Nightmare Kiss ตอนใครอยู่ในห้อง? P.3 บทส่งท้าย [04/09/61] จบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Nightmare Kiss ตอนใครอยู่ในห้อง? P.3 บทส่งท้าย [04/09/61] จบ  (อ่าน 19182 ครั้ง)

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ตอนที่ 12

แก้วโอวันตินร้อนถูกวางลงบนโต๊ะอาหารตรงหน้าชนกันต์ เขาเหลือบมองเจ้าของห้องที่ทรุดนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แล้วย้ายสายตามามองไอสีขาวจางๆที่กำลังลอยวนขึ้นมาเหนือแก้วเซรามิกก่อนจะสลายหายไป…
ชนกันต์รู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำ…หนาวเย็น มืดมิดและหายใจไม่ออก แม้ว่าความจริงแล้วเขายังนั่งหายใจอย่างปกติก็ตาม หัวใจของเขาเจ็บหน่วงแบบไม่ทราบสาเหตุ ชายหนุ่มไม่เคยอกหักมาก่อน แต่คิดว่าความรู้สึกตอนนี้คงใกล้เคียงกับคำว่าอกหักละมั้ง
ชนกันต์ชอบ ‘คุณหมอ’ มากจริงๆ แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นเพียงจินตนาการของเขาก็ตาม นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองหมอกายที่กำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เขารู้ว่าตัวเองแย่ แต่มันช่วยไม่ได้ที่จะแอบคิดว่า…
คงดีกว่าถ้าเขาไม่ปีนเข้ามาในห้องของหมอกาย
คงดีกว่าถ้าเขาจะเข้าใจว่า ‘คุณหมอ’ มีตัวตนอยู่บนโลกจริงๆ
คงดีกว่าถ้าเขาจะเข้าใจว่า ความห่วงใยที่ได้รับตลอดสองเดือน มาจากหมอของเขา…ไม่ใช่หมอกาย
“ผมเป็นบ้าใช่มั้ยครับ” ชนกันต์เอ่ยถาม เรียกให้จิตแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตา
“เล่าเรื่องผู้ชายที่คุณเห็นให้ผมฟังหน่อยสิครับ”
ชนกันต์นิ่งคิดครู่หนึ่ง มือเอื้อมไปหยิบแก้วโอวันตินขึ้นมาจิบช้าๆ รสสัมผัสที่หวานอมขมช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
“ครั้งแรกที่ผมเห็น…เขายืนอยู่หน้าห้องของคุณ เป็นผู้ชายหน้าตาดี อาจจะอายุประมาณหมอ ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า เนกไทสีน้ำเงิน แล้วก็ใส่เสื้อกาวน์สีขาวด้วย ผมคุยกับเขา จำไม่ได้ว่าอะไรบ้าง แต่เขาบอกว่าอยู่ห้อง 710 มานานแล้ว ผมเลยคิดว่าเขาคือคุณ”
หมอกายทอดสายตามองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ สองมือประสานกันหลวมๆอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“คุณกันต์กลัวผีมั้ยครับ”
“ไม่ครับ” ชนกันต์ส่ายหน้าปฏิเสธ
“แล้วคุณเคยรู้สึกพิเศษกับคนที่ทำอาชีพหมอมั้ยครับ”
“พิเศษแบบไหน”
“คนที่คุณเคยชอบ หรือประทับใจ”
จิตแพทย์หนุ่มเอนหลังพิงเก้าอี้ เขาเคยเจอคนไข้แบบชนกันต์มามาก และคิดว่าสามารถรับมือได้ เพียงแต่การแสดงออกของชายหนุ่มตรงหน้าค่อนข้างเหนือความคาดหมาย
ปกติแล้วคนที่มีอาการผิดปกติทางจิตใจมักจะไม่ยอมรับในความผิดปกตินั้น หรืออาจต้องใช้เวลาในการยอมรับ แต่ชนกันต์กลับยอมรับง่ายๆว่าตัวเองเป็นบ้า แถมการตอบคำถามก็ชัดเจนไร้วี่แววว่าสับสนหรือมึนงง นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววครุ่นคิดและเจ็บปวดกับบางอย่าง และมันทำให้เขากังวลว่าอีกฝ่ายอาจจะทำร้ายตัวเองเข้าสักวัน
“ผมไม่เคยรู้จัก หรือประทับใจคนที่เป็นหมอ”
กายพยักหน้ารับช้าๆ การอุปทาน หรือหลอกตัวเองเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งประสบการณ์ และการใช้สารเสพติด เพียงแต่ผลตรวจปัสสาวะและเลือดของ     ชนกันต์ไม่พบสารเสพติดที่มีผลให้เกิดอาการประสาทหลอน อีกอย่างที่เขาคิดได้ก็คือการถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ถึงแม้กรรมพันธุ์จะมีส่วนทำให้เกิดโรคจิตเภทได้แต่ก็ไม่ได้เป็นสาเหตุทั้งหมด
“คุณเห็นเขาบ่อยแค่ไหนครับ”
“ทุกวัน” ชนกันต์ก้มหน้า มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนโต๊ะบีบกันแน่น
“ผมจะหายหรือเปล่า ตอนนี้ผมแยกความจริงกับภาพหลอนไม่ออกแล้ว”
“ผมสัญญาว่าคุณจะต้องหาย”
ฝ่ามืออบอุ่นที่ยื่มมาบีบมือของชนกันต์ช่วยให้จิตใจของเขาสงบ นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมองคนตรงข้าม หมอกายขยับยิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง มันทำให้เขาเชื่อมั่นว่า วันหนึ่งเขาคงจะหยุดมองเห็นภาพหลอนไปเอง



ร่างสูงของจิตแพทย์หนุ่มเอนหลังพิงโซฟาตัวยาวในห้องรับแขก มีหนังสือและงานวิจัยต่างๆกองอยู่บนโต๊ะกระจกตัวเตี้ย มือเรียวยาวกำลังใช้ปากกาจดบันทึกลักษณะอาการของผู้ป่วยคนสำคัญ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร กายก็วินิจฉัยได้เพียงอย่างเดียวว่าชนกันต์มีอาการประสาทหลอนและหูแว่วเฉียบพลัน อาจเข้าขั้นโรคจิตเภทเบื้องต้น แต่เขาก็ไม่อยากด่วนสรุป…
กายหยิบแฟ้มผลการเอกซ์เรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของชนกันต์มาเปรียบเทียบกับผู้ป่วยรายอื่นและพบความแตกต่างที่ชัดเจน
ในภาพเอกซเรย์ศีรษะของผู้ป่วยโรคจิตเภทรายอื่น พบช่องในสมอง (ventricle) โตกว่าปกติ ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะมีอาการด้านลบเป็นอาการเด่น บางครั้งพบว่าผู้ป่วยมีเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าลดลง และการทำงานของสมองส่วนหน้ามีไม่เต็มที่
สาเหตุมาจากระบบสารเคมีในสมองผิดปกติ โดยสารชื่อว่าโดปามีน (dopamine) ในบางบริเวณของสมองมีการทำงานมากเกินไป ต้องให้ยารักษาที่ไปยับยั้งการออกฤทธิ์ของสารโดปามีน
ร่างสูงยกมือนวดขมับที่กำลังเต้นตุบๆ ชนกันต์ไม่เหมือนผู้ป่วยรายอื่น อย่างน้อยเจ้าตัวก็ไม่ได้ประสาทหลอนเพราะสารเสพติด หรือปัญหาสุขภาพ…ส่วนจิตใจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน กายไม่คิดว่าควรให้ยาใดๆกับชนกันต์ นอกจากดูแลอย่างใกล้ชิด และเฝ้าสังเกตพฤติกรรมต่อไปอีกระยะหนึ่ง
“ครั้งแรกที่ผมเห็น…เขายืนอยู่หน้าห้องของคุณ เป็นผู้ชายหน้าตาดี อาจจะอายุประมาณหมอ ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า เนกไทสีน้ำเงิน แล้วก็ใส่เสื้อกาวน์สีขาวด้วย ผมคุยกับเขา จำไม่ได้ว่าอะไรบ้าง แต่เขาบอกว่าอยู่ห้อง 710 มานานแล้ว ผมเลยคิดว่าเขาคือคุณ”
จู่ๆคำพูดของชนกันต์ก็แล่นวาบขึ้นมาในสมอง ครั้งแรกที่ฟัง กายไม่ได้คิดใส่ใจมาก เพราะต้องการดูวิธีการตอบคำถามของอีกฝ่ายเท่านั้น เพียงแต่ตอนนี้ เขาสะดุดคำพูดประโยคหนึ่ง….ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า เนกไทสีน้ำเงิน แล้วก็ใส่เสื้อกาวน์สีขาวด้วย
จิตแพทย์หนุ่มลุกจากโซฟา ขายาวก้าวข้ามห้องไปเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน หยิบบรรดาแฟ้มคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่กำลังรับผิดชอบอยู่ในตอนนี้ออกมา แฟ้มที่เขาเลือกหยิบเป็นอันดับแรก คือแฟ้มสีน้ำเงินที่เคยมองผ่านๆเพียงครั้งเดียว เพราะมันบรรจุภาพสถานที่เกิดเหตุและเหยื่อที่เสียชีวิต ซึ่งไม่ใช่ภาพที่น่าดูเลย หากไม่จำเป็น เขาก็ไม่คิดจะดูเป็นครั้งที่สอง
กายหลุบตามองภาพของเหยื่อรายที่สาม ซึ่งเป็นเหยื่อเพียงรายเดียวที่ไม่ได้ถูกฆาตกรรมในพื้นที่ของโรงพยาบาล เพราะเจ้าตัวถูกรัดคอและเสียชีวิตในห้องพักห้อง 710 อพาร์ทเม้นท์เจเจ ซึ่งก็คือชื่อเดิมของอพาร์ทเม้นท์ร่มฤดี
จิตแพทย์หนุ่มไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ ที่การแต่งกายในวันที่เสียชีวิตของเหยื่อรายนี้ คือเสื้อเชิ้ตสีฟ้า ผูกเนกไทสีน้ำเงิน และสวมเสื้อกาวน์สีขาว
หมอจิณณ์ ศัลยแพทย์ทั่วไป…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ตุ้บ!
เสียงเคาะประตูทำให้กายตกใจ มือเผลอปล่อยแฟ้มสีน้ำเงินให้ตกลงบนพื้นกระเบื้องจนเกิดเสียง นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง ที่กำลังบอกเวลา 17.30 น. ซึ่งกลายเป็นเวลาปกติที่ชนกันต์จะมาที่ห้องของเขา
จิตแพทย์หนุ่มก้มลงหยิบแฟ้มคดีมาเก็บใส่ในลิ้นชักตามเดิม ก่อนจะก้าวไปเปิดประตูห้องซึ่งปรากฎให้เห็นร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆ
“กลับมาแล้วครับ”
ชนกันต์เอ่ยทักเสียงใสแล้วส่งยิ้มให้ เจ้าตัวก้าวเข้ามาในห้องก่อนจะทิ้งตัวนอนแผ่บนโซฟาด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติราวกับเป็นห้องของตัวเอง…ความคิดนั้นทำให้กายขยับยิ้ม เขารู้ตัวว่ากำลังละโมบ คิดอยากให้คนเด็กกว่าอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลา
หลังจากวันที่ชนกันต์ปีนเข้ามาในห้อง ก็ผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว เขาใช้ข้ออ้างว่าต้องการตรวจอาการ ชวนให้มากินมื้อเย็นและใช้เวลาหลังเลิกงานอยู่ด้วยกันทุกวัน เหตุผลหนึ่งคือเขาอยากใกล้ชิดกับอีกฝ่าย แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือ เขาอยากแน่ใจว่าชนกันต์จะไม่เป็นอันตราย…จากตัวเองและภาพหลอนในหัว
“หิวมั้ย”
ชนกันต์เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของห้องแล้วพยักหน้า มือเรียวหยิบรีโมตมากดเปิดโทรทัศน์ตามปกติ ยอมรับว่ารู้สึกเกรงใจหมอกายเพราะช่วงหลังๆมานี้ เขาเข้านอกออกในห้อง 710 บ่อยเสียยิ่งกว่าห้องของตัวเอง แถมมื้อเย็นยังมากินข้าวฟรีได้ทุกวัน
ชนกันต์ซื่อแต่ไม่ได้โง่ เขารู้ว่าหมอกายไม่ได้ชวนมาเฝ้าสังเกตอาการทุกวัน แต่หมอไม่อยากให้เขาอยู่คนเดียวเพราะกลัวว่าจะทำร้ายตัวเอง อย่างฆ่าตัวตายหรืออะไรทำนอนนั้น อันที่จริงเรื่องทำให้ร่างกายเจ็บปวด ชนกันต์ไม่กล้าคิด แต่ช่วงนี้เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองอาจจะทำอะไรโดยไม่รู้ตัวบ้างหรือเปล่า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขายอมทำตัวไร้มารยาทแล้วมาเกาะแกะอยู่ห้องของหมอ เพราะเขาก็ไม่ไว้ใจให้ตัวเองอยู่ลำพังเช่นกัน
“อยากทานอะไรครับ”
ชนกันต์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำถาม เขาไม่ใช่คนกินยาก แล้วหมอกายก็ไม่เคยถามด้วยว่าเขาอยากกินอะไร อาหารส่วนใหญ่ที่อีกฝ่ายซื้อมาก็เป็นอาหารที่คนทั่วไปกินกัน อย่างหมูทอด ปลาทอด ต้มจืด และผัดกะเพรา
“แล้ววันนี้หมอซื้ออะไรมาล่ะ”
“ผมซื้อพวกของสดมา ตั้งใจจะทำให้คุณทาน”
“คุณทำเป็น?”
ชนกันต์ถาม หมอกายไม่ได้ดูเหมือนพ่อศรีเรือนสักเท่าไร เขาคิดภาพที่หมอใส่ผ้ากันเปื้อนแล้วยืนทำอาหารไม่ออกเลย
“นิดหน่อยครับ”
“แล้วจะกินได้เล้อออ”
ชนกันต์เอ่ยล้อเลียน ก่อนจะตัวแข็งทื่อเมื่อร่างสูงใช้แขนสองข้างเท้าลงบนโซฟาที่เขานอนเอกเขนกอยู่ แล้วโน้มหน้าเขามาพูดใกล้ๆ
“พิสูจน์เองสิครับ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววตระหนกเมื่อใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนเข้ามาใกล้ อยู่ๆก็เกิดอาการหาลิ้นตัวเองไม่เจอ อยากจะพูดก็พูดไม่ออก ไม่กล้าผลักคนตรงหน้า ได้แต่พยายามขยับตัวหนีให้มากที่สุด
“ผะ ผม…”
“อยากทานอะไรครับ”
หมอกายถามอีกครั้ง แล้วยอมผละออกห่างให้ชนกันต์ได้ถอนหายใจ เขายันตัวขึ้นมานั่งบนโซฟาแล้วยกมือลูบท้ายทอยแก้เก้อ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองเจ้าของห้องที่ยืนกอดอกรอคำตอบด้วยรอยยิ้มขำขัน
“ผมอยากกินต้มยำน้ำข้น เอาผัดบล็อกโคลี่ด้วย ถ้าหมอซื้อมา”
ชนกันต์ตอบอุบอิบด้วยใบหน้ามุ่ยๆ นึกอยากเอานิ้วจิ้มตาแพรวพราวนั่นเหลือเกิน ไม่รู้เป็นบ้าอะไร ถึงได้ชอบแกล้งถึงเนื้อถึงตัวกับเขานัก ตัวเองก็ยิ่งหน้าตาดีๆอยู่ด้วย ถ้าทำบ่อยๆชนกันต์จะได้หัวใจวายสักวัน
“ซื้อมาครับ แล้วอยากกินอะไรอีกมั้ย”
หมอกายถาม ขณะที่โน้มตัวมาหยิบกองหนังสือบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาไว้ในอ้อมแขน ชนกันต์ส่ายหน้า เพราะเท่าที่เรียกร้องไปก็มากพอแล้ว คิดว่าวันพรุ่งนี้ หลังกลับจากที่ทำงาน เขาต้องแวะซื้ออาหารสดจากซุปเปอร์ใกล้ๆมาทิ้งไว้ที่ห้องหมอแล้วล่ะ
จิตแพทย์หนุ่มเดินถือหนังสือหายเข้าไปในห้องนอนครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับออกมาในชุดอยู่บ้านอย่างเสื้อยืดคอวีกับกางเกงผ้าขายาว แล้วหายเข้าไปในครัว   ชนกันต์แอบเหล่มองแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังขะมักเขม้นกับการทำอาหาร ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับภาพในจอทีวี
ชนกันต์นั่งดูละครเรื่อยเปื่อย หูกำลังฟังเสียงของผู้หญิงสองคนที่กำลังทะเลาะกัน แล้วเอ่ยปากถามผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางว่าจะเลือกใคร ชนกันต์นั่งมองรักสามเศร้าที่ดำเนินมาสักพักหนึ่งด้วยคิ้วที่เริ่มขมวดยุ่งก็รู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวช้าๆบนโซฟาด้านซ้ายมือ คิดว่าหมอกายคงจะรอเวลาให้ข้าวสุกแล้วมานั่งดูละครด้วย จึงหันไปชวนคุย
“หมอว่าเรารักคนสองคนพร้อมกันได้---”
ชนกันต์ผงะด้วยความตกใจ ปากที่กำลังเอ่ยถามอ้าค้างเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างๆไม่ใช่หมอกาย แต่เป็นหมอในจินตนาการของเขาต่างหาก
“รักได้ครับ แต่คุณควรจะเลือกคนที่รักมากกว่า”
‘หมอ’ เอ่ยกับชนกันต์ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลเช่นเดิม รอยยิ้มมุมปากที่ไม่ได้ปรากฎให้เห็นบ่อยๆกับนัยน์ตาสีดำที่มืดมิดยังติดอยู่ในความทรงจำเสมอ
ตั้งแต่วันที่ชนกันต์รู้ว่า ‘หมอของเขา’ ไม่มีตัวตน เขาก็ตัดปัญหาด้วยการแกล้งมองไม่เห็น ไม่มีคำพูดโต้ตอบระหว่างเขากับภาพหลอนอีกแล้ว ทั้งที่จริงเขายังเห็นอีกฝ่ายเสมอทั้งตามทางเดิน หรือแม้แต่ในห้องของเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ชนกันต์เห็นหมอในห้องของหมอกาย อันที่จริงเวลาที่เขาใช้ร่วมกับหมอกายมันหมดไปอย่างรวดเร็วและเพลิดเพลินเสียจนเขาไม่ได้มองหา ‘หมอ’ เลยด้วยซ้ำ
ชนกันต์ตัดสินใจว่าเขาไม่ควรพูดคนเดียวในห้องของจิตแพทย์ จึงเลือกที่จะหันกลับไปสนใจทีวี และคิดเสียว่าไม่มีใครนั่งข้างๆซึ่งในความเป็นจริงก็คงไม่มีใครนั่งตรงนี้อยู่แล้ว
ขณะที่สายตาจับจ้องภาพคนสามคนในทีวี สมองก็เริ่มกังวลไปต่างๆนาๆ เมื่อก่อนเขาเห็นหมอตามทางเดินและห้องของตัวเอง แต่ตอนนี้เขาเห็นหมอในห้องของหมอกายแล้ว และในอนาคต เขาจะเห็นหมอในที่ทำงานหรือข้างถนนด้วยหรือเปล่า เพียงแค่คิดว่าจะมีภาพหลอนติดตามไปทุกๆที่เขาก็ตัวสั่นแล้ว
“คุณไม่รักผมแล้วเหรอครับ”
คำถามแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบของสายลมทำให้ชนกันต์ปิดเปลือกตาลงช้าๆแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟา เขาไม่กล้ามองหมอ ไม่ใช่เพราะว่ากลัว อีกฝ่ายไม่มีอะไรน่ากลัวเลย เหมือนคนปกติทั่วไปด้วยซ้ำ แต่เป็นคนปกติที่เขาเห็นคนเดียวล่ะนะ
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าสมองส่วนไหนจินตนาการคนๆนี้ขึ้นมา ทั้งภาพและเสียง รวมถึงความรู้สึกลึกซึ้งของอีกฝ่ายถึงได้ส่งผ่านมาที่เขาได้ชัดเจนนัก ถ้าหมอมีตัวตนจริงๆ เขาก็อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่าย ‘หลงรัก’ เขา ไม่ต่างจากที่เขา ‘รัก’
ชนกันต์ยันตัวขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปหาหมอกาย มือเล็กยื่นไปจับชายเสื้ออีกฝ่ายเขย่าเบาๆ
“หมอครับ”
“หืม”
หมอกายครางรับ แต่ไม่ได้หันมาสนใจชนกันต์เลย ชายหนุ่มเหลือบมองไปที่โซฟาอีกครั้ง แต่หมอของเขาไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
“ผมช่วย”
ชนกันต์ไม่อยากอยู่ลำพัง เขารู้ว่าตัวเองกำลังจิตตกและฟุ้งซ่าน มันคงรู้สึกอุ่นใจกว่าถ้าจะมีใครสักคนขยับอยู่ใกล้ๆตลอด
“ไม่เป็นไรครับ คุณไปดูทีวีเถอะ”
“ไม่เอา”
น้ำเสียงสั่นเครือของชนกันต์เรียกให้หมอกายเงยหน้าขึ้นมาจากมีดที่กำลังหันเห็ดฟาง เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังมีสีหน้าอย่างไร อาจจะไม่สู้ดีนัก แต่หมอก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม นอกจากหยิบเขียงกับมีดอีกอันมาไว้ตรงหน้า
“งั้นช่วยผมหันบล็อกโคลี่ละกันครับ”
ชนกันต์พยักหน้าช้าๆ มือหยิบบล็อกโคลี่ที่ล้างน้ำสะอาดแล้วมาวางบนเขียงก่อนจะเริ่มหัน อันที่จริงเขาชอบกินผักชนิดนี้มาก แต่ไม่เคยหั่นเองเลยสักครั้ง
“ทำไม่เป็นก็น่าจะบอก”
น้ำเสียงที่ติดจะล้อเลียนจากหมอกายทำให้ชนกันต์ขมวดคิ้ว อืม ยอมรับว่าอาจจะหันไม่เหมือนร้านอาหารทั่วไป แต่ทำไมล่ะ ในเมื่อมันก็กินได้เหมือนกัน
“ผมแค่ไม่เคยทำ”
“ผมสอน”
หมอกายขยับเข้ามายืนซ้อนด้านหลังของชนกันต์ เขาเผลอกั้นหายใจครู่หนึ่งเมื่อรู้สึกว่าแผ่นอกแข็งแรงของหมอกำลังแนบชิดอยู่กับแผ่นหลังของเขาจนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอุ่นๆจากร่างกายอีกฝ่าย มือใหญ่เลื่อนมาจับมือขวาที่กำลังจับมีด ส่วนมืออีกข้างของหมอจับบล็อกโคลี่ก่อนจะเริ่มหัน ชนกันต์หลุบตามองแล้วคิดว่าคนเป็นหมอมักจะใช้มีดเก่งทุกคนหรือเปล่า
“หมอ”
ชนกันต์เอ่ยเรียกเมื่อคิดว่าอีกคนชักจะหั่นเพลินเกินไปแล้ว ถ้าไม่เบรก หมออาจจะหั่นคนเดียวทั้งหมดเลยก็ได้
“ครับ”
“ผมทำเป็นแล้ว”
“แต่ผมอยากช่วย”
หมอกายชะงักมีดในมือ ใบหน้าได้รูปหันมากระซิบตอบ แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายสูงกว่าทำให้ลมหายใจร้อนๆเป่ารดบริเวณขมับของเขาพอดิบพอดี แล้วพอคิดจะขยับตัวหนี กลับถูกดันไปชิดกับเคาน์เตอร์พร้อมปลายคางที่กดลงบนบ่า สภาพของเขาตอนนี้ จึงไม่ต่างจากการถูกกักขังในอ้อมกอดกลายๆ
“ช่วยแบบนี้แล้วเมื่อไรจะเสร็จ ผมหิวครับ”
ชนกันต์ว่าแล้วดึงมือออกจากการเกาะกุม เขายืนก้มหน้านิ่ง เป็นเวลาเกือบหนึ่งนาทีที่ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ มันเงียบเสียจนรับรู้ได้ถึงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงขึ้น
“ผมก็หิว”
กายหลับตาลงราวกับต้องการตัดสินใจ…เรื่องบางอย่าง เมื่อตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าแล้วจะไม่สามารถถอยหลังกลับมาในจุดเดิมที่เคยยืนอยู่ได้ และเขาคิดว่า เขาจะไม่เสียใจเมื่อได้ก้าวขาออกไป
“ขยับออกไปหน่อย”
กายวางมีดลงบนเขียงเมื่อคนในอ้อมแขนเริ่มดิ้นขลุกขลัก มือสองข้างเลื่อนไปกอดเอวอีกฝ่ายรั้งให้มาแนบอก
“ผมแสดงออกไม่ชัดเจน หรือคุณแกล้งไม่รู้ครับ”
กายกระซิบถามแล้วเผลอสูดกลิ่นหอมอ่อนๆจากร่างกายอีกฝ่าย ชนกันต์คงจะไม่รู้…แต่เขาคิดไม่ซื่อกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าแล้ว ยิ่งได้รู้จัก ยิ่งได้พูดคุยกัน เขายิ่งรู้สึกดีและคิดอยากพัฒนาความสัมพันธ์ไปให้ไกลกว่าที่เป็นอยู่
“หมอ ปล่อย…อย่าแกล้งผม”
“ถ้าคุณคิดว่าผมแกล้งคุณเล่นเพราะสนุกก็ขอโทษด้วย แต่ผมเอาจริงครับ”
คำสารภาพรักอ้อมๆจากหมอกายทำให้ชนกันต์ยืนตัวแข็งทื่อ มีหลายครั้งที่หมอชอบพาตัวเองเข้ามาใกล้ชิด แต่เขาไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่าอีกฝ่ายอยากจริงจัง หมอกายเป็นคนหน้าตาดี บุคลิกและหน้าที่การงานก็ดี ย่อมมีตัวเลือกมากมายที่ดีกว่า
“ผมเป็นผู้ชายนะครับ”
ชนกันต์ย้ำ อันที่จริงเขาไม่ได้เหยียดเพศ แต่ไม่รู้ทำไมจึงอยากจำเตือนความจำหมอกายให้คิดเรื่องนี้ให้ดีอีกครั้ง
“ผมรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ถ้าทำให้คุณกันต์ลำบากใจ หรือไม่ชอบก็อยากให้บอกผมมาตรงๆ”
ชนกันต์เพียงแต่รับฟังเงียบๆ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นมาพูดทำนอนนี้ ชนกันต์คงผลักออกแล้วพูดตรงๆไปแล้วว่ายังไม่คิดจะคบหาใครในฐานะคนรัก แต่เมื่อเป็นหมอกาย เขากลับพูดไม่ออก…ไม่อยากปฏิเสธ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากตอบรับเพราะใครบางคนที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลก แต่มีตัวตนอยู่ในใจ



TBC. ขอบคุณที่ติดตามค่ะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-08-2018 02:49:15 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ pakorn2013

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0




ตอนที่ 13


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้อง 710 ทำให้ชนกันต์ชะงักมือที่กำลังทำความสะอาดจาน เงยหน้ามองนาฬิกาสีขาวที่แขวนอยู่บนผนังกำลังบอกเวลาสามทุ่มกว่า มันออกจะดึกไปสักหน่อยสำหรับใครสักคนที่มาในเวลานี้

“หมอครับ…มีคนมา”

ชนกันต์เอี้ยวตัวไปมองประตูห้องนอน แล้วตะโกนเรียกผู้เป็นเจ้าของห้องที่หายเข้าไปอาบน้ำนานกว่าสิบนาทีแล้ว ยืนรอครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีการตอบรับ จึงเดินไปส่องตาแมวบนประตู ก็เห็นร่างสูงสมส่วนในชุดนายตำรวจกำลังโอบกล่องกระดาษแบบมีฝาปิดไว้ในอ้อมแขน

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าหมอกายอยากรับแขกในเวลานี้หรือเปล่า แต่อีกฝ่ายอาจจะมีธุระสำคัญก็ได้ อีกอย่างคนที่ใส่ชุดตำรวจคงไม่เข้ามาปล้นฆ่าใครหรอกมั้ง คิดแล้วก็ถือวิสาสะดึงประตูให้เปิดออก

“ช้า! มัวแต่ชัก ว…”

หมวดกรวิวัฒน์กลืนคำสบถหยาบคายแทบไม่ทัน เมื่อพบว่าคนที่มาเปิดประตูให้เขา ไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องคนสนิท แต่เป็นเด็กหนุ่มหน้าซื่อ อีกฝ่ายผงะถอยหลังเพราะตกใจเสียงของเขา ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าครั้งก่อนที่มาหา เจ้ากายยังอยู่คนเดียว แล้วคนๆ นี้เป็นใคร หรือจะเคาะห้องผิด…คิดแล้วก็เอนตัวไปมองหมายเลขห้องอีกครั้ง พบว่าเป็นห้อง 710 ไม่ผิดแน่

“มาหาหมอกายเหรอครับ”

เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มๆ กรวิวัฒน์เลิกคิ้ว รู้ว่าเสียมารยาท แต่อดไม่ได้ที่จะกวาดตามองศีรษะจรดปลายเท้าอีกฝ่ายเนียนๆ แล้วขยับยิ้มเจ้าเล่ห์

กรวิวัฒน์รู้ว่าเจ้ากายชอบผู้หญิง แต่มีครั้งหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เจ้าตัวเคยโทรมาปรึกษาปัญหาหัวใจเพราะแอบไปหลงรักเด็กผู้ชายรุ่นน้อง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชอบผู้ชายหรือเปล่า แต่เด็กนั่นก็ไม่ได้ไยดีมันเลย ถึงได้อกหักรักคุดมานานจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมคบใครเป็นตัวเป็นตนเสียที แล้วจู่ๆ วันหนึ่งก็มีเด็กหนุ่มที่ท่าทางคล้ายกับรุ่นน้องคนนั้นโผล่มาอยู่ในห้อง ก็คงคิดได้อย่างเดียวละนะว่า…กิ๊กใหม่

“ครับ” กรวิฒน์ตอบรับแล้วผงกศีรษะเป็นเชิงทักทาย

“เข้ามาสิครับ หมออาบน้ำอยู่ แต่เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

ชนกันต์ขยับตัวหลบให้นายตำรวจก้าวเข้ามาในห้อง อีกฝ่ายมองซ้ายมองขวา ก่อนจะพาตัวเองไปทรุดนั่งบนโซฟาหน้าทีวี

“ผมชื่อกรวิวัฒน์ครับ เป็นลูกพี่ลูกน้องของไอ้กาย แล้วคุณ…”

“ผมชื่อกันต์ครับ เป็นคนไข้ของหมอ…ผมอยู่ห้องข้างๆ นี้เอง”

ชนกันต์แนะนำตัว ก่อนจะรีบเสริมเมื่ออีกฝ่ายมองเขาเหมือนไม่เชื่อ แน่ล่ะ ก็ตอนนี้มันนอกเวลางาน คงไม่มีหมอที่ไหนหิ้วคนไข้กลับมาที่ห้องหรอก ระหว่างที่เขากำลังอึดอันเพราะไม่รู้ว่าควรต้อนรับญาติของเจ้าของห้องอย่างไร ประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออก พร้อมกับร่างสูงในชุดนอนที่ก้าวออกมา

“มีอะไร ทำไมมาเอาป่านนี้”

หมอกายมีสีหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นคนที่มาใหม่นั่งอยู่บนโซฟา แขนสองข้างยังโอบกอดกล่องใบใหญ่ไว้แน่นราวกับกลัวว่าใครจะขโมย

“เอางานด่วนมาให้”

หมอกายมีสีหน้าเรียบเฉยทันทีเมื่อนายตำรวจเอ่ยถึง ‘งานด่วน’

“ไปคุยกันในห้อง”

ชนกันต์ได้แต่มองตามร่างสูงของคนสองคนที่เดินหายเข้าไปในห้องนอน ปกติเขาไม่ชอบเสือกเรื่องของคนอื่น แต่มันอดแปลกใจไม่ได้จริงๆ ที่นายตำรวจเอางานมาให้จิตแพทย์ ช่างเป็นอาชีพที่ไม่น่ายุ่งเกี่ยวกันได้เลย

“เด็กคนนั้น…แฟนเหรอ” กรวิวัฒน์เอ่ยถามเมื่อประตูห้องถูกปิด

“เปล่า คนไข้”

“คงเป็นคนไข้พิเศษมากสินะ ดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังมาอยู่ที่นี่เลย”

“ก็พิเศษอยู่”

คำตอบที่ยอมรับกลายๆ ทำให้คนเป็นพี่ยิ้มล้อเลียน กรวิวัฒน์เคยคิดเล่นๆ ว่าเจ้ากายตายด้านแล้วซะอีก หลังจากผิดหวังกับความรักในช่วงมหาลัย อีกฝ่ายก็ไม่เคยจริงจังกับความรักเลย

“นอนด้วยกันแล้ว?”

“ยัง”

“แปลว่ากำลังจะได้…”

“มีงานอะไรก็ว่ามา”

ประโยคตัดบทพร้อมดวงหน้าที่เริ่มแสดงความเย็นชา ทำให้กรวิวัฒน์ตัดสินใจเข้าเรื่องงานด้วยการยื่นกล่องกระดาษในมือให้

“อ่ะนี่”

“อะไร”

“ผู้ต้องสงสัยที่ฉันให้ลูกน้องไปสืบมา คัดแล้วเหลือสามครอบครัวที่น่าสงสัย แล้วบางคนก็ยังไม่มีหลักฐานที่อยู่ในวันเกิดเหตุด้วย”

กายวางกล่องกระดาษลงบนปลายเตียงแล้วเปิดฝาออก ด้านในบรรจุแฟ้มเอกสารสีดำค่อนข้างหนาอยู่สามแฟ้ม เขาเลือกหยิบแฟ้มที่อยู่ด้านบนสุดออกมาเปิดอ่านคร่าวๆ ลูกน้องของกรวิวัฒน์ทำงานดี และใส่ใจรายละเอียดมาก ในแฟ้มมีทุกอย่างที่ใช้สืบหาตัวคนร้ายได้ไม่ยาก อย่างประวัติการรักษาคนไข้ที่เสียชีวิต ประวัติส่วนตัวของคนในครอบครัว รวมถึงคนรัก และหลักฐานที่อยู่ของแต่ละคนในวันเกิดเหตุ

จิตแพทย์หนุ่มวางแฟ้มในมือลง แล้วหยิบแฟ้มที่สองออกมาตรวจดู แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดอ่าน ของในมือก็ถูกลูกพี่ลูกน้องกระชากออกไป หมวดกรเปิดแฟ้มมองหน้าแรกครู่หนึ่งก่อนจะปิดลงอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“เอาไปแค่สองแฟ้มพอแล้ว”

“อีกแฟ้มล่ะ” กายถาม มองท่าทางแปลกๆ ของอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ

“เอ่อ ไม่มีอะไรน่าสงสัย”

กายเลิกคิ้ว เขารู้ว่ากรวิวัฒน์โกหก ถ้าไม่มีอะไรน่าสงสัย เจ้าตัวจะถือมาทำไมตั้งแต่แรก

“ไหนๆ ก็เอามาแล้ว ฉันจะดูให้”

“ไม่ต้องดีกว่า ฉันจะดูเอง”

นายตำรวจตัดบท อันที่จริงเขาค่อนข้างตกใจเมื่อเห็นข้อมูลในแฟ้มที่ลูกน้องนำมาให้ กรวิวัฒน์รีบร้อนมาหาเจ้ากายโดยไม่ได้โทรนัดล่วงหน้า อีกฝ่ายเป็นคนที่เขาไว้ใจ พวกเราเติบโตมาด้วยกัน เขาย่อมรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดี สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือการเปิดใจถามออกไปตรงๆ ว่า…ไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับคดีนี้จริงหรือ?

แต่ในฐานะตำรวจ…เขาไม่ควรนำความไว้วางใจของตนมาทำให้งานพัง ช่วงระยะเวลาที่เขาไม่ได้ใกล้ชิดอีกฝ่าย อาจจะทำให้บางอย่างในตัวเจ้ากายเปลี่ยนไปบ้าง และมันคงดีกว่าถ้าจะเก็บข้อมูลลับให้เป็นความลับต่อไปอีกระยะหนึ่ง

ต่อให้คนในครอบครัวทำผิด…เขาก็ต้องจับมาลงโทษให้ได้!





โถงทางเดินสีขาวของแผนกนิติเวชในเวลาหกโมงเย็น เงียบสงบไม่ต่างจากปกติเลย นอกจากร่างสูงที่ยืนพิงกำแพงอยู่เงียบๆ ก็เรียกได้ว่าร้างผู้คน มีบางครั้งที่เจ้าตัวยกมือซ้ายขึ้นมาดูนาฬิกา และชะโงกหน้าไปที่ทางเดินเพื่อมองหาใครบางคน แต่เมื่อเห็นเพียงความว่างเปล่าก็กลับมายืนกอดอกเช่นเดิม

ตึง ตึง ตึง

เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้น เรียกให้ชายหนุ่มชะโงกหน้ามองทางเดินอีกครั้ง ก่อนจะขยับยิ้มมุมปากเมื่อเห็นคนที่รอคอยมาเกือบครึ่งชั่วโมง อีกฝ่ายกำลังก้มหน้าก้มตาเดิน ดวงตาหลังกรอบแว่นสีขาวเอาแต่จับจ้องแฟ้มสีฟ้าในมือ จนเกือบจะเดินผ่านเขาไปแล้วด้วยซ้ำ

“ไอ้เพียว”

ร่างผอมบางชะงักเท้า แล้วเหลียวมองต้นเสียงด้วยความงุงงง แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ขยับยิ้มกว้าง

“อ้าวเฮีย มารอผมเปล่า”

ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วเอ่ยเข้าประเด็นที่ทำให้เขาอุตส่าห์มายืนรอรุ่นน้องคนสนิท

“คืนนี้ว่างมั้ย”

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเฮียมีธุระอะไร” เจ้าคนเด็กกว่าทำหน้ากรุ้มกริ่ม

“ไปดื่มกัน”

เพียวเป็นรุ่นน้องที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน อายุห่างจากเขาสองปี พวกเขาสนิทกันอย่างรวดเร็วเพราะไลฟ์สไตล์ที่ใกล้เคียง เขาเคยช่วยเหลืออีกฝ่ายด้านการเรียนไว้มาก ส่วนอีกฝ่ายก็ช่วยเหลือทุกเรื่องที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย งานชมรม หรือแม้แต่เรื่องหนุ่มสาวก็ไม่เว้น ถือว่าเป็นทั้งเพื่อนที่ปรึกษาและเพื่อนดื่มที่ดี

“เลี้ยงปะ”

“อืม”

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของเพียวคือ ‘งก’ มันชอบทุกอย่างที่เป็นของฟรี โดยเฉพาะขนม เขาไม่คิดต่อว่ามันหรอก เพราะเพียวเป็นเด็กกำพร้า โตมาอย่างยากลำบาก ดีที่เป็นคนขยันและเรียนเก่งทำให้ได้ทุนเรียนฟรีจนจบมหาวิทยาลัย

ถึงแม้ตอนนี้เจ้าเด็กนี่จะมีเงินเดือนเลี้ยงดูตัวเองแล้ว แต่ไม่เคยละทิ้งนิสัยเห็นแก่กินเลย โดยเฉพาะเมื่อเจอหน้าเขาก็มักร้องหาขนมทุกครั้ง จนเริ่มจะคิดจริงๆ แล้วว่า เด็กนี่เห็นเขาเป็นแค่เซเว่นหรือเปล่านะ

“ว่างคร้าบ” เพียวตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน แล้วเข้ามากอดแขนประจบรุ่นพี่

“เห็นแก่กินเหมือนเดิม”

“ฮี่ๆ”

เพียวชอบส่งเสียงแปลกๆ เมื่อเจ้าตัวอารมณ์ดี ดวงตากลมโตเป็นประกายใสซื่อมองเขาด้วยความรักและเคารพไม่ต่างจากเดิม

“งานเสร็จแล้วใช่มั้ย”

“อืม ผมไปเอากระเป๋าแป๊บ”

“รอตรงนี้นะ”

ชายหนุ่มมองร่างผอมบางที่เดินหายเข้าไปในห้องทำงานครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกระเป๋าหนังสีดำใบใหญ่ที่สะพายอยู่บนบ่า

“วันนี้ไปร้านไหนอ่ะ”

“The moon ดีมั้ย อาหารอร่อย”

“ดีๆ แต่แพงเว่อร์ ผมเคยไปกับเพื่อนในแผนกครั้งหนึ่ง…หมดตูดเลย”

ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้มบางเมื่อได้ยินเสียงบ่นหงุงหงิงตามประสาคนพูดเก่ง พวกเขาตัดสินใจไปด้วยกัน โดยเขาเป็นคนขับรถเพราะเจ้าเด็กเพียวออกตัวว่าต้องการดื่มให้เต็มที่และคงต้องรบกวนให้แบกกลับไปส่งที่คอนโด

ชายหนุ่มเลี้ยวรถยนต์คันสีขาวเข้ามาจอดในลานว่างร้าน The moon ซึ่งเป็นร้านอาหารกึ่งร้านเหล้า วันนี้คนค่อนข้างเยอะกว่าปกติเพราะเป็นวันศุกร์ พวกเขาจึงตัดสินใจเลือกนั่งโต๊ะด้านในที่มีความส่วนตัว แล้วสั่งอาหารเบาๆ กับเหล้าหนึ่งกลมพอเป็นกระสาย

เพียวเป็นคนพูดเก่ง ทำให้บทสนทนาระหว่างพวกเขาดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและสนุกสนาน ชายหนุ่มอาสาชงเหล้าให้รุ่นน้อง โดยเพิ่มความเข้มขึ้นเรื่อยๆ ต่างจากของตัวเองที่พยายามผสมให้เจื่อจางที่สุด

“ฉันได้ข่าวว่าหมอกวีถูกฆ่าตายเมื่อวันก่อน”

ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหน้าแดงก่ำ ศีรษะโงนเงนไปมาบ่งบอกว่ากำลังเมาได้ที่

“ช่าย ดีแล้ว…อึก ถ้าหมอแบบนี้หายไปให้หมด โรงบาลของเราคงสูงขึ้นเยอะเล้ย”

เพียวตอบด้วยเสียงยานคางพร้อมกับสะอึก แต่มือเล็กยังเกาะกุมแก้วเหล้าไว้แน่นราวกับกลัวว่าเขาจะกระชากมันไป

“เพิ่งรู้ว่านายไม่ชอบหมอกวี”

ชายหนุ่มเอ่ยถามเรียบๆ ว่ากันว่าคนเมามักจะไม่โกหก ดูท่าจะเป็นความจริง เพราะเพียวเป็นเด็กที่รักษามารยาทและคำพูดของตัวเองดีมาก ไม่มีทางเปิดเผยความชอบหรือไม่ชอบในใจเพื่อสร้างศัตรู

“เหอะ ใครชอบบ้าง เฮียเองก็คงดีใจละซี่ ที่หมอกวีตายๆ ไปซะ จะได้ไม่ต้องถูกบังคับให้ทำงานร่วมกับคนแบบนี้ เป็นคนเก่งก็ลำบากนะ เฮ้อ”

“ฉันรู้มาว่านายเป็นคนชันสูตรศพหมอกวี”

เพียวพยักหน้างึกๆ แล้วยื่นแก้วเหล้าในมือที่ว่างเปล่ามาตรงหน้าเขา ชายหนุ่มเหลือบมอง แต่ก็ยอมรับมาชงเหล้าให้อีกฝ่ายโดยดี แต่ลดความเข้มข้นลงเพราะเกรงว่าเจ้าเด็กนี้จะน็อกไปก่อนจะได้ตอบคำถามที่เขาต้องการ

“ช่าย ผมไปดูที่เกิดเหตุมาด้วย สวนหลังโรงบาลเรางายยยเฮีย สภาพเละมาก ถูกตีแล้วก็ใช้เชือกรัดคอให้ตาย แต่พวกตำรวจนี่แม่งก็เร่งชิบหาย พรุ่งนี้วันหยุดแต่ผมต้องรีบปั่นรายงานชันสูตรศพให้เค้าอ่ะ”

“เหรอ ว่าแต่สาเหตุการตายเป็นเพราะอะไร แล้ววิธีการใช้เชือกรัดคอล่ะ…ทำยังไง”

ชายหนุ่มเอ่ยถาม เรียกให้คนเมาผงกศีรษะขึ้นมามองแล้วขมวดคิ้วยุ่ง ตอนแรกเขาคิดว่าเจ้าเด็กนี่เมาหนักเกินกว่าจะตอบได้ แต่ครู่เดียวอีกฝ่ายก็เริ่มพล่ามน้ำไหลไฟดับ ใส่รายละเอียดชัดเจนจนเขาคิดว่ากำลังยืนมองการฆาตกรรมต่อหน้าต่อตา

“ตรงนี้กับตรงนี้อ่าเฮีย”

ยิ่งพูดเพียวก็ยิ่งมันส์ปาก เอื้อมมือข้ามโต๊ะมาจับๆ คลำๆ บริเวณลำคอของรุ่นพี่เพื่อหาจุดที่เชือกรัดลำคอหมอกวี เมื่อเล่าจบก็ยิ้มภูมิใจที่ตนเองความจำดี สามารถถ่ายทอดการชันสูตรออกมาได้มากมายขนาดนี้ เสียดายที่ไม่ได้อัดเสียงไว้ เขาจะได้ลอกคำพูดของตัวเองใส่รายงานส่งให้ตำรวจเลย

“นายมีรูปถ่ายมั้ย”

“มีเซ่ มีทุกๆ อย่างเล้ย บอกแล้วงายต้องเขียนรายงาน”

“นายเก็บไว้ที่ไหนล่ะ”

“ในกระเป๋าของโผม ในรถเฮียงาย แต่ดูไม่ได้นะ มันเป็นความรัก เอ๊ย ความลับของราดชากาน”

ชายหนุ่มขยับยิ้มมุมปาก…ใช่ มันควรเป็นความลับ แล้วเรื่องที่นายเล่าให้ฉันฟัง ไม่เรียกว่าเปิดเผยความลับหรือไงล่ะ

“นายเมามากแล้ว กลับเถอะ ฉันจะไปส่ง”

คนเป็นรุ่นพี่โบกมือเรียกพนักงานมาเก็บเงิน แล้วแบกร่างของรุ่นน้องที่เมาคอพับคออ่อนไปใส่ไว้ในรถ ก่อนจะพาตัวเองขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัยแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ ดวงตาสีดำมืดมิดเหลือบมองคนเมาที่คว้ากระเป๋าหนังของตัวเองมากอดไว้แนบอก…ถึงจะเมาขนาดไหน แต่ก็รู้ว่าควรรักษาเอกสารสำคัญไว้อย่างดีที่สุด

“เพียว”

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเขย่าไหล่บางแรงๆ อีกฝ่ายส่งเสียงแสดงความรำคาญแล้วเริ่มเคี้ยวน้ำลายจนเกิดเสียง

“งืมมมม แจ๊บๆ”

“ไอ้เพียว”

คนเป็นรุ่นพี่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังพอมีสติรับรู้บ้าง…ทำไมนายไม่ทำให้มันง่ายขึ้นด้วยการเมาแล้วหลับไปซะ

“จานอน”

ได้นอนสมใจแน่…

ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองที่วางทิ้งไว้บนเบาะหลังมาเปิด แล้วหยิบขวดแก้วที่บรรจุของเหลวใสออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดหน้า นัยน์ตาเหลือบมองดวงหน้าใสของรุ่นน้องที่กำลังหลับตาเอนศีรษะพิงประตู เขาเปิดฝาขวดแก้วแล้วเทของเหลวที่มีฤทธิ์ทำให้สลบใส่ผ้าเช็ดหน้า ก่อนจะค่อยๆ กดปิดลงบนจมูกและปากของรุ่นน้อง อีกฝ่ายดิ้นอึกอักแต่ไม่ได้ลืมตาก่อนจะนิ่งสนิทอย่างรวดเร็ว







TBC.



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2018 22:50:42 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
เซอร์ไพรซ์​กับตอนนี้มากอาเฮีย​ เกี่ยวอะไรด้วยคะ​ เดาไม่ถูก​เลยเหมือนจะใบ้ให้นะแต่ยังเดาทางไม่ออกว่าหมอกายคนกัยอาเฮีย​ ใครฆ่าหมอกายผีที่ชื่อกวี​ แล้วหมอกวีทำไมสมควรโดนฆ่าอ่ะ​ อยากรู้​แรงจูงใจ​ในการฆ่ามากๆค่ะ​

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
คิดตามไม่ทัน5555

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0


ตอนที่ 14



ตึง ตึง ตึง
ตึง…
เสียงฝีเท้าที่ดังเกินมาทำให้หมอกายต้องชะงักหยุด นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองบริเวณรอบๆ ลานจอดรถของโรงพยาบาลเซนต์โทมัสในเวลาสองทุ่มเงียบเสียจนได้ยินเสียงของแมลงเล็กๆ เสาไฟฟ้าซึ่งทำหน้าที่ให้แสงสว่างมีระยะห่างเกินไปทำให้แทบมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากเงามืดของรถยนต์หลายสิบคัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รับรู้ได้ว่ามีคนสะกดรอยตาม อันที่จริงเขารู้ตัวมาหลายวันแล้ว เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายประสงค์อะไร อาจจะเป็นพวกตำรวจ หรือไม่ก็….
“หมอ!”
“น้ารุ่ง สวัสดีครับ”
ร่างสูงหันไปตามเสียงเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ น้ารุ่งคืนหัวหน้ายามของโรงพยาบาลเซนต์โทมัส เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีเพราะอีกฝ่ายเข้ามาทำงานพร้อมกับเขา
“เพิ่งเลิกงานเหรอหมอ”
“ครับ”
อันที่จริงแล้ว งานของจิตแพทย์ค่อนข้างเป็นเวลา แต่จะมีบางครั้งที่อาการบ้างานของเขากำเริบ ทำให้เผลอนั่งแช่อยู่ที่โรงพยาบาลนานหลายชั่วโมงเพื่อจัดการเคสของคนไข้ให้เสร็จ แต่ช่วงหลังๆมานี้ เขาไม่ค่อยได้โหมงานหนักเพราะมีคนรอให้กลับไปกินมื้อเย็นด้วยกัน มันให้ความรู้สึกที่ดีและอบอุ่นมาก
“ถ้าคราวหน้าหมอเลิกงานมืดๆแบบนี้อีก เรียกได้นะครับ ผมจะเดินไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับได้”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกหมอ ผมต้องคอยระวังเป็นพิเศษอยู่แล้ว ไม่อยากให้มีใครเป็นอะไรอีก”
“ขอบคุณมากครับ”
กายเหลือบมองน้ารุ่งที่อาสาเดินไปส่งเขาที่รถ อีกฝ่ายใช้ไฟฉายส่องไปรอบๆด้วยความระแวดระวัง ส่วนอีกมือกระชับกระบองสีดำไว้แน่นราวกับว่าเจ้าตัวพร้อมจะใช้มันทุกเมื่อที่เกิดอันตราย
“ผมขอตัวก่อนนะ”
กายผงกศีรษะเป็นการบอกลาเมื่อพวกเขามาหยุดยืนข้างรถเบนซ์สีดำ สมองสั่งให้หันไปมองทางด้านหลังอีกครั้ง เขาคิดว่าคนที่เดินตามมาตั้งแต่เขาก้าวเท้าออกจากโรงพยาบาลคงจะล่าถอยไปแล้ว
“ขับรถดีๆนะครับ”
จิตแพทย์หนุ่มกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วพาตัวเองขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัยสตาร์ตเครื่องยนต์ก่อนจะพายานพาหนะคู่ใจทะยานกลับสู่ที่พัก


ชนกันต์นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นข้างเตียง นัยน์ตาสีน้ำตาลเหม่อมองสายฝนที่โปรยปรายเบาๆผ่านหน้าต่างห้องนอน  วันนี้อากาศในยามค่ำเย็นชื้นเพราะฝนที่ตกติดต่อกันมานานหลายชั่วโมง ทำให้ร้านอาหารและร้านขายของแถวอพาร์ทเม้นท์ต่างพากันปิดประตูแล้วซุกกายอยู่ด้านในเพื่อรับความอบอุ่น
ชายหนุ่มใช้มือสองข้างลูบต้นแขนที่เย็นเฉียบแล้วถอนหายใจเบาๆ วันนี้หมอกายโทรมาบอกว่าจะกลับดึก ให้เขากินมื้อค่ำโดยไม่ต้องรอ เขายอมรับว่ามันค่อนข้างงี่เง่าที่ตนเองวางสายด้วยความไม่พอใจ ทั้งที่เมื่อก่อนเขาก็กินข้าวคนเดียวบ่อยๆ แต่ไม่รู้ทำไมการที่วันนี้ต้องนั่งกินข้าวคนเดียวจึงเหงามากเหลือเกิน
ชนกันต์เปิดลิ้นชักตู้ข้างเตียง แล้วหยิบกล่องเก็บของใบเล็กๆออกมาเปิด ด้านในมีกระดาษโน้ตสีฟ้าหลายสิบแผ่นถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี มันคือข้อความสั้นๆที่ทำให้หัวใจซึ่งเคยเงียบเหงาได้รับความอบอุ่น
ข้อความที่ถูกแปะไว้บนประตูห้องเกือบทุกวัน
ข้อความที่เขาเพิ่งรับรู้ได้ไม่นานว่ามาจาก…หมอกาย
“กันต์…”
เสียงเรียกแผ่วเบาที่ดังขึ้นข้างใบหู ทำให้ชนกันต์ละสายตาจากของในมือแล้วมองไปรอบๆห้อง ก่อนจะสะดุ้งจนเกือบแหกปากลั่นเมื่อเห็น ‘หมอของเขา’ นั่งกอดเข่าอยู่ไม่ไกลในมุมมืด ให้ตายเถอะ ถึงจะเห็นภาพหลอนทุกวันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาชินกับการที่อีกฝ่ายปรากฎให้เห็นแบบไม่ทันตั้งตัว
“ผมไม่อยากเห็นคุณแล้ว”
ชนกันต์ว่าฉุนๆ เขาเริ่มประสาทเสียแล้ว ทำไมรักครั้งแรกของเขาถึงไม่ปกติเหมือนคนอื่นนะ ทั้งที่พยายามจะตัดใจ แต่อีกฝ่ายก็ตามมาวนเวียนอยู่รอบตัวได้ทุกวัน แล้วเมื่อไรเขาจะตัดใจได้ซะที
“ทำไม”
ชนกันต์เกลียดคำถามที่มาพร้อมสีหน้าเจ็บปวดของหมอ…คุณเป็นแค่ภาพหลอน มีสิทธิอะไรมาทำให้ผมรู้สึกผิด
“คุณไม่มีจริง”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่มีจริง”
“ไม่มีใครเห็นคุณนอกจากผม”
ชนกันต์หลุบตามองพื้น ถ้าหมอของเขามีตัวตนอยู่ในโลกจริงๆ เขาจะไม่ลังเลเลยที่จะคบหาในฐานะแฟน
“รู้มั้ยว่าผมดีใจแค่ไหนที่คุณคุยกับผม…คุณเห็นผม”
ถ้าการปฏิเสธคนที่รักคุณเป็นสิ่งที่ยาก ชนกันต์คิดว่าการปฏิเสธคนที่คุณรักเป็นสิ่งที่ยากกว่า…แต่เขาต้องมีชีวิตอยู่บนโลกความจริง เขาต้องการความรักที่มีอยู่จริงเท่านั้น
“ผมตัดสินใจแล้วหมอ…คุณอยู่ส่วนของคุณ ผมจะอยู่ส่วนของผม”
“แต่ผมอยากอยู่กับคุณ”
ชนกันต์ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดี เพราะงั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นร่างสูงคุ้นตาได้โดยไม่รู้สึกผิด มือเรียวคว้าสมาร์ทโฟนที่โยนทิ้งไว้บนเตียงมากดเข้าแอปพลิเคชั่นไลน์แล้วส่งข้อความหาหมอกาย
Chanakan kan : นอนหรือยังครับ?
ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า ชนกันต์คิดว่าหมอกายยังไม่นอน แต่เขาไม่รู้ว่าควรถามอะไรที่ดีกว่านี้ เพราะปกติแล้วพวกเขาแทบไม่ส่งข้อความหากันเลย อย่างมากก็แค่ถามว่าเย็นวันนี้อยากกินอะไร
ชนกันต์ทิ้งตัวนอนเหยียดยาวบนเตียงนุ่ม ใช้ปลายนิ้วเลื่อนไทม์ไลน์ในเฟซบุ๊กผ่านๆเพื่อติดตามข่าวบันเทิง และประมาณเกือบสิบนาทีต่อมาเขาก็ได้รับการตอบกลับข้อความจากหมอกาย
TA Taywin : คุณนอนไม่หลับหรือ
Chanakan kan : อืม
Chanakan kan : หมอทำอะไร ทำไมไม่นอน
หมอกายกดอ่านข้อความทันที่ ก่อนจะตอบกลับมาด้วยภาพถ่ายกระป๋องเบียร์สีเขียวที่วางอยู่บนพื้น คาดว่าหมอคงกำลังนั่งดื่มอยู่หน้าระเบียงแน่ๆ
TA Taywin : มาดื่มกับผมมั้ยครับ
ชนกันต์ชั่งใจครู่หนึ่ง อันที่จริงวันนี้เขายังไม่ได้เห็นหน้าหมอกายเลย การได้เห็นหน้าอีกฝ่ายและพูดคุยกันในตอนเย็น ทำให้เขานอนหลับสนิทแถมไม่เห็นภาพหลอนด้วย จะว่าไปหมอกายก็ไม่ต่างจากยารักษายี่ห้อหนึ่งเหมือนกัน
Chanakan kan : ตกลงครับ
ชนกันต์หยิบสมาร์ทโฟนและกุญแจติดมือไปด้วย เขาวิ่งมาหยุดยืนหน้าห้อง 710 แล้วยกมือเคาะประตูเบาๆ รอไม่นานหมอกายก็เดินมาเปิดประตูให้ อีกฝ่ายอยู่ในชุดนอนกางเกงขายาวเข้าชุดกับเสื้อเชิ้ตแขนสั้น ผมสีดำยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แต่มันกลับทำให้ดูอ่อนเยาว์กว่าปกติสักสิบปี
“เข้ามาสิครับ”
ชนกันต์เดินไปทรุดนั่งบนพื้นหน้าระเบียง ข้างๆมีเบียร์สองกระป๋องที่ถูกเปิดดื่มไปแล้ววางอยู่ เขาเพิ่งรู้ว่าหมอกายมีมุมอินดี้แบบที่ซื้อเบียร์มาดื่มคนเดียว อันที่จริงแล้วเขาไม่เคยแตะต้องแอลกอฮอล์เลย แต่ก็พอจะรู้มาว่าบางคนไม่ชอบนั่งดื่มคนเดียวแต่เลือกที่จะไปผับหรือบาร์แทน
“ดื่มสิครับ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบไปมองร่างสูงที่ทรุดนั่งบนพื้นข้างๆ ในมือมีเบียร์สองกระป๋อง หมอกายเปิดฝากระป๋องหนึ่งแล้วยื่นมาให้เขา ก่อนจะหันไปเปิดอีกกระป๋องแล้วยกขึ้นดื่ม
“ขอบคุณครับ”
ชนกันต์ยกเบียร์ขึ้นจิบ รสชาติขมปร่าไหลผ่านลำคอทิ้งความนุ่มแปลกๆไว้บนปลายลิ้น รสชาติไม่ได้แย่อย่างที่คิดแต่เขาไม่ชอบเลย ไม่รู้ทำไมหลายคนจึงนิยมดื่ม
ชายหนุ่มหันไปมองหมอกายที่นั่งอยู่ข้างๆ สายตาของอีกฝ่ายทอดมองความมืดมิดภายนอก ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงฝนกระทบหลังคาและแมลงกลางคืนที่กำลังส่งเสียงให้ได้ยิน ภายในห้องค่อนข้างสลัวเพราะหมอกายเปิดไฟแค่หนึ่งดวง แต่แสงสว่างไม่ใช่สิ่งจำเป็นในตอนนี้ ในเมื่อพวกเขาต้องการเพียงนั่งดื่มและพูดคุยกันเท่านั้น
“คุณไม่ชอบดื่มเหรอครับ”
กายถามเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกของคนเด็กกว่า เจ้าตัวเอาแต่มองหน้าเขานิ่งๆ แล้วกำกระป๋องเบียร์ในมือแน่นเสียจนเขาเกรงว่ามันจะบิดเบี้ยวคามือ
“ผมเพิ่งเคยดื่มครั้งแรก”
ชนกันต์ยอมรับ แต่เขายังไม่อยากถูกไล่กลับห้องตอนนี้จึงกลั้นใจยกเบียร์ขึ้นดื่มอีกจนเกือบครึ่งกระป๋อง
“ไม่น่าเชื่อ”
“ผมดูเป็นคนชอบเที่ยวชอบดื่มเหรอ”
กายหัวเราะเบาๆเมื่อคนเด็กกว่าขมวดคิ้วยุ่ง
“ผมหมายถึงไม่น่าเชื่อว่าจะรอดมาได้ ไม่โดนรุ่นพี่ที่มหาลัยแกล้งบ้างเหรอ”
การเป็นวัยรุ่นในช่วงมหาลัยของชนกันต์ถือว่าเสียเปล่า มันจืดชืดไม่ต่างจากช่วงมัธยมเลย เขาไม่เคยก้าวเท้าเข้าไปในสถานที่อโคจรแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีทั้งประสบการณ์ในการเที่ยวกลางคืน การดื่ม หรือแม้แต่เรื่องเพศ
เพื่อนร่วมสาขาสมัยมหาลัยคนหนึ่งเคยแซวว่าอีกเดี๋ยวชนกันต์ก็คงจะออกบวช ละทิ้งทางโลกแล้ว แต่เขารู้ดีว่าตัวเองมีความอยากรู้อยากลองไปต่างจากคนอื่น…เขาอยากเที่ยว อยากดื่มเพียงแต่ไม่เคยมีใครชวน เพราะทุกคนคิดว่าเขาเป็นเด็กอนามัยและไร้เดียงสาเกินไป เขาอยากรู้อยากเห็นเรื่องเพศ แต่ไม่เคยมีผู้หญิง หรือผู้ชายคนไหนชายตาแลเขาเลย แล้วจะให้ไปหาประสบกามพวกนี้ได้ที่ไหนนอกจาก Google ผู้เป็นมิตรแท้
“ไม่ครับ ผมเป็นคนน่าเบื่อ ปกติก็ไม่ค่อยมีใครมาสนใจอยู่แล้ว”
“แต่ผมสนใจคุณนะ”
ชนกันต์ชะงักเมื่อได้ยินคำพูดตรงๆของอีกฝ่าย สายตาของหมอกายไม่มีวี่แววของการล้อเล่นเลย ไม่รู้ว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่า แต่เขาเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องหนีดื้อๆ
“แล้วทำไมวันนี้หมอดื่มล่ะครับ หรือมีเรื่องเครียด”
“ประมาณนั้น”
หมอกายยอมรับง่ายๆ แต่ไม่ได้ขยายความถึงความเครียดของตนเอง ซึ่ง     ชนกันต์คิดว่าไม่ควรยุ่งจะดีกว่า
“งั้นสมัยเรียน หมอดื่มบ่อยมั้ย”
“ก็ค่อนข้างบ่อย”
ชนกันต์เลิกคิ้ว ยอมรับว่าแปลกใจเพราะบุคลิกนุ่มนวลและน่าเชื่อถือของอีกฝ่ายไม่ได้เหมาะกับแอลกอฮอล์หรือสถานบันเทิงเลย แต่ก็นะ หมอกายก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน จะเคยดื่มเคยเที่ยวคงไม่ใช่เรื่องแปลก เขาต่างหากที่จัดว่าแปลก
“มองหน้าผมทำไม หรือหลงเสน่ห์?”
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบ เขาเผลอมองเสี้ยวหน้าของหมอกายนานเกินไป ทำให้อีกฝ่ายเอ่ยแซวขำๆแต่มันน่าหมั่นไส้ชะมัดเลย
“หลงตัวเอง”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ชนกันต์รู้ว่าหมอกายมีดีให้หลง แค่มองจากภายนอกก็เรียกได้ว่า ‘ดึงดูด’ มากแล้ว ยิ่งรู้จักยิ่งรู้ว่าหมอเป็นคนที่ดูแลคนใกล้ตัวได้ดีมาก
“สมัยเรียนหมอคงมีสาวติดเยอะเลยใช่มั้ยครับ”
“แน่นอน” หมอกายยอมรับ แต่เมื่อเห็นชนกันต์แบะปากใส่ก็เอ่ยถามยิ้มๆ
“ไม่เชื่อเหรอ”
“เชื่อสิครับ หมอหล่อขนาดนี้”
“นั่นสิ หล่อขนาดนี้คุณยังไม่ชอบ ผมควรทำยังไงดี”
หมอกายพึมพำแล้วใช้มือลูบปลายคาง…นั่นสิ นิสัยก็ดีออกขนาดนี้ ทำไมยังไม่มีแฟน?
“หมอไม่มีคนที่ชอบเหรอ”
ชนกันต์ถามตรงๆ อันที่จริงหมอกายไม่ควรรอดมาได้จนอายุขนาดนี้ แต่เมื่ออีกฝ่ายหันมายิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนกับจะบอกว่า ‘คุณก็รู้นี่ว่าผมชอบใคร’ เขาจึงต้องรีบขยายความในคำถาม
“ผมหมายถึงคนอื่น”
“ถ้าก่อนที่ผมจะชอบคุณ ก็มีอยู่คนหนึ่งครับ เป็นน้องรหัสของผมเอง ผมชอบเขามาสี่ปีเต็มๆ”
“ผู้หญิงหรือผู้ชายครับ”
“ผู้ชายครับ”
“แล้วไม่ได้คบกันเหรอ”
“ไม่ครับ เขาไม่ได้ชอบผม เป็นผมที่ชอบเขาข้างเดียว…โง่ใช่มั้ย”
“ไม่หรอกครับ”
ชนกันต์ส่ายหน้า เขาเห็นใจในความอดทนของหมอกาย แต่ถ้าเด็กผู้ชายคนนั้นไม่ยอมใจอ่อนเสียทีก็อาจเป็นเพราะว่าเจ้าตัวไม่ได้มีรสนิยมชมชอบไม้ป่าเดียวกันก็ได้
“แล้วหมอเคยชอบผู้หญิงมั้ย”
“แฟนทุกคนของผมเป็นผู้หญิงนะ แล้วคุณกันต์ละครับ ชอบผู้ชายมั้ย”
“อืม”
ชนกันต์ครางรับในลำคอ นัยน์ตาสีน้ำตาลหลุบมองพื้นระเบียง
“อันที่จริงผมต่างหากที่โง่ หมอแค่ชอบคนที่ไม่ได้ชอบหมอ แต่ผมสิ…”
ชายหนุ่มลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็เลือกที่จะสารภาพกับอีกฝ่ายไปตามตรงว่าอะไรคือสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจตอนนี้
“ผมชอบคนที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลก”
“คนที่คุณชอบ…”
หมอกายนิ่งเงียบเพื่อคิดหาคำพูด ก่อนจะเอ่ยถามช้าๆ
“คือคนที่คุณ ‘เห็น’ ใช่มั้ยครับ”
“อืม”
ชนกันต์พยักหน้า คาดว่าหมอกายคงจะเริ่มวินิจฉัยอาการทางจิตของเขาอีกครั้ง แต่น่าแปลกที่อีกฝ่ายทำเพียงทอดมองเขาอย่างอ่อนโยนแล้วพึมพำด้วยรอยยิ้ม
“ฟังแล้วเจ็บเหมือนกันนะครับ แต่ผมรอได้”
“หมอ”
“ผมอยากรอ…หวังว่าสักวันคุณจะเห็นผมอยู่ในสายตาบ้าง”
“ไม่เห็นต้องพูดแบบนี้เลย ผมก็เห็นหมอในสายตานะครับ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดมองดวงหน้าของจิตแพทย์หนุ่ม เขาเห็นหมอกายมาโดยตลอด เพียงแค่ยังไม่อยากคบหาในฐานะแฟนเท่านั้นเอง
“แล้วอยู่ในใจละครับ พอจะเป็นไปได้หรือเปล่า”
เมื่อเห็นว่าชนกันต์ไม่ตอบ หมอกายก็แสร้งถอนหายใจแล้วบ่นติดตลก นัยน์ตาสีนิลของหมอที่เหลือบมามองเขามีแววหม่นหมอง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเลี่ยงการแสดงความรู้สึกด้วยการหันหน้าไปมองความมืดมิดภายนอกระเบียง
“ผมเป็นคนหน้าตาดีที่อาภัพจริงๆเล้ย ชอบใครเขาก็ไม่ชอบตอบ”
“ผมรู้สึกดีกับหมอนะ หมอเป็นคนดีมากเลยครับ”
ชนกันต์เอื้อมมือไปรั้งแขนคนที่นั่งอยู่ข้างๆให้หันมาสบตาเขา
“ไม่อยากเป็นคนดีเลยครับ”
“เพิ่งรู้ว่าหมอต่อปากต่อคำเก่ง”
ชนกันต์ขยับยิ้ม ยอมรับว่าดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของหมอกาย มันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว แต่เขายินดีให้หมอรอจนกว่าเขาจะมั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง
“กันต์”
“หืม”
“ผมเคยรอคนๆหนึ่งมาสี่ปี ผมก็จะรอคุณสี่ปีเหมือนกัน ถ้าคุณไม่ชอบ ผมจะตัดใจ”
“ครับ”
นัยน์ตาสีนิลทอดมองเด็กหนุ่มที่กำลังก้มหน้างุดๆมองพื้น ใบหน้าขาวแดงเรื่อดูน่ารักมากเสียจนกายห้ามใจตัวเองไม่ไหว เอื้อมมือไปประคองใบหน้าอีกฝ่ายให้เงยขึ้นก่อนจะแตะจุมพิตแผ่วเบาลงบนแก้มใส
“ค่ารอครับ”
ชนกันต์ชะงัก ร่างกายนิ่งค้างเหมือนถูกสาปให้เป็นหิน นัยน์ตาสีน้ำตาลตวัดมองค้อนหมอกายที่หาข้ออ้างบ้าๆมาใช้ในการเอาเปรียบ
“ที่จริงแล้ว ผมต้องรอคุณถึงสี่ปี น่าจะได้กำลังใจมากกว่านี้อีกนิดนะครับ ช่วงนี้หัวใจผมยิ่งบอบบางอยู่ด้วย”
ชายหนุ่มเม้มปากเมื่อได้ยินคำเจรจาต่อรองจากหมอกาย ให้ตายสิ เพิ่งรู้นะว่าหมอเป็นคนบ้าผลประโยชน์
“ไม่อยากรอก็ไม่ต้องรอสิครับ”
“อย่าพูดแบบนี้กับคนที่สารภาพรักกับคุณสิครับ อยากให้ผมเจ็บมากนักหรือไง”
ชนกันต์รู้สึกผิด ไม่คิดว่าคำพูดพล่อยๆของตัวเองจะทำให้นัยน์ตาสีนิลฉายความเจ็บปวด แม้จะเพียงครู่เดียวก็ตาม ถ้าหมอกายเปลี่ยนใจไม่รอเขาแล้ว เขาอาจจะเป็นฝ่ายที่ต้องเสียใจก็ได้ ชนกันต์เป็นคนจืดจาง การที่ใครสักคนจะสังเกตเห็นและมอบแสงสว่างให้เป็นเรื่องยาก เขาไม่อยากเสียแสงสว่างดวงใหญ่นี้ไป
ชนกันต์โน้มใบหน้าเข้าไปประกบริมฝีปากของหมอกาย รสจูบนุ่มนวลแผ่วเบาทำให้คนถูกกระทำชะงัก ชนกันต์ยอมรับว่าจูบไม่เป็น ลมหายใจของเขาสั่นระริกเพราะความประหม่า กำลังตัดสินใจว่าควรผละออกมาด้วยเกรงจะทำให้หมอกายรู้สึกไม่ดี ก็พอดีกับที่หมอขยับตัว มือใหญ่เอื้อมมาประคองท้ายทอยของเขาเพื่อบังคับทิศทางก่อนจะเริ่มบดเบียดริมฝีปากเข้าหาอย่างแนบแน่น สลับกับขบเม้มดูดดื่มจนเกิดเสียง
ชนกันต์หอบหายใจ ดวงหน้าแดงก่ำขณะที่ใช้มือยึดเกาะท่อนแขนของอีกฝ่ายไว้แน่น เขารู้สึกเสียววูบวาบในท้องน้อยทั้งที่หมอกายเพียงแค่ป้อนจูบ แต่เป็นจูบที่ร้อนแรงและบ่งบอกได้ถึงการผ่านสนามรักมามาก
หมอกายผละจากริมฝีปากของชนกันต์ ปลายจมูกโด่งสวยคลอเคลียไม่ห่างจากปลายจมูกของเขาแล้วกระซิบแผ่วเบา
“ผมขอโทษ”
ชนกันต์สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นจากร่างของอีกฝ่าย หมอกายหอบหายใจราวกับกำลังข่มอารมณ์ความรู้สึกที่พุ่งพล่าน
“ผมต่างหากต้องขอโทษ” ชนกันต์กระซิบตอบ
“รู้สึกดีหรือเปล่า”
ชนกันต์พยักหน้า นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นสบตาหมอกายที่กำลังแสดงความปรารถนาอย่างไม่ปิดบัง หมอขยับริมฝีปากจูบเขาอีกครั้งด้วยจังหวะเนิบช้า ดูดดึงหนักๆในบางครั้งราวกับกำลังละเลียดกินของหวาน
“เปิดปากหน่อยสิครับ”
ชนกันต์เผยริมฝีปากตามคำขอของหมอกาย เขารู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นของลิ้นร้อนที่ไล้เลียบนริมฝีปากก่อนจะสอดแทรกเข้ามาภายในช้าๆ ชายหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์เผลอสะดุ้งเมื่อลิ้นซุกซนเริ่มขยับควานหาความหวานล้ำในโพรงปาก มันกำลังเกี่ยวพันกับลิ้นของเขาอย่างลึกซึ้ง
นานเสียจนเกือบจะหายใจไม่ทัน หมอกายจึงได้ถอนจูบออกมา รสสัมผัสเปียกชื้นทำให้เขาหลุบตามองริมฝีปาก ก่อนจะหน้าแดงก่ำด้วยความละอายเมื่อเห็นว่ามีน้ำใสไหลเยิ้มจากริมฝีปากของพวกเขา
“คุณอยากต่อหรือเปล่า”
ชนกันต์เป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่น เขาอยากได้ความรักจากใครสักคนมาทดเเทนความรู้สึกที่ขาดหายในจิตใจ ชนกันต์ชอบความอ่อนโยนของหมอกาย เเต่ในขณะเดียวกันคนเห็นแก่ตัวอย่างเขาก็รู้ดีว่าหัวใจยังลบภาพใครอีกคนออกไปไม่ได้ แต่แน่นอนว่าเขาย่อมเลือกหมอกาย คนที่สามารถจับต้องได้ สัมผัสได้ชัดเจนถึงการมีอยู่จริง เขาสามารถนั่งกินข้าวกับหมอ ไปเที่ยวกับหมอ และจูบกับหมอ มันเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนต่างจาก ‘หมอของเขา’ ที่แผ่วเบาราวกับอากาศ
“อยาก”
แม้ชนกันต์จะไร้ประสบการณ์แต่ไม่ได้หมายความว่าไร้เดียงสา เขาเข้าใจคำถามของหมอกาย และรับรู้ได้ถึงความรุ่มร้อนในร่างกายของตัวเอง จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธความต้องการนี้ เขายอมรับและซื่อตรงกว่าที่ตัวเองคาดคิด
“แล้วหมอ…อยากต่อมั้ยครับ”
“อย่าอ่อยผม แค่นี้ก็หลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วครับ”
หมอกายพึมพำแล้วยื่นใบหน้ามากัดปลายจมูกของเขาเบาๆอย่างมันเขี้ยว
“ผมเปล่า”
ชนกันต์แย้ง เขาไม่ได้อ่อย แต่กำลังเกิดความต้องการทางร่างกายเพราะจูบเร่าร้อนที่อีกฝ่ายมอบให้
“ผมยี่สิบสามแล้ว ผมอยากลอง…”
“คุณมันน่าโดนจริงๆเลยกันต์”
หมอกายว่า ขณะที่ริมฝีปากชื้นกดจูบไปตามหน้าผาก แก้มทั้งสองข้าง และปลายคาง
“หมอเคยมีเซ็กซ์มั้ย”
ชนกันต์คิดว่ามันเป็นคำถามโง่ๆ คงมีแต่เขาเท่านั้นล่ะที่ไม่เคยมี
“เคยกับผู้หญิง”
“แล้วหมอรังเกียจหรือเปล่า”
ชายหนุ่มรู้สึกกังวล เขารู้ว่าผู้ชายกับผู้ชายร่วมเพศกันอย่างไร เขาเคยศึกษามาบ้างจากใน DVD ผู้ใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าความชอบที่หมอกายมีให้เขา จะมากพอให้อีกฝ่ายทำรักได้หรือเปล่า แต่ดูท่าว่าเขาจะคิดมากเกินไปเมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาคลอเคลียริมฝีปากพร้อมกระซิบแผ่ว
“ถ้าเป็นคุณกันต์ ผมไม่รังเกียจหรอกครับ”




TBC.





ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เด่ววววว ก้อได้หรา

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0


ตอนที่ 15


ชนกันต์ทิ้งแผ่นหลังลงบนเตียงนุ่มเมื่อถึงจุดสุดยอด ขาสองข้างอ้าออกกว้างเพราะช่องทางรักยังถูกหมอกายรุกล้ำเข้าออกรุนแรง ร่างสูงกระตุกเกร็งก่อนจะหลั่งน้ำอุ่นร้อนเข้ามาภายใน ใบหน้าของหมอกายที่เชิดขึ้นตอนถึงจุดสุดยอดดูเซ็กซี่มากเสียจนเขาเผลอเอื้อมมือไปลูบไล้หน้าท้องแกร่งเบาๆ หมอไม่ได้รีบถอนตัวตนออกไปจากร่างกายของเขาทันที แต่แช่ไว้นิ่งๆภายในแล้วโน้มตัวลงมากดจูบไปทั่วใบหน้าด้วยความอาวรณ์
“เจ็บมากหรือเปล่าครับ”
เสียงกระซิบอ่อนโยนทำให้หัวใจของชนกันต์สั่นสะท้าน ดวงหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย อดคิดไม่ได้ว่าคืนต่อๆไปจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกหรือไม่ เขาไม่โทษหมอกายที่ชักชวนให้ลิ้มลองรสชาติของกามอารมณ์ เพราะตอนที่ทำกันก็ดูเหมือนเขาจะให้ความร่วมมืออย่างดี ไม่ต้องพูดถึงการแอ่นสะโพกเข้าหาอีกฝ่ายหรอก
“ผมไม่เป็นไรครับ”
ชนกันต์พึมพำแล้วก้มหน้าต่ำ เกิดอาการไม่กล้าสบตาหมอกายขึ้นมาดื้อๆ นี่แหละน้าที่เรียกว่า…ก่อนทำไม่คิด แต่จะมาคิดหลังทำเสร็จ…ไม่รู้ว่าจากนี้จะมองหน้ากันติดหรือเปล่า
“อ๊ะ”
ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อร่างสูงดึงตัวตนออกจากร่างกาย เขารู้สึกว่ามันโล่งๆและเจ็บแสบที่ผนังถ้ำด้านใน ขาสองข้างสั่นระริกไร้เรี่ยวแรงอ้าค้างในท่าเดิมแม้ว่าหมอกายจะขยับลงจากเตียงไปสวมกางเกงนอนแล้วก็ตาม
“ผมทำให้คุณรู้สึกดีหรือเปล่าครับ”
กายเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าตาแดงก่ำกับน้ำตาที่เปรอะเปื้อนเต็มใบหน้าของ    ชนกันต์ ริมฝีปากบางสั่นระริกขณะที่เจ้าตัวพยักหน้ารับ เขายกมือลูบผมนุ่มเบาๆแล้วหายเข้าไปล้างตัวในห้องน้ำและกลับออกมาพร้อมผ้านุ่มชุบน้ำหมาดๆ
“หลับไปเลยก็ได้นะ ผมจะเช็ดตัวให้”
กายทอดมองร่างเปลือยเปล่าที่พริ้มตาหลับ แผ่นอกบางสะท้านขึ้นลงตามการหายใจ ชนกันต์ดูจะตัวเล็กกว่าที่เขาคิดเมื่อเจ้าตัวเปลือยเปล่า ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำ ขาสองข้างอ้าค้างในท่าเดิมราวกับเจ้าตัวหมดเรี่ยวแรงจะขยับ แต่มันกลับยั่วยุอารมณ์คนมองโดยไม่ตั้งใจ ดูท่าว่าเขาจะรุนแรงกับช่องทางรักมากเกินไป มันปวมแดงและมีของเหลวขาวขุ่นไหลซึมออกมาในปริมาณที่มาก
“อึก ฮืออ”
ความเย็นจากผ้าที่ลูบไล้ไปตามร่างกายทำให้ชนกันต์รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะครางประท้วงในลำคอเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างรุกล้ำเข้ามาในช่องทางบอบช้ำ
“เจ็บ”
“ชู่ ไม่เป็นไรนะ”
ชนกันต์ปรือตามองร่างสูงใหญ่ที่โน้มใบหน้ามาจุมพิตบนหน้าผากเบาๆ หมอกายสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางที่เพิ่งผ่านการร่วมรักของเขาเพื่อทำความสะอาดคราบคาว แม้ว่านิ้วมือจะขยับอย่างอ่อนโยนแต่มันก็เจ็บจี๊ดไปทั่วโพรงถ้ำจนน้ำตาไหล…ตอนทำไม่เห็นเจ็บแบบนี้ แต่ตอนทำเสร็จโคตรเจ็บเลย
“คุณอ่อนโยนกับคู่นอนทุกคนเลยเหรอครับ”
ชนกันต์เอ่ยถามเสียงแผ่วเมื่อร่างสูงใช้นิ้วมือเช็ดน้ำตาให้เขาเบาๆ หมอกายรั้งเรียวขาให้วางราบลงบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มผืนนุ่มขึ้นมาคลุมร่างกายให้เขา
“คุณหมายถึง คนที่ผมนอนด้วยแต่ไม่ใช่แฟน?”
“ครับ”
ชนกันต์ไม่ได้โง่ เขาดูออกว่าหมอกายเคยผ่านประสบการณ์บนเตียงมาพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงจะทำให้เขารู้สึกดีขนาดนี้ไม่ได้ ทั้งที่เขาก็เป็นผู้ชายคนแรกของอีกฝ่าย
“ถ้าไม่ใช่แฟนก็แค่ทำให้เสร็จแล้วแยกย้ายกันไป”
อีกฝ่ายไม่ได้โกหก แต่เลือกที่จะยอมรับตรงๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วรั้งตัวของเขาเข้าไปในอ้อมกอด
“นอนซะ”
ชนกันต์สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบนร่างกายที่กำลังถูกแทรกซึมเข้ามาในหัวใจช้าๆ เขาขยับตัวซุกหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง รู้สึกปลอดภัยกว่าทุกคืนที่เคยหลับตานอนตามลำพัง เขาชอบกลิ่นอายของหมอกาย ชอบสัมผัสจากฝ่ามือที่ขยับลูบศีรษะแผ่วเบา และชอบความร้อนจากร่างกายใหญ่ที่แนบชิดกับร่างกายของเขา ชอบความรู้สึกที่มีใครสักคนอยู่ใกล้ๆ เขาอยากลืมตาตื่นนอนแล้วพบกับใครสักคนที่อยู่เคียงข้างในทุกวัน


“คุณกันต์ครับ”
แรงเขย่าบริเวณหัวไหล่ทำให้ชนกันต์ครางอื้ออ้าในลำคอ ขยับตัวหนีแสงสว่างที่ส่องกระทบเปลือกตาก่อนจะสะดุ้งเมื่อรู้สึกเจ็บเสียดบริเวณท่อนล่าง
“ฮือออ”
ชนกันต์หลับตาปี๋แล้วพลิกตัวนอนคว่ำ เอาหน้าซุกหมอนขณะที่สมองค่อยๆประมวลผลว่าเมื่อคืนเขาไปทำอะไรมาถึงได้เมื่อยล้าไปทั้งตัว โดยเฉพาะก้นของเขาที่ระบมเป็นพิเศษ
“กันต์”
เสียงนุ่มที่กระซิบเรียกข้างหูทำให้คนขี้เซาขมวดคิ้วยุ่ง เขาจำได้ว่าเป็นเสียงหมอกาย แต่ที่จำไม่ได้คือทำไมหมอมาอยู่ในห้องของเขา…ไม่สิ จมูกของชนกันต์เริ่มรับกลิ่น พยายามสูดลมหายใจ กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขาลืมตาตื่นเมื่อพบว่าเตียงนอนไม่ใช่ของตนเอง
“หมอ อ๊ากก”
ชนกันต์ลุกนั่งพรวดแล้วแหกปากลั่น รู้สึกเจ็บก้นจนน้ำตาไหล ตื่นเต็มตาพร้อมๆกับที่ความทรงจำเมื่อคืนแล่นเข้ามาในสมอง…จำได้แล้วว่าสาเหตุของความเจ็บมาจากการเสียตัวให้หมอกาย
“เจ็บมากเหรอครับ”
ชายหนุ่มหันมามองคนที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำแล้วก้มหน้างุด เขารู้สึกว่าไม่สามารถมองหมอกายได้เหมือนเคย เส้นผมสีดำของหมอเปียกหมาดๆ ตั้งแต่สันกรามไล่ลงไปตามแนวคางจนถึงแผ่นอกพราวไปด้วยหยดน้ำดูเซ็กซี่ขยี้ใจชะมัด โอ๊ย…นี่เขากลายเป็นคนลามกแบบหมอกายไปแล้วเหรอ ไม่นะ!
“อยากไปหาหมอมั้ยครับ”
คำถามเชิงห่วงใยไม่ได้ช่วยให้ชนกันต์ซึ้งใจเลย อยากถามจริงๆว่าจะให้ผมไปหาหมอคนอื่นอีกทำไม ในเมื่อคุณก็คือหมอ ผมไม่มีทางไปถอดกางเกงให้หมอคนไหนตรวจรักษาอีกแล้ว
“ไม่ไป”
หมอกายพยักหน้าช้าๆ แต่ชนกันต์คิดว่าหมอดูเหมือนมีเรื่องบางอย่างจะพูด
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ขอโทษที่ปลุกคุณแต่เช้า…ช่วยไปตักบาตรกับผมได้มั้ยครับ”
ชนกันต์เลิกคิ้ว หันศีรษะมองหานาฬิกาบนผนังจึงเห็นว่าตนเองถูกปลุกให้ตื่นในเวลาหกโมงเช้า มันไม่ได้เช้าเกินไปสำหรับเขาในวันปกติ เพียงแต่มันเช้าเกินไปในวันที่อ่อนล้าแบบนี้ แถมยังไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมอยู่ๆหมอก็นึกอยากตักบาตร อันที่จริงเขาไม่รู้หรอกว่าหมอตักบาตรบ่อยหรือเปล่า แต่เขาแทบไม่เคยทำเลย
“วันนี้วันเกิดผม”
หมอกายอธิบายเมื่อเห็นชนกันต์นิ่งเงียบไปนาน
“อา ได้ครับ ผมขอไปอาบน้ำแป๊บนึงนะ”
ชนกันต์ตอบตกลง เขารู้ว่าบางคนนิยมทำบุญตักบาตรในวันเกิดเพื่อความเป็นศิริมงคล แม้จะรู้สึกว่าสภาพร่างกายไม่พร้อมอย่างมาก แต่เขาก็อยากทำให้วันเกิดของหมอกายพิเศษและมีความสุข ไหนๆวันเกิดก็มีเพียงปีละครั้งเท่านั้น ถ้าผ่านไปแบบธรรมดาก็เสียดายแย่เลย
“ใช้ห้องน้ำของผมก็ได้ครับ”
หมอกายเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวกับแปรงสีฟันอันใหม่ออกมายื่นให้ชนกันต์
“ขอบคุณครับ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลแอบเหลือบมองตามร่างสูงที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้ากระจก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภรรยาที่ถูกสามีปลุกให้ตื่นในตอนเช้า แล้วนั่งมองอีกฝ่ายแต่งตัวด้วยใจที่คิดอกุศล
“อยากให้ผมช่วยอาบเหรอครับ”
หมอกายมองชนกันต์ผ่านกระจกแล้วเย้าแหย่ทั้งทางคำพูดและสายตา ทำให้คนเด็กกว่ารีบลุกจากเตียงแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ ก่อนที่อีกฝ่ายจะนึกพิเรนทร์แล้วเดินตามมาช่วยจริงๆ


อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง…
ชนกันต์คุกเข่าลงบนพื้นถนนหน้าอพาร์ทเม้นท์ข้างๆหมอกาย แล้วพนมมือรับพรจากพระสงฆ์ชราสองรูปที่ออกเดินบิณฑบาตร เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างเย็น มีหมอกลงจางๆ แต่เขากลับรู้สึกสดชื่นและสบายใจเป็นพิเศษ
“สุขสันต์วันเกิดนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
“ปกติหมอทำอะไรในวันเกิด”
ชนกันต์เอ่ยถามระหว่างที่กำลังเดินกลับเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ เขาไม่เคยไปร่วมงานวันเกิดของเพื่อน จึงไม่รู้ว่าปกติแล้วคนอื่นๆฉลองวันเกิดอย่างไร หรือทำกิจกรรมอะไรในวันดีๆแบบนี้
“ถ้าตอนนี้อยู่บ้านก็จะไปถวายสังฆทานที่วัดกับพ่อแม่ครับ แต่เมื่อปีก่อนผมไปดื่มกับเพื่อน”
ชนกันต์เลิกคิ้วเมื่อได้ฟังกิจกรรมในวันเกิดที่ค่อนข้างสวนทางกัน แต่ถึงอย่างไรหมอกายก็ใช้เวลาในวันเกิดได้ราบเรียบไม่ต่างจากวันปกติเลย ส่วนวันเกิดของเขา แม้จะไม่ได้ถูกจัดใหญ่โตเหมือนของพี่ที แต่ก็ค่อนข้างเยอะ แม่จะสั่งอาหารมื้อเย็นจากโรงแรมที่ดีที่สุด เยอะที่สุด ซึ่งต่อให้กินถึงวันพรุ่งนี้ก็กินไม่หมด
พี่ทีชอบซื้อของขวัญแปลกๆให้เขา ส่วนแม่จะซื้อของขวัญราคาแพงที่เขาไม่เคยอยากได้ให้เสมอ ส่วนพ่อไม่เคยซื้อของขวัญให้เขาเลยเพราะว่าเลือกไม่เป็น แต่จะโอนเงินเข้าบัญชีให้ไปเลือกซื้อเอง ซึ่งเขาชอบของขวัญจากพ่อมากที่สุดเลย
“แล้วปีนี้ล่ะครับ”
ชนกันต์ถาม วันนี้หมอกายต้องเข้าเวรในวันเสาร์จึงน่าจะไม่ได้กลับบ้านที่อยู่แม่แจ่ม แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยากจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนหรือเปล่า หมอกายนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาตอบยิ้มๆ
“ทานมื้อเย็นกับคุณ”
“ไม่เห็นจะพิเศษกว่าวันอื่นตรงไหนเลย”
“แค่มีคุณก็พิเศษกว่าทุกปีแล้วครับ”
ชนกันต์ยอมรับว่าเขินเพราะไม่คิดว่าหมอกายจะพูดจาโอ้โลมให้หวั่นไหว แล้วในเย็นวันนั้น หมอก็กลับมาทานมื้อเย็นอย่างที่พูดไว้จริงๆ และเขาก็ถือโอกาสมอบของขวัญที่อุตส่าห์แบกร่างปวกเปียกไปเลือกซื้อจากห้างสรรพสินค้า
ชนกันต์ไม่ได้มีหัวคิดเรื่องของขวัญสักเท่าไร อันที่จริงเขาอยากทำเหมือนพ่อ อยู่เหมือนกัน คือการให้ตังค์หมอกายไปซื้อเอง แต่คิดอีกที เขาไม่ใช่พ่อของหมอกายคงจะทำแบบนั้นไม่ได้ สุดท้ายก็เลือกปากกาสีเงินยี่ห้อ Cross รุ่นลิมิตเต็ดมาหนึ่งด้าม เขาไม่เคยซื้อปากกาแพงขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่เห็นพี่ทีใช้ขั้นต่ำก็ด้ามละห้าพันบาท  เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปากกาที่ซื้อมามันเขียนดีกว่าแท่งละห้าบาทตรงไหน แต่ที่ตัดสินใจเลือกเป็นเพราะว่าชอบรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเหมาะกับหมอกาย…ทั้งเรียบหรู และดูเป็นผู้ใหญ่



TBC.




ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เพิ่งเข้ามาอ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุด เพลินมาก เสียใจที่เลื่อนมาแล้วเห็นว่าจบตอน ปริศนาเยอะแยะไปหมด ลุ้นมากๆค่ะ

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ตอนที่ 16

โรงพยาบาลเซนต์โทมัสในเวลาเที่ยงคืน เงียบสงบต่างจากเวลากลางวันที่มีเสียงจอแจ นายแพทย์จิณณ์ ศัลยแพทย์ทั่วไปประจำห้องฉุกเฉินกำลังพักดื่มกาแฟดำ เป็นโชคดีของเขาที่วันนี้ผู้ป่วยมีจำนวนน้อยมาก ทำให้เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินหลายคนมีเวลาสัปหงก รวมถึงเขาก็มีเวลาเดินเตร็ดเตร่มาจนถึงแผนกจิตเวช
“สวัสดีครับ หมอชรัญ”
จิณณ์เอ่ยทักทายร่างสูงที่ก้าวเท้ามาตามทางเดิน ฝ่ายนั้นชะงัก แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็ขยับยิ้มตามมารยาท
“อ้าวหมอจิณณ์ ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอครับ”
“วันนี้ผมเข้าเวรครับ แล้วหมอล่ะ เป็นจิตแพทย์จำเป็นต้องเข้าเวรตอนเที่ยงคืนด้วยหรือ”
หมอชรัญหัวเราะเบาๆด้วยใบหน้าอิดโรย บริเวณใต้ดวงตาทั้งสองข้างดำคล้ำ มันไม่ใช่ภาพที่แปลกนักหรอกสำหรับคนที่ทำงานอุทิศตนเพื่อสังคม แต่ที่แปลกคือหมอชรัญไม่ใช่หมอที่ยอมเสียสละเวลาในการพักผ่อนเพื่อผลประโยชน์ของคนไข้
“มันต้องอยู่ทำวิจัยสร้างผลงานกันบ้าง ผมไม่ได้เก่งเหมือนหมอนี่ครับ”
จิณณ์ขยับยิ้มหยัน คำตอบที่ได้รับไม่ได้อยู่เหนือการเดาเสียเท่าไร
“ว่าแต่คุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”
“ครับ”
จิณณ์พยักหน้า เขาไม่ได้สนิมสนมกับหมอชรัญขนาดจะไปมาหาสู่เพื่อถามไถ่เรื่องสุขภาพ นอกจากเรื่องงานหรือผลประโยชน์ที่มักจะได้ร่วมกัน พวกเขาก็แทบไม่มีเรื่องให้ต้องพูดคุยอีกเลย
“เรื่องงานวิจัยที่กำลังทำอยู่นั่นล่ะ ผมอยากได้ที่ปรึกษาเพิ่ม ไม่ทราบว่าหมอชรัญพอจะช่วยเหลือผมได้หรือเปล่า”
“หืม จิตแพทย์อย่างผมไม่มีความรู้มากพอจะช่วยศัลยแพทย์อย่างคุณหรอกครับ…เสียดายที่หมอกวีเสียไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้เป็นที่ปรึกษาให้กับคุณ”
จิณณ์กำลังทำงานวิจัยเพื่อส่งเข้าชิงทุนการศึกษาต่อในประเทศนิวซีแลนด์ โดยมีหมอกวีเป็นอดีตที่ปรึกษาก่อนที่จะเสียชีวิตไปเมื่อไม่นาน
หมอกวีไม่ใช่คนเก่ง แต่เป็นหมอที่มีเส้นสายใหญ่ที่สุดในโรงพยาบาล เจ้าตัวมีเงินมากพอจะพาตัวเองไปศึกษาต่อได้ถึงดาวอังคาร แต่สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ไม่ใช่การเรียนต่อ แต่คือการเป็นที่ปรึกษาในงานของจิณณ์ มีชื่ออยู่ในผลงานที่อาจสร้างชื่อเสียงและมีประโยชน์ต่อวงการแพทย์ในอนาคต หมอกวีจึงบีบบังคับเขาทุกวิถีทางเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในงานที่แทบไม่ได้แตะต้อง หรือให้คำปรึกษาแก่เขาเลย
“อันที่จริงงานวิจัยที่ผมทำอยู่ไม่ใช่เรื่องเฉพาะทาง หมอน่าจะช่วยผมได้ แต่ถ้าไม่สะดวก…”
จิณณ์เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบราวกับไม่ใส่ใจ แต่มีหรือที่คนเห็นแก่ตัวอย่างหมอชรัญจะปฏิเสธ มีแต่จะรีบตะครุบเหยื่ออันหอมหวานที่เขานำมาเสนอถึงปากเสียมากกว่า
“งั้นผมขอดูก่อนได้มั้ยครับ”
“แน่นอนครับ” จิณณ์ขยับยิ้มด้วยความยินดี เมื่อแผนการขั้นแรกสำเร็จอย่างง่ายดาย
“แต่ช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่าง ถ้ายังไงแวะไปเอางานที่รถผมให้หมอเอาไปอ่านที่บ้านดีมั้ยครับ แล้วเราค่อยนัดคุยกันอีกครั้งเมื่อสะดวก”
“ได้สิ”
จิณณ์ก้าวเท้าออกจากประตูเล็กด้านหลังโรงพยาบาล มันเป็นประตูสำหรับเจ้าหน้าที่ ที่เชื่อมต่อกับลานจอดรถและใกล้กับหอพักภายใน หลายคนจึงมักเดินเข้าออกทางนี้แทนประตูใหญ่ที่คราคร่ำไปด้วยผู้ป่วย
“ว่าแต่…หมอจัดการเรื่องคุณกิมเล้งหรือยัง”
จิณณ์เหลือบไปมองหมอชรัญที่เดินตามมา โดยไม่ได้สงสัยเลยว่าเขาเดิน    ลัดเลาะไปในเส้นทางที่ผิดปกติ เพราะนอกจากจะไม่มีคนใช้แล้ว ตรงนี้ยังไม่มีกล้องวงจรปิดอีกด้วย แน่นอนว่าคนในอย่างเขาย่อมรู้ดีว่าจุดไหนเป็นมุมอับ และมักจะไม่มีคนในเวลาแบบนี้
“ผมเขียนรายงานการผ่าตัดส่งให้เบื้องบนแล้วครับ หมอฌายินก็ช่วยยืนยันอีกคน รับรองว่าไม่มีปัญหา”
จิณณ์ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆชวนให้คนฟังเกิดความไว้วางใจ
“ดีครับ”
“อันที่จริงหมอคงรู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่าคุณกิมเล้ง มีโอกาสผ่าตัดสำเร็จถึง 70%”
“ใช่ครับ ผมถึงได้ส่งคนไข้ให้กับคุณ แต่อย่ารู้สึกผิดไปเลยนะหมอ เราไม่ใช่พระเจ้า เราช่วยเขาเท่าที่เราช่วยได้”
คุณกิมเล้ง คือหญิงชราวัย 69 ปี ที่เข้ามารับการรักษาโรคจิตเภทกับหมอชรัญ ต่อมาตรวจพบโรคต่างๆตามประสาผู้สูงอายุ และโรคหลอดเลือดสมอง หมอชรัญจึงส่งตัวมาให้หมอกวีซึ่งเป็นศัลยแพทย์ ซึ่งจิณณ์และฌายิน เด็กรุ่นน้องที่มีความสามารถแต่ทะเยอทะยานก็ได้เข้าร่วมการผ่าตัดด้วย
 “หมอพูดถูกครับ เราไม่ใช่พระเจ้า แต่ถ้าหมอกวีไม่ใช่หมอใหญ่ในการผ่าตัด คนไข้คงไม่ต้องตาย”
จิณณ์หยุดเดินแล้วหันกลับไปมองหน้าหมอชรัญนิ่งๆ อันที่จริงเขาไม่ได้รู้จักคุณกิมเล้งเป็นการส่วนตัว แต่เขากลับรู้สึกผิดมากเหลือเกินที่ช่วยเหลือคนที่ควรรอดให้รอดไม่ได้
“คุณจะโทษว่าหมอกวีผ่าตัดผิดพลาดเหรอ คุณเองก็อยู่ในห้องผ่าตัดนะ”
ทีมแพทย์ลงความเห็นว่าควรให้ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัด เพราะมีโอกาสสำเร็จสูง จิณณ์จึงหวังว่าคุณกิมเล้งจะเป็นผู้ป่วยอีกรายที่ช่วยเหลือไว้ได้ แต่ในความเป็นจริงเมื่อได้อยู่ในห้องผ่าตัด เขากลับทำอะไรไม่ได้เลย เขาเห็นความผิดพลาดของหมอกวีที่ไม่ยอมรับฟังคำโต้แย้งของรุ่นน้องทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตผู้ป่วย
“ก็เพราะว่าผมอยู่ในห้องผ่าตัดไงถึงได้รู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด แล้วคุณก็รู้ดีว่าหมอกวีอีโก้สูงแค่ไหน ไม่มีทางฟังความเห็นจากคนอื่นเด็ดขาด แต่คุณก็ยังส่งคนไข้ของคุณให้เขา”
จิณณ์และฌายินไม่สามารถยื้อชีวิตคุณกิมเล้งไว้ได้ จึงเสียชีวิตในเวลาต่อมา…
“ทำไมหมอต้องขุดเรื่องนี้มาพูดด้วยล่ะ มันไม่มีประโยชน์ หมอกวีตายไปแล้ว”
“แล้วคุณจะกลัวอะไรกับรายงานที่ให้ผมปั้นแต่งโกหกเบื้องบน”
เหตุการณ์ในวันนั้น กลายมาเป็นตราบาปที่ตอกย้ำอยู่ในใจของจิณณ์จนถึงทุกวันนี้…เขาต้องมีส่วนรับผิดชอบ
“หมอกวีตายไปแล้ว เขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว มีแต่คนที่อยู่นั่นแหละที่จะซวย คุณคิดถูกแล้วที่แต่งเรื่องตามที่ผมบอก ถ้ายังรักตัวเอง”
“ครับ ผมรักตัวเอง ผมไม่ยอมให้ตัวเองลำบากหรอก”
จิณณ์ยอมรับว่าเป็นคนรักตัวกลัวตาย เขาจะไม่ยอมเสียอนาคตเพราะความผิดพลาดของคนอื่นเด็ดขาด เขาและหมอฌายินจึงเขียนรายงานปั้นเรื่องระหว่างการผ่าตัดซึ่งเป็นการพลิกเหตุการณ์จากสีดำให้เป็นสีขาว
“ดี แล้วรถคุณจอดอยู่ที่ไหนล่ะ”
“ไม่ใช่แถวนี้หรอกครับ” จิณณ์สารภาพ
“แล้วคุณเดินมาทำบ้าอะไรตรงนี้”
หมอชรัญดูจะหัวเสียไม่น้อยที่เขาทำให้เสียเวลา แทนที่เจ้าตัวจะได้กลับบ้านไปพักผ่อน
“ผมมีธุระพิเศษกับหมอ”
จิณณ์ล้วงมือเข้าไปหยิบถุงมือไวนิลจากกระเป๋าเสื้อกาวน์มาสวมลงในมือทั้งสองข้างแล้วดึงให้ตึง
“รู้มั้ย…ผมเกลียดคนแบบหมอกวี หมอฌายิน แล้วก็คุณมากขนาดไหน”
หมอชรัญมีท่าทางสับสน นัยน์ตาสีดำมองมาที่เขาด้วยความไม่เข้าใจ ซึ่งเขาก็เป็นคนใจดีพอที่จะเฉลยให้ฟัง
“ขนาดที่ไม่อยากอยู่ร่วมโลกไงล่ะ”
อั๊ก!
จิณณ์ใช้เชือกเส้นใหญ่รัดคอของหมอชรัญอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายไร้ทางขัดขืน เขาเลือกใช้เชือกขนาดเดียวกับฆาตกรที่ฆ่าหมอกวี ใช้วิธีการรัดคอตามรายงานการชันสูตรศพที่ได้มาจากหมอเพียว จนถึงตอนนี้เจ้าเด็กโง่นั่นก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอ่านมันทั้งหมดแล้ว และก่อนที่เหยื่อจะขาดอากาศหายใจ เขาก็ก้มลงมากระซิบที่ข้างใบหูหมอชรัญ
“ไปลงนรกเป็นเพื่อนหมอกวีเถอะครับ”
ตุ้บ!
จิณณ์ทิ้งร่างไร้วิญญาณของหมอชรัญลงบนพื้นแข็งๆพร้อมกับเชือกที่ใช้เป็นอาวุธ เขาต้องการให้มันเป็นหลักฐานของการฆาตกรรมต่อเนื่อง เพื่อที่เขาซึ่งมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ในวันเกิดเหตุฆาตกรรมหมอกวี จะหลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างง่ายดาย
แม้ว่าเขาจะช่วยชีวิตคุณกิมเล้งไม่ได้ แต่เขาได้ลงโทษหมอที่ไร้จิตวิญญาณของความเป็นหมอแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีผู้ป่วยคนไหนต้องเผชิญเหตุการณ์อย่างคุณกิมเล้งอีก
จิณณ์ก้มมองร่างของหมอชรัญที่นอนนิ่งอยู่แทบเท้าด้วยความรังเกียจ แล้วยกเท้าข้ามศพไปอย่างไม่ไยดี
แผนการฆาตกรรมเลียนแบบของเขาสำเร็จแล้ว และคนต่อไปที่จะได้ลงนรกก็คือ…หมอฌายิน!









เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นเบาๆ พร้อมบานประตูที่เลื่อนเปิดออก พยาบาลสาวที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์แผนกจิตเวชโผล่หน้าเข้ามายิ้มหวานให้ผู้เป็นเจ้าของห้อง
“หมอกายขา ผู้หมวดกรวิวัฒน์มาแล้วค่ะ”
ร่างสูงของหมอกายละสายตาจากแล็ปท็อปขนาดสิบสามนิ้วมามองคนพูดแล้วคลี่ยิ้มให้ตามมารยาท
“เชิญเข้ามาได้เลยครับ”
พยาบาลสาวกลับออกไป และครู่ต่อมาบานประตูก็ถูกเลื่อนเปิดออกอีกครั้งพร้อมร่างสูงในชุดลำลองของนายตำรวจ
“ไง”
กรวิวัฒน์ทักทายลูกพี่ลูกน้องที่โทรนัดให้มาหาหลังเลิกงาน รู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่ต้องเลื่อนเก้าอี้ผู้ป่วยมานั่งเผชิญหน้ากับจิตแพทย์ แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อเจ้ากายมันสั่งห้ามเขาโผล่หัวไปหามันที่ห้องพักอีก ถึงเขาจะไม่ได้ซักไซ้อะไรแต่ก็พอจะรู้ว่าเจ้าตัวไม่ต้องการให้เขาไปรบกวนเวลาที่มันอยู่กับเด็กน้อย
“มีอะไรจะให้ฉันดู”
นายตำรวจเอ่ยเข้าประเด็นแล้วอ้าปากหาว ความอ่อนล้าส่วนหนึ่งมาจากการทำงานหนักเพราะเจ้าคนที่นั่งทำหน้าไม่รู้เรื่องอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เขาต้องอดหลับอดนอนเพื่อหาหลักฐานมาแก้ต่างให้มันก่อนที่ผู้ใหญ่จะหันมาสงสัย แล้วเชิญไปสอบสวนอีกครั้ง แม้เขาจะค่อนข้างแน่ใจว่าเจ้ากายไม่ใช่ฆาตกร เพราะผลตรวจเลือดไม่ตรงกับเลือดของฆาตกรในคดีที่สี่ แต่มันจะมีส่วนรู้เห็นหรือเปล่าเขาก็ยังไม่แน่ใจ
“ฉันมีข้อสงสัยที่จะใช้สนับสนุนตัวฆาตกร”
รายงานการฆาตกรรมฉบับก๊อปปี้บางส่วนถูกยื่นมาให้ บนกระดาษมีรอยปากกาสีหลายสีที่คอมเมนต์ข้อสงสัยไว้หลายจุด
“ป้ากิมเล้งเข้ารับการรักษาโรคจิตเภทกับหมอชรัญ…ที่จริงแล้วป้าเคยเป็นคนไข้ของฉันมาก่อน”
กรวิวัฒน์เหลือบมองหน้าคนพูดครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองเอกสารในมือ อันที่จริง…เขารู้เรื่องนั้นอยู่แล้วเพราะลูกน้องในทีมคนหนึ่งแอบมากระซิบข้อสงสัยในตัวจิตแพทย์หนุ่ม แต่เขาก็เลือกที่จะปิดปากเงียบแล้วรับฟังของสันนิษฐานต่อไป
“แล้วต่อมาป้าก็ถูกส่งตัวไปรักษาโรคหลอดเลือดสมองกับหมอกวี และเสียชีวิตจากการผ่าตัด หมอจิณณ์กับหมอฌายินก็เป็นหนึ่งในทีมแพทย์ด้วยเหมือนกัน ส่วนเรื่องรายละเอียดการเสียชีวิตที่นายได้มา ฉันไม่แน่ใจว่าจะเป็นความจริงทั้งหมด แต่คิดว่าจากการผ่าตัดในครั้งนั้น อาจจะทำให้ครอบครัวของป้ากิมเล้งไม่พอใจแล้วคิดว่าหมอทั้งหมดต้องมีส่วนรับผิดชอบ”
“เออ ก็เป็นไปได้”
กรวิวัฒน์พยักหน้าช้าๆ มือเลื่อนไปเปิดเอกสารของครอบครัวคุณกิมเล้งเพื่อดูประวัติผู้ต้องสงสัยสามราย คือลูกชายและหลายชายอีกสองคน
“แต่คนในครอบครัวของคุณป้าคนนี้ ไม่เคยมีประวัติเสียหายเลยว่ะ…ว่าแต่นายสงสัยใคร?”
“ครอบครัวป้ากิมเล้งมีอยู่ด้วยกันสามคน เปิดร้านขายโจ๊กอยู่หน้า         อพาร์ทเม้นท์ที่ฉันอยู่มากว่าสิบปีแล้ว”
“ร้านไหนวะ”
กรวิวัฒน์เลิกคิ้ว เขาเคยไปหาเจ้ากายที่อพาร์ทเม้นท์อยู่หลายครั้ง แต่ไม่ทันสังเกตว่ามีร้านโจ๊กที่ว่าเลย
“ป้ายหน้าร้านเขียนว่าเถ้าแก่โชค ตรงข้ามกับร้านบัวลอยที่นายบอกว่าอร่อย”
“เออๆ นึกออกละ แม่งโคตรใกล้ตัว…แล้วไงต่อ”
“ฉันสงสัยคุณใหญ่ ลูกชายคนโตของเถ้าแก่”
นายตำรวจเลื่อนเอกสารที่ระบุประวัติส่วนตัวพร้อมรูปถ่ายของคุณใหญ่มาเปิดอ่าน…ใบหน้าเรียบเฉยติดจะเย็นชา บ่งบอกนิสัยเก็บตัวอย่างชัดเจน ถ้าบอกว่าเป็นฆาตกรโรคจิตก็น่าเชื่ออยู่เหมือนกัน เพียงแต่เขาเป็นตำรวจไม่สามารถตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกได้
“หน้าตาดูน่าสงสัยจริงด้วย แต่ฉันต้องมีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันนะถึงจะออกหมายจับได้”
“คุณใหญ่เป็นคนในพื้นที่ เรื่องลู่ทางในโรงพยาบาลก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสำรวจ อีกอย่างคดีแรกกับคดีที่สองก็ใช้เวลาในการฆาตกรรมห่างกันไม่มาก เป็นช่วงที่เขายังอยู่ที่เชียงใหม่ แล้วหลังจากนั้นก็ย้ายเข้าไปทำงานในกรุงเทพ ฉันอยากให้นายดูตรงนี้…คดีของหมอจิณณ์”
กรวิวัฒน์ชะโงกหน้าไปมองกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกเลื่อนมาวางตรงหน้า แล้วขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นความแตกต่างที่ตนเองมองข้ามไปหลายครั้ง
“เดี๋ยวนะ…หมอจิณณ์เป็นเพียงคนเดียวที่ถูกฆาตกรรมในห้องพักของตัวเอง ต่างจากอีกสามคนที่ถูกฆาตกรรมในบริเวณของโรงพยาบาล”
“อืม หมอจิณณ์เคยอยู่ที่ห้องของฉันมาก่อน”
“ห้องนาย!”
กรวิวัฒน์ถามย้ำด้วยใบหน้าที่แสดงความเหลือเชื่อ รีบเปิดหาที่อยู่ของหมอจิณณ์ที่ถูกบันทึกไว้ในรายงานสืบสวน…แต่นอกจากชื่ออพาร์ทเม้นท์ที่ต่างกัน ทั้ง เลขที่ ซอย ถนน และที่อยู่ทุกอย่างตรงกับอพาร์ทเม้นท์ร่มฤดีราวกับเป็นเรื่องตลก
“นายกำลังจะบอกว่า ห้องที่อยู่ตอนนี้เคยมีคนตาย แล้วคนที่ตายก็คือหมอจิณณ์ที่ถูกฆ่ารัดคอ”
เมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องพยักหน้านิ่งๆราวกับเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ กรวิวัฒน์ก็ได้แต่สบถเบาๆ เขาไม่รู้เลยว่าควรนับถือเจ้ากายที่มันประสาทแข็งหรือเย็นชากันแน่
“ให้ตายสิ นายรู้ก่อนหรือว่าหลังจากที่ย้ายเข้าไปแล้ว”
“รู้ตอนที่นายเอาคดีนี้มาให้ฉันทำ”
“แล้วกล้าอยู่ไปได้ไงวะ ไม่กลัวหรือไง”
กายส่ายหน้า เขาขยับยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยเรียบๆ
“ใจคนน่ากลัวกว่าผี…เยอะเลย”
เพราะว่าหัวใจของมนุษย์แปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามอารมณ์…ความรู้สึก…และเหตุผล…ต่อให้ผีจะหลอกหลอนหรือทำร้ายอย่างไร ก็ไม่มีทางทำให้เจ็บปวดเท่ากับหัวใจมนุษย์ที่หลอกลวง
 “สิ่งที่ฉันอยากบอกก็คือ คนที่จะเดินเข้าไปฆ่าหมอจิณณ์ได้ถึงในห้องพักก็น่าจะรู้จักกับหมอเป็นการส่วนตัว ไม่อย่างนั้น ใครจะเปิดประตูให้เข้ามาล่ะ…นายดูรายงานจากสถานที่เกิดเหตุสิ”
กรวิวัฒน์ก้มหน้ามองภาพและข้อความอธิบายในรายงานผลจากสถานที่พบศพหมอจิณณ์
“ในห้องพักไม่มีร่องรอยของการถูกงัดแงะ อีกอย่างคนร้ายต้องรู้ดีว่าหมอจิณณ์อยู่คนเดียว…แล้วนายคิดว่าหมอจิณณ์รู้จักกับคุณใหญ่เหรอ”
กายเอนหลังพิงเก้าอี้ เขาไม่ได้สนิทสนมกับหมอจิณณ์เลยนอกจากคนที่ทำงานในโรงพยาบาลเดียวกัน เรื่องที่จะให้รู้จักลักษณะนิสัยหรือการคบหาคนของอีกฝ่ายจึงเป็นไปไม่ได้เลย
“คนที่อยู่แถวนั้นต้องเคยแวะร้านเถ้าแก่โชคบ้างล่ะ มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะพูดคุยกันบ้างไง”
“แล้วนายเคยคุยกับคุณใหญ่มั้ย”
“ไม่ ฉันไม่เคยเจอตรงๆ ส่วนใหญ่จะเจอเถ้าแก่กับลูกชายคนเล็กของแก”
“แล้วหมอนี่ไม่น่าสงสัยเหรอ”
กรวิวัฒน์ชี้นิ้วไปที่รูปถ่ายของลูกชายคนเล็ก ซึ่งดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นคนอารมณ์ดีกว่าคนพี่เยอะเลย
“น่าสงสัย”
“อ้าว”
“นายว่าเวลาในการลงมือฆาตกรรมกับเวลาที่คุณใหญ่อยู่ที่เชียงใหม่มันไม่พอดีกันเกินไปหน่อยหรือ…หมอจิณณ์ถูกฆาตกรรมเมื่อสองปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่คุณใหญ่ตกงานแล้วกลับมาอยู่บ้าน แล้วนายดูคดีหมอฌายิน ทำไมต้องรอให้เวลาผ่านมาอีกหลายปีถึงจะลงมือล่ะ”
ทำไมเหรอ…นั่นสิ ทำไม?
กรวิวัฒน์เคาะนิ้วลงบนโต๊ะด้วยท่าทางคิดหนัก
อาจจะไม่ว่าง…ไม่ใช่สิ ใครจะไม่ว่างเกือบสองปี
อาจจะหาโอกาสไม่ได้…
ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในสมอง ก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือตบโต๊ะด้วยความตื่นเต้น
“เพราะหมอฌายินได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วพอหมอกลับมาทำงานต่อได้ไม่นานก็ถูกฆ่าตาย ใช่มั้ยวะ?”
เมื่อเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย นายตำรวจหนุ่มก็คลี่ยิ้มด้วยความสบายใจ อย่างน้อยเขาก็เกือบจะได้สัมผัสความจริงในคดีนี้แล้ว
“ฉันจะให้คนไปสืบว่าวันที่หมอฌายินถูกฆ่าตาย คุณใหญ่กลับมาที่เชียงใหม่หรือยัง ถ้ากลับมาแล้วก็ต้องสืบดูว่าไปทำอะไรอยู่ที่ไหนมาบ้าง”
“แต่ที่ฉันพูดมามันก็เป็นแค่หลักฐานแวดล้อม ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานเอาผิดใครได้”
“แต่ถ้าคุณใหญ่ไม่มีหลักฐานที่อยู่หรือพยานบุคคลในวันเกิดเหตุฆาตกรรมหมอฌายิน ฉันคงต้องใช้หลักฐานแวดล้อมร้องขอต่อศาลให้มีการตรวจ DNA”
ทางตำรวจมีหลักฐานที่สามารถใช้ยืนยันตัวฆาตกรจากเลือดที่ติดอยู่ในซอกเล็บของหมอฌายิน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะควานหาตัวคนร้ายที่ถูกจำกัดวงให้แคบลงแล้ว
“งั้นก็ดี หวังว่านายจะจับตัวคนร้ายได้เร็วๆ”
กรวิวัฒน์เหลือบมองลูกพี่ลูกน้องคนสำคัญที่กำลังเก็บรวบรวมเอกสารบนโต๊ะใส่ลงในกระเป๋าสะพาย ริมฝีปากบางเม้มแน่นเพราะไม่แน่ใจว่าควรถามในสิ่งที่สงสัยหรือไม่
“ไอ้กาย”
“หืม”
“มีอะไรอยากบอกฉันมั้ย”
กายชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนถามด้วยความสงบ
“เช่นอะไร”
“จักรินตายยังไง”
หัวใจของจิตแพทย์หนุ่มกระตุกเมื่อถูกสะกิดแผลเป็นในใจให้เปิดออก จักรินคือน้องชายแท้ๆของเขาที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปเมื่อสามปีก่อน
“นายก็รู้นี่ว่ามันหลับในตอนขับรถ”
กายตอบเรียบๆ วันนั้นเป็นวันเกิดของเขาที่จัดงานเลี้ยงฉลองง่ายๆกับพ่อแม่อยู่ที่บ้าน ส่วนเจ้าน้องชายที่ติดทำโปรเจคส่งเข้าประกวดในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จนดึกดื่น รีบขับรถออกจากมหาวิทยาลัยในเวลาสามทุ่ม แต่เพราะระยะทางที่ค่อนข้างไกลทำให้เหนื่อยอ่อนและเผลอหลับในทำให้รถที่ขับอยู่ตกถนน แม้จะไม่ได้เสียชีวิตคาที่เพราะหน่วยกู้ภัยที่เข้าไปช่วยเหลือแต่ก็อาการสาหัสมากแล้ว
“แต่นายไม่เคยบอกว่าไอ้รินไม่ได้ตายคาที่ มันมาตายในห้องผ่าตัด”
“แล้วมันสำคัญตรงไหน”
กายถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา ความทรงจำเกี่ยวกับน้องชายเป็นสิ่งหวงห้ามที่ไม่ต้องการให้ใครมาแตะต้อง เขารู้ว่าส่วนหนึ่งเป็นความผิดของเขาที่บอกให้น้องชายกลับมาบ้าน เพราะนานๆที ก็อยากมีเวลาอยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาบ้างเท่านั้น
“ตรงที่หมอกวีเป็นคนผ่าตัด”
กายส่ายหน้า เขารู้ว่ากรวิวัฒน์กำลังคิดอะไร…
“ไอ้รินอาการสาหัสมากแล้วตอนที่มาโรงพยาบาล ต่อให้หมอเก่งแค่ไหนมันก็ไม่รอด”
“นายเคยบอกฉันว่าหมอชรัญเป็นรุ่นพี่ในแผนก”
“อืม”
“แต่เท่าที่ฉันฟังมาจากพยาบาล ทุกคนต่างก็บอกว่าพวกนายไม่กินเส้นกันเพราะหมอชรัญชอบใช้อำนาจมาแย่งคนไข้ของนาย”
“นายต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
“ตอนนี้…นอกจากคุณใหญ่ คนที่ฉันสงสัยก็คือนาย”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ลึกๆแล้วกรวิวัฒน์อยากที่จะเชื่ออยู่ว่าลูกพี่ลูกน้องที่จิตใจดีของเขา…จะไม่ทำร้ายคนอื่น ไม่ว่าคนๆนั้นจะดีหรือเลว ก็ถือว่าเป็นมนุษย์ที่มีความเท่าเทียมกัน ย่อมไม่มีสิทธิตัดสินแทนกฎหมายว่าใครควรอยู่ หรือใครควรตาย!




TBC.

ขอบคุณที่ติดตามจ้า นิยายใกล้จะจบเเล้วนะ เเฮร่ๆ เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก ตามหาฆาตกร!!
มีทั้งหมด 20 ตอน กับหนึ่งบทส่งท้ายจ้า





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ it.the.world

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไม่กล้าเดาอะไรเลยค่ะ  :katai1:  :katai1:
 :pig4: :L1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
พูดยากจังอะ ไม่รู้จะยังไงเนี่ยยย

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

ตอนที่ 17


เวลา 17.00 น.
ชนกันต์หยิบสมาร์ทโฟนมากดอ่านข้อความจากแอปพลิเคชั่นไลน์…หมอกายบอกว่ามีธุระสำคัญกับผู้หมวดกรวิวัฒน์อาจจะกลับช้า ถ้าเขาอยากกินอะไรเป็นมื้อเย็นให้ไลน์บอกแล้วหมอจะซื้อมาให้
เวลา 18.00 น.
ชนกันต์นั่งดูการ์ตูนที่ถูกนำมาฉายซ้ำพลางเหลือบมองนาฬิกาทุกๆครึ่งชั่วโมงและสงสัยว่าเมื่อไรเจ้าของห้องจะกลับมา
เวลา 19.00 น.
ชนกันต์ส่งข้อความไปถามหมอกายว่าจะกลับกี่โมงเพราะตอนนี้เขาหิวมากแล้ว รออีกประมาณยี่สิบนาที เห็นว่าอีกฝ่ายไม่กดอ่านจึงเสียมารยาทหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยมากินรองท้อง
เวลา 20.00 น.
ชนกันต์กระหน่ำโทรหาหมอกายเกือบห้าสิบสาย แล้วเหลือบมองนาฬิกาทุกๆห้านาที ปกติแล้วหมอไม่เคยปล่อยให้เขารอนานและติดต่อไม่ได้แบบนี้ ถ้าหมอไม่ว่างจริงๆ จะโทรมาบอกให้เขากินมื้อเย็นโดยไม่ต้องรอ…เขาเริ่มเป็นห่วงหมอแล้วสิ หวังว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุนะ
เวลา 21.00 น.
ชนกันต์ออกกำลังกายแขนด้วยการถูพื้นห้องให้หมอกาย การนั่งรอนานๆทำให้เขาจิตตก พยายามคิดในแง่ดีว่าโทรศัพท์ของหมออาจจะแบตหมด แล้วบังเอิญว่าเจ้าตัวยังทำธุระไม่เสร้จ
ตึก!
โครม!
แย่แล้ว…
ชนกันต์ตีหน้ายุ่งมองความพินาศเล็กๆที่ตัวเองเพิ่งก่อ ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำความสะอาดห้องให้หมอกายเป็นการตอบแทนที่ยอมให้เขามาสิงห้อง 710 ได้ทุกวัน แต่ยิ่งทำก็ดูเหมือนจะยิ่งรก เพราะในตอนที่เขาใจลอยคิดอะไรเพลินๆก็เผลอใช้ไม้ถูพื้นกระแทกขาโต๊ะทำงานที่มีแฟ้มเอกสารกองเอาไว้สูง หล่นลงมาเกือบทั้งหมด แต่อันที่จริงแล้ว แฟ้มพวกนั้นมันก็ตั้งอยู่เอียงๆเกือบจะหล่นมาตั้งแต่แรก พอเจอแรงของเขาเข้าไปนิดหน่อยก็เทกันลงมากองบนพื้น
นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองกระดาษเอสี่หลายแผ่นกำลังปลิวไปทั่วห้องเพราะแรงลมจากเครื่องปรับอากาศและพัดลมเพดานที่เขาตั้งใจเปิดเพื่อให้พื้นแห้งเร็วๆ
ชนกันต์เดินไปปิดพัดลม แล้ววิ่งตามเก็บกระดาษหลายแผ่น กำลังคิดหนักว่าจะเก็บใส่แฟ้มอย่างไรให้เหมือนเดิม และถ้าไม่เหมือนเดิมเขาจะโดนหมอกายดุหรือเปล่า
ขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บเอกสารกลับใส่แฟ้มให้หมอกาย…ชนกันต์ก็ต้องร้องจ๊ากลั่นห้องเพราะภาพน่าสยดสยองที่ปรากฎให้เห็นบนกระดาษ เขาหลับตาปี๋เกือบโยนของในมือทิ้ง แต่ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาค่อยๆลืมตามองภาพและข้อความที่อยู่บนกระดาษอีกครั้ง และพบว่ามันคือภาพถ่ายจากศพในสถานที่เกิดเหตุคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ตำรวจยังจับตัวคนร้ายไม่ได้
หมอกายเป็นจิตแพทย์หรือหมอผ่าศพกันแน่…ทำไมมีของพวกนี้อยู่ในห้อง…แล้วความคลืบหน้าของคดีไปถึงไหนแล้ว มีใครเป็นผู้ต้องสงสัยบ้าง?
ชนกันต์ไม่ปล่อยให้ตนเองต้องอยู่กับความสงสัยนานเกินไป มือรีบเก็บรวบรวมเอกสารทั้งหมดมาอ่าน แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งตกใจ แล้วจากความตกใจก็เปลี่ยนเป็นความพรั่นพรึง…อย่างแรกเลยก็คือ ครอบครัวของพี่เล็กตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการฆาตกรรมสี่ศพ และอย่างที่สองที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวก็คือศพรายที่สามที่ถูกฆ่าตาย…‘หมอของเขา’
หมอจิณณ์!





สองปีที่แล้ว
เวลาห้าทุ่มในเดือนธันวาคมมีหมอกหนาปกคลุมเกือบทุกพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ผู้คนต่างพากันซุกตัวอยู่ใต้พาห่มอุ่นๆเพื่อหลบหนีความหนาวเย็น แต่กลับมีชายหนุ่มผิวขาวคนหนึ่งที่ทำตัวแปลกแยก เขานั่งอยู่บนม้าหินอ่อนหน้าอพาร์ทเม้นท์เจเจเพียงลำพังมานานหลายชั่วโมง มือสองข้างถูกันเป็นบางครั้งเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เขาสวมเสื้อผ้าสีดำค่อนข้างหนาและมีหมวกแก๊ปปิดบังใบหน้าไว้เกือบครึ่ง ทำให้ยากจะมองเห็นดวงหน้าในเวลากลางคืน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร…ชายหนุ่มที่นั่งนิ่งมานานค่อยๆขยับตัวอย่างเชื่องช้าเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา นัยน์ตาสีดำนิ่งเสียจนคล้ายกับคนที่ไร้ความรู้สึกมองไปยังใครบางคนในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสวมทับด้วยเสื้อกาวน์สีขาว ก่อนจะอ้าปากเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงราบเรียบ
“พี่จิณณ์”
ร่างของศัลยแพทย์หนุ่มชะงักเท้า หันซ้ายขวาเพื่อมองหาต้นกำเนิดเสียง ก่อนจะพบว่าเป็นคนคุ้นเคยที่กำลังยืนกอดอกอยู่ในมุมมืด
“มาทำอะไรตรงนี้ครับ”
“ผมมีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย”
แม้ว่าจิณณ์จะค่อนข้างแปลกใจกับการที่ชายหนุ่มผิวขาวมานั่งตากอากาศหนาวเย็นเพื่อรอพบเขา แต่เวลานี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าและอยากเอาศีรษะปักหมอนมากเหลือเกิน จึงเลือกที่จะปฏิเสธอย่างนุ่มนวลที่สุด
“ตอนนี้ดึกแล้วนะครับ ไว้เป็นพรุ่งนี้ดีมั้ย”
“เรื่องอาม่าผม…ถ้าพี่จะกรุณา”
ชายหนุ่มตรงหน้าหลุบตามองพื้นครู่หนึ่ง ก่อนจะช้อนดวงตาสีดำที่มีน้ำใสเอ่อคลอขึ้นมามองเขา แล้วจะให้เขาทำใจแข็งไล่อีกฝ่ายกลับไปได้อย่างไรกัน
“เข้ามาสิ”
จิณณ์เปิดประตูห้องพักหมายเลข 710 ให้ชายหนุ่มก้าวเข้ามา เมื่อประตูปิดลง เขาก็ดึงร่างสูงโปร่งเข้ามากอดไว้แน่น มือยกขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆอย่างปลอบโยน
“เรื่องอาม่า…พี่เสียใจจริงๆครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
คนในอ้อมกอดเอ่ยเสียงสั่นเครือ ใบหน้าขาวสะอาดถูไถที่ซอกคอของเขาเบาๆเหมือนทุกครั้ง แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือบางอย่างที่จดจ่ออยู่บนแผ่นหลัง แต่กว่าเขาจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างกายก็กระตุกเกร็งด้วยไฟฟ้าแล้วสติก็ดับวูบไปอย่างรวดเร็ว


จิณณ์ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งบนโซฟาตัวยาวในห้องรับแขก มือและเท้าถูกมัดด้วยผ้านิ่มที่ทำให้เกิดรอยแผลและการบาดเจ็บน้อยมาก เขาไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจ เมื่อคนที่ตั้งใจทำร้ายเขายังนึกห่วงใยหยิบผ้าห่มในห้องนอนออกมาคลุมร่างเขาไว้ในตอนที่หมดสติ
“ปล่อยพี่! เราคิดจะทำอะไร”
“แล้วพี่คิดว่าผมจะทำอะไรกับหมอที่ทำให้อาม่าต้องตายล่ะครับ”
ชายหนุ่มผิวขาวย้อนถามด้วยน้ำเสียงเหมือนตอนปกติ แต่เขากลับเห็นแววตาที่สะท้อนความเสียสติอย่างที่มักเกิดขึ้นกับคุณกิมเล้ง…หนึ่งในผู้ป่วยแผนกจิตเวช
 “ไหนตอนแรกพี่รับปากเสียดิบดีว่ายังไงอาม่าผมก็รอด แล้วที่ไม่รอดเป็นเพราะหมออย่างพวกพี่มันไร้ความสามารถใช่มั้ยครับ”
จิณณ์ที่กำลังอ่อนล้าจากการทำงาน และเพิ่งผ่านการถูกใช้เครื่องช็อตไฟฟ้ามา รู้สึกว่าสมองมึนงงและประมวลผลช้าไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีดำลึกลับหวาดมองคนคุ้นเคยขึ้นๆลงๆอย่างประเมินการณ์ อีกฝ่ายกำลังเอนหลังพิงโซฟาตัวเล็กที่อยู่ตรงปลายเท้า มือทั้งสองข้างสวมถุงมือไวนิลประสานกันไว้บนตักนิ่ง แล้วความเข้าใจบางอย่างก็แล่นเข้ามาในสมอง…เขานั่นเอง
ฆาตกรที่ฆ่าหมอกวี!
“เดี๋ยว ฟังพี่ก่อน” จิณณ์เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน ถ้าไม่ห้ามเกรงว่าเขาอาจจะเป็นศพรายต่อไป…
“ครับ ผมจะฟัง…อธิบายมาสิ”
เมื่อเห็นว่าจิณณ์เงียบไปนาน คนตรงหน้าก็เอ่ยเร่งขึ้นมาราวกับทนรอฟังคำแก้ตัวไม่ไหวแม้แต่นาทีเดียว
“เร็วสิครับ พี่ควรจะดีใจนะที่ผมให้โอกาสได้พูด ไม่เหมือนหมอกวีที่ผมฆ่าทันทีโดยไม่เสียเวลาฟังมันพล่าม อ๋อไม่สิ ผมตีมันก่อน ฟังเสียงมันร้องโหยหวนก่อนจะรัดคอมัน”
“เราฆ่าหมอกวี”
“ใช่”
“เราคิดจะฆ่าหมอกวี หมอฌายิน แล้วก็พี่ตั้งแต่แรกเลยใช่มั้ย”
“ใช่แล้วครับ ทุกคนควรแบ่งกันรับผิดชอบ รวมทั้งพี่ด้วย”
ชายหนุ่มผิวขาวพยักหน้าเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียคนสำคัญที่เป็นเหมือนแม่คนที่สอง หลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว เขาไม่สามารถยอมรับการตายในครั้งนี้ได้ มันไม่ควรเกิดขึ้น…อาม่าของเขายังไม่ถึงที่ตาย ไม่ควรตายเลยจริงๆ
“หมอชรัญก็มีส่วนผิด เขาเป็นคนส่งคุณกิมเล้งไปให้หมอกวี”
“อา นั่นก็ใช่ แต่มีคนฆ่าเขาให้ผมแล้ว ฆ่าโดยที่ทำให้เหมือนว่าผมฆ่า”
“พี่เป็นคนฆ่าเขาเอง”
จิณณ์ยอมรับ แล้วมองดวงหน้าหล่อได้รูปตรงหน้า อีกฝ่ายเป็นคนที่สดใสและอารมณ์ดี ทำตัวขี้อิจฉาในบ้างครั้ง ดูแสบซนและพูดมากในบางคร่า แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกผิดหวังเลยที่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนฆ่าหมอกวีอย่างทารุณ ตรงกันข้าม…หากอีกฝ่ายตั้งใจจะสังหารหมอฌายินด้วยล่ะก็…เขาก็ยินดีที่ช่วย ไม่สิ เขายินดีจะทำให้เอง
“หืม” เสียงครางในลำคอแสดงความแปลกใจเมื่อรู้ว่าคนที่แย่งเหยื่อของเขาก็คือหมอจิณณ์
“พี่อ่านรายงานการชันสูตรศพหมอกวีจากรุ่นน้องที่เป็นหมอนิติเวช แล้วฆาตกรรมเลียนแบบเรา”
“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยครับ”
“เพราะเขาสมควรตาย”
“แล้วพี่ไม่สมควรตายหรือ”
คำถามนั้นทำให้จิณณ์หน้าชา เขาตัดสินหมอกวีและหมอชรัญไปแล้วว่าเลว ร้าย แต่กลับลืมมองดูการกระทำของตัวเอง…ถ้ามือของหมอกวีเปื้อนเลือดคนที่ไม่สมควรตาย แล้วคนที่พิพากษาอย่างเขาเล่า จะต่างกับคนเลวพวกนั้นตรงไหน
“อย่า”
จิณณ์ร้องครางเมื่อชายหนุ่มผิวขาวพาดเชือกเส้นใหญ่ลงบนลำคอของเขา สัมผัสหยาบกระด้างของเชือกระคายผิว และเรียกความรู้สึกหวาดกลัวให้เข้ามาครอบคลุมทุกส่วนในหัวใจ
“คิดจะฆ่าพี่จริงๆหรือ พี่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ พี่ก็เสียใจเรื่องคุณกิมเล้งไม่ต่างจากเราเลย”
จิณณ์เอ่ย นัยน์ตาสีดำมองลึกเข้าไปในดวงตาของคนที่ก้มอยู่เหนือร่างของเขา อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เคสของคุณกิมเล้งมีอิทธิพลต่อจิตใจ และทำให้ขาดสติจนถึงกับลงมือฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น เป็นเพราะเขาห่วงความรู้สึกของอีกฝ่าย คิดแต่ว่าถ้าหมอชรัญกับหมอฌายินจะหายไปจากโลกนี้ด้วย เจ้าตัวคงจะดีใจไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ชายหนุ่มจะอยากให้เขาหายไปจากโลกพร้อมๆกันด้วย
“ถ้าพี่จะแค้นก็แค้นให้มากๆนะครับ แค้นให้เท่ากับที่ผมแค้น”
ชายหนุ่มผิวขาวที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังศีรษะของเขาเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงสั่นไหวเล็กน้อย แม้จะต้องเงยหน้ามองอีกฝ่ายจากมุมนี้ แต่เขาก็เห็นแววตาสีดำได้อย่างชัดเจน มันทั้งประกอบไปด้วยความรักและความแค้น ความเจ็บปวดและชิงชัง
 “ผมไว้ใจพี่ แต่พี่ได้ทำลายความไว้ใจของผมไปหมดแล้ว…รอให้ผมฆ่าหมอฌายินกับหมอเทวินทร์ก่อนนะครับ แล้วผมจะตามไปอยู่ด้วย”
คำสัญญามาพร้อมจูบที่กดลงบนริมฝีปากของเขาเบาๆ เป็นครั้งแรกที่พวกเราจูบกัน และน่าเสียดายที่มันเป็นจูบสุดท้าย
แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเรียกว่าแฟนหรือคนรักไม่ได้ แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่ามีความรู้สึกดีๆต่อกันมานานโดยไม่มีใครเอ่ยปากพูด
จิณณ์รู้สึกทรมาน ขาสองข้างปัดป่ายดิ้นรนเมื่ออากาศที่ใช้หายใจไม่สามารถผ่านหลอดลมเข้ามาสู่ปอดได้ ความทรงจำต่างๆที่เคยทำร่วมกับชายหนุ่มมานานหลายปีถูกฉายซ้ำอีกครั้ง น่าแปลกที่อีกฝ่ายมีมุมมองและความอ่อนไหวในแบบที่เขาไม่รู้จักมาก่อน…เพิ่งรู้ว่าพวกเขาแทบไม่รู้กันดีพอ แต่ช่างมันเถอะ ในเมื่อเขาทั้งดีใจและเสียใจที่กำลังจะตายด้วยน้ำมือของคนๆนี้…คนที่ทั้งรักทั้งแค้น
จิณณ์หลับตาลงช้าๆแม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต…จิณณ์ก็ไม่อาจได้ยินคำว่ารักจากคนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเอ็นดูว่าช่างสดใสและน่ารักมากเหลือเกิน






TBC.







ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
เดาว่าเป็นเล็ก ฮือออ ตื่นเต้นอ่ะ

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
น้องคนเล็กลูกร้านโจ้กหรอที่ฆ่า​ โหยแยบยลมากเลยค่ะ​ หมอกายเทวินทร์​เกี่ยวไรด้วยทำไม​ต้องอยากฆ่าอ่ะ​ จะจบแล้วหรอคะ​ แอบใจหาย​

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เล้กหรา?

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

สรุปลักษณะนิสัยตัวละคร


ชนกันต์ – เด็กหนุ่มที่เติบโตมาพร้อมความกดดันจากครอบครัว ทำให้กลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ มนุษย์สัมพันธ์แย่ เมื่อเรียนจบจึงตัดสินใจพาตัวเองออกจากบ้านมาใช้ชีวิตตามลำพัง ลึกๆแล้วเขาโหยหาความรัก อยากเป็นคนสำคัญสำหรับใครสักคน เมื่อพบหมอกายที่เข้ามาดูแลและมอบความรู้สึกลึกซึ้งให้ ชนกันต์จึงตอบรับและยึดติดทันทีโดยไม่ได้คิดอะไรมาก ชนกันต์ยังไม่เคยเรียนรู้การรักและเคารพตนเอง จึงไม่สามารถที่จะรักหมอกายได้แบบคู่รักปกติ แต่ขณะเดียวกันก็เกิดความโลเล มีความรู้สึกที่ดีให้หมอจิณณ์ ชนกันต์เป็นคนคิดอะไรไม่ลึกซึ้งเหมือนใบไม้แห้ง หากตกลงไปในน้ำ ก็ยินยอมไหลไปตามกระแส หากตกลงบนพื้นดินแล้วถูกลมพัด ก็ยินดีปลิวไปกับลม


หมอกาย – ชายหนุ่มที่มีบุคคลิกสุขุมนุ่มนวล มั่นใจในตัวเอง เป็นที่พึ่งพาของคนรอบข้างได้เสมอ ฉลาด รู้จักการวางตัวที่ดีตามแต่ละสถานการณ์ เชี่ยวชาญในการอ่านความคิดทำให้บางครั้งมีมุมคนเจ้าเล่ห์ เพราะสามารถเลือกแสวงหาผลประโยชน์จากคนรอบข้างได้อย่างแนบเนียนที่สุด หมอกายแอบชอบชนกันต์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เขาเข้าใจว่าชนกันต์มีใจให้เพราะอีกฝ่ายเขียนโน้ตมาแปะบนประตูห้องพักทุกวัน จึงตัดสินใจใช้ความใกล้ชิดในฐานะแพทย์เจ้าของไข้เข้าล่อลวง (?) ถือคติง่ายๆว่า อยากได้ก็ต้องสู้


หมอจิณณ์ – ชายหนุ่มที่มีปณิธานอันแน่วแน่ในเส้นทางของการเป็นแพทย์ที่ดี เขาศรัทธาในตัวเองและวิชาความรู้ที่มี เป็นคนจิตใจดีมาก เพียงแต่มีความเปราะบางทางอารมณ์ จิณณ์เป็นคนฉลาด รอบคอบ หลงตัวเองในบางครั้งเชื่อว่าความคิดของตนเองถูกเสมอ ทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างการลงมือฆ่าคนเพราะคิดว่าคนๆนั้นสมควรตาย
 

เล็ก – ชายหนุ่มอารมณ์อ่อนไหว เขามีแนวโน้มเป็นโรคจิตเภทเนื่องจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ภายนอกดูเหมือนเป็นคนช่างพูด อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ลึกๆแล้วเป็นคนขี้อิจฉาและคิดมาก เก็บกดรายละเอียดรอบตัวที่ไม่ชอบทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ไว้ในใจรอคอยการระเบิดออกมา


คุณหญิงอรดี – ผู้หญิงยุคใหม่ที่มีมั่นใจในตัวเอง ฉลาด กล้าคิด กล้าตัดสินใจ ประสบความสำเร็จทั้งด้านการงานและความรักตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้เป็น ที่สนใจของสายตาหลายคู่ ทำให้เธอติดนิสัยแคร์สายตาของคนรอบข้างมากเกินไป เธอกลายเป็นคนคลั่งความเพอร์เฟค ต่อมาเมื่อมีลูก ซึ่งเปรียบเสมือนทรัพย์สมบัติ ทำให้เธอมักบีบบังคับและควบคุมให้ลูกชายทั้งสองคน       
เพอร์เฟคแบบตนเอง จนบางครั้งลืมคิดไปว่า ลูกไม่ใช่สิ่งของที่ใช้ประดับร่างกาย แต่เป็นคนที่มีความรู้สึกและความคิดเป็นของตนเอง





ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

ตอนที่ 18





ปัจจุบัน

กุญแจรถเบนซ์ถูกควงอยู่บนนิ้วชี้เรียวยาว ขณะที่หมอกายก้าวเท้าไปตามทางเดินมืดๆสู่ลานจอดรถ หูได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมาตั้งแต่ที่ก้าวพ้นประตูหน้าโรงพยาบาล ซึ่งเขาคิดว่าอีกฝ่ายคือลูกพี่ลูกน้องที่กำลังแอบจับตามองพฤติกรรมของเขา
กายหยุดยืนท่ามกลางความมืดครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา ตั้งใจว่าจะหมุนตัวกลับไปคุยกับกรวิวัฒน์ให้รู้เรื่องว่าอย่าเดินตามเขาแบบนี้อีก มันน่ารำคาญและทำให้ประสาทเสีย แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากเอ่ยคำพูด ก็ถูกเชือกเส้นใหญ่ที่หยาบหนาพาดลงบนลำคอแล้วออกแรงดึงจากทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว
อึก!
จิตแพทย์หนุ่มใช้มือสองข้างรั้งเชือกให้ออกห่างจากลำคอตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด ทั้งความสูงของร่างที่อยู่ด้านหลัง รวมถึงวิธีการกระตุกเชือกที่รวดเร็วและรุนแรง ทำให้เขามั่นใจแล้วว่าคนที่สะกดรอยตามตนเองมาตลอดสองสัปดาห์คือฆาตกรต่อเนื่อง!
กายหยุดการดิ้นรนขัดขืนเพื่อไม่ให้ร่างกายต้องการออกซิเจนมากเกินไป มือเอื้อมไปหยิบปากกาสีเงินที่มักพกติดตัวไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ถึงแม้ว่ามันจะเป็นของขวัญวันเกิดจากคนสำคัญ แต่ในเวลานี้มันอาจจะกลายเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวที่มี
ปัก!
ตุ้บ!
กายใช้ปากกาแทงลงบนต้นขาคนร้าย การชะงักครู่สั้นๆซื้อเวลาให้เขามากพอที่จะใช้ข้อศอกกระแทกเข้าที่ลิ้นปี่คนด้านหลัง อีกฝ่ายเผลอปล่อยมือจากเขาแล้วงอตัวร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
จิตแพทย์หนุ่มก้าวถอยห่าง ร่างสูงที่เขาเห็นสวมกางเกงยีนขายาวและเสื้อแขนขาวสีดำ สวมถุงมือไวนิลและหมวกไหมพรมสีดำปิดบังใบหน้า เห็นเพียงดวงตาวาววับด้วยความโกรธแค้น แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยพอที่จะจดจำได้ว่าคนๆนี้คือ…
“คุณเล็ก”
“ผมนึกอยู่แล้วว่าคุณต้องจำผมได้ ไอ้หมวกนี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
น้ำเสียงเนิบนาบกล่าวพร้อมกับหมวกไหมพรมที่ถูกถอดออกแล้วโยนทิ้งไปง่ายๆ มือเรียวยาวล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลังเพื่อหยิบมีดสั้นออกมา แสงสะท้อนบนใบมีดเป็นประกายวาววับบ่งบอกความแหลมคมที่สามารถปลิดชีวิตใครคนหนึ่งให้ตายได้
“ทำไมคุณคิดจะฆ่าผม”
“คุณเป็นหนึ่งในหมอที่ดูแลอาม่าผม คุณต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบ”
กายไม่แปลกใจเลยเมื่อพบว่าคนๆนี้มีอาการทางจิตที่ถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมจากรุ่นสู่รุ่น เพียงแต่เขาไม่คิดจริงๆว่าฆาตกรจะเป็นคุณเล็กแทนที่จะเป็นคุณใหญ่
“คุณน่าจะดีใจนะที่ได้ตายเป็นคนสุดท้าย ผมให้เวลาคุณมาตั้งหลายปี ให้ทำสิ่งที่อยากจะทำ…ว่าแต่คุณทำครบหรือยังครับ”
“ถ้าบอกว่ายังไม่ครบ คุณจะต่อเวลาให้ผมหรือเปล่า”
เล็กขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถามจากจิตแพทย์หนุ่ม อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันกระตุ้นอารมณ์กรุ่นๆในใจได้ดีเหลือเกิน
“ต่อให้ไม่ได้หรอก ถึงเวลาที่ผมต้องไปได้แล้ว”
“คุณเตรียมตัวที่จะเข้าไปนอนในคุกแล้วหรือ”
เล็กเลิกคิ้วเมื่อได้ยินถ้อยคำยียวนของคนที่ไม่กลัวตาย
“ผมเตรียมใจว่าอาจจะถูกจับได้ แต่ผมไม่มีความคิดที่จะเข้าไปนอนเล่นให้คุกเสียด้วยสิ”
“งั้นคุณคิดว่าจะฆ่าผมได้ง่ายๆหรือ”
เล็กส่ายหน้าช้าๆ หมอเทวินทร์ไม่เหมือนคนอื่นที่เขาเคยฆ่า…หมอกวีอายุค่อนข้างมาก จึงไม่ยากเลยที่จะพลาดท่าเสียทีให้กับคนหนุ่มแข็งแรงอย่างเขา…ส่วนพี่จิณณ์ รายนั้นต้องเรียกว่าพลาดท่าเพราะความไว้วางใจ…และหมอฌายิน ผู้ชายที่มีรูปร่างค่อนข้างบอบบางอย่างคนที่ชอบนั่งโต๊ะอ่านหนังสือก็จัดการได้ง่ายมากเช่นกัน
เขาปลายตามองร่างสูงแข็งแรงของจิตแพทย์หนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า…หมอเทวินทร์ไม่ใช่คนโง่ จะมีสักกี่คนกันที่ใจเย็นและมีสติมากพอที่จะคิดหาวิธีเอาตัวรอดเมื่อมีเชือกเส้นหนึ่งรัดอยู่บนลำคอ
“ผมคิดว่าการฆ่าจิตแพทย์เป็นเรื่องที่ยากจริงๆ ผมไม่ถนัดเลย”
เล็กเอ่ยยิ้มๆด้วยดวงตาวาววับ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่หมอเทวินทร์อย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายมีสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดที่ยอดเยี่ยม เขาคิดอย่างชื่นชม แต่อย่างไรซะ เขาก็คิดจะเอาชีวิตอีกฝ่ายให้ได้
การต่อสู้ที่เกิดขึ้น ถูกใช้ทั้งลูกเตะและกำปั้นอย่างเต็มกำลัง ดูเหมือนต่างฝ่ายต่างคิดจะให้ศัตรูได้รับบาดเจ็บถึงชีวิต… แน่นอนว่ากายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะต้องคอยหลบหลีกอาวุธมีคมที่บาดผิวหนังส่วนต่างๆไปหลายจุด ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายพลาดท่าให้อีกฝ่ายใช้แขนรัดคอไว้แน่น เป็นการสะกดการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ดีทีเดียว ลำคอสัมผัสได้ถึงความเย็นจากปลายมีดที่กดเข้ามาเป็นเชิงข่มขู่มากกว่าต้องการฆ่าให้ตายทันที
กริ้ก!
เล็กชะงักเมื่อได้ยินเสียงปลดไกปืนโตกาเรฟออกจากตำแหน่งเซฟตี้ นัยน์ตาสีดำเหลือบมองไปเบื้องหน้า เห็นร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งถือปืนสั้นก้าวออกมาจากความมืดพร้อมคำพูดที่ทำให้นึกขัน ให้ตายสิ ทำไมตำรวจต้องพูดประโยคเหมือนในละครหลังข่าวด้วยนะ
“หยุด! อย่าขยับ นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
กายขมวดคิ้วเมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องกำลังถือปืนเล็งเป้ามาที่พวกเขา…กรวิวัฒน์แอบสะกดรอยตามเขามาจริงๆด้วย
“วางอาวุธลงแล้วยกมือขึ้น”
“หึ คิดว่าผมจะทำตามที่คุณสั่งง่ายๆหรือ คุณตำรวจ”
เล็กหัวเราะเยาะคำสั่งโง่ๆ เห็นๆอยู่ว่าในมือเขามีตัวประกันที่ยืนเป็นโล่บังกระสุน ไม่ว่านายตำรวจหนุ่มจะมีฝีมือในการยิงปืนหรือไม่ ก็เสี่ยงจะโดนตัวหมอเทวินทร์อยู่ดี
“ลองดูมั้ยว่าลูกปืนของคุณจะเร็วกว่ามีดของผมหรือเปล่า ถ้าเสมอก็แค่มีคนตายเป็นเพื่อน แต่ถ้าแพ้ผมจะไม่ติดคุก”
กายมองดวงหน้าที่ฉายความเครียดจัดของกรวิวัฒน์ ถึงแม้สองมือที่ถือปืนจะสั่นระริก แต่เจ้าตัวก็ยังปักหลักอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ลูกพี่ลูกน้องของเขาจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจด้วยผลการเรียนที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะความเชี่ยวชาญและความแม่นยำในการใช้ปืนสั้น แต่ความไม่มั่นใจบวกกับสถานการณ์จริงที่บีบบังคับทำให้อีกฝ่ายเกิดความกลัว
กรวิวัฒน์สบตาคนที่ตกเป็นตัวประกัน เจ้ากายไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัว ต่างจากเขาซะอีกที่รู้สึกกลัว เจ้าบ้านั่นพยักหน้าให้เขา แน่นอนว่าเขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการบอกว่าเชื่อใจ จะยิงก็รีบยิงเพราะหากวางอาวุธแล้วปล่อยให้ฆาตกรโรคจิตพาเจ้ากายไป โอกาสรอดคงเป็นศูนย์…หมอนั่นขยับปากช้าๆเป็นการนับถอยหลัง
1
2
3
ปัง!
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศ เลือดสีแดงสดทะลักไหลออกมาจากบาดแผลพร้อมร่างสูงโปร่งที่ล้มลงคว่ำหน้าอยู่บนพื้นที่อาบย้อมไปด้วยสีแดง



กายกระแทกส้นเท้าลงบนเท้าของเล็ก ในจังหวะที่อีกฝ่ายให้ความสนใจปืนในมือของกรวิวัฒน์ แม้เล็กจะตกใจและปักมีดลงมา แต่เขาก็เบี่ยงตัวหลบทัน ทำให้ด้ามมีดปักลงมาบนไหล่ในจุดที่ไม่อันตราย ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสให้กรวิวัฒน์เหนี่ยวไกฝังกระสุนไว้บนอกใกล้กับหัวใจของเล็ก
นายตำรวจค่อยๆลดปืนในมือลง นัยน์ตาสีดำหลุบมองร่างที่อาบเลือดสีสด…หากตัดสินใจยิงคนร้ายที่มีตัวประกัน เขาจำเป็นต้องยิงในจุดที่สำคัญเพื่อไม่ให้คนร้ายมีโอกาสทำร้ายตัวประกันได้อีก
“ไปเรียกบุรุษพยาบาล”
กรวิวัฒน์หลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของกาย เจ้าตัวพลิกร่างของเล็กให้นอนหงายแล้วแตะมือลงที่ข้างลำคอ เมื่อพบว่ายังมีชีวิตอยู่ก็พยายามห้ามเลือดจากบาดแผล
กรวิวัฒน์เก็บปืนไว้ในซองที่เหน็บอยู่ข้างเอว แล้วออกวิ่งไปที่โรงพยาบาลซึ่งเริ่มวุ่นวายเพราะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนกำลังหาต้นกำเนิดเสียงปืน เขาพยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กระชับที่สุด ส่วนบุรุษพยาบาลที่เข้ามารับฟังก็รีบเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือแล้ววิ่งตามกรวิวัฒน์ไปที่ลานจอดรถส่วนที่ลึกที่สุด
เล็กถูกสวมเครื่องช่วยหายใจแบบที่ใช้มือบีบครอบจมูกและปาก ก่อนจะนำเข้าห้องผ่าตัดอย่างรวดเร็ว
“หมอกาย คุณบาดเจ็บ”
ขณะที่กรวิวัฒน์กำลังกดโทรศัพท์หาลูกน้องใต้บังคับบัญชาให้มาเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ ก็ได้ยินเสียงร้องของพยาบาลวัยกลางคน เขาเหลือบไปมองร่างสูงโปร่งของลูกพี่ลูกน้องที่ยืนก้มหน้านิ่งๆอยู่หน้าห้องผ่าตัด เสื้อผ้าและใบหน้าเปอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีสด ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเลือดของคุณเล็ก แต่เมื่อเจ้าตัวยกมือกุมไหล่ซ้าย จึงรู้ว่าอีกฝ่ายถูกแทง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่กายถูกจับเป็นตัวประกันมันรวดเร็วมากเสียจนเขาไม่ได้สนใจจะดูว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดีหรือไม่
“ไอ้กาย”
กายได้ยินเสียงร้องเรียกที่ฟังดูร้อนรนแปลกๆ แต่สติที่เขาประคองไว้ค่อยๆหายไปก่อนจะดับวูบพร้อมกับร่างไร้เรี่ยวแรงที่ล้มลงบนพื้น





กลิ่นธูปที่มาพร้อมกับลมหอบหนึ่ง พัดปะทะใบหน้าทำให้ชนกันต์สะดุ้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองไปรอบๆห้อง 710 แม้จะมองไม่เห็น แต่เขาสัมผัสได้ว่าใครบางคนกำลังมา…ชายหนุ่มก้มหน้ามองรูปภาพและเอกสารต่างๆในคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ก่อนจะเริ่มต้นรวบรวมเก็บใส่ไว้ในแฟ้ม พยายามให้เหมือนเดิมมากที่สุด เมื่อแฟ้มสุดท้ายถูกวางลงบนโต๊ะ เขาก็หมุนตัวกลับตั้งใจว่าจะไปโทรหาหมอกายอีกครั้ง แต่ก็ต้องสะดุ้งแล้วร้องจ๊ากเพราะคนคุ้นเคยยืนอยู่ตรงหน้า
ร่างสูงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาได้รูปยังคงอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสวมทับด้วยเสื้อกาวน์สีขาวเช่นเดิม อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไรเช่นเดียวกับชนกันต์ที่ยืนมองคุณหมอเงียบๆ ภาพถ่ายที่อีกฝ่ายถูกฆาตกรรมยังติดตาของเขาไม่ลบเลือน…ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากสีม่วงคล้ำกับร่างกายที่แข็งทื่อเพราะพบศพช้าไปเกือบสองวัน
ชนกันต์สูดลมหายใจลึกขณะที่สายตาไม่ได้ละไปจากดวงหน้าของคุณหมอ เขาชอบใบหน้าของอีกฝ่ายในตอนนี้มากที่สุด เพราะมันดูดีและใกล้เคียงกับคนที่ยังมีชีวิต
“หมอจิณณ์…ใช่มั้ยครับ”
ชนกันต์ถาม ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเสียงที่เปร่งออกมาแหบพร่าแค่ไหน รวมถึงไม่แน่ใจด้วยว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร อาจจะเป็นความรู้สึกที่อยู่ระหว่างความโล่งใจที่ตัวเองไม่ได้บ้า กับความประหลาดใจที่ตัวเองมองเห็นคนที่ตายไปแล้วก็ได้
“คุณตายที่นี่หรือ…ใครเป็นคนฆ่าคุณครับ”
หมอจิณณ์หันหน้าไปทางซ้ายเงียบๆ ชนกันต์คิดว่ามันอาจจะเป็นคำตอบจึงหันไปมองตามสายตาของหมอ…ตรงนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากพื้นที่โล่งๆที่หมอกายเคยบอกว่าเอาไว้ออกกำลังกายเพราะไม่มีเวลาเข้ายิม แต่ก่อนที่เขาจะทันได้อ้าปากถามอะไรก็เกิดแสงสว่างวาบสาดกระทบใบหน้า ชนกันต์ปิดเปลือกตาลงพร้อมกับโลกที่หมุนติ้วๆ ได้ยินเสียง ตุ้บ! เหมือนของตกกระทบพื้น แต่ความเจ็บที่หลังศีรษะทำให้เขารู้ว่าตัวเองหน้ามืดแล้วล้มลงบนพื้นต่างหาก แขนขาขยับไม่ได้ไปครู่หนึ่งพร้อมกับภาพต่างๆที่ไหลเข้ามาในหัวราวกับได้ดูภาพยนตร์ย้อนหลัง…
ตรงที่เคยเป็นพื้นที่ว่างกลายเป็นโซฟาตัวยาว การจัดตกแต่งห้องต่างจากห้อง 710 ในปัจจุบันมาก ชนกันต์เห็นพี่เล็กใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าช็อตที่หลังของหมอจิณณ์ …พวกเขาพูดคุยกันในเรื่องที่ทำให้ตกใจ และจบลงที่หมอถูกรัดคอ…
ชนกันต์ตัวแข็งทื่อ หอบหายใจแรง นานเกือบหนึ่งนาทีจึงรู้ว่าตนเองกำลังนอนแผ่หราอยู่บนพื้น เขายันตัวขึ้นนั่ง ยกมือลูบศีรษะปอยๆ รู้สึกตื่นเต้นเมื่อคิดว่าเขาอาจจะมีญาณวิเศษยั่งรู้อดีต แถมยังสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้อีก แต่เดี๋ยวนะ…เขาไม่เห็นจำได้เลยว่า ก่อนหน้านี้เคยพบเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติมาก่อน
ชนกันต์ไม่เคยเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย แล้วก็ไม่เคยกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น ถึงแม้จะเคยได้ยินเรื่องเล่าต่างๆนาๆว่าผีสางหน้าตาน่ากลัว มีเลือดไหลท่วมตัว และถอดหัวได้ แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ ‘ผี’ ตรงหน้าใกล้เคียงกับคนปกติมากทีเดียวแล้วจะให้เขากลัวได้อย่างไร
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมผมเห็นคุณ”
หมอจิณณ์ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นตรงหน้าชนกันต์ แล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ผมไม่เคยคุยกับคนอื่นมาก่อน อาจจะเป็นเพราะผมกับคุณรับคลื่นความถี่เดียวกันก็ได้”
ชนกันต์ขยับยิ้มขบขันเมื่อได้ยินข้อสันนิฐานทางวิทยาศาสตร์จากผี
“ผมเพิ่งรู้ว่าวิญญาณมีอยู่จริง”
“มีหลายเรื่องที่เป็นความจริงแต่คุณยังไม่รู้ ในอนาคตเรื่องของวิญญาณอาจจะกลายเป็นวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพิสูจน์ก็ได้”
นั่นสิ เมื่อหลายร้อยปีก่อน การสื่อสารทางไกลผ่านสมาร์ทโฟน เครือข่ายโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ทก็ยังเป็นเพียงเวทมนตร์ที่ไม่แน่ว่ามีอยู่จริง
“แล้วทำไมคุณไม่…”
ชนกันต์เม้มปาก นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลเหลือบมองหน้าหมอจิณณ์ที่ยังคงนิ่งสงบไม่ต่างจากครั้งแรกที่พบกันก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“ทำไมคุณไม่ไปจากที่นี่ครับ หมายถึงไปเกิด หรือไม่ก็ไปสวรรค์”
“ผมไม่สมควรขึ้นสวรรค์หรอกครับ”
“อา”
ชนกันต์ทำได้เพียงแค่ครางรับในลำคอ รู้สึกคิดผิดชะมัดที่เอ่ยถามออกไปทั้งที่เขาก็เห็นภาพในอดีตมากับตา ได้ยินมากับหูว่าหมอจิณณ์…ฆ่าคนตาย
“อันที่จริงผมไม่รู้ว่าทำไมยังต้องอยู่ที่นี่ วนลูปเดิมๆทุกวัน ผมไปทำงาน กลับมาที่ห้อง ถูกฆ่าตาย เจ็บปวดทุกครั้งที่ถูกเชือกรัดคอ…ผมอยากไปจากที่นี่ ไปที่ที่สงบกว่านี้”
“คุณตายทุกวันเลยเหรอ”
ชนกันต์ร้องถาม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ แน่นอนว่าเขาไม่เคยตาย แต่การตายหนึ่งครั้งคงเจ็บปวดมาก แล้วถ้าต้องตายหลายๆครั้งมาตลอดสองปีจะสาหัสมากแค่ไหน
“ผมอาจจะกำลังตกนรกอยู่ก็ได้”
ชนกันต์ยื่นมือออกไปข้างหน้า มันสั่นระริกเพราะความไม่แน่ใจ แต่เขาจำได้ว่าเคยสัมผัสหมอจิณณ์มาก่อน ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย
ฝ่ามืออบอุ่นของมนุษย์ที่มีชีวิตแตะลงบนแก้มของหมอจิณณ์เบาๆ สัมผัสที่ชนกันต์ได้รับช่างบางเบาราวกับอากาศ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงสสารบางอย่างที่เป็นองค์ประกอบของร่างนั้น
“คุณอาจจะไปจากที่นี่ไม่ได้เพราะยังไม่หมดห่วง”
“ผมเหงา”
กระแสเสียงเว้าวอนทำให้ชนกันต์รู้สึกผิด
“ผมขอโทษที่ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนคุณ ทั้งที่ตอนแรกผมขอให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผมแท้ๆ”
“กลัวมั้ย”
ชนกันต์พยักหน้า
“ผมไม่ได้กลัวหมอ ไม่ได้กลัวตาย แต่ผมกลัวความโดดเดี่ยว ผมยอมรับว่าอ่อนแอแล้วก็โลเล ผมอยากมีใครสักคน ใครก็ได้ที่จะไม่ทอดทิ้งผมไป เห็นผมสำคัญที่สุด แล้วก็รักผมมากๆ…”
“มาอยู่กับผมสิ”
ชนกันต์ชะงัก เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความไม่แน่ใจ…ให้เขาไปอยู่กับหมอจิณณ์หรือ
“คุณจะไม่โดดเดี่ยว และผมจะไม่เหงา มีแค่เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดไป”
คำว่าตลอดไปทำให้ชนกันต์นิ่งเงียบเป็นเวลานาน เสี้ยวหนึ่งในหัวใจของเขาคิดถึงพ่อแม่และพี่ที แต่ภาพของคนเหล่านั้นกลับหายไปอย่างรวดเร็วราวกับไร้ความอาวร แล้วถูกแทนที่ด้วยภาพของหมอกาย
แต่อีกเสี้ยวหนึ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจคือความไม่เชื่อใจ ไม่มีเหตุผลอะไรที่หมอกายจะทุ่มเทความรักในเขา ในเมื่อเขายังให้หมอกายไม่ได้เลย ใครจะอยากถูกเอาเปรียบ แต่ถ้าเขาอยู่กับหมอจิณณ์ ฝังกลบอนาคตไว้ในอดีตกับหมอจิณณ์ เขาจะมีช่วงเวลาที่ไม่โดดเดี่ยวตลอดไปหรือเปล่า…ไม่ต้องคาดหวัง ไม่ต้องพยายามดิ้นรน ไม่ต้องเจ็บป่วย มีเพียงความว่างเปล่า…
ชนกันต์ไม่รู้เลยว่าความคิดท้อแท้ของคนที่รักตัวเองไม่เป็น แต่พยายามเรียกร้องหาความรักจากคนอื่นมาทดแทนความอ้างว้าง จะทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาด และนำมาซึ่งความเจ็บปวด…




ชนกันต์กำลังจะตาย...
สิ่งที่ตระหนัก ทำให้สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำงาน มือเล็กพยายามดึงรั้งเชือกเส้นใหญ่ที่กำลังรัดคอ ขาสองข้างปัดป่ายอยู่ในอากาศอย่างไร้ผล พยายามอ้าปากหวังกอบโกยออกซิเจนเข้าปอด สมองของเขาใช้การไม่ได้ไปชั่วขณะ ชนกันต์ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน หรือกำลังทำอะไร รู้เพียงเเต่ว่า ตอนนี้เขาต้องการออกซิเจนสำหรับหายใจ
ความทรมานที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่วินาที ยาวนานราวกับหลายชั่วโมงในความคิดของเขา มือเเละเท้าเริ่มไร้เรี่ยวเเรงจากการดิ้นรน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มพร่ามัว เขามองภาพเบื้องหน้าไม่เห็นขณะปิดเปลือกตาลงช้าๆปล่อยให้สติดับวูบเเละหวังว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาพบความเจ็บปวดอีก



TBC.







ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ไม่นะชนกันต์​ อย่าตายนะ​ หมอจินน์ผีเลวมาเอาคนไปอยู่ด้วย​ คนก็จิตอ่อน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อ้าวววว ใครเป็นคนรัดคอน้อง ถ้าเป็นฝีมือหมอจิณจะพีคมาก แงงงงง ทำไมผีคุณหมอไม่อ่อนโยน

ออฟไลน์ it.the.world

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :impress3: อย่าเป็นอะไรนะ  :pig4:

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
อ้าววว เกิดอะไรขึ้นน


ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ยยย ไหงงั้นอะ

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
แอบสงสาร หมอจิณณ์ ..กันต์ ไม่ตาย แน่ๆ

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ตอนที่ 19



เปลือกตาหนักอึ้งกะพริบไหวก่อนจะปรือขึ้นช้าๆ ภาพแรกที่กายเห็นคือเพดานสีขาวในห้องพักผู้ป่วย เขาพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะอ้าปากร้องครางเพราะความเจ็บร้าวบริเวณไหล่ซ้าย ได้แต่ทิ้งตัวลงนอนเป็นผักแห้งเหี่ยวเหมือนเดิม
“ตื่นแล้วเหรอ”
เสียงคุ้นหูเรียกให้กายเหลือบตาไปมอง เห็นร่างสูงของลูกพี่ลูกน้องกำลังนั่งอ่านนิตยาสารอยู่บนเก้าอี้ เจ้าตัวลุกขึ้นแล้วเดินมายืนข้างเตียง สายตากวาดมองเขาขึ้นๆลงๆครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามด้วยความไม่สบายใจ
“เป็นไงบ้าง อยากให้ฉันตามหมอมาดูอาการมั้ย”
“ไม่ต้อง ฉันไม่เป็นไร”
กายพึมพำด้วยเสียงแหบแห้ง เพิ่งรู้ตัวว่ามือซ้ายถูกเจาะให้น้ำเกลือขนาดเล็กที่ใกล้หมดถุงแล้ว มือขวาเอื้อมไปกดที่ข้อมืออีกข้างเพื่อวัดชีพจร
“งั้นก็ดีแล้ว”
“หิวน้ำ”
กรวิวัฒน์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดห้วนสั้นของคนเป็นน้อง แค่เอ่ยปากขอร้องคนอื่นดีๆทำไม่ได้หรือไงวะ แต่เห็นแก่ที่นอนเจ็บหนักเขาจะถือว่านั่นคือคำขอร้องแล้วละกัน 
“คุณเล็กเป็นยังไงบ้าง”
กายถาม เขาถูกกรวิวัฒน์ประคองให้นั่งพิงหมอน ก่อนจะรับแก้วน้ำที่ถูกยื่นให้มาดื่ม
“ตายแล้ว”
กายชะงักเมื่อได้ยินคำตอบสั้นๆได้ใจความ แต่นั่นไม่ได้อยู่เหนือการคาดเดาของเขาเพราะบาดแผลถูกยิงของคุณเล็กสาหัสและใกล้กับหัวใจมาก ทำให้การผ่าตัดสำเร็จแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
“ฉันคงโดนสอบ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก คุณเล็กมีอาวุธแล้วจับนายเป็นตัวประกัน ส่วนฉันแค่ทำตามหน้าที่”
กายเงยหน้ามองกรวิวัฒน์ ที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก คำพูดพึมพำประโยคยาวราวกับกำลังปลอบประโลมตัวเองมากกว่าจะบอกให้เขาสบายใจ
“กี่โมงแล้ว”
กายเปลี่ยนเรื่องไปดื้อๆ เขาไม่ต้องการให้กรวิวัฒน์กังวลใจอยู่กับเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว
“สามทุ่ม ถือว่านายตื่นเร็วมากเลยนะ”
กายพยักหน้าก่อนจะคิดขึ้นได้ว่ามีนัดกินมื้อค่ำกับชนกันต์ อีกฝ่ายคงจะรอและเป็นห่วงที่เขาหายเงียบไปนานหลายชั่วโมง
“โทรศัพท์ฉันอยู่ไหน”
กรวิวัฒน์เดินข้ามห้องไปเปิดลิ้นชักใต้ทีวีจอแบนขนาดใหญ่ แล้วหยิบสมาร์ทโฟนสีดำมาโยนให้เจ้าของที่เกือบขยับมือรับไม่ทัน
“เด็กนายโทรมาเป็นร้อยสาย”
“แล้วทำไมนายไม่รับวะ”
กายว่าอย่างหัวเสีย แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ เขารีบโทรกลับไปหาชนกันต์ทันที รอสายอยู่นานจนสัญญาณถูกตัดไปเองก็กดโทรซ้ำอยู่สี่ถึงห้าครั้งด้วยความรู้สึกกังวลกระวายใจ
“กันต์ไม่รับโทรศัพท์”
“นอนแล้วมั้ง”
ตอนนี้เพิ่งสามทุ่มกว่า ปกติแล้วกันต์จะนอนเกือบเที่ยงคืน ไม่มีทางที่เจ้าตัวจะนอนตั้งแต่หัวค่ำแน่ๆ กายไม่รู้ว่าตนเองกำลังคิดมากเรื่องอะไร แต่เขาไม่สบายใจที่ปล่อยให้เด็กคนนั้นอยู่ในห้องที่มีคนตายเพียงลำพัง
“เฮ้ยๆ นายจะทำอะไรวะ”
กรวิวัฒน์ร้องเสียงหลง รีบเข้ามาจับตัวหมอบ้าที่กระชากสายน้ำเกลือออกจากมือ ทำให้เลือดสีแดงสดทะลักออกมาจากรูเข็ม
“ฉันจะกลับไปดูคุณกันต์”
กายกระโดดลงจากเตียง เดินด้วยทางท่าไม่มั่นคงนักเพราะไร้เรี่ยวแรงและเหมือนจะมีอาการความดันต่ำตามมาติดๆ เขาไม่ได้สนใจความเจ็บปวดของบาดแผลบริเวณหัวไหล่เลย แต่เริ่มเปิดลิ้นชักตามหากุญแจรถ กุญแจห้องและกระเป๋าสตางค์ของตนเอง
“เดี๋ยวๆ คนถูกแทงจะไปห่วงคนที่อยู่ห้องคนเดียวทำไมวะ”
ถ้าอยู่คนเดียวนะ…
“นายว่าผีมีจริงมั้ย”
กายหมุนตัวกลับมาถามกรวิวัฒน์ด้วยสีหน้าจริงจัง อีกฝ่ายมีทางท่ามึนงงเหมือนคนจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ถามอะไรของนาย”
“ผีทำร้ายคนไม่ได้หรอกใช่มั้ย”
“นี่นายเป็นหมอผีหรือหมอคนกันแน่วะ”
กายไม่สนใจลูกพี่ลูกน้องของตนเอง เขาพบเสื้อผ้าสะอาดถูกเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้ามุมห้อง จำได้ว่าเป็นชุดสำรองที่เคยเก็บไว้ในห้องทำงาน ดูเหมือนว่าใครสักคนจะนำมันออกมาไว้ให้เขาเปลี่ยน
กายรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจเสียงสบถด่าของกรวัฒน์แล้วออกไปจากห้องพักผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย! กาย”


เบนซ์สีดำทะยานสู่ท้องถนนในยามค่ำคืน โชคดีที่ถนนสายหลักจากโรงพยาบาลมายังอพาร์ทเม้นท์ค่อนข้างโล่ง ทำให้กายใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีก็พาตนเองมาถึงที่หมาย รถคันงามถูกจอดในลานจอดรถอย่างไม่เป็นระเบียบนัก ได้ยินเสียงยามแก่ๆตะโกนว่าอะไรสักอย่างที่เขาไม่ได้สนใจฟัง รีบวิ่งเข้าไปในตัวอาคารสีขาวแล้วกดลิฟต์ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีแต่ราวกับนานนับชั่วโมง หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำ เหงื่อเย็นไหลอาบใบหน้า ยิ่งขาก้าวเข้าไปใกล้ห้องหมายเลข 710 มากเท่าไร เท้าของเขาก็ยิ่งนักอึ้งขึ้นทุกที เขาหอบหายใจแรง มือที่กำลังไขลูกกุญแจสั่นระริก และเมื่อบานประตูถูกเปิดออก ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็ทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น…
“กันต์!!!”
ชนกันต์นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ใกล้ๆร่างมีเก้าอี้ตัวหนึ่งล้มอยู่ เขาเงยหน้ามองเพดานโดยอัตโนมัติก็เห็นว่ามีเชือกเส้นใหญ่ถูกผูกไว้กับพัดลมเพดาน…โชคดีแค่ไหนแล้วที่เชือกขาด!
กายถลาเข้าไปประคองร่างโปร่งขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าของชนกันต์ซีดเซียว หน้าผากแตกเพราะกระแทกพื้นห้องทำให้หมดสติไป มือเลื่อนไปสัมผัสชีพจรบริเวณลำคอของอีกฝ่าย พบว่าอ่อนแรงมากเหลือเกิน จึงรีบหยิบสมาร์ทโฟนมากดโทรหาโรงพยาบาลให้ส่งรถฉุกเฉินมารับ
หลอดลมของชนกันต์ถูกรัดเป็นเวลาเกือบหนึ่งนาทีทำให้เจ้าตัวหายใจลำบาก มีบางครั้งที่หายใจสั้นๆและแทบจะหยุดลงได้ทุกเมื่อ กายได้แต่ประคองร่างบอบบางให้นอนราบบนพื้น แล้วผายปอดเป็นระยะ
“อดทนไว้ อย่าทิ้งผมไปเด็ดขาด”
เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหู ไม่ได้ทำให้ร่างที่นอนนิ่งรับรู้เลยว่าทำให้ใครบางคนเจ็บปวดใจมากเหลือเกิน


พายุฝนโหมกระหน่ำเทลงมาติดต่อกันหลายชั่วโมง สายฟ้าแลบบนท้องฟ้าสีดำในบางครั้ง ส่องสว่างผ่านเข้ามาทางระเบียงที่เปิดทิ้งไว้ ทำให้เห็นเสี้ยวหน้าของจิตแพทย์หนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องพักมืดๆ มือยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ นัยน์ตาสีนิลทอดมองไกลออกไปอย่างไร้จุดหมาย
หลังกลับมาจากงานเผ่าศพของคุณเล็กเขาก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนจากโซฟาเลย ทีวีที่เปิดทิ้งไว้ทางด้านหลังยังฉายภาพแถลงข่าวการวิสามัญฆาตกรรมฆาตกรต่อเนื่องที่กำลังเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วประเทศ ซึ่งตำรวจปฏิเสธที่จะให้การเกี่ยวกับตัวผู้กระทำผิดเพราะเกรงจะส่งผลกระทบต่อครอบครัวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดี
คดีฆาตกรรมหมอในโรงพยาบาลเซนต์โทมัสทั้งหมดสี่ศพ ถูกสรุปว่าเป็นฝีมือของคุณเล็กเพียงคนเดียว เถ้าแก่โชคและคุณใหญ่ถูกตำรวจเรียกมาสอบปากคำแล้วรับทราบข้อกล่าวหา งานศพถูกจัดขึ้นเงียบๆสามวันและเผาทันที เถ้าแก่เสียใจมาก ยืนตาแดงๆตลอดงาน เงียบขรึม ได้แต่บอกญาติที่มาร่วมงานว่าลูกชายคนเล็กรถคว่ำจนเสียชีวิต
ส่วนชนกันต์ยังอยู่ในอาการโคม่า ต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดและห้ามเข้าเยี่ยมมาสามวันแล้ว ทางโรงพยาบาลได้โทรแจ้งข่าวกับครอบครัวซึ่งตกใจมากเมื่อรู้ข่าวการฆ่าตัวตาย…ไม่มีจดหมายลา ไม่มีอาการคลุ้มคลั่ง หรืออาการซึมเศร้ามาก่อน
คุณหญิงอรดีขอนัดพบเพื่อพูดคุยกับกายในฐานะจิตแพทย์และเพื่อนสนิทของชนกันต์ ซึ่งเขาก็ได้อธิบายซึ่งสภาพความกดดันของครอบครัวให้รับทราบ แต่อาการอื่นๆถือว่าปกติและไม่มีแนวโน้มการฆ่าตัวตาย
คุณอรดีใช้เส้นสายขอให้ตำรวจที่รู้จักเข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุในห้องของเขาว่าอาจจะมีการฆาตกรรมโดยอำพรางให้เหมือนการฆ่าตัวตาย รวมถึงเช็คกล้องวงจรปิดในอพาร์ทเม้นท์ แต่นอกจากตัวชนกันต์แล้วก็ไม่มีใครเข้าไปในห้อง 710 อีกเลย ถ้าเขาไม่ได้บาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลก็อาจจะถูกสงสัยได้เหมือนกัน แน่นอนว่าคดีนี้ตกไปเพราะการฆ่าตัวตายไม่สามารถเป็นคดีได้ เพียงแต่เขาคิดว่าตนเองรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ แต่ไม่สามารถที่จะพูดออกไปได้
หมอจิณณ์…
นัยน์ตาสีดำจับจ้องไปที่เงาสะท้อนบนประตูกระจกหน้าระเบียง…กายไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ตอนนี้เขาอาจจะเมาแล้วก็ได้ที่เขามองเห็นในสิ่งที่ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
ผู้ชายร่างสูงในเสื้อกาวน์ยาวสะท้อนอยู่บนกระจก…
กายไม่ได้หันกลับไปมองด้านหลัง แต่จับจ้องเงานั้นนิ่งๆ เงาเคลื่อนไหวเชื่องช้า ไม่ได้ขยับเข้ามาหรือห่างออกไป วูบวาบเหมือนภาพที่ใกล้จะล่องหน
“ผมอยากได้เขาคืน”
กายพึมพำเบาๆ เขาคงเสียสติไปแล้วที่หวังจะให้ภาพเลื่อนลางนั้นพูดกับเขา บอกว่าจะคืนชนกันต์ให้ และจะจากไปไม่มาให้คนของเขาเห็นอีก
กระป๋องเบียร์ว่างเปล่าในมือถูกทิ้งลงบนพื้นข้างๆโซฟา กองรวมอยู่กับบรรดากระป๋องเปล่าที่ถูกดื่มไปก่อนหน้านี้ เขาก้มลงหยิบเบียร์กระป๋องใหม่ที่วางอยู่บนพื้นอีกด้าน แล้วอยู่ๆพายุอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความเกี้ยวกราดที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักสำหรับคนอย่างเขา ทำให้ขาดสตินึกคิดไปชั่วครู่ กระป๋องเบียร์หนักๆในมือก็ถูกขว้างออกไปสุดแรงใส่ภาพสะท้อนบนกระจก
ตุ้บ!
เพล้ง!!!
.
.
ประตูบานสีขาวของห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดและปิดลงเบาๆในเวลาห้าโมงเย็น ทุกวันหลังเลิกงานกายจะแวะมาดูแลชนกันต์ อันที่จริงต้องเรียกว่าเขาใช้เวลาว่างเกือบทั้งหมดอยู่กับอีกฝ่ายเลยมากกว่า
“ผมมาแล้ว”
กายวางกระเป๋าหนังลงบนโซฟาสีเขียวเข้มแล้วเอ่ยทักทายเด็กหนุ่มตามปกติขายาวก้าวเข้าไปยืนข้างเตียงผู้ป่วยที่มีร่างโปร่งบางนอนไม่ได้สติมาเกือบสองเดือน
มือยกขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มผอมลงทุกวัน แม้เจ้าตัวจะได้รับน้ำและอาหารผ่านสายยางทางจมูกก็ตาม ใบหน้าซูบตอบ ริมฝีปากแห้งและปริแตกเป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งมันทำให้คนมองรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ
กายเปิดลิ้นชักตู้ข้างเตียงแล้วหยิบลิปสติกแท่งสำหรับบำรุงอาการปากแตกมาเปิดฝา แล้วบรรจงทาลงบนริมฝีปากร่างบนเตียงเบาๆ หลังจากนั้นก็ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดใบหน้าและร่างกายให้ ซึ่งสองสิ่งนี้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาไปแล้ว
แม้ว่าครอบครัวของชนกันต์จะจ้างพยาบาลพิเศษมาคอยดูแล และแวะเวียนมาเยี่ยมลูกชายคนเล็กของบ้านเกือบทุกวัน แต่กลับไม่มีใครใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆพวกนี้เลย
หมอเจ้าของไข้วินิจฉัยว่าชนกันต์มีภาวะสมองบาดเจ็บเนื่องจากศีรษะกระแทกพื้น ถูกเย็บห้าเข็ม อันที่จริงมันไม่ใช่บาดแผลฉกรรจ์ ตอนนี้ก็เกือบหายสนิทแล้ว แต่ที่น่าแปลกคือเด็กหนุ่มกลับมีอาการเจ้าชายนิทรา ซึ่งก็คือภาวะการสูญเสียสมรรถภาพในการคิดและรับรู้ต่อสิ่งรอบข้าง ไม่มีหมอคนไหนบอกได้ว่าจะฟื้นเมื่อไร หรือทำไมหลายครั้งต้องเปลี่ยนยารักษาเพราะร่างกายของผู้ป่วยไม่ยอมตอบสนอง
ชนกันต์ยังหายใจได้ตามปกติ ราวกับว่าเจ้าตัวกำลังนอนหลับและไม่อยากตื่นขึ้นมาเท่านั้นเอง
ผมไม่มีวันทิ้งคุณ…
กายเชื่อว่าวันหนึ่ง…ชนกันต์จะต้องฟื้นคืนสติ
ถึงแม้ระยะเวลาในการเป็นเจ้าชายนิทรานานมากเท่าไร โอกาสในการฟื้นก็จะยิ่งมีน้อยเท่านั้น หรือหากฟื้นขึ้นมาก็ใช่ว่าจะปกติเช่นเดิม…
“ผมโหลดเพลงใหม่มาให้คุณ แต่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า ถ้าไม่ชอบก็รีบตื่นมาบอกผมนะครับ”
กายหยิบแฟลชไดร์ฟที่โหลดเพลงบรรเลง (Instrumental Music) ใหม่ๆออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วเสียบต่อเข้ากับลำโพงขนาดพกพาที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆข้างเตียง รอไม่นานดนตรีที่ไม่มีเสียงร้องก็ดังขึ้นขับกล่อมผู้ที่กำลังหลับใหล
กายใช้ปลายนิ้วสัมผัสเปลือกตาบางแล้วเลื่อนเปิดขึ้นเบาๆทั้งสองข้าง         ชนกันต์ยังคงไม่ได้สติ เขาบีบนวดแขนและขาให้อีกฝ่ายทุกวันเพื่อเป็นการออกกำลังกาย แม้ว่าสิ่งพวกนี้จะมีพยาบาลคอยดูแลและพลิกตัวให้เป็นประจำ แต่เขาก็อยากดูแลคนของเขาด้วยตัวเอง
ปากกาสีเทาที่ได้รับเป็นของขวัญวันเกิดจากชนกันต์ยังถูกเสียบอยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตข้างซ้ายเช่นเดิม แม้ว่ามันจะเสียหายและไม่สามารถเขียนได้อีกแล้ว แต่เขายังอยากที่จะเก็บมันไว้เป็นที่ระลึกใกล้ๆกับหัวใจ
กายเลื่อนมือไปจับปลายเท้าข้างหนึ่งของชนกันต์ ส่วนมืออีกข้างหยิบปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ใช้ส่วนหัวของปากกากดลงบนฝ่าเท้าตั้งแต่ส่วนบนลงมาส่วนล่างช้าๆ เพื่อประเมินระดับความรู้สึกตัว (Glasgow Coma Scale) แต่ชนกันต์ไม่มีการเคลื่อนไหวโต้ตอบ ไม่พูด และไม่ลืมตา
E1V1M1 3 คะแนน
ระดับคะแนนที่ต่ำแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยประสบภาวะไม่รู้สึกตัวอย่างรุนแรง
“ตื่นได้แล้วครับ ผมคิดถึงคุณ”
กายก้มลงประทับจูบบนหน้าผากคนป่วยเนิ่นนาน…เขารู้ว่าตนเองแอบชอบชนกันต์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น แต่ไม่เห็นรู้ตัวเลยว่า…หลงรักชนกันต์ตั้งแต่เมื่อไร



TBC.


ตอบคำถามเพิ่มเติม

หมอจิณณ์เป็นคนฆ่าหมอชรัญ แล้วทำไมในเเผนผังยังเป็นฆาตกรที่เป็นคนฆ่าหมอชรัญ​?

ตอบ เเผนผังวาดขึ้นตามความคิดของหมอกาย เเละการสรุปคดีของตำรวจค่ะ
เพราะสิ่งที่หมอจิณณ์ทำคือการฆาตกรรมเลียนเเบบที่ประสบผลสำเร็จ
ไม่มีใครรู้ความจริงในข้อนี้นอกจากหมอจิณณ์ เล็ก เเละคนอ่านค่ะ






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2020 22:40:11 โดย Willhammin »

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
ตื่นไวๆน้า แต่สรุปแล้วเป็นเพราะหมอจิณณ์จริงๆเหรอ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออออ

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0


ตอนที่ 20


ชนกันต์ลืมตาขึ้นมาพบกับความมืดมิดอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ทุกสิ่งรอบตัวมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดให้สัมผัสจับต้องได้เลย
ชนกันต์มองไม่เห็นทางออก ได้แต่เดินวกวนราวกับตกอยู่ในเขาวงกต ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือหลายต่อหลายครั้ง…แต่ไม่มีใครได้ยิน
ครั้งแรกที่ชนกันต์ตื่นขึ้นมา เขาคิดว่ากำลังอยู่ในนรกหรือไม่ก็ใกล้จะได้ไปนรกแล้ว นั่งกอดเข่าอยู่ในความมืดเนิ่นนานด้วยความหวาดกลัวเพื่อรอยมทูตมารับวิญญาณ แต่ปรากฎว่าไม่มี
เขาเผลอนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ยังไม่มีใครมา ชนกันต์บอกไม่ได้ว่าอยู่ที่นี่มานานเท่าไรแล้ว เขาไม่รู้วันเวลา รู้เพียงอย่างเดียวว่าเริ่มทำใจให้ชินกับความมืดได้แล้ว
ต่อมาชนกันต์เริ่มคิดได้ว่าตนเองยังไม่ตาย แม้จะไม่ชัดเจนนักแต่เขารู้สึกหิวและเจ็บ เป็นอาการเจ็บในจมูกและลำคอราวกับมีอะไรบางอย่างสอดใส่ลงมา
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ชนกันต์ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนจากหมอกาย เขาตะโกนร้องให้หมอช่วยพาออกไปจากที่นี่ เขาไม่อยากอยู่ในความว่างเปล่าคนเดียว แต่หมอไม่ได้ยิน แล้วหลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของหมอมาโดยตลอด
ส่วนใหญ่เป็นหมอที่พูดคนเดียวซะมากกว่า เพราะถึงเขาจะตอบอะไรออกไปหมอก็ไม่ได้ยิน หมอชอบเปิดเพลงให้เขาฟัง ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเพลงเขาจะรู้ว่าเวลาได้ผ่านไปอีกหนึ่งวันแล้ว
ชนกันต์ได้ยินเสียงของพ่อแม่กับพี่ทีเป็นบางครั้ง ทั้งสามคนไม่ได้พูดกับเขา แต่กำลังถามถึงอาการป่วยกับหมอเจ้าของไข้ ซึ่งตอนนั้นทำให้เขาได้รู้ว่าตนเองกำลังนอนเป็นผักเหี่ยวแห้งที่เรียกว่า ‘เจ้าชายนิทรา’
.
.
แอ๊ด!
เสียงเปิดประตูเบาๆกับฝีเท้าที่มั่นคงเรียกให้ชนกันต์เงยหน้าขึ้นมองความมืด…หมอกายมาแล้ว ตอนนี้คงจะเป็นวันใหม่แล้วสินะ
“ผมมาแล้ว”
ชนกันต์ได้ยินเสียงหมอกายเอ่ยขึ้นมาราวกับรู้ว่าเขาได้ยิน เรียวปากขยับยิ้ม เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังนั่งรอให้อีกฝ่ายเปิดเพลงให้ฟัง แม้บางเพลงเขาจะไม่ชอบก็ตาม
“ผมโหลดเพลงใหม่มาให้คุณ”
‘ดี ผมเบื่อเพลงเก่าๆของคุณจะแย่ ฟังมาเป็นร้อยครั้งแล้ว’
ชนกันต์ไม่แน่ใจว่าหมอกายเปิดซ้ำไปซ้ำมาถึงหนึ่งร้อยครั้งหรือเปล่า แต่ตอนนี้เขาเบื่อแล้วจริงๆ
“แต่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า ถ้าไม่ชอบก็รีบตื่นมาบอกผมนะครับ”
หมอกายพึมพำพร้อมกับเสียงดนตรีที่ดังขึ้น ชนกันต์ขมวดคิ้วแล้วตะโกนบอกทั้งที่รู้ว่าหมอไม่ได้ยิน เพราะถ้าได้ยินหมอคงเลิกโหลดเพลงที่ใช้ไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีหลักนานแล้ว
‘หมอ ผมไม่ชอบเสียงไวโอลิน มันเศร้าผมนอนไม่หลับ’
ให้ตายสิ เสียงไวโอลินที่ดังขึ้นช่วยส่งเสริมให้บรรยากาศมืดมนรอบตัวเศร้าสลดลงไปทุกที แล้วอยู่ๆเขาก็จะอยากร้องไห้
‘ไม่เอาเพลงนี้ ผมไม่ชอบ’
ชนกันต์ซบหน้าลงบนหัวเข่าที่ถูกดึงมาชิดแผ่นอก ทนฟังเพลงเศร้าๆนั่นต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขารู้สึกว่าขาที่ปวดเมื่อยกำลังถูกบีบนวดด้วยแรงกำลังดี หมอกายจะคอยเช็ดตัวและนวดแขนขาให้เขาทุกวัน อ่อ หมอเคยแคะหูให้เขาด้วย จะบอกว่ามันจั๊กจี๊มาก เขาหัวเราะจนตัวโยนแต่หมอก็ไม่หยุด
…ความอ่อนโยนและความห่วงใยจากการสัมผัสบนร่างกายทำให้กระบอกตาของชนกันต์ร้อนผ่าว ได้แต่เอ่ยขอบคุณโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ยิน…
‘วันนี้จะไม่เล่าอะไรหน่อยเหรอ’
ชนกันต์เอ่ยถาม ปกติแล้วหมอกายมักจะเล่าเรื่องทั่วไปให้ฟัง อย่างเช่นว่าวันนี้ทำอะไร ไปที่ไหนมาบ้าง แต่หมอจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากทำงาน กินข้าว แล้วก็ดื่มกาแฟ แม้ว่าหลายครั้งเขาจะบ่นหมอมาตลอดว่าน่าเบื่อ อยากฟังเรื่องสนุกๆกว่านี้ แต่วันนี้เขากลับอยากฟัง…
หมอเงียบผิดปกติเกินไป
ชนกันต์เหงา เขาอยากออกไปจากที่นี่ แต่ในเมื่อทำไม่ได้ เขาก็อยากให้หมอกายคุยกับเขา เพราะนอกจากหมอก็ไม่มีใครคุยกับเขาแล้ว
พ่อ แม่ พี่ที ทุกคนที่มาเยี่ยม…ไม่คุยกับเขาสักคำ!
‘เบื่อแล้วเหรอ เพราะผมตอบโต้คุณไม่ได้ คุณเลยไม่อยากคุยกับผมแล้วใช่มั้ย’
หลับตาลงช้าๆ คิดว่าหมอกายคงไม่อยากพูดอะไรแล้วจริงๆ จึงได้แต่ซึมซับสัมผัสจากฝ่ามือที่กำลังบีบนวดปลายเท้าทั้งสองข้าง
ชนกันต์นิ่งฟังเสียงเปียโนที่กำลังบรรเลงเป็นเพลงหวานซึ้ง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่ตอนที่เขาใกล้จะเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงกระซิบข้างใบหูพร้อมกับความอุ่นนุ่มที่ประทับลงบนหน้าผากเบาๆ
 “ตื่นได้แล้วครับ ผมคิดถึงคุณ”
.
.
ชนกันต์สะดุ้งตื่นเพราะเสียงของคนสอง เขาจำได้ในทันทีว่าเสียงหนึ่งคือแม่ ส่วนอีกเสียงคือพี่ที ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกับหมอเจ้าของไข้ แต่กำลังโต้เถียงกันด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าให้ส่งน้องไปอเมริกา”
ชนกันต์ขมวดคิ้ว…
เขาไม่อยากไปอเมริกาเสียหน่อย ถ้าต้องไปอยู่ไกลๆแบบนั้นต้องเหงามากแน่ๆ แล้วหมอกายล่ะ เขาจะไม่ได้เจอหมออีกเลยน่ะสิ
“ถ้าส่งน้องไปไกลแบบนั้น เราจะรู้ได้ยังไงว่าคนที่นั่นดูแลน้องดีหรือเปล่า แต่ถ้าอยู่ที่นี่เรายังมาดูบ่อยๆได้”
‘ใช่ พี่ทีพูดถูกแล้วครับแม่ ให้ผมอยู่ที่นี่นะ’
“แล้วแกจะอยากมาดูทำไมบ่อยๆ ดูว่าน้องแกครึ่งเป็นครึ่งตายแบบนี้หรือไงฮะ!”
ชนกันต์สะดุ้งเมื่อได้ยินน้ำเสียงเฉียบขาดของคุณหญิงอรดี คิดอยากตะโกนแย้งว่าเขายังไม่ตาย เขามีสติ หิวและรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของร่างกาย
“แม่ครับ เจ้ากันต์ไม่ได้ป่วยทั่วไปนะ สมองก็ไม่ได้กระทบกระเทือนจะให้ผ่าตัดแล้วหายก็ไม่ใช่ โรคแทรกซ้อนก็ไม่มี แผลที่หัวก็หายแล้ว หมอบอกว่าถ้าคนไข้ไม่สู้ หรือเขาไม่อยากตื่นก็คือไม่ตื่น ไม่ได้หมายความว่าหมอไม่ยอมรักษา หรือรักษาไม่ได้นะแม่ นี่เขาก็รักษาไปตามอาการอย่างเต็มที่แล้ว”
ชนกันต์ส่ายหน้า ใครบอกว่าเขาไม่อยากตื่นกันล่ะ เขาอยากตื่นเดี๋ยวนี้เลยแต่ทำไม่ได้ต่างหาก
“แต่มันยังไม่ดีพอ แกคิดจะปล่อยให้เจ้ากันต์นอนเฉยๆไปอีกนานเท่าไร หนึ่งปีสองปีหรือสิบปี!!”
หางเสียงของคนพูดสั่นเครือเล็กน้อย แต่มากพอให้ชนกันต์แปลกใจ แต่ไหนแต่ไรมา แม่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งดั่งหินผา ไม่มีสิ่งใดทำให้แม่แสดงความอ่อนแอออกมาได้เลย
เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนที่พี่ทีสอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดัง แม่ซื้อรถนอกราคาแพงให้เป็นของขวัญ แล้วพี่ทีก็เอาไปซิ่งจนเกิดอุบัติเหตุต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานกว่าหนึ่งเดือน แต่นอกจากโดนแม่ด่าแล้ว เขาก็ไม่เห็นว่าแม่จะเศร้าเสียใจ หรือแสดงความห่วงใยออกมาเลย
“แม่ เบาๆหน่อย น้องนอนอยู่”
พี่ทีว่าแล้วลดเสียงลง
“ดีสิ จะได้ตื่นขึ้นมาเสียที!”
ชนกันต์ได้ยินเสียงตะโกนของแม่ น้ำเสียงปวดร้าวราวกับคนอ่อนแอที่ใกล้จะหลั่งน้ำตาเต็มทีแล้ว
“เจ้ากันต์ ไอ้ลูกไม่รักดี ไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ!!”
แรงเขย่าที่แขนข้างหนึ่งทำให้ชนกันต์สะดุ้ง แต่ที่ทำให้เขาตกใจมากกว่าคือความเปียกชื้นของหยดน้ำที่ตกกระทบบนหลังมือ
‘แม่ร้องไห้’
“ตื่นเดี๋ยวนี้ แกจะทำให้ฉันปวดใจไปถึงไหนฮะ แกลงโทษฉันอยู่ใช่มั้ย แกคิดว่าฉันไม่รักแกหรือ ทำไมต้องฆ่าตัวตายด้วย ทำไม!!”
ชนกันต์รู้สึกว่าฝ่ามืออุ่นสั่นระริกกำลังบีบข้อมือของเขาแน่น รู้สึกเจ็บหน่วงในหัวใจเมื่อได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของแม่ เขาไม่รู้เลยว่าจะทำให้แม่เสียใจมากขนาดนี้เคยคิดว่าหากเขาตายก็คงไม่มีใครอาวรณ์
‘ผมขอโทษ’
ชนกันต์ก้มหน้าซุกลงบนเข่า นั่งฟังเสียงพี่ทีพยายามปลอบโยนแม่ให้หยุดร้องไห้ แม่ร้องไห้หนักมากปานจะขาดใจและมันทำให้น้ำตาของเขาไหลออกมาช้าๆ เขาสะอื้นเบาๆ รู้สึกว่าช่างโง่เง่าเหลือเกินที่คิดว่าตนเองโดดเดี่ยว เหลือเพียงตัวคนเดียวมาโดยตลอด ถ้าหากเขาหยุดเรียกร้องความรักจากคนอื่น หันมารักตัวเองเสียก่อน อาจจะใจกว้างพอจะมองเห็นความรักและความสวยงามบนโลกใบนี้
…แม้บางคนจะแสดงออกในด้านร้ายๆ แต่มันก็เป็นเพราะเขาแสดงออกไม่เป็น ไม่ได้หมายความว่าไม่รัก
…คนที่ไม่เคยพูดว่ารัก ก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่สนใจหรือไม่เจ็บปวด
“พ่อบอกว่าจะไปนิมนต์พระอาจารย์สมภพปัญโญที่วัดป่าตีดอยมาสวดให้น้อง”
พี่ทีเอ่ยขึ้นหลังจากที่แม่หยุดร้องไห้แล้ว ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายถึงความเป็นมา
“พระอาจารย์ท่านนี้เคยตายแล้วฟื้น ชาวบ้านเลื่อมใสว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ท่านเคยเทศน์ให้คนป่วยใกล้ตายฟัง มีแต่อาการดีวันดีคืน ผมว่าที่น้องยังไม่ฟื้นอาจจะเป็นเพราะมีสิ่งอัปมงคลอยู่กับตัว ให้พระมาสวดให้พรแล้วก็สวดปัดรังควานด้วยเลยก็น่าจะดีนะครับ”
ชนกันต์นิ่วหน้า เขาเพิ่งรู้ว่าพ่อและพี่ชายเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้ด้วย แต่เอาเถอะ ตอนนี้เขาเองก็พร้อมจะเชื่อทุกอย่างแล้วเหมือนกัน…เพราะตอนที่อ่อนแอและมองไม่เห็นทางออก ต่างก็ต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจด้วยกันทั้งนั้น
“เพ้อเจ้อ แกเชื่อที่พ่อแกพูดเหรอ”
แม้ว่าแม่จะใช้น้ำเสียงเผด็จการเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างที่ฉายความลังเลอยู่ในน้ำเสียง
“ลองดูก็ไม่เสียหาย ไหนๆหมอก็ช่วยอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว นะแม่ ให้พ่อไปนิมนต์พระอาจารย์มาเถอะ ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”
‘ใช่ๆ ลองดูนะแม่’
“ตามใจแกแล้วกัน”


โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา
วิริยัมปีติปัสสัทธิ โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร
สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเตเต สัพพะทัสสินา
มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวิตา พะหุลีกะตา…


เสียงบทสวดที่ดังขึ้นเป็นทำนองเพลง เรียกให้ชนกันต์ยันตัวจากพื้นที่มืดมิดขึ้นมานั่งพับเพียบก่อนจะพนมมือไว้บนอก ครอบครัวของเขาคงจะนิมนต์พระอาจารย์สมภพปัญโญมาสวดให้พรแล้ว
“โยมยังไม่ถึงที่ตาย”
หลังจากบทสวดเงียบไปครู่หนึ่ง ก็มีเสียงแหบแห้งของผู้สูงอายุดังขึ้นเบาๆ คาดว่าอายุคงจะสักหกสิบหรือเจ็ดสิบปี
‘แปลว่าผมจะฟื้นแล้วใช่มั้ยครับหลวงพ่อ’
ชนกันต์ถามด้วยความดีใจ
“การฆ่าตัวตายเป็นวิบากกรรม ต้องชดใช้ด้วยการฆ่าตัวตายในนรกอีกยาวนานกว่าห้าร้อยครั้ง เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ต้องชดใช้เวรกรรม ด้วยการฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบสิ้น”
‘แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าตัวตาย’
ชนกันต์แย้ง อันที่จริงเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นคนหยิบเชือกมาแขวนคอตัวเอง รู้สึกตัวอีกครั้งก็กำลังดิ้นพล่านอยู่กลางอากาศแล้ว เมื่อคิดถึงความเจ็บปวดบนลำคอและลมหายใจที่ถูกพรากออกไปอย่างช้าๆก็ทำให้เขาตัวสั่นด้วยความกลัว เขาไม่อยากทนทรมานแบบนั้นถึงห้าร้อยครั้ง
“เวลาบนโลกมนุษย์ของโยมหมดแล้ว ได้เวลาไปรับโทษ ชดใช้เวรกรรมในนรกแล้ว การชักชวนคนที่ยังไม่สมควรตายไปอยู่กับตนเป็นการสร้างเวรสร้างกรรม เมื่อครั้งที่มีชีวิตก็ก่อกรรมฆ่าผู้อื่น เมื่อตายไปแล้วยังคิดจะเอาชีวิตผู้อื่นอีกหรือ”
ชนกันต์ชะงักเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของหลวงพ่อ เขาแน่ใจว่าท่านกำลังพูดกับหมอจิณณ์ จึงหันมองไปรอบๆหวังจะได้เห็นร่างคุ้นเคย แต่กลับไม่มีใครเลยนอกจากความว่างเปล่า
“ไม่ว่าจะเอาชีวิตด้วยความพึงใจ หรือความโกรธแค้นก็เป็นเรื่องไม่สมควร”
ชนกันต์ไม่ได้ยินเสียงของหมอจิณณ์ เขาได้ยินแต่เสียงของหลวงพ่อ คิดว่าในห้องพักผู้ป่วยคงจะมีแต่ท่านอยู่ตามลำพัง
“ปล่อยวางซะ แล้วไปตามทางของโยมเสียเถิด ทุกคนที่ทำผิดต่อโยมต่างต้องชดใช้กรรมในทางของตัวเองทั้งสิ้น อย่าสร้างบ่วงผูกมัดให้ติดตามกันไปถึงชาติหน้าเลย”
“ส่วนโยมน่ะ กลับมาเสียเถิด ครอบครัวของโยมเขารออยู่”
‘ช่วยผมด้วย ผมอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้’
“ในตอนที่ไป โยมเป็นคนไปเอง ในตอนที่จะกลับก็ต้องกลับมาเอง ”
‘ที่นี่คือความฝันเหรอ ผมจะกลับไปโลกความจริง ผมอยากตื่น’
“โลกความจริง โลกความฝัน แท้จริงตัวเราเป็นคนกำหนด โยมยังไม่ตาย ดวงจิตกลับหลบหาย อยากจะไปอยู่ในโลกวิญญาณ แต่ก็ไปไม่ได้เพราะร่างยังมีลมหายใจ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดวงจิตของโยมออกจากร่างไม่ใช่หรือ ในเมื่อออกไปเองได้ แล้วทำไมจะกำหนดดวงจิตให้กลับมาอยู่ในที่เดิมไม่ได้”
ชนกันต์หลับตาลงช้าๆ ในตอนที่จากมา เขาจากมาเพราะความต้องการของตัวเอง ต้องการที่จะอยู่ในโลกเดียวกับหมอจิณณ์ ในตอนที่กลับออกไปก็ใช้ความต้องการของตัวเองก้าวออกไป
แสงสว่างเจิดจ้าสาดกระทบร่างกายของชนกันต์ แม้จะปิดเปลือกตาแน่นแต่ยังสามารถรับรู้ได้ถึงความสว่างบาดตา
สัมผัสรับรู้ทางกายชัดเจนกว่าปกติ หูได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศทำงาน ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงผ้านิ่มๆ จมูกกำลังรับกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงพยาบาล
และเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เห็นก็คือเพดานสีขาวสว่างในห้องพักผู้ป่วย





TBC.

เหลืออีก 1 ตอนจบเเล้วนะ




ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1586
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
ชนกันต์ ฟื้นแล้ว เยๆ

หมอกาย รีบมาดูแลเลย

เรื่องสนุกมาก ขอบคุณนิยายดีๆที่เขียนมาให้อ่าน

ตื่นเต้นและสนุกมาก เสียดายมาเจอซะเกือบจบแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด