พิมพ์หน้านี้ - กรงเทวดา : บทที่ 26 เริ่ม (2) (10.12.18)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: llinllin ที่ 03-06-2018 17:16:53

หัวข้อ: กรงเทวดา : บทที่ 26 เริ่ม (2) (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 03-06-2018 17:16:53
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




***************************************


กรงเทวดา
[/size]


   ผมไม่คิดว่าการเดินทางครั้งนั้นของผมจะเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย ไม่เคยคิดซักนิดว่าความใจดีของผมจะนำพาหายนะที่ชื่อว่าซาตานตามมารังควาน ไม่คิดซักนิดว่าสองมือเปื้อนเลือดของผมที่พยายามยื้อชีวิตเขาคนนั้นทุกวิธีทางมันจะไร้ความหมาย ไร้ซึ่งความเห็นใจ ไร้ซึ่งความปราณี มีเพียงกรงของเขาที่พร้อมจะกักขังผมไว้อยู่ทุกเวลา แต่...ผมไม่ใช่นกในกรง แค่กรงเล็กๆนั้นคงไม่สามารถขังผมเอาไว้ได้


   “ถ้าคุณมีความสามารถเพียงพอ ก็ขังผมไว้ให้ได้ซิ”


   “กรงเล็กๆนั้นก็แค่ของประดับ แต่กรงที่จะขังเธอไว้ คือตัวฉันเอง”

หัวข้อ: Re: กรงเทวดา (บทนำ)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 03-06-2018 17:20:53

บทนำ
[/size][/b]



   ผมไม่คิดว่าการเดินทางครั้งนั้นของผมจะเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย ไม่เคยคิดซักนิดว่าความใจดีของผมจะนำพาหายนะที่ชื่อว่าซาตานตามมารังควาน ไม่คิดซักนิดว่าสองมือเปื้อนเลือดของผมที่พยายามยื้อชีวิตเขาคนนั้นทุกวิธีทางมันจะไร้ความหมาย ไร้ซึ่งความเห็นใจ ไร้ซึ่งความปราณี มีเพียงกรงของเขาที่พร้อมจะกักขังผมไว้อยู่ทุกเวลา แต่...ผมไม่ใช่นกในกรง แค่กรงเล็กๆนั้นคงไม่สามารถขังผมเอาไว้ได้


   “ถ้าคุณมีความสามารถเพียงพอ ก็ขังผมไว้ให้ได้ซิ”


   “กรงเล็กๆนั้นก็แค่ของประดับ แต่กรงที่จะขังเธอไว้ คือตัวฉันเอง”



   โรม, อิตาลี 2015


   ใจกลางกรุงโรมที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนในยามค่ำคืน มีเพียงร่างเงาของผู้คนมากหน้าหลายตาต่างก้มหน้าก้มตารีบร้อนเดินทางกลับที่พักของตนอย่างเร่งรีบ อากาศหนาวเย็นที่พัดกรูเข้ามานั้นทำให้ผู้คนต่างสั่นสะท้าน เกร็ดหิมะขมุกขมัวเริ่มโปรยปรายทับถมกองหิมะเก่าให้เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางผู้คนที่กำลังเร่งรีบ ผมค่อยๆเดินทอดน่องช้าๆอยู่ข้างริมทางเดิน ปล่อยให้ผู้คนเหล่านั้นเดินผ่านตัวผมไปด้วยสายตาเอื่อยเฉื่อย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราถึงต้องเร่งรีบกันนัก รีบใช้ชีวิต รีบเดินทาง รีบทุกสิ่งทุกอย่างจนวันๆหนึ่งชีวิตขาดความสงบสุขไปมากมาย หรือแม้กระทั่งรีบจนลืมสังเกตสิ่งรอบๆตัวกันจนหมด ภาพความวุ่นวายเหล่านั้นทำให้ผมย่นหัวคิ้ว วิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ต่างๆด้วยความเคยชิน


   อ๊ะ ไม่สิ ผมควรเลิกใช้วิธีคิดแบบนั้นได้แล้ว ตอนนี้ผมเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่ควรใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และอยู่อย่างสงบสุขไปวันๆ จนกว่าผมจะเข้าใจคำว่าชีวิต พ่อของผมได้บอกกับผมว่า ลองไปใช้ชีวิตซะ ถ้าเข้าใจความหมายของคำๆนี้เมื่อไหร่ ค่อยกลับมาหาพ่ออีกครั้ง กลับมายังบ้านของเรา


   ถ้อยคำนี้ของพ่อทำให้ผมไม่เข้าใจ ผมก็มีชีวิตอยู่ไม่ใช่รึไง ผมกำลังหายใจ สมองและหัวใจก็ยังไม่หยุดเต้น สุขภาพของผมก็แข็งแรง ระดับความดันปกติ สายตาไม่ขุ่นมัว กินได้ เดินได้ พูดได้ แล้วผมจะไม่มีชีวิตได้ยังไง ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อบอกเลยสักนิดแต่พอบอกคำพูดเหล่านั้น พ่อถึงกับหลั่งน้ำตาบ่นพึมพำว่าฉันเลี้ยงลูกผิดไปแล้วหรือไง แค่ประโยคนั้นประโยคเดียว พ่อกลับส่งผมออกจากบ้านพร้อมเงินมากมายจำนวนหนึ่ง แล้วบอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆปนสะอื้นว่า


   “ปะ ไปซะ ลูก ลูกไปใช้ชีวิตดู ฮึก ถ้าลูกเข้าใจแล้ว ก็ค่อยกลับมา” น้ำเสียงสั่นพร่าของบุพการีนั่นสั่นสะอื้นจนแทบจับใจความไม่ได้  ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าหนึ่งใบ ได้แต่เงียบนิ่งขมวดคิ้วยุ่งเพราะไม่เข้าใจกับคำพูดของพ่อมากนัก เพราะท่าทางที่ขัดแย้งจากท่าทางและคำพูดของท่าน ว่าตกลงอยากหรือไม่อยากให้ผมไปกันแน่นะ แม้สายตาของผู้เป็นพ่อจะอาลัยอาวรณ์แค่ไหน แต่ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็ได้แต่พยักหน้าและคว้ากระเป๋าเดินทางออกไปจากบ้านอย่างงุนงง แต่คล้อยหลังไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก ผมก็ยังได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวนของชายอายุห้าสิบกว่าปีดังแว่วมา เสียงร้องไห้ของพ่อนั้นหนวกหูจนผมกลัวว่าคนอื่นๆในบ้านจะตกอกตกใจกันหมด


   พอออกจากบ้านผมก็เหมือนคนไร้จุดหมาย ได้แต่ปิดตาสุ่มเลือกประเทศที่ต้องการไปจากแผนที่ที่ผมแวะซื้อจากร้านหนังสือข้างทาง ผมออกเดินทางไปเรื่อยๆ ส่งข่าวกลับไปหาพ่อบ้างบางครั้ง เพื่อไม่ให้ท่านเป็นห่วง และตอนนี้ผมก็เดินทางมาถึงกรุงโรมประเทศอิตาลี เมืองประวัติศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรมที่งดงาม เขาว่ากันว่าศิลปะก็คือชีวิต คือจิตใจ คือความอารมณ์ความรู้สึก ผมมาที่นี่เผื่อว่าจะเจอความหมายของมัน เมื่อพบ ผมก็จะได้กลับบ้านเสียที การใช้ชีวิตคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่กลับบ้านไปอยู่กับพ่อ ผมว่าดีกว่าการใช้ชีวิตเพียงลำพังเสียอีก


   แต่ระหว่างที่ผมกำลังเดินทอดน่องครุ่นคิดถึงเรื่องในอดีตไปเรื่อยๆนั้น หางตาของผมก็เห็นเงาวูบไหวภายในตรอกมืดๆ ผมหยุดเดินโดยไม่รู้ตัว แม้จะได้ยินเสียงก่นด่าจากคนเดินถนนคนอื่นๆที่เกือบจะชนผม ผมก็ไม่สนใจ ดูเหมือนความสนใจทั้งหมดของผมจะหยุดลงกับภาพในตรอกนั้น ไม่ทันไรขาของผมก็เดินเข้าไปทันที ตรอกเล็กๆนี้เหมือนถูกตัดขาดจากแสงสีและความพลุกพล่านของผู้คนบนถนนอีกฝั่ง ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็พบแต่ความมืดและความเงียบงัน ผมก้าวลึกเข้าไปในตรอกแคบๆนั้นอย่างไม่รู้ตัว โดยตามเสียงหอบหายใจแผ่วเบาไปเรื่อยๆ


   จนกระทั่งผมเดินมาหยุดอยู่ตรงร่างๆหนึ่งที่กำลังนั่งพิงกำแพงตรอกอยู่ ผมไม่เห็นหน้าของเขาเพราะเงาของผมบดบังร่างนั้นเอาไว้ แต่ตรงช่วงไหล ท้อง และต้นขา ผมเห็นเลือดสีแดงฉานไหลนองจนท่วมตัว พร้อมเจิงนองย้อมกลบสีของหิมะไปจนหมด เสียงลมหายใจหอบกระชั้นด้วยความเจ็บปวดของเขาดึงผมกลับมามองสำรวจอาการของเขาคร่าวๆ ด้วยแววตาครุ่นคิด


   ไม่น่าจะรอด


   ผมส่ายหัวเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนเตรียมเดินออกไปอีกครั้ง ในเมื่อใกล้ตาย ผมก็ไม่จำเป็นต้องช่วย อาจจะเห็นว่าผมใจร้ายหรือเย็นชา แต่ในเมืองแห่งนี้การช่วยคนที่บาดเจ็บจากกระสุนปืนอาจจะไม่ใช่เรื่องดี ไม่รู้ว่าเขตนี้เป็นถิ่นของใคร หรือผู้มีอิทธิพลคนไหนดูแลอยู่ การทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาคนเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ ผมมาที่เมืองนี้ก็ต้องหัดเรียนรู้เบื้องลึกเบื้องหลังและประวัติเหล่านี้เอาไว้บ้าง


   แต่ในตอนที่ผมกำลังลุกขึ้นยืนและจะหมุนตัวเดินออกไป ผมกลับชะงักเพราะรู้สึกถึงแรงดึงชายเสื้อจากเบื้องหลัง ผมเอี้ยวตัวหันไปมองก็เห็นชายคนนั้นเอื้อมมือเปื้อนเลือดมาดึงชายเสื้อของผมไว้แน่น


   “ยะ ยัง ตะ ตาย มะ ได้” เสียงแหบพร่าระโหยโรยแรงนั้นกระตุ้นต่อมความสนใจของผม ยังตายไม่ได้งั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นชายคนนี้คงอยากมีชีวิตต่อไป น่าสนใจ อยากมีชีวิตก็คือการเรียนรู้ชีวิต บางทีคนๆนี้อาจจะรู้ว่าการใช้ชีวิตในความหมายของพ่อผมคืออะไร


   ผมก้มลงไปใกล้ผู้ชายคนนั้นและตบหน้าของเขาเบาๆเพื่อเรียกสติ


   “จะเรียกรถพยาบาลไหมครับ” น้ำเสียงของผมราบเรียบเมื่อเอ่ยถามชายคนนั้น อาการส่ายหน้าเล็กน้อยของเขาทำให้ผมเข้าใจ ไม่นั่นเอง “หรือคุณต้องการให้ผมติดต่อใครไหมครับ”


   “ทะ โทร” ไม่จำเป็นต้องรอให้เขาพูดจบผมก็เอื้อมมือไปค้นทั่วตัวของเขาทันที แต่ไม่ว่าจะค้นตรงเสื้อโค้ท ใต้สูท กระเป๋ากางเกง ผมก็หาไม่พบ ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ โรงพยาบาลไม่ไป โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี คงมีวิธีเดียวเท่านั้นแหละ


   “คุณไม่มีโทรศัพท์ติดตัว คงหายไประหว่างทาง” ระหว่างทางที่คุณหนีน่ะ ผมต่อประโยคในใจ “คงมีทางเดียว แต่หวังว่าคุณจะไม่นำความยุ่งยากมาให้ผม” หลังจากผมพูดจบประโยค ก็จัดการปลดมือที่กุมเสื้อของผมเอาไว้ และรีบเดินออกไปจากตรอกนั้นอย่างรวดเร็ว


   อืม ตอนนี้ผมก็เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้คนที่กำลังเดินทางอย่างเร่งรีบแล้วล่ะ แต่จุดหมายปลายทางของผมกลับไม่ใช่บ้านอันแสนอบอุ่นเหมือนอย่างพวกเขา แต่เป็นร้ายขายยาที่ผมต้องซื้ออุปกรณ์จำเป็นบางอย่างสำหรับการรักษาเขาคนนั้น เพียงไม่นานผมก็กลับมาที่ตรอกแห่งเดิมอีกครั้งและพยายามจะช่วยห้ามเลือดของเขาก่อนที่เลือดจะไหลจนหมดตัว จากนั้นก็ช้อนใต้วงแขนเพื่อรั้งร่างโชกเลือดนั้นขึ้นมาจากพื้นอย่างทุลักทุเล เพราะน้ำหนักตัวของชายคนั้นค่อนข้างมาก และทิ้งแรงทั้งหมดมาที่ผมด้านเดียว กว่าจะนำตัวเขาลุกขึ้นยืนได้ก็แทบเอาผมหมดแรงไปก่อน ผมนำวงแขนของเขาพาดบ่าและเดินลึกเข้าไปในตรอกอีกด้านเพื่อหาทางทะลุไปอีกฝั่ง ไปยังห้องเช่าเล็กๆของผมที่อยู่ในย่านนี้


   และนั่น...คือจุดเริ่มต้นของการเข้าใจความหมายของคำว่าชีวิต ที่ผมคิดว่ามันบัดซบสิ้นดี

หัวข้อ: Re: กรงเทวดา (บทที่ 1 เริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 03-06-2018 17:25:45


บทที่ 1 เริ่มต้น

   ผมพาร่างที่อ่อนระโหยโรยแรงนั้นกลับมาที่ห้องเช่าของผมด้วยความยากลำบาก หนึ่งเพราะสภาพอากาศไม่อำนวย หิมะกำลังตกหนัก ทำให้อุณหภูมิร่างกายของคนเจ็บลดลงอย่างน่าเป็นห่วง แต่มีข้อดีตรงที่ช่วยบดบังวิสัยทัศน์ของคนอื่น ทำให้ไม่มีใครสนใจเขาเท่าไหร่นักเมื่อต้องแบกร่างของคนที่มีแต่เลือดไปตามทาง สอง น้ำหนักตัวของเขาที่เทมาทางผมทั้งหมด กว่าจะพามาถึงห้องผมก็หอบหายใจจนตัวโยน รู้สึกขาเริ่มสั่นและเมื่อยมากทีเดียว และสาม ผมทำแผลไม่เป็น อ้อ ใช่ครับ รู้สึกจะเป็นปัญหาใหญ่ของผมเลยล่ะ


   ผมพาร่างโชกเลือดของชายคนนั้นไปทิ้งไว้ในห้องน้ำ


   ตุบ


   “อะ อื้อ โอ๊ย” น้ำเสียงเจ็บปวดดังออกมาจากริมฝีปากซีดเซียวแตกระแหง ผมเอ่ยขอโทษเขาอยู่ในใจเพราะผมลืมตัวไปหน่อย พอรู้สึกหนักก็รีบลากเขาเข้าไปทันที และทิ้งร่างของเขาบนพื้นอย่างไม่ใยดี เหตุผมก็คือ ผมไม่อยากให้เลือดของเขาเลอะพรมกับเตียงน่ะซิ มันซักออกยากนะ


   “ทนหน่อยนะครับ ผมจะรีบทำ” ผมพูดขึ้นเพื่อบอกกล่าวคนเจ็บที่คิดว่าน่าจะสลบไปแล้วเพราะแรงกระแทกเมื่อครู่ ดวงตาสีน้ำตาลของผมเบิกกว้างเล็กน้อยรีบยกนิ้วขึ้นจ่อจมูกเพื่อเช็คลมหายใจ แม้จะแผ่วเบาแต่ก็ยังไม่ตาย ผมถอนหายใจโล่งอก รีบปลดเสื้อผ้าเกะกะของเขาออก และเปิดฝักบัวเพื่อล้างคราบเลือดออกจากตัวของเขา พร้อมกับสังเกตรอยแผลจากกระสุนชัดๆ


   “โชคดีที่ไม่ฝังใน” ผมพึมพำพูดกับตัวเอง หลังจากเห็นรอยแผลที่ด้านหน้าท้อง หัวไหล่ และต้นขาที่มีรอยเพียงเล็กน้อย แต่ด้านหลังกลับเหวอะหวะและเลือดทะลักออกมามากมาย หลังจากทำความสะอาดรอยเลือดจนหมดแล้ว ปัญหาต่อไปของผมคือแผลของเขานี่แหละว่าจะทำยังไงต่อไป


   “อากู๋จะมีบอกวิธีไหมนะ”


   ผมพยุงร่างเปลือยเปล่าของเขาขึ้นมาจากพื้นห้องน้ำ พยายามเช็ดตัวของเขาให้แห้ง วางร่างของเขาทิ้งไว้บนพื้นที่ถูกปูผ้าหนาไว้หลายชั้น ที่สำคัญต้องนำเขาให้อยู่ห่างจากพรมในห้อง เห็นมั้ย เลือดเขายังไม่หยุดไหลเลย แค่นี้ก็ซึมลงไปบนผ้าปูที่ผมวางร่างของเขาไว้แล้ว


   “ผมจะรักษาไปตามที่ผมทราบ แต่ก็อยู่ที่ดวงของคุณนะครับว่าจะรอดรึเปล่า” ผมลงมืออย่างไม่รอช้าเพื่อแข่งกับเวลา ในเมื่อเขาคนนี้ไม่อยากตายผมก็ทำเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็ห้ามเลือดก่อนนั่นแหละ หลังจากนั้นก็คงต้องตามหมอ อืม เขาจะบอกว่าไม่ไปโรงพยาบาล แต่ไม่ได้ห้ามผมตามหมอนี่ครับ ใช่ไหม?  โธ่ ผมไม่ได้เก่งกาจเหมือนในหนังนะครับที่จะทำอะไรได้ทุกอย่าง อย่างน้อยผมก็คือคนธรรมดาคนหนึ่งที่พยายามช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกอย่างจริงใจ?


   คนเจ็บยังคงสลบไม่รู้เรื่องรู้ราวใดใด หันมาห้ามเลือดให้เขาอีกครั้ง ก่อนผละออกจากร่างที่นอนกองกับพื้นและหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างเตียงนอน ผมลังเลอยู่ชั่วครู่แต่ก็ตัดสินใจกดเบอร์โทรและกดโทรออก เสียงสัญญาณดังขึ้น รอเพียงไม่นานปลายสายก็กดรับ


   “ฮายยยยยย คิตตี้ มายสวีทฮาร์ท คิดถึงฉันรึไงจ๊ะ เราไปดินเนอร์กันที่ไหนดี หรืออยากให้ผมไปรับคุณไหมคิตตี้ เราไม่เจอกันมานานมากแล้วนะ ตั้งสิบสี่วัน สามชั่วโมง ห้าสิบสามนาที สิบห้าวินาที โอ๊ะ สิบหกวินาทีแล้ว” เสียงเจื้อยแจ้วน่ารำคาญดังลั่นออกมาทันทีเมื่อคนอีกฝั่งรับสาย


   ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รู้สึกคิดผิดจริงๆที่ไปรู้จักกับคนแบบนี้เข้า เมื่อสามเดือนก่อนที่ผมพึ่งมาถึงอิตาลีใหม่ๆและมองหาความหมายของคำว่าชีวิต ก็บังเอิญไปเจอผู้ชายคนนี้ที่กำลังคุยโทรศัพท์เสียงดังลั่นและข้ามถนนโดยไม่รู้เลยว่ามีรถบรรทุกกำลังขับมาอย่างรวดเร็ว คนรอบข้างที่มองเห็นเหตุการณ์ต่างกรีดร้องเสียงระงม รถบรรทุกเหยียบเบรกจนล้อบดกับพื้นถนนเสียงดังลั่น เขาคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาก็อ้าปากค้าง ขาแข็งยืนทื่อทำอะไรไม่ถูก ผมที่ยืนใกล้สุดก็ได้แต่เอื้อมมือไปกระชากร่างนั้น ให้หลบพ้นรถบรรทุกที่เบรกไม่ทันและพุ่งผ่านไป พร้อมเสียงบริภาษก่นด่าตามมายกใหญ่ ฝรั่งร่างยักษ์ผมทองได้แต่ก้มผงกๆขอโทษขอโพยคนนั้นทีคนนี้ที และพอถึงตาผมดวงตาสีทองของผู้ชายคนนั้นก็วาววับฉีกยิ้มกว้างเอ่ยขอบคุณผมยกใหญ่ อาสาเลี้ยงข้าวผมอย่างดิบดี


   พอผมเห็นดังนั้นก็เลยคิดว่าคนๆนี้ดูมีชีวิตชีวาและมองโลกในแง่ดี เลยเผลอตกลงปลงใจเป็นเพื่อนกันมานับตั้งแต่ตอนนั้น และผมถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผิดพลาดมากที่สุดเรื่องหนึ่งตั้งแต่ผมโดนไล่ออกจากบ้านมา เพราะจอห์น คาเตอร์คนนี้ น่ารำคาญเป็นบ้า พลังชีวิตล้นเหลือ กระตือรือร้นกับทุกสิ่ง และที่สำคัญชื่อบ้าๆของผมที่เขาเรียกนั้นมันปัญญาอ่อนสิ้นดี


   “จอห์นครับ มาหาผมหน่อย เอาอุปกรณ์พยาบาลมาด้วยนะครับ”


   “ห๊ะ คิตตี้ ปะ” พอพูดวัตถุประสงค์ของผมเสร็จเรียบร้อย ผมก็รีบตัดสายไปทันที ไม่อยากจะฟังเสียงของจอห์นโวยวายให้รำคาญใจ ผมโยนมือถือทิ้งลงบนเตียงและหันไปเช็คดูคนเจ็บอีกครั้ง ตอนนี้คนเจ็บส่งเสียงครวญครางเบาๆ แต่ผมก็ไม่รู้จะช่วยเขาได้อย่างไรนอกจากรอจอห์นเท่านั้น จอห์นเป็นหมอที่เก่ง แต่เป็นหมอที่ต๊องเกินไปจนน่าเหนื่อยใจ 


   ผมละความสนใจจากเขาคนนั้นและหันไปต้มมาม่ากินแทนเพื่อดับความหิว และระงับเสียงร้องระงมจากกระเพาะอาหาร ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่ยังเห็นหิมะตกโปรยปราย การกินมาม่าร้อนๆในถ้วยนั้นชวนให้อารมณ์ผมสุนทรีย์ขึ้นมาก ลืมความขุ่นข้องหมองใจและลืมไปว่ามีคนเจ็บอยู่ในห้องผมเสียสนิท นั่งๆนอนๆรอจอห์นอยู่พักใหญ่ เสียงเคาะประตูรัวดังพร้อมเสียงเรียกชื่อน่ารำคาญนั้นก็ดังลั่น


   “คิตตี้ คิตตี้ๆๆๆๆๆ เปิดหน่อยมายสวีทฮาร์ท คิตตี้ๆๆๆๆ” เสียงเคาะประตูปึงปังพร้อมชื่อเรียกของผม อ๊ะ ไม่สิ ชื่อผมคือคริสตินต่างหาก โดนเรียกมากเกินไปจนผมชักจะลืมชื่อจริงๆของผมซะแล้ว ผมก้าวยาวๆไปเปิดประตูให้กับจอห์น ร่างสูงใหญ่ของผรั่งผมทองตาสีมรกตพุ่งเข้ามาลูบไล้สำรวจไปทั่วตัวของผมด้วยความเป็นห่วง ผมปล่อยให้เจ้าตัวลูบให้พอใจเพราะผมขี้เกียจเอ่ยห้ามปรามอะไร แต่พอไม่ห้าม มือไม้ก็ชักจะลามปาม จากลูบสำรวจหาบาดแผลอย่างรวดเร็วไปทั่วทั้งตัว กลับช้าลงเรื่อยๆและมือเริ่มล้วงเข้าไปใต้เสื้อผ้าของผม


   เพี๊ยะ!!! ผมปัดมือของฝรั่งมือปลาหมึกออกอย่างรวดเร็ว จนเจ้าตัวแสร้งร้องเสียงโอดครวญ


   “โธ่ คิตตี้ ก็ผมห่วงคุณนี่นา คุณเจ็บตรงไหนรึเปล่า” จอห์นกวาดสายตาสำรวจผมอีกครั้ง แต่ผมก็ส่ายหน้าให้เขาและชี้มือไปที่คนเจ็บที่นอนบนพื้นทันที ดวงตาสีมรกตของเขาเบิกกว้างและส่งสายตาตัดพ้อมาทางผมเช่นกัน “คุณเก็บไอ้ยักษ์นี่มาทำไมกัน คุณมีผมแล้วยังไม่พออีกเหรอ คิตตี้ใจร้าย ใจร้ายที่สุด”


   ผมถลึงตาใส่จอห์นไปหนึ่งทีกับแอคติ้งการแสดงขั้นสุดยอดที่แสนจะน่ารำคาญของเขา แต่ถึงอย่างนั้น คนที่ช่วยคนเจ็บได้ก็มีแต่จอห์น ผมจึงต้องเอ่ยปากขอร้องเขา “ช่วยเขาหน่อยครับ”


   ผมมองนิ่งเข้าไปในดวงตาของหมอจอห์นเงียบๆ จนเจ้าตัวถอนหายใจและส่งยิ้มมาให้ผม ท่าทางทีเล่นทีจริงของเขาหายใจ เหลือเพียงคราบผู้ใหญ่ใจดีที่จริงจังกับหน้าที่การงานแทน


   “ใจดีเหมือนเดิมเลยนะครับคริสติน” ใจดี? คิดว่าผมไม่ใช่คนใจดีหรอกนะ แต่แค่ผมอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นแหละ “แต่คุณรู้ใช่ไหมครับว่าคนๆนี้อาจจะไม่ใช่คนธรรมดา”


   “ครับ” ผมรู้ดีทีเดียว


   “ใครก็ตามที่มีเรื่องกันในเขตอิทธิพลของดอนคอลิโอเน่ในเขตนี้ได้ไม่ธรรมดาเลยนะครับ” จอห์นอธิบายเรื่องของเขตอิทธิพลที่คอลิโอเน่ดูแลอยู่ ชื่อนี้เป็นชื่อที่โ่ด่งดังมากและไม่มีใครไม่รู้จัก มาเฟียที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดาและอำนาจที่ยิ่งใหญ่จนดอนเขตอื่นยังต้องหวั่นเกรง “คนๆนี้คงไปขัดแข้งขัดขาคนมีอำนาจเข้าเลยโดนสั่งเก็บ ถ้าคุณช่วยเขา คุณจะเดือดร้อน”


   “ไม่เป็นไร ช่วยเขาเถอะ” คำตอบเรียบง่ายของผมทำให้จอห์นถอนหายใจ แต่ก็ลงมือช่วยคนเจ็บอย่างสุดความสามารถ ใช้เวลาไปพักใหญ่ ร่างใหญ่ของจอห์นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกและลุกขึ้นยืน


   “เขาเสียเลือดมาก แต่เขาไม่เป็นไรแล้ว คืนนี้แผลเขาคงอักเสบและไข้ขึ้น ผมจะเตรียมยาไว้ให้คุณ ช่วยเช็ดตัว และนำยามาให้เขาทุกสี่ชั่วโมง ไว้ผมจะแวะมาดูบ่อยๆนะครับ” หมอร่างใหญ่ผมทองเดินไปล้างมือในห้องน้ำและออกมาจัดเตรียมข้าวของและยารักษาให้กับเขาพร้อมกับจดรายละเอียดของตัวบางอย่างเพื่อกันลืม


   ผมรับยามาและเอ่ยขอบคุณ และตัดสินใจที่จะต้องบอกจอห์นให้ชัดเจน


   “ขอบคุณนะครับจอห์น แต่คุณไม่ต้องมาแล้วล่ะ ผมดูแลเขาเองดีกว่า คุณมาบ่อยๆจะวุ่นวายเปล่าๆ” ผมพูดไปอย่างที่ใจคิดโดยไม่ปิดบัง หนึ่ง เพราะผมรำคาญเสียงของเขา สอง เขาห่วงผมมากเกินไป และสามเขาคงเป็นเพื่อนคนเดียวของผม


   หลังจากที่ผมพูดจบ ห้องก็เกิดความเงียบสงัดขึ้นในทันที ดวงตาของผมและดวงตาของจอห์นจ้องสบกันโดยไม่มีใครผละจาก เหมือนจอห์นพยายามอ่านแววตาของผม และเขาก็คลี่ยิ้มออกมา


   “ใจดีอีกแล้วนะครับคริสติน แต่ผมเป็นห่วงคุณเช่นกัน ให้ผมมาหาเถอะ”


   ใจดี? ไม่หรอกเขาคงเข้าใจผิด


   “ไม่เป็นไรครับ ผมดูแลเขาเองได้ ถ้ามีอะไรผมจะติดต่อคุณไปเองอีกทีหนึ่ง” น้ำเสียงราบเรียบแต่เด็ดเดี่ยวของผมทำให้จอห์นถอนหายใจและยกมือยอมแพ้ มือใหญ่เอื้อมมือมาขยี้ศีรษะผมแรงๆหนึ่งที


   “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น โทรหาผมนะครับ” จอห์นขอคำมั่นสัญญาจากผม และผมก็รับปากเขา ผมยืนส่งจอห์นที่ยังคงทำสีหน้าไม่ไว้วางใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ออกห้องไป เมื่อทั้งห้องเหลือเพียงเขาและผู้ชายคนนั้นทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงัดเหมือนเดิม


   เขตของคอลิโอเน่อย่างนั้นเหรอ บางทีถ้าคนนี้ๆนี้ฟื้น คงถึงเวลาที่ผมจะต้องออกเดินทางอีกครั้งแล้วล่ะมั้ง


   
   ปัง ปัง ปัง


   เสียงปืนดังขึ้นจากทั่วทิศทาง การเจรจาธุรกิจในวันนี้มีคนทรยศหักหลัง แม้จะรู้ตัวแต่คนที่นำมาด้วยกลับน้อยกว่าอีกฝ่ายจึงเพลี้ยงพล้ำและได้รับบาดเจ็บ ที่ไหล่ ท้อง และต้นขาทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วอย่างที่ใจคิด บอดี้การ์ดที่นำมาด้วยก็ช่วยเขาหลบหนีแต่ก็ต้องสังเวยชีวิตให้กับพวกมัน เขาพยายามพาร่างกายที่หนักอึ้งหนีเข้าไปในตรอกมืดๆแห่งหนึ่งเพื่อหลบหนี แต่เดินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ร่างของเขาก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นที่มีหิมะปกคลุมอยู่ภายในตรอก แผ่นหลังพิงกำแพงอย่างหมดเรี่ยวแรงและดวงตาเริ่มพร่าเลือน


   “หึ มาได้แค่นี้เองเหรอ” ร่างโชกเลือดเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดมิด มีเพียงหิมะโปรยปรายตกลงกระทบผิวหน้าเท่านั้น ความเงียบงันต่างๆดูราวกับตัดขาดจากโลกที่วุ่นวายภายนอก ดวงตาสีทองเหม่อมองท้องฟ้าไปเรื่อยเปื่อยพลางครุ่นคิดถึงชีวิตต่างๆที่ผ่านมา จนกระทั้งลมหายใจเริ่มขาดห้วง สติกำลังเลือนลาง เหมือนเขากำลังก้ำกึ่งระหว่างโลกแห่งความตาย  เสียงฝีเท้าเบาๆก็ดังขึ้นมา จนกระทั่งเขารู้สึกถึงใครบางคนที่ก้มลงมานั่งอยู่ข้างๆ เขาไม่อาจลืมตาได้อีกต่อไป แต่สามารถรู้สึกถึงสายตาของคนๆนั้นที่สำรวจตรวจตราไปทั้งร่าง และได้ยินเสียงสวบสาบของเสื้อผ้าที่เสียดสีและฝีเท้าที่กำลังจะเดินจากไป


   ไม่!!!!


   เร็วกว่าความคิดมือของเขาก็คว้าหมับเข้าที่ชายเสื้อของคนๆนั้น เขายังไม่อยากตาย ตอนนี้ยังตายไม่ได้ ต้องแก้แค้นพวกมัน


   “ยะ ยัง ตะ ตาย มะ ได้” เสียงแหบพร่าระโหยโรยแรงดังออกมาจากริมฝีปาก ผู้ชายคนนั้นนั่งลงและตบหน้าของเขาเบาๆเพื่อเรียกสติ


   “จะเรียกรถพยาบาลไหมครับ” น้ำเสียงราบเรียบของเขาคนนั้นดูไร้อารมณ์จนนึกแปลกใจ จำได้ว่าตัวเองรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ ถ้าไปโรงพยาบาลพวกมันจะรู้ตัว และเมื่อนั้นคงถึงวันตายของเขาอย่างแท้จริง“หรือคุณต้องการให้ผมติดต่อใครไหมครับ”


   “ทะ โทร” ไม่จำเป็นต้องรอให้พูดจบ ก็รู้สึกมือของผู้ชายคนนั้นสำรวจไปทั่วทั้งตัว แต่ไม่ว่าจะค้นตรงเสื้อโค้ท ใต้สูท กระเป๋ากางเกงก็หาไม่พบ เขาได้ยินเสียงคนๆนั้นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ความเงียบงันครอบคลุมไปทั้งตรอก เหมือนว่าเขากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง จนกระทั่ง...


   “คุณไม่มีโทรศัพท์ติดตัว คงหายไประหว่างทาง คงมีทางเดียว แต่หวังว่าคุณจะไม่นำความยุ่งยากมาให้ผม” เมื่อเขาพูดจบ ผมก็รู้สึกถึงแรงฉุดที่แขนของผม และรับรู้ว่าเขากำลังพาผมไปที่ไหนซักที่ ลมหายใจของเขาหอบแรงจนผมนึกโทษตัวเองที่น้ำหนักคงมากเกินไป ใบหน้าของผมซุกซบอยู่ตรงซอกคอของเขา ได้กลิ่นหอมโรยรินลอยมาแตะจมูก กลิ่นหอมนี้ดึงความสนใจของเขาจากความเจ็บที่บาดแผล ดังนั้นเขาจึงตั้งใจสูดดมเท่าที่แรงและกำลังยังมี แต่รู้ตัวอีกทีก็รับรู้ถึงแรงกระแทกและพื้นเย็นเฉียบ จากนั้นสติของเขาก็ดับวูบไป


   หลังจากนั้นท่ามกลางสติเลือนราง เขารับรู้ถึงฝ่ามือที่ทำแผลให้กับเขา เสียงที่ปลุกเขาให้ตื่นเพื่อมาทานข้าวและทานยา สติเขายังคงพร่ามัว พอลืมตาก็เห็นแต่เงาลางๆ เดินไปเดินมาภายในห้องเท่านั้น หรือบางทีก็เห็นเขาคนนั้นนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่างเพื่อมองดูหิมะและท้องฟ้าจากภายในห้อง กลิ่นของคนๆนั้นอบอวนไปทั่วห้องชวนสบายใจ นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้พักผ่อนและสบายใจเช่นนี้



   เป็นเวลาเกือบสิบวันที่ผู้ชายคนนี้นอนหลับๆตื่นๆ ผมทำหน้าที่เป็นพยาบาลที่ดี ป้อนข้าว ป้อนน้ำ และยาเพื่อรักษาเขา แม้วันแรกจะลำบากไปบ้างเพราะผู้ชายคนนี้เพ้อทั้งคืน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อนจนผมรับมือไม่ถูก ยุ่งหัวปั่นจนเหนื่อยสุดๆ จนกระทั่งวันที่เก้า ผมตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่ ก็ต้องสะดุ้งจนความงัวเงียหายไปหมด เพราะเมื่อลืมตาก็สบกับดวงตาสีทองของผู้ชายคนนั้นที่ผมไม่รู้จักชื่อ กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอน นั่งพิงหมอนและจ้องมาทางผมเขม็ง


   ผมรีบเก็บอาการตกใจและมองไปทางเขาเงียบๆ เมื่อเขาอยากมอง ผมก็ให้เขามอง เขาเงียบ ผมก็เงียบ แต่ดูเหมือนผมจะประเมินความเงียบของเขาต่ำไป นั่งมองกันไป นั่งมองกันมาตั้งนานแล้ว ถึงเวลาทำอาหารเช้าแล้วซิ ผมละความสนใจจากเขาและผุดลุกขึ้นจากเตียงนอน ผมรับรู้ได้ถึงสายตาของเขาที่มองมาทางผมเงียบๆ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาเล่นเกมจ้องตากัน ผมไปทำธุระในห้องน้ำสักพัก และเดินออกมาหาผู้ชายคนนั้นที่ยังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนผ้าปูพื้นในห้องของผม


   “คุณลุกเดินไหวไหมครับ เผื่อคุณอยากจะจัดการธุระส่วนตัว” ผมถามเขา และได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าหนึ่งที ผมเลยเดินเข้าไปและจะพยุงตัวของเขาให้ลุกขึ้น แต่ไม่ทันไรโลกของผมก็พลิกคว่ำ รู้สึกตาลายเล็กน้อย เพราะแรงฉุดจากข้อมือโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้ผมล้มไปกองอยู่บนตัวเขา แต่ผมก็ยังมีสติมากพอที่จะใช้แขนดันเพื่อไม่ให้น้ำหนักตัวของผมลงไปกดทับกับบาดแผลที่ยังไม่หายดี


   “…” ผมเงียบ เขาก็เงียบ เกมจ้องตากลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันออกจะเมื่อยไปซักหน่อยกับท่าล่อแหลมนี้


   “เธอคือใคร” น้ำเสียงทุ้มติดจะแหบพร่าเล็กน้อยเอ่ยถามขึ้นมา ผมเลิกคิ้วกับคำถามของเขา อ่อ จริงสิ เจอคนแปลกหน้าต้องแนะนำตัว


   “ผมมาร์ติน” ตอบคำถามแค่นั้นแล้วผมก็เงียบไป แต่ดูเหมือนเขาไม่พอใจในคำตอบ ความจริงแล้วผมมีชื่อว่าคริสติน นอร์แมน แต่เรื่องอะไรผมจะต้องบอกชื่อจริงกับคนที่อาจจะเกี่ยวข้องกับวงการมืดอย่างเขาด้วยล่ะ “มาร์ติน สมิธ”


   “มาร์ติน สมิธ? ไม่เหมาะกับเธอเท่าไหร่ ชื่อปลอม?” ฉลาด!!! ผู้ชายคนนี้ดูเป็นคนอันตรายอย่างที่คิดไว้ ดูจากอายุคร่าวๆน่าจะสามสิบกว่า ดวงตาสีทอง และผมสีดำหยักศกเล็กน้อย ทำให้ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์จนเหลือร้าย รูปร่างสูงใหญ่ ดูแล้วคงเป็นคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ที่สำคัญพลังอำนาจและความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวของเขาคนนี้มันอันตรายอย่างเห็นได้ชัด ผมเก็บของอันตรายมาเหรอเนี่ย เฮ้อ


   “เรียกผมว่ามาร์ติน” ผมพูดสั้นๆโดยไม่ตอบคำถามของเขา “คุณจะปล่อยผมได้หรือยังครับ ผมจะได้พาคุณไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ และจะทำอาหารเช้าให้คุณ”


   “เธอไม่อยากรู้ชื่อของฉันหรือ?” ผู้ชายคนนั้นยังคงถามต่อไป เหมือนกำลังจะล้วงข้อมูลออกจากผมให้ได้ แต่ขอเถอะ ผมคิดว่าเห็นความซวยโผล่มารำไรแล้วล่ะครับ


   “ไม่ครับ ไม่จำเป็น” ผมผละตัวออกมาจากมือที่แข็งยิ่งกว่าปลอกเหล็ก ดันตัวเล็กน้อยเพื่อลุกขึ้นมาและฉุดตัวเขาที่มีน้ำหนักมากกว่าผมให้ลุกขึ้นเช่นเดียวกัน สีหน้าของเขากระตุกเล็กน้อยคงเพราะบาดแผลที่ยังไม่หายดี แต่ผมไม่สนใจ ในเมื่อเขาฟื้นแล้ว อาการคงดีขึ้นระดับนึง ควรช่วยเหลือตัวเองได้แล้วล่ะ


   แล้วผมก็คิดไม่ผิด แม้เขาจะเจ็บอยู่แต่เขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยความสูงเต็มตัว พอเห็นอย่างนี้ผมรู้เลยว่าผมเตี้ยไปถนัดตา สูงแค่หน้าอกเขาเองเหรอเนี่ย ผมพาเขาไปยังห้องน้ำแล้วปิดประตูเพื่อให้ความเป็นส่วนตัว และเดินออกไปยังห้องครัวเพื่อปรุงอาหารเช้าแบบง่ายๆ ไข่ดาวครับ ง่ายที่สุดสำหรับผมแล้วล่ะ



   ดราโกมองหน้าตัวเองและสำรวจร่างกายของเขาที่สะท้อนในกระจกห้องน้ำคับแคบ บาดแผลต่างๆได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ไม่มีการติดเชื้อหรืออักเสบแต่อย่างใด แผลที่ถูกกระสุนยิงก็เริ่มสมานตัว แม้จะยังตึงๆตรงบาดแผลอยู่บ้างแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว แผลหายเร็วกว่าที่คิด ไม่รู้ว่าตอนนี้ผ่านไปกี่วันแล้ว เรื่องที่เขาหายตัวไปคงวุ่นวายไม่ใช่น้อย คงต้องหาทางติดต่อไปแล้วล่ะ แต่ว่า...เรื่องที่เขาติดใจคงเป็นเรื่องเด็กคนนั้น


   ใช่ เด็ก เป็นเด็กผู้ชายที่อายุน่าจะสิบกว่าปี รูปร่างโปร่ง ผิวขาวราวกับน้ำนม ผมสีน้ำตาลอ่อนและดวงตากลมโตสีเดียวกับผม มีใบหน้าราวกับเทวดาองค์น้อยๆที่สว่างไสวเจิดจ้า แต่ก็ดูเย็นชาจนหนาวเย็นยะเยือก เด็กคนนั้นดูไร้อารมณ์ความรู้สึกจนน่าแปลกใจ  แต่ลักษณะอุปนิสัยที่เห็นคร่าวๆกลับเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ ไม่สิ น่าแปลก ขนาดผู้ใหญ่เองเห็นคนโดนยิงอาการบาดเจ็บสาหัสยังต้องสติแตก อีกทั้งเด็กคนนี้ยังรู้ว่าเขาคือตัวอันตรายแท้ๆ แต่ทำไมยังช่วยเหลือ หึ เด็กน้อยคนนั้น มองทุกอย่างด้วยสีหน้าปกติ เหมือนเทวดาไร้ชีวิตที่น่าสนใจจริงๆ


   “หึ อยากได้” ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มร้าย ดวงตาสีทองวาววับ “ถ้าทำให้คนอย่างเธอร้องครวญครางอยู่ใต้ร่างของฉันจะเป็นยังไงนะ”


   ความคิดร้ายกาจและจินตนาการผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความร้อนรุ่มใต้ร่างเริ่มแผดเผาลามเลียจนห้ามใจไว้ไม่ไหว น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ มาร์ติน ชื่อสุดแสนจะโหลที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าชื่อปลอมที่คิดขึ้นมาสดๆร้อนๆ ลึกลับ น่าค้นหา เธอคือใครกันแน่นะเทวดาตัวน้อย


หัวข้อ: Re: กรงเทวดา (บทที่ 2 หลบหนี)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 03-06-2018 17:30:40

บทที่ 2 หลบหนี


   จู่ๆผมรู้สึกหนาวสั่นหลังขึ้นมาทันที ลางสังหรณ์ของผมกำลังร้องเตือนถึงเรื่องอันตรายบางอย่าง ลางของผมค่อนข้างเชื่อถือได้เกินแปดสิบเปอร์เซ็น และส่วนใหญ่ลางสังหรณ์ของผมก็มักถูกต้องเสมอ ดูท่าจะไม่ดีซะแล้ว ผมผละจากเตาในห้องครัวและเดินไปที่ข้างหัวเตียง เพื่อหยิบกุญแจสีเงินดอกเล็กขึ้นมาเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง ผมได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากในห้องน้ำ ดวงตาของผมจ้องมองไปยังทิศทางนั้นและพยายามมองทะลุเข้าไปถึงข้างใน ผู้ชายอันตรายที่ควรหลีกเลี่ยง ดราโก คอลิโอเน่ ดอนแห่งคอลิโอเน่ แฟมิลี่ ดอนในหมู่ดอนด้วยกันยังต้องเกรงใจ


   ซวย คำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวของผม ถ้าถามว่าทำไมผมถึงรู้ชื่อของผู้ชายคนนั้น ผมก็แค่มีความสามารถเกี่ยวกับการค้นหาข้อมูลนิดหน่อยเท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ใช่ว่าผมจะประมาทมากเกินไป แค่ไม่นึกว่าคนระดับนั้นจะมานอนจมกองเลือดต่อหน้าผมเท่านั้นเอง


   แอด


   เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ร่างสูงใหญ่ก้าวออกมาด้วยท่าทางมั่นคง ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้บาดเจ็บสาหัสมาก่อน แม้ท่าเดินยังขัดๆอยู่บ้างแต่ก็ยังเดินเหินได้เกือบปกติ ผมผายมือเชิญเขานั่งที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆ ที่มีไข่ดาว แฮม และไส้กรอกอย่างง่ายๆให้ทาน


   “ทานได้ไหมครับ” ผมถามเขา หลังจากเห็นเขานั่งมองอาหารเช้าที่ผมทำให้


   “ได้” เขาจัดการลงมือทานอาหารอย่างเงียบๆ ผมก็เช่นเดียวกัน ไม่มีบทสนทนาใดใดระหว่างพวกเรา แต่บรรยากาศก็ไม่อึดอัดอย่างที่คิด เสียงช้อมส้อมกระทบกับจานจนเกิดเสียงขึ้นบ้างบางครั้ง แต่ตลอดมื้อเช้านั้นทั้งผมและเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย จนกระทั่งเขารวบช้อนและวางไว้อย่างเรียบร้อย ผมจึงลุกขึ้นเพื่อเอาจานของเขาไปล้าง โดยทุกการกระทำของผมอยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลา


   ในระหว่างที่ผมกำลังล้างจานอยู่นั้น ดราโกก็ทำลายความเงียบขึ้นมาด้วยคำถามที่ว่า


   “เธอชื่ออะไร” เขาถามแบบเดิม และผมก็ตอบแบบเดิมเช่นเดียวกัน


   “มาร์ตินครับ”


   “ชื่อจริงๆเธอล่ะ” ผมรู้แล้วล่ะครับว่าเขาไม่เชื่อผมจริงๆ แต่ผมก็ยังยืนยันชื่อที่ผมพึ่งคิดขึ้นมาสดๆร้อนๆต่อไป


   “มาร์ตินครับ”


   “อายุเท่าไหร่แล้ว”


   “สิบแปดครับ” ผมโกหกออกไป โดยเพิ่มอายุให้ตัวเองอีกสองปี


   “โกหกซินะ เธอดูเด็กกว่านั้น” ดราโกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจ “แต่ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยเหลือ”


   “ไม่เป็นไรครับ” ผมเช็ดมือที่เปียกจากการล้างจาน และหันไปคว้าอุปกรณ์ทำแผลที่วางไว้บนโต๊ะเล็กขึ้นมาและเดินไปหาเขา ดราโก คอลิโอเน่ ดอนแห่งคอลิโอเน่ แฟมิลี่ “ผมจะทำแผลให้ครับ”


   ใบหน้าหล่อเหลาแต่ดูร้ายกาจพยักหน้ารับ เขาหันตัวออกมาด้านข้างโดยเบี่ยงตัวออกห่างจากโต๊ะกินข้าวเล็กน้อย ผมจึงลากเก้าอี้อีกตัวเข้ามานั่งใกล้ๆ เพื่อง่ายต่อการทำแผล ดราโกปลดกระดุมเสื้อออกเผยแผงอกสีแทนแน่น และมีผ้าก็อตปิดแผลอยู่ตรงหัวไหล่ หลังจากทำแผลตรงนั้นเสร็จ ผมก็เลื่อนลงมาตรงช่วงท้องน้อยของเขาที่มีซิกแพคแน่นๆขึ้นรูปชัดเจน ใช้เวลาไม่นานแผลทั้งสามก็ทำความสะอาดและใส่ยาจนเสร็จเรียบร้อย ผมเก็บอุปกรณ์ไว้ที่เดิม และลากเก้าอี้มาเก็บไว้ตรงฝั่งตรงข้ามที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ แต่ก่อนที่ผมจะผละจากไป เขาก็พูดขึ้นมา


   “นั่งก่อนซิมาร์ติน” ดราโกพูดเสียงเรียบ แต่ปลายเสียงที่เอ่ยชื่อปลอมของผมกลับมีแววเยาะเล็กน้อย ผมคิ้วกระตุก จับน้ำเสียงและแววเสียดสีเล็กๆนั้นได้ เอาเถอะ อยากประชดก็ประชดไป ร่างโปร่งทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามและรอมาเฟียหนุ่มเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนา


   “ทำไมเธอถึงช่วยฉัน” เขาเริ่มต้นถามคำถามที่ค้างคาใจตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา โดยทั่วไปคนปกติไม่มีทางช่วยเหลือคนที่โดนยิงและเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยง ถ้าให้ตัวเองปลอดภัยก็ต้องโทรเรียกตำรวจหรือไม่ก็เรียกรถพยาบาล แต่เด็กคนนี้ กลับเลือกที่จะเอาตัวเข้ามายุ่งวุ่นวายและช่วยเหลือคนที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนเช่นเขา


   “ไม่อยากช่วยเท่าไหร่ แต่คุณบอกไม่อยากตาย ผมเลยช่วย” ผมตอบเสียงเรียบตามความจริง


   “ทำไมถึงไม่แจ้งตำรวจหรือโทรไปโรงพยาบาลล่ะ” ดราโกถามต่อ และคำถามนี้ทำให้ผมเลิกคิ้วแปลกใจ


   “คุณจำไม่ได้เหรอครับ? คุณบอกผมเองว่าไม่ให้โทรเรียก”


   “งั้นเหรอ” ชายหนุ่มผมสีดำสนิทนิ่งเงียบไป “เพราะแค่ฉันพูดว่าไม่อยากตาย เธอเลยช่วยฉันอย่างนั้นเหรอ”


   “ครับ แค่นั้น”


   “เพราะอะไร?” มาเฟียหนุ่มยังคงไม่เข้าใจ ดวงตาสีทองแววาวพยายามมองลึกเข้าไปในดวงตาของผม


   “ไม่ขอตอบครับ” ผมไม่ไว้วางใจเขามากพอที่จะพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวผมออกไป คนที่เป็นถึงดอนในหมู่ดอนด้วยกันยังหวั่นเกรง เขาคนนี้จึงไม่ธรรมดา แค่นี้ทำผมเหงื่อซึมแผ่นหลังไปหมดแล้วล่ะครับ แม้หน้าตาผมจะนิ่งขนาดไหนก็เถอะ ผมยังกลัวเป็นนะ


   “คุณ จะติดต่อใครไหมครับ ผมรักษาเท่าที่ทำได้ ยังไงคุณควรไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกที” ผมพูดขึ้นบ้าง โดยไม่ลืมที่จะเลื่อนโทรศัพท์มือถือของผมให้เขา ดราโกรับมือถือไปแต่ก็ยังลังเลไม่ยอมกดเบอร์โทร ผมเห็นดังนั้นเลยลุกขึ้นเพื่อเลี่ยงออกไปให้เขาคุยโทรศัพท์ได้สะดวก แต่ก่อนที่ผมจะเดินออกไปเขาก็พูดขึ้นมาหนึ่งประโยคที่ทำให้ลางสังหรณ์ของผมยิ่งส่งสัญญาณร้องเตือนอย่างหนัก


   “เรื่องที่เธอช่วยชีวิตฉัน ฉันอยากจะตอบแทนเธอ” ชายหนุ่มพูดคุย ดวงตาคมสีทองราวกับสัตว์ป่าจ้องมองเหยื่ออย่างไม่ละสายตา เพียงแต่ว่าเหยื่อที่เขาคิด ไม่ได้ง่ายดายหรือโง่งมจนหลงเชื่อคำพูดของเขา


   “ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบปฏิเสธ แต่เขาก็ยังตื้อไม่เลิก


   “ฉันอยากตอบแทนเธอจริงๆ ต้องการอะไรบอกฉันได้เลยนะ”


   “แค่ไม่ทำให้ผมเดือดร้อนแค่นั้นก็พอครับ” ใช่ครับ ผมต้องการแค่นี้ ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องวุ่นวาย และไม่ต้องมีใครมาตามรังควานผม แค่นี้ล่ะครับที่ผมต้องการ


   “ได้ซิ” ดอนคอลิโอเน่ตอบรับ แต่รอยยิ้มที่มุมปากนั้นกลับไม่น่าไว้วางใจ คำพูดของเขาเชื่อได้แค่ไหนกัน ผมตอบได้เลยว่า ไม่ได้เด็ดขาด!!! ผมพนันด้วยผมทุกเส้นบนหัวของจอห์นเลยครับ


   ผมโดยหมายหัวแล้วแน่นอน!!!


   ผมแสร้งขอบคุณเขาทันที และแสร้งทำสีหน้าโล่งอกออกมา โดยการถอนหายใจออกมาแรงๆนั่นแหละครับ เพราะผมแสดงละครไม่เก่งเหมือนจอห์นหรอกนะ


   “ขอบคุณครับ คุณคุยโทรศัพท์ตามสบายนะครับ” ผมบอกเขา แกล้งเหลือบตามองนาฬิกาบนผนังที่ชี้เลขสิบเอ็ด “ผมจะไปซูเปอร์มาเก็ตฝั่งตรงข้าม ใกล้ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว เดี๋ยวผมกลับมาครับ” ผมบอกเขาให้รับรู้ เลี่ยงออกไปเพื่อหยิบกระเป๋าเงินที่วางไว้บนหัวเตียง ผมยังรับรู้ถึงสายตาของเขาที่จับจ้องอย่างไม่วางตา ผมพยายามทำท่าทางไม่ให้มีพิรุธเพื่อกลบเกลื่อน และเดินออกไปนอกห้อง


   เสียงปิดประตูดังขึ้นเบาๆ ทำให้ดวงตาของดราโกยอมละสายตาไปจากบานประตูสีน้ำตาล เขาพาร่างสูงใหญ่เคลื่อนไปที่ริมหน้าต่างเพื่อมองหาร่างเล็กของเด็กหนุ่ม เพียงไม่นานก็เห็นเทวดาตัวน้อยท่ามกลางผู้คนเดินเข้าไปยังซูเปอร์มาเก็ตฝั่งตรงข้ามจริงๆอย่างที่เจ้าตัวว่าไว้ เมื่อได้เห็นคนที่มองหาเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงก้มลงไปที่มือถือเครื่องเล็กและกดเบอร์โทรฉุกเฉินที่เขาจำได้ขึ้นใจ รอสายเพียงไม่นาน อีกฝั่งก็รีบรับสายอย่างรวดเร็ว


   “ดอนครับ!!!” น้ำเสียงจากปลายสายดูตื่นเต้นดีใจ “ดอนเป็นยังไงบ้างครับ บาดเจ็บรึเปล่า ตอนนี้ดอนอยู่ที่ไหนครับ ผมจะรีบไปรับ”


   “ใจเย็นๆ จาคอบ” ดราโกเอ่ยปรามมือขวา “ฉันสบายดี นายมาที่ฝั่งเหนือ อพาทเมนต์บล็อคสองห้อง 303”


   มาเฟียซิซิเลียนอย่างดอนคอลิโอเน่บอกจุดหมายปลายทางให้อีกฝ่าย และเน้นย้ำให้อีกฝั่งนำกำลังคนมาให้เพียงพอและระวังข่าวสารรั่วไหล และไม่ลืมเน้นย้ำสิ่งสำคัญสำหรับเขาในตอนนี้


   “เตรียมเครื่องบินให้พร้อมเราจะกลับบ้านกัน”


   “ครับดอน” จาคอบรับคำ


   “นายเตรียมที่นั่งให้ฉันอีกหนึ่งที่ ฉันจะพาเทวดากลับบ้าน” น้ำเสียงหมายมั่นของเดรโกสะกิดใจคำพูดของมือขวาได้เป็นอย่างดี แต่ถึงแม้จะสงสัยขนาดไหน แต่เขาก็มีหน้าที่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น มือขวาของดอนคอลิโอเน่รับคำและเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมในเวลาอันรวดเร็ว เขาใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีก็เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยพร้อมมาปรากฏตัวอยู่ภายในห้องเช่าคับแคบที่ดอนอาศัยอยู่


   “ดอนรักษาตัวที่นี่หรือครับ” จาคอบขมวดคิ้วมุ่น ไม่ค่อยพอใจกับสภาพแวดล้อมที่เจ้านายรักษาตัวเท่าไหร่นัก    “ใช่” เขาตอบเสียงราบเรียบ ดวงตาจับจ้องไปทางประตูเพื่อเฝ้ารอใครบางคนให้เดินเข้ามา เมื่อดอนไม่พูดอะไรต่อ จาคอบและลูกน้องอีกห้าคนก็ยืนนิ่งเพื่อเฝ้ารอคนที่เจ้านายต้องการตัวอยู่เงียบๆ เสียงฝีเท้าดังขึ้นแผ่วเบาอยู่ตรงทางเดินและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


   มาแล้ว!!!


   “อย่าทำเขาบาดเจ็บ” ดราโกพูด เพียงไม่นานประตูก็เปิดออก ลูกน้องคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆรีบกระชากร่างนั้นเข้ามาแล้วจับล็อคตัวเอาไว้อย่างแน่นหนา เสียงโอดโอยและตกใจดังลั่นจนแสบแก้วหู ดอนแห่งคอลิโอเน่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เท่าที่สัมผัสกับเด็กหนุ่มมาร์ตินคนนั้นมาตลอดทั้งเช้า เรื่องแค่นี้กลับทำให้เด็กคนนั้นร้องตกอกตกใจขึ้นมาได้ ไม่นึกว่าเด็กคนนั้นจะขวัญอ่อนขนาดนี้


   จาคอบเดินเข้าไปหาคนที่ถูกจับตัวเอาไว้ แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าชัดๆ กลับต้องเบิกตากว้างและผงะถอยหลังเล็กน้อย คะ คนๆนี้คือเทวดาของดอนหรอกหรือ ผิดคาดไปหน่อย เอิ่ม ไม่หน่อยล่ะ มากเลยทีเดียว ชายคนนี้ร่างเล็ก หลังค่อม ผมล้านเตี่ยน ผมที่เหลืออยู่ก็ขาวโพลน ใบหน้าเหี่ยวย่น ดวงตาฟ้าฝาง เทวดาที่ดอนพูดถึง ทำไมถึงใกล้จะลงโลงอยู่รอมร่อ


   “ดอนครับ” จาคอบตั้งสติและเบี่ยงตัวหลบให้ดอนได้ยืนยันตัวบุคคล ตอนแรกดอนยังยกยิ้มอย่างชอบใจ แต่พอดวงตาสีทองได้เห็นใบหน้าของชายแก่คนนี้ชัดๆ แววตาดีอกดีใจแวววาวเมื่อครู่กลับหายวับ เหลือเพียงรังสีกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่ แค่เห็นสีหน้าและอารมณ์ของดอนที่เปลี่ยนไปอย่างฉันพลับ มือขวาอย่างจาคอยที่อยู่กับดอนมานานก็เข้าใจในทันที


   ผิดคน!!!


   “ลุงเป็นใคร!!!! มาทำอะไรที่นี่!!!” จาคอบหันไปสวมบทโหด ตะคอกเสียงดังลั่นจนชายแก่สะดุ้งตกใจจนตัวโยน มือเหี่ยวย่นสั่นระริก รีบยกถุงจากซูเปอร์มาเก็ตมาให้ชายตรงหน้า จาคอบรีบรับมาแล้วยื่นไปให้ดอนที่นั่งกดดันอยู่


   “ดอนครับ” จาคอปยื่นถุงให้ดราโกอย่างนอบน้อม ชายหนุ่มรับถุงมาและเปิดออก แววตาสีทองเย็นเยียบเมื่อครู่หายไปเหลือเพียงแววตาขำขันที่หาได้ยากจากดอน ภายในถุงนั้นมีเพียงมาม่าสองซองและกระดาษโน๊ตแผ่นเล็กๆเท่านั้น ซึ่งโน๊ตที่ได้รับจากเด็กหนุ่มเขียนไว้ว่า



ต้มน้ำร้อนและรอสามนาทีครับ ถึงจะกินได้
และผมไม่ต้องการของตอบแทนใดๆ
แค่คุณไม่มาวุ่นวายกับผม ผมก็ขอบคุณแล้ว
ลาก่อนครับ

-- มาร์ติน สมิธ --



   ดราโกยากจะบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากที่อ่านโน๊ตแผ่นเล็กๆนั้นจบลง เพราะตอนนี้เขาทั้งรู้สึกตื่นเต้น หงุดหงิด และไม่สบอารมณ์กับแผนที่ไม่เป็นดั่งใจ ความรู้สึกนั้นปะปนกันจนเขาไม่รู้ว่าต้องแสดงออกอย่างไรต่อไปนอกจากหันไปถามชายแก่คนนั้นแทน


   “เล่ามา” ดวงตาสีทองมองไปยังร่างของชายแก่ที่ยังคงตัวสั่นระริกชวนสงสาร แต่เขาไม่ใช่พ่อพระที่จะมาเห็นใจใคร ในเมื่อเทวดาตัวน้อยๆของเขาบินหนีไปเสียแล้ว ก็ได้เวลามาสอบปากคำชายแก่คนนี้เสียที “เล่ามาให้หมด”


   “ดะ เด็กคะ คนนั้น ให้มาส่งของกินให้คะ ครับ” ชายแก่ตอบคำถามจนเสียงสั่นไหว


   “เขาพูดอะไรบ้าง” ชายหนุ่มถามต่อ


   “บะ บอกวะ ว่า หะ ให้คุณ กะ กินข้าว ก่อนไปด้วย คะ ครับ”


   “งั้นหรือ เอาเถอะ ไปได้แล้ว” ดราโกยกมือเสยผมสีดำสนิทที่ปรกหน้าขึ้นลวกๆ ถึงจะแค่นถามชายแก่คนนี้ต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ดวงตาสีทองขุ่นมัวอย่างไม่สบอารมณ์ มือหนึ่งนั่งเท้าคาง ส่วนมืออีกข้างที่เหลือก็เคาะโต๊ะเบาๆเป็นจังหวะ และนั่งมองลูกน้องของเขาโยนชายแก่ออกไปนอกห้องอย่างไม่ปราณี เมื่อประตูห้องปิดลงอีกครั้ง ก็เหลือเพียงเสียงเคาะโต๊ะจากดอนคอลิโอเน่เท่านั้น แต่เสียงเล็กๆที่ดังกึก กึก เป็นจังหวะ กลับทำให้จาคอปและลูกน้องอีกห้าคนที่เหลือเหงื่อซึมตามแผ่นหลังไปตามๆกัน พวกเขาต่างอึดอัดและกระวนกระวายอยู่ภายในใจลึกๆ แต่ภายนอกก็ยังรักษาอาการสงบนิ่งเพื่อเฝ้ารอคำสั่งต่อไปของชายหนุ่มผู้เป็นนายเหนือหัว


   “จาคอป นายไปสืบมา มาร์ติน สมิธ ชื่อปลอม สูงหนึ่งร้อยหกสิบกว่า อายุสิบกว่าปี ไม่สิบห้าก็สิบหกปี ผมและตาสีน้ำตาลอ่อน ลูกครึ่งเอเชีย ใช้วิธีการยังไงก็ได้ให้ตามหาเด็กคนนี้ให้พบและพามาหาฉันเร็วที่สุด อย่าให้ได้รับบาดเจ็บเด็ดขาด” น้ำเสียงเฉียบขาดและแววตาที่เจือไปด้วยความตื่นเต้นท้าทายนั้นปลุกสัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวเขาให้ตื่นขึ้น ท้าทาย น่าสนใจ และลึกลับน่าค้นหา หึหึ เทวดาตัวน้อย เธอจะหนีฉันได้อีกนานแค่ไหนกันนะ


   “ครับ แล้วดอนจะกลับเลยไหมครับ”


   “ไม่ล่ะ รออีกสักพัก” ดราโก้เอ่ยปฏิเสธ “ฉันจะกินมาม่าก่อนไป”



   หลังจากที่ผมเดินเข้ามาในซูเปอร์มาเก็ตฝั่งตรงข้ามกับห้องเช่าของผม ผมก็เดินซื้อมาม่ามาสองซองและให้ชายแก่คนหนึ่งเดินไปส่งพร้อมกับเงินค่าจ้างจำนวนมาก โดยกำชับว่าอีกครึ่งชั่วโมงค่อยเดินเข้าไปส่งถึงหน้าห้องพักของผม สาเหตุที่ผมให้เงินไปหลายยูโรก็เพื่อปลอบขวัญชายแก่ผู้น่าสงสารคนนี้ เพราะเมื่อเขานำมาม่าไปส่ง คงต้องตกอกตกใจ จับไข้หัวโกร๋นไปหลายวันเชียวล่ะ เพราะถ้าผมคาดเดาไม่ผิด ป่านนี้ห้องของผมคงเต็มไปด้วยลูกน้องของดอนแห่งคอลิโอเน่แล้วแน่นอน ผมจะบาปไหมนะ เหมือนรังแกคนแก่เลย


   เมื่อผมมอบหมายภารกิจระดับชาติให้ชายแก่คนนั้นไป ก็ถึงเวลาหนีของผมแล้วล่ะครับ ผมเปิดประตูหลังร้านซูปเปอร์และหนีเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่อิตาลีนี่ดีอย่างนะครับ ตรอกเล็กตรอกน้อยเยอะแยะมากมายจนสามารถหลบสายตาของใครต่อใครได้ ผมใช้เวลาเพียงไม่นานก็โผล่มายังถนนอีกฝั่งที่ห่างออกไปอีกสามบล็อค ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อสำรวจทิศทางและมองหาป้ายบอกทางไปสถานีรถไฟ แต่รู้สึกว่าแถวนี้จะอยู่ห่างออกไปมากเลยทีเดียว


   ผมไม่มีทางเลือก และไม่มีเวลามากพอที่จะเดินไป ผมจึงได้แต่รีบมองหาแท็กซี่ว่างๆซักคันเพื่อพาผมไปส่งที่สถานีรถไฟของกรุงโรม ตอนนี้ผมรีบมากๆเลยนะครับ แต่ทำไมถึงไม่มีแท็กซี่ว่างเลยซักคันนะ ผมต้องแข่งกับเวลาซะด้วยซิ ถ้ามัวแต่มายืนรอแบบนี้แล้วผู้ชายคนนั้นตามหาผมเจอล่ะ ผมจะทำยังไงต่อไป แต่เอ๊ะ!! ในที่สุดผมก็รีบร้อนเหมือนคนอื่นๆแล้วนี่ อืม ผมคงเข้าใจความหมายของคำว่าชีวิตขึ้นมาอีกหน่อยแล้วล่ะมั้ง


   ผมยืนรอแท็กซี่อีกสักพัก ก็เห็นแท็กซี่ว่างคันหนึ่งพอดี จึงโบกแท็กซี่และบอกโชเฟอร์ให้ไปส่งที่สถานีรถไฟ เพียงไม่นานผมก็เดินทางมาถึง ผมจ่ายเงินเสร็จก็รีบร้อนเดินเข้าสถานีไป แต่ทางที่ผมเดินลงไปไม่ใช่ทางที่ไปซื้อตั๋วรถไฟนะครับ แต่เป็นตู้ล็อคเกอร์ที่เรียงยาวเป็นแถวอีกฝั่งหนึ่งต่างหาก ผมหยิบกุญแจดอกเล็กๆที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาและมองหาล็อคเกอร์ฝากของของผม ผมเตรียมพร้อมไว้แล้วสำหรับกรณีฉุกเฉิน หลังจากที่ช่วยเหลือดราโกเอาไว้ผมก็เตรียมพร้อมไว้ตลอด เก็บเสื้อผ้ามาบางส่วนเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต เอกสารเช่นพาสปอร์ตและเงินส่วนใหญ่ก็นำมาไว้ในกระเป๋า


   ถึงเวลาผมก็แค่หนีออกมาด้วยท่าทางปกติ และหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถ้าผมทำได้นะครับ ผมไม่กล้าคิดเพ้อฝันมากเกินไป คนๆนั้นคือดอนคอดิโอเน่เลยนะครับ ข่าวสาร ข้อมูล เครือข่ายต่างๆอยู่ในกำมือของผู้ชายคนนั้น แค่เขาจะตามหาผมคงง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก อย่างน้อยผมต้องถ่วงเวลาเอาไว้ ถ้าเขารู้เขาคงเตรียมคนไปดักรอผมแน่นอน สถานที่แรกที่เขาจะไปดักรอก็คงเป็นสนามบิน แต่ผมจะไม่ไเลือกไปที่นั่นแน่นอน ถึงผมจะอยากไปแต่เที่ยวบินเต็มหมดในช่วงวันหยุดแบบนี้ ผมจะไปทางรถไฟและออกนอกประเทศไปทางสวิตเซอร์แลนด์ด้วยรถไฟความเร็วสูง จากโรมไปมิลานแค่สามชั่วโมง หลังจากนั้นผมจะต่อรถไฟอีกสายเพื่อไป Domodossola และข้ามไปสวิสทันที อย่างน้อยชื่อที่ผมบอกเขาก็เป็นชื่อปลอม คงถ่วงเวลาได้สักพักกว่าเขาจะหาชื่อจริงของผมพบ


   ผมจัดการซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูง โชคดีที่อีกสิบห้านาทีรถไฟจะออกพอดี แม้ซื้อตั๋วในราคากระชั้นชิดแบบนี้จะแพงจนเขาอยากกระอักเลือด แต่ก็ดีกว่าต้องไปพัวพันกับดราโกแน่นอน แค่คิดก็ชวนเหนื่อยใจแล้วล่ะครับ คนอันตราย อย่ายุ่ง อย่าพัวพันได้จะดีที่สุด


   เมื่อถึงเวลาผมก็กระชับกระเป๋าเป้และเดินขึ้นรถไฟไป ลางสังหรณ์ของผมยังกระตุ้นเตือนถี่ยิบจนหวาดระแวง แต่เอาเถอะ ผมหวังว่าทุกอย่างจะดี เมื่อรถไฟออกจากชานชาลา ผมก็เริ่มเบาใจ รีบเปิดกระเป๋าเป้หยิบโน๊ตบุ๊คเครื่องเล็กบางเฉียบออกมา แต่ถึงจะเล็กแต่ประสิทธิภาพก็เต็มเปี่ยม และมันคือคู่หูของผมที่อยู่ด้วยกันมานาน


   ผมจัดการเชื่อมต่อข้อมูลพร้อมเปิดโปรแกรมป้องกันไว้ จัดการเชื่อมต่อเข้ากับระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายสถานีรถไฟและจัดการลบช่วงเวลาที่มีผมเดินผ่านกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆไปจนหมด และแทนทีด้วยภาพช่วงเวลาอื่นเพื่อไม่ให้ใครสงสัย และนำวิดีโอที่แฮคเข้ากับสนามบินในตอนที่ผมไปทำธุระที่นั่นเพื่อนำภาพมาใส่แทนในระบบเครือข่ายรักษาความปลอดภัยของสนามบินแทน


   ผมแอบใส่ชื่อผู้โดยสารมาร์ติน สมิธลงไปกับสายการบินหนึ่งไว้ด้วยครับ โดยสร้างข้อมูลปลอมและเลือกเก้าอี้ว่างซักที่ลงไป นี่คือกลยุทธ์หลอกล่อให้หลงทาง ฝ่ายดราโกคงมีซักคนสองคนที่เชี่ยวชาญทางเรื่องนี้ เพราะอย่างนั้นผมจึงไม่อยากเสี่ยง ไม่ว่าผมจะประเมินเขาสูงเกินไปหรือไม่ ผมก็ต้องเตรียมพร้อมและหาลู่ทางให้กับตัวเองให้ปลอดภัยไว้ก่อน พ่อผมเคยบอกว่า กันไว้ดีกว่าแก้ และผมเชื่อพ่อแน่นอน


   ผมหลับตาลงเพื่อพักสายตาที่อ่อนล้าจากการใช้สายตาเมื่อครู่ แต่หลับลงได้ไม่นานก็ต้องโทรหาเพื่อนเพียงคนเดียวที่อาศัยอยู่ในโรม จาห์น คาเตอร์


   “คิตตี้ๆๆๆๆๆๆ มายสวีทฮาร์ท ไอเลิฟยู” คำทักทายแบบเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยน พร้อมเสียงแหลมแสบแก้วหูดังทะลุออกมาจนผมนึกรำคาญ


   “พอแล้วครับจอห์น” ผมเอ่ยปรามและรีบเข้าเรื่องสำคัญ “ตอนนี้ผมไม่อยู่ที่โรมแล้วครับ ผมกำลังเดินทางไปที่อื่นต่อ ห้องเช่าที่ผมเคยอยู่คุณอย่าไปอีกนะครับ ถ้าให้ดีลาพักร้อนซักเดือนสองเดือนด้วยครับ”


   “มีปัญหาเหรอคริสติน”น้ำเสียงขี้เล่นเปลี่ยนเป็นจริงจัง แต่ก็ยังเจือไปด้วยความเป็นห่วง


   “นิดหน่อยครับ ผมจะกลับบ้านแล้ว ไว้มีเวลาผมจะติดต่อกลับอีกที” ผมตอบกลับและโกหกอีกฝ่ายนิดหน่อย ผมยังคงกลับบ้านไม่ได้เร็วๆนี้แน่นอน ก็ผมโดนไล่ออกจากบ้านอยู่นี่นา


   “อืม ดูแลตัวเองดีๆนะ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้เลย” หมอหนุ่มเอ่ยอย่างเป็นห่วง “คุณไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ พรุ่งนี้ผมต้องเดินทางไปอบรมที่ต่างประเทศพอดี คงไม่กลับมาสักพัก”


   “ดีแล้วครับ แล้วเจอกันครับจอห์น” ผมวางสายและหักซิมทิ้งทันที ตัดช่องทางการติดต่อไปก่อน รอให้เหตุการณ์ต่างๆสงบมากกว่านี้ผมคงจะติดต่อจอห์นอีกครั้ง อย่าหาว่าผมระแวงเลยนะครับ กันไว้ดีกว่าแก้ คำพ่อสอนครับ



   
   จาคอปนำเอกสารมาให้กับกับดอนแห่งคอลิโอเน่หลังจากใช้เวลาค้นหาข้อมูลอยู่หลายชั่วโมง แต่เด็กหนุ่มที่ชื่อมาร์ติน สมิธนั้นกลับเหมือนบุคคลปริศนาที่ไม่มีที่มาที่ไป หายเข้ากลีบเมฆและตามหาตัวไม่ได้แม้แต่น้อย มือถือที่เป็นเบาะแสสุดท้ายที่อยู่กับดอนนั้นคือความหวังเล็กๆ แต่พอสืบค้นก็พบว่าเป็นเบอร์โทรใหม่ที่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้ มือถือก็ซื้อมาจากร้านมือสองมาเมื่อไม่กี่วันก่อน พอค้นห้องก็ไม่มีเอกสารสำคัญ บัตรประจำตัว พาสปอร์ต ตั๋วอะไรไม่มีเลยแม้แต่น้อย ขนาดชื่อที่เช่าห้องก็เป็นชื่อปลอมเช่นเดียวกัน ตอนนี้เขามืดแปดด้าน โดยเฉพาะดอนที่ทำหน้าทะมึนดำคล้ำไม่พูดไม่จาตั้งแต่ได้รับเอกสารจากเขาไป


   “หาข้อมูลมาให้เจอจาคอป ฉันต้องได้เด็กคนนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม” น้ำเสียงราบเรียบของดราโกเอ่ยขึ้นนิ่งๆ แต่คำสั่งของดอนนั้นคือที่สุด มือขวาของดอนรับคำและขอตัวเดินออกไปอีกครั้ง ทิ้งไว้แต่เจ้าของห้องทำงานหรูที่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างและดวงตาสีทองแวววาววเท่านั้น


หัวข้อ: Re: กรงเทวดา (บทที่ 3 ไม่พ้น!!!)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 03-06-2018 17:39:31

บทที่ 3 ไม่พ้น!!!


   ดราโก คอลิโอเน่ ดอนแห่งคอลิโอเน่ แฟมิลี่ ที่มีประวัติอยู่ในวงการมาเฟียซิซิเลียนมาอย่างยาวนาน ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักและถูกจับตามองมาตั้งแต่สมัยที่เขาอายุได้เพียงสิบแปดปี ทายาทที่แสนสำคัญและอัจฉริยะในมุมมืดอย่างดราโกได้นำแฟมิลี่มุ่งไปสู่ความรุ่งโรจน์และขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในโลกของมาเฟียได้อย่างรวดเร็ว ด้วยอุปนิสัยที่เด็ดขาด สุขุม และโหดเหี้ยม


   ชายหนุ่มวัยสามสิบหกปีที่กำลังรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เมื่อเขาได้ลิ้มรสไวน์ชาโต้ มูตอง รอธส์ชิลด์ ปี 1945 ที่มีราคาถึง 23,000 ดอลาร์ ไวน์ฝรั่งเศษที่ขึ้นชื่อแห่งศตวรรษที่ยี่สิบ นุ่มลิ้ม ละมุนละไม กลิ่นหอมหวานเหมือนกับเด็กหนุ่มที่กำลังหลับใหลโดยใช้ตักแกร่งของเขาต่างหมอน มือหนึ่งของดราโกใช้คลึงแก้วไวน์ทรงสูงด้วยอารมณ์สุนทรีย์ ส่วนอีกมือหนึ่งที่ว่างก็ลูบไล้สัมผัสกลุ่มผมนุ่มสีน้ำตาลอย่างเพลิดเพลิน


   ดวงตาคมดุสีทองก้มสำรวจใบหน้าอ่อนเยาว์ของเทวดาน้อย ใบหน้าเล็ก จมูกโด่งรั้นนิดๆ และแพขนตายาวสีน้ำตาลอ่อน ภายใต้เปลือกตาที่หลับสนิทอยู่นั้นกลับมีดวงตากลมสีน้ำตาลสวยๆที่แสนจะไร้อารมณ์ซ่อนอยู่ เทวดาน้อยที่ไร้ชีวิต เขาอยากจะรู้จริงๆ ว่าเมื่อดวงตาคู่นี้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและเห็นเขาเป็นคนแรก เด็กคนนี้จะทำสีหน้ายังไงนะ


   “หึ น่าขำจริงๆ” เสียงทุ้มเยือกเย็นของดราโกพูดขึ้น จะไม่ให้เขาขำได้ยังไงในเมื่อเขาอายุจะเกือบสี่สิบเข้าไปแล้ว ยังถูกเด็กหนุ่มรุ่นลูกล่อหลอกจนหัวปั่นได้


   แต่เด็กน้อยคนนี้ยังอ่อนประสบการณ์มากเกินไป จุดเล็กๆน้อยๆที่เทวดาตนนี้มองข้าม กลับเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เขาสามารถพาตัวเด็กหนุ่มที่ชื่อ คริสติน นอร์แมน กลับมาหาเขาได้อย่างง่ายดาย หึหึ แล้วเด็กคนนี้ก็คงจะนึกไม่ถึงอย่างแน่นอน


   คริสตินอย่างนั้นเหรอ ชื่อเพราะสมกับเจ้าตัวดีนะ



   หลังจากที่ผมใช้เวลาอยู่บนรถไฟความเร็วสูงที่เดินทางจากโรมมาถึงมิลานนั้น ผมใช้เวลาในการปลอมแปลงตัวตนของผมอยู่พักใหญ่ ทั้งใส่ประวัติปลอม ลบประวัติการซื้อตั๋วรถไฟและลบภาพจากกล้องวงจรปิด ผมรีบจองตั๋วรถไฟเพื่อเดินทางต่อในทันที รวมถึงติดต่อเอเจนซี่ของบริษัททัวร์เพื่อปลอมเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวปะปนเข้าไป


   ผมพยายามใช้เวลาที่แสนน้อยนิดนี้ในการจัดการวางแผนทุกอย่างให้เรียบร้อย เมื่อเช็คแล้วเช็คอีกจนแน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ผมถึงได้เอนหลังผิงพนักเก้าอี้รถไฟอย่างผ่อนคลาย เรื่องวุ่นๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้ผมเหมือนใช้พลังชีวิตที่มีไปอย่างเสียเปล่า แทนที่ผมจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ในโรม ตื่นเช้ามาทำอาหาร ออกไปเดินเล่นชมเมือง ผมกลับต้องมาหนีหัวซุกหัวซุนกับมาเฟียซิซิเลียนอย่างดราโก


   ผมไม่ได้โลกสวย หรือคิดว่าชีวิตผมจะเหมือนในนิยายที่แค่ว่ามีมาเฟียหนุ่มใหญ่มาติดใจเด็กแบบผมเพียงเพราะผมช่วยชีวิตเขาเท่านั้น แม้การช่วยชีวิตจะถือว่าเป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่เขาจะต้องตอบแทน แต่ผมรู้ว่าเหตุการณ์หลายๆอย่างมันประจวบเหมาะเกินไป และทำให้ดราโกสงสัยในตัวผม    


   อย่างแรก ดราโกเจอเหตุกาณ์ลอบสังหารจากกลุ่มที่ขัดผลประโยชน์ สอง ผมที่บังเอิญไปช่วยเหลือเขาไว้ด้วยความสิ้นคิดและความซวยที่ตามติดเป็นเงา สาม เขาคงสืบประวัติของผมและไม่พบชื่อมาร์ติน สมิธ จากที่ไหนเลย ดังนั้นเขาจึงสงสัย ว่าสาเหตุที่ผมเข้าไปช่วยเขาไว้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไร จะช่วยเพราะเห็นผลประโยชน์ หรือหวังสิ่งตอบแทน หรือช่วยเพราะเป็นแผนของใครหรือแฟมิลี่ไหนรึเปล่า


   ตัวตนของผมคงกลายเป็นปริศนาชิ้นใหญ่ที่ทำให้เขาต้องขบคิด และไม่รู้ว่าผมอยู่ฝ่ายไหน ถูกใครส่งมา ดังนั้นเขาจึงต้องตามตัวผมเพื่อนำไปสอบถาม ไม่ซิ ผมใช้คำๆนี้ไม่ได้หรอกครับ อย่างพวกมาเฟียที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมคงต้องใช้คำว่าเค้นคอถามด้วยความทรมานมากกว่า


   แค่ผมบอกให้ทุกคนแค่นี้ ผมเชื่อเลยว่าทุกคนคงยกตำแหน่งคนดวงซวยที่สุดในโลกให้กับผมแล้วล่ะครับ โดนพ่อไล่ออกจากบ้าน เพราะต้องมาตามหาความหมายของคำว่าชีวิต จนกลายเป็นว่าผมจะเอาชีวิตไม่รอดแทน เฮ้อ ยังไงก็ตาม ผมไม่คิดว่าผมจะหนีรอดไปได้ง่ายๆหรอกครับ แต่ถ้าไม่ลองก็คงไม่รู้ ผมทำเท่าที่ผมจะทำได้อย่างสุดความสามารถก็พอ อะไรจะเกิดก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป แล้วถึงเวลานั้นค่อยตามแก้ไปตามสถานการณ์ ดวงตาสีน้ำตาลของผมในเวลานี้คงขุ่นมัวไร้อารมณ์เต็มที ถ้าความหมายที่พ่อผมของผมต้องการคือแบบนี้ ผมคิดว่าผมยอมไม่เข้าใจและนอนอยู่บ้านกับพ่อไปวันๆดีกว่า



   ผมนั่งรถไฟมาทั้งหมดสามชั่วโมง ตอนนี้เวลาสี่โมงกว่าแล้วล่ะครับ แต่ผมยังไม่สามารถเดินทางต่อได้เพราะตั๋วของผมที่ไป Domodossola นั้นออกเดินทางตอนหกโมงเย็น ผมได้แต่สะพายกระเป๋าและเดินออกไปหาที่นั่งรอด้วยความกระวนกระวาย ผมหลอนขนาดที่ว่าผมนั่งไปหันไปมองรอบๆตัวแทบจะทุกหนึ่งนาที หวั่นๆว่าผมนั่งอยู่ดีๆแล้วจะมีใครโผล่มาเซอร์ไพรส์ผมทางด้านหลังจริงๆ นะครับ


   ดวงตาของผมนั่งจับจ้องไปตรงเข็มนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดอยู่ในอาคารรถไฟ ผมแทบจะนั่งนับวินาทีไปด้วยความลุ้นระทึก จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาผมจึงรีบร้อนผุดลุกนำกระเป๋าเป้ที่กอดเอาไว้มาสะพายบนบ่า เดินไปต่อแถวตรงช่องตรวจตั๋วที่มีคนทยอยกันมาเข้าแถวเพื่อเข้าไปด้านใน อีกนิดครับ เหลืออีกไม่กี่คนผมก็จะได้เข้าไปข้างในแล้ว ห้าคน สี่คน สามคน สองคน คนต่อไปก็เป็นผมแล้วล่ะ


   “คริสติน นอร์แมนใช่ไหมครับ” น้ำเสียงทุ้มของผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยเรียกชื่อผม ตอนที่ผมกำลังจะยื่นตั๋วให้กับเจ้าหน้าที่พอดี ร่างของผมชะงักและหันไปมองชายคนที่เรียกผมเอาไว้ด้วยใจลุ้นระทึก ก่อนที่ผมจะพบว่าคนที่เรียกผมเอาไว้คือตำรวจในเครื่องแบบสองคน “เชิญทางนี้หน่อยครับ”


   “ผม?…คุณตำรวจมีอะไรหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงของผมแสดงออกถึงความลังเลไม่แน่ใจ “รถไฟกำลังจะออกแล้ว ผมขอตัวได้ไหมครับ”


   “ต้องขอโทษด้วยนะ แต่อยากให้เธอไปกับเราหน่อยน่ะ” คุณตำรวจรูปร่างท้วมที่ยืนข้างๆกันเอ่ยขึ้นพลางผายมือให้เดินออกมาข้างนอกแถวและตามไปอีกทาง


   ผมยืนลังเลอยู่ตรงนั้นอย่างไม่แน่ใจและระแวงสงสัย แต่เพราะแววตากดดันของคุณตำรวจทั้งสองนายและสายตากดดันของผู้โดยสารที่กำลังยืนต่อแถว ทำให้ผมจำต้องเดินออกมาช้าๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ตำรวจทั้งสองนายพาผมเดินไปที่ห้องของนายสถานีและบอกให้ผมนั่งลง บรรยากาศภายในห้องนี้เหมือนห้องเย็นของฝ่ายปกครองที่โรงเรียนไม่มีผิด เพียงแต่คุณครูยังไม่น่ากลัวเท่าตำรวจสองนายนี้เลย


   ผมนั่งลงที่โซฟาเล็กๆ และมองคุณตำรวจทั้งสองพูดคุยซุบซิบอะไรบางอย่าง และนำกระดาษใบหนึ่งมาดู พลางมองสลับไปมากับใบหน้าของผม


   “คุณตำรวจครับ ผมอยากทราบว่าทำไมพวกคุณถึงพาผมมาที่นี่ครับ” ผมถามทันทีเมื่อเห็นหนึ่งในสองหันมาสบตากับผม พวกเขาพากันเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามและเริ่มพูดคุยกับผมด้วยหัวข้อที่ผมไม่เข้าใจ


   “เธอมีปัญหาอะไรรึเปล่าเจ้าหนู” คุณตำรวจร่างท้วมที่แนะนำตัวเองว่าชื่ออังเดรถามขึ้นมาก่อน หัวคิ้วของผมขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ


   “มีครับ ปัญหาของผมคือการที่ผมตกรถไฟแล้ว”


   “ไม่ใช่ซิ อย่างเช่นปัญหาในชีวิต เรื่องความรัก การเรียน หรือความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวน่ะ” เขายังถามต่อ แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิม


   “ไม่ครับ” ผมเริ่มไม่เข้าใจตำรวจอังเดรแล้วจริงๆนะครับ ทำไมถึงเชิญผมมาที่ห้องนี้พร้อมกับถามคำถามพวกนี้กัน การเรียนผมไม่มีปัญหาแน่นอน กับพ่อผมก็รักใคร่กันดี อ๊ะ หรือเขาจะหมายถึงเรื่องนั้นกันนะ “ผม ออกมาจากบ้านครับ พ่อของผมบอกผมว่าให้ออกมาใช้ชีวิตดู”


   “นั่นแหละๆ ทะเลาะเรื่องอะไรกันรึเปล่า พวกลุงให้คำปรึกษาได้นะ” คุณตำรวจร่างผอมสูงที่ชื่อนิคพูดขึ้นบ้าง


   “ไม่นะครับ พ่อแค่ร้องไห้ตอนผมออกจากบ้านมา แต่ผมก็ติด...”


   “กับคนในครอบครัวก็อย่างนี้แหละนะ มีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เธอก็อย่าพึ่งใจร้อนนะ ทะเลาะกันแล้วหนีออกจากบ้านอย่างนี้มันอันตรายรู้ไหม” คุณตำรวจอังเดรส่ายหน้ารีบพูดขึ้นโดยที่ผมยังไม่ทันได้พูดจบ ใบหน้ากลมๆนั้นแสดงออกถึงความระอาเหมือนกับผมเป็นเด็กมีปัญหาคนหนึ่ง “เธออายุแค่สิบหกปี จะเดินทางไปที่ไหนก็ไม่น่าไว้วางใจ ยิ่งสถานการณ์ช่วงนี้ไม่ค่อยดีอยู่ด้วย ผู้ปกครองของเธอเป็นห่วงมากเลยนะ”



   “พ่อของผมไม่ห่วงผมหรอกครับ” ผมติดต่อพ่อผมอยู่ตลอดนี่นา แถมเป็นคนที่บอกให้ผมออกจากบ้านเองด้วย จะมาห่วงอะไรเอาตอนนี้


   “ไม่ห่วงอะไรกันล่ะ ลูกทั้งคนจะไม่รักได้ยังไง” คุณตำรวจนิคพูดขึ้นมาบ้าง “ไม่ต้องห่วงหรอกนะเดี๋ยวพ่อของเธอก็มารับแล้วล่ะ กลับบ้านไปก็ไปคุยกันดีๆนะ”


   “เดี๋ยวครับ พ่อจะมารับเหรอครับ?” ผมผุดลุกด้วยความตกใจ ลางสังหรณ์ของผมกำลังเริ่มทำงานอีกครั้ง พ่อของผมไม่มีทางมาแน่นอน “พวกคุณเข้าใจผิดรึเปล่าครับ พ่อของผม...”


   ก๊อก ก๊อก ก๊อก


   เสียงเคาะประตูทำให้คำพูดของผมชะงักค้างและไม่ได้รับความสนใจจากพวกเขา ทุกคนหันไปมองตามเสียงและคุณตำรวจร่างท้วมก็รีบร้อนลุกขึ้นยืนและเดินไปเปิดประตู ผมเห็นผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งที่มีผมสีน้ำตาลเข้ม สวมแว่นกรอบสี่เหลี่ยม ท่าทางภูมิฐานดูเคร่งขรึมจริงจัง กำลังยื่นบัตรบางอย่างให้กับคุณตำรวจดู ตำรวจร่างท้วมฉีกยิ้มกว้างพาร่างอุ้ยอ้ายมาหาผมพร้อมกับตบไหล่ผมเบาๆคล้ายให้กำลังใจ   


   “นั่นไง พ่อมารับแล้ว” เขาพูดขึ้น แต่คำพูดนั้นของเขาทำให้ผมผงะถอยหลัง หันตัวไปคว้ากระเป๋าเป้และรีบพุ่งฝ่าออกไป คิดว่าจะชนกระแทกพวกเขาโดยไม่ให้ทันตั้งตัว แต่ระหว่างที่ผ่านร่างของผู้ชายที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อของผมไปนั้น กลับเป็นผมเองที่ถูกคว้าต้นแขนเอาไว้แน่นหนา ผมพยายามสะบัดตัว และกระชากแขนให้หลุดออกมายังไงเขาก็ไม่สะทกสะท้าน


   “ปล่อย!!! ปล่อยผมนะ!!!”


   “เงียบได้แล้วคริสติน!!! ตามพ่อกลับบ้านเดี๋ยวนี้!!!” ผู้ชายคนนั้นตะคอกผมจนผมชะงักและเงยหน้าถลึงตาใส่เขาอย่างแข็งกร้าว


   “คุณไม่ใช่พ่อของผม คุณตำรวจครับ!! ช่วยผมด้วย!!” ผมพยายามตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่พวกเขากลับไม่เข้ามาช่วย ซ้ำยังแสดงสีหน้ากังวลใจว่าครอบครัวจะกลับมาดีกันเหมือนเดิมรึเปล่า ผมที่กำลังจะร้องขอความช่วยเหลืออีกครั้งกลับชะงักเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ขึ้นมาได้ ผู้ชายใส่แว่นที่จับตัวผมอยู่นั้นได้แสดงเอกสารบางอย่างให้กับคุณตำรวจไป ซึ่งเอกสารนั้นคงเป็นหลักฐานปลอมที่แสดงความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้คุณตำรวจเชื่อ


   “อย่าดื้อคริสติน กลับไปค่อยคุยกัน” ผู้ชายใส่แว่นที่แสดงตัวเป็นพ่อของผมพูดเสียงอ่อนระโหย สีหน้าแสดงอาการรักใครห่วงหาปนโล่งอก ผมยอมรับเลยว่ารางวัลออสการ์ปีนี้ยกให้ผู้ชายคนนี้เถอะครับ แสดงได้ถึงขนาดนี้ผมก็เริ่มจะคล้อยตามเขาแล้ว!!


   “ขอบคุณคุณตำรวจทั้งสองคนมากเลยนะครับ”


   “ไม่เป็นไรครับคุณนอร์แมน เป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้วครับ” ตำรวจร่างสูงพูดขึ้น พร้อมกับหันมาโบกมือลาผมอีกด้วย “ลาก่อนนะคริสติน”


   “ครับ” ผมไม่รู้จะทำอะไรนอกจากบอกลาเขาเช่นกัน เมื่อพ่อตัวปลอมพยายามลากผมออกมาจากสถานีแล้ว ผมที่พยายามจะขืนตัว ทั้งชก ทั้งถีบ ทำทุกวิถีทางที่จะหลุดจากมือเขาให้ได้ก็ต้องหอบจนตัวโยน ทำทุกอย่างแต่เขาก็ไม่สะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อย จะให้ผมแหกปากร้องขอความช่วยเหลือกับคนอื่น สุดท้ายก็คงต้องกลับไปพบหน้าคุณตำรวจสองคนนั้นอยู่ดี


   “ปล่อยผมเถอะครับ” ผมพยายามขอร้องเขา แต่เขาก็ไม่หันมามองผมเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเขาพาผมมาที่รถยนต์สีดำยี่ห้อจากัวร์ที่ติดฟิล์มสีดำสนิทคันหนึ่ง โอเคครับ ผมยอมรับเลยว่าตอนนี้ลางสังหรณ์ของผมร้องเตือนถึงระดับสีแดงที่อันตรายสุดๆแล้วล่ะครับ


   ครั้งนี้ผมไม่รอช้ายกเท้าขึ้นเตะเข้ากลางหลังคุณพ่อตัวปลอมสุดกำลัง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ทัน รีบปล่อยแขนผมและหมุนตัวหันมาจับข้อเท้าของผมเอาไว้ รั้งยกขึ้นสูงจนผมแทบจะหงายหลัง สองมือที่พยายามผลักไสเขาตอนแรกกลับไขว่คว้ารั้งตัวของเขาเอาไว้แทน โดยที่ผมก็หลับตาเตรียมรับแรงกระแทกไว้ด้วยเช่นกัน แต่แทนที่ผมจะรู้สึกเจ็บจากการล้มหงายหลัง ผมกลับรู้สึกถึงผ้านุ่มๆผืนหนึ่งที่โปะลงตรงจมูกของผมพอดี


   ให้ตายเถอะครับ ผมขอตัวสลบก่อน ไว้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งผมค่อยหาทางหนีแล้วกัน



   “นายทำรุนแรงเกินไปรึเปล่า ทำไมที่ต้นแขนของเด็กคนนี้ถึงมีแต่รอยแดง” ดราโกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเมื่อเขาสังเกตเห็นรอยที่โผล่พ้นชายแขนเสื้อออกมา ระหว่างที่เขากำลังนั่งละเลียดจิบไวน์ เล่นกลุ่มผมของเทวดาน้อยที่นอนหลับเพราะฤทธิ์ยาสลบอยู่บนตักของเขาอยู่นั้น ดวงตาสีทองที่ไล่มองสำรวจก็พบเห็บรอยนิ้วมือบนผิวขาวๆ ที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำบ้างแล้ว


   “ขอโทษครับดอน ผมพยายามจะพาคุณคริสตินกลับมา แต่เขากลับพยายามหนีจนผมต้องจับตัวเขาไว้ให้แน่นๆ” ชายร่างสูงสวมใส่แว่นกรอบสี่เหลี่ยมเดินออกมาจากมุมมืด และโค้งตัวรายงานเหตุการณ์ให้เดรโกฟัง


   “ช่างเถอะ แต่ครั้งหน้า นายคงรู้นะคาลอส”


   “ครับผม” ชายที่แสดงเป็นคุณพ่อตัวปลอมของคริสตินก้มหน้ารับคำ คาลอสคือมือซ้ายของดราโกที่เป็นทั้งบอร์ดี้การ์ดและเลขาส่วนตัวของชายหนุ่ม


   “นายไปเถอะ เดี๋ยวมีอะไรฉันจะเรียกเอง”


   “ครับ”


   คาลอสหันหลังเดินออกไปจากห้องทำงานของดอนแห่งคอลิโอเน่อย่างเงียบๆ ห้องทำงานของชายหนุ่มก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง คงเหลือเพียงลมหายใจของคนทั้งคู่ที่ดังสลับขึ้นมาอย่างแผ่วเบา แววตาสีทองของชายหนุ่มเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง เห็นแสงสีของกรุงโรมในยามค่ำคืนที่คล้ายกับอัญมณีบนผืนดินมากมาย บรรยากาศในตอนนี้ชวนให้ดื่มด่ำกับค่ำคืนที่แสนพิเศษจริงๆ


   “รีบๆตื่นขึ้นมาซิเทวดาของฉัน เรามีเรื่องที่ต้องคุยกันเยอะเลยนะ”


   ดราโกเหลือบตามองเด็กหนุ่มที่ยังคงนอนหลับฝันดีในห้วงนิทราอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มมาดหมายบางอย่าง มันเป็นรอยยิ้มที่คริสตินมาเห็นคงกู่ก้องร่ำร้องว่า ซวย อยู่ในใจอีกเป็นพันครั้ง



   อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้อากาศดีจังเลยนะครับ ที่นอนก็นุ่มมากเป็นพิเศษ อืม แตกต่างจากที่นอนเก่าในห้องเช่าของผมในโรมลิบลับ ผมว่าที่นอนกับหมอนต้องเป็นขนเป็ดแน่ๆเลยและผ้าทอก็คงเป็นผ้าฝ้ายร้อยเปอร์เซ็นต์ อากาศเย็นๆในยามเช้าแบบนี้ไม่อยากลุกเลยล่ะครับ เพราะที่นอนนี้ทั้งนุ่ม อุ่น และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของอาฟเตอร์เชฟที่ไม่คุ้นเคย


   เฮ้อ นั่นแหละครับ ผมบรรยายมาขนาดนี้แล้วผมควรจะลืมตาแล้วยอมรับความจริงได้แล้วใช่ไหมครับ แต่ผมไม่อยากเลยนี่นา อยากจะหายตัวไปตอนนี้เลยจริงๆ แต่เพราะการหายตัวไปนั้นมันไม่อาจจะทำได้น่ะซิครับ เพราะเทคโนโลยีในตอนนี้ทำได้แค่การหักเหของแสงเพื่อใช้ในการพลางตาเท่านั้นเอง อ๊ะ ผมลืมตัวอีกแล้วครับ โอเค ทิ้งหลักการและเหตุผลต่างๆนานาไปก่อน


   ถึงผมอยากจะถ่วงเวลาไว้นานแค่ไหน แต่ผมก็ต้องยอมรับความจริงครับ ผมเงี่ยหูฟังเล็กน้อย แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงใดๆภายในห้องผมก็วางใจ เลยลืมตาขึ้นมาและเห็นเพดานสีเทาตรงหน้าเป็นอย่างแรก แอบเหลือบตามองสภาพแวดล้อมภายในห้องอีกนิดเพื่อตรวจเช็คให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ ผมจึงพยุงร่างกายตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียงนอน และสำรวจห้องนี้ให้ละเอียดอีกครั้ง


   ห้องนอนถูกจัดอย่างเรียบง่ายในสไตล์โมเดิร์น ข้าวของเครื่องใช้ก็เน้นโทนสีดำและเทาเป็นหลัก เตียงนอนที่ผมใช้อยู่นั้นอยู่ติดชิดริมผนังใกล้หน้าต่างบานใหญ่ ปลายเตียงมีทีวีจอยักษ์และมีประตูเลื่อนอยู่หนึ่งบาน ผมคาดว่าเป็นประตูตู้เสื้อผ้า และใกล้ๆกันก็เป็นประตูห้องน้ำ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการที่ผมพุ่งไปสำรวจสภาพแวดล้อมภายนอกหน้าต่างก่อนเป็นอันดับแรก และก็พบว่าผมหลงเข้ามาในป่าครับ


   มองไปทางไหนก็มีแต่ป่า ป่า ป่า และป่า เมื่อผมมองภาพตรงหน้าให้ชัดๆอีกครั้งจนแน่ใจแล้ว ผมจึงหมุนตัวผละออกมาเพื่อมองหากระเป๋าเป้ของผมต่อทันที ผมเดินหาจนทั่วห้องแต่ก็ไม่พบ พวกเขาคงเอามันไปเพื่อเช็คและตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว แต่คู่หูของผมใช่ว่าจะตรวจสอบได้ง่ายดายนะครับ ถ้ากรอกรหัสผ่านเข้าเครื่องผมไม่ถูกก็จบกัน ดีไม่ดีระบบที่ผมวางไว้เพื่อเล่นงานผู้บุกรุกก็จะทำงานทันที ทีนี้ล่ะเดือดร้อนกันถ้วนหน้าแน่นอน


   ในเมื่อข้างนอกมีแต่ป่า คอมพิวเตอร์คู่หูก็หายไป ผมจึงทำได้แต่เดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นและเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจนี้ อย่างน้อยก่อนเผชิญหน้ากับปัญหาหรือใครก็ตามที่จับตัวผมมา ซึ่งผมมั่นใจมากเลยทีเดียวว่าคนๆนั้นต้องเป็นคนเดียวกับคนที่ทำให้ผมต้องหนีหัวซกหัวซุนไปถึงมิลาน


   ผมใช้เวลาเพียงไม่นานก็จัดการธุระส่วนตัวของผมจนเสร็จเรียบร้อย ถือวิสาสะหยิบเสื้อยืดสีขาวในตู้ขึ้นมาใส่โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของห้อง เพราะเท่าที่ผมดูแล้ว เสื้อในตู้ฝั่งนี้เป็นเสื้อไซต์ผมทั้งนั้นเลยครับ แถมยังเป็นดีไซน์ที่ผมใส่ประจำอีกต่างหาก เฮ้อ มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องมีแต่เดินหน้าต่อไปอย่างเดียวเท่านั้น


   ผมทำใจอยู่ตรงประตูห้องเล็กน้อย ก่อนจะรวบรวมกำลังใจและเปิดประตูไม้ออกไป ตรงทางเดินนั้นไร้ผู้คน ไม่มีคนคุม ไม่มีแม่บ้าน ไม่มีใครเดินผ่านมาเลยแม้แต่น้อย ผมเดินสำรวจไปทั่วจนครบทั้งชั้นแต่ก็ยังไร้วี่แววผู้คน จึงตัดสินใจเดินลงบันไดไปชั้นล่างแทน จนกระทั่งผมได้ยินเสียงผู้หญิงแว่วมาเล็กน้อยจากทางขวามือ ซึ่งผมคิดว่าทางนั้นน่าจะเป็นห้องครัวเพราะได้กลิ่นอาหารลอยมา


   ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะหมุนตัวเดินไปทางซ้าย ผ่านห้องสมุด ผ่านห้องพักผ่อนที่มีเครื่องเล่นเกมส์มากมาย วนเวียนจนทะลุเจอห้องอาหาร และพบว่าห้องนั้นเป็นห้องที่ผมไม่อยากจะเดินผ่านมากที่สุดห้องหนึ่งเลยครับ


   “อรุณสวัสดิ์คริสติน” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยทัก ผมไม่มีทางเลือกนอกจากเดินเข้าไปในห้องนั้นและหยุดยืนอยู่ในระยะที่ห่างมากพอกับชายหนุ่มที่กำลังนั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะอาหารพร้อมรอยยิ้มที่ผมไม่สบายใจ


   “อรุณสวัสดิ์ครับ ดราโก”



***************************************

สวัสดีค่ะ เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่ไรท์แต่งนิยายแนววาย มีจุดไหนที่ผิดพลาดก็ต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยนะคะ ไรท์ยินดีรับคำแนะนำจากทุกคนเพื่อปรับปรุงนิยายเรื่องนี้ให้ดียิ่งขึ้น ต้องขอฝากเนื้อฝากตัว ฝากน้อง ฝากลุง ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกท่านด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่าาาาา  :mew1:

หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 03-06-2018 19:58:23
 o13 มันดีมากเลยค่ะ...  o13 ลึกลับแบบละมุนละไมแต่สีดำอมชมพู...  o13
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 03-06-2018 20:04:05
สนุกมากค่ะ ลงชื่อติดตาม

+เป็ดให้ด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 03-06-2018 22:52:46
อุ้ยลงในเล้าด้วยติดตามค่ะเรื่องนี้สนุก
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: supermyrainbow ที่ 04-06-2018 11:29:27
วางเนื้อเรื่องดีมาก น่าสนใจ น่าติดตาม
รอลุ้นกันต่อไป :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 4 เธอคือใคร?
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 04-06-2018 15:41:29

บทที่ 4 เธอคือใคร?



“เมื่อคืนหลับสบายไหม” มาเฟียหนุ่มแห่งคอลิโอเน่ถามขึ้น หลังจากที่ชายหนุ่มได้ผายมือเชื้อเชิญให้ผมนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างๆ โดยที่ดราโกนั่งตรงหัวโต๊ะ ส่วนผมทรุดตัวนั่งลงทางด้านขวามือของเขา



“ครับ เป็นคืนที่ผมหลับสนิทมากเลยทีเดียว” ผมนั่งกอดอกและประชดกลับไปเล็กน้อย เสียงหัวเราะทุ้มในลำคอของดราโกดังขึ้นเบาๆ เมื่อทักทายกันพอเป็นพิธีเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็หันกลับไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ ผมไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่เขารู้ชื่อจริงของผม เรื่องของผม เขาคงสืบรู้มาระดับหนึ่งแล้วล่ะ



บรรยากาศภายในห้องอาหารจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เพราะทั้งผมและเขาต่างก็นั่งกันเงียบๆ ไร้ซึ่งบทสนทนาพูดคุย นานๆ ทีถึงจะมีเสียงพลิกหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง ระหว่างที่ดอนแห่งคอลิโอเน่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ติดตามข่าวสารไปนั้น ผมก็นั่งครุ่นคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ ไม่ทันสังเกตเห็นแม่บ้านสูงวัยนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟผมเลยด้วยซ้ำ บรรยากาศแบบนี้ผมรู้ว่ามันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น หลังจากมื้ออาหารจบลง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป คงต้องรอดูและแก้ไปตามสถานการณ์เรื่อยๆ



ผมแอบเหล่มองเขาที่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับยกหนังสือพิมพ์ขึ้นมาเปิดอ่าน ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายไม่เหมือนกับตอนที่เขาอยู่ในห้องเช่ากับผมเมื่อวานตอนเช้าเลยซักนิด อาจจะเป็นเพราะตอนนี้เขาอยู่ในพื้นที่ของเขาที่ปลอดภัย ถึงแม้ในบ้านจะไม่เห็นการ์ดซักคน แต่ผมเชื่อว่าถ้าผมย่างเท้าออกนอกประตูบ้านไปแค่ก้าวเดียวก็คงจะโดนรวบตัวในทันที



ดอนคอลิโอเน่ เป็นผู้ชายที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวมากที่สุด ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะหนีไปตอนนี้เลย แม้เขาจะดูผ่อนคลาย แต่ความเป็นผู้นำ รังสีความกดดัน และอำนาจในตัวเขาดูกดผมให้ตัวลีบแบน อันตราย คำๆ นี้ยังผุดอยู่ในสมองของผมไม่หยุด สัญญาณอันตรายยังคงร้องเตือน ผมจะทำให้เขาเชื่อได้ยังไงว่าผมไม่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารเขา



“เป็นอะไรไปคริสติน เธอดูเหม่อลอย” ชายหนุ่มที่ผมนึกอยู่ในใจเมื่อครู่ปิดหน้าหนังสือพิมพ์ในมือลง และจับจ้องมาทางผม อืม ถึงเขาจะจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือตรงหน้า แต่ก็ยังคงลอบสังเกตผมอยู่ซินะ



“แค่คิดว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อไปน่ะครับ” ผมตอบตามความจริง ไม่รู้ว่าจะปิดบังความจริงไปเพื่ออะไร ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยหันไปสบตากับดราโกตรงๆ



“อยู่ที่ตัวเธอเองนั่นแหละเด็กน้อย” รอยยิ้มร้ายของเขาปรากฏขึ้น ร่างสูงของเขาขยับเข้ามาใกล้ และใบหน้าหล่อเหลาร้ายกาจก็เคลื่อนเข้ามาจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขาที่กระทบผิวหน้า



“ครับ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ไม่มีแวววูบไหวหรือหวั่นไหวหวาดกลัวแม้แต่น้อยในแววตา ชายหนุ่มตรงหน้าเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่รอยยิ้มและแววตาที่ผมไม่เข้าใจความหมายจะถูกส่งมาให้ผม



ดราโกถอยกลับไปอยู่ที่เดิม ผมถึงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ไม่นานแม่บ้านสามสี่คนก็ยกอาหารเช้ามาให้ทั้งผมและดราโก คือเบคอน ไส้กรอก และไข่ เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังโรลอย่างง่ายๆ แต่สำหรับดราโกมีกาแฟเพิ่มมาอีกแก้ว และสำหรับผมมีช็อคโกแลตร้อนๆ หนึ่งแก้ว



ในระหว่างที่ผมและดราโกรับประทานอาหาร ไม่มีใครเริ่มต้นบทสนทนาใดใดทั้งสิ้น มีแต่เสียงช้อนกระทบจาน และเสียงธรรมชาติที่ดังคลอไปเท่านั้น ผมละเลียดกินอาหารไปช้าๆ อย่างไม่รีบร้อน แต่ในหัวของผมกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ถ้าผมได้คอมพิวเตอร์ของผมกลับมา ผมคิดว่าผมสามารถหนีออกไปได้ แต่ผมคงไม่ดูถูกความสามารถของคอลิโอเน่ แฟมิลี่แล้วล่ะ พวกเขามีความสามารถมากพอที่จะตามผมกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงหกชั่วโมงด้วยซ้ำ ให้ตายเหอะ ผมประมาทไปแล้วจริงๆ



ดวงตาของดราโกลอบสังเกตเทวดาน้อยอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ท่าทาง แววตา หรือแม้แต่การแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ของคริสตินเขาก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจ ไม่มีความกลัวปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานการณ์ในรูปแบบนี้บ่อยๆ หรือไม่ก็เป็นพวกไม่สนใจโลกเลยแม้แต่น้อย แต่เขามั่นใจว่าเด็กคนนี้ไม่เกี่ยวข้องการการลอบสังหารเขาแน่นอน



ในวันนั้นที่เขาโดนลอบยิง ข่าวการประชุมลับกับพวกเอลปาโซเรื่องผลประโยชน์ในการค้ากลับรั่วไหล ระหว่างที่เขาออกจากโรงแรมและกำลังจะขึ้นรถ สไนเปอร์จากศัตรูนั้นอยู่ตรงตึกฝั่งตรงข้าม โชคดีที่บอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งของเขาตาไว จึงช่วยให้เขารอดจากการโดนยิงเจาะกะโหลกได้ แต่นั้นก็คือสัญญาณการเปิดฉากยิง พวกเขาอยู่ในที่แจ้ง แต่พวกมันอยู่ในที่ลับ ทางฝ่ายคอลิโอเน่นั้นเสียกำลังไปราวกับใบไม้ร่วง แต่พวกเขาก็มีฝีมือเก่งกาจมากพอที่จะทำให้เขาสามารถหนีรอดออกมาได้



สุดท้ายในระหว่างที่เขาอยู่ระหว่างความเป็นความตาย เทวดาน้อยคนนี้ก็ยื่นมือมาช่วยชีวิตเขาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด เด็กประหลาดที่หน้าตาเหมือนละทางโลก ไร้ซึ่งกิเลส ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เด็กอายุเพียงสิบหกปีที่ควรมีแต่ความสดใสเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ใบหน้าน่ารักอ่อนเยาว์นั้นกลับเฉยชากับทุกสิ่ง และเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เขาต้องตามตัวเด็กคนนี้กลับมา



คริสติน นอร์แมนคือใคร?



ดราโกอยากรู้ว่าเด็กคนนี้มาจากไหน ใครเป็นคนเลี้ยงดู และอะไรที่หล่อหลอมให้คริสติน กลายเป็นคริสตินทุกวันนี้ และเพราะอะไร คริสตินถึงเก่งกาจและรอบคอบขนาดวางแผนจนเกือบหนีออกนอกประเทศได้ ใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังของ คริสตินกันแน่



“กินเสร็จแล้วใช่ไหม ไปคุยกันที่ห้องทำงานฉัน” ดราโกพูดขึ้นเมื่อเขาเห็นคริสตินวางและรวบช้อนอย่างเรียบร้อย เด็กหนุ่มพยักหน้าและเดินตามหลังชายหนุ่มไปเงียบๆ



ผมเดินตามหลังดราโกเข้ามาภายในห้องทำงานชั้นสองทางปีกขวา ห้องนี้เป็นห้องที่ดูกดดันเพราะการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีทึบที่ดูหนัก และผมคงบอกได้ว่าสมเป็นมาเฟียจริงๆ ดูของสะสมทางดราโกที่วางไว้ในตู้โชว์หลังโต๊ะทำงานซิครับ ปืนหลายรุ่นหลายกระบอกถูกวางประดับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเลยล่ะ หวังว่าเขาคงไม่นึกครึ้มเอาผมเป็นเป้ายิงขึ้นมาหรอกนะ



“นั่งซิ” ดราโกบอกผม ผมจึงนั่งลงบนโซฟาหนังสีดำฝั่งตรงข้ามกับเขา บรรยากาศดูกดดันขึ้นมาทันตาเห็น เมื่อดราโกนั่งจ้องผมนิ่งๆ ด้วยดวงตาคมดุสีทองคู่นั้น



“คุณจะถามผมเรื่องอะไรครับ” ผมเป็นฝ่ายเริ่มถามขึ้นมาก่อนเพราะทนความเงียบนี้ไม่ไหว ปกติผมก็เป็นคนพูดน้อยนะครับ ขี้เกียจพูดโดยไม่จำเป็นด้วย แต่พอเจอคนที่พูดแต่ทำเงียบกดดันผมแบบนี้ ผมก็รู้สึกไม่ค่อยชอบเลย



“เธอคือใครคริสติน” ดราโกถามคำถามที่ค้างคาใจขึ้นมาทันที



“คริสติน นอร์แมนครับ ผมคิดว่าคุณรู้จักผมดีนะครับ จากประวัติที่คุณหามาได้” ผมย้อนเขา



“แต่นั่นไม่ใช่ประวัติทั้งหมดของเธอน่ะ คนของฉันพยายามค้น แต่พอล้วงลึกเข้าไปก็พบว่าประวัติของเธอถูกป้องกันไว้ในระดับสูงสุด” ดราโกหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อจับจ้องปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม “ไม่มีเด็กอายุสิบกว่าปีที่ไหนหรอกนะที่ประวัติความเป็นมาลึกลับขนาดนี้นอกจากเธอ”



“แต่เรื่องของผมก็คงไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณโดนลอบยิงหรอกใช่ไหมครับ” ผมดึงเขากลับมาประเด็นสำคัญที่ทำให้ผมถูกจับกลับมาแบบนี้ “การที่คุณไม่คาดคั้นเรื่องนั้นกับผม คุณคงพอจะรู้แล้วว่าผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดใดทั้งสิ้น”



“ใช่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ แต่ตอนแรกที่ฉันต้องการตัวเธอนั้นเพราะต้องป้องกันไว้ก่อน เธอคือผู้ต้องสงสัยเดียวของฉันในตอนนั้น และเพราะเป็นตัวเธอที่ทำตัวน่าสงสัยเอง”



น่าสงสัย? ผมทำตัวน่าสงสัยตรงไหนเหรอครับ ผมว่าผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ทำตัวปกติเหมือนทุกคนนะ



“ผมไม่เข้าใจ” ผมพูดตามความจริง ดวงตาสีน้ำตาลของผมคงฉายแววงุนงงออกมา



“เธอดูเฉยชากับทุกสิ่งเกินไป ดูไร้อารมณ์ความรู้สึกเกินไป เด็กอายุเท่านี้แต่กลับมีบุคลิกนิสัยแบบนี้มันทำให้เธอน่าสงสัยน่ะซิ” ดราโกพูด แต่สิ่งที่เขาพูดกลับมานั่นคือความจริง ผมก็อยากเป็นแค่เด็กวัยรุ่นทั่วไปเหมือนกันนะครับ แต่ผมไม่สามารถทำได้ ผมย้อนเวลากลับไปไม่ได้ และผมไม่สามารถยิ้มได้เหมือนเดิมอีกต่อไป



“คิดว่าเรื่องนี้คุณไม่จำเป็นต้องรู้ อดีตของผมทำให้ผมเป็นผมทุกวันนี้ แค่นั้นครับ ไม่มีอะไรมาก” ดวงตาสีน้ำตาลของผมวาววับและร้อนผ่าว ไม่ใช่ว่าผมจะร้องไห้หรืออะไรนะครับ แต่ผมกำลังเครียด เรื่องนี้ผมไม่อยากรื้อฟื้น ไม่อยากขุดคุ้ย ผมจึงเปลี่ยนเรื่อง “ในเมื่อคุณรู้เรื่องของผมดีแล้วว่าผมไม่เกี่ยวข้อง คุณควรปล่อยผมกลับได้แล้วนะครับ”



ดวงตาสีทองสบนิ่งกับดวงตาของผม เหมือนทั้งผมและเขากำลังประเมินและล้วงลึกความรู้สึกเข้าไปลึกถึงข้างใน ให้เปิดเปลือยทุกความรู้สึก แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่มีทางรู้ทุกความคิดของผม เช่นเดียวกับที่ผมไม่สามารถล่วงรู้ความคิดของเขาได้เช่นกัน อืม จะว่าไปก็แค่มองกันนิ่งๆ เพื่อกดดันฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นแหละครับ ใครจะไปอ่านใจคนอื่นได้กันเล่า โถ่



“หึ ฉันสนใจตัวเธอนะเด็กน้อย อยากจะรู้จริงๆ ว่าตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่” ดราโกเอนหลังนั่งพิงพนักโซฟา บรรยากาศรอบตัวเขาดูผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย



“ผมไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น นอกจากว่าเมื่อไหร่คุณจะปล่อยผม ในเมื่อคุณรู้แล้ว คุณไม่มีสิทธิ์รั้งตัวผมไว้ แค่นี้คุณทำให้ผมเสียเวลามากเกินพอแล้วครับ” ใช่ครับ ตอนนี้ผมอยากจะหนีขึ้นมาจริงๆ ซะแล้วซิ ภารกิจที่พ่อมอบหมายให้ก็ยังไม่สำเร็จ อยากกลับบ้านใจจะขาดแล้วครับ ถ้ารู้ว่าการออกมานอกบ้านแบบนี้ทำให้ผมเจอเรื่องซวยๆ ล่ะก็ วันนั้นที่พ่อให้ผมออกจากบ้านมา ผมคงจะกอดขาอ้อนวอนพ่อจนกว่าท่านจะใจอ่อน



“เธอรู้ไหม ว่านอกจากฉันที่กำลังตามหาเธอแล้ว พวกโคซ่าก็เช่นเดียวกัน” ชื่อแก๊งมาเฟียซิซิเลียนอีกกลุ่มหนึ่งที่ออกมาจากปากของดราโก ทำให้ผมต้องหันไปสบตาเขาทันที ท่าทางของผมคงทำให้เขาชอบใจไม่ใช่น้อย ดวงตาสีทองของเขาจึงพราวระยับชวนหนาวสันหลัง



“เธอรู้จัก?”



“……” ผมรู้จักครับ แต่ไม่รู้จะตอบดราโกได้ยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมกำลังครุ่นคิดถึงคำตอบ ไม่ทันรู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าร่างสูงใหญ่ของเขาเคลื่อนตัวมานั่งอยู่บนโซฟาเดียวกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่ พอผมรู้ตัวอีกที ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็ยื่นมาประชิด อ้อมแขนแกร่งภายใต้เสื้อเชิร์ตสีดำกักผมเอาไว้อย่างแน่นหนา



“เธอเกี่ยวข้องกับโคซ่ายังไง” น้ำเสียงของดราโกมีแต่ความเย็นเยียบเมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา ดวงตาของเขาเหลือเพียงแค่แววตาเย็นชาเท่านั้น “ตอบ!!!!! ”



ผมสะดุ้งกับเสียงตะคอกของดราโก ร่างกายของผมตอบสนองขึ้นมาอัตโนมัติคือการเบียดร่างให้จมลึกลงไปกับโซฟานุ่ม ผมไม่ชอบเสียงตะคอก และมันทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมา ดวงตาของผมจึงสั่นไหวเล็กน้อย แต่คำตอบของคำถามนั้นผมไม่สามารถตอบเขาได้ ผมทำได้เพียงหลบสายตาคมกล้าของเขาเท่านั้น



“ตอบมาคริสติน ก่อนที่ฉันจะฆ่าเธอ” ดราโกบีบปลายคางของเด็กหนุ่มอย่างแรงและจับใบหน้านั้นให้มองมาทางเขา แม้ภายในแววตาลึกๆ ของเด็กหนุ่มจะมีแววสั่นไหว แต่ก็แฝงไปกับความดื้อดึงที่จะไม่ปริปากบอกข้อมูลใดใด



“ผมไม่เกี่ยวข้องกับโคซ่า” ผมตอบเสียงแผ่วเบา



“แล้วทำไมพวกมันถึงต้องตามหาเธอ”



“ไม่รู้ครับ” ผมรู้ แต่ผมจะไม่บอก ผมยกมือปัดมือแกร่งข้างนั้นออกอย่างแรง ปลายคางของผมรู้สึกชาหนึบและคิดว่าคงเป็นรอยแดงจากนิ้วมือของชายหนุ่มแน่นอน



“หึ” เสียงแค่นหัวเราะเย็นชาจากดราโกดังขึ้น



“คุณปล่อยผมไปเถอะ” น้ำเสียงของผมเริ่มอ้อนวอนเขา แต่แค่ทำให้ดวงตาของดราโกจ้องมองเงียบๆ เท่านั้น



“ปล่อยเธอไป? เพื่อให้พวกโคซ่ามาจับตัวเธออย่างงั้นเหรอ ไม่มีทางคริสติน” ดราโกเอ่ยเสียงเฉียบขาด “จนกว่าฉันจะรู้ว่า เพราะอะไร!!! พวกมันถึงต้องการตัวเธอ เธอจะไม่มีวันได้ออกไป”



“คุณก็รู้ว่าผมไม่เกี่ยวข้องกับวงการนี้ของพวกคุณด้วยซ้ำ ผมเอาตัวรอดได้” ผมเถียงกลับไป แต่ผมกลับโดนรั้งใบหน้าให้เงยขึ้นมองชายหนุ่มอีกครั้งในระยะประชิด ผมตกใจทันทีเมื่อรับรู้ถึงลมหายใจร้อนของดราโกเป่ารดผิวหน้า ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มนั้นบดบังแสงที่ส่องจากทางหน้าต่างจนมิด ริมฝีปากบางเฉียบของเขาก้มมาชิดริมฝีปากแดงเรื่อของผม ก่อนจะงับและดึงดันบีบบังคับอย่างรุนแรง จนผมได้กลิ่นคาวเลือดจากมุมปากที่พยายามต่อต้านการรุกล้ำนี้อย่างยากลำบาก



“ฮึก” ผมพยายามประท้วง แต่ริมฝีปากของผมกลับถูกปิดแนบแน่น สมองที่เคยประมวลผลทุกอย่างด้วยความรวดเร็วและวางแผนไว้่ก่อนก้าวหนึ่งเสมอ ตอนนี้กลับมืดมิดไร้ทางออก ได้แต่ต่อต้านจนไร้เรี่ยวแรงและคล้อยตามการชักนำของชายหนุ่มไปอย่างไร้เดียงสา



ความหอมหวานที่ดราโกกำลังดึงดันบีบบังคับเพื่อเชยชิมนั้นทำให้เขารู้สึกหวามไหวอย่างน่าประหลาด ตอนแรกเขาแค่หงุดหงิดที่เด็กหนุ่มเอาแต่เถียงและไม่ยอมบอกความจริงใดใดแก่เขา และเห็นปากอิ่มแดงเรื่อเจรจานิ่งๆ เถียงเขากลับอย่างไม่ยอมแพ้ หึ ผมเอาตัวรอดได้อย่างนั้นเหรอ แล้วเด็กที่ไหนกันล่ะที่โดนเขาจับตัวกลับมาแบบนี้ เถียงคำไม่ตกฟากแบบมีหลักการและเหตุผลที่เขาเถียงไม่ได้ เขาก็เลยตัดปัญหาด้วยการใช้ปากปิดเสียงเจรจานั้นซะเพื่อความสบายใจ และอยากลิ้มลองดูดกลืนปากแดงๆ น่ารักนั้นลงไป



ผลที่ได้นั้นเกินความคาดหมาย ตอนนี้เขาไม่สามารถหยุดลิ้มรสความหอมหวานนี้ได้เลย เสียงประท้วงอึกอักนั้นก็กระตุ้นเร้าความร้อนภายในกายให้พุ่งสูงขึ้น มือหนาที่กักร่างบางในอ้อมแขนเริ่มลูบไล้ช่วงเอวเล็กนั้นอย่างเพลิดเพลิน สอดลึกเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อเนียนนุ่มนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม



ใบหน้าเนียนใสอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มแดงซ่านหายใจหอบหนัก จากการจุมพิตที่ลึกล้ำและไม่คุ้นเคย จนกระทั่งเขาเริ่มหายใจไม่ออกและดวงตาเลื่อนลอย ซาตานตัวร้ายอย่างดราโกจึงยอมผละจาก แต่ก่อนจะละทิ้งความหอมหวานนี้ ชายหนุ่มยังคงละเลียดชิมไล้เลียริมฝีปากแดงเรื่ออีกครั้งอย่างอ้อยอิ่ง



“แฮ่ก แฮ่ก คุณ ทำไม?” ผมหายใจหอบหนัก กอบโกยอากาศเข้าไปในปอดให้มากที่สุด จากมือของผมที่พยายามผลักร่างสูงให้ถอยห่าง ตอนนี้กลับดึงรั้งชายเสื้อเขาไว้อย่างแน่นหนาแทน แม้ชายหนุ่มจะยอมผละจากความหวานนั้น แต่ฝ่ามือหนายังคงลูบไล้ผิวเนื้อของเด็กหนุ่มอย่างย่ามใจ ส่วนเจ้าตัวก็ยังหอบจนตัวโยนไม่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตอนนี้เรือนร่างของตัวเองเปิดเผยต่อสายตาของเขาขนาดไหน



ยั่ว!!



ดวงตาสีทองของดราโกพราวระยับเมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่มนอนทอดร่างพิงพนักโซฟาอย่างอ่อนแรง ชายเสื้อยืดถูกถกขึ้นสูงเผยหน้าท้องแบนราบขาวนวลเนียน



“บ้าที่สุด” ผมพึมพำ รู้สึกหงุดหงิดกับการฉวยโอกาสของคนตรงหน้า ค่อยๆ ยันตัวที่อ่อนแรงขึ้นจากโซฟา มือขวาก็ดึงชายเสื้อยืดให้ปิดบังสายตาลวนลามของมาเฟียหนุ่ม “ลุงหื่น!!!!! ”



ผมตะโกนและรวบรวมเรี่ยวแรงผลักร่างสูงให้ถอยห่างออกไป แต่แรงผมก็ช่างน้อยนิดจนอดสงสารตัวเองไม่ได้ ผมผลักแล้วนะ แต่เขาแค่ออกห่างแค่คืบเดียวเท่านั้น แต่นั้นก็เพียงพอให้ร่างเล็กๆ ของผมมุดออกจากวงแขนของเขามาได้ ผมรู้สึกร้อนไปทั่วตัว โดยเฉพาะตรงริมฝีปากที่ผมรู้สึกว่ามันเจ็บหนึบๆ และบวมเบ่งขึ้นมาจากการโดนผู้ชายตรงหน้าจูบ แถมตอนนี้ผมเผ้าของผมยุ่งเหยิงชี้ฟูไปหมด บ้าที่สุด ตาลุงหื่นกาม!!!!



ผมรีบสาวเท้าเพื่อเดินออกไปนอกห้องทำงานของดราโกให้เร็วที่สุด แต่ก็ดูเหมือนว่าจะช้ากว่าขายาวๆ ของชายหนุ่ม ผมก้าวไปสองก้าว เขาก้าวแค่ก้าวเดียวก็กระชากต้นแขนผมอย่างแรง จนร่างของผมปลิวปะทะเข้ามาในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง



“เรายังพูดกันไม่จบนะเด็กน้อย” ดราโกกอดร่างเล็กของคริสตินไว้แนบแน่น จมูกโด่งสวยซุกไซ้สูดดมกลุ่มผมนุ่มสีน้ำตาล



“ผมว่าเราพูดกันจบแล้วนะครับ” เด็กน้อยตวัดสายตาพูดเสียงแข็งใส่เขา ซึ่งสิ่งนั้นกลับดูเหมือนแมวน้อยกำลังพองขนแยกเขี้ยวขู่เขามากกว่า



“ไม่หรอก จนกว่าฉันจะรู้จุดประสงค์ของคาโซ่ และสิ่งที่เธอปิดบังไว้ เธอจะต้องอยู่ในสายตาของฉันตลอดเวลา” เสียงกระซิบร้ายกาจของมาเฟียหนุ่มแสดงถึงความเอาแต่ใจ และการบังคับกะเกณฑ์ที่พร้อมจะกักขังเทวดาน้อยตนนี้เอาไว้ “และที่สำคัญที่อยากให้เธอจำเอาไว้...คือ ฉันไม่ใช่ลุง”



“แต่คุณแก่กว่าผมเยอะเลยนะครับ” ผมเงยหน้ามองชายหนุ่มให้เต็มตา ท่าทางที่เขาตะกองกอดผมและผมที่เงยหน้ามองเขาเหมือนผมกำลังอ้อนเขายังไงไม่รู้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญในบทสนทนาที่น่าประหลาดนี้ ถึงแม้ดราโกจะยังหล่อเหลา ดูเคร่งขรึมสมวัย และร้ายกาจเจ้าเล่ห์สมอาชีพที่เจ้าตัวเป็นอยู่ แต่อายุสามสิบกว่าเข้าไปแล้ว ยังไงก็เป็นลุงอยู่ดีนี่นา ผมเอียงศีรษะอย่างงุนงงเล็กน้อย “ถ้าไม่เป็นลุง คุณอยากเป็นปู่เหรอครับ”



“แล้วคนที่เป็นลุง เป็นปู่ ทำอย่างนี้กับเธอได้ไหมล่ะ” ว่าเสร็จเขาก็อุ้มผมขึ้นมาให้ใบหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน จากนั้น...ผมขอไม่พูดนะครับ แต่ผมว่าจะหาทางหนีจากเขาให้ได้เลย เปลืองตัวชะมัด ริมฝีปากของผมที่บวมช้ำอยู่แล้ว กลับยิ่งบวมมากกว่าเดิม เผลอเอาลิ้นแตะกระพุ้งแก้มทีก็เจ็บจี๊ดที เรี่ยวแรงผมหายไปหมดจนต้องใช้บริการตักแกร่งแข็งๆ ของ ดราโกเป็นที่พักผ่อนอยู่ในห้องทำงานของเขา



พอผมแรงเริ่มกลับมาก็รั้นจะออกไปนอกห้องให้ได้ เพราะผมไม่อยากอยู่กับตาลุงหื่นคนนี้ แต่ผมก็ยอมรับอีกเช่นกันว่าสู้แรงเขาไม่ได้เลย ยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่พักใหญ่ ผมก็เลยตามเลย นอนมันอยู่ตรงนี้แหละ ให้เจ้าของตักเป็นตะคริวเหน็บกินซะให้เข็ด มือหนาของชายหนุ่มร่างใหญ่ก็ลูบกลุ่มผมนิ่มสีน้ำตาลอ่อนไปเพลินๆ มือของดราโกนั้นสัมผัสเล่นเกี่ยวกระหวัดเส้นผมไปเรื่อยๆ จนผมเริ่มผ่อนคลาย คลายอาการเกร็งไปทีละนิด ดวงตากลมโตก็ปรือลงเรื่อยๆ จนกระทั่งผมนอนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้เรื่องเลยครับ



เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของเด็กหนุ่มทำให้ดราโกละสายตาจากเอกสารที่อ่านอยู่ในมือลง เขาก้มมองร่างเล็กของคริสตินที่นอนขดตัวใช้ตักของเขาต่างหมอน ท่าทางการนอนนั้นดูไร้การป้องกัน ดูผ่อนคลายและดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา รอยยิ้มของชายหนุ่มถูกจุดขึ้นที่มุมปาก ถึงแม้ความคิดของเทวดาน้อยจะดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ยังไงเด็กก็คือเด็กอยู่วันยันค่ำ เขารู้สึกว่าการรั้งร่างเล็กคนนี้ให้อยู่กับเขาเพราะเรื่องของคาโซ่นั้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่อาจละสายตาไปจากคริสตินได้เลยแม้แต่น้อย



ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดราโก คอลิโอเน่คนนี้ แต่ความรู้สึกที่อยากครอบครองคนตัวเล็กนั้นก็ดูไม่เลวเลยทีเดียว ยิ่งความหอมหวานที่ได้ลิ้มลองเมื่อครู่มันกลับตราตรึงจนอยากลิ้มรสต่อไปเรื่อยๆ



หึ คริสติน เธอทำให้ฉันติดใจขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย





..................................................


หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 04-06-2018 16:52:01
น้องน่ารักมากค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 5 กระตุ้น
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 07-06-2018 10:03:57


บทที่ 5 กระตุ้น


ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะรู้สึกถึงแรงเขย่าตรงช่วงหัวไหล่เบาๆ น้ำหนักมือที่ไม่หนักหรือเบามากเกินไปทำให้ผมต้องทิ้งความฝันและมาเผชิญหน้ากับดวงตาสีทองคู่หนึ่ง แม้ในสายตาของผมจะไม่สามารถโฟกัสภาพตรงหน้าได้ชัดเจนมากเท่าไหร่นัก แต่ผมก็พยายามลำดับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเผลอหลับไปอยู่ชั่วครู่ อ่อ ผมเผลอหลับไปโดยใช้ตักของดราโกเป็นหมอน และตอนนี้ผมก็ยังใช้บริการอยู่เหมือนเดิมครับ ถึงจะเป็นหมอนที่แข็งไปหน่อย แต่ผมว่าก็นอนสบายใช้ได้เลย แม้ผมจะตื่นขึ้นมาแล้วแต่เพราะความง่วงงุนและแรงเขย่าที่เหมือนจะกล่อมผมนั้น ทำให้ผมไม่สามารถฝืนได้อีกต่อไป ผมคิดว่าผมควรจะหลับอีกรอบดีไหมนะ ยังง่วงอยู่เลย



“ผมขอนอนอีกหน่อยนะครับ” ผมพึมพำพูดขึ้นมาและหลับตาลงอีกครั้ง ไม่สนใจดวงตาคมดุที่จ้องมองมาเลยซักนิด



ดราโกปลุกเด็กหนุ่มขึ้นมาเพราะตอนนี้ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเทวดาน้อยตนนี้จะยังดูงุนงงสับสนอยู่บ้าง เพราะเจ้าตัวลืมตาขึ้นมาและกระพริบตาปรือๆ จ้องหน้าเขาเพียงชั่วครู่ ก่อนที่แพขนตายาวนั้นจะปิดลงบดบังดวงตากลมโตคู่นั้นเสียสนิท แถมเจ้าตัวน้อยยังพลิกตัวเอาใบหน้าซุกอยู่ตรงช่วงท้องของเขาหลับสบายไปอีกรอบ ดวงตาสีทองของชายหนุ่มวาววับเป็นประกาย ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นพวกไม่คิดอะไรมากหรือไม่สนสถานการณ์อะไรกันแน่ เมื่อสองสามชั่วโมงก่อนพวกเขายังคุยเรื่องเครียดกันอยู่แท้ๆ



มือหนาที่หยาบกร้านจากประสบการณ์ใช้ชีวิตของชายหนุ่มลูบไล้เส้นผมอ่อนนุ่มสีน้ำตาลอ่อนอย่างลืมตัวอีกครั้ง โดยที่ดราโกลืมไปเสียสนิทว่าภายในห้องทำงานของเขายังมีอีกบุคคลหนึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และมองทุกการกระทำของคนทั้งคู่อยู่ในสายตาตลอดเวลา



“ดอนครับ เด็กคนนี้...” ชายหนุ่มร่างสูงที่ใส่แว่นกรอบสี่เหลี่ยม คือมือซ้ายของดราโก คอลิโอเน่ มีชื่อว่าคาลอส แอนโทนี่ เป็นฝ่ายมันสมองที่สำคัญของมาเฟียหนุ่ม



“ทำไม” ดราโกพูดขึ้นแต่ดวงตายังคงจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มอย่างไม่คลาดสายตา มือหนาก็เกี่ยวเส้นผมนุ่มลื่นเล่นอีกครั้ง



“จากรายงานล่าสุดเราไม่พบความเกี่ยวข้องของเด็กคนนี้กับพวกคาโซ่เลยครับ แต่ทางสายของเรารายงานมาว่าพวกเขาเพิ่มระดับการค้นหามากขึ้น” คาลอสพูดยื่นแฟ้มเอกสารเล่มหนาที่เป็นข้อมูลการสืบค้นยื่นให้กับดราโก ชายหนุ่มยื่นมือข้างที่ว่างออกไปรับเอกสารเอาไว้และพลิกเปิดอ่านข้อมูล



“พวกมันตามหาคริสตินตั้งแต่สองเดือนก่อน?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงเมื่อเจอข้อความที่มีการเน้นตัวหนาเอาไว้



“ครับ” คาลอสดันแว่นทรงสี่เหลี่ยมที่เลื่อนตกลงมาปลายดั้งขึ้นเล็กน้อย และอธิบายจุดสำคัญที่เขาค้นพบ “ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง คือตามหาคนที่ชื่อมาร์ติน สมิธ ไม่ใช่ คริสติน นอร์แมนครับ แต่ตามที่ดอนบอก ชื่อมาร์ตินคือชื่อปลอมของเด็กคนนี้ จากรายงานคริสตินเดินทางเข้ามาที่อิตาลีเมื่อสามเดือนก่อนครับ หลังจากช่วงเวลานั้นสถานะทางการเงินของคาโซ่เริ่มระส่ำระสาย สูญเสียผลประโยชน์ทางการค้าไปเกือบพันล้าน คาโซ่พยายามสืบและค้นพบว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือคนที่ชื่อมาร์ติน”



“แต่พวกมันไม่รู้ว่ามาร์ตินจะเป็นเด็กผู้ชายอายุแค่สิบหกปีซินะ หึ” ดราโกกระตุกยิ้มที่มุมปาก เรื่องราวที่เด็กน้อยคนนี้ปิดบังไว้ชักจะน่าตื่นเต้นขึ้นทุกที “ไม่แน่ว่าเรื่องที่พวกคาโซ่เสียเงินไปมากขนาดนั้นก็เป็นเพราะเด็กคนนี้อยู่เบื้องหลังก็ได้”



“ผมว่าเราควรสอบสวนเด็กคนนี้นะครับ ไม่รู้ว่าเข้าหาดอนเพราะมีเหตุผลอะไรรึเปล่า ควรป้องกันไว้ก่อนนะครับ” มือซ้ายของดราโกยังพูดวิเคราะห์ในสิ่งที่เขาคิดว่าอาจจะเกิดขึ้น



“ไม่จำเป็น เด็กคนนี้ไม่ใช่ศัตรูของเรา” น้ำเสียงเฉียบขาดของดอนแห่งคอลิโอเน่พูดขึ้น ดราโกมั่นใจในสิ่งที่เขาคิด ถ้าคริสตินเป็นศัตรูที่ต้องการฆ่าเขาให้ตายจริงๆ เด็กคนนี้คงไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือและดูแลเขานานขนาดนั้น แค่ปล่อยให้เขาตายอยู่ในตรอกเงียบๆ ก็พอแล้ว “แล้วคอมพิวเตอร์ของคริสตินล่ะ มาร์คตรวจสอบถึงไหนแล้ว”



ดราโกเอ่ยชื่อหัวหน้าเทคนิคด้านข่าวสารของคอลิโอเน่ แฟมิลี่ ที่วันๆ หมกตัวอยู่แต่ในห้องที่มีคอมพิวเตอร์เกือบสิบตัวเป็นเพื่อน เป็นคนประหลาดๆ ที่ตั้งชื่อผู้หญิงให้กับคอมพวกนั้นและรักทะนุถนอมอย่างกับสมบัติล้ำค่า ถึงจะเป็นคนเพี้ยนๆ แต่มั่นใจได้เลยว่าเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่เก่งกาจของแฟมิลี่นี้แน่นอน



“กำลังตรวจสอบอยู่ครับ”



“อืม งั้นเราก็คงต้องรอ” ดอนแห่งคอลิโอเน่ละสายตาจากคาลอสและก้มมองเทวดาตัวน้อยที่แม้จะถูกนินทาในระยะเผาขน แต่เจ้าตัวก็ยังคงหลับสนิทอย่างน่าเอ็นดู มือหนาของชายหนุ่มเปลี่ยนจากการลูบศีรษะเด็กหนุ่มไปเขย่าที่หัวไหล่ของคริสตินอีกครั้งเพื่อผลุกให้เด็กน้อยลุกมากินข้าวเที่ยงได้แล้ว



“คริสติน” ดราโกปลุก



“อือ ครับ?” น้ำเสียงของเด็กน้อยยังคงงัวเงีย และพยายามพลิกตัวหนีไป แต่มือของดราโกก็ยังคงรั้งไว้ เจ้าตัวเลยได้แต่ส่งเสียงประท้วง “ไม่เอา ผมจะนอน”



“กินข้าวเที่ยงได้แล้ว” ดราโกยังคงใจเย็น ดวงตาสีทองดูรื่นรมย์ที่ได้กลั่นแกล้งขัดใจเทวดาน้อย



“ไม่กินครับ คุณไปเถอะ” ร่างเล็กของเด็กหนุ่มพลิกตัวนอนคว่ำ



“ฉันจะไปได้ยังไงในเมื่อเธอนอนตักฉันอยู่” น้ำเสียงของดราโกเริ่มกระซิบอยู่ตรงริมใบหู มองคิ้วเรียวได้รูปของคริสตินที่ขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิดที่มีคนมารบกวนเวลานอนหลับ “ถ้าไม่ตื่น ฉันจะจูบนะ”



จูบ? เหมือนคำๆ นี้เป็นคำต้องห้าม เพราะภาพเหตุการณ์ก่อนหน้ามันย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ ขับไล่ความฝันและความง่วงงุนของผมจนกระเจิง ดวงตาที่ปิดสนิทเมื่อครู่ลืมขึ้นเต็มตา รีบร้อนผุดลุกขึ้นมานั่งตัวตรงอยู่บนโซฟาทันที พร้อมกับฝ่ามือทั้งสองข้างของผมเอื้อมมาปิดปากที่ยังบวมเจ่อไว้แน่น



“หึหึ ตื่นแล้วซินะ” ดราโกยิ้มตาพราว ผมเห็นสายตาของเขาก็รีบถอยห่างให้อยู่ในระยะปลอดภัย ลุงคนนี้ผมไว้ใจไม่ได้จริงๆ ครับ ผมขยับตัวชิดอีกฝั่งของโซฟาเพื่อให้อยู่ห่างจากเขามากที่สุด แต่คงเพราะท่าทางของผมทำให้ได้ยินเสียงหัวเราะจากโซฟาฝั่งตรงข้ามเช่นเดียวกัน ดวงตาของผมจึงหันไปมองเจ้าของเสียงหัวเราะนั้นด้วยความสงสัย



อ้อ คนนี้นี่เอง



“ดีใจที่ได้เจออีกครั้งครับคริสติน” ผู้ชายใส่แว่นกรอบสี่เหลี่ยมคลี่ยิ้มทักทายผมด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ผมคาลอส แอนโทนี่ครับ



คาลอสเก็บซ่อนความรู้สึกเคร่งเครียดจริงจังเมื่อตอนคุยเรื่องงานกับดราโกไว้จนหมด เขาขยับรอยยิ้มพยายามผูกมิตรกับเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะมีบทบาทสำคัญอยู่ไม่ใ่ช่น้อย อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็คงถูกใจดอนมากพอดู ไม่อย่างงั้นดอนที่เป็นคนโหดเหี้ยมเย็นชา จะดูอารมณ์ดีขนาดนี้ได้ยังไง บุคคลิกของมือซ้ายแห่งแฟมิลี่เปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อต้องสวมอีกหนึ่งบทบาท



ดวงตาของผมตวัดมองมือข้างนั้นของคาลอสที่ื่ยื่นมือมาหมายจะทักทายและแนะนำตัวกับผม ผมจึงยื่นมือไปเขย่าทักทายและค้อมตัวให้ผู้ชายคนนั้นที่ผมประเมินคร่าวๆ แล้วคิดว่าเขาอายุมากกว่าดราโกอยู่สามสี่ปี



“ยินดีที่ได้พบอีกครั้งครับ คุณพ่อ” ผมทักทายและเน้นเสียงหนักที่สองคำข้างหลัง ทุกคนยังจำได้ไหมครับ ผู้ชายตัวสูงโปร่ง สวมเสื้อสูทอย่างดี สวมแว่นตาทรงสี่เหลี่ยม และเป็นคนเดียวกันกับคนที่มาสวมบทบาทคุณพ่อจำเป็น หลอกคุณตำรวจและพาผมกลับมาที่นี่ ผมยอมรับครับ ผมไม่ชอบคาลอสแน่นอน เพราะเขาเป็นคนที่ทำให้ผมไม่สามารถหนีออกนอกประเทศได้ อีกนิดเดียวแท้ๆ แต่ผมรู้นะครับ ว่าคาลอสก็แค่ได้รับคำสั่งจากดราโกมาเท่านั้น แต่ผมพาลครับ ยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อยแล้ว



“เรียกผมว่าคาลอสก็พอครับ” คาลอสส่งยิ้มมาให้ผม แต่ผมก็พอมองออกว่าเป็นรอยยิ้มที่ดูเกร็งๆ ยังไงชอบกล



“เกรงใจครับคุณพ่อ ให้ผมเรียกคุณด้วยความเคารพเถอะครับ” ผมตอบกลับไป ผมสาบานเลยครับว่าจะแก้แค้นคาลอสให้ถึงที่สุด ด้วยการป่วนประสาทไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ “รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้พบคุณพ่ออีกครั้ง ในวันนั้นที่ไปรับผมที่สถานีตำรวจ ผมปลาบปลื้มใจมากครับ ไม่นึกว่าคุณพ่อจะห่วงผมมากขนาดนี้”



ผมไม่ได้เป็นเด็กที่ชอบประชดประชันนะครับ แต่ผมอดไม่ได้จริงๆ



“อ่า ครับ” คาลอสไม่ตอบอะไรผมอีก นั่งตัวตรงแข็งทื่อและผมเห็นนะครับ ว่าเขาพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางดราโก “วันนั้นมันเป็นเหตุสุดวิสัยนิดหน่อยครับ”



ดอนแห่งคอลิโอเน่มองการโต้ตอบเล็กๆ ของเทวดาน้อยด้วยความสนุก เรื่องที่เขาให้คาลอสพาตัวคริสตินกลับมาคงทำให้เจ้าตัวรู้สึกฝังใจอยู่ไม่ใช่น้อย และรู้ว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลยคิดแก้แค้นด้วยวิธีน่ารักๆ แบบนี้



“งั้นหรือครับ แต่คุณพ่อเก่งจังเลยนะครับ ที่ตามผมมาได้เร็วขนาดนั้น ผมนึกไม่ถึงเลยว่าพวกคุณจะใช้เครือข่ายของตำรวจให้เป็นประโยชน์”



“คุณรู้?” ดวงตาของคาลอสฉายแววสนใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะรู้เรื่องได้เร็วขนาดนี้



“เก่งนี่” เสียงของดราโกเอ่ยชมขึ้นมาบ้าง



“ผมพลาดเอง ผมติดภาพว่าพวกคุณเป็นมาเฟีย มาเฟียกับตำรวจคงไม่ถูกกัน” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อคิดถึงความผิดพลาดของตัวเอง ตอนผมนั่งเจาะระบบเพื่อแฮคเข้าไปปิดบังข้อมูลของตัวผมเอง ผมทำแค่กลบเกลื่อนข้อมูลในระบบขนส่งและภาพจากกล้องวงจรปิดจุดต่างๆ เท่านั้น แต่ลืมนึกไปเลยว่าเครือข่ายที่สำคัญและครอบคลุมมากที่สุดคือเครือข่ายของทางตำรวจนั่นเอง และผมไม่คิดจะเจาะระบบเข้าไปหรอกนะครับ มันยุ่งยากเกินไปและเสี่ยงที่ตัวตนของผมจะถูกเปิดเผย “แล้วอีกอย่าง ทางคุณคงมีคนที่ฝีมือดี”



ดวงตาของผมเหลือบมองไปทางแฟ้มสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะรับรองแขกใกล้ๆ ผมแค่คาดเดา แต่มีเปอร์เซ็นต์ที่ความคิดของผมจะถูกต้องอยู่ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ แฟ้มสีดำนั้นคือประวัติของผมที่เขาสืบมาได้ อยากรู้จัง พวกเขาสืบลึกถึงระดับไหนแล้วนะ



“หึหึ เป็นคนเก่งเลยล่ะ อยากเจอไหมล่ะ” ดราโกส่งยิ้มลึกลับมาให้ผม ดวงตาสีทองคู่นั้นดูไม่น่าไว้วางใจเลยซักนิด ซึ่งทั้งดวงตาและรอยยิ้มของเขา ผมอ่านไม่ออกเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจ...



“ไม่เป็นไรครับ ผมว่าอีกไม่นานเขาคนนั้นคงเป็นฝ่ายอยากพบผมเองมากกว่า” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเฉยชาไร้ความสนใจอย่างสิ้นเชิง พลางทิ้งร่างกับผนักโซฟานุ่มด้วยความเบื่อหน่ายนิดๆ “ผมว่าทางที่ดี คุณปล่อยผมไปจะดีกว่านะครับ คุณเก็บผมไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”



“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะตัดสินใจได้นะเด็กน้อย ฉันรู้ดีว่าควรทำยังไงต่อไป” ดราโกเอ่ยเสียงเฉียดขาดเพื่อปรามผมอีกครั้ง



“ผมไม่เข้าใจครับ ทำไมผมถึงไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ” ดวงตาของผมหันไปมองสบกับดวงตาคมคู่นั้นด้วยความสงสัย “คุณรู้อยู่แล้วว่าผมช่วยชีวิตคุณไว้ และผมไม่ได้เป็นศัตรูของคุณ ทำไมถึงยังไม่ปล่อยผมไปอีก”



ผมพูดไปตามที่ผมคิด เพราะตามหลักเหตุและผลแล้วเขามีแต่ได้ด้วยซ้ำ ไม่เสียประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้จะต้องเอาผมมาเกี่ยวพันยุ่งเหยิงให้วุ่นวายทำไม อีกอย่างกับคอลิโอเน่ แฟมิลี่ ผมไม่อยากจะมายุ่งเกี่ยวอะไรด้วยเลย



ทั้งผมและดราโกนั่งจ้องตาอยู่พักใหญ่ ไม่มีใครส่งเสียง ไม่มีใครโต้ตอบ มีเพียงความเงียบที่โรยตัวและการมองลึกเข้าไปในแววตาเพื่อจับผิดและหาคำตอบเท่านั้น แม้กระทั่งคาลอสก็ไม่เว้น นั่งคอยกดดันแผ่รังสีไม่น่าไว้วางใจมาให้เป็นระยะ จนผมรู้สึกว่าแผ่นหลังของผมนั้นเริ่มชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกับความเคร่งเครียดที่พากันถาโถมมาทางผมไม่หยุด



“คาลอสออกไป” ดราโกพูดขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งลุกขึ้นโค้งตัวและเดินออกไป เสียงฝีเท้าที่ห่างออกไปเรื่อยๆ นั้นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวผมเองเริ่มตกอยู่ในอันตรายซะแล้ว แต่จะให้ผมถอยตอนนี้ ก็จะดูขี้ขลาดเกินไปรึเปล่านะ



เมื่อห้องทำงานเหลือผมและดราโกแค่สองคน เกมจ้องตาของเราก็ยังไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แค่นั่งนิ่งๆ มองตรงมา และใช้ความกดดันเคร่งขรึมที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเข้าข่มผมจนผมตัวลีบเล็กลงเรื่อยๆ ผมไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลยจริงๆ



“เธอรู้ไหม ว่าคาโซ่ตามหาคนที่ชื่อมาร์ติน สมิธอยู่” ดราโกพูดทำายความเงียบขึ้นมา ผมสะดุ้งเล็กน้อยและหันมาตั้งใจฟังชายหนุ่ม



“ผม...รู้ครับ” ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และไม่คิดปิดบังเขาอีก



“แล้วเธอรู้ไหมว่ามีคนที่ชื่อมาร์ติน สมิธ โดนฆ่าไปแล้วหนึ่งคน” น้ำเสียงของดราโกเหมือนพูดคุยในเรื่องทั่วๆ ไป แต่เนื้อหาที่เขาพูดออกมานั้นกลับทำให้ผมสะท้านเยือก ดวงตาสีน้ำตาลของผมเบิกกว้างเช่นเดียวกับอาการตกใจจากสิ่งที่ได้ยิน



“นะ หนึ่งคน” ที่เสียชีวิตเพราะพวกคาโซ่ตามฆ่าเหรอ “เพราะผม...ผม”



ใบหน้าเนียนใสอ่อนเยาว์ของเด็กน้อยซีดเผือด ดวงตากลมเบิกกว้างแทบถลน ริมฝีปากอิ่มแดงเรื่อสั่นระริกเล็กน้อย เพราะตกใจจากสิ่งที่ได้ยินและรับรู้



“ใช่ เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าอิตาลีในช่วงสองเดือนนี้” ชายหนุ่มยังคงพูดต่อไป “พวกมันกำลังตามล่าเธออยู่ ตามกลิ่นไม่เลิก เหมือนหมาบ้าที่คอยกัดทุกคนที่เข้าข่ายเกี่ยวข้อง”



“ผม ผม...” ผมยังคงสับสน การลำดับความคิดของผมเริ่มแปรปรวนและไม่สามารถตั้งสติได้ มีคนโชคร้ายเพราะผม ถูกฆ่าก็เพราะผม



“ฉันอยากรู้ว่าเพราะอะไรพวกมันถึงต้องการตัวเธอขนาดนี้” ดวงตาของดราโกยังคงกดดันเด็กน้อยต่อไปไม่ลดละ ยิ่งเห็นแววสั่นไหวน้อยนิดในดวงตานั้นยิ่งทำให้เขาตามติด ตีเหล็กเมื่อยังร้อนนี่แหละดี!!!



“เธอรู้อะไรมาคริสติน” ร่างสูงใหญ่ของดราโก คอลิโอเน่ เคลื่อนเข้าไปใกล้ รั้งร่างสั่นระริกนั้นกระชับแน่นอยู่ภายในอ้อมแขน กระซิบถ้อยคำข้างหูราวกับตอกย้ำให้เด็กหนุ่มไร้หนทางและรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น “มีคนตายเพราะเธอหนึ่งคน เรื่องอะไรที่เธอรู้มาคริสติน คาโซ่จะไม่หยุด มันจะตามล่า จะตามฆ่า มาร์ติน สมิธ ชื่อที่มีคนใช้เยอะแยะมากมาย ถ้า...มีคนที่สอง สาม และสี่มาล่ะ เธอจะให้พวกเขากลายเป็นเหยื่อแทนเธอเหรอ”



ผมรู้สึกแย่เหลือเกิน คำพูดของดราโกคือความจริง ผมที่ก่อเรื่องนี้ขึ้นมากลายเป็นคนที่รอด แต่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดใดกลับตกเป็นเหยื่อจากการกระทำของผมทั้งหมด ผมรู้ถึงความผิดนี้อยู่เต็มอก ถึงแม้ผมจะดูเฉยชากับสิ่งรอบตัว แต่เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม มีคนที่ต้องมาเดือดร้อนเพราะผมอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำคือสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะพิจารณาจากมุมไหนก็ตาม ผมว่ามันคือสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง แต่ความถูกต้องกลับไม่เคยคุ้มครองคนดีเลย คนผิดลอยนวล คนดีต้องถูกฆ่า ทำไมกันนะ ผมไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลย



“ลองดูนี่ซิ” ดราโกพูดขึ้นมาอีกครั้ง เอื้อมหยิบแฟ้มสีดำบนโต๊ะขึ้นมาและเปิดไปยังหน้าสุดท้าย ดวงตาสั่นไหวของเด็กหนุ่มเลื่อนไปมองภาพในแฟ้มนั้นช้าๆ ดวงตาที่สั่นไหวของคริสตินเบิกกว้างเมื่อเห็นภาพของผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีบาดแผลเลือดไหลเจิงนองเต็มพื้นไปหมด และเลือดสีแดงคล้ำนั้นก็อาบไปครึ่งใบหน้า



ร่างเล็กสะดุ้งเฮือก ร่างสะท้านสั่นไหว ดวงตาสีน้ำตาลนั้นคล้ายดับแสงไปบางเบา ดูอ่อนไหวซวนเซ จนดราโกต้องโอบกระชับร่างเล็กนั้นอีกครั้ง



“ว่าไงคริสติน” น้ำเสียงล่อลวงร้ายกาจ ทำให้ผมไม่สามารถทนเก็บไว้ได้อีกต่อไป เอื้อมมือสั่นระริกรั้งเสื้อของชายหนุ่มเพื่อรวบรวมสติ



“ผม…ผม”



“บอกมาเถอะ” ดวงตาของดราโกสว่างวาบ เห็นท่าทางของเทวดาน้อยนั้นแล้วยิ่งอยากกลั่นแกล้งรังแกมากยิ่งขึ้น เป็นความแปลกใหม่เลยทีเดียวที่เขาได้เห็นอีกด้านหนึ่งของเด็กหนุ่มที่เป็นคนเฉยชาราวกับไร้อารมณ์ เด็กหน้าตายคนนั้นกลับมีอารมณ์สั่นไหวได้ถึงขนาดนี้



“ผมรู้เรื่องการค้ามนุษย์ของพวกเขา” ผมพยายามพูด แต่เสียงนั้นก็ดังราวกับเสียงกระซิบ แต่ชายหนุ่มร่างสูงกลับได้ยินชัดเจนเพราะเขายังรั้งผมอยู่ในอ้อมแขนของเขา



“ค้ามนุษย์?”



“ครับ สะ เส้นทางการค้า จุดสับ ปะ ปะ เปลี่ยนแลกซื้อ ละ ลูกค้า กลุ่มผู้มีอิทธิพล” ผมหอบหายใจถี่กระชั้น ขบเม้มริมฝีปากเน้นเพื่อข่มอารมณ์ พยายามควบคุมน้ำเสียงให้ฟังดูปกติ แต่มันช่างยากเย็นจนผมแทบทนไม่ไหว ท่าทางของผมทำให้ชายหนุ่มที่นั่งมองทุกการกระทำของเด็กหนุ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ เสียงลมหายใจที่ดูผิดแปลกไปทำให้คิ้วเรียวของดราโกขมวดมุ่น รั้งใบหน้าของคริสตินให้เงยขึ้น



“หายใจคริสติน ช้าๆ” เด็กหนุ่มหอบอย่างหนัก ท่าทางเหมือนคนหายใจไม่ออกนั้น ทำให้ดราโกจำเป็นที่จะต้องหยุดการกดดันและรีบเรียกสติของเด็กหนุ่มให้กลับคืนมาอีกครั้ง “คริสติน คริสตินหายใจช้าๆ เธอทำได้เด็กน้อย หายใจ”



ผมกำลังทรมาน จากอาการหายใจไม่ออกและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในอก ภาพเมื่อครู่มีอิทธิพลกับผมมากเกินไป จนทำให้สติและความคิดของผมปั่นป่วน ชีวิตผมบัดซบ แต่ความบัดซบนั้นมีผมแค่ประสบคนเดียวไม่เดือดร้อนใคร แต่มาตอนนี้มันกลับไม่ใช่ ผมกำลังทำผิด ผมทำให้เขาคนนั้นตาย มาร์ติน สมิธตาย เขาตาย ตายไปแล้วไม่มีวันกลับมา ชีวิตของเขาไม่อาจดำเนินต่อไป ความหมายของคำว่าชีวิตที่ผมตามหา คำว่าชีวิตที่มันมีค่าและผมต้องการเรียนรู้ สิ่งนั้นกลับพรากชีวิตของคนๆ หนึ่งไป เพราะผม ผม เพราะผมคนเดียว



“คริสติน หายใจ คริส” เสียงทุ้มที่เคยเย็นชากดดันผมกลับอ่อนโยนมากขึ้น เสียงนั้นพร่ำพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่ใกล้ๆ ไม่หายไปไหน ดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมรั้งสติที่เหลือเพียงน้อยนิดให้รับฟังเสียงเรียกนั้น จากเสียงแผ่วเบาจากที่ห่างไกล ขยับเข้ามาชิดใกล้คอยยั้วเย้า เรียกร้องความสนใจจากผมที่ข้างหู คอยขบเม้ม จุตพิต ลากไล้ จากใบหูมาที่แก้มนุ่ม ลมหายใจของผมเริ่มเป็นปกติ ผมควบคุมการหายใจของตัวเองอยู่พักใหญ่จนกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ผมกำลังเงยหน้าเพื่อเอ่ยขอบคุณดราโก



แต่ไม่ทันไร ผมกลับพบว่าเรื่องที่เขาช่วยผม ก็หวังเพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น เพราะในตอนนี้ร่างกายของผมไม่ได้เป็นของผมอีกต่อไป มันไม่ฟังคำสั่ง มันไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นนอกจากฝ่ามือหนาหยาบกร้านที่ลูบไล้ทั่วแผ่นหลัง ตัวของผมเล็กเกินไปรึเปล่านะ อ้อมแขนของเขาจึงโอบรัดร่างผมและเอื้อมใช้ฝ่ามือมาลูบไล้สะกิตยอดอกของผมได้แบบนี้ ตัวของผมเกร็ง และเริ่มรู้สึกถึงความร้อนแปลกๆ ที่ลามไล้เลียไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว มือของดอนแห่งคอลิโอเน่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ริมฝีปากของเขาก็ไม่น้อยหน้า ก้มลงมาแนบชิด ไล้เลีย หยอกเย้า และดิ่งลึกลงไปในความหอมหวานนั้นอย่างหน้ามืดตามัว



ฉกชิงอย่างล้ำลึก หยอกเย้าอย่างร้อนแรง และลูบไล้ไปทั่วทุกตารางนิ้ว ปลดเปลื้องเสื้อยืดออกจากตัวของผม และรั้งร่างของผมให้มานั่งควบอยู่บนตัก หันมาเผชิญหน้าสบตากับดวงตาสีทองคู่นั้น แต่เพียงแค่ผมสบตาเขาเพื่อท้วงติงถึงการกระทำอันไร้มารยาทนี้ เขากลับไม่ยินยอมให้ผมกล่าวถ้อยคำ ใช้นิ้วเรียวยาวแนบชิดดึงดันกับริมฝีปาก ก่อนจะเข้ามาหยอกเย้าลิ้นผมไปมา แม้ผมจะพยายามเบี่ยงตัวหนี แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยินยอม ฝ่ามืออีกข้างกลับรั้งต้นคอของผมให้เอนไปด้านหลัง เพื่อให้เขาได้ลิ้มรสยอดอกของผมได้ถนัดมากขึ้น เสียงชิมรสหยาบโลนนั้นทำให้ผมกระตุกไปทั่วร่าง เขากำลังรั้งพันธนาการผมต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุด จนเมื่อเขาถอนนิ้วออกจากริมฝีปากผม ผนจึงถามเขาเมื่อได้โอกาส



“คะ คุณ ทำไม?” แม้จะดูไม่เป็นคำ แต่ก็พอจะรู้เรื่อง ผมพยายามเหลือบมองกลุ่มผมสีดำที่ตัดกับผิวสีขาวนวลตรงหน้าอก ชายหนุ่มไม่สนใจคำถามของผม ยังคงลิ้มรสอย่างหน้ามืดตามัว ดูดดึงสลับกลืนราวกับของหวานอันโอชะ “อ๊ะ คุณ อย่า กัดคะ ครับ”



ดราโกขบเม้มชิมรสด้วยความเอร็ดอร่อย ริมฝีปากทำหน้าที่ลิ้มรสยอดอกน่ารักนั้นไม่ยอมห่าง ดวงตาสีทองเงยขึ้นเหลือบมองร่างที่นั่งบนตักของเขา ซึ่งเทวดาน้อยกำลังนั่งแอ่นกายในท่วงท่าที่เชิญชวน เงยศีรษะที่เป็นอิสระขึ้นสูงโชว์ลำคอขาวที่น่าขบเม้มตีตรา เสียงหอบหายใจสะท้านดังหวิว



‘เพราะเธอกำลังยั่วฉันน่ะซิ’



.................................................

"ผมไม่ได้ยั่วนะครับ" เสียงคริสตินดังขึ้นประท้วงทันที

ไรต์ : จ้าๆ ไม่ได้ยั่ว ไรต์เชื่อหนูคริสจนหมดใจ (แอบเหล่ตาไปทางตาลุงคนหนึ่งที่กำลังเลียริมฝีปากตัวเอง)

.................................................




หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 07-06-2018 12:09:30
เรื่องราวชวนน่าติดตามมากค่ะชอบคริสตินมากกกกเป็นเรื่องที่สนุกอีกเรื่องไม่จำเจเลยขอบคุณไรท์ที่แต่งเรื่องดีๆอย่างนี้ให้ได้อ่านนะคะรอติดตามต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 07-06-2018 15:13:51
อยากให้ใส่ตอนไว้ข้างหน้าได้ไหมค่ะ

เพราะจะได้รู้ว่าตอนใหม่มาแล้ว

 :c5:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 07-06-2018 19:26:34
มาแล้วววววว  ดีใจจังมาลงที่นี่  รบกวนใส่วันที่กะบทที่หัวกระทู้ จะได้ทราบว่าอัพเดตตอนใหม่รึเปล่า
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-06-2018 21:04:32
น้องน่ารักมากค่าาา ชอบตอนลุงอุ้มน้องงี้ ตัวเล็กตัวน้อยอุ้มเข้าเอวง๊ายง่าย 555555555  :hao5:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: susu ที่ 22-06-2018 22:13:28
ฮืออออชอบมากเลยค่ะแบ่บบมันดีมากๆๆๆๆๆๆๆติดตามนะคะ :impress2:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: MacaroonCookie ที่ 23-06-2018 00:48:19
 :jul1:จมกองเลือด ท่าจะเข้มข้นมากๆ รอค่า
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: 19august ที่ 23-06-2018 14:19:08
ดีมากกกกกกก รอติตตามค่า
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 23-06-2018 15:24:42
สนุกมาก....ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆ   o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-06-2018 15:33:37
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: imkhimaut ที่ 23-06-2018 18:07:12
เนื้อเรื่องน่าติดตามค่ะแต่ตอนนี้ขอลุ้นเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้าตัวเล็กกับดอนก่อนก็แล้วกัน รอไม่ไหวแล้ววว ><~ เป็นกำลังใจให้นะคะ o13
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 23-06-2018 19:09:43
งื้ออออออ น่ารักก ชอบน้องตัวเล็ก
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 23-06-2018 22:36:14
 :ling3: :ling1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 24-06-2018 21:05:34
บทที่ 6 เอาแต่ใจ


“ผมไม่ได้ยั่วนะครับ!!!” ผมรีบตะโกนขึ้นมาทันทีที่เห็นสายตาของดราโกเหมือนกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของผม “อ๊ะ ดะ เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนครับ”



ร่างกายของผมพยายามแอ่นกายหนีริมฝีปากบางร้ายกาจนั้น แต่ไม่ว่าจะทำยังไง จะดิ้นรน ต่อต้านมากแค่ไหนแต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของผมจะสู้ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ความวาบหวามประหลาดนั้นดูรุ่มร้อนจนตัวของผมร้อนผ่าวไปหมด ทั่วทุกตารางนิ้วบนแผ่นอกของผมถูกเขารุกรานตีตราจองไปทั่ว จากผิวสีขาวของผมกลายเป็นแดงก่ำ ปรากฏร่องรอยดูดดึงจนขึ้นสีแดงช้ำน่ากลัว



“พอแล้วครับ!!!” ผมขึ้นเสียงพยายามดึงผมของดราโกเพื่อให้หลุดจากแผ่นอกของผม แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้ตัวอีกทีร่างกายของผมก็ดันเปลี่ยนเป็นท่าล่อแหลม จากนั่งคร่อมตักของดราโกอยู่ดีๆ กลายเป็นว่าผมดันปล่อยให้ร่างสูงใหญ่ของมาเฟียที่กลายร่างเป็นลุงหื่นๆ คนหนึ่งขึ้นคร่อมอยู่บนตัวของผมแทน แผ่นหลังเปลือยเปล่าถูกความเย็นของโซฟาหนังจนร่างกายสั่นสะท้าน มือร้ายกาจของเขาลูบไล้สำรวจไปทั่วร่างของผม



สำรวจต่ำลงไปเรื่อยๆ จนกอบกุมแก่นกายของผมให้อยู่ในเอื้อมมือของเขา หยอกล้อบดขยี้จนผมแทบทนไม่ไหว เขาปลดกระดุมกางเกงยีนส์และรูดซิบลงอย่างรวดเร็ว มือหนาร้อนผ่าวนั้นเคลื่อนเข้ามาสำรวจทันทีเมื่อได้โอกาส



“น่ารัก” เสียงทุ้มกระซิบแหบพร่า เมื่อมือของเขากอบกุมแก่นกายของผมโดยตรง



“อ่า ปะ ปล่อยครับ” ผมขบเม้มริมฝีปากเพื่อระบายความรู้สึกประหลาดนี้ มือของดราโกยังหยอกเย้าผมไม่หยุด บ้าจริง ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ



ดวงตาสีทองของชายหนุ่มวาววับโชนแสง ไล้ชิมเรือนร่างของเทวดาตัวน้อยอย่างตะกละตะกลาม ยิ่งได้ลิ้มรส เหมือนได้เสพติดรสชาติแสนหวาน เรือนร่างเล็กที่ไม่ได้อ่อนแอจนเกินไป แต่ก็กลับนุ่มนิ่มนวลเนียนลูบไล้จนเพลิดเพลิน ทั้งริมฝีปากแดงเรื่อที่เขาดูดกลืนจนบวมเบ่งน่ารัก ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตที่ดูฉ่ำน้ำนั้นก็ยิ่งทำให้เด็กน้อยน่ารังแกมากขึ้น ดูเหมือนว่าคริสตินกำลังทำให้เขาคลั่ง อยากขย้ำ อยากกลืนกินให้หมด อยากกักเก็บไว้ในอ้อมแขนของเขา



“อ๊ะ คุณ!!!” เสียงของเด็กหนุ่มสั่นพร่าดูยั่วยวนจนห้ามใจไม่ไหว เสียงนั้นราวกลับเป็นสิ่งกระตุ้นให้ใจกลางของเขาร้อนผ่าวจนแทบมอดไหม้ อึดอัด คับแน่นจนอยากปลดปล่อยออกมาให้หมด ยิ่งยอดอกสีแดงเรื่อนั้นดึงดูดสายตาของเขาอยู่เสมอ เชิญชวนสู้มือให้บดขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เลิกรา



“อ๊าาาาา” แค่เขาดึงกางเกงของคริสตินออกเท่านั้น ผ้าที่เสียดสีส่วนอ่อนไหวของเทวดาน้อยก็ทำให้ร่างเล็กบิดเร้า หอบหายใจสั่นสะท้านดูสับสน ทั้งต่อต้าน ทั้งเชิญชวน ทั้งยั่วยวน ทั้ง...อ่า เขาไม่สามารถบรรยายเด็กคนนี้ออกมาได้หมดจริงๆ แค่เทวดาน้อยตนนี้ตกอยู่ใต้ร่างของเขา เขาก็ตื่นเต้นและกระหายจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่



“คุณ!!! ไม่เอาครับ อย่า!!!” เสียงของคริสตินไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำของเขาได้เลย ร่างกายสูงใหญ่เคลื่อนตัวลงไปด้านล่าง ไล้สูดกลิ่นหอมของผิวกายหอมสะอาดนั้นไปเรื่อยๆ จนพบเข้ากับคริสตินน้อยที่กำลังสั่นระริกรอการปลดปล่อย น้ำหวานใสฉ่ำแวววาวนั้นเชิญชวนให้เขาลิ้มรส แต่ยังก่อน เขายังต้องเล้าโลมคอยปลอบประโลมเด็กน้อยให้หลงไปกับรสรักแห่งกามารมณ์นี้ ให้ดำดิ่งลึกลงไปจนไม่สามารถปีนป่ายกลับขึ้นมาได้อีกต่อไป



มือของเขาคลึงแก่นกายของคริสตินไปมา สลับกับจนเด็กหนุ่มร้องครางเสียงหวาน งอตัวลุกขึ้นมากอดศีรษะของเขาไว้แน่นด้วยเพราะความหฤหรรษ์ที่เกิดจากความเชี่ยวชาญของชายหนุ่ม ดราโกรู้สึกถึงมือเล็กของคริสตินปะป่ายไปทั่วแผ่นหลังของเขา ลูบไล้สลับหนักเบาไปมา ก่อนที่จะเปลี่ยนมาจับบ่าของเขาในท้ายที่สุด ริมฝีปากของเขากระตุกยิ้มอย่างชอบใจกับการสัมผัสแบบนี้ของเทวดาตัวน้อย แต่จากรอยยิ้มพึงพอใจของเขาก็อยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานก็กลายเป็นรอยยิ้มแข็งค้าง กระตุกเพราะความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นมาในทันที



จากฝ่ามือเล็กที่กำลังจะมอบความเพลิดเพลินให้กับเขา คริสตินกลับตะปปไปที่ไหล่ของเขาอย่างแรง ตรงจุดเดียวกับตรงรอยแผลจากกระสุนที่ยังไม่หายดี



“อึก” ดราโกปล่อยร่างเล็กที่ถูกกกกอด เผลอเอนกายถอยห่างและยกมือกุมหัวไหล่ที่ชาหนึบจนคิ้วของมาเฟียหนุ่มขมวดมุ่น พลางกัดฟันระงับความเจ็บปวดที่ต้องประสบโดยไม่ทันตั้งตัว แต่สิ่งนี้ก็คือโอกาสทองของเทวดาตัวน้อยที่รีบร้อนกลิ้งตัวหนีจนตกตุบจากโซฟาลงไปกองกับพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่ม ดราโกหรี่ตามองท่าทางการหนีที่ทุลักทุเลตื่นกลัวของคริสตินก็ต้องข่มกลั้นอาการหัวเราะ เพราะท่ากลิ้งของเด็กหนุ่มนั้นทำให้เขาต้องนอนคว่ำอยู่กับพื้น และโชว์ก้นขาวๆ มาล่อตาเชิญชวนให้เขาเข้าไปขบกัดเหลือเกิน



“เธอยั่วฉันอีกแล้วนะคริสติน” ผมพลิกกายหันมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยคิ้วขมวดมุ่นอย่างคนไม่พอใจ ร่างกายและลมหายใจของผมยังคงสั่นสะท้าน แต่ผมก็พยายามจะบอกเขาด้วยสายตาว่าการกระทำของเขาไม่ใช่สิ่งที่ผมพึงพอใจซักนิด ถึงแม้ว่าร่างกายจะแสดงปฏิกิริยาตรงกันข้ามกับใจของผม แต่มันก็เป็นไปตามกลไกของธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยปกติ



“ผมบอกคุณแล้วว่าผมไม่ได้ยั่วคุณเลยซักนิดนะครับ”



“ด้วยสีหน้าและท่าทางแบบนี้น่ะเหรอ” น้ำเสียงของดราโกเจือแววหยอกล้อ พลางกวาดสายตามองไปทั่วร่างของผมที่เกือบเปล่าเปลือย ผมไม่รู้ว่าผมกำลังทำสีหน้าแบบไหนที่ปกระตุ้นต่อมหื่นของเขา แต่ผมเห็นอาการเลียริมฝีปากของดราโกกับอาการกลืนน้ำลายนั้นผมก็ไม่วางใจเลยแม้แต่น้อย แม้ร่างกายของผมจะยังอ่อนแรงเพราะเหมือนโดนเขาสูบเรี่ยวแรงไปจนหมด แต่ผมก็ยันตัวลุกขึ้นมาพยายามสวมใส่กางเกงด้วยมือสั่นระริก



“ให้ฉันช่วยเธอไหมเด็กน้อย ไม่อึดอัดแย่เหรอ” ดวงตาสีทองของเขาจับจ้องมายังแก่นกายของผมที่ยังคับแน่นอึดอัดจนปวดร้าว



“ไม่ครับ!!! ผมจัดการเองได้” ผมปฏิเสธเขาทันที รีบสวมใส่เสื้อผ้าที่กองอยู่ใกล้ๆ โซฟา และหมุนตัวเพื่อหลบสายตาลวนลามของเขา



“แต่ฉันอึดอัดนะ อยากให้เธอช่วยหน่อยจะได้ไหม” เขายังล่อลวงต่อไป ผมแอบเหลือบมองด้วยหางตาไปตรงจุดนั้นของเขา คิ้วของผมกระตุกเล็กน้อยรีบปัดภาพไร้สาระและจินตนาการที่เกิดขึ้นในหัวสมองไปทันที อย่าให้ผมคิดภาพต่อเลยครับ แค่เห็นตรงจุดนั้นของเขาที่โป่งนูนดันเนื้อผ้าขึ้นมาผมก็หวาดกลัวอยากหายตัวหนีออกไปจากที่นี่ทันที



“คุณอยากโดนอีกแผลเหรอครับ” ผมพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุด ทุกคนลืมกับไปรึยังครับ ว่าดราโกพึ่งโดนยิงไปถึงสามนัดด้วยกัน และเวลานี้พึ่งผ่านมาสิบกว่าวัน แผลยังคงไม่หายดี แม้จะได้รับการดูแลรักษาและเย็บแผลเรียบร้อยแล้ว แต่แค่เกิดกระกระทบกระเทือนเล็กน้อยก็คงทำให้เขาปวดร้าวได้เหมือนกัน ไม่ต้องพูดถึงการออกแรงอย่างกิจกรรมอย่างว่า เขาทำไม่ได้หรอกครับ เมื่อซักครู่อารมณ์ของเขาคงพาไปจนลืมคิดถึงจุดนี้ แม้เขาจะทำตัวตามปกติเหมือนคนไม่มีบาดแผล แต่เขาโดนยิงเลยนะครับ ไม่มีทางหาดีเร็วๆ นี้แน่นอน แต่เขาก็เก่งมากเลยทีเดียวที่ซ่อนอาการจนเกือบเหมือนคนแข็งแรงตามปกติได้ขนาดนี้



“หึหึ ถ้าฉันมัดเธอไว้ เธอก็ทำอะไรฉันไม่ได้แล้วนี่”



“คุณเป็นคุณลุงหื่นกามและโรคจิตจริงๆ ครับ” ผมประณามการกระทำของเขากลับไป ดวงตาหันไปมองยังประตูเล็กบานหนึ่งในห้องทำงานของเขา ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ ผมรีบก้าวเท้ายาวๆ เพื่อไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย หางตาแอบเห็นเขาขยับตัวทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะส่อถึงเจตนารมณ์ที่ไม่ดีของชายวัยสามสิบกว่า ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปและกดล็อคประตูทันที ก่อนที่ประตูจะปิดลง ผมแอบเห็นแววหงุดหงิดฉายออกมาจากดวงตาคมคู่นั้นเล็กน้อยด้วย



ดวงตาสีน้ำตาลของผมพิจารณาใบหน้าของตัวเองที่ปรากฏอยู่ตรงกระจก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาฉ่ำน้ำ ริมฝีปากบวมเบ่ง และรอยจ้ำสีแดงคล้ำน่ากลัวกระจัดกระจายไปทั่วแผ่นอกและลำคอ



“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ เสยผมจัดทรงให้เรียบร้อย และก้มมองไปยังแก่นกายของตัวเองที่ยังคงชูชันแข็งแรงอย่างน่าปวดหัว ผมปิดฝาโถชักโครกลงและนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ตรงนั้นพร้อมกับหลับตาและเริ่มนับเลขฐานสองไปเรื่อยๆ



ดราโกกลับมายังห้องทำงานอีกครั้งหลังจากไปจัดการตัวเองในห้องน้ำอีกห้องหนึ่ง แต่เมื่อเขากลับมาก็ยังไร้วี่แววของเทวดาตัวน้อย เขากวาดสายตาไปมาก็หยุดลงที่ประตูห้องน้ำที่สังเกตว่ายังมีไฟลอดออกมา แสดงว่าคริสตินยังอยู่ในนั้น เขาเลยหันตัวกลับไปนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานใหญ่และลงมือจัดการเอกสารที่ยังคงคั่งค้าง แต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ ดวงตาคอยแต่จะจับจ้องไปยังประตูห้องน้ำ สลับกับนาฬิกาตั้งโต๊ะ และเอกสารในมือ สลับไปมาอยู่นานครึ่งชั่วโมงจนดราโกทิ้งทุกอย่าง และเดินไปเคาะประตูห้องน้ำเรียกเด็กน้อยของเขา



“คริสติน คริสติน” ดราโกเรียก “เธอเป็นอะไรรึเปล่า”



“เปล่าครับ เดี๋ยวผมออกไปครับ อีกนิดเดียว” คริสตินตอบกลับมาเบาๆ แต่ดราโกก็ยังไม่ไว้วางใจ เขายืนรออยู่ตรงหน้าประตูอยู่เกือบสิบนาที หลังจากนั้นจึงได้ยินเสียงกุกกักภายในห้องน้ำ และประตูก็เปิดออกมา ดวงตาสีทองของเขากวาดสายตาสำรวจร่างของเด็กหนุ่มที่เรียบร้อยปกติเหมือนเดิม ยกเว้นก็แต่ริมฝีปาก และรอยตีตราของเขาบนลำคอขาว



“ทำไมเธอถึงเข้าไปนานขนาดนั้น” ชายหนุ่มถามอีกครั้งด้วยความสงสัย เพราะคริสตินเข้าไปข้างในเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว เด็กน้อยของเขาหลบสายตาเล็กน้อย



“ผม รอมันสงบครับ” คริสตินตอบเสียงเบา เขาเลยก้มลงไปเชยคางของเทวดาตัวน้อยให้เงยขึ้นมาสบสายตากับเขา



“รอมันสงบ? หมายถึงเธอรอเอง ไม่ได้แตะต้องเลยแม้แต่น้อย” ดราโกถาม ดวงตาสีน้ำตาลสวยของคริสตินดูลังเล แต่ก็ตอบคำถามเขา



“ผมทำไม่เป็น เลยได้แต่นั่งรอไปเรื่อยๆ ครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับมา แต่คำตอบของคริสตินเหมือนกับจุดไฟให้ร่างกายของเขาร้อนรุ่มอีกครั้ง ทำไมนะ เธอถึงทำให้ฉันคลั่งได้ขนาดนี้



“ให้ฉันสอนเธอไหม” เขาไม่รู้ว่าน้ำเสียงของเขาเจ้าเล่ห์เกินไปหรือเปล่า เด็กน้อยถึงทำหน้าตาแตกตื่นและพยายามถอยห่างจากมาเฟียหนุ่ม



“คุณรู้ไหมครับ กฏหมายของการพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี โดยไม่เต็มใจจะต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปีนะครับ” น้ำเสียงและท่าทางของเด็กน้อยจริงจังจนชายหนุ่มต้องหลุดยิ้มออกมาบางเบา ดูท่าเขาจะทำให้คริสตินตื่นกลัวถึงขนาดต้องยกข้อกฏหมายขึ้นมาอ้างขนาดนี้ แต่ถ้าเขาจะทำจริงๆ ก็ไม่มีสิ่งไหนจะมาหยุดยั้งเขาได้หรอก แต่เห็นสีหน้าจริงจังและเคร่งเครียดของเทวดาตัวน้อยแล้ว เขาก็คว้าร่างของเด็กหนุ่มที่สูงแค่หน้าอกของเขามาลูบหัวลูบหลังปลอบใจเทวดาตัวน้อยให้สงบลง “ล้อเล่นน่ะ เดี๋ยวเธอจะหาว่าฉันเป็นลุงหื่นอีก ไว้ค่อยต่อวันหลังแล้วกันนะ”



“วันหลังก็ไม่ครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับอย่างรวดเร็ว



“งั้นวันนี้?” แต่เขาก็ยังกวนไม่เลิก



“วันนี้ก็ไม่ครับ ผมไม่เข้าใจคุณเลยแท้ๆ คุณคาดคั้นผมจนผมยอมบอกความจริงให้คุณ แทนที่เราจะมาคุยเรื่องนั้นกันต่อเพื่อหาข้อสรุปกันได้ แต่ทำไมถึงต้องมาจบลงในรูปแบบนี้ด้วยครับ” คริสตินมองชายหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ เขาเองก็ไม่รู้จะตอบเด็กหนุ่มว่ายังไงดีเช่นกัน แค่เขาเห็นเหมือนคริสตินกำลังทรมานจนลืมหายใจ เขาก็คิดแค่ว่าจะดึงความสนใจจากเด็กหนุ่มเท่านั้น แต่จุดประสงค์เริ่มแรกก็เลือนหายเมื่อได้ลิ้มรสผิวเนื้อรุ่มร้อนเนียนนุ่มจากเรือนร่างขาวของเด็กน้อย จนลืมเลือนทุกสิ่งไปจนหมด และเรื่องสำคัญที่เด็กน้อยได้บอกออกมา



การค้ามนุษย์ของคาโซ่ แฟมิลี่



“งั้นเรามาพูดเรื่องนี้กันต่อแล้วกัน หลังจากให้แม่บ้านยกอาหารมาที่นี่” ร่างสูงก้าวไปที่โต๊ะทำงาน ยกโทรศัพท์กดปุ่มที่ต่อสายไปหาคาลอสที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่อีกที่หนึ่ง “คาลอส บอกแองเจล่าให้ยกอาหารมาที่ห้องนี้ได้เลย และนายกับจาคอปมาหาฉันที่ห้องทำงานด้วย”



“ครับดอน” คาลอสรับคำสั่งและรีบดำเนินการทันที



ผมกำลังนั่งอยู่ตรงโซฟาหนังเหมือนเดิมครับ แต่ครั้งนี้ในหัวของผมกำลังวุ่นวายและยุ่งเหยิงไปด้วยข้อมูลมากมายที่ต้องจัดเรียงลำดับความคิดให้เรียบร้อย พอใจของผมสงบมากพอ ก็เริ่มคิดถึงเรื่องที่พูดกับดราโกไปก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุเปลืองเนื้อเปลืองตัวของผมเกิดขึ้น ผมบอกความเกี่ยวข้องบางส่วนของผมกับคาโซ่ไปแล้ว พวกคาโซ่นั้นมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการค้ามนุษย์ทางแถบประเทศเอเชีย ส่งผ่านมายังเส้นทางเดินเรือและนำคนเหล่านั้นมาค้าขายถึงประเทศทางยุโรปและสหรัฐอเมริกา



การกระทำของเขาทำให้มนุษย์ที่มีชีวิตและสิทธิเท่าเทียมกันนั้นเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยง ซื้อขายทอดตลาดราวกับข้าวของ แต่ถึงอย่างนั้นก็พวกเขาก็ยังพยายามดูแลทะนุถนอมสินค้าอย่างดีไม่ให้บอบช้ำ โดยเฉพาะอวัยวะทั้งหลายที่ขายได้ราคาดีและเป็นที่ต้องการในตลาดมืด ใช่ครับ แค่อวัยวะนะครับที่พวกเขาให้ความสำคัญ แต่เรื่องร่างกายภายนอกนั้นพวกเขาไม่เคยสนใจ



การขนส่งทางเรือนั้นใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะเดินทางมาถึงประเทศตะวันตก ผู้หญิงที่ถูกจับมานั้นมักจะโดนข่มขืนกระทำชำเราอยู่เสมอจนเป็นเรื่องปกติ หรือแม้กระทั่งผู้ชายคนไหนที่ดูดีหน่อยก็จะโดนเช่นเดียวกัน บนเรือนั้นไม่มีทางหนี ไม่มีทางออก ถ้าไม่ยินยอมก็ต้องโดนซ้อมหรือทรมานจากการโดนงดน้ำงดอาหาร เป็นเวลาหลายเดือนที่ผมทราบข่าวและพยายามหาข้อมูล รวบรวมหลักฐานและส่งต่อไปให้ทางตำรวจสากล



“พวกคาโซ่รู้ชื่อนี้เพราะว่ามีสายอยู่ในกรมตำรวจใช่ไหมครับ” ผมพูดขึ้นมาเมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เรื่องต่างๆ วุ่นวายมากขึ้นขนาดนี้ “ตอนผมส่งหลักฐานไป ผมลงท้ายด้วยชื่อปลอมของผม เพื่อลอบส่งข้อมูลให้กับพวกเขา”



“ฉันคิดว่าใช่ พวกตำรวจไม่ใช่คนดีทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ” น้ำเสียงของดราโกติดเย็นชา



“คุณไม่ชอบพวกเขาเหรอครับ” ผมถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ กับผม เพราะจากน้ำเสียงและแววตาของเขามันดูชัดเจนมาก



“ใช่” ตอบสั้นๆ แต่ตรงประเด็นจริงๆ ครับ



ก๊อก ก๊อก



เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะบทสนทนาที่ผมจะพูดขึ้นต่อ แต่ผมก็ละความสนใจจากผู้ชายข้างๆ และหันไปมองเหล่าแม่บ้านที่ยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟถึงที่แทน อืม หน้าตาน่ากินจังเลยครับ กลิ่นหอมมากเลย ท้องของผมส่งเสียงประท้วงขึ้นมาเบาๆ อาหารทยอยเรียงวางอยู่บนโต๊ะอย่างเรียบร้อยสวยงาม และเมื่ออาหารจานสุดท้ายวางลงตรงหน้าของผม ผมก็เงยหน้าเตรียมพูดขอบคุณ แต่เมื่อเห็นใบหน้าของแม่บ้านหญิงคนนั้น ดวงตาของผมก็เบิกกว้าง รู้ตัวอีกทีก็รีบร้อนคว้าข้อมือของผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ จนเธอหันมามองด้วยความสงสัย



“รับอะไรเพิ่มหรือคะคุณหนู” น้ำเสียงใจดีกับใบหน้างดงามของผู้หญิงวัยกลางคนที่มีผมสีแดงหยักศกเล็กน้อยมัดรวบเก็บเรียบร้อยอยู่ตรงท้ายทอย และดวงตาสีมรกตสวยงามทอประกายอ่อนโยนมาให้กับผม คล้ายๆ แต่ก็ไม่ใช่



“ปะ เปล่าครับ ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับ” ผมหลบสายตา รู้สึกร้อนๆ ที่ใบหน้าเล็กน้อย พร้อมกับปล่อยมือจากแขนของผู้หญิงคนนั้นและมานั่งเรียบร้อยตามเดิม ใจของผมยังเต้นรัวเหมือนจะทะลุออกมาจากอก ความทรงจำเก่าๆ เหมือนย้อนกลับมาอีกครั้งและทำให้ผมคิดถึง



“ชอบเหรอ” เสียงทุ้มของดราโกเอ่ยถามผม เมื่อผมหันไปมองก็เห็นดวงตาคมสีทองที่ทอประกายดุมากกว่าทุกที



“เปล่าครับ” ผมตอบแค่นั้นเพราะไม่ต้องการอธิบายเพิ่ม แต่ดูเหมือนว่าสายตาของคนข้างตัวจะยังคาดคั้นไม่ปล่อย ผมเลยจำเป็นที่จะต้องอธิบายเพิ่มอย่างช่วยไม่ได้ “คุณผู้หญิงคนนั้นเหมือนกับคนที่ผมรู้จักครับ เลยเข้าใจผิดไปหน่อย”



“หืม?” ทั้งน้ำเสียงและอาการเลิกคิ้วขึ้นของชายหนุ่มดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อถือในสิ่งที่ผมพูดเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่สนใจหรอกครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมอยากเก็บไว้คนดียวมากกว่า ผมไม่สนใจดราโก และเริ่มลงมือรับประทานอาหารเที่ยงที่เลยเวลามาเกือบสองชั่วโมง สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่ถูกจัดวางอย่างสวยงาม ราดด้วยครีมสีขาวนวลตา และกลิ่นหอมอ่อนๆ นั้นทำให้ผมอยากอาหารมากกว่าปกติ จึงลงมือจัดการอาหารจานนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนปิดท้ายด้วยของหวานเป็นที่เป็นไอศครีมทำจากชีสสีขาว ผสมด้วยผลไม้เชื่อมแสนอร่อยและลูกนัทวางสลับไปมา ซึ่งชั้นล่างสุดผมเจอเนื้อเค้กนุ่มๆ ผสมอยู่อีกด้วย



“อร่อยมากเลยครับ” ผมวางช้อนเป็นอันเสร็จพิธี ทั้งอาหารทั้งขนม ผมกินจนอิ่มแปร่ รู้สึกขอบคุณเชฟที่ทำอาหารจานนี้เหลือเกิน



“กินเลอะ” ดราโกพูดขึ้นพร้อมยืนมือมาเช็ดซอสที่เลอะตรงมุมปากให้ผม “เหมือนเด็กเลยนะ กินเลอะขนาดนี้”



“ผมก็ยังถือว่าเป็นเด็กอยู่นะครับ” ผมตอบกลับไป จัดการเก็บรวบรวมจานวางซ้อนกันทั้งของผมและดราโกให้เรียบร้อย



“เธอก็ไม่เด็กหรอกนะ ถึงการตอบสนองจะไร้เดียงสาไปหน่อย แต่ก็ร้อนแรงใช้ได้เลย” น้ำเสียงยั่วเย้าของเขาทำให้จานที่ผมถืออยู่เกือบหลุดมือ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าดอนแห่งคอลิโอเน่จริงๆ แล้วเป็นคนที่หื่นและลามกขนาดนี้



“คำพูดของคุณนี่สุ่มเสี่ยงต่อการติดคุกนะครับ ในปั้นปลายชีวิตของคุณ ผมอยากให้คุณใช้ชีวิตอย่างสงบนะครับ ไม่ใช่ติดคุกติดตะรางเพราะข้อหาพรากผู้เยาว์”



“หึหึ แต่ถ้าเด็กมันน่าเอา ฉันคิดว่ามันก็ไม่เลวนะ” ผมเอาจานที่ถืออยู่ในมือตอนนี้ทุ่มใส่หัวของดราโกได้ไหมนะ พูดกันเป็นจริงเป็นจังอยู่แค่ไม่กี่ประโยคก็จะพาผมวกเข้าเรื่องอย่างนั้นตลอดเลย



“ผมเอาจานไปเก็บให้นะครับ” และกลยุทธ์หนึ่งที่ผมนำมาใช้คือปล่อยผ่านไปและรีบเปลี่ยนเรื่องในทันที



“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวแม่บ้านก็มาเก็บเอง” เมื่อดราโกพูดจบประโยคก็เป็นจริงอย่างที่เขาว่า เพราะแม่บ้านเดินเรียงแถวกันเข้ามาเก็บจานที่ผมเก็บไว้ให้อย่างเรียบร้อย ผมเห็นแววตาของพวกเธอฉายแววประหลาดใจออกมาเล็กน้อยด้วยครับ โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้นที่มองมาทางผมพร้อมรอยยิ้ม



“ขอบคุณค่ะคุณหนู” เธอพูดขอบคุณผม และผมก็ตอบเธออย่างสุภาพ



“ไม่เป็นไรครับ” ผมมองตามหลังของแม่บ้านคนสุดท้ายไปอย่างไม่วางตา โดยไม่รู้ตัวเลยซักนิดว่าเงาของมาเฟียคนหนึ่งเคลื่อนทับมาแนบชิดแผ่นหลังผม พร้อมกับก้มตีตราบนลำคอของผมอย่างแรง “โอ๊ย!!! คุณทำอะไรน่ะครับ”



ผมถูกร่างสูงบังคับให้มานั่งตักของเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แผ่นหลังของผมแนบไปกับแผ่นอกแน่นๆ ของเขา ริมฝีปากของเขาก็ยังคงขบเม้ม ดูดดึงไปทั่วลำคอของผมไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าตอนนี้คอของผมคงเหมือนคนเป็นผื่นแล้วล่ะครับ



“เธอไม่ควรจะมองคนอื่น” ดราโกกระซิบอยู่ข้างหูของผมและเอ่ยอย่างคนเอาแต่ใจ “เธอมองฉันและสนใจฉันได้แค่คนเดียวเท่านั้นนะคริสติน”



ผมขมวดคิ้วกับความคิดแปลกๆ ของดราโก ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก แต่ผมคิดว่าการพูดในรูปแบบนี้มันผิดนะครับ ให้มองเขาคนเดียว ไม่อย่างนั้นผมก็เดินไปไหนมาไหนไม่ได้น่ะซิ จะพูดคุยกับคนอื่นก็ต้องหลับตาตลอดรึไงกัน ไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ



“คุณเอาแต่ใจจังเลยนะครับ”



“ใช่ เธอพึ่งรู้รึไงกัน”



นอกจากดราโกจะเป็นลุงหื่นโรคจิตและบ้ากามแล้ว เขายังจิตไม่ปกติอีกเหรอเนี่ย?



......................................................



มีใครรอฉากน้องคริสที่โดนลุงดราโกจับกินอยู่รึเปล่าคะ แหะๆ ต้องขอโทษที่ทำให้นักอ่านผิดหวังกันนะคะ เพราะคริสตินนนนนนนน ยังรอดปลอดภัยค่าาาาาาาา เย้ ^^

คริสตินฝากมาบอกทุกท่านว่า "ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะพยายามเอาตัวรอดให้ได้ ขอกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ" เห็นสายตาอ้อนๆ ของน้องไรต์ก็อดใจไม่ไหว จะให้กลั่นแกล้งรังแกก็ทำไม่ลง คงต้องให้ลุงตอดเล็กตอดน้อยกันไปก่อน หลังจากนี้คริสคงระวังตัวขึ้นเยอะ แต่ขนาดระวังแล้ว เฮ้อ น้องจ๋า ตัวหนูลายไปหมดเลย ไรต์ช้ำใจจริงๆ

"งั้นให้ผมเป็นคนทำดราโกบ้างซิครับ ผมจะพยายามเรียนรู้และเป็นฝ่ายรุกที่ดีครับ ผมสัญญา" (คริสติน)

"ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นมาบนตัวฉันซิ เธอจะได้เป็นฝ่ายเริ่ม" (ดราโก)

"จริงเหรอครับ" (คริสตินปีนไปนั่งอยู่ตรงหน้าท้องเป็นลอนของดราโกที่นอนราบไปบนเตียง)

"เอาล่ะ เริ่มเรียนกันเลยมั้ย" (ใบหน้าของดราโกเจ้าเล่ห์และชั่วร้าย)

"ครับ" (คริสตินพยักหน้า)

เดี๋ยววววววววววววว คริสตินลงมาเดี๋ยวนี้!!!!!!!!!!! (ไรต์ไปกระชากน้องลงมาทันที) ไว้ใจลุงคนนี้ไม่ได้เด็ดขาดนะ


............................................


สวัสดีค่ะ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาติดตามนิยายเรื่องนี้นะคะ ไรท์เป็นมือใหม่ของเว็บนี้ค่ะ ตอนลงนิยายก็จะงงๆสับสนอยู่บ้าง แต่ไรท์น้อมรับทุกข้อคิดเห็นค่ะ จะใส่ชื่อตอนและวันที่ลง ลงไปด้วยค่ะ ตอนแรกไรท์ก็ใส่ชื่อตอนนะคะ แต่ไปๆมาๆไรท์ก็งงว่า อ้าวมันหายไปไหน 5555  เดี๋ยวไรท์จะลองลงตอนนี้ดูค่ะ ว่ามันจะโผล่มั้ย

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ^^ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านมากค่ะ




หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 24-06-2018 23:04:38
น้องงงงงง ยังเด็กอยู่เลย น่าเอ็นดู
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-06-2018 00:01:23
น้องยังไม่เคยมีความรักด้วยยย  :hao7:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 25-06-2018 00:08:41
พระเอกสายหมี !
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-06-2018 00:22:31
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: it.the.world ที่ 25-06-2018 02:02:13
คุนลุงร้ายกาจจ :hao7: ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 25-06-2018 02:24:57
แง น้องน่ารัก :ling1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 25-06-2018 18:59:44
น้องยังเป็นผู้เยาว์อยู่นะ :hao6:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ak_kumiko ที่ 25-06-2018 20:18:28
น้องน้อยจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอีกนะ เทวดาน้อยยของพี่ (สถาปนาในใจเรียบร้อย5555)
อยู่กับลุงหื่นต้องทันเล่ห์เหลี่ยมค่ะ ลุงเขาร้าย กร้ากกกกก
อ่านไปก็ลุ้นไป น้องจะอยู่รอดปลอดภัยมั้ยนะ น้องอร่อยมั้ยนะ เอ้ย น้องจะมีไม้ไหนมางัดกับลุงมากประสบการณ์บ้างนะ

แต่งได้สนุกมากๆๆๆๆเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 25-06-2018 22:01:46
เทวดาน้อยซ่อนความลับอะไรเอาไว้... :hao4: :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: imkhimaut ที่ 26-06-2018 00:31:34
พรากผู้เยาว์ = คุก
แต่ไม่เป็นไรเพราะเราจะติดคุกไปด้วยกัน :ruready
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-06-2018 04:20:38
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: dekfad ที่ 26-06-2018 11:11:27
ลุงอย่ารังแกน้องงงงงงงง!!!!
เนื้อเรื่องน่าติดตามค่ะ ติดตามอ่านอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 6 เอาแต่ใจ (24.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 26-06-2018 15:43:17
ทำไมน้องน่ารักขนาดนี้ แถมเข้าขั้นอัจฉริยะซะด้วย ลุงหื่นเจอของดีเข้าแล้ว
ที่น้องไร้ความรู้สึกเพราะเจอกับเหตุการณ์นองเลือดใช่ไหม ว่าแต่คุณพ่อไล่น้องออกไปใช้ชีวิตได้ใช้ชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันแน่ ๆ 555+
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 7 ความจำเป็น (26.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 26-06-2018 22:23:41

บทที่ 7 ความจำเป็น



หลังจากมื้อเที่ยงผ่านไป ผม ดราโก คาลอส และจาคอปก็นั่งอยู่ที่โซฟาอย่างพร้อมเพรียงกันภายในห้องทำงานของมาเฟียแห่งคอลิโอเน่ครับ บรรยากาศตอนนี้ไม่ได้ดูเคร่งเครียดเหมือนอย่างที่ผมกังวลเท่าไหร่นัก แต่สายตาสามคู่ที่มีสีแตกต่างกันกำลังจ้องมาที่ผมคล้ายกับรอคำอธิบายทุกเรื่อง



“จะให้ผมเริ่มยังไงดีครับ” ผมถามพวกเขา เพราะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอธิบายตรงไหนก่อนดี ถึงบรรยากาศโดยรวมจะไม่เคร่งเครียด แต่ผมก็ยังเจอสายตากดดันจากพวกเขาอยู่ดี ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมคล้ายกับนักโทษที่กำลังโดนสอบปากคำอยู่ครับ



“ทำไมเธอถึงรู้เรื่องการค้ามนุษย์ของคาโซ่ได้ล่ะ” ดวงตาคมกริบของดราโกมองมาที่ผม แค่เจอคำถามแรกของเขาผมก็ไม่รู้จะตอบยังไงแล้วครับ เรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงเรื่องที่ผมถนัด แต่ความสามารถนี้ผมก็ไม่อยากจะพูดออกไปมากนัก เพราะถ้ามีคนรู้เข้ามันจะอันตรายเกินไป ไม่ใช่กับคนอื่นนะครับ แต่มันจะอันตรายกับตัวผมเองมากกว่า แม้กับคอลิโอเน่ที่มีดราโกเป็นดอนในตอนนี้ก็ตาม ถึงผมจะช่วยชีวิตเขาไว้ และมั่นใจได้ว่าเขาจะไม่ทำอันตรายใดใดกับผมก็ตาม แต่ผมคงตอบเขาได้แค่ในขอบเขตที่ผมจะมั่นใจว่าตัวผมเองจะปลอดภัยเท่านั้น



“ช่วงที่ผมเดินทางมาที่อิตาลีใหม่ๆ ผมบังเอิญได้ยินข่าวเรื่องการค้ามนุษย์จากในทีวีครับ โดยที่ผู้หญิง และเด็กที่ถูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนจากทวีปเอเชียทั้งนั้น ผมเลยให้ความสนใจในจุดนี้เพราะเลือดครึ่งหนึ่งของผมก็เป็นคนเอเชียเช่นเดียวกัน ผมอยากจะรู้เหตุผลว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงถูกพาตัวมาอีกฝั่งหนึ่งที่ห่างไกลจากประเทศบ้านเกิดของพวกเขา และทำไมพวกตำรวจรู้ทั้งรู้ถึงไม่สามารถจับตัวต้นเหตุได้” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยไปตามประสา โทนเสียงของผมก็ดูไร้อารมณ์ราวกับกำลังนั่งพรีเซ้นต์งานอยู่หน้าชั้นเรียนไม่มีผิด แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ยังไม่เบื่อกันนะครับ ดวงตาสามคู่ยังคงวาววับรอผมพูดต่อไป



“หลังจากนั้นผมก็เลยคิดหาข้อมูล เพราะคิดว่าทางตำรวจคงมีหลักฐานไม่เพียงพอ ผมลงมือค้นหาจนได้ข้อมูลในส่วนนั้นมาและพบว่าแก๊งที่อยู่เบื้องหลังของการค้ามนุษย์ในครั้งนี้คือคาโซ่ ผมจึงรวบรวมหลักฐานทั้งหมดและส่งให้กับทางตำรวจด้วยชื่อปลอมของผม แต่ไม่นึกว่าทางนั้นจะมีสายของพวกมันอยู่ด้วย”



“แต่ข้อมูลที่เธอได้มาทำให้พวกมันร้อนรนขนาดตามล่าตัวเธอ แสดงว่าข้อมูลนั้นต้องสำคัญมากแน่ๆ ใช่ไหม” คาลอสถามผมขึ้นมาบ้าง



“ครับ เส้นทางการค้า จุดสับเปลี่ยนเรือ จุดแลกซื้อ และลูกค้าบางส่วน” ข้อมูลในส่วนนี้เป็นข้อมูลที่ผมเจาะระบบของคาโซ่ด้วยความตั้งใจครับ ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นความตั้งใจของผมล้วนๆ ที่จะจัดการพวกเขาให้ได้ แต่ผมก็ค้นพบแล้วว่าผมตัวคนเดียวไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่มีกำลัง ไม่มีอิทธิพลหรือเส้นสาย การกระทำของผมเป็นเพียงแค่แหวกหญ้าให้งูตื่นเท่านั้น



“ตอนนี้สายของเรารายงาน มันกำลังตามหาตัวเธอทั่วอิตาลี” จาคอปพูดขึ้น ผมพยักหน้ารับเพราะพอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้



“เธอหาข้อมูลพวกนั้นมาได้ยังไง” ดวงตาสีทองมองมาทางผมพร้อมแรงกดดันที่มากขึ้น



“ผมพอจะแฮคระบบได้บ้างครับ ผมเรียนมาที่โรงเรียนเป็นวิชาเขียนโปรแกรม ก็เลยลองศึกษาดูและพลิกแพลงบางส่วน สุดท้ายผมก็สามารถนำข้อมูลในส่วนนั้นมาได้” ผมพยายามเล่าคร่าวๆ ไม่เจาะลึกเท่าไหร่นัก “แต่ผมไม่นึกว่าชื่อปลอมของผมจะทำให้เกิดปัญหาตามมา”



ผมรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับมาร์ติน สมิธ ซึ่งต้องมาเคราะห์ร้ายแทนผมผู้ชายคนนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ทำให้พวกคาโซ่ไม่เลือกวิธีการ ฆ่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างไร้ความปราณี โดยไม่สอบสวนหรือหาข้อมูลใดใดทั้งสิ้น ตอนนี้ผมอยากติดต่อกับพ่อผมมากเลยครับ อยากน้อยพ่อคงช่วยผมได้



“พวกมันจะไม่หยุด เธอรู้ใช่ไหม” ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของดวงตาสีทองพูดขึ้น ผมพยักหน้าและเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเป็นอย่างดี ข้อมูลที่ผมหามาได้มันสำคัญมากพอที่จะสามารถรู้เครือข่ายทั้งหมดของคาโซ่ และสามารถทำให้กลุ่มอิทธิพลนี้ล้มลงได้ทันที แต่ผมวางหมากผิดพลาด กระดานหมากรุกที่ควรจะรุกฆาตกลับมีทางรอดและมันกำลังย้อนกลับมาหาผม “แผนต่อไปของเธอคืออะไรคริสติน”



“ผมคิดว่าจะกลับบ้าน ตอนนี้หน้าตาของผมพวกเขาก็ไม่รู้จัก คิดว่าคงโยงผมกับเรื่องนี้ไม่ได้หรอกครับ อยู่ที่นี่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม สู้ผมถอยกลับไปตั้งหลักก่อนจะดีกว่า” ผมตอบตามที่ผมคิดและคิดว่าน่าจะเป็นหนทางที่ดีมากที่สุด “คุณก็รู้ ผมอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์ รั้นแต่จะเป็นภาระให้พวกคุณมากกว่า”



ประโยคสุดท้ายผมมองลึกเข้าไปในดวงตาของดราโกเพื่อบอกถึงความตั้งใจและเหตุผลทั้งหลายที่เราเคยเถียงกันก่อนหน้า ในตอนนี้เขาไม่มีเหตุผลเพียงพอให้ผมอยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะผมไม่ใช่สายของคาโซ่ ไม่เกี่ยวข้องใดใดกับคาโซ่ และที่สำคัญกลับกลายเป็นคนที่คาโซ่ต้องการตัวอีกต่างหาก



“ผมว่าคงถึงเวลาที่พวกคุณควรปล่อยผมไป”



หลังจากจบประโยคของผมความเงียบก็เข้ามาครอบคลุมบรรยากาศภายในห้องทำงานทันที ดวงตาของผมและดราโกไม่มีใครละสายตาไปจากกัน เหมือนพยายามอ่านลึกเข้าไปถึงความจริงข้างใน โดยเฉพาะดวงตาของดอนแห่งคอลิโอเน่ที่ดูจะแผดเผาผมมากขึ้นเรื่อยๆ แม้อากาศที่นี่จะเย็นสบายตลอดทั้งปี แต่เหงื่อผมกลับซึมทั่วแผ่นหลัง



“เหตุผลของเธอคงไม่มีแค่นี้แน่นอนใช่ไหม” เป็นคาลอสที่เอ่ยถามผมขึ้นมาบ้าง ดวงตาสีน้ำตาลของผมจึงถือโอกาสผละจากสายตาแผดเผาของดราโก หันมามองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เป็นคนจริงจังแต่ก็ฉลาดเฉลียว มือซ้ายที่เป็นมันสมองของคอลิโอเน่ แฟมิลี่



“ใช่ครับพ่อ” ผมหยอกกลับไป ผมยังไม่ลืมนะครับ มีโอกาสก็จะหาทางแกล้งคาลอสนิดๆ หน่อยๆ เห็นสีหน้าเหยเกแปลกๆ ของเขาแล้วผมอารมณ์ดีขึ้นมาก “สิ่งที่ผมกังวลคือเรื่องของคุณมากกว่านะครับดราโก เรื่องที่คุณถูกลอบยิง ถ้าคุณยังไม่สามารถสืบหาตัวการได้ พวกเขาก็คงกำลังเพ่งเล็งมาทางคุณและหาโอกาสอีกแน่นอน และถ้ารู้ว่ามีผมอยู่ พวกเขาก็จะสงสัยว่าเพราะอะไร จากนั้นเรื่องมันอาจจะถูกเชื่อมโยงกันไปมา และสุดท้ายคุณอาจจะเจอปัญหาทั้งสองด้านรุมเร้า”



“หึ แค่นี้เอง เธอคิดว่าคอลิโอเน่จะจัดการไม่ใช่เชียวหรือ” น้ำเสียงเย้ยหยันมั่นใจในตัวเองของมาเฟียหนุ่มทำให้ผม



“ผมรู้ว่าคุณทำได้ครับ แต่อย่าประมาทจะดีกว่า ผมว่าบางทีเรื่องของคุณคงมีคนส่งข่าวไป” ผมวิเคราะห์ในเรื่องนี้มาซักพัก คนระดับดอนของแก๊งมาเฟีย มักเป็นกลุ่มบุคคลสำคัญที่มีบอร์ดี้การ์ดปกป้องอยู่รอบๆ ตัว แต่ดราโกกลับถูกลอบยิงอย่างง่ายดาย เรื่องนี้คงมีเกลือเป็นหนอนอยู่ภายในกลุ่มแน่นอน



“วันนั้นเป็นการประชุมลับที่มีพวกผู้นำแฟมิลี่ทั้งห้ามาเท่านั้น เส้นทางการเดินทางของเราก็เป็นความลับ แต่เรายังไม่รู้ว่าเป็นกลุ่มไหนที่ลอบยิง” จาคอปที่นั่งเงียบมานานได้โอกาสพูดขึ้นบ้าง ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา



“จาคอป” น้ำเสียงของดราโกเรียบนิ่งเอ่ยเตือนมือขวาที่เอ่ยถึงเรื่องที่ไม่สมควร ชายหนุ่มร่างใหญ่พอๆ กับดราโกก้มหัวขอโทษให้กับดอนแห่งคอลิโอเน่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าบุคคลภายนอกเช่นผม



“ผมเห็นด้วยกับคริสตินนะครับดอน เราควรส่งคริสตินออกนอกประเทศให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีใครรู้ตัวจริงของมาร์ติน สมิธว่าคือใคร” คาลอสพูดขึ้นบ้างเพราะเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของดราโกมากเลยทีเดียว แค่ปัญหาเรื่องถูกลอบยิงยังตามหามือใครดมไม่ได้ ถ้ามีเรื่องนี้ขึ้นมาอีกเขาว่าน่าจะยุ่งยากมากเลยทีเดียว



“ผมอยากจะไปให้เร็วที่สุด” ผมพูดขึ้น เพราะหลังจากนี้ผมคงต้องหาทางชดเชยเรื่องของคนที่เสียชีวิตไปเพราะผม และผมต้องการติดต่อพ่อให้เร็วที่สุดเพื่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับคาโซ่ให้พ่อฟัง



“แต่ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอน” ดราโกตอบกลับ ผมหันไปสบสายตากับเขาทันที พลางเอียงศีรษะมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ



“เพราะอะไรครับ?”



“ตอนนี้ข่าวเรื่องของฉันถูกยิงเป็นความลับ ที่นี่คือเซฟเฮ้าส์ลับที่ฉันมารักษาตัวจนกว่าจะหายดี ในตอนนี้พวกมันยังคงพยายามหาทางจับตามองฉันอยู่ ถ้าฉันต้องไปส่งเธอข้างนอก ฉันจะไม่ปลอดภัย จนกว่าฉันจะหายดี ฉันถึงจะปล่อยเธอไป” ดราโกพูดเสียงเรียบดวงตาไม่ไร้แววใดใดให้ผมได้จับผิด เหตุผลของเขาก็มีน้ำหนักพอสมควร ผมจึงยอมรับและตอบตกลง ก็แค่ไม่นานให้เขาหายดีและพาผมกลับไปแค่นั้น หวังว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้ผมถลำลึกลงไปมากกว่านี้ แค่นี้ผมก็จมอยู่กับความรู้สึกผิดที่มันกัดกร่อนจิตใจจนแทบแบกรับไม่ไหว



“งั้นเราก็ตกลงตามนี้ เธอออกไปก่อนเถอะ ให้จาคอปพาออกไปดูรอบๆ บ้าน” ดราโกพูดขึ้นและหันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ดูแลเขาให้ดี” ประโยคสุดท้ายดังแค่กระซิบ แต่คาลอสที่อยู่กับมาเฟียหนุ่มมานานก็เข้าใจ มือขวาร่างสูงใหญ่หันไปยิ้มกว้างๆ ให้เด็กหนุ่ม พลางยื่นมือไปแนะนำตัว



“สวัสดีครับคริสติน ผมจาคอป ริคครับ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปชมรอบๆ นี้เองครับ” จาคอปเป็นมือขวาที่ดูขี้เล่นอารมณ์ดี ผมจับมือเขาเขย่าเล็กน้อยตามมารยาท ดูๆ ไปจาคอปนี่ท่าทางจะมีนิสัยเหมือนจอห์นเลยนะครับ



“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” หลังจากนั้นจาคอปก็พาผมเดินออกไปข้างนอกห้องเพื่อแนะนำสถานที่ต่างๆ ให้ผมรู้ และก่อนที่ประตูห้องทำงานจะปิดลง ผมยังรับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองตามหลังผมไม่ห่าง แม้ว่าผมจะเดินออกมาจากห้องนั้นไกลมากแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกถึงสายตาของดราโกอยู่ตลอดเวลา





ภายในห้องทำงานตอนนี้เหลือเพียงดราโกและคาลอสเท่านั้น สายตาของมือซ้ายที่เป็นทั้งพี่ เพื่อนสนิทและเลขาให้กับดอนแห่งคอลิโอเน่กำลังยกยิ้มอย่างมีเลศนัย ถ้าในเวลาที่มีคนนอกอยู่ด้วยเขาจะเป็นเลขาผู้จริงจังและเคร่งขรึมนอบน้อม แต่ถ้าอยู่กันเพียงสามคนที่มีดราโก เขา และจาคอป ก็มักจะเย้าแหย่สนิทสนมเล่นกันเหมือนพี่น้องทั่วไปมากกว่า



“หึหึ นายอยากจะพูดอะไรรึเปล่าคาลอส” ดราโกตวัดสายตามองเลขาที่ทำหน้ากวนๆ อยู่ข้างๆ ชายหนุ่มยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากส่งกลับไปให้เช่นเดียวกัน



“ทั้งๆ ที่ดอนสามารถส่งคริสตินกลับภายในวันนี้ได้เลยนะครับ” คาลอสแกล้งเอ่ยถาม แต่เขาก็ได้รับเพียงรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายมากกว่าเดิมหลายเท่า



“เทวดาของฉันก็ควรอยู่กับฉันไม่ใช่รึไง จะปล่อยให้โบยบินกลับไปง่ายๆ ได้ยังไงล่ะ” น้ำเสียงและใบหน้าของดราโกนั้นดูเจ้าเล่ห์มากขึ้นหลายเท่า ดวงตาคมสีทองฉายแววอันตราย เทวดาตัวน้อยที่น่ารักของเขา



“ถึงรั้งไว้ก็ได้แค่ชั่วคราว” คาลอสพูด ดวงตาใต้แว่นกรอบสี่เหลี่ยมมองไปทางดอนแห่งคอลิโอเน่ อยากจะรู้เหลือเกินว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีเหตุผลอะไรที่จะรั้งเทวดาตัวน้อยตนหนึ่งให้อยู่ใต้ปีกของซาตาน



“หึ ไม่ใช่ชั่วคราว” ภายใต้สีหน้าของดราโกนั้น คาลอสไม่สามารถอ่านความหมายได้อีกต่อไป



“ดูดอนยึดติดกับเด็กคนนั้นมากเกินไปนะครับ” มือซ้ายของดราโกถามกลับ แต่คำตอบที่ได้คือรอยยิ้มมุมปากและความเงียบเท่านั้น



เรื่องนี้มีเพียงดราโกเท่านั้นที่รู้ และไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือบอกเรื่องนี้กับใคร ว่าแท้ที่จริงแล้วในความฝันระหว่างความเป็นความตาย ในช่วงที่ลมหายใจของเขาจะปลิดปลิวไปทุกเมื่อนั้น มือเล็กที่คอยดูแลเขา ช่วยเหลือเขา เช็ดเนื้อเช็ดตัวและป้อนข้าวเขานั้นมันอบอุ่น ดวงตาที่พร่าเลือนเห็นเพียงเงาร่างเล็กๆ ท่ามกลางแสงสว่าง มันสวยงาม และช่วยฉุดดึงเขาให้เดินตามแสงนั้นไปเรื่อยๆ



และยิ่งลืมตาเห็นเทวดาน้อยหน้าตายในยามที่สติแจ่มใส มันยิ่งทำให้เขาคลุ้มคลั่งมากขึ้น อยากได้ อยากครอบครอง ความอยากด้านมืดนี้มันกำลังปะทุอย่างดุเดือด เขาไม่เคยเป็นกับใคร ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน ในเมื่อมันเกิดขึ้นและอยู่เหนือความควบคุมของเขา เขาก็แค่ทำตามมันซะก็เท่านั้น



“เด็กคนนั้นเป็นของฉัน” คำพูดแสดงความเป็นเจ้าของแต่ไม่ได้ตอบคำถามของคาลอสเลยแม้แต่น้อย แต่มือซ้ายที่ใช้เวลาอยู่กับดอนแห่งคอลิโอเน่มากกว่าครึ่งชีวิตก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี ในเมื่อดอนหมายมาดในสิ่งใดแล้ว สิ่งนั้นก็คงจะยากที่จะหลุดจากมือดอนไป



“ถ้าอย่างนั้นดอนควรคิดเรื่องน่าหนักใจอีกเรื่องนะครับ” คิ้วเข้มของดราโกเลิกขึ้นสูงและหันมามองคาลอสเป็นเชิงเอ่ยถามว่าเรื่องอะไร



“ดอนคงลืมไป คริสตินอายุแค่สิบหกปีนะครับ เด็กมีพ่อมีแม่ แล้วเรื่องการเรียนของคริสตินอีก เลี้ยงเด็กคนหนึ่งมีเรื่องต้องคิดมากมายนะครับ” มือซ้ายอย่างคาลอสพูดขึ้น ชี้จุดที่ดราโกอาจมองข้าม ร่างสูงใหญ่ของดอนแห่งคอลิโอเน่ชะงักเล็กน้อยเมื่อคิดถึงจุดนี้ แต่ชายหนุ่มก็เพียงยักไหล่และบอกแผนการบางอย่างให้กับคาลอสไปจัดการ



“อีกอย่างเรื่องของคริสติน ฉันอยากให้นายสืบต่อไป” ดราโกไม่นึกสงสัยคริสติน แต่เขาอยากรู้ว่าคริสตินคือใครกันแน่ เด็กคนนี้อายุยังน้อยแต่กลับแฮคระบบและนำข้อมูลลับที่สำคัญของพวกมันออกมาได้ เรื่องนี้คงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ แต่เทวดาน้อยของเขาอาจจะเก่งกาจถึงขั้นอัจฉริยะ



“ครับ ผมจะบอกมาร์คให้จัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”





ผมเดินสำรวจเซฟเฮ้าส์ของดราโกทุกซอกทุกมุมกับจาคอปไปเรื่อยๆ ถึงจะเรียกว่าเซฟเฮ้าส์แต่บ้านหลังนี้ก็มีทุกอย่างที่สะดวกครบครัน เหมือนบ้านพักตากอากาศมากกว่า มีทั้งห้องฟิตเนส ห้องดูหนัง ห้องสมุด ห้องพักผ่อน ห้องเล่นเกมส์ก็มี แถมใกล้ๆ ก็ยังมีสนามยิงปืนอีกต่างหาก เท่าที่ผมดูด้วยสายตาคร่าวๆ ที่นี่มีพื้นที่หลายสิบไร่เลยนะครับ กว้างมากเลยทีเดียว แถมยังร่มรื่นมากอีกด้วย ทางสวนด้านหลังยังมีผืนป่าขนาดใหญ่และทะเลสาปด้วยนะครับ คนเป็นมาเฟียนี่จะรวยกันหมดทุกคนเลยรึเปล่านะ



“ไว้วันหลังผมจะพาไปเที่ยวแถวทะเลสาปนะครับ ที่นั่นมีกระท่อมเล็กๆ ด้วย บรรยากาศดีมากเลย” จาคอปยิ้มกว้างพลางเล่าเรื่องทะเลสาปให้ผมฟัง ผมลอบมองเขาเล็กน้อย จากลักษณะท่าทางของเขาแล้วไม่เหมือนคนเป็นบอร์ดี้การ์ดของมาเฟียเลยนะครับ เหมือนพี่ชายตัวโตๆ ที่ใจดีอบอุ่นคนหนึ่งมากกว่า



“ครับ” ผมก็อยากเห็นนะครับ จากที่ฟังจาคอปเล่า ผมว่าน่าจะสวยมากเลย



“งั้นตอนนี้คุณอยากจะทำอะไรรึเปล่าครับ หรือหิวข้าวรึยัง อีกซักพักทีเดียวกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น” จาคอปหันมาถามผม ผมนิ่งคิดไปซักพัก



“ผมอยากติดต่อกับคุณพ่อครับ ไม่ได้คุยกันมาหลายวันผมกลัวว่าท่านจะเป็นห่วง” ครั้งสุดท้ายที่คุยกับคุณพ่อคือเมื่อสี่ห้าวันก่อน ปกติผมจะโทรหาท่านสองสามวันครั้งและเล่าเรื่องที่ผมเจอในทุกๆ วันให้ฟังเพื่อไม่ให้คุณพ่อเป็นห่วงมากเกินไป



“เรื่องนี้ผมขอคุยกับดอนก่อนนะครับ ถ้าดอนอนุญาตเดี๋ยวผมจะนำโทรศัพท์มาให้” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คลี่ยิ้ม เห็นแววปลอบโยนผมเล็กๆ เหมือนผมเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง อ๊ะ ไม่ใช่ซิครับ ตอนนี้ผมก็ยังเด็กอยู่นะ เขาคงกลัวว่าผมจะคิดถึงบ้าน ใจดีจังเลยนะครับ



“ครับ” ไม่รู้จะตอบอะไรนอกจากรับคำเขา จะให้ผมงอแงหรือโวยวายมันก็ไม่ใช่นิสัยของผม ผมก็ได้แต่นิ่งรับคำเขาเท่านั้น



“งั้นเราไปห้องครัวกันไหมครับ ให้แองเจล่าหาขนมให้ทานเล่นดีกว่า” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยชักชวนผม พลางเล่าถึงขนมฝีมือหัวหน้าแม่บ้านของที่นี่ว่าอร่อยล้ำเลิศยิ่งกว่าเชฟในโรงแรม



แองเจล่าที่จาคอปพูดถึงจะใช่ผู้หญิงคนนั้นไหมนะ ผู้หญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม ดูสุภาพและใจดี ภาพของเธอคนนั้นซ้อนทับกับใครบางคนที่ผมยังรำลึกถึงอยู่เสมอ



“อ้าว คุณจาคอปมีอะไรรึเปล่าคะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นเมื่อผมและจาคอปเดินเข้าไปในเขตห้องครัวขนาดใหญ่ เพราะเสียงนั้นเองทำให้ผมดึงความสนใจหันมามองภาพตรงหน้า อ๊ะ ใช่เธอคนนั้นจริงๆ ด้วยครับ



“โถ่ ผมบอกแล้วว่าอย่าเรียกผมว่าคุณเลยครับน้าแองจี้” จาคอปยิ้มกว้างดูเป็นกันเอง เขาคงสนิทสนมกันมากเลยทีเดียว



“คุณเป็นถึงคนสนิทของดอนเลยนะคะ ดิฉันก็ต้องให้ความเคารพคุณอยู่แล้ว” ใบหน้าใจดีของแองจี้หรือแองเจล่ายิ้มกว้าง ก่อนที่ดวงตาคู่หวานของเธอจะสังเกตเห็นผมที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังของจาคอป “อ๊ะ คุณหนูตัวน้อยนี่เอง มีอะไรให้ดิฉันรับใช้รึเปล่าคะ”



แองเจล่าเป็นผู้หญิงตัวสูงร่างอวบเล็กน้อย แต่เธอก็ยังดูอ่อนหวานสวยงาม กริยาอ่อนช้อยน่าชื่นชมจนผมจ้องมองเธอตาไม่กระพริบ ยิ่งเห็นใบหน้านั้นก้มลงมาใกล้ผมก็รีบร้อนหลบสายตารู้สึกร้อนๆ บนใบหน้าเล็กน้อย



“ผม เออ ผม” เสียงของผมเหมือนติดอยู่ในลำคอ ปกติผมจะเป็นคนพูดจาฉะฉานมั่นใจ แต่พออยู่ตรงหน้าของแองเจล่า ผมกลับทำอะไรไม่ถูกเลยแม้แต่น้อย



“ว่าไงคะ? อยากได้ขนมรองท้องก่อนไหมคะ” แองเจล่าคลี่ยิ้มหวานมองหนุ่มน้อยตัวเล็กที่ที่กำลังเขินอายและไม่กล้าสบตาเธอด้วยความเอ็นดู แค่เห็นเด็กหนุ่มคนนี้เธอก็รู้สึกถูกชะตา แม้จะมีสีหน้านิ่งๆ ราบเรียบแต่ก็ดูสุภาพและน่ารักมากทีเดียว



“คริสตินน่าจะหิวน่ะครับ น้าพอมีอะไรให้ทานเล่นก่อนไหม” จาคอปพูดแทนผมที่ยังอึกอักอยู่



“งั้นรับคุ๊กกี้ไหมคะ วันนี้ดิฉันพึ่งอบใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ จากเตาเลย คุณหนูทานได้ไหมคะ” แองเจล่าหันไปพูดกับจาคอป ก่อนที่จะก้มตัวเล็กน้อยเพื่อพูดกับผม



“ครับ รบกวนด้วยนะครับ” ผมก้มหัวขอบคุณแต่ก็ยังหลบสายตาของแองเจล่าเหมือนเดิม



“งั้นทั้งสองคนไปนั่งรอดิฉันที่ห้องนั่งเล่นได้เลยนะคะ เดี๋ยวดิฉันยกไปเสิร์ฟให้ค่ะ” ร่างอวบพองามของแม่บ้านวัยกลางคนยืดตัวเต็มความสูง ท่าทางดูกระตือรือร้นพร้อมบริการ



“ไปกันเถอะครับคริสติน” จาคอปชวนผมไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น แต่ผมยังไม่อยากออกไปเลยแม้แต่น้อย จึงได้เอ่ยขอจาคอปและแองเจล่าทันที



“ขอผมนั่งรอและทานตรงนี้ได้ไหมครับ” ผมเอ่ยขอพวกเขาพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง แองเจล่าจึงหันไปมองทางจาคอปเพื่อขอคำอนุญาต เช่นเดียวกับผมที่มองไปทางชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ “นะครับจาคอป”



แค่ผมพูดประโยคสุดท้ายออกมา ก็ไม่รู้ว่าทำไมมือขวาร่างใหญ่เช่นจาคอปถึงกับรีบร้อนหลบสายตาของผมพร้อมกับใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย พอเขาเงียบผมเลยพูดต่อไป



“นะครับ”



“เออ คือ” เขายังพูดตะกุกตะกัก ผมเลิกคิ้วมองท่าทางของเขาด้วยความสนใจ เอียงคอเล็กน้อยวิเคราะห์ท่าทางประหลาดของเขา



“ได้ไหมครับ” ผมยังถามต่อไม่เลิก แต่ไม่รู้ผมทำอะไรประหลาดออกไปรึเปล่า จาคอปถึงกับผงะตกใจถอยหลังออกห่างอย่างรวดเร็วพร้อมพยักหน้าอนุญาตรัวเร็ว “ขอบคุณครับจาคอป”



ผมจึงถือโอกาสนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ใกล้ประตูทางออกห้องครัว โดยมีจาคอปยืนอยู่ห่างออกไปหลายก้าว ดวงตาสีน้ำตาลของผมไม่ได้สนใจเขาอีก เพราะในสายตาของผมตอนนี้กำลังจับจ้องทุกท่วงท่าของแองเจล่าอย่างไม่คลาดสายตา ทั้งรอยยิ้ม ทั้งแววตาของเธอ ทำให้ผมหวนคิดย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน แต่มันยังคงสลักแน่นในหัวใจไม่เคยลืมเลือน แองเจล่าคล้ายคลึงกับเธอคนนั้นมาก จนบางครั้งผมก็นึกว่าอยากจะให้เป็นคนๆ เดียวกัน ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต



‘รอก่อนนะครับ อีกนิดเดียวเท่านั้น’











หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 7 ความจำเป็น (26.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-06-2018 22:55:44
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 7 ความจำเป็น (26.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-06-2018 22:57:52
หน้าเหมือนแม่หรือเปล่าคะ  :z13:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 7 ความจำเป็น (26.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 26-06-2018 23:03:09
ใคร???   :m28: :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 7 ความจำเป็น (26.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: MacaroonCookie ที่ 27-06-2018 00:30:42
คุณแม่รึเปล่าน้าา
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 7 ความจำเป็น (26.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 27-06-2018 00:54:21
หืออออ เดาว่าน้องคิดถึงคุณแม่หรือเปล่านะ?
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 7 ความจำเป็น (26.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 27-06-2018 10:18:52
จาคอปโดนแอทแทคเข้าไป 555+
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 7 ความจำเป็น (26.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 27-06-2018 11:54:47
หวัดดีฮะ เพิ่งเข้ามาอ่าน ชอบมาก ทั้งโครงเรื่อง บท เขียนได้ดี รื่นไหล รออ่านตอนต่อๆไปนะฮะ
แล้วอยากทราบว่ามีงานเขียนอื่นอีกไหมฮะ นอกจากเรื่องนี้ จะตามไปอ่าน ชอบสำนวนมากๆ ช่วยบอกด้วยนะฮะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 7 ความจำเป็น (26.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jaebam ที่ 27-06-2018 12:14:55
คุณแม่ไหมคะ ผู้หญิงที่รักที่สุด
จาคอปโดนน้องยิงความน่ารักใส่เต็ม ๆ 555+
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 7 ความจำเป็น (26.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 27-06-2018 16:35:43
 
บทที่ 8 วันธรรมดา


หลังจากวันนั้นที่ผมได้ตัดสินใจอยู่ที่เซฟเฮ้าส์ของดราโกซักพัก ผมก็ค้นพบว่าผมมีเรื่องลำบากใจเรื่องหนึ่งที่ไม่สามารถระบายกับใครได้ นั่นก็คือการที่ผมไม่มีห้องนอนเป็นของตัวเอง แม้ผมจะบอกความต้องการในเรื่องนี้ให้ดราโกทราบแล้วก็ตาม แต่ดอนแห่งคอลิโอเน่กลับไม่สนใจคำร้องของผมเลยแม้แต่น้อย แม้ผมจะพูดคุยกันด้วยเหตุและผลอย่างคนที่เป็นผู้ใหญ่เขาทำกันก็ตาม



“ผมอยากมีห้องส่วนตัวของผมครับ” ผมบอกเขาในวันแรกที่ผมค้นพบว่าผมต้องนอนห้องเดียวกันกับดราโก



“ห้องนอนไม่พอ เธอนอนกับฉันนั่นแหละ” เห็นไหมครับ คำตอบของเขา เขาบอกว่าตึกนี้มีแค่สามห้องเท่านั้น ของดราโกที่เป็นห้องนอนที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน ห้องของจาคอป และห้องของคาลอส



“ผมไปนอนกับคาลอสหรือจาคอปก็ได้ครับ” ผมยังพูดต่อไปไม่ยอมแพ้



“ห้องนอนฉันใหญ่ที่สุด นอนกันสองคนก็ไม่เป็นไรหรอก” แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นของผมครับ ผมไม่อยากนอนห้องเดียวกับดราโกเพราะคิดว่ามันอาจจะเกิดเหตุสุ่มเสี่ยงต่อกฏหมายพรากผู้เยาว์ขึ้นมาได้ เพื่อสวัสดิภาพของตัวผมเองด้วยครับ



“ทำไม เธอกลัวฉันหรือไง หืม” ใบหน้าของดราโกดูเจ้าเล่ห์ร้ายกาจจนผมไม่ไว้วางใจ อีกทั้งคำพูดในเชิงยั่วยุของเขาที่ดูจะเชิญชวนให้ผมเถียงกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ขอเถอะครับ เรื่องนี้ผมไม่เล่นตามเขาหรอก



“ผมกลัวครับ” และผมก็ยอมรับด้วยความสัตย์จริง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่มีห้องนอนของตัวเองต่อไป ผมเลยใช้การประท้วงในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเงียบไม่พูดไม่จาแม้เขาจะถามจะพูดคุยอะไรกับผมก็ตาม ผมใช้ความเงียบเข้าสู้ แต่เขาก็ไม่สะทกสะท้านและกลับย้อนผมด้วยคำพูดที่ว่า



“ถึงเธอไม่พูดกับฉันก็ไม่เป็นไร เพราะทุกวันนี้เด็กน้อยอย่างเธอก็แทบจะเงียบอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว”



ครับ นั่นล่ะคำพูดของเขาหลังจากที่ผมต่อต้านในรูปแบบของผม แผนหนึ่งไม่เข้าท่า ผมเลยต้องใช้กลยุทธ์ที่สองนั่นคือพอถึงเวลาเข้านอน ผมกลับหอบผ้าห่มและหมอนลงไปนอนที่โซฟาตรงห้องรับแขกแทน นอนกลิ้งไปมาซักพักผมก็หลับสนิท เพราะโซฟาของดราโกนั้นทั้งใหญ่ทั้งนุ่ม ผมนอนเหยียดขาได้สบายเลยครับ เลยคิดว่าจะอาศัยโซฟานอนไปตลอดจนกว่าจะได้กลับบ้าน แต่วิธีนี้มันก็ไม่ได้ผล



“ไง ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มของดราโกดังขึ้นข้างหูของผมในเช้าวันหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลของผมยังคงพร่าเบลอจากอาการงัวเงีย



“ครับ?” ผมขยี้ดวงตาด้วยความง่วงงุน แต่มือของผมก็ถูกรั้งออกไป แทนที่ด้วยฝ่ามือใหญ่เข้ามาประคองใบหน้า และความร้อนผ่าวจากริมฝีปากบางที่ประทับอยู่บนหน้าผากของผม ความง่วงงุนปลิวหายไปในทันทีและเมื่อพยายามจะดิ้นรนต่อต้าน ผมก็รับรู้ถึงมืออีกข้างของเขาที่กำลังกดย้ำอยู่ตรงแผ่นหลังเปลือยเปล่าของผม



“เดี๋ยวครับ นี่มันอะไรกัน” ผมอ้าปากค้างเมื่อเห็นร่างกายของผมที่ใส่แต่กางเกงนอนขายาว ส่วนเสื้อของผมมันหายไปไหนไม่รู้แล้วครับ อีกทั้งผมยังเห็นรอยจ้ำสีแดงช้ำกระจายไปทั่วแผ่นอกของผม



“เห็นเธอนอนหนาวอยู่คนเดียว ฉันเลยพามานอนด้วยกัน” คำพูดและสีหน้าที่แสดงออกว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไปของดราโกปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองเขาด้วยความไม่พอใจ



“แล้วเสื้อผมล่ะครับ?”



“อ่อ พอพาเธอขึ้นมาที่ห้องเธอก็บ่นว่าร้อน ฉันเลยถอดเสื้อให้เธอน่ะ” ถึงแม้ชายหนุ่มจะพูดแบบนั้น แต่ดวงตาสีทองที่เจิดจ้าเป็นพิเศษกลับพราวระยับไม่น่าไว้วางใจ เหตุผลข้างๆ คูๆ ของเขาใครจะเชื่อกันล่ะครับ หลังจากคืนนั้นผมก็มีแผนที่สาม นั่นคือการขนหมอนและผ้าห่มไปเคาะประตูห้องของคาลอส แอนโทนี่ มือซ้ายผู้เป็นมันสมองสำคัญของคอลิโอเน่ แฟมิลี่



ก็อก ก็อก ก็อก



“ครับ? อ้าว? คริสติน มีอะไรรึเปล่าครับ” คาลอสเปิดประตูออกมาและก้มมองผมที่ถือข้าวของเต็มสองมือ



“ผมขอมานอนด้วยครับ” ผมบอกวัตถุประสงค์อย่างรวดเร็ว แต่ร่างสูงโปร่งนั้นกลับชะงักและนิ่งไปพักใหญ่ ดวงตาสีมรกตของเขาฉายแววครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย พร้อมดวงตาที่ฉายแววเห็นใจ



“ขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมไม่สะดวกจริงๆ ห้องของผมตอนนี้ไม่มีที่ว่างเลย” คาลอสปฏิเสธด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้ผมจะเหลือบเห็นห้องนอนของเขาที่โล่งเป็นระเบียบมากแท้ๆ อืม แต่เขาคงมีเหตุผลที่บอกผมไม่ได้ ผมเลยได้แต่มุ่งหน้าไปอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องของจาคอป มือขวาผู้ร่าเริงและบ้าพลังของกลุ่ม



ก็อก ก็อก ก็อก



“อ้าว คริสติน มีอะไรให้ช่วยครับ” จาคอปเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มกว้าง



“ผมขอนอนด้วยได้ไหมครับ” ผมบอกชายหนุ่มร่างสูงทันที เขามองผมเล็กน้อยก่อนยิ้มกว้างและเชื้อเชิญผมเข้าไป



“เชิญเลยครับ ตามสบายนะ ห้องผมกว้าง นอนสบายมาก” เขายิ้มร่าชวนผมคุยไม่หยุด ห้องนอนของจาคอปนั้นดูโปร่งโล่งสบาย เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แต่กลับมีโปสเตอร์พวกนักกีฬาจากทีมที่เขาชื่นชอบติดเต็มผนังตรงหัวเตียง



“ขอบคุณมากครับ” ผมเลือกนอนฝั่งหนึ่งที่ติดกับทางประตูห้องนอน ผมและเขาพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนที่จาคอปจะปิดโคมไฟ ห้องทั้งห้องก็มืดสนิท เหลือเพียงเสียงลมหายใจของผมและเขาเท่านั้น คืนนั้นผมฝันว่าที่นอนนุ่มๆ นั้นกลายเป็นเรือขนาดใหญ่ที่แข็งแรงและอบอุ่น โคลงเคลงไปมาตามคลื่นทะเลเล็กน้อยแต่ก็มั่นคงไว้วางใจได้ แม้จะเห็นเรือลำใหญ่ชนกับหินโสโครกดังโครมใหญ่ แต่เรือก็ยังแข็งแรงลอยไปตามท้องทะเลไล่ตามดวงดาวในยามราตรีต่อไป



เช้าวันใหม่ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งและเห็นดวงตาสีทองคู่หนึ่งจ้องมองผมอยู่ไม่ไกล อ่า แทบจะชิดใบหน้าของผมเลยล่ะครับ



“ดราโก?” ผมพึมพำชื่อเจ้าของดวงตาคมสีทองที่ดูฉายประกายดุมากกว่าทุกครั้ง



“เด็กดื้อ” เสียงทุ้มห้วนแฝงไปด้วยความไม่พอใจ ผมนอนมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างพิจารณา โดยที่ในหัวสมองที่ยังคงงุนงงของผมกำลังพยายามคิดว่าผมทำอะไรลงไปเลยโดนต่อว่าตั้งแต่เช้าเช่นนี้ แต่ระหว่างที่ผมกำลังคิดอยู่นั้น ดอนแห่งคอลิโอเน่ก็โน้มใบหน้าลงมาครอบครองริมฝีปากแดงเรื่อของผมอย่างมูมมาม ดูดกลืนทุกหยาดหยดจนลำคอผมแห้งผาก และฝากรอยประทับเน้นย้ำแสดงความเป็นเจ้าของไปทั่วลำคอ



หลังจากวันที่ผมไปขอนอนที่ห้องของจาคอปแล้ว วันต่อมาชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็มีรอยช้ำอยู่ตรงมุมปาก และมักจะหลีกเลี่ยงพร้อมกับหลบสายตาของผมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะถามอะไรเขา เขาก็บอกว่าไม่มีอะไร ดูท่าทางลุกลี้ลุกลนมองไปรอบๆ เหมือนหวาดระแวงอะไรบางอย่าง พอผมถามเรื่องนี้กับดราโกในวันหนึ่ง เขาก็บอกผมมาว่า...



“ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปสนใจเลย” ถึงดราโกจะพูดอย่างนั้น แต่รอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาอาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้จาคอปหวาดระแวงก็เป็นไปได้ แต่ก็ช่างเถอะครับ ในเมื่อเขาไม่อยากให้ผมรู้ ผมก็ไม่อยากจะถามให้มากความ แม้แต่เรื่องห้องนอนของผมเอง ผมก็เลิกล้มความตั้งใจแล้วล่ะครับ เพราะไม่ว่าจะไปนอนที่ไหนก็ตาม พอลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ผมก็ต้องอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของมาเฟียผู้นี้อยู่เสมอ ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะปล่อยวางและยอมรับในจุดนี้อยู่เงียบๆ



ผมใช้เวลาอยู่ที่เซฟเฮ้าส์ของคอลิโอเน่ แฟมิลี่ได้ครบหนึ่งอาทิตญ์แล้วล่ะครับ เวลาว่างๆ ผมก็หมดไปกับการนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟาภายในห้องทำงานของดราโกเงียบๆ ถ้าวันไหนเบื่อมากเกินไปก็ชักชวนคาลอสออกไปเดินเล่นรอบๆ แทน จากตอนแรกที่ดราโกให้จาคอปมาติดตามผมและชวนผมพูดคุยเพื่อไม่ให้เบื่อหน่าย กลับกลายเป็นว่าผมได้คาลอสหรือคุณพ่อกำมะลอมาแทนที่ เขาค่อนข้างสุภาพและจริงจัง พูดคุยเรื่องวิชาการและมีความรู้รอบตัวดีมาก



อ่านหนังสือเสร็จ เดินเล่นจนเบื่อ ผมก็ใช้เวลาที่เหลือหมดไปกับการอยู่พูดคุยกับแองเจล่าในห้องครัว ช่วยเธอทำขนมเล็กๆ น้อยๆ และคอยดูรอยยิ้มของเธออย่างสบายใจ ภายในหนึ่งวันของผมก็หมดลงเท่านี้ล่ะครับ บางวันผมก็ขึ้นไปนอนบนห้องก่อน หรือบางทีก็เผลอหลับไปบนโซฟาและตื่นขึ้นมาอยู่บนเตียงทุกครั้ง อย่างเช่นเช้าวันนี้ครับ



ดวงตาสีน้ำตาลของผมไร้แววง่วงงุน เมื่อตื่นขึ้นมาพบแสงแรกของวันที่ส่องผ่านมาตามรอยแยกของผ้าม่าน ผมพยายามจะลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ แต่ก็พบว่าผมไม่สามารถลุกได้ เพราะเจ้าของอ้อมแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างคนออกกำลังเป็นประจำสม่ำเสมอกำลังโอบกอดผมเอาไว้แน่นจนผมแทบจมไปกับอกของเขา ผมขยับตัวอย่างอึดอัดพยายามจะปลดอ้อมแขนที่เหมือนปลอกเหล็กนี้ออกจากตัวแต่ก็ไม่สำเร็จ ผมเลยถอนหายใจออกมาแรงๆ และล้มตัวลงนอนพิจารณาใบหน้าคมที่ยังคงนอนหลับสนิทแทน



ดราโก คอลิโอเน่ ชายวัยใกล้สี่สิบ แต่ยังดูหนุ่มแน่นคนนี้ดูแตกต่างจากข่าวลือที่ผมได้ยินมาลิบลับ ในวงการมาเฟีย ดราโกเป็นเหมือนซาตาน โหดเหี้ยม อำมหิต ไร้ความปราณี และเด็ดขาด แต่เท่าที่ผมสัมผัสกับเขามาเขาก็เป็นเหมือนดั่งคำร่ำลือ แต่ก็แค่บางส่วนเท่านั้น ไม่รู้ว่าเพราะกรณีของผมมันต่างกับของคนอื่นรึเปล่า แต่ที่แน่ๆ เขาคนนี้ค่อนข้างใจดี และไม่ได้ไร้เหตุผลจนเกินไป อาจจะมีความเอาแต่ใจและชอบบังคับกะเกณฑ์ในบางเรื่องอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ตัดรอนหรือไร้ไมตรีมากเท่าไหร่นัก



ในบางครั้งผมมักจะถูกลุงหื่นคนนี้เข้ามาคลอเคลียและลวมลามเป็นบางครั้ง แต่ก่อนที่อะไรจะเลยเถิดเพราะอารมณ์เป็นตัวขับเคลื่อนนำพา เขาก็มักจะหยุดและข่มกลั้นอารมณ์ เขาที่แข็งแรงมากกว่าผมไม่รู้กี่เท่า สามารถบังคับและเดินไปถึงจุดหมายปลายทางได้ แต่เขาก็ไม่ทำ ไม่หักหาญน้ำใจ นี่คงเป็นอีกหนึ่งข้อดีของเขา ข่าวลือบางทีก็ไม่อาจจำกัดความบุคคลคนหนึ่งได้ทั้งหมด ดังนั้นเราควรรู้จักตัวตนของเขาด้วยตัวเอง นี่คงเป็นหนึ่งบทเรียนของผมที่ได้รับจากการเดินทางในครั้งนี้



ผมเริ่มเข้าใกล้ความหมายของคำว่าชีวิตในแบบที่พ่อคาดหวังไว้แล้วรึเปล่านะ ผมนอนครุ่นคิดอยู่อีกซักพัก จนผมรู้สึกเมื่อขบเพราะต้องนอนอยู่ท่าเดิมนานๆ จึงตัดสินใจเขย่าตัวชายหนุ่มเล็กน้อยเพื่อให้เขารู้สึกตัวและปล่อยผมซักที



“ดราโกครับ ดราโก” ผมเขย่าแขนของดราโกเบาๆ จนดวงตาสีทองง่วงงุนปรือตาขึ้นมามองหน้าผมเล็กน้อย “ผมอยากเข้าห้องน้ำครับ”



“อืม รีบกลับมานะ” เสียงทุ้มแหบพร่าเล็กน้อยงึมงำพูดอยู่ในลำคอ พร้อมกับแขนที่แข็งราวกับปลอกเหล็กยกออกไป ผมไม่รับปากเขาเพราะตอนนี้มันสายเกินกว่าจนกลับมานอนต่อแล้วล่ะครับ ปกติเวลานี้ผมคงลุกไปช่วยแองเจล่าในห้องครัวเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ แล้ว และเวลานี้ดราโกก็คงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่ที่ห้องอาหาร แต่เมื่อคืนเขาคงทำงานจนดึก วันนี้เลยยังไม่ลุกจากที่นอนเสียที





หลังจากที่ผมจัดการธุระส่วนตัวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินออกไปจากห้องนอนด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบ แต่ระหว่างที่จะเดินไปที่ห้องครัวนั้นผมก็พบผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินวนไปมาอยู่หน้าห้องทำงานของดราโก เป็นผู้ชายตัวสูงแต่รูปร่างกลับผอมแห้งและมีผมเผ้าชี้ฟูยุ่งเหยิง บนใบหน้าโทรมๆ คล้ายคนอดนอนนั้นมีไรหนวดขึ้นรำไร จนผมอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้อาบน้ำและจัดการตัวเองครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่



อ๊ะ ขอโทษครับ ผมคงเสียมารยาทที่เผลอวิจารณ์เขาอยู่ในใจ ผมเห็นท่าทางของเขาก็ไม่น่าไว้วางใจ จึงคิดจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่ผมก็หลบไม่ทันเมื่อชายแปลกหน้าที่ผมไม่เคยเห็นคนนั้นเหลือบมาเห็นผมซะก่อน เขาทำหน้าแปลกใจอยู่ชั่วครู่ก่อนดวงตาจะฉายแววดีใจ ร่างสูงผอมของเขาคนนั้นรีบวิ่งมาทางผม ท่าทางคุกคามของเขาทำให้เท้าของผมที่จะก้าวเดินต่อชะงักกึก และหมุนตัวเตรียมวิ่งหนีทันที



“เดี๋ยวเธอ!!!!” เสียงของเขาตะโกนเรียกผมเสียงดังลั่น ผมเลยรีบวิ่งไปทางห้องนอนโดยที่คิดจะหลบเข้าไปซ่อนในห้องนั้น เป้าหมายของผมอยู่ตรงหน้า และมือของผมก็คว้าลูกบิดและหมุดเปิดประตูห้องนอนแล้วครับ และกำลังจะมุดตัวเข้าไป แต่ก็ไม่ทันเมื่อมือของผู้ชายคนนั้นคว้าร่างของผมและแบกขึ้นบ่า ผมตกใจอยู่พอสมควรเลยเผลอเรียกชื่อมาเฟียหนุ่มที่นอนอยู่ในห้องอย่างลืมตัว



“ดราโกครับ!!!” ชื่อของดราโกเป็นชื่อแรกที่หลุดออกมาโดยที่ผมก็ไม่คาดคิด และเสียงเรียกของผมก็ดังมากพอที่จะทำชายหนุ่มร่างสูงใหญ่อีกคนที่นอนอยู่ภายในห้องตื่นเต็มตา เสียงก้าวเท้าดังโครมครามอย่างร้อนใจรีบวิ่งมาที่ประตูห้องนอน แต่เมื่อดราโกเปิดประตูออกมา ดอนแห่งคอลิโอเน่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังของชายหนุ่มร่างสูงตัวผอมหัวฟูวิ่งกระเตงผมไปอีกทางแล้ว



“มาร์ค!!!!!!!! ” เสียงตะโกนเรียกชื่อของชายร่างสูงผอมดังลั่น น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวจนผมรู้สึกว่าผู้ชายที่แบกผมอยู่จู่ๆ ก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้



“ขะ ขอโทษครับดอน ขอยืมตัวเจ้าหนูนี่ซักพักนะครับ” แม้จะกลัวแต่ก็ยังตะโกนตอบเสียงสั่น ผมที่ยังคงโดนแบกอยู่บนบ่าของชายที่ชื่อมาร์คนั้น กำลังพยายามยกหัวเพื่อเงยหน้ามองดราโก แต่เมื่อเงยหน้ามองได้สำเร็จ ผมก็เผลอคิดไปว่าไม่น่าเลย ตอนนี้ดราโกดูเหมือนซาตานสุดๆ เลยครับ ใบหน้าเครียดเขม็งขึงตึง ดวงตาสีทองวาวโรจน์มาแต่ไกล



“ถ้าฉันจับนายได้ นายตาย ดราโกเขาพูดอย่างนี้น่ะครับ” ผมพูดออกมาเมื่ออ่านริมฝีปากของดอนแห่งคอลิโอเน่ และเมื่อมาร์คได้ยินประโยคนั้นร่างกายของเขาก็สั่นเทาราวกับลูกนก ผมเลยได้แต่ลูบหลังปลอบเขาด้วยท่าทางกลับหัวกลับหางเพราะเขายังแบกผมอยู่เหมือนเดิมครับ “คุณเหนื่อยไหมครับ ให้ผมเดินเองก็ได้”



ตอนนี้ผมหายตกใจแล้วครับ เลยเสนอทางเลือกที่ทำให้เขาไม่หน้ามืดเป็นลมเพราะผม น้ำหนักของผมก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่เขาก็ยังแบกผมเดินมาทางสวนหลังบ้าน ทะลุผ่านสวนเล็กๆ และพาเดินเข้าไปในป่าอยู่ซักพัก ทางนี้เป็นทางที่จาคอปไม่เคยพาผมเดินมา คิดว่าคงเป็นที่ส่วนตัวของผู้ชายคนนี้แน่นอน



“ไม่เป็นไรๆ ผมไหว ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะเจ้าหนู” มาร์คพูดขึ้น แม้เขาจะแบกผมมาตั้งไกลแต่ผมสังเกตว่าเขาไม่หอบเลยแม้แต่น้อย เห็นตัวผอมๆ แบบนี้แต่เขาแข็งแรงมากเลยนะครับ



“ผมก็ต้องขอโทษเช่นกันครับ เมื่อสักครู่ผมตกใจจริงๆ หวังว่าจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อน” ผมเอ่ยขอโทษเขาไป ไม่ได้ตั้งใจเรียกชื่อดราโกเลยซักนิด แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงหลุดปากไปแบบนั้น “คุณมีเรื่องอะไรเหรอครับ ท่าทางของคุณดูร้อนรน”



“เธอเป็นเจ้าของคอมสีดำนั่นใช่ไหม อยากจะให้ช่วยแก้ระบบให้หน่อย เจอเธอเล่นงานซะอ่วมเลยล่ะ โทษทีนะที่ต้องค้นคอมของเธอ แต่มันจำเป็นน่ะ” เขาพูดรัวเร็วโดยไม่หยุดหายใจ ทำให้ผมรู้ว่าเขารีบร้อนจริงๆ แสดงว่าเขาปลดล็อคคอมของผมได้ถึงห้าชั้นแล้ว เลยเจอแจ็คพ็อตที่ผมวางกับดักไว้พอดี มิน่าเขาถึงร้อนใจ ถ้าช้าไปมากกว่านี้จากที่เขาอยากล้วงความลับของผม จะกลายเป็นว่าความลับทั้งหมดของคอลิโอเน่จะกลายเป็นของผมเอง



“เร็วเหมือนกันนะครับ” ผมพูดขึ้น และยอมรับความสามารถของชายคนนี้ขึ้นมา หนึ่งอาทิตย์กับการปลดระบบถึงขั้นที่ห้าที่ผมสร้างขึ้นเอง “คุณเก่งมากเลยครับ”



“ถึงเก่งแต่ก็ไม่เท่าเธอหรอกเจ้าหนู” น้ำเสียงของเขามีแววชื่นชมอย่างเต็มเปี่ยม “ไว้มาแข่งกัน ฉันอยากแข่งกันเธอจะแย่อยู่แล้ว แต่ดอนเก็บเธอไว้ข้างๆ ตลอดเลยไม่กล้า พอเห็นเธอเดินคนเดียววันนี้มันก็ลืมตัวไปนิดหน่อย อย่าถือสาเลยนะ”



“ครับ น่าสนุกดีนะครับ” ผมบอกเขาไป การแข่งขันที่ที่มาร์คพูดคือการแข่งกันเจาะระบบครับ ใครเร็วกว่ากัน สะอาดหมดจดกว่ากัน คนนั้นก็ชนะ นิสัยชอบแข่งชันในรูปแบบนี้มีอยู่ในตัวแฮคเกอร์ทุกคน เพื่อพัฒนาฝีมือและได้เรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ ผมคิดว่าเรื่องน่าสนุกสำหรับผมได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่างแล้วครับ





กลับมาทางด้านของดราโก คอลิโอเน่ หลังจากที่เขาหลับใหลไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการใช้สมองทำงานหนัก เขาก็พาตัวเขาเองเข้าสู่ห้วงนิทราและโอบกอดเทวดาตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนดั่งเช่นทุกวัน แต่เช้าวันนี้กลับไม่มีร่างนุ่มๆ อยู่ในอ้อมแขนเหมือนทุกเช้าที่เขาตื่นขึ้นมา ดวงตาสีทองกำลังปรับโฟกัส กระพริบไล่ความง่วงงุนอยู่บนเตียง พลางลำดับความคิดว่าทำไมเจ้าตัวน้อยของเขาถึงหายไป และนึกขึ้นมาได้ว่าช่วงเช้ามืดเสียงของคริสตินเอ่ยบอกเขาว่าจะไปเข้าห้องน้ำ หลังจากนั้นเด็กหนุ่มคงออกไปที่ห้องครัวเช่นเดิม



ร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามผุดลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง เท้ากำลังจะก้าวลงเขาก็ได้ยินเสียงวิ่งตึงตังอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องนอน ดวงตาสีทองดุของเขาตวัดสายตาจ้องไปยังทิศทางของเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ในทันที เมื่อประตูเปิดออกและเห็นใบหน้าของคริสตินปรากฏ เขาก็เห็นร่างเล็กพยายามมุดเข้ามา แต่ก็ไม่ทันเมื่อมือปริศนาคู่หนึ่งกระชากร่างของเด็กหนุ่มออกห่างไป



“ดราโกครับ!!!” เสียงนุ่มของคริสตินดังขึ้นอย่างตกใจอยู่หน้าประตูห้องนอน เพียงเท่านี้ร่างสูงใหญ่ของเขาก็กระโจนพรวดพุ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว ลืมความตึงของบาดแผลช่วงต้นขาไปจนหมด พอโผล่หน้าออกไปก็เห็นแต่แผ่นหลังคุ้นตาของโปรแกรมเมอร์หนุ่มของแฟมิลี่กำลังแบกร่างของคริสตินไว้บนบ่า ใบหน้าตกใจของเด็กหนุ่มทำให้เขารู้สึกโกรธมาก



“มาร์ค!!!!!!!! ” เขาตะโกนลั่นด้วยความหงุดหงิด ไอ้แห้งหัวฟูบังอาจทำให้คริสตินของเขาตกใจ ที่ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่ชอบใจที่เห็นเทวดาน้อยของเขาถูกผู้ชายคนอื่นนอกเหนือจากเขาสัมผัสและโอบกอดชิดใกล้ขนาดนั้น!!!!



เสียงฝีเท้าร้อนรนวิ่งมาอีกทางจากเบื้องหลังของมาเฟียหนุ่ม หางตาของดราโกเห็นคาคอปและคาลอสวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาพร้อมอาวุธปืนในมือ



“เกิดอะไรขึ้นครับ” จาคอปวิ่งมาถึงเป็นคนแรกและเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้ากระหายเลือดของดราโก



“ตามมา ฉันจะไปหามาร์ค” น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่เย็นชาของดอนแห่งคอลิโอเน่ทำให้มือซ้ายและมือขวาลอบสบตากันด้วยความงุนงง



“ตอนนี้เหรอครับ” คาลอสเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง ดวงตาสีทองดุตวัดมองคนพูดทันที



“ทำไม!!”



“ดอนแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนดีไหมครับ” มือซ้ายก้มมองแผงอกแน่นของดราโกที่เปลือยเปล่า เพราะเจ้าตัวสวมใส่แต่กางเกงนอนเท่านั้น



“ไม่!!!” ดราโกไม่สนใจ เขารีบสาวเท้าเดินไปยังทิศทางที่มาร์คพาเทวดาน้อยของเขาไปอย่างรวดเร็ว เขาจะแต่งกายยังไงก็ช่างหัวมัน แต่เขาไม่อาจปล่อยให้คริสตินอยู่กับผู้ชายคนอื่นนอกจากเขาได้แน่นอน







***พิเศษ***





“ฉันทำอะไรผิดวะ ทำไมดอนต้องชกฉันด้วย” น้ำเสียงตัดพ้อจากชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังนั่งระบายความในใจอยู่ภายในห้องของคาลอส เรียกสายตาเห็นใจจากชายหนุ่มร่างโปร่งได้ไม่ใช่น้อย ถึงแม้ว่ามันจะดูขัดกับบุคลิกอยู่มาก ที่เห็นผู้ชายร่างยักษ์มานั่งทำหน้าตาซึมเศร้าจะเป็นจะตาย เพราะถูกดอนโผล่เข้ามาในห้องกลางดึกและประเคนหมัดหนักๆ ให้หนึ่งที จนคนที่เป็นมือขวาล้มไปกองกับพื้นด้วยความงุนงง



“เอาเถอะน่า นายอย่าคิดมากเลย” เขาก็ได้แต่ปลอบใจคนตัวโตไปตามเรื่องตามราว เพราะจะให้อธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจก็ดูจะยุ่งยาก เพราะเจ้าตัวนั้นซื่อบื้อกับเรื่องพวกนี้มากเกินไป แค่เห็นแค่นี้ใครๆ ก็ต้องรู้ว่าดอนถูกใจเด็กหนุ่มคนนั้นมากขนาดไหน พอเด็กคนนั้นประท้วงด้วยการหอบหมอนหนีไปนอนที่อื่น ก็เป็นดอนอีกนั่นแหละที่รอให้อีกฝ่ายหลับให้สนิทและอุ้มเจ้าตัวเล็กพาไปนอนที่ห้องนอนด้วยกัน แต่เรื่องยุ่งมันก็เกิดเพราะจาคอปดันซื่อบื้อ ใจดีด้วยผิดเวล่ำเวลา พอคริสตินไปนอนด้วยกัน บนเตียงเดียวกัน และยังนอนกอดกันอีกต่างหาก อ้อ ไม่ใช่จาคอปเป็นคนกอดนะ แต่เป็นเด็กหนุ่มตากลมโตคนนั้นต่างหากที่เป็นฝ่ายกอดคนตัวยักษ์ไปเต็มๆ แต่จะให้ดอนมาชกเทวดาน้อยของตัวเองก็คงไม่ใช่ คนโดนลูกหลงก็ต้องเป็นจาคอปอยู่แล้วล่ะ



“ฮือ ทำไมดอนต้องชกฉันด้วย” เสียงคร่ำครวญของจาคอปยังดังไม่เลิก



“ถือว่าเป็นบทเรียนแล้วกัน นายก็อย่าไปอยู่ใกล้ๆ คริสตินมากเกินไปล่ะ ห่างซักหนึ่งเมตรได้ยิ่งดี” คาลอสก็ช่วยเตือนได้เท่านี้ล่ะนะ ไม่รู้เจ้าทึ่มนี่จะเข้าใจได้ขนาดไหน “นายเข้าใจใช่ไหม คริสตินอยู่ในสายตาดอนตลอดเวลา เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ระวังๆ ไว้หน่อย”



จาคอปพยักหน้ารับ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ทำตามที่เพื่อนรักบอก คุยได้ สนิทสนมได้ แต่อยู่ในระยะเกินกว่าหนึ่งเมตรที่พูดคุยกัน ถ้าอยู่ใกล้กันเกินกว่าที่คาลอสเตือนเขาก็ต้องรู้สึกหวาดระแวงใช้สายตาสอดส่องมองหาดอนอยู่เสมอ



................................................................



สวัสดีค่า ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ชื่นชอบเรื่องนี้นะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องที่สองของไรท์ค่ะ อยากจะลองแต่งนิยายแนวนี้ดูบ้าง 5555 (แนวกินเด็กค่ะ อิอิ) เรื่องแรกของไรท์เป็นแฟนตาซีค่ะ แต่ยังแต่งไม่จบก็พักมาเขียนเรื่องนี้ต่อ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเม้นต์ให้กำลังใจและติดตามเรื่องนี้นะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่า


หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 8 วันธรรมดา (27.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 27-06-2018 22:22:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 8 วันธรรมดา (27.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-06-2018 23:03:48
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 8 วันธรรมดา (27.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-06-2018 23:59:27
 :m20:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 8 วันธรรมดา (27.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jaebam ที่ 28-06-2018 14:33:55
สนุก และน่าติดตามมากเลยค่ะ
สงสารจาคอปคนความรู้สึกช้า พาร์ทที่แล้วโดนเด็กแอทแทคใส่ สตั้นไป 3 วิ
พาร์ทนี้นอนให้เด็กกอดอยู่ดี ๆ โดนลุงต่อยตาแตกซ่ะงั้น 555
ลุงหื่นเขาขี้หวงมากกกกกก  ขอบอกไว้เลย
คริสติน เหมือนแมวอ่ะ จะหนีหลับมุมไหนซอกไหนตามสบายได้หมด
ลุงหื่นเขาก็มาอุ้มกลับไปนอนกอดบนเตียงต่อ โอ้ยย น่ารักที่สุดค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 8 วันธรรมดา (27.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 28-06-2018 16:51:00
สงสารจาคอป คาลอสยังนกรู้กว่าเลย 555 ดอนก็ขี้หวงชอบลวนลามเด็กจริงๆ เล็กน้อยก็เอา
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 8 วันธรรมดา (27.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 28-06-2018 18:44:09
ดอนใจร้าย ชกจาคอปทำไม แค่ให้น้องนอนกอดหน่อยทำหวง
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 8 วันธรรมดา (27.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 28-06-2018 23:07:15
จาคอปผู้แสบดี โดนโกรธแบบไม่รู้ตัว
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 9 หลอก (29.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 29-06-2018 09:39:41

บทที่ 9 หลอก


ผมถูกผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งที่ชื่อมาร์คพามายังบ้านเล็กๆ กลางป่า มาร์คเป็นผู้ชายอายุยี่สิบกว่าที่ผอมจนเห็นกระดูกตรงช่วงไหปราร้าชัดเจน แต่รูปร่างของเขากลับตรงกันข้ามกับพลังกาย ด้วยระยะทางจากตัวบ้านหลังของดราโกจนมาถึงกระท่อมกลางป่าของมาร์ค ชายหนุ่มที่แบกผมมาตลอดทางกลับไม่มีอาการเหนื่อยหอบเลยแม้แต่น้อย



“ถึงแล้วล่ะ” มาร์คพูดขึ้นเมื่อพาผมมาถึงจุดหมาย หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยผมลงกับพื้นอย่างปลอดภัย แต่ผมที่ต้องเอาหัวห้อยลงกับพื้นจนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ จึงทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย ร่างของผมเซถอยหลังจนต้องให้ผู้ชายตัวสูงผมชี้ฟูเข้ามาประคอง



“เป็นอะไรมากไหม ฉันขอโทษนะ” ใบหน้าซีดเซียวใต้หนวดเคราเขียวเอ่ยขอโทษผมอีกครั้ง



“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ” ผมนวดคลึงหน้าผากเบาๆ เพื่อระงับอาการวิงเวียนและคลื่นไส้ จนอาการทุเลาผมจึงได้โอกาสสำรวจบ้านไม้เล็กๆ ตรงหน้า ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวไม่กว้างมากนัก แต่บรรยากาศรอบๆ นั้นดูสงบร่มรื่นและสวยงามมากเลยทีเดียว ถึงภายนอกดูธรรมดาแต่ผมสังเกตเห็นเครื่องแสกนม่านตาอยู่ตรงประตูทางเข้าบ้าน



มาร์คเดินนำผมเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงประตู ก่อนจะจัดการปลดล็อคและแสกนม่านตา ผมได้ยินเสียงเหมือนกลไกกำลังทำงาน ชายผมดำชี้ฟูเอื้อมมือไปผลักประตูไม้นั้นให้เปิดออก ผมสังเกตุเห็นว่าระหว่างที่เขาเปิดประตูนั้น แขนของเขาเกร็งและมีเส้นเลือดขึ้นเล็กน้อย แสดงว่าประตูบานนี้ด้านในอาจจะไม่ใช้แค่ประตูไม้อย่างเดียวแล้วล่ะครับ น้ำหนักก็ไม่ใช่น้อยๆ ด้วย มิน่าเขาถึงแข็งแรงขนาดนี้



“มาเลยๆ ที่นี่เป็นห้องส่วนตัวของฉันเอง รับรองปลอดภัย แข็งแกร่งทนทานยิ่งกว่าโครงสร้างยานอวกาศซะอีก” น้ำเสียงของชายหนุ่มมีแววตื่นเต้นดีใจและยิ้มร่าเหมือนเด็กที่กำลังอวดของเล่น เมื่อร่างสูงเดินนำเข้าไป ผมก็ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปสำรวจโลกของเขา และภาพตรงหน้านี่เองที่ทำให้ดวงตาของผมต้องเบิกกว้างและเต็มไปด้วยประกายตื่นเต้น



“สุดยอดมากเลยครับ” ผมเห็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มากมายที่ต่อพ่วงกับหน้าจอขนาดใหญ่ อุปกรณ์พวกนี้มีราคาที่สูงมากและต้องได้รับการดูแลทะนุถนอมอย่างดี คอมพิวเตอร์ระดับนี้ใช่ว่าจะหามาได้ง่ายๆ จะสั่งทำขึ้นมาก็ต้องหมดเงินไปมาก ไม่คิดเลยว่าคอลิโอเน่จะให้ความสำคัญในเรื่องเทคโนโลยีมากขนาดนี้



“ใช่ไหมล๊าาา ฉันชอบดอนตรงที่ใจป่ำนี่ล่ะ ยังดีนะที่ดอนไม่ใช่พวกตาแก่หัวคร่ำครึสมัยโบราณ เดี๋ยวนี้จะทำอะไรก็ต้องอาศัยเทคโนโลยีนี่ล่ะ” น้ำเสียงของมาร์คดูร่าเริงจนผมอดที่จะพยักหน้าเห็นด้วยกับเขาไม่ได้ “อ๊ะ ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่อยเปื่อยนี่นะ เจ้าหนู นายช่วยฉันหน่อย ระบบของนายมันกำลังเจาะเข้าฐานข้อมูลของฉันได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ช่วยฉันหยุดทีเถอะ ไม่งั้นดอนฆ่าฉันแน่”



มาร์คคว้าไหล่ของผมให้เข้าไปดูใกล้ๆ ผมเห็นเขาลงมือพิมพ์ข้อมูลบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว ทำให้หน้าจอด้านขวาปรากฏภาพกราฟิกเป็นรูปสุนัขพันธ์ชิบะตัวหนึ่งกำลังวิ่งเล่นไปมาอยู่ ตรงมุมขวาด้านล่างของจอบอกตัวเลขที่ 51% จู่ๆ ความคิดหนึ่งของผมก็ผุดขึ้นมาในทันที ดวงตาสีน้ำตาลของคงเป็นประกายเจิดจ้ามากเกินไป พอหันมามองมาร์คเขาถึงกลับสะดุ้งออกมาเล็กน้อย



ระบบของผมที่วางป้องกันไว้ในคอมพิวเตอร์มีทั้งหมดสิบชั้น ถ้าเขาเจาะระบบได้เรื่อยๆ กับดักที่ผมวางไว้จะทำงาน โดยชิบะไวรัสคือระบบปฏิบัติการที่ผมวางเอาไว้เมื่อมีคนพยายามเจาะข้อมูลเข้ามา มันจะทำการแทรกแซงเหมือนไวรัสเพื่อโต้กลับไปที่ระบบต้นตอ ถ้าเขาไหวตัวทันและหยุดได้แต่เนิ่นๆ ชิบะของผมจะไม่ทำงาน เขาต้องพยายามหาทางเจาะระบบของผมด้วยวิธีอื่น แต่มาร์คคงรู้ตัวช้าไป



“เร็วเถอะเจ้าหนู” น้ำเสียงของมาร์คร้อนรน ผมละสายตาจากหน้าจอที่ผมมองอยู่เพื่อหันมาพิจารณาและต่อรองเขา



“ผมจะช่วยครับ แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องคืนคอมพิวเตอร์ให้ผม” ผมพูดในสิ่งที่ผมต้องการทันที เมื่อมีโอกาสผมก็อยากจะได้ของๆ ผมคืนโดยการใช้เรื่องนี้ในการต่อรอง



“ฉันรับปากไม่ได้ เรื่องนี้ฉันไม่มีอำนาจตัดสินใจ ต้องไปถามดอน” มาร์คลังเล แววตาฉายแววไม่มั่นใจกับข้อเสนอของผม



“53% แล้วครับ ข้อมูลที่คุณได้ไปจากผมก็ส่วนหนึ่งแล้ว มันน่าจะเพียงพอ แต่ถ้าคุณไม่ตัดสินใจ ข้อมูลสำคัญของคอลิโอเน่จะหลุดออกไปในโลกอินเตอร์เน็ตแน่นอน หรือไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องพยายามหยุดระบบของผมให้ได้ 55% แล้ว” ผมกดดันเขาต่อไป ความเงียบชวนอึดอัดเข้าครอบคลุมระหว่างผมกับเขา ดวงตาของเราสองคนสบตากันโดยไม่มีใครยอมใคร ชายหนุ่มหัวฟูเดี๋ยวอ้าปากเดี๋ยวหุบปาก ดูละล่ำละลักตัดสินใจไม่ถูก เรื่องที่ดอนสั่งไว้เขาก็ต้องทำ หาข้อมูลของเจ้าหนูนี่ออกมาให้ได้มากที่สุด



มาร์คยืนขยี้หัวฟูๆ ของตัวเองไปมาด้วยท่าทางฮึดฮัด เขาพิจารณาเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ยืนนิ่งมองเขาอย่างสงบ ดวงตาสีนำ้ตาลกลมโตนั้นดูเด็ดเดี่ยว แต่เขายังคงเห็นแววตารื่นรมย์ของคริสตินวาดผ่านอย่างชัดเจน เด็กคนนี้ต้องมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะถ้าเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งข้อมูลคงไม่ถูกปกปิดขนาดนี้ ทั้งประวัติการศึกษา ประวัติครอบครัว ทุกอย่างเป็นปริศนาและมืดมิด เหมือนมีคนจงใจลบตัวตนของคริสติน นอร์แมนออกไปจนหมด มีแค่ประวัติเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สำคัญเท่านั้น



แต่ที่ดอนต้องการคือทุกอย่าง ทุกอย่างที่เป็นคริสติน นอร์แมน ดังนั้นความหวังเดียวที่ยังเหลือคือคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ของเด็กหนุ่ม ภายนอกก็เหมือนคอมทั่วไปที่ดูเรียบง่าย ติดสติ๊กเกอร์การ์ตูนเรื่องที่ชอบเอาไว้เต็มไปหมด แต่ใครจะรู้เล่า เขาแค่ลองแงะเครื่องนี้ออกมาดูก็พบว่าคอมเครื่องนี้ประสิทธิภาพเหลือร้น เหมือนสั่งทำขึ้นมาโดยเฉพาะด้วยซ้ำ



แค่เขาหาวิธีเปิดคอมใส่พาสเวิร์ดก็เล่นเหงื่อตก เจ้าหนูนี่เล่นตั้งรหัสเป็นเลขฐานสองถึงยี่สิบสี่ตัว พอเปิดได้แล้วระบบปฏิบัติการก็ไม่เหมือนใคร มีระบบป้องกันแต่ละชั้นที่เขาแทบกระอัก ไม่คิดเลยว่าเด็กตัวเล็กๆ แค่นี้จะเป็นคนสร้างระบบนี้ขึ้นมา ใครจะพูดให้ตายยังไงเขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าหนูนี่คือเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ยิ่งปกปิดก็ยิ่งน่าสงสัยจนอยากจะรู้จริงๆ ว่าเด็กคนนี้คือใครกันแน่



“60% แล้วนะครับ” ผมพูดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นมาร์คนิ่งไปพักใหญ่



“เธอเก็บความลับอะไรไว้กันแน่นะ ถึงสร้างระบบมากมายขนาดนั้นขึ้นมา” มาร์คจ้องผมเหมือนกับจะล้วงลึกเข้าไปข้างใน ผมเลยมองเขากลับและพูดขึ้นมาเบาๆ



“คุณอย่ารู้เลยจะดีกว่านะครับ” ผมตอบเสียงราบเรียบ



ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด



ระหว่างที่ผมกับมาร์คกำลังลองใจกันอยู่นั้น ประตูไม้หนาหนักก็มีเสียงระบบยืนยันตัวตนดังขึ้น พวกผมละสายตาและหันไปมองทางประตูอย่างพร้อมเพรียงกัน เพียงแต่สีหน้าของผมกับมาร์คกลับต่างกันลิบลับ ของผมนั้นคือความสงสัย แต่ของผู้ชายหัวฟูคงเป็นความหวาดกลัว



ผั๊วะ ตึง



เสียงเปิดประตูดังขึ้นตามแรงอารมณ์ ประตูไม้หนานั้นถูกเปิดออกจนเหวี่ยงไปกระแทกผนังอย่างแรง ส่วนคนที่เปิดประตูนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากดอนแห่งคอลิโอเน่ที่ยืนตระหง่านส่งสายตาเชือดเชือนมาให้กับมาร์คทันที ผมมองใบหน้าเย็นชาของดราโกด้วยความสงสัย ว่าทำไมผู้ชายที่มักจะมีมาดและแต่งตัวภูมิฐานกลับรีบร้อนและมาที่บ้านหลังเล็กนี้ด้วยสภาพที่ไม่เรียบร้อยเท่าไหร่นัก



ดวงตาสีทองกวาดตามองจนมาหยุดที่ร่างของผม แล้วร่างสูงใหญ่นั้นก็ก้าวพรวดเดียวมาปรากฏอยู่ตรงหน้า มือใหญ่ของเขาสำรวจผมไปทั่วตัวเพื่อหาร่องรอยผิดปกติ จับผมหมุนซ้ายหมุนขวาหลายรอบจนผมเริ่มมึนหัว เลยรีบจับมือเขาให้หยุดและเกาะแขนชายหนุ่มเพื่อทรงตัวเล็กน้อย



“เป็นอะไรไหม” แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่ผมเห็นดวงตาของเขาฉายแววเป็นห่วงอยู่บางเบา



“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ ผมไม่เป็นไร” เมื่อเขาสำรวจผมจนพอใจ ดวงตาคมดุคู่นั้นก็ตวัดมองไปยังตัวต้นเหตุที่กำลังยืนตัวสั่นหน้าซีดเซียว ดราโกไม่ได้พูดอะไร แต่แค่เขามองนิ่งๆ แค่นี้ก็ทำให้คนรู้สึกอึดอัดและตึงเครียดขึ้นมาทันที



“ดะ ดอน ผะ ผม” มาร์คพูดเสียงสั่น ผมเห็นใบหน้าหวาดวิตกและดวงตาหวาดกลัวของเขา ผมดำๆ ของเขายิ่งดูชี้ฟูยุ่งเหยิงไปกันใหญ่ นอกจากดราโกที่แผ่รังสีหนักอึ้งไปแล้ว ตรงประตูยังมีคาลอสและจาคอปที่ยืนกดดันมาร์คเช่นกัน ผมมองพวกเขาแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวไม่เข้าใจ ตอนนี้มาร์คคงกลัวดราโกจนลืมไปหมดแล้วว่าตอนนี้อะไรสำคัญที่สุด



ผมก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อให้ร่างกายของผมยืนเยื้องไปทางด้านหน้าของดราโก เพราะเมื่อสักครู่ชายหนุ่มตัวสูงคนนี้หันมายืนบังผมจนมิดไปหมด เมื่อผมก้าวออกมาจากแผ่นหลังของเขา สายตาทุกคู่ก็หยุดอยู่ที่ผมเพียงคนเดียว แต่ผมไม่สนใจสายตาสงสัยใคร่รู้ของคาลอสและจาคอป หรือแม้กระทั่งสายตาทิ่มแทงแปลกๆ จากดราโก



“ว่ายังไงครับมาร์ค เรายังตกลงกันไม่ได้เลย ตอนนี้...65% แล้วครับ” ผมพูดแทรกความเงียบชวนอึดอัดขึ้นมา



สายตาของมาร์คเบิกโพลงด้วยความตกใจ รีบร้อนหันไปมองดอนแห่งคอลิโอเน่ ท่าทางแปลกๆ ของชายหนุ่มนั้นทำให้ดราโกเลิกคิ้วด้วยความสงสัย จ้องไปยังชายหนุ่มหัวยุ่งหยิงเขม็งเพื่อให้เจ้าตัวอธิบายเรื่องราวทั้งหมด



“ผะ ผม ดอนครับ คือว่า คอมพิวเตอร์ที่ดอนบอกให้ผมค้นนั้นมีไวรัสแฝงอยู่ ผมไม่ทันระวังเลยโดนเล่นงานคืน ตอนนี้เจ้าตัวนั้นมันกำลังเจาะระบบเราคืนครับ ถ้ามันทำสำเร็จเมื่อไหร่ ข้อมูลลับของคอลิโอเน่จะปรากฏอยู่บนอินเตอร์เน็ตแน่นอน”



“แล้ว...” ดราโกจ้องเขม็งเค้นคำตอบ



“ถ้าจะกำจัดมันจะเสียเวลามากไป ผมเลยต้องการตัวคริสตินมาช่วย แต่ว่า...แต่ว่า” ยังไม่ทันที่มาร์คจะพูดจบ เพราะมัวแต่ลังเลที่จะพูดถึงข้อเสนอที่ผมต่อรองไปเมื่อครู่ ผมจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาแทน



“ผมยื่นข้อเสนอไปครับ ว่าถ้าให้ผมช่วยต้องแลกกับคอมของผม เขาเลยไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการ เพราะต้องรอคำอนุญาตจากคุณก่อน” ผมพูดและหันไปสบสายตากับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แทน “ได้ไหมครับ ผมอยากได้คอมของผมคืนจริงๆ แล้วผมจะช่วยคุณ”



“ต่อรองเก่งจริงนะ” ดราโกพูดขึ้นหลังจากเงียบมานาน “แต่อย่าลืมซิเด็กน้อย คำโกหกของเธอถูกเปิดโปงแล้วนะ” ดวงตาคมกริบของดราโกมองลึกลงไปในดวงตาของผมเหมือนกับว่าเขากำลังค้นหาความจริงที่ผมซุกซ่อนเอาไว้ ซึ่งจากคำพูดของเขาทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านั้นผมเคยบอกอะไรกับเขาไปบ้าง และจากคำพูดและการกระทำที่ขัดแย้งกันเองของผมนั้น ทำให้เขารู้ความจริง “ไหนบอกว่าแค่เคยเรียนจากในคลาส แต่ถึงกับเขียนระบบเองได้แบบนี้ แล้วฉันจะวางใจเรื่องของเธอได้ยังไง”



“ผม…” ความจริงที่เขาพูดขึ้นมาทำให้ผมไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากจะลองเสี่ยงดู ลองให้ถึงที่สุด “แต่ตอนนี้ถ้าคุณยังไม่ตัดสินใจ เวลาก็เหลือน้อยลงเรื่อยๆ นะครับ”



“ถ้าฉันบอกว่าไม่สนใจล่ะ หืม” ร่างสูงใหญ่ของดราโกขยับเข้ามาใกล้ จนแผ่นอกที่ยังเปล่าเปลือยของเขาอยู่ห่างจากใบหน้าของผมเพียงแค่คืบเดียว ผมเงยหน้าสบตาเขาจนคอตั้งบ่า



“แต่ข้อมูลสำคัญมากมายของคุณจะต้องถูกขโมยไปนะครับ” ผมมองผู้ชายตรงหน้า ดวงตาของดราโกยังคงคมกริบและคมดุยิ่งกว่าทุกครั้ง



“เธอยังเป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้น ยังอ่อนต่อโลก ยังไร้ประสบการณ์” น้ำเสียงของชายหนุ่มราบเรียบ



“ผม…” ผมไร้คำพูดไม่สามารถตอบอะไรดราโกได้เลย คำพูดของเขาคือความจริง “คุณ…ไม่สนใจจริงๆ เหรอครับ เรื่องของคุณ เรื่องของแฟมิลี่ของคุณ”



“ไม่เลย ฉันไม่สน เธอคิดว่าคอลิโอเน่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้เพราะอะไรล่ะ” สิ้นประโยคของชายหนุ่มร่างสูง ภายในบ้านหลังเล็กที่ซุกซ่อนเทคโนโลยีล้ำสมัยเอาไว้ก็ตกอยู่ในความเงียบ ตอนนี้ผมได้แต่สบตากับดราโกเท่านั้น ไม่มีมาร์ค ไม่มีคาลอส ไม่มีจาคอป มีแค่ผมกับเขาที่กำลังวัดใจกัน แต่ก็เป็นผมเองนี่แหละครับ ที่ถอนหายใจและถอยห่างดราโกออกมา



ผมหมุนตัวไปเปิดคอมพิวเตอร์ของผม ลากเก้าอี้มานั่ง และลงมือเปิดโปรแกรมที่ผมเขียนเองขึ้นมาเพื่อจัดการหยุดชิบะไวรัสตัวนี้ นิ้วมือของผมขยับรัวเร็วอยู่บนแป้นพิมพ์เหมือนกับผมกำลังเล่นดนตรี ภาษาซีมากมายถูกผมพิมพ์ลงไปจนละลานตา ผมเชื่อมต่อกับหน้าจอหนึ่งของเครื่องคอมพิวเตอร์ของมาร์ค หลังจากที่ผมหยุดชิบะไวรัสได้แล้ว ผมก็หันไปจัดการกู้คืนระบบป้องกันที่เสียหายให้กับคอลิโอเน่แทน ตอนนี้ผมคงต้องยกมือยอมแพ้ไปก่อนครับ ถึงผมจะอยากได้คอมพิวเตอร์ของผมคืนมากขนาดไหน แต่ผมคงไม่สามารถจะนิ่งเฉยให้ข้อมูลของคอลิโอเน่รั่วไหลขึ้นมาได้จริงๆ หรอกครับ ผมก็แค่ขู่และต่อรองกับพวกเขาเท่านั้น แต่สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ยอมเพราะไม่อยากให้พวกเขาเดือดร้อน



ดราโกยืนดูเทวดาตัวน้อยของเขาอย่างใกล้ชิด ใบหน้าคมหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด เด็กน้อยคนนี้เก่งกาจจริงๆ ข้อมูลของคาโซ่เหล่านั้นเป็นข้อมูลที่เจ้าตัวหามาได้ก็คงเพราะความตั้งใจ ข้ออ้างในตอนแรกของคริสตินถูกเขามองอย่างง่ายดายเพราะเด็กคนนี้โกหกไม่เก่งเอาซะเลย สำหรับชายที่อยู่เหนือแฟมิลี่ต่างๆ อย่างเขา จากหน้าที่การงานที่ต้องสวมหน้ากากมากมายเข้าหากันเพื่อผลประโยชน์ การจับโกหกของเด็กอายุสิบกว่าปีมันง่ายดายยิ่งกว่าจับปากกาเซ็นเอกสารซะอีก



และเทวดาน้อยของเขาก็เป็นเด็กที่ใจดี เขาคิดอยู่แล้วล่ะว่าคริสตินคงไม่ยอมให้ข้อมูลของคอลิโอเน่หลุดออกไปง่ายๆ หรอก และข้อต่อรองของเด็กน้อยที่แสนน่ารักนั่นอีก หึ เป็นการขู่ที่ชวนหมั่นเขี้ยวจริงๆ ดวงตาของเขาละจากใบหน้าจริงจังนั้นเพื่อมองภาพบนจอที่ยังคงปรากฏสุนัขพันธ์หนึ่งอยู่ และตัวเลขนั้นก็หยุดลงแล้ว



“ทำไมถึงเป็นสุนัขล่ะ” เขาถามเทวดาตัวน้อยที่ยังคงทำหน้านิ่ง



“ชิบะครับ เป็นสุนับพันธุ์ชิบะที่ผมเลี้ยงไว้” คริสตินตอบกลับโดยที่สายตายังไม่ละไปจากหน้าจอ



“มีชื่อไหม” เขาถามต่อ



“ชื่อชิบะครับ”



“หึ พันธ์ุชิบะ ที่ชื่อชิบะเนี่ยนะ” ดราโกหัวเราะออกมาเบาๆ เขาสังเกตเห็นคิ้วเรียวของคริสตินขมวดมุ่นและเอียงศีรษะด้วยความสงสัย



“คุณหัวเราะอะไรครับ”



“หึหึ เปล่าหรอก แล้วทำไมถึงอยากได้คอมคืนตอนนี้ล่ะ” ชายหนุ่มร่างสูงเท้าแขนเข้ากับพนักเก้าอี้ีที่คริสตินนั่งอยู่ จนเหมือนดราโกกำลังโอบกอดเด็กหนุ่มเอาไว้



“ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องทำการบ้านส่งอาจารย์ครับ ผมมัวแต่เที่ยวเลยยังไม่แตะซักนิดเลยครับ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มฟังดูแล้วกลุ่มใจและเป็นกังวล



“ไว้ฉันหาคอมให้เธอใช้ซักตัวก็แล้วกัน แล้วตอนนี้ถึงไหนแล้วล่ะ” มือใหญ่ของดราโกลูบศีรษะคริสตินอย่างแผ่วเบา แอบเกี่ยวกระหวัดปลายผมนุ่มให้มาคลอเคลียอยู่ตรงปลายนิ้วอย่างเพลิดเพลิน



“ตอนนี้ผมหยุดชิบะได้แล้วครับ แต่กำลังช่วยกู้ระบบที่พังคืนมา” คริสตินพูดขึ้นและละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนคล้ายโอบไหล่เขาอยู่ “เรื่องคอมพิวเตอร์ ผมขอใช้คอมของผมได้ไหมครับ”



“ไว้ก่อนละกัน” ดราโกก้มลงไปจูบหน้าผากมน และถอยห่างออกไปเพื่อให้คริสตินทำงานได้อย่างสบายใจ เด็กหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อยและหันไปสนใจหน้าจอตรงหน้าแทน



เมื่อเด็กน้อยของดอนคอลิโอเน่ลงมือแก้ไขระบบต่อ ดวงตาคมสีทองก็หันไปสบตากับมือซ้าย มือขวา และโปรแกรมเมอร์หนุ่มโดยที่คริสตินไม่รู้ตัว ชายหนุ่มผมฟูที่ตัวสั่นเมื่อได้เจอกับดราโกเมื่อซักครู่กลับเปลี่ยนไปเหมือนคนละคน เพราะตอนนี้เจ้าตัวกลับยืนยักไหล่ส่งยิ้มกวนๆ มาให้พร้อมมองไปคริสตินด้วยความสนใจ บุคคลิกกวนๆ นั้นทำให้ดอนแห่งคอลิโอเน่ต้องลอบถอนหายใจด้วยความระอา





เวลาผ่านไปซักพักในบ้านเล็กที่มีผู้ชายตัวโตสามคนยืนอยู่ข้างใน บ้างก็ยืนตัวตรง บ้างก็เอนหลังพิงผนังกอดอก แต่ทุกสายตาของพวกเขากำลังจับจ้องมาที่ผมซึ่งกำลังตั้งอกตั้งใจในการทำงาน แม้ผมจะทำหน้าเรียบเฉยไม่สนใจ แต่ผมก็ยังรับรู้ถึงสายตาของพวกเขาที่ัจับจ้องผมทุกการกระทำ เสียงรัวนิ้วของผมบนแป้นคีย์บอร์ดดังต๊อกแต๊กรัวเร็วต่อไปอีกซักพัก จนเมื่อความเร็วเริ่มช้าลงเรื่อยๆ มาร์คก็เดินเข้ามาดูใกล้ๆ



“ไงเจ้าหนู เสร็จแล้วใช่ไหม ขอบคุณมากเลยนะ” ชายผมฟูพูดขึ้นเมื่อผมกดแป้นตัวสุดท้ายเสร็จ แววตาของชายหนุ่มผมฟูนั้นมีแววชื่นชมฉายชัดอยู่



“ไม่เป็นไรครับ ขอโทษเรื่องเมื่อสักครู่ด้วยนะครับ” ผมก้มศีรษะขอโทษเรื่องที่ขู่และต่อรองกับมาร์ค ชายผมฟูโบกมืออย่างไม่ใส่ใจและฉีกยิ้มกว้างส่งคืนมาให้



“ไม่ๆ อย่าขอโทษเลย ฉันไม่ถือ เรื่องนี้ต้องขอบคุณเธอมาก ไว้วันไหนถ้าเบื่อๆ ก็มาเล่นกับฉันที่นี่ได้นะ มีของเล่นเพียบเลย ฉันอยากจะแข่งกับเธอด้วย” ท่าทางร่าเริงเป็นกันเองของเขาทำให้ผมคลายใจขึ้นมาไม่ใช่น้อย



“ครับ” ผมมองมาร์คอย่างขอบคุณ และอยากจะให้เขาลองเช็คระบบดูอีกครั้งเผื่อผมจะพลาดตรงจุดไหนไป แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ย เสียงทุ้มของผู้ชายตัวสูงที่ยืนข้างๆ ผมมาตลอดก็ดังขึ้น



“ไปเถอะ” มือหนาของดราโกวางลงบนไหล่ผม เขาออกแรงดันตัวผมเล็กน้อยเพื่อให้ผมเดินไปหาจาคอปที่ยืนฉีกยิ้มรออยู่ที่หน้าประตู “เธอกลับไปก่อน เดี๋ยวฉันตามไป”



“ไปเถอะครับ” จาคอปยิ้มกว้างเปิดประตูรอผมอยู่ ผมจึงได้แต่พยักหน้าและเดินไปหาชายหนุ่มตัวโตอีกคนหนึ่ง ดราโกคงมีธุระที่จะพูดกับมาร์คและคาลอสต่อ ผมก็ไม่อยากจะอยู่รบกวนจึงสาวเท้าเร่งเดินออกไปข้างนอก แต่ก่อนที่ประตูจะปิดลงผมก็หันไปมองเจ้าของดวงตาสีทองคู่นั้นที่ยืนมองส่งผมอยู่



“ดราโกครับ อย่าลืมใส่เสื้อด้วยนะครับ เดี๋ยวไม่สบาย” ผมกวาดตามองแผงอกแน่นของดอนแห่งคอลิโอเน่ที่ยังเปลือยเปล่า ตอนนี้อุณหภูมิค่อนข้างเย็น ไม่รู้ชายหนุ่มร่างสูงคิดอะไรอยู่ถึงไม่ยอมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนออกมาข้างนอก



“อืม” เขารับคำผมในลำคอ เห็นสายตาของเขาพราวระยับผมก็ไม่กล้าสบตาเขาอีกต่อไป เลยก้มหน้าเอ่ยขอตัวและเดินตามหลังจาคอปไปทันที





หลังจากที่ประตูบ้านปิดลง ดราโกก็หันไปมองมาร์คที่รีบทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้และลงมือตรวจเช็คระบบอย่างร่าเริง ทั้งดอนแห่งคอลิโอเน่และคาลอสต่างขยับเข้าไปใกล้และรอฟังผล



“สุดยอดไปเลยน๊า เจ้าหนูนี่เก่งจริงๆ ระบบถูกแก้ไขซะใหม่เอี่ยม เช้งวับ เหมือนเดิมไม่มีผิด” มาร์คหัวเราะร่าอย่างถูกอกถูกใจ “ผมบอกดอนได้เลยว่าเจ้าหนูนี่ไม่ใช่ธรรมดา ชิบะไวรัสอะไรนั่นสุดยอดมากจริงๆ”



“คริสตินเก่งจริงๆ ครับ ทำให้มาร์คเอ่ยชมขึ้นมาได้” คาลอสที่ไร้บทพูดมานานได้โอกาสเอ่ยขึ้นมาบ้าง



“แล้วจำลองชิบะขึ้นมาได้รึยัง” ดราโกพูดขึ้น ก้มลงไปมองโปรแกรมเมอร์หนุ่มของแฟมิลี่ที่ยังคงระริกระรี้จนน่าหมั่นไส้



“เรียบร้อยครับ ผมจะเปิดระบบของชิบะไวรัสให้เจาะระบบอีกครั้ง” น้ำเสียงของมาร์คเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ในทันที ใบหน้าที่อดหลับอดนอนของชายผมฟูกลับดูแจ่มใส ชายหนุ่มหักข้อนิ้วสองสามครั้งและลงมือป้อนคำสั่งเปิดระบบทำงานของชิบะไวรัสที่เขาได้คัดลอกและจำลองเอาไว้อีกหนึ่งตัว หน้าจอที่มีกราฟิกเป็นรูปสุนัขตัวหนึ่งและตัวเลขที่หยุดอยู่ที่ 75% ตั้งแต่ที่คริสตินได้ทำการปิดระบบไปนั้นได้เริ่มทำงานต่ออีกรอบ



“เจ้าหนูนั่นน่ารักดีนะครับ เป็นเด็กดีมากเลย” ชายผมฟูยิ้มกริ่ม



“แต่ยังอ่อนต่อโลกไปหน่อยนะ” มือซ้ายของคอลิโอเน่พูดขึ้นบ้าง แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกสงสารเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน



“หึ โลกของเทวดาตัวน้อยให้สดใสต่อไปน่ะดีแล้ว” ดวงตาสีทองดุของดราโกเป็นประกายวาววับ มองตัวเลขบนหน้าจอที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยความรื่นรมย์สนุกสนาน เมื่อจำนวนตัวเลขขึ้นไปหยุดอยู่ที่ 100% เจ้าชิบะตัวน้อยสีน้ำตาลขาวก็เห่าโฮ่งๆ อย่างดีอกดีใจ และไม่นานข้อมูลลับทุกอย่างก็เด้งปรากฏอยู่บนหน้าจอเป็นจำนวนมาก ทั้งตัวเลขบัญชีของธนาคาร จำนวนเงินฝาก สัญญาธุรกิจ รายชื่อผู้ติดต่อ ลูกค้า และอื่นๆ อีกมากมายกำลังถูกแจกจ่ายไปบนโลกอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว



“หึ ทีนี้พวกคาโซ่ก็คงดิ้นพร่านกระอักเลือดจนหมดตัว” ใบหน้าหล่อเหลาของดราโกกระตุกยิ้มมุมปาก ดวงตาสีทองเย็นชาจับจ้องเฝ้ามองข้อมูลลับเหล่านั้นเผยแพร่ไปทั่วโลก ความจริงคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ได้แฮคเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคาโซ่เรียบร้อยแล้ว มันเปรียบเสมือนเครื่องก็อปปี้ที่เป็นตัวแทนของเครื่องหลัก หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาใช้ให้มาร์คทำการจำลองระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ของคริสตินขึ้นมาชั่วคราว โดยเฉพาะชิบะไวรัสที่มาร์ครู้ตัวตั้งแต่เจาะเข้าไปถึงในขั้นที่สาม โปรแกรมเมอร์หนุ่มไหวตัวทันจึงแจ้งเรื่องนี้ให้ดราโกทราบตั้งแต่เนิ่นๆ



พวกเขาจึงวางแผนการเอาไว้สองอย่าง หนึ่ง คือ อยากทดสอบว่าคริสตินเป็นคนเขียนโปรแกรมนี้ขึ้นมาเองรึเปล่า และสอง พวกเขาใช้ประโยชน์จากชิบะไวรัสเพื่อมาเจาะข้อมูลของพวกคาโซ่ ซึ่งตอนแรกคอมพิวเตอร์และระบบที่โดนชิบะไวรัสจากคริสตินเล่นงานนั้นไม่ใช่ระบบของคอลิโอเน่ แต่เป็นระบบของคาโซ่ตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก เรื่องราวในวันนี้พวกเขาก็แค่เล่นละครฉากหนึ่งเพื่อทดสอบคริสตินและเล่นงานคาโซ่กลับเท่านั้นเอง



และเพราะการเล่นละครทดสอบในครั้งนี้จึงทำให้ดราโกมั่นใจ ว่าเทวดาตัวน้อยของเขาเป็นเด็กอัจฉริยะเข้าขั้นเก่งกาจ แต่ก็เป็นเด็กดีที่ใจอ่อนและอ่อนต่อโลกมากเช่นเดียวกัน เด็กน้อยจะให้ชิบะไวรัสเจาะระบบจนถึงขั้นสุดท้ายก็ได้แต่ก็ยังเลือกที่จะไม่ทำ หรือเพราะคริสตินยังเป็นแค่เด็กที่ยังไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกผู้ใหญ่กันนะ



“ผมรู้สึกเป็นคนเลวขึ้นมาเลยล่ะครับ” คาลอสถอนหายใจ “เหมือนกำลังหลอกเด็กคนหนึ่งอยู่เลย”



“หึหึ แต่ฉันชอบนะ สนุกดี” มาร์คยังยิ้มร่า ท่าทางตื่นเต้นดีใจยิ่งกว่าเด็กๆ ซะอีก “ไว้วันหลังเราเล่นละครอีกซักฉากท่าจะดีนะครับดอน”



“หึ จะเล่นอะไรฉันก็ไม่ว่า แต่ทีหลังนายอย่ามาแตะต้องคริสตินโดยไม่จำเป็นอีก” ดราโกจ้องชายหนุ่มร่างผอมด้วยสายตาคมกริบที่แฝงแววขุ่นเคืองไม่ชอบใจ



“คะ ครับ” เสียงของชายหนุ่มที่ร่าเริงเมื่อครู่กลายเป็นตะกุกตะกัก รู้สึกถึงแผ่นหลังที่เปียกชื้นขึ้นมาทันที สายตาของดอนนั้นชวนเสียวสั่นหลังและทำให้ร่างกายสั่นสะท้านเพราะความกลัว



“จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วมารายงานฉันด้วยล่ะ” ดราโกบอกคำสั่งสุดท้ายและหมุนตัวเดินจากไปพร้อมกับคาลอส





....................................................................



สวัสดีค่า ^^ ไรต์นำตอนใหม่มาให้นักอ่านทุกท่านด้วยค่ะ ตอนนี้จะเห็นว่าหนูคริสจะเปิดเผยความสามารถของตัวเองออกมาเล็กน้อย ซึ่งไรต์ต้องขอโทษนักอ่านทุกท่านก่อนเป็นอันดับแรกถ้าคำศัพท์เฉพาะทางบางคำไรต์ไม่แน่ใจว่าถูกต้องรึเปล่า เลยพยายามใช้คำที่เป็น กลางมากที่สุดค่ะ ศัพท์โปรแกรมพวกนี้ไรต์ไม่ชำนาญเลยซักนิด แต่ไม่รู้ทำไมถึงทำให้หนูคริสมีความสามารถนี้ 555 ถ้าจุดไหนผิดพลาดสามารถแจ้งไรต์ได้เลยนะคะ ไรต์จะรีบแก้ไขค่ะ


หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 9 หลอก (29.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jaebam ที่ 29-06-2018 23:05:22
โอ้โห้ ซ้อนแผนหลอกเทวดาน้อยกันเนียนๆ ไปอีกนะคะ ยอมใจเขาเลยค่ะ
คริสตินเด็กดี มากลูก
อะไรก็ไม่ได้ ต่อรองไรไปก็ไม่สำเร็จ การบ้านไม่มีส่งครูไปอี้กกกก 555
อิลุงหื่นเขาไม่ยอมสักอย่าง เห้อออ..
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 9 หลอก (29.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-06-2018 23:37:27
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 9 หลอก (29.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 29-06-2018 23:59:58
ร้ายยยยยย
มาหลอกน้องได้ลง เทวดาน้อยของเรา
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 9 หลอก (29.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 30-06-2018 00:08:17
มาเฟียก้อคือมาเฟีย  ร้ายอ่ะ  :hao4: :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 9 หลอก (29.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 30-06-2018 00:29:12
ดอนร้ายมากกกก มาหลอกน้อง (แต่ก็ยังแอบหวงไปด้วย)
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 9 หลอก (29.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 30-06-2018 08:20:10
น้องโดนหลอกซะแล้ว 555 ดอนร้ายกาจมาก
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 9 หลอก (29.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-06-2018 21:00:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 9 หลอก (29.06.18)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 30-06-2018 23:06:50
กดเข้ามาอ่านเพราะเห็นชื่อเรื่องนึกว่าจะแนวดราม่าแต่ไม่เป็นไรพล็อตมาเฟียเราก็ชอบเหมือนกัน คริสตินนี่เหมือนเทวดาจริงๆนั่นแหละ เทวดาที่อยู่ท่ามกลางซาตาน ทุกคนในแฟมิลี่เจ้าเล่ห์หมดเลย
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 10 ลงโทษเบาๆ (01.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 01-07-2018 20:33:33
บทที่ 10 ลงโทษเบาๆ

ผมคิดว่าชีวิตของคนๆ หนึ่งนั้นต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมายหลายๆ อย่าง บางคนอาจจะเจอปัญหาเล็กๆ หรือบางคนอาจจะเจอกับปัญหาใหญ่ๆ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อย่านำเอาปัญหาที่เราต้องเจอไปเปรียบเทียบกับของคนอื่นเพื่อขอให้เขาเห็นใจ พ่อของผมบอกว่า ปัญหาที่เราเจอคือบททดสอบที่ทำให้เราเติบโตและกลายเป็นคนที่เข้มแข็ง ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำคือกล้าเผชิญหน้า ค่อยๆ ไตร่ตรองและคิดหาทางแก้ปัญหา



ตอนเด็กๆ ผมเลือกที่จะหนี คอยหลบอยู่หลังคนอื่นด้วยความตื่นกลัว หลบข้างหลังพ่อเพื่อให้ท่านคอยปกป้อง หลบอยู่ในบ้านที่อบอุ่นและปลอดภัย โหยหาการดูแลจากคนที่ผมรัก แต่เมื่อวันหนึ่งผมต้องตื่นขึ้นมาและพบว่าผมไม่สามารถหลุดพ้นจากอดีตของผมได้ มันเลยทำให้ผมต้องลุกขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยคือการที่ผมได้เดินทางมาถึงประเทศอิตาลีอีกครั้ง นี่ก็คือความกล้าหาญที่ผมภาคภูมิใจแล้วครับ



เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนี้มันชวนสับสนและวุ่นวาย ผมวางแผนเอาไว้ก็จริงแต่ไม่คิดว่าแผนของผมมันจะออกนอกเส้นทางไปไกลขนาดนี้ ไม่ได้คิดเผื่อถึงในกรณีที่มาเฟียถึงสองกลุ่มเข้ามาพัวพัน แค่เรื่องของคาโซ่ผมก็ใช้เสียเวลาไปพักใหญ่กว่าจะดึงข้อมูลการค้ามนุษย์ของพวกเขาออกมาได้ แต่ก็ไม่นึกว่าแผนของผมมันจะมีช่องโหว่จนพวกเขาไหวตัวทันและหาทางเล่นงานผมกลับ



ในตอนนี้ผมถือว่าอยู่ในความคุ้มครองของคอลิโอเน่ชั่วคราวเพื่อรอให้เรื่องซาและหนีออกนอกประเทศไป ความตั้งใจแรกคือการเดินทางมาถึงที่นี่และจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่ตอนนี้ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ต้องหาทางหนีออกไปให้ได้ซะแล้ว และที่สำคัญผมประเมินความร้ายกาจของพวกเขาต่ำเกินไป จากเรื่องที่แย่ๆ และความซวยที่ผมเจอมาตลอดหนึ่งเดือนตั้งแต่ช่วยเหลือดราโกเอาไว้ คงมีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ผมคิดว่าผมยังคงโชคดีอยู่บ้าง นั่นก็คือ การไม่ได้เป็นศัตรูกับเขา



ดราโก คอลิโอเน่ เป็นผู้ชายที่น่ากลัวคนหนึ่งเลยครับ ผมไม่สงสัยเลยว่าทำให้ในหมู่ดอนด้วยกันถึงยกเขาให้เป็นที่หนึ่ง สายตาของเขาแม้จะเรียบนิ่งเฉยชา แต่ในแววตาของเขาราวกับล้วงลึกเข้าไปถึงในห้วงความคิดของผมได้อย่างง่ายดาย ระหว่างที่ผมเดินมากับจาคอปนั้น ผมได้ใช้เวลากับตัวเองเงียบๆ เพื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ผมคิดว่ามีโอกาสสูงมากทีเดียวที่ดราโกจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผมพอสมควร หลังจากกลับไปถึงบ้านใหญ่ ผมคงต้องเตรียมใจเพื่อรอการสอบสวนของเขาแล้วครับ





หลังจากที่ผมกลับมาจากบ้านหลังเล็กๆ ของมาร์ค จาคอปก็พาผมไปทานข้าวเช้าในทันที อาหารง่ายๆ เบาๆ ทำให้ผมทานเสร็จอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือกิจวัตรประจำวันของผมหลังจากนี้กลับเปลี่ยนไป ทุกครั้งเมื่อผมทานอาหารเสร็จจะเข้าไปช่วยแองเจล่าที่ห้องครัวเล็กน้อย แต่วันนี้ผมกลับถูกมือขวาของดราโกพากลับมาที่ห้องนอน มันยิ่งตอกย้ำถึงสิ่งที่ผมคิดและเริ่มกระวนกระวายเพราะกลัวว่าผมจะเจอกับการสอบสวนของดราโกที่ผมไม่ชอบใจนัก



ผมเดินวนไปวนมารอบๆ ห้องนอนช้าๆ ในหัวก็ครุ่นคิดหาทางออกให้กับตัวเอง แต่การหาข้อแก้ตัวหรือเรื่องโกหกเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมไม่ถนัดเลยแม้แต่น้อย แต่การที่ผมจะอยู่เฉยๆ รอให้เขากลับมาและสอบสวนผมในแบบที่ผม...คิดว่าเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฏหมายในเรื่องของการพรากผู้เยาว์ก็ไม่สมควรเท่าไหร่นัก ถึงแม้มาเฟียจะชอบแหกกฏและทำผิดกฏหมายบ่อยๆ ก็ตาม แต่ผมก็ไม่อยากจะเป็นหนึ่งในนั้นที่ทำให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น



“ไง คิดอะไรอยู่” เสียงทุ้มของดอนแห่งคอลิโอเน่ดังขึ้นอยู่ข้างหู ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ความคิด เมื่อจู่ๆ ร่างสูงใหญ่ก็โอบล้อมแนบชิดกับแผ่นหลังของผม น้ำเสียงที่ติดชั่วร้ายหยอกเย้าอยู่ข้างใบหู พร้อมกับริมฝีปากร้ายกาจที่ขบเม้มกับติ่งหูไว้แน่น





“ปะ เปล่าครับ” ผมตกใจ และพยายามหาทางหนีจากอ้อมแขนของเขา แต่เพราะเรี่ยวแรงและขนาดตัวที่แตกต่างกัน มันไม่สามารถทำให้ผมหนีรอดไปจากเขาได้เลย ฝ่ามือหยาบของเขาปลดกระดุมและรูดซิบกางเกงของผมลงอย่างรวดเร็ว “ไม่ เดี๋ยวครับดราโก คะ คุณจะทำอะไร”



“คิดว่าฉันจะทำอะไรล่ะ คริสติน” เสียงทุ้มนั้นแหบต่ำลงยิ่งกว่าเคย เขาจัดการปลดเสื้อผ้าที่เกะกะขวางทางทิ้งไปจากร่างกายผมโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย



“คุณกำลังลวนลามผม” ผมตอบเขา ฝ่ามือของชายหนุ่มตามมารั้งแผ่นหลังของผมให้ปะทะกับแผ่นอกเปล่าเปลือยของดราโก



“ผิด ฉันกำลังสอบสวนเธอ” ร่างสูงใหญ่ของเขาโน้มตัวลงมาซบบ่าของผม พร้อมกับขบเม้มไปที่ซอกคอพร้อมกับตีตราร่องรอยสีแดงช้ำไปทั่ว



“ใครเขาสอบสวนกันแบบนี้ล่ะครับ!!!” ผมตะโกนและขัดขืนเขาอย่างสุดความสามารถ



“สอบสวนด้วยร่างกายของฉันยังไงล่ะ” เขาหมุนตัวผมให้มาเผชิญหน้ากับเขาในระยะประชิด แต่เพราะส่วนสูงที่ห่างกันมากเกินไปจึงทำให้ผมต้องจ้องเขาจนคอตั้งบ่า “รู้ไหมเด็กโกหกต้องเจออะไร”



ดวงตาสีทองของดราโกดูลึกลับแต่ยังแฝงแววเจ้าเล่ห์ล่อหลอก ผมใช้ฝ่ามือดันไปที่หน้าท้องแข็งๆ ของเขาเพื่อเพิ่มระยะไม่ให้ผิวเนื้อของเราสองคนเสียดสีมากเกินไป ผมรู้สึกหน้าร้อนวูบเมื่อรู้สึกถึงส่วนแข็งของเขาดุนดันออกมาทักทาย



“ผม…ผมคิดว่าเรื่องนี้คุณไม่จำเป็นที่จะต้องรู้นะครับ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม” ผมปฏิเสธเขาทันที ผมไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าเวลาที่เนื้อหาของบทสนทนามันเคร่งเครียดและดูจริงจัง ทำไมการกระทำของผมและเขาถึงไม่จริงจังตามเนื้อหาเลยซักนิด อย่างน้อยนั่งคุยข้อตกลง หรือปรึกษากันในห้องทำงานน่าจะดีกว่าในห้องนอนและมีเตียงใกล้ๆ นะครับ



“ตอนนี้ฉันถือว่าเธออยู่ในความคุ้มครองของฉัน แม้จะชั่วคราวแต่การปกป้องเธอจากพวกคาโซ่ได้นั่นต้องรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเธอ และเหตุผลที่ทำให้เธอนำตัวเองเข้ามาพัวพันกับเรื่องอันตรายเหล่านี้ เธอไม่ใช่แค่เด็กน้อยที่บังเอิญอยากจะเป็นฮีโร่คอยช่วยเหลือคนที่ลำบากหรอก มันต้องมีเหตุผลมากกว่านั้น” ใบหน้าหล่อเหลาของเขาขยับเข้ามาใกล้จนผมรับรู้ถึงลมหายใจร้อนระอุที่ตกกระทบผิวหน้า ถ้าผมจะให้เขาคุ้มครอง ต้องแลกกับการที่ผมยอมเล่าให้เขาฟังทุกอย่าง



มันเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ผมไม่ยินยอม ถ้าได้คอลิโอเน่มาช่วยเหลือ เรื่องทุกอย่างจะคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย ใช่ครับ ผมรู้ แต่ผมไม่ ผมไม่สามารถ ถ้าผมอยากจะกล้าหาญมากขึ้น ผมต้องเผชิญกับเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวผมเอง มันเป็นเรื่องที่ผมต้องทำ





ดราโก คอลิโอเน่ มองลึกเข้าไปในแววตาของเทวดาตัวน้อยที่กำลังสับสน คำพูดของเขาคงมีอิทธิพลมากพอจนทำให้เด็กน้อยเผยความสับสนที่อยู่ภายในออกมา ตอนนี้เขากำลังหว่านล้อม เริ่มล่อหลอกให้เด็กน้อยเข้ามาอยู่ในความคุ้มครองของเขาเต็มตัว เพื่อที่เขาจะได้มีสิทธิ์ที่จะดูแลให้การปกป้องกับเทวดาน้อยตนนี้ มีสิทธิ์ในฐานะผู้ปกครอง มีสิทธิ์ที่จะครอบครองและใช้สิทธิ์ที่พึงมีเพื่อเด็ดปีกสร้างกรงให้เทวน้อยตนนี้ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาตลอดไป



“ไม่ครับ” น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวของเขาไร้ความลังเล แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงคริสตินจะปฏิเสธเขาก็จะไม่บังคับ แต่เขาจะสร้างกรงขึ้นมาและให้เทวดาตัวน้อยบินเข้ามาอยู่ในการดูแลของเขาเอง



“งั้นหรือ งั้นคงต้องลงโทษเรื่องที่เธอโกหกก่อนแล้วล่ะมั้ง” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กระตุกขึ้นตรงมุมปาก ชายหนุ่มอุ้มร่างเล็กที่เปลือยเปล่าขึ้นมาและพาไปที่เตียงนอนใหญ่ ชายหนุ่มรู้ว่ายิ่งนานวันเขายิ่งหลงใหลผิวกายอ่อนนุ่มของคริสตินมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องตะกองกอดร่างเล็กไว้ในอ้อมกอดให้อุ่นใจ ลูบไล้คลั่งไคล้อยากขย้ำให้จมลงไปในอก คริสตินเหมือนสิ่งเสพติด เหมือนเทวดาน้อยที่สูงค่า เหมือนสิ่งเล็กๆ ที่เย็นชาสูงส่งจนอยากฉุดรั้งไว้ให้อยู่เคียงข้าง



เขาไม่อาจบังคับยัดเยียดตัวตนให้ฝังร่างลงไปได้ แม้ใจจะกระหายอยากมากแค่ไหน แต่เขารู้ดี คริสตินเป็นเด็กที่เขาพึงใจ เป็นเด็กที่เขาหวังจะปกป้อง และเขาไม่อาจบังคับให้ตัวตนของเด็กน้อยของเขาแหลกสลาย เด็กน้อยผมสีน้ำตาลและดวงตากลมโตสีเดียวกัน ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้แต่รอยยิ้มของเด็กน้อยเขายังไม่เคยเห็นเลยซักครั้ง เขารู้เพียงว่าตัวตนที่ไม่สนโลกที่เจ้าตัวแสดงออกมานั้นเป็นเหมือนปราการที่หล่อหลอมให้เด็กหนุ่มเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ เพียงแต่เขาไม่รู้ ไม่รู้ว่าถ้าปราการของคริสตินพังทลายลง เด็กน้อยของเขาจะเป็นอย่างไร



มันน่าสนใจ แต่เขาไม่อยากเสี่ยง ถ้าคริสตินอยากบอก เขาก็จะฟัง ถ้าไม่ เขาก็ไม่เดือดร้อนที่จะคุ้มครองให้เด็กหนุ่มได้อยู่อย่างสบายใจ แม้กระทั่งเรื่องของคาโซ่ที่คริสตินสืบข้อมูลและแจ้งให้ตำรวจสากลทราบ ข้อมูลเหล่านั้นมาร์คนำมาให้เขาดูเรียบร้อยแล้ว และสิ่งที่คริสตินหามาได้ก็เพียงพอที่จะทำให้คาโซ่ถูกลบชื่อออกจากวงการได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ว่าเทวดาน้อยของเขายังไร้เดียงสาเกินไป สายของพวกมันแทรกซึมอยู่ทุกที่ และคริสตินก็โชคร้ายมากไปหน่อยที่ส่งข้อมูลเหล่านั้นให้ตำรวจที่ดันเป็นสายให้กับคาโซ่พอดี



ดังนั้นแม้เขาจะดูชั่วร้ายไปหน่อยที่หลอกเด็กคนหนึ่งเพื่อให้พิสูจน์ความสามารถ และแอบคัดลอกชิบะไวรัสเพื่อให้มาร์คนำมาใช้ แต่สิ่งที่เขาทำก็เพื่อทำลายคาโซ่เพื่อคริสตินเท่านั้น เพียงแต่มันเป็นวิธีการในแบบของเขาก็เท่านั้นเอง วิธีการในแบบคอลิโอเน่ ที่ลอบตลบหลังและกัดพวกมันให้ดิ้นไม่หลุด โดยใช้โลกอินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์และให้พวกมันตกเป็นเป้าสายตาของคนทั่วโลก ใช้สื่อโซเชียลในการโจมตี เพื่อให้พวกเขากดดันตำรวจและนำไปสู่การจับกุมในท้ายที่สุด



“อ๊ะ” เสียงครางเบาหวิวหลุดออกมาจากริมฝีปากแดงเรื่อนั้น มือเล็กเอื้อมมาปิดปากของตัวเองไว้แน่นเพื่อกลั้นเสียงครวญคราง ร่างเล็กที่บิดเร้าคงเพราะมือใหญ่ของเขาลูบไล้หยอกเย้ายอดอกสีชมพูดนั้นรุนแรงไปหน่อย ผิวสีขาวเนียนของคริสตินแดงเรื่อไปทั่วทั้งตัว ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยแรงอารมณ์



“ร้องออกมาซิ” มือของเขาอีกข้างรั้งมือเล็กที่ปิดกลั้นเสียงร้องนั้นออกมา นำแขนของเด็กหนุ่มให้เอื้อมมาโอบรอบคอของเขาเอาไว้ให้แน่น ใบหน้าหล่อเหลาของดราโกคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทางน่ารัก ถึงเขาจะบอกว่าจะไม่บังคับคริสตินจนกว่าเด็กหนุ่มจะพร้อม แต่หยอกเย้าแค่ภายนอกให้เขาได้ชื่นใจก็พอ



“อ๊ะ มะ ไม่ ครับ” คริสตินพยายามปลดมือจากหลังคอของดราโกเพื่อนำมาปิดกลั้นเสียงร้อง แต่ชายตัวโตยังคงกลั่นแกล้งเด็กหนุ่มอยู่เช่นเดิม และครั้งนี้เขากลับหยอกเทวดาตัวน้อยรุนแรงมากกว่าปกติ ก็เพื่อทำโทษเด็กน้อยที่โกหกเขา “ดะ เดี๋ยว มะ ไม่ คุณจับตรงไหนเนี่ย!!!”



มือหนาของดอนแห่งคอลิโอเน่ลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างขาวผ่อง ก่อนจะหยุดที่คริสตินน้อยที่กำลังสั่นระริกเพื่อรอการปลดปล่อย นิ้วมือร้ายกาจของดราโกหยอกเย้าจนคริสตินน้อยแดงก่ำ



“ฉันจะสอนบทเรียนแรกให้กับเธอ ว่าเวลาที่เธอรู้สึก เธอจะจัดการมันอย่างไร” ดวงตาสีทองของชายหนุ่มพราวระยับ โน้มใบหน้ามากระซิบอยู่ข้างหู เสียงของเขา ลมหายใจของเขา มันทำให้ร่างเล็กพยายามถอยตัวออกห่าง แต่เขาก็รั้งร่างอ่อนระโหยกลับมาแนบอก กักขังไว้ในอ้อมแขนแกร่ง รั้งใบหน้าอ่อนเยาว์เข้ามาใกล้ และครอบครองริมฝีปากนั้นอย่างกระหาย และมือหนาของดราโกก็สอดประสานกับจังหวะเรือนร่าง รูดรั้งคริสตินน้อยไปตามจังหวะ สร้างพายุอารมณ์ระหว่างคนทั้งสองให้โหมกระหน่ำ จนกระทั่งเด็กหนุ่มกระตุก ดวงตาเบิกกว้างและเสียงครางหวานกรีดร้อง



ในสายตาของเขาตอนนี้คริสตินกำลังยั่วเขาอย่างร้ายกาจ ทั้งดวงตา ใบหน้า และน้ำเสียงที่สร้างอารมณ์จนเขาปวดหนึบจนแทบทนไม่ไหว เส้นความอดทนของเขาเริ่มน้อยลงทีละนิดแต่โชคดีที่เด็กน้อยของเขาใช้เวลาไม่นานก็ปลดปล่อยออกมา เพราะนี่เป็นครั้งแรกของคริสตินเขาจึงยังไม่มีความอดทนมากพอในการจัดการกับอารมณ์นี้



“แฮ่ก แฮ่ก คุณ คุณนิสัยไม่ดีเลยครับ” ผมหอบหายใจ พร้อมเอ่ยประท้วงการกระทำของร่างสูงที่ยังคงมีรอยยิ้ม และกักขังผมไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา อารมณ์เมื่อครู่มันทำให้ผมค้นพบอีกหนึ่งความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบเจอ มันทำให้ผมเหนื่อยหอบมากกว่าปกติ รู้สึกร่างกายเบาโหวงอ่อนแรง เหงื่อและความเหนียวเหนอะที่ช่วงท้องทำให้ผมขยับตัวอย่างอึดอัด ดราโกช่วยปัดไรผมชื้นเหงื่อให้กับผมอย่างอ่อนโยน พร้อมกับจุมพิตบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา



“รู้สึกดีไหม” ดราโกถาม ใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเขาทำมันช่างขัดแย้งกับการกระทำในตอนนี้ที่คอยลูบศีรษะปลอบโยนผม ผมตวัดสายตาค้อนเขาเล็กน้อย และใบหน้ารู้สึกถึงความร้อนที่แล่นขึ้นมา



“ครับ” ผมตอบเสียงเบา



“หึหึ” แต่แค่คำนี้คำเดียวก็ทำให้ดราโกส่งรอยยิ้มกว้างมาให้ผม “ไปอาบน้ำกันเถอะ ตอนนี้เธอคงเหนียวตัวแย่”



“ครับ” ผมเห็นด้วยกับความคิดนี้ทันทีเลยครับ แม้จะอยู่ในห้องนอนที่เปิดแอร์จนเย็นฉ่ำ แต่จากกิจกรรมที่เราทั้งสองทำกับเมื่อครู่ก็ทำให้ผมเหนียวตัวมากทีเดียว



“ผมขออาบก่อนนะครับ” ผมชันตัวพยายามลุกขึ้นจากที่นอน แต่จู่ๆ โลกก็หมุนพลิกไปมาเพราะชายหนุ่มฉุดรั้งร่างของผมขึ้นมาแนบอกและพาผมไปอาบน้ำด้วยตัวเอง “เดี๋ยวครับ ผมอาบน้ำเองได้”



“ฉันช่วย” ร่างสูงของเขาพาผมไปอาบน้ำโดยที่ไม่ฟังเสียงประท้วงของผมเลยซักนิด อุ้มพาผมไปยืนอยู่ใต้ฟักบัว ร่างสูงที่ยืนช้อนหลังผมอยู่จัดการถอดกางเกงนอนออก และเดินเข้ามายืนช้อนหลังผม ผมไม่กล้าหันไปเผชิญหน้ากับเขา แต่จดจ่อจ้องมองผนังห้องอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะร่างกายของผมเกร็งตัวทันทีเมื่อรู้สึกถึงความแข็งขืนและร้อนจัดของเขาที่แนบชิดไปกับเอวของผม ความร้อนที่เสียดสีไปมามันกำลังสร้างอารมณ์แปลกๆ ให้กับผมอีกครั้ง แต่โชคดีที่ดราโกเอื้อมมือมาเปิดฟักบัวก่อน สายน้ำเย็นฉ่ำนั้นช่วยดับความร้อนที่ก่อตัวขึ้นได้เป็นอย่างดี



ผมกับดราโกผลัดกันอาบน้ำ และใช้เวลาซักพักจนสะอาดทุกซอกทุกมุม โดยที่ผมไม่ได้มองไปทางเขาเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเขาหมุนตัวผมให้หันมาทางเขาและช่วยเอาผ้าขนหนูมาคลุมตัวผมไว้ แต่เพราะสายตาผมดันไปเห็นของๆ เขาขึ้นมาเสียก่อน จึงได้แต่นิ่งและครุ่นคิด



“เป็นอะไร หืม” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้น เมื่อเขาเห็นผมก้มหน้ายืนเงียบๆ



“แล้วคุณล่ะครับ” ผมเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย และทำให้ดราโกเลิกคิ้วสูงเพราะไม่เข้าใจคำถามของผม แต่พอเขาเห็นสายตาของผมที่มองไปตรงกึ่งกลางที่โป่งนูนปวดหนึบของเขา ชายหนุ่มก็เข้าใจ



“เธอจะช่วยฉันรึไง” น้ำเสียงและคำถามหยอกเย้า พร้อมกับนำมือของผมไปสัมผัสกับความแข็งขึงใหญ่ร้อนนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและชักมือกลับทันที



“ไม่ครับ!!!” ผมหมุนตัวกระแทกส้นเท้าและเดินออกไปนอกห้องน้ำพร้อมปิดประตูเสียงดัง ผมยังได้ยินเสียงเขาตะโกนออกมา



“ไม่ต้องรอฉันนะคริสติน ฉันคงจัดการมันอีกซักพัก”



“ผมไม่รอคุณแน่นอนครับ!!!” ผมตอบกลับไป โดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินในสิ่งที่ผมพูดรึเปล่า แต่ผมก็ไม่สนใจแล้วครับ ขอให้เขาขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำทั้งวันทั้งคืนเลยแล้วกัน ผมรีบเช็ดตัวให้แห้งและนำเสื้อผ้าออกมาใส่ พร้อมกับวิ่งไปหาแองเจล่าที่ห้องครัวอย่างรวดเร็ว





หลังจากนั้นสามสิบนาที ร่างสูงใหญ่ของดอนแห่งคอลิโอเน่ก็ก้าวออกมาจากห้อง ฝีเท้าเงียบกริบแต่มั่นคงเดินไปทางห้องทำงานที่ตั้งอยู่อีกฟากของบ้าน เมื่อเปิดประตูเข้าไปชายหนุ่มก็พบกับสายตาล้อเลียนจากคาลอสและจาคอปที่นั่งอยู่ตรงโซฟาพร้อมรอยยิ้มกริ่มประดับอยู่บนใบหน้า ต่างกันก็เพียงแต่จาคอปจะมีรอยยิ้มกว้างร่าเริง แต่ของคาลอสกลับเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กวนๆ



“อารมณ์ดีแล้วนะครับดอน” จาคอปเอ่ยแซวเป็นคนแรกเมื่อดราโกทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่



“หึ” และเสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มก็ตอบคำถามของพวกเขาได้ในทันที “เรื่องคาโซ่ล่ะ”



“นี่ครับ” คาลอสลุกขึ้นและนำเอกสารในแฟ้มส่งให้กับดราโกที่ยื่นมือมารับ “ตอนนี้มาร์ครายงานว่าเรื่องของคาโซ่กระจายไปทั่วโลกอินเตอร์เน็ตแล้วครับ และยังมีการแชร์หลายหมื่นครั้ง พร้อมกับสำนักข่าวทั่วยุโรปกำลังเผยแพร่เหตุการณ์นี้พอดี”



“ตอนนี้องค์กร UNTOC ออกมาเคลื่อนไหวแล้วครับ” จาคอปยื่นเอกสารข่าวมาให้กับดราโกเช่นกัน



“ตอนนี้พวกมันคงหาข้อแก้ตัวยากแล้วล่ะ” ดวงตาสีทองของชายหนุ่มเป็นประกายเยียบเย็น รอยยิ้มที่มุมปากของชายหนุ่มดูชั่วร้ายและน่าหวั่นเกรง สองมือที่ประสานกันนั้นส่งให้บุคลิกของดราโกดูเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม



“แล้วหลังจากนี้ล่ะครับ” มือซ้ายของแฟมิลี่อย่างคาลอสถามขึ้น “ถ้าเรื่องนี้สงบลง คริสตินก็คงได้กลับบ้าน ถ้าดอนยินยอม”



“มันก็แค่เริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนี้ต้องรอดูว่าพวกมันวางแผนเดินไปทางไหนต่อไป รายชื่อที่พวกเราเห็นนั้นมีทั้งรัฐบาลและพวกกลุ่มผู้มีอิทธิพลบางกลุ่มที่เกี่ยวพันกันไปมา ถ้าจะกำจัดให้สิ้นซากก็ต้องจัดการพวกมันทิ้งให้หมด” น้ำเสียงของดราโกจริงจังและเย็นชา



“ดีนะครับที่มีดอนคอยช่วยเหลือคริสติน ถ้าไม่อย่างนั้น เด็กคนเดียวจะไปต่อกรพวกมันได้ยังไง” จาคอปถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะเขาถูกใจและชอบคริสตินมากเลยทีเดียว เขาเลยพลอยเอาใจช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นไปเต็มๆ



“เด็กคนนั้นเป็นเด็กที่กล้าหาญนะครับ และคงมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ทำให้เจ้าตัวต้องลุกขึ้นมาต่อกรกับมาเฟียค้ามนุษย์ข้ามชาติอย่างนี้ แต่วิธีการค่อนข้างซื่อตรงไปหน่อย” คาลอสวิเคราะห์ ซึ่งความคิดนี้ของชายหนุ่มร่างโปร่งก็ตรงใจกับดราโกพอดี



“จะเล่นกับมาเฟียก็ต้องให้มาเฟียจัดการ” ดราโกกระตุกยิ้ม ดวงตาสีทองพราวระยับเต็มไปด้วยความสนุกสนาน พร้อมกับหมายมาดคิดวางแผนในใจ แผนที่จะทำให้พวกคาโซ่วุ่นวายและปั่นป่วนจนอยากจะฆ่าตัวตายหนีไปให้พ้นๆ เลยทีเดียว








หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 10 ลงโทษเบาๆ (01.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 01-07-2018 21:11:02
ต้องเป็นเด้กที่มีแบ็คหลังดีมากๆ จนดอนอาจจะต้องยอม 5555
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 10 ลงโทษเบาๆ (01.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-07-2018 23:21:01
อีกนานเลยกว่าน้องจะทันเล่ห์เหลี่ยม  :hao5:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 10 ลงโทษเบาๆ (01.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: PPYK287 ที่ 01-07-2018 23:25:37
งื้ออออ สนุกมากกกก เอ็นดูพ่อเทวดาตัวโหน่ยๆ มากเลย ส่วนลุงนี่ก็ร้าย หลอกน้องได้ลงคอ ถ้าน้องรู้คงเคืองไปอีกนาน
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 10 ลงโทษเบาๆ (01.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 01-07-2018 23:26:41
ไอ้เราก้อนึกว่าน้องจะช่วย..ยยยยยย 555  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 10 ลงโทษเบาๆ (01.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Meercorn ที่ 02-07-2018 00:03:42
คริสตินรักษาเนื้อรักษาตัวดีๆนะลูก อย่าปล่อยให้ตาลุงหื่นนั้นทำอะไรเราได้นะ!!
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 10 ลงโทษเบาๆ (01.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 02-07-2018 08:09:03
ดอนเจ้าเล่ห์มากกกก หลอกน้อง ตอดน้อง แล้วยังวางแผนจะยึดน้องอีก แหมมมม
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 10 ลงโทษเบาๆ (01.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 03-07-2018 07:59:31
ชอบอ่ะค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 11 ความจริง (03.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 03-07-2018 16:18:09

บทที่ 11 ความจริง


“นี่คือข้อมูลที่เราหามาได้ครับดอน” คาลอสยื่นแฟ้มเอกสารขนาดใหญ่ให้กับดราโกที่นั่งเอนหลังพักผ่อนกับโซฟาขนาดใหญ่ในห้องทำงาน ดวงตาสีทองวาววับเมื่อเห็นข้อมูลตรงหน้าที่มากขึ้นกว่าครั้งแรกเป็นเท่าตัว



“เทวดาตัวน้อยของฉันเก่งกาจเอาเรื่องเลยนะ” รอยยิ้มของชายหนุ่มผู้มีอำนาจสูงสุดของคอลิโอเน่แฟมิลี่ถูกจุดขึ้นตรงมุมปาก “ข้อมูลพวกนี้เชื่อถือได้มากขนาดไหน”



“ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับ” คาลอสตอบ “ข้อมูลของคริสตินเริ่มปรากฏตอนอายุห้าขวบครับ มีครอบครัวนอร์แมนรับเป็นบุตรบุญธรรม และย้ายไปอยู่ที่อังกฤษตั้งแต่นั้น คริสติน นอร์แมน เป็นเด็กอัจฉริยะที่เรียนอยู่ในสถาบันเมนซ่าตั้งแต่อายุแปดขวบ มีไอคิว 170 และถนัดทางด้านการเขียนโปรแกรมเป็นพิเศษ และที่สำคัญ ตอนนี้เทวดาตัวน้อยของดอนกำลังเรียนจบระดับปริญญาเอก เหลือส่งรูปเล่มวิทยานิพนธ์เท่านั้นเองครับ หัวข้อวิจัยก็น่าสนใจมากเลยทีเดียว”



“แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ” ชายหนุ่มกวาดสายตาอ่านข้อมูลของเด็กหนุ่มในแฟ้มอย่างรวดเร็ว คิ้วเข้มของดราโกเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อประวัติของคริสตินเริ่มเมื่อตอนอายุห้าปี



“ก่อนหน้านั้นเราไม่มีข้อมูลเลยครับ รู้แค่ว่าครอบครัวนอร์แมนมาเที่ยวที่อิตาลี และพบคริสตินที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า” ชายหนุ่มร่างโปร่งผู้สวมแว่นกรอบสี่เหลี่ยม ดันแว่นที่ตกอยู่ปลายจมูกขึ้นมาอยู่บนดั้งให้เรียบร้อย “แต่ข้อมูลของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าที่ไหนครับ คิดว่าคงเป็นข้อมูลเท็จที่สร้างขึ้นเช่นเดียวกัน”



“เด็กคนนั้นเป็นลูกครึ่งเอเชีย สิบปีก่อนงั้นเหรอ” ดราโกวางแฟ้มที่ถืออยู่ในมือลงและยกมือขึ้นจับปลายคางอย่างครุ่นคิด ดวงตาคมสีทองไหววูบเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้บางอย่างที่ผุดวูบขึ้นมา “การที่เด็กคนนั้นหันมาตามล่าพวกคาโซ่ อาจจะเป็นเพราะว่าคริสตินคือหนึ่งในเด็กที่ถูกจับมากับกระบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติก็ได้”



ประโยคที่ดราโกพูดออกมาทำให้คาลอสถึงกับเบิกตากว้าง ถ้าพูดถึงประเด็นนี้ทุกอย่างที่พวกเขาเคยสงสัยก็จะลงตัวพอดี จากเหตุผลที่เด็กคนหนึ่งดิ้นรนมาถึงอิตาลี แล้วเห็นข่าวการค้ามนุษย์จนต้องช่วยเหลือด้วยการค้นข้อมูลของพวกมาเฟียมาเปิดโปงมันก็ดูจะง่ายดายและบังเอิญเกินไปหน่อย แต่ถ้าพูดถึงในประเด็นนี้ว่าคริสตินมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา เช่น เป็นผู้เสียหาย และต้องการแก้แค้นหรือเปิดโปงความชั่วร้ายของพวกมันก็มีความเป็นไปได้มากกว่า



“งั้นคริสตินก็คือหนึ่งในเด็กที่พวกมันจับมาค้ามนุษย์ที่นี่ซินะครับ”



“น่าจะใช่” ดวงตาสีทองของดราโกวาววับดูน่ากลัว “นายไปบอกมาร์ค ให้หาข้อมูลเรื่องนี้มาให้ได้มากที่สุด”



“ครับ” คาลอสก้มหัวรับคำ “แล้วดอนจะลองคุยเรื่องนี้กับคริสตินไหมครับ อย่างน้อยเด็กคนนั้นก็น่าจะได้รู้ว่าเราพร้อมจะช่วยเหลือเขาเต็มที่”



“อืม” ดอนแห่งคอลิโอเน่พึมพำอยู่ในลำคอ ดวงตาสีทองที่ฉายแววคมดุอยู่เสมอกลับหลุบต่ำพลางครุ่นคิด จะทำยังไงให้คริสตินเปิดใจมากพอที่จะเชื่อใจเขาได้กันนะ? ตลอดเวลาที่เขาเฝ้าสังเกตเด็กน้อยของเขา คริสตินเหมือนเปิดเผยซื่อตรง แต่ความคิดและพื้นที่ส่วนตัวของคริสตินกลับเหมือนเขตหวงห้าม กำแพงที่ตั้งสูงลิบมันแข็งแกร่งและไม่พังทลายอย่างง่ายดายแน่นอน “ตอนนี้คริสตินน่าจะอยู่กับแองจี้ที่ห้องครัว นายไปตามมาหน่อยแล้วกัน”



“ครับ” คาลอสก้มศีรษะรับคำสั่ง และเดินออกไปจากห้องทำงานของดอนแห่งคอลิโอเน่ ดราโกเปิดอ่านเอกสารที่อยู่ในแฟ้มอีกครั้ง จากข้อมูลที่มาร์คหามาได้นั้นเป็นข้อมูลที่เจ้าตัวเสาะหามาจากหลายๆ ทาง ทั้งจากสถาบันเมนซ่า และหลายๆ แหล่งที่มาร์ตเจาะข้อมูลมาได้ โดยเลียนแบบระบบจำลองของชิบะไวรัสแต่มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อที่จะสามารถแทรกแซงและค้นข้อมูลที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย



คาโซ่แฟมิลี่เป็นอีกหนึ่งกลุ่มมาเฟียที่มีอิทธิพลของอิตาลี รายได้หลักของกลุ่มนี้คือการค้ามนุษย์ที่มีเครือข่ายและเส้นสายอยู่ทั่วโลก ตำรวจสากลและองค์กร UNTOC เคยออกมาเคลื่อนไหวหลายครั้ง แต่กลับไม่มีหลักฐานเพียงพอและโดนขัดขวางจากคนของรัฐบาลที่มีผลประโยชน์กับเรื่องนี้ การจะจัดการถอนรากถอนโคนคาโซ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเบื้องหลังของพวกมันนั้นมีคนที่มีอิทธิพลเกี่ยวโยงกันไปมาอย่างมหาศาล นักการเมือง รัฐบาล มาเฟีย พวกค้ายาเสพติด จนพวกมันได้ชื่อว่าเลวชาติชั่วอย่างสมบูรณ์แบบ



แม้จะเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีอิทธิพลแต่คอลิโอเน่ก็เช่นเดียวกัน คอลิโอเน่เป็นแก๊งมาเฟียดั้งเดิมของอิตาลี รายได้หลักคือคาสิโน ผับ บาร์ และการค้าอาวุธ โดยมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บังหน้าเพื่อฟอกเงิน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะหารายได้จากการค้ายาเสพติดหรือการค้ามนุษย์ใดๆ มันเป็นหนึ่งในเรื่องต้องห้ามของแฟมิลี่ที่เขาได้รับสืบทอดมา ถึงแม้จะมีพวกตาแก่หัวโบราณบางคนคัดค้านและต้องการให้คอลิโอเน่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ก็ตามที แต่เขามั่นใจว่าเขายิ่งใหญ่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาของเหล่านั้นแม้แต่น้อย แค่คาสิโนก็มีสาขามากมายขยายไปทั่วโลกจนรายได้ของคอลิโอเน่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของการจัดอันดับในบทความเรื่อง The biggest organized crime groups in the world แล้ว



และเขาก็เกลียดพวกค้ามนุษย์เป็นทุนเดิม พวกคาโซ่กำเริบเสิบสานหวังวัดรอยเท้าของคอลิโอเน่ จนบางครั้งก็เล่นสกปรกต้องการส่วนแบ่งทางการตลาดของเขาอย่างหน้าด้านๆ ต่อหน้าก็ประจบประแจง ลับหลังก็ลอบกัดแว้งทำร้าย ที่สำคัญ พวกมันถึงขนาดลอบยิงเขาจนอาการสาหัส เกือบเพลี่ยงพล้ำให้กับพวกมันไปอย่างน่าเจ็บใจ เพราะฉะนั้นเรื่องที่คริสตินเทวดาตัวน้อยของเขาต้องการ เขาก็พร้อมจะช่วยเหลือและลงมือจัดการให้ด้วยตัวเองแน่นอน



“ดอนครับ คริสตินไม่อยู่ที่ห้องครัวครับ แต่ผมทราบมาจากจาคอปว่าคริสตินอยู่ที่บ้านของมาร์คครับ” มือซ้ายของคอลิโอเน่เคาะประตูขออนุญาตและเดินเข้ามาเพื่อแจ้งข่าวให้ดราโก



“ตอนนี้?” ชายหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้วมองคนที่เข้ามาแจ้งข่าว ก่อนที่ดวงตาคมดุคู่นั้นจะตวัดไปมองนาฬิกาไม้โบราณตรงผนังห้อง “สามทุ่มครึ่ง”



“ครับ คุณแองจี้บอกว่าคริสตินยังไม่มาทานข้าวเย็นเลยครับ”



“ดื้อ” ร่างสูงผุดลุกเดินออกไปจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว คาลอสปาดเหงื่อบนหน้าเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาของดอนเคร่งเครียดดูดุมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เขาที่เป็นทั้งเพื่อนสนิท เลขา บอร์ดี้การ์ดกลับมองภาพดอนที่ก้าวเท้ายาวๆ และเดินไปทางบ้านของมาร์คโปรแกรมเมอร์หนุ่มอย่างนึกแปลกใจ



ดราโก คอลิโอเน่ มาเฟียที่มีภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามกลับรีบเร่งไปหาเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ คนหนึ่งด้วยความร้อนใจ เพราะเจ้าตัวเล็กของดอนแห่งคอลิโอเน่ยังไม่ยอมทานข้าวเย็น ไม่คิดเลยว่าผู้ชายเย็นชา ดุดัน คนหนึ่งเมื่อถูกอกถูกใจใครจะเป็นเอามากขนาดนี้





“วันนี้หนีมาเล่นที่นี่อีกแล้วนะเจ้าหนู” ผู้ชายร่างสูงหัวชี้ฟูพูดกับผมที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตรงมุมห้อง



“วันนี้ผมเรียนเสร็จแล้วครับ เป็นช่วงพัก” ผมตอบกลับมาร์คที่ขมวดคิ้วมุ่น “หรือคุณไม่ชอบที่ผมมารบกวนรึเปล่าครับ”



“ก็เปล่าหรอก แต่เธอมาทีไรฉันก็ไม่ได้ทำงานทำการซักที” เขาตอบและละสายตาจากภาพหน้าจอตรงหน้าเพื่อหันมามองผมที่นั่งพิงผนังอยู่ “อีกอย่างฉันกลัวว่าดอนจะมาฆ่าฉันน่ะซิ”



“เมื่อกี้คุณว่าอะไรรึเปล่าครับ” ผมหันไปถามมาร์คเมื่อประโยคสุดท้ายเขาพึมพำเสียงเบา ผมได้ยินคำว่าดอนๆ อะไรซักอย่าง แต่จับใจความไม่ได้ทั้งหมด เพราะตอนนี้สมาธิของผมกำลังจดจ่ออยู่กับภาษาซีมากมายตรงหน้าที่ชวนปวดหัวและสนุกสนานๆ ไปพร้อมกัน



“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก” ชายร่างสูงผอมหัวชี้ฟูส่ายหน้าปฏิเสธ เขาหันกลับไปทำงานอีกครั้งและปล่อยให้ผมนั่งอยู่่กับพื้นพร้อมกับคอมพิวเตอร์ของผม ใช่ครับ ตอนนี้ผมสามารถใช้คอมพิวเตอร์ของตัวเองได้แล้ว แต่ต้องอยู่ในความดูแลของมาร์ค หรือพูดอีกอย่างคือจะใช้คอมพิวเตอร์ ต้องมาใช้ที่นี่เท่านั้น เพราะตอนนั้นผมได้เจรจากับดราโกเรื่องการบ้านของผมที่ต้องทำส่งให้อาจารย์ พอเขาจะซื้อคอมเครื่องเล็กๆ ไว้ให้ ผมก็ต้องปฏิเสธและขอใช้เครื่องของผมเองเพราะข้อมูลและรายงานของผมที่ทำเกือบเสร็จแล้วอยู่ในนี้ทั้งหมด



ถ้าพูดถึงเรื่องการบ้าน ผมมีงานต้องทำจริงๆ นะครับ ในตอนแรกดราโกจะให้ผมเรียนทางออนไลน์ไปก่อน หรือเป็นโฮมสคูล เพราะช่วงนี้ก็เข้าช่วงเปิดเทอมของเด็กเกรดสิบทั่วไปแล้ว ตอนแรกผมก็ไม่ยอมเพราะผมคิดว่าไม่จำเป็นในเมื่อหลักสูตรทั่วไปผมเรียนจบไปตั้งนานแล้ว และเนื้อหาพวกนั้นก็น่าเบื่อสำหรับผมมากเกินไป ผมเลยต้องบอกความจริงเขาบางส่วนว่าผมเองก็เรียนโฮมสคูลและมีการบ้านที่ทำค้างไว้ในคอมพิวเตอร์



ดึงดันและต่อรองกันอยู่ซักพักผมก็ได้มาใช้คอมพิวเตอร์ที่นี่ครับ แต่คอมของผมถูกเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการของมาร์คเอาไว้ ถ้ามีการใช้งานที่ผิดลักษณะ ยกตัวอย่างเช่น ผมเจาะระบบหรือทำอะไรที่เสี่ยงต่อการเปิดเผยข้อมูลทุกอย่าง มาร์คจะรู้ในทันที ดราโกบอกว่าเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผมทำอะไรที่จะก่อให้เกิดอันตราย เขาจึงต้องป้องกันเอาไว้ก่อน แต่สิ่งที่เขาทำนั่นคือการปิดหูปิดตาผม และไม่ให้ผมขยับตัวหรือทำอะไรได้มากเท่าที่ควร



แต่ถึงอย่างนั้นผมมีสิ่งที่ต้องทำอยู่ ผมใช้เวลาวันละสองถึงสามชั่วโมงทุกวันเพื่อเข้ามาทำงานของผมที่นี่ ความจริงแล้วรายงานที่ผมทำส่งอาจารย์เสร็จเรียบร้อยตั้งนานแล้วครับ แต่เหตุผลที่มาที่นี่คือผมกำลังสร้างระบบปฏิบัติการของผมขึ้นมาใหม่อีกตัวหนึ่ง เพื่อใช้เป็นระบบลับในการเจาะข้อมูลของผม ถึงจะยุ่งยากไปบ้าง แต่เรื่องของผม ผมก็อยากจจะจัดการเอง ดราโก คอลิโอเน่กำลังทำให้ผมนิสัยเสีย เขากำลังบีบผมให้ผมจำเป็นต้องพึ่งเขาทุกอย่าง แต่ถึงแม้ผมจะเป็นเด็ก แต่ถ้าผมต้องพึ่งเขาทุกอย่าง แล้วผมจะมาที่อิตาลีทำไม



ระบบของผมที่สร้างขึ้นชื่อชิบะ 3.0 พัฒนาจากตัวแรกที่ก้าวกระโดดในเรื่องของการพลางตัวและหลอกสายตา ผมกำลังสร้างระบบใหม่ที่เหมือนระบบเดิมแต่ระบบตัวนี้จะไม่สามารถตรวจจับได้เมื่อผมปลดรหัสเข้าไปใช้งาน มันจะเหมือนกระจกอีกด้านที่สะท้อนแต่สิ่งที่ผมอยากจะให้เห็น เช่น ถ้าผมกำลังจะเจาะระบบอยู่แต่ไม่อยากให้พวกเขารู้ มันจะแสดงผลว่าผมกำลังนั่งเล่นเกมส์ พิมพ์รายงาน หรือแม้กระทั้งทำงานทั่วๆ ไป ซึ่งผมเขียนโค้ดเอาไว้เพื่อหลอกพวกเขาโดยเฉพาะ แม้จะยุ่งยากช่วงแรก แต่เพื่อไม่ให้วุ่นวาย ผมก็เลยต้องทำ ตอนนี้ผมเหลืออีกนิดเดียวระบบของผมก็จะสมบูรณ์แล้วครับ



“นี่เจ้าหนู มาลองกันซักตาไหม” มาร์คละสายตาจากจอ ยืดแขนบิดขี้เกียจและหมุนเก้าอี้มาชวนผมที่นั่งหลบมุมอยู่ อยากที่มาร์คบอกครับ ถ้าผมมาหาเขาทีไรเขาจะไม่ค่อยได้ทำงาน เพราะมาร์คมักจะชวนผมแข่งทุกครั้งที่มีโอกาส



“ถ้าคุณไม่กลัวแพ้ก็ได้ครับ” ผมถอนหายใจเล็กน้อยที่มาร์คเข้ามาขัดจังหวะ แต่เพื่อไม่ให้เขาสงสัย ผมจึงตอบตกลง สิ่งที่ผมกับมาร์คกำลังจะทำกันนั่นคือการแข่งแฮคระบบครับ ส่วนใหญ่แล้วในโลกของแฮคเกอร์มักจะมีการแข่งขันแบบนี้อยู่บ่อยๆ เป็นการจัดอันดับฝีมือของแฮคเกอร์ทั่วโลกที่กระหายอยากพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งเป็นนิสัยที่ติดตัวทุกคนอย่างเข้มข้น



“งั้นเรามาเริ่มกันเถอะ ตอนนี้เพนตากอนเปิดให้แฮคเกอร์ทดลองแฮคระบบดู” มาร์คตาเป็นประกายเหมือนเด็กๆ ที่กำลังตื่นเต้นกับทุกอย่าง ผมก็เช่นกัน นานๆ ทีรัฐบาลจะเปิดให้คนทั่วไปลองแฮคระบบเพื่อหาจุดบกพร่องหรือช่องโหว่ดู ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ทดสอบฝีมือ ผมกับมาร์คเปิดเข้าระบบของเพนตากอนพร้อมๆ กัน เขากับผมสบตากันเล็กน้อย ผมหักข้อนิ้วเพื่อคลายเมื่อยและเตรียมตัว



“สาม สอง หนึ่ง เริ่ม!!!!” มาร์คเป็นคนนับถอยหลัง หลังจากนั้นดวงตาของผมก็มีแต่ภาษาซีวิ่งผ่าน นิ้วมือพิมพ์โค้ดมากมายและจมเข้าไปสู่โลกที่มีแต่ผมเท่านั้น





ร่างสูงใหญ่ของดราโกเดินลัดเลาะถนนเล็กๆ ที่คดเคี้ยวไปมาในป่าหลังบ้านของเขาอย่างชำนาญ แม้สองข้างทางจะมืดมิด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคเพราะคืนนี้เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสว่างจนพอมองเห็นทางได้อย่างง่ายดาย ดราโกและคาลอสเดินไปซักพักก็มาถึงบ้านไม้หลังเล็กของมาร์คที่ดราโกอนุญาตให้เจ้าตัวมีพื้นที่ส่วนตัวตามที่ชายร่างผอมหัวฟูเคยเอ่ยปากขอเอาไว้



ดอนแห่งคอลิโอเน่แสกนนิ้วและม่านตาเสร็จเรียบร้อยประตูก็ปลดล็อค เขาและคาลอสเปิดประตูเข้าไปยังภายในตัวบ้าน แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นประตูเข้าไปเสียงสบถของเจ้าของบ้านหลังเล็กก็ดังลั่น



“บ้าเอ๊ย อีกนิดเดียว” มาร์คโวยวายเสียงดังโดยที่สายตายังไม่ละไปจากหน้าจอ นิ้วมือยาวขึ้นข้อชัดเจนรัวนิ้วพิมพ์บนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว “เจ้าหนู!!!!! อย่าโกง!!!!”



“ผมเปล่านะครับ” เสียงราบเรียบของเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวในบ้านเอ่ยขึ้นมา ดวงตาสีทองของดราโกหันไปมองทางต้นเสียงทันที ชายหนุ่มเห็นภาพเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงมุมห้อง หลังพิงผนังและเหยียดขามาด้านหน้า โดยที่ตักนั้นวางโน๊ตบุ๊คเอาไว้ เจ้าตัวก็เป็นเช่นเดียวกับมาร์คที่นั่งพิมพ์อะไรบางอย่างอย่างรวดเร็ว สายตาก็เพ่งมองแต่หน้าจอคอม พวกเขามีสมาธิมากจนไม่รู้ตัวเลยซักนิดว่ามีใครบางคนเดินเข้ามา



“นายแกล้งฉัน ให้ตายซิ!!!” ชายผมฟูยังคงโวยวายไม่เลิก คาลอสขยับตัวมายืนอยู่ข้างผู้เป็นนายและมองสองคนที่หมกมุ่นอยู่กับอะไรบางอย่าง



“คุณไม่พลิกแพลงเองนะครับ จะโทษผมไม่ได้หรอก” เด็กหนุ่มยังคงมุ่งมั่นก้มหน้าก้มตาพิมพ์ต่อไป “ผมไปชั้นที่สี่แล้วนะครับ ตอนนี้มีคนแซงคุณแล้วนะ”



“อ่า ให้ตายเหอะ ฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก” มาร์คยกมือขยี้ศีรษะแรงๆ หนึ่งที จนผมที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วยิ่งฟูฟ่องราวกับรังนก เขาก้มหน้าก้มตาพิมพ์ต่อไป ทั้งสองจมไปกับโลกของการแข่งขัน ปล่อยให้ดราโกและคาลอสยืนนิ่งสนิทอยู่ตรงประตู จนกระทั่งมาร์คปล่อยมือและทุบโต๊ะอย่างแรง “บ้าเอ๊ย แพ้จนได้”



มาร์คบ่นออกมาเสียงดัง โวยวายไม่หยุด แต่ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน เขาลงมือกดแป้นพิมพ์สองสามครั้งภาพการแข่งขันทั้งหมดก็ปรากฏอยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่สามเครื่อง จากตอนแรกที่มาร์คโวยวายเพราะแพ้ ก็กลับเป็นฝ่ายเอ่ยเชียร์ร้องตะโกนให้เด็กหนุ่มสู้ๆ แทน



“อย่างน้อยฉันก็ได้ที่สามละนะ อีกนิดเจ้าหนู ชนะเจ้านี่ให้ได้ อย่าไปยอมแพ้” มาร์คตะโกนเชียร์ โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าร่างเงาสูงใหญ่ของดอนแห่งคอลิโอเน่พาดทับปรากฏอยู่เบื้องหลัง พร้อมน้ำเสียงเย็นชา



“มาร์ค”



ร่างผอมสูงของมาร์คสะดุ้งเฮือกผงะถอยจนแทบตกเก้าอี้ ใบหน้าซูบผอมจนเห็นกระดูกอ้าปากเบิกตากว้างด้วยความตกใจ



“ดะ ดอน” เสียงสั่นเครือของโปรแกรมเมอร์หนุ่มแทบทำให้คาลอสกระตุกยิ้มอย่างชอบใจ



“ทำอะไร” น้ำเสียงและดวงตาที่เย็นชาตวัดจ้องเขม็งไปยังใบหน้าแตกตื่นของมาร์คทันที



“แข่งแฮคอยู่ครับ” ชายหนุ่มที่ตกเป็นจำเลยรีบร้อนบอก พอเห็นสายตาที่ยังไม่พอใจ เขาก็รีบอธิบายต่อ “ตอนนี้ผมกับคริสตินกำลังแข่งแฮคระบบของเพนตากอนอยู่ เป็นการแข่งขันที่เปิดให้แฮคเกอร์ทั่วโลกได้ลงแข่งหาช่องว่างของระบบ ตอนนี้ผมแพ้ไปแล้วได้ที่สาม ตอนนี้เหลือสองคนสุดท้ายที่เจาะเข้าไปได้ถึงขั้นที่สี่ ใครเคลียร์ก่อนก็ชนะไปครับ”



“แล้ว...” ดราโกยังคงกดดันต่อไป มาร์คเหงื่อตกไม่รู้จะพูดอะไรต่อ และไม่เข้าใจถึงความต้องการของดอนด้วย เพราะเขาก็ได้อธิบายไปหมดทุกอย่างแล้วนี่นา



“เออ ผะ ผม ผม”



“รู้ไหมว่ามันกี่โมงแล้ว” ดราโกถาม



“สามทุ่มห้าสิบครับ” มาร์คตอบหลังจากเหลือบมองนาฬิกาบนหน้าจอ



“คริสตินนอนสี่ทุ่ม และเขายังไม่ได้ทานอาหารเย็น” ดอนแห่งคอลิโอเน่พูดจบประโยค ชายหนุ่มหัวฟูก็อ้าปากค้าง ดวงตาลึกโหลจากการอดนอนเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา หรือว่าที่มายืนทำหน้าโหดอยู่ตรงนี้เพราะต้องการพาเด็กน้อยไปเข้านอน เช่นเดียวกับคาลอสที่ยืนกลั้นขำอยู่ข้างหลังไปไกลนัก นับวันดราโกชักเหมือนผู้ปกครองของคริสตินเข้าไปทุกที



“อะ เออ อีกไม่นานก็น่าจะจะ จบแล้วครับ ไม่น่าจะเกินสิบห้านาที” มาร์คปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามไรผม แม้อากาศภายในห้องจะเย็นเพราะต้องคงอุณหภูมิให้คอมพิวเตอร์ที่แสนละเอียดอ่อนพวกนี้ แต่ตอนนี้เขาชักจะร้อนมากขึ้นทุกที



ร่างสูงของดราโกก้าวลงไปนั่งชันขาอยู่ข้างๆ เทวดาตัวน้อยที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อร่างสูงมาบดบังแสงไฟ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลจะได้ละสายตาออกจากหน้าจอเพื่อมองใครบางคนที่จงใจมานั่งอยู่ตรงหน้า คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยเพราะเด็กหนุ่มไม่คิดว่าจะเป็นดราโกที่เข้ามา



“ครับ?”



“ถ้าเสร็จแล้ว เธอต้องรีบไปทานข้าว” ดราโกสั่งเสียงนิ่ง เขามองเด็กน้อยของเขาที่ยังคงขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็พยักหน้าหงึกหงักก่อนจะก้มมองที่หน้าจออีกครั้ง ดราโกเห็นเด็กน้อยพยักหน้าเข้าใจก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะสาวเท้าเดินไปหามาร์คที่ยืนเหงื่อตกอยู่ “อธิบาย”



คำพูดสั้นๆ ของดอนนั้นทำให้มาร์คงุนงง แต่พอเห็นดวงตาสีทองของชายหนุ่มร่างสูงจับจ้องไปยังหน้าจอของเขาก็เข้าใจ ชายผมฟูหยักหน้าและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างร่าเริงอารมณ์ดี



“ตอนนี้ระบบของเพนตากอนมีทั้งหมดห้าชั้นครับ พวกเขากำลังอยู่ในชั้นที่สี่ อีกนิดเดียวก็หลุดไปชั้นที่ห้าแล้ว แต่กว่าจะเจาะแต่ละชั้นผ่านก็ต้องผ่านระบบรักษาความปลอดภัย หาช่องโหว่ของระบบและเจาะแทรกแซงไปให้ได้ แต่ละชั้นจะมีกลไกไม่เหมือนกัน และมีกับดักล่อหลอกซะจนปวดหัว แต่ถ้าหลุดไปได้ก็จะได้ชื่อว่าเป็นยอดแฮคเกอร์และได้รับเงินรางวัลจากทางรัฐบาลสหรัฐด้วยนะครับ แต่คนที่เจ้าหนูแข่งด้วยก็เก่งกาจเอาเรื่องเลยล่ะ เดี๋ยวรุกเดี๋ยวไล่ตามกัดกันไม่ลดละ”



“งั้นตอนนี้คริสตินก็นำซินะ” คาลอสสรุปใจความสำคัญออกมาสั้นๆ ชายหัวฟูพยักหน้าฉีกยิ้ม แต่เมื่อดวงตาหมีแพนด้าของเจ้าตัวหันไปมองทางหน้าจออีกที ดวงตาอดนอนนั้นก็เบิกกว้าง



“อ๊ะ เจ้าหนู แย่แล้ว เฮ้ย เจอกับดักแล้ว โอ๊ะ จบแล้วนี่นา” น้ำเสียงของมาร์คนั้นหลากอารมณ์จนเมื่อประโยคสุดท้ายจบมันก็เต็มไปด้วยความเสียดาย





ผมส่ายหน้าเล็กน้อยและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อีกนิดเดียวผมก็จะชนะแล้วแท้ๆ แต่เพราะความประมาทของผมเมื่อครู่ทำให้ผมเจอกับดักและพลาดไปอย่างน่าเสียดาย ผมพับหน้าจอและลุกขึ้นยืนบิดตัวเล็กน้อยเพื่อคลายเมื่อย แต่อารมณ์ของผมก็ยังคงค้างคาและขุ่นมัว อีกนิดเดียวผมก็จะชนะแล้วแท้ๆ เฮ้อ



“เกิดอะไรขึ้น” ดราโกหันมาถามผมที่หิ้วคอมเดินมาใกล้ๆ พวกเขา



“ผมพลาดครับ ไม่นึกว่าจะซ่อนกับดักไว้ตรงคำสั่งชุดนั้นด้วย” น้ำเสียงผมเต็มไปด้วยความเสียดายที่ไม่อาจชนะได้ แต่ผมก็ยังรู้สึกสนุกที่ได้แข่งกับคนเก่งๆ แบบนี้นะครับ มันทำให้ผมรู้ถึงจุดบกพร่องของตัวเองได้เป็นอย่างดี



“เอาเถอะ ยังมีครั้งหน้า” มือหนาของดราโกยกขึ้นมาลูบศีรษะของผมเบาๆ คำพูดนิ่งๆ แต่มันก็เป็นประโยคปลอบใจทำให้ผมเอ่ยขอบคุณเขา “ไปเถอะ”



“ครับ” ผมเดินไปวางคอมพิวเตอร์เพื่อเก็บไว้ที่เดิมและเอ่ยลามาร์คที่ยังยืนหน้าซีดอยู่ตรงนั้น ผมขอบคุณเขาเล็กน้อยและเดินไปที่ประตูที่คาลอสยังยืนเปิดค้างให้ผมอยู่ ร่างสูงผอมของมาร์คก็เดินมาส่งผมถึงหน้าบ้านเช่นเดียวกัน แต่ก่อนที่จะไป ชายหนุ่มเจ้าของบ้านก็ยิ่งยืนหน้าซีดยิ่งกว่าเดิมเพราะประโยคเดียวที่ได้ยินจากดอนแห่งคอลิโอเน่



“อย่าให้มีครั้งหน้าอีก” สั้นๆ และเรียบนิ่งตามแบบฉบับเจ้าตัว ผมหันไปมองพวกเขาด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร ยกเว้นก็แต่เจ้าของดวงตาคมดุสีทองคู่นั้นที่ก้มตัวลงมากระซิบอยู่ข้างหูของผม



“ถ้าครั้งหน้าเธอดื้อไม่ยอมทานข้าวให้ตรงเวลา ฉันจะเป็นฝ่ายกินเธอแทน” น้ำเสียงกระซิบที่ดูชั่วร้ายทำให้ผมสงสัยมากกว่าเดิม จะกินผมไปเพื่ออะไรล่ะครับ ถ้าหิวมากนักก็บอกแองเจลิน่าให้ตักข้าวเพิ่มก็ได้นี่นา อาหารที่นี่ก็ไม่ขาดแคลน แต่ทำไมเขาถึงทำหน้าหิวขนาดนั้นนะ



“คุณก็ยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเหรอครับ” ผมถามเขาด้วยความสงสัย



“ใช่ อยากกินจะแย่อยู่แล้ว” ผมเอียงศีรษะมองเขาอย่างไม่เข้าใจ แค่หิวข้าวต้องทำท่าทางชั่วร้ายอดอยากขนาดนั้นเลยรึไงกัน



“งั้นก็ไปทานข้าวกันเถอะครับ” ผมบอกดราโกที่ยกยิ้มมุมปาก เห็นรอยยิ้มของเขาแล้วทำไมผมถึงหนาวเยือกขึ้นมาขนาดนี้กันนะ





.........................................................

สวัสดีค่ะ ^^ ไรต์กลับมาแล้วค่า ในบทนี้ไรต์แก้และลบบ่อยมากเพราะยังรู้สึกไม่ถูกใจเท่าไหร่ ไรต์ถือว่าเนื้อหาสำหรับตอนนี้เป็นการเปิดปมบางอย่างของหนูคริสตินให้นักอ่านทุกท่านทราบ ก็เลยค่อนข้างจะลังเลและแก้แล้วแก้อีกค่ะ

สำหรับข้อมูลที่ลุงพูดไว้ The biggest organized crime groups in the world เป็นบทวิเคราะห์ของ Christ Matthews ที่รวบรวมรายได้และความรวยของแก๊งมาเฟียทั้งหลายเอาไว้นะคะ ไรต์นำมาจากบทความของเขาค่ะ นักอ่านสามารถไปตามอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งนี้นะคะ น่าสนใจมากเลยทีเดียว https://thaipublica.org/2016/04/hesse-69/

และองค์กร UNTOC เป็นอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ โดยองค์กรอาชญากรรม หรือ United Nations Convention Against Transnational Organized Crime (UNTOC) มีทั้งสิ้น 41 ข้อ มีประเทศภาคีทั้งหมด 145 ประเทศ สำหรับประเทศไทยได้ลงนามเป็นประเทศสมาชิกในอนุสัญญาดังกล่าว เมื่อ 13 ธันวาคม 2543 และมีผลบังคับใช้วันที่ 29 กันยายน 2546 ค่ะ ข้อมูลเพิ่มเติมอยู่ที่ลิ้งนี้นะคะ https://www.l3nr.org/posts/257928

ไว้พบกันใหม่ตอนหน้าค่า ^^



หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 11 ความจริง (03.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 03-07-2018 16:29:32
ดอนใจร้าย คอยแต่จะจับน้องกินตลอด
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 11 ความจริง (03.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: PPYK287 ที่ 03-07-2018 17:39:43
ขำความพยายามยัดเยียดตัวเองให้เป็นผู้ปกครองน้องแบบจงใจ อีกนิดเดียวก็จะเป็นพ่อน้องแล้วนะคะคุณลุง 5555555
 เอ็นดูความน้องมากกก อยากบีบ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 11 ความจริง (03.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-07-2018 18:59:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 11 ความจริง (03.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 03-07-2018 20:30:58
น้องใสเกินไปสำหรับตาลุงนี่ ลุงผู้มีความผู้ปกครองสูง โถๆๆๆ
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 11 ความจริง (03.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 03-07-2018 20:54:51
เอ็นดูน้องงงงงง
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 11 ความจริง (03.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 03-07-2018 21:46:54
หลอกหาเรื่องกินเด็กนะดอน...นนนนน   :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 11 ความจริง (03.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 03-07-2018 22:39:15
เรื่องแบบนี้น้องไร้เดียงสานะดราโก อย่าหลอกน้อง
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 11 ความจริง (03.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 03-07-2018 23:34:04
ขอบคุณสำหรับลิงก์บทความนะคะเราเข้าไปอ่านแล้วน่าสนใจมากทีเดียว ส่วนตอนนี้เหมือนหนูน้อยจะวางแผนทำอะไรอีกสินะ ก็ไม่รู้ว่าจะโดนดราโกจับไต๋ได้อีกรึเปล่าเพราะถ้าจับได้โดนทำโทษแน่ๆ
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 11 ความจริง (03.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-07-2018 03:32:20
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 11 ความจริง (03.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: sugardaddy ที่ 07-07-2018 21:22:32
อย่าหลอกน้อง 555
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 11 ความจริง (03.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: sugardaddy ที่ 07-07-2018 21:23:33
อย่าหลอกน้อง 555
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 11 ความจริง (03.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 08-07-2018 00:15:52
จ้องจะกินเด็กน้อยตลอดนะดอน
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 12 บาดเจ็บ (08.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 08-07-2018 20:15:11
บทที่ 12 บาดเจ็บ


หลังจากที่ดราโกและคาลอสเดินมารับผมที่บ้านของมาร์ค ผมก็ใช้เวลาในการลัดเลาะผ่านป่าหลังบ้านของดราโกอยู่ซักพัก กว่าจะเดินกลับมาถึงบ้านใหญ่ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วครับ ตอนนี้ดวงตาของผมปรือลงเรื่อยๆ เพราะเลยเวลานอนตามปกติของผมแล้ว ปกติผมจะนอนเวลาสี่ทุ่มทุกวัน แต่เมื่อซักครู่เพราะความตื่นเต้น และสนุกจนลืมเวลา ทำให้ผมลืมกินข้าวและหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง แต่พออะดรีนาลีนลดลงเป็นปกติความง่วงก็เข้าจู่โจมผมทันที มันเป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายที่สั่งผมให้ปิดสวิตช์และหลับตาลง



เดินไปเดินมาจู่ๆ ภาพตรงหน้าก็พร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ ตาของผมหนักมากขึ้นทุกที ตอนนี้ผมอยากนอนมากเลยครับ ใช้สมองมากก็เลยเหนื่อยยิ่งทำให้ตอนนี้ผมง่วงนอนมากกว่าทุกครั้ง แต่ระหว่างที่ผมกำลังสะลึมสะลืออยู่นั้น ผมก็รู้สึกถึงมือของใครบางคนที่จับข้อมือของผมและพาผมเดินไปช้าๆ ไม่เร่งรีบ พอจะเดินออกนอกเส้นทาง เจ้าของมือใหญ่ๆ ก็ดึงผมให้กลับทางเดิม ผมเลยวางใจตัดสินใจหลับตาลงและปล่อยให้เจ้าของมืออุ่นๆ นั้นพาผมกลับไปห้องนอนแทน



“จะให้ฉันอุ้มเธอไหม” น้ำเสียงทุ้มของชายหนุ่มเจ้าของมือดังขึ้นอยู่ข้างๆ ผมส่งเสียงปฏิเสธในลำคอและส่ายศีรษะเล็กน้อย



“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบเขาด้วยเสียงแผ่วเบา ผมพูดทั้งๆ ที่ยังหลับตาสนิท โดยไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของดราโกที่ลอบมองมาเลยแม้แต่น้อย



หลังจากนั้นผมก็ไม่รับรู้เรื่องราวใดใดแล้วครับ เหมือนผมจะรู้สึกตัวเป็นบางครั้งแต่ภาพมันก็ตัดไปตัดมาจนผมเลิกที่จะสนใจ รู้แค่ว่าจู่ๆ ตัวผมก็เบาหวิวและรับรู้ถึงอ้อมแขนของเขาที่ช้อนตัวผมขึ้นมาเท่านั้นเอง ผมขยับตัวยุกยิกจัดท่าทางเล็กน้อย และต่อจากนั้นผมก็หลับลึกลงไปในทันที มีบ้างที่ผมรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากการหัวเราะในลำคอของเขา และสัมผัสอุ่นร้อนที่ทาบทับลงบนหน้าผากและริมฝีปากของผมเท่านั้น



“ฝันดีครับ” ผมงึมงำคล้ายละเมอออกมา



“ผันดี เทวดาตัวน้อยของฉัน” เสียงทุ้มของเขากระซิบดังขึ้นในห้วงความฝันของผมอย่างแผ่วเบา







ร่างสูงใหญ่ของดอนแห่งคอลิโอเน่ตัดสินใจอุ้มคริสตินขึ้นมาแนบอก เมื่อเจ้าตัวลืมตาแทบไม่ขึ้นและเสี่ยงจะเดินชนต้นไม้ข้างทางเป็นรอบที่สิบ น้ำหนักตัวเบาหวิวไม่ได้ส่งผลใดใดให้กับชายหนุ่มที่ออกกำลังกายเป็นประจำเช่นเขาเลยแม้แต่น้อย เด็กน้อยขยับตัวยุกยิกเพื่อหาท่านอนที่สบายอยู่ชั่วครู่ ท่าทางของคริสตินนั้นมันทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ คริสตินอายุสิบห้าแล้ว แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นตัวเลขที่ห่างกับอายุของเขามากถึงยี่สิบเอ็ดปี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะปล่อยมือจากเด็กน้อยของเขาแน่นอน



“ดอนเหมือนพ่อเลยนะครับ หึ” น้ำเสียงกวนประสาทดังทุ้มขึ้นมาจากทางด้านหลัง



“หึ” เขาแค่แค่นหัวเราะ แต่ไม่คิดจะตอบอะไรกลับไป “แปลกรึไง”



“ก็ไม่คิดว่าดอนจะเป็นเอามากขนาดนี้ ถ้าแค่ช่วยชีวิตก็ตอบแทนเป็นเงินกลับไปก็ได้แล้วแท้ๆ แต่นี่ดอนถึงกลับเอาตัวมาไว้ข้างๆ คอยปกป้องดูแลและถึงกับคิดกำจัดพวกคาโซ่เพื่อเด็กคนหนึ่ง คิดว่าไม่แปลกรึไงครับ” ดวงตาคมกริบที่ถูกแว่นกรอบสี่เหลี่ยมบดบังไว้วาววับและคาดหวังที่จะรอฟังคำตอบจากดอนแห่งคอลิโอเน่



“ก็แปลก” ดราโกยอมรับอย่างง่ายๆ เขารู้อยู่แล้วว่าตั้งแต่ได้เจอกับเทวดาตัวน้อยของเขา เขาก็แปลกไป ขนาดเรื่องที่พวกเขาต้องมารักษาตัวที่เซฟเฮ้าส์แห่งนี้ก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นเอง ลักพาตัวคริสตินมาอยู่กลางป่าเพื่อที่จะจับตามอง แต่พอรู้ว่าเด็กน้อยของเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการลอบยิง พอคิดจะปล่อยไปก็ไม่สามารถทำได้ เพราะเขาเริ่มสนใจในตัวตนของเด็กน้อยมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาชักจะออกอาการหวงทุกคนที่คิดจะมาเข้าใกล้เด็กหนุ่ม



รู้ตัวอีกทีสายตาของเขามันก็แค่จะคอยมองตามร่างเล็กๆ ที่ชอบนั่งเงียบๆ อยู่ตรงมุมห้องอยู่เรื่อยไป รู้แต่ว่าเด็กคนนี้พิเศษ และเขาไม่คิดจะปล่อยไปอย่างง่ายดายแน่นอน



“หึหึ” ชายหนุ่มหัวเราะทุ้มอยู่ในลำคอ นั่นซินะ เขาเป็นเอามากเลยทีเดียว อายุก็ปาไปตั้งเท่าไหร่แล้ว ดันมาสนใจเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยด้วยซ้ำ



คาลอสมองตามหลังของดอนแห่งคอลิโอเน่ไปเรื่อยๆ ในฐานะเลขา เพื่อนสนิท และเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก เขารู้สึกว่าชีวิตของดราโกมีสีสันมากขึ้นกว่าเดิมเลยทีเดียว เห็นอาการของผู้เป็นนายแปลกไปจากปกติอย่างนี้มันก็น่าสนใจ รู้สึกว่าผู้ชายที่เย็นชา และดุดัน ไม่สนโลกคนนั้น เมื่อต้องมาดูแลเด็กคนหนึ่งก็ดูอ่อนโยนมากขึ้นทีเดียว คิดดูซิ แค่เด็กมันง่วง ก็ทำท่าห่วงจะเป็นจะตาย แค่ไม่กินข้าวและเลยเวลานอน ก็ร้อนใจจนต้องมาดูด้วยตัวเอง ไม่ใช่พ่อแล้วจะเป็นอะไรอีกล่ะ หึ



ใช้เวลาเพียงไม่นานดราโกก็อุ้มคริสตินที่หลับสนิทมาจนถึงห้องนอน ใจจริงชายหนุ่มอยากจะปลุกให้เทวดาน้อยของเขาลุกขึ้นมาทานข้าวและอาบน้ำให้เรียบร้อยซะก่อน แต่ดูท่าทางแล้วคริสตินคงไม่อยากจะทำอะไรแล้วแน่นอน เจ้าตัวเล่นหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราวใดใดเลยซักนิด ขนาดเขาจับเปลี่ยนเสื้อผ้า พามานอนที่เตียงและห่มผ้าให้ เด็กน้อยก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา



เขาเห็นท่าทางของคริสตินแล้วก็อดใจไม่ไหวต้องก้มลงไปจุมพิตตรงหน้าผากมน และปิดท้ายที่ริมฝีปากแดงเรื่อนุ่มๆ นั้นหลายที จนคริสตินงัวเงียลืมตากลมโตสะลึมสะลือคู่นั้นขึ้นมา ร่างสูงชะงักกึกทันทีเพราะคิดว่าเขาไปรบกวนเด็กน้อยจนตื่น แต่เขาก็คิดผิด



“ฝันดีครับ” คริสตินเอ่ยราตรีสวัสดิ์กับดราโกเบาๆ และหลับลึกลงไปในห้วงของความฝัน ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มนั้นน่าเอ็นดูจนรอยยิ้มบางเบาถูกจุดขึ้นอยู่บนริมฝีปากของชายหนุ่ม



“ผันดี เทวดาตัวน้อยของฉัน” ดราโกเอ่ยตอบ ไม่รู้ว่าคริสตินจะได้ยินหรือไม่ แต่เขาก็รู้สึกอุ่นวาบอยู่ในอก กับแค่การบอกฝันดีเล็กๆ น้อยๆ ของเขาและเด็กหนุ่มเท่านั้น ความรู้สึกแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ









เช้าวันใหม่ผมลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวผมนั้นนอนอยู่ในอ้อมแขนของดราโก แขนแกร่งของเขานั้นกำลังโอบเอวรั้งแผ่นหลังของผมให้มาแนบชิดกับร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเขา ผมรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่ตกกระทบกับผิวของผม มันรู้สึกแปลกๆ และอบอุ่นอย่างน่าประหลาด หัวใจผมกระตุกหนึ่งทีจนผมอดแปลกใจขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาสีน้ำตาลของผมงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะตอนนี้ความสนใจของผมกลับเป็นดวงตาสีทองคู่หนึ่งที่ดึงดูดให้ผมไม่สามารถละสายตาไปได้



“อรุณสวัสดิ์ครับดราโก” ผมทักทายเขาตามปกติ ซึ่งชายหนุ่มร่างสูงก็ทักทายผมตอบ แต่ไม่ใช่ด้วยคำพูดนะครับ แต่เป็นการกระทำที่อุกอาจและคุกคามทางเพศแต่เช้า แต่โชคดีที่ผมยกมือขึ้นมาปิดปากได้ทัน ริมฝีปากของเขาเลยได้แต่ประทับอยู่ตรงหลังมือของผมเท่านั้น คิ้วเข้มของดราโกขมวดมุ่นอย่างขัดใจ แต่ผมกลับยกคิ้วส่งกลับไปให้เขาแทน



“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจของชายหนุ่มดังขึ้นทันที อ้อมแขนแกร่งที่ยิ่งกว่าคีบเหล็กยอมปล่อยร่างของผมแต่โดยดี



“ผมลุกก่อนนะครับ” เมื่อร่างของผมเป็นอิสระ ผมก็ถือโอกาสไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ใช้เวลาเพียงไม่นานผมก็เดินออกมา สวนทางกับร่างสูงใหญ่ของดราโกที่จะเดินเข้าไปจัดการธุระต่อจากผม แต่ก่อนที่เขาจะเดินผ่านไป มือใหญ่ของชายหนุ่มก็รั้งต้นแขนของผมเอาไว้ ผมเงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย



“รอฉันก่อนนะ มีเรื่องอยากจะคุยด้วย” เสียงทุ้มของดราโกเอ่ยบอกผม ผมได้แต่พยักหน้ารับและเดินไปนั่งรออยู่ตรงโซฟาเล็กใกล้ๆ หน้าต่าง ระหว่างที่รอดราโกอาบน้ำ ผมก็พยายามนึกว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เขาดูกังวล แม้ใบหน้าของเขาจะดูเรียบนิ่งตามปกติ แต่ผมก็เห็นแววตาของเขาวูบไหวเล็กน้อยคล้ายคนมีเรื่องในใจ



แต่เพราะผมไม่ใช่คนที่อ่านใจใครได้ ยิ่งกับผู้ชายที่อ่านยากอย่างดราโกแล้วด้วยล่ะก็ ผมจึงไม่กล้าคิดหรือคาดเดาไปล่วงหน้า ตั้งแต่ผมใช้เวลาร่วมกันกับเขามา เขาเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้ง เจ้าแผนการ และมีเล่ห์เหลี่ยมค่อนข้างมาก การที่ผมมักตกหลุมพลางเขาบ่อยๆ มันก็ช่วยไม่ได้นะครับ เพราะเขามีประสบการณ์เยอะกว่าผมมากทีเดียว ผมละความสนใจจากความคิดยุ่งเหยิงภายในความคิดของผม เพราะการที่ผมจะคิดไปล่วงหน้านั้นก็เหนื่อยการเปล่า รอฟังเขาและค่อยแก้ไขไปทีละอย่างน่าจะดีกว่า



พอผมปล่อยความกังวลและความสงสัยภายในใจออกไป ผมก็คิดจะดื่มด่ำกับอากาศบริสุทธิ์ในยามเช้าที่อยู่ภายนอกหน้าต่าง จึงเอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ข้างๆ เก้าอี้ของผม จนลมเย็นๆ จากภายนอกพัดโชยเข้ามาปะทะเข้ากับใบหน้า ทั้งสายลมและกลิ่นดอกไม้ในยามเช้าทำให้ผมปลอดโปร่ง ผมจึงให้ความสนใจกับพระอาทิตย์ยามเช้าและอากาศสดชื่นจากภายนอกหน้าต่างแทน แต่ผมกลับดื่มด่ำอากาศบริสุทธิ์ได้ไม่นาน เพราะดวงตาของผมสังเกตเห็นบางสิ่ง แสงสะท้อนเป็นประกายนั้นเหมือนกับกระจกที่สะท้อนกับแสงแดด มันส่องอยู่อีกฟากหนึ่งของป่า เลยจากเขตรั้วของบ้านดราโกไป แม้จะเป็นเแสงจุดเล็กๆ แต่มันกลับสะท้อนเข้ากับดวงตาของผมพอดี สัญชาตญาณในตัวร่ำร้องเตือนภัยบางอย่าง



เสี้ยวความคิดในวินาทีนั้นผมทิ้งร่างลงไปตามแรงโน้มถ่วงทันทีอย่างไม่รอช้า แต่มันกลับช้าไปในเมื่อกระสุนนั้นเดินทางด้วยความเร็วห้าวินาทีจากระยะสองพันกว่าเมตร



ฟุบ



“อึก” ผมกัดฟันแน่นเมื่อในความโชคร้ายของผมยังเหลือความโชคดีอยู่เล็กน้อยตรงที่กระสุนนั้นไม่ได้เจาะเข้าไปในส่วนใดส่วนนึงของร่างกายผม แต่กลับเฉี่ยวแขนผมไป แต่ลูกกระสุนที่ยิงด้วยความแรงของมันกลับทำให้บาดแผลที่ต้นแขนของผมเจ็บปวดราวกลับจะเผาไหม้



ปัง



หลังจากกระสุนเดินทางมาในระยะเวลาห้าวินาที เสียงถึงจะตามมาทีหลังในระยะห่างนั้น แต่มันก็เสียงแผ่วเบาจนดราโกที่ยังอยู่ในห้องน้ำไม่ได้ยิน ผมหอบหายใจอย่างหนักเพราะกระสุนของสไนเปอร์นั้นจะมีอนุภาพรุนแรงมากกว่าปืนทั่วไปในท้องตลาด ผมยกมือข้างที่ไม่บาดเจ็บกุมแผลไว้แน่น แต่เลือดสีแดงฉานกลับไหลอาบแขน ล้นทะลักจนกลิ่นคาวคละคลุ้ง



ผมกำลังจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ แต่ความคิดบางอย่างก็ผุดวาบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผมกัดฟันฉีกชายเสื้อเป็นริ้วยาวเพื่อมาห้ามเลือดอย่างลวกๆ และหมอบคลานไปที่เตียงนอน สไนเปอร์คนนั้นยิงมาในระยะห่างถึงสองพันกว่าเมตร แม้จะสามารถยิงถูกเป้าหมาย แต่ระยะไม่อาจมองเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาจะต้องรู้ว่ามีแค่ผมที่อยู่ภายในห้องนอนเพียงคนเดียว



ผมตัดสินใจหยิบหมอนข้างขึ้นมาและกัดฟันข่มความเจ็บถอดเสื้อของผมออก และจัดการนำมาสวมลงไปที่หมอนข้างเพื่อใช้พลางตาคร่าวๆ แสร้งขยับหมอนข้างทำเป็นลอบๆ มองๆ ตรงหน้าต่าง และทันใดนั้นเอง หมอนข้างสีเทาดำก็ถูกแรงกระสุนกระทบจนหล่นตุบ คงเหมือนอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ ในห้องนี้ถูกติดเครื่องดักฟังไว้ครับ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เห็นภาพที่เกิดขึ้นภายในห้อง จากระยะที่ส่องกล้องขนาดนั้นคงเห็นแค่เงาคนวูบไหว พร้อมกับสีเสื้อคร่าวๆ เท่านั้น



“ฮึก โอ๊ย เจ็บ ฮือ ผมจะ เจ็บ เจ็บจังเลย ดะ ดราโก ชะ ช่วย ผม ดะ ดราโก” ในเมื่อได้ยินแต่เสียง ผมก็เลยร้องครางออกมาเหมือนในหนังที่พ่อเคยเปิดให้ผมดู ฉากที่คนร้ายถูกยิงและร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ผมที่นั่งชันขายกมือกุมต้นแขนโดยหลังพิงผนังอยู่นั้น ได้เปลี่ยนท่าเป็นเหยียดขาและใช้ขาของผมเสียดสีไปมากับพื้นพรมเพื่อให้เหมือนผมกำลังคลานกับพื้น จากนั้นก็คว้าโคมไฟข้างเตียงขว้างลงพื้นไปเต็มแรงเพื่อแสดงให้สมจริงมากขึ้น



เพราะเสียงโครมครามและเสียงร้องเจ็บปวดของผมทำให้ดราโกเปิดห้องน้ำมาอย่างร้อนใจ ดวงตาสีทองของเขาเบิกกว้างสั่นไหวเมื่อเห็นต้นแขนอาบเลือดของผม แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะพุ่งตัวมาหาผม ผมก็ใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก เป็นสัญลักษณ์ที่บอกให้เขาเงียบๆ อย่าพึ่งวู่วาม และชี้ไปที่หมอนข้างของผมที่ยังมีรูปโบ๋สีดำปรากฏอยู่ ผมแสร้งร้องออกมาอีกครั้ง และครั้งนี้ชายหนุ่มก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจว่าผมกำลังทำอะไรอยู่



“ฮือ ผมเจ็บ ดรา ดะ ดราโกครับ ช่วยผมที” ผมยังคงแสดงต่อไป เสียงร้องของผมสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมก็รู้นะครับว่าถึงผมกำลังร้องออกมาได้สมจริงแค่ไหน แต่ใบหน้าและดวงตาของผมก็ยังคงเรียบนิ่งเฉยชา อ๊ะ ผมเห็นนะ ว่าดราโกแอบหลุดหัวเราะมานิดหนึ่งด้วยครับ ผมขึงตาดุๆ ส่งไปให้เขาว่าอย่าหัวเราะผมนะหนึ่งที และคิดจะปิดการแสดงนี่ก่อนที่ผมจะเลือดไหลจนหมดตัวจริงๆ



“ดะ ดราโก!!!! ช่วย ช่วยผมด้วย!!!” ผมตะโกนเรียกชื่อชายหนุ่มอีกคนดังลั่นเท่าที่ผมจะทำได้ และดอนแห่งคอลิโอเน่ก็รับมุขผมอย่างดีด้วยการกระทืบเท้าเดินตึงตัง และร้องโวยวายเสียงดังเช่นกัน



“ไม่!!!!!! คริสติน อดทนไว้ เธออย่าพึ่งเป็นอะไร” เสียงทุ้มของดราโกดังลั่นโหยหวนคล้ายเจ็บปวด ผมว่าเขาเล่นใหญ่กว่าผมอีกนะครับ แต่ดวงตาของเขากลับวาวโรจน์คุกกรุ่นและน่ากลัว เสียงร้องตะโกนของดราโกยังดังต่อไปและเสียงร้องไห้ของผมก็ยังคงสอดประสานเป็นอย่างดี เพียงแต่มือใหญ่ของชายหนุ่มร่างสูงเขียนไปที่พื้น ผมอ่านได้ว่า



ตายไหม?



ผมพยักหน้าทันที ในเมื่อมือปืนคนนั้นต้องการให้ผมตาย ผมก็ต้องสนองเจตนารมณ์ของเขากลับคืนไปให้เท่าเทียม? พอผมตอบตกลงว่าจะแกล้งตาย ดราโกก็ควรได้รับเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์นะครับ เพราะเขาแสดงได้สมจริงมากๆ ถ้าผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าดราโกคือดอนของคอลิโอเน่ มาฟียผู้น่าเกรงขามและโหดร้าย ผมก็คิดว่าเขาคือนักแสดงคนหนึ่งบนเส้นทางฮอลีวู้ด



ใบหน้าหล่อเหลาดุดันของดราโกเรียบนิ่งแต่ร้องโวยวายเรียกหาคาลอส จาคอปให้ไปตามหมอมาช่วยผมอย่างรวดเร็ว บอกให้ผมแข็งใจไว้นู้นนี่นั่นมากมาย ผมชี้มือไปทางหน้าต่าง กระซิบเบาๆ ว่าสไนเปอร์ ระหว่างนั้นเขาก็เปิดมือถือกดข้อความส่งไปให้ใครบางคนอย่างรวดเร็ว ผมเห็นคร่าวๆ ว่าเขาพิมพ์ว่า สไนเปอร์ ห้องนอน นอกรั้ว เท่านั้น หลังจากนั้นผมก็คิดว่าควรจบการแสดงฉากนี้ได้แล้วเพราะตอนนี้สายตาผมเริ่มพร่ามัวมากขึ้นและความเจ็บก็จู่โจมมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องขบริมฝีปากเพื่ออดทน



“ดะ ดราโกครับ ผม คงไม่ไหวแล้ว” เสียงของผมสั่นพร่าและขาดห้วง ครั้งนี้ไม่ใช่การแสดงนะครับ แต่ผมเจ็บของจริงแล้วล่ะ



“ไม่!!!! คริสติน เธอต้องไม่เป็นอะไร ทนอีกนิด ขอร้องล่ะ ทนอีกนิด” น้ำเสียงทุ้มของดราโกเต็มไปด้วยความเจ็บปวดมากจริงๆ



“กะ ก่อนผมจะไป ฝัง ฝัง ผมไว้ใต้ต้นไม้ต้นนั้น ต้น ที่ ใหญ่ ที่สุดที่บ้าน ของผม ที่ คอทส์โวลส์” ผมบอกความต้องการของตัวผมไป “ฝะ ฝัง คอมพิวเตอร์ ของ ของผมด้วยนะครับ”



ดราโกที่กำลังจะต่อบทสนทนาของผมชะงักกึกไปทันทีเมื่อได้ยินความต้องการของผมที่อยากให้เขาฝังผมพร้อมกับคอมพิวเตอร์เครื่องโปรด ดวงตาดุดันที่วาวโรจน์เมื่อครู่กลับเจือแววขำขึ้นมาบางเบา พร้อมกับรอยยิ้มตรงมุมปากที่สั่นระริกจากการกลั้นหัวเราะของเขา



“ไม่ คริส ที่รัก เด็กน้อยของฉัน ได้โปรด ที่รัก อย่าทิ้งฉันไป อย่า ไม่นะ!!!!!!!” และประโยคของดราโกก็เป็นประโยคสุดท้ายในการแสดงละครในวันนี้ ถึงแม้ผมจะแปลกใจกับคำเรียกว่าที่รักของเขาก็ตาม แต่ก็ช่างเถอะครับ เขาคงกำลังอินกับการแสดงมากเกินไป







หลังจากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ทั้งผมและดราโกสบตากันเล็กน้อย ไม่รู้ว่าสไนเปอร์คนนั้นจะได้ยินและเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน แต่พวกผมก็ทวงเวลาเท่าที่จะทำได้แล้ว ไม่รู้ว่าทางฝั่งคาลอสและจาคอปจะสามารถจับตัวสไนเปอร์คนนั้นได้ก่อนที่เขาจะหนีไปหรือเปล่า เรื่องนี้ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะครับ โดยเฉพาะใครบางคนที่มาแหย่ให้ผู้ชายคนนี้โกรธ ผมลอบสังเกตดราโกอยู่เงียบๆ และรู้ได้ในทันทีเลยว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ไกลผมมากเท่าไหร่นักกำลังโกรธ โกรธมากขนาดที่ว่าผมรู้สึกตัวสั่นเพราะความกลัว แววตาของดราโกเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวที่รอการปะทุ ใบหน้าของเขาแข็งกระด้างเย็นชาและพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ หลังจากนี้คอลิโอเน่คงทำทุกอย่างเพื่อกวาดล้างพวกเขา โดยเฉพาะคนที่ทรยศหักหลังผู้ชายคนนี้



ร่างกายของผมโอนเอนจากการเสียเลือด ยังดีที่ร่างสูงของชายหนุ่มพุ่งเข้ามารับร่างของผมได้ทันท่วงทีก่อนที่ตัวของผมจะฟุบลงไปกับพื้น เขาไม่รอช้ารีบอุ้มผมขึ้นมาโดยเลี่ยงที่จะเดินเข้าไปใกล้กับหน้าต่าง แม้เขาจะอุ้มผมอยู่แต่ฝีเท้าของเขากลับเงียบกริบ แม้แต่ตอนเปิดประตูออกไปข้างนอกก็ยังแผ่วเบา พอพ้นจากห้องนอน ดราโกก็รีบวิ่งไปยังห้องพยาบาลที่อยู่อีกฟากหนึ่งของตัวบ้านทันที



แม้ระหว่างทางจะผ่านทั้งแม่บ้าน บอร์ดี้การ์ดมากมายที่ทำหน้าตาแตกตื่นเพราะเห็นดราโกอุ้มผมที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดมากมาย ผมก็ยังไม่ลืมบทบาทที่ต้องแสดงนั่นคือการแกล้งตาย เพราะไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นหนอนแฝงตัวเข้ามา ไม่รู้ว่าใครทรยศ ไม่รู้ว่าใครหักหลัง หรือมีใครบ้างที่ไว้วางใจได้ ผมจึงต้องแกล้งแสดงต่อไปด้วยการปิดตาแกล้งตายเพื่อให้ฝ่ายนั้นเชื่อว่าผมได้จากไปแล้วจริงๆ



ด้วยความเร่งรีบของดราโก ทำให้ชายหนุ่มพาผมมาถึงห้องพยาบาลอย่างรวดเร็ว ร่างสูงที่โผล่พรวดพราดเข้าไปทำให้คุณหมอหนุ่มท่านหนึ่งถึงกับตกใจจนเสียขวัญ ดราโกอุ้มผมไปวางไว้บนเตียงพยาบาลและเดินไปปิดผ้าม่านหน้าต่างทุกผืนจนห้องพยาบาลที่สว่างดูอบอุ่นเมื่อครู่กลายเป็นมืดทึบ



“เร็ว!!!!” ดราโกหมุนตัวกลับมาพร้อมตวาดหมอหนุ่มที่ยังคงงุงงนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่พอหมอคนนั้นเห็นหน้าของดอนแห่งคอลิโอเน่ชัดๆ คุณหมอตัวสูงที่มีเรือนผมสีทองถึงกลับตะโกนด้วยความตกใจ



“เฮ้ยยยยย นาย!!!!” เสียงร้องนั้นคุ้นหูผมมากเลยทีเดียว ผมพยายามฝืนลืมตาเพื่อหันไปมองเจ้าของน้ำเสียงคุ้นหูนั้น แต่ผมก็เห็นเพียงแต่แผ่นหลังกว้างของดราโกที่บดบังร่างของหมอหนุ่มคนนั้นจนมิด “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่”



เสียงร้องของคุณหมอยังคงงุนงงและถามดราโกกลับมา แต่ชายหนุ่มร่างสูงก็ไม่สนใจ



“หุบปาก!!! รักษาเขาเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มตวาดกลับด้วยความร้อนใจพร้อมกับกระชากคอเสื้อของหมอคนนั้นเหวี่ยงมาที่เตียงพยาบาลเพื่อให้มารักษาผม แม้ผมจะสงสัยว่าทำไมคุณหมอถึงต้องตกใจขนาดนั้น อยากจะลืมตาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เปลือกตาของผมมันก็หนักมากเกินไป ผมจึงได้แต่นอนกัดฟันทนความเจ็บที่แผดเผาเอาไว้อย่างสงบ ตัดประสาทการรับรู้ใดใดก็ตามที่จะก่อกวนให้ผมยิ่งเจ็บปวดมากกว่าเดิม



สติการรับรู้ของผมเริ่มพร่าเลือนมากขึ้น ความมืดมิดเริ่มกลืนกินจนทำให้ผมเริ่มหมดสติ แต่ในเสี้ยวสุดท้ายก่อนที่การรับรู้ของผมจะดับมืดไป ผมกลับได้ยินเสียงเรียกชื่อของผมที่คุ้นเคยและชวนหงุดหงิดนั้นดังลั่น



“คิดตี้!!!!!!”



..........................................................................

เขากลับมาแล้วค่าาาา ผู้ชายเพียงคนเดียวในเรื่องที่เรียกชื่อหนูคริสได้น่ารักมุ้งมิ้งขนาดนี้ 5555 ยังมีใครจำชื่อกันได้ไหมคะ หายไปนานมากกกกก นานจนไรท์ก็ลืมไปแล้ว 555 บทนี้เราจะได้เห็นมุมหนึ่งของทั้งลุงและหนูคริสนะคะ นั่นคือ การแสดงหน้าตาย นั่นเองงงงง ลองนึกภาพกันดูนะคะ หนูคริสน่ะไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรมากมาย ยิ้มก็ไม่ยิ้ม ชอบทำอยู่หน้าเดียว แต่ก็พยายามแสดงละครให้เหมือนที่สุด ส่วนลุงก็ยอมตามน้ำไปกับเด็กซะงั้น ทั้งๆที่ตัวเองก็หน้าตาเหี้ยมๆแสนเจ้าเล่ห์เหลือเกิน ถ้าไรท์ไปอยู่ในห้องด้วยก็คงจะหัวเราะออกมาแน่ๆเลยค่ะ 555


หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 12 บาดเจ็บ (08.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-07-2018 21:59:17
จะมีหึงโหดไหม..รอ..อออออออออ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 12 บาดเจ็บ (08.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 08-07-2018 22:37:33
ท่านดอนมีคู่แข่งเป็นคุณหมอแล้วตอนนี้
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 12 บาดเจ็บ (08.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-07-2018 03:03:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 12 บาดเจ็บ (08.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 09-07-2018 10:41:30
หมอจอร์น นี่เอง :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 12 บาดเจ็บ (08.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 09-07-2018 14:08:06
โอ้ยยยย น้อง ซวยอีกแล้ว
คุณหมอมาเรียกคิตตี้แบบนี้เดี๋ยวจะมีคนหึงไหมคะเนี่ย?
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 12 บาดเจ็บ (08.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 09-07-2018 14:22:55
 :z2: :z2: :z2: :z2: โอ้ยยยย คิดถึงคุณหมออออนี่ก็นึกว่าคุณหมอจะหมดบทแล้วซะอีก แล้วไหงถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละคะแล้วนี่ถ้าดราโกรู้ว่าคุณหมอมากวนใจคริสตินบ่อยๆนี่ระวังจะโดนจัดการนะคะ ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 12 บาดเจ็บ (08.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 09-07-2018 20:07:03
หมอก็โดนดอนพามาด้วยเหรอ ใครเป็นหนอนเนี่ย
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 09-07-2018 21:30:58
บทที่ 13 เตรียม


‘ดะ ดราโก!!!! ช่วย ช่วยผมด้วย!!!’



‘ไม่!!!!!! คริสติน อดทนไว้ เธออย่าพึ่งเป็นอะไร’



‘ดะ ดราโกครับ ผม คงไม่ไหวแล้ว’ เสียงจากเครื่องดักฟังขนาดเล็กนั้นรายงานทุกสถานการณ์เคลื่อนไหวภายในห้องนอนของดอนคอลิโอเน่ได้เป็นอย่างดี แม้จะมีบางช่วงที่จะมีคลื่นแทรกบ้าง แต่เขาก็ยังสามารถคาดเดาเหตุการณ์ได้จากการลอบดักฟัง เสียงของเด็กหนุ่มคนนั้นสั่นไหวและแหบพร่า พร้อมกับการขาดห้วงของลมหายใจ อีกไม่นานเด็กคนนั้นคงได้เวลาลาจากโลกที่แสนโสมมแห่งนี้เสียที



‘ไม่!!!! คริสติน เธอต้องไม่เป็นอะไร ทนอีกนิด ขอร้องล่ะ ทนอีกนิด’ น้ำเสียงทุ้มของผู้ชายคนนั้นช่างสะเทือนอารมณ์ ไม่คิดเลยว่าดอนที่แสนเย็นชาคนนั้นจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ แสดงว่าคำสั่งจากเบื้องบนที่รายงานว่าว่าคริสติน นอร์แมน คือภัยที่ควรกำจัด ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าดราโก คอลิโอเน่คนนั้น จะเป็นเอามากขนาดนี้ จุดอ่อนของซาตานคนนั้นคือเด็กหนุ่มตัวน้อยที่แสนอ่อนแอและบอบบางอย่างนั้นหรือ



น่าขำจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าดอนแห่งคอลิโอเน่คนนั้นจะสิ้นคิดและสร้างจุดอ่อนของตัวเองขึ้นมา มิน่าพวกนั้นถึงได้คิดเร่งจัดการ



‘กะ ก่อนผมจะไป ฝัง ฝัง ผมไว้ใต้ต้นไม้ต้นนั้น ต้น ที่ ใหญ่ ที่สุดที่บ้าน ของผม ที่ คอทส์โวลส์ ฝะ ฝัง คอมพิวเตอร์ ของ ของผมด้วยนะครับ’ มือใหญ่หยาบกร้านที่เข่นฆ่าผู้คนมานับร้อยนับพันชีวิตถึงกับกระตุกเมื่อได้ยินคำขอร้องที่แสนไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี ไร้สาระจริงๆ ก็คงเป็นแค่เด็กที่ติดเกมส์จนแม้จะตายก็ขาดไม่ได้ล่ะมั้ง



‘ไม่ คริส ที่รัก เด็กน้อยของฉัน ได้โปรด ที่รัก อย่าทิ้งฉันไป อย่า ไม่นะ!!!!!!!’ หึ ริมฝีปากที่อยู่ภายใต้หนวดเครารกรุงรังกระตุกยิ้มอย่างชอบใจ ดวงตากร้านโลกและเย็นชามืดมนยกกล้องส่องทางไกลขึ้นเพื่อยืนยันในสิ่งที่เขาคิด



ตายแล้วซินะ



แม้ภาพจากกล้องจะไม่ได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากนัก แต่สิ่งที่เขาได้ยินก็ช่วยยืนยันได้มากพอที่เขาจะนำเรื่องนี้ไปขอรับเงินค่าจ้าง ดวงตามืดมนไร้ชีวิตนั้นเพ่งมองเพื่อความแน่ใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจกับปฏิบัติการที่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี



“ได้เวลาถอนตัวแล้ว” ร่างในชุดพลางตัวสีดำนั้นเก็บปืนคู่ใจอย่างทะนุถนอมแต่รวดเร็วอย่างมืออาชีพ เขาเก็บร่องรอยและหลักฐานที่อาจจะสาวมาถึงตัวตนของเขาทุกอย่างให้เรียบร้อย หลังจากนั้นเมื่อชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง เขาก็หมุนตัวและรีบวิ่งลงไปชั้นล่างของตึกอย่างรวดเร็ว เขาใช้เวลาไม่นานก็วิ่งลงมาถึงชั้นล่างสุด เดินไปทางประตูหลังที่เชื่อมกับตรอกเล็กที่เขาจอดรถยนต์คู่ใจรออยู่



ด้วยประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพ เขาก็สามารถหนีออกมาได้อย่างปลอดโปร่งและโล่งใจ ลัดเลาะไปตามถนนในตัวเมือง ผ่านตึกรามบ้านช่องและวกวนไปมา เข้าซอยนั้น ออกถนนนี้เพื่อความปลอดภัยและเพื่อสร้างความงงงวยให้แก่ใครก็ตามที่อาจจะสะกดรอยเขาอยู่ กันไว้ดีกว่าแก้ คือหนึ่งในคติประจำใจที่ทำให้เขายังสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในสายอาชีพนี้ได้อย่างปลอดภัย



งานง่ายๆ แต่ค่าตอบแทนกลับสูงลิบ นี่ซิถึงจะเป็นงานในฝันที่เขาชื่นชอบ ทุกครั้งที่เหนี่ยวไกปืน มันเหมือนกับร่างทั้งร่างของเขากำลังหลั่งสารอะดรีนาลินอย่างเต็มที่ หัวใจและความกระหายอยากในความตายช่างหอมหวานและน่าตื่นเต้นเร้าใจ แต่งานนี้มันง่ายและค่อนข้างน่าเบื่อไปซักหน่อย แค่นั่งเฝ้ามองสังเกตการณ์เป้าหมายอยู่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น จากนั้นก็...ปัง



“หึหึหึ” เสียงหัวเราะของมือปืนสไนเปอร์ดังก้องอยู่ภายในรถเก๋งคันเก่าสีดำไม่สะดุดตา รถของเขานั้นกลมกลืนไปกับรถราทั่วไปบนท้องถนน จนเวลาผ่านไปซักพัก รถของมือปืนหนุ่มก็เลี้ยวเข้ามาจอดในโรงงานเก่าแถวชานเมือง มือปืนยิ้มกริ่มอารมณ์ดีเมื่อคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับต่อจากนี้ ช่างน่าสุขใจจริงๆ





“คิดตี้!!!!!!”



ร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจและความกดดันของดราโก ผลักร่างสูงของหมอหนุ่มที่กำลังถลาเข้ามาดูอาการของคริสตินอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีทองวาวโรจน์จ้องเขม็งไปยังหมอคนนั้นด้วยความไม่ไว้วางใจ ร่างสูงที่รอบๆ ตัวแผ่รังสีอันตรายออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ท่าทางของเขากำลังบดบังร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงพยาบาลคล้ายปกป้อง ใบหน้าหล่อเหลาแต่แข็งกร้าวนั้นเย็นชาและจนหมอหนุ่มชะงักและเผลอก้าวเท้าถอยหลังอย่างหวาดหวั่น



“นายเป็นใคร” น้ำเสียงเย็นชาเรียบนิ่งของดราโกทำให้จอห์นถึงกับสั่นสะท้าน ดราโกมองผู้ชายคนนั้นเขม็ง



ทำไมถึงรู้จักเด็กน้อยของเขา



“ผมเป็นหมอที่ทางคอลิโอเน่จ้างมาแทนดร.บราวน์ครับ” จอห์นตอบกลับ ท่าทางละล้าละลังอยากจะเข้าไปดูเด็กหนุ่มแต่เขาก็หวาดกลัวผู้ชายตรงหน้าเกินไป



ดราโกจ้องผู้ชายผมทองที่สวมชุดกาวน์สีขาวนิ่งๆ เขานึกขึ้นได้ว่าคาลอสได้มารายงานเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ถึงใจจะไม่อยากยอมรับ แต่คริสตินต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว ร่างสูงจึงตัดสินใจขยับหลบให้จอห์นเข้ามาชิดขอบเตียง คุณหมอชั่วคราวสำรวจบาดแผลคร่าวๆ ที่ต้นแขนของคริสตินก็หันหลังรีบร้อนไปหยิบเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์เพื่อมาทำแผลให้กับเด็กหนุ่ม บาดแผลของเด็กหนุ่มต้องได้รับการห้ามเลือดและเย็บอย่างเร่งด่วน โชคดีที่เป็นแค่แผลกระสุนเฉี่ยวเท่านั้น แต่เพราะเป็นกระสุนจากลำกล้องของปืนที่ยิงระยะไกล จึงทำให้บาดแผลนั้นลึกและสาหัสพอสมควร



ตลอดเวลาที่จอห์นทำแผลนั้นดวงตาของดราโกก็ไม่ขยับเคลื่อนไปที่ไหน แม้ว่าบางช่วงจะรับโทรศัพท์และสั่งการลูกน้องเกี่ยวกับมือปืนคนนั้นบ้าง แต่เขาก็ยังคงอยู่เฝ้าคริสตินตลอดเวลา ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง จอห์นก็ยืดตัวขึ้นเก็บอุปกรณ์ทำแผลทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย



“เดี๋ยวผมจะจ่ายยาให้ แล้วก็กลับไปพักผ่อนได้เลยครับ แต่ต้องให้เขามาทำแผลกับผมทุกวันด้วยนะครับ” คุณหมอหนุ่มบอกดราโกที่เดินเข้ามาหาคริสตินทันทีที่จอห์นผละออกไป



“อืม” ชายหนุ่มรับคำในลำคอ “เขาจะตื่นเมื่อไหร่”



“คงอีกซักพักล่ะครับ” จอห์นตอบกลับ แม้ใจจะสงสัยและอยากรู้เรื่องราวมากแค่ไหน แต่เขาก็รู้ว่าเวลานี้ไม่เหมาะสมทั้งสิ้น และที่สำคัญแค่เขาขยับเข้าไปใกล้มายสวีทฮาร์ทของเขา ดวงตาคมดุของผู้ชายตัวใหญ่คนนี้ก็แทบจะฆ่าเขาทั้งเป็นอยู่แล้ว



“งั้นหรือ นายรู้จักคริสตินได้ยังไง” ดราโกสอบถามเรื่องที่เขาค้างคาใจในทันที ท่าทางของหมอหนุ่มที่ดูเป็นห่วงเป็นใยเด็กน้อยของเขาและดูสนิทสนมจนมีชื่อเล่นแบบนั้นมันทำให้เขาไม่สบอารมณ์



“เขาเป็นเพื่อนผมครับ รู้จักกันตั้งแต่คิตตี้มาอิตาลีใหม่” หมอหนุ่มยิ้มอารมณ์ดี เมื่อคิดถึงภาพที่เขาและคริสตินพบกันครั้งแรก แต่พอเขาเห็นสายตาของผู้ชายอันตรายคนนั้นยังจ้องมาพร้อมกับดวงตาวาววับไม่ชอบใจ จอห์นก็ถึงกับสะดุ้ง



แต่ก่อนที่บรรยากาศจะกดดันและร้อนระอุจนหมอหนุ่มจะขาดอากาศาหายใจ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลของคนที่นอนบาดเจ็บอยู่ก็ลืมตาขึ้น คริสตินส่งเสียงเจ็บปวดออกมาเล็กน้อยเพราะบาดแผลยังคงระบมและปวดหนึบ



“อือออ”



“คิตตี้!!!! มายสวีทฮาร์ท” เสียงร้องของจอห์นดังขึ้นในทันที มาดคุณหมอที่น่านับถือสลายหายไปจนหมด เพราะการเคลื่อนไหวของคริสตินจึงทำให้จอห์นลืมตัว รีบผวาจะไปเกาะขอบเตียงพยาบาล แต่ยังไม่ทันไรก็โดนมือหนาของชายหนุ่มที่ยืนหน้าดุอยู่ใกล้ๆ รั้งคอเสื้อไว้ได้ทัน



“แอ๊ก!!!!” เพราะคอเสื้อถูกรั้งเอาไว้ ทำให้ร่างสูงของหมอจอห์นเผลอส่งเสียงร้องพิลึกออกมา ใบหน้าหล่อเหลาแต่ดูสุภาพเริ่มซีดเซียว เพราะอากาศหายใจไม่เข้าไปหล่อเลี้ยง มือไม้เริ่มตะกุยจับรั้งคอเสื้อคืนมา





ผมลืมตาขึ้นมาหลังจากผมหมดสติไปเพราะอาการหน้ามืดจากการเสียเลือด ไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหนแต่เพราะเสียงพูดคุยที่ดังอยู่ไม่ไกลนักปลุกให้ผมตื่นขึ้นมา ผมได้ยินเสียงโครมครามและเสียงทรมานของใครบางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับเตียงที่ผมนอนอยู่ ผมจึงขยับตัวเล็กน้อยเพื่อพลิกตัวและหันไปมองเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้น อืม ระหว่างที่ผมหลับไปนั้นมันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ ทำไมจอห์นถึงมาอยู่ที่นี่ และทำไมเขาถึงทำหน้าตาเหมือนคนใกล้จะขาดอากาศหายใจแบบนั้นล่ะ ผมสงสัยมากเลยครับ เขาเล่นอะไรอยู่นะ



“อุ๊ แค่กๆ” จอห์นยกมือตะกุยอยู่ในอากาศท่าทางทรมานจนผมต้องยันตัวลุกขึ้นมานั่งพิจารณาดูด้วยความสนใจ ก่อนจะพบว่าความจริงแล้วเป็นดราโกที่รั้งคอเสื้อของจอห์นเอาไว้แน่น และที่สำคัญทำไมเขาถึงทำหน้าดุขนาดนั้นกันนะ ยิ่งดวงตาสีทองของเขายิ่งน่ากลัวเป็นพิเศษเลยทีเดียว



“ดราโกครับ” ผมเรียกชื่อเขาเพื่อให้ดราโกละความสนใจจากจอห์น ก่อนที่คุณหมอหนุ่มจะหมดอากาศหายใจไปจริงๆ แต่เมื่อผมเรียกเขา เขาก็ไม่สนใจผมเลยครับ ดูดราโกจะหมกมุ่นกับการรั้งคอเสื้อของจอห์นเหลือเกิน สงสัยผมคงต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว เพราะดวงตาสีฟ้าของจอห์นนั้นกำลังหันมาขอความช่วยเหลือจากผมครับ เฮ้อ



“ดราโกครับ” ผมเรียกเขาอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังมากขึ้น แต่ครั้งนี้เขาแค่เหลือบตาหันมามองผมแวบๆ เท่านั้น อืม ยังไม่ได้ผล งั้นก็ต้อง “ดราโกครับ ผมเจ็บ”



เรียกชื่อเขาอีกครั้งพร้อมประโยคและน้ำเสียงแสดงอาการเจ็บปวด ผมว่าผมต้องได้รางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมแน่เลยครับ การแสดงของผมไร้ที่ติจริงๆ เพราะครั้งนี้ดราโกเขาหันมาสนใจผมแล้วครับแต่ก็ยังไม่ปล่อยมือ อ้าว ทำไมกันนะ งั้นผมเพิ่มอาการเม้มปากนิดหนึ่งก็ได้ครับ นั่นไงเขามีปฏิกิริยาเพิ่มแล้วครับ เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ปล่อยอีกเช่นเคย งั้นเพิ่มเพิ่มอาการขมวดคิ้วขึ้นมาอีกหน่อย และครั้งนี้ได้ผลครับ ดราโกถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และยอมปล่อยมือจากจอห์นแต่โดยดี โดยการปล่อยและออกแรงผลักจนหน้าตาหล่อๆ ของจอห์นแทบถลาลงพื้น



ร่างสูงของดราโกเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับยกมือหนาลูบศีรษะผมเบาๆ พร้อมกับใบหน้าหล่อคมที่โน้มเข้ามาใกล้ ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาคมสีทองคู่นั้นด้วยความสงสัย มันฉายแววขำขันออกมาบางเบา



“เธอแสดงได้เก่งมากเด็กน้อย” บรรยากาศรอบตัวของดราโกที่เย็นชาโหดร้ายเมื่อครู่สลายหายไปในทันทีที่เขายืนอยู่ใกล้กับผม ผมพยักหน้ารับคำชมนั้นด้วยความเต็มใจ



“ขอบคุณครับ”



“หึ ดีขึ้นไหม” เขาถามผมพร้อมกับเหลือบมองแผลที่ต้นแขนของผมที่มีผ้าพันแผลพันอยู่อย่างปราณีต



“ดีขึ้นแล้วครับ” ผมตอบเขากลับ แล้วก็ต้องหันมาสนใจผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนทำหน้าตาละห้อยเพราะถูกผมลืม “สวัสดีครับจอห์น สบายดีไหมครับ”



ผมทักทายเขาเหมือนปกติทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมกลับได้รับสายตาตัดพ้อจากชายหนุ่มตรงหน้าแทน



“สบายดีครับคิตตี้” พอผมทักทายเขา จากใบหน้าละห้อยก็กลับมาร่าเริงแจ่มใสเหมือนปกติ ออร่าเจิดจ้าอย่างคนอารมณ์ดีก็เปล่งประกาย สงสัยเขาลืมเหตุการณ์เมื่อครู่ไปจนหมดแล้วแน่ๆ เลยครับ



“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ” ผมถามด้วยความสงสัย



“ผมมารับจ็อบพิเศษแทนหมอคนเก่าชั่วคราวนะครับ ดีใจที่ได้เจอคุณนะครับคิตตี้ ดีใจมากเลย” จอห์นยิ้มกว้างอ้าแขนเตรียมจะเข้ามากอดผมเหมือนปกติ แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ตัวผมฝ่าเท้าของดราโกก็ยันเปรี้ยงตรงกลางท้องพอดีเลยครับ



“โอ๊ย” จอห์นร้องโอดโอยล้มกระแทกพื้นในทันที ผมตกใจและรีบลุกจากเตียงเพื่อไปดูคุณหมอที่น่าจะกลายเป็นคนเจ็บเหมือนกับผม แต่ผมกลับถูกอ้อมแขนของดราโกคว้าไว้และตวัดตัวผมขึ้นมาอุ้มทันที



“อ๊ะ ดราโก?” ผมหันไปมองเขาด้วยความแปลกใจ ผมเห็นสายตาของชายหนุ่มที่อุ้มผมอยู่ก็ต้องสั่นสะท้าน เพราะมันเต็มไปด้วยอารมณ์อยากฆ่าจอห์นทิ้งไปซะให้พ้นๆ ผมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความแปลกใจ เกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้นะ ทำไมเขาดูไม่ชอบจอห์นเลย ผมนิ่งคิดไปซักครู่เพื่อพิจารณาและหาเหตุผลไปต่างๆ นานา และเพื่อไม่ให้จอห์นถูกดราโกฆ่าไปเสียก่อน ผมจึงตัดสินใจบอกเรื่องราวก่อนหน้านี้ให้เขาฟังน่าจะดีที่สุด



“ดราโกครับ ผมรู้จักจอห์นเพราะเขาเป็นเพื่อนผม และเขารู้จักคุณด้วยนะครับ เขาเป็นคนช่วยชีวิตคุณเอาไว้ตอนคุณถูกยิง” ผมบอกเล่าเหตุการณ์ให้เขาฟังอย่างกระชับได้ใจความ จอห์นที่หายจุกแล้วก็ยกมือกุมท้องพยักหน้าหงึกหงักเพื่อยืนยันประโยคที่ผมเล่าเมื่อครู่



“ช่วยฉัน?” ดราโกหรี่ตาลงท่าทางดูอันตรายมากขึ้นกว่าเดิม



“ครับ คิตตี้โทรมาขอร้องผมให้ไปช่วยคุณ อาการของคุณสาหัสน่าดู แต่โชคดีที่คุณรอดมาได้” คุณหมอหนุ่มพยักหน้าจนผมกลัวว่าคอเขาจะเคล็ด ตอนนี้จอห์นน่าจะหายจุกแล้วครับ เขาลุกยืนเต็มความสูงแต่ก็ยืนอยู่ห่างจากมือและเท้าของดราโกในระยะที่ปลอดภัย



“จอห์นก็คือคนที่ช่วยคุณอีกคนครับ” ผมสรุปให้เขาฟังอีกครั้ง ดราโกกำมือไว้แน่น หน้าตาดูไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่พูดอะไรกลับอุ้มผมเอาไว้แน่นและเดินออกไปจากห้องพยาบาลทันที แต่ก่อนที่ผมและดราโกจะเดินพ้นจากเขตห้องพยาบาล ผมแอบมองผ่านไหล่กว้างของเขาเพื่อหันไปมองคุณหมอผมทอง แล้วผมก็ได้รับรอยยิ้มกว้างๆ จากหมอหนุ่มที่ส่งมาให้ผม พวกเราเข้าใจกันในทันทีครับ ว่าไว้ค่อยคุยกันวันหลังก็ได้ ยังไม่ต้องรีบร้อน ให้ผมพักผ่อนและดูแลตัวเองดีๆ ก่อน



ผมพยักหน้ารับสายตาของเขา และหันกลับมาซบอกแกร่งๆ ของดราโกแทน ผมสังเกตุว่าดราโกเงียบมากขึ้นกว่าเดิม และกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ผมจึงได้ลองถามเขาเรื่องของสไนเปอร์คนนั้นด้วยความสนใจ



“จับเขาได้รึยังครับ” ผมเงยหน้าถามเขา ดราโกก้มหน้ามามองผมที่รอคำตอบของเขาอยู่เงียบๆ



“ตอนนี้ยัง ฉันกำลังให้มาร์คตามอยู่” ดราโกตอบกลับมา



“ผมไปช่วยมาร์คได้ไหมครับ”



“ไม่” เสียงทุ้มของดราโกตอบกลับมาในทันที “เธอต้องพักผ่อน”



“ผมคงนอนไม่หลับถ้าจับเขาไม่ได้” ผมยังขอร้องเขา และบอกเหตุผลในส่วนของผมบ้าง ผมจ้องเขานิ่งๆ พยายามมองลึกเข้าไปในดวงตาของผู้ชายตรงหน้า “นะครับดราโก ถ้าผมไม่ไหว ผมจะกลับมาพัก แต่ตอนนี้ให้ผมช่วยเถอะครับ นะครับ”



ร่างสูงของดอนแห่งคอลิโอเน่ที่ยังคงอุ้มผมอยู่หยุดเดิน ทั้งผมและเขาไม่มีใครพูดอะไรกัน ต่างสบตาและตกอยู่ในความเงียบกันทั้งคู่ ผมมองเขาพร้อมกับยืดตัวไปหอมแก้มเขาหนึ่งที



“นะครับดราโก” ผมมองเขาหน้านิ่งๆ แต่พฤติกรรมแบบนี้ผมเลียนแบบมาจากแด๊ดดี้ตอนที่ท่านใช้อ้อนคุณพ่อ และมันก็ได้ผลทุกครั้ง คุณพ่อยอมใจอ่อนกับแด๊ดเมื่อแด๊ดใช้กลยุทธ์การขอร้องด้วยการหอมแก้ม



“เธอเอาวิธีนี้มาจากใครน่ะ” ดราโกเลิกคิ้วถามผมด้วยความสงสัย



“แด๊ดครับ แด๊ดใช้บ่อยๆ” ผมตอบไปตามความจริง



“แด๊ด?”



“พ่อของผม” ผมตอบเขาแล้วเอียงศีรษะด้วยความงุนงงว่าดราโกจะสงสัยอะไร



“แล้วคุณพ่อที่เธอพูดถึงบ่อยๆ ล่ะ?” เขายังถามต่อ



“คุณพ่อก็คือคุณพ่อ แด๊ดดี้ก็คือคุณพ่อ”



“เธอมีพ่อสองคน” ดวงตาของดอนแห่งคอลิโอเน่ดูพราวระยับแบบแปลกๆ ผมไม่เข้าใจความหมายในดวงตาของเขา แต่ก็พยักหน้าขอร้องเขาต่อไป



“ดราโก นะครับ”



“เฮ้อ เอาเถอะ ถ้าฉันเห็นเธอไม่ไหว เธอต้องกลับมาพักนะ” ชายหนุ่มร่างสูงหมุนตัวกลับไปยังอีกทิศทางหนึ่งเพื่อพาผมไปบ้านหลังเล็กๆ ของมาร์ค



“ครับผม” ดวงตาของผมฉายแววมาดหมาย และความตื่นเต้นของผมก็เอ่อร้นออกมาจนผมแทบจะอดใจรอไม่ไหว





ทันทีที่ดราโกเปิดประตูบ้านของมาร์คเข้ามา ผมก็เห็นชายหนุ่มผมฟูกำลังยุ่งอยู่หน้าจอคอม เสียงรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์ดังอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับหน้าจอที่ปรากฏภาพวิดีโอของกล้องจราจร ตอนนี้เท่าที่ผมเห็นคือมาร์คกำลังตามรอยของสไนเปอร์คนนั้นอยู่ครับ โดยการแฮคเขาไปในระบบของจราจรเพื่อติดตามรถเก๋งสีดำคันหนึ่งไปเรื่อยๆ แต่ดูมาร์คจะหัวเสียไม่ใช่น้อยเพราะการตามรอยด้วยกล้องจราจรนั้นมีข้อจำกัด เพราะบางทีกล้องตัวนั้นก็ไม่ได้ติดบางแยก การจะตามหาสไนเปอร์ก็ต้องเพิ่มขอบเขตเข้าไปด้วย



ดราโกพาผมมานั่งตรงเก้าอี้อีกตัวที่ข้างๆ กับมาร์ค ผมเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มร่างสูงเล็กน้อยและกลับไปสนใจมาร์คและงานของเขาต่อ ดอนแห่งคอลิโอเน่ลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างๆ ผมและเอ่ยถามโปรแกรมเมอร์หนุ่มที่กำลังหมกมุ่นอยู่



“ตามได้ไหม” ดราโกเอ่ยถามเสียงเรียบ



“ได้ครับ แต่ผมขอเวลาอีกหน่อย ตอนนี้กำลังเชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิดของพลเมืองแทน” ชายหนุ่มหัวฟูตอบและพิมพ์ข้อมูลเข้าไปกับคอมพิวเตอร์เช่นกัน ผมมองพวกเขาที่ทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่เงียบๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบคอมพิวเตอร์ของผมที่วางอยู่ใกล้ๆ กันนั้นขึ้นมา ผมจัดการลากสายแลนเข้ามาต่อ และเปิดระบบปฏิบัติการที่ผมสร้างขึ้นมาในทันที



“เธอทำอะไร” ดราโกหันมาเห็นผมพอดี ใบหน้าหล่อเหลาดูเคร่งเครียดติดดุเมื่อเห็นผมขยับแขนข้างที่โดนยิง



“ผมดึงข้อมูลมาให้ได้ครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยสะกดรอยพวกคาโซ่อยู่ช่วงหนึ่ง ผมจัดการฝังไวรัสและโปรแกรมไว้กับส่วนของศูนย์ควบคุมจราจรไว้แล้ว และศูนย์กลางของระบบกล้องวงจรปิดไว้แล้วด้วย ถือว่าช่วยย่นระยะเวลาไปในตัวละกันนะครับจะได้เร็วขึ้น” ผมบอกพวกเขาและจัดการเชื่อมต่อจากเครื่องของผมขึ้นหน้าจอใหญ่ ผมขยับแขนเล็กน้อย พยายามไม่ขยับมากจนเกินไปเพราะบาดแผลยังคงระบมและเจ็บปวด แม้แต่ละครั้งที่ผมพิมพ์ผมจะเผลอขมวดคิ้วและเหงื่อซึมแถวขมับ



“ดีๆ ๆ ๆ เจ้าหนู นายบอกมา ฉันจะได้ลดขอบเขตลงและหาสถานที่เลย” มาร์คตื่นเต้นทำหน้าตาร่าเริงดีใจ ผมพยักหน้าและข่มความเจ็บนั่งเจาะระบบเข้าไปเปิดระบบปฏิบัติการที่ผมฝังตัวไว้ก่อนหน้านั้น เพียงไม่นานหน้าจอเล็กๆ ก็ปรากฏรูปรถสีดำคันหนึ่งจากนั้นช่องที่สองก็ปรากฏรูปรถคันนั้นไปเรื่อยๆ จากหน้าจอเล็กอันที่หนึ่ง ก็ปรากฏหน้าจออีกนับร้อยๆ ไล่ตามรถคันนั้นไปในมุมมองที่แตกต่างกัน ผมเร่งความเร็วมากขึ้นจนภาพที่ปรากฏดูลายตาและชวนมึนงง



หน้าจอของมาร์คก็ถูกผมเชื่อมต่อปรากฏจุดแดงเล็กๆ บนแผนที่ของเมือง วิ่งวนไปเรื่อยๆ ตามสัญญาณที่ถูกจับได้ จนกระทั่งจุดแดงนำพวกเราออกไปยังชานเมืองฝั่งตรงข้ามกับที่ตั้งของบ้านดราโกพอดิบพอดี ระยะทางราวสามสิบกิโลเมตรถ้าตัดผ่านเมืองไป



“เจอแล้วครับดอน ชานเมืองฝั่งตะวันออก แถวนั้นมีโรงงานร้างอยู่ที่หนึ่งพอดี ปิดปรับปรุงระยะยาว” ชายผมฟูยุ่งเหยิงดึงข้อมูลออกมาได้ในทันที



“ส่งข้อมูลให้จาคอป” ดราโกหันไปบอกมาร์คที่พยักหน้ารับคำสั่ง ตอนนี้กลุ่มของจาคอปกระจายกำลังกันอยู่ทั่วเมืองและรอทางมาร์คบอกเป้าหมายและพิกัด เมื่อรู้ที่อยู่เรียบร้อยแล้ว มือขวาร่างยักษ์อย่างจาคอปจะทำการบุกเข้าไปในทันที ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของดวงตาคมดุสีทองลุกขึ้นยืนและช้อนตัวผมขึ้นมาแนบอก “ฉันจะไปส่งเธอที่ห้องก่อน ได้เวลาพักผ่อนของเด็กแล้ว”



“ครับ” ผมรับคำเขาแต่โดยดี แอบเหลือบมองคนที่อุ้มผมไปมาอยู่เงียบๆ สงสัยดราโกกำลังคิดเรื่องมือปืนสไนเปอร์คนนั้นอยู่ จนลืมไปว่าตอนนี้คอมพิวเตอร์ยังอยู่ในมือของผมอยู่เลยครับ แต่เรื่องอะไรผมจะบอกเขาล่ะ ผมก้มหน้าลงต่ำเพื่ออำพลางดวงตาของผมที่คงแวววาวเป็นประกาย แผนการบางอย่างผุดขึ้นในใจ เมื่อมีคอมอยู่ในมือ ผมก็เหมือนคนที่มีอำนาจทุกอย่าง ทั้งข่าวสาร ทั้งข้อมูล ทุกอย่างจะอยู่ในมือของผม





...............................................................



หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 09-07-2018 22:22:37
งานนี้เข้าทางคิตตี้แล้ว ดูซิถ้ามีคอมแล้วเจ้าหนูจะป่วนอะไรดอนอีก
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 09-07-2018 22:29:20
ใครคือเกลือเป็นหนอน..บ่อนไส้  :ruready :ruready :ruready
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-07-2018 22:31:17
 :z1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 09-07-2018 22:53:23
ขำความเล่นละครของน้อง ทำไมน่าเอ็นดู 555

ว่าแต่ใครเป็นหนอนเนี่ย!
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 09-07-2018 23:19:13
สงสารจอห์นกอดก็ไม่ได้กอดยังโดนยันเต็มๆอีก หาใครมาดามใจจอห์นสักคนเถอะค่ะและเราคิดว่าคนที่เหมาะกับจอห์นก็ต้องเป็นคุณเลขามาดเกือบขรึมนี่แหละ

ว่าด้วยเรื่องสไนเปอร์ที่บอกว่าเบื้องบนสั่งมาแสดงว่าเป็นคนของฝั่งดราโกใช่ไหม แบบไม่อยากให้ดราโกมีจุดอ่อนเลยสั่งกำจัดเสีย
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-07-2018 23:52:25
 :katai2-1:


เก่งมากกกก
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 10-07-2018 15:04:22
หวงจนหน้ามืด
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: PPYK287 ที่ 12-07-2018 21:18:13
ผ่านมา 13 ตอนแล้วคุณลุงอุ้มน้องไปกี่ครั้ง จงตอบคำถาม (10 คะแนน)
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 18-07-2018 20:02:32
ใครเป็นหนอนฟะ??????
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: arissara ที่ 19-07-2018 02:00:46
สนุกมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 19-07-2018 02:50:11
ใครเป็นหนอนฟะ????
สงสารคุณหมอจังเลยค่ะ แต่ก็สมควรนะคะ ชอบทำตัวรุ่มร่ามกับคิตตี้ดีนัก
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 22-07-2018 00:46:01
ยังไงก็อย่าลืมเครื่องดักฟังนะ
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 10-08-2018 14:31:44
รออยู่นะฮะ อยากอ่านมากเลย มาลงต่อไวๆนะฮะ
ขอบคุณคร้าบบบบ
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 10-08-2018 20:27:20
เห็นกระทู้นิยายถูกดันก็นึกว่าลงตอนใหม่แล้วนี่รีบกดเข้ามาดูมากอะ แถมอ่านวันที่ผิดอีก ยังรออยู่นะคะคิดถึงเรื่องนี้ เราชอบแนวมาเฟีย
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 13-08-2018 22:00:24
รออยู่นะค้าาาา
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jaebam ที่ 14-08-2018 22:42:17
คิดถึงเรื่องนี้มากนะคะ  มาเฟียหวงเด็ก  เจอน้องอ้อนนี่ยอมตั้งกะหน้าประตู 555
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 15-08-2018 11:04:38
เพิ่งเข้ามาอ่าน ชอบแนวนี้ อยากอ่านคุ่คุณพ่อกับแดดดีจังงง
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAlone ที่ 25-08-2018 20:13:34
 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 14 จัดการ (31.08.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 31-08-2018 16:04:50
บทที่ 14 จัดการ



“พักเถอะ เดี๋ยวฉันจะรีบกลับมา” น้ำเสียงทุ้มของชายหนุ่มร่างสูงก้มจุมพิตที่หน้าผากมนของเทวดาตัวน้อยของเขาที่มีใบหน้าซีดเซียวและดูอ่อนล้าผิดจากทุกครั้ง



“ครับ” เด็กน้อยของเขาตอบรับและล้มตัวลงนอนพร้อมกับห่มผ้าอย่างเรียบร้อย มือใหญ่ของเขาที่หยาบกร้านและขึ้นปุ่มด้านเพราะจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนเป็นประจำยกมือขึ้นเพื่อลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มนั้นอย่างแผ่วเบา เขาสำรวจความเรียบร้อยไปรอบๆ อีกครั้งเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะหมุนตัวและเดินออกไปจากห้อง เพียงแต่ยังไม่ทันก้าวเท้าพ้นไปจากเตียงนอน เขาก็รู้สึกถึงแรงดึงจากชายเสื้อด้านหลัง เมื่อใบหน้าหล่อเหลาหันกลับไปมองก็พบเทวดาตัวน้อยของเขากำลังมองมา



“ระวังตัวนะครับ” ไม่ต้องมีถ้อยคำพิเศษใดใด แค่คำพูดเรียบง่ายเพียงประโยคเดียวของเด็กหนุ่ม มันก็ชวนให้เขาใจกระตุกและสั่นไหว



“อืม” ดราโกรับคำแผ่วเบาในลำคอ มองมือเล็กขาวซีดปล่อยชายเสื้อเขาอย่างน่าเสียดาย แต่เอาเถอะ เขาไปจัดการเรื่องนี้ไม่นานก็ขอกลับมาเฝ้าดูแลเทวดาตัวน้อยของเขาต่อก็แล้วกัน



ดราโกเดินออกมาจากห้องนอนของคริสติน เขาปิดประตูและกวาดสายตามองบอร์ดี้การ์ดสองคนที่ยืนรอรับคำสั่ง บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อยามอยู่กับเด็กหนุ่มหายไปในทันที ดวงตาสีทองดุดันเกรี้ยวกราดฉายออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง ชายหนุ่มไม่สามารถข่มความโกรธของเขาได้อีกต่อไป



“ดูแลคริสตินให้ดี ถ้าเขาเป็นอะไร...พวกนายคงรู้ตัวดี” น้ำเสียงทุ้มของดราโกเรียบนิ่งเย็นชา บอร์ดี้การ์ดทั้งสองรีบรับคำสั่งอย่างหนักแน่นพร้อมดวงใจที่กระตุกเย็นยะเยือก พวกเขารู้ดี ถ้าดูแลนายน้อยคริสตินไม่ได้ พวกเขามีแต่ความตายสถานเดียวเท่านั้นที่รออยู่



ดราโกตวัดสายตามองไปยังประตูห้องนอนอีกครั้ง และตัดสินใจไปจบเรื่องทุกอย่างที่แสนวุ่นวายในช่วงเช้าของวันนี้ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดทะมัดทะแมงและเรียบหรูสีดำสนิทก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังโรงจอดรถส่วนตัวของเขาที่ตั้งอยู่ข้างบ้านพักอย่างไม่รอช้า ระหว่างที่เขาเดินไปยังโรงจอดรถนั้น คาลอสที่หายตัวไปตั้งแต่ที่เกิดเรื่องก็รีบวิ่งเข้ามาหาดอนแห่งคอลิโอเน่ได้ทันที่หน้าประตูโรงจอดรถพอดี



“ดอนครับ” คาลอสเรียกดราโก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หยุดมองมือซ้ายที่เอ่ยรายงานสถานการณ์ภายในบ้านอย่างรวดเร็ว



“ไม่มีอะไรเสียหายครับ ตอนนี้จาคอปกำลังมุ่งหน้าไปที่โรงงานร้างแล้ว กลุ่มที่ 2, 5 และ 7 กำลังวางกำลังล้อมรอบ”



“ไป” คำสั่งสั้นๆ เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น คาลอสก็พยักหน้าและเดินตามดราโกเข้าไปในโรงจอดรถทันที ชายหนุ่มเดินไปที่รถยนต์ Koenigsegg One:1 (โคนิกเซกก์ วัน:1) สีดำสนิทและปลดล็อครถยนต์ก่อนจะขึ้นไปนั่งทางฝั่งคนขับ ส่วนคาลอสเป็นคนไปนั่งทางฝั่งขวามือแทน ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นของมือซ้ายซีดเผือดเล็กน้อยเมื่อดอนเลือกรถยนต์คันนี้ และยังเป็นคนขับอีกต่างหาก



เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์นั้นทุ้มต่ำแต่ดังกระหึ่มเหมือนดนตรีกำลังบรรเลง และใจของคาลอสเองก็เต้นรัวตั้งแต่รถยังไม่ทันได้ออกตัว รถยนต์สุดรักสุดหวงของดอนที่เจ้าตัวรักและทะนุถนอมถูกนำออกมาใช้เพื่อล่าสไนเปอร์คนนั้นโดยเฉพาะ หรือไม่ดอนก็คงอยากจะรีบไปรีบกลับมาเร็วๆ อย่างแน่นอน เพราะ Koenigsegg One:1 เป็นรถไฮเปอร์คาร์ที่ผลิตเพียงไม่กี่คัน สามารถเร่งเครื่อง 0-300 กิโลเมตร ได้เพียง 11.92 วินาทีเท่านั้นเอง แถมราคาก็ยังชวนใจสั่น เพราะมันราคาสูงถึง 2.85 ล้านเหรียญสหรัฐ (92 ล้านบาท)



จากบ้านถึงโรงงานร้างนั้นมีระยะทางทั้งหมด 30 กิโลเมตร เพียงแค่พริบตาครั้งเดียว พวกเขาก็คงมาถึงหน้าโรงงานร้าง แต่อย่างน้อยคาลอสก็ยังวางใจ การตัดผ่านตัวเมืองนั้นต้องใช้ความเร็วที่จำกัด มีทั้งรถ ทั้งทางแยก และสัญญาณไฟจราจร อย่างน้อยดอนก็คงไม่ขับรถเร็วเกินไป มือซ้ายที่แอบหวาดหวั่นกับการขับรถของดอนนั้นนึกโล่งใจ แต่ก็เพียงไม่นานเท่านั้น เมื่อดราโกกดโทรศัพท์หามาร์คในทันที



“ครับดอน” มาร์คที่อยู่ปลายสายเตรียมรับคำสั่ง



“จากบ้านถึงโรงงาน นายจัดการแฮคสัญญาณไฟจราจรบนเส้นนั้นซะ ทางที่ฉันไปต้องไฟเขียวทุกแยก ให้เวลานาย 30 วิ” ว่าเสร็จดราโกก็ไม่รอฟังคำตอบ เขากดตัดสายและเร่งเครื่องยนต์เพื่อวอร์มเครื่องทันที สิ่งที่เขาพูดคือคำสั่งที่โปรแกรมเมอร์หนุ่มต้องจัดการให้ได้ และเขาต้องการเดี๋ยวนี้อีกด้วย “คาลอส บอกให้พวกนั้นบุกเคลียร์ทาง ฉันไปถึงทุกอย่างต้องใกล้จบ”



“ครับ” คาลอสกดโทรศัพท์หาจาคอปทันทีอย่างไม่รอช้า ฟังเสียงเครื่องยนต์ที่เร่งกระหึ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ก็รับรู้ถึงความใจร้อนของดอนได้เป็นอย่างดี มือซ้ายสั่งการลงไปอย่างรวดเร็วพร้อมจบประโยคที่ว่า One:1 เพียงแค่นั้นจาคอปก็เข้าใจรีบเร่งสั่งการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่ดอนจะมาปรากฏกาย เพราะคำสั่งของดอนแทบจะทำให้มือซ้ายอย่างคาลอสหลั่งน้ำตา ชายหนุ่มรีบคาดเบลท์และกุมมือแน่นคล้ายภาวนาหาพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยคุ้มครอง



เสียงโทรศัพท์ของดราโกดังขึ้นอีกครั้ง เหมือนเป็นสัญญาณออกตัวของรถไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดนคันนี้ ประตูโรงรถเปิดออกกว้างด้วยระบบอัติโนมัติ ทุกเส้นทางจากตัวบ้านถึงโรงงานเคลียร์การจราจรเรียบร้อย แม้กระทั่งกล้องวงจรปิดที่คอยจับภาพทุกเส้นทางก็ถูกแทรกแซง



เสียงเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5,000 ซีซี ให้กำลัง 1,341 แรงม้า พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ฝีมือการขับรถของดอนนั้นเหมือนมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งจังหวะการเข้าโค้ง จังหวะการเข้าเกียร์และจังหวะการขับแซงปาดโค้งปาดหน้ารถทุกคันที่ขวางเส้นทางของรถยนต์สีดำคันนี้ ใจของคาลอสนั้นเต้นรัวด้วยความลุ้นระทึก แต่ใจของดอนแห่งคอลิโอเน่คนนี้กำลังสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความสนุกกับการขับรถที่มีสมรรถนะสูงโลดแล่นดั่งกับสายลม



ชายหนุ่มขับรถออกไปยังเส้นทางที่ตัดผ่านในเมือง แม้จะมีบางช่วงที่ต้องชะลอรถ หรือเสียจังหวะไปบ้าง แต่เขาก็สามารถมาถึงโรงงานร้างชานเมืองอีกฝั่งในระยะเวลาแค่ห้านาที เสียงล้อบดถนนนั้นดังขึ้นเมื่อดราโกหมุนพวงมาลัยเพื่อหักรถเข้ามาภายในเขตโรงงาน เมื่อรถยนต์จอดสนิททิ้งแต่ฝุ่นถนนไว้เป็นทางเท่านั้น ประตูรถฝั่งคนขับก็เปิดออก เรียวขาแข็งแรงสมส่วนภายใต้กางเกงแสลคสีดำก้าวเท้าออกมาอย่างมั่นคง มือหนาหยิบปืนคู่ใจออกมา ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยแต่แฝงความเหี้ยมเกรียมนั้น ดวงตาคมสีทองของดราโกวาวโรจน์และเต็มไปด้วยความกระหายเร้าในกลิ่นคาวเลือดของสไนเปอร์ที่บังอาจมาแตะต้องเทวดาของเขา ปล่อยให้มันสำราญใจมัวเมาในเงินทองที่ได้ไปก่อนเถอะ แล้วมันจะได้รู้ว่านรกที่เขาจะมอบให้มันน่ะ แม้เงินทองซักบาทมันก็จะไม่ได้พกเอาไป ดราโกก้าวเท้าเตรียมจะมุ่งหน้าไปยังโรงงานร้าง แต่ชายหนุ่มก้าวเท้าไปได้เพียงแค่ก้าวเดียวร่างสูงก็ชะงักนิ่ง



“คาลอส” น้ำเสียงทุ้มเรียบนิ่งของดราโกเอ่ยเรียกคนสนิท ที่ยังไม่ยอมก้าวเท้าออกมาจากรถเลยแม้แต่น้อย ต้องให้เรียกชื่อนั่นล่ะ มือซ้ายของดอนแห่งคอลิโอเน่ถึงค่อยๆ เปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าพะอืดพะอมและซีดเซียว มือขวาของคาลอสยกมือปิดปากเอาไว้แน่น เพราะเจ้าตัวรู้สึกว่าอาหารเช้าที่กินไปมันจะดันย้อนขึ้นมาอยู่ตรงคอหอยอยู่รอมร่อ



“คะ ครับ ดอน” คาลอสสูดหายใจเข้าลึกๆ และออกเดินตามดราโกไปไม่ห่าง แม้ใบหน้าจะยังคงย่ำแย่ แต่เจ้าตัวก็พยายามเก็บอาการให้มากที่สุด พร้อมทั้งยังสัญญากับตัวเองในใจ ว่าคราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะนั่งรถไปกับดอนแน่นอน





เสียงฝีเท้าที่ดังก้องไปทั่วโรงงานร้างนั้นทำให้มือปืนที่กำลังเก็บข้าวของและรอฝ่ายนายจ้างโอนเงินเข้ามาในบัญชีอยู่นั้นถึงกลับดีดตัวพุ่งไปทางปืนคู่ใจที่เก็บไว้ในกระเป๋าเล็กไม่ไกลนัก ร่างสูงถลาไปกับพื้น ไม่สนใจฝุ่นที่ปลิวคละคลุ้ง เขาหวังเพียงแต่อาวุธร้ายที่คอยปกป้องเขาในยามนี้เท่านั้น เมื่อร่างสูงของมือปืนคว้าอาวุธคู่ใจเอาไว้ได้ เขาก็รีบเก็บกระเป๋าปืนขึ้นมาสะพายหลัง เก็บข้าวของทุกอย่างให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็วและเงียบกริบมากที่สุด



ใบหน้าภายใต้หนวดเครารกรุงรังนั้นแข็งกระด้างเย็นชา สายตาหรี่เพ่งมองไปทางประตูอีกฟากด้วยใจสงบ การทำงานในสายนี้ก็ต้องมีการเสี่ยงตายกันเป็นธรรมดาของชีวิต และเหตุการณ์ในรูปแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นเป็นประจำจนเขาชินชา และมั่นใจด้วยว่าเขาสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้แน่นอน แต่เขาก็ติดใจสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าพวกมันเป็นใครกันแน่ ถึงกล้ามาเดินอยู่กลางโรงงานร้างโดยไม่คิดหลบซ่อนหรือปิดบัง เดินโดยไม่เก็บเสียงฝีเท้า ดูมาดมั่นและมั่นใจจนเกินเหตุ หรือพวกมันอาจจะเป็นแค่พวกวัยรุ่นติดตยาที่มาหาแหล่งซ่องสุมกันแน่



เขาคิดอยู่ในใจ พาร่างกายหลบเข้าไปอยู่ในซอกหลืบของมุมกำแพง หลบลี้แฝงกายในเงามืดที่ช่วยอำพลางร่างกาย ยังดีที่โรงงานนี้ร้างมาหลายปีแล้ว หน้าต่างทุกบานถูกตอกปิดด้วยแผ่นไม้จนแสงแดดเล็ดลอดเข้ามาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เสียงรองเท้ากระทบพื้นนั้นดังก้องสะท้อนไปมา จนเขาไม่สามารถจับทิศทางของเสียงได้อย่างชัดเจน



ดวงตาเย็นชาและไร้ชีวิตของเขาสอดส่องและคิดหาวิธีหนี เขาอาจจะมีอาวุธ แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงพอเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายก็มีอาวุธเช่นกันหรือไม่



ดังนั้นเขาคิดว่าเขาคงไม่โชคร้ายขนาดโดนเจอตัว แค่ทำตัวเงียบๆ รอพวกมันจากไป เขาเป็นสไนเปอร์ ถนัดจัดการเป้าหมายในระยะไกล แต่ไม่ถนัดในการสู้ประชิด เขาถนัดในการแฝงตัว และไม่ถนัดในการเผชิญหน้าใดใด แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีทักษะ แค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง



ท่ามกลางความมืดสลัว ใจของสไนเปอร์หนุ่มสั่นระรัวอยู่ซักพัก จนเขาแน่ใจแล้วว่าพวกมันเริ่มแยกย้ายกันไป เพราะเสียงฝีเท้าที่เบาลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาแผ่วเบาอย่างโล่งใจ สงสัยพวกมันได้ที่นั่งเหมาะๆ สำหรับการพี้ยาแล้วล่ะมั้ง เขาหลบอยู่ที่เดิมซักพักเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาเดินเพ่นพ่านจนเจอเขา ร่างสูงในชุดรัดกุมจึงขยับเดินออกมา และลัดเลาะไปตามผนังในเงามืด



แปลก



จู่ๆ สัญชาตญาณของเขามันก็ร่ำร้องเตือนเมื่อมีบางสิ่งผิดปกติ เงียบเกินไป เหมือนจู่ๆ เสียงฝีเท้าและพวกพี้ยากลุ่มนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีเสียงหัวเราะหรือคึกคะนองพร่ำเพ้อ เหมือนตอนนี้ภายในโรงงานร้างมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น มันเกิดอะไรขึ้นกัน



เอี๊ยด



มือปืนหนุ่มสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินเสียงเบรกและเสียงล้อบดถนนดังลั่น เครื่องยนต์ของรถคันนั้นดังกระหึ่มสะท้อนดังก้องไปทั่วอย่างไม่กลัวเกรง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ มือปืนหนุ่มไม่รอช้า และไม่คิดจะหาคำตอบกับสิ่งนั้น เขารีบเร่งความเร็วด้วยฝีเท้าเงิียบกริบเพื่อมุ่งไปทางหลังโรงงานร้างที่ติดกับไร่ข้าวโพด



“เจอ. ตัว. แล้ว” น้ำเสียงร่าเริงยินดีของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหยักศกคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมมืดและหยุดลงตรงหน้าของมือปืนหนุ่มทันที ร่างกายสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของจาคอปกดดันมือปืนหนุ่มคนนั้นจนถอยร่นออกไปหลายก้าว



หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 13 เตรียม (09.07.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 31-08-2018 16:05:29
“แก!!!” เสียงอุทานตกใจจากเขาดังสะท้อนก้องไปทั่ว สไนเปอร์หนุ่มรีบยกปืนขึ้นเล็งเตรียมจัดการคนที่เข้ามาขวางทาง แต่จาคอปนั้นก็ไม่รอช้า แค่มันนตะโกนเสียงดัง ร่างสูงใหญ่ก็พุ่งเข้าไปหาสไนเปอร์คนนั้นอย่างรวดเร็ว จับข้อมือที่ถือปืนนั้นหักบิดไปอีกทางจนบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง ตวัดลำแข้งหนาหนักยันโครมเข้ากลางลำตัว ปืนคู่ใจกระเด็นไปไกล และร่างของชายหนุ่มหนวดรกคนนั้นก็ลอยละลิ่วหลังกระแทกผนังดังโครมใหญ่ น้ำเสียงโหยหวนร้องลั่นกุมข้อมือข้างนั้นเอาไว้อย่างเจ็บปวด



“โอ๊ยยย บ้าเอ๊ย แก!!!” ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจนเขาดิ้นพร่าน ความปวดหนึบตรงช่วงท้องและแผ่นหลังสู้ไม่ได้เลยกับความเจ็บตรงข้อมือนี้



“โทษทีนะ ตอนแรกก็ว่าจะให้นายวิ่งเล่นไปพลางๆ ก่อน แต่เหมือนว่าดอนของฉันจะใจร้อนไปหน่อย ถ้าไม่รีบจัดการให้เสร็จๆ ไปเดี๋ยวฉันจะโดนลูกหลงน่ะ” จาคอปฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาเป็นเส้นโค้ง แค่เขาได้ยินคาลอสบอกว่าดอนขับเจ้าโคนิกเซกก์มาเขาก็รู้ตัวแล้วว่าจะต้องรีบบุกและลงมืออย่างฉับไว งานนี้แม้ลูกน้องในหน่วยของเขาจะมาด้วยก็ตาม แต่เขาก็อยากจะจัดการมันซักรอบ กล้ามาก กล้าที่ทำให้คริสตินของพวกเขาบาดเจ็บขนาดนี้



คิดดูซิ ขนาดเขายังอยากจะฆ่าหมอนี่ให้ตายๆ ไปซะ แล้วดอนที่เฝ้าดูแลคริสตินอยู่ตลอดจะไม่อยากฆ่าหมอนี่ได้ยังไง แต่เอาเถอะ แค่เรื่องนี้ดอนลงมาจัดการเองมันก็คงอยากจะร่ำร้องหาความตายมากกว่าแล้วล่ะมั้ง มือใหญ่ของเขากระชากร่างของสไนเปอร์ขึ้นมาอย่างรุนแรง ไม่สนใจเสียงร้องแหกปากนั้นให้รกหัวสมอง แม้จะรำคาญอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่คิดใส่ใจ จัดการกระทืบลงไปตรงข้อมืออีกข้างที่ยังไม่บาดเจ็บ ออกแรงจนกระทั่งข้อมือข้างนั้นกระดูกหักจนยับเยิน



“อ๊ากกกกกกกก” อ๊ะ หรือเขาจะทำเกินไปหน่อยนะ ตอนนี้เสียงแหกปากของเจ้านี่ชักจะน่ารำคาญแล้วซิ เฮ้อ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และลากร่างของมือปืนที่ดิ้นพร่านไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ จัดการกระชากโยนไปให้ลูกน้องของเขาลากคอมันไปแทน



จาคอปเดินนำหน้าทุกคนไปที่ประตูหน้าโรงงานร้าง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อส่งข้อความไปรายงานคาลอสที่น่าจะมาถึงพร้อมกับดอน แต่พวกเขายังไม่ได้เดินออกไปถึงข้างนอก มือขวาร่างสูงใหญ่ก็เห็นร่างเงาของชายคนหนึ่งทอดผ่านเข้ามาตรงประตูที่เปิดอ้ากว้าง เพราะแสงสลัวจากภายในโรงงานและชายคนนั้นยืนย้อนแสงอยู่ ภาพที่เห็นจึงคล้ายกับภาพเงาของซาตานผู้มายืนรอรับความตาย ขนทั่วร่างของจาคอปพากันลุกพรึบและสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ



แค่เห็นเงากับรูปร่างในตอนนี้ของดอนแห่งคอลิโอเน่เขาก็รู้แล้วว่ามันน่าสยดสยองขนาดไหน ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาที่ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนเพราะแสงด้านนอกที่เจิดจ้าเกินไป ทำให้ทั้งเขาและลูกน้องหลายๆ คนยังไม่สามารถปรับสายตาให้ชินกับแสงได้เลย แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว แม้ใบหน้าจะอยู่ในเงามืด แต่ดวงตาสีทองของดราโกกลับเจิดจ้าวาวโรจน์เหมือนซาตานตัวร้ายที่กำลังเก็บความเกรี้ยวกราดไว้ภายใต้ใบหน้าสงบนิ่ง



เขาไว้อาลัยให้กับสไนเปอร์คนนี้ล่วงหน้าเลยละกัน



“อึก พะ พวกแก เป็น ปะ เป็นใครวะ!!!” คนเจ็บไม่เจียมตัว แต่กระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่บนความหยิ่งทะนงไม่เกรงกลัวซาตานตัวร้าย



ดวงตาและรอยยิ้มภายใต้เงามืดนั่นน่าหวาดหวั่น ร่างสูงของดราโกเดินเข้ามาใกล้ จาคอปและลูกน้องหลีกทางให้กับดอน ทิ้งสไนเปอร์ที่สองมือใช้การไม่ได้กองลงกับพื้นสกปรก แม้ใจของชายคนนั้นจะด้านชาและเคยชินกับกลิ่นแห่งความตาย แต่นี่เป็นครั้งแรกในเส้นทางสายอาชีพของเขาที่ค้นพบความจริงเกี่ยวกับตนเอง ว่าแท้ที่จริงแล้วใจที่ด้านชานั้นก็มีความหวาดกลัวซุกซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน



ดวงตาที่ไร้แววแห่งชีวิตของเขากลับสั่นไหวและร่ำร้องหาพระผู้เป็นเจ้าเป็นครั้งแรก



“มะ ไม่ อย่านะ อย่า ชะ ช่วยด้วย ไม่!!!!”



จาคอปมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย ดอนแห่งคอลิโอเน่ไม่ใช่เพียงตำแหน่งของคนที่ขึ้นมารับหน้าที่สำคัญเท่านั้น แต่มันคือหนึ่งในสัญลักษณ์ของความน่าเกรงขามที่ชวนหวาดหวั่น แค่บรรยากาศและดวงตาที่กวาดมองไปนิ่งๆ ก็แทบจะทำให้คนที่จ้องมองชะงักค้าง และใจเผลอหวาดหวั่นสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว คงมีเพียงแค่ยามที่คริสตินอยู่ใกล้เท่านั้นล่ะมั้ง ที่ดอนของเขาจะไร้ซึ่งบรรยากาศกดดัน



“รู้ไหม ว่านายทำอะไรลงไป” ร่างสูงใหญ่ของดราโกขยับเข้าไปใกล้ร่างที่นอนกระเสือกกระสนพยายามถอยหนีของสไนเปอร์ที่มีใบหน้าซีดเผือด



“มะ ไม่ ไม่รู้” มือปืนหนุ่มส่ายศีรษะปฏิเสธรัวเร็ว มุมปากของดราโกกระตุกยิ้มเย็นชา ดวงตาสีทองลุกโชน



“งั้นหรือ แล้วเมื่อเช้าล่ะ นายก่อเรื่องอะไรไว้”



ประโยคเรียบๆ ของดอนแห่งคอลิโอเน่กระตุ้นย้ำเตือนเหตุการณ์เมื่อเช้าในทันที มือปืนหนุ่มที่มีสภาพทรุดโทรมผิดจากเมื่อเช้าแทบอยากจะหมดสติเดี๋ยวนั้น หรือว่าคนตรงหน้าคือดราโก คอลิโอเน่ ดอนแห่งคอลิโอเน่ แฟมิลี่คนนั้น ทำไมกัน ทำไมถึงตามหาเขาพบได้อย่างรวดเร็ว



“หึ แปลกใจงั้นหรือ” ดราโกปรายตามองสไนเปอร์คนนั้นนิ่งๆ



“ฉะ ฉัน ฉัน” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง แววตาไร้ชีวิตในคราแรกนั้นกลับเลือนหาย แทนที่ด้วยความกลัวเข้ามาเกาะกุมจิตใจ เขายังไม่อยากตาย ยังตายไม่ได้



“นาย แตะ ต้อง เทวดาของฉัน” ดราโกยืดตัวเต็มความสูง ถอยห่างออกมาหนึ่งก้าวและยืนกอดอกมองนิ่งๆ “อย่าให้มันตายง่ายๆ จัดการซะ”



“ครับ” เสียงรับคำสั่งจากลูกน้องดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ใบหน้าภายใต้หนวดเครารกของสไนเปอร์คนนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เพียงไม่นานเสียงร่ำร้องอ้อนวอนก็ดังก้องสะท้อนไปมาอยู่ภายในโรงงานนั้นนานนับชั่วโมง







เมื่อเสียงกระหึ่มของรถยนต์ไฮเปอร์คาร์พ้นออกไปจากรั้วบ้าน ผมก็รีบดีดตัวลุกจากที่นอนโดยลืมไปว่าผมมีแผลที่โดนยิงที่ต้นแขนเสียสนิท มันเจ็บจี๊ดจนผมเกือบจะหลุดเสียงร้องออกมา ยังดีที่ผมนึกขึ้นได้และพยายามเก็บงำความเจ็บปวดเพื่อเร่งไปเปลี่ยนเสื้อจากเสื้อแขนกุดเป็นเสื้อแขนยาวแทน แม้จะเจ็บที่ต้องยกแขนข้างนั้นขึ้น แต่ก็ยังจะดีกว่าที่คนอีกฝั่งจะเห็นและทำให้พวกเขาเป็นห่วง



ผมเดินกลับมาที่เตียงนอนด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบ เพราะเกรงว่าคนที่ดราโกทิ้งไว้เฝ้าผมที่หน้าห้องจะได้ยินเสียงและเดินมาดูด้วยความสงสัย ผมนั่งอยู่บนที่นอนและเอื้อมหยิบคอมพิวเตอร์ที่ผมซ่อนไว้ออกมาจากใต้ผ้าห่มผืนหนา ผมมือสั่นเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น แต่ผมต้องมีสติและรีบใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด ผมจัดการปลดรหัสที่ล็อคเอาไว้และแฮคสัญญาณต่อเข้ากับไวไฟ ผมต้องระวังเอาไว้ก่อน เพราะผมกลัวว่าทางมาร์คจะจับได้ว่าผมแอบติดต่อกับคนภายนอก



เพื่อไม่ให้เขารู้ว่ามีคนที่แอบใช้อินเตอร์เน็ต และไม่ให้พวกเขารู้ว่าผมติดต่อกับใคร เมื่อผมจัดการเชื่อมต่อสัญญาณและเปิดตัวจับเวลาเพื่อไว้แจ้งเตือนเสร็จเรียบร้อย ผมจึงเข้ารหัสและเปิดหน้าโปรแกรมสไกป์ขึ้นมาและกดโทรวิดีโอคอลไป ใจผมเต้นตึกตักและรอให้คนปลายทางรับสายของผมอย่างใจจดใจจ่อ เพียงไม่นานหน้าต่างของอีกฟากก็เด้งขึ้นมา ปรากฏภาพผู้ชายคนหนึ่งที่มีผมสีดำสนิทและดวงตาสีฟ้าสวย



“แด๊ดครับ” ผมเอ่ยทักทายผู้ชายคนนั้นอย่างดีใจ แต่ก็ยังไม่ลืมว่าควรลดเสียงให้เบามากที่สุด



“คริสติน” แด๊ดดี้เอริคของผมฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาสีฟ้าของแด๊ดเป็นประกายด้วยความรักที่มีต่อผมจนเอ่อล้น ผมอยากจะส่งยิ้มตอบกลับไปให้แด๊ดแต่ผมก็ไม่สามารถ แต่แด๊ดก็คงรู้ได้จากสายตาของผมที่แสดงให้ท่านเห็น “เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม แด๊ดคิดถึงเรามากเลยนะ”



“ผมก็คิดถึงแด๊ดเหมือนกันครับ แล้วคุณพ่อล่ะครับ” ผมขมวดคิ้วและถามหาคุณพ่ออีกคนหนึ่งของผม ปกติแล้วคุณพ่อจะติดแด๊ดมาก ถ้าแด๊ดกลับมาเมื่อไหร่ คุณพ่อก็จะวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กับแด๊ดเสมอ ถึงแม้ว่าผมจะอยู่กับคุณพ่อเป็นส่วนใหญ่และได้รับคำสอนมากมายจากคุณพ่อมาก็ตาม ผมก็ยังรักทั้งสองท่านมากเท่าๆ กัน



“เหอะ ไอ้บ้านั่นน่ะเหรอ แด๊ดไล่ออกจากบ้านไปแล้วล่ะ จะไปตายที่ไหนก็ช่างมัน ไอ้พ่อเฮงซวยแบบนั้นน่ะ ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดจากแด๊ดดี้เอริคทำให้ผมต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ผมเอียงศีรษะด้วยความงุนงง หรือว่าระหว่างที่ผมไม่อยู่พวกท่านจะทะเลาะกันนะ



“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ผมถามออกไป สายตาของแด๊ดดี้เอริคฉายชัดถึงความโกรธเคืองและไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด คุณพ่อต้องแย่แน่ๆ เลยครับ แด๊ดดี้โกรธขนาดนี้คงง้อยากแน่ๆ เลย



“มีอย่างที่ไหนไล่เด็กอายุสิบห้าออกจากบ้านเพื่อให้ไปหาความหมายของชีวิตบ้าบออะไรนั่น ไร้หัวคิดสิ้นดี ไอ้ฝรั่งหัวทองไร้น้ำยา ไร้หัวสมอง!!!! ปล่อยลูกออกจากบ้านแบบนั้นได้ยังไง ลูกไม่เคยออกไปไหนซักที่ จู่ๆ ก็ให้ไปท่องโลกแบบนั้นนะ บ้าบอ!!!! ไร้หัวคิด!!!! ถ้าลูกเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง ที่นี้เป็นไงล่ะ ลูกหายไปเป็นเดือนไม่ติดต่อกลับมา ไอ้พ่อบ้านั่นถึงคิดได้ว่าทำอะไรลงไป โง่เง่า!!!!” แด๊ดดี้เอริคด่าออกมาชุดใหญ่แทบไม่หยุดพักหายใจ ผมสะดุ้งรีบหรี่เสียงลงทันทีเพราะกลัวคนข้างนอกจะได้ยิน “เหอะ ถึงจะทำเพื่อลูกก็เถอะ แต่มันก็มีวิธีอื่นอีกเยอะไม่ใช่รึไง ก็รู้ว่าลูกเก่ง แต่ลูกก็ยังเป็นแค่เด็ก จะเอาอะไรไปต่อกรกับไอ้พวกนั้นได้ แค่ไม่ตายก็บุญโขแล้ว”



“ผมสบายดีครับแด๊ด แด๊ดไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” ผมเห็นแด๊ดดี้เอริคหอบหายใจจากการใส่อารมณ์ที่มากเกินไป จึงได้จังหวะที่ผมจะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองบ้าง เรื่องของพ่อกับแด๊ด ผมจะไม่เข้าไปยุ่งครับ ให้พวกท่านเคลียร์กันเองเถอะ



“ก็ดีแล้วล่ะ ถ้าไม่ไหวก็กลับมาก่อนคริสติน เรื่องนี้เราค่อยๆ ช่วยกันแก้ไขทีละนิดก็ได้ แต่แด๊ดได้ข่าวมาว่าตอนนี้โคเซ่กำลังดิ้นพร่านเลยล่ะ ฝีมือลูกรึเปล่า” ชายหนุ่มวัยกลางคนที่ปรากฏบนหน้าจอของผมเลิกคิ้วถามผมด้วยความสงสัย ผมก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่ถ้าเรื่องเกิดเร็วๆ นี้คงมีเพียงคนเดียวที่ทำให้มันเป็นไปได้



“น่าจะเป็นคอลิโอเน่ครับ” ผมตอบอย่างที่ผมคิดและสงสัย ไม่แน่ว่าเรื่องที่ดราโกยอมช่วยเหลือ คงเพราะคาโซ่ก็คงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ลอบสังหารดราโกก็เป็นได้



“คอลิโอเน่?” ชายหนุ่มผมดำชะงักเมื่อได้ยินชื่อแฟมิลี่ออกมาจากผม ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงความอ่อนเยาว์แม้จะอายุเกือบสี่สิบแล้วก็ตาม



“ครับ ดราโก คอลิโอเน่ ผมอยู่กับเขา” ผมบอกและเฝ้ามองปฏิกิริยาของแด๊ดดี้เอริค สีหน้ายุ่งยากใจของแด๊ดทำให้ผมอดเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าแด๊ดดี้และคุณพ่อรู้ว่าผมมาอยู่ที่นี่พวกเขาจะว่าอะไรบ้าง



“ถ้าอยู่กับเขาลูกคงปลอดภัย แต่อย่าไว้ใจเขาให้มาก ถ้ามีโอกาสก็หลบออกมาซะ เรื่องนี้แด๊ดจะยังไม่บอกพ่อ ถ้าพ่อรู้คงรีบไปพาลูกออกมา”



“ครับ” ผมพยักหน้ารับคำ ผมเห็นแด๊ดดี้เอริคส่งสายตาอ่อนโยนมาให้ผม ถ้าผมอยู่ตรงหน้าของท่าน ท่านจะกอดผมไว้แน่นๆ และลูบหัวผมเหมือนกำลังกล่อมผมให้ผ่อนคลาย ผมอยากกลับไปหาพวกท่านจังเลยครับ



“ฟังนะคริสติน ทั้งแด๊ดและพ่อเฮงซวยคนนั้น พวกเราต่างรู้ดีว่าการที่จะทำให้ลูกมีความสุขเหมือนเด็กๆ ทั่วไป ยิ้มได้ หัวเราะได้ ร่าเริงได้นั้นคือลูกต้องปลดฝันร้ายในอดีตให้ได้ซะก่อน แต่แด๊ดไม่อยากให้ลูกกดดันตัวเองจนเกินไป ถ้าไม่ไหวก็กลับมา ลูกยังมีพวกเรา จำไว้นะ” น้ำเสียงของแด๊ดดี้เอริคอ่อนโยน จนผมอยากร้องไห้ อยากร้องไห้กับความรักและอ่อนโยนที่พวกท่านต่างมอบให้ผม ผมอยากกลับไปหาพวกท่าน กลับไปหาบ้านที่ผมคิดว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด แต่ผมยังกลับไปไม่ได้



“ผมอยากยิ้ม อยากจะยิ้มจริงๆ ครับ” ผมรู้ว่าตอนนี้ใจผมอาลัยแค่ไหน อยากร้องไห้มากแค่ไหน อยากจะยิ้มมากขนาดไหน แต่ผมทำไม่ได้เลย ผมแสดงออกได้แค่ใบหน้าเรียบเฉยเท่านั้น อดีตที่เจอมันทรมานมากเกินไปจนผมปิดกั้นตัวเองจากทุกสิ่ง ดังนั้นคุณพ่อจึงให้โอกาสผม ให้ผมลองไปค้นหาชีวิตดู ถ้าผมเจอ ผมอาจจะกลับมายิ้มได้ในซักวันหนึ่ง



“ไม่เป็นไร ซักวันลูกต้องยิ้มออกมาได้แน่นอน” แด๊ดดี้เอริคยิ้มออกมาให้ผมกว้างๆ ผมพยักหน้ารับคำของท่านเงียบๆ “เอาล่ะ ไว้วันหลังมีโอกาสเมื่อไหร่เราค่อยคุยกันอีก ลูกคงแอบมาคุยล่ะซิ โดนยึดคอมไว้รึไง”



“ครับ ผมเบื่อจะแย่อยู่แล้ว” ผมบ่นออกมาพร้อมแสดงสีหน้าขัดใจ โดยเฉพาะตรงคิ้วที่ขมวดมุ่นยุ่งเหยิง ถึงผมจะแสดงอารมณ์ออกมามากไม่ได้เหมือนคนอื่นๆ แต่อย่างน้อยผมก็แสดงอารมณ์จากหัวคิ้วได้นะครับ



“ดูแลตัวเองด้วยนะคริสติน แด๊ดรักลูกนะ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอกผมด้วยความรัก



“ผมก็รักแด๊ดครับ ฝากบอกคุณพ่อว่าผมก็รักท่านเช่นกันนะครับ” ผมบอกสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจออกมาด้วยความรู็สึกเต็มเปี่ยม แด๊ดดี้เอริคยิ้มรับแต่ก่อนจะลาจากกันท่านก็ยังบ่นถึงคุณพ่อไม่เลิก ผมบอกลาท่านอีกครั้งและออฟไลน์โปรแกรมสไกป์



ผมเหลือบตามองนาฬิกาบนหน้าจอเล็กน้อย ผมใช้เวลาคุยกับแด๊ดดี้สิบนาที ถึงจะใช้เวลานานมากไปหน่อยแต่ผมต้องส่งข่าวให้แด๊ดดี๊เอริครู้บ้าง ไม่อย่างนั้นพวกท่านคงตามหาผมกันให้วุ่น อย่างน้อยผมก็สบายใจที่ได้พูดคุยกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ผมยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อย เลยนั่งหาข้อมูลของคาโซ่ที่แด๊ดดี้บอกผมเมื่อครู่ หาไว้ก่อนแล้วค่อยอ่านทีหลัง ผมต้องใช้เวลาให้น้อยที่สุดเพราะตอนนี้แถบสถานะที่บอกถึงการลักลอบใช้อินเตอร์เน็ตของผมมันเริ่มเคลื่อนเข้าหาแถบโซนสีเหลือง นั่นคือสัญญาณเตือนว่าผมควรจะออกจากระบบอินเตอร์เน็ตโดยเร็ว ถ้าแถบสถานะเคลื่อนไปถึงโซนสีแดง นั่นหมายถึงระบบไฟล์วอร์ของมาร์คจะตรวจจับการลักลอบครั้งนี้ได้ ซึ่งผมจะไม่เสี่ยงเด็ดขาดครับ ตอนนี้ผมหาได้แค่นี้ก็ไม่เป็นไร วันหลังผมคงมีโอกาสอีกแน่นอน



ผมจัดการปิดสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ของผมเรียบร้อย และชัตดาวน์คอมพิวเตอร์เพื่อเก็บเอาไว้ตรงลิ้นชักข้างหัวเตียง เมื่อผมกวาดตาสำรวจรอบๆ เพื่อไม่ให้มีอะไรผิดสังเกต ผมก็เดินไปถอดเสื้อแขนยาวที่ใช้ปิดผ้าพันแผลเอาไว้ แต่เพราะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเกินไป มันทำให้ผมหน้ามืด มีอาการโลกหมุนและปวดหนึบตรงบาดแผล ผมคงฝืนมากเกินไปแล้ว อีกไม่นานไข้ก็คงขึ้น ผมเลยคลานขึ้นเตียง ซุกตัวลงไปในผ้าห่มผืนหนา และหลับตาลงพร้อมนึกถึงภาพสมัยก่อนที่มีผม คุณพ่อ และแด๊ดดี้อาศัยอยู่ด้วยกัน มันเป็นเรื่องดีๆ ที่ทำให้มีความสุข แต่ก่อนที่ผมจะหลับลึกลงไป ภาพสุดท้ายที่ผมนึกถึงกลับเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีดวงตาสีทองเจิดจ้าจ้องมาที่ผมอย่างไม่ละสายตา



..................................



ตอนใหม่มาแล้วค่า ตอนนี้ไรท์แต่งเพลินไปหน่อย รู้ตัวอีกทีก็ปาไปหลายหน้าเลย นอกจากลุงจะชอบคริสตินแล้ว ลุงยังเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบรถมากๆเลยนะคะ ส่วนใหญ่รถของลุงก็เป็นไฮเปอร์คาร์ค่ะ ซึ่งไฮเปอร์คาร์คือรถที่เร็ว แรง สวย และแพงมากกว่าซูเปอร์คาร์ทั่วไป ความเร็วขั้นต่ำก็ 300-400 กิโลเมตร และผลิตจำนวนน้อยมากๆ โดยเฉพาะรถของดอน Koenigsegg One:1 ค่ะ





ในบทนี้ค่อนข้างปล่อยเรื่องราวของหนูคริสออกมาบางส่วนนะคะ หลังจากนี้หนูคริสคงจะเจอเรื่องหนักหน่วงมากกว่าเดิม ไรท์ขอฝากนักอ่านทุกท่านเอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้น้องด้วยนะคะ  แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า





หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 15 จ้องมอง (31.08.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 31-08-2018 16:08:26

บทที่ 15 จ้องมอง


ตอนนี้พิษบาดแผลกำลังเริ่มเล่นงานผม แม้จะทานยาแก้อักเสบและยาลดไข้เผื่อไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่เหมือนร่างกายของผมมันหนักอึ้งและหนาวสั่น แม้แต่เปลือกตาของผมก็ยังร้อนผ่าว ผมได้แต่ขดตัวซุกอยู่ใต้ผ้าห่มให้อบอุ่นมากที่สุด ไม่สบายแบบนี้ผมไม่ชอบเลยครับ มันทำให้ผมอ่อนแอลงทั้งร่างกายและจิตใจ ผมไม่สามารถแสร้งทำเป็นเข้มแข็งใดใดได้เลยในเมื่อพิษไข้เล่นงานผมแบบนี้



เมื่อผมป่วย ผมจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ผมจะโหยหายความอบอุ่นมากเป็นพิเศษ อยากจะได้อ้อมกอดที่คอยปลอบประโลมจิตใจที่อ่อนล้าของผม เพราะเมื่อไหร่ที่ผมล้มป่วยขึ้นมา เมื่อนั้นความทรงจำเก่าๆ ที่ผมอยากจะลืมก็จะกลับมาเล่นงานผมจะแทบกระอัก ผมพยายามฝืนตัวเองให้มากที่สุดเพราะผมไม่ได้อยู่กับคุณพ่อที่บ้าน คุณพ่อและแด๊ดดี้จะเป็นคนที่เข้าใจฝันร้ายของผมดีที่สุด มีเพียงพวกท่านที่จะคอยเฝ้าผมอยู่เสมอ แต่เวลานีี้ผมไม่มีใครเลย ผมเลยกลัวที่จะหลับตา



เมื่อซักครู่ผมเกือบจะหลับลงไปแล้วครับ แต่เพราะผมกลัวที่จะฝัน ผมจึงฝืนลืมตาและลุกขึ้นมาอีกครั้ง ภาพในห้องมันหมุนคว้างจนผมต้องเกาะหัวเตียงเอาไว้นิ่งๆ ผมค่อยๆ เกาะผนังห้องไปจนถึงประตู และใช้แรงที่เหลือเพียงน้อยนิดในการเปิดประตูบานนั้น



“คุณคริสติน?” บอร์ดี้การ์ดหนึ่งในสองที่ยืนเฝ้าผมหน้าห้องมองผมด้วยสายตาประหลาดใจ “คุณต้องการอะไรรึเปล่าครับ”



“ผมจะไปหาแองเจริน่าครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว ร่างกายหนักขึ้นเรื่อยๆ จนผมฝืนแทบไม่ไหวแล้วครับ



“ดอนให้คุณพักผ่อนอยู่แต่ในห้องนะครับ” ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมแสดงสีหน้าลำบากใจ พวกเขาคงได้รับคำสั่งให้เฝ้าผมและให้ผมอยู่แต่ในห้องไม่ไปไหน



“งั้นรบกวน รบกวนช่วยตามแองเจริน่าให้ผมได้ไหมครับ” ผมโน้มศีรษะลงต่ำและยกมือกุมหัวเอาไว้แน่น ดวงตาพร่ามัวจนเริ่มมองภาพตรงหน้าไม่ชัด



“แต่ดอนไม่ให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายนะครับ” พวกเขาแสดงสีหน้าลำบากใจ ผมเข้าใจพวกเขานะครับและเกรงใจมากๆ ด้วย แต่...ผมไม่อยากอยู่คนเดียว



“นะครับ ได้โปรด” ผมเงยหน้าขอร้องพวกเขา แต่เมื่อพวกเขาทั้งสองเห็นใบหน้าของผมชัดเจนอีกครั้ง ดวงตาของบอร์ดี้การ์ดต่างเบิกกว้างรีบสบสายตากันเลิกลั่กและหนึ่งในนั้นก็รีบวิ่งไปตามแองเจริน่าให้ผม



“รอก่อนนะครับคุณคริสติน เดี๋ยวผมจะรีบไปตามคุณแองจี้ให้” เขาบอกผมและรีบวิ่งไป ส่วนอีกคนหนึ่งที่เหลือก็แสดงสีหน้าแปลกๆ หันซ้ายหันขวาเอ่ยขออนุญาตผมและหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ ออกมาเพื่อซับหยดน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นทาง



ผมร้องไห้เหรอครับ?



“คุณเข้าไปรอในห้องก่อนเถอะครับ เดี๋ยวคุณแองจี้มาผมจะพาคุณเขาเข้าไปหา” เขาพูดและเข้ามาประคองผมที่ยืนแทบไม่ไหว ค่อยๆ พยุงพาผมกลับไปที่เตียงนอน



ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้งเพื่อเฝ้ารอผู้หญิงวัยกลางคนที่สง่างามและใจดีคนนั้น เรือนผมหยักศกสีแดง และใบหน้าอ่อนหวานที่มีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ ทุกๆ วันผมชื่นชอบที่จะไปคอยเฝ้าดูแองเจริน่าที่ห้องครัว คอยช่วยเหลืองานในครัวเท่าที่ผมจะทำได้ ฟังเธอเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟังมากมาย เรื่องครอบครัว เรื่องลูกสาวลูกชาย เรื่องบ้านเกิด รอยยิ้มของแองเจริน่าสวยงามและสดใส ผมชอบรอยยิ้มของเธอ และชอบดวงตาที่เต็มไปด้วยความสุขของเธอมากยิ่งกว่าสิ่งใด



ผมนอนลืมตามองเพดานสีขาวด้วยใจที่ว้าวุ่นเล็กน้อย และรอเพียงไม่นานผมก็รับรู้ถึงฝ่ามือสากด้านเพราะทำงานหนักมาทั้งชีวิต แต่ถึงกระนั้นมันก็อบอุ่นและอ่อนโยน ผมพลิกตัวเพื่อมองเจ้าของมือคนนั้นและก็ได้เห็นรอยยิ้มที่งดงาม



“คุณหนูทำไมไม่พักผ่อนคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานของแองเจริน่าเอ่ยถามผม ดวงตาของผมพร่ามัวเล็กน้อยแต่ก็ยังดื้อดึงที่จะไม่ยอมหลับตาพักผ่อน



“ขอโทษที่รบกวนนะครับ”



“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ทุกคนที่ห้องครัวเป็นห่วงคุณมากเลยนะคะ อย่างน้อยก็พักซักนิดจะได้หายเร็วๆ” แองเจริน่ายังยิ้มกว้างส่งมาให้ผม มือของเธอก็ยังคงลูบศีรษะของผมไม่หยุด



“ช่วยอยู่กับผมซักครู่นะครับ ได้โปรด” ผมเอ่ยขอร้องแองเจริน่าและคว้ามืออีกข้างของหญิงสาวมากุมไว้แน่น มือของผมสั่นเล็กน้อยเพราะผมยังคงหวาดกลัวอยู่มาก



“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขออนุญาตอยู่เฝ้าคุณนะคะ ไม่ต้องห่วงค่ะ ดิฉันจะอยู่ข้างๆ ไม่ไปไหนแน่นอน” แองเจริน่าเอ่ยบอกผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมผ่อนลมหายใจเล็กน้อยและยกฝ่ามือของแองเจริน่ามาแนบเข้ากับแก้มของผม ผมลืมตาขึ้นมองไปทางเธออีกครั้งเพื่อจดจำลึกเข้าไปในใจ





‘ผมขอโทษครับ ขอโทษ’

‘ทำไมเธอต้องขอโทษฉันล่ะ?’

‘เพราะผม คุณถึงเจ็บ’

‘ฉันไม่เจ็บเลยซักนิด แต่เรียกแบบนี้ฟังดูห่างเหินจัง เรียกฉันว่าพี่ได้ไหม’

‘พี่?’

‘อืม พี่ ฉันเป็นพี่อีกคนของเธอได้ไหม’

‘ได้ซิครับ’

‘ดีจัง ฉันจะปกป้องเธอเองนะไม่ต้องห่วง เธอจะต้องปลอดภัย’ รอยยิ้มที่ส่งมาให้ในความมืดนั้นดูงดงาม เป็นรอยยิ้มที่เหมือนแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในสถานที่โหดร้ายแห่งนี้ รอยยิ้มเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นทุกอย่างในชีวิต ทั้งความหวัง ทั้งความอบอุ่น ทั้งการปลอบประโลม

‘ผมขอโทษนะครับ ขอโทษพี่จริงๆ’





ดวงตาสีมรกตของหญิงสาววัยกลางคนทอดมองร่างเล็กของเด็กน้อยตรงหน้าด้วยแววตาเห็นใจสงสาร เธอได้แต่นั่งนิ่งๆ คอยปลอบประโลมเด็กหนุ่มที่นอนกระสับกระส่าย และพร่ำเพ้อบางอย่างซ้ำไปซ้ำมา



“ขอโทษครับ พี่ ผมขอโทษ” คริสตินนอนดิ้นไปมา แต่ก็ยังไม่ปล่อยมืออุ่นๆ ข้างนั้นเหมือนใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้ตกไปในห้วงของความฝันที่แสนเลวร้าย เธอเห็นท่าทางทรมานของเด็กหนุ่มก็หวนคิดไปถึงลูกๆ ของเธอที่เวลาไม่สบายก็จะงอแงอย่างนี้เช่นเดียวกัน แต่เด็กคนนี้น่าสงสารมากกว่า เพราะตอนนี้เด็กตัวเล็กๆ พลัดจากบ้านเกิดเมืองนอน ห่างจากอกพ่อแม่มาตั้งไกล จับพลัดจับพลูต้องมาอยู่ในวงการมาเฟียที่แสนจะอันตรายอย่างนี้ เฮ้อ



แกร๊ก แอ๊ด



เสียงเปิดประตูห้องนอนของคริสตินดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างสูงใหญ่ของดอนแห่งคอลิโอเน่เดินก้าวเข้ามา เขาได้รับรายงานเรื่องแองเจริน่าจากบอร์ดี้การ์ดที่ยืนหน้าห้องแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่เห็นแม่บ้านหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ในห้อง อาการแปลกๆ ของคริสตินที่ได้รับรายงานมาทำให้เขาค่อนข้างเป็นห่วงเด็กน้อยของเขามากกว่าที่คิด



“คริสตินเป็นยังไงบ้าง” ดราโกเดินมาหยุดที่ข้างเตียงนอน สำรวจสีหน้าที่แดงก่ำเพราะพิษไข้ และใบหน้าที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยเพราะความทรมานจากพิษบาดแผล



“คุณเขาละเมอตลอดเวลาเลยค่ะ” แองเจริน่ารายงาน “ดูทรมานมากเลยทีเดียว เหมือนจะฝันร้ายอยู่ด้วย”



“งั้นหรือ เด็กคนนี้ดูติดเธอมาก” ดวงตาคมกริบของดราโกมองท่าทางของทั้งสองเล็กน้อย เทวดาตัวน้อยของเขาไม่ยอมปล่อยมือของหญิงสาวเลย จับไว้แน่นเหมือนกลัวจะหลุดหาย



“คุณหนูคงใช้ดิฉันเป็นตัวแทนของใครซักคน” หญิงสาวตัดสินใจบอกเรื่องนี้ออกไป เพราะจากตลอดเวลาที่ผ่านมาเด็กหนุ่มคนนี้มักจะมาใช้เวลาในห้องครัวอยู่เงียบๆ คอยเฝ้ามองอยู่ไม่ไกล ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือเขาก็จะเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว “คุณหนูเธอชอบมานั่งมองดิฉันทำงาน แต่เธอไม่ได้มองที่ตัวดิฉันนะคะ เธอเหมือนมองลึกผ่านไป เหมือนเห็นเงาของใครซักคนที่คล้ายคลึงกับตัวดิฉันมากกว่า”



“อืม” ชายหนุ่มรับคำพลางครุ่นคิด ถ้าเขานึกดีๆ ตลอดเวลาสายตาของคริสตินเมื่อมองไปที่แองเจริน่า ไม่ใช่ความรัก ความชอบ แต่เป็นความรู้สึกผิดที่ปรากฏอยู่ในแววตามากกว่า



“คุณเขาละเมอขอโทษอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ” น้ำเสียงของแองเจริน่าเต็มไปด้วยความสงสารและเศร้าใจ เพราะอะไรกันนะเด็กตัวแค่นี้ถึงมีเรื่องทุกข์ใจมากมาย



“เอาเถอะ ฉันจะดูเขาต่อเอง เธอไปจัดการงานที่เหลือเถอะ” ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้และพยายามปลดมือของคริสตินออกให้อย่างเบามือที่สุด แองเจริน่ายิ้มรับและก้มศีรษะขอบคุณดอนแห่งคอลิโอเน่ ก่อนจะขอตัวและเดินออกไปจากห้องนอน



ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งลงแทนที่หญิงสาว เฝ้ามองท่าทางกระสับกระส่ายและทรมานของเด็กน้อยของเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง เฝ้ามองอยู่นาน พร้อมกับครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างถี่ถ้วนและตรึกตรอง



รักหรือไม่รัก...

ชอบหรือไม่ชอบ...

ปล่อยไปหรือจับไว้ให้มั่น...

เขาจะตัดสินใจอย่างไรต่อไปดี?





หึ ยังต้องคิดอีกเหรอ ไร้สาระสิ้นดี เขาหลงเทวดาตัวน้อยของเขาขนาดนี้ จะให้ปล่อยมือไปน่ะเหรอ ไม่มีวัน!!! ชีวิตที่เกือบมอดดับไปกลับถูกมือเล็กๆ และแสงสว่างเพียงหนึ่งของเขาฉุดรั้งขึ้นมาจากความตาย แต่เขาไม่ขอนับไอ้หมอหน้ายิ้มคนนั้นเป็นคนช่วยชีวิตเขาก็แล้วกัน เพราะถ้าวันนั้นเด็กน้อยของเขาไม่คิดจะช่วยเขากลับมา เขาก็คงตายอยู่ในตรอกนั้นแล้ว เทวดาตัวน้อยที่เขาเห็นปีกเล็กสีขาวสว่างไสวอยู่กลางแผ่นหลังนั้น มันคือสิ่งที่ทำให้เขาอยากกักขังเด็กคนนี้ไม่ให้ไปไหน



คริสตินไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนผู้หญิงในอดีตของเขา ผู้หญิงพวกนั้นก็แค่ชื่นชมหลงใหลแต่เงินตราและรูปลักษณ์ที่มันท้าทายพวกเธอก็เท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้ที่เขามีเด็กน้อยกลับไม่สนใจ มุ่งมั่นที่จะเดินไปตามทางที่ตนเองต้องการ แม้ความจริงแล้วจิตใจและร่างกายนั้นจะเปราะบางมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังพยายามไม่ย่อท้อ ลุกขึ้นสู้กับความกลัวในอดีตของตัวเอง ลุกขึ้นจะก้าวต่อไปข้างหน้า



ความมุ่งมั่นนี้มันช่างคล้ายคลึงกับเขาในอดีตเหลือเกิน แววตาที่มองตรงไปข้างหน้าดวงนั้น ดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่กล้าแข็ง มันทำให้ใจของเขาสั่นไหวทุกครั้ง หึ แก่จนป่านนี้พึ่งจะเข้าใจ ว่าอะไรที่เรียกว่าความรัก คำว่ารักที่เขาไม่เคยพบเจอจากผู้หญิงคนไหนมาก่อน เขากลับมอบมันให้เด็กคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเขามากเหลือเกิน แต่ถามว่าคู่ควรไหม เขาเต็มใจที่จะมอบให้เด็กคนนี้อย่างไม่ลังเล อยากรัก อยากดูแล อยากทะนุถนอม



คาลอสเคยบอกว่าเพราะเขาแก่แล้ว สัญชาติญาณของคนเป็นพ่อหรือเปล่าที่อยากมีลูกซักคน ไร้สาระ เขาจะไม่รู้เลยรึไงว่าความรู้สึกตอนนี้ของเขามันคืออะไร คำว่ารักที่คิดว่าจะไม่เคยเจอ กลับพบได้อย่างง่ายดายเพราะเทวดาน้อยคนนี้ เขาพร้อมจะแผ้วถางหนทางที่ยากลำบากให้เด็กน้อยอย่างเต็มใจ



คริสตินเกลียดใคร เขาก็เกลียด แต่จะเกลียดมากกว่าเป็นพันเท่า คริสตินอยากฆ่าใคร เขาจะจับมันมาทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่ามันจะร้องขออ้อนวอน คริสตินอยากได้อะไร เขาจะหามาให้ อยากทำอะไร เขาพร้อมช่วยเหลือ อย่างเช่นเรื่องของพวกคาโซ่ก็เช่นกัน เหตุผลแรกที่เขาช่วยเหลือคือหนึ่งพวกมันลอบกัดเขา ลอบยิงเขาจนเกือบตาย สอง พวกมันเป็นคนที่ทำให้คริสตินเจ็บปวด เขาจึงช่วยสะสางละเลงหนี้เลือดครั้งนี้ให้ แผนการแรกของเขาคือการทำให้พวกมันตกเป็นจำเลยสังคม ให้มันตกต่ำล่มจมจนร้อนรนขาดสติ



แต่เขาจะพลีพลามรีบร้อนไม่ได้ จะฆ่ามันให้ตาย ต้องกำจัดในครั้งเดียว แผนการต่อไปของเขากำลังเริ่มขึ้น นอกจากจะกำจัดพวกมันได้แล้ว ยังถือโอกาสลากหนอนบ่อนไส้ สุนัขเลี้ยงไม่เชื่องคิดลอบกัดเจ้านายออกมาด้วยเช่นกัน หึ กระหายอยากได้อำนาจ คิดแทนตนนั่งบัลลังก์แทนที่เขาอย่างนั้นรึ ฝันไปเถอะ อยากได้จนคิดเล่นไม่ซื่อ หวังมาลอบกำจัดเทวดาตัวน้อยจนได้รับบาดเจ็บ นี่คือโทษตายที่มันควรได้รับ พวกมันจะได้รู้ว่าการมาแหย่ซาตานเช่นเขาให้เกรี้ยวกราดน่ะ ผลลัพธ์สุดท้ายคืออะไร พวกมันจะได้ลิ้มรสชาตินี้กันถ้วนหน้า!!!!





“ไม่ ผมขอโทษครับ ขอโทษครับพี่ ฮึก ขอโทษ” น้ำเสียงทุกข์ทรมานของคริสตินดังขึ้นพร้อมกับมือเล็กที่ยกไขว้คว้าไปมาในอากาศ มือใหญ่กุมมือเล็กเอาไว้มั่นพร้อมทั้งล้มตัวลงนอนอยู่ข้างๆ ฉุดรั้งร่างของคริสตินเข้ามากอดแนบอก พร่ำจุมพิตปลอบประโลมไปทั่วใบหน้า ก่อนหยุดเนิ่นนานที่ริมฝีปากซีดเซียวแตกระแหงเพราะโดนพิษไข้เล่นงาน



“ไม่เป็นไรเด็กน้อย เธอไม่ต้องขอโทษใคร อย่าคิดอะไรเลย พักเถอะ” เสียงทุ้มของดราโกกระซิบอยู่ข้างหูของคริสตินแผ่วเบา เอ่ยบอกซ้ำไปซ้ำมาและกระชับอ้อมกอดจนใบหน้าแดงก่ำซุกซบอยู่ตรงลำคอหนาของดราโก เขาโยกกล่อมร่างเล็กๆ ของเด็กหนุ่มไปเรื่อยๆ จนอาการทุรนทุรายของคริสตินสงบลง ลมหายใจร้อนผ่าวของเด็กน้อยเริ่มสงบมากขึ้น เพียงไม่นานเทวดาตัวน้อยของเขาก็หลับลึกและนอนอย่างสงบนิ่ง



ดวงตาสีทองอ่อนโยนมากขึ้นเมื่อได้เฝ้ามองคริสตินไม่ห่าง จะปกป้อง จะดูแล จะกำจัดใครก็ตามที่คิดร้ายต่อเด็กคนนี้ให้พ้นทาง จะคอยประคอง จะคอยอยู่ข้างๆ เผื่อว่าซักวันเทวดาตัวน้อยของเขาจะสามารถยิ้มออกมาได้อีกครั้ง รอยยิ้มของคริสติน ต้องเป็นรอยยิ้มที่งดงามมากที่สุดแน่นอน



“หลับเถอะ เทวดาน้อยของฉัน”





ในคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในกรุงโรม วันนี้มีการนัดหมายประชุมด้วยเรื่องเร่งด่วนและน่าหนักใจ การประชุมวันนี้เรียกผู้บริหารระดับสูงมาจนหมด มีทั้งสิ้น 15 ชีวิต ซึ่งใบหน้าของผู้บริหารแต่ละคนที่นั่งอยู่ ณ ห้องประชุมแห่งนี้ต่างมีสีหน้าที่คล้ายๆ กัน นั่นคือเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยและเป็นกังวล พวกเขากำลังหนักใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับแฟมิลี่ของพวกเขา การโจมตีในโลกโซเชี่ยลนั้นรุนแรง ความน่าเชื่อถือของพวกเขาเข้าขั้นติดลบ ไม่รู้ว่าแฮคเกอร์คนไหนนำข้อมูลของพวกเขาไปปล่อยลงบนโลกอินเตอร์เน็ต



ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นมันทำให้พวกเขาหนาวเยือกไปถึงขั้วหัวใจ เพราะใครบางคนสืบลึกลงมาถึงข้อมูลลับที่พวกเขาเก็บไว้อย่างดี เครือข่ายทั้งหมดของคาโซ่ถูกเอามาตีแผ่ประจานแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างกว้างขวาง แม้ว่าพวกเขาจะไหวตัวทัน แต่ข้อมูลบางส่วนก็หลุดรอดออกไปและเปิดเผยสู่สายตาของชาวโลกจนหมดแล้ว สื่อทุกสำนักประโคมข่าวเรื่องนี้มาตลอดสัปดาห์ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่พวกเขาซื้อตัวไว้ก็ไม่สามารถจะออกมาปกป้องและช่วยเหลือพวกเขาได้อีก



ตอนนี้ประชาชนก็มารณรงค์ให้พวกเขาออกมารับผิด กดดันทั้งตำรวจ ทั้งรัฐบาลให้รีบเร่งดำเนินการให้จับกุมพวกเขาให้เร็วที่สุด จากตอนแรกที่พวกตำรวจและรัฐบาลยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะอำนาจของเม็ดเงินที่พวกเขาได้หว่านไปจำนวนมาก เป็นใบเบิกทางในการซื้อขายและทำให้ธุรกิจของพวกเขาไร้อุปสรรค แต่จากนี้เราจะทำอย่างไรต่อไปดี



“เริ่มประชุมได้แล้ว” ดอนแห่งคาโซ่เอ่ยขึ้นเมื่อเก้าอี้ประจำตำแหน่งของผู้บริหารในแฟมิลี่นั่งครบกันเรียบร้อย



“ตอนนี้สถานการณ์ของเราน่าเป็นห่วง เจ้าพวกรัฐบาลมันตัดสินใจลอยแพพวกเราแล้ว” ชายในชดสูทสีเทามีใบหน้าซูบผอมเอ่ยขึ้น



โครม



“งั้นเราก็ประจานพวกมันไปด้วยเลย คิดจะทำตัวสูงส่งไร้มลทินรึไง เหอะ ไอ้พวกปลิ้นปล้อน” ชายร่างใหญ่คนหนึ่งท่าทางเกรี้ยวกราดทุบโต๊ะเสียงสนั่น



“ใช่ๆ พวกนักการเมืองพวกนั้นทำเป็นลอยตัวเหนือปัญหา ทั้งๆ ที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของเราแท้ๆ” หนึ่งในผู้บริหารอีกคนพูดขึ้นมาบ้าง



“อย่าโง่ไปหน่อยเลย ถ้าเราโจมตีรัฐบาลกลับไปบ้างพวกมันคงรีบแว้งกัดพวกเราทันที ตอนนี้มันยังเห็นแก่หน้าพวกเราอยู่บ้างเลยปล่อยปัญหานี้ให้เราจัดการกันเอง”



“ใช่ ถ้าเราแฉพวกมัน หึ อีกวันพวกเราคงโดนจับเข้าซังเตกันหมด”



“ถ้าตอนนี้เราล้มขึ้นมา ไอ้พวกแฟมิลี่อื่นได้เเข้ามารุมทึ้งแย่งเขตปกครองกันให้วุ่นแน่นอน” เสียงพูดคุยของเหล่าผู้บริหารนั้นดังมากขึ้นเร่ือยๆ พวกเขาต่างปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นกันยกใหญ่ ดอนแห่งคาโซ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาดุดันกวาดมองไปรอบๆ อย่างสงบ เลขาส่วนตัวที่นั่งอยู่ด้านขวามือก็นั่งรอคอยคำสั่งจากผู้เป็นนายเช่นเดียวกัน



“เงียบ” เพียงแค่คำพูดสั้นๆ คำเดียวของวีเนซิโอ คาโซ่ ทำให้ผู้บริหารที่กำลังนั่งถกเถียงกันอยู่นั้นเงียบกริบในทันที “อย่าพึ่งเถียงอะไรไร้สาระ เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังแน่นอน เราต้องสืบหาต้นตอของพวกที่ต้องการเล่นงานเราก่อน”



“อาจจะเป็นฝีมือของแฟมิลี่อื่นที่ต้องการกำจัดเราก็ได้นะครับ” เลขาของดอนแห่งคาโซ่เอ่ยขึ้นเช่นกัน



“มาร์ติน สมิธรึเปล่า เจ้าคนนี้ที่เคยหาเรื่องเราเมื่อตอนนั้นไง” ชายร่างใหญ่ที่ทำเสียงดังโครมครามเมื่อครู่พูดขึ้น ชื่อที่พวกเขาเกือบลืมไปแล้วย้อนกลับมาอีกครั้ง



“ไม่ใช่ว่าเราฆ่ามันไปแล้วรึไง จับมันได้คาหนังคาเขาขนาดนั้น ทั้งแลปท็อปทั้งข้อมูลที่ห้องเช่าของมัน ป่านนี้มันคงไปทัวร์นรกสนุกสนานแล้วล่ะ” ชายอีกคนหนึ่งแย้งขึ้นมา



“ใช่ครับ เราตามสืบจนพบมาร์ติน สมิธที่ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ในแลปท็อปนั้นเราพบข้อมูลที่เขาแฮคจากเราด้วยครับ และมีบางส่วนของแฟมิลี่อื่นๆ เช่นเดียวกัน เป้าหมายของผู้ชายคนนี้คงเป็นมาเฟียอิตาลีเกือบทั้งหมด เพราะเขารวบรวมรายชื่อแฟมิลี่ที่มีการค้ามนุษย์ อาวุธ และยาเสพติด” เลขาของคาโซ่เปิดเอกสารที่เขาเตรียมไว้และแจกจ่ายให้กับผู้บริหารทุกคน



“เหอะ ไอ้เจ้านี่สุดท้ายก็ตายไปแล้ว จะมาพูดชื่อมันอีกทำไม”



“หรือว่ามันคือคนที่เอาข้อมูลของเราไปเผยแพร่ใช่ไหม”



“ไอ้ลูกหมาชั้นต่ำ!!!!”



“หึ น่าจะทรมานมันมากกว่านี้นะ ให้มันตายสบายไปรึเปล่า”



เสียงก่นด่าดังขึ้นไปทั่วห้อง ต่างสาปแช่งมาร์ติน สมิธกันถ้วนหน้า ถ้อยคำหยาบคายมากมายพรั่งพรูออกมาไม่มีที่สิ้นสุด ยัง ยังไม่สาแก่ใจกับสิ่งที่มันทำเลยซักนิด



“เราใช้ประโยชน์จากมันเพื่อแก้สถานการณ์ได้” เสียงทุ้มต่ำของวีเนซิโอเอ่ยขึ้น ทำให้ทุกคนในห้องประชุมเงียบเสียงลงเพื่อฟังแผนการของดอนแห่งคาโซ่ “ตอนนี้ฐานอำนาจของเราสั่นคลอนเพราะผู้สนับสนุนของเราไม่ยอมช่วยเหลือเราอีกต่อไป แต่เราต้องหาพันธมิตรใหม่เพื่อขอความร่วมมือ”



“พันธมิตรใหม่หรือครับ?” หนึ่งในผู้บริหารถามขึ้น ทุกคนต่างตั้งอกตั้งใจฟังแผนการที่เวนีซิโอจะเอ่ยออกมา แต่ดอนแห่งคาโซ่กลับโยนเรื่องนี้ให้กับเลขาเป็นผู้อธิบาย



“เรามีหลักฐานในเรื่องของมาร์ติน สมิธที่แฮคข้อมูลของแฟมิลี่อื่น เราจะทำเรื่องนี้ให้เป็นประเด็นเพื่อกล่อมให้พวกเขามาเข้าร่วมประชุมระหว่างแฟมิลี่ พร้อมกับขอความช่วยเหลือเพื่อให้พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามของมาร์ติน สมิธ เพื่อที่จะร่วมมือกับเราและสนับสนุนในการตามล่าตัวผู้ชายคนนี้ร่วมกัน”



“แต่มันตายไปแล้วนี่”



“ใช่ครับ ตายไปแล้ว แต่แฟมิลี่อื่นไม่รู้นี่ครับ” เลขาหนุ่มกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าแฟมิลี่อื่นรับรู้ถึงอันตราย พวกเขาจะร่วมมือกับเรา ทีนี้เราจะมีคนสนับสนุนและไม่ต้องระแวงเรื่องเขตปกครองชั่วคราว อีกอย่างพวกรัฐบาลจะเริ่มดิ้นพร่านและยอมเข้ามาเจรจาช่วยเหลือเราอีกครั้ง เพราะพวกเขากลัวว่าถ้าแฟมิลี่ทั้งหมดเป็นพันธมิตรกัน รัฐบาลจะต้องเดือดร้อนแน่นอน อีกอย่างข้อมูลที่หลุดออกมานั้นเราไม่รู้ว่าเป็นเพราะมาร์ติน สมิธ หรือยังมีพรรคพวกของเขาเหลืออยู่อีกรึเปล่า ดังนั้นเราจะใช้ประโยชน์ตรงจุดนี้ให้แฟมิลี่อื่นร่วมมือกับเราและตามล่าคนๆ นั้นแทน”



“อย่างนี้นี่เอง น่าสนใจดีนี่” ผู้บริหารของคาโซ่ทั้งหมดต่างยอมรับในแผนการนี้ และปรึกษาเพื่อวางแผนการให้รัดกุมอีกครั้ง





ภายในห้องนอนของคริสตินนั้น มีร่างสูงใหญ่ของดอนแห่งคอลิโอเน่นั่งพิงหัวเตียงอยู่เงียบๆ ภายในห้องนั้นมีเพียงแสงไฟสีส้มจากโคมไฟเล็กตรงหัวเตียงนอนเท่านั้นที่เปิดอยู่ แม้เวลาในตอนนี้จะเลยเที่ยงคืนไปแล้วก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หลับใหล ดวงตาของดราโกมองไปที่เทวดาตัวน้อยของเขาที่ยังคงหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ มือหนาของเขาเกี่ยวกระหวัดเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มเล่นไปเรื่อยๆ อย่างเพลินมือ



คริสตินนอนตะแคงข้างหันหน้ามาซบอยู่ตรงช่วงเอวของเขาโดยไม่รู้ตัว เหมือนกำลังซบหาไออุ่นจากร่างกายของเขาอย่างน่าเอ็นดู เขาจ้องมองเด็กน้อยของเขาไม่รู้เบื่อ รอคอยเวลาอยู่เงียบๆ อย่างใจเย็น จนกระทั่งเสียงข้อความจากเมสเสจดังขึ้น มือข้างที่ว่างจึงเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้ใกล้ๆ โคมไฟ เพื่อเปิดอ่านข้อความ



‘ตามแผน’



ข้อความสั้นๆ ถูกส่งมาจากบุคคลปริศนาที่เขารู้จักเป็นอย่างดี เพียงแต่ไม่ได้เมมเบอร์โทรและชื่อเอาไว้ในเครื่องเพื่อป้องกันความปลอดภัย



“หึ” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นจากในลำคอ รอยยิ้มของดราโกกระตุกยิ้มเหยียดออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง ดวงตาสีทองของชายหนุ่มนั้นวาวโรจน์เปล่งประกายเยือกเย็น รอคอย และเฝ้ามองคนเหล่านั้นวิ่งเต้นอยู่บนฝ่ามือของเขามันช่างน่าสนุก วิ่งเข้าไปเถอะ ดิ้นรนกันเข้าไป สุดท้ายพวกมันก็ได้แต่วิ่งไปตามการชักนำของเขาแค่นั้นเอง



หวังว่าละครที่พวกแกแสดงให้ดู จะช่วยให้ฉันสนุกขึ้นมาได้บ้างนะ วีเนซิโอ





............................................



สวัสดีค่ะ ไรท์นำตอนใหม่มาเสิร์ฟให้แล้วนะคะ ช่วงนี้จะได้เห็นความเท่ของลุงมากขึ้นเรื่อยๆ และความในใจของลุงที่มีต่อน้องอย่างชัดเจน ลุงแก่แล้วค่ะ ไม่มาเวิ่นเว้ออะไรมากมายเพราะเดี๋ยวไม่ทันกิน แค่กๆๆ คุกๆๆ 5555 ส่วนน้องอีกนานค่ะ ไม่รู้ใจตัวเองง่ายๆแน่นอน เรื่องของตัวเองยังเอาตัวไม่ค่อยรอด คงไม่มีเวลามาสำรวจความรู้สึกของตัวเองเร็วๆนี้แน่เลยค่ะ T^T


ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาติดตามและเอาใจช่วยน้องกับลุงนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่า









หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 16 เริ่มต้นแผนการ (31.08.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 31-08-2018 16:11:32
บทที่ 16 เริ่มต้นแผนการ


ย้อนกลับไปที่โกดังร้างแถบชานเมือง บรรยากาศภายนอกยังคงเหมือนเดิมเฉกเช่นวันวาน แม้จะถูกทิ้งร้างเพราะช่วงเศรษฐิกิจถดถอยตั้งแต่หลายปีก่อน แต่คงมีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างไป นั่นคือภายในโกดังร้างแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหมัดกระทบเนื้อ เสียงโครมครามและเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดมาตลอดระยะเวลาสามวันที่ผ่านมา



ดวงตาสีฟ้าของจาคอปจับจ้องทุกการกระทำของลูกน้องในทีมด้วยแววตาเรียบเฉย ชายหนุ่มร่างสูงยืนพิงเสาและมองสไนเปอร์คนนั้นอย่างเบื่อหน่าย ดอนแห่งคอลิโอเน่มีคำสั่ง มอบความทรมานให้มันก่อนที่ความตายจะมาเยือน สไนเปอร์คนนั้นโดนพวกเขาซ้อมมาตลอดระยะเวลาสามวันที่ผ่านมา พอสลบก็จัดการปลุกให้ตื่น ซ้อมไปเรื่อยๆ ทรมานไปเรื่อยๆ พอสลบอีกครั้งก็ทำให้ฟื้นขึ้นมา วนเวียนอยู่แบบนี้จนร่างกายของสไนเปอร์หนุ่มทรุดโทรมและไร้เรี่ยวแรงเต็มที



ลมหายใจของสไนเปอร์หนุ่มขาดห้วง ความเจ็บลุกลามไปทั่วทั้งร่างจนไม่อาจขยับเขยื้อน แค่ขยับนิ้วเท่านั้น ร่างกายก็เหมือนพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ หน้าตาบวมช้ำ เลือดกลบปากและฟันหลุดร่วง กระดูกแขนทั้งสองข้างหักจนใช้การไม่ได้ แม้กระทั่งดวงตาก็พร่าเบลอจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้อีก นรกขุมนี้ยาวนานจนเขาอยากจะวิงวอนและขอร้องให้เขาจากโลกนี้ไปเสียที นรกที่แผดเผาและทรมานจนเขาอยากจะตายไปให้พ้นๆ แต่พวกมันไม่ยินยอม



ข้อมูลทุกอย่างถูกนำมาแลกเปลี่ยน เพราะรักชีวิตจึงต้องหักหลังนายจ้าง ปล่อยข้อมูล หลักฐานการจ้างวาน และอื่นๆ อีกมากมาย ยกให้ไปจนหมด แต่พวกเขาก็ยังไม่คิดจะปราณี ก่อนที่นรกขุมนี้จะเริ่มต้นขึ้น เขาจำได้ว่าเงาสูงใหญ่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าประตูโกดังเมื่อวันนั้นช่างน่าเกรงกลัว และสร้างความหวาดหวั่นให้เขา ดวงตาสีทองคู่นั้นวาวโรจน์และแทบแผดเผาเขาจนทั่วทั้งร่างแข็งเกร็งและหายใจแทบไม่ออก เสียงกระซิบทุ้มต่ำของดอนแห่งคอลิโอเน่เยือกเย็นแต่เขาก็รู้ว่ามันเต็มไปด้วยโทสะที่ต้องการระบายออกมา



“นาย แตะ ต้อง เทวดาของฉัน” แค่ประโยคนี้ของดราโก คอลิโอเน่ เขาก็เข้าใจในทันที ว่าเขาได้กระทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยลงไป แตะต้องคนที่ไม่ควรแตะต้อง ท้าทายอำนาจและความกราดเกรี้ยวของซาตานตนนี้เข้าอย่างจัง อำนาจในมือของดราโก คอลิโอเน่มีมากมายมหาศาล ไม่แปลกที่จะมีคนคิดล้มอำนาจและขึ้นมาแทนที แต่ไม่ควร ไม่ควรท้าทายผู้ชายคนนี้เลยซักนิด



ชื่อที่เขามอบให้ไปคงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแฟมิลี่อย่างดุเดือด แต่เขาเชื่อว่าคงจะกำจัดผู้ชายคนนั้นไม่ได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน หึ เทวดากับซาตานอย่างนั้นหรือ ซาตานที่คอยปกป้องเทวดา เป็นความความมืดมิดและเงามืดของโลกใบนี้ คอยโอบกอดเทวดาน้อยอย่างหวงแหนอย่างนั้นรึ ใครว่าการมีเด็กคนนั้นทำให้ดราโก คอลิโอเน่อ่อนแอลงจนไม่สมควรกับบัลลังก์ของดอน เท่าที่ตาเขาเห็น เขาสัมผัส และรับรู้ด้วยตนเอง เพราะมีสิ่งที่ให้ปกป้อง เลยแข็งแกร่งและโหดเหี้ยมมากกว่าเดิมเสียอีก



พลั่ก



หมัดหนักๆ ดึงสติของเขากลับมาอีกครั้ง กำปั้นแกร่งของพวกเขายังคงต่อยลงมาบนร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขาไม่รู้สึกเจ็บใดใดอีกแล้ว ร่างกายเปลี่ยนเป็นชาหนึบและไร้ความรู้สึก ความตายของเขาใกล้เข้ามาทุกขณะ จนกระทั่งบัดนี้เขาก็ไม่เกรงกลัวความตายอีกต่อไป กลับเฝ้ารอและอ้อนวอนเสียด้วยซ้ำ



“เฮ้ย!!!! ตื่นขึ้นมา!!!!” เสียงลูกน้องตะโกนดังลั่น มือกระชากคอเสื้อที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดอย่างแรง จนร่างอ่อนแรงของสไนเปอร์คนนั้นถลาเข้ามา ใบหน้าใต้หนวดเครานั้นมีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ ของสไนเปอร์หนุ่มเท่านั้นที่ยังประดับอยู่



“ปล่อยไป” มือขวาของดอนแห่งคอลิโอเน่เดินเข้ามาใกล้ ยินยอมให้สไนเปอร์คนนั้นได้เดินทางไปสู่ความตาย รอยยิ้มสุดท้ายของเจ้าตัวคงเป็นรอยยิ้มสมใจที่ในที่สุดเขาก็จะได้จากนรกขุมนี้ไปเสียที “ให้มันไป พอแค่นี้แหละ”



“ครับ” ลูกน้องหลายสิบชีวิตรับคำสั่ง



“เก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อย” จาคอปยืดตัวเต็มคำสูง เดินไปสำรวจความเรียบร้อยในตอนที่ลูกน้องเก็บกวาดอย่างรอบคอบ และโทรศัพท์หาคาลอสในทันที ชายหนุ่มรอสายเพียงไม่นาน มือซ้ายของแฟมิลี่ก็รับโทรศัพท์



“ไง เรียบร้อยแล้วเหรอ” คาลอสถามทักทายเป็นประโยคแรก



“ใช่ ฝากแจ้งข่าวให้ดอนด้วยนะ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าออกจากโกดังร้าง “พรุ่งนี้ฉันถึงจะกลับเข้าไป จะเอาเจ้าสไนเปอร์คนนี้ไปถ่วงทะเลให้ไอ้หลามมันแทะเล่นก่อน”



“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันแจ้งดอนให้”



“แล้วคริสตินเป็นยังไงบ้างล่ะ ดีขึ้นบ้างไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง เพราะเขาเห็นว่าคริสตินยังเป็นแค่เด็กตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย จู่ๆ มาโดนยิงแบบนี้ กว่าจะหายคงอีกนาน



“ก็ดีขึ้น แต่ไข้ยังไม่ลดเลย” ชายหนุ่มขยับแว่นให้เข้าที่ ดวงตาใต้กรอบแว่นสี่เหลี่ยมแอบมองไปทางประตูห้องนอนของคริสตินเล็กน้อย นอกจากเจ้าตัวจะไข้ไม่ลดแล้ว ดอนก็ไม่ยอมออกมาทำงานเช่นเดียวกัน สั่งห้ามใครรบกวน ห้ามให้ใครเข้าไปยกเว้นคุณหมอคนใหม่และแองเจริน่าเท่านั้น แม้แต่เขาจะเข้าไปรายงานยังต้องส่งไปทางโทรศัพท์ ดูท่าว่าอาการของดอนจะหนักกว่าเด็กหนุ่มซะอีก



“งั้นเหรอ โอเค งั้นฉันไปล่ะนะ ฝากดอนกับคริสตินด้วยนะ” คาลอสเอ่ยลาและวางสายไป เขาหมุนตัวกลับมาสั่งการลูกน้องสองสามอย่าง ก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายกันขึ้นรถ Jeep Wrangler Rubicon คันสีดำสนิท โดยคันสุดท้ายนั้นบอร์ดี้การ์ดสองคนยกถุงที่ใส่ศพของสไนเปอร์คนนั้นขึ้นมาโยนไว้ที่เก็บของหลังท้ายรถ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พวกเขาก็ขับรถมุ่งหน้าออกไปนอกเมือง เพื่อกำจัดหลักฐานทันที







ทางด้านคาลอสหลังจากวางสายจากจาคอปไปแล้ว เขานั้นก็กำลังว้าวุ่นเพราะไม่สามารถจะเข้าไปหาดอนถึงภายในห้องนอนของคริสตินได้ และไม่สามารถเข้าไปรบกวนเวลาพักผ่อนของพวกเขาทั้งคู่ได้เลยจริงๆ เพราะตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ ดอนก็ทิ้งงานทุกอย่างให้เขารับผิดชอบและจัดการดูแลความเรียบร้อยทั้งหมด อดหลับอดนอนจนกลายเป็นผีดิบ ใต้ตาลึกโบ๋ และดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้าของประเทศจีน



วันๆ ดอนก็จะหมกตัวอยู่แต่ในห้อง คอยดูแลคริสติน ป้อนข้าวให้คริสติน พาคริสตินไปอาบน้ำ ดูแลไม่เคยขาด คิดดูซิ เขาไม่เคยเห็นดอนเป็นแบบนี้เลยซักครั้ง แล้วใครจะไปเชื่อล่ะว่าดอนจะรักคริสตินไปในทางชู้สาว ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนพ่อกับลูกมากกว่า แต่ถ้าเขาพูดออกไปเหมือนครั้งที่แล้ว เขาก็คงจะโดนหักเงินเดือนไปอีกเดือนแน่เลย เฮ้อ โคแก่กินหญ้าอ่อนชัดๆ



คาลอสถึงแม้จะบ่นดอนแห่งคอลิโอเน่แค่ไหน แต่ขณะนี้แม้เวลาจะล่วงเลยไปจนถึงกลางดึกของวันที่สี่แล้วก็ตาม เขาก็ยังคงมุ่งมั่นในการเคลียร์งานที่กองสุมอยู่อย่างไม่ย่อท้อ จนกระทั่งหนึ่งในลูกน้องของเขาเคาะประตูและเดินเข้ามามอบซองเอกสารสีน้ำตาลอ่อนให้เขา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปรับด้วยความสงสัย ทำไมเอกสารถึงถูกส่งมาดึกดื่นค่อนคืนขนาดนี้ แต่เมื่อเขาพลิกไปอีกด้าน ก็พบกับตราประทับของคาโซ่ แฟมิลี่ ร่างสูงของคาลอสผุดลุกขึ้นยืนในทันที ใบหน้าใต้กรอบแว่นของเขาดูเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ เขาคว้าแฟ้มและเอกสารบางส่วนขึ้นมา ก่อนจะรีบร้อนเดินออกจากห้องทำงานของตัวเองไป



เสียงเคาะประตูห้องนอนของคริสตินดังขึ้นกลางดึก ดวงตาสีทองของดราโกลืมตาตื่นขึ้นในทันที ภายในแววตาไร้ความง่วงงุนและเปล่งประกายจ้าคล้ายกำลังรอคอยเสียงนี้อยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงค่อยๆ ปล่อยร่างเล็กที่เขากักตัวไว้ในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา แต่เพราะไออุ่นของร่างกายจู่ๆ ก็หายไป ทำให้เทวดาตัวน้อยของเขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจและเอื้อมมือมาไขว้คว้าและกอดตัวเขาไว้เช่นเดิม



เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังอยู่ในลำคอกับท่าทางน่ารักและขี้เซาของเด็กน้อย แต่เขาจำเป็นต้องไปเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องด่วนที่คาลอสคงรีบร้อนมารายงานเขา ดราโกปลดมือเล็กที่กอดเขาไว้อีกครั้ง และนำหมอนข้างมาแทนที่ตัวเขาเอง เด็กน้อยดูไม่พอใจ แต่ก็ยินยอมกอดก่ายหมอนข้างใบนุ่มแทน ชายหนุ่มจัดการห่มผ้าให้คริสตินอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกห้องอย่างแผ่วเบา



เมื่อเขาเปิดประตูออกมาก็พบคาลอสที่ยืนทำหน้าง่วงงุนพร้อมกับหอบแฟ้มเอกสารไว้เต็มไม้เต็มมือ ใบหน้าหล่อเหลาใต้กรอบแว่นดูอิดโรย แต่กระนั้นเขาก็ยังเห็นแววตาสนุกสนานและสมใจบางอย่างที่ปรากฏอยู่บางเบา ดราโกเดินนำคาลอสไปยังห้องทำงานที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เมื่อเขานั่งตรงโซฟาเรียบร้อยแล้ว มือซ้ายของแฟมิลี่ก็ทรุดตัวนั่งตรงข้ามพร้อมกับยื่นเอกสารที่มีตราประทับของคาโซ่แฟมิลี่มาให้เขา



“หึ ส่งมาแล้วเหรอ” ดราโกกระตุกยิ้ม มองเอกสารในมือด้วยแววตาสนุกสนานเช่นเดียวกับคาลอส



“ครับ พึ่งมาถึงเมื่อซักครู่” คาลอสตอบ



ดราโกเปิดซองเอกสารนั้นและอ่านรายละเอียดในทันที เอกสารเพียงสองสามแผ่นแต่เป็นกำหนดการการนัดหมายประชุมของแฟมิลี่ทั่วอิตาลี เป็นเอกสารแจ้งเตือนภัยคุกคามและขอความร่วมมืออย่างนั้นเหรอ หึ



“เร็วเหมือนกันนะ” ดราโกส่งยิ้มเย้ยหยันและดูแคลนให้กับแผนการของคาโซ่



“ใช่ครับ คงร้อนรนจนแทบจะทำอะไรไม่ถูกกันแล้ว” คาลอสพูด



“เอาเถอะ ตอบตกลงกลับไปก็แล้วกัน แต่ไม่ต้องรีบส่ง ปล่อยให้พวกมันร้อนใจกันไปก่อน อีกซักสองสามวันเราค่อยตอบกลับไปก็ยังไม่สาย” มือหนาที่ถือเอกสารไว้นั้นวางทิ้งไว้กลางโต๊ะอย่างไม่ใยดี



“ครับ แล้วหลังจากนี้ดอนจะทำยังไงต่อครับ” คาลอสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แผนการคร่าวๆ พวกเขาได้วางเอาไว้แล้ว แต่รายละเอียดและคนที่จะมาเข้าร่วมแผนการนั้นยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากที่ต้องเตรียมการ



“ตามอัลเบอร์โตมา” ดราโกพูดขึ้น อัลเบอร์โต แฟมิลี่ คือหนึ่งในแฟมิลี่ที่เป็นพันธมิตรกับคอลิโอเน่มาเนิ่นนาน ผู้นำทุกรุ่นของทั้งสองแฟมิลี่จะปฏิญาณเพื่อคงความสัมพันธ์นี้ไว้ พวกเขาจะคอยเกื้อหนุน สนับสนุน และพร้อมช่วยเหลือเมื่ออีกฝ่ายต้องการ แต่ความสัมพันธ์นี้ถูกเก็บเป็นความลับเฉพาะกลุ่มผู้บริหารระดับสูงและผู้นำเท่านั้น



“จะนัดหมายดอนอัลเบอร์โตเมื่อไหร่ดีครับ” สมุดนัดหมายของคาลอสถูกยกขึ้นมาเพื่อเตรียมจดกำหนดการให้กับดราโก



“อีกสองสามวันฉันจะเข้าไปพบ แผนการนี้คงต้องมีพวกเขาร่วมมือด้วย” ดวงตาสีทองของดราโกเต็มไปด้วยความรื่นรมย์สนุกสนาน แผนการที่ถูกวางไว้นั้นจะเป็นเหยื่อล่อชั้นดีให้พวกมันตกหลุมพลาง หลอกล่อและจัดการพวกมันให้ตายไปทีละนิด รู้ตัวอีกทีก็พบว่าประตูนรกมาทักทายอยู่ตรงเบื้องหน้าของพวกมันแล้ว



“ครับ เดี๋ยวผมจะจัดการนัดหมายให้ครับ” คาลอสเอ่ยพร้อมยกยิ้ม พวกเขาสบตากันและหัวเราะออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะของคนทั้งสองช่างประสานกันลงตัวอย่างน่าประหลาด เพราะมันชวนให้บรรยากาศยามดึกสงัดในเวลานี้วังเวงมากขึ้นเลยทีเดียว







หลังจากผมนอนซมเพราะพิษบาดแผลเล่นงาน เวลาก็ก็ผ่านไปห้าวันแล้วครับ วันนี้ผมก็ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเขาเช่นเดิม มันเหมือนกลายเป็นชีวิตประจำวันของผมไปแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนนอนผมก็นอนซุกอยู่ในผ้าห่มของผมเหมือนปกติ แต่พอตื่นขึ้นมาทีไร ท่านอนของผมจะต้องแปลกประหลาดเสมอ ไม่กอดเขา ก็ซบอกเขา หรือบางทีผมก็นอนทับเขา โดยใช้ร่างกายของดราโกต่างที่นอน



ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมเขาถึงต้องมานอนกับผมด้วย เขาก็มีห้องนอนของเขา ซึ่งตั้งแต่วันแรกที่ผมมาอยู่ที่นี่ผมก็ได้แต่ใช้ห้องนอนร่วมกับเขาเท่านั้น แต่พอห้องของดราโกโดนสไนเปอร์ยิงเข้ามา ผมก็ได้มานอนห้องรับแขกที่ควรจะเป็นห้องของผมตั้งนานแล้วครับ แต่ก็ไม่วาย ชายหนุ่มร่างสูงก็ตามมานอนกับผมเช่นเดียวกัน ผมวิเคราะห์ได้ว่ากรณีของดราโก เขาต้องเป็นคนที่นอนคนเดียวไม่ได้แน่เลยครับ อาจจะกลัวความมืดหรือเป็นปมบางอย่างในใจ



บางครั้งพอผมตื่นขึ้นมาในบางวัน เขาก็จะมีสีหน้าประหลาด เหมือนดราโกกำลังอดกลั้นหรืออดทนอะไรบางอย่างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก พอผมใช้ดวงตาของผมจ้องมองชายหนุ่มนิ่งๆ เขาก็ทอดถอนหายใจเหมือนคนที่กำลังปล่อยวาง แต่บางครั้งเขาก็ไม่คิดจะอดทนใดใดทั้งสิ้น จู่ๆ ก็กักผมไว้ในอ้อมแขนของเขา ก้มลงขบกัดริมฝีปากของผมเหมือนเป็นขนมหวาน แต่ปล่อยให้เขาจูบผมจนพอใจไปซักพัก เดี๋ยวเขาก็ปล่อยผมเองครับ



สำหรับเช้าวันนี้ดราโกเป็นแบบแรกครับ เขาจ้องผมนิ่งๆ ผมก็นอนสบตาเขาเงียบๆ เช่นเดียวกัน ตอนนี้อาการของผมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แผลไม่อักเสบ ไข้ลดลง แต่ก็ยังอ่อนเพลียไม่มีแรงเหมือนเดิม อาจจะต้องรออีกสองสามวันผมถึงจะหายดี ความจริงแล้วผมค่อนข้างเบื่อที่จะต้องนอนอุดอู้อยู่แต่ในห้อง แต่เพื่อให้สุขภาพของผมแข็งแรงให้เร็วที่สุด ผมจึงคิดว่าควรนอนพักผ่อนอีกซักนิด



ในเมื่อดราโกอยากมอง ก็ปล่อยให้เขามองจนกว่าจะพอใจ ส่วนผมก็ขยับเปลี่ยนท่าเล็กน้อย และก้มไปซุกอยู่ตรงหน้าอกของเขาเหมือนเดิม ผมว่าจะหลับอีกซักงีบหนึ่งครับ ตื่นมาคงได้เวลาอาหารเช้าพอดี ผมขยับยุกยิกเล็กน้อยเพื่อหามุมและท่าที่สบายที่สุด จนกระทั่งแขนแกร่งของชายหนุ่มวาดมารั้งแผ่นหลังผมให้มาแนบชิดมากขึ้น และใบหน้าของผมก็เปลี่ยนมาซบตรงไหล่ใกล้ซอกคอของเขา อ๊ะ สบายจังเลย ผมหลับแล้วนะครับ



“ขี้เซาจังเลยนะ” น้ำเสียงทุ้มติดแหบพร่าเล็กน้อยของดราโกก้มมากระซิบอยู่ข้างใบหูของผม



“ขอผมหลับต่ออีกซักครู่นะครับ” ผมหลับตาและตอบเขากลับไปเบาๆ



“วันนี้ดีขึ้นบ้างไหม” ดราโกถามต่อ ฝ่ามือใหญ่ของเขาที่ทาบทับแผ่นหลังองผมนั้นเริ่มไม่อยู่นิ่ง ชายหนุ่มลูบหลังผมเบาๆ เหมือนกำลังกล่อม แต่ผมคิดว่ามันมีบางอย่างไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นัก เพราะผมรู้สึกถึงไออุ่นจากผิวเนื้อของเขาที่แตะอยู่ตรงแผ่นหลังของผม มือของเขามุดลงมาใต้เสื้อของผมตอนไหนก็ไม่รู้ครับ เร็วจริงๆ



“ดีขึ้นมากเลยครับ แต่ผมยังเพลียอยู่เลย เหมือนไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่”



“งั้นหรือ น่าเสียดายจริงๆ วันนี้ฉันว่าจะพาเธอออกไปข้างนอกซักหน่อย” เสียงของดอนแห่งคอลิโอเน่เต็มไปด้วยความเสียดายที่ผมรู้สึกว่าเขาจงใจแกล้งทำ แต่ผมก็ยอมตกหลุมพลางเขานะครับ ดวงตากลมสีน้ำตาของผมลืมตาขึ้นมาทันที และเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อมองชายหนุ่มที่ยังโอบกอดผมเอาไว้แน่น



“จริงหรือครับ” ผมดีใจนะครับ ต่อให้ผมจะไม่มีเรี่ยวแรงมากเท่าไหร่ แต่การได้ออกไปข้างนอกบ้านบ้างมันก็ทำให้ผมกระตือรือร้นขึ้นมา เพราะผมใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องนอนมาหลายวัน มันเลยทำให้ผมเริ่มเบื่อ ไม่ได้ออกไปหาแองเจริน่า ไม่ได้ออกไปหามาร์ค วันๆ ผมได้แต่กินและนอน คอมพิวเตอร์ของผมก็เล่นไม่ได้ ยังดีที่มีจอห์นมาทำแผลให้ผมบ่อยๆ เลยได้นั่งคุยและถามไถ่เรื่องราวจากเขามาบ้าง



อ๊ะ จริงด้วยครับ ดราโกรู้แล้วนะครับว่าผมหยิบคอมออกมาจากบ้านของมาร์คแล้วครับ ตอนนั้นผมหวั่นๆ ว่าเขาจะโมโหและยึดคอมผมกลับไปเหมือนเดิม แต่เขาแค่มองผมนิ่งๆ และเอ่ยห้ามผมเล่นจนกว่าผมจะหายดีเท่านั้น ซึ่งผมคิดว่าความใจดีของเขามันทำให้ผมระแวง และอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเรื่องของผมเขาอาจะรู้แล้วก็ได้ แต่รอให้ผมหายดีก่อนเถอะครับ แล้วผมจะนั่งคุยกับเขาจริงๆ จังๆ ซะที



“แต่เอาไว้ก่อนแล้วกัน เธอยังไม่หายดีเลย” ดราโกก้มลงจุมพิตหน้าผากของผมเบาๆ เป็นการจบประโยคสนทนา “หลับเถอะ”



“ดราโกครับ ผมอยากไปครับ” ผมรีบร้อนบอกเขาในทันที พร้อมๆ กับขืนตัวออกจากอ้อมแขนของเขาเล็กน้อย ถึงแม้ว่าผมจะพยายามแค่ไหน แต่ผมก็สู้แรงของเขาไม่ได้อยู่ดีครับ รั้งกันไปรั้งกันมา ตัวของผมก็ถูกพลิกให้ขึ้นมาทับอยู่บนลำตัวแข็งๆ ของเขาอย่างงุนงง



“เธอบอกฉันเองนะว่ายังไม่หายดี ไม่มีแรงแล้วจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้ยังไง” น้ำเสียงและดวงตากึ่งดุที่เอ่ยเตือนผมนั้นทำให้ผมย่นหัวคิ้วเล็กน้อยเพราะกำลังหาข้อแก้ตัวดีๆ ซักข้อ



“จอห์นบอกว่าผมควรเปลี่ยนบรรยากาศบ้างครับ ผมจะได้หายเร็วขึ้น” ผมเอียงศีรษะเล็กน้อยและมองเขาด้วยดวงตานิ่งๆ ของผม ผมใช้จอห์นเป็นข้ออ้างขึ้นมาและเหมือนดราโกจะรู้ทัน เพราะผมสังเกตเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา



“ไม่ได้ เธอต้องพักผ่อน” แต่เขาก็ยังไม่ยอมให้ผมไปอยู่ดีครับ



“นะครับ ผมอยากไปจริงๆ” ผมยังขอร้องชายหนุ่มต่อไป และถ้าผมดูไม่ผิด รอยยิ้มของเขามันดูไม่น่าไว้วางใจมากขึ้นทุกที



“ถ้าเธออยากไป ลองใช้วิธีนั้นขอร้องฉันอีกทีซิ” เสียงทุ้มพูดขึ้นมา วิธีนั้น? คือวิธีไหนกันนะ ผมงุนงงและสงสัย ดราโกเห็นว่าผมยังไม่เข้าใจซักที เลยยอมเฉลยให้ผมอีกซักนิด “ตอนที่ฉันอุ้มเธอกลับห้อง แต่เธอรั้นจะไปหามาร์คที่บ้าน”



ผมนึกเหตุการณ์ตามที่ชายหนุ่มพูดชั่วครู่ ตอนนั้นผมพึ่งโดนยิงมา และกำลังกลับออกมาจากห้องพยาบาลหลังจากที่จอห์นช่วยทำแผลให้ผมแล้ว แต่ผมก็ยังสงสัยและอยากจะไปช่วยเหลือพวกเขาในการตามจับสไนเปอร์คนนั้น แต่ดราโกก็ไม่ยอมให้ผมไปซักที เลยใช้วิธีการของแด๊ดดี้เอริคเวลาท่านจะขออะไรซักอย่างกับคุณพ่อ อ๊ะ



ฟอด



“นะครับดราโก” ผมก้มลงไปหอมแก้มของเขาหนึ่งที รอยยิ้มของชายหนุ่มก็ดูพึงพอใจมากขึ้น แสดงว่าได้ผลซินะครับ



ฟอด



“ผมอยากไปจริงๆ นะครับ” ผมก้มลงไปหอมแก้อีกด้านของเขาให้อย่างเท่าเทียมกัน คราวนี้ดวงตาสีทองของดราโกก็พราวระยับเป็นประกายขึ้นมาทันที และโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว มือใหญ่ของชายหนุ่มที่รั้งแผ่นหลังผมไว้ก็คลื่อนขึ้นมาจับศีรษะผมและดันให้ใบหน้าของผมเข้ามาใกล้ ก่อนที่ริมฝีปากที่จุดรอยยิ้มอยู่ตรงมุมปากเมื่อครู่จะเข้ามาขบเม้มและละเลียดหยอกเย้ากับริมฝีปากของผมอยากแผ่วเบา



“อื้อ เดี๋ยวครับ” ผมพยายามจะเอ่ยห้ามชายหนุ่ม แต่แค่ผมอ้าปากเล็กน้อย ดราโกที่รอจังหวะนี้อยู่ก็บังคับให้ผมต้องพัวพันไปกับการหยอกเย้าที่สูบเรี่ยวแรงและลมหายใจของผมไปจนหมด แม้ผมจะทุบอกเขาเพื่อประท้วงแล้วก็ตาม แต่อารมณ์ของชายหนุ่มก็ยังไม่สามารถมอดดับได้ง่ายๆ ดูดดึง ขบกัด และยั่วเย้าจนผมหอบหายใจหนักหน่วง



“คุณหื่นจริงๆ เลยนะครับ!!!” ผมประท้วง แม้เสียงที่ผมจะพยายามตะโกนออกมาจะถูกปิดด้วยริมฝีปากของเขาอีกครั้งก็ตาม ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แข็งขึงอยู่ตรงต้นขาของผม และดวงตาอ่อนเชื่อมของเขาที่มองมา ถ้าผมปล่อยให้เรื่องไปไกลกว่านี้ ผมจะต้องตกเป็นผู้เสียหายตามกฏหมายแน่เลยครับ



ประท้วงก็แล้ว แต่เขาก็ไม่ฟัง



ขัดขืนก็แล้ว แต่ผมก็สู้แรงไม่ได้



ถ้าอย่างนั้นคงมีวิธีเดียว...พ่อของผมเคยบอกไว้ว่า บางครั้งเราจะต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน เขาทำอะไรมา เราต้องทำสิ่งนั้นกลับไปให้กับเขาเช่นเดียวกันเพื่อเป็นการแก้เกมส์ ดังนั้นจากที่เขาไล่เกี่ยวกระหวัดพัวพันกับผมเพียงฝ่ายเดียว คราวนี้เป็นผมบ้างที่เริ่มไล่ต้อนเขากลับ หยอกเย้าหลอกล่อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำให้ผม และสิ่งนี้เองที่ทำให้ดวงตาสีทองของดอนแห่งคอลิโอเน่เบิกกว้างเล็กน้อยและชะงักนิ่งคล้ายงุนงงเคลิบเคลิ้ม



และจังหวะนี้เองที่ผมรอคอย พอเขาตกใจและไม่ทันระวังตัว ผมก็ได้โอกาสพลิกตัวหลุดออกจากอ้อมแขนของเขา ก่อนจะพยุงร่างกายให้ลุกขึ้นยืนช้าๆ ข้างเตียงนอน ชุดนอนของผมหลุดลุ่ยเล็กน้อย กระดุมที่ติดครบทุกเม็ดกลับถูกปลดออกไปถึงสี่ห้าเม็ดด้วยกันจนเผยผิวกายและหน้าอกบางส่วน ผู้ชายคนนี้ไว้ใจไม่ได้เลยนะครับ แค่เผลอแปปเดียวเขาก็เกือบจะถอดเสื้อผ้าของผมออกไปจนหมด



“ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ” ผมบอกเขาพร้อมกับยกคิ้วส่งไปให้เขาหนึ่งที รู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อยที่สามารถทำให้ดราโกหลุดสีหน้าประหลาดๆ ออกมาได้ วันนี้คงมีแต่เรื่องดีๆ ให้ผมสบายใจแน่เลยครับ ส่วนทางดราโกนั้นก็ผุดลุกกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงนอน โดยร่างสูงนั้นนั่งพิงหัวเตียงนิ่งๆ ดวงตาของชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังของผมไปเรื่อยๆ จนประตูห้องน้ำกั้นสายตาของเขาเอาไว้ ผมได้ยินเขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายเจ็บใจปนฉุนเฉียว แต่ก็แอบหัวเราะในตอนท้าย



“แสบจริงๆ นะเทวดาตัวน้อย หึ”



ครับ ถ้าผมไม่หาทางเอาตัวรอด ก็คงถูกคุณกินไปตั้งนานแล้วล่ะครับ ดราโก





.....................................................................



พิเศษ....ออเจ้าเอย

ท่านขุนคริส : เจ้าเป็นคนกำเริบ ไม่รู้จักกาลเทศะ วาจาปริ้นปร้อนฟังไม่รู้ความ ใจลามกหื่นกาม ไม่มีเมตตาต่อข้าซักนิด ไม่เอาการเอางาน แต่ลวนลามข้าทุกคืนวัน ดีแต่ปอกลอกถอดเสื้อผ้า ลูบไล้น่ารำคาญ!!!!! (ทำหน้าตายแต่ตะโกนดังลั่น)

แม่ดารากร : ท่านพี่เจ้าคะ คำกล่าวของท่านพี่นั้นกล่าวหาน้องไม่ผิด เพื่อไม่ให้ท่านพี่ผิดหวังกับน้อง น้องจะพาท่านพี่ไปเล่นโล่สำเภา (กระตุกยิ้มมุมปาก ดวงตาเจ้าเล่ห์แพรวพราว)

ท่านขุนคริส : เล่นโล่สำเภา? เล่นอย่างไรรึแม่ดารากร (เอียงคอมองอย่างสงสัย)

แม่ดารากร : ตามน้องมาซิเจ้าคะ น้องจะพาไปเล่นบนเรือน (ร่างสูงบอบบาง? อุ้มท่านขุนคริสไปกอดแนบอก และพากันขึ้นเรือนปิดห้องหับเสียแน่นหนา แต่ถึงกระนั้นเสียงไพเราะอ่อนหวานก็ยังเล็ดลอดสอดประสานกันออกมาให้ได้ยิน)

โล้สวาทวาดใบสำเภาพริ้ว

ระเรื่อยลิ่วคลองแคบคละขัดขึง

น้ำเจือน้อยค่อยวางทางติดตรึง

ขยับหายโยกคลึงคราคลื่นมา



เมื่อผ่านช่องเข้าอ่าวคราน้ำขึ้น

พอหายมึนสอดสั่งทั้งซ้ายขวา

ข้ามนทีสรวงสวรรค์ทุกชั้นฟ้า

สมอุราซานซยสยบทรวง

.......บทกลอนจากนิยายบุพเพสันนิวาสของคุณรอมแพงค่ะ.......





......................................................

ปล. ช่วงที่แต่งตอนนี้ไรท์ติดละครค่ะ 5555 เลยขอซักนิดนึง ลองสลับบทบาทกันดูให้คริสตินเป็นท่านขุนคริส ดราโกเป็นแม่ดารากร? ดูอ่อนหวานละมุนแบบแปลกๆนะคะ 555 แต่ไม่ว่าคริสตินจะเป็นยังไง สุดท้ายก็ต้องเสร็จดราโกอยู่แล้ว เฮ้ออออออ ลุงรอจะกินคริสตินอยู่ทุกวันค่ะ ไม่รู้จะรอดไปได้อีกนานเแค่ไหน 5555 แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 17 เศษเสี้ยวจากอดีต (31.08.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 31-08-2018 16:13:46
บทที่ 17 เศษเสี้ยวจากอดีต



ผมพึ่งรู้ว่าผมอยู่ที่ไหนก็ตอนที่ได้นั่งรถออกมาเปิดหูเปิดตาในวันนี้นี่แหละครับ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมอาศัยอยู่ที่เซฟเฮ้าของดราโกที่เมืองโคโมแคว้นลอมบาร์เดียครับ เมืองโคโมตั้งอยู่บริเวณพรมแดนประเทศอิตาลีและประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ใกล้กับเทือกเขาแอลป์ ผมไม่รู้เลยว่าเซฟเฮ้าส์ของดราโกจะอยู่ใกล้กับเมืองขนาดนี้ เพราะเมืองโคโมเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่ง เป็นแหล่งรวมศิลปะ โบสถ์ พิพิธภัณฑ์ โรงละคร และพระราชวังเก่ามากมาย



เมืองแห่งนี้อยู่ติดกับทะเลสาปโคโม มีพื้นที่ 146 ตารางกิโลเมตร เป็นทะเลสาปที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศอิตาลี ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าดอนแห่งคอลิโอเน่คนนี้จะร่ำรวยและมีอิทธิพลมากขนาดไหน ถึงมีบ้านพักที่กินพื้นที่เกือบร้อยไร่ใกล้เมืองโคโมแห่งนี้ วิวทิวทัศน์ที่ผ่านสายตาผมไปอย่างช้าๆ นั้น ดึงดูดให้ผมมองความงดงามและความเงียบสงบอย่างเพลิดเพลิน



ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้ออกมาเที่ยวที่เมืองแห่งนี้ เพราะตลอดเวลาสามสี่เดือนที่ผ่านมาผมก็ได้แต่อยู่ที่เซฟเฮ้าส์ของดราโกเฉยๆ อย่างน้อยผมก็อยากออกมาผ่อนคลายและออกมาเปิดหูเปิดตาบ้างครับ หลังจากพ้นแนวป่าเข้ามาแล้วก็เจอเขตเมืองที่ดูคึกคัก น่ารัก สีสันสดใสและดูสนุกสนาน ผู้คนมากมายเดินเล่นพูดคุย และจับจ่ายซื้อของกันอย่างเพลิดเพลิน



“ผมลงไปเดินเล่นที่จตุรัสได้ไหมครับ” ผมละสายตาออกจากภาพวิวตรงหน้าเพื่อหันไปหาชายหนุ่มร่างสูงที่วันนี้แต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีดำและกางเกงยีนส์สีเข้มสบายๆ ผมสีดำของเขาก็ไม่ได้เซ็ทเหมือนทุกครั้ง ปล่อยปรกหน้าผากทำให้ดราโกดูย้อนวัยลงไปหลายปี ส่วนผมก็เหมือนเดิมครับ เสื้อยืดกางเกงขาสั้น และรองเท้าผ้าใบสีส้มแสบตา ช่วงนี้อากาศที่ทะเลสาปโคโมเย็นสบายครับ เหมาะกับการเดินเล่นและหาของกินอร่อยๆ



“ไว้ไปเช็คอินที่โรงแรมก่อนแล้วกัน แล้วฉันค่อยพาเธอมาเดินเล่น” ดราโกละสายตาออกจากเอกสารตรงหน้าแล้วหันมามองผมด้วยรอยยิ้มบาง



“โรงแรมเหรอครับ” ผมเอียงศีรษะมองเขาด้วยความสงสัย “เราจะพักที่โรงแรมทำไมครับ”



จากเซฟเฮ้าส์ของดราโกมาถึงเมืองโกโมนั้นใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่งเองครับ ระยะเวลาไม่นานเลยสำหรับการเดินทางไปกลับ นอกจากเขาจะมีธุระจำเป็นบางอย่างที่ต้องมาที่นี่อยู่แล้ว อาจจะนัดคุยงานกับใครซักคนก็ได้



“พาเธอมาพักผ่อน และฉันก็มาจัดการธุระบางอย่าง” เขาบอกผม ไม่ผิดจากที่ผมคิดเลยซักนิดครับ ผมพยักหน้ารับรู้และมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าดราโกจะหันมาสนใจผมมากกว่าเอกสารในมือแล้ว เขาเก็บเอกสารใส่ในซองเรียบร้อยและจัดการอุ้มผมขึ้นมานั่งบนตักของเขา พร้อมกับกอดผมไว้แนบอก ก้มศีรษะและจรดปลายจมูกโด่งของเขาเข้ากับกลุ่มผมนุ่มสีน้ำตาล ผมนั่งนิ่งๆ เพื่อรอรับฟังเขา บรรยากาศผ่อนคลายที่รายล้อมรอบตัวทำให้ผมอุ่นใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว



“ฉันอยากจะสอบถามเธอบางเรื่อง คงถึงเวลาที่เราควรจะเปิดใจให้กันได้แล้วนะคริสติน” น้ำเสียงทุ้มของเขาดังกระซิบแผ่วเบาแต่กลับหนักแน่นและได้ยินชัดเจน ผมอิงศีรษะซบกับบ่ากว้างและหลับตาลงเพื่อใช้เวลาที่เหลือในการครุ่นคิด



“ครับ” ผมคิดว่าเรื่องที่คาราคาซังระหว่างกันควรได้เวลาสะสางซักที ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เป็นเพียงแค่เรื่องของพวกคาโซ่ที่ผมควรจะวางใจและบอกเล่าบางเรื่องให้กับเขาได้ฟังก็เท่านั้น เวลาที่ผ่านมาผมคิดว่ามันก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าดราโก คอลิโอเน่ คือคนที่ผมสามารถวางใจและให้ความร่วมมือด้วยกันได้ ผลประโยชน์ระหว่างผมและดราโกจะถูกแลกเปลี่ยนกัน ข่าวที่เขารู้ ข่าวที่ผมรู้ จะได้รับการถ่ายทอดและตกลงกันในท้ายที่สุด มันอาจจะดูง่ายสำหรับคนอื่น ก็แค่นั่งคุย นั่งเล่า นั่งปรึกษากัน แต่สำหรับผมมันค่อนข้างยากที่จะเล่าเรื่องในอดีตที่ผมยังไม่สามารถหลุดพ้นออกมาได้



อ้อมกอดของดราโกกระชับแน่นขึ้นเหมือนส่งผ่านให้ผมรู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ยังคอยอยู่ข้างๆ ไม่หายไปไหน ผมกำมือแน่นจนขึ้นข้อขาว รู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่ผมคิดว่าหลังจากที่ผมเล่าเรื่องและแผนการของผมออกไปแล้ว เขาคงจะวางแผนการรับมือขั้นต่อไป มือหนาเลื่อนเข้ามากุมมือที่กำแน่นของผมเอาไว้ให้คลายออก กระชับสอดมือเข้ามาเพื่อกุมไว้ให้มั่น ไม่ต้องมีคำพูดใดใดผมก็รับรู้ถึงความอุ่นใจที่ได้รับจากผู้ชายคนนี้



และเพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้ผมตระหนักขึ้นมาได้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ผมเริ่มวางใจและพึ่งพาดราโกมากขนาดนี้







Il Sereno Lago di Como คือโรงแรมห้าดาวที่ติดทะเลสาปโคโม เป็นโรงแรมหรูที่มีบริการน่าประทับใจและเป็นส่วนตัว ตั้งแต่ที่รถเคลื่อนเข้ามาจอดบริเวณด้านหน้า ผมรีบขยับตัวเพื่อลุกออกจากตักแกร่งของชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาของดราโกมองผมอย่างขบขันเล็กน้อย เอื้อมมือมาจัดแต่งทรงผมของผมให้เข้าที่ และโน้มใบหน้าลงมาจูบที่หน้าผากของผมแผ่วเบา ความรู้สึกแปลกๆ ที่อบอวนอยู่ภายในรถนั้นทำให้ผมต้องกลั้นหายใจ ไม่รู้จะทำยังไงจึงรีบเบือนหน้าหนีสายตาพราวระยับของเขา



จาคอปที่เป็นคนขับรถก็ลงจากรถเพื่ออ้อมมาเปิดประตูให้กับดราโก ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของดวงตาสีทองก้าวลงไปก่อน โดยด้านนอกมีผู้จัดการของโรงแรมเดินเข้ามาต้อนรับดราโกอย่างนอบน้อม ผู้จัดการหนุ่มใหญ่มีรอยยิ้มสุภาพประดับบนใบหน้าตลอดเวลา แม้แววตาของผู้จัดการคนนี้จะฉายแววประหลาดใจเพียงชั่วครู่ที่เห็นเด็กกะโปโลคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถก็ตามที แต่แววตาของเขาก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว



ผมมองความหรูหราตรงหน้าและถอนหายใจ ไม่อยากจะคิดถึงราคาที่พักที่ชายหนุ่มต้องจ่ายออกไปในคืนนี้เลยครับ ห้องที่ดราโกพาผมมาเข้าพัก คือห้องเพนต์เฮาส์สวีทพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว (Penthouse Suite with Spa Bath) ผมเห็นห้องพักกว้างหรูหราที่แบ่งสัดส่วนได้อย่างลงตัวและสวยงาม เป็นห้องชั้นบนสุดของโรงแรมที่มีทั้งห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องน้ำ และสระว่ายน้ำส่วนตัวตรงระเบียง



ความหรูหราระดับนี้ทำให้ผมแอบกระซิบถามราคาจากคาลอสที่อยู่ข้างๆ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก้มตัวลงมากระซิบตอบผมเบาๆ ราคาที่ได้ยินทำให้ผมแทบจะปาดเหงื่อ ราคาค่าห้องเพนต์เฮ้าส์นี้คือ 3,095 ยูโร (119,050 บาท) ต่อคืน สำหรับผมและดราโกเข้าพัก และห้อง Double Room with Lake View ราคา 884 ยูโร (34,000 บาท) ต่อคืน จำนวนสามห้อง สำหรับคาลอส จาคอป และบอร์ดี้การ์คนคนอื่นๆ



ราคานี้สำหรับดราโกคงเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผมก็ค่อนข้างเสียดายกับจำนวนเงินมากมายที่ต้องจ่ายไป ถึงแม้จะไม่ได้เศษเสี้ยวของจำนวนเงินมากมายมหาศาลของดราโกเลยก็ตามที แต่ผมก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินทองขนาดนี้ก็ได้นะครับ จะไปคุยที่ไหนก็ได้นี่นา



“ผมตรวจเช็ครอบห้องเรียบร้อยแล้วครับ ถ้ามีอะไรดอนเรียกผมได้ตลอดเวลา” คาลอสก้มตัวทำความเคารพให้กับดราโกพร้อมๆ กับจาคอป ก่อนที่ทั้งสองคนจะขอตัวเพื่อให้ชายหนุ่มและผมได้พักผ่อน ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบทันที ผมไม่กล้าสบตากับดราโกเพราะกำลังเริ่มหวาดกลัวที่จะต้องพูดถึงเรื่องราวในอดีตออกไป ดวงตาของผมสั่นไหว ความกลัวที่ไม่รู้ที่มาเข้าครอบงำ ผมพยายามเพ่งสมาธิเพื่อจดจ่อกับวิวทะเลสาปสีน้ำเงินเข้มตรงหน้า แต่ผมก็ยังรู้สึกถึงมือของผมที่กำลังสั่นเล็กน้อย



“เด็กน้อย...มานี่ซิ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มเรียกผมจากเบื้องหลัง ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้า ร่างกายของผมหนาวเยือก แต่ก็ยังหมุนตัวเพื่อเดินไปหาเขา ภาพที่ผมเห็นคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังนั่งพิงหลังกับพนักโซฟานุ่ม ดวงตาสีทองไร้แววจับจ้องมาทางผมทุกการกระทำ ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหาเขาช้าๆ ไม่เป็นไร ยังไงผมก็ต้องทำได้ ผมเดินมาไกลเกินกว่าที่จะกลับไปได้แล้ว ผมต้องทำได้ ผมต้องทำได้ ผมต้อง...



“อ๊ะ!!!” ผมร้องตกใจเพราะจู่ๆ มือใหญ่ของเขาก็กระชับที่ต้นแขน รั้งร่างของผมให้มานั่งบนตักของเขาอีกครั้ง โดยที่ผมนั่งควบหันหน้าเข้าหาชายหนุ่ม มือหนากอดกระชับแผ่นหลัง มืออีกข้างที่ว่างก็กดศีรษะของผมให้ซบลงกับบ่ากว้าง มือของเขาลูบศีรษะของผมเบาๆ เหมือนขับกล่อม ตอนแรกผมก็นึกว่าเราจะต้องคุยเป็นเรื่องเป็นราวและเป็นทางการมากกว่านี้ แต่การกระทำของเขาเหมือนกับว่าให้ผมผ่อนคลาย รอให้ผมหายกลัว และค่อยๆ เล่าไปทีละนิด



“อย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับมันคริสติน อย่ากลัว เพราะเธอยังมีฉันอยู่” น้ำเสียงทุ้มของดราโกหนักแน่นและมั่นคง มันทำให้ผมวางใจมากขึ้น ผมหลับตาลงปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปเงียบๆ อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งผมเริ่มผ่อนคลายและยอมเปิดใจเล่าเรื่องในอดีตบางอย่างให้เขาฟัง



...............................





ดวงตาสีทองของดราโกจับจ้องไปยังร่างเล็กของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานใหญ่ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กน้อยของเขารู้สึกอย่างไร แต่แผ่นหลังเล็กนั้นดูอ้างว้างและหวาดหวั่น เขารู้ว่าคริสตินกำลังพยายาม พยายามที่จะเปิดใจและร้องขอความช่วยเหลือ เด็กตัวเล็กๆ เก็บอะไรไว้กับตัวเองมากมายเหลือเกิน เขาอยากให้เด็กน้อยร้องขอ อยากให้ร้องขอกับเขา ขอความช่วยเหลือ ขอให้เขาเป็นที่พึ่งพิง ขอให้เขาช่วยปกป้องและดูแล



คริสตินเป็นคนที่มีความคิดและความรู้สึกที่โตเกินกว่าอายุ เขาพบเจออะไรมามากมายและคิดจะจัดการปัญหาหลายๆ อย่างด้วยตัวเอง แต่เพราะเรื่องนี้มันใหญ่เกินไปที่เด็กคนหนึ่งจะเผชิญหน้าได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากให้เด็กน้อยพึ่งพาเขาให้มากกว่านี้ ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวสำหรับเขาในตอนนี้คือการให้คริสตินมีรอยยิ้มกลับคืนมา เทวดาตัวน้อยของเขาไม่ควรจะแบกรับและกังวลเรื่องใดใด



แผนการของเขากับเด็กหนุ่มไม่มีอะไรมาก แค่ทำให้คริสตินหันมาพึ่งเขามากกว่านี้ ไว้วางใจมากกว่านี้ และเปิดใจกับเขามากกว่านี้ ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขาได้พบเจอกันมา เด็กหนุ่มคงไม่รู้ตัวว่าแม้จะเพียงน้อยนิด แต่คริสตินก็เริ่มจะวางใจเขามากยิ่งขึ้น พึ่งพาเข้ามากกว่าเดิม และร้องขอ งอแงกับเขาอยู่บ้างนานๆ ที เขาหาข้ออ้างให้เด็กหนุ่มมาอยู่ข้างกาย ทั้งวันทั้งคืน ในยามตื่นและยามหลับ อย่างน้อยตอนตื่นนอนต้องเห็นหน้า ก่อนนอนก็ต้องหลับไปในอ้อมกอดเขา กินข้าวก็ต้องกินด้วยกัน เขาทำงาน คริสตินต้องอยู๋ในสายตา ทีละนิด ทีละนิด เด็กน้อยของเขาเริ่มคุ้นชิน



ยิ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่คริสตินโดนยิงด้วยแล้ว ในยามอ่อนแอเขาอยู่ข้างๆ ให้รู้ว่าเขาสามารถเป็นที่พึ่ง กางปีกปกป้องและคอยช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นเขาจะใช้วิธีนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อซักวัน คริสตินจะขาดเขาไม่ได้อีกเลย มันเป็นแผนการง่ายๆ ที่ต้องใช้ความพยายามและความอดทน มันเป็นครั้งแรกที่เขาต้องการใครซักคนอย่างจริงใจ ไม่มีเรื่องเพศ ไม่มีเรื่องเซ็กเข้ามาเกี่ยวข้อง



ถามว่าเขาอยากได้เทวดาตัวน้อยไหม เขาสามารถบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า อยากกลืนกิน อยากครอบครอง และจัดการให้เด็กหนุ่มเป็นของเขาแค่เพียงคนเดียว แต่ด้วยวิธีการปลุกปล้ำหรือใช้กำลังนั้นไม่ได้อยู่ในความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้เขาจะลวนลามและหาโอกาสสัมผัสคริสตินอยู่บ่อยๆ แต่เขาไม่สามารถหักหาญน้ำใจเด็กคนนี้ได้เลย เขาอยากให้ความรู้สึกนี้ของเขาได้รับการตอบรับอยากจริงใจ อยากให้ความสัมพันธ์ของเขาที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนี้เกิดด้วยความรู้สึกรักและบริสุทธิ์



คริสตินมีค่าเกินกว่าที่เขาจะกระทำเช่นนั้น เด็กคนนี้มีค่า เพราะฉะนั้นเขาจึงรู้คุณค่าและอยากทะนุถนอมไว้ในอุ้งมือ หึ ใครจะว่าเขายังไงก็ตามแต่ ถึงเบื้องหลังของเขาจะดำมืดและเลวทราม แต่จะทำไมล่ะ ในเมื่อความรักที่เขามอบให้เด็กน้อยคนนี้มันบริสุทธิ์และจริงใจ



มือของเขายังคงลูบหลังปลอบโยนร่างเล็กเรื่อยๆ รอจนร่างในอ้อมกอดของเขาเริ่มผ่อนคลายและหายหวาดหวั่น เขาไม่รีบ แต่เขาแค่ห่วงร่างเล็กๆ นี้เท่านั้น



“อย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับมันคริสติน อย่ากลัว เพราะเธอยังมีฉันอยู่” ดราโกพูดประโยคนี้ออกมาจากใจ น้ำเสียงทุ้มหนักแน่นมั่นคง ส่งผ่านความจริงใจทั้งหมดออกมาให้เด็กหนุ่มได้ยิน



มีเขาอยู่อย่าได้หวั่นเกรงสิ่งใด อย่ากลัวเลยเทวดาน้อยของฉัน







“ผม…” เสียงของคริสตินนั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและลังเล แต่เมื่อเด็กหนุ่มเริ่มพูดประโยคต่อมา แม้ปลายเสียงจะสั่นพร่า แต่ก็ยังแฝงความกล้าเล็กๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้น “ผม...ผมมาที่อิตาลีเพราะผมมีเป้าหมาย ผมมาตามหาคนๆ หนึ่งครับ ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ผมรู้แต่ว่าเขาเกี่ยวข้องกับคาโซ่แฟมิลี่ ผมต้องตามหาเขาให้เจอ”



“ผมจำได้แต่เอกลักษณ์บางอย่างของเขา ผมจำเสียงของเขาได้ ผมจำแววตาของเขาได้ ผม ผม ต้องการที่จะพบเขา และถามเขาว่า เขาทำอย่างนั้นทำไม เขาทำเพื่ออะไร เงิน? อำนาจ? หรือเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้เขากระทำสิ่งที่เลวร้ายแบบนั้น ทำลายชีวิตคนๆ หนึ่ง ทำลายความหวังของคนๆ หนึ่งอย่างเลือดเย็น” คริสตินเริ่มพรั่งพรูสิ่งที่คั่งค้างในใจมาเนิ่นนานออกมาเรื่อยๆ ดราโกกระชับอ้อมกอดร่างเล็กไว้แน่นเพื่อให้เด็กหนุ่มยังรับรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว “เขาเกี่ยวข้องกับคาโซ่แน่นอน ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นคนในแฟมิลี่รึเปล่า แต่ผมหาไม่เจอเลย สมาชิกในกลุ่มที่ผมค้นหามาได้ไม่มีผู้ชายคนนี้เลย ก่อนที่ผมจะขยายขอบเขตการค้นหาของผมให้กว้างขึ้น ผมก็เจอคุณก่อนครับ ผมเลยหยุดการค้นหาของผมไว้ก่อน แต่เรื่องที่คาโซ่ทำ มันทำให้ผมไม่สามารถปล่อยวางได้ ยิ่งผมค้นข้อมูลลึกลงไปเท่าไหร่ ผมก็รู้ว่าตั้งแต่อดีตพวกเขาไม่เคยหยุด แถมเครือข่ายมากมายของพวกเขายังขยายใหญ่โตและยิ่งใหญ่มากขึ้น ผมต้องหยุดพวกเขา ทำยังไงก็ได้ผมต้องหยุดพวกเขาให้ได้ ฮึก”



“ชู่ว อย่าร้องคริสติน ไม่เป็นไรเด็กน้อย” เด็กหนุ่มในอ้อมแขนสะอื้นหนักขึ้น จนเขาต้องกระชับอ้อมกอดและเอ่ยปลอบโยน มือเล็กของเด็กหนุ่มกำเสื้อของเขาไว้แน่น เรื่องราวของคริสตินเริ่มพร่างพรู และสิ่งที่เขาได้ยินมันยิ่งทำให้ดวงตาสีทองเข้มลึกมากขึ้นเรื่อยๆ



“ผมอยู่บนเรือลำนั้นมาหลายเดือน ตั้งแต่ตอนนั้นพวกเขาไม่เคยเปลี่ยน วิธีการเหมือนเดิม แต่เจ้าเล่ห์ลุ่มลึกมากขึ้น แหล่งซื้อขายของพวกเขากระจายอยู่ทั่วโลก ตามซ่อง ตามคาสิโน ตามย่านสลัม ซื้อขายคนมา แต่ดูแลเหมือนสัตว์เลี้ยง เด็กจากหลายเชื้อชาติถูกส่งต่อ ขายทอดตลาดเหมือนสัตว์ เหมือนสิ่งของ คนถูกประเมินมูลค่าเหมือนสินค้า สินค้าชั้นดีคือดูแลรักษาอย่างรู้คุณค่า สินค้าเกรดบีเหมือนตกนรกทั้งเป็น ถูกเหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลน พวกเขา พวกเขา...”



“ข่มขืน” ดราโกต่อคำพูดที่คั่งค้างและติดอยู่ที่ริมฝีปากของเด็กน้อยอย่างข่มกลั้นอารมณ์ เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเป็นประจำบนเรือขนส่งสินค้า กากเดนมนุษย์พวกนั้นหาความบันเทิงรื่นรมย์จากเรือนร่างของคนที่ถูกจับมาอย่างสนุกสนาน ทำเหมือนคนไม่ใช่คน การข่มขืน รุมโทรม ทรมานเหยื่อ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นและพบเห็นอยู่ตลอด ข่าววงในเรื่องนี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งภาพ เสียง ก็ยังถูกบันทึกไว้เพื่อเป็นแหล่งรายได้เสริมของพวกมัน



“ผมต้องหาทางหยุดพวกเขา กะ ก่อนที่จะมีคนอื่นตกเป็นเหยื่อมากกว่านี้ มะ มันยาก ยากมาก แต่ผมต้องทำ ผมไม่ยอมให้นรกแบบนั้นเกิดขึ้นอีก” เด็กน้อยของเขายังพยายามพูดต่อไปแม้น้ำเสียงจะเริ่มสั่นและขาดห้วง แววตาของดราโกเย็นเยียบแข็งกร้าวและลุ่มลึกคล้ายคลั่งแค้นแทนร่างเล็กที่เขาโอบกอด เด็กน้อยของเขาแม้จะโกรธแค้นแต่คำพูดรุนแรงหยาบคายก็ยังไม่หลุดออกมา นรกแบบนั้นที่คริสตินต้องพบเจอมันทำให้เขาแทบกระอัก อยากจะฆ่าพวกมันทุกคนให้ตายตกไปตามกัน คริสตินสะอื้นหนักขึ้น แต่ก็ไม่มีเสียงร้องไห้ใดใดออกมาให้ได้ยิน



เด็กหนุ่มหยุดพูดไป แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะถามต่อ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่กล้าถาม ว่าเหตุการณ์เลวร้ายบนเรือที่คริสตินได้พบเจอนั้นเกิดขึ้นกับตัวเด็กน้อยของเขาเองรึเปล่า ร่างเล็กๆ นี้ได้ถูกรังแกหรือไม่ เขาไม่กล้า เขาได้แต่กดร่างเล็กไว้แนบอก ให้คริสตินยังรู้ว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขายังอยู่ และไม่คิดจะจากไปไหน



“ผมฝันร้ายมาหลายปี มันตามหลอกหลอนผมทุกวัน จนวันหนึ่งคุณพ่อร้องไห้ แด๊ดดี้เอริคร้องไห้ พวกเขาเศร้าเพราะผมทรมาน ผม ผมเลยคิดว่าผมต้องทำให้ได้ ผมต้องเลิกกลัว อย่างน้อยผมต้องกล้าที่จะยอมรับ ผมต้องกล้ามากกว่านี้ ผมใช้เวลาหลายปีกว่าอาการจะดีขึ้น แต่ผมก็ไม่เหมือนคนปกติ ผมรู้ตัวนะครับ ผมมองทุกอย่างเป็นหลักการและเหตุผล ผมไม่สามารถใช้อารมณ์ทั่วไปได้ ไม่อย่างนั้นผมจะกลัว และย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องในตอนนั้นอีก จนวันหนึ่งคุณพ่อบอกว่าผมไปใช้ชีวิตดู ผมคิดว่าพ่อคงหมายถึงให้ผมตามหาเป้าหมายในชีวิตมั้งครับ ให้ผมพยายามมีชีวิตต่อไป ผมมาที่นี่ ตามหาหลายที่ ผมรู้ว่าผมจะอยู่ต่อไปได้คือผมต้องจัดการพวกเขา ฝันร้ายของผมคือพวกเขา ผมต้องหยุดให้ได้”



“ไม่เป็นไร เป้าหมายของเธอ ก็คือเป้าหมายของฉันในเวลานี้เช่นกัน พวกมันทำอะไรไว้ พวกมันจะต้องได้รับคืนเป็นพันเท่า ฉันจะช่วยเธอเอง” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แค่เขาฟังเขาแทบจะตามไปฆ่าพวกมันเดี๋ยวนั้น แต่กับเด็กคนหนึ่งที่ต้องเก็บเรื่องพวกนี้ไว้กับตัวมานานล่ะ จะทำยังไง



“แต่ผมก็ยังกลัวที่จะพูดถึงเรื่องพวกนั้นครับดราโก ผมไม่สามารถใช้ชีวิตโดยปกติได้เลย ผมกลัวว่าคนในอดีตจะมาปรากฏตัวต่อหน้าผมอีกครั้ง ถึงตอนนั้นความกล้าที่ผมคิดว่าตัวเองเคยมีคงหายไปหมด” ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของเด็กน้อยของผมฉ่ำน้ำวาวรื้น หยดน้ำใสคลอหน่วยเต็มดวงตาคู่นั้น เขาเห็นแววตาหวาดกลัวที่ซึมลึกประทับแน่นอยู่ในดวงตาอย่างแน่นหนา เปลือกนอกที่เฉยชาของคริสตินเริ่มหลุดลอก เผยความอ่อนแอที่ยังหลบซ่อนอยู่ภายใน “ผมรู้ว่าผมต้องตามหาตัวคนๆ นั้นให้พบ แต่ผมก็รู้อีกว่าถ้าผมตามหาเขาเจอแล้ว ผมคงหันหลังวิ่งหนีอีกครั้ง ผมคงไม่กล้า”



“ไม่เป็นไรเด็กน้อย ถ้าเธอกล้ว ฉันก็จะมอบความกล้าให้เธอเอง ฉันจะคอยอยู่ข้างๆ ให้เธอเข้มแข็งขึ้น คอยดึงเธอให้กล้าเผชิญหน้ากับมัน” มือหนาของชายหนุ่มรั้งปลายคางของคริสตินให้เงยขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาและดวงตาสีทองของพวกเขามองสบกันแน่นิ่ง ดราโกส่งผ่านทุกเรื่องราวของเขาผ่านแววตา ให้เด็กน้อยของเขาได้รับรู้ด้วยตัวเอง จุมพิตปลอบประโลมลงบนเปลือกตาทั้งสองข้าง



“ทำไมครับ?” ใบหน้าอ่อนเยาว์ของคริสตินเอียงศีรษะมองเขาด้วยความสงสัย



“ทำไมงั้นเหรอ?” ดราโกเลิกคิ้วถามกลับ



“ทำไมถึงอยากช่วยผมครับ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ คุณช่วยผม คุณก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร” เด็กน้อยทำหน้างุนงงได้น่าหมั่นเขี้ยว เขาเลยก้มลงไปกัดปากเล็กๆ ที่ช่างสงสัยนั้นเบาๆ



“มีซิ มีคนของแฟมิลี่ฉันทรยศ ขายข่าวและข้อมูลให้พวกมันลอบกำจัดฉัน นั่นเลยเป็นเหตุผลรองที่ฉันจะกำจัดพวกมันให้สิ้นซากไปจากแผ่นดินอิตาลีเสียที” มุมปากของเขากระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ มองสีหน้าสงสัยใคร่รู้ของคริสตินด้วยแววตาวาววับ เทวดาตัวน้อยของเขายังคงบริสุทธิ์ไร้เดียงสา มองเขาด้วยดวงตากลมโตปราศจากแววเกลียดชังใดใดที่เมื่อเล่าเรื่องราวโหดร้ายในอดีต เด็กน้อยของเขาแค่อยากให้พวกมันรับโทษตามกฏหมาย อยากจะถามถึงเหตุผลและการกระทำร้ายกาจพวกนั้น เด็กคนนี้สมกับเป็นเทวดาน้อยของเขาจริงๆ



“แล้วเหตุผลหลักของคุณคืออะไรเหรอครับ?” คริสตินยังถามต่อไป จับปลายคางของเด็กน้อยไว้มั่น ใช้นิ้วโป้งลูบไล้ริมฝีปากแดงเรื่อของคริสตินเบาๆ ดวงตาของเขาแสดงความรู้สึกออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง ถ้อยคำหนักแน่นและจริงใจเพื่อบอกให้เด็กคนนี้ได้ฟังอย่างชัดเจน



“เธอ”



คำตอบสั้นๆ แต่หนักแน่นของชายหนุ่มยิ่งทำให้เด็กน้อยของเขานิ่งเงียบ ใจของดราโกไหววูบเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของคริสติน แต่สิ่งที่เขาพบมันกลับเต็มไปด้วยความสับสนและงุนงง บรรยากาศในห้องเงียบสงบลงทันที ชายหนุ่มรอให้เด็กน้อยของเขาทำความเข้าใจกับคำพูดของเขาอยู่เงียบๆ



“เข้าใจแล้วครับ” ใช้เวลาซักพัก คริสตินก็พยักหน้าเข้าใจในที่สุด เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามและให้เด็กหนุ่มอธิบายต่อ “เหตุผลหลักของคุณก็คือผม ไม่ต้องห่วงนะครับ เรามาแลกเปลี่ยนกัน คุณช่วยผม ผมก็จะช่วยคุณเอง ผมจะตามหาคนทรยศให้คุณ ลอบหาข้อมูลที่มีประโยชน์คอยช่วยคุณเองครับ คุณคงอยากจะใช้ความสามารถของผมทางด้านคอมพิวเตอร์ให้ซินะครับ ผมจะช่วยคุณอย่างเต็มที่แน่นอนครับดราโก”



เด็กน้อยของเขาดูกระตือรือร้นลืมความเศร้าก่อนหน้าไปจนหมด คำพูดของชายหนุ่มถ้าเป็นคนอื่นได้ฟังคงเข้าใจในทันที แต่คงต้องเว้นเทวดาตัวน้อยๆ ของเขาไว้ซักคน ถ้าไม่พูดว่า ฉันรักเธอ เด็กคนนี้คงไม่เข้าใจแน่นอน ใครจะอยากให้เทวดาตัวน้อยของเขาคนนี้ลำบากหาข้อมูลหามรุ่งหามค่ำกันล่ะ คริสตินคงลืมไปว่าที่บ้านยังมีมาร์คอยู่ทั้งคนถ้าเขาอยากได้ข้อมูลก็ไม่จำเป็นต้องระบุเจาะจงตัวเด็กคนนี้หรอก



“หึ เอาเถอะ กว่าเธอจะเข้าใจคงอีกนาน แต่อย่าให้ฉันรอนานจนเกินไปล่ะ ฉันทนรอขนาดนั้นไม่ไหวหรอกนะ” เขาถอนหายใจ รั้งร่างเล็กก้มลงประทับจุมพิตเนิ่นนาน ดูดกลืนลมหายใจให้คริสตินหอบสะท้าน เป็นการลงโทษเทวดาตนนี้ที่ทำให้เขาต้องรอ เฮ้อ หวังว่าเขาคงไม่แก่จนลงโลงไปก่อนที่เด็กคนนี้จะเข้าใจคำว่ารักหรอกนะ





....................................

ตอนนี้ไรต์สงสารน้องมากเลยค่ะ เรื่องในอดีตของน้องมันหนักหนาสาหัสมากจริงๆ แต่ก็ยังดีที่มีลุงคอยปลอบใจอยู่ข้างๆ ขนาดแอบสารภาพความในใจไปหน่อยนึงแล้ว แต่น้องก็ยังไม่รู้เรื่อง เฮ้อออ สงสารลุงนะคะเนี่ย 5555 (แต่ไรต์แอบหัวเราะสะใจอยู่นิดหน่อยเอ๊งงงงง : เสียงสูง)

ส่วนเรื่องห้องพักของลุงกับน้องนั้น ไรต์อยากจะมีวาสนาไปพักบ้างจังเลยค่ะ ราคาแสนแพง วิวแสนล้าน เฮ้ออออ น้องโชคดีจังเลยยย ไม่ต้องกลัวเงินลุงหมดนะลูก รายนั้นพร้อมเปย์จ้าาาา

พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ สัญญาค่ะ ตอนหน้ามาเร็วกว่านี้แน่นอน



หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 18 เศษเสี้ยวจากอดีต 2 (31.08.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 31-08-2018 16:16:43

บทที่ 18 เศษเสี้ยวจากอดีต 2



น่าแปลกนะครับ ตั้งแต่ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ดราโกฟัง ใจที่หนักอึ้งและขุ่นมัวของผมกลับเบาสบายมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน เหมือนผมได้ปล่อยวางบางส่วนลงไป และวางใจให้ผู้ชายคนนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวของผม พวกเราทั้งสองคนนั่งพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ โดยที่ผมยังนั่งอยู่ในท่าเดิมไม่เปลี่ยน



“ไม่เมื่อยเหรอครับ” ผมถามชายหนุ่มเจ้าของตักด้วยความสงสัย แต่ใบหน้าหล่อเหลาของเขากลับมอบรอยยิ้มบางๆ มาให้ผมเป็นคำตอบ “ผมนั่งโซฟาได้นะครับดราโก”



“ฉันชอบให้เธอนั่งท่านี้นะเด็กน้อย ดูร้อนแรงทีเดียว” คำพูดและดวงตาที่พราวระยับชวนหมั่นไส้ของเขาทำให้ผมเผลอถอนหายใจ เข้าเรื่องได้ครู่เดียวเขาก็พาผมออกนอกทะเลไปไกลซะแล้ว



“ถ้าคุณไม่เมื่อย งั้นผมก็ขออนุญาตนั่งต่อแล้วกันนะครับ” ผมพูดประชดนะครับ แต่ชายหนุ่มดูจะชอบใจมากกว่าเดิมเสียอีก เพราะรอยยิ้มในดวงตาของดราโกนั้นผมสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เป็นดวงตาสีทองที่ดูสวยงามจนผมถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดให้มองลึกเข้าไปในแววตาของเขาโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของพวกเราสองคนมองสบกันและขยับเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ และมือหนาของเขาเริ่มไม่อยู่นิ่ง ขยับลูบไล้แผ่นหลังของผมไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน ผมสะดุ้งรีบคว้าข้อมือของดราโกเอาไว้อย่างรวดเร็ว เมื่อมือของเขาเกี่ยวขอบกางเกงของผมเอาไว้



“หึ” รอยยิ้มมุมปากของเขาปรากฏขึ้นมาทันที ผมต้องรีบร้อนกลับไปคุยเรื่องเดิมที่ค้างคาใจผมอยู่



“ดราโกครับ เรื่องของผมคุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมครับ”



“ใช่ ฉันพอรู้อยู่บ้าง แต่ไม่ทั้งหมด” เสียงทุ้มตอบ แต่มืออีกข้างของเขาที่ผมไม่ได้จับไว้กลับเริ่มลูบแผ่นหลังผมต่อเรื่อยๆ



“พอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับว่าคุณรู้แค่ไหน” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย พวกเขาคงล้วงข้อมูลของผมมาได้มากพอสมควรแน่นอนครับ ไม่อย่างนั้นเรื่องของผมดราโกคงแสดงอาการตกใจออกมาบ้างแล้ว แต่ปฏิกิริยาเมื่อครู่ของเขานิ่งมากเลยทีเดียว



“จากข้อมูลของเธอเราหามาได้ส่วนหนึ่ง รู้ว่าเธอเป็นลูกครึ่งเอเชีย มีประวัติการรับบุตรบุญธรรมโดยครอบครัวนอร์แมนตอนอายุ 5-6 ขวบ เป็นอัจฉริยะตัวน้อยที่สามารถเข้าสถาบันชื่อดังได้อย่างง่ายดาย และตอนนี้เด็กน้อยคนนี้กำลังจะเรียนจบปริญญาเอกแล้วด้วยน่ะซิ” ใบหน้าคมของชายหนุ่มก้มหน้ามองผมนิ่งๆ “ข้อมูลก่อนหน้าที่ครอบครัวนอร์แมนจะรับเธอมาเลี้ยงดูฉันไม่สามารถหาข้อมูลส่วนนั้นมาได้ แต่ดูจากประวัติและข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเธอที่เป็นข้อมูลสำคัญของคาโซ่ก็พอจะคาดเดาได้ เธอต้องการเล่นงานพวกมัน ซึ่งชื่อเสียงของพวกคาโซ่ก็ขึ้นชื่อในเรื่องค้ามนุษย์อีกด้วย และมีข่าวหนึ่งที่ทำให้ฉันยิ่งมั่นใจ เมื่อสิบปีก่อนคาโซ่มันได้เปิดประมูลการค้ามนุษย์ขึ้นที่อิตาลี จำนวนมนุษย์ที่ถูกค้านั้นมากถึงสองร้อยคน และเป็นคนที่พวกมันนำมาจากทวีปเอเชียทั้งนั้น ถ้าลองเทียบอายุของเธอและเหตุการณ์ในตอนนั้น มันก็น่าจะตรงกันพอดี”



“ครับ เป็นเหมือนที่คุณพูดทุกอย่างเลยครับ” ผมพยักหน้ายอมรับกับสิ่งที่เขาพูดขึ้นมา ผมคือหนึ่งในจำนวนคนสองร้อยคนนั้นที่ถูกพ่อแม่ขายมา และต้องตกอยู่ในขุมนรกทั้งเป็นอยู่นานหลายเดือน ภาพนรกขุมนั้นยังติดตาผมไม่เคยหายไปไหน ทั้งเสียงกรีดร้อง เสียงร่ำไห้ กลิ่นความตาย อาหารเหม็นเน่า การหักหลัง และการเอาตัวรอดจากที่แห่งนั้น นรกบนดินที่ผมเคยได้พบเจอมันน่าสะอิดสะเอียด



มัน...น่า...กลัว...







‘ฉัน...เจอ...เธอ...แล้ว’ เสียงแหบทุ้มดังลอดมาจากริมฝีปากสีคล้ำจากการสูบนิโคตินจำนวนมาก กลิ่นบุหรี่ยี่ห้อราคาแพงเป็นเอกลักษณ์ที่เขาจำจดได้เสมอยามเมื่อผู้ชายคนนี้ปรากฏตัวต่อหน้า



‘ไม่!!! พี่ครับ’ เสียงกรีดร้องในใจของผมไม่เคยเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่มือเล็กผอมแห้งพยายามปิดกลั้นเสียงร้องไว้อย่างแน่นหนา



‘ไม่!!! หนีไป!!! เร็ว ไม่ต้องห่วงพี่ หนีไป’ เสียงกรีดร้องระคนตกใจเป็นห่วงนั้นตะโกนดังลั่น มันเป็นประโยคซ้ำๆ ที่สะท้อนก้องไปมาภายในตู้คอนเทนเนอร์เล็กๆ นี้



‘ผม ผม พี่ครับ’ ผมสะอื้นหนัก ดวงตาบอบช้ำและร่างกายไร้เรี่ยวแรง



‘หึ เธอหนีฉันไม่รอดหรอก’ เสียงนั้นยังตามหลอกหลอน ร่างสูงใหญ่นั้นน่ากลัวเหมือนภูตผีปีศาจ เสียงกระแทกของร่างกายกับผนังตู้คอนเทนเนอร์ดังก้อง เสียงร้องไห้ ด่าทอ และสาปแช่งยังดังต่อเนื่องไม่หยุด เสียงฉีกกระชากเสื้อผ้าและการทุบตีเหมือนเป็นฝันร้ายที่ยังตามหลอกหลอน เสียงฑัณฑ์ทรมานและการเสพสมในห้วงอเวจียังดังอยู่ในเงามืดเนิ่นนาน



‘พี่ครับ’



‘พี่ครับ’



‘พี่ครับ’



เสียงกรีดร้องในใจของผมร่ำร้องหาแต่เพียงแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของผมเท่านั้น







“คริสติน”



“คริสติน!!!”



“คริสติน!!!” เสียงทุ้มของดราโกตะโกนเรียกชื่อผมดังลั่น จนทำให้ผมสะดุ้งและรู้สึกตัวขึ้นมา ผมกระพริบตาเพื่อปรับโฟสกัสตรงหน้าของผมให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ถึงได้รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าของชายหนุ่มเจ้าของตักนั้นแสดงสีหน้าเป็นห่วงผมอย่างชัดเจน



“เธอเป็นอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงของเขาเป็นห่วงและมือใหญ่ของเขาก็กำลังลูบไหล่ของผมเบาๆ ผมพึ่งรู้ว่าตอนนี้ร่างกายของผมกำลังสั่นเทาอย่างรุนแรง แผ่นหลังเปียกชื้นเต็มไปด้วยเหงื่อและมือของผมกำแน่นจนขึ้นข้อขาว เล็บจิกลงกลางฝ่ามือจนเเกิดบาดแผล



“ผะ ผม” ดวงตาของผมเบิกกว้างซึ่งแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ภาพเมื่อครู่เหมือนผมได้ย้อนเวลากลับไปอยู่ในเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว ภาพนั้นคือภาพที่เคยตามหลอกหลอนผมมาเนิ่นนาน จนกระทั่งผมโตขึ้นผมก็ไม่ได้ฝันถึงภาพนั้นอีกเลย ไม่นึกเลยว่าแค่ผมเผลอย้อนกลับไปนิดเดียว มันกลับทำให้รู้ว่าใจของผมยังคงเก็บภาพเหล่านี้ไว้อย่างแน่นหนา สลักความกลัวให้ลึกลงไปถึงในจิตวิญญาณของผม ประทับตรานั้นไว้ไม่เลือนหาย



“ใจเย็นๆ เด็กน้อย มันผ่านไปแล้ว ตอนนี้เธออยู่กับฉัน ไม่มีใครทำอะไรเธอได้ทั้งนั้น” ดราโกปลอบโยนผมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง เสียงของเขามันชวนให้ผมอุ่นใจและสามารถสงบใจได้อย่างรวดเร็ว



“ขอโทษนะครับ” ผมซบหน้าลงกับไหล่กว้างของดราโกอย่างถือวิวาสะ ผมรู้สึกชอบน้ำเสียงของเขาและอ้อมกอดของเขานะครับ มันทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น



“เธอจำเหตุการณ์ได้ทุกอย่างเลยใช่ไหม” ดราโกถามขึ้นมาพอผมตัวสั่นเขาก็ปลอบโยนผมอยู่ข้างๆ



“ครับ” เพราะผมมีความจำดีตั้งแต่เด็ก เรื่องทุกอย่าง เหตุการณ์ทุกอย่างผมยังคงจดจำได้ไม่เคยลืม



“หลังจากนี้เธอต้องการทำอะไรคริสติน” เขายังถามผมต่อ ผมนิ่งไปซักพักเพื่อรวบรวมสติ



“ผมจะหยุดยั้งคาโซ่ให้ได้ครับ”



“งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นฉันก็พร้อมจะช่วยเธอเช่นกัน” ร่างสูงของชายหนุ่มโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ และประทับจุมพิตบนริมฝีปากผมอย่างแผ่วเบา ขบเม้ม หยอกล้อจนผมเผลอไผลไปตามการชักนำของผู้ชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว เหมือนจุมพิตของดอนแห่งคอลิโอเน่ครั้งนี้คือคำสัญญาที่มอบไว้ให้กับผม ว่าต่อให้ทางข้างหน้าจะเจออะไรก็ตาม เขาก็พร้อมจะปกป้องผมอยู่เสมอ ให้ผมได้ปลอดภัยภายใต้การคุ้มครองดูแลจากชายคนนี้



และเหมือนดราโกจะรู้ว่าผมคิดอะไร เขาจึงยิ่งเน้นย้ำดิ่งลึกลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ กวาดต้อนหยอกเย้าริมฝีปากของผมอย่างดื่มด่ำ ขยับเคลื่อนไหวร่างกายแนบกระชับแทบจะกลืนกิน ปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ขว้างกั้นจนแผ่นอกขาวของผมเปิดเผยต่อสายตาพราวระยับของเขา



“เผลอไม่ได้เลยนะครับ” ผมก้มหน้าหลบสายตาของชายหนุ่ม “คุณนี่หื่นเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ”



“หึหึ ฉันอยู่ในช่วงวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่านนะเด็กน้อย” ประโยคของเขาที่ตอบผมพร้อมน้ำเสียงติดขำขันนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ยส่งให้เขา



“ลุงหื่น” ผมกระซิบเบาๆ ฮอร์โมนพลุ่งพล่านอะไรกัน เลยวัยแล้วมั้งครับรายนี้



“ฉัน...ไม่...ใช่...ลุง” คำแต่ละคำที่เขาเน้นย้ำ ก็บดจูบลงมาตามคำที่เขาพูดอย่างหนักหน่วง ผมตกใจส่งเสียงประท้วงและลงมือทุบไหล่ดราโกแรงๆ แต่เขาก็เหมือนแกล้งผมเท่านั้น เห็นผมทำหน้าตาตื่นก็นั่งขำและช่วยผมใส่เสื้อเหมือนเดิม



“เล่นเป็นเด็กๆ เลยนะครับ” ผมประท้วงด้วยคำพูด



“ก็เธอเป็นเด็กนี่ ฉันก็ต้องเด็กตามเธอหน่อย แต่ฉันจะบอกให้เธอรู้ไว้นะเด็กน้อย ว่าเด็กเขาไม่เล่นแบบนี้กัน” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของดราโกนั้นเจ้าเล่ห์จนไม่น่าไว้วางใจเลยครับ แต่เขาก็ยอมนั่งกอดผมเฉยๆ อย่างนั้น แต่นานๆ ทีก็มาคลอเคลียตรงกลุ่มผม ซุกไซ้ตรงซอกคอ และหอมแก้มผมไปเรื่อยๆ เหมือนเขาเห็นผมเป็นตุ๊กตาเลยนะครับ กอดผมแน่นไม่ยอมปล่อยเลย “สบายใจขึ้นรึยัง”



ผมชะงักเมื่อได้ยินดราโกถามขึ้นมา ผมพยักหน้า ตอนนี้ผมรู้สึกสบายใจและหายหวาดกลัวแล้วครับ แสดงว่าที่เขาทำกับผมเมื่อซักครู่คงต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของผมจากเหตุการณ์ในอดีต ผมมองเขาด้วยความขอบคุณและซาบซึ้ง



“อีกไม่นานคนที่ฉันนัดไว้คงใกล้มาถึงแล้ว ฉันอยากให้เธอมาร่วมวางแผนด้วยกันกับฉัน” ดราโกพูดขึ้นหลังจากพวกเรานั่งอยู่เงียบๆ กันซักพักหนึ่ง



“ผมหรือครับ?” ผมเอียงศีรษะและมองเขาด้วยความสงสัย



“ใช่ อย่างน้อยที่ฉันหวังไว้คือเธอสามารถเผชิญหน้ากับความกลัวได้อย่างกล้าหาญ ถึงตอนนี้จะไม่ได้ก็ยังไม่เป็นไร แต่ซักวันความกลัวของเธอก็จะไม่มีผลอีกต่อไป” ชายหนุ่มพูด



“ผมก็หวังไว้อย่างนั้นนะครับ"



“ตอนนี้เธอก็กล้าหาญแล้วล่ะเด็กน้อย แต่มันยังไม่เพียงพอเธอก็น่าจะรู้ ฉันจึงอยากคอยช่วยเหลือเธออยู่ข้างๆ ถ้ากลัวก็อย่าลืมว่าเธอยังมีฉันอยู่ ถ้าเธออยากจะชนะความกลัว ก็ต้องจัดการพวกมันให้ได้ อยากน้อยถ้าเธอเป็นส่วนหนึ่ง ความกล้าของเธอก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” ดราโกโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ชายหนุ่มแนบหน้าผากลงมาสัมผัสกับหน้าผากของผม ความอบอุ่นและอ่อนโยนของดราโกนั้นทำให้ผมนึกแปลกใจ ใบหน้าที่เย็นชาเจ้าเล่ห์ของเขาดูอ่อนโยนขึ้นมาก ผมไม่รู้ว่าบรรยากาศระหว่างเรามันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ความรู้สึกแบบนี้มันก็ไม่เลวเลยนะครับ



“ขอบคุณครับดราโก ผมจะต้องทำให้ได้แน่นอนครับ” ผมไม่ใช้คำว่าพยายาม เพราะคำว่าพยายามผลสุดท้ายจะสำเร็จหรือไม่ก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ แต่ผมต้องทำให้ได้ครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมต้องทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ เพื่อตัวของผมเอง และคนรอบๆ ข้างที่หวังดีกับผมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อหรือแด๊ดดี้เอริค



และสำหรับผู้ชายคนนี้...ดราโก คอลิโอเน่ ใจลึกๆ ของผมก็หวังว่าในอนาคตเขาก็ยังพร้อมจะคอยช่วยเหลือและอยู่ข้างๆ ผมเหมือนกับที่เขาบอกผมไว้นะครับ เพราะผมคิดว่าการมีเขาอยู่ข้างๆ มันทำให้ผมอุ่นใจและมั่นใจว่าผมจะผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้อย่างแน่นอน ผมหวังว่าในอนาคตต่อไปที่จะถึงนี้ ผมจะมีความกล้าที่จะหันไปมองเขาเหล่านั้น มองผู้ชายที่เป็นดั่งฝันร้ายในอดีตด้วยสายตาที่มุ่งมั่นไร้ซึ่งความกลัว และเอ่ยถามในสิ่งที่ผมค้างคาอยู่ในใจมาตลอดสิบปี



ผมอยากจะถามเขาว่า...ทำไมครับ ทำไมถึงต้องทำร้ายพวกเราขนาดนี้?







หลังจากที่ผมและดราโกได้พูดคุยเปิดใจกันไปแล้ว ผมรู้สึกได้ว่าอะไรบางอย่างระหว่างเรามันกำลังเปลี่ยนไป ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ผมรู้สึกไว้วางใจผู้ชายคนนี้มากขึ้น เหมือนว่าระหว่างเราสองคนมีสายใยอะไรบางอย่างกำลังถักทอขึ้นอย่างช้าๆ ผมรู้สึกอุ่นใจมากยิ่งขึ้นเมื่อมีเขาอยู่ข้างๆ และมั่นใจว่าผมจะผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้ด้วยดี



ก็อก ก็อก



“ขออนุญาตครับดอน” เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงของคาลอส ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มเดินเข้ามาภายในห้องหลังจากที่ดราโกเอ่ยอนุญาตเรียบร้อยแล้ว ผมเงยหน้าจากบ่าของดราโกอย่างรวดเร็ว และทันเห็นสายตาประหลาดใจปนล้อเลียนจากคาลอสที่ส่งมาให้ ผมเลยพึ่งรู้สึกตัวว่าตอนนี้ผมยังนั่งอยู่บนตักของดราโกอยู่เลยครับ



“อ๊ะ ขอโทษครับ” ผมก้มหน้างุดหนีสายตาพราวระยับจากเจ้าของตัก และรีบร้อนลงจากตักของชายหนุ่มพร้อมกับเดินหนีไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวข้างๆ แทน



“หึหึ คืนนี้คงนอนหลับฝันดีซินะครับดอน” คาลอสเอ่ยแซวดอนแห่งคอลิโอเน่ทันทีเมื่อชายหนุ่มนั่งลงตรงโซฟาเดี่ยวอีกตัวซึ่งอยู่ตรงข้ามกับผมพอดีครับ



“หึ” ดราโกหัวเราะในลำคอเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป



“ระวังนะครับคริสติน ดอนไว้ใจไม่ค่อยได้อยู่ด้วย” ชายหนุ่มร่างโปร่งฉีกยิ้มกว้างพลางยักคิ้วอย่างสนุกสนาน ผมเห็นด้วยกับคาลอสเช่นกันครับ



“นั่นซิครับ คืนนี้ผมไปนอนกับคุณด้วยได้ไหมครับ” ผมพยักหน้าและเอียงศีรษะถามคาลอส ดวงตาของผมมองไปทางเขาด้วยสายตาที่แกล้งคาดหวัง เพราะผมรู้ดีว่าดราโกไม่มีทางยินยอมแน่นอนครับ แต่ผมแค่อยากจะแกล้งคาลอสเท่านั้นเอง ถือว่าเอาคืนเรื่องที่เขาแซวเมื่อซักครู่แล้วกันนะครับ



“อ๊ะ เออ ผมว่า...ผมไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่น่ะครับคริสติน ขอโทษด้วยครับ” มือซ้ายของคอลิโอเน่ชะงัก น้ำเสียงตะกุกตะกักขึ้นมาทันที ผมเห็นดวงตาภายใต้กรอบแว่นดูลุกลี้ลุกลน มองมาทางผมสลับกับดราโกอย่างเห็นได้ชัด



“น่าเสียดายจังเลยนะครับ” ผมแสร้งทำเสียงเศร้าและขมวดคิ้วเล็กน้อยให้ดูสมจริง ผมคิดว่าตั้งแต่ผมแสดงละครครั้งใหญ่ให้สไนเปอร์คนนั้นได้ฟัง ความสามารถของผมก็ดูจะก้าวหน้าขึ้นนะครับ ผมคงจะมั่นใจมากขึ้นถ้าไม่ติดว่าหางตาของผมแอบเหลือบไปเห็นรอยยิ้มขำตรงมุมปากของดราโกเต็มๆ



“คาลอส นายรู้ไหมว่านายเข้ามาขัดจังหวะ” จู่ๆ ดราโกก็หันไปเล่นงานมือซ้ายของตัวเองทันที “ถ้าเหตุผลของนายไม่ดีพอ ฉันจะไม่ให้นายลาพักร้อนเลยตลอด 3 ปี”



น้ำเสียงของดราโกจริงจังมากจนคาลอสสะดุ้งและยกมือดันแว่นกรอบเหลี่ยมให้ขึ้นไปอยู่บนสันจมูก ท่าทางกวนๆ ขี้เล่นเมื่อซักครู่เปลี่ยนเป็นเอาการเอางานและดูเคร่งขรึมจริงจังในทันที



“ขออภัยครับดอน อีกซักครู่จะถึงเวลานัดกับทางอัลเบอร์โตแฟมิลี่แล้วครับ ผมจองห้องอาหารส่วนตัวของโรงแรมไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ จาคอปเคลียร์สถานที่และตรวจเช็คความปลอดภัยเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”



ท่าทางของคาลอสที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทำให้ผมนึกทึ่งอยู่ในใจ รวดเร็วและน่าชื่นชมมากเลยครับ แบบนี้รึเปล่านะที่คุณพ่อเคยบอกว่า คนเราต้องอยู่ให้เป็น ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว



“มาเถอะ” ร่างสูงของดราโกผุดลุกขึ้นและหันมาบอกผม



“ครับ?” ผมมองเขากลับด้วยความงุนงง



“ฉันจะพาเธอไปนั่งคุยด้วยกัน” ดราโกยื่นมือมาฉุดผมให้ลุกขึ้นยืน มือหนาของชายหนุ่มจูงมือผมเดินออกไปทางประตูหน้าห้องที่มีคาลอสเป็นคนเปิดประตูให้ ผมที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ต้องเอ่ยถามเขาขึ้นมาอีกครั้งให้แน่ใจ



“ผมไปด้วยจะดีเหรอครับ”



“อืม” เขาตอบกลับสั้นๆ ก้มหน้ามองผมที่ความสูงอยู่แค่อกของเขาเท่านั้น คิ้วเข้มของดราโกเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม



“คุณไปคุยงานนะครับ จะให้เด็กอย่างผมไปด้วยจะดีเหรอครับ อีกอย่างผมแต่งตัวแบบนี้คงไม่เหมาะสม” ผมบอกเขา ชี้ให้เขาเห็นว่าผมกำลังใส่แค่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น ผมเผ้าชี้ฟูยุ่งเหยิงนิดๆ และรองเท้าผ้าใบสีสันแสบตา ดูยังไงก็เหมือนคุณพ่อพาลูกมาเที่ยวเลยนะครับ



“ไม่เป็นไรหรอก เขาเป็นคนรู้จักของฉันเอง” ดราโกเอื้อมมือมาจัดแต่งทรงผมให้ผมเล็กน้อย จนทรงผมที่เคยยุ่งเหยิงดูเรียบร้อยมากขึ้น เขายิ้มอย่างพอใจและก้มลงมาจุตพิตหน้าผากผมแรงๆ ด้วยความหมั่นเขียวหนึ่งที “น่ารักแล้วเด็กน้อย”



“ขอบคุณครับ” ผมลูบหน้าผากตรงที่เขาจูบผมเมื่อซักครู่เบาๆ หลบสายตาพราวระยับของเขาเล็กน้อย



“อะแฮ่มๆ” เสียงกระแอมไอดังมาจากคาลอสอีกเช่นเคยครับ ชายหนุ่มยืนยิ้มกริ่มส่งยิ้มกวนๆ มาให้อีกครั้ง เขาคงลืมไปแล้วว่าเมื่อซักครู่ดราโกพึ่งคาดโทษเขาไว้



“ใบลาพักร้อนของนายฉันไม่อนุมัติ” นั่นไงครับ ดราโกยื่นคำขาดและจูงมือผมเดินผ่านหน้าคาลอสที่ช็อคอ้าปากค้างไปแล้ว ผมรู้ว่ามันเสียมารยาทนะครับ แต่ผมก็รู้สึกอารมณ์ดีที่เห็นใบหน้าแบบนั้นปรากฏแทนที่สีหน้ากวนๆ ของเขา



ตอนนี้ดราโกและผมเดินมาถึงห้องอาหารส่วนตัวที่จองเอาไว้แล้วครับ ด้านหน้าของห้องมีจาคอปและบอร์ดี้การ์ดอีกสี่ห้าคนยืนเฝ้าระวังความปลอดภัยอยู่ ภายในห้องนั้นดูหรูหราและผ่อนคลาย ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกบานใหญ่ที่สามารถเห็นทะเลสาปคาโมได้อย่างชัดเจน กลางห้องมีโต๊ะทานข้าวและเก้าอี้ทั้งหมดสี่ตัว ใกล้ๆ หน้าต่างมีชุดโซฟาเล็กๆ ไว้ให้น่ังผ่อนคลายชื่นชมวิวที่สวยงาม



บรรยากาศสบายๆ แบบนี้ทำให้ผมถอนลมหายใจ รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเพราะผมกังวลเรื่องการแต่งกายของตัวเองมากครับ อัลเบอร์โตแฟมิลี่ที่คาลอสพูดถึงก่อนหน้านี้ พวกเขาคือแฟมิลี่อันดับต้นๆ ของอิตาลี ผมเคยหาข้อมูลผ่านตามาคร่าวๆ พบว่าเป็นแฟมิลี่ที่มีรายได้มาจากการทำธุรกิจเกี่ยวกับคาสิโนเป็นหลัก แหล่งรายได้หลักอยู่ทางแถบทวีปเอเชีย คอลิโอเน่และอัลเบอร์โตจึงไม่ทับเส้นทางการค้ากัน แต่ที่ผมแปลกใจคือการนัดพบครั้งนี้มากกว่าครับ ผมไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะสนิทสนมและเป็นพันธมิตรกัน



พวกเราใช้เวลานั่งรอเพียงไม่นาน คาลอสที่เป็นทั้งมือซ้ายและเลขาให้กับแฟมิลี่ ก็เป็นคนเดินไปต้อนรับแขกถึงด้านหน้าโรงแรม ผมรู้สึกตื่นเต้นจนฝ่ามือชื้นเหงื่อ ผมไม่คิดเลยว่าแผนการของผมจะดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ ไม่คาดคิดเลยแม้แต่น้อยว่าจะมีแฟมิลี่ใหญ่ถึงสองแฟมิลี่มาให้ความร่วมมือในการโค่นล้มอำนาจของคาโซ่



แอ๊ด



เสียงเปิดประตูและเสียงเชื้อเชิญอย่างสุภาพนอบน้อมของคาลอสทำให้ผมหันไปมอง ผมเห็นชายร่างสูงใหญ่พอๆ กับดราโกเดินก้าวเข้ามาพร้อมรังสีกดดันบางอย่าง ผู้ชายคนนั้นมีใบหน้าหล่อเหลา ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่า และดวงตาคมกริบสีเขียวมรกต บรรยากาศรอบๆ ตัวเขาเหมือนกับของดราโกเลยครับ แต่ทางอัลเบอร์โตคนนี้ดูเจ้าเล่ห์ร้ายกาจและขี้เล่นอย่างชัดเจน ถ้าเปรียบเทียบระหว่างสองคนนี้ ผมคิดว่าดราโกเหมือนซาตานในเงามืดที่แสนร้ายกาจ ส่วนเขาคนนี้เหมือนราชห์สีที่กำลังเก็บกรงเล็บรอขย้ำเหยื่อมากกว่า



และแดเนียล อัลเบอร์โตก็ไม่ได้มาเพียงลำพัง ข้างกายของชายหนุ่มมีชายอีกคนหนึ่งเดินตามมาด้วยเช่นกัน เพียงแต่ผู้ชายคนนั้นเป็นชายชาวเอเชีย อายุยี่สิบกว่าๆ มีดวงตาสีดำทรงเสน่ห์และเรือนผมสีดำเงางาม ท่าทางของเขามันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ถ้าผมจำไม่ผิด ผมต้องเคยพบผู้ชายคนนี้มาก่อนแน่นอนครับ เพราะตอนนี้หัวใจของผมมันเริ่มเต้นอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ไหนกันนะ ผมเคยพบเขาที่ไหน?





...........................................



สวัสดีค่ะ วันนี้ไรต์นำตอนใหม่มาลงให้ค่า ตอนนี้ปมในอดีตของน้องก็จะค่อยๆทยอยออกมาเรื่อยๆนะคะ อยากฝากนักอ่านทุกท่านเอาใจช่วยน้องกันด้วยนะคะ 

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่า





หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 18 เศษเสี้ยวจากอดีต 2 (31.08.18)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 02-09-2018 11:15:34
คนที่มากับอัลเบอร์โต ใช่พี่คนนั้นในอดีตของน้องไหมนะ? (เดาล้วนๆ)
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 18 เศษเสี้ยวจากอดีต 2 (31.08.18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 02-09-2018 19:22:42
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 18 เศษเสี้ยวจากอดีต 2 (31.08.18)
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 02-09-2018 20:32:39
 :a5: ค้างอย่างแรงงงง
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 18 เศษเสี้ยวจากอดีต 2 (31.08.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 02-09-2018 22:20:30
มาจุใจ..สงสารน้อง..งงงงงง ดอนดูแลน้องด้วย  :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 18 เศษเสี้ยวจากอดีต 2 (31.08.18)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 03-09-2018 01:20:27
งุ้ยยยย ลุงหื่นนนน
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 18 เศษเสี้ยวจากอดีต 2 (31.08.18)
เริ่มหัวข้อโดย: PPYK287 ที่ 15-10-2018 20:27:30
ฉันมารอพี่ที่ท่าน้ำทุกวันเลยนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 19 จดจำ (06.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 06-11-2018 13:52:28
บทที่ 19 จดจำ



สายตาของผมจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวและท่าทางของผู้ชายคนนั้นโดยที่ไม่สามารถละสายตาได้ ความสนใจของผมตอนนี้ตกไปที่ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนนั้นทันทีตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาภายในห้อง มันคุ้นเคยจนผมหวั่นใจ ความทรงจำบางอย่างเหมือนจะแจ่มชัดมากขึ้น แต่เพราะผมไม่อยากจะนึกถึงเรื่องใดใดก็ตามที่ทำให้ผมต้องตกอยู่ในห้วงอดีต ผมจึงรีบละสายตาจากผู้ชายคนนั้นและหันไปสนใจแดเนียล อัลเบอร์โตแทน



ดอนแห่งอัลเบอร์โตทักทายดราโกอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง แต่ผมก็ยังรู้สึกถึงพลังอำนาจที่แผ่ออกมาไม่หยุด สองคนนี้เขาข่มกันไม่ลงเลยครับ น่ากลัวกันคนละแบบ พวกเขาทักทายกันพอเป็นพิธี ทั้งดราโก แดเนียล และผู้ชายเอเชียคนนั้น แต่สำหรับผม ผมกลับพยายามนั่งอยู่เงียบๆ ไม่เข้าไปแนะนำตัวหรือร่วมสนทนาใดๆ แต่ก็ยังไม่รอดพ้นดวงตาสีมรกตของเขาอยู่ดี



“โอ๊ะ นายขโมยเด็กคนนี้มาจากไหนเนี่ย” แดเนียล อัลเบอร์โต ดอนแห่งอัลเบอร์โตเอ่ยเย้าแหย่ พลางหันมาสำรวจผมเต็มๆ ตา เพราะคำทักของเขาจึงทำให้สายตาทุกคู่ที่อยู่ในห้องหันมามองผมเป็นตาเดียว แววตาของชายหนุ่มที่จับจ้องมาทางผมมันดูแปลกประหลาด แววตาวูบไหวเป็นประกายชั่วครู่ก่อนจางหายไป



“หึ แถวมิลาน” และดราโกก็ตอบตามความเป็นจริง ใช่ครับ ผมถูกดราโกลักพาตัวมามิลานก่อนที่ผมจะนั่งรถไฟหนีข้ามประเทศไป พอคิดถึงตอนนี้ผมก็เหลือบตามองดราโกและคาลอสเล็กน้อยอย่างคาดโทษและหมายจะหาโอกาสเอาคืนพวกเขาซักครั้ง ผมว่าสำหรับคาลอสโทษห้ามลาพักร้อนสามปีมันน้อยไปนะครับ แต่สำหรับดราโก ผมก็ไม่รู้จะหาโอกาสเอาคืนเขายังไงดี กลัวแต่ว่าแกล้งเขาไปแล้ว ตัวผมจะแย่ซะเองมากกว่า



“หนุ่มน้อย เธอโดนซาตานหน้าตายล่อลวงมาใช่ไหม” น้ำเสียงกวนๆ พร้อมรอยยิ้มมุมปากของเขาดูร้ายกาจกว่าคาลอสหลายเท่า ร่างสูงใหญ่ของเขาดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับดราโกและนั่งลงอย่างไม่ต้องรอใครเชื้อเชิญหรือเอ่ยอนุญาต ผมดึงความสนใจหันกลับมามองที่เขา เพราะยังติดใจแววตาประหลาดของเขาไม่หาย



“ผมโดนลักพาตัวมาครับ” ผมตอบคำถามชายหนุ่มทันที ร่างสูงของแดเนียลและผู้ชายชาวเอเชียต่างหัวเราะชอบใจ เพียงแต่ว่าดอนแห่งอัลเบอร์โตหัวเราะอย่างเปิดเผย แต่ชายเอเชียที่ผมไม่รู้จักชื่อหัวเราะในลำคอเบาๆ เก้าอี้ที่ว่างหนึ่งที่ตรงหน้าของผมก็ถูกเขาจับจอง รอยยิ้มเปิดเผยจริงใจถูกส่งมาให้ผมอย่างเป็นมิตร ผมเพียงก้มศีรษะทักทายพวกเขาเท่านั้นแต่ไม่ได้เอ่ยแนะนำตัวหรือเข้าไปมีส่วนร่วมในบทสนทนาใดใดมากกว่านี้



“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่นายตกอับหาแฟนไม่ได้จนต้องขโมยเด็กมาเป็นลูกบุตรธรรมแล้วเรอะ” คำพูดของแดเนียลดูกวนและเย้าแหย่ดอนแห่งคอลิโอเน่ พวกเขาดูไม่สนใจการกระทำที่ไร้มารยาทของผม แต่เพราะประโยคของแดเนียลกลับทำให้ดราโกคิ้วกระตุก “เฮ้ พวก ฉันล้อเล่นน่า อย่าทำหน้าบูดอย่างนั้นซิ”



ผมเลิกคิ้วหันไปมองที่ดราโกทันที อ๊ะ จริงด้วยครับ ปกติเขาจะเก็บอารมณ์เก่งมาก แต่สงสัยจะโดนจี้ใจดำ อย่างดราโกเองก็คงคิดมากเรื่องอายุหรือคนรักเหมือนกันซินะครับ



“หึ” ดราโกแค่กระตุกยิ้มแต่ไม่ตอบคำถามของดอนแห่งอัลเบอร์โตเลยครับ พวกเขาดูสนิทสนมกันมากเลยทีเดียว เพราะบรรยากาศรอบๆ ตัวของชายหนุ่มผ่อนคลายมากขึ้นกว่าปกติ



“ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยซินะหนุ่มน้อย ฉันแดเนียล อัลเบอร์โต” ชายหนุ่มดวงตาสีมรกตหันมาหาผมพร้อมกับยื่นมือมาทักทาย



“ผมนอร์แมนครับ” ผมยื่นมือไปสัมผัสกับเขาพร้อมกับเอ่ยแนะนำตัว ผมเลือกที่จะปิดบังชื่อของผมเพราะผมยังไม่แน่ใจในหลายๆ เรื่องเกี่ยวกับพวกเขา ยิ่งกับดอนอัลเบอร์โต ระวังตัวไว้ก่อนก็ไม่เสียหายครับ และดูเหมือนว่าแดเนียลก็น่าจะรู้เช่นกัน ดวงตาของเขาเหมือนกำลังสำรวจผมและมองหาความจริงอะไรบางอย่างที่ผมซ่อนไว้



“เหมือนแมวน้อยขี้ระแวงเลยนะ” รอยยิ้มประหลาดอ่านยากปรากฏขึ้นตรงริมฝีปากของเขา



“ขอบคุณครับ” ผมตอบรับคำชมของเขาแบบด้านๆ ซึ่งนั่นกลับทำให้แดเนียลชอบใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม



“คุณหัวเราะเกินไปแล้วนะครับ” ชายเอเชียผมดำข้างๆ หันไปตำหนิดอนแห่งอัลเบอร์โตเล็กน้อย แต่เมื่อเขาหันมามองผมชัดๆ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง และภายในแววตาของเขามันก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ฉันชื่อจีน ไอรา ยินดีที่ได้รู้จักนะนอร์แมน”



มือเรียวยาวของเขายื่นมาตรงหน้า แต่มือของผมที่กำลังจะเอื้อมไปสัมผัสมือของชายหนุ่มชาวเอเชียคนนั้นกลับชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินชื่อของเขาอย่างชัดเจน



จีน ไอรา



ใบหน้าของชายชาวเอเชียนั้นดูสวยหวาน ดวงตาเรียวเปล่งประกายพราวระยับ น้ำเสียงไพเราะ รอยยิ้มงดงาม และชื่อที่มีความหมาย ผมค้างอยู่ในท่านั้นซักครู่ด้วยความตกใจกับชื่อที่ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะได้ยินอีกครั้ง แต่นั่นก็เพียงครู่เดียว ผมรีบดึงสติกลับมา สูดหายใจเข้าลึกๆ และเพ่งสมาธิเพื่อไม่ให้มือของผมสั่นเทา แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าผมได้ยื่นมือไปทำความรู้จักกับเขาเรียบร้อยแล้ว เขายิ้มมาให้ผมอย่างไม่ติดใจสงสัย แต่เป็นผมเองที่ไม่กล้าสัมผัสมือนี้นาน ไม่กล้าเงยหน้าสบตากับเขา และผมพยายามทำทุกอย่างให้ปกติที่สุด



“เอาล่ะ ดราโก เข้าเรื่องเถอะ” แดเนียลพูดขึ้นมาหลังจากที่พวกเราแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อย ผมนั่งตัวตรงและหันไปเพื่อฟังรายละเอียด ผมพยายามไม่สนใจฝ่ามือที่ชื้นเหงื่อของผม ไม่สนใจเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำรัวเร็ว ไม่แม้กระทั่งสบตากับใครเพราะกลัวพวกเขาจะเห็นแววตาสั่นไหวของผมที่ปรากฏอย่างชัดเจน



“ที่ฉันเรียกนายมาคุยวันนี้เพราะอยากขอความร่วมมือจากทางอัลเบอร์โต” น้ำเสียงเคร่งขรึมของดราโกเอ่ยขึ้น



“เกี่ยวข้องกับพวกคาโซ่รึเปล่า” ดอนผู้เปรียบดั่งราชสีห์กล่าวเข้าประเด็นตรงจุดในทันที ดราโกพยักหน้าเล็กน้อย



“ใช่ ตอนนี้คาโซ่มีการเรียกประชุมแฟมิลี่ทั่วทั้งอิตาลีเพื่อพูดถึงภัยคุกคามพวกเรา จดหมายที่ได้รับมาคือกำหนดการประชุมอาทิตย์หน้าพอดี” น้ำเสียงจริงจังของดราโกพูดขึ้น แต่ทันทีเมื่อชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีทองสวยพูดจบ ใบหน้าของแดเนียลก็เคร่งขรึมทันที พร้อมกับจีนชายชาวเอเชียที่ขมวดคิ้วมุ่น



“ที่คุณพูดว่าภัยคุกคาม แสดงว่าคุณรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือครับ” น้ำเสียงนุ่มของจีนเอ่ยถาม



“น่าจะรู้อยู่เต็มอกเลยล่ะ บางทีคนที่อยู่เบื้องหลังคงเป็นคอลิโอเน่ด้วยล่ะมั้ง” ดอนแห่งอัลเบอร์โตเอ่ยประชดอย่างรู้ไส้รู้พุงเพื่อนคนนี้ดี



“หึหึ” แค่ได้ยินเสียงหัวเราะของดราโก ผู้เป็นแขกทั้งสองคนก็รับรู้และเข้าใจในทันที



“จุดประสงค์ของนายคืออะไรดราโก” ชายผมสีน้ำตาลหยักศกหรี่ดวงตาสีมรกตลงเล็กน้อยเพื่อเพ่งมองหาความจริงในดวงตาสีทองของชายหนุ่ม ดวงตาคมดุคู่นั้นไม่เปิดเผยอารมณ์ใดใด กลับดูนิ่งลึกและยากจะคาดเดา



“ลบ ชื่อ พวก มัน” แต่แค่คำตอบสั้นๆ ที่ได้รับ ก็ทำให้บรรยากาศภายในห้องอาหารส่วนตัวเงียบสงัด ดวงตาสองคู่ของผู้นำแฟมิลี่ทั้งสองต่างจ้องมองเพื่อหาความจริงจากแววตากันและกัน



“เพราะอะไร” แดเนียลยังคงถามต่อ เพราะเหตุการณ์ที่ดราโกต้องการจัดการแฟมิลี่หนึ่งจนสิ้นซากขนาดนี้มันดูผิดปกติเกินไป เพราะปกติแล้วแต่ละแฟมิลี่จะมีเขตอิทธิพลและเขตดูแลเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน ธุรกิจที่ครอบคลุมและดูแลอยู่ก็พยายามไม่ทับเส้นกันและกัน แต่ดราโกกลับต้องการจัดการพวกคาโซ่แสดงว่าต้องมีเหตุการณ์บางอย่างที่ร้ายแรงเกิดขึ้นแน่นอน



“ฉันเกือบเสียท่าให้พวกมัน” ดวงตาสีทองเย็นเยียบและมีแต่ความเย็นชา “พวกมันคิดจะขยายธุรกิจและต้องการเส้นทางการค้าอาวุธ การประชุมวันนั้นมีคนส่งข่าวให้พวกมันรู้ ทั้งคาโซ่และหนอนบ่อนไส้ที่ร่วมมือกัน ฉันจะลากมันออกมาและกำจัดพวกมันให้หมดซะ”



“หึ น่าสนุกดีนะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของแดเนียลประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาสีมรกตพราวระยับด้วยความตื่นเต้น “ไม่ได้ร่วมมือกับนายจริงจังขนาดนี้ก็หลายปีแล้วนะ”



“นั่นซิ ครั้งนี้ก็สนุกให้เต็มที่เถอะ” รอยยิ้มและบรรยากาศรอบๆ ตัวของพวกเขาดูไม่น่าไว้ใจ แค่ผมเหลือบตามองก็รู้สึกหนาวเยือกแล้วครับ ไม่อยากจะคิดเลยว่าเหตุการณ์หลังจากนี้จะวุ่นวายมากมายขนาดไหน ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่คาดคิดเลยซักนิดครับว่าเรื่องราวของผมมันจะใหญ่โตและดึงหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องมากมายขนาดนี้ เรื่องแผนของพวกเขาผมคิดว่าพวกเขาคงรอดูสถานการณ์หลังจากที่เข้าร่วมประชุมใหญ่กับคาโซ่เรียบร้อยแล้ว รู้เขารู้เรา คงต้องดูท่าทีจากคาโซ่ก่อนถึงจะรู้ว่าควรวางแผนขั้นต่อไปยังไง



หลังจากฟังพวกเขาพูดคุยรายละเอียดและเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ซักพัก ผมก็ละความสนใจจากสิ่งที่พวกเขาพูดคุย ตอนนี้เรื่องราวบางอย่างมันดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนผมตามไม่ทัน ผมอยู่กับคอลิโอเน่มาพักใหญ่ ซึ่งตลอดเวลาที่ผมพักอยู่กับดราโกผมถูกปิดหูปิดตา ข่าวสารต่างๆ ถูกระงับและผมไม่สามารถรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เลย จนผมต้องพยายามที่จะหาทางนำคอมพิวเตอร์ออกมาและติดต่อหาข่าวสารให้ตัวเองได้รับรู้บ้าง



ถึงแม้ครั้งแรกผมจะพลาดและทำให้พวกเขาไหวตัวทัน แต่เพราะความผิดพลาดนั้นมันทำให้ผมฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ คาโซ่แฟมิลี่ถูกผมสืบข้อมูลมาจนครบทุกอย่าง ทุกการค้า ทุกธุรกิจ ทุกรายได้ของพวกเขาผมรู้หมด คาโซ่เป็นแฟมิลี่ที่มีเครือข่ายกว้างขวางและมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังมากมาย รายชื่อของผู้ร่วมขบวนการถูกผมสืบทราบมาจนครบ แต่มีแค่คนเดียวที่ผมตามหาไม่พบเสียที



ผมไม่ทราบชื่อ แต่จำได้แค่หน้าตาของเขาเท่านั้น ถึงแม้จะเจาะลึกหาลงไปจนครบทุกคนที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ผู้ชายคนนั้นกลับเหมือนปริศนาในเงามืด เหตุการณ์บนเรือในตอนนั้นเขาเป็นถึงบุคคลสำคัญที่ได้รับการคุ้มครองและการดูแล มีสิทธิ์ มีอำนาจเทียบเท่ากับดอนแห่งคาโซ่ ผมคิดว่าพวกเขาคือหุ้นส่วนกัน แต่ผู้ชายคนนั้นก็ฉลาดและรู้จักระมัดระวังตัว ไม่เหลือหลักฐานใดใดหรือสิ่งยืนยันตัวตนที่จะสาวถึงตัวได้เลย



ตอนนี้ผมเหลือทางเลือกไม่กี่ทางในการตามหาตัวเขาให้พบ วิธีที่รวดเร็วที่สุดคือตามหาผ่านทางคาโซ่ ใช้พวกเขาเป็นบันไดในการเปิดโปงผู้ชายคนนั้น แต่เพราะเรื่องของผมไม่ใช่แค่ผมอีกต่อไป คาโซ่แฟมิลี่สร้างศัตรูมากเกินไป โลภมากเกินไป กระหายอำนาจเงินทองมากเกินไป แม้แต่ดอนแห่งคอลิโอเน่อย่างดราโก พวกเขาก็คิดจะกำจัด กระตุกปีกซาตานจนเขาลงมาเล่นเกมส์ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นแผนการของดราโกและแดเนียลที่ช่วยกันคิดอยู่นั้น ผมจะคอยช่วยเหลือเมื่อพวกเขาต้องการ แต่เป้าหมายที่แท้จริงของผมคือการเผยคนที่ยืนอยู่ในเงามืดมาตลอดคนนั้นให้ปรากฏตัว



แผนการของผมจะเป็นแผนการที่คอยช่วยพวกเขา แต่มันก็จะเป็นแผนที่จะลากผู้ชายคนนั้นออกมาเช่นเดียวกัน ผมนั่งฟัง และในความคิดของผมก็ร่างแผนการไว้เช่นกัน แผนง่ายๆ ที่ผมมองข้าม แต่ผมคิดว่ามันต้องได้ผลแน่นอน หลังจากนี้ผมคงต้องปรึกษากับคุณพ่อ แด๊ดดี้เอริค และคงต้องขอคำแนะนำจากดราโก เพราะพวกเขามีประสบการณ์มากกว่าผมและคงมองเห็นช่องโหว่ของแผนการได้อย่างแน่นอน



ผมที่นั่งอยู่เงียบๆ มาตลอด เมื่อแผนที่คิดไว้ค่อนข้างน่าพอใจ สายตาของผมก็เผลอเลื่อนไปสำรวจผู้ชายชาวเอเชียที่ชื่อจีน ไอรา คนนั้นอย่างเงียบๆ แม้จะผ่านมาสิบปี แต่ผู้ชายคนนี้กลับเปลี่ยนไปมาก ตัวโตขึ้น ตัวสูงขึ้น ผมยาวขึ้น เค้าโครงใบหน้าเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ดวงตาและรอยยิ้มยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผมภาวนาขอให้หลังนี้เขาก็ไม่สามารถจดจำผมได้ แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของแต่ละคนน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ยิ่งจำได้ก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งทรมาน



“เราจะเข้าร่วมประชุมกับคาโซ่ก่อน ดูว่าพวกมันวางแผนยังไงต่อไป เราจะได้กลับมาวางแผนการขั้นต่อไปของเรา” น้ำเสียงทุ้มของดราโกยังคงราบเรียบ แต่ก็สรุปประเด็นสำคัญและวางแผนไว้อย่างชัดเจน พวกเขาปรึกษากันมาพักใหญ่ ดูท่าทางสนุกสนานและให้ความสนใจพร้อมร่วมมือ โดยเฉพาะจีน ไอราที่ดูสนอกสนใจมากเป็นพิเศษ ผมหลับตาลงเพื่อปิดตาหนีภาพตรงหน้า



“นายดูจริงจังกับแผนการนี้มากกว่าปกตินะดราโก ไม่เคยเห็นนายมาร่วมเล่นเกมส์ด้วยตัวเองตั้งนาน มีเหตุผลอะไรนอกเหนือจากนั้นรึเปล่าซาตาน” รอยยิ้มหยอกเย้าที่แฝงแววรู้ทันของแดเนียลทำให้ดวงตาสีทองของชายหนุ่มเลื่อนมามองทางผม แต่เพราะผมหลับตาอยู่จึงไม่ได้เห็นสายตาทั้งสามคู่ที่เลื่อนมาจับจ้องที่ตัวผมคนเดียว



“โอ๊ะ อย่างนี้นี่เอง” ดอนแห่งอัลเบอร์โตเลิกคิ้วขึ้นมอง จากตอนแรกที่เขาแนะนำตัวและให้ความสนใจผมเพียงชั่วครู่ ตอนนี้กลับหันมาพิจารณาผมอย่างจริงจัง “เรื่องครั้งนี้คงมีเธอเป็นผู้เสียหายด้วยซินะ พอเล่าให้ฟังหน่อยได้รึเปล่า”



ดวงตาของผมลืมขึ้นและหันไปสบตากับเจ้าของดวงตาสีมรกตทันที ทั้งเขาและผมสบตากันโดยที่ไม่มีใครละสายตาก่อน เหมือนพยายามล้วงลึกหาความจริงบางอย่างจากตัวผม ร่างสูงของเขาเริ่มโน้มเอนมาใกล้ผมเรื่อยๆ บรรยากาศระหว่างเราและภายในห้องเปลี่ยนเป็นกดดันและน่าอึดอัด



ป๊าป



“อย่ายุ่งแดน เด็กคนนี้นายแตะต้องไม่ได้ และเรื่องของเขานายก็ไม่ต้องอยากรู้ขนาดนั้น” ดราโกยื่นมือไปผลักหน้าของแดเนียลทันทีเมื่อเข้าเริ่มยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้จนชายหนุ่มไม่สบอารมณ์ อาการหวงจนออกนอกหน้าของดราโกจึงกลายเป็นจุดสนใจของแดเนียลและจีนทันที



“หึหึ เด็กคนนี้น่าสนใจจริงๆ เลยนะ ทำให้ซาตานหน้าตายอย่างนายหวงได้ขนาดนี้” แดเนียลเอ่ยแซวดราโก จีนก็ยิ้มกริ่มส่งสายตารู้ทันไปให้ชายหนุ่ม



“ฉันหวง และนายไม่ต้องมายุ่ง” ดราโกใช้ดวงตาคมดุของเขาเป็นการเตือน แดเนียลจึงยกสองมือเป็นเชิงยอมแพ้ และจะไม่ก้าวก่ายสืบลึกมากกว่านี้ และนั่นทำให้ผมโล่งอกมากเลยครับ เรื่องของผม ผมไม่อยากให้เขารู้เลยซักนิด



“ฮ่าฮ่า ฉันก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกนะ แต่แผนการของเรานายก็ไม่ควรให้เด็กคนนี้เข้ามาร่วมด้วยซิ” ดอนแห่งอัลเบอร์โตรู้สึกสนุกที่เห็นเพื่อนออกอาการอย่างนี้ครั้งแรก แต่เพราะเขาคงคิดว่าผมเด็กเกินไป จึงไม่ควรมาร่วมแผนการหรือรับรู้เหตุการณ์เลวร้ายใดใดที่อาจเกิดขึ้น ผมคิดว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะครับ



“นั่นซิครับ ผมว่าเขายังเด็กเกินไป ไม่ควรพาเขาเข้ามาเจออันตรายนะครับ” จีนพูดขึ้น ดวงตาเรียวของเขามองมาทางผมด้วยความเป็นห่วง แต่ในแววตาของเขามันกลับมีประกายตาแบบหนึ่งที่ผมไม่อยากจะยอมรับความจริง



“ที่นายให้เขามาร่วมด้วย คงพราะส่วนหนึ่งก็คงเกี่ยวข้องกับเด็กคนนี้ไปเต็มๆ เลยซินะ” เจ้าเล่ห์ หว่านล้อม และพูดได้ตรงประเด็นจริงๆ ครับคนๆ นี้



“...” ดราโกไม่ตอบอะไร และผมก็ไม่คิดพูดอะไรเช่นกันครับ ซึ่งผมรู้ว่าตอนนี้ตัวของผมไม่ปกติ กำลังกังวลและไม่อยากเป็นจุดสนใจ เพราะตั้งแต่เริ่มการปรึกษาหารือในครั้งนี้ ผมพูดโต้ตอบกับแดเนียลแค่ประโยคเดียวเท่านั้น และหลังจากนั้นผมก็ไม่พูดอีกเลย



“พวกนาย...ดูสนใจเด็กคนนี้มากเลยนะ” ดวงตาสีทองของดราโกเย็นเยียบและแฝงความไม่พอใจ “ถึงพวกนายจะคุยกับฉัน แต่ความสนใจของพวกนายกลับตกอยู่ที่เขา”



และเพราะคำพูดของดราโกทำให้ร่างกายของผมเกร็งสะท้าน ก้มหน้าลงต่ำปิดบังดวงตาสั่นไหว



“ฉันก็แค่สงสัยน่ะ ว่าทำไมหนุ่มน้อยคนนี้ถึงมีหน้าตาคล้ายกับจีน เค้าโครงหน้าเหมือนกันจริงๆ” ดวงตาสีมรกตหรี่ลงและยอมพูดในที่สุด “ถ้าเธอเป็นผู้เสียหายที่เกิดกับคาโซ่ บางทีเธออาจจะเคยเห็นจีนก็ได้ ว่าไงนอร์แมน ฉันอยากรู้จังเลย”



น้ำเสียงล่อลวงเจ้าเล่ห์ของเขามันดูร้ายกาจ ประโยคของแดเนียลทำให้ผมชาไปทั้งตัว และเพราะประโยคของเขาจึงทำให้จีนหันมามองผมทันที ดวงตาเรียวของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังบางอย่าง ผมขอถอนคำพูดได้ไหมครับที่บอกว่าเขาเป็นคนดี แท้จริงแล้วเขาสงสัยผมมาตลอดเลยมากกว่า



“ธะ เธอ...” จีนเสียงสั่น คล้ายกับเขาจะถามอะไรผมบางอย่าง แต่ผมก็พูดตัดบทของเขาและหันไปมองดอนอัลเบอร์โตแทน



“ทำไมครับ” ผมถามเขากลับพยายามเบี่ยงประเด็นความสนใจ



“จีนเป็นหนึ่งคนที่เป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์น่ะ มาอยู่กับฉันได้สิบปีแล้วมั้ง” แดเนียลยกยิ้ม เอื้อมมือไปรั้งไหล่ของชายหนุ่มเอเชียเข้ามาแนบชิดคล้ายปลอบประโลม แสดงถึงความสนิทสนมของพวกเขาอย่างชัดเจน “ว่าไง สนใจแลกเปลี่ยนข้อมูลกันไหม ดูเธอสนใจจีนอยู่เหมือนกันนี่นา เห็นมองเขาตลอดเลย”



“เหรอครับ” ผมพูดสั้นๆ และไม่คิดจะถามอะไรต่อ ดวงตาเลื่อนหลบภาพนั้นไปอย่างไม่สนใจ



“เฮ้ หนุ่มน้อย เธอพูดแค่นี้เนี่ยนะ” และท่าทางของผมก็ทำให้ดอนแห่งอัลเบอร์โตโวยวายขึ้นมาทันที “เฮ้ ดราโก เด็กนายจะแปลกไปแล้วนะ นี่มันไร้อารมณ์ชัดๆ นายเอาหุ่นยนต์เด็กนี่มาจากไหนเนี่ย”



“มิลาน” คำตอบเดิมของดราโกถูกนำมาใช้อีกครั้ง ท่าทางหน้าตายของผมและดราโกคงทำให้แดเนียลหงุดหงิดไม่ใช่น้อยเลยครับ เขาทำหน้ามุ่ยยกมือขยี้ผมสีน้ำตาลอย่างหงุดหงิด ถึงแม้ว่าดราโกจะตอบคำถามของแดเนียลสั้นๆ แต่ผมก็สังเกตเห็นว่าดวงตาสีทองของเขากลับเต็มไปด้วยอันตรายที่กวาดตามองพวกเขาอย่างระมัดระวัง คำพูดของแดเนียลคงทำให้ดราโกสงสัย และก็ค้นพบความคล้ายคลึงบางอย่างระหว่างผมกับจีน



“พวกนายนี่กวนเหมือนกันจริงๆ แต่นอร์แมน ฉันถามเธอจริงๆ นะ ที่ฉันยอมช่วยคอลิโอเน่เพราะต้องการช่วยเหลือจีนเหมือนกัน” จู่ๆ แดเนียลก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที



“ช่วยเหลืองั้นเหรอ?” ดราโกเอ่ยถาม



“ใช่ จีนตามหาน้องชายอยู่ ฉันก็เลยสงสัยว่านอร์แมนเป็นน้องของจีนรึเปล่า หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ ตอนแรกก็ยังไม่มั่นใจ แต่พอรู้ว่าเกี่ยวข้องกับคาโซ่ก็เลยคิดว่าน่าจะมีหวัง” แดเนียลบอกสิ่งที่ค้างคาสงสัยในใจทันที พวกเขาคงจะสงสัยตั้งแต่เห็นหน้าผมครั้งแรกและซินะครับ แต่ก็อดทนรอพูดคุยหารือในเรื่องที่สำคัญและเป็นธุระในวันนี้ก่อน



“ขอโทษแทนแดเนียลด้วยนะนอร์แมน แต่ฉันกำลังตามหาคนอยู่น่ะ นะ น้องชายของฉัน อะ เอง” น้ำเสียงของจีนแม้อ่อนโยนแต่ก็ฟังดูเศร้าสร้อย ปลายหางเสียงสะอื้นเล็กน้อย แววตาคู่นั้นของจีนที่มองมาทางผมมันเต็มไปด้วยความห่วงหาอาลัยอาวรณ์



ดราโกเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย ชายหนุ่มรู้เพียงแค่ว่าจีนเป็นเหยื่อที่แดเนียลได้ช่วยเหลือไว้เท่านั้น รายละเอียดเบื้องลึกเขายังไม่เคยทราบ แต่ท่าทางของจีนมันเริ่มทำให้เขาเริ่มตระหนักถึงความจริงบางอย่าง



“น้องของผมตอนเราพลัดหลงกันเขาอายุแค่ 5 ขวบ ชื่อ อลัน ไอรา” ชื่อที่เขาพูดขึ้นมามันกลับทำให้ผมขบเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อข่มอารมณ์ เล็บจิกลงบนกลางฝ่ามือ เกร็งแน่นจนขึ้นข้อขาว “นะ น้องของ ผะ ผมหน้าตาน่ารักมากเลยนะ ดวงตาสีน้ำตาล ผมก็สีน้ำตาล มีรอยยิ้มน่ารักสวยงาม เหมือนเทวดาตัวน้อยๆ ละ เลยครับ”



ยิ่งพูด เสียงของชายชาวเอเชียก็สะอื้นหนักขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาคลอหน่วยจวนเจียนจะหยาดหยดไหลอาบแก้ม



“หน้าตาของเธอเหมือนกับจีนตอนเด็กมาก” คำพูดของแดเนียลยิ่งทำให้ชายชาวเอเชียสะอื้นหนักขึ้นจนตัวโยน น้ำตามากมายรินไหล และเอื้อมมือสั่นเทาออกมาหาผมตรงหน้า



“เธอคืออลันใช่ไหม อะ อลัน อลัน จำพี่ได้ไหม” แต่ก่อนที่มือเรียวขาวข้างนั้นจะสัมผัสที่ใบหน้าของผม ผมที่ก้มหน้านิ่งมานานก็ผุดลุกขึ้นยืน ผละถอยออกห่างจากมือข้างนั้นที่เอื้อมมาหา



“ขอโทษครับ คุณคงจำคนผิดแล้ว” ผมตอบเสียงเรียบ ข่มความหวาดหวั่นซ่อนให้ลึกที่สุด “ดราโกครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”



ผมหมุนตัวเตรียมเดินหนีไปทันที แต่กลับถูกรั้งต้นแขนไว้เพราะจีนรีบโถมตัวมาคว้าผมเอาไว้แน่น ใบหน้าของเขาทั้งดีใจทั้งทุกข์ตรม และกำลังร่ำร้องเรียกชื่อผมซ้ำไปมา



“อลัน อลัน อลัน อลัน อลัน พี่เอง พี่เองอลัน น้องจำพี่ได้ไหม พี่เอง” เสียงของเขาแหบพร่า สั่นเครือ สะอื้นหนักจนตัวโยน ผมนิ่งค้างอยู่ท่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่อยากขยับหนี แต่เพราะเขาฉุดรั้งผมไว้อย่างแน่นหนา รีบเดินอ้อมโต๊ะมากอดผมไว้แน่นทั้งตัว ความอบอุ่นจากอ้อมกอดที่ได้รับอย่างไม่คาดคิดนี้ทำให้ผมหลับตากัดฟันแน่น และยกมือผลักเขาอย่างแรงจนร่างของจีนผงะถอยหลังไปไกล



“ขอโทษนะครับ ผมขอตัว” ผมหันหลังเดินหนีจากไป ผลักไสมือที่พยายามไขว่คว้าผมเอาไว้อย่างเต็มกำลัง



“มะ ไม่ ไม่ อลันๆ ฟังพี่ก่อน ได้โปรด อลัน” แต่จีนก็ไม่ละความพยายาม วิ่งมาเพื่อต้องการคว้าตัวผมไว้ แต่เขากลับเจอกำแพงสูงใหญ่ เมื่อดราโกลุกขึ้นมายืนขวางทางและจับร่างของจีนเหวี่ยงข้ามตัวกระแทกลงโต๊ะจนนอนแผ่หลา



“เฮ้ย ดราโก” เสียงคำรามของแดเนียลดังลั่น รีบลุกขึ้นไปดูจีนที่นอนหงอตัวอยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มร่างสูงที่พึ่งจัดการเหวี่ยงคนไปหยกๆ หมุนตัวก้มลงมามองผมที่ยืนหลบอยู่ข้างหลังเขา ใบหน้าของผมซีดเซียวและดูไม่สู้ดี ดวงตาของดราโกทอดมองผมอย่างอ่อนโยน และก้มลงจุมพิตผมที่หน้าผาก



“กลับไปรอฉันที่ห้อง เดี๋ยวฉันตามไป” น้ำเสียงอ่อนโยนของเขากระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู ผมเม้มปากแน่นและพยักหน้า “อย่าร้องเด็กดี รอฉัน”



แม้กระทั่งตอบเขาผมยังไม่มีแรง ตอนนี้ผมอยากจะออกไปจากห้องอาหารให้เร็วที่สุด ปิดประตูและซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม หลับไปซักตื่นหนึ่ง เผื่อเหตุการณ์ในตอนนี้มันจะเป็นเพียงแค่ฝันเท่านั้น



“คาลอสพาคริสตินกลับห้อง” ดวงตาสีทองเย็นเยียบและน้ำเสียงแข็งกระด้างของชายหนุ่มทำให้คาลอสรีบพาผมออกไปอย่างรวดเร็ว



“ไม่ ไม่ ไม่ อลัน อลัน” เสียงร่ำร้องของจีนนั้นฟังดูแทบขาดใจ ร่างโปร่งรีบร้อนลงจากโต๊ะโดยมีแดเนียลคอยช่วยประคอง “อลัน อลัน อลัน”



ร่างสูงใหญ่ของดราโกยืนขวางอยู่ตรงหน้าประตู ดวงตาของเขาเย็นชานิ่งเงียบ และเฝ้ามองชายเอเชียร้องไห้แทบขาดใจ เฝ้ามองเพื่อนของเขาเข้าไปปลอบประโลมและโอบกอดราวเด็กน้อย แววตาของจีนเจ็บปวดทุกข์ทรมาน และแววตาของแดเนียลเฝ้ามองด้วยความเป็นห่วง



“สงบสติอารมณ์ และอธิบาย” น้ำเสียงของดราโกเย็นชามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมันก็เพียงพอที่จะทำให้คนอีกสองคนภายในห้องได้สติ



.............................................



สวัสดีค่ะ ไรท์นำตอนใหม่มาให้นักอ่านทุกท่านแล้วค่า เป็นตอนที่เปิดตัวละครอีกหนึ่งตัวที่มีความสำคัญกับคริสตินในอดีตอีกคนหนึ่งค่ะ จีน ไอรา นั่นเองค่า มีใครเดาถูกกันบ้างมั้ยคะว่าจีนกับคริสตินมีความสัมพันธ์กันยังไง และที่มาที่ไปล่ะ เอ๊ะ ยังไง? ยังค่า ยังไม่ถึงเวลาเฉลย 5555 ต้องรอตอนหน้านะคะ ^^





หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 20 ปกป้อง (06.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 06-11-2018 13:54:41
บทที่ 20 ปกป้อง



แม้ประตูบานใหญ่จะปิดกั้นระหว่างห้องอาหารและทางเดินไปแล้ว แต่ผมก็ยังยืนนิ่งงันอยู่หลังบานประตูไม่ขยับไปไหน เพราะร่างกายของผมถูกเสียงร้องไห้และเสียงเรียกชื่อของเขาตรึงไว้นิ่ง



“อลัน อลัน ได้โปรด อลัน” เสียงสั่นเครือและแหบพร่าของเขามันเสียดแทงลึกเข้าไปในใจ ผมเจ็บ แต่ความเจ็บนี้กับสิ่งที่ผมเคยได้รับมันไม่เท่าไหร่เลย เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าไม่เจอเขาอีกจะดีที่สุด เขาไม่จำเป็นต้องมารับรู้เรื่องราวของผม ไม่ต้องมารับรู้ถึงเหตุการณ์เลวร้ายหลังจากที่เขาจากไป จากผมไปโดยไม่หันกลับมาหาผมอีกเลย



เจ็บไหม ผมเจ็บมาก



ผิดหวังไหม ผมผิดหวัง



แต่ถ้าถามผมว่าแค้นไหม ไม่เลยครับ



เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกจากไป ทิ้งเด็กคนหนึ่งไว้กับขุมนรกในตอนนั้น เขาไม่ผิด มันเป็นทางเลือกของเขาเอง ต่อให้เขามีเหตุผลอะไรมากมายในการกระทำของเขาในครั้งนั้น เขาก็ไม่ผิด แต่ผมก็ไม่สามารถจะกลับไปยิ้มได้อีกแล้ว ไม่สามารถกลับไปหาอ้อมกอดที่เคยกล่อมผมหลับได้อีกต่อไป



ผมมาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปแล้ว มันเหมือนกับว่าถ้าผมกลับไปหาเขา พูดกับเขาว่า สวัสดีครับจีน ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ผมคงทำไม่ได้แน่นอน จะให้ผมลืมเหตุการณ์ในอดีต ฝังมันให้ลึก ผมทำไม่ได้ ผมต้องตามหาเขาคนนั้นให้เจอ ต้องทำให้เขารับโทษในสิ่งที่เขาเคยได้รับ



‘พี่ครับ อีกนิดเดียว’



ผมหลับตาแน่น รวบรวมสติ สูดหายใจเข้าลึกๆ และใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของผมก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ทิ้งเสียงร้องไห้ปานขาดใจไว้เบื้องหลัง รวบรวมแรงใจเดินกลับไปที่ห้องนอนชั้นบนสุดของโรงแรม ผมเงียบนิ่งงันอยู่ในภวังค์ แม้แต่คาลอสที่เดินมาส่งผม ผมก็ไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งผมมาหยุดอยู่หน้าห้องนอน



“ไหวไหมครับคริสติน” เสียงทุ้มของคาลอสเต็มไปด้วยความห่วงใย ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อที่เขาเรียก คริสติน



นั่นซิครับ ตอนนี้ผมคือคริสติน ไม่ใช่อลัน ไม่ใช่อลัน ไอรา อีกต่อไป ผมคือคริสติน คริสติน นอร์แมน



“ขอบคุณที่มาส่งครับคาลอส ผมขออยู่คนเดียวนะครับ” ผมตอบเขาโดยที่มือยังจับอยู่ที่ลูกบิดและไม่ได้หันไปมองชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย



ผมเปิดประตูเข้าไป และเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าตู้ใหญ่ที่อยู่ในห้องแต่งตัว จัดการรื้อข้าวของกระเป๋าเดินทางและเสื้อผ้าออกมาจนหมด ก่อนจะเดินเข้าไปหลบภายในตู้เสื้อผ้าที่มืดมิดนั้น ผมนั่งลงที่มุมตู้โดยนั่งชันเข่าและซบหน้าลงไป กอดขาตัวเองไว้แน่น ผมหลับตา ให้ความมืดล้อมรอบตัวและปิดกั้นทุกความรู้สึกให้จมดิ่งลงไป







เสียงสะอึกสะอื้นยังคงดังออกมาจากชายหนุ่มชาวเอเชียผมดำสนิทอยู่เป็นระยะ ดวงตาเรียวคู่นั้นบวมแดงเพราะร้องไห้อย่างหนัก ร่างโปร่งสะอื้นซุกอยู่ในอ้อมอกของแดเนียล โดยมีชายหนุ่มร่างสูงกอดปลอบประโลมอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน คงมีเพียงดวงตาสีทองดุที่จับจ้องพวกเขาทั้งคู่อยู่เงียบๆ เท่านั้น ที่คอยเฝ้ามองทุกการกระทำและรอคอยพวกเขาอย่างสงบ



ดราโกนั่งมองพวกเขาเงียบๆ อยู่ตรงโซฟาข้างหน้าต่างบานใหญ่ แม้ชายหนุ่มจะไม่พูดอะไรและใช้เพียงดวงตาคมคู่นั้นจับจ้อง เพียงแค่นี้ก็ทำให้บรรยากาศภายในห้องอาหารกดดันจนแทบหายใจไม่ออก นิ่งเงียบ รอคอย ไร้คำพูด แต่ทำให้ทั้งสองคนที่ตกอยู่ในโลกส่วนตัวค่อยๆ รู้สึก และหันไปมองซาตานคนนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน



แดเนียล อัลเบอร์โตกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ถึงแม้ดราโกจะเป็นเพื่อน และเป็นพันธมิตรของอัลเบอร์โต แต่ก็ไม่ใช่บุคคลที่จะต่อกรง่ายๆ ท่าทางการนั่ง ดวงตาคมที่เฝ้ามอง บรรยากาศที่เจ้าตัวแผ่ออกมาโดยไม่รู้ตัว ก็เพียงพอสำหรับชื่อและสมญานามที่ได้รับ ซาตาน และดูเหมือนซาตานคนนี้จะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ผิดกับเมื่อครู่ที่มีเด็กคนนั้นอยู่ใกล้ลิบลับ



“จีน ลุกขึ้นมาเถอะเด็กดี” แดเนียลประคองร่างโปร่งที่ตัวเล็กกว่าเขาครึ่งศีรษะให้ลุกขึ้นยืนและพามานั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับดราโก “เอาน้ำหน่อยไหม เธอร้องไห้จนเสียงหายไปหมดแล้ว”



“มะ ไม่เป็นไรครับ ขะ ขอบคุณ” ใบหน้าที่อาบน้ำตาพยายามใช้แขนเสื้อเช็ดเป็นเด็กๆ จนดูน่าขัน แต่ตอนนี้ดราโกไม่มีอารมณ์จะมาหัวเราะเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้เขาต้องการรู้ทุกเรื่อง ทุกเรื่องของคริสตินจากปากของจีน เหตุการณ์บ้าบออะไรที่มันเกิดขึ้น จนเทวดาตัวน้อยของเขาไม่อยากพูดถึง ไม่อยากยุ่งเกี่ยว หรือแม้กระทั่งผลักไสคนที่อาจจะเป็นพี่ของตัวเองออกไป



“เล่ามาได้แล้วจีน” น้ำเสียงของดราโกเย็นชา ดวงตาคมกริบสีทองหรี่ลงส่อแววอันตราย



“ขะ ขอผมเจออลันได้ไหมครับ ผมอยากคุยกับน้อง ได้ ดะ ได้โปรดเถอะครับดราโก” แต่จีนที่ยังไม่รับรู้ถึงอันตรายนั้นยังคงร่ำร้องอ้อนวอนขอเจอคริสตินต่อไป



“เด็กคนนั้นไม่อยากเจอเธอ” ดราโกพูด “และฉันไม่ต้องการให้เธอไปพบเขาเช่นเดียวกัน”



“ทะ ทำไม ครับ” ดวงตาคู่งามฉายร่องรอยเจ็บปวดร้าวราน มือเรียวกำแน่นและน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาอีกครั้ง



“จนกว่านายจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟัง ทุกอย่าง” ดราโกย้ำคำพูดสุดท้าย เขาเอนหลังพิงโซฟานุ่มและรอชายหนุ่มเอเชียเล่าเรื่องราว แต่จีนก็ยังอ้ำอึ้ง อึกอักและไม่รู้จะเริ่มเล่าเรื่องราวยังไง “ฉันมีความอดทนไม่มากนักจีน นายน่าจะรู้ดี”



ดวงตาสีทองตวัดมองไปยังแดเนียลทันที ดอนแห่งอัลเบอร์โตรู้จักดราโกดี และรู้ว่าเขาไม่มีความอดทนมากนัก ยิ่งกับเรื่องของเด็กคนนั้นที่น่าจะเป็นคนสำคัญของเจ้าตัวด้วยแล้วล่ะก็ ถ้าช้ามากไปกว่านี้ จีนอาจจะไม่ได้พบกับน้องชายอีกเลยก็ได้



“จีน เล่าเถอะ” ชายหนุ่มโอบไหล่ร่างโปร่งไว้แน่น เพื่อส่งผ่านกำลังใจ ชายเอเชียผมดำเงางามที่แม้ตอนนี้จะยุ่งเหยิงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังดูงดงามและน่าทะนุถนอม เขาพยักหน้าและเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตที่แสนเจ็บปวดและเต็มไปด้วยความทุกข์ตรม ดวงตาเเรียวสีดำเหม่อมองออกไปยังที่ไกลแสนไกล ย้อนเรื่องราวในวันวานออกมาอีกครั้ง







ย่านเมืองท่องเที่ยวชื่อดังแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย เมืองแห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องการท่องเที่ยวในยามราตรี สำหรับบุรุษมากหน้าหลายตาที่ต้องการพักผ่อนและหาความหฤหรรษ์ในกามารมณ์ทุกรูปแบบ คลับ ผับ บาร์มากมายตามถนนสายราตรีมักดึงดูดให้เหล่าชายวัยฉกรรจ์ทั้งหลายเข้ามาเลือกสรรได้ตามแต่ใจต้องการ ร้านค้าหรูหรา ตึกหรูสวยงาม ก็เป็นเพียงฉากบังหน้าที่คอยปิดบังความโสมมและเสื่อมโทรมของคนที่ทำงานในย่านนี้ไว้เท่านั้น



ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ผมเป็นเพียงเด็กอายุสิบสามปีคนหนึ่งที่เกิดมาจากแม่ที่เป็นผู้หญิงขายบริการ ถึงจะไม่ได้ให้การศึกษา ไม่ได้ให้ความรัก แต่ก็ยังให้ที่พักอาศัยและของกินเพื่อประทังชีวิต จีน ไอรา คือชื่อของผมที่แม่ตั้งให้จากการจับฉลากของเพื่อนๆ ร่วมอาชีพของแม่ด้วยความสนุกสนาน สถานที่แห่งนี้ไร้ซึ่งความรัก แต่ก็ยังดีที่แม่ยังยินยอมให้ผมลืมตามาเห็นโลกที่แสนสกปรกน่ารังเกียจใบนี้



ผมโดนใช้แรงงานเยี่ยงทาสตั้งแต่ลืมตาดูโลก ล้างห้องน้ำ ซักผ้า ล้างจาน เป็นเด็กรับใช้อยู่ในคลับหรูที่แม่ทำงานขายเรือนร่างอยู่ วันๆ ของผมหมดไปกับการทำความสะอาดสิ่งเปรอะเปื้อนและคาวกามทั้งหลายของพวกเขาที่เข้ามาหาความสุข ผมไม่รู้ว่าตัวผมเองโชคดีหรือโชคร้ายเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นที่เกิดมาจากแม่ที่ทำอาชีพนี้ บางคนกลายเป็นเด็กมีปัญหา กลายเป็นเด็กขายยา หรือแม้กระทั่งถูกบังคับให้มาค้าบริการตั้งแต่เยาว์วัย



หึ ถึงผมจะพูดอย่างนั้นก็ตาม แต่ผมก็คิดว่าตัวผมโชคดีกว่าเด็กเหล่านั้นอยู่บ้าง เพราะคลับแห่งนี้มีกฏชัดเจนว่าผู้ที่เข้ามาทำงานที่คลับแห่งนี้ ต้องบรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น นั่นคือความโชคดีของผม แต่พูดถึงความโชคร้าย นั่นคือผมก็ต้องออกรับแขกเช่นเดียวกัน แต่งานรับแขกของผมคือผมต้องนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงแค่นั้น จะมีลูกค้าบางประเภทที่ชื่นชอบเด็กหนุ่มๆ อยากจะกระทำย่ำยีและสำเร็จความใคร่ พวกเขาจึงเลือกผมให้ออกมาทำงาน แต่เพราะกฏของคลับทำให้ผมยังไม่ถูกแตะต้อง



หน้าที่ของผมคือเดินเข้าไปในห้อง ถอดเสื้อผ้า และนอนลงบนเตียง คอยทำท่าทางตามที่ลูกค้าสั่งทุกอย่าง บางคนก็ชอบให้ผมนอนมองอยู่เฉยๆ หรือให้ผมนอนชันขาเปิดเปลือยทุกสัดส่วนให้ลูกค้าเห็น คว่ำหน้าบ้าง นอนบนโต๊ะบ้าง นั่งบนเก้าอี้บ้าง หรือแม้แต่แต่งชุดคอสเพลแปลกๆ ก็มีเหมือนกัน ผมต้องทำตามคำสั่งของลูกค้าทุกอย่าง โดยลูกค้ามีเพียงเงื่อนไขเดียวคือห้ามแตะต้องหรือสัมผัสตัวผม พวกเขาจะทำได้เพียงแค่มองผมอย่างหื่นกระหาย และสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเท่านั้น แต่จะปลดปล่อยลงบนตัวผมยังไงก็ได้



“อ๊า ฮึก จีน จีน แฮ่ก แฮ่ก” วันนี้ก็เป็นเหมือนเช่นทุกวันที่ผมต้องมารับลูกค้า ดวงตาที่ควรใสบริสุทธิ์ของเด็กคนหนึ่งกลับดูเฉยเมยและชินชากับเรื่องพวกนี้ ชายคนนี้เป็นแขกประจำของผมที่มาหาผมสัปดาห์ละสองสามครั้ง เขารูดรั้งอาวุธประจำตัวจนแดงก่ำ เสียงครวญครางรัญจวนใจของเขาดังก้องไปทั่วห้อง “มองฉัน จีน มองฉัน”



เขาสั่ง ผมก็ต้องทำ ดวงตาไร้แววของผมมองไปที่เขานิ่งๆ แต่เพราะสายตาของผมที่ตวัดมองเขากลับทำให้ชายหนุ่มกระตุกเกร็งและปลดปล่อยออกมาโดนใบหน้าของผมที่ต้องยื่นมาจดจ่ออยู่ใกล้ๆ และปลดปล่อยให้มันรินรดอาบย้อมใบหน้าของผมไปเรื่อยๆ



“จีน จีน ฉันชอบเธอ ฉันชอบเธอ รอฉันนะๆ รอเธอโตเมื่อไหร่ เธอจะเป็นของฉัน” น้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยอารมณ์ใคร่ของเขามันน่ารังเกียจ งานแบบนี้มันทำให้ผมชินชา โลกที่ผมอยู่มันมืดมนไร้แสงสว่าง เมื่อหมดเวลางานผมก็พาร่างกายสกปรกนี้ไปจัดการคราบไคล อาบน้ำให้สะอาดมากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้



ผมกลับมาที่ห้องพักของผมกับแม่ แต่ห้องพักแห่งนี้ผมกลับยึดครองมันเพียงลำพังมาเกือบปี จู่ๆ แม่ก็หายไป ไม่มีการบอกกล่าวใดใด เพื่อนคนอื่นของแม่ต่างพูดว่าน่าอิจฉา เห็นว่ามีฝรั่งมารับเลี้ยง ซื้อตัวแม่ระยะยาว แต่เพราะชีวิตของผมก็ต้องอยู่เพียงลำพังมาเนิ่นนาน ผมจึงไม่รู้สึกอะไรที่ไม่ได้พบแม่ แต่แล้ววันหนึ่งแม่ก็กลับมา พร้อมห่อผ้าเล็กๆ ที่อุ้มไว้ในวงแขน



“แม่ครับ?” ผมเงยหน้ามองใบหน้าของแม่ด้วยความประหลาดใจ ไม่นึกว่าแม่จะกลับมา ผมแทบจะลืมไปแล้วว่ามีแม่เหมือนคนอื่นๆ เช่นกัน



“จีน แกอยู่ก็ดีแล้ว เอ้า” แม่ที่เดินเข้ามาหาผมพร้อมห่อผ้านั้นทำให้ผมสงสัย ผมลุกขึ้นยืนและรับห่อผ้านั้นมา “นี่น้องแก ดูแลมันด้วยล่ะ”



น้อง? ดวงตาเรียวของผมเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าห่อผ้าในมือคือเด็กคนหนึ่งที่ตัวเล็กมาก ผิวขาวผ่อง มีผมสีน้ำตาลอ่อนและดวงตากลมโต เด็กคนนั้นมองเห็นผมก็ยิ้มหวานส่งเสียงหัวเราะคิกคัก เผยลักยิ้มทั้งสองข้างที่น่ารักมาก น่ารัก น่ารัก เด็กคนนี้น่ารักที่สุด



“แม่” ผมเงยหน้ามองแม่ที่ถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่ชุดชั้นใน เดินเอนไปมาและล้มตัวลงนอนบนเตียง “แม่ฮะ น้อง น้องชื่ออะไร”



“อลัน” แม่พึมพำตอบแบบขอไปที และซุกหน้ากับหมอนหลับไป ผมก้มมองเด็กน้อยที่ยังคงยิ้มกว้างส่งมาให้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แปลกใจ ตกใจ หรือความรู้สึกที่มันเต็มตื้นในหัวใจนี้เขาเรียกว่าอะไรกันนะ?



แต่เมื่อเด็กคนนั้นยื่นมือไขว่คว้าทั้งสองแขนขึ้นมา ผมก็เอื้อมมือไปจับเด็กน้อยคนนั้นเอาไว้ มือเล็กๆ กำแน่นที่นิ้วชี้ของผม ร้องอ้อแอ้ ยิ้มกว้างจนตาแทบปิด แต่แค่ความอบอุ่นเล็กๆ นี้ที่จับนิ้วมือของผมไว้ กลับทำให้โลกของผมสว่างไสวและสวยงาม



“อลัน อลัน อลัน” ผมพึมพำเรื่องชื่อของน้องชายเบาๆ เรียกชื่อซ้ำไปมาเพื่อสลักลงไปในใจ เด็กคนนี้คือน้องของผม น้องของผมที่แสนน่ารักและเป็นแสงสว่างให้ผม เทวดาตัวน้อยของผม เด็กที่แสนบริสุทธิ์คนนี้ เป็นน้องของผม



“อลัน พี่ชื่อจีนนะ จากนี้ไปพี่จะดูแลน้องเอง” ผมเอ่ยคำสัญญา ผมจะดูแลน้องของผมเอง จะไม่ทอดทิ้ง จะดูแลไม่ห่างไปไหน ในที่แห่งนี้ที่แสนจะสปรกโสมม พี่จะไม่ให้น้องจะเปรอะเปื้อน ไม่ให้น้องต้องทุกข์ใจ พี่คนนี้จะดูแลน้องเอง



ผมเลี้ยงดูอลันตามลำพังตั้งแต่น้องยังตัวเป็นเด็กทารก แต่อลันเป็นเด็กน่ารักที่ว่านอนสอนง่าย ฉลาดเฉลียว ไม่งอแง ถ้าผมต้องไปรับแขก น้องก็จะยอมนอนรออยู่ที่ห้อง นั่งอ่านหนังสือที่เพื่อนๆ ของแม่นำมาให้อยู่เงียบๆ ไม่ดื้อ ไม่ซน อลันยิ่งโตยิ่งน่ารัก น้องหน้าตาไม่เหมือนแม่แม้แต่น้อย เพราะเด็กน้อยได้เชื้อฝรัั่งจากพ่อมาเยอะมาก จึงทำให้อลันเป็นเด็กผิวขาว แก้มแดงอมชมพู และมีดวงตากับเส้นผมสีน้ำตาลสวย



เพื่อนของแม่หลายคนชื่นชอบอลันเพราะเด็กน้อยคนนี้น่ารัก ขี้อ้อนและยิ้มเก่ง แต่เพราะน้องน่ารัก ผมเลยนึกกลัว ผมกลัวว่าเมื่ออลันโตขึ้น เขาอาจจะต้องมารับลูกค้าแบบที่ผมเจอ ผมจึงต้องไปหาเจ้าของคลับ ขอร้องและอ้อนวอนเขา ไม่ให้อลันต้องเจอเรื่องแย่ๆ แบบนั้น ให้อลันเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาต่อไป อยู่ในโลกที่สวยงามต่อไป เพราะคำอ้อนวอนของผมเจ้าของคลับเลยตกลง โดยผมจะรับงานเป็นสองเท่าแทนในส่วนของอลัน ไม่เป็นไร ผมยอม เพื่อน้อง ผมยอม



แต่ถึงแม้ผมจะพยายามปกป้องอลันขนาดไหน ผมก็ไม่นึกว่าคนที่ได้ชื่อว่า แม่ จะเป็นคนผลักไสเราทั้งสองคนให้ไปเจอกับขุมนรกบนดิน แม่ติดหนี้ที่มาจากการพนันเป็นจำนวนมหาศาล แม่จึงหลอกผมและอลันไปขายให้พ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อ พวกเขาเป็นแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติ ผมและอลัน ถูกขายและจับขังอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ตู้หนึ่ง จากมนุษย์กลายเป็นแค่สินค้าที่ถูกตัดสินราคาค่างวดว่าเป็นสินค้าเกรดเอ



สินค้าเกรดเอคือสินค้าที่ไม่ควรมีตำหนิ แตะต้องไม่ได้ อาหารการกินต้องครบสามมื้อ เจ็บป่วยต้องดูแล พวกเราสองคนถูกดูแลอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไร้ความหวัง ในตู้คอนเทนเนอร์แห่งนี้มีคนอยู่ประมาณยี่สิบคน มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และเด็กวัยรุ่นอีกจำนวนหนึ่ง มีแค่อลันที่เป็นเด็กอายุสี่ขวบเพียงคนเดียว พวกเราส่วนใหญ่หวาดกลัว ร้องไห้ ผมก็เช่นกัน



“จีน” เสียงเล็กๆ ของอลันนั้นสั่นไหวเล็กน้อย แต่ทำให้ใจของผมสงบมากขึ้น มือเล็กๆ ของอลันประคองใบหน้าของผมขึ้นมา ช่วยเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรนะจีน อย่าร้องไห้นะฮะ”



“อลัน พี่ขอโทษนะ” ผมขอโทษน้องที่ไม่สามารถปกป้องเขาได้ ทำให้เขาต้องมาเจอเรื่องราวแย่ๆ แบบนี้



“ไม่เป็นไรฮะ พวกเราหนีกันไหมฮะ” เด็กน้อยเอียงศีรษะเอ่ยถามผมเบาๆ เสียงกระซิบของเขาทำให้ผมต้องเงี่ยหูฟัง



“หนีงั้นเหรอ เราหนีไม่พ้นหรอกนะอลัน” ผมอมยิ้มน้อยๆ กับความไร้เดียงสาของเด็กน้อย ตอนนี้พวกผมอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต ไม่มีทางหนี เหมือนกรงเหล็กขนาดใหญ่ที่ห้อมล้อมเราไว้อย่างสิ้นหวัง



“ทางนั้นฮะ” มือเล็กๆ ชี้ขึ้นไปทางด้านบนเหนือหัวผมขึ้นไป เป็นหน้าต่างระบายอากาศเล็กๆ ตู้นี้คงถูกดัดแปลงเอาไว้เพื่อใช้ขนสินค้ามีชีวิตโดยเฉพาะ จึงต้องมีช่องให้มีอากาศหายใจ



“มันเล็กเกินไป พี่หนีไม่ได้หรอก” ใช่ผมหนีไม่ได้ แต่ผมสามารถให้น้องผมหนีออกไปทางนั้นได้นี่นา อ๊ะ ถึงหนีไป แต่ที่นี่ก็คือทะเล เขาไม่สามารถจะหนีไปจากที่นี่ได้แน่นอน ที่คือมันก็คือคุกปิดตายดีๆ นี่เอง “น้องรู้ไหมว่าตอนนี้เราอยู่ในมหาสมุทร เราหนีไปไหนไมไ่ด้หรอกนะตอนนี้”



ดวงตาที่เปล่งประกายมีความหวังของผมดับวูบ



“ยังไม่ใช่ตอนนี้ฮะ เราต้องรอให้ถึงท่าเรือน้ำลึกที่ฮ่องกงก่อน ถึงตอนนั้นเราค่อยหนี จะได้มีโอกาสรอดมากขึ้น” อลันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขาพูดคุยเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผมมันทำให้ผมตกใจ ทำไมน้องถึงรู้? ผมรวบร่างเล็กเข้ามากระชับแน่นในอ้อมกอดมากขึ้น ก้มลงกระซิบถามเขากลับไปบ้าง



“ทำไมน้องถึงรู้ล่ะ” ผมถามเขา ร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยดิ้นยุกยิกซักครู่และชี้นิ้วเล็กๆ ไปที่มุมตู้คอนเทนเนอร์อีกฟาก



“พี่เขาบอกผม” อลันตอบ ผมมองไปทางที่เขาชี้ก็เห็นเงาตะคุ่มๆ เงาหนึ่งนั่งพิงผนังตู้อยู่เงียบๆ



พี่? งั้นเหรอ



อลันไม่เคยเรียกผมว่าพี่เลยซักครั้ง ผมจึงอิจฉาคนที่เขาเรียกว่าพี่ขึ้นมาเล็กน้อย ผมเป็นคนที่เลี้ยงเขามา พยายามบอกให้เขาเรียกผมว่าพี่ แต่เขาก็ไม่เคยเรียกเลยจนผมต้องยกมือยอมแพ้



ถ้ามีโอกาสหนี ผมก็จะหนี อย่างน้อยก็ให้น้องรอดไปได้ก็ยังดี ถึงฮ่องกงจะเป็นประเทศแบบไหนผมก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ผมก็คิดว่าคงดีกว่าต้องโดนขาย และไม่รู้ว่าตัวผมและอลันจะมีชีวิตรอดได้รึเปล่า ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและอุ้มน้องขึ้นมาแนบอก เดินไปหาเงาในมุมมืดนั้นอย่างช้าๆ และเงียบมากที่สุด ในตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ผมจึงไม่ค่อยมองเห็นเท่าไหร่นัก ผมแปลกใจจริงๆ ที่น้องผมไปพูดคุยกับคนอื่นได้แบบนี้ อาจจะเพราะเป็นเด็ก เลยไม่รับรู้หรือระแวงอะไรรึเปล่านะ เฮ้อ



“ขอโทษนะครับ คุณเป็นคนบอกทางหนีให้น้องของผมรึเปล่า” ผมนั่งลงข้างๆ และกระซิบถาม ผมเห็นร่างในเงามืดนั้นขยับตัวเล็กน้อยและพูดตอบกลับมา แต่มันภาษาอังกฤษนะครับ ซึ่งผมฟังไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย



อลันขยับตัวเข้าไปใกล้และพูดคุยโต้ตอบกับคนๆ นั้นอย่างเป็นธรรมชาติ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าน้องของผมสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีขนาดนี้ และเพราะเสียงนั้นเองที่ทำให้ผมรู้ว่าคนที่อยู่ในเงามืดนั้นคือผู้หญิงครับ พวกเขาพูดคุยกันอยู่ซักพัก ผมเริ่มกระสับกระส่ายเพราะเหมือนเป็นคนนอกที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมเป็นพี่ชายที่แย่จริงๆ



“พี่เขาบอกว่าเราต้องรอเวลาฮะ ช่วงนี้เรือจอดเทียบท่า คนบนเรือต้องลงไปตรวจสินค้า คนคุมจะน้อยลง ตอนนั้นเราต้องหนีให้ได้ฮะ” อลันยิ้มกว้างบอกกับผม



“แต่พี่คิดว่าน้องคงหนีไปได้แค่คนเดียว หน้าต่างบานนั้นเล็กมาก” ผมพยายามชี้แจงให้น้องวัยสี่ขวบของผมฟัง



“ผมจะเป็นคนปีนขึ้นไป และจะเป็นคนไปเปิดประตูให้เอง” เด็กน้อยยกมือตบอกเพื่อแสดงให้ผมมั่นใจ ท่าทางน่ารักๆ ของอลันนั้นทำให้ผมยิ้มและเริ่มมีความหวัง เสียงหัวเราะของผมดังคลอไปกับเสียงหัวเราะใสๆ ของผู้หญิงที่ผมไม่รู้จักชื่อและไม่เห็นหน้าตา แม้มันจะดูเสี่ยงและผมก็กลัวว่าอลันจะทำไม่ได้ แต่อย่างน้อยพอใกล้ถึงเวลาลงมือ ถ้าไม่สำเร็จผมจะบอกน้องให้หนีไป อย่างน้อยแค่น้องผมหนีไปได้ก็พอ ไม่ต้องช่วยเหลือพี่ ไม่ต้องช่วยเหลือใคร แค่น้องรอด พี่ก็ดีใจแล้ว



พวกเราใช้ชีวิตอยู่บนเรือมาสามเดือนกว่า ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา หวาดกลัวจนกลายเป็นเฉยชา และพบว่ามิตรภาพเกิดขึ้นมาได้เพราะพวกเรายื่นมือช่วยเหลือกันและกัน คนในตู้คอนเทนเนอร์นี้จำนวนยี่สิบคนคือคนที่ถูกจับมาขายโดยไม่ยินยอมทั้งนั้น จึงทำให้พวกเรานั่งปรับทุกข์และสนิทสนมกันมากขึ้น พวกเขาต่างรักและเอ็นดูอลันเช่นเดียวกัน แต่คนที่อลันสนิทมากที่สุดก็คงเป็นผู้หญิงคนนั้นที่อลันเข้าไปพูดคุยด้วยเป็นคนแรก



ผมไม่รู้ชื่อของเธอ แต่พวกเราเรียกเธอว่า พี่ พี่เป็นผู้หญิงต่างชาติที่ดูดี แต่ไม่ถึงขั้นสวยมีเสน่ห์ แต่พี่เป็นคนใจดี มีรอยยิ้มงดงาม และเข้มเแข็ง เอกลักษณ์ของพี่คงเป็นเรือนผมยาวหยักศกสีแดงสวย และรอยกระสีน้ำตาลอ่อนบนใบหน้า พี่อายุมากกว่าผมประมาณสิบกว่าปี อายุราวๆ สามสิบ อลันติดพี่มาก ผมคิดว่าอลันไม่เคยสัมผัสความรักความอ่อนโยนของคนเป็นแม่มาก่อน ดังนั้นเมื่อเจอกับพี่ที่ใจดี อ่อนโยน จึงทำให้เด็กน้อยคนนั้นชอบไปออดอ้อน พูดคุย และมอบความไว้วางใจให้กับพี่จนหมดหัวใจ



“อลัน พี่ถามน้องหน่อยได้ไหมครับ” อลันกลับมาหาผมหลังจากที่พูดคุยกับพี่เสร็จ ผมรวบน้องมาอยู่ในอ้อมกอด ให้น้องนั่งบนตักและใช้หลังพิงอกผม



“ฮะ” เด็กน้อยยังคงยิ้มกว้าง



“ทำไมไม่เรียกพี่ว่าพี่บ้างล่ะ พี่อยากให้อลันเรียกว่าพี่จีนจังเลย” ผมไม่ได้อิจฉานะครับ แต่มันเป็นเรื่องที่ผมคาใจมาโดยตลอด



“ไม่เอาฮะ” แต่เด็กน้อยก็ปฏิเสธเหมือนเช่นทุกครั้ง



“บอกเหตุผลให้พี่ฟังได้ไหมครับ พี่อยากรู้จัง” ผมถามน้องต่อ ทุกครั้งน้องจะไม่ยอมพูดและบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนเรื่องไป แต่อาจจะเป็นเพราะครั้งนี้น้ำเสียงของผมแทบจะอ้อนวอนล่ะมั้ง น้องถึงได้ก้มหน้างุด ใบหน้าแดงเรื่อน่าเอ็นดู และยอมบอกเหตุผลให้ผมได้เข้าใจ



“เพราะว่าคนเป็นพี่ต้องปกป้องดูแลน้องใช่ไหมฮะ ผมไม่อยากให้จีนคอยปกป้องผมอยู่ฝ่ายเดียว ผมก็จะปกป้องดูแลจีนด้วยเหมือนกัน ผมเลยไม่อยากเรียกจีนว่าพี่นี่นา” คำพูดซื่อๆ และจริงใจของเด็กน้อยนั้นมันทำให้ผมตื้นตัน หยดน้ำตามากมายไหลอาบแก้ม ดีแล้วที่อลันนั่งหันหลังให้ผม ไม่อย่างนั้นคงเห็นพี่ชายคนนี้ร้องไห้หมดท่าแน่นอน



ผมหวังว่าแผนของเราจะสำเร็จ ผมขออ้อนวอน ผมขออธิษฐานต่อสิ่งใดใดก็ตามแต่ที่จะให้ก่อให้เกิดปาฏิหารย์ แม้โอกาสจะน้อย แต่ก็ยังพอมีหวัง ผมมองไปที่รอยยิ้มของอลันอีกครั้ง รอยยิ้มของน้องจะต้องอยู่ตลอดไป ผมสาบาน ผมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องรอยยิ้มงดงามนี้ไว้





..............................................................



ตอนใหม่มาแล้วค่าาาาาาา ปมเริ่มคลายมานิดนึงแล้วววว มีใครเดาถูกกันบ้างมั้ยคะ ^^ ทั้งตัวจีนและพี่เอง คือคนละคนกันค่ะ แต่บอสใหญ่ยังไม่มาปรากฏตัว เพราะฉะนั้นน้องคงทุกข์ใจไปอีกซักพัก  T^T  เฮ้ออออ ไรท์หวังว่าน้องจะยิ้มได้เร็วๆนี้นะคะ (ไรท์ไม่ได้แกล้งน้องน๊าาาา ไรท์กลัวลุงมาแก้แค้นไรท์มากเลย)







หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 21 ความจริงจากพี่ชาย (06.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 06-11-2018 13:56:45
บทที่ 21 ความจริงจากพี่ชาย


ผมอยู่บนโลกแห่งนี้มาสิบกว่าปี แม้เวลาอาจจะน้อย แต่ก็เห็นทุกสันดานและความชั่วร้ายของมนุษย์มาเกือบทั้งหมด เพราะในจุดที่ผมอยู่นั้นได้สัมผัสทุกความนึกคิดและความดิบเถื่อนที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใจของคนเรา ผมไม่สามารถไว้ใจหรือเชื่อใจใครได้มากเท่าตัวผมเอง เมื่อผมถูกจับมา ผมพยายามดูแลน้องไม่ให้หวาดกลัวหรือโดนรังแก แต่อาจจะเป็นผมเองมากกว่าที่ได้รับการปกป้องจากอลัน



ผมยังร้องไห้ แต่น้องยังยิ้มให้ผม ผมหวาดกลัว แต่น้องก็คอยปลอบใจ แต่อาจจะเป็นเพราะอลันยังเป็นแค่เด็ก น้องเลยยังไม่เข้าใจความซับซ้อนและความชั่วร้ายของมนุษย์ น้องเลยเป็นเด็กน่ารักที่มองโลกในแง่ดี ยิ้มง่าย ช่างพูดช่างอ้อน และสนิทสนมกับพี่อย่างรวดเร็ว นี่อาจจะเป็นข้อดีก็ได้ เพราะน้องจะได้ไม่ทุกข์ใจ



เรื่องของพี่ อลันเคยเล่าให้ผมฟังว่า พี่เป็นคนรัสเซีย เข้ามาทำงานอยู่ที่ประเทศของเรา แต่โดนเพื่อนรักหักหลังจึงโดนส่งมาขายเพราะความอิจฉาเป็นต้นเหตุ เพื่อนรักที่พากันระหกระเหินมาหางานทำถึงที่นี่ แต่สุดท้ายก็หักหลังอย่างน่าเจ็บใจเพราะผู้ชายเพียงคนเดียว หึ คงเหมือนผมและอลันที่โดนแม่หลอกมาขายเพราะหาเงินมาใช้หนี้พนันล่ะมั้ง



พี่เป็นผู้หญิงที่ดูดีและมีเสน่ห์ รูปร่างสวยงามและน่าดึงดูด อลันมักไปนั่งพูดคุยกับเธอมากมาย และผมก็จะนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ ภาษาอังกฤษของน้องดีขึ้นมาก เพราะได้พี่ช่วยสอนและฝึกพูดกันบ่อยๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าน้องจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะน้องได้อ่านนิทานเด็กที่เพื่อนแม่ชอบซื้อมาฝากล่ะมั้ง และตอนนี้น้องสามารถพูดภาษารัสเชียได้อีกด้วย



ระดับการเรียนรู้ของน้องน่าทึ่งจริงๆ น้องสามารถเข้าใจในสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ถ้ามีโอกาสผมอยากจะส่งน้องเรียนโรงเรียนดีๆ เผื่อว่าอนาคตน้องจะได้เจริญก้าวหน้าและไปอยู่ในสังคมที่ดีกว่านี้ ดวงตาสีดำของผมเหลือบมองน้องที่นอนซุกอยู่บนตักของผม ผมลูบศีรษะของน้องเบาๆ เพื่อกล่อมน้องน้อยให้หลับฝันดี

พวกเราใช้เวลาสามเดือนอยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ จนกระทั่งถึงจุดหมายที่พวกเราวางแผนกันเอาไว้ ตอนนี้ทุกคนในตู้คอนเทนเนอร์กำลังตื่นเต้นและเป็นกังวล เพราะว่าฮ่องกงเป็นจุดหมายแรกของการเดินเรือที่จะแวะส่งสินค้าอื่นที่กลบเกลื่อนเอาไว้ พวกพ่อค้ามนุษย์เหล่านั้นเดินทำหน้าเคร่งดุดันมาข่มขู่พวกเราอยู่พักใหญ่ ตอกย้ำถึงความโหดร้ายน่ากลัวและบทลงโทษถ้าเราส่งเสียงดังหรือก่อความวุ่นวาย



ผมกระชับอ้อมกอดร่างเล็กของอลันไว้แน่น และหลบมุมอยู่ท้ายสุดเพื่อไม่ให้เด็กน้อยเห็นภาพเหล่านั้น พวกเขานำผู้ชายคนหนึ่งมาซ้อมและลงโทษอย่างหนักให้พวกเราเห็น ผมให้น้องซบลงที่อกของผมและปิดหูน้องเอาไว้แน่นๆ พวกเขากำลังเชือดไก่ให้ลิงดู และนั่นทำให้ผมเป็นกังวลว่าแผนของเราจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีรึเปล่า



“เรา...ยกเลิกดีไหมนะ” ผมพึมพำในลำคอเสียงเบาเมื่อประตูตู้คอนเทนเนอร์ถูกปิดลงอีกครั้ง ผมกลัวว่าถ้ามันเกิดพลาดขึ้นมาทั้งผมและอลันจะยิ่งแย่กว่าเดิม ผมกังวลแต่ก็เลือกที่จะดำเนินการตามแผนเดิมต่อไป



ในที่สุดพวกเราก็มาถึงท่าเรือน้ำลึกของเกาะฮ่องกงในตอนค่ำ พวกเราถูกข่มขู่อีกครั้งและทุกอย่างก็เงียบสงบ ผมพยายามฟังเสียงจากข้างนอกก็ได้ยินแค่เสียงเครื่องจักรและเสียงย่ำฝีเท้าจากที่ไกลๆ เท่านั้น อลันเคลื่อนตัวไปหาพี่และกระซิบถามอะไรบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจอย่างแผ่วเบา พี่พยักหน้าและก้มลงมาจุมพิตหน้าผากน้อยๆ ของน้องเหมือนเป็นคำอวยพร ผมอาศัยความมืดไปอุ้มอลันขึ้นมาและกระชับอ้อมกอดของน้องแน่นๆ



“อลันฟังพี่นะ” ผมกระซิบบอกน้อง “ถ้าน้องออกไปได้แล้ว และสลักประตูมันแข็งเกินไป น้องไม่ต้องสนใจพวกพี่ น้องหนีไปได้เลย เอาตัวรอดให้ได้”



น้องทำหน้าแปลกใจและไม่ยินยอม คิ้วเรียวขมวดมุ่นและใบหน้าเล็กๆ น่ารักก็งอง้ำ



“ผมทิ้งจีนกับพี่ไม่ได้” น้องส่ายหน้าปฏิเสธสิ่งที่ผมดูจนผมสีตาลอ่อนปลิวยุ่งเหยิง



“ถ้าจำเป็นน้องต้องทำ!!!! อย่างน้อยน้องรอดไปได้ก็ไปแจ้งตำรวจ โอเคไหม” ผมกระชับน้องอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเข้มมากกว่าเดิมจนอลันตกใจ แต่เพราะใบหน้าของผมและแววตาจริงจัง จึงทำให้เด็กน้อยของผมพยักหน้าตกลงอย่างไม่ยินยอมเท่าไหร่นัก



พวกผมรอจนเสียงรอบๆ ตู้คอนเทนเนอร์เงียบลงจึงได้เริ่มลงมือ ผมและพี่พาอลันมายื่นอยู่ใต้หน้าต่าง โดยที่ผมจะคลานสี่ขาเป็นฐานให้พี่เหยียบแผ่นหลังของผมขึ้นไป และให้อลันขี่คอและลงมือเปิดหน้าต่างบานเล็กที่มีเพียงเด็กตัวเล็กๆ อย่างอลันเท่านั้นที่จะลอดผ่านไปได้



น้ำหนักของพี่ไม่น้อยเลย แต่ผมก็พยายามจะเป็นฐานที่มั่นคง ผมเป็นผู้ชายก็จริงแต่พื้นฐานไม่ใช่คนแข็งแรงอะไรมากมายนัก ไม่เคยออกกำลังกาย ร่างกายก็แคระแกรน ผิวก็ขาวซีดเพราะไม่เคยออกไปนอกคลับเลยซักครั้ง แต่ผมก็ถือว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง จะให้พี่ที่เป็นผู้หญิงมาทำหน้าที่นี้ได้ยังไง



ตอนนี้อลันนั่งอยู่บนบ่าของพี่เรียบร้อยแล้ว และพยายามจะลุกขึ้นเหยียบบ่าเพราะน้องไม่สามารถเอื้อมถึงได้ แต่เมื่อน้องลุกขึ้นยืนก็สามารถแตะเปิดบานล็อคหน้าต่างให้เปิดกว้างมากขึ้น เสียงเอี๊ยดอ๊าดเวลาเปิดหน้าต่างทำให้มีคนหันมาสนใจพวกเรามากขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร บางคนกลับมายืนใกล้ๆ เพื่อคอยช่วยประคองพี่ให้ยืนมั่นคงเสียด้วยซ้ำ พวกเขาคงอยากหนีไปเช่นเดียวกัน เพียงแต่ใจก็สิ้นหวังเหลือเกิน



ตอนนี้น้องสามารถเปิดหน้าต่างได้แล้ว ร่างเล็กๆ ของอลันพยายามเอื้อมเกาะขอบหน้าต่างและดันตัวขึ้นไป ดีที่อลันเป็นเด็กร่าเริงและค่อนข้างซุกซน เรื่องปีีนป่ายจึงไม่มีปัญหา ไม่นานน้องก็สามารถดันไหล่ให้หลุดออกไปข้างนอกได้แล้ว ในเวลานี้พวกเราทั้งตื่นเต้นและเป็นกังวล น้องกระซิบมาเบาๆ ว่าแถวนี้ไม่มีคนอยู่ ร่างเล็กจึงมุดและพลิกตัวเอาขาพาดหน้าต่างและพลุบหายไปอีกฟากหนึ่ง



ในตู้คอนเทนเนอร์มีคนโดนจับมาประมาณยี่สิบคน มีเพียงแปดคนเท่านั้นที่ลุกขึ้นยืนและเดินมาเอาใจช่วยอลัน พวกเรานิ่งเงียบ รอคอย เหลือเพียงลมหายใจที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบแห่งนี้ พวกเราได้แต่รอ รอ และรอ ใจหนึ่งผมก็กังวล แต่ใจหนึ่งก็โ่ล่งใจถ้าน้องทิ้งพวกผมและหนีไป



แกร๊ก คลึก



เสียงปลดล็อคประตูที่ดังขึ้นมาทำให้พวกเราสะดุ้งและรีบร้อนนั่งลงเพื่อกลบเกลื่อนท่าทางมีพิรุธ เสียงนั้นดังอยู่ซักพัก ใจของพวกเราก็เต้นรัวเร็วลุ้นระทึก



แอ๊ด



เสียงเปิดประตูตู้คอนเทนเนอร์ดังขึ้น เสียงสว่างเล็กๆ ที่ฉายออกมาทำให้เห็นเงาร่างของเด็กน้อยที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างเหล่านั้น พวกเราส่งเสียงพึมพำกันระงม จนพี่ต้องทำเสียงปรามให้พวกเราเงียบมากขึ้น ผมรีบร้อนเดินเข้าไปคว้าร่างเล็กขึ้นมากอด เนื้อตัวน้องผมค่อนข้างมอมแมมและข้อเท้าขวาของน้องบวมแดง แต่ใบหน้าของน้องกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างที่สวยงามน่ารัก



“ไปกันเถอะครับ” น้องพูดกับผม และหันไปหาพี่ที่เดินเข้ามาใกล้และลูบหัวน้องด้วยความเป็นห่วง พวกผมพยักหน้าให้กันและหันไปมองคนในตู้คอนเทนเนอร์เล็กน้อย มองสีหน้าพวกเขาชั่วครู่ก่อนจะหันตัวเดินออกไป หลังจากนี้พวกเขาจะตัดสินใจยังไงก็เป็นเรื่องของพวกเขาแล้วครับ จะหนี หรืออยู่ต่อ ก็เป็นเรื่องของเขาที่จะต้องตัดสินใจเอาเอง ตอนนี้ใจของผมมันเจ็บปวดเพราะเห็นน้องได้รับบาดเจ็บ ผมคิดว่าน้องคงขาแพลงตอนที่กระโดดลงไปจากขอบหน้าต่าง แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าเล็กๆ ของน้องก็ยังประดับไปด้วยรอยยิ้มงดงาม



ผม อลัน และพี่เดินลัดเลาะไปตามซอกตู้คอนเทนเนอร์บนดาดฟ้าเรือโดยอาศัยเงามืดเป็นที่กำบังสายตา พยายามสอดส่องและหาทางหนีจากพวกเขา แต่เนื่องจากตอนนี้เรือเทียบท่าและมีบางคนที่คอยเฝ้าสินค้าไว้เท่านั้น ผมจึงคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการหลบหนี แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้เป็นเหมือนสิ่งที่เราคาดหวังเอาไว้



ตอนนี้ผมฝากอลันให้พี่อุ้มเอาไว้ โดยที่ให้พวกเขาหลบอยู่ในซอกตู้คอนเทนเนอร์แถวท้ายดาดฟ้าเรือ ส่วนผมจะเป็นคนออกไปดูลาดเลาและหาทางหนีลงจากเรือเอง โดยกำชับพวกเขาว่าให้ซ่อนตัวให้ดีและอย่าออกมาจนกว่าผมจะเรียก อลันเป็นคนแปลคำพูดของผมให้พี่ฟัง เธอพยักหน้าเข้าใจแม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยความกังวล



หลังจากผมสำรวจรอบๆ ผมก็เจอทางหนี และคิดว่าน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดที่เราเหลือในตอนนี้ ท้ายเรือมีเรือชูชีพขนาดเล็กอยู่ พวกเราก็แค่คิดไปนั่งและปลดเชือก แม้เรือจะทิ้งตัวดิ่งลงไปพื้นล่างที่มีความสูงหลายเมตร แต่ผมก็คิดว่าน่าจะมีโอกาสรอดมากกว่ารอโอกาสอยู่บนเรือ ผมสำรวจเรือชูชีพนั้นอยู่ซักพัก แต่แล้วผมก็เห็นแสงไฟส่องสว่างวูบวาบแถวหน้าเรือ และเสียงโหวกเหวกโวยวายของผู้คุม



“เฮ้ย ประตูตู้เปิด พวกมันหนีไปแล้ว” เสียงตะโกนของพวกมันดังลั่นด้วยความตกใจ ผมรีบวิ่งกลับไปหาน้องตรงที่ซ่อนทันทีด้วยความเป็นห่วง จนลืมที่จะลัดเลาะไปตามซอกตู้และหลบตามเงามืด เพราะความรีบร้อนและความประมาทที่ไม่น่าให้อภัยของตัวผมเอง ไม่นานผมก็ถูกจับได้ ร่างของผมถูกล็อคและถูกจับกระแทกลงกับพื้นเรือ ผมพยายามดิ้นรนหนีสุดชีวิตแต่ผมก็ไม่สามารถสู้แรงของพวกเขาได้เลย



“เพราะแกใช่ไหม!!!! แกทำให้พวกมันหนีไป!!!!” เสียงชายฉกรรจ์ตรงหน้านั้นดุดันน่ากลัว ผมตัวสั่นเทิ้มและดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ร่างของผมกลายเป็นกระสอบทรายให้พวกมันซ้อมกันเพลินมือ น้ำหนักหมัดแต่ละหมัดที่กระแทกลงมาทำให้ผมแทบสิ้นสติ



“เฮ้ยๆ ใจเย็นๆ ซิวะ เดี๋ยวมันก็ตายก่อนได้ส่งไปขายหรอก” ผู้ชายอีกคนเป็นคนเอ่ยห้ามปรามเพื่อน



“เหอะ เพราะมันนั่นแหละ ถึงทำให้เราเสียสิ้นค้าชั้นดีไปเกือบหมด ไอ้เด็กตัวเล็กนั่นก็น่าจะขายได้ราคาดี บัดซบ!!!! พวกมันไปหลบกันที่ไหนหมดวะ หรือลงเรือไปแล้ว” พวกมันขู่คำรามและหันมาระบายอารมณ์กับร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของผมอีกครั้ง ผมเจ็บ เจ็บไปหมด แต่ก็หวังว่าน้องจะหนีไปได้ ผมตายก็ไม่เป็นไร แต่น้องผมจะต้องรอด



อลัน



พี่ขอให้น้องรอด ขอให้น้องปลอดภัย



อลัน



“จีน!!! หนีเร็ว!!!” เสียงเล็กๆ ของน้องฉุดดึงสติที่ใกล้ดับวูบของผมให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ร่างน้อยๆ ที่แม้ขาจะกะเผลกแต่ก็ยังวิ่งปรู๊ดปร๊าดมาหาผมอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับเสียงกรีดร้องและโวยวายของคนจำนวนมากที่หลุดออกมาจากตู้คอนเทนเนอร์หลายตู้



ระหว่างที่ผมบอกให้อลันซ่อนตัว อลันกับพี่ก็แอบลอบตามมาดูผมเงียบๆ ด้วยความเป็นห่วง พอเห็นผมถูกจับ แทนที่น้องจะทะเล่อทะล่าออกมา อลันกลับดิ้นจนหลุดจากอ้อมแขนของพี่และวิ่งกลับไปเปิดตู้คอนเทนเนอร์บริเวณท้ายเรือจนเกือบหมด ปลดปล่อยคนที่โดนจับขังและสร้างสถานการณ์วุ่นวายเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ



และแผนของน้องก็ประสบความสำเร็จ พวกมันผละออกจากตัวผมไปวิ่งวุ่นตามจับคนที่หลุดออกมามากมาย ผมถูกพี่ช่วยผยุงขึ้นมาจากพื้นและพากันหลบหนีไปทางท้ายเรือเพื่อขึ้นเรือชูชีพหนีไป แต่ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวาย ท่ามกลางคนที่ต้องการเอาชีวิตรอด บางคนกระโดดลงน้ำ บางคนก็ลุกฮือขึ้นสู้ ผม อลัน และพี่ก็พากันหลบเลี่ยงมายังท้ายเรือได้สำเร็จ



แต่อีกแค่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น แสงสว่างที่ปลายอุโมงก์กลับริบหรี่ลงจนเหลือเพียงความมืดมิดที่กัดกินจิตใจ ระหว่างที่พวกเราช่วยประคับประคองกันและกันจนถึงท้ายเรือ พวกผู้คุมและคนที่ถูกจับมาบางส่วนก็วิ่งหนีมาทางที่พวกเราอยู่ พี่หนีไม่พ้น หนึ่งในชายฉกรรจ์กระชากเส้นผมพี่จนหงายหลังล้มกองลงไปกับพื้น พี่ที่ช่วยพยุงร่างกายของผมอยู่นั้นก็ฉุดผมให้ล้มลงไปกับพื้นด้วยเช่นกัน



“อลัน หนีไป หนีไปที่เรือ เร็ว” ผมพลิกตัวพยายามจะตะเกียกตะกายตัวลุกขึ้นมา น้องวิ่งมาหาผมด้วยความเป็นห่วง แต่ผมกลับผลักตัวน้องให้หนีไป



“แต่จีน มะ ไม่ ผะ ผม” อลันมีสีหน้าหวาดกลัวและเหมือนจะร้องไห้ ร่างเล็กพยายามจะเดินเข้ามาช่วยพวกผมอีกครั้ง ตอนนี้ผมและพี่ถูกจับกดลงกับพื้น พี่กรีดร้องพยายามดิ้นรน ผมก็ดิ้นรนเต็มที่และดึงความสนใจจากพวกมันด้วยเช่นกัน



“ไป!!! ไปรอที่เรือชูชีพ ไป!!!!” ผมตะคอกใส่น้องดังลั่น จนร่างเล็กๆ สะดุ้งโหยงและรีบวิ่งไปตามที่ผมบอก ในความมืดที่สับสนวุ่นวายผมเห็นเงาร่างเล็กๆ ของอลันปีนลงไปในเรือชูชีพเรียบร้อยแล้ว





“เฮ้ย!!! มีเด็กอีกคน ไปจับมันมาเร็ว” พวกมันตะโกนก้อง แต่ผมสะบัดตัวหลุดก็โถมร่างกั้นพวกมันเอาไว้



ไม่



อีกนิดเดียว



อีกนิดเดียว



ผมไม่ยอม ผมไม่ยอมให้จบลงแบบนี้



ผมพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่ร่างกายยังคงเคลื่อนไหวไม่สะดวก ผมไม่สนใจบาดแผล ไม่สนใจหมัดที่กระทบร่างผม ผมแค่ต้องกันพวกมันไว้ ไม่ให้พวกมันไปหาน้องของผมได้ และโชคดีที่มีคนช่วยพวกผมเอาไว้ คือหนึ่งในคนที่อยู่ร่วมกันในตู้คอนเทนเนอร์ ผม พี่ และผู้ชายคนนั้นจึงพากันวิ่งไปที่ท้ายเรือ ผมกำลังจะบอกพวกเขาให้วิ่งไปที่เรือชูชีพ



แต่ผู้ชายคนนั้นกลับตัดสินใจดีดตัวทิ้งดิ่งลงไปยังผืนน้ำข้างล่างทันที เวลานี้ใครๆ ก็ต่างอยากจะมีชีวิตรอดกันทั้งนั้น แต่พวกผมไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะรอบตัวผมมีแค่เด็กและผู้หญิง ต่อให้ว่ายน้ำได้ก็อาจจะหมดแรงเพราะไม่มีใครว่ายน้ำแข็งเลยซักคน เรือชูชีพจึงเป็นทางรอดเดียวที่จะทำให้พวกเรารอดชีวิต ผมวิ่งลงไปที่เรือและสังเกตเห็นร่างที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าใบก็คิดว่าเป็นอลันที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้น เพราะผมเห็นกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนโผล่ออกมาเล็กน้อยก็วางใจ



ผมก้าวขาลงไปแล้วก็หันตัวมาเพื่อช่วยพยุงพี่ลงเรือมาด้วยกัน แต่ร่างเพรียวบางของพี่กลับชะงัก ดวงตากลมสวยเบิกกว้าง ใบหน้าสวยงามจึงซีดเซียวและร้องไห้โวยวาย ภาษาอังกฤษปนรัสเซียสับสนปนเปทำให้ผมงุนงงและไม่เข้าใจ มือเล็กของพี่พยายามฉุดผมให้ลงมาจากเรือและชี้ไปอีกทาง เหมือนพยายามให้ผมดูอะไรบางอย่าง

ท่าทางกระวนกระวายของพี่นั้นทำให้ผมไม่เข้าใจและสับสนมากกว่าเดิม พี่พยายามจะรั้งผมไว้ไม่ให้หนีไปทำให้ผมเริ่มโมโห ผมสะบัดมือและผลักเธอออกไป เวลาสำคัญแบบนี้พี่กลับรั้งตัวผมไว้ ถ้าชักช้าพวกมันก็อาจจะวกกลับมาและตามจับพวกเรากลับไปได้ ถ้าถูกจับอีกครั้ง ชีวิตที่เหลือก็คงยิ่งกว่าตกนรก



“Пожалуйста, Алан Алан Please wait wait!!! Алан” พี่พูดอะไรบางอย่าง แต่เพราะเป็นภาษารัสเซียและสำเนียงรัสเซียของพี่มันฟังเข้าใจยาก เธอเห็นผมทำหน้าไม่เข้าใจจึงมีสีหน้าสิ้นหวังและหมุนตัววิ่งไปอีกทาง ผมฟังเข้าใจแต่คำว่ารอก่อนของพี่ จึงเลือกที่จะหมอบตัวลงและรอพี่อีกซักครู่ แต่ถ้านานกว่านั้น ผมก็ต้องตัดสินใจทิ้งพี่ไว้ที่นี่ ใช่ ความคิดของผมมันเห็นแก่ตัว แต่ผมเลือกที่จะปกป้องแค่ตัวผมและอลันเท่านั้น ถ้าสิ่งไหนก็ตามทำให้น้องผมไม่ปลอดภัย ถึงแม้จะเป็นพี่ที่คอยดูแลพวกผม ผมก็เลือกที่จะตัดทิ้งไปอย่างไม่ใยดี



ผมกระวนกระวายรอพี่อยู่ซักพักก็เห็นพี่แบกร่างของใครบางคนไว้บนหลัง แต่ผมมองเห็นไม่ชัดเพราะเวลานี้แสงไฟไม่เพียงพอและร่างนั้นถูกคลุมด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่จนบดบังร่างนั้นไปจนหมด ผมไม่สังเกตุเลยแม้แต่น้อยว่าร่างกายของพี่ดูโทรมกว่าเมื่อครู่นี้มาก หน้าตาดูบวมช้ำและผมเผ้ายุ่งเหยิง พี่คงเห็นเด็กบนหลังเดือดร้อนเลยเข้าไปช่วยซินะ ผมรีบกวักมือเรียกพี่มาทางผมให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้มีกลุ่มชายฉกรรจ์สามสี่คนวิ่งตามหลังเธอมา ใบหน้าสวยของเธอซีดเผือดจนไร้สีเลือด รีบวิ่งมาทางผมอย่างอ่อนแรง



“wait wait Please Please Please Help me” เธอเรียกร้องอ้อนวอนเสียงแหบแห้ง ผมกัดฟันแน่นและรอพี่วิ่งมา ผมอยากจะตะโกนเร่งพี่ แต่ตอนนี้ผมยังซ่อนอยู่ในเรือ ถ้าผมส่งเสียงออกไปพวกมันจะต้องเห็นผมอย่างแน่นอน



เร็ว เร็ว พี่วิ่งเร็วๆ



แต่สุดท้าย...สิ่งที่ผมคิดไว้ว่าพี่จะต้องรอดกลับไม่เป็นจริง



“กรี๊ดดดด ไม่นะๆ รอก่อน อย่าพึ่งไป อย่าพึ่งไป” พี่ถูกจับตัวได้อีกครั้ง เธอพยายามสะบัดตัวให้หลุดออกจากการจับกุม มือบางเอื้อมมาไขว่คว้าและรอผมให้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่ผมก็เลือกที่จะส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดไปให้ แต่ผมก็รู้ว่าแววตาของผมมันแห้งแล้งเย็นชาเกินไป เพราะในสายตาของผมมีเพียงแค่อลันเท่านั้น



“ขอโทษนะครับพี่ ผมช่วยพี่ไม่ได้จริง” ผมพูดพร้อมลุกขึ้นยืนเพื่อเอื้อมไปปลดเชือกที่เสา แต่ระหว่างนั้นผมก็เห็นมือเล็กๆ ข้างหนึ่งที่ดูเลือนลางของเด็กคนหนึ่งยื่นออกมาหาผมเช่นเดียวกัน พร้อมเสียงแหบพร่าสั่นเทาที่ผมไม่ได้ยินเพราะเสียงตะโกนโวยวายจากเหตุการณ์รอบๆ ตัวมันดังขึ้นมากลบเสียงนั้นไปจนหมด ผมตัดสินใจปลดเชือกของเรือทันที แต่ก่อนที่เรือลำเล็กจะล่วงหล่นลงไปยังผืนมหาสมุทรสีดำสนิท



ผมเห็นแววตาของพี่สิ้นหวัง เจ็บปวด แต่เสี้ยวสุดท้ายก่อนภาพตรงหน้าจะหายไปจากสายตา ผมเห็นร่างของพี่สะบัดดิ้นสุดแรงและเหวี่ยงร่างใต้ผ้าคลุมนั้นไถลไปไกลจนหลบเข้าไปในซอกตู้คอนเทนเนอร์พอดิบพอดี เสียงตบตีและเสียงกรีดร้องของพี่ดังขึ้น น้ำเสียงที่เคยไพเราะดังกังวานกลับเต็มไปด้วยความร้าวรานเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด และเสียงนี้กลับเป็นเพียงเสียงเดียวที่ตามหลอกหลอนผมในอีกหลายสิบปีต่อมา



ผมหนีเอาตัวรอดมาได้ แต่โชคร้ายของผมก็ยังไม่หมด เมื่อจังหวะที่เรือหล่นกระแทกน้ำก็เป็นจังหวะที่คลื่นซัดโถมเข้ามาพอดี เรือเล็กพลิกคว่ำ สายน้ำเกรี้ยวกราดของมหาสมุทรถาโถมและกวาดทุกอย่างให้จมดิ่งอยู่ใต้คลื่นและฟองน้ำในยามราตรี ผมพยายามลืมตา เพื่อว่ายตามหาน้องในทะเลที่บ้าคลั่ง แต่ผมก็หาน้องไม่เจอ ผมใช้เวลาอยู่พักใหญ่ ดำผุดดำว่ายไปตามกระแสน้ำ แต่เพียงไม่นานร่างกายของผมก็ไร้เรี่ยวแรง จากนั้นผมก็สลบไป



เมื่อผมฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าผมอยู่ที่โรงพยาบาลในฮ่องกงเพียงลำพัง กรีดร้อง เจ็บปวด และพยายามออกไปตามหาน้องชายเพียงคนเดียวของผม แต่เพราะอาการบาดเจ็บ และขาดสารอาหารขั้นรุนแรง ทำให้ผมจำเป็นที่จะต้องพักรักษาตัวอยู่นานหลายเดือน คอยให้ปากคำกับตำรวจ และเป็นพยานเพื่อช่วยจับกุมขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้ให้ได้



จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ผมตามหาน้อง ผมยังไม่หมดหวัง ไม่ว่าจะนานแค่ไหนผมก็จะต้องตามหาน้องให้เจอ พวกเขาต่างบอกว่าน้องของผมเป็นแค่เด็กอายุสี่ขวบ น่าจะเสียชีวิตไปในเหตุการณ์นั้นเรียบร้อยแล้ว พวกเขาบอกให้ผมทำใจ แต่ผมไม่เชื่อ แม้จะดูงมงาย แต่ผมเชื่อว่าน้องผมยังคงอยู่ ใจผมบอกแบบนั้น และไม่ว่าน้องจะอยู่ที่ไหน ผมจะต้องตามหาน้องให้เจอให้ได้



อลัน น้องรอพี่อยู่รึเปล่า รอก่อนนะ พี่จะต้องตามหาน้องให้เจอให้ได้ รอพี่นะ เทวดาน้อยของพี่





................................



หลังจากที่ชายหนุ่มร่างโปร่งเล่าเรื่องราวในอดีตจนครบถ้วน ภายในห้องอาหารส่วนตัวก็เงียบสงัดขึ้นมาทันที ทั้งสามคนต่างจมลงไปในห้วงความคิดของตนเอง ย้อนรำลึกถึงเรื่องราวและสะท้อนใจถึงสิ่งที่ได้ฟังมา ทั้งจีนที่ยังคงสะอื้นโศกเศร้าเสียใจ และแดเนียลที่คอยเฝ้าปลอบโยน ไม่มีใครซักคนที่สังเกตเห็นดวงตาสีทองของดอนแห่งคอลิโอเน่ที่ดูลึกล้ำ แววตาของชายหนุ่มมีแต่ความเย็นชาอาบไล้จนดวงตาคู่งามของเขาเย็นยะเยือก



เสียงสะอื้นของจีนดังขึ้นมาเป็นระยะ ท่าทางน่าสงสารของชายหนุ่มเอเชียนั้นไม่ได้ทำให้ดราโกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเห็น ยิ่งรำคาญสายตา ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ทอดมองจีนด้วยแววตาที่เจือความโหดเหี้ยมและสมเพชเอาไว้ภายใน



“นายรู้ไหม เด็กคนนั้นอยู่บนเรือถึงหกเดือน” น้ำเสียงเย็นชาและประโยคที่ดราโกทิ้งไว้่ก่อนเดินออกจากห้อง เป็นคำพูดโหดร้ายที่ผ่าลงกลางใจของจีนจนปวดร้าว



6 เดือน?



ร่างโปร่งบางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ดวงตาเบิกกว้างและใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด



“มะ ไม่จริง ไม่จริง ไม่ ไม่” จีนพูดซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด ไม่จริง เขาเห็นน้องอยู่บนเรือแล้วนี่นา เขาเห็นน้องแล้ว แต่ทำไม? โกหก ดราโกโกหกแน่ๆ “ไม่จริง โกหก โกหก ถะ ถ้าอย่างนั้นใครอยู่บนเรือกับผม ไม่ ไม่”



ชายหนุ่มร้องไห้จนแทบขาดใจ ทรุดตัวทิ้งร่างลงกับพื้นห้อง คำพูดของดราโกเหมือนมีดที่กรีดร่างของเขาเป็นชิ้นๆ เป็นยาพิษที่ทำลายความหวังของเขาจนหมดสิ้น ความจริงที่โหดร้าย ขุมนรกที่น้องต้องเผชิญ น้องของเขา น้องเขายังติดอยู่ในนรกแห่งนั้น



ไม่!!!



ไม่จริง



ไม่!!!



ไม่!!!



อลัน



อลัน



พี่ขอโทษ



พี่ขอโทษ





.....................................

สวัสดีค่ะ สำหรับ "บทที่ 21 ความจริงจากพี่ชาย" บทนี้เป็นอีกบทที่ไรท์ค่อนข้างเครียดในการแต่งเหมือนกันค่ะ บทนี้มันบีบหัวใจไรท์มากเพราะบทนี้เป็นแค่มุมมองของพี่ชายเท่านั้น ทั้งรัก ทั้งห่วงน้อง แต่สุดท้ายนรกที่คิดว่าหนีออกมาได้แล้วนั้น น้องกลับต้องเผชิญหน้าต่อไป ไรท์ไม่สามารถเฉลยหรือบอกได้ทั้งหมดนะคะ แต่คงบอกได้แค่ว่าหลังจากความวุ่นวายบนเรือเกิดขึ้นแล้ว เหตุการณ์หลังจากนั้นก็แย่เหมือนกันค่ะ T^T ฮืออออออออ สงสารรรรร ลุงจ๋าาาา อยู่ไหนนนนน มาปลอบน้องเร็ววววววววว

(นักอ่านบางท่านอาจจะสับสนเรื่องของน้องและจีนนะคะ แต่จะเฉลยทุกอย่างและเข้าใจทุกอย่างในตอนที่น้องเล่าเรื่องในมุมของน้องแน่นอนค่ะ แต่อาจจะไม่ใช่เร็วๆ นี้นะคะ เพราะต้องมีฉากอื่นมาคั้นไว้ก่อนค่ะ เดี๋ยวตับไตของทุกคนจะหน่วงจนพังกันไปหมด T^T)

บทหน้า...ไรท์ใบ้ให้อีกนิดนะคะ ลุงจะไปปลอบน้องด้วยวิธีการในแบบของลุงแน่นอนค่ะ อิอิ (ไรท์ขอดามใจนิดหนึ่งนะคะ แต่งแบบหน่วงๆ ใจไรท์ก็หน่วงตามไปหมดแล้ว)



หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 21 คามจริงจากพี่ชาย (06.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 06-11-2018 22:03:04
หม่น เทา อึมครึม เห็นใจทุกคน  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 21 คามจริงจากพี่ชาย (06.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 06-11-2018 22:47:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 22 ความในใจ (07.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 07-11-2018 09:22:17

บทที่ 22 ความในใจ


ความมืดที่รายล้อมตัวนั้นควรจะน่าหวาดหวั่น แต่สำหรับผมมันกลับทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย ยิ่งมืด ผมยิ่งซ่อนตัวได้ง่าย ยิ่งมืด จะยิ่งไม่มีใครเห็นผม ในตอนนี้ความคิดของผมสงบมากขึ้นเมื่อได้ใช้เวลาทบทวนด้วยตัวเองอยู่เงียบๆ เรื่องของจีนมันผ่านมานานแล้ว ผมไม่เคยโกรธจีนเลยจริงๆ



แต่มันน่าผิดหวังเมื่อพี่ชายเพียงคนเดียวของผมเลือกที่จะทิ้งผมไป ไม่ซิ ผมคิดถึงเหตุผลของจีนซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบๆ รอบ ก่อนที่จะพบว่าจีนอาจจะไม่รู้ว่าบนหลังของพี่นั้นคือผม แต่ถึงผมจะรู้ ผมก็ยังผิดหวังมากอยู่ดี ผมไม่สามารถอภัยให้เขาในเรื่องนี้ได้ จีนเลือกที่จะทิ้งพี่ไปเพียงเพราะว่าเขาเป็นคนอื่น จีนเลือกที่จะปกป้องผมแต่ไม่คิดจะยื่นมือช่วยเหลือใคร



แต่สำหรับผม พี่เป็นผู้มีพระคุณ เขาคอยช่วยผม ดูแลผม แลัวเขายังเป็นคนที่ช่วยเสนอทางหนีให้กับพวกเราที่กำลังสิ้นหวัง ผมจึงไม่สามารถอภัยให้จีนได้จริงๆ ถึงแม้ว่าสิ่งที่จีนทำนั้นมันเป็นสิทธิ์ของจีน เป็นทางเลือกของจีนเองก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมจึงไม่รู้ว่าผมควรทำยังไงดี ควรโกรธแค้นจีนไหม หรือควรเกลียดจีนรึเปล่า



แต่คุณพ่อของผมบอกว่าถ้าเราโกรธ ใจเราก็เป็นทุกข์ ยิ่งทุกข์ ผมก็จะไม่สามารถปล่อยวางได้ และก็เป็นเหมือนกับที่คุณพ่อได้บอกไว้ ผมไม่เคยลืม ไม่เคยลืม และนั่นทำให้ผมทุกข์ยิ่งกว่าเดิม ไม่พบใคร ไม่ไปที่ไหน เก็บตัวอยู่แต่กับบ้านและเปิดใจให้แค่คุณพ่อกับแด๊ดดี้เอริคเท่านั้น และเพราะสาเหตุนั้นทั้งสองท่านจึงทุกข์เพราะผมมากเช่นกัน



สามเดือนในช่วงเวลานั้นมันพรากรอยยิ้มของผมไป พรากทุกสิ่งที่ผมเคยเชื่อมั่นไปจนหมด จากเด็กคนหนึ่งที่มองโลกในแง่ดีและมีความหวัง ผมสูญเสียสิ่งนั้นไป แม้กระทั่งแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของผมในตอนนั้น ผมก็ไม่สามารถปกป้องหรือทำอะไรได้เลย ยิ่งคิด ผมยิ่งจมลึกเข้าไปในความโศกเศร้า



จนทำให้ผมเผลอคิดย้อนกลับไปว่าผมควรทำสิ่งนี้ต่อไปดีหรือเปล่านะ หรือผมควรอยู่กับพ่อและแด๊ดดี้เอริคเงียบๆ ไม่ต้องไปไขว้คว้า ไม่ต้องทำอะไรซักอย่าง ปล่อยให้เรื่องราวความโหดร้ายของคาโซ่และผู้ชายคนนั้นดำเนินต่อไป เพราะผมกลัวเหลือเกิน กลัวว่าถ้าผมค้นลึกมากไปกว่านี้ สืบมากไปกว่านี้ ตัวของผมและใจของผมคงจะไม่สามารถรับไหวและแตกสลายลงไปในซักวัน



หึ แต่ถ้าผมทำอย่างที่คิดจริงๆ ผมคงจะเกลียดตัวเอง นรกที่ผมได้พบเจอเป็นบาดแผลที่กรีดลึกจนยากที่จะหาย เพราะฉะนั้นผมจึงไม่อยากให้ใครต้องมาเจอแบบเดียวกับผมได้อีกแล้ว ไม่เป็นไร ผมยังไหวครับ ต่อให้ผมกลายเป็นบ้า ต่อให้ผมขลาดกลัวแค่ไหน แต่ไม่มีทางที่ผมจะล้มเลิกแน่นอน นี่คือสิ่งเดียวที่ผมตั้งใจจะทำให้สำเร็จ



ดังนั้นผมจึงคิดว่าเรื่องที่ผมเจอก็หนักหนาพออยู่แล้ว เรื่องที่คิดวางแผนกำจัดคาโซ่และผู้ชายคนนั้นก็เช่นกัน ดังนั้นใจของผมคงไม่มีที่ว่างให้เกลียดใครไปมากกว่านี้ เรื่องของจีนผมจึงปล่อยวางได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ว่าตัวผมเองก็ยังคงภาวนาและหวังไว้ว่า ตลอดชีวิตที่เหลือของผมและจีนจะมีเส้นทางเดินที่มุ่งหน้าไปคนละเส้นทาง อย่าได้กลับมาพบเจอกันอีกเลย



“คริสติน” เสียงทุ้มนุ่มหนักแน่นของชายคนหนึ่งดังขึ้นอยู่อีกด้านของตู้เสื้อผ้า ร่างของผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะความตกใจ และกระชับกอดเข่าตัวเองไว้แน่นกว่าเดิม



ดราโก?



ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงของดอนแห่งคอลิโอเน่นั้นช่างทรงพลัง หนักแน่น และมั่นคง ใจที่ผมเต้นรัวด้วยความกลัวเริ่มสงบลงมากขึ้นจนน่าแปลกใจ ผมอยากจะส่งเสียงตอบกลับไป แต่ก็ไม่สามารถเอ่ยคำพูดอะไรออกไปได้เลย มันเหมือนเป็นความเคยชินว่าถ้าผมกำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืดนั้น ผมจะต้องอยู่ให้เงียบมากที่สุด ต้องนิ่งให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นตัวผมอาจจะถูกหาเจอ อาจจะโดนตามหาจนพบ และผมจะโดนทำร้าย



“เด็กน้อย เธออยู่ข้างในใช่ไหม”



ตัวของผมสั่นระริกมากขึ้น ผมรู้ว่าดราโกจะไม่ทำร้ายผม ถึงแม้เขาจะเป็นมาเฟียเหมือนกับคาโซ่ แต่พวกเขาก็ไม่เหมือนกัน ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สามารถห้ามความคิดของตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย เพราะลึกๆ ผมก็หวาดกลัวว่าเหตุการณ์ในอดีตมันกำลังย้อนกลับมา จึงทำให้ผมหวั่นไหวและหวาดกลัวได้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม



แอ๊ด



เสียงเปิดตู้เสื้อผ้าดังขึ้นมาเบาๆ แสงสว่างที่ส่องเข้ามาจากข้างนอกนั้น ยิ่งทำให้ผมขดตัวและพยายามเบียดร่างเข้าไปในมุมมืดของตู้เสื้อผ้าให้มากที่สุด คำภาวนามากมายของผมพร่างพรูอยู่ในใจอย่างห้ามความคิดของตัวเองไม่ได้



ได้โปรด อย่าเจอผม อย่าเจอผม



แต่ความคิดของผมก็ถูกฉุดดึงขึ้นมาจากเงามืดภายในจิตใจด้วยเสียงของเขา



“เทวดาตัวน้อยของฉัน ออกมาเถอะ” น้ำเสียงของดราโกฟังดูอ่อนโยนมากกว่าปกติ คำพูดของเขาเหมือนผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่งที่กำลังล่อลวงเด็กน้อยให้มารับขนมหวาน “มาเถอะคริสติน”



ดราโกเอ่ยออกมาอีกครั้งและครั้งนี้เขายืนเงียบๆ เพื่อรอคอยผมอย่างใจเย็น คำพูดของดราโกไม่ใช่คำพูดที่สวยหรูอะไรในการใช้ปลอบโยนคน เพียงแต่ประโยคสั้นๆ ของเขามันกลับสะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ในประโยคเหล่านั้น คำพูดของเขากำลังแสดงให้ผมเห็นว่าเขาพร้อมที่จะอยู่ข้างๆ ผม เขากำลังรอให้ผมตัดสินใจ และรอให้ผมพร้อมที่จะยื่นมือไปหาเขา



‘… ฉันจึงอยากคอยช่วยเหลือเธออยู่ข้างๆ ถ้ากลัวก็อย่าลืมว่าเธอยังมีฉันอยู่...’



ประโยคนี้ของชายหนุ่มสะท้อนก้องไปมาอยู่ในใจของผม ไม่เป็นไร ผมยังมีดราโกอยู่ อย่ากลัว ผมต้องกล้าหาญ อย่ากลัว



‘...ถ้ากลัวก็อย่าลืมว่าเธอยังมีฉันอยู่...’



‘...เธอยังมีฉัน...’



ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังก้มตัวลงมาเล็กน้อย พร้อมฝ่ามือใหญ่ที่เอื้อมมือมาทางผม ผมค่อยๆ รวบรวมความกล้าและเอื้อมมือไปจับฝ่ามือนั้นเอาไว้ เขากระชับมือกลับมาและออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ดึงร่างของผมที่นั่งอยู่ในมุมมืดให้ออกมาข้างนอกได้อย่างง่ายดาย



ร่างของผมโผไปหาชายหนุ่มตามแรงดึงของเขา แต่สุดท้ายก็เป็นตัวของผมเองที่พุ่งตัวไปกอดเขาเอาไว้แน่นๆ ฝังใบหน้าลงกับแผงอกของเขา และเป็นผมเองที่ปล่อยให้น้ำตาให้ไหลอย่างเงียบงัน น้ำตามากมายที่กักเก็บความรู้สึกของผมกำลังหลั่งไหลรินเป็นสาย น้ำตามากมายที่ผมคิดว่ามันแห้งเหือดไปแล้วกลับพลั่งพรูออกมามากมาย ผมร้องไห้อยู่เงียบๆ ร้องไห้ให้กับอดีตที่ปวดร้าว และร้องไห้ให้กับพี่ชายที่ครั้งหนึ่งพวกเราเคยเดินจับมือกัน ดูแลซึ่งกันและกัน และร้องไห้ให้กับความเจ็บช้ำที่เขาเลือกจะหันหลังและเดินจากไป



ผมที่พยายามเข้มแข็ง พยายามปล่อยวาง แท้จริงแล้วผมยังเก็บมันเอาไว้อยู่ในส่วนลึกในจิตใจ ผมสะอื้นอย่างไร้เสียง ร่ำร้องอย่างไร้เรี่ยวแรง น้ำตาของผมกำลังตอบแทนทุกคำพูดและความเจ็บช้ำ ตัวของผมสั่นสะท้านเบาๆ แต่ในใจที่ปวดร้าวของผม มันกลับได้รับการปลอบโยนโดยเขาคนนี้อยู่เงียบๆ เช่นเดียวกัน



เมื่อผมกำลังร้องไห้ เขาก็กำลังกอดผมไว้แน่นๆ ใช้ฝ่ามือใหญ่ของเขาลูบหลังปลอบโยนผมอย่างอ่อนโยน



ดราโก



ดราโก



ดราโก



ชื่อของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผู้เป็นดอนของคอลิโอเน่ กลับเป็นชื่อแรกที่ผมเรียกหา พวกเรากอดกันอยู่ซักพัก ใช้เวลาปลอบโยนกันอยู่เงียบๆ หยาดน้ำตาที่หลั่งรินและความเจ็บปวดเริ่มบรรเทา ผมรู้สึกสงบใจมากขึ้นเมื่อมีชายหนุ่มอยู่ข้างๆ ผมไว้วางใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ จนผมเองก็ไม่รู้ตัวว่าผมเปิดใจให้เขามากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่



“ขอบคุณครับดราโก” ผมเอ่ยขอบคุณเขาจากใจจริง ไม่ใช่คำขอโทษที่ทำให้เขาต้องมาดูแลหรือเป็นห่วง แต่เป็นคำขอบคุณที่ไม่ปล่อยให้ผมต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง “ขอบคุณครับ”



“คริสติน เด็กน้อยของฉัน เทวดาตัวน้อยของฉัน” ร่างสูงของชายหนุ่มก้มลงมากระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างใบหู “ฉันไม่ชอบที่เธอร้องไห้ เด็กน้อย ครั้งนี้คือครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเห็นน้ำตาจากเธอ เข้าใจไหม อย่าร้องเด็กดี”



อ้อมกอดของดราโกกระชับแน่นมากขึ้น คำพูดของชายหนุ่มเหมือนเป็นคำสั่งที่ผมต้องปฏิบัติตาม มันดูเผด็จการ แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกดีมากขึ้น



“ครับ” ผมตอบรับคำของเขาเสียงอู้อี้ เพราะใบหน้าของผมยังฝังแน่นอยู่ในอ้อมอกของชายหนุ่ม



“รู้สึกดีขึ้นรึยัง” ดราโกถามผม หลังจากที่เรายืนกอดกันอยู่เงียบๆ มาพักใหญ่ ตอนนี้ใจของผมสงบมากขึ้นแล้วครับ สมองก็ปลอดโปร่งมากขึ้น



“ครับ ผมดีขึ้นมากแล้วครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมามองเขาเล็กน้อย และพยายามจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ยังคงคลอหน่วย แต่เพราะผมโดนแขนแข็งๆ ของเขารัดไว้แน่น จึงทำให้ผมเคลื่อนไหวอย่างที่ใจคิดไม่ค่อยได้ ได้แต่ขยับตัวยุกยิกเป็นการบอกใบ้ให้เขารู้เท่านั้น แถมผมยังรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อสังเกตเห็นเสื้อของเขาที่เปียกชุ่มจากน้ำตาของผมเป็นวงกว้าง



“ขอโทษนะครับ เสื้อของคุณเปียกหมดเลย” ผมขอโทษเขาจากใจจริง แต่พอเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม ผมกลับนิ่งงันไปเล็กน้อยเมื่อเงยหน้าสบตากับเขา ดวงตาคมสีทองของดราโกดูลุ่มลึก สายตาแบบนี้ของเขาผมพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก



ดวงตาสีทองเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ทำไม ดวงตาและสายตาที่เขามองมา มันกลับทำให้ใบหน้าของผมร้อนวูบ เลยตัดสินใจดันอกของเขาเล็กน้อยเพื่อให้ระยะห่างระหว่างเราเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม แต่ดูเหมือนว่าดราโกจะไม่ยินยอม เขาจัดการรวบมือทั้งสองข้างของผมเข้าไว้ด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็จัดการรวบเอวของผมขึ้นมาจนขาของผมลอยห่างจากพื้น



“ดราโก?” ผมเอียงศีรษะมองเขาอย่างแปลกใจ บรรยากาศระหว่างเรามันดูแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเพราะท่าทางของดราโก หรือไม่ก็สายตาของเขาที่จ้องมองมากำลังตรึงสายตาและร่างกายของผมให้นิ่งงัน



เหมือนผมกำลังถูกดึงดูดเข้าไปในดวงตาสีทองคู่นั้นทีละนิด เหมือนกับที่ความสำคัญของดราโกที่อยู่ในใจของผมมันกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รู้ตัวอีกที ผมก็เปิดใจเล่าเรื่องของผมให้เขาฟังเร็วกว่าตอนคุณพ่อและแด๊ดดี้เอริคเสียอีก มันเพราะอะไรกันนะ ผมไม่ค่อยเข้าใจเลย ทั้งๆ ที่พวกเราเจอกันได้ไม่นานแท้ๆ



.......



ดราโกจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเทวดาตัวน้อยของเขา ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ไร้อารมณ์และไร้รอยยิ้มของคริสตินมันกำลังทำให้เขาเจ็บปวดใจ เด็กน้อยของเขาต้องพบเจอกับโลกโสมมที่มีแต่ความชั่วช้า สันดานดินเถื่อน และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ความเลวร้ายที่เด็กคนนี้ได้พบเจอมันทำให้เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งเติบโตภายในชั่วข้ามคืน



เขาไม่แปลกใจอีกต่อไปแล้วว่าทำไมคริสตินถึงดูเป็นผู้ใหญ่นัก ทำไมเด็กคนนี้ถึงมองโลกและเข้าใจโลกใบนี้เกือบทุกอย่าง เขานึกขอบคุณและนึกทึ่งในตัวคริสตินมาก เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้ พบเจอการหักหลังจากคนที่เชื่อใจต่อหน้าต่อตา แต่กลับโชคดีที่เด็กคนนี้ยังไม่แตกสลาย ดีที่ยังรักษาจิตใจที่เข้มแข็งเอาไว้ได้ และดีที่ทำให้เด็กน้อยคนนี้ไม่เดินทางผิด



สิ่งที่จีนเล่านั้นไม่สามารถบรรยายความเลวร้ายที่คริสตินเจอมาทั้งหมดในสามเดือนหลังจากนั้นได้ เด็กน้อยยังไม่ได้เล่าเรื่องราวหลังจากนี้ให้เขาฟัง แต่เขายังไม่เร่งรัด เรื่องบางเรื่องถ้าบีบคั้นมากเกินไปมันจะทำให้เด็กคนนี้ล้มไปก่อน จิตใจของคริสตินคงแหลกสลายไม่สามารถกลับคืนมาได้แน่นอน เขาไม่รีบ ใช่ เขาไม่รีบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไร



แผนการบางอย่างเริ่มไปแล้ว และมันต้องสานต่อโดยไม่สามารถรอคอยได้ แต่เขาก็เชื่อมั่นในตัวคริสตินเช่นเดียวกัน ว่าเด็กน้อยของเขา เทวดาตัวน้อยของคนคนนี้จะต้องกลับมามีรอยยิ้มและเผชิญหน้ากับทุกปัญหาด้วยความกล้าหาญได้แน่นอน แต่ถ้าไม่ไหว ก็ยังมีเขา มีคอลิโอเน่เป็นผู้สนับสนุนและพร้อมจะกรุยเส้นทางที่ยากลำบากให้เด็กคนนี้ได้แน่นอน



คริสตินไม่เหมือนใคร ความเด็ดเดี่ยว ความมีเหตุผล และความกล้าหาญที่เด็กคนนี้มีอยู่ในจิตใจมันกำลังดึงดูดเขาอยู่ตลอดเวลา คริสติน คริสติน เด็กน้อยคนดีของเขา เทวดาน้อยของเขา แสงสว่างของเขา ใครหน้าไหนที่บังอาจทำให้เด็กน้อยของเขาเสียน้ำตา ทำให้เด็กน้อยของเขาร้องไห้ หรือทำให้เด็กน้อยของเขาเสียใจ แม้จะเป็นพี่ชาย เขาก็จะไม่ปล่อยทิ้งไว้



จีน ไอรา



เด็กคนนั้นถึงจะรักคริสตินด้วยใจจริง แต่ก็เพราะความเห็นแก่ตัวและละทิ้งผู้มีพระคุณ สุดท้ายผลที่ได้กลับทำให้คริสตินต้องเผชิญหน้ากับนรกที่ฝากบาดแผลไว้ในจิตใจของเด็กน้อยอย่างสาหัส แต่ยังก่อน รอแผนการของเขาดำเนินไปอีกซักระยะ รอให้ทุกอย่างลงตัวและเรียบร้อย ถึงเวลานั้นเขาจะทำให้พี่ชายที่น่าสมเพชคนนั้นได้รู้ซึ้งเข้าไปถึงแก่น ว่าความโหดร้ายที่แท้จริงมันคืออะไร



“ดราโกครับ?” เสียงแผ่วเบาของคริสตินเอ่ยเรียกสติของเขาขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ดวงตาที่เย็นชาและเกรี้ยวกราดสงบลงในทันที สายตาของชายหนุ่มทอดมองร่างเล็กที่ถูกเขาอุ้มขึ้นมาด้วยมือเดียวอย่างเงียบๆ มองใบหน้าเล็กที่แดงเรื่อและเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ริมฝีปากแดงและดวงตาบวมช้ำของคริสตินที่เขาเห็นในเวลานี้มันกลับกระตุ้นใจเขาจนกระตุก



ดอนแห่งคอลิโอเน่กำลังถูกปลุกสัญชาตญาณของนักล่าในตัว เขากำลังลำบากที่ต้องหักห้ามใจไว้อย่างสุดกำลัง ท่าทางของคริสตินในตอนนี้มันช่างน่ารักจนเขาอยากปลอบโยนด้วยความรักทั้งหมดเท่าที่เขามี ท่าทางของเทวดาตัวน้อยที่ดูบริสุทธิ์และกำลังอ่อนแอ มันกำลังทำให้เขาคลั่งและมันทำให้เขากระหายอยากจนแทบจะอดใจไว้ไม่ไหว



ยิ่งดวงตาคู่นั้นมองเขาเหมือนทั้งโลกมีเพียงเขาแค่คนเดียว เขาก็อยากจะกลืนกินและครอบครองให้ทั้งตัวและหัวใจของเด็กน้อยอยู่กับเขาเท่านั้น ทีละนิด ทีละนิด ค่อยๆ สร้างกรงขึ้นมาดักล้อมเอาไว้ สร้างกรงที่เรียกว่าความไว้วางใจ ให้เด็กน้อยของเขาอยู่กับเขา วางใจเขา และเชื่อมั่นในตัวเขา สร้างสถานที่ที่คริสตินจะต้องอยู่เคียงข้างเขาเท่านั้น



เขาเริ่มไม่ไหวแล้วจริงๆ อยากจะกักเด็กน้อยคนนี้ไว้ในอ้อมกอด อยากจะกดร่างเล็กให้จมลงไปกับเตียง และอยากให้เด็กคนนี้ร้องเรียกแต่ชื่อของเขา...



“คำขอบคุณของเธอหมายถึงอะไร” เขาพยายามกดสัญชาตญาณของตัวเองไว้ให้ลึกมากที่สุด พาร่างเล็กของเด็กน้อยมานั่งอยู่ที่โซฟา โอบอุ้มและประคองคริสตินอย่างของล้ำค่า และพยายามหันเหความสนใจชักชวนคุยเรื่องอื่น



“ขอบคุณที่อยู่กับผมครับ ขอบคุณที่คอยช่วยเหลือผม” คริสตินตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ ดวงตาสบกันมองลึกเข้าไปถึงข้างใน เทวดาตัวน้อยใช้สองมือยึดบ่าของเขาเอาไว้ และยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ “และขอบคุณที่อยู่ข้างๆ ผมนะครับ”



คริสตินไม่รู้เลยว่าท่าทางในตอนนี้ของตัวเองมันยิ่งทำให้ชายหนุ่มข่มกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เส้นอารมณ์ความอดทนมันเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ยิ่งร่างเล็กนั้นเปลี่ยนจากยึดบ่าเป็นโอบรอบคอและซบหน้าลงมากับไหล่เขาอย่างออดอ้อนนั้นมันช่าง...



“เธอกำลังยั่วฉัน?” เขาถามขึ้นด้วยเสียงแหบพร่าอย่างควบคุมไม่ได้



“เปล่าครับ” เด็กน้อยตอบเขาอย่างรวดเร็ว แต่คิ้วเข้มของชายหนุ่มกลับเลิกขึ้นสูงด้วยความสงสัยและขบขันเล็กน้อย เพราะท่าทางและคำพูดของเจ้าตัวมันช่างสวนทางกันเหลือเกิน



“แต่ท่าแบบนี้เธอรู้ไหม เขาเรียกว่ายั่ว” มือใหญ่ของชายหนุ่มลูบไล้แผ่นหลังนั้นอย่างกระตุ้นอารมณ์



“ผมไม่รู้ว่าผมกำลังยั่วเหมือนที่คุณว่าหรือเปล่า แต่ผมแค่รู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ คุณ” เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มของคริสตินคลอเคลียไปตามใบหน้าเขา “เหมือนอยู่กับแด๊ดดี้เอริคและคุณพ่อเลยครับ”



ประโยคสุดท้ายที่เทวดาตัวน้อยที่พูดออกมาทำให้ฝ่ามือของชายหนุ่มหยุดชะงัก ดราโกอยากจะถอนหายใจออกมาแรงๆ ซักครั้ง นอกจากปัญหาเรื่องคริสตินกับพวกคาโซ่แล้ว ปัญหาหลักอีกอย่างหนึ่งคือการทำให้เด็กน้อยเข้าใจความแตกต่างระหว่างเขาและพ่อของเจ้าตัวซินะ ไม่อย่างนั้นก็จะเปรียบเทียบเรื่องพวกนี้ให้เขาปวดใจอยู่เรื่อยๆ



“คริสติน” เขาเรียกชื่อเทวดาตัวน้อยเบาๆ



“ครับ?” และคริสตินก็ขานรับ



“คริสติน” แต่เขาก็ยังไม่หยุดเรียก จนเด็กน้อยยอมผละจากบ่าของเขาและเงยหน้ามองเขาด้วยความงุนงง



“ครับ?”



และเขาก็ตอบคำถามด้วยการก้มลงจุมพิตริมฝีปากเล็กแดงเรื่อนั้นอย่างอ่อนโยน ไล้จุตพิตขบเม้มจนร่างเล็กของคริสตินสั่นสะท้าน หยอกเย้าดูดดึงยั้วเย้าจนเสียงลมหายใจของพวกเขาสอดประสานและหอบสะท้าน สอดลึกเข้าไป ไล้ต้อน เกี่ยวพัน กระหวัดหยอกล้อ จนเด็กน้อยของเขาทนไม่ไหว จิกบ่าของเขาไว้แน่นและแหงนใบหน้าขึ้นสูงจนเขาไล้เชยชิมอย่างสมใจ



จนกระทั่งอากาศของพวกเขายังถูกสูบกลืนจนแทบหมดลม ดราโกเลยยอมปล่อยให้ร่างเล็กสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แต่ไม่ทันไรริมฝีปากบางแสนร้ายกาจก็กลับมาไล่ต้อนคริสตินอีกครั้ง และอีกครั้งจนร่างของเด็กน้อยอ่อนระทวยเอนซบอกอย่างคนไร้เรี่ยวแรง มุมปากของดราโกกระตุกยิ้มร้าย ความหอมหวานที่ได้เชยชิมนั้นล้ำค่าและเหมือนสารเสพติดที่อันตรายร้ายแรง



“พ่อของเธอได้จูบเธออย่างนี้ไหม” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของดราโกนั้นฟังดูไม่น่าไว้วางใจ แต่เด็กน้อยก็ยังตอบคำถามด้วยการส่ายศีรษะเบาๆ อย่างคนอ่อนแรง



“งั้นเหรอ แล้วแบบนี้ล่ะ” ว่าจบฝ่ามือหนาของชายหนุ่มก็สอดเข้าไปใต้เสื้อยืด ลูบไล้แผ่นหลังนุ่มอย่างเบามือ ลากไปตามสัดส่วนและเส้นสายกล้ามเนื้อน้อยๆ ของคริสตินอย่างเพลิดเพลิน ก่อนจะยกชายเสื้อขึ้นสูง เผยหน้าอกขาวเนียนและยอดอกน่ารักสีชมพู ดวงตาสีทองของชายหนุ่มเข้มมากขึ้น ความกระหายอยากพลุ่งพล่านจนต้องก้มลงไปลิ้มลองให้หายอยาก หยอกเย้ายอดอกเล็กๆ ด้วยปลายลิ้นร้อนผ่าว ก่อนจะกลืนกินดูดดึงให้ลึกซึ้งมากขึ้น



“อื้อ” คริสตินสะท้านเยือกเมื่อจุดอ่อนไหวของเขาถูกรบกวน เหมือนประสาทความรู้สึกของเขาไปรวมอยู่ในจุดเดียว เพราะอย่างนั้นมันจึงปลุกเร้าความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาจนกลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่ไหวอีกต่อไป



ดราโกเห็นใบหน้าของเด็กน้อยที่แหงนเชิดขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัว ดวงตากลมสีน้ำตาลหลับตาและขมวดคิ้วย่น ริมฝีปากบวมช้ำแดงเรื่อถูกขบเม้ม ภาพของเทวดาตัวน้อยตอนนี้มันช่างเซ็กซี่ร้ายกาจ เซ็กซี่ ยั่วเย้าอย่างไร้เดียงสา ฝ่ามือใหญ่ของเขาเลื่อนไปเล่นกับยอดอกอีกข้างอย่างชำนาญ เคล้าคลึงจนเต่งตึงและเบ่งบาน จนเขาต้องย้ายมาดูดกลืนอีกข้างอย่างอดใจไม่ไหว



เสียงครางแผ่วเบาที่คริสตินพยายามสะกดกลั้นไว้ในลำคอนั้นน่าเอ็นดู จนชายหนุ่มอย่างฟังเสียงนั้นชัดๆ ซักครั้ง จนกระตุ้นหยอกเย้าลึกขึ้น จนเด็กน้อยของเขาน้ำตาเอ่อคลอ กอดรัดศีรษะของเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งนี้กลับทำให้ดราโกเชยชิมลิ้มรสเรือนร่างของคริสตินได้ถนัดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“มะ ไม่ ดราโกครับ” คริสตินเสียงสั่นพร่า พยายามเอ่ยห้ามเขาด้วยเสียงเบาหวิวจนแทบกลายเป็นคร่ำครวญ



“คำตอบล่ะเด็กน้อย” ดราโกยิ้มบางเบา ดวงตาคู่งามฉายแววเจ้าเล่ห์เต็มเปี่ยม แต่เทวดาตัวน้อยที่ยังคงหลับตาอยู่นั้นกลับไม่เห็นภาพเหล่านี้ได้เลย “พ่อของเธอเคยทำแบบนี้ไหม”



“อึก มะ ไม่ครับ” เด็กน้อยตอบเสียงแผ่วเบา แต่คำตอบของคริสตินกลับเป็นแรงกระตุ้นให้ชายหนุ่มได้เริ่มขั้นตอนต่อไปในทันที หลังจากลิ้มรสริมฝีปากและยอดอกของคริสตินจนอิ่มใจ เขาก็จัดการตีตราจองสำรวจไปทั่วเรือนร่างอย่างห้ามใจตัวเองไม่ไหว ปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มปกคลุมร่างขาวให้ปรากฏสู่สายตา และพลิกร่างเล็กของคริสตินให้นอนลงไปยังโซฟากว้างทันที



ทั้งดวงตา มือ และริมฝีปากของดราโก กลับสัมผัสลากไล้ทุกสัดส่วน ก้มขบเม้มดูดดึงและตีตราไปทั่วทุกผิวกาย จากร่างกายขาวนวลกลับปรากฏกลีบกุหลาบสีแดงก่ำขึ้น ดราโกไม่ปล่อยให้มีที่ว่างใดใดได้เล็ดลอดไป แม้กระทั่งขาอ่อนด้านในเขาก็ยังก้มตีตราจนแทบจะแนบชิดจุดสำคัญ



“ดะ เดี๋ยวก่อนครับ” คริสตินพยายามจะเอ่ยห้าม แต่เมื่อเทวดาตัวน้อยของเขาลืมตาขึ้นก็สบกับดวงตาสีทองที่ร้อนแรงและเต็มไปด้วยเพลิงปรารถนาที่ลุกไหม้จนเด็กน้อยยังรู้สึกได้



“แล้ว...แบบนี้พ่อของเธอได้ทำไหม” สายตาของดราโกจริงจัง เขายันตัวขึ้นสูงแต่ก็ยังกักขังเทวดาตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน ดวงตาของเขาสื่อทุกสิ่ง ทุกความจริงไว้อย่างชัดเจน



“ไม่ครับ” คริสตินตอบเขาและสบสายตากันและกันเนิ่นนาน



“ฉันไม่ใช่พ่อของเธอและไม่เหมือนพ่อของเธอ และไม่ใช่ลุงของเธอเช่นเดียวกัน” ดราโกเอ่ยช้าๆ แต่หนักแน่นชัดเจน โดยเฉพาะคำว่า ‘พ่อ’ และ’ ลุง’ ที่ชายหนุ่มเน้นคำเป็นพิเศษจนคริสตินต้องเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ



“เพราะอะไรครับ?” คริสตินเอียงศีรษะมองเขานิ่งๆ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของเด็กน้อยจริงจัง “ผมอยากรู้ คุณช่วยบอกผมได้ไหมครับ”



ชายหนุ่มใช่ศอกชันร่างหนาของเขาเอาไว้ไม่ให้กดทับร่างของคริสตินจนเด็กน้อยรู้สึกอึดอัดและหายใจไม่ออก มืออีกข้างที่ว่างก็เคลื่อนไปเสยเส้นผมนุ่มสีน้ำตาลที่ปรกหน้าผากให้เปิดขึ้น และก้มจุมพิตหน้าผากนวลเนียนนั้นแผ่วเบา ก่อนเคลื่อนมาจุมพิตยังเปลือกตาทั้งสองข้างช้าๆ และเป้าหมายสุดท้ายคือริมฝีปากอิ่มช้ำแดงเรื่อนั้น เขาก้มจุมพิตเนิ่นนานเพื่อถ่ายทอดทุกความรู้สึกของเขาลงไปให้เทวดาตัวน้อยได้รับรู้



“ฉันชอบเธอ และจนวันนี้...มันกลายเป็นรัก” ดราโกกระซิบแผ่วเบาอยู่เหนือริมฝีปากที่ผละห่างกันเล็กน้อย ดวงตาสีทองคมถ่ายทอดความรู้สึกและความจริงใจจนปรากฏชัดอยู่ในสายตา



“ฉันรักเธอ เทวดาตัวน้อยของฉัน”






หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 21 คามจริงจากพี่ชาย (06.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 07-11-2018 10:14:30
โอยยยยยยย อ่านแล้วสงสารน้องมากเลย นี่ก็เข้าข้างลุงนะเนี่ย ยังไม่เห็นใจคุณพี่ชายอ่ะ (อินมากกกก)
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 22 ความในใจ (07.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 07-11-2018 16:22:51
ลุงสารภาพรักแล้ว :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 22 ความในใจ (07.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 07-11-2018 18:21:07
น้องงงงงง :pig4:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 22 ความในใจ (07.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-11-2018 20:27:01
น่าสงสารเด็กๆ และ คนที่เป็นเหยื่อพวกค้ามนุษย์  :mew2: :mew2: :mew2:
ร่างกาย จิตใจ ที่ตกอยู่ในภาวะถูกกักขัง ทารุณ อดหยาก ทรมาน
คงเป็นทุกข์หนักหนาสาหัสมากๆ
ถึงพ้นภาวะนั้นมาแล้ว แต่จิตใจยากที่จะฟื้นเป็นปกติได้  :เฮ้อ:

ดราโก  คริสติน   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 22 ความในใจ (07.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 11-11-2018 08:03:54
เอาใจช่วยทั้งคู่ ให้แผนเป็นไปด้วยความสำเร็จ

ล้างบางพวกเดนมนุษย์พวกนั้นให้ได้
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 22 ความในใจ (07.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 11-11-2018 11:01:44
สารภาพรักแล้ว ลุงรักเด็ก
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 23 ใกล้ชิด (14.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 14-11-2018 15:51:30

บทที่ 23 ใกล้ชิด



“ฉันชอบเธอ และจนวันนี้...มันกลายเป็นรัก” เสียงกระซิบของดราโกนั้นแม้แผ่วเบา แต่กลับดังกึกก้องอยู่ภายในใจของผมอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกบางอย่างที่เขาส่งผ่านมาให้ผมรับรู้นั้น มันทั้งอบอุ่นและชวนให้ใจของผมกระตุกเต้นรัว



“ฉันรักเธอ เทวดาตัวน้อยของฉัน” ดวงตาสีทองของชายหนุ่มที่คร่อมตัวผมอยู่นั้นเปิดเปลือยทุกความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ผมรับรู้ได้จากคำพูดและความรู้สึกที่ท่วมท้นของเขา พวกเรามองตากันและกัน นิ่งค้างอยู่ท่านั้นเนิ่นนาน ผมรู้ว่าเขากำลังรอคำตอบจากผมเช่นเดียวกัน



ความรู้สึกของดราโกคือเรื่องจริง ผมสามารถรับรู้ได้จากทุกการกระทำและแววตาที่จริงใจของเขา เรื่องความรักหรือความรู้สึกนั้นผมไม่สามารถตอบไปส่งๆ หรือล้อเล่นกับใจของใครได้ ดังนั้นผมจึงสำรวจลึกลงไปในใจของผมแทนเพื่อที่จะตอบความรู้สึกของผมที่มีต่อเขาเช่นเดียวกัน



ถึงแม้ว่าในเรื่องความรักนั้นผมจะยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ เพราะบางทีความรักมันก็ซับซ้อน และบางครั้งมันก็เรียบง่ายจนน่าแปลกใจ แต่เพราะตัวผมเองที่ยังไม่รู้ใจของตัวเองดี ผมจึงเลือกที่จะถามดราโกอย่างตรงไปตรงมา เพื่อจะให้เขาช่วยเหลือและวิเคราะห์ในสิ่งที่ผมรู้สึกได้



“ดราโกครับ” ผมตัดสินใจที่จะถามเขา ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองผมและขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น “ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมรู้สึกจะเรียกว่าความรักหรือเปล่า เพราะผมก็ไม่เข้าใจมันมากเท่าไหร่นัก แต่ผมก็พึ่งรู้ตัวว่าคนแรกที่ผมมองหา คือคุณ มันจะใช่หรือเปล่าครับ?”



ผมเอียงศีรษะมองเขาและถามเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ มือหนาของชายหนุ่มยังคงลูบศีรษะของผมเบาๆ ผมสังเกตเห็นหัวคิ้วของดราโกที่ยกสูงขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ



“บางทีผมก็อยากจะอยู่ใกล้ๆ คุณ เพราะผมรู้สึกว่าอยู่ใกล้คุณผมจะปลอดภัย มันจะใช่ไหมครับ?”



ใบหน้าของชายหนุ่มเรียบนิ่ง แต่ผมกลับสังเกตเห็นดวงตาสีทองของดราโกเป็นประกายเล็กๆ อยู่ภายใน



“หรือแม้กระทั่งเรื่องที่นอนของพวกเรา ตอนแรกๆ ผมก็อึดอัด แต่พอหลังจากนั้นผมก็พบว่าผมจะนอนหลับสนิทได้ก็ต่อเมื่อคุณกอดผม แบบนี้ใช่หรือเปล่าครับ?”



ดวงตาของดราโกเป็นประกายมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเอียงศีรษะมองเขา ใบหน้าหล่อเหลาของดราโกยิ่งขยับเข้ามาใกล้ผม โครงหน้าของชายหนุ่มนั้นดูสมบูรณ์แบบ ดวงตาคมกริบสีทอง คิ้วเข้มที่ดูดุดัน และจมูกโด่งเป็นสัน ผมยกมือลูบไปตามกรอบหน้าของเขาช้าๆ วาดไปตามรูปหน้าและไล่นิ้วไปตามสันจมูกของเขาด้วยความสนใจ



“และเมื่อผมเจ็บปวดจากเรื่องมากมายที่ผมต้องเผชิญหน้า ผมกลับรู้สึกวางใจที่จะเล่าให้คุณฟัง แบบนี้จะใช่ไหมครับ?”



สุดท้ายปลายนิ้วของผมก็หยุดลงที่ริมฝีปากบางได้รูปของดราโก ผมรู้สึกว่าริมฝีปากของเขามันดูสวยและนุ่มมากเลยครับ จึงอดที่จะลูบเบาๆ ไม่ได้ แต่เมื่อปลายนิ้วของผมหยุดนิ่งอยู่ที่กึ่งกลางริมฝีปากของเขา ดราโกก็ก้มลงงับปลายนิ้วของผมช้าๆ ไล่ขบเม้มและใช้ปลายลิ้นหยอกเย้าผม กระแสและความร้อนบางอย่างเริ่มลามเลียมาจากจุดที่ดราโกขบกัดไปทั่วร่าง และสายตาของเขาก็มองลึกเข้าไปในดวงตาของผมไม่ห่างไปไหน



“ผมรู้สึกว่าคุณได้มอบความกล้าให้กับผม ทำให้ผมกล้าที่จะเผชิญหน้ากับอดีต กล้าที่จะจัดการปัญหาทุกอย่าง เพราะผมเชื่อมั่นว่าคุณจะคอยอยู่ข้างๆ ผม คอยช่วยเหลือผม คอยประคับประคองและดูแลผม ผมเชื่อมั่นในตัวคุณ มันจะใช่หรือเปล่าครับ?”



ดราโกจุมพิตกลางฝ่ามือของผมเบาๆ มืออีกข้างของผมก็ลูบใบหน้าของเขาช้าๆ เช่นเดียวกัน ดวงตาของดราโกเปล่งประกายเจิดจ้ามากกว่าเดิม สีทองในดวงตาของเขาสวยงามยิ่งกว่าทุกครั้ง



“และเมื่อผมเจ็บปวด คนแรกที่ผมนึกถึงคือคุณ ผมรู้สึกสบายใจที่มีคุณอยู่ข้างๆ ใช่ไหมครับ? ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่ารักหรือเปล่า? ผมเคยอ่านในหนังสือ เขาบอกว่าความรู้สึกเป็นอารมณ์ที่ซับซ้อนมากที่สุด แปรปรวนและสับสนมากที่สุด สำหรับผมที่เป็นพวกอารมณ์ความรู้สึกบกพร่อง เลยไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้จะสามารถพูดคำว่ารักได้ไหม แต่ผมรู้แค่ว่านอกจากคุณพ่อ และแด๊ดดี้เอริคแล้ว ก็มีแค่คุณที่ผมอยากจะส่งยิ้มให้มากเหลือเกิน”



เพราะรอยยิ้มของผมเป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามีค่ามากที่สุดที่ผมได้ทำหล่นหายไป และผมคิดว่ามันสำคัญสำหรับผมมากที่จะมอบรอยยิ้มให้กับพวกเขา



“และเมื่อคุณพูดคำว่ารัก ใจของผมมันเต้นตึกตักและรู้สึกอบอุ่น แบบนี้จะเรียกว่าผมรักคุณหรือเปล่าครับดราโก?”



ดวงตาของพวกเรามองลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน สิ่งที่ผมพูดคือความจริงที่ผมรู้สึกและได้บอกทุกความรู้สึกของผมให้กับชายหนุ่มได้รับรู้ แต่ครั้งนี้ดวงตาของดราโกกลับเจิดจ้าเปล่งประกาย และรอยยิ้มของเขาก็ปรากกฏอยู่บนใบหน้า ทำให้บรรยากาศรอบตัวของชายหนุ่มเปลี่่ยนไป มันดูอบอุ่นและอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น



“คริสติน” ใบหน้าของดราโกเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราแตะสัมผัสกันและกัน ผมเห็นดราโกได้อย่างชัดเจน ยิ่งใบหน้าเราใกล้ชิดกัน ผมยิ่งเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความดีใจของเขา มันกำลังตื่นเต้นและยินดี ดราโกกำลังมีความสุข



“คริสติน” เขาพึมพำเรียกชื่อผมครั้งแล้วครั้งเล่า ใช้ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับทุกส่วนบนใบหน้าของผม เขาจุมพิตหน้าผาก เปลือกตาทั้งสองข้าง และสุดท้ายเขาก็ดูดกลืนริมฝีปากของผมเนิ่นนาน สัมผัสถึงกันและกันจนดูดดื่ม และลึกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกับผมจนดวงตาของผมพร่าเลือน



ลมหายใจของเราสอดประสานและพัวพันกันจนไม่มีช่องว่างใดใดให้เล็ดลอดผ่านไป ผมเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขากลับ และเป็นฝ่ายเกี่ยวกระหวัดชักชวนเขาก่อนอย่างใจกล้า สองมือผมโอบรอบคอของเขาไว้มั่น และหลับตาเพื่อรับรู้ความรู้สึกที่ส่งผ่านกันและกัน ใจของผมเต้นเร็วมากกว่าปกติ และรู้สึกดีจนน่าแปลกใจ



พวกเราจุมพิตกันเนิ่นนาน เดี๋ยวก็บางเบาอ่อนโยน แต่อีกเดี๋ยวก็ร้อนแรงแทบแผดเผามอดไหม้ จนกระทั่งสุดท้ายผมหอบสะท้านและรู้สึกว่ามันไม่พอ ผมต้องการมากกว่านี้ ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้ว่าสิ่งนี้คือกลไกตามธรรมชาติของร่างกาย ผมกำลังต้องการและอยากได้รับการเติมเต็ม



ผมรู้ว่าตัวผมไม่มีประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้เลยเมื่อเทียบกับดราโก ทั้งริมฝีปากและฝ่ามือของเขานั้นร้ายกาจ คอยชักนำและพาผมให้ดำดิ่งลึกลงไปในห้วงอารมณ์ที่แสนบ้าคลั่ง หลงมัวเมา เพลิดเพลิน และสับสนกับอารมณ์ที่พุ่งทะยานไปตามรอยจุมพิต ตามรอยฝ่ามือที่สำรวจลูบไล้ ร่างกายทุกสัดส่วนถูกเขาสำรวจตรวจตราและฝากรอยรักไปทั่ว



เขาบีบเค้นสัมผัสและเชยชิมผิวกายของผมอย่างไม่เบื่อหน่าย



มากกว่านี้ มากขึ้นเรื่อยๆ จนผมแทบทานทนไม่ไหว ความร้อนผ่าวที่เกิดจากชายหนุ่มกำลังกัดกินผม



“อ๊ะ อื้อ” ความรู้สึกวาบหวามกระตุกเร้าไปทั่วร่างกาย แผ่นอกของผมเกร็งสะท้านเมื่อความร้อนผ่าวของริมฝีปากของดราโกสัมผัสกับยอดอกของผม ผมรู้สึกเจ็บ เมื่อเขาก้มขบเม้มดูดดึงอย่างแรงจนมันท้าทายสายตาคมกริบของเขา เขายกยิ้มอย่างชอบใจที่เห็นปฏิกิริยาจากร่างกายของผมที่เป็นไปตามแรงอารมณ์ที่พุ่งทะยานสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แก่นกายของผมร้อนผ่าว มันปวดหนึบ และร่ำร้องขอความเมตตา



ผิวกายที่ขาวละเอียดของผมเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ และเต็มไปด้วยรอยกลีบกุหลาบสีช้ำ ผมหอบสะท้าน ใจสั่นระรัว และรู้สึกเขินอายเมื่อดราโกยืดตัวขึ้นเต็มความสูง เขาปลดเปลื้องทุกพันธนาการบนเรือนร่าง และเผยรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ ทุกท่วงท่าของชายหนุ่มตรึงสายตาของผมไว้ เหมือนแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นกำลังสะกดสายตาของผมให้จับจ้องเขาอย่างไม่อาจละสายตา



“เทวดาตัวน้อยของฉัน เด็กน้อยของฉัน คริสตินของฉัน” น้ำเสียงของดราโกแหบพร่าไปตามแรงอารมณ์ ผมสัมผัสได้ว่าดราโกกำลังดีใจ กำลังตื่นเต้น และกำลังหลงใหลไปกับผม



เมื่อเขาจุมพิต ผมรู้สึกมัวเมา เมื่อผมถูกสัมผัส ผมรู้สึกมอดไหม้ และสิ่งที่ผมรู้สึก ดราโกก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เขาคลอเคลีย แนบชิด และผมสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขาที่กล้าแกร่งแนบชิดกับต้นขาของผม ของๆ ดราโกนั้นร้อน ร้อนและเต็มไปด้วยความต้องการที่เอ่อร้นจนผมสัมผัสได้ และตัวตนของผมก็รู้สึกเช่นเดียวกัน



“ดราโกครับ” ผมไม่รู้จะจัดการความรู้สึกของผมตอนนี้ได้ยังไง ผมจึงได้แต่ช้อนตามองเขาและร่ำร้องรียกชื่อของชายหนุ่มเท่านั้น ความรู้สึกแบบนี้มันยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ ที่ผมเคยสัมผัสมา “ดราโก”



ดวงตาสีน้ำตาลของผมคลอหน่วยไปด้วยหยาดน้ำตาและเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่พุ่งทะยาน ผมเกาะบ่าของเขาไว้แน่น ร้อนรุ่มไปหมดทั้งร่างกาย อยากจะปลดปล่อย อยากจะได้รับการเติมเต็ม อยากจะแนบชิด และอยากจะสัมผัส ความรู้สึกเหล่านี้กำลังถาโถมผมเข้ามาเรื่อยๆ



ดราโกรับรู้ถึงความต้องการของผม เขาเลยรั้งร่างของผมให้ลุกขึ้นมาและนั่งลงบนตักแกร่งของเขา ตัวตนใหญ่โตของเขาแนบชิดชูชันจนผมสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ได้ บรรยากาศแปลกประหลาดอบอวลรายล้อมรอบๆ ตัวพวกเราทั้งคู่เอาไว้ มันหอมหวาน มัวเมา และฉุดรั้งสติให้พร่าเลือน



ฝ่ามือใหญ่ของเขากอบกุมความแข็งขึงร้อนผ่าวของเราทั้งคู่ไว้ด้วยกัน รูดรั้งปลอบประโลมและพาผมดำดิ่งไปกับความร้อนแรงที่กำลังแผดเผาร่างกายของผมอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากผมถูกขบไว้แน่นเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ที่สูงขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มกลับไม่ยินยอม บังคับผมให้เปิดรับริมฝีปากของเขาอีกครั้งและอีกครั้ง ให้ผมเผยเสียงที่ข่มกลั้นไว้จนแหบพร่า



“เด็กดี ให้ฉันได้ยินเสียงของเธอ คริสติน” ดราโกใช้ฟันกัดริมฝีปากล่างของผมเบาๆ ให้ผมยินยอมรับการเล้าโลมและเอาแต่ใจจากเขา



“อื้อ ดะ ดราโกครับ” เขากำลังช่วยผม และกำลังช่วยตัวเองไปพร้อมๆ กัน เพราะการชักนำของเขา ทำให้อารมณ์ของผมพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ โบยบินและพุ่งทะยานจนตัวผมกระตุกเกร็งและแอ่นกายปลดปล่อยทุกหยาดหยดให้พร่างพรมไปพร้อมๆ กับเขา



เมื่อความอึดอัดได้รับการปลดปล่อย ร่างกายของผมก็ไร้เรี่ยวแรงจนเอนซบกับตัวเขาและหอบสะท้าน ลมหายใจรินรดต้นคอของดราโก ร่างกายที่เปลือยเปล่าแต่ยังแนบชิดกันและกันนั้นแม้เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อแต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดี ฝ่ามือของชายหนุ่มยังคงเปียกชื้นและเต็มไปด้วยน้ำหวานที่ยังเลอะเปราะเปื้อนเต็มฝ่ามือ ทั้งเขาและผมยังเอนซบกันและกัน โอบกอดและตะกองกอดกันอยู่เงียบๆ



ผมหลับตาซบอยู่กับซอกคอของชายหนุ่ม ความรู้สึกเมื่อครู่ที่พึ่งเกิดกับตัวผมนั้นมันมหัศจรรย์และทรมานไปพร้อมกัน แต่ใจผมก็ยัวรู้ดีว่ามันยังไม่เพียงพอ มันสุขสมแต่ไม่เต็มอิ่ม น่าแปลกที่ผมยังคงรู้สึกแบบนี้



“ไม่ชอบหรือ?” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามผมข้างหู ดวงตาคมกริบของดราโกมองผมนิ่งๆ สงสัยคิ้วของผมคงขมวดพันกันยุ่ง เขาเลยถามผมขึ้นมาแบบนี้



“เปล่าครับ” ผมส่ายศีรษะเบาๆ และทิ้งตัวลงไปซบกับไหล่เขาตามเดิม รอให้ลมหายใจของผมเป็นปกติอยู่เงียบๆ



“แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่คิดแบบนั้น” ชายหนุ่มยังคงสงสัยและเอ่ยถามต่ออย่างไม่อยากให้คั่งค้าง



“ผมชอบครับ มันรู้สึกดี แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงคิดว่ามันยังไม่พอ” ผมดันตัวออกเล็กน้อยและเงยหน้าสบตากับเขา “ผมคิดว่าผมอยากได้มากกว่านี้ แต่ไม่รู้ว่ามากกว่านี้คืออะไร มันเลยสับสนหงุดหงิดแปลกๆ”



เมื่อผมพูดจบประโยค รอยยิ้มที่มุมปากของดราโกก็ยกสูง ดวงตาสีทองก็พราวระยับและส่วนใหญ่โตของเขาก็ชูชันขึ้นมาทันที ผมรู็สึกถึงความแข็งแกร่งที่บดเบียดแนบชิดเข้ามาอีกครั้ง จึงก้มลงไปมองตัวตนของดราโกอย่างตกใจ



“ทำไมถึง...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นมาทันทีเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมชายหนุ่มถึงมีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง



“เพราะเธอไงเด็กน้อย” เสียงทุ้มกระซิบเสียงแหบพร่า “หึ แต่ฉันคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลาหรอกนะ”



ดราโกยกตัวผมลงจากตักของเขาและจะพยุงตัวผมที่ยังอ่อนแรงไปที่ห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อและน้ำสีขาวขุ่นที่เลอะไปทั่ว แต่ผมก็ขืนตัวเอาไว้และเงยหน้ามองเขาที่ลุกขึ้นยืนอยู่ข้างโซฟา ศีรษะของผมเอียงเล็กน้อยอย่างสงสัยใคร่รู้



“ถ้ามากกว่านี้ คุณก็จะทำผิดกฏหมายในเรื่องพรากผู้เยาว์ใช่ไหมครับ” ผมถามเขา



“ที่ฉันทำอยู่นี่ก็ก้าวขาเข้าไปในคุกข้างหนึ่งแล้วล่ะ” รอยยิ้มของดราโกดูไม่น่าไว้วางใจ “แต่ถึงจะต้องเข้าคุกไปจริงๆ ฉันก็ยินดี”



“เพราะอะไรครับ?” ผมเลิกคิ้วมองเขาอย่างสงสัย มีใครจะยินดีบ้างล่ะที่จะต้องเข้าไปในคุก ปราศจากอิสรภาพและถูกคุมขังอยู่ในห้องแคบๆ กันล่ะครับ



“ถ้าได้ครอบครองเธอและทำให้เธอเป็นของฉัน ฉันก็ยินดีที่จะเปิดประตูกรงขังและเดินไปให้ตำรวจจับด้วยตัวเองเลยล่ะเด็กน้อย” ประโยคแรกของดราโกฟังดูจริงจังและทำให้ผมนิ่งงัน แต่ประโยคถัดมาทำให้ผมต้องเลิกคิ้วมองเขาช้าๆ และส่ายศีรษะให้ในทันที



“อย่างคุณนี่ถ้าจะยากนะครับ ผมว่าแค่คุณเหยียบเท้าเข้าไปแค่ก้าวเดียวพวกเขาก็เชิญคุณออกมาแล้วล่ะครับ” ผมขมวดคิ้วและมองเขาอย่างจริงจัง อิทธิพลของคอลิโอเน่ไม่ใช่น้อยๆ นะครับ พวกเขามีผลประโยชน์เกี่ยวพันกันอยู่ เงินทุนสนับสนุนบางอย่างก็ได้มาจากทางคอลิโอเน่ด้วยเช่นกัน ทางรัฐบาลคงไม่ทำอะไรคอลิโอเน่ได้ง่ายๆ หรอกครับ



“บางทีฉันก็ไม่ชอบที่เธอฉลาดขนาดนี้นะเด็กน้อย” ใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มเจือแววเอ็นดูสะท้อนออกมาให้เห็น “ไปอาบน้ำกันเถอะ”



ดราโกก้มลงและอุ้มตัวผมขึ้นมาทั้งสองแขน ฝ่ามือร้อนผ่าวโอบกระชับแผ่นหลังผมไว้แน่น ทั้งผมและดราโกแนบชิดกันจนผิวกายสัมผัสถึงอุณหภูมิของกันและกัน รวมถึงตัวตนของเขาที่สัมผัสอยู่ตรงหน้าท้องของผม ผมเกาะบ่าของเขาไว้นิ่งๆ มองเห็นแววตาและการข่มกลั้นอารมณ์ของดราโกเต็มสายตา แม้ชายหนุ่มจะมีใบหน้าเรียบเฉย แต่เพลิงอารมณ์ที่ไม่ยอมดับมอดของเขากลับฉายชัดอยู่ภายใน



“คุณยังไม่ได้ตอบคำถามของผมเลยนะครับ” คร่าวนี้เป็นตัวของผมเองที่ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ชิดกับใบหน้าของดราโก ใช้สายตาบังคับเพื่อให้เขาตอบคำถามที่ผมสงสัยและค้างคาใจ “ผมรักคุณหรือเปล่าครับ?”



“สำหรับฉันมันคือความรัก” น้ำเสียงของดราโกนั้นมันจริงจังและหนักแน่นมั่นคง ผมพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าใจ แสดงว่าผมก็รักดราโกใช่ไหมครับ สิ่งที่ผมรู้สึก สิ่งที่ผมมอบให้กับเขามันเรียกว่ารัก แต่เป็นความรักที่แตกต่างจากที่ผมมอบให้คุณพ่อและแด๊ดดี้เอริค



“แต่เรายังมีเวลาอีกนาน ให้เธอค่อยๆ เรียนรู้ที่จะพูดคำนั้นออกมาให้ฉันฟัง” รอยยิ้มที่มุมปากของชายหนุ่มนั้นเจิดจ้าและดูร้ายกาจเป็นพิเศษ “แต่ถ้าเธอพูดออกมาตอนนี้จริงๆ ฉันคงจะอดใจไม่ไหว วันนี้คงได้จับเธอกินลงท้องไปแน่ๆ”



“ถ้าอย่างนั้นคุณจะอดทนรอจนกว่าผมจะบรรลุนิติภาวะใช่ไหมครับ” ผมถามเขานิ่งๆ คิดวางแผนเอาไว้ว่า พออายุครบยี่สิบเมื่อไหร่ก็ค่อยบอกรักเขา และระหว่างนี้ผมก็จะค่อยๆ เรียนรู้เรื่องความรักให้มากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าแผนการของผมคงนานมากไปหน่อย ชายหนุ่มร่างสูงที่ยังคงอุ้มผมอยู่นั้นเลยมีปฏิกิริยาแปลกๆ ขึ้นมาทันที



เพราะตอนนี้ร่างสูงของเขาชะงักนิ่งงัน สีหน้ายุ่งยากใจที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนก็ปรากฏอยู่บนใหน้าหล่อเหลา เหมือนว่าเขากำลังสู้กับความคิดและความต้องการของตัวเองที่มันสวนทางกันอยู่เลยครับ สีหน้าแบบนี้ของดราโกทำให้ผมอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิด กล้ามเนื้อบนใบหน้าของผมยังคงแข็งทื่อเรียบนิ่งเหมือนเดิม คงจะมีแค่แววตาของผมที่มันสั่นไหววาววับเท่านั้น



“ถ้าถึงตอนนั้นผมจะบอกรักคุณ แล้วสถานะของเราคงกลายเป็นคนรักกัน แต่คุณจะต้องรออีกสี่ปีกว่าครับ จนกว่าผมจะอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์”



“ไม่!!! ตอนนี้เธอคือคนรักของฉันแล้ว เธอคือคนของฉันคริสติน” น้ำเสียงแข็งกร้าวเอาแต่ใจของดราโกพูดขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถรอได้ถึงตอนนั้นนะครับ ผมว่าสี่ปีก็แค่แป๊ปเดียวเท่านั้นเอง ดวงตาของชายหนุ่มวาวโรจน์ ความดึงดันเอาแต่ใจแบบนี้ทำให้ผมมองเขาเงียบๆ เหมือนเห็นคนแก่งอแงเป็นเด็กเลยครับ ผมเอียงศีรษะและพูดกล่าวเสริมขึ้นมาอีก



“ครับ ถึงเราจะเป็นคนรักกัน แต่เรื่องเพศสัมพันธ์คุณก็ต้องรอผมอายุครบยี่สิบปีอยู่ดีนี่ครับ ผมอายุยี่สิบ คุณก็จะอายุสี่สิบพอดี ฮอร์โมนทางเพศที่ต้องการจะมีเพศสัมพันธ์ก็จะลดลง คุณอาจจะไม่มีความต้องการแล้วก็ได้นะครับ ถึงตอนนั้นเราอาจจะต้องมาปรึกษาเรื่องนี้กันอีกที แต่สำหรับผมมันไม่เป็นปัญหาระหว่างเราหรอกครับ”



เรื่องเพศสัมพันธ์ระหว่างคนรักกันนั้นผมมองว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไปครับ ยิ่งคนเรามีฮอร์โมนทางเพศอยู่ในตัวทุกคนอยู่แล้วด้วย ดังนั้นผมจึงถือว่ามันเป็นเรื่องของธรรมชาติและกลไกของระบบในร่างกายที่คนทั่วไปจำเป็นต้องมีแต่ผมก็เคยอ่านหนังสือมาว่าคนที่อายุเริ่มมากขึ้น ความต้องการเรื่องเพศก็จะน้อยลง คบคนที่อายุห่างกันมากความต้องการก็จะสวนทางกัน ดังนั้นการวางแผนร่วมกันและปรึกษาแพทย์จึงมีความจำเป็นครับ



แต่ดูเหมือนว่าการวางแผนในอนาคตของผมจะทำให้ดราโกเครียดนะครับ เพราะผมสัมผัสได้ว่าตอนนี้ไหล่กว้างของดราโกที่ผมเกาะอยู่นั้นเกร็งจนขึ้นรูปกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์ คิ้วเข้มขมวดมุ่นยุ่งยากใจและดูเคร่งเครียดกว่าเรื่องงานหรือวางแผนการใดใดของเขาเสียอีก ผมพูดข้อเท็จจริงและวิเคราะห์ด้วยความเคยชินซึ่งมันเป็นเรื่องปกติของผม แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่คิดแบบนั้นนะครับ



“เธอกำลังยั่วฉัน” น้ำเสียงทุ้มลดไรฟันที่ขบเน้น คำกล่าวโทษของเขากลับทำให้ผมขมวดคิ้วแทน



“ทำไมคุณถึงชอบพูดว่าผมยั่วคุณล่ะครับ?” ผมไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาพูดเท่าไหร่นัก เพราะที่ผมพูดก็คือความจริงทั้งนั้น เขาจะสามารถมีอะไรกับผมได้อย่างไม่ผิดกฏหมายก็ต่อเมื่อผมบรรลุนิติภาวะ อีกทั้งการร่วมสัมพันธ์ก็เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นตามกลไกของร่างกายที่คนทั่วไปต้องมีอยู่แล้ว แต่เมื่อคนเราอายุมากขึ้นฮอร์โมนทางเพศก็เริ่มลดน้อยลงไปตามช่วงอายุ ดังนั้นผมจึงมองว่ามันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทั่วไป จึงพูดถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ขึ้นมาให้เขาฟังก็เท่านั้นเองครับ



“เธอกำลังพูดเชิญชวนฉัน” ดราโกหรี่ตาลง เหมือนสิ่งที่ผมพูดนั้นเขาจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่? ผมเริ่มจะสับสนแล้วครับว่าทำไมคำพูดของผมถึงกลายเป็นว่าเชิญชวนเขาไปได้



“เปล่าครับ” แต่ผมก็ยังปฏิเสธเขาไป



“ไม่ เด็กน้อย เธอกำลังยั่วฉันและเชิญชวนฉันให้กินเธอซะ เธอกลัวว่าถ้าฉันอายุมากกว่านี้จะไม่มีเรี่ยวแรงมารักเธอซินะ ดังนั้นเธอเลยบอกเป็นนัยว่ากินผมเถอะ ใช่ไหม?” เสียงทุ้มของดราโกแหบพร่าขึ้นมาทันที ตัวตนของดราโกที่ยังแนบชิดอยู่ตรงหน้าท้องของผมก็ร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องขยับตัวยุกยิกอยากดิ้นหนีอ้อมกอดของเขา



“ถึงผมจะอยากได้มากกว่านี้ก็เถอะครับ แต่ผมคิดว่าเราก็ควรหยุดอยู่แค่ตรงนี้ดีที่สุดครับ” ผมบอกเขา แต่เหมือนว่าประโยคหลังนั้นเขาจะไม่ได้ฟังผมเลยนะครับ แค่ประโยคแรกที่ผมพูดขึ้นมาดวงตาของเขาก็โชนแสงเจิดจ้าขึ้นมาทันที



“ถ้าเธออยากได้ งั้นเรามาต่อกันดีไหม” เสียงของดราโกนั้นดูล่อลวงและเชิญชวน ตอนนี้ชายหนุ่มเปลี่ยนมารั้งแผ่นหลังผมด้วยมือข้างเดียว อีกข้างก็เลื่อนมาหยอกเย้ายอดอกของผม บดขยี้และหยอกเย้าจนร่างผมเกร็งกระตุก ทุกความรู้สึกของร่างกายไปรวมอยู่ที่จุดเดียวที่โดนนิ้วมือของเขารังแกอยู่



“ถ้าคุณทำจริง มันจะผิดกฏหมายนะครับ” เสียงของผมที่เอ่ยถามเขามันสั่นเล็กน้อย ความต้องการของร่างกายในช่วงวัยรุ่นนั้นจะรุนแรงและมีความต้องการสูงมากกว่าวัยอื่นๆ ทั่วไป ดังนั้นเมื่อถูกเขาสัมผัสเล็กน้อย ก็เป็นตัวตนผมเองที่ตื่นขึ้นมาบดเบียนเข้ากับตัวตนของดราโกอย่างไม่มีใครยอมใคร



“อืม นั่นซินะ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็โดนแค่ข้อหาเดียว ยังสู้เธอไม่ได้เลยนะ” น้ำเสียงของดราโกจากเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งใสซื่อ ซึ่งคำพูดของเขาที่พูดออกมามันไม่น่าไว้ใจสุดๆ เลยครับ



“แต่ผมไม่เคยทำผิดกฏหมายเลยนะครับ” ผมขมวดคิ้วมองเขาอย่างสงสัย ผมว่าตัวของผมก็เป็นพลเมืองดีคนหนึ่งนะครับ อาจจะไม่ดีมากแต่คิดว่าก็ไม่เคยทำผิดกฏหมายอะไร ดวงตาสีทองของดราโกมองใบหน้าที่ยังติดงุนงงของผมอย่างอารมณ์ดี



“รู้ไหมว่าการแฮคข้อมูลเป็นเรื่องผิดกฏหมายร้ายแรง ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและทำให้ผู้อื่นเสียหาย” คำพูดที่ดราโกพูดออกมาทำให้ตัวผมนิ่งงัน ผมลืมความจริงในข้อนี้ไปเสียสนิทเลยครับ การแฮคข้อมูลนั้นผิดกฏหมาย สำหรับตัวผมนั้นคงโดนไปหลายมาตรา ตั้งแต่มาตราที่ 5-16 ของความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ รวมๆ กันแล้วผมคงติดคุกไม่น้อยกว่า 50 ปี ดูจากสิ่งที่ผมลงมือทำมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ ดักรับข้อมูลในเครือข่าย ขัดขวางและรบกวนการทำงานของคอมพิวเตอร์ สร้างความเสียหายแก่ระบบ และอีกไม่นานผมก็ใช้นำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้วางแผนและก่อเกิดผลเสียต่อตัวบุคคลอีก



ใบหน้าของผมคงแสดงออกถึงความเคร่งเครียดเมื่อรู้ถึงความจริงที่ผมมองข้ามไปอย่างไม่น่าให้อภัย แต่เรื่องมันมาถึงตอนนี้แล้วจะกลับไปแก้ไขก็คงไม่ทัน บางทีถ้าเรื่องนี้จบลงผมคงจะไปมอบตัว และยอมรับความผิดในสิ่งที่ผมได้ทำลงไป



ผมใช้ความคิดของตัวเองอยู่เงียบๆ แต่เพราะดวงตาสีทองของดราโกที่จับจ้องผมอยู่ตลอดเวลานั้น เห็นสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดของผม เลยเรียกร้องความสนใจด้วยน้ำหนักมือที่ยังคงหยอกเย้ายอดอกผมไม่ยอมห่างไปไหน ทำให้ผมตัวอ่อนระทวยเอนซบไหล่ของเขาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงครางแผ่วเบาในลำคอ



“รู้ไหมเด็กน้อย เพราะเป็นเธอ ฉันถึงอยากจะลองทำผิดกฏขึ้นมา” น้ำเสียงทุ้มของดราโกเอ่ยขึ้นอยู่ข้างหูของผม ฝ่ามือที่โอบกระชับผมไว้นั้นมันกำลังร้อนผ่าว และอ้อมแขนแกร่งก็โอบรัดตัวผมไว้แน่น จนผมไม่อาจขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย “และเธอรู้ไหม ว่าฉันอยากจะครอบครองเธอมากขนาดไหน อยากกินเธอ อยากรังแกเธอ และอยากกักเธอไว้ในอ้อมแขนของฉันตลอดไป”



ผมเงยหน้าขึ้นมาจากบ่าของเขาทันที เมื่อได้ฟังคำพูดของชายหนุ่มที่พูดออกมาช้าๆ แต่หนักแน่นในทุกคำพูด



“ในวันที่เธอพร้อม ฉันอยากจะรักเธอให้เต็มที่ ถึงแม้มันจะยากที่ต้องหักห้ามใจ แต่มันก็ไม่ยากเกินที่ฉันจะเฝ้ารอคอยสิ่งล้ำค่านี้”



หน้าผากของดราโกก้มลงมาสัมผัสกับหน้าผากของผมเบาๆ คำพูดของเขาสั่นคลอนหัวใจของผมจนมันสั่นสะท้านและเต้นรัวอย่างรุนแรง คำพูดไม่กี่ประโยคของเขากลับมีอิทธิพลมากกว่าที่ผมคิด ผมหลับตาลงและซึมซับกับคำพูดของดราโกช้าๆ ทุกถ้อยคำของเขาเหมือนน้ำที่แทรกซึมลงไปในหัวใจของผมอย่างอ่อนโยน ไม่รู้ทำไม ผมถึงชอบความเอาแต่ใจของเขาแบบนี้จังเลยครับ



“ขอบคุณครับดราโก” ผมได้แต่ขอบคุณเขาเบาๆ คำพูดของชายหนุ่มทำให้ผมรู้ว่ายังมีเขาอีกคนที่พร้อมจะรักและดูแลผมอยู่ข้างๆ คอยจับมือและประคองกันก้าวผ่านอุปสรรคที่เป็นดั่งขวากหนาม และเพราะคำพูดของเขาที่บอกว่าผมเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับเขา ใจของผมจึงกำลังร่ำร้องและโหยหาสัมผัสของเขาขึ้นมาอย่างน่าแปลกประหลาด มันกำลังเต้นรัวและร้อนรุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป จึงเป็นฝ่ายที่เงยหน้าจุมพิตชายหนุ่มช้าๆ เริ่มสัมผัสริมฝีปากของเขาอย่างบางเบา ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแนบแน่น และร้อนแรงในเวลาต่อมา





......................................

ช่วงนี้ก็เป็นช่วงพักตับไตที่พังจากตอนก่อนหน้านะคะ มาอารมณ์หวาน น้ำตาลหก มดขึ้น เบาหวานถามหา กันก่อนนะคะ 5555 แล้วไม่กี่ตอนเราจะกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงกันแล้วค่ะ (บอกนักอ่านทุกท่านล่วงหน้าก่อนนะคะ จะได้รีบซ่อมแซมตับไตกันก่อนที่จะพังอีกรอบค่ะ ฮืออออออออ T^T ไรท์เปล่าแกล้งนะคะ ชูมือสาบานเลยค่ะ) 

หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 23 ใกล้ชิด (14.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 14-11-2018 18:40:24
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 23 ใกล้ชิด (14.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 14-11-2018 19:03:31
ฮือออ แค่นี้ ก็ร้อนแรงแล้วจ้าเด็กน้อยยย
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 24 ใกล้ชิดอีกครั้ง (21.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 21-11-2018 14:47:05
บทที่ 24 ใกล้ชิดอีกครั้ง



แสงจันทร์นวลทอประกายสีเหลืองอ่อนดูอ่อนโยนและงดงามตาเป็นพิเศษ ประกอบกับภาพผืนน้ำที่เห็นเงาสะท้อนของดวงจันทร์กลมโตและผืนดาวมากมายบนฟากฟ้า ก็งดงามราวกับอัญมณีล้ำค่า แม้จะถูกแสงจันทร์บดบังไปบ้าง แต่ความงดงามของทั้งสองอย่างนั้นกลับทำให้บรรยากาศในค่ำคืนนี้เงียบสงบและขับกล่อมจิตใจผู้คนให้ผ่อนคลาย



กลิ่นหอมของดอกไม้และกลิ่นน้ำสดชื่นได้สายลมอ่อนพัดพาเข้ามายังภายในห้อง ผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดกว้างเอาไว้ให้อากาศถ่ายเท สายลมพัดผ่านหยอกเย้ากระทบผิวกาย ยิ่งทำให้สองร่างที่คลอเคลียอยู่บนเตียงนอนกว้างยิ่งขยับแนบชิดสัมผัสผิวกายจนไร้ช่องว่างใดใดให้สายลมพัดผ่าน



ร่างเงาที่ทอดผ่านนั้นดูเย้ายวน งดงามและชวนให้ใจสั่น แม้สรีระจากรูปเงาจะแตกต่างกันอยู่มาก แต่ก็เข้ากันได้อย่างลงตัว ทั้งสองต่างสอดประสานบรรเลงเป็นท่วงทำนองเดียวกัน แม้จะไม่ได้ครอบครองอย่างที่ใจอยาก แต่การที่ได้สำรวจและลงมือตีตราไปทั่วทั้งเรือนร่างนั้นก็ทำให้ร่างสูงค่อนข้างพึงพอใจ



แม้จะไม่ได้ล่วงล้ำ แต่การเล้าโลมในรูปแบบนี้มันยิ่งรั้งจะทำให้ความอดทนของเขาน้อยลงไปทุกที ดวงตาสีทองของดราโกเข้มขึ้นเรื่อยๆ ลึกล้ำเร้าร้อนมากขึ้นทุกที แผ่นหลังขาวที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขานั้นมีแต่รอยตีตราที่เขาเป็นผู้ลงมือกระทำด้วยความรักและความต้องการทั้งหมด



ร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามก้มร่างเข้าไปทาบทับแนบชิด ใช้นิ้วมือข้างขวาสอดแทรกฝ่ามือเล็กที่กำผ้าปูที่นอนจนยับยู่นี่ ให้สองมือสอดประสานกันและกัน และมือซ้ายที่ว่างก็รั้งช่วงเอวของเทวดาตัวน้อยที่แสนเย้ายวนตนนี้ให้ยกสูงขึ้น ให้สัมผัสความกล้าแกร่งและร้อนผ่าวจากตัวตนของเขาจนสั่นสะท้าน ยังก่อน เขาต้องอดทน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะกลืนกินเด็กน้อย



“อื้อ ดะ ดราโก” แต่ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังอดทนกับความต้องการภายในใจของเขาอยู่นั้น เสียงสั่นพร่าแหบเครือของคริสตินนั้นก็ดังขึ้นมาอย่างไม่ถูกจังหวะ เรียกชื่อของเขาด้วยเสียงแบบนั้นมันเป็นสิ่งที่ทำให้สติของเขาแทบขาดกระเจิง



“คริสติน คริสติน” ดราโกเรียกชื่อของเด็กน้อยซ้ำๆ “คริสติน เด็กดี ชิดขาให้มากขึ้นเด็กน้อย อย่างนั้นแหละ”



ชายหนุ่มช่วยจัดท่าทางของคริสตินให้อย่างอ่อนโยน รั้งเอวเด็กน้อยให้ขึ้นสูง เข่าและต้นขาให้แนบชิดกัน ถึงจะไม่ได้ครอบครองก็ยังไม่เป็นไร แต่แค่นี้ เวลานี้ เท่านี้ก็เพียงพอ



ตัวตนใหญ่โตแทรกเข้าไประหว่างต้นขาที่แนบชิดกันอยู่ของคริสติน ค่อยๆ ใช้ผิวเนื้อที่นุ่มนวลของเด็กน้อยเป็นที่ปลอบประโลมความรุ่มร้อนนี้ช้าๆ แทรกลึกเข้าไปทีละนิดและถอยออกมาอย่างเป็นจังหวะ จนถึงขีดสุดของความอดทนที่หมดลง ร่างสูงใหญ่ก็พาร่างกายโถมเข้าไปตามอารมณ์ที่ขึ้นสูงขึ้น ทั้งเสียงสั่นพร่า หอบครวญ และความรัญจวนหยอกล้อเคล้าคลอกันไป



ร่างเล็กของคริสตินไหวคลอนตามแรงกายของดราโกเป็นจังหวะ ร่างกายร้อนรุ่มและแสบร้อนจากการเสียดสีตรงต้นขา นำพาอารมณ์ทะยานขึ้นสูงกว่าทุกครั้งที่ผ่านๆ มา จังหวะที่เร้าร้อนรุนแรงไหวคลอนจนเทวดาตัวน้อยของซาตานแห่งคอลิโอเน่อ้าปากร้องครวญครางอย่างไพเราะ



น้ำตาและหยาดเหงื่อไหลเลอะเปราะเปื้อน ดวงตาสีน้ำตาลของเด็กน้อยพร่าเลือนและแหงนศีรษะเชิดไปตามแรงอารมณ์ มือขวาของเขาและคริสตินเกาะเกี่ยวประสานกันแนบแน่น มืออีกข้างก็รูดรั้งตัวตนของเด็กน้อยให้พุ่งทะยานไปพร้อมกัน



จนกระทั่งปลายทางของห้วงอารมณ์ที่ร้อนแรงระเบิดพร่างพรายจนหมดสิ้น เสียงคำรามกู่ร้องและครวญครางของพวกเขาดังก้องประสานกันเป็นบทเพลงที่แสนเย้ายวน คริสตินฟุบร่างไร้เรี่ยวแรงลงบนที่นอนทันที ดวงตากลมโตสีน้ำตาลปิดสนิทและเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว



ดราโกล้มตัวลงตามไปและกอดร่างเล็กไว้แนบอก ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะของคริสตินทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าเทวดาตัวน้อยของเขาหลับใหลไปเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากบางบนใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มอ่อนโยน ก้มลงจุมพิตเปลือกตาทั้งสองข้างและริมฝีปากบวมแดงนั้นแผ่วเบา



แม้จะไม่ได้ครอบครองจนถึงที่สุด แต่เท่านี้หัวใจของเขาก็เต้นรัวเต็มไปด้วยความเต็มตื้นแล้ว เด็กน้อยของเขา เทวดาน้อยของเขา คริสตินของเขา ของเขาแค่เพียงผู้เดียว



“ฉันรักเธอคริสติน” น้ำเสียงอ่อนโยนกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างใบหูเล็ก หวังว่าคำนี้จะพาเข้าไปสู่ห้วงฝันให้เด็กน้อยของเขาให้หลับฝันดี



ร่างสูงมองคริสตินอยู่ชั่วครู่ก็ยืดตัวลุกจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำและชำระคราบเหงื่อไคลจากกิจกรรมที่ผ่านมา ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็ออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับนำผ้าชุบน้ำมาเพื่อเช็ดทำความสะอาดให้กับเด็กน้อยของเขาอย่างอ่อนโยน เมื่อดราโกแน่ใจว่าคริสตินสะอาดทุกซอกทุกมุมแล้ว เขาก็พาร่างเปลือยเปล่าของเขาสอดเข้าไปใต้ผ้าห่ม และนั่งพิงหัวเตียงจ้องมองเทวดาตัวน้อยที่แสนบริสุทธิ์ของเขาอยู่เงียบๆ



หลังจากได้ดื่มด่ำในค่ำคืนที่แสนหวานกับเด็กน้อยของเขาแล้ว มันก็ยากที่จะข่มตาลงนอนในเวลาแบบนี้ได้ ไออุ่นและอารมณ์ยั่วเย้ายังคงอบอวลแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้อง อะไรที่เคยสงบก็เริ่มจะพยศและร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มก็จำเป็นที่จะต้องสงบสติอารมณ์ เพราะเทวดาตัวน้อยคงไม่มีเรี่ยวแรงมารองรับอารมณ์ของเขาในเวลานี้ได้อีกแล้ว



ก่อนหน้านี้ความอดทนของเขาก็สูงมากพอที่จะรอคอยให้คริสตินพร้อมมากกว่านี้ แต่หลังจากวันนี้ที่เขาได้ลิ้มรสชาติของคริสตินที่มีการตอบสนองและยั่วเย้าเขามากขึ้นกว่าเดิม เขาก็ไม่รู้ว่าจะอดทนรอได้นานขนาดนั้นไหม ยิ่งได้สัมผัสยิ่งอยากได้มากขึ้น ยิ่งลิ้มรสยิ่งอยากครอบครอง



ดวงตาสีทองคมกริบที่ดูดุดันอยู่เสมอเวลานี้กลับทอดมองเทวดาตัวน้อยของเขาด้วยแววตาอ่อนแสง เด็กน้อยตัวเล็กของเขานอนหลับสนิท ซุกซบใบหน้า นอนตะแคงก่ายกอดแนบชิดกับเรือนร่างแกร่งของชายหนุ่มอย่างแนบแน่น ฝ่ามือใหญ่ของดราโกคอยลูบไล้กลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มมืออย่างอ่อนโยน



คริสตินไม่เคยรู้ตัวเลยซักนิดว่าทุกสายตา ทุกท่วงท่าของเจ้าตัวนั้นมันร้ายกาจและเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ล่อลวงให้เขาลุ่มหลง โดยเฉพาะดวงตากลมๆ สีน้ำตาลคู่นั้นที่มองมาที่เขานิ่งๆ แต่ด้วยความหวานในแววตาที่เรียบนิ่งนั้นมันกลับเร้าอารมณ์เขาได้อย่างน่าประหลาด เขาที่เกิดมาอายุเกือบสี่สิบปี ไม่คิดเลยว่าแค่เด็กคนหนึ่งจะทำให้เขาบ้าคลั่งได้ขนาดนี้ รักได้มากขนาดนี้



“อื้อ” เสียงเล็กพึมพำขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อนิ้วมือเขาละจากเส้นผมไปเกลี่ยที่แก้มนุ่ม ใบหน้าเล็กขยับยุกยิกอย่างรำคาญเมื่อเขาไปรบกวนเวลานอนของเจ้าตัวเข้า ท่าทางของเทวดาตัวน้อยนั้นทำให้มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นสูง ยอมละจากแก้มนุ่มเคลื่อนนิ้วมือไปเกลี่ยที่ริมฝีปากบวมช้ำแทน ริมฝีปากแดงทั้งนุ่ม ทั้งหวาน จนเขาอยากดูดกลืนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย



“อื้อ” คริสตินพึมพำงึมงำขึ้นมาอีกครั้งเมื่อดราโกยังคงกลั่นแกล้งเด็กน้อยด้วยความรัก เพียงแต่ว่าในท้ายที่สุด ชายหนุ่มก็ต้องเป็นฝ่ายยกมือยอมแพ้เมื่อลิ้นเล็กๆ ของคริสตินเผลอไล้เลียริมฝีปากและโดนที่นิ้วมือของชายหนุ่มเบาๆ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้ทั้งร่างของดราโกสั่นสะท้านคล้ายมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน



อะไรที่ควรสงบก็เริ่มจะไม่สงบอย่างที่คิด ร่างสูงเลยจำเป็นต้องหยุดการกลั่นแกล้งเด็กน้อย เพราะผลที่ได้ก็คือการทรมานตัวเองจนต้องยอมละจากร่างนุ่มๆ เขาค่อยๆ ดึงอ้อมแขนเรียวของเด็กน้อยให้หลุดออกจากเอวของเขา และลุกขึ้นจากที่นอนอย่างเงียบกริบ พาร่างกายเปล่าเปลือยเดินไปหยิบเสื้อคลุมผ้าซาตินเนื้อดีขึ้นมาสวมใส่ และออกไปสงบสติอารมณ์ที่นอกห้องนอนกว่าหนึ่งชั่วโมง ถึงจะยอมกลับเข้ามารั้งร่างเล็กมากักขังในอ้อมแขน และหลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยกันอีกครั้ง











“อรุณสวัสดิ์ครับดอน” เสียงทักทายจากจาคอปทักทายขึ้นทันทีที่เห็นดราโกเดินออกมาจากห้องนอน ร่างสูงพยักหน้ารับเล็กน้อยและเดินไปนั่งที่โซฟาตรงห้องรับแขก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เป็นถึงมือขวาและบอร์ดี้การ์ดคนสำคัญฉีกยิ้มกว้างด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ก่อนจะนำกาแฟหอมกรุ่นมาเสิร์ฟให้กับดราโกถึงที่ “คริสตินยังไม่ตื่นเหรอครับ?”



“เมื่อคืนหลับดึกไปหน่อย” ดราโกตอบพลางยกกาแฟขึ้นมาจิบเล็กน้อย พร้อมกับพลิกหนังสือพิมพ์ธุรกิจที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่านเหมือนเช่นทุกวัน แม้เขาจะมาพักผ่อนแต่เรื่องที่จะขาดไม่ได้เลยคือข่าวสารที่เขาจะต้องรับรู้การเคลื่อนไหวอยู่เสมอ



“น่าแปลกนะครับ ปกติเจ้าหนูจะนอนตั้งแต่สี่ทุ่มนี่” มือขวาของดอนแห่งคอลิโอเน่พึมพำด้วยความสงสัย และก็ต้องประหลาดใจกับรอยยิ้มที่มุมปากของดอนที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา แต่ครั้นจะถามออกไปเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าคาลอสเคยเตือนเขาเอาไว้ ว่าเรื่องของคริสตินอย่าไปถามให้มากเรื่อง เรื่องไหนไม่ควรยุ่งก็อย่ายุ่ง โดยเฉพาะถ้าคริสตินอยากจะขอมานอนที่ห้องด้วย ก็ต้องรีบหาข้ออ้างและปฏิเสธให้ได้ ถ้าไม่อยากถูกดอนลงโทษและหักเงินเดือน



คำพูดของคาลอสเขาจำได้ขึ้นใจ เพราะฉะนั้นจึงยอมกลืนคำถามและข้อสงสัยลงท้องไปให้หมด ทำหน้าที่ดูแลดอนในเช้านี้แทนคาลอสชั่วคราว



“คาลอสล่ะ?” ดราโกวางหนังสือพิมพ์ที่อ่านเสร็จแล้ววางบนโต๊ะ และถามถึงมือซ้ายที่ไม่เห็นหน้าตั้งแต่เช้าด้วยความสงสัย



“ไปดูแลดอนอัลเบอร์โต้้ครับ” ร่างสูงใหญ่ของจาคอปเดินออกมาจากห้องครัวและตอบคำถามดราโก “ทางนั้นแจ้งมาว่าอยากขอเข้าพบดอนตอนสิบโมงครับ”



“งั้นเหรอ” ชายหนุ่มพยักหน้าและไม่พูดถึงต่อแต่อย่างใด แต่ดวงตาสีทองของชายหนุ่มกลับเจือความเย็นชาขึ้นมาในทันที “นายบอกคาลอสไปว่าฉันจะไปหาพวกเขาที่ห้องเอง ไม่จำเป็นต้องขึ้นมาหาที่นี่ และนายคอยอยู่ดูแลคริสตินที่ห้องนี้ ถ้าเขาตื่นนายรีบแจ้งฉันมาทันที”



“ครับ” คาลอสรับคำสั่งอย่างขันแข็ง เรื่องเมื่อวานที่เกิดขึ้นนั้นเขาพอทราบคร่าวๆ มาจากคาลอสเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเมื่อต้องพูดถึงเรื่องเมื่อวานที่ยังค้างคาและไม่ได้ข้อสรุป ก็ทำให้บรรยากาศในยามเช้านี้คุกกรุ่นเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย



แต่เมื่อถึงเวลานัดหมาย ดราโกก็เดินออกจากห้องและตรงไปยังห้องพักของแดเนียล อัลเบอร์โต้้ทันที ห้องพักที่เขาจองให้กับอัลเบอร์โต้้นั้นอยู่ชั้นล่างและห้องก็ตรงกับห้องของเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงห้องของแดเนียล ส่วนเหตุผลที่ชายหนุ่มไม่อยากให้แดเนียลขึ้นมาหาบนห้องนั้น ก็เพราะมีคริสตินอยู่ด้วยนั่นเอง และห้องนั้นก็เป็นห้องส่วนตัวของพวกเขา ไม่จำเป็นที่จะต้องให้คนนอกเข้ามารบกวน



เมื่อชายหนุ่มเดินมาถึง ก็เห็นว่าหน้าห้องของแดเนียลนั้นมีคาลอสยืนรอเขาอยู่เรียบร้อยแล้ว มือซ้ายที่ควบตำแหน่งเลขาโค้งและเอ่ยทักทายกับดราโกเล็กน้อยก่อนจะเคาะประตูห้องเพื่อขออนุญาต จากนั้นคาลอสก็เป็นคนเปิดประตูห้องให้ดราโกเดินเข้าไป เมื่อชายหนุ่มเดินเข้าไปภายในห้องนั้น ดวงตาสีทองก็กวาดตามองรอบๆ อย่างรวดเร็ว และเห็นคนที่ขอนัดพบเขานั่งรออยู่ตรงโซฟารับแขกกลางห้องพัก



ดราโกเดินเข้าไปข้างในและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแดเนียล ตอนนี้ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มแผ่พลังอำนาจออกมาอย่างเต็มที่ บรรยากาศผ่อนคลายที่เคยอยู่กับคริสตินนั้นหายไปจนหมด เหลือแต่บรรยากาศน่าเกรงขามและทรงอำนาจอย่างดอนเท่านั้น แต่ดอนแห่งอัลเบอร์โต้ก็ไม่ใช่คนทั่วไป ความน่าเกรงขามของพวกเขาต่างไม่มีใครข่มใครลงได้ แต่แค่เฉพาะตอนนี้เท่านั้นที่แดเนียลดูวุ่นวายใจจนท่าทางของเขาดูไม่นิ่งสงบเหมือนเช่นเคย



“ไง” แดเนียลเอ่ยทักทายดราโกเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มผู้มาเยือนก็ได้แต่พยักหน้ารับเงียบๆ ไม่มีการเอ่ยทักทายกลับแต่อย่างใด แดเนียลถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของดอนแห่งคอลิโอเน่ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน “อย่าทำหน้าอย่างนั้นซิเพื่อน เรื่องเมื่อวานฉันขอโทษแทนจีนด้วยนะ”



แดเนียลยกสองมือคล้ายยอมแพ้ต่อบรรยาการคุกกรุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างตรงหน้า จากเรื่องสนุกที่พวกเขาคิดวางแผนล้มคาโซ่ด้วยกัน เรื่องราวก็ดันพลิกผันเป็นหนังคนละม้วนไปซะได้ แถมเขายังหนักใจในเรื่องนี้มากเช่นกัน



“ดราโก เด็กคนนั้น อลัน เป็นยังไงบ้าง” แดเนียลเอ่ยถามทำลายความเงียบที่เพื่อนขยันสร้างขึ้นมาอย่างเป็นกังวล ตั้งแต่ช่วงบ่ายเขาก็พยายามจะขอเข้าพบกับดราโกเพื่อพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ก็โดนคาลอสและจาคอปขวางเอาไว้



ชายหนุ่มกังวลใจเพราะเขาไม่เคยเห็นจีนเป็นอย่างนี้มาก่อน ตั้งแต่พาจีนมาอยู่ด้วยกัน เขามักจะเห็นแต่ภาพลักษณ์ของชายชาวเอเชียที่สงบนิ่ง เฉลียวฉลาด บางทีก็ดูเย่อหยิ่ง แต่ก็มีรอยยิ้มที่งดงามมากที่สุด แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานจีนเหมือนกับแก้วที่แตกร้าว ใบหน้าสวยของจีนนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม แม้แต่ตอนนี้ที่เขาพาเจ้าตัวเข้านอน จีนก็ยังคงร้องไห้ นอนกระสับกระส่าย และละเมอชื่อน้องชายอยู่ตลอดเวลา









..........................................





หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 24 ใกล้ชิดอีกครั้ง (ต่อ) (21.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 21-11-2018 14:49:26

ต่อ


“เด็กคนนั้นชื่อคริสติน” น้ำเสียงเย็นชาของดราโกพูดขัดขึ้นมาทันที “ไม่ใช่อลัน ไอรา แต่เป็นครินติน คริสติน นอร์แมน”



“เฮ้อ โอเค ฉันรู้แล้ว คริสติน เด็กคนนั้นโอเคไหม” ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง แม้เมื่อวานสีหน้าท่าทางของคริสตินจะดูสงบ แต่ใบหน้าก็ยังซีดเผือดไร้สีเลือด เขาเลยอยากจะรู้ว่าอาการของเด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง ขนาดจีนเป็นคนเข้มแข็งยังย่ำแย่ถึงขนาดนี้ แล้วเด็กคนนั้นล่ะจะเป็นอย่างไร



“เด็กคนนั้นไม่เป็นไร เขาเข้มแข็งมากกว่าที่นายคิด” ดราโกตอบ ดวงตาสีทองมองสบเข้ากับดวงตาสีมรกตของเพื่อนสนิทและพันธมิตรของแฟมิลี่นิ่งๆ



“จีนอยากจะพบเด็กคนนั้น” แดเนียลพูดขึ้นมาทันที สีหน้าหล่อเหลาของเขามีแววยุ่งยากใจ เพราะเขารู้ดีว่าถ้าเป็นเรื่องที่ดราโกไม่เห็นด้วย เขาก็จะไม่ช่วยเหลือหรือผ่อนปรนให้เลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังคิดที่จะขอร้องเพื่อให้จีนสบายใจ เพราะเขาก็ไม่สามารถทนเห็นคนที่ตัวเองรักเจ็บปวดได้เช่นกัน



“ไม่ จีนจะไม่ได้พบคริสติน” ดวงตาเย็นชาตวัดสายตามองเพื่อนทันที “ฉันจะไม่ทำอะไรเขาเพราะฉันเห็นแก่นาย แต่นายควรรู้ว่าควรจะจัดการคนของตัวเองยังไงเพื่อไม่ให้เขามาวุ่นวายกับคนของฉันอีก”



แดเนียลมองสายตาที่แข็งกร้าวแต่เย็นชาของดราโกอย่างหนักใจ ทางหนึ่งก็เพื่อน ทางหนึ่งก็คนรัก ยิ่งถ้าเด็กอลันคนนั้น ไม่ซิ คริสตินเป็นคนที่ดราโกดูแลอยู่ ถึงอยากจะเจอแค่ไหนก็คงจะยาก และถ้าเขายังดึงดันต่อไป ไม่แคล้วดอนแห่งคอลิโอเน่และเขาคงได้ทะเลาะกันใหญ่โต ดีไม่ดีคงทะเลาะกันจนทำให้อิตาลีวุ่นวายไปพักใหญ่เลยทีเดียว



“เฮ้อ โอเค ฉันจะไม่ขอให้นายพาคริสตินไปพบจีนอีก แต่นายก็รู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน มันตัดกันไม่ขาด” ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีมรกตถอนหายใจกับเรื่องที่ไม่คาดคิดนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคชะตาหรือฟ้าลิขิต จีนตามหาน้องมาหลายปี พอหมดหวังจู่ๆ ก็ได้พบกันซะอย่างนั้น แถมดูเหมือนฝ่ายน้องจะไม่ค่อยอยากเจอพี่ชายเท่าไหร่ด้วย “แย่ชะมัด แค่แผนการที่นายลากฉันเข้ามาเกี่ยวก็วุ่นวายอยู่แล้ว ยังมีเรื่องเจ้าหนูและจีนมาเสริมให้วุ่นเข้าไปอีก”



“มันจะไม่วุ่นวายถ้านายไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องของคริสตินมากเกินไป ดูแลคนของนายให้ดีๆ เถอะ” ดราโกยอมลดสายตาเย็นชาลงส่วนหนึ่งเพราะสีหน้าลำบากใจของดอนแห่งอัลเบอร์โต้



“เอาเถอะ ตอนนี้ฉันยังไม่ยุ่งแน่นอน และจะพยายามดูแลจีนไม่ให้เข้ามายุ่งมากเกินไป แต่หวังว่าถ้าจบเรื่องพวกนี้นายจะเห็นแก่ฉันที่คอยช่วยเหลือ เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ปรับความเข้าใจกันหน่อยเถอะ ฉันไม่อยากเห็นจีนร้องไห้” ร่างสูงของแดเนียลถอดถอนหายใจ ก่อนจะยกกาแฟที่วางทิ้งไว้จนเย็นชืดขึ้นมาดื่มดับกระหาย



แต่จากประโยคของแดเนียลที่เอ่ยขอร้องดราโกไว้นั้น ก็ไม่ได้รับการตอบรับใดใดจากทางชายหนุ่มอีกเช่นเคย แต่เขาหวังว่าสุดท้ายแล้วดราโกจะยินยอมให้สองพี่น้องได้พบและพูดคุยปรับความเข้าใจกันได้ในท้ายที่สุด โดยที่แดเนียลก็ไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับคริสตินแต่เพียงผู้เดียว ถ้าเทวดาตัวน้อยของเขาไม่อยากเจอ เขาก็จะทำทุกวิถีทางให้จีนไม่สามารถมาพบคริสตินได้ หรือถ้าคริสตินอยากเจอ เขาก็จะไม่ห้าม แต่เขาก็จะคอยยืนอยู่ข้างๆ ไม่ยอมให้เด็กน้อยของเขาคลาดสายตาไปไหนแน่นอน



“ดอนครับ จาคอปแจ้งมาว่าคริสตินตื่นแล้วครับ และอยากจะขอลงมาพบดอนอัลเบอร์โต้เช่นเดียวกันครับ” คาลอสเดินเข้าไปขัดจังหวะบรรยากาศคุกกรุ่นทันทีเมื่อสบโอกาส ร่างสูงของดราโกชะงักเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับรู้ ผิดกับดวงตาสีมรกตของแดเนียลที่พราวระยับขึ้นมาเล็กน้อยอย่างดีใจ เพราะอย่างน้อยถ้าได้เจอหน้าคริสติน บางทีเขาอาจจะได้เกลี้ยกล่อมเด็กคนนั้นให้ยอมรับจีนได้ง่ายดายมากขึ้น









หลังจากที่ผมตื่นนอนขึ้นมาในช่วงสายด้วยอาการอ่อนเพลียเล็กน้อยแล้ว ผมก็พบว่าร่างกายของผมนั้นเมื่อยขบและอ่อนแรงมากกว่าปกติ ยิ่งภาพที่ผมเห็นจากกระจกที่สะท้อนออกมานั้น มันแปลกจนผมต้องเอียงศีรษะครุ่นคิดพิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่า ผมไม่รู้ว่ามันแปลกตรงไหนนะครับ แต่ผมว่าบรรยากาศรอบๆ ตัวผมมันไม่เหมือนเดิม ดูมีอารมณ์และความรู้สึกมากขึ้นหรือเปล่านะ?



หรืออาจจะเป็นเพราะร่างกายของผมปรากฏร่องรอยมากมายนี้หรือเปล่า ถึงทำให้ผมดูแตกต่างจากปกติไปมากเลยทีเดียว ผมยืนมองพิจารณารอยกลีบกุหลายสีแดงช้ำมากมายที่กระจายไปทั่วทั้งตัวด้วยใบหน้าร้อนผ่าว คำว่ามากมายที่ผมยกขึ้นมาใช้ มันมากจริงๆ นะครับ เพราะตอนนี้สีผิวของผมเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อทั้งตัว ไม่ว่าจะลำคอ ตรงอก ส่วนท้อง ต้นขา แขน และแผ่นหลังของผมเช่นเดียวกัน



“เหมือนตุ๊กแกเลย” ผมพูดขึ้นมาเบาๆ หลังจากมองตัวเองและสำรวจทุกร่องรอยบนร่างกายจนครบถ้วนแล้ว ภาพของสัตว์ชนิดหนึ่งที่ผมเคยดูในสารคดีก็แวบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว



นอกจากตัวของผมที่กลายเป็นตุ๊กแกแล้ว ริมฝีปากของผมก็บวมช้ำมากกว่าปกติจนเหมือนคนโดนผึ้งต่อยตรงริมฝีปาก และดวงตาสีน้ำตาลของผมก็ดูง่วงนอนคล้ายคนที่ตื่นไม่เต็มตา อืม งั้นดวงตาของผมก็คล้ายตัวสล็อตรึเปล่านะ ดูง่วงนอนตลอดเวลาเลย ซึ่งผมในตอนนี้ก็ดูแตกต่างจากในทุกๆ วันจนผมรู้สึกไม่คุ้นเคย แม้ผมจะจัดการธุระส่วนตัวและส่วนใส่เสื้อผ้าจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตาม ความรู้สึกแปลกๆ นี้ก็ยังคงอยู่ไม่หายไปไหน



สภาพของผมใครเห็นก็คงหัวเราะด้วยความขบขันแน่นอน แต่จะให้ผมหมดความมั่นใจและเก็บตัวอยู่ในห้องนอนมันก็ไม่เหมาะสม ถึงหน้าตาของผมมันจะแปลกพิกล แต่ยังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปครับ ดังนั้นผมจึงเดินออกมาจากห้องนอนและผมก็เห็นจาคอปยืนอยู่ในห้องครัวเล็กพอดี แต่กลับกลายเป็นว่าจาคอปทำให้ผมสงสัยมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ว่าสภาพของผมตอนนี้มันแย่ขนาดทนมองไม่ได้เลยเหรอครับ



เพราะเมื่อผมเดินไปหาจาคอปที่ห้องครัว ผมก็เห็นสังเกตเห็นว่าจาคอปมองผมจนตาเบิกกว้าง และผิวสีแทนของจาคอปก็กำลังแดงเรื่อเหมือนผมไม่มีผิด ท่าทางของเขาที่ไม่ยอมสบตากับผมนั้นก็ผิดปกติ ไม่ยอมมองผม และไม่ยอมยิ้มให้ผมเหมือนเคย พอผมสงสัยจะเดินเข้าไปถามเขา เขาก็ทำท่าตกใจและกระโดดถอยห่างจากผมออกไปไกล



“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมขมวดคิ้วเอ่ยถามเขา แต่เขาก็ตอบผมว่าไม่เป็นไรด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักจนผิดปกติ แถมยังดูรนๆ ขณะที่เขารินนมให้ผมจนมือไม้สั่นและนมบางส่วนก็หกออกมานอกแก้ว ผมนั่งดื่มนมที่รับมาจากเขาและทานขนมปังอยู่เงียบๆ พลางลอบพิจารณาท่าทางจาคอปด้วยความสงสัย แต่ระหว่างที่ผมดื่นนมอยู่นั้น ก็เห็นว่าเขาแอบมองผมบ่อยๆ ดวงตาของเขาเหมือนจดจ่ออยู่ที่ลำคอและริมฝีปากของผม แต่พอผมหันไปมองเขา เขาก็จะรีบร้อนหันไปมองทางอื่นทันที



บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมอึดอัดและทำตัวไม่ถูก จึงได้แต่รีบร้อนทานอาหารเช้าง่ายๆ นี้ให้หมดและบอกเขาว่าผมอยากไปหาดราโกและขอพบดอนแห่งอัลเบอร์โต้เช่นกัน เมื่อผมพูดจบจาคอปก็รีบหันมามองผมอย่างรวดเร็วจนผมกลัวว่าคอของเขาจะเคล็ดซะก่อน



“จะไปพบดอนอัลเบอร์โต้เหรอครับ” จาคอปถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ และผมก็พยักหน้ายืนยันกับเขาอีกครั้งเช่นกัน “งั้นรอสักครู่นะครับ ขอผมโทรไปแจ้งดอนก่อน”



ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงและกดโทรออกทันที จากที่ผมคิด ปลายสายน่าจะเป็นคาลอสที่รับสายครับ ผมรอเพียงไม่นานทางฝั่งนั้นก็ยืนยันให้ผมเข้าไปพบดอนอัลเบอร์โต้ได้ ผมจึงได้ให้จาคอปนำทางผมไป ส่วนสาเหตุที่ทำให้ผมต้องการพูดคุยกับพวกเขาอีกครั้งก็คงเป็นเรื่องเมื่อวานที่ผมเสียมารยาทต่อหน้าเขา ผมต้องการขอโทษกับเหตุการณ์เมื่อวานที่ผมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ แดเนียล อัลเบอร์โต้เป็นถึงดอนแห่งอัลเบอร์โต้ และเป็นเพื่อนของดราโก ดังนั้นผมจึงไปขอโทษเขาเพื่อแสดงถึงความจริงใจ



เพราะยังไงแผนการนี้ทางผมและดราโกก็เป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือจากทางแดเนียลเอง ดังนั้นผมก็ไม่ควรทำเรื่องหรือแสดงกิริยาที่จะกระทบต่อแผนการในอนาคต หลังจากที่ผมได้นอนหลับสนิทไปทั้งคืนแล้ว สติของผมก็กลับมาแจ่มใสเหมือนเดิม เมื่อวานอารมณ์ของผมแปรปรวนมากเกินไป จนทำให้อารมณ์และเรื่องราวในอดีตนั้นเป็นฝ่ายอยู่เหนือเหตุผลที่ผมมักคำนึงถึงอยู่เสมอ



ผมยอมรับว่าผมอาจจะยังเด็กเกินไปที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้เต็มร้อย แต่ผมก็จะพยายามให้มากขึ้นเพื่อไม่ให้ดราโกเป็นห่วงผมมากเกินไป หลังจากนี้อาจจะมีเหตุการณ์ในรูปแบบนี้เกิดขึ้นอีกมากมาย ผมจะต้องเรียนรู้ที่จะจัดการอารมณ์ของตัวเองให้ได้เช่นกัน แต่สำหรับเรื่องของจีนนั้น ผมยอมรับว่าผมไม่กล้าจะคิดว่าเรื่องของพวกเราหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อไป แต่ผมคิดว่าผมต้องการเวลามากกว่านี้เพื่อคิดเรื่องของจีนให้รอบคอบ



ผมและจาคอปใช้เวลาไม่นานก็เดินลงมาถึงห้องพักของแดเนียล ผมเห็นคาลอสออกมายิืนรอผมอยู่หน้าห้อง คลี่ยิ้มมองผมเล็กน้อยเมื่อเห็นผมในระยะไกล แต่เมื่อผมเดินมาใกล้เรื่อยๆ รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าก็จางหายไปทีละนิด จนกระทั่งผมเดินมาหยุดตรงหน้าเขาพอดี ดวงตาใต้กรอบแว่นสี่เหลี่ยมก็เบิกกว้างพร้อมกับใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อและรีบร้อนหลบสายตาผมเหมือนกับจาคอปไม่มีผิด



“เจ้าบ้าจาคอป!!! ทำไมนายให้คริสตินลงมาในสภาพแบบนี้วะ” คาลอสตะคอกออกมารุนแรง แต่เสียงของเขากลับเบาหวิวดังลอดไรฟัน สายตาของเจ้าตัวก็หลุกหลิกมองผม มองจาคอป และสลับกับมองประตูเหมือนกับกำลังกลัวว่าใครบางคนในห้องจะเปิดประตูออกมา



“ทำไมล่ะ? ก็แต่งตัวเหมือนเดิมไม่ใช่รึไง” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยถามอย่างสงสัย ทั้งผมและจาคอปต่างมองหน้ากันและหันไปขมวดคิ้วมองคาลอสอย่างไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน



“ผมก็ใส่เหมือนที่เคยใส่นี่ครับ” ผมพูดขึ้นมาบ้างและจาคอปก็พยักหน้าเสริมผมเช่นเดียว พอคาลอสเห็นพวกเรายังทำหน้างุนงงสงสัย เจ้าตัวก็ทำหน้าเหยเกคล้ายจะร้องไห้ มือก็ขยี้ผมจนยุ่งเหยิงไปหมด พร้อมกับเสียงถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที



“นายไม่รู้สึกรึไงว่าวันนี้เขา...เขา...ขะ เขา” คาลอสตวัดสายตาจ้องเขม็งไปทางจาคอปอย่างรุนแรง แต่สุดท้ายก็อ้ำอึ้งไม่ยอมพูดให้จบประโยค



“ผมทำไมเหรอครับ” ผมถามขึ้นมาอย่างสงสัย แต่ชายหนุ่มกลับผงะถอยห่างและรีบร้อนเปลี่ยนเรื่องทันที



“บ้าเอ๊ย นายรีบพาคริสตินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลย หาเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว หาผ้าพันคอให้ใส่ด้วย” มือหนาของคาลอสรีบดันหลังของจาคอปแรงๆ และจับไหล่ของผมให้หมุนตัวกลับไปทางเดิมอย่างรวดเร็ว “หาหมวกมาใส่ด้วยนะ แมสปิดหน้าด้วย อย่าลืมหาแมสปิดหน้ามาใส่ด้วยนะ ไม่พอๆ หาแว่นกันแดดด้วยนะ เอาแว่นดำที่ไม่เห็นตาเลย นายเข้าใจใช่ไหม!!!”



คาลอสสั่งจาคอปอย่างรวดเร็วแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะลดเสียงให้เบาราวกับกระซิบ สีหน้าท่าทางของชายหนุ่มก็ดูร้อนอกร้อนใจจนผมไม่เข้าใจ ทำไมต้องให้ผมปิดหน้าปิดตาขนาดนั้นกันนะ หรือหน้าผมโทรมจนดูไม่ได้กัน แต่ก็เอาเถอะครับ ในเมื่อเขาอยากให้ผมใส่ขนาดนั้น ผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ได้ ถึงแม้ว่าอากาศตอนนี้จะเป็นช่วงเข้าหน้าร้อนแล้วก็ตาม ไว้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จค่อยกลับมาถามเขาอีกทีก็แล้วกันครับ



“คริสติน?” แต่ผมกลับจาคอปยังไม่ทันได้เดินกลับไปที่ห้อง ประตูห้องของดอนแห่งอัลเบอร์โต้ก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของดราโกที่ก้าวออกมาพร้อมกับเรียกชื่อของผม ผมจึงหมุนตัวหันกลับไปมองดราโกทันทีและเอ่ยทักทายเขาเล็กน้อย



“อรุณสวัสดิ์ครับดราโก” แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ฟังผมเลยแม้แต่น้อยครับ เพราะตอนนี้ดวงตาสีทองของร่างสูงนั้นโชนแสงวาววับจนผมตกใจ พริบตาเดียวใบหน้าของผมก็ปะทะเข้ากับแผงอกกว้างของเขาทันที และแขนแกร่งของเขาก็รีบตวัดร่างของผมเข้ามาในอ้อมกอด มือใหญ่กดศีรษะด้านหลังของผมไว้แน่นราวกับต้องการซ่อนผมเอาไว้ไม่ยอมให้ใครได้เห็น



“หลับตา!!!” เสียงของชายหนุ่มตะคอกเสียงดังลั่น ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ได้ยินเสียงของจาคอปและคาลอสเอ่ยรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับร่างของผมที่โดนดราโกอุ้มขึ้นมา รู้ตัวอีกทีตัวของผมก็ถูกเขากักไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่งอยู่กลางเตียงในห้องนอนเรียบร้อยแล้วครับ




..........


ขอแบ่งเป็นสองท่อนนะคะ เพราะว่ามันไม่พอค่ะ  :mew6:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 24 ใกล้ชิดอีกครั้ง (21.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 21-11-2018 16:44:44
เกิดอะไรขึ้น เทวดาน้อยฟีโรโมนฟุ้งหรืออย่างไร ...รอจ้า  :hao3:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 24 ใกล้ชิดอีกครั้ง (21.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-11-2018 05:51:02
ร่างกายคริสติน ที่โดนดราโก้เล้าโลม
...... กระตุ้นเซ็กซ์แอพพีลคนที่เห็นแน่ๆ   :o8: :-[ :impress2:

ดราโก้  คริสติน   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 24 ใกล้ชิดอีกครั้ง (21.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 24-11-2018 12:52:52
 :L2:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 25 เริ่ม (29.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 29-11-2018 20:03:21

บทที่ 25


หลังจากที่เสียงตวาดของดราโกดังลั่นจนหูของผมอื้ออึง ร่างของผมก็ถูกชายหนุ่มคว้าไปกอดไว้แนบอก ใช้อ้อมแขนและลำตัวบดบังสายตาของสองบอร์ดี้การ์ดที่ทำหน้าหวาดผวา ผมพยายามจะดันตัวออกมาเพราะเกรงใจสายตาของคาลอสและจาคอป แต่ตัวของผมก็โดนดราโกยกขึ้นอุ้มจนโลกพลิกกลับ รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังของผมก็สัมผัสกับเตียงนอนนุ่มๆ และเห็นใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มในระยะประชิด



ดวงตาของดราโกลุกวาวราวกับมีเพลิงโหมกระหน่ำอยู่ในดวงตาสีทองคู่นั้น ใบหน้าหล่อเหลาก็ดูเคร่งเครียดขึงขังมากกว่าปกติ ริมฝีปากบางของเขาเม้มแน่นเหมือนคนที่กำลังอดกลั้น เขาโกรธอะไรกันนะ?



“คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ” ผมถามเขาด้วยความสงสัย ดวงตาของเรามองสบกันและกันนิ่งๆ อยู่พักใหญ่ และผมเห็นเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ ฝ่ามือใหญ่ของเขายกขึ้นมาลูบที่ริมฝีปากของผมแผ่วเบา



“รู้ตัวไหมว่าเวลานี้เธอไม่ควรออกมาข้างนอกห้อง” คิ้วเข้มขมวดมุ่น มองผมอย่างจริงจัง



“ทำไมครับ?” ผมยังคงสงสัยและสอบถามเขากลับ



“เพราะมันทำให้เธอดูน่ารังแก” ดราโกก้มหน้าลงมาใกล้และกระซิบอยู่เหนือริมฝีปากของผม น่ารังแก? เดี๋ยวนะครับ ทำไมกลายเป็นว่าผมน่ารังแกได้ล่ะ ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้ใครเลยนะครับ



และชายหนุ่มคงรู้ว่าผมกำลังไม่เข้าใจและสงสัยอยู่ เขาจึงก้มลงมาจูบผมเบาๆ หนึ่งทีพร้อมฉุดผมให้ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง และเขาก็ขยับนั่งลงอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง



“เอาล่ะ เด็กน้อย เธอรู้จักคำว่าเพศสัมพันธ์ใช่ไหม” ดราโกยืดตัวนั่งหลังตรงและถามผมขึ้นมา ผมพยักหน้าให้เขาหนึ่งที “งั้นเธออธิบายให้ฉันฟังหน่อย”



ผมมองเขาอย่างแปลกใจกับคำถามที่จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ในสถานการณ์ตอนนี้น่าจะเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับแผนการเกี่ยวกับคาโซ่มากกว่า แต่คำถามของเขากลับทำให้ผมแปลกใจแต่ก็ยังอธิบายให้เขาฟัง



“มันคือขั้นตอนหนึ่งของการสืบพันธุ์ของมนุษย์ครับ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากปัจจัยทางธรรมชาติของร่างกาย เพื่อการสืบเผ่าพันธุ์ โดยกระบวนระหว่างนี้ผมคิดว่าคงไม่ต้องอธิบายให้คุณฟัง แต่ว่าจะมีตัวอสุจิที่แข็งแรงที่สุดเพียง 1 ตัว จะสามารถเข้าไปภายในไข่ได้ และผสมกับไข่เกิดเป็นตัวอ่อนของเด็ก และกระบวนการนี้จะถูกเรียกว่าการปฏิสนธิครับ” ผมอธิบายคำว่าเพศสัมพันธ์ออกมาให้ชายหนุ่มฟังตามหนังสือที่ผมเคยอ่านผ่านตามาเพื่อให้เข้าใจคร่าวๆ



“แล้วฟีโรโมนคืออะไร?” มือหนายกมือขึ้นมาลูบไล้กรอบหน้าของผมเบาๆ ผมเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อนึกถึงเนื้อหาที่ผมเคยอ่านในหัวข้อใกล้เคียงนี้อีกครั้ง



“ฟีโรโมนก็คือสารเคมีที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างเพศของสัตว์ชนิดเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น แมลงตัวเมียมักจะปล่อยกลิ่นที่เฉพาะเจาะจงออกมา ซึ่งเพศผู้จะรับรู้ได้จากระยะไกลและทำให้ทราบที่อยู่ของตัวเมียครับ” ผมเอียงศีรษะถูแก้มเข้ากับฝ่ามืออุ่นของดราโกเล็กน้อย



“ถ้าฟีโรโมนสำหรับมนุษย์ล่ะ” ดวงตาสีทองของดราโกเข้มลึกล้ำมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับผมที่มัวแต่สนใจกับคำถามของเขาจึงไม่ทันได้สังเกตเห็น



“สำหรับคนน่ะหรือครับ” ผมก้มหน้าเล็กน้อย “ก็เป็นเหมือนกับกรณีของแมลงเหมือนกันครับ แต่ถ้าพูดในเชิงของวิทยาศาสตร์ก็คือ สารเคมีที่หลั่งออกมาเพื่อกระตุ้นการตอบสนองทางสังคมในสปีชีส์ดียวกัน ซึ่งฟีโรโมนเป็นสารเคมีซึ่งสามารถออกฤทธิ์นอกร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่หลั่งออกมาแล้วมีผลต่อพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตที่รับเข้าไป ว่าง่ายๆ ก็คือ เพื่อกระตุ้นอีกเพศหนึ่งให้เกิดอารมณ์รักใคร่อยากจะได้ไว้เป็นคู่ครับ”



“งั้นอารมณ์ทางเพศล่ะ?” ผมเริ่มงุนงงกับคำถามของดราโกมากขึ้นแล้วครับ ผมเลยสงสัยว่าเขากำลังช่วยผมทบทวนบทเรียนหรือเปล่า



“ก็เป็นความรู้สึกขณะที่ร่างกายมีการตอบสนองต่อสัญชาตญาณในการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ โดยร่างกายจะทำการสูบฉีดเลือดไปกระตุ้นบริเวณรอบๆ อวัยวะเพศ เมื่อร่างกายมีการตอบสนอง เซลล์ประสาทโดยรอบจะส่งผลให้เกิดความต้องการที่จะถูกสัมผัส ทำให้เกิดการร่วมเพศต่อไป”



ผมอธิบายให้ชายหนุ่มฟังด้วยสีหน้าเรียบๆ แต่ก็จริงจังอย่างเป็นการเป็นงาน ถึงแม้จะสงสัยอยู่มากแต่ผมก็เลือกที่จะรอให้เขาเฉลยสิ่งที่ค้างคาในใจของผมแทนจะดีกว่า



“เธอคงสงสัยใช่ไหมว่าฉันถามคำถามพวกนี้ไปทำไม” ผมพยักหน้าทันที และดราโกก็ผละมือที่ลูบแก้มผม แล้วเปลี่ยนเป็นกำนิ้วทั้งสี่เหลือเพียงนิ้วชี้ที่แตะลงที่ปลายจมูกของผมพอดี “เพราะเด็กน้อยแบบเธอกำลังปล่อยฟีโรโมนพวกนี้ออกมาน่ะซิ”



ชายหนุ่มไม่ว่าเปล่าแต่ปลายนิ้วชี้ของเขาก็กดย้ำปลายจมูกของผมทุกคำพูดไปพร้อมๆ กัน



“ผมปล่อยฟีโรโมนไม่ได้นะครับ ผมไม่ใช่ผู้หญิง” ผมท้วงดราโกขึ้นมาทันทีเมื่อฟังจากคำพูดของเขาที่มันผิดไปจากเดิม



“เธออาจจะปล่อยฟีโรโมนออกมาไม่ได้ แต่เสน่ห์ของเธอตอนนี้มันก็เป็นเหมือนฟีโรโมนนั่นแหละ” ดราโกพูด “รู้ไหม ดวงตาของเธอ ท่าทางของเธอ เสียงของเธอ มันทำให้ฉันมีอารมณ์ มันเหมือนว่าเธอกำลังยั่วอยู่ตลอดเวลาเลยนะเด็กน้อย”



“ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ครับ” ผมตอบเขาไปตรงๆ “จากสิ่งที่คุณพูดและถามคำถามกับผมเมื่อสักครู่หมายความว่าตัวของผมปล่อยฟีโรโมนออกมา และทำให้คุณมีอารมณ์ทางเพศและอยากร่วมสัมพันธ์กับผม?”



ผมย้อนถามเขากลับเพราะผมวิเคราะห์จากคำถามที่เขาถามมาและจากคำพูดของเขา จึงทำให้ผมตีความออกมาในลักษณะนี้



“ถูกต้อง” ชายหนุ่มพยักหน้ารับแต่โดยดี และเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง “ถึงฉันอยากจะกินเธอแค่ไหน แต่เวลานี้ก็ยังไม่เหมาะ ฉันแค่อยากจะบอกเธอว่า เพราะเราเกือบจะมีอะไรกันเมื่อคืน เลยทำให้เธอในตอนนี้มีเสน่ห์และน่ารักมาก ถ้าคนอื่นมาเห็น มันจะทำให้เขาอยากรังแกเธอ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี”



“หมายความว่าเสน่ห์ที่คุณบอกมาจะไปดึงดูดคนอื่นๆ เช่นเดียวกันใช่ไหมครับ” ผมเอียงศีรษะและถามเขา



“ใช่ ดังนั้นฉันจึงอยากให้เธอหัดระมัดระวังตัว” ดราโกกระตุกยิ้มมุมปาก สีหน้าเคร่งเครียดในคร่าวแรกที่ผมเห็นนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยสีหน้าที่ดูเจ้าเล่ห์มาแทน



“เข้าใจแล้วครับ คุณกำลังสอนผมให้รู้จักระมัดระวังตัวซินะครับ” ดวงตาของผมเบิกกว้างและรู้สึกตื่นเต้นกับบทเรียนที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน และคงเพราะท่าทางของผมจะทำให้ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากชายหนุ่ม



“ถูกต้องแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนนี้ขึ้นมาอีก สิ่งแรกที่เธอควรทำคือการนอนพักผ่อน แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นที่เร่งด่วนเหมือนตอนนี้ที่เธอต้องการพบแดเนียล เธอก็ควรแต่งกายให้มิดชิดมากกว่าเดิม เพื่อกันไม่ให้คนอื่นเห็นเธอแล้วอยากรังแก”



“ครับ ผมเข้าใจแล้ว” ผมพยักหน้ายืนยันให้เขาอีกครั้งด้วยความเข้าใจมากกว่าเดิม



“ฟังให้ดีนะเด็กน้อย แต่งกายให้มิดชิดที่ฉันหมายถึง คือการใส่เสื้อแขนยาว ติดกระดุมถึงคอหรือไม่ก็เป็นเสื้อคอเต่า ถ้าไม่มีเสื้อคอเต่าต้องหาผ้าพันคอมาใส่ด้วย อ่อ ใช่ เสื้อต้องเป็นสีเข้มเท่านั้นนะ ห้ามใส่เสื้อสีอ่อนหรือสีขาว กางเกงต้องใส่ขายาวห้ามรัดรูปมากเกินไป อย่าเข้าใกล้คนอื่นเกินหนึ่งเมตร อย่าใช้ดวงตาของเธอจ้องใครนานๆ อย่าเอียงคอมากเกินไปและอย่าเม้มปากมากนัก” ดราโกพูดรายละเอียดออกมามากมาย และเน้นทุกคำพูดด้วยสายตาที่จริงจัง เพราะเขาหวงเทวดาตัวน้อยของเขามากเกินกว่าจะแบ่งปันให้ใครได้เห็น เด็กน้อยของเขาไม่รู้ตัวเลยซักนิดว่าตัวเองมีเสน่ห์มากขนาดไหนและเย้ายวนมากเพียงใด



ยิ่งตอนนี้คริสตินอยู่ในเสื้อยืดสีเข้มที่คอเสื้อค่อนข้างกว้างกว่าปกติ จึงเห็นร่องรอยกลีบกุหลายสีแดงก่ำกระจายตรงช่วงไหปลาร้าและลำคอขาว ดวงตากลมโตสีน้ำตาลนั้นเหมือนมีหยาดน้ำฉ่ำวาวเปล่งประกายอยู่ภายใน และขนตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นแพนั้นดูปรือเย้ายวน เพราะเมื่อคืนเขาดึงเสน่ห์ของคริสตินออกมาจนหมด จนตอนนี้ท่วงท่าของเด็กน้อยจึงเต็มไปด้วยการล่อลวงให้ใครต่อใครต้องหลงใหลโดยไม่รู้ตัว



โดยเฉพาะท่าเอียงคอสงสัยใคร่รู้ที่คริสตินมักจะทำเป็นประจำนั้นก็เช่นกัน ตอนปกติก็ดูช่างอ้อนชวนให้ใจอ่อนอยู่แล้ว มาตอนนี้ที่มีดวงตาฉ่ำวาว ริมฝีปากบวมแดงเรื่อ และดวงตาปรือยั่วนั่นอีก มันกลับทำให้คริสตินมีอิทธิพลกับเขามากเลยทีเดียว เพราะแบบนี้ไงล่ะ เขาถึงไม่อยากจะให้ต่อใครมาเห็นเด็กน้อยของเขาในตอนนี้เลยซักนิด



“เข้าใจแล้วใช่ไหม” ดราโกถามย้ำออกมาอีกครั้ง และผมก็ตอบเขากลับอย่างกระตือรือร้น เพราะเรื่องที่เขาบอกนี้มันเหมือนกับสิ่งใหม่ๆ ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยครับ



สมัยตอนผมยังเด็ก ผมก็มัวแต่เรียนในเรื่องที่ผมสนใจเท่านั้น นอกจากเรียนแล้วผมก็ใช้เวลาไปกับคอมพิวเตอร์ เพื่อนของผมก็มีแต่คุณพ่อและแด๊ดดี๊เอริค พอไปมหาวิทยาลัยก็เจอแต่รุ่นพี่ที่มีอายุมากกว่าผมหลายปี พวกเขาก็เอ็นดูผมเหมือนน้องชายคนหนึ่ง และคงเพราะช่วงวัยที่แตกต่างกันเรื่องอะไรที่ผมควรรู้ผมก็เลยไม่รู้ เพราะพวกเขาก็คิดว่าผมยังเด็กเกินไป



“เข้าใจแล้วครับ เรื่องพวกนี้ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยครับ ไม่มีใครบอกหรือสอนผมเลย” ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นมากกว่าปกตินิดหน่อย แต่นี่ก็เป็นการแสดงอาการกระตือรือร้นของผมแล้วล่ะครับ



“ดีแล้วล่ะ เรื่องนี้ให้ฉันสอนเธอคนเดียวก็พอ อย่าให้ใครสอนเธอเด็ดขาด” น้ำเสียงของชายหนุ่มจริงจังเช่นเดียวกับดวงตาที่มองตรงมายังผม มือหนาของเขาก็ยกลูบเกี่ยวเส้นผมสีน้ำตาลเล่นเล็กน้อย



“ครับ งั้นตอนนี้ผมควรไปเปลี่ยนเสื้อก่อนซินะครับ” ผมยื่นหน้าเข้าไปหาดราโกอย่างรวดเร็วและหอมแก้มเขาไปหนึ่งที เห็นดวงตาสีทองพราวระยับขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก และใบหน้าหล่อเหลาที่เคลื่อนเข้ามาใกล้หมายจะจุมพิตผม แต่ผมก็หมุนตัวและลงจากเตียงอย่างรวดเร็วจนร่างสูงชะงักค้าง



ผมรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวเล็กน้อย และหัวใจก็เต้นรัวเร็วเสียงดังตึกตัก ไม่รู้ซิครับ จู่ๆ ผมก็อยากหอมแก้มเขาขึ้นมาซะอย่างนั้น แต่ถ้าต้องจูบกันอย่างที่ดราโกต้องการ พวกเราคงไม่ได้ออกจากห้องนี้ไปอีกซักพักแน่เลยครับ และดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะค่อนข้างเสียดายและเจ็บใจอยู่เหมือนกัน ฟังได้จากคำพูดของเขาที่ดังแว่วมาก่อนที่ผมจะปิดประตูห้องน้ำ



“เดี๋ยวเถอะ แล้วคืนนี้ฉันจะเอาคืนแน่นอน” น้ำเสียงจากดราโกหมายมาดและฟังดูเจ้าเล่ห์ จนทำให้ผมคิดหนักแล้วล่ะครับ สงสัยว่าคืนนี้คงต้องขอไปนอนกับจาคอปน่าจะดีกว่า









หลังจากนั้นสิบนาทีตอนนี้ทั้งผม ดราโก จาคอปและคาลอส พวกเราก็มานั่งอยู่ตรงโซนรับแขกในห้องของแดเนียล ดอนแห่งอัลเบอร์โต้แล้วครับ ผมสังเกตเห็นสายตาของชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาสีมรกตกวาดตามองผมเร็วๆ แล้วรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดอยู่ตรงมุมปาก



“หวงขนาดนี้เลยเหรอ” น้ำเสียงและดวงตาคู่นั้นของดอนแห่งอัลเบอร์โต้ฟังดูร้ายกาจและเจ้าเล่ห์กว่าของคาลอสเยอะเลยครับ แต่ท่าทางที่ยั่วยุนั้นก็ไม่ได้ทำให้ดราโกพูดอะไรได้เลยนอกจากปรากฏรอยยิ้มที่ยกสูงตรงมุมปากเท่านั้น “อลัน อ๊ะ ไม่ใช่ซิ ขอโทษนะเจ้าหนู ตอนนี้ชื่อคริสตินใช่ไหม”



“ครับ” ผมตอบเขากลับนิ่งๆ จงใจเมินเฉยกับชื่อในอดีตที่ผมไม่อยากจดจำ



“ว่าแต่เธออยากมาพบฉันเรื่องอะไรล่ะ” ร่างสูงมองมาทางผมที่ยังคงนั่งนิ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉยอยู่เช่นเดิม



“ผมมาขอโทษเรื่องที่เสียมารยาทเมื่อวานครับ การกระทำของผมคงทำให้คุณสับสน เลยอยากจะมาขอโทษคุณด้วยตัวผมเอง” ผมก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อยกับเรื่องเมื่อวานที่ผมไม่สามารถสงบสติอารมณ์ของผมได้ จนหุนหันพลันแล่นเดินออกมาจากห้องของเขาอย่างเสียมารยาท โดยที่ยังไม่ได้เอ่ยขอตัวหรือร่ำลาอย่างเป็นทางการอย่างที่ควรจะทำเลยครับ



“งั้นเหรอ ฮ่าฮ่า เป็นเด็กที่แปลกดีนะ เรื่องเมื่อวานฉันไม่ถือหรอก” แดเนียลยกมือขึ้นโบกไปมาอย่างคนไม่ถือสาหาความกับเรื่องที่ผมทำเมื่อวาน ดังนั้นผมจึงรู้สึกโล่งใจและสบายใจขึ้นมากเลยครับ



พอพวกเขารู้ถึงจุดประสงค์ที่ผมต้องการขอพบดอนแห่งอัลเบอร์โต้เรียบร้อยแล้ว บรรยากาศภายในห้องก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น เพราะพวกเขาคงนึกไม่ถึงว่าผมพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ดังนั้นคาลอสจึงได้ฉวยโอกาสนินทาตัวผมต่อหน้าเลยครับ



“แปลกอย่างเดียวไม่พอหรอกนะครับแดเนียล ต้องเรียกว่าซื่อมากด้วย” ชายหนุ่มดันแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมขึ้นหนึ่งทีและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่



“ถึงซื่อแต่คริสตินก็น่ารักนะครับ ผมว่าเหมือนน้องหมาตัวเล็กๆ เลย” ได้ทีจาคอปก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง แต่คำว่าน้องหมาตัวเล็กๆ นี่ผมว่าไม่เห็นด้วยนะครับ จาคอปน่ะยังเหมือนน้องหมาโกลเด้นมากกว่าผมซะอีก



“ผมไม่เห็นด้วยนะครับ พวกคุณพูดเหมือนผมเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก ผมอายุสิบห้าแล้วนะครับ ใกล้จะสิบหกแล้วด้วย” ผมขมวดคิ้วและมองพวกเขานิ่งๆ แต่พวกเขากลับหัวเราะชอบใจกับคำพูดของผมแทน



“ฮ่าๆ งั้นก็เป็นวัยรุ่นซินะเจ้าหนู งั้นช่วงนี้ก็เป็นวัยต่อต้านแล้วซินะ” ดวงตาสีมรกตของเขาพราวระยับสนุกสนาน มีจาคอปที่หัวเราะแบบไม่รักษามาดเป็นลูกคู่ด้วยอีกคน “เฮ้ ระวังนะดราโก เดี๋ยวเจ้าหนูนี่คงมีคนมาจีบตรึมแน่เลย นายเตรียมจ้างบอร์ดี้การ์ดเพิ่มเลยตอนพาเจ้าหนูไปโรงเรียน”



สายตาล้อเลียนสีมรกตของแดเนียลถูกส่งไปให้กับดราโกโดยตรง แต่ชายหนุ่มร่างสูงก็ไม่สะทกสะท้านกลับล้วงปืนที่เก็บไว้ข้างเอวออกมาและวางไว้บนโต๊ะเล็กที่คั่นกลางระหว่างพวกเขาทันที



“หึ ไม่ต้องจ้างหรอก เดี๋ยวกระสุนของฉันก็ลั่นไปเองแหละ” ตลกหน้าตายในแบบของดราโกที่โต้กลับมาพร้อมกับของประกอบฉากที่แสนอันตรายนั้น ทำให้รอยยิ้มของชายหนุ่มอีกสามคนแข็งค้างกันไปทันที



พวกเขาต่างคิดในใจอย่างพร้อมเพรียงกันว่าเรื่องที่ดราโกพูดขึ้นนั้น ไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน และมีโอกาสสูงทีเดียวที่ปืนที่โชว์อยู่นี้จะไปจ่อขมับของคนที่กล้ามายุ่งกับเทวดาตัวน้อยที่ยังนั่งงงอยู่ข้างๆ ตัว



“แต่ผมจะเรียนจบแล้วนะครับ เหลือแก้ไขวิจัยอีกเล็กน้อยก็ส่งให้ศาสตราจารย์ตรวจได้แล้ว” ผมเหลือบมองคาลอสที่มุมปากกระตุกและยังทำหน้าตาประหลาดด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยท้วงพวกเขาออกมา และคำพูดของผมก็ช่วยทำลายความเงียบจากมุขตลกของดราโกได้



“หือ จริงเหรอ” แดเนียลหันมาสนใจผมทันทีพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความใคร่รู้ ส่วนผมก็พยักหน้ายืนยันให้กับเขา “จบปริญญาตรีเหรอ?”



“ปริญญาเอกครับ” ผมตอบเสียงนิ่งๆ แต่ดวงตาสีมรกตกลับเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อคำพูดของผมเท่าไหร่นัก จึงได้หันไปมองดราโก คาลอส และจาคอปเพื่อขอคำยืนยัน ซึ่งพวกเขาก็พยักหน้าอย่างแข็งขันเพื่อช่วยยืนยันคำพูดของผมอีกแรง



“เฮ้ย ไม่จริงน่า เธอเก่งมากเลยนะ สุดยอดเลยเจ้าหนู” บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนมาครึกครื้นและสนุกสนานอีกครั้ง ทั้งแดเนียล คาลอส และจาคอปต่างผลัดกันหยอกและแกล้งกันไปมา จนทำให้ผมรู้สึกสนุกและฟังพวกเขาพูดอย่างเพลิดเพลิน











หลังจากพวกเราพูดคุยเรื่องทั่วไปอยู่พักใหญ่ จู่ๆ แดเนียลก็วกกลับเข้ามาพูดถึงเรื่องของคาโซ่และเรื่องการประชุมที่จะเกิดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า จดหมายเชื้อเชิญให้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ถูกแจกจ่ายและเชิญแฟมิลี่ทั่วอิตาลีให้เข้าร่วม ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ในรอบหลายปีเลยทีเดียว และทำให้หลายๆ แฟมิลี่ทั่วอิตาลีต่างเฝ้าจับตามองและรู้สึกสงสัยในเรื่องของภัยคุกคามที่คาโซ่พูดถึง



“นายแน่ใจนะว่าคาโซ่จะเดินตามเกมของนายน่ะดราโก” ท่าทางที่เป็นกังวลของแดเนียลทำให้ผมละสายตาจากวิวนอกหน้าต่างไปจับจ้องและเฝ้ามองบทสนทนาหลังจากนี้ด้วยความสนใจ



“ใช่ ตอนนี้คาโซ่ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องขอความร่วมมือจากแฟมิลี่อื่น ทางวีโนซิโอ คาโซ่ก็โดนบีบจากหลายฝ่ายจนร้อนรนแล้วเช่นกัน” ดราโกตอบเสียงนิ่งติดเย็นชา



“ทางฝ่ายรัฐบาลก็เริ่มลอยแพคาโซ่แล้วล่ะครับ ยิ่งโดนโจมตีจากทางสื่อและข้อมูลที่หลุดออกไปก็ทำให้หลายๆ ฝ่ายเริ่มหวาดระแวง โดยเฉพาะรายชื่อของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็เริ่มโดนสอบสวนไปบางส่วนแล้ว” คาลอสพูดขึ้น



“เข้าใจแล้วนายสร้างตัวตนปลอมขึ้นมาเพื่อใช้ให้คาโซ่ไขว้เขว่ใช่ไหม” ดอนแห่งอัลเบอร์โตถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง



“ใช่ ความจริงแล้วหลังจากที่พวกมันคิดว่ามาร์ติน สมิธคนนั้นตายไปแล้ว คาโซ่ก็ตายใจเพราะคิดว่ากำจัดคนที่ส่งข้อมูลให้ตำรวจสากลเรียบร้อย แต่เมื่อข้อมูลล่าสุดที่หลุดออกไปในโลกอินเตอร์เป็นข้อมูลชุดเดียวกันกับที่พวกมันได้จากทางตำรวจ มันก็คิดว่าคงมีคนที่ช่วยเหลือมาร์ติน สมิธอยู่” ดวงตาของดราโกเย็นเยียบเย็นชา แต่คำพูดของเขาที่ผมได้ยินกลับทำให้ทั้งร่างของผมชาวาบและเย็นยะเยือกลึกเข้าไปข้างใน



จากข้อมูลที่ผมได้ยินมาเมื่อสักครู่ แสดงว่ารูปของผู้ชายคนนั้นที่ดราโกเคยเอามาให้ผมดูคือคนที่เป็นมาร์ติน สมิธ ที่คาโซ่เชื่อว่าเป็นตัวจริง แต่เมื่อข้อมูลชุดเดียวกันถูกปล่อยออกมหลังจากนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่ามีคนคอยช่วยเหลือ และเริ่มออกตามล่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คาโซ่จะไม่ได้ออกล่าเพียงลำพัง



“เขาจะยืมมือแฟมิลี่อื่นให้ช่วยตามหาใช่ไหมครับ” ผมพูดขึ้นมาบ้าง ดวงตาของผมราบเรียบแต่ลึกลงไปในแววตาผมรู้ว่ามันกำลังสั่นไหว “คาโซ่กำลังถูกจับตามองจากทั้งฝ่ายรัฐบาลและประชาชน เขาจะเคลื่อนไหวไม่สะดวกและไม่ได้รับความเชื่อถืออีกแล้ว ผมคิดว่าเขาอาจจะต้องให้แฟมิลี่อื่นลงมือแทนเขา”



“นั่นซิ ทางคาโซ่แจ้งมาว่าเป็นเรื่องของภัยคุกคาม” คาลอสตาเบิกกว้างหลังแว่นกรอบสี่เหลี่ยม ผมพยักหน้าและเหลือบมองใบหน้าเขาเล็กน้อย



“ภัยคุกคามที่เขาอ้างถึงคงโยงกับเหตุการณ์ข้อมูลของเขาที่หลุดไปครับ ถ้าเขาอ้างในเรื่องนี้ทุกแฟมิลี่จะต้องตื่นตัวและร่วมมือกับคาโซ่อย่างเต็มที่แน่นอน” ผมคาดเดาจุดประสงค์ของคาโซ่จากข้อมูลที่ผมได้ฟังมา และคิดว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะถูกต้องค่อนข้างสูงมากเลยทีเดียว



“และมันจะทำให้คาโซ่โดนจับตามองน้อยลง เพราะทุกความสนใจจะพุ่งกลับไปหามาร์ติน สมิธอีกครั้ง” ดราโกพูดขึ้นมาบ้าง ผมหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมเช่นเดียวกัน



“ถ้าเป็นอย่างนั้นรัฐบาลก็จะต้องกลับมาเกรงใจคาโซ่อีกครั้งแน่นอน เพราะถ้าการประชุมครั้งนี้สำเร็จและได้รับความร่วมมือจากทุกแฟมิลี่ รัฐบาลคงมองว่าคาโซ่มีอิทธิพลมากพอที่จะรวมทุกแฟมิลี่เป็นหนึ่งเดียวภายใต้การนำของเขา เฮอะ ไร้สาระ ไอ้แก่นี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ คิดยิงปืนนัดเดียวตายยกฝูงเลยมั้ง” ดอนแห่งอัลเบอร์โต้หัวเสียและเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาของเขาก็ดูดุดันขึ้นในพริบตา



“แล้วคาโซ่ก็จะยืนมองเฉยเพื่อรอรับผลประโยชน์ในท้ายที่สุด ทางถนัดของพวกมันเลยล่ะครับ” มือขวาอย่างจาคอปที่ทำหน้างุนงงในช่วงแรกเล็กน้อย แต่พอฟังแต่ละคนอธิบายขึ้นมาก็เข้าใจและรู้สึกหงุดหงิดกับพวกมันที่คิดยืมมือคนอื่นให้คอยช่วยเหลือและกำจัดเป้าหมายแทนตัวเอง



“แต่สิ่งนี้นายก็คิดไว้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะดราโก” แดเนียลหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งฝั่งตรงข้ามบ้าง แต่ใบหน้าเย็นชาแต่ประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากนั้นก็ช่วยอธิบายให้ดอนแห่งอัลเบอร์โต้เข้าใจ ส่วนผมที่กำลังนั่งวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้อีกครั้งอยู่เงียบๆ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของผมเริ่มเปล่งประกายและมีชีวิตชีวามากขึ้น



“เธอกำลังคิดอะไร” ชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งเคียงข้างอยู่บนโซฟาเดียวกันไม่เคยละสายตาออกจากร่างเล็กได้นานเลย ทุกสายตาของเขานั้นจับจ้องอยู่ที่คนข้างๆ ตลอด ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่ปรากฏอยู่ในตอนนี้ดราโกจึงเห็นมันได้อย่างชัดเจน ดวงตากลมโตคู่นั้นเปล่งประกายราวกับเทวดาตัวน้อยกำลังเริ่มซุกซน



“ผมจะไม่ให้เขายืนรออยู่เฉยๆ แน่นอนครับ” ผมหันไปสบตากับดราโก จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสีทองคู่นั้น “ถ้าเขาคิดจะอยู่เหนือปัญหาทั้งหมดและรอรับผมประโยชน์ฝ่ายเดียวล่ะก็ ผมจะเป็นคนที่ลากเขาลงมาเล่นเกมนี้ด้วยกันแน่นอน”





.................................


ตอนนี้ไรท์จะมาอธิบายเรื่องความใสซื่อของน้องให้ฟังเพิ่มเติมนะคะ สำหรับตัวน้องเองน้องเป็นคนที่มีพัฒนาการเร็วกว่าเด็กวัยปกติค่ะ ไอคิวก็พุ่งปรี๊ดสูงจนเป็นเด็กอัจฉริยะ ดังนั้นน้องจึงรู้ว่าตัวเองสนใจในด้านไหนตั้งแต่เด็ก น้องเลยหมกมุ่นกับเรื่องที่ตัวเองชอบ และพยายามฝึกฝนเล่าเรียนจนแป๊ปๆก็ อ้าว!!! เฮ้ย จะจบปริญญาเอกเฉยเลย

อีกอย่างสภาพแวดล้อมที่น้องอยู่ก็มีแต่ผู้ใหญ่ทั้งนั้น แถมตอนเด็กก็เรียนแต่โฮมสคูล จะมาสนใจในเรื่องเพศและเรื่องจุดจุดจุดน้องก็ไม่สนซักนิดเลยค่ะ ไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันที่อยากรู้อยากเห็นเรื่องเพศสัมพันธ์ ไม่มีคนให้คุยเรื่องนี้ได้เลย ดังนั้นประสบการณ์ด้านนี้ของน้องต้องบอกว่าติดลบค่ะ อีกอย่างวันๆก็คิดแต่จะตามหาตัวคนๆนั้นให้พบ เรื่องนี้เลยกลายเป็นเรื่องไกลตัวน้องเลยค่ะ แต่เรื่องอะไรที่อธิบายออกมาเป็นตำรานี่น้องรู้นะคะ น้องอ่านมา แต่เรื่องนอกเหนือจากนั้นติดลบค่ะ ลบลูกเดียว ต้องรอให้ลุงเขามาสอนให้เองค่า 555555







หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 25 เริ่ม (29.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-11-2018 22:36:34
ดราโก  คริสติน     :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 25 เริ่ม (29.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-11-2018 22:57:39
รอให้ลุงเอาคืนไม่ไหวแล้ว.. :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 25 เริ่ม (29.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 30-11-2018 09:10:25
จะสอนอย่างไรรอจ้าา
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 25 เริ่ม (29.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 30-11-2018 23:34:40
เริ่มจะตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

ปล. หมั่นไส้ลุงอ่ะ หวงน้องมากเว่อออออ
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 26 เริ่ม (2) (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: llinllin ที่ 10-12-2018 20:00:32
บทที่ 26 เริ่ม (2)



“ถ้าเขาคิดจะอยู่เหนือปัญหาทั้งหมดและรอรับผลประโยชน์เพียงฝ่ายเดียวล่ะก็ ผมจะเป็นคนที่ลากเขาลงมาเล่นเกมนี้ด้วยกันแน่นอน” น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่นของคริสตินนั้น กลับตรึงทุกสายตาให้หันมาสนใจคนที่อ่อนวัยกว่าในทันที ถึงแม้ว่าประโยคที่เอ่ยออกมาจากเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าปีนั้นจะน่าตื่นตะลึงมากขนาดไหน แต่มันกลับสู้แววตาเจิดจ้าจากดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย





ดวงตาคู่นี้เปล่งประกายเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า และดึงดูดทุกสายตาให้จ้องลึกเข้าไปในแววตาคู่นั้นอย่างไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่คำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีเท่านั้น แต่มันกลับแฝงไปด้วยพลังที่ชวนให้คนคล้อยตามและเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คริสตินพูดนั้น เขาจะต้องทำได้อย่างแน่นอน





“เธอมีแผนหรือ?” ดราโกที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้นมาสั้นๆ ดวงตาสีทองของชายหนุ่มยังไม่ละสายตาไปจากดวงหน้าอ่อนเยาว์เรียบนิ่งนั้นเลยซักวินาที ในตอนนี้คริสตินของเขานั้นมีเสน่ห์เอ่อร้นออกมาอย่างน่าเหลือเชื่อ เปล่งประกายเจิดจ้าจนเขาอยากจะฉุดคนตัวเล็กอุ้มเข้ามาในอ้อมแขนและพาไปกักขังหลบให้พ้นสายตาตื่นตะลึงของคนที่อยู่ในห้องทันที





หงุดหงิด ใช่ เขากำลังหงุดหงิดที่ไม่สามารถพาคริสตินไปในตอนนี้ได้ และใช่ เขากำลังข่มอารมณ์หึงหวงที่กำลังแล่นพล่านเพราะเห็นสายตาของจาคอปมองคริสตินอย่างชื่นชมปนปลาบปลื้ม แต่เขาจำเป็นที่จะต้องเมินเฉยสายตาพวกนั้นไปซะเพื่อให้เด็กน้อยของเขาเล่าถึงแผนการของตัวเองขึ้นมา เพราะสิ่งที่คริสตินพูดอาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แผนการนี้ง่ายขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อก็เป็นได้





ทุกสายตานั้นจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มเพียงคนเดียว แต่ยังไม่ทันที่คริสตินจะได้อธิบายแผนการของเขาออกมา ประตูห้องนอนอีกห้องก็เปิด พร้อมกับน้ำเสียงมีเสน่ห์ของหนุ่มเอเชียที่ติดแหบแห้งเล็กน้อยจากการร้องไห้มาอย่างหนัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความยินดีปนเศร้าใจ





“อลัน!!!!” จีน ไอรา ที่อ่อนเพลียและโศกเศร้ากับความจริงที่เขาได้รับรู้จากเรื่องเมื่อวานนั้น ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถข่มตานอนหลับได้ทั้งคืน กว่าจะผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียก็เกือบรุ่งเช้า





แม้ในเวลานี้เขาจะอ่อนเพลียและปวดหัวอยู่บ้าง แต่สิ่งที่น่ายินดีที่สุดในเช้าวันนี้คือการที่ได้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของน้องชายเพียงคนเดียวที่เขาเฝ้ารอ ร่างสูงโปร่งรีบวิ่งถลาเข้าไปหาคริสตินอย่างรวดเร็ว ใบหน้าสวยมีเสน่ห์ของจีนฉีกยิ้มกว้าง แม้ดวงตาเรียวสีนิลจะฉาบไปด้วยความโศกเศร้าอยู่เบาบางก็ตาม





แต่เมื่อจีนวิ่งเข้ามาหาคริสติน เขากลับถูกร่างสูงใหญ่ของจาคอปยืนขวางทางในทันที ใบหน้าคมเข้มที่ติดขี้เล่นของเขาในยามนี้กลับราบเรียบและดูจริงจังสมกับเป็นบอร์ดี้การ์ดมือขวาของดอนแห่งคอลิโอเน่ ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนและกางแขนออกมาเพื่อรั้งร่างสูงโปร่งที่เกือบถลาพุ่งเข้าหาคริสตินได้อย่างทันท่วงที





“อ๊ะ!!!” จีนตกใจเมื่อจู่ๆ ก็ชนเข้ากับแขนแกร่งของจาคอป ร่างของเขาเซถอยหลังไปเล็กน้อย จนเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้นพรมนุ่ม ยังดีที่แดเนียลเข้ามาประคองร่างโปร่งของคนรักไว้ได้ทัน และพยุงพาชายหนุ่มไปนั่งด้วยกันที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับคริสตินและดราโก





“อย่าวุ่นวายจีน” น้ำเสียงทุ้มต่ำของดราโกเอ่ยเตือนคนรักของดอนแห่งอัลเบอร์โต้นิ่งๆ





ใบหน้าหล่อเหลาของแดเนียลเริ่มซีดเผือดทีละนิด ในใจของชายหนุ่มกำลังว้าวุ่น เขาไม่รู้ว่าจะทำให้บรรยากาศที่เริ่มคุกกรุ่นนี้คลี่คลายได้อย่างไรดี ตอนนี้ดราโกไม่ชอบใจในตัวของจีนอย่างรุนแรง อาจจะถึงขั้นเกลียดเข้ากระดูกดำไปแล้วก็ได้เมื่อได้ฟังเรื่องราวในอดีตจากคนรักของเขาเมื่อวาน





ตั้งแต่จีนเอ่ยชื่อเก่าของคริสตินออกมานั้น บรรยากาศในห้องก็เหมือนอุณหภูมิติดลบ เพราะมีดราโกเป็นคนปล่อยรังสีอันตรายออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง โดยเฉพาะดวงตาคมกริบสีทองคู่นั้นมันเยือกเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ทุกคนภายในห้องรู้สึกหนาวยะเยือกสั่นสะท้านอย่างรุนแรง





และตอนนี้ดอนแห่งคอลิโอเน่ก็ยิ่งไม่พอใจชายเอเชียที่นั่งอยู่ตรงข้ามคริสตินมากเข้าขึ้นไปอีก เมื่อเขาพยายามข่มความกลัวและพูดคุยกับคริสตินอีกครั้ง





“อะ อลัน” เสียงของจีนสั่นเทาเล็กน้อย ดวงตาเรียวสวยมองไปยังร่างเล็กของน้องชายที่มีใบหน้าปราศจากอารมณ์ความรู้สึกใดใด แม้เขาจะรับรู้ว่าดอนแห่งคอลิโอเน่กำลังไม่พอใจในตัวเขาอย่างมาก และรู้สึกถึงแรงกระชับจากฝ่ามือของแดเนียลที่พยายามจะรั้งและเอ่ยเตือนการกระทำของเขาอยู่ก็ตาม แต่เวลานี้ น้องของเขาที่คิดว่าจะไม่มีวันได้พบกลับมาปรากฎอยู่ตรงหน้า จะไม่ให้เขาได้ทักทายและพูดคุยถามไถ่กับน้องเลยหรือ





“อลัน อลัน พะ พี่...” แต่จีนยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไป ดราโกก็ตัดบทชายหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง





“คริสติน เด็กคนนี้ชื่อคริสติน” ในอดีตเทวดาตัวน้อยของเขาจะชื่อว่าอะไรเขาไม่สนใจ แต่ตอนนี้ ในเวลานี้ เด็กคนนี้คือคริสตินนอร์แมนเท่านั้น





บรรยากาศภายในห้องยิ่งกว่าอุณหภูมิติดลบซะอีก ตอนนี้มันทั้งหนาวเยือกและร้อนระอุจนคาลอสและจาคอปที่นั่งอยู่ไม่ไกลถึงกับร้อนๆ หนาวๆ ใบหน้าของดอนแห่งคอลิโอเน่นั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์ ถ้าจีนไอรายังไม่หยุดในตอนนี้ ดอนของพวกเขาคงคว้าปืนขึ้นมายิงในอีกไม่ช้าแน่นอน





แม้ว่าจีนพยายามจะส่งสายตาอ้อนวอนไปที่น้องชายของเขาอย่างไร แต่เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ห่างกันแค่โต๊ะเล็กๆ คั้น กลับไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทาย คริสตินเพียงแค่มองจีนนิ่งๆ เท่านั้น แม้กระทั่งดวงตาสีน้ำตาลก็ยังคงราบเรียบไร้อารมณ์ความรู้สึก





“อลัน อ๊ะ พี่ขอโทษ พี่ขอโทษนะคริสติน” จีนที่เห็นน้องมองเขาเหมือนกับคนที่ไม่รู้จัก พยายามจะเอ่ยขอโทษกับเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นดวงตาสีทองตวัดสายตาคมกริบมาให้ตน ชายหนุ่มจึงต้องกล้ำกลืนก้อนสะอื้นและเอ่ยชื่อปัจจุบันของน้องชายเขาขึ้นมา





เขาอึดอัดใจมากจนมันกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตามากมายที่พร่างพรูออกมาจากดวงตาคู่งาม เสียงสะอื้นดังเสียดแทงใจของดอนแห่งอัลเบอร์โต้จนเจ็บปวด แต่คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับดราโกเขาก็ไม่อาจละเมิด เขาแม้มีอำนาจ เป็นดอนในฐานะและตำแหน่งเดียวกัน แต่เขาก็รู้ว่าอำนาจที่แท้จริงนั้น ยังไม่อาจสู้ดราโก คอลิโอเน่คนนี้ได้เลย





“ใจเย็นก่อนนะจีน ไว้ค่อยคุยกันหลังจากเรื่องนี้จบเถอะ” ร่างสูงรั้งร่างโปร่งของจีนเขามาใกล้ ลูบหลังปลอบโยนให้คนรักสงบลงทีละนิด โดยเฉพาะประโยคหลังที่เขากระซิบใกล้หูเพื่อเตือนสติคนข้างๆ “เรื่องนี้มันต้องใช้เวลา เด็กคนนั้นอาจจะยังสับสน นายต้องให้เวลาเขาหน่อย เข้าใจไหม”





คำพูดของแดเนียลเตือนสติของจีนได้เป็นอย่างดี เขารู้ เวลาที่ห่างหายกับน้องไปนานนั้นมันกลายเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขา และความสัมพันธ์ก็ไม่อาจจะฟื้นคืนมาได้ในเวลาอันสั้นแค่ชั่วข้ามคืน เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องอดทน ค่อยๆ ฟื้นฟูสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องขึ้นมาอีกครั้ง และรอคอยให้น้องของเขายอมเปิดใจให้กับพี่ชายที่ไม่เอาไหนคนนี้





“เข้าใจแล้ว ขอโทษนะ” จีนพึมพำพูดขึ้นมาและก้มหัวขอโทษทุกคนที่เขาเสียมารยาทไปเมื่อสักครู่







ผมลอบสังเกตท่าทางของจีนอยู่เงียบๆ ใบหน้าของเขาดูเศร้าหมองซึ่งแตกต่างจากท่าทางมั่นใจและเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งเหมือนครั้งแรกที่ผมได้พบเขา ในความทรงจำของผมนั้นผมไม่เคยเห็นจีนมีท่าทางแบบนี้มาก่อนเลยครับ ในตอนเด็กจีนเป็นที่พึ่งของผม เป็นพี่ชายของผม เป็นทุกอย่างในชีวิตให้ผม แต่แค่วันนั้นเพียงวันเดียวทุกอย่างในชีวิตของผมกลับเปลี่ยนไป





ผมรู้ว่าตั้งแต่ตอนนั้นใจของผมมันก็ด้านชา มันเจ็บ เจ็บจนชิน เจ็บจนผมคิดว่าถ้าวันหนึ่งผมและจีนได้มายืนต่อหน้ากันและกัน ผมคงเดินหันหลังให้เขาอย่างง่ายดาย แต่เวลานี้ผมรู้ว่าใจของผมมันไม่ได้เป็นเหมือนที่ผมมั่นใจมาตลอด มันกำลังสั่นไหวเพราะท่าทางของจีนในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน





แต่ผมก็รู้สิ่งที่ผมหวังไว้สำหรับจีน ไอรา คือการที่เขาจะอยู่ห่างจากเรื่องนี้มากที่สุด ให้เขาหยุดอยู่แค่เรื่องคาโซ่ก็พอ อย่าให้เขารู้ถึงเรื่องราวหลังจากนี้ที่ผมต้องพบเจอเลยจะดีกว่า เพราะถ้าเขารู้มากไปกว่านี้มันก็ทำให้เขาทรมานมากขึ้นเท่านั้น





“ขอโทษด้วยนะ เจ้าหนู ก่อนหน้านี้เธอบอกว่ามีแผนเหรอ” แดเนียลพยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น และพยายามดึงเรื่องเข้าไปในหัวข้อเดิมที่พวกเขาพูดคุยค้างไว้ แต่ผมกลับไม่ตอบคำถามของเขาในทันที เพราะผมเลือกที่จะเอื้อมมือไปเกาะกุมมือใหญ่จากคนตัวสูงที่นั่งข้างๆ แทน





ผมหลุบตาลงมาเล็กน้อยเพื่อเหลือบมองมือของดราโกที่บีบกระชับฝ่ามือผมกลับมาเบาๆ ในตอนนี้ผมรู้ว่าทุกคนกำลังเกร็งและแอบหวาดหวั่นกับท่าทางของดราโกที่ยังคงปล่อยรังสีกดันและความเยือกเย็นออกมาไม่ยอมหยุด ผมรู้ว่าเขาไม่พอใจจีน และหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นผมจึงต้องเอื้อมมือไปหาเขาเพื่อให้เขารู้ตัวและเลิกทำให้คนอื่นหวาดกลัวกันได้แล้ว





“ดราโกครับ” ผมเรียกชื่อของดอนแห่งคอลิโอเน่ พร้อมกับหันไปมองชายหนุ่มเล็กน้อย เอ่ยย้ำให้เขามั่นใจ “ผมไม่เป็นไรครับ”





ดวงตาของผมและดวงตาของดราโกสบตาจ้องลึกเข้าไปในแววตาของกันและกัน สายตาของเขาเหมือนกับกำลังมองทะลุเข้าไปในจิตใจและความคิดของผมเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ผมพูดกับเขานั้นคือความจริง ตอนนี้ตัวของผมนั้นแม้จะหวั่นไหวกับจีนอยู่บ้าง แต่ผมก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่ความหวาดกลัว





“อืม” เขารับคำผมในลำคอ ดวงตาสีทองที่ยังคงมองผมอยู่นั้นอ่อนแสงลงและดูอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น ทำให้บรรยากาศภายในห้องรับแขกเริ่มผ่อนคลาย ผมหลับตาลงเล็กน้อยเพื่อตัดสินใจที่จะพูดคุยบางอย่างกับพี่ชายของผม





“จีนครับ” น้ำเสียงของผมนั้นแผ่วเบา แต่เมื่อผมเรียกชื่อเขาออกมา จีนก็เงยหน้ามองผมด้วยใบหน้าที่สดใส เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเรียกชื่อของเขาออกมาหลังจากที่เราไม่ได้พบกันมาสิบปี





“ครับอลัน ไม่สิ คริสติน” ดวงตาเรียวสีนิลเปล่งประกาย พร้อมรอยยิ้มสวยที่ขับเน้นให้จีน ไอรากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง





“ผมมีเรื่องที่อยากพูดกับพวกเขา อาจจะต้องขอให้คุณออกไปก่อนสักครู่ได้ไหมครับ” คำพูดของผมนั้นเหมือนกีดกันเขาออกจากเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง และมันก็ทำร้ายจิตใจของจีนอย่างสาหัสเช่นเดียวกัน





“ตะ แต่พี่ พี่” ดวงตาที่เปล่งประกายของชายเอเชียกลับมาหม่นหมองอีกครั้ง





“เรื่องนี้จีนก็เป็นคนหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อเหมือนกัน ฉันคิดว่าเขามีสิทธิที่จะรู้นะ” ดอนแห่งอัลเบอร์โต้เอ่ยแย้งขึ้นมาในทันที เขายอมในเรื่องที่จะไม่ให้จีนยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคริสตินก่อนถึงเวลาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกีดกันจีนออกจากเรื่องนี้ เพราะในเมื่อชายหนุ่มเอเชียเป็นคนหนึ่งที่มีความสามารถและมีเครือข่ายกว้างขวาง นั่นย่อมเป็นประโยชน์สำหรับแผนการในการกำจัดคาโซ่เช่นเดียวกัน









ผมรับฟังในสิ่งที่แดเนียลพูดขึ้นมาและเลือกที่จะไม่โต้เถียงยืนยันในความคิดของผม เพราะผมเห็นอาการต่อต้านของพวกเขาที่ดูมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน





“ฉันว่าเรื่องของจีนฉันเห็นด้วยกับดอนอัลเบอร์โต้นะคริสติน จีนเขามีเครือข่ายและคนรู้จักในวงการใต้ดินกว้างขวางเหมือนกัน เขาน่าจะช่วยเหลือพวกเราได้เยอะเลยล่ะ” คาลอสเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ยและช่วยอธิบายเหตุผลให้ผมได้รับฟัง ซึ่งผมก็พยักหน้าให้เขาเล็กน้อยอย่างจำยอม เอาเถอะครับ หลังจากนี้ผมคงต้องระวังตัวไว้หน่อย เพื่อไม่ให้จีนรู้เรื่องอดีตของผมมากนัก





“แล้วแผนของเธอว่ายังไงบ้างล่ะ” จาคอปเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยเปลี่ยนหัวข้อเพื่อหลีกเลี่ยงบรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วน ผมเข้าใจเจตนาของมือขวาร่างยักษ์อย่างจาคอปนะครับ เลยต้องยอมละเรื่องของจีนชั่วคราว





“แผนที่ผมคิดไว้จะเริ่มในระหว่างที่คาโซ่ให้ความสนใจกับงานประชุมและการตามหามาร์ตินสมิธตัวปลอมครับ ในตอนที่พวกเขาไม่ทันระวังตัว ผมจะค่อยๆ ทำลายพวกเขาจากข้างในครับ” ใบหน้าของผมนั้นยังคงราบเรียบปราศจากความรู้สึก แต่ประโยคที่ผมได้พูดไปนั้นกลับทำให้คนที่เหลือพากันสงสัยใคร่รู้





“เธอหมายถึงว่าเราควรส่งสายลับเข้าไปงั้นเหรอ” จาคอปขมวดคิ้วมุ่นและถามผมด้วยความสงสัย “ฉันว่าส่งสายเข้าไปตอนนี้มันจะดูน่าสงสัยมากเลยนะ”





“ไม่ใช่ครับ” ผมส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธข้อสันนิษฐานของเขา





“หรือว่าจะคอยยุแยงให้พวกเขาแตกคอกัน?” คาลอสถามขึ้นมา พร้อมกันดันกรอบแว่นให้เข้าที่ แต่ผมก็ยังส่ายหน้าให้เขาเล็กน้อย





“ไม่ใช่ครับคาลอส”





“หรือว่าเป็นเรื่องเงินหรือเปล่า?” ดอนแห่งอัลเบอร์โต้โพล่งขึ้นด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ หลังจากนั่งครุ่นคิดอยู่สักพัก





“ใช่ครับ” ผมพยักหน้า “เรื่องเงินเป็นรากฐานที่สำคัญของทุกองค์กร ถ้าไม่มีเงินระบบทุกอย่างก็หยุดชะงัก ผมจะช่วยดึงความสนใจของคาโซ่และช่วยสนับสนุนพวกคุณเองครับ คุณคิดว่ายังไงบ้างครับดราโก”





ผมเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อหันไปขอความคิดเห็นจากดอนแห่งคอลิโอเน่ ซึ่งชายหนุ่มเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดเพียงคนเดียวภายในห้องนี้





“อืม น่าสนใจทีเดียว” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายกาจถูกแตะแต้มที่มุมปากบางของชายหนุ่มร่างสูง และเขาก็เห็นด้วยว่าวิธีของเทวดาตัวน้อยของเขาเป็นวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ ถ้าค่อยๆ ตัดช่องทางของพวกมันทีละนิด ก็เหมือนค่อยๆ ทรมานพวกมันให้ขาดอากาศหายใจ ดิ้นทุรนทุรายและตายลงอย่างช้าๆ ซึ่งวิธีนี้เหมาะสมกับคนอย่างพวกมันที่สุดแล้ว





“ถ้าอย่างนั้นเราควรให้มาร์คเข้ามาช่วยคริสตินนะครับดอน” คาลอสเสนอความคิดเห็น “ถ้ามีเจ้านั่นคงช่วยช่วยให้คริสตินทำอะไรได้เร็วมากขึ้น”





“นั่นซิครับ ผมเห็นด้วยนะครับดอน” จาคอปที่นั่งเงียบๆ มาสักพักได้โอกาสสนับสนุนความคิดของเพื่อนรักอีกแรง แต่สิ่งที่คาลอสพูดและสิ่งที่จาคอปเห็นด้วยกลับโดนปฏิเสธจากผมในทันที





ไม่ใช่ว่ามาร์คไม่เก่งนะครับ เขาเป็นคนเก่งคนหนึ่งที่มีประสบการณ์มาถ่ายทอดให้กับผมมากมาย แต่ว่าเขามีหน้าที่ของเขาที่ได้รับมอบหมายอยู่แล้ว และเป็นงานที่หนักมากเช่นกัน ดังนั้นผมจึงไม่ควรไปรบกวนชายหนุ่มหัวฟูคนนั้นมากเท่าไหร่นัก แค่งานที่เขามีและผมทิ้งเขาไว้กับกองงานชิ้นโต เขาก็คงจะก่นด่าผมยกใหญ่แล้วล่ะครับ





“ไม่ต้องห่วงครับ เรื่องนี้ผมจัดการเองได้ครับ ผมไม่อยากรบกวนมาร์คเท่าไหร่ เขามีหน้าที่ของเขาอยู่แล้วนะครับ ให้มาช่วยผมคงไม่ดี” ผมรีบชี้แจงเหตุผลของผมในทันที และหันไปมองดราโกด้วยดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนที่ติดอ้อนวอนเล็กๆ









มันน่านักนะเด็กคนนี้ ทำหน้าแบบนั้นมาให้เขา อยากให้เขาหมดความอดทนมากรึไงกัน







ดราโกมองเด็กน้อยของเขาด้วยสายตาวาววับเป็นประกายแปลกประหลาด ซึ่งสายตาแบบนี้ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับหนาวสันหลังและแอบขยับตัวออกห่างจากร่างสูงเล็กน้อย แต่ก็ต้องจนใจเพราะฝ่ามือของเขาที่ยังเกาะกุมกันและกันอยู่ ไม่สามารถทำให้เด็กน้อยขยับออกไปไกลมากกว่านี้





“ที่พวกนายพูดกันเมื่อกี้คือจะให้เจ้าหนูนี่มาร่วมมือกับพวกเราด้วยอย่างนั้นเหรอ?” ดอนแห่งอัลเบอร์โต้ถามขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลาดูยุ่งเหยิงและมองดราโก สลับกับคาลอสและจาคอปไปมา





“ใช่” และดราโกก็ตอบกลับสั้นๆ เหมือนเช่นเคย





“เดี๋ยวนะ นายจะให้เด็กตัวกะเปี๊ยกแค่นี้มาเล่นเกมกับพวกเราด้วยเนี่ยนะ” หลังจากฟังบทสนทนาแปลกประหลาดของคอลิโอเน่ทั้งสี่คนเรียบร้อยแล้ว ดอนแห่งอัลเบอร์โต้ที่นั่งเงียบมานานก็รีบเอ่ยท้วงขึ้นมาในทันที จากคำพูดของพวกเขานั้นคือคริสตินจะเป็นส่วนหนึ่งในแผนการด้วยเช่นกัน มันไม่ประหลาดไปหน่อยหรือที่จะให้เด็กคนหนึ่งมาวุ่นวายกับแผนการที่อันตรายนี้







“ไม่ได้นะครับ!!! ผมว่ามันอันตรายเกินไป” จีนรีบโพล่งขึ้นมาด้วยความกระวนกระวายใจ





ดวงตาสีมรกตของแดเนียล อัลเบอร์โต้มองไปที่ดราโกอย่างไม่เชื่อสายตา ทั้งที่เจ้าตัวหวงและห่วงคริสตินมากขนาดนี้ แต่ทำไมถึงยอมให้เด็กคนนี้เข้ามาพัวพันกับเรื่องพวกนี้อีก โดยเฉพาะเจ้าเด็กตัวเล็กผอมแห้งหน้าตายที่ทำท่าทางอย่างกับพวกเชี่ยวชาญด้านการเงิน ถึงแผนที่พูดมาจะน่าสนใจ แต่มันใช่เรื่องไหมที่จะให้เด็กที่ตกเป็นเหยื่อจากการกระทำของพวกคาโซ่มาร่วมแผนการนี้ด้วย





เรื่องพวกนี้มันละเอียดอ่อนมากนะ ขนาดเขายังพยายามจะกันจีนให้ถอยห่างจากเรื่องพวกนี้ แต่กับเด็กที่ตกเป็นเหยื่อเต็มๆ อย่างคริสตินกลับยอมให้มาเป็นส่วนหนึ่งได้ยังไงกัน





“ทำไมล่ะครับ?” แต่น้ำเสียงเรียบนิ่งของตัวต้นเหตุอย่างคริสตินกลับเอ่ยถามขึ้นมาเหมือนไม่รู้สถานการณ์ ทำไม ถามว่าทำไมอย่างนั้นเรอะ!!!!





“คริสติน!!! เธอยังเป็นยังเด็กอยู่นะ พี่ไม่อยากให้เธอเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้” ชายเอเชียร่างสูงโปร่งผุดลุกขึ้นยืนอย่างร้อนใจ ท่าทางกระวนกระวายเป็นห่วงเด็กหนุ่มอย่างชัดเจน แต่เจ้าตัวกลับยังทำหน้าตาสงสัยและไม่เข้าใจอย่างเห็นได้ชัด





“เฮ้!! เจ้าหนู!!! เรื่องนี้มันอันตรายเกินไปที่จะให้เธอเข้ามาร่วมมือด้วย” ดวงตาสีมรกตของแดเนียลเต็มไปด้วยความจริงจังและดูดุดัน เหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่งกำลังคอยดุด่าเด็กซนๆ ที่เล่นไม่รู้เรื่องคนหนึ่ง และผมคิดว่าเด็กซนๆ คนนั้นคงจะหมายถึงผมแน่นอนเลยครับ





“แต่เรื่องนี้มันก็เกี่ยวข้องกับผมนะครับ คุณจะกันผมออกจากเรื่องนี้ไม่ได้เช่นเดียวกัน เมื่อสักครู่พวกคุณก็ยังบอกผมว่าไม่ควรกันเขาออกจากเรื่องนี้เหมือนกัน” ผมย้อนเขาในทันที และสายตาของผมก็ย้อนกลับไปที่จีนเช่นกัน





เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมควรจะจัดการปัญหาด้วยตัวเองด้วยซ้ำ แต่เพราะความสามารถของผมไม่เพียงพอ เครือข่ายของผมไม่กว้างขวาง และไม่มีอำนาจในมือมากมายนัก ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีคอลิโอเน่ที่ยินยอมให้ความช่วยเหลือ แค่นี้ผมก็รู้สึกขอบคุณพวกเขามากมายแล้วครับ แล้วจะให้ผมมานั่งหลบอยู่ข้างหลังพวกเขา คอยให้เขาปกป้องโดยที่ผมไม่ได้ทำอะไรเนี่ยนะครับ ผมไม่มีวันยอมแน่นอน





“แต่นายอายุเท่าไหร่กันคริสติน? นายจะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงไม่ได้!!! เฮ้ยดราโก นายไม่ห่วงเด็กคนนี้เลยรึไง?” น้ำเสียงของแดเนียลเกรี้ยวกราดมากขึ้นเรื่อยๆ ผมฟังประโยคที่เขาพูดขึ้นมาแล้วก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขากำลังเข้าใจผมผิดนะครับ สงสัยแดเนียลเขานึกว่าผมจะออกไปลุยด้วยตัวเองล่ะมั้ง





“ได้โปรดคริสติน อย่าเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับพวกนั้นอีกเลย ปล่อยให้พวกพี่จัดการเถอะนะ” จีนเอ่ยอ้อนวอนพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล





“เรื่องนี้นายอย่ายุ่งมากนักแดเนียล ถ้าคริสตินอยากช่วยก็ปล่อยให้เขาช่วยไป” ดราโกพูดตัดบทขึ้นด้วยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ซึ่งสิ่งที่ชายหนุ่มพูดก็ได้รับการสนับสนุนจากทั้งคาลอสและจาคอปที่คอยพยักหหน้าเป็นลูกคู่อยู่ข้างๆ





“นายไม่ห่วงเด็กคนนี้เลยเหรอ กับคาโซ่มันไม่ใช่เล่นๆ นะ มันเสี่ยงเกินไป” แต่ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีมรกตก็ยังไม่ยินยอม และผมคิดว่าถ้าจะปล่อยให้พวกเขาคัดค้านอยู่แบบนี้มันจะส่งผลเสียกับแผนการต่อไปมากเลยทีเดียว





“พวกคุณไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ คนที่คุณควรจะห่วงคือตัวของพวกคุณเองมากกว่า” ผมพยายามอธิบายให้พวกเขาฟังอีกครั้ง “ผมบอกไปแล้วว่าผมจะคอยเป็นฝ่ายสนับสนุน นั่นหมายความว่าตัวของผมจะปลอดภัย ไม่เหมือนกันพวกคุณที่จะต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา”





เมื่อเขาได้ฟังผมอธิบายไปแล้ว ร่างสูงของดอนอัลเบอร์โต้ก็ชะงักในทันที ดูเหมือนเขาจะเข้าใจแล้วนะครับ ว่าตัวผมจะอยู่ในที่ปลอดภัยและคอยสนับสนุนพวกเขาอยู่ห่างๆ ไม่ใช่ออกไปต่อสู้ ควงปืน หรือกราดยิงอะไรแบบนั้น ซึ่งผมทำไม่ได้แน่นอนครับ ผมรู้ตัวดี ออกไปก็เป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้นแหละครับ





“แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ใช่ว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นนะ หลบไปอยู่ที่เซฟเฮ้าส์ดีกว่าไหม” จีนคัดค้านขึ้นมาอีกครั้ง “เรื่องนี้พี่ไม่ยอมเด็ดขาด อีกอย่างเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เธอยังเด็ก เธอจะช่วยสนับสนุนได้ยังไง”





“แต่ผมมั่นใจว่าผมจะช่วยพวกคุณได้แน่นอนครับ” ผมพูดขึ้นมาอีกครั้งและยืนยันกับพวกเขา แค่มีสองมือของผมและคอมพิวเตอร์ของผมเท่านั้น ผมก็สามารถจะติดปีกคอยสนับสนุนพวกเขาได้อย่างแน่นอน





"""""""""""""""""""""""""""

เย้!!! ตอนใหม่มาแล้วค่า ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ให้กำลังนะคะ หายไปนานมาแต่งอีกทีภาษาอาจจะแปลกๆไปบ้าง ไรท์แก้ไปแก้มาหลายรอบเลยค่ะ พอไม่ได้แต่งนานๆมันกลับมาต่อไม่ค่อยติดเท่าไหร่

ตอนนี้ลุงของน้องแผ่รังสีออกมาแทบจะแช่แข็งทุกคนเลยค่ะ อาหารหึงหวงก็แสดงออกมากขึ้นเรื่อย 55555 น้องจ๋าาาา อย่าทำให้ลุงหึงมากน๊าาา เดี๋ยวคนแก่หัวใจจะวายซะก่อนนนน อิอิ

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ

หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 26 เริ่ม (2) (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 10-12-2018 20:40:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กรงเทวดา : บทที่ 26 เริ่ม (2) (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Rujjiijung ที่ 03-06-2019 21:42:59
รำคาญจีนมากกก เอานางไปไกลนุ้งคิตตี้ที