เพลงรักที่หายไป
เพลงที่ 15 รักเดียวใจเดียว
ศิลปิน เสือ ธนพล
‘อย่าแปลกใจ ที่ผ่านมานานเท่าไร กาลเวลาไม่อาจหมุนหัวใจ’หนูต้องกำลังฝันไปแน่ๆ ได้ยินเสียงของพี่โอบมาร้องเพลงให้ฟังอยู่ใกล้ๆ
‘เปลี่ยนไปจากเธอ คงเป็นไปไม่ได้ เมื่อใจ ผูกพันมีแต่เธอ’หนูไม่อยากลืมตาเลย กลัวว่าพี่โอบจะหายไป ที่ผ่านมาหนูมีพี่โอบแค่ในความฝันเท่านั้น แต่หนูอยากให้มีพี่โอบตัวจริงเสียงจริงมาอยู่กับหนูทุกวันทุกวัน
‘แม้จะนอนและฝัน ฉันมีแต่เธอเท่านั้น ไม่อาจแบ่งใจปันเผื่อไว้ให้ใคร’ไม่ว่าจะนอนหรือจะฝันหนูก็มีแค่พี่โอบคนเดียว หนูไม่เคยแบ่งหัวใจของหนูให้ใครเลย แต่ถ้าหนูลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าไม่มีพี่อยู่ตรงหน้า หนูก็ต้องร้องไห้เหมือนทุกที หนูไม่อยากร้องไห้คนเดียวอีกแล้ว ถ้าจะต้องร้องไห้ ก็อยากให้พี่เป็นคนเช็ดน้ำตาให้
‘ใจเมื่อเจอเธอแล้ว เหมือนคนที่เจอจุดหมาย เมื่อมีเธอ ไม่ต้องการใคร’สำหรับหนู หนูมีพี่โอบก็เหมือนมีทุกอย่างแล้ว แล้วหนูล่ะ...เป็นทุกอย่างของพี่โอบรึเปล่านะ
‘เมื่อวานก็รัก วันนี้รักเธอ พรุ่งนี้ก็รักเธอ พอใจที่มีเธอ’หนูจะรักพี่โอบทั้งเมื่อวาน ทั้งวันนี้ ทั้งพรุ่งนี้ ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ทุกชาติทุกชาติเลย
‘ไม่มีอีกแล้ว ใครจะมาเข้าใจ ฉันได้ดีอย่างเธอ ตอบแทนเธอ รักเดียวใจเดียว’หนูก็รักเดียวใจเดียว รักแค่พี่โอบคนนี้คนเดียวเหมือนกัน
“ใจคอจะไม่ยอมลืมตามามองพี่เลยเหรอครับหนูด้วง พี่อุตส่าห์ร้องเพลงปลุกจนคอแห้งไปหมดแล้วนะ”
หนูด้วงได้ยินเสียงท้วงจากบุคคลอันเป็นที่รักก็ค่อยๆ หรี่ตาขึ้นมาข้างหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ความฝันอย่างที่คิดจึงได้ลืมตาอีกข้างที่เหลือ
“ไม่ใช่แค่ความฝันจริงด้วย” หนูด้วงขยี้ตาของตัวเองเพื่อยืนยันว่ามันไม่ใช่ความฝัน
โอบอุ้มคว้ามือของหนูด้วงเอาไว้เพื่อไม่ให้เจ้าตัวขยี้จนดวงตาต้องแดงช้ำมากไปกว่านี้ เขาโน้มตัวไปจูบอีกฝ่าย จูบที่อ่อนหวานแต่ซาบซ่านไปถึงหัวใจ
“พี่อยู่ตรงนี้แล้ว มันไม่ใช่ความฝัน” โอบอุ้มพรมจูบทั่วใบหน้าของอีกฝ่ายเพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่แค่ความฝัน
“หนูเป็นของพี่ พี่ก็เป็นของหนู แล้วพี่ก็จะไม่ไปไหนอีก หนูจะได้ตื่นมาเจอพี่ทุกวันทุกวัน”
ความดีใจมันทำให้หนูด้วงอดที่จะร้องไห้อีกรอบไม่ได้ ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมันคือความสมบูรณ์แบบในความเป็นครอบครัวสำหรับหนูด้วง การได้เป็นของพี่โอบช่วยทำให้ความกลัวที่ฝังอยู่ในใจมันลดลง มันคือการได้มอบทุกอย่างในชีวิตที่หนูด้วงมีให้เขาแล้ว และหนูด้วงเชื่อว่าคนอย่างพี่โอบจะรักษาทุกอย่างที่หนูด้วงมอบให้เอาไว้จนลมหายใจสุดท้าย
ใช่...หนูด้วงกำลังคาดหวัง อยู่แบบไร้ความหวังก็เหมือนคนไม่มีหัวใจ หนูด้วงไม่ต้องการเป็นคนที่อยู่อย่างไร้ความหวัง
“ครับ พี่ไม่ไปไหนแล้ว” โอบอุ้มเกลี่ยหยดน้ำตาให้น้อง ถึงจะรู้ว่าหนูด้วงรักตัวเองมากแค่ไหนแต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าน้องจะเก็บความกังวลเอาไว้มากมายขนาดนี้ เมื่อคืนก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น ตื่นมาก็ยังกลัวว่าทุกอย่างจะเป็นแค่ความฝันอีก
“หนูจะไม่ร้องไห้แล้วก็ได้” หนูด้วงรีบเช็ดน้ำตาเพราะรู้ว่าตัวเองอาจจะทำให้พี่โอบไม่สบายใจ
“ถ้าหนูจะร้อง พี่อยากให้เป็นน้ำตาที่มาจากความซาบซึ้งใจ”
“ถ้าหนูร้องไห้เพราะมีความสุข หนูร้องได้ใช่ไหมฮะ” พอโอบอุ้มพยักหน้าให้แทนคำตอบ หนูด้วงก็ยิ้มทั้งน้ำตาเพราะจากนี้ไปก็จะได้อยู่กับพี่โอบทุกวัน
“แต่ต่อให้หนูมีเรื่องให้ร้องไห้เพราะเสียใจ มาร้องตรงนี้นะครับ” โอบอุ้มชี้มาที่แผ่นอกกว้างของตัวเอง
“หนูจะซบอกพี่โอบทุกวันทุกคืนเลย อู้ยยย” หนูด้วงลืมตัวไปว่าเมื่อคืนโดนพี่โอบบอกรักเยอะไปหน่อยจึงไม่ทันระวัง เมื่อลุกพรวดพราดเพราะจะไปซบอกของพี่โอบจึงรู้สึกเจ็บหนึบๆ ตรงส่วนนั้น
“ไหวไหม เดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้นะ เสร็จแล้วพี่จะเอาข้าวกับยามาให้ หนูนั่งรอพี่ก่อนนะครับ”
“หนูอยากอาบน้ำมากกว่า แล้วก็ไม่ได้เจ็บมากเท่าไหร่ เมื่อกี้แค่ขยับตัวผิดท่าไปหน่อย”
“พี่คิดว่าหนูจะมีไข้ ขอโทษนะครับที่ทำให้หนูเจ็บ”
“เจ็บแป๊บเดียว แต่มีความสุขตั้งหลายแป๊บ หนูชอบ” หนูด้วงพูดพลางหัวเราะคิกคัก ไม่อยากให้พี่โอบคิดว่าการบอกรักทางกายด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่ายเป็นเรื่องที่ต้องมาขอโทษกัน “แล้วหนูก็กินยาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว อาน้องกำชับเอาไว้แล้วฮะ”
“อาน้องสอนทุกอย่างเลยเหรอ”
“ฮะ ทุกอย่างเลย มัมๆ ก็สอนนะ”
“อืม” โอบอุ้มพยักหน้ารับรู้พลางนึกถึงกิจกรรมเมื่อคืน เขาคิดว่าอาน้องคงต้องภูมิใจในลูกศิษย์คนนี้แน่ๆ
“พี่ชอบไหม” หนูด้วงอ้อนถาม
“อะไรที่เป็นหนูพี่ชอบทั้งนั้น”
“หนูก็ชอบทุกอย่างที่เป็นพี่โอบ” หนูด้วงพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะยิ้มกว้าง
“พี่พาไปอาบน้ำนะครับ ป่านนี้เพื่อนๆ คงจะตื่นกันหมดแล้ว เห็นว่าจะไปเดินเที่ยวที่ตลาดก่อนไปที่โรงแรม หนูจะเดินไหวไหม”
“ไหวฮะ ถ้าไม่ไหวก็ขี่หลังพี่โอบ”
“ตามสั่งครับ” โอบอุ้มเชยคางของหนูด้วงขึ้นมาจูบอีกครั้ง ถ้าไม่ติดว่าทุกคนรออยู่คงจะขอนอนกอดหนูด้วงทั้งวัน
.....
หลังจากที่เช็คว่าหนูด้วงไม่มีไข้ โอบอุ้มจึงพาหนูด้วงออกมาจากห้อง ตอนนี้มีเพียงไม่กี่คนที่ขึ้นมาทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ อยู่ในครัว เมื่อทุกคนเห็นหนูด้วงกับโอบอุ้มเดินเข้ามาก็ส่งเสียงแซวกันยกใหญ่ แต่คนถูกแซวกลับไม่มีอาการเขินอายแต่อย่างใด แถมยังยิ้มรับคำหยอกล้ออย่างคนอารมณ์ดี
“อารมณ์ดีจริงนะหนูด้วง” พญาทักหลานรัก
พญาขึ้นมาที่นี่ตั้งแต่เช้าเพราะเป็นห่วงหลาน เมื่อคืนก็นอนไม่หลับ เอาแต่มองโทรศัพท์ เขาคิดว่าทั้งคู่ยังเด็ก โดยเฉพาะหนูด้วงที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนั้น ทั้งคู่อาจจะต้องการคำปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจากเขาในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านศึกรัก แต่เมื่อเห็นลูกและหลานดูปกติดี แถมหนูด้วงยังร่าเริงขั้นสุดจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อคืนนี้ทั้งสองคนมีอะไรกันรึยัง
“ก็หนูเป็นของพี่โอบแล้ว หนูมีความสุข มีความสุขก็ต้องอารมณ์ดีสิฮะ” หนูด้วงยักไหล่พร้อมกับเดินไปนั่งข้างน้องเกล
“แค่กๆๆ” พญาสำลักกาแฟเมื่อหลานตอบรับแบบไม่อ้อมค้อม
“หนูด้วงพูดตรงไปแล้ว” น้องเกลหน้าแดงเมื่อได้ฟัง
“ยินดีด้วยนะพี่นโม เอ้ย พี่โอบ” กาดเองก็เพิ่งได้รับรู้เรื่องราวที่ผ่านมาของหนูด้วงกับพี่โอบจากน้องเกลจึงพลอยรู้สึกดีใจไปด้วย ความรักที่ทั้งคู่รอคอยมานานได้สมหวังสักที
“แล้วคนอื่นไปไหนกันหมดฮะ” หนูด้วงเห็นว่ามีแค่ยุงพญา น้องเกล พี่กาด และพี่ทำนุอยู่ในครัวเท่านั้น
“ยังไม่ตื่นกันเลย วันนี้อากาศดีมาก” ทำนุเป็นฝ่ายตอบ
“แด๊ดกับมัมของหนูด้วงเข้าเมืองไปรับปู่กับย่า อ่อ..อาเฟื้องด้วย ส่วนอาน้องกับน้องไม้น้องหม่อนรออยู่ที่ตลาด” พญาพูดพร้อมกับตักไส้กรอกทอดใส่จานให้เพื่อนของหนูด้วงได้รองท้องไปก่อน
“ป๊าครับ ป๊าเอาไส้กรอกที่ไหนมากินครับ” โอบอุ้มถามพญา
“เอามาจากในตู้เย็นไง ป๊าโทรบอกน้องตังแล้วว่าจะเอามาทำให้เด็กๆ กินรองท้องก่อนไปกินข้าวที่ตลาด” พญาพูดจบก็เตรียมจิ้มไส้กรอกใส่ปาก
“เดี๋ยวครับป๊า!”
“ยุง กินไม่ได้นะ คือ มัน มัน มันเป็นไส้กรอกของหนู”
“แล้วยังไง” พญาถามอย่างงงๆ แต่สุดท้ายก็เอาไส้กรอกใส่ปากโดยไม่สนคำทัดทานของลูกชายและหลานชาย “อร่อยดี กินเลยทุกคน เราจะมาหวงของกินไม่ได้นะหนูด้วง เดี๋ยวน้าซื้อให้ใหม่” พญาบอกก่อนจะพยักหน้าให้ทุกคนกินตามสบาย ปล่อยให้หนูด้วงกับโอบอุ้มยืนยิ้มแหยๆ เพราะไม่กล้าบอกว่าไส้กรอกนี้เป็นของต้องห้ามเพราะอะไร
.....
กว่าคนที่เหลือจะตื่นและเตรียมตัวเก็บข้าวของเสร็จก็ปาไปเกือบเที่ยง เมื่อมาถึงตลาดจึงรู้สึกหิวจนอยากจะกินไปเสียทุกร้าน เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของน้องหม่อนดังกว่าใครเพื่อนเมื่อเห็นของกินละลานตา ตลาดภูมิเทพแห่งนี้ถูกพัฒนาจนกลายเป็นตลาดที่ได้รับรางวัลดีเด่นจากภาครัฐและเอกชนหลายรางวัล
พญาให้เด็กๆ แยกย้ายกันไปหาอะไรทานตามชอบ ส่วนค่าใช้จ่ายพญาจะเป็นคนจัดการให้ จากนั้นก็ชี้ตำแหน่งที่นั่งทานอาหารให้ทุกคนได้รับทราบ
หนูด้วงบอกกับโอบอุ้มว่าขอแยกตัวไปหาอาแปะซ้งคู่ปรับเก่าแล้วจะตามไปสมทบทีหลัง อาแปะแก่มากแล้วหนูด้วงจึงอยากไปเยี่ยมให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิงโตขอตามหนูด้วงไปด้วย ร้านของอาแปะซ้งขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว แถมยังขายของครอบจักรวาล ใครอยากได้อะไรให้แวะมาที่ร้านของอาแปะซ้ง ถ้ามีทุนหนากว่านี้คงขยายสาขาแข่งกับร้านสะดวกซื้อเจ้าดังได้เลย
หนูด้วงมองเข้าไปในร้านแต่ไม่เห็นอาแปะซ้ง คนที่มาขายของแทนอาแปะอยู่ตอนนี้คือหลานชายของอาแปะที่ชื่อว่าตี๋น้อย หนูด้วงเคยวิ่งเล่นด้วยกันกับตี๋น้อยในตลาด พ่อแม่ของตี๋น้อยมักจะพาพาตี๋น้อยมาอยู่กับอาแปะในช่วงปิดเทอม เพื่อนเล่นคนเดียวในช่วงปิดเทอมที่อายุไล่เลี่ยกันก็มีตี๋น้อยนี่แหละ พอช่วงมัธยมตี๋น้อยก็ไม่ได้มาที่นี่อีก จากที่คุ้นเคยกันก็เลยห่างกันไป แต่ตอนนี้ตี๋น้อยก็มาเรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกับหนูด้วง แถมยังอยู่ชมรมฟุตบอลเหมือนสิงโต หนูด้วงได้เจอตี๋น้อยครั้งเดียว แต่ก็แค่เดินสวนกันเพราะต่างคนต่างรีบ
“อาแปะซ้งไปไหนเหรอตี๋น้อย”
“หลังร้าน หลับอยู่ จะให้ปลุกไหม” คนตอบไม่ได้มองหน้าคนถามเพราะมัวแต่เช็ครายการสินค้าของตัวเองอยู่
“ไม่เป็นไร แค่คิดถึงอาแปะเลยแวะมาหา ไม่ต้องปลุกหรอก”
“อือ” อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนจะนับของต่อ
“สิงโต จำตี๋น้อยได้ไหม อยู่ชมรมฟุตบอลเหมือนสิงโตเลย” หนูด้วงดึงสิงโตมาถาม
“จำไม่ได้” จริงๆ สิงโตจำได้ แต่เพราะอีกฝ่ายพูดกับหนูด้วงค่อนข้างห้วน เขาเลยไม่ค่อยพอใจ
“อ้าว งั้นก็รู้จักกันไว้นะ นี่สิงโตเพื่อนเรา นี่ตี๋น้อยหลานอาแปะซ้ง”
“อือ” ตี๋น้อยส่งเสียงตอบรับสั้นๆ แล้วหันมาพยักหน้าให้อีกรอบ
“งั้นขอซื้อสาลี่หน่อย ขายยังไง” หนูด้วงรีบหยิบสาลี่สีเหลืองทองใส่ถุงแล้วยื่นให้ตี๋น้อย
“สาลี่หิมะ โลละแปดสิบเก้า”
“แพง ลดหน่อย” สิงโตยียวนเพราะรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไร เอาราคานี้แหละ” หนูด้วงรีบบอกเพราะรู้ว่าสิงโตตั้งใจกวนประสาท คนอย่างสิงโต ต่อให้สาลี่ให้กิโลฯ ละหมื่นยังซื้อได้เลย
“ลดก็ได้ ครึ่งโลร้อย เอาไม่เอา” ตี๋น้อยหันมายักคิ้วใส่สิงโต รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจกวนประสาทก็เลยกวนกลับไปบ้าง ถึงจะตัวเล็กกว่าสิงโตเยอะแต่ก็ไม่ได้คิดกลัวอีกฝ่าย
“นี่เรียกว่าลดแล้วเหรอวะ” สิงโตย้อนถาม
“ลดที่น้ำหนักของ ไม่ได้ลดที่ราคา ก็ถือว่าลดเหมือนกันไงสิงโต” หนูด้วงพยายามไกล่เกลี่ย
“แล้วเป็ดพะโล้นี่ขายยังไง” สิงโตกอดอก ทำท่าเคร่งขรึมก่อนจะถาม
“ตัวละสองร้อย”
“ถ้าซื้อเยอะจะลดไหม”
“จนรึไง ท่าทางก็ไม่นี่” ตี๋น้อยถามเมื่อสิงโตต่อราคาไม่เลิก
“ไม่จน แต่ไม่ชอบจ่ายอะไรที่ไม่คุ้มราคา อร่อยรึเปล่าก็ไม่รู้ ตัวตั้งสองร้อย”
“ถ้าคิดว่ามันไม่อร่อยก็ไม่ต้องซื้อ”
“จะซื้อและจะต่อ”
“ก็ได้ เห็นเป็นเพื่อนหนูด้วงหรอกนะ ร้อยยี่สิบาทขาดตัว ไม่ต้องต่อแล้วนะ ถ้าต่ออีกไม่ขาย”
“เอามาสามตัว”
“ไปนั่งรอตรงนั้นก่อน ตัวก็ใหญ่ ขวางหน้าร้าน” ตี๋น้อยแกล้งบ่น ส่วนหนูด้วงเห็นลูกค้ากำลังเดินตรงเข้ามาที่ร้านจึงดึงสิงโตให้ออกมานั่งตรงเก้าอี้ม้าหิน
“พี่ฉลาม นี่ไง เป็ดพะโล้ร้านนี้แหละ” ลูกค้าชี้ชวนเพื่อนให้ดู หนูด้วงดีใจที่เป็ดของอาแปะซ้งจะขายได้อีก
“ที่กลอนซื้อไส้แก้วต้มพะโล้ให้พี่กินเมื่อวานน่ะเหรอ”
“ใช่ เอาอีกไหม”
“แต่เดี๋ยวเย็นนี้เราต้องไปงานเลี้ยงของคุณพยนต์แล้วนะ”
“อยากกินอะ ซื้อไปแช่ไว้ก่อนได้ไหม”
“ถ้าซื้อไปแช่ไว้ แล้วจะมีที่อุ่นเหรอ”
“พี่สองคนพักที่โรงแรมภูมิเทพใช่ไหมฮะ” หนูด้วงถือวิสาสะเข้ามาถามเมื่อได้ยินว่าคนทั้งคู่มางานเลี้ยงวันเกิดของคุณตา
“ครับ” คนที่ตอบหนูด้วงเป็นผู้ชายร่างสูง ดูมาดเข้มๆ แต่สายตาดูอบอุ่น
“ถ้าพี่อยากทานร้อนๆ บอกให้ทางแม่บ้านอุ่นให้ได้ฮะ แต่ถ้าจะทานพรุ่งนี้โทรบอกให้พนักงานมาซื้อให้ใหม่จะดีกว่านะฮะ ทางโรงแรมมีบริการมาซื้อของในตลาดให้ด้วย”
“ดีเหมือนกัน ขอบคุณนะครับที่บอก” พี่ผู้ชายอีกคนบอกพร้อมกับยิ้มให้หนูด้วง
“ยินดีให้บริการฮะพี่สุดหล่อทั้งสองคน”
“คนที่นี่น่ารักดีจัง ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่แนะนำ”
“แล้วเจอกันใหม่ฮะ” หนูด้วงยกมือไหว้ทั้งสองคนก่อนจะหันมายิ้มให้ตี๋น้อย แต่อีกฝ่ายมัวแต่สับเป็ดอยู่หนูด้วงเลยยิ้มเก้อ เมื่อเห็นว่าจะรบกวนการสับเป็ดของอีกฝ่ายจึงรีบเดินกลับไปนั่งรอข้างสิงโตเหมือนเดิม
.....
พญาพาเพื่อนของหนูด้วงไปนั่งบริเวณจุดชมวิว นอกจากอาหารที่ทุกคนไปเลือกของที่อยากกินแล้ว เขายังสั่งอาหารทะเลเพิ่มมาให้อีก ขนมนมเนยก็ถูกจัดมาให้จนเต็มโต๊ะ น้องไม้ถูกปากกับขนมจีบที่ไม่ใส่แห้วเป็นอย่างมากเพราะเป็นคนไม่ชอบกินแห้ว พญาถูกอกถูกใจที่หลานคนนี้ไม่ชอบกินแห้วเหมือนกัน น้องไม้ดูเข้มแข็งห้าวหาญ ดูเป็นคนไม่ยอมคนเหมือนกับตัวเอง ส่วนน้องหม่อนก็อ้อนเหลือเกิน อ้อนมากกว่าหนูด้วงจนนึกว่าตัวเองมีหลานเป็นแฝดชายคนหญิงคน
เมื่อหนูด้วงกับสิงโตซื้อของที่ร้านอาแปะซ้งเสร็จแล้วทั้งคู่ถึงได้มาสมทบกับคนอื่นๆ ซึ่งทุกคนกำลังตั้งหน้าตั้งตากินข้าวกันอยู่อย่างเอร็ดอร่อย
“มีเป็ดพะโล้ร้อนๆ มาฝาก” สิงโตวางถุงลงบนโต๊ะ แก้วรีบรับมาแกะใส่จานเปล่าที่พี่ถนอมเตรียมเอาไว้ให้
“ทำไมมันมีแต่คอ ปีก ตูด แล้วก็ตีนเป็ดล่ะสิงโต” แก้วถามด้วยความสงสัย
“ห๊ะ ไหนดูสิ จริงด้วย กวนตีนแล้วไอ้ตี๋น้อย” สิงโตเห็นว่าเป็ดที่ซื้อมามีแค่นั้นจริงๆ ตามที่แก้วบอกก็นึกโมโหคนขาย
“เดี๋ยวๆ จะไปไหน” หนูด้วงรีบถาม แต่สิงโตไม่ได้ตอบและคว้าถุงเป็ดเดินลิ่วๆ ออกไป
“มีเรื่องอะไรกัน” พญาถาม
“ก็สิงโตไปต่อราคาตี๋น้อย ตี๋น้อยเลยบอกว่าจะขายเป็ดให้แบบร้อยยี่สิบบาทขาดตัว มันขาดตัวเป็ดจริงด้วยฮะ”
“ฮ่าๆๆ ก็รู้อยู่ว่าไอ้ตี๋น้อยมันเค็มพอกะอากงของมัน ไปต่อราคามันเลยโดนมันกวนตีนเข้าให้” ถนอมขำที่สิงโตโดนตี๋น้อยเล่นงานเข้าแล้ว เป็นที่รู้กันในตลาดว่าตี๋น้อยมันแสบมาตั้งแต่เด็กๆ จะว่าไปก็แสบพอกับนายน้อยของมัน แต่ไม่กล้าพูดออกไปเพราะกลัวว่านายพญาถีบมันลงทะเล
“เออมันแสบ อย่างสิงโตมันต้องเจอแบบไอ้ตี๋น้อยนี่แหละ สมกันดี ดีไม่ดีอาจจะเป็นเนื้อคู่กันนะ” พญานึกขำตามลูกน้องไปด้วยจึงแซวสิงโตลอยๆ ทุกคนรีบหันไปมองที่ตะโก้ เมื่อเห็นตะโก้เอาแต่เหม่อมองไปที่ทะเล คิดว่าคงไม่ได้ยินจึงได้แต่แอบลอบถอนหายใจไปตามๆ กัน
“อย่ากินกันจนจุกล่ะ ที่งานเลี้ยงอาหารจัดเต็มมากนะครับ” เทียมฟ้ารีบเปลี่ยนเรื่อง แม้จะไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของตะโก้กับสิงโตอยู่ในขั้นไหน แต่สีหน้าเศร้าๆ ของตะโก้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังเป็นทุกข์มากกว่าเป็นสีหน้าของคนที่กำลังมีความรัก
“นี่ๆ ทุกคนทุกคน หนูจะมารีวิววิธีกินปูยังไงให้ง่ายสุดๆ” หนูด้วงรีบทำให้ทุกคนหันมาสนใจตัวเองแทน
“ยังไงเหรอหนูด้วง” นกฮูกถามเพราะตัวเองกำลังปวดหัวกับการแกะปูมาก
“อันดับแรก เลือกปูมาหนึ่งตัว” หนูด้วงเล็งปูตัวที่ใหญ่ที่สุดแล้วหยิบมาถือไว้
“ไงต่อ” น้องเกลก็ลุ้นวิธีแกะปูของหนูด้วงตามไปด้วย
“อันดับต่อมาคือส่งให้คนที่เรารัก” หนูด้วงพูดจบก็วางปูลงบนจานของโอบอุ้ม
“อย่าบอกนะว่า...” นกฮูกขมวดคิ้ว จนกระทั่งเห็นโอบอุ้มแกะปูแล้วเอาเนื้อปูไปวางที่จานของหนูด้วงถึงได้ทำหน้าเซ็งที่เดาถูก เขาไม่น่าคาดเดาว่าจะได้สาระจากหนูด้วงเลยจริงๆ
“เห็นไหม มือไม่เปื้อน ง๊ายๆ รอกินอย่างเดียว” หนูด้วงพูดจบก็ตักเนื้อปูเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ
“เจ๋ง แค่หาแฟนมาแกะให้ การกินปูก็จะไม่ยากอีกต่อไป” เม่นยกนิ้วให้ความคิดของหนูด้วง
“น้องหม่อนจะหาแฟนได้จากที่ไหน” น้องหม่อนมองปูในจานของพี่หนูด้วงตาเป็นมัน เนื้อปูขาวฟูน่าลิ้มลองเป็นที่สุด แต่จะไปหาแฟนแบบที่พี่น้องเม่นบอกได้จากที่ไหน ตัวเองจะได้กินปูง่ายๆ บ้าง
“น้องดูดิ ถอดหนูด้วงมาอย่างกับพิมพ์เดียวกัน เรื่องกินเรื่องใหญ่ แถมอยากจะมีแฟนตั้งแต่ยังเด็ก สงสัยพี่ต้องไว้หนวดแล้ว” พญากระซิบเทียมฟ้า
“พี่ น้องหม่อนเป็นเด็กผู้ชายนะ”
“เออจริง พี่ก็ลืม แล้วใครไปรัดจุกให้วะ เลยดูอย่างกับเด็กผู้หญิง แก้มก็กลม พุงก็กลม ไม่เห็นจะเหมือนเจ้าอุ้มเลยสักนิด”
“เหมือนไม่เหมือนเดี๋ยวก็รู้”
“ทำไม รู้อะไร มีอะไรที่ปิดบังพี่ห๊ะ...เจ้ากระต่าย”
“น้องอยากกินปู”
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง”
“แกะปูให้น้องหน่อยนะครับ พี่แกะปูให้น้อง เดี๋ยวคืนนี้น้องแกะกระดุมให้พี่”
“มึงนี่นะ” พญายิ้มอ่อนเมื่อได้ยินข้อต่อรองของอีกฝ่าย
“อยากกินปูง่ายๆ ไหมล่ะ” ป้ายหันมาถามนกฮูกบ้าง
“เป็นแฟนพี่ป้ายเลยนกฮูก” หนูด้วงพูดแทรกขึ้นมาจนนกฮูกหน้าแดง
“เฮ้ย!” จู่ๆ น้องมิกิก็ตะโกนขึ้นมาจนทุกคนตกใจ
“อะไรมิกิ” เม่นถาม
“พี่โขน พี่โขนตัวจริงเสียงจริง กรี๊ดดด ตอนไปถ่ายแบบที่บริษัทไม่เคยเจอเลย หาตัวยากมากๆ มิกิขอตัวไปถ่ายรูปกับพี่โขนก่อนนะคะทุกคน กรี๊ดดด พี่โขนคะ พี่โขน...”
“เราไปด้วย” แก้วเองก็ตื่นเต้นและดีใจมากที่ได้เจอดาราดังแบบที่ไม่คาดฝันมาก่อนจึงรีบลุกตามมิกิไป
“ใครวะ” พญาถาม
“ก็พี่โขนดาราดังไงครับ” เทียมฟ้าเป็นคนตอบ
“ดาราอะพี่รู้จัก พี่หมายถึงคนที่ยืนข้างๆ โคตรน่ารักเลย”
“เป็นผู้จัดการของพี่โขน ชื่อบัวมงคล ที่มีข่าวว่าเป็นลูกชายของคุณอาโปดาราที่เสียชีวิตไปแล้ว เขาเป็นคนรักของพี่โขน เขารักกันมาก รักมากจนคนอื่นแทรกไม่ได้ เข้าใจตามนี้นะครับพี่พญา”
“หึงพี่เหรอครับน้อง ว่าแต่ทำไมรู้ละเอียดจัง” พญาลอบยิ้ม
“ก็น้องเคยคบกับพี่โขนพักหนึ่ง” เทียมฟ้าโกหกเพราะนึกหมั่นไส้คนรักของตัวเอง
“ไอ้หนอม มึงไปบอกไอ้ดาราดังคนนั้นดิ๊ ว่าตลาดนี้ไม่ต้อนรับดาราโว้ย”
“หึงน้องเหรอครับพี่” เทียมฟ้าย้อนถาม
“เออ หึง”
“หนูว่าพี่โขนหล่อมากเลย ทำไมหล่อแบบนี้ โห พี่โอบมาดูมาดูฮะ ยิ่งเห็นใกล้ๆ ยิ่งหล่อสุดๆ” หนูด้วงเองก็อดเพ้อไม่ได้เมื่อได้เห็นตัวจริงของดาราดัง เขาดูหล่อกว่าในโทรทัศน์หรือในนิตยสารตั้งเยอะ
“อายุของเขาเป็นพ่อของหนูด้วงได้เลยนะครับ”
“หน้าตาแบบนี้เอาเป็นแฟนดีกว่าฮะ”
“พี่ว่า...หนูมีแฟนอายุห่างขนาดที่กำลังพอดีดีกว่านะ” โอบอุ้บพูดพลางแกะปูให้น้องหม่อนไปด้วย
“หนูแค่อยากมองหน้าเขา เขาหล่อเนอะน้องเกล”
“พี่หนอมครับ พี่ไม่ต้องไปบอก เดี๋ยวผมไปบอกเองว่าให้ไปเดินไกลๆ แถวนี้หน่อย” โอบอุ้มทำท่าจะลุกไปทำตามคำสั่งของพญา แต่หนูด้วงรีบคว้าแขนเอาไว้ก่อน ก่อนจะกระซิบเบาๆ
“หนูไม่มองเขาแล้วก็ได้”
“โอ้โห ทำเป็นสุขุมนุ่มลึก น้องดู...เจ้าอุ้มมันหึงแรงกว่าป๊าของมันอีกเว้ย ฮ่าๆ” พญาหัวเราะชอบใจ
“ทำไมนาโมต้องหึงพี่คนหล่อคนนั้น หึงแปลว่าหวง นาโมหวงพี่คนนั้นทำไม หวงพี่คนนั้นกับใคร” น้องไม้ถามขึ้นมาจนทั้งโต๊ะเงียบไป หนูด้วงหน้าเสีย ลืมไปเลยว่ามีเด็กทั้งสองคนร่วมโต๊ะอยู่ด้วย น้องไม้เป็นเด็กที่โตเกินวัย อาจจะเริ่มสงสัยขึ้นมาบ้าง
“โอเคโอเค น้องหม่อนไม่มองแล้วก็ได้ นาโมไม่ต้องหวงน้องหม่อนนะ” ใบหม่อนยกมือขึ้นมาปิดตาเพราะตัวเองก็เอาแต่มองตามพี่คนนั้นไปเหมือนกัน ใบหม่อนไม่ได้มองที่เขาหล่อ แต่เพราะเขาถือถุงขนมสายไหมสีพาสเทลน่ากินถุงใหญ่มากๆ ในมือต่างหาก แต่นาโมไม่ชอบให้น้องหม่อนจ้องมองคนแปลกหน้าเลยต้องรีบปิดตาเอาไว้
“นาโมไม่ได้หวงน้องหม่อนหรอก ใช่ไหม” น้องไม้ถามอีก
“รีบกินกันเถอะ จะได้กลับโรงแรม ทุกคนจะได้มีเวลาแต่งสวยแต่งหล่อก่อนไปงาน” เทียมฟ้าต้องเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง ซึ่งทุกคนก็ช่วยกันเปลี่ยนเรื่องคุยจนโอบอุ้มไม่ต้องตอบคำถามของน้องไม้
ส่วนพญาแอบลอบมองหนูด้วงที่ยังนั่งหน้าเสียไม่เลิก ถ้าสมมุติเด็กแฝดสองคนนี้รับไม่ได้เรื่องที่พ่อของตัวเองจะมีคนรักเป็นผู้ชาย เขาไม่รู้ว่าเจ้าอุ้มจะแก้ปัญหานี้ยังไง หากปัญหามันใหญ่ถึงขั้นต้องเลือก แล้วเจ้าอุ้มจะเลือกหนูด้วงหรือลูกของตัวเอง แค่คิดพญาก็รู้สึกสงสารทั้งคู่จับหัวใจ
.....
เมื่อคณะของหนูด้วงมาถึงโรงแรมภูมิเทพ พนักงานก็พาทุกคนไปยังห้องพักที่เตรียมเอาไว้ให้ ส่วนหนูด้วงกับโอบอุ้มต้องพาน้องไม้และน้องหม่อนไปพบนายหัวพยนต์ที่ห้องทำงาน หนูด้วงไม่รู้ว่าพี่โอบรู้สึกยังไงเพราะฝ่ายนั้นดูสงบนิ่งเหมือนเคย แต่ตัวเองรู้สึกเป็นกังวลเพราะกลัวคุณตาจะตำหนิเรื่องที่พี่โอบเรื่องแอบไปมีลูก
“ไหนมาใกล้ๆ ทวดซิ”
ใบไม้กับใบหม่อนเงยหน้าขึ้นไปมองโอบอุ้ม รู้สึกกลัวที่จะเดินเข้าไปหาชายสูงวัยที่เรียกตัวเองว่าทวด จนกระทั่งหนูด้วงเดินมาจับมือน้อยๆ ทั้งคู่จึงยอมเดินตามแรงจูงของพี่หนูด้วงไป
“สวัสดีคุณทวดพยนต์ก่อนน้องไม้น้องหม่อน คุณทวดแปลว่าเป็นปู่ของคุณพ่อ เราจึงเรียกว่าทวด” หนูด้วงอธิบายให้เด็กทั้งสองคนฟัง น้องแฝดยกมือไหว้นายหัวพยนต์แต่ก็ยังรู้สึกเกร็งกับคนแปลกหน้าเหมือนเดิม
“คนนี้ชื่อน้องไม้เหรอ เหมือนพญาตอนเด็กๆ มาก” พยนต์ให้ความสนใจแฝดคนพี่ ถึงจะตัวแค่นี้แต่มีบุคลิกที่ดี มีความเป็นผู้นำ มีความเด็ดเดี่ยวฉายชัดที่ดวงตา
“มีแต่คนบอกว่าน้องไม้เหมือนยุง ส่วนน้องหม่อนเหมือนหนู คุณตาว่าน้องหม่อนเหมือนหนูไหมฮะ” หนูด้วงเอาหน้าของตัวเองไปเทียบกับหน้าน้องหม่อน
“เหมือน ท่าทางจะขี้อ้อนเหมือนกันด้วย” พยนต์พินิจใบหน้าลูกชายทั้งสองคนของโอบอุ้มแล้วนึกแปลกใจที่ไม่มีใครเหมือนโอบอุ้มเลยสักคน
“พวกเรามีของขวัญวันเกิดมาให้คุณตาด้วยนะ พร้อมยัง น้องไม้ น้องหม่อน” หนูด้วงหันมาถามน้องแฝด เมื่อทั้งคู่พยักหน้าให้หนูด้วงจึงจูงเด็กทั้งสองคนมายืนที่กลางห้อง
แล้วทั้งสามคนก็ร้องเพลงอวยพรวันเกิดพร้อมกับเต้นประกอบเพลงไปด้วย น้องหม่อนเต้นอย่างออกรสจนนายหัวพยนต์หัวเราะด้วยความชอบใจ ส่วนน้องไม้แม้จะดูเขินอายแต่ก็ยอมเต้นตามน้องชาย ท่าทางเก้ๆ กังๆ แต่ก็ดูมีความมุ่งมั่นที่จะแสดงออก ส่วนหนูด้วงเห็นคุณตายิ้มได้และดูจะพอใจกับน้องแฝดก็แอบโล่งใจ จนกระทั่งการแสดงจบลงนายหัวพยนต์ถึงได้ปรบมือให้
“เต้นเก่งแบบนี้เห็นทีทวดต้องให้รางวัลแล้ว”
“น้องหม่อนขอให้คุณทวดอายุยืนจนเมื่อย แล้วก็มีความสุขมากๆ นะครับ”
“ไม้ก็ขอให้คุณทวดแข็งแรงและมีความสุขมากๆ ครับ”
“ขอบใจนะเด็กๆ มาให้ทวดกอดหน่อย ทั้งสองคนเลย” พยนต์รู้สึกเอ็นดูเด็กทั้งสองคนมาก จากที่แอบมีอคติในใจ ตอนนี้อคตินั้นได้มลายหายไปสิ้น เขาอยากรู้ว่าแม่ของเด็กเป็นใคร เห็นทีจะต้องถามโอบอุ้มให้รู้ความ
“หนูตกกระป๋องไปเลย” หนูด้วงยิ้มกว้าง
“ตกมาทางพี่ พี่จะรับเอาไว้เอง” โอบอุ้มกระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน
“หนูด้วงพาใบไม้กับใบหม่อนไปเดินเล่นก่อนนะ ตาอยากจะคุยกับเจ้าโอบสักหน่อย”
“แต่ว่า...” หนูด้วงกลับมาหนักใจอีกรอบเมื่อพยนต์ขอคุยกับโอบอุ้มตามลำพัง
“ไปเถอะ” โอบอุ้มบอกกับหนูด้วง
“คุณตา...” หนูด้วงยังไม่อยากออกไปเพราะกลัวโอบอุ้มถูกตำหนิ
“ตาไม่ได้จะต่อว่าอะไรหรอก แค่อยากจะถามอะไรนิดหน่อย พาเจ้าแฝดไปหาอะไรกินที่ห้องอาหารก็ได้”
“ถึงน้องหม่อนจะอิ่มมากๆ แต่น้องหม่อนก็อยากจะไปเดินเยี่ยมห้องอาหารของคุณทวด น้องหม่อนยังเดินไหวนะพี่หนูด้วง ไปกันนะครับ” น้องหม่อนรีบอ้อน
“ก็ได้ก็ได้” หนูด้วงลอบถอนหายใจ สุดท้ายก็ยอมต้องเดินออกไปทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความกังวล
มีต่อด้านล่างค่ะ