>….ตอนที่ 33 [100%]….<
ปลายกระบอกมือสีเงินแวววาวจรดลงที่ขมับของอัลฟ่าผู้คร่อมทับร่างภูริ อีธานโพล่มาถึงตรงนี้ได้โดยที่คนอื่นไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย เขาปล่อยให้พวกนี้รู้ว่าเขาเข้ามาใกล้ก็ตอนที่เอาปืนจ่อหัวพวกเรียบร้อย
พลังควบคุมคนตามธรรมที่อีธานมีนั้นเขาสามารถควบคุมมันได้ จะใช้มากใช้น้อยหรือไม่ใช้เลยเขาก็ทำได้ อย่างตอนเดินเข้ามาก็ไม่ใช้...ค่อยๆ ย่องประชิดเพื่อไม่ให้ใครไหวตัวทัน และตอนนี้เขาก็เริ่มที่จะใช้ความสามารพิเศษทางสายเลือดของตัวเองกดดันพวกปลายแถวเหล่านี้
ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบคอเอาไว้ อัลฟ่าชั้นล่างทั้งสี่ต่างไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้ว่าจะยังไม่เห็นปืนกระบอกงามในมือของอีธานด้วยซ้ำ ความหวาดกลัวที่เอ่อท้นขึ้นมานี่คงไม่ต่างอะไรกับการยืนเผชิญหน้าจ่าฝูงผู้แข่งแกร่งเท่าไหร่นัก
พลั๊ก!!!
อีธานลดปลายกระบอกปืนเพียงเล็กน้อยเพื่อซัดหน้าแข้งเข้าขมับอัลฟ่าชั้นต่ำที่คร่อมทับร่างของภูริด้วยความโกรธ ถึงจะดูเป็นนักธุรกิจธรรมดาแต่เรี่ยวแรงที่อีธานมีก็ทำให้ชายคนนั้นล้มกลิ้งไปด้านข้าง ดวงตาสีฟ้าดุดันจับจ้องอยู่ที่ร่างโปร่งสภาพสะบักสะบอมบนพื้นดิน ความรู้สึกเจ็บปวดบางอย่างเสียดแทงเข้าที่หัวใจ...เจ็บจนอยากจะยิงใส่คนที่ทำให้ภูริต้องเป็นแบบนี้
พอเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นอีธาน ภูริก็รีบลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ เข้งขาไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ทั้งยังขวัญหนีดีฟ่อจากการที่โดนจู่โจม นัยน์ตาสีดำคู่นั้นเคลือบไปด้วยหยาดน้ำ...ภูริดึงผ้าที่อุดปากตัวเองออกแล้วหอบหายใจ
มันโล่ง...มันโล่งใจจริงๆ
ถึงจะเป็นห่วงภูริมากแค่ไหนแต่สิ่งที่ต้องทำก่อนเป็นอันดับแรกก็คือโทรแจ้งตำรวจ อีธานไม่ลืมแจ้งอลันอีกคนให้ตามมาจัดการเรื่องนี้ ระหว่างที่คุย อีธานยังคงถือปืนจ่อพวกมันเอาไว้ ทว่าสายตากับจับจ้องไปที่ภูริ...
นัยน์ตาที่เคยสดใสไม่ทุกข์ร้อนคู่นั้นแดงก่ำ มีน้ำตาเคลือบบางๆ แต่ก็ไม่ได้ไหลอาบหน้าอะไร แต่แค่นั้นก็ทำให้ใจของเขาไม่เป็นสุขตามภูริไปด้วย ถ้าเขามาช้ากว่านี้...ภูริจะเป็นยังไง ต้องโดนพวกสารเลวพวกนี้ขืนใจงั้นเหรอ แค่คิดตามก็รับไม่ได้
ตอนที่อีธานอยู่โรงพักเพื่อดำเนินการกับพิชัยและพรรคพวก เขาเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ของพิชัยที่วางไว้บนโต๊ะมีข้อความจากโปรแกรมแชตเด้งขึ้นมาว่าเจอตัวภูริแล้ว พิชัยเองก็เห็น มันยิ้ม เขาไม่รีรอที่จะถามซึ่งคำตอบก็แค่...เปล่า อีธานไม่เชื่อ เขารีบโทรหาภูริแต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย อีธานกังวลมาก...กังวลมากๆ
อีธานตัดสินใจลองค้นหาตัวภูริจากจีพีเอส โชคดีเป็นของเขา ภูริดันเปิดอินเตอร์เน็ตพอดี เมื่อเห็นว่าพิกัดอยู่ที่ไหนอีธานก็รีบมาทันที เขาไม่วายหยิบปืนจากคอนโซลรถมาด้วย เพราะคิดว่าหากเกิดอะไรไม่ดีขึ้นจริงๆ เขาน่าจะได้ใช้มัน
แล้วก็จริง! ภาพที่อีธานเห็นสร้างความโกรธจนแทบทะลุปรอทความอดทนของเขา แต่เพื่อความปลอดภัยของภูริ อีธานสั่งให้ตัวเองใจเย็นแล้วแอบย่องเข้ามาใกล้ การสะกดพลังตามธรรมชาติของตัวเองเป็นเรื่องค่อนยาก แต่เพื่อภูริ...เขาก็ทำมันจนได้
อย่างน้อย...ภูริก็ปลอดภัย
อีธานเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงหลังโทรหาตำรวจและอลันเรียบร้อย เขายื่นมือไปหมายเรียกให้ภูริเข้ามาหาเขา แค่มองจากตรงนี้ยังเห็นเลยว่าร่างของภูรินั้นสั่นเทาขนาดไหน ตามเนื้อตัวเปื้อนไปด้วยดินและเศษหญ้า ที่ใบหน้ามีรอยช้ำหลายจุดรวมถึงเลือดกำเดาที่ไหลลงมาเป็นทาง
มันเจ็บปวดในความรู้สึกของอีธาน หัวใจเขาเต้นแรงแต่ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นอะไรเลย เขาสงสารอีกฝ่าย...สงสารภูริที่ต้องมาเจออะไรอย่างนี้ ที่ผ่านมาก็คิดอยู่ว่าภูริเจออะไรมาเยอะเกินไป การที่เป็นโอเมก้านั้นทั้งด้อยกำลังและมีแต่คนหมายตากลั่นแกล้ง แต่อีธานไม่คิดเอาไว้ก่อนเลยว่ามันลามมาถึงขั้นนี้
ภูริเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ แต่ละก้าวนั้นไม่มั่นคงเอาเสียเลย อย่างกับร่างโปร่งจะล้มลงได้ตลอดเวลา อีธานเฝ้ามองภูริด้วยหัวใจที่เจ็บร้าว อยากจะเดินเข้าไปรับแต่ก็กลัวว่าถ้าเขาขยับแล้วเผลอเปิดช่องว่าง ไอ้คนพวกนี้มันก็จะหนีไปก่อน
พอเข้ามาใกล้ได้ ภูริก็โผเข้ากอดอีกธานเอาไว้เต็มอ้อมแขน เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เรื่องนี้มันก็อดสะเทือนใจไม่ได้ อย่างน้อย...ตอนนี้เขาก็ขอพักความรู้สึกตัวเองด้วยการพักพิงใครสักคน ภูริฝังใบหน้าลงกับอกของอีธาน เสื้อสูทอย่างดีที่มีราคาแพงกำลังเปื้อนน้ำตาหยดน้อยๆ ของเขา
อืม...ถือเสียว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าที่ราคาโหดไม่ใช่เล่น
อีธานกอดภูริตอบด้วยมือข้างหนึ่ง เส้นผมกระเซอะกระเซิงเปื้อนดินเปื้อนหญ้า เสื้อผ้าก็มอมแมม ที่สำคัญตอนนี้เลือดของภูริก็เปื้อนเสื้อเขาไปเป็นที่เรียบร้อย อีธานไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เขาแคร์แค่ภูริกำลังหวาดกลัวแล้วก็เป็นห่วงจนโมโห
“เล่นมุกออกไหมล่ะ” อีธานถามแผ่วเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน
“ออกดิ” ภูริเอาหน้าที่ซบอกอยู่หน้าถูไถไปมาเพื่อเช็ดเลือด เช็ดน้ำตา เช็ดน้ำมูก เช็ดอะไรก็ตามที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าของตัวเอง นี่แหละ...มุกของเขาในตอนนี้
“จ่ายค่าซักให้ผมด้วย”
“จ่ายด้วยร่างกายแทนแล้วกัน” ไม่มีตังอะ...นี่เป็นข้อเท็จจริงที่เลี่ยงไม่ได้อะนะ
“หึ!” อีธานหัวเราเยาะ เขาฝังปลายจมูกตัวเองลงบนกลุ่มผมสีดำของร่างโปร่งในอ้อมแขน เขารู้ว่าภูริจ่ายค่าซักรีดให้เขาไม่ไหวหรอก ก็พูดไปงั้น...มันอาจจะดีกว่าการว่าซ้ำเติมในตอนนี้ก็ได้น่ะ
ประมาณสิบนาทีต่อมา ตำรวจก็มารวบร่างอัลฟ่าชายสี่คนขึ้นรถไปโรงพัก อีธานเชื่อว่าพวกนี้เป็นเพื่อนหรือลูกน้องของพิชัย เขาฝากฝังให้อลันจัดการให้เขาที เขาจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ไม่มีการยอมความใดๆ ทั้งสิ้น แต่การจะเอาเรื่องพวกนี้เขาก็ต้องพาภูริไปหาหมอ ไปตรวจร่างกายทำแผลและเก็บหลักฐาน
กว่าอะไรๆ จะเสร็จเรียบร้อยก็ปามาค่อนคืน ภูริอ่อนเพลียเมื่อมาถึงห้อง เขาแทบจะถลาลงไปนอนกับพื้นพรมเสียตอนนี้เลย แต่ร่างกายมันสกปรกเกินกว่าจะนอน เขาซึมลงไปเยอะ อุตส่าห์แฮปปี้แล้วที่เคลียร์หนี้เสร็จ ตอนนี้ความแฮปปี้เมื่อเย็นหายไปหมดเลย...
“ไปอาบน้ำสิ”
“ไม่อาบได้ไหม” เจ็บตัว...เจ็บตรงนั้น ตรงนี้ไปหมด ไม่อยากขยับไปไหน นี่โดนกระทืบมานะ ไม่ได้โดนแทงด้วยของไม่มีคมและออกจะกลมแต่ไม่มลอะ
“อาบเองหรือจะให้ผมอาบให้”
“คุณมันพูดไม่รู้เรื่อง” ภูริว่าอีธานแล้วก็เดินขึ้นห้องไป
เป็นเวลาปกติอีธานจะไม่มีทางยอมให้ภูริพูดอย่างนี้ใส่ตนเอง เขาเดินตามอีกฝ่ายขึ้นไปยังชั้นสอง คอยอยู่ข้างหลังเพื่อจะประคองหากภูริมีอาการไม่สู้ดี จริงว่าไปหาหมอมาแล้ว และหมอก็ว่าภูริไม่เป็นอะไรมาก ฟกช้ำนิดหน่อย ทายากับประคบน้ำแข็งไม่กี่วันก็หาย แต่ว่าเรื่องของจิตใจนั้นเป็นเรื่องที่ยาช่วยไม่ได้ อีธานเข้าใจดีในสิ่งที่หมอได้สื่อออกมา คนที่โดนอะไรอย่างนี้มักจะมีจิตใจที่ย่ำแย่และหวาดกลัว
อาบน้ำออกมาเสร็จอีธานก็ตรงเข้ามาทายาให้ เป็นยาที่หมอจ่ายมานั่นแหละ ภูรินั่งนิ่งให้เขา ไม่ตอบโต้ ไม่พูดอะไรเลย เหมือนคนนั่งเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย อาการแบบนี้อีธานแอบเป็นห่วง ภูริน่ะเคยซึมครั้งเดียวตอนที่น้องเข้าโรงพยาบาล...นี่ก็คงหนักหนาสาหัสสำหรับภูริเหมือนกันละนะ
“ทำไมคุณไปนั่งที่มืดๆ ตรงนั้น...” ความอดไม่ได้ทำให้ต้องพูด อีธานเป็นห่วง เห็นสภาพภูริแล้วก็ยิ่งรู้สึกแย่
“ก็รอคุณไง”
“รอที่สว่างๆ ก็ได้ รอในห้างก็ได้ คนเยอะแยะจะได้ไม่เป็นอันตรายอะไร แล้วดูสภาพสิเนี่ย ผมไปช้ามันจะเป็นยังไง เลวร้ายสุดคุณอาจตายได้นะ” ตอนแรกอีธานเสียงดุมาก แต่ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งอ่อนลง
ภูริเล่นจ้องหน้าเขานัยน์ตาเศร้าขนาดนั้น...ใครมันจะดุต่อไหวล่ะ
“คุณแหละ คุณมาช้า คุณปล่อยให้ผมรอนาน ทำอะไรก็ไม่ยอมบอกผมก่อน ให้ผมไปนั่งรอในห้างผมก็หิวดิ...ผมกลัวผมจะใช้เงินหมดอะ ผมเลยไปหาที่เงียบๆ นั่งเล่น มันไม่ใช่ความผิดผมเว้ย มันคือความผิดคุณ” มันเหมือนไม่ได้โกรธ...มันเหมือนคนงอน
ก็ใช่...งอน
เฮ้ย! คนเจ็บ นี่คนเจ็บ แหกตาดูนะครับ...เห็นแผลไหมครับ ถ้าเห็นต้องรู้ว่าเจ็บอยู่ ห้ามดุ เพราะถ้าดุจะน้อยใจมาก แล้วตอนนี้ภูริก็น้อยใจที่อีธานมาว่าเขาเนี่ยแหละ เขาไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ถ้ามาว่าเขาไม่ระวังตัว...โอเค เขาไม่ทันระวังตัว ก็ลืมปะว่าตัวเองเป็นโอเมก้า ใช้ชีวิตเป็นเบต้ามาตลอดยี่สิบห้าปีเลยนะเว้ย มันต้องมีบ้างที่หลงๆ ลืมๆ ว่าตัวเองไม่เหมือนเดิมอะ
“ถ้าแค่นั้นมันจะทำให้คุณตกอยู่ในอันตรายก็บอกกันสิ เงินของผมที่ให้ไว้ก็ใช้ได้” อีธานทายาให้เสร็จแล้วและกำลังจะเอาผ้าขนหนูมาเช็ดผมให้เขา
“ใครจะไปบอกคุณล่ะ เราเป็นอะไรกัน? ผมจะบอกให้นะ...แค่คุณเลี้ยงข้าวผมทุกวันผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว นี่เงินเพิ่งออก จะมาบอกคุณว่าผมไม่มีเงินกิน มันน่าอายเหมือนกันนะครับ ผมมีศักดิ์ศรีนะ...ทำงานทุกวันนี้ก็เพื่อหาเงินมาใช้จ่าย ไม่งั้นผมทำไปทำไม หาคนเกาะแล้วขอเงินเขากินไปวันๆ ไม่ง่ายกว่าเหรอ” ตอนแรกกก็ว่าจะดุที่ทำตัวให้เป็นห่วง...ไปๆ มาๆ ภูริดันเป็นงี้
เออ...ความผิดเขาเอง เขาไม่น่าพูดเรื่องแบบนี้ในตอนที่ภูริรู้สึกแย่อยู่ แต่การเอ่ยปากขอโทษในส่วนที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันผิดมากมายอะไรนั้นไม่ใช่สไตล์อีธานเลย เขาก็เลยเช็ดหัวให้ภูริเงียบๆ ไปแบบนั้น ไม่พูดต่อ ไม่ว่าด้วย
“ผมก็ไม่คิดหรอกว่าที่หัวหน้าเคยพูดเล่นกับพวกมันจะเกิดขึ้นจริง...” ภูริว่าเสียงเบา แต่อีธานได้ยิน...อยู่ตัวติดกันจะไม่ได้ยินได้ยังไงล่ะ
“หมายความว่าเขาเคยพูด”
“ใช่ เหมือนพูดกับคนอื่นอะ เขาคิดว่าผมไม่ได้ยินที่เขาพูด...คุณก็ไม่บอกอะไรผมบ้างเลย”
“แล้วคุณบอกผมไหม”
“ไม่เกี่ยวอะ คุณต้องบอกผม..ผมเป็นคนเสี่ยง นี่ทำอะไรก็ไม่บอก จนผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เนี่ย” ภูริหน้าหงิก เผลอขึ้นเสียงดุอีธานด้วยอารมณ์
“ใครเขาจะมาบอกคุณ เกิดคุณเอาเรื่องนี้ไปบอกพิชัยทำไงล่ะ แผนที่ผมวางไว้ก็พังหมดสิ คุณนั่นแหละโดนขู่มาก็พูดบ้าง เล่นไม่พูดตั้งแต่แรกแล้วผมจะจัดการได้ยังไง คิดบ้าง...โทษผมคนเดียวมันใช่เหรอ” อีธานตอบโต้กลับ แต่เสียงนี่ไม่แข็งแรงเอาเสียเลย
ดูหน้าดิ...ไม่กล้าขึ้นเสียงจริงๆ
“ผมเนี่ยนะจะเอาไปบอก เขาแกล้งผมตลอดนะ ผมต้องอยากเอาเรื่องเขาบ้างอยู่แล้วปะ มันเป็นเรื่องน่าดีใจจะตายที่คนอย่างนั้นจะโดนจับอะ ผมจะไม่ต้องโดนแกล้งอีก ไม่ต้องโดนลวนลามในที่ทำงานด้วย” สีหน้าภูริเอาจริงเอาจังมากขึ้น เรียกว่าตอนนี้อารมณ์ขึ้นแล้ว...เตรียมปะทะเลยล่ะ
“โอเคๆ...ผมผิดเอง ผมขอโทษ พอใจไหม”
“ไม่” ภูริปัดมืออีธานออกจากหัวตัวเอง ไม่ให้อีกฝ่ายเช็ดผมแล้ว เอาแต่ว่าอยู่ได้...เอาแต่บ่นไม่ดูเลยว่าตัวเองนั่นแหละที่ผิด
ภูริลุกขึ้นเดินไปยังที่นอนบนพื้นของตัวเอง เขาค่อยๆ ทิ้งตัวลงไปแล้วนอนตะแคงไม่มองหน้าอีธานอีก ก็อีกธานว่าเขา...อีธานดุเขาทั้งที่เขาเป็นคนซวยนะเว้ย เขายอมไม่ได้ ตอนนี้ไม่พอใจมาก คนเจอเรื่องไม่ดีมาต้องปลอบกันไม่ใช่มาว่าซ้ำเติม
แบบนี้ไม่โอเค!
คนที่ทำแบบนี้กับภูริได้มีแค่แม่เท่านั้น แม่เป็นสถานะที่ยังไงก็ต้องยอม ไม่ใช่กับอีธาน คนที่เขาเองก็ไม่รู้จะเรียกว่าอยู่ในสถานะอะไรดีเหมือนกัน ถ้านับดูทางกายภาพแม่งก็ผัวเมีย แต่มันก็ไม่ใช่อะ...เพื่อนกันก็ไม่ใช่อีก เอาเถอะ สถานะไรก็ช่างมัน ตอนนี้นอนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
อีธานได้แต่มองร่างโปร่งบนพื้นด้วยความไม่เข้าใจ เอาจริงๆ ถ้าวันนี้ภูริไม่เจอเรื่องแบบนั้นเขาไม่ยอมให้มันจบลงที่เขาต้องเป็นฝ่ายขอโทษหรอกนะ ภูริอะทำตัวเอง โดนพิชัยขู่มาก็บอกเขาหน่อยมันจะเป็นไร เขาไม่เคยใจดำไม่ช่วยเหลือภูริเสียหน่อย อะไรที่ภูริขอเขาก็ให้ทุกอย่าง เรื่องสำคัญแบบนี้ดันไม่บอกกัน งี่เง่าชะมัดเลย!
กลายเป็นต่างคนต่างหันหลังให้กัน อีธานก็ไม่พอใจที่ภูริมีอะไรไม่บอกจนเกิดอันตราย ใช้ชีวิตไม่ระวังแถมยังยอมคนอื่นเขาไปทั่ว มันก็ไม่ผิดหรอกนะที่ภูริเป็นคนขี้เกรงใจประมาณหนึ่ง แต่มันก็ไม่ควรที่จะปล่อยจนเรื่องมันเลยเถิด คิดบ้างดิว่าเขาเป็นห่วง เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นมาจริงๆ จะเป็นยังไง ไม่แคร์ความรู้สึกเขาก็ต้องแคร์สภาพร่างกายตัวเองด้วย
แล้วดู รู้ว่าตัวเองสู้เขาไม่ได้ก็ยังจะไปสู้ ดีแค่ไหนแล้วที่พวกนั้นมันไม่มีอาวุธ ลองมันมีดิ ป่านนี้นอนหยอดน้ำเกลืออยู่โรงพยาบาล งอแงกลัวผีอีกล่ะสิไม่ว่า เขาไปช่วย ขอบคุณสักคำก็ไม่มี ยังมาว่าเขาซ้ำอีก
เรื่องบ้าอะไรวะ!
“ไม่หิวเหรอ...” บ่นเขาในใจ ต่อว่าเขาด้วย ไม่พอใจด้วย แต่ก็เป็นห่วงอยู่ดี
“ไม่”
“นี่คุณ อย่างอนกันเป็นเด็กๆ ได้ไหม...ผมเป็นห่วงนะ ที่พูดที่ว่าก็เป็นห่วง” ยิ่งกว่าเรื่องบ้าก็คือยอมให้คนอย่างภูริก่อนเนี่ยแหละวะ!
อีธานบอกเป็นห่วง...ภูริคิ้วขมวด โดนต่อยแล้วหูเพี้ยนปะวะ อันที่จริงแค่อีธานเอ่ยขอโทษที่ก็งงแล้ว แต่เคืองไง ก็เลยยังไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่าย ถ้าอีธานไม่ว่าเขาก่อนก็คงไม่ขึ้นเสียงใส่อีธานแบบที่ทำไปเมื่อกี้หรอก ช่วยไม่ได้...สุดท้ายอีธานนั่นแหละผิด
“ห่วงไร มาช้าก็เพราะไปหาหญิงดิ”
“หญิงไหนวะ” อีธานถามกลับทันควัน งงด้วย
“จะไปรู้เหรอ”
“นี่…ผมไปทำงาน ไปวางแผนจับพิชัยกับพวกมา คุณก็เห็นนี่ที่โรงพักอะ ยังมีอีกหลายคนที่โดน แต่พวกนั้นโดนจับไปก่อนพิชัย ผมไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่ไหนแล้วปล่อยคุณทิ้งไว้เสียหน่อยนะ ผมไม่ลืมหรอกว่าคุณรออยู่แล้วก็ต้องเลี้ยงกาแฟผมด้วย คุณจำได้ใช่ไหม...” ฟังคำอธิบายแล้วก็อารมณ์เย็นลง ภูริพลิกกายหันหน้าเข้าเตียง ปรากฎว่าไอ้คนร่างใหญ่ที่นั่งหันหลังให้กันเมื่อครู่นี้กำลังนั่งขัดตมาดมองเขาอยู่
“ไม่ลืมหรอก รอกินข้าวด้วยเนี่ย”
“งั้นแปลว่าหิว?”
“หิวดิ ผมกินขนมจีบกับชาไข่มุกไปอะ คุณว่ามันจะอยู่ท้องไหม” อีธานส่ายหน้าเบาๆ
“ระดับคุณคงไม่ถึงเสี้ยวกระเพาะ งั้นผมทำข้าวผัดให้...กินไหม ถ้ากินก็ลุกขึ้น” ภูริเริ่มยิ้มออกมาได้บ้าง อีธานก็ไม่ได้พูดจาดีหรอก ห้วนๆ ปกตินี่แหละ
แต่ก็...ถือว่านี่คือยอมให้กันมากแล้วล่ะ
“ใส่ไข่เยอะๆ”
“ได้”
“งั้นกิน” อยากดีดตัวลุกแบบพรึ่บเลย แต่...มันไม่ได้ เจ็บ!
ทั้งคู่พากันลงมาข้างล่าง ตรงไปห้องครัวเพื่อจะให้อีธานทำอาหหารที่ไม่รู้จะเรียกว่ามื้อไหนดี ก็มันควรเป็นมื้อเย็นแต่นี่มันเที่ยงคืนกว่าเข้าไปแล้วอะ ภูรินั่งรออยู่หน้าเคาน์เตอร์ ดูร่างสูงในชุดทำงานหยิบจับเครื่องครัว
อีธานยังไม่ได้อาบน้ำเลย มาถึงถอดเสื้อสูทไว้แล้วก็ไล่เขาไปอาบน้ำนี่แหละ อาบน้ำเสร็จทะเลาะกันอีก ถือว่าเป็นภาพแปลกๆ ที่ได้เห็นจากที่นี่ที่เดียวเท่านั้นก็แล้วกัน อยากถ่ายรูปเก็บไว้ ภาพอีธานในชุดทำงานกำลังทำอาหารให้เขา
ระหว่างที่รออีธานทำอาหารให้ภูริก็ถามเรื่องที่อีธานไปทำมาวันนี้ ทั้งเรื่องวางแผนร่วมกับลูกค้าเพื่อจะเอาหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดไปจับพิชัย อีธานก็ถามกลับนะเรื่องการโกงนี่ว่าภูริรู้บ้างไหม เขาก็ตอบไปตรงๆ แหละว่าพอรู้แต่ไม่เคยทำ เขาคิดเองว่าการที่จะทำแบบนั้นได้เนี่ยมันต้องมีเส้นสาย คนอย่างเขามีอริเยอะกว่าเส้นสาย ขืนไปทำเรื่องอย่างนั้นคงโดนเด้งได้ง่าย
ภูริอยากทำงานที่มันมั่นคง อยู่ได้นานๆ มากกว่าหาเงินก้อนโตแล้วอยู่ที่ไหนไม่รอดสักที่ หากงานมั่นคง ครอบครัวก็จะมั่นคงไปด้วย มันเป็นอุดมการณ์ง่ายๆ ของมนุษย์เงินเดือนอย่างเขาล่ะนะ
อีธานเห็นแล้วล่ะว่าภูริเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทนแค่ไหนก็ได้ขอแค่ไม่โดนไล่ออก เพื่อน้อง เพื่อแม่ แต่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง อีธานแอบถามภูริว่าได้ซื้ออะไรให้ตัวเองไหม คำตอบที่ได้ก็คือขนมจีบกับชาไข่มุกไง
มันอาจเป็นเสน่ห์ของคนคนนี้ก็ได้...อีธานคิดแบบนั้น
พอเอาข้าวเสิร์ฟให้ภูริเสร็จ อีธานก็ขอตัวเดินไปเอาของ ให้ภูริกินข้าวก่อนเพราะเดี๋ยวเขาค่อยมากิน นาฬิกาเรือนหรูที่อีธานซื้อไว้ให้นั้นมันยังคงรออยู่ในกล่อง นี่อาจเป็นเวลาดีที่จะให้ภูริก็ได้
เอาจริงๆ ก็ไม่ได้คิดเยอะ....รู้อีกทีก็เอานาฬิกามายื่นตรงหน้าภูริแล้ว
“อะไรอะ?” ภูริถามเสียงซื่อ ไม่รู้จริงๆ ว่าเอามาทำไม ส่วนในนี้คืออะไรไม่ต้องเดา ยี่ห้อนาฬิกาเด่นหราขนาดนี้
“ให้ พอดีลูกค้าให้มาแล้วผมไม่ชอบ” คำพูดช่างขัดกับความตั้งใจ แต่ภูริไม่รู้ และต่อให้เป็นของเหลือทิ้งไม่ใช้แล้วเขาก็ยินดีน้อมรับไว้
“โอ้....ขอบคุณคร้าบ” กรางบงามๆ หนึ่งทีให้สมกับของราคาแพง
“อือ” นาฬิกาเรือนหลายหมื่นแลกกับรอยยิ้มของภูริในวันที่เจอเรื่องราวแย่ๆ มา...มันก็คุ้มเนอะ อีธานคิดแบบนั้นขณะที่นั่งตักข้าวเข้าปาก ทำเป็นไม่สนใจปฏิกิริยาตื่นเต้นที่ภูริมีต่อนาฬิการาคาแพง ทั้งที่จริงแล้ว...เขาก็ชอบที่ภูริยิ้มมีความสุขนะ
….100%….
ตาลายๆ ไปหน่อย ถ้าคำผิดเยอะเราต้องขออภัยด้วยนะคะ