิดหน่อยด้วยความอยากรู้ของผมเอง



“แล้วนี่พี่มึงเขาเป็นไงบ้าง?”



“ก็สบายดีครับ แต่เห็นพี่บ่นบ่อยๆว่าเจ้านายโคตรเนี๊ยบ ทำงานให้ถูกใจยากมาก” มันใส่อารมณ์ลงไปขณะพูด อยากถามเหลือเกินว่ามึงอินอะไรเบอร์นั้นไอ้เจ้าจอม



“เออกูก็เคยเห็นพี่มันมาบ่นให้ฟังอยู่ช่วงแรกๆแต่ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วพี่มึงก็ยังบ่นเหมือนเดิมเลย”



“ผมก็ว่างั้น เจ้านายพี่คงเนี๊ยบมากจริงๆ”



ผมพยักหน้าเห็นด้วยจากนั้นจึงถามมันต่อ “แล้วนี่มิดเทอมไม่มีสอบมึงจะกลับบ้านป่ะหรือยังไง?”



“น่าจะกลับครับ” มันว่าแล้วถามผมกลับ “แล้วพี่ล่ะครับ?”



“อืม...กูก็คงกลับเหมือนกัน”



“งั้นระหว่างนั้นเราก็คงไม่ได้เจอกัน” มันท่านึก “พี่คงคิดถึงผมมากแน่ๆ” ไม่พอยังพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดตัวเองอีก โว้ยย!



“เมื่อไหร่มึงจะเลิกมโนนั่นนี่คนเดียว”



“ผมพูดเรื่องจริงนะครับ”



“จริงกับผีมึงน่ะสิ”



“ฮ่าๆแต่ถ้าเอาจริงๆผมคงนึกถึงเสียงด่าของพี่มากกว่าอะ”



“เออกูก็คงเหงาปากที่มึงไม่อยู่ให้ด่าเหมือนกัน”



จากนั้นก็เกิดความเงียบระหว่างเราอย่างไม่ทราบสาเหตุ บรรยากาศกระอักกระอ่วนยังไงพิลึก ผมทำตัวเก้ๆกังๆยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆไม่ต่างจากไอ้เด็กตรงข้ามที่ก็ทำเหมือนกัน



“งั้นผม.../งั้นกู...”



จู่ๆก็เสือกจะพูดมาพร้อมกันอีก แล้วเป็นเหี้ยอะไรวะเนี่ย สถานการณ์แบบนี้โคตรอึดอัดเลย



“มึงพูดก่อนเลย” ผมโยนให้มันพุดก่อนจะได้ไม่ต้องมาแย่งกันพูดเหมือนเมื่อกี้



“งั้นผมเอาจานไปล้างก่อนนะครับ” มันว่าแล้ววางจานซ้อนๆกัน



“เออ...กูก็จะไปเอาผ้ามาเช็ดโต๊ะเหมือนกัน” ผมยืนขึ้นหันซ้ายขวาก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าจอมที่กำลังมองผมอยู่ ผมเสตาหลบก่อนจะเดินไปหาผ้ามาเช็ดโต๊ะตามที่ได้บอกมันไป



ไม่เข้าใจเลยไอ้ฉิบหายนี่ผมกับมันกำลังเป็นอะไรกันวะ



หลังจากเหตุการณ์บ้าๆที่ผมไม่สามารถอธิบายนั่นผ่านไป เจ้าจอมมันก็โบกมือลาผมหยอยๆ ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับไม่ได้พูดอะไรกับมันอีก






วันนี้ผมต้องไปวันเกิดเพื่อนเลยโทรบอกไอ้เจ้าจอมว่าไม่ต้องรอกินข้าวให้มันกินได้เลยเพราะผมมีธุระ มันก็ถามว่าไปไหนผมก็บอกว่าไปวันเกิด ไอ้เด็กนั่นก็เลยเตือนว่าอย่าดื่มเยอะเดี๋ยวจะเมาแล้วกลับห้องไม่ได้เหมือนวันนั้นอีก ผมก็ตอบเออออไป นับวันแม่งยิ่งทำตัวเหมือนผู้ปกครองผมเข้าไปทุกที ใจดีด้วยนิดหน่อยแล้วเหลิงนะมึง



“เอาเว้ย! วันนี้ไม่เมาไม่กลับ ฮู้วว!!” ไอ้เป๋าแกปากเสียงดังแล้วเดินไปชนแก้วกับคนนู้นทีคนนี้ทีผมก้จนใจจะมองตาม ไม่รู้มันรู้จักเขาหรือเปล่านะครับแต่แม่งเดินชนไปทั่วเลย



งานวันเกิดไอ้เจ้าของวันเกิดมันก็ชวนเพื่อที่มันรู้จักมามากหน้าหลายตา คนต่างคณะที่ผมไม่รู้จักก็มีเยอะพอสมควร ดีที่เลือกจัดที่บ้านของมันถ้าเกิดมาขึ้นมาจริงๆผมก็นอนค้างที่นี่เลยจะได้ไม่ต้องขับรถกลับให้อันตราย อีกอย่างถ้าไอ้เจ้าจอมมันรู้ว่าผมขับรถตอนเมามันก็คงจะมานั่งบ่นผมอีก นี่กูก็งงเหมือนกันครับว่าทำไมจู่ๆไอ้เด็กบ้านั่นมันถึงมาบ่นผมได้แล้วทำไมกูยอมให้มันบ่นวะ งงตัวเอง



“ไงมึง นั่งเงียบเหมือนหลับในเลยห่า!” ไอ้เป๋าที่เดินไปชนแก้วกับคนอื่นครบหมดเรียบร้อยแล้วเดินกลับมานั่งข้างๆผมที่นั่งกินเหล้ามองบรรยากาศไปเรื่อยๆ



“ใครมันจะบ้าเดินเพ่นพ่านเหมือนมึงล่ะวะ” ผมทำจมูกฟุดฟิด ไอ้ห่านี้เดินไปแป๊บเดียวกลิ่นเหล้าหึ่งเหมือนไปอาบมาเลยไอ้ฉิบหาย



“เขาเรียกว่าผูกมิตรกับเพื่อนใหม่โว้ย” มันตอบเสียงอ้อแอ้แต่ดูท่าทางแล้วยังไหวอยู่



“แล้วนี้ไอ้พวกนั้นมันไม่มากันหรือไงวะ” ผมถามถึงไอ้ไฟ ไอ้คิน ไอ้หมอกแล้วก็ไอ้เตอร์ที่ป่านนี้ก็ยังไม่เห็นมันโผล่หัวมาที่นี่สักทีจนเขาจะเป่าเค้กกันแล้ว



“ไม่รู้ว่ะ พวกมันก็บอกอยู่ว่าบางทีอาจจะไม่ได้มา”



ผมพยักหน้าก็พอรู้เหตุผลของมันแหละครับเพราะแต่ละคนก็มีแฟนกันแล้ว ส่วนไอ้เตอร์รายนั้นก็ต้องเปิดร้านขายสเต็กของมัน ไอ้หมอกรายนั้นก็ไม่นิยมดื่มเหล้าหรือมางานสังสรรค์แบบนี้ด้วย



“เออ แต่กูว่าสักพักก็คงจะกลับแล้วว่ะ”



“รีบกลับจังวะ”



“วันนี้เรียนตั้งแต่เช้ามึงไม่เหนื่อยหรือไงวะ กูเหนื่อยฉิบหาย ง่วงด้วยเนี่ย”



“เหนื่อยไรวะ กูเห็นมึงฟุบหลับอยู่ข้างๆกูเลย” มันว่าแล้วขมวดคิ้วไม่เข้าใจก่อนจะยกเครื่องดื่มกรอกปากตัวเองอึกๆ



“กูแค่พักสายตาเหอะสัด แล้วนี่มึงกลับไงจะกลับกับกูหรือจะยังไงกูจะได้รอ” วันนี้ไอ้เป๋ามันติดรถผมมาที่งานผมก็เลยต้องถามมันไว้ก่อนเดี๋ยวพอมันเมาแล้วจะคุยกันไม่รู้เรื่อง



“กลับพร้อมมึงก็ดี กูก็ชักจะง่วงๆตามมึงละ”



พอตกลงกันเสร็จสรรพพวกผมก็นั่งกินนั่งดื่มกันสักพักก็ตัดสินใจพากันไปขอตัวกลับกับเจ้าของวันเกิด อวยพรมันก่อนกลับอีกนิดหน่อย มันก็บ่นว่าเสียดายอยากให้อยู่ตอนเป่าเค้กก่อน พวกผมก็บอกว่าอยู่ไม่ไหวมันก็ไม่ขัดอะไรนอกจากบอกว่าให้ขับรถกลับกันดีๆ



ผมขับรถไปส่งไอ้เป๋าที่กำลงเลื้อยอยู่บนเบาะข้างกันก่อนเป็นอันดับแรก เปิดเพลงในรถฟังไปด้วยเพื่อไม่ให้เบื่อระหว่างขับแต่ผมว่าผมคิดผิดมากที่เปิดเพราะไอ้ห่าตัวข้างมันดันแหกปากกลบเสียงเพลงจนมิดเลย ไอ้เวร!



“ไอ้เป๋ามึงเงียบดิ้กูจะฟังเพลง”



“กูร้องให้ฟังก็ได้”



“มึงอย่าเรียกว่าร้อง อย่างมึงเขาเรียกว่าแหกปากแล้วสัด ร้องให้คนข้างนอกฟังด้วยหรือไงวะ”



“แหะๆเดี๋ยวลดวอลลุ่มให้ละกัน”



“สัดเงียบไปเลย”



ถึงจะบอกให้เงียบมีหรือคนอย่างไอ้เป๋ามันจะฟังนอกจากมันจะผ่อนเสียงร้องมันให้เบาลงจากในทีแรกนิดหน่อยแต่แม่งมันก็ยังดังกลบเสียงเพลงในรถอยู่ดีไง



“เออมึงร้องไปเลยนะห้ามเงียบ ถ้าเงียบกูปล่อยลงข้างถนนนี่แหละ” เมื่อห้าไม่ได้ก็ต้องปล่อยมันให้ร้องไปครับ



อีกนิดเดียวแก้วหูผมคงจะพังแล้วแต่ดีที่ขับมาส่งมันถึงห้องพอดีก่อนที่เพลงต่อไปในแทร็คจะเล่น มันยิ้มขำกับใบหน้าของผมที่คงจะแหยเกน่าดู ผมเลยโบกหัวมันไปทีข้อหาที่ทำผมปวดหูไปหมดมันเอาแต่หัวเราะก่อนจะบอกลา



“แต้งใจมากเพื่อน” ขนาดคำขอบคุณมันยังไม่เหมือนคนอื่นเลยครับ



“เออรีบๆลงไปห่า ลงไปแล้วก็อย่าเดินชนถังขยะเหมือนคราวก่อนนะสัด”



“อิอิ ไม่ชนแล้วจ้า”



ผมส่ายหน้าแต่ก็ต้องยิ้มกับสภาพมันที่เดินลงจากลงแล้วโบกมือหยอยๆให้ผม มันเดินหันหลังเข้าคอนโดตัวเองเซไปเซมากระทั่งเดินชนถังขยะจนได้ ไอ้ห่าเอ๊ย! พึ่งรับปากกูไปดิบดีสุดท้ายมึงก็เดินชน



มองส่งจนมันหายลับไปจากสายตาผมก็ขับรถกลับคอนโดของตัวเองบ้าง ไม่รู้ป่านนี้ไอ้แด็กนั่นมันจะกินข้าวหรือยัง เอ๊ะ!..แล้วผมจะไปสนใจมันทำไมวะ



ช่วงนี้ผมว่าผมแม่งแปลกพออยู่คนเดียวแบบนี้แล้วจู่ๆก็คิดเรื่องไอ้เด็กเจ้าจอมขึ้นมา อาจจะเพราะผมเจอมันทุกวันและใช้เวลาด้วยกันเลยทำให้นึกถึงมันล่ะมั้ง



ไม่น่ามีอะไรแปลกหรอก...เนอะ!






คู่นี้แต่งแบบหวานๆไม่ได้เลย ขนลุกแปลกๆ 5555

ขอบคุณสำหรับการติดตามและกำลังใจมากๆเลยน้าาา

#นิติผูกพัน
ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter (https://twitter.com/fongdue98)

:teach:


หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -บอกคิดถึงโดยที่ไม่มีคำว่าคิดถึง- 21/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-10-2018 21:30:36
สปาร์กกันแล้วสินะ   :m20: :laugh:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -บอกคิดถึงโดยที่ไม่มีคำว่าคิดถึง- 21/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-10-2018 00:59:44
อีน้องออกจะน่ารัก น่าเลิฟ แต่อีพี่ดันเห็นเป็นโฮ่ง โฮ่ง ไปได้  :katai3:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -บอกคิดถึงโดยที่ไม่มีคำว่าคิดถึง- 21/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-10-2018 10:13:39
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -บอกคิดถึงโดยที่ไม่มีคำว่าคิดถึง- 21/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: cookie8009 ที่ 28-10-2018 20:07:37
เรียนนิติฯ มาตราแรก ที่ต้องเรียน ไม่ใช่ มาตรา 4 เหรอ

สนุกดีครับ คิดว่า น้องจอมต้องเคยเห็น และแอบชอบพี่ยีนส์อยู่แน่ๆ เลย
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -บอกคิดถึงโดยที่ไม่มีคำว่าคิดถึง- 21/10/2561 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 18-01-2019 17:13:29
ตอนที่ 12

ความผูกพันกำลังทำงาน




ผ่านพ้นช่วงสอบกลางภาคไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่คณะอื่นๆสอบกัน คณะนิติอย่างพวกผมหลายคนก็พากันกลับบ้านบ้าง ไปเที่ยวบ้าง ขี้เกียจหน่อยก็นอนตีพุงอยู่ห้องสบายๆรอวันเปิดเรียน อย่างว่าแหละครับคณะนี้ไม่มีสอบกลางภาคเหมือนคณะอื่น ไปตายกันทีเดียวก็ปลายภาคนู่นเลย



“ไอ้ยีนส์มึงเห็นไอ้คินมันไหมวะ” ผมหันไปมองไอ้เตอร์ที่พึ่งเดินมาจากไหนสักแห่งก่อนมันจะมองซ้ายแลขวา คงกำลังมองหาไอ้คินมันอยู่นั่นแหละ



“เห็นเดินไปทางนั้นอยู่นะ” ชี้นิ้วไปในทิศทางที่พึ่งเห็นไอ้คินมันเดินไปก่อนไอ้เตอร์มันจะพยักหน้า



“เออขอบใจมาก”



“มึงตามหามันทำไมวะ?”



“พอดีไอ้ทาวน์มันฝากของมาให้ไอ้คินน่ะ” มันชูกระเป๋าเงินที่ผมจำได้ว่าเป็นของไอ้คินให้ผมดู



ผมพยักหน้าเข้าใจแล้วปล่อยให้มันเดินไปหาไอ้คินที่ตอนนี้ไม่รู้เดินหายหัวไปไหนแล้ว ตอนผมถามมันมันก็ไม่บอกผมหรอกนะครับว่ามันจะไปไหน ทำเป็นยืนเก๊กนิ่งๆหล่อๆแล้วก็เดินหายวับไปเลย



บางทีก็อยากจะตะโกนด่ามันฉิบหายแต่ผมก็เข้าใจนั่นแหละว่านิสัยมันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วจะไปว่าอะไรมันก็ไม่ได้อีกเลยปล่อยๆไปและทำใจให้ชินชาเท่านั้น



นี่ยังไม่รวมไอ้ไฟอีกคนนะ รายนั้นแม่งเงียบเหมือนไม่พกปากมาเรียนด้วย จะคุยทีก็แทบจะง้างปากขึ้น มันเป็นประเภทที่พูดเฉพาะที่มันอยากพูด ถ้าหากใครถามแล้วมันไม่อยากตอบมันก็จะเงียบ แรกๆก็คิดว่ามันกวนตีนนะทว่าพอคบกันมาเรื่อยๆก็เลยรู้ว่าไอ้ห่าไฟน่ะมันขี้เกียจพูดครับ



ที่จะพูดคุยรู้เรื่องหน่อยก็มีผม ไอ้เตอร์แล้วก็ไอ้หมอกนี่แหละที่คุยกับคนอื่นรู้เรื่องที่สุดแล้วถามว่าเอาไอ้เป๋าไปไว้ไหน คืออย่าเอามันมารวมกับพวกผมเลยครับ ไอ้ห่านั้นพูดเหมือนผีเจาะปากมาพูดอะ พูดอยู่ได้ทั้งวันแล้วพูดเรื่องซ้ำๆด้วยนะครับ ไอ้ห่านี่คือตัวน่ารำคาญของกลุ่มเลยก็ว่าได้ เอาเถอะถ้าขาดมันไปกลุ่มผมคงจะเงียบกันเป็นเป่าสากนั่นแหละ ถือว่ามีมันเป็นตัวสีสันแล้วกัน



เหมือนผมจะดูว่างๆนั่งนินทาคนนู้นคนนี้ไปเรื่อยนะครับ จริงๆแล้วผมก็ว่างนั่นแหละเพราะพึ่งเรียนเสร็จแต่ผมยังกลับห้องไม่ได้เพราะนัดไอ้เจ้าจอมมันไว้ พอดีมันชวนผมไปเลือกของขวัญวันเกิดให้พี่ภูมิใจ ผมเลยถือโอกาสนี้ไปเลือกซื้อของขวัญให้พี่มันด้วยเลย นี่ถ้าเจ้าจอมมันไม่มาชวนผม ผมก็คงลืมไปแล้วว่าอีกสองสามวันจะเป็นวันเกิดพี่ภูมิใจ



อย่างว่าล่ะครับไอ้ผมก็เป็นผู้ชายที่ไม่ค่อยใช้สมองจดจำวันสำคัญอะไรเท่าไหร่ ขนาดวันครบรอบแฟนคนที่ผ่านๆมาผมยังลืมเลย อย่าว่าแต่วันครบรอบเลยวันเกิดผมเองบางปีก็ยังมีลืม จนมีคนเข้ามาอวยพรในพวกโซเชี่ยลนั่นแหละถึงจะจำได้ว่าเป็นวันเกิดตัวเอง



ดีที่วันนี้อิงค์ไม่ได้ให้ผมไปรับไปส่งเหมือนหลายๆวันที่ผ่านมา ผมเลยถือโอกาสประหยัดน้ำมันและพลังงานช่วยชาติด้วยการติดรถไอ้เจ้าจอมมันมาเรียนเมื่อตอนเช้า ถือว่าโชคดีที่เด็กมันก็มีเรียนเช้าพอๆกับผม กระนั่นเลยได้อนิสงค์ตรงนี้จากมันมาด้วย



พูดไม่ทันขาดคำไอ้เด็กนั่นมันก็เดินมาหาผมพร้อมกับหอบแฮ่กๆเอามือยันเข่าอยู่ตรงหน้า ให้เดาผมว่ามันก็คงจะวิ่งมาตามประสามันนั่นแหละ



“รอนานไหมพี่” พอมันหอบเสร็จมันก็ยืนตัวตรงเหมือนเดิมก่อนจะถามผม



“ก็สักพัก” ผมตอบตามจริง ถ้าให้ตอบว่าไม่นานก็จะเป็นการโกหกอีกแต่ถ้าตอบว่านานเดี๋ยวเด็กมันก็จะขอโทษขอโพยผมใหญ่โตอีก เอาเป็นว่าผมจะตอบกลางๆแบบนี้แล้วกัน



“ขอโทษทีครับพอดีอาจารย์ปล่อยเลท”



เวลาที่ผมกับมันนัดกันไว้คือประมาณสี่โมงเพราะเลิกเรียนพร้อมกันทั้งคู่ ไอ้ผมเลิกก่อนก็เลยมานั่งรอมันก็ไม่นึกว่าอาจารย์จะเลทไปตั้งครึ่งชั่วโมงขนาดนี้



“เออไม่เป็นไร ไปกันเลยไหมล่ะ”



“ไปเลยก็ได้ครับ”






เราทั้งคู่มาถึงห้างสรรพสินค้าในเวลาต่อมา เป็นห้างทั่วๆไปที่คนมักจะมาเดินกันหลังเลิกเรียน เลิกงานหรืออะไรก็ว่าไป



วันนี้จะเรียกว่าคนเยอะก็ไม่ได้จะเรียกน้อยก็ไม่ได้อีก งั้นผมจะเรียกว่าวันนี้คนก็มีพอประมาณเหมือนอย่างทุกๆวันที่ไม่ใช่วันหยุดนั่นแหละครับ



“ไปดูตรงไหนก่อน” ผมหันไปถามมัน ถ้าให้เดินดูไปปเรื่อยๆผมว่าคงจะเมื่อยน่าดูเลยห้างกว้างขวางขนาดนี้



“ผมยังลังเลว่าจะซื้ออะไรให้พี่ดีระหว่างนาฬิกากับเนคไท” มันว่าอย่างสับสน “ผมอยากซื้อให้พี่ภูมิทั้งสองอันเลยแต่เงินผมคงไม่พอ”



เข้าใจแหละครับว่ามันอยากให้ของพี่ชายแต่คงจะมีเงินซื้อของได้เพียงแค่อย่างเดียวเลยต้องใช้การตัดสินใจพอสมควร



“เอางี้..กูซื้อเนคไทให้พี่ภูมิใจเองส่วนมึงก็ซื้อนาฬิกาให้พี่มันไป” ผมตัดสินใจให้มันเสร็จสรรพทำท่าจะเดินไปหาซื้อแล้วแค่เจ้าจอมมันรั้งผมไว้ก่อน



“เดี๋ยวพี่..”



“อะไรอีก?” ผมเลิกคิ้วถาม



“จริงๆพี่ไม่ต้องลำบากเสียเงินซื้อก็ได้ ผมซื้อให้พี่ภูมิแค่อย่างเดียวก็ได้ครับ”



“ใครบอกว่ากูลำบาก”ผมมองหน้ามันก่อนจะถอนหายใจ “กูตั้งใจจะซื้อของขวัญให้พี่มันอยู่แล้วแต่นึกไม่ออกว่าจะซื้ออะไรดี พอดีกับที่มึงก็เลือกไม่ได้เหมือนกันกูเลยคิดว่าเราก็ซื้อกันคนละอย่างก็ได้”



มันเกาหัวแกรกๆก่อนจะยิ้มแห้งส่งให้ผม “งั้นเอาแบบที่พี่ว่าก็ได้ครับ”



ผมมองมันแล้วกระตุกยิ้มมุมปากกับความคิดเองเออเองของมัน ก่อนจะถามมันอีกครั้งว่าจะไปซื้ออะไรก่อนดีระหว่างนาฬิกากับเนคไท



“นาฬิกาก่อนก็ได้พี่”



“จะไปร้านไหนก่อนล่ะ?”



“ไม่รู้สิครับ เจอร้านไหนก็คงเข้าร้านนั้นแหละ”



“แล้วเล็งยี่ห้อไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”



“ก็ดูมาบ้างครับแต่คงต้องไปดูหน้าร้านอีกทีเผื่อมีเรือนอื่นที่น่าสนใจ”



ผมกับเจ้าจอมเดินเข้า-ออกร้านนาฬิกากันเป็นว่าเล่นเพราะเด็กมันเลือกไม่ได้ พอเห็นเรือนนั้นก็ชอบ เรือนนั้นก็จะเอาอีก ผมกับมันก็เลยต้องเดินไปดูให้หลายๆร้านจนตอนนี้ผมเดินจนขาแทบลากแล้วเจ้าจอมมันก็ยังเลือกไม่ได้สักที



มันก็คงอยากจะเลือกเรือนที่ดีที่สุดให้กับพี่ชายของมันนั่นแหละแต่ผมก็อยากให้มันเห็นใจผมด้วย คือกูเดินไม่ไหวแล้วไอ้เจ้าจอม มึงหันมาสนใจกูก่อนเว้ยย!



“พี่...ไปดูร้านนั้นกัน” ผมไม่ทันได้ทักท้วงมัน เจ้าจอมก็คว้ามือผมไว้แล้วจูงเข้าไปในร้านนาฬิกาที่ดูจากตรงนี้ก็หรูใช้ได้ ยิ่งได้เข้ามาข้างในแล้วก็บอกได้เลยว่าหรูมากๆ



พนักงานเอ่ยตอบรับเราสองคนเป็นอย่างดี มีแนะนำนาฬิกาให้ย้าง เจ้าจอมมันก็ซักถามพอเป็นพิธีก่อนจะบอกว่าขอเวลาเดินดูเองก่อน



“กูไปนั่งรอตรงนั้นนะ” ผมบอกมันเพราะเริ่มเมื่อยขึ้นมาจริงๆ ขาก็แทบจะก้าวไม่ไหวแล้วถ้าให้ฝืนต่อไปคือผมต้องคลานแทนเดินแล้วล่ะครับ



“อ่า...โทษทีพี่ พี่ยีนส์ไปนั่งพักก่อนก็ได้ครับ”



ดีที่มันไม่ได้ห้ามผมไว้ ไม่งั้นผมคงจะได้ด่ามันแน่ๆ เมื่อยจะตายอยู่แล้ว



เจ้าจอมมันก็เดินเลือกนาฬิกาชี้เรือนนั้นเรือนนี้ให้พนักงานเอาออกมาให้มันดู มันเหมือนจะถูกใจหลายเรือนเลย นั่นแหละเอาเป็นว่ามันก็ยังเลือกไม่ถูกว่าจะเอาเรือนไหนดี



ไหนตอนแรกบอกว่าดูมาแล้ววะไอ้เด็กนี่...



ผมเห็นมันคุยกับพนักงานสักพักมันก็เดินมาหาผมที่กำลังมองมันอยู่ มันทำหน้าเครียดก่อนจะถอนหายใจใส่ผมตอนที่มันนั่งลงข้างๆผมแล้ว



“เป็นไงเลือกได้ยัง?”



มันส่ายหน้า “ยังเลยพี่ ผมเห็นเรือนไหนก็อยากซื้อให้พี่ภูมิใจไปหมดเลย มีแต่เรือนสวยๆ”



ผมเข้าใจนะว่าการที่ต้องเลือกของขวัญอะไรสักอย่างมันเป็นเรื่องยากมาก ยิ่งถ้าเราถูกใจสิ่งของหลายๆอย่างด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่า



“ไม่มีเรือนไหนที่ชอบที่สุดหรือไง?”



“มีนะครับประมาณสองสามเรือน”



“นั่นแหละ ก็เลือกในสองสามเรือนนั่นแหละ ชอบเรือนไหนที่สุดก็เอาเรือนนั้น”



“เลือกยากว่ะพี่”



“มา...เดี๋ยวกูช่วยเลือก” ผมที่นั่งพักจนเริ่มหายเมื่อยแล้วก็ลุกขึ้นยืน ก้มลงมองไอ้เจ้าจอมที่ทำหน้ามุ่ยเหมือนมันหงุดหงิดตัวเองที่เลือกอะไรไม่ได้สักที เห็นหน้ามันตอนนี้แล้วก็ตลกดีครับ



“เอางั้นเหรอพี่?” มันยังลังเลเหมือนไม่เชื่อในฝีมือการเลือกของขวัญของผม เห็นอย่างนี้ผมก็เลือกของขวัญเก่งเหมือนกันนะครับอย่าว่าไป



“เออน่า เชื่อมือกูได้เลย” ผมตีคิ้วให้มันเท่ๆ “รับรองพี่ภูมิใจชอบแน่ๆ”



ไอ้เด็กนี่ก็ยังลังเลไม่เลิกผมเลยจับแขนมันแล้วลากไปดูนาฬิกาอีกรอบ พนักงานก็ยิ้มสวยต้อนรับพวกผมอีกครั้ง



“ไหน...เรือนไหนที่มึงชอบที่สุด?”



พอมันได้ยินผมถามมันก็รีบชี้นาฬิกาเรือนที่มันชอบให้ผมดูทั้งสามเรือน ผมบอกให้พนักงานเอาออกมาให้ดู เขาก็เอาออกมาให้ตามที่ผมบอกไป



“สวยทั้งสามเรือนเลยใช่ไหมล่ะครับ”



อย่างที่เจ้าจอมมันว่าไว้ เลือกยากทั้งสามเรือนเลยว่ะ คือมันแตกต่างกันคนละจุด ดีไซน์ก็สวยไปคนละแบบส่วนสีก็เหมาะกับผู้ชายวัยทำงานอย่างพี่ภูมิใจทั้งสามแบบเลย ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจอมมันจะเลือกไม่ได้



“แต่กูชอบเรือนนี้นะ เหมาะกับพี่มึงดี” จากการที่ได้สนิทและได้รู้จักพี่ภูมิใจมาผมก็พอรู้รสนิยมพี่มันมาด้วยนิดหน่อย คิดว่านาฬิกาเรือนนี้ที่ผมเลือกพี่มันก็คงจะชอบไม่มากก็น้อยนั่นแหละ



“หรอครับ?” มันว่าแล้วยกขึ้นมาดูพิจารณาอีกครั้งหลังจากวางตั้งๆกันอยู่หลายรอบ



“เรือนเก่าที่กูเคยเห็นพี่มันใส่สมัยเรียนก็ประมาณนี้แหละ” ผมจำได้ลางๆว่ามีช่วงหนึ่งที่พี่ภูมิใจมันใส่นาฬิกา ไอ้เรือนที่เขาใส่ก็คล้ายๆที่ผมเลือกนี่แหละ



มันชั่งใจพร้อมกับมองสลับไปที่นาฬิกาอีกสองเรือนที่วางอยู่บนตู้กระจก ก่อนมันจะพยักหน้ายื่นนาฬิกาเรือนที่ผมเลือกไปให้พนักงาน



“เอาเรือนนี้ครับ”



“รอสักครู่นะคะ”



พนักงานเดินไปทำอะไรสักอย่าง ระหว่างนั้นพวกผมก็พากันมานั่งรอตรงที่นั่งสำหรับลูกค้าในร้าน



“มึงไม่ต้องกังวลน่า พี่มันชอบอยู่แล้วแค่เป็นมึงซื้อให้ยังไงพี่ภูมิใจก็ต้องชอบ น้องชายซื้อให้ทั้งที” เห็นหน้ามันกังวลก็อดไม่ได้หรอกครับที่จะปลอบมัน เหมือนเห็นหมาหางตกมานั่งกลุ้มใจอยู่ข้างๆเลย



“ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างที่พี่ว่าครับ”



ไม่นานพนักงานก็เรียกเราสองคนอีกครั้ง เจ้าจอมมันยื่นบัตรเงินสดให้พนักงานไปรูด พอเสร็จแล้วก็รับถุงนาฬิกามาจากนั้นก็พากันมุ่งหน้าไปซื้อเนคไทให้พี่ภูมิใจต่อ



ของผมใช้เวลาเลือกไม่นานหรอกครับ ผมก็เลือกจากลักษณะของพี่มันนั่นแหละ คนเงียบๆขรึมๆอย่างพี่ภูมิใจก็คงต้องใส่สีเข้มๆดูภูมิฐานหน่อยแค่นั้นแหละไม่ถึงครึ่งชั่วโมงผมก็เลือกได้แล้ว



กว่าจะได้กลับห้องกันก็ปาไปสามทุ่มครึ่ง ตอนอยู่ในห้างก็ไม่รู้หรอกครับว่ามืดค่ำขนาดนี้แล้ว มารู้อีกทีก็ตอนกินข้าวกันเสร็จนั่นแหละเลยพากันกลับเพราะพรุงนี้เจ้าจอมมันยังมีเรียนเช้าด้วย



“ขอบคุณมากนะพี่ที่วันนี้ไปเลือกของขวัญเป็นเพื่อนผม”



“เออ ยังไงกูก็ต้องซื้อให้พี่ภูมิใจอยู่แล้ว”



“อ่า..ครับ”



“แล้วมึงจะเอาไปให้พี่มันวันไหนล่ะ?”



“น่าจะเป็นวันเสาร์นี้น่ะครับ พี่ไปด้วยกันไหม?”



ผมนิ่งคิด จริงๆก็อยากไปเจอพี่มันสักหน่อยนะเห็นว่าทำงานจังหวัดใกล้ๆพวกผมด้วย เดินทางไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว



“อืม กูไปด้วยก็แล้วกัน”



“โอเคครับ พี่ภูมิใจคงดีใจแน่เลยที่พี่ไปด้วย”



ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าไอ้พี่ภูมิใจมันจะทำท่าทางดีใจยังไง คือแม่งนิ่งเหมือนรูปปั้นหุ่นขนาดนั้นอะ



“เออ กูเข้าห้องละเหนียวตัวอยากอาบน้ำแล้ว”



“อ้อ..งั้นผมไม่กวนแล้วครับ ขอบคุณสำหรับวันนี้อีกครังนะครับ” มันยิ้มกว้างจนตาแทบปิดส่งให้ผม “ฝันดีครับพี่ยีนส์”



ผมพยักหน้ามองมันโบกมือหยอยๆก่อนจะเดินไปทางประตูห้องตัวเองแล้วเข้าห้องไป






วันเสาร์ที่ผมกับเจ้าจอมนัดกันเพื่อไปหาพี่ภูมิใจมาถึงอย่างรวดเร็ว ผมกับมันนัดกันออกประมาณสิบโมง ไม่อยากจะออกช้าเท่าไหร่เพราะตั้งใจจะไปกลับอยู่แล้ว ดีนะที่พี่ภูมิใจมันทำงานใกล้จังหวัดพวกผม



ผมยืนรอไอ้เจ้าจอมมันอยู่หน้าห้องขณะที่เจ้าของห้องอย่างมันกำลังวิ่งวุ่นหาของ เหตุเพราะมันตื่นสายก็เลยชุลมุนวุ่นวายอยู่ตอนนี้



“โทษทีครับพี่ยีนส์” มันปิดประตูห้องตัวเองก่อนจะยกมือขึ้นจัดทรงผมที่ค่อนข้างยุ่งหน่อยของตัวเองให้ดูดีขึ้น



“เมื่อคืนทำอะไรทำไมถึงได้ตื่นสายขนาดนี้” ผมถามมันขณะนั้นก็พากันเดินเพื่อลงลิฟท์ไปชั้นล่าง



“พอดีผมนอนไม่ค่อยหลับครับ คือมันรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย”



ผมหันไปมองมันที่ยืนรอลิฟท์อยู่ข้างกันก่อนจะหลุดหัวเราะ ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย!



“ตื่นเต้นที่จะได้เจอพี่มึงหรือไง?”



“ก็ส่วนหนึ่งครับ” มันหัวเราะแหะใส่ก่อนจะว่าต่อ “อีกส่วนก็ตื่นเต้นว่าพี่จะชอบของขวัญผมหรือเปล่า”



ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่าคนอย่างมันจะตื่นเต้นกับเรื่องแบบนี้ด้วย อย่างกับชีวิตนี้มันไม่เคยซื้อของให้ใครแหน่ะ จะว่าไปแล้วก็แหย่มันสักหน่อย



“มึงไม่เคยซื้อของขวัญหพี่มึงหรือไงตื่นเต้นไปได้”



มันหันมาก่อนจะส่ายหัว “ไม่เคยครับ ชิ้นนี้ชิ้นแรกเลย”



“ถามจริง?” ผมหันหน้าไปมองขณะที่เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง



“จริงสิพี่ ชิ้นนี้ชิ้นแรกเลย ผมตั้งใจทำงานเก็บเงินช่วงปิดเทอมมัธยมเพื่อจะซื้อนาฬิกาให้พี่ภูมิใจเลยนะ”



“ถึงว่าล่ะทำไมถึงดูตั้งใจเลือกขนาดนั้น” นึกไปถึงตอนนั้นแล้วก็เริ่มเข้าใจมันเลยที่เลือกไม่ได้สักทีว่าจะเอาอันไหนไปเป็นของขวัญให้พี่มัน พอมารู้เหตุผลแล้วก็น่ารักดี “เชื่อกูเถอะยังไงพี่มึงก็ต้องชอบอยู่แล้วล่ะ”



มันหันมายิ้มให้ผมตอนที่สตาร์ทรถเสร็จแล้ว “ขอบคุณนะครับ ผมก็หวังว่าพี่ภูมิใจจะชอบของขวัญที่ผมซื้อให้อย่างที่พี่ว่า”



ระหว่างที่มันขับรถผมก็ชวนมันคุยไปเรื่อยๆเพื่อไม่ให้รถเงียบ อีกอย่างผมว่าการอยู่เงียบๆมันก็ออกจะอึดอัดนิดหน่อย



“แล้วที่บอกว่าทำงานช่วงปิดเทอม มึงไปทำอะไร”



“ก็ทำพวกงานที่ร้านอาหารแม่ผมนี่แหละครับ” มันเล่า “ผมบอกแม่ว่าอยากเก็บเงินซื้อของขวัญให้พี่ แม่ก็ตกลงให้ผมทำเป็นเด็กเดินเสิร์ฟอาหาร รับออเดอร์ลูกค้าประมาณนั้นแหละครับ”



จำได้ลางๆว่าพี่ภูมิใจมันเคยเล่าอยู่ว่าแม่พี่มันเปิดร้านอาหารอยู่ในตัวเมืองของจังหวัด เป็นร้านที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงนะครับเพราะผมเคยเห็นมีคนรีวิวเยอะอยู่แต่ก็ไม่เคยไปกินหรอกว่าจะไปลองกินดูสักครั้งเหมือนกัน



“พี่ภูมิใจได้ถามหรือเปล่าว่ามึงจะเก็บเงินไปทำอะไร?”



“ไม่ถามหรอกครับ ช่วงนั้นพี่ก็ย้ายไปทำงานอีกจังหวัดแล้ว แต่ถ้าเขาถามผมก็คงจะบอกว่าเก็บเงินซื้อของที่อยากได้ พี่ภูมิใจเขาก็เข้าใจแล้ว”



มันเล่าไปยิ้มไป ผมสังเกตว่าเจ้าจอมมันจะมีความสุขทุกครั้งเลยเวลาได้พูดคุยถึงเรื่องครอบครัว ท่าทางครอบครัวของมันคงจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและน่ารักมากเลยนะครับ



“กูก็มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง” ผมเกริ่น จู่ๆก็อยากจะเล่าเรื่องของตัวเองให้มันฟังบ้าง “น้องกูแม่งโคตรติดเกมเลยแต่ก็เสือกเรียนเก่งมาก”



“เพื่อนผมหลายคนก็เป็นแบบนั้น”



“อืม..นั่นแหละ กูกับน้องไม่ค่อยคุยอะไรกันมากหรอกเวลาอยู่บ้านเพราะเรานอนแยกห้องกันอีกทั้งมันก็เอาแต่ขลุกอยู่แต่ในห้อง ส่วนกูก็ชอบไปนั่งช่วยแม่ทำงาน”



“ผมถามได้หรือเปล่าครับว่างานอะไร?” มันหันมาถามขณะที่รถติดไฟแดง



“ได้ดิ...แม่กูเป็นนักเขียน เขียนนิยายน่ะ ท่านเขียนมาตั้งแต่สมัยสาวๆแล้ว”



“จริงเหรอครับ แม่ผมก็ชอบอ่านนิยายนะไม่รู้ว่าเคยอ่านงานเขียนแม่พี่หรือเปล่า”



“ก็อาจจะเคยมั้ง...แต่ก่อนแม่กูเขาพิมพ์ยังไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่เลยใช้วิธีเขียนในสมุด พอเขียนเสร็จท่านก็จะเอามาให้กูพิมพ์”



“ดีจังเลยครับ”



“อืม...เดี๋ยวนี้ก็คงจะพิมพ์คล่องแล้วล่ะมั้ง เห็นน้องชายกูมันมาบ่นให้ฟังช่วงแรกๆที่กูมาเรียนมหา’ลัยแม่ชอบเรียกให้มันไปพิมพ์ให้บ่อยๆ มึงรู้ไหมตอนนี้น้องกูไม่ค่อยได้เล่นเกมแล้วนะเพราะแม่งไม่ค่อยได้เล่นจนแร้งค์ตกมันเลยเลิกเล่น พ่อด่ามันด้วยแหละมันเลยปรับปรุงตัวเดี๋ยวนี้ก็มาช่วยแม่ทำงานแทน”



“ดีแล้วล่ะครับ งั้นน้องพี่ก็แย่งหน้าที่พี่ไปโดยปริยายเลยน่ะสิ” มันว่าขำๆ



“ก็คงงั้นแหละ กลับไปคงได้เป็นหมาหัวเน่า”



“ครอบครัวพี่ก็น่ารักเหมือนกันนะครับ”



“น่ารักมากโดยเฉพาะแม่แต่พ่อดุไปหน่อยแต่ก็ทำปากแข็งไปงั้น จริงๆก็ใจดีมากนั่นแหละขี้เก๊กเป็นบ้าเลย”



“เหมือนพี่เลยนะครับ”



ผมหันขวับไปหามันตอนที่ได้ยินสิ่งที่มันพูดออกมา “อะไรเหมือน”



“ก็...ปากแข็งเหมือนพี่เลยไงครับ พี่คงได้พ่อมาเยอะนะ”



“เดี๋ยวกูโบก กูไม่ได้ปากแข็งโว้ย!”



“โอเคครับๆ” มันหัวเราะโยกหัวหลบตอนที่ผมจะยกมือขึ้นโบกมัน



ผมยกมือชี้หน้ามันให้มันหุบปาก มันก็ทำตามคำสั่งแต่ก็หลุดขำมาบ้าง ผมเลิกสนใจแล้วเล่าต่อ



“มึงเชื่อไหมว่าพอกูแยกออกมาเรียนที่นี่คนเดียวแม่งโคตรเหงาเลย แรกๆกูกลับบ้านทุกอาทิตย์เลยนะตอนที่ไม่มีเรียน ถึงจะมีเพื่อนแต่มันก็รู้สึกทดแทนไม่ได้ว่ะ หลังจากนั้นกูก็ได้คุยกับน้องกูมากขึ้น ไอ้เด็กนั่นก็โคตรขี้แงเลย”



“ยังไงครับ?”



“วันแรกที่กูมาอยู่นี่จู่ๆมันก็โทรมาหา คือกูตกใจมากเว้ยคิดว่ามันโทรผิดแต่ไม่ใช่ว่ะ น้องกูแม่งโทรมาร้องห่มร้องไห้อะไรของมันก็ไม่รู้ อยากจะด่ามันนะแต่ก็โคตรเอ็นดูมันเลย เอาแต่พูดอยู่นั่นว่าถ้าพี่ยีนส์ไม่อยู่ใครจะช่วยแม่ทำงาน ไอ้เด็กเวร..”



“ฮ่าๆ น้องพี่แม่ง!...” ไอ้เจ้าจอมมันหัวเราะเสียงดังลั่นรถ



เออใครๆก็หัวเราะทั้งนั้นแหละครับตอนที่ผมเอาไปเล่า ขนาดพ่อกับแม่ยังหัวเราะเลย กูก็คิดว่าโทรมาบอกคิดถึงกูที่ไหนได้กลัวแม่ไม่มีคนทำงานช่วย ไอ้น้องเวร...



“อันนี้มันบอกล้อเล่น มันบอกว่าพอไม่มีกูอยู่บ้านแล้วก็เหงาแปลกๆ ร้องบอกให้กูกลับบ้านทุกอาทิตย์กูแม่งก็บ้าจี้กลับทุกอาทิตย์ตามมันว่า พอหลังจากนั้นกูก็ใช้เวลาอยู่บ้านให้คุ้มที่สุด ใช้เวลากับครอบครัวให้คุ้มมากๆ น้องกูจากที่มันเล่มเกมส์ตลอดพอกูกลับบ้านก็จะมาอยู่กับกู มาช่วยกันนั่งพิมพ์งานให้แม่”



นึกไปถึงครอบครัวตัวเองแล้วก็อยากกลับไปหามากเลยล่ะครับ ผมชอบทุกครั้งเวลาที่ได้ใช้เวลากับครอบครัว ถึงมันจะน้อยนิดแต่ผมก็รู้สึกคุ้มค่ามากๆเลยที่ได้พูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกันแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม



“น่ารักดีนะครับ”



“อืม...แค่นึกถึงทุกคนที่บ้านกูก็มีความสุขแล้ว”




ตอนแรกกะว่าจะมาลงเดือนหน้าแต่เคลียร์ทุกอย่างเสร็จเร็วกว่าที่คิดเลยรีบมาลงให้ทุกคนได้อ่านกันเลย หวังว่าจะยังไม่ลืมกันนะคะ แหะๆ ใครว่างๆก็เข้าไปอ่านสมชาติได้เน่อออ (ขอขายของนิดนึง )

#นิติผูกพัน

หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความผูกพันกำลังก่อตัว- 18/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-01-2019 18:47:58
หายไปนานเลย คิดถึงเหมือนกัน  :mew1:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความผูกพันกำลังก่อตัว- 18/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-01-2019 09:48:33
 คิดถึงจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความผูกพันกำลังทำงาน- 18/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 19-01-2019 16:35:22
ตอนที่13

พี่ภูมิใจ



กว่าจะมาถึงที่ทำงานพี่ภูมิใจได้พวกผมก็พากันขับหลงอยู่นานเพราะไม่ค่อยชินเส้นทางกันสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็ต้องโทรรบกวนให้พี่ภูมิใจมันบอกทาง โดนพี่มันบ่นนิดหน่อยที่มาหาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า ก็จะให้บอกได้ยังไงล่ะครับไอ้เจ้าจอมกับผมตกลงกันไว้ว่าอยากจะมาเซอร์ไพรส์พี่ภูมิใจนี่หว่า



“กูมีเวลาให้แค่ครึ่งชั่วโมง” พี่มันว่าหน้านิ่งๆดูดกาแฟเข้าไปสองสามอึกแล้วมองหน้าผมกับเจ้าจอมสลับกัน “พากันมาหากูถึงนี่มีอะไรกันหรือเปล่า?”



หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันพอเป็นพิธีแล้วพี่ภูมิใจก็เข้าเรื่องทันทีโดยไม่รอให้เสียเวลา พวกผมก็ไม่อยากถ่วงให้พี่มันเสียเวลางานมากด้วย ผมเลยสะกิดให้ไอ้เจ้าจอมมันเริ่มพูดเข้าเรื่องที่มาหาพี่มันวันนี้สักที



เจ้าจอมมันหันมามองผม ผมก็พยักหน้าให้มันรีบๆพูด มันจึงเริ่มเข้าเรื่องสักที “ก็..วันจันทร์นี้เป็นวันเกิดพี่ใช่ไหมล่ะ”



“อืม” พี่ภูมิใจรับคำ จ้องมองน้องขายตัวเองนิ่งๆว่ามันจะพูดอะไรต่อไป



“แล้วทีนี้วันจันทร์ผมคงมาหาพี่ไม่ได้เพราะติดเรียน ผมก็เลยมาหาพี่วันนี้แทน” มันเอาถุงที่ถือติดมือขึ้นมายื่นให้พี่ภูมิใจ “ส่วนนี่ของขวัญผมซื้อมาให้ สุขสันต์วันเกิดครับ”



“ให้กู?” คนเป็นพี่ชายถามอย่างไม่เชื่อแต่ก็ยอมยื่นมือไปรับถุงมาถือไว้ก่อนจะมองถุงกับเจ้าจอมสลับกันไปมา เหมือนมองแบบนั้นมันจะรู้อะครับว่าข้างในเป็นอะไร



ส่วนของที่ผมจะให้พี่ภูมิใจก็ขอให้หลังจากพี่มันดูของขวัญของเจ้าจอมเสร็จก็แล้วกัน เดี๋ยวจะขัดอารมณ์ซึ้งๆของสองพี่น้องหมด ขนาดตอนนี้ยังไม่มีโหมดซึ้งๆให้ผมดูเลย



“เปิดดูสิครับ”



เจ้าจอมมันเร่งเร้าให้พี่ชายมันเปิด ดูหน้ามันแล้วก็รู้ว่ามันตื่นเต้นแค่ไหนทว่าก็ยังทำเป็นเก็บอาการเอาไว้ ก็อย่างว่าของชิ้นแรกที่ซื้อให้พี่ชายจะไม่ตื่นเต้นได้ไง แต่ผมเชื่อนะครับว่าพี่ภูมิใจต้องชอบของขวัญชิ้นนี้มากแน่ๆ ไม่ใช่ชอบเพราะว่าเป็นนาฬิกาแต่ชอบเพราะว่าน้องชายของเขาซื้อให้และเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ได้รับจากน้องชายต่างหาก



“ตื่นเต้นอะไร?” พี่ภูมิใจถามเจ้าจอม เขายิ้มขำน้องชายตัวเองที่เหมือนเด็กๆเวลาลุ้นกับอะไรสักอย่าง



“ผมไม่ได้ตื่นเต้นสักหน่อยพี่ก็...” มันปฏิเสธเสมองไปที่แก้วน้ำก่อนจะถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาอีกครั้ง “ก็ตื่นเต้นนั่นแหละครับ”



พี่ภูมิใจส่ายหน้าให้น้องชาย เขามองน้องตัวเองด้วยแววตาเอ็นดู ผมเองก็อดที่จะเอ็นดูมันไม่ได้เหมือนกันเลยส่งยิ้มไปให้มันที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าดูดน้ำในแก้ว



ผมพยักพเยิดให้พี่ภูมิใจเปิดของขวัญสักทีก่อนไอ้เด็กนี่มันจะดูดน้ำเสร็จแล้วเปิดฝากินน้ำแข็งต่อ พี่ภูมิใจพยักหน้าก่อนจะก้มลงมองถุงที่ได้รับมาอีกครั้ง



เอาเข้าจริงแล้วผมก็อดลุ้นไปกับเจ้าจอมมันไม่ได้หรอก ถึงจะมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่ายังไงพี่ภูมิใจก็ต้องชอบอยู่แล้วก็เถอะ



เจ้าจอมมองพี่ชายตัวเองที่หยิบกล่องนาฬิกาออกมาวางไว้บนโต๊ะ มันเหลือบมองหน้าพี่ชายตัวเองก่อนจะหันกลับมาสนใจตอนที่มือของพี่ภูมิใจค่อยๆเปิดฝากล่องออกมา



“หืม..นี่ซื้อให้พี่เหรอ” เมื่อกล่องเปิดออกและปรากฏนาฬิกาเรือนสวยอยู่ในนั้นพี่ภูมิใจก็หันมาหาน้องชายแล้วถามด้วยความแปลกใจปะปนกับความดีใจที่ไม่ได้แสดงออกมามากนัก



“อืม ผมไม่รู้ว่าพี่จะชอบหรือเปล่า” มันทำหน้าลังเล



พี่ภูมิใจยิ้มก่อนจะยื่นมือขึ้นลูบหัวน้องชายตัวเอง “ชอบสิ ขอบใจมาก”



“ผมดีใจครับที่พี่ชอบ” เจ้าจอมมันยิ้มออกมาได้ ท่าทางดีใจจนปิดไม่มิดทำเอาผมกับพี่ภูมิใจต้องหัวเราะออกมาพร้อมกัน “ผมลุ้นแทบแย่ว่าพี่จะชอบหรือเปล่า พอได้ยินแบบนี้ก็โล่งอกไปที” มันลูบอกตัวเองป้อยๆ



“กังวลมากล่ะสิ”



“มากครับ เมื่อคืนก็แทบจะนอนไม่หลับเลย” มันเล่าให้พี่ชายตัวเองฟัง “ดีที่ผมได้พี่ยีนส์คุยเป็นเพื่อนสุดท้ายก็หลับจนได้”



อ่า...ใช่ครับ เมื่อคืนเจ้าจอมมันโทรมาหาผม บอกว่านอนไม่หลับเพราะตื่นเต้นเรื่องของขวัญนั่นแหละ ผมก็เลยต้องอยู่คุยเป็นเพื่อนมันจนกว่าเด็กมันจะหลับ เอาจริงๆผมหลับก่อนมันอีก ตื่นมาอีกทีก็เห็นโทรศัพท์โดนตัดสายไปนานแล้ว



“ขนาดเมื่อเช้ามันยังตื่นเต้นไม่หายเลยพี่ บ่นกับผมมาตลอดทาง” ผมได้โอกาสก็เล่าให้พี่ภูมิใจฟังบ้าง “ผมบอกมันว่าพี่ต้องชอบอยู่แล้วแต่มันก็ทั้งกลัวทั้งตื่นเต้นไม่หายสักที”



พี่ภูมิใจหันกลับไปมองน้องชายตัวเองอีกครั้ง “ขอบใจมากแต่ตอนนี้พี่คงอยู่คุยต่อด้วยไม่ได้ ตอนเย็นอยู่ต่อก่อนสิเอาไว้พี่พาไปเลี้ยงข้าว”



ผมกับเจ้าจอมหันมามองหน้ากัน ผมพยักหน้าให้เจ้าจอมมันตัดสินใจ



“ครับพี่” เจ้าจอมตอบตกลงมันยิ้มให้พี่ชายตัวเอง



ผมที่นึกได้ว่าจะให้ของพี่ภูมิใจก็เอาของขวัญยื่นให้พี่มัน “อันนี้ของผมครับ สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าครับพี่”



“ขอบใจมึงมาก” พี่ภูมิใจว่าแล้วตบบ่าผมเบาๆ



“ครับ”



“งั้นตอนเย็นเจอกัน” พี่มันล้วงกุญแจออกมาแล้วยื่นให้น้องชายตัวเอง “ส่วนนี่กุญแจห้องพี่ ไปพักกันที่นั่นก่อน คืนนี้ก็นอนนี่แหละ ขับรถกลับดึกๆมันอันตราย”



เมื่อฟังจบเจ้าจอมก็หันมาถามผม “พี่ยีนส์ไม่มีธุระที่ไหนใช่ไหม?”



“อืม ค้างที่นี่สักคืนก็ดีเหมือนกัน อย่างที่พี่มึงว่าขับดึกๆมันอันตราย”



“โอเคครับ งั้นผมกับพี่ยีนส์กลับไปรอพี่ที่ห้องนะครับ”



“ไปถูกใช่ไหม?” หลังจากบอกเส้นทางไปที่พักของพี่ภูมิใจเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ถามย้ำกับทั้งผมและน้องชายเขาอีกครั้ง



“เดี๋ยวเปิดจีพีเอสเอาครับ ถ้าไปไม่ถูกจริงๆเดี๋ยวโทรหาพี่ก็แล้วกัน” เจ้าจอมตอบ



“โอเค มีอะไรก็โทรมา”






“พี่ยีนส์หิวหรือเปล่า” เจ้าจอมมันถามขึ้นขณะที่ผมเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาในห้องของพี่ภูมิใจ



ที่พักของพี่ภูมิใจก็เป็นคอนโดธรรมดาทั่วไปมีระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างดี เห็นเจ้าจอมเล่าว่าคอนโดนี้พ่อกับแม่ซื้อให้เป็นของขวัญที่พี่ภูมิใจมันได้งาน



“นิดหน่อย”



“ไม่รู้ห้องพี่จะมีอะไรให้กินหรือเปล่าแต่เมื่อกี้ตอนขับรถมาผมเห็นว่ามีร้านอาหารอยู่แถวๆนี้ถ้าพี่หิวเดี๋ยวผมพาไป”



ผมมองมันที่เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆกัน “ขี้เกียจออกไปแล้ว”



“งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อให้”



“ไม่เป็นไร หากินเอาในห้องนี่แหละ หวังว่าพี่มึงคงจะมีอะไรให้กินน่ะนะ” ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่หรอกนะครับว่าพี่ภูมิใจจะซื้ออะไรไว้ตุนในห้องหรือเปล่า ขนาดสมัยที่พี่มันเรียนยังไม่ค่อยซื้อมาเก็บไว้เลย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสักห่อยังไม่มี



“ผมไปดูให้ครับ” เจ้าจอมมันเสนอเตรียมจะลุกขึ้นแต่ผมเอ่ยรั้งมันไว้ก่อน



“มึงนั่งเถอะ ขับรถมาทั้งวันก็พักก่อนเดี๋ยวกูไปดูเอง”



“อ่า...โอเคครับ”



ผมเดินเข้ามาในโซนครัวภายในห้องพี่ภูมิใจ ในนั้นก็มีพวกอุปกรณ์ทำครัวต่างๆเรียกได้ว่าครบครันก็ได้ แต่เห็นแค่อุปกรณ์จะตัดสินเลยไม่ได้หรอกนะครับว่าจะมีอาหารแน่ๆเพราะงั้นผมเลยต้องเดินไปที่ตู้เย็นแล้วก็พบว่า..



“พี่แม่งไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ”



ผมกวาดสายตามองตู้เย็นที่ว่างเปล่า ดีหน่อยที่มีไข่เหลือให้พวกผมพอประทังชีวิตได้สามฟอง ผมหยิบไข่ทั้งหมดออกมาตั้งไว้ก่อนจะเดินหาข้าวสารหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก่อนจะเจอข้าวสารอยู่ในตู้ข้างบนจึงจัดการหยิบออกมา



ปัญหาไม่มีอาหารให้กินก็หมดไปแต่ปัญหาใหม่คือผมหุงข้าวไม่เป็น...



สุดท้ายก็เดินออกไปหาไอ้เจ้าจอมแล้วถามมันเหมือนเดิม



“มึงหุงข้าวเป็นไหม?” เจ้าจอมที่กำลังนั่งกดโทรทัศน์หาช่องหันมาทางผม มันนิ่งคิดคำตอบไม่นานก็ได้รับการพยักหน้ามา



“เป็นครับ เดี๋ยวผมทำเอง” มันลุกขึ้นปิดโทรทัศน์



“แล้วไข่ล่ะ ทอดเป็นหรือเปล่า?”



“ไข่เจียวเหรอพี่?”



“อือ”



“เป็นครับ”



“งั้นมึงทำหน่อยนะ โทษทีว่ะกูทำไม่เป็นเลย”



ผมเกาท้ายทอยตัวเองเก้อเขินขณะเดินตามเจ้าจอมมันไปที่ครัว ก็คิดว่าจะทำอะไรให้มันได้บ้างเพราะเด็กมันก็ขับรถมาเหนื่อยๆไม่อยากให้มันต้องมาเหนื่อยทำอาหารอีกแต่นั่นแหละลืมไปว่าตัวเองก็ไม่ได้เรื่องในการทำอาหารเลยต้องมารบกวนมันอีกแล้ว



“ไม่เป็นไรพี่แค่นี้เองครับ” มันหันมาพูดยิ้มๆ เดินหาอะไรสักพักก็ได้ผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลมาใส่



“กูช่วยตีไข่ให้แล้วกัน”



“ทำได้นะครับ?” มันเลิกคิ้วถาม



“เห็นกูอย่างนี้ก็เซียนตีไข่นะโว้ยย!” ผมเดินไปหยิบไข่กับชามออกมาตั้งไว้ ก่อนจะตอกไข่ให้มันดู



ไข่ลูกแรกแตกไม่ค่อยดีเท่าไหร่แถมยังมีเปลือกตกลงไปในชามอีก ไม่เป็นไรฟองนี้อาจจะพลาดไปแต่ฟองต่อๆไปไม่พลาดแน่นอน



“ผมตอกให้ไหมครับแล้วพี่ค่อยเอาไปตี” มันพูดพลางก็ขำผมไปด้วย ใครจะไปยอมกันล่ะวะ



ผมปฏิเสธก่อนจะหยิบฟองที่สองขึ้นมาตอกให้มันดูว่ากูทำได้



“เชี่ย! เปลือกแม่งตกไปอีกแล้ว” ผมบ่นพลางเอาช้อนมาเขี่ยเปลือกไข่ที่ตกลงไปในชามออก ได้ยินเสียงเจ้าจอมหัวเราะก็หันขวับไปมองมันทันที



“ฟองสุดท้ายผมตอกให้ครับ กลัวจะได้กินไข่เจียวใส่เปลือกไข่ซะก่อน”



“เออ ไม่ทำตกอย่างกูก็ให้มันรู้ไป” เมื่อเขี่ยเปลือกไข่ออกจนหมดจากชามผมก็หลีกทางให้เจ้าจอมมันเอาไข่ฟองสุดท้ายมาตอก



ผมยืนอยู่ข้างๆมันเพื่อมองดูว่าไอ้เด็กนี่มันจะทำเปลือกไข่ตกไปอย่างผมหรือเปล่า ถ้าตกไปจริงๆผมจะได้หัวเราะใส่มันให้สะใจไปเลย



“เรียบร้อยครับ” มันว่าแล้วเอาเปลือกไข่ไปทิ้งในถังขยะ



ผมหยิบชามนั้นออกมาเพ่งมองหาเปลือกไข่ที่มันอาจจะทำตกลงไปตอนมันตอกแต่แม่งไม่มีร่องรอยของเปลือกไข่สักชิ้นแถมไข่ที่มันตอกใส่ชามยังสวยซะจนไม่กล้าว่ามันไปเลย



“เป็นไงครับ?”



ผมสะดุ้งตอนที่มันยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆผม “อะ...อะไรเป็นไง ก็แค่ตอกไข่”



ว่าแล้วก็เดินไปหาช้อนเพื่อเอามาตีไข่ พวกเครื่องปรุงมันต้องใส่อะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกันเลยต้องหันไปถามเด็กมันก่อน



“เครื่องปรุงอะ ต้องใส่อะไรบ้าง”



เจ้าจอมมันนิ่งคิดเหมือนมันก็ลืมๆไปเหมือนกันก่อนผมจะเห็นมันมองหาอะไรสักอย่างแล้วเดินไปหยิบซอสแม็กกี้ยื่นให้ผม



“ใส่แค่นี้ก็พอครับ”



“โอเค”



กว่าเราจะได้กินข้าวกันก็ปาไปเกือบชั่วโมงเพราะต้องรอให้ข้าวสุก ส่วนไข่ที่ทอดเสร็จไว้นานแล้วก็เริ่มจะเย็นชืด ดีที่มันยังไม่เหี่ยวไม่งั้นคงไม่น่ากินเท่าไหร่และผมไม่มั่นใจว่าไข่ที่ตัวเองได้ปรุงรสไปเองนั้นจะอร่อยหรือเปล่า



“เป็นไง?” ผมนั่งลุ้นตอนที่เห็นเจ้าจอมมันตักไข่เข้าปากคำแรก ผมมองมันนั่งเคี้ยวหงับๆก่อนจะกำช้อนในมือตัวเองแน่น ลุ้นฉิบหายว่าเด็กมันจะคายทิ้งหรือเปล่า



“ก็...โอเคครับแต่เค็มไปหน่อย”



ผมพยักหน้า ลองตักมากินเองบ้าง “เค็มนิดหน่อยแต่กินกับข้าวก็อร่อย”



“แต่ก็ต้องตักข้าวตามเยอะๆ” เจ้าจอมมันว่าต่อจากผม



“ไอ้เด็กสัด งั้นมึงไม่ต้องแดก”



“โธ่พี่ ผมล้อเล่นน่า” มันโอดครวญตอนที่ผมยึดจานไข่เจียวไม่ให้มันกินต่อ ก็ใครใช้ให้มันพูดแบบนั้นวะครับ ที่มันพูดมาก็แปลว่าไข่เจียวของผมมันเค็มมากๆจนต้องกินข้าวตามไปเยอะๆอะ “แต่ผมเป็นคนทอดนะพี่ ผมก็มีสิทธิ์กินนะครับ”



“ก็กูปรุงอะมึงมีปัญหาอะไร?” อยากจะกินข้าวด้วยกันดีๆสักครั้งแต่แม่งก็เป็นเรื่องยากซะเหลือเกิน ทำไมต้องมาต่อปากต่อคำกันขณะกินข้าวด้วยวะ



“มีมากครับถ้าพี่ไม่ให้ผมกิน”



ผมมองมันที่หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า “จะโทรไปฟ้องพี่ภูมิใจหรือไง”



แต่มันกลับส่ายหน้าปฏิเสธสิ่งที่ผมคิด “ผมจะเอารูปนี้ลงแล้วแท็กพี่ในเฟซบุ้กแล้วกัน”



มันชูรูปที่มันว่าให้ผมดูก่อนผมจะตาโตอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้เห็น ไอ้เด็กสัด ไอ้เวร ไอ้ห่าเอ๊ย!



“มึง...” ผมพูดไม่ออก ส่วนมือก็หมายจะคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นเพื่อเอามาลบรูปของตัวเองที่หลับน้ำลายยืดอยู่บนโซฟาในห้องไอ้เจ้าจอม ผมจำไม่ได้หรอกว่าวันไหนแต่ก็คงเป็นสักวันนั่นแหละที่ผมไปช่วยติวให้มันแล้วเผลอหลับไป ใครจะไปคิดล่ะครับว่าไอ้เด็กจังไรนี่มันจะแอบถ่ายรูปตอนที่ผมหลับไว้



“จะยอมให้ผมกินไข่เจียวได้หรือยังครับ”



มันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุดที่มันเอารูปน่าเกลียดๆของผมมาแบล็คเมล์เพื่อแลกกับไข่เจียวเค็มๆ



ผมมองหน้ามันแล้วถอนหายใจก่อนจะวางจานไข่เจียวไว้แล้วตักกินๆไม่สนใจไอ้เจ้าจอมมันอีก ไอ้เด็กห่าแม่ง! อย่าให้ผมเอาคืนมันก็แล้วกัน



“พี่ยีนส์”



จู่ๆมันก็เรียกผมขึ้นขณะที่ผมกำลังเคี้ยวข้าวพลางคิดหาวิธีแก้แค้นไอ้เด็กนี่ไปด้วย คิดอยู่ว่าจะถ่ายรูปหน้ามันยังไงให้ตลกที่สุด เดี๋ยวก่อนเหอะมึงอย่าเผลอแล้วกัน



“อะไร” ผมตอบห้วนสั้นกินข้าวคำสุดท้ายเสร็จก็ยกน้ำขึ้นดื่มตาม



“โกรธผมหรอ?”



ผมเงยหน้ามองมันที่ถามขึ้น คือมันคิดได้ไงว่าผมโกรธ ผมแค่หงุดหงิดนิดหน่อยที่ไปพลาดท่าหลับทำหน้าน่าเกลียดแล้วดันให้มันถ่ายภาพแบบนั้นได้



“เปล่า” ผมตอบสั้นๆทำท่าจะลุกเอาจานไปเก็บ



“พี่โกรธผมจริงๆด้วย”



คิดว่ามันจะเข้าใจที่ผมพูดแล้วแต่มันก็ยังคงคิดไปเองเป็นตุเป็นตะ ผมก็เลยไม่ได้เอาจานไปเก็บสักทีแถมยังต้องมานั่งขบคิดว่ากูไปทำยังไงเด็กมันถึงคิดว่าผมโกรธขนาดนี้วะ



“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธไงวะ” มันเงยหน้ามองผมที่ยื่นมือไปดีดหน้าผากมัน “คิดไปเองเก่งจริงๆเลยมึงเนี่ย” ผมส่ายหน้าพลางถอนใจใส่เด็กมันไปด้วย



“จริงนะพี่?”



“เออหรืออยากให้โกรธ?”



“ไม่ครับ พี่ไม่โกรธผมก็ดีแล้ว” มันว่าแล้วยิ้มจนตาปิด “ส่วนรูปผมขอไม่ลบนะ อยากเก็บไว้ดู”



“เหอะ ถึงกูบอกให้ลบมึงก็ไม่ลบหรอกกูรู้ อยากจะเก็บไว้ก็แล้วแต่” ไม่รู้ว่าจะอยากเก็บไว้ดูทำไม อาจจะดูหน้าหล่อๆของผมแล้วมีความสุขมั้งครับ



“ส่วนถ้าพี่อยากถ่ายรูปผมเมื่อไหร่ บอกผมได้ครับเดี๋ยวผมจะทำท่าเผลอๆให้..พี่จะได้ถ่ายเก็บไว้ดูบ้าง”



อยากจะถามมันมากว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าผมต้องการถ่ายรูปมันเก็บไว้ดู ถึงแม้ผมคิดอยากจะถ่ายรูปมันตอนเผลอๆแต่คือเผลอจริงๆแบบน่าเกลียดๆอะไม่ใช่มาทำท่าเก๊กเผลอแต่ยังหล่ออยู่ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วผมจะถ่ายไปทำไมล่ะวะ



“ประสาท..”






พี่ภูมิใจกลับมาถึงก็หกโมงกว่าๆขณะที่ผมกับเจ้าจอมก็พึ่งตื่นนอนเหมือนกัน พวกเราตกลงกันว่าจะให้พี่ภูมิใจเป็นคนเลือกร้านแต่ไอ้พี่มันก็บอกว่าไม่ค่อยรู้จักร้านแถวนี้สักเท่าไหร่จึงต้องโทรไปถามคนรู้จักเขาก็แนะนำร้านบรรยากาศดีๆมาให้



“พี่แน่ใจนะว่าไม่หลง?” เจ้าจอมมันหันหน้าไปถามพี่ภูมิใจที่กำลังขับรถ เพราะขับมานานแล้วแต่ยังไม่ถึงร้านสักทีมันก็เลยถามขึ้น



“ไม่รู้”



“อ่าว..”



ผมกับเจ้าจอมส่งเสียงออกมาพร้อมกันด้วยความฉงน คือพี่มึงจะไม่ให้ความมั่นใจกับพวกกูเลยใช่ไหม ตอบมาได้ยังไงว่าไม่รู้ เฮงซวย!



“เออน่า เดี๋ยวกูขับไปรับคนรู้ทางก่อน” พี่มันตอบปัดๆก่อนจะเลี้ยวตรงยูเทิร์นแล้วเข้าไปยังหมู่บ้านจัดสรรที่ผมกับเจ้าจอมก็ต้องหันไปมองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้าให้กันไปมา



รถของพี่ภูมิใจหยุดลงที่หน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังหนึ่งก่อนพี่มันจะบีบแตรไปสองครั้ง รอไม่นานคนที่คาดว่าคงจะเป็นเจ้าของบ้านก็เปิดประตูออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ เรียกว่าโคตรหงุดหงิดมากๆก็ได้ครับ



“อะไรอีกล่ะคุณ?” ผมได้ยินเสียงของคนๆนั้นเอ่ยถามพี่ภูมิใจตอนที่พี่มันเปิดประตูออกเพื่อลงไปหาเขา



ผมกับเจ้าจอมมองไปข้างนอกอย่างอยากรู้อยากเห็นไปกับบทสนทนาของทั้งสองคนที่ยืนคุยกันอยู่ข้างนอก เห็นพี่ภูมิใจพยักพเยิดเข้ามาในรถก่อนที่คุณคนนั้นจะหันมามองตาม พวกผมจึงยกมือไหว้เนื่องจากกระจกรถของพี่ภูมิใจใสพอสมควร เขารับไหว้พวกผมก่อนจะหันกลับไปคุยกับพี่ภูมิใจต่อ



“มึงรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร?” ผมถามเจ้าจอมถึงผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นที่รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวตัดกับเสื้อยืดและกางเกงวอร์มสีดำ ใบหน้าได้รูปนั้นก็ดูดีจนมองเพลินแถมเวลาทำหน้าหงุดหงิดแล้วก็ยิ่งหน้ามองเข้าไปใหญ่



“ไม่รู้สิครับ” มันโคลงหัวแสดงออกว่ามันก็ไม่รู้จริงๆ



สักพักผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้าบ้านไปส่วนพี่ภูมิใจก็เดินกลับเข้ามานั่งในรถแล้วหันไปหาน้องชายตัวเองอย่างเจ้าจอมที่นั่งข้างๆคนขับ



“จอมไปนั่งข้างหลังไป เดี๋ยวให้เขานั่งข้างหน้าบอกทางพี่”



เจ้าจอมพยักหน้าทำตามที่พี่สั่งโดยไม่อิดออด พอมันย้ายตัวเองมานั่งข้างหลังกับผมเสร็จแล้วมันก็ยื่นหน้าของมันเข้าไปถามพี่ภูมิใจถึงเรื่องที่ทั้งผมและมันสงสัยทันที



“คนนั้นใครครับพี่ภูมิ?”



“หัวหน้าพี่เอง”



“พี่ดูสนิทกับเขามากเลย” ผมเอ่ยบ้างพร้อมกับมองดูปฏิกิริยาของพี่ภูมิใจไปด้วยแต่ก็ไม่เห็นอะไรหรอกเพราะพี่มันก็ยังคงนิ่งเหมือนเดิม



“ก็คงสนิทมั้ง ลองถามเขาดูสิ”



“ใครจะกล้า...” เจ้าจอมมันพึมพำซึ่งผมก็พยักหน้าเห็นด้วยกับมันอีกคน



พวกผมมองคนที่เราพูดถึงเดินออกมาจากบ้านโดยไม่ลืมที่จะหันกลับไปล็อคประตูรั้วให้เรียบร้อย จากนั้นเขาก็เดินหน้ายุ่งเข้ามานั่งในรถแล้วเสียงพี่ภูมิใจก็ดังขึ้นทันใด



“ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยคุณ”



เขาคนนั้นหันมามองพวกผมเหมือนพึ่งคิดได้ว่าไม่ได้อยู่กันสองคนกับพี่ภูมิใจ เขาผงกหัวให้พวกผมเป็นเชิงขอโทษ



“โทษทีนะ พี่ชื่อณะเป็นหัวหน้าของภูมิใจน่ะเผื่อจะสงสัยกัน” เขาว่าแล้วส่งยิ้มให้พวกผม ได้ยินเสียงพี่ภูมิใจกระแอมเบาๆสงสัยมีอะไรติดคอ “ออกรถสิคุณจะนั่งนิ่งๆอยู่ในรถแบบนี้จนเช้าหรือไงกัน”



พี่ภูมิใจไม่ได้ตอบแต่ก็ทำตามที่คุณเขาสั่ง



“สวัสดีครับพี่ณะ ผมชื่อเจ้าจอมน้องพี่ภูมิใจครับ ส่วนนี่พี่ยีนส์รุ่นพี่ผมครับ” ผมกับเจ้าจอมยกมือไหว้คนที่โตกว่าอีกครั้ง พี่เขาบอกว่าไม่ต้องไหว้เพราะดูแก่ยังไงชอบกลพร้อมกับเอ่ยแซวนิดหน่อยเรื่องที่เจ้าจอมเป็นน้องพี่ภูมิใจ



“ทำไมน้องชายถึงหล่อกว่าพี่ล่ะ?” พี่ณะว่าแล้วหันไปมองคนขับรถที่ก็หันมามองพี่ณะเช่นกันแต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร



“พี่ก็ชมเกินไปครับ” เจ้าจอมมันหัวเราะพร้อมยิ้มเขิน ผมหันไปมองมันแล้วก็อยากจะเอานิ้วดีดหน้าผากกับความเขินอายที่เวอร์ฉิบหาย



“พี่เขาชมมึงตามมารยาทเถอะ” ผมก็อดไม่ได้จริงๆที่จะว่ามัน



“ไม่โดนชมบ้างก็อย่าอิจฉาครับ” มันว่าอย่างยียวนจังหวะที่ไฟบนถนนส่องมาผมก็เห็นมันตีคิ้วใส่ผมอย่างกวนๆ



“เดี๋ยวเถอะมึง” ผมชี้หน้าแล้วผลักหน้าผากมันจนหน้าหงาย เจ้าจอมหัวเราะก่อนจะมากระเซ้าผมบอกว่า



“พี่ก็หล่อเหมือนกันน่า อย่างอนไปเลย...”



ไอ้สันขวานเอ้ย! ใครงอนมึงวะเด็กเวร...



หลังจากตบตีกับไอ้เจ้าจอมมาตลอดทางก็มาถึงร้านอาหารกันสักที ระหว่างทางก็มีพี่ณะคอยห้ามทัพผมกับไอ้เจ้าจอมไม่ให้ตีกันตายก่อนตลอด ส่วนพี่ภูมิใจก็ทำแค่มองกระจกส่องหลังแค่นั้นก็ไม่พูดอะไร



“ร้านบรรยากาศดีอย่างที่พี่ว่าจริงๆด้วย” ผมอดจะชื่นชมไม่ได้จริงๆ ร้านอาหารที่พี่ภูมิใจพาเรามาเป็นร้านอาหารที่ติดริมแม่น้ำเย็นสบาย แถมในร้านยังมีดนตรีสดเล่นให้ฟังอีก



“พี่แนะนำเองแหละ” พี่ณะยืดอกพร้อมรับคำชม พี่ภูมิใจที่นั่งข้างๆปรายตามองแต่ไม่ได้ว่าอะไร



“สุดยอดมากครับ ร้านดีมากจริงๆ” ผมยกนิ้วโป้งให้พี่ณะ เขาก็วิ้งค์ตาส่งมาให้ผมแล้วก็ยิ้มเขินคนเดียวอีก



อะไรวะ...



พี่ณะเป็นคนจัดการสั่งอาหารให้เมื่อถามเสร็จแล้วว่าไม่มีใครแพ้อะไรหรือไม่ชอบอะไร พี่ภูมิใจซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิดก็ไม่ได้เอ่ยทักท้วงตอนที่พี่ณะสั่ง มีบ้างบางครั้งที่ยื่นมือไปจิ้มตรงเมนูให้พนักงานเขียน



“แค่นี้แหละครับ” พี่ณะว่าแล้วหันไปมองพี่ภูมิใจ “คุณเอาอะไรเพิ่มไหม?”



“ไม่ล่ะ”



พี่ณะพยักหน้าแล้วคืนเมนูไปให้พนักงานที่ยืนรออย่างสุภาพ



“รอสักครู่นะครับ”



เมื่อพนักงานเดินไปแล้วพวกผมก็เริ่มเปิดบทสนทนากันขึ้นอีกครั้งเพื่อทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารครึกครื้นสักหน่อย



“แล้วนี่ขับรถกันมาเองเลยเหรอ?” พี่ณะถามผมกับเจ้าจอมที่นั่งข้างๆกัน



“ใช่ครับ” เจ้าจอมมันตอบ “ผมอยากมาเซอร์ไพรส์วันเกิดพี่แต่ดันหลงทางซะก่อนอดเซอร์ไพรส์เลย”



พี่ณะพอได้ยินก็ขำ ดูเป็นผู้ชายที่เส้นตื้นดีครับ พอขำเสร็จเขาก็หันไปหาพี่ภูมิใจอีกครั้ง “วันนี้วันเกิดคุณเหรอ?”



“เปล่า”



“อ้าว?” เขาส่งเสียงไม่เข้าใจแล้วหันมาหาผมกับเจ้าจอมด้วยใบหน้าฉงน ไอ้พี่ภูมิใจแม่งก็ไม่ตอบให้หมดหรอก



“วันเกิดพี่วันจันทร์น่ะครับแต่ผมติดเรียนเลยมาหาพี่ก่อน”



“อ้อ..” เขาพยักหน้าหันไปมองพี่ภูมิใจอีกครั้งแต่ไม่ได้พูดอะไร “แล้วจะกลับกันพรุ่งนี้เลยใช่ไหม?”



คราวนี้เป็นผมที่ตอบบ้าง “ครับ กะว่าจะออกสักสิบโมงหรืออาจจะเที่ยงก็ตามที่พวกผมจะตื่นแหละครับ” ผมว่าอย่างติดตลก เรื่องเวลาเดินทางกลับผมกับเจ้าจอมก็ยังไม่ได้คุยหรือตกลงกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวหรอกแต่เวลาคร่าวๆก็คงจะประมาณนี้แหละ



“เดินทางปลอดภัยนะ พี่บอกล่วงหน้าไว้ก่อนพรุ่งนี้อาจจะไม่ได้เจอกัน”



“ขอบคุณครับ” ผมกับเจ้าจอมบอกขอบคุณพร้อมกัน



จากนั้นบทสนทนาส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทั่วไปที่ต่างคนต่างนำมาถามซึ่งกันและกันแต่ไม่ได้เกินขอบเขตของคนที่พึ่งรู้จักกัน มีเพียงคนเดียวที่ตอบเพียงอือออเท่านั้นก็คือพี่ภูมิใจ พี่มันทำแค่นั่งนิ่งๆฟังพวกผมพูดตาก็มองนู่นมองนี่ไปเรื่อยแต่ที่คงจะเห็นมองบ่อยๆก็คงเป็นหน้าพี่ณะนั่นแหละ สองคนนี้น่าสงสัยจริงๆ



เรานั่งทานอาหารกันอยู่นานก็ถึงเวลาที่ต้องกลับ พี่ภูมิใจแวะมาส่งพวกผมที่คอนโดของเขาก่อน งงเหมือนกันครับว่าทำไมไม่ไปส่งพี่ณะก่อนแต่พวกผมก็ไม่ได้ถามอะไรทำเพียงแค่ยกมือไหว้พี่ณะจนพี่ณะต้องดุพวกผมอีกรอบว่าห้ามไหว้เพราะไม่อยากแก่



“ไว้เจอกันอีกนะเด็กๆ” ขนาดไม่อยากแก่ยังเรียกพวกผมว่าเด็กๆ เอากับเขาสิครับทำไมถึงได้เป็นคนย้อนแย้งขนาดนี้กัน



เขาโบกมือหยอยๆให้พวกผมจนกระทั่งรถเคลื่อนตัวออกไปผมก็หันไปคุยกับเจ้าจอมทันที



“มึงสงสัยเหมือนกูหรือเปล่าว่าสองคนนั้นดูไม่ใช่เจ้านายลูกน้องธรรมดา”



เด็กมันไหวไหล่ก่อนตอบกวนๆ “ไม่รู้สิครับ ผมไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องคนอื่นสักเท่าไหร่” แล้วมันก็เดินเข้าไปในคอนโดปล่อยให้ผมต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว



ไอ้เด็กเวร...



   
จะมาต่อให้เรื่อยๆน้าา อาจจะไม่ได้มาทุกวันแต่จะพยายามเน่อออ ขอบคุณทุกคนที่ยังรอกันอยู่นะคะคิดถึงทุกคนเหมือนกันเด้อออ
#นิติผูกพัน
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -พี่ภูมิใจ- 19/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-01-2019 19:05:14
นั่นซิ มันมีไรมากกว่านี้อีกไหมนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -พี่ภูมิใจ- 19/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 20-01-2019 22:23:58

ตอนที่ 14

เราสองสามคน



ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วที่ผมกับเจ้าจอมไปหาพี่ภูมิใจถึงแม้จะผ่านมานานหลายวันผมก็ยังคงสงสัยไม่หายเรื่องของพี่ภูมิใจกับพี่ณะแต่นั่นแหละจะสงสัยยังไงก็คงจะไม่ได้คำตอบ อย่าหวังว่าจะเอาไปถามไอ้เจ้าจอม ไอ้เด็กเวรนั่นแม่งไม่รู้ห่าเหวอะไรหรอก ผมก็เลยเซ็งๆนิดหน่อย



ส่วนชีวิตเด็กนิติอย่างผมวันๆไม่มีอะไรให้ทำมากมายนอกจากเรียน กินข้าวและกลับห้อง วนๆเวียนๆอยู่แบบนี้ตลอด ดีหน่อยที่เพื่อนผมค่อนข้างจะเยอะเลยมีอย่างอื่นให้ผมทำ เช่น กินเหล้า เป็นต้น



อีกอย่างก็คือเดี๋ยวนี้น้องอิงค์มักจะชวนผมไปนู่นไปนี่บ่อยๆแล้วด้วย ไม่ว่าจะไปซื้อของขวัญให้เพื่อน ซื้ออาหารไปให้หมาหรืออะไรก็ตามที่น้องชวนผมไป ผมก็ไม่เคยปฏิเสธเพราะอยากใช้เวลาร่วมกับน้องและอยากเรียนรู้น้องให้มากยิ่งกว่าเดิม



“อาทิตย์หน้าไปดูหนังด้วยกันไหมครับอิงค์ พี่เห็นเราแชร์ในเฟซบุ้กน่ะ” ผมหันไปถามน้องที่นั่งกินข้าวตรงข้ามผม



“หืม?...ดีเลยค่ะ อิงค์ว่าจะชวนพี่ยีนส์พอดีเลย ชวนเพื่อนคนไหนไปดูก็ไม่มีใครว่างเลย”



“โชคดีของพี่เหมือนกันนะเนี่ย ถ้าเกิดอิงค์ชวนเพื่อนไปดูได้พี่ก็คงจะอดไปดูหนังกับอิงค์แน่ๆเลยใช่ไหมครับ” ผมถามทีเล่นทีจริง



“ไม่หรอกค่ะ ยังไงอิงค์ก็กะว่าจะชวนพี่ยีนส์ไปดูด้วยกันอยู่แล้ว” น้องยิ้มให้ผมอย่างน่ารักก่อนจะเทน้ำใส่แก้วให้ผมไปด้วย



“งั้นเอาเป็นศุกร์หน้า อิงค์นัดกับพี่แล้วเนอะ อย่าเบี้ยวล่ะ”



“อิงค์สิคะต้องบอกว่าพี่ยีนส์น่ะห้ามเบี้ยวอิงค์เด็ดขาด”



“ครับๆไม่เบี้ยวแน่นอนครับ สัญญาด้วยเกียรติของพี่เลย” ผมยกสามนิ้วมาแตะตรงขมับตัวเองก่อนอิงค์จะยิ้มขำกับท่าทางนั้นของผม



ผมกับอิงค์นั่งทานข้าวด้วยกันขณะนั้นก็พากันคุยถึงเรื่องทั่วไปสัพเพเหระแล้วแต่จะนึกออกกระทั่งถึงเวลาที่ผมต้องไปส่งน้องที่มหา’ลัยเพื่อเรียนคาบบ่ายส่วนผมวันนี้มีเรียนแค่ตอนเก้าโมงถึงสิบโมงครึ่งเลยมีเวลาว่างพาน้องมาทานอาหาร



“ตอนเย็นพี่ยีนส์ไม่ต้องมารับอิงค์ก็ได้ค่ะเดี๋ยวอิงค์กลับกับเพื่อน” น้องว่าหลังจากที่รถของผมจอดสนิทอยู่หน้าคณะของน้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



“ครับ ตั้งใจเรียนล่ะ” ยื่นมือของตัวเองไปลูบหัวน้องเบาๆก่อนจะผละออก



“แน่นอนอยู่แล้วค่า” น้องว่าอย่างน่ารัก “งั้นอิงค์ไปแล้วนะคะ ไว้เจอกันค่ะ”



ผมมองอิงค์เดินเข้าไปในตึกเรียนจนลับสายตาจึงขับรถออกจากบริเวณนั้นแล้วมุ่งหน้ากลับคอนโดของตัวเอง






ใครจะคิดว่าพอกลับมาถึงห้องผมก็เห็นไอ้เจ้าจอมมันกำลังยืนกดกริ่งหน้าห้องผมอยู่ คือถ้าสมมุติผมไม่มาเห็นมันก็คงจะยืนกดทั้งวันแหละครับ เบอร์ก็มี ไลน์ก็ให้ไปแล้วก็ไม่รู้จักถามทางนั้น ยังจะเสียเวลามากดกริ่งทำไม



“ยืนทำอะไรหน้าห้องกู?” ผมเอ่ยทักคนที่ทำท่าจะกดกริ่งหน้าห้องผมไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว



“อ้าวพี่ไม่ได้อยู่ห้องหรอกเหรอครับ” มันถามพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบให้ผมที่เดินเข้ามาใกล้หน้าประตูก่อนจะเปิดห้องเข้าไป



“มีอะไร เข้ามาก่อนดิ”



มันพยักหน้าเดินตามผมเข้ามาในห้องต้อยๆเหมือนหมาเชื่องๆที่เชื่อฟังเจ้าของแบบนั้นเลย



“พอดีผมจะเอาหนังสือมาคืนพี่น่ะครับ” เมื่อเข้ามาถึงห้อง มันก็เริ่มเข้าประเด็นทันที เจ้าจอมมันชูหนังสือขึ้นตรงหน้าผมซึ่งหนังสือที่ว่าคือหนังสือที่มันยืมไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง



“มึงไม่ใช้แล้ว?” ผมเลิกคิ้วถาม



“ก็น่าจะใช้อ่านอยู่ครับแต่ผมยืมพี่ไปนานแล้วก็เกรงใจน่ะครับเลยเอามาคืน เอาไว้ก่อนสอบสองเดือนผมค่อยหาซื้อมาอ่านเองก็ได้”



“ไม่เป็นไร ใช้เสร็จแล้วค่อยเอามาคืนก็ได้” ผมว่าก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาน้ำกิน “เอาน้ำไหม?”



เมื่อมันได้ยินก็ยิ้มออกมาก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักส่งให้ผม “ขอแก้วนึงครับ”



พักหลังๆผมกับเจ้าจอมเริ่มจะสนิทกันมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้สนิทถึงขั้นที่แบบตบหัวลูบหลังกันได้ สาเหตุที่สนิทกันคงเพราะห้องมันอยู่ข้างๆ พอตอนเย็นก็มากินข้าวด้วยกันอีกอย่างเวลาไอ้เด็กนี่มันมีบทเรียนไหนที่ไม่เข้าใจก็จะมาถามผมตลอดถึงผมจะช่วยมันได้ไม่ค่อยมากก็เถอะเพราะผมก็ยังเอาตัวไม่ค่อยรอดเหมือนกัน เอาเป็นว่าความสัมพันธ์ของผมกับมันตอนนี้ดีกว่าตอนแรกเป็นสิบเท่าเลยก็ว่าได้



หลายคนอาจจะบอกว่าเว่อร์แต่ความจริงมันก็เป็นแบบนั้นนี่หว่าไม่เชื่อก็ดูเอาเองดิ แต่ก่อนผมเคยชวนให้มันเข้าห้องง่ายๆที่ไหน กว่ามันจะเข้าห้องผมได้ผมก็ด่ามันหูดับตับไหม้เหมือนกันแล้วไอ้ยิ่งเทน้ำใส่แก้วแล้วเอามาให้มันกินนี่ไม่เคยอยู่ในระบบสมองผมเลย



ตัดภาพมาที่ตอนนี้..



“ขอบคุณสำหรับน้ำนะครับ” มันวางแก้วน้ำที่กินหมดแล้วไว้ตรงโต๊ะหน้าโซฟาก่อนจะเงยหน้ามามองผมที่ยืนเท้าเอวเท่ๆอยู่ตรงหน้าของมัน



“เรื่องหนังสือน่ะก็ตามที่กูบอกนั่นแหละ เล่มนี้กูไม่ได้ใช้แล้วมึงเอาไปใช้เลยก็ได้ ใช้เสร็จแล้วค่อยเอามาคืนกู”



“อ่า...ก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับพี่ยีนส์”



“อือ ยังไงกูก็เป็นพี่ติวของมึงอยู่แล้วนี่” ผมพึมพำเสียงเบาแต่มันก็คงได้ยินไม่งั้นมันคงไม่มองผมแบบนั้นหรอก



“ตอนแรกผมคิดภาพไม่ออกเลยว่าทำยังไงถึงจะเข้าหาพี่เหมือนตอนนี้ได้ แต่พอได้รู้จักพี่จริงๆแล้ว..พี่ก็ใจดีมากๆเลยนะครับ”



“อะไรของมึงจู่ๆก็มาชมกู” ผมยอมรับว่าสิ่งที่มันพูดทำเอาผมชะงักไปนิดหน่อยแต่ผมก็ทำเก็บอาการไม่แสดงความพอใจในสิ่งที่มันพูดออกมาให้มันได้เห็น เดี๋ยวเด็กมันจะได้ใจ



“จะยิ้มก็ยิ้มเถอะครับไม่เห็นต้องกลั้นยิ้มขนาดนั้นเลย” มันยิ้มล้อพลางฉีกยิ้มให้ผมดูว่าถ้าจะยิ้มก็ต้องยิ้มแบบมัน



“ใครบอกว่ากูจะยิ้มวะ มั่ว!” ผมทำเสียงดังกลบเกลื่อนเมื่อถูกมันจับไต๋ได้ให้เป็นแบบนี้แล้วก็มีทางเดียวเท่านั้นแหละที่จะไม่หลุดยิ้มให้เด็กมันได้ใจ



“ครับๆไม่ยิ้มก็ไม่ยิ้มครับ” เจ้าจอมมันว่าแล้วขำของมันคนเดียว ทำเอามือผมกระตุกหยิบหมอนที่ตั้งอยู่บนโซฟาขว้างใส่มันทันที “โอ๊ะ! พี่ยีนส์ผมเจ็บนะครับขว้างมาได้”



ผมมองมันที่คว้าหมอนที่ผมโยนไปตั้งไว้บนตัก มือของมันก็ลูบหน้าของตัวเองป้อยๆเพื่อบรรเทาความเจ็บ “สมน้ำหน้าเหอะ! พูดมากนัก”



“โธ่คนเรา..เขินแล้วชอบทำร้ายร่างกายคนอื่นแบบนี้นี่เอง”



“เจ้าจอม!!” ผมก้าวไปหามันก่อนจะยกมือเขกหัวมันหนึ่งโป๊ก



“โอ๊ยพี่ยีนส์!อันนี้เจ็บจริงๆแล้ว”



ผมแอบเห็นน้ำตามันเล็ดออกมาที่หางตาก่อนเจ้าจอมมันจะยกมือขึ้นมาเช็ดออกแล้วเงยหน้ามองผมพร้อมทำหน้าบึ้งๆใส่ ไอ้ห่าเอ๊ย! มึงคิดว่าทำแล้วจะน่ารักหรือไงวะไอ้เด็กเวร!



“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็เงียบไปเลยมึง” ผมชี้หน้ามันอย่างคาดโทษ สายตาแน่วแน่มองตรงไปที่มัน บอกให้รู้ว่าถ้ามึงอ้าปากแซวกูอีกนิดมึงโดนมากกว่าเขกหัวแน่



“โอเคๆผมไม่พูดแล้ว” สุดท้ายมันก็ยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ให้ผม



ผมเห็นดังนั้นก็เดินไปนั่งบนโซฟาก่อนไปก็ไม่ลืมผลักหัวไอ้เด็กบ้านี่อีกหนึ่งทีเพราะความหมั่นไส้มันล้วนๆ



“แล้วนี่เสร็จธุระก็กลับห้องมึงไปได้แล้ว” ไม่ได้อยากไล่นะแต่มันก็หมดธุระของมันแล้วจริงๆนี่หว่าจะให้มันมานั่งทำซากอะไรในห้องผมต่อล่ะครับ



“งั้นผมขอตัวเลยแล้วกัน” มันลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อยก่อนว่าต่อ “ตอนเย็นเจอกันครับ”



“อือ”



ผมมองเจ้าจอมมันเดินออกไปจากห้องก่อนที่ตัวผมเองจะเอนตัวลงนอนบนโซฟาแล้วหลับไป



เสียงกริ่งประตูปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมพยุงตัวขึ้นจากโซฟายื่นมือควานหาโทรศัพท์ของตัวเองไปสะเปะสะปะเนื่องจากในห้องไม่มีแสงไฟ เมื่อเจอเข้ากับวัตถุหนึ่งซึ่งคงจะเป็นโทรศัพท์ที่ผมวางเอาไว้ก็หยิบขึ้นมาในระหว่างนั้นเสียงกริ่งหน้าประตูก็ยังคงดังต่อเนื่อง



ผมเปิดหน้าจอขึ้นก่อนจะดูเวลาก็พบว่าหนึ่งทุ่มเข้าแล้ว เป็นเวลาหลายชั่วโมงเลยทีเดียวที่ผมหลับไป ผมเปิดไฟฉายในโทรศัพท์ก่อนจะใช้ส่องเพื่อนำทางพาผมไปเปิดไฟในห้องให้สว่างขึ้น



เมื่อจัดการในห้องเรียบร้อยแล้วก็ต้องปราดมาที่หน้าประตูห้องพร้อมกับส่องดูก่อนว่าใครมันมากดกริ่งหน้าห้องผมเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น



“พี่หลับเหรอ?”



เมื่อเปิดประตูออกไอ้เจ้าจอมมันก็ถามผมขึ้นทันที เป็นมันนั่นเองที่มายืนกดกริ่งหน้าห้องผมเล่น



“อือ เข้ามาก่อนเดี๋ยวขอกูไปล้างหน้าหน่อยแล้วค่อยไปหาอะไรมากินกัน”



เจ้าจอมพยักหน้าแล้วเดินตามผมเข้ามาข้างใน เมื่อมาถึงกลางห้องแล้วผมก็เดินแยกเข้าไปในห้องนอนของตัวเองเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้น



“เจ้าจอม” ผมเดินออกมาจากห้องแล้วร้องเรียกไอ้เจ้าจอมที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่



“เสร็จแล้วเหรอครับ” มันเก็บโทรศัพท์ก่อนจะยืนขึ้นแล้วเดินมาหาผม



“อืม ไปกัน”



ผมกับเจ้าจอมพากันเดินไปหาอะไรกินที่ตลาดเหมือนทุกๆวัน ระหว่างเดินหาอะไรกินเจ้าจอมมันก็คอยถามตลอดว่าผมอยากกินอะไร เอาอันนี้ไหมหรือบางทีก็หยิบอาหารที่เขาวางไว้ให้ชิมมาป้อนใส่ปากผม ตอนแรกผมก็ไม่ยอมหรอกแต่ไอ้เด็กนี่แม่งตื๊อเก่ง สุดท้ายก็เลยต้องอ้าปากยอมให้มันป้อนแต่โดยดี



“พี่เอาอะไรอีกไหม?” มันหันมาถาม



“ไม่แล้วแค่นี้ก็ไม่รู้จะกินหมดไหมเถอะ” ผมชี้ไปที่ถุงที่มันถือเต็มสองมือและยังมีถุงที่ผมถืออีกส่วนหนึ่ง เหมือนซื้อไปเลี้ยงคนทั้งคอนโดอะครับ



“งั้นก็กลับห้องกันเลยเนอะ”



“เออ”



เพียงไม่กี่นาทีผมกับเจ้าจอมก็พากันเดินมาถึงคอนโด วันนี้เป็นคิวที่ต้องใช้ห้องมันกินข้าว ผมบอกให้มันเข้าห้องไปก่อนแล้วผมจะตามเข้าไปทีหลัง เมื่อทำธุระในห้องตัวเองเสร็จผมก็เดินไปเปิดประตูห้องของเจ้าจอมเพราะมันไม่ได้ล็อคเลยเปิดออกได้ง่ายๆ



“ผมเตรียมอาหารเสร็จแล้ว” มันผายมือแล้วเชื้อเชิญให้ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามมัน



ผมกวาดสายตามองอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะก่อนจะเริ่มบ่นใส่เจ้าจอม “ซื้อมาเยอะแยะขนาดนี้จะกินหมดหรือเปล่าวะ”



“ถ้าไม่หมดก็เก็บไว้กินตอนเช้าก็ได้ครับ” มันว่าอย่างไม่คิดอะไร



“กินของค้างคืนใช่ว่าจะดีที่ไหนล่ะ” ถึงปากจะบ่นแต่มือก็ตักอาหารเข้าปากเรื่อยๆ



“เอาน่าพี่ ไม่ได้กินทุกวันสักหน่อย”



“ตามใจมึงแล้วกัน คราวหลังเวลาซื้อก็ดูด้วยไม่ใช่อยากกินอะไรก็หยิบเอาไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้” นับวันผมก็ยิ่งจะบ่นเก่งฉิบหายมากครับ คงจะตั้งแต่ได้มารู้จักไอ้เด็กนี่ล่ะมั้งแม่งทำอะไรก็ไม่ค่อยคิดเท่าไหร่หรอก



“ครับๆผมจะเชื่อฟังพี่ครับ” มันทำหน้าทะเล้นพร้อมค้อมหัวให้ผมก่อนมันจะเงยหน้าแล้วยิ้มขบขันอยู่คนเดียว



“กวนตีน” ยกเท้าตัวเองไปเตะหน้าแข้งมันด้วยความหมั่นไส้ เด็กมันร้องโอดโอยแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่หยุดทำหน้ากวนตีนใส่ผมสักที



“อย่าทำร้ายผมสิครับพี่ยีนส์”



“หุบปากไป”



ถ้าหากทุกคนมองจากภายนอกอาจจะคิดว่าผมกับไอ้เจ้าจอมเลิกตีเลิกกัดกันแล้วนั้นทุกคนคิดผิดมากนะครับ เอาตามจริงคือแม่งยังกัดกันได้ตลอดเวลา กัดกันได้ทุกทีที่เจอกันเลย เหมือนถ้าวันไหนไม่ได้ทะเลาะกันหรือทำร้ายร่างกายกันวันนั้นจะไม่มีความสุขอะ







ผมขับรถมารับอิงค์ที่คอนโดของน้องตามที่ได้นัดกันไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วว่าวันนี้เราจะไปดูหนังด้วยกัน ผมเดินเข้าไปนั่งรอน้องอยู่ใต้ล็อบบี้คอนโดไม่นานอิงค์ก็เดินออกมาจากลิฟต์ด้วยชุดเดรสลูกไม้สีขาวน่ารักทำเอามองเพลินเหมือนกันตอนที่น้องเดินมาหา



“วันนี้แต่งตัวน่ารักจังเลยครับ” อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวไป



“โธ่พี่ยีนส์คะชมกันโต้งๆแบบนี้อิงค์ก็เขินแย่น่ะสิ” น้องตอบรับยิ้มๆแก้มแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยคงเพราะเขินที่โดนผมแซวไปแบบนั้น



“ก็อิงค์น่ารักจริงๆนี่”



“พอเลยค่ะพี่ยีนส์ นี่คงอยากเห็นอิงค์เขินตัวม้วนต่อหน้าใช่ไหมล่ะคะ อิงค์ไม่ทำให้พี่เห็นหรอก”



“โธ่~ น่าเสียดายจริงๆที่อดเห็นอิงค์เขิน”



น้องส่งยิ้มให้ผมก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ไปกันเถอะค่ะพี่ยีนส์ ยืนชมกันอยู่แบบนี้วันนี้คงไม่ได้ดูหนังแล้ว”



“จริงด้วยสินะ”



ผมกับน้องหัวเราะขบขันก่อนจะพากันเดินไปขึ้นรถของผมที่จอดอยู่ใกล้ๆคอนโดของน้องอิงค์



เรามาถึงห้างก็เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าๆ เมื่อเช้าผมเช็ครอบหนังดูแล้วหนังที่เราจะดูจะเข้าโรงประมาณบ่ายสองโมงครึ่งเราเลยไม่ต้องรีบร้อนมากนัก



“น้องอิงค์ทานอะไรมาหรือยังครับ?” ผมหันไปถามน้องที่เดินอยู่ข้างกัน



“ทานแค่มื้อเช้าเองค่ะ มื้อเที่ยงยังไม่ได้ทานเลยค่ะแต่ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”



“งั้นน้องอิงค์จะไปไหนก่อนไหมครับหรือเราจะไปซื้อตั๋วหนังกันเลย”



“อิงค์ขอแวะร้านหนังสือก่อนได้ไหมคะ” น้องถามชี้ไปทางร้านหนังสือที่อยู่ข้างหน้า



“ได้ครับ ยังไงก็ยังมีเวลาเหลือ” ผมไม่ได้รีบร้อนหรือเร่งรัดอะไรน้องเพราะถึงยังไงถ้าเกิดไม่ทันรอบสองโมงครึ่งก็ยังมีรอบสี่โมงห้าสิบให้พวกผมได้ดูอยู่



ผมเดินตามหลังน้องที่กำลังเดินมุ่งหน้าเข้าร้านหนังสือ น้องแยกไปดูหนังสืออีกล็อคหนึ่งส่วนผมก็แยกมาอีกล็อคหนึ่งเพราะอิงค์อยากแยกไปดูหนังสือคนเดียว ผมก็เลยจำใจต้องระเห็จระเหินเดินมาดูหนังสือของตัวเองบ้าง



ผมไล่สายตามองหนังสือกฎหมายที่ตั้งเรียงรายกันเต็มไปหมด ตอนแรกก็กะว่าจะซื้อประมวลเล่มใหม่ด้วยแหละเลยยอมเดินแยกจากน้อง จริงๆผมจะเปลี่ยนเล่มใหม่มาตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้วแต่ก็ดันลืม วันนี้มีโอกาสได้ซื้อก็เลยมองหาเล่มใหญ่ๆหน่อยเพราะเวลาเรียนผมชอบจดใส่ในประมวลมากกว่าในสมุด



การเลือกของผมก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรหรอกครับในเมื่อเนื้อหามาตราข้างในมันก็เหมือนๆกันไปหมดทุกเล่ม ผมยื่นแขนไปหยิบประมวลเล่มใหญ่ที่วางอยู่บนชั้นค่อนข้างสูงลงมา เปิดดูนั่นนี่นิดหน่อยก็ถือไว้กับตัวก่อนจะมองหาหนังสือเล่มอื่นที่อาจจะจำเป็นต่อการเรียนของผม



“อ้าวพี่!”



ผมหันขวับไปมองก็เจอกับไอ้เจ้าจอมที่ยืนโบกมือยิ้มแฉ่งอยู่ตรงโซนหนังสือไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมสักเท่าไหร่ มันเดินเข้ามาหาก่อนสายตาจะไล่ลงไปมองหนังสือที่ผมถืออยู่



“มาซื้อประมวลเหรอครับ?”



“มึงเห็นเป็นหนังสือการ์ตูนหรือไงล่ะ” ผมตอบมันไปกวนๆ



“ก็น่าจะใช่แหละครับผมก็เลยถามพี่ดูเผื่อเป็นหนังสือการ์ตูนขึ้นมาจริงๆ”



ไอ้เด็กนี่แม่ง!



“เออ..กูมาซื้อประมวล”



“นั่นสิครับ”



ผมขมวดคิ้วหงุดหงิดนิดหน่อยที่โดนเด็กมันกวนตีน “เจ้าจอมมึงจะมากวนตีนกูทำไมวะ”



“ล้อเล่นเองพี่ไม่เห็นต้องดุผมเลย”



มันทำหน้าหงอเหมือนจะให้ผมสงสารแต่ฝันไปเถอะไอ้เด็กเวร!



“ล้อเล่นเสร็จแล้วก็ไปไกลๆเลยไป” ผมทำหน้าไม่สบอารมณ์ น้ำเสียงก็แอบเหวี่ยงใส่มันนิดหน่อย



“ไม่เห็นต้องไล่ผมเลยพี่”



ผมมองหน้ามันจึงได้เห็นแววตาที่มันมองผมเลยทำให้รู้สึกผิดขึ้นมาที่พูดกับมันไปแบบนั้น



“ไม่ได้ไล่” ผมพึมพำเสียงเบาแต่เดาว่ามันคงจะได้ยินนั่นแหละ



“ถ้าพี่อยากให้ผมไป ผมไปก็ได้ครับ” มันทำท่าจะเดินไปจริงๆทว่าผมก็ไม่รู้นึกอะไรขึ้นมาถึงได้คว้าแขนมันไว่ไม่ให้มันเดินไปไหน



“ก็บอกว่าไม่ได้ไล่ไงวะ” มันไม่ยอมหันหน้ามา ผมเลยกระตุกแขนมันเป็นเชิงบอกให้หันมาคุยกันดีๆ “เจ้าจอมหันหน้ามาคุยกับกูดีๆ”



“ผมจะไปแล้วพี่ มีอะไรค่อยคุยกันวันหลังก็ได้ครับ”



“เจ้าจอมมึงจะเดินหนีกูทำไม แล้วมึงเป็นอะไรวะกูพูดแค่นี้เอง”



คราวนี้มันหันหน้ามาหาผมจริงๆแต่ใบหน้ามันกลับนิ่งสนิทไม่แสดงอารมณ์ใดๆทำเอาผมชักเริ่มใจคอไม่ดีหรือผมจะพูดกับมันแรงเกินไปวะ



“ถ้าพี่คิดอย่างนั้นก็แล้วแต่ครับ”



“เจ้าจอม!”



“ผมจะไปแล้ว”



“มึงโกรธกูหรอวะ?” ผมไม่รู้ว่าทำไมพอคิดว่าไอ้เด็กนี่มันจะโกรธผมจริงๆแล้วในอกของผมถึงได้วูบโหวงขนาดนี้



“ผมไม่ได้โกรธพี่”



“ไม่โกรธก็คุยกันดีๆดิวะ” ผมรู้ว่าบางทีผมก็อาจจะพูดอะไรออกไปโดยไม่ได้คิดถึงใจมันสักเท่าไหร่ “ขอโทษ...ถ้ามึงไม่พอใจที่กูพูดไม่ดีใส่กูก็ขอโทษ”



มันหันมาหาผมอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ผมไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ยังเกลียดขี้หน้าผมเหมือนอย่างตอนแรกหรือเปล่าแต่ผมคาดหวังมากนะครับว่าการที่เราได้พูดคุยกันมากขึ้นและการได้นั่งกินข้าวด้วยกันในทุกๆวันจะทำให้พี่เกลียดขี้หน้าผมน้อยลง ผมแค่อยากจะสนิทกับพี่ อยากให้พี่พูดดีๆด้วยเหมือนกับคนอื่นๆและถ้าผมไม่ได้หวังมากไปแค่พี่พูดอะไรแล้วรักษาน้ำใจผมหน่อยผมก็ถือว่าโอเคแล้ว”



ผมยืนนิ่งฟังสิ่งที่มันต้องการจะบอก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมยอมรับตรงๆเลยว่าผมไม่เคยพูดดีๆกับมันสักเท่าไหร่ บางทีผมก็พูดอะไรไปไม่คิดและไม่เคยนึกถึงใจคนฟังอย่างมันเลยว่าจะรู้สึกยังไง



“กูไม่ได้ตั้งใจ” ผมเม้มปากมองมันที่มองผมอยู่เช่นกัน “ขอโทษ”



“เฮ้อ...ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะว่าพี่แบบนั้นนะ ผมขอโทษแต่ผมก็คิดแบบนี้จริงๆ” มันยกมือขึ้นแตะแขนผมแล้วตบลงเบาๆ “แต่ผมรู้ว่าผมก็กวนตีนพี่เกินไป เรื่องนี้ผมก็ขอโทษด้วยครับ”



“กูก็ไม่ได้คิดอะไรจริงจังขนาดนั้นสักหน่อย”



ก็อย่างว่าแหละว่าเจ้าจอมมันชอบกวนตีนผมเวลาเจอกันตลอดแต่มันก็อยู่ในขอบเขตของมันไม่เคยล้ำเส้นอะไรผมมากมายเลย ผมไม่ได้ถือสามันเท่าไหร่แต่บางครั้งก็ยอมรับแหละว่าการกวนตีนของมันทำเอาผมหงุดหงิดไม่น้อย



“ทำไมเราต้องมาคุยเรื่องนี้กันในร้านหนังสือด้วยนะครับ” มันว่ายิ้มๆแล้วมองไปรอบร้าน



ผมที่เห็นมันยิ้มก็ใจชื้นขึ้นมา มันคงจะหายโกรธผมแล้วแหละ “เออก็ใครล่ะที่เริ่มพูดก่อน”



“ก็ดีกว่าไม่ได้พูดไม่ใช่เหรอครับ ผมกับพี่จะได้เข้าใจกันมากขึ้นไง”



“เออเข้าใจมาก”



มันหัวเราะก่อนจะว่าต่อ “หลังจากนี้พี่ก็ช่วยพูดเพราะๆให้ผมฟังหน่อยนะครับพี่ยีนส์”



“เด็กเวร…” ผมมองมันที่ตอนนี้กำลังกวาดสายตามองหนังสือบนชั้นอยู่เงียบๆ “กูจะพยายาม...”



“พี่ว่าไงนะ?” เด็กมันหูผึ่งหันมาหาผมแล้วขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม



“ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย” ผมไหวไหล่ทำเป็นสนใจหนังสือในชั้นแทนเด็กที่ยืนอยู่ข้างๆกัน



ผมเห็นมันเงียบไปนานคิดว่าคงไม่ได้สนใจเรื่องที่ผมพูดแล้วแต่ใครจะคิดล่ะว่าไอ้เด็กนี่แม่งหูดีกว่าที่ผมคิดซะอีก



“ขอบคุณที่จะพยายามนะครับ”






ใครจะคิดล่ะครับว่าการที่ได้เจอไอ้เจ้าจอมในร้านหนังสือจะทำให้วันนี้ของผมมีมันตามติดมาตลอดแบบนี้ ไอ้เวรเอ๊ย! ไหนเดทที่คิดไว้ว่าจะสวีทกับน้องอิงค์วะแล้วไอ้ตัวข้างๆนี่มันคืออะไร...



“ดูกันหลายๆคนก็สนุกดีนะ จอมดูเถอะ พระเอกคนนี้จอมชอบไม่ใช่หรอ?” อิงค์ยังคงตื้อไอ้เจ้าจอมที่นั่งอยู่ข้างๆผมให้ดูหนังด้วยกัน



ผมจะไม่อะไรมากมายหรอกถ้าอิงค์ไม่ได้พูดประโยคหลังนั้นออกมา คำพูดที่ยังคงแสดงให้เห็นว่าน้องยังไม่ลืมเรื่องของเจ้าจอมและผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าจอมมันจะเป็นเหมือนกันกับอิงค์หรือเปล่า



“แต่อิงค์มาดูกับพี่ยีนส์นะ” เจ้าจอมมันตอบอิงค์กลับ มือของมันก็ตักอาหารมาใส่ในจานผมไปด้วย



ตอนนี้เรากำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งในห้าง ก็อย่างที่คิดไว้ว่าพวกผมไม่ทันรอบบ่ายสองครึ่งเลยเลื่อนเวลาไปดูตอนสี่โมงห้าสิบแทน



“ใช่..แต่ถ้าดูด้วยกันหลายๆคนก็คงจะดีกว่า”



เจ้าจอมมันหันมามองหน้าผม ผมก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกถ้ามันอยากจะดูด้วยก็โอเค ผมอาจจะมีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้อยากคิดอะไรมาก



“ถ้าพี่ยีนส์อยากให้เราอยู่เราก็จะอยู่แล้วกัน”



ผมหันขวับไปมองมันที่นั่งเคี้ยวข้าวแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว พอเคี้ยวเสร็จก็หันหน้ามาส่งยิ้มให้ผมอีก ไอ้เด็กนี่กวนตีนไม่เลิกเลยจริงๆ



“จะดูก็ดูดิ” ผมตอบมันไป ส่วนอิงค์พอได้ยินแบบนั้นก็ส่งยิ้มมาให้ผมก่อนจะหันกลับไปคุยกับเจ้าจอมมันต่อ



ทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองมาเป็นส่วนเกินของทั้งสองคนเลยวะ...



“พี่ยีนส์ให้ดูแล้ว ทีนี้จอมห้ามปฏิเสธล่ะ”



“อือ ดูก็ได้ครับ”



ผมแอบเหลือบมองน้องอิงค์กับเจ้าจอมที่กำลังคุยกันเป็นเรื่องราวและเหมือนจะรู้เรื่องของกันและกันมากเป็นพิเศษ พอได้มองแบบนี้แล้วก็คิดว่าทั้งสองคนก็ดูเหมาะกันดี ถ้าหากเจ้าจอมกับอิงค์จะรีเทิร์นมาคบกันอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแต่ผมนี่สิคงแปลกไปเองเพราะแค่คิดว่าถ้าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริงๆทีไรในอกก็รู้สึกสั่นไหวแปลกๆยังไงชอบกล ก็อาจจะเพราะผมกับอิงค์คุยกันและผมก็มีความรู้สึกดีๆให้กับน้องล่ะมั้ง พอเห็นน้องไปคบกับคนอื่นก็อาจจะเสียใจเป็นธรรมดาแหละ



“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงของเจ้าจอมทำให้ผมหลุดออกจากความคิดของตัวเอง



“เปล่าหรอก” ผมปฏิเสธไป จะให้บอกมันรู้ได้ยังไงว่าผมกำลังคิดเรื่องมันกับอิงค์อยู่ “แล้วนี่อิงค์ไปไหน?”



ผมถามหาอิงค์ที่ไม่ได้นั่งอยู่ในโต๊ะแล้วพร้อมกับกวาดสายตามองหาน้องไปด้วย



“ไปเข้าห้องน้ำครับ พี่ไม่รู้เหรอ...อิงค์ยังบอกพี่อยู่เลย” เจ้าจอมมันทำหน้าแปลกใจ “พี่ไม่เป็นอะไรแน่นะ?”



“เออ กูแค่เหม่อนิดหน่อยน่า..”



“ถ้ารู้สึกไม่ดีก็บอกผมได้นะครับพี่” มันทำหน้าจริงจัง จ้องมองและสำรวจใบหน้าของผมอย่างละเอียดถี่ถ้วน



“กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก..” ก็แค่คิดเรื่องของมึงนิดหน่อยเท่านั้นเอง



“ดีแล้วครับ กินข้าวต่อเถอะ”



ถ้าหากวันนั้นที่เจ้าจอมกับอิงค์กลับมาคบกันจริงๆผมก็คงหลีกทางให้เจ้าจอมมันนั่นแหละถึงจะรู้สึกว่าตัวเองต้องเสียใจแน่ๆแต่ผมก็คงไม่สามารถทำร้ายความรู้สึกของคนทั้งสองได้หรอก





ตอนต่อๆไปจะเดินเรื่องไวแล้วเน่ออ
#นิติผูกพัน

หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เราสองสามคน- 20/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-01-2019 03:35:15
จะเป็นเรื่องเรา 3 คนกันนานไหมหนอ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เราสองสามคน- 20/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-01-2019 15:47:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เราสองสามคน- 20/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 21-01-2019 18:47:46
ตอนที่15

เจ้าจอม


ผมนั่งมองพี่ยีนส์ที่กำลังเหม่อลอยตั้งแต่ออกจากร้านอาหารจนเรามาทานของหวานที่ร้านใกล้ๆกันพี่ยีนส์ก็ยังคงเหม่ออยู่เป็นระยะ เวลาผมเรียกเขาก็จะสะดุ้งหน่อยๆแล้วทำหน้าเหรอหราใส่ผม อดจะคิดขึ้นมาในใจไม่ได้หรอกว่าท่าทางแบบนั้นน่ามองมากกว่าเวลาเขาทำหน้าดุใส่ผมซะอีก



แต่เอาเข้าจริงแล้วหากพี่ยีนส์เขาเป็นแบบนี้บ่อยๆก็ไม่ดีเหมือนกัน ผมว่าเขาดูแปลกๆไปตั้งแต่ร้านอาหารแล้ว ผมพอเดาได้อยู่หรอกแต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าสิ่งที่ผมคิดคือสิ่งที่พี่ยีนส์กำลังกลุ้มใจ



ผมไม่รู้ว่าทำไมพี่ยีนส์ถึงเกลียดขี้หน้าผมนักตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันแล้ว อย่าเรียกว่าเกลียดขี้หน้าเถอะผมว่ามันรุนแรงไปเอาเป็นว่าตั้งแต่แรกพี่ยีนส์เขาไม่ค่อยถูกชะตากับผมสักเท่าไหร่ เวลาเจอผมทีไรก็ต้องได้ด่าผมตลอด



ผมไม่เข้าใจจนต้องโทรไปเล่าให้พี่ภูมิใจฟัง พี่บอกว่าพี่ยีนส์เขาก็เป็นของเขาแบบนั้นต้องเข้าหาเขาแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ถึงภายนอกพี่ยีนส์ดูจะเป็นคนชอบด่ากราดคนไปทั่วทว่าพี่ภูมิใจก็บอกว่าพี่ยีนส์น่ะใจดีและเป็นคนที่มีน้ำใจมากๆหากได้สนิทกัน



เอาจริงๆผมก็ไม่ได้เชื่อพี่ร้อยเปอร์เซ็นหรอกจนกระทั่งได้ทำความรู้จักกับพี่ยีนส์แบบจริงๆจังๆ เขาน่ะเป็นคนที่ปากแข็งใช้ได้เลยล่ะครับเวลาผมแหย่นิดแหย่หน่อยก็ชอบโวยวายทำร้ายร่างกายผมตลอด ไอ้ผมก็ทนมือทนตีนเขาดีซะด้วยสิ เหมือนเป็นพวกชอบความรุนแรงยังไงชอบกล



“จอมยังชอบทานวัฟเฟิลเหมือนเดิมเลยนะ”



อิงค์เอ่ยทักหลังจากที่เราส่งเมนูให้พนักงานเรียบร้อยแล้ว ผมไม่รู้ว่าอิงค์มีจุดประสงค์หรือต้องการอะไร ทำไมถึงต้องชวนผมมาดูหนังด้วยกันแบบนี้ อีกเรื่องคือการพูดคุยของอิงค์เหมือนอิงค์พยายามพูดว่าเธอยังจำทุกๆสิ่งเกี่ยวกับผมได้เสมอตั้งแต่เราเลิกรากันมานาน ผมว่ามันไค่อยดีเท่าไหร่แต่ผมจะทำอะไรได้นอกจากทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เธอต้องการสื่อออกมา



“อื้ม” ผมรับคำหันไปหาพี่ยีนส์ที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดบ้าง



“พี่ไม่สั่งอะไรกินเหรอ?” ผมชวนเขาคุย



เขาหันมาก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ชอบ กินแล้วแสบคอ”



“งั้นพี่ลองกินวัฟเฟิลกับผมไหม รับรองอร่อยไม่แสบคอด้วยนะครับ”



“มึงก็พูดแบบนี้ตลอด คราวก่อนก็หลอกให้กูกินเค้กเลี่ยนๆไปทีหนึ่งแล้ว” เขาบ่นพร้อมกับยกมือขึ้นมาเขกหัวผม ถึงไม่แรงแต่ก็รู้สึกจี๊ดๆนิดหน่อย



“โธ่พี่~ ก็ตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆนี่ว่าพี่ไม่ชอบกินเค้ก” อันนี้ผมพูดจริงๆนะครับไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งให้พี่ยีนส์กินเค้กก้อนเล็กๆนั่นเลย ผมชิมแล้วเห็นว่าอร่อยดีก็อยากให้พี่ยีนส์กินบ้าง ใครจะไปนึกล่ะครับว่าพี่เขาไม่ชอบกินอะไรเลี่ยนๆ



“ก็หัดรู้ไว้ซะบ้าง” เขาพึมพำให้ได้ยินกันสองคน



ผมยิ้มก่อนจะตอบรับให้เขาได้ยินคนเดียว “ครับ”



เมื่อของหวานถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ อย่างแรกที่ผมทำคือเลื่อนจานวัฟเฟิลของตัวเองไปอยู่ตรงหน้าระหว่างผมกับพี่ยีนส์



“ลองชิมดูครับอร่อยจริงๆนะ” ผมโฆษณาชวนเชื่อ อีกคนมองหน้าผมอย่างไม่ไว้ใจแต่เขาก็ยอมหยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักของหวานเข้าปากพอดีคำ “เป็นไงครับ?”



เขายังคงละเลียดชิมรสชาติของวัฟเฟิลกระทั่งเคี้ยวเสร็จเขาก็พยักหน้าสายตาก็มองของหวานไปด้วย



“ก็ดี” คำตอบของเขามีแค่นั้นแต่มือของเขากลับตักวัฟเฟิลและไอศรีมที่มาด้วยกันเข้าปากไปอีกคำ



“ก็ดีของพี่คืออร่อยมากๆสินะครับ” ผมเอ่ยแซวเลยได้รับสายตาดุๆจากเขาเข้าให้



“ยุ่งจริงเลยว่ะ” เขาว่าก่อนจะยัดช้อนที่มีไอศกรีมคำโตใส่ปากผม “แดกๆไปจะได้เงียบ”



ผมพูดอู้อี้อยู่ในลำคอเพราะไอศกรีมเต็มปาก ดีนะที่สุขภาพฟันผมดีพอที่ไอศกรีมไม่สามารถทำให้ผมเสียวฟันได้แต่ก็เย็นจี๊ดๆที่สมองเหมือนกัน



“พี่ยีนส์กับจอมดูสนิทกันมากเลยนะคะ” อิงค์เอ่ยแทรกขึ้นมาขณะที่ผมกำลังจะพูดกับพี่ยีนส์



ผมทำท่าจะตอบแต่ไม่ทันใครอีกคนที่นั่งข้างๆกันเป็นคนโพล่งคำตอบขึ้นมา ทำเอาผมอึ้งไม่น้อยจริงๆที่ได้ยินคำตอบแบบนั้นจากเขา



“ก็สนิทกันแหละครับ”



ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกยังไงดีตอนที่ได้ยินเขาตอบแบบนั้น เอาเป็นว่าเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆมากจนผมอยากสั่งวัฟเฟิลมาให้พี่ทานอีกจานหนึ่งเลยล่ะ



“ครับ สนิทกัน” ผมย้ำคำตอบให้อิงค์เข้าใจอีกครั้งก่อนจะหันไปยิ้มให้พี่ยีนส์ที่ทำเป็นนั่งไม่รู้ไม่ชี้เอาแต่ตักวัฟเฟิลเข้าปากตัวเอง



“ดีจังเลยค่ะ เห็นจอมเฟรนลี่ขนาดนั้นแต่ก็ใช่ว่าจะสนิทกับคนอื่นง่ายซะที่ไหน”เธอว่าต่อ ผมแอบขมวดคิ้วน้อยๆที่อิงค์พูดแบบนั้น



ผมเข้าใจนะถ้าแฟนเก่าของเราจะรู้จักว่าเราเป็นคนยังไงแต่ก็ไม่ควรจะเอามาเล่าให้คนที่ตัวเองกำลังคุยฟังหรือเปล่า ถ้าพี่ยีนส์รู้สึกไม่ดีขึ้นมาจะทำยังไง



“จริงหรอ?” พี่ยีนส์หันมาถามผมเหมือนเขาไม่เชื่อว่าสิ่งที่อิงค์พูดเป็นเรื่องจริง



“ก็ประมาณนั้นแหละพี่” ผมลอบสังเกตสีหน้าและปฏิกิริยาของพี่ยีนส์ก็ต้องถอนหายใจ เห็นไหมพี่ทำหน้าหงอยอีกแล้วทำเอาผมพลอยรู้สึกไม่ดีไปด้วยเลย



เขาพยักหน้าแล้วก็เงียบไปอีก ผมว่าวันนี้ผมไม่ควรอยู่ตรงนี้แล้วแหละ ผมไม่อยากให้พี่ยีนส์รู้สึกไม่ดีไปมากกว่านี้ ผมรู้สึกว่าพอเห็นพี่ยีนส์ไม่มีความสุขผมก็พลอยไม่มีความสุขเหมือนพี่ไปด้วย ผมแค่อยากเห็นเขายิ้มไม่ก็บ่นหรือดุผมก็ได้ไม่ใช่เงียบแบบนี้ รู้สึกในอกมันวูบโหวงยังไงชอบกล



ผมนิ่งคิดสักพักก่อนจะตัดสินใจได้ว่าตนเองไม่ควรจะนั่งอยู่ตรงนี้แล้วจริงๆจึงเอ่ยปากออกไป “วันนี้เราคงไม่สะดวกดูหนังด้วยแล้วล่ะ”



“ทำไมล่ะจอม” เป็นอิงค์ที่ถามออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อฟังผมพูดจบ



“พอดีเรานัดเพื่อนไว้น่ะ ขอโทษทีนะ” ผมแอบเหลือบมองพี่ยีนส์ก็เห็นเขากำลังมองหน้าผมอยู่เช่นกัน



“เสียดายจังแต่ไม่เป็นไรหรอกงั้นวันหลังมาดูด้วยกันนะ”



“อ่า..คงต้องดูก่อนนะว่าว่างไหม”



จริงๆผมว่างแหละไม่ใช่คนมีธุระเยอะแยะมากมายขนาดนั้นแต่ที่ต้องพูดแบบนั้นออกไปเพราะผมว่ามันไม่เหมาะเท่าไหร่ที่ผมกับอิงค์จะมาดูหนังด้วยกันและถ้ายิ่งมาดูด้วยกันสามคนแบบนี้มันก็แปลกๆใช่ไหมละ เอาเป็นว่าคำตอบนี้เป็นคำตอบที่ดีสำหรับทุกฝ่ายแล้ว



“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก” เธอว่าพลางฉีกยิ้มให้ผมแต่ดวงตาหงอยๆที่จ้องมองผมอยู่นั้นผมจะมองข้ามไปก็แล้วกัน



ผมหันกลับไปมองพี่ยีนส์ที่นั่งเงียบอยู่คนเดียวบ้าง “พี่ยีนส์ครับ”



“อืม”



“ผมไปแล้วนะ” เขาเงยหน้าขึ้นมามองผม “ไว้เจอกันที่ห้องนะครับ”



“เจอกัน” เขาว่าแล้วยกยิ้มน้อยๆให้ผม



ผมที่เห็นแบบนั้นก็ไปไม่เป็นเลย ใช่ว่าพี่ยีนส์จะยิ้มให้ผมบ่อยที่ไหน ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยิ้มแบบนั้นให้แต่มันก็ดีมากเลยที่ผมได้รับรอยยิ้มของเขามา ถึงจะไม่ใช่รอยยิ้มกว้างเหมือนที่อิงค์ยิ้มให้แต่แค่เป็นพี่ยีนส์ผมก็รู้สึกว่ามันดีมากๆและดีที่สุดแล้ว






ผมไม่ได้ไปหาเพื่อนตามที่ได้บอกอิงค์ไว้ในตอนแรก ตามเหตุผลจริงๆแล้วผมไม่ได้นัดเพื่อนที่ไหนไว้หรอกแค่อยากปลีกตัวเองออกมาจากอิงค์เท่านั้น ผมตรงดิ่งกลับคอนโดของตัวเองทันทีเพราะตอนนี้อยากคุยกับพี่ชายของผมจะแย่ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ที่จะพูดกับพี่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมมากน้อยแค่ไหนแต่ถ้าหากไม่ได้พูดไปผมก็คงจะอึดอัดไม่น้อยเลย



“พี่ภูมิใจ” ผมเรียกชื่อพี่ตอนที่พี่รับสายผมแล้ว



(ว่าไง)



เสียงปลายสายเหมือนคนที่ยังไม่ตื่นดี ก็แหงล่ะวันนี้เป็นวันหยุดพี่ภูมิใจนี่นะ



“ผมมีเรื่องจะปรึกษา” ผมลูบมือไปมาบนโซฟาเพื่อลดอาการประหม่าของตนเองที่จู่ๆก็เกิดขึ้น



(แปบนึงนะ)



“อื้อ” ผมตอบรับได้ยินเสียงกุกกักจากปลายสาย สักพักพี่ก็เอ่ยขึ้นมา



(จะปรึกษาเรื่องอะไรล่ะ)



“คือผม...” อดไม่ได้หรอกนะที่จะตื่นเต้น ตื่นเต้นจนพูดไม่ออกแล้ว “ผมว่าผม...รู้สึกดีกับพี่ยีนส์มากๆเลย”



(ยีนส์เป็นคนดี..พี่ก็รู้สึกแบบนั้น)



พี่คงจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดเท่าไหร่สินะ เอาล่ะผมคงต้องอธิบายให้พี่ฟังแล้ว



“ผมหมายถึงว่าผมรู้สึกดีเวลาพี่ยีนส์ยิ้มให้ เวลาพี่ยีนส์มีความสุขเพราะผมซื้อของชอบไปให้เขา ไม่ก็เวลาที่เขาบ่นผมเรื่องที่ผมทำตัวไม่ค่อยดี ผมรู้สึกดีมากทุกครั้งเวลาที่ได้อยู่กับพี่ยีนส์”



ผมอธิบายให้พี่ฟังตามที่ผมรู้สึกจริงๆ มันเป็นเพราะรอยยิ้มก่อนที่ผมจะขอตัวกลับเพราะรอยยิ้มนั้นของเขาทำเอาผมรู้สึกดีมากๆจนต้องเอาเรื่องนี้มาพูดกับพี่ให้ได้



(จอม...) พี่เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนว่าต่อ (ไม่ใช่ว่ามึงชอบยีนส์หรอกนะ)



ผมทำหน้างุนงง “ผม..ชอบพี่ยีนส์? พี่จะบ้าหรอ!” ผมเหวเสียงดังเพราะสิ่งที่พี่พูด “ผมแค่รู้สึกดีกับเขา”



(ไอ้คำว่ารู้สึกดีกับไอ้คำว่าชอบมันต่างกันเหรอ)



“ผมไม่รู้...”



(กูว่ามึงกำลังสับสนความรู้สึกตัวเองอยู่นะ)



“อาจจะใช่..แต่พี่ครับผมจะไปชอบพี่ยีนส์ได้ยังไงในเมื่อเราเป็นผู้ชายกันทั้งคู่”



(จอม...ฟังพี่นะ)



“ครับ”



(การที่เราจะมีความรู้สึกชอบหรือรักใครเรื่องเพศมันไม่ใช่ตัวกำหนดนะ เอาจริงๆแค่รู้สึกว่าชอบไปแล้วเรื่องเพศก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก มันเป็นความรู้สึกของเราต่างหากแค่รู้สึกว่าชอบมันก็คือชอบนั่นแหละ ทำไมต้องไปมีเหตุผลให้มันด้วยว่าชอบเขาที่ตรงไหน ชอบเขาเพราะอะไร ชอบเพราะเขาเป็นผู้ชายหรือชอบเพราะเขาเป็นผู้หญิง เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกนะสำหรับพี่แล้วพี่คิดว่าก็แค่ชอบน่ะไม่เห็นต้องหาเหตุผลอะไรเลย)



ผมนิ่งฟังพี่พลางคิดตามไปด้วย ชีวิตนี้ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะชอบผู้ชาย ผมก็เป็นคนธรรมดาๆที่คิดเสมอว่าผู้หญิงกับผู้ชายคือสิ่งที่เกิดมาคู่กัน มันเป็นความคิดที่ดูหัวโบราณมากซึ่งจริงๆแล้วพี่ก็เคยพูดเรื่องนี้กับผมเมื่อนานมามากแล้วว่าโลกนี้ไม่ได้กำหนดอะไรมาให้คู่กันหรอกแต่คนก็มักจะคิดกันไปเองว่าสิ่งนี้ต้องคู่กับสิ่งนี้มากกว่าต่างหาก



“แต่พี่ภูมิ...ถ้าผมชอบพี่ยีนส์ขึ้นมาจริงๆล่ะ” ผมถามพี่เสียงแผ่ว



(ชอบก็ไปบอกเขาสิจะมาบอกพี่ทำไม)



“แล้วพ่อแม่จะว่าอะไรผมไหม” ผมเคยได้ยินมาว่าความรักของเพศเดียวกันยังเป็นสิ่งที่หลายๆคนไม่ยอมรับ ผมเลยกลัวว่าถ้าเกิดผมชอบพี่ยีนส์ขึ้นมาจริงๆแล้วครอบครัวผมเขาจะรับได้ไหม



(มีพี่อยู่ทั้งคนน่า ถ้าชอบมันก็ทำให้เต็มที่ก็พอ)



“ผมไม่รู้ว่าผมชอบพี่ยีนส์หรือเปล่านี่สิ”



(ที่มึงพูดๆมาเมื่อกี้ก็ชัดเจนอยู่นะจอม)



“ยังไงพี่”



(มึงบอกว่ามึงมีความสุขเวลาอยู่กับยีนส์ ชอบเวลาเห็นมันยิ้มให้มึงหรือรู้สึกดีมากๆเวลาที่มึงทำอะไรให้แล้วเห็นยีนส์มันมีความสุขเพราะมึง แล้วไหนที่มึงจะบอกอีกว่าชอบที่จะอยู่กับมันแค่นี้ก็บอกได้แล้วว่ามึงชอบมันแค่ไหน)



“แต่พี่ยีนส์เขามีคนคุยแล้วนะพี่” นึกถึงสองคนนั้นที่คงกำลังนั่งดูหนังด้วยกันก็รู้สึกสั่นไหวในอกแปลกๆหรือผมจะชอบพี่ยีนส์ตามที่พี่ภูมิใจบอกจริงๆวะ



(ก็แค่คนคุยปะวะจอม อย่ามาบอกกูว่ามึงไม่เคยมีคนคุยอย่างต่ำก็สองสามคน)



“คนคุยพี่ยีนส์เขา...เขาเป็นแฟนเก่าผมนะพี่” ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้วผมเลยตัดสินใจบอกพี่ไป



(คนไหนวะ แฟนเก่ามึงเยอะจนกูจำชื่อไม่ได้แล้ว)



แฟนเก่าผมก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นนะแต่พี่แม่งพูดเวอร์อะ



“อิงค์ครับ คนล่าสุดเลย”



พี่เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมา (อ้อ น้องอิงค์..โลกกลมดีแฮะ)



“อีกอย่างนะ ผมคิดว่าถ้าผมชอบพี่ยีนส์จริงๆผมก็คงไม่มีโอกาสหรอกในเมื่อดูท่าแล้วพี่ยีนส์เขาก็ดูไม่ได้ชอบผมด้วยซ้ำ” คิดๆดูแล้วถ้าชอบขึ้นมาจริงๆผมก็คงแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยมั้งในเมื่ออิงค์เขาทำคะแนนเตะโด่งไปขนาดนั้นแล้วด้วย



(ไม่ชอบก็ทำให้ชอบสิ)



“พูดเหมือนง่าย”



(มันมีอะไรที่เราต้องการแล้วได้มาง่ายด้วยหรือไง)



“โธ่พี่ เรื่องนี้ผมว่าโคตรยากเลยนะ ให้ผมจีบพี่ยีนส์เนี่ยนะ ตายสิบชาติก็ไม่รู้จะจีบติดหรือเปล่า” แค่คิดภาพตอนพี่ยีนส์ด่ากราดใส่ผมก็ทำเอาความหวังของผมหายไปหมดแล้ว



(ยังไม่ทันเริ่มก็ยอมแพ้แล้วเหรอเจ้าจอม)



“ไม่ได้ยอมแพ้แต่ผมคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก”



(ก็ลองดูก่อนสิวะผลจะเป็นยังไงสุดท้ายมึงก็ได้พยายามแล้ว)



“ยุจังเลยว่ะพี่ภูมิ นี่สรุปแล้วพี่อยากให้พี่ยีนส์มาเป็นแฟนผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ”



(กูเห็นว่ามึงชอบไงหรือถ้ามึงไม่มั่นใจที่จะจีบยีนส์มันก็ปล่อยๆไปเดี๋ยวก็เลิกรู้สึกไปเองแหละ)



“เอ้าพี่! เมื่อกี้ยังยุให้ผมจีบพี่ยีนส์อยู่เลยนะ”



(มึงแม่งป๊อดอยู่นั่นล่ะถ้าไม่กล้าก็อยู่เงียบๆไป)



“ไม่ไม่ได้ป๊อด...แค่คิดว่าพี่ยีนส์คงไม่ชอบผม”



(เออนั่นแหละที่เรียกป๊อด)



“พี่ภูมิ!” ผมเริ่มหงุดหงิดพี่ชายตัวเอง ผมไม่ได้ป๊อดอย่างที่พี่มันว่าจริงๆผมแค่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลยต่างหาก



(เรียกกูทำไม)



“แล้วพี่ว่าผมป๊อดทำไม”



(ก็มึงเป็นแบบนั้นจริงๆนี่)



เป็นธรรมดาแหละครับที่พี่น้องจะเถียงกันด้วยเรื่องแบบนี้ซึ่งไม่ค่อยมีสาระสักเท่าไหร่แต่ทำเอาตีกันบ้านแตกมาหลายรอบแล้ว



“เออได้ พี่คอยดูก็แล้วกัน ผมจะจีบพี่ยีนส์ให้ดู” ผมจะทำให้พี่ภูมิใจมันเห็นว่าผมไม่ได้ป๊อดอย่างที่พี่มันว่า คนอย่างเจ้าจอมถ้าชอบก็เดินหน้าจีบอย่างเดียวแม้ในใจจะแอบกลัวหน่อยๆแต่ผมจะทำให้ดูว่าผมได้ใช้ความพยายามทั้งหมดในการจีบพี่ยีนส์แล้ว ถ้าภายหลังพี่ยีนส์จะไม่ชอบผมจริงๆก็คงเสียใจแหละแต่พี่ภูมิใจมันก็จะมากล่าวหาผมว่าป๊อดไม่ได้อีกเช่นกัน



(หึ!...ดีมากไอ้เสือ)



ผมพูดคุยกับพี่อีกนิดหน่อยก่อนจะวางสาย ล้มตัวลงนอนครุ่นคิดอยู่บนโซฟาอย่างคนคิดไม่ตก อย่างแรกผมต้องจัดการความรู้สึกของตัวเองก่อนว่าจริงๆแล้วผมชอบพี่ยีนส์อย่างที่พี่ภูมิใจมันบอกหรือเปล่า หากผมชอบพี่ยีนส์ขึ้นมาจริงๆผมจะได้วางแผนจีบพี่ยีนส์ถูก



มันไม่ใช่เรื่องเวอร์เลยนะครับที่ก่อนจีบจะต้องมีแผน ยิ่งจะจีบพี่ยีนส์ด้วยแล้วแผนของผมก็ต้องดีและรอบคอบใช้ได้เลย ขืนเกิดผมวู่วามและทำอะไรประเจิดประเจ้อเกินไปพี่ยีนส์ได้กระทืบผมแน่ๆ






ผมใช้เวลาหลายวันไปกับการคิดทบทวนความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่ยีนส์ หลายๆวันที่ผ่านมาผมมักจะมองการกระทำของพี่ยีนส์อยู่เงียบๆ บางครั้งผมก็มองเขานานไปจนกระทั่งพี่ยีนส์รู้ตัว พี่ยีนส์ก็จะด่าผมและบอกให้ผมเลิกมองเขาสักที



ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะแอบเซ็งๆหรือเฟลนิดหน่อยที่โดนเขาด่าแต่พอมาเป็นตอนนี้ ตอนที่ความรู้สึกของผมเริ่มเปลี่ยนผมก็คิดว่าเวลาพี่ยีนส์ด่าผมก็ดูเพลินตาดี ยิ่งเสียงของเขามันทุ้มๆด้วยแล้วก็ทำให้คนโดนด่าอย่างผมเคลิ้มไปอีก



อ่า...ผมว่าผมคงเป็นหนักมากแล้วจริงๆ



“หลายวันมานี้มึงเป็นอะไรทำไมชอบมองหน้ากู”



ในขณะที่ผมเริ่มคิดเป็นตุเป็นตะเสียงของพี่ยีนส์ก็ทำให้ผมหลุดออกจากความคิดนั้นแต่ผมไม่รู้หรอกว่าเมื่อกี้เขาพูดกับผมว่าอะไรจึงต้องถามย้ำเขาไปอีกที



“พี่ว่าอะไรนะครับ?”



เขาถอนหายใจทำหน้าหน่ายใส่ผม “กูถามว่ามึงเป็นอะไรทำไมหลายวันมานี้ชอบมองหน้ากูแถมยังชอบเหม่ออีก คิดอะไรอยู่?”



เกิดผมบอกสิ่งที่ผมคิดไปพี่ยีนส์คงเอาผัดผักบุ้งราดหัวผมแน่ๆ



“ก็คิดนิดหน่อยครับ”



“เรื่องอะไรวะ ต้องคิดตลอดเวลาขนาดนั้นเลย?” เขาเลิกคิ้วถามทำหน้าสงสัย



ผมสูดหายใจก่อนตอบ “ผมว่า...ผมชอบคนๆหนึ่งเข้าน่ะครับ” ผมลอบสังเกตอาการของเขาแต่ก็ไม่พบปฏิกิริยาผิดแปลกอะไรเลยแอบผิดหวังนิดๆ



“ใครล่ะ?” เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจเพราะตอนนี้เหมือนความสนใจของเขาไปอยู่ที่แกงเขียวหวานไก่ซะมากกว่าเรื่องของคนที่ผมชอบซะอีก



“บอกไปพี่คงหัวใจวาย”



“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” เขาเงยหน้าขมวดคิ้วใส่กับคำตอบของผม



“อาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำครับ” ถ้าพี่ยีนส์รู้ว่าจริงๆแล้วคนที่ผมชอบเป็นใครผมคงไม่ได้โดนแค่ผัดผักบุ้งราดหัวแล้วแต่แกงเขียวหวานไก่ก็จะโปะอยู่บนหัวของผมเช่นกัน



“ชอบก็จีบสิวะจะคิดอะไรเยอะแยะ”



ผมยิ้ม มองหน้าเขา “ผมก็ว่างั้นแหละครับ”



“กูอิ่มแล้วเดี๋ยวไปเอาของหวานมาใส่จานให้แล้วกัน” เขาลุกขึ้นยืน ไม่รู้ผมนึกอะไรขึ้นได้จึงเอื้อมมือไปจับแขนของเขาไว้ พี่ยีนส์หันหน้ามาเลิกคิ้วมองผมก่อนเขาจะก้มลงมองแขนของตัวเองที่มีมือของผมจับไว้อยู่



“ขอบคุณครับ”



“อืม” เขาตอบรับแม้จะดูงงๆกับคำขอบคุณของผมอยู่ก็ตาม



ผมมองตามแผ่นหลังของเขาที่เดินหายเข้าไปในครัวก่อนจะระบายยิ้มกับตัวเอง ในเมื่อความรู้สึกของผมมันเลยเถิดจากความรู้สึกดีที่มีให้เขากลายเป็นความรู้สึกชอบซึ่งอนาคตผมก็ไม่รู้ว่าจะพัฒนาไปมากกว่านี้หรือเปล่า อย่างที่พี่ภูมิใจว่าถ้าชอบก็แค่จีบ แค่ได้ลองพยายามผลจะเป็นยังไงก็คงต้องยอมรับมัน



ใครบอกว่าความรักไม่ต้องใช้ความพยายามถ้าเกิดอยากได้ความรักตอบกลับมาก็ต้องพยายามกันทั้งนั้นแหละครับ






ไปเล่นแท็กกันได้น้า แท็กเหงามาก แหะๆ
ทุกคอมเม้นท์และฟีดแบ็คต่างๆก็สามารถทำให้เราเขียนเสร็จเร็วและลงเร็วขึ้นน้าาา อิอิ ช่วยคอมเมนท์กันเยอะๆเน่ออออ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่าาา // ไหว้ย่ออ
#นิติผูกพัน
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เจ้าจอม- 21/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-01-2019 19:21:58
 :pig4: :pig4: :pig4:

ก็เดินหน้าลุยไปจิ  ไอ่ลูกแมว  อิอิ
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เจ้าจอม- 21/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-01-2019 00:22:05
ยัยอิงค์นั้นก็ทำตัวไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ต้องทำพี่ยีนส์เสียใจแน่ๆ ดังนั้นน้องจอมเดินหน้าจีบพี่ยีนส์เลยจ้า
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เจ้าจอม- 21/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-01-2019 01:26:22
ทำไงดีล่ะจอม แย่งมาดีไหม  o18
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เจ้าจอม- 21/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 22-01-2019 17:46:29

ตอนที่16

สนิทกัน


แกงเขียวหวานไก่และผัดไก่ใส่ขิงที่ผมโปรดปรานจะโผล่มาทุกครั้งที่ผมกับไอ้เจ้าจอมกินข้าวด้วยกัน นับตั้งแต่วันนั้นที่ผมได้บอกมันว่าผมชอบกินอะไรจนมาถึงวันนี้ผมก็ได้กินสองอย่างนี้ซ้ำๆจนเมนูที่ผมชอบมากๆอย่างแกงเขียวหวานไก่และไก่ผัดขิงจะเป็นเมนูที่ผมเริ่มไม่ชอบแล้ว



ไม่รู้อะไรดลใจให้มันซื้อสองอย่างนี้มาให้ผมกินทุกวันๆเป็นเวลาติดกัน ถ้านับรวมแล้วก็หนึ่งอาทิตย์กว่าๆที่ผมต้องมานั่งกินแต่อาหารเดิมๆ ดีหน่อยที่สองวันหลังมานี้มันซื้ออย่างอื่นมาบ้างแล้วแต่แม่งแกงเขียวหวานไก่กับไก่ผัดขิงก็ยังต้องมีให้ผมกินอยู่เสมอ



“ถามจริงนะ...อะไรดลใจให้มึงซื้อแกงเขียวหวานไก่กับไก่ผัดขิงติดต่อกันหลายวันขนาดนี้หรือว่ามึงชอบกินเหมือนกูแล้ว?” เป็นคำถามที่ค้างคาใจมานานพอสมควรและผมจะไม่ทนกินเมนูเดิมๆอย่างสองอย่างนี้อีกต่อไป ถึงแม้มันจะเป็นอาหารที่ผมโปรดปรานมากแค่ไหนก็ตามแต่อย่าลืมสิครับว่าถ้ากินทุกวันแบบนี้ก็ต้องเบื่อบ้างนั่นแหละ



“ก็พี่ชอบ” มันว่าง่ายๆแถมยังตักขิงกับไก่ใส่จานให้ผมอีก



“กูชอบก็ไม่ได้หมายว่าต้องกินทุกวันแบบนี้หรือเปล่าล่ะ?”



มันวางช้อนลงมองผมที่ทำหน้าระอาใส่มัน มันยิ้มแห้งก่อนจะเกาหัวตัวเองแกรกๆอย่างคนที่ไม่รู้จะทำยังไงหรือพูดอะไรดี



“พี่ไม่ชอบแล้วเหรอ?” มันถามเสียงเบาเหมือนไม่มั่นใจ



“ไอ้ชอบมันก็ชอบแต่ถ้าให้กูกินบ่อยขนาดนี้มันก็ต้องมีเบื่อกันบ้างแหละ”



ทุกครั้งที่ต้องลงไปซื้ออาหารที่ตลาดด้วยกัน ผมจะให้เจ้าจอมมันเป็นคนเลือกอาหารคาว ส่วนตัวผมเองก็จะไปเลือกพวกของหวานไม่ก็ผลไม้แบ่งๆหน้าที่กันไปจะได้ไม่ต้องเกี่ยงกันซื้อนาน แล้วสุดท้ายใครจะคิดว่าไอ้เด็กนี่มันจะซื้อเมนูซ้ำๆจนผมต้องกินทุกวันขนาดนี้



“ขอโทษพี่เห็นพี่กินแล้วมีความสุขก็เลยซื้อมาให้กินทุกวัน”



ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจความหมายที่มันจะสื่อ คือถ้ากูหิวแล้วได้กินอะไรก็มีความสุขทั้งนั้นแหละครับแต่กับของที่ชอบก็อาจจะมีความสุขมากกว่าเท่านั้นเอง



“ขอบใจมึงมากที่หวังดีแต่กูขอเถอะวันหลังเปลี่ยนเมนูให้กูบ้าง” ผมแทบจะยกมือไหว้มันแล้วนะถ้ามันยังยืนกรานที่จะซื้อไอ้สองอย่างนี้มาแต่ดีที่ว่าเด็กนี่มันยังเชื่อฟังผมอยู่



“โอเคครับ วันหลังผมจะซื้ออย่างอื่นมาบ้าง” มันพยักหน้าหงึกหงัก “แต่วันนี้พี่ก็ทนๆทานไปก่อนนะครับ”



“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น” ผมไหวไหล่ไม่ถึงกับขนาดต้องอดทนกินอะไรขนาดนั้นอะแค่รู้สึกเบื่อๆนิดหน่อยแต่ยังไงของที่ชอบก็คือของที่ชอบอยู่วันยังค่ำจะให้ไม่ชอบเพราะกินติดต่อกันมาหลายวันก็ไม่ใช่วิสัยของผมนอกจากแค่รู้สึกเอือนๆนิดหน่อย“แล้วนี่กินข้าวเสร็จยังอยากให้กูติวอะไรให้อีกไหม?”



ช่วงนี้เป็นช่วงที่อาจารย์สั่งงานให้เด็กปีหนึ่งเพื่อฝึกทำข้อสอบเขียน-ตอบกฎหมายกันบ้างแล้วเพื่อที่เวลาสอบจะได้ไม่ต้องไปกังวลอะไรมากมายเนื่องจากการเขียนตอบนั้นอาจารย์บางท่านก็บอกว่าเขียนยังไงก็ได้ให้อาจารย์เข้าใจไม่ต้องยืดยาวหรือลอกโจทย์มาใส่อีกทีแบบนั้นมันเสียเวลาเพราะแต่ละข้อกว่าจะทำเสร็จก็ใช้เวลนานเกือบๆชั่วโมงไม่ก็ข้อละชั่วโมงเลย



นึกไปถึงช่วงแรกๆที่ผมสอบก็มีทั้งความตื่นเต้นและความลนลาน กังวลไปต่างๆนาๆว่าจะเขียนได้หรือเปล่าแต่พอเกรดออกมาก็โอเคนะแต่ตอนสอบแม่งเหงื่อตกแล้วตกอีก อีกอย่างที่สำคัญเลยคือต้องเตรียมปากกาไปหลายๆด้ามหน่อยเผื่อหมึกหมด เอาจริงๆถึงแม้จะบอกว่าไม่ต้องเขียนเยอะหรือยืดยาวแต่เวลาไปสอบจริงๆก็เขียนกันไม่ต่ำกว่าหนึ่งหน้าเต็มๆนั่นแหละ



อาจารย์บางท่านจะเน้นการเขียนไม่เหมือนกัน จากที่ผมเคยเจอมาอาจารย์บางท่านก็จะเน้นในเรื่องการจับประเด็นการวินิจฉัยและธงคำตอบว่าตรงประเด็นกับสิ่งที่ถามมากน้อยแค่ไหนและกับบางท่านก็จะเน้นในเรื่องการวางหลักด้วยซึ่งการที่ต้องจำมาตรานั้นก็ไม่จำเป็นต้องจำเป๊ะๆก็ได้แต่ยังให้เข้าหลักของมาตรานั้นอยู่และอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรเขียนเลยหากจำมาตราได้ไม่เป๊ะคือคำว่า ‘บัญญัติว่า’ ให้ใช้คำว่า ‘วางหลักว่า’ จะได้ไม่เสี่ยงในการโดนหักคะแนน



“อีกสักหน่อยได้ไหมครับ ถ้าเกิดพี่ง่วงก็นอนห้องผมได้เลยไหนๆพี่ก็อาบน้ำมาแล้ว” มันเสนอมาอย่างนั้น



ผมรับฟังแล้วพยักหน้าตกลง ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อยที่ผมมานอนห้องมันแต่ก็ไม่ได้มานอนบ่อยๆหรอกจะมานอนช่วงหลังๆที่อาจารย์เริ่มให้งานมันยากๆแล้วมันก็เอามาถามหรือให้ผมติวให้นั่นแหละ กว่าจะสอนกันเสร็จก็ดึกดื่นผมก็ขี้เกียจกลับห้องเลยอาศัยห้องมันหลับนอนเอา ดูความขี้เกียจของผมนะครับแค่ห้องอยู่ข้างๆยังขี้เกียจเดินกลับเลย



“มึงก็ไปอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนแล้วกันก่อนจะเริ่มติว เวลาง่วงจะได้นอนเลย”



เจ้าจอมมันเป็นคนหนึ่งที่ชอบอิดออดเวลาจะอาบน้ำ พอมันเริ่มง่วงมันก็จะไม่อาบด้วยเหตุที่ว่าพอตื่นเช้ามาก็อาบอยู่ดีแต่มันก็ไม่ได้เป็นบ่อยหรอกครับพึ่งมาเป็นช่วงหลังๆที่ต้องติวหนังสือให้มันดึกๆนี่แหละ



“ครับพี่”






เจ้าจอมมันไม่ค่อยนอนดิ้นแต่ก็เหมือนมันจะเป็นเด็กติดหมอนข้างหน่อยๆเพราะหลังจากที่ผมเคยได้นอนข้างๆมันมาหลายคืน ไม่ขาก็แขนจะมาก่ายอยู่บนตัวผมตลอด ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ..แขนมันแม่งพาดอยู่บนเอวผมเต็มๆ



ผมพยายามจะเอาแขนมันออกไปจากตัวผมอยู่หลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จสักที พอเอาออกได้มันก็จะนิ่งสักพักมันก็เอากลับมาพาดใหม่ ผมจนใจจะเอาออกเลยปล่อยไว้แบบนั้น ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรเหมือนจะชินๆแล้วแต่ไม่ได้ชินเพราะมันนะ ชินเพราะไอ้น้องชายที่บ้านมันก็เป็นเหมือนไอ้เจ้าจอมเด๊ะๆเวลานอนกับผม คือชอบเอาแขนเอาขามาก่ายตัวผมไว้



ในขณะที่ผมกำลังจะพลิกตัวหันหลัง ไอ้เจ้าจอมมันก็พลิกตัวเข้ามาหาผมซะก่อนพร้อมกับใบหน้าของมันที่ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นจนขนผมลุกเนื่องจากลมหายใจของมันที่กำลังเป่ารดต้นคอผมอยู่ตอนนี้



อยากจะตะโกนด่าแม่งแต่ก็เกรงใจเพราะมันหลับอยู่เลยได้แต่ขยับตัวยุกยิกให้มันรู้ตัวแต่แทนที่มันจะรู้ตัวก็กลับกระชับแขนที่มันวางไว้บนเอวผมแน่นส่วนใบหน้าของมันก็เลื่อนเข้ามาใกล้ซอกคอผมยิ่งกว่าเดิมจนผมเริ่มทนไม่ไหวต้องเรียกชื่อมันให้รู้ตัว



“เจ้าจอม” ส่งเสียงเรียกพร้อมกับตบลงบนแขนของมันเบาๆ



“อือ..” มันครางอืออาแต่ไม่ยอมลืมตาหรือแม้แต่จะขยับตัวออกไปสักนิด



“มึง..ตื่นก่อน” ผมเริ่มขยับตัวอีกครั้ง



“อืม..” มันงัวเงียยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองเบาๆก่อนจะถามผม “พี่ยีนส์เป็นอะไรครับ?”



ผมไม่ตอบเลือกที่จะยกแขนมันออกพร้อมกับผลักหน้ามันให้ออกห่างๆจากซอกคอผมสักที ขนกูนี่ลุกกันเกรียวกราวหมดแล้ว



“กูจะกลับไปนอนที่ห้อง” ในเมื่อวันนี้มันดูจะติดหมอนข้างเป็นพิเศษผมก็ขอปลีกตัวออกมาดีกว่า คิดภาพดูสิครับผู้ชายสองคนนอนกอดกันมันโคตรน่าขนลุกเลยนะ แถมยังตัวเท่าควายด้วยกันทั้งคู่อีก



“ทำไมครับ ผมนอนดิ้นจนพี่อึดอัดใช่ไหม?” มันถามเสียงติดจะแหบเพราะคงพึ่งตื่นแล้วทำไมผมถึงรู้สึกว่าเสียงมันดูอ้อนๆเป็นพิเศษวะ ไม่มั้งผมคงคิดมากไปเอง “ขอโทษครับผมจะนอนนิ่งๆพี่นอนต่อเถอะนะ



เจ้าจอมมันดูงอแงแปลกๆ หรือว่าเป็นอาการของคนพึ่งตื่นวะเกี่ยวกันหรือเปล่าแต่ผมก็ไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้นะ เอายังไงดีวะพอฟังเสียงหงอยๆของมันแล้วไม่อยากลุกออกไปเลย



คิดอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจได้ “อืม นอนต่อเหอะ” ผมเลือกที่จะนอนต่อ เจ้าจอมมันเหมือนยังไม่เชื่อเลยนอนจ้องหน้าผมอยู่แบบนั้น ถึงจะมืดแต่กูรู้สึกนะโว้ย! จ้องอะไรขนาดนั้นอะ นี่ถ้านอนคนเดียวผมคงนึกว่าผีไปแล้วนะ “เลิกจ้องได้แล้วน่า กูจะนอน”



ไม่รู้ทำไมเหมือนกันผมถึงยอมตามใจมันได้ขนาดนี้ทั้งที่ผมจะลุกออกไปแล้วกลับไปนอนที่ห้องก็ได้แต่ผมก็ยังคงตอบให้มันสบายใจว่าผมจะนอนที่นี่ไม่ลุกไปไหนจนกว่าจะเช้า



“พี่ยีนส์” เสียงพึมพำของเจ้าจอมดังขึ้นแผ่วเบา



“อืม” ผมตอบรับมันในลำคอ ดวงตาปิดสนิทเพราะเริ่มจะง่วงแล้วจริงๆ



“ผมขอจับมือพี่ได้ไหม?”



เท่านั้นแหละผมถึงกับต้องเปิดตาขึ้นพร้อมกับหันขวับไปหามันทันที



“มึงว่าไงนะ?”



“กะ...ก็ขอจับมือนอนหน่อยได้ไหมครับ?”



ตอนแรกคิดว่าหูฝาดเลยถามมันอีกครั้งแต่พอได้ยินคำถามแบบเดียวกันเป็นครั้งที่สอง ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกยังไงดี...



“คือยังไง มึงเพ้ออะไร?” ผมถามมันงงๆ อะไรคือการที่อยู่ดีๆมันก็มาขอผมจับมือนอนวะ



“อ่า..โทษทีพี่ผมคงเพ้อจริงๆ” ผมได้ยินมันหัวเราะเบาๆเลยไม่ได้ถือสาอะไร มันคงจะเป็นอาการหลังจากตื่นที่สมองยังคงไม่ค่อยได้ทำงานมากเท่าไหร่



“อืม นอนได้แล้ว”



“ครับพี่”



คนเป็นพี่หลับไปในเวลาไม่นานหลังจากสั่งให้เจ้าจอมนอนโดยที่ก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าถูกใครอีกคนข้างๆกันจับจ้องใบหน้าตัวเองอยู่เงียบๆ ก่อนมือของคนที่ยังไม่ยอมนอนจะยกขึ้นลูบที่ข้างแก้มของคนหลับสนิทแผ่วเบา ริมฝีปากมีรอยยิ้มอ่อนโยนขณะมองใบหน้าอีกคน ก่อนจะพึมพำเสียงเบาทั้งๆที่รู้ดีว่าคนที่กำลังหลับอยู่คงไม่ได้ยิน



“ชอบพี่นะครับ”






“ว่าไงมึงเดินหน้าง่วงมาเลย” ไอ้เป๋าเพื่อนรักเอ่ยทักผมเป็นคนแรกขณะที่ผมเดินมาที่โต๊ะกินข้าวภายในโรงอาหารคณะไอ้ทาวน์



ใช่ครับ...วันนี้พวกเรามากินข้าวที่คณะแฟนไอ้คินมันเนื่องจากไอ้คินมันคิดถึงแฟนใจจะขาดรอนๆทั้งที่พวกมันพึ่งแยกจากกันไปเมื่อเช้านี้เอง



เหม็นความรักจริงๆ...



“เออ หวัดดีซื้อข้าวให้กูยัง?” มาถึงก็ถามหาข้าวที่ตัวเองโทรมาสั่งกับไอ้เป๋ามันไว้



“ซื้อให้แล้วครับไอ้ห่า แล้วนี่ทำไมถึงไม่มาเรียนคาบเช้า”



“ตื่นสายไงเลยไม่ได้มา แล้วอาจารย์สอนอะไรบ้างล่ะพวกมึงได้จดไว้บ้างหรือเปล่า?”



เมื่อเช้าผมมีเรียนแต่ก็ดันตื่นสายเลยกะมาเรียนตอนบ่ายดีกว่า พอดีกับวิชานี้อาจารย์ไม่ได้เช็คชื่อด้วยผมก็เลยไม่ได้กระตือรือร้นมาสักเท่าไหร่ ยังคงนอนตบพุงเล่นโทรศัพท์อยู่ที่ห้องตัวเองจนกระทั่งสิบเอ็ดโมงก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะออกมามหา’ลัยนี่แหละ



“ถามไอ้หมอกมันนู่น” ไอ้เตอร์บุ้ยปากไปทางไอ้หมอกที่กำลังเดินถือจานข้าวมาทางนี้



“ไงมึง” หมอกมาถึงมันก็เอ่ยทักผมพร้อมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ



“มึงได้จดของวิชาคาบเช้าไว้หรือเปล่า?” ผมเข้าประเด็นทันทีโดยไม่ต้องรอให้เสียเวลา



“จดไว้นะแต่เดี๋ยวอาจารย์จะลงเนื้อหาไว้ในกลุ่มให้อีกที มึงก็รออ่านจากตรงนั้นก็ได้”



“อืม ขอบใจมาก”



ผมก้มหน้ากินข้าวที่ฝากเพื่อนซื้อให้เงียบๆพร้อมกับฟังเรื่องที่ไอ้ทิมมันกำลังเล่าไปด้วย



“ที่ร้านเฮียเตอร์อะมีคนมาขอเป็นแฟนกันกลางร้านเลย” ทิมมันเริ่มเปิดเรื่องแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะดึงทุกคนในโต๊ะให้สนใจได้ ผมแอบเหลือบมองมันก็เห็นมันทำหน้าเซ็งๆแต่มันก็ยังคงไม่ยอมแพ้ ยังพยายามเล่าเพื่อให้พวกผมสนใจมันต่อ



“แล้วพวกพี่รู้ปะว่าที่น่าสนใจคือคนที่ขอเป็นแฟนกันอะผู้ชายทั้งคู่ด้วย” ทุกคนยังคงเงียบ “เป็นคนดังใน มอ.เราด้วย” มันก็ยังเล่าของมันต่อ



“กูกราบความพยายามของมึงมากทิมแต่คือเรื่องนี้มันผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วปะไอ้ควาย เขารู้กันหมดแล้ว” ไอ้ทาวน์มันคงสงสารเพื่อนมันนั่นแหละครับเลยต้องพูดออกมา



ผมก็เป็นคนหนึ่งที่รู้เรื่องนี้แล้วเพราะเห็นมีคนแชร์ลงในโซเชียลเต็มไปหมด ถึงไม่อยากรู้ก็ได้รู้ไปเองโดยปริยายเพราะเลื่อนหน้าไทม์ไลน์ทีไรเห็นแต่ข่าวนี้ตลอด



“อ้าวหรอ? ผมพึ่งนึกได้อะเลยอยากเล่าให้ฟัง” มันว่าอย่างผิดหวัง “เซ็งจัด”



“วันหลังถ้ามึงไม่อยากลืมก็จดใส่ไว้ในสมุดเอานะเพื่อนทิม” ไอ้ทาวน์ปลอบเพื่อน ลูบหลังไอ้ทิมป้อยๆ



“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อนรัก” มันก็ตอบรับไอ้ทาวน์อย่างดีพร้อมกับพยักหน้าเข้าใจในคำแนะนำของเพื่อนรักอย่างไอ้ทาวน์



ผมมองพวกมันแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขำออกเสียง ไอ้เด็กสองคนนั่นหันขวับมามองก่อนจะถามขึ้นพร้อมกันว่า



“ขำอะไรครับพี่ยีนส์”



โอ๊ย! กูขำก็ไม่ได้เรอะไอ้เด็กพวกนี้...



“ขำพวกมึง น่ารักดี”



“หมายถึงหน้าตาหรือมิตรภาพของพวกผมครับ” ไอ้ทิมมันถามส่วนไอ้ทาวน์ก็เป็นลูกคู่คอยพยักหน้าอยู่ข้างๆ



“มิตรภาพของพวกมึงไงน่ารักดี เนอะเป๋าเพื่อนรัก” ผมกอดคอไอ้เป๋าที่กำลังแทะกระดูกอยู่ข้างกัน



“ใช่แล้วเพื่อนยีนส์” มันก็คงตอบรับส่งๆนั่นแหละ พอตอบเสร็จก็ไปแทะกระดูกต่อ



บทสนทนาระหว่างมื้ออาหารของพวกเราก็ไหลไปเรื่อยๆแบบสะเปะสะปะเพราะความที่ไม่มีสาระและคงหาสาระไม่ได้



“วันนี้ไปกินเหล้ากันหน่อยไหม รู้สึกว่าไม่ได้ไปนานแล้ว” ไอ้เตอร์เป็นคนเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นอีกครั้งหลังจากหลายๆวันก่อนมันก็เคยถามแต่ไม่มีใครว่างไปสักคน “กินร้านกูนี่แหละเดี๋ยววันนี้จะปิดร้านพอดี วันศุกร์แบบนี้ร้านเหล้าคนน่าจะเยอะพอสมควร”



“ก็ดีว่ะ กูก็ขี้เกียจไปร้านเหล้าเหมือนกัน คนแม่งเยอะไปหมด” ไอ้เป๋ายกมือเห็นด้วยอีกเสียง



จากนั้นทุกคนต่างก็พากันตกลงบอกว่าจะไปส่วนผมมีหรือที่จะพลาด กว่าจะรวมตัวกันกินเหล้าจนครบแก๊งค์ได้ขนาดนี้ก็ยากเย็นแสนเข็ญเหมือนกันนะครับ



“กูไปช้าหน่อยนะ” ไอ้ไฟมันโพล่งขึ้นกลางวง



“เออ ไม่เป็นไรแค่มาก็พอ” ผมตอบมันไปก็เข้าใจแหละเนอะคนมีแฟนอะมาช้าหน่อยก็คงไม่เป็นไร อีกอย่างถ้าบอกให้ไอ้ไฟเอาน้องมาด้วยมันคงไม่ยอม แม่งหวงอย่างกับจงอางหวงไข่



“งั้นเอาเป็นว่าคืนนี้สองทุ่มที่ร้านกู จะมาช้ากูไม่ว่าแต่ขอให้มาก็พอ” ไอ้เตอร์มันเอ่ยย้ำถึงเวลานัด พวกผมก็ตอบรับกันโดยดีไม่มีใครอิดออดหรือปฏิเสธการนัดหมายในครั้งนี้






ก่อนถึงเวลานัดผมก็ไม่ลืมที่จะไปบอกให้ไอ้เจ้าจอมมันรู้เพราะมันจะได้ไม่ต้องรอกินข้าวพร้อมกันกับผม เดี๋ยวแม่งจะรอเก้อแล้วอาจโมโหหิวโกรธผมอีก ผมไม่ค่อยอยากมีปัญหากับมันสักเท่าไหร่



ผมยืนรอมันอยู่หน้าห้องพร้อมกับขนมที่ซื้อติดมือมาจากตลาดข้างล่าง ตอนแรกก็ไม่ได้กะจะซื้อให้หรอกแต่เห็นแล้วก็อดนึกถึงมันไม่ได้เลยซื้อให้จบๆไปแล้วเอามาให้มันกินนี่แหละ



“ว่าไงครับพี่ยีนส์?” มันถามขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเปิดประตูออกมาแล้วพบว่าผมยืนอยู่หน้าห้องพร้อมกับชูถุงขนมใส่หน้ามัน



“เอาขนมมาให้” ผมกระแอมเบาๆหลังจากพูดเสร็จ ไม่รู้สิครับมันรู้สึกเขินยังไงบอกไม่ถูกเหมือนกัน



เจ้าจอมมันทำหน้าตาแปลกใจพร้อมกับจ้องถุงขนมกับหน้าของผมสลับกัน “ให้ผม?” มันชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง



“ก็เออ...มึงคิดว่ากูจะเอาให้ใครอีก” ผมว่า “รับไปสิ”



ถึงมันจะยังดูงงๆอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่มันก็ยอมรับไว้โดยดี



“ขอบคุณมากครับ” มันยิ้มกว้างดูดีใจเหมือนขนมที่ผมเอามาให้คือสิ่งที่ทำให้มันมีความสุข



“แล้วก็วันนี้..กูไม่ได้อยู่กินข้าวด้วยนะ” ผมเอ่ยถึงธุระที่ต้องการบอกกับมันจริงๆ



“ทำไมล่ะครับ”



“พอดีมีนัดไปกินเหล้ากับเพื่อนน่ะ”



มันนิ่งฟังพยักหน้าก่อนว่าต่อ “ผมไปด้วยได้หรือเปล่า?”



แม้จะแปลกใจที่มันถามแบบนั้นแต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นอกจากคิดว่ามันคงอยากจะกินเหล้าเหมือนกันกับพวกผม “อยากไปหรือไง?”



“ก็ถ้าพี่ให้ไปผมก็จะไปครับ” มันไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัดแต่ท่าทางของมันก็เหมือนคนที่พร้อมจะไปกินเหล้ากับผมได้ทุกเมื่อ



“เอาดิ ดีเหมือนกันกูจะได้กลับกับมึง” ตอนแรกผมว่าจะให้ไอ้เป๋ามันขับรถมาส่งผมที่คอนโดแต่ตอนนี้เจ้าจอมมันขอไปด้วยผมเลยคิดว่าติดรถเจ้าจอมมันไปดีกว่า “มึงจะดื่มด้วยหรือเปล่า?”



มันส่ายหน้าแล้วว่า “ไม่ล่ะครับเดี๋ยวไม่มีใครขับรถให้พี่”



ผมก็งงๆแหละที่มันขอไปกินเหล้าด้วยแต่มันก็ดันไม่กินด้วย ขนาดคิดเองยังงงเลย เอาเป็นว่าปล่อยผ่านไปเถอะครับไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมารองรับมากมายหรอกเดี๋ยวจะปวดหัว






เวลาดีสองทุ่มครึ่งซึ่งเลยเวลานัดมาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเพราะผมดันติดติวให้เจ้าจอมมันที่ห้องก่อน ตอนแรกกะว่าจะออกมานานแล้วแต่ก็อยากสอนเนื้อหาในส่วนนั้นให้จบๆไปเลยต้องออกมาช้าแบบนี้ ไอ้พวกเพื่อนก็แสนดีกันเหลือเกินแม่งไม่มีใครโทรมาตามผมสักคน คือโทรเข้าสักสายสองสายก็ยังดีแต่ความจริงคือเงียบกริบเลยหรือพวกมันอาจจะมาช้ากว่าผมก็อาจเป็นไปได้



ร้านไอ้เตอร์วันนี้ไม่ได้ครึกครื้นเหมือนทุกๆวันเพราะมันทำการปิดร้านเพื่อให้เพื่อนๆกินเหล้ากันได้อย่างเต็มที่ เตอร์มันก็ทำแบบนี้ไม่บ่อยเท่าไหร่หรอกถ้าให้ปิดบ่อยๆก็จะขาดรายได้ในร้านพอดี มันจะทำก็ตอนที่เราไม่ได้รวมกลุ่มนานหรือทำตอนที่อยากกินเหล้ากันมากแต่ไม่อยากไปร้านเหล้า



“โผล่หัวมาสักทีนะมึง” จากที่คิดว่าตัวเองคงมาก่อนเพื่อนสักคนสองคนแต่พอเดินเข้ามาในร้านแล้วกลับพบว่ามันมากันครบทุกคนแล้ว ผมก็หมดคำจะพูดจริงๆเป็นผมสินะที่มาคนสุดท้ายแล้วทำไมไอ้ห่าเพื่อนรักทั้งหลายถึงไม่โทรตามกูสักคนเลยวะ



“มากันนานแล้วเหรอวะ” ผมเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามไอ้ทาวน์ซึ่งมีไอ้ทิมมันนั่งอยู่ข้างๆและกำลังนั่งกินกับแกล้มเล่นอยู่ หันไปหาเจ้าจอมที่เหมือนมันทำตัวไม่ค่อยถูกและคงไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปวางไว้ตรงไหนดีก็ต้องเรียกมันให้มานั่งข้างๆกัน “มานั่งนี่”



มันพยักหน้ารับก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม เมื่อเห็นว่ามันนั่งเรียบร้อยดีแล้วผมก็หันกลับไปหาเพื่อนตัวเองต่อแต่ใครจะคิดล่ะว่าพอหันกลับมาแล้วจะโดนจ้องหนักขนาดนี้



“มองไรกัน?” ผมถามแต่ทุกคนกลับเหลือบสายตาไปมองเจ้าจอมที่กำลังพูดคุยกับไอ้ทิมมันอยู่ คือมึงสองคนคุยกันเหมือนรู้จักกันมานานเลย ผมส่ายหน้าแล้วหันไปหาเพื่อนตัวเอง ก็พอเข้าใจแหละว่ามันคงเป็นงงๆที่ผมเอาเจ้าจอมมันมาด้วย “มันขอมาด้วย”



“อ๋อ” เป็นไอ้เป๋าที่เสนอหน้าของมันมาตอบคนแรกแล้วทำหน้าตามีเลศนัยใส่ผม คือมันต้องการสื่ออะไรอะ “เดี๋ยวนี้สนิทกันเนอะ”



ผมว่าแล้วว่ามันต้องพูดแบบนี้ ไอ้ห่านี่ชอบแซวผมกับเจ้าจอมมันบ่อยๆไม่รู้จะแซวอะไรนักหนา “เออสนิทกัน แล้วจะทำไม?” ทุกครั้งที่มันถามแบบนี้ผมมักจะบ่ายเบี่ยงไม่ก็ด่ามันกลบเกลื่อนแต่เดี๋ยวนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไปผมก็เลยตอบให้มันได้ยินสักครั้งเป็นบุญหู จนไอ้คนถามมันหน้าเหวอไปเลย คงไม่คิดว่าผมจะตอบออกมาจริงๆ



จริงๆก็อยากบ่ายเบี่ยงเหมือนทุกๆครั้งที่โดนถามนะครับแต่ติดที่ว่าใครอีกคนที่อยู่ในข้อคำถามนั้นกลับนั่งอยู่ข้างๆผมในตอนนี้ ผมก็เลยต้องตอบไปตามตรง ไม่รู้สิผมคิดว่าถ้าผมไม่ยอมตอบแบบนี้ไอ้เด็กข้างๆนี่เดี๋ยวมันก็จะไม่พอใจอีก เด็กบ้าอะไรเอาใจโคตรยาก



เอ๊ะ!? แล้วผมจำเป็นต้องตอบเอาใจมันด้วยเหรอวะ...ช่างเถอะ



“เชี่ย! ยอมรับแล้วเหรอวะ” มันจับหน้าอกตัวเอง หน้าตาคงอยากพูดคำว่าคุณพระคุณเจ้ามากเหลือเกิน “มีเรื่องอะไรดีๆปะวะทำไมยอมรับง่ายอย่างนี้”



เชื่อหรือเปล่าล่ะครับว่าที่เห็นแต่ไอ้เป๋าเอาแต่ถามส่วนคนอื่นๆก็นั่งเงียบๆนี่แหละคือมันกำลังนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อหรือไม่มันก็เตี๊ยมกันให้ไอ้เป๋าเป็นคนถามผมเพราะพวกมันคงเล็งเห็นแล้วว่าไอ้เป๋าคือคนที่เหมาะในการยุ่งเรื่องชาวบ้านที่สุดแล้ว



“แล้วทำไมต้องมีเรื่องดีๆก่อนวะถึงจะยอมรับได้” ผมถามมันกลับบ้าง ไอ้เป๋ามันเลยใบ้แดกไปเป็นนาทีพร้อมทำหน้าขบคิดไปด้วย



“ก็ร้อยวันพันปีกูก็ถามแบบนี้มึงเคยตอบดีๆซะที่ไหนล่ะ เอาแต่ด่ากูไม่ก็เลี่ยงไปคุยเรื่องอื่น”



“วันนี้กูอยากตอบแบบนี้ไง มึงยังไม่พอใจอีก?”



“ก็เปล่า” มันว่าแล้วยิ้มกวนตีนใส่ผม



ผมเลิกสนใจท่าทางนั้นของมันก่อนจะยกแก้วที่ไอ้เตอร์เป็นคนยื่นให้กระดกเข้าคอ ส่วนของไอ้เจ้าจอมมันบอกว่าขอแค่โค้กเหมือนไอ้ทิมไอ้ทาวน์ก็พอเพราะต้องขับรถพาผมกลับห้องอีก



การพูดคุยของพวกเรายังคงดำเนินไปเรื่อยๆและการดื่มก็เรื่อยๆไม่แพ้กัน เจ้าจอมมันเข้ากับเพื่อนของผมได้อย่างรวดเร็ว สมแล้วครับที่มันเป็นคนเฟรนลี่ที่ใครๆต่างก็อยากเข้าหา เรื่องที่คุยส่วนมากก็เป็นเรื่องทั่วๆไปไม่ได้เน้นเรื่องไหนเป็นพิเศษพอใครเปิดประเด็นอะไรมาก็จะพากันคุยไหลไปตามน้ำเรื่อยๆ



กระทั่งผมรู้สึกถึงแรงสะกิดข้างๆตัวก็พบว่าเป็นเจ้าจอมที่กำลังมองผมอยู่



“เมาหรือยังครับ?” มันกระซิบข้างๆหูผมเพราะในร้านเริ่มเปิดเพลงแม้เสียงจะไม่ดังแต่ถ้าคุยห่างๆกันก็คงจะได้ยินไม่ค่อยถนัดสักเท่าไหร่



“อืม” ผมพยักหน้าหงึกหงัก รู้สึกโงนเงนตั้งแต่สี่ทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองกระดกแก้วเข้าปากไปกี่ครั้งแต่แค่รู้สึกว่ามันก็มากพอสมควรที่จะทำให้ผมเมาได้



“อยากกลับหรือยังครับ?” มันถามต่ออีกพร้อมกับประคองตัวผมที่โงนเงนเหมือนจะตกลงจากเก้าอี้ให้ได้ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่สภาพกลายเป็นแบบนี้ ไอ้คนแรกที่จอดก่อนแล้วนอนฟุบลงบนโต๊ะนั่นก็คือไอ้หมอก ตามมาด้วยไอ้เป๋า ส่วนพวกคอแข็งอย่างเราๆก็จะแค่วิงเวียนศีรษะอยู่หน่อยๆ



ผมส่ายหน้าให้มันเป็นคำตอบ “อีกสักพัก”



มันเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดขึ้นมา “งั้นถ้าอยากกลับแล้วเรียกผมนะ อย่าดื่มจนเมาขาดสตินะครับ”



“อือ รู้แล้วน่า..”



หลังจากตอบรับเจ้าจอมมันไปก็ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่แต่ก็รู้สึกว่านานพอสมควรและนานพอที่ผมแทบจะหลับคาโต๊ะแล้วถ้าหากไม่ได้คนที่นั่งข้างๆกันรั้งตัวผมเอาไว้



“ไหนรับปากผมแล้วครัวว่าจะไม่เมาจนขาดสติ”



ผมปัดมือไปมารู้สึกรำคาญเสียงงุ้งงิ้งข้างๆหูตัวเอง



“อือ บ่นมาก”



“กลับกันเถอะครับ..พี่เมามากแล้ว”ผมรู้สึกว่าตัวเองโดนประคองตัวให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะได้ยินเสียงของคนสองสามคนคุยอะไรกันสักอย่างแต่ผมก็ไม่สามารถจับใจความได้ดีนักเพราะสติตอนนี้ก็เตลิดหายไปกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หมดแล้ว



ผมถูกเจ้าจอมพาเดินมาที่รถก่อนจะถูกวางให้นั่งลงอีกครั้งบนเบาะ เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูทางฝั่งตัวเองและไม่นานก็ได้ยินเสียงปิดประตูทางฝั่งของคนขับผมเลยขยับตัวหาท่านอนที่สบายที่สุดก่อนจะผล็อยหลับไป ไม่วายก่อนหลับก็ได้ยินเสียงพึมพำข้างๆหูตัวเอง



“ผมบอกว่าอย่าเมาจนขาดสติแต่ก็ดื้อดื่มจนเมาล้มพับขนาดนี้จนได้”



พร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาที่ลูบข้างแก้มตัวเองจนผมต้องซุกใบหน้าเข้าหากับฝ่ามืออุ่นนั้นกระทั่งความอุ่นก็เคลื่อนตัวจากไปพร้อมๆกับผมที่สติก็ดับลงเช่นกัน






เราอาจจะได้มาลงอีกทีวันศุกร์เลยนะคะแต่ก็ไม่แน่เน่อเผื่อพรุ่งนี้ก็อาจจะมาลงเอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ จะพยายามมาลงไม่ให้ขาดช่วงนานนะคะเพราะตอนนั้นก็หายไปนานแล้ว แหะๆ ตอนนี้ก็เนอะ บอกชอบได้แค่ตอนหลับล่ะเด้อ เอาใจช่วยเจ้าจอมกันด้วยค่าา แล้วก็ตอนที่แล้วขอบคุณทุกๆคนมากน้าได้อ่านคอมมเม้นแล้วรู้สึกดีมากๆ มาคอมมเม้นให้กันบ่อยๆเน่อออ ขอบคุณจ้าา
#นิติผูกพัน
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -สนิทกัน- 22/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-01-2019 18:46:56
 :pig4: :pig4: :pig4:

หลับไม่รู้เรื่องแบบเน้...

นุ้งจอมจะ...พี่ยีนส์ไหมครับ  อิอิ
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -สนิทกัน- 22/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-01-2019 19:14:58
เสร็จแน่ๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -สนิทกัน- 22/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-01-2019 22:27:13
 จะมีอะไรเกิดขึ้นไหมนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -สนิทกัน- 22/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 25-01-2019 17:58:45

ตอนที่ 17

เมื่อความเมาเป็นเหตุทำให้เสียจูบ





เจ้าจอม Part



ผมส่ายหน้ามองคนเมาที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวกำลังพลิกตัวไปมาอยู่บนที่นอนของผม ตอนแรกผมกะว่าจะพาเขาไปส่งที่ห้องแล้วแต่ก็หากุญแจห้องของเขาไม่เจอ คงจะตกอยู่ที่ร้านพี่เตอร์เพื่อนของพี่ยีนส์



ผมห้ามพี่ยีนส์ไปแล้วว่าอย่าเมาจนขาดสติแต่เขาก็ดื้อ ไม่ยอมเชื่อฟังในสิ่งที่ผมพูดสุดท้ายผมก็ต้องแบกเขาขึ้นหลังแล้วพากลับห้องมานี่แหละ พี่ยีนส์ไม่ใช่คนที่ตัวเล็กแต่เขาก็ไม่ได้ตัวใหญ่หรือมีกล้ามอะไรมากมายแต่ก็หนักเอาการอยู่เหมือนกัน วันหลังถ้าเกิดเขาเมาอีกผมคงต้องหาคนมาช่วยแบกเขาอีกสักคน ไม่งั้นหลังผมคงได้เดาะก่อนจะถึงห้องแน่ๆ



ยืนมองสภาพคนเมาแล้วก็ต้องเผลอยิ้ม เวลาพี่ยีนส์เมาไม่ได้สติก็ดูเป็นคนนิ่งๆเงียบๆมากกว่าคนปากร้ายที่ชอบด่าผมซะอีกหรือผมอาจจะกวนตีนเขามากไปหรือเปล่าอันนี้ก็คงมีส่วนเพราะจากที่เห็นเวลาเขาคุยกับรุ่นน้องก็คุยค่อนข้างดีในระดับนึงเลย ตัดภาพมาที่ผมคือถ้าพี่พ่นคำหยาบได้ทุกคำก็คงทำไปแล้วล่ะครับ



นึกไปถึงครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้หิ้วพี่ยีนส์ขึ้นมาส่งบนห้องของเขาเพราะเพื่อนพี่ยีนส์ซึ่งก็คือพี่เป๋าเป็นคนฝากพี่ยีนส์ไว้กับผม ตอนนั้นผมก็ยังรู้สึกงงๆที่ว่าทำไมเขาถึงเอาพี่ยีนส์มาฝากไว้ให้ผมเอาไปส่งบนห้อง แต่ก็นะการช่วยพี่เป๋าในครั้งนั้นก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์ไปซะทีเดียวในเมื่อผมก็ได้รู้ในวันนั้นว่าคนที่เป็นพี่ติวของผมก็คือคนเมาที่หลับไม่ได้สติ



ผมจำได้ว่ากว่าจะพาตัวพี่ยีนส์ขึ้นมาบนห้องได้ก็เหนื่อยเอาการ แถมคนเมาที่ไม่ได้รู้อะไรเลยก็ดันมาอ้วกใส่ผมจนผมต้องอาบน้ำและถือวิสาสะใช้ของในห้องเขาโดยไม่ได้ขออนุญาตอีก วันนั้นผมจำได้ว่าตัวเองลืมกุญแจห้องไว้ที่รถแล้วก็ขี้เกียจไปเอาเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้วด้วย เลยได้แต่ขออาศัยนอนโซฟาห้องเขา ไม่นึกเลยว่าพอผมตื่นขึ้นมาพี่ยีนส์ก็ยังไม่ตื่น



ผมเดินไปดูเขาที่นอนหลับสนิท นั่งจ้องมองเขาเป็นเวลานานเลยทีเดียวกว่าคนเมาจะรู้สึกตัวแล้วนั่นแหละผมก็ได้รับเสียงโวยวายจากคนที่อยู่บนเตียงทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร



หลังจากวันนั้นเขาก็เรียกให้ผมไปหาที่ห้องเพื่อถามเรื่องรอยแดงที่ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา ผมสาบานได้เลยว่าผมไม่ได้ทำและไม่ได้รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นแต่พี่ยีนส์ก็ยังยืนยันว่าไม่เชื่อและเขาก็คงคิดว่าผมเป็นคนทำมาตลอด ผมก็จนใจจะอธิบายเพราะเหมือนพูดยังไงพี่ยีนส์ก็คงไม่ยอมฟัง สุดท้ายหลังจากวันนั้นเขาก็เลยดูเกลียดขี้หน้าผมไปเลย



มันยากมากนะครับกว่าที่จะทำให้พี่ยีนส์ยอมคุยและใจดีกับผมเหมือนในตอนนี้ ผมใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการเข้าหาเขาเพราะอยากรู้จักเขาในฐานะน้องติวของเขาถึงแม้ว่าหลังจากนั้นความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นมาจะเลยเถิดไปมากกว่าที่เคยคิดก็เถอะ



คิดอะไรเพลินๆก็ต้องหลุดออกจากความคิดนั้นทันทีเมื่อคนเมาที่ไม่ได้สติกำลังลุกขึ้นนั่งแล้วปลดกระดุมตัวเอง ปากก็พึมพำว่าร้อนอย่างนั้นร้อนอย่างนี้จนผมต้องเข้าไปช่วยประคองเขาไว้ไม่ให้ล้มตึงลงบนที่นอนเดี๋ยวจะปวดหัวเอา



“อืม...ร้อนฉิบหาย”



“เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้ครับจะได้นอนสบายๆ”



“อาบน้ำ” เขาส่ายหน้าพลางพึมพำคำนี้ซ้ำๆ



“แน่ใจนะครับว่าอาบได้” ผมถามย้ำให้แน่ใจเพราะเขาก็ดูเมาจนเหมือนจะทำอะไรๆด้วยตัวเองค่อนข้างลำบาก กลัวเขาจะล้มพับในห้องน้ำก่อนจะอาบเสร็จน่ะสิ



“ได้!” เขาพยักหน้าหงึกหงักเหมือนเด็กที่ตอบคำถามเวลาโดนพ่อแม่ถามเลย



“งั้นรอผมแป๊บนึงนะครับเดี๋ยวจะไปเอาน้ำมาให้ดื่มก่อนจะได้สร่างเมาสักหน่อย”



“อือ”



เมื่อดูให้แน่ใจแล้วว่าคนเมาอยู่นิ่งๆตามที่ผมต้องการจึงเดินออกมาเอาน้ำแล้วเทใส่แก้วเพื่อให้คนที่นั่งอยู่ในห้องนอนกิน



“ดื่มหน่อยครับพี่ยีนส์” ผมช่วยประคองตัวเขาที่โอนเอนไปมาเหมือนจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่อยู่บนที่นอน เขาครางงึมงำคนเดียวก่อนจะยอมเปิดปากแล้วงับแก้วน้ำเพื่อดื่มน้ำตามที่ผมบอก



ไม่นานเขาก็ยกมือของเขาขึ้นมาดันแขนข้างที่ผมใช้จับแก้วออก “พอแล้ว”



“นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับเดี๋ยวผมไปหาผ้าเช็ดตัวกับชุดมาให้เปลี่ยน” ผมทำการสั่งคนเมาอีกครั้ง



“อืม”



ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า ไม่ลืมที่จะหยิบชุดบอลและกางเกงบอลออกมาให้อีกคนใส่ส่วนชั้นในคงต้องให้พี่ยีนส์ใส่ตัวเดิมของเขาไปก่อนเพราะผมก็ไม่มีชั้นในตัวใหม่หรือตัวสำรองเก็บไว้ด้วย



กลับมาถึงก็เห็นว่าพี่ยีนส์กำลังยกมือขึ้นนวดขมับของตัวเอง ผมเลยนั่งลงข้างๆเขาก่อนจะเอ่ยถามออกไป “เป็นไงบ้างครับโอเคขึ้นหรือยัง?”



“พอได้” เขาพยักหน้าให้ผมอีกครั้ง



ผมมองเขาจนแน่ใจแล้วว่าคงจะมีสติมากกว่าตอนแรกก็ยื่นเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวไปให้ “นี่ครับ รีบๆอาบนะไม่ต้องล็อคประตูนะครับ” ผมห่วงว่าเขาจะลื่นล้มในห้องน้ำด้วยฤทธิ์สุราที่อยู่ในตัวเขาก็ยังไม่ค่อยสร่างดีเท่าไหร่จึงบอกให้เขาไม่ต้องล็อคประตูห้องน้ำ มีอะไรผมจะได้เข้าไปช่วยเขาทัน



“ขอบใจ” เขารับเสื้อผ้าจากผมไปก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ



สักพักพี่ยีนส์ก็เดินออกมาด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ผมให้เขาใส่ พอเห็นเสื้อผ้าตัวเองอยู่บนตัวของพี่ยีนส์แล้วก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก การที่ได้เห็นของใช้ส่วนตัวของเราอย่างเสื้อผ้าไปอยู่บนตัวของคนที่เราชอบใครๆก็ต้องรู้สึกดีทั้งนั้นแหละครับ



“ยิ้มอะไร?” เขาเดินเข้ามาหาผมที่นั่งรอเขาอยู่บนเตียงพร้อมกับตั้งคำถาม พอได้อาบน้ำแล้วพี่ยีนส์ก็ดูจะสร่างเมาขึ้นมากกว่าตอนแรก



“เปล่าครับ..เสื้อผ้าเดี๋ยวเอาไปไว้ในตะกร้าผมก่อนก็ได้ครับ” ผมยื่นมือขอเสื้อผ้าตัวเก่าของเขาเพื่อจะเอาไปใส่ในตะกร้าตัวเองให้



“ไม่เป็นไร ขอถุงอะไรมาใส่ก็พอ”



ผมไม่อยากขัดใจพี่ยีนส์จึงลุกขึ้นแล้วเดินไปหาถุงเพื่อให้เขาได้เอามาใส่พวกเสื้อผ้าที่เขาใส่แล้ว พอหาถุงเจอก็เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งก่อนจะต้องชะงักไปอย่างนั้นเพราะคนที่พึ่งสั่งให้ผมไปหาถุงมาใส่เสื้อผ้าตอนนี้กลับไปนอนหลับบนเตียงซะแล้ว



ผมมองเสื้อผ้าที่ตั้งอยู่บนปลายเตียงจึงหยิบขึ้นมาแล้วพับใส่ถุงไว้ให้พี่ยีนส์เรียบร้อยก็เอาไปตั้งไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือก่อนจะเดินกลับมามองคนที่คิดว่าคงจะสร่างเมามากแล้วแต่คงจะไม่สร่างง่วงเท่าไหร่เลยนอนหลับปุ๋ยขนาดนี้



นั่งมองพี่ยีนส์จนพอใจแล้วก็ถึงเวลาที่ตัวเองต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดบ้าง ผมใช้เวลาไม่นานในการชำระร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ออกมาจากห้องน้ำ เดินออกไปข้างนอกเพื่อไปปิดไฟก่อนจะกลับเข้ามาในห้องเดินไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียงแล้วดับไฟในห้องนอนลง



ผมเดินลงมาล้มตัวลงนอนแต่หัวยังไม่ถึงหมอนคนเมาก็เริ่มทำฤทธิ์ด้วยการถีบผ้าห่มออกจากตัวทั้งที่ในห้องก็เปิดแอร์เย็นขนาดนั้น ผมเลยต้องลุกขึ้นนั่งแล้วยื่นมือไปหยิบผ้าห่มมาห่มให้เขาอีกรอบ



ล้มตัวลงบนที่นอนอีกครั้งก่อนจะใช้แขนตัวเองค้ำยันกับที่นอนเอาไว้ ขยับเข้าไปมองหน้าพี่ยีนส์ใกล้ๆ ยกมือข้างที่ว่างขึ้นเกลี่ยจมูกเขาเบาๆก่อนจะเลื่อนไปลูบไล้ข้างแก้มเรื่อยลงมาตรงริมฝีปากที่เผยอออก ผมอมยิ้มจากนั้นจึงค่อยๆโน้มหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้กับใบหน้าของคนที่กำลังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ประทับจูบลงไปแผ่วเบาที่ริมฝีปากได้รูปเนิ่นนานก่อนจะถอนจูบออกมา



“ฝันดีครับ”



ผมนอนยิ้มคนเดียวในความมืด ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกมีความสุขที่สุดในโลกแค่เพียงเพราะมีใครอีกคนกำลังนอนอยู่ข้างๆกัน คนๆนั้นเป็นคนที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งเราจะสนิทกันได้มากขนาดนี้ คนที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ผมชอบเขามากจนตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะมากไปกว่านี้หรือเปล่าและเป็นคนที่ผมคิดว่าเขาจะรู้สึกเหมือนกันแบบผมไหม แค่คิดว่าเขารู้สึกเหมือนกับตัวเองหัวใจของผมก็พองโตจนแทบจะทะลุออกมานอกอกแล้ว



หันไปมองอีกคนที่หลับอยู่ข้างๆกัน คงกำลังฝันดีล่ะมั้งมุมปากถึงได้ยกขึ้นเหมือนกำลังยิ้มแบบนี้



“พี่ก็มีความสุขเหมือนกันกับผมใช่ไหมครับ” ผมกระซิบถามเขา รู้แหละว่าเขาคงไม่ได้ยินที่ผมพูดแต่พอเห็นมุมปากของเขายกสูงขึ้นผมก็ต้องยิ้มออกมาและอดไม่ได้ที่จะกดจูบย้ำๆตรงมุมปากของเขา



“ผมชอบพี่นะ” ถ้าเมื่อถึงโอกาสผมคงจะกล้าบอกคำนี้กับเขาตอนที่เขากำลังมีสติและไม่ได้หลับไหลเหมือนทุกครั้งที่ผมเอ่ยบอก



ผมก็หวังว่าโอกาสที่ตัวเองกำลังเฝ้ารอเพื่อบอกคำๆนั้นจะมาถึงโดยเร็วและก็หวังอย่างยิ่งว่าพี่ยีนส์จะไม่ปฏิเสธความรู้สึกของผม...






ยีนส์ Part



ผมตื่นมาด้วยอาการปวดหัวตุบๆเหมือนสมองจะหลุดออกมาจากกะโหลกให้ได้ รู้ว่าคงเป็นอาการหลังจากที่ดื่มเหล้าหนักแต่แม่งก็ไม่เคยชินสักครั้งเพราะมันปวดจนผมต้องหลับตาลงอีกครั้งเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวของตัวเอง



“พี่ยีนส์ครับ”



เสียงใครสักคนเรียกชื่อของผมทำให้ต้องเปิดดวงตาขึ้นอีกครั้งและพบว่าเป็นเจ้าจอมมันนั่นเองที่กำลังปลุกผมให้ตื่น แล้วทำไมต้องเอาหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนั้นด้วยล่ะวะไอ้เด็กนี่...



“อืม ปวดหัวว่ะ” ผมยกมือขึ้นมากุมขมับ ค่อยๆพยุงตัวลุกโดยมีเจ้าจอมมันช่วยประคองให้ผมลุกขึ้นนั่งดีๆ



“กินนี่ก่อนครับ” มันยื่นแก้วที่มีน้ำอะไรสักอย่างให้ผม



“อะไร?”



“น้ำผึ้งมะนาวผสมขิงครับ ผมทำมาให้” มันยื่นแก้วจะให้ผมรับแต่ผมก็ยังไม่รับสักที



“กินได้แน่นะ?”



“แน่สิครับ ผมถามแม่มาเลยนะ แม่บอกว่าจะทำให้สร่างเมาได้”



นั่งฟังมันพูดที่มันฟังจากแม่มันมาอีกทีก็เริ่มไว้ใจจึงรับแก้วมาแล้วค่อยๆเป่าให้หายร้อนก่อนจะจิบลงคอกระทั่งหมดแก้วจึงยื่นแก้วคืนให้มัน



“ขอบใจ”



มันยิ้มรับแล้ววางแก้วไว้ตรงโต๊ะข้างหัวเตียง “นั่งสักพักก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวค่อยไปแปรงฟันอาบน้ำแล้วจะได้มากินข้าว”



“กูจะกลับห้อง” ผมว่าสั้นๆ ทำไมผมต้องอยู่ด้วยวะในเมื่อห้องผมก็อยู่ข้างๆมันนี่เองเดินไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ผมต้องไปแปรงฟันอาบน้ำที่ห้องมันเนี่ย



“กุญแจห้องพี่น่าจะอยู่ที่ร้านพี่เตอร์นะครับ พี่เข้าห้องไม่ได้หรอก”



ก็ว่าอยู่ทำไมมันถึงเอาผมมานอนที่ห้องมันแทนที่มันจะเอาผมไปนอนที่ห้องตัวเอง เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้นี่เอง



“เออๆ แล้วมีแปรงสีฟันกับชุดให้ยืมไหมล่ะ” ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดกับมันนาน เดี๋ยวไอ้ที่ปวดหัวอยู่แล้วจะปวดหัวเข้าไปอีกเพราะต้องเถียงกับไอ้เด็กนี่



“มีครับผมเอาไว้ในห้องน้ำแล้ว”



เออ...มันก็เตรียมพร้อมให้ผมดีเหมือนกัน



“อืม ขอบใจมึงมาก”



“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจทำให้”



ผมมองมันงงๆทำไมมันต้องเต็มใจทำให้ผมด้วยวะแต่ก็คงทำตามประสาเจ้าของห้องที่ดีแหละมั้งเวลามีแขกมาก็ต้องต้อนรับให้เป็นอย่างดีแบบนี้หรือเปล่า



ช่างเถอะครับขี้เกียจคิดแล้ว






ผมให้เจ้าจอมมันช่วยขับรถพาผมไปเอากุญแจห้องกับไอ้เตอร์ที่ห้องของมันเพราะตัวเองยังมีอาการปวดหัวอยู่เล็กน้อยบวกกับเจ้าจอมมันก็เสนอตัวจะขับรถไปให้ผมให้ได้ผมเลยไม่ได้ปฏิเสธอะไรปล่อยให้มันทำๆไปถ้ามันอยากทำ



“เลี้ยวซ้ายข้างหน้า” ผมบอกทางมันมาเรื่อยๆจนกระทั่งรถหยุดลงที่หน้าคอนโด



รถของเจ้าจอมจอดนิ่งสนิทสักพักก็มีพนักงานรักษาความปลอดภัยของคอนโดเข้ามาขอดูบัตรประชาชน เจ้าจอมมันก็ยื่นให้ ส่วนผมก็โผล่หน้าไปให้พี่ยามเห็นเพราะแกคงจำผมได้อยู่บ้างว่ามีเพื่อนอยู่ในคอนโดนี้จริงๆ



“อ้าว...เพื่อนคุณเตอร์ สวัสดีครับ” ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะครับที่พี่ยามจะจำได้แต่ไอ้เตอร์มันก็ค่อนข้างเป็นคนอัธยาศัยดีคนหนึ่งเลยน่าจะพอสนิทกับพี่ยามไปด้วย เวลาผมมาหามันทีไรพี่ยามก็จะจำผมได้และเรียกผมแบบนี้ตลอด



“สวัสดีครับพี่” ผมเอ่ยทักทายตามปกติเวลาที่ได้เจอกับพี่ยาม



“เชิญครับๆ” พี่เขาโบกมือไปมาเพื่อให้รถพวกผมผ่านเข้าไปจอดได้ ผมบอกขอบคุณก่อนเจ้าจอมมันจะขับรถเข้าไปแล้วหาที่จอดภายในลานจอดรถของคอนโด



เมื่อหาที่จอดได้แล้วผมก็หันไปหาคนขับก่อนจะบอกให้มันรออยู่บนรถนี่แหละเพราะผมคงไปแป๊บเดียว “ไม่นานหรอกแค่ไปเอากุญแจ”



“งั้นผมขอไปนั่งรอข้างล่างแล้วกันนะครับ”



“อืม”



เราสองคนพากันเดินเข้ามาในคอนโด เจ้าจอมมันไปนั่งรอตรงโซฟาข้างล่างส่วนผมก็เดินเข้าไปหาพี่พนักงานก่อนจะบอกว่ามาหาใคร ดีที่ไอ้เตอร์มันแจ้งไว้แล้วผมก็เลยไม่ต้องทำเรื่องอะไรเยอะแยะเพราะคอนโดของมันค่อนข้างเข้มงวดกับเรื่องความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย



ผมกดลิฟต์ขึ้นมายังชั้นที่เตอร์มันอยู่ เดินไปเรื่อยๆจนหยุดหน้าห้องของมันก็กดกริ่งหน้าห้องของมัน สักพักประตูก็เปิดออกปรากฏให้เห็นไอ้เตอร์ที่คงพึ่งตื่นนอน หัวถึงได้ยุ่งเหยิงขนาดนี้ มันยกมือขึ้นมาสางผมตัวเองจัดระเบียบตัวเองอีกนิดหน่อยก็ยื่นกุญแจห้องมาให้ผม



“ไงมึง พึ่งฟื้นเหรอวะ?” อดที่จะเอ่ยถามมันไม่ได้เมื่อได้เห็นสภาพของมัน



“เออ ถ้ามึงไม่มาเอากุญแจกูก็ไม่ตื่นหรอก”



“เออ โทษทีว่ะ” ผมเอ่ยขอโทษพลางขำสภาพของมันไปด้วย สงสัยคงยังไม่ค่อยสร่างเท่าไหร่ ผมเลยยื่นมือไปรับกุญแจมาไว้กับตัวก่อนจะเอ่ย “ขอบใจมาก”



“แล้วนี่มาคนเดียว?”



“เปล่า มากับไอ้เจ้าจอม” มันหรี่ตามองเหมือนต้องการจับพิรุธผม ผมเลยถามมันออกไป “อะไร?”



“มึงกับมันตกลงยังไงกันแน่วะ?”



ผมขมวดคิ้วกับคำถามของมันทันที “อะไรยังไงวะ?”



“ก็...มึงกับมันเป็นอะไรกัน?”



“ก็พี่ติวน้องติวไง จะเป็นอะไรได้อีกวะ” ผมตอบไปตามความจริงเพราะมันก็ไม่ได้มีสถานะไหนที่ผมกับไอ้เจ้าจอมมันจะเป็นอีกแล้วนี่หว่า ก็ผมกับมันก็เป็นแค่พี่ติวน้องติวกันมาตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมไอ้เตอร์มันถึงได้ถามอะไรแปลกๆแบบนี้หรือมันจะมีอะไรหรือเปล่าวะ “มึงสงสัยอะไร?”



“เห็นมึงสนิทกัน”



“ก็ปกติป่ะวะ กูกับมันกินข้าวด้วยกันทุกวัน อีกอย่างกูก็ต้องคอยติวให้มันด้วยจะสนิทกันก็ไม่แปลกหรอก” เรื่องที่ผมกับเจ้าจอมกินข้าวด้วยกันทุกเย็นผมก็เคยเล่าให้พวกมันฟังไปแล้ว พอมาได้ยินผมพูดขึ้นอีกครั้งไอ้เตอร์มันเลยไม่ได้ตกใจอะไร



“กูว่าเจ้าจอมมันดูแคร์มึงมากกว่าที่มันควรจะเป็นหรือเปล่า เมื่อคืน...กูเห็น..พวกไอ้คินก็เห็น”



“มึงจะพูดอะไรกันแน่?” ผมขมวดคิ้วฉับ ถามเข้าตรงประเด็นเพราะรู้สึกว่าคุยอ้อมไปอ้อมมาหลายรอบแล้วก็ยังไม่รู้เรื่องกันสักที ผมมองไอ้เตอร์ที่มองไปทางอื่นก่อนจะหันกลับมามองผม มันถอนหายใจก่อนจะเอ่ย



“กูว่า...เจ้าจอมมันชอบมึง”





มาแล่วๆๆๆ ตอนนี้ก็กลางๆเรื่องแล้วเด้ออ อีกไม่รู้ว่ากี่ตอนจะจบแต่ก็ไม่มากแล้วค่าตอนแรกวางแพลนไว้หลายตอนมากแต่มันเวิ่นเว้อไปเดี๋ยวเรื่องจะเอื่อยๆ ก็ขอบคุณทุกๆคนมากที่ติดตามและให้กำลังใจกันมาตลอดเลยย
#นิติผูกพัน
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เมื่อความเมาเป็นเหตุทำให้เสียจูบ- 25/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-01-2019 01:24:56
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เมื่อความเมาเป็นเหตุทำให้เสียจูบ- 25/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-01-2019 03:54:28
รอฟังคำตอบอยู่ กรุณาอย่าหายไปนาน  :katai3:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เมื่อความเมาเป็นเหตุทำให้เสียจูบ- 25/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-01-2019 11:02:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เมื่อความเมาเป็นเหตุทำให้เสียจูบ- 25/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 26-01-2019 17:02:32

ตอนที่18

เข้าใจตรงกัน



หลังจากได้ฟังสิ่งที่ไอ้เตอร์พูด ระหว่างทางที่กลับคอนโดผมก็เอาแต่ขบคิดกับสิ่งที่ได้ยินมา ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเรื่องที่มันบอกสักเท่าไหร่เพราะท่าทางของไอ้เจ้าจอมมันก็ยังปกติเหมือนอย่างทุกครั้งที่มันอยู่กับผมหรือมันอาจจะเป็นความเคยชินไปแล้วจนผมไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น



แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะครับในเมื่อไอ้เจ้าจอมก็ไม่เห็นมีท่าทีจะสนใจผมเลยหรืออาจจะมีแต่ผมไม่รู้อีกวะ คือตอนนี้คิดยังไงก็คิดไม่ออกสักทางว่าเจ้าจอมมันจะมาชอบผมได้ยังไง มีแต่หาเหตุผลแล้วก็เดาไปมั่วๆแต่แม่งมันเป็นไปได้หรอวะ?



“มึง..” ผมตัดสินใจหันไปหามัน เจ้าจอมมันแค่เพียงหันมามองหน้าผมนิดเดียวแล้วหันกลับไปมองทางต่อ



“ว่าไงครับ?” แต่เมื่อจะถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกไปผมก็ไม่มีความกล้าพอเลยได้แต่เงียบจนเมื่อรถติดไฟแดงเจ้าจอมมันก็เอ่ยย้ำถามกับผม มันคงจะสงสัยว่าผมเรียกมันทำไมนั่นแหละ “พี่ยีนส์เรียกผมทำไมเหรอครับ มีอะไรหรือเปล่า?”



ผมอยากถามมันไปตรงๆนะแต่อีกใจหนึ่งก็ไม่ค่อยกล้าเพราะบางทีผมอาจจะกลัวคำตอบที่มันจะตอบมา ผมยังอยากให้เราเป็นแบบนี้ไม่อยากไปเปลี่ยนแปลงอะไรให้วุ่นวาย ยิ่งต้องมีเรื่องรักๆใคร่ๆเข้ามาเกี่ยวในความสัมพันธ์มันอาจจะเป็นเรื่องยากแล้วผมกับมันอาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้ ไม่รู้สิผมว่าอยู่อย่างนี้มันก็สบายใจดีแล้ว



“แวะห้างให้หน่อยสิกูอยากซื้อของเข้าห้อง” สุดท้ายผมก็ต้องเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น เอาไว้ในตอนที่ผมพร้อมจะถามและอยากรู้มากกว่านี้ผมจะถามมันก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้นั้นก็ปล่อยให้มันเป็นตามที่ควรจะเป็นเถอะ



“ได้ครับ” มันตอบรับพร้อมกับไฟแดงที่เปลี่ยนเป็นสีเขียว เจ้าจอมมันจึงหันกลับไปสนใจในการขับรถของมันต่อ



ส่วนผมก็ได้แต่เหม่อคิดไปถึงเรื่องที่ไอ้เตอร์มันพูด บางทีมันอาจจะคิดมากไป เจ้าจอมเนี่ยนะจะมาชอบผมได้ในเมื่อต่างก็มีใครๆเข้าหามันออกจะเยอะแยะ แถมผมก็ไม่ได้ดีกับมันขนาดที่มันต้องมาชอบผมสักหน่อย แต่ก็นะไม่มีอะไรรับประกันนี่หว่าว่ามันจะไม่ชอบผม...



เรามาถึงห้างกันในเวลาต่อมา เจ้าจอมมันขอเดินแยกไปซื้อของของมันส่วนผมก็ไปหาซื้อของของตัวเองเหมือนกัน ตอนนี้ก็เลยต้องดินเข็นรถเข้าออกโซนนั้นโซนนี้อยู่คนเดียว พอเห็นอะไรหรืออยากได้อะไรก็หยิบลงรถไปซะหมดไม่มีการคิดไตร่ตรองอะไรทั้งสิ้นหรอกครับ ในเมื่ออยากได้ก็ซื้อแค่นี้เอง



ช่วงนี้ผมติดกินช็อคโกแลตมากแต่ไม่ใช่ช็อคโกแลตหวานเลี่ยนๆอะไรแบบนั้นนะ ส่วนมากผมจะกินพวกดาร์คช็อคที่ขมๆไปเลย จำได้ว่าเคยเอาไปกินแก้ง่วงตอนเรียน ไอ้เป๋ากับไอ้เตอร์มันก็มาขอกิน พอพวกมันได้กินไปชิ้นเดียวก็ไม่ขอผมกินอีกเลย พวกมันบอกว่า’ขมจะตายห่ามึงกินไปได้ยังไง’ ผมก็ขำพวกมันหน่อยๆ ไอ้พวกนี้แม่งไม่ค่อยชอบอะไรขมๆไงขนาดกาแฟยังไม่ค่อยกินกันเลย



นึกแล้วแม่งก็ขำหน้ามันตอนกินเข้าไป ถ้าใครได้มาเห็นหน้าบูดๆเบี้ยวๆของพวกมันก็คงจะขำเหมือนผมนั่นแหละ ขนาดไอ้คินกับไอ้ไฟมันยังหลุดขำเลย



ผมเดินเลือกยี่ห้อที่ตัวเองชอบกินบ่อยๆและถูกปากที่สุดมาสี่ห้าห่อ กะว่าก็คงจะกินได้ประมาณอาทิตย์นั่นแหละ ถ้าผมไม่กินเพลินจนหมดวันละห่อน่ะนะ



“ซื้ออะไรครับ?” เจ้าจอมมันโผล่หัวมาจากด้านหลังจนผมสะดุ้งทำช็อคโกแลตที่หยิบขึ้นมาร่วงลงไปในรถเข็นของตัวเองทันที “ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอครับพี่”



ยังจะมีหน้ามาถามอีก แล้วจะยิ้มทำไมวะไอ้เด็กเวรนี่!



“ใครใช้ให้มึงโผล่มาแบบนี้ล่ะวะ” ผมอดที่จะบ่นไม่ได้ ไม่วายก็ผลักหน้าผากมันจนหน้ามันแทบหงาย



“ก็ไม่คิดว่าพี่จะขวัญอ่อนขนาดนั้น” มันว่าแล้วเดินตามผมต้อยๆ “ผมเข็นให้ไหมครับ?”



พอมันเสนอตัวผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ “รีบๆตามมาดิ”



“ได้ทีใช้ผมใหญ่เลย”



“มึงเสนอตัวเอง”



“โอเคครับไม่เถียงแล้ว” มันว่าอย่างยอมแพ้ ก็ต้องเป็นงั้นอยู่แล้วในเมื่อมันเป็นคนเสนอมาทำเองนี่หว่า



ผมเดินมายังโซนพวกเครื่องใช้ในห้องน้ำเพราะสบู่เหลว แชมพูสระผม ยาสีฟันอะไรเทือกๆนี้ใกล้หมดแล้วจึงมาซื้อตุนไว้ เวลาของเก่าหมดจะได้ไม่ต้องวิ่งวุ่นหาเพราะจำได้ว่าครั้งก่อนโคตรหงุดหงิดเลยเวลาบีบบสบู่เหลวแล้วแม่งไม่มีออกมาให้ผมสักหยดจนต้องโทรไปขอไอ้เจ้าจอมมัน



“กลิ่นนี้ก็หอมนะครับ” มันยื่นสบู่เหลวยี่ห้อหนึ่งที่ผมเห็นในโฆษณาบ่อยๆมาให้ผมดู



“อันนี้มึงใช้อยู่นี่” ผมจำได้เพราะตอนนั้นมันเอายี่ห้อนี้แหละมาให้ผมยืม อีกอย่างเมื่อเช้าผมก็พึ่งใช้มาจากห้องมันเลยจำได้แม่นเลย



“ใช่ครับ ผมว่าหอมดี” มันว่าก่อนจะก้มลงมาดมฟุดฟิดแถวต้นคอผม ทำเอาผมขนลุกซู่เบี่ยงตัวหลบมันก่อนจะกระแอมเบาๆ



“แต่กูไม่ได้ใช้ยี่ห้อนี้”



“ก็ลองเปลี่ยนดูไงครับ ผมว่ากลิ่นนี้ตอนอยู่บนตัวพี่มันหอมดีกว่ากลิ่นนั้นอีก”



“เป็นหมาหรือไงมึง...จำกลิ่นดีเชียว”



“ผมใส่ใจพี่ต่างหาก”



อยากถามออกไปมากว่ามึงจะมาใส่ใจกูทำไมแต่ก็เงียบไว้ดีกว่าเดี๋ยวจะไปจุดประเด็นอะไรๆที่ผมไม่ค่อยอยากรู้ในตอนนี้เท่าไหร่ขึ้นมาแล้วกลายเป็นว่าเรื่องจะเลยเถิดไปมากกว่านี้



“ชอบก็ซื้อไปใช้เองดิวะ”



“ห้องผมมีแล้วไงครับหรือพี่จะมาใช้ที่ห้องผมล่ะ”



ยิ่งพอได้ยินมันพูดแบบนี้คำพูดของไอ้เตอร์ก็ลอยมเข้ามาในโสตประสาทของผมทันทีหรือว่าสิ่งที่ไอ้เตอร์มันสงสัยจะเป็นเรื่องจริงวะ ผมชักไม่ค่อยแน่ใจแล้ว



“เอายี่ห้อนี้แล้วกัน” สุดท้ายผมก็เลือกที่จะหยิบยี่ห้ออื่นมาใส่รถแล้วเดินหนีมันไปดูแชมพูสระผมบ้าง ได้ยินเสียงมันขำเบาๆก่อนมันจะเข็นรถตามผมมา



“พี่ใช้อันเดิมเถอะครับหอมดี” ไม่วายมันก็ยังมาออกความเห็นอีก



ผมหยิบขวดแชมพูที่ตนเองใช้ประจำหรือก็คืออันเดิมที่เจ้าจอมมันว่าใส่รถเข็นจากนั้นก็เดินไปหยิบยาสีฟันมาใส่รถจนกระทั่งของครบก็ไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์



เจ้าจอมมันเสนอตัวช่วยผมถือของผมก็ขี้เกียจห้ามปรามมันในเมื่อมันมีน้ำใจผมก็ไม่อยากปฏิเสธน้ำใจของมันเลยให้มันช่วยๆถือไป แม้ของแค่นั้นผมจะถือคนเดียวได้ก็เถอะครับ



“ไปไหนต่ออีกไหมครับ?” มันหันมาถามตอนที่ทั้งผมและมันคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จแล้ว



“ไม่ล่ะ กูง่วงนอนแล้ว”



“โอเคครับงั้นก็กลับเลยพี่จะได้ไปพักผ่อน”



“อืม”



รถเคลื่อนตัวออกจากตัวห้างไปได้ไม่นานผมก็ผล็อยหลับ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ลมอุ่นๆเป่ารดอยู่ที่ข้างแก้มของตัวเอง ผมเปิดเปลือกตาขึ้นแล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือไอ้เจ้าจอมที่กำลังมองหน้าผมอยู่ในระยะประชิด



“มึง..” เสียงผมแหบเล็กน้อยจึงกระแอมไอเบาๆให้เสียงกลับมา “ทำอะไร?” ผมถามมัน แทนที่มันจะผละออกแต่กลับยังมองหน้าผมอยู่ในท่าเดิม



“แค่อยากมองหน้าพี่ใกล้ๆ”



อ่า...ผมควรจะรู้สึกยังไงดีครับที่มันตอบผมมาแบบนี้



“มะ...มองเหี้ยไร” คำพูดแอบตะกุกตะกักนิดหน่อยแต่ก็ยังคงควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อยู่ “เอาหน้ามึงออกไปได้แล้วไอ้เด็กนี่”



มันทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่สุดท้ายมันก็ถอนหายใจ จนลมร้อนนั่นกระทบที่ข้างแก้มขอผมเต็มๆทำเอาสะดุ้งจนสุดท้ายมันก็ยอมถอยใบหน้าตัวเองออกไป



“พี่ขึ้นไปก่อนเลยนะครับ”



ผมไม่ได้เอ่ยถามะไรมันอีก คงเพราะบรรยากาศแปลกๆที่เกิดขึ้นเลยเลือกที่จะเงียบดีกว่า ผมเลือกที่จะลงรถไม่ลืมหยิบของที่ตัวเองซื้อมาทั้งหมดไปด้วย ก่อนจะเดินเข้าคอนโด ผมก็ไปเคาะกระจกฝั่งคนขับซึ่งมีไอ้เจ้าจอมมันนั่งอยู่ในนั้น พอเห็นผมเคาะมันก็เปิดกระจกออกมา



“ขอบใจที่พากูไปเอากุญแจแล้วก็...ไปซื้อของด้วย”



“ไม่เป็นไรครับ” มันยิ้มให้ผม แววตามันมีประกายบางอย่างจนผมต้องเสหลบก่อนจะพูดเบาๆขึ้นมา



“กูไปล่ะ”



ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นมันตอบว่าอะไรหรือทำหน้าแบบไหน เพราะหลังจากพูดเสร็จผมก็เอาแต่ก้าวฉับๆเพื่อเดินให้พ้นจากที่ตรงนั้นเร็วๆ ไม่รู้สิครับผมรู้สึกว่ามันมีบรรยากาศอะไรบางอย่างระหว่างผมกับมันที่เปลี่ยนไป...







ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วผมก็ยังคงอดสงสัยกับคำที่ไอ้เตอร์พูดไม่ได้ ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมเลยพยายามสังเกตทีท่าของเจ้าจอมมันมาตลอดแต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย นอกจากคำพูดคำจาของมันที่ดูกวนตีนมากขึ้นเป็นพิเศษ



“อีกไม่กี่เดือนก็สอบปลายภาคแล้วว่ะ เดือนหน้าก็ต้องเริ่มอ่านหนังสือแล้ว”



อย่างที่เคยยบอกไปว่าเด็กนิติอย่างพวกผมจะเริ่มอ่านหนังสือก่อนสอบประมาณสองเดือน ไม่งั้นถ้าเริ่มอ่านตอนใกล้จะสอบรับรองเลยว่าอ่านไม่ทันแน่ๆเพราะผมเคยลองมาแล้ว แต่ยังโชคดีอยู่ที่ผมไม่ได้ติดเอฟแต่นั่นแหละก็ยังไม่พ้นเกรดดีอยู่ดี



มันเหมือนเป็นบทเรียนว่าถ้าไม่อยากไปหักโหมตอนช่วงนั้นจนตัวเองเครียด พวกผมก็เลยต้องเริ่มอ่านตั้งแต่ๆเนิ่น การอ่านหนังสือของพวกผมไม่ใช่แค่การท่องมาตราในประมวลอย่างเดียวแล้วจะทำได้เลย พวกกผมต้องอ่านเนื้อหาในเรื่องนั้นๆมาประกอบแล้วอีกอย่างก็ต้องทำความเข้าใจกับหลักมาตรานั้นๆด้วยว่ามันเกี่ยวข้องกับอะไร



แรกๆตอนปีหนึ่งผมที่ไม่เคยได้เรียนกฎหมายก็มักจะท่องมาตราแบบที่เรียงๆกันจนทำเอาสมองมึนไปเลย พอช่วงหลังมานี้ได้รู้ทริคจากทั้งอาจารย์และรุ่นพี่เลยทำให้การจำมาตราของผมง่ายขึ้นโดยการจำไปเป็นเรื่องๆ เวลาสอบจะได้ไม่งงและไม่ต้องคอยท่องเรียงๆกันแบบนั้นมันจะทำให้สับสนและยากกว่า อันนี้สำหรับผมนะแต่สำหรับคนอื่นๆก็อาจจะมีวิธีของเขานั่นแหละ



“แป๊บๆก็จะหมดเทอมหนึ่งแล้ว เร็วฉิบหาย” ไอ้เตอร์ว่าบ้าง



“เออนั่นดิ พอสอบเสร็จอีกไม่กี่อาทิตย์ก็ขึ้นปีใหม่ หนึ่งปีมันมาไวไปไวเหมือนกันว่ะ” นึกๆแล้วนี่ก็เหลืออีกไม่กี่เดือนแล้วก็จะเป็นปีใหม่ รู้สึกเหมือนพึ่งจะเคาท์ดาวน์ไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเอง



“พวกมึงจะนั่งเพ้ออะไรกัน อาจารย์มองแล้วไอ้พวกเวร”



พวกผมหันไปมองตามที่ไอ้หมอกมันพยักพเยิดไปก็เห็นว่าอาจารย์มองมาที่พวกเราจริงๆเลยได้แต่ส่งยิ้มแหะๆเอาตัวรอด แต่สุดท้ายก็ไม่รอดสักคนเพราะอาจารย์เรียกตอบเรียงตัว เวรกรรม...



พอจบคลาสพวกผมก็พากันไปนั่งใต้คณะเพื่อคุยเรื่องานกลุ่มที่ต้องส่งอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าแต่เราก็ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ก็เลยต้องมานั่งประชุมวางแผนกันจะได้เริ่มงานและแบ่งงานกันทำสักที



“เอ๊ะ!?...นั่นมันน้องติวมึงป่ะวะไอ้ยีนส์”



ผมมองตามนิ้วที่ไอ้หมอกมันชี้ให้ดูก็เห็นไอ้เจ้าจอมมันเดินคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าใครแต่ดูท่าทางสนิทกันดี



“ใช่”



“ใครวะที่เดินกับมัน” ไอ้เป๋าเสนอหน้ามายุ่งบ้าง “โคตรสวย”



ผมมองคนทั้งสองจนเดินหายลับไปก็กลับมาสนใจในเนื้อหางานต่อ ก็ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรขนาดนั้นเลย ทำไมผมจะต้องไปสนใจด้วยล่ะวะ ก็แค่มันเดินกับผู้หญิงสวยๆซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ซึ่งแม่งน่าสนใจน้อยกว่างานที่อยู่ตรงหน้าผมอีก



ติ้ง!



ผมก้มลงมองดูข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอก็พบว่าเป็นไอ้เจ้าจอมที่ส่งมาหาผม



เจ้าจอม : วันนี้ผมไม่ได้กินข้าวด้วยนะครับพอดีติดธุระนิดหน่อย

ยีนส์ : อืม



ธุระของมันก็คงจะไปกับผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละครับ ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีธุระอะไรอีกที่มันจะต้องไม่ได้มากินข้าวกับผมเพราะให้เดาเขาก็คงจะสำคัญกว่าผมอยู่แล้วล่ะ



“เป็นไรไอ้ยีนส์ดูทำหน้าเข้า” ไอ้เป๋ามันเอ่ยทักหลังจากที่แบ่งงานกันเรียบร้อยแล้ว



“หิวข้าว” ผมตอบห้วนๆ ไม่รู้อ่ะอาจจะโมโหหิวจนหงุดหงิดไง



“เออๆแล้วจะไปแดกกับพวกกูไหมล่ะหรือจะกลับไปแดกกับน้องติวมึง” ประโยคหลังมันว่าอย่างล้อเลียนแต่ผมก็ไม่มีอารมณ์มาเล่นกับมันเท่าไหร่เพราะโมโหหิวอยู่



“ร้านไหน มึงเลือกเลย”



ไอ้เป๋าทำหน้างงๆที่มันไม่โดนผมด่าแต่มันก็ไม่ได้ถามอะไรผมมาก “งั้นก๋วยเตี๋ยวแล้วกัน”



“เออ”



ผมติดรถไอ้เป๋าไปร้านก๋วยเตี๋ยวด้วยกันเพราะเมื่อเช้าไม่ได้เอารถมาเพราะรถมันสตาร์ทไม่ติดเลยติดรถไอ้เจ้าจอมมันมาแล้วมันก็คงลืมไปแล้วล่ะครับว่าตอนกลับผมต้องกลับกับมันแต่ช่างเถอะยังไงผมก็มีเพื่อนเดี๋ยวให้ไอ้เป๋าไปส่งก็ได้ไม่รบกวนมันหรอกเพราะถึงแม้อยากจะรบกวนยังไงมันก็คงไม่ว่างให้ผมเท่าไหร่



“อะไรมึงเนี่ยไอ้ยีนส์” ไอ้เป๋าเหวขึ้นเสียงดังตอนทีผมยื่นมือไปปิดเพลงในรถมัน



“รำคาญ”



“เอ้า! ไอ้เวรนี่” มันด่าผมแล้วทำหน้างงๆ



“อยู่เงียบๆไปเถอะน่า”



“แต่กูอยากฟังเพลงนี่หว่า”



“เดี๋ยวข้างหน้าก็ถึงร้านแล้ว มึงฟังไม่จบเพลงหรอกเสียอารมณ์เปล่าๆ”



มันเงียบไปอึดใจก็ตอบผมกลับมา “เออๆ”



พอลงจากรถก็มองหาโต๊ะที่ไอ้เตอร์กับไอ้หมอกมันนั่ง พวกมันมาถึงก่อนหน้าพวกผมไม่นานเท่าไหร่ ส่วนไอ้คินกับไอ้ไฟสองคนนั้นก็คงจะไปหาอะไรกินกับแฟน ก็อย่างนี้ล่ะครับคนมีแฟนพูดยาก



“สั่งยังวะ” ผมถามพวกมันที่นั่งอยู่ ก่อนตัวเองจะขยับเก้าอี้เลื่อนออกมาแล้วทิ้งตัวลงนั่งบ้าง



“พวกกูสั่งแล้ว” ไอ้หมอกมันตอบ



“เออ งั้นไอ้เป๋ามึงไปสั่ง เอาเผื่อกูด้วยเหมือนเดิม” เพราะเป็นร้านข้างทางที่ต้องเดินไปสั่งเองผมเลยหันไปหาไอ้เป๋าแล้วบอกให้มันไปสั่งให้ผม มันทำหน้าเหม็นเบื่อใส่แต่ก็ยอมลุงขึ้นไปสั่ง



“แล้วนี่มึงยังไงร้อยวันพันปีไม่เคยมาแดกกับพวกกู” ไอ้เตอร์มันเริ่มเปิดบทสนทนาแต่ถ้ามึงเปิดแล้วเข้าตัวกูแบบนี้มึงก็อย่าเปิดเลยนั่งเงียบๆดีกว่า



“พูดเวอร์ไอ้สัด อย่างกับพวกมึงกินข้าวด้วยกันทุกวัน” ผมพูดกลับบ้าง ก็มันจริงนี่หว่า นานๆทีเท่านั้นแหละที่จะได้นั่งกินข้าวกันพร้อมหน้าพน้อมตาขนาดนี้ ไม่สิยังไม่พร้อมยังขาดไอ้คินกับไอ้ไฟตั้งสองคน



“ก็บ่อยกว่ามึงล่ะวะ” ไอ้หมอกมันพูดสมทบ



ไอ้เป๋าที่พึ่งเดินกลับมาจากสั่งก๋วยเตี๋ยวก็โผล่หน้าเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน “คุยเรื่องไรกันวะ ดูสนุกเชียว”



ผมอยากจะถามมันมากว่าเอาตาที่ไหนมองถึงได้ดูว่าพวกผมคุยกันสนุก



“นินทามึงมั้ง” ผมตอบไป ยกแก้มน้ำขึ้นมาดื่ม



“นินทาไรอ่ะ เรื่องกูไม่มีไรให้พูดหรอกแต่ถ้าเป็นเรื่องมึงก็ว่าไปอย่าง”



ผมหันขวับวางแก้วน้ำลงทันที “เรื่องกู?”



“เออ เรื่องมึงนั่นแหละ” มันว่า



“อะไร เรื่องกูก็ไม่มีเถอะสัด” ผมว่ารู้สึกร้อนรยแปลกๆแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ เรื่องของผมก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย



“เอ้า! ก็เรื่องมึงกับน้องอิงค์ไงล่ะวะ เป็นไงบ้างล่ะตอนนี้”



ผมถอนหายใจหลังจากได้ยินคำตอบของไอ้เป๋า ก่อนจะกระแอบเบาๆตอนที่เหลือบไปเห็นว่าไอ้เตอร์มันมองอยู่ด้วยรอยยิ้มกวนตีน ผมมองมันตาขวางก่อนจะหันไปตอบไอ้เป๋า



“ก็ไม่มีอะไร พี่น้องกัน” ผมตอบไปตามจริงเพราะสถานะของผมกับอิงค์ตอนนี้ก็มีแค่นี้



“วู้ว ตอบอย่างกับดาราเลยมึง” มันผิวปากหวือแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมันอีก



จากนั้นก๋วยเตี๋ยวที่พวกเราสั่งก็ถูกเอามาวางลงที่โต๊ะ พอได้ของกินอยู่ตรงหน้าแล้วก็ไม่มีใครชวนพูดอะไรกันอีกนอกจากตั้งหน้าตั้งตากินแบบเอาเป็นเอาตาย ตอนแรกก็ไม่หิวหรอกครับแต่พอได้กลิ่นหอมลอยอยู่ตรงหน้ากระเพาะก็กู่ร้องทันที



พอกินเสร็จก็แยกย้ายกันกลับ ผมให้ไอ้เป๋ามันมาส่งที่คอนโด ระหว่างทางว่าจะแกล้งปิดเพลงมันแต่ไอ้ห่านี่มันรู้ทันตะครุบมือผมไว้ตลอดจนผมล้มเลิกความตั้งใจ นั่งเงียบๆกระทั่งรถเคลื่อนตัวมาจอดหน้าคอนโด



“ขอบใจมาก” ผมเอ่ยขอบคุณมันหลังจากปลดสายเข็มขัดเสร็จแล้วเตรียมจะลงจากรถ



“เออ เจอกันพรุ่งนี้”



ผมเดินลงมาจากรถแล้วตรงขึ้นห้องของตัวเองทันที พอเปิดประตูมาได้ก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับตานั่งอยู่บนโซฟาเพราะความล้าจากการเรียนทั้งวันแถมยังต้องมาเจอรถติดอีก สักพักเสียงกดกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น ผมค่อยๆพยุงตัวลุกก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้กับคนที่มากดกริ่ง



“มีไร?” เดาไม่ผิดจริงๆด้วยว่าต้องเป็นไอ้เจ้าจอม



“พี่กลับยังไงครับ คือผมขอโทษ...ผมลืมว่าต้องรอพี่กลับด้วย” มันว่าเสียงเบาแต่สายตามองหน้าผมโดยไม่ได้หลบเลี่ยงอะไร



“ไอ้เป๋ามาส่ง” ผมตอบเสียงนิ่ง แค่เห็นหน้ามันก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา แล้วยิ่งพอได้ยินคำว่า ‘ลืม’ ที่ออกจากปากมันก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ “แค่นี้ใช่ไหมกูจะไปอาบน้ำ”



“เดี๋ยวครับ” มันว่าแล้วเอามือดันประตูของผมไว้จนผมปิดไม่ได้



“อะไรอีก”



มันเม้มปากก่อนจะสูดหายใจ มองมาที่ผมอย่างแน่วแน่ “ขอผมเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ”



ผมอยากถามมันว่าเหี้ยอะไรของมึงแต่การกระทำที่ตัวเองทำออกไปกลับตรงกันข้ามคือการเบี่ยงตัวหลบให้มันเข้ามาจนได้



“เข้ามาแล้วยังไงอีก?” ผมจ้องตามันเขม็ง มันเหมือนทำอะไรไม่ถูกก็ยืนมือมาจูงแขนผมไปที่โซฟา “ปล่อยไอ้สัด”



“มานั่งก่อนครับ  เดี๋ยวผมนวดให้” มันว่าอย่างเอาใจแล้วเดินอ้อมไปข้างหลังก่อนจะลงมือบีบนวดตรงหัวไหล่ผมด้วยแรงที่กำลังดี



“มึงทำเพื่ออะไร?” อดที่จะถามออกไปไม่ได้ “ไถ่โทษงั้นเหรอ?”



มือของมันหยุดนิ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นลูบไล้แผ่วเบาที่หลังคอของผม “ผมมีเรื่องจะบอกพี่”



ผมเอียงคอหนีกับสัมผัสของมัน รู้สึกถึงความวูบไหวในอกที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ อดที่จะคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกดีกับสัมผัสของมัน



“มีอะไร?” ผมถามเสียงห้วนกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง



“พี่สัญญาได้ไหมถ้าพี่รู้แล้วจะไม่เปลี่ยนไป” มันถามน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนไม่มั่นใจ



ผมรู้สึกถึงลางสังหรณ์แปลกๆว่ามันจะพูดเรื่องที่ตอนนี้ผมยังไม่อยากรับรู้เท่าไหร่ “มานั่งตรงนี้” ผมตบที่ว่างตรงโซฟาข้างๆตัวเองให้มันมานั่งด้วยกัน



มันยอมเดินอ้อมโซฟาแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างผม มันมองหน้าผมอย่างแน่วแน่และมุ่งมั่นแต่บางจังหวะนั้นแววตามันกลับวูบไหวเหมือนกำลังไม่มั่นใจที่จะพูดออกมา



“พี่สัญญากับผมได้ไหมครับ?” มันเอ่ยถามซ้ำอีกรอบ



ผมถอนหายใจ ตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองคงรับไม่ไหวถ้ามันพูดออกมาตรงๆ



“มึงเก็บสิ่งที่มึงอยากบอกกูไว้ก่อนเถอะ เอาไว้กูพร้อมแล้วกูจะถามมึงเอง”



“พี่รู้?” มันทำหน้าฉงนอย่างคนไม่ค่อยเข้าใจและมึนงงกับสิ่งที่ผมพูด



“ก็อาจจะ” ผมตอบไม่เต็มเสียง พยายามไม่หลบสายตาของมัน



มันยิ้มกว้างจนตาปิดก่อนจะยื่นมือของมันมาจับมือผม



“เอาเป็นว่าพี่รับรู้แล้วกันนะครับ” มันพูดเองเออเอง



ผมทำได้เพียงตอบอืออาในลำคอไม่ได้ตอบโต้อะไร แค่มันยังไม่พูดสิ่งที่ผมคิดก็ถือว่าดีแล้ว แต่การที่มันกับผมจะเข้าใจในเรื่องเดียวกันหรือเปล่านั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง



“พี่หายโกรผมหรือยัง?” พอหลังจากเงียบไปนานมันก็ถามขึ้นอีกครั้ง มือมันลูบไปมาบนหลังมือผม พอผมจะดึงมือออกมันก็ไม่ยอม ผมก็เลยนั่งนิ่งๆไป



“เรื่องที่มึงลืมกูน่ะเหรอ?” ผมแค่นเสียงหัวเราะจนเจ้าจอมมันทำหน้ารู้สึกผิด



“ผมขอโทษแต่ติดธุระจริงๆครับ”



“ธุระของมึงคือการไปกับผู้หญิงล่ะสิ”



ผมมองเจ้าจอมมันทำหน้าเหวอ ก่อนมันจะเอ่ย “พี่เห็น?”



“อืม”



“นั่นเพื่อนผม”



“กูไม่ได้อยากรู้”



“เหรอครับ?” พอได้ยินเสียงยียวนของมัน ผมก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองก่อนจะเห็นมันยิ้มกวนๆส่งมาให้ “พี่โกรธผมเพราะผมลืมพี่หรือพี่โกรธเพราะผมไปกับผู้หญิงกันแน่ครับ?”



เมื่อได้ยินมันถามจบผมก็มองเจ้าจอมตาขวางก่อนจะสะบัดมืออกจากมันแล้วลุกขึ้นยืน “เสร็จธุระแล้วก็กลับห้องมึงไปเลย”



ได้ยินเสียงมันหัวเราะก่อนมันจะลุกขึ้นยืนแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมโดยผมก็ผงะออกทันที



“หายโกรธผมก่อนสิครับแล้วผมจะกลับ” มันว่าพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ “หรือจะตอบคำถามผมก่อนก็ได้ผมจะกลับให้”



ผมมองจ้องตามัน สุดท้ายก็เป็นผมเองที่แพ้แล้วเสตาหลบก่อนจะยกมือขึ้นดันหน้ามันออกแล้วก้าวเดินไปยังห้องนอนตัวเองเร็วๆโดยที่มีเสียงหัวเราะของไอ้เจ้าจอมดังไล่หลัง ก่อนจะปิดประตูห้องนอนผมก็ตะโกนไปให้มันได้ยินว่า



“ถ้ากูโกรธแล้วจะให้มึงเข้าห้องมาทำไมล่ะวะไอ้เด็กเวร!”






ติชมและคอมเม้นได้ตลอดเน่อออ ขอบคุณมากๆค่าา
#นิติผูกพัน
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เข้าใจตรงกัน- 26/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-01-2019 17:43:36
 :pig4: :pig4: :pig4:

หวัย ๆ อิพี่เริ่มรู้ใจ เริ่มเอนเอียง เริ่มหึงหวง แล้ว  อิอิ
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เข้าใจตรงกัน- 26/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-01-2019 19:21:51
เจ้ารุกให้หนักกว่านี้อีก  :hao3:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เข้าใจตรงกัน- 26/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 27-01-2019 12:01:00

ตอนที่ 19

ความรู้สึกที่ห้ามไม่ได้



“ช่วงนี้มึงก็เริ่มเตรียมอ่านหนังสือได้แล้ว” ผมพูดขึ้นขณะที่ผมกับเจ้าจอมนั่งกินข้าวด้วยกันในตอนเย็นวันหนึ่ง



“ผมไปอ่านที่ห้องพี่ได้หรือเปล่าครับ”



ผมขมวดคิ้วทำหน้างง มันมีเหตุจำเป็นอะไรถึงต้องมาอ่านหนังสือห้องผมด้วยวะ “ห้องมึงก็มี”



“ก็ผมอยากอ่านกับพี่”



ผมหมดคำจะพูดเลยทำได้เพียงเงียบลง เจ้าจอมมันก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรผมอีกและนั่นแหละพออาทิตย์ต่อมาผมก็มีมันมานั่งจุมปุกอยู่บนโซฟาในห้องผมแล้ว ไม่รู้ว่าผมจะด่าหรือจะไล่มันยังไงดี เหมือนช่วงนี้พออยากจะพูดกับมันแรงๆแล้วก็กลัวว่ามันจะเก็บไปคิดเล็กคิดน้อยหรือน้อยใจผมอีก คือผมก็ไม่ได้ห่วงอะไรมันขนาดนั้นนะเว้ยแต่แค่ไม่อยากมีปัญหาแค่นั้นแหละ



“อ่านหนังสือไปสิวะจะจ้องกูทำไม?” ผมพูดออกมาอย่างหมดความอดทนเมื่อมันเอาแต่นั่งจ้องผมจนผมไม่เป็นอันทำอะไรแถมอ่านหนังสือก็ไม่รู้เรื่องด้วย ก็มันรู้สึกแปลกๆนี่หว่าใครโดนจ้องแบบนี้แล้วอ่านหนังสือได้อีกก็คือโคตรเจ๋งเลยนะครับ



“ผมก็แค่มองเองครับ ไม่ได้กวนอะไรพี่เลยนะ” มันแก้ตัวแต่ฟังโคตรไม่ขึ้น ไอ้ที่มันจ้องแบบนี้นี่แหละที่เขาเรียกว่ารบกวน ไม่มีสมาธิอ่านห่าเหวอะไรแล้วเนี่ย



“งั้นกูจะเข้าไปอ่านในห้อง” ผมท่าทาจะลุกมันก็รีบกุลีกุจอมาดึงรั้งแขนผมไม่ให้ลุกไปไหน



“โอเคครับ ผมไม่จ้องพี่แล้วก็ได้”



ผมมองมันนิ่ง สักพักก็ถอนหายใจแล้วดึงแขนตัวเองที่มันจับอยู่ออกจากมือมันแล้วนั่งลงเหมือนเดิม



“ถ้าจ้องอีกกูเข้าไปอ่านในห้องแน่” ขู่มันทิ้งท้ายก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับหนังสือตรงหน้าต่อ



จากนั้นเจ้าจอมมันก็ไม่ได้จ้องผมเหมือนตอนแรกอีก ระหว่างนั้นมันก็มีบ้างที่จะถามในส่วนเนื้อหาที่มันไม่เข้าใจ ผมก็ตอบๆไปเท่าที่ตัวเองรู้และได้เรียนมา พูดให้มันฟังเข้าใจง่ายๆและบอกให้มันลองอ่านแล้วสรุปตามความเข้าใจของตัวเองจะได้จำได้



“แล้วก็มาตราก็ไม่ต้องเป๊ะก็ได้ พวกคำว่า ‘ไซร้’ ‘ท่านว่า’ หรืออะไรที่ดูแล้วไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อความก็ไม่ต้องจำหรอก”



“ผมก็ท่องคำว่า ‘ท่านว่า’ อยู่ตั้งนาน”



“เออ ไม่ต้องจำหรอก แล้วนี่ท่องมาตราสี่ได้ยัง?”



“ได้บ้างครับแต่จำยังไม่แม่นเท่าไหร่”



“ก็พยายามจำให้ได้ จากข้อสอบที่กูจำๆได้ก็จะถามเกี่ยวกับการอุดช่องวางของกฎหมาย การตีความกฎหมาย ให้มึงอธิบายสาระสำคัญของมาตรานี้มาอะไรเทือกๆนี้แหละ” ผมบอกมันเพราะจำได้ลางๆว่าอาจารย์เคยออกประมาณนี้ อีกอย่างรุ่นพี่ปีก่อนผมเขาก็เก็งให้แบบนี้แล้วก็ออกจริงๆ “ลองไปหาข้อสอบเก่าๆมาลองทำหรือมาอ่านดูก็ช่วยได้”



“ครับ”



“แล้วก็พวกเรื่องผู้เยาว์ คนไร้ฯ คนเสมือนไร้ฯ พวกนี้มึงก็ฟังๆอาจารย์ดูว่าอาจารย์พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงบ้าง พยายามจำตัวอย่างหรือแบบฝึกหัดที่อาจารย์ให้ทำ”



“ครับ”



“อืม...อีกเรื่องคือผู้ไม่อยู่กับผู้สาบสูญอาจารย์มักจะออกสองเรื่องนี้รวมกันแต่ตอนนี้มึงคงยังเรียนไม่ถึงใช่ไหม?” ผมถามมันเพราะจำได้ว่าปีผมกว่าอาจารย์จะสอนเรื่องนี้ก็ใกล้ๆจะสอบแล้ว ผมก็เลยคิดว่าปีเจ้าจอมมันก็คงเป็นเหมือนกัน



“ครับ”



“นั่นแหละก็รออาจารย์สอนก่อนแล้วก็จับประเด็นเอา บางทีอาจารย์อาจจะมีแบบฝึกหัดให้เขียนถาม-ตอม มึงก็พยายามทำด้วยตัวเอง ถ้าไม่มั่นใจก็เอามาถามกูก่อนได้”



“ครับ”



“ส่วนมาตราประกอบก็รอให้อาจารย์ตัดมาตราให้ช่วงใกล้สอบอีกที ไม่เยอะหรอก ก็ดูว่าอาจารย์เน้นๆมาตราไหนก็จำๆมาตรานั้นไปก่อนจะได้ไม่เสียเวลา”



“ครับ”



“เออ...อีกอย่างกฎหมายมหาชนมึงก็อ่านเอกสารที่อาจารย์แจกให้ อ่านหนังสือประกอบไปด้วยอย่าชะล่าใจกับวิชานี้เด็ดขาด ถึงจะไม่มีมาตราให้ท่องเหมือนวิชาอื่นแต่ก็ยากพอสมควร”



“ครับ”



ผมหันไปมองมันที่เอาแต่พูดกับคำว่าครับก่อนจะทำอะไรไม่ถูกเมื่อมันเอาแต่นั่งจ้องผมแล้วยิ้มให้แบบนั้น ไอ้เด็กเวรเอ๊ย! ผมก็ว่าอยู่ทำไมมันพูดแต่คำว่าครับอย่างเดียว



“มองกูทำไมอีก?”



“ผมแค่กำลังตั้งใจฟังพี่ไงครับ”



“กูพูดเสร็จแล้วก็เลิกมองได้แล้ว”



มันทำหน้าเสียดายก่อนะจะยอมพยักหน้าทำตามที่ผมบอก “ก็ได้ครับ”



หลังจากที่นั่งอ่านนั่งติวหนังสือกันเป็นเวลานานก็ถึงเวลาที่ผมเห็นสมควรแล้วว่าต้องแยกย้ายกันไปนอนสักที ผมไล่ให้เจ้าจอมมันกลับห้องแต่มันกลับทำอิดออดบอกว่าง่วงเดินกลับไม่ไหวขอค้างที่ห้องผมแทน



"กลับไปเลยมึง เดินไปไม่ถึงสองนาทีก็ถึงแล้ว" ผมผลักหลังของมันให้เดินไปแต่มันกลับทำตัวแข็งเลยไม่ขยับเขยื้อนไปตามที่ผมต้องการ



"ง่วงมากเลยพี่ ตาจะปิดแล้วด้วยเดินไม่ไหวแน่" ดูมันอ้างครับ คิดว่าเหตุผลแค่นี้จะทำให้มันได้นอนที่ห้องผมหรือไงวะ



"มึงอย่าเวอร์ได้ปะวะ เดินแค่นี้จะไม่ไหวได้ไง"



“โธ่พี่ ไม่ไหวก็คือไม่ไหวนั่นแหละครับ”



“มึงจะนอนให้ได้เลยใช่ไหม?” ผมถามย้ำ เพราะรู้สึกว่ายิ่งบอกให้มันกลับเท่าไหร่มันก็จะยิ่งดื้อด้านอยู่เท่านั้น สู้หาลู่ทางอื่นให้มันนอนจะดีกว่า



“ครับ” แล้วมันก็ไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่ผมถามแถมยังพยักหน้าแข็งขันดูมีแรงขึ้นมาทันที



“งั้นมึงก็นอนตรงนี้แล้วกัน” ผมชี้ไปที่โซฟาข้างหลังให้มันเห็นว่านั่นแหละคือที่ที่มึงต้องนอน



เจ้าจอมมันหน้าเหวอก่อนจะเถียงผมขึ้นอีก “เฮ้ยพี่! ได้ไงอ่ะครับ ทีพี่ค้างห้องผมผมยังให้นอนบนเตียงนุ่มๆกับผมเลย”



ผมว่าแล้วว่ามันต้องอ้างแบบนี้ขึ้นมาแต่ยังไงล่ะไอ้คนที่เสนอให้ผมนอนบนเตียงก็มันไม่ใช่เหรอวะ ผมไม่ได้ขอร้องมันสักหน่อย



“หรือมึงจะกลับไปนอนบนเตียงนุ่มๆที่ห้องมึก็ได้นะ แล้วแต่..”



“ครับๆผมนอนที่นี่ก็ได้” มันแทรกขึ้นมาในขณะที่ผมยังพูดไม่จบแต่ก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องพูดอะไรยาวๆ



พอตกลงกันได้ผมก็เดินไปปิดไฟให้มัน เจ้าจอมมันมองตามผที่เดินเข้าห้องแต่ผมก็ไม่ได้สนใจแล้วเดินเข้าห้องไปนอนบ้าง



นอนไปได้ไม่นานผมก็ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าฝนกำลังตกอยู่ข้างนอก ผมมองออกไปทางระเบียงห้องก็พอดีกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาบนท้องฟ้าทำเอาผมสะดุ้งแต่ก็กลับมามีสติได้ นึกไปถึงคนด้านนอกทันทียิ่งฝนตกแบบนี้อุณหภูมิในห้องก็ยิ่งจะเย็นขึ้น



ผมเดินมาปรับเครื่องปรับอากาศของตัวเองก่อนจะเดินออกไปข้างนอกโดยที่ไม่ลืมหยิบผ้านวมในตู้ออกไปให้กับคนข้างนอกด้วย พอมาถึงหน้าโซฟาก็เห็นมันนอนขดตัวอยู่ ผมถอนหายใจเพราะก่อนหน้านั้นก็ลืมเอาผ้านวมออกมาให้มันห่มแถมไอ้เด็กนี่ก็ไม่เรียกร้องจะเอาก็เลยไม่ได้ฉุกคิดขึ้นมาว่ามันก็คงจะหนาวเหมือนกัน



สายฝนข้างนอกยังเทกระหน่ำลงมาและเหมือนจะแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมจัดการห่มผ้าให้มันเงียบๆไม่อยากปลุกคนหลับสบายให้ตื่นตอนนี้แต่จู่ๆไอ้คนที่ผมคิดว่ามันหลับกลับดึงแขนของผมอย่างแรงจนผมล้มลงไปทับอยู่บนตัวมัน



“ทำอะไรครับ?” มันกระซิบเสียงแผ่วอยู่ข้างใบหูเพราะหน้าของผมตอนนี้ซบลงอยู่กับบ่าของมัน



“อะไรของมึงวะ กูแค่เอาผ้าห่มมาให้” ผมดิ้นขลุกขลักตอนที่มือของมันเลื่อนมาโอบรอบเอวผมไว้แน่น “เจ้าจอมปล่อยกู”



“ตัวพี่อุ่นกว่าผ้าห่มอีกครับ” เสียงลมหายใจของมันกระชั้นชิดจนผมหายใจสะดุดไปจังหวะหนึ่งแต่ก็พยายามตั้งสติให้ได้มากที่สุด



“ปล่อยดิวะ” ผมก็ไม่ใช่คนแรงน้อยอะไรขนาดนั้นนะเว้ยแต่ด้วยความที่ไอ้เด็กนี่มันบ้าออกกำลังกายมันเลยมีแรงเยอะมากกว่าผมไง



“ผมไม่ทำอะไรพี่หรอกครับ”



ขนาดไม่ทำอะไรมึงยังกอดกูแน่นขนาดนี้เลยไอ้เด็กเวร!



“กูจะไปนอน” ผมพยายามเค้นเสียงออกมาตอนที่เจ้าจอมมันเอียงใบหน้าของมันเข้าใกล้ใบหน้าของผม



ผมชะงักนิ่งตอนที่มันค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ๆก่อนปลายจมูกของมันจะแตะลงที่ปลายจมูกของผมแผ่วเบา ลมหายใจของมันรินรดบนใบหน้าและเสียงหายใจที่เหมือนจะดังที่สุดในเวลานี้ทำเอาผมไม่กล้าขยับตัว



ถึงแม้ว่าภายในห้องนี้จะไม่ได้เปิดไฟแต่เมื่อสายฟ้าที่ฟาดลงพาดผ่านหน้าต่างกระจกที่ผมเปิดผ้าม่านไว้ก็ทำให้แสงของมันสว่างวาบขึ้นมาในช่วงจังหวะหนึ่งซึ่งทำให้ผมได้เห็นแววตาของเจ้าจอมที่แสดงออกถึงความรู้สึกบางอย่างกำลังจ้องมองผม



ผมเหมือนถูกมันสะกดด้วยแววตาคู่นั้น ยามที่มันไล่สายตามองใบหน้าของผมทำเอาหัวใจเต้นผิดจังหวะและแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสายตามันหยุดลงที่ริมฝีปาก โดยที่ไม่รู้ตัวผมก็เผลอเม้มปากของตัวเองก่อนลมหายใจจะสะดุดลงอีกครั้งเมื่อมันเอียงใบหน้าของตัวเองก่อนริมฝีปากของมันที่ผมกำลังจ้องมองอยู่จะเคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ



“ผมจูบ..ได้ไหมครับ” มันถามเสียงแผ่วชิดริมฝีปากของผม



แทนคำตอบผมจึงหลับตาลงกระทั่งรับรู้ได้ถึงริมฝีปากอุ่นนุ่มเข้ามาประทับจูบ มันแช่ริมฝีปากค้างไว้เนิ่นนานก่อนจะขยับปากขบเม้มริมฝีปากบนของผมจนต้องครางออกมา ปลายลิ้นของมันค่อยๆไล่เลียก่อนจะใช้ฟันขบกันจนผมต้องนิ่วหน้าและเป็นอีกครั้งที่มันปลอบประโลมด้วยริมฝีปากคู่นั้น



มันพยายามจะให้ผมเปิดปากออกแต่ผมก็ไม่ยอมจนสุดท้ายมันปล่อยให้ผมเป็นอิสระแต่เพียงไม่นานมันก็ประกบปากเข้ามาอีกครั้งตอนที่ผมกำลังหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด ลิ้นของมันค่อยๆลุกล้ำและไล่เลียอย่างช่ำชอง เสียงครางอื้ออึงอยู่ในลำคอ ต่างฝ่ายต่างพอใจในรสจูบที่มอบให้กัน จนเป็นมันที่ผละใบหน้าออกมา พลิกตัวผมให้นอนลงข้างล่างก่อนมันจะใช้แขนยันกับพนักพิงโซฟา ใบหน้ามันเคลื่อนลงมาหาผมอีกครั้ง มันดูดดึงริมฝีปากของผมจนบวมช้ำก่อนจะเคลื่อนใบหน้าลงต่ำมาหยุดที่ซอกคอ



ริมฝีปากได้รูปพรมจูบซ้ำๆ ก่อนจะขบกัดจนตัวผมสะดุ้ง



“ขอโทษครับ” เสียงมันกระซิบขอโทษใกล้ๆใบหูก่อนผมจะเป็นฝ่ายพลิกตัวมันลงข้างล่างแล้วเป็นฝ่ายประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของมันบ้าง



“อือ” เสียงมันครางออกมาด้วยความพอใจ



ผมดูดดึงกลีบปากมันก่อนจะส่งลิ้นเข้าไปทักทายข้างใน มันจูบตอบผมอย่างไม่ยอมแพ้จนได้ยินเสียงน้ำลายและเสียงจูบกันที่ค่อนข้างน่าอายแต่ในขณะนั้นที่อารมณ์กำลังพาไปไกลจึงลืมความเขินอายและมีเพียงความหวาบหวามในอารมณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น



มือไม้ของมันเริ่มปัดป่ายสะเปะสะปะอยู่บนตัวผมก่อนมันจะเคลื่อนมือไปวางไว้ที่สะโพกของผมแล้วลูบขึ้นลงเบาๆ ผมเคลื่อนใบหน้าลงต่ำจูบซับที่ซอกคอของเจ้าจอมก่อนจะสะดุ้งขึ้นอีกครั้งเมื่อมือของมันสอดเข้ามาแล้วบิดขยี้หัวนมของผม



“อื้อ..พอแล้ว” ผมห้ามเสียงพร่า



มันหยุดมือของตัวเองก่อนจะรั้งผมเข้าไปกอดไว้แน่น เสียงหอบหายใจของเราดังขึ้นพอๆกันและผมกับมันก็รับรู้ถึงส่วนล่างที่กำลังตื่นตัว



“ผม...ทำให้ไหมครับ” มือของมันเคลื่อนต่ำลงมาแต่ผมกลับส่ายหน้าแล้วจับมือของมันไว้



“ไม่ต้อง”



เมื่อลมหายใจกลับมาเป็นปกติ ผมก็บอกให้มันปล่อยผมลงเพราะผมจะได้กลับเข้าไปนอนในห้อง ยิ่งพอสติกลับมาก็ไม่ค่อยอยากอยู่ตรงนี้กับมันนานเท่าไหร่เหมือนจะพึ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบ้างก็ยิ่งกระดากอายมึงขึ้นเท่านั้น



เจ้าจอมมันไม่ได้อิดออดอะไร หนำซ้ำมันยังบอกว่ามันขอตัวกลับห้องของตัวเอง ผมไม่ได้เอ่ยห้ามอะไรนอกจากเดินไปส่งมันที่หน้าประตู มันยืนจ้องหน้าผมก่อนจะยิ้มออกมาและเป็นผมเองที่ต้องทำเป็นมองไปทาอื่นเพราะจู่ๆก็รู้สึกเขินกับรอยยิ้มของมัน



สะดุ้งสุดตัวขึ้นมาอีกครั้งตอนที่ปลายนิ้วของมันแตะลงที่ริมฝีปากของผมแล้วลากไล้ไปมา ผมมองมันที่ทำอย่างนั้นก่อนจะเผลอกลืนน้ำลายตอนที่มันเลียริมฝีปากของตัวเอง กระแอมไอเบาๆเพื่อเรียกสติให้กลับมาแต่ก็ไม่ทันไอ้เด็กบ้าที่จู่ๆก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม



“ฝันดีนะครับ...พี่ยีนส์”



มันบอกเสียงแผ่วก่อนลมร้อนที่อยู่ข้างหูของผมจะหายไปพร้อมกับเสียงปิดประตูของมันที่ดังขึ้นเรียกสติของผม






ผมยังหยุดคิดไม่ได้สักทีว่าทำไมคืนนั้นตัวผมเองถึงได้ยอมไอ้เจ้าจอมมันขนาดนั้น ผมพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองอยู่ซ้ำๆทั้งอารมณ์ตอนนั้นอาจจะพาไปหรือผมอาจจะง่วงจนขัดขืนไม่ไหวแต่เหมือนจะปฏิเสธใจของตัวเองไม่ได้ว่าจริงๆแล้วผมก็รู้สึกดีๆกับมัน



เคยได้ยินมาว่าความผูกพันมันน่ากลัวกว่าความรักและเป็นสิ่งที่ตัดขาดได้ยากกว่าความรัก เพื่อนหลายๆคนเคยบอกผมไว้ว่าความผูกพันที่ยิ่งนานก็ยิ่งเอาตัวเองออกมายาก ผมไม่เคยเชื่อมันเลยจนสุดท้ายก็ต้องกลับมาคิดทบทวนว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือเพราะผมผูกพันกับเจ้าจอมหรือเปล่าเลยทำให้เรื่องคืนนั้นเกิดขึ้น



ไม่อยากด่วนสรุปตัดสินใจความรู้สึกของตัวเองทันทีเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องรอบคอบเป็นอย่างมาก หากว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อเจ้าจอมมันคือความรู้สึกดีๆผมก็ไม่อาจปฏิเสธได้นอกจากยอมรับมัน การฝืนความรู้สึกตัวเองเป็นเรื่องที่ผมไม่คิดจะทำและไม่อยากจะทำเพราะอาจทำให้ตัวเราอึดอัดเองเปล่าๆ



อีกเรื่องคือผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เจ้าจอมมันทำในคืนนั้นเลยกลับกันคือเวลาเห็นหน้าของมันแล้วก็จะพาลไปนึกถึเงรื่องคืนนั้นแล้วเอาแต่คิดว่าถ้าได้จูบกันอีกจะเป็นยังไง มันมีแต่เรื่องแบบนี้มากมายอยู่ในหัวของผมทุกครั้งจนบางครั้งผมก็ต้านทานไม่ไหว ในเมื่ออยากจูบแล้วจะทำยังไงได้นอกจากต้องทำตามใจที่ตัวเองต้องการ



“อืม..” ผมครางเสียงแผ่วตอบรับลิ้นอุ่นๆของเจ้าจอมที่ค่อยลุกไล่เข้าในโพรงปาก จูบหวาบหวามที่กินเวลาไม่นานแต่ทำเอาใจเต้นแรง มือของผมเกาะเสื้อของมันไว้แน่นในขณะที่ลิ้นก็นัวเนียพันกันจนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียว



มือของเจ้าจอมค่อยๆเลื่อนลงไปที่ข้างเอวของผมก่อนจะลูบไล้ไปมา มืออีกข้างหนึ่งของมันก็ค่อยสอดลงตรงท้ายทอยของผมช้าๆก่อนจะปรับองศาของใบหน้าเพื่อให้จูบได้ถนัดขึ้น



มันผลักผมลงนั่งบนโซฟาก่อนใบหน้าของมันจะเคลื่อนต่ำลงมาใกล้และประทับจูบลงมาอีกครั้งจนเกิดเป็นเสียงจุ๊บหน้าอาย ผมแหงนหน้ารับจูบจากคนที่ยืนค่อมผมอยู่ก่อนมันจะผละออกไปปล่อยให้ผมได้หอบหายใจเข้าปอดบ้าง



“ปากบวมหมดแล้วครับ” มันว่าแล้วลูบไล้ริมฝีปากของผมเหมือนต้องการจะปลอบประโลม



“มึงดูดปากกูขนาดนี้จะไม่ให้บวดได้ยังไงวะ” อดที่จะบ่นไม่ได้ เล่นทั้งกัดทั้งดูดแบบนั้นถ้าไม่บวมก็ให้มันรู้ไป



“ก็....” มันทำหน้าเจ้าเล่ห์เหมือนกำลังจะพูดอะไรที่ผมต้องกระดากอายเลยแทรกมันขึ้นมาก่อน



“พอแล้วนะได้เด็กเวร ท่องมาตราได้แค่ห้ามาตราแล้วยังจะมาเอาเปรียบกูอีก”



ข้อตกลงที่มันได้จูบผมคือมันต้องท่องมาตราที่ผมบอกให้ได้และมันก็ท่องได้ตามข้อตกลงผมจึงเสียเปรียบมันไป จริงๆมันก็เป็นเพียงข้ออ้างของผมเท่านั้น แค่อยากมีข้ออ้างและเหตุผลว่าผมยอมให้มันจูบทำไมเท่านั้นเอง



“ถ้าท่องได้เยอะกว่านี้ผมจะได้มากกว่าจูบไหมครับ” มันถามอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมกับซบใบหน้าลงบนไหล่ของผม



ผมผลักหัวมันออกแล้วว่าไม่เต็มเสียง “ไม่รู้”



แทนที่ผมจะตอบมันว่าได้แต่ผมก็พูดในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าในอนาคตภายภาคหน้าผมจะยอมทำตามที่มันต้องการหรือเปล่า บอกแล้วไงครับว่าอนาคตยังไงก็ไม่แน่นอน ถึงตอนนั้นผมกับมันอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วก็ได้ใครจะไปรู้



“ถ้างั้นตอนนี้...ผมขอจูบอีกรอบได้ไหมครับ”



ผมมองหน้ามันอย่างลังเลไม่ได้ตอบคำถามแต่เป็นฝ่ายที่ขยับใบหน้าเข้าหามันเอง ได้ยินเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของมันใกล้ๆก่อนริมฝีปากจะเคลื่อนประกบกันอีกครั้งหนึ่ง...


//ยิ้มกรุ้มกริ่ม แหะๆ
#นิติผูกพัน
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความรู้สึกที่ห้ามไม่ได้- 27/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-01-2019 12:22:48
เอาให้ฝนตกไม่หยุดสักอาทิตย์นะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความรู้สึกที่ห้ามไม่ได้- 27/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-01-2019 13:53:28
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ.....พี่ยีนส์

ตกหลุมพรางที่อิน้องเจ้าจอมมันขุดไว้ซะแระ  ตกหลุมจนโงหัวไม่ขึ้น  อิอิ
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความรู้สึกที่ห้ามไม่ได้- 27/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-01-2019 16:18:47
แบบนี้จอมคงมีกำลังใจท่องมาตราได้อีกเยอะเลย
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความรู้สึกที่ห้ามไม่ได้- 27/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 28-01-2019 16:52:28
ตอนที่ 20

ความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบาย



ความสัมพันธ์ของผมกับเจ้าจอมยังคงสถานะเหมือนเดิม อาจจะมีบ้างที่เราสัมผัสกันและกันบ่อยขึ้นแต่ก็ไม่ได้เกินขอบเขตที่จะรับได้เท่าไหร่ ผมพยายามปล่อยใจตัวเองให้สบายๆไปกับความรู้สึกที่มีให้แก่เจ้าจอม มันจึงทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นไม่ต้องไปกังวลและคิดอะไรเยอะแยะ



“ช่วงนี้มีความสุขอะไรวะไอ้ยีนส์ หน้าบานเชียวมึง” ไอ้เป๋ามันเอ่ยทักผมที่เดินเข้ามานั่งในห้อง



ผมไหวไหล่กวนๆไม่ยอมตอบคำถามที่มันสงสัย



“คนมีความรักก็อย่างนี้แหละมึง” ไอ้เตอร์แม่งชักจะรู้เรื่องเยอะไปแล้ว ผมเลยส่งสายตาบอกให้มันหุบปากแต่มันก็ยังคงกวนตีนผมไม่เลิก “จริงไหมวะไอ้ยีนส์?”



ผมด่ามันแบบไม่มีเสียง ดีที่ไอ้เป๋ามันไม่ได้มองหน้าผมเลยไม่รู้เรื่องด้วย



“ความรัก?” เป๋ามันว่า “กับน้องอิงค์เหรอวะ?” คราวนี้มันหันมาหาผมบ้าง



ผมนิ่งไปเมื่อได้ยินชื่อน้องอิงค์ ช่วงนี้ผมกับน้องไม่ค่อยคุยกันเพราะผมเอาแต่อ่านหนังสือและขลุกอยู่แต่ในห้องกับเจ้าจอม พอไอ้เป๋ามันพูดชื่อน้องขึ้นมาผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองจะเอายังไงดีกับความสัมพันธ์ที่เริ่มยุ่งเหยิงแบบนี้



ผมรู้สึกดีกับอิงค์และก็รู้สึกดีกับเจ้าจอมไปพร้อมๆกัน…



อย่างที่รู้กันว่าถ้าเริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาอะไรๆก็ยิ่งจะยุ่งยากมากขึ้น และยิ่งเป็นความรู้สึกที่มีให้คนสองคนพร้อมกันแล้วด้วย มันเลยเป็นเรื่องที่ยากมากกว่าว่าสุดท้ายแล้วนั้นผมจะจัดการกับความสัมพันธ์แบบนี้ยังไง



สุดท้ายอาจจะมีใครคนหนึ่งเจ็บแต่ก็นั่นแหละถ้าเกิดไม่เลือกสักทางก็อาจจะเจ็บกันหมดทั้งสามคน



“อาจารย์มาแล้วเรียนเหอะ” ผมว่าเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ พอดีกับที่อาจารย์เดินเข้ามาในห้อง ผมเลยสามารถบ่ายเบี่ยงไม่ต้อบคำถามของไอ้เป๋าได้



“เปลี่ยนเรื่องเก่งจริงๆนะมึง” มันพึมพำแต่ผมก็ทำท่าไม่สนใจ มันจึงเลิกเซ้าซี้ผมไป



วันนี้ทั้งคาบผมรู้ตัวเองเลยว่าเรียนไม่รู้เรื่องและยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้เรียนเรื่องอะไรบ้าง เพราะเอาแต่คิดว่าตัวเองควรจะจัดการกับเรื่องความสัมพันธ์แบบนี้ยังไงดี ผมยอมรับว่าเห็นแก่ตัวแต่มันก็เลือกที่จะตัดใครสักคนออกยากมาก ในเมื่ออิงค์ไม่ผิด ผมก็ตัดน้องออกไม่ได้และเจ้าจอมมันก็ไม่ผิด ผมก็ตัดมันออกไม่ได้เช่นกัน



ผมไม่อยากให้ใครมาเป็นตัวเลือกของผมแต่ทำยังไงได้ในเมื่อสถานการณ์แบบนี้ผมก็คงต้องเลือกสักคน จะปล่อยให้มันคาราคาซังแบบนี้เรื่องมันก็จะยุ่งยากไปกันใหญ่



“วันนี้ไปติวกันห้องกูนะพวกมึง” ไอ้เตอร์มันว่า “เออ...ไอ้คินบอกไอ้ทาวน์มันด้วยว่าช่วงสอบกูปิดร้านไม่ต้องมาทำงาน”



“อืม” ไอ้คินมันตอบรับก่อนจะโทรหาแฟนของมัน



“แล้วจะเจอกันกี่โมงหรือจะไปตอนนี้เลย?” ผมถามมันบ้างเพราะตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงกว่าๆแล้ว



“สักทุ่มนึงแล้วกัน” ไอ้เป๋ามันตอบ “ขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน วันนี้กูค้างห้องมึงนะไอ้เตอร์”



“เออๆ” เตอร์หันไปหาไอ้หมอกและไอ้ไฟที่ยังคงเงียบ “แล้วพวกมึงสองคนล่ะจะมาหรือเปล่า?”



“กูไปสองทุ่ม” ไอ้ไฟมันตอบ



“เดี๋ยวกูตามไป เอาไอ้ทาวน์ไปด้วย”



“โอเค เจอกัน”



พวกเรานัดหมายกันเสร็จสรรพก็แยกย้ายไปทางใครทางมัน วันนี้ผมขับรถมาเรียนเองเพราะเจ้าจอมมันไม่มีเรียนเลยไม่ได้ติดรถมันมาเหมือนทุกๆวัน



พอกลับมาถึงห้องแล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าไอ้เจ้าจอมมันยังคงนอนอยู่บนโซฟาภายในห้องของผม เมื่อคืนมันมานอนกับผมที่ห้องแต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะนอนยาวขนาดนี้ นี่มึงนอนหรือซ้อมตายอ่ะถามจริง?



ผมเดินเข้าไปหามันก่อนจะยื่นมือไปตบๆเบาที่แก้มของเจ้าจอม เจ้าจอมที่ผมคิดว่ามันหลับอยู่กลับคว้าหมับเข้าที่ข้อมือผมก่อนจะดึงรั้งผมลงให้นั่งบนโซฟาที่มีพื้นที่เหลือเพียงน้อยนิด



“กลับมาแล้วเหรอครับ?” มันถามเสียงงัวเงีย ก่อนจะยกหลังมือของมันขึ้นมาขยี้ตาตัวเองเบาๆ



“อืม” ผมตอบมันพร้อมกับคว้ามือของมันที่กำลังขยี้ตาตัวเองอยู่ออก “เดี๋ยวตาก็แดง” ดุมันอีกนิดหน่อย



“อือ” มันครางงึมงำ กอดเอวผมไว้พร้อมกับซุกหน้าลงที่แผ่นหลังของผม “ผมเหมือนจะไม่สบายเลย” มันว่าเสียงเบาถูไถใบหน้าของตัวเองไปมา



ผมที่ได้ยินมันว่าอย่างนั้นก็รีบหันไปหาก่อนจะยกหลังมือขึ้นมาวางทาบลงบนหน้าผากของมันโดยที่เจ้าจอมก็นอนนิ่งๆให้ผมทำอย่างง่ายดาย



“ตัวรุมๆ” ผมพึมพำ “กินข้าวหรือยัง?”



“กินไปแล้วเมื่อตอนบ่ายโมงครับ” มันตอบเสียงเบา ยกมือขึ้นมาจับมือของผมที่วางอยู่บนหน้าผากของมัน “ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”



ผมพยักหน้า “งั้นก็นอนพักไปก่อน หกโมงจะปลุกให้กินข้าวกินยา”



“ผมนอนมาทั้งวันแล้ว”



ผมมันที่ทำท่าทางงอแงเหมือนเด็ก จนอดหมั่นไส้ไม่ไหวจึงยกมืออีกข้างที่ไม่ถูกมันจำไว้มาเขกหน้าผากมันเบาๆ



“ไม่นอนแล้วจะทำอะไร?” ในเมื่อรู้ดีแก่ใจว่าถ้าบังคับให้มันนอนยังไงมันก็คงไม่นอน อีกอย่างก็ดูเหมือนมันจะนอนมาทั้งวันแล้ว ถ้าได้ตื่นขึ้นมาทำอย่างอื่นบ้างก็อาจจะรู้สึกสดชื่นขึ้น



มันยันตัวขึ้นก่อนจะใช้มืออีกข้างค้ำยันกับโซฟาไว้ ใบหน้าของมันโน้มเข้ามาใกล้ๆก่อนจะประทับริมฝีปากอุ่นร้อนลงบนซอกคอของผมแผ่วเบา ผมครางอื้ออึง เอียงใบหน้าให้มันสัมผัสกับซอกคอของตัวเองมากขึ้น ริมฝีปากเจ้าจอมลากไล้แผ่วเบาก่อนจะขบเม้มดูดดึงจนผมต้องยกมือขึ้นมากำเสื้อมันไว้แน่น



ด้วยอุณหภูมิของร่างกายเจ้าจอมสูงมากกว่าปกติเลยยิ่งพลอยทำให้อารมณ์ของผมพุ่งสูงมากกว่าทุกครั้งที่ได้สัมผัสกัน ผมยกมือมือขึ้นลูบไล้แผ่นหลังกว้างก่อนจะเป็นฝ่ายประทับริมฝีปากที่หน้าผากของอีกคน



“ผมอยากจูบพี่..” มันว่าเสียงแผ่ว มองหน้าผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความปรารถนา



เมื่อถูกทั้งคำพูดและสายตาของมันยั่วยุ ผมจึงเป็นฝ่ายเริ่มโน้มใบหน้าเข้าไปหาก่อนจะคลอเคลียริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากของมัน ขบเม้มอย่างหยอกล้อก่อนจะไล้ลิ้นเลียแล้วดูดดึงจนได้ยินเสียงครางพอใจของคนที่โดนกระทำ พอได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งได้ใจ ผมค่อยๆสอดลิ้นเข้าไปในโพลงปากของเจ้าจอมก่อนจะได้รับการทักทายที่ดีจากมันด้วยการตอบรับจากปลายลิ้นที่ค่อนข้างฝืดเฝื่อนแต่กระนั้นจูบหวานๆที่มอบให้แก่กันก็สามารถลบล้างความเฝื่อนนั้นได้



เมื่ออารมณ์ยิ่งไต่ขึ้นสูงขึ้น ความร้อนแรงในรสจูบก็ยิ่งมากขึ้น เลื่อนมือลงไปในส่วนที่เริ่มแข็งขึงอยู่ภายใต้กางเกงนอนของคนที่เด็กกว่า มันครางเสียงค่ำพร่าก่อนจะขบกัดริมฝีปากผมจนต้องยกมือขึ้นมาตีที่ไหล่ของมัน



“ซนจังเลยครับ” มันว่าแล้วพรมจูบลงบนใบหน้าของผมจนทั่ว



“มันดันขากู” ผมว่าแล้วเหลือบตามองไปยังส่วนนั้นของมัน ไม่ใช่แค่ของเจ้าจอมหรอกที่เริ่มตื่นตัว ของผมก็รู้สึกอึดอัดไม่แพ้มัน



“งั้นช่วยหน่อยได้ไหมครับ” มันว่าเสียงอ้อนพลางก้มลงดูดดึงริมฝีปากของผมซ้ำๆ



ผมได้ไม่ทำการตอบรับแต่กลับคว้าหมับเข้าไปยังส่วนตรงนั้นก่อนจะลูบไล้เบาๆ “อยากให้กูช่วยเหรอ?”



“อือ” มันครางเสียงต่ำพร่าตอนที่ผมเริ่มใช้มือบีบขยำส่วนนั้นของมัน



ผมหัวเราะหึเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของมัน ก่อนจะใช้มือข้างนั้นค่อยๆล้วงเข้าไปในกางเกงนอนของเจ้าจอม เจ้าจอมมันจ้องมองการกระทำของผมอยู่เงียบๆ ทั้งผมและมันก็คงตื่นเต้นไม่แพ้กัน เมื่อส่วนนั้นโผล่พ้นออกมาข้างนอก ผมก็เริ่มรูดรั้งจนได้ยินเสียงสูดปากและเสียงหอบหายใจ



“อา...พี่ยีนส์”



ฝ่ามือของผมรูดรั้งส่วนนั้นของมันเป็นจังหวะเนิบนาบ ก่อนจะเพิ่มความเร็วแล้วผ่อนลงจนเจ้าจอมมันก้มหน้าลงมาซบลงที่ไหล่แล้วกัดผมคงเพราะโทษฐานที่แกล้งทำให้มันทรมาน ใช้นิ้วขยี้ส่วนปลายที่เริ่มมีน้ำเยิ้มออกมาก่อนจะหันไปหาเจ้าจอมที่กำลังหอบหายใจอยู่บนไหล่ตัวเอง



“เป็นไง..หืม?” ถามมันเสียงอ่อน ก้มหน้าลงไปกดจูบบนขมับของมันด้วยความเอ็นดู



“พี่อย่าแกล้งสิครับ” มันเงยหน้าทำตาอ้อน “มันทรมานมากรู้ไหม..”



จากนั้นผมก็เริ่มขยับรูดรั้งส่วนนั้นของมันอีกครั้ง เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆจนเด็กมันอารมณ์ยิ่งไต่ขึ้นสูง ริมฝีปากมันคอยแต่จะคลอเคลียอยู่บนร่างกาของผมโดยที่ผมก็ไม่ได้ห้ามปราม ยิ่งได้ยินเสียงครางของมันและเสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้นซ้ำๆที่ข้างหูก็รับรู้ได้ว่าส่วนนั้นของตัวเองก็อยากจะปลดปล่อยออกมาเช่นกัน



“อา...”



ความคิดนั้นสะดุดลงตอนที่ส่วนนั้นของมันปลดปล่อยอารมณ์ออกมาจนเลอะเต็มมือของผม มันหอบหายใจอย่างรุนแรงจนผมต้องยกมือขึ้นลูบหลัง ใช้เวลาสักพักลมหายใจของเจ้าจอมก็กลับมาเป็นปกติก่อนที่ไหล่ของผมจะรู้สึกหนักๆและพบว่าคนที่พึ่งปลดปล่อยไปเมื่อไม่นานหลับคาไหล่ของตัวเอง



ผมส่ายหน้าและพยุงให้มันนอนดีๆบนโซฟา หาทิชชู่มาทำความสะอาดส่วนนั้นของมันโดยที่ไม่ลืมทำความสะอาดมือของตัวเองไปด้วย ผมเช็คอุณหภูมิร่างกายของเจ้าจอมอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าตัวมันยังรุมๆอยู่ก็ไปหาเจลลดไข้ที่ตัวเองซื้อติดห้องไว้มาแปะให้มันและไม่ลืมที่จะห่มผ้าให้มันเสร็จสรรพ นั่งมองคนที่เพลียจากกิจกรรมเมื่อสักครู่และพิษไข้รวมกันสักพักก็เข้าไปจัดการตัวเองบ้าง



ผมยอมรับว่าหลังจากได้สัมผัสกันก็เริ่มมีความต้องการที่มากขึ้น ยิ่งได้อยู่ใกล้กันมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งห้ามความรู้สึกของตัวเองยากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายก็ไม่มีใครห้ามปรามในความอยากของตัวเอง การกระทำและผลที่เกิดขึ้นจึงออกมาในรูปแบบนี้



“อา...”



ผมครางเสียงต่ำพร่าขณะที่รูดรั้งส่วนนั้นของตัวเอง ในจินตนาการมีเพียงใบหน้าของเจ้าจอมตอนที่กำลังจะแตะขอบอารมณ์ ยิ่งนึกถึงเสียงครางชื่อตัวเองที่ออกมาจากปากของมัน อารมณ์ก็ยิ่งไต่ขึ้นสูงเรื่อยๆ ผมเร่งมือของตัวเองขยับรัวเร็วกระทั่งหยาดน้ำขาวขุ่นไหลทะลักออกมาจากส่วนปลายที่กำลังรูดรั้ง ขยับฝ่ามือรูดเบาๆเพื่อรีดน้ำแห่งอารมณ์ออกมาจนหมด แล้วใช้มือค้ำยันกับผนังห้องน้ำพร้อมกับหอบหายใจด้วยความแรง






“มึงเอามันมาด้วยเหรอวะ?” เสียงไอ้เป๋าถามขึ้นตอนที่ผมเดินเข้ามาในห้องของไอ้เตอร์ คงจะหมายถึงเจ้าจอมที่เดินตามหลังผมมา



“เออ มันขอมาด้วย” ผมตอบแค่นั้นก่อนจะมองหาเจ้าของห้อง “แล้วนี่ไอ้เตอร์มันไปไหน?”



“อยู่ในห้อง มันอาบน้ำอยู่”



ผมพยักหน้าก่อนจะบอกให้เจ้าจอมมันไปนั่งเล่นตรงโซฟา ส่วนผมก็แยกเดินไปหาไอ้พวกที่เหลือที่นั่งอยู่บนโต๊ะขนาดยาวอีกฝั่งหนึ่งซึ่งไอ้เตอร์มันซื้อมาเพื่อใช้อ่านหนังสือด้วยกันโดยเฉพาะ



“หวัดดีครับพี่ยีนส์” ไอ้ทาวน์ที่นั่งกินขนมข้างๆไอ้คินเอ่ยทัก



ผมพยักหน้าตอบรับมัน “ไอ้ทิมไม่มาด้วยเหรอ?” ถามไปถึงเพื่อนรักมันที่มักจะเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ



“มันไม่ว่างครับ ติดเล่นเกมอ่ะ”



เป็นอีกครั้งที่ผมต้องพยักหน้าก่อนจะวางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วเริ่มเปิดเนื้อหาที่นัดติวกันวันนี้



“แล้วนี่ติวไปถึงไหนกันแล้ว” ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูเนื้อหาที่ไอ้หมอกกำลังเขียนใส่สมุด



“ยังไม่เริ่มเลย รอไอ้เตอร์อาบน้ำเสร็จก็จะเริ่มนี่แหละ” มันตอบพลางก็เขียนไปพลาง “ส่วนไอ้ไฟบอกว่าไม่ต้องรอให้ติวกันไปก่อนเลย”



ผมฟังที่มันพูดจนจบก็ลุกขึ้นเดินกลับไปหาเจ้าจอมที่กำลังนั่งอ่านหนังสือของมันอยู่เงียบๆคนเดียว เห็นไอ้เป๋าไปนั่งข้างๆมันก็อาจจะไปช่วยบอกในส่วนที่เจ้าจอมมันไม่เข้าใจ



“ไอ้ยีนส์มาก็ดีละ น้องมึงไม่เข้าใจอ่ะมาอธิบายให้มันฟังหน่อย” ไอ้เป๋ากวักมือเรียกผมยิกๆ ถึงมันจะไม่เรียกผมก็เดินเข้าไปหาพวกมันอยู่แล้ว



พอผมมาถึง ไอ้เป๋ามันก็ลุกขึ้นแล้วปลีกตัวออกไป ผมนั่งลงข้างๆเจ้าจอมก่อนจะชะโงกหน้าไปดูเนื้อหาที่มันกำลังอ่านอยู่



“ไม่เข้าใจตรงไหน?”



มันเงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะก้มลงไปมองหน้าสือแล้วเอ่ยออกมา “ตรงนี้ครับ” พร้อมกับที่นิ้วของมันชี้ลงตรงเนื้อหาที่มันไม่เข้าใจ



ผมเลยเริ่มพูดอธิบายในส่วนเนื้อหาตรงนั้นช้าๆ เพราะจำได้ว่ามันไม่สบายและสมองคงจะคิดตามได้ช้าเช่นกัน เลยใช้วิธีนี้ เจ้าจอมมันยังดูเพลียๆอยู่แต่มันก็ดื้อด้านจะตามผมมาให้ได้ บอกว่าให้มันนอนพักผ่อนที่ห้องตัวเองก็ไม่ยอม สุดท้ายผมก็จนใจจะห้ามเลยยอมให้มันมาด้วยนี่แหละ



“เข้าใจไหม?” ผมเอ่ยถามย้ำเมื่ออธิบายให้มันฟังจบ



“ก็พอเข้าใจครับ”



ผมพยักหน้า มองมันอ่านหนังสือของตัวเองเงียบๆ ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วผมต้องมาเป็นพี่ติวให้กับใครสักคนและไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะสามารถติวให้คนอื่นเข้าใจเนื้อหาได้ขนาดนี้ ผมเคยคิดว่าความรู้ที่ตัวเองเรียนมาก็มีเพียงแค่งูๆปลาๆคงไม่สามารถไปสอนหรือให้ความรู้กับใครได้ แต่ใครจะไปรู้ล่ะครับพอมาได้เป็นพี่ติวจริงๆผมจะสามารถทำสิ่งที่ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะทำได้ ถึงแม้จะไม่ได้เก่งมากมายอะไรแต่แค่ติวให้ใครสักคนเข้าใจในเนื้อหานั้นๆผมก็รู้สึกภูมิใจในความรู้ที่ตัวเองมีมากแล้ว



“ไหวหรือเปล่า?” ผมถามมันเมื่อเห็นมันยกมือขึ้นมานวดศีรษะของตัวเอง



“ปวดหัวนิดหน่อยครับ” มันตอบก่อนจะหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมามองผมอีกครั้ง



“บอกให้นอนพักก็ไม่เชื่อ”



“ก็ผมอยากมาด้วย”



ผมส่ายหน้าแล้วหยิบหนังสือบนตักมันออกมาวางไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา “ไม่ต้องอ่านแล้ว ไปนอนเลย”



“แต่ผมพึ่งตื่นเองนะพี่”



ก็จริงอย่างที่มันว่า พอมันตื่นมาผมก็ไล่ให้มันไปอาบน้ำ กินข้าวกินยาเสร็จแล้วก็ขับรถมาคอนโดไอ้เตอร์



“ถ้าไม่นอนก็ไม่หายหรอกเจ้าจอม”



“ก็ผมไม่อยากนอน”



ผมตีหน้าดุก่อนจะว่าเสียงนิ่ง “มึงอย่าดื้อได้ไหมวะ?”



มันขบเม้มริมฝีปากตัวเอง มองหน้าของผมสักพักก่อนจะถอนหายใจ “ก็ได้ครับ”



เป็นเวลาพอดีที่ไอ้เตอร์มันเดินออกมาจากห้อง มันมองผมกับเจ้าจอมอย่างงุนงงก่อนผมจะลุกขึ้นไปหามันแล้วขอใช้ห้องนอนอีกห้องหนึ่งของมันให้เจ้าจอมมันไปนอนพักก่อน



“ตกลงมึงกับมันยังไงแน่?” ไม่วายมันก็ไม่ลืมตั้งคำถามกับความสัมพันธ์ของผมกับเจ้าจอม



ผมขี้เกียจจะคิดหาข้ออ้างเลยตอบมันไปตรงๆ “พูดยากว่ะ”



ว่าแค่นั้นเตอร์มันก็ตบไหล่ผมแล้วไม่ได้ถามอะไรอีก ผมพาเจ้าจอมมันเข้ามาในห้องนอนที่ไอ้เตอร์มันใช้เพื่อให้เพื่อนที่ต้องการค้างมานอน ในนั้นตกแต่งเหมือนกับในห้องนอนของมันแต่ขนาดห้องจะเล็กว่กาแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรในเมื่อแค่มีที่ให้ไอ้เด็กนี่นอนก็โอเคแล้ว



“นอนซะ” ผมว่าแล้วดันให้มันนอนลงบนเตียง “กูจะออกไปอ่านหนังสือแล้วจะเข้ามาดูเป็นระยะ”



“ครับ” มันตอบรับสิ่งที่ผมพูดก่อนจะหลับตาลงแล้วหลับไป






เตอร์ Part



ผมนั่งสังเกตอาการของไอ้ยีนส์ที่มันดูกังวลและหันไปมองทางห้องนอนแขกบ่อยๆ ดูท่าทางแค่นี้ก็พอจะเดาได้แล้วว่าไอ้น้องติวของมันสำคัญกับมันขนาดไหน แต่คนอย่างไอ้ยีนส์กว่าจะยอมรับอะไรง่ายๆก็ใช้เวลาพอสมควร



มันไม่ได้เริ่มเป็นตอนที่เจ้าจอมเข้ามาแต่นิสัยแบบนี้ของมันมีมาตั้งนานแล้วตั้งแต่คบกับแฟนคนแรก ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายมันก็เป็นแบบนี้หมด มันเป็นคนที่ค่อนข้างปากแข็ง ไม่ค่อยพูดความรู้สึกตัวเองออกมาสักเท่าไหร่



แต่หลังๆพอมันได้ยินคนที่มันเคยคบด้วยด่าบ่อยๆและหลายๆคนมันก็เริ่มปรับปรุงตัว มันเริ่มพูดความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นสังเกตได้จากตอนที่ผมเห็นมันคุยกับอิงค์ทางโทรศัพท์และยิ่งมันชอบแสดงออกด้วยการกระทำด้วยแล้วก็ยิ่งดีขึ้นไปใหญ่ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ากับเจ้าจอมไอ้ยีนส์มันแสดงออกยังไง



ในทีแรกปากก็บอกว่าเกลียดแสนเกลียดแต่ไม่รู้ไปไงมาไงถึงลงเอยกันแบบนี้ได้ อีกทั้งไอ้ยีนส์มันก็ยังไม่ได้เคลียร์เรื่องน้องอิงค์ ผมเดาได้เลยว่ามันชอบใครมากกว่ากันแต่อยู่ที่ว่ามันจะยอมรับความรู้สึกตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน ผมไม่รู้ แต่การกระทำของมันที่แสดงออกต่อเจ้าจอมเมื่อกี้ก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ถ้าเกิดมันไม่ห่วงมันก็ไม่แยแสเขาขนาดนั้นหรอก



ก็อย่างว่าคนมันฟอร์มเยอะแถมยังปากแข็งอีกพูดยากจริงๆครับ ผมก็ได้แต่มองดูมันห่างๆและรอคอยที่จะให้คำปรึกษากับมันถ้ามันต้องการ จะไปบังคับหรือกะเกณฑ์เรื่องความรู้สึกของมันไม่ได้หรอก แค่อยู่ตรงนี้แล้วทำหน้าที่เพื่อนให้ดีที่สุดเท่านั้นก็พอ



“กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บ”



ไม่รู้ว่ามันจะรู้ตัวหรือเปล่าว่านี่ไม่ใช้ครั้งแรกที่มันบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ตั้งแต่นั่งติวกันมาก็เป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนแล้วที่มันนั่งๆลุกๆแล้วบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เพื่อนคนอื่นก็อาจจะสังเกตเห็นอาการของมันแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรเพราะก็คงเข้าใจว่าไอ้ยีนส์มันก็ต้องการเวลาของมันเหมือนกัน



ส่วนเด็กนั่นดูก็รู้แล้วว่าชอบไอ้ยีนส์มากแค่ไหน ผมสังเกตเห็นอาการที่มันแสดงออกกับไอ้ยีนส์ในวันที่ไปกินเหล้าด้วยกันแล้วก็รู้ได้ทันที ไหนจะแววตาที่มันใช้มองไอ้ยีนส์อีกนั่นล่ะ มีแต่เพื่อนผมนั่นแหละที่ไม่ได้สังเกตอะไรเหมือนอย่างคนอื่น อย่างว่าแหละมันอยู่ด้วยกันมันก็คงจะชินเลยไม่ได้คิดอะไรแต่สายตาคนนอกอย่างผมก็มองอีกมุมหนึ่งไงเลยได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับมันทั้งสองคน



เอาเถอะ..เรื่องของคนสองคน ปล่อยให้มันจัดการกันเองก็แล้วกัน





ขอบคุณทุกคนมากๆนะคะ ส่วนตอนนี้ก็..แหะๆ //ยิ้มแห้งใส่ทุกคน

#นิติผูกพัน

หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบาย- 28/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: CHOMWAN ที่ 28-01-2019 17:43:32
โิอ๊ยยยยยชัดเจนแล้วนะพี่~~ยอมรับใจตัวเองเซ่
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบาย- 28/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-01-2019 18:39:21
ขาดหมอนกับขวดนม ถ้ามีล่ะก็.....  o18
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบาย- 28/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-01-2019 21:14:30
มันชัดเจนมากอย่างที่พาร์ทเฮียเตอร์บอกเลยนะพี่ยีนส์ ขอให้รู้ใจตัวเองไวๆว่าชอบใครมากกว่า
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบาย- 28/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-01-2019 23:11:44
 :pig4: :pig4: :pig4:

เตอร์นี่ฉลาดล้ำลึก  มองขาด
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบาย- 28/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 31-01-2019 16:01:32

ตอนที่21

ตัวเลือก


สถานการณ์ตอนนี้ของผมไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไรทำไมรู้สึกเหมือนว่ารถไฟมันชนกันแปลกๆ



“อ้าวพี่ยีนส์ สวัสดีค่ะ”



ผมรับไหว้น้องอิงค์ด้วยความมึนงง หลังจากเรียนเสร็จผมก็เดินลงมาจากอาคารมองเห็นไกลๆว่าไอ้เจ้าจอมที่รอผมอยู่มันกำลังคุยกับผู้หญิงสักคนแต่ผมก็ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นน้องอิงค์ไปได้



ผมเหลือบมองหน้าไอ้เจ้าจอมที่ก็กำลังมองผมอยู่เช่นกัน ใบหน้าของมันนิ่งสนิทก่อนผมจะกระแอมเบาๆเหมือนคนมีความผิดอะไรสักอย่าง จากนั้นจึงเบี่ยงสายตามาหาน้องอิงค์ที่ยีนส์ยิ้มอยู่ข้างๆ



“ไปไงมาไงครับถึงมาที่คณะพี่ได้” ผมเอ่ยถามน้องด้วยความแปลกใจเพราะถ้าไม่นัดกับผมไว้ก็ไม่เคยจะเห็นน้องโผล่มาที่คณะของผมสักที



“อ้อ อิงค์มาหาพี่ยีนส์นั่นแหละค่ะ” น้องว่าแล้วส่งยิ้มให้ “พอดีใกล้จะสอบแล้วอาจจะไม่ได้เจอกันหรือคุยกันเลย อิงค์ก็เลยว่าจะชวนพี่ยีนส์ไปทานข้าวด้วยกันค่ะ”



มันเป็นการชวนปกติของคนที่คุยกันอยู่แล้ว เมื่อก่อนผมกับน้องก็ชวนกันไปไหนมาไหนแบบนี้นี่แหละแต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้คำชวนของน้องทำให้ผมรู้สึกว่าตอบรับยากเหลือเกิน จังหวะหนึ่งที่ผมหันไปหาเจ้าจอม มันก็ไม่ได้มองหน้าผมอีกแต่ใบหน้ามันก็ไม่ได้ดีขึ้นจากตอนแรกเลย ผมรู้ว่ามันคงไม่โอเคกับเหตุการณ์ตอนนี้เลยเลือกที่จะบอกมันก่อนที่จะตอบคำถามน้องอิงค์



“มึงไปรอที่รถก่อน กูขอคุยกับอิงค์แป๊บนึง” มันไม่ได้ตอบอะไรนอกจากมันจะฟังที่ผมบอกเสร็จแล้วก็เดินไปที่รถของมันทันที ผมถอนหายใจกับเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นก่อนจะปรับอารมณ์ของตัวเองแล้วหันไปหาน้องอิงค์ซึ่งกำลังมองตามไอ้เจ้าจอมมันอยู่ “แล้วจะนัดกันวันไหนดีครับ?”



อิงค์หันกลับมาแล้วทำหน้านึกคิด “เอาเป็นวันศุกร์ดีไหมคะ อิงค์จำได้ว่าอิงค์กับพี่ยีนส์เลิกเรียนพร้อมกัน”



“อืม เอางั้นก็ได้ครับ” ผมตอบตกลงน้องในที่สุด การตกลงไปกินข้าวกับน้องในครั้งนี้อาจจะทำให้สิ่งที่ผมกำลังสับสนอยู่มีทางออกขึ้นมาก็ได้ “งั้นถ้าพี่เลิกเรียนแล้วจะไปรับที่คณะนะครับ”



“ได้ค่ะ”



ผมกับอิงค์คุยกันอีกนิดหน่อย อิงค์ก็ขอตัวกลับ ส่วนผมก็เดินไปที่รถที่จอดรอผมอยู่ เมื่อเปิดประตูเข้าไปนั่งผมก็หันไปหาเจ้าของรถแต่มันกลับไม่ได้สนใจผมเลยสักนิด ผมถอนหายใจขึ้นมาอีกครั้งก่อนรถจะเคลื่อนตัวออกไปพร้อมกับบรรยากาศที่เงียบสนิทมาตลอดทาง






ผมพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงอย่างคนที่นอนไม่หลับ ตั้งแต่กลับมาผมกับเจ้าจอมก็ยังไม่ได้คุยกัน พอผมเริ่มชวนมันคุยมันก็เอาแต่ถามคำตอบคำเหมือนไม่อยากจะพูดกับผม ผมรู้ว่ามันคงไม่โอเคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ขึ้นตั้งแต่แรกและผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทั้งอิงค์และเจ้าจอมจะมาเจอกันในวันที่ความสัมพันธ์ยังคงไม่ชัดเจน



ก็ไม่ได้อยากโทษใครว่าผิด มันคงจะเป็นสิ่งที่ผมควรจะคิดได้สักทีว่าผมต้องการใครมากกว่ากัน ให้อยู่แบบนี้ผมก็เริ่มรู้สึกอึดอัดแต่ทำไงได้ในเมื่อความคิดและความรู้สึกของผมก็ยังคงสับสนอยู่เหมือนเดิม



เรื่องที่ผมตกลงไปกินข้าวกับอิงค์ก็อาจจะทำให้ผมคิดอะไรได้มากขึ้นกว่านี้ ถ้าให้ผมตัดสินทันทีผมว่ามันก็ไม่ใช่ ด้วยความที่ผมอยู่กับเจ้าจอมแทบตลอดเวลา เลยคิดว่ามันคงเป็นเพราะความใกล้ชิดและความผูกพันหรือเปล่าทุกอย่างระหว่างผมกับเจ้าจอมเลยเกิดขึ้น



ผมกับมันอาจจะไม่มีความรู้สึกอะไรให้กันมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้..



แต่ถ้าจะปล่อยให้เจ้าจอมมันเมินผมอยู่แบบนี้ผมก็ทนไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นจากที่นอนแล้วออกจากห้องเพื่อมากดกริ่งเรียกอีกคนที่อยู่ห้องข้างๆ



ผมพยายามรอมันอย่างใจเย็น บอกตัวเองว่าถ้าหากมันไม่เปิดประตูมันก็คงจะหลับอยู่ ก็เวลาขนาดนี้แล้วถ้ามันจะนอนก็คงไม่แปลก มีแต่ผมนี่แหละที่หลับไม่ลงอยู่คนเดียวเพราะเอาแต่คิดเรื่องของมัน



“พี่ยีนส์...”



ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่เรียกชื่อผม เจ้าจอมมันใส่ชุดนอนและสภาพมันก็ดูงัวเงียเหมือนคนพึ่งตื่น เห็นอย่างนี้แล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ไปรบกวนเวลานอนของมัน



“กูขอโทษนะแต่ว่า...ขอนอนด้วยได้ไหม?” ผมมองมันอย่างมีความหวัง ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรในการที่จู่ๆก็มาเคาะห้องมันกลางดึกแบบนี้



“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”



ถ้าเป็นเวลาปกติมันจะไม่ถามผมแบบนี้แต่ผมก็เข้าใจมันแหละว่าตอนนี้อารมณ์มันก็คงไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่



“แค่อยากนอนด้วย” ผมว่าแล้วขยับเดินเข้าไปใกล้มันที่ยืนอยู่หลังบานประตู “ขอเข้าไปหน่อยสิ” ไม่รอให้มันเอ่ยปากอนุญาตก็แทรกตัวเองเข้าไปในห้องของมันอย่างถือวิสาสะ เจ้าจอมมันไม่ได้ห้ามและผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มันทำหน้ายังไงเพราะพอเดินเข้ามาได้ผมก็มุ่งตรงไปที่ห้องนอนของมันทันที



ผมทิ้งตัวลงนอนฝั่งที่ตัวเองเคยนอน ได้ยินเสียงปิดประตูห้องและคนเป็นเจ้าของห้องก็เดินเข้ามา



“พี่มีอะไรหรือเปล่า?”



“มานอนดิ” ผมตบที่ว่างข้างตัวเพื่อเรียกให้มันมานอนบนเตียงด้วยกัน เห็นเจ้าจอมมันถอนหายใจสุดท้ายก็ยอมปิดไฟในห้องแล้วเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนอนตามที่ผมบอก



ทุกครั้งที่นอนด้วยกันมันไม่เคยนอนหันหลังให้ผมเลยสักครั้งแต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป พอมันทิ้งตัวลงนอนได้มันก็พลิกตัวไปอีกทางและไม่พูดถามอะไรผมอีก จนเป็นผมที่ต้องเป็นฝ่ายเขยิบเข้าไปหามัน ก่อนจะขยับใบหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้หลังคอของเจ้าจอมแล้วกดจูบลงแผ่วเบา เคลื่อนใบหน้าไปกระซิบถามมันข้างหู



“เป็นอะไร?” ก้มลงมองมันที่ข่มตานอนทั้งที่ผมก็ดูออกว่ามันยังไม่นอนจริงๆ “เจ้าจอม” ผมเรียกมันเสียงอ่อน ยกมือขึ้นลูบไล้กรอบหน้าได้รูปของคนที่แกล้งหลับ



เสียงมันถอนหายใจขึ้นมาอีกครั้งในความเงียบ ผมนิ่งรอมันอย่างนั้นด้วยความใจเย็น



“พี่คิดยังไงกับผมกันแน่?” มันลืมตาขึ้นแล้วหันหน้าเข้ามาหาผม กลายเป็นว่าตอนนี้เรากำลังนอนหันหน้าเข้าหากัน ใบหน้าห่างกันแค่เพียงลมหายใจกั้น “ถ้าพี่ไม่รู้สึกอะไรกับผมก็เลิกทำแบบนี้เถอะครับ”



ผมนิ่งเงียบ ประสานสายตากับมันในความมืด ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องพูดอะไรออกไปดี เหมือนว่าถ้าหากพูดอะไรออกไปตอนนี้ก็เหมือนจะไม่ดีขึ้นสักทาง



“กูขอโทษ...” ขอโทษที่ไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองรู้สึกยังกับมันในตอนนี้ ผมก็เป็นแค่คนโง่เง่าที่ต้องการเวลาในการคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง เป็นคนเห็นแก่ตัวที่ยังอยากรั้งคนสองคนไว้จนกว่าตัวเองจะตัดสินใจเลือกใครสักคนได้ ผมมันก็เป็นแค่คนๆหนึ่งที่ไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไรสักที



“ถ้าพี่จัดการความรู้สึกของตัวเองได้แล้วเราค่อยมาคุยกันดีกว่านะครับ” มันยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของผม ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามากดจูบบนหน้าผากของผมเนิ่นนานแล้วผละออก “นอนเถอะครับ ผมไม่ไปไหนหรอก ผมจะรอพี่อยู่ตรงนี้เหมือนเดิม ไม่ต้องกังวลนะครับ”



“ขอบคุณ” ผมว่าเสียงแผ่ว รู้สึกผิดที่ทำให้ใครสักคนหนึ่งต้องเสียเวลารอผมที่ไม่ยอมจัดการความรู้สึกของตัวเองสักที “ขอโทษที่ทำให้ต้องรอแต่ถ้าหากผลลัพธ์มันออกมาแล้วมึงไม่ใช่..”



คนที่กูเลือกล่ะ...



มันกดจูบลงบนริมฝีปากผมทำให้ผมต้องหยุดพูดคำๆนั้นออกมา “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้านั่นเป็นสิ่งที่พี่เลือกแล้วและพี่ก็มีความสุข ผมก็โอเค”



จ้องมองรอยยิ้มของมันที่ส่งมาให้กัน มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้แสดงถึงความสุขแต่มีเพียงความเศร้าสร้อยและความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ลึกๆภายใต้รอยยิ้มของมัน



“กูไม่อยากให้ใครต้องเจ็บ” ผมซบหน้าลงบนไหล่เจ้าจอม หลับตาลงเพราะความรู้สึกอึดอัดที่เกิดขึ้น “แต่มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็มีคนที่ต้องเจ็บอยู่ดี”



“อย่าคิดมากสิครับ ผมเข้าใจพี่เสมอนะไม่ต้องคิดมาก”



“กูแม่งนิสัยไม่ดีที่เก็บมึงกับอิงค์ไว้เป็นตัวเลือก พอเวลาที่กูต้องเลือกใครสักคน แล้วคนที่ไม่ถูกเลือกก็ต้องมาเจ็บเพราะกู”



“พี่ยีนส์ครับ...” มันว่าแล้วจับให้ผมผละออกมาจากไหล่ของมัน ก่อนมือของมันจะช้อนใบหน้าของผมขึ้นเพื่อให้สบตากัน “ฟังผมนะ...เรื่องความรู้สึกน่ะมันไม่มีใครห้ามได้หรอกนะครับ ผมบอกแล้วไงว่าถึงแม้จะไม่ถูกเลือกแต่ถ้าพี่มีความสุขในสิ่งที่พี่เลือกผมก็ยินดีด้วย ความรักน่ะไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องคบกันหรือต้องได้ครอบครองกันเสมอไปนะครับ แค่เพียงเห็นคนที่เรารักมีความสุขมันก็เพียงพอต่อคำว่ารักของผมมากแล้ว”



“มึงยิ่งพูดกูยิ่งรู้สึกผิด”



“อะไรเนี่ยพี่” เจ้าจอมมันขำก่อนว่าต่อ “ผมก็อุตส่าห์พูดให้ซึ้งๆแล้วเชียวดันมารู้สึกผิดอีก”



“เออ ก็รู้สึกผิดจริงๆนี่หว่า”



“ร้องไห้หรือเปล่าครับเนี่ยจะได้เปิดไฟดู..เป็นบุญตาของผมจริงๆ” มันว่าอยากหยอกล้อ ลูบแก้มผมเล่นเหมือนต้องการจะหาคราบน้ำตาบนใบหน้าของผมไปด้วย



“ไอ้เด็กเวร..”



มันหัวเราะขำสักพักเสียงหัวเราะของมันก็เงียบลง “นอนเถอะครับไม่ต้องคิดมากนะ ส่วนเหตุการณ์วันนี้พี่คงรู้ว่าผมไม่โอเคเท่าไหร่แต่ผมก็เข้าใจในเมื่อพี่กับอิงค์ก็คุยๆกันอยู่”



“อืม”



“อย่างที่บอกไปว่าผมรอพี่ได้แต่ถ้าพี่ได้คำตอบเมื่อไหร่ก็รีบบอกผมเลยนะครับ” มันกดจูบลงบนหน้าผากของผมอีกครั้งก่อนจะไล่ลงมาตรงปลายจมูกและหยุดลงที่ริมฝีปากเนิ่นนานแล้วผละออก “ตอนนี้ก็นอนได้แล้วครับ ดึกมากแล้ว”



มือของมันลูบไปมาอยู่บนแผ่นหลังของผม ผมยกมือขึ้นไปวางที่เอวเจ้าจอม กำเสื้อของมันไว้แน่นก่อนจะซบใบหน้าลงกับไหล่ของมันอย่างคนที่ต้องการที่พักพิง ทั้งที่จริงๆแล้วคนที่เจ็บปวดไม่แพ้กันอย่างเจ้าจอมก็คงต้องการใครสักคนมาช่วยปลอบใจแต่ผมก็ไม่สามารถทำได้อีกทั้งยังต้องให้มันเป็นคนมาปลอบตัวผมเอง



“ขอบคุณมึงมากนะ”



มีเพียงคำๆนี้ที่ผมต้องการจะบอกมัน ไม่อยากจะให้ความหวังใครไปมากกว่านี้ ยิ่งหวังมากก็ยิ่งเจ็บมากและผมก็ไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บเพราะความเห็นแก่ตัวของผมอีก






ฤดูกาลสอบปลายภาคมาถึงอย่างรวดเร็ว นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ต่างก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือไม่แม้แต่จะเงยหน้าคุยกับใคร นานๆครั้งเห็นจะได้ที่ต้องเปิดปากพูดแต่ส่วนใหญ่เรื่องที่พูดก็ไม่พ้นไปจากบทเรียนที่กำลังอ่านกันอยู่



แม้ว่าจะอ่านหนังสือล่วงหน้ากันมาแล้วสองเดือนแต่เราก็ไม่สามารถชะล่าใจให้กับวิชาสอบได้สักวิชา อันไหนที่คิดว่าง่ายก็อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด สำหรับคนที่เคยผ่านสนามสอบมาแล้วอย่างผมก็รู้ดีว่าทุกวิชาแม่งก็ยากพอๆกัน



ตั้งแต่เข้าช่วงสอบผมกับเจ้าจอมก็ไม่ค่อยได้เจอกัน ถึงจะบอกว่าผมเป็นพี่ติวก็ควรจะต้องติวให้มันช่วงสอบแต่ก็ทำไม่ได้เพราะผมก็ต้องอ่านของผม เจ้าจอมมันก็เกรงใจกลัวว่าผมจะอ่านสอบไม่ทันและเนื้อหาในหัวอาจจะตีกันได้ มันเลยเลือกที่จะไปอ่านและไปติวกับเพื่อนของมันส่วนผมก็แยกมาอ่านกับเพื่อนของตัวเองเช่นกัน



สำหรับเรื่องความสัมพันธ์ก็เหมือนจะต้องหยุดชะงักไปก่อนเหมือนเป็นการห่างที่ทำให้เราต่างฝ่ายต่างต้องคิดทบทวนกับตัวเองว่าจริงๆแล้วความรู้สึกนั้นมันคืออะไรกันแน่ เมื่อคราวนั้นที่ผมกับอิงค์ได้ไปกินข้าวด้วยกันก็ทำให้ผมคิดอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง มันอาจจะไม่ชัดเจนมากนักแต่ผมก็พอรู้ตัวแล้วว่าตัวเองต้องการอะไร



ผมยังจำได้ว่าเจ้าจอมมันเคยจะบอกอะไรผมสักอย่างแต่ผมก็ห้ามมันไว้ก่อนเพราะตอนนั้นตัวผมเองก็ยังไม่พร้อมที่จะฟัง ส่วนในตอนนี้ผมคิดว่าผมมีความพร้อมมากพอสมควรแล้ว ผมคิดไม่ออกเลยว่าวันนั้นผมจะแสดงท่าทางออกมายังไงดีหลังจากเจ้าจอมมันบอกสิ่งที่ตัวมันต้องการจะบอกผม



หลังจากสอบเสร็จ ผมกับเจ้าจอมจะเปิดใจคุยกันอีกครั้งและวันนั้นก็อาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่ผมก็ไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน ไม่ว่าจะยังไงผมก็ภาวนาว่าให้มันเป็นไปในทิศทางที่ดีก็พอ



พอได้ห่างกันแบบนี้ก็รู้สึกนึกถึงมันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร ในวันวันหนึ่งก็ต้องส่งข้อความเพื่อถามความเป็นไปกับมันตลอด มันเป็นอาการที่ผมรู้ดีว่ามันคืออะไรแต่ตอนนี้ยังไม่สามารถพูดออกไปได้เพราะต่างคนก็ต้องต่างโฟกัสกับเรื่องสอบของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากสอบแล้วก็ค่อยมาว่ากันใหม่



เจ้าจอม : กินข้าวหรือยังครับ?

ยีนส์ : อืม

ยีนส์ : มึงล่ะ?

เจ้าจอม : เรียบร้อยแล้วล่ะครับ

เจ้าจอม : ผมไปก่อนนะเพื่อนเรียกแล้ว

เจ้าจอม : ตั้งใจอ่านหนังสือนะครับ ผมเป็นกำลังใจให้

ยีนส์ : เออ

ยีนส์ : มึงก็เหมือนกัน

ยีนส์ : กูก็เป็นกำลังใจให้

เจ้าจอม : มีกำลังใจขึ้นมาทันทีเลยครับ

เจ้าจอม : (สติ้กเกอร์กระต่ายส่งหัวใจ)

ยีนส์ : ไปได้แล้วไอ้เด็กเวร!

เจ้าจอม : เขินแล้วก็เป็นแบบนี้ทุกที



ผมไม่ตอบอะไรมันอีกเพราะยิ่งตอบไปมันก็ยิ่งจะตอบมา ไม่ได้อ่านหนังสือหนังหากันพอดี



“อ่านหนังสือครับอย่ามัวแต่เล่นโทรศัพท์ครับ” ไอ้เป๋าสอดหน้าเข้ามาดูโทรศัพท์ของผม ดีที่ตัวเองล็อคหน้าจอไว้ทันก่อนที่มันจะเสนอหน้าเข้ามาดู “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวมีความสุขมากล่ะสิท่า”



“เออไอ้สัด” ผลักหัวมันไปทีเพราะข้อหาหมั่นไส้ ก่อนจะเปิดเนื้อหาในบทต่อไปแล้วเริ่มอ่านเงียบๆอีกครั้ง






ผมเดินออกมาจากห้องสอบในวิชาสุดท้ายของการสอบในภาคเรียนนี้ด้วยสภาพโซซัดโซเซ สภาพไม่ต่างกับซอมบี้เดินได้เท่าไหร่นัก เสียงพูดคุยงุ้งงิ้งเบาๆของพวกที่สอบเสร็จแล้วดังขึ้นให้ได้ยินแต่ผมก็ไม่สามารถจะจับใจความคำพูดของแต่ละคนได้สักเท่าไหร่เพราะตอนนี้สมองมันเบลอและต้องการการพักผ่อนมากจริงๆ



“เป็นไงทำได้ไหมมึง?” เพื่อนในคณะสักคนถามผมขึ้นขณะที่ผมกำลังเดินผ่านหน้ากลุ่มพวกมัน



“พอได้ว่ะแต่ไม่แน่ใจว่าจะถูกหรือเปล่า” ถึงแม้จะมั่นใจในบางข้อแต่ก็ไม่สามารถฟันธงได้หรอกครับว่าผมจะทำถูกตามที่อาจารย์เฉลยหรือเปล่า



พวกมันก็ตอบอืออาไปกับผมแล้วก็พูดนั่นพูดนี่ให้ผมฟัง ผมได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะขอตัวผละออกจากพวกมันมา จากสภาพตัวเองแล้วคงจะยืนพูดหรือยืนฟังใครพูดไม่ไหวแล้วล่ะครับ ร่างกายของผมพร้อมจะหลับได้ตลอดเวลาเลย



ช่วงสอบผมไม่ค่อยจะขับรถมาสอบเองสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะจ้างพี่วินหน้าคอนโดมารับ-ส่งผมตลอด ผมใช้บริการพี่เขาตั้งแต่ปีหนึ่งจนตอนนี้ปีสามแล้วก็ใช้บริการพี่วินคนเดิมอยู่และตอนนี้ผมกับพี่วินก็ซี้กันไปแล้วล่ะครับ



พอผมเดินมาถึงพี่วินก็ยื่นหมวกกันน็อคมาให้ผมก่อนพี่แกจะหัวเราะให้กับสภาพที่ไม่ค่อยเหมือนคนสักเท่าไหร่ของผม ไอ้ผมก็ไม่ได้ถือสาอะไรเพราะก็รู้ดีอีกนั่นแหละว่าสภาพของตัวเองมันตลกขนาดไหน เอาเถอะสภาพแบบนี้จะได้เห็นแค่ตอนช่วงสอบเท่านั้น



พี่วินพาผมซิกแซ็กตามตรอกนั้นตรอกนี้กระทั่งมาถึงคอนโด หลังจากลงจากรถผมไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินพี่เขาเนื่องจากผมได้จ่ายพี่วินตั้งแต่สอบวันแรกแล้ว เรียกว่าจ้างแบบเหมาจ่ายนั่นแหละ



“ขอบคุณมากพี่” ก่อนเดินเข้าคอนโดก็ไม่ลืมขอบคุณพี่เขา



“ไม่เป็นไรไอ้น้อง เอ็งก็พักผ่อนบ้างล่ะท่าทางเหมือนยังไม่ได้นอน”



“ครับพี่”



ผมเดินอย่างคนหมดสภาพเข้ามาภายในห้อง เดินพุ่งตรงไปในห้องนอนของตัวเองทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไร พอทิ้งตัวลงบนเตียงงนุ่มๆของตัวเองได้ไม่ถึงเสี้ยววินาทีผมก็หลับไปเลย



ตื่นมาอีกทีห้องก็มืดสนิท มือควานหาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ตรงไหนสักแห่งกำลังสั่นอยู่ใกล้ๆจนผมก็ชักจะรำคาญ ไอ้โทรศัพท์เครื่องนี้ล่ะมั้งที่เป็นตัวการทำให้ผมต้องลืมตาตื่นทั้งที่ยังนอนไม่ทันข้ามวัน



“อืม...” เอ่ยรับด้วยน้ำเสียงงัวเงีย อีกทั้งตาก็แทบจะลืมไม่ขึ้นก็เลยไม่ฝืนปิดมันไว้อย่างนั้น



(นอนอยู่เหรอครับ) เสียงคุ้นเคยของใครสักคนดังขึ้นจากปลายสาย ผมเอาโทรศัพท์ออกมาดูรายชื่อของคนโทรเข้าอีกครั้ง หรี่ตามองเพราะแสงสว่างจ้าบนหน้าจอ พอเห็นว่าเป็นรายชื่อของเจ้าจอมก็เอาโทรศัพท์แนบหูลงอีกครั้ง



“อือ” ตอบรับสั้นๆพร้อมกับอ้าปากหาวหวอด



(กินข้าวหรือยังครับ)



“ยัง”



(จะกินอะไรไหมครับเดี๋ยวซื้อไปให้)



“อะไรก็ได้”



(ข้าวผัดหมูแล้วกันนะครับ)



“อือ” ผมไม่เรื่องมาก มันอยากซื้ออะไรมาให้กินก็กินหมดแหละ ตอนนี้สมองแค่คิดว่าจะกินอะไรยังคิดไม่ออกเลย “อยู่ไหน”



(หอเพื่อนครับ เดี๋ยวอีกยี่สิบนาทีจะเอาข้าวไปให้นะครับ)



“อืม..”



ไม่นานสักเท่าไหร่ในความรู้สึกของผมเสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น ผมโอ้เอ้อยู่บนเตียงสักพักก็ลุกขึ้นเพื่อจะไปเปิดประตูให้กับคนที่มากดกริ่งอยู่นอกห้อง



“อ่านหนังสือจนไม่ได้นอนอีกแล้วใช่ไหมครับ?” มันถามพลางขมวดคิ้วมุ่น ผมส่ายหน้าแล้วเดินหนีมันไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา “ดื้อจริงๆเลย”



พอได้ยินมันว่าผมดื้อเหมือนเด็กๆแล้วก็ไม่วายชักสายตาใส่มัน “แล้วซื้ออะไรมาบ้างเยอะแยะ” ผมทำเปลี่ยนเรื่องเพราะขี้เกียจฟังมันบ่น



มันหรี่ตามองผมอย่างรู้ทันแต่ผมก็ทำลอยหน้าลอยตาก่อนมันจะตอบคำถามของผม “ข้าวผัดกับของหวานอีกนิดหน่อยครับ”



“แต่กูยังไม่หิวเลย” ตอนนี้ผมรู้สึกอยากนอนมากกว่ากินข้าวซะอีก



“กินก่อนครับแล้วจะปล่อยให้นอน” มันว่าแล้วเดินเข้ามาดึงแขนให้ผมลุกขึ้นแต่ผมก็ทำตัวแข็งหลังติดโซฟา ก็คนมันยังไม่หิวนี่หว่า “ลุกขึ้นครับพี่ยีนส์”



ทำเป็นเสียงดุทำตาดุใส่อีก คิดว่าน่ากลัวมากมั้ง...เออ ลุกก็ได้วะ!



ผมเดินตามมันต้อยๆไปยังโต๊ะกินข้าว เจ้าจอมมันเทอาหารใส่จานให้ผมเรียบร้อยแล้วผมก็เลยมีหน้าที่กินอย่างเดียวโดยที่ไม่ต้องทำอะไร



ระหว่างมื้ออาหารก็ไม่อยากให้เงียบเกินไปเดี๋ยวผมจะหลับคาจานข้าวซะก่อน ขนาดมีข้าวอยู่ในปากผมก็ยังหยุดหาวไม่ได้เลย



“สอบเสร็จวันไหน?” ผมจำได้ว่ามันสอบเสร็จหลังผมแต่ผมก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่ามันสอบเสร็จวันไหน



“อีกสามวันครับ”



“อืม..แล้วที่ผ่านมาทำข้อสอบได้ไหม?”



“พอได้ครับแต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่”



“แต่ก็ทำได้ใช่ไหมล่ะ” มันพยักหน้า ผมเลยว่าต่อ “ก็ดีแล้ว”



“แล้วพี่ล่ะครับสอบเป็นยังไงบ้าง?”



“ก็โอเคแต่สภาพหลังสอบก็อย่างที่เห็น” ผมไหวไหล่ ก็นะสภาพหลังสอบของเพื่อนๆผมก็ไม่ค่อยต่างจากผมเท่าไหร่หรอก



“กินข้าวเสร็จก็พักผ่อนเลยนะครับ เดี๋ยวผมก็ต้องกลับไปติวหนังสือกับเพื่อนต่อเหมือนกัน”



ผมเงยหน้าขึ้นมองมัน สำรวจทั่วใบหน้าของไอ้เด็กที่นั่งตรงข้ามก็พบว่ามันดูโทรมลงนิดหน่อย สภาพใต้ตาดำคล้ำเหมือนคนที่นอนไม่พอ แล้วตอนนั้นก็มาว่าผมดื้อไม่ยอมนอน มันแม่งก็เหมือนกันล่ะวะ



“แล้วนี่ได้นอนบ้างไหม?”



เมื่อได้ยินคำถามของผม มันก็ส่งยิ้มให้ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก “นอนสิครับ”



“แน่?” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ



“แน่ครับ ผมไม่โกหกหรอก กลัวคนแถวนี้จะเป็นห่วง” มันยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตามองผมอย่างหยอกล้อจนผมต้องเสตาหลบไปมองหมูในข้าวผัดตัวเองแทน



“เออไอ้สัด นอนบ้างอย่าหักโหม”



“ครับ รู้แล้วครับ” มันตอบรับพลางตะเบ๊ะรับผมอีก ไอ้เด็กเวรนี่!



พอกินข้าวเสร็จ ผมก็ไล่ให้เจ้าจอมมันไปนั่งที่โซฟารอผมระหว่างล้างจาน ผมบอกว่าอาหารย่อยแล้วค่อยไปติวกับเพื่อนต่อก็ได้ ตอนแรกมันก็ไม่ยอมหรอกแต่ผมก็ทำตาดุใส่มันนิดหน่อยมันก็เลยยอมทำตามอย่างจำนน



วางจานใบสุดท้ายลงก่อนจะเช็ดไม้เช็ดมือให้แห้งแล้วเดินออกจากครัวเพื่อมาพบว่าไอ้เด็กที่ผมให้มันไปนั่งย่อยอาหารกำลังหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา



ผมเดินเข้าไปมองมันใกล้ๆกันจะเกลี่ยเส้นผมของมันเล่นกระทั่งคนนอนหลับรู้สึกตัวตื่นผมก็ผละมือของตัวเองออก



“ถ้าง่วงก็นอนก่อนแล้วค่อยไปติวต่อพรุ่งนี้ก็ได้”



“ไม่เป็นไรครับ ได้นอนแค่นี้ก็โอเคแล้ว” มันพยุงตัวลุกก่อนจะลูบหน้าลูบตาตัวเอง



“งั้นก็ไปอาบน้ำอาบท่าที่ห้องก่อนแล้วค่อยไป” วิธีนี้อาจจะทำให้มันสดชื่นขึ้นมาได้แต่ก็ไม่มั่นใจหรอกนะครับ ถ้าคนมันจะหลับทำยังไงมันก็หลับอยู่ดี



“ครับ งั้นผมไปก่อนนะ” มันรับคำผมอย่างไม่อิดออดก่อนจะบอกลาไปพร้อมๆกัน



“อืม ขับรถดีๆถ้าไม่ไหวก็นอนพักก่อน”



มันพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาแนบริมฝีปากบนริมฝีปากของผมโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวมันก็ผละออก



“ฝันดีครับ”



จากนั้นมันก็เดินออกจากห้องปล่อยให้ผมนิ่งค้างอยู่คนเดียวแบบนั้น กว่าจะได้สติหัวใจก็เต้นรัวเร็วจนเหมือนจะกระเด็นออกมาจากอกอยู่รอมร่อ..




เหลืออีกไม่ถึงห้าตอนจะจบแล้ววว ขอขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามกันมากๆนะค้าาา ช่วงนี้อาจจะมาช้าหน่อยเน่อเรากำลังเร่งปั่นต้นฉบับอยู่ อีกอย่างกะคือติดดูสตรีมเกมพี่เอกมาก แหะๆ แล้วก็มีหลายคนถามเข้ามาว่าพี่ยีนส์จะได้รวมเล่มหรือเปล่า เดี๋ยวเรื่องนี้เราจะมาแจ้งอีกทีนะคะ ฝากด้วยเด้อจ้าา

#นิติผูกพัน

หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ตัวเลือก- 31/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-01-2019 19:50:21
 :pig4: :pig4: :pig4:

เข้าย่าน "พัฒนาการ" แล้วสินะ
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ตัวเลือก- 31/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 31-01-2019 20:14:58
ใกล้กันมากขึ้นแล้วนะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ตัวเลือก- 31/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-02-2019 03:49:03
รู้สึกชอบไฟแดงขึ้นมาทันที :katai1:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ตัวเลือก- 31/01/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 10-02-2019 17:14:15

ตอนที่ 22

คนที่ต้องเลือก
               

               

เจ้าจอมยังเหลือสอบอีกสองตัวแต่ดีหน่อยที่สองตัวที่เหลือนี้ไม่ได้หนักหนาเท่ากับวิชาแรกๆที่มันสอบ ผมก็เลยบอกให้มันนอนพักผ่อนก่อน ตื่นขึ้นมาผมจะช่วยติวให้ นั่นแหละมันก็เลยยอมนอน จนเย็นป่านนี้ก็ยังไม่ตื่นสงสัยร่างกายคงเพลียจริงๆ



อย่าว่าแต่มันเลย หลังจากที่ผมสอบเสร็จผมก็หลับเป็นตายอยู่ในห้องข้ามวันข้ามคืน พอได้นอนเต็มที่แล้วก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้งและความรู้สึกที่เด่นชัดที่สุดหลังจากตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองสอบเสร็จแล้วนั้นก็โล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ล่ะครับถึงแม้จะทำข้อสอบไม่ได้แต่มันก็โล่งใจที่การสอบมหาโหดในครั้งนี้ได้จบลงแล้ว เดี๋ยวค่อยรวบยอดไปเครียดอีกทีตอนเกรดออกแล้วกัน



ระหว่างที่เจ้าจอมมันกำลังหลับอยู่ ผมก็เตรียมตัวติวให้มันด้วยการอ่านเนื้อหาวิชานั้นและสรุปให้มันเข้าใจง่ายๆอีกที เช็คข้อสอบอีกห้าหกชุดไว้ให้มันทำ เตรียมให้มันเสร็จจนหมดทุกอย่างก็ถึงเวลาที่ต้องเข้าไปปลุกมันในห้องให้ตื่นสักที



สภาพของมันก็เหมือนเด็กที่สอบแล้วไม่ได้หลับไม่ได้นอนซึ่งสภาพของมันก็นับว่าดีกว่าผมในช่วงสอบอยู่มากพอสมควร ผมนั่งลงบนเตียงข้างที่ว่างก่อนจะยื่นมือไปตบแก้มมันเบาๆ



“เจ้าจอม” ลงแรงตบแก้มมันอีกสองสามที “ตื่นได้แล้ว”



“อืม...” มันครางงึมงำ พูดอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ



“พูดว่าไรวะ?” เงี่ยหูเข้าไปฟังใกล้ๆก่อนจะได้ยินเสียงหายใจและเสียงพูดของมันอีกครั้ง



“ขออีกห้านาทีครับ”



ผละออกมามองมันที่หลับต่อก่อนจะดึงผ้าห่มที่ร่นลงไปมาห่มให้มัน เอาเถอะแค่อีกห้านาทีคงไม่เป็นไรปล่อยให้มันพักผ่อนไปก่อน



“ครบห้านาทีแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตา จะได้กินข้าว” ผมสั่งมันก่อนออกจากห้อง ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินสิ่งที่ผมบอกหรือเปล่าแต่เดี๋ยวอีกห้านาทีผมก็จะมาปลุกมันอีกอยู่แล้ว



เมื่อครบห้านาทีตามที่มันได้ร้องขอ ผมก็เดินเข้าไปปลุกมันอีกครั้งในห้องนอนแต่คราวนี้คนที่คิดว่าคงยังไม่ตื่นกำลังนั่งบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงก่อนมันจะเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามาในห้อง



“ขอล้างหน้าก่อนนะครับ” มันว่าเสียงติดแหบ แล้วลุกขึ้นเดินไปยังห้องน้ำ



ผมเดินออกมาข้างนอกอีกครั้ง มานั่งรอมันตรงโต๊ะกินข้าว ไม่กี่นาทีต่อมาเจ้าจอมก็เดินลูบหน้าลูบตาเข้ามานั่งๆลงฝั่งตรงข้ามผม



มันยังคงดูเพลียๆและงัวเงียอยู่แต่สภาพมันตอนนี้ก็บอกได้เลยว่าดีขึ้นกว่าตอนก่อนที่มันจะนอน ในก่อนหน้านั้นสภาพมันเหมือนคนที่จะหลับกลางอากาศให้ได้ ผมเห็นแล้วก็สงสาร เข้าใจมันนั่นแหละเพราะตัวเองก็พึ่งผ่านสภาพนี้มาเมื่อไม่กี่วันก่อนเหมือนกัน ถ้าเกิดมันไม่ได้นอนพัก เจ้าจอมมันอาจจะน็อคไปเลยก็ได้



“ได้นอนแล้วโอเคขึ้นหรือยัง”



มันพยักหน้าหงึกหงักก่อนตอบ “ดีขึ้นเยอะเลยครับแต่ก็ยังมึนๆอยู่”



“อืม กินข้าวเสร็จแล้วก็พักก่อนสักแป๊บนึงแล้วค่อยเริ่มติวต่อ”



“โอเคครับ”



ระหว่างมื้ออาหาร ผมก็พยายามชวนมันคุยเพื่อให้สมองมันเริ่มทำงานและอาจจะช่วยให้มันสดชื่นขึ้นได้ ซึ่งสิ่งที่ผมคิดก็เกิดผลจริงๆ อาจจะไม่ได้มากมายแต่ในตอนนี้มันก็ดูโอเคขึ้น



“ถ้าผมสอบเสร็จแล้วเราไปเที่ยวกันไหมครับ” มันเงยหน้าขึ้นมองผม ก่อนจะกระแอมเบาๆแล้วว่าต่อ “แค่ผมกับพี่...สองคน”



ผมรู้สึกเก้อกระดากอย่างบอกไม่ถูก เสสายตาหลบไปมองอย่างอื่น ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อตั้งสติของตัวเองแล้วหันกลับมาสบสายตากับเจ้าจอมมันอีกครั้ง



“อืม”



ตอบตกลงมันไปหลังจากที่คิดไตร่ตรองไม่ถึงสองนาที มองมันที่ฉีกยิ้มกว้างมาให้จนแทบตาปิด ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหาแล้วผลักหน้าผากคนที่ดีใจออกนอกหน้าไปหนึ่งที



“ไปทะเลกันดีไหมครับ?”



“สอบให้เสร็จก่อนเถอะ”



“ก็ต้องวางแผนกันก่อนสิครับพี่”



ผมถอนหายใจใส่ไอ้เด็กที่ตื่นเต้นเกินเหตุ “เออ ทะเลก็ทะเล”



“จังหวัดไหนดีครับ ทางภาคใต้ก็สวยนะ”



บ๊ะ! ไอ้เด็กนี่ ผมว่าตอนนี้ในหัวมันคงไม่มีเรื่องสอบแล้วล่ะครับ



“ที่ไหนก็ได้”



“งั้นเอาเป็นภูเก็ตดีกว่าครับ ผมเคยไปกับครอบครัวครั้งสองครั้ง สวยดี”



“เออ”



“พักที่ไหนดีครับ เดี๋ยวผมไปหยิบโทรศัพท์มาเปิดหาก่อน”



“เจ้าจอม” ผมรีบเรียกชื่อเพื่อปรามมันไว้เพราะถ้าปล่อยให้มันได้ไปเอาโทรศัพท์มาตอนนี้ล่ะก็คงอีกยาวกับเรื่องไปเที่ยวแน่ๆ



“ครับ?”



ยังจะหันหน้ามาทำหน้างงใส่ผมอีก นี่มันไม่รู้ตัวหรือยังไงวะว่าทำไมผมถึงห้ามมันไว้



“กินข้าวให้หมดก่อน”



พยักพเยิดไปที่จานข้าวของมันที่ยังพร่องลงไปไม่ถึงครึ่งแต่กระนั้นเจ้าของจานข้าวอย่างไอ้คนตรงหน้าจิตใจมันก็ไม่ได้จดจ่ออยู่กับการกินข้าวอีกแล้ว



“อ่า...ครับ” มันพยักหน้าก่อนจะยิ้มแห้งใส่ผมที่ทำตาดุใส่ “ผมรีบไปหน่อย”



บางครั้งมันก็ทำตัวเหมือนเด็ก ทำให้ผมก็อดที่จะเอ็นดูมันไม่ได้



“กินเสร็จแล้วค่อยไป” สั่งกำชับมันอีกครั้ง กลัวมันจะลุกพรวดพราดเหมือนเมื่อกี้อีก นี่ถ้าผมไม่เรียกไว้มันก็คงจะหายไปจากโต๊ะอาหารทันทีเลยล่ะมั้งครับ






เจ้าจอมมันตื่นไปสอบแล้วตั้งแต่เมื่อเช้า ก่อนไปมันยังจะมายุบยิบกับตัวผมอีกแต่ผมก็ได้แต่นอนนิ่งๆเพราะความง่วงนอนที่ไม่สามารถทำให้ผมตื่นมาด่าหรือตอบโต้ไอ้เจ้าจอมมันได้ พอได้ยินเสียงดังฟอดสุดท้ายกับอะไรสักอย่างที่สูดลงบนแก้วตัวเองจากนั้นห้องทั้งห้องก็เงียบไปเลย



ผมหลับไปอีกรอบ ตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาสิบเอ็ดโมง เมื่อคืนผมอาศัยห้องเจ้าจอมมันนอนเพราะต้องอยู่ติวให้กับมัน และคืนนี้ก็คงต้องอาศัยมันอีกคืนเช่นกันเนื่องจากต้องติวสอบให้มันอีกนั่นแหละซึ่งก็เป็นวิชาสุดท้ายของมันในเทอมนี้แล้ว ก็อย่างที่บอกไปว่าสองวิชาสุดท้ายของมันไม่ค่อยหนักเท่าไหร่แต่ก็ดีแล้วล่ะครับไม่งั้นเจ้าจอมมันอาจจะอ่านไม่ทันแน่ๆ



วันนี้เจ้าจอมมันมีสอบครึ่งวันเช้า ส่วนพรุ่งนี้มันมีสอบครึ่งวันตอนบ่าย ผมว่าก็ดีแล้วล่ะมันจะได้มีเวลาอ่านเวลาเตรียมตัวของมันสักหน่อย



เจ้าจอมมันส่งข้อความมาบอกว่าจะซื้อข้าวมาให้ผม แล้วก็บ่นนิดหน่อยที่ผมตื่นสายจนไม่ได้กินข้าวเช้า มีการส่งท้ายอีกว่าซื้อปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ไว้ให้วางไว้ตรงโต๊ะกินข้าวข้างนอก ป่านนี้ไม่รู้ว่ามดจะขึ้นแล้วหรือยัง มันให้ผมไปกินรองท้องก่อนเพราะมันไม่รู้ว่าจะถึงห้องกี่โมง ผมก็ตอบเออออไป จากนั้นก็เดินไปหาน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ที่มันซื้อไว้ให้มากิน



ไม่นานก็เห็นคนเป็นเจ้าของห้องเปิดประตูเข้ามา มือของมันถือถุงของกินข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ถือกระดาษอะไรสักอย่างอยู่ในมือ มันเดินเอาของไปวางไว้ตรงโต๊ะกินข้าวก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆผม ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยพูดอะไร หัวหนักๆของมันก็ทิ้งลงหน้าขาของผมจนผมเกือบจะยกมือที่วางอยู่หน้าขาของตัวเองขึ้นไม่ทัน



“ขอพักแป๊บนึงนะครับ เหนื่อยมากเลย”



อยากจะโวยวายว่าถ้าจะพักก็เข้าไปพักในห้องสิวะแต่ก็ได้แค่เงียบแล้วปล่อยให้มันอาศัยขาของผมเป็นที่นอนไป



“แล้วกินข้าวมาหรือยัง?” ระหว่างนั้นก็ถามมันไปพลางๆ มือไม้ก็ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน งั้นก็วางแหมะไว้ที่หัวมันแล้วกัน



อืม..ผมมันก็ดูนิ่มดี



“ยังครับ รอกินพร้อมพี่” มันตอบทั้งที่เปลือกตายังคงปิดอยู่



ผมพยักหน้าส่วนมือก็เผลอลูบผมมันไปเรื่อยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะลูบนะแต่เข้าใจไหมครับว่าเผลออ่ะ พอเผลอแล้วก็ไม่อยากหยุดก็เลยตามเลยแล้วกัน



“สอบเป็นไงบ้าง”



เสียงมันถอนหายใจดังชัดจนผมชะงักมือ ไอ้ที่ถอนหายใจแบบนี้อย่าบอกนะว่ามึงทำไมได้…



“ผมพลาดไปข้อนึงแต่ข้อที่เหลือก็ทำได้ครับ”



ถึงว่าล่ะทำไมถอนหายใจ “ทำได้ก็ดีแล้ว”



“แต่ก็เสียดายข้อนั้นจริงๆ มันง่ายนิดเดียวแต่ผมดันลืม” มันบ่นพลางขมวดคิ้วมุ่นจนผมต้องเลื่อนมือไปคลึงหัวคิ้วของมันให้



“เอาน่า...” ผมก็ปลอบคนไม่เป็น ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้มันสบายใจดี ได้แต่นวดคลึงหัวคิ้วของมันไม่ให้ขมวดเข้าหากันและพยายามทำให้มันผ่อนคลายไปด้วย



เราเงียบกันไปสักพัก ผมคิดว่เจ้าจอมมันหลับไปแล้วแต่จู่ๆมันก็ถามผมขึ้นมา



“หิวหรือยังครับ”



ลืมไปเลยว่ายังไม่ทันได้กินข้าวด้วยกันทั้งคู่ คงเพราะผมพึ่งกินปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ไปแต่เจ้าจอมมันนี่สิไม่รู้ว่ากินอะไรรองท้องมาบ้างหรือยัง



“อืม ลุกไปล้างหน้าล้างตาก่อน”



พอได้ยินอย่างนั้นมันก็ลุกเข้าห้องมันไปล้างหน้าล้างตาพร้อมกับเปลี่ยนจากชุดนักศึกษามาเป็นชุดธรรมดาใส่อยู่ห้องปกติ



มื้ออาหารมื้อนั้นเรานั่งทานกันเงียบๆ เจ้าจอมมันคงเหนื่อยส่วนผมก็ไม่รู้จะชวนพูดอะไรเพราะไม่ใช่คนที่จะชวนใครพูดเก่งอยู่แล้วด้วยก็เลยได้แต่นั่งเงียบๆ จริงๆมันก็เป็นปกติของพวกผมทั้งสองคนนั่นแหละครับ บางมื้ออาหารถ้าเราไม่มีเรื่องคุยก็จะนั่งเงียบกันแบบนี้ ไม่ได้อึดอัดอะไรเลย



“คืนนี้พี่นอนที่นี่นะครับ”



พอถึงเวลาจะนอนผมก็ทำท่าจะกลับห้องแต่ไอ้เด็กนี่มันกลับรั้งผมไว้ให้อยู่กับมัน ผมก็ขี้เกียจเถียง ยังไงก็นอนมันมาสองสามคืนแล้ว ถ้าจะนอนอีกสักคืนจะเป็นไรไป สุดท้ายก็ต้องเดินไปล้มตัวลงนอนในที่ที่ของตัวเองก่อนเจ้าของห้องอย่างเจ้าจอมจะตามาล้มตัวนอนทีหลัง



“ผมจองรีสอร์ทที่จะไปพักไว้แล้วนะครับ” มันพูดขึ้นมาในความมืด



ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าของมัน “อืม...แล้วตกลงจะไปวันไหน?”



“หลังผมสอบเสร็จประมาณสองสามวันครับ”



“พักกี่วันล่ะ?”



“สามวันสองคืนครับ”



“ถามกูยัง?” ผมหันไปหามันก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นแต่ไม่รู้มันเห็นหรือเปล่าแต่หน้ามันตอนนี้ที่หันมาหาแล้วยิ้มให้ก็คงจะรู้



“ถามทำไมล่ะครับในเมื่อผมรู้อยู่แล้วว่าพี่ไม่ปฏิเสธผมแน่”



“มั่นใจขนาดนั้นเลย”



“แน่นอนครับ” น้ำเสียงมันทะเล้นจนอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วมาดีดหน้าผากมัน มันร้องโอดโอยกุมนิ้วที่ผมใช้ดีดหน้าผากมันไว้หับมือของตัวเอง พอจะสะบัดออกก็ไม่ยอมปล่อย



“สำออยจริงมึง”



มันขำกับคำด่าที่ไม่จริงจังของผมก่อนเราจะเงียบกันไปอีกครั้งและเป็นมันที่พูดขึ้นทำลายความเงียบ



“พอถึงวันนั้น...ผมมีเรื่องจะบอกพี่ด้วยครับ” น้ำเสียงงมันจริงจังและถึงแม้จะมืดผมก็ยงรู้สึกถึงสายตาของันที่กำลังจับจ้องผมอยู่ “ผมว่ามันถึงเวลาที่ผมกับพี่ต้องคุยกันสักที”



ผมเงียบไปอึดใจก่อนจะตอบรับมัน “อืม”



คงจะถึงเวลาแล้วที่เราสองคนควรจะพูดถึงความสัมพันธ์และวางสถานะของกันและกันให้ชัดเจนสักที...






ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเหมือนมีคนคุยกันอยู่แว่วๆ มือควานหาไปข้างๆตัวก็พบแต่ความว่างเปล่า สงสัยเจ้าจอมมันคงตื่นไปคุยโทรศัพท์ล่ะมั้งครับ ไอ้เสียงแว่วๆก็คงเป็นเสียงของมัน แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าได้ยินเสียงของผู้หญิงด้วยวะหรืออาจจะคิดไปเองมั้ง



นอนโอ้เอ้อยู่บนที่นอน กลิ้งไปกลิ้งมาจนผ้าห่มพันตัวสักพักก็ลุกขึ้นนั่ง กว่าจะสะบัดผ้าห่มออกจากตัวเองได้ก็ใช้เวลานานอยู่ ไม่น่าม้วนตัวเล่นแล้วเอามาพันตัวเองเลย



ผมลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำให้เรียบร้อย กะว่าจะออกไปบอกไอ้เจ้าจอมว่าผมจะกลับห้องไปอาบน้ำสักหน่อยแล้วจะมากินข้าวด้วยแต่ก็ไม่คิดเลยว่าพอเดินไปเปิดประตูออกเพียงนิดเดียวผมจะเห็นสิ่งที่ตัวเองไม่คิดเลยว่าจะได้เห็น



ภาพที่อิงค์ผละออกมาจากอ้อมกอดของเจ้าจอมและจากนั้นไม่นานผมก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังจูบกัน



ผมไม่ใช่คนที่ต้องทนยื่นนิ่งๆเพื่อมองภาพแบบนั้น ภาพที่ตัวเองไม่สมควรมาเห็นและภาพที่ทำให้ผมตาสว่างมากขึ้น ตอนแรกผมก็คิดไปเองว่าตัวเองคงเป็นฝ่ายที่ต้องเลือกแต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายคนที่ต้องมาเลือกจริงๆก็คือเจ้าจอม ผมไม่เคยรู้เลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมจะเป็นเพียงแค่ตัวเลือกของมัน



ผมก้าวฉับๆเดินออกจากห้องนอน ผ่านคนทั้งสองคนที่อยู่หน้าโซฟา ผมไม่ได้สนใจจะหันไปมอง ในเมื่อเจ้าจอมมันเลือกแล้ว ผมจะไปสนใจมันทำไมอีก ในเมื่อผมไม่ใช่คนที่มันเลือกแล้วผมจะอยู่ไปเพื่ออะไร



“พี่ยีนส์!”



เสียงของมันยังคงเรียกชื่อผมไม่หยุด ผมทำใจแข็งเดินออกมาจากห้องของมัน รู้ตัวว่าตอนนี้มันกำลังวิ่งตามผมมาแต่มันก็ตามไม่ทันในเมื่อผมกำลังปิดประตูใส่หน้าของมันอยู่



“พี่!..มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะ”



ผมไม่ได้ตอบโต้ นอกจากเดินไปนั่งที่โซฟา เหม่อลอยไปกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมไม่ทันได้ตั้งตัวว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง ใจผมไม่อยากจะเชื่อแต่ภาพที่เห็นมันก็ทำให้ผมเชื่อได้อย่างสนิทใจ ผมรู้ว่าตัวเองคงทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่ผมกลัวก่อนหน้านั้นคือใครสักคนต้องเจ็บแต่ไม่เคยคิดเลยว่าสุดท้ายคนที่เจ็บจะเป็นผมเอง...



เสียงของเจ้าจอมเงียบลงไปแล้วแต่แทนที่ด้วยเสียงโทรศัพท์และเสียงกดกริ่งหน้าห้องของผมที่ดังไม่หยุด ไม่รู้ว่าจะบอกว่าโชคดีได้หรือเปล่าที่ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากห้องมันทันทีหลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ผมคิดไม่ออกเลยว่าถ้าตอนนี้ผมลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องมันจะเป็นยังไง



ไม่ใช่แค่เรื่องโทรศัพท์ที่ผมคิดไม่ออก ตอนนี้ทุกอย่างในสมองผมตื้อไปหมด รับรู้เพียงความเสียใจที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด ผมไม่รู้ว่าทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ ผมไม่เคยนึกเอะใจเรื่องระหว่างอิงค์กับเจ้าจอมเลยสักนิด



ผมเหมือนคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยนอกจากเอาแต่สนใจเรื่องของตัวเอง จนสุดท้ายสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้นและเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาจนผมทำตัวไม่ถูก ทำได้เพียงถอยออกมาจากคนทั้งสองที่คงจะมีความรู้สึกตรงกัน ผมไม่ควรอยู่ตรงนั้นและไม่เคยเลยที่จะได้อยู่ตรงนั้น มันเป็นอีกคนมาตลอด ผมแค่คิดไปเองและเข้าใจผิดไปเอง ระหว่างแฟนเก่ากับผมที่เป็นเพียงคนแปลกหน้าก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามันจะเลือกใคร เรื่องทุกอย่างมันก็แค่ความสับสนของผมกับมันที่ใกล้ชิดกันและผูกพันกันเท่านั้นเอง



กระบอกตาเริ่มร้อนผ่าวเมื่อคิดได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงแค่ความสับสน ซบหน้าลงกับฝ่ามือของตังเองก่อนจะรู้สึกถึงความเปียกชื้น ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดที่ต้องร้องไห้แต่ไม่รู้ทำไมแค่คิดว่าที่ผ่านมามันไม่ใช่ความจริง ผมก็รู้สึกว่าทุกอย่างตรงหน้าพังทลายลงแบบไม่มีสิ้นดี



ใจผมพังตั้งแต่เห็นเจ้าจอมมันยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้อิงค์แล้ว ยิ่งผมคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วผมเป็นอะไรสำหรับมันกันแน่หรือมันคิดจะเก็บเอาไว้ทั้งสองคน แล้วที่ผ่านมาที่มันพูดออกมาล่ะคืออะไร มันแค่คำโกหกที่หลอกให้ผมดีใจและอยู่ในวังวนของมันใช่หรือเปล่า



สมองผมตื้อไปหมด...คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง



ตอนนี้มีเพียงน้ำตาที่ไหลลงมาเงียบๆเท่านั้น...




หายไปนานเลย ขอโทษเด้อ เราไม่ว่างเลย
#นิติผูกพัน
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -คนที่ต้องเลือก- 10/02/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-02-2019 17:37:19
 :pig4: :pig4: :pig4:

่อ่าววว  ไหงโผล่มาเสริฟมาม่าซะงั้น
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -คนที่ต้องเลือก- 10/02/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-02-2019 19:30:08
มันเกิดอิหยัง  :hao4:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -คนที่ต้องเลือก- 10/02/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-02-2019 21:19:45
อ้าว ไหงเป็นงี้ไปได้
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -คนที่ต้องเลือก- 10/02/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 22-03-2019 16:47:46

ตอนที่23

ความคิดถึง



หลังจากเกิดเรื่องวันนั้น วันถัดมาผมก็กลับบ้านของตัวเอง ผมไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดีแค่รู้สึกว่าผมต้องออกมาให้ห่างๆจากที่ตรงนั้น ผมไม่อยากแม้กระทั่งรับรู้ว่ามันอยู่ใกล้ๆผม บางทีการออกมาจากที่ตรงนั้นอาจจะทำให้ผมดีขึ้น



ผมรู้ดีว่าผมเสียใจ ผมหวังมากว่าสุดท้ายเราจะมีความสุขกันแต่นั่นแหละ ในเมื่อเราคาดหวังมากและไม่คิดว่าผลของความผิดหวังจะเป็นยังไง สุดท้ายก็กลายเป็นว่าผมต้องมานั่งเสียใจกับความรู้สึกที่ตัวเองให้กับมันไป ไม่ได้เผื่อใจสักนิดเลยว่าตัวเองจะเสียใจ



ตอนแรกผมก็คิดเอาเองว่าการกลับบ้านจะทำให้ผมหยุดคิดเรื่องของมันได้แต่ก็เปล่าเลยในเมื่อครั้งไหนที่ผมไม่มีอะไรทำหรือต้องอยู่คนเดียว ผมก็เอาแต่นั่งคิดเรื่องของมันทุกครั้งไป ไม่รู้สิครับ ผมพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเอามันออกไปจากความคิดของผมได้เลย บางทีผมก็รู้สึกเหนื่อยแต่จะทำยังไงได้ก็เรื่องมันพึ่งเกิดขึ้น จะให้หายวันนี้เลยมันก็คงไม่ได้หรอก



“พี่ยีนส์” ผมหันไปมองไอ้แยมน้องชายคนเดียวของผมที่ยืนเรียกผมอยู่ข้างหลังก่อนมันจะก้าวฉับๆเข้ามาหาผมที่นั่งอยู่ในสวนของบ้าน



“มีไร?”



“แม่เรียกอ่ะ”



“อืม” ผมทำเพียงตอบรับก่อนจะลุกขึ้นแต่ไอ้แยมน้องผมมันกลับคว้าข้อมือผมไว้ ผมหันไปมองมันที่กำลังจ้องผมอยู่ “มีอะไร?”



แยมมันมองสำรวจผมจนมันพอใจก็ตอบในสิ่งที่ผมสงสัย “ตั้งแต่พี่กลับมาบ้านก็ดูไม่ค่อยร่าเริงเลยอ่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า?”



ผมส่ายหน้า ยกมือขึ้นตบบ่ามันแล้วยิ้มให้ “เปล่าหรอก กูไปหาแม่ก่อน”



มันเหมือนจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมบอกแต่มันก็ไม่ได้ถามอะไรผมอีก “อือ ไปเถอะแม่รออยู่ที่ห้องทำงานนะ”



ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องทำงานของแม่ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะเพื่อขออนุญาตเข้าไปข้างใน ได้ยินเสียงแม่บอกให้เข้าไปได้ผมจึงบิดลูกบิดแล้วเดินเข้าไป ภายในห้องของแม่มีตู้หนังสือตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบและเรียบร้อย แบ่งเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจนตามประสาคนเจ้าระเบียบ



ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆแม่บนโซฟาตัวนุ่มที่แม่มักใช้อ่านหนังสือก่อนจะยิ้มให้ท่านแล้วเริ่มพูดเข้าเรื่องทันทีโดยไม่รอให้เสียเวลา



“แม่มีอะไรจะคุยกับผมครับ?”



แม่ไม่ได้ตอบคำถามผมทันที แม่ทำเพียงยื่นมือขึ้นมาลูบหัวผมก่อนจะเลื่อนลงมาลูบหน้าลูบตาของผมแผ่วเบา ผมเอียงแก้มรับกับฝ่ามือแม่โดยที่นิ้วโป้งของแม่ก็คอยเกลี่ยแก้มให้ผมเบาๆ



“ลูกมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” น้ำเสียงของแม่แสดงถึงความเป็นห่วงจนผมอดไม่ได้ที่จะโผเข้าไปกอดแม่แน่นพร้อมกับซุกหน้าลงบนอกท่านเหมือนเมื่อครั้งยังเด็กที่ผมมักจะทำแบบนี้บ่อยๆ



“ผมดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ผมพูดเสียงอู้อี้อยู่กับอกของแม่ คลายอ้อมกอดออกเพียงนิดเพื่อไม่ให้แม่อึดอัดจนเกินไป



มือของแม่คอยลูบหลังลูบหัวผมเป็นระยะในขณะที่ผมก็นิ่งเงียบรอฟังสิ่งที่แม่จะพูด



“ลูกรู้ตัวหรือเปล่าว่าตั้งแต่กลับมาลูกดูไม่ค่อยมีความสุขเลยนะ”



ผมไม่คิดว่าอาการของผมมันจะชัดเจนขนาดที่ทั้งน้องชายและแม่ของผมต้องพูดทักเหมือนกันขนาดนี้ ตลอดเวลาผมคิดว่าตัวเองเก็บอาการได้ดีมาตลอดแต่ไม่ใช่เลยในเมื่อคนในครอบครัวของผมไม่ได้คิดแบบนั้นและทุกคนก็รู้ดีว่าผมรู้สึกไม่โอเค



“ผมมีเรื่องก่อนกลับบ้านนิดหน่อยครับ” ผมยังไม่พร้อมที่จะเล่าอะไรให้ครอบครัวฟังตอนนี้ ในเมื่อเรื่องนี้มันจบไปแล้ว ผมก็ไม่อยากจะรื้อฟื้นหรือพูดถึงปล่อยให้มันผ่านไปเงียบๆแบบนี้ก็คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว “แต่มันจบแล้วล่ะครับ ผมไม่เป็นอะไรหรอก”

ผมผละออกจากอ้อมกอดแม่ มองหน้าของท่านก่อนจะยิ้มให้ว่าตัวผมเองไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆตามที่บอกไว้ แม่มองหน้าผมนิ่งก่อนจะพรูลมหายใจออก



“แม่จะเชื่อลูกก็แล้วกัน” แม่ผมก็เป็นแบบนี้ ท่านจะไม่เซ้าซี้หรือถามอะไรมากมายหากว่าผมไม่อยากเล่า ท่านเคารพในการตัดสินใจของลูกๆเสมอ ผมก็เลยรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้คุยกับท่าน “แต่ถ้ามีอะไรก็บอกแม่นะ ถึงแม่จะช่วยอะไรได้ไม่มากแต่แม่จะคอยเป็นผู้รับฟังที่ดีให้” ท่านว่าแล้วขำอย่างอารมณ์ดี



ผมหลุดขำไปกับแม่ก่อนที่จะยกมือขึ้นพนมไหว้บนอกของแม่ “ขอบคุณแม่นะครับที่เข้าใจผม”



 “ยีนส์” แม่เรียกผมขึ้นอีกครั้ง



“ครับแม่”



“แม่อยากให้ลูกรู้ไว้นะว่าทุกคนที่บ้านจะคอยรับฟังลูกเสมอ ถ้าเกิดลูกมีอะไรไม่สบายใจก็ระบายกับครอบครัวได้ แม่กับพ่อจะคอยรับฟังลูก ส่วนแยมมันก็ห่วงลูกมากนะ เอาแต่บอกให้แม่มาถามลูกว่าเป็นอะไรทำไมถึงดูไม่ค่อยมีความสุขเลย ทุกคนในบ้านรักและห่วงลูกนะ”



ผมพยักหน้าก่อนจะพนมมือไหว้กราบลงบนอกแม่ “ครับผมรู้ แต่เรื่องนี้ผมจะจัดการด้วยตัวผมเอง แม่เข้าใจผมนะครับ”



“อืม แม่เข้าใจลูกจ้ะ”



“ขอบคุณที่เข้าใจผมเสมอนะครับ”



แม่พยักหน้ารับ “ไปได้แล้วล่ะ ป่านนี้เจ้าแยมมันคงจะอยากรู้เรื่องเต็มแก่แล้ว”



“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับแม่”



“จ้ะ”



ผมเดินออกมาจากห้องแม่ด้วยความรู้สึกสบายใจมากกว่าก่อนหน้านี้ ความคิดผมเบาโหวงลง ไม่อึดอัดเหมือนในตอนแรก ผมไม่อยากเห็นคนที่ผมรักต้องเป็นห่วงเพราะผมไม่มีความสุข ในเมื่อผมเลือกที่จะกลับบ้านเพื่อมาลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ผมก็ต้องค่อยๆยอมรับกับสิ่งที่ได้เจอ ตลอดเวลาผมเอาแต่คิดว่าจะลืมแต่ไม่ได้คิดเลยว่าการยิ่งคิดแบบนั้นก็เหมือนกับการยึดติดและยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น



พอได้คุยกับแม่ ถึงแม้จะไม่ได้คุยอะไรกันมากมายแต่ก็สามารถทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่าการยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว



“คุยไรกับแม่อ่ะ”



ผมผงะเมื่อจู่ๆไอ้แยมน้องชายผมมันก็โผล่พรวดพราดออกมาจากข้างตู้เก็บของซึ่งไม่ห่างจากห้องแม่เท่าไหร่ ดูหน้าตาก็รู้เลยว่าอยากรู้อยากเห็นแค่ไหน และไม่ผิดจากที่แม่พูดไว้ว่าไอ้แยมมันคงรอฟังเรื่องของผมอยู่



“แอบฟังไม่ได้ยินหรือไง” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นผลักหัวมันด้วยความหมั่นไส้ปนเอ็นดูกับความอยากรู้อยากเห็นของน้องชายตัวเอง



“ถ้าได้ยินผมก็คงไม่ถามพี่หรอก”



ดูสิครับดูมันตอบผม นี่ถ้าไม่เห็นเป็นน้องผมด่าไปแล้วนะ



“เออ ไม่มีไรหรอก เรื่องผู้ใหญ่เด็กไม่ต้องรู้” ผมเลี่ยงไม่ตอบคำถามมันแต่ไอ้แยมมันก็ยังคงไม่ละความพยายาม เดินปาดหน้าปาดหลังจนผมต้องเขกกะโหลกมันไปอีกรอบ นี่ถ้าพ่อเห็นว่าผมทำแบบนี้กับน้อง ผมคงโดนด่าเละเพราะพ่อเคยบอกว่าอย่าไปเขกหัวน้องสมองน้องจะไม่ดี ผมก็ว่าอาจจะจริงตามที่พ่อพูดนั่นแหละเพราะไอ้แยมตอนนี้ก็อาการคล้ายๆแบบนั้นเลย



“นี่ผมก็สิบเจ็ดแล้วป่ะ เอาที่ไหนมาเด็กวะ” มันยังคงเถียงผมไม่เลิก



“เอองั้นเอาไว้สี่สิบกูจะเล่าให้ฟังแล้วกัน”



“โหยยย...ไรอ่ะ” มันโอดครวญ “นานขนาดนั้นผมคงลืมไปแล้วมั้งพี่”



“เออก็ช่วยไม่ได้” ผมยิ้มขำกับหน้ามู่ทู่ของมัน “ไปหาไรกินหน้าปากซอยป่ะ?”



“พี่เลี้ยงนะ” เนี่ยพอพูดถึงเรื่องกินก็ลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้มันยังโอดครวญอยากจะรู้เรื่องของผมให้ได้



ไอ้แยมนี่มันไอ้แยมจริงๆเลย



ผมนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์ไอ้แยมมาหาอะไรกินหน้าปากซอยซึ่งจะมีพวกร้านขายอาหารและของกินเล่นต่างๆขายอยู่เต็มไปหมด เวลากลับมาบ้านทีไรผมก็น้ำหนักขึ้นเพราะของกินพวกนี้ทุกที ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับแต่ละอย่างมันก็อร่อยทั้งนั้นเลยนี่หว่า



“มีร้านโตเกียวพึ่งมาเปิดใหม่ด้วยแหละพี่ อร่อยนะผมกินแล้ว” ไอ้แยมมันก็คอยสาธยายร้านที่พึ่งมาเปิดใหม่ให้ผมฟัง ระหว่างที่กำลังเดินผ่านร้านขายของกินต่างๆ มันทำเหมือนตัวเองเป็นไกด์นำเที่ยวกำลังพาผมซึ่งก็คงเป็นนักท่องเที่ยวเดินแนะนำสิ่งต่างๆที่ผมยังไม่เคยเห็น



เราเดินมาหยุดหน้าร้านขายโตเกียวที่ไอ้แยมมันบอกว่าพึ่งมาเปิดใหม่เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วและมันก็พึ่งได้ลองชิมไปเมื่อไม่กี่วันก่อน มันบอกว่ากินครั้งแรกก็ติดใจ ทุกๆวันมันก็มาซื้อกับเขาตลอดจนตอนนี้มันบอกว่าเจ้าของร้านยกให้มันเป็นลูกค้าประจำไปแล้ว



“หวัดดีพี่ วันนี้ผมพาพี่ชายมาอุดหนุนด้วยนะ” มันทักทายพ่อค้าร้านโตเกียวอย่างสนิทสนม เป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ขนาดผมกลับบ้านมาคำว่าสวัสดีของไอ้แยมผมก็ยังไม่เคยได้ยินเลย งงมากในจุดๆนี้



“อ้าวน้องแยม ดีเลยพี่จะได้มีลูกค้าเพิ่ม” พ่อค้าก็ตอบกลับอย่างเป็นมิตรพร้อมกับยิ้มทักทายให้ผมต้องยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน



“วันนี้เอาเหมือนเดิมนะพี่” ไอ้แยมมันก็สั่งโตเกียวของมันไปเสร็จสรรพแล้วหันมาหาผม “พี่เอาไรอ่ะ?”



ผมนิ่งคิด จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าครั้งล่าสุดที่ได้กินโตเกียวคือตอนไหน ตอนนี้ก็เลยเงอะงะไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรยังไงดี



“เอาเหมือนมึงนั่นแหละ” ผมว่าง่ายๆ



“โอเค” มันพยักหน้าหงึกหงัก “เอาแบบผมเพิ่มอีกชุดนะพี่”



“ได้ครับ นั่งรอตรงเก้าอี้กันก่อนนะ” พ่อค้ารับคำก่อนจะชี้ไปยังเก้าอี้สามสี่ตัวที่ตั้งอยู่ข้างๆ “รอไม่นานแต่ร้อนนิดหน่อยนะวันนี้”



“จริงพี่ ร้อนมาก” ไอ้แยมมันรับคำแล้วก็พูดแจ้วๆอยู่กับเขา ไอ้ผมที่ไม่รู้จะยืนอยู่ตรงนี้ทำไมก็เดินไปนั่งตรงเก้าอี้ข้างๆร้าน มองรถแล่นไปมาบนถนน



ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่บ้านก็มีไอ้แยมนี่แหละครับที่พาผมไปนู่นไปนี่ตลอด บางวันผมก็เป็นคนชวนแต่บางวันมันก็เป็นคนชวนผมและผมก็ไม่เคยปฏิเสธเพราะผมคิดว่าการได้ออกไปเที่ยวเล่นหรือได้จดจ่อกับอะไรสักอย่างมันจะทำให้ผมไม่ต้องไปนึกถึงเรื่องของใคร



ผมรู้ว่าการเอาแต่เศร้าและคิดถึงเรื่องนั้นมันไม่ดีต่อตัวผมแน่ๆแต่ผมก็ยังคงเลิกคิดไม่ได้ ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องมันถึงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ ถ้าหากเจ้าจอมมันจะอธิบายหรือบอกผมสักคำผมจะไม่ว่าเลยแต่มันไม่เคยคิดจะทำแบบนั้นจนกระทั่งมันเกิดเรื่องขึ้นและผมก็รับรู้ได้ด้วยตัวเอง ผมรู้สึกผิดหวังกับมันมากและไม่รู้ว่าผมจะมองหน้ามันได้หรือเปล่าหากได้เจอกันอีกครั้ง



ส่วนอิงค์ผมก็เคยรู้สึกผิดกับน้องที่ให้ความหวังทั้งที่ใจของผมรู้ดีว่าต้องการใคร ตั้งแต่ผมรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรผมก็พยายามห่างจากอิงค์ให้มากขึ้นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาผิดใจกันทีหลังแต่ใครมันจะไปคิดว่าเรื่องมันกลับตาลปัตรจนผมเองก็ตั้งรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ทัน



“พี่ยีนส์!”



ผมสะดุ้งตกใจเมื่อจู่ๆไอ้แยมมันก็เรียกผมเสียงดังอีกทั้งยังตบหลังผมเต็มแรงจนรู้สึกแสบๆคันๆไปหมด



“อะไรของมึง” ขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจพร้อมกับลูบหลังตัวเองเพื่อบรรเทาความเจ็บ



“ผมเรียกพี่ตั้งนานแล้วพี่ไม่ได้ยินนี่หว่า ไม่รู้ว่านั่งเหม่ออะไรอยู่” มันว่าแต่ก็ยังพอมีสำนึกอยู่บ้างที่พอเห็นผมเอามือลูบหลังมันก็มาช่วยผมด้วย “ขอโทษทีพี่ เจ็บมากเหรอ?”



“ก็เออสิวะ” ผมตอบมันไป “แล้วเรียกพี่ทำไม มีอะไร?”



“โตเกียวเสร็จแล้ว ผมเรียกพี่ให้จ่ายเงินไง” มันพยักพเยิดไปยังพ่อค้าที่ยืนยิ้มให้พวกผม ส่วนในมือไอ้แยมก็มีถุงโตเกียวอยู่ในมือสองถุง



“เออๆ”



ผมล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบแบงค์ร้อยยื่นให้พ่อค้าก่อนจะยืนรอเงินทอนไม่นานเขาก็ทอนคืนมาให้ พอกำลังจะหันไปบอกกับไอ้แยมว่ากลับบ้านกันแต่ผมก็ไม่พบตัวมันแล้ว ไม่รู้ว่าหายหัวไปไหนของมัน ถ้าให้ผมเดามันก็คงจะเดินไปร้านชานมไข่มุกร้านประจำมันนั่นแหละครับ



“วันหลังมาอุดหนุนอีกนะครับ” ก่อนจะเดินไปตามหาไอ้น้องชาย พ่อค้าโตเกียวก็พูดขึ้นพร้อมส่งยิ้มมาให้ ไอ้ผมก็ได้แต่ผงกหัวรับพร้อมรอยยิ้มแล้วจึงเดินไปตามหาไอ้แยมที่ร้านชานมไข่มุก






หลังจากนั่งกินข้าวและพูดคุยกับพ่อแม่หลังทานข้าวเสร็จแล้ว ผมก็ขอตัวขึ้นมาอาบน้ำบนห้องของตัวเอง วันนี้ไอ้แยมมันพาผมไปไหนของมันก็ไม่รู้ทั้งวันแต่ผมก็ไม่ได้ไม่อยากไปหรอกครับแค่อยากบ่นนิดหน่อยเท่านั้นแหละ แถมอากาศก็ร้อนฉิบหายเหนียวตัวไปหมดแล้วด้วย



พออาบน้ำเสร็จผมก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน เพลียทั้งแดดทั้งไอ้แยมแต่ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่เลยเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่น



สิ่งแรกที่ผมเปิดหน้าจอขึ้นมาเห็นคือสายที่ไม่ได้รับและข้อความมากมายของเจ้าจอมที่ส่งมาหาผมทุกวันหลังจากวันนั้น ผมไม่เคยเปิดอ่านและเลือกที่จะปัดทิ้งทุกครั้ง ผมเคยจะบล็อกมันไปหลายครั้งแล้วแต่สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้ คงเป็นเพราะเรื่องมันยังคงค้างคาและยังไม่เคลียร์สักเท่าไหร่ ในใจลึกๆผมก็อยากจะฟังมันอธิบายนะแต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะพูดคุยหรือเจอหน้ามันเลย



ผมยอมรับว่าผมยังคงคิดถึงมันตลอดแต่สิทธิ์ของผมก็คงทำได้แค่นี้แหละครับ ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้แล้วในเมื่อเจ้าจอมมันก็มีอิงค์ไปแล้ว



ยิ่งได้อยู่คนเดียวผมก็ยิ่งคิดมาก คิดไปเรื่อยและคิดเป็นตุเป็นตะ บางครั้งผมก็เอาแต่คิดเรื่องของมันกระทั่งหลับไปเลยก็มี ก็อย่างว่าเรื่องมันก็พึ่งจะเกิดขึ้น ผมคงลืมไปง่ายๆไม่ได้หรอก ผมทำได้แค่ทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นและต้องอยู่กับความรู้สึกนี้ให้ได้เท่านั้นแหละ มันอาจจะยากหน่อยแต่ผมเชื่อว่าผมสามารถผ่านมันไปได้แน่นอน



ผมไม่ใช่คนที่จะจมอยู่กับความเศร้าและเอาแต่ฟูมฟาย ผมเสียใจแน่ๆล่ะแต่ถ้ามัวแต่ฟูมฟายทุกอย่างมันอาจจะแย่ลงก็ได้ ไม่ใช่แค่ผมที่แย่แต่พ่อแม่และน้องของผมก็อาจจะเป็นห่วงผมและทำให้ทุกคนกังวลไปกับผมด้วย ผมจึงต้องเข้มแข็งเพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องของผม



ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะผม มันก็ต้องจบลงที่ผมเช่นกัน ผมไม่ยอมให้คนอื่นมาทุกข์ใจกับผมด้วยแน่ๆเพราะถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงจะยิ่งรู้สึกไม่ดีมากกว่า



อาทิตย์หน้าก็จะเป็นวันขึ้นปีใหม่แล้วด้วย ทุกปีผมจะนัดกับเพื่อนเพื่อไปเคาท์ดาวน์ด้วยกันแต่ปีนี้ผมรู้สึกอยากอยู่กับครอบครัวมากกว่าจึงปฏิเสธคำชวนของพวกมันไปและจัดทริปสั้นๆวันปีใหม่กับครอบครัว ตอนที่พ่อกับแม่รวมไปถึงไอ้แยมรู้ว่าปีนี้ผมจะอยู่ด้วยทุกคนก็ตกใจกันยกใหญ่แถมยังมาหาว่าผมอำเล่นอีก ผมก็ได้แต่ขำแล้วบอกทุกคนว่าปีนี้ผมจะอยู่ด้วยจริงๆ นั่นแหละพ่อเลยให้ไอ้แยมมันหาที่เที่ยวใกล้ๆเพื่อจัดทริปฉลองสั้นๆในวันปีใหม่ด้วยกัน



แค่ได้นึกถึงครอบครัวผมก็รู้สึกดีขึ้นมา อย่างที่หลายๆคนเคยบอกผมว่า วันหนึ่งถ้าเราไม่มีใครก็ยังคงมีครอบครัวที่ยังอยู่กับเรา ครอบครัวของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปแต่สำหรับครอบครัวของผมเมื่อได้อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ก็มีความรู้สึกอบอุ่นใจและมีความสุขทุกครั้ง เวลาผมต้องการใครก็จะมีครอบครัวนี่แหละครับที่จะอยู่กับผมเสมอ



ยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งฟุ้งซ่านไปไกล ผมกดปิดโทรศัพท์วางไว้ข้างหัวเตียงก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำและจัดการปิดไฟในห้องเพื่อเตรียมนอนสักที ตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อแล้วด้วย






เจ้าจอม Part



ผ่านมาหลายวันแล้วที่ผมไม่ได้เจอพี่ยีนส์ ผมพยายามทำทุกวิถีทางที่จะได้ไปเจอเขาแต่เขาก็ปิดกั้นผมหมดทุกทาง ผมอยากจะอธิบายให้พี่ได้เข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เขาก็ไม่อยู่ให้ผมอธิบาย ผมรู้และเข้าใจดีว่าหากใครเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เช่นกัน ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วผมก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ผมก็แค่อยากจะขอโอกาสให้ตัวเองได้อธิบายกับพี่ยีนส์สักครั้ง แล้วสุดท้ายผลลัพธ์มันจะเป็นยังไงผมก็จะเป็นคนรับมันไว้เอง



ตอนนี้ผมกระวนกระวายไปหมด อยากจะเจออยากจะพูดคุยกับเขาให้เขาได้เข้าใจแต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมร้อนใจไปหมดว่าพี่ยีนส์เขาจะไม่ยอมมาเจอผมแล้ว ถ้าหากมันจะเป็นแบบนั้นผมจะทำอะไรได้ล่ะครับยิ่งผมดื้อรั้นไปก็กลัวเขาจะรำคาญแล้วเกลียดขี้หน้าผม ถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆผมไม่ยอมแน่ ผมไม่อยากให้เขาต้องเกลียดผมเลย



“จอมกินข้าวได้แล้ว”



“ผมไม่หิวเลยพี่”  ผมตอบพี่ภูมิใจที่พึ่งเดินออกมาจากครัว



ตั้งแต่วันนั้นที่เกิดเรื่องและผมได้รู้ว่าพี่ยีนส์กลับบ้านไปแล้วจึงได้พาตัวเองมาหาพี่ภูมิใจที่อยู่อีกจังหวัดนึง พี่ถามผมตั้งแต่เห็นหน้ากันเลยว่าทะเลาะกับพี่ยีนส์ใช่ไหม ผมไม่รู้ว่าพี่รู้ได้ยังไงแต่ผมก็บอกพี่ตรงๆว่าใช่และอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่ฟังทั้งหมดซึ่งพี่ภูมิใจเมื่อได้ฟังจบแล้วเขาก็เงียบไปสักพักก่อนจะบอกผมว่าผมต้องให้เวลาพี่ยีนส์ได้คิดก่อนและเมื่อถึงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างพร้อมแล้วก็ค่อยกลับมาเคลียร์กันดีกว่า



ผมฟังในสิ่งที่พี่บอกทั้งหมดเพราะในตอนนี้พี่คือที่พึ่งเดียวของผมแล้วจริงๆและผมก็เชื่อว่าพี่ภูมิใจสามารถให้คำปรึกษาและคำแนะนำดีๆให้กับผมได้ บางวันจะมีพี่ณะแวะมาพูดคุยกับผมด้วยและพี่เขาก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นซึ่งผมเป็นคนเล่าให้เขาฟังเอง พี่ณะแนะนำผมเหมือนอย่างที่พี่ภูมิใจแนะนำและเสริมอีกว่าให้ผมไปคุยกับอิงค์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย  แม้อิงค์จะไม่รู้เรื่องผมกับพี่ยีนส์แต่หลังจากเกิดเรื่องอิงค์ก็ควรจะรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคืออะไร ผมไม่จำเป็นต้องบอกเขาทั้งหมดแค่ผมต้องเคลียร์ให้เขาเข้าใจว่าจริงๆแล้วผมกับพี่ยีนส์นั้นรักกัน



ใช่อยู่ว่าอิงค์ก็รู้แล้วว่าผมปฏิเสธความรักอิงค์แน่ๆแต่กับเรื่องพี่ยีนส์อิงค์ไม่เคยรู้มาก่อนผมจึงต้องบอกเรื่องนี้กับอิงค์ วันนั้นผมไม่ได้อธิบายอะไรให้อิงค์ฟังเพราะผมกำลังวุ่นวายใจอยู่แต่กับเรื่องของพี่ยีนส์ลืมคิดไปถึงอิงค์ที่ยืนร้องไห้เงียบๆอยู่ในห้อง ผมบอกให้อิงค์กลับไปก่อนและอิงค์ก็ฟังผมหลังจากนั้นผมกับอิงค์ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย



“แล้วส่งข้อความไปหายีนส์มันตอบกลับหรือเปล่า?”



ทุกๆวันผมจะคอยส่งข้อความไปหาพี่ยีนส์และจะโทรไปหาเขาบ้าง ผมแค่หวังว่าอาจจะมีสักวันที่เขารำคาญและตอบกลับข้อความไม่ก็รับสายผมแต่ผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเขาคงไม่ทำแบบนั้นแน่นอนแต่ในเมื่อเขาไม่ได้บล็อคช่องทางติดต่อผมก็ยังพอมีหวัง



“ไม่เลยครับ”



“อีกอาทิตย์เดียวก็เปิดเรียนแล้วจะทำยังไงต่อ?”



“ถ้าเปิดเรียนแล้วผมจะไปหาเขาครับ”



“แล้วถ้ายีนส์ไม่ยอมเจอล่ะ?”



“ผมก็จะไปหาพี่เขาทุกวันจนกว่าพี่เขาจะยอมคุยกับผม” ผมพูดอยางมุ่งมั่น คิดไว้แล้วด้วยว่าถ้าผมได้เจอพี่ยีนส์ผมจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่เขาฟัง



“ได้คุยกับเพื่อนยีนส์บ้างไหม เผื่อพวกนั้นช่วยได้”



จริงด้วย...ผมลืมคิดถึงพวกพี่ๆเขาเลยแต่พอคิดไปคิดมาผมก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับพี่ๆเขาเท่าไหร่หรอกครับกลัวเขาจะเกลียดขี้หน้าผมเพราะผมทำเพื่อนเขาเสียใจทว่าถ้าผมมัวแต่กลัวอยู่แบบนี้แล้วผมกับพี่ยีนส์จะเข้าใจกันได้ยังไง ฉะนั้นตอนนี้ผมอยากจะเอาชนะความกลัวของตัวเองและเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้



“ขอบคุณนะครับพี่”



พี่ภูมิใจเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้งเพื่อปล่อยให้ผมได้อยู่กับตัวเองและให้เวลาพูดคุยกับเพื่อนของพี่ยีนส์อย่างเป็นส่วนตัว ผมจำได้ว่าผมมีเบอร์พี่เป๋าอยู่ซึ่งพี่เป๋าน่าจะเป็นคนที่คุยด้วยแล้วผมไม่เกร็งที่สุดแต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดที่จะกลัวไม่ได้อยู่ดี



ผมใช้เวลาในการทำใจไปกว่าห้านาทีและสุดท้ายก็ตัดสินใจโทรไปหาพี่เป๋า



“ฮัลโหล สวัสดีครับพี่เป๋า” ผมเอ่ยทักทายพี่เขาก่อนเป็นอันดับแรก



(เออ ว่าไง?)



 ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมพี่เป๋าถึงรู้ว่าเป็นผมเพราะผมเคยโทรไปหาพี่เขาอยู่ช่วงนึงที่พี่ยีนส์ไปอ่านหนังสือกับพวกพี่เป๋าเนื่องจากในบางครั้งผมก็มีหน้าที่เอาข้าวไปส่งให้พวกพี่ๆเขาแล้วพอโทรหาพี่ยีนส์ไม่ติดก็ต้องโทรหาพี่เป๋าตลอดนี่แหละครับ



“ผมอยากจะขอคุยกับพี่เรื่องพี่ยีนส์หน่อยได้ไหมครับ?” ผมเกริ่นเข้าเรื่องทันทีโดยไม่ต้องรอให้เสียเวลา ผมไม่รู้ว่าพี่เป๋ารู้เรื่องผมกับพี่ยีนส์หรือเปล่าแต่ถึงเขาไม่รู้ก็อาจจะสังเกตเห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไประหว่างผมกับพี่ยีนส์แต่ตอนนี้ผมก็ไม่อยากเดาอะไรไปเองรอฟังจากพี่เป๋าคงจะดีกว่า



(ว่าแล้วเชียว)



“พี่รู้เหรอครับ?”



(ก็เออน่ะสิแต่กูไม่รู้อะไรมากหรอก ถามไอ้ยีนส์มันก็ไม่ยอมบอกอะไรเลย)



ผมอืออาในลำคอ ก็พอจะเดาได้ว่าพี่ยีนส์คงไม่พูดเรื่องระหว่างเรากับใครมากนัก คงเพราะเขาไม่มั่นใจหรือไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของเราก็เลยเลือกที่จะไม่พูดถึง



“งั้นผมเข้าเรื่องเลยนะครับพี่จะได้ไม่เสียเวลา”



(เออ พูดมา)



ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่เป๋าฟังรวมถึงตอบคำถามที่พี่เป๋าสงสัยบ้างในบางครั้งบางคราวที่พี่เขาถามขึ้น ผมไม่รู้ว่าการเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้กับพี่เป๋าฟังจะทำให้เขาเชื่อผมมากน้อยแค่ไหนแต่ผมก็พูดความจริงออกไปทั้งหมดว่าผมรู้สึกยังไงกับเพื่อนของเขาและเรื่องในวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทำไมพี่ยีนส์ถึงเข้าใจผิดผมได้



“ทั้งหมดก็เท่านี้แหละ ผมยืนยันว่าทั้งหมดคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นครับ”



(จากที่ฟังมึงพูดมามันก็อาจจะเป็นไปได้ที่พอไอ้ยีนส์เห็นมึงกับอิงค์อยู่ด้วยกันเลยเข้าใจผิด)



“แต่ผมก็ผิดที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”



(มึงอย่าโทษตัวเองดิวะ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกน่า)



“แล้วผมต้องทำยังไงดีครับพี่ ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้พี่ยีนส์เขาฟังผมแล้ว”



(กูก็ไม่รู้ว่ะ) พอได้ยินพี่เป๋าตอบมาแบบนั้นผมก็รู้สึกถึงความหวังที่เริ่มริบหรี่ลงแต่ก็รู้สึกได้ไม่นานพี่เป๋าก็เหมือนจะคิดอะไรออก (เอางี้นะ กูจะไปคุยกับพวกที่เหลือก่อนเผื่อพวกมันจะมีวิธีดีๆแนะนำเพราะถ้ามึงกับกูร่วมมือกันสองคนคงล่มแน่)



ผมเห็นด้วยนะครับที่พีเป๋าพูดมา พี่ยีนส์ไม่ใช่คนที่จะเข้าหาได้ง่ายๆแล้วยิ่งเป็นในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีแบบนี้อย่าหวังเลยครับว่าพี่ยีนส์เขาจะยอมคุยกับผม คงต้องหาตัวช่วยอย่างที่พี่เป๋าว่านั่นแหละคือทางเลือกที่ดีในตอนนี้



“ขอบคุณนะครับพี่”



(เออ ถ้าเกิดมันยอมคุยด้วยแล้วมึงก็อธิบายความจริงทั้งหมดให้มันฟังด้วยล่ะ ไอ้ยีนส์มันเข้าใจอะไรง่ายอยู่แล้วแต่แม่งก็จะชอบทำฟอร์มนิดหน่อย มึงก็ง้อๆอ้อนๆมันเดี๋ยวก็หายเอง)



“ครับพี่” ผมจะพยายามทำทุกอย่างที่พี่เป๋าแนะนำมาผมเชื่อว่าเพื่อนของพี่ยีนส์ต้องรู้จักพี่ยีนส์ดีที่สุด



(งั้นแค่นี้ก่อน ไว้กูคุยกับพวกนั้นเรียบร้อยเมื่อไหร่จะมาบอก)



“ครับพี่เป๋า ผมขอบคุณพี่มากๆนะครับ”



เมื่อวางสายจากพี่เป๋าเรียบร้อยแล้วความหวังที่เคยริบหรี่ก็กลับมามีความหวังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆคาดว่าคงจะเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์นับจากร้อย ผมเชื่อว่าหากได้คำแนะนำจากเพื่อนๆพี่ยีนส์แล้วอาจจะทำให้ผมกับพี่ยีนส์กลับมาคุยกันได้เหมือนเดิมอีกครั้ง มันอาจจะช้าหน่อยแต่ถ้ากลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ถึงช้ายังไงผมก็จะรอเพราะตอนนี้ผมคิดถึงพี่ยีนส์มากๆเลย...





มาลงให้ต่อแล้วว อาทิตย์นี้จะลงตอนจบด้วยเด้ออ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะค้าา
#นิติผูกพัน
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความคิดถึง- 22/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-03-2019 18:24:53
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตอนใหม่มาแย้ว

สู้ ๆ นะเจ้าจอม
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความคิดถึง- 22/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-03-2019 23:04:36
อีน้องจะง้อไงเนี่ย อีพี่งอนแล้วหายจ้อย  o18
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เคลียร์ใจ[- 23/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 23-03-2019 14:48:13
ตอนที่ 24

เคลียร์ใจ



วันปิดเทอมและปีใหม่ของผมผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่ก็มีความสุขที่ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เป็นปีที่เรียกได้ว่าอยู่กับครอบครัวคุ้มที่สุดเลยก็ว่าได้ครับ อย่างที่เคยบอกไปว่าในหลายๆปีที่ผ่านมาผมมักจะไปฉลองปีใหม่กับเพื่อนในกลุ่มซะส่วนใหญ่ทว่าปีนี้ที่มีเรื่องมากมายถาโถมเข้ามาผมเลยตัดสินใจว่าการได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวจะสามารถเยียวยาจิตใจผมได้ดีที่สุดแล้ว



ตั้งแต่กลับมาเรียนได้สองวันผมก็ยังคงไม่ได้เจอเจ้าจอม ผมไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะเป็นยังไงบ้างแต่ผมก็ไม่ได้อยากไปสนใจมันนักหรอก ในเมื่อผมกับมันมีสถานะเป็นเพียงพี่ติวน้องติวกันเท่านั้นไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ผมต้องไปอยากรู้เรื่องของมัน



ผมก็เอาแต่บอกตัวเองอยู่แบบนี้ทั้งที่จริงแล้วผมก็ยังคงอยากรู้ความเป็นไปของมันอยู่ทว่าก็ต้องข่มใจของตัวเองเอาไว้ในเมื่อเรื่องของผมกับมันเป็นไปไม่ได้แล้วจะให้ผมไปจมปลักอยู่ที่เดิมก็คงจะไม่เข้าท่าและไม่ใช่นิสัยของผมเลย



“อาทิตย์หน้าก็วันเกิดมึงแล้วป่ะวะไอ้ยีนส์?” เป๋ามันถามขึ้นกลางวงตอนที่ทุกคนในกลุ่มกำลังนั่งกินข้าวเที่ยงอยู่ในโรงอาหารหลังจากเรียนคาบเช้าเสร็จ



“น่าจะมั้ง ทำไม?” ร้อยวันพันปีไม่เคยถามถึงหรอกวันกงวันเกิดผมแต่จู่ๆมันเกิดมาถามแบบนี้ผมว่ามันต้องมีอะไรแน่ รู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้



“ก็ถามไง แล้วจะจัดป่ะ?”



“แล้วทุกปีกูเคยจัดรึป่าวล่ะ?” ผมถามให้มันได้คิด ทั้งที่มันก็รู้อยู่แล้วยังจะถามผมอีก



“ปีนี้มึงก็จัดสักหน่อยไง ไปเลี้ยงที่ร้านพี่พลก็ได้” ไอ้เป๋ามันเสนอ



พี่พลคือรุ่นพี่ที่ไม่รู้ว่ารุ่นไหนแต่อายุห่างกันกับพวกผมหลายปีมาก พี่เขาเป็นเจ้าของร้านเหล้ากึ่งผับนิดๆซึ่งเป็นร้านที่รุ่นพี่ในสาขาที่พวกผมสนิทแนะนำมาและจากนั้นเราก็พากันไปกินร้านพี่พลตลอด จริงๆมันก็เป็นร้านที่เด็กมหา’ลัยผมนิยมเข้ากันเยอะนั่นแหละ



“ทำไมมึงถึงดูอยากให้มีงานวันเกิดกูจังวะ” ผมถามมันอย่างสงสัย มองไปรอบๆก็เห็นไอ้พวกคนที่เหลือมันมองหน้ากันแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาส่วนไอ้เป๋าต้นเรื่องก็ทำหน้าเลิ่กลั่กอย่างคนมีพิรุธ ผมว่ามันชักจะเริ่มแปลกๆแล้วว่ะ



“นานๆทีมึงจะจัดไง อีกอย่างปีใหม่มึงก็ไม่ได้ไปฉลองกับพวกกูด้วยก็ถือโอกาสนี้ฉลองด้วยกันมึงว่าไม่ดีเหรอวะ?” มันพูดยาวเหยียดโดยไม่เว้นช่องว่างให้ผมได้เถียง พอคิดตามที่มันพูดแล้วก็เกิดรู้สึกว่าน่าสนใจดีและสิ่งที่มันพูดมาก็มีเหตุผล ผมก็เลยเลิกสงสัยไปนิดหน่อย



“เออ กูเห็นด้วยกับไอ้เป๋านะ” เป็นไอ้เตอร์ที่พูดขึ้นมาบ้าง “ไหนๆวันเกิดมึงก็อาทิตย์หน้าแล้วจัดสักหน่อยคงไม่เสียหายอะไรหรือมึงติดอะไรหรือเปล่า?”



ผมส่ายหน้าเพราะผมไม่ได้ติดอะไร ถ้าอยากให้จัดผมก็จัดได้แต่ผมแค่รู้สึกแปลกใจที่จู่ๆพวกมันมาสนใจวันเกิดผมเท่านั้นเอง “กูไม่ติดอะไร”



“งั้นมึงก็จะจัดใช่ไหม?” หมอกที่นั่งฟังเงียบๆอยู่นานเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง



“เออจัดก็จัดวะ”



พอผมตอบไปแบบนั้นก็ได้ยินเสียงเยสเบาๆแต่ก็ไม่ได้พูดทักท้วงอะไร ที่พวกมันอยากให้ผมจัดคงเพราะมันคงอยากดื่มเหล้ามั้งครับก็เลยคะยั้นคะยอผมให้ได้



“แล้วจะชวนใครเพิ่มอีกป่ะ?”



“ไม่อ่ะแต่ถ้าพวกมึงอยากเอาใครมาด้วยกูก็ไม่ว่า” ประโยคหลังผมหันไปบอกไอ้คินกับไอ้ไฟที่มีแฟนแล้วทั้งสองคนแต่ถ้าให้เดานะผมว่ามันไม่เอาแฟนมันมาหรอก



“ถ้าเกิดกูเอาคนรู้จักมาด้วยอ่ะได้ป่ะ” เป๋ามันแทรกขึ้น



“มึงรู้จักเขาแต่เขารู้จักมึงไหมถามแค่นี้” ผมตอบกลับมันกวนๆ



“ไอ้สัด กูคนอยากรู้จักเยอะจะตาย” มันเบะปากแล้วสำทับใส่ผมอีก “สรุปกูเอามาได้ไหม?”



“มึงจะเอามาทำเผือกอะไร งานวันเกิดกูก็ต้องรู้จักกูสิวะ” ผมว่า “แล้วนี่คนรู้จักมึงไม่ใช่เหรอจะเอามางานกูทำหอยอะไร”



“เอ้า...ก็มึงบอกเองว่าจะเอาใครมาก็ได้นี่หว่า”



“กูหมายถึงว่าจะชวนเพื่อนที่กูรู้จักมาด้วยก็ได้”



“อ่อ..แต่คนนี้มึงก็คงรู้จักแหละ งั้นตกลงกูเอาเขามางานมึงด้วยนะ” ผมงงมากว่ามันจะอะไรนักหนากับคนๆนี้อาจจะเป็นกิ๊กมันมั้งครับ



“เออๆจะเอามาก็เอามาแล้วกัน” สุดท้ายผมก็ต้องยอมให้มันเอามาอยู่ดี



“แต้งใจมาก”



ผมส่ายหัวอย่างระอาก่อนจะเริ่มว่าต่อ “งั้นใกล้ๆวันมึงช่วยเป็นธุระจองโต๊ะแล้วบอกพี่พลให้กูหน่อยแล้วกันนะ” ผมหันไปบอกไอ้เตอร์ที่มันสนิทกับพี่พลที่สุดในกลุ่ม ถ้ามันคุยกับพี่เขาน่าจะคุยง่ายๆหน่อย อย่าหวังว่าผมจะส่งไอ้เป๋ามันไปคุยเลยครับ มีหวังงานนี้เละไม่เป็นท่าแน่



“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้” มันตอบรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ



พอพูดคุยถึงเรื่องวันเกิดผมเรียบร้อยแล้วผมก็ลุกไปเข้าห้องน้ำกับไอ้เป๋า บอกให้พวกที่เหลือมันขึ้นไปรอที่ตึกเรียนก่อนเลยเดี๋ยวผมกับไอ้เป๋าจะตามไปทีหลังขอจัดการธุระส่วนตัวกันให้เสร็จก่อนทว่าเดินไปยังไม่ถึงครึ่งทางผมก็ต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาดันไปปะทะเข้ากับไอ้เจ้าจอม มันยืนนิ่งมองผมและผมก็มองมันกลับก่อนเราจะยืนจ้องตากันอยู่นานและเป็นผมเองที่ผละสายตาออกไปก่อน



ผมคิดว่ามันคงจะเดินเข้ามาหาผมเพื่อจะอธิบายอะไรก็ได้ที่มันต้องการพูดให้ผมฟังแต่มันก็ไม่ได้ทำอย่างที่ผมคิดไว้ ผมชำเลืองหางตาไปมองก่อนจะเห็นว่ามันเดินหายไปในโรงอาหารแล้ว  ผมหัวเราะเยาะตัวเองที่คิดว่ามันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมแต่พอมาเจอกันจริงๆแล้วมันกลับไม่พยายามจะอธิบายหรือเข้าหาผมเลยสักนิด ก็ใช่สิครับในเมื่อทุกอย่างมันก็ชัดเจนแล้วผมยังจะต้องการอะไรจากมันอีก



“ไอ้ยีนส์เป็นไรวะ มองไรอยู่อ่ะ?” ไอ้เป๋าที่คงจะเดินนำผมไปไกลแล้วเดินกลับมาหาผมที่ยังคงหยุดอยู่ที่เดิม อยู่ตรงจุดเดิมไม่ได้ไปไหน ยืนคิดอะไรที่ไร้สาระและทำร้ายความรู้สึกของตัวเอง ผมคอยย้ำตัวเองเสมอว่าให้หยุดคิด มันเหมือนจะทำได้แต่สุดท้ายก็กลับมาล้มเหลวอยู่ดีเมื่อได้เจอมัน



“ไม่มีไร ไปเหอะ” ผมตอบปัด ไม่อยากพูดถึงมันอีกและผมก็ไม่เคยเล่าให้เพื่อนตัวเองฟังด้วยเรื่องระหว่างผมกับเจ้าจอม



“แน่ใจนะมึง ไม่ได้มีเรื่องอะไรปิดพวกกูใช่ไหม?” เป๋ามันทำหน้าจริงจังซึ่งพอเห็นแบบนี้ผมก็ทำได้เพียงแค่พรูลมหายใจออกมายาวกว่าปกติ ผมไม่รู้ว่าถ้าผมจะพูดผมต้องเริ่มจากตรงไหนดีและอีกอย่างเรื่องมันก็ไม่มีอะไรแล้ว มันจบไปแล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะเล่าเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมา



“เออไม่มีอะไรหรอก” ในเมื่อเลือกแล้วที่จะไม่พูดผมก็ไม่มีทางพูดเรื่องนี้ออกไปแน่



“ไม่มีไรก็ดีแล้ว” มันว่า “ไปเหอะเยี่ยวจะแตกแล้วสัด”



ดีที่ไอ้เป๋ามันไม่ใช่คนเซ้าซี้อะไรมากผมก็เลยไม่ต้องคอยแถหรือหาคำตอบให้กับมันอีก ถึงมันจะเซ้าซี้ผมก็ไม่บอกมันหรอกครับ







หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วโดยที่ผมก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิมคือการตื่นนอนไปเรียนกินข้าวและกลับห้องมานอน ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิดเดียว อ้อ...คงจะมีนิดหน่อยก็ตรงที่ช่วงนี้ไอ้เป๋ามันชอบมาถามนู่นถามนี่ไม่ก็มาขอนอนที่ห้องของผมบ้างในบางวัน ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันเพราะเวลาถามมันทีไรมันก็ชอบตอบกวนตีนผมทุกที ผมก็เลยขี้เกียจถามหาเหตุผลจากมัน



วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ไอ้เป๋ามันขอมาอาศัยห้องของผมหลับนอนทว่าวันนี้มันมีเหตุผลให้ผมแล้วครับว่าห้องของมันไฟเสียมันก็เลยไม่อยากอยู่คนเดียว กว่าช่างจะมาซ่อมไฟที่ห้องมันให้ก็เป็นพรุ่งนี้เลย มันก็เลยหอบผ้าหอบผ่อนมานอนที่ห้องผมอย่างที่บอกไปนี่แหละ



“ยีนส์ กูอยากกินปลาซาบะว่ะ แถวหอมึงมีร้านอาหารญี่ปุ่นป่ะวะ?” นั่งๆนอนๆอยู่ดีๆมันก็หิว ลูบท้องตัวเองป้อยๆพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างคนคิดไม่ตก



“มี พึ่งมาเปิดเมื่ออาทิตย์ก่อน”



“เข้าทางเลย” มันตบเข่าฉาด ลุกขึ้นยืนปุบปับก่อนหันมาทางผม “งั้นไปกัน”



“เดี๋ยวนี้เลย?” ถามเพื่อความแน่ใจ



“ก็เออสิวะ รอใครมาตัดริบบิ้นล่ะฮึ ลุกๆ”



ผมได้แต่ลุกตามมันอย่างมึนงง เดินไปหยิบกระเป๋าเงินในห้องแล้วเดินออกมาหามันที่กำลังยืนกดโทรศัพท์ยิกๆพอมันเห็นผมก็ทำหน้าตื่นก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว ผมหรี่ตามองท่าทางพิรุธของมันแต่ไม่ได้ว่าอะไร



“ต้องเดินหรือขี่รถไปวะมึง” เป็นมันที่ถามขึ้นแต่ก็ยังคงปิดสีหน้าเลิ่กลั่กไม่ได้



ผมเลิกสนใจเป็นฝ่ายเดินนำมันออกจากห้อง “เดินไปก็ได้”



ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ผมกับมันจะไปอยู่ใกล้ๆหอผมไม่กี่ร้อยเมตรหรอกครับ ผมกลัวว่าหากขับรถไปจะยุ่งยากกับการหาที่จอดรถอีกเลยคิดว่าการเดินไปคงสะดวกกว่า



พวกผมใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีโต๊ะด้านในไม่ถึงสิบโต๊ะ มองจากด้านนอกเหมือนจะยังมีโต๊ะว่างอยู่แต่ก็ต้องบอกว่าถึงจะเป็นร้านเปิดใหม่ทว่าลูกค้าก็เรียกได้ว่าเกือบเต็มร้านเลย



ผมเป็นฝ่ายเดินนำโดยมีไอ้เป๋าเดินตามเข้ามาในร้านจังหวะที่กำลังมองหาโต๊ะว่างพลันสายตาของผมก็หยุดชะงักลงตรงใบหน้าอันคุ้นเคยที่ผมไม่ได้เห็นมาหลายวัน สายตาคู่นั้นกำลังมองมาที่ผมเหมือนกำลังจะสื่อความหมายบางอย่างแต่เพราะทิฐิและความโกรธของผมยังคงมีอยู่จึงไม่สามารถอ่านออกได้ ผมเลือกจะถอนหายใจคลายความอึดอัดก่อนจะละสายตามองมองหน้าไอ้เป๋าที่ทำปากพะงาบๆมองหน้าผมอยู่เช่นกัน



“มึงรู้เรื่องใช่ไหม?” ความสงสัยที่ผมเคยเก็บไว้ตอนนี้เหมือนจะชัดเจนมากขึ้นเมื่อผมได้มาเจอกับเจ้าจอมที่ร้านนี้ ใช่อยู่ว่ามันอาจจะเป็นความบังเอิญที่ทำให้ต้องมาเจอกันแต่ลางสังหรณ์และสถานการณ์ต่างๆที่ดูเป็นใจกลับทำให้ผมไม่เชื่ออย่างนั้น



“รู้อะไรวะ?” ไอ้เป๋ามันทำหน้างง “แล้วนั่นไอ้เจ้าจอมนี่มึงไม่ทักมันเหรอ?”



ผมหรี่ตามองท่าทางและสีหน้าไอ้เป๋า มันปกติจนผมคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่าผมคงคิดมากไปเอง



“ไม่มีอะไรหรอก หาที่นั่งเหอะ” ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม ดันไหล่มันให้เดินนำไปแล้วตัวเองก็เป็นฝ่ายเดินตาม ไอ้เป๋ามันไม่ได้เซ้าซี้ถามเรื่องเจ้าจจอมอีกซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้วล่ะ



“ทำไมเราไม่ไปนั่งกับเจ้าจอมมันอ่ะ มันก็มาคนเดียวนะมึง” ไม่วายไอ้เป๋ามันก็ยังหันมาถามถึงใครอีกคน



“มันอาจจะนัดเพื่อนมั้ง ช่างมันเหอะน่า จะสนใจมันทำไมวะ” ผมว่าสีหน้าหงุดหงิดและน้ำเสียงเริ่มแข็งขึ้นจากปกติจนไอ้เป๋ามันคงเดาได้ว่าผมไม่พอใจมันก็เลยเดินตรงไปที่โต๊ะว่างข้างหน้าทันที



หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ได้ไม่ถึงนาทีพนักงานประจำร้านก็เดินยิ้มแย้มเข้ามาทักทายแบบญี่ปุ่น ไม่รู้ว่าพูดอะไรผมฟังไม่ทันอีกอย่างคือฟังไม่รู้เรื่องด้วยแหละ พนักงานยื่นเมนูให้พวกผมคนละแผ่นก่อนจะพูดแนะนำเมนูให้พวกผมฟัง มันเป็นชื่อเมนูภาษาญี่ปุ่นซึ่งโคตรครีเอท ผมฟังแล้วยังรู้สึกชอบเลยแต่เรียกไม่ถูกหรอกต้องก้มไปอ่านเมนูตลอด ขนาดเมนูปลาซาบะของไอ้เป๋าเขายังครีเอทชื่อให้อ่านยากเลยครับ ชื่นชมเลยจริงๆ



“งั้นเอาอันนี้ครับไอ้ซาบะๆอะไรนี่แหละ” มันจิ้มเมนูปลาซาบะให้พนักงานเขาดู พนักงานก็จดๆใส่ไปในกระดาษแล้วอ่านทวนชื่อเมนูให้ไอ้เป๋ามันฟัง มันก็พยักหน้าหงึกหงัก “เอาข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย ซุปมิโสะ กิมจิแล้วก็ยำสาหร่ายด้วยครับ” มันดูเหมือนจะไม่หยุดสั่งยังคงนั่งมองเมนูเหมือนหาอะไรที่จะสั่งเพิ่มอีก “อยากกินข้าวหน้าปลาไหลว่ะ”



ผมได้ยินมันพึมพำทำหน้าเครียด คงกลัวกินไม่หมดเพราะเซ็ตแรกก็สั่งไปเยอะ





“สั่งมาดิ เดี๋ยวแบ่งกินกับกูก็ได้”



“มึงก็อยากกินเหรอ?”



“เออแต่กูกลัวกินไม่หมด”



“ดีล!งั้นเอาข้าวหน้าปลาไหลอีกหนึ่งครับ” ไม่รอช้ามันก็จัดการสั่งกับพนักงานทันที “มึงเอาไรเพิ่มอีกไอ้ยีนส์?”



“เอาแซลมอนย่างเกลือกับยำสาหร่ายครับ” ผมสั่งเมนูของตัวเองบ้าง “ข้าวเปล่าด้วยครับ”



พนักงานพยักหน้าก่อนจะก้มลงจดเมนู “รับน้ำดื่มเป็นอะไรดีครับ?”



“น้ำชาแล้วกันครับ”



“โอเคครับ เดี๋ยวรอสักครู่นะครับ” พนักงานว่าอย่างนั้นก็เดินออกไปเหลือเพียงผมกับไอ้เป๋าสองคน



ผมนั่งมองบรรยากาศร้านไปเรื่อยส่วนไอ้เป๋ามันก็เอาแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ ไม่รู้ว่ามันคุยกับใครนักหนา



“อย่าว่างั้นงี้เลยนะไอ้ยีนส์”



เงียบกันมานานจู่ๆมันก็พูดขึ้นโดยที่ไม่มีหัวเรื่องอะไรเลย “ว่าอะไร?”



“คือกูสงสัยมาก” ผมเห็นหน้ามันก็เข้าใจ สีหน้าสงสัยแบบขั้นสุด “จะด่ากูเสือกก็ได้นะแต่ขอถามหน่อย”



“อะไรล่ะวะ”



“มึงกับเจ้าจอมทะเลาะกันเหรอวะ?” สีหน้าของมันดูลำบากใจระคนสงสัยในสิ่งที่มันถาม



เมื่อได้ยินคำถามของมันผมก็ทำได้เพียงอึกอักไม่รู้จะตอบว่าอะไรและไอ้เป๋ามันรู้ได้ยังไงว่าพวกผมทะเลาะกัน ถ้าไม่ใช่พวกที่ชอบสังเกตชาวบ้านมันก็คงอาจจะรู้เรื่องอะไรมาแต่ผมเดาว่าคงอยากแรกซะมากกว่า



“คงงั้นมั้ง” ผมตอบแบบกำกวม ก็อย่างที่เคยบอกไปว่ามันจบไปแล้วผมก็ไม่อยากจะพูดถึงสักเท่าไหร่



“ทำไมไม่เคลียร์กันวะ ยังไงพวกมึงก็เป็นพี่ติวน้องติวกัน”



“ไม่เห็นมีอะไรจะต้องเคลียร์”



“เอ้าไอ้นี่! แล้วมึงก็จะปล่อยให้เป็นแบบนี้เนี่ยนะ”



“เออ เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วกูก็ไม่ได้อยากเป็นพี่ติวให้มันตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่”



“ทะเลาะเรื่องอะไรกันวะทำไมถึงขั้นขนาดมึงพูดแบบนี้ ตอนแรกก็เหมือนจะดีกันอยู่เลย”



“เรื่องอะไรก็ช่างมันเถอะ มึงก็เงียบได้ละกูขี้เกียจตอบ”



ไอ้เป๋ามันเกาหัวแกรกๆแต่ก็ยอมเงียบตามที่ผมขอ คงเห็นว่าผมดูไม่ค่อยพอใจตอนที่พูดถึงไอ้เด็กนั่นเลยยอมเงียบลงไม่ถามอะไรอีก



สักพักอาหารก็มาเสิร์ฟหางตาผมเหลือบไปเห็นเจ้าจอมมันเดินผ่านโต๊ะของผมเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำซึ่งต้องเดินผ่านทางนี้อยู่แล้ว ผมทำเป็นไม่สนใจแม้สายตาจะคอยเอาแต่เหลือบมองมันก็ตามแสร้งก้มหน้ากินข้าวของตัวเองไปเงียบๆไม่ให้ใครจับสังเกตได้







เจ้าจอม Part



เป็นการบังคับตัวเองยากที่สุดในชีวิตผมเลยก็ว่าได้ที่ต้องเห็นพี่ยีนส์อยู่ต่อหน้าแต่ผมไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเดินผ่านและแอบชำเลืองมองเขา พี่ยีนส์ดูท่าทางเหมือนไม่อยากจะเจอผมเท่าไหร่แค่หน้าของผมเขาก็แทบไม่เหลือบมองมาด้วยซ้ำ



ผมวางแผนกับพี่เป๋าเพื่อจะได้มาเจอเขาที่ร้านนี้และพี่เป๋าก็ทำตามแผนทุกอย่าง มันเป็นแผนปุบปับที่ผมพึ่งจะคิดได้และลงมือทำทันที โดนพี่เป๋าบ่นนิดหน่อยแต่เขาก็ยอมทำตาม ผมรู้สึกขอบคุณพี่เป๋ามากที่เขายอมช่วยผม วันนี้ผมแค่อยากจะเจอพี่ยีนส์ไม่ได้จะเข้าไปคุยอะไรหรอกเพราะรู้ว่าเขาคงไม่ยอมคุย ขนาดเดินเข้าร้านมาแล้วเจอผมนั่งอยู่ในร้านหน้าเขาก็เหมือนคนอยากจะกลับห้องเต็มทน



ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเคลียร์ ผมต้องเคลียร์กับพี่ยีนส์แน่ๆแต่เพียงว่ามันไม่ใช่วันนี้ ผมแค่รอเวลาอย่างที่พี่เป๋าและเพื่อนๆเขาบอก วันนั้นมันอาจจะดีกว่าวันนี้ก็ได้



เมื่อหลายวันก่อนผมได้คุยกับอิงค์แล้วและอิงค์เข้าใจผมทุกอย่าง เธอบอกว่าพอจะเดาออกได้บ้างจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอยังมีความรู้สึกดีๆให้ผมอยู่แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ อิงค์จะขอมาคุยกับพี่ยีนส์เพื่อเคลียร์เรื่องนี้ช่วยผมให้พี่ยีนส์เข้าใจแต่ผมก็เบรคเธอไว้ก่อน บอกอิงค์ว่ารออีกหน่อยอิงค์จะได้ช่วยผมแน่ๆ



พี่เป๋าส่งคลิปเสียงที่คุยกับพี่ยีนส์มาให้ผมฟัง รู้สึกเสียใจหน่อยๆที่เขาบอกว่าไม่อยากเป็นพี่ติวของผมอยู่แล้วแต่ผมก็รู้แหละว่าเขาพูดไปเพราะเขากำลังโกรธผมอยู่ มันก็เป็นธรรมดาที่ตอนโกรธจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาหรืออาจจะเป็นความรู้สึกจริงๆของเขาก็ได้ผมไม่รู้หรอกทว่าถ้าผมมองโลกในแง่ร้ายเกินไปมันก็ทำให้ผมรู้สึกแย่เองเลยเลือกที่จะมองในแง่ดีว่าพี่ยีนส์โกรธอยู่เลยพูดแบบนั้น



ผมเดินออกจากห้องน้ำซึ่งโต๊ะพี่ยีนส์เป็นโต๊ะที่ผมต้องเดินผ่าน ผมเห็นพี่ยีนส์เอาแต่ก้มหน้าไม่สนใจเลยว่าจะมีใครเดินผ่านโต๊ะของเขา สายตาของผมหันกลับไปมองที่พี่เป๋าบ้างก็เห็นเขาทำหน้าเห็นใจให้ผมแต่ก็ต้องเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อจู่ๆพี่ยีนส์ก็หันหน้ามอง ไม่ได้มองผมนะครับมองหน้าพี่เป๋าต่างหากล่ะ



ผมได้แต่ยิ้มกับตัวเองแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ มองแผ่นหลังของพี่ยีนส์ที่นั่งหันหลังให้ก่อนจะทอดถอนหายใจอย่างคนคิดไม่ตก เป็นแบบนี้แล้วรู้สึกอึดอัดมากเลยล่ะครับ






ต่อด้านล่าง
.
.
.
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เคลียร์ใจ- 23/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 23-03-2019 14:48:34
วันเกิดของผมที่ไอ้เป๋าตั้งหน้าตั้งตารอมากกว่าผมเป็นพิเศษก็มาถึงสักที ผมนัดพวกมันประมาณสามทุ่มให้มาเจอกันที่ร้านซึ่งใครจะมาช้ากว่านั้นก็ได้ผมไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้วแค่กำหนดเวลาพอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ คนที่ผมชวนมาก็มีแค่กลุ่มเพื่อนผมกับคนรู้จักอีกไม่กี่คน  ส่วนมากก็เป็นคนที่ผมสนิทจริงๆถึงจะชวนมา



บรรยากาศภายในร้านตอนนี้ค่อนข้างครึกครื้นและพลุกพล่านไปด้วยผู้คนซึ่งเกินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นนักศึกษา ดีหน่อยที่พวกผมจองโต๊ะไว้ตั้งแต่เนิ่นๆเลยได้โต๊ะที่ค่อนข้างอยู่ในมุมและเป็นส่วนตัวหน่อย เห็นว่าพี่พลเป็นคนจัดการเอาโต๊ะนี้ให้โดยเฉพาะ ในส่วนนี้ก็คงต้องขอบคุณไอ้เตอร์มันด้วยที่ประสานงานให้และทุกอย่างออกมาดีมาก



ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นวันเกิดแล้วอีกอย่างที่คงขาดไม่ได้เลยก็คือของขวัญ ผมบอกพวกมันว่าที่จริงแล้วไม่ต้องซื้ออะไรมาให้ก็ได้ทว่าพวกมันก็ไม่ฟังแต่ละคนก็หอบของขวัญมาชิ้นใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้วแต่คนไป ส่วนผมก็ต้องรับไว้ไม่ลืมบอกขอบคุณพวกมัน



“แล้วไหนคนที่มึงจะเอามาด้วยไอ้เป๋า” เมื่อสัปดาห์ก่อนผมจำได้ว่ามันบอกจะพาคนที่ทั้งผมและมันรู้จักมาด้วยแต่ตอนเดินเข้าร้านมาก็ไม่เห็นใครเดินตามหลังมัน ผมก็เลยสงสัย



“ยังไม่มา” มันยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดก่อนจะยื่นไปให้เพื่อนชงให้ใหม่ “รออีกนิดยังไม่ถึงเวลา”



ผมขมวดคิ้วฉับเอ่ยถามมันต่อ “ต้องมีกำหนดเวลาด้วยเหรอวะถึงจะมาได้”



“เออน่า ใจเย็นๆมึงได้เจอมันอยู่แล้ว”



เลือกที่จะเงียบไว้แล้วเก็บความสงสัยไว้คนเดียว ตอนนี้ยังขาดไอ้คินกับไอ้เตอร์ที่ยังไม่มา ไอ้เตอร์มันคงจะรอปิดร้านก่อนส่วนไอ้คินก็คงรอรับไอ้ทาวน์หลังจากไอ้เตอร์ปิดร้าน สองคนนั้นมันบอกแล้วว่าจะมาช้าผมก็เข้าใจ ผมบอกให้มันเอาไอ้ทิมกับไอ้ทาวน์มาด้วยก็ได้ยังไงผมก็สนิทกับมันสองคนอีกอย่างน้องมันก็อายุถึงแล้วด้วย พาพวกมันมาเปิดหูเปิดตาสักหน่อยคงไม่เสียหายอะไร



ไอ้เตอร์มันอาสาไปรับไอ้ทิมให้ส่วนไอ้ทาวน์รายนั้นก็ต้องมากับไอ้คินอยู่แล้วแหละครับก็แฟนมันนี่เนอะจะให้มากับคนอื่นได้ยังไง



พอถึงสี่ทุ่มผมก็เห็นไอ้ทาวน์เดินเข้าร้านมาข้างหลังมีไอ้คินเดินตามมาติดๆแทบจะสิงร่างกัน เบื่อพวกมันมากเลยครับแต่ก็น่ารักดีเวลาได้มอง



“สวัสดีครับพี่ๆ” ไอ้ทาวน์แทบจะยกมือไหว้รอบวง พวกผมทุกคนก็ต้องรับไหว้น้องมัน “นี่ของขวัญครับพี่ยีนส์ ผมกับพี่คินตั้งใจเลือกให้เลยนะ” มันยื่นถุงกระดาษมาให้ผม แอบส่องดูข้างในก็เห็นกล่องอยู่ในนั้นเดี๋ยวค่อยไปเปิดดูก็แล้วกัน



“ขอบใจมาก” ผมว่าแล้วบอกให้ไอ้พวกที่นั่งอยู่ขยับให้ไอ้คินกับไอ้ทาวน์ “ตามสบายเลย”



“ครับพี่”



ตอนนี้ก็ขาดไอ้เตอร์กับไอ้ทิมนี่แหละ อีกเดี๋ยวก็คงมาล่ะมั้ง เมื่อกี้เห็นมันส่งข้อความมาบอกว่ารอไอ้ทิมอาบน้ำอยู่ ไม่เกินสี่ทุ่มครึ่งคงจะมาถึง



“ใครจะไปเข้าห้องน้ำกับกูบ้าง?” หมอกมันยืนขึ้นเพื่อถามทุกคนในโต๊ะแต่ละคนก็ส่ายหน้ามีแต่ผมที่ลุกขึ้นแล้วพยักหน้า



“กูไป”



ผมกับไอ้หมอกเดินมาเข้าห้องน้ำด้วยกัน ระหว่างทางที่ต้องเดินผ่านก็มีคนคอยแต่จะส่งเหล้ามาให้พวกผมกินแต่พวกผมก็เลือกที่จะปฏิเสธคนเหล่านั้น ไม่สนว่าใครจะไม่พอใจ มาสถานที่แบบนี้แม้จะเป็นผู้ชายก็ต้องป้องกันตัวไว้ก่อน อีกอย่างคืนนี้ผมก็ไม่ค่อยอยากจะกินเหล้าเท่าไหร่ด้วย



“กูออกไปสูบบุหรี่ก่อน” ผมว่าตอนที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จ “มึงกลับโต๊ะไปก่อนเลย”



“เคๆ ยังไงก็รีบตามมา”



“อืม”



ผมกับไอ้หมอกแยกทางกัน ผมเดินไปหาที่สูบบุหรี่เงียบๆหลังร้านซึ่งเป็นที่ให้สูบบุหรี่โดยเฉพาะส่วนไอ้หมอกก็แยกเดินกลับโต๊ะไป



บริเวณนี้มีผู้คนประปรายไม่ได้เยอะมาก พอคนเก่าสูบเสร็จก็เดินออกไปคนใหม่ก็เข้ามา วนเวียนอยู่แบบนี้เรื่อยๆผมคนหนึ่งที่เดินออกไป ไม่ได้เดินกลับโต๊ะเลยทันทีแต่เลือกจะเดินออกไปยังหน้าร้าน หาม้านั่งข้างหน้านั่งคนเดียวเงียบๆ ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรทำไม่จู่ๆถึงรู้สึกไม่ดีขึ้นมา ผมจึงต้องมาหาที่เงียบๆเพื่อให้เวลากับตัวเองแล้วค่อยเดินกลับเข้าไปข้างใน



 เหนื่อยนะครับกับการติดอยู่กับความรู้สึกอะไรสักอย่าง ใจนึงผมก็อยากจะเคลียร์ให้มันจบๆไปแต่อีกใจนึงผมก็ไม่อยากแม้แต่จะคุยกับมันด้วยซ้ำ อีกทั้งเจ้าจอมมันก็ดูเหมือนจะไม่ได้อยากเคลียร์กับผมเท่าไหร่ด้วยไม่งั้นมันไม่ปล่อยเวลามานานขนาดนี้หรอก



ผมที่เคยได้อยู่กับมันเรียนรู้มาว่าเจ้าจอมมันก็มีนิสัยดื้อรั้นอยู่พอสมควร แม้ผมจะโกรธมันยังไงแต่มันก็จะดื้อดึงเพื่อให้คุยกับผมจนได้แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่เป็นมันที่กลับเงียบหายไปปล่อยให้ผมต้องคิดเอาเองว่าจริงๆแล้วที่ผ่านมามันรู้สึกอะไรกับผมบ้างหรือเปล่า...



หรือมันอาจจะคิดว่าการเงียบหายไปครั้งนี้ของมันคือสิ่งที่ดีแล้วจึงปล่อยให้ผมต้องอึดอัดแบบนี้คนเดียวไม่มารับผิดชอบความรู้สึกของผมเลย ถ้าให้พูดตรงๆผมก็เสียใจแหละเสียใจมากๆด้วย ถึงจะย้ำว่าไม่คิดอะไรแล้วมันจบไปแล้วแต่ใครมันจะทำใจได้วะ รู้ว่าต้องใช้เวลาแต่แม่งต้องนานขนาดไหนกัน ผมหงุดหงิดกับความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ฉิบหายเลย



“มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียวครับ”



ความคิดของผมหยุดชะงักลงเพราะเสียงที่คุ้นหูดังขึ้น ผมภาวนาให้ไม่ใช่คนที่ผมคิด จู่ๆกระบอกตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาซะดื้อๆ เวรเอ๊ย!ผมจะมาร้องอะไรตอนนี้วะ อาจจะไม่ใช่คนที่ผมคิดก็ได้



“..มึง...” สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมภาวนาก็ไม่เป็นจริง คนที่อยู่ตรงหน้าผมคือเจ้าจอมอย่างที่ผมคิดไว้ ผมจำเสียงมันได้และไม่เคยลืมด้วยซ้ำ



ผมลุกขึ้นทำท่าจะเดินหนีแต่กลับโดนมันคว้าข้อมือเอาไว้ ผมสะบัดออกอย่างแรงจนหลุดแต่มันก็ยังดันทุรังมาจับไว้เหมือนเดิม ผมหันกลับไปหามันก่อนจะยกหมัดขึ้นต่อยไปที่หน้ามันเต็มๆ เสียงหมัดของผมที่กระทบลงบนใบหน้าของมันดังขึ้นชัดเจน ผมไม่อยากทำแบบนี้แต่ความโกรธก็มีมากกว่าที่จะหักห้ามใจตัวเอง



“พี่ยีนส์อย่าพึ่งไปครับ” มันยังคงมีแรงคว้าตัวผมไว้ทันก่อนที่ผมจะเดินหนี ได้ยินเสียงมันซี๊ดปากเบาๆแต่ผมก็ไม่สนใจพยายามสะบัดตัวเองให้หลุดจากมัน “ฟังผมก่อนพี่”



“ฟังเหี้ยไรอีก กูไม่อยากฟัง!” ผมพูดนิ่งๆหยุดสะบัดแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมของมัน “กูไม่อยากฟังคำแก้ตัวของมึง”



“แต่มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะครับ”



“แล้วมึงรู้หรือไงว่ากูคิดอะไร”



“พี่กำลังเข้าใจผิด”



“งั้นเหรอ?”



“ช่วยฟังผมก่อนได้ไหมครับพี่ยีนส์” น้ำเสียงและแววตาของมันอ้อนวอนจนผมเกือบจะใจอ่อนจึงต้องหันหน้าหนีหอบหายใจอย่างรุนแรงระบายความหงุดหงิดและความโกรธของตัวเอง



“จะให้กูเชื่อคำโกหกมึงหรือไง กูไม่อยากฟัง”



“ผมขอร้องนะครับ ขอแค่พี่ฟังผมก่อนแล้วถ้าพี่จะเชื่อหรือไม่เชื่อผมก็แล้วแต่พี่” มันมองหน้าผม แววตาและน้ำเสียงของมันจริงจัง ไม่มีแม้แต่แววโกหกใดๆ “ได้ไหมครับ...”



ผมจ้องมันนิ่ง ไม่รู้ว่ามันต้องการอะไรอีก ผมกลัวว่าตัวเองจะยอมใจอ่อนกับมันง่ายๆแค่ได้ยินน้ำเสียงของมันและแววตาจริงใจของมันผมก็แทบจะยกโทษให้แล้ว



“กูแค่ต้องฟังใช่ไหม” ผมเอ่ยย้ำ สุดท้ายก็ใจอ่อนอยู่ดี



“ครับแค่ฟังผมแล้วสุดท้ายพี่จะตัดสินใจยังไงผมก็จะยอมรับ”



ผมได้แต่ทอดถอนหายใจหงุดหงิดตัวเองมากกว่าหงุดหงิดไอ้เจ้าจอมมันอีก “เออกูจะฟัง ตอนนี้ก็ปล่อยมือกูก่อนแล้วไปนั่งดีๆ”



มันยิ้มดีใจก่อนจะกุลีกุจอไปนั่งตรงม้านั่งที่ผมพึ่งลุกออกไป พอมันเห็นผมนั่งลงแล้วมันก็ยืดตัวตรงก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ผมฟัง



เจ้าจอม Part



ผมยกมือขึ้นจับแผลตรงมุมปากที่โดนพี่ยีนส์ต่อย มันรู้สึกเจ็บเวลาพูดจนต้องซี้ดปากขึ้นทุกครั้งแต่ก็สมควรแล้วล่ะครับที่ผมจะโดนเขาต่อยแบบนี้



“เรื่องวันนั้นไม่ใช่อย่างที่พี่คิด ตอนนั้นอิงค์มาหาผมที่ห้องก็จริง อิงค์มาเพื่อจะสารภาพรักกับผมซึ่งผมก็ปฏิเสธอิงค์ไปแล้ว อิงค์บอกว่าเข้าใจผมแต่ขอกอดเป็นครั้งสุดท้ายและผมก็ยอม ผมรู้ว่ามันไม่ดีแต่ผมก็สงสารอิงค์ ผมคิดแค่ว่าแค่กอดคงไม่เป็นอะไร ผมไม่ได้นึกไปถึงพี่เลยว่าถ้าหากพี่เห็นพี่จะรู้สึกยังไง ผมขอโทษนะครับ”



“ไม่ใช่แค่กอด” เขาพูดขัดขึ้น



“ครับไม่ใช่แค่กอดแต่เรื่องจูบผมไม่รู้จริงๆและไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยว่าอิงค์จะทำแบบนั้น ผมไม่ได้แก้ตัวนะครับ ที่บอกมาคือเรื่องจริงทั้งหมด”



“จบยัง?” พี่ยีนส์ยังคงเสียงแข็งเหมือนเดิม เขาอาจจะยังไม่เชื่อที่ผมเล่า คงต้องให้เวลาให้เขาได้คิดก่อน



“ครับ เรื่องที่เกิดขึ้นมันมีแค่นี้” ผมเอ่ย มองตาเขาด้วยแววตาอ้อนวอน “ขอบคุณนะครับที่รับฟังผม”



“อืม” เขาไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากตอบรับแค่นั้น



พี่ยีนส์ลุกขึ้นและทำท่าจะเดินไปแล้วแต่ยังไม่ทันจะก้าวขาออกผมก็เรียกเขาไว้ก่อน



“พี่ยีนส์ครับ”เขาไม่ได้หันมาแต่ผมรู้ว่าเขากำลังรอฟังสิ่งที่ผมจะพูดอยู่ “พี่ยังรู้สึกกับผมเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า..”



สิ่งที่ผมกลัวที่สุดในเวลานี้คือคำตอบของพี่ยีนส์หลังจากที่ถามออกไปพี่ยีนส์ก็ยังคงเงียบ ผมเริ่มใจไม่ดีแต่ก็เข้าใจว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นความรู้สึกก็อาจจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ได้



ใจของผมแทบร่วงเมื่อพี่ยีนส์เลือกที่จะเดินจากไปโดยไม่ตอบคำถามแต่เขากลับต้องหยุดชะงักการก้าวเดินของตัวเองเมื่อจู่ๆอิงค์ก็โผล่มาดักหน้าของเขา



“อิงค์ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมคะ พี่ยีนส์...”





เราแต่งดราม่าไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่เลยเขียนแล้วลบบ่อยมากสุดท้ายก็ได้เป็นตอนนี้ออกมาแต่จริงๆก็วางเรื่องไว้แบบนี้อยู่แล้วแค่อาจจะเขียนให้เข้าถึงอารมณ์ได้ยาก ยังไงก็ฝากติชมกันด้วยเด้อออ
อีกสองตอนก็จะจบแล้ว ขอบคุณทุกๆกำลังใจค่าาา
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เคลียร์ใจ- 23/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-03-2019 15:22:20
 :hao4:
พี่ยีนส์จะเอายังไง
 :m16:
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เคลียร์ใจ- 23/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-03-2019 16:48:04
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

อิงค์จะทำตามที่เคยรับปากไว้หรือป่าวน้อ?

รอลุ้นว่า  จะมีมาม่าเสริฟอีกไหม? กับสองตอนที่เหลือ
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เคลียร์ใจ- 23/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-03-2019 22:07:04
ฟัง ๆ ชะนีน้อยพูดหน่อย เผื่อนางจะมาดี  :hao4:
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เคลียร์ใจ- 23/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 24-03-2019 06:25:01
ยุ่งขิงเลยตอนนี้ ยีนส์อย่าลืมนะว่าตัวเองก็ยังไม่เคลียร์
คือรู้ คือเห็น แค่ไม่ได้คุยให้จบน่ะ รอดูอิงค์จะมาแบบไหน

เอ็นดูเจ้าจอม ถึงขั้นบ้าบอ เพ้อมาก อาการหนักด้วย
สำหรับเจ้าจอมเข้าใจได้ ดูน้องเป็นคนจริงจังอยู่

ยีนส์ก็น่าสงสารนะ ก็ปากแข็งมานาน พอจะยอมรับ
ก็ดันมาเจอเรื่องแบบนี้ไปอีก ทำใจยากไปเลย
ครอบครัวเยียวยาทุกสิ่ง ถ้าเข้าใจกันและดูแลกัน

หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เคลียร์ใจ- 23/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 24-03-2019 23:35:38
 รอดูว่าอิงค์จะมาเคลียร์อย่างที่คุยกับจอมไว้หรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เคลียร์ใจ- 23/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 25-03-2019 00:24:56

ตอนที่25

ความรู้สึกของเราสองคน


ขาทั้งสองข้างของผมชะงักลงเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมคืออิงค์ ผมไม่คิดว่าจะเจอน้องวันนี้ ไม่หรอกครับผมไม่เคยคิดว่าเราทั้งสามคนจะมาเจอกันในวันนี้ ไม่รู้ว่ามันเป็นวันบ้าอะไรแต่แม่งก็เกิดขึ้นแล้วไงผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ



“พี่ไม่สะดวก” หากเป็นปกติผมคงไม่พูดแบบนี้แต่ในสถานการณ์ตอนนี้แม้แต่หน้าน้องผมก็ไม่อยากมองด้วยซ้ำ



“แล้วพี่จะหนีกันไปแบบนี้ตลอดเหรอคะ?” คำถามของน้องทำให้ผมคิดได้



ใช่...ผมรู้ว่าตัวเองกำลังหนี หนีไปจากความรู้สึกที่อยู่ในส่วนลึกของใจ ผมหนีมาตลอดและไม่เคยยอมรับความรู้สึกของตัวเองเลย



“พี่ไม่ได้หนี” แต่ผมก็เลือกจะปฏิเสธความจริงไป



“ไม่หนีก็ฟังอิงค์พูดก่อนได้ไหมคะ” เสียงของน้องยังนุ่มนวลน่าฟังเหมือนเดิม คงจะเป็นผมเองที่เปลี่ยนไปเลยรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยิน



“มีอะไรต้องพูดอีกเหรอ?”



“อิงค์รู้ว่าจอมคงเล่าให้พี่ฟังหมดแล้วและก็รู้ด้วยว่าพี่คงไม่เชื่อจอม”



“แล้วยังไง” ผมปรับเสียงตัวเองไม่ให้ห้วนเกินไปแต่มันก็ยากเหลือเกิน



“แต่อิงค์ยืนยันว่าวันนั้นเป็นอย่างที่จอมเล่าจริงๆ” เมื่ออิงค์เห็นว่าผมยังคงเงียบจึงพูดขึ้นต่อ “อิงค์ไม่รู้ว่าวันนั้นพี่ยีนส์อยู่ในห้อง ถ้าเกิดอิงค์รู้คงไม่ทำเรื่องแบบนั้น อิงค์ขอโทษค่ะ อิงค์เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและความผิดไม่ใช่ของจอมเลยเป็นเพราะอิงค์ที่เห็นแก่ตัวเอง”



เสียงสะอื้นของอิงค์ทำให้ผมหันหน้าหนี ผมรับรู้ถึงความรู้สึกผิดและความเสียใจของน้อง น้ำเสียงของน้องสั่นขณะที่เล่าไปด้วยและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าจอมมันลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างๆผม



“พี่ขอเวลาหน่อยได้ไหม พี่รู้ว่าอิงค์กับมันคงไม่โกหกพี่หรอกแต่พี่ขอเวลาคิดอะไรสักหน่อยแล้วค่อยมาว่ากัน” ผมตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิด จู่ๆเรื่องนี้ก็ถาโถมเข้ามาจนผมตั้งรับไม่ทัน



“ได้ค่ะแต่อิงค์อยากบอกให้พี่ยีนส์รู้ไว้อย่างหนึ่งนะคะเผื่อมันอาจจะทำให้พี่ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น”



“อืม” ผมรออิงค์พูดประโยคถัดมา



“เจ้าจอมไม่ได้รักอิงค์เลยเพราะเรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว มีแต่อิงค์คนเดียวที่หวังว่าจะทำให้มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมแต่สำหรับจอมจบก็คือจบ คนที่เจ้าจอมรักตอนนี้ก็มีแค่พี่ยีนส์เท่านั้นค่ะ”



ผมชะงักไม่คิดว่าน้องจะพูดออกมา หันไปมองก็เห็นเจ้าจอมมันมองผมอยู่แล้ว รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่กอบกุมมือของตัวเองไว้ ผมไม่ได้สะบัดหนีอีกแล้วทำเพียงแค่นิ่งปล่อยไว้แบบนั้นก่อนจะหันกลับไปมองอิงค์อีกครั้ง



“ขอบคุณอิงค์นะ พี่เข้าใจแล้วล่ะ ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาด้วยนะ” ผมยังคงรู้สึกผิดกับอิงค์อยู่ที่ชอบเจ้าจอมแม้จะรู้แล้วว่าอิงค์ก็ไม่ได้ชอบผมแต่ผมก็ไม่ได้ซื่อสัตย์กับน้องตั้งแต่แรกเหมือนกัน



“อิงค์ก็ขอโทษพี่ยีนส์นะคะที่ทำให้วุ่นวายและเข้าใจเจ้าจอมผิดเพราะอิงค์”



“ช่างมันเถอะ” ผมยิ้มให้น้องแม้จะยิ้มได้ยังไม่เต็มที่ในความรู้สึกแต่สักวันผมก็คงจะยิ้มให้น้องได้เหมือนเดิมโดยที่ไม่รู้สึกอะไร “ไหนๆก็มาแล้วเข้าไปข้างในไหม วันนี้วันเกิดพี่มีเลี้ยงน่ะ” ผมถือโอกาสชวนน้อง ไม่ได้ชวนตามมารยาทแต่ชวนด้วยความจริงใจที่อยากให้น้องได้ร่วมงานวันเกิดของตัวเอง



“ไม่เป็นไรค่ะ อิงค์แค่จะมาอธิบายให้พี่ฟัง” น้องระบายยิ้มเช็ดน้ำตาออกจากแก้มตัวเอง “สุขสันต์วันเกิดนะคะ มีความสุขมากๆ”



“ขอบคุณครับ”



“งั้นอิงค์ขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” น้องยกมือไหว้เหมือนอย่างที่เคยทำ “เราไปก่อนนะจอม คุยกับพี่ยีนส์ดีๆล่ะ”



“อืม ขอบใจอิงค์มากนะ”



ผมมองอิงค์เดินขึ้นรถไปกับเพื่อนที่จอดรอรับอยู่ กระทั่งรถที่อิงค์นั่งขับออกไปจนลับสายตาแล้วผมก็ยังไม่ไหวติงแต่ก็รู้สึกได้ว่าคนที่ยืนกุมมือผมอยู่ค่อยๆบีบกระชับมือของมันกับผมให้แน่นมากขึ้นกว่าเดิม



“พี่ยีนส์ครับ” เสียงของมันดังขึ้นทำลายความเงียบระหว่างเรา



“มึงถามกูใช่ไหมว่ากูยังรู้สึกกับมึงเหมือนเดิมหรือเปล่า” ผมพูดโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้ามัน สิ่งที่อิงค์พูดมาให้ผมฟังตรงกับที่เจ้าจอมบอกผมทุกอย่าง มันทำให้ผมคิดได้เร็วขึ้นว่าจะให้เรื่องนี้มันเป็นยังไงต่อไป



“ครับ”



ในเมื่อการหนีของผมมันทำให้ผมเหนื่อยและไม่ใช่แค่ผมคนเดียว คนตามอย่างเจ้าจอมมันก็คงเหนื่อยไม่แพ้กัน ผมเลยตัดสินใจได้ว่าครั้งนี้ผมจะไม่หนีความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไปแล้ว



“อืม ยังเหมือนเดิม...”



“พี่ยีนส์...”



“อาจจะชอบมึงมากกว่าที่มึงคิดด้วยซ้ำ”



ตัวของผมโดนคว้าเข้าไปกอดทันทีที่พูดจบ เสียงหัวใจของเราทั้งสองคนดังขึ้นเป็นจังหวะเดียวกัน เจ้าจอมกอดกระชับผมแน่น ผมไม่ได้กอดกลับแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว



“ผมก็ชอบพี่ชอบมากๆครับ อาจจะกลายเป็นรักไปแล้วก็ได้” มันซบหน้าลงกับไหล่ของผม ความเปียกชื้นที่รู้สึกทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้มันกำลังร้องไห้ซึ่งไม่ต่างจากผมที่กำลังร้องไห้อยู่เช่นกัน



“มึงแม่ง!..” ผมยกมือขึ้นมากำแขนเสื้อมันไว้แน่น ความรู้สึกที่เคยเก็บไว้เหมือนได้ปลดปล่อยออกไปจนคลายความอึดอัดลง รู้สึกว่าตัวเบาโหวงเมื่อได้พูดสิ่งที่ตนเองรู้สึกออกมา



“ผมขอโทษที่ไม่เข้ามาคุยกับพี่ให้เร็วกว่านี้”



เออ...มันก็รู้ตัวนี่หว่า



“แล้วมึงปล่อยเวลาให้นานขนาดนี้ทำไม ทั้งที่กูกับมึงก็เจอกันแต่มึงกลับเอาแต่มองหน้ากูแล้วเดินหายไป” ตลอดทั้งอาทิตย์มันเกิดแบบนั้นขึ้นจริงๆซึ่งผมไม่เข้าใจ ในใจลึกๆของผมก็ยังหวังว่ามันจะเข้ามาพูดคุยหรืออธิบายอะไรสักอย่างให้ผมฟังแต่ทุกครั้งมันเอาแต่มองผมก่อนจะเดินหนีหายไป การกระทำของมันยิ่งทำให้ผมคิดมากและทำให้ผมคิดไปเองแล้วว่ามันคงจบลงเท่านี้



“ผมขอโทษครับ” เราผละออกจากกันเป็นผมที่ยื่นมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้มัน ไม่ได้อ่อนละมุนหรืออ่อนโยนเหมือนอย่างที่คิด ออกจะทำแรงและเช็ดลวกๆซะมากกว่า



“ถ้าจะหายไปก็หายไปเลยดิวะ ทำไมต้องมาเจอเหมือนให้ความหวังกันอยู่ได้ มึงแม่ง!” ขอด่ามันหน่อยเถอะ อดทนมานานแล้ว



“ผมไม่อยากให้พี่ลืมผมแต่ผมก็ยังเข้าไปคุยกับพี่ตอนนั้นไม่ได้”



“ทำไม?”



“มีคนบอกให้ผมรอเวลาเหมาะกว่านี้ซึ่งก็คือวันนี้ครับ”



ผมว่าผมพอจะเดาได้อยู่นะว่าเป็นใครและพวกมันคงรุมหัวกันวางแผนขึ้น ผมก็ว่าแล้วทำไมถึงอยากให้มีงานวันเกิดกันนักเพราะอย่างนี้นี่เอง



“มึงก็เชื่อพวกมัน?”



“ครับ” มันพยักหน้าเหมือนเด็กมีความผิดแล้วต้องสารภาพออกมาให้ฟัง “ผมกลัวว่าถ้าไม่ทำตาม...พี่ก็จะไม่ยอมคุยกับผม”



“เออดีจริงๆเลย”



“พี่ร้องไห้ทำไมครับ ดีใจใช่ไหมที่เราดีกันแล้ว”



“เงียบปากไปเลยมึง”



มันระบายยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาตรงหางตาให้ผม ใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำในตอนนี้ ดีที่บริเวณที่ยืนอยู่ค่อนข้างมืดและมีแสงสว่างส่องมาเพียงนิดเดียวจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเห็น



“ผมคิดถึงพี่มากๆนะครับ” มันเอาปลายจมูกแตะกับปลายจมูกของผม สายตาของเราประสานกันและรอยยิ้มของมันทำให้ผมตาพร่าไปชั่วขณะ



“เออ...กูก็เหมือนกัน” ผมพูดอ้อมแอ้มเสียงเบา



“เหมือนกันยังไงครับ?” แม้จะมืดแค่ไหนแต่เพราะใบหน้าของมันอยู่ใกล้ผมจึงได้เห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของมัน สายตาที่ไม่ได้เห็นมาหลายวันและผมก็…



“คิดถึงเหมือนกัน”



เจ้าจอมคว้าตัวผมเข้าไปกอดอีกครั้งก่อนจะกดจูบย้ำๆตรงไหล่ของผม



“ทำยังไงดีครับผมรู้สึกรักพี่มากเลย”



“พูดอะไรของมึงวะ”

“พูดว่ารักไงครับ”



ไอ้เวรเอ๊ย! ทำไมผมต้องมารู้สึกเขินกับคำพูดของมันด้วยวะ



“เงียบเลย!”



“ผมรักพี่นะ รักรักรัก รักมากๆถ้าจะให้รักมากกว่านี้ผมก็ยังไหวขอแค่พี่รักผมบ้างก็พอ รักไหมครับ?”



“อะไรของมึงอีก?” ผมขืนตัวออกจากอ้อมกอดของมันแต่เหมือนมันเอาแรงเฮือกสุดท้ายของชีวิตมารัดตัวผมไว้ทำให้ผมหลุดออกไปไม่ได้



“ว่าไงครับพี่รักผมไหม?” มันยังไม่ยอมแพ้ ถามต้อนให้ผมพูดคำๆนั้นออกมาให้ได้



“ก็บอกไปแล้วไงวะ” ถึงจะเป็นคำว่าชอบมากก็เถอะแต่มันก็เหมือนกันนั่นแหละ



“พี่บอกว่าชอบ..”



“มันก็เหมือนกัน”



“ไม่เหมือนสิครับ แค่ตัวสะกดยังไม่เหมือนกันเลย” ดูครับดูมันกวนตีนผม พอหายเศร้าก็กลับมาซ่าเหมือนเดิมเลยนะมึง



“เออ”



“เอออะไรครับ”



“เออรักก็รักวะ พอใจยัง”



“ที่สุดครับ”



ผมขืนตัวเองออกอีกครั้งและครั้งนี้มันก็ยอมปล่อยผมแต่โดยดี ไม่รู้ไปโดนตัวไหนมามันถึงเอาแต่ยิ้มแบบนี้ อย่าว่าแต่มันเลยครับผมก็ยิ้มเหมือนมันนั่นแหละ



“ไปได้ยัง?”



“ยังครับ”



“อะไรอีกวะ?” ผมขมวดคิ้วฉับ งงที่มันไม่ยอมให้ผมไปไหนสักที



“คำถามสุดท้ายแล้วครับ”



“รีบๆถามมาเลย ลีลาอยู่นั่นแหละ” ชักจะเริ่มหมั่นไส้มันขึ้นมาอีกแล้ว หน้าตาแม่งก็ดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดเดียว



มันมองสบตาผมแต่แววตาตอนนี้มีแต่แววหวานเชื่อมจนผมแทบอยากหลบตาแต่ในใจก็ยังรู้สึกว่าอยากมองมันไปเรื่อยๆและอยากมองให้นานกว่านี้เหมือนมีอะไรมาดึงดูดให้ผมไม่อาจละสายตาไปไหนได้



“ถ้าพี่รักผมแล้วงั้นเราคบกันไหมครับ?” รอยยิ้มของมันทำให้ผมใจเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งเมื่อได้ยินคำถามของมันก็ทำเอาผมแทบทำอะไรไม่ถูก



“มึงแม่ง...” ผมทำเป็นด่ากลบเกลื่อนทั้งที่หัวใจยังคงเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมมีคำตอบให้มันอยู่แล้ว มีตั้งแต่มันบอกว่ารักผมนั่นแหละ ผมคิดไว้ตั้งแต่ตอนนั้นหากเกิดว่ามันถามขึ้นมาและมันก็ถามผมขึ้นมาจริงๆ



“เชี่ย!!”



ผมหันขวับไปมองตามเสียงโวยวายของคนกลุ่มหนึ่ง ใช่ครับคนกลุ่มหนึ่งที่หลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ๆแต่เพราะอะไรก็ไม่รู้พวกมันถึงได้โผล่พรวดกันออกมาแล้วก็ยิ้มแห้งๆให้ผม



“โทษทีมึงพวกกูไม่ได้แอบฟังนะเว้ยแค่เดินผ่านมา” ไอ้เป๋าเป็นคนแรกที่แก้ตัวซึ่งแม่งไม่เนียนไงเดินผ่านมาบ้าอะไรยกโขยงกันมาเลยเชียว



“ไม่เนียน” ผมตอบกลับสั้นๆและพวกมันก็เอาแต่หัวเราะแหะๆใส่ผม



ผมส่ายหน้าระอาเข้าใจพวกมันแหละว่ามันก็ห่วงผมจึงออกมาดูและอีกอย่างก็คงมาดูด้วยว่าแผนที่วางไว้กับไอ้เจ้าจอมนั้นสำเร็จหรือเปล่าซึ่งพวกมันก็คงเห็นผลกันแล้ว



“ช่างพวกกูเถอะ แล้วนี่มึงตอบคำถามเจ้าจอมมันไปยังวะ น้องมันรอนานแล้วนะเว้ย” ไอ้หมอกก็อีกคน มันพยักพเยิดไปทางเจ้าจอมที่ยืนอยู่ข้างๆผม



“ไม่ต้องสนใจพวกกูนะมึง คิดซะว่าพวกกูมาเป็นพยานรักให้มึงแล้วกันเนอะๆ” ยังจะมีน่ามาเนอะอีกไอ้ห่าเป๋า มึงเนี่ยตัววางแผนแน่ๆ



เออเอายังไงก็เอาถึงผมจะไล่พวกมันก็คงไม่ไปกันหรอกอีกอย่างก็บอกโต้งๆกันต่อหน้าพวกมันนี่แหละ ไม่มีอะไรจะเสียแล้วด้วย ก่อนหน้านั้นพวกมันคงเห็นฉากสวีทของผมกับไอ้เจ้าจอมกันหมดแล้ว ยิ่งคิดแม่งยิ่งอายแต่ก็ทำหน้าด้านหน้าทนไว้เดี๋ยวพวกมันจะล้อ



“ว่าไงครับพี่ยีนส์ตกลงไหม?” นี่ก็ถามย้ำจังวะ แล้วนี่จะยิ้มอะไรนักหนาไม่รู้หรือไงวะว่าทำให้ผมต้องยิ้มตามมันอีกเนี่ย ไอ้เด็กเวรเอ๊ย!



ผมมองหน้าพวกเพื่อนๆทุกคนอีกครั้งพวกมันก็ทำหน้าที่ให้กำลังใจและคอยยุผมให้ตอบสักที ละสายตามามองที่เจ้าจอมมันบ้างเด็กนี่มันก็กำลังมองผมแต่แตกต่างจากเพื่อนของผมเพราะแววตาของมันตอนนี้เต็มไปด้วยความรักและความจริงใจซึ่งผมรู้สึกได้โดยทันทีที่สบตากับมัน



“อือ”



“อือไรวะไอ้ยีนส์”



“ไอ้เชี่ยเป๋าหุบปากไปเลย”



“บ๊ะ! ก็มึงตอบไม่เคลียร์นี่หว่า อือแล้วอะไรต่อละวะ”



“ก็คบไงไอ้ฟายถามมากจริงเลย”



“ก็แค่เนี้ย” แล้วพวกมันก็พร้อมใจกันประสานเสียง ขนาดไอ้ไฟที่ไม่ค่อยพูดมันยังอุตส่าห์พูดกับเขาเลยครับ นี่คงจะเตี๊ยมกันมาดีจริงๆ



“ไปๆพวกเราปล่อยให้เขาอยู่กันสองคนเถอะ” อยากจะด่าไอ้เป๋ามันมากเลยว่าพวกมึงควรรู้กันตั้งนานแล้วไหม



เมื่อพวกมันพากันเดินออกไป บริเวณนี้จึงเหลือแค่เพียงผมกับเจ้าจอมสองคน



“ขอฟังชัดๆอีกรอบได้ไหมครับ?” เจ้าจอมเดินเข้ามาใกล้อีกครั้งหลังจากเมื่อกี้มันเขยิบเว้นระยะห่างจากผมไปเวลาอยู่ต่อหน้าเพื่อน



“ฟังอะไร?”



“ที่พี่ตอบบเมื่อกี้ ผมอยากฟังชัดๆอีกครั้งได้ไหมครับ” ใครสั่งใครสอนให้ทำหน้าอ้อนเสียงอ้อนแบบนี้วะ ไอ้เด็กนี่นับวันชักเริ่มจะเอาใหญ่แล้ว



ถึงผมจะไม่อยากพูดซ้ำแล้วแต่เพราะเป็นมันจึงเป็นข้อยกเว้น ในเมื่อมันอยากฟังอีกครั้งผมก็จะพูดให้มันฟังและจะย้ำให้มันจำเอาไว้จะได้ไม่มาถามซ้ำอีก



เอาจริงๆก็ตื่นเต้นแหละแต่บอกแล้วไงว่าต้องทำเป็นหน้าด้านหน้าทน ในเมื่อมันก็มีความกล้าที่จะถามผมแล้ว ผมก็ต้องมีความกล้าที่จะตอบคำถามมันดิ อีกอย่างความรู้สึกที่ผมมีให้มันก็เอ่อล้นเกินกว่าที่จะเก็บไว้คนเดียวในเมื่อมันอยากฟังนักผมก็จะตอบให้มันฟังจนมันเบื่อไปเลย



“กูบอกว่ากูจะคบกับมึง...” เกิดอาการหน้าร้อนขึ้นมาซะดื้อๆดีที่ไฟไม่สว่างเจ้าจอมมันก็เลยไม่เห็นสีหน้าของผม “ชัดพอหรือยัง”



มันพยักหน้าหงึกหงัก “ชัดครับชัดมากด้วย”



“เอองั้นก็...” ยังไม่ทันที่จะพูดให้จบก็โดนมันจู่โจมด้วยการจูบปาก ผมตัวแข็งค้างก่อนจะคล้อยตามมันด้วยการขยับปากไปตามที่มันนำจากนั้นจึงผละออก



“ขอบคุณนะครับ ผมรักพี่นะ”



“เออ กูก็รักมึง”



ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันบอกรักแห่งชาติหรือเปล่า ผมกับมันถึงได้เอาแต่พูดคำว่ารักกันซ้ำๆอย่างไม่รู้จักเบื่อและกลับชอบด้วยซ้ำที่ได้พูดออกไป เหมือนความรู้สึกที่เคยแบกไว้มันเบาลง เบาจนอาจจะลอยได้เลยล่ะครับ เป็นความรู้สึกฟูๆที่หัวใจ รู้สึกว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาหลังจากที่ต้องห่อเหี่ยวและคิดมากกับเรื่องนี้อยู่หลายวัน



ทำไมผมเริ่มอธิบายได้เลี่ยนจังเลยวะ ก็นะคนมีความรักก็คงเป็นแบบนี้กันมั้งครับ



ผมมองมันที่ยังคงมีรอยยิ้มประดับไว้บนใบหน้า มองรอยยิ้มของมันที่ผมคิดถึงและมองทุกอย่างในตัวของมันที่ผมรัก ผมไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งผมกับมันจะลงเอยกับแบบนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าการมีมันอยู่ในชีวิตคือเรื่องดีๆอีกเรื่องหนึ่งของผมและไม่เคยคิดเลยว่าผมจะรักใครได้มากมายขนาดนี้



ผมระบายยิ้มจนเต็มแก้มก่อนจะคว้าตัวมันเข้ามากอดแล้วซบหน้าลงไปบนไหล่ของมันกดจูบย้ำอยู่ตรงนั้นซ้ำๆ ไม่ใช่แค่มันที่รักผมมากแต่ผมก็รักมันมากขนาดที่ว่าตัวผมเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย



“กูไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไงแต่กูจะพยายามรักษาทุกอย่างไว้และทำมันให้ดีที่สุด” กระซิบเสียงเบาทว่าหนักแน่นให้มันได้ยิน การกระชับกอดของเจ้าจอมทำให้ผมรับรู้ว่ามันได้ยินในสิ่งที่ผมบอกไป



“ผมก็เหมือนกันครับ”



“กูรักมึงมากนะเจ้าจอม”



“ผมก็รักพี่มากเหมือนกันครับพี่ยีนส์”



“อืม” ผมพยักหน้าหงึกหงักอยู่กับไหล่ของมันก่อนที่เราจะกอดกันนิ่งอยู่อย่างนั้น



นิ่งเพื่อฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นไปในจังหวะเดียวกัน มันประสานกันเป็นหนึ่งเดียวเหมือนความรักของผมกับมันที่มอบให้กัน



เมื่อยืนกอดกันจนพอใจแล้วก็ผละออก ต่างฝ่ายต่างเช็ดน้ำตาให้กันเงียบๆส่งยิ้มให้กันอีกครั้งก่อนจะเป็นมันที่คว้ามือผมไปจับไว้



“เข้าไปข้างในกันเถอะครับจะได้เป่าเค้กสักที”



“เค้กอะไร?”



“เค้กวันเกิดของพี่ไงครับ”



“วางแผนมาดีจริงๆนะพวกมึง”



เจ้าจอมมันขำทั้งที่โดนผมหยิกเข้าข้างเอวเหมือนกับว่ามันรู้สึกตลกมากกว่าที่จะเจ็บ



“ถ้าวางแผนไม่ดีผมก็ไม่ได้คบกับพี่สิครับ”



ถอนหายใจระอาไอ้เจ้าจอมกับเพื่อนผมเนี่ยเข้าขากันดีจริงๆ



“เออเก่งกันนัก”



เราสองคนเดินยังไม่ทันถึงโต๊ะก็ได้ยินเสียงนักร้องบนเวทีร้องเพลงแฮปปี้เบิดเดย์ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง พอหันไปหาเจ้าจอมเพื่อจะถามมันว่าทำไมต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ด้วยก็ไม่เห็นมันแล้ว ผมมองหามันไปทั่วเมื่อกี้ก็เดินมาด้วยกันอยู่ดีๆไหงมันหายไปได้วะ

 

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู~~ ยู~~


 

เสียงเพลงร้องแฮปปี้เบิดเดย์ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆจากตอนแรกที่มีเพียงนักร้องบนเวทีร้องให้ตอนนี้เกือบทุกคนในร้านก็ร่วมร้องเพลงเช่นกัน ผมโคตรอายเลยครับมองหาเพื่อนก็ไม่เห็นแต่ไม่นานสายตาของผมก็เจอคนที่หายไปในตอนแรก มือของมันถือเค้กไว้ทั้งสองข้าง ปากมันก็ร้องเพลงส่วนสายตาก็เอาแต่จดจ้องมาที่ผมพร้อมกับก้าวเดินเข้ามาหา ข้างหลังของมันมีพวกเพื่อนๆของผมที่เดินร้องเพลงมาเช่นกัน

 

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์

แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู~~ ยู~~

 

สิ้นเสียงของทุกคนผมก็ไล่สายตามองเพื่อนๆไล่มาเรื่อยๆจนถึงคนที่ยืนถือเค้กให้ตรงหน้าของผม เห็นแบบนี้ใครไม่ยิ้มก็บ้าแล้วครับ



“อธิษฐานก่อนครับค่อยเป่า” ตอนที่กำลังก้มหน้าเพื่อจะเป่าเทียนเจ้าจอมมันก็ห้ามผมไว้ก่อน



ผมยกสองมือขึ้นมาประสานกันเป็นท่าอธิฐานขอพรหลับตาลงแล้วขอสิ่งที่ต้องการในใจก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วเป่าเทียนวันเกิดจนดับหมดทุกเล่ม



“สุขสันต์วันเกิดนะครับ ผมขอให้พี่มีความสุขมากๆ”



“ขอบใจ”



เสียงโห่ฮาของเพื่อนๆและทุกคนในร้านดังขึ้นทันที ผมหันหน้าไปผงกหัวให้กับทุกคนเพื่อเป็นการขอบคุณ ทุกคนในร้านก็ปรบมือให้



“ไปที่โต๊ะกันเหอะ” ผมบอกพวกเพื่อนตัวเองเพราะยืนอยู่ตรงนี้มันเด่นเกินไปแม้จะไม่ทันแล้วแต่ผมก็ไม่อยากจะเด่นนานๆหรอกครับ



พอถึงโต๊ะทุกคนก็นั่งประจำที่ มีเพียงเจ้าจอมที่มันยังคงยืนถือเค้กและดูเงอะงะว่าจะนั่งตรงไหนดี ผมจึงเรียกให้มันมานั่งที่ว่างข้างๆกันซึ่งผมรู้แหละว่าเพื่อนมันจงใจเว้นไว้เพื่อที่จะให้เจ้าจอมมันได้นั่งข้างๆผม แสนรู้กันจริงๆเลยแต่ละคน



“วางเค้กไว้ก่อน” ผมบอกมัน มันก็ทำตามอย่างว่าง่าย “ก่อนอื่นเลยนะกูขอคุยกับพวกมึงหน่อย” ว่าแล้วก็มองหน้าเพื่อนของตัวเองเรียงคน



“คุยไรวะ?” ไอ้เป๋าถามแสร้งทำไม่รู้เรื่อง “มีเรื่องอะไรเหรอ?”



“มึงน่ะตัวดีเลย” ผมชี้หน้าคาดโทษ ไอ้เป๋าจึงทำเป็นหงอหลบหลังไอ้หมอก “แต่ก็..ขอบคุณพวกมึงทุกคนมาก ถ้าไม่มีพวกมึง กูกับมันคงไม่ได้เคลียร์กันสักที”



ถึงจะหมั่นใส้พวกมันหน่อยๆโดยเฉพาะไอ้เป๋าแต่ถ้าหากไม่มีพวกมันผมกับเจ้าจอมคงไม่ได้คบกันหรอกครับอีกอย่างผมก็ไม่ได้โกรธอะไรพวกมันด้วย รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำ



“เห็นไหมล่าาา กูนี่อุทิศตัวช่วยมึงเลยนะเว้ย” พอผมไม่ได้ด่าไอ้เป๋าก็โผล่หน้าออกมาทันที



“แล้วพวกมึงสองคนดีกันแล้วใช่ไหม?” ไอ้เตอร์ดึงเข้าเรื่องที่พอจะมีสาระกว่าไอ้เป๋าบ้าง เห็นมันยกมือขึ้นมาโบกหัวไอ้เป๋าจนเกือบหน้าทิ่มด้วยสงสัยจะรำคาญกับความไร้สาระของมัน



“อืม คบละ” ตอบเสร็จก็ยกเหล้าขึ้นกรอกปากรวดเดียวจนหมด



“ดีแล้วล่ะที่คบกัน ปากแข็งกันอยู่ได้ตั้งนาน” ไอ้หมอกว่า



ก็ยอมรับว่าตัวเองปากแข็งแต่ตอนนี้ก็เลิกปากแข็งแล้วไงครับถึงได้คบกันมันเนี่ย



“กูขอถามอย่างนึง สงสัยมาก” เป็นคำถามที่ผมยังไม่รู้เหตุผลจึงต้องถามกับไอ้พวกที่วางแผนซึ่งก็คือเพื่อนผมนั่นเอง “ทำไมมึงถึงบอกให้เจ้าจอมมาคุยกับกูวันนี้ ไอ้ที่คะยั้นคะยอให้จัดวันเกิดก็เพราะอย่างนี้ใช่ไหม?”



“เป๋ามึงตอบดิ” หมอกมันหันไปหาไอ้เป๋าแล้วผลักไหล่ให้ไอ้เป๋ามันตอบ



“กูอีกละ”



“ก็มึงตัวต้นคิด”



มันอึกอักเพราะเถียงไม่ได้จึงจำยอมต้องตอบสิ่งที่ผมถาม



“ใช่ จริงๆกูก็อยากให้พวกมึงคุยกันตั้งแต่เปิดเรียนแล้วแต่ติดที่ว่ามันหาโอกาสที่จะให้พวกมึงคุยกันยากไงเลยคิดว่าวันเกิดมึงนี่แหละคือโอกาสที่ดีที่สุด” คงจะเป็นการอธิบายที่จริงจังที่สุดในชีวิตของไอ้เป๋ามันแล้วครับ “เนี่ยพวกกูหวังดีเสมอนะเพื่อนยีนส์ที่รัก”



ผมทำหน้าเอือมเมื่อฟังมันพูดประโยคสุดท้าย “เออๆขอบใจไอ้สัด”



“ไม่เป็นไรเพื่อนรัก”



ถึงแม้บางครั้งพวกมันจะดูกวนตีนหรืออาจจะดูไม่สนใจผมแต่ผมก็รู้ว่าลึกๆแล้วพวกมันทุกคนก็ห่วงผมแต่แค่ไม่พูดออกมา พวกมันเลือกที่จะแสดงเป็นการกระทำมากกว่าเหมือนอย่างเรื่องนี้ที่มันทำให้ผมเห็นว่าพวกมันก็รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่ก้าวก่าย ปล่อยให้ผมเป็นคนตัดสินใจเองทว่าพวกมันก็จะช่วยในสิ่งที่พวกมันพอช่วยได้ให้เรื่องง่ายขึ้นอีกเยอะ



ผมคิดว่าถ้าหากพวกมันไม่ช่วยเรื่องวันนี้ ตอนนี้ผมกับเจ้าจอมอาจจะไม่ได้คุยกันเลยก็ได้ ถือซะว่าเรื่องราวของวันนี้เป็นอีกวันที่ผมคงจะจดจำไปตลอดล่ะครับ




ก็คือไม่ว่างมาลงเลย ล่าสุดพึ่งว่างเมื่อกี้ก็รีบมาลงให้เลย พรุ่งนี้รออ่านตอนจบกันด้วยนะค้าา ขอบคุณทุกๆกำลังใจนะคะที่อยู่กันจนมาถึงตอนนี้ ขอบคุณมากๆเลย
ปล. ฝากเรื่องต่อไปที่จะลงต่อจากเรื่องนี้ด้วยนะคะ สมชาติไม่ชอบนะค่ะ
#นิติผูกพัน
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความรู้สึกของเราสองคน- 25/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-03-2019 01:15:45
 :pig4: :pig4: :pig4:

ง่า...คบกันแล้ว
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความรู้สึกของเราสองคน- 25/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-03-2019 01:34:00
อิงค์เป็นชะนีน้อยที่น่ารักมาก  o13
หัวข้อ: Re: ღ นิติผูกพัน ღ -ความรู้สึกของเราสองคน- 25/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: ฟองดูว์ ที่ 25-03-2019 16:42:59

ตอนที่26

นิติผูกพัน


หลังจากวันนั้นผมกับเจ้าจอมก็เลื่อนสถานะขึ้นจากพี่ติวน้องติวไปเป็นคนรัก การเปลี่ยนแปลงสถานะของเราทำให้มีหลายๆอย่างที่อาจจะเปลี่ยนไปเช่นการแตะเนื้อต้องตัวหรือการพูดคุยที่อาจจะมากกว่าเมื่อก่อนโขเลยอีกทั้งยังบางครั้งเจ้าจอมมันก็ชอบเรียกชื่อผมโดยไม่มีคำว่าพี่นำหน้า  ผมก็ไม่ได้ถืออะไรมากหรอกแค่บางครั้งก็ยังไม่ชินแต่มันก็ไม่ได้เรียกบ่อยขนาดนั้นหรอกครับส่วนใหญ่จะเรียกตอนที่โกรธผมมากกว่า



พวกผมใช้ชีวิตเหมือนคู่รักปกติทั่วไปนั่นแหละครับ มีทะเลาะกันบ้างดีกันบ้างแล้วแต่อารมณ์และสถานการณ์พาไป อีกอย่างก็คือเพื่อนผมเนี่ยแม่งขยันแซวกันจังแต่ละคน ทั้งที่เรื่องมันก็ผ่านไปเดือนนึงแล้วก็ยังไม่หยุดแซวกัน ก็ปล่อยๆพวกมันไปเถอะครับ ถ้าการแซวผมเป็นสิ่งที่ทำให้มันมีความสุขกันผมก็ยินดี



“พวกมึงดูเกรดกันยังวะ เป็นไงกันบ้าง” หัวสมองของกลุ่มอย่างไอ้หมอกที่พึ่งเดินเข้ามาถามขึ้น สมกับเป็นหัวสมองของกลุ่มจริงๆเพราะแค่คำถามแรกก็พูดถึงเรื่องเรียนแล้ว



“ก็ดีว่ะ” ผมตอบคนแรก



“หมายถึงว่าได้ D เหรอวะ” ใครก็ได้เอาไอ้เป๋าไปจากตรงนี้ทีครับ



“ไม่ใช่ กูหมายถึงว่าเกรดออกมาดีมากเข้าใจยัง” แล้วต้องมานั่งอธิบายให้มันฟังอีก



“อ่อ นึกว่าได้ D เหมือนกู” มันทำหน้าเศร้า “แต่ยอมรับว่ะวิชานี้กูไม่ได้จริงๆ ตอนแรกคิดว่าจะติดเอฟแล้วด้วยซ้ำ”



“เอาน่า ก็ยังดีแหละ” เห็นมันเศร้าแล้วก็สงสาร



ไอ้เป๋าเงยหน้าขึ้นมองผมก่อนจะพูดว่า “สงสารกูเหรอ เลี้ยงเหล้ากูสิ”



ผมทำหน้าหน่าย จริงจังได้ไม่ถึงเสี้ยววิมันก็พาไร้สาระอีกแล้ว ผมเลิกสนใจมันแล้วหันไปถามคนอื่นๆบ้าง “พวกมึงล่ะเป็นยังไงบ้าง?”



“วิชาที่พึ่งออกน่ะเหรอ” ไอ้เตอร์ถาม



“เออ มันก็ออกวิชาเดียวนั่นแหละ



“เหรอวะ กูเข้าไปดู reg. ก่อนจำไม่ได้” มันยกโทรศัพท์ขึ้นมาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะก้มหน้าลงใช้นิ้วกดยุกยิกๆในโทรศัพท์อยู่คนเดียว



“ไอ้คินไอ้ไฟพวกมึงล่ะว่าไง?” ระหว่างรอไอ้เตอร์ก็ถามสองคนนี้ก่อนก็ได้ เออไอ้หมอกอีกคนมันยังไม่ได้บอกเลย “มึงด้วยไอ้หมอก”



“บีบวก” คินตอบสั้นๆ



“บี” แต่ไอ้ไฟตอบสั้นกว่า



คือมึงสองคนแข่งกันตอบสั้นเหรอ ประมาณว่าถ้าใครตอบสั้นกว่าคนนั้นชนะใช่ไหมถามจริง? ผมนี่ก็ควรจะชินกับการพูดน้อยของมันทั้งสองคนได้แล้วแต่ก็อดจะบ่นในความคิดไม่ได้เลย



“กูได้เอ” เป็นอย่างที่คาดไว้ว่าไอ้หมอกมันคงได้เอแน่ๆ



“กูๆได้บีเหมือนไอ้ไฟ” หลังจากที่ไอ้เตอร์มันเงียบหายเพราะมัวแต่ดูเกรดในเว็บ มันก็ส่งเสียงแล้วบอกเกรดที่มันได้ให้พวกผมฟังและนั่นก็ทำให้ไอ้เป๋าห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเดิม



“พวกมึงจะไม่เลี้ยงเหล้ากูจริงๆเหรอ กูได้เกรดน้อยกว่าพวกมึงนะสงสารกูหน่อย” มันกระพริบตาปริบๆพูดเสียงหงอย



จากนั้นพวกเราทุกคนจึงหันหน้ามองกันโดยไม่ได้นัดหมายเหมือนหันมาเพื่อปรึกษากันแล้วพอได้คำตอบก็หันกลับไปหาไอ้เป๋าที่ทำเป็นร้องกระซิกๆอบยู่คนเดียว



“ไม่!!”



“พวกคนใจร้าย”



ปล่อยให้มันน้อยอกน้อยใจของมันไปคนเดียวครับเพราะมันไม่ได้น้อยใจอะไรจริงๆหรอก มันชอบเล่นแบบนี้ตลอดดนั่นแหละ เดี๋ยวประมาณอีกห้านาทีมันก็คงจะหายแล้ว



“แล้วมึงน่ะเป็นไง ผ่านมาเดือนนึงแล้วกับเจ้าจอมเป็นยังไง?” ผมงงมากว่าทำไมจู่ๆถึงมาเข้าเรื่องของพวกผมได้วะแล้วคนที่ถามก็เป็นไอ้หมอกด้วยนะ หากเป็นปกติจะเป็นไอ้เป๋าที่รับหนาที่ถาม



“ก็เรื่อยๆ ปกตินี่”



“ดีแล้ว อย่าไปข่มเหงน้องมันมากล่ะน้องมันเป็นเด็กดี”



ผมอยากจะตอบพวกมันกลับเหลือเกินว่าฝ่ายที่โดนมันข่มเหงนั่นน่ะผมต่างหากล่ะ แต่ว่าเรื่องอะไรผมจะพูดให้พวกมันรู้แค่ผมเดินจับมือกับเจ้าจอมก็โดนพวกมันแซวไปหลายวันแล้ว



“เออ รู้แล้ว”



“แต่ก็น่าเหลือเชื่อเหมือนกันนะเรื่องที่มึงสองคนคบกัน ตอนแรกที่ได้เจ้าจอมมันเป็นน้องติวกูจำได้ว่ามึงต่อต้านเจ้าจอมันจะตายห่า ตัดภาพมาที่ตอนนี้คือรักกันฉิบหาย ขนาดพวกมันไม่แสดงความรักอะไรมากมายแต่กูยังรู้สึกได้เลยเวลาอยู่ใกล้พวกมันสองคน” ไอ้เตอร์ว่าอย่างหมั่นไส้ถามว่ารู้ได้ยังไงว่ามันหมั่นไส้ก็ดูหน้ามันสิครับออขนาดนั้นอ่ะ



“เห็นด้วย ออร่าความรักแม่งพุ่งปรี๊ด” มีไอ้หมอกยกมือขึ้นเห็นด้วยไปอีก ความประชาธิปไตยของพวกมันอ่ะเนอะ



คนที่ขาดไปไม่ได้ในการแซวผมก็คือไอ้เป๋านั่นเอง “อีกนิดคือจะแซงไอ้คินกับไอ้ทาวน์แล้ว”



ส่วนไอ้คินกับไอ้ไฟก็ปล่อยมันเงียบไปเถอะครับ....



“พูดอะไรไร้สาระจริงๆพวกมึง ไปๆไปเรียนได้ละ”



“พอเขินแล้วหนีตลอด”



“หน้าแดงแล้วมึง”



“ตายแล้วเพื่อนกูกราฟความรักพุ่งขึ้นสูงมาก”



ขนาดเดินห่างจากพวกมันมาแล้วยังได้ยินเสียงแซวไล่หลังเลยครับ ผมนี่แทบจะเอาหน้าซุกดิน ไอ้พวกฉิบหายชอบนักล่ะได้แซวกูเนี่ย อย่าให้ผมมีโอกาสบ้างแล้วกันจะแซวพวกมันยันลูกบวชเลยคอยดูโดยเฉพาะกับไอ้เป๋าจะแซวให้นาเป็นพิเศษเลยล่ะครับ แซวผมกันดีนัก!






“มึงช่วยทำเบาๆหน่อยได้ไหมวะ กูเจ็บเนี่ย” ผมตีอกไอ้เจ้าจอมขณะที่มันกำลังขยับตัวตนของมันเข้ามาในช่องทางของผม



อย่าถามถึงครั้งแรกของเราสองคนเลยครับ ไม่ค่อยน่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ ถึงจะได้ปลดปล่อยแต่แม่งก็เจ็บมากไง ยิ่งไอ้เด็กนี่ออกกำลังกายด้วยแรงมันก็ยิ่งเยอะอีก วันนั้นถ้าผมไม่ถีบให้มันออกไปมันคงจะไม่หยุดแน่ ผมบอกแล้วไงว่ามันไม่น่าฟังหรอก



“ผมก็เบาแล้วนะครับ” ยังจะมีหน้ามาแก้ตัว หลักฐานคาอยู่เลยเนี่ยมึงจะมาแก้ตัวอะไรอีก



“ให้กูเป็นคนทำมึงบ้างไหมล่ะ”



“ก็เคยแล้วนี่ครับ”



ใช่ครับ...มันพูดถูก เราเคยสลับกันทำอยู่ครั้งนึงแต่พอหลังจากเสร็จผมก็รู้สึกสงสารไอ้เจ้าจอมก็เลยต้องยอมเป็นฝ่ายที่โดนกระทำมาจนถึงทุกวันนี้



ผมคิดแค่ว่าหากการร่วมรักทำให้คนรักไม่มีความสุขมันก็ไม่ใช่การร่วมรักหรอกครับ ผมอยากให้เราทั้งคู่มีความสุขด้วยกันก็เลยยอมมาเป็นฝ่ายรับให้มันแทนและผมก็เต็มใจที่จะเป็นให้มันด้วย



“เออแต่กูก็ไม่ได้ทำมึงแรงขนาดนี้นะเว้ย”



“โอเครับๆผมจะเบาลงอีกหน่อยก็ได้”



มันรับปากและทำตามที่พูดจริงๆ ผมหยุดบ่นและเอาแต่ร้องครางตลอดการร่วมรัก เมื่อถึงจังหวะที่อารมณ์ไต่สูงขึ้นและกำลังจะปลดปล่อยเจ้าจอมมันก็รัวสะโพกโดยมีผมตอบรับมันเป็นอย่างดีก่อนที่เราทั้งคู่จะปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน



“อา....รักพี่นะ”



“อือ”



ผมนอนปรับลมหายใจให้เป็นปกติโดยที่เจ้าจอมมันก็ถอนตัวตนของมันออกไปจากช่องทางของผม ผมอยากจะด่ามันมากครับเพราะมันไม่ยอมใส่ถุงยางแต่ตอนนี้ไม่มีแรงจะทำอะไรทั้งนั้นจึงเก็บรวบยอดไว้ด่าทีหลัง



“โคตรหิวข้าว” ผมบ่นตอนที่ลมหายใจเป็นปกติ “มึงแม่งมีอารมณ์เหี้ยไรตอนเย็นๆแบบนี้วะ ไม่รู้หรือไงว่าเป็นเวลากินข้าวน่ะห้ะ!”



“อย่าดุสิครับ” มันพลิกตัวเข้ามากอดโดยที่ผมก็ได้แต่นอนทำตาขวางใส่มัน “คนอะไรขนาดดุยังน่ามองเลย”



“มึงหยุดหยอดกูสักนาทีจะนอนไม่หลับหรือไง”



“หลับครับแต่ถ้าไม่ได้นอนกอดพี่นี่สิหลับไม่ได้แน่”



“ตอแหลมาก เมื่อก่อนมึงยังนอนได้”



“ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันไม่เหมือนกันแล้วนะครับพี่ยีนส์”



“เบื่อจะเถียงกับมึง”



“แต่ผมชอบคุยกับพี่นะ”



“เงียบไปเลยจะนอน”



“ไหนว่าหิวข้าวครับ”



“มึงก็ไปซื้อให้กูดิ”



“ไหงเป็นงั้นล่ะครับ ต้องไปด้วยกันสิ”



“มึงแม่ง..” คิดคำด่าไม่ออกก็เลยไม่ด่าแล้วกัน “เออๆของีบสักยี่สิบนาทีก่อนแล้วค่อยออกไปหาไรกิน”



 “ล้อเล่นครับ เดี๋ยวผมไปซื้อให้แต่พี่ไปอาบน้ำก่อนค่อยมานอนดีกว่าจะได้สบายตัวครับ”



ก็จริงอย่างที่มันว่า นอนเหนียวตัวแบบนี้ยังไงคงนอนไม่หลับ ผมเลยพยุงตัวเองเพื่อลุกขึ้นก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายก่อนจะปิดประตูก็ไม่ลืมที่จะชะโงกหน้าไปหาไอ้เด็กที่กำลังรื้อผ้าปูที่นอนออกให้ บนตัวมันมีเพียงแค่ผ้าขนหนูปกปิดช่วงล่างเท่านั้น



“มึงก็รีบๆกลับห้องไปอาบน้ำได้แล้ว เออแล้วก็อย่าใส่แบบนี้เดินออกไปโทงๆนะมึงเสื้อคลุมมอาบน้ำในตู้ก็มี”



เคยมีอยู่ครั้งนึงหลังจากมีอะไรกันเสร็จแล้วเจ้าจอมมันก็เดินนุ่งผ้าขนหนูเดินโทงๆกลับห้องโดยที่ผมก็ห้ามมันไม่ทัน ผมงงมากว่ามันไม่อายเหรอวะ สงสารคนที่ต้องมาเห็นสภาพแบบนั้นของมันแต่ดีที่ไม่มีใครเห็นไม่งั้นมันอาจจะโดนแจ้งความข้อหาทำอนาจารเลยก็ได้ครับ



“รู้แล้วครับว่าหวง” พอได้โอกาสมันก็รีบหยอดผมทันที มันทำท่าจะเดินมาหาแต่ผมก็ยกมือห้ามไว้เดี๋ยวจะไม่ได้อาบน้ำแต่จะได้ทำอย่างอื่นแทนน่ะสิครับต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลมก่อน



“เออรู้แล้วก็ทำตามด้วย ไปได้ละ” ขี้เกียจจะเถียงกับมันก็เลยยอมรับไปตรงๆเลย เจ้าจอมมันก็ดูเหมือนจะอึ้งๆนิดหน่อยแต่ก็ยิ้มซะกว้างเชียวครับ เห็นมันมีความสุขเพราะคำพูดเล็กๆน้อยๆของผม ผมก็รู้สึกมีความสุขตามแล้ว



“ถ้าเสร็จแล้วผมจะมาหานะครับ”



“เออ”



หลังแยกย้ายกันไปอาบน้ำชำระคราบไคลต่างๆเสร็จแล้วผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเดินมาล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความอ่อนเพลียเนื่องจากโดนสูบพลังตั้งแต่ตอนเย็นจนถึงหัวค่ำ ไม่รู้ไอ้เจ้าจอมมันไปอดอยากมาจากไหนถึงเล่นผมซะเพลียขนาดนี้แต่จะโทษมันฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกครับผมก็ยอมมันเองนี่เนอะ



ตอนตากำลังจะปิดเสียงประตูห้องของผมก็ดังขึ้นทำให้ต้องโฟกัสสายตาไปหาคนที่เดินเข้ามาอีกครั้ง



“อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ?” มันล้มตัวลงนั่งบนขอบเตียงข้างๆผมก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบไล้ผิวแก้มเรื่อยไปจนถึงเปลือกตาของผมที่ปิดลง



ผมส่ายหน้าไม่มีเมนูที่อยากกินเป็นพิเศษอะไรทั้งนั้น ซื้ออะไรมาผมก็กินหมดนั่นแหละ “ซื้อน้ำเต้าหู้มาให้ด้วย”



“ครับ นอนพักเถอะ เดี๋ยวผมมา” ก่อนไปมันก็ไม่ลืมก้มลงจูบตรงหน้าผากของผมจากนั้นผมก็รู้สึกว่ามันลุกออกจากเตียงไป



ผมยกมือขึ้นมาลูบตรงหน้าผากของตัวเองแล้วจู่ๆริมฝีปากก็ระบายยิ้มออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ หัวใจก็เหมือนจะเต้นเร็วยิ่งกว่าโดนมันบอกรักอีก การกระทำเมื่อกี้ของมันทั้งอ่อนโยนและรู้สึกได้ถึงพลังความรักที่มันมีให้ต่อผม มันเป็นพลังบวกที่แม้จะเล็กน้อยก็ทำให้ผมมีความสุข



ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงของหล่นบนพื้นห้อง เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นก็พบกับตัวต้นเหตุที่ยืนเกาหัวส่งยิ้มแห้งให้ผม มันวางกล่องไม้อะไรสักอย่างไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินเข้ามาหาผมที่ขยับตัวลุกนั่งบนที่นอน



“ขอโทษที่ทำให้ตื่นครับ” หน้าตามันดูรู้สึกผิดที่ทำให้ผมตื่นซึ่งผมไม่ได้อะไรกับการที่มันทำให้ผมตื่นเลยดีซะอีกครับจะได้ไม่ต้องมาปลุกผมให้ยาก



“ช่างเถอะ แล้วนี่กี่โมงแล้ว?”



เจ้าจอมมันกุลีกุจอหาโทรศัพท์ที่วางไว้บนหัวเตียงก่อนจะกดดูเวลา “พึ่งสามทุ่มครับ”



“อืม กูขอล้างหน้าก่อนเดี๋ยวออกไปกินข้าว”



“ครับ เดี๋ยวผมออกไปเตรียมไว้ให้” มันทำท่าจะลุกแต่ผมก็ดึงรั้งมันให้นั่งลงข้างๆผมก่อน



ผมมองหน้ามันนิ่งไม่ได้พูดอะไรก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปหาแล้วประทับจูบลงบนริมฝีปากมันแผ่วเบา ที่ทำก็แค่อยากขอบคุณที่มันดูแลผมเป็นอย่างดีทั้งที่ผมก็เป็นผู้ชายเหมือนกันกับมัน



“ไปได้แล้วไม่ต้องทำหน้าเคลิ้ม” ผมผละออกแล้วผลักให้มันไปสักที



“แล้วก็ขยันทำให้ผมรักจังเลย”



มันบ่นอุบอิบก่อนจะยอมเดินออกไปจากห้องของผมดีๆ ผมได้แต่ส่ายหน้แล้วยิ้มให้กับภาพที่มันเดินลูบปากออกไป ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่ขยันทำให้มันรัก มันก็ขยันทำให้ผมรักเหมือนกันนั่นแหละ



เดินออกมายังโต๊ะกินข้าวก็เห็นของที่ผมชอบตั้งเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะอาหาร เจ้าจอมมันจัดแจงตักข้าวให้ผมเรียบร้อย ใครโดนทำให้แบบนี้แล้วไม่ยิ้มก็คงจะใจดำเกินไปแล้วล่ะครับ ในเมื่อเด็กมันน่ารักก็ต้องให้รางวัลมันด้วยการหอมแก้มมันสักฟอดสองฟอด



“ขอบคุณมาก”



มันยังคงอึ้งและไม่รู้มันจะอึ้งทำไม เวลาผมจะแสดงความรักหรือขอบคุณก็มักจะทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆก่อนหน้านี้ก็ทำแต่เหมือนมันยังไม่ชินกับการกระทำของผมเท่าไหร่ ทำไมล่ะวะคนเป็นแฟนกันแสดงออกแบบนี้ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน



“ผมดีใจมากครับที่วันนั้นตัดสินใจขอพี่คบ ถ้ารู้ว่าตอนคบกันพี่จะน่ารักขนาดนี้ผมจะขอพี่คบตั้งแต่วันที่รู้ว่าได้พี่เป็นพี่ติวแล้ว”



“เว่อร์ว่ะ พูดเหมือนตอนนั้นมึงชอบกูแล้วงั้นแหละ”



“ถึงไม่ได้ชอบแต่ผมก็รู้สึกปลื้มพี่อยู่นะครับ” มันว่าแล้วยิ้มให้ผม “พี่ภูมิใจชอบเล่าเรื่องพี่ให้ผมฟัง เวลาได้ฟังเรื่องพี่ทีไรผมก็รู้สึกว่าอยากเจอพี่มากๆจนได้มาเจอพี่จริงๆ ถึงแม้พี่ดูจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่ก็เถอะครับ”



“ถ้ามึงไม่มาเป็นน้องติวกู กูก็คงไม่อะไรกับมึงหรอก”



“แต่ก็ดีแล้วแหละครับที่ผมได้เป็น ไม่อย่างนั้นผมก็คงเป็นแค่เด็กในคณะคนหนึ่งเท่านั้น”



“พูดเหมือนตัวเองไม่เด่น”



“ถึงผมเด่นแต่ถ้าพี่ไม่สนใจมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ”



ก็จริงอย่างที่มันว่า ผมก็ไม่ใช่พวกที่จะสนใจใครเท่าไหร่อยู่แล้วด้วย “ตอนนี้ก็สนใจแล้วไง” ผมว่าอ้อมแอ้มทำเป็นตักอาหารมาใส่จานตัวเองไม่หยุด



“นั่นน่ะสิครับ” มันยิ้มก่อนจะตักไข่พะโล้ใส่จานข้าวของผม



ระหว่างมื้ออาหารผมกับเจ้าจอมก็คุยกันไปเรื่อย มีทั้งเรื่องที่เคยพูดและไม่เคยพูดเอามาเล่าให้กันฟัง เป็นความสุขเล็กๆระหว่างเราที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารแทบจะทุกวันเมื่ออยู่ด้วยกัน ถึงแม้บางครั้งจะต้องปรับตัวในเรื่องที่เข้ากันไม่ได้ทว่าเราสองคนก็ยอมปรับเพื่อกันและกัน ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันความรักมันก็คงไปด้วยกันไม่ได้หรอกครับ ในเมื่อเลือกที่จะรักก็ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนด้วย



ใครมันจะไปคิดว่าสุดท้ายแล้วคนที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับมันอย่างผมก็ต้องกลายมาเป็นทั้งรุ่นพี่ คนรู้จัก พี่ติวและคนรักของมัน โคตรจะเหลือเชื่อเลยครับ นี่แหละมั้งที่เขาเรียกว่านิติผูกพัน ผูกพันกันจนกลายเป็นความรักระหว่างเราทั้งสองคน...



ღ THE END ღ

เป็นตอนจบที่อาจจะไม่ได้หวานมากนักแต่เราก็พอใจกับตอนจบนี้มากๆเลย ขอบคุณคนอ่านทุกคนนะคะที่อยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้ เราอาจจะมาช้าบ้าง หายไปนานบ้างทุกคนก็ยังไม่ทิ้งกันไปไหน ขอบคุณมากๆนะคะ เราจะพยายามปรับปรุงการเขียนไปเรื่อยๆจะไม่หยุดแค่นี้แน่นอน

ขอแจ้งอีกเรื่องก็คือเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์กับ สนพ. SENSE BOOK Publishing  แอบบอกว่าพึ่งส่งต้นฉบับไปเมื่อวาน ถ้ามีรายละเอียดอะไรเพิ่มเติมแล้วจะมาแจ้งให้ทราบอีกทีนะคะ สำหรับวันนี้ก็ขอบคุณและสวัสดีค่าา เจอกันเรื่องหน้าเด้ออ

ปล. ฝากเรื่องต่อไปที่จะลงต่อจากเรื่องนี้ด้วยนะคะ สมชาติไม่ชอบนะค่ะ
#นิติผูกพัน
หัวข้อ: Re: =END= ღ นิติผูกพัน ღ -นิติผูกพัน- 25/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-03-2019 21:55:24
สุขสงบกันถ้วนหน้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: =END= ღ นิติผูกพัน ღ -นิติผูกพัน- 25/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-03-2019 22:19:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: =END= ღ นิติผูกพัน ღ -นิติผูกพัน- 25/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-03-2019 00:36:55
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: =END= ღ นิติผูกพัน ღ -นิติผูกพัน- 25/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 29-03-2019 21:54:12
แฮปปี้ไปเลยจ้า ลงเอยด้วยดี น่ารักดีค่ะ

เจ้าจอมยิ่งหลงพี่ยีนส์หนักมากไปอีก
ยีนส์พอยอมรับแล้ว อะไรก็ดีงามเนาะ
มีความเอ็นดูน้อง ปลื้มปริ่มค่ะ

เป็นครบ จบในคนเดียว คุ้ม 5555

ทีมเพื่อนคือความบ้าบอที่ลงตัว
ชงกันเข้มมาก และก็เชียร์สุดตัวมาก

ขอบคุณมากนะคะ เป็นกำลังใจให้ต่อไปค่ะ
นิยายสนุกมาก ลุ้นว่าจะดีกันตอนไหน
ซึ้งกับที่บ้านยีนส์มาก และอินมากตอนที่ดีกัน
หัวข้อ: Re: =END= ღ นิติผูกพัน ღ -นิติผูกพัน- 25/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 12-06-2019 17:07:48
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: =END= ღ นิติผูกพัน ღ -นิติผูกพัน- 25/03/2562 UP!!
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 11:25:42
 :pig4: