กรงเทวดา : บทที่ 26 เริ่ม (2) (10.12.18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรงเทวดา : บทที่ 26 เริ่ม (2) (10.12.18)  (อ่าน 35803 ครั้ง)

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: กรงเทวดา : บทที่ 12 บาดเจ็บ (08.07.18)
«ตอบ #90 เมื่อ09-07-2018 14:08:06 »

โอ้ยยยย น้อง ซวยอีกแล้ว
คุณหมอมาเรียกคิตตี้แบบนี้เดี๋ยวจะมีคนหึงไหมคะเนี่ย?

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
Re: กรงเทวดา : บทที่ 12 บาดเจ็บ (08.07.18)
«ตอบ #91 เมื่อ09-07-2018 14:22:55 »

 :z2: :z2: :z2: :z2: โอ้ยยยย คิดถึงคุณหมออออนี่ก็นึกว่าคุณหมอจะหมดบทแล้วซะอีก แล้วไหงถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละคะแล้วนี่ถ้าดราโกรู้ว่าคุณหมอมากวนใจคริสตินบ่อยๆนี่ระวังจะโดนจัดการนะคะ ฮ่าๆๆๆ

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
Re: กรงเทวดา : บทที่ 12 บาดเจ็บ (08.07.18)
«ตอบ #92 เมื่อ09-07-2018 20:07:03 »

หมอก็โดนดอนพามาด้วยเหรอ ใครเป็นหนอนเนี่ย

ออฟไลน์ llinllin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #93 เมื่อ09-07-2018 21:30:58 »

บทที่ 13 เตรียม


‘ดะ ดราโก!!!! ช่วย ช่วยผมด้วย!!!’



‘ไม่!!!!!! คริสติน อดทนไว้ เธออย่าพึ่งเป็นอะไร’



‘ดะ ดราโกครับ ผม คงไม่ไหวแล้ว’ เสียงจากเครื่องดักฟังขนาดเล็กนั้นรายงานทุกสถานการณ์เคลื่อนไหวภายในห้องนอนของดอนคอลิโอเน่ได้เป็นอย่างดี แม้จะมีบางช่วงที่จะมีคลื่นแทรกบ้าง แต่เขาก็ยังสามารถคาดเดาเหตุการณ์ได้จากการลอบดักฟัง เสียงของเด็กหนุ่มคนนั้นสั่นไหวและแหบพร่า พร้อมกับการขาดห้วงของลมหายใจ อีกไม่นานเด็กคนนั้นคงได้เวลาลาจากโลกที่แสนโสมมแห่งนี้เสียที



‘ไม่!!!! คริสติน เธอต้องไม่เป็นอะไร ทนอีกนิด ขอร้องล่ะ ทนอีกนิด’ น้ำเสียงทุ้มของผู้ชายคนนั้นช่างสะเทือนอารมณ์ ไม่คิดเลยว่าดอนที่แสนเย็นชาคนนั้นจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ แสดงว่าคำสั่งจากเบื้องบนที่รายงานว่าว่าคริสติน นอร์แมน คือภัยที่ควรกำจัด ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าดราโก คอลิโอเน่คนนั้น จะเป็นเอามากขนาดนี้ จุดอ่อนของซาตานคนนั้นคือเด็กหนุ่มตัวน้อยที่แสนอ่อนแอและบอบบางอย่างนั้นหรือ



น่าขำจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าดอนแห่งคอลิโอเน่คนนั้นจะสิ้นคิดและสร้างจุดอ่อนของตัวเองขึ้นมา มิน่าพวกนั้นถึงได้คิดเร่งจัดการ



‘กะ ก่อนผมจะไป ฝัง ฝัง ผมไว้ใต้ต้นไม้ต้นนั้น ต้น ที่ ใหญ่ ที่สุดที่บ้าน ของผม ที่ คอทส์โวลส์ ฝะ ฝัง คอมพิวเตอร์ ของ ของผมด้วยนะครับ’ มือใหญ่หยาบกร้านที่เข่นฆ่าผู้คนมานับร้อยนับพันชีวิตถึงกับกระตุกเมื่อได้ยินคำขอร้องที่แสนไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี ไร้สาระจริงๆ ก็คงเป็นแค่เด็กที่ติดเกมส์จนแม้จะตายก็ขาดไม่ได้ล่ะมั้ง



‘ไม่ คริส ที่รัก เด็กน้อยของฉัน ได้โปรด ที่รัก อย่าทิ้งฉันไป อย่า ไม่นะ!!!!!!!’ หึ ริมฝีปากที่อยู่ภายใต้หนวดเครารกรุงรังกระตุกยิ้มอย่างชอบใจ ดวงตากร้านโลกและเย็นชามืดมนยกกล้องส่องทางไกลขึ้นเพื่อยืนยันในสิ่งที่เขาคิด



ตายแล้วซินะ



แม้ภาพจากกล้องจะไม่ได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากนัก แต่สิ่งที่เขาได้ยินก็ช่วยยืนยันได้มากพอที่เขาจะนำเรื่องนี้ไปขอรับเงินค่าจ้าง ดวงตามืดมนไร้ชีวิตนั้นเพ่งมองเพื่อความแน่ใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจกับปฏิบัติการที่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี



“ได้เวลาถอนตัวแล้ว” ร่างในชุดพลางตัวสีดำนั้นเก็บปืนคู่ใจอย่างทะนุถนอมแต่รวดเร็วอย่างมืออาชีพ เขาเก็บร่องรอยและหลักฐานที่อาจจะสาวมาถึงตัวตนของเขาทุกอย่างให้เรียบร้อย หลังจากนั้นเมื่อชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง เขาก็หมุนตัวและรีบวิ่งลงไปชั้นล่างของตึกอย่างรวดเร็ว เขาใช้เวลาไม่นานก็วิ่งลงมาถึงชั้นล่างสุด เดินไปทางประตูหลังที่เชื่อมกับตรอกเล็กที่เขาจอดรถยนต์คู่ใจรออยู่



ด้วยประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพ เขาก็สามารถหนีออกมาได้อย่างปลอดโปร่งและโล่งใจ ลัดเลาะไปตามถนนในตัวเมือง ผ่านตึกรามบ้านช่องและวกวนไปมา เข้าซอยนั้น ออกถนนนี้เพื่อความปลอดภัยและเพื่อสร้างความงงงวยให้แก่ใครก็ตามที่อาจจะสะกดรอยเขาอยู่ กันไว้ดีกว่าแก้ คือหนึ่งในคติประจำใจที่ทำให้เขายังสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในสายอาชีพนี้ได้อย่างปลอดภัย



งานง่ายๆ แต่ค่าตอบแทนกลับสูงลิบ นี่ซิถึงจะเป็นงานในฝันที่เขาชื่นชอบ ทุกครั้งที่เหนี่ยวไกปืน มันเหมือนกับร่างทั้งร่างของเขากำลังหลั่งสารอะดรีนาลินอย่างเต็มที่ หัวใจและความกระหายอยากในความตายช่างหอมหวานและน่าตื่นเต้นเร้าใจ แต่งานนี้มันง่ายและค่อนข้างน่าเบื่อไปซักหน่อย แค่นั่งเฝ้ามองสังเกตการณ์เป้าหมายอยู่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น จากนั้นก็...ปัง



“หึหึหึ” เสียงหัวเราะของมือปืนสไนเปอร์ดังก้องอยู่ภายในรถเก๋งคันเก่าสีดำไม่สะดุดตา รถของเขานั้นกลมกลืนไปกับรถราทั่วไปบนท้องถนน จนเวลาผ่านไปซักพัก รถของมือปืนหนุ่มก็เลี้ยวเข้ามาจอดในโรงงานเก่าแถวชานเมือง มือปืนยิ้มกริ่มอารมณ์ดีเมื่อคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับต่อจากนี้ ช่างน่าสุขใจจริงๆ





“คิดตี้!!!!!!”



ร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจและความกดดันของดราโก ผลักร่างสูงของหมอหนุ่มที่กำลังถลาเข้ามาดูอาการของคริสตินอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีทองวาวโรจน์จ้องเขม็งไปยังหมอคนนั้นด้วยความไม่ไว้วางใจ ร่างสูงที่รอบๆ ตัวแผ่รังสีอันตรายออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ท่าทางของเขากำลังบดบังร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงพยาบาลคล้ายปกป้อง ใบหน้าหล่อเหลาแต่แข็งกร้าวนั้นเย็นชาและจนหมอหนุ่มชะงักและเผลอก้าวเท้าถอยหลังอย่างหวาดหวั่น



“นายเป็นใคร” น้ำเสียงเย็นชาเรียบนิ่งของดราโกทำให้จอห์นถึงกับสั่นสะท้าน ดราโกมองผู้ชายคนนั้นเขม็ง



ทำไมถึงรู้จักเด็กน้อยของเขา



“ผมเป็นหมอที่ทางคอลิโอเน่จ้างมาแทนดร.บราวน์ครับ” จอห์นตอบกลับ ท่าทางละล้าละลังอยากจะเข้าไปดูเด็กหนุ่มแต่เขาก็หวาดกลัวผู้ชายตรงหน้าเกินไป



ดราโกจ้องผู้ชายผมทองที่สวมชุดกาวน์สีขาวนิ่งๆ เขานึกขึ้นได้ว่าคาลอสได้มารายงานเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ถึงใจจะไม่อยากยอมรับ แต่คริสตินต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว ร่างสูงจึงตัดสินใจขยับหลบให้จอห์นเข้ามาชิดขอบเตียง คุณหมอชั่วคราวสำรวจบาดแผลคร่าวๆ ที่ต้นแขนของคริสตินก็หันหลังรีบร้อนไปหยิบเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์เพื่อมาทำแผลให้กับเด็กหนุ่ม บาดแผลของเด็กหนุ่มต้องได้รับการห้ามเลือดและเย็บอย่างเร่งด่วน โชคดีที่เป็นแค่แผลกระสุนเฉี่ยวเท่านั้น แต่เพราะเป็นกระสุนจากลำกล้องของปืนที่ยิงระยะไกล จึงทำให้บาดแผลนั้นลึกและสาหัสพอสมควร



ตลอดเวลาที่จอห์นทำแผลนั้นดวงตาของดราโกก็ไม่ขยับเคลื่อนไปที่ไหน แม้ว่าบางช่วงจะรับโทรศัพท์และสั่งการลูกน้องเกี่ยวกับมือปืนคนนั้นบ้าง แต่เขาก็ยังคงอยู่เฝ้าคริสตินตลอดเวลา ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง จอห์นก็ยืดตัวขึ้นเก็บอุปกรณ์ทำแผลทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย



“เดี๋ยวผมจะจ่ายยาให้ แล้วก็กลับไปพักผ่อนได้เลยครับ แต่ต้องให้เขามาทำแผลกับผมทุกวันด้วยนะครับ” คุณหมอหนุ่มบอกดราโกที่เดินเข้ามาหาคริสตินทันทีที่จอห์นผละออกไป



“อืม” ชายหนุ่มรับคำในลำคอ “เขาจะตื่นเมื่อไหร่”



“คงอีกซักพักล่ะครับ” จอห์นตอบกลับ แม้ใจจะสงสัยและอยากรู้เรื่องราวมากแค่ไหน แต่เขาก็รู้ว่าเวลานี้ไม่เหมาะสมทั้งสิ้น และที่สำคัญแค่เขาขยับเข้าไปใกล้มายสวีทฮาร์ทของเขา ดวงตาคมดุของผู้ชายตัวใหญ่คนนี้ก็แทบจะฆ่าเขาทั้งเป็นอยู่แล้ว



“งั้นหรือ นายรู้จักคริสตินได้ยังไง” ดราโกสอบถามเรื่องที่เขาค้างคาใจในทันที ท่าทางของหมอหนุ่มที่ดูเป็นห่วงเป็นใยเด็กน้อยของเขาและดูสนิทสนมจนมีชื่อเล่นแบบนั้นมันทำให้เขาไม่สบอารมณ์



“เขาเป็นเพื่อนผมครับ รู้จักกันตั้งแต่คิตตี้มาอิตาลีใหม่” หมอหนุ่มยิ้มอารมณ์ดี เมื่อคิดถึงภาพที่เขาและคริสตินพบกันครั้งแรก แต่พอเขาเห็นสายตาของผู้ชายอันตรายคนนั้นยังจ้องมาพร้อมกับดวงตาวาววับไม่ชอบใจ จอห์นก็ถึงกับสะดุ้ง



แต่ก่อนที่บรรยากาศจะกดดันและร้อนระอุจนหมอหนุ่มจะขาดอากาศาหายใจ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลของคนที่นอนบาดเจ็บอยู่ก็ลืมตาขึ้น คริสตินส่งเสียงเจ็บปวดออกมาเล็กน้อยเพราะบาดแผลยังคงระบมและปวดหนึบ



“อือออ”



“คิตตี้!!!! มายสวีทฮาร์ท” เสียงร้องของจอห์นดังขึ้นในทันที มาดคุณหมอที่น่านับถือสลายหายไปจนหมด เพราะการเคลื่อนไหวของคริสตินจึงทำให้จอห์นลืมตัว รีบผวาจะไปเกาะขอบเตียงพยาบาล แต่ยังไม่ทันไรก็โดนมือหนาของชายหนุ่มที่ยืนหน้าดุอยู่ใกล้ๆ รั้งคอเสื้อไว้ได้ทัน



“แอ๊ก!!!!” เพราะคอเสื้อถูกรั้งเอาไว้ ทำให้ร่างสูงของหมอจอห์นเผลอส่งเสียงร้องพิลึกออกมา ใบหน้าหล่อเหลาแต่ดูสุภาพเริ่มซีดเซียว เพราะอากาศหายใจไม่เข้าไปหล่อเลี้ยง มือไม้เริ่มตะกุยจับรั้งคอเสื้อคืนมา





ผมลืมตาขึ้นมาหลังจากผมหมดสติไปเพราะอาการหน้ามืดจากการเสียเลือด ไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหนแต่เพราะเสียงพูดคุยที่ดังอยู่ไม่ไกลนักปลุกให้ผมตื่นขึ้นมา ผมได้ยินเสียงโครมครามและเสียงทรมานของใครบางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับเตียงที่ผมนอนอยู่ ผมจึงขยับตัวเล็กน้อยเพื่อพลิกตัวและหันไปมองเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้น อืม ระหว่างที่ผมหลับไปนั้นมันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ ทำไมจอห์นถึงมาอยู่ที่นี่ และทำไมเขาถึงทำหน้าตาเหมือนคนใกล้จะขาดอากาศหายใจแบบนั้นล่ะ ผมสงสัยมากเลยครับ เขาเล่นอะไรอยู่นะ



“อุ๊ แค่กๆ” จอห์นยกมือตะกุยอยู่ในอากาศท่าทางทรมานจนผมต้องยันตัวลุกขึ้นมานั่งพิจารณาดูด้วยความสนใจ ก่อนจะพบว่าความจริงแล้วเป็นดราโกที่รั้งคอเสื้อของจอห์นเอาไว้แน่น และที่สำคัญทำไมเขาถึงทำหน้าดุขนาดนั้นกันนะ ยิ่งดวงตาสีทองของเขายิ่งน่ากลัวเป็นพิเศษเลยทีเดียว



“ดราโกครับ” ผมเรียกชื่อเขาเพื่อให้ดราโกละความสนใจจากจอห์น ก่อนที่คุณหมอหนุ่มจะหมดอากาศหายใจไปจริงๆ แต่เมื่อผมเรียกเขา เขาก็ไม่สนใจผมเลยครับ ดูดราโกจะหมกมุ่นกับการรั้งคอเสื้อของจอห์นเหลือเกิน สงสัยผมคงต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว เพราะดวงตาสีฟ้าของจอห์นนั้นกำลังหันมาขอความช่วยเหลือจากผมครับ เฮ้อ



“ดราโกครับ” ผมเรียกเขาอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังมากขึ้น แต่ครั้งนี้เขาแค่เหลือบตาหันมามองผมแวบๆ เท่านั้น อืม ยังไม่ได้ผล งั้นก็ต้อง “ดราโกครับ ผมเจ็บ”



เรียกชื่อเขาอีกครั้งพร้อมประโยคและน้ำเสียงแสดงอาการเจ็บปวด ผมว่าผมต้องได้รางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมแน่เลยครับ การแสดงของผมไร้ที่ติจริงๆ เพราะครั้งนี้ดราโกเขาหันมาสนใจผมแล้วครับแต่ก็ยังไม่ปล่อยมือ อ้าว ทำไมกันนะ งั้นผมเพิ่มอาการเม้มปากนิดหนึ่งก็ได้ครับ นั่นไงเขามีปฏิกิริยาเพิ่มแล้วครับ เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ปล่อยอีกเช่นเคย งั้นเพิ่มเพิ่มอาการขมวดคิ้วขึ้นมาอีกหน่อย และครั้งนี้ได้ผลครับ ดราโกถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และยอมปล่อยมือจากจอห์นแต่โดยดี โดยการปล่อยและออกแรงผลักจนหน้าตาหล่อๆ ของจอห์นแทบถลาลงพื้น



ร่างสูงของดราโกเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับยกมือหนาลูบศีรษะผมเบาๆ พร้อมกับใบหน้าหล่อคมที่โน้มเข้ามาใกล้ ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาคมสีทองคู่นั้นด้วยความสงสัย มันฉายแววขำขันออกมาบางเบา



“เธอแสดงได้เก่งมากเด็กน้อย” บรรยากาศรอบตัวของดราโกที่เย็นชาโหดร้ายเมื่อครู่สลายหายไปในทันทีที่เขายืนอยู่ใกล้กับผม ผมพยักหน้ารับคำชมนั้นด้วยความเต็มใจ



“ขอบคุณครับ”



“หึ ดีขึ้นไหม” เขาถามผมพร้อมกับเหลือบมองแผลที่ต้นแขนของผมที่มีผ้าพันแผลพันอยู่อย่างปราณีต



“ดีขึ้นแล้วครับ” ผมตอบเขากลับ แล้วก็ต้องหันมาสนใจผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนทำหน้าตาละห้อยเพราะถูกผมลืม “สวัสดีครับจอห์น สบายดีไหมครับ”



ผมทักทายเขาเหมือนปกติทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมกลับได้รับสายตาตัดพ้อจากชายหนุ่มตรงหน้าแทน



“สบายดีครับคิตตี้” พอผมทักทายเขา จากใบหน้าละห้อยก็กลับมาร่าเริงแจ่มใสเหมือนปกติ ออร่าเจิดจ้าอย่างคนอารมณ์ดีก็เปล่งประกาย สงสัยเขาลืมเหตุการณ์เมื่อครู่ไปจนหมดแล้วแน่ๆ เลยครับ



“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ” ผมถามด้วยความสงสัย



“ผมมารับจ็อบพิเศษแทนหมอคนเก่าชั่วคราวนะครับ ดีใจที่ได้เจอคุณนะครับคิตตี้ ดีใจมากเลย” จอห์นยิ้มกว้างอ้าแขนเตรียมจะเข้ามากอดผมเหมือนปกติ แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ตัวผมฝ่าเท้าของดราโกก็ยันเปรี้ยงตรงกลางท้องพอดีเลยครับ



“โอ๊ย” จอห์นร้องโอดโอยล้มกระแทกพื้นในทันที ผมตกใจและรีบลุกจากเตียงเพื่อไปดูคุณหมอที่น่าจะกลายเป็นคนเจ็บเหมือนกับผม แต่ผมกลับถูกอ้อมแขนของดราโกคว้าไว้และตวัดตัวผมขึ้นมาอุ้มทันที



“อ๊ะ ดราโก?” ผมหันไปมองเขาด้วยความแปลกใจ ผมเห็นสายตาของชายหนุ่มที่อุ้มผมอยู่ก็ต้องสั่นสะท้าน เพราะมันเต็มไปด้วยอารมณ์อยากฆ่าจอห์นทิ้งไปซะให้พ้นๆ ผมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความแปลกใจ เกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้นะ ทำไมเขาดูไม่ชอบจอห์นเลย ผมนิ่งคิดไปซักครู่เพื่อพิจารณาและหาเหตุผลไปต่างๆ นานา และเพื่อไม่ให้จอห์นถูกดราโกฆ่าไปเสียก่อน ผมจึงตัดสินใจบอกเรื่องราวก่อนหน้านี้ให้เขาฟังน่าจะดีที่สุด



“ดราโกครับ ผมรู้จักจอห์นเพราะเขาเป็นเพื่อนผม และเขารู้จักคุณด้วยนะครับ เขาเป็นคนช่วยชีวิตคุณเอาไว้ตอนคุณถูกยิง” ผมบอกเล่าเหตุการณ์ให้เขาฟังอย่างกระชับได้ใจความ จอห์นที่หายจุกแล้วก็ยกมือกุมท้องพยักหน้าหงึกหงักเพื่อยืนยันประโยคที่ผมเล่าเมื่อครู่



“ช่วยฉัน?” ดราโกหรี่ตาลงท่าทางดูอันตรายมากขึ้นกว่าเดิม



“ครับ คิตตี้โทรมาขอร้องผมให้ไปช่วยคุณ อาการของคุณสาหัสน่าดู แต่โชคดีที่คุณรอดมาได้” คุณหมอหนุ่มพยักหน้าจนผมกลัวว่าคอเขาจะเคล็ด ตอนนี้จอห์นน่าจะหายจุกแล้วครับ เขาลุกยืนเต็มความสูงแต่ก็ยืนอยู่ห่างจากมือและเท้าของดราโกในระยะที่ปลอดภัย



“จอห์นก็คือคนที่ช่วยคุณอีกคนครับ” ผมสรุปให้เขาฟังอีกครั้ง ดราโกกำมือไว้แน่น หน้าตาดูไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่พูดอะไรกลับอุ้มผมเอาไว้แน่นและเดินออกไปจากห้องพยาบาลทันที แต่ก่อนที่ผมและดราโกจะเดินพ้นจากเขตห้องพยาบาล ผมแอบมองผ่านไหล่กว้างของเขาเพื่อหันไปมองคุณหมอผมทอง แล้วผมก็ได้รับรอยยิ้มกว้างๆ จากหมอหนุ่มที่ส่งมาให้ผม พวกเราเข้าใจกันในทันทีครับ ว่าไว้ค่อยคุยกันวันหลังก็ได้ ยังไม่ต้องรีบร้อน ให้ผมพักผ่อนและดูแลตัวเองดีๆ ก่อน



ผมพยักหน้ารับสายตาของเขา และหันกลับมาซบอกแกร่งๆ ของดราโกแทน ผมสังเกตุว่าดราโกเงียบมากขึ้นกว่าเดิม และกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ผมจึงได้ลองถามเขาเรื่องของสไนเปอร์คนนั้นด้วยความสนใจ



“จับเขาได้รึยังครับ” ผมเงยหน้าถามเขา ดราโกก้มหน้ามามองผมที่รอคำตอบของเขาอยู่เงียบๆ



“ตอนนี้ยัง ฉันกำลังให้มาร์คตามอยู่” ดราโกตอบกลับมา



“ผมไปช่วยมาร์คได้ไหมครับ”



“ไม่” เสียงทุ้มของดราโกตอบกลับมาในทันที “เธอต้องพักผ่อน”



“ผมคงนอนไม่หลับถ้าจับเขาไม่ได้” ผมยังขอร้องเขา และบอกเหตุผลในส่วนของผมบ้าง ผมจ้องเขานิ่งๆ พยายามมองลึกเข้าไปในดวงตาของผู้ชายตรงหน้า “นะครับดราโก ถ้าผมไม่ไหว ผมจะกลับมาพัก แต่ตอนนี้ให้ผมช่วยเถอะครับ นะครับ”



ร่างสูงของดอนแห่งคอลิโอเน่ที่ยังคงอุ้มผมอยู่หยุดเดิน ทั้งผมและเขาไม่มีใครพูดอะไรกัน ต่างสบตาและตกอยู่ในความเงียบกันทั้งคู่ ผมมองเขาพร้อมกับยืดตัวไปหอมแก้มเขาหนึ่งที



“นะครับดราโก” ผมมองเขาหน้านิ่งๆ แต่พฤติกรรมแบบนี้ผมเลียนแบบมาจากแด๊ดดี้ตอนที่ท่านใช้อ้อนคุณพ่อ และมันก็ได้ผลทุกครั้ง คุณพ่อยอมใจอ่อนกับแด๊ดเมื่อแด๊ดใช้กลยุทธ์การขอร้องด้วยการหอมแก้ม



“เธอเอาวิธีนี้มาจากใครน่ะ” ดราโกเลิกคิ้วถามผมด้วยความสงสัย



“แด๊ดครับ แด๊ดใช้บ่อยๆ” ผมตอบไปตามความจริง



“แด๊ด?”



“พ่อของผม” ผมตอบเขาแล้วเอียงศีรษะด้วยความงุนงงว่าดราโกจะสงสัยอะไร



“แล้วคุณพ่อที่เธอพูดถึงบ่อยๆ ล่ะ?” เขายังถามต่อ



“คุณพ่อก็คือคุณพ่อ แด๊ดดี้ก็คือคุณพ่อ”



“เธอมีพ่อสองคน” ดวงตาของดอนแห่งคอลิโอเน่ดูพราวระยับแบบแปลกๆ ผมไม่เข้าใจความหมายในดวงตาของเขา แต่ก็พยักหน้าขอร้องเขาต่อไป



“ดราโก นะครับ”



“เฮ้อ เอาเถอะ ถ้าฉันเห็นเธอไม่ไหว เธอต้องกลับมาพักนะ” ชายหนุ่มร่างสูงหมุนตัวกลับไปยังอีกทิศทางหนึ่งเพื่อพาผมไปบ้านหลังเล็กๆ ของมาร์ค



“ครับผม” ดวงตาของผมฉายแววมาดหมาย และความตื่นเต้นของผมก็เอ่อร้นออกมาจนผมแทบจะอดใจรอไม่ไหว





ทันทีที่ดราโกเปิดประตูบ้านของมาร์คเข้ามา ผมก็เห็นชายหนุ่มผมฟูกำลังยุ่งอยู่หน้าจอคอม เสียงรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์ดังอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับหน้าจอที่ปรากฏภาพวิดีโอของกล้องจราจร ตอนนี้เท่าที่ผมเห็นคือมาร์คกำลังตามรอยของสไนเปอร์คนนั้นอยู่ครับ โดยการแฮคเขาไปในระบบของจราจรเพื่อติดตามรถเก๋งสีดำคันหนึ่งไปเรื่อยๆ แต่ดูมาร์คจะหัวเสียไม่ใช่น้อยเพราะการตามรอยด้วยกล้องจราจรนั้นมีข้อจำกัด เพราะบางทีกล้องตัวนั้นก็ไม่ได้ติดบางแยก การจะตามหาสไนเปอร์ก็ต้องเพิ่มขอบเขตเข้าไปด้วย



ดราโกพาผมมานั่งตรงเก้าอี้อีกตัวที่ข้างๆ กับมาร์ค ผมเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มร่างสูงเล็กน้อยและกลับไปสนใจมาร์คและงานของเขาต่อ ดอนแห่งคอลิโอเน่ลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างๆ ผมและเอ่ยถามโปรแกรมเมอร์หนุ่มที่กำลังหมกมุ่นอยู่



“ตามได้ไหม” ดราโกเอ่ยถามเสียงเรียบ



“ได้ครับ แต่ผมขอเวลาอีกหน่อย ตอนนี้กำลังเชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิดของพลเมืองแทน” ชายหนุ่มหัวฟูตอบและพิมพ์ข้อมูลเข้าไปกับคอมพิวเตอร์เช่นกัน ผมมองพวกเขาที่ทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่เงียบๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบคอมพิวเตอร์ของผมที่วางอยู่ใกล้ๆ กันนั้นขึ้นมา ผมจัดการลากสายแลนเข้ามาต่อ และเปิดระบบปฏิบัติการที่ผมสร้างขึ้นมาในทันที



“เธอทำอะไร” ดราโกหันมาเห็นผมพอดี ใบหน้าหล่อเหลาดูเคร่งเครียดติดดุเมื่อเห็นผมขยับแขนข้างที่โดนยิง



“ผมดึงข้อมูลมาให้ได้ครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยสะกดรอยพวกคาโซ่อยู่ช่วงหนึ่ง ผมจัดการฝังไวรัสและโปรแกรมไว้กับส่วนของศูนย์ควบคุมจราจรไว้แล้ว และศูนย์กลางของระบบกล้องวงจรปิดไว้แล้วด้วย ถือว่าช่วยย่นระยะเวลาไปในตัวละกันนะครับจะได้เร็วขึ้น” ผมบอกพวกเขาและจัดการเชื่อมต่อจากเครื่องของผมขึ้นหน้าจอใหญ่ ผมขยับแขนเล็กน้อย พยายามไม่ขยับมากจนเกินไปเพราะบาดแผลยังคงระบมและเจ็บปวด แม้แต่ละครั้งที่ผมพิมพ์ผมจะเผลอขมวดคิ้วและเหงื่อซึมแถวขมับ



“ดีๆ ๆ ๆ เจ้าหนู นายบอกมา ฉันจะได้ลดขอบเขตลงและหาสถานที่เลย” มาร์คตื่นเต้นทำหน้าตาร่าเริงดีใจ ผมพยักหน้าและข่มความเจ็บนั่งเจาะระบบเข้าไปเปิดระบบปฏิบัติการที่ผมฝังตัวไว้ก่อนหน้านั้น เพียงไม่นานหน้าจอเล็กๆ ก็ปรากฏรูปรถสีดำคันหนึ่งจากนั้นช่องที่สองก็ปรากฏรูปรถคันนั้นไปเรื่อยๆ จากหน้าจอเล็กอันที่หนึ่ง ก็ปรากฏหน้าจออีกนับร้อยๆ ไล่ตามรถคันนั้นไปในมุมมองที่แตกต่างกัน ผมเร่งความเร็วมากขึ้นจนภาพที่ปรากฏดูลายตาและชวนมึนงง



หน้าจอของมาร์คก็ถูกผมเชื่อมต่อปรากฏจุดแดงเล็กๆ บนแผนที่ของเมือง วิ่งวนไปเรื่อยๆ ตามสัญญาณที่ถูกจับได้ จนกระทั่งจุดแดงนำพวกเราออกไปยังชานเมืองฝั่งตรงข้ามกับที่ตั้งของบ้านดราโกพอดิบพอดี ระยะทางราวสามสิบกิโลเมตรถ้าตัดผ่านเมืองไป



“เจอแล้วครับดอน ชานเมืองฝั่งตะวันออก แถวนั้นมีโรงงานร้างอยู่ที่หนึ่งพอดี ปิดปรับปรุงระยะยาว” ชายผมฟูยุ่งเหยิงดึงข้อมูลออกมาได้ในทันที



“ส่งข้อมูลให้จาคอป” ดราโกหันไปบอกมาร์คที่พยักหน้ารับคำสั่ง ตอนนี้กลุ่มของจาคอปกระจายกำลังกันอยู่ทั่วเมืองและรอทางมาร์คบอกเป้าหมายและพิกัด เมื่อรู้ที่อยู่เรียบร้อยแล้ว มือขวาร่างยักษ์อย่างจาคอปจะทำการบุกเข้าไปในทันที ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของดวงตาคมดุสีทองลุกขึ้นยืนและช้อนตัวผมขึ้นมาแนบอก “ฉันจะไปส่งเธอที่ห้องก่อน ได้เวลาพักผ่อนของเด็กแล้ว”



“ครับ” ผมรับคำเขาแต่โดยดี แอบเหลือบมองคนที่อุ้มผมไปมาอยู่เงียบๆ สงสัยดราโกกำลังคิดเรื่องมือปืนสไนเปอร์คนนั้นอยู่ จนลืมไปว่าตอนนี้คอมพิวเตอร์ยังอยู่ในมือของผมอยู่เลยครับ แต่เรื่องอะไรผมจะบอกเขาล่ะ ผมก้มหน้าลงต่ำเพื่ออำพลางดวงตาของผมที่คงแวววาวเป็นประกาย แผนการบางอย่างผุดขึ้นในใจ เมื่อมีคอมอยู่ในมือ ผมก็เหมือนคนที่มีอำนาจทุกอย่าง ทั้งข่าวสาร ทั้งข้อมูล ทุกอย่างจะอยู่ในมือของผม





...............................................................




ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #94 เมื่อ09-07-2018 22:22:37 »

งานนี้เข้าทางคิตตี้แล้ว ดูซิถ้ามีคอมแล้วเจ้าหนูจะป่วนอะไรดอนอีก

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #95 เมื่อ09-07-2018 22:29:20 »

ใครคือเกลือเป็นหนอน..บ่อนไส้  :ruready :ruready :ruready

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #96 เมื่อ09-07-2018 22:31:17 »

 :z1:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #97 เมื่อ09-07-2018 22:53:23 »

ขำความเล่นละครของน้อง ทำไมน่าเอ็นดู 555

ว่าแต่ใครเป็นหนอนเนี่ย!

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #98 เมื่อ09-07-2018 23:19:13 »

สงสารจอห์นกอดก็ไม่ได้กอดยังโดนยันเต็มๆอีก หาใครมาดามใจจอห์นสักคนเถอะค่ะและเราคิดว่าคนที่เหมาะกับจอห์นก็ต้องเป็นคุณเลขามาดเกือบขรึมนี่แหละ

ว่าด้วยเรื่องสไนเปอร์ที่บอกว่าเบื้องบนสั่งมาแสดงว่าเป็นคนของฝั่งดราโกใช่ไหม แบบไม่อยากให้ดราโกมีจุดอ่อนเลยสั่งกำจัดเสีย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #99 เมื่อ09-07-2018 23:52:25 »

 :katai2-1:


เก่งมากกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
« ตอบ #99 เมื่อ: 09-07-2018 23:52:25 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 931
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #100 เมื่อ10-07-2018 15:04:22 »

หวงจนหน้ามืด

ออฟไลน์ PPYK287

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #101 เมื่อ12-07-2018 21:18:13 »

ผ่านมา 13 ตอนแล้วคุณลุงอุ้มน้องไปกี่ครั้ง จงตอบคำถาม (10 คะแนน)

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #102 เมื่อ18-07-2018 20:02:32 »

ใครเป็นหนอนฟะ??????

ออฟไลน์ arissara

  • ดาดาเดเด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #103 เมื่อ19-07-2018 02:00:46 »

สนุกมากกกกกกก

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #104 เมื่อ19-07-2018 02:50:11 »

ใครเป็นหนอนฟะ????
สงสารคุณหมอจังเลยค่ะ แต่ก็สมควรนะคะ ชอบทำตัวรุ่มร่ามกับคิตตี้ดีนัก

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #105 เมื่อ22-07-2018 00:46:01 »

ยังไงก็อย่าลืมเครื่องดักฟังนะ

ออฟไลน์ kaokorn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 903
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #106 เมื่อ10-08-2018 14:31:44 »

รออยู่นะฮะ อยากอ่านมากเลย มาลงต่อไวๆนะฮะ
ขอบคุณคร้าบบบบ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #107 เมื่อ10-08-2018 20:27:20 »

เห็นกระทู้นิยายถูกดันก็นึกว่าลงตอนใหม่แล้วนี่รีบกดเข้ามาดูมากอะ แถมอ่านวันที่ผิดอีก ยังรออยู่นะคะคิดถึงเรื่องนี้ เราชอบแนวมาเฟีย

ออฟไลน์ BloodyBlue

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #108 เมื่อ13-08-2018 22:00:24 »

รออยู่นะค้าาาา

ออฟไลน์ Jaebam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #109 เมื่อ14-08-2018 22:42:17 »

คิดถึงเรื่องนี้มากนะคะ  มาเฟียหวงเด็ก  เจอน้องอ้อนนี่ยอมตั้งกะหน้าประตู 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
« ตอบ #109 เมื่อ: 14-08-2018 22:42:17 »





ออฟไลน์ Jthida

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #110 เมื่อ15-08-2018 11:04:38 »

เพิ่งเข้ามาอ่าน ชอบแนวนี้ อยากอ่านคุ่คุณพ่อกับแดดดีจังงง

ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #111 เมื่อ25-08-2018 20:13:34 »

 :o8: :-[

ออฟไลน์ llinllin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: กรงเทวดา : บทที่ 14 จัดการ (31.08.18)
«ตอบ #112 เมื่อ31-08-2018 16:04:50 »

บทที่ 14 จัดการ



“พักเถอะ เดี๋ยวฉันจะรีบกลับมา” น้ำเสียงทุ้มของชายหนุ่มร่างสูงก้มจุมพิตที่หน้าผากมนของเทวดาตัวน้อยของเขาที่มีใบหน้าซีดเซียวและดูอ่อนล้าผิดจากทุกครั้ง



“ครับ” เด็กน้อยของเขาตอบรับและล้มตัวลงนอนพร้อมกับห่มผ้าอย่างเรียบร้อย มือใหญ่ของเขาที่หยาบกร้านและขึ้นปุ่มด้านเพราะจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนเป็นประจำยกมือขึ้นเพื่อลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มนั้นอย่างแผ่วเบา เขาสำรวจความเรียบร้อยไปรอบๆ อีกครั้งเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะหมุนตัวและเดินออกไปจากห้อง เพียงแต่ยังไม่ทันก้าวเท้าพ้นไปจากเตียงนอน เขาก็รู้สึกถึงแรงดึงจากชายเสื้อด้านหลัง เมื่อใบหน้าหล่อเหลาหันกลับไปมองก็พบเทวดาตัวน้อยของเขากำลังมองมา



“ระวังตัวนะครับ” ไม่ต้องมีถ้อยคำพิเศษใดใด แค่คำพูดเรียบง่ายเพียงประโยคเดียวของเด็กหนุ่ม มันก็ชวนให้เขาใจกระตุกและสั่นไหว



“อืม” ดราโกรับคำแผ่วเบาในลำคอ มองมือเล็กขาวซีดปล่อยชายเสื้อเขาอย่างน่าเสียดาย แต่เอาเถอะ เขาไปจัดการเรื่องนี้ไม่นานก็ขอกลับมาเฝ้าดูแลเทวดาตัวน้อยของเขาต่อก็แล้วกัน



ดราโกเดินออกมาจากห้องนอนของคริสติน เขาปิดประตูและกวาดสายตามองบอร์ดี้การ์ดสองคนที่ยืนรอรับคำสั่ง บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อยามอยู่กับเด็กหนุ่มหายไปในทันที ดวงตาสีทองดุดันเกรี้ยวกราดฉายออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง ชายหนุ่มไม่สามารถข่มความโกรธของเขาได้อีกต่อไป



“ดูแลคริสตินให้ดี ถ้าเขาเป็นอะไร...พวกนายคงรู้ตัวดี” น้ำเสียงทุ้มของดราโกเรียบนิ่งเย็นชา บอร์ดี้การ์ดทั้งสองรีบรับคำสั่งอย่างหนักแน่นพร้อมดวงใจที่กระตุกเย็นยะเยือก พวกเขารู้ดี ถ้าดูแลนายน้อยคริสตินไม่ได้ พวกเขามีแต่ความตายสถานเดียวเท่านั้นที่รออยู่



ดราโกตวัดสายตามองไปยังประตูห้องนอนอีกครั้ง และตัดสินใจไปจบเรื่องทุกอย่างที่แสนวุ่นวายในช่วงเช้าของวันนี้ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดทะมัดทะแมงและเรียบหรูสีดำสนิทก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังโรงจอดรถส่วนตัวของเขาที่ตั้งอยู่ข้างบ้านพักอย่างไม่รอช้า ระหว่างที่เขาเดินไปยังโรงจอดรถนั้น คาลอสที่หายตัวไปตั้งแต่ที่เกิดเรื่องก็รีบวิ่งเข้ามาหาดอนแห่งคอลิโอเน่ได้ทันที่หน้าประตูโรงจอดรถพอดี



“ดอนครับ” คาลอสเรียกดราโก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หยุดมองมือซ้ายที่เอ่ยรายงานสถานการณ์ภายในบ้านอย่างรวดเร็ว



“ไม่มีอะไรเสียหายครับ ตอนนี้จาคอปกำลังมุ่งหน้าไปที่โรงงานร้างแล้ว กลุ่มที่ 2, 5 และ 7 กำลังวางกำลังล้อมรอบ”



“ไป” คำสั่งสั้นๆ เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น คาลอสก็พยักหน้าและเดินตามดราโกเข้าไปในโรงจอดรถทันที ชายหนุ่มเดินไปที่รถยนต์ Koenigsegg One:1 (โคนิกเซกก์ วัน:1) สีดำสนิทและปลดล็อครถยนต์ก่อนจะขึ้นไปนั่งทางฝั่งคนขับ ส่วนคาลอสเป็นคนไปนั่งทางฝั่งขวามือแทน ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นของมือซ้ายซีดเผือดเล็กน้อยเมื่อดอนเลือกรถยนต์คันนี้ และยังเป็นคนขับอีกต่างหาก



เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์นั้นทุ้มต่ำแต่ดังกระหึ่มเหมือนดนตรีกำลังบรรเลง และใจของคาลอสเองก็เต้นรัวตั้งแต่รถยังไม่ทันได้ออกตัว รถยนต์สุดรักสุดหวงของดอนที่เจ้าตัวรักและทะนุถนอมถูกนำออกมาใช้เพื่อล่าสไนเปอร์คนนั้นโดยเฉพาะ หรือไม่ดอนก็คงอยากจะรีบไปรีบกลับมาเร็วๆ อย่างแน่นอน เพราะ Koenigsegg One:1 เป็นรถไฮเปอร์คาร์ที่ผลิตเพียงไม่กี่คัน สามารถเร่งเครื่อง 0-300 กิโลเมตร ได้เพียง 11.92 วินาทีเท่านั้นเอง แถมราคาก็ยังชวนใจสั่น เพราะมันราคาสูงถึง 2.85 ล้านเหรียญสหรัฐ (92 ล้านบาท)



จากบ้านถึงโรงงานร้างนั้นมีระยะทางทั้งหมด 30 กิโลเมตร เพียงแค่พริบตาครั้งเดียว พวกเขาก็คงมาถึงหน้าโรงงานร้าง แต่อย่างน้อยคาลอสก็ยังวางใจ การตัดผ่านตัวเมืองนั้นต้องใช้ความเร็วที่จำกัด มีทั้งรถ ทั้งทางแยก และสัญญาณไฟจราจร อย่างน้อยดอนก็คงไม่ขับรถเร็วเกินไป มือซ้ายที่แอบหวาดหวั่นกับการขับรถของดอนนั้นนึกโล่งใจ แต่ก็เพียงไม่นานเท่านั้น เมื่อดราโกกดโทรศัพท์หามาร์คในทันที



“ครับดอน” มาร์คที่อยู่ปลายสายเตรียมรับคำสั่ง



“จากบ้านถึงโรงงาน นายจัดการแฮคสัญญาณไฟจราจรบนเส้นนั้นซะ ทางที่ฉันไปต้องไฟเขียวทุกแยก ให้เวลานาย 30 วิ” ว่าเสร็จดราโกก็ไม่รอฟังคำตอบ เขากดตัดสายและเร่งเครื่องยนต์เพื่อวอร์มเครื่องทันที สิ่งที่เขาพูดคือคำสั่งที่โปรแกรมเมอร์หนุ่มต้องจัดการให้ได้ และเขาต้องการเดี๋ยวนี้อีกด้วย “คาลอส บอกให้พวกนั้นบุกเคลียร์ทาง ฉันไปถึงทุกอย่างต้องใกล้จบ”



“ครับ” คาลอสกดโทรศัพท์หาจาคอปทันทีอย่างไม่รอช้า ฟังเสียงเครื่องยนต์ที่เร่งกระหึ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ก็รับรู้ถึงความใจร้อนของดอนได้เป็นอย่างดี มือซ้ายสั่งการลงไปอย่างรวดเร็วพร้อมจบประโยคที่ว่า One:1 เพียงแค่นั้นจาคอปก็เข้าใจรีบเร่งสั่งการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่ดอนจะมาปรากฏกาย เพราะคำสั่งของดอนแทบจะทำให้มือซ้ายอย่างคาลอสหลั่งน้ำตา ชายหนุ่มรีบคาดเบลท์และกุมมือแน่นคล้ายภาวนาหาพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยคุ้มครอง



เสียงโทรศัพท์ของดราโกดังขึ้นอีกครั้ง เหมือนเป็นสัญญาณออกตัวของรถไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดนคันนี้ ประตูโรงรถเปิดออกกว้างด้วยระบบอัติโนมัติ ทุกเส้นทางจากตัวบ้านถึงโรงงานเคลียร์การจราจรเรียบร้อย แม้กระทั่งกล้องวงจรปิดที่คอยจับภาพทุกเส้นทางก็ถูกแทรกแซง



เสียงเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5,000 ซีซี ให้กำลัง 1,341 แรงม้า พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ฝีมือการขับรถของดอนนั้นเหมือนมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งจังหวะการเข้าโค้ง จังหวะการเข้าเกียร์และจังหวะการขับแซงปาดโค้งปาดหน้ารถทุกคันที่ขวางเส้นทางของรถยนต์สีดำคันนี้ ใจของคาลอสนั้นเต้นรัวด้วยความลุ้นระทึก แต่ใจของดอนแห่งคอลิโอเน่คนนี้กำลังสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความสนุกกับการขับรถที่มีสมรรถนะสูงโลดแล่นดั่งกับสายลม



ชายหนุ่มขับรถออกไปยังเส้นทางที่ตัดผ่านในเมือง แม้จะมีบางช่วงที่ต้องชะลอรถ หรือเสียจังหวะไปบ้าง แต่เขาก็สามารถมาถึงโรงงานร้างชานเมืองอีกฝั่งในระยะเวลาแค่ห้านาที เสียงล้อบดถนนนั้นดังขึ้นเมื่อดราโกหมุนพวงมาลัยเพื่อหักรถเข้ามาภายในเขตโรงงาน เมื่อรถยนต์จอดสนิททิ้งแต่ฝุ่นถนนไว้เป็นทางเท่านั้น ประตูรถฝั่งคนขับก็เปิดออก เรียวขาแข็งแรงสมส่วนภายใต้กางเกงแสลคสีดำก้าวเท้าออกมาอย่างมั่นคง มือหนาหยิบปืนคู่ใจออกมา ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยแต่แฝงความเหี้ยมเกรียมนั้น ดวงตาคมสีทองของดราโกวาวโรจน์และเต็มไปด้วยความกระหายเร้าในกลิ่นคาวเลือดของสไนเปอร์ที่บังอาจมาแตะต้องเทวดาของเขา ปล่อยให้มันสำราญใจมัวเมาในเงินทองที่ได้ไปก่อนเถอะ แล้วมันจะได้รู้ว่านรกที่เขาจะมอบให้มันน่ะ แม้เงินทองซักบาทมันก็จะไม่ได้พกเอาไป ดราโกก้าวเท้าเตรียมจะมุ่งหน้าไปยังโรงงานร้าง แต่ชายหนุ่มก้าวเท้าไปได้เพียงแค่ก้าวเดียวร่างสูงก็ชะงักนิ่ง



“คาลอส” น้ำเสียงทุ้มเรียบนิ่งของดราโกเอ่ยเรียกคนสนิท ที่ยังไม่ยอมก้าวเท้าออกมาจากรถเลยแม้แต่น้อย ต้องให้เรียกชื่อนั่นล่ะ มือซ้ายของดอนแห่งคอลิโอเน่ถึงค่อยๆ เปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าพะอืดพะอมและซีดเซียว มือขวาของคาลอสยกมือปิดปากเอาไว้แน่น เพราะเจ้าตัวรู้สึกว่าอาหารเช้าที่กินไปมันจะดันย้อนขึ้นมาอยู่ตรงคอหอยอยู่รอมร่อ



“คะ ครับ ดอน” คาลอสสูดหายใจเข้าลึกๆ และออกเดินตามดราโกไปไม่ห่าง แม้ใบหน้าจะยังคงย่ำแย่ แต่เจ้าตัวก็พยายามเก็บอาการให้มากที่สุด พร้อมทั้งยังสัญญากับตัวเองในใจ ว่าคราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะนั่งรถไปกับดอนแน่นอน





เสียงฝีเท้าที่ดังก้องไปทั่วโรงงานร้างนั้นทำให้มือปืนที่กำลังเก็บข้าวของและรอฝ่ายนายจ้างโอนเงินเข้ามาในบัญชีอยู่นั้นถึงกลับดีดตัวพุ่งไปทางปืนคู่ใจที่เก็บไว้ในกระเป๋าเล็กไม่ไกลนัก ร่างสูงถลาไปกับพื้น ไม่สนใจฝุ่นที่ปลิวคละคลุ้ง เขาหวังเพียงแต่อาวุธร้ายที่คอยปกป้องเขาในยามนี้เท่านั้น เมื่อร่างสูงของมือปืนคว้าอาวุธคู่ใจเอาไว้ได้ เขาก็รีบเก็บกระเป๋าปืนขึ้นมาสะพายหลัง เก็บข้าวของทุกอย่างให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็วและเงียบกริบมากที่สุด



ใบหน้าภายใต้หนวดเครารกรุงรังนั้นแข็งกระด้างเย็นชา สายตาหรี่เพ่งมองไปทางประตูอีกฟากด้วยใจสงบ การทำงานในสายนี้ก็ต้องมีการเสี่ยงตายกันเป็นธรรมดาของชีวิต และเหตุการณ์ในรูปแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นเป็นประจำจนเขาชินชา และมั่นใจด้วยว่าเขาสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้แน่นอน แต่เขาก็ติดใจสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าพวกมันเป็นใครกันแน่ ถึงกล้ามาเดินอยู่กลางโรงงานร้างโดยไม่คิดหลบซ่อนหรือปิดบัง เดินโดยไม่เก็บเสียงฝีเท้า ดูมาดมั่นและมั่นใจจนเกินเหตุ หรือพวกมันอาจจะเป็นแค่พวกวัยรุ่นติดตยาที่มาหาแหล่งซ่องสุมกันแน่



เขาคิดอยู่ในใจ พาร่างกายหลบเข้าไปอยู่ในซอกหลืบของมุมกำแพง หลบลี้แฝงกายในเงามืดที่ช่วยอำพลางร่างกาย ยังดีที่โรงงานนี้ร้างมาหลายปีแล้ว หน้าต่างทุกบานถูกตอกปิดด้วยแผ่นไม้จนแสงแดดเล็ดลอดเข้ามาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เสียงรองเท้ากระทบพื้นนั้นดังก้องสะท้อนไปมา จนเขาไม่สามารถจับทิศทางของเสียงได้อย่างชัดเจน



ดวงตาเย็นชาและไร้ชีวิตของเขาสอดส่องและคิดหาวิธีหนี เขาอาจจะมีอาวุธ แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงพอเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายก็มีอาวุธเช่นกันหรือไม่



ดังนั้นเขาคิดว่าเขาคงไม่โชคร้ายขนาดโดนเจอตัว แค่ทำตัวเงียบๆ รอพวกมันจากไป เขาเป็นสไนเปอร์ ถนัดจัดการเป้าหมายในระยะไกล แต่ไม่ถนัดในการสู้ประชิด เขาถนัดในการแฝงตัว และไม่ถนัดในการเผชิญหน้าใดใด แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีทักษะ แค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง



ท่ามกลางความมืดสลัว ใจของสไนเปอร์หนุ่มสั่นระรัวอยู่ซักพัก จนเขาแน่ใจแล้วว่าพวกมันเริ่มแยกย้ายกันไป เพราะเสียงฝีเท้าที่เบาลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาแผ่วเบาอย่างโล่งใจ สงสัยพวกมันได้ที่นั่งเหมาะๆ สำหรับการพี้ยาแล้วล่ะมั้ง เขาหลบอยู่ที่เดิมซักพักเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาเดินเพ่นพ่านจนเจอเขา ร่างสูงในชุดรัดกุมจึงขยับเดินออกมา และลัดเลาะไปตามผนังในเงามืด



แปลก



จู่ๆ สัญชาตญาณของเขามันก็ร่ำร้องเตือนเมื่อมีบางสิ่งผิดปกติ เงียบเกินไป เหมือนจู่ๆ เสียงฝีเท้าและพวกพี้ยากลุ่มนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีเสียงหัวเราะหรือคึกคะนองพร่ำเพ้อ เหมือนตอนนี้ภายในโรงงานร้างมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น มันเกิดอะไรขึ้นกัน



เอี๊ยด



มือปืนหนุ่มสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินเสียงเบรกและเสียงล้อบดถนนดังลั่น เครื่องยนต์ของรถคันนั้นดังกระหึ่มสะท้อนดังก้องไปทั่วอย่างไม่กลัวเกรง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ มือปืนหนุ่มไม่รอช้า และไม่คิดจะหาคำตอบกับสิ่งนั้น เขารีบเร่งความเร็วด้วยฝีเท้าเงิียบกริบเพื่อมุ่งไปทางหลังโรงงานร้างที่ติดกับไร่ข้าวโพด



“เจอ. ตัว. แล้ว” น้ำเสียงร่าเริงยินดีของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหยักศกคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมมืดและหยุดลงตรงหน้าของมือปืนหนุ่มทันที ร่างกายสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของจาคอปกดดันมือปืนหนุ่มคนนั้นจนถอยร่นออกไปหลายก้าว




ออฟไลน์ llinllin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
«ตอบ #113 เมื่อ31-08-2018 16:05:29 »

“แก!!!” เสียงอุทานตกใจจากเขาดังสะท้อนก้องไปทั่ว สไนเปอร์หนุ่มรีบยกปืนขึ้นเล็งเตรียมจัดการคนที่เข้ามาขวางทาง แต่จาคอปนั้นก็ไม่รอช้า แค่มันนตะโกนเสียงดัง ร่างสูงใหญ่ก็พุ่งเข้าไปหาสไนเปอร์คนนั้นอย่างรวดเร็ว จับข้อมือที่ถือปืนนั้นหักบิดไปอีกทางจนบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง ตวัดลำแข้งหนาหนักยันโครมเข้ากลางลำตัว ปืนคู่ใจกระเด็นไปไกล และร่างของชายหนุ่มหนวดรกคนนั้นก็ลอยละลิ่วหลังกระแทกผนังดังโครมใหญ่ น้ำเสียงโหยหวนร้องลั่นกุมข้อมือข้างนั้นเอาไว้อย่างเจ็บปวด



“โอ๊ยยย บ้าเอ๊ย แก!!!” ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจนเขาดิ้นพร่าน ความปวดหนึบตรงช่วงท้องและแผ่นหลังสู้ไม่ได้เลยกับความเจ็บตรงข้อมือนี้



“โทษทีนะ ตอนแรกก็ว่าจะให้นายวิ่งเล่นไปพลางๆ ก่อน แต่เหมือนว่าดอนของฉันจะใจร้อนไปหน่อย ถ้าไม่รีบจัดการให้เสร็จๆ ไปเดี๋ยวฉันจะโดนลูกหลงน่ะ” จาคอปฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาเป็นเส้นโค้ง แค่เขาได้ยินคาลอสบอกว่าดอนขับเจ้าโคนิกเซกก์มาเขาก็รู้ตัวแล้วว่าจะต้องรีบบุกและลงมืออย่างฉับไว งานนี้แม้ลูกน้องในหน่วยของเขาจะมาด้วยก็ตาม แต่เขาก็อยากจะจัดการมันซักรอบ กล้ามาก กล้าที่ทำให้คริสตินของพวกเขาบาดเจ็บขนาดนี้



คิดดูซิ ขนาดเขายังอยากจะฆ่าหมอนี่ให้ตายๆ ไปซะ แล้วดอนที่เฝ้าดูแลคริสตินอยู่ตลอดจะไม่อยากฆ่าหมอนี่ได้ยังไง แต่เอาเถอะ แค่เรื่องนี้ดอนลงมาจัดการเองมันก็คงอยากจะร่ำร้องหาความตายมากกว่าแล้วล่ะมั้ง มือใหญ่ของเขากระชากร่างของสไนเปอร์ขึ้นมาอย่างรุนแรง ไม่สนใจเสียงร้องแหกปากนั้นให้รกหัวสมอง แม้จะรำคาญอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่คิดใส่ใจ จัดการกระทืบลงไปตรงข้อมืออีกข้างที่ยังไม่บาดเจ็บ ออกแรงจนกระทั่งข้อมือข้างนั้นกระดูกหักจนยับเยิน



“อ๊ากกกกกกกก” อ๊ะ หรือเขาจะทำเกินไปหน่อยนะ ตอนนี้เสียงแหกปากของเจ้านี่ชักจะน่ารำคาญแล้วซิ เฮ้อ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และลากร่างของมือปืนที่ดิ้นพร่านไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ จัดการกระชากโยนไปให้ลูกน้องของเขาลากคอมันไปแทน



จาคอปเดินนำหน้าทุกคนไปที่ประตูหน้าโรงงานร้าง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อส่งข้อความไปรายงานคาลอสที่น่าจะมาถึงพร้อมกับดอน แต่พวกเขายังไม่ได้เดินออกไปถึงข้างนอก มือขวาร่างสูงใหญ่ก็เห็นร่างเงาของชายคนหนึ่งทอดผ่านเข้ามาตรงประตูที่เปิดอ้ากว้าง เพราะแสงสลัวจากภายในโรงงานและชายคนนั้นยืนย้อนแสงอยู่ ภาพที่เห็นจึงคล้ายกับภาพเงาของซาตานผู้มายืนรอรับความตาย ขนทั่วร่างของจาคอปพากันลุกพรึบและสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ



แค่เห็นเงากับรูปร่างในตอนนี้ของดอนแห่งคอลิโอเน่เขาก็รู้แล้วว่ามันน่าสยดสยองขนาดไหน ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาที่ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนเพราะแสงด้านนอกที่เจิดจ้าเกินไป ทำให้ทั้งเขาและลูกน้องหลายๆ คนยังไม่สามารถปรับสายตาให้ชินกับแสงได้เลย แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว แม้ใบหน้าจะอยู่ในเงามืด แต่ดวงตาสีทองของดราโกกลับเจิดจ้าวาวโรจน์เหมือนซาตานตัวร้ายที่กำลังเก็บความเกรี้ยวกราดไว้ภายใต้ใบหน้าสงบนิ่ง



เขาไว้อาลัยให้กับสไนเปอร์คนนี้ล่วงหน้าเลยละกัน



“อึก พะ พวกแก เป็น ปะ เป็นใครวะ!!!” คนเจ็บไม่เจียมตัว แต่กระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่บนความหยิ่งทะนงไม่เกรงกลัวซาตานตัวร้าย



ดวงตาและรอยยิ้มภายใต้เงามืดนั่นน่าหวาดหวั่น ร่างสูงของดราโกเดินเข้ามาใกล้ จาคอปและลูกน้องหลีกทางให้กับดอน ทิ้งสไนเปอร์ที่สองมือใช้การไม่ได้กองลงกับพื้นสกปรก แม้ใจของชายคนนั้นจะด้านชาและเคยชินกับกลิ่นแห่งความตาย แต่นี่เป็นครั้งแรกในเส้นทางสายอาชีพของเขาที่ค้นพบความจริงเกี่ยวกับตนเอง ว่าแท้ที่จริงแล้วใจที่ด้านชานั้นก็มีความหวาดกลัวซุกซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน



ดวงตาที่ไร้แววแห่งชีวิตของเขากลับสั่นไหวและร่ำร้องหาพระผู้เป็นเจ้าเป็นครั้งแรก



“มะ ไม่ อย่านะ อย่า ชะ ช่วยด้วย ไม่!!!!”



จาคอปมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย ดอนแห่งคอลิโอเน่ไม่ใช่เพียงตำแหน่งของคนที่ขึ้นมารับหน้าที่สำคัญเท่านั้น แต่มันคือหนึ่งในสัญลักษณ์ของความน่าเกรงขามที่ชวนหวาดหวั่น แค่บรรยากาศและดวงตาที่กวาดมองไปนิ่งๆ ก็แทบจะทำให้คนที่จ้องมองชะงักค้าง และใจเผลอหวาดหวั่นสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว คงมีเพียงแค่ยามที่คริสตินอยู่ใกล้เท่านั้นล่ะมั้ง ที่ดอนของเขาจะไร้ซึ่งบรรยากาศกดดัน



“รู้ไหม ว่านายทำอะไรลงไป” ร่างสูงใหญ่ของดราโกขยับเข้าไปใกล้ร่างที่นอนกระเสือกกระสนพยายามถอยหนีของสไนเปอร์ที่มีใบหน้าซีดเผือด



“มะ ไม่ ไม่รู้” มือปืนหนุ่มส่ายศีรษะปฏิเสธรัวเร็ว มุมปากของดราโกกระตุกยิ้มเย็นชา ดวงตาสีทองลุกโชน



“งั้นหรือ แล้วเมื่อเช้าล่ะ นายก่อเรื่องอะไรไว้”



ประโยคเรียบๆ ของดอนแห่งคอลิโอเน่กระตุ้นย้ำเตือนเหตุการณ์เมื่อเช้าในทันที มือปืนหนุ่มที่มีสภาพทรุดโทรมผิดจากเมื่อเช้าแทบอยากจะหมดสติเดี๋ยวนั้น หรือว่าคนตรงหน้าคือดราโก คอลิโอเน่ ดอนแห่งคอลิโอเน่ แฟมิลี่คนนั้น ทำไมกัน ทำไมถึงตามหาเขาพบได้อย่างรวดเร็ว



“หึ แปลกใจงั้นหรือ” ดราโกปรายตามองสไนเปอร์คนนั้นนิ่งๆ



“ฉะ ฉัน ฉัน” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง แววตาไร้ชีวิตในคราแรกนั้นกลับเลือนหาย แทนที่ด้วยความกลัวเข้ามาเกาะกุมจิตใจ เขายังไม่อยากตาย ยังตายไม่ได้



“นาย แตะ ต้อง เทวดาของฉัน” ดราโกยืดตัวเต็มความสูง ถอยห่างออกมาหนึ่งก้าวและยืนกอดอกมองนิ่งๆ “อย่าให้มันตายง่ายๆ จัดการซะ”



“ครับ” เสียงรับคำสั่งจากลูกน้องดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ใบหน้าภายใต้หนวดเครารกของสไนเปอร์คนนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เพียงไม่นานเสียงร่ำร้องอ้อนวอนก็ดังก้องสะท้อนไปมาอยู่ภายในโรงงานนั้นนานนับชั่วโมง







เมื่อเสียงกระหึ่มของรถยนต์ไฮเปอร์คาร์พ้นออกไปจากรั้วบ้าน ผมก็รีบดีดตัวลุกจากที่นอนโดยลืมไปว่าผมมีแผลที่โดนยิงที่ต้นแขนเสียสนิท มันเจ็บจี๊ดจนผมเกือบจะหลุดเสียงร้องออกมา ยังดีที่ผมนึกขึ้นได้และพยายามเก็บงำความเจ็บปวดเพื่อเร่งไปเปลี่ยนเสื้อจากเสื้อแขนกุดเป็นเสื้อแขนยาวแทน แม้จะเจ็บที่ต้องยกแขนข้างนั้นขึ้น แต่ก็ยังจะดีกว่าที่คนอีกฝั่งจะเห็นและทำให้พวกเขาเป็นห่วง



ผมเดินกลับมาที่เตียงนอนด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบ เพราะเกรงว่าคนที่ดราโกทิ้งไว้เฝ้าผมที่หน้าห้องจะได้ยินเสียงและเดินมาดูด้วยความสงสัย ผมนั่งอยู่บนที่นอนและเอื้อมหยิบคอมพิวเตอร์ที่ผมซ่อนไว้ออกมาจากใต้ผ้าห่มผืนหนา ผมมือสั่นเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น แต่ผมต้องมีสติและรีบใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด ผมจัดการปลดรหัสที่ล็อคเอาไว้และแฮคสัญญาณต่อเข้ากับไวไฟ ผมต้องระวังเอาไว้ก่อน เพราะผมกลัวว่าทางมาร์คจะจับได้ว่าผมแอบติดต่อกับคนภายนอก



เพื่อไม่ให้เขารู้ว่ามีคนที่แอบใช้อินเตอร์เน็ต และไม่ให้พวกเขารู้ว่าผมติดต่อกับใคร เมื่อผมจัดการเชื่อมต่อสัญญาณและเปิดตัวจับเวลาเพื่อไว้แจ้งเตือนเสร็จเรียบร้อย ผมจึงเข้ารหัสและเปิดหน้าโปรแกรมสไกป์ขึ้นมาและกดโทรวิดีโอคอลไป ใจผมเต้นตึกตักและรอให้คนปลายทางรับสายของผมอย่างใจจดใจจ่อ เพียงไม่นานหน้าต่างของอีกฟากก็เด้งขึ้นมา ปรากฏภาพผู้ชายคนหนึ่งที่มีผมสีดำสนิทและดวงตาสีฟ้าสวย



“แด๊ดครับ” ผมเอ่ยทักทายผู้ชายคนนั้นอย่างดีใจ แต่ก็ยังไม่ลืมว่าควรลดเสียงให้เบามากที่สุด



“คริสติน” แด๊ดดี้เอริคของผมฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาสีฟ้าของแด๊ดเป็นประกายด้วยความรักที่มีต่อผมจนเอ่อล้น ผมอยากจะส่งยิ้มตอบกลับไปให้แด๊ดแต่ผมก็ไม่สามารถ แต่แด๊ดก็คงรู้ได้จากสายตาของผมที่แสดงให้ท่านเห็น “เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม แด๊ดคิดถึงเรามากเลยนะ”



“ผมก็คิดถึงแด๊ดเหมือนกันครับ แล้วคุณพ่อล่ะครับ” ผมขมวดคิ้วและถามหาคุณพ่ออีกคนหนึ่งของผม ปกติแล้วคุณพ่อจะติดแด๊ดมาก ถ้าแด๊ดกลับมาเมื่อไหร่ คุณพ่อก็จะวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กับแด๊ดเสมอ ถึงแม้ว่าผมจะอยู่กับคุณพ่อเป็นส่วนใหญ่และได้รับคำสอนมากมายจากคุณพ่อมาก็ตาม ผมก็ยังรักทั้งสองท่านมากเท่าๆ กัน



“เหอะ ไอ้บ้านั่นน่ะเหรอ แด๊ดไล่ออกจากบ้านไปแล้วล่ะ จะไปตายที่ไหนก็ช่างมัน ไอ้พ่อเฮงซวยแบบนั้นน่ะ ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดจากแด๊ดดี้เอริคทำให้ผมต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ผมเอียงศีรษะด้วยความงุนงง หรือว่าระหว่างที่ผมไม่อยู่พวกท่านจะทะเลาะกันนะ



“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ผมถามออกไป สายตาของแด๊ดดี้เอริคฉายชัดถึงความโกรธเคืองและไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด คุณพ่อต้องแย่แน่ๆ เลยครับ แด๊ดดี้โกรธขนาดนี้คงง้อยากแน่ๆ เลย



“มีอย่างที่ไหนไล่เด็กอายุสิบห้าออกจากบ้านเพื่อให้ไปหาความหมายของชีวิตบ้าบออะไรนั่น ไร้หัวคิดสิ้นดี ไอ้ฝรั่งหัวทองไร้น้ำยา ไร้หัวสมอง!!!! ปล่อยลูกออกจากบ้านแบบนั้นได้ยังไง ลูกไม่เคยออกไปไหนซักที่ จู่ๆ ก็ให้ไปท่องโลกแบบนั้นนะ บ้าบอ!!!! ไร้หัวคิด!!!! ถ้าลูกเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง ที่นี้เป็นไงล่ะ ลูกหายไปเป็นเดือนไม่ติดต่อกลับมา ไอ้พ่อบ้านั่นถึงคิดได้ว่าทำอะไรลงไป โง่เง่า!!!!” แด๊ดดี้เอริคด่าออกมาชุดใหญ่แทบไม่หยุดพักหายใจ ผมสะดุ้งรีบหรี่เสียงลงทันทีเพราะกลัวคนข้างนอกจะได้ยิน “เหอะ ถึงจะทำเพื่อลูกก็เถอะ แต่มันก็มีวิธีอื่นอีกเยอะไม่ใช่รึไง ก็รู้ว่าลูกเก่ง แต่ลูกก็ยังเป็นแค่เด็ก จะเอาอะไรไปต่อกรกับไอ้พวกนั้นได้ แค่ไม่ตายก็บุญโขแล้ว”



“ผมสบายดีครับแด๊ด แด๊ดไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” ผมเห็นแด๊ดดี้เอริคหอบหายใจจากการใส่อารมณ์ที่มากเกินไป จึงได้จังหวะที่ผมจะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองบ้าง เรื่องของพ่อกับแด๊ด ผมจะไม่เข้าไปยุ่งครับ ให้พวกท่านเคลียร์กันเองเถอะ



“ก็ดีแล้วล่ะ ถ้าไม่ไหวก็กลับมาก่อนคริสติน เรื่องนี้เราค่อยๆ ช่วยกันแก้ไขทีละนิดก็ได้ แต่แด๊ดได้ข่าวมาว่าตอนนี้โคเซ่กำลังดิ้นพร่านเลยล่ะ ฝีมือลูกรึเปล่า” ชายหนุ่มวัยกลางคนที่ปรากฏบนหน้าจอของผมเลิกคิ้วถามผมด้วยความสงสัย ผมก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่ถ้าเรื่องเกิดเร็วๆ นี้คงมีเพียงคนเดียวที่ทำให้มันเป็นไปได้



“น่าจะเป็นคอลิโอเน่ครับ” ผมตอบอย่างที่ผมคิดและสงสัย ไม่แน่ว่าเรื่องที่ดราโกยอมช่วยเหลือ คงเพราะคาโซ่ก็คงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ลอบสังหารดราโกก็เป็นได้



“คอลิโอเน่?” ชายหนุ่มผมดำชะงักเมื่อได้ยินชื่อแฟมิลี่ออกมาจากผม ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงความอ่อนเยาว์แม้จะอายุเกือบสี่สิบแล้วก็ตาม



“ครับ ดราโก คอลิโอเน่ ผมอยู่กับเขา” ผมบอกและเฝ้ามองปฏิกิริยาของแด๊ดดี้เอริค สีหน้ายุ่งยากใจของแด๊ดทำให้ผมอดเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าแด๊ดดี้และคุณพ่อรู้ว่าผมมาอยู่ที่นี่พวกเขาจะว่าอะไรบ้าง



“ถ้าอยู่กับเขาลูกคงปลอดภัย แต่อย่าไว้ใจเขาให้มาก ถ้ามีโอกาสก็หลบออกมาซะ เรื่องนี้แด๊ดจะยังไม่บอกพ่อ ถ้าพ่อรู้คงรีบไปพาลูกออกมา”



“ครับ” ผมพยักหน้ารับคำ ผมเห็นแด๊ดดี้เอริคส่งสายตาอ่อนโยนมาให้ผม ถ้าผมอยู่ตรงหน้าของท่าน ท่านจะกอดผมไว้แน่นๆ และลูบหัวผมเหมือนกำลังกล่อมผมให้ผ่อนคลาย ผมอยากกลับไปหาพวกท่านจังเลยครับ



“ฟังนะคริสติน ทั้งแด๊ดและพ่อเฮงซวยคนนั้น พวกเราต่างรู้ดีว่าการที่จะทำให้ลูกมีความสุขเหมือนเด็กๆ ทั่วไป ยิ้มได้ หัวเราะได้ ร่าเริงได้นั้นคือลูกต้องปลดฝันร้ายในอดีตให้ได้ซะก่อน แต่แด๊ดไม่อยากให้ลูกกดดันตัวเองจนเกินไป ถ้าไม่ไหวก็กลับมา ลูกยังมีพวกเรา จำไว้นะ” น้ำเสียงของแด๊ดดี้เอริคอ่อนโยน จนผมอยากร้องไห้ อยากร้องไห้กับความรักและอ่อนโยนที่พวกท่านต่างมอบให้ผม ผมอยากกลับไปหาพวกท่าน กลับไปหาบ้านที่ผมคิดว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด แต่ผมยังกลับไปไม่ได้



“ผมอยากยิ้ม อยากจะยิ้มจริงๆ ครับ” ผมรู้ว่าตอนนี้ใจผมอาลัยแค่ไหน อยากร้องไห้มากแค่ไหน อยากจะยิ้มมากขนาดไหน แต่ผมทำไม่ได้เลย ผมแสดงออกได้แค่ใบหน้าเรียบเฉยเท่านั้น อดีตที่เจอมันทรมานมากเกินไปจนผมปิดกั้นตัวเองจากทุกสิ่ง ดังนั้นคุณพ่อจึงให้โอกาสผม ให้ผมลองไปค้นหาชีวิตดู ถ้าผมเจอ ผมอาจจะกลับมายิ้มได้ในซักวันหนึ่ง



“ไม่เป็นไร ซักวันลูกต้องยิ้มออกมาได้แน่นอน” แด๊ดดี้เอริคยิ้มออกมาให้ผมกว้างๆ ผมพยักหน้ารับคำของท่านเงียบๆ “เอาล่ะ ไว้วันหลังมีโอกาสเมื่อไหร่เราค่อยคุยกันอีก ลูกคงแอบมาคุยล่ะซิ โดนยึดคอมไว้รึไง”



“ครับ ผมเบื่อจะแย่อยู่แล้ว” ผมบ่นออกมาพร้อมแสดงสีหน้าขัดใจ โดยเฉพาะตรงคิ้วที่ขมวดมุ่นยุ่งเหยิง ถึงผมจะแสดงอารมณ์ออกมามากไม่ได้เหมือนคนอื่นๆ แต่อย่างน้อยผมก็แสดงอารมณ์จากหัวคิ้วได้นะครับ



“ดูแลตัวเองด้วยนะคริสติน แด๊ดรักลูกนะ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอกผมด้วยความรัก



“ผมก็รักแด๊ดครับ ฝากบอกคุณพ่อว่าผมก็รักท่านเช่นกันนะครับ” ผมบอกสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจออกมาด้วยความรู็สึกเต็มเปี่ยม แด๊ดดี้เอริคยิ้มรับแต่ก่อนจะลาจากกันท่านก็ยังบ่นถึงคุณพ่อไม่เลิก ผมบอกลาท่านอีกครั้งและออฟไลน์โปรแกรมสไกป์



ผมเหลือบตามองนาฬิกาบนหน้าจอเล็กน้อย ผมใช้เวลาคุยกับแด๊ดดี้สิบนาที ถึงจะใช้เวลานานมากไปหน่อยแต่ผมต้องส่งข่าวให้แด๊ดดี๊เอริครู้บ้าง ไม่อย่างนั้นพวกท่านคงตามหาผมกันให้วุ่น อย่างน้อยผมก็สบายใจที่ได้พูดคุยกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ผมยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อย เลยนั่งหาข้อมูลของคาโซ่ที่แด๊ดดี้บอกผมเมื่อครู่ หาไว้ก่อนแล้วค่อยอ่านทีหลัง ผมต้องใช้เวลาให้น้อยที่สุดเพราะตอนนี้แถบสถานะที่บอกถึงการลักลอบใช้อินเตอร์เน็ตของผมมันเริ่มเคลื่อนเข้าหาแถบโซนสีเหลือง นั่นคือสัญญาณเตือนว่าผมควรจะออกจากระบบอินเตอร์เน็ตโดยเร็ว ถ้าแถบสถานะเคลื่อนไปถึงโซนสีแดง นั่นหมายถึงระบบไฟล์วอร์ของมาร์คจะตรวจจับการลักลอบครั้งนี้ได้ ซึ่งผมจะไม่เสี่ยงเด็ดขาดครับ ตอนนี้ผมหาได้แค่นี้ก็ไม่เป็นไร วันหลังผมคงมีโอกาสอีกแน่นอน



ผมจัดการปิดสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ของผมเรียบร้อย และชัตดาวน์คอมพิวเตอร์เพื่อเก็บเอาไว้ตรงลิ้นชักข้างหัวเตียง เมื่อผมกวาดตาสำรวจรอบๆ เพื่อไม่ให้มีอะไรผิดสังเกต ผมก็เดินไปถอดเสื้อแขนยาวที่ใช้ปิดผ้าพันแผลเอาไว้ แต่เพราะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเกินไป มันทำให้ผมหน้ามืด มีอาการโลกหมุนและปวดหนึบตรงบาดแผล ผมคงฝืนมากเกินไปแล้ว อีกไม่นานไข้ก็คงขึ้น ผมเลยคลานขึ้นเตียง ซุกตัวลงไปในผ้าห่มผืนหนา และหลับตาลงพร้อมนึกถึงภาพสมัยก่อนที่มีผม คุณพ่อ และแด๊ดดี้อาศัยอยู่ด้วยกัน มันเป็นเรื่องดีๆ ที่ทำให้มีความสุข แต่ก่อนที่ผมจะหลับลึกลงไป ภาพสุดท้ายที่ผมนึกถึงกลับเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีดวงตาสีทองเจิดจ้าจ้องมาที่ผมอย่างไม่ละสายตา



..................................



ตอนใหม่มาแล้วค่า ตอนนี้ไรท์แต่งเพลินไปหน่อย รู้ตัวอีกทีก็ปาไปหลายหน้าเลย นอกจากลุงจะชอบคริสตินแล้ว ลุงยังเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบรถมากๆเลยนะคะ ส่วนใหญ่รถของลุงก็เป็นไฮเปอร์คาร์ค่ะ ซึ่งไฮเปอร์คาร์คือรถที่เร็ว แรง สวย และแพงมากกว่าซูเปอร์คาร์ทั่วไป ความเร็วขั้นต่ำก็ 300-400 กิโลเมตร และผลิตจำนวนน้อยมากๆ โดยเฉพาะรถของดอน Koenigsegg One:1 ค่ะ





ในบทนี้ค่อนข้างปล่อยเรื่องราวของหนูคริสออกมาบางส่วนนะคะ หลังจากนี้หนูคริสคงจะเจอเรื่องหนักหน่วงมากกว่าเดิม ไรท์ขอฝากนักอ่านทุกท่านเอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้น้องด้วยนะคะ  แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า






ออฟไลน์ llinllin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: กรงเทวดา : บทที่ 15 จ้องมอง (31.08.18)
«ตอบ #114 เมื่อ31-08-2018 16:08:26 »


บทที่ 15 จ้องมอง


ตอนนี้พิษบาดแผลกำลังเริ่มเล่นงานผม แม้จะทานยาแก้อักเสบและยาลดไข้เผื่อไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่เหมือนร่างกายของผมมันหนักอึ้งและหนาวสั่น แม้แต่เปลือกตาของผมก็ยังร้อนผ่าว ผมได้แต่ขดตัวซุกอยู่ใต้ผ้าห่มให้อบอุ่นมากที่สุด ไม่สบายแบบนี้ผมไม่ชอบเลยครับ มันทำให้ผมอ่อนแอลงทั้งร่างกายและจิตใจ ผมไม่สามารถแสร้งทำเป็นเข้มแข็งใดใดได้เลยในเมื่อพิษไข้เล่นงานผมแบบนี้



เมื่อผมป่วย ผมจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ผมจะโหยหายความอบอุ่นมากเป็นพิเศษ อยากจะได้อ้อมกอดที่คอยปลอบประโลมจิตใจที่อ่อนล้าของผม เพราะเมื่อไหร่ที่ผมล้มป่วยขึ้นมา เมื่อนั้นความทรงจำเก่าๆ ที่ผมอยากจะลืมก็จะกลับมาเล่นงานผมจะแทบกระอัก ผมพยายามฝืนตัวเองให้มากที่สุดเพราะผมไม่ได้อยู่กับคุณพ่อที่บ้าน คุณพ่อและแด๊ดดี้จะเป็นคนที่เข้าใจฝันร้ายของผมดีที่สุด มีเพียงพวกท่านที่จะคอยเฝ้าผมอยู่เสมอ แต่เวลานีี้ผมไม่มีใครเลย ผมเลยกลัวที่จะหลับตา



เมื่อซักครู่ผมเกือบจะหลับลงไปแล้วครับ แต่เพราะผมกลัวที่จะฝัน ผมจึงฝืนลืมตาและลุกขึ้นมาอีกครั้ง ภาพในห้องมันหมุนคว้างจนผมต้องเกาะหัวเตียงเอาไว้นิ่งๆ ผมค่อยๆ เกาะผนังห้องไปจนถึงประตู และใช้แรงที่เหลือเพียงน้อยนิดในการเปิดประตูบานนั้น



“คุณคริสติน?” บอร์ดี้การ์ดหนึ่งในสองที่ยืนเฝ้าผมหน้าห้องมองผมด้วยสายตาประหลาดใจ “คุณต้องการอะไรรึเปล่าครับ”



“ผมจะไปหาแองเจริน่าครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว ร่างกายหนักขึ้นเรื่อยๆ จนผมฝืนแทบไม่ไหวแล้วครับ



“ดอนให้คุณพักผ่อนอยู่แต่ในห้องนะครับ” ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมแสดงสีหน้าลำบากใจ พวกเขาคงได้รับคำสั่งให้เฝ้าผมและให้ผมอยู่แต่ในห้องไม่ไปไหน



“งั้นรบกวน รบกวนช่วยตามแองเจริน่าให้ผมได้ไหมครับ” ผมโน้มศีรษะลงต่ำและยกมือกุมหัวเอาไว้แน่น ดวงตาพร่ามัวจนเริ่มมองภาพตรงหน้าไม่ชัด



“แต่ดอนไม่ให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายนะครับ” พวกเขาแสดงสีหน้าลำบากใจ ผมเข้าใจพวกเขานะครับและเกรงใจมากๆ ด้วย แต่...ผมไม่อยากอยู่คนเดียว



“นะครับ ได้โปรด” ผมเงยหน้าขอร้องพวกเขา แต่เมื่อพวกเขาทั้งสองเห็นใบหน้าของผมชัดเจนอีกครั้ง ดวงตาของบอร์ดี้การ์ดต่างเบิกกว้างรีบสบสายตากันเลิกลั่กและหนึ่งในนั้นก็รีบวิ่งไปตามแองเจริน่าให้ผม



“รอก่อนนะครับคุณคริสติน เดี๋ยวผมจะรีบไปตามคุณแองจี้ให้” เขาบอกผมและรีบวิ่งไป ส่วนอีกคนหนึ่งที่เหลือก็แสดงสีหน้าแปลกๆ หันซ้ายหันขวาเอ่ยขออนุญาตผมและหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ ออกมาเพื่อซับหยดน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นทาง



ผมร้องไห้เหรอครับ?



“คุณเข้าไปรอในห้องก่อนเถอะครับ เดี๋ยวคุณแองจี้มาผมจะพาคุณเขาเข้าไปหา” เขาพูดและเข้ามาประคองผมที่ยืนแทบไม่ไหว ค่อยๆ พยุงพาผมกลับไปที่เตียงนอน



ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้งเพื่อเฝ้ารอผู้หญิงวัยกลางคนที่สง่างามและใจดีคนนั้น เรือนผมหยักศกสีแดง และใบหน้าอ่อนหวานที่มีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ ทุกๆ วันผมชื่นชอบที่จะไปคอยเฝ้าดูแองเจริน่าที่ห้องครัว คอยช่วยเหลืองานในครัวเท่าที่ผมจะทำได้ ฟังเธอเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟังมากมาย เรื่องครอบครัว เรื่องลูกสาวลูกชาย เรื่องบ้านเกิด รอยยิ้มของแองเจริน่าสวยงามและสดใส ผมชอบรอยยิ้มของเธอ และชอบดวงตาที่เต็มไปด้วยความสุขของเธอมากยิ่งกว่าสิ่งใด



ผมนอนลืมตามองเพดานสีขาวด้วยใจที่ว้าวุ่นเล็กน้อย และรอเพียงไม่นานผมก็รับรู้ถึงฝ่ามือสากด้านเพราะทำงานหนักมาทั้งชีวิต แต่ถึงกระนั้นมันก็อบอุ่นและอ่อนโยน ผมพลิกตัวเพื่อมองเจ้าของมือคนนั้นและก็ได้เห็นรอยยิ้มที่งดงาม



“คุณหนูทำไมไม่พักผ่อนคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานของแองเจริน่าเอ่ยถามผม ดวงตาของผมพร่ามัวเล็กน้อยแต่ก็ยังดื้อดึงที่จะไม่ยอมหลับตาพักผ่อน



“ขอโทษที่รบกวนนะครับ”



“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ทุกคนที่ห้องครัวเป็นห่วงคุณมากเลยนะคะ อย่างน้อยก็พักซักนิดจะได้หายเร็วๆ” แองเจริน่ายังยิ้มกว้างส่งมาให้ผม มือของเธอก็ยังคงลูบศีรษะของผมไม่หยุด



“ช่วยอยู่กับผมซักครู่นะครับ ได้โปรด” ผมเอ่ยขอร้องแองเจริน่าและคว้ามืออีกข้างของหญิงสาวมากุมไว้แน่น มือของผมสั่นเล็กน้อยเพราะผมยังคงหวาดกลัวอยู่มาก



“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขออนุญาตอยู่เฝ้าคุณนะคะ ไม่ต้องห่วงค่ะ ดิฉันจะอยู่ข้างๆ ไม่ไปไหนแน่นอน” แองเจริน่าเอ่ยบอกผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมผ่อนลมหายใจเล็กน้อยและยกฝ่ามือของแองเจริน่ามาแนบเข้ากับแก้มของผม ผมลืมตาขึ้นมองไปทางเธออีกครั้งเพื่อจดจำลึกเข้าไปในใจ





‘ผมขอโทษครับ ขอโทษ’

‘ทำไมเธอต้องขอโทษฉันล่ะ?’

‘เพราะผม คุณถึงเจ็บ’

‘ฉันไม่เจ็บเลยซักนิด แต่เรียกแบบนี้ฟังดูห่างเหินจัง เรียกฉันว่าพี่ได้ไหม’

‘พี่?’

‘อืม พี่ ฉันเป็นพี่อีกคนของเธอได้ไหม’

‘ได้ซิครับ’

‘ดีจัง ฉันจะปกป้องเธอเองนะไม่ต้องห่วง เธอจะต้องปลอดภัย’ รอยยิ้มที่ส่งมาให้ในความมืดนั้นดูงดงาม เป็นรอยยิ้มที่เหมือนแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในสถานที่โหดร้ายแห่งนี้ รอยยิ้มเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นทุกอย่างในชีวิต ทั้งความหวัง ทั้งความอบอุ่น ทั้งการปลอบประโลม

‘ผมขอโทษนะครับ ขอโทษพี่จริงๆ’





ดวงตาสีมรกตของหญิงสาววัยกลางคนทอดมองร่างเล็กของเด็กน้อยตรงหน้าด้วยแววตาเห็นใจสงสาร เธอได้แต่นั่งนิ่งๆ คอยปลอบประโลมเด็กหนุ่มที่นอนกระสับกระส่าย และพร่ำเพ้อบางอย่างซ้ำไปซ้ำมา



“ขอโทษครับ พี่ ผมขอโทษ” คริสตินนอนดิ้นไปมา แต่ก็ยังไม่ปล่อยมืออุ่นๆ ข้างนั้นเหมือนใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้ตกไปในห้วงของความฝันที่แสนเลวร้าย เธอเห็นท่าทางทรมานของเด็กหนุ่มก็หวนคิดไปถึงลูกๆ ของเธอที่เวลาไม่สบายก็จะงอแงอย่างนี้เช่นเดียวกัน แต่เด็กคนนี้น่าสงสารมากกว่า เพราะตอนนี้เด็กตัวเล็กๆ พลัดจากบ้านเกิดเมืองนอน ห่างจากอกพ่อแม่มาตั้งไกล จับพลัดจับพลูต้องมาอยู่ในวงการมาเฟียที่แสนจะอันตรายอย่างนี้ เฮ้อ



แกร๊ก แอ๊ด



เสียงเปิดประตูห้องนอนของคริสตินดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างสูงใหญ่ของดอนแห่งคอลิโอเน่เดินก้าวเข้ามา เขาได้รับรายงานเรื่องแองเจริน่าจากบอร์ดี้การ์ดที่ยืนหน้าห้องแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่เห็นแม่บ้านหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ในห้อง อาการแปลกๆ ของคริสตินที่ได้รับรายงานมาทำให้เขาค่อนข้างเป็นห่วงเด็กน้อยของเขามากกว่าที่คิด



“คริสตินเป็นยังไงบ้าง” ดราโกเดินมาหยุดที่ข้างเตียงนอน สำรวจสีหน้าที่แดงก่ำเพราะพิษไข้ และใบหน้าที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยเพราะความทรมานจากพิษบาดแผล



“คุณเขาละเมอตลอดเวลาเลยค่ะ” แองเจริน่ารายงาน “ดูทรมานมากเลยทีเดียว เหมือนจะฝันร้ายอยู่ด้วย”



“งั้นหรือ เด็กคนนี้ดูติดเธอมาก” ดวงตาคมกริบของดราโกมองท่าทางของทั้งสองเล็กน้อย เทวดาตัวน้อยของเขาไม่ยอมปล่อยมือของหญิงสาวเลย จับไว้แน่นเหมือนกลัวจะหลุดหาย



“คุณหนูคงใช้ดิฉันเป็นตัวแทนของใครซักคน” หญิงสาวตัดสินใจบอกเรื่องนี้ออกไป เพราะจากตลอดเวลาที่ผ่านมาเด็กหนุ่มคนนี้มักจะมาใช้เวลาในห้องครัวอยู่เงียบๆ คอยเฝ้ามองอยู่ไม่ไกล ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือเขาก็จะเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว “คุณหนูเธอชอบมานั่งมองดิฉันทำงาน แต่เธอไม่ได้มองที่ตัวดิฉันนะคะ เธอเหมือนมองลึกผ่านไป เหมือนเห็นเงาของใครซักคนที่คล้ายคลึงกับตัวดิฉันมากกว่า”



“อืม” ชายหนุ่มรับคำพลางครุ่นคิด ถ้าเขานึกดีๆ ตลอดเวลาสายตาของคริสตินเมื่อมองไปที่แองเจริน่า ไม่ใช่ความรัก ความชอบ แต่เป็นความรู้สึกผิดที่ปรากฏอยู่ในแววตามากกว่า



“คุณเขาละเมอขอโทษอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ” น้ำเสียงของแองเจริน่าเต็มไปด้วยความสงสารและเศร้าใจ เพราะอะไรกันนะเด็กตัวแค่นี้ถึงมีเรื่องทุกข์ใจมากมาย



“เอาเถอะ ฉันจะดูเขาต่อเอง เธอไปจัดการงานที่เหลือเถอะ” ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้และพยายามปลดมือของคริสตินออกให้อย่างเบามือที่สุด แองเจริน่ายิ้มรับและก้มศีรษะขอบคุณดอนแห่งคอลิโอเน่ ก่อนจะขอตัวและเดินออกไปจากห้องนอน



ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งลงแทนที่หญิงสาว เฝ้ามองท่าทางกระสับกระส่ายและทรมานของเด็กน้อยของเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง เฝ้ามองอยู่นาน พร้อมกับครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างถี่ถ้วนและตรึกตรอง



รักหรือไม่รัก...

ชอบหรือไม่ชอบ...

ปล่อยไปหรือจับไว้ให้มั่น...

เขาจะตัดสินใจอย่างไรต่อไปดี?





หึ ยังต้องคิดอีกเหรอ ไร้สาระสิ้นดี เขาหลงเทวดาตัวน้อยของเขาขนาดนี้ จะให้ปล่อยมือไปน่ะเหรอ ไม่มีวัน!!! ชีวิตที่เกือบมอดดับไปกลับถูกมือเล็กๆ และแสงสว่างเพียงหนึ่งของเขาฉุดรั้งขึ้นมาจากความตาย แต่เขาไม่ขอนับไอ้หมอหน้ายิ้มคนนั้นเป็นคนช่วยชีวิตเขาก็แล้วกัน เพราะถ้าวันนั้นเด็กน้อยของเขาไม่คิดจะช่วยเขากลับมา เขาก็คงตายอยู่ในตรอกนั้นแล้ว เทวดาตัวน้อยที่เขาเห็นปีกเล็กสีขาวสว่างไสวอยู่กลางแผ่นหลังนั้น มันคือสิ่งที่ทำให้เขาอยากกักขังเด็กคนนี้ไม่ให้ไปไหน



คริสตินไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนผู้หญิงในอดีตของเขา ผู้หญิงพวกนั้นก็แค่ชื่นชมหลงใหลแต่เงินตราและรูปลักษณ์ที่มันท้าทายพวกเธอก็เท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้ที่เขามีเด็กน้อยกลับไม่สนใจ มุ่งมั่นที่จะเดินไปตามทางที่ตนเองต้องการ แม้ความจริงแล้วจิตใจและร่างกายนั้นจะเปราะบางมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังพยายามไม่ย่อท้อ ลุกขึ้นสู้กับความกลัวในอดีตของตัวเอง ลุกขึ้นจะก้าวต่อไปข้างหน้า



ความมุ่งมั่นนี้มันช่างคล้ายคลึงกับเขาในอดีตเหลือเกิน แววตาที่มองตรงไปข้างหน้าดวงนั้น ดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่กล้าแข็ง มันทำให้ใจของเขาสั่นไหวทุกครั้ง หึ แก่จนป่านนี้พึ่งจะเข้าใจ ว่าอะไรที่เรียกว่าความรัก คำว่ารักที่เขาไม่เคยพบเจอจากผู้หญิงคนไหนมาก่อน เขากลับมอบมันให้เด็กคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเขามากเหลือเกิน แต่ถามว่าคู่ควรไหม เขาเต็มใจที่จะมอบให้เด็กคนนี้อย่างไม่ลังเล อยากรัก อยากดูแล อยากทะนุถนอม



คาลอสเคยบอกว่าเพราะเขาแก่แล้ว สัญชาติญาณของคนเป็นพ่อหรือเปล่าที่อยากมีลูกซักคน ไร้สาระ เขาจะไม่รู้เลยรึไงว่าความรู้สึกตอนนี้ของเขามันคืออะไร คำว่ารักที่คิดว่าจะไม่เคยเจอ กลับพบได้อย่างง่ายดายเพราะเทวดาน้อยคนนี้ เขาพร้อมจะแผ้วถางหนทางที่ยากลำบากให้เด็กน้อยอย่างเต็มใจ



คริสตินเกลียดใคร เขาก็เกลียด แต่จะเกลียดมากกว่าเป็นพันเท่า คริสตินอยากฆ่าใคร เขาจะจับมันมาทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่ามันจะร้องขออ้อนวอน คริสตินอยากได้อะไร เขาจะหามาให้ อยากทำอะไร เขาพร้อมช่วยเหลือ อย่างเช่นเรื่องของพวกคาโซ่ก็เช่นกัน เหตุผลแรกที่เขาช่วยเหลือคือหนึ่งพวกมันลอบกัดเขา ลอบยิงเขาจนเกือบตาย สอง พวกมันเป็นคนที่ทำให้คริสตินเจ็บปวด เขาจึงช่วยสะสางละเลงหนี้เลือดครั้งนี้ให้ แผนการแรกของเขาคือการทำให้พวกมันตกเป็นจำเลยสังคม ให้มันตกต่ำล่มจมจนร้อนรนขาดสติ



แต่เขาจะพลีพลามรีบร้อนไม่ได้ จะฆ่ามันให้ตาย ต้องกำจัดในครั้งเดียว แผนการต่อไปของเขากำลังเริ่มขึ้น นอกจากจะกำจัดพวกมันได้แล้ว ยังถือโอกาสลากหนอนบ่อนไส้ สุนัขเลี้ยงไม่เชื่องคิดลอบกัดเจ้านายออกมาด้วยเช่นกัน หึ กระหายอยากได้อำนาจ คิดแทนตนนั่งบัลลังก์แทนที่เขาอย่างนั้นรึ ฝันไปเถอะ อยากได้จนคิดเล่นไม่ซื่อ หวังมาลอบกำจัดเทวดาตัวน้อยจนได้รับบาดเจ็บ นี่คือโทษตายที่มันควรได้รับ พวกมันจะได้รู้ว่าการมาแหย่ซาตานเช่นเขาให้เกรี้ยวกราดน่ะ ผลลัพธ์สุดท้ายคืออะไร พวกมันจะได้ลิ้มรสชาตินี้กันถ้วนหน้า!!!!





“ไม่ ผมขอโทษครับ ขอโทษครับพี่ ฮึก ขอโทษ” น้ำเสียงทุกข์ทรมานของคริสตินดังขึ้นพร้อมกับมือเล็กที่ยกไขว้คว้าไปมาในอากาศ มือใหญ่กุมมือเล็กเอาไว้มั่นพร้อมทั้งล้มตัวลงนอนอยู่ข้างๆ ฉุดรั้งร่างของคริสตินเข้ามากอดแนบอก พร่ำจุมพิตปลอบประโลมไปทั่วใบหน้า ก่อนหยุดเนิ่นนานที่ริมฝีปากซีดเซียวแตกระแหงเพราะโดนพิษไข้เล่นงาน



“ไม่เป็นไรเด็กน้อย เธอไม่ต้องขอโทษใคร อย่าคิดอะไรเลย พักเถอะ” เสียงทุ้มของดราโกกระซิบอยู่ข้างหูของคริสตินแผ่วเบา เอ่ยบอกซ้ำไปซ้ำมาและกระชับอ้อมกอดจนใบหน้าแดงก่ำซุกซบอยู่ตรงลำคอหนาของดราโก เขาโยกกล่อมร่างเล็กๆ ของเด็กหนุ่มไปเรื่อยๆ จนอาการทุรนทุรายของคริสตินสงบลง ลมหายใจร้อนผ่าวของเด็กน้อยเริ่มสงบมากขึ้น เพียงไม่นานเทวดาตัวน้อยของเขาก็หลับลึกและนอนอย่างสงบนิ่ง



ดวงตาสีทองอ่อนโยนมากขึ้นเมื่อได้เฝ้ามองคริสตินไม่ห่าง จะปกป้อง จะดูแล จะกำจัดใครก็ตามที่คิดร้ายต่อเด็กคนนี้ให้พ้นทาง จะคอยประคอง จะคอยอยู่ข้างๆ เผื่อว่าซักวันเทวดาตัวน้อยของเขาจะสามารถยิ้มออกมาได้อีกครั้ง รอยยิ้มของคริสติน ต้องเป็นรอยยิ้มที่งดงามมากที่สุดแน่นอน



“หลับเถอะ เทวดาน้อยของฉัน”





ในคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในกรุงโรม วันนี้มีการนัดหมายประชุมด้วยเรื่องเร่งด่วนและน่าหนักใจ การประชุมวันนี้เรียกผู้บริหารระดับสูงมาจนหมด มีทั้งสิ้น 15 ชีวิต ซึ่งใบหน้าของผู้บริหารแต่ละคนที่นั่งอยู่ ณ ห้องประชุมแห่งนี้ต่างมีสีหน้าที่คล้ายๆ กัน นั่นคือเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยและเป็นกังวล พวกเขากำลังหนักใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับแฟมิลี่ของพวกเขา การโจมตีในโลกโซเชี่ยลนั้นรุนแรง ความน่าเชื่อถือของพวกเขาเข้าขั้นติดลบ ไม่รู้ว่าแฮคเกอร์คนไหนนำข้อมูลของพวกเขาไปปล่อยลงบนโลกอินเตอร์เน็ต



ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นมันทำให้พวกเขาหนาวเยือกไปถึงขั้วหัวใจ เพราะใครบางคนสืบลึกลงมาถึงข้อมูลลับที่พวกเขาเก็บไว้อย่างดี เครือข่ายทั้งหมดของคาโซ่ถูกเอามาตีแผ่ประจานแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างกว้างขวาง แม้ว่าพวกเขาจะไหวตัวทัน แต่ข้อมูลบางส่วนก็หลุดรอดออกไปและเปิดเผยสู่สายตาของชาวโลกจนหมดแล้ว สื่อทุกสำนักประโคมข่าวเรื่องนี้มาตลอดสัปดาห์ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่พวกเขาซื้อตัวไว้ก็ไม่สามารถจะออกมาปกป้องและช่วยเหลือพวกเขาได้อีก



ตอนนี้ประชาชนก็มารณรงค์ให้พวกเขาออกมารับผิด กดดันทั้งตำรวจ ทั้งรัฐบาลให้รีบเร่งดำเนินการให้จับกุมพวกเขาให้เร็วที่สุด จากตอนแรกที่พวกตำรวจและรัฐบาลยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะอำนาจของเม็ดเงินที่พวกเขาได้หว่านไปจำนวนมาก เป็นใบเบิกทางในการซื้อขายและทำให้ธุรกิจของพวกเขาไร้อุปสรรค แต่จากนี้เราจะทำอย่างไรต่อไปดี



“เริ่มประชุมได้แล้ว” ดอนแห่งคาโซ่เอ่ยขึ้นเมื่อเก้าอี้ประจำตำแหน่งของผู้บริหารในแฟมิลี่นั่งครบกันเรียบร้อย



“ตอนนี้สถานการณ์ของเราน่าเป็นห่วง เจ้าพวกรัฐบาลมันตัดสินใจลอยแพพวกเราแล้ว” ชายในชดสูทสีเทามีใบหน้าซูบผอมเอ่ยขึ้น



โครม



“งั้นเราก็ประจานพวกมันไปด้วยเลย คิดจะทำตัวสูงส่งไร้มลทินรึไง เหอะ ไอ้พวกปลิ้นปล้อน” ชายร่างใหญ่คนหนึ่งท่าทางเกรี้ยวกราดทุบโต๊ะเสียงสนั่น



“ใช่ๆ พวกนักการเมืองพวกนั้นทำเป็นลอยตัวเหนือปัญหา ทั้งๆ ที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของเราแท้ๆ” หนึ่งในผู้บริหารอีกคนพูดขึ้นมาบ้าง



“อย่าโง่ไปหน่อยเลย ถ้าเราโจมตีรัฐบาลกลับไปบ้างพวกมันคงรีบแว้งกัดพวกเราทันที ตอนนี้มันยังเห็นแก่หน้าพวกเราอยู่บ้างเลยปล่อยปัญหานี้ให้เราจัดการกันเอง”



“ใช่ ถ้าเราแฉพวกมัน หึ อีกวันพวกเราคงโดนจับเข้าซังเตกันหมด”



“ถ้าตอนนี้เราล้มขึ้นมา ไอ้พวกแฟมิลี่อื่นได้เเข้ามารุมทึ้งแย่งเขตปกครองกันให้วุ่นแน่นอน” เสียงพูดคุยของเหล่าผู้บริหารนั้นดังมากขึ้นเร่ือยๆ พวกเขาต่างปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นกันยกใหญ่ ดอนแห่งคาโซ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาดุดันกวาดมองไปรอบๆ อย่างสงบ เลขาส่วนตัวที่นั่งอยู่ด้านขวามือก็นั่งรอคอยคำสั่งจากผู้เป็นนายเช่นเดียวกัน



“เงียบ” เพียงแค่คำพูดสั้นๆ คำเดียวของวีเนซิโอ คาโซ่ ทำให้ผู้บริหารที่กำลังนั่งถกเถียงกันอยู่นั้นเงียบกริบในทันที “อย่าพึ่งเถียงอะไรไร้สาระ เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังแน่นอน เราต้องสืบหาต้นตอของพวกที่ต้องการเล่นงานเราก่อน”



“อาจจะเป็นฝีมือของแฟมิลี่อื่นที่ต้องการกำจัดเราก็ได้นะครับ” เลขาของดอนแห่งคาโซ่เอ่ยขึ้นเช่นกัน



“มาร์ติน สมิธรึเปล่า เจ้าคนนี้ที่เคยหาเรื่องเราเมื่อตอนนั้นไง” ชายร่างใหญ่ที่ทำเสียงดังโครมครามเมื่อครู่พูดขึ้น ชื่อที่พวกเขาเกือบลืมไปแล้วย้อนกลับมาอีกครั้ง



“ไม่ใช่ว่าเราฆ่ามันไปแล้วรึไง จับมันได้คาหนังคาเขาขนาดนั้น ทั้งแลปท็อปทั้งข้อมูลที่ห้องเช่าของมัน ป่านนี้มันคงไปทัวร์นรกสนุกสนานแล้วล่ะ” ชายอีกคนหนึ่งแย้งขึ้นมา



“ใช่ครับ เราตามสืบจนพบมาร์ติน สมิธที่ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ในแลปท็อปนั้นเราพบข้อมูลที่เขาแฮคจากเราด้วยครับ และมีบางส่วนของแฟมิลี่อื่นๆ เช่นเดียวกัน เป้าหมายของผู้ชายคนนี้คงเป็นมาเฟียอิตาลีเกือบทั้งหมด เพราะเขารวบรวมรายชื่อแฟมิลี่ที่มีการค้ามนุษย์ อาวุธ และยาเสพติด” เลขาของคาโซ่เปิดเอกสารที่เขาเตรียมไว้และแจกจ่ายให้กับผู้บริหารทุกคน



“เหอะ ไอ้เจ้านี่สุดท้ายก็ตายไปแล้ว จะมาพูดชื่อมันอีกทำไม”



“หรือว่ามันคือคนที่เอาข้อมูลของเราไปเผยแพร่ใช่ไหม”



“ไอ้ลูกหมาชั้นต่ำ!!!!”



“หึ น่าจะทรมานมันมากกว่านี้นะ ให้มันตายสบายไปรึเปล่า”



เสียงก่นด่าดังขึ้นไปทั่วห้อง ต่างสาปแช่งมาร์ติน สมิธกันถ้วนหน้า ถ้อยคำหยาบคายมากมายพรั่งพรูออกมาไม่มีที่สิ้นสุด ยัง ยังไม่สาแก่ใจกับสิ่งที่มันทำเลยซักนิด



“เราใช้ประโยชน์จากมันเพื่อแก้สถานการณ์ได้” เสียงทุ้มต่ำของวีเนซิโอเอ่ยขึ้น ทำให้ทุกคนในห้องประชุมเงียบเสียงลงเพื่อฟังแผนการของดอนแห่งคาโซ่ “ตอนนี้ฐานอำนาจของเราสั่นคลอนเพราะผู้สนับสนุนของเราไม่ยอมช่วยเหลือเราอีกต่อไป แต่เราต้องหาพันธมิตรใหม่เพื่อขอความร่วมมือ”



“พันธมิตรใหม่หรือครับ?” หนึ่งในผู้บริหารถามขึ้น ทุกคนต่างตั้งอกตั้งใจฟังแผนการที่เวนีซิโอจะเอ่ยออกมา แต่ดอนแห่งคาโซ่กลับโยนเรื่องนี้ให้กับเลขาเป็นผู้อธิบาย



“เรามีหลักฐานในเรื่องของมาร์ติน สมิธที่แฮคข้อมูลของแฟมิลี่อื่น เราจะทำเรื่องนี้ให้เป็นประเด็นเพื่อกล่อมให้พวกเขามาเข้าร่วมประชุมระหว่างแฟมิลี่ พร้อมกับขอความช่วยเหลือเพื่อให้พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามของมาร์ติน สมิธ เพื่อที่จะร่วมมือกับเราและสนับสนุนในการตามล่าตัวผู้ชายคนนี้ร่วมกัน”



“แต่มันตายไปแล้วนี่”



“ใช่ครับ ตายไปแล้ว แต่แฟมิลี่อื่นไม่รู้นี่ครับ” เลขาหนุ่มกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าแฟมิลี่อื่นรับรู้ถึงอันตราย พวกเขาจะร่วมมือกับเรา ทีนี้เราจะมีคนสนับสนุนและไม่ต้องระแวงเรื่องเขตปกครองชั่วคราว อีกอย่างพวกรัฐบาลจะเริ่มดิ้นพร่านและยอมเข้ามาเจรจาช่วยเหลือเราอีกครั้ง เพราะพวกเขากลัวว่าถ้าแฟมิลี่ทั้งหมดเป็นพันธมิตรกัน รัฐบาลจะต้องเดือดร้อนแน่นอน อีกอย่างข้อมูลที่หลุดออกมานั้นเราไม่รู้ว่าเป็นเพราะมาร์ติน สมิธ หรือยังมีพรรคพวกของเขาเหลืออยู่อีกรึเปล่า ดังนั้นเราจะใช้ประโยชน์ตรงจุดนี้ให้แฟมิลี่อื่นร่วมมือกับเราและตามล่าคนๆ นั้นแทน”



“อย่างนี้นี่เอง น่าสนใจดีนี่” ผู้บริหารของคาโซ่ทั้งหมดต่างยอมรับในแผนการนี้ และปรึกษาเพื่อวางแผนการให้รัดกุมอีกครั้ง





ภายในห้องนอนของคริสตินนั้น มีร่างสูงใหญ่ของดอนแห่งคอลิโอเน่นั่งพิงหัวเตียงอยู่เงียบๆ ภายในห้องนั้นมีเพียงแสงไฟสีส้มจากโคมไฟเล็กตรงหัวเตียงนอนเท่านั้นที่เปิดอยู่ แม้เวลาในตอนนี้จะเลยเที่ยงคืนไปแล้วก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หลับใหล ดวงตาของดราโกมองไปที่เทวดาตัวน้อยของเขาที่ยังคงหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ มือหนาของเขาเกี่ยวกระหวัดเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มเล่นไปเรื่อยๆ อย่างเพลินมือ



คริสตินนอนตะแคงข้างหันหน้ามาซบอยู่ตรงช่วงเอวของเขาโดยไม่รู้ตัว เหมือนกำลังซบหาไออุ่นจากร่างกายของเขาอย่างน่าเอ็นดู เขาจ้องมองเด็กน้อยของเขาไม่รู้เบื่อ รอคอยเวลาอยู่เงียบๆ อย่างใจเย็น จนกระทั่งเสียงข้อความจากเมสเสจดังขึ้น มือข้างที่ว่างจึงเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้ใกล้ๆ โคมไฟ เพื่อเปิดอ่านข้อความ



‘ตามแผน’



ข้อความสั้นๆ ถูกส่งมาจากบุคคลปริศนาที่เขารู้จักเป็นอย่างดี เพียงแต่ไม่ได้เมมเบอร์โทรและชื่อเอาไว้ในเครื่องเพื่อป้องกันความปลอดภัย



“หึ” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นจากในลำคอ รอยยิ้มของดราโกกระตุกยิ้มเหยียดออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง ดวงตาสีทองของชายหนุ่มนั้นวาวโรจน์เปล่งประกายเยือกเย็น รอคอย และเฝ้ามองคนเหล่านั้นวิ่งเต้นอยู่บนฝ่ามือของเขามันช่างน่าสนุก วิ่งเข้าไปเถอะ ดิ้นรนกันเข้าไป สุดท้ายพวกมันก็ได้แต่วิ่งไปตามการชักนำของเขาแค่นั้นเอง



หวังว่าละครที่พวกแกแสดงให้ดู จะช่วยให้ฉันสนุกขึ้นมาได้บ้างนะ วีเนซิโอ





............................................



สวัสดีค่ะ ไรท์นำตอนใหม่มาเสิร์ฟให้แล้วนะคะ ช่วงนี้จะได้เห็นความเท่ของลุงมากขึ้นเรื่อยๆ และความในใจของลุงที่มีต่อน้องอย่างชัดเจน ลุงแก่แล้วค่ะ ไม่มาเวิ่นเว้ออะไรมากมายเพราะเดี๋ยวไม่ทันกิน แค่กๆๆ คุกๆๆ 5555 ส่วนน้องอีกนานค่ะ ไม่รู้ใจตัวเองง่ายๆแน่นอน เรื่องของตัวเองยังเอาตัวไม่ค่อยรอด คงไม่มีเวลามาสำรวจความรู้สึกของตัวเองเร็วๆนี้แน่เลยค่ะ T^T


ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาติดตามและเอาใจช่วยน้องกับลุงนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่า










ออฟไลน์ llinllin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
บทที่ 16 เริ่มต้นแผนการ


ย้อนกลับไปที่โกดังร้างแถบชานเมือง บรรยากาศภายนอกยังคงเหมือนเดิมเฉกเช่นวันวาน แม้จะถูกทิ้งร้างเพราะช่วงเศรษฐิกิจถดถอยตั้งแต่หลายปีก่อน แต่คงมีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างไป นั่นคือภายในโกดังร้างแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหมัดกระทบเนื้อ เสียงโครมครามและเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดมาตลอดระยะเวลาสามวันที่ผ่านมา



ดวงตาสีฟ้าของจาคอปจับจ้องทุกการกระทำของลูกน้องในทีมด้วยแววตาเรียบเฉย ชายหนุ่มร่างสูงยืนพิงเสาและมองสไนเปอร์คนนั้นอย่างเบื่อหน่าย ดอนแห่งคอลิโอเน่มีคำสั่ง มอบความทรมานให้มันก่อนที่ความตายจะมาเยือน สไนเปอร์คนนั้นโดนพวกเขาซ้อมมาตลอดระยะเวลาสามวันที่ผ่านมา พอสลบก็จัดการปลุกให้ตื่น ซ้อมไปเรื่อยๆ ทรมานไปเรื่อยๆ พอสลบอีกครั้งก็ทำให้ฟื้นขึ้นมา วนเวียนอยู่แบบนี้จนร่างกายของสไนเปอร์หนุ่มทรุดโทรมและไร้เรี่ยวแรงเต็มที



ลมหายใจของสไนเปอร์หนุ่มขาดห้วง ความเจ็บลุกลามไปทั่วทั้งร่างจนไม่อาจขยับเขยื้อน แค่ขยับนิ้วเท่านั้น ร่างกายก็เหมือนพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ หน้าตาบวมช้ำ เลือดกลบปากและฟันหลุดร่วง กระดูกแขนทั้งสองข้างหักจนใช้การไม่ได้ แม้กระทั่งดวงตาก็พร่าเบลอจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้อีก นรกขุมนี้ยาวนานจนเขาอยากจะวิงวอนและขอร้องให้เขาจากโลกนี้ไปเสียที นรกที่แผดเผาและทรมานจนเขาอยากจะตายไปให้พ้นๆ แต่พวกมันไม่ยินยอม



ข้อมูลทุกอย่างถูกนำมาแลกเปลี่ยน เพราะรักชีวิตจึงต้องหักหลังนายจ้าง ปล่อยข้อมูล หลักฐานการจ้างวาน และอื่นๆ อีกมากมาย ยกให้ไปจนหมด แต่พวกเขาก็ยังไม่คิดจะปราณี ก่อนที่นรกขุมนี้จะเริ่มต้นขึ้น เขาจำได้ว่าเงาสูงใหญ่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าประตูโกดังเมื่อวันนั้นช่างน่าเกรงกลัว และสร้างความหวาดหวั่นให้เขา ดวงตาสีทองคู่นั้นวาวโรจน์และแทบแผดเผาเขาจนทั่วทั้งร่างแข็งเกร็งและหายใจแทบไม่ออก เสียงกระซิบทุ้มต่ำของดอนแห่งคอลิโอเน่เยือกเย็นแต่เขาก็รู้ว่ามันเต็มไปด้วยโทสะที่ต้องการระบายออกมา



“นาย แตะ ต้อง เทวดาของฉัน” แค่ประโยคนี้ของดราโก คอลิโอเน่ เขาก็เข้าใจในทันที ว่าเขาได้กระทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยลงไป แตะต้องคนที่ไม่ควรแตะต้อง ท้าทายอำนาจและความกราดเกรี้ยวของซาตานตนนี้เข้าอย่างจัง อำนาจในมือของดราโก คอลิโอเน่มีมากมายมหาศาล ไม่แปลกที่จะมีคนคิดล้มอำนาจและขึ้นมาแทนที แต่ไม่ควร ไม่ควรท้าทายผู้ชายคนนี้เลยซักนิด



ชื่อที่เขามอบให้ไปคงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแฟมิลี่อย่างดุเดือด แต่เขาเชื่อว่าคงจะกำจัดผู้ชายคนนั้นไม่ได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน หึ เทวดากับซาตานอย่างนั้นหรือ ซาตานที่คอยปกป้องเทวดา เป็นความความมืดมิดและเงามืดของโลกใบนี้ คอยโอบกอดเทวดาน้อยอย่างหวงแหนอย่างนั้นรึ ใครว่าการมีเด็กคนนั้นทำให้ดราโก คอลิโอเน่อ่อนแอลงจนไม่สมควรกับบัลลังก์ของดอน เท่าที่ตาเขาเห็น เขาสัมผัส และรับรู้ด้วยตนเอง เพราะมีสิ่งที่ให้ปกป้อง เลยแข็งแกร่งและโหดเหี้ยมมากกว่าเดิมเสียอีก



พลั่ก



หมัดหนักๆ ดึงสติของเขากลับมาอีกครั้ง กำปั้นแกร่งของพวกเขายังคงต่อยลงมาบนร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขาไม่รู้สึกเจ็บใดใดอีกแล้ว ร่างกายเปลี่ยนเป็นชาหนึบและไร้ความรู้สึก ความตายของเขาใกล้เข้ามาทุกขณะ จนกระทั่งบัดนี้เขาก็ไม่เกรงกลัวความตายอีกต่อไป กลับเฝ้ารอและอ้อนวอนเสียด้วยซ้ำ



“เฮ้ย!!!! ตื่นขึ้นมา!!!!” เสียงลูกน้องตะโกนดังลั่น มือกระชากคอเสื้อที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดอย่างแรง จนร่างอ่อนแรงของสไนเปอร์คนนั้นถลาเข้ามา ใบหน้าใต้หนวดเครานั้นมีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ ของสไนเปอร์หนุ่มเท่านั้นที่ยังประดับอยู่



“ปล่อยไป” มือขวาของดอนแห่งคอลิโอเน่เดินเข้ามาใกล้ ยินยอมให้สไนเปอร์คนนั้นได้เดินทางไปสู่ความตาย รอยยิ้มสุดท้ายของเจ้าตัวคงเป็นรอยยิ้มสมใจที่ในที่สุดเขาก็จะได้จากนรกขุมนี้ไปเสียที “ให้มันไป พอแค่นี้แหละ”



“ครับ” ลูกน้องหลายสิบชีวิตรับคำสั่ง



“เก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อย” จาคอปยืดตัวเต็มคำสูง เดินไปสำรวจความเรียบร้อยในตอนที่ลูกน้องเก็บกวาดอย่างรอบคอบ และโทรศัพท์หาคาลอสในทันที ชายหนุ่มรอสายเพียงไม่นาน มือซ้ายของแฟมิลี่ก็รับโทรศัพท์



“ไง เรียบร้อยแล้วเหรอ” คาลอสถามทักทายเป็นประโยคแรก



“ใช่ ฝากแจ้งข่าวให้ดอนด้วยนะ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าออกจากโกดังร้าง “พรุ่งนี้ฉันถึงจะกลับเข้าไป จะเอาเจ้าสไนเปอร์คนนี้ไปถ่วงทะเลให้ไอ้หลามมันแทะเล่นก่อน”



“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันแจ้งดอนให้”



“แล้วคริสตินเป็นยังไงบ้างล่ะ ดีขึ้นบ้างไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง เพราะเขาเห็นว่าคริสตินยังเป็นแค่เด็กตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย จู่ๆ มาโดนยิงแบบนี้ กว่าจะหายคงอีกนาน



“ก็ดีขึ้น แต่ไข้ยังไม่ลดเลย” ชายหนุ่มขยับแว่นให้เข้าที่ ดวงตาใต้กรอบแว่นสี่เหลี่ยมแอบมองไปทางประตูห้องนอนของคริสตินเล็กน้อย นอกจากเจ้าตัวจะไข้ไม่ลดแล้ว ดอนก็ไม่ยอมออกมาทำงานเช่นเดียวกัน สั่งห้ามใครรบกวน ห้ามให้ใครเข้าไปยกเว้นคุณหมอคนใหม่และแองเจริน่าเท่านั้น แม้แต่เขาจะเข้าไปรายงานยังต้องส่งไปทางโทรศัพท์ ดูท่าว่าอาการของดอนจะหนักกว่าเด็กหนุ่มซะอีก



“งั้นเหรอ โอเค งั้นฉันไปล่ะนะ ฝากดอนกับคริสตินด้วยนะ” คาลอสเอ่ยลาและวางสายไป เขาหมุนตัวกลับมาสั่งการลูกน้องสองสามอย่าง ก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายกันขึ้นรถ Jeep Wrangler Rubicon คันสีดำสนิท โดยคันสุดท้ายนั้นบอร์ดี้การ์ดสองคนยกถุงที่ใส่ศพของสไนเปอร์คนนั้นขึ้นมาโยนไว้ที่เก็บของหลังท้ายรถ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พวกเขาก็ขับรถมุ่งหน้าออกไปนอกเมือง เพื่อกำจัดหลักฐานทันที







ทางด้านคาลอสหลังจากวางสายจากจาคอปไปแล้ว เขานั้นก็กำลังว้าวุ่นเพราะไม่สามารถจะเข้าไปหาดอนถึงภายในห้องนอนของคริสตินได้ และไม่สามารถเข้าไปรบกวนเวลาพักผ่อนของพวกเขาทั้งคู่ได้เลยจริงๆ เพราะตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ ดอนก็ทิ้งงานทุกอย่างให้เขารับผิดชอบและจัดการดูแลความเรียบร้อยทั้งหมด อดหลับอดนอนจนกลายเป็นผีดิบ ใต้ตาลึกโบ๋ และดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้าของประเทศจีน



วันๆ ดอนก็จะหมกตัวอยู่แต่ในห้อง คอยดูแลคริสติน ป้อนข้าวให้คริสติน พาคริสตินไปอาบน้ำ ดูแลไม่เคยขาด คิดดูซิ เขาไม่เคยเห็นดอนเป็นแบบนี้เลยซักครั้ง แล้วใครจะไปเชื่อล่ะว่าดอนจะรักคริสตินไปในทางชู้สาว ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนพ่อกับลูกมากกว่า แต่ถ้าเขาพูดออกไปเหมือนครั้งที่แล้ว เขาก็คงจะโดนหักเงินเดือนไปอีกเดือนแน่เลย เฮ้อ โคแก่กินหญ้าอ่อนชัดๆ



คาลอสถึงแม้จะบ่นดอนแห่งคอลิโอเน่แค่ไหน แต่ขณะนี้แม้เวลาจะล่วงเลยไปจนถึงกลางดึกของวันที่สี่แล้วก็ตาม เขาก็ยังคงมุ่งมั่นในการเคลียร์งานที่กองสุมอยู่อย่างไม่ย่อท้อ จนกระทั่งหนึ่งในลูกน้องของเขาเคาะประตูและเดินเข้ามามอบซองเอกสารสีน้ำตาลอ่อนให้เขา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปรับด้วยความสงสัย ทำไมเอกสารถึงถูกส่งมาดึกดื่นค่อนคืนขนาดนี้ แต่เมื่อเขาพลิกไปอีกด้าน ก็พบกับตราประทับของคาโซ่ แฟมิลี่ ร่างสูงของคาลอสผุดลุกขึ้นยืนในทันที ใบหน้าใต้กรอบแว่นของเขาดูเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ เขาคว้าแฟ้มและเอกสารบางส่วนขึ้นมา ก่อนจะรีบร้อนเดินออกจากห้องทำงานของตัวเองไป



เสียงเคาะประตูห้องนอนของคริสตินดังขึ้นกลางดึก ดวงตาสีทองของดราโกลืมตาตื่นขึ้นในทันที ภายในแววตาไร้ความง่วงงุนและเปล่งประกายจ้าคล้ายกำลังรอคอยเสียงนี้อยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงค่อยๆ ปล่อยร่างเล็กที่เขากักตัวไว้ในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา แต่เพราะไออุ่นของร่างกายจู่ๆ ก็หายไป ทำให้เทวดาตัวน้อยของเขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจและเอื้อมมือมาไขว้คว้าและกอดตัวเขาไว้เช่นเดิม



เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังอยู่ในลำคอกับท่าทางน่ารักและขี้เซาของเด็กน้อย แต่เขาจำเป็นต้องไปเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องด่วนที่คาลอสคงรีบร้อนมารายงานเขา ดราโกปลดมือเล็กที่กอดเขาไว้อีกครั้ง และนำหมอนข้างมาแทนที่ตัวเขาเอง เด็กน้อยดูไม่พอใจ แต่ก็ยินยอมกอดก่ายหมอนข้างใบนุ่มแทน ชายหนุ่มจัดการห่มผ้าให้คริสตินอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกห้องอย่างแผ่วเบา



เมื่อเขาเปิดประตูออกมาก็พบคาลอสที่ยืนทำหน้าง่วงงุนพร้อมกับหอบแฟ้มเอกสารไว้เต็มไม้เต็มมือ ใบหน้าหล่อเหลาใต้กรอบแว่นดูอิดโรย แต่กระนั้นเขาก็ยังเห็นแววตาสนุกสนานและสมใจบางอย่างที่ปรากฏอยู่บางเบา ดราโกเดินนำคาลอสไปยังห้องทำงานที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เมื่อเขานั่งตรงโซฟาเรียบร้อยแล้ว มือซ้ายของแฟมิลี่ก็ทรุดตัวนั่งตรงข้ามพร้อมกับยื่นเอกสารที่มีตราประทับของคาโซ่แฟมิลี่มาให้เขา



“หึ ส่งมาแล้วเหรอ” ดราโกกระตุกยิ้ม มองเอกสารในมือด้วยแววตาสนุกสนานเช่นเดียวกับคาลอส



“ครับ พึ่งมาถึงเมื่อซักครู่” คาลอสตอบ



ดราโกเปิดซองเอกสารนั้นและอ่านรายละเอียดในทันที เอกสารเพียงสองสามแผ่นแต่เป็นกำหนดการการนัดหมายประชุมของแฟมิลี่ทั่วอิตาลี เป็นเอกสารแจ้งเตือนภัยคุกคามและขอความร่วมมืออย่างนั้นเหรอ หึ



“เร็วเหมือนกันนะ” ดราโกส่งยิ้มเย้ยหยันและดูแคลนให้กับแผนการของคาโซ่



“ใช่ครับ คงร้อนรนจนแทบจะทำอะไรไม่ถูกกันแล้ว” คาลอสพูด



“เอาเถอะ ตอบตกลงกลับไปก็แล้วกัน แต่ไม่ต้องรีบส่ง ปล่อยให้พวกมันร้อนใจกันไปก่อน อีกซักสองสามวันเราค่อยตอบกลับไปก็ยังไม่สาย” มือหนาที่ถือเอกสารไว้นั้นวางทิ้งไว้กลางโต๊ะอย่างไม่ใยดี



“ครับ แล้วหลังจากนี้ดอนจะทำยังไงต่อครับ” คาลอสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แผนการคร่าวๆ พวกเขาได้วางเอาไว้แล้ว แต่รายละเอียดและคนที่จะมาเข้าร่วมแผนการนั้นยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากที่ต้องเตรียมการ



“ตามอัลเบอร์โตมา” ดราโกพูดขึ้น อัลเบอร์โต แฟมิลี่ คือหนึ่งในแฟมิลี่ที่เป็นพันธมิตรกับคอลิโอเน่มาเนิ่นนาน ผู้นำทุกรุ่นของทั้งสองแฟมิลี่จะปฏิญาณเพื่อคงความสัมพันธ์นี้ไว้ พวกเขาจะคอยเกื้อหนุน สนับสนุน และพร้อมช่วยเหลือเมื่ออีกฝ่ายต้องการ แต่ความสัมพันธ์นี้ถูกเก็บเป็นความลับเฉพาะกลุ่มผู้บริหารระดับสูงและผู้นำเท่านั้น



“จะนัดหมายดอนอัลเบอร์โตเมื่อไหร่ดีครับ” สมุดนัดหมายของคาลอสถูกยกขึ้นมาเพื่อเตรียมจดกำหนดการให้กับดราโก



“อีกสองสามวันฉันจะเข้าไปพบ แผนการนี้คงต้องมีพวกเขาร่วมมือด้วย” ดวงตาสีทองของดราโกเต็มไปด้วยความรื่นรมย์สนุกสนาน แผนการที่ถูกวางไว้นั้นจะเป็นเหยื่อล่อชั้นดีให้พวกมันตกหลุมพลาง หลอกล่อและจัดการพวกมันให้ตายไปทีละนิด รู้ตัวอีกทีก็พบว่าประตูนรกมาทักทายอยู่ตรงเบื้องหน้าของพวกมันแล้ว



“ครับ เดี๋ยวผมจะจัดการนัดหมายให้ครับ” คาลอสเอ่ยพร้อมยกยิ้ม พวกเขาสบตากันและหัวเราะออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะของคนทั้งสองช่างประสานกันลงตัวอย่างน่าประหลาด เพราะมันชวนให้บรรยากาศยามดึกสงัดในเวลานี้วังเวงมากขึ้นเลยทีเดียว







หลังจากผมนอนซมเพราะพิษบาดแผลเล่นงาน เวลาก็ก็ผ่านไปห้าวันแล้วครับ วันนี้ผมก็ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเขาเช่นเดิม มันเหมือนกลายเป็นชีวิตประจำวันของผมไปแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนนอนผมก็นอนซุกอยู่ในผ้าห่มของผมเหมือนปกติ แต่พอตื่นขึ้นมาทีไร ท่านอนของผมจะต้องแปลกประหลาดเสมอ ไม่กอดเขา ก็ซบอกเขา หรือบางทีผมก็นอนทับเขา โดยใช้ร่างกายของดราโกต่างที่นอน



ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมเขาถึงต้องมานอนกับผมด้วย เขาก็มีห้องนอนของเขา ซึ่งตั้งแต่วันแรกที่ผมมาอยู่ที่นี่ผมก็ได้แต่ใช้ห้องนอนร่วมกับเขาเท่านั้น แต่พอห้องของดราโกโดนสไนเปอร์ยิงเข้ามา ผมก็ได้มานอนห้องรับแขกที่ควรจะเป็นห้องของผมตั้งนานแล้วครับ แต่ก็ไม่วาย ชายหนุ่มร่างสูงก็ตามมานอนกับผมเช่นเดียวกัน ผมวิเคราะห์ได้ว่ากรณีของดราโก เขาต้องเป็นคนที่นอนคนเดียวไม่ได้แน่เลยครับ อาจจะกลัวความมืดหรือเป็นปมบางอย่างในใจ



บางครั้งพอผมตื่นขึ้นมาในบางวัน เขาก็จะมีสีหน้าประหลาด เหมือนดราโกกำลังอดกลั้นหรืออดทนอะไรบางอย่างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก พอผมใช้ดวงตาของผมจ้องมองชายหนุ่มนิ่งๆ เขาก็ทอดถอนหายใจเหมือนคนที่กำลังปล่อยวาง แต่บางครั้งเขาก็ไม่คิดจะอดทนใดใดทั้งสิ้น จู่ๆ ก็กักผมไว้ในอ้อมแขนของเขา ก้มลงขบกัดริมฝีปากของผมเหมือนเป็นขนมหวาน แต่ปล่อยให้เขาจูบผมจนพอใจไปซักพัก เดี๋ยวเขาก็ปล่อยผมเองครับ



สำหรับเช้าวันนี้ดราโกเป็นแบบแรกครับ เขาจ้องผมนิ่งๆ ผมก็นอนสบตาเขาเงียบๆ เช่นเดียวกัน ตอนนี้อาการของผมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แผลไม่อักเสบ ไข้ลดลง แต่ก็ยังอ่อนเพลียไม่มีแรงเหมือนเดิม อาจจะต้องรออีกสองสามวันผมถึงจะหายดี ความจริงแล้วผมค่อนข้างเบื่อที่จะต้องนอนอุดอู้อยู่แต่ในห้อง แต่เพื่อให้สุขภาพของผมแข็งแรงให้เร็วที่สุด ผมจึงคิดว่าควรนอนพักผ่อนอีกซักนิด



ในเมื่อดราโกอยากมอง ก็ปล่อยให้เขามองจนกว่าจะพอใจ ส่วนผมก็ขยับเปลี่ยนท่าเล็กน้อย และก้มไปซุกอยู่ตรงหน้าอกของเขาเหมือนเดิม ผมว่าจะหลับอีกซักงีบหนึ่งครับ ตื่นมาคงได้เวลาอาหารเช้าพอดี ผมขยับยุกยิกเล็กน้อยเพื่อหามุมและท่าที่สบายที่สุด จนกระทั่งแขนแกร่งของชายหนุ่มวาดมารั้งแผ่นหลังผมให้มาแนบชิดมากขึ้น และใบหน้าของผมก็เปลี่ยนมาซบตรงไหล่ใกล้ซอกคอของเขา อ๊ะ สบายจังเลย ผมหลับแล้วนะครับ



“ขี้เซาจังเลยนะ” น้ำเสียงทุ้มติดแหบพร่าเล็กน้อยของดราโกก้มมากระซิบอยู่ข้างใบหูของผม



“ขอผมหลับต่ออีกซักครู่นะครับ” ผมหลับตาและตอบเขากลับไปเบาๆ



“วันนี้ดีขึ้นบ้างไหม” ดราโกถามต่อ ฝ่ามือใหญ่ของเขาที่ทาบทับแผ่นหลังองผมนั้นเริ่มไม่อยู่นิ่ง ชายหนุ่มลูบหลังผมเบาๆ เหมือนกำลังกล่อม แต่ผมคิดว่ามันมีบางอย่างไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นัก เพราะผมรู้สึกถึงไออุ่นจากผิวเนื้อของเขาที่แตะอยู่ตรงแผ่นหลังของผม มือของเขามุดลงมาใต้เสื้อของผมตอนไหนก็ไม่รู้ครับ เร็วจริงๆ



“ดีขึ้นมากเลยครับ แต่ผมยังเพลียอยู่เลย เหมือนไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่”



“งั้นหรือ น่าเสียดายจริงๆ วันนี้ฉันว่าจะพาเธอออกไปข้างนอกซักหน่อย” เสียงของดอนแห่งคอลิโอเน่เต็มไปด้วยความเสียดายที่ผมรู้สึกว่าเขาจงใจแกล้งทำ แต่ผมก็ยอมตกหลุมพลางเขานะครับ ดวงตากลมสีน้ำตาของผมลืมตาขึ้นมาทันที และเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อมองชายหนุ่มที่ยังโอบกอดผมเอาไว้แน่น



“จริงหรือครับ” ผมดีใจนะครับ ต่อให้ผมจะไม่มีเรี่ยวแรงมากเท่าไหร่ แต่การได้ออกไปข้างนอกบ้านบ้างมันก็ทำให้ผมกระตือรือร้นขึ้นมา เพราะผมใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องนอนมาหลายวัน มันเลยทำให้ผมเริ่มเบื่อ ไม่ได้ออกไปหาแองเจริน่า ไม่ได้ออกไปหามาร์ค วันๆ ผมได้แต่กินและนอน คอมพิวเตอร์ของผมก็เล่นไม่ได้ ยังดีที่มีจอห์นมาทำแผลให้ผมบ่อยๆ เลยได้นั่งคุยและถามไถ่เรื่องราวจากเขามาบ้าง



อ๊ะ จริงด้วยครับ ดราโกรู้แล้วนะครับว่าผมหยิบคอมออกมาจากบ้านของมาร์คแล้วครับ ตอนนั้นผมหวั่นๆ ว่าเขาจะโมโหและยึดคอมผมกลับไปเหมือนเดิม แต่เขาแค่มองผมนิ่งๆ และเอ่ยห้ามผมเล่นจนกว่าผมจะหายดีเท่านั้น ซึ่งผมคิดว่าความใจดีของเขามันทำให้ผมระแวง และอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเรื่องของผมเขาอาจะรู้แล้วก็ได้ แต่รอให้ผมหายดีก่อนเถอะครับ แล้วผมจะนั่งคุยกับเขาจริงๆ จังๆ ซะที



“แต่เอาไว้ก่อนแล้วกัน เธอยังไม่หายดีเลย” ดราโกก้มลงจุมพิตหน้าผากของผมเบาๆ เป็นการจบประโยคสนทนา “หลับเถอะ”



“ดราโกครับ ผมอยากไปครับ” ผมรีบร้อนบอกเขาในทันที พร้อมๆ กับขืนตัวออกจากอ้อมแขนของเขาเล็กน้อย ถึงแม้ว่าผมจะพยายามแค่ไหน แต่ผมก็สู้แรงของเขาไม่ได้อยู่ดีครับ รั้งกันไปรั้งกันมา ตัวของผมก็ถูกพลิกให้ขึ้นมาทับอยู่บนลำตัวแข็งๆ ของเขาอย่างงุนงง



“เธอบอกฉันเองนะว่ายังไม่หายดี ไม่มีแรงแล้วจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้ยังไง” น้ำเสียงและดวงตากึ่งดุที่เอ่ยเตือนผมนั้นทำให้ผมย่นหัวคิ้วเล็กน้อยเพราะกำลังหาข้อแก้ตัวดีๆ ซักข้อ



“จอห์นบอกว่าผมควรเปลี่ยนบรรยากาศบ้างครับ ผมจะได้หายเร็วขึ้น” ผมเอียงศีรษะเล็กน้อยและมองเขาด้วยดวงตานิ่งๆ ของผม ผมใช้จอห์นเป็นข้ออ้างขึ้นมาและเหมือนดราโกจะรู้ทัน เพราะผมสังเกตเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา



“ไม่ได้ เธอต้องพักผ่อน” แต่เขาก็ยังไม่ยอมให้ผมไปอยู่ดีครับ



“นะครับ ผมอยากไปจริงๆ” ผมยังขอร้องชายหนุ่มต่อไป และถ้าผมดูไม่ผิด รอยยิ้มของเขามันดูไม่น่าไว้วางใจมากขึ้นทุกที



“ถ้าเธออยากไป ลองใช้วิธีนั้นขอร้องฉันอีกทีซิ” เสียงทุ้มพูดขึ้นมา วิธีนั้น? คือวิธีไหนกันนะ ผมงุนงงและสงสัย ดราโกเห็นว่าผมยังไม่เข้าใจซักที เลยยอมเฉลยให้ผมอีกซักนิด “ตอนที่ฉันอุ้มเธอกลับห้อง แต่เธอรั้นจะไปหามาร์คที่บ้าน”



ผมนึกเหตุการณ์ตามที่ชายหนุ่มพูดชั่วครู่ ตอนนั้นผมพึ่งโดนยิงมา และกำลังกลับออกมาจากห้องพยาบาลหลังจากที่จอห์นช่วยทำแผลให้ผมแล้ว แต่ผมก็ยังสงสัยและอยากจะไปช่วยเหลือพวกเขาในการตามจับสไนเปอร์คนนั้น แต่ดราโกก็ไม่ยอมให้ผมไปซักที เลยใช้วิธีการของแด๊ดดี้เอริคเวลาท่านจะขออะไรซักอย่างกับคุณพ่อ อ๊ะ



ฟอด



“นะครับดราโก” ผมก้มลงไปหอมแก้มของเขาหนึ่งที รอยยิ้มของชายหนุ่มก็ดูพึงพอใจมากขึ้น แสดงว่าได้ผลซินะครับ



ฟอด



“ผมอยากไปจริงๆ นะครับ” ผมก้มลงไปหอมแก้อีกด้านของเขาให้อย่างเท่าเทียมกัน คราวนี้ดวงตาสีทองของดราโกก็พราวระยับเป็นประกายขึ้นมาทันที และโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว มือใหญ่ของชายหนุ่มที่รั้งแผ่นหลังผมไว้ก็คลื่อนขึ้นมาจับศีรษะผมและดันให้ใบหน้าของผมเข้ามาใกล้ ก่อนที่ริมฝีปากที่จุดรอยยิ้มอยู่ตรงมุมปากเมื่อครู่จะเข้ามาขบเม้มและละเลียดหยอกเย้ากับริมฝีปากของผมอยากแผ่วเบา



“อื้อ เดี๋ยวครับ” ผมพยายามจะเอ่ยห้ามชายหนุ่ม แต่แค่ผมอ้าปากเล็กน้อย ดราโกที่รอจังหวะนี้อยู่ก็บังคับให้ผมต้องพัวพันไปกับการหยอกเย้าที่สูบเรี่ยวแรงและลมหายใจของผมไปจนหมด แม้ผมจะทุบอกเขาเพื่อประท้วงแล้วก็ตาม แต่อารมณ์ของชายหนุ่มก็ยังไม่สามารถมอดดับได้ง่ายๆ ดูดดึง ขบกัด และยั่วเย้าจนผมหอบหายใจหนักหน่วง



“คุณหื่นจริงๆ เลยนะครับ!!!” ผมประท้วง แม้เสียงที่ผมจะพยายามตะโกนออกมาจะถูกปิดด้วยริมฝีปากของเขาอีกครั้งก็ตาม ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แข็งขึงอยู่ตรงต้นขาของผม และดวงตาอ่อนเชื่อมของเขาที่มองมา ถ้าผมปล่อยให้เรื่องไปไกลกว่านี้ ผมจะต้องตกเป็นผู้เสียหายตามกฏหมายแน่เลยครับ



ประท้วงก็แล้ว แต่เขาก็ไม่ฟัง



ขัดขืนก็แล้ว แต่ผมก็สู้แรงไม่ได้



ถ้าอย่างนั้นคงมีวิธีเดียว...พ่อของผมเคยบอกไว้ว่า บางครั้งเราจะต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน เขาทำอะไรมา เราต้องทำสิ่งนั้นกลับไปให้กับเขาเช่นเดียวกันเพื่อเป็นการแก้เกมส์ ดังนั้นจากที่เขาไล่เกี่ยวกระหวัดพัวพันกับผมเพียงฝ่ายเดียว คราวนี้เป็นผมบ้างที่เริ่มไล่ต้อนเขากลับ หยอกเย้าหลอกล่อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำให้ผม และสิ่งนี้เองที่ทำให้ดวงตาสีทองของดอนแห่งคอลิโอเน่เบิกกว้างเล็กน้อยและชะงักนิ่งคล้ายงุนงงเคลิบเคลิ้ม



และจังหวะนี้เองที่ผมรอคอย พอเขาตกใจและไม่ทันระวังตัว ผมก็ได้โอกาสพลิกตัวหลุดออกจากอ้อมแขนของเขา ก่อนจะพยุงร่างกายให้ลุกขึ้นยืนช้าๆ ข้างเตียงนอน ชุดนอนของผมหลุดลุ่ยเล็กน้อย กระดุมที่ติดครบทุกเม็ดกลับถูกปลดออกไปถึงสี่ห้าเม็ดด้วยกันจนเผยผิวกายและหน้าอกบางส่วน ผู้ชายคนนี้ไว้ใจไม่ได้เลยนะครับ แค่เผลอแปปเดียวเขาก็เกือบจะถอดเสื้อผ้าของผมออกไปจนหมด



“ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ” ผมบอกเขาพร้อมกับยกคิ้วส่งไปให้เขาหนึ่งที รู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อยที่สามารถทำให้ดราโกหลุดสีหน้าประหลาดๆ ออกมาได้ วันนี้คงมีแต่เรื่องดีๆ ให้ผมสบายใจแน่เลยครับ ส่วนทางดราโกนั้นก็ผุดลุกกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงนอน โดยร่างสูงนั้นนั่งพิงหัวเตียงนิ่งๆ ดวงตาของชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังของผมไปเรื่อยๆ จนประตูห้องน้ำกั้นสายตาของเขาเอาไว้ ผมได้ยินเขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายเจ็บใจปนฉุนเฉียว แต่ก็แอบหัวเราะในตอนท้าย



“แสบจริงๆ นะเทวดาตัวน้อย หึ”



ครับ ถ้าผมไม่หาทางเอาตัวรอด ก็คงถูกคุณกินไปตั้งนานแล้วล่ะครับ ดราโก





.....................................................................



พิเศษ....ออเจ้าเอย

ท่านขุนคริส : เจ้าเป็นคนกำเริบ ไม่รู้จักกาลเทศะ วาจาปริ้นปร้อนฟังไม่รู้ความ ใจลามกหื่นกาม ไม่มีเมตตาต่อข้าซักนิด ไม่เอาการเอางาน แต่ลวนลามข้าทุกคืนวัน ดีแต่ปอกลอกถอดเสื้อผ้า ลูบไล้น่ารำคาญ!!!!! (ทำหน้าตายแต่ตะโกนดังลั่น)

แม่ดารากร : ท่านพี่เจ้าคะ คำกล่าวของท่านพี่นั้นกล่าวหาน้องไม่ผิด เพื่อไม่ให้ท่านพี่ผิดหวังกับน้อง น้องจะพาท่านพี่ไปเล่นโล่สำเภา (กระตุกยิ้มมุมปาก ดวงตาเจ้าเล่ห์แพรวพราว)

ท่านขุนคริส : เล่นโล่สำเภา? เล่นอย่างไรรึแม่ดารากร (เอียงคอมองอย่างสงสัย)

แม่ดารากร : ตามน้องมาซิเจ้าคะ น้องจะพาไปเล่นบนเรือน (ร่างสูงบอบบาง? อุ้มท่านขุนคริสไปกอดแนบอก และพากันขึ้นเรือนปิดห้องหับเสียแน่นหนา แต่ถึงกระนั้นเสียงไพเราะอ่อนหวานก็ยังเล็ดลอดสอดประสานกันออกมาให้ได้ยิน)

โล้สวาทวาดใบสำเภาพริ้ว

ระเรื่อยลิ่วคลองแคบคละขัดขึง

น้ำเจือน้อยค่อยวางทางติดตรึง

ขยับหายโยกคลึงคราคลื่นมา



เมื่อผ่านช่องเข้าอ่าวคราน้ำขึ้น

พอหายมึนสอดสั่งทั้งซ้ายขวา

ข้ามนทีสรวงสวรรค์ทุกชั้นฟ้า

สมอุราซานซยสยบทรวง

.......บทกลอนจากนิยายบุพเพสันนิวาสของคุณรอมแพงค่ะ.......





......................................................

ปล. ช่วงที่แต่งตอนนี้ไรท์ติดละครค่ะ 5555 เลยขอซักนิดนึง ลองสลับบทบาทกันดูให้คริสตินเป็นท่านขุนคริส ดราโกเป็นแม่ดารากร? ดูอ่อนหวานละมุนแบบแปลกๆนะคะ 555 แต่ไม่ว่าคริสตินจะเป็นยังไง สุดท้ายก็ต้องเสร็จดราโกอยู่แล้ว เฮ้ออออออ ลุงรอจะกินคริสตินอยู่ทุกวันค่ะ ไม่รู้จะรอดไปได้อีกนานเแค่ไหน 5555 แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ llinllin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
บทที่ 17 เศษเสี้ยวจากอดีต



ผมพึ่งรู้ว่าผมอยู่ที่ไหนก็ตอนที่ได้นั่งรถออกมาเปิดหูเปิดตาในวันนี้นี่แหละครับ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมอาศัยอยู่ที่เซฟเฮ้าของดราโกที่เมืองโคโมแคว้นลอมบาร์เดียครับ เมืองโคโมตั้งอยู่บริเวณพรมแดนประเทศอิตาลีและประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ใกล้กับเทือกเขาแอลป์ ผมไม่รู้เลยว่าเซฟเฮ้าส์ของดราโกจะอยู่ใกล้กับเมืองขนาดนี้ เพราะเมืองโคโมเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่ง เป็นแหล่งรวมศิลปะ โบสถ์ พิพิธภัณฑ์ โรงละคร และพระราชวังเก่ามากมาย



เมืองแห่งนี้อยู่ติดกับทะเลสาปโคโม มีพื้นที่ 146 ตารางกิโลเมตร เป็นทะเลสาปที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศอิตาลี ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าดอนแห่งคอลิโอเน่คนนี้จะร่ำรวยและมีอิทธิพลมากขนาดไหน ถึงมีบ้านพักที่กินพื้นที่เกือบร้อยไร่ใกล้เมืองโคโมแห่งนี้ วิวทิวทัศน์ที่ผ่านสายตาผมไปอย่างช้าๆ นั้น ดึงดูดให้ผมมองความงดงามและความเงียบสงบอย่างเพลิดเพลิน



ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้ออกมาเที่ยวที่เมืองแห่งนี้ เพราะตลอดเวลาสามสี่เดือนที่ผ่านมาผมก็ได้แต่อยู่ที่เซฟเฮ้าส์ของดราโกเฉยๆ อย่างน้อยผมก็อยากออกมาผ่อนคลายและออกมาเปิดหูเปิดตาบ้างครับ หลังจากพ้นแนวป่าเข้ามาแล้วก็เจอเขตเมืองที่ดูคึกคัก น่ารัก สีสันสดใสและดูสนุกสนาน ผู้คนมากมายเดินเล่นพูดคุย และจับจ่ายซื้อของกันอย่างเพลิดเพลิน



“ผมลงไปเดินเล่นที่จตุรัสได้ไหมครับ” ผมละสายตาออกจากภาพวิวตรงหน้าเพื่อหันไปหาชายหนุ่มร่างสูงที่วันนี้แต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีดำและกางเกงยีนส์สีเข้มสบายๆ ผมสีดำของเขาก็ไม่ได้เซ็ทเหมือนทุกครั้ง ปล่อยปรกหน้าผากทำให้ดราโกดูย้อนวัยลงไปหลายปี ส่วนผมก็เหมือนเดิมครับ เสื้อยืดกางเกงขาสั้น และรองเท้าผ้าใบสีส้มแสบตา ช่วงนี้อากาศที่ทะเลสาปโคโมเย็นสบายครับ เหมาะกับการเดินเล่นและหาของกินอร่อยๆ



“ไว้ไปเช็คอินที่โรงแรมก่อนแล้วกัน แล้วฉันค่อยพาเธอมาเดินเล่น” ดราโกละสายตาออกจากเอกสารตรงหน้าแล้วหันมามองผมด้วยรอยยิ้มบาง



“โรงแรมเหรอครับ” ผมเอียงศีรษะมองเขาด้วยความสงสัย “เราจะพักที่โรงแรมทำไมครับ”



จากเซฟเฮ้าส์ของดราโกมาถึงเมืองโกโมนั้นใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่งเองครับ ระยะเวลาไม่นานเลยสำหรับการเดินทางไปกลับ นอกจากเขาจะมีธุระจำเป็นบางอย่างที่ต้องมาที่นี่อยู่แล้ว อาจจะนัดคุยงานกับใครซักคนก็ได้



“พาเธอมาพักผ่อน และฉันก็มาจัดการธุระบางอย่าง” เขาบอกผม ไม่ผิดจากที่ผมคิดเลยซักนิดครับ ผมพยักหน้ารับรู้และมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าดราโกจะหันมาสนใจผมมากกว่าเอกสารในมือแล้ว เขาเก็บเอกสารใส่ในซองเรียบร้อยและจัดการอุ้มผมขึ้นมานั่งบนตักของเขา พร้อมกับกอดผมไว้แนบอก ก้มศีรษะและจรดปลายจมูกโด่งของเขาเข้ากับกลุ่มผมนุ่มสีน้ำตาล ผมนั่งนิ่งๆ เพื่อรอรับฟังเขา บรรยากาศผ่อนคลายที่รายล้อมรอบตัวทำให้ผมอุ่นใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว



“ฉันอยากจะสอบถามเธอบางเรื่อง คงถึงเวลาที่เราควรจะเปิดใจให้กันได้แล้วนะคริสติน” น้ำเสียงทุ้มของเขาดังกระซิบแผ่วเบาแต่กลับหนักแน่นและได้ยินชัดเจน ผมอิงศีรษะซบกับบ่ากว้างและหลับตาลงเพื่อใช้เวลาที่เหลือในการครุ่นคิด



“ครับ” ผมคิดว่าเรื่องที่คาราคาซังระหว่างกันควรได้เวลาสะสางซักที ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เป็นเพียงแค่เรื่องของพวกคาโซ่ที่ผมควรจะวางใจและบอกเล่าบางเรื่องให้กับเขาได้ฟังก็เท่านั้น เวลาที่ผ่านมาผมคิดว่ามันก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าดราโก คอลิโอเน่ คือคนที่ผมสามารถวางใจและให้ความร่วมมือด้วยกันได้ ผลประโยชน์ระหว่างผมและดราโกจะถูกแลกเปลี่ยนกัน ข่าวที่เขารู้ ข่าวที่ผมรู้ จะได้รับการถ่ายทอดและตกลงกันในท้ายที่สุด มันอาจจะดูง่ายสำหรับคนอื่น ก็แค่นั่งคุย นั่งเล่า นั่งปรึกษากัน แต่สำหรับผมมันค่อนข้างยากที่จะเล่าเรื่องในอดีตที่ผมยังไม่สามารถหลุดพ้นออกมาได้



อ้อมกอดของดราโกกระชับแน่นขึ้นเหมือนส่งผ่านให้ผมรู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ยังคอยอยู่ข้างๆ ไม่หายไปไหน ผมกำมือแน่นจนขึ้นข้อขาว รู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่ผมคิดว่าหลังจากที่ผมเล่าเรื่องและแผนการของผมออกไปแล้ว เขาคงจะวางแผนการรับมือขั้นต่อไป มือหนาเลื่อนเข้ามากุมมือที่กำแน่นของผมเอาไว้ให้คลายออก กระชับสอดมือเข้ามาเพื่อกุมไว้ให้มั่น ไม่ต้องมีคำพูดใดใดผมก็รับรู้ถึงความอุ่นใจที่ได้รับจากผู้ชายคนนี้



และเพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้ผมตระหนักขึ้นมาได้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ผมเริ่มวางใจและพึ่งพาดราโกมากขนาดนี้







Il Sereno Lago di Como คือโรงแรมห้าดาวที่ติดทะเลสาปโคโม เป็นโรงแรมหรูที่มีบริการน่าประทับใจและเป็นส่วนตัว ตั้งแต่ที่รถเคลื่อนเข้ามาจอดบริเวณด้านหน้า ผมรีบขยับตัวเพื่อลุกออกจากตักแกร่งของชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาของดราโกมองผมอย่างขบขันเล็กน้อย เอื้อมมือมาจัดแต่งทรงผมของผมให้เข้าที่ และโน้มใบหน้าลงมาจูบที่หน้าผากของผมแผ่วเบา ความรู้สึกแปลกๆ ที่อบอวนอยู่ภายในรถนั้นทำให้ผมต้องกลั้นหายใจ ไม่รู้จะทำยังไงจึงรีบเบือนหน้าหนีสายตาพราวระยับของเขา



จาคอปที่เป็นคนขับรถก็ลงจากรถเพื่ออ้อมมาเปิดประตูให้กับดราโก ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของดวงตาสีทองก้าวลงไปก่อน โดยด้านนอกมีผู้จัดการของโรงแรมเดินเข้ามาต้อนรับดราโกอย่างนอบน้อม ผู้จัดการหนุ่มใหญ่มีรอยยิ้มสุภาพประดับบนใบหน้าตลอดเวลา แม้แววตาของผู้จัดการคนนี้จะฉายแววประหลาดใจเพียงชั่วครู่ที่เห็นเด็กกะโปโลคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถก็ตามที แต่แววตาของเขาก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว



ผมมองความหรูหราตรงหน้าและถอนหายใจ ไม่อยากจะคิดถึงราคาที่พักที่ชายหนุ่มต้องจ่ายออกไปในคืนนี้เลยครับ ห้องที่ดราโกพาผมมาเข้าพัก คือห้องเพนต์เฮาส์สวีทพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว (Penthouse Suite with Spa Bath) ผมเห็นห้องพักกว้างหรูหราที่แบ่งสัดส่วนได้อย่างลงตัวและสวยงาม เป็นห้องชั้นบนสุดของโรงแรมที่มีทั้งห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องน้ำ และสระว่ายน้ำส่วนตัวตรงระเบียง



ความหรูหราระดับนี้ทำให้ผมแอบกระซิบถามราคาจากคาลอสที่อยู่ข้างๆ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก้มตัวลงมากระซิบตอบผมเบาๆ ราคาที่ได้ยินทำให้ผมแทบจะปาดเหงื่อ ราคาค่าห้องเพนต์เฮ้าส์นี้คือ 3,095 ยูโร (119,050 บาท) ต่อคืน สำหรับผมและดราโกเข้าพัก และห้อง Double Room with Lake View ราคา 884 ยูโร (34,000 บาท) ต่อคืน จำนวนสามห้อง สำหรับคาลอส จาคอป และบอร์ดี้การ์คนคนอื่นๆ



ราคานี้สำหรับดราโกคงเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผมก็ค่อนข้างเสียดายกับจำนวนเงินมากมายที่ต้องจ่ายไป ถึงแม้จะไม่ได้เศษเสี้ยวของจำนวนเงินมากมายมหาศาลของดราโกเลยก็ตามที แต่ผมก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินทองขนาดนี้ก็ได้นะครับ จะไปคุยที่ไหนก็ได้นี่นา



“ผมตรวจเช็ครอบห้องเรียบร้อยแล้วครับ ถ้ามีอะไรดอนเรียกผมได้ตลอดเวลา” คาลอสก้มตัวทำความเคารพให้กับดราโกพร้อมๆ กับจาคอป ก่อนที่ทั้งสองคนจะขอตัวเพื่อให้ชายหนุ่มและผมได้พักผ่อน ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบทันที ผมไม่กล้าสบตากับดราโกเพราะกำลังเริ่มหวาดกลัวที่จะต้องพูดถึงเรื่องราวในอดีตออกไป ดวงตาของผมสั่นไหว ความกลัวที่ไม่รู้ที่มาเข้าครอบงำ ผมพยายามเพ่งสมาธิเพื่อจดจ่อกับวิวทะเลสาปสีน้ำเงินเข้มตรงหน้า แต่ผมก็ยังรู้สึกถึงมือของผมที่กำลังสั่นเล็กน้อย



“เด็กน้อย...มานี่ซิ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มเรียกผมจากเบื้องหลัง ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้า ร่างกายของผมหนาวเยือก แต่ก็ยังหมุนตัวเพื่อเดินไปหาเขา ภาพที่ผมเห็นคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังนั่งพิงหลังกับพนักโซฟานุ่ม ดวงตาสีทองไร้แววจับจ้องมาทางผมทุกการกระทำ ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหาเขาช้าๆ ไม่เป็นไร ยังไงผมก็ต้องทำได้ ผมเดินมาไกลเกินกว่าที่จะกลับไปได้แล้ว ผมต้องทำได้ ผมต้องทำได้ ผมต้อง...



“อ๊ะ!!!” ผมร้องตกใจเพราะจู่ๆ มือใหญ่ของเขาก็กระชับที่ต้นแขน รั้งร่างของผมให้มานั่งบนตักของเขาอีกครั้ง โดยที่ผมนั่งควบหันหน้าเข้าหาชายหนุ่ม มือหนากอดกระชับแผ่นหลัง มืออีกข้างที่ว่างก็กดศีรษะของผมให้ซบลงกับบ่ากว้าง มือของเขาลูบศีรษะของผมเบาๆ เหมือนขับกล่อม ตอนแรกผมก็นึกว่าเราจะต้องคุยเป็นเรื่องเป็นราวและเป็นทางการมากกว่านี้ แต่การกระทำของเขาเหมือนกับว่าให้ผมผ่อนคลาย รอให้ผมหายกลัว และค่อยๆ เล่าไปทีละนิด



“อย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับมันคริสติน อย่ากลัว เพราะเธอยังมีฉันอยู่” น้ำเสียงทุ้มของดราโกหนักแน่นและมั่นคง มันทำให้ผมวางใจมากขึ้น ผมหลับตาลงปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปเงียบๆ อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งผมเริ่มผ่อนคลายและยอมเปิดใจเล่าเรื่องในอดีตบางอย่างให้เขาฟัง



...............................





ดวงตาสีทองของดราโกจับจ้องไปยังร่างเล็กของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานใหญ่ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กน้อยของเขารู้สึกอย่างไร แต่แผ่นหลังเล็กนั้นดูอ้างว้างและหวาดหวั่น เขารู้ว่าคริสตินกำลังพยายาม พยายามที่จะเปิดใจและร้องขอความช่วยเหลือ เด็กตัวเล็กๆ เก็บอะไรไว้กับตัวเองมากมายเหลือเกิน เขาอยากให้เด็กน้อยร้องขอ อยากให้ร้องขอกับเขา ขอความช่วยเหลือ ขอให้เขาเป็นที่พึ่งพิง ขอให้เขาช่วยปกป้องและดูแล



คริสตินเป็นคนที่มีความคิดและความรู้สึกที่โตเกินกว่าอายุ เขาพบเจออะไรมามากมายและคิดจะจัดการปัญหาหลายๆ อย่างด้วยตัวเอง แต่เพราะเรื่องนี้มันใหญ่เกินไปที่เด็กคนหนึ่งจะเผชิญหน้าได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากให้เด็กน้อยพึ่งพาเขาให้มากกว่านี้ ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวสำหรับเขาในตอนนี้คือการให้คริสตินมีรอยยิ้มกลับคืนมา เทวดาตัวน้อยของเขาไม่ควรจะแบกรับและกังวลเรื่องใดใด



แผนการของเขากับเด็กหนุ่มไม่มีอะไรมาก แค่ทำให้คริสตินหันมาพึ่งเขามากกว่านี้ ไว้วางใจมากกว่านี้ และเปิดใจกับเขามากกว่านี้ ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขาได้พบเจอกันมา เด็กหนุ่มคงไม่รู้ตัวว่าแม้จะเพียงน้อยนิด แต่คริสตินก็เริ่มจะวางใจเขามากยิ่งขึ้น พึ่งพาเข้ามากกว่าเดิม และร้องขอ งอแงกับเขาอยู่บ้างนานๆ ที เขาหาข้ออ้างให้เด็กหนุ่มมาอยู่ข้างกาย ทั้งวันทั้งคืน ในยามตื่นและยามหลับ อย่างน้อยตอนตื่นนอนต้องเห็นหน้า ก่อนนอนก็ต้องหลับไปในอ้อมกอดเขา กินข้าวก็ต้องกินด้วยกัน เขาทำงาน คริสตินต้องอยู๋ในสายตา ทีละนิด ทีละนิด เด็กน้อยของเขาเริ่มคุ้นชิน



ยิ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่คริสตินโดนยิงด้วยแล้ว ในยามอ่อนแอเขาอยู่ข้างๆ ให้รู้ว่าเขาสามารถเป็นที่พึ่ง กางปีกปกป้องและคอยช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นเขาจะใช้วิธีนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อซักวัน คริสตินจะขาดเขาไม่ได้อีกเลย มันเป็นแผนการง่ายๆ ที่ต้องใช้ความพยายามและความอดทน มันเป็นครั้งแรกที่เขาต้องการใครซักคนอย่างจริงใจ ไม่มีเรื่องเพศ ไม่มีเรื่องเซ็กเข้ามาเกี่ยวข้อง



ถามว่าเขาอยากได้เทวดาตัวน้อยไหม เขาสามารถบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า อยากกลืนกิน อยากครอบครอง และจัดการให้เด็กหนุ่มเป็นของเขาแค่เพียงคนเดียว แต่ด้วยวิธีการปลุกปล้ำหรือใช้กำลังนั้นไม่ได้อยู่ในความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้เขาจะลวนลามและหาโอกาสสัมผัสคริสตินอยู่บ่อยๆ แต่เขาไม่สามารถหักหาญน้ำใจเด็กคนนี้ได้เลย เขาอยากให้ความรู้สึกนี้ของเขาได้รับการตอบรับอยากจริงใจ อยากให้ความสัมพันธ์ของเขาที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนี้เกิดด้วยความรู้สึกรักและบริสุทธิ์



คริสตินมีค่าเกินกว่าที่เขาจะกระทำเช่นนั้น เด็กคนนี้มีค่า เพราะฉะนั้นเขาจึงรู้คุณค่าและอยากทะนุถนอมไว้ในอุ้งมือ หึ ใครจะว่าเขายังไงก็ตามแต่ ถึงเบื้องหลังของเขาจะดำมืดและเลวทราม แต่จะทำไมล่ะ ในเมื่อความรักที่เขามอบให้เด็กน้อยคนนี้มันบริสุทธิ์และจริงใจ



มือของเขายังคงลูบหลังปลอบโยนร่างเล็กเรื่อยๆ รอจนร่างในอ้อมกอดของเขาเริ่มผ่อนคลายและหายหวาดหวั่น เขาไม่รีบ แต่เขาแค่ห่วงร่างเล็กๆ นี้เท่านั้น



“อย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับมันคริสติน อย่ากลัว เพราะเธอยังมีฉันอยู่” ดราโกพูดประโยคนี้ออกมาจากใจ น้ำเสียงทุ้มหนักแน่นมั่นคง ส่งผ่านความจริงใจทั้งหมดออกมาให้เด็กหนุ่มได้ยิน



มีเขาอยู่อย่าได้หวั่นเกรงสิ่งใด อย่ากลัวเลยเทวดาน้อยของฉัน







“ผม…” เสียงของคริสตินนั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและลังเล แต่เมื่อเด็กหนุ่มเริ่มพูดประโยคต่อมา แม้ปลายเสียงจะสั่นพร่า แต่ก็ยังแฝงความกล้าเล็กๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้น “ผม...ผมมาที่อิตาลีเพราะผมมีเป้าหมาย ผมมาตามหาคนๆ หนึ่งครับ ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ผมรู้แต่ว่าเขาเกี่ยวข้องกับคาโซ่แฟมิลี่ ผมต้องตามหาเขาให้เจอ”



“ผมจำได้แต่เอกลักษณ์บางอย่างของเขา ผมจำเสียงของเขาได้ ผมจำแววตาของเขาได้ ผม ผม ต้องการที่จะพบเขา และถามเขาว่า เขาทำอย่างนั้นทำไม เขาทำเพื่ออะไร เงิน? อำนาจ? หรือเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้เขากระทำสิ่งที่เลวร้ายแบบนั้น ทำลายชีวิตคนๆ หนึ่ง ทำลายความหวังของคนๆ หนึ่งอย่างเลือดเย็น” คริสตินเริ่มพรั่งพรูสิ่งที่คั่งค้างในใจมาเนิ่นนานออกมาเรื่อยๆ ดราโกกระชับอ้อมกอดร่างเล็กไว้แน่นเพื่อให้เด็กหนุ่มยังรับรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว “เขาเกี่ยวข้องกับคาโซ่แน่นอน ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นคนในแฟมิลี่รึเปล่า แต่ผมหาไม่เจอเลย สมาชิกในกลุ่มที่ผมค้นหามาได้ไม่มีผู้ชายคนนี้เลย ก่อนที่ผมจะขยายขอบเขตการค้นหาของผมให้กว้างขึ้น ผมก็เจอคุณก่อนครับ ผมเลยหยุดการค้นหาของผมไว้ก่อน แต่เรื่องที่คาโซ่ทำ มันทำให้ผมไม่สามารถปล่อยวางได้ ยิ่งผมค้นข้อมูลลึกลงไปเท่าไหร่ ผมก็รู้ว่าตั้งแต่อดีตพวกเขาไม่เคยหยุด แถมเครือข่ายมากมายของพวกเขายังขยายใหญ่โตและยิ่งใหญ่มากขึ้น ผมต้องหยุดพวกเขา ทำยังไงก็ได้ผมต้องหยุดพวกเขาให้ได้ ฮึก”



“ชู่ว อย่าร้องคริสติน ไม่เป็นไรเด็กน้อย” เด็กหนุ่มในอ้อมแขนสะอื้นหนักขึ้น จนเขาต้องกระชับอ้อมกอดและเอ่ยปลอบโยน มือเล็กของเด็กหนุ่มกำเสื้อของเขาไว้แน่น เรื่องราวของคริสตินเริ่มพร่างพรู และสิ่งที่เขาได้ยินมันยิ่งทำให้ดวงตาสีทองเข้มลึกมากขึ้นเรื่อยๆ



“ผมอยู่บนเรือลำนั้นมาหลายเดือน ตั้งแต่ตอนนั้นพวกเขาไม่เคยเปลี่ยน วิธีการเหมือนเดิม แต่เจ้าเล่ห์ลุ่มลึกมากขึ้น แหล่งซื้อขายของพวกเขากระจายอยู่ทั่วโลก ตามซ่อง ตามคาสิโน ตามย่านสลัม ซื้อขายคนมา แต่ดูแลเหมือนสัตว์เลี้ยง เด็กจากหลายเชื้อชาติถูกส่งต่อ ขายทอดตลาดเหมือนสัตว์ เหมือนสิ่งของ คนถูกประเมินมูลค่าเหมือนสินค้า สินค้าชั้นดีคือดูแลรักษาอย่างรู้คุณค่า สินค้าเกรดบีเหมือนตกนรกทั้งเป็น ถูกเหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลน พวกเขา พวกเขา...”



“ข่มขืน” ดราโกต่อคำพูดที่คั่งค้างและติดอยู่ที่ริมฝีปากของเด็กน้อยอย่างข่มกลั้นอารมณ์ เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเป็นประจำบนเรือขนส่งสินค้า กากเดนมนุษย์พวกนั้นหาความบันเทิงรื่นรมย์จากเรือนร่างของคนที่ถูกจับมาอย่างสนุกสนาน ทำเหมือนคนไม่ใช่คน การข่มขืน รุมโทรม ทรมานเหยื่อ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นและพบเห็นอยู่ตลอด ข่าววงในเรื่องนี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งภาพ เสียง ก็ยังถูกบันทึกไว้เพื่อเป็นแหล่งรายได้เสริมของพวกมัน



“ผมต้องหาทางหยุดพวกเขา กะ ก่อนที่จะมีคนอื่นตกเป็นเหยื่อมากกว่านี้ มะ มันยาก ยากมาก แต่ผมต้องทำ ผมไม่ยอมให้นรกแบบนั้นเกิดขึ้นอีก” เด็กน้อยของเขายังพยายามพูดต่อไปแม้น้ำเสียงจะเริ่มสั่นและขาดห้วง แววตาของดราโกเย็นเยียบแข็งกร้าวและลุ่มลึกคล้ายคลั่งแค้นแทนร่างเล็กที่เขาโอบกอด เด็กน้อยของเขาแม้จะโกรธแค้นแต่คำพูดรุนแรงหยาบคายก็ยังไม่หลุดออกมา นรกแบบนั้นที่คริสตินต้องพบเจอมันทำให้เขาแทบกระอัก อยากจะฆ่าพวกมันทุกคนให้ตายตกไปตามกัน คริสตินสะอื้นหนักขึ้น แต่ก็ไม่มีเสียงร้องไห้ใดใดออกมาให้ได้ยิน



เด็กหนุ่มหยุดพูดไป แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะถามต่อ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่กล้าถาม ว่าเหตุการณ์เลวร้ายบนเรือที่คริสตินได้พบเจอนั้นเกิดขึ้นกับตัวเด็กน้อยของเขาเองรึเปล่า ร่างเล็กๆ นี้ได้ถูกรังแกหรือไม่ เขาไม่กล้า เขาได้แต่กดร่างเล็กไว้แนบอก ให้คริสตินยังรู้ว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขายังอยู่ และไม่คิดจะจากไปไหน



“ผมฝันร้ายมาหลายปี มันตามหลอกหลอนผมทุกวัน จนวันหนึ่งคุณพ่อร้องไห้ แด๊ดดี้เอริคร้องไห้ พวกเขาเศร้าเพราะผมทรมาน ผม ผมเลยคิดว่าผมต้องทำให้ได้ ผมต้องเลิกกลัว อย่างน้อยผมต้องกล้าที่จะยอมรับ ผมต้องกล้ามากกว่านี้ ผมใช้เวลาหลายปีกว่าอาการจะดีขึ้น แต่ผมก็ไม่เหมือนคนปกติ ผมรู้ตัวนะครับ ผมมองทุกอย่างเป็นหลักการและเหตุผล ผมไม่สามารถใช้อารมณ์ทั่วไปได้ ไม่อย่างนั้นผมจะกลัว และย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องในตอนนั้นอีก จนวันหนึ่งคุณพ่อบอกว่าผมไปใช้ชีวิตดู ผมคิดว่าพ่อคงหมายถึงให้ผมตามหาเป้าหมายในชีวิตมั้งครับ ให้ผมพยายามมีชีวิตต่อไป ผมมาที่นี่ ตามหาหลายที่ ผมรู้ว่าผมจะอยู่ต่อไปได้คือผมต้องจัดการพวกเขา ฝันร้ายของผมคือพวกเขา ผมต้องหยุดให้ได้”



“ไม่เป็นไร เป้าหมายของเธอ ก็คือเป้าหมายของฉันในเวลานี้เช่นกัน พวกมันทำอะไรไว้ พวกมันจะต้องได้รับคืนเป็นพันเท่า ฉันจะช่วยเธอเอง” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แค่เขาฟังเขาแทบจะตามไปฆ่าพวกมันเดี๋ยวนั้น แต่กับเด็กคนหนึ่งที่ต้องเก็บเรื่องพวกนี้ไว้กับตัวมานานล่ะ จะทำยังไง



“แต่ผมก็ยังกลัวที่จะพูดถึงเรื่องพวกนั้นครับดราโก ผมไม่สามารถใช้ชีวิตโดยปกติได้เลย ผมกลัวว่าคนในอดีตจะมาปรากฏตัวต่อหน้าผมอีกครั้ง ถึงตอนนั้นความกล้าที่ผมคิดว่าตัวเองเคยมีคงหายไปหมด” ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของเด็กน้อยของผมฉ่ำน้ำวาวรื้น หยดน้ำใสคลอหน่วยเต็มดวงตาคู่นั้น เขาเห็นแววตาหวาดกลัวที่ซึมลึกประทับแน่นอยู่ในดวงตาอย่างแน่นหนา เปลือกนอกที่เฉยชาของคริสตินเริ่มหลุดลอก เผยความอ่อนแอที่ยังหลบซ่อนอยู่ภายใน “ผมรู้ว่าผมต้องตามหาตัวคนๆ นั้นให้พบ แต่ผมก็รู้อีกว่าถ้าผมตามหาเขาเจอแล้ว ผมคงหันหลังวิ่งหนีอีกครั้ง ผมคงไม่กล้า”



“ไม่เป็นไรเด็กน้อย ถ้าเธอกล้ว ฉันก็จะมอบความกล้าให้เธอเอง ฉันจะคอยอยู่ข้างๆ ให้เธอเข้มแข็งขึ้น คอยดึงเธอให้กล้าเผชิญหน้ากับมัน” มือหนาของชายหนุ่มรั้งปลายคางของคริสตินให้เงยขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาและดวงตาสีทองของพวกเขามองสบกันแน่นิ่ง ดราโกส่งผ่านทุกเรื่องราวของเขาผ่านแววตา ให้เด็กน้อยของเขาได้รับรู้ด้วยตัวเอง จุมพิตปลอบประโลมลงบนเปลือกตาทั้งสองข้าง



“ทำไมครับ?” ใบหน้าอ่อนเยาว์ของคริสตินเอียงศีรษะมองเขาด้วยความสงสัย



“ทำไมงั้นเหรอ?” ดราโกเลิกคิ้วถามกลับ



“ทำไมถึงอยากช่วยผมครับ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ คุณช่วยผม คุณก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร” เด็กน้อยทำหน้างุนงงได้น่าหมั่นเขี้ยว เขาเลยก้มลงไปกัดปากเล็กๆ ที่ช่างสงสัยนั้นเบาๆ



“มีซิ มีคนของแฟมิลี่ฉันทรยศ ขายข่าวและข้อมูลให้พวกมันลอบกำจัดฉัน นั่นเลยเป็นเหตุผลรองที่ฉันจะกำจัดพวกมันให้สิ้นซากไปจากแผ่นดินอิตาลีเสียที” มุมปากของเขากระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ มองสีหน้าสงสัยใคร่รู้ของคริสตินด้วยแววตาวาววับ เทวดาตัวน้อยของเขายังคงบริสุทธิ์ไร้เดียงสา มองเขาด้วยดวงตากลมโตปราศจากแววเกลียดชังใดใดที่เมื่อเล่าเรื่องราวโหดร้ายในอดีต เด็กน้อยของเขาแค่อยากให้พวกมันรับโทษตามกฏหมาย อยากจะถามถึงเหตุผลและการกระทำร้ายกาจพวกนั้น เด็กคนนี้สมกับเป็นเทวดาน้อยของเขาจริงๆ



“แล้วเหตุผลหลักของคุณคืออะไรเหรอครับ?” คริสตินยังถามต่อไป จับปลายคางของเด็กน้อยไว้มั่น ใช้นิ้วโป้งลูบไล้ริมฝีปากแดงเรื่อของคริสตินเบาๆ ดวงตาของเขาแสดงความรู้สึกออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง ถ้อยคำหนักแน่นและจริงใจเพื่อบอกให้เด็กคนนี้ได้ฟังอย่างชัดเจน



“เธอ”



คำตอบสั้นๆ แต่หนักแน่นของชายหนุ่มยิ่งทำให้เด็กน้อยของเขานิ่งเงียบ ใจของดราโกไหววูบเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของคริสติน แต่สิ่งที่เขาพบมันกลับเต็มไปด้วยความสับสนและงุนงง บรรยากาศในห้องเงียบสงบลงทันที ชายหนุ่มรอให้เด็กน้อยของเขาทำความเข้าใจกับคำพูดของเขาอยู่เงียบๆ



“เข้าใจแล้วครับ” ใช้เวลาซักพัก คริสตินก็พยักหน้าเข้าใจในที่สุด เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามและให้เด็กหนุ่มอธิบายต่อ “เหตุผลหลักของคุณก็คือผม ไม่ต้องห่วงนะครับ เรามาแลกเปลี่ยนกัน คุณช่วยผม ผมก็จะช่วยคุณเอง ผมจะตามหาคนทรยศให้คุณ ลอบหาข้อมูลที่มีประโยชน์คอยช่วยคุณเองครับ คุณคงอยากจะใช้ความสามารถของผมทางด้านคอมพิวเตอร์ให้ซินะครับ ผมจะช่วยคุณอย่างเต็มที่แน่นอนครับดราโก”



เด็กน้อยของเขาดูกระตือรือร้นลืมความเศร้าก่อนหน้าไปจนหมด คำพูดของชายหนุ่มถ้าเป็นคนอื่นได้ฟังคงเข้าใจในทันที แต่คงต้องเว้นเทวดาตัวน้อยๆ ของเขาไว้ซักคน ถ้าไม่พูดว่า ฉันรักเธอ เด็กคนนี้คงไม่เข้าใจแน่นอน ใครจะอยากให้เทวดาตัวน้อยของเขาคนนี้ลำบากหาข้อมูลหามรุ่งหามค่ำกันล่ะ คริสตินคงลืมไปว่าที่บ้านยังมีมาร์คอยู่ทั้งคนถ้าเขาอยากได้ข้อมูลก็ไม่จำเป็นต้องระบุเจาะจงตัวเด็กคนนี้หรอก



“หึ เอาเถอะ กว่าเธอจะเข้าใจคงอีกนาน แต่อย่าให้ฉันรอนานจนเกินไปล่ะ ฉันทนรอขนาดนั้นไม่ไหวหรอกนะ” เขาถอนหายใจ รั้งร่างเล็กก้มลงประทับจุมพิตเนิ่นนาน ดูดกลืนลมหายใจให้คริสตินหอบสะท้าน เป็นการลงโทษเทวดาตนนี้ที่ทำให้เขาต้องรอ เฮ้อ หวังว่าเขาคงไม่แก่จนลงโลงไปก่อนที่เด็กคนนี้จะเข้าใจคำว่ารักหรอกนะ





....................................

ตอนนี้ไรต์สงสารน้องมากเลยค่ะ เรื่องในอดีตของน้องมันหนักหนาสาหัสมากจริงๆ แต่ก็ยังดีที่มีลุงคอยปลอบใจอยู่ข้างๆ ขนาดแอบสารภาพความในใจไปหน่อยนึงแล้ว แต่น้องก็ยังไม่รู้เรื่อง เฮ้อออ สงสารลุงนะคะเนี่ย 5555 (แต่ไรต์แอบหัวเราะสะใจอยู่นิดหน่อยเอ๊งงงงง : เสียงสูง)

ส่วนเรื่องห้องพักของลุงกับน้องนั้น ไรต์อยากจะมีวาสนาไปพักบ้างจังเลยค่ะ ราคาแสนแพง วิวแสนล้าน เฮ้ออออ น้องโชคดีจังเลยยย ไม่ต้องกลัวเงินลุงหมดนะลูก รายนั้นพร้อมเปย์จ้าาาา

พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ สัญญาค่ะ ตอนหน้ามาเร็วกว่านี้แน่นอน




ออฟไลน์ llinllin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

บทที่ 18 เศษเสี้ยวจากอดีต 2



น่าแปลกนะครับ ตั้งแต่ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ดราโกฟัง ใจที่หนักอึ้งและขุ่นมัวของผมกลับเบาสบายมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน เหมือนผมได้ปล่อยวางบางส่วนลงไป และวางใจให้ผู้ชายคนนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวของผม พวกเราทั้งสองคนนั่งพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ โดยที่ผมยังนั่งอยู่ในท่าเดิมไม่เปลี่ยน



“ไม่เมื่อยเหรอครับ” ผมถามชายหนุ่มเจ้าของตักด้วยความสงสัย แต่ใบหน้าหล่อเหลาของเขากลับมอบรอยยิ้มบางๆ มาให้ผมเป็นคำตอบ “ผมนั่งโซฟาได้นะครับดราโก”



“ฉันชอบให้เธอนั่งท่านี้นะเด็กน้อย ดูร้อนแรงทีเดียว” คำพูดและดวงตาที่พราวระยับชวนหมั่นไส้ของเขาทำให้ผมเผลอถอนหายใจ เข้าเรื่องได้ครู่เดียวเขาก็พาผมออกนอกทะเลไปไกลซะแล้ว



“ถ้าคุณไม่เมื่อย งั้นผมก็ขออนุญาตนั่งต่อแล้วกันนะครับ” ผมพูดประชดนะครับ แต่ชายหนุ่มดูจะชอบใจมากกว่าเดิมเสียอีก เพราะรอยยิ้มในดวงตาของดราโกนั้นผมสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เป็นดวงตาสีทองที่ดูสวยงามจนผมถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดให้มองลึกเข้าไปในแววตาของเขาโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของพวกเราสองคนมองสบกันและขยับเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ และมือหนาของเขาเริ่มไม่อยู่นิ่ง ขยับลูบไล้แผ่นหลังของผมไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน ผมสะดุ้งรีบคว้าข้อมือของดราโกเอาไว้อย่างรวดเร็ว เมื่อมือของเขาเกี่ยวขอบกางเกงของผมเอาไว้



“หึ” รอยยิ้มมุมปากของเขาปรากฏขึ้นมาทันที ผมต้องรีบร้อนกลับไปคุยเรื่องเดิมที่ค้างคาใจผมอยู่



“ดราโกครับ เรื่องของผมคุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมครับ”



“ใช่ ฉันพอรู้อยู่บ้าง แต่ไม่ทั้งหมด” เสียงทุ้มตอบ แต่มืออีกข้างของเขาที่ผมไม่ได้จับไว้กลับเริ่มลูบแผ่นหลังผมต่อเรื่อยๆ



“พอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับว่าคุณรู้แค่ไหน” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย พวกเขาคงล้วงข้อมูลของผมมาได้มากพอสมควรแน่นอนครับ ไม่อย่างนั้นเรื่องของผมดราโกคงแสดงอาการตกใจออกมาบ้างแล้ว แต่ปฏิกิริยาเมื่อครู่ของเขานิ่งมากเลยทีเดียว



“จากข้อมูลของเธอเราหามาได้ส่วนหนึ่ง รู้ว่าเธอเป็นลูกครึ่งเอเชีย มีประวัติการรับบุตรบุญธรรมโดยครอบครัวนอร์แมนตอนอายุ 5-6 ขวบ เป็นอัจฉริยะตัวน้อยที่สามารถเข้าสถาบันชื่อดังได้อย่างง่ายดาย และตอนนี้เด็กน้อยคนนี้กำลังจะเรียนจบปริญญาเอกแล้วด้วยน่ะซิ” ใบหน้าคมของชายหนุ่มก้มหน้ามองผมนิ่งๆ “ข้อมูลก่อนหน้าที่ครอบครัวนอร์แมนจะรับเธอมาเลี้ยงดูฉันไม่สามารถหาข้อมูลส่วนนั้นมาได้ แต่ดูจากประวัติและข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเธอที่เป็นข้อมูลสำคัญของคาโซ่ก็พอจะคาดเดาได้ เธอต้องการเล่นงานพวกมัน ซึ่งชื่อเสียงของพวกคาโซ่ก็ขึ้นชื่อในเรื่องค้ามนุษย์อีกด้วย และมีข่าวหนึ่งที่ทำให้ฉันยิ่งมั่นใจ เมื่อสิบปีก่อนคาโซ่มันได้เปิดประมูลการค้ามนุษย์ขึ้นที่อิตาลี จำนวนมนุษย์ที่ถูกค้านั้นมากถึงสองร้อยคน และเป็นคนที่พวกมันนำมาจากทวีปเอเชียทั้งนั้น ถ้าลองเทียบอายุของเธอและเหตุการณ์ในตอนนั้น มันก็น่าจะตรงกันพอดี”



“ครับ เป็นเหมือนที่คุณพูดทุกอย่างเลยครับ” ผมพยักหน้ายอมรับกับสิ่งที่เขาพูดขึ้นมา ผมคือหนึ่งในจำนวนคนสองร้อยคนนั้นที่ถูกพ่อแม่ขายมา และต้องตกอยู่ในขุมนรกทั้งเป็นอยู่นานหลายเดือน ภาพนรกขุมนั้นยังติดตาผมไม่เคยหายไปไหน ทั้งเสียงกรีดร้อง เสียงร่ำไห้ กลิ่นความตาย อาหารเหม็นเน่า การหักหลัง และการเอาตัวรอดจากที่แห่งนั้น นรกบนดินที่ผมเคยได้พบเจอมันน่าสะอิดสะเอียด



มัน...น่า...กลัว...







‘ฉัน...เจอ...เธอ...แล้ว’ เสียงแหบทุ้มดังลอดมาจากริมฝีปากสีคล้ำจากการสูบนิโคตินจำนวนมาก กลิ่นบุหรี่ยี่ห้อราคาแพงเป็นเอกลักษณ์ที่เขาจำจดได้เสมอยามเมื่อผู้ชายคนนี้ปรากฏตัวต่อหน้า



‘ไม่!!! พี่ครับ’ เสียงกรีดร้องในใจของผมไม่เคยเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่มือเล็กผอมแห้งพยายามปิดกลั้นเสียงร้องไว้อย่างแน่นหนา



‘ไม่!!! หนีไป!!! เร็ว ไม่ต้องห่วงพี่ หนีไป’ เสียงกรีดร้องระคนตกใจเป็นห่วงนั้นตะโกนดังลั่น มันเป็นประโยคซ้ำๆ ที่สะท้อนก้องไปมาภายในตู้คอนเทนเนอร์เล็กๆ นี้



‘ผม ผม พี่ครับ’ ผมสะอื้นหนัก ดวงตาบอบช้ำและร่างกายไร้เรี่ยวแรง



‘หึ เธอหนีฉันไม่รอดหรอก’ เสียงนั้นยังตามหลอกหลอน ร่างสูงใหญ่นั้นน่ากลัวเหมือนภูตผีปีศาจ เสียงกระแทกของร่างกายกับผนังตู้คอนเทนเนอร์ดังก้อง เสียงร้องไห้ ด่าทอ และสาปแช่งยังดังต่อเนื่องไม่หยุด เสียงฉีกกระชากเสื้อผ้าและการทุบตีเหมือนเป็นฝันร้ายที่ยังตามหลอกหลอน เสียงฑัณฑ์ทรมานและการเสพสมในห้วงอเวจียังดังอยู่ในเงามืดเนิ่นนาน



‘พี่ครับ’



‘พี่ครับ’



‘พี่ครับ’



เสียงกรีดร้องในใจของผมร่ำร้องหาแต่เพียงแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของผมเท่านั้น







“คริสติน”



“คริสติน!!!”



“คริสติน!!!” เสียงทุ้มของดราโกตะโกนเรียกชื่อผมดังลั่น จนทำให้ผมสะดุ้งและรู้สึกตัวขึ้นมา ผมกระพริบตาเพื่อปรับโฟสกัสตรงหน้าของผมให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ถึงได้รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าของชายหนุ่มเจ้าของตักนั้นแสดงสีหน้าเป็นห่วงผมอย่างชัดเจน



“เธอเป็นอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงของเขาเป็นห่วงและมือใหญ่ของเขาก็กำลังลูบไหล่ของผมเบาๆ ผมพึ่งรู้ว่าตอนนี้ร่างกายของผมกำลังสั่นเทาอย่างรุนแรง แผ่นหลังเปียกชื้นเต็มไปด้วยเหงื่อและมือของผมกำแน่นจนขึ้นข้อขาว เล็บจิกลงกลางฝ่ามือจนเเกิดบาดแผล



“ผะ ผม” ดวงตาของผมเบิกกว้างซึ่งแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ภาพเมื่อครู่เหมือนผมได้ย้อนเวลากลับไปอยู่ในเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว ภาพนั้นคือภาพที่เคยตามหลอกหลอนผมมาเนิ่นนาน จนกระทั่งผมโตขึ้นผมก็ไม่ได้ฝันถึงภาพนั้นอีกเลย ไม่นึกเลยว่าแค่ผมเผลอย้อนกลับไปนิดเดียว มันกลับทำให้รู้ว่าใจของผมยังคงเก็บภาพเหล่านี้ไว้อย่างแน่นหนา สลักความกลัวให้ลึกลงไปถึงในจิตวิญญาณของผม ประทับตรานั้นไว้ไม่เลือนหาย



“ใจเย็นๆ เด็กน้อย มันผ่านไปแล้ว ตอนนี้เธออยู่กับฉัน ไม่มีใครทำอะไรเธอได้ทั้งนั้น” ดราโกปลอบโยนผมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง เสียงของเขามันชวนให้ผมอุ่นใจและสามารถสงบใจได้อย่างรวดเร็ว



“ขอโทษนะครับ” ผมซบหน้าลงกับไหล่กว้างของดราโกอย่างถือวิวาสะ ผมรู้สึกชอบน้ำเสียงของเขาและอ้อมกอดของเขานะครับ มันทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น



“เธอจำเหตุการณ์ได้ทุกอย่างเลยใช่ไหม” ดราโกถามขึ้นมาพอผมตัวสั่นเขาก็ปลอบโยนผมอยู่ข้างๆ



“ครับ” เพราะผมมีความจำดีตั้งแต่เด็ก เรื่องทุกอย่าง เหตุการณ์ทุกอย่างผมยังคงจดจำได้ไม่เคยลืม



“หลังจากนี้เธอต้องการทำอะไรคริสติน” เขายังถามผมต่อ ผมนิ่งไปซักพักเพื่อรวบรวมสติ



“ผมจะหยุดยั้งคาโซ่ให้ได้ครับ”



“งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นฉันก็พร้อมจะช่วยเธอเช่นกัน” ร่างสูงของชายหนุ่มโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ และประทับจุมพิตบนริมฝีปากผมอย่างแผ่วเบา ขบเม้ม หยอกล้อจนผมเผลอไผลไปตามการชักนำของผู้ชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว เหมือนจุมพิตของดอนแห่งคอลิโอเน่ครั้งนี้คือคำสัญญาที่มอบไว้ให้กับผม ว่าต่อให้ทางข้างหน้าจะเจออะไรก็ตาม เขาก็พร้อมจะปกป้องผมอยู่เสมอ ให้ผมได้ปลอดภัยภายใต้การคุ้มครองดูแลจากชายคนนี้



และเหมือนดราโกจะรู้ว่าผมคิดอะไร เขาจึงยิ่งเน้นย้ำดิ่งลึกลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ กวาดต้อนหยอกเย้าริมฝีปากของผมอย่างดื่มด่ำ ขยับเคลื่อนไหวร่างกายแนบกระชับแทบจะกลืนกิน ปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ขว้างกั้นจนแผ่นอกขาวของผมเปิดเผยต่อสายตาพราวระยับของเขา



“เผลอไม่ได้เลยนะครับ” ผมก้มหน้าหลบสายตาของชายหนุ่ม “คุณนี่หื่นเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ”



“หึหึ ฉันอยู่ในช่วงวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่านนะเด็กน้อย” ประโยคของเขาที่ตอบผมพร้อมน้ำเสียงติดขำขันนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ยส่งให้เขา



“ลุงหื่น” ผมกระซิบเบาๆ ฮอร์โมนพลุ่งพล่านอะไรกัน เลยวัยแล้วมั้งครับรายนี้



“ฉัน...ไม่...ใช่...ลุง” คำแต่ละคำที่เขาเน้นย้ำ ก็บดจูบลงมาตามคำที่เขาพูดอย่างหนักหน่วง ผมตกใจส่งเสียงประท้วงและลงมือทุบไหล่ดราโกแรงๆ แต่เขาก็เหมือนแกล้งผมเท่านั้น เห็นผมทำหน้าตาตื่นก็นั่งขำและช่วยผมใส่เสื้อเหมือนเดิม



“เล่นเป็นเด็กๆ เลยนะครับ” ผมประท้วงด้วยคำพูด



“ก็เธอเป็นเด็กนี่ ฉันก็ต้องเด็กตามเธอหน่อย แต่ฉันจะบอกให้เธอรู้ไว้นะเด็กน้อย ว่าเด็กเขาไม่เล่นแบบนี้กัน” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของดราโกนั้นเจ้าเล่ห์จนไม่น่าไว้วางใจเลยครับ แต่เขาก็ยอมนั่งกอดผมเฉยๆ อย่างนั้น แต่นานๆ ทีก็มาคลอเคลียตรงกลุ่มผม ซุกไซ้ตรงซอกคอ และหอมแก้มผมไปเรื่อยๆ เหมือนเขาเห็นผมเป็นตุ๊กตาเลยนะครับ กอดผมแน่นไม่ยอมปล่อยเลย “สบายใจขึ้นรึยัง”



ผมชะงักเมื่อได้ยินดราโกถามขึ้นมา ผมพยักหน้า ตอนนี้ผมรู้สึกสบายใจและหายหวาดกลัวแล้วครับ แสดงว่าที่เขาทำกับผมเมื่อซักครู่คงต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของผมจากเหตุการณ์ในอดีต ผมมองเขาด้วยความขอบคุณและซาบซึ้ง



“อีกไม่นานคนที่ฉันนัดไว้คงใกล้มาถึงแล้ว ฉันอยากให้เธอมาร่วมวางแผนด้วยกันกับฉัน” ดราโกพูดขึ้นหลังจากพวกเรานั่งอยู่เงียบๆ กันซักพักหนึ่ง



“ผมหรือครับ?” ผมเอียงศีรษะและมองเขาด้วยความสงสัย



“ใช่ อย่างน้อยที่ฉันหวังไว้คือเธอสามารถเผชิญหน้ากับความกลัวได้อย่างกล้าหาญ ถึงตอนนี้จะไม่ได้ก็ยังไม่เป็นไร แต่ซักวันความกลัวของเธอก็จะไม่มีผลอีกต่อไป” ชายหนุ่มพูด



“ผมก็หวังไว้อย่างนั้นนะครับ"



“ตอนนี้เธอก็กล้าหาญแล้วล่ะเด็กน้อย แต่มันยังไม่เพียงพอเธอก็น่าจะรู้ ฉันจึงอยากคอยช่วยเหลือเธออยู่ข้างๆ ถ้ากลัวก็อย่าลืมว่าเธอยังมีฉันอยู่ ถ้าเธออยากจะชนะความกลัว ก็ต้องจัดการพวกมันให้ได้ อยากน้อยถ้าเธอเป็นส่วนหนึ่ง ความกล้าของเธอก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” ดราโกโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ชายหนุ่มแนบหน้าผากลงมาสัมผัสกับหน้าผากของผม ความอบอุ่นและอ่อนโยนของดราโกนั้นทำให้ผมนึกแปลกใจ ใบหน้าที่เย็นชาเจ้าเล่ห์ของเขาดูอ่อนโยนขึ้นมาก ผมไม่รู้ว่าบรรยากาศระหว่างเรามันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ความรู้สึกแบบนี้มันก็ไม่เลวเลยนะครับ



“ขอบคุณครับดราโก ผมจะต้องทำให้ได้แน่นอนครับ” ผมไม่ใช้คำว่าพยายาม เพราะคำว่าพยายามผลสุดท้ายจะสำเร็จหรือไม่ก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ แต่ผมต้องทำให้ได้ครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมต้องทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ เพื่อตัวของผมเอง และคนรอบๆ ข้างที่หวังดีกับผมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อหรือแด๊ดดี้เอริค



และสำหรับผู้ชายคนนี้...ดราโก คอลิโอเน่ ใจลึกๆ ของผมก็หวังว่าในอนาคตเขาก็ยังพร้อมจะคอยช่วยเหลือและอยู่ข้างๆ ผมเหมือนกับที่เขาบอกผมไว้นะครับ เพราะผมคิดว่าการมีเขาอยู่ข้างๆ มันทำให้ผมอุ่นใจและมั่นใจว่าผมจะผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้อย่างแน่นอน ผมหวังว่าในอนาคตต่อไปที่จะถึงนี้ ผมจะมีความกล้าที่จะหันไปมองเขาเหล่านั้น มองผู้ชายที่เป็นดั่งฝันร้ายในอดีตด้วยสายตาที่มุ่งมั่นไร้ซึ่งความกลัว และเอ่ยถามในสิ่งที่ผมค้างคาอยู่ในใจมาตลอดสิบปี



ผมอยากจะถามเขาว่า...ทำไมครับ ทำไมถึงต้องทำร้ายพวกเราขนาดนี้?







หลังจากที่ผมและดราโกได้พูดคุยเปิดใจกันไปแล้ว ผมรู้สึกได้ว่าอะไรบางอย่างระหว่างเรามันกำลังเปลี่ยนไป ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ผมรู้สึกไว้วางใจผู้ชายคนนี้มากขึ้น เหมือนว่าระหว่างเราสองคนมีสายใยอะไรบางอย่างกำลังถักทอขึ้นอย่างช้าๆ ผมรู้สึกอุ่นใจมากยิ่งขึ้นเมื่อมีเขาอยู่ข้างๆ และมั่นใจว่าผมจะผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้ด้วยดี



ก็อก ก็อก



“ขออนุญาตครับดอน” เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงของคาลอส ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มเดินเข้ามาภายในห้องหลังจากที่ดราโกเอ่ยอนุญาตเรียบร้อยแล้ว ผมเงยหน้าจากบ่าของดราโกอย่างรวดเร็ว และทันเห็นสายตาประหลาดใจปนล้อเลียนจากคาลอสที่ส่งมาให้ ผมเลยพึ่งรู้สึกตัวว่าตอนนี้ผมยังนั่งอยู่บนตักของดราโกอยู่เลยครับ



“อ๊ะ ขอโทษครับ” ผมก้มหน้างุดหนีสายตาพราวระยับจากเจ้าของตัก และรีบร้อนลงจากตักของชายหนุ่มพร้อมกับเดินหนีไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวข้างๆ แทน



“หึหึ คืนนี้คงนอนหลับฝันดีซินะครับดอน” คาลอสเอ่ยแซวดอนแห่งคอลิโอเน่ทันทีเมื่อชายหนุ่มนั่งลงตรงโซฟาเดี่ยวอีกตัวซึ่งอยู่ตรงข้ามกับผมพอดีครับ



“หึ” ดราโกหัวเราะในลำคอเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป



“ระวังนะครับคริสติน ดอนไว้ใจไม่ค่อยได้อยู่ด้วย” ชายหนุ่มร่างโปร่งฉีกยิ้มกว้างพลางยักคิ้วอย่างสนุกสนาน ผมเห็นด้วยกับคาลอสเช่นกันครับ



“นั่นซิครับ คืนนี้ผมไปนอนกับคุณด้วยได้ไหมครับ” ผมพยักหน้าและเอียงศีรษะถามคาลอส ดวงตาของผมมองไปทางเขาด้วยสายตาที่แกล้งคาดหวัง เพราะผมรู้ดีว่าดราโกไม่มีทางยินยอมแน่นอนครับ แต่ผมแค่อยากจะแกล้งคาลอสเท่านั้นเอง ถือว่าเอาคืนเรื่องที่เขาแซวเมื่อซักครู่แล้วกันนะครับ



“อ๊ะ เออ ผมว่า...ผมไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่น่ะครับคริสติน ขอโทษด้วยครับ” มือซ้ายของคอลิโอเน่ชะงัก น้ำเสียงตะกุกตะกักขึ้นมาทันที ผมเห็นดวงตาภายใต้กรอบแว่นดูลุกลี้ลุกลน มองมาทางผมสลับกับดราโกอย่างเห็นได้ชัด



“น่าเสียดายจังเลยนะครับ” ผมแสร้งทำเสียงเศร้าและขมวดคิ้วเล็กน้อยให้ดูสมจริง ผมคิดว่าตั้งแต่ผมแสดงละครครั้งใหญ่ให้สไนเปอร์คนนั้นได้ฟัง ความสามารถของผมก็ดูจะก้าวหน้าขึ้นนะครับ ผมคงจะมั่นใจมากขึ้นถ้าไม่ติดว่าหางตาของผมแอบเหลือบไปเห็นรอยยิ้มขำตรงมุมปากของดราโกเต็มๆ



“คาลอส นายรู้ไหมว่านายเข้ามาขัดจังหวะ” จู่ๆ ดราโกก็หันไปเล่นงานมือซ้ายของตัวเองทันที “ถ้าเหตุผลของนายไม่ดีพอ ฉันจะไม่ให้นายลาพักร้อนเลยตลอด 3 ปี”



น้ำเสียงของดราโกจริงจังมากจนคาลอสสะดุ้งและยกมือดันแว่นกรอบเหลี่ยมให้ขึ้นไปอยู่บนสันจมูก ท่าทางกวนๆ ขี้เล่นเมื่อซักครู่เปลี่ยนเป็นเอาการเอางานและดูเคร่งขรึมจริงจังในทันที



“ขออภัยครับดอน อีกซักครู่จะถึงเวลานัดกับทางอัลเบอร์โตแฟมิลี่แล้วครับ ผมจองห้องอาหารส่วนตัวของโรงแรมไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ จาคอปเคลียร์สถานที่และตรวจเช็คความปลอดภัยเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”



ท่าทางของคาลอสที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทำให้ผมนึกทึ่งอยู่ในใจ รวดเร็วและน่าชื่นชมมากเลยครับ แบบนี้รึเปล่านะที่คุณพ่อเคยบอกว่า คนเราต้องอยู่ให้เป็น ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว



“มาเถอะ” ร่างสูงของดราโกผุดลุกขึ้นและหันมาบอกผม



“ครับ?” ผมมองเขากลับด้วยความงุนงง



“ฉันจะพาเธอไปนั่งคุยด้วยกัน” ดราโกยื่นมือมาฉุดผมให้ลุกขึ้นยืน มือหนาของชายหนุ่มจูงมือผมเดินออกไปทางประตูหน้าห้องที่มีคาลอสเป็นคนเปิดประตูให้ ผมที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ต้องเอ่ยถามเขาขึ้นมาอีกครั้งให้แน่ใจ



“ผมไปด้วยจะดีเหรอครับ”



“อืม” เขาตอบกลับสั้นๆ ก้มหน้ามองผมที่ความสูงอยู่แค่อกของเขาเท่านั้น คิ้วเข้มของดราโกเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม



“คุณไปคุยงานนะครับ จะให้เด็กอย่างผมไปด้วยจะดีเหรอครับ อีกอย่างผมแต่งตัวแบบนี้คงไม่เหมาะสม” ผมบอกเขา ชี้ให้เขาเห็นว่าผมกำลังใส่แค่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น ผมเผ้าชี้ฟูยุ่งเหยิงนิดๆ และรองเท้าผ้าใบสีสันแสบตา ดูยังไงก็เหมือนคุณพ่อพาลูกมาเที่ยวเลยนะครับ



“ไม่เป็นไรหรอก เขาเป็นคนรู้จักของฉันเอง” ดราโกเอื้อมมือมาจัดแต่งทรงผมให้ผมเล็กน้อย จนทรงผมที่เคยยุ่งเหยิงดูเรียบร้อยมากขึ้น เขายิ้มอย่างพอใจและก้มลงมาจุตพิตหน้าผากผมแรงๆ ด้วยความหมั่นเขียวหนึ่งที “น่ารักแล้วเด็กน้อย”



“ขอบคุณครับ” ผมลูบหน้าผากตรงที่เขาจูบผมเมื่อซักครู่เบาๆ หลบสายตาพราวระยับของเขาเล็กน้อย



“อะแฮ่มๆ” เสียงกระแอมไอดังมาจากคาลอสอีกเช่นเคยครับ ชายหนุ่มยืนยิ้มกริ่มส่งยิ้มกวนๆ มาให้อีกครั้ง เขาคงลืมไปแล้วว่าเมื่อซักครู่ดราโกพึ่งคาดโทษเขาไว้



“ใบลาพักร้อนของนายฉันไม่อนุมัติ” นั่นไงครับ ดราโกยื่นคำขาดและจูงมือผมเดินผ่านหน้าคาลอสที่ช็อคอ้าปากค้างไปแล้ว ผมรู้ว่ามันเสียมารยาทนะครับ แต่ผมก็รู้สึกอารมณ์ดีที่เห็นใบหน้าแบบนั้นปรากฏแทนที่สีหน้ากวนๆ ของเขา



ตอนนี้ดราโกและผมเดินมาถึงห้องอาหารส่วนตัวที่จองเอาไว้แล้วครับ ด้านหน้าของห้องมีจาคอปและบอร์ดี้การ์ดอีกสี่ห้าคนยืนเฝ้าระวังความปลอดภัยอยู่ ภายในห้องนั้นดูหรูหราและผ่อนคลาย ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกบานใหญ่ที่สามารถเห็นทะเลสาปคาโมได้อย่างชัดเจน กลางห้องมีโต๊ะทานข้าวและเก้าอี้ทั้งหมดสี่ตัว ใกล้ๆ หน้าต่างมีชุดโซฟาเล็กๆ ไว้ให้น่ังผ่อนคลายชื่นชมวิวที่สวยงาม



บรรยากาศสบายๆ แบบนี้ทำให้ผมถอนลมหายใจ รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเพราะผมกังวลเรื่องการแต่งกายของตัวเองมากครับ อัลเบอร์โตแฟมิลี่ที่คาลอสพูดถึงก่อนหน้านี้ พวกเขาคือแฟมิลี่อันดับต้นๆ ของอิตาลี ผมเคยหาข้อมูลผ่านตามาคร่าวๆ พบว่าเป็นแฟมิลี่ที่มีรายได้มาจากการทำธุรกิจเกี่ยวกับคาสิโนเป็นหลัก แหล่งรายได้หลักอยู่ทางแถบทวีปเอเชีย คอลิโอเน่และอัลเบอร์โตจึงไม่ทับเส้นทางการค้ากัน แต่ที่ผมแปลกใจคือการนัดพบครั้งนี้มากกว่าครับ ผมไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะสนิทสนมและเป็นพันธมิตรกัน



พวกเราใช้เวลานั่งรอเพียงไม่นาน คาลอสที่เป็นทั้งมือซ้ายและเลขาให้กับแฟมิลี่ ก็เป็นคนเดินไปต้อนรับแขกถึงด้านหน้าโรงแรม ผมรู้สึกตื่นเต้นจนฝ่ามือชื้นเหงื่อ ผมไม่คิดเลยว่าแผนการของผมจะดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ ไม่คาดคิดเลยแม้แต่น้อยว่าจะมีแฟมิลี่ใหญ่ถึงสองแฟมิลี่มาให้ความร่วมมือในการโค่นล้มอำนาจของคาโซ่



แอ๊ด



เสียงเปิดประตูและเสียงเชื้อเชิญอย่างสุภาพนอบน้อมของคาลอสทำให้ผมหันไปมอง ผมเห็นชายร่างสูงใหญ่พอๆ กับดราโกเดินก้าวเข้ามาพร้อมรังสีกดดันบางอย่าง ผู้ชายคนนั้นมีใบหน้าหล่อเหลา ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่า และดวงตาคมกริบสีเขียวมรกต บรรยากาศรอบๆ ตัวเขาเหมือนกับของดราโกเลยครับ แต่ทางอัลเบอร์โตคนนี้ดูเจ้าเล่ห์ร้ายกาจและขี้เล่นอย่างชัดเจน ถ้าเปรียบเทียบระหว่างสองคนนี้ ผมคิดว่าดราโกเหมือนซาตานในเงามืดที่แสนร้ายกาจ ส่วนเขาคนนี้เหมือนราชห์สีที่กำลังเก็บกรงเล็บรอขย้ำเหยื่อมากกว่า



และแดเนียล อัลเบอร์โตก็ไม่ได้มาเพียงลำพัง ข้างกายของชายหนุ่มมีชายอีกคนหนึ่งเดินตามมาด้วยเช่นกัน เพียงแต่ผู้ชายคนนั้นเป็นชายชาวเอเชีย อายุยี่สิบกว่าๆ มีดวงตาสีดำทรงเสน่ห์และเรือนผมสีดำเงางาม ท่าทางของเขามันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ถ้าผมจำไม่ผิด ผมต้องเคยพบผู้ชายคนนี้มาก่อนแน่นอนครับ เพราะตอนนี้หัวใจของผมมันเริ่มเต้นอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ไหนกันนะ ผมเคยพบเขาที่ไหน?





...........................................



สวัสดีค่ะ วันนี้ไรต์นำตอนใหม่มาลงให้ค่า ตอนนี้ปมในอดีตของน้องก็จะค่อยๆทยอยออกมาเรื่อยๆนะคะ อยากฝากนักอ่านทุกท่านเอาใจช่วยน้องกันด้วยนะคะ 

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่า






ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
คนที่มากับอัลเบอร์โต ใช่พี่คนนั้นในอดีตของน้องไหมนะ? (เดาล้วนๆ)

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด