ตอนพิเศษ 2
แสนยาเดินมานั่งลงข้าง ๆ นคินทร ถัดไปคือพลตรีนายแพทย์ธรณินและภรรยา ส่วนที่นั่งถัดเข้าไปด้านในก็คือแม่และพี่สาวของพายุพัดที่วันนี้มาให้กำลังใจฉลามหนุ่มถึงขอบสระ ชายหนุ่มกวาดมองบรรยากาศรอบ ๆ พลันสายตาก็หยุดที่หน้าสวยของหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอส่งยิ้มให้เขาจึงยิ้มตอบ ขาเรียวงามย่างกรายขึ้นมาตามทางเดินคั่นระหว่างอัฒจันทร์ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ที่จับจ้อง ในที่สุดเธอก็นั่งลงยังที่นั่งซึ่งอยู่ถัดจากแถวของแสนยาไปไม่ไกล หลังจากนั้นไม่นานการแข่งขันรายการต่าง ๆ ก็เริ่มต้นขึ้น ปีนี้การแข่งขันว่ายน้ำการกุศลดูคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นการจัดงานครั้งที่สอง ซึ่งแฟนกีฬาที่พลาดการเข้าชมในคราวก่อนต่างตั้งหน้าตั้งตารอ ส่งผลให้บัตรเข้าชมจำหน่ายหมดตั้งแต่สัปดาห์แรกที่มีการประชาสัมพันธ์
การแข่งขันดำเนินไปจนกระทั่งถึงรายการสุดท้าย ทันทีที่โฆษกประจำสระประกาศชื่อ “ชลชาติ วรวิวัฒน์” เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นพร้อมด้วยเสียงปรบมือ หลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนี้ในการแข่งขันรายการใด ๆ อีกนับแต่ฉลามหนุ่มผู้นี้ประกาศอำลาสระ หนุ่มศิลปินมองตามร่างสูงที่กำลังก้าวออกมาโบกไม้โบกมือทักทายผู้ชม ทันทีที่เขาถอดเสื้อวอร์มออก เสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาสาว ๆ ก็ดังขึ้น กล้ามแขนเป็นมัดที่ปกติมักถูกปกปิดอย่างมิดชิดด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาว วันนี้กลับเปิดเผยต่อสายตาแฟน ๆ อีกครั้ง เอวสอบเข้านิด ๆ รับกับลำตัวช่วงบนที่กว้างและหนาเป็นลักษณะเด่นของนักกีฬาที่ว่ายท่าผีเสื้อเป็นท่าถนัด เนื่องจากเป็นท่าว่ายที่ต้องอาศัยแรงอย่างมาก ดังนั้นนักกีฬาว่ายท่านี้ได้ดีจะต้องมีทั้งกล้ามเนื้อหัวไหล่ อก ลำตัว หลังและขาที่แข็งแรง และในการสอนว่ายน้ำผู้ฝึกสอนจึงมักสอนท่าดังกล่าวเป็นท่าสุดท้าย
แม้โฆษกจะประกาศชื่อนักกีฬาคนถัดไป แต่ดวงตาของแสนยาก็มิได้ละจากดวงหน้าสงบสุขุมสักวินาที ซ้ำในหัวยังปรากฏภาพการสนทนาซึ่งเกิดขึ้นระหว่างทางเดินที่จะมาสระว่ายน้ำแห่งนี้
“ถ้าเราชนะการแข่งครั้งนี้ นายต้องตอบคำถามเรา แต่ถ้าเราแพ้เราไม่พูดเรื่องนี้กับนายอีก และเราสองคนก็ไม่ต้องเจอกันอีก เพราะเราไม่อยากคิดไปไกลจากการกระทำของนาย” เมื่อกรรมการให้สัญญาณ นักกีฬาทั้งหมดก็ก้าวขึ้นบนแท่นอยู่ในท่าเตรียมพร้อม หลังสัญญาณนกหวีด ฉลามหนุ่มทั้งหมดต่างพุ่งลงสู่ผิวน้ำ ทำสตรีมไลน์ผสมดอลฟินคิกแล้วจึงขึ้นท่าผีเสื้อ สองแขนแข็งแกร่งที่วาดขึ้นแล้วตวัดลงผลักไปด้านข้างดูราวกับผีเสื้อสยายปีกส่งผลให้การเคลื่อนไปข้างหน้านั้นรวดเร็วจนน่ากลัว ท่าว่ายนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นท่าว่ายที่ให้ความเร็วรองจากท่าฟรีสไตล์
แสนยานั่งตัวตรง สองมือที่วางอยู่บนหน้าขากำแน่น ดวงตาจ้องเขม็งไปยังร่างกำยำกำลังถีบตัวออกจากขอบสระฝั่งตรงข้าม ชลชาติว่ายตีคู่มากับใครคนหนึ่งตั้งแต่เริ่มออกตัว จนตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทิ้งห่างอีกฝ่ายได้ บรรดากองเชียร์ต่างนั่งกันไม่ติด ลุกขึ้นยืนส่งเสียงให้กำลังใจนักกีฬาขวัญใจ กระทั่งห้าเมตรสุดท้ายก็ยังดูไม่ออกว่าใครขึ้นนำ จนแล้วจนรอดเมื่อถึงเส้นชัยก็ไม่มีใครบอกได้ว่านักกีฬาในช่องว่ายใดที่แตะขอบสระเป็นที่หนึ่ง เสียงพูดคุยวิเคราะห์ผลดังอื้ออึงเป็นระลอก ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังแอลซีดีจอยักษ์ และไม่นานชื่อ “ชลชาติ วรวิวัฒน์” ก็ปรากฏขึ้นในลำดับแรก พลันเสียงปรบมือไชโยโห่ร้องก็ดังกึกก้องจนกลบเสียงประกาศของโฆษก
แสนยาถอนหายใจโล่งอก ดึงสายตากลับมายังร่างงดงามที่กำลังเดินลงจากอัฒจันทร์ ทันทีที่กองทัพนักข่าวเห็น “ตรีฉัตร สิริฉัตร” เข้า จากที่รุมล้อมสัมภาษณ์นักกีฬาที่เพิ่งขึ้นจากน้ำก็เบนความสนใจมาที่อดีตราชินีเจ้าสระผู้นี้แทน หนุ่มศิลปินละสายตาจากภาพตรงหน้า ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ที่สั่นเตือนว่ามีข้อความซึ่งถูกส่งมาจากใครคนหนึ่ง เจ้าของร่างสูงจึงลุกขึ้น เดินลงจากอัฒจันทร์ย้อนกลับทางเดิมจนในที่สุดก็มาหยุดยังหน้าห้องพักนักกีฬา แต่เมื่อก้าวเข้าไปภายในกลับไม่พบคนที่เรียกเขามาที่นี่
“ปอปลาตากลม” หนุ่มศิลปินกล่าวพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ กำลังจะหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง พลันเสียงทุ้มต่ำของใครบางคนก็ดังขึ้นข้างหู
“เราอยู่นี่”
แสนยาสะดุ้งโหยง ทันทีที่หมุนตัวกลับก็พบว่าคนพูดยืนห่างกันไม่ถึงคืบ “ไอ้มีน ตกใจหมด”
ร่างสูงที่ยังคงพราวไปด้วยหยดน้ำหยักยิ้มขัน ๆ ตวัดผ้าขนหนูพาดบ่า คว้าแขนอีกฝ่ายแล้วพาเดินไปด้านใน มือดึงประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เปิดออกจากนั้นจึงจัดการดันร่างคนที่กำลังโวยวายเข้าไปจนแผ่นหลังชิดผนัง
“ทำอะไรวะ”
“จะตอบเราได้หรือยัง”
แสนยาสบตานิ่ง ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงหนึ่งก็ดังแว่วมาจากด้านนอก
“มีน อยู่ในนี้หรือเปล่า”
เมื่อเสียงเดิมยังคงเรียกซ้ำ เจ้าของชื่อจึงจำต้องละสายตาจากคนตรงหน้าแล้วหันไปถาม “ตองมีอะไรหรือเปล่า”
“ตองจะมาแสดงความยินดีกับมีนน่ะ”
“ขอบคุณนะตอง”
“อื้อ” หญิงสาวกล่าวก่อนจะนั่งลงที่ม้านั่งกลางห้อง ทอดตามองนิ้วนางข้างซ้ายที่ปราศจากแหวนแต่งงานแต่ยังคงปรากฏรอยจาง ๆ “นึกถึงตอนนั้นเนอะ เวลามีนแข่งเราก็ไปนั่งเชียร์มีน เวลาที่เราแข่งบ้างมีนก็ลุ้นอยู่ขอบสระไม่ไปไหนเลย”
ชลชาติเบนสายตามายังคนตรงหน้าเมื่อคำว่า “ตอนนั้น” กำลังจะลากเอาความทรงจำในอดีตของเขากลับคืนมาบดบังความรู้สึกในปัจจุบัน หูได้ยินเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นดังใกล้เข้ามา
“จริง ๆ ตอนนั้นก็ดีเนอะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อแตะมือลงบนประตู “ถ้าตอนนี้...มีนยังไม่มีใครเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม”
แสนยาเลื่อนตาขึ้นสบคนตรงหน้า จู่ ๆ ก็รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกขึ้นมา อยากจะไปให้พ้นจากตรงนี้เพื่อปล่อยให้สองคนได้คุยกัน
ฉลามหนุ่มวางหน้านิ่ง เลื่อนแขนขึ้นพาดข้ามไหล่ของคนที่ความสูงไล่เลี่ยกัน มือยันกับผนังเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะขยับหนี “ตอนนี้เรารู้สึกดีกับคนอื่นไปแล้ว แล้วเราก็กำลังรอคำตอบว่าเขารู้สึกแบบเดียวกันกับเราหรือเปล่า เราขอโทษนะตอง”
สิ้นเสียงชลชาติ ทั้งห้องเงียบสนิท แต่หากเงี่ยหูฟังดี ๆ อาจได้ยินเสียงหัวใจของใครคนหนึ่งเต้นแรงกว่าที่เคย
“ตองเข้าใจแล้ว” หญิงสาวกล่าวเสียงแผ่ว มือเล็กกำแน่น สิ่งที่เขาพูดมิได้ซับซ้อน ซ้ำยังตรงไปตรงมาเสียจนทำให้ตรีฉัตรรู้สึกละอายจนไม่อาจกล่าวถ้อยคำร้องขอใด ๆ ได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกของชลชาติในวันที่ถูกบอกเลิกโดยที่ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้ากันนั้นเป็นเช่นไร
เสียงฝีเท้าเงียบลงไปแล้ว หากแต่ดวงตาสองคู่ยังประสานกันนิ่ง ในที่สุดก็เป็นแสนยาที่เสมองไปทางอื่นพร้อมกับถอนหายใจ
“เราพูดความในใจของเราไปหมดแล้ว นายล่ะ...จะตอบได้หรือยังว่าที่ผ่านมานายคิดยังไงกับเรากันแน่”
“เอ่อ...เหอะ ๆ เหอะ ๆๆ” หนุ่มศิลปินหัวเราะเฝื่อน ๆ พลางส่ายหัวเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ต่างจากที่เขาเคยวาดฝันเอาไว้มาก “มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิวะ” แสนยาบ่นกับตัวเอง ยอมรับว่าเคยตั้งใจจะจับฉลามหน้างอคอหักให้อยู่หมัด แต่ฉลามตัวนี้กลับเป็นฝ่ายจ้องจะงับหัวเขาแทน แบบนี้เสียชื่อหนุ่มฮ็อตแห่งคณะศิลปกรรมศาสตร์หมด ปกติเคยแต่เป็นฝ่ายบอกความรู้สึกก่อน เวลาได้เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงอายม้วนหรือเสียอาการแล้วมันชุ่มชื่นหัวใจจนบอกไม่ถูก ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาตั้งใจเลิกคิดก้าวล้ำความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนไปตั้งแต่วันที่พบชลชาติกับผู้หญิงคนนั้นที่ร้านกาแฟซ้ำยังถูกอีกฝ่ายไล่เพราะทำตัวน่ารำคาญ แต่ตอนที่เจอกันอีกครั้งที่แกลเลอรีชลชาติก็ดันมาพูดจาแปลก ๆ ทำเอาหัวใจไขว้เขวไปหมด
“ไอ้แสน...ฟังอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
เจ้าของชื่อตื่นจะภวังค์เมื่อมือเย็นเฉียบตบเบา ๆ ที่แก้ม
“มาชิงพูดก่อนทำไมวะ” แสนยามุ่นคิ้ว
ชลชาติเลิกคิ้ว “พูดอะไรก่อน”
“ก็ที่อยู่ ๆ มาบอกว่ารู้สึกดีนี่ไง มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ คนอย่างแสนยาไม่เคยปล่อยให้คนที่เราตั้งใจจะจีบมาพูดความในใจก่อนเด็ดขาด”
อาจารย์หนุ่มเปลี่ยนเป็นหัวเราะ “เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ”
“นายไม่เข้าใจหรอก เรื่องนี้เราจริงจังนะโว้ย ทำเสียเรื่องหมด”
“ถ้าเราไม่พูดก่อน แล้วนายจะพูดกับเราตอนไหน”
“ก็...คงไม่ได้พูด” แสนยาตอบตามที่คิด “คิดว่านายคงมีคนคุยแล้ว ต่อไปนี้เราก็จะไม่ไปวุ่นวายให้รำคาญอีก”
“นายมันบ้า คิดแต่ละเรื่องไม่เห็นจะเข้าท่าสักเรื่อง ถ้านายเองก็รู้สึกเหมือนกับที่เรารู้สึก ใครจะพูดก่อนพูดหลังมันจะต่างกันยังไง” เห็นหัวคิ้วยิ่งมุ่นหนักจึงลดมือลงแล้วจับต้นคอของอีกฝ่าย “จะขอเราเป็นแฟนก่อนตอนนี้ เราก็ไม่ว่า เราไม่กลัวเสียฟอร์มที่ต้องตอบตกลงหรอก”
“ฝันเหอะมีน” หนุ่มศิลปินกล่าวพร้อมกับปัดมือที่แนบอยู่กับลำคอของตนพลางส่ายหัวยิ้ม ๆ
สุดท้ายสองคนก็ไม่ได้ตกลงว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันในขณะนี้คืออะไร แค่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
...
โฟล์คเต่าสีหวานแล่นมาจอดที่หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจังหวัดน่านซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของลานข่วงเมืองในตอนเช้าของวันหยุดสุดสัปดาห์ ชลชาติเปิดประตูลงจากรถ มองไปรอบ ๆ แล้วอดแปลกใจไม่ได้ ทั้งที่ย่านนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์และวัดวาอารามสำคัญ ๆ แต่ผู้คนกลับไม่พลุกพล่าน รถราก็บางตา จนแทบไม่น่าเชื่อว่าเมืองนี้จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ผู้คนนิยมมา
“เงียบดีจัง คราวก่อนที่เรามาตรงกับงานกีฬาเยาวชนแห่งชาติ คนเยอะมากก็เลยได้แค่เข้าไปไหว้พระที่วัดนั้น” พูดพลางมองเลยขึ้นไปยังวัดที่อยู่ทางขวาของสี่แยก
“วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร” คนที่เดินมาหยุดเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่ได้มีเทศกาลอะไร น่านก็จะเงียบสงบแบบนี้แหละ ว่าแต่คราวนี้นายอยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“เราบอกแล้วไงว่าขอตามมาดูนายทำงานเฉย ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นเราพานายไปพิพิธภัณฑ์ก่อน” แสนยาบอกก่อนจะกระชับสายเป้สะพายหลัง “ว่ากันว่าถ้าอยากเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อ หรือศิลปวัฒนธรรมของชุมชนนั้น ๆ ให้ไปพิพิธภัณฑ์”
“จริงจังก็เป็นเนอะ”
“เราก็จริงจังกับทุกเรื่อง”
“ทุกเรื่องที่ไม่ควรจริงจัง”
“เออ... ถุย! ไปได้แล้ว”
ชลชาติหัวเราะก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายไปยังลานกว้างแล้วข้ามถนนมุ่งหน้าสู่อาณาบริเวณของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน
แต่แทนที่จะตรงไปยังจุดหมายตามที่ได้บอกไว้ แสนยากลับพาชลชาติเดินลัดเลาะสนามกระทั่งมาหยุดที่โคนต้นโพธิ์ต้นใหญ่ซึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาอยู่บริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์แทน
“ทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะ” อาจารย์หนุ่มเอ่ยขึ้น
“เราจะพานายมาดูวัด”
“ในพิพิธภัณฑ์เนี่ยนะ ไหน ไม่เห็นมีเลย” ชลชาติกล่าวพลางมองไปรอบ ๆ
“นี่ไง” หนุ่มศิลปินบอกพร้อมกับชี้ไปยังสิ่งปลูกสร้างตรงหน้า ซึ่งเป็นวิหารย่อส่วน ก่ออิฐถือปูน
“ดูเหมือนศาลพระภูมิมากกว่า”
“เขาเรียกว่าวัดน้อย เล่ากันว่าเจ้าผู้ครองนครน่านกราบบังคมทูลต่อในหลวงรัชกาลที่ห้าถึงจำนวนวัดในเมืองน่านผิดไปหนึ่งวัด ท่านก็เลยสั่งให้สร้างวัดน้อยนี้ขึ้นที่หน้าหอคำซึ่งก็คืออาคารพิพิธภัณฑ์นี่แหละ เพื่อให้ครบตามจำนวนที่กราบบังคมทูลไป ที่นายเห็นเป็นวิหารศิลปะล้านนา ก่ออิฐถือปูนโดยย่อขนาดให้เล็กลง ข้างในมีประดิษฐานพระพุทธรูปด้วยนะ แล้วก็เชื่อกันว่าวัดน้อยเป็นวัดที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทยด้วย”
“อืม...ก็น่าจะจริง ถ้านายไม่บอก เราไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่านี่คือวัด” ชลชาติยิ้ม “มาเที่ยวกับเจ้าถิ่นมันดีอย่างนี้นี่เอง เราเริ่มสนุกแล้ว ไปต่อเถอะ” ว่าแล้วก็โอบไหล่อีกฝ่ายก่อนจะพากันเดินเข้าไปยังอาคารสองชั้นซึ่งจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของชาวเขาเผ่าต่าง ๆ และชนพื้นเมืองภาคเหนือ ภาพถ่าย รวมถึงโบราณวัตถุที่สะท้อนถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีต
ชลชาติก้าวไปหยุดหน้าห้องหนึ่งซึ่งอยู่ที่ชั้นล่างของพิพิธภัณฑ์ เงยหน้าขึ้นอ่านป้ายเหนือกรอบประตูเหล็กบานหนาซึ่งระบุชื่อ “ห้องมั่นคง” ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวนั้นยังแบ่งออกเป็นห้องย่อยกั้นด้วยลูกกรง เห็นแล้วอดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดห้องนี้จึงได้ชื่อว่าห้องมั่นคงทั้งที่ดูเหมือนห้องขังมากกว่า
“เหมือนคุกเลย”
“ไม่ใช่คุก แต่เป็นห้องเก็บของที่สำคัญมาก ๆ แล้วก็พวกของมีค่าต่างหาก”
“ตู้เซฟน่ะเหรอ”
“ใช่ ถึงได้เรียกว่าห้องมั่นคงไง”
ชลชาติพยักหน้าเมื่อในที่สุดความสงสัยก็ถูกทำให้กระจ่าง
“นายว่าเราสร้างห้องมั่นคงที่บ้านสักห้องดีไหม เราจะเอาไว้เก็บภาพเขียน น้องแสนดีแล้วก็ขนมต้ม”
“ทำอย่างกับใครจะมาขโมย”
“ก็ไม่แน่นะ เกิดเราตายไป ภาพเขียน ข้าวของเครื่องใช้ของเราอาจจะกลายเป็นของมีค่าที่คนยอมจ่ายเพื่อมีไว้ในครอบครองก็ได้ ถึงตอนนั้นคงแย่งกันแย่ ชื่อของเราจะต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เหมือนกับฟานก๊อกฮ์ไง”
“เมื่อคืนนอนไม่พอเหรอ ถึงมายืนละเมออยู่ตรงนี้” อาจารย์หนุ่มกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ไปข้างบนกัน”
“เดี๋ยววว ปอปลาตากลม” แสนยาเอ่ยขึ้น “แล้วถ้าเป็นนาย นายจะเก็บอะไรไว้ในห้องมั่นคงบ้าง”
“ไม่ใช่นายก็แล้วกัน” ชลชาติตอบชนิดไม่ต้องคิด หากแต่ใบหน้ายังเย็นชาไม่เท่าน้ำเสียง
หนุ่มศิลปินหัวเราะหึก่อนจะบ่นขมุบขมิบ เดินนำอีกฝ่ายขึ้นไปยังชั้นบน
เมื่อก้าวสู่ห้องโถงขนาดใหญ่ ชลชาติที่เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกก็เดินดิ่งไปยังระเบียงทันที จากตรงนี้มองเห็นอนุสาวรีย์ที่แสนยาบอกว่าเป็นอนุสาวรีย์เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าผู้ครองนครน่านซึ่งตั้งอยู่บนสนามหญ้ากว้างใหญ่ ถัดไปคือซุ้มลีลาวดียืนต้นเรียงรายขนานไปกับแนวรั้ว สีเขียวขจีตัดกับสีส้มของหลังคาวิหารและสีทองอร่ามของเจดีย์วัดพระธาตุช้างค้ำที่เป็นฉากหลัง อาจารย์หนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นบันทึก นึกถึงคำพูดของแสนยาที่บอกว่ามาน่านแล้วระวังจะหลงรักจนต้องกลับมาอีกหลาย ๆ หนนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย ชลชาติเผลอยิ้มกับตัวเอง หันซ้ายหันขวาไม่พบคนที่มาด้วยกันจึงย้อนกลับเข้าไปด้านใน เห็นอีกฝ่ายกำลังยืนอยู่หน้ากรอบกระจกขนาดใหญ่ที่ล้อมผนังด้านหนึ่งเอาไว้จึงสืบเท้าไปหยุดข้างกัน
“นี่อะไรเหรอ” ชลชาติถามในขณะที่ดวงตาจับจ้องไปยังประติมากรรมรูปครุฑแบกรับงาช้างตรงหน้า
“งาช้างดำ เป็นของมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่าน” หนุ่มศิลปินอธิบาย “เป็นงาปลี ก็คืองาที่มีความยาวไม่มากแต่วงรอบใหญ่”
“อันนี้นี่เองที่ไอ้พายบอกว่าถ้ามาน่านเมื่อไรต้องแวะมาดูให้ได้” พูดจบก็รีบยกโทรศัพท์ขึ้นเพื่อบันทึกภาพ หูก็ฟังแสนยาเล่าเรื่องต่าง ๆ ไปด้วย ยอมรับว่าปกติเขาไม่ชอบเข้าพิพิธภัณฑ์สักเท่าไร เข้าไปทีไรก็เดินผ่าน ๆ ไม่ได้สนใจว่าของแต่ละชิ้นมีประวัติความมาเช่นไร แต่วันนี้มีคนคอยเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ฟัง ทำให้รู้สึกว่าการเข้าพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป
สองคนใช้เวลาพักใหญ่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน จากนั้นจึงมุ่งหน้าสู่วัดภูมินทร์ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน วันนี้แสนยาตั้งใจจะมาเก็บตัวอย่างสีภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถทรงจตุรมุข ชลชาติจึงได้ขอติดตามมาด้วย เมื่อก้าวพ้นธรณีประตู จึงพบว่าภายในประดิษฐานพระพุทธรูปสี่องค์ หันหน้าออกประตูทั้งสี่ทิศ รอบ ๆ พระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่นอกจากจะแสดงเรื่องราวตามชาดก ยังบอกเล่าถึงวิถีชีวิตและการแต่งกายของผู้คนในสมัยโบราณอีกด้วย
“นี่ใช่ไหม ภาพจิตรกรรมกระซิบรัก” ชลชาติเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาหยุดข้างประตูด้านหนึ่ง ตรงหน้าคือภาพวาดชายหญิงชาวไทลื้อในอิริยาบถกระซิบสนทนากัน
“ใช่ นี่แหละ” แสนยากล่าวก่อนจะนั่งลง หยิบสมุดสเก็ตช์ ดินสอ พู่กัน และจานสีออกจากเป้ “คนที่วาดเป็นจิตรกรท้องถิ่นเชื้อสายไทลื้อ ชื่อหนานบัวผัน” หนุ่มศิลปินว่าพลางกางสมุดสเก็ตช์วางบนตัก แล้วจรดปลายดินสอดำลงบนกระดาษที่มีความหนาพอสมควร
“คำฮักน้อง กูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาคะลุม จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป ก็เลยเอาไว้ในอกในใจตัวชายปี้นี้ จักหื้อมันไห้อะฮิอะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา…”
ชลชาติยืนฟังจนเพลินกระทั่งเสียงนั้นเงียบลงจึงได้หันกลับไปมอง เห็นอีกฝ่ายกำลังลากดินสอจนเกิดเป็นโครงร่างตามภาพที่ปรากฏอยู่บนผนัง
“แปลว่าอะไร” อาจารย์หนุ่มถามเมื่อนั่งขัดสมาธิลงข้างกัน
“โทรศัพท์เอาไว้เล่นแต่เกมงูหรือไง หาเอาบ้างสิ” แสนยาพึมพำ ดวงตาไล่ตามที่ปลายดินสอที่ลากตัดกันไปมาเกิดเป็นเส้นพลิ้วไหว เขาสเก็ตช์ภาพปู่ม่านย่าม่านเก็บเป็นที่ระลึก ลงชื่อและวันที่กำกับที่ด้านล่าง จากนั้นจึงเริ่มลงมือเก็บตัวอย่างสี ชายหนุ่มหยิบกล่องพลาสติกใสที่แบ่งเป็นช่อง ๆ ออกจากเป้ ในแต่ละช่องเขาได้เทสีโปสเตอร์ใส่เตรียมไว้ตั้งแต่อยู่ที่กรุงเทพฯ แม้บางสีจะเริ่มแห้งจนจับเป็นก้อน แต่เมื่อผสมน้ำลงไปนิดหน่อยก็ใช้การได้ตามปกติ
หนุ่มศิลปินพลิกสมุดสเก็ตช์ไปยังหน้าว่าง ใช้พู่กันแตะสีผสมในถาดสี่เหลี่ยมซึ่งแบ่งเป็นหลุมให้ได้ตามที่ตาเห็น จากนั้นจึงเดินไปเทียบกับสีจริงบนภาพจิตรกรรมฝาผนัง ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นแถบสีมากมายบนกระดาษ เมื่อได้ค่าสีที่ใกล้เคียงที่สุดเขาก็ใช้ดินสอทำเครื่องหมายเอาไว้ ส่วนชลชาติก็อาสาช่วยบันทึกภาพด้วยกล้องมิเรอร์เลสอีกแรงหนึ่ง
“นายเก็บตัวอย่างสีพวกนี้ไปทำไมกัน” อาจารย์หนุ่มถามพลางกดชัตเตอร์
“เราตั้งใจว่าจะสร้างผลงานศิลปะโดยใช้กลุ่มสีของภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัดสำคัญ ๆ ในจังหวัดน่าน วัดภูมินทร์เป็นที่สุดท้ายแล้วละ”
“ทำไมไม่ถ่ายรูปเอา จะได้ไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็ง เร็วกว่าด้วย”
“สีมันเพี้ยน กล้องบางตัวก็เก็บความสวยงามตามที่ตาเห็นไม่ได้หรอกนะ” แสนยาบอกก่อนจะเดินกลับมานั่งวาดภาพคร่าว ๆ และเขียนกำกับว่าแต่ละค่าสีที่ได้นั้นมาส่วนใดของภาพจิตรกรรมฝาผนังบ้าง “นอกจากพิพิธภัณฑ์แล้ว ภาพจิตรกรรมฝาผนังพวกนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่บอกเล่าวิถีชีวิตและความเชื่อของคนในอดีตด้วย”
“ปกติเวลาเข้าวัดก็แค่ไหว้พระ ไม่เคยได้ใส่ใจภาพพวกนี้เลย”
“ถ้านายสังเกตดี ๆ บางทีอาจจะได้เห็นอารมณ์ขันของศิลปินที่สอดแทรกไว้ในมุมใดมุมหนึ่งด้วยนะ อย่างที่วัดพระแก้วนั่นก็ิต็มไปหมดเลย ทั้งลิงจูงกระต่าย ยักษ์คาบบุหรี่ กระต่ายกับเต่า หรือพวกกิจกรรมแปลก ๆ ที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่ในเรื่องรามเกียรติ์”
“เอาไว้กลับกรุงเทพฯ แล้วไปดูกัน”
“ไม่เบื่อเหรอ” หนุ่มศิลปินถาม แต่เพราะมัวทำงานจนเพลินจึงไม่ทันได้ฟังว่าอีกฝ่ายตอบคำถามนั้นว่าอย่างไร หรือแม้แต่เสียงชัตเตอร์เงียบไปตั้งแต่เมื่อไร รู้ตัวอีกทีว่าชลชาติมานั่งลงข้างกันก็ตอนที่ได้ยินเสียง...
“ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว จะฝากไว้กลางท้องฟ้าอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุมรักของพี่ไปเสีย หากเอาไว้ในวังในคุ้ม เจ้าเมืองมาเจอก็จะแย่งความรักของพี่ไป เลยขอฝากเอาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้รำพี้รำพันถึงน้อง ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น ที่นายพูดเมื่อกี้แปลแบบนี้ใช่ไหม” ชลชาติกล่าวพลางใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือเลื่อนหน้าจอสัมผัสพร้อมกับไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่ค้นได้จากโปรแกรมช่วยสืบค้นข้อมูล เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย หัวคิ้วก็ยู่เข้าหากันเล็กน้อย อาจารย์หนุ่มละสายตาจากโทรศัพท์แล้วแกล้งยื่นหน้าเข้าใกล้ “ตอบหรือยัง ทำไมไม่ได้ยินเลย”
“มีน...เอาหน้าไปห่าง ๆ หน่อย” แสนยาไม่พูดเปล่า ใช้ปลายนิ้วดันที่แก้มของอีกฝ่าย กระนั้นชลชาติก็ยังไม่ทิ้งความพยายาม ขยับใกล้เข้าไปอีก
ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ แล้วกล่าวเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน “แบบนี้ไง เราถึงไม่เอาของสำคัญไปฝากไว้ที่ไหน...ถึงที่นั่นจะเป็นห้องมั่นคงก็เถอะ”
คนฟังโคลงหัวแล้วเงยหน้าขึ้นสบตา เห็นแก้มที่กรังไปด้วยสีแล้วอดยิ้มไม่ได้ “เลอะเทอะไปหมดแล้วปอปลาตากลมเอ๊ย” พูดจบก็เลื่อนมือขึ้นแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดคราบนั้นออกให้
“หน้าเราเลอะสี แล้วหน้านายเลอะอะไร ทำไมแดงไปหมดเลย”
แสนยายิ้มหวานก่อนจะดึงมือกลับ แล้วเปลี่ยนเป็นแยกเขี้ยว “ถ้าเหงาปากมากก็ออกไปคุยกับหมาหน้าวัดไป”
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
สวัสดีค่ะ
คงต้องขอทิ้งท้ายตอนพิเศษของนิยายเรื่องสายลมกระซิบรักไว้เพียงเท่านี้นะคะ
แล้วพบกันใหม่ค่ะ