=END= ღ นิติผูกพัน ღ -นิติผูกพัน- 25/03/2562 UP!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: =END= ღ นิติผูกพัน ღ -นิติผูกพัน- 25/03/2562 UP!!  (อ่าน 20645 ครั้ง)

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่ 9

ผูกพันขึ้นอีกนิด



เจ้าจอมมันโทรมาบอกให้ผมลงไปหาที่ตลาดนัดที่อยู่ใกล้ๆคอนโดเพื่อจะมาซื้ออาหารขึ้นไปกินด้วยกันที่ห้องโดยยังไม่ได้ตัดสินใจกันเลยว่าจะไปกินห้องใคร



“แล้วทำไมถึงไม่ไปกินที่ร้านวะ?”



“อาหารที่นี่ก็อร่อยนะครับ อีกอย่างถ้าเราซื้อไปกินด้วยกันก็จะประหยัดด้วยนะพี่”



ผมคิดตามก็จริงอย่างที่มันว่า “ตามใจ”



“งั้นซื้อสักสามสี่อย่างไปกินด้วยกันนะครับ”



“อืม”



ผมกับเจ้าจอมช่วยกันเลือกอาหาร ส่วนมากมันก็จะถามผมว่าอยากกินอันนี้ไหม เอาอันนี้ไหม ผมก็ได้แต่พูดว่าแล้วแต่ มันก็หยิบให้แม่ค้าใส่ถุงแล้วจ่ายเงิน จากที่มันเคยบอกว่าจะซื้อแค่สามสี่ถุงตอนนี้ก็ปาไปเกือบจะหกถุงแล้วครับ ถ้าไม่ห้ามไว้ก่อนผมว่ามันคงจะเหมาร้านเขาไปแล้ว



“พอแล้ว ซื้ออะไรเยอะแยะ”



“อ่า..โทษทีพี่ พอดีผมซื้อเพลินไปหน่อย” มันว่าพร้อมยกมือขึ้นมาเกาหัว “พี่จะเอาอะไรอีกไหมครับ ของหวานไหม?”



“ซื้อมาแล้ว” ผมชูถุงขนมหวานให้มันดู “ซื้อมาเผื่อมึงด้วย”



มันยิ้มให้ผมก่อนจะมองถุงขนมหวานด้วยแววตาเป็นประกายเหมือนหมาได้กระดูก “ขอบคุณครับ”



“เออ ก็ต้องกินด้วยกันอยู่แล้วป่ะวะ” ผมพึมพำคนเดียวและคิดว่าไอ้เด็กตรงหน้ามันคงได้ยินถึงได้ยิ้มให้ผมแบบนั้น



“น้ำเต้าหู้ไหมครับ? วันนี้เฮียเขาเปิดนะ” มันชี้ไปที่ร้านน้ำเต้าหู้ที่อยู่อีกซีกหนึ่งของตลาด



ผมมองตามแล้วพยักหน้า “นำไปดิ”



เจ้าจอมมันเดินนำผมไปยังร้านน้ำเต้าหู้เจ้าประจำที่ผมมักจะมาซื้อบ่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้มาซื้อเองหรอกครับก็ไอ้เด็กที่เดินนำหน้าผมอยู่ตอนนี้เป็นคนอาสาซื้อมาให้ผมกินทุกเช้า ไม่รู้ว่าตอนนี้เฮียเขาจะจำหน้าผมได้หรือเปล่า อาจจะได้ลูกค้าประจำคนใหม่อย่างไอ้เจ้าจอมจนลืมผมไปแล้วล่ะมั้ง



พวกเราต้องยืนต่อคิวประมาณอีกสี่ห้าคิว อย่างว่าครับร้านขายน้ำเต้าหู้ที่นี่ก็มีอยู่ร้านเดียว ถ้าคนจะเยอะก็ไม่แปลกอะไร ระหว่างรอผมก็มองไปรอบๆตลาด เอาจริงๆคือลดความอึดอัดเวลาอยู่กับไอ้เด็กนี่มันเท่านั้นแหละ ไม่รู้สิพอได้มาอยู่กับมันสองต่อสองโดยที่ต้องทำตัวดีๆมันก็เกร็งแปลกๆเหมือนกัน



“พี่ดูอึดอัดนะครับ”



“เปล๊า! ใครอึดอัด ไม่มีเว้ย” ผมว่าลนๆ ถ้ามันไม่เชื่อก็ไม่แปลกหรอกครับ กูมีพิรุธขนาดนี้



มันยิ้มขำก่อนจะว่าต่อ “พี่ทำตัวตามสบายเถอะครับ”



“กูก็ทำอยู่นี่ไง”



“โอเคครับๆ ผมยอมพี่แล้ว”



ผมไม่ได้ตอบอะไรมันนอกจากมองนู่นมองนี่ไปเรื่อย ก็รู้สึกแหละว่าโดนไอ้เด็กเจ้าจอมมันมองมาเป็นระยะแต่ผมก็ทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่สนใจกระทั่งถึงคิวซื้อของตัวเองผมก็จัดการสั่งของที่อยากกินทันที



“เอาน้ำเต้าหู้ใส่แมงลักหนึ่งถุงครับ แล้วก็ปาท่องโก๋สิบบาท...” ผมหันไปหาเจ้าจอมก่อนจะถามมัน “มึงเอาอะไร?”



“เต้าหู้นมสดหนึ่งครับ” มันหันไปบอกเฮียที่พอฟังก็พยักหน้ารับ



“ไม่เห็นหน้านานเลยพ่อหนุ่ม” เฮียตักน้ำเต้าหู้ไปสายตาก็มองผมไปด้วย



“พอดีผมฝากน้องมาซื้อครับเฮีย”



“อ๋อ พ่อรูปหล่อคนนี้น่ะเหรอ?” เฮียบุ้ยปากมาทางเจ้าจอม



“ครับ”



“ถึงว่าล่ะทำไมเห็นพ่อหนุ่มเขาซื้อไปเยอะทุกวันเลย”



“แหะๆ” ผมยิ้มแห้งๆไม่รู้จะตอบเฮียยังไง



“คิดว่าซื้อไปกินกับแฟน”



โอ๊ย! เฮียพูดอะไรออกมาวะครับเนี่ย ทำผมขนตีนลุกไปถึงหัวเลย



“อ๋อ ซื้อให้ผมนี่แหละเฮีย พอดีน้องมันอยู่ข้างๆห้องผมน่ะครับ”



ไอ้เจ้าจอมแม่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยนอกจากเอาแต่ยืนยิ้มอย่างเดียว ไอ้เวรเอ้ย!!



ระหว่างนั้นเฮียก็ถามสัพเพเหระไปเรื่อย บ้างก็บ่นนู่นนี่ให้ผมฟัง ผมก็ตอบเออออไปกับเฮีย ดีที่ข้างหลังผมไม่มีคนต่อไม่งั้นนะโดนด่าตั้งแต่เฮียชวนคุยสามนาทีแรกแล้ว



“ทั้งหมดสี่สิบบาท”



ผมเป็นคนยื่นเงินจ่ายให้เฮียก่อนที่จะรับถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาถือไว้เอง “ขอบคุณครับ”






“ตกลงจะกินที่ห้องใคร?”



ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของผมสองคนคือการที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าเราจะกินข้าวที่ห้องใคร นี่ก็ยืนหน้าห้องกันมาตั้งนานแล้วด้วยก็ยังไม่ได้ผลสรุปสักที คือดึกป่านนี้แล้วจะได้กินข้าวกันตอนไหนวะ



“หัวก้อยกันครับ” เจ้าจอมมันว่าแล้วหยิบเหรียญออกจากกระเป๋ากางเกงของตัวเอง



“วิธีแม่งโคตรปัญญาอ่อน” ผมบ่นไปงั้นแต่ก็ยอมรับไม่ได้ว่าวิธีนี้เข้าท่าที่สุด



“ถ้าก้อยห้องพี่ ส่วนหัวห้องผม”



“อือ”



เมื่อผมตอบรับมันก็โยนเหรียญขึ้นก่อนจะเอาอีกมือมารับแล้วตะปบอีกมือลงไปเพื่อปิดเหรียญ มันค่อยๆเลื่อนมือตัวเองออกช้าๆทำเอาผมลุ้นตามมันไปด้วย ข้าวก็ไม่ต้องแดกกันแล้วครับ มายืนลุ้นเหรียญสนุกกว่า



“ก้อยครับ”



ผมมองเหรียญที่อยู่บนฝ่ามือมันก่อนจะพยักหน้ากับผลที่ออกมา ถ้าออกก้อยก็แสดงว่าต้องมากินข้าวห้องผมใช่ไหม



“แล้ววันอื่นจะมาโยนหัวก้อยแบบนี้อีกเหรอวะ?” ผมถามมันขณะที่เปิดประตูห้องของตัวเองไปด้วย



“ไม่ครับ เราก็เอาอย่างนี้สิครับง่ายดี วันนี้กินข้าวห้องพี่ส่วนพรุ่งนี้ก็กินข้าวห้องผม สลับกัน”



“อืม เข้าท่าดี”



“นี่แสดงว่าพี่ยอมกินข้าวกับผมทุกวันแล้วใช่ไหมครับ?”



ผมหันไปมองมันอย่างรวดเร็วจนคอแทบเคล็ดเลยยกมือมาบีบๆคลายเส้นหน่อย จากนั้นก็อึกอักหาเหตุผลมาตอบมัน ก็คนมันลืมตัวนี่หว่าเลยถามออกไปแบบนั้น ไม่คิดว่ามันจะถามกลับมาแบบนี้



“กูคิดว่ามันประหยัดดี ทำไม?..หรือจะไม่เอาแบบนี้ก็ได้” ผมทำโมโหกลบเกลื่อนแต่เจ้าจอมมันก็ทำเพียงมองหน้าผมแล้วยิ้มให้



“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยแค่ถามเองครับ”





“พูดมากว่ะ ไปๆไปหยิบจานในครัวมาใส่กับข้าวเลย” ทำทีเป็นไล่มันไปงั้นแหละ ไม่รู้จะพูดตอบอะไรมันแล้ว



“ครับผม” มันรับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะวิ่งแจ้นไปเอาจานในครัวตามที่ผมบอก



พอได้จานมาผมกับมันก็ช่วยกันเอาอาหารเทใส่จาน ผมเดินไปหยิบน้ำกับแก้วในครัวมาตั้งไว้บนโต๊ะกินข้าว เจ้าจอมมันเลื่อนจานที่ใส่ข้าวเรียบร้อยมาให้ผมส่วนของมันก็กำลังจะแกะออกจากถุง ผมนั่งรอจนมันจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เริ่มตักข้าวกินเงียบๆ



ระหว่างกินข้าวผมกับมันก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากนั่งกินข้าวด้วยกันเงียบๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดภาพออกเลยจนกระทั่งมันเกิดขึ้นจริงๆตรงหน้า ผมเคยคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่ได้ญาติดีกับมันแน่ๆแต่พอเวลาผันผ่านไปความคิดต่างๆของผมก็เริ่มเปลี่ยน ผมเริ่มเห็นอะไรในตัวของเจ้าจอมมันมากขึ้น มันเป็นเด็กดี เฟรนลี่ยิ้มง่ายเข้ากับคนอื่นง่ายมาก บางทีที่ผมไม่ชอบมันคงเป็นเพราะอิจฉามันล่ะมั้งที่มันมีคนเข้าหามากกว่าผมทั้งที่ผมกับมันก็หน้าตาดีไม่ต่างกันเลย ส่วนสูงก็พอๆกันดวยนะ แต่นั่นแหละมันยิ้มง่ายกว่า พูดคุยและเข้าหาง่ายกว่าก็เลยทำให้คนชอบมันเยอะ



“มองผมแบบนี้เริ่มชอบผมแล้วเหรอครับ”



อะ..กูขอเปลี่ยนทุกความคิดของตัวเองอีกครั้ง ไอ้เด็กเวรนี่แม่งกวนตีนมากๆครับ มันไม่ได้เฟรนลี่มันกวนตีนโว้ยย!!



“มึงอย่าพูดอะไรที่จะทำให้กูแดกข้าวไม่ลงขอร้องล่ะ” ผมทำหน้าปุเลี่ยนไอ้เด็กเจ้าจอมเห็นมันก็หัวเราะ



“แค่ล้อเล่นเองพี่ ดูทำหน้าเข้า”



ไอ้ห่า....มึงพูดก็พอไหม มือมึงอะไม่จำเป็นต้องยื่นมาจิ้มแก้มกูก็ได้ป่ะ แม่งคิกขุสัดๆ



ผมปัดมือมันออกก่อนจะทำหน้าดุใส่ “กวนตีน”



เสียงมันหัวเราะด้วยความชอบใจเริ่มทำให้ผมหงุดหงิดจึงยกเท้าของตัวเองไปเหยียบเท้าของมันที่อยู่ใต้โต๊ะเหมือนกันเต็มๆแรง



“โอ๊ยพี่! ผมเจ็บนะครับ” มันมองผมด้วยสายตาหมาตัดพ้อเจ้าของ



“เออก็ทำให้มึงเจ็บไง สมน้ำหน้า” พอได้ใช้ความรุนแรงแล้วก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที

“การทำร้ายร่างกายผมคือความสุขของพี่งั้นสินะครับ?”



คือแบบ...ผมว่าประโยคที่เจ้าจอมมันถามมันฟังแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ มันฟังดูจั๊กจี้อะ ไม่รู้ดิผมรู้สึกอย่างนั้นนะตอนที่ได้ยินมันถาม



“เออ จะมีความสุขมากกว่านี้อีกถ้ามึงเงียบ”



มันก็เอาแต่หัวเราะกับคำพูดของผมกระทั่งกินข้าวหมดแล้วสุดท้ายก็ยังต้องมาเถียงกันอีกว่าใครจะล้างจาน เออแม่ง...คือมันเป็นวันแรกไงครับก็เลยมีเถียงกันบ้าง ผมว่าวันต่อๆไปก็อาจจะดีขึ้นล่ะมั้งแต่เดี๋ยวนะนี่ทำไมผมต้องมาอธิบายอะไรแบบนี้ด้วยวะ มันเหมือนแบบ...คู่รักที่พึ่งคบกันอะ เวรเอ๊ย! ขนลุกไปหมดไอ้ฉิบหาย!



“เอางี้ครับ ถ้ากินห้องใคร อีกคนที่ไม่ใช่เจ้าของห้องก็ต้องล้างโอเคไหมครับ?” น้ำเสียงของมันยังคงนุ่มทุ้มน่าฟังและถ้าคนอื่นที่ไม่ใช่ผมมาฟังแบบนี้คงได้เคลิ้มกันไปข้างอะเพราะเสียงมันนุ่มมากจริงๆ



“แล้วทำไมไม่ให้เจ้าของห้องล้างไปเลยจะได้จบๆ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ เวลากินเสร็จก็ทิ้งจานไว้ให้เจ้าของห้องล้างแล้วก็แยกย้ายกลับห้องตัวเองมันก็ง่ายกว่าหรือเปล่าวะ



“ผมคิดว่าแบบที่ผมเสนอดีกว่านะครับ”



“ของกูง่ายกว่า”



“แต่ของผมเจ้าของห้องไม่ต้องเหนื่อยนะครับ”



“ยังไง?”



“ก็เจ้าของห้องต้องเช็ดโต๊ะแถมยังให้ใช้ห้องกินข้าวอีกไงครับ ถ้าอีกคนล้างจานมันก็คงจะดีกว่า เหมือนเวลาผมไปกินข้าวห้องเพื่อน ผมก็ต้องล้างจานให้เพื่อนประมาณนี้มั้งครับ”



“ไม่เห็นจะเข้าใจ กูว่าเอาแบบกูง่ายสุดๆแล้ว”



มันส่ายหน้าก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเหรียญออกมาอีกครั้ง ไอ้ฉิบหาย! เวลาที่ตัดสินใจไม่ได้คือต้องโยนเหรียญกันตลอดเลยหรือไงวะ



“เอาเหมือนเดิมพี่ก้อย ผมหัว”



ผมพยักหน้า ไหนๆก็เล่นกับมันมาตั้งแต่แรกแล้ว ครั้งนี้จะเล่นกับมันอีกหน่อยจะเป็นไรไป



ครั้งนี้เจ้าจอมมันหมุนเหรียญบนโต๊ะ ผมมองเหรียญกลิ้งหลุนๆด้วยความลุ้นสุดโต่งก่อนจะถอนหายใจเมื่อผลออกมาเป็นหัวแสดงว่าข้อเสนอที่เจ้าจอมพูดคือสิ่งที่เราต้องทำตาม



“ชัดเจนนะครับ” มันว่าแล้วยิ้มพร้อมเก็บเหรียญใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง



“เออ”



ไม่รู้มันจะหัวเราะอะไรหนักหนา ผมก็เลยได้แต่มองค้อนใส่มันแล้วมองไอ้เจ้าจอมมันเก็บจานชามไปล้างในครัวส่วนผมก็ไปหาผ้ามาเช็ดโต๊ะให้สะอาดแล้วไปยืนพิงกำแพงห้องครัวมองไอ้เด็กเจ้าจอมมันล้างจาน



นี่ไม่ได้อยากมายืนตรงนี้เลยนะครับอย่าเข้าใจผิด ผมก็แค่กลัวมันจะทำจานชามผมแตกเท่านั้นแหละเลยต้องมายืนดู



“แอบมองผมบ่อยจังเลยนะครับเดี๋ยวนี้”



กูว่าไอ้เด็กห่านี่มันต้องมีตาหลังแน่ๆครับเชื่อผมดิ ผมก็ว่าตัวเองยืนมองมันเงียบๆแล้วนะทำไมมันถึงรู้ได้วะว่าผมยืนอยู่ข้างหลังมัน



“หลงตัวเองฉิบหาย” ไหนๆมันก็รู้แล้วว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ผมก็เลยเดินไปดูมันล้างจานใกล้ๆสักหน่อย



“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่?” มันหันหน้ามาถามผมที่ยืนอยู่ข้างๆส่วนมือก็ขัดๆจานให้สะอาดไปด้วย



“เปล่าก็แค่มาดู”



“ไม่ต้องกลัวผมจะทำแตกหรอกครับ”



“เออรู้ก็ดี ถ้าทำแตกกูแดกหัวมึงแน่”



“โหดจังเลยครับ”



มีใครเคยบอกมันไหมครับว่ามันน่ะทำหน้าตาตอแหลได้กวนตีนที่สุดในโลกแล้ว



หลังจากล้างจานเสร็จผมก็แบ่งของหวานใส่ถุงให้เจ้าจอมมันไปกินที่ห้องเพราะว่ามันมีงานต้องทำต่อเลยอยู่กินด้วยกันที่ห้องผมไม่ได้ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยื่นถุงขนมที่แบ่งให้มันเรียบร้อยให้ไอ้เด็กเฟรนลี่ มันก็รับถุงไปถือไว้ก่อนจะพูดกับผม



“ขอบคุณนะครับพี่”



“ขอบคุณทำไมยังไงก็ช่วยกันออก”



“ผมไม่ได้ขอบคุณเรื่องนี้ครับ ผมขอบคุณเรื่องที่พี่ใจดีกับผมต่างหากล่ะ” มันว่าแล้วยิ้มพร้อมยักคิ้วให้ผมอีกสองจึก



“เออๆ กลับห้องมึงได้แล้วยืนยิ้มอยู่ได้” ผมโบกมือไล่มัน อยากอาบน้ำเต็มทนแล้ว

“ครับ ฝันดีนะครับพี่”



“เออดี”



มันโบกมือลาผมพร้อมกับยิ้มให้ตามแบบฉบับของมัน ผมทำหน้าละอาแต่ก็อดกระตุกมุมปากขึ้นนิดหน่อยตอนเห็นมันส่งยิ้มกว้างมาให้ จากนั้นต่างคนก็ต่างปิดประตูแยกย้ายเข้าห้องใครห้องมัน



เฮ้อ...เหลือเชื่อเลยว่าจะมีวันนี้...แม่งโคตรประหลาด







ผมกับเจ้าจอมยังคงแวะเวียนสลับกินข้าวห้องผมบ้างห้องมันบ้างมาประมาณหนึ่งอาทิตย์แล้ว ก็ดีครับแม้บางครั้งจะโดนมันกวนประสาทไปบ้างแต่คนอย่างผมน่ะไม่ยอมให้มันกวนอยู่ฝ่ายเดียวหรอก พอมันกวนผมก็จะด่าไม่ก็จะเอาคืนอะไรมันสักอย่างมันจะได้เงียบๆบ้างแต่ก็ดูมันไม่ค่อยจะสำนึกเท่าไหร่และดูเหมือนว่ายิ่งผมโมโหมันก็ยิ่งจะกวนตีนผมขึ้นไปอีก



“จะมีวันไหนไหมที่มึงจะเลิกกวนประสาทกูห้ะไอ้เด็กห่านี่!”



“พี่พูดเพราะๆกับผมสักประโยคสิครับแล้วผมจะเป็นเด็กดี”



“สัด! แค่คิดผื่นก็ขึ้นปากกูแล้ว” ผมว่าแล้วลูบขนแขนที่เริ่มชูชันขึ้นด้วยความขนลุก มันแม่งชอบกวนผมด้วยการพูดเสียงนุ่ม ยิ้มหวานๆแล้วยื่นหน้ามาใกล้จนรู้จมูกจะบานติดกันอยู่แล้ว



“ผมรู้น่าว่าพี่เขิน ไม่เป็นไรนะครับผมจะรอฟัง ผมเชื่อว่าสักวันพี่ต้องพูด”



ดูมันครับดูมันยิ้ม เวรเอ๊ย! คิดว่ายิ้มหวานๆที่ชอบใช้กับคนอื่นจะใช้ได้ผมกับผมเหรอวะ ไม่มีทางหรอกเว้ย! ผมไม่มีทางหลงไปกับคารมมันแน่ๆ มีแต่เห็นแล้วอยากเอามือมาบีบปากมันให้มันหุบยิ้มนี่แหละครับ



อะ...ว่าแล้วก็ขอทำหน่อยเถอะ หมั่นไส้มันฉิบหาย!



“อื้ออี้อ๋มเอ็บ” มันว่าเสียงอู้อี้พอผมได้ยินก็หัวเราะใส่



“ทีนี้จะเงียบได้ยัง?” ก็ลองมันไม่เงียบผมก็ไม่ปล่อยปากมันหรอก พูดมากฉิบหาย ไอ้พี่ภูมิใจมันก็ไม่เห็นจะพูดเก่งเหมือนไอ้เด็กนี่เลย แม่งความแตกต่างของสองพี่น้องคู่นี้จริงๆอะ



มันทำท่าจะส่ายหน้าแต่พอเห็นผมทำตาดุใส่มันก็พยักหน้าแล้วทำเสียงอู้อี้อีก “อื้อๆ อ๋มไอ้อู้ดแอ้ว”



ขอเวลาหัวเราะมันสามนาทีครับ ไอ้เหี้ยเอ๊ย! พูดเสียงตลกไม่พอหน้ามันก็ยังจะตลกอีก รู้งี้ผมทำแบบนี้ตั้งนานแล้วมันจะได้สงบปากสงบคำบ้าง



“ถ้ามึงพูดอีกโดนแน่”



มันลูบปากของตัวเองที่แดงเพราะโดนผมบีบป้อยๆก่อนจะมองค้อนใส่ผมที่กำลังยักคิ้วและทำหน้าเหนือกว่าใส่มัน



“พี่แม่งใจร้าย”



“กูเคยใจดีกับมึงหรือไง?”



“ก็เคยนะแต่หายาก”



“ไอ้เวร!”

“เอ้า! พอพูดความจริงก้มาด่าผมอีก เป็นอะไรครับประจำเดือนไม่มาเหรอ?” มันทำหน้ายียวนขนเท้าผมเริ่มกระตุกยิกๆ



“มึงจะแดกไหมข้าวถ้าไม่แดกก็กลับห้องไปเลย”



“โหย...พอเถียงไม่ได้ก็เปลี่ยนเรื่องไวเชียว”



“เดี๋ยวจะโดน”



“คร้าบๆกลัวแล้วคร้าบบบ”



นี่แหละครับวันๆผมก็จะต้องกลับมาสู้รับกับไอ้เด็กกวนประสาทนี่ทุกวันจนบางครั้งก็ปวดหัวเหมือนกันแต่ก็อดจะยอมรับไม่ได้หรอกว่าการที่มีมันอยู่ทำให้ผมไม่เหงาแล้วก็ไม่ต้องคอยไลน์ไปกวนประสาทเพื่อนในกลุ่มเพราะอะไรน่ะเหรอเพราะกูต้องมาโดนกวนประสาทจากไอ้เด็กเวรนี่แทนไงครับ!



โธ่...ชีวิต





ติดแท็ก #นิติผูกพัน ได้นะค้าา

ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter

:teach:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เขินมากไหม คุณพี่  :hao3:

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่ 10

สิ่งที่แปลกใจแต่ไม่อยากรู้




“เพื่อนยีนส์ที่รัก ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้มีคนกินข้าวเย็นด้วยเหรอจ๊ะ” ไอ้เป๋าที่เพิ่งเดินกลับมาจากซื้อลูกชิ้นนั่งลงข้างๆผมก่อนจะถามคำถามที่บอกได้เลยว่าโคตรกวนตีน



“เพื่อนรักที่หน้ามึงอะแล้วจะมาจงมาจ๊ะห่าไรเดี๋ยวกูโบก” ผมยกมือทำท่าจะโบกไอ้เป๋ามันก็เอี้ยวหัวหลบแล้วหัวเราะพอใจที่กวนประสาทผมได้



เอางี้เลยครับ...ผมขอจัดให้ไอ้เป๋ากับไอ้เจ้าจอมเป็นบุคคลที่ชอบกวนประสาทผมที่สุดอันดับหนึ่งในชีวิตไปเลย แม่งไม่รู้พอได้กวนผมแล้วพวกมันจะมีความสุขอะไรกันนักหนา



“ทำไมต้องเกรี้ยวกราดใส่เพื่อน” มันทำหน้าเศร้าแกล้งตัดพ้อก่อนจะยัดลูกชิ้นเข้าปากพร้อมกันสองลูก



เห็นแล้วก็สงสารไม่ลงครับ...



“แล้วเที่ยงนี้สรุปจะไปกินข้าวที่คณะไอ้ทาวน์หรือคณะเรา?” ผมถามไอ้คินที่กดมือถือยิกๆแล้วทำหน้าบึ้งคนเดียว อะให้เดาว่าตอนนี้คงจะทะเลาะกับแฟนเด็กของมันไม่ก็ไอ้ทาวน์ไม่ยอมตอบแชท



“ไปกินกับทาวน์”



“โอเค ไปเลยไหมล่ะ?” เห็นมันทำหน้าบึ้งกว่าเดิมผมเลยคิดว่ามึงควรจะไปเจอแฟนมันได้แล้ว เดี๋ยวแม่งจะแผ่รังสีอำมหิตจนคนไม่กล้าเข้าใกล้อีก



“อือ ไปเลย”



พวกเราพากันยกโขยงมาที่คณะของไอ้ทาวน์ เดินเข้ามาในโรงอาหารก็เห็นไอ้ทิมโบกมือไหวๆให้มาแต่ไกล พอเดินเข้าไปจนถึงโต๊ะผมก็พอรู้สาเหตุที่ไอ้คินมันหน้าบึ้งทันที



เวรเอ๊ย! อาการแบบนี้หึงแฟนตัวเองกับเด็กผู้ชายที่นั่งข้างๆไอ้ทาวน์ชัวร์



“ทำไมมากันแค่สามคนอะพี่?” ไอ้ทิมมันถามก่อนจะดูดสมูทตี้โยเกิร์ตปั่นใส่ปาก



“พวกนั้นมันไปช่วยงานอาจารย์ก็เลยมากันแค่นี้แหละ” ไอ้เป๋าตอบพร้อมกับมองสิ่งที่ไอ้ทิมกินด้วยความสนใจ “มึงไปซื้อร้านไหนวะ น่ากินฉิบ”



“ร้านป้าเป็ดพี่ น้ำปั่นเด็ดทุกเมนูผมบอกเลย” ไอ้ทิมมันก็ภูมิใจนำเสนอเหลือเกิน ไม่พอยังจะดูดน้ำให้ดูอีกเพื่อยืนยันว่าน้ำปั่นอร่อยจริงๆ



“ไอ้ยีนส์ไปหาไรแดกกัน”



“ไอ้คินมึงจะแดกไร?” ผมหันไปถามไอ้คินที่เอาแต่จ้องไอ้ทาวน์ที่กำลังคุยกับน้องรหัสตัวเอง ไอ้ห่านี่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ พูดแจ้วๆจนไอ้คินมันจะจับแดกหัวอยู่แล้ว



“พวกมึงไปซื้อก่อนเลย” มันว่าแค่นั้นก็หันกลับไปสะกิดไอ้ทาวน์ที่นั่งข้างๆเพื่อเรียกร้องความสนใจ



เออ...เห็นแบบนี้แล้วก็ตลกดีเหมือนกัน



ผมปล่อยให้มันงุ้งงิ้งกับแฟนแล้วชวนไอ้เป๋ามันไปหาอะไรกิน หิวไม่ไหวแล้วเหมือนกันครับยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าเพราะวันนี้ไอ้เจ้าจอมมันตื่นสายเนื่องจากมันพึ่งได้นอนตอนตีสี่ไม่รู้ทำห่าอะไรมันอยู่ ผมก็เลยไม่ได้กินอะไรตอนเช้าเหมือนอย่างทุกวัน



“สรุปมึงจะกินอะไร?” ผมถามไอ้เป๋าที่เดินวนไปวนมาเหมือนมันเลือกไม่ถูก



“ไม่รู้ว่ะ”



“ไอ้เวร กูจะไปซื้อข้าวมันไก่แล้ว”



“เอองั้นกูไปซื้อน้ำปั่นก่อนก็แล้วกัน”



ผมกับมันแยกย้ายกันไปคนละร้าน ผมเดินมาถึงร้านข้าวมันไก่ก็ต้องยืนต่อคิวสองสามคน ร้านนี้ผมไม่เคยกินหรอกแต่ไอ้ทิมมันบอกว่าอร่อยก็เลยมาลองกินดู อีกอย่างข้าวมันไก่เป็นอาหารที่ทำไม่นานไม่ถึงห้านาทีก็ได้กินผมเลยเลือกเมนูนี้



“เอาข้าวมันไก่ผสมไก่ทอดพิเศษครับ” ผมสั่งแม่ค้าที่ยิ้มรับก่อนจะหันไปสับไก่ให้



ระหว่างยืนรอผมก็กวาดตาไปเรื่อยๆไม่ได้เจาะจงว่าจะมองอะไรแต่สุดท้ายสายตาก็ต้องมาสะดุดกับคนสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกันพลางขมวดคิ้วมุ่น



“มาอยู่ด้วยกันได้ไงวะ” ผมบ่นพึมพำแล้วมองเจ้าจอมกับอิงค์ที่กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ไม่เข้าใจว่าสองคนนั้นทำไมถึงมากินข้าวที่คณะนี้ทั้งที่ไม่ใช่คณะของทั้งสองคนเลยแต่ที่แปลกใจยิ่งกว่าคือทั้งสองคนมานั่งกินข้าวด้วยกันได้ยังไง



“ได้แล้วจ้ะ” ผมเลิกสนใจคนทั้งคู่ก่อนจะหันไปจ่ายเงินค่าข้าวแล้วหยิบจานข้าวมันไก่เดินกลับโต๊ะของตัวเองทั้งที่สมองก็ยังเอาแต่คิดว่าเจ้าจอมกับอิงค์มาอยู่ด้วยกันได้ยังไง



“ใครเหยียบตีนมึงมาทำไมทำหน้างั้นวะ?” ไอ้เป๋าเจ้าเดิมทักผมเป็นคนแรกเมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะ



“หน้ากูเป็นยังไง?” ผมถามมันกลับ



“เหมือนโดนเหยียบตีน ขมวดคิ้วทำหน้าเข้มทำเผือกไร?”



“หน้ากูเป็นแบบนั้นเหรอไอ้ทิม” ว่าพลางจ้วงข้าวเข้าปากแล้วหันไปมองไอ้ทิม



“ไม่นะพี่ พี่เป๋าเวอร์อะ ผมว่าหน้าพี่ก็ปกติป่ะ?” ไอ้ทิมมันตอบทำหน้าจริงจัง พอหันไปหาไอ้เป๋ามันก็แยกเขี้ยวใส่ไอ้ทิมอยู่



“จริงๆหน้ามึงก็ปกติแหละ ฮ่ะๆ” มันว่าแล้วขำ



“สัดแล้วจะบอกกูว่าทำหน้าเหมือนคนโดนเหยียบตีนทำไม”



“กูก็แค่เห็นน้องอิงค์มากับเจ้าจอม คิดว่ามึงจะหึงแต่ผิดคาดไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอวะ?” มันทำหน้าสงสัยจริงจัง ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนจะตอบมันไปตามที่รู้สึกจริงๆ



“ไม่อะแต่กูแค่แปลกใจนิดหน่อยที่สองคนนั้นมาด้วยกัน”



ถ้าจะบอกว่ามาเพราะเป็นแฟนเก่ากันมันก็แปลกๆป่ะวะแต่นั่นแหละจะมาด้วยกันหรือไม่มาด้วยกันผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นอะไร ถ้าเกิดอิงค์กับเจ้าจอมจะกลับมาคบกันผมก็ห้ามไม่ได้อะ ยังไงตอนนี้สถานะของผมกับอิงค์ก็ยังเป็นคนคุยที่คุยกันเหมือนพี่น้องมากกว่าและก็ยังไม่รู้เลยว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ได้มากน้อยแค่ไหน



“โธ่...ไรวะไม่สนุกเลย” ไอ้เป๋ามันทำหน้าเสียดาย คงอยากเห็นผมออกอาการมากกว่านี้ล่ะมั้ง



“เดี๋ยวกูโบก”



“เอาเลยพี่ยีนส์ผมเชียร์” ไอ้ทิมมันว่าแล้วหันไปยักคิ้วให้ไอ้เป๋าที่ตอนนี้โบกหัวไอ้ทิมเรียบร้อยแล้ว “โอ๊ย! เจ็บนะเว้ยพี่เป๋า!”



“เดี๋ยวมึงจะโดนมากกว่าโบก เอาไหมไอ้ห่า” มันว่าแล้วชี้หน้าขู่ ผมได้แต่ส่ายหัวระอาให้กับไอ้สองคนนี้ที่ชอบเล่นกันแบบนี้ประจำ



“ขอโทษคร้าบบ ผมกลัวแล้วคร้าบบ”



“ดีมากรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร หึๆ” มันทำหน้าชั่วร้ายใส่ไอ้ทิม ไอ้ทิมมันก็ทำท่าทางกลัวจนน่าตบ ดูก็รู้ว่าแม่งแกล้งกลัว



ผมเลิกสนใจไอ้สองคนที่เริ่มเล่นปัญญาอ่อนกันแล้วหันไปมองไอ้คิน อืม...จริงๆผมไม่ควรหันไปมองมันเลยครับเพราะแม่งนั่งงุ้งงิ้งกับไอ้ทาวน์จนผมแทบจะกลืนข้าวไม่ลง สุดท้ายสิ่งที่ดีที่สุดก็คงเป็นการก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบๆคนเดียว



ชีวิตผมแม่งน่าสงสารเหมือนกันนะครับ...เฮ้อ!






ผมมองไอ้เจ้าจอมที่เดินผิวปากอยู่ข้างๆระหว่างเลือกซื้อกับข้าวในตลาด ไม่รู้ไปอารมณ์ดีอะไรมาถึงมีท่าทางแบบนั้น ผมก็อยากรู้นะแต่ขี้เกียจถามอะก็เลยได้แต่ปล่อยๆไปแล้วนินทามันในใจแทน



“วันนี้กินอะไรกันดีครับ” มันหันมาถามผมที่เดินข้างๆมันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตามปกติ



“มึงเลือกเหอะเดี๋ยวกูไปซื้อของหวานตรงนู้นก่อน”



ผมไม่รอมันทักท้วงก็เดินแยกกับมันออกมาแล้วตรงไปที่ร้านขายขนมหวานที่ช่วงนี้ผมมาซื้อบ่อยๆ ผมเลือกนั่นเลือกนี่อยู่สักพักก็จ่ายเงินให้แม่ค้าก่อนจะเดินกลับไปหาไอ้เด็กเจ้าจอมที่กำลังเลือกซื้ออาหารอยู่



“กินข้าวด้วยกันหลายครั้งแล้วผมยังไม่รู้เลยว่าพี่ชอบกินอะไร” มันหันมามองผมที่หยุดยืนอยู่ข้างๆมัน



“จะรู้ไปทำไม?”



“ผมจะได้เลือกอาหารที่พี่ชอบถูกไงครับ”



“กูกินได้หมดแหละ รีบๆเลือกกูหิวแล้ว” ผมเร่งมันเพราะเห็นมันยังทำตัวอืดอาดไม่รีบเลือกอาหารสักที



“ครับๆ”



พอได้ของครบก็พากันเดินกลับห้อง วันนี้เป็นคิวห้องของไอ้เจ้าจอมที่เราใช้กินข้าว สภาพห้องมันก็คล้ายๆห้องผมเพราะห้องนี้เป็นห้องของพี่ภูมิใจมาก่อนการตกแต่งก็เลยไม่ต่างจากห้องผมเนื่องจากพี่ภูมิใจชอบห้องแนวเดียวกันกับผมและดูเหมือนว่าไอ้เจ้าจอมมันก็คงจะชอบห้องแนวๆนี้เหมือนกัน ตอนที่ผมเข้ามากินข้าวห้องมันในตอนแรกก็พูดอวดใหญ่เลยผมก็ได้แต่ตอบเออออไปไม่ได้บอกว่าห้องที่มันอวดเนี่ยช่างคนเดียวกันกับที่ทำห้องของผม



“เดี๋ยวผมไปเอาจานแป๊บนะครับ” มันว่าแล้วเดินไปที่ห้องครัวจากนั้นก็เดินออกมาพร้อมจานชามไว้ใส่อาหารและข้าวสวยร้อนๆ



เราช่วยกันเทอาหารใส่จานเงียบๆไม่มีบทสนทนาอะไร ถ้าพูดถึงตอนแรกที่ต้องมาอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้บอกได้เลยว่าผมอึดอัดแน่ๆแต่ตอนนี้ผมก็เริ่มจะชินเพราะเรากินข้าวด้วยกันทุกวันอีกอย่างบางครั้งผมก็ต้องมาช่วยติวไอ้เจ้าจอมในบางวิชาเลยทำให้พวกผมไม่อึดอัดเวลาอยู่ด้วยกันแล้วซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีๆมาก



“วันนี้มีแต่ของที่ผมชอบทั้งนั้นเลยครับ” มันเงยหน้าจากอาหารมามองผม “บอกไว้เผื่อพี่อยากรู้”



“กูจะอยากรู้ทำเผือกอะไร” อยู่กับมันถ้าไม่โดนมันกวนตีนวันนั้นก็คงจะเป็นวันที่โคตรแปลกมากๆแล้วล่ะครับ



มันไหวไหล่แล้วยิ้มก่อนตอบ “ไม่รู้สิครับ”



เออ...ช่างมันเถอะครับไม่ต้องไปสนใจมันหรอก คิดไปก็เหนื่อยสมองเปล่าๆผมว่าผมนั่งกินข้าวเงียบๆคนเดียวเหมือนเมื่อตอนกลางวันคงจะดีกว่าแต่ผมมีเรื่องสงสัยกับมันอยู่อะงั้นขอไม่เงียบแล้วกัน



“เมื่อเช้าทำไมถึงบอกว่าพึ่งได้นอนตอนตีสี่ ทำอะไรอยู่?”



“ดูหนังครับพอดีผมนอนไม่หลับก็เลยเปิดหนังดูเรื่อยๆมารู้ตัวอีกทีก็ตีสี่เข้าแล้ว” ผมก็นึกว่าเหตุผลของมันจะเป็นอ่านหนังสืออยู่ไม่ก็ทำงานอยู่อะไรแบบนั้น “ทำไมครับพี่เป็นห่วงผมเหรอ”



ผมมองรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของมันแล้วอยากจะยื่นมือไปบีบปากมันให้บี้ฉิบหาย “กูแค่ถามป่ะแม่งชอบมโน”



“โธ่...ก็คิดว่าเป็นห่วงกันซะอีก” มันแสร้งทำหน้าผิดหวังก่อนจะยิ้ม “แต่ผมรู้นะว่าพี่เป็นห่วงผมแต่ทำเป็นปากแข็งไปงั้นแหละ”



“แดกข้าวเงียบๆไปเลย” ผมว่าแล้วยัดช้อนของตัวเองที่ตักข้าวไว้ใส่ปากไอ้เจ้าจอมจนมันพูดไม่ได้แต่ยังจะส่งสายตาและยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ผมอีก



“มีป้อนด้วย” มันมองผมแล้วทำเป็นยิ้มแซว



“ถ้ามึงยังไม่เงียบกูจะเอากลับไปกินที่ห้องแล้วนะ!” ผมว่าอย่างโมโห แม่งชอบเล่นแบบนี้อยู่เรื่อยเลยเวลากินข้าว



“โอเคครับ ผมไม่เล่นแล้ว” ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่มันก็ยังคงมองหน้าผมที่เคี้ยวข้าวตุ้ยๆในปาก “แต่เวลาพี่เขินนี่ก็น่ามองเหมือนกันนะครับ”



“ไอ้เหี้ย!” ผมโวยวายโบกหัวมันไปทีหนึ่งเน้นๆแต่มันก็ไม่สะทกสะท้านกลับเอาแต่หัวเราะจนลั่นห้องส่วนผมก็ได้แต่ฟึดฟัดจนเจ้าจอมมันเห็นเลยเปลี่ยนจากหัวเราะมาเป็นระบายยิ้มอ่อนๆ



“ขอโทษครับไม่พูดแล้วครับ” มันว่าแล้วตักไก่ในไก่ผัดขิงมาใส่จานให้ผม “ยิ้มหน่อยสิครับพี่ หน้าบึ้งแบบนี้กินข้าวไม่อร่อยหรอกน้า”



“เรื่องของกู” ผมมองมันที่ทำหน้าเจื่อนลง มันอาจจะคิดว่าผมโกรธผมเลยพูดต่อ “แล้วกินข้าวใครเขามานั่งยิ้มกันวะ รีบๆแดกจะได้กินของหวานต่อ”



พอผมตักอาหารใส่จานให้มันบ้างมันก็ยิ้มขึ้นมาอีกรอบ



“ขอบคุณครับ” ก่อนมันจะก้มหน้าก้มตากินข้าวทั้งที่ปากยังเอาแต่ยิ้มอยู่ดี



หลังจากหมดช่วงเวลาของอาหารคาวเจ้าจอมมันก็เดินไปที่ตู้เย็นแล้วเปิดเอาขนมหวานต่างๆที่ผมซื้อมาออกมาใส่จานให้เรียบร้อย เราเปลี่ยนที่นั่งจากโต๊ะกินข้าวมานั่งกินกันบนพื้นหน้าโซฟาพร้อมกับนั่งดูละครในโทรทัศน์ไปด้วย



“พี่ชอบดูละครแบบนี้เหรอ?”



“ก็ไม่แต่ก็ดูได้”



“หรอครับ..ผมเห็นพี่ตั้งใจดูนึกว่าชอบซะอีก”



“ดูเรื่อยๆก็เพลินดี”



“แต่ผมไม่ชอบที่เขาตบตีแย่งผู้ชายกันเลย”



“อืม อันนี้กูก็ไม่ชอบ ยิ่งเสียงกรี๊ดๆนี่กูเบาเสียงโทรทัศน์แทบไม่ทัน”



“ฮ่าๆ เห็นด้วยครับ”



เราพากันคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยกระทั่งของหวานหมดก็ยังคงไม่หมดเรื่องจะคุย ผมอดที่จะแปลกใจกับตัวเองไม่ได้ว่าเปิดใจให้กับไอ้เด็กที่นั่งข้างๆมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ผมเล่าเรื่องที่ได้เจอมาให้มันฟังมันก็นั่งรับฟังและตอบรับผมเป็นอย่างดีส่วนมันก็จะพูดกวนประสาทผมบ้างหรือไม่ก็เล่าเรื่องตลกให้ฟังจนผมก็อดที่จะขำกับเรื่องที่มันเล่าไม่ได้



“แล้วที่กูบอกให้ท่องวันละห้ามาตราให้กูฟังน่ะท่องได้หรือยัง?”



“พรุ่งนี้ผมท่องได้แน่นอนครับ”



“เออกูจะรอฟัง” ผมว่าแล้วเก็บจานซ้อนกันเพื่อเอาไปล้าง “กูไปล้างจานก่อนมึงก้เอาผ้ามาเช็ดโต๊ะให้เรียบร้อยเดี๋ยวมดจะขึ้น”



“ครับผม”



ผมกับมันต่างคนต่างแยกย้ายทำหน้าที่ของตัวเอง เจ้าจอมมันเช็ดโต๊ะเสร็จก่อนเลยมาขอตัวไปอาบน้ำผมก็ไล่มันไปอาบ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องมาขอผมก็ได้ป่ะวะยังไงนี่ก็ห้องมัน พอผมล้างจานเสร็จก็คงจะกลับห้องตัวเองเลยเหมือนกัน



วางจานใบสุดท้ายลงบนชั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้าจอมเดินมาหยุดข้างๆ ผมมองมันที่กำลังมองผมอยู่อย่างไม่เข้าใจก่อนจะถาม



“มองทำไม?” ขมวดคิ้วทำหน้าดุใส่ไอ้เด็กหน้ายิ้ม



“เปล่าครับ” มันส่ายหน้าปฏิเสธแต่ยังไม่เลิกมองผมสักที



ผมเบะปากถอนหายใจ “เปล่าแล้วยังจะมองอีก”



“โธ่...มองก็ไม่ได้เหรอครับ”



“ไม่ได้โว้ยย” ผมโวยแล้วเดินนำมันออกจากครัว “กูกลับละ พรุ่งนี้เจอกัน”



มันเดินมาส่งผมที่หน้าประตู “พรุ่งนี้พี่อยากกินอะไรนอกจากปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ไหมครับ?”



“ข้าวต้มปลามาด้วยก็ดี” ผมตอบไม่ได้อิดออดที่มันจะซื้อให้



“โอเคครับ งั้นพรุ่งนี้เจอกันครับ” มันมองผมที่เปิดประตูห้องของตัวเองออก “ฝันดีครับพี่ยีนส์”



ผมพยักหน้าแล้วตอบรับ “อืม”




ชื่อตอนคือมั่วมากเวอร์

ขอบคุณสำหรับการติดตามและกำลังใจมากๆเลยน้าาา

ติดแท็ก #นิติผูกพัน ได้นะค้าา

ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter

:teach:



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มีการหึงเกิดขึ้นหรือเปล่านะ  :hao3:

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่ 11

บอกคิดถึงโดยที่ไม่มีคำว่าคิดถึง




“พี่ยีนส์ผมวินิจฉัยข้อนี้ไม่ได้ ผมไม่เข้าใจ”



ผมหันกลับไปสนใจไอ้เจ้าจอมที่นั่งงุ่นง่านกับงานตัวเองอยู่นานแต่สุดท้ายมันก็ทำไม่เป็น



“ไหนเอาโจทย์มาอ่านดิ้” ผมรับโจทย์ที่มันยื่นมาให้ก่อนจะกวาดสายตาอ่านไปทีละบรรทัดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าจอมที่กำลังมองผมอยู่เหมือนกัน



“ว่ายังไงครับ?”



ผมก้มลงมองกระดาษอีกครั้งก่อนจะอธิบายโจทย์ให้มันฟัง “คือขวดอายุ17ปีใช่ไหม มันได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ซึ่งก็คือผู้แทนโดยชอบธรรมให้ประกอบธุรกิจขายหนังสือการ์ตูน พอหลังจากขายไม่นานธุรกิจมันก็รุ่งเรืองขึ้น ขวดก็เลยต้องการจะทำนิติกรรมโดยลำพังคือจะซื้อตู้หนังสือเพิ่มอีกหลายตู้ โจทย์จึงถามว่าขวดเนี่ยมันมีสิทธิจะทำเองได้ไหม”



“อ่า...ครับ” มันยังคงทำหน้างงผมเลยพูดต่อ



“มึงดูนะไอ้ขวดมันยังอายุ17ซึ่งนั่นก็หมายความว่า...?” ผมหยุดพูดแล้วมองหน้าเจ้าจอมเพื่อให้มันตอบ



“ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามมาตรา 19 ใช่ไหมครับ”



ผมพยักหน้าพูดต่อ “อืมนั่นแหละ...แล้วทีนี้มันอยากเปิดร้านขายการ์ตูนซึ่งเป็นการทำนิติกรรมอย่างหนึ่ง แต่การที่ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมได้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนนั่นก็คือพ่อแม่ จะเข้ามาตราไหนล่ะ?”



มันเปิดประมวลดูก่อนจะไล่สายตาหา “มาตรา 21 ครับ”



“ใช่ซึ่งในโจทย์ก็บอกไว้แล้วว่าพ่อแม่ยินยอม มึงคิดว่ามันจะเข้ามาตราไหน?”



“ผมไม่เข้าใจอันนี้นี่แหละ” มันยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ



ผมมองหน้ามันก่อนจะเปิดประมวลให้มันดู “มึงดู...คือโจทย์บอกว่ายินยอมแล้วก็ต้องเข้ามาตรา 27 ผู้แทนโดยชอบธรรมอาจให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ในการประกอบธุรกิจทางการค้าหรือธุรกิจอื่น ประมาณนี้เข้าใจไหม?”



“ผมขอลองทำดูก่อน”



“เออ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ค่อยถามกู”



จากนั้นมันก็ก้มหน้าก้มตาเขียนบนกระดาษ ผมก็มองไปที่กระดาษของมันแอบอ่านที่มันเขียนไปด้วย มันชะงักมือตอนกำลังจะเขียนวินิจฉัยโจทย์และไม่นานมันก็จรดปลายปากกาเขียนต่อไปเรื่อยๆกระทั่งมันหยุดเขียนแล้วเงยหน้ามามองผมพร้อมคิ้วของมันที่ขมวดมุ่นจนดูตลก



“อะไรอีกล่ะ?” ผมกลั้นยิ้มก่อนจะทำเสียงเข้มถามมัน



“แล้วตกลงจะทำได้หรือไม่ได้ครับ?”



“ก็ขวดมันได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ให้เปิดร้านขายหนังสือการ์ตูนแล้วใช่ไหมก็เลยทำให้ขวดมันบรรลุนิติภาวะในการขายหนังสือการ์ตูน ดังนั้นถ้าขวดมันต้องการจะซื้อตู้หนังสือเพิ่ม...มึงคิดว่ามันจะทำได้ไหมล่ะ?”



“ถ้าบรรลุนิติภาวะในเรื่องนี้แล้วก็แสดงว่า...ทำได้เหรอครับ”



“อืม”



“ขอบคุณครับ” มันยิ้มให้ผมก่อนจะก้มหน้าลงไปเขียนต่อ



มันเขียนอยู่สักพักก็อ่านทวนไปมาประมาณห้านาทีจากนั้นก็ยื่นกระดาษที่มันเขียนมาให้ผม ผมรับมา มองหน้ามันเพียงนิดแล้วก้มอ่านตัวหนังสือยุกยิกที่มันเขียนลงบนกระดาษ อ่านออกบ้างไม่ออกบ้างแต่ก็พอถูไถได้อยู่



“สรุปด้วย”



“อ่า..ผมลืมเลย แหะๆ” มันยิ้มแห้งก่อนจะรับกระดาษไปเขียนยุกยิกอีกครั้งจนเสร็จแล้วเอามาให้ผมดู



“ถูกแล้วสำหรับกูนะแต่อาจารย์กูไม่รู้”



“ไม่เป็นไรหรอกครับ ดีกว่าไม่มีส่ง”

เออว่ะ...ความคิดมันเข้าท่าดี ผมก็คิดแบบนี้บ่อยเหมือนกันตอนอาจารย์สั่งงานยิบย่อยแบบนี้ให้ทำ มันไม่มีคะแนนหรอกครับแต่อาจารย์จะเอาไว้ใช้เพื่อเช็คชื่อเท่านั้นแหละ



มันวางกระดาษลงบนโต๊ะก่อนจะยืนขึ้นแล้วบิดขี้เกียจไปมา ก้มหน้ามองผมที่กำลังเล่นเกมส์ยิ่งไข่ไดโนเสาร์อยู่



“พี่หิวไหมครับ?”



จะว่าไปผมก็มานั่งติวให้ไอ้เจ้าจอมที่ห้องของมันตั้งแต่บ่ายจนตอนนี้ก็เย็นย่ำเข้าไปแล้ว ระหว่างนั้นก็กินแค่พวกขนมขบเคี้ยวกับน้ำหวานนิดหน่อยแต่นั่นแหละมันไม่อิ่มหรอกครับ



“อือ ไปหาไรกินที่ตลาดเหอะ”



ว่าแล้วก็พากันเดินลงมาจากคอนโดเพื่อหาของกินประทังชีวิต ตอนแรกก็ไม่หิวมากหรอกครับแต่พอมาได้กลิ่นอาหารหอมๆในตลาดแล้วท้องก็ส่งเสียงร้องทันที



“วันนี้ซื้ออาหารที่พี่ชอบก็แล้วกันนะครับ” มันหันมาพูดระหว่างที่เรากำลังเดินไปซื้ออาหารที่ร้านประจำ



ผมไม่ได้พูดหรือปฏิเสธกับความคิดของมัน เลือกจะเดินตรงไปที่ร้านเพื่อจะได้เลือกอาหารแล้วเอาขึ้นไปกินที่ห้องเร็วๆ หิวจนไส้บิดอีกนิดนึงก็อาจจะขาดแล้วครับ



“พี่ชอบกินผัดกระเพราตับหมูเหรอครับ” เจ้าจอมมันก็ยังโผล่หน้าเข้ามาถามนู่นถามนี่ตอนที่ผมหยิบถุงอาหารแล้วยื่นให้แม่ค้า



พอผมหยิบน้ำพริกขึ้นมามันก็เอาแต่ถามว่าชอบกินอันนี้ด้วยเหรอ ผละออกไปหยิบแกงส้มมามันก็ยังคงถามคำถามเดิมอีก เหมือนเงาตามตัวเหมือนตัวเหลือบไรอะไรสักอย่างอะครับที่คอยเดินตามแล้วเกาะหลังถามอะไรเยอะแยะก็ไม่รู้ ไอ้ผมก็บ้าตามมันที่เอาแต่ตอบว่าเออๆไปซะหมดทุกคำถามเลย เอ้อเอากับมันสิ



“มึงหยุดถามสักที” เมื่อหมดความอดทนผมก็หันไปบอกมันที่ทำท่าทางกำลังอ้าปากจะถาม



“พี่รำคาญเหรอครับ ขอโทษครับ” มันทำหน้าหงอยก่อนจะยอมสงบปากสงบคำแล้วก้มหน้าลงมองพื้นเหมือนเด็กโดนแม่ดุเวลาดื้อ



ผมถอนหายใจแล้วส่ายหน้าพร้อมกระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ก็ท่าทางมันตลกจะไม่ให้ยิ้มตามได้ไงล่ะวะถึงจะบังคับให้ตัวเองไม่ยิ้มแต่มันก็ทำไม่ได้



“กูไม่ได้รำคาญ” มันทำเป็นช้อนตามองผมเหมือนเด็กแบ๊วๆเห็นแล้วอยากจะโบกหัวมันฉิบหายแต่ติดที่ว่าคนเยอะไปเลยทำไม่ได้ “แต่กูไม่มีสมาธิเลือกเฉยๆ”



ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมใจดีกับมันขนาดนี้ เอาเป็นว่าไม่ต้องหาเหตุผลหรืออะไรหรอก ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ดีแล้วผมจะได้ไม่ต้องแหกปากด่ามันตลอดเวลาหลังคุยกับมันทีไรต้องแดกยาอมแก้เจ็บคอทุกที



มันเงยหน้าแล้วฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้ผม ผมทำหน้าหน่ายหันกลับไปเลือกอาหารต่อโดยมีไอ้เจ้าจอมเดินตามต้อยๆแต่ไม่ได้ถามอะไรมากเหมือนตอนแรกแล้ว



ผมบอกแล้วไงถ้าคุยกับมันดีๆไอ้เด็กนี่มันก็เชื่อฟังอยู่แล้วแหละ



หลังจากเดินเข้ามาในห้องผมก็ไม่มีใครพูดอะไร ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเองโดยการไปหยิบจานชาน ช้อนและน้ำมาตั้งไว้บนโต๊ะกินข้าวเรียบร้อย ผมทำหน้าที่แกะอาหารลงใส่จานโดยมีเจ้าจอมมันนั่งมองอาหารตาละห้อยคงจะหิวมากล่ะครับเพราะพอผมหันไปมองมันก็เหมือนมองหมาที่รอกินอาหารกับเจ้าของขอบปากก็มีน้ำลายย้อยอยู่อีก คิดแล้วก็ตลก



“ขำอะไรครับ?” มันทำหน้างง



“ขำหมา”



ผมไม่ได้ขยายความอะไรปล่อยให้มันทำหน้างงอยู่แบบนั้นแต่เพียงไม่นานไอ้หมาตัวใหญ่ตรงหน้ามันก็ลืมเรื่องที่งงไปจนหมดสิ้นแล้วจัดการตักอาหารที่เทใส่จานเรียบร้อยแล้วเข้าปากแล้วเคี้ยวกร้วมๆ



“เหมือนจริงๆ” ผมมองมันแล้วพึมพำคนเดียวและมันคงไม่ได้ยินเพราะเอาแต่สนใจอาหารที่อยู่บนโต๊ะ



เวลาผ่านไปยังไม่ถึงไหนผมกับเจ้าจอมก็จัดการาหารบนโต๊ะไปจนหมดเกลี้ยง ผมหยิบน้ำขึ้นมาดื่นลอบมองไอ้เด็กที่นั่งตรงข้ามที่กำลังลูบท้องตัวเองป้อยๆ



“วันนี้กูไม่ได้ซื้อของหวานมา” จะบอกว่าลืมก็ได้ครับเพราะหิวมากล่ะมั้งก็เลยไม่ได้คิดว่าต้องซื้อของหวานมากินหลังจากทานอาหารคาวเสร็จ



“ไม่เป็นไรพี่ แค่นี้ก็อิ่มจนจุกแล้ว” มันว่าพลางขำออกมาเล็กน้อยและดูท่ามันจะจุกจริงๆนั่นแหละ



“เอองั้นนั่งย่อยก่อนก็แล้วกันค่อยไปล้างจาน”



“ครับ” มันรับคำไม่อิดออด



ผมกับมันนั่งย่อยด้วยกันที่โต๊ะกินข้าวระหว่างนั้นก็คุยกันเรื่องเรียนบ้าง เรื่องทั่วไปบ้างและมีเรื่องของพี่ภูมิใจแซมๆนิดหน่อยด้วยความอยากรู้ของผมเอง



“แล้วนี่พี่มึงเขาเป็นไงบ้าง?”



“ก็สบายดีครับ แต่เห็นพี่บ่นบ่อยๆว่าเจ้านายโคตรเนี๊ยบ ทำงานให้ถูกใจยากมาก” มันใส่อารมณ์ลงไปขณะพูด อยากถามเหลือเกินว่ามึงอินอะไรเบอร์นั้นไอ้เจ้าจอม



“เออกูก็เคยเห็นพี่มันมาบ่นให้ฟังอยู่ช่วงแรกๆแต่ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วพี่มึงก็ยังบ่นเหมือนเดิมเลย”



“ผมก็ว่างั้น เจ้านายพี่คงเนี๊ยบมากจริงๆ”



ผมพยักหน้าเห็นด้วยจากนั้นจึงถามมันต่อ “แล้วนี่มิดเทอมไม่มีสอบมึงจะกลับบ้านป่ะหรือยังไง?”



“น่าจะกลับครับ” มันว่าแล้วถามผมกลับ “แล้วพี่ล่ะครับ?”



“อืม...กูก็คงกลับเหมือนกัน”



“งั้นระหว่างนั้นเราก็คงไม่ได้เจอกัน” มันท่านึก “พี่คงคิดถึงผมมากแน่ๆ” ไม่พอยังพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดตัวเองอีก โว้ยย!



“เมื่อไหร่มึงจะเลิกมโนนั่นนี่คนเดียว”



“ผมพูดเรื่องจริงนะครับ”



“จริงกับผีมึงน่ะสิ”



“ฮ่าๆแต่ถ้าเอาจริงๆผมคงนึกถึงเสียงด่าของพี่มากกว่าอะ”



“เออกูก็คงเหงาปากที่มึงไม่อยู่ให้ด่าเหมือนกัน”



จากนั้นก็เกิดความเงียบระหว่างเราอย่างไม่ทราบสาเหตุ บรรยากาศกระอักกระอ่วนยังไงพิลึก ผมทำตัวเก้ๆกังๆยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆไม่ต่างจากไอ้เด็กตรงข้ามที่ก็ทำเหมือนกัน



“งั้นผม.../งั้นกู...”



จู่ๆก็เสือกจะพูดมาพร้อมกันอีก แล้วเป็นเหี้ยอะไรวะเนี่ย สถานการณ์แบบนี้โคตรอึดอัดเลย



“มึงพูดก่อนเลย” ผมโยนให้มันพุดก่อนจะได้ไม่ต้องมาแย่งกันพูดเหมือนเมื่อกี้



“งั้นผมเอาจานไปล้างก่อนนะครับ” มันว่าแล้ววางจานซ้อนๆกัน



“เออ...กูก็จะไปเอาผ้ามาเช็ดโต๊ะเหมือนกัน” ผมยืนขึ้นหันซ้ายขวาก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าจอมที่กำลังมองผมอยู่ ผมเสตาหลบก่อนจะเดินไปหาผ้ามาเช็ดโต๊ะตามที่ได้บอกมันไป



ไม่เข้าใจเลยไอ้ฉิบหายนี่ผมกับมันกำลังเป็นอะไรกันวะ



หลังจากเหตุการณ์บ้าๆที่ผมไม่สามารถอธิบายนั่นผ่านไป เจ้าจอมมันก็โบกมือลาผมหยอยๆ ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับไม่ได้พูดอะไรกับมันอีก






วันนี้ผมต้องไปวันเกิดเพื่อนเลยโทรบอกไอ้เจ้าจอมว่าไม่ต้องรอกินข้าวให้มันกินได้เลยเพราะผมมีธุระ มันก็ถามว่าไปไหนผมก็บอกว่าไปวันเกิด ไอ้เด็กนั่นก็เลยเตือนว่าอย่าดื่มเยอะเดี๋ยวจะเมาแล้วกลับห้องไม่ได้เหมือนวันนั้นอีก ผมก็ตอบเออออไป นับวันแม่งยิ่งทำตัวเหมือนผู้ปกครองผมเข้าไปทุกที ใจดีด้วยนิดหน่อยแล้วเหลิงนะมึง



“เอาเว้ย! วันนี้ไม่เมาไม่กลับ ฮู้วว!!” ไอ้เป๋าแกปากเสียงดังแล้วเดินไปชนแก้วกับคนนู้นทีคนนี้ทีผมก้จนใจจะมองตาม ไม่รู้มันรู้จักเขาหรือเปล่านะครับแต่แม่งเดินชนไปทั่วเลย



งานวันเกิดไอ้เจ้าของวันเกิดมันก็ชวนเพื่อที่มันรู้จักมามากหน้าหลายตา คนต่างคณะที่ผมไม่รู้จักก็มีเยอะพอสมควร ดีที่เลือกจัดที่บ้านของมันถ้าเกิดมาขึ้นมาจริงๆผมก็นอนค้างที่นี่เลยจะได้ไม่ต้องขับรถกลับให้อันตราย อีกอย่างถ้าไอ้เจ้าจอมมันรู้ว่าผมขับรถตอนเมามันก็คงจะมานั่งบ่นผมอีก นี่กูก็งงเหมือนกันครับว่าทำไมจู่ๆไอ้เด็กบ้านั่นมันถึงมาบ่นผมได้แล้วทำไมกูยอมให้มันบ่นวะ งงตัวเอง



“ไงมึง นั่งเงียบเหมือนหลับในเลยห่า!” ไอ้เป๋าที่เดินไปชนแก้วกับคนอื่นครบหมดเรียบร้อยแล้วเดินกลับมานั่งข้างๆผมที่นั่งกินเหล้ามองบรรยากาศไปเรื่อยๆ



“ใครมันจะบ้าเดินเพ่นพ่านเหมือนมึงล่ะวะ” ผมทำจมูกฟุดฟิด ไอ้ห่านี้เดินไปแป๊บเดียวกลิ่นเหล้าหึ่งเหมือนไปอาบมาเลยไอ้ฉิบหาย



“เขาเรียกว่าผูกมิตรกับเพื่อนใหม่โว้ย” มันตอบเสียงอ้อแอ้แต่ดูท่าทางแล้วยังไหวอยู่



“แล้วนี้ไอ้พวกนั้นมันไม่มากันหรือไงวะ” ผมถามถึงไอ้ไฟ ไอ้คิน ไอ้หมอกแล้วก็ไอ้เตอร์ที่ป่านนี้ก็ยังไม่เห็นมันโผล่หัวมาที่นี่สักทีจนเขาจะเป่าเค้กกันแล้ว



“ไม่รู้ว่ะ พวกมันก็บอกอยู่ว่าบางทีอาจจะไม่ได้มา”



ผมพยักหน้าก็พอรู้เหตุผลของมันแหละครับเพราะแต่ละคนก็มีแฟนกันแล้ว ส่วนไอ้เตอร์รายนั้นก็ต้องเปิดร้านขายสเต็กของมัน ไอ้หมอกรายนั้นก็ไม่นิยมดื่มเหล้าหรือมางานสังสรรค์แบบนี้ด้วย



“เออ แต่กูว่าสักพักก็คงจะกลับแล้วว่ะ”



“รีบกลับจังวะ”



“วันนี้เรียนตั้งแต่เช้ามึงไม่เหนื่อยหรือไงวะ กูเหนื่อยฉิบหาย ง่วงด้วยเนี่ย”



“เหนื่อยไรวะ กูเห็นมึงฟุบหลับอยู่ข้างๆกูเลย” มันว่าแล้วขมวดคิ้วไม่เข้าใจก่อนจะยกเครื่องดื่มกรอกปากตัวเองอึกๆ



“กูแค่พักสายตาเหอะสัด แล้วนี่มึงกลับไงจะกลับกับกูหรือจะยังไงกูจะได้รอ” วันนี้ไอ้เป๋ามันติดรถผมมาที่งานผมก็เลยต้องถามมันไว้ก่อนเดี๋ยวพอมันเมาแล้วจะคุยกันไม่รู้เรื่อง



“กลับพร้อมมึงก็ดี กูก็ชักจะง่วงๆตามมึงละ”



พอตกลงกันเสร็จสรรพพวกผมก็นั่งกินนั่งดื่มกันสักพักก็ตัดสินใจพากันไปขอตัวกลับกับเจ้าของวันเกิด อวยพรมันก่อนกลับอีกนิดหน่อย มันก็บ่นว่าเสียดายอยากให้อยู่ตอนเป่าเค้กก่อน พวกผมก็บอกว่าอยู่ไม่ไหวมันก็ไม่ขัดอะไรนอกจากบอกว่าให้ขับรถกลับกันดีๆ



ผมขับรถไปส่งไอ้เป๋าที่กำลงเลื้อยอยู่บนเบาะข้างกันก่อนเป็นอันดับแรก เปิดเพลงในรถฟังไปด้วยเพื่อไม่ให้เบื่อระหว่างขับแต่ผมว่าผมคิดผิดมากที่เปิดเพราะไอ้ห่าตัวข้างมันดันแหกปากกลบเสียงเพลงจนมิดเลย ไอ้เวร!



“ไอ้เป๋ามึงเงียบดิ้กูจะฟังเพลง”



“กูร้องให้ฟังก็ได้”



“มึงอย่าเรียกว่าร้อง อย่างมึงเขาเรียกว่าแหกปากแล้วสัด ร้องให้คนข้างนอกฟังด้วยหรือไงวะ”



“แหะๆเดี๋ยวลดวอลลุ่มให้ละกัน”



“สัดเงียบไปเลย”



ถึงจะบอกให้เงียบมีหรือคนอย่างไอ้เป๋ามันจะฟังนอกจากมันจะผ่อนเสียงร้องมันให้เบาลงจากในทีแรกนิดหน่อยแต่แม่งมันก็ยังดังกลบเสียงเพลงในรถอยู่ดีไง



“เออมึงร้องไปเลยนะห้ามเงียบ ถ้าเงียบกูปล่อยลงข้างถนนนี่แหละ” เมื่อห้าไม่ได้ก็ต้องปล่อยมันให้ร้องไปครับ



อีกนิดเดียวแก้วหูผมคงจะพังแล้วแต่ดีที่ขับมาส่งมันถึงห้องพอดีก่อนที่เพลงต่อไปในแทร็คจะเล่น มันยิ้มขำกับใบหน้าของผมที่คงจะแหยเกน่าดู ผมเลยโบกหัวมันไปทีข้อหาที่ทำผมปวดหูไปหมดมันเอาแต่หัวเราะก่อนจะบอกลา



“แต้งใจมากเพื่อน” ขนาดคำขอบคุณมันยังไม่เหมือนคนอื่นเลยครับ



“เออรีบๆลงไปห่า ลงไปแล้วก็อย่าเดินชนถังขยะเหมือนคราวก่อนนะสัด”



“อิอิ ไม่ชนแล้วจ้า”



ผมส่ายหน้าแต่ก็ต้องยิ้มกับสภาพมันที่เดินลงจากลงแล้วโบกมือหยอยๆให้ผม มันเดินหันหลังเข้าคอนโดตัวเองเซไปเซมากระทั่งเดินชนถังขยะจนได้ ไอ้ห่าเอ๊ย! พึ่งรับปากกูไปดิบดีสุดท้ายมึงก็เดินชน



มองส่งจนมันหายลับไปจากสายตาผมก็ขับรถกลับคอนโดของตัวเองบ้าง ไม่รู้ป่านนี้ไอ้แด็กนั่นมันจะกินข้าวหรือยัง เอ๊ะ!..แล้วผมจะไปสนใจมันทำไมวะ



ช่วงนี้ผมว่าผมแม่งแปลกพออยู่คนเดียวแบบนี้แล้วจู่ๆก็คิดเรื่องไอ้เด็กเจ้าจอมขึ้นมา อาจจะเพราะผมเจอมันทุกวันและใช้เวลาด้วยกันเลยทำให้นึกถึงมันล่ะมั้ง



ไม่น่ามีอะไรแปลกหรอก...เนอะ!






คู่นี้แต่งแบบหวานๆไม่ได้เลย ขนลุกแปลกๆ 5555

ขอบคุณสำหรับการติดตามและกำลังใจมากๆเลยน้าาา

#นิติผูกพัน
ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter

:teach:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-10-2018 18:24:30 โดย ฟองดูว์ »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สปาร์กกันแล้วสินะ   :m20: :laugh:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อีน้องออกจะน่ารัก น่าเลิฟ แต่อีพี่ดันเห็นเป็นโฮ่ง โฮ่ง ไปได้  :katai3:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ cookie8009

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เรียนนิติฯ มาตราแรก ที่ต้องเรียน ไม่ใช่ มาตรา 4 เหรอ

สนุกดีครับ คิดว่า น้องจอมต้องเคยเห็น และแอบชอบพี่ยีนส์อยู่แน่ๆ เลย

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่ 12

ความผูกพันกำลังทำงาน




ผ่านพ้นช่วงสอบกลางภาคไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่คณะอื่นๆสอบกัน คณะนิติอย่างพวกผมหลายคนก็พากันกลับบ้านบ้าง ไปเที่ยวบ้าง ขี้เกียจหน่อยก็นอนตีพุงอยู่ห้องสบายๆรอวันเปิดเรียน อย่างว่าแหละครับคณะนี้ไม่มีสอบกลางภาคเหมือนคณะอื่น ไปตายกันทีเดียวก็ปลายภาคนู่นเลย



“ไอ้ยีนส์มึงเห็นไอ้คินมันไหมวะ” ผมหันไปมองไอ้เตอร์ที่พึ่งเดินมาจากไหนสักแห่งก่อนมันจะมองซ้ายแลขวา คงกำลังมองหาไอ้คินมันอยู่นั่นแหละ



“เห็นเดินไปทางนั้นอยู่นะ” ชี้นิ้วไปในทิศทางที่พึ่งเห็นไอ้คินมันเดินไปก่อนไอ้เตอร์มันจะพยักหน้า



“เออขอบใจมาก”



“มึงตามหามันทำไมวะ?”



“พอดีไอ้ทาวน์มันฝากของมาให้ไอ้คินน่ะ” มันชูกระเป๋าเงินที่ผมจำได้ว่าเป็นของไอ้คินให้ผมดู



ผมพยักหน้าเข้าใจแล้วปล่อยให้มันเดินไปหาไอ้คินที่ตอนนี้ไม่รู้เดินหายหัวไปไหนแล้ว ตอนผมถามมันมันก็ไม่บอกผมหรอกนะครับว่ามันจะไปไหน ทำเป็นยืนเก๊กนิ่งๆหล่อๆแล้วก็เดินหายวับไปเลย



บางทีก็อยากจะตะโกนด่ามันฉิบหายแต่ผมก็เข้าใจนั่นแหละว่านิสัยมันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วจะไปว่าอะไรมันก็ไม่ได้อีกเลยปล่อยๆไปและทำใจให้ชินชาเท่านั้น



นี่ยังไม่รวมไอ้ไฟอีกคนนะ รายนั้นแม่งเงียบเหมือนไม่พกปากมาเรียนด้วย จะคุยทีก็แทบจะง้างปากขึ้น มันเป็นประเภทที่พูดเฉพาะที่มันอยากพูด ถ้าหากใครถามแล้วมันไม่อยากตอบมันก็จะเงียบ แรกๆก็คิดว่ามันกวนตีนนะทว่าพอคบกันมาเรื่อยๆก็เลยรู้ว่าไอ้ห่าไฟน่ะมันขี้เกียจพูดครับ



ที่จะพูดคุยรู้เรื่องหน่อยก็มีผม ไอ้เตอร์แล้วก็ไอ้หมอกนี่แหละที่คุยกับคนอื่นรู้เรื่องที่สุดแล้วถามว่าเอาไอ้เป๋าไปไว้ไหน คืออย่าเอามันมารวมกับพวกผมเลยครับ ไอ้ห่านั้นพูดเหมือนผีเจาะปากมาพูดอะ พูดอยู่ได้ทั้งวันแล้วพูดเรื่องซ้ำๆด้วยนะครับ ไอ้ห่านี่คือตัวน่ารำคาญของกลุ่มเลยก็ว่าได้ เอาเถอะถ้าขาดมันไปกลุ่มผมคงจะเงียบกันเป็นเป่าสากนั่นแหละ ถือว่ามีมันเป็นตัวสีสันแล้วกัน



เหมือนผมจะดูว่างๆนั่งนินทาคนนู้นคนนี้ไปเรื่อยนะครับ จริงๆแล้วผมก็ว่างนั่นแหละเพราะพึ่งเรียนเสร็จแต่ผมยังกลับห้องไม่ได้เพราะนัดไอ้เจ้าจอมมันไว้ พอดีมันชวนผมไปเลือกของขวัญวันเกิดให้พี่ภูมิใจ ผมเลยถือโอกาสนี้ไปเลือกซื้อของขวัญให้พี่มันด้วยเลย นี่ถ้าเจ้าจอมมันไม่มาชวนผม ผมก็คงลืมไปแล้วว่าอีกสองสามวันจะเป็นวันเกิดพี่ภูมิใจ



อย่างว่าล่ะครับไอ้ผมก็เป็นผู้ชายที่ไม่ค่อยใช้สมองจดจำวันสำคัญอะไรเท่าไหร่ ขนาดวันครบรอบแฟนคนที่ผ่านๆมาผมยังลืมเลย อย่าว่าแต่วันครบรอบเลยวันเกิดผมเองบางปีก็ยังมีลืม จนมีคนเข้ามาอวยพรในพวกโซเชี่ยลนั่นแหละถึงจะจำได้ว่าเป็นวันเกิดตัวเอง



ดีที่วันนี้อิงค์ไม่ได้ให้ผมไปรับไปส่งเหมือนหลายๆวันที่ผ่านมา ผมเลยถือโอกาสประหยัดน้ำมันและพลังงานช่วยชาติด้วยการติดรถไอ้เจ้าจอมมันมาเรียนเมื่อตอนเช้า ถือว่าโชคดีที่เด็กมันก็มีเรียนเช้าพอๆกับผม กระนั่นเลยได้อนิสงค์ตรงนี้จากมันมาด้วย



พูดไม่ทันขาดคำไอ้เด็กนั่นมันก็เดินมาหาผมพร้อมกับหอบแฮ่กๆเอามือยันเข่าอยู่ตรงหน้า ให้เดาผมว่ามันก็คงจะวิ่งมาตามประสามันนั่นแหละ



“รอนานไหมพี่” พอมันหอบเสร็จมันก็ยืนตัวตรงเหมือนเดิมก่อนจะถามผม



“ก็สักพัก” ผมตอบตามจริง ถ้าให้ตอบว่าไม่นานก็จะเป็นการโกหกอีกแต่ถ้าตอบว่านานเดี๋ยวเด็กมันก็จะขอโทษขอโพยผมใหญ่โตอีก เอาเป็นว่าผมจะตอบกลางๆแบบนี้แล้วกัน



“ขอโทษทีครับพอดีอาจารย์ปล่อยเลท”



เวลาที่ผมกับมันนัดกันไว้คือประมาณสี่โมงเพราะเลิกเรียนพร้อมกันทั้งคู่ ไอ้ผมเลิกก่อนก็เลยมานั่งรอมันก็ไม่นึกว่าอาจารย์จะเลทไปตั้งครึ่งชั่วโมงขนาดนี้



“เออไม่เป็นไร ไปกันเลยไหมล่ะ”



“ไปเลยก็ได้ครับ”






เราทั้งคู่มาถึงห้างสรรพสินค้าในเวลาต่อมา เป็นห้างทั่วๆไปที่คนมักจะมาเดินกันหลังเลิกเรียน เลิกงานหรืออะไรก็ว่าไป



วันนี้จะเรียกว่าคนเยอะก็ไม่ได้จะเรียกน้อยก็ไม่ได้อีก งั้นผมจะเรียกว่าวันนี้คนก็มีพอประมาณเหมือนอย่างทุกๆวันที่ไม่ใช่วันหยุดนั่นแหละครับ



“ไปดูตรงไหนก่อน” ผมหันไปถามมัน ถ้าให้เดินดูไปปเรื่อยๆผมว่าคงจะเมื่อยน่าดูเลยห้างกว้างขวางขนาดนี้



“ผมยังลังเลว่าจะซื้ออะไรให้พี่ดีระหว่างนาฬิกากับเนคไท” มันว่าอย่างสับสน “ผมอยากซื้อให้พี่ภูมิทั้งสองอันเลยแต่เงินผมคงไม่พอ”



เข้าใจแหละครับว่ามันอยากให้ของพี่ชายแต่คงจะมีเงินซื้อของได้เพียงแค่อย่างเดียวเลยต้องใช้การตัดสินใจพอสมควร



“เอางี้..กูซื้อเนคไทให้พี่ภูมิใจเองส่วนมึงก็ซื้อนาฬิกาให้พี่มันไป” ผมตัดสินใจให้มันเสร็จสรรพทำท่าจะเดินไปหาซื้อแล้วแค่เจ้าจอมมันรั้งผมไว้ก่อน



“เดี๋ยวพี่..”



“อะไรอีก?” ผมเลิกคิ้วถาม



“จริงๆพี่ไม่ต้องลำบากเสียเงินซื้อก็ได้ ผมซื้อให้พี่ภูมิแค่อย่างเดียวก็ได้ครับ”



“ใครบอกว่ากูลำบาก”ผมมองหน้ามันก่อนจะถอนหายใจ “กูตั้งใจจะซื้อของขวัญให้พี่มันอยู่แล้วแต่นึกไม่ออกว่าจะซื้ออะไรดี พอดีกับที่มึงก็เลือกไม่ได้เหมือนกันกูเลยคิดว่าเราก็ซื้อกันคนละอย่างก็ได้”



มันเกาหัวแกรกๆก่อนจะยิ้มแห้งส่งให้ผม “งั้นเอาแบบที่พี่ว่าก็ได้ครับ”



ผมมองมันแล้วกระตุกยิ้มมุมปากกับความคิดเองเออเองของมัน ก่อนจะถามมันอีกครั้งว่าจะไปซื้ออะไรก่อนดีระหว่างนาฬิกากับเนคไท



“นาฬิกาก่อนก็ได้พี่”



“จะไปร้านไหนก่อนล่ะ?”



“ไม่รู้สิครับ เจอร้านไหนก็คงเข้าร้านนั้นแหละ”



“แล้วเล็งยี่ห้อไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”



“ก็ดูมาบ้างครับแต่คงต้องไปดูหน้าร้านอีกทีเผื่อมีเรือนอื่นที่น่าสนใจ”



ผมกับเจ้าจอมเดินเข้า-ออกร้านนาฬิกากันเป็นว่าเล่นเพราะเด็กมันเลือกไม่ได้ พอเห็นเรือนนั้นก็ชอบ เรือนนั้นก็จะเอาอีก ผมกับมันก็เลยต้องเดินไปดูให้หลายๆร้านจนตอนนี้ผมเดินจนขาแทบลากแล้วเจ้าจอมมันก็ยังเลือกไม่ได้สักที



มันก็คงอยากจะเลือกเรือนที่ดีที่สุดให้กับพี่ชายของมันนั่นแหละแต่ผมก็อยากให้มันเห็นใจผมด้วย คือกูเดินไม่ไหวแล้วไอ้เจ้าจอม มึงหันมาสนใจกูก่อนเว้ยย!



“พี่...ไปดูร้านนั้นกัน” ผมไม่ทันได้ทักท้วงมัน เจ้าจอมก็คว้ามือผมไว้แล้วจูงเข้าไปในร้านนาฬิกาที่ดูจากตรงนี้ก็หรูใช้ได้ ยิ่งได้เข้ามาข้างในแล้วก็บอกได้เลยว่าหรูมากๆ



พนักงานเอ่ยตอบรับเราสองคนเป็นอย่างดี มีแนะนำนาฬิกาให้ย้าง เจ้าจอมมันก็ซักถามพอเป็นพิธีก่อนจะบอกว่าขอเวลาเดินดูเองก่อน



“กูไปนั่งรอตรงนั้นนะ” ผมบอกมันเพราะเริ่มเมื่อยขึ้นมาจริงๆ ขาก็แทบจะก้าวไม่ไหวแล้วถ้าให้ฝืนต่อไปคือผมต้องคลานแทนเดินแล้วล่ะครับ



“อ่า...โทษทีพี่ พี่ยีนส์ไปนั่งพักก่อนก็ได้ครับ”



ดีที่มันไม่ได้ห้ามผมไว้ ไม่งั้นผมคงจะได้ด่ามันแน่ๆ เมื่อยจะตายอยู่แล้ว



เจ้าจอมมันก็เดินเลือกนาฬิกาชี้เรือนนั้นเรือนนี้ให้พนักงานเอาออกมาให้มันดู มันเหมือนจะถูกใจหลายเรือนเลย นั่นแหละเอาเป็นว่ามันก็ยังเลือกไม่ถูกว่าจะเอาเรือนไหนดี



ไหนตอนแรกบอกว่าดูมาแล้ววะไอ้เด็กนี่...



ผมเห็นมันคุยกับพนักงานสักพักมันก็เดินมาหาผมที่กำลังมองมันอยู่ มันทำหน้าเครียดก่อนจะถอนหายใจใส่ผมตอนที่มันนั่งลงข้างๆผมแล้ว



“เป็นไงเลือกได้ยัง?”



มันส่ายหน้า “ยังเลยพี่ ผมเห็นเรือนไหนก็อยากซื้อให้พี่ภูมิใจไปหมดเลย มีแต่เรือนสวยๆ”



ผมเข้าใจนะว่าการที่ต้องเลือกของขวัญอะไรสักอย่างมันเป็นเรื่องยากมาก ยิ่งถ้าเราถูกใจสิ่งของหลายๆอย่างด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่า



“ไม่มีเรือนไหนที่ชอบที่สุดหรือไง?”



“มีนะครับประมาณสองสามเรือน”



“นั่นแหละ ก็เลือกในสองสามเรือนนั่นแหละ ชอบเรือนไหนที่สุดก็เอาเรือนนั้น”



“เลือกยากว่ะพี่”



“มา...เดี๋ยวกูช่วยเลือก” ผมที่นั่งพักจนเริ่มหายเมื่อยแล้วก็ลุกขึ้นยืน ก้มลงมองไอ้เจ้าจอมที่ทำหน้ามุ่ยเหมือนมันหงุดหงิดตัวเองที่เลือกอะไรไม่ได้สักที เห็นหน้ามันตอนนี้แล้วก็ตลกดีครับ



“เอางั้นเหรอพี่?” มันยังลังเลเหมือนไม่เชื่อในฝีมือการเลือกของขวัญของผม เห็นอย่างนี้ผมก็เลือกของขวัญเก่งเหมือนกันนะครับอย่าว่าไป



“เออน่า เชื่อมือกูได้เลย” ผมตีคิ้วให้มันเท่ๆ “รับรองพี่ภูมิใจชอบแน่ๆ”



ไอ้เด็กนี่ก็ยังลังเลไม่เลิกผมเลยจับแขนมันแล้วลากไปดูนาฬิกาอีกรอบ พนักงานก็ยิ้มสวยต้อนรับพวกผมอีกครั้ง



“ไหน...เรือนไหนที่มึงชอบที่สุด?”



พอมันได้ยินผมถามมันก็รีบชี้นาฬิกาเรือนที่มันชอบให้ผมดูทั้งสามเรือน ผมบอกให้พนักงานเอาออกมาให้ดู เขาก็เอาออกมาให้ตามที่ผมบอกไป



“สวยทั้งสามเรือนเลยใช่ไหมล่ะครับ”



อย่างที่เจ้าจอมมันว่าไว้ เลือกยากทั้งสามเรือนเลยว่ะ คือมันแตกต่างกันคนละจุด ดีไซน์ก็สวยไปคนละแบบส่วนสีก็เหมาะกับผู้ชายวัยทำงานอย่างพี่ภูมิใจทั้งสามแบบเลย ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจอมมันจะเลือกไม่ได้



“แต่กูชอบเรือนนี้นะ เหมาะกับพี่มึงดี” จากการที่ได้สนิทและได้รู้จักพี่ภูมิใจมาผมก็พอรู้รสนิยมพี่มันมาด้วยนิดหน่อย คิดว่านาฬิกาเรือนนี้ที่ผมเลือกพี่มันก็คงจะชอบไม่มากก็น้อยนั่นแหละ



“หรอครับ?” มันว่าแล้วยกขึ้นมาดูพิจารณาอีกครั้งหลังจากวางตั้งๆกันอยู่หลายรอบ



“เรือนเก่าที่กูเคยเห็นพี่มันใส่สมัยเรียนก็ประมาณนี้แหละ” ผมจำได้ลางๆว่ามีช่วงหนึ่งที่พี่ภูมิใจมันใส่นาฬิกา ไอ้เรือนที่เขาใส่ก็คล้ายๆที่ผมเลือกนี่แหละ



มันชั่งใจพร้อมกับมองสลับไปที่นาฬิกาอีกสองเรือนที่วางอยู่บนตู้กระจก ก่อนมันจะพยักหน้ายื่นนาฬิกาเรือนที่ผมเลือกไปให้พนักงาน



“เอาเรือนนี้ครับ”



“รอสักครู่นะคะ”



พนักงานเดินไปทำอะไรสักอย่าง ระหว่างนั้นพวกผมก็พากันมานั่งรอตรงที่นั่งสำหรับลูกค้าในร้าน



“มึงไม่ต้องกังวลน่า พี่มันชอบอยู่แล้วแค่เป็นมึงซื้อให้ยังไงพี่ภูมิใจก็ต้องชอบ น้องชายซื้อให้ทั้งที” เห็นหน้ามันกังวลก็อดไม่ได้หรอกครับที่จะปลอบมัน เหมือนเห็นหมาหางตกมานั่งกลุ้มใจอยู่ข้างๆเลย



“ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างที่พี่ว่าครับ”



ไม่นานพนักงานก็เรียกเราสองคนอีกครั้ง เจ้าจอมมันยื่นบัตรเงินสดให้พนักงานไปรูด พอเสร็จแล้วก็รับถุงนาฬิกามาจากนั้นก็พากันมุ่งหน้าไปซื้อเนคไทให้พี่ภูมิใจต่อ



ของผมใช้เวลาเลือกไม่นานหรอกครับ ผมก็เลือกจากลักษณะของพี่มันนั่นแหละ คนเงียบๆขรึมๆอย่างพี่ภูมิใจก็คงต้องใส่สีเข้มๆดูภูมิฐานหน่อยแค่นั้นแหละไม่ถึงครึ่งชั่วโมงผมก็เลือกได้แล้ว



กว่าจะได้กลับห้องกันก็ปาไปสามทุ่มครึ่ง ตอนอยู่ในห้างก็ไม่รู้หรอกครับว่ามืดค่ำขนาดนี้แล้ว มารู้อีกทีก็ตอนกินข้าวกันเสร็จนั่นแหละเลยพากันกลับเพราะพรุงนี้เจ้าจอมมันยังมีเรียนเช้าด้วย



“ขอบคุณมากนะพี่ที่วันนี้ไปเลือกของขวัญเป็นเพื่อนผม”



“เออ ยังไงกูก็ต้องซื้อให้พี่ภูมิใจอยู่แล้ว”



“อ่า..ครับ”



“แล้วมึงจะเอาไปให้พี่มันวันไหนล่ะ?”



“น่าจะเป็นวันเสาร์นี้น่ะครับ พี่ไปด้วยกันไหม?”



ผมนิ่งคิด จริงๆก็อยากไปเจอพี่มันสักหน่อยนะเห็นว่าทำงานจังหวัดใกล้ๆพวกผมด้วย เดินทางไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว



“อืม กูไปด้วยก็แล้วกัน”



“โอเคครับ พี่ภูมิใจคงดีใจแน่เลยที่พี่ไปด้วย”



ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าไอ้พี่ภูมิใจมันจะทำท่าทางดีใจยังไง คือแม่งนิ่งเหมือนรูปปั้นหุ่นขนาดนั้นอะ



“เออ กูเข้าห้องละเหนียวตัวอยากอาบน้ำแล้ว”



“อ้อ..งั้นผมไม่กวนแล้วครับ ขอบคุณสำหรับวันนี้อีกครังนะครับ” มันยิ้มกว้างจนตาแทบปิดส่งให้ผม “ฝันดีครับพี่ยีนส์”



ผมพยักหน้ามองมันโบกมือหยอยๆก่อนจะเดินไปทางประตูห้องตัวเองแล้วเข้าห้องไป






วันเสาร์ที่ผมกับเจ้าจอมนัดกันเพื่อไปหาพี่ภูมิใจมาถึงอย่างรวดเร็ว ผมกับมันนัดกันออกประมาณสิบโมง ไม่อยากจะออกช้าเท่าไหร่เพราะตั้งใจจะไปกลับอยู่แล้ว ดีนะที่พี่ภูมิใจมันทำงานใกล้จังหวัดพวกผม



ผมยืนรอไอ้เจ้าจอมมันอยู่หน้าห้องขณะที่เจ้าของห้องอย่างมันกำลังวิ่งวุ่นหาของ เหตุเพราะมันตื่นสายก็เลยชุลมุนวุ่นวายอยู่ตอนนี้



“โทษทีครับพี่ยีนส์” มันปิดประตูห้องตัวเองก่อนจะยกมือขึ้นจัดทรงผมที่ค่อนข้างยุ่งหน่อยของตัวเองให้ดูดีขึ้น



“เมื่อคืนทำอะไรทำไมถึงได้ตื่นสายขนาดนี้” ผมถามมันขณะนั้นก็พากันเดินเพื่อลงลิฟท์ไปชั้นล่าง



“พอดีผมนอนไม่ค่อยหลับครับ คือมันรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย”



ผมหันไปมองมันที่ยืนรอลิฟท์อยู่ข้างกันก่อนจะหลุดหัวเราะ ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย!



“ตื่นเต้นที่จะได้เจอพี่มึงหรือไง?”



“ก็ส่วนหนึ่งครับ” มันหัวเราะแหะใส่ก่อนจะว่าต่อ “อีกส่วนก็ตื่นเต้นว่าพี่จะชอบของขวัญผมหรือเปล่า”



ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่าคนอย่างมันจะตื่นเต้นกับเรื่องแบบนี้ด้วย อย่างกับชีวิตนี้มันไม่เคยซื้อของให้ใครแหน่ะ จะว่าไปแล้วก็แหย่มันสักหน่อย



“มึงไม่เคยซื้อของขวัญหพี่มึงหรือไงตื่นเต้นไปได้”



มันหันมาก่อนจะส่ายหัว “ไม่เคยครับ ชิ้นนี้ชิ้นแรกเลย”



“ถามจริง?” ผมหันหน้าไปมองขณะที่เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง



“จริงสิพี่ ชิ้นนี้ชิ้นแรกเลย ผมตั้งใจทำงานเก็บเงินช่วงปิดเทอมมัธยมเพื่อจะซื้อนาฬิกาให้พี่ภูมิใจเลยนะ”



“ถึงว่าล่ะทำไมถึงดูตั้งใจเลือกขนาดนั้น” นึกไปถึงตอนนั้นแล้วก็เริ่มเข้าใจมันเลยที่เลือกไม่ได้สักทีว่าจะเอาอันไหนไปเป็นของขวัญให้พี่มัน พอมารู้เหตุผลแล้วก็น่ารักดี “เชื่อกูเถอะยังไงพี่มึงก็ต้องชอบอยู่แล้วล่ะ”



มันหันมายิ้มให้ผมตอนที่สตาร์ทรถเสร็จแล้ว “ขอบคุณนะครับ ผมก็หวังว่าพี่ภูมิใจจะชอบของขวัญที่ผมซื้อให้อย่างที่พี่ว่า”



ระหว่างที่มันขับรถผมก็ชวนมันคุยไปเรื่อยๆเพื่อไม่ให้รถเงียบ อีกอย่างผมว่าการอยู่เงียบๆมันก็ออกจะอึดอัดนิดหน่อย



“แล้วที่บอกว่าทำงานช่วงปิดเทอม มึงไปทำอะไร”



“ก็ทำพวกงานที่ร้านอาหารแม่ผมนี่แหละครับ” มันเล่า “ผมบอกแม่ว่าอยากเก็บเงินซื้อของขวัญให้พี่ แม่ก็ตกลงให้ผมทำเป็นเด็กเดินเสิร์ฟอาหาร รับออเดอร์ลูกค้าประมาณนั้นแหละครับ”



จำได้ลางๆว่าพี่ภูมิใจมันเคยเล่าอยู่ว่าแม่พี่มันเปิดร้านอาหารอยู่ในตัวเมืองของจังหวัด เป็นร้านที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงนะครับเพราะผมเคยเห็นมีคนรีวิวเยอะอยู่แต่ก็ไม่เคยไปกินหรอกว่าจะไปลองกินดูสักครั้งเหมือนกัน



“พี่ภูมิใจได้ถามหรือเปล่าว่ามึงจะเก็บเงินไปทำอะไร?”



“ไม่ถามหรอกครับ ช่วงนั้นพี่ก็ย้ายไปทำงานอีกจังหวัดแล้ว แต่ถ้าเขาถามผมก็คงจะบอกว่าเก็บเงินซื้อของที่อยากได้ พี่ภูมิใจเขาก็เข้าใจแล้ว”



มันเล่าไปยิ้มไป ผมสังเกตว่าเจ้าจอมมันจะมีความสุขทุกครั้งเลยเวลาได้พูดคุยถึงเรื่องครอบครัว ท่าทางครอบครัวของมันคงจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและน่ารักมากเลยนะครับ



“กูก็มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง” ผมเกริ่น จู่ๆก็อยากจะเล่าเรื่องของตัวเองให้มันฟังบ้าง “น้องกูแม่งโคตรติดเกมเลยแต่ก็เสือกเรียนเก่งมาก”



“เพื่อนผมหลายคนก็เป็นแบบนั้น”



“อืม..นั่นแหละ กูกับน้องไม่ค่อยคุยอะไรกันมากหรอกเวลาอยู่บ้านเพราะเรานอนแยกห้องกันอีกทั้งมันก็เอาแต่ขลุกอยู่แต่ในห้อง ส่วนกูก็ชอบไปนั่งช่วยแม่ทำงาน”



“ผมถามได้หรือเปล่าครับว่างานอะไร?” มันหันมาถามขณะที่รถติดไฟแดง



“ได้ดิ...แม่กูเป็นนักเขียน เขียนนิยายน่ะ ท่านเขียนมาตั้งแต่สมัยสาวๆแล้ว”



“จริงเหรอครับ แม่ผมก็ชอบอ่านนิยายนะไม่รู้ว่าเคยอ่านงานเขียนแม่พี่หรือเปล่า”



“ก็อาจจะเคยมั้ง...แต่ก่อนแม่กูเขาพิมพ์ยังไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่เลยใช้วิธีเขียนในสมุด พอเขียนเสร็จท่านก็จะเอามาให้กูพิมพ์”



“ดีจังเลยครับ”



“อืม...เดี๋ยวนี้ก็คงจะพิมพ์คล่องแล้วล่ะมั้ง เห็นน้องชายกูมันมาบ่นให้ฟังช่วงแรกๆที่กูมาเรียนมหา’ลัยแม่ชอบเรียกให้มันไปพิมพ์ให้บ่อยๆ มึงรู้ไหมตอนนี้น้องกูไม่ค่อยได้เล่นเกมแล้วนะเพราะแม่งไม่ค่อยได้เล่นจนแร้งค์ตกมันเลยเลิกเล่น พ่อด่ามันด้วยแหละมันเลยปรับปรุงตัวเดี๋ยวนี้ก็มาช่วยแม่ทำงานแทน”



“ดีแล้วล่ะครับ งั้นน้องพี่ก็แย่งหน้าที่พี่ไปโดยปริยายเลยน่ะสิ” มันว่าขำๆ



“ก็คงงั้นแหละ กลับไปคงได้เป็นหมาหัวเน่า”



“ครอบครัวพี่ก็น่ารักเหมือนกันนะครับ”



“น่ารักมากโดยเฉพาะแม่แต่พ่อดุไปหน่อยแต่ก็ทำปากแข็งไปงั้น จริงๆก็ใจดีมากนั่นแหละขี้เก๊กเป็นบ้าเลย”



“เหมือนพี่เลยนะครับ”



ผมหันขวับไปหามันตอนที่ได้ยินสิ่งที่มันพูดออกมา “อะไรเหมือน”



“ก็...ปากแข็งเหมือนพี่เลยไงครับ พี่คงได้พ่อมาเยอะนะ”



“เดี๋ยวกูโบก กูไม่ได้ปากแข็งโว้ย!”



“โอเคครับๆ” มันหัวเราะโยกหัวหลบตอนที่ผมจะยกมือขึ้นโบกมัน



ผมยกมือชี้หน้ามันให้มันหุบปาก มันก็ทำตามคำสั่งแต่ก็หลุดขำมาบ้าง ผมเลิกสนใจแล้วเล่าต่อ



“มึงเชื่อไหมว่าพอกูแยกออกมาเรียนที่นี่คนเดียวแม่งโคตรเหงาเลย แรกๆกูกลับบ้านทุกอาทิตย์เลยนะตอนที่ไม่มีเรียน ถึงจะมีเพื่อนแต่มันก็รู้สึกทดแทนไม่ได้ว่ะ หลังจากนั้นกูก็ได้คุยกับน้องกูมากขึ้น ไอ้เด็กนั่นก็โคตรขี้แงเลย”



“ยังไงครับ?”



“วันแรกที่กูมาอยู่นี่จู่ๆมันก็โทรมาหา คือกูตกใจมากเว้ยคิดว่ามันโทรผิดแต่ไม่ใช่ว่ะ น้องกูแม่งโทรมาร้องห่มร้องไห้อะไรของมันก็ไม่รู้ อยากจะด่ามันนะแต่ก็โคตรเอ็นดูมันเลย เอาแต่พูดอยู่นั่นว่าถ้าพี่ยีนส์ไม่อยู่ใครจะช่วยแม่ทำงาน ไอ้เด็กเวร..”



“ฮ่าๆ น้องพี่แม่ง!...” ไอ้เจ้าจอมมันหัวเราะเสียงดังลั่นรถ



เออใครๆก็หัวเราะทั้งนั้นแหละครับตอนที่ผมเอาไปเล่า ขนาดพ่อกับแม่ยังหัวเราะเลย กูก็คิดว่าโทรมาบอกคิดถึงกูที่ไหนได้กลัวแม่ไม่มีคนทำงานช่วย ไอ้น้องเวร...



“อันนี้มันบอกล้อเล่น มันบอกว่าพอไม่มีกูอยู่บ้านแล้วก็เหงาแปลกๆ ร้องบอกให้กูกลับบ้านทุกอาทิตย์กูแม่งก็บ้าจี้กลับทุกอาทิตย์ตามมันว่า พอหลังจากนั้นกูก็ใช้เวลาอยู่บ้านให้คุ้มที่สุด ใช้เวลากับครอบครัวให้คุ้มมากๆ น้องกูจากที่มันเล่มเกมส์ตลอดพอกูกลับบ้านก็จะมาอยู่กับกู มาช่วยกันนั่งพิมพ์งานให้แม่”



นึกไปถึงครอบครัวตัวเองแล้วก็อยากกลับไปหามากเลยล่ะครับ ผมชอบทุกครั้งเวลาที่ได้ใช้เวลากับครอบครัว ถึงมันจะน้อยนิดแต่ผมก็รู้สึกคุ้มค่ามากๆเลยที่ได้พูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกันแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม



“น่ารักดีนะครับ”



“อืม...แค่นึกถึงทุกคนที่บ้านกูก็มีความสุขแล้ว”




ตอนแรกกะว่าจะมาลงเดือนหน้าแต่เคลียร์ทุกอย่างเสร็จเร็วกว่าที่คิดเลยรีบมาลงให้ทุกคนได้อ่านกันเลย หวังว่าจะยังไม่ลืมกันนะคะ แหะๆ ใครว่างๆก็เข้าไปอ่านสมชาติได้เน่อออ (ขอขายของนิดนึง )

#นิติผูกพัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-01-2019 15:45:55 โดย ฟองดูว์ »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หายไปนานเลย คิดถึงเหมือนกัน  :mew1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 คิดถึงจังเลยค่ะ

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่13

พี่ภูมิใจ



กว่าจะมาถึงที่ทำงานพี่ภูมิใจได้พวกผมก็พากันขับหลงอยู่นานเพราะไม่ค่อยชินเส้นทางกันสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็ต้องโทรรบกวนให้พี่ภูมิใจมันบอกทาง โดนพี่มันบ่นนิดหน่อยที่มาหาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า ก็จะให้บอกได้ยังไงล่ะครับไอ้เจ้าจอมกับผมตกลงกันไว้ว่าอยากจะมาเซอร์ไพรส์พี่ภูมิใจนี่หว่า



“กูมีเวลาให้แค่ครึ่งชั่วโมง” พี่มันว่าหน้านิ่งๆดูดกาแฟเข้าไปสองสามอึกแล้วมองหน้าผมกับเจ้าจอมสลับกัน “พากันมาหากูถึงนี่มีอะไรกันหรือเปล่า?”



หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันพอเป็นพิธีแล้วพี่ภูมิใจก็เข้าเรื่องทันทีโดยไม่รอให้เสียเวลา พวกผมก็ไม่อยากถ่วงให้พี่มันเสียเวลางานมากด้วย ผมเลยสะกิดให้ไอ้เจ้าจอมมันเริ่มพูดเข้าเรื่องที่มาหาพี่มันวันนี้สักที



เจ้าจอมมันหันมามองผม ผมก็พยักหน้าให้มันรีบๆพูด มันจึงเริ่มเข้าเรื่องสักที “ก็..วันจันทร์นี้เป็นวันเกิดพี่ใช่ไหมล่ะ”



“อืม” พี่ภูมิใจรับคำ จ้องมองน้องขายตัวเองนิ่งๆว่ามันจะพูดอะไรต่อไป



“แล้วทีนี้วันจันทร์ผมคงมาหาพี่ไม่ได้เพราะติดเรียน ผมก็เลยมาหาพี่วันนี้แทน” มันเอาถุงที่ถือติดมือขึ้นมายื่นให้พี่ภูมิใจ “ส่วนนี่ของขวัญผมซื้อมาให้ สุขสันต์วันเกิดครับ”



“ให้กู?” คนเป็นพี่ชายถามอย่างไม่เชื่อแต่ก็ยอมยื่นมือไปรับถุงมาถือไว้ก่อนจะมองถุงกับเจ้าจอมสลับกันไปมา เหมือนมองแบบนั้นมันจะรู้อะครับว่าข้างในเป็นอะไร



ส่วนของที่ผมจะให้พี่ภูมิใจก็ขอให้หลังจากพี่มันดูของขวัญของเจ้าจอมเสร็จก็แล้วกัน เดี๋ยวจะขัดอารมณ์ซึ้งๆของสองพี่น้องหมด ขนาดตอนนี้ยังไม่มีโหมดซึ้งๆให้ผมดูเลย



“เปิดดูสิครับ”



เจ้าจอมมันเร่งเร้าให้พี่ชายมันเปิด ดูหน้ามันแล้วก็รู้ว่ามันตื่นเต้นแค่ไหนทว่าก็ยังทำเป็นเก็บอาการเอาไว้ ก็อย่างว่าของชิ้นแรกที่ซื้อให้พี่ชายจะไม่ตื่นเต้นได้ไง แต่ผมเชื่อนะครับว่าพี่ภูมิใจต้องชอบของขวัญชิ้นนี้มากแน่ๆ ไม่ใช่ชอบเพราะว่าเป็นนาฬิกาแต่ชอบเพราะว่าน้องชายของเขาซื้อให้และเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ได้รับจากน้องชายต่างหาก



“ตื่นเต้นอะไร?” พี่ภูมิใจถามเจ้าจอม เขายิ้มขำน้องชายตัวเองที่เหมือนเด็กๆเวลาลุ้นกับอะไรสักอย่าง



“ผมไม่ได้ตื่นเต้นสักหน่อยพี่ก็...” มันปฏิเสธเสมองไปที่แก้วน้ำก่อนจะถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาอีกครั้ง “ก็ตื่นเต้นนั่นแหละครับ”



พี่ภูมิใจส่ายหน้าให้น้องชาย เขามองน้องตัวเองด้วยแววตาเอ็นดู ผมเองก็อดที่จะเอ็นดูมันไม่ได้เหมือนกันเลยส่งยิ้มไปให้มันที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าดูดน้ำในแก้ว



ผมพยักพเยิดให้พี่ภูมิใจเปิดของขวัญสักทีก่อนไอ้เด็กนี่มันจะดูดน้ำเสร็จแล้วเปิดฝากินน้ำแข็งต่อ พี่ภูมิใจพยักหน้าก่อนจะก้มลงมองถุงที่ได้รับมาอีกครั้ง



เอาเข้าจริงแล้วผมก็อดลุ้นไปกับเจ้าจอมมันไม่ได้หรอก ถึงจะมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่ายังไงพี่ภูมิใจก็ต้องชอบอยู่แล้วก็เถอะ



เจ้าจอมมองพี่ชายตัวเองที่หยิบกล่องนาฬิกาออกมาวางไว้บนโต๊ะ มันเหลือบมองหน้าพี่ชายตัวเองก่อนจะหันกลับมาสนใจตอนที่มือของพี่ภูมิใจค่อยๆเปิดฝากล่องออกมา



“หืม..นี่ซื้อให้พี่เหรอ” เมื่อกล่องเปิดออกและปรากฏนาฬิกาเรือนสวยอยู่ในนั้นพี่ภูมิใจก็หันมาหาน้องชายแล้วถามด้วยความแปลกใจปะปนกับความดีใจที่ไม่ได้แสดงออกมามากนัก



“อืม ผมไม่รู้ว่าพี่จะชอบหรือเปล่า” มันทำหน้าลังเล



พี่ภูมิใจยิ้มก่อนจะยื่นมือขึ้นลูบหัวน้องชายตัวเอง “ชอบสิ ขอบใจมาก”



“ผมดีใจครับที่พี่ชอบ” เจ้าจอมมันยิ้มออกมาได้ ท่าทางดีใจจนปิดไม่มิดทำเอาผมกับพี่ภูมิใจต้องหัวเราะออกมาพร้อมกัน “ผมลุ้นแทบแย่ว่าพี่จะชอบหรือเปล่า พอได้ยินแบบนี้ก็โล่งอกไปที” มันลูบอกตัวเองป้อยๆ



“กังวลมากล่ะสิ”



“มากครับ เมื่อคืนก็แทบจะนอนไม่หลับเลย” มันเล่าให้พี่ชายตัวเองฟัง “ดีที่ผมได้พี่ยีนส์คุยเป็นเพื่อนสุดท้ายก็หลับจนได้”



อ่า...ใช่ครับ เมื่อคืนเจ้าจอมมันโทรมาหาผม บอกว่านอนไม่หลับเพราะตื่นเต้นเรื่องของขวัญนั่นแหละ ผมก็เลยต้องอยู่คุยเป็นเพื่อนมันจนกว่าเด็กมันจะหลับ เอาจริงๆผมหลับก่อนมันอีก ตื่นมาอีกทีก็เห็นโทรศัพท์โดนตัดสายไปนานแล้ว



“ขนาดเมื่อเช้ามันยังตื่นเต้นไม่หายเลยพี่ บ่นกับผมมาตลอดทาง” ผมได้โอกาสก็เล่าให้พี่ภูมิใจฟังบ้าง “ผมบอกมันว่าพี่ต้องชอบอยู่แล้วแต่มันก็ทั้งกลัวทั้งตื่นเต้นไม่หายสักที”



พี่ภูมิใจหันกลับไปมองน้องชายตัวเองอีกครั้ง “ขอบใจมากแต่ตอนนี้พี่คงอยู่คุยต่อด้วยไม่ได้ ตอนเย็นอยู่ต่อก่อนสิเอาไว้พี่พาไปเลี้ยงข้าว”



ผมกับเจ้าจอมหันมามองหน้ากัน ผมพยักหน้าให้เจ้าจอมมันตัดสินใจ



“ครับพี่” เจ้าจอมตอบตกลงมันยิ้มให้พี่ชายตัวเอง



ผมที่นึกได้ว่าจะให้ของพี่ภูมิใจก็เอาของขวัญยื่นให้พี่มัน “อันนี้ของผมครับ สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าครับพี่”



“ขอบใจมึงมาก” พี่ภูมิใจว่าแล้วตบบ่าผมเบาๆ



“ครับ”



“งั้นตอนเย็นเจอกัน” พี่มันล้วงกุญแจออกมาแล้วยื่นให้น้องชายตัวเอง “ส่วนนี่กุญแจห้องพี่ ไปพักกันที่นั่นก่อน คืนนี้ก็นอนนี่แหละ ขับรถกลับดึกๆมันอันตราย”



เมื่อฟังจบเจ้าจอมก็หันมาถามผม “พี่ยีนส์ไม่มีธุระที่ไหนใช่ไหม?”



“อืม ค้างที่นี่สักคืนก็ดีเหมือนกัน อย่างที่พี่มึงว่าขับดึกๆมันอันตราย”



“โอเคครับ งั้นผมกับพี่ยีนส์กลับไปรอพี่ที่ห้องนะครับ”



“ไปถูกใช่ไหม?” หลังจากบอกเส้นทางไปที่พักของพี่ภูมิใจเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ถามย้ำกับทั้งผมและน้องชายเขาอีกครั้ง



“เดี๋ยวเปิดจีพีเอสเอาครับ ถ้าไปไม่ถูกจริงๆเดี๋ยวโทรหาพี่ก็แล้วกัน” เจ้าจอมตอบ



“โอเค มีอะไรก็โทรมา”






“พี่ยีนส์หิวหรือเปล่า” เจ้าจอมมันถามขึ้นขณะที่ผมเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาในห้องของพี่ภูมิใจ



ที่พักของพี่ภูมิใจก็เป็นคอนโดธรรมดาทั่วไปมีระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างดี เห็นเจ้าจอมเล่าว่าคอนโดนี้พ่อกับแม่ซื้อให้เป็นของขวัญที่พี่ภูมิใจมันได้งาน



“นิดหน่อย”



“ไม่รู้ห้องพี่จะมีอะไรให้กินหรือเปล่าแต่เมื่อกี้ตอนขับรถมาผมเห็นว่ามีร้านอาหารอยู่แถวๆนี้ถ้าพี่หิวเดี๋ยวผมพาไป”



ผมมองมันที่เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆกัน “ขี้เกียจออกไปแล้ว”



“งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อให้”



“ไม่เป็นไร หากินเอาในห้องนี่แหละ หวังว่าพี่มึงคงจะมีอะไรให้กินน่ะนะ” ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่หรอกนะครับว่าพี่ภูมิใจจะซื้ออะไรไว้ตุนในห้องหรือเปล่า ขนาดสมัยที่พี่มันเรียนยังไม่ค่อยซื้อมาเก็บไว้เลย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสักห่อยังไม่มี



“ผมไปดูให้ครับ” เจ้าจอมมันเสนอเตรียมจะลุกขึ้นแต่ผมเอ่ยรั้งมันไว้ก่อน



“มึงนั่งเถอะ ขับรถมาทั้งวันก็พักก่อนเดี๋ยวกูไปดูเอง”



“อ่า...โอเคครับ”



ผมเดินเข้ามาในโซนครัวภายในห้องพี่ภูมิใจ ในนั้นก็มีพวกอุปกรณ์ทำครัวต่างๆเรียกได้ว่าครบครันก็ได้ แต่เห็นแค่อุปกรณ์จะตัดสินเลยไม่ได้หรอกนะครับว่าจะมีอาหารแน่ๆเพราะงั้นผมเลยต้องเดินไปที่ตู้เย็นแล้วก็พบว่า..



“พี่แม่งไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ”



ผมกวาดสายตามองตู้เย็นที่ว่างเปล่า ดีหน่อยที่มีไข่เหลือให้พวกผมพอประทังชีวิตได้สามฟอง ผมหยิบไข่ทั้งหมดออกมาตั้งไว้ก่อนจะเดินหาข้าวสารหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก่อนจะเจอข้าวสารอยู่ในตู้ข้างบนจึงจัดการหยิบออกมา



ปัญหาไม่มีอาหารให้กินก็หมดไปแต่ปัญหาใหม่คือผมหุงข้าวไม่เป็น...



สุดท้ายก็เดินออกไปหาไอ้เจ้าจอมแล้วถามมันเหมือนเดิม



“มึงหุงข้าวเป็นไหม?” เจ้าจอมที่กำลังนั่งกดโทรทัศน์หาช่องหันมาทางผม มันนิ่งคิดคำตอบไม่นานก็ได้รับการพยักหน้ามา



“เป็นครับ เดี๋ยวผมทำเอง” มันลุกขึ้นปิดโทรทัศน์



“แล้วไข่ล่ะ ทอดเป็นหรือเปล่า?”



“ไข่เจียวเหรอพี่?”



“อือ”



“เป็นครับ”



“งั้นมึงทำหน่อยนะ โทษทีว่ะกูทำไม่เป็นเลย”



ผมเกาท้ายทอยตัวเองเก้อเขินขณะเดินตามเจ้าจอมมันไปที่ครัว ก็คิดว่าจะทำอะไรให้มันได้บ้างเพราะเด็กมันก็ขับรถมาเหนื่อยๆไม่อยากให้มันต้องมาเหนื่อยทำอาหารอีกแต่นั่นแหละลืมไปว่าตัวเองก็ไม่ได้เรื่องในการทำอาหารเลยต้องมารบกวนมันอีกแล้ว



“ไม่เป็นไรพี่แค่นี้เองครับ” มันหันมาพูดยิ้มๆ เดินหาอะไรสักพักก็ได้ผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลมาใส่



“กูช่วยตีไข่ให้แล้วกัน”



“ทำได้นะครับ?” มันเลิกคิ้วถาม



“เห็นกูอย่างนี้ก็เซียนตีไข่นะโว้ยย!” ผมเดินไปหยิบไข่กับชามออกมาตั้งไว้ ก่อนจะตอกไข่ให้มันดู



ไข่ลูกแรกแตกไม่ค่อยดีเท่าไหร่แถมยังมีเปลือกตกลงไปในชามอีก ไม่เป็นไรฟองนี้อาจจะพลาดไปแต่ฟองต่อๆไปไม่พลาดแน่นอน



“ผมตอกให้ไหมครับแล้วพี่ค่อยเอาไปตี” มันพูดพลางก็ขำผมไปด้วย ใครจะไปยอมกันล่ะวะ



ผมปฏิเสธก่อนจะหยิบฟองที่สองขึ้นมาตอกให้มันดูว่ากูทำได้



“เชี่ย! เปลือกแม่งตกไปอีกแล้ว” ผมบ่นพลางเอาช้อนมาเขี่ยเปลือกไข่ที่ตกลงไปในชามออก ได้ยินเสียงเจ้าจอมหัวเราะก็หันขวับไปมองมันทันที



“ฟองสุดท้ายผมตอกให้ครับ กลัวจะได้กินไข่เจียวใส่เปลือกไข่ซะก่อน”



“เออ ไม่ทำตกอย่างกูก็ให้มันรู้ไป” เมื่อเขี่ยเปลือกไข่ออกจนหมดจากชามผมก็หลีกทางให้เจ้าจอมมันเอาไข่ฟองสุดท้ายมาตอก



ผมยืนอยู่ข้างๆมันเพื่อมองดูว่าไอ้เด็กนี่มันจะทำเปลือกไข่ตกไปอย่างผมหรือเปล่า ถ้าตกไปจริงๆผมจะได้หัวเราะใส่มันให้สะใจไปเลย



“เรียบร้อยครับ” มันว่าแล้วเอาเปลือกไข่ไปทิ้งในถังขยะ



ผมหยิบชามนั้นออกมาเพ่งมองหาเปลือกไข่ที่มันอาจจะทำตกลงไปตอนมันตอกแต่แม่งไม่มีร่องรอยของเปลือกไข่สักชิ้นแถมไข่ที่มันตอกใส่ชามยังสวยซะจนไม่กล้าว่ามันไปเลย



“เป็นไงครับ?”



ผมสะดุ้งตอนที่มันยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆผม “อะ...อะไรเป็นไง ก็แค่ตอกไข่”



ว่าแล้วก็เดินไปหาช้อนเพื่อเอามาตีไข่ พวกเครื่องปรุงมันต้องใส่อะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกันเลยต้องหันไปถามเด็กมันก่อน



“เครื่องปรุงอะ ต้องใส่อะไรบ้าง”



เจ้าจอมมันนิ่งคิดเหมือนมันก็ลืมๆไปเหมือนกันก่อนผมจะเห็นมันมองหาอะไรสักอย่างแล้วเดินไปหยิบซอสแม็กกี้ยื่นให้ผม



“ใส่แค่นี้ก็พอครับ”



“โอเค”



กว่าเราจะได้กินข้าวกันก็ปาไปเกือบชั่วโมงเพราะต้องรอให้ข้าวสุก ส่วนไข่ที่ทอดเสร็จไว้นานแล้วก็เริ่มจะเย็นชืด ดีที่มันยังไม่เหี่ยวไม่งั้นคงไม่น่ากินเท่าไหร่และผมไม่มั่นใจว่าไข่ที่ตัวเองได้ปรุงรสไปเองนั้นจะอร่อยหรือเปล่า



“เป็นไง?” ผมนั่งลุ้นตอนที่เห็นเจ้าจอมมันตักไข่เข้าปากคำแรก ผมมองมันนั่งเคี้ยวหงับๆก่อนจะกำช้อนในมือตัวเองแน่น ลุ้นฉิบหายว่าเด็กมันจะคายทิ้งหรือเปล่า



“ก็...โอเคครับแต่เค็มไปหน่อย”



ผมพยักหน้า ลองตักมากินเองบ้าง “เค็มนิดหน่อยแต่กินกับข้าวก็อร่อย”



“แต่ก็ต้องตักข้าวตามเยอะๆ” เจ้าจอมมันว่าต่อจากผม



“ไอ้เด็กสัด งั้นมึงไม่ต้องแดก”



“โธ่พี่ ผมล้อเล่นน่า” มันโอดครวญตอนที่ผมยึดจานไข่เจียวไม่ให้มันกินต่อ ก็ใครใช้ให้มันพูดแบบนั้นวะครับ ที่มันพูดมาก็แปลว่าไข่เจียวของผมมันเค็มมากๆจนต้องกินข้าวตามไปเยอะๆอะ “แต่ผมเป็นคนทอดนะพี่ ผมก็มีสิทธิ์กินนะครับ”



“ก็กูปรุงอะมึงมีปัญหาอะไร?” อยากจะกินข้าวด้วยกันดีๆสักครั้งแต่แม่งก็เป็นเรื่องยากซะเหลือเกิน ทำไมต้องมาต่อปากต่อคำกันขณะกินข้าวด้วยวะ



“มีมากครับถ้าพี่ไม่ให้ผมกิน”



ผมมองมันที่หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า “จะโทรไปฟ้องพี่ภูมิใจหรือไง”



แต่มันกลับส่ายหน้าปฏิเสธสิ่งที่ผมคิด “ผมจะเอารูปนี้ลงแล้วแท็กพี่ในเฟซบุ้กแล้วกัน”



มันชูรูปที่มันว่าให้ผมดูก่อนผมจะตาโตอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้เห็น ไอ้เด็กสัด ไอ้เวร ไอ้ห่าเอ๊ย!



“มึง...” ผมพูดไม่ออก ส่วนมือก็หมายจะคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นเพื่อเอามาลบรูปของตัวเองที่หลับน้ำลายยืดอยู่บนโซฟาในห้องไอ้เจ้าจอม ผมจำไม่ได้หรอกว่าวันไหนแต่ก็คงเป็นสักวันนั่นแหละที่ผมไปช่วยติวให้มันแล้วเผลอหลับไป ใครจะไปคิดล่ะครับว่าไอ้เด็กจังไรนี่มันจะแอบถ่ายรูปตอนที่ผมหลับไว้



“จะยอมให้ผมกินไข่เจียวได้หรือยังครับ”



มันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุดที่มันเอารูปน่าเกลียดๆของผมมาแบล็คเมล์เพื่อแลกกับไข่เจียวเค็มๆ



ผมมองหน้ามันแล้วถอนหายใจก่อนจะวางจานไข่เจียวไว้แล้วตักกินๆไม่สนใจไอ้เจ้าจอมมันอีก ไอ้เด็กห่าแม่ง! อย่าให้ผมเอาคืนมันก็แล้วกัน



“พี่ยีนส์”



จู่ๆมันก็เรียกผมขึ้นขณะที่ผมกำลังเคี้ยวข้าวพลางคิดหาวิธีแก้แค้นไอ้เด็กนี่ไปด้วย คิดอยู่ว่าจะถ่ายรูปหน้ามันยังไงให้ตลกที่สุด เดี๋ยวก่อนเหอะมึงอย่าเผลอแล้วกัน



“อะไร” ผมตอบห้วนสั้นกินข้าวคำสุดท้ายเสร็จก็ยกน้ำขึ้นดื่มตาม



“โกรธผมหรอ?”



ผมเงยหน้ามองมันที่ถามขึ้น คือมันคิดได้ไงว่าผมโกรธ ผมแค่หงุดหงิดนิดหน่อยที่ไปพลาดท่าหลับทำหน้าน่าเกลียดแล้วดันให้มันถ่ายภาพแบบนั้นได้



“เปล่า” ผมตอบสั้นๆทำท่าจะลุกเอาจานไปเก็บ



“พี่โกรธผมจริงๆด้วย”



คิดว่ามันจะเข้าใจที่ผมพูดแล้วแต่มันก็ยังคงคิดไปเองเป็นตุเป็นตะ ผมก็เลยไม่ได้เอาจานไปเก็บสักทีแถมยังต้องมานั่งขบคิดว่ากูไปทำยังไงเด็กมันถึงคิดว่าผมโกรธขนาดนี้วะ



“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธไงวะ” มันเงยหน้ามองผมที่ยื่นมือไปดีดหน้าผากมัน “คิดไปเองเก่งจริงๆเลยมึงเนี่ย” ผมส่ายหน้าพลางถอนใจใส่เด็กมันไปด้วย



“จริงนะพี่?”



“เออหรืออยากให้โกรธ?”



“ไม่ครับ พี่ไม่โกรธผมก็ดีแล้ว” มันว่าแล้วยิ้มจนตาปิด “ส่วนรูปผมขอไม่ลบนะ อยากเก็บไว้ดู”



“เหอะ ถึงกูบอกให้ลบมึงก็ไม่ลบหรอกกูรู้ อยากจะเก็บไว้ก็แล้วแต่” ไม่รู้ว่าจะอยากเก็บไว้ดูทำไม อาจจะดูหน้าหล่อๆของผมแล้วมีความสุขมั้งครับ



“ส่วนถ้าพี่อยากถ่ายรูปผมเมื่อไหร่ บอกผมได้ครับเดี๋ยวผมจะทำท่าเผลอๆให้..พี่จะได้ถ่ายเก็บไว้ดูบ้าง”



อยากจะถามมันมากว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าผมต้องการถ่ายรูปมันเก็บไว้ดู ถึงแม้ผมคิดอยากจะถ่ายรูปมันตอนเผลอๆแต่คือเผลอจริงๆแบบน่าเกลียดๆอะไม่ใช่มาทำท่าเก๊กเผลอแต่ยังหล่ออยู่ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วผมจะถ่ายไปทำไมล่ะวะ



“ประสาท..”






พี่ภูมิใจกลับมาถึงก็หกโมงกว่าๆขณะที่ผมกับเจ้าจอมก็พึ่งตื่นนอนเหมือนกัน พวกเราตกลงกันว่าจะให้พี่ภูมิใจเป็นคนเลือกร้านแต่ไอ้พี่มันก็บอกว่าไม่ค่อยรู้จักร้านแถวนี้สักเท่าไหร่จึงต้องโทรไปถามคนรู้จักเขาก็แนะนำร้านบรรยากาศดีๆมาให้



“พี่แน่ใจนะว่าไม่หลง?” เจ้าจอมมันหันหน้าไปถามพี่ภูมิใจที่กำลังขับรถ เพราะขับมานานแล้วแต่ยังไม่ถึงร้านสักทีมันก็เลยถามขึ้น



“ไม่รู้”



“อ่าว..”



ผมกับเจ้าจอมส่งเสียงออกมาพร้อมกันด้วยความฉงน คือพี่มึงจะไม่ให้ความมั่นใจกับพวกกูเลยใช่ไหม ตอบมาได้ยังไงว่าไม่รู้ เฮงซวย!



“เออน่า เดี๋ยวกูขับไปรับคนรู้ทางก่อน” พี่มันตอบปัดๆก่อนจะเลี้ยวตรงยูเทิร์นแล้วเข้าไปยังหมู่บ้านจัดสรรที่ผมกับเจ้าจอมก็ต้องหันไปมองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้าให้กันไปมา



รถของพี่ภูมิใจหยุดลงที่หน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังหนึ่งก่อนพี่มันจะบีบแตรไปสองครั้ง รอไม่นานคนที่คาดว่าคงจะเป็นเจ้าของบ้านก็เปิดประตูออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ เรียกว่าโคตรหงุดหงิดมากๆก็ได้ครับ



“อะไรอีกล่ะคุณ?” ผมได้ยินเสียงของคนๆนั้นเอ่ยถามพี่ภูมิใจตอนที่พี่มันเปิดประตูออกเพื่อลงไปหาเขา



ผมกับเจ้าจอมมองไปข้างนอกอย่างอยากรู้อยากเห็นไปกับบทสนทนาของทั้งสองคนที่ยืนคุยกันอยู่ข้างนอก เห็นพี่ภูมิใจพยักพเยิดเข้ามาในรถก่อนที่คุณคนนั้นจะหันมามองตาม พวกผมจึงยกมือไหว้เนื่องจากกระจกรถของพี่ภูมิใจใสพอสมควร เขารับไหว้พวกผมก่อนจะหันกลับไปคุยกับพี่ภูมิใจต่อ



“มึงรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร?” ผมถามเจ้าจอมถึงผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นที่รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวตัดกับเสื้อยืดและกางเกงวอร์มสีดำ ใบหน้าได้รูปนั้นก็ดูดีจนมองเพลินแถมเวลาทำหน้าหงุดหงิดแล้วก็ยิ่งหน้ามองเข้าไปใหญ่



“ไม่รู้สิครับ” มันโคลงหัวแสดงออกว่ามันก็ไม่รู้จริงๆ



สักพักผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้าบ้านไปส่วนพี่ภูมิใจก็เดินกลับเข้ามานั่งในรถแล้วหันไปหาน้องชายตัวเองอย่างเจ้าจอมที่นั่งข้างๆคนขับ



“จอมไปนั่งข้างหลังไป เดี๋ยวให้เขานั่งข้างหน้าบอกทางพี่”



เจ้าจอมพยักหน้าทำตามที่พี่สั่งโดยไม่อิดออด พอมันย้ายตัวเองมานั่งข้างหลังกับผมเสร็จแล้วมันก็ยื่นหน้าของมันเข้าไปถามพี่ภูมิใจถึงเรื่องที่ทั้งผมและมันสงสัยทันที



“คนนั้นใครครับพี่ภูมิ?”



“หัวหน้าพี่เอง”



“พี่ดูสนิทกับเขามากเลย” ผมเอ่ยบ้างพร้อมกับมองดูปฏิกิริยาของพี่ภูมิใจไปด้วยแต่ก็ไม่เห็นอะไรหรอกเพราะพี่มันก็ยังคงนิ่งเหมือนเดิม



“ก็คงสนิทมั้ง ลองถามเขาดูสิ”



“ใครจะกล้า...” เจ้าจอมมันพึมพำซึ่งผมก็พยักหน้าเห็นด้วยกับมันอีกคน



พวกผมมองคนที่เราพูดถึงเดินออกมาจากบ้านโดยไม่ลืมที่จะหันกลับไปล็อคประตูรั้วให้เรียบร้อย จากนั้นเขาก็เดินหน้ายุ่งเข้ามานั่งในรถแล้วเสียงพี่ภูมิใจก็ดังขึ้นทันใด



“ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยคุณ”



เขาคนนั้นหันมามองพวกผมเหมือนพึ่งคิดได้ว่าไม่ได้อยู่กันสองคนกับพี่ภูมิใจ เขาผงกหัวให้พวกผมเป็นเชิงขอโทษ



“โทษทีนะ พี่ชื่อณะเป็นหัวหน้าของภูมิใจน่ะเผื่อจะสงสัยกัน” เขาว่าแล้วส่งยิ้มให้พวกผม ได้ยินเสียงพี่ภูมิใจกระแอมเบาๆสงสัยมีอะไรติดคอ “ออกรถสิคุณจะนั่งนิ่งๆอยู่ในรถแบบนี้จนเช้าหรือไงกัน”



พี่ภูมิใจไม่ได้ตอบแต่ก็ทำตามที่คุณเขาสั่ง



“สวัสดีครับพี่ณะ ผมชื่อเจ้าจอมน้องพี่ภูมิใจครับ ส่วนนี่พี่ยีนส์รุ่นพี่ผมครับ” ผมกับเจ้าจอมยกมือไหว้คนที่โตกว่าอีกครั้ง พี่เขาบอกว่าไม่ต้องไหว้เพราะดูแก่ยังไงชอบกลพร้อมกับเอ่ยแซวนิดหน่อยเรื่องที่เจ้าจอมเป็นน้องพี่ภูมิใจ



“ทำไมน้องชายถึงหล่อกว่าพี่ล่ะ?” พี่ณะว่าแล้วหันไปมองคนขับรถที่ก็หันมามองพี่ณะเช่นกันแต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร



“พี่ก็ชมเกินไปครับ” เจ้าจอมมันหัวเราะพร้อมยิ้มเขิน ผมหันไปมองมันแล้วก็อยากจะเอานิ้วดีดหน้าผากกับความเขินอายที่เวอร์ฉิบหาย



“พี่เขาชมมึงตามมารยาทเถอะ” ผมก็อดไม่ได้จริงๆที่จะว่ามัน



“ไม่โดนชมบ้างก็อย่าอิจฉาครับ” มันว่าอย่างยียวนจังหวะที่ไฟบนถนนส่องมาผมก็เห็นมันตีคิ้วใส่ผมอย่างกวนๆ



“เดี๋ยวเถอะมึง” ผมชี้หน้าแล้วผลักหน้าผากมันจนหน้าหงาย เจ้าจอมหัวเราะก่อนจะมากระเซ้าผมบอกว่า



“พี่ก็หล่อเหมือนกันน่า อย่างอนไปเลย...”



ไอ้สันขวานเอ้ย! ใครงอนมึงวะเด็กเวร...



หลังจากตบตีกับไอ้เจ้าจอมมาตลอดทางก็มาถึงร้านอาหารกันสักที ระหว่างทางก็มีพี่ณะคอยห้ามทัพผมกับไอ้เจ้าจอมไม่ให้ตีกันตายก่อนตลอด ส่วนพี่ภูมิใจก็ทำแค่มองกระจกส่องหลังแค่นั้นก็ไม่พูดอะไร



“ร้านบรรยากาศดีอย่างที่พี่ว่าจริงๆด้วย” ผมอดจะชื่นชมไม่ได้จริงๆ ร้านอาหารที่พี่ภูมิใจพาเรามาเป็นร้านอาหารที่ติดริมแม่น้ำเย็นสบาย แถมในร้านยังมีดนตรีสดเล่นให้ฟังอีก



“พี่แนะนำเองแหละ” พี่ณะยืดอกพร้อมรับคำชม พี่ภูมิใจที่นั่งข้างๆปรายตามองแต่ไม่ได้ว่าอะไร



“สุดยอดมากครับ ร้านดีมากจริงๆ” ผมยกนิ้วโป้งให้พี่ณะ เขาก็วิ้งค์ตาส่งมาให้ผมแล้วก็ยิ้มเขินคนเดียวอีก



อะไรวะ...



พี่ณะเป็นคนจัดการสั่งอาหารให้เมื่อถามเสร็จแล้วว่าไม่มีใครแพ้อะไรหรือไม่ชอบอะไร พี่ภูมิใจซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิดก็ไม่ได้เอ่ยทักท้วงตอนที่พี่ณะสั่ง มีบ้างบางครั้งที่ยื่นมือไปจิ้มตรงเมนูให้พนักงานเขียน



“แค่นี้แหละครับ” พี่ณะว่าแล้วหันไปมองพี่ภูมิใจ “คุณเอาอะไรเพิ่มไหม?”



“ไม่ล่ะ”



พี่ณะพยักหน้าแล้วคืนเมนูไปให้พนักงานที่ยืนรออย่างสุภาพ



“รอสักครู่นะครับ”



เมื่อพนักงานเดินไปแล้วพวกผมก็เริ่มเปิดบทสนทนากันขึ้นอีกครั้งเพื่อทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารครึกครื้นสักหน่อย



“แล้วนี่ขับรถกันมาเองเลยเหรอ?” พี่ณะถามผมกับเจ้าจอมที่นั่งข้างๆกัน



“ใช่ครับ” เจ้าจอมมันตอบ “ผมอยากมาเซอร์ไพรส์วันเกิดพี่แต่ดันหลงทางซะก่อนอดเซอร์ไพรส์เลย”



พี่ณะพอได้ยินก็ขำ ดูเป็นผู้ชายที่เส้นตื้นดีครับ พอขำเสร็จเขาก็หันไปหาพี่ภูมิใจอีกครั้ง “วันนี้วันเกิดคุณเหรอ?”



“เปล่า”



“อ้าว?” เขาส่งเสียงไม่เข้าใจแล้วหันมาหาผมกับเจ้าจอมด้วยใบหน้าฉงน ไอ้พี่ภูมิใจแม่งก็ไม่ตอบให้หมดหรอก



“วันเกิดพี่วันจันทร์น่ะครับแต่ผมติดเรียนเลยมาหาพี่ก่อน”



“อ้อ..” เขาพยักหน้าหันไปมองพี่ภูมิใจอีกครั้งแต่ไม่ได้พูดอะไร “แล้วจะกลับกันพรุ่งนี้เลยใช่ไหม?”



คราวนี้เป็นผมที่ตอบบ้าง “ครับ กะว่าจะออกสักสิบโมงหรืออาจจะเที่ยงก็ตามที่พวกผมจะตื่นแหละครับ” ผมว่าอย่างติดตลก เรื่องเวลาเดินทางกลับผมกับเจ้าจอมก็ยังไม่ได้คุยหรือตกลงกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวหรอกแต่เวลาคร่าวๆก็คงจะประมาณนี้แหละ



“เดินทางปลอดภัยนะ พี่บอกล่วงหน้าไว้ก่อนพรุ่งนี้อาจจะไม่ได้เจอกัน”



“ขอบคุณครับ” ผมกับเจ้าจอมบอกขอบคุณพร้อมกัน



จากนั้นบทสนทนาส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทั่วไปที่ต่างคนต่างนำมาถามซึ่งกันและกันแต่ไม่ได้เกินขอบเขตของคนที่พึ่งรู้จักกัน มีเพียงคนเดียวที่ตอบเพียงอือออเท่านั้นก็คือพี่ภูมิใจ พี่มันทำแค่นั่งนิ่งๆฟังพวกผมพูดตาก็มองนู่นมองนี่ไปเรื่อยแต่ที่คงจะเห็นมองบ่อยๆก็คงเป็นหน้าพี่ณะนั่นแหละ สองคนนี้น่าสงสัยจริงๆ



เรานั่งทานอาหารกันอยู่นานก็ถึงเวลาที่ต้องกลับ พี่ภูมิใจแวะมาส่งพวกผมที่คอนโดของเขาก่อน งงเหมือนกันครับว่าทำไมไม่ไปส่งพี่ณะก่อนแต่พวกผมก็ไม่ได้ถามอะไรทำเพียงแค่ยกมือไหว้พี่ณะจนพี่ณะต้องดุพวกผมอีกรอบว่าห้ามไหว้เพราะไม่อยากแก่



“ไว้เจอกันอีกนะเด็กๆ” ขนาดไม่อยากแก่ยังเรียกพวกผมว่าเด็กๆ เอากับเขาสิครับทำไมถึงได้เป็นคนย้อนแย้งขนาดนี้กัน



เขาโบกมือหยอยๆให้พวกผมจนกระทั่งรถเคลื่อนตัวออกไปผมก็หันไปคุยกับเจ้าจอมทันที



“มึงสงสัยเหมือนกูหรือเปล่าว่าสองคนนั้นดูไม่ใช่เจ้านายลูกน้องธรรมดา”



เด็กมันไหวไหล่ก่อนตอบกวนๆ “ไม่รู้สิครับ ผมไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องคนอื่นสักเท่าไหร่” แล้วมันก็เดินเข้าไปในคอนโดปล่อยให้ผมต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว



ไอ้เด็กเวร...



   
จะมาต่อให้เรื่อยๆน้าา อาจจะไม่ได้มาทุกวันแต่จะพยายามเน่อออ ขอบคุณทุกคนที่ยังรอกันอยู่นะคะคิดถึงทุกคนเหมือนกันเด้อออ
#นิติผูกพัน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นั่นซิ มันมีไรมากกว่านี้อีกไหมนะ  :hao4:

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3

ตอนที่ 14

เราสองสามคน



ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วที่ผมกับเจ้าจอมไปหาพี่ภูมิใจถึงแม้จะผ่านมานานหลายวันผมก็ยังคงสงสัยไม่หายเรื่องของพี่ภูมิใจกับพี่ณะแต่นั่นแหละจะสงสัยยังไงก็คงจะไม่ได้คำตอบ อย่าหวังว่าจะเอาไปถามไอ้เจ้าจอม ไอ้เด็กเวรนั่นแม่งไม่รู้ห่าเหวอะไรหรอก ผมก็เลยเซ็งๆนิดหน่อย



ส่วนชีวิตเด็กนิติอย่างผมวันๆไม่มีอะไรให้ทำมากมายนอกจากเรียน กินข้าวและกลับห้อง วนๆเวียนๆอยู่แบบนี้ตลอด ดีหน่อยที่เพื่อนผมค่อนข้างจะเยอะเลยมีอย่างอื่นให้ผมทำ เช่น กินเหล้า เป็นต้น



อีกอย่างก็คือเดี๋ยวนี้น้องอิงค์มักจะชวนผมไปนู่นไปนี่บ่อยๆแล้วด้วย ไม่ว่าจะไปซื้อของขวัญให้เพื่อน ซื้ออาหารไปให้หมาหรืออะไรก็ตามที่น้องชวนผมไป ผมก็ไม่เคยปฏิเสธเพราะอยากใช้เวลาร่วมกับน้องและอยากเรียนรู้น้องให้มากยิ่งกว่าเดิม



“อาทิตย์หน้าไปดูหนังด้วยกันไหมครับอิงค์ พี่เห็นเราแชร์ในเฟซบุ้กน่ะ” ผมหันไปถามน้องที่นั่งกินข้าวตรงข้ามผม



“หืม?...ดีเลยค่ะ อิงค์ว่าจะชวนพี่ยีนส์พอดีเลย ชวนเพื่อนคนไหนไปดูก็ไม่มีใครว่างเลย”



“โชคดีของพี่เหมือนกันนะเนี่ย ถ้าเกิดอิงค์ชวนเพื่อนไปดูได้พี่ก็คงจะอดไปดูหนังกับอิงค์แน่ๆเลยใช่ไหมครับ” ผมถามทีเล่นทีจริง



“ไม่หรอกค่ะ ยังไงอิงค์ก็กะว่าจะชวนพี่ยีนส์ไปดูด้วยกันอยู่แล้ว” น้องยิ้มให้ผมอย่างน่ารักก่อนจะเทน้ำใส่แก้วให้ผมไปด้วย



“งั้นเอาเป็นศุกร์หน้า อิงค์นัดกับพี่แล้วเนอะ อย่าเบี้ยวล่ะ”



“อิงค์สิคะต้องบอกว่าพี่ยีนส์น่ะห้ามเบี้ยวอิงค์เด็ดขาด”



“ครับๆไม่เบี้ยวแน่นอนครับ สัญญาด้วยเกียรติของพี่เลย” ผมยกสามนิ้วมาแตะตรงขมับตัวเองก่อนอิงค์จะยิ้มขำกับท่าทางนั้นของผม



ผมกับอิงค์นั่งทานข้าวด้วยกันขณะนั้นก็พากันคุยถึงเรื่องทั่วไปสัพเพเหระแล้วแต่จะนึกออกกระทั่งถึงเวลาที่ผมต้องไปส่งน้องที่มหา’ลัยเพื่อเรียนคาบบ่ายส่วนผมวันนี้มีเรียนแค่ตอนเก้าโมงถึงสิบโมงครึ่งเลยมีเวลาว่างพาน้องมาทานอาหาร



“ตอนเย็นพี่ยีนส์ไม่ต้องมารับอิงค์ก็ได้ค่ะเดี๋ยวอิงค์กลับกับเพื่อน” น้องว่าหลังจากที่รถของผมจอดสนิทอยู่หน้าคณะของน้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



“ครับ ตั้งใจเรียนล่ะ” ยื่นมือของตัวเองไปลูบหัวน้องเบาๆก่อนจะผละออก



“แน่นอนอยู่แล้วค่า” น้องว่าอย่างน่ารัก “งั้นอิงค์ไปแล้วนะคะ ไว้เจอกันค่ะ”



ผมมองอิงค์เดินเข้าไปในตึกเรียนจนลับสายตาจึงขับรถออกจากบริเวณนั้นแล้วมุ่งหน้ากลับคอนโดของตัวเอง






ใครจะคิดว่าพอกลับมาถึงห้องผมก็เห็นไอ้เจ้าจอมมันกำลังยืนกดกริ่งหน้าห้องผมอยู่ คือถ้าสมมุติผมไม่มาเห็นมันก็คงจะยืนกดทั้งวันแหละครับ เบอร์ก็มี ไลน์ก็ให้ไปแล้วก็ไม่รู้จักถามทางนั้น ยังจะเสียเวลามากดกริ่งทำไม



“ยืนทำอะไรหน้าห้องกู?” ผมเอ่ยทักคนที่ทำท่าจะกดกริ่งหน้าห้องผมไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว



“อ้าวพี่ไม่ได้อยู่ห้องหรอกเหรอครับ” มันถามพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบให้ผมที่เดินเข้ามาใกล้หน้าประตูก่อนจะเปิดห้องเข้าไป



“มีอะไร เข้ามาก่อนดิ”



มันพยักหน้าเดินตามผมเข้ามาในห้องต้อยๆเหมือนหมาเชื่องๆที่เชื่อฟังเจ้าของแบบนั้นเลย



“พอดีผมจะเอาหนังสือมาคืนพี่น่ะครับ” เมื่อเข้ามาถึงห้อง มันก็เริ่มเข้าประเด็นทันที เจ้าจอมมันชูหนังสือขึ้นตรงหน้าผมซึ่งหนังสือที่ว่าคือหนังสือที่มันยืมไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง



“มึงไม่ใช้แล้ว?” ผมเลิกคิ้วถาม



“ก็น่าจะใช้อ่านอยู่ครับแต่ผมยืมพี่ไปนานแล้วก็เกรงใจน่ะครับเลยเอามาคืน เอาไว้ก่อนสอบสองเดือนผมค่อยหาซื้อมาอ่านเองก็ได้”



“ไม่เป็นไร ใช้เสร็จแล้วค่อยเอามาคืนก็ได้” ผมว่าก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาน้ำกิน “เอาน้ำไหม?”



เมื่อมันได้ยินก็ยิ้มออกมาก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักส่งให้ผม “ขอแก้วนึงครับ”



พักหลังๆผมกับเจ้าจอมเริ่มจะสนิทกันมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้สนิทถึงขั้นที่แบบตบหัวลูบหลังกันได้ สาเหตุที่สนิทกันคงเพราะห้องมันอยู่ข้างๆ พอตอนเย็นก็มากินข้าวด้วยกันอีกอย่างเวลาไอ้เด็กนี่มันมีบทเรียนไหนที่ไม่เข้าใจก็จะมาถามผมตลอดถึงผมจะช่วยมันได้ไม่ค่อยมากก็เถอะเพราะผมก็ยังเอาตัวไม่ค่อยรอดเหมือนกัน เอาเป็นว่าความสัมพันธ์ของผมกับมันตอนนี้ดีกว่าตอนแรกเป็นสิบเท่าเลยก็ว่าได้



หลายคนอาจจะบอกว่าเว่อร์แต่ความจริงมันก็เป็นแบบนั้นนี่หว่าไม่เชื่อก็ดูเอาเองดิ แต่ก่อนผมเคยชวนให้มันเข้าห้องง่ายๆที่ไหน กว่ามันจะเข้าห้องผมได้ผมก็ด่ามันหูดับตับไหม้เหมือนกันแล้วไอ้ยิ่งเทน้ำใส่แก้วแล้วเอามาให้มันกินนี่ไม่เคยอยู่ในระบบสมองผมเลย



ตัดภาพมาที่ตอนนี้..



“ขอบคุณสำหรับน้ำนะครับ” มันวางแก้วน้ำที่กินหมดแล้วไว้ตรงโต๊ะหน้าโซฟาก่อนจะเงยหน้ามามองผมที่ยืนเท้าเอวเท่ๆอยู่ตรงหน้าของมัน



“เรื่องหนังสือน่ะก็ตามที่กูบอกนั่นแหละ เล่มนี้กูไม่ได้ใช้แล้วมึงเอาไปใช้เลยก็ได้ ใช้เสร็จแล้วค่อยเอามาคืนกู”



“อ่า...ก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับพี่ยีนส์”



“อือ ยังไงกูก็เป็นพี่ติวของมึงอยู่แล้วนี่” ผมพึมพำเสียงเบาแต่มันก็คงได้ยินไม่งั้นมันคงไม่มองผมแบบนั้นหรอก



“ตอนแรกผมคิดภาพไม่ออกเลยว่าทำยังไงถึงจะเข้าหาพี่เหมือนตอนนี้ได้ แต่พอได้รู้จักพี่จริงๆแล้ว..พี่ก็ใจดีมากๆเลยนะครับ”



“อะไรของมึงจู่ๆก็มาชมกู” ผมยอมรับว่าสิ่งที่มันพูดทำเอาผมชะงักไปนิดหน่อยแต่ผมก็ทำเก็บอาการไม่แสดงความพอใจในสิ่งที่มันพูดออกมาให้มันได้เห็น เดี๋ยวเด็กมันจะได้ใจ



“จะยิ้มก็ยิ้มเถอะครับไม่เห็นต้องกลั้นยิ้มขนาดนั้นเลย” มันยิ้มล้อพลางฉีกยิ้มให้ผมดูว่าถ้าจะยิ้มก็ต้องยิ้มแบบมัน



“ใครบอกว่ากูจะยิ้มวะ มั่ว!” ผมทำเสียงดังกลบเกลื่อนเมื่อถูกมันจับไต๋ได้ให้เป็นแบบนี้แล้วก็มีทางเดียวเท่านั้นแหละที่จะไม่หลุดยิ้มให้เด็กมันได้ใจ



“ครับๆไม่ยิ้มก็ไม่ยิ้มครับ” เจ้าจอมมันว่าแล้วขำของมันคนเดียว ทำเอามือผมกระตุกหยิบหมอนที่ตั้งอยู่บนโซฟาขว้างใส่มันทันที “โอ๊ะ! พี่ยีนส์ผมเจ็บนะครับขว้างมาได้”



ผมมองมันที่คว้าหมอนที่ผมโยนไปตั้งไว้บนตัก มือของมันก็ลูบหน้าของตัวเองป้อยๆเพื่อบรรเทาความเจ็บ “สมน้ำหน้าเหอะ! พูดมากนัก”



“โธ่คนเรา..เขินแล้วชอบทำร้ายร่างกายคนอื่นแบบนี้นี่เอง”



“เจ้าจอม!!” ผมก้าวไปหามันก่อนจะยกมือเขกหัวมันหนึ่งโป๊ก



“โอ๊ยพี่ยีนส์!อันนี้เจ็บจริงๆแล้ว”



ผมแอบเห็นน้ำตามันเล็ดออกมาที่หางตาก่อนเจ้าจอมมันจะยกมือขึ้นมาเช็ดออกแล้วเงยหน้ามองผมพร้อมทำหน้าบึ้งๆใส่ ไอ้ห่าเอ๊ย! มึงคิดว่าทำแล้วจะน่ารักหรือไงวะไอ้เด็กเวร!



“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็เงียบไปเลยมึง” ผมชี้หน้ามันอย่างคาดโทษ สายตาแน่วแน่มองตรงไปที่มัน บอกให้รู้ว่าถ้ามึงอ้าปากแซวกูอีกนิดมึงโดนมากกว่าเขกหัวแน่



“โอเคๆผมไม่พูดแล้ว” สุดท้ายมันก็ยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ให้ผม



ผมเห็นดังนั้นก็เดินไปนั่งบนโซฟาก่อนไปก็ไม่ลืมผลักหัวไอ้เด็กบ้านี่อีกหนึ่งทีเพราะความหมั่นไส้มันล้วนๆ



“แล้วนี่เสร็จธุระก็กลับห้องมึงไปได้แล้ว” ไม่ได้อยากไล่นะแต่มันก็หมดธุระของมันแล้วจริงๆนี่หว่าจะให้มันมานั่งทำซากอะไรในห้องผมต่อล่ะครับ



“งั้นผมขอตัวเลยแล้วกัน” มันลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อยก่อนว่าต่อ “ตอนเย็นเจอกันครับ”



“อือ”



ผมมองเจ้าจอมมันเดินออกไปจากห้องก่อนที่ตัวผมเองจะเอนตัวลงนอนบนโซฟาแล้วหลับไป



เสียงกริ่งประตูปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมพยุงตัวขึ้นจากโซฟายื่นมือควานหาโทรศัพท์ของตัวเองไปสะเปะสะปะเนื่องจากในห้องไม่มีแสงไฟ เมื่อเจอเข้ากับวัตถุหนึ่งซึ่งคงจะเป็นโทรศัพท์ที่ผมวางเอาไว้ก็หยิบขึ้นมาในระหว่างนั้นเสียงกริ่งหน้าประตูก็ยังคงดังต่อเนื่อง



ผมเปิดหน้าจอขึ้นก่อนจะดูเวลาก็พบว่าหนึ่งทุ่มเข้าแล้ว เป็นเวลาหลายชั่วโมงเลยทีเดียวที่ผมหลับไป ผมเปิดไฟฉายในโทรศัพท์ก่อนจะใช้ส่องเพื่อนำทางพาผมไปเปิดไฟในห้องให้สว่างขึ้น



เมื่อจัดการในห้องเรียบร้อยแล้วก็ต้องปราดมาที่หน้าประตูห้องพร้อมกับส่องดูก่อนว่าใครมันมากดกริ่งหน้าห้องผมเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น



“พี่หลับเหรอ?”



เมื่อเปิดประตูออกไอ้เจ้าจอมมันก็ถามผมขึ้นทันที เป็นมันนั่นเองที่มายืนกดกริ่งหน้าห้องผมเล่น



“อือ เข้ามาก่อนเดี๋ยวขอกูไปล้างหน้าหน่อยแล้วค่อยไปหาอะไรมากินกัน”



เจ้าจอมพยักหน้าแล้วเดินตามผมเข้ามาข้างใน เมื่อมาถึงกลางห้องแล้วผมก็เดินแยกเข้าไปในห้องนอนของตัวเองเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้น



“เจ้าจอม” ผมเดินออกมาจากห้องแล้วร้องเรียกไอ้เจ้าจอมที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่



“เสร็จแล้วเหรอครับ” มันเก็บโทรศัพท์ก่อนจะยืนขึ้นแล้วเดินมาหาผม



“อืม ไปกัน”



ผมกับเจ้าจอมพากันเดินไปหาอะไรกินที่ตลาดเหมือนทุกๆวัน ระหว่างเดินหาอะไรกินเจ้าจอมมันก็คอยถามตลอดว่าผมอยากกินอะไร เอาอันนี้ไหมหรือบางทีก็หยิบอาหารที่เขาวางไว้ให้ชิมมาป้อนใส่ปากผม ตอนแรกผมก็ไม่ยอมหรอกแต่ไอ้เด็กนี่แม่งตื๊อเก่ง สุดท้ายก็เลยต้องอ้าปากยอมให้มันป้อนแต่โดยดี



“พี่เอาอะไรอีกไหม?” มันหันมาถาม



“ไม่แล้วแค่นี้ก็ไม่รู้จะกินหมดไหมเถอะ” ผมชี้ไปที่ถุงที่มันถือเต็มสองมือและยังมีถุงที่ผมถืออีกส่วนหนึ่ง เหมือนซื้อไปเลี้ยงคนทั้งคอนโดอะครับ



“งั้นก็กลับห้องกันเลยเนอะ”



“เออ”



เพียงไม่กี่นาทีผมกับเจ้าจอมก็พากันเดินมาถึงคอนโด วันนี้เป็นคิวที่ต้องใช้ห้องมันกินข้าว ผมบอกให้มันเข้าห้องไปก่อนแล้วผมจะตามเข้าไปทีหลัง เมื่อทำธุระในห้องตัวเองเสร็จผมก็เดินไปเปิดประตูห้องของเจ้าจอมเพราะมันไม่ได้ล็อคเลยเปิดออกได้ง่ายๆ



“ผมเตรียมอาหารเสร็จแล้ว” มันผายมือแล้วเชื้อเชิญให้ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามมัน



ผมกวาดสายตามองอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะก่อนจะเริ่มบ่นใส่เจ้าจอม “ซื้อมาเยอะแยะขนาดนี้จะกินหมดหรือเปล่าวะ”



“ถ้าไม่หมดก็เก็บไว้กินตอนเช้าก็ได้ครับ” มันว่าอย่างไม่คิดอะไร



“กินของค้างคืนใช่ว่าจะดีที่ไหนล่ะ” ถึงปากจะบ่นแต่มือก็ตักอาหารเข้าปากเรื่อยๆ



“เอาน่าพี่ ไม่ได้กินทุกวันสักหน่อย”



“ตามใจมึงแล้วกัน คราวหลังเวลาซื้อก็ดูด้วยไม่ใช่อยากกินอะไรก็หยิบเอาไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้” นับวันผมก็ยิ่งจะบ่นเก่งฉิบหายมากครับ คงจะตั้งแต่ได้มารู้จักไอ้เด็กนี่ล่ะมั้งแม่งทำอะไรก็ไม่ค่อยคิดเท่าไหร่หรอก



“ครับๆผมจะเชื่อฟังพี่ครับ” มันทำหน้าทะเล้นพร้อมค้อมหัวให้ผมก่อนมันจะเงยหน้าแล้วยิ้มขบขันอยู่คนเดียว



“กวนตีน” ยกเท้าตัวเองไปเตะหน้าแข้งมันด้วยความหมั่นไส้ เด็กมันร้องโอดโอยแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่หยุดทำหน้ากวนตีนใส่ผมสักที



“อย่าทำร้ายผมสิครับพี่ยีนส์”



“หุบปากไป”



ถ้าหากทุกคนมองจากภายนอกอาจจะคิดว่าผมกับไอ้เจ้าจอมเลิกตีเลิกกัดกันแล้วนั้นทุกคนคิดผิดมากนะครับ เอาตามจริงคือแม่งยังกัดกันได้ตลอดเวลา กัดกันได้ทุกทีที่เจอกันเลย เหมือนถ้าวันไหนไม่ได้ทะเลาะกันหรือทำร้ายร่างกายกันวันนั้นจะไม่มีความสุขอะ







ผมขับรถมารับอิงค์ที่คอนโดของน้องตามที่ได้นัดกันไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วว่าวันนี้เราจะไปดูหนังด้วยกัน ผมเดินเข้าไปนั่งรอน้องอยู่ใต้ล็อบบี้คอนโดไม่นานอิงค์ก็เดินออกมาจากลิฟต์ด้วยชุดเดรสลูกไม้สีขาวน่ารักทำเอามองเพลินเหมือนกันตอนที่น้องเดินมาหา



“วันนี้แต่งตัวน่ารักจังเลยครับ” อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวไป



“โธ่พี่ยีนส์คะชมกันโต้งๆแบบนี้อิงค์ก็เขินแย่น่ะสิ” น้องตอบรับยิ้มๆแก้มแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยคงเพราะเขินที่โดนผมแซวไปแบบนั้น



“ก็อิงค์น่ารักจริงๆนี่”



“พอเลยค่ะพี่ยีนส์ นี่คงอยากเห็นอิงค์เขินตัวม้วนต่อหน้าใช่ไหมล่ะคะ อิงค์ไม่ทำให้พี่เห็นหรอก”



“โธ่~ น่าเสียดายจริงๆที่อดเห็นอิงค์เขิน”



น้องส่งยิ้มให้ผมก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ไปกันเถอะค่ะพี่ยีนส์ ยืนชมกันอยู่แบบนี้วันนี้คงไม่ได้ดูหนังแล้ว”



“จริงด้วยสินะ”



ผมกับน้องหัวเราะขบขันก่อนจะพากันเดินไปขึ้นรถของผมที่จอดอยู่ใกล้ๆคอนโดของน้องอิงค์



เรามาถึงห้างก็เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าๆ เมื่อเช้าผมเช็ครอบหนังดูแล้วหนังที่เราจะดูจะเข้าโรงประมาณบ่ายสองโมงครึ่งเราเลยไม่ต้องรีบร้อนมากนัก



“น้องอิงค์ทานอะไรมาหรือยังครับ?” ผมหันไปถามน้องที่เดินอยู่ข้างกัน



“ทานแค่มื้อเช้าเองค่ะ มื้อเที่ยงยังไม่ได้ทานเลยค่ะแต่ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”



“งั้นน้องอิงค์จะไปไหนก่อนไหมครับหรือเราจะไปซื้อตั๋วหนังกันเลย”



“อิงค์ขอแวะร้านหนังสือก่อนได้ไหมคะ” น้องถามชี้ไปทางร้านหนังสือที่อยู่ข้างหน้า



“ได้ครับ ยังไงก็ยังมีเวลาเหลือ” ผมไม่ได้รีบร้อนหรือเร่งรัดอะไรน้องเพราะถึงยังไงถ้าเกิดไม่ทันรอบสองโมงครึ่งก็ยังมีรอบสี่โมงห้าสิบให้พวกผมได้ดูอยู่



ผมเดินตามหลังน้องที่กำลังเดินมุ่งหน้าเข้าร้านหนังสือ น้องแยกไปดูหนังสืออีกล็อคหนึ่งส่วนผมก็แยกมาอีกล็อคหนึ่งเพราะอิงค์อยากแยกไปดูหนังสือคนเดียว ผมก็เลยจำใจต้องระเห็จระเหินเดินมาดูหนังสือของตัวเองบ้าง



ผมไล่สายตามองหนังสือกฎหมายที่ตั้งเรียงรายกันเต็มไปหมด ตอนแรกก็กะว่าจะซื้อประมวลเล่มใหม่ด้วยแหละเลยยอมเดินแยกจากน้อง จริงๆผมจะเปลี่ยนเล่มใหม่มาตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้วแต่ก็ดันลืม วันนี้มีโอกาสได้ซื้อก็เลยมองหาเล่มใหญ่ๆหน่อยเพราะเวลาเรียนผมชอบจดใส่ในประมวลมากกว่าในสมุด



การเลือกของผมก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรหรอกครับในเมื่อเนื้อหามาตราข้างในมันก็เหมือนๆกันไปหมดทุกเล่ม ผมยื่นแขนไปหยิบประมวลเล่มใหญ่ที่วางอยู่บนชั้นค่อนข้างสูงลงมา เปิดดูนั่นนี่นิดหน่อยก็ถือไว้กับตัวก่อนจะมองหาหนังสือเล่มอื่นที่อาจจะจำเป็นต่อการเรียนของผม



“อ้าวพี่!”



ผมหันขวับไปมองก็เจอกับไอ้เจ้าจอมที่ยืนโบกมือยิ้มแฉ่งอยู่ตรงโซนหนังสือไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมสักเท่าไหร่ มันเดินเข้ามาหาก่อนสายตาจะไล่ลงไปมองหนังสือที่ผมถืออยู่



“มาซื้อประมวลเหรอครับ?”



“มึงเห็นเป็นหนังสือการ์ตูนหรือไงล่ะ” ผมตอบมันไปกวนๆ



“ก็น่าจะใช่แหละครับผมก็เลยถามพี่ดูเผื่อเป็นหนังสือการ์ตูนขึ้นมาจริงๆ”



ไอ้เด็กนี่แม่ง!



“เออ..กูมาซื้อประมวล”



“นั่นสิครับ”



ผมขมวดคิ้วหงุดหงิดนิดหน่อยที่โดนเด็กมันกวนตีน “เจ้าจอมมึงจะมากวนตีนกูทำไมวะ”



“ล้อเล่นเองพี่ไม่เห็นต้องดุผมเลย”



มันทำหน้าหงอเหมือนจะให้ผมสงสารแต่ฝันไปเถอะไอ้เด็กเวร!



“ล้อเล่นเสร็จแล้วก็ไปไกลๆเลยไป” ผมทำหน้าไม่สบอารมณ์ น้ำเสียงก็แอบเหวี่ยงใส่มันนิดหน่อย



“ไม่เห็นต้องไล่ผมเลยพี่”



ผมมองหน้ามันจึงได้เห็นแววตาที่มันมองผมเลยทำให้รู้สึกผิดขึ้นมาที่พูดกับมันไปแบบนั้น



“ไม่ได้ไล่” ผมพึมพำเสียงเบาแต่เดาว่ามันคงจะได้ยินนั่นแหละ



“ถ้าพี่อยากให้ผมไป ผมไปก็ได้ครับ” มันทำท่าจะเดินไปจริงๆทว่าผมก็ไม่รู้นึกอะไรขึ้นมาถึงได้คว้าแขนมันไว่ไม่ให้มันเดินไปไหน



“ก็บอกว่าไม่ได้ไล่ไงวะ” มันไม่ยอมหันหน้ามา ผมเลยกระตุกแขนมันเป็นเชิงบอกให้หันมาคุยกันดีๆ “เจ้าจอมหันหน้ามาคุยกับกูดีๆ”



“ผมจะไปแล้วพี่ มีอะไรค่อยคุยกันวันหลังก็ได้ครับ”



“เจ้าจอมมึงจะเดินหนีกูทำไม แล้วมึงเป็นอะไรวะกูพูดแค่นี้เอง”



คราวนี้มันหันหน้ามาหาผมจริงๆแต่ใบหน้ามันกลับนิ่งสนิทไม่แสดงอารมณ์ใดๆทำเอาผมชักเริ่มใจคอไม่ดีหรือผมจะพูดกับมันแรงเกินไปวะ



“ถ้าพี่คิดอย่างนั้นก็แล้วแต่ครับ”



“เจ้าจอม!”



“ผมจะไปแล้ว”



“มึงโกรธกูหรอวะ?” ผมไม่รู้ว่าทำไมพอคิดว่าไอ้เด็กนี่มันจะโกรธผมจริงๆแล้วในอกของผมถึงได้วูบโหวงขนาดนี้



“ผมไม่ได้โกรธพี่”



“ไม่โกรธก็คุยกันดีๆดิวะ” ผมรู้ว่าบางทีผมก็อาจจะพูดอะไรออกไปโดยไม่ได้คิดถึงใจมันสักเท่าไหร่ “ขอโทษ...ถ้ามึงไม่พอใจที่กูพูดไม่ดีใส่กูก็ขอโทษ”



มันหันมาหาผมอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ผมไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ยังเกลียดขี้หน้าผมเหมือนอย่างตอนแรกหรือเปล่าแต่ผมคาดหวังมากนะครับว่าการที่เราได้พูดคุยกันมากขึ้นและการได้นั่งกินข้าวด้วยกันในทุกๆวันจะทำให้พี่เกลียดขี้หน้าผมน้อยลง ผมแค่อยากจะสนิทกับพี่ อยากให้พี่พูดดีๆด้วยเหมือนกับคนอื่นๆและถ้าผมไม่ได้หวังมากไปแค่พี่พูดอะไรแล้วรักษาน้ำใจผมหน่อยผมก็ถือว่าโอเคแล้ว”



ผมยืนนิ่งฟังสิ่งที่มันต้องการจะบอก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมยอมรับตรงๆเลยว่าผมไม่เคยพูดดีๆกับมันสักเท่าไหร่ บางทีผมก็พูดอะไรไปไม่คิดและไม่เคยนึกถึงใจคนฟังอย่างมันเลยว่าจะรู้สึกยังไง



“กูไม่ได้ตั้งใจ” ผมเม้มปากมองมันที่มองผมอยู่เช่นกัน “ขอโทษ”



“เฮ้อ...ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะว่าพี่แบบนั้นนะ ผมขอโทษแต่ผมก็คิดแบบนี้จริงๆ” มันยกมือขึ้นแตะแขนผมแล้วตบลงเบาๆ “แต่ผมรู้ว่าผมก็กวนตีนพี่เกินไป เรื่องนี้ผมก็ขอโทษด้วยครับ”



“กูก็ไม่ได้คิดอะไรจริงจังขนาดนั้นสักหน่อย”



ก็อย่างว่าแหละว่าเจ้าจอมมันชอบกวนตีนผมเวลาเจอกันตลอดแต่มันก็อยู่ในขอบเขตของมันไม่เคยล้ำเส้นอะไรผมมากมายเลย ผมไม่ได้ถือสามันเท่าไหร่แต่บางครั้งก็ยอมรับแหละว่าการกวนตีนของมันทำเอาผมหงุดหงิดไม่น้อย



“ทำไมเราต้องมาคุยเรื่องนี้กันในร้านหนังสือด้วยนะครับ” มันว่ายิ้มๆแล้วมองไปรอบร้าน



ผมที่เห็นมันยิ้มก็ใจชื้นขึ้นมา มันคงจะหายโกรธผมแล้วแหละ “เออก็ใครล่ะที่เริ่มพูดก่อน”



“ก็ดีกว่าไม่ได้พูดไม่ใช่เหรอครับ ผมกับพี่จะได้เข้าใจกันมากขึ้นไง”



“เออเข้าใจมาก”



มันหัวเราะก่อนจะว่าต่อ “หลังจากนี้พี่ก็ช่วยพูดเพราะๆให้ผมฟังหน่อยนะครับพี่ยีนส์”



“เด็กเวร…” ผมมองมันที่ตอนนี้กำลังกวาดสายตามองหนังสือบนชั้นอยู่เงียบๆ “กูจะพยายาม...”



“พี่ว่าไงนะ?” เด็กมันหูผึ่งหันมาหาผมแล้วขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม



“ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย” ผมไหวไหล่ทำเป็นสนใจหนังสือในชั้นแทนเด็กที่ยืนอยู่ข้างๆกัน



ผมเห็นมันเงียบไปนานคิดว่าคงไม่ได้สนใจเรื่องที่ผมพูดแล้วแต่ใครจะคิดล่ะว่าไอ้เด็กนี่แม่งหูดีกว่าที่ผมคิดซะอีก



“ขอบคุณที่จะพยายามนะครับ”






ใครจะคิดล่ะครับว่าการที่ได้เจอไอ้เจ้าจอมในร้านหนังสือจะทำให้วันนี้ของผมมีมันตามติดมาตลอดแบบนี้ ไอ้เวรเอ๊ย! ไหนเดทที่คิดไว้ว่าจะสวีทกับน้องอิงค์วะแล้วไอ้ตัวข้างๆนี่มันคืออะไร...



“ดูกันหลายๆคนก็สนุกดีนะ จอมดูเถอะ พระเอกคนนี้จอมชอบไม่ใช่หรอ?” อิงค์ยังคงตื้อไอ้เจ้าจอมที่นั่งอยู่ข้างๆผมให้ดูหนังด้วยกัน



ผมจะไม่อะไรมากมายหรอกถ้าอิงค์ไม่ได้พูดประโยคหลังนั้นออกมา คำพูดที่ยังคงแสดงให้เห็นว่าน้องยังไม่ลืมเรื่องของเจ้าจอมและผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าจอมมันจะเป็นเหมือนกันกับอิงค์หรือเปล่า



“แต่อิงค์มาดูกับพี่ยีนส์นะ” เจ้าจอมมันตอบอิงค์กลับ มือของมันก็ตักอาหารมาใส่ในจานผมไปด้วย



ตอนนี้เรากำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งในห้าง ก็อย่างที่คิดไว้ว่าพวกผมไม่ทันรอบบ่ายสองครึ่งเลยเลื่อนเวลาไปดูตอนสี่โมงห้าสิบแทน



“ใช่..แต่ถ้าดูด้วยกันหลายๆคนก็คงจะดีกว่า”



เจ้าจอมมันหันมามองหน้าผม ผมก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกถ้ามันอยากจะดูด้วยก็โอเค ผมอาจจะมีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้อยากคิดอะไรมาก



“ถ้าพี่ยีนส์อยากให้เราอยู่เราก็จะอยู่แล้วกัน”



ผมหันขวับไปมองมันที่นั่งเคี้ยวข้าวแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว พอเคี้ยวเสร็จก็หันหน้ามาส่งยิ้มให้ผมอีก ไอ้เด็กนี่กวนตีนไม่เลิกเลยจริงๆ



“จะดูก็ดูดิ” ผมตอบมันไป ส่วนอิงค์พอได้ยินแบบนั้นก็ส่งยิ้มมาให้ผมก่อนจะหันกลับไปคุยกับเจ้าจอมมันต่อ



ทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองมาเป็นส่วนเกินของทั้งสองคนเลยวะ...



“พี่ยีนส์ให้ดูแล้ว ทีนี้จอมห้ามปฏิเสธล่ะ”



“อือ ดูก็ได้ครับ”



ผมแอบเหลือบมองน้องอิงค์กับเจ้าจอมที่กำลังคุยกันเป็นเรื่องราวและเหมือนจะรู้เรื่องของกันและกันมากเป็นพิเศษ พอได้มองแบบนี้แล้วก็คิดว่าทั้งสองคนก็ดูเหมาะกันดี ถ้าหากเจ้าจอมกับอิงค์จะรีเทิร์นมาคบกันอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแต่ผมนี่สิคงแปลกไปเองเพราะแค่คิดว่าถ้าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริงๆทีไรในอกก็รู้สึกสั่นไหวแปลกๆยังไงชอบกล ก็อาจจะเพราะผมกับอิงค์คุยกันและผมก็มีความรู้สึกดีๆให้กับน้องล่ะมั้ง พอเห็นน้องไปคบกับคนอื่นก็อาจจะเสียใจเป็นธรรมดาแหละ



“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงของเจ้าจอมทำให้ผมหลุดออกจากความคิดของตัวเอง



“เปล่าหรอก” ผมปฏิเสธไป จะให้บอกมันรู้ได้ยังไงว่าผมกำลังคิดเรื่องมันกับอิงค์อยู่ “แล้วนี่อิงค์ไปไหน?”



ผมถามหาอิงค์ที่ไม่ได้นั่งอยู่ในโต๊ะแล้วพร้อมกับกวาดสายตามองหาน้องไปด้วย



“ไปเข้าห้องน้ำครับ พี่ไม่รู้เหรอ...อิงค์ยังบอกพี่อยู่เลย” เจ้าจอมมันทำหน้าแปลกใจ “พี่ไม่เป็นอะไรแน่นะ?”



“เออ กูแค่เหม่อนิดหน่อยน่า..”



“ถ้ารู้สึกไม่ดีก็บอกผมได้นะครับพี่” มันทำหน้าจริงจัง จ้องมองและสำรวจใบหน้าของผมอย่างละเอียดถี่ถ้วน



“กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก..” ก็แค่คิดเรื่องของมึงนิดหน่อยเท่านั้นเอง



“ดีแล้วครับ กินข้าวต่อเถอะ”



ถ้าหากวันนั้นที่เจ้าจอมกับอิงค์กลับมาคบกันจริงๆผมก็คงหลีกทางให้เจ้าจอมมันนั่นแหละถึงจะรู้สึกว่าตัวเองต้องเสียใจแน่ๆแต่ผมก็คงไม่สามารถทำร้ายความรู้สึกของคนทั้งสองได้หรอก





ตอนต่อๆไปจะเดินเรื่องไวแล้วเน่ออ
#นิติผูกพัน


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะเป็นเรื่องเรา 3 คนกันนานไหมหนอ  :hao4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่15

เจ้าจอม


ผมนั่งมองพี่ยีนส์ที่กำลังเหม่อลอยตั้งแต่ออกจากร้านอาหารจนเรามาทานของหวานที่ร้านใกล้ๆกันพี่ยีนส์ก็ยังคงเหม่ออยู่เป็นระยะ เวลาผมเรียกเขาก็จะสะดุ้งหน่อยๆแล้วทำหน้าเหรอหราใส่ผม อดจะคิดขึ้นมาในใจไม่ได้หรอกว่าท่าทางแบบนั้นน่ามองมากกว่าเวลาเขาทำหน้าดุใส่ผมซะอีก



แต่เอาเข้าจริงแล้วหากพี่ยีนส์เขาเป็นแบบนี้บ่อยๆก็ไม่ดีเหมือนกัน ผมว่าเขาดูแปลกๆไปตั้งแต่ร้านอาหารแล้ว ผมพอเดาได้อยู่หรอกแต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าสิ่งที่ผมคิดคือสิ่งที่พี่ยีนส์กำลังกลุ้มใจ



ผมไม่รู้ว่าทำไมพี่ยีนส์ถึงเกลียดขี้หน้าผมนักตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันแล้ว อย่าเรียกว่าเกลียดขี้หน้าเถอะผมว่ามันรุนแรงไปเอาเป็นว่าตั้งแต่แรกพี่ยีนส์เขาไม่ค่อยถูกชะตากับผมสักเท่าไหร่ เวลาเจอผมทีไรก็ต้องได้ด่าผมตลอด



ผมไม่เข้าใจจนต้องโทรไปเล่าให้พี่ภูมิใจฟัง พี่บอกว่าพี่ยีนส์เขาก็เป็นของเขาแบบนั้นต้องเข้าหาเขาแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ถึงภายนอกพี่ยีนส์ดูจะเป็นคนชอบด่ากราดคนไปทั่วทว่าพี่ภูมิใจก็บอกว่าพี่ยีนส์น่ะใจดีและเป็นคนที่มีน้ำใจมากๆหากได้สนิทกัน



เอาจริงๆผมก็ไม่ได้เชื่อพี่ร้อยเปอร์เซ็นหรอกจนกระทั่งได้ทำความรู้จักกับพี่ยีนส์แบบจริงๆจังๆ เขาน่ะเป็นคนที่ปากแข็งใช้ได้เลยล่ะครับเวลาผมแหย่นิดแหย่หน่อยก็ชอบโวยวายทำร้ายร่างกายผมตลอด ไอ้ผมก็ทนมือทนตีนเขาดีซะด้วยสิ เหมือนเป็นพวกชอบความรุนแรงยังไงชอบกล



“จอมยังชอบทานวัฟเฟิลเหมือนเดิมเลยนะ”



อิงค์เอ่ยทักหลังจากที่เราส่งเมนูให้พนักงานเรียบร้อยแล้ว ผมไม่รู้ว่าอิงค์มีจุดประสงค์หรือต้องการอะไร ทำไมถึงต้องชวนผมมาดูหนังด้วยกันแบบนี้ อีกเรื่องคือการพูดคุยของอิงค์เหมือนอิงค์พยายามพูดว่าเธอยังจำทุกๆสิ่งเกี่ยวกับผมได้เสมอตั้งแต่เราเลิกรากันมานาน ผมว่ามันไค่อยดีเท่าไหร่แต่ผมจะทำอะไรได้นอกจากทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เธอต้องการสื่อออกมา



“อื้ม” ผมรับคำหันไปหาพี่ยีนส์ที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดบ้าง



“พี่ไม่สั่งอะไรกินเหรอ?” ผมชวนเขาคุย



เขาหันมาก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ชอบ กินแล้วแสบคอ”



“งั้นพี่ลองกินวัฟเฟิลกับผมไหม รับรองอร่อยไม่แสบคอด้วยนะครับ”



“มึงก็พูดแบบนี้ตลอด คราวก่อนก็หลอกให้กูกินเค้กเลี่ยนๆไปทีหนึ่งแล้ว” เขาบ่นพร้อมกับยกมือขึ้นมาเขกหัวผม ถึงไม่แรงแต่ก็รู้สึกจี๊ดๆนิดหน่อย



“โธ่พี่~ ก็ตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆนี่ว่าพี่ไม่ชอบกินเค้ก” อันนี้ผมพูดจริงๆนะครับไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งให้พี่ยีนส์กินเค้กก้อนเล็กๆนั่นเลย ผมชิมแล้วเห็นว่าอร่อยดีก็อยากให้พี่ยีนส์กินบ้าง ใครจะไปนึกล่ะครับว่าพี่เขาไม่ชอบกินอะไรเลี่ยนๆ



“ก็หัดรู้ไว้ซะบ้าง” เขาพึมพำให้ได้ยินกันสองคน



ผมยิ้มก่อนจะตอบรับให้เขาได้ยินคนเดียว “ครับ”



เมื่อของหวานถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ อย่างแรกที่ผมทำคือเลื่อนจานวัฟเฟิลของตัวเองไปอยู่ตรงหน้าระหว่างผมกับพี่ยีนส์



“ลองชิมดูครับอร่อยจริงๆนะ” ผมโฆษณาชวนเชื่อ อีกคนมองหน้าผมอย่างไม่ไว้ใจแต่เขาก็ยอมหยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักของหวานเข้าปากพอดีคำ “เป็นไงครับ?”



เขายังคงละเลียดชิมรสชาติของวัฟเฟิลกระทั่งเคี้ยวเสร็จเขาก็พยักหน้าสายตาก็มองของหวานไปด้วย



“ก็ดี” คำตอบของเขามีแค่นั้นแต่มือของเขากลับตักวัฟเฟิลและไอศรีมที่มาด้วยกันเข้าปากไปอีกคำ



“ก็ดีของพี่คืออร่อยมากๆสินะครับ” ผมเอ่ยแซวเลยได้รับสายตาดุๆจากเขาเข้าให้



“ยุ่งจริงเลยว่ะ” เขาว่าก่อนจะยัดช้อนที่มีไอศกรีมคำโตใส่ปากผม “แดกๆไปจะได้เงียบ”



ผมพูดอู้อี้อยู่ในลำคอเพราะไอศกรีมเต็มปาก ดีนะที่สุขภาพฟันผมดีพอที่ไอศกรีมไม่สามารถทำให้ผมเสียวฟันได้แต่ก็เย็นจี๊ดๆที่สมองเหมือนกัน



“พี่ยีนส์กับจอมดูสนิทกันมากเลยนะคะ” อิงค์เอ่ยแทรกขึ้นมาขณะที่ผมกำลังจะพูดกับพี่ยีนส์



ผมทำท่าจะตอบแต่ไม่ทันใครอีกคนที่นั่งข้างๆกันเป็นคนโพล่งคำตอบขึ้นมา ทำเอาผมอึ้งไม่น้อยจริงๆที่ได้ยินคำตอบแบบนั้นจากเขา



“ก็สนิทกันแหละครับ”



ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกยังไงดีตอนที่ได้ยินเขาตอบแบบนั้น เอาเป็นว่าเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆมากจนผมอยากสั่งวัฟเฟิลมาให้พี่ทานอีกจานหนึ่งเลยล่ะ



“ครับ สนิทกัน” ผมย้ำคำตอบให้อิงค์เข้าใจอีกครั้งก่อนจะหันไปยิ้มให้พี่ยีนส์ที่ทำเป็นนั่งไม่รู้ไม่ชี้เอาแต่ตักวัฟเฟิลเข้าปากตัวเอง



“ดีจังเลยค่ะ เห็นจอมเฟรนลี่ขนาดนั้นแต่ก็ใช่ว่าจะสนิทกับคนอื่นง่ายซะที่ไหน”เธอว่าต่อ ผมแอบขมวดคิ้วน้อยๆที่อิงค์พูดแบบนั้น



ผมเข้าใจนะถ้าแฟนเก่าของเราจะรู้จักว่าเราเป็นคนยังไงแต่ก็ไม่ควรจะเอามาเล่าให้คนที่ตัวเองกำลังคุยฟังหรือเปล่า ถ้าพี่ยีนส์รู้สึกไม่ดีขึ้นมาจะทำยังไง



“จริงหรอ?” พี่ยีนส์หันมาถามผมเหมือนเขาไม่เชื่อว่าสิ่งที่อิงค์พูดเป็นเรื่องจริง



“ก็ประมาณนั้นแหละพี่” ผมลอบสังเกตสีหน้าและปฏิกิริยาของพี่ยีนส์ก็ต้องถอนหายใจ เห็นไหมพี่ทำหน้าหงอยอีกแล้วทำเอาผมพลอยรู้สึกไม่ดีไปด้วยเลย



เขาพยักหน้าแล้วก็เงียบไปอีก ผมว่าวันนี้ผมไม่ควรอยู่ตรงนี้แล้วแหละ ผมไม่อยากให้พี่ยีนส์รู้สึกไม่ดีไปมากกว่านี้ ผมรู้สึกว่าพอเห็นพี่ยีนส์ไม่มีความสุขผมก็พลอยไม่มีความสุขเหมือนพี่ไปด้วย ผมแค่อยากเห็นเขายิ้มไม่ก็บ่นหรือดุผมก็ได้ไม่ใช่เงียบแบบนี้ รู้สึกในอกมันวูบโหวงยังไงชอบกล



ผมนิ่งคิดสักพักก่อนจะตัดสินใจได้ว่าตนเองไม่ควรจะนั่งอยู่ตรงนี้แล้วจริงๆจึงเอ่ยปากออกไป “วันนี้เราคงไม่สะดวกดูหนังด้วยแล้วล่ะ”



“ทำไมล่ะจอม” เป็นอิงค์ที่ถามออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อฟังผมพูดจบ



“พอดีเรานัดเพื่อนไว้น่ะ ขอโทษทีนะ” ผมแอบเหลือบมองพี่ยีนส์ก็เห็นเขากำลังมองหน้าผมอยู่เช่นกัน



“เสียดายจังแต่ไม่เป็นไรหรอกงั้นวันหลังมาดูด้วยกันนะ”



“อ่า..คงต้องดูก่อนนะว่าว่างไหม”



จริงๆผมว่างแหละไม่ใช่คนมีธุระเยอะแยะมากมายขนาดนั้นแต่ที่ต้องพูดแบบนั้นออกไปเพราะผมว่ามันไม่เหมาะเท่าไหร่ที่ผมกับอิงค์จะมาดูหนังด้วยกันและถ้ายิ่งมาดูด้วยกันสามคนแบบนี้มันก็แปลกๆใช่ไหมละ เอาเป็นว่าคำตอบนี้เป็นคำตอบที่ดีสำหรับทุกฝ่ายแล้ว



“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก” เธอว่าพลางฉีกยิ้มให้ผมแต่ดวงตาหงอยๆที่จ้องมองผมอยู่นั้นผมจะมองข้ามไปก็แล้วกัน



ผมหันกลับไปมองพี่ยีนส์ที่นั่งเงียบอยู่คนเดียวบ้าง “พี่ยีนส์ครับ”



“อืม”



“ผมไปแล้วนะ” เขาเงยหน้าขึ้นมามองผม “ไว้เจอกันที่ห้องนะครับ”



“เจอกัน” เขาว่าแล้วยกยิ้มน้อยๆให้ผม



ผมที่เห็นแบบนั้นก็ไปไม่เป็นเลย ใช่ว่าพี่ยีนส์จะยิ้มให้ผมบ่อยที่ไหน ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยิ้มแบบนั้นให้แต่มันก็ดีมากเลยที่ผมได้รับรอยยิ้มของเขามา ถึงจะไม่ใช่รอยยิ้มกว้างเหมือนที่อิงค์ยิ้มให้แต่แค่เป็นพี่ยีนส์ผมก็รู้สึกว่ามันดีมากๆและดีที่สุดแล้ว






ผมไม่ได้ไปหาเพื่อนตามที่ได้บอกอิงค์ไว้ในตอนแรก ตามเหตุผลจริงๆแล้วผมไม่ได้นัดเพื่อนที่ไหนไว้หรอกแค่อยากปลีกตัวเองออกมาจากอิงค์เท่านั้น ผมตรงดิ่งกลับคอนโดของตัวเองทันทีเพราะตอนนี้อยากคุยกับพี่ชายของผมจะแย่ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ที่จะพูดกับพี่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมมากน้อยแค่ไหนแต่ถ้าหากไม่ได้พูดไปผมก็คงจะอึดอัดไม่น้อยเลย



“พี่ภูมิใจ” ผมเรียกชื่อพี่ตอนที่พี่รับสายผมแล้ว



(ว่าไง)



เสียงปลายสายเหมือนคนที่ยังไม่ตื่นดี ก็แหงล่ะวันนี้เป็นวันหยุดพี่ภูมิใจนี่นะ



“ผมมีเรื่องจะปรึกษา” ผมลูบมือไปมาบนโซฟาเพื่อลดอาการประหม่าของตนเองที่จู่ๆก็เกิดขึ้น



(แปบนึงนะ)



“อื้อ” ผมตอบรับได้ยินเสียงกุกกักจากปลายสาย สักพักพี่ก็เอ่ยขึ้นมา



(จะปรึกษาเรื่องอะไรล่ะ)



“คือผม...” อดไม่ได้หรอกนะที่จะตื่นเต้น ตื่นเต้นจนพูดไม่ออกแล้ว “ผมว่าผม...รู้สึกดีกับพี่ยีนส์มากๆเลย”



(ยีนส์เป็นคนดี..พี่ก็รู้สึกแบบนั้น)



พี่คงจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดเท่าไหร่สินะ เอาล่ะผมคงต้องอธิบายให้พี่ฟังแล้ว



“ผมหมายถึงว่าผมรู้สึกดีเวลาพี่ยีนส์ยิ้มให้ เวลาพี่ยีนส์มีความสุขเพราะผมซื้อของชอบไปให้เขา ไม่ก็เวลาที่เขาบ่นผมเรื่องที่ผมทำตัวไม่ค่อยดี ผมรู้สึกดีมากทุกครั้งเวลาที่ได้อยู่กับพี่ยีนส์”



ผมอธิบายให้พี่ฟังตามที่ผมรู้สึกจริงๆ มันเป็นเพราะรอยยิ้มก่อนที่ผมจะขอตัวกลับเพราะรอยยิ้มนั้นของเขาทำเอาผมรู้สึกดีมากๆจนต้องเอาเรื่องนี้มาพูดกับพี่ให้ได้



(จอม...) พี่เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนว่าต่อ (ไม่ใช่ว่ามึงชอบยีนส์หรอกนะ)



ผมทำหน้างุนงง “ผม..ชอบพี่ยีนส์? พี่จะบ้าหรอ!” ผมเหวเสียงดังเพราะสิ่งที่พี่พูด “ผมแค่รู้สึกดีกับเขา”



(ไอ้คำว่ารู้สึกดีกับไอ้คำว่าชอบมันต่างกันเหรอ)



“ผมไม่รู้...”



(กูว่ามึงกำลังสับสนความรู้สึกตัวเองอยู่นะ)



“อาจจะใช่..แต่พี่ครับผมจะไปชอบพี่ยีนส์ได้ยังไงในเมื่อเราเป็นผู้ชายกันทั้งคู่”



(จอม...ฟังพี่นะ)



“ครับ”



(การที่เราจะมีความรู้สึกชอบหรือรักใครเรื่องเพศมันไม่ใช่ตัวกำหนดนะ เอาจริงๆแค่รู้สึกว่าชอบไปแล้วเรื่องเพศก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก มันเป็นความรู้สึกของเราต่างหากแค่รู้สึกว่าชอบมันก็คือชอบนั่นแหละ ทำไมต้องไปมีเหตุผลให้มันด้วยว่าชอบเขาที่ตรงไหน ชอบเขาเพราะอะไร ชอบเพราะเขาเป็นผู้ชายหรือชอบเพราะเขาเป็นผู้หญิง เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกนะสำหรับพี่แล้วพี่คิดว่าก็แค่ชอบน่ะไม่เห็นต้องหาเหตุผลอะไรเลย)



ผมนิ่งฟังพี่พลางคิดตามไปด้วย ชีวิตนี้ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะชอบผู้ชาย ผมก็เป็นคนธรรมดาๆที่คิดเสมอว่าผู้หญิงกับผู้ชายคือสิ่งที่เกิดมาคู่กัน มันเป็นความคิดที่ดูหัวโบราณมากซึ่งจริงๆแล้วพี่ก็เคยพูดเรื่องนี้กับผมเมื่อนานมามากแล้วว่าโลกนี้ไม่ได้กำหนดอะไรมาให้คู่กันหรอกแต่คนก็มักจะคิดกันไปเองว่าสิ่งนี้ต้องคู่กับสิ่งนี้มากกว่าต่างหาก



“แต่พี่ภูมิ...ถ้าผมชอบพี่ยีนส์ขึ้นมาจริงๆล่ะ” ผมถามพี่เสียงแผ่ว



(ชอบก็ไปบอกเขาสิจะมาบอกพี่ทำไม)



“แล้วพ่อแม่จะว่าอะไรผมไหม” ผมเคยได้ยินมาว่าความรักของเพศเดียวกันยังเป็นสิ่งที่หลายๆคนไม่ยอมรับ ผมเลยกลัวว่าถ้าเกิดผมชอบพี่ยีนส์ขึ้นมาจริงๆแล้วครอบครัวผมเขาจะรับได้ไหม



(มีพี่อยู่ทั้งคนน่า ถ้าชอบมันก็ทำให้เต็มที่ก็พอ)



“ผมไม่รู้ว่าผมชอบพี่ยีนส์หรือเปล่านี่สิ”



(ที่มึงพูดๆมาเมื่อกี้ก็ชัดเจนอยู่นะจอม)



“ยังไงพี่”



(มึงบอกว่ามึงมีความสุขเวลาอยู่กับยีนส์ ชอบเวลาเห็นมันยิ้มให้มึงหรือรู้สึกดีมากๆเวลาที่มึงทำอะไรให้แล้วเห็นยีนส์มันมีความสุขเพราะมึง แล้วไหนที่มึงจะบอกอีกว่าชอบที่จะอยู่กับมันแค่นี้ก็บอกได้แล้วว่ามึงชอบมันแค่ไหน)



“แต่พี่ยีนส์เขามีคนคุยแล้วนะพี่” นึกถึงสองคนนั้นที่คงกำลังนั่งดูหนังด้วยกันก็รู้สึกสั่นไหวในอกแปลกๆหรือผมจะชอบพี่ยีนส์ตามที่พี่ภูมิใจบอกจริงๆวะ



(ก็แค่คนคุยปะวะจอม อย่ามาบอกกูว่ามึงไม่เคยมีคนคุยอย่างต่ำก็สองสามคน)



“คนคุยพี่ยีนส์เขา...เขาเป็นแฟนเก่าผมนะพี่” ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้วผมเลยตัดสินใจบอกพี่ไป



(คนไหนวะ แฟนเก่ามึงเยอะจนกูจำชื่อไม่ได้แล้ว)



แฟนเก่าผมก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นนะแต่พี่แม่งพูดเวอร์อะ



“อิงค์ครับ คนล่าสุดเลย”



พี่เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมา (อ้อ น้องอิงค์..โลกกลมดีแฮะ)



“อีกอย่างนะ ผมคิดว่าถ้าผมชอบพี่ยีนส์จริงๆผมก็คงไม่มีโอกาสหรอกในเมื่อดูท่าแล้วพี่ยีนส์เขาก็ดูไม่ได้ชอบผมด้วยซ้ำ” คิดๆดูแล้วถ้าชอบขึ้นมาจริงๆผมก็คงแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยมั้งในเมื่ออิงค์เขาทำคะแนนเตะโด่งไปขนาดนั้นแล้วด้วย



(ไม่ชอบก็ทำให้ชอบสิ)



“พูดเหมือนง่าย”



(มันมีอะไรที่เราต้องการแล้วได้มาง่ายด้วยหรือไง)



“โธ่พี่ เรื่องนี้ผมว่าโคตรยากเลยนะ ให้ผมจีบพี่ยีนส์เนี่ยนะ ตายสิบชาติก็ไม่รู้จะจีบติดหรือเปล่า” แค่คิดภาพตอนพี่ยีนส์ด่ากราดใส่ผมก็ทำเอาความหวังของผมหายไปหมดแล้ว



(ยังไม่ทันเริ่มก็ยอมแพ้แล้วเหรอเจ้าจอม)



“ไม่ได้ยอมแพ้แต่ผมคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก”



(ก็ลองดูก่อนสิวะผลจะเป็นยังไงสุดท้ายมึงก็ได้พยายามแล้ว)



“ยุจังเลยว่ะพี่ภูมิ นี่สรุปแล้วพี่อยากให้พี่ยีนส์มาเป็นแฟนผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ”



(กูเห็นว่ามึงชอบไงหรือถ้ามึงไม่มั่นใจที่จะจีบยีนส์มันก็ปล่อยๆไปเดี๋ยวก็เลิกรู้สึกไปเองแหละ)



“เอ้าพี่! เมื่อกี้ยังยุให้ผมจีบพี่ยีนส์อยู่เลยนะ”



(มึงแม่งป๊อดอยู่นั่นล่ะถ้าไม่กล้าก็อยู่เงียบๆไป)



“ไม่ไม่ได้ป๊อด...แค่คิดว่าพี่ยีนส์คงไม่ชอบผม”



(เออนั่นแหละที่เรียกป๊อด)



“พี่ภูมิ!” ผมเริ่มหงุดหงิดพี่ชายตัวเอง ผมไม่ได้ป๊อดอย่างที่พี่มันว่าจริงๆผมแค่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลยต่างหาก



(เรียกกูทำไม)



“แล้วพี่ว่าผมป๊อดทำไม”



(ก็มึงเป็นแบบนั้นจริงๆนี่)



เป็นธรรมดาแหละครับที่พี่น้องจะเถียงกันด้วยเรื่องแบบนี้ซึ่งไม่ค่อยมีสาระสักเท่าไหร่แต่ทำเอาตีกันบ้านแตกมาหลายรอบแล้ว



“เออได้ พี่คอยดูก็แล้วกัน ผมจะจีบพี่ยีนส์ให้ดู” ผมจะทำให้พี่ภูมิใจมันเห็นว่าผมไม่ได้ป๊อดอย่างที่พี่มันว่า คนอย่างเจ้าจอมถ้าชอบก็เดินหน้าจีบอย่างเดียวแม้ในใจจะแอบกลัวหน่อยๆแต่ผมจะทำให้ดูว่าผมได้ใช้ความพยายามทั้งหมดในการจีบพี่ยีนส์แล้ว ถ้าภายหลังพี่ยีนส์จะไม่ชอบผมจริงๆก็คงเสียใจแหละแต่พี่ภูมิใจมันก็จะมากล่าวหาผมว่าป๊อดไม่ได้อีกเช่นกัน



(หึ!...ดีมากไอ้เสือ)



ผมพูดคุยกับพี่อีกนิดหน่อยก่อนจะวางสาย ล้มตัวลงนอนครุ่นคิดอยู่บนโซฟาอย่างคนคิดไม่ตก อย่างแรกผมต้องจัดการความรู้สึกของตัวเองก่อนว่าจริงๆแล้วผมชอบพี่ยีนส์อย่างที่พี่ภูมิใจมันบอกหรือเปล่า หากผมชอบพี่ยีนส์ขึ้นมาจริงๆผมจะได้วางแผนจีบพี่ยีนส์ถูก



มันไม่ใช่เรื่องเวอร์เลยนะครับที่ก่อนจีบจะต้องมีแผน ยิ่งจะจีบพี่ยีนส์ด้วยแล้วแผนของผมก็ต้องดีและรอบคอบใช้ได้เลย ขืนเกิดผมวู่วามและทำอะไรประเจิดประเจ้อเกินไปพี่ยีนส์ได้กระทืบผมแน่ๆ






ผมใช้เวลาหลายวันไปกับการคิดทบทวนความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่ยีนส์ หลายๆวันที่ผ่านมาผมมักจะมองการกระทำของพี่ยีนส์อยู่เงียบๆ บางครั้งผมก็มองเขานานไปจนกระทั่งพี่ยีนส์รู้ตัว พี่ยีนส์ก็จะด่าผมและบอกให้ผมเลิกมองเขาสักที



ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะแอบเซ็งๆหรือเฟลนิดหน่อยที่โดนเขาด่าแต่พอมาเป็นตอนนี้ ตอนที่ความรู้สึกของผมเริ่มเปลี่ยนผมก็คิดว่าเวลาพี่ยีนส์ด่าผมก็ดูเพลินตาดี ยิ่งเสียงของเขามันทุ้มๆด้วยแล้วก็ทำให้คนโดนด่าอย่างผมเคลิ้มไปอีก



อ่า...ผมว่าผมคงเป็นหนักมากแล้วจริงๆ



“หลายวันมานี้มึงเป็นอะไรทำไมชอบมองหน้ากู”



ในขณะที่ผมเริ่มคิดเป็นตุเป็นตะเสียงของพี่ยีนส์ก็ทำให้ผมหลุดออกจากความคิดนั้นแต่ผมไม่รู้หรอกว่าเมื่อกี้เขาพูดกับผมว่าอะไรจึงต้องถามย้ำเขาไปอีกที



“พี่ว่าอะไรนะครับ?”



เขาถอนหายใจทำหน้าหน่ายใส่ผม “กูถามว่ามึงเป็นอะไรทำไมหลายวันมานี้ชอบมองหน้ากูแถมยังชอบเหม่ออีก คิดอะไรอยู่?”



เกิดผมบอกสิ่งที่ผมคิดไปพี่ยีนส์คงเอาผัดผักบุ้งราดหัวผมแน่ๆ



“ก็คิดนิดหน่อยครับ”



“เรื่องอะไรวะ ต้องคิดตลอดเวลาขนาดนั้นเลย?” เขาเลิกคิ้วถามทำหน้าสงสัย



ผมสูดหายใจก่อนตอบ “ผมว่า...ผมชอบคนๆหนึ่งเข้าน่ะครับ” ผมลอบสังเกตอาการของเขาแต่ก็ไม่พบปฏิกิริยาผิดแปลกอะไรเลยแอบผิดหวังนิดๆ



“ใครล่ะ?” เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจเพราะตอนนี้เหมือนความสนใจของเขาไปอยู่ที่แกงเขียวหวานไก่ซะมากกว่าเรื่องของคนที่ผมชอบซะอีก



“บอกไปพี่คงหัวใจวาย”



“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” เขาเงยหน้าขมวดคิ้วใส่กับคำตอบของผม



“อาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำครับ” ถ้าพี่ยีนส์รู้ว่าจริงๆแล้วคนที่ผมชอบเป็นใครผมคงไม่ได้โดนแค่ผัดผักบุ้งราดหัวแล้วแต่แกงเขียวหวานไก่ก็จะโปะอยู่บนหัวของผมเช่นกัน



“ชอบก็จีบสิวะจะคิดอะไรเยอะแยะ”



ผมยิ้ม มองหน้าเขา “ผมก็ว่างั้นแหละครับ”



“กูอิ่มแล้วเดี๋ยวไปเอาของหวานมาใส่จานให้แล้วกัน” เขาลุกขึ้นยืน ไม่รู้ผมนึกอะไรขึ้นได้จึงเอื้อมมือไปจับแขนของเขาไว้ พี่ยีนส์หันหน้ามาเลิกคิ้วมองผมก่อนเขาจะก้มลงมองแขนของตัวเองที่มีมือของผมจับไว้อยู่



“ขอบคุณครับ”



“อืม” เขาตอบรับแม้จะดูงงๆกับคำขอบคุณของผมอยู่ก็ตาม



ผมมองตามแผ่นหลังของเขาที่เดินหายเข้าไปในครัวก่อนจะระบายยิ้มกับตัวเอง ในเมื่อความรู้สึกของผมมันเลยเถิดจากความรู้สึกดีที่มีให้เขากลายเป็นความรู้สึกชอบซึ่งอนาคตผมก็ไม่รู้ว่าจะพัฒนาไปมากกว่านี้หรือเปล่า อย่างที่พี่ภูมิใจว่าถ้าชอบก็แค่จีบ แค่ได้ลองพยายามผลจะเป็นยังไงก็คงต้องยอมรับมัน



ใครบอกว่าความรักไม่ต้องใช้ความพยายามถ้าเกิดอยากได้ความรักตอบกลับมาก็ต้องพยายามกันทั้งนั้นแหละครับ






ไปเล่นแท็กกันได้น้า แท็กเหงามาก แหะๆ
ทุกคอมเม้นท์และฟีดแบ็คต่างๆก็สามารถทำให้เราเขียนเสร็จเร็วและลงเร็วขึ้นน้าาา อิอิ ช่วยคอมเมนท์กันเยอะๆเน่ออออ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่าาา // ไหว้ย่ออ
#นิติผูกพัน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เจ้าจอม- 21/01/2562 UP!!
«ตอบ #48 เมื่อ21-01-2019 19:21:58 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ก็เดินหน้าลุยไปจิ  ไอ่ลูกแมว  อิอิ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เจ้าจอม- 21/01/2562 UP!!
«ตอบ #49 เมื่อ22-01-2019 00:22:05 »

ยัยอิงค์นั้นก็ทำตัวไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ต้องทำพี่ยีนส์เสียใจแน่ๆ ดังนั้นน้องจอมเดินหน้าจีบพี่ยีนส์เลยจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เจ้าจอม- 21/01/2562 UP!!
« ตอบ #49 เมื่อ: 22-01-2019 00:22:05 »





ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เจ้าจอม- 21/01/2562 UP!!
«ตอบ #50 เมื่อ22-01-2019 01:26:22 »

ทำไงดีล่ะจอม แย่งมาดีไหม  o18

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
Re: ღ นิติผูกพัน ღ -เจ้าจอม- 21/01/2562 UP!!
«ตอบ #51 เมื่อ22-01-2019 17:46:29 »


ตอนที่16

สนิทกัน


แกงเขียวหวานไก่และผัดไก่ใส่ขิงที่ผมโปรดปรานจะโผล่มาทุกครั้งที่ผมกับไอ้เจ้าจอมกินข้าวด้วยกัน นับตั้งแต่วันนั้นที่ผมได้บอกมันว่าผมชอบกินอะไรจนมาถึงวันนี้ผมก็ได้กินสองอย่างนี้ซ้ำๆจนเมนูที่ผมชอบมากๆอย่างแกงเขียวหวานไก่และไก่ผัดขิงจะเป็นเมนูที่ผมเริ่มไม่ชอบแล้ว



ไม่รู้อะไรดลใจให้มันซื้อสองอย่างนี้มาให้ผมกินทุกวันๆเป็นเวลาติดกัน ถ้านับรวมแล้วก็หนึ่งอาทิตย์กว่าๆที่ผมต้องมานั่งกินแต่อาหารเดิมๆ ดีหน่อยที่สองวันหลังมานี้มันซื้ออย่างอื่นมาบ้างแล้วแต่แม่งแกงเขียวหวานไก่กับไก่ผัดขิงก็ยังต้องมีให้ผมกินอยู่เสมอ



“ถามจริงนะ...อะไรดลใจให้มึงซื้อแกงเขียวหวานไก่กับไก่ผัดขิงติดต่อกันหลายวันขนาดนี้หรือว่ามึงชอบกินเหมือนกูแล้ว?” เป็นคำถามที่ค้างคาใจมานานพอสมควรและผมจะไม่ทนกินเมนูเดิมๆอย่างสองอย่างนี้อีกต่อไป ถึงแม้มันจะเป็นอาหารที่ผมโปรดปรานมากแค่ไหนก็ตามแต่อย่าลืมสิครับว่าถ้ากินทุกวันแบบนี้ก็ต้องเบื่อบ้างนั่นแหละ



“ก็พี่ชอบ” มันว่าง่ายๆแถมยังตักขิงกับไก่ใส่จานให้ผมอีก



“กูชอบก็ไม่ได้หมายว่าต้องกินทุกวันแบบนี้หรือเปล่าล่ะ?”



มันวางช้อนลงมองผมที่ทำหน้าระอาใส่มัน มันยิ้มแห้งก่อนจะเกาหัวตัวเองแกรกๆอย่างคนที่ไม่รู้จะทำยังไงหรือพูดอะไรดี



“พี่ไม่ชอบแล้วเหรอ?” มันถามเสียงเบาเหมือนไม่มั่นใจ



“ไอ้ชอบมันก็ชอบแต่ถ้าให้กูกินบ่อยขนาดนี้มันก็ต้องมีเบื่อกันบ้างแหละ”



ทุกครั้งที่ต้องลงไปซื้ออาหารที่ตลาดด้วยกัน ผมจะให้เจ้าจอมมันเป็นคนเลือกอาหารคาว ส่วนตัวผมเองก็จะไปเลือกพวกของหวานไม่ก็ผลไม้แบ่งๆหน้าที่กันไปจะได้ไม่ต้องเกี่ยงกันซื้อนาน แล้วสุดท้ายใครจะคิดว่าไอ้เด็กนี่มันจะซื้อเมนูซ้ำๆจนผมต้องกินทุกวันขนาดนี้



“ขอโทษพี่เห็นพี่กินแล้วมีความสุขก็เลยซื้อมาให้กินทุกวัน”



ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจความหมายที่มันจะสื่อ คือถ้ากูหิวแล้วได้กินอะไรก็มีความสุขทั้งนั้นแหละครับแต่กับของที่ชอบก็อาจจะมีความสุขมากกว่าเท่านั้นเอง



“ขอบใจมึงมากที่หวังดีแต่กูขอเถอะวันหลังเปลี่ยนเมนูให้กูบ้าง” ผมแทบจะยกมือไหว้มันแล้วนะถ้ามันยังยืนกรานที่จะซื้อไอ้สองอย่างนี้มาแต่ดีที่ว่าเด็กนี่มันยังเชื่อฟังผมอยู่



“โอเคครับ วันหลังผมจะซื้ออย่างอื่นมาบ้าง” มันพยักหน้าหงึกหงัก “แต่วันนี้พี่ก็ทนๆทานไปก่อนนะครับ”



“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น” ผมไหวไหล่ไม่ถึงกับขนาดต้องอดทนกินอะไรขนาดนั้นอะแค่รู้สึกเบื่อๆนิดหน่อยแต่ยังไงของที่ชอบก็คือของที่ชอบอยู่วันยังค่ำจะให้ไม่ชอบเพราะกินติดต่อกันมาหลายวันก็ไม่ใช่วิสัยของผมนอกจากแค่รู้สึกเอือนๆนิดหน่อย“แล้วนี่กินข้าวเสร็จยังอยากให้กูติวอะไรให้อีกไหม?”



ช่วงนี้เป็นช่วงที่อาจารย์สั่งงานให้เด็กปีหนึ่งเพื่อฝึกทำข้อสอบเขียน-ตอบกฎหมายกันบ้างแล้วเพื่อที่เวลาสอบจะได้ไม่ต้องไปกังวลอะไรมากมายเนื่องจากการเขียนตอบนั้นอาจารย์บางท่านก็บอกว่าเขียนยังไงก็ได้ให้อาจารย์เข้าใจไม่ต้องยืดยาวหรือลอกโจทย์มาใส่อีกทีแบบนั้นมันเสียเวลาเพราะแต่ละข้อกว่าจะทำเสร็จก็ใช้เวลนานเกือบๆชั่วโมงไม่ก็ข้อละชั่วโมงเลย



นึกไปถึงช่วงแรกๆที่ผมสอบก็มีทั้งความตื่นเต้นและความลนลาน กังวลไปต่างๆนาๆว่าจะเขียนได้หรือเปล่าแต่พอเกรดออกมาก็โอเคนะแต่ตอนสอบแม่งเหงื่อตกแล้วตกอีก อีกอย่างที่สำคัญเลยคือต้องเตรียมปากกาไปหลายๆด้ามหน่อยเผื่อหมึกหมด เอาจริงๆถึงแม้จะบอกว่าไม่ต้องเขียนเยอะหรือยืดยาวแต่เวลาไปสอบจริงๆก็เขียนกันไม่ต่ำกว่าหนึ่งหน้าเต็มๆนั่นแหละ



อาจารย์บางท่านจะเน้นการเขียนไม่เหมือนกัน จากที่ผมเคยเจอมาอาจารย์บางท่านก็จะเน้นในเรื่องการจับประเด็นการวินิจฉัยและธงคำตอบว่าตรงประเด็นกับสิ่งที่ถามมากน้อยแค่ไหนและกับบางท่านก็จะเน้นในเรื่องการวางหลักด้วยซึ่งการที่ต้องจำมาตรานั้นก็ไม่จำเป็นต้องจำเป๊ะๆก็ได้แต่ยังให้เข้าหลักของมาตรานั้นอยู่และอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรเขียนเลยหากจำมาตราได้ไม่เป๊ะคือคำว่า ‘บัญญัติว่า’ ให้ใช้คำว่า ‘วางหลักว่า’ จะได้ไม่เสี่ยงในการโดนหักคะแนน



“อีกสักหน่อยได้ไหมครับ ถ้าเกิดพี่ง่วงก็นอนห้องผมได้เลยไหนๆพี่ก็อาบน้ำมาแล้ว” มันเสนอมาอย่างนั้น



ผมรับฟังแล้วพยักหน้าตกลง ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อยที่ผมมานอนห้องมันแต่ก็ไม่ได้มานอนบ่อยๆหรอกจะมานอนช่วงหลังๆที่อาจารย์เริ่มให้งานมันยากๆแล้วมันก็เอามาถามหรือให้ผมติวให้นั่นแหละ กว่าจะสอนกันเสร็จก็ดึกดื่นผมก็ขี้เกียจกลับห้องเลยอาศัยห้องมันหลับนอนเอา ดูความขี้เกียจของผมนะครับแค่ห้องอยู่ข้างๆยังขี้เกียจเดินกลับเลย



“มึงก็ไปอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนแล้วกันก่อนจะเริ่มติว เวลาง่วงจะได้นอนเลย”



เจ้าจอมมันเป็นคนหนึ่งที่ชอบอิดออดเวลาจะอาบน้ำ พอมันเริ่มง่วงมันก็จะไม่อาบด้วยเหตุที่ว่าพอตื่นเช้ามาก็อาบอยู่ดีแต่มันก็ไม่ได้เป็นบ่อยหรอกครับพึ่งมาเป็นช่วงหลังๆที่ต้องติวหนังสือให้มันดึกๆนี่แหละ



“ครับพี่”






เจ้าจอมมันไม่ค่อยนอนดิ้นแต่ก็เหมือนมันจะเป็นเด็กติดหมอนข้างหน่อยๆเพราะหลังจากที่ผมเคยได้นอนข้างๆมันมาหลายคืน ไม่ขาก็แขนจะมาก่ายอยู่บนตัวผมตลอด ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ..แขนมันแม่งพาดอยู่บนเอวผมเต็มๆ



ผมพยายามจะเอาแขนมันออกไปจากตัวผมอยู่หลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จสักที พอเอาออกได้มันก็จะนิ่งสักพักมันก็เอากลับมาพาดใหม่ ผมจนใจจะเอาออกเลยปล่อยไว้แบบนั้น ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรเหมือนจะชินๆแล้วแต่ไม่ได้ชินเพราะมันนะ ชินเพราะไอ้น้องชายที่บ้านมันก็เป็นเหมือนไอ้เจ้าจอมเด๊ะๆเวลานอนกับผม คือชอบเอาแขนเอาขามาก่ายตัวผมไว้



ในขณะที่ผมกำลังจะพลิกตัวหันหลัง ไอ้เจ้าจอมมันก็พลิกตัวเข้ามาหาผมซะก่อนพร้อมกับใบหน้าของมันที่ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นจนขนผมลุกเนื่องจากลมหายใจของมันที่กำลังเป่ารดต้นคอผมอยู่ตอนนี้



อยากจะตะโกนด่าแม่งแต่ก็เกรงใจเพราะมันหลับอยู่เลยได้แต่ขยับตัวยุกยิกให้มันรู้ตัวแต่แทนที่มันจะรู้ตัวก็กลับกระชับแขนที่มันวางไว้บนเอวผมแน่นส่วนใบหน้าของมันก็เลื่อนเข้ามาใกล้ซอกคอผมยิ่งกว่าเดิมจนผมเริ่มทนไม่ไหวต้องเรียกชื่อมันให้รู้ตัว



“เจ้าจอม” ส่งเสียงเรียกพร้อมกับตบลงบนแขนของมันเบาๆ



“อือ..” มันครางอืออาแต่ไม่ยอมลืมตาหรือแม้แต่จะขยับตัวออกไปสักนิด



“มึง..ตื่นก่อน” ผมเริ่มขยับตัวอีกครั้ง



“อืม..” มันงัวเงียยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองเบาๆก่อนจะถามผม “พี่ยีนส์เป็นอะไรครับ?”



ผมไม่ตอบเลือกที่จะยกแขนมันออกพร้อมกับผลักหน้ามันให้ออกห่างๆจากซอกคอผมสักที ขนกูนี่ลุกกันเกรียวกราวหมดแล้ว



“กูจะกลับไปนอนที่ห้อง” ในเมื่อวันนี้มันดูจะติดหมอนข้างเป็นพิเศษผมก็ขอปลีกตัวออกมาดีกว่า คิดภาพดูสิครับผู้ชายสองคนนอนกอดกันมันโคตรน่าขนลุกเลยนะ แถมยังตัวเท่าควายด้วยกันทั้งคู่อีก



“ทำไมครับ ผมนอนดิ้นจนพี่อึดอัดใช่ไหม?” มันถามเสียงติดจะแหบเพราะคงพึ่งตื่นแล้วทำไมผมถึงรู้สึกว่าเสียงมันดูอ้อนๆเป็นพิเศษวะ ไม่มั้งผมคงคิดมากไปเอง “ขอโทษครับผมจะนอนนิ่งๆพี่นอนต่อเถอะนะ



เจ้าจอมมันดูงอแงแปลกๆ หรือว่าเป็นอาการของคนพึ่งตื่นวะเกี่ยวกันหรือเปล่าแต่ผมก็ไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้นะ เอายังไงดีวะพอฟังเสียงหงอยๆของมันแล้วไม่อยากลุกออกไปเลย



คิดอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจได้ “อืม นอนต่อเหอะ” ผมเลือกที่จะนอนต่อ เจ้าจอมมันเหมือนยังไม่เชื่อเลยนอนจ้องหน้าผมอยู่แบบนั้น ถึงจะมืดแต่กูรู้สึกนะโว้ย! จ้องอะไรขนาดนั้นอะ นี่ถ้านอนคนเดียวผมคงนึกว่าผีไปแล้วนะ “เลิกจ้องได้แล้วน่า กูจะนอน”



ไม่รู้ทำไมเหมือนกันผมถึงยอมตามใจมันได้ขนาดนี้ทั้งที่ผมจะลุกออกไปแล้วกลับไปนอนที่ห้องก็ได้แต่ผมก็ยังคงตอบให้มันสบายใจว่าผมจะนอนที่นี่ไม่ลุกไปไหนจนกว่าจะเช้า



“พี่ยีนส์” เสียงพึมพำของเจ้าจอมดังขึ้นแผ่วเบา



“อืม” ผมตอบรับมันในลำคอ ดวงตาปิดสนิทเพราะเริ่มจะง่วงแล้วจริงๆ



“ผมขอจับมือพี่ได้ไหม?”



เท่านั้นแหละผมถึงกับต้องเปิดตาขึ้นพร้อมกับหันขวับไปหามันทันที



“มึงว่าไงนะ?”



“กะ...ก็ขอจับมือนอนหน่อยได้ไหมครับ?”



ตอนแรกคิดว่าหูฝาดเลยถามมันอีกครั้งแต่พอได้ยินคำถามแบบเดียวกันเป็นครั้งที่สอง ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกยังไงดี...



“คือยังไง มึงเพ้ออะไร?” ผมถามมันงงๆ อะไรคือการที่อยู่ดีๆมันก็มาขอผมจับมือนอนวะ



“อ่า..โทษทีพี่ผมคงเพ้อจริงๆ” ผมได้ยินมันหัวเราะเบาๆเลยไม่ได้ถือสาอะไร มันคงจะเป็นอาการหลังจากตื่นที่สมองยังคงไม่ค่อยได้ทำงานมากเท่าไหร่



“อืม นอนได้แล้ว”



“ครับพี่”



คนเป็นพี่หลับไปในเวลาไม่นานหลังจากสั่งให้เจ้าจอมนอนโดยที่ก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าถูกใครอีกคนข้างๆกันจับจ้องใบหน้าตัวเองอยู่เงียบๆ ก่อนมือของคนที่ยังไม่ยอมนอนจะยกขึ้นลูบที่ข้างแก้มของคนหลับสนิทแผ่วเบา ริมฝีปากมีรอยยิ้มอ่อนโยนขณะมองใบหน้าอีกคน ก่อนจะพึมพำเสียงเบาทั้งๆที่รู้ดีว่าคนที่กำลังหลับอยู่คงไม่ได้ยิน



“ชอบพี่นะครับ”






“ว่าไงมึงเดินหน้าง่วงมาเลย” ไอ้เป๋าเพื่อนรักเอ่ยทักผมเป็นคนแรกขณะที่ผมเดินมาที่โต๊ะกินข้าวภายในโรงอาหารคณะไอ้ทาวน์



ใช่ครับ...วันนี้พวกเรามากินข้าวที่คณะแฟนไอ้คินมันเนื่องจากไอ้คินมันคิดถึงแฟนใจจะขาดรอนๆทั้งที่พวกมันพึ่งแยกจากกันไปเมื่อเช้านี้เอง



เหม็นความรักจริงๆ...



“เออ หวัดดีซื้อข้าวให้กูยัง?” มาถึงก็ถามหาข้าวที่ตัวเองโทรมาสั่งกับไอ้เป๋ามันไว้



“ซื้อให้แล้วครับไอ้ห่า แล้วนี่ทำไมถึงไม่มาเรียนคาบเช้า”



“ตื่นสายไงเลยไม่ได้มา แล้วอาจารย์สอนอะไรบ้างล่ะพวกมึงได้จดไว้บ้างหรือเปล่า?”



เมื่อเช้าผมมีเรียนแต่ก็ดันตื่นสายเลยกะมาเรียนตอนบ่ายดีกว่า พอดีกับวิชานี้อาจารย์ไม่ได้เช็คชื่อด้วยผมก็เลยไม่ได้กระตือรือร้นมาสักเท่าไหร่ ยังคงนอนตบพุงเล่นโทรศัพท์อยู่ที่ห้องตัวเองจนกระทั่งสิบเอ็ดโมงก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะออกมามหา’ลัยนี่แหละ



“ถามไอ้หมอกมันนู่น” ไอ้เตอร์บุ้ยปากไปทางไอ้หมอกที่กำลังเดินถือจานข้าวมาทางนี้



“ไงมึง” หมอกมาถึงมันก็เอ่ยทักผมพร้อมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ



“มึงได้จดของวิชาคาบเช้าไว้หรือเปล่า?” ผมเข้าประเด็นทันทีโดยไม่ต้องรอให้เสียเวลา



“จดไว้นะแต่เดี๋ยวอาจารย์จะลงเนื้อหาไว้ในกลุ่มให้อีกที มึงก็รออ่านจากตรงนั้นก็ได้”



“อืม ขอบใจมาก”



ผมก้มหน้ากินข้าวที่ฝากเพื่อนซื้อให้เงียบๆพร้อมกับฟังเรื่องที่ไอ้ทิมมันกำลังเล่าไปด้วย



“ที่ร้านเฮียเตอร์อะมีคนมาขอเป็นแฟนกันกลางร้านเลย” ทิมมันเริ่มเปิดเรื่องแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะดึงทุกคนในโต๊ะให้สนใจได้ ผมแอบเหลือบมองมันก็เห็นมันทำหน้าเซ็งๆแต่มันก็ยังคงไม่ยอมแพ้ ยังพยายามเล่าเพื่อให้พวกผมสนใจมันต่อ



“แล้วพวกพี่รู้ปะว่าที่น่าสนใจคือคนที่ขอเป็นแฟนกันอะผู้ชายทั้งคู่ด้วย” ทุกคนยังคงเงียบ “เป็นคนดังใน มอ.เราด้วย” มันก็ยังเล่าของมันต่อ



“กูกราบความพยายามของมึงมากทิมแต่คือเรื่องนี้มันผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วปะไอ้ควาย เขารู้กันหมดแล้ว” ไอ้ทาวน์มันคงสงสารเพื่อนมันนั่นแหละครับเลยต้องพูดออกมา



ผมก็เป็นคนหนึ่งที่รู้เรื่องนี้แล้วเพราะเห็นมีคนแชร์ลงในโซเชียลเต็มไปหมด ถึงไม่อยากรู้ก็ได้รู้ไปเองโดยปริยายเพราะเลื่อนหน้าไทม์ไลน์ทีไรเห็นแต่ข่าวนี้ตลอด



“อ้าวหรอ? ผมพึ่งนึกได้อะเลยอยากเล่าให้ฟัง” มันว่าอย่างผิดหวัง “เซ็งจัด”



“วันหลังถ้ามึงไม่อยากลืมก็จดใส่ไว้ในสมุดเอานะเพื่อนทิม” ไอ้ทาวน์ปลอบเพื่อน ลูบหลังไอ้ทิมป้อยๆ



“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำเพื่อนรัก” มันก็ตอบรับไอ้ทาวน์อย่างดีพร้อมกับพยักหน้าเข้าใจในคำแนะนำของเพื่อนรักอย่างไอ้ทาวน์



ผมมองพวกมันแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขำออกเสียง ไอ้เด็กสองคนนั่นหันขวับมามองก่อนจะถามขึ้นพร้อมกันว่า



“ขำอะไรครับพี่ยีนส์”



โอ๊ย! กูขำก็ไม่ได้เรอะไอ้เด็กพวกนี้...



“ขำพวกมึง น่ารักดี”



“หมายถึงหน้าตาหรือมิตรภาพของพวกผมครับ” ไอ้ทิมมันถามส่วนไอ้ทาวน์ก็เป็นลูกคู่คอยพยักหน้าอยู่ข้างๆ



“มิตรภาพของพวกมึงไงน่ารักดี เนอะเป๋าเพื่อนรัก” ผมกอดคอไอ้เป๋าที่กำลังแทะกระดูกอยู่ข้างกัน



“ใช่แล้วเพื่อนยีนส์” มันก็คงตอบรับส่งๆนั่นแหละ พอตอบเสร็จก็ไปแทะกระดูกต่อ



บทสนทนาระหว่างมื้ออาหารของพวกเราก็ไหลไปเรื่อยๆแบบสะเปะสะปะเพราะความที่ไม่มีสาระและคงหาสาระไม่ได้



“วันนี้ไปกินเหล้ากันหน่อยไหม รู้สึกว่าไม่ได้ไปนานแล้ว” ไอ้เตอร์เป็นคนเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นอีกครั้งหลังจากหลายๆวันก่อนมันก็เคยถามแต่ไม่มีใครว่างไปสักคน “กินร้านกูนี่แหละเดี๋ยววันนี้จะปิดร้านพอดี วันศุกร์แบบนี้ร้านเหล้าคนน่าจะเยอะพอสมควร”



“ก็ดีว่ะ กูก็ขี้เกียจไปร้านเหล้าเหมือนกัน คนแม่งเยอะไปหมด” ไอ้เป๋ายกมือเห็นด้วยอีกเสียง



จากนั้นทุกคนต่างก็พากันตกลงบอกว่าจะไปส่วนผมมีหรือที่จะพลาด กว่าจะรวมตัวกันกินเหล้าจนครบแก๊งค์ได้ขนาดนี้ก็ยากเย็นแสนเข็ญเหมือนกันนะครับ



“กูไปช้าหน่อยนะ” ไอ้ไฟมันโพล่งขึ้นกลางวง



“เออ ไม่เป็นไรแค่มาก็พอ” ผมตอบมันไปก็เข้าใจแหละเนอะคนมีแฟนอะมาช้าหน่อยก็คงไม่เป็นไร อีกอย่างถ้าบอกให้ไอ้ไฟเอาน้องมาด้วยมันคงไม่ยอม แม่งหวงอย่างกับจงอางหวงไข่



“งั้นเอาเป็นว่าคืนนี้สองทุ่มที่ร้านกู จะมาช้ากูไม่ว่าแต่ขอให้มาก็พอ” ไอ้เตอร์มันเอ่ยย้ำถึงเวลานัด พวกผมก็ตอบรับกันโดยดีไม่มีใครอิดออดหรือปฏิเสธการนัดหมายในครั้งนี้






ก่อนถึงเวลานัดผมก็ไม่ลืมที่จะไปบอกให้ไอ้เจ้าจอมมันรู้เพราะมันจะได้ไม่ต้องรอกินข้าวพร้อมกันกับผม เดี๋ยวแม่งจะรอเก้อแล้วอาจโมโหหิวโกรธผมอีก ผมไม่ค่อยอยากมีปัญหากับมันสักเท่าไหร่



ผมยืนรอมันอยู่หน้าห้องพร้อมกับขนมที่ซื้อติดมือมาจากตลาดข้างล่าง ตอนแรกก็ไม่ได้กะจะซื้อให้หรอกแต่เห็นแล้วก็อดนึกถึงมันไม่ได้เลยซื้อให้จบๆไปแล้วเอามาให้มันกินนี่แหละ



“ว่าไงครับพี่ยีนส์?” มันถามขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเปิดประตูออกมาแล้วพบว่าผมยืนอยู่หน้าห้องพร้อมกับชูถุงขนมใส่หน้ามัน



“เอาขนมมาให้” ผมกระแอมเบาๆหลังจากพูดเสร็จ ไม่รู้สิครับมันรู้สึกเขินยังไงบอกไม่ถูกเหมือนกัน



เจ้าจอมมันทำหน้าตาแปลกใจพร้อมกับจ้องถุงขนมกับหน้าของผมสลับกัน “ให้ผม?” มันชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง



“ก็เออ...มึงคิดว่ากูจะเอาให้ใครอีก” ผมว่า “รับไปสิ”



ถึงมันจะยังดูงงๆอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่มันก็ยอมรับไว้โดยดี



“ขอบคุณมากครับ” มันยิ้มกว้างดูดีใจเหมือนขนมที่ผมเอามาให้คือสิ่งที่ทำให้มันมีความสุข



“แล้วก็วันนี้..กูไม่ได้อยู่กินข้าวด้วยนะ” ผมเอ่ยถึงธุระที่ต้องการบอกกับมันจริงๆ



“ทำไมล่ะครับ”



“พอดีมีนัดไปกินเหล้ากับเพื่อนน่ะ”



มันนิ่งฟังพยักหน้าก่อนว่าต่อ “ผมไปด้วยได้หรือเปล่า?”



แม้จะแปลกใจที่มันถามแบบนั้นแต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นอกจากคิดว่ามันคงอยากจะกินเหล้าเหมือนกันกับพวกผม “อยากไปหรือไง?”



“ก็ถ้าพี่ให้ไปผมก็จะไปครับ” มันไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัดแต่ท่าทางของมันก็เหมือนคนที่พร้อมจะไปกินเหล้ากับผมได้ทุกเมื่อ



“เอาดิ ดีเหมือนกันกูจะได้กลับกับมึง” ตอนแรกผมว่าจะให้ไอ้เป๋ามันขับรถมาส่งผมที่คอนโดแต่ตอนนี้เจ้าจอมมันขอไปด้วยผมเลยคิดว่าติดรถเจ้าจอมมันไปดีกว่า “มึงจะดื่มด้วยหรือเปล่า?”



มันส่ายหน้าแล้วว่า “ไม่ล่ะครับเดี๋ยวไม่มีใครขับรถให้พี่”



ผมก็งงๆแหละที่มันขอไปกินเหล้าด้วยแต่มันก็ดันไม่กินด้วย ขนาดคิดเองยังงงเลย เอาเป็นว่าปล่อยผ่านไปเถอะครับไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมารองรับมากมายหรอกเดี๋ยวจะปวดหัว






เวลาดีสองทุ่มครึ่งซึ่งเลยเวลานัดมาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเพราะผมดันติดติวให้เจ้าจอมมันที่ห้องก่อน ตอนแรกกะว่าจะออกมานานแล้วแต่ก็อยากสอนเนื้อหาในส่วนนั้นให้จบๆไปเลยต้องออกมาช้าแบบนี้ ไอ้พวกเพื่อนก็แสนดีกันเหลือเกินแม่งไม่มีใครโทรมาตามผมสักคน คือโทรเข้าสักสายสองสายก็ยังดีแต่ความจริงคือเงียบกริบเลยหรือพวกมันอาจจะมาช้ากว่าผมก็อาจเป็นไปได้



ร้านไอ้เตอร์วันนี้ไม่ได้ครึกครื้นเหมือนทุกๆวันเพราะมันทำการปิดร้านเพื่อให้เพื่อนๆกินเหล้ากันได้อย่างเต็มที่ เตอร์มันก็ทำแบบนี้ไม่บ่อยเท่าไหร่หรอกถ้าให้ปิดบ่อยๆก็จะขาดรายได้ในร้านพอดี มันจะทำก็ตอนที่เราไม่ได้รวมกลุ่มนานหรือทำตอนที่อยากกินเหล้ากันมากแต่ไม่อยากไปร้านเหล้า



“โผล่หัวมาสักทีนะมึง” จากที่คิดว่าตัวเองคงมาก่อนเพื่อนสักคนสองคนแต่พอเดินเข้ามาในร้านแล้วกลับพบว่ามันมากันครบทุกคนแล้ว ผมก็หมดคำจะพูดจริงๆเป็นผมสินะที่มาคนสุดท้ายแล้วทำไมไอ้ห่าเพื่อนรักทั้งหลายถึงไม่โทรตามกูสักคนเลยวะ



“มากันนานแล้วเหรอวะ” ผมเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามไอ้ทาวน์ซึ่งมีไอ้ทิมมันนั่งอยู่ข้างๆและกำลังนั่งกินกับแกล้มเล่นอยู่ หันไปหาเจ้าจอมที่เหมือนมันทำตัวไม่ค่อยถูกและคงไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปวางไว้ตรงไหนดีก็ต้องเรียกมันให้มานั่งข้างๆกัน “มานั่งนี่”



มันพยักหน้ารับก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม เมื่อเห็นว่ามันนั่งเรียบร้อยดีแล้วผมก็หันกลับไปหาเพื่อนตัวเองต่อแต่ใครจะคิดล่ะว่าพอหันกลับมาแล้วจะโดนจ้องหนักขนาดนี้



“มองไรกัน?” ผมถามแต่ทุกคนกลับเหลือบสายตาไปมองเจ้าจอมที่กำลังพูดคุยกับไอ้ทิมมันอยู่ คือมึงสองคนคุยกันเหมือนรู้จักกันมานานเลย ผมส่ายหน้าแล้วหันไปหาเพื่อนตัวเอง ก็พอเข้าใจแหละว่ามันคงเป็นงงๆที่ผมเอาเจ้าจอมมันมาด้วย “มันขอมาด้วย”



“อ๋อ” เป็นไอ้เป๋าที่เสนอหน้าของมันมาตอบคนแรกแล้วทำหน้าตามีเลศนัยใส่ผม คือมันต้องการสื่ออะไรอะ “เดี๋ยวนี้สนิทกันเนอะ”



ผมว่าแล้วว่ามันต้องพูดแบบนี้ ไอ้ห่านี่ชอบแซวผมกับเจ้าจอมมันบ่อยๆไม่รู้จะแซวอะไรนักหนา “เออสนิทกัน แล้วจะทำไม?” ทุกครั้งที่มันถามแบบนี้ผมมักจะบ่ายเบี่ยงไม่ก็ด่ามันกลบเกลื่อนแต่เดี๋ยวนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไปผมก็เลยตอบให้มันได้ยินสักครั้งเป็นบุญหู จนไอ้คนถามมันหน้าเหวอไปเลย คงไม่คิดว่าผมจะตอบออกมาจริงๆ



จริงๆก็อยากบ่ายเบี่ยงเหมือนทุกๆครั้งที่โดนถามนะครับแต่ติดที่ว่าใครอีกคนที่อยู่ในข้อคำถามนั้นกลับนั่งอยู่ข้างๆผมในตอนนี้ ผมก็เลยต้องตอบไปตามตรง ไม่รู้สิผมคิดว่าถ้าผมไม่ยอมตอบแบบนี้ไอ้เด็กข้างๆนี่เดี๋ยวมันก็จะไม่พอใจอีก เด็กบ้าอะไรเอาใจโคตรยาก



เอ๊ะ!? แล้วผมจำเป็นต้องตอบเอาใจมันด้วยเหรอวะ...ช่างเถอะ



“เชี่ย! ยอมรับแล้วเหรอวะ” มันจับหน้าอกตัวเอง หน้าตาคงอยากพูดคำว่าคุณพระคุณเจ้ามากเหลือเกิน “มีเรื่องอะไรดีๆปะวะทำไมยอมรับง่ายอย่างนี้”



เชื่อหรือเปล่าล่ะครับว่าที่เห็นแต่ไอ้เป๋าเอาแต่ถามส่วนคนอื่นๆก็นั่งเงียบๆนี่แหละคือมันกำลังนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อหรือไม่มันก็เตี๊ยมกันให้ไอ้เป๋าเป็นคนถามผมเพราะพวกมันคงเล็งเห็นแล้วว่าไอ้เป๋าคือคนที่เหมาะในการยุ่งเรื่องชาวบ้านที่สุดแล้ว



“แล้วทำไมต้องมีเรื่องดีๆก่อนวะถึงจะยอมรับได้” ผมถามมันกลับบ้าง ไอ้เป๋ามันเลยใบ้แดกไปเป็นนาทีพร้อมทำหน้าขบคิดไปด้วย



“ก็ร้อยวันพันปีกูก็ถามแบบนี้มึงเคยตอบดีๆซะที่ไหนล่ะ เอาแต่ด่ากูไม่ก็เลี่ยงไปคุยเรื่องอื่น”



“วันนี้กูอยากตอบแบบนี้ไง มึงยังไม่พอใจอีก?”



“ก็เปล่า” มันว่าแล้วยิ้มกวนตีนใส่ผม



ผมเลิกสนใจท่าทางนั้นของมันก่อนจะยกแก้วที่ไอ้เตอร์เป็นคนยื่นให้กระดกเข้าคอ ส่วนของไอ้เจ้าจอมมันบอกว่าขอแค่โค้กเหมือนไอ้ทิมไอ้ทาวน์ก็พอเพราะต้องขับรถพาผมกลับห้องอีก



การพูดคุยของพวกเรายังคงดำเนินไปเรื่อยๆและการดื่มก็เรื่อยๆไม่แพ้กัน เจ้าจอมมันเข้ากับเพื่อนของผมได้อย่างรวดเร็ว สมแล้วครับที่มันเป็นคนเฟรนลี่ที่ใครๆต่างก็อยากเข้าหา เรื่องที่คุยส่วนมากก็เป็นเรื่องทั่วๆไปไม่ได้เน้นเรื่องไหนเป็นพิเศษพอใครเปิดประเด็นอะไรมาก็จะพากันคุยไหลไปตามน้ำเรื่อยๆ



กระทั่งผมรู้สึกถึงแรงสะกิดข้างๆตัวก็พบว่าเป็นเจ้าจอมที่กำลังมองผมอยู่



“เมาหรือยังครับ?” มันกระซิบข้างๆหูผมเพราะในร้านเริ่มเปิดเพลงแม้เสียงจะไม่ดังแต่ถ้าคุยห่างๆกันก็คงจะได้ยินไม่ค่อยถนัดสักเท่าไหร่



“อืม” ผมพยักหน้าหงึกหงัก รู้สึกโงนเงนตั้งแต่สี่ทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองกระดกแก้วเข้าปากไปกี่ครั้งแต่แค่รู้สึกว่ามันก็มากพอสมควรที่จะทำให้ผมเมาได้



“อยากกลับหรือยังครับ?” มันถามต่ออีกพร้อมกับประคองตัวผมที่โงนเงนเหมือนจะตกลงจากเก้าอี้ให้ได้ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่สภาพกลายเป็นแบบนี้ ไอ้คนแรกที่จอดก่อนแล้วนอนฟุบลงบนโต๊ะนั่นก็คือไอ้หมอก ตามมาด้วยไอ้เป๋า ส่วนพวกคอแข็งอย่างเราๆก็จะแค่วิงเวียนศีรษะอยู่หน่อยๆ



ผมส่ายหน้าให้มันเป็นคำตอบ “อีกสักพัก”



มันเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดขึ้นมา “งั้นถ้าอยากกลับแล้วเรียกผมนะ อย่าดื่มจนเมาขาดสตินะครับ”



“อือ รู้แล้วน่า..”



หลังจากตอบรับเจ้าจอมมันไปก็ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่แต่ก็รู้สึกว่านานพอสมควรและนานพอที่ผมแทบจะหลับคาโต๊ะแล้วถ้าหากไม่ได้คนที่นั่งข้างๆกันรั้งตัวผมเอาไว้



“ไหนรับปากผมแล้วครัวว่าจะไม่เมาจนขาดสติ”



ผมปัดมือไปมารู้สึกรำคาญเสียงงุ้งงิ้งข้างๆหูตัวเอง



“อือ บ่นมาก”



“กลับกันเถอะครับ..พี่เมามากแล้ว”ผมรู้สึกว่าตัวเองโดนประคองตัวให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะได้ยินเสียงของคนสองสามคนคุยอะไรกันสักอย่างแต่ผมก็ไม่สามารถจับใจความได้ดีนักเพราะสติตอนนี้ก็เตลิดหายไปกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หมดแล้ว



ผมถูกเจ้าจอมพาเดินมาที่รถก่อนจะถูกวางให้นั่งลงอีกครั้งบนเบาะ เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูทางฝั่งตัวเองและไม่นานก็ได้ยินเสียงปิดประตูทางฝั่งของคนขับผมเลยขยับตัวหาท่านอนที่สบายที่สุดก่อนจะผล็อยหลับไป ไม่วายก่อนหลับก็ได้ยินเสียงพึมพำข้างๆหูตัวเอง



“ผมบอกว่าอย่าเมาจนขาดสติแต่ก็ดื้อดื่มจนเมาล้มพับขนาดนี้จนได้”



พร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาที่ลูบข้างแก้มตัวเองจนผมต้องซุกใบหน้าเข้าหากับฝ่ามืออุ่นนั้นกระทั่งความอุ่นก็เคลื่อนตัวจากไปพร้อมๆกับผมที่สติก็ดับลงเช่นกัน






เราอาจจะได้มาลงอีกทีวันศุกร์เลยนะคะแต่ก็ไม่แน่เน่อเผื่อพรุ่งนี้ก็อาจจะมาลงเอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ จะพยายามมาลงไม่ให้ขาดช่วงนานนะคะเพราะตอนนั้นก็หายไปนานแล้ว แหะๆ ตอนนี้ก็เนอะ บอกชอบได้แค่ตอนหลับล่ะเด้อ เอาใจช่วยเจ้าจอมกันด้วยค่าา แล้วก็ตอนที่แล้วขอบคุณทุกๆคนมากน้าได้อ่านคอมมเม้นแล้วรู้สึกดีมากๆ มาคอมมเม้นให้กันบ่อยๆเน่อออ ขอบคุณจ้าา
#นิติผูกพัน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: ღ นิติผูกพัน ღ -สนิทกัน- 22/01/2562 UP!!
«ตอบ #52 เมื่อ22-01-2019 18:46:56 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

หลับไม่รู้เรื่องแบบเน้...

นุ้งจอมจะ...พี่ยีนส์ไหมครับ  อิอิ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ღ นิติผูกพัน ღ -สนิทกัน- 22/01/2562 UP!!
«ตอบ #53 เมื่อ22-01-2019 19:14:58 »

เสร็จแน่ๆ  :hao3:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ღ นิติผูกพัน ღ -สนิทกัน- 22/01/2562 UP!!
«ตอบ #54 เมื่อ22-01-2019 22:27:13 »

 จะมีอะไรเกิดขึ้นไหมนะ  :hao3:

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
Re: ღ นิติผูกพัน ღ -สนิทกัน- 22/01/2562 UP!!
«ตอบ #55 เมื่อ25-01-2019 17:58:45 »


ตอนที่ 17

เมื่อความเมาเป็นเหตุทำให้เสียจูบ





เจ้าจอม Part



ผมส่ายหน้ามองคนเมาที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวกำลังพลิกตัวไปมาอยู่บนที่นอนของผม ตอนแรกผมกะว่าจะพาเขาไปส่งที่ห้องแล้วแต่ก็หากุญแจห้องของเขาไม่เจอ คงจะตกอยู่ที่ร้านพี่เตอร์เพื่อนของพี่ยีนส์



ผมห้ามพี่ยีนส์ไปแล้วว่าอย่าเมาจนขาดสติแต่เขาก็ดื้อ ไม่ยอมเชื่อฟังในสิ่งที่ผมพูดสุดท้ายผมก็ต้องแบกเขาขึ้นหลังแล้วพากลับห้องมานี่แหละ พี่ยีนส์ไม่ใช่คนที่ตัวเล็กแต่เขาก็ไม่ได้ตัวใหญ่หรือมีกล้ามอะไรมากมายแต่ก็หนักเอาการอยู่เหมือนกัน วันหลังถ้าเกิดเขาเมาอีกผมคงต้องหาคนมาช่วยแบกเขาอีกสักคน ไม่งั้นหลังผมคงได้เดาะก่อนจะถึงห้องแน่ๆ



ยืนมองสภาพคนเมาแล้วก็ต้องเผลอยิ้ม เวลาพี่ยีนส์เมาไม่ได้สติก็ดูเป็นคนนิ่งๆเงียบๆมากกว่าคนปากร้ายที่ชอบด่าผมซะอีกหรือผมอาจจะกวนตีนเขามากไปหรือเปล่าอันนี้ก็คงมีส่วนเพราะจากที่เห็นเวลาเขาคุยกับรุ่นน้องก็คุยค่อนข้างดีในระดับนึงเลย ตัดภาพมาที่ผมคือถ้าพี่พ่นคำหยาบได้ทุกคำก็คงทำไปแล้วล่ะครับ



นึกไปถึงครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้หิ้วพี่ยีนส์ขึ้นมาส่งบนห้องของเขาเพราะเพื่อนพี่ยีนส์ซึ่งก็คือพี่เป๋าเป็นคนฝากพี่ยีนส์ไว้กับผม ตอนนั้นผมก็ยังรู้สึกงงๆที่ว่าทำไมเขาถึงเอาพี่ยีนส์มาฝากไว้ให้ผมเอาไปส่งบนห้อง แต่ก็นะการช่วยพี่เป๋าในครั้งนั้นก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์ไปซะทีเดียวในเมื่อผมก็ได้รู้ในวันนั้นว่าคนที่เป็นพี่ติวของผมก็คือคนเมาที่หลับไม่ได้สติ



ผมจำได้ว่ากว่าจะพาตัวพี่ยีนส์ขึ้นมาบนห้องได้ก็เหนื่อยเอาการ แถมคนเมาที่ไม่ได้รู้อะไรเลยก็ดันมาอ้วกใส่ผมจนผมต้องอาบน้ำและถือวิสาสะใช้ของในห้องเขาโดยไม่ได้ขออนุญาตอีก วันนั้นผมจำได้ว่าตัวเองลืมกุญแจห้องไว้ที่รถแล้วก็ขี้เกียจไปเอาเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้วด้วย เลยได้แต่ขออาศัยนอนโซฟาห้องเขา ไม่นึกเลยว่าพอผมตื่นขึ้นมาพี่ยีนส์ก็ยังไม่ตื่น



ผมเดินไปดูเขาที่นอนหลับสนิท นั่งจ้องมองเขาเป็นเวลานานเลยทีเดียวกว่าคนเมาจะรู้สึกตัวแล้วนั่นแหละผมก็ได้รับเสียงโวยวายจากคนที่อยู่บนเตียงทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร



หลังจากวันนั้นเขาก็เรียกให้ผมไปหาที่ห้องเพื่อถามเรื่องรอยแดงที่ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา ผมสาบานได้เลยว่าผมไม่ได้ทำและไม่ได้รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นแต่พี่ยีนส์ก็ยังยืนยันว่าไม่เชื่อและเขาก็คงคิดว่าผมเป็นคนทำมาตลอด ผมก็จนใจจะอธิบายเพราะเหมือนพูดยังไงพี่ยีนส์ก็คงไม่ยอมฟัง สุดท้ายหลังจากวันนั้นเขาก็เลยดูเกลียดขี้หน้าผมไปเลย



มันยากมากนะครับกว่าที่จะทำให้พี่ยีนส์ยอมคุยและใจดีกับผมเหมือนในตอนนี้ ผมใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการเข้าหาเขาเพราะอยากรู้จักเขาในฐานะน้องติวของเขาถึงแม้ว่าหลังจากนั้นความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นมาจะเลยเถิดไปมากกว่าที่เคยคิดก็เถอะ



คิดอะไรเพลินๆก็ต้องหลุดออกจากความคิดนั้นทันทีเมื่อคนเมาที่ไม่ได้สติกำลังลุกขึ้นนั่งแล้วปลดกระดุมตัวเอง ปากก็พึมพำว่าร้อนอย่างนั้นร้อนอย่างนี้จนผมต้องเข้าไปช่วยประคองเขาไว้ไม่ให้ล้มตึงลงบนที่นอนเดี๋ยวจะปวดหัวเอา



“อืม...ร้อนฉิบหาย”



“เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้ครับจะได้นอนสบายๆ”



“อาบน้ำ” เขาส่ายหน้าพลางพึมพำคำนี้ซ้ำๆ



“แน่ใจนะครับว่าอาบได้” ผมถามย้ำให้แน่ใจเพราะเขาก็ดูเมาจนเหมือนจะทำอะไรๆด้วยตัวเองค่อนข้างลำบาก กลัวเขาจะล้มพับในห้องน้ำก่อนจะอาบเสร็จน่ะสิ



“ได้!” เขาพยักหน้าหงึกหงักเหมือนเด็กที่ตอบคำถามเวลาโดนพ่อแม่ถามเลย



“งั้นรอผมแป๊บนึงนะครับเดี๋ยวจะไปเอาน้ำมาให้ดื่มก่อนจะได้สร่างเมาสักหน่อย”



“อือ”



เมื่อดูให้แน่ใจแล้วว่าคนเมาอยู่นิ่งๆตามที่ผมต้องการจึงเดินออกมาเอาน้ำแล้วเทใส่แก้วเพื่อให้คนที่นั่งอยู่ในห้องนอนกิน



“ดื่มหน่อยครับพี่ยีนส์” ผมช่วยประคองตัวเขาที่โอนเอนไปมาเหมือนจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่อยู่บนที่นอน เขาครางงึมงำคนเดียวก่อนจะยอมเปิดปากแล้วงับแก้วน้ำเพื่อดื่มน้ำตามที่ผมบอก



ไม่นานเขาก็ยกมือของเขาขึ้นมาดันแขนข้างที่ผมใช้จับแก้วออก “พอแล้ว”



“นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับเดี๋ยวผมไปหาผ้าเช็ดตัวกับชุดมาให้เปลี่ยน” ผมทำการสั่งคนเมาอีกครั้ง



“อืม”



ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า ไม่ลืมที่จะหยิบชุดบอลและกางเกงบอลออกมาให้อีกคนใส่ส่วนชั้นในคงต้องให้พี่ยีนส์ใส่ตัวเดิมของเขาไปก่อนเพราะผมก็ไม่มีชั้นในตัวใหม่หรือตัวสำรองเก็บไว้ด้วย



กลับมาถึงก็เห็นว่าพี่ยีนส์กำลังยกมือขึ้นนวดขมับของตัวเอง ผมเลยนั่งลงข้างๆเขาก่อนจะเอ่ยถามออกไป “เป็นไงบ้างครับโอเคขึ้นหรือยัง?”



“พอได้” เขาพยักหน้าให้ผมอีกครั้ง



ผมมองเขาจนแน่ใจแล้วว่าคงจะมีสติมากกว่าตอนแรกก็ยื่นเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวไปให้ “นี่ครับ รีบๆอาบนะไม่ต้องล็อคประตูนะครับ” ผมห่วงว่าเขาจะลื่นล้มในห้องน้ำด้วยฤทธิ์สุราที่อยู่ในตัวเขาก็ยังไม่ค่อยสร่างดีเท่าไหร่จึงบอกให้เขาไม่ต้องล็อคประตูห้องน้ำ มีอะไรผมจะได้เข้าไปช่วยเขาทัน



“ขอบใจ” เขารับเสื้อผ้าจากผมไปก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ



สักพักพี่ยีนส์ก็เดินออกมาด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ผมให้เขาใส่ พอเห็นเสื้อผ้าตัวเองอยู่บนตัวของพี่ยีนส์แล้วก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก การที่ได้เห็นของใช้ส่วนตัวของเราอย่างเสื้อผ้าไปอยู่บนตัวของคนที่เราชอบใครๆก็ต้องรู้สึกดีทั้งนั้นแหละครับ



“ยิ้มอะไร?” เขาเดินเข้ามาหาผมที่นั่งรอเขาอยู่บนเตียงพร้อมกับตั้งคำถาม พอได้อาบน้ำแล้วพี่ยีนส์ก็ดูจะสร่างเมาขึ้นมากกว่าตอนแรก



“เปล่าครับ..เสื้อผ้าเดี๋ยวเอาไปไว้ในตะกร้าผมก่อนก็ได้ครับ” ผมยื่นมือขอเสื้อผ้าตัวเก่าของเขาเพื่อจะเอาไปใส่ในตะกร้าตัวเองให้



“ไม่เป็นไร ขอถุงอะไรมาใส่ก็พอ”



ผมไม่อยากขัดใจพี่ยีนส์จึงลุกขึ้นแล้วเดินไปหาถุงเพื่อให้เขาได้เอามาใส่พวกเสื้อผ้าที่เขาใส่แล้ว พอหาถุงเจอก็เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งก่อนจะต้องชะงักไปอย่างนั้นเพราะคนที่พึ่งสั่งให้ผมไปหาถุงมาใส่เสื้อผ้าตอนนี้กลับไปนอนหลับบนเตียงซะแล้ว



ผมมองเสื้อผ้าที่ตั้งอยู่บนปลายเตียงจึงหยิบขึ้นมาแล้วพับใส่ถุงไว้ให้พี่ยีนส์เรียบร้อยก็เอาไปตั้งไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือก่อนจะเดินกลับมามองคนที่คิดว่าคงจะสร่างเมามากแล้วแต่คงจะไม่สร่างง่วงเท่าไหร่เลยนอนหลับปุ๋ยขนาดนี้



นั่งมองพี่ยีนส์จนพอใจแล้วก็ถึงเวลาที่ตัวเองต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดบ้าง ผมใช้เวลาไม่นานในการชำระร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ออกมาจากห้องน้ำ เดินออกไปข้างนอกเพื่อไปปิดไฟก่อนจะกลับเข้ามาในห้องเดินไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียงแล้วดับไฟในห้องนอนลง



ผมเดินลงมาล้มตัวลงนอนแต่หัวยังไม่ถึงหมอนคนเมาก็เริ่มทำฤทธิ์ด้วยการถีบผ้าห่มออกจากตัวทั้งที่ในห้องก็เปิดแอร์เย็นขนาดนั้น ผมเลยต้องลุกขึ้นนั่งแล้วยื่นมือไปหยิบผ้าห่มมาห่มให้เขาอีกรอบ



ล้มตัวลงบนที่นอนอีกครั้งก่อนจะใช้แขนตัวเองค้ำยันกับที่นอนเอาไว้ ขยับเข้าไปมองหน้าพี่ยีนส์ใกล้ๆ ยกมือข้างที่ว่างขึ้นเกลี่ยจมูกเขาเบาๆก่อนจะเลื่อนไปลูบไล้ข้างแก้มเรื่อยลงมาตรงริมฝีปากที่เผยอออก ผมอมยิ้มจากนั้นจึงค่อยๆโน้มหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้กับใบหน้าของคนที่กำลังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ประทับจูบลงไปแผ่วเบาที่ริมฝีปากได้รูปเนิ่นนานก่อนจะถอนจูบออกมา



“ฝันดีครับ”



ผมนอนยิ้มคนเดียวในความมืด ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกมีความสุขที่สุดในโลกแค่เพียงเพราะมีใครอีกคนกำลังนอนอยู่ข้างๆกัน คนๆนั้นเป็นคนที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งเราจะสนิทกันได้มากขนาดนี้ คนที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ผมชอบเขามากจนตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะมากไปกว่านี้หรือเปล่าและเป็นคนที่ผมคิดว่าเขาจะรู้สึกเหมือนกันแบบผมไหม แค่คิดว่าเขารู้สึกเหมือนกับตัวเองหัวใจของผมก็พองโตจนแทบจะทะลุออกมานอกอกแล้ว



หันไปมองอีกคนที่หลับอยู่ข้างๆกัน คงกำลังฝันดีล่ะมั้งมุมปากถึงได้ยกขึ้นเหมือนกำลังยิ้มแบบนี้



“พี่ก็มีความสุขเหมือนกันกับผมใช่ไหมครับ” ผมกระซิบถามเขา รู้แหละว่าเขาคงไม่ได้ยินที่ผมพูดแต่พอเห็นมุมปากของเขายกสูงขึ้นผมก็ต้องยิ้มออกมาและอดไม่ได้ที่จะกดจูบย้ำๆตรงมุมปากของเขา



“ผมชอบพี่นะ” ถ้าเมื่อถึงโอกาสผมคงจะกล้าบอกคำนี้กับเขาตอนที่เขากำลังมีสติและไม่ได้หลับไหลเหมือนทุกครั้งที่ผมเอ่ยบอก



ผมก็หวังว่าโอกาสที่ตัวเองกำลังเฝ้ารอเพื่อบอกคำๆนั้นจะมาถึงโดยเร็วและก็หวังอย่างยิ่งว่าพี่ยีนส์จะไม่ปฏิเสธความรู้สึกของผม...






ยีนส์ Part



ผมตื่นมาด้วยอาการปวดหัวตุบๆเหมือนสมองจะหลุดออกมาจากกะโหลกให้ได้ รู้ว่าคงเป็นอาการหลังจากที่ดื่มเหล้าหนักแต่แม่งก็ไม่เคยชินสักครั้งเพราะมันปวดจนผมต้องหลับตาลงอีกครั้งเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวของตัวเอง



“พี่ยีนส์ครับ”



เสียงใครสักคนเรียกชื่อของผมทำให้ต้องเปิดดวงตาขึ้นอีกครั้งและพบว่าเป็นเจ้าจอมมันนั่นเองที่กำลังปลุกผมให้ตื่น แล้วทำไมต้องเอาหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนั้นด้วยล่ะวะไอ้เด็กนี่...



“อืม ปวดหัวว่ะ” ผมยกมือขึ้นมากุมขมับ ค่อยๆพยุงตัวลุกโดยมีเจ้าจอมมันช่วยประคองให้ผมลุกขึ้นนั่งดีๆ



“กินนี่ก่อนครับ” มันยื่นแก้วที่มีน้ำอะไรสักอย่างให้ผม



“อะไร?”



“น้ำผึ้งมะนาวผสมขิงครับ ผมทำมาให้” มันยื่นแก้วจะให้ผมรับแต่ผมก็ยังไม่รับสักที



“กินได้แน่นะ?”



“แน่สิครับ ผมถามแม่มาเลยนะ แม่บอกว่าจะทำให้สร่างเมาได้”



นั่งฟังมันพูดที่มันฟังจากแม่มันมาอีกทีก็เริ่มไว้ใจจึงรับแก้วมาแล้วค่อยๆเป่าให้หายร้อนก่อนจะจิบลงคอกระทั่งหมดแก้วจึงยื่นแก้วคืนให้มัน



“ขอบใจ”



มันยิ้มรับแล้ววางแก้วไว้ตรงโต๊ะข้างหัวเตียง “นั่งสักพักก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวค่อยไปแปรงฟันอาบน้ำแล้วจะได้มากินข้าว”



“กูจะกลับห้อง” ผมว่าสั้นๆ ทำไมผมต้องอยู่ด้วยวะในเมื่อห้องผมก็อยู่ข้างๆมันนี่เองเดินไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ผมต้องไปแปรงฟันอาบน้ำที่ห้องมันเนี่ย



“กุญแจห้องพี่น่าจะอยู่ที่ร้านพี่เตอร์นะครับ พี่เข้าห้องไม่ได้หรอก”



ก็ว่าอยู่ทำไมมันถึงเอาผมมานอนที่ห้องมันแทนที่มันจะเอาผมไปนอนที่ห้องตัวเอง เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้นี่เอง



“เออๆ แล้วมีแปรงสีฟันกับชุดให้ยืมไหมล่ะ” ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดกับมันนาน เดี๋ยวไอ้ที่ปวดหัวอยู่แล้วจะปวดหัวเข้าไปอีกเพราะต้องเถียงกับไอ้เด็กนี่



“มีครับผมเอาไว้ในห้องน้ำแล้ว”



เออ...มันก็เตรียมพร้อมให้ผมดีเหมือนกัน



“อืม ขอบใจมึงมาก”



“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจทำให้”



ผมมองมันงงๆทำไมมันต้องเต็มใจทำให้ผมด้วยวะแต่ก็คงทำตามประสาเจ้าของห้องที่ดีแหละมั้งเวลามีแขกมาก็ต้องต้อนรับให้เป็นอย่างดีแบบนี้หรือเปล่า



ช่างเถอะครับขี้เกียจคิดแล้ว






ผมให้เจ้าจอมมันช่วยขับรถพาผมไปเอากุญแจห้องกับไอ้เตอร์ที่ห้องของมันเพราะตัวเองยังมีอาการปวดหัวอยู่เล็กน้อยบวกกับเจ้าจอมมันก็เสนอตัวจะขับรถไปให้ผมให้ได้ผมเลยไม่ได้ปฏิเสธอะไรปล่อยให้มันทำๆไปถ้ามันอยากทำ



“เลี้ยวซ้ายข้างหน้า” ผมบอกทางมันมาเรื่อยๆจนกระทั่งรถหยุดลงที่หน้าคอนโด



รถของเจ้าจอมจอดนิ่งสนิทสักพักก็มีพนักงานรักษาความปลอดภัยของคอนโดเข้ามาขอดูบัตรประชาชน เจ้าจอมมันก็ยื่นให้ ส่วนผมก็โผล่หน้าไปให้พี่ยามเห็นเพราะแกคงจำผมได้อยู่บ้างว่ามีเพื่อนอยู่ในคอนโดนี้จริงๆ



“อ้าว...เพื่อนคุณเตอร์ สวัสดีครับ” ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะครับที่พี่ยามจะจำได้แต่ไอ้เตอร์มันก็ค่อนข้างเป็นคนอัธยาศัยดีคนหนึ่งเลยน่าจะพอสนิทกับพี่ยามไปด้วย เวลาผมมาหามันทีไรพี่ยามก็จะจำผมได้และเรียกผมแบบนี้ตลอด



“สวัสดีครับพี่” ผมเอ่ยทักทายตามปกติเวลาที่ได้เจอกับพี่ยาม



“เชิญครับๆ” พี่เขาโบกมือไปมาเพื่อให้รถพวกผมผ่านเข้าไปจอดได้ ผมบอกขอบคุณก่อนเจ้าจอมมันจะขับรถเข้าไปแล้วหาที่จอดภายในลานจอดรถของคอนโด



เมื่อหาที่จอดได้แล้วผมก็หันไปหาคนขับก่อนจะบอกให้มันรออยู่บนรถนี่แหละเพราะผมคงไปแป๊บเดียว “ไม่นานหรอกแค่ไปเอากุญแจ”



“งั้นผมขอไปนั่งรอข้างล่างแล้วกันนะครับ”



“อืม”



เราสองคนพากันเดินเข้ามาในคอนโด เจ้าจอมมันไปนั่งรอตรงโซฟาข้างล่างส่วนผมก็เดินเข้าไปหาพี่พนักงานก่อนจะบอกว่ามาหาใคร ดีที่ไอ้เตอร์มันแจ้งไว้แล้วผมก็เลยไม่ต้องทำเรื่องอะไรเยอะแยะเพราะคอนโดของมันค่อนข้างเข้มงวดกับเรื่องความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย



ผมกดลิฟต์ขึ้นมายังชั้นที่เตอร์มันอยู่ เดินไปเรื่อยๆจนหยุดหน้าห้องของมันก็กดกริ่งหน้าห้องของมัน สักพักประตูก็เปิดออกปรากฏให้เห็นไอ้เตอร์ที่คงพึ่งตื่นนอน หัวถึงได้ยุ่งเหยิงขนาดนี้ มันยกมือขึ้นมาสางผมตัวเองจัดระเบียบตัวเองอีกนิดหน่อยก็ยื่นกุญแจห้องมาให้ผม



“ไงมึง พึ่งฟื้นเหรอวะ?” อดที่จะเอ่ยถามมันไม่ได้เมื่อได้เห็นสภาพของมัน



“เออ ถ้ามึงไม่มาเอากุญแจกูก็ไม่ตื่นหรอก”



“เออ โทษทีว่ะ” ผมเอ่ยขอโทษพลางขำสภาพของมันไปด้วย สงสัยคงยังไม่ค่อยสร่างเท่าไหร่ ผมเลยยื่นมือไปรับกุญแจมาไว้กับตัวก่อนจะเอ่ย “ขอบใจมาก”



“แล้วนี่มาคนเดียว?”



“เปล่า มากับไอ้เจ้าจอม” มันหรี่ตามองเหมือนต้องการจับพิรุธผม ผมเลยถามมันออกไป “อะไร?”



“มึงกับมันตกลงยังไงกันแน่วะ?”



ผมขมวดคิ้วกับคำถามของมันทันที “อะไรยังไงวะ?”



“ก็...มึงกับมันเป็นอะไรกัน?”



“ก็พี่ติวน้องติวไง จะเป็นอะไรได้อีกวะ” ผมตอบไปตามความจริงเพราะมันก็ไม่ได้มีสถานะไหนที่ผมกับไอ้เจ้าจอมมันจะเป็นอีกแล้วนี่หว่า ก็ผมกับมันก็เป็นแค่พี่ติวน้องติวกันมาตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมไอ้เตอร์มันถึงได้ถามอะไรแปลกๆแบบนี้หรือมันจะมีอะไรหรือเปล่าวะ “มึงสงสัยอะไร?”



“เห็นมึงสนิทกัน”



“ก็ปกติป่ะวะ กูกับมันกินข้าวด้วยกันทุกวัน อีกอย่างกูก็ต้องคอยติวให้มันด้วยจะสนิทกันก็ไม่แปลกหรอก” เรื่องที่ผมกับเจ้าจอมกินข้าวด้วยกันทุกเย็นผมก็เคยเล่าให้พวกมันฟังไปแล้ว พอมาได้ยินผมพูดขึ้นอีกครั้งไอ้เตอร์มันเลยไม่ได้ตกใจอะไร



“กูว่าเจ้าจอมมันดูแคร์มึงมากกว่าที่มันควรจะเป็นหรือเปล่า เมื่อคืน...กูเห็น..พวกไอ้คินก็เห็น”



“มึงจะพูดอะไรกันแน่?” ผมขมวดคิ้วฉับ ถามเข้าตรงประเด็นเพราะรู้สึกว่าคุยอ้อมไปอ้อมมาหลายรอบแล้วก็ยังไม่รู้เรื่องกันสักที ผมมองไอ้เตอร์ที่มองไปทางอื่นก่อนจะหันกลับมามองผม มันถอนหายใจก่อนจะเอ่ย



“กูว่า...เจ้าจอมมันชอบมึง”





มาแล่วๆๆๆ ตอนนี้ก็กลางๆเรื่องแล้วเด้ออ อีกไม่รู้ว่ากี่ตอนจะจบแต่ก็ไม่มากแล้วค่าตอนแรกวางแพลนไว้หลายตอนมากแต่มันเวิ่นเว้อไปเดี๋ยวเรื่องจะเอื่อยๆ ก็ขอบคุณทุกๆคนมากที่ติดตามและให้กำลังใจกันมาตลอดเลยย
#นิติผูกพัน

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รอฟังคำตอบอยู่ กรุณาอย่าหายไปนาน  :katai3:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3

ตอนที่18

เข้าใจตรงกัน



หลังจากได้ฟังสิ่งที่ไอ้เตอร์พูด ระหว่างทางที่กลับคอนโดผมก็เอาแต่ขบคิดกับสิ่งที่ได้ยินมา ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเรื่องที่มันบอกสักเท่าไหร่เพราะท่าทางของไอ้เจ้าจอมมันก็ยังปกติเหมือนอย่างทุกครั้งที่มันอยู่กับผมหรือมันอาจจะเป็นความเคยชินไปแล้วจนผมไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น



แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะครับในเมื่อไอ้เจ้าจอมก็ไม่เห็นมีท่าทีจะสนใจผมเลยหรืออาจจะมีแต่ผมไม่รู้อีกวะ คือตอนนี้คิดยังไงก็คิดไม่ออกสักทางว่าเจ้าจอมมันจะมาชอบผมได้ยังไง มีแต่หาเหตุผลแล้วก็เดาไปมั่วๆแต่แม่งมันเป็นไปได้หรอวะ?



“มึง..” ผมตัดสินใจหันไปหามัน เจ้าจอมมันแค่เพียงหันมามองหน้าผมนิดเดียวแล้วหันกลับไปมองทางต่อ



“ว่าไงครับ?” แต่เมื่อจะถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกไปผมก็ไม่มีความกล้าพอเลยได้แต่เงียบจนเมื่อรถติดไฟแดงเจ้าจอมมันก็เอ่ยย้ำถามกับผม มันคงจะสงสัยว่าผมเรียกมันทำไมนั่นแหละ “พี่ยีนส์เรียกผมทำไมเหรอครับ มีอะไรหรือเปล่า?”



ผมอยากถามมันไปตรงๆนะแต่อีกใจหนึ่งก็ไม่ค่อยกล้าเพราะบางทีผมอาจจะกลัวคำตอบที่มันจะตอบมา ผมยังอยากให้เราเป็นแบบนี้ไม่อยากไปเปลี่ยนแปลงอะไรให้วุ่นวาย ยิ่งต้องมีเรื่องรักๆใคร่ๆเข้ามาเกี่ยวในความสัมพันธ์มันอาจจะเป็นเรื่องยากแล้วผมกับมันอาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้ ไม่รู้สิผมว่าอยู่อย่างนี้มันก็สบายใจดีแล้ว



“แวะห้างให้หน่อยสิกูอยากซื้อของเข้าห้อง” สุดท้ายผมก็ต้องเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น เอาไว้ในตอนที่ผมพร้อมจะถามและอยากรู้มากกว่านี้ผมจะถามมันก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้นั้นก็ปล่อยให้มันเป็นตามที่ควรจะเป็นเถอะ



“ได้ครับ” มันตอบรับพร้อมกับไฟแดงที่เปลี่ยนเป็นสีเขียว เจ้าจอมมันจึงหันกลับไปสนใจในการขับรถของมันต่อ



ส่วนผมก็ได้แต่เหม่อคิดไปถึงเรื่องที่ไอ้เตอร์มันพูด บางทีมันอาจจะคิดมากไป เจ้าจอมเนี่ยนะจะมาชอบผมได้ในเมื่อต่างก็มีใครๆเข้าหามันออกจะเยอะแยะ แถมผมก็ไม่ได้ดีกับมันขนาดที่มันต้องมาชอบผมสักหน่อย แต่ก็นะไม่มีอะไรรับประกันนี่หว่าว่ามันจะไม่ชอบผม...



เรามาถึงห้างกันในเวลาต่อมา เจ้าจอมมันขอเดินแยกไปซื้อของของมันส่วนผมก็ไปหาซื้อของของตัวเองเหมือนกัน ตอนนี้ก็เลยต้องดินเข็นรถเข้าออกโซนนั้นโซนนี้อยู่คนเดียว พอเห็นอะไรหรืออยากได้อะไรก็หยิบลงรถไปซะหมดไม่มีการคิดไตร่ตรองอะไรทั้งสิ้นหรอกครับ ในเมื่ออยากได้ก็ซื้อแค่นี้เอง



ช่วงนี้ผมติดกินช็อคโกแลตมากแต่ไม่ใช่ช็อคโกแลตหวานเลี่ยนๆอะไรแบบนั้นนะ ส่วนมากผมจะกินพวกดาร์คช็อคที่ขมๆไปเลย จำได้ว่าเคยเอาไปกินแก้ง่วงตอนเรียน ไอ้เป๋ากับไอ้เตอร์มันก็มาขอกิน พอพวกมันได้กินไปชิ้นเดียวก็ไม่ขอผมกินอีกเลย พวกมันบอกว่า’ขมจะตายห่ามึงกินไปได้ยังไง’ ผมก็ขำพวกมันหน่อยๆ ไอ้พวกนี้แม่งไม่ค่อยชอบอะไรขมๆไงขนาดกาแฟยังไม่ค่อยกินกันเลย



นึกแล้วแม่งก็ขำหน้ามันตอนกินเข้าไป ถ้าใครได้มาเห็นหน้าบูดๆเบี้ยวๆของพวกมันก็คงจะขำเหมือนผมนั่นแหละ ขนาดไอ้คินกับไอ้ไฟมันยังหลุดขำเลย



ผมเดินเลือกยี่ห้อที่ตัวเองชอบกินบ่อยๆและถูกปากที่สุดมาสี่ห้าห่อ กะว่าก็คงจะกินได้ประมาณอาทิตย์นั่นแหละ ถ้าผมไม่กินเพลินจนหมดวันละห่อน่ะนะ



“ซื้ออะไรครับ?” เจ้าจอมมันโผล่หัวมาจากด้านหลังจนผมสะดุ้งทำช็อคโกแลตที่หยิบขึ้นมาร่วงลงไปในรถเข็นของตัวเองทันที “ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอครับพี่”



ยังจะมีหน้ามาถามอีก แล้วจะยิ้มทำไมวะไอ้เด็กเวรนี่!



“ใครใช้ให้มึงโผล่มาแบบนี้ล่ะวะ” ผมอดที่จะบ่นไม่ได้ ไม่วายก็ผลักหน้าผากมันจนหน้ามันแทบหงาย



“ก็ไม่คิดว่าพี่จะขวัญอ่อนขนาดนั้น” มันว่าแล้วเดินตามผมต้อยๆ “ผมเข็นให้ไหมครับ?”



พอมันเสนอตัวผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ “รีบๆตามมาดิ”



“ได้ทีใช้ผมใหญ่เลย”



“มึงเสนอตัวเอง”



“โอเคครับไม่เถียงแล้ว” มันว่าอย่างยอมแพ้ ก็ต้องเป็นงั้นอยู่แล้วในเมื่อมันเป็นคนเสนอมาทำเองนี่หว่า



ผมเดินมายังโซนพวกเครื่องใช้ในห้องน้ำเพราะสบู่เหลว แชมพูสระผม ยาสีฟันอะไรเทือกๆนี้ใกล้หมดแล้วจึงมาซื้อตุนไว้ เวลาของเก่าหมดจะได้ไม่ต้องวิ่งวุ่นหาเพราะจำได้ว่าครั้งก่อนโคตรหงุดหงิดเลยเวลาบีบบสบู่เหลวแล้วแม่งไม่มีออกมาให้ผมสักหยดจนต้องโทรไปขอไอ้เจ้าจอมมัน



“กลิ่นนี้ก็หอมนะครับ” มันยื่นสบู่เหลวยี่ห้อหนึ่งที่ผมเห็นในโฆษณาบ่อยๆมาให้ผมดู



“อันนี้มึงใช้อยู่นี่” ผมจำได้เพราะตอนนั้นมันเอายี่ห้อนี้แหละมาให้ผมยืม อีกอย่างเมื่อเช้าผมก็พึ่งใช้มาจากห้องมันเลยจำได้แม่นเลย



“ใช่ครับ ผมว่าหอมดี” มันว่าก่อนจะก้มลงมาดมฟุดฟิดแถวต้นคอผม ทำเอาผมขนลุกซู่เบี่ยงตัวหลบมันก่อนจะกระแอมเบาๆ



“แต่กูไม่ได้ใช้ยี่ห้อนี้”



“ก็ลองเปลี่ยนดูไงครับ ผมว่ากลิ่นนี้ตอนอยู่บนตัวพี่มันหอมดีกว่ากลิ่นนั้นอีก”



“เป็นหมาหรือไงมึง...จำกลิ่นดีเชียว”



“ผมใส่ใจพี่ต่างหาก”



อยากถามออกไปมากว่ามึงจะมาใส่ใจกูทำไมแต่ก็เงียบไว้ดีกว่าเดี๋ยวจะไปจุดประเด็นอะไรๆที่ผมไม่ค่อยอยากรู้ในตอนนี้เท่าไหร่ขึ้นมาแล้วกลายเป็นว่าเรื่องจะเลยเถิดไปมากกว่านี้



“ชอบก็ซื้อไปใช้เองดิวะ”



“ห้องผมมีแล้วไงครับหรือพี่จะมาใช้ที่ห้องผมล่ะ”



ยิ่งพอได้ยินมันพูดแบบนี้คำพูดของไอ้เตอร์ก็ลอยมเข้ามาในโสตประสาทของผมทันทีหรือว่าสิ่งที่ไอ้เตอร์มันสงสัยจะเป็นเรื่องจริงวะ ผมชักไม่ค่อยแน่ใจแล้ว



“เอายี่ห้อนี้แล้วกัน” สุดท้ายผมก็เลือกที่จะหยิบยี่ห้ออื่นมาใส่รถแล้วเดินหนีมันไปดูแชมพูสระผมบ้าง ได้ยินเสียงมันขำเบาๆก่อนมันจะเข็นรถตามผมมา



“พี่ใช้อันเดิมเถอะครับหอมดี” ไม่วายมันก็ยังมาออกความเห็นอีก



ผมหยิบขวดแชมพูที่ตนเองใช้ประจำหรือก็คืออันเดิมที่เจ้าจอมมันว่าใส่รถเข็นจากนั้นก็เดินไปหยิบยาสีฟันมาใส่รถจนกระทั่งของครบก็ไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์



เจ้าจอมมันเสนอตัวช่วยผมถือของผมก็ขี้เกียจห้ามปรามมันในเมื่อมันมีน้ำใจผมก็ไม่อยากปฏิเสธน้ำใจของมันเลยให้มันช่วยๆถือไป แม้ของแค่นั้นผมจะถือคนเดียวได้ก็เถอะครับ



“ไปไหนต่ออีกไหมครับ?” มันหันมาถามตอนที่ทั้งผมและมันคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จแล้ว



“ไม่ล่ะ กูง่วงนอนแล้ว”



“โอเคครับงั้นก็กลับเลยพี่จะได้ไปพักผ่อน”



“อืม”



รถเคลื่อนตัวออกจากตัวห้างไปได้ไม่นานผมก็ผล็อยหลับ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ลมอุ่นๆเป่ารดอยู่ที่ข้างแก้มของตัวเอง ผมเปิดเปลือกตาขึ้นแล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือไอ้เจ้าจอมที่กำลังมองหน้าผมอยู่ในระยะประชิด



“มึง..” เสียงผมแหบเล็กน้อยจึงกระแอมไอเบาๆให้เสียงกลับมา “ทำอะไร?” ผมถามมัน แทนที่มันจะผละออกแต่กลับยังมองหน้าผมอยู่ในท่าเดิม



“แค่อยากมองหน้าพี่ใกล้ๆ”



อ่า...ผมควรจะรู้สึกยังไงดีครับที่มันตอบผมมาแบบนี้



“มะ...มองเหี้ยไร” คำพูดแอบตะกุกตะกักนิดหน่อยแต่ก็ยังคงควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อยู่ “เอาหน้ามึงออกไปได้แล้วไอ้เด็กนี่”



มันทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่สุดท้ายมันก็ถอนหายใจ จนลมร้อนนั่นกระทบที่ข้างแก้มขอผมเต็มๆทำเอาสะดุ้งจนสุดท้ายมันก็ยอมถอยใบหน้าตัวเองออกไป



“พี่ขึ้นไปก่อนเลยนะครับ”



ผมไม่ได้เอ่ยถามะไรมันอีก คงเพราะบรรยากาศแปลกๆที่เกิดขึ้นเลยเลือกที่จะเงียบดีกว่า ผมเลือกที่จะลงรถไม่ลืมหยิบของที่ตัวเองซื้อมาทั้งหมดไปด้วย ก่อนจะเดินเข้าคอนโด ผมก็ไปเคาะกระจกฝั่งคนขับซึ่งมีไอ้เจ้าจอมมันนั่งอยู่ในนั้น พอเห็นผมเคาะมันก็เปิดกระจกออกมา



“ขอบใจที่พากูไปเอากุญแจแล้วก็...ไปซื้อของด้วย”



“ไม่เป็นไรครับ” มันยิ้มให้ผม แววตามันมีประกายบางอย่างจนผมต้องเสหลบก่อนจะพูดเบาๆขึ้นมา



“กูไปล่ะ”



ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นมันตอบว่าอะไรหรือทำหน้าแบบไหน เพราะหลังจากพูดเสร็จผมก็เอาแต่ก้าวฉับๆเพื่อเดินให้พ้นจากที่ตรงนั้นเร็วๆ ไม่รู้สิครับผมรู้สึกว่ามันมีบรรยากาศอะไรบางอย่างระหว่างผมกับมันที่เปลี่ยนไป...







ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วผมก็ยังคงอดสงสัยกับคำที่ไอ้เตอร์พูดไม่ได้ ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมเลยพยายามสังเกตทีท่าของเจ้าจอมมันมาตลอดแต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย นอกจากคำพูดคำจาของมันที่ดูกวนตีนมากขึ้นเป็นพิเศษ



“อีกไม่กี่เดือนก็สอบปลายภาคแล้วว่ะ เดือนหน้าก็ต้องเริ่มอ่านหนังสือแล้ว”



อย่างที่เคยยบอกไปว่าเด็กนิติอย่างพวกผมจะเริ่มอ่านหนังสือก่อนสอบประมาณสองเดือน ไม่งั้นถ้าเริ่มอ่านตอนใกล้จะสอบรับรองเลยว่าอ่านไม่ทันแน่ๆเพราะผมเคยลองมาแล้ว แต่ยังโชคดีอยู่ที่ผมไม่ได้ติดเอฟแต่นั่นแหละก็ยังไม่พ้นเกรดดีอยู่ดี



มันเหมือนเป็นบทเรียนว่าถ้าไม่อยากไปหักโหมตอนช่วงนั้นจนตัวเองเครียด พวกผมก็เลยต้องเริ่มอ่านตั้งแต่ๆเนิ่น การอ่านหนังสือของพวกผมไม่ใช่แค่การท่องมาตราในประมวลอย่างเดียวแล้วจะทำได้เลย พวกกผมต้องอ่านเนื้อหาในเรื่องนั้นๆมาประกอบแล้วอีกอย่างก็ต้องทำความเข้าใจกับหลักมาตรานั้นๆด้วยว่ามันเกี่ยวข้องกับอะไร



แรกๆตอนปีหนึ่งผมที่ไม่เคยได้เรียนกฎหมายก็มักจะท่องมาตราแบบที่เรียงๆกันจนทำเอาสมองมึนไปเลย พอช่วงหลังมานี้ได้รู้ทริคจากทั้งอาจารย์และรุ่นพี่เลยทำให้การจำมาตราของผมง่ายขึ้นโดยการจำไปเป็นเรื่องๆ เวลาสอบจะได้ไม่งงและไม่ต้องคอยท่องเรียงๆกันแบบนั้นมันจะทำให้สับสนและยากกว่า อันนี้สำหรับผมนะแต่สำหรับคนอื่นๆก็อาจจะมีวิธีของเขานั่นแหละ



“แป๊บๆก็จะหมดเทอมหนึ่งแล้ว เร็วฉิบหาย” ไอ้เตอร์ว่าบ้าง



“เออนั่นดิ พอสอบเสร็จอีกไม่กี่อาทิตย์ก็ขึ้นปีใหม่ หนึ่งปีมันมาไวไปไวเหมือนกันว่ะ” นึกๆแล้วนี่ก็เหลืออีกไม่กี่เดือนแล้วก็จะเป็นปีใหม่ รู้สึกเหมือนพึ่งจะเคาท์ดาวน์ไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเอง



“พวกมึงจะนั่งเพ้ออะไรกัน อาจารย์มองแล้วไอ้พวกเวร”



พวกผมหันไปมองตามที่ไอ้หมอกมันพยักพเยิดไปก็เห็นว่าอาจารย์มองมาที่พวกเราจริงๆเลยได้แต่ส่งยิ้มแหะๆเอาตัวรอด แต่สุดท้ายก็ไม่รอดสักคนเพราะอาจารย์เรียกตอบเรียงตัว เวรกรรม...



พอจบคลาสพวกผมก็พากันไปนั่งใต้คณะเพื่อคุยเรื่องานกลุ่มที่ต้องส่งอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าแต่เราก็ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ก็เลยต้องมานั่งประชุมวางแผนกันจะได้เริ่มงานและแบ่งงานกันทำสักที



“เอ๊ะ!?...นั่นมันน้องติวมึงป่ะวะไอ้ยีนส์”



ผมมองตามนิ้วที่ไอ้หมอกมันชี้ให้ดูก็เห็นไอ้เจ้าจอมมันเดินคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าใครแต่ดูท่าทางสนิทกันดี



“ใช่”



“ใครวะที่เดินกับมัน” ไอ้เป๋าเสนอหน้ามายุ่งบ้าง “โคตรสวย”



ผมมองคนทั้งสองจนเดินหายลับไปก็กลับมาสนใจในเนื้อหางานต่อ ก็ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรขนาดนั้นเลย ทำไมผมจะต้องไปสนใจด้วยล่ะวะ ก็แค่มันเดินกับผู้หญิงสวยๆซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ซึ่งแม่งน่าสนใจน้อยกว่างานที่อยู่ตรงหน้าผมอีก



ติ้ง!



ผมก้มลงมองดูข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอก็พบว่าเป็นไอ้เจ้าจอมที่ส่งมาหาผม



เจ้าจอม : วันนี้ผมไม่ได้กินข้าวด้วยนะครับพอดีติดธุระนิดหน่อย

ยีนส์ : อืม



ธุระของมันก็คงจะไปกับผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละครับ ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีธุระอะไรอีกที่มันจะต้องไม่ได้มากินข้าวกับผมเพราะให้เดาเขาก็คงจะสำคัญกว่าผมอยู่แล้วล่ะ



“เป็นไรไอ้ยีนส์ดูทำหน้าเข้า” ไอ้เป๋ามันเอ่ยทักหลังจากที่แบ่งงานกันเรียบร้อยแล้ว



“หิวข้าว” ผมตอบห้วนๆ ไม่รู้อ่ะอาจจะโมโหหิวจนหงุดหงิดไง



“เออๆแล้วจะไปแดกกับพวกกูไหมล่ะหรือจะกลับไปแดกกับน้องติวมึง” ประโยคหลังมันว่าอย่างล้อเลียนแต่ผมก็ไม่มีอารมณ์มาเล่นกับมันเท่าไหร่เพราะโมโหหิวอยู่



“ร้านไหน มึงเลือกเลย”



ไอ้เป๋าทำหน้างงๆที่มันไม่โดนผมด่าแต่มันก็ไม่ได้ถามอะไรผมมาก “งั้นก๋วยเตี๋ยวแล้วกัน”



“เออ”



ผมติดรถไอ้เป๋าไปร้านก๋วยเตี๋ยวด้วยกันเพราะเมื่อเช้าไม่ได้เอารถมาเพราะรถมันสตาร์ทไม่ติดเลยติดรถไอ้เจ้าจอมมันมาแล้วมันก็คงลืมไปแล้วล่ะครับว่าตอนกลับผมต้องกลับกับมันแต่ช่างเถอะยังไงผมก็มีเพื่อนเดี๋ยวให้ไอ้เป๋าไปส่งก็ได้ไม่รบกวนมันหรอกเพราะถึงแม้อยากจะรบกวนยังไงมันก็คงไม่ว่างให้ผมเท่าไหร่



“อะไรมึงเนี่ยไอ้ยีนส์” ไอ้เป๋าเหวขึ้นเสียงดังตอนทีผมยื่นมือไปปิดเพลงในรถมัน



“รำคาญ”



“เอ้า! ไอ้เวรนี่” มันด่าผมแล้วทำหน้างงๆ



“อยู่เงียบๆไปเถอะน่า”



“แต่กูอยากฟังเพลงนี่หว่า”



“เดี๋ยวข้างหน้าก็ถึงร้านแล้ว มึงฟังไม่จบเพลงหรอกเสียอารมณ์เปล่าๆ”



มันเงียบไปอึดใจก็ตอบผมกลับมา “เออๆ”



พอลงจากรถก็มองหาโต๊ะที่ไอ้เตอร์กับไอ้หมอกมันนั่ง พวกมันมาถึงก่อนหน้าพวกผมไม่นานเท่าไหร่ ส่วนไอ้คินกับไอ้ไฟสองคนนั้นก็คงจะไปหาอะไรกินกับแฟน ก็อย่างนี้ล่ะครับคนมีแฟนพูดยาก



“สั่งยังวะ” ผมถามพวกมันที่นั่งอยู่ ก่อนตัวเองจะขยับเก้าอี้เลื่อนออกมาแล้วทิ้งตัวลงนั่งบ้าง



“พวกกูสั่งแล้ว” ไอ้หมอกมันตอบ



“เออ งั้นไอ้เป๋ามึงไปสั่ง เอาเผื่อกูด้วยเหมือนเดิม” เพราะเป็นร้านข้างทางที่ต้องเดินไปสั่งเองผมเลยหันไปหาไอ้เป๋าแล้วบอกให้มันไปสั่งให้ผม มันทำหน้าเหม็นเบื่อใส่แต่ก็ยอมลุงขึ้นไปสั่ง



“แล้วนี่มึงยังไงร้อยวันพันปีไม่เคยมาแดกกับพวกกู” ไอ้เตอร์มันเริ่มเปิดบทสนทนาแต่ถ้ามึงเปิดแล้วเข้าตัวกูแบบนี้มึงก็อย่าเปิดเลยนั่งเงียบๆดีกว่า



“พูดเวอร์ไอ้สัด อย่างกับพวกมึงกินข้าวด้วยกันทุกวัน” ผมพูดกลับบ้าง ก็มันจริงนี่หว่า นานๆทีเท่านั้นแหละที่จะได้นั่งกินข้าวกันพร้อมหน้าพน้อมตาขนาดนี้ ไม่สิยังไม่พร้อมยังขาดไอ้คินกับไอ้ไฟตั้งสองคน



“ก็บ่อยกว่ามึงล่ะวะ” ไอ้หมอกมันพูดสมทบ



ไอ้เป๋าที่พึ่งเดินกลับมาจากสั่งก๋วยเตี๋ยวก็โผล่หน้าเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน “คุยเรื่องไรกันวะ ดูสนุกเชียว”



ผมอยากจะถามมันมากว่าเอาตาที่ไหนมองถึงได้ดูว่าพวกผมคุยกันสนุก



“นินทามึงมั้ง” ผมตอบไป ยกแก้มน้ำขึ้นมาดื่ม



“นินทาไรอ่ะ เรื่องกูไม่มีไรให้พูดหรอกแต่ถ้าเป็นเรื่องมึงก็ว่าไปอย่าง”



ผมหันขวับวางแก้วน้ำลงทันที “เรื่องกู?”



“เออ เรื่องมึงนั่นแหละ” มันว่า



“อะไร เรื่องกูก็ไม่มีเถอะสัด” ผมว่ารู้สึกร้อนรยแปลกๆแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ เรื่องของผมก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย



“เอ้า! ก็เรื่องมึงกับน้องอิงค์ไงล่ะวะ เป็นไงบ้างล่ะตอนนี้”



ผมถอนหายใจหลังจากได้ยินคำตอบของไอ้เป๋า ก่อนจะกระแอบเบาๆตอนที่เหลือบไปเห็นว่าไอ้เตอร์มันมองอยู่ด้วยรอยยิ้มกวนตีน ผมมองมันตาขวางก่อนจะหันไปตอบไอ้เป๋า



“ก็ไม่มีอะไร พี่น้องกัน” ผมตอบไปตามจริงเพราะสถานะของผมกับอิงค์ตอนนี้ก็มีแค่นี้



“วู้ว ตอบอย่างกับดาราเลยมึง” มันผิวปากหวือแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมันอีก



จากนั้นก๋วยเตี๋ยวที่พวกเราสั่งก็ถูกเอามาวางลงที่โต๊ะ พอได้ของกินอยู่ตรงหน้าแล้วก็ไม่มีใครชวนพูดอะไรกันอีกนอกจากตั้งหน้าตั้งตากินแบบเอาเป็นเอาตาย ตอนแรกก็ไม่หิวหรอกครับแต่พอได้กลิ่นหอมลอยอยู่ตรงหน้ากระเพาะก็กู่ร้องทันที



พอกินเสร็จก็แยกย้ายกันกลับ ผมให้ไอ้เป๋ามันมาส่งที่คอนโด ระหว่างทางว่าจะแกล้งปิดเพลงมันแต่ไอ้ห่านี่มันรู้ทันตะครุบมือผมไว้ตลอดจนผมล้มเลิกความตั้งใจ นั่งเงียบๆกระทั่งรถเคลื่อนตัวมาจอดหน้าคอนโด



“ขอบใจมาก” ผมเอ่ยขอบคุณมันหลังจากปลดสายเข็มขัดเสร็จแล้วเตรียมจะลงจากรถ



“เออ เจอกันพรุ่งนี้”



ผมเดินลงมาจากรถแล้วตรงขึ้นห้องของตัวเองทันที พอเปิดประตูมาได้ก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับตานั่งอยู่บนโซฟาเพราะความล้าจากการเรียนทั้งวันแถมยังต้องมาเจอรถติดอีก สักพักเสียงกดกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น ผมค่อยๆพยุงตัวลุกก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้กับคนที่มากดกริ่ง



“มีไร?” เดาไม่ผิดจริงๆด้วยว่าต้องเป็นไอ้เจ้าจอม



“พี่กลับยังไงครับ คือผมขอโทษ...ผมลืมว่าต้องรอพี่กลับด้วย” มันว่าเสียงเบาแต่สายตามองหน้าผมโดยไม่ได้หลบเลี่ยงอะไร



“ไอ้เป๋ามาส่ง” ผมตอบเสียงนิ่ง แค่เห็นหน้ามันก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา แล้วยิ่งพอได้ยินคำว่า ‘ลืม’ ที่ออกจากปากมันก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ “แค่นี้ใช่ไหมกูจะไปอาบน้ำ”



“เดี๋ยวครับ” มันว่าแล้วเอามือดันประตูของผมไว้จนผมปิดไม่ได้



“อะไรอีก”



มันเม้มปากก่อนจะสูดหายใจ มองมาที่ผมอย่างแน่วแน่ “ขอผมเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ”



ผมอยากถามมันว่าเหี้ยอะไรของมึงแต่การกระทำที่ตัวเองทำออกไปกลับตรงกันข้ามคือการเบี่ยงตัวหลบให้มันเข้ามาจนได้



“เข้ามาแล้วยังไงอีก?” ผมจ้องตามันเขม็ง มันเหมือนทำอะไรไม่ถูกก็ยืนมือมาจูงแขนผมไปที่โซฟา “ปล่อยไอ้สัด”



“มานั่งก่อนครับ  เดี๋ยวผมนวดให้” มันว่าอย่างเอาใจแล้วเดินอ้อมไปข้างหลังก่อนจะลงมือบีบนวดตรงหัวไหล่ผมด้วยแรงที่กำลังดี



“มึงทำเพื่ออะไร?” อดที่จะถามออกไปไม่ได้ “ไถ่โทษงั้นเหรอ?”



มือของมันหยุดนิ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นลูบไล้แผ่วเบาที่หลังคอของผม “ผมมีเรื่องจะบอกพี่”



ผมเอียงคอหนีกับสัมผัสของมัน รู้สึกถึงความวูบไหวในอกที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ อดที่จะคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกดีกับสัมผัสของมัน



“มีอะไร?” ผมถามเสียงห้วนกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง



“พี่สัญญาได้ไหมถ้าพี่รู้แล้วจะไม่เปลี่ยนไป” มันถามน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนไม่มั่นใจ



ผมรู้สึกถึงลางสังหรณ์แปลกๆว่ามันจะพูดเรื่องที่ตอนนี้ผมยังไม่อยากรับรู้เท่าไหร่ “มานั่งตรงนี้” ผมตบที่ว่างตรงโซฟาข้างๆตัวเองให้มันมานั่งด้วยกัน



มันยอมเดินอ้อมโซฟาแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างผม มันมองหน้าผมอย่างแน่วแน่และมุ่งมั่นแต่บางจังหวะนั้นแววตามันกลับวูบไหวเหมือนกำลังไม่มั่นใจที่จะพูดออกมา



“พี่สัญญากับผมได้ไหมครับ?” มันเอ่ยถามซ้ำอีกรอบ



ผมถอนหายใจ ตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองคงรับไม่ไหวถ้ามันพูดออกมาตรงๆ



“มึงเก็บสิ่งที่มึงอยากบอกกูไว้ก่อนเถอะ เอาไว้กูพร้อมแล้วกูจะถามมึงเอง”



“พี่รู้?” มันทำหน้าฉงนอย่างคนไม่ค่อยเข้าใจและมึนงงกับสิ่งที่ผมพูด



“ก็อาจจะ” ผมตอบไม่เต็มเสียง พยายามไม่หลบสายตาของมัน



มันยิ้มกว้างจนตาปิดก่อนจะยื่นมือของมันมาจับมือผม



“เอาเป็นว่าพี่รับรู้แล้วกันนะครับ” มันพูดเองเออเอง



ผมทำได้เพียงตอบอืออาในลำคอไม่ได้ตอบโต้อะไร แค่มันยังไม่พูดสิ่งที่ผมคิดก็ถือว่าดีแล้ว แต่การที่มันกับผมจะเข้าใจในเรื่องเดียวกันหรือเปล่านั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง



“พี่หายโกรผมหรือยัง?” พอหลังจากเงียบไปนานมันก็ถามขึ้นอีกครั้ง มือมันลูบไปมาบนหลังมือผม พอผมจะดึงมือออกมันก็ไม่ยอม ผมก็เลยนั่งนิ่งๆไป



“เรื่องที่มึงลืมกูน่ะเหรอ?” ผมแค่นเสียงหัวเราะจนเจ้าจอมมันทำหน้ารู้สึกผิด



“ผมขอโทษแต่ติดธุระจริงๆครับ”



“ธุระของมึงคือการไปกับผู้หญิงล่ะสิ”



ผมมองเจ้าจอมมันทำหน้าเหวอ ก่อนมันจะเอ่ย “พี่เห็น?”



“อืม”



“นั่นเพื่อนผม”



“กูไม่ได้อยากรู้”



“เหรอครับ?” พอได้ยินเสียงยียวนของมัน ผมก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองก่อนจะเห็นมันยิ้มกวนๆส่งมาให้ “พี่โกรธผมเพราะผมลืมพี่หรือพี่โกรธเพราะผมไปกับผู้หญิงกันแน่ครับ?”



เมื่อได้ยินมันถามจบผมก็มองเจ้าจอมตาขวางก่อนจะสะบัดมืออกจากมันแล้วลุกขึ้นยืน “เสร็จธุระแล้วก็กลับห้องมึงไปเลย”



ได้ยินเสียงมันหัวเราะก่อนมันจะลุกขึ้นยืนแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมโดยผมก็ผงะออกทันที



“หายโกรธผมก่อนสิครับแล้วผมจะกลับ” มันว่าพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ “หรือจะตอบคำถามผมก่อนก็ได้ผมจะกลับให้”



ผมมองจ้องตามัน สุดท้ายก็เป็นผมเองที่แพ้แล้วเสตาหลบก่อนจะยกมือขึ้นดันหน้ามันออกแล้วก้าวเดินไปยังห้องนอนตัวเองเร็วๆโดยที่มีเสียงหัวเราะของไอ้เจ้าจอมดังไล่หลัง ก่อนจะปิดประตูห้องนอนผมก็ตะโกนไปให้มันได้ยินว่า



“ถ้ากูโกรธแล้วจะให้มึงเข้าห้องมาทำไมล่ะวะไอ้เด็กเวร!”






ติชมและคอมเม้นได้ตลอดเน่อออ ขอบคุณมากๆค่าา
#นิติผูกพัน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด